txt
stringlengths
202
53.1k
# Visa และ Mastercard ตัดสัมพันธ์ไม่ให้บริการทางการเงินกับ Pornhub จากเหตุวิดีโอโป๊เด็ก หลังจากสำนักข่าว New York Times ลงบทความ The Children of Pornhub ส่งผลให้ Visa และ Mastercard สอบสวนเรื่องดังกล่าว ทาง Pornhub จึงจะเริ่มปิดกั้นการอัพโหลดเพื่อป้องกันเหตุการณ์นี้ในอนาคต ล่าสุด ทาง Mastercard ให้ข้อมูลกับ Nicholas Kristof คอลัมนิสต์ของ New York Times ว่า ตอนนี้ Mastercard ไม่อนุญาตให้ใช้บัตรของทางบริษัทบนเว็บ Pornhub อีกต่อไป ซึ่ง Mastercard ระบุว่าหลังจากสอบสวนมาสักระยะหนึ่งแล้วพบว่า Pornhub กระทำผิดจริง ซึ่ง Mastercard จะสอบสวนคอนเทนต์ผิดกฎหมายในเว็บไซต์อื่น ๆ ต่อไปด้วย ส่วนทาง Visa ก็ตัดสัมพันธ์กับ Pornhub แล้วเช่นกันในระหว่างที่กำลังสอบสวนการกระทำผิดอยู่ ฝั่ง Pornhub ที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงระบุว่าท่าทีของทั้งสองบริษัทน่าผิดหวังมาก (exceptionally disappointing) และยืนยันว่าได้จัดการปิดไม่ให้ผู้ใช้งานที่ไม่ยืนยันตัวตนไม่ให้อัพโหลดคอนเทนต์แล้ว พร้อมทั้งเทียบกับ Facebook ด้วยว่า 3 ปีที่ผ่านมามีรายงานการคุกคามทางเพศเด็ก 84 ล้านรายการ ในขณะที่ Pronhub มีรายงานเพียง 118 รายการเท่านั้น ซึ่งข่าวนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อโมเดลนับแสนคนที่พึ่งพาแพลตฟอร์ม Pornhub ในการดำเนินชีวิต ที่มา - Engadget
# Microsoft Edge เพิ่มฟีเจอร์ Sleeping Tabs สั่งแท็บที่ไม่ใช้นานๆ หลับไป ลดแรมลงได้ 32% ผู้ใช้ Chrome บางคนอาจเคยใช้ส่วนขยาย The Great Suspender ให้แท็บที่ไม่ได้ใช้งาน "หลับ" ไปเพื่อประหยัดซีพียูและแรม ตอนนี้ Microsoft Edge กำลังมีฟีเจอร์แบบเดียวกันแต่มากับตัวเบราว์เซอร์เลย ฟีเจอร์นี้ของ Edge ชื่อว่า sleeping tabs เริ่มเปิดใช้แล้วใน Edge 88 Beta วิธีการทำงานคือแท็บที่ไม่ได้เปิดใช้นานๆ (ค่าดีฟอลต์คือ 2 ชั่วโมง แต่กำหนดค่าเองใน Settings > System ได้ตั้งแต่ 5 นาที-12 ชั่วโมง) จะถูกทำให้หลับไป และจะถูกปลุกขึ้นมาเมื่อเราคลิกที่แท็บนั้นอีกครั้ง ไมโครซอฟท์บอกว่า sleeping tabs สามารถลดการใช้แรมลงได้เฉลี่ย 32%, ลดการใช้ซีพียูลงได้ 37% แต่ก็ยอมรับว่าอาจมีบางเว็บที่หลับไปแล้วปลุกขึ้นมา พฤติกรรมจะผิดเพี้ยนไป ผู้ใช้สามารถส่งข้อมูลกลับไปยังไมโครซอฟท์ได้ Edge 88 Beta ยังมีฟีเจอร์ใหม่อย่างอื่นคือ การซิงก์ History และตัวเลือกในการแสดงรายชื่อแท็บแนวตั้ง (vertical tabs) ที่มา - Microsoft
# Airbnb เข้าตลาดหุ้นวันแรก ราคาหุ้นเพิ่มมากกว่าเท่าตัว มูลค่ากิจการแสนล้านดอลลาร์ Airbnb ได้ไอพีโอนำบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นแนสแดค (Nasdaq) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากเผยแพร่เอกสารทางการเงินก่อนหน้านี้ ด้วยตัวย่อในการซื้อขาย ABNB โดย Airbnb ขายหุ้นไอพีโอที่ราคา 68 ดอลลาร์ต่อหุ้น ราคาหุ้น Airbnb หลังตลาดหุ้นปิดการซื้อขายอยู่ที่ 144.71 ดอลลาร์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว และทำให้มูลค่ากิจการล่าสุดคือ 99,995 ล้านดอลลาร์ Airbnb เริ่มต้นธุรกิจจากไอเดียเมื่อผู้ก่อตั้ง Brian Chesky (ปัจจุบันเป็นซีอีโอ) และ Joe Gebbia ลองปล่อยเช่าที่นอนเป่าลมในห้องนั่งเล่น เพื่อหาเงินจ่ายค่าเช่าอพาร์ทเม้นท์ พอดีกับช่วงเวลานั้นในซานฟรานซิสโกมีงานสัมมนาใหญ่และโรงแรมถูกจองเต็มหมด เมื่อมีคนยอมจ่ายเงิน เขาจึงต่อยอดไอเดียและกลายเป็น Airbnb ที่มีเจ้าของที่พักกว่า 4 ล้านราย ในปัจจุบัน ในพิธีเปิดการซื้อขายหุ้น Airbnb ยังทำคลิปให้เจ้าของที่พักจากทั่วโลกร่วมกันกดกระดิ่งประตูบ้านหลากหลายรูปแบบ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นนี้ด้วย ที่มา: Airbnb [1], [2] และ ZDNet
# จากเหตุวิดีโอโป๊เด็ก, ข่มขืน Pornhub จะปิดกั้นการอัปโหลดแก่ผู้ใช้ที่ไม่ยืนยันตัวตน ดาวน์โหลดก็ห้าม จากประเด็น หนังสือพิมพ์ The New York Times ลงบทความ "The Children of Pornhub" ระบุว่าเว็บไซต์เต็มไปด้วยวิดีโอที่ไม่ได้รับความยินยอม เช่น วิดีโอข่มขืน, ภาพแอบถ่าย, และวิดีโอโป๊เด็ก จน Visa/Mastercard อาจตัดความสัมพันธ์กับ Pornhub ล่าสุด Pornhub ออกมาตรการยุติการอัปโหลดจากผู้ใช้งานที่ไม่ได้รับการยืนยันโปรไฟล์ และห้ามไม่ให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดเนื้อหาส่วนใหญ่ของไซต์ นอกจากนี้ทางบริษัทยังบอกด้วยว่าจะออกมาตรการกลั่นกรองเนื้อหาใหม่ สร้าง Red Team ขึ้นมาเพื่อกลั่นกรองเนื้อหาที่อาจผิดกฎหมาย และจะออกรายงานความโปร่งใสในปี 2021 และจะยกระดับการทำงานร่วมกับองค์กรเด็ก National Center for Missing & Exploited Children (NCMEC) ส่วนผู้ใช้งานที่ต้องการอัปโหลดคลิปของตัวเองนั้น ตั้งแต่ปี 2021 ผู้ใช้งานจะต้องกรอกข้อมูลการระบุตัวตน และจะบล็อกการดาวน์โหลดทั้งหมด โดยมีผลทันที ที่มา - Engadget
# Webex ประกาศฟีเจอร์ชุดใหญ่ แปลภาษาเรียลไทม์, ตรวจจับท่าทางคน, ใช้วิดีโอเป็นพื้นหลัง ฯลฯ Cisco จัดงาน WebexOne ประกาศฟีเจอร์ชุดใหญ่ใน Webex มีทั้งที่เปิดใช้งานแล้ว และที่กำลังจะตามมาในแอปพลิเคชั่นอีกในอนาคต ดังนี้ ฟีเจอร์ที่เปิดใช้งานแล้ว ฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน เช่นเสียงพิมพ์บนแป้นคีย์บอร์ด แสดงคำบรรยาย หรือ closed caption อัตโนมัติ ช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมโฟกัสกับการประชุมได้เต็มที่ จดโน้ตน้อยลง ตัวข้อความทรานสคริปต์ยังสามารถค้นหาได้ด้วย เปลี่ยนเลย์เอาท์วิดีโอคอลได้โดยควบคุมแถบเลื่อนที่มีมาให้ในแอป Webex Huddle เรียกสมาชิกในทีมที่ต้องการให้เข้าร่วมประชุมได้ ไม่ต้องตั้งเวลาล่วงหน้า ฟีเจอร์ที่จะเปิดใช้งานในอนาคต AI ตรวจจับท่าทาง เช่นถ้ามีคนยกนิ้วโป้งขึ้นมาแสดงความชอบใจในการนำเสนอ AI จะตรวจจับและแสดงการกดไลค์ให้เห็นบนหน้าจอ แปลภาษาเรียลไทม์ โดยสามารถแปลภาษาที่ผู้บรรยายพูดอยู่ในขณะนั้น ตอนนี้รองรับการแปลภาษาอังกฤษ, สเปน, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, จีนกลาง, โปรตุเกส, อาหรับ, รัสเซีย, ดัตช์และญี่ปุ่น เริ่มเปิดใช้งาน กุมภาพันธ์ 2021 Immersive sharing ใช้วิดีโอเป็พื้นหลังได้ ในกรณีที่อยากนำเสนองานให้น่าสนใจมากขึ้นผ่านวิดีโอคอล ไฟล์เสียงจะถูกบันทึกลงแอปพลิเคชั่นอัตโนมัติ รองรับการจัดประชุมใหญ่ 1 แสนคน ผ่านฟีเจอร์ Webex Events native live streaming Meeting templates หรือเทมเพลตการประชุมแบบโต๊ะกลม ให้ทุกคนมีโอกาสพูดเท่าๆ กัน ไม่เป็นการรับสารจากฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ที่มา - Cisco
# [แก้ไขแล้ว] Facebook Messenger และ Instagram Messenger พบปัญหาส่งข้อความไม่ได้ อัพเดต: กลับมาใช้งานได้ตามปกติตั้งแต่เวลาประมาณ 22.00น. มีรายงานจากผู้ใช้งาน Facebook Messenger และ Instagram Messenger (ชื่อเดิม Direct) ว่าไม่สามารถส่งข้อความหากันได้ โดยเริ่มมีผู้พบปัญหาตั้งแต่เวลาประมาณ 16.30น. ข้อมูลจากเว็บไซต์ Downdetector ก็ระบุว่าพบว่าปัญหาทั้ง Facebook Messenger และ Instagram ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน Facebook (ซึ่งเป็นเจ้าของ Instagram ด้วย) ยังไม่ออกมาให้รายละเอียดของปัญหาที่เกิดขึ้น ที่มา: Business Insider
# Apple ขายแยกโฟมรองหูสำหรับ AirPods Max ราคา 2,290 บาท ยึดด้วยแม่เหล็ก แอปเปิลเปิดตัวหูฟังครอบหูไร้สาย AirPods Max ซึ่งมีตัวเลือกอยู่ 5 สีสัน แต่เพื่อเสริมลูกเล่นอีก แอปเปิลยังขายแยกตัวโฟมรองหูเพิ่มเติม ซึ่งสามารถนำมาสลับสีลวดลายกันได้ โดยแอปเปิลขายโฟมรองหูแบบบุนุ่มสำหรับ AirPods Max ในราคา 2,290 บาท ตัวโฟมรองหูจะยึดกับ AirPods Max ด้วยแม่เหล็ก ตัวเลือกมี 5 สี ไปในโทนเดียวกับสีของ AirPods Max คือ เงิน, ดำ, เขียว, สกายบลู และแดง ทำให้สามารถปรับเข้าคู่สีได้ถึง 25 แบบ ในตอนนี้หน้าสินค้าบนเว็บแอปเปิลขึ้นข้อความว่าจำหน่ายเร็ว ๆ นี้ ที่มา: MacRumors
# CAT จับมือ AWS เปิดตัวโซลูชันไฮบริดคลาวด์ AWS Outposts เต็มรูปแบบ ที่แรกในอาเซียน CAT พลิกโฉมวงการไอที สนับสนุนการพัฒนา ในยุค Digital transformation จับมือกับ Amazon Web Services (AWS) เปิดตัวโซลูชั่น CAT Cloud powered by AWS ในงาน CAT x AWS - Unlocking Your Business พร้อมเปิดตัวบริการ AWS Outposts เซิฟเวอร์ไฮบริดคลาวด์คุณภาพสูงแบบตั้งอยู่ในประเทศจาก Amazon ชูจุดเด่นพัฒนาระบบไฮบริดคลาวด์ความปลอดภัยสูง ความหน่วงต่ำ ด้วยศูนย์ข้อมูลที่ถูกติดตั้งและจัดเก็บข้อมูลภายในประเทศที่ Data Center ของ CAT พร้อมบริการครบถ้วนจาก AWS สำหรับทุกความต้องการคลาวด์ขององค์กรในประเทศไทย พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) AWS Outposts คือฮาร์ดแวร์แร็คที่ออกแบบโดย AWS แต่ติดตั้งอยู่ภายในประเทศ สามารถตั้งค่าการทำงานและบริหารจัดการได้อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ลูกค้าองค์กรในประเทศไทยสามารถรันเวิร์คโหลดแบบ on-premise ให้มีค่าความหน่วงต่ำ ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ดร.วงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจดิจิทัล บมจ. กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดย AWS Outposts มีจุดเด่นคือการออกแบบสถาปัตยกรรมในตู้เซิร์ฟเวอร์ ให้เซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดในตู้ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง โดยมีตัวแปลงไฟกระแสสลับไปยังกระแสตรงอยู่ที่ศูนย์กลาง ทำให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพสูง และลดจุดสร้างความเสียหายต่อระบบ (single point of failure) ให้เหลือน้อยที่สุด หากเกิดปัญหาด้านไฟฟ้า ภายในเซิร์ฟเวอร์ยังมีชิ้นส่วนระบบสำรอง (hot spare) ขึ้นมาทำงานแทนได้ทันที เพื่อรองรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ลดโอกาสข้อมูลเสียหาย ส่วนในด้านความปลอดภัย ตัวตู้เซิร์ฟเวอร์มีระบบตรวจจับการดัดแปลงในตัว ข้อมูลทั้งหมดในดิสก์จะถูกเข้ารหัสด้วยชิปที่ออกแบบมาเฉพาะ ซึ่งชิปเข้านี้รหัสจะถูกทำลายทันทีหากมีความพยายามเข้าถึงเซิฟเวอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูล AWS Outposts ยังสามารถเชื่อมต่อกับบริการต่างๆ ของ AWS บนคลาวด์ เช่น แพลตฟอร์มคอนเทนเนอร์ (ECS/EKS), ระบบฐานข้อมูล RDS, หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูล EMR ได้จากในศูนย์ข้อมูลขององค์กรเอง โดยใช้ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และ UI/UX ในการจัดการผ่าน AWS Management Console แบบที่หลายองค์กรคุ้นเคยในปัจจุบัน คุณ Lee Chew Tan, Managing Director, Worldwide Public Sector, ASEAN - Amazon Web Services ให้ข้อมูลและแสดงความยินดีในการร่วมมือกับ CAT ในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับบริการอื่นๆ เช่น AWS Implementation Service บริการครอบคลุมตั้งแต่การติดตั้งระบบ การย้ายระบบ ไปจนถึงการทดสอบระบบก่อนการใช้งานจริง AWS Professional Services ที่เป็นการร่วมมือระหว่าง CAT กับ AWS ในการให้คำปรึกษา ความช่วยเหลือ และการแนะนำในการออกแบบระบบ Cloud ในการครอบคลุมหลากหลายบริการและธุรกิจ ตามความเหมาะสมและเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนมากที่สุดสำหรับองค์กร AWS Managed Services (AMS) บริการบริหาร ดูแล และจัดการบริหารระบบไอทีพื้นฐานขององค์กรแบบครบวงจร ตอบสนองตามความต้องการที่แตกต่างของลูกค้าแต่ละราย เพื่อลดปัญหา ความยุ่งยากของการจัด และให้องค์กรได้ทุ่มเทกับธุรกิจหลักได้อย่างเต็มที่ พร้อมแจ้งเตือนเมื่อมีสิ่งผิดปกติ ดูแลการอัปเดท Patches, Fixes และ Updates ในระบบอัตโนมัติ มีระบบ Ticket รับแจ้งปัญหา พร้อมทั้งสามารถติดตามและจัดการปัญหาตามลำดับความรุนแรง เพื่อการบริหารงานระบบ IT Support ได้อย่างมีประสิทธิภาพ AWS Direct Connect บริการเชื่อมโยงวงจรสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่าย Private Network ของ CAT เข้ากับ AWS Direct Connect Locations โดยตรง ผ่านโครงข่าย Ethernet/MPLS ของ CAT ครอบคลุมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ลดความยุ่งยาก และความหน่วงในการส่งผ่านข้อมูล ทำให้ทั้งองค์กรและผู้บริโภคได้รับความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้นในการใช้งานบริการต่างๆ คุณฐิติมา รุ่งผาติ WWPS Business Development Manager, ASEAN บริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด (AWS) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการต่างๆ ของ AWS โดยองค์กรที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายธุรกิจคลาวด์และบิ๊กดาต้าของ CAT โทร 0-2104-4926-7 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.iris.cloud/aws ดร.วงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์, คุณวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคุณฐิติมา รุ่งผาติ ผู้ร่วมบรรยายในครั้งนี้
# จีนสั่งแบนแอปอีก 105 แอป Tripadvisor โดนด้วย Cyberspace Administration of China หรือ CAC หน่วยงานควบคุมอินเทอร์เน็ตของจีนประกาศแบนแอปทั้งหมด 105 แอปที่ฝ่าฝืนกฎข้อบังคับทางอินเทอร์เน็ตของประเทศจีน แม้ว่าแอปส่วนใหญ่จะเป็นแอปของคนจีนเอง แต่รอบนี้มี Tripadvisor แอปรีวิวและจองสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังติดเข้าไปด้วย สำหรับธุรกิจของ Tripadvisor ในจีนนั้น ทางบริษัทร่วมกับ Trip.com บริษัทท่องเที่ยวจากจีนและจัดตั้งบริษัทร่วมทุน Tripadvisor China โดย Tripadvisor ถือหุ้น 40% ของบริษัทร่วมทุนนี้ การจัดการแอปที่ผิดกฎหมายจีนนั้นถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศจีน โดยทาง CAC ที่มีหน้าที่นี้จะคอยจัดการแอปที่กระทำผิดตามคำร้องเรียน ซึ่ง CAC เองไม่ได้ระบุว่าแอปกลุ่มนี้กระทำผิดอะไร แต่โดยมากข้อหาที่โดนมักจะเป็นการเผยแพร่ภาพลามกอนาจาร, ส่งเสริมความรุนแรงและการก่อการร้าย, ฉ้อโกงหรือพนัน และการค้าประเวณี ที่มา - TechCrunch, CAC ภาพจาก Tripadvisor China (Weibo)
# Sharp เปิดตัวไมโครเวฟสั่งการด้วยเสียงผ่าน Alexa Sharp เปิดตัวไมโครเวฟรุ่นแรกที่มาพร้อมระบบเชื่อมต่อ Wi-Fi และรองรับการทำงานร่วมกับระบบสั่งการด้วยเสียง Alexa ไมโครเวฟรุ่นใหม่ของ Sharp มีสองความจุ คือ SMC1139FS ความจุ 1.1 คิวบิกฟุต และ SMC1449FS ความจุ 1.4 คิวบิกฟุต โดยระบบสั่งการด้วยเสียง Alexa มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกในกิจกรรมทำอาหารทั่วไป เช่น ละลายน้ำแข็งเนื้อ ไปจนถึงสั่งทำป๊อปคอร์นของ Orville Redenbacher สำหรับรุ่น 1.1 คิวบิกฟุตจะมีคำสั่งที่รองรับระบบสั่งการด้วยเสียงกว่า 30 คำสั่ง และอีก 10 พรีเซ็ทที่สั่งได้ผ่านเสียงเท่านั้น ราคา 149.99 ดอลลาร์ และรุ่น 1.4 คิวบิกฟุตมีคำสั่งที่รองรับระบบสั่งการด้วยเสียงกว่า 70 คำสั่ง และอีก 50 พรีเซ็ทที่สั่งได้ผ่านเสียงเท่านั้น ราคา 169.99 ดอลลาร์ ที่มา - Sharp USA, Engadget ภาพจาก Sharp USA Shop
# SpaceX ทดสอบ Starship SN8 แต่แรงดันเชื้อเพลิงไม่พอ ระเบิดขณะลงจอด SpaceX ทดสอบยาน Starship ให้บินที่ความสูง 40,000 ฟุตเป็นผลสำเร็จจนได้ข้อมูลการบินครบถ้วน อย่างไรก็ดีแรงดันเชื้อเพลิงช่วงท้ายกลับไม่พอ ทำให้ความเร็วในการลงจอดสูงเกินไปจนยานกระแทกกับพื้นระเบิดในการลงจอด Elon Musk ระบุว่าการทดสอบประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยได้ข้อมูลที่ต้องการทั้งหมดแล้ว SpaceX เปิดตัวยาน Starship เมื่อปี 2019 โดยตัวยานจะมีระวางขนส่งถึง 150 ตัน และต้องใช้จรวด Super Heavy ที่ใช้เครื่องยนต์ Raptor จำนวนถึง 37 ตัวในการนำส่งขึ้นวงโคจร และตัวยาน Starship เองจะนำกลับมาใช้ซ้ำได้เต็มรูปแบบ ที่มา - YouTube: SpaceX
# Sundar Pichai ขอโทษต่อการเลิกจ้าง Timnit Gebru จะสอบสวนว่าเกิดอะไรขึ้น Sundar Pichai ซีอีโอ Alphabet บริษัทแม่กูเกิลส่งแถลงผ่านอีเมลถึงสื่อมวลชนขอโทษต่อพนักงานถึงกรณีการเลิกจ้าง Timnit Gebru ระบุเขารับรู้เรื่องนี้แล้ว และกำลังสอบสวนว่าเกิดอะไรขึ้น Sundar ยังไม่ได้ยอมรับว่ามีการกระทำผิดในกระบวนการเลิกจ้าง Gebru แต่เขาระบุว่า การที่พนักงานหญิงผิวดำความสามารถสูงออกจากบริษัทไปด้วยความไม่พอใจสร้างผลกระทบต่อเนื่องต่อชุมชนกลุ่มน้อยในบริษัทที่รู้สึกว่าถูกกระทำแบบเดียวกับ Gebru ในกรณีนี้ แม้แถลงของ Sundar ไม่ได้ระบุชัดถึงท่าทีของบริษัทแต่เห็นได้ชัดว่าประเด็นนี้เกินระดับของ Jeff Dean หัวหน้าฝ่าย Google AI ไปแล้ว จากเดิมที่ Dean ยืนยันว่ากระบวนการรีวิวรายงานวิจัยของ Gebru เป็นขั้นตอนปกติ และตัว Gebru เองเป็นคนขอลาออกจากบริษัท ที่มา - South China Morning Post (Bloomberg) Sundar Pichai ในงาน Google I/O 2014 ภาพโดย Maurizio Pesce
# Sony ซื้อกิจการสตรีมมิ่งอนิเมะ Crunchyroll แล้ว มูลค่าดีล 1,175 ล้านดอลลาร์ Crunchyroll ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งสำหรับอนิเมะแบบถูกลิขสิทธิ์รายใหญ่ ประกาศว่า Funimation ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจในเครือโซนี่ ได้เข้าซื้อกิจการทั้งหมด ต่อจากเจ้าของปัจจุบันคือ WarnerMedia ที่เป็นบริษัทในเครือ AT&T โดยมูลค่าของดีลนี้คือ 1,175 ล้านดอลลาร์ มีข่าวลือก่อนหน้านี้ว่าดีลดังกล่าวจะทำให้โซนี่เข้าสู่ธุรกิจสตรีมมิ่งแบบเต็มตัว บริการของ Crunchyroll มีผู้สมัครใช้งานมากกว่า 90 ล้านคน จาก 200 ประเทศที่ให้บริการ ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจ Funimation เป็นบริษัทร่วมทุนของสองบริษัทในเครือโซนี่ได้แก่ Sony Pictures Entertainment และ Aniplex ที่เป็นธุรกิจย่อยของ Sony Music Entertainment (Japan) ที่มา: Sony Pictures
# ไมโครซอฟท์ประกาศ xCloud เปิดให้เล่นบน iOS และพีซี ช่วงต้นปี 2021 ไมโครซอฟท์ประกาศแผนการให้บริการ xCloud บน iOS และพีซีในฤดูใบไม้ผลิปี 2021 (ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม) พีซี จะรองรับผ่านเบราว์เซอร์ และแอพ Xbox iOS จะรองรับผ่านเบราว์เซอร์เพียงอย่างเดียว ไมโครซอฟท์บอกว่าการรองรับ xCloud บนทั้งสองแพลตฟอร์ม ช่วยให้เราเล่นเกมแบบสตรีมมิ่งบนอุปกรณ์ที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น iPhone หรือ Surface Pro ก็เล่นเกมของ xCloud ได้ทั้งหมด ปัจจุบัน xCloud (หรือชื่ออย่างเป็นทางการที่ไม่มีใครเรียกคือ Cloud gaming (beta) with Xbox Game Pass Ultimate) มีให้บริการบน Android เพียงระบบปฏิบัติการเดียว ที่มา - Xbox
# WhatsApp ชี้ Apple บังคับให้แอปใส่ข้อมูลความเป็นส่วนตัวถือเป็นสองมาตรฐาน เพราะ iMessage ไม่ต้องทำ Apple เคยประกาศไว้ในงาน WWDC ที่เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาว่าจะเริ่มให้นักพัฒนาแอปใส่ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว โดยกฎนี้เป็นข้อบังคับเมื่อส่งแอปใหม่หรืออัพเดตให้ Apple มีผลกับแอปทั้ง App Store ล่าสุดเป็น WhatsApp ที่ออกมาโวยว่าการบังคับใส่ข้อมูลความเป็นส่วนตัวของ Apple ถือเป็นพฤติกรรมทำลายการแข่งขัน เนื่องจาก Apple ไม่ใส่ข้อมูลแบบเดียวกันในระบบส่งข้อความ iMessage ที่มากับแพลตฟอร์มของตัวเองบนแอป Messages การกระทำแบบนี้ทำให้ WhatsApp เสียเปรียบการแข่งขันกับระบบส่งข้อความของ Apple เอง พร้อมทั้งชี้ว่า Apple ต้องปฏิบัติเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นแอปของตัวเองหรือแอปของนักพัฒนาภายนอก เพื่อให้ผู้ใช้เปรียบเทียบกันระหว่างแอปภายนอกกับแอปที่ติดตั้งมาในตัวเครื่องด้วย สำหรับ WhatsApp ตอนนี้ได้ส่งแอปเวอร์ชันใหม่ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยอธิบายชัดเจนว่า WhatsApp เก็บอะไรบ้าง เช่น เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลโปรไฟล์ รวมถึงรับทราบไอพีแอดเดรส ส่วนข้อมูลที่อยู่ติดต่อและข้อมูลการจ่ายเงินจะเห็นได้ต่อเมื่อผู้ใช้อนุญาต และมีการเก็บข้อมูลการใช้งานเพื่อปรับปรุงบริการและจัดการการใช้แพลตฟอร์มในทางที่ผิด เป็นต้น ฝั่ง Apple ให้ความเห็นว่า นโยบายแสดงข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวนี้มีผลกับทุกแอปบน App Store ไม่เว้นแม้แต่แอปของ Apple เอง ดังนั้นทางบริษัทมองว่าแอปของตัวเองไม่ได้รับสิทธิพิเศษใด ๆ ส่วนแอป Messages ทาง Apple ก็มีข้อมูลลักษณะเดียวกันให้ดูผ่านเว็บไซต์อยู่แล้ว ที่มา - Engadget ภาพจาก Apple
# Adobe ออกอัพเดต Flash Player ครั้งสุดท้าย ก่อนยุติการสนับสนุนสิ้นปีนี้ Adobe ออกอัพเดต Flash Player ของเดือนธันวาคม 2020 โดยระบุว่าเป็นอัพเดตครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะยุติการสนับสนุนตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม ตามประกาศก่อนหน้านี้ จากนั้นคอนเทนต์ Flash จะถูกบล็อกการทำงานตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2021 ในประกาศนี้ Adobe ได้ขอบคุณลูกค้าและนักพัฒนาทุกคน ที่ได้ใช้งานและร่วมสร้างสรรค์คอนเทนต์บน Flash Player ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคอนเทนต์บนเว็บยุคใหม่ทั้ง อนิเมชัน, เนื้อหาโต้ตอบ, เนื้อหาเสียงและวิดีโอ ถึงแม้ Adobe Flash จะหยุดทำงาน แต่โครงการ Internet Archive ได้ประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะนำอีมูเลเตอร์ Ruffle มาจำลองการทำงานของ Flash เพื่อให้สามารถรันเว็บเก่าได้ ที่มา: The Verge
# Hyundai เข้าถือหุ้น 80% ในบริษัทหุ่นยนต์ Boston Dynamics ที่มูลค่ากิจการ 1.1 พันล้านดอลลาร์ อัพเดต: ตัวเลขอย่างเป็นทางการ Hyundai จะถือหุ้นใน Boston Dynamics 80% ส่วน SoftBank เหลือถือหุ้นต่อ 20% ที่มูลค่ากิจการ 1.1 พันล้านดอลลาร์ (ที่มา: Hyundai) The Korea Economic Daily รายงานว่า Hyundai ผู้ผลิตรถยนต์จากเกาหลี ได้ปิดข้อตกลงเพื่อซื้อกิจการบริษัทหุ่นยนต์ Boston Dynamics เป็นที่เรียบร้อย ตามที่มีข่าวลือก่อนหน้านี้ โดยเหลือขั้นตอนเสนอบอร์ดบริหารอนุมัติในวันนี้ รายงานระบุว่ามูลค่าของดีลดังกล่าวน้อยกว่า 1 ล้านล้านวอนเล็กน้อย หรือประมาณ 921 ล้านดอลลาร์ กลุ่ม Hyundai เพิ่งเปลี่ยนประธานบริษัทไปคือ Chung Euisun เมื่อเดือนตุลาคม การเข้าซื้อกิจการ Boston Dynamics ก็เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของบริษัทที่มองธุรกิจหุ่นยนต์เป็นโอกาสในการเติบโตครั้งใหม่ ควบคู่ไปกับธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและไฮโดรเจน ที่มา: The Korea Economic Daily
# FTC ยื่นฟ้อง Facebook ข้อหาผูกขาดโซเชียลแล้ว ขอให้ศาลสั่งแยก Instagram, WhatsApp คณะกรรมการการค้าของสหรัฐ หรือ Federal Trade Commission (FTC) ยื่นฟ้อง Facebook ในข้อหาผูกขาดตลาดโซเชียลเน็ตเวิร์คแล้ว FTC บอกว่า Facebook มีพฤติกรรมปิดกั้นการแข่งขันมายาวนานและทำอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การไล่ซื้อบริษัทที่มีโอกาสมาเป็นคู่แข่งในอนาคต ทั้ง WhastApp, Instagram และกำหนดเงื่อนไขใน API ว่าห้ามนำไปใช้ทำฟีเจอร์บางอย่างแข่งกับ Facebook รวมถึงห้ามใช้โปรโมทหรือเชื่อมต่อกับบริการโซเชียลอื่นๆ ยิ่งทำให้ Facebook ผูกขาดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ที่สุดของโลก มีกำไรมหาศาล ตัวอย่างเงื่อนไข API ที่ไม่เป็นธรรมคือแอพ Vine ของ Twitter ในปี 2013 ที่โดน Facebook ปิดไม่ให้เชื่อมต่อ API และทำให้ Vine ไม่สามารถดึงรายชื่อเพื่อนจาก Facebook ได้ ในคำฟ้องนี้ FTC ร่วมกับอัยการจาก 46 รัฐทั่วอเมริกา และ 2 เขตพิเศษคือ DC/Guam ร่วมกันยื่นฟ้องต่อศาลเขต DC ขอให้สั่งแยกธุรกิจ Instagram กับ WhatsApp ออกมา, ให้ศาลสั่งห้าม Facebook กำหนดเงื่อนไขบีบนักพัฒนา, และ Facebook ต้องยื่นขออนุมัติการซื้อกิจการในอนาคต ฝั่ง Facebook ตอบโต้ FTC ว่าการซื้อ Instagram/WhatsApp เป็นการซื้อเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น และผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกแล้ว กรณีของ Instagram ได้ FTC เป็นคนอนุมัติเองด้วยซ้ำ คดีลักษณะนี้ไม่เคยมีมาก่อน และจะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ที่ FTC ต้องการกลับไปแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองเคยอนุมัติไปแล้วในอดีต Facebook ยังบอกว่าเราซื้อ Instagram มานาน 8 ปีแล้ว ซึ่ง Instagram ที่ทุกคนใช้อยู่ทุกวันนี้คือ Instagram เวอร์ชันที่ Facebook สร้าง ไม่ใช่เวอร์ชันที่ซื้อมาเมื่อ 8 ปีก่อน ซึ่งตอนนั้น Instagram ยังมีพนักงานแค่ 13 คนเท่านั้น และกรณีของ WhastApp ก็เป็นแบบเดียวกัน ส่วนเรื่อง API ที่ปิดกั้นคู่แข่ง เป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมนี้อยู่แล้ว โดย Facebook อ้างว่าบริษัทอื่นๆ อย่าง LinkedIn, Pinterest, Uber ก็มีเงื่อนไขแบบนี้ และคู่แข่งรายอื่นๆ อย่าง YouTube, Twitter, WeChat ก็ไม่มีปัญหาทางธุรกิจใดๆ โดยที่ไม่ต้องมี API ของ Facebook ด้วย ที่มา - FTC, Facebook
# ผู้ก่อตั้งโครงการ CentOS สร้าง Rocky Linux หลัง Red Hat เตรียมหยุดซัพพอร์ต Gregory Kurtzer ผู้ก่อตั้งโครงการ CAOS โครงการตั้งต้นของ CentOS ประกาศสร้างลินุกซ์ดิสโทรใหม่หลังจาก Red Hat เตรียมตัดการซัพพอร์ต CentOS 8 โดยตั้งชื่อว่า Rocky Linux และตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการเซ็ตอัพโครงสร้างต่างๆ ชื่อ Rocky Linux เองน่าจะหมายถึง Rocky McGough ที่เคยทำซอร์สโค้ดของ RHEL ไปคอมไพล์ใช้งานในบริษัทอยู่ก่อนแล้ว หลังจากนั้นจึงมารับตำแหน่ง tech lead คนแรกของ CentOS แนวทางการตัดซัพพอร์ต CentOS 8 แล้วให้ย้ายไปใช้ CentOS Stream สร้างความไม่พอใจต่อชุมชนผู้ใช้เป็นวงกว้าง ตอนนี้มีการสร้างแคมเปญ Change.org เรียกร้องให้ Red Hat เปลี่ยนใจ
# Nutanix แต่งตั้ง Rajiv Ramaswami อดีต COO VMware เป็น CEO คนใหม่ Nutanix ผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับสร้างคลาวด์ในองค์กรประกาศแต่งตั้ง Rajiv Ramaswami เป็นซีอีโอ หลังจาก Dheeraj Pandey ผู้ก่อตั้งบริษัทประกาศเกษียนตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ Rajiv Ramaswami เป็น COO ฝ่าย Products and Cloud Services โดยเขามีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านโมเดลรายได้ของ VMware มาสู่โมเดล subscription การจ้างครั้งนี้นับว่าน่าสนใจเพราะ VMware และ Nutanix เป็นคู่แข่งกันโดยตรงมีสินค้าทับกันจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นระบบสตอเรจ, ระบบจัดการ VM, และ Kubernetes ตัว Rajiv เองก็เขียนบล็อกในการรับตำแหน่งว่าขณะที่ทำงาน VMware เขามอง Nutanix ที่น่าเกรงขาม (formidable) เขาระบุแนวทางของ Nutanix ในปี 2021 ว่ากำลังพัฒนาไปสู่โมเดล subscription และต้องเสริมความแข็งแกร่งทั้งกลุ่มสินค้า hyperconverged infrastructure ที่เป็นผู้นำอยู่แล้ว และพยายามเลื่อนขั้นในกลุ่ม multi-cloud infrastructure ที่มา - BusinessWire, Nutanix Blog, Blocks and Files
# ลาก่อน ActiveX เกาหลีใต้เลิกใช้ใบรับรองของรัฐ เปิดให้เอกชนเปิดบริการยืนยันตัวตนดิจิทัล วันนี้กฎหมาย Electronic Signature Act ฉบับแก้ไขของเกาหลีใต้ที่ประกาศตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจะบังคับใช้เป็นวันแรก ทำให้บริษัทเอกชนสามารถออกใบรับรองเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการของภาครัฐได้ เฉพาะบริการยื่นภาษีออนไลน์ เกาหลีใต้ใช้ใบรับรองดิจิทัลเพื่อยืนยันตัวตนผู้ใช้บริการมาตั้งแต่ปี 1999 หรือ 21 ปีแล้ว แม้จะทันสมัยมากในยุคนั้นแต่ระบบแทบไม่มีการอัพเดตเลยในช่วงเวลาที่ใช้งาน เทคโนโลยีที่เคยเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง ActiveX กลายเป็นเทคโนโลยีตกรุ่น โดยกฎหมายเดิมกำหนดให้หน่วยงานรัฐเป็นผู้ออกใบรับรองดิจิทัลแต่เพียงผู้เดียว กฎหมายใหม่เปิดทางให้ภาคเอกชนกลายเป็นผู้ออกใบรับรองดิจิทัลได้ ตอนนี้มี 5 บริษัทยื่นขอเป็นผู้ออกใบรับรองแล้ว ได้แก่ Kakao, KB Kookmin Bank, NHN Payco, PASS, และ NICE หากผ่านการตรวจสอบใบรับรองดิจิทัลจากบริษัทเหล่านี้จะสามารถใช้ล็อกอินเข้าบริการยื่นภาษีออนไลน์ได้ในปี 2021 ขณะที่กระทรวงไอซีทีเกาหลีใต้ระบุว่าจะเปิดให้ระบบเหล่านี้ใช้ล็อกอินบริการอื่นๆ ได้ในอนาคต เช่น การจัดการทะเบียนบ้าน ตอนนี้ระบบที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ PASS ที่ออกโดยเครือข่ายโทรศัพท์มือถือหลายรายร่วมกัน และมีผู้ลงทะเบียนแล้วถึงสิบล้านคน ระบบออกใบรับรองโดยเอกชนนี้จะแบ่งกลุ่มบริการธนาคารให้ใช้บริการได้ฟรี แต่บริการรับรองสำหรับบริการอื่นๆ นั้นทางบริษัทจะเก็บค่าบริการได้ อย่างไรก็ดีในช่วงแรกของการเปิดตลาดนี้ ผู้ให้บริการส่วนมากมักให้บริการฟรีทั้งหมดเป็นระยะเวลาหนึ่ง ที่มา - The Korea Herald, 10mag, Joon Gang Daily ภาพโดย ar130405
# Kubernetes ออกรุ่น 1.20 กำหนดมาตรฐานการทำ snapshot, kubectl debug เข้าสู่เบต้า โครงการ Kubernetes ออกรุ่น 1.20 ที่เป็นข่าวจากการเตรียมเลิกซัพพอร์ต dockershim ก่อนหน้านี้ ในเวอร์ชั่นนี้มีฟีเจอร์สำคัญๆ เช่น Volume Snapshot: เพิ่มคำสั่งมาตรฐานในการสั่งทำ snapshot ทำให้ไม่ว่าสตอเรจเป็นแบบใดก็ยังสั่งได้แบบเดิม คลัสเตอร์ที่รองรับจะต้องติดตั้ง snapshot-controller, รองรับ Snapshot CRD, และตัวไดร์เวอร์ CSI ของสตอเรจก็ต้องรองรับ kubectl debug: ฟีเจอร์ที่ใส่เข้ามาในเวอร์ชั่น 1.18 สำหรับ "แปะ" คอนเทนเนอร์เพิ่มเข้าไปใน Pod เพื่อรันเครื่องมือดีบั๊ก จากเดิมเป็นสถานะ alpha ที่ต้องใช้คำสั่ง kubectl alpha debug เมื่อเป็นเบต้าแล้วก็จะเหลือ kubectl debug เหมือนการใช้งานจริงหากได้เข้าสถานะ GA จำกัดการใช้ PID: บนลินุกซ์หมายเลขโปรเซส (PID) มีจำกัดและหากใช้งานจนหมดก็จะทำให้เครื่องไม่เสถียรได้ ฟีเจอร์จำกัด PID บน node และ pod ทำให้ผู้ดูแลมั่นใจได้ว่าจะไม่ทำเครื่องแครชโดยไม่ตั้งใจ รองรับการชัตดาวน์เครื่อง: ฟีเจอร์ใหม่สถานะ alpha รองรับการเตรียมชัตดาวน์เครื่องและปิด pod ทิ้งก่อนเครื่องปิด เวอร์ชั่นนี้ใช้เวลาพัฒนารวม 11 สัปดาห์ มีโค้ดจาก 967 บริษัท รวมนักพัฒนา 1,335 คน และมีนักพัฒนาหน้าใหม่ 44 คน รวมโค้ดมาจาก 26 ประเทศ ที่มา - Kubernetes โลโก้ Kubernetes 1.20 The Raddest Release
# ประยุทธ์แนะ ครม. ดูซีรีส์ Startup ใน Netflix เผื่อเป็นไอเดียส่งเสริมสตาร์ทอัพไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ถึงเรื่องการส่งเสริมสตาร์ทอัพไทย โดยแนะนำให้คณะรัฐมนตรีไปดูซีรีส์เกาหลีใน Netflix เรื่อง Startup ที่กำลังโด่งดังในขณะนี้ เผื่อว่าจะมีไอเดียนำไปต่อยอดได้ ซีรีส์ Startup เป็นละครชุดจากเกาหลีใต้ 16 ตอน ฉายทางช่อง tvN และ Netflix นำแสดงโดย นัมจูฮยอก รับบทเป็น นัมโดซาน โปรแกรมเมอร์มือดี, แบ ซูจี รับบทเป็น ซอดัลมี หญิงสาวผู้มีจิตวิญญาณของซีอีโอเต็มเปี่ยม และ คิมซอนโฮ รับบทเป็น ฮันจีพยอง นักลงทุน VC ที่มา - BrightTV
# บริษัทเล็กก็ทำได้ ทิพยประกันภัยร่วมกับ Cisco เปิดตัวประกันภัยไซเบอร์ให้ธุรกิจ SME ทิพยประกันภัยจับมือ Cisco เสนอแผนประกันภัยไซเบอร์การ์ดพลัส TIP Cyber Guard Plus Powered by Cisco เจาะกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กถึงกลางที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 900 ล้านบาท โดยมี Cisco มาช่วยออกแบบ แบบสอบถามประเมินความเสี่ยงด้านไอทีของธุรกิจนั้นๆ แผนประกัน TIP Cyber Guard Plus Powered by Cisco ครอบคลุมความเสียหายต่อไปนี้ ความเสียหายทางธุรกิจเนื่องจากเครือข่ายล่ม หรือถูกโจมตี ค่าใช้จ่ายกู้คืนข้อมูลที่เสียหายจากการโจมตีไซเบอร์ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการรับแจ้งเหตุความเสียหายและการสืบสวน พร้อมสายด่วนรับแจ้งเหตุตลอด 24 ชม. ทุกวันไม่มีวันหยุด ค่าใช้จ่ายเพื่อบรรเทาการเสียชื่อเสียงและการสื่อสารในภาวะวิกฤต ค่าจ้างที่ปรึกษาทางเทคนิคในการจัดการข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ความรับผิดอันเกิดจากความล้มเหลวในการรักษาข้อมูลที่เป็นความลับและจากการใช้งานเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี การถูกขู่กรรโชกที่เกี่ยวกับระบบหรือข้อมูล/การถูกข่มขู่ว่าจะถูกเปิดเผยความลับ การแบล็คเมล ความรับผิดต่อเนื้อหาทางสื่อออนไลน์ ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนประกันภัยไซเบอร์การ์ดพลัสว่าแบ่งเป็นสองประเภทคือ กลุ่มที่ 1 คุ้มครองความเสียหายของตัวผู้ทำประกันภัยเอง ซึ่งแบ่งออกเป็นการคุ้มครองในหมวดต่างๆ เช่น ความเสียหายจากการกอบกู้ระบบ, ความเสียหายจากการที่ธุรกิจหยุดชะงัก, ความเสียหายจากการเสื่อมเสียชื่อเสียง กลุ่มที่ 2 ความเสียหายที่เกิดแก่คนภายนอก เช่น ข้อมูลลูกค้าที่มาซื้อสินค้าและบริการของธุรกิจรั่วไหลออกไป, ค่าเสียหายที่เกิดจากการฟ้องร้อง เป็นต้น โดยหลังจากประเมินความเสี่ยงโดยอาศัยความร่วมมือกับ Cisco แล้ว ทิพยประกันภัยจะเสนอแพ็กเกจให้ลูกค้าโดยอาศัยความเสี่ยงด้านไอที และประเภทกับมูลค่าทางธุรกิจ ตัวแพ็กเกจประกันภัยตามลำดับจากความเสี่ยงน้อยไปสูง หากความเสี่ยงน้อย ทางทิพยประกันภัยจะเสนอส่วนลดให้ด้วย อย่างไรก็ตาม ดร.สมพร ไม่ได้ให้รายละเอียดเรื่องตัวเลขเบี้ยประกัน ทางทิพยประกันภัยระบุว่าตนเป็นบริษัทประกันรายแรกในไทย ที่เสนอประกันภัยไซเบอร์แก่ธุรกิจเล็ก โดยทิพยประกันภัยมีประกันภัยไซเบอร์ให้แก่องค์กรใหญ่อยู่แล้ว รวมถึงประกันไซเบอร์สำหรับบุคคลธรรมดาที่ต้องการความคุ้มครอง การถูกโจรกรรมเงินจากบัญชีส่วนบุคคลผ่าน ช่องทางออนไลน์ และการถูกฉ้อโกงจากการซื้อสินค้าออนไลน์ เป็นประกันใหม่ที่เปิดตัวมาร่วม 3 เดือนแล้ว ด้าน นายทวีวัฒน์ จันทรเสโน รักษาการกรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จํากัด เผยว่า การร่วมมือของซิสโก้กับทิพยประกันภัยครั้งนี้ถือเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ และเป็นอีกก้าวสำคัญเพื่อสร้างความมั่นใจให้องค์กรและธุรกิจไทยในกรณีที่เกิดความเสียหายจากภัยไซเบอร์ ที่มา - งานแถลงข่าว
# พบเอกสาร Huawei ทดสอบอัลกอริทึม Facial Recognition สำหรับตรวจจับชาวอุยกูร์ IPVM บริษัทวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลการใช้เทคโนโลยี video surveillance ค้นพบเอกสาร interoperability report ของ Huawei ถึงการร่วมงานกันระหว่าง Huawei ในจีนและ Megvii บริษัทด้าน AI รายใหญ่ของจีน ในการพัฒนาอัลกอริทึมตรวจจับใบหน้า เพื่อใช้ตรวจจับชาวอุยกูร์โดยเฉพาะ IPVM ค้นพบเอกสารจากเว็บ Huawei ยุโรปที่โพสต์แบบสาธารณะ เป็นเอกสารที่ระบุว่าอัลกอริทึมของ Megvii ผ่านการทดสอบบนโซลูชันรันวิดีโอบนคลาวด์ของ Huawei ส่วนในรายละเอียด การทำงานของอังกอริทึมคือเมื่อตรวจจับคนที่คาดว่าน่าจะเป็นชาวอุยกูร์ จะแจ้งเตือนไปยังตำรวจของจีน เป็นต้น อุยกูร์เป็นชาติพันธุ์ที่ถูกกดขี่และกลืนชาติอย่างหนักในจีน ไม่ใช่แค่ในเรื่องศาสนา (ศาสนาหลักในอุยกูร์เป็นอิสลาม) แต่ยังมีเรื่องของการใช้ชีิวิตความเป็นอยู่ทั่วไป ที่ถูกจำกัดสิทธิอย่างหนัก รวมถึงมีข่าวว่ารัฐบาลจีนแอบติดตั้งแอปในโทรศัพท์ชาวอุยกูร์ เพื่อตรวจสอบการใช้งานด้วย หรือกระทั่งเคสหนักที่สุดคือเรื่องค่ายกักกัน ที่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อและปรับทัศนคติชาวอุยกูร์ อ่านรายงานฉบับเต็มได้จากที่มา ที่มา - IPVM via Washington Post
# Let’s Encrypt เปลี่ยนฮาร์ดแวร์เซิร์ฟเวอร์จาก Intel เป็น AMD เพื่อเลน PCIe ที่มากกว่า Let's Encrypt ผู้ให้บริการออกใบรับรองเว็บฟรี ระบุข้อมูลการอัพเกรดฮาร์ดแวร์เซิฟเวอร์ใหม่ในรายงานประจำปี 2020 ของ Internet Securities Research Group (ISRG) มีรายละเอียดดังนี้ จากเดิมเครื่องเซิฟเวอร์บริษัท ใช้ซีพียู Intel Xeon E5-2650 จำนวน 2 ตัว รวม 24 คอร์ 48 เธรด แรม 1TB 2400 MT/s และฮาร์ดดิสก์ Samsung PM833 ความจุ 3.8TB จำนวน 24 ลูก ความเร็วอ่าน/เขียน 560/540 MB/s นั้น ได้เปลี่ยนมาเป็นเครื่อง Dell PowerEdge R7525 ที่ใช้ซีพียู AMD EPYC 2 ชิปและแรม 2TB 3200MT/s แทน เพราะ Let’s Encrypt ต้องการพัฒนาประสิทธิภาพของเซิฟเวอร์โดยคงฟอร์มแฟกเตอร์แบบ 2U ไว้ ข้อได้เปรียบของซีพียู AMD EPYC 2 ตัว นอกจากจำนวนคอร์และเธรดที่เพิ่มมาเป็น 64 คอร์ 128 เธรดแล้ว ยังเป็นเรื่องของเลน PCIe แบบ 4.0 ที่ให้มาถึง 128 เลนต่อชิป เทียบกับบน Intel Xeon ที่ให้ PCIe 3.0 มาเพียง 48 เลน ทำให้ Let’s Encrypt สามารถเปลี่ยนมาใช้ SSD Intel P4610 แบบ NVMe ความจุ 6.4TB ความเร็วอ่านเขียน 3200/3200 MB/s ได้ถึง 24 ลูก เต็มแร็คแบบ 2U ผลจากการเปลี่ยนเซิฟเวอร์รุ่นใหม่จากเซิฟเวอร์เป็นเซิฟเวอร์แบบเรพพลิกา (read-only) มาเป็นเซิฟเวอร์หลัก (read/write) ทำให้ระยะเวลาเฉลี่ยในการตอบสนอง API request ลดลงจากเดิมที่ใช้เวลาประมาณ 90ms เหลือเพียง 9ms เท่านั้น ส่วนค่าความหน่วงของการเรียก query database (จาก INFORMATION_SCHEMA) ลดลงจาก 0.45ms เหลือประมาณ 0.15ms เท่านั้น นอกจากนี้ซีพียู Intel Xeon ที่เคยต้องทำงานเฉลี่ย 90% (ดูจาก /proc/stat) เมื่อเปลี่ยนมาใช้ AMD EPYC ก็ลดลงมาเหลือเป็นประมาณ 25% เท่านั้น ที่มา - ISRG
# รับของร้อน ราคา PS5 ใน eBay พุ่งกระฉูดกว่า 1,000 ดอลลาร์ เพราะสินค้ามีน้อย Sean Hollister นักเขียนจากเว็บไซต์ The Verge ทำการรวบรวมข้อมูลราคาขายต่อของเครื่องเกมคอนโซล รุ่นใหม่และการ์ดจอรุ่นใหม่ในท้องตลาดบนเว็บไซต์ eBay ช่วงวันหยุดยาวในสหรัฐอเมริกา พบว่าราคาของเครื่องเกมคอนโซล เมื่อหารเฉลี่ยประมาณร้อยรายการ และตัดรายการที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป มีราคาดังนี้ PS5 รุ่นเล่นแผ่นได้ ราคา eBay 1,024 ดอลลาร์ แพงกว่าราคาขายอย่างเป็นทางการที่ 499 ดอลลาร์กว่าเท่าตัว ส่วนรุ่นดิจิทัล อยู่ที่ประมาณ 990 ดอลลาร์ จากราคาอย่างเป็นทางการที่ 399 ดอลลาร์ ส่วน Xbox Series X ราคา eBay อยู่ที่ 835 ดอลลาร์ จาก 499 ดอลลาร์ และ Xbox Series S ราคา eBay อยู่ที่ 471 ดอลลาร์ จาก 299 ดอลลาร์ สำหรับเกมเมอร์ PC การ์ดจอรุ่นใหม่ๆ ก็ราคาพุ่งกระฉูดอีกเช่นกัน โดยการ์ดจอ RTX 3000 จาก NVIDIA มีราคาดังนี้ RTX 3090 ราคา eBay 2,076 ดอลลาร์ จาก 1,499 ดอลลาร์ RTX 3080 ราคา eBay 1,227 ดอลลาร์ จาก 699 ดอลลาร์ RTX 3070 ราคา eBay 819 ดอลลาร์ จาก 499 ดอลลาร์ และ RTX 3060 Ti ราคา eBay 675 ดอลลาร์ จาก 399 ดอลลาร์ ส่วนฝั่ง AMD การ์ดจอ RX 6800 XT และ RX 6800 มีราคาดังนี้ RX 6800 XT ราคา eBay 1,232 ดอลลาร์ จาก 649 ดอลลาร์ RX 6800 ราคา eBay 841 ดอลลาร์ จาก 549 ดอลลาร์ ในบ้านเรา ราคาเครื่องเกมคอนโซลที่ยังไม่มีการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการก็แตกต่างกันออกไป โดยเครื่อง PS5 อาจมีราคาแพงได้ถึง 40,000-45,000 บาท ส่วน Xbox Series X อยู่ที่ 25,000-35,000 บาท แล้วแต่เวอร์ชั่น (ยุโรป หรือญี่ปุ่น) และร้านค้าที่วางจำหน่าย การ์ดจอซีรีส์ RTX 3000 ในบ้านเรา พอหาซื้อได้บนเว็บไซต์ออนไลน์ต่างๆ แม้จะมีของหมดเป็นช่วงๆ แต่ราคายังไม่บวกเยอะมากนักจากราคาปกติในไทย (เพิ่ม 3-4 พันจากราคาดอลลาร์) ส่วนการ์ดจอ RX 6800 XT และ RX 6800 ยังไม่มีวางจำหน่าย ที่มา - The Verge
# คุยกับ SCB 10X กับเป้าหมายสูงสุดคือสร้างยูนิคอร์นของไทยให้ได้ หากยังจำกันได้ Blognone เคยพูดคุยกับ SCB 10X ตั้งแต่สมัยยังเป็นยูนิตหนึ่งใน SCB จนตอนนี้ SCB10X แยกออกมาเป็นอีกบริษัทใหม่ แล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ด้วยโครงสร้างทีมใหญ่กว่าเดิม และมีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาใช้งานหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชั่น Robinhood, เหมา-เหมา, PartyHaan วันนี้ Blognone ได้พูดคุยกับ SCB 10X อีกครั้งถึงกว่าจะมาเป็น SCB 10X อย่างทุกวันนี้ ยุทธศาสตร์การทำงาน วัฒนธรรมการทำงานและแนวทางการบริหารคนสไตล์ SCB 10X และเป้าหมายระดับ Moonshot Mission ที่ SCB 10X ยึดเป็นหัวใจหลักในการดำเนินงาน Moonshot Mission เป้าหมายสูงสุดของ SCB 10X พุฒิกานต์ เอารัตน์ Head of People & Branding และ Head of Risk Management หรือคุณต้น เล่าความเป็นมาของ SCB 10X ให้ฟังว่า อย่างที่หลายคนทราบดีว่าในธุรกิจธนาคาร เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ถูก disrupt หนัก ทางธนาคารไทยพาณิชย์เองก็เล็งเห็นจุดนี้และได้ทำการศึกษา ทดลองสร้างธุรกิจและนวัตกรรมด้านฟินเทคมาตั้งแต่ปี 2016 จนตอนนี้เราได้เรียนรู้แล้วว่า ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจสำเร็จนั้นมีอะไรบ้าง ต้นปีที่ผ่านมาจึงจัดตั้ง SCB 10X เป็นอีกบริษัทด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และการลงทุนในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ เป้าหมายหลักของ SCB 10X คือสร้างนวัตกรรมและสร้างบริการใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมคนที่เปลี่ยนเร็ว เพื่อสร้าง Exponential Growth การเติบโตอย่างก้าวกระโดดให้แก่วงการธนาคาร และความอยู่รอดอย่างยั่งยืนของธนาคาร แกนที่เรายึดถือเป็นหลักคือ ยุทธศาสตร์ Moonshot Mission ที่มาพร้อมเป้าหมายใหญ่ 3 ข้อคือ สร้าง Startup ระดับยูนิคอร์นของไทย เป็น Leading Investor ในภูมิภาค Southeast Asia ปั้น SCB 10X ให้ Tech Talent อยากมาร่วมงานด้วย SCB 10X มองคนเป็นฟันเฟืองสำคัญ เราต้องการ Talent ต้องการคนระดับ A Team เพราะเราเชื่อว่าคนในระดับนี้ จะดึงคนระดับ A Team อื่นๆ ให้เข้ามาอยู่กับเราได้ง่ายขึ้น เพราะถึงที่สุดแล้ว นวัตกรรมของ SCB 10X เกิดขึ้นได้จากคนเป็นหัวใจสำคัญ ### B-O-O-S-T หรือคุณค่าที่บริษัทยึดถือ วัฒนธรรมองค์กรของ SCB 10X ไม่ได้เกิดจากผู้บริหาร แต่เกิดจากพนักงานและผู้บริหารร่วมสร้างมาด้วยกัน ที่ SCB 10X มองคุณค่าขององค์กรเป็นคำว่า B-O-O-S-T B หรือ Boldness เนื่องจากธุรกิจของ SCB 10X เป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน จึงต้องการคนที่กล้าตัดสินใจ กล้าเสี่ยงทำสิ่งใหม่ O หรือ Ownership เนื่องจากเป็นการลองทำสิ่งใหม่ จึงต้องการความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จจากพนักงานทุกคน O หรือ Open เพราะหน้าที่หลักของบริษัทคือสร้างสิ่งใหม่ พนักงานจึงต้องเปิดกว้างต่อความคิดเห็น ความแตกต่างหลากหลาย เพื่อพัฒนาไอเดียให้เกิดขึ้นจริงได้ S หรือ Speed แน่นอนว่าในธุรกิจ Startup ความเร็วคือสิ่งสำคัญ ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่โลกของปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่เป็นปลาเร็ว กินปลาช้า T หรือ Trust คือความเชื่อที่ทีมงานจะสร้างผลิตภัณฑ์ให้เกิด Impact ขึ้นในวงกว้าง เชื่อในคน เชื่อในเป้าหมาย Moonshot Mission สำหรับบรรยากาศการทำงานที่ SCB 10X ยังคงยึดบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเอง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเข้าใจร่วมกันว่าคนต้องพัฒนาฝึกฝนตลอดเวลา และมีความรับผิดชอบในหน้าที่ตัวเอง นอกจากนี้muj SCB 10X ยังคงคอนเซปต์ Work from Anywhere ไว้ และมีช่วง Happy Thirstday เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน ได้รู้จักคนในทีมอื่น และแชร์ความรู้ซึ่งกันและกันได้ มุมมองการลงทุนของ SCB 10X หน้าที่หลักสำหรับ SCB 10X ส่วนหนึ่งนอกจากพัฒนาบริการการเงินใหม่ๆ แล้ว ยังต้องลงทุนในธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจ Blognone พูดคุยมุมมองการลงทุนกับคุณเจติยา งามเมฆินทร์ Principal จากทีม Venture Capital หน่วยงานสำคัญที่ดูแลการลงทุนของ SCB 10X ว่ามีหลักการอย่างไรบ้าง คุณเจติยา เล่าว่าทาง Venture Capital เน้นการลงทุนในสตาร์ทอัพ และกองทุนเทคโนโลยี ทั้งไทยและต่างประเทศ ขนาดการลงทุนอยู่ที่ 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การลงทุนแต่ละครั้งอยู่ในระดับ 1-10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การลงทุนของ SCB 10X ไม่ได้มองที่ผลตอบแทนอย่างเดียว แต่ยังคาดหวังเรื่อง Partnership และมองว่าสตาร์ทอัพที่เราลงทุนไปนั้น มีผลิตภัณฑ์ใดมาเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัทของเราได้บ้าง SCB 10X ไม่ได้จำกัดการลงทุนแค่ฟินเทค แต่ยังมองไกลไปถึงการลงทุนใน Healthcare, 5G, IoT, Deep Tech และเรายังศึกษาเรื่อง Decentralized Finance อย่างใกล้ชิดด้วย “เราพยายามมองหาสตาร์ทอัพที่มีโอกาสโต และเราสามารถช่วยเขาได้ และที่สำคัญคือ มีเป้าหมายตรงกัน” หน่วยงานดูแลการลงทุนนอกจาก Venture Capital ยังมี Strategic Investment & Partnership ด้วย จิรพงฒ์ อานนท์ธนทรัพย์ Principal, Strategic Investment & Partnership หรือคุณโจ้ ให้ภาพรวมว่าที่หน่วยงานเน้นลงทุนในบริษัทกลุ่ม Growth Stage และ Late Stage ในอาเซียน ลงทุนในสี่ด้านคือ ฟินเทค, บล็อกเชน, ไลฟ์สไตล์ และ Wellness จนถึงตอนนี้มีการลงทุนใหญ่ 3 ครั้งแล้วคือ ลงทุนในบริษัท Monix ทำสินเชื่อดิจิทัล, บริษัท Zynga ทำเกี่ยวกับ Payment และบริษัท Gojek ยักษ์ใหญ่เดลิเวอรี่จากอินโดนีเซีย ที่ SCB10X ให้สิทธิ์แก่พนักงานเต็มที่ในการสร้างธุรกิจใหม่ คุณโจ้ บอกว่า การทำงานที่นี่ให้ความรู้สึกสบายๆ เป็นกันเอง เห็นได้จากสถานที่ทำงานเป็น Open Plan มี Hot Seat เราเลือกนั่งทำงานตรงไหนก็ได้ และยังมีนโยบายทำงานที่ไนก็ได้ เพราะ SCB 10X เชื่อว่า พนักงานมีความคิดเป็นของตัวเอง และรับผิดชอบงานของตัวเองได้ ที่นี่จึงเปิดกว้าง ให้ทุกคนเลือกที่ทำงานของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็สามารถ Deliver งานของตัวเองได้ด้วย ที่ SCB 10X ยังมีบรรยากาศที่เราสามารถแชร์ไอเดียใหม่ๆ ให้คนอื่นฟังได้ รวมถึงขอความรู้ คำแนะนำจากพี่ๆ คนอื่น เข้าใจความหลากหลายของทีมงาน กษิดิ์เดช พูลสุขสมบัติ Technical Lead, Venture Builder หรือคุณไมค์ บอกว่า ทีม Venture Builder หรือเรียกภาษาไทยว่า เป็นการลงทุนร่วมสร้าง สร้างสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโตให้กับ SCB 10X เราทำงานด้วยบรรยากาศที่ให้ความอิสระแก่พนักงาน โดยพนักงานได้สิทธิ์การเป็นเจ้าของงานในไอเดียที่ตัวเองริเริ่มขึ้นมาเอง ตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชั่น PartyHaan เองก็เป็นไอเดียพนักงาน เมื่อโปรดักต์เปิดให้ประชาชนใช้งาน เจ้าของไอเดียก็ได้ทำหน้าที่เป็นซีอีโอของ PartyHaan และได้ถือหุ้นส่วนหนึ่งด้วย สรุป SCB 10X จากยูนิตหนึ่งใน SCB สู่บริษัทใหม่ที่มาพร้อมเป้าหมายใหญ่กว่าเดิม และสิ่งที่สำคัญพอๆ กับการดำเนินธุรกิจคือ สร้างวัฒนธรรมองค์กรและสร้างสภาพแวดล้อมให้ทีมงานมีความพร้อมที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ โดยเราสามารถสรุปความเป็น SCB 10X ได้ในสี่ข้อ เชื่อเสมอว่า “คน” คือฟันเฟืองสำคัญที่สุดในการทำภารกิจให้สำเร็จ SCB 10X เป็นองค์กรชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม ทั้งในแง่ของการลงทุน การพัฒนาและการร่วมมือเป็นพันธมิตร ซึ่งมีบรรยากาศการทำงานเหมือนสตาร์อัพ แต่ยังมีความมั่นคง มีสวัสดิการการดูแลพนักงานเหมือนกับองค์กรขนาดใหญ่ Core Value 5 อย่าง หรือ B-O-O-S-T (Boldness, Ownership, Open, Speed, Trust for Impact) การทำงานที่เปิดกว้างให้คิดและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
# กูเกิลปล่อยอัพเดตความปลอดภัยอันสุดท้ายจริงๆ ให้ Pixel 2 แล้ว สมาร์ทโฟน Pixel 2 เปิดตัวมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2017 โดยกูเกิลสัญญาว่าจะอัพเดต Android เวอร์ชันใหม่ให้นาน 3 ปี รวมถึงได้แพตช์ความปลอดภัยทุกเดือนนาน 3 ปีเช่นกัน เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาก็ครบระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ทำให้ Pixel 2 หมดอายุซัพพอร์ตไปอย่างเป็นทางการ แต่ในตอนนั้นกูเกิลระบุว่าจะออกแพตช์อีกอันให้ในเดือนธันวาคมเป็นครั้งสุดท้าย (ข้ามเดือนพฤศจิกายน) และขณะนี้แพตช์ดังกล่าวก็ถูกปล่อยออกมาแล้วทั้งแบบ OTA image และ full image ส่วนการกดอัพเดตจากเครื่องอาจต้องรออีกสักพัก เพราะผมเช็คของผมแล้วยังไม่มา Pixel 2 และ Pixel 2 XL นั้นได้รับคำชมค่อนข้างมากตั้งแต่เปิดตัว ด้วยกล้องที่นำคู่แข่งรุ่นอื่นๆ ไปไกล รวมถึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไรหนักๆ ก่อนจะเริ่มดร็อปลงไปใน Pixel 3 และ 4 จนทำให้หลายๆ คนในตอนนี้ยังกล่าวว่า Pixel 2 เป็น Pixel ที่น่าประทับใจที่สุดในกลุ่ม ที่มา - Android Authority
# Red Hat เตรียมทิ้ง CentOS 8 หยุดแพตช์รุ่นเสถียรสิ้นปี 2021 โครงการ CentOS ประกาศเตรียมหยุดซัพพอร์ต CentOS 8 สิ้นปี 2021 จากเดิมที่ CentOS แต่ละเวอร์ชั่นจะซัพพอร์ตล้อไปกับ RHEL ยาวนานถึงเวอร์ชั่นละสิบปี ทำให้ CentOS 8 ควรได้ซัพพอร์ตถึง 2029 หลังจาก CentOS 8 หยุดพัฒนาแล้วทาง CentOS แนะนำให้ผู้ใช้ CentOS 8 ย้ายไปใช้งาน CentOS Stream 8 ที่กำลังเป็นดิสโทรรุ่นพัฒนาเวอร์ชั่นต่อๆ ไปของ RHEL ก่อนหน้านี้ CentOS เคยวางตัวเป็นดิสโทรทดแทน (drop-in replacement) สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการจ่ายเงินค่าไลเซนส์ให้กับ RHEL แต่เมื่อปี 2014 ทาง Red Hat ก็ดึงทีมงาน CentOS ทั้งหมดเข้าไปอยู่ในบริษัท และค่อยๆ ปรับโครงการให้กลายเป็นโครงการต้นน้ำของ RHEL คั่นกลาง Fedora ไว้อีกชั้นหนึ่ง ธุรกิจของ Red Hat นั้นเน้นการขายซัพพอร์ตจากรุ่นเสถียรของซอฟต์แวร์เนื่องจากองค์กรจำนวนมากต้องการเพียงแค่แพตช์ความปลอดภัยโดยไม่ต้องการอัพเกรดฟีเจอร์ใดๆ แม้ซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่ของ Red Hat จะเปิดให้ใช้ฟรี เช่น OpenShift ที่มีโครงการ OKD หรือ Ansible Tower ที่มี AWX เป็นโครงการต้นน้ำ แต่โครงการต้นน้ำจะเน้นการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เป็นหลัก มีอายุการซัพพอร์ตแต่ละเวอร์ชั่นเพียงเวลาสั้นๆ การที่ CentOS ถูกปรับแนวทางกลายเป็นโครงการพัฒนาของ RHEL น่าจะทำให้องค์กรที่เคยอาศัยความเสถียรของ CentOS ต้องเลือกจ่ายเงินซื้อ RHEL หรือเปลี่ยนไปใช้โครงการอื่น ที่มา - CentOS ภาพหน้าจอ CentOS 8.1
# กูเกิลเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Fuchsia พร้อมเปิดรับโค้ดจากนักพัฒนาภายนอก หลังเป็นโครงการลับที่ไม่ลับของกูเกิลอยู่นานตั้งแต่ปี 2016 (ไม่เคยพูดถึงอย่างเป็นทางการ แต่โค้ดอยู่บน Git ที่เข้าได้แบบสาธารณะ) วันนี้กูเกิลก็พูดถึง Fuchsia เป็นครั้งแรกผ่านบล็อก Google Open Source พร้อมประกาศว่าจะรับโค้ดจากนักพัฒนาภายนอกองค์กรแล้ว กูเกิลเรียก Fuchsia ว่าเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับงานทั่วๆ ไป (general purpose) ที่ตั้งใจเป็นโครงการระยะยาว (long-term project) โดยใช้แนวคิดเรื่องความปลอดภัย การอัพเดตได้ง่าย และประสิทธิภาพ (prioritize security, updatability, and performance) ที่ผ่านมา Fuchsia ถูกพัฒนาแบบเปิดให้เห็นโค้ดมาเป็นเวลา 4 ปี ตอนนี้พร้อมแล้วสำหรับนักพัฒนาภายนอกเข้าร่วม โดยกูเกิลเปิดอีเมลกลุ่ม, รายการบั๊ก, ประกาศตั้งกลุ่ม Fuchsia Eng Council ขึ้นมากำหนดทิศทางของ OS (ปัจจุบันมี 5 คน ยังเป็นพนักงานกูเกิลทั้งหมด), ประกาศ roadmap แบบคร่าวๆ ที่มีแผนจะเขียน IO และระบบคอมโพเนนต์ใหม่เป็น v2 กูเกิลย้ำว่า Fuchsia ยังไม่พร้อมเป็น OS สำหรับการใช้งานจริง หรือแม้แต่การใช้เป็น OS สำหรับเขียนแอพเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ยังรองรับเฉพาะซีพียูแบบ x64 บางรุ่นเท่านั้น แต่สำหรับผู้สนใจก็สามารถดาวน์โหลดซอร์สโค้ดไปลองคอมไพล์ได้ และสามารถลองเล่น Fuchsia Emulator (FEMU) ซึ่งพัฒนามาจาก Android Emulator ได้บนลินุกซ์และแมค ที่มา - Google
# Google Photos บน iOS รองรับการซิงก์รูปโปรดกับ Apple Photos แล้ว Google Photos ค่อนข้างได้รับความนิยมจากการได้อัพโหลดรูปฟรี (แต่ไม่อีกต่อไปแล้ว) แม้แต่บน iOS ล่าสุด Google Photos เพิ่มตัวเลือกในการซิงก์การกด favourite photo บน Apple Photos แล้ว ตัวเลือกในการซิงก์จะอยู่ในหน้าเซ็ตติ้งของทั้ง 2 แอปและจะทำงานซิงก์ไปมาทั้ง 2 แอป กล่าวคือถ้ากด favourite บน Apple Photos รูปนั้นก็จะไปปรากฎเป็นรูปที่กดไลค์ (กดดาว) บน Google Photos เช่นเดียวกันเมื่อกดดาวบน Google Photos ก็จะไปเป็นรูป favourite บน Apple Photos แม้จะเป็นฟีเจอร์เล็ก ๆ แต่ก็น่าสนใจถึงแนวทางการซิงก์และทำงานร่วมกันข้ามแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการ 2 เจ้านี้ ที่มา - Google Photos
# Halo Infinite ได้วันวางจำหน่ายแล้วช่วงฤดูใบไม้ร่วง 2021 แต่ก็ยังไม่ระบุวัน หลังไมโครซอฟท์ประกาศเลื่อนวันวางจำหน่าย Halo Infinite เป็นช่วงปี 2021 โดยบอกกว้าง ๆ ล่าสุด 343 Industries ระบุช่วงที่แคบลงมาหน่อยเป็นฤดูใบไม้ร่วงของปี 2021 หรือราวช่วงเดือนกันยายนจนถึงพฤศจิกายน Halo Infinite ที่ผ่านมามีปัญหาค่อนข้างมากตั้งแต่กราฟิคตัวเกม จนนำมาสู่การเลื่อนการวางจำหน่าย และเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาผู้กำกับ Halo Infinite ก็เพิ่งลาออกจากโปรเจ็ค ที่มา - 343 Industries
# หลุดทีเซอร์ Galaxy S21 ดีไซน์กล้องเปลี่ยนเหมือนที่หลุดก่อนหน้า, รุ่น Ultra มี 4 กล้อง ก่อนหน้านี้มีทั้งความไม่แน่นอนของข่าวลือเรื่องชื่อเรือธงรุ่นใหม่ของซัมซุง ว่าจะเป็น S21 หรือ S30 ขณะเดียวกันก็มีดีไซน์กล้องหลังใหม่ หลุดออกมา ล่าสุด Android Police เผยแพร่คลิปทีเซอร์สำหรับโปรโมท Galaxy S21+ 5G ซึ่งยืนยันถึงชื่อเรือธงรุ่นใหม่ พร้อมภาพดีไซน์กล้องหลังใหม่ที่ตรงกับที่หลุดออกมา โดย S21 และ S21+ ไม่แตกต่างกันที่มีกล้องหลัง 3 ตัว คือกล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล, อัลตร้าไวด์ 12 ล้านพิกเซลและเทเล 64 ล้านพิกเซล มีสีใหม่ Phantom Violet ม่วงอ่อน ขณะที่โมดูลกล้องจะเป็นสีบรอนซ์ เพื่อตัดกับสีม่วง ขณะที่ S21 Ultra ดีไซน์จะแตกต่างเล็กน้อย ขอบจอโค้ง กล้องหลัง 4 ตัว เลนส์ซูม 10 เท่า (ลดจาก 50 เท่าและ 30 เท่า?) เป็นเลนส์วางแนวนอน periscope กล้องหลัก 108 ล้านพิกเซล อัลตร้าไวด์ 12 ล้านพิกเซล และเลนส์ซูม 3 เท่า 10 ล้านพิกเซล พร้อมเลเซอร์ช่วยออโต้โฟกัสแบบที่ใช้ใน Note 20 Ultra แทนที่เซ็นเซอร์ ToF Android Police บอกด้วยว่าซัมซุงจะจัดงานวันที่ 14 มกราคมนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีรายงานว่าจะเปิดตัว Galaxy Buds Pro รุ่นใหม่พร้อมกันด้วย ที่มา - Android Police
# SpaceX ยกเลิกการทดสอบยิงจรวดต้นแบบ Starship SN8 ในวินาทีสุดท้าย เมื่อเช้านี้ เวลา 5:30 น. ตามเวลาประเทศไทย SpaceX มีกำหนดการทดสอบยิงจรวดต้นแบบ Starship SN8 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา โดยต้องการยิงขึ้นไปที่ความสูงราว 12.5 กิโลเมตรแล้วกลับลงมา ซึ่งในอดีต SpaceX เคยเรียกการทดสอบลักษณะนี้ว่า "ทดสอบกระโดด" หรือ hop test การทดสอบครั้งนี้จัดขึ้นที่โรงประกอบจรวดของ SpaceX เมือง Boca Chica รัฐ Texas โดยคอมพิวเตอร์ได้นับถอยหลังตามปกติ แต่เมื่อนับมาถึงวินาทีสุดท้าย (T-1) และเครื่องยนต์เริ่มทำงาน ระบบก็สั่งหยุดภารกิจเพราะตรวจพบสิ่งผิดปกติบางอย่าง ขณะนี้ SpaceX และ Elon Musk ยังไม่ได้ออกมาเปิดเผยถึงสาเหตุที่ต้องยกเลิกภารกิจ รวมถึงยังไม่มีกำหนดการทดสอบครั้งต่อไป ขึ้นอยู่กับว่าวิศวกรจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เมื่อใด ชื่อจรวดของ SpaceX ที่เราคุ้นหูกันคือ Falcon 9 ส่วนจรวด Starship เป็นโครงการสำคัญอีกอันที่ SpaceX กำลังพัฒนาอยู่ มีเป้าหมายสร้างจรวดขนาดใหญ่ที่สามารถบรรทุกมนุษย์ขึ้นไปยังดาวอังคารและดวงจันทร์ได้ทีละหลายคนรวมสัมภาระ ตัวจรวด SN8 นี้ใช้เครื่องยนต์ Raptor สามตัว และจะเพิ่มเป็นหกตัวในเวอร์ชันจริง (เครื่องยนต์ของ Falcon 9 ชื่อว่า Merlin) จรวด Starship รุ่นต้นแบบ ที่โรงประกอบจรวดเมือง Boca Chica | ภาพโดย SpaceX ก่อนหน้านี้ SpaceX เคยทดสอบกระโดดมาแล้วหลายครั้งใน Starhopper, SN5 และ SN6 แต่การทดสอบเหล่านั้นใช้เครื่องยนต์ Raptor เพียงหนึ่งเครื่อง และลอยขึ้นไปสูงเพียง 150 เมตรเท่านั้น ซึ่ง SN8 จะเป็นการทดสอบบินสูงครั้งแรก แต่ก็พบปัญหาไปเสียก่อน ที่มา - Space.com
# Google Workspace ประกาศหยุด support บน Internet Explorer 11 มีผล 15 มีนาคม ปีหน้า กูเกิลประกาศหยุดการสนับสนุนแอป Google Workspace ทั้งหมดบน Internet Explorer 11 หรือ IE11 มีผลตั้งแต่ 15 มีนาคม 2021 เป็นต้นไป โดยกูเกิลจะเริ่มขึ้นข้อความเตือนกับผู้ใช้งานที่ยังใช้ IE11 ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า กูเกิลบอกว่าประกาศนี้เป็นไปตามแนวทางเดียวกันกับไมโครซอฟท์ ที่เริ่มหยุดสนับสนุนแอปของตนเองอย่าง Microsoft Teams และ Microsoft 365 บน IE11 ก่อนหน้านี้ บริการใน Google Workspace รวมทั้ง Gmail, Google Calendar, Google Drive, Google Docs, Google Sheets, Google Slides, Google Meet และอื่น ๆ ที่มา: กูเกิล
# GitHub ปล่อยฟีเจอร์ Dark Mode ให้ใช้งานแล้ว นักพัฒนาซอฟต์แวร์จำนวนมากนิยมใช้ dark mode ในการทำงาน เนื่องจากการอ่านโค้ดบนพื้นหลังสีดำหรือน้ำเงินเข้มนั้นสบายตากว่า รวมถึงตัวอักษรอาจมีความคมชัดกว่า ส่งผลให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายชั่วโมงไม่ทำให้ตาล้ามากนัก อีกทั้งนักพัฒนาบางส่วนก็นิยมทำงานในห้องที่มีไฟสลัว ล่าสุด GitHub ได้เปิดตัวฟีเจอร์ dark mode ให้ใช้งานได้แล้ว โดยกดที่รูปโปรไฟล์ของเรามุมบนขวา > Settings > Appearance แล้วจะเจอตัวเลือก 3 อัน คือ Light, Dark และ Default to system (ปรับอัตโนมัติตามธีมของเครื่อง) GitHub ระบุว่า dark mode ที่เพิ่มเข้ามาใหม่นี้จะช่วยให้ประสบการณ์การพัฒนาซอฟต์แวร์นั้นไร้รอยต่อ เพราะ IDE, text editor และ Terminal ในปัจจุบันก็รองรับ dark mode กันหมดแล้ว ที่มา - TechCrunch
# Uber ขายธุรกิจ Flying Taxi ให้ Joby Aviation Joby Aviation บริษัทผู้พัฒนาแท็กซี่ทางอากาศ eVTOL (electric vertical takeoff and landing) ประกาศดีลเข้าซื้อกิจการ Uber Elevate หน่วยงานพัฒนาแท็กซี่ทางอากาศของ Uber โดยไม่มีการเปิดเผยมูลค่า นอกจากนี้ Uber จะเข้ามาร่วมลงทุนใน Joby เพิ่มอีก 75 ล้านดอลลาร์ จากที่เคยลงทุนไปก่อนหน้านี้ 50 ล้านดอลลาร์ ในข้อตกลงนี้ ทั้งสองบริษัทจะให้บริการแท็กซี่ทางอากาศร่วมกันผ่านแอปทั้ง Uber และ Joby ด้วย Joby คาดว่าบริการแท็กซี่ทางอากาศจะผ่านการอนุมัติและเริ่มให้บริการทั่วไปได้เร็วที่สุดในปี 2023 ที่มา: CNBC และ Joby Aviation
# FireEye ถูกแฮกขโมยเครื่องมือแฮกของ Red Team, บริษัทปล่อยข้อมูลเพื่อให้ทุกคนป้องกันตัว FireEye บริษัทความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ชื่อดังเปิดเผยว่าบริษัทถูกแฮกจนสามารถขโมยเอาเครื่องมือแฮกของ Red Team ในบริษัทที่ปกติมีไว้เพื่อทดสอบความปลอดภัยเครือข่ายให้แก่ลูกค้า แม้ว่าเครื่องมือที่หลุดไปจะไม่มีช่องโหว่ 0-day หรือเทคนิคการแฮกที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน แต่เครื่องมือเหล่านี้ก็จำลองกระบวนการแฮกของกลุ่มแฮกเกอร์ที่โจมตีในโลกความเป็นจริง ทางบริษัทปล่อยคอนฟิกไฟร์วอลล์และแอนตี้ไวรัสกว่า 300 รายการเพื่อลดผลกระทบหากคนร้ายนำเครื่องมือเหล่านี้ไปใช้งาน คอนฟิกที่ FireEye ปล่อยมา ใช้งานกับ OpenIOC, Yara, Snort, และ ClamAV เพื่อให้องค์กรที่ติดตั้งเครื่องมือเหล่านี้นำไปคอนฟิกใส่อุปกรณ์ของตัวเอง ขณะเดียวกันทาง FireEye ก็นำข้อมูลเหล่านี้ไปใส่ในอุปกรณ์ของตัวเองเพื่ออัพเดตให้ลูกค้า และแจ้งข้อมูลไปยังผู้ผลิตรายอื่นๆ เพื่อให้อัพเดตเช่นเดียวกัน ทาง FireEye ระบุว่าการแฮกครั้งนี้อาศัยเทคนิคที่ซับซ้อน และแฮกเกอร์ถูกฝึกมาอย่างดี ชุดเครื่องมือที่ใช้ถูกปรับมาเพื่อแฮก FireEye เฉพาะ ที่มา - FireEye ภาพโดย xusenru
# Adobe ออกอัพเดต Lightroom รองรับ Apple M1 และ Windows Arm Adobe ออกอัพเดตซอฟต์แวร์กลุ่ม Lightroom ทั้ง Lightroom Classic, Lightroom และ Camera Raw โดยรอบนี้มีของใหม่คือการซัพพอร์ตชิป Apple M1 รวมถึง Windows Arm รวมถึงกล้องกับเลนส์รุ่นใหม่ ๆ Adobe ระบุว่า Lightroom เวอร์ชันนี้จะเป็นเวอร์ชันแรกที่เป็นแอปแบบเนทีฟ ทั้งบนแมคที่ใช้ชิป Apple M1 และพีซีที่เป็น Windows Arm โดย Adobe ทำการ rebuilt ตัว Lightroom ใหม่เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานสูงสุดบนชิปทั้ง Apple M1 และ Qualcomm Snapdragon (สำหรับ Windows 10) อย่างไรก็ดี Adobe อัพเดตฟีเจอร์ Apple M1 ให้เฉพาะ Lightroom ธรรมดาเท่านั้น ส่วน Lightroom Classic, Photoshop และ Camera Raw ทาง Adobe ยืนยันว่าซอฟต์แวร์ทั้งหมดถูกเทสและได้รับการยืนยันว่าทำงานบนอีมูเลชั่น Apple Rosetta ได้อย่างไม่มีปัญหา และจะทยอยปล่อยเวอร์ชันเนทีฟสำหรับ Apple M1 เมื่อพร้อมต่อไป (ตอนนี้ Photoshop บน Apple M1 กำลังปล่อยทดสอบเบต้าอยู่) ฟีเจอร์อื่นในอัพเดตรอบนี้ วิดเจ็ต Lightroom สำหรับ iOS 14 สำหรับถ่ายภาพและเซลฟี่, Discover Edits และ In-app tutorial รองรับฟอร์แมต Apple ProRAW ที่มา - Adobe Blogs
# บุกภาครัฐ Azure สร้างศูยน์ข้อมูลคลาวด์รองรับข้อมูลระดับลับสุดยอด, เพิ่มบริการ Kubernetes สำหรับชั้นความลับ ไมโครซอฟท์ประกาศว่าสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่สำหรับบริการ Azure เพื่อรองรับข้อมูลระดับลับสุดยอด (top secret) เสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังเดินหน้าขอรับรองว่าผ่านมาตรฐานจริง เรียกบริการนี้ว่า Azure Government Top Secret การที่ Azure จะรองรับข้อมูลระดับลับสุดยอดได้ต้องผ่านมาตรฐานเพิ่มเติม เรียกว่า ICD-705 กำหนดมาตรฐานอย่างละเอียด ตั้งแต่ พื้นที่เว้นระยะจากบริเวณนอกอาคาร, การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างต่างๆ, คุณภาพงานก่อสร้าง, กระบวนการทำแผนก่อสร้าง, และการเก็บรักษาข้อมูลการก่อสร้างไม่ให้รั่วไหล สำหรับบริการ Azure Government Secret ก็เพิ่มบริการอีกหลายอย่าง เช่น Azure Kubernetes Service (AKS), Azure Sentinel, หรือ Azure Security Center นอกจากบริการบนคลาวด์แล้ว Azure ยังเพิ่มบริการคอมพิวเตอร์นำไปใช้งานภาคสนาม เช่น Azure Stack Hub รุ่นเสริมเกราะให้ทนแรงกระแทก ขณะที่ศูนย์ข้อมูลแบบตู้คอนเทนเนอร์ Azure Modular Datacenter (MDC) ก็เพิ่มตัวเลือกลิงก์เน็ตเวิร์คแบบ HA เชื่อมต่อดาวเทียมหลายชุดพร้อมๆ กันได้ ที่มา - Azure
# Airbnb เปิดตัวโครงการไม่แสวงผลกำไร Airbnb.org เพื่อช่วยหาที่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน Airbnb บริการค้นหาที่พักเปิดตัวโครงการไม่แสดงผลกำไรเพื่อช่วยหาที่พักในสถานการณ์ฉุกเฉินในชื่อว่า Airbnb.org เพื่อสนับสนุนการหาที่พักให้ผู้ที่จำเป็น ทั้งผู้อพยพ, ผู้ลี้ภัย, หน่วยสงเคราะห์ และผู้ทำงานแนวหน้าในสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งสถานการณ์โรคระบาดอย่าง COVID-19 โดยให้โฮสต์ที่สนใจมาลงทะเบียนให้ที่พักราคาถูกหรือฟรีกับทาง Airbnb Airbnb ระบุว่า ปัจจุบันมีโฮสต์กว่า 1 แสนรายที่เปิดบ้านให้ผู้ที่มีความต้องการด้านนี้โดยเฉพาะ และ Airbnb มีโครงการนี้มาสักพักแล้วในชื่อว่า Open Homes and Frontline และจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น Airbnb.org พร้อมร่วมมือกับ International Federation of Red Cross and Red Crescent Societies (IFRC) และ Community Organized Relief Effort (CORE) พร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญาจะบริจาคหุ้น Airbnb ทั้งหมด 4 แสนหุ้นเพื่อซัพพอร์ตโครงการ Airbnb.org นอกจากนี้ ในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า Airbnb.org จะใช้ทุนราว 1 ล้านดอลลาร์เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร IFRC และอีก 1 ล้านดอลลาร์ให้กับ CORE เพื่อเป็นทุนในการให้ที่พักแก่คนทำงานด้าน COVID-19 และสำหรับโฮสต์ Airbnb ที่สนับสนุนโครงการนี้ Airbnb พร้อมจะมอบโล่ไว้บนโปรไฟล์เพื่อให้เป็นเกียรติแก่การเอื้อเฟื้อด้วย ที่มา - Engadget, Airbnb ภาพ TeroVesalainen / Pixabay
# ศาลเยอรมันสั่ง Tesla หยุดถางป่าสร้างโรงงานเบอร์ลินชั่วคราว หลังถูกร้องว่าจะกระทบงูท้องถิ่น นอกจาก Gigafactory 3 ที่เซี่ยงไฮ้แล้ว Tesla ก็กำลังสร้างโรงงานใหม่อีกแห่งที่เบอร์ลินในชื่อ Gigafactory 4 ด้วย โดยเริ่มงานก่อสร้างมาตั้งแต่ต้นปี 2020 แต่ก็เจอกับกระแสต่อต้านจากหน่วยงานและกลุ่มต่างๆ อยู่เรื่อยมา ซึ่งเหตุผลหลักก็คือเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ชาวเยอรมันให้ความสำคัญค่อนข้างมาก ล่าสุดงานก่อสร้างมีอันต้องชะงักอีกแล้ว หลังสมาคมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งบรานเดนบวร์ก (Naturschutzbund Brandenburg - Nabu) ได้ร้องเรียนว่าการถางป่าเพิ่มอีก 82.9 เฮกแตร์หรือราว 829,000 ตารางเมตร จะกระทบกับงู smooth snake และจิ้งเหลนทราย (sand lizard) ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานท้องถิ่นแถบยุโรป และเป็นไปไม่ได้ที่จะไล่จับสัตว์เหล่านี้แล้วย้ายไปปล่อยที่อื่น อย่างไรก็ตาม คำสั่งศาลข้างต้นเป็นเพียงการให้หยุดถางป่าชั่วคราวเท่านั้น เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับผลกระทบกับทั้งสองฝ่าย ดังที่เคยมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นแล้ว และครั้งนั้น Tesla ก็ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการก่อสร้างต่อได้ การก่อสร้าง Gigafactory 4 ต้องถางป่าเป็นพื้นที่ใหญ่มาก แต่ Tesla ก็เคยให้คำสัญญาว่าจะปลูกต้นไม้คืนให้สามเท่า นอกจากนี้ภาครัฐก็มีท่าทีสนับสนุนการเข้ามาตั้งโรงงานของ Tesla เพราะจะช่วยสร้างงานหลายพันตำแหน่ง ที่มา - Electrek ภาพเรนเดอร์โรงงาน Gigafactory 4 หากสร้างเสร็จ | ภาพโดย Tesla
# แอปเปิลเปิดตัว AirPods Max หูฟังครอบหู มี ANC ราคา 19,900 บาท หลังจากลือกันมานาน ในที่สุดแอปเปิลก็เปิดตัวหูฟังครอบหูแบบไร้สายของตัวเองแล้วในชื่อ AirPods Max มีชิป H1 เหมือนใน AirPods รุ่นใหม่และรองรับ Active Noice Cancelling ตัวบอดี้ของหูฟังเป็นโลหะสแตนเลส ดีไซน์มน ๆ คล้ายหน้าปัด Apple Watch พร้อมปุ่มเล่นและหยุดเพลง พร้อมปรับเสียงด้วยการหมุนในทรงเดียวกับ Digital Crown บน Apple Watch (แถมชื่อเดียวกัน) ตัวไดร์ฟเวอร์มีขนาด 40 มม. โดยแอปเปิลบอกว่า AirPods Max รองรับเพลงที่บีบอัดมาสำหรับเล่นแบบ 5.1, 7.1 รวมถึง Dolby Atmos รวมถึงมี gyroscope และ accelerometer ในตัว แบตเตอรี่ใช้งานได้ 20 ชม. AirPods Max เริ่มวางขาย 15 ธ.ค.นี้ และราคาก็แม็กซ์ตามชื่อที่ 19,900 บาท มีสี Space Grey, Silver, Sky Blue, Green และ Pink โดยในกล่องจะมี Smart Case และสาย Lightning-to-USB-C มาให้ด้วย ที่มา - Apple
# แพลตฟอร์มสมาร์ทโฮม Google Nest จะทำงานร่วมกับ SmartThings ของซัมซุงแล้ว ในที่สุด Google และซัมซุงก็ประกาศความร่วมมือเชื่อมต่อแพลตฟอร์มสมาร์ทโฮมของตัวเองให้สามารถทำงานร่วมกันได้แล้ว ทำให้อุปกรณ์อย่างกล้อง, กริ่งประตูหน้าบ้านและ thermostat ของ Nest สามารถสั่งงานได้ผ่านแอป SmartThings หรือกระทั่งสมาร์ททีวีและตู้เย็นอัจฉริยะของซัมซุงแล้ว ในทางตรงกันข้าม อุปกรณ์สมาร์ทโฮมของซัมซุงก็จะรองรับการสั่งงานผ่าน Google Assistant ทั้งหมดแล้ว เช่นสั่งอุ่นเตาอบอัจฉริยะ หรือสั่งเปิดปิดและเปลี่ยนช่องทีวี (ทีวีจะรองรับเฉพาะรุ่นที่ประกาศก่อนหน้านี้) ขณะที่การตั้งค่าในแอป SmartThings ก็จะมีลิงก์เชื่อมต่อกับ Google Assistant ให้ในแอป นอกจากนี้ภาษาที่สามารถสั่งผ่าน Google Assistant เพื่อควบคุมอุปกรณ์ซัมซุง ไม่ได้มีแค่ภาษาอังกฤษ แต่ยังรองรับสเปน, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, โปรตุเกส, เกาหลีและญี่ปุ่นด้วย (ของไทยคงรอต่อไป) ที่มา - Google Blog
# วิศวกร Cloudflare จับมือ Apple เปิดตัว Oblivious DoH โปรโตคอลที่แยกข้อมูลผู้ใช้และ DNS query DNS-over-HTTPS แม้จะปลอดภัยจากบุคคลภายนอกไม่ให้รับรู้ข้อมูลการเข้าถึงเว็บไซต์ได้ แต่ผู้ให้บริการหรือเจ้าของเซิร์ฟเวอร์ DNS ก็ยังคงรู้อยู่ดีว่าผู้ใช้คนหนึ่งเข้าเว็บไซต์อะไร ทำให้วิศวกรของ Cloudflare และ Apple ร่วมกันพัฒนาโปรโตคอลใหม่ที่ชื่อว่า Oblivious DNS-over-HTTPS หรือ ODoH เพื่อแก้ปัญหานี้ หลักการของ ODoH คือจะจับแยกข้อมูลไอพีผู้ใช้งานที่จะเข้าเว็บออกจากข้อมูล DNS query แล้วนำไปเข้ารหัสผ่านเซิร์ฟเวอร์พร็อกซี่ ทำให้เซิร์ฟเวอร์พร็อกซี่รู้ว่าใครส่งข้อมูลมาเข้ารหัส แต่ไม่รู้ว่า DNS query คืออะไรเพราะถูกเข้ารหัสอยู่ ขณะที่เซิร์ฟเวอร์ DNS รู้แค่ว่ามี query โดเมนนี้เข้ามาขอแปลงเป็นไอพี แต่ไม่รู้ว่าใครขอ Nick Sullivan หัวหน้าทีมวิจัยของ Cloudflare บอกว่าระยะเวลาในการโหลดเว็บแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง โดยตอนนี้ ODoH เริ่มทดสอบใช้งานในกลุ่มปิดแล้วบนแอป 1.1.1.1 แล้ว แต่การใช้งานจริงน่าจะต้องรอโปรโตคอลนี้ได้รับการรับรอง รวมถึงรองรับทั้งบนเบราว์เซอร์และระบบปฏิบัติการต่อไป ที่มา - TechCrunch
# LG ปรับโครงสร้างธุรกิจมือถือ โฟกัสกับเรือธง เอาท์ซอร์สมือถือรุ่นกลางและล่างเพื่อลดค่าใช้จ่าย LG Electronics เริ่มปรับโครงสร้างหน่วยโทรศัพท์มือถือครั้งใหญ่แล้ว โดยจะเริ่มทำการเอาท์ซอร์สสมาร์ทโฟนระดับกลางถึงล่างให้บริษัทอื่นผลิตแทน เพื่อลดต้นทุนให้แข่งขันกับมือถือจากจีนได้ง่ายขึ้น และเน้นโฟกัสกับผลิตภัณฑ์ไฮเอนด์แทน การปรับโครงสร้างนี้ LG เน้นไปที่การเอาท์ซอร์สงานต่าง ๆ ตั้งแต่งานวิจัยและพัฒนาจนถึงงานผลิตให้บริษัทอื่นทำแทน เพื่อให้ทีมพัฒนาโทรศัพท์ของ LG เองมีเวลาในการโฟกัสกับผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น หน่วยธุรกิจการมือถือของ LG นั้นขาดทุนหนักมาอย่างยาวนานถึง 22 ไตรมาส และปัจจุบันก็ไม่ติดหนึ่งในห้าของแบรนด์สมาร์ทโฟนยอดขายสูงสุด แม้ว่าจะเคยทำยอดขายสูงสุดในไตรมาสแรกของปี 2013 ดังนั้นการลดค่าใช้จ่ายด้านการผลิตจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนัก โดย Tom Kang นักวิเคราะห์จาก Counterpoint ระบุว่า LG รู้ดีว่าตอนนี้คู่แข่งของตัวเองเป็นค่ายมือถือจากจีน ไม่ใช่ Apple หรือ Samsung ที่มา - Reuters, Engadget ภาพจากข่าวเก่า
# ผู้ทดลองนั่ง Waymo กว่า 60 เที่ยวเผยประสบการณ์รถไร้คนขับ: "ลืมไปเลยว่าไม่มีคนขับ" แม้จะทดสอบเชิงพาณิชย์มาเป็นปี ๆ แต่ Waymo ก็ไม่เคยอนุญาตให้ผู้เข้าทดสอบเปิดเผยหรือบันทึกข้อมูลการทดสอบใช้งานได้ จนกระทั่ง Waymo One ให้บริการเชิงพาณิชย์จริง ๆ เมื่อตุลาคมที่ผ่านมา Joel Johnson นักศึกษามหาวิทยาลัยในรัฐแอริโซนา ที่ทดลองใช้งาน Waymo ตั้งแต่ช่วงทดสอบปิดในปี 2019 โพสต์วิดีโอบันทึกและรีวิวการใช้งานรถไร้คนขับบนแชนแนล YouTube ของตัวเอง สิริรวมการใช้งานไม่ต่ำกว่า 60 ครั้ง ทั้งนั่งเองหรือเรียกรถเพื่อให้คนอื่นนั่ง และอัดความรู้สึกหรือรีวิวไปด้วย Johnson ที่ให้สัมภาษณ์กับ ArsTechnica บอกว่าทุกคนที่นั่งไปด้วยแสดงออกว่าเชื่อมั่นในตัวรถไร้คนขับของ Waymo และประสบการณ์การนั่งมันลื่นมาก อย่างการเร่งหรือเบรครถ ในระดับที่ทุกคนลืมไปว่านี่คือคนไร้คนขับ นอกจากนี้ Johnson ที่นั่งมาตั้งแต่ปี 2019 ยังเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงและการปรับปรุงของอัลกอริทึม อย่างเช่นหากเป็นช่วงกรกฎาคมปี 2019 ถ้าขับรถอยู่ในสถานการณ์ที่คนเดินเท้าเยอะ ๆ อาจจะยอมแพ้ไปแล้วก็ได้ (would have given up) และถ้าเป็นช่วงเดือนมีนาคม 2020 อาจจะเบรคตัวโก่ง แต่วิดีโอที่อัพล่าสุดเมื่อตุลาคม ขณะตัวรถขับผ่านลานจอดรถห้าง Costco ที่คนเยอะ ๆ รถจะจอดรออย่างใจเย็นจนกว่าจะไม่มีคนแล้วถึงเคลื่อนตัวต่อ Waymo อาจมีเทคโนโลยีไร้คนขับที่ล้ำหน้าที่สุดแล้วตอนนี้ จากจำนวนระยะทางที่วิ่งทดสอบมากว่า 10 ล้านกิโลเมตร และมีอุบัติเหตุระดับเบาเพียง 18 ครั้งเท่านั้น (แต่หากรวมกรณีที่คนนั่งหลังพวงมาลัยเข้าควบคุมแทน เพื่อเลี่ยงอุบัติเหตุแล้วจะอยู่ที่ 47 ครั้ง) ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่ความผิดของรถไร้คนขับด้วย และหารออกมาเฉลี่ยอุบัติเหตุจะมีโอกาสเกิดทุก ๆ 210,000 กม. ถ้านับเป็นคนทั่วไปก็ราว ๆ ทุก 10 ปี ที่ม - ArsTechnica
# ในที่สุด Google Stadia ให้สตรีมเล่นเกมไปยัง YouTube ได้โดยกดปุ่มเดียว การกดสตรีมเกม Stadia ไปยัง YouTube ได้นั้น เป็นฟีเจอร์ที่ผู้เล่นคาดหวังกันว่าควรจะมีต้งแต่เปิดตัว Stadia แรกๆ ล่าสุด Google ยืนยันว่าเริ่มเปิดให้ใช้งานแล้ว เริ่ม 8 ธันวาคมนี้ ผู้ใช้งานจะมองเห็นแบนเนอร์ Stream directly to YouTube บนแพลตฟอร์ม Stadia โดยตอนนี้เริ่มใช้งานเฉพาะบน web app ก่อน ส่วน Chromecast หรือบน Android นั้นยังไม่ได้ จากหน้าจอตั้งค่า ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าเรื่องเสียงบนสตรีมได้ เช่น ต้องการให้ได้ยินเฉพาะเสียงตัวเองและเสียงเกม หรือเลือกตั้งค่าให้ไม่มีใครได้ยินเสียงเราเลยก็ได้, การตั้งค่าว่าเนื้อหาเหมาะสำหรับเด็กหรือไม่ เป็นต้น ถือเป็นอีกช่วงเวลาสำคัญของ Google Stadia หลังเพิ่งครบรอบ 1 ปี ซึ่งล่าสุดได้ประกาศพื้นที่ใช้งานเพิ่มขึ้นอีก 8 ประเทศในยุโรป ออสเตรีย, สาธารณรัฐเช็ก, ฮังการี, โปแลนด์, โปรตุเกส, โรมาเนีย, สโลวาเกียและสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงเปิดให้ซื้อเกมที่หลายคนรอคอยอย่าง Cyberpunk 2077 ผ่าน Stadia ได้ด้วย อ่านข่าวย้อนหลังเกี่ยวกับ Stadia หนทางคลาวด์เกมมิ่งยังอีกยาวไกล 12 เดือนผ่านไป Stadia แทบไม่ต่างจากเดิม Stadia บอกมีเกมอยู่ในคิวอีก 400 เกม, ไม่ต้องกลัวโดนกูเกิลฆ่าทิ้ง วางแผนถึงปี 2023 แล้ว เทียบบริการคลาวด์เกมมิ่ง Luna, Stadia, Xbox Game Pass Ultimate, GeForce Now และ PS Now ที่มา - The Verge, 9to5Google, Engadget
# ระวังบัญชี Support Team ของ Twitter ปลอมส่งข้อความ phishing แจ้งผิดลิขสิทธิ์ ข่าวสดออนไลน์ @khaosodonline โพสต์ทวิตเตอร์เปิดเผยว่าได้รับข้อความส่วนตัวจากแอคเคาท์ที่ใช้ชื่อว่า Support Team ของทวิตเตอร์และมีเครื่องหมายติ๊กถูก แจ้งว่ามีทวีตละเมิดลิขสิทธิ์ ให้กรอกข้อมูลชี้แจง ไม่เช่นนั้นแอคเคาท์จะถูกปิด หากดูที่ชื่อแอคเคาท์ของบัญชีดังกล่าวจะใช้ @rvandenbussche1 ซึ่งเมื่อนำชื่อไปเสิร์ชใน Google พบว่าเป็นบัญชีของ Ryan VandenBussche อดีตนักฮอกกี้นำแข็งชาวแคนาดา ทำให้คาดว่าน่าจะเป็นบัญชีที่ถูกแฮกมา (อาจจะรอบเดียวกับที่คนดังถูกแฮก) แล้วถูกนำมาเปลี่ยนชื่อและรูปภาพ ปลอมตัวเป็นทีมซัพพอร์ท และหลอกเอาข้อมูลจากผู้ใช้ ขณะที่บัญชีจริงของทวิตเตอร์คือ Twitter Support ก่อนหน้านี้บัญชี @nuling ของ บก.ลายจุด ทวีตว่าได้รับข้อความลักษณะเดียวกันนี้ คาดว่าน่าถูกแอคเคาท์เดียวกันนี้หลอกเช่นเดียวกัน ที่มา - @khaosodonline
# วอนอินแจถูกใจสิ่งนี้ LINE สาธิตการสร้างฟอนต์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ ออกแบบอักษรกว่า 10,000 แบบจากลายมือ 250 ตัวอักษร ทีมปัญญาประดิษฐ์ CLOVA ของ LINE ประกาศเปิดฟอนต์ลายมือให้ผู้ใช้เปลี่ยนฟอนต์หน้าจอ LINE ไปใช้งานได้ โดยฟอนต์นี้มีความพิเศษคือมันสร้างขึ้นมาจากปัญญาประดิษฐ์สร้างภาพ ที่ใช้ตัวอักษรลายมือจริงๆ เพียง 250 ตัวอักษรเท่านั้น แต่สามารถออกแบบฟอนต์รวมกว่า 10,000 ตัวอักษรออกมาได้ ทีม CLOVA ใช้โมเดลแบบ pix2pix สร้างฟอนต์ลายมือเฉพาะของผู้ใช้ โดยทีมงานระบุว่าการใช้งานจริงอาจจะใช้ในภาพยนต์, โฆษณา, หรือโลโก้บริษัท เพื่อให้ความรู้สึกอบอุ่นจากการใช้ลายมือแทนตัวพิมพ์ นอกจากนี้แล้วทาง CLOVA ยังใช้โมเดลสร้างฟอนต์ไปสร้างข้อความเพื่อฝึกปัญญาประดิษฐ์ในการทำ OCR อีกต่อหนึ่ง เพื่อปรับปรุงความแม่นยำของบริการให้อ่านลายมือได้ดีขึ้น ตอนนี้ทาง CLOVA ยังไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปสร้างฟอนต์ด้วยตัวเอง แต่บอกเพียงว่าหากใครต้องการใช้บริการสร้างฟอนต์นี้ให้ติดต่อไป ส่วนคนที่ได้รับเมนู LINE Labs สามารถเปิดใช้ฟอนต์ลายมือในแอป LINE ได้แล้ว ที่มา - LINE
# ไรเดอร์ Grab ในไทยและเวียดนามประท้วง หลังเงื่อนไขทำรายได้ลด แต่กฎการทำงานมาก วันนี้กลุ่มไรเดอร์ Grab ในประเทศไทยรวมตัวประท้วงหน้าอาคารธนภูมิ สำนักงานแกร็บประเทศไทย เพื่อเรียกร้องเงื่อนไขการทำงานหลายประเด็น นับแต่การจัดการเมื่อเกิดเรื่องร้องเรียนจากผู้ใช้, กระบวนการคุ้มครองไรเดอร์เมื่อเกิดอุบัติเหตุ และรายได้ ข้อเรียกร้องด้านรายได้ เช่น ค่ารับงานในต่างจังหวัดไม่เท่ากับในกรุงเทพฯ ไรเดอร์เรียกร้องให้มีค่าตอบแทนจากการรอหลายออเดอร์ในการวิ่งรอบเดียวกัน (งานแบช) ไปจนถึงขอให้มีค่ารออาหารเมื่อต้องรอนาน ผู้ประท้วงบางคนร้องเรียนว่าเมื่อ Grab ให้ส่วนลดคนเรียกใช้งานก็กลับไปลดค่าบริการของคนขับด้วย ทำให้รายได้ลดลง นอกจากประเด็นรายได้ ยังข้อเรียกร้องถึงเงื่อนไขการทำงานอื่นๆ เช่น การนับจำนวนรอบเมื่อเลื่อนขั้นระดับของไรเดอร์ที่บีบให้ทำงานแม้เป็นวันเสาร์-อาทิตย์ นโยบายการประกันอุบัติเหตุที่ล่าช้า และไม่ครอบคลุมบางกรณี เช่นเกิดอุบัติเหตุหลังจากเพิ่งไปส่งอาหาร เหตุประท้วงในไทยเกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการประท้วงของกลุ่มไรเดอร์ในเวียดนาม ที่ประท้วงการขึ้นส่วนแบ่งของบริษัทจากเดิม 20% เป็น 27.27% แม้ว่าทาง Grab เวียดนามจะออกมาบอกว่าเพิ่งขึ้นค่าโดยสาร 5-6% ทำให้รายได้โดยรวมของไรเดอร์ลดลงเพียง 1% ก็ตามที ข้อมูลเปิดเผย: Blognone เป็นบริษัทลูกของ LINE MAN Wongnai ที่ทำธุรกิจรูปแบบเดียวกับ Grab ที่มา - Facebook: สถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม, VN Express
# Monster Hunter: World ถูกรีวิวบอมบ์บน Steam เพราะมุกเหยียดคนจีนจากเวอร์ชั่นหนัง เกม Monster Hunter: World ถูกรีวิวในแง่ลบกว่า 2,000 ครั้งบน Steam เนื่องจากมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ Daniel Ahmad (@ZhugeEX) นำคลิปส่วนหนึ่งจาก Monster Hunter ฉบับหนัง ที่มีการเล่นมุก “What are my knees? What kind of knees are these? Chi-knees.” (เล่นคำพ้องเสียง -nese ในคำว่า Chinese กับ knees) ซึ่งตอนนี้คลิปถูกบล็อกการเข้าถึงไปแล้ว แต่ทวิตต้นฉบับยังอยู่ Ahmad ชี้อีกว่ามุกตลกนี้ไปตรงกับประโยคคล้องจอง "Chinese, Japanese, dirty knees - look at these?" ซึ่งเป็นประโยคคล้องจองที่ใช้ล้อเลียนชาวเอเชีย ทำให้ชาวจีนไม่พอใจ และให้คะแนนในแง่ลบกับตัวเกม จน Capcom ต้องออกมาชี้แจงภายหลังผ่าน Weibo ว่าไม่ได้เป็นบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ทราบเรื่อง และติดต่อให้ฝั่งที่ผลิตภาพยนตร์ทำการสืบสวนเรื่องนี้แล้ว ด้านคลิปที่หลุดออกมา น่าจะเป็นคลิปจากการตัดต่อ ที่ไม่น่าถูกใช้ในตัวภาพยนตร์จริง แต่ไม่มีข้อมูลว่าหลุดมาสู่ทวิตเตอร์ได้อย่างไร ล่าสุดเว็บไซต์ Variety ลงรายงานว่าเวอร์ชั่นหนังถูกแบนในจีน เนื่องมาจากมุกเหยียดเชื้อชาตินี้แล้วเช่นกัน ที่มา - ZhugeEX via Kotaku, Variety
# AutoX สตาร์ทอัพรถไร้คนขับจีนเริ่มนำรถแท็กซี่ไร้คนขับมาทดสอบวิ่งบนถนนเป็นรายแรก AutoX สตาร์ทอัพรถไร้คนขับจากจีน (มู้ดแอนด์โทนของเว็บเหมือน Waymo มาก) ประกาศนำรถไร้คนขับมาทดสอบวิ่งแบบไม่มีคนบนถนนในเมืองเสิ่นเจิ้นเป็นรายแรกของประเทศ AutoX บอกว่าเทคโนโลยีที่ใช้เป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติรุ่นที่ 5 อย่างไรก็ตาม ตอนนี้การทดสอบยังเป็นการทดสอบแบบปิดอยู่ ยังไม่เปิดทดสอบให้กับคนทั่วไปได้ทดลองนั่ง และ AutoX ก็มีเป้าหมายที่จะนำรถมาให้บริการเป็นแท็กซี่ไร้คนขับ ลักษณะเดียวกับ Waymo ที่มา - TechCrunch ภาพจาก AutoX
# อิเหนาเป็นเอง, เอกสาร กสทช. บราซิลเผย Samsung จะไม่แถมที่ชาร์จมากับ Galaxy S21 หลังมีรายงานเมื่อเดือนตุลาคม ว่า Samsung อาจไม่แถมที่ชาร์จมาในมือถือเรือธงรุ่นถัดไป ล่าสุดเว็บไซต์ Technoblog เปิดเผยข้อมูลจาก ANATEL หรือ กสทช. ของบราซิล ว่า Galaxy S21, Galaxy S21+, และ Galaxy S21 Ultra ที่เพิ่งได้รับใบอนุญาต ในโค้ดเนม SM-G991B/DS, SM-G996B/DS, และ SM-G998B/DS จะไม่มีทั้งที่ชาร์จ และหูฟังแถมมาในกล่อง ถือเป็นการซ้ำรอยเรื่องการล้ออีกฝั่งแล้วเข้าตัวอีกรอบ หลัง Samsung เคยล้อ iPhone ที่ถอดรูหูฟังออก ก่อนจะทำตาม และลบโฆษณาที่ล้ออีกฝั่งออกไปเงียบๆ อีกประเด็นที่น่าสนใจในบราซิลเช่นกัน คือก่อนหน้านี้รัฐ São Paulo ของบราซิล ออกคำสั่งให้ Apple ใส่หัวชาร์จไฟมากับ iPhone เครื่องใหม่ คงต้องติดตามกันต่อไป ว่า Samsung จะโดนคำสั่งเดียวกันนี้ด้วยหรือเปล่า ที่มา - Technoblog via 9to5Mac
# Google Photos ติดตั้งไปแล้ว 5 พันล้านครั้ง, Google Keep 1 พันล้านครั้ง เฉพาะแอนดรอยด์ แอปพลิเคชั่นเก็บรูป Google Photos ได้รับการติดตั้งไปแล้ว 5 พันล้านครั้ง แต่โดยรวมแล้ว ยอดดาวน์โหลดยังเป็นอันดับสองรองจาก WhatsApp และตามหลัง Play Music, Chrome, Gmail, Google Search, Google Maps และ YouTube แต่ต้องไม่ลืมว่า แอปเหล่านี้ถูกติดตั้งมาก่อนหรือ pre-load มาก่อนแล้วในโทรศัพท์แอนดรอยด์ ตั้งแต่ 1 มิถุนายน ปี 2021 เป็นต้นไป Google Photos จะเลิกให้พื้นที่สตอเรจฟรีแบบไม่จำกัดจำนวนแล้ว (สำหรับภาพแบบ high quality ที่ถูกบีบอัด) ด้าน Google Keep แอปพลิเคชั่นจดบันทึก มีการติดตั้งไปแล้ว 1 พันล้านครั้ง โดยถือเป็นแอปพลิเคชั่นรายที่ 9 ที่สามารถทำตัวเลขดาวน์โหลด 1 พันล้านครั้งได้ในปีนี้ โดย 8 รายที่เหลือคือ Android Auto, Google Docs, Dropbox, Samsung Secure Folder, Netflix, Twitter, Google Messages และ TikTok ที่มา - Android Police 1, 2
# Spotify เวอร์ชั่นแอนดรอยด์ เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ให้ผู้ใช้เล่นเพลงจากในเครื่องได้บนแอป Jane Manchun Wong (@wongmjane) นักวิจัย/วิศวกรซอฟต์แวร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องการแกะฟีเจอร์ที่ซ่อนอยู่ของแอป ค้นพบว่า Spotify บนแอนดรอยด์ เตรียมมีฟีเจอร์ให้ค้นหาไฟล์เพลงบนเครื่องของผู้ใช้ และเล่นผ่านแอปได้ Jane พบการตั้งค่าให้เปิดการแสดงผลไฟล์จากบนเครื่องซ่อนอยู่ในแอป โดยผู้ใช้จะสามารถเปิดและ Import เพลงที่ดาวน์โหลดหรือลงไว้ในเครื่อง มาเล่นรวมกับ Playlist อื่นใน Spotify ได้ แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าจะเป็นฟีเจอร์ของผู้ใช้ฟรีหรือไม่ และจะเปิดให้ใช้งานได้เมื่อไร Youtube Music เปิดให้ผู้ใช้เล่นเพลงบนเครื่องได้ตั้งแต่ปีที่แล้ว รวมทั้งยังให้ผู้ใช้อัพโหลดและดาวน์โหลดเพลงจากเครื่องขึ้นไปบนคลาวด์ได้ โดยทั้งหมดนี้เป็นฟีเจอร์ที่ใช้ได้ฟรี จึงมีความเป็นไปได้ ที่ Spotify อาจจะเปิดฟีเจอร์เล่นเพลงบนเครื่องให้ผู้ใช้แบบฟรีเช่นเดียวกัน ที่มา - @janemwong via XDA Developers
# Facebook สรุปเหตุการณ์สำคัญ 2020 การจากไปของ Kobe Bryant, เหตุ George Floyd, COVID-19 ฯลฯ Facebook ทำสรุปประเด็นสำคัญประจำปี 2020 ที่ใครหลายคนมองว่าเป็นปีที่แย่ที่สุดจากเหตุระบาดใหญ่ COVID-19 โดย Facebook สรุปเหตุการณ์และบริบทสำคัญประจำปี 2020 ออกมาเป็น 6 ธีมด้วยกัน ดังนี้ Icons หรือบุคคลที่ควรค่าแก่การรำลึกถึง การจากไปของ Kobe Bryant นักกีฬาบาสเกตบอลที่ดีที่สุดที่โลกเคยมีมา เป็นช่วงเวลาที่มีการพูดถึงมากที่สุดในปีนี้บน Facebook โดยในสหรัฐอเมริกา, เม็กซิโกและฟิลิปปินส์มีการแชร์โพสต์และรูปภาพมากที่สุดเพื่อรำลึกถึง และการจากไปของ Ruth Bader Ginsburg ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ที่ต่อสู้ฝ่าฟันกับการเหยียดเพศมาตลอดชีวิต มีโพสต์รำลึกถึงเธอกว่า 6 ล้านโพสต์ Social Awakening หรือการตื่นตัวทางสังคม จากการเสียชีวิตของ George Floyd มีการสนทนาเกี่ยวกับ Black Lives Matter เพิ่มขึ้นสามเท่า และมีการพูดถึงเฉลี่ย 7.5 ล้านครั้งใน Facebook ทุกวัน และยังส่งผลให้กลุ่ม The Blackout Coalition ที่สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนธุรกิจคนดำเป็น Facebook Group ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ตอนนี้ COVID-19 ตัวอย่างเทรนด์ที่เกิดขึ้นบน Facebook คือ ตลอดเดือนมีนาคมชาวสเปน 1.5 ล้านคนโพสต์เพื่อแสดงความขอบคุณที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ใช้แฮชแท็ก #aplausosanitario และ ยอดดู Instagram และ Facebook Live ในอิตาลีเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อมีการล็อกดาวน์ ในสหรัฐอเมริกาผู้ชม Facebook Live เพิ่มขึ้น 50% Global Politics การประกาศคัดเลือกรองประธานาธิบดี (Kamala Harris) ได้รับการพูดถึงบน Facebook มากที่สุด ในเดือนสิงหาคมโดยมีผู้โพสต์มากกว่า 10 ล้านโพสต์ในวันเดียว Environmental Causes การระดมทุนเพื่อช่วยคนเดือดร้นจากภัยธรรมชาติ ไฟป่าออสเตรเลีย ระดมทุนก้อนใหญ่สุด 35 ล้านดอลลาร์ Faith & Community การสนับสนุนธุรกิจรายเล็กที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด, การใช้วิดีโอคอลสื่อสารกันในช่วงวันหยุดอีสเตอร์ ที่มา - Facebook Newsroom
# ผู้กำกับ Christopher Nolan ไม่เห็นด้วยที่ Warner ฉายหนังบน HBO Max ชนโรง บอกด้วยว่าเป็นสตรีมมิ่งที่แย่ที่สุด จากข่าว Warner ประกาศนำหนังใหม่ปี 2021 ทุกเรื่อง ฉายบน HBO Max วันเดียวกับที่ฉายในโรง เนื่องจากสถานการณ์​ COVID-19 นั้น Christopher Nolan ผู้กำกับชื่อดัง ที่กำกับหนัง Tenet ออกมาประณามการตัดสินใจครั้งนี้ของ Warner Nolan บอกว่า คนทำหนังและดาราในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ต่างคิดไปว่าพวกเขาได้ทำงานให้กับสตูดิโอภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (Warner) แต่พวกเขากลับตื่นมาพบว่าต้องทำงานให้บริการสตรีมมิ่งที่แย่ที่สุด Nolan บอกด้วยว่า ที่ผ่านมา Warner Bros. เป็นเครื่องจักรที่น่าทึ่งในการสร้างผลงานของผู้สร้างภาพยนตร์ ทั้งที่ออกฉายในโรงภาพยนตร์และในบ้านของคนดู แต่ตอนนี้ Warner Bros. กำลังทำลายมัน และบริษัทไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ากำลังสูญเสียอะไรไป และเป็นการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจเอาเสียเลย Nolan มีประวัติผลงานกับ Warner Bros. มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่หนังเรื่อง Insomnia ในปี 2002, Batman Begins ในปี 2005 มาจนถึงหนังล่าสุดอย่าง Tenet แต่ด้วยสถานการณ์​ COVID-19 ทำให้ Tenet ไม่กวาดรายได้อย่างที่คาดหวังไว้ ด้านการตัดสินใจฉายหนังใหม่บน HBO Max พร้อมกับโรงภาพยนตร์นั้น Hollywood Reporter รายงานเป็นไอเดียของ ซีโอโอ Carolyn Blackwood เป็นการตัดสินใจเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียรายได้ไปมากกว่านี้ในปี 2021 และยังได้เพิ่มยอดผู้ใช้งาน HBO Max ด้วย ซึ่งจากโรคระบาดถือว่ายังเพิ่มยอดผู้ใช้งานได้มากนักเมื่อเทียบกับ Disney Plus ที่มา - CNET, Hollywood Reporter
# แอนตี้ไวรัสซื้อกันเอง NortonLifeLock ซื้อกิจการ Avira มูลค่า 360 ล้านดอลลาร์ บริษัทแอนตี้ไวรัสซื้อกิจการกันเอง โดย NortonLifeLock (ชื่อใหม่ของ Symantec) ซื้อบริษัทร่มแดง Avira จากเยอรมนี มูลค่า 360 ล้านดอลลาร์ จ่ายเป็นเงินสดทั้งหมด ที่มาที่ไปของทั้งสองบริษัทมีความซับซ้อนอยู่บ้าง เริ่มจากเมื่อปีที่แล้ว Symantec แยกครึ่งบริษัท โดยขายธุรกิจ Enterprise Security พร้อมแบรนด์ Symantec ให้กับ Broadcom โดยยังเหลือธุรกิจฝั่งคอนซูเมอร์เอาไว้คือ แอนตี้ไวรัสแบรนด์ Norton และบริการป้องกันข้อมูลส่วนตัว LifeLock จึงเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น NortonLifeLock ส่วน Avira เองเพิ่งขายกิจการเป็นครั้งแรกเมื่อต้นปีนี้ โดยกลุ่มผู้ก่อตั้งบริษัทเดิม ขายหุ้นใหญ่ให้บริษัทลงทุน InvestCorp ด้วยมูลค่า 180 ล้านดอลลาร์ (แต่ไม่ระบุสัดส่วนหุ้นว่าเท่าไร) ผ่านไปเพียง 8 เดือน Avira ก็ขายกิจการทั้งหมดให้ NortonLifeLock โดยฝั่งผู้ซื้อ NortonLifeLock ให้เหตุผลว่า Avira แข็งแกร่งในยุโรปและกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ช่วยให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจไปยังลูกค้าทั่วโลกได้เร็วขึ้น หลังซื้อกิจการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซีอีโอและซีทีโอของ Avira จะเข้ามาเป็นทีมบริหารของ NortonLifeLock ด้วย ข้อมูลที่เปิดเผยคือ Avira มีลูกค้าแบบจ่ายเงิน 1.5 ล้านราย คิดเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งาน 30 ล้านชิ้น แต่ไม่ระบุว่ามีลูกค้ากลุ่มที่ใช้งานฟรีมากแค่ไหน เทียบขนาดกันแล้ว NortonLifeLock ยังใหญ่กว่า Avira มาก บริษัทมีมูลค่าตามราคาหุ้นที่ 11.5 พันล้านดอลลาร์ ที่มา - NortonLifeLock, ZDNet
# ลำโพง Google Nest และรุ่นที่มี Google Assistant รองรับ Apple Music แล้ว เป็นคู่แข่งกันในหลายสนาม แต่ก็ทำธุรกิจร่วมกันได้ กูเกิลประกาศว่าลำโพงตระกูล Google Nest และของยี่ห้ออื่นๆ ที่รองรับ Google Assistant สามารถเล่นเพลงจาก Apple Music ได้แล้ว ก่อนหน้านี้ Google Assistant รองรับบริการเพลงแบบสตรีมมิ่ง 4 รายคือ YouTube Music, Spotify, Deezer, Pandora (เฉพาะในสหรัฐ) และล่าสุด Apple Music เป็นรายที่ห้า การใช้งานจำเป็นต้องเชื่อมบัญชีผ่านแอพ Google Home ในสมาร์ทโฟนก่อน การใช้งาน Apple Music จำเป็นต้องมีสมาชิกแบบเสียเงินเท่านั้น และยังรองรับเฉพาะในบางประเทศคือ สหรัฐ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น ที่มา - Google
# Cisco ประกาศซื้อ Slido แพลตฟอร์มสร้าง engagement ใน Online Meeting Cisco ประกาศซื้อกิจการ Slido ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมหรือการประชุมออนไลน์ โดยไม่มีการเปิดเผยมูลค่าของดีลดังกล่าว Cisco ระบุว่าจะนำเทคโนโลยีของ Slido มาเพิ่มเป็นฟีเจอร์ในแพลตฟอร์มสำหรับการประชุม WebEx Slido มีผู้ใช้งานราว 7 ล้านคนต่อเดือน เป็นแพลตฟอร์มสำหรับสร้างปฏิสัมพันธ์ในอีเวนต์หรือการประชุมแบบเรียลไทม์ทั้งก่อน-ระหว่าง-หลังกิจกรรม ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ อาทิ แบบสำรวจ ระบบถาม-ตอบ เกมตอบปัญหา ฯลฯ ในวันเดียวกัน Cisco ยังประกาศซื้ออีกหนึ่งกิจการคือ IMImobile ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าสำหรับลูกค้าองค์กรจากประเทศอังกฤษ เพื่อเพิ่มการติดต่อผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยดีลดังกล่าวมีมูลค่าราว 730 ล้านดอลลาร์ ที่มา: TechCrunch, Cisco [1], [2]
# Aurora ประกาศซื้อส่วนธุรกิจพัฒนารถยนต์ไร้คนขับของ Uber Aurora สตาร์ทอัพที่โฟกัสการพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับ ประกาศซื้อกิจการ Uber Advanced Technologies (Uber ATG) กลุ่มธุรกิจที่พัฒนารถยนต์ไร้คนขับของ Uber ตามที่มีข่าวเมื่อเดือนที่แล้ว โดยผลจากดีลนี้ Aurora จะเพิ่มความร่วมมือกับ Uber ในการนำเทคโนโลยีมาใช้กับบริการรถบรรทุกขนส่งสินค้า ตลอดจนบริการรถโดยสารของ Uber นอกจากนี้ Uber จะเข้ามาลงทุนใน Aurora เป็นมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ และซีอีโอ Dara Khosrowshahi จะเข้ามาเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารอีกด้วย ดีลดังกล่าวไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด แต่ CNBC ระบุว่า Aurora ประเมินมูลค่าส่วนธุรกิจ Uber ATG ที่ 4,000 ล้านดอลลาร์ โดย Uber, นักลงทุนของ ATG ตลอดจนพนักงาน จะเข้ามาถือหุ้น Aurora รวม 40% Aurora มีนักลงทุนรายสำคัญอาทิ Hyundai, Amazon ส่วน Uber ATG มีผู้ลงทุนอย่าง Toyota, SoftBank และ DENSO ที่มา: Aurora และ CNBC
# แบนด์วิดท์ขาดาวน์โหลดของ Steam พุ่งถึง 23.5 Tbps หลัง Cyberpunk 2077 เปิดให้พรีโหลด หลังจากที่หนึ่งในเกมที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในปีนี้อย่าง Cyberpunk 2077 ได้เปิดให้ pre-load พร้อมกันทั่วโลกใน Steam เมื่อเวลา 5 ทุ่มที่ผ่านมา (บน GOG ได้ตั้งแต่ 5 โมงเย็น) แบนด์วิดท์ที่ใช้ในการดาวน์โหลดของ Steam (48 ชั่วโมงล่าสุด) ก็พุ่งขึ้นมากกว่าช่วงเวลาปกติกว่า 3 เท่าจนไปพีคที่ 23.5 Tbps Cyberpunk 2077 จะเปิดให้เล่นวันที่ 10 ธ.ค.นี้ 7 โมงเช้าตามเวลาประเทศไทยทั้งบน PC, PS4, PS5, Xbox One และ Xbox Series X/S (คอนโซลจะได้เล่นก่อนนิดหน่อยตามเวลาท้องถิ่น) ที่มา - Steam Download Stats
# [ลือ] ชิปแอปเปิลกำลังพัฒนาไปสู่ระดับแซงซีพียูตัวแรงของอินเทลในปี 2021, กำลังพัฒนาการ์ดจอแยกด้วย แอปเปิลเพิ่งวางขายซีพียู Apple M1 มาไม่นานสำนักข่าว Bloomberg ก็อ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตน ระบุถึงแผนการพัฒนาชิปของแอปเปิลว่าซีพียูรุ่นต่อไปอาจจะแซงซีพียูของอินเทลที่เร็วที่สุดได้ในปี 2021 โดยน่าจะเปิดตัวจริงๆ ครึ่งหลังของปี 2021 สอดรับกับแผนการเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรมซีพียูเป็นเวลาสองปี Apple M1 มีซีพียูทั้งหมด 8 คอร์แต่เป็นคอร์ประสิทธิภาพสูง 4 คอร์และคอร์ประหยัดพลังงาน 4 คอร์ แหล่งข่าวระบุว่าในรุ่นต่อไปการออกแบบจะเพิ่มคอร์ประสิทธิภาพสูงกลายเป็น 16 คอร์ และอาจแตกรุ่นย่อยคอร์ประสิทธิภาพสูง 8 คอร์หรือ 12 คอร์ออกมาก่อน ขึ้นกับปัจจัยด้านการผลิต ส่วนกราฟิกนั้นจะเพิ่มเป็น 16 คอร์หรือ 32 คอร์ สินค้าอีกตัวที่แอปเปิลไม่เคยพูดถึงคือชิปกราฟิกแยก ที่แหล่งข่าวบอกกับ Bloomberg ว่าแอปเปิลกำลังพัฒนาชิปกราฟิกสำหรับอัพเกรดเครื่อง เพิ่มจำนวนคอร์กราฟิกเป็น 64 คอร์ หรือ 128 คอร์ หากพัฒนาสำเร็จคาดว่าประสิทธิภาพจะดีกว่าชิปกราฟิกแยกจาก NVIDIA หรือ AMD เสียอีก โดยคาดว่าจะวางตลาดได้จริงปลายปี 2021 หรือเลยไปถึงปี 2022 ที่มา - Bloomberg
# Genshin Impact คว้ารางวัลเกมยอดเยี่ยม Play Store ปี 2020, แอพยอดเยี่ยมคือ Loona กูเกิลประกาศรางวัล Best Apps and Games of 2020 ของแพลตฟอร์ม Google Play โดยรางวัลใหญ่มี 2 รางวัลคือผู้ชนะเลิศฝั่งแอพและฝั่งเกม (กูเกิลไม่ได้แยกตามประเภทอุปกรณ์เหมือนกับแอปเปิล) แอพแห่งปี 2020 เป็นของ Loona แอพที่ช่วยปรับอารมณ์ให้ผ่อนคลายก่อนนอน เพื่อให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น ส่วนเกมแห่งปี 2020 เป็นของ Genshin Impact ที่คว้ารางวัลเกมยอดเยี่ยมฝั่งของ iPhone มาด้วยเช่นกัน คงไม่ต้องอธิบายกันมากแล้วกับความนิยมของเกมนี้ สำหรับรางวัลอื่นๆ กูเกิลแจกให้หมวดละ 5 ตัว (ไม่เรียงลำดับ) ซึ่งในแต่ละประเทศก็อาจแตกต่างกันไป เวอร์ชันในสหรัฐมีแอพยอดฮิตอย่าง Zoom, Disney+ เข้ารอบ ฝั่งเกมมีเกมอย่าง Legends of Runeterra, Sky, Gwent, Disney Frozen Adventure, Harry Potter: Puzzles & Spells เป็นต้น รายชื่อทั้งหมดดูจากที่มา ที่มา - Google
# ซัมซุงแจ้งเตือน นาฬิกา Samsung Gear รุ่นแรกๆ จะใช้กับมือถือปี 2021 ไม่ได้แล้ว ซัมซุงประกาศข่าวว่านาฬิกา Galaxy Gear/Samsung Gear รุ่นเก่าๆ จะไม่สามารถใช้ร่วมกับมือถือของซัมซุงที่ออกขายในปีหน้า 2021 ได้แล้ว (Galaxy Gear ตัวแรกออกปี 2013) อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบคือ Galaxy Gear รุ่นแรกสุด, Gear 2, Gear 2 Neo, Gear S, Gear Fit โดยทั้งหมดเป็นอุปกรณ์ที่ออกขายในช่วงปี 2013-2014 อุปกรณ์เหล่านี้จะสามารถใช้งานต่อได้ตามปกติ ใช้ร่วมกับมือถือของซัมซุงที่ออกในปี 2020 หรือเก่ากว่านั้นได้ แค่ไม่สามารถใช้ร่วมกับมือถือรุ่นใหม่ของปี 2021 เป็นต้นไปได้แล้ว ส่วน Samsung Gear S ที่ออกช่วงครึ่งหลังของปี 2014 และเป็นอุปกรณ์รุ่นแรกที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Tizen ของซัมซุงเอง รวมถึงอุปกรณ์ที่วางขายหลังจากนั้นคือ Gear S2/S3 และซีรีส์ Galaxy Watch ยังอยู่ในการซัพพอร์ตต่อไป ภาพ Samsung Gear 2 ที่มา - Android Authority
# Huawei เริ่มลงทุนในบริษัทผลิตอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมชิปเซ็ต ตามแนวทางพึ่งพาตัวเอง นอกจาก HarmonyOS และ HMS ที่ Huawei พัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นตัวตายตัวแทน Android/GMS ที่ไม่สามารถใช้งานได้หลังการแบน ก็มีเรื่องของชิปเซ็ตที่อนาคตยังไม่แน่นอน อย่างเรื่องไลเซนส์ที่ยังต้องพึ่ง Arm และโรงงานผลิตที่ยังต้องพึ่งต่างชาติไม่ว่าจะ TSMC หรือ Samsung ซึ่งล้วนต่างใช้เทคโนโลยีสหรัฐ Huawei เลยต้องพยายามหาทางพึ่งพาตัวเองให้ได้ในเรื่องนี้ และล่าสุดบริษัทกองทุน Hubble Technology Investment ที่ Huawei ตั้งขึ้นเพื่อลงทุนด้านต่าง ๆ ก็เริ่มหันมาลงทุนกับบริษัทผลิตชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมชิปของจีนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าที่ผ่านมา Hubble มักลงทุนในบริษัทที่จะมาเป็นซัพพลายเออร์ให้กับ Huawei โดยตรง แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะบริษัทที่ลงทุนไม่ได้สามารถมาเป็นซัพพลายเออร์โดยตรงให้กับ Huawei ได้ (บริษัทที่ลงทุนคือผลิตชิ้นส่วน ที่จะส่งมอบให้กับบริษัทผลิตชิปซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ Huawei อีกที) ขณะที่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กองทุนของ Huawei ก็มีลงทุนในบริษัทลักษณะเดียวกันนี้ เป็นเงินราว 13 ล้านหยวน ที่มา - FT
# Salesforce ยืนยันซื้อ Slack คุ้มราคา 8.3 แสนล้านบาท เพราะแชทเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ในบทสัมภาษณ์ Salesforce-Slack นอกจากประเด็นว่าใครติดต่อไปคุยกันก่อน ยังมีการอธิบายว่าทำไมการซื้อ Slack ในราคาแพงถึง 8.3 แสนล้านบาทจึงสมเหตุสมผล Bret Taylor ซีโอโอของ Salesforce ยืนยันว่า Slack คุ้มค่าเงิน 8.3 แสนล้านบาทแน่นอน เพราะ Slack จะกลายมาเป็นแกนกลางให้ Salesforce ต่อเชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ธุรกิจของ Salesforce เริ่มจาก CRM แต่ภายหลังก็ขยายมายังซอฟต์แวร์องค์กรประเภทอื่นๆ เช่น งานขาย งานบริการลูกค้า วิเคราะห์ข้อมูล ฯลฯ แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่คือการสื่อสารระหว่างกัน ซึ่ง Slack เข้ามาเติมเต็มตรงนี้ได้พอดี ส่วน Stewart Butterfield ซีอีโอของ Slack บอกว่ารูปแบบของการเชื่อมต่อเป็นไปได้ทั้งคนกับคน และคนกับโปรแกรมที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง การใส่ Slack เข้าไปในกระบวนการภายในองค์กรจะช่วยลดแรงต้านลง เช่น จากเดิมที่ต้องทำทุกอย่างผ่านอีเมล กดลิงก์ เปิดเบราว์เซอร์ ล็อกอิน กว่าจะเข้าโปรแกรมได้ ก็สามารถกดปุ่มเดียวจากในหน้าแชทได้เลย ช่วยให้องค์กรเคลื่อนตัวไปเร็วขึ้น ทั้ง Taylor และ Butterfield ปฏิเสธว่าดีลนี้ไม่เกี่ยวกับการแข่งขันกับไมโครซอฟท์เลย แม้ที่ผ่านมา Slack ออกมาโจมตีไมโครซอฟท์อยู่บ่อยครั้ง ส่วน Taylor ยืนยันว่าจะรักษาความเป็นอิสระของ Slack ในระดับหนึ่ง โดยหาจุดที่เหมาะสมระหว่างความเป็นอิสระกับการผนวกเข้ากับ Salesforce ดังที่เคยทำมาแล้วกับการซื้อกิจการใหญ่รอบก่อนๆ คือ Mulesoft และ Tableau Bret Taylor ภาพจาก Salesforce ที่มา - TechCrunch
# เทรนด์ใหม่ TikTok คนแห่ดูคลิปสอนลงทุน ทำอย่างไรให้รวย แต่ยังมีปัญหาเรื่องข้อเท็จจริง TikTok นอกจากจะมีความโดดเด่นเรื่องคลิปบันเทิง ร้องเล่นเต้นประกอบเพลงแล้ว ด้วยความที่เป็นแพลตฟอร์มคลิปสั้น ผู้ใช้งานจึงนิยมดูเนื้อหาประเภทคลิปสอนฮาวทู แต่งหน้า ทำอาหาร ประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ เพราะดูแล้วเพลิดเพลิน เข้าใจง่ายและได้ความรู้เพิ่ม คลิปฮาวทูสอนการลงทุน เคล็ดลับรวยเร็ว และวิธีจัดการการเงินส่วนตัวก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน คลิปในแฮชแท็กจำพวก #sidehustle, #personalfinance, #investing และ #stocktips ได้รับการดูหลายล้านครั้งในเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา HootSuite เป็นบริการสำหรับโพสต์ไปยังเครือข่ายสังคม ประมาณการว่า 69% ของผู้ใช้ TikTok มีอายุระหว่าง 13 ถึง 24 ปี และเนื้อหาในหัวข้อการเงินส่วนบุคคลก็มี engagement สูง แต่ความน่ากังวลคือเป็นการยากที่จะแยกแยะว่า คลิปไหนเป็นคลิปเชิงให้ความรู้จริงๆ หรือคลิปไหนเป็นเชิงตลก ตัวอย่างคลิปการเงินที่มีคนดูสูงอย่างคลิปของ Tommy Zippler (@kingzippy) ที่แนะนำให้ใช้เงินจากบัตรเครดิตใบใหม่มาโปะใบเก่า ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะไม่มีหนี้บัตรเครดิต แม้เขาจะระบุแล้วว่าเป็นคลิปตลก แต่มีคนดูคลิปนี้ไปแล้วกว่า 430,000 ครั้ง เนื้อหาจำพวกแนะนำการลงทุนได้รับความนิยมสูงด้วย ครีเอเตอร์บางรายแนะนำให้กดซื้อคอร์สสอนลงทุนราคา 300 ดอลลาร์ หรือกดเพื่อพูดคุยกันต่อที่ Discord เพื่อที่พวกเขาจะได้ให้คำแนะนำการลงทุนเล่นหุ้นเพิ่มเติม ซึ่งหลายคนอาจยังไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญการลงทุนมากขนาดนั้น การตรวจสอบเนื้อหาว่าคลิปไหนถูกหรือปิด ก็ทำได้อย่าง เนื่องจากสื่อรูปแบบมัลติมีเดียแบบนี้ ตรวจสอบยากกว่าเนื้อหาที่เป็นตัวอักษรที่โพสต์ตามโซเชียลมีเดียอื่นอย่าง Facebook, Twitter ดานโฆษก TikTok ระบุว่า ทางแพลตฟอร์มไม่อนุญาตให้ใครใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มเพื่อทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการฉ้อโกง, ขโมยทรัพย์สิน ทางแพลตฟอร์มได้ลบเนื้อหาที่จงใจหลอกลวงทางการเงิน อย่างไรก็ตาม TikTok ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทำงานของอัลกอริทึม หรือตัวอย่างเฉพาะของเนื้อหาที่ตรวจสอบและลบออกไปว่ามีอะไรบ้าง ที่มา - Bloomberg Wealth
# เป็นคู่แข่งกันแล้วไง ไมโครซอฟท์สอนติดตั้ง VS Code บน Chromebook ให้เลย สินค้ากลุ่ม Chromebook อาจเป็นคู่แข่งโดยตรงกับโน้ตบุ๊กวินโดวส์ราคาถูก แต่ความเป็นคู่แข่งกันไม่จำเป็นต้องเกลียดกันเสมอไป ไมโครซอฟท์เขียนโพสต์สอนการใช้งาน Chromebook ในฐานะเครื่องมือเขียนโปรแกรม โดยเฉพาะเด็กๆ นักเรียนนักศึกษา ที่อาจมี Chromebook ใช้งานอยู่แล้วก็ไม่ต้องซื้อใหม่ ส่วนเครื่องมือที่สอนย่อมเป็น Visual Studio Code เวอร์ชันลินุกซ์ ที่สามารถใช้งานบน Chrome OS ได้อยู่แล้ว ไมโครซอฟท์บอกว่า VS Code ออกแบบมาให้กินทรัพยากรน้อย ดังนั้นต่อให้เป็น Chromebook รุ่นราคาถูก สเปกต่ำ แรมเพียง 1GB ก็รันได้ (ตัวอย่างที่สอนใช้ Chromebook รุ่นแรม 4GB) แถมยังรองรับการใช้งานบน Chromebook ที่เป็น ARMv7 หรือ ARM64 ก็ได้เช่นกัน การติดตั้งก็ตรงไปตรงมา ต้องเปิดตัวเลือก Linux (Beta) ในหน้า Settings ของ Chrome OS ก่อน แล้วดาวน์โหลดแพ็กเกจ .deb จากหน้าดาวน์โหลดของ VS Code ได้เลย หน้าตาของ VS Code บน Chrome OS ที่มา - Visual Studio Code
# Visa/Mastercard กำลังสอบสวนว่า Pornhub เผยแพร่วิดีโอโป๊เด็กและเนื้อหาข่มขืนหรือไม่ อาจตัดความสัมพันธ์ Visa และ Mastercard เปิดเผยว่ากำลังสอบสวนว่า Pornhub ปล่อยให้มีการเผยแพร่วิดีโอโป๊เด็กและวิดีโอข่มขืนจริงหรือไม่ หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ The New York Times ลงบทความ "The Children of Pornhub" ระบุว่าเว็บไซต์เต็มไปด้วยวิดีโอที่ไม่ได้รับความยินยอม เช่น วิดีโอข่มขืน, ภาพแอบถ่าย, และวิดีโอโป๊เด็ก บทความแสดงให้เห็นว่าหากใช้คำค้นเฉพาะ ก็สามารถค้นหาวิดีโอโป๊เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีโดยมีผลค้นหานับแสนราย และหลายรายเป็นเผยื่อของกลุ่มค้ามนุษย์ ในบทความสัมภาษณ์เหยื่อคนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า Cali ที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์จากพ่อแม่บุญธรรมตั้งแต่อายุ 9 ปี และวิดีโอจำนวนหนึ่งถูกอัพโหลดเข้าไปยัง Pornhub จนตอนนี้เธออายุ 23 ปีแล้ว แต่ก็ยังพบว่าวิดีโอภาพเธอถูกอัพโหลดกลับขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ แฟลตฟอร์มที่เปิดให้ผู้ใช้อัพโหลดคอนเทนต์ได้เองมักมีผู้อัพโหลดเนื้อหาเหล่านี้เป็นปกติ แต่แพลตฟอร์มอื่นมักแสดงความจริงจังในการไล่ติดตามลบคอนเทนต์เหล่านี้ เช่น เฟซบุ๊กรายงานว่าลบภาพไปแล้ว 12.4 ล้านภาพในห้วงเวลา 3 เดือน ขณะที่ทวิตเตอร์รายงานว่าแบนบัญชีไป 264,000 บัญชีในช่วงเวลา 6 เดือน แต่ Pornhub กลับรายงานว่าลบวิดีโอตามรายงานจาก Internet Watch Foundation ไปเพียง 118 รายการในช่วงเวลา 3 ปี Pornhub ตอบโต้บทความบน The New York Times ว่า การอ้างว่าบริษัทปล่อยให้มีคอนเทนต์ละเมิดเด็กไม่เป็นความจริงและเป็นการนำเสนอคอนเทนต์ที่ไม่มีความรับผิดชอบ พร้อมกับระบุว่า กระบกวนการต่อสู้กับคอนเทนต์ผิดกฎหมายเป็นการต่อสู้ต่อเนื่อง และบริษัทจะเดินหน้าสู้ต่อ Mastercard ระบุว่าหากข้อกล่าวหามีน้ำหนักทางบริษัทก็จะดำเนินการทันที ขณะที่ Visa ระบุว่ารับรู้ข้อกล่าวหานี้แล้ว และกำลังทำงานร่วมกับสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องเพื่อสอบสวนต่อไป หากพบว่าทางเว็บไซต์ทำผิดกฎหมายก็ไม่สามารถให้บริการรับจ่ายเงินได้อีกต่อไป ที่มา - South China Morning Post
# GoPro เผยสถิติ ขายกล้องได้เกิน 40 ล้านตัวแล้ว, บริการ Subscription ขายดี GoPro เผยสถิติว่านับตั้งแต่ขายกล้องครั้งแรกในปี 2008 ตอนนี้สามารถขายกล้องได้แล้วทั้งหมด 40 ล้านตัว โดยยอดขายจำนวนไม่น้อยมาจากการขายในช่วง Black Friday/Cyber Monday รอบที่ผ่านมา ส่วนบริการสมาชิกอัพโหลดไฟล์วิดีโอขึ้นคลาวด์ เดือนละ 4.99 ดอลลาร์ ตอนนี้มีสมาชิกแล้ว 670,000 ราย และคาดว่าจะทะลุ 700,000 รายได้ในสิ้นปีนี้ กล้องรุ่นล่าสุดของ GoPro ที่เปิดตัวในปีนี้คือ Hero 9 Black ที่พัฒนาขึ้นจากรุ่นเดิมหลายอย่าง โดยเฉพาะจอสีด้านหน้า และเลนส์ถอดได้ ที่ทำให้ถ่ายวิดีโอในสถานการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น ในอีกทาง บริษัทก็เริ่มขยายธุรกิจจากการขายกล้องอย่างเดียว มาสู่บริการ subscription ที่ช่วยให้รายได้ยั่งยืนขึ้นด้วยเช่นกัน ที่มา - GoPro
# กูเกิลเลิกจ้างนักวิจัยชื่อดัง Timnit Gebru หลังพยายามให้ถอนรายงานวิจัย, พนักงานกว่า 1500 คนลงชื่อประท้วง สัปดาห์ที่ผ่านมา Timnit Gebru นักวิจัยด้านจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ (Ethical AI) ได้ออกมาเปิดเผยว่าเธอถูกไล่ออกจากกูเกิลหลังจากพยายามตีพิมพ์งานวิจัยใหม่แต่ถูกผู้บริหารกูเกิลสั่งให้ถอนงานวิจัยออก จนเธอยื่นคำขาดว่าหากไม่ได้ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นนี้เธอจะลาออกจากบริษัท หลังจากนั้นเธอได้รับอีเมลว่าบริษัทตอบรับการลาออกของเธอและเตรียมให้เธอคืนอุปกรณ์ของกูเกิลในภายหลัง และพนักงานกูเกิลจำนวนมากแสดงความไม่พอใจจนลงชื่อไม่เห็นด้วยต่อการเลิกจ้างครั้งนี้มากกว่า 1,500 คน Timnit เป็นผู้ร่วมวิจัยกับ Joy Buolamwini นักวิจัยของไมโครซอฟท์ในงานวิจัยเมื่อปี 2018 ที่แสดงให้เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์จดจำใบหน้ามีแนวโน้มจะจดจำใบหน้ากลุ่มคนผิวสีได้แย่กว่ากลุ่มคนผิวขาวมาก กระตุ้นให้วงการปัญญาประดิษฐ์ศึกษากันมากขึ้นว่าโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่นำมาใช้งานกันกว้างขวางนั้นสร้างผลกระทบต่อชนกลุ่มน้อย หรือมีความโน้มเอียงในรูปแบบใดที่กระทบคนกลุ่มใดเป็นพิเศษหรือไม่ Timnit Gebru เมื่อปี 2018 ภาพโดย TechCrunch งานวิจัยใหม่ของ Timnit ที่ร่วมกับนักวิจัยอีก 5 คน โดยนอกจาก Timnit เองแล้ว ยังมี Emily M. Bender ศาสตราจารย์ด้านการประมวลผลภาษาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อนักวิจัยอื่นในงานนี้) ระบุถึงความเสี่ยงของการพัฒนาโมเดลปัญญาประดิษฐ์ประมวลภาษาธรรมชาติทุกวันนี้ ที่โมเดลปัญญาประดิษฐ์มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และทำงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนผู้คนเริ่มไว้ใจในงานหลายๆ อย่าง โดยบทนำของงานวิจัยนี้ตั้งคำถามว่ามีการศึกษาความเสี่ยงของการใช้ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ และมีแนวทางแก้ไขความผิดพลาดของโมเดลเหล่านี้เพียงพอหรือไม่ ความเสี่ยงของโมเดลปัญญาประดิษฐ์ซับซ้อนสูงที่งานวิจัยนำเสนอ มีตั้งแต่การใช้พลังงานในการฝึกปัญญาประดิษฐ์ที่สูงมาก เช่นโมเดล Tranformer นั้นปล่อยคาร์บอนประมาณ 284 ตัน และมีต้นทุนการฝึกแต่ละครั้งที่สูงมากจนกระทั่งมีเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถใช้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์แบบนี้ได้ และเนื่องจากโมเดลขนาดใหญ่ต้องอาศัยข้อมูลอินพุตมหาศาล นักวิจัยมักใช้ข้อความทุกประเภทเท่าที่จะกวาดได้จากอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าข้อความเหล่านั้นจะเหยียดเพศ, มุ่งร้าย, หรือมีด้านแย่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลขนาดใหญ่เช่นนี้ยังทำให้นักวิจัยไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าโมเดลปัญญาประดิษฐ์ของตัวเองมีแนวโน้มเหยียดคนกลุ่มใดเป็นพิเศษหรือไม่ แนวทางการสร้างปัญญาประดิษฐ์ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ยังดึงความสนใจของนักวิจัย แทนที่จะสร้างโมเดลที่พยายามทำความเข้าใจภาษาอย่างแท้จริง และใช้ข้อมูลในการฝึกลดลง ไปจนถึงใช้พลังงานในการฝึกลดลง สำหรับผู้ใช้งานเองก็อาจจะเข้าใจว่าปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้มีความเก่งกาจทั้งที่หลายครั้งมันทำผิดได้โดยง่าย กรณีตัวอย่างเช่นเฟซบุ๊กแปลคำว่า "อรุณสวัสดิ์" ในภาษาอราบิกผิดเป็น "โจมตีมัน" ในภาษาฮีบรู ทำให้นักเรียนปาเลสไตน์ถูกจับกุม (กรณีของไทยก็เคยมีกรณีคล้ายกัน) หลังจากกูเกิลไล่ Timnit ออก Jeff Dean หัวหน้าฝ่ายวิจัยออกมาชี้แจง ยืนยันว่ากระบวนการตรวจสอบงานวิจัยก่อนเผยแพร่นั้นเป็นเรื่องปกติ และฝ่าย PR ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์เพื่อยืนยันว่าสามารถตีพิมพ์ได้หรือไม่ แต่ Timnit กลับส่งร่างงานวิจัยให้ตรวจสอบเพียงไม่กี่วัน และเมื่อเขาตรวจสอบก็พบว่ารายงานวิจัยไม่ได้พูดถึงความพยายามแก้ข้อกังวลที่รายงานของ Timnit ได้พูดถึงไปแล้วหลายประการ ทำให้ร่างรายงานวิจัยนี้ไม่ผ่านมาตรฐานการตีพิมพ์ของกูเกิล อย่างไรก็ดี พนักงานและอดีตพนักงานคนอื่นๆ ของกูเกิลก็ออกมาระบุว่าปกติบริษัทไม่ได้เข้ามาตรวจสอบมาตรฐานงานวิจัยอะไรมากมายนัก Nicolas Le Roux นักวิจัยของ Google Brain ระบุว่าปกติมีการตรวจสอบเพียงเนื้อหาล่อแหลมเท่านั้น ไม่ได้ตรวจสอบว่าอ้างอิงงานคนอื่นครบถ้วนหรือไม่ William Fitzgerald อดีตเจ้าหน้าที่ PR ของกูเกิลก็ระบุเหมือนว่าทีม PR รีวิวงานวิจัยไม่ทันเป็นเรื่องปกติ และไม่เคยมีการลงโทษนักวิจัยที่ไม่ทำตามกระบวนการขนาดนี้ ข้อความที่ขัดกับ Jeff Dean เช่นนี้ทำให้มองได้ว่ากูเกิลมุ่งจะเซ็นเซอร์งานนี้เป็นพิเศษ โดยเอาเรื่องคุณภาพงานวิจัยมาเป็นข้ออ้าง Bender ผู้ร่วมงานวิจัยนี้เองก็ระบุว่าการไล่ Timnit ออกครั้งนี้จะสร้างความกังวล (chilling effect) ต่อการวิจัยด้านจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ในอนาคต ที่มา - MIT Technology Review, Google Walkout, The Guardian
# แล้วมันผิดตรงไหน พบบัญชีทวิตเตอร์เกิดใหม่รุมกดไลค์ทวีตโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนวิจารณ์ออสเตรเลีย โพสข้อความซ้ำๆ กัน เมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Zhao Lijian (趙立堅) โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ทวีตภาพทหารออสเตรเลียกำลังเอามืดปาดคอพลเรือน พร้อมข้อความระบุว่า "[จีน]ช็อคกับข่าวที่ทหารออสเตรเลียกุมขังและสังหารพลเรือนอัฟกานิสถาน เราประณามต่อการกระทำนี้อย่างรุนแรงและเรียกร้องให้มีการเอาผิด" ทวีตนี้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองชาติ โดยทางการออสเตรเลียร้องขอให้ทวิตเตอร์ลบทวีตเสียแต่ทวิตเตอร์ปฎิเสธ (คาดว่าทวีตได้รับความคุ้มครองตามนโยบายทวีตบุคคลสาธารณะ) ที่น่าสนใจคือทวีตนี้มี engagement สูงมากมีจำนวนำ retweet กว่า 11,600 ครั้ง, quote tweet อีก 7,100 ครั้ง และกด like อีกถึง 70,400 ครั้ง ทำให้มีกลุ่มวิจัยเข้ามาสำรวจว่าใครมา engage กับทวีตนี้บ้าง Cyabra บริษัทวิจัยวิจัยข่าวปลอมจากอิสราเอลระบุว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมีขบวนการโปรโมททวีตของ Zhao อย่างเป็นระบบ เนื่องจากโปรไฟล์ที่เกี่ยวข้องสัดส่วนถึง 57.5% นั้นเป็นโปรไฟล์ปลอม และจำนวนมากเพิ่งสร้างบัญชีขึ้นมาเมื่อเดือนที่แล้ว อีกทางหนึ่ง Tim Graham จาก Queensland University of Technology วิเคราะห์ทวีตที่ reply ไปยังทวีตของ Zhao จำนวนกว่าหมื่นทวีตพบว่าบัญชีสัดส่วนขนาดใหญ่สร้างในปี 2020 และมีถึง 212 บัญชีสร้างในวันเดียวกัน และบัญชีที่มาตอบทวีตของ Zhao ก็มาจากจีนสูงมาก บัญชีจำนวนมากทวีตข้อความซ้ำๆ กัน ขณะที่ก่อนหน้านี้บัญชีเหล่านี้จำนวนหนึ่งทวีตข้อความเกี่ยวกับฮ่องกงมาก่อน จีนเป็นหนึ่งในชาติที่ทวิตเตอร์จับตามองจากการสร้างกองทัพไอโอจำนวนมาก รายงานของทวิตเตอร์ระบุว่ามีบัญชีแกนกลางที่มี engagement สูงจำนวน 23,750 บัญชี และมีกลุ่ม "ขยายความ" (amplifier) กว่า 150,00 บัญชี ที่มา - Taipei Times (Reuters)
# ไมโครซอฟท์ประกาศออก Edge WebView2 SDK รุ่นใช้งานจริงสำหรับแอพพลิเคชั่น .NET, เพิ่มตัวเลือกแจกจ่าย Runtime แบบ Fixed version หลังจากไมโครซอฟท์ได้ออก Edge WebView2 SDK ตัวช่วยเรนเดอร์หน้าเว็บบนแอพวินโดวส์ล่าสุดที่มาเปลี่ยนมาใช้เอนจิน Chromium ให้กับแอพพลิเคชั่นแบบ Win32 C/C++ มาได้ระยะหนึ่ง ตอนนี้ก็มาถึงคราวของแอพวินโดวส์ที่พัฒนาด้วย .NET กันบ้าง เมื่อไมโครซอฟท์ได้ประกาศออกรุ่นใช้งานจริงของ WebView2 SDK สำหรับแอพพลิเคชั่นตระกูล .NET เป็นที่เรียบร้อย ทำให้การพัฒนาแอพวินโดวส์ทั้งแบบ WinForms และ WPF ซึ่งมีการฝังการแสดงผลจากเว็บแอพ สามารถเปลี่ยนมาใช้ WebView2 SDK เพื่อใช้ประโยชน์จากเอนจิน Chromium ที่เรนเดอร์หน้าเว็บได้ตรงกับเบราว์เซอร์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดได้แล้ว และสำหรับผู้ที่เป็นห่วงเรื่องความเข้ากันได้กับแอพพลิเคชั่นเดิมที่เคยพัฒนามาก่อนหน้านี้ WebView2 SDK นั้นรองรับการรันบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ย้อนหลังไปได้ถึง Windows 7 และยังสามารถเลือกเวอร์ชันของ .NET ที่ใช้พัฒนาได้ทั้ง .NET Framework (4.6.2 ขึ้นไป), .NET Core 3.1 ไปจนถึงเวอร์ชันล่าสุดอย่าง .NET 5 ในโอกาสเดียวกันไมโครซอฟท์ยังได้ประกาศออก distribution mode หรือตัวเลือกแจกจ่าย WebView2 Runtime ไปกับแอพวินโดวส์แบบใหม่ที่มีชื่อว่า Fixed version ซึ่งเป็นการกำหนดให้แอพเลือกใช้ WebView2 เวอร์ชันที่ได้แพครวมไว้กับแอพเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ได้เกิดปัญหาด้านความเข้ากันได้กับหน้าเว็บหากมีการอัพเดต WebView2 ในภายหลัง เพิ่มเติมจากตัวเลือกแจกจ่าย Runtime แบบเดิมคือ Evergreen ซึ่งเป็นการเปิดให้ WebView2 อัพเดตตัวเองแบบอัตโนมัติ ซึ่งมีข้อดีคนละอย่างกับตัวเลือกบนคือ เพื่อทำให้หน้าเว็บได้ใช้ฟีเจอร์ใหม่ๆ และยังช่วยมั่นใจว่า WebView2 จะได้รับแพทช์ความปลอดภัยล่าสุดเสมอ นักพัฒนาท่านใดสนใจเข้าไปอ่านรายละเอียดได้จากเอกสารบนเว็บไมโครซอฟท์ครับ ที่มา - Windows Blogs via MSPoweruser
# เผยเบื้องหลัง Slack ติดต่อไปหา Salesforce ก่อนเพื่อขอซื้ออย่างอื่น แต่กลับถูกซื้อซะเอง Stewart Butterfield ซีอีโอของ Slack เผยเบื้องหลังการถูก Salesforce ซื้อกิจการ ว่าจุดเริ่มต้นมาจากฝ่าย Slack ติดต่อไปหา Salesforce ก่อน แต่ไม่ได้ไปเสนอขายกิจการ เพราะติดต่อไปเพื่อขอซื้อธุรกิจซอฟต์แวร์จาก Salesforce ต่างหาก (สุดท้ายเลยถูกซื้อซะเองหมดทั้งบริษัท) Butterfield บอกว่าเขาสนใจ Quip ซอฟต์แวร์สร้างเอกสารร่วมกัน (ลักษณะเดียวกับ Google Docs) ที่ Salesforce ซื้อกิจการมาในปี 2016 แต่ไม่ได้เน้นมากนักในช่วงหลัง โดย Butterfield มองว่า Quip น่าจะเหมาะกับการต่อยอดที่ Slack มากกว่า (คุยงานแล้วแก้เอกสารกันใน Slack เลย) บังเอิญว่า ผู้ก่อตั้ง Quip คือ Bret Taylor ซึ่งปัจจุบันเป็นซีโอโอของ Salesforce ด้วย เมื่อ Butterfield ติดต่อไปยัง Taylor ในช่วงต้นปีที่เริ่มมีสถานการณ์โรคระบาด หลังจากนั้นอีก 6 เดือนให้หลัง Taylor ก็กลับมาพร้อมการเจรจาที่กลายเป็นการซื้อ Slack แทน ที่มา - TechCrunch
# Steve Wozniak ร่วมก่อตั้งบริษัทใหม่ Efforce ขายเหรียญ ICO ด้านประหยัดพลังงาน Steve Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้งแอปเปิล เปิดตัวบริษัทใหม่ชื่อ Efforce เป็นตลาดซื้อขาย "การประหยัดพลังงาน" โดยใช้บล็อคเชน/เหรียญคริปโต (energy saving tokenization) โดยเขามีสถานะเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง (co-founder) Efforce ก่อตั้งโดยทีมงานจากบริษัทด้านพลังงานชื่อ AitherCO2 ที่ทำเรื่องการช่วยให้หน่วยงานต่างๆ ประหยัดพลังงานมากขึ้น และมองเห็นโอกาสที่ตลาดนี้มีอัตราการเติบโตสูง จึงต้องการขยายตลาดนี้ให้กว้างขึ้น โดยเปิดให้คนทั่วไปสามารถเข้ามาสนับสนุนโครงการประหยัดพลังงานต่างๆ (เช่น การเปลี่ยนหลอดไฟ การติดตั้งฉนวนกันความร้อน ปรับปรุงระบบทำความเย็น) เพื่อให้โครงการเหล่านี้เกิดได้เร็วขึ้น หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็น crowdfunding ด้วยการจ่ายเป็นคริปโต แนวคิดของ Efforce คือการออกเหรียญ WOZX ขึ้นมาจำนวน 1 พันล้านเหรียญ (ไม่มีออกเพิ่มในอนาคต แต่มีกันไว้ส่วนหนึ่งสำหรับขุด) เพื่อใช้เป็นตัวแทนมูลค่าพลังงานที่ประหยัดได้ จากนั้นหน่วยงานต่างๆ สามารถเข้ามาขายโครงการได้ผ่าน Efforce โดยเปิดรับการลงทุนบนแพลตฟอร์ม Efforce ส่วนนักลงทุนจะได้เหรียญ WOZX กลับคืนไปตามมูลค่าพลังงานที่ประหยัดได้ และสามารถนำเหรียญนี้ไปขายต่อในตลาดรอง (secondary market) ได้ ผมอ่านแนวคิดของ Efforce ก็ยังค่อนข้างงงๆ และไม่เข้าใจสักเท่าไรนัก (เผื่อใครสนใจอ่าน whitepaper) และบทบาทของ Wozniak ก็ยังไม่ค่อยชัดเจนนัก โดยระบุว่าเป็นหนึ่งใน co-founder (อีก 3 คนที่เหลือคือคนจาก AitherCO2 เดิม) นอกจากทำหน้าที่เป็นพรีเซนเตอร์ให้โครงการแล้วก็ไม่บอกว่าทำอะไรอีกบ้าง ที่มา - Efforce, CNBC
# Raspberry Pi OS ออกรุ่นอัพเดทประจำเดือนธันวาคม 2020 Raspberry Pi OS ออกรุ่นอัพเดทสิ้นปีตามธรรมเนียม โดยมีการเปลี่ยนแปลงรุ่นของบราวเซอร์ ปรับปรุงประสิทธิภาพการประชุมออนไลน์ ปรับปรุงการรองรับเครื่องพิมพ์ ปรับปรุงการอ่านหน้าจอสำหรับผู้พิการทางสายตาและเพิ่มการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดอิมเมจใหม่ได้จากหน้าดาวน์โหลด หรืออัพเดทได้ทันทีด้วยคำสั่ง sudo apt full-upgrade สำหรับรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มีดังนี้ อัพเกรด Chromium เป็นรุ่น 84 พร้อมรองรับการเร่งการประมวลผลวิดีโอด้วยฮาร์ดแวร์ ทำให้การเล่นวิดีโอบน YouTube ลื่นไหลยิ่งขึ้น และจากสถานการณ์ COVID-19 ทีมพัฒนายังได้ทดสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพการประชุมออนไลน์ผ่าน Google Meet, Microsoft Teams และ Zoom บน Chromium ใน Raspberry Pi เพื่อตอบสนองความต้องการการใช้งานในช่วงนี้ เปลี่ยนซอฟต์แวร์ควบคุมระบบเสียงมาใช้ Pulse Audio แทน ALSA ทำให้สามารถรองรับการเล่นเสียงพร้อมกันจากหลายซอฟต์แวร์และรองรับการสลับอุปกรณ์เอาต์พุตในขณะเล่นเสียงโดยไม่ต้องรอเล่นจบ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังช่วยให้ระบบรองรับอุปกรณ์ระบบเสียงแบบบลูทูธได้เสถียรยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาไลบารี่ภายนอกเพิ่มเติม ติดตั้งแพ็กเกจ CUPS และ system-config-printer มาให้เพื่อรองรับการเชื่อมต่อเครื่องพิมพ์พร้อมหน้าต่างตั้งค่าอย่างง่าย ปรับปรุงการรองรับการอ่านหน้าจอด้วย Orca screen reader สำหรับผู้พิการทางสายตาในเมนู Raspberry Pi Configuration และ Appearance Settings และเพิ่มคีย์ลัดในการติดตั้ง Orca เพียงกดปุ่ม Ctrl + Alt + Space Bar โดยหากจำคีย์ลัดไม่ได้ระบบจะพูดคีย์ลัดให้ฟังหากไม่มีการเคลื่อนไหวภายใน 30 วินาทีหลังจากบูตอิมเมจในครั้งแรก นอกจากนี้การเปลี่ยนมาใช้ Pulse Audio ยังทำให้ระบบรองรับการอ่านหน้าจอออกทางหูฟังหรือลำโพงบลูทูธ เพิ่มการตั้งค่าหลอดไฟ LED ในบอร์ดที่มีหลอดไฟดวงเดียวเช่น Raspberry Pi Zero หรือ Raspberry Pi 400 ระหว่างให้ติดค้างขณะเปิดเครื่องเท่านั้นหรือให้กระพริบตามการใช้งานเขียน-อ่านดิสก์ เพิ่มการรองรับชุดระบายความร้อน Raspberry Pi 4 Case Fan (ข่าวเก่า) โดยสามารถเปิด-ปิดพัดลม เลือกขา GPIO สำหรับควบคุมความเร็วพัดลมและตั้งค่าอุณหภูมิที่ต้องการให้พัดลมเริ่มทำงานได้ ที่มา: Raspberry Pi Blog
# Razer เปิดตัวเกมมิ่งเดสก์ท็อป Tomahawk เครื่องขนาดเล็ก SFF แต่ใช้จีพียูตัวเต็มได้ เมื่อพูดถึงคอมพิวเตอร์แบรนด์ Razer เรามักนึกถึงเกมมิ่งโน้ตบุ๊ก Blade เป็นหลัก แต่ช่วงหลัง Razer เริ่มขยายพรมแดนออกมาจับตลาดใหม่ๆ เช่น Razer Book โน้ตบุ๊กทำงาน และล่าสุดคือเกมมิ่งเดสก์ท็อปในชื่อรุ่นว่า Razer Tomahawk จุดที่น่าสนใจที่สุดของ Razer Tomahawk คือเป็นเกมมิ่งเดสก์ท็อปขนาดเล็ก (Small Form Factor - SFF) แต่ยังใช้จีพียูรุ่นมาตรฐานเหมือนกับเดสก์ท็อปเครื่องใหญ่ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้รุ่น low profile เหมือนพีซีเกมมิ่ง SFF รุ่นอื่นๆ ตัวเครื่องยังออกแบบเป็นโมดูลาร์ สามารถถอดชิ้นส่วนต่างๆ ออกได้โดยไม่ต้องใช้ไขควงเลย สเปก ซีพียู: 9th Gen Intel Core i9-9980HK จีพียู: เลือกได้ระหว่าง GeForce RTX 3080 Founders Edition หรือปล่อยว่างไว้ไปเลือกซื้อใส่เอง แรม: 16GB DDR4 2667MHz สตอเรจ: 512GB PCIe NVMe + 2TB HDD (5400 RPM) + สล็อต M.2 ว่างอีกสล็อต พอร์ต: USB-A x4, USB-C (Thunderbolt 3) x2 Wi-Fi 6 (AX200), Bluetooth 5.0 พาวเวอร์ซัพพลาย 750 วัตต์ การที่ Tomahawk เป็นสินค้าของ Razer ยังรองรับไฟ Chroma RGB ตามมาตรฐาน ซึ่งใช้ได้กับเกมจำนวนมากที่รองรับแพลตฟอร์ม Chroma อยู่แล้วทันที ราคาเริ่มต้นที่ 2,399.99 ดอลลาร์ (ประมาณ 73,000 บาท) ยังไม่รวมการ์ดจอ ที่มา - Razer
# HPE ไตรมาสล่าสุด รายได้กลับมาเท่าช่วงก่อน COVID-19 แล้ว HPE (Hewlett Packard Enterprise) รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 4 ตามปีการเงินบริษัท 2020 สิ้นสุด 31 ตุลาคม 2020 รายได้รวม 7,208 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ บริษัทระบุว่ารายได้ในไตรมาสที่ผ่านมากลับไปเท่ากับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 แล้ว ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 157 ล้านดอลลาร์ รายได้ของ HPE แยกตามกลุ่มธุรกิจเป็นดังนี้ กลุ่มธุรกิจหลัก Compute รายได้ลดลง 4% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 3,175 ล้านดอลลาร์ Storage ลดลง 3% เป็น 1,217 ล้านดอลลาร์ กลุ่มธุรกิจใหม่เพื่อการเติบโต Intelligent Edge รายได้เพิ่มขึ้น 5% เป็น 786 ล้านดอลลาร์ HPC (High Performance Compute) และ MCS (Mission Critical Systems) เพิ่มขึ้น 25% เป็น 975 ล้านดอลลาร์ ส่วนกลุ่มธุรกิจให้คำปรึกษาและการเงิน รายได้รวม 1,094 ล้านดอลลาร์ HPE ยังประกาศเตรียมย้ายสำนักงานใหญ่ จากเมือง San Jose รัฐแคลิฟอร์เนีย ไปยังเมือง Houston รัฐเท็กซัส ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ที่นั่น แล้วเตรียมปรับสำนักงานในแคลิฟอร์เนียเป็นหน่วยงานเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรมแทน ที่มา: HPE
# Salesforce เปิดตัว Hyperforce ปรับสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ใหม่ รันบนคลาวด์รายอื่นได้ สัปดาห์ที่แล้ว Salesforce ประกาศข่าวสำคัญอีกข่าว (ที่โดนข่าวซื้อ Slack กลบมิด) คือ Hyperforce ซึ่งเป็นการปรับสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่ของ Salesforce นับตั้งแต่เปิดบริษัทมา เมื่อแรกก่อตั้งบริษัท ซอฟต์แวร์ทุกอย่างของ Salesforce เป็น SaaS (Software as a Service) ที่ทุกอย่างโฮสต์อยู่บนเซิร์ฟเวอร์ของ Salesforce เท่านั้น แต่ในโลกยุคใหม่ที่เป็นมัลติคลาวด์ ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่หลากหลายทั้ง private cloud และ public cloud เป็นปัจจัยบีบให้ Salesforce ก็ต้องปรับตัวเช่นกัน Bret Taylor ซีโอโอของ Salesforce บอกว่าใช้เวลากว่า 2 ปีปรับสถาปัตยกรรมภายในทั้งหมด (ใช้คำว่า complete re-architecture) เพื่อให้ซอฟต์แวร์สำคัญๆ ของบริษัท เช่น Salesforce Customer 360, Sales Cloud, Service Cloud, Marketing Cloud, Commerce Cloud สามารถรันบน public cloud รายใหญ่ๆ ได้อย่างสมบูรณ์ (บริษัทยังไม่ระบุชื่อว่ามีคลาวด์เจ้าใดบ้าง) ในแง่ฟีเจอร์การใช้งานของซอฟต์แวร์คงไม่มีอะไรต่างจากเดิม ประโยชน์สำคัญของ Hyperforce คือลูกค้าของ Salesforce สามารถใช้ซอฟต์แวร์บนเครื่องไหนก็ได้ตามต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบางอุตสาหกรรม ที่มีเงื่อนไขเรื่องสถานที่หรือประเทศของศูนย์ข้อมูลค่อนข้างเข้มงวด นอกจากเรื่องที่ตั้งของศูนย์ข้อมูล Hyperforce ยังเพิ่มความยืดหยุ่นเรื่องสถาปัตยกรรมของซอฟต์แวร์ Salesforce ที่เลือกใช้ฐานข้อมูล Oracle และภาษาโปรแกรม APEX ของตัวเอง ซึ่งไม่ค่อยทันสมัยแล้วในยุคปัจจุบัน อีกทั้งช่วยลดต้นทุนค่าบริหารศูนย์ข้อมูลของ Salesforce ที่แพงกว่าการย้ายไปใช้ public cloud เจ้าใหญ่รายอื่นๆ ตอนนี้โครงการ Hyperforce เริ่มให้บริการแล้วในอินเดียและเยอรมนี จะขยายเพิ่มอีก 10 ประเทศในปี 2021 โดยลูกค้าไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ เพราะซอฟต์แวร์มีความเข้ากันได้ 100% ที่มา - Salesforce, CIO
# รายงานประจำปี 2020 ของ GitHub: Python แซง Java ขึ้นเป็นภาษายอดนิยมอันดับ 2 GitHub ออกรายงานตัวเลขภาพรวมของชุมชนประจำปี 2020 มีนักพัฒนามากกว่า 56 ล้านคน มี repository ที่ถูกสร้างขึ้นในปีที่ผ่านมามากกว่า 60 ล้านโครงการ ภาษาที่ได้รับความนิยมสูงสุด อันดับที่ 1 ยังเป็น JavaScript แต่มีการสลับในลำดับที่ 2 และ 3 โดย Python อยู่อันดับที่ 2 และ Java อยู่ในอันดับที่ 3 ตามด้วย TypeScript และ C# ในลำดับที่ 4-5 รายงานประจำปีนี้ยังพูดถึงผลกระทบของมาตรการล็อคดาวน์จากโควิด-19 โดยพบว่ามีการสร้างโครงการใหม่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมตั้งแต่มีนาคม 2020 สะท้อนว่านักพัฒนาให้เวลากับชั่วโมงทำงานต่อวันที่มากขึ้น และ repository ที่สร้างขึ้นจำนวนมากก็เป็นโครงการเกี่ยวกับโควิด-19 ที่มา: GitHub ผ่าน SlashDot
# ทำความรู้จัก Start-Up ระดับยูนิคอร์นของเกาหลีใต้ ที่ตอนนี้มี 11 บริษัท ไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรี่ส์ Start-Up ผู้อ่าน Blognone หลายคน อาจกำลังติดตามซีรี่ส์จากเกาหลีเรื่อง Start-Up ที่มีให้ชมทาง Netflix ซึ่งคืนวันนี้ซีรี่ส์ก็มาถึงตอนจบแล้ว Start-Up เป็นซีรี่ส์แนวดราม่าที่มีเนื้อเรื่องอยู่ในบรรยากาศของกลุ่มคนทำสตาร์ทอัพ นำเสนอประเด็นหลายอย่าง อาทิ การขอเงินทุนจาก VC ปัญหาระหว่างผู้ถือหุ้น ไปจนถึงประเด็นทางสังคมเมื่อนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหา รูปแบบธุรกิจที่พูดถึงในซีรี่ส์เรื่องนี้ส่วนใหญ่อิงอยู่บนเทคโนโลยี AI ในด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ตามในเกาหลีใต้นั้นมีสตาร์ทอัพที่ระดมทุนจนอยู่ในระดับยูนิคอร์น (มูลค่ากิจการมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์) อยู่ในปัจจุบัน 11 ราย และมีบางแห่งที่ exit ไปก่อนหน้าแล้ว บทความนี้จะพาไปรู้จักสตาร์ทอัพรายใหญ่ในเกาหลีใต้ว่ามีธุรกิจใดบ้าง Coupang (มูลค่ากิจการ 9,000 ล้านดอลลาร์) Coupang เป็นอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของเกาหลีใต้ ดำเนินกลยุทธ์แบบ Amazon คือเน้นสร้างศูนย์กระจายสินค้าหลายจุดทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถจัดส่งสินค้าได้รวดเร็ว รองรับการขายทั้งแบบ B2C และ C2C และมีธุรกิจสนับสนุนอย่างโฆษณาและระบบสมาชิก มีนักลงทุนรายสำคัญอาทิ SoftBank, Sequoia Capital, BlackRock พันธกิจองค์กรของ Coupang นั้นบอกว่าคือการสร้างโลกที่คนจะต้องพูดว่าเราจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มี Coupang การลงทุนด้านการขนส่งอย่างหนัก ทำให้คำสั่งซื้อของ Coupang ปัจจุบัน 99.3% สามารถจัดส่งได้ภายใน 1 วัน และมีคำสั่งซื้อเฉลี่ย 3.3 ล้านคำสั่งซื้อต่อวัน จนถึงตอนนี้ Coupang ยังมีผลประกอบการขาดทุนทุกไตรมาส อย่างไรก็ตามบริษัทมีแผนที่จะไอพีโอเข้าตลาดหุ้นภายในปี 2021 Krafton (มูลค่ากิจการ 5,000 ล้านดอลลาร์) Krafton เป็นบริษัทพัฒนาเกม มีสตูดิโอผู้พัฒนาเกมในเครือหลายแห่ง มีเกมดังซึ่งหลายคนรู้จักดีอย่าง PUBG และ TERA รวมไปถึงเกมที่ใกล้เปิดตัวแล้วอย่าง Elyon นักลงทุนรายสำคัญใน Krafton ก็คือ Tencent ที่ถือหุ้นอยู่ 13.2% บริษัทมีแผนไอพีโอภายในครึ่งแรกของปี 2021 Yello Mobile (มูลค่ากิจการ 4,000 ล้านดอลลาร์) Yello Mobile ถือเป็นกรณีศึกษาน่าสนใจของสตาร์ทอัพในเกาหลีใต้ บริษัทก่อตั้งเมื่อปี 2012 โดยตั้งเป้าเป็นบริษัทที่สนับสนุนสตาร์ทอัพด้วยกัน วางกลยุทธ์เติบโตผ่านการซื้อกิจการสตาร์ทอัพ เน้นบริษัทที่มีเทคโนโลยีบนสมาร์ทโฟน ใน 6 ปีแรกหลังก่อตั้ง Yello Mobile มีสตาร์ทอัพในมือถึง 94 แห่ง และเป็นสตาร์ทอัพรายแรกของเกาหลีใต้ที่มีมูลค่ากิจการในระดับยูนิคอร์น (ปี 2014) อย่างไรก็ตาม Yello Mobile กลับมีสถานะทางการเงินที่เป็นปัญหา บริษัทเริ่มไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ให้เจ้าหนี้ได้ตามกำหนด สตาร์ทอัพหลายแห่งที่ซื้อมาไม่ทำเงิน หรือไม่เติบโตได้ตามแผนที่วางไว้ โครงการไอพีโอก็ถูกยุติไป ซีอีโอประกาศลาออก พร้อมกับมีคดีฟ้องร้องตามมา มูลค่ากิจการตามปัจจุบันของ Yello Mobile จึงน่าจะไม่เป็นยูนิคอร์นแล้ว แต่ตัวเลข 4,000 ล้านดอลลาร์ เป็นการอ้างอิงจากราคาเพิ่มทุนครั้งสุดท้ายนั่นเอง Yello Mobile มีนักลงทุนหลักคือ Formation 8, SBI, Macquarie Capital Viva Republica (มูลค่ากิจการ 2,600 ล้านดอลลาร์) Viva Republica เป็นสตาร์ทอัพสาย FinTech มีบริการหลักคือ Toss ระบบโอนเงินหากันระหว่างบุคคล (P2P) ซึ่งเกิดจากผู้ก่อตั้ง Seunggun Lee มองเห็นว่าการโอนเงินระหว่างบุคคลในระบบการเงินเกาหลีใต้ มีความยุ่งยากมากเกินไป เขาจึงตัดสินใจลาออกจากอาชีพทันตแพทย์ เพื่อมาดำเนินงานสตาร์ทอัพนี้ ระบบการเงินแนวใหม่ย่อมมีข้อขัดแย้งกับหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่ง Toss ก็พบปัญหานี้เช่นเดียวกัน แต่เขาก็ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในเกาหลีใต้ปรับเงื่อนไขสำเร็จ ตอนนี้บริการของ Toss มีผู้ใช้งานมากกว่า 14 ล้านคน ขยายไปสู่บริการทางการเงินอื่น อาทิ บริการเงินฝาก, บริการคะแนนเครดิต ไปจนถึงการลงทุนในกองทุนรวม WeMakePrice (มูลค่ากิจการ 2,340 ล้านดอลลาร์) WeMakePrice เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซ มีจุดเด่นที่เน้นสินค้าราคาถูกที่สุด รวมทั้งมีโปรแกรมคืนเงินส่วนต่างหากซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มอื่นได้ในราคาที่ถูกกว่า Musinsa (มูลค่ากิจการ 1,890 ล้านดอลลาร์) Musinsa เป็นอีคอมเมิร์ซที่เน้นสินค้าด้านแฟชั่นเครื่องแต่งกาย รวมทั้งมีหน่วยงานด้านคอนเทนต์เพื่อนำเสนอเทรนด์แฟชั่นอีกด้วย ความสำเร็จของ Musinsa ในฐานยูนิคอร์นรายแรกด้านอีคอมเมิร์ซแฟชั่น ยังทำให้บริษัทรายใหญ่ในเกาหลีใต้ ลงมาทำตลาดแฟชั่นออนไลน์มากขึ้นด้วย GP Club (มูลค่ากิจการ 1,320 ล้านดอลลาร์) GP Club ไม่ใช่สตาร์ทอัพสายเทคโนโลยี บริษัทเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าเครื่องสำอางแบรนด์ JM Solution ซึ่งได้รับความนิยมสูงในจากลูกค้าชาวจีน มีนักลงทุนหลักรายเดียวคือ Goldman Sachs L&P Cosmetic (มูลค่ากิจการ 1,190 ล้านดอลลาร์) L&P Cosmetic เป็นสตาร์ทธุรกิจเครื่องสำอางเช่นเดียวกัน มีสินค้าเด่นคือมาสก์หน้าและสกินแคร์ มีผู้ลงทุนรายสำคัญคือ Credit Suisse Aprogen (มูลค่ากิจการ 1,040 ล้านดอลลาร์) Aprogen เป็นสตาร์ทอัพสายไบโอเทค เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนายาจากแอนติบอดี้ Yanolja (มูลค่ากิจการ 1,000 ล้านดอลลาร์) Yanolja เป็นแพลตฟอร์มจองห้องพัก ซึ่งเริ่มจากการเข้าไปร่วมมือกับเจ้าของห้องพักแบบชั่วคราว ที่ในเกาหลีใต้เรียกว่า Love Hotel ปรับภาพลักษณ์ให้เข้ากับตลาดคนรุ่นใหม่ หรือนักท่องเที่ยวที่มีงบไม่มาก Socar (มูลค่ากิจาร 1,000 ล้านดอลลาร์) Socar เป็นสตาร์ทอัพยูนิคอร์นรายล่าสุดของเกาหลีใต้ ให้บริการแชร์รถโดยสาร ปัจจุบันมีรถยนต์ในระบบมากกว่า 120,000 คัน ผู้สมัครใช้บริการมากกว่า 6 ล้านคน อ้างอิง: ข้อมูลสตาร์ทอัพเกาหลีใต้ - CBInsights, Pickool Coupang - CNBC Krafton - The Korea Economic Daily Yello Mobile - KoreaTechDesk, The Investor Korea Viva Republica - CNBC, Toss WeMakePrice - The Korea Times Musinsa - The Korea Times GP Club - Forbes Aprogen - Bioworld Yanolja - CNBC Socar - The Korea Herald ภาพประกอบ: tvN, Coupang, Krafton, Toss, Yanolja และ Socar
# ไม่ต้องกังวล Docker, Mirantis ประกาศรับช่วง dockershim ต่อ หลัง Kubernetes หยุดพัฒนา จากกรณี Kubernetes หยุดรองรับ Docker ในฐานะรันไทม์ (คำอธิบายแบบละเอียด) แกนกลางของปัญหาคือตัว Docker ไม่รองรับมาตรฐาน Container Runtime Interface (CRI) โดยตรง โครงการ Kubernetes จึงสร้าง dockershim มาเป็นตัวเชื่อมให้ แต่ก็เป็นปัญหาการดูแลในระยะยาว ทำให้ Kubernetes ประกาศว่าจะหยุดซัพพอร์ต dockershim ในอนาคต ล่าสุดทางบริษัท Docker และ Mitantis (ที่ซื้อบางส่วนของ Docker ไป) ประกาศว่าจะรับ dockershim ไปดูแลต่อให้ ทำให้ผู้ใช้ Docker/Kubernetes ยังทำงานได้ต่อไปเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนจาก dockershim ตัวเดิมที่ผนวกมากับ Kubernetes มาเป็นตัวใหม่เท่านั้น Mirantis บอกว่าคนส่วนใหญ่สร้างอิมเมจด้วย Docker Compose แต่รันคอนเทนเนอร์จริงๆ ด้วยรันไทม์ containerd ซึ่งจะไม่กระทบอะไรอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีลูกค้าของ Mirantis อีกจำนวนหนึ่งที่ยังรันคอนเทนเนอร์ด้วย Docker Engine ตัวเดิมอยู่ จึงตัดสินใจรับ dockershim มาดูแลต่อ ตอนนี้โค้ดเพิ่งเริ่มพัฒนา โดยจะถูกนำไปไว้ใน GitHub โครงการ cri-dockerd ของ Mirantis ที่มา - Docker, Mirantis
# รอเธอมาแสนนาน Microsoft Edge ซิงก์ History และ Tabs ได้แล้ว เริ่มในเวอร์ชัน 88 Dev หนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้ Edge รอคอยกันมากที่สุดคือ การซิงก์ History และ Open Tabs แบบข้ามอุปกรณ์ ที่ขึ้นโชว์ในหน้า Settings มานานแต่ไม่สามารถใช้ได้สักที ล่าสุดไมโครซอฟท์เริ่มเปิดฟีเจอร์นี้แล้วใน Edge 88 Dev ที่จะเข้าสถานะ Beta ในเร็ววันนี้ (ตอนนี้ Edge Stable คือเวอร์ชัน 87) ผมลองใช้กับ Edge Dev ก็พบว่าสามารถใช้งานได้แล้วจริงๆ ไมโครซอฟท์ยังเพิ่มเมนู History ไว้ข้างแถบ address bar (ติดกับไอคอนดาว Favorite) เพื่อให้ย้อนดูแท็บจากเครื่องอื่นได้ง่ายๆ และสามารถปักหมุดเมนูนี้เป็น sidebar ได้ถ้าต้องการ ฟีเจอร์ใหม่อย่างอื่นใน Edge 88 คือรองรับการแสดงผล PDF แบบ 2 หน้าคู่กัน, ให้ Edge ช่วยตั้งรหัสผ่านให้, รองรับการดูวิดีโอแบบ picture-in-picture บน macOS เป็นต้น Edge 88 จะเข้าสถานะ Stable ประมาณเดือนมกราคม 2021 ที่มา - Edge Insider, Edge Top Feedback
# ครบรอบ 25 ปี JavaScript ชวนอ่านประกาศเปิดตัวครั้งแรกเมื่อยังเกี่ยวกับจาวา วันที่ 4 ธันวาคม 1995 เป็นวันแรกที่ Netscape และ Sun Microsystems ประกาศเปิดตัวภาษา JavaScript ร่วมกัน เปิดโลกเข้าสู่ยุคที่เบราว์เซอร์สามารถรันโปรแกรมได้ในตัว จากเดิมเป็นเพียงโปรแกรมแสดงผลเอกสารเท่านั้น ประกาศยังแสดงให้เห็นว่าเหตุผลของชื่อ JavaScript แม้ว่าภาษานี้จะสมบูรณ์ในตัวเอง แต่ทาง Sun ก็ระบุว่า JavaScript จะเป็นตัวเติมเต็ม Java Applet (ปลั๊กอินแสดงโปรแกรมซับซ้อนในเบราว์เซอร์ ที่ถูก Macromedia Flash ชิงตลาดไปในภายหลัง) จุดน่าสนใจเช่นทั้งสองบริษัทประกาศตั้งแต่แรกว่า JavaScript สามารถใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์ได้ และบริษัทที่ซื้อซอร์สโค้ด Java ไปก็จะได้สิทธิ์ใช้ซอร์สโค้ด JavaScript ด้วย Bill Joy ผู้ร่วมก่อตั้ง Sun ระบุในประกาศครั้งนั้นว่า "JavaScript จะเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับการเชื่อมคอนเทนต์ HTML เข้ากับ Java Applets" ที่จริงแล้ว JavaScript มีชื่อเดิมว่า Mocha จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็น LiveScript และปล่อยออกมาพร้อมกับ Netscape Navigator 2.0 beta 3 ก่อนประกาศเปิดตัวร่วมกับ Sun ไม่นานนัก ผ่านมา 25 ปี JavaScript ยังครองเบราว์เซอร์อย่างเบ็ดเสร็จ และยังสามารถชิงตลาดการพัฒนาบนเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างมากผ่านเทคโนโลยีเช่น NodeJS แต่ชื่อของ Netscape และ Sun นั้นกลับหายไปตามกาลเวลาแล้ว ที่มา - Web Archive: NetScape ภาพ Netscape Navigator 2.0 โดย Indolering
# ไมโครซอฟท์ระบุ Excel เป็นภาษาโปรแกรมที่คนใช้มากที่สุดในโลก ประกาศเพิ่มฟีเจอร์สร้างฟังก์ชั่นในตัว ไมโครซอฟท์ประกาศเพิ่มฟีเจอร์สร้างฟังก์ชั่นในตัวเอง เรียกว่า LAMBDA หลังจากก่อนหน้านี้การสร้างฟังก์ชั่นใน Excel ต้องสร้างจากภาษาโปรแกรมอื่น เช่น Visual Basic หรือ JavaScript เท่านั้น พร้อมกับระบุว่า Excel เป็นภาษาโปรแกรมที่คนใช้มากที่สุดในโลก ฟีเจอร์ LAMBDA ทำให้ผู้ใช้ Excel สามารถประกาศฟังก์ชั่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยสามารถใช้ฟังก์ชั่นต่างๆ ของ Excel ที่มีอยู่เดิมได้ โดย LAMBDA จะมาทดแทนการเขียนสูตรที่มีความซับซ้อนสูงๆ แล้ว copy ไปวางทีละเซลล์ แม้ว่า Excel จะสามารถลากสูตรไปตามตารางได้ก็ตาม แต่การลากสูตรไปวางก็สร้างความผิดพลาดได้ง่ายในหลายกรณี แถมตารางโดยรวมอ่านยาก นอกจากการลดความซับซ้อนของสูตรในตารางแล้ว LAMBDA ยังทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกฟังก์ชั่นแบบ recursive ได้ เหมือนภาษาโปรแกรมเต็มรูปแบบอื่นๆ ฟีเจอร์ LAMBDA ยังเปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้ใช้ Office 365 ที่สมัคร Beta Channel ไว้เท่านั้น ที่มา - Excel Blog ตัวอย่างการประกาศฟังก์ชั่น REPLACECHARS แบบเรียกตัวเองเป็น recursive
# Azure เปิดตัวบริการ Purview ค้นหาข้อมูลในองค์กร ปกปิดข้อมูลส่วนบุคคลอัตโนมัติ Microsoft Azure เปิดบริการ Azure Purview ระบบค้นหาแหล่งข้อมูลในองค์กรเพื่อลดการแยกข้อมูลเป็นไซโลทำให้ไม่สามารถใช้ข้อมูลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมาเทรวมกันลงหน้าจอคอนโซลเดียวเพื่อให้หาทางนำไปใช้งานได้สูงสุด Azure Puriview สามารถจัดการแหล่งข้อมูลได้ทั้งบนคลาวด์และ on-premise เมื่อรวมแหล่งข้อมูลเข้าด้วยกันจะสามารถค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้โดยใช้ศัพท์ธุรกิจ ขณะที่มีระบบจัดการข้อมูลส่วนบุคคล โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยตรวจสอบว่าข้อมูลส่วนใดเป็นข้อมูลส่วนบุคคล หรือจะกำหนดชั้นความลับของข้อมูลเองก็ได้ ตอนนี้บริการยังเป็นสถานะพรีวิว ไมโครซอฟท์ยังไม่บอกราคาแต่จะให้ใช้งานฟรีจนถึง 1 มกราคม 2021 ที่มา - Microsoft Azure Blog
# Android Emulator รองรับการรันบนชิป Apple Silicon แล้ว กูเกิลประกาศข่าว Android Emulator รองรับการรันบน Apple Silicon แบบพรีวิวแล้ว เพื่อให้นักพัฒนาสามารถทดสอบแอพของตัวเองบนเครื่องแมคที่ใช้ชิป M1 ได้ ตอนนี้ Android Emulator ตัวนี้ยังมีฟีเจอร์บางอย่างยังไม่ทำงาน (เช่น Webview, เสียง, แอพแบบ ARM32) แต่ฟีเจอร์พื้นฐานหลายๆ อย่างก็สามารถทำงานได้ปกติ ผู้สนใจ (และมีเครื่องทดสอบแล้ว) สามารถดาวน์โหลดไฟล์ .dmg ได้จาก GitHub ที่มา - Android Studio
# The King of Fighters XV เผยตัวละครชุดแรก, เกมออกไม่ทันปี 2020 ตามแผนเดิม SNK เปิดตัว The King of Fighters XV มาตั้งแต่กลางปี 2019 แล้วเงียบหายไปปีกว่า (ตอนแรกบอกจะออกภายในปี 2020 แต่ไม่ทันแล้ว) ล่าสุด SNK เผยทีเซอร์แรกของ KOF15 เปิดเผยตัวละคร 5 ตัวแรกคือ Kyo, Benimaru, Shun'ei, Leona, K' Kyo, Benimaru, Leona, K' ถือเป็นตัวละครหน้าเก่าของซีรีส์อยู่แล้ว ส่วนหนุ่มหูฟัง Shun'ei ที่แฟนรุ่นเก่าๆ อาจไม่คุ้นเคยกันนัก เขาเป็นพระเอกคนใหม่ของซีรีส์ The King of Fighter โดยปรากฏตัวครั้งแรกในเกมภาคที่แล้วคือ KOF14 (ออกปี 2016) และจะรับบทเป็นพระเอกของ KOF15 ด้วย ตอนนี้เรายังไม่รู้แพลตฟอร์มและวันวางขายที่แน่ชัดของ KOF15 โดย SNK ระบุว่าจะเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในวันที่ 7 มกราคม 2021 ที่มา - Polygon
# ซีอีโอ Salesforce อธิบายซื้อ Slack เพื่อเป็นฐานการเติบโตสู่ระดับ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ข่าว Salesforce ซื้อ Slack ด้วยมูลค่าสูงถึง 2.77 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 8.3 แสนล้านบาท) (ติดอันดับ 7 ดีลซื้อกิจการใหญ่ที่สุดของโลกไอที) สร้างความฮือฮาอย่างมาก โดยเฉพาะมูลค่าการซื้อกิจการที่หลายคนมองว่าสูงมาก หรือ Salesforce ซื้อแพงเกินไป ประเด็นเรื่องราคาของ Slack คงไม่มีใครอธิบายได้ดีเท่ากับ Marc Benioff ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Salesforce ที่ให้สัมภาษณ์กับช่อง CNBC Benioff บอกว่าความฝันของเขาคือทำให้รายได้ต่อปีของ Salesforce เติบโตขึ้น 2 เท่า จาก 2.55 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มมาเป็น 5 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) และเขายินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ไปถึงความฝันนี้ได้ เขาอธิบายว่าการซื้อ Slack จะเข้ามาเปลี่ยนแปลง Salesforce ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะลูกค้าองค์กรในปัจจุบันกำลังปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานภายในองค์กรอย่างมาก การมี Slack จะเป็นช่องทางการเชื่อมต่อบริการของ Salesforce เข้ากับทุกส่วนในองค์กร Marc Benioff ภาพจาก Salesforce ที่มา - CNBC
# บริษัทพัฒนาซีพียู RISC-V ระบุสามารถออกแบบชิปที่ประสิทธิภาพต่อพลังงานดีที่สุดในโลก Micro Magic บริษัทผลิตซอฟต์แวร์ออกแบบซีพียูในสหรัฐฯ ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาชิป RISC-V ประสิทธิภาพต่อพลังงานสูง โดยวัดประสิทธิภาพเป็นคะแนน CoreMark ได้คะแนน 8,200 CoreMarks ที่สัญญาณนาฬิกา 3GHz และมีอัตราการกินพลังงานเพียง 70 มิลลิวัตต์เท่านั้น คิดเป็น 110,000 CoreMarks ต่อวัตต์ โดยบริษัทระบุว่าค่านี้ดีกว่าซีพียูอื่นๆ ในท้องตลาดถึงสิบเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม RISC, CISC, หรือ MIPS ทาง ArsTechnica ทดสอบค่า CoreMark เทียบกับพลังงานตามที่ Micro Magic ใช้อ้าง พบว่าซีพียู เช่น Ryzen 4700U นั้นได้คะแนน 32,857 CoreMarks คิดเป็น 13,956 CoreMarks ต่อวัตต์ Apple M1 ได้คะแนน 31,150 CoreMarks คิดเป็น 10,947 CoreMarks ต่อวัตต์ หากนับความแรงซีพียูโดยไม่สนพลังงาน ซีพียูของ Micro Magic ยังนับว่าห่างจากซีพียูที่เราใช้ทุกวันนี้มาก แต่ก็นับว่าแซงหน้าซีพียูโทรศัพท์มือถือรุ่นไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้แล้ว และผลทดสอบของ Micro Magic ก็ดีกว่าคอร์ RISC-V จากผู้ผลิตอื่น เช่น SiFive หลายเท่าตัว อย่างไรก็ดีทาง ArsTechnica ระบุว่าไม่ได้ทดสอบซีพียูของ Micro Magic ด้วยตัวเอง แต่เห็นแค่หน้าจอโปรแกรม benchmark และค่าพลังงานเท่านั้น ซีพียูของ Micro Magic ยังเป็นเพียงตัวต้นแบบที่ต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะกลายเป็นซีพียูให้บริษัทต่างๆ นำไปพัฒนาอุปกรณ์และกลายเป็นสินค้าถึงผู้บริโภค แต่ซีพียู RISC-V ก็กำลังเป็นที่สนใจโดยเฉพาะระดับรัฐบาลที่เริ่มสนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชั่นบน RISC-V โดยหวังว่าจะมีตัวเลือกที่ไม่ต้องพึ่งพิงผู้ผลิตต่างชาติในอนาคต ที่มา - ArsTechnica
# Kubernetes เผยรายละเอียดในการถอด Docker จากรันไทม์ ยืนยันยังใช้ build อิมเมจได้ตามปกติ ข่าวใหญ่สำหรับวงการคอนเทนเนอร์ที่ผ่านมา คือ Kubernetes ปรับ Docker ในฐานะคอนเทนเนอร์รันไทม์เข้าสู่ deprecated และเตรียมถอดออกในอนาคต ซึ่ง Kubernetes ได้เขียนอธิบายอีกครั้งอย่างละเอียดเกี่ยวกับการถอด Docker ออกจากการเป็นรันไทม์ Kubernetes ระบุว่า มาตรฐาน Container Runtime Interface (CRI) ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ทำงานข้ามคอนเทนเนอร์รันไทม์ได้ ปัจจุบันรันไทม์ยอดนิยมที่รองรับ CRI มีทั้ง containerd และ CRI-O (รันไทม์ทั้งสองตัวนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ CNCF ผู้ดูแลโครงการ Kubernetes ด้วย) แต่ Docker เองไม่ใช่ตัวคอนเทนเนอร์รันไทม์อย่างเดียว เพราะ Docker หมายถึง stack ที่มี containerd เป็นรันไทม์ และเสริมเข้าไปด้วย UX ต่าง ๆ เพื่อให้ทำงานพัฒนาระบบบนแพลตฟอร์มคอนเทนเนอร์ได้ง่าย ๆ เนื่องจากตัว Docker เองไม่มี CRI ทาง Kubernetes จึงสร้าง dockershim ขึ้นมา เป็นโซลูชั่นชั่วคราวให้ Kubernetes ติดต่อกับ Docker ซึ่งเป็นคอนเทนเนอร์รันไทม์ยอดนิยมได้ง่าย ๆ แต่ dockershim ก็เป็นภาระต่อโครงการ Kubernetes จึงต้องวางแผนถอดออกเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม อย่างไรก็ดี ใน Kubernetes 1.20 จะทำแค่ปรับสถานะ dockershim เป็น deprecated เท่านั้น เท่ากับว่าจะมีคำเตือนตอนที่ kubelet สตาร์ทขึ้นมาโดยใช้รันไทม์เป็น Docker และเนื่องจากการถอด dockershim มีผลกระทบค่อนข้างสูง ทางโครงการจึงขยายไทม์ไลน์ออกไป โดยแผนคร่าว ๆ คือจะถอด dockershim อย่างเร็วสุดคือ 1.23 ที่คาดว่าจะออกในปลายปี 2021 ดังนั้นการประกาศ deprecated คือเป็นคำเตือนผู้ดูแลระบบวางแผนการไมเกรตเป็นคอนเทนเนอร์รันไทม์ตัวอื่นก่อนที่จะถอดออกจริง สำหรับฝั่งนักพัฒนาที่ใช้คอนเทนเนอร์โดยใช้ Docker เป็นตัว build และรัน ทางโครงการ Kubernetes ระบุว่า ตัวอิมเมจที่ Docker ทำการ build ขึ้นมานั้นเป็นอิมเมจตามมาตรฐาน Open Container Initiative (OCI) อยู่แล้ว ดังนั้นหมายความว่าเครื่องมือใดก็ตามที่รองรับมาตรฐาน OCI (ซึ่งรวมถึง containerd และ CRI-O ด้วย) สามารถนำอิมเมจของ Docker ไปใช้งานได้ทันที เท่ากับว่านักพัฒนายังคงใช้ Docker เป็นเครื่องมือในการพัฒนาได้ตามเดิม ที่มา - Kubernetes Blog (1, 2), dev.to
# [ลือ] Sony จะสร้าง Metal Gear Solid เป็นหนัง อาจได้ Oscar Isaac เป็น Solid Snake Deadline สื่อสายฮอลลีวู้ดรายงานว่า Sony Pictures ที่เคยมีข่าวว่าจะสร้าง Metal Gear Solid ฉบับภาพยนตร์ ได้ตัว Oscar Isaac (Star Wars Sequel Trilogy) มารับบทนำเป็น Solid Snake ขณะที่หนังจะได้ Jordan Vogt-Roberts (Kong: Skull Island) มากำกับ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่มีรายงานเรื่องกำหนดฉายหรือวันเริ่มถ่ายทำของ Metal Gear Solid ขณะที่นักวาดรูปแฟนอาร์ตชื่อดังอย่าง BossLogic เคยวาดรูป Oscar Isaac เป็น Solid Snake มาแล้วด้วย ที่มา - Deadline ภาพ Oscar Isaac จาก Wikimedia taken by Gage Skidmore (CC BY-SA 3.0)
# Apple ประกาศโครงการซ่อม iPhone 11 ที่มีปัญหาหน้าจอสัมผัสให้ฟรี แอปเปิลประกาศโครงการซ่อม iPhone 11 ที่มีปัญหาการตอบสนองเวลาแตะหน้าจอให้ฟรี โดยบอกว่าสาเหตุเกิดจากปัญหาในชิ้นส่วนที่เกียวข้องกับจอแสดงผล แอปเปิลบอกว่า iPhone 11 ที่มีปัญหาดังกล่าว มีจำนวนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เล็กน้อย เครื่องที่ได้รับผลกระทบผลิตในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2019 ถึงพฤษภาคม 2020 ผู้ใช้ iPhone 11 ที่พบปัญหานี้ สามารถตรวจสอบจากหมายเลขซีเรียลของเครื่อง ที่เว็บไซต์ของโครงการ หากเข้าเงื่อนไข สามารถขอรับการซ่อมได้ฟรีที่ศูนย์บริการ AASP หรือที่ Apple Store ที่มา: The Verge
# AWS เปิดบริการ ECR ฟรีให้กับอิมเมจสาธารณะตามสัญญา Bitnami, Canonical นำอิมเมจมาวางแล้ว AWS เปิดบริการ Amazon ECR Public โฮสต์อิมเมจสาธารณะฟรี ขนาดพื้นที่ 50GB พร้อมกับโควต้าการดาวน์โหลดอิมเมจฟรีมากถึง 500GB ต่อเดือนโดยไม่ต้องล็อกอิน บริการนี้ทาง AWS ประกาศไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว หลังจาก Docker Hub ประกาศจำกัดปริมาณการดาวน์โหลด ทาง AWS เองนำอิมเมจของตัวเองมาวางเช่น Amazon Linux แต่ผู้ดูแลคอนเทนเนอร์อิมเมจรายสำคัญอย่าง Bitnami และ Canonical ก็ประกาศร่วมมือกับโครงการนี้ด้วย และนำอิมเมจมาลงพร้อมกับได้รับสิทธิ์บัญชีที่ตรวจสอบแล้ว (Verified account) ที่มา - AWS
# บริษัทเทคโนโลยีบุกโลกธนาคาร Grab, Sea, Ant Group ได้รับใบอนุญาตธนาคารดิจิทัลในสิงคโปร์ ธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore - MAS) ประกาศผู้ได้รับใบอนุญาตธนาคารดิจิทัล 4 ราย หลังจากก่อนหน้านี้ทาง MAS ได้ประกาศออกใบอนุญาตธนาคารเพิ่มเติมไม่เกิน 5 รายและได้รับใบสมัครถึง 14 ราย ใบอนุญาตแบ่งออกเป็นสองประเภทได้แก่ ธนาคารดิจิทัลเต็มรูปแบบ: สามารถรับฝากเงินจากรายย่อยได้ ผู้ได้รับใบอนุญาตได้แก่ ธุรกิจร่วมค้าจาก Grab Holding และ Singapore Telecom บริษัทลูกของ Sea (Garena, Shopee) ธนาคารดิจิทัล whole sale: สามารถรับฝากเงินจากลูกค้าธุรกิจ SME ผู้ได้รับใบอนุญาตได้แก่ บริษัทลูกของ Ant Group ธุรกิจร่วมค่า Green Financial Holdings Group, Linklogis Hong Kong, และ Beijing Co-operative Equity Investment Fund Management ทาง MAS ระบุว่าใบสมัครธนาคารดิจิทัลเต็มรูปแบบนั้น ผู้ได้รับใบอนุญาตมีใบอนุญาตที่โดดเด่นกว่าใบสมัครอื่นๆ อย่างชัดเจน ส่วนใบสมัครธนาคารดิจิทัล whole sale นั้นใบสมัครทั้งสองผ่านเกณฑ์ของ MAS แต่ใบสมัครรายอื่นๆ ไม่ผ่าน จึงตัดสินใจออกใบอนุญาตเพียงสองราย และอาจจะพิจารณาออกใบอนุญาตเพิ่มในอนาคต ที่มา - MAS
# BioWare เสียทีมงาน 2 คนสำคัญ ผู้จัดการสตูดิโอ-โปรดิวเซอร์ Dragon Age ลาออก BioWare ประกาศข่าวการลาออกของผู้บริหารระดับสูง 2 คนคือ Casey Hudson ผู้จัดการใหญ่ (general manager) และ Mark Darrah โปรดิวเซอร์ของซีรีส์ Dragon Age Casey Hudson สร้างชื่อมาจากซีรีส์ Mass Effect เขาเคยลาออกจาก BioWare มาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2014 แล้วกลับมาอีกรอบในปี 2017 อย่างไรก็ตาม ผลงานในช่วงที่เขากลับมารอบสองคือ Anthem กลับไม่ประสบความสำเร็จ Casey บอกว่าตัดสินใจเกษียณอายุจาก BioWare เพื่อเปิดทางให้ผู้บริหารรุ่นใหม่ๆ มารับช่วงต่อ ตำแหน่งของเขาจะได้ Gary McKay มาทำหน้าที่เป็น GM ชั่วคราวแทนไปก่อน ส่วน Mark Darrah อยู่กับ BioWare มายาวนานตั้งแต่ทศวรรษ 90s ตำแหน่งโปรดิวเซอร์ Dragon Age จะได้ Christian Dailey มารับหน้าที่แทน ผลงาน 2 เกมล่าสุดของ BioWare ทั้ง Mass Effect: Andromeda และ Anthem ประสบปัญหามากมาย ส่วนโครงการในอนาคตของ BioWare ตอนนี้คือ Mass Effect Remaster, Mass Effect ภาคใหม่ และ Dragon Age ภาคใหม่ Casey Hudson ภาพจาก BioWare ที่มา - BioWare
# Razer เปิดตัวหูฟัง Hammerhead True Wireless Pro มี ANC, ดีเลย์ต่ำ ราคา 200 ดอลลาร์ Razer เปิดตัวหูฟัง TWS รุ่นใหม่ Razer Hammerhead True Wireless Pro มาพร้อมไดรเวอร์ 10mm มี Active Noise Cancelling และ Gaming Mode แบบปรับปรุงใหม่ที่ลดค่าความหน่วงลงเหลือแค่ 60ms ผ่าน Bluetooth 5.1 จุดอ่อนของ Hammerhead True Wireless Pro น่าจะเป็นแบตเตอรี่ เพราะอยู่ได้แค่ 4 ชั่วโมง แม้ปิด ANC ชาร์จผ่านเคสได้อีก 4 รอบ รวมสูงสุด 20 ชั่วโมง ชาร์จไฟเข้าเคสผ่านพอร์ต USB-C เตรียมวางจำหน่ายภายในสหรัฐอเมริกาภายในเดือนนี้ ในราคา 199.99 ดอลลาร์ หรือราว 6,000 บาท ที่มา - Engadget