txt
stringlengths
202
53.1k
# แอปเปิลตัวเปิดระบบชาร์จ MagSafe ช่วยล็อกจุดชาร์จไร้สาย ใช้ล็อกอุปกรณ์เสริมกับ iPhone 12 ได้ด้วย แอปเปิลเปิดระบบชาร์จไฟให้อุปกรณ์แบบใหม่ในชื่อ MagSafe เป็นการเอาหัวแม่เหล็กมาล็อกที่ชาร์จที่รองรับเข้ากับตัวโทรศัพท์ ทำให้โทรศัพท์สามารถชาร์จไฟได้เต็มประสิทธิภาพ แก้ปัญหาการวางโทรศัพท์ไม่ตรงจุดชาร์จ MagSafe สามารถใช้ล็อกเคสโทรศัพท์เข้ากับตัวโทรศัพท์ได้ ทำให้แอปเปิลสามารถออกอุปกรณ์เสริมเช่นกระเป๋าใส่บัตรที่ล็อกด้วยแม่เหล็กอย่างเดียว ในระบบ MagSafe ยังมีเซ็นเซอร์ว่าล็อกแม่เหล็กอยู่ ทำให้โทรศัพท์สามารถแสดงนาฬิกาสำหรับเคสรุ่นที่เจาะช่องนาฬิกาไว้ แอปเปิลเปิดให้ผู้ผลิตรายอื่นผลิตอุปกรณ์เสริม MagSafe ได้ด้วย โดยตอนนี้เอง Belkin ก็กำลังพัฒนาที่ชาร์จอยู่หลายรุ่น ที่มา - Apple Event ชิ้นส่วนภายในของระบบ MagSafe ที่ชาร์จแบบตลับแป้งจากแอปเปิลเอง กระเป๋าบัตรเกาะกับโทรศัพท์ด้วย MagSafe ที่ชาร์จ MagSafe จาก Belkin
# เปิดตัว iPhone 12 Pro และ Pro Max รองรับ 5G, ดีไซน์ขอบเรียบ, จอใหญ่ขึ้น เพิ่ม LiDAR นอกจาก iPhone 12 ที่เปิดตัวแล้ว แอปเปิลยังเปิดตัว iPhone ตัวบนในตระกูล Pro อีกสองรุ่นเช่นกันคือ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ซึ่งใส่เทคโนโลยีเพิ่มเข้าไป พร้อมดีไซน์เครื่องแบบใหม่ขอบเรียบไปกับหน้าจอ เหมือนกับ iPhone 12 iPhone 12 Pro มาพร้อมขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ iPhone 12 Pro Max ขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว ซึ่งมีหน้าจอใหญ่กว่าไลน์ของ iPhone 11 Pro อยู่เล็กน้อย (5.8 และ 6.5 นิ้ว) กล้องซึ่งเป็นจุดขายของ iPhone รุ่น Pro ยังคงจัดเต็มเหมือนเคย โดยมีกล้องหลัง 3 ตัว (Ultra-Wide, Wide f/1.6 และ Telephoto) เทเลโฟโต้ทางยาวโฟกัส 52 มม. ทำให้ช่วงซูมออปติคอลเป็น 4 เท่า ในรุ่น Pro และ 62 มม. ทำให้ช่วงซูมแบบออปติคอลเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า สำหรับ Pro Max เพิ่มสแกนเนอร์ LiDAR ช่วยในการถ่ายภาพโหมดกลางคืนได้ดียิ่งขึ้น และยังมีการประมวลผลภาพแบบใหม่เรียกว่า ProRAW ซึ่งจะออกมาให้ใช้งานเร็ว ๆ นี้ รายละเอียดสเป็กเพิ่มเติมมีดังนี้ รองรับการเชื่อมต่อ 5G ความเร็วสูงสุด 4Gbps ชิป A14 Bionic หน้าจอ OLED เคลือบเซรามิก ทำให้ทนต่อการตกหล่นมากขึ้น 4 เท่า รองรับการชาร์จแบบ MagSafe iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max มี 3 ขนาดความจุคือ 128GB, 256GB และ 512GB ตัวเลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ เงิน กราไฟต์ ทอง และแปซิฟิกบลู ราคาขายในอเมริกาเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์ สำหรับ iPhone 12 Pro และ 1,099 ดอลลาร์ สำหรับ iPhone 12 Pro Max ซึ่งเป็นราคาที่เท่ากับ iPhone 11 Pro ตอนเปิดตัว โดย iPhone 12 Pro เริ่มเปิดให้สั่งจอง 16 ตุลาคมนี้ จัดส่งสินค้า 23 ตุลาคม เป็นต้นไป ส่วน iPhone 12 Pro Max เริ่มสั่งจอง 6 พฤศจิกายน และจัดส่ง 13 พฤศจิกายน ในประเทศไทยระบุว่าจะเริ่มจำหน่ายเร็ว ๆ นี้ ที่มา: แอปเปิล
# แอปเปิลประกาศไม่ทำโลกร้อนภายในปี 2030 ไม่แถมที่ชาร์จและหูฟังให้ไอโฟนแล้ว แต่ยังแถมสาย USB-C to Lightning แอปเปิลประกาศแนวทางรักษาสิ่งแวดล้อมโดยจะไม่สร้างผลกระทบเพิ่มเติมต่อภาวะโลกร้อนภายในปี 2030 โดยใน iPhone 12 ที่เปิดตัววันนี้จะใช้แม่เหล็กที่ผลิตจากแร่ rare earth ที่ได้จากการรีไซเคิลทั้งหมด พร้อมกับเลิกแถมที่ชาร์จและหูฟังเพื่อลดขยะ โดยแอปเปิลระบุว่าทุกวันนี้มีที่ชาร์จไอโฟนอยู่แล้วถึง 2,000 ล้านชิ้นในโลก อย่างไรก็ดีแอปเปิลยังคงแถมสาย USB-C to Lightning ในกล่องให้ชาร์จกับที่ชาร์จอื่นได้ เป้าหมายปี 2030 ของแอปเปิลวางแผนให้ธุรกิจทั้งหมดของแอปเปิลรวมถึงสายการผลิตต้นน้ำ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ, การผลิตชิ้นส่วน, การประกอบสินค้า, ระบบขนส่ง, ช่วงเวลาลูกค้าใช้งานและชาร์จไฟ, ไปจนถึงการรีไซเคิลและเก็บวัตถุดิบกลับคืนมา จะไม่ผลิตคาร์บอนโดยรวม (carbon neutral - ซึ่งอาจหมายถึงการปลูกต้นไม้ลดคาร์บอนเพื่อชดเชยในกรณีที่มีการสร้างคาร์บอน) เมื่อต้นปีที่ผ่านมาแอปเปิลตอบโต้กับคณะกรรมาธิการยุโรปอย่างหนัก เพื่อไม่ให้มีการบังคับใช้พอร์ต USB-C ในโทรศัพท์มือถือ แม้คณะกรรมาธิการยุโรปจะระบุเหตุผลว่าเป็นการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่มา - Apple
# Apple เปิดตัว iPhone 12 และ iPhone 12 mini สมาร์ทโฟนรองรับ 5G, เพิ่มสีน้ำเงิน, มี MagSafe แอปเปิลเปิดตัว iPhone 12 และ iPhone 12 mini ซึ่งมาพร้อมดีไซน์ใหม่ ขอบเรียบไปกับหน้าจอ รองรับ 5G รวมทั้งตัวเลือกสีแบบใหม่ และชิป A14 iPhone 12 มาพร้อมหน้าจอ 6.1 นิ้ว เท่ากับ iPhone 11 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือหน้าจอเปลี่ยนมาใช้ OLED แล้ว แสดงผล Super Retina XDR ความละเอียด 2532x1170 ตัวเลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ดำ ขาว น้ำเงิน แดง และเขียว ส่วน iPhone 12 mini มาพร้อมขนาดหน้าจอ 5.4 นิ้ว เนื่องจากหน้าจอแสดงเต็มเครื่อง จึงทำให้มีขนาดเครื่องเล็กกว่า iPhone SE ที่หน้าจอ 4.7 นิ้ว โดยแอปเปิลระบุว่าเป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่มีขนาดเล็กและเบาที่สุดในโลกตอนนี้ ชิปที่ใช้เป็น A14 Bionic ตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPad Air รุ่นล่าสุด รองรับการเชื่อมต่อ 5G กล้องหลังสองตัว 12 เมกะพิกเซล (Wide f/1.6 และ Ultra-Wide) ใช้ Face ID ในการปลดล็อก นอกจากนี้แอปเปิลยังระบุว่าความทนทานต่อการตกหล่นยังเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า กันน้ำมาตรฐาน IP68 iPhone 12 มาพร้อมกับการปรับปรุงระบบชาร์จใหม่ โดยด้านหลังเครื่องรองรับ MagSafe เพื่อให้การชาร์จมีตำแหน่งที่ตรงมากขึ้น ซึ่งแอปเปิลยังเปิดตัวอุปกรณ์เสริมทั้งสายชาร์จ MagSafe, เคส และซองแม่เหล็กติดด้านหลังสำหรับใส่บัตรอย่าง Apple Card ด้วย นอกจากนี้แอปเปิลยังลดขนาดกล่องลงตามแนวทางสิ่งแวดล้อม โดยการหยุดให้หัวชาร์จไฟในกล่อง ราคาขายในอเมริกา iPhone 12 เริ่มต้นที่ 799 ดอลลาร์ ส่วน iPhone 12 mini เริ่มต้นที่ 699 ดอลลาร์ (เท่ากับ iPhone 11 ราคาเปิดตัว) มี 3 ขนาดความจุ 64GB, 128GB และ 256GB iPhone 12 เริ่มเปิดให้สั่งซื้อตั้งแต่ 16 ตุลาคมเป็นต้นไป เริ่มจัดส่งสินค้า 23 ตุลาคม ส่วน iPhone 12 mini เริ่มให้สั่งซื้อ 6 พฤศจิกายนเป็นต้นไป จัดส่งสินค้า 13 พฤศจิกายน ทั้งนี้ประเทศไทยระบุว่าจะเริ่มจำหน่ายเร็ว ๆ นี้ ที่มา: แอปเปิล
# เปิดตัว HomePod mini ลำโพงอัจฉริยะขนาดเล็ก ราคา 99 ดอลลาร์ แอปเปิลเปิดตัว HomePod mini ตรงตามข่าวลือก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นลำโพงอัจฉริยะขนาดเล็ก ที่มาพร้อมเสียงคุณภาพดี, ระบบผู้ช่วย, รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฮม และป้องกันความเป็นส่วนตัว HomePod mini ใช้ชิป S5 พร้อมระบบเสียง Computational audio สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone โดยส่งสัญญาณเตือน haptic เมื่อเข้าใกล้ HomePod mini ในการเล่นดนตรีผ่านแอปต่าง ๆ ฟีเจอร์ใหม่ที่พูดถึงได้แก่ Intercom ในการส่งข้อความเสียงไปยังอุปกรณ์ HomePod ตัวอื่นภายในบ้าน HomePod mini มีตัวเลือก 2 สีคือขาว และสเปซเกรย์ ราคาขาย 99 ดอลลาร์ เปิดให้สั่งซื้อตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายนเป็นต้นไป เริ่มส่งมอบสินค้า 16 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ยังไม่มีประเทศไทยในรายชื่อที่จะจำหน่าย ที่มา: แอปเปิล
# Facebook Messenger เปลี่ยนโลโก้ใหม่ พร้อมอัพเดตฟีเจอร์เตรียมเชื่อมกับแชทของ Instagram Facebook Messenger ประกาศปรับโลโก้และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ โดยโลโก้ใหม่ของ Messenger จะดูมีชีวิตชีวาและสนุกสนานมากขึ้น โดย Facebook เลือกใช้สีรุ้งคล้ายกับโลโก้ของ Instagram มาทดแทนสีน้ำเงินแบบเดิม ส่วนฟีเจอร์ที่น่าสนใจในครั้งนี้ เช่น แชทธีมใหม่, reactions แบบกำหนดเองได้, เซลฟี่สติ๊กเกอร์ สติ๊กเกอร์ที่เอาไว้ใช้แปะในภาพเซลฟี่, vanish mode ซึ่งฟีเจอร์เกือบทั้งหมดยกมาจากแชทของ Instagram ที่เพิ่งประกาศยกเครื่องไปก่อนหน้านี้ สำหรับระบบแชทข้ามแพลตฟอร์ม Facebook ระบุว่าตอนนี้กำลังทยอยเปิดใช้งาน โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่ในอเมริกาเหนือจะได้ใช้ฟีเจอร์นี้ภายในเร็ว ๆ นี้ ที่มา - Facebook Messenger News, The Verge ภาพจาก Facebook
# Chromebook เพิ่มความสามารถปรับแต่งเคอร์เซอร์, การอ่านข้อความบนจอให้ผู้พิการใช้ง่ายขึ้น เดือนตุลาคม ถือเป็น Disability Employment Awareness Month หรือเดือนแห่งการรับรู้เกี่ยวกับผู้พิการ นอกจากไมโครซอฟท์ที่ออกมาประกาศสร้างชุดข้อมูลเพื่อผู้พิการแล้ว Google ก็ประกาศฟีเจอร์ใหม่ๆ บน Chromebook ที่จะทำงานตอบสนองต่อการใช้งานของผู้พิการได้ดีขึ้น ดังนี้ ปรับขนาดและสีเคอร์เซอร์ให้เหมาะกับผู้มีปัญหาการมองเห็นเลือนราง ไม่ชัดเจน เข้าไปตั้งค่าได้ที่เมนู Mouse and touchpad, Select-to-speak ผู้ใช้งานสามารถลากเมาส์คลุมเฉพาะข้อความที่อยากให้อ่านออกเสียงได้ ช่วยการใช้งานสำหรับผู้มีปัญหาการมองเห็นเลือนราง และมีภาวะการเรียนรู้บกพร่อง ChromeVox โปรแกรมอ่านข้อความบนหน้าจอให้ฟัง ซึ่ง built-in มาให้ใน Chromebook เพิ่มความสามารถ Voice Switching เสียงจะเปลี่ยนอัตโนมัติเมื่อเปลี่ยนภาษา เช่น กรณีมีข้อความสองภาาษในหน้าจอเดียวกัน เพื่อให้ผู้ฟังแยกแยะได้ง่ายขึ้น และสามารถปรับแต่งการ navigate ให้เหมาะกับการใช้งานได้ ที่มา - Google
# ไมโครซอฟท์ประกาศสร้างชุดข้อมูลฝึก AI ให้ใช้งานเพื่อผู้พิการได้ครอบคลุมมากขึ้น ไมโครซอฟท์ประกาศในบล็อกจะพัฒนาสร้าง AI และชุดข้อมูลในการฝึกสอนอัลกอริทึมให้มีการใช้งานที่ครอบคลุมคนพิการได้หลากหลายและตรงตามความจำเป็นของแต่ละคนมากขึ้น ไมโครซอฟท์ระบุว่าตอนนี้เราอยู่ในภาวะ data desert คือมีความกระตือรือร้นและมีพลังมากมายในการจะใช้ AI ทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมให้แก่ผู้พิการ แต่กลับมีข้อมูลไม่มากพอ ยกตัวอย่างแอปพลิเคชั่น Seeing AI ที่เอามือถือจ่อที่สภาพแวดล้อมด้านหน้าแล้วระบบจะสามารถบอกเราได้ว่าสถานที่ตรงหน้านั้นมีอะไรบ้าง เพื่อหาสิ่งของสำหรับผู้มีปัญหาการมองเห็น ระบบจะทำงานแม่นยำได้นั้นต้องมีข้อมูลมากพอ ไมโครซอฟท์ทำโครงการ Object Recognition for Blind Image Training (ORBIT) สร้างชุดข้อมูลสาธารณะจากวิดีโอที่ส่งโดยผู้ที่ตาบอดหรือมีสายตาเลือนราง ใช้พัฒนาอัลกอริทึมสำหรับกล้องสมาร์ทโฟนให้จดจำสิ่งของส่วนตัวที่สำคัญ เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือหน้ากากอนามัย เป็นต้น และยังร่วมมือกับ Team Gleason ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนผู้เป็นโรค ALS ทำ Project Insight สร้างชุดข้อมูลภาพใบหน้าผู้ที่เป็นโรคประสาทเสื่อม เพื่อให้ระบบจดจำผู้ที่มีอาการ ALS ได้ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาชุดข้อมูล VizWiz เป็นรูปถ่ายเพื่อฝึกอบรมและทดสอบอัลกอริธึมคำบรรยายภาพ และคำถามหรือเสียงสะท้อนจากผู้ที่มีปัญหาสายตาเพื่อนำมาพัฒนาอัลกอริทึมให้ดีขึ้น ไมโครซอฟท์ถือเป็นบริษัทไอทีใหญ่ที่ตื่นตัวเรื่องการใช้งานสำหรับผู้พิการ ก่อนหน้านี้ก็เปิดตัวคอนโทรลเลอร์เกมสำหรับผู้พิการ Xbox Adaptive Controller ที่มา - The Next Web, ไมโครซอฟท์
# Cloudflare บุกตลาดองค์กรเต็มตัว เปิดตัว Cloudflare One ดูแลความปลอดภัยเน็ตเวิร์คองค์กรเต็มรูปแบบ Cloudflare รวมชุดสินค้าและบริการสำหรับองค์กรนอกเหนือจาก CDN มาเป็นชุดความปลอดภัยเน็ตเวิร์ค ใช้ชื่อ Cloudflare One รวบทราฟิกเข้าไปอยู่กับ Cloudflare ควบคุมการใช้งานตามโมเดลความปลอดภัย secure access service edge (SASE) ที่ผ่านมา Cloudflare มีบริการด้านเครือข่ายสำหรับองค์กรที่ไม่ใช่ CDN อยู่หลายตัว เช่น WARP สำหรับบริการ VPN, บริการเชื่อมต่อศูนย์ข้อมูล การประกาศครั้งนี้บริษัทระบุว่าจะมีบริการชุดใหม่ ได้แก่ Magic WAN ให้องค์กรใช้งานแทน SD-WAN, Magic Firewall ดูแลทราฟิกขาออกไปยังอินเทอร์เน็ต ในฟีเจอร์เดิมจะปรับปรุงหน้าจอวิเคราะห์เน็ตเวิร์ค และเพิ่มฟีเจอร์ IDS Cloudflare One จะรองรับการยืนยันตัวตนจากผู้ให้บริการยอดนิยม ทั้ง Okta, Ping Identity, OneLogin, Microsoft Active Directory, Google Workplace, GitHub, LinkedIn, และ Facebook สำหรับการยืนยันความปลอดภัยของอุปกรณ์ผู้ใช้ จะรองรับ VMware Carbon Black, CrowdStrike, SentinelOne, และ Tanium ทำให้องค์กรที่ใช้บริการเหล่านี้อยู่แล้ว สามารถกำหนดนโยบายการเข้าเน็ตเวิร์คจากคอนโซลของ Cloudflare One ได้เอง ที่มา - Cloudflare One
# ผู้บริหาร Apple ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการออกแบบชิป A14 Engadget ได้สัมภาษณ์พิเศษ Tim Millet รองประธานฝ่ายสถาปัตยกรรมแพลตฟอร์มของแอปเปิล และ Tom Boger ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด Mac และ iPad เกี่ยวกับการออกแบบชิป A14 ซึ่งเริ่มใช้ครั้งแรกใน iPad Air ตัวใหม่ล่าสุด และคาดว่าจะใช้ใน iPhone 12 ที่จะเปิดตัวคืนนี้เช่นกัน A14 เป็นชิปตัวแรกของแอปเปิลที่ระดับ 5 นาโนเมตร มีจำนวนทรานซิสเตอร์เพิ่มขึ้นเป็น 11.8 พันล้านตัว เทียบกับ A13 ซึ่งมี 8.5 พันล้านตัว ทำให้ภาพรวมการทำงานรวดเร็วมากขึ้นทั้งส่วนซีพียู (6 คอร์) และจีพียู (4 คอร์) ขณะที่ส่วน Neural Engine ที่ใช้ประมวลผล machine learning ทำงานได้ถึง 11 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที เพิ่มเกือบเท่าตัวจาก A13 และเพิ่มจำนวนคอร์เป็น 16 ซึ่งแอปเปิลเห็นโอกาสอีกมากในการพัฒนาประสบการณ์ใช้งานจาก machine learning Millet ยังบอกว่าการออกแบบชิปของแอปเปิลนั้น เน้นไปที่ประสิทธิภาพการใช้พลังงานก่อน ซึ่งจะไม่มีปัญหาแม้ชิปเดียวกันจะถูกนำไปใช้งานบน iPhone หรือ iPad อีกประเด็นน่าสนใจคือแนวทางออกแบบชิปของแอปเปิลจากนี้ จะเริ่มต้นโดยไม่จำกัดการทำงานที่ผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งเท่านั้น แต่ในชิปรุ่นนั้นต้องนำไปใช้งานได้ในหลายสินค้า หรือปรับสเกลได้ (เช่น กรณีใช้กับ Apple Watch) โดยแม้ Millet จะไม่เปิดเผยตรง ๆ แต่ก็คาดเดาว่า Mac ที่ใช้ซีพียู Apple Silicon ตัวแรก ก็น่าจะพัฒนาจากชิปตระกูล A14 รวมทั้ง iPad Pro รุ่นใหม่ก็อาจเป็นซีพียู A14X ด้วยเช่นกัน ที่มา: Engadget
# เบื้องหลัง G Suite รีแบรนด์เป็น Workspace สะท้อนการทำงานยุคใหม่ที่ไม่อยู่ในออฟฟิศ การรีแบรนด์ G Suite เป็น Google Workspace นอกจากประเด็นเรื่องการเปลี่ยนโลโก้ใหม่ ยังมีประเด็นเรื่องเบื้องหลังแนวคิดว่าทำไมต้องเปลี่ยนชื่อแบรนด์ เรื่องนี้ Javier Soltero ผู้บริหารของกูเกิลและหัวหน้าทีม G Suite/Workspace อธิบายว่าโปรแกรมออฟฟิศในปัจจุบันทั้ง G Suite และ Microsoft Office เกิดขึ้นในโลกยุคเก่าที่ "งานเกิดขึ้นในออฟฟิศ" แต่โลกยุคปัจจุบันโดยเฉพาะหลัง COVID-19 คนจำนวนมากย้ายมาทำงานที่บ้าน การเปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็น Workspace จึงเป็นความต้องการปรับตัวเข้ากับยุคสมัยที่ทำงานจากที่ไหนก็ได้ นอกจากนี้เรายังเห็นว่า Workspace เน้นเรื่องการสื่อสารเพิ่มขึ้นมาก เราจึงเห็นแอพสื่อสารอย่าง Gmail, Chat, Meet ถูกฝังอยู่ในทุกที่ เพื่อตอบโจทย์คนทำงานสมัยนี้ ที่การสื่อสารออนไลน์แบบไม่พบเจอหน้ากันกลายเป็นสิ่งสำคัญมาก Soltero ยืนยันว่าแอพแต่ละตัวในชุด G Suite ยังคงอยู่เหมือนเดิม และแยกใช้งานเฉพาะแอพแต่ละตัวได้เหมือนเดิม ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้แอพนั้นๆ เพียงตัวเดียว หรือจะใช้งานร่วมกัน เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนบ้านที่มีหลายประตู ประตูแต่ละบานต้องทำงานได้ดีด้วยตัวมันเองก่อน ตัวของ Soltero ถือว่าอยู่ในวงการโปรแกรมสำนักงานมาอย่างโชกโชน เขาคือผู้ก่อตั้ง Accompli ที่โดนไมโครซอฟท์ซื้อไปเป็น Outlook Mobile และเคยคุมทีม Outlook/Office ก่อนย้ายข้ามวิกมาอยู่กับกูเกิลในปี 2019 เพื่อมาคุมทีม G Suite ที่มา - 9to5google, Fast Company
# Huya และ DouYu สองบริการสตรีมมิ่งเกมรายใหญ่ในจีน ประกาศควบรวมกิจการ Huya และ DouYu สองเว็บให้บริการสตรีมมิ่งเกมในจีน ประกาศบรรลุข้อตกลงเพื่อควบรวมกิจการกัน โดยในขั้นตอนควบรวมนั้น Huya จะเป็นฝ่ายเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ DouYu ด้วยวิธีการแลกเป็นหุ้น โดยทั้งสองบริษัทต่างมีการซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นอเมริกา ดีลควบรวมนี้เป็นข้อเสนอมาจาก Tencent ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในทั้งสองบริษัท โดย Tencent ถือหุ้นใน Huya ครึ่งหนึ่ง และ DouYu ประมาณ 1 ใน 3 ภายหลังการควบรวมซีอีโอของทั้งสองบริษัทจะเป็นซีอีโอร่วมในบริษัทใหม่ ข้อมูลจาก MobTech ระบุว่าภายหลังการควบรวม จะทำให้บริษัทใหม่นี้มีส่วนแบ่งการตลาดในบริการสตรีมมิ่งเกมของจีนมากกว่า 80% ที่มา: Huya และ Reuters
# เปิดตัว Galaxy A42 มือถือ 5G รุ่นถูกสุดของซัมซุง, Snapdragon 750G ราคา 369 ยูโร สัปดาห์ที่ผ่านมา ซัมซุงเปิดตัว Galaxy A42 5G มือถือรุ่นกลางตัวใหม่ในซีรีส์ Galaxy A และถือเป็นรุ่นแรกในซีรีส์ที่ลงท้ายด้วยเลข 2 จุดเด่นของ Galaxy A42 5G หนีไม่พ้นการเป็นมือถือราคาถูกที่สุดของซัมซุงในตอนนี้ที่รองรับ 5G (ก่อนหน้านี้คือ A51 5G ที่สูงกว่าหนึ่งขั้น) โดยใช้ Snapdragon 750G ตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือน ก.ย. สเปกของ Galaxy A42 5G มีดังนี้ หน้าจอ 6.6" HD+ Super AMOLED เจาะรูกล้องหน้า Infinity-U หน่วยประมวลผล Snapdragon 750G (8 คอร์ 2.2GHz x2 + 1.8GHz x6) แรม 4/6/8GB สตอเรจ 128GB + microSD กล้องหน้า 20MP F2.2 กล้องหลัง 4 ตัว กล้องหลัก 48MP, Ultrawide 8MP, Depth 5MP, Macro 5MP แบตเตอรี่ 5,000 mAh พร้อมชาร์จเร็ว 15W ดีไซน์ของ Galaxy A42 5G ยังเป็นแนวทางใหม่ มีลูกเล่นที่ฝาหลังด้วยการไล่สี 4 ระดับ ที่ซัมซุงเรียกว่า Prism Dot มีให้เลือก 3 สีคือดำ ขาว เทา เว็บไซต์ XDA รายงานราคาของ Galaxy A42 5G ในยุโรปว่าอยู่ที่ 349 ปอนด์ (ประมาณ 14,200 บาท) หรือ 369 ยูโร (ประมาณ 13,500 บาท) ถือว่าใกล้เคียงกับคู่แข่งในระดับใกล้ๆ กันอย่าง OnePlus Nord (399 ยูโร) ที่สเปกสูงกว่าเล็กน้อย แต่ไม่มี 5G ที่ผ่านมาซัมซูงประเทศไทยไม่เคยเอาซีรีส์ A40 เข้ามาทำตลาดบ้านเรา (เป็น A30 แล้วข้ามมา A50 เลย) ต้องรอดูกันว่ารอบนี้จะเอาเข้ามาด้วยหรือไม่ ที่มา - Samsung, XDA
# IDC และ Gartner ยืนยันเช่นกัน ไตรมาส 3/2020 ตลาดพีซีเติบโตสูงสุดในรอบ 10 ปี บริษัทวิจัยตลาด IDC และ Gartner ออกรายงานภาพรวมตลาดพีซีของไตรมาส 3 ปี 2020 โดยต่างให้ข้อมูลว่าตลาดพีซีมีการเติบโตสูงสุดในรอบ 10 ปี เช่นเดียวกับ Canalys ที่ออกมารายงานก่อนหน้านี้ ตัวเลขของ IDC ระบุว่าตลาดเติบโต 14.6% เทียบกับไตรมาส 3 ปี 2019 จำนวนส่งมอบ 81.3 ล้านเครื่อง ขณะที่ Gartner ให้ตัวเลขเติบโต 3.6% จำนวนส่งมอบ 71.4 ล้านเครื่อง (ที่ตัวเลขต่างกันมากเพราะนิยามพีซีที่แตกต่างกัน) ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Gartner ระบุว่าตลาดพีซีสำหรับลูกค้าทั่วไปเติบโตสูงมากในรอบ 5 ปี โดยจากผลกระทบจากโควิด-19 ส่วนหนึ่งมาจากการซื้อพีซีเปลี่ยนจากหนึ่งบ้านหนึ่งพีซี มาเป็นหนึ่งคนหนึ่งพีซี นอกจากนี้ตลาดองค์กรก็ยังเติบโตสูงจากการอุดหนุนของภาครัฐและเอกชน เพื่อซื้ออุปกรณ์สำหรับเรียน-ทำงานจากที่บ้าน รวมทั้ง Chromebook (ที่ Gartner ไม่ได้นำมาคิดรวม) ก็เติบโตถึง 90% อันดับผู้ผลิตที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด 5 อันดับแรก เหมือนกับทั้ง IDC และ Gartner โดย Lenovo อยู่ในอันดับ 1 ตามด้วย HP, Dell, Apple และ Acer ที่มา: IDC และ Gartner
# มหาวิทยาลัย CMKL ในไทยประกาศติดตั้ง NVIDIA DGX POD รวมพลังประมวลผล 30 เพตาฟลอบ มหาวิทยาลัย CMKL ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน และและสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ประกาศติดตั้ง NVIDIA DGX POD ชุดเซิร์ฟเวอร์ DGX A100 แบบยกตู้ ประกอบไปด้วยเซิร์ฟเวอร์ DGX A100 ทั้งหมด 6 ชุด พลังประมวลผลรวม 30 เพตาฟลอบ เน็ตเวิร์คภายในใช้ Mellanox Spectrum 100GbE และสวิตช์ Quantum 200Gbps Infiniband และสตอเรจอีก 2.5 เพตาไบต์ แถลงข่าวของทาง NVIDIA ไม่ได้ระบุว่า CMKL เป็นหน่วยงานลำดับที่เท่าใดที่ใช้เครื่อง DGX POD แต่เมื่อเดือนพฤษภาคมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานแรกในไทยที่ติดตั้งเครื่อง DGX A100 งานวิจัยของ CMKL ตอนนี้ใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่ปลายทาง (Edge) ที่พัฒนาอยู่บนบอร์ด Jetson AGX Xavier และ Jetson Nano การใช้ DGX POD จะช่วยเร่งความเร็วในการฝึกโมเดลปัญญาประดิษฐ์ต่อไป ที่มา - จดหมายข่าว NVIDIA
# YouTube Music บนทีวีอัพเดตใหม่ ดูและฟังเพลงจากเพลย์ลิสต์เราได้, หน้าจอใหม่ขนาดพอดีกับทีวี YouTube อัพเดตฟีเจอร์ YouTube Music บนทีวี เข้าดูและฟังเพลงในเพลย์ลิสต์ที่สร้างขึ้นเองได้ รวมถึงเพลงที่กด thumbs-up ไว้ได้ด้วย นอกจากนี้ยังมาพร้อมหน้าตาการใช้งานและป้ายไอคอนใหญ่ขึ้นเพื่อให้เหมาะกับการฟังเพลงบนจอใหญ่ เพิ่มฟีเจอร์ YouTube Music สำหรับ Android TV OSรวมถึง Chromecast บน Google TV เข้าฟังเพลงที่เราอัพโหลดเองบน YouTube Music ได้ และเข้าถึงเพลย์ลิสต์ที่ YouTube แนะนำมาให้ฟังได้ ทั้งเพลงเก่าและเพลงใหม่ YouTube Music จะมาแทนที่ Google Play Music บนทีวีเร็วๆ นี้ สำหรับทีวีที่ใช้ Android TV OS ที่มา - YouTube
# Android Studio 4.1 เปลี่ยนไอคอนใหม่, รันอีมูเลเตอร์ในหน้าต่างเดียวกันได้แล้ว กูเกิลออก Android Studio 4.1 มาพร้อมไอคอนใหม่เป็นโทนสีน้ำเงินแทนสีเขียวของเดิม ฟีเจอร์ใหม่ในรุ่นนี้ได้แก่ ระบบเทมเพลตเปลี่ยนมาใช้ Material Design Components ชุดคอมโพเนนต์สำหรับสร้าง UI ช่วยให้หน้าตาแอพปรับเข้าสไตล์กับธีมได้ง่ายขึ้น รองรับ Dark Mode Database Inspector ช่วยให้นักพัฒนาตรวจสอบและแก้ไขค่าในฐานข้อมูลของแอพได้สะดวกกว่าเดิม สามารถรัน Android Emulator ในหน้าต่างเดียวกับ Android Studio ได้แล้ว ไม่ต้องแยกหน้าต่างเหมือนที่ผ่านๆ มา Android Emulator รองรับอุปกรณ์แบบพับจอได้ (foldable) จำลองการทำงานของบานพับจอได้ รองรับการนำเข้าโมเดลจาก TensorFlow Lite มารันในแอพ Android Apply Changes ฟีเจอร์รันโค้ดที่แก้ไขโดยไม่ต้องรีบูต ทำงานได้เร็วขึ้นเมื่อรันอีมูเลเตอร์ Android 11 เพิ่ม Native Memory Profiler สำหรับแอพที่เขียนแบบเนทีฟ ที่มา - Android Developers Blog
# Apple ออกอัพเดต watchOS 7.0.2 แก้ปัญหา Apple Watch แบตเตอรี่หมดไว แอปเปิลออกอัพเดต watchOS 7.0.2 ระบบปฏิบัติการสำหรับ Apple Watch ซึ่งเป็นอัพเดตต่อจาก watchOS 7.0.1 ที่ออกมาเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ในรายการอัพเดตนั้นแอปเปิลระบุว่า watchOS 7.0.2 แก้ไขบั๊กที่ทำให้แบตเตอรี่ Apple Watch หมดเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ยังแก้ไขปัญหาการใช้งาน ECG ในประเทศที่สามารถใช้งานได้ ผู้ใช้ Apple Watch สามารถอัพเดตได้ผ่านแอปบน iPhone แล้วไปที่ General > Software Update โดย Apple Watch ต้องมีแบตเตอรี่อย่างต่ำ 50% และกำลังชาร์จไฟอยู่ ที่มา: MacRumors
# Disney ปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ เน้นผลิตคอนเทนต์เพื่อแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Walt Disney Company ประกาศปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ในกลุ่มธุรกิจสื่อและความบันเทิง โดยรวมกลุ่มบริษัทย่อย ๆ และแยกออกเป็นส่วนงานแต่ละประเภทเพื่อพัฒนาและผลิตคอนเทนต์ที่เน้นในส่วนของสตรีมมิ่งเป็นหลัก รวมถึงแพลตฟอร์มออกอากาศอื่น ๆ ของ Disney ด้วย สำหรับโครงสร้างบริษัทใหม่ Disney จะจัดตั้งให้ Media and Entertainment Distribution มีหน้าที่ในการหาเงินจากคอนเทนต์ทั้งการจัดจำหน่ายและโฆษณา รวมถึงรับผิดชอบการดำเนินธุรกิจบริการสตรีมมิ่งของ Disney ส่วนฝั่งผู้สร้างคอนเทนต์ Disney จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ Studios, General Entertainment และ Sports ที่จะรับผิดชอบในด้านการผลิตคอนเทนต์ โดยจะงานหลักที่จะโฟกัสคือคอนเทนต์เพื่อบริการสตรีมมิ่ง ซึ่งแต่ละหน่วยงานจะมีหน้าที่ดังนี้ Studios: สร้างภาพยนตร์และคอนเทนต์เป็นตอน ๆ เพื่อ Disney+ และบริการสตรีมมิ่งอื่น ๆ ของบริษัท โดยกลุ่มนี้จะรวม content engines จาก Walt Disney Studios (ที่รวม Disney live action และ Walt Disney Animation Studios), Pixar Animation Studios, Marvel Studios, Lucasfilm, 20th Century Studios และ Searchlight Pictures เข้าด้วยกัน General Entertainment: สร้างคอนเทนต์ประเภทความบันเทิงทั่วไปและคอนเทนต์ยาวแบบออริจินัลสำหรับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของบริษัท รวมถึงกลุ่มธุรกิจเคเบิลและระบบออกอากาศของ Disney โดยกลุ่มนี้จะรวม content engines จาก 20th Television, ABC Signature and Touchstone Televisio, ABC News, Disney Channels, Freeform, FX และ National Geographic Sports: โฟกัสที่งานถ่ายทอดสดกีฬา, ข่าวกีฬา รวมถึงคอนเทนต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับกีฬา โดยกลุ่มนี้จะรวมคอนเทนต์จาก ESPN และ ABC โครงสร้างธุรกิจแบบใหม่ของ Disney เริ่มมีผลบังคับใช้แล้ววันนี้ ซึ่งทางบริษัทคาดว่าจะปรับเปลี่ยนรูปแบบรายงานทางการเงินภายใต้โครงสร้างแบบใหม่ในปีงบประมาณ 2021 ที่มา - The Walt Disney Company, Engadget ภาพจาก Disney
# กูเกิลปิดร้านขายเพลง Google Play Music แล้ว เตรียมย้ายไป YouTube Music สิ้นปีนี้ กูเกิลเริ่มปิดร้านขายเพลงบน Google Play Music ตามที่เคยประกาศไว้ เพื่อย้ายบริการฟังเพลงทั้งหมดสู่ YouTube Music ผู้ใช้สามารถย้ายเพลงในไลบรารีขึ้น YouTube Music ได้ผ่านลิงก์ music.youtube.com/transfer และดาวน์โหลดไฟล์เพลงของตัวเองที่เคยอัพโหลดไว้ผ่านบริการ Google Takeout สิ่งที่ปิดในวันนี้คือสโตร์ขายเพลงเท่านั้น แอพ Google Play Music ยังใช้งานได้จนถึงสิ้นปี 2020 หลังจากนั้นข้อมูลทั้งหมดจะถูกลบออกจากเซิร์ฟเวอร์ของกูเกิล และกูเกิลจะเหลือบริการฟังเพลงเพียงตัวเดียวคือ YouTube Music ที่มา - Google, Android Police
# Facebook บริจาคเงิน 1 ล้านปอนด์ให้พิพิธภัณฑ์ Bletchley Park ที่กำลังขาดทุนหนัก Facebook ประกาศบริจาคเงิน 1 ล้านปอนด์ให้ Bletchley Park พิพิธภัณฑ์ด้านการถอดรหัสยุคสงครามโลกครั้งที่สอง และสถานที่ทำงานของ Alan Turing เพื่อให้พิพิธภัณฑ์สามารดำเนินกิจการต่อไปได้ ปีนี้ Bletchley Park ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักเพราะคนเข้าลดลงจากสถานการณ์ COVID-19 จนต้องหยุดจ่ายเงินเดือนและปลดพนักงานออกบางส่วน Facebook บอกว่า Bletchley Park เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของวงการคอมพิวเตอร์ จึงเข้ามาช่วยสนับสนุนเงินให้พิพิธภัณฑ์สามารถเปิดต่อไปได้ ฉาก Bletchley Park ในภาพยนตร์ Imitation Game ชีวประวัติของ Alan Turing ที่มา - Facebook
# Facebook แบนโพสต์บิดเบือนเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หลังพบแนวคิดต่อต้านชาวยิวมากขึ้น Facebook ประกาศแบนและจะลบเนื้อหาใดๆ ที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่มีอยู่จริง จากเดิมที่ Facebook พยายามวางตัวไม่แทรกแซงกับเนื้อหาเพราะไม่อยากกระทบเสรีภาพทางการแสดงความคิดเห็น ทำให้เนื้อหาจำพวกนี้ยังคงอยู่ในโซเชียลมีเดียที่มีคนใช้งานทั่วโลกได้ ที่ Facebook เพิ่งจะออกมาแบนเนื้อหาประเภทนี้ Monika Bickert รองประธานฝ่ายนโยบายเนื้อหาของ Facebook ให้เหตุผลว่าจากการสำรวจล่าสุดของผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาที่มีอายุระหว่าง 18-39 ปีเกือบ 1 ใน 4 กล่าวว่าพวกเขาเชื่อว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวเป็นตำนานที่กล่าวเกินจริง หรือไม่แน่ใจว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งเป็นระดับความไม่รู้ (ignorance) ที่น่าตกใจ ด้าน Mark Zuckerberg โพสต์ว่า หากมีคนค้นหาเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธู์ชาวยิวบน Facebook ระบบจะนำผู้ใช้งานไปยังแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เพื่อรับข้อมูลที่ถูกต้อง เขายังยอมรับด้วยว่าต้องต่อสู้กับความตึงเครียดระหว่างจุดยืนการแสดงออกอย่างเสรีและความเสียหายที่เกิดจากทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ และเมื่อเขาเห็นว่ามีความเคลื่อนไหวต่อต้านชาวยิวมากขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจแบนเนื้อหาดังกล่าว ภาพจาก Facebook ย้อนไปในปี 2018 Mark Zuckerberg เคยให้สัมภาษณ์ Kara Swisher นักข่าวสายเทคโนโลยีว่าเขาไม่รู้สึกว่าแพลตฟอร์มของเขาควรลบโพสต์บิดเบือนความหายนะในอดีต และไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะพูดว่า “เราจะเอาใครบางคนออกจากแพลตฟอร์มถ้าพวกเขาทำผิด" เพิ่มเติมจากผลสำรวจที่ Bickert อ้างถึงคือผลสำรวจจาก Conference on Jewish Material Claims Against Germany ที่ไปสัมภาษณ์คนจากทุกๆ รัฐ ก็ยังพบตัวเลขที่น่าตกใจว่า ผู้ให้สัมภาษณ์ 48% ไม่สามารถระบุชื่อค่ายกักกันที่สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองได้, 11% เชื่อว่าชาวยิวทำให้เกิดความหายนะ และ 49% กล่าวว่าพวกเขาเห็นโพสต์บิดเบือนความหายนะในอดีตบนโซเชียลมีเดียหรือที่อื่นๆ ทางออนไลน์ แต่ 80% ก็มองว่าการสอนเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ และ 64% เห็นว่าควรให้เป็นการศึกษาภาคบังคับในโรงเรียน Today we're updating our hate speech policy to ban Holocaust denial. We've long taken down posts that praise hate... Posted by Mark Zuckerberg on Monday, October 12, 2020 ที่มา - Facebook, The Next Web
# Alphabet เปิดตัว Mineral โครงการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อวิเคราะห์พืชแบบต้นต่อต้น อยู่ในสังกัด X Alphabet เปิดตัวโครงการ moonshot ภายใต้แล็ป X ใหม่ในชื่อว่า Mineral เป็นโครงการพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับตรวจสอบพืชแต่ละต้นเพื่อสร้าง big data ทีม X ของ ​Alphabet มองว่าการนำดิจิทัลมาใช้กับการเกษตรในทุกวันนี้ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังไว้ ซึ่งโลกในอนาคตยังมีความจำเป็นในการผลิตอาหารสูงขึ้นในขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ผลผลิตน้อยลง ทำให้ทีมคิดจะพัฒนา Mineral ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ในด้านนี้อย่างจริงจัง โครงการ Mineral ระบุว่า ปัจจุบันเกษตรกรรมคือการปลูกพืชเพียงไม่กี่ชนิดที่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งข้าว, ข้าวสาลี และข้าวโพดทุกวันนี้คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งของแคลอรี่จากพืชที่ทั่วโลก แต่การปลูกพืชแบบไม่กี่ชนิดมีความเสี่ยงต่อแมลง, โรคระบาด และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในขณะที่พืชกินได้ทุกวันนี้มีอยู่ราว 30,000 ชนิดทั่วโลก แต่พืชที่มนุษย์นำมาใช้ปลูกเพื่อบริโภคในทุกวันนี้คิดเป็นสัดส่วนยังไม่ถึง 1% ของทั้งหมด เครื่องมือจาก Mineral จะใช้วิธีการตรวจสอบและเก็บข้อมูลจากพืชแบบต้นต่อต้น ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนระบบดูแลพืชในรูปแบบเดียวกันทั้งฟาร์มที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ มาเป็นระบบการดูแลแบบต้นต่อต้นที่จะช่วยเพิ่มผลผลิตโดยรวมของฟาร์ม ทั้งยังเป็นการปลดล็อกโอกาสในการปลูกพืชหลากหลายชนิดในฟาร์มเดียวกันเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาพืชเพียงไม่กี่ชนิดอีกด้วย Mineral เริ่มเข้าไปทำโครงการในฟาร์มหลายแห่งแล้ว เพื่อเก็บประสบการณ์เกี่ยวกับพืชตั้งแต่ช่วงแตกหน่อจนถึงเก็บเกี่ยวและหาโซลูชั่นสำหรับช่วยให้เกษตรกรเข้าใจพืชมากขึ้น และตอนนี้ Mineral เริ่มทำหุ่นยนต์โปรโตไทป์เบื้องต้นออกมาแล้ว ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์โครงการ X (Mineral) ที่มา - Medium, TechCrunch
# Dirt 5 กับแนวทางใหม่เกมคอนโซลยุคหน้า เพิ่มโหมดเฟรมเรต 120FPS ช่วงหลังเราเริ่มเห็นวงการเกมหันไปโฟกัสเรื่องเฟรมเรตกันมากขึ้น โดยเฉพาะฝั่งพีซีที่ไม่ถูกจำกัดด้วยสเปกเครื่อง (ตัวอย่างเช่น Doom Eternal ที่ไม่ล็อคเฟรมเรต และสามารถดันขึ้นไปถึง 120Hz) การมาถึงของคอนโซลเจนใหม่ที่สเปกแรงขึ้นมาก ทำให้เกมคอนโซลก็เริ่มสนใจเรื่องเฟรมเรตเช่นกัน เกมล่าสุดที่นำเรื่องนี้มาชูโรงคือ Dirt 5 เกมขับรถภาคใหม่จากสตูดิโอ Codemasters ของอังกฤษ (เจ้าของเกม F1 และ Grid) ที่มีโหมด 120Hz ให้เลือกใช้บนคอนโซล เว็บไซต์ไอทีต่างประเทศหลายแห่งได้ Dirt 5 เวอร์ชัน Xbox Series X ไปทดสอบ ภาพรวมของเกม Dirt 5 คือไม่ต่างจากเกม Dirt 4 ภาคก่อนหน้ามากนัก เพราะเกมลงหลายแพลตฟอร์ม (PS4, PS5, Xbox One, Xbox Series X, PC, Stadia) กราฟิกเลยยังไม่แตกต่างจากเกมบนคอนโซลยุคก่อน จุดที่สร้างความต่างจริงๆ คือโหมดตั้งค่า 120Hz ที่ลดรายละเอียดหรือเท็กซ์เจอร์กราฟิกหลายจุดลง (เช่น ลดแสงเงาสะท้อน ตัดคนดูข้างสนามออกไป) เพื่อดันเฟรมเรตให้ขึ้นไปถึง 120FPS (แต่ยังคงความละเอียด 2160p โดยโหมดปกติจะอยู่ราว 40fps) ซึ่งต้องใช้ร่วมกับจอมอนิเตอร์ที่รองรับ และต่อผ่านพอร์ต HDMI 2.1 ด้วย (โหมด 120fps มีบน PS5 ด้วย) เว็บไซต์ VentureBeat บอกว่าผลที่ได้คือเกมรันได้ราบรื่น ตอบสนองดี การตั้งค่าทำได้สะดวกกว่าเกมบนพีซี ส่วน Ars Technica ยืนยันว่าสายตามนุษย์สามารถแยกความแตกต่างระหว่าง 120fps กับ 60fps ได้ ช่วยให้ประสบการณ์การเล่นดีขึ้นมาก (แม้รายละเอียดกราฟิกก็ลดลงไปมาก) แต่การที่แพลตฟอร์มแชร์วิดีโอในปัจจุบันยังไม่รองรับวิดีโอแบบ 120fps (YouTube รองรับสูงสุด 60fps) ทำให้การถ่ายทอดประสบการณ์นี้ทำได้ยาก ต้องไปลองเล่นเองจริงๆ จึงจะเห็นผล ส่วน Digital Foundry ใช้วิธีบันทึกวิดีโอแบบ 120fps แล้วมาเล่นแบบสปีด 50% เพื่อให้เห็นความแตกต่าง ที่มา - Ars Technica, VentureBeat
# Carl Pei ผู้ร่วมก่อตั้ง OnePlus ลาออกจากบริษัท คาดเพราะขัดแย้งกับซีอีโอ Pete Lau เว็บไซต์ Android Central อ้างแหล่งข่าววงในของ OnePlus ยืนยันข่าวว่า Carl Pei ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทลาออกไปเมื่อเร็วๆ นี้ หลังมีข่าวลือว่าเขาขัดแย้งกับ Peter Lau ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งอีกคน OnePlus ก่อตั้งในปี 2013 โดย Carl Pei และ Pete Lau ซึ่งเคยทำงานร่วมกันที่ Oppo มาก่อน ตัวของ Pei เองเป็นคนจีนที่เติบโตในสวีเดน (เขาถือสัญชาติสวีเดน) เคยทำงานที่ Nokia และ Meizu ก่อนมาอยู่กับ Oppo แถมการที่เขาพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ทำให้เขากลายเป็นตัวแทนของแบรนด์ OnePlus ในโลกตะวันตก มากกว่าซีอีโอ Pete Lau ที่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่งนัก ตามข่าวบอกว่าเขาขัดแย้งกับ Pete Lau ทำให้ตัดสินใจลาออกไป เว็บไซต์ TechCrunch อ้างข้อมูลจากเพื่อนของเขาว่าเขาจะไปเปิดบริษัทเอง แต่ Pei ยังไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ใดๆ ในเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ Pei รับผิดชอบการพัฒนา OnePlus Nord ซึ่งตำแหน่งนี้จะได้ Emily Dai ผู้บริหารของ OnePlus อินเดียมาทำงานแทน Carl Pei (คนซ้าย) และ Pete Lau (คนกลาง) ภาพจาก @getpeid ที่มา - Android Central, TechCrunch
# ไมโครซอฟท์ไล่ปิดเซิร์ฟเวอร์มัลแวร์ Trickbot ที่ใช้ส่ง Ransomware ได้สำเร็จ แม้คาดว่าคนร้ายจะกลับมาอีกครั้ง ไมโครซอฟท์รายงานถึงการต่อสู้กับกลุ่มให้บริการมัลแวร์ (malware-as-a-service) ที่ชื่อกลุ่มว่า Trickbot โดยไมโครซอฟท์ได้ตรวจตัวอย่างมัลแวร์ในกลุ่มถึง 61,000 ตัวอย่าง เพื่อหาไอพีของเซิร์ฟเวอร์สั่งการ (command and control) และจัดการระงับการใช้งานไอพีเหล่านั้นจนกระทั่งมัลแวร์หยุดทำงานไป แม้จะคาดได้ว่ากลุ่มคนร้ายคงหาเซิร์ฟเวอร์ใหม่เพื่อเปิดบริการอีกครั้งในอนาคต มัลแวร์ Trickbot มีการพัฒนาอย่างเป็นระบบ มีโมดูลแยกส่วนสามารถปรับฟีเจอร์ได้ตามการใช้งานของลูกค้า และจนตอนนี้ยังไม่สามารถหาต้นตอของกลุ่มผู้พัฒนาได้โดยตรง แม้จะพบว่าลูกค้าที่ใช้งาน Trickbot มีตั้งแต่ระดับรัฐ ไปจนถึงกลุ่มคนร้าย โดยเป้าหมายต่างกันไป ไมโครซอฟท์ระบุว่า Trickbot เป็นตัวส่งมัลแวร์ Ryuk เข้าไปในเน็ตเวิร์คของโรงพยาบาลเยอรมันจนกระทั่งมีคนเสียชีวิตในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดย Ryuk นี้โจมตีทั้งหน่วยงานรัฐ, โรงพยาบาล, บริษัทต่างๆ, ไปจนถึงมหาวิทยาลัย บางกรณี Trickbot ถูกใช้เก็บข้อมูลล็อกอินธนาคารจากเหยื่อเพื่อขโมยเงินจากบัญชีโดยตรง การปิดเครือข่ายมัลแวร์ครั้งนี้ร่วมกันหลายหน่วยงาน เช่น FS-ISAC ที่เป็นกลุ่มสถาบันการเงินช่วยดำเนินคดีในฐานะผู้เสียหายจากการฉ้อโกงธนาคาร, ESET, Lumen’s Black Lotus Labs, NTT, และ Symantec โดยไมโครซอฟท์เองก็ใช้เครื่องมือทางกฎหมายที่มี เช่นการแจ้งข้อหาลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่กลุ่ม Trickbot นำโค้ดของไมโครซอฟท์ไปใช้งานเพื่อปิดเครือข่ายของมัลแวร์ครั้งนี้ ที่มา - Microsoft
# Twilio ซื้อกิจการ Segment บริษัท API เชื่อมต่อข้อมูลลูกค้า มูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ Twilio ผู้ให้บริการ API สำหรับโทรศัพท์และ SMS รายใหญ่ (IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2016) ประกาศซื้อกิจการ Segment บริษัทด้าน API เก็บข้อมูลของลูกค้า ด้วยมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ Segment เรียกตัวเองว่าเป็น Customer Data Platform (CDP) โดยผลิตภัณฑ์หลักคือ Connections ตัวเก็บข้อมูลจากลูกค้าองค์กร (ผ่านมือถือ เว็บ คลาวด์ ฯลฯ) แล้วส่งต่อไปยังแหล่งเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น ฐานข้อมูล Redshift, บริการวิเคราะห์ข้อมูล, ระบบ CRM หรือจดหมายข่าว Mailchimp โดยมีบริการสร้างโพรไฟล์ของผู้ใช้ (personas) และจัดการเรื่อง data governance ให้เพิ่มด้วย Twilio บอกว่าผลิตภัณฑ์ด้านข้อมูลของ Segment นำมาต่อเชื่อมกับผลิตภัณฑ์ด้านสื่อสารของ Twilio กลายเป็นแพลตฟอร์มด้านข้อมูลครบวงจร ใช้ได้ทั้งงานขาย งานบริการลูกค้า งานการตลาด การซื้อกิจการครั้งนี้ใช้วิธีแลกหุ้นทั้งหมด โดยผู้ถือหุ้นของ Segment จะได้รับหุ้นของ Twilio เป็นการตอบแทน กระบวนการซื้อจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2020 หลังจากนั้น Segment จะกลายมาเป็นฝ่ายหนึ่งใน Twilio ที่มา - Twilio
# เปิดตัว Nest Thermostat โฉมใหม่ มีเซ็นเซอร์ Soli เช็คความเคลื่อนไหว ราคาถูกลงเหลือ 129 ดอลลาร์ มีข่าวลือออกมาไม่ทันไร กูเกิลก็เปิดตัว Nest Thermostat รุ่นใหม่อย่างเป็นทางการ Nest Thermostat รุ่นแรกที่ออกในปี 2011 ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อให้บริษัท Nest (ก่อนโดนกูเกิลซื้อในปี 2014) แต่มันก็ไม่เคยถูกปรับเปลี่ยนดีไซน์ครั้งใหญ่เลย ยังคงใช้อินเทอร์เฟซแบบหมุนเพื่อควบคุมมาตลอดเกือบสิบปี Nest Thermostat รุ่นปี 2020 ปรับโฉมครั้งใหญ่ให้หน้าตาโฉบเฉี่ยวขึ้น กรอบบางลง อินเทอร์เฟซแบบหมุนของเดิมถูกเอาออกไป แต่กลายมาเป็นการแตะขอบด้านข้างแล้วลากแทน (ดูคลิปประกอบ) นอกจากนี้ยังเพิ่มสีให้เลือกเป็น 4 สี เข้าได้กับฝาผนังหลากหลายรูปแบบ ฝั่งซอฟต์แวร์ของ Nest Thermostat ฉลาดขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะสามารถวิเคราะห์อุณหภูมิที่เหมาะสม และประหยัดค่าไฟไปพร้อมกัน (ในบางประเทศ คิดค่าไฟแตกต่างกันตามช่วงเวลา) การควบคุมสามารถทำงานได้ผ่านแอพ Google Home บนมือถือ และสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Google Assistant จุดเด่นอีกอย่างของ Nest Thermostat คือมันใส่เซ็นเซอร์ Soli ที่ใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกับ Pixel 4 ทำให้ตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในบ้านได้ เมื่อใช้ควบคู่กับข้อมูลจากพิกัดของมือถือว่าอยู่ในบ้านหรือไม่ ทำให้ Nest สามารถวิเคราะห์ว่า "บ้านไม่มีคนอยู่" แล้วปิดระบบทำความร้อน เพื่อแก้ปัญหาลืมเปิดทิ้งไว้แล้วออกจากบ้าน Nest Thermostat รุ่นใหม่ยังลดราคาให้ถูกจากเดิมมากคือ 129 ดอลลาร์ (รุ่นดั้งเดิมขาย 249 ดอลลาร์) เพื่อจูงใจให้คนเปลี่ยน thermostat แบบดั้งเดิมมาเป็น smart thermostat ได้ง่ายขึ้นด้วย เริ่มวางขายแล้ววันนี้ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ที่มา - Google
# เบื้องหลังโลโก้ใหม่ Gmail ถอดซองจดหมายออกเพราะคนไม่สนใจ แต่ยังคงตัว M ไว้ ข่าวใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคือ กูเกิลรีแบรนด์ G Suite เป็น Google Workspace และเปลี่ยนโลโก้ของแอพหลายตัวในชุด ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือ Gmail ที่เปลี่ยนจากตัว M สีแดงบนซองจดหมาย มาเป็นตัว M หลากสี และตัดซองจดหมายออกไป Margaret Cyphers หัวหน้าฝ่ายครีเอทีฟของกูเกิล อธิบายเบื้องหลังการออกแบบโลโก้ Gmail ใหม่กับ Fast Company ว่าทีมออกแบบต้องพยายามหาสมดุลระหว่าง Gmail ของเดิมที่คนรู้จักกันดี กับ "ความสดใหม่" ที่ต้องการเพิ่มเข้ามา ทีมงานถึงขั้นลองถอดตัว M และลองถอดสีแดงออกไปเลย แต่ผลทดสอบก็พบว่าไม่เวิร์ค อย่างไรก็ตาม ทีมงานพบว่าคนไม่ได้สนใจรูปซองจดหมายมากอย่างที่คิด ทำให้ซองจดหมายถูกตัดออกไป ตัว M ยังคงอยู่ แต่ปรับมาใช้สีสันมากขึ้นตามอย่างโลโก้ของกูเกิลในยุคใหม่ โดยยังอิงสีแดงเป็นสีเด่นอยู่เหมือนเดิม คอนเซปต์อีกอย่างในโลโก้ชุดใหม่คือ ความเคลื่อนไหว (movement) ที่แสดงผ่านการเชื่อมต่อชิ้นส่วนสีต่างๆ เข้าด้วยกัน (connected pieces) ในคลิปของกูเกิลยังแสดงโลโก้เหล่านี้เป็น 3D เพื่อให้เห็นคอนเซปต์เหล่านี้ด้วย ที่มา - Fast Company
# Cyberpunk Red เกมกระดานปูทางสู่ Cyberpunk 2077 เตรียมออกเวอร์ชั่นเต็ม เดือนพฤศจิกายนนี้ Cyberpunk 2077 มีต้นกำเนิดมาจากเกมกระดาน (บอร์ดเกม) ซีรีส์ Cyberpunk ของ Mike Pondsmith ซึ่งตัว Mike Pondsmith นอกจากจะเป็นที่ปรึกษาให้กับ CD Projekt RED สำหรับเกม Cyberpunk 2077 แล้ว R. Talsorian Games บริษัทเกมกระดานที่เขาเป็นเจ้าของ ก็กำลังสร้างเกมกระดานภาคใหม่ชื่อ Cyberpunk Red ซึ่งเป็นภาคที่มีเนื้อเรื่องอยู่ในปี 2045 เพื่อปูทางไปสู่ Cyberpunk 2077 อีกด้วย Cyberpunk Red เปิดตัวเวอร์ชันย่อยฉบับแรก Cyberpunk Red: Jumpstart Kit ในงานเกมกระดาน GenCon ในปี 2019 โดยมีหนังสือกฎของเกมสั้นๆ และหนังสือความยาว 51 หน้าเกี่ยวกับโลกของเกมและสงครามบริษัทครั้งที่ 4 (4th Corporate War) ซึ่งเป็นสงครามระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่ในจักรวาล Cyberpunk ที่ก่อให้เกิดสภาพสังคมแบบโลกในเกม ซึ่งฉบับปี 2019 นี้ ยังเป็นเพียงเวอร์ชั่นเริ่มต้น R. Talsorian Games และ Mike เตรียมออกหนังสือชุดการเล่น Cyberpunk Red ฉบับเต็ม ความยาวกว่า 456 หน้าในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะมีรายละเอียดโลกเกมเพิ่มเติม มีคำอธิบายระบบการต่อสู้ในรูปแบบเกมกระดาน และคลาสต่างๆ รวมไปถึงคำแนะนำสำหรับ GM (ผู้ควบคุมเกม) แบบละเอียด และตัวอย่างแคมเปญเกมกระดานสำหรับผู้เล่นใหม่ที่เรียกว่า Screamsheets ให้ทดลองใช้จนกว่าผู้เล่นจะมีประสบการณ์พอสร้างแคมเปญเล่นกับเพื่อนได้เอง ซึ่ง Screamsheets จะมีอัปเดตเพิ่มเติมบนเว็บไซต์ R. Talsorian Games เรื่อยๆ ในบ้านเราอาจจะหาผู้เล่นเกม RPG บนกระดานแบบจริงๆ จังๆ ได้ยาก ยิ่งการหา GM หรือผู้ควบคุมเกมและสร้างแคมเปญ ก็ยิ่งยากไปใหญ่ แต่ถ้าใครที่อยากรู้ข้อมูลโลก Cyberpunk โดยละเอียดจริงๆ ก็สามารถสั่งซื้อหนังสือแบบ PDF ได้บนเว็บไซต์ R. Talsorian Games ในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ และเวอร์ชั่นหนังสือแบบเป็นเล่ม ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ตรงกับวันวางจำหน่ายของ Cyberpunk 2077 ที่มา - Polygon ภาพปก Cyberpunk Red: Jumpstart Kit จาก R. Talsorian Games
# Five Eyes ภาคีหน่วยข่าวกรองเรียกร้อง กระบวนการเข้ารหัส E2E ที่รัฐเข้าถึงได้แบบถูกกฎหมาย Five Eyes ภาคีด้านหน่วยข่าวกรองของ 5 ประเทศได้แก่ออสเตรเลีย, แคนาดา, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ร่วมกับหน่วยข่าวกรองอีก 2 ประเทศคือญี่ปุ่นและอินเดีย ส่งจดหมายเปิดผนึก เรียกร้องให้ใช้เทคโนโลยีเข้ารหัสแบบ end-to-end ที่มีช่องทางให้ภาครัฐเข้าถึงได้แบบถูกกฎหมาย เพื่อความปลอดภัยของสาธารณะ แต่ก็ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวอยู่ ภาคีเน้นย้ำถึงความสำคัญและสนับสนุนการเข้ารหัสที่เข้มแข็ง ทั้งในแง่ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยไซเบอร์ การรักษาความลับต่าง ๆ ไปจนถึงประเด็นการเมืองอย่างการปกปิดตัวตนของนักข่าวหรือเรื่องปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่ภาคีก็บอกว่าการเข้ารหัสที่เข้มแข็ง ก็มีด้านกลับคือประเด็นความปลอดภัยของสาธาระที่เกิดจากการทำผิดกฎหมาย เลยเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยี เปิดช่องทางให้ภาครัฐสามารถเข้าถึง backdoor ของกระบวนการเข้ารหัส สำหรับการสืบสวนสอบสวนตามกฎหมาย พร้อมระบุว่าบริษัทเทคไม่สามารถตอบสนองและค้นหาการละเมิด term of service ของตัวเองหรือการกระทำผิดกฎหมาย รวมถึงการเข้ารหัสก็ปิดกั้นการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่รัฐ ทางภาคีจึงเสนอและเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีเปิดให้ภาครัฐเข้าถึงคอนเทนท์แบบไม่เข้ารหัส (อ่านได้/ใช้ได้) ตามคำขอที่ผ่านกระบวนการทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน โดยทางภาคีเน้นย้ำว่าวิธีการนี้ท้าทายความเชื่อที่ว่า ความปลอดภัยจะต้องแลกมาด้วยความเป็นส่วนตัว แต่สามารถมีพร้อม ๆ กันได้ ที่มา - Department of Justice via The Register
# AWS เริ่มใช้ซีพียู Graviton 2 ที่เป็น ARM ออกแบบเอง ใช้กับ ElastiCache เป็นค่าดีฟอลต์ AWS เปิดตัวซีพียู Graviton ของตัวเอง (เป็น ARM) ในปี 2018, อัพเกรดเป็น Graviton 2 ในปี 2019 และเพิ่งเริ่มนำ Graviton 2 มาให้บริการในเดือนพฤษภาคม 2020 นี้เอง ล่าสุด AWS ประกาศว่าบริการ Amazon ElastiCache จะเริ่มนำ instance ที่เป็นซีพียู Graviton 2 (M6g และ R6g) มาใช้งานแล้ว ความน่าสนใจคือ ElastiCache จะเลือกใช้ Graviton 2 เป็นค่าดีฟอลต์ด้วย ถ้าลูกค้าไม่เปลี่ยนค่าอะไร แปลว่าจะรันบน ARM แทนที่จะเป็น x86 นั่นเอง เหตุผลที่ AWS ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ Graviton คือประสิทธิภาพต่อราคาที่ดีกว่า (โฆษณาว่าสูงสุด 45%) ซึ่งบริษัทก็การันตีว่าสามารถรันซอฟต์แวร์แคชยอดนิยมทั้ง Redis และ Memcached ได้อย่างไม่มีปัญหา แถมอัพเกรดจากเครื่องที่เป็น x86 มาได้ด้วย ที่มา - Amazon via The Register
# ประเมินรายได้ Genshin Impact แตะ 100 ล้านเหรียญในสองสัปดาห์แรก อาจคืนทุนเรียบร้อยแล้ว PC Gamer เปิดรายงานจากหลากหลายแหล่งข่าวว่า Genshin Impact เกมผจญภัยโอเพ่นเวิล์ดจากประเทศจีนแบบเล่นฟรีแต่หารายได้จากการเปิดไอเท็มสุ่มสไตล์กาชา อาจทำเงินไปแล้วกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 12 วันแรกที่เปิดตัว และหากอิงจากตัวเลขรายงานงบพัฒนาเกมนี้ที่ 100 ล้านเหรียญ อาจแปลว่า miHoYo ผู้พัฒนา ทำรายได้คืนทุนเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้เป็นกำไร Daniel Ahmad นักวิเคราะห์ธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านวงการเกมเอเชียของ Niko Partners ออกมาประเมินว่าตัวเกมอาจทำรายได้ถึง 1 พันล้านหยวน หรือประมาณ 150 ล้านเหรียญสหรัฐได้ในไม่ช้า และเขายังกล่าวอีกว่าเกมนี้ถือได้ว่าเป็น “เกมไอพีใหม่จากผู้พัฒนาสัญชาติจีน ที่เปิดตัวได้อย่างประสบความสำเร็จที่สุดเท่าที่เคยมีมา” แม้ตัวเกมอาจมีดราม่าเล็กน้อยเรื่องการได้ “แรงบันดาลใจ” จากเกมอื่นๆ หลายๆ เกมมารวมกัน เช่น สไตล์ของภาพและแมคคานิกจากเกม Zelda: Breath of The Wild หรือท่าทางเคลื่อนที่ของตัวละคร NierR: Automata แต่ก็ดูจะไม่เป็นผลกระทบกับความสำเร็จของเกมมากนัก รวมถึง miHoYo ก็เตรียมพอร์ตเกมลงเครื่อง Nintendo Switch แล้ว คาดว่าทาง Nintendo ก็คงไม่ได้มีปัญหากับการได้แรงบันดาลใจของเกมนี้มากเท่าไรเช่นกัน ที่มา - PC Gamer
# ทีมพัฒนา Baldur’s Gate 3 ผิดหวังที่ผู้เล่นสร้างตัวละครหน้าตาธรรมดาเกินไป ทั้งที่ให้ตัวเลือกเยอะ Baldur’s Gate 3 เกม RPG ในจักรวาล Dungeons & Dragons ที่ Larian Studios ซื้อลิขสิทธิ์มาจาก Hasbro และ Wizards of the Coast เจ้าของลิขสิทธิ์ตัวเกมเวอร์ชั่นเกมกระดาน และเพิ่งเปิดแบบ Early Access ไปเมื่อ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยทีมผู้พัฒนาก็กำลังทยอยออกอัปเดตแก้ปัญหาอยู่เรื่อยๆ ก่อนจะปล่อยอัปเดตตัวที่ 3 ทีม Larian Studios ได้ออกมาแชร์สถิติหน้าตาของตัวละครที่ผู้เล่นสร้างขึ้นมากที่สุด ซึ่งผลที่ออกมาทำให้ทีมงานถึงกับต้องเช็คว่าตัว analytic ทำงานได้อย่างถูกต้องหรือไม่ เพราะตัวละครที่ถูกสร้างมากที่สุด ดูเป็นมนุษย์ที่ธรรมดาสุดๆ ทั้งที่ทีมงานให้ตัวเลือกในการสร้างตัวละครอย่างหลากหลาย มีทั้งตาปีศาจ เขา หาง และอื่นๆ จนทีมงานต้องบ่นว่า “พวกนายสร้าง default Vault Dweller (ตัวละครหลักใน Fallout 1) ชัดๆ” พร้อมกับแสดงความผิดหวัง และพยายามกระตุ้นให้ผู้เล่นสร้างตัวละครที่ครีเอตกว่านี้ เพราะพวกเขาทำงานหนักมากเพื่อสร้างระบบนี้ขึ้นมา Kotaku คิดว่าผู้เล่นอาจจะอยากสร้างตัวละครที่เหมือนตัวเองมากที่สุด และอยากให้ทีมพัฒนา เพิ่มตัวเลือกให้ตัวละครมนุษย์หลากหลายกว่านี้ ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะตัวเกมยังเป็น Early Access ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่กี่วัน และผู้เล่นอาจอยากลองเริ่มเกมด้วยตัวละครที่เล่นง่ายๆ ไม่ต้องปรับแต่งมาก เพื่อทดลองระบบเกมต่างๆ ก่อน แล้วค่อยสร้างตัวละครแบบจริงจังหรือเป็นเผ่าอื่นในรอบการเล่นถัดๆ ไป หรือเมื่อตัวเกมเป็นเวอร์ชั่นเต็มแล้ว ที่มา - Kotaku
# รีวิว Galaxy Buds Live หูฟังไร้สายคุณภาพ ที่ไม่ Noise Cancelling เพราะดีไซน์ Galaxy Buds Live เป็นการเปิดศักราชหูฟังไร้สายใหม่ของซัมซุง ทั้งในแง่ดีไซน์แบบเม็ดถั่วและการทำหูฟัง Active Noise Cancelling เป็นตัวแรก ในแง่คุณภาพการใช้งาน Galaxy Buds Live ถือว่าค่อนข้างดีขึ้นกว่า Galaxy Buds+ โดยเฉพาะคุณภาพเสียง แต่จากที่ทดลองใช้งานมาคิดว่าปัญหาหลัก ๆ ของหูฟังไร้สายรุ่นนี้ของซัมซุงเกิดจากดีไซน์เป็นหลัก โดยเฉพาะเรื่อง Noise Cancelling ที่มีก็เหมือนไม่มี จากการที่ใช้ Galaxy Buds และ Buds+ มาเป็นปี สิ่งที่ประทับใจ Galaxy Buds Live ที่สุดก็คือคุณภาพของเสียง ที่ถือว่าดีขึ้นกว่า 2 รุ่นแรกที่ชัดเจนที่สุดคือเสียงเบส แม้คุณภาพเสียงโดยรวมอาจจะไม่ได้ถึงขั้นดีมาก แต่ด้วยขนาดของหูฟังที่เล็กขนาดนี้ ส่วนตัวรู้สึกว่าดีกว่าที่คิดมาก เรื่องไมโครโฟนก็ถือว่าค่อนข้างดี คู่สนทนาได้ยินเสียงที่ชัดเจน ตัดเสียงรบกวนรอบตัวได้ดีระดับหนึ่ง (เคยคุยโทรศัพท์ขณะนั่งมอเตอร์ไซค์ คู่สนทนาก้ยังได้ยินเสียงพูดค่อนข้างชัด) นอกจากนี้แม้ตัวหูฟังจะดูเล็ก แต่ก็ฟิตพอดีหู ใส่ง่าย สบายและไม่หลุดแม้จะใส่วิ่งหรือใส่แล้วนั่งวินมอเตอร์ไซค์ก็ตาม รวมถึงระบบสัมผัสรู้สึกได้ว่าแม่นยำขึ้นกว่า Galaxy Buds+ กล่าวคือรุ่นเก่าหลาย ๆ ครั้งผมแตะ 2 ครั้งเพื่อเปลี่ยนเพลง แต่ตัวหูฟังรับรู้แค่ครั้งเดียว แต่ Galaxy Buds Live พบปัญหานี้น้อยกว่ามาก ๆ การเชื่อมต่อสามารถทำผ่านแอป Galaxy Gear ส่วนฟังก์ชันต่าง ๆ แทบไม่แตกต่างจาก Galaxy Buds รุ่นเก่า สามารถตั้งได้ว่าจะให้กดค้างเพื่อเพิ่มหรือลดเสียง (ซ้ายลด ขวาเพิ่ม) หรือซ้ายเปิด Spotify และขวาเปิดปิด Active Noise Cancelling (สลับกันได้) อย่างไรก็ตามปัญหลัก ๆ ของ Galaxy Buds Live รู้สึกว่าเกิดจากดีไซน์เป็นหลัก อย่างเรื่องของขนาดที่เล็กลง ทำให้พื้นที่สัมผัสน้อยตามไปด้วย เวลาพยายามจะขยับหูฟังในหัว ก็มักจะไปโดนพื้นที่ที่เป็นหน้าสัมผัสที่ไว้สำหรับแตะครั้งเดียวเพื่อหยุดเล่นหรือสั่งเล่นต่อ ที่สำคัญคือดีไซน์ของ Buds Live ไม่ได้มีลักษณะของความเป็น in-ear หรืออุดหูป้องกันลมและเสียงในทางกายภาพ ทำให้ฟีเจอร์ Active Noise Cancelling ไม่สามารถตัดเสียงรบกวนได้อย่างที่ควรจะเป็น เวลาเปิดฟีเจอร์นี้ แม้จะรู้สึกถึงแรงดันในหูที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยก็ตาม แต่แทบไม่ได้รู้สึกเสียงรบกวนรอบ ๆ หายไปแต่อย่างใด รู้สึกแค่มันน้อยลงเล็กน้อยมาก ๆ เท่านั้น ส่วนตัวรู้สึกว่าความเป็น in-ear ของ Galaxy Buds+ ยังช่วยลดเสียงรบกวนมากกว่า Buds Live ด้วยซ้ำไป ถ้าไม่นับปัญหาจากดีไซน์ 2 เรื่องนี้ ในภาพรวม Galaxy Buds Live ก็ถือเป็นหูฟังไร้สายที่ค่อนข้างดีรุ่นหนึ่ง แบตเตอรี่เพียงพอต่อการใช้งานทั้งวันแบบไม่ได้เปิด ANC (รวมแบตจากเคสยิ่งเกินวัน) ถ้าไม่ได้คาดหวังเรื่อง Active Noise Cancelling แล้วได้แบบลดราคาลงมาหน่อยก็ถือว่าน่าสนใจอยู่เหมือนกัน ข้อดี ใส่สบาย เกาะหู ไม่หล่น คุณภาพเสียงค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับขนาดและเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy Buds+ แบตเตอรี่พอทั้งวัน (ไม่ได้เปิด ANC) ข้อด้อย พื้นที่หน้าสัมผัสค่อนข้างน้อย เวลาขยับหูฟัง มักจะไปโดนระบบสัมผัส ทำให้เพลงหยุดหรือบางทีก็เปลี่ยนเพลง (แตะสองครั้ง) Active Noise Cancelling ที่มีก็เหมือนไม่มี เพราะดีไซน์ที่ไม่ได้อุดหู ทำให้เสียงรอบ ๆ ยังเข้าไปในหูได้อยู่
# Google เตรียมเปิดตัว Nest Thermostat ที่ใช้ Soli รองรับ gesture ราคา 129 เหรียญ ไม่นานหลังจากที่หัวหน้าฝ่ายฮาร์ดแวร์ของ Google บอกว่า Project Soli จะกลับมาในฮาร์ดแวร์ในอนาคต ซึ่งพูดเหมือนจะต้องรอนาน แต่ล่าสุด Google เตรียมจะเปิดตัวและวางขาย thermostat ที่มาพร้อมเรดาร์ Soli ภายในไม่กี่สัปดาห์นี้ thermostat ตัวใหม่จะใช้ระบบสั่งงานด้วยท่าทาง (gesture) แทนระบบทัชแบบเดิม ส่วนเรื่องท่าทางที่รองรับอาจต้องรอรายละเอียดจากการเปิดตัวจริง thermostat ตัวนี้วางราคาอยู่ที่ 129 เหรียญ ถูกกว่าตัว Learnign Thermostat เรือธงที่ขายอยู่ที่ 249 เหรียญและ Thermostat E ที่ 169 เหรียญ เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การขายฮาร์ดแวร์ราคาถูกของ Google หลังจากเริ่มมาตั้งแต่ Pixel 3a ที่มา - Bloomberg
# Huawei เตรียมเปิดตัว Mate 40 Pro วันที่ 22 ตุลาคมนี้ ไม่มี GMS เหมือนเดิม Huawei ออกประกาศเตรียมเปิดตัว Huawei Mate 40 Pro วันที่ 22 ตุลาคมนี้ พร้อมประโยค “Leap Futher Ahead” หรือแปลเป็นไทยว่า ก้าวไปให้ไกลกว่า ตรงกับข่าวลือก่อนหน้านี้ว่า Mate 40 Pro จะเปิดตัวในเดือนตุลาคม แต่จะมาพร้อมกับชิป Kirin 9000 กล้องคุณภาพสูง และที่การชาร์จแบบ 66W หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป ปีนี้ Huawei ต้องประสบกับมาตรการกีดกันต่างๆ จากสหรัฐอย่างหนัก ทำให้ Huawei ประสบปัญหาทั้งในด้านฮาร์ดแวร์ เพราะบริษัทชิปไม่สามารถทำการค้ากับ Huawei ได้ และซอฟต์แวร์จากฝั่ง Google ก็ไม่สามารถใช้งานบนมือถือของ Huawei ได้เช่นกัน คาดว่าใน Mate 40 Pro จะยังเป็น Android แบบไม่มี GMS อยู่ ก่อน Huawei เตรียมเปลี่ยนไปใช้ HarmonyOS ที่พัฒนาขึ้นเองในปีหน้า ที่มา - 9to5Google
# KBTG เปิดสำนักงานใหม่ที่สามย่าน “Samyan Valley” เล็งเพิ่มพนักงาน ตั้งเป้าเป็นบริษัทเทคเบอร์ 1 ของไทย ก่อนหน้านี้ KBTG กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในเครือธนาคารกสิกรไทย มีสำนักงานอยู่ที่เมืองทองธานี ล่าสุด KBTG เปิดตัวอาคารสำนักงานแห่งใหม่ใจกลางเมือง ที่สามย่าน (ติดกับอุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ในชื่อตึกว่า "K+" การเปิดสำนักงานเพิ่มเติมที่สามย่าน มีจุดหมายเป็นพื้นที่พัฒนานวัตกรรมแห่งใหม่ และสอดคล้องกับแผนขยายทีมอีกเป็นจำนวนมากถึง 700 คนในอีก 5 ปีข้างหน้า คุณกระทิง เรืองโรจน์ พูลผล ประธาน KBTG เล่าให้ฟังว่าเป้าหมายระยะยาวของ KBTG ที่ต้องการจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีอันดับ 1 ของไทยและเป็นบริษัทเทคโนโลยีแถวหน้าในอาเซียน ดังนั้นการจะไปสู่เป้าหมายนั้นได้ ต้องเพิ่มพนักงาน ตอนนี้ KBTG มีพนักงานอยู่ราว 1,200 คน และตั้งเป้าขยายให้ถึง 1,900 คนภายในปี 2025 นั่นแปลว่าต้องเพิ่มพนักงานอีกถึง 700 คน ใครที่อยากร่วมงานกับทาง KBTG สมัครได้ที่: Recruitment@kbtg.tech การเพิ่มพนักงานของ KBTG ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น เพราะเป้าหมายของธนาคารกสิกรไทยต้องการขยายไปยัง 8 ประเทศในกลุ่ม AEC เช่น เบื้องต้นมี สปป. ลาวที่มีผู้ใช้งานแล้วราว 70,000 รายและเมียนมา ที่กำลังจะนำ K+ ไปให้บริการในชื่อ A+ ตอนนี้ KBTG มี Development Hub อยู่ 3 แห่งคือกรุงเทพที่เป็นแกนหลัก, เวียดนาม และที่เสิ่นเจิ้นผ่านการตั้งบริษัทลูก จดทะเบียนเป็นบริษัทฟินเทคด้วยทุนจดทะเบียน 300 ล้านหยวน อีกปัจจัยคือนวัตกรรมและเทคโนโลยีรากฐานต่าง ๆ ที่ KBTG จะพัฒนาและต่อยอดโดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ คือ Innovation ที่เมื่อเดินเข้ามาได้ตึกจะได้สัมผัสกับ Contactless Products ทั้ง 6 ตัว ประกอบด้วย Face Check-in Contactless Menu Eat by Black Canyon ReKeep KLok (Face Activated Locker) Face Pay ยังมีมีผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งจากการเก็บ feedback จากผู้ใช้จริงๆอีก 3 ตัว คือ KhunThong แชทบอทใน LINE สำหรับเตือนและทวงเงิน ที่มีคนใช้แล้ว 500,000 ราย Make by KBank แพลตฟอร์มธนาคารรูปแบบไหน ยอดดาวน์โหลดแล้ว 20,000 ครั้ง Eatable ระบบจัดการร้านอาหาร ที่ตอนนี้มีร้านอาหารใช้งานแล้วกว่า 10,000 ร้าน AI Factory เป็นโรงงานผลิตโมเดล AI ที่ออกผลิตภัณฑ์เป็นตัว AI เองเลย (AI-as-a-product) Partnership Co-Innovation ร่วมพัฒนานวัตกรรมกับพาร์ทเนอร์ ตอนนี้มีธนาคารสมิติเวช, บุญเติมและ Black Coffee เป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจแล้ว Deep Tech Research พัฒนาเทคโนโลยี Deep Tech ขึ้นมาด้วยตัวเอง ตอนนี้มีอยู่ 4 โปรเจ็ค Thai NLP พัฒนาโมเดลการประมวลผลภาษาไทยขึ้นมาเอง Face Pay เทคโนโลยีชำระเงินด้วยการจดจำใบหน้า Blockchain Quantum แนวทางสุดท้ายคือการปฏิรูปวัฒนธรรมองค์กรภายในภายใต้แนวคิด One KBTG ผ่านการปฏิรูปกระบวนการทำงานให้เป็นแบบ Agile และทำให้พนักงานมีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อผลักดันให้ KBTG เป็นบริษัทเทคโนโลยีแถวหน้าของไทย
# Google ระงับเปิดบริการ News Showcase ที่ออสเตรเลียเพราะออกกฎแรงเรื่องจ่ายเงินให้สำนักข่าว จากประเด็นออสเตรเลียออกกฎบังคับให้ Google ต้องจ่ายส่วนแบ่งให้กับสำนักข่าวและผู้ผลิตเนื้อหาเนื่องจากมีการแสดงเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของ Google จนทำให้ Google ออกมาแสดงความกังวลว่ากฎดังกล่าวจะไม่ส่งผลดีต่อบริการฟรีที่มีคนใช้งานกันโดยทั่วไป แต่ดูเหมือนออสเตรเลียจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ ล่าสุด Google จึงตัดสินใจ ระงับการเปิดบริการข่าวใหม่ News Showcase ที่ออสเตรเลียไปก่อน เพราะไม่แน่ใจว่า News Showcase จะสามารถดำเนินการภายใต้กฎใหม่ของออสเตรเลียได้หรือไม่ News Showcase ของ Google คือผลิตภัณฑ์ข่าวสารแบบใหม่ที่ให้ผู้ผลิตเนื้อหาและสำนักข่าว เรียบเรียงและสร้างเนื้อหาใหม่ให้อ่านได้จบบน Google เลย และที่สำคัญได้เงินอุดหนุนจาก Google ด้วยเป็นเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ โดยเป็นการสนับสนุนระยะยาวของทั้งโครงการ เริ่มเปิดตัวที่เยอรมนีและบราซิลก่อนจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป Google บอกว่าสาเหตุที่ต้องระงับการเปิดตัวไปก่อนเป็นเพราะ ต้องการทำข้อตกลงกับผู้จัดพิมพ์ได้โดยไม่ต้องมีกรอบการเจรจาต่อรองที่ยุ่งยาก และยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับเงื่อนไขการชำระเงินที่ไม่เป็นธรรม, ขอบเขตและภาระผูกพันที่ไม่ชัดเจน เพราะจะมีสำนักข่าวหนึ่งได้รับเงิน แต่อีกฝ่ายไม่ได้รับ และยังบอกด้วยว่า ในปี 2018 Google ได้สร้างมูลค่าให้กับสำนักข่าว 200 ล้านดอลลาร์ และมีเพียง 10 ล้านดอลลาร์เท่านั้นที่ Google ได้ประโยชน์จากข่าว ซึ่งไม่เป็นผลกำไรแต่อย่างใด ที่มา - Google
# The Outer Worlds ขายบน Steam แล้ว หลังหมดระยะเอ็กซ์คลูซีฟ 1 ปีกับ Epic เกม RPG ตะวันตกที่ถูกพูดถึงอย่างมากในปี 2019 คือ The Outer Worlds ของสตูดิโอ Obsidian Entertainment ซึ่งเปิดตัวช่วงปลายปี 2018 หลัง Obsidian ถูกไมโครซอฟท์ซื้อกิจการไม่นาน แต่ The Outer Worlds ถูกพัฒนามาก่อนหน้านั้น และสิทธิการจัดจำหน่ายเป็นของ Private Division บริษัทลูกในเครือ Take-Two ไปก่อนแล้ว แน่นอนว่าเกมดังระดับนี้ย่อมไม่ค่อยรอด เพราะหลังจากนั้นไม่นาน Take Two ก็ตัดสินใจเซ็นสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟกับ Epic Games ทำให้เกมไม่สามารถขายบน Steam ได้ และย่อมโดนเสียงวิจารณ์ถล่มยับในเรื่องนี้ ตอนนี้เวลาผ่านมา 1 ปีหลัง The Outer Worlds ขายบน Epic ทำให้หมดระยะเวลาเอ็กซ์คลูซีฟ และเกมก็เตรียมวางขายบน Steam ในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ (ยังไม่ประกาศราคาเวอร์ชัน Steam) ก่อนหน้านี้เพิ่งมีเกม Control ที่ประกาศเป็นเอ็กซ์คลูซีฟ Epic พร้อมกับ The Outer Worlds เพิ่งวางขายไปบน Steam เพราะหมดสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟเช่นกัน ในอนาคต เกมของ Obsidian ไม่น่าจะติดเอ็กซ์คลูซีฟลักษณะนี้อีกแล้ว เพราะหลังเป็นบริษัทลูกไมโครซอฟท์ ก็ได้ Xbox Game Studios มาทำหน้าที่จัดจำหน่ายให้แทน (ทั้ง Grounded ที่วางขายแล้ว และ Avowed ที่เพิ่งประกาศ) ซึ่งไมโครซอฟท์มีความสัมพันธ์อันดีกับ Steam และเกม Grounded ก็วางขายบน Steam แบบไม่ลง Epic ด้วย ที่มา - Eurogamer
# VS Code ออกอัพเดต 1.50 รองรับ Linux ARMv7/ARM64 รันบน Raspberry Pi และ Chromebook ได้แล้ว VS Code ออกอัพเดตรายเดือนตามรอบปกติ แต่รอบบนี้มีจุดเด่นคือการรองรับ ลินุกซ์ที่รันบนชิปสถาปัตยกรรม ARMv7 และ ARM64 ทำให้สามารถใช้งาน VS Code ได้บน Raspberry Pi แม้ไม่ได้ระบุว่ารุ่นใดบ้าง แต่น่าจะครอบคลุมแทบทุกรุ่นเพราะบอร์ด Raspberry Pi เก่าๆ ก็เป็น ARMv7 แล้ว นอกจากนี้ยังรองรับ Chromebook ที่เป็นสถาปัตยกรรม ARM ไปพร้อมกัน นอกจากจะใช้รัน VS Code แบบเต็มบน Raspberry Pi แล้ว การรองรับครั้งนี้ยังรองรับการรันแบบ Remote Development ทำให้เครื่องเดสก์ทอปสามารถรีโมตเข้าไปแก้ไขโค้ดบน Raspberry Pi ได้ ฟีเจอร์อื่นๆ ที่มาในอัพเดตนี้ได้แก่ การค้นข้อความในเทอร์มินัล (Ctrl+Shift+F), ลดการรบกวนจากการแจ้งเตือนให้ติดตั้ง extension โดยจะแจ้งเตือนเพียงอันเดียว และไม่แจ้งเตือนซ้ำ, รองรับการดีบั๊กประสิทธิภาพโค้ดจาวาสคริปต์ ที่มา - VS Code
# คนไทยยืนหนึ่ง Bankyugi ผู้เล่นชาวไทยคว้าแชมป์ Hearthstone Grandmasters APAC 2020 Season 2 พร้อมสิทธิ์ชิงแชมป์โลก หลังจากที่ได้รับสิทธิ์เข้าแข่งขันในรายการระดับ Grandmasters ปรเมษฐ์ Bankyugi ปุจฉาการ โปร Hearthstone ชาวไทยก็ไม่ทำให้แฟนๆ ผิดหวัง คว้าแชมป์ Hearthstone Grandmasters Asia-Pacific 2020 Season 2 แบบหักปากกาเซียน พร้อมรับสิทธิ์เข้าแข่งขัน Hearthstone World Championship 2020 ในวันที่ 12-13 ธันวาคม 2020 นี้ ชิงเงินรางวัลรวม 500,000 ดอลลาร์ การคว้าชัยชนะในครั้งนี้ของ Bankyugi ถือว่าเหนือความคาดหมายของคนในวงการอยู่ไม่น้อย เพราะเพิ่งได้เข้าแข่งขันในระดับ Grandmasters เป็นครั้งแรก รวมถึงการเลือกใช้เด็คที่แตกต่างจากผู้เล่นคนอื่นๆ ในรอบชิงชนะเลิศของรายการนี้ Bankyugi สามารถเอาชนะ tom60229 ผู้ครองตำแหน่งแชมป์โลกปี 2017 ไปด้วยสกอร์ 3-2 เกม ที่มา: Hearthstone Esports
# Kotlin เปลี่ยนรอบการออกรุ่นใหม่ทุก 6 เดือน ให้คาดเดาช่วงเวลาได้ กลายเป็นธรรมเนียมของซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ๆ ไปแล้ว ที่เปลี่ยนมาออกรุ่นใหม่ตามระยะเวลาที่แน่นอน แทนการอิงฟีเจอร์ใหญ่ๆ ที่อาจไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหนถึงพร้อม ตัวอย่างของภาษาโปรแกรมที่เปลี่ยนมาใช้ระบบนี้คือ Java (ทุก 6 เดือน), .NET (ทุก 1 ปี), Python (ทุก 1 ปี) Kotlin เป็นภาษาล่าสุดที่เปลี่ยนมาใช้รอบการออกแบบ time-based โดยจะออกรุ่นใหม่ทุก 6 เดือน ตอนนี้ Kotlin เวอร์ชันใหม่ที่สุดคือ 1.4 หลังจากนี้จะออกเวอร์ชัน 1.5 ช่วงต้นปี 2021 และจะออกเวอร์ชัน 1.x ทุก 6 เดือน โดยอาจมีเวอร์ชันย่อย (1.x.y.z) ที่แก้บั๊กออกบ่อยกว่านั้น ทีมงาน Kotlin ของ JetBrains บอกว่าปัจจุบันใช้วิธีออกรุ่นใหม่ที่อิงตามฟีเจอร์ ทำให้ซอฟต์แวร์แต่ละรุ่นมีขนาดใหญ่ ใช้เวลานาน พยากรณ์ช่วงเวลาออกรุ่นใหม่ไม่ได้ และส่งผลให้ความเร็วในการพัฒนาตัวภาษาช้ากว่าที่ควร การเปลี่ยนมาใช้รอบการออกแบบระยะเวลาตายตัว ทำให้เกิดความสม่ำเสมอมากขึ้น แม้การเปลี่ยนแปลงในแต่ละเวอร์ชันมีน้อยลง ที่มา - Kotlin Blog
# NASA ประกาศเลื่อนวันยิงจรวดของ SpaceX ภารกิจ Crew-1 ที่จะส่ง 4 นักบินอวกาศ เป็นพฤศจิกายน NASA ประกาศเลื่อนกำหนดวันยิงจรวดในภารกิจ Crew-1 จากเดิม 31 ตุลาคม ออกไปเป็นช่วงต้นถึงกลางเดือนพฤศจิกายน โดยระบุว่าเพื่อให้เวลา SpaceX แก้ไขปัญหา ทดสอบฮาร์ดแวร์ และเก็บรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมในจรวด Falcon 9 ที่ถูกค้นพบปัญหาก่อนหน้านี้ Crew-1 เป็นภารกิจนำนักบินอวกาศ 4 คน ไปประจำการบนสถานีอวกาศนานาชาติเป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งเป็นโครงการส่งนักบินอวกาศของ SpaceX ถัดจากภารกิจ Demo-2 เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ส่งนักบินอวกาศขึ้นไปประจำการ 2 คน และกลับสู่โลกในเดือนสิงหาคม ด้วยยาน Dragon ทั้งนี้ NASA ระบุว่ายังมีภารกิจข้างหน้าที่จะใช้จรวด Falcon 9 ได้แก่ การส่งดาวเทียมสำรวจมหาสมุทร Sentinel-6 Michael Freilich ที่ยังคงกำหนดเดิม 10 พฤศจิกายน และ SpaceX CRS-21 สำหรับจัดส่งเสบียง กำหนดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม ที่มา: NASA ผ่าน Gizmodo
# [ลือ] Apple อาจเปิดตัว HomePod mini ราคา 99 ดอลลาร์ ในอีเวนต์สัปดาห์หน้า ในงานอีเวนต์แอปเปิล “Hi, Speed.” ที่จะจัดขึ้นในคืนวันอังคารนี้ตามเวลาไทย สินค้าที่คาดเดากันว่าจะเปิดตัวแน่คือ iPhone แต่ล่าสุดมีรายงานจากหลายแหล่งข่าว ว่าแอปเปิลอาจเปิดตัวลำโพงอัจฉริยะ HomePod รุ่นใหม่ด้วย โดยข้อมูลระบุว่า HomePod ตัวใหม่นี้มีขนาดเล็กกว่ารุ่นที่จำหน่ายปัจจุบัน อยู่ที่ 3.3 นิ้ว ใช้ชิป S5 (รุ่นเดียวกับ Apple Watch SE) ราคาขาย 99 ดอลลาร์ อาจใช้ชื่อว่า HomePod mini เพื่อให้เห็นภาพเปรียบเทียบ HomePod รุ่นปัจจุบันนั้นขนาด 6.8 นิ้ว และใช้ชิป A8 คาดว่าสินค้าแม้เปิดตัวในงานเดือนตุลาคม แต่จะเริ่มจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ที่มา: 9to5Mac
# Apple จะให้ Apple Store มาช่วยเป็นศูนย์กระจายสินค้าออนไลน์ เริ่มที่อเมริกาและแคนาดา สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่าแอปเปิลได้เริ่มปรับการจัดส่งสินค้าออนไลน์ โดยเปลี่ยนมาใช้ร้านค้า Apple Store ช่วยเป็นจุดกระจายสินค้า จากเดิมที่เมื่อมีการสั่งสินค้าออนไลน์ ตัวสินค้าจะถูกจัดส่งออกมาจากศูนย์กระจายสินค้าที่จีน แนวทางดังกล่าวเป็นที่นิยมมาระยะหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะกับการสั่งสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ตแบบออนไลน์ ที่จะใช้ร้านสาขาต่าง ๆ เป็นผู้จัดส่ง เนื่องจากต้องการความรวดเร็ว กรณีของแอปเปิลก็เช่นเดียวกัน จะทำให้สินค้าถึงมือลูกค้าเร็วมากขึ้น ซึ่งแอปเปิลจะเริ่มเปลี่ยนการจัดส่งนี้ในอเมริกาและแคนาดา ที่มีร้าน Apple Store รวมกันกว่า 300 แห่ง สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในอเมริกา ทำให้ร้าน Apple Store จำนวนหนึ่งยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ การปรับร้านค้ามาเป็นจุดกระจายสินค้าจึงช่วยบริหารต้นทุนได้ดี จากที่ก่อนหน้านี้แอปเปิลก็ใช้ Apple Store บางแห่งเป็นคอลเซนเตอร์ ที่มา: Bloomberg
# [ลือ] Exynos 2100 ตัวใหม่จะใช้แกน Cortex-X1 รุ่นพิเศษของ Arm เมื่อช่วงกลางปี เราเห็น Arm เปิดตัว Cortex-X1 แกนซีพียูรุ่นพิเศษที่แรงที่สุดของบริษัท ที่ขายไลเซนส์แบบคัสตอมให้ผู้ผลิตซีพียูรายอื่นซื้อไปใช้งานอีกที รูปแบบการใช้งานคือใช้ Cortex-X1 ตัวเดียวเป็นแกนหลัก บวกด้วยแกนชนิดอื่นๆ เช่น Cortex-A78 หรือ Cortex-A55 เข้ามาเสริม (จะกลายเป็น 1+3+4 คอร์ แทนที่จะเป็น 4+4 คอร์ แบบที่นิยมใช้กัน) พาร์ทเนอร์ที่ Arm เคยระบุชื่อไว้คือซัมซุง ทำให้ตอนนี้เริ่มมีข่าวลือออกมาว่า Exynos 2100 ตัวใหม่ของซัมซุง (น่าจะใช้กับ Galaxy S21) จะใช้ Cortex-X1 ด้วย แถมยังมีตัวเลขเบนช์มาร์คหลุดจาก Geekbench เป็นหลักฐานออกมาด้วย นอกจาก Exynos ก็ยังมีข่าวว่า Qualcomm Snapdragon 875 ที่จะเปิดตัวช่วงต้นเดือนธันวาคม ก็น่าจะใช้ Cortex-X1 ด้วยเช่นกัน ที่มา - Notebookcheck
# OnePlus เริ่มปล่อยรอม OxygenOS 11 รุ่นเสถียรให้ OnePlus 8 OnePlus เริ่มปล่อยรอม OxygenOS 11 รุ่นเสถียร ที่พัฒนาจาก Android 11 ให้กับมือถือตระกูล OnePlus 8 แล้ว OxygenOS 11 มากับดีไซน์ UI แบบใหม่, Dark Mode, การตั้งค่า Ambient Display (always-on) ที่ละเอียดขึ้น, ปรับปรุง Zen Mode โหมดหยุดพักการใช้งานมือถือ เพิ่มธีมใหม่ เป็นต้น ถัดจาก OnePlus 8 แล้ว มือถือที่จะได้อัพเดตตามมาในระยะถัดไปคือ OnePlus 7/7T, OnePlus 6/6T และ OnePlus Nord ส่วนรุ่นที่เก่ากว่านั้นอย่าง OnePlus 5/5T ไม่ได้ไปต่อแล้ว ที่มา - OnePlus
# ตลาด PC ไตรมาส 3/2020 เติบโตสูงสุดในรอบ 10 ปี จำนวนส่งมอบโน้ตบุ๊กสูงถึง 64 ล้านเครื่อง บริษัทวิจัยตลาด Canalys รายงานภาพรวมของตลาดพีซีในไตรมาสที่ 3 ปี 2020 จำนวนส่งมอบ 79.2 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นถึง 12.7% เทียบไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในรอบสิบปีของตลาดพีซี Ishan Dutt นักวิเคราะห์ของ Canalys อธิบายว่าช่วงไตรมาส 2 นั้น ผู้ผลิตต่างพยายามบริหารซัพพลายเชนในการผลิต เพื่อรองรับความต้องการสินค้าสูงจากเหตุโควิด-19 ขณะที่เข้ามาสู่ไตรมาส 3 สายการผลิตเริ่มบริหารจัดการดีขึ้น จนรองรับความต้องการได้ ตลอดจนโรงเรียนเข้าสู่ช่วงเปิดภาคการศึกษา ทำให้ความต้องการพีซีจากกลุ่มนี้เพิ่มสูงขึ้นอีก อีกทั้งหลายประเทศก็เริ่มพบการระบาดระลอกที่สอง ทำให้ความต้องการอุปกรณ์สำหรับเรียนหรือทำงานที่บ้านยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตัวเลขที่น่าสนใจคือจำนวนส่งมอบโน้ตบุ๊ก ซึ่งสูงถึง 64 ล้านเครื่อง ตัวเลขนี้เกือบเท่ากับสถิติสูงสุดเมื่อไตรมาส 4 ปี 2011 ที่ส่งมอบโน้ตบุ๊ก 64.6 ล้านเครื่อง สะท้อนว่าโน้ตบุ๊กเป็นตัวเลือกสำหรับการเรียนและทำงานที่บ้าน ขณะที่เดสก์ท็อปมีจำนวนลดลง 26.0% ส่วนแบ่งการตลาดแยกรายผู้ผลิต Lenovo ยังเป็นอันดับหนึ่งที่ 24.3% ตามด้วย HP, Dell, Apple และ Acer ในลำดับที่ 2-3-4-5 ทั้งนี้ตัวเลขตลาดพีซีที่ Canalys รายงาน ไม่รวมตัวเลขของแท็บเล็ต แต่นับรวม Chromebook ที่มา: Canalys
# Opera GX เบราว์เซอร์สำหรับเกมเมอร์ เพิ่มฟีเจอร์เปิดเพลงคลอระหว่างท่องเว็บ, รองรับการใช้ Twitter บน sidebar เมื่อกลางเดือนที่แล้ว Opera GX เว็บเบราว์เซอร์สำหรับเกมเมอร์ได้ออกอัพเดตพร้อมออกฟีเจอร์ใหม่ ที่น่าจะได้ว่าแปลก แหวกแนว และไม่น่าจะพบได้จากเบราว์เซอร์ตัวๆ อื่นในตลาด ณ ตอนนี้ อย่างการเพิ่ม background music หรือการเปิดเพลงแบ็คกราวด์ประกอบการท่องเว็บ ทาง Opera กล่าวว่าการเพิ่มฟีเจอร์ดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกมีประสบการณ์ร่วม (immersive) กับการใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ ด้วยการเปิดดนตรีแนว downtempo ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับกิจกรรมบนเบราว์เซอร์ได้แบบไดนามิก ในลักษณะเดียวกันกับเพลงซาวน์แทร็คภายในเกมต่างๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เกมเมอร์น่าจะคุ้นเคยกันดี กล่าวคือเมื่อคลิกหรือพิมพ์อะไรบางอย่างบน Opera GX ขณะเปิดใช้งาน background music จังหวะดนตรีที่เปิดจะถูกเร่งให้เร็วขึ้น และจะกลับมาช้าลงเมื่อผู้ใช้แค่ scroll เพื่ออ่านเนื้อหาบนเว็บ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อทำให้ผู้ใช้มีสมาธิจดจ่อการกับท่องเว็บมากขึ้น ท่านใดสนใจเข้าเปิดไปฟีเจอร์ข้างต้นได้ที่หน้า Settings > Background music ส่วนฟีเจอร์สำคัญอีกอย่างของอัพเดตนี้ คือการเพิ่ม Twitter เข้ามาเป็นหนึ่งบริการที่สามารถเรียกใช้งานได้จากแถบ sidebar ข้างซ้าย เช่นเดียวกับ Opera Desktop เพื่อเพิ่มความสะดวกด้วยการช่วยแสดงหน้าต่าง Twitter ลอยขึ้นต่างหากจากหน้าจอเบราว์เซอร์ปกติ ดาวน์โหลด Opera GX เวอร์ชันล่าสุดได้ที่นี่ ส่วนท่านที่ติดตั้งไว้แล้วสามารถกดเช็กอัพเดตได้จากตัวโปรแกรมครับ ที่มา - Opera blogs via Windows Central
# Windows 10 จะรองรับการถอดรหัสวิดีโอ AV1 ที่ระดับฮาร์ดแวร์ หากจีพียูทำได้ วิดีโอแบบ AV1 ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และปลายปีนี้ เราจะเห็นจีพียูที่มีตัวถอดรหัส AV1 ที่ระดับฮาร์ดแวร์ออกวางขาย ทั้ง GeForce RTX 30, Intel Xe และ Radeon RX 6000 ไมโครซอฟท์ถือเป็นสมาชิกก่อตั้งของกลุ่ม Alliance for Open Media (AOMedia) ผู้พัฒนา AV1 จึงไม่น่าแปลกใจที่ไมโครซอฟท์ออกมารับลูกเรื่องนี้ ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศว่า Windows 10 จะรองรับการถอดรหัส AV1 ที่ระดับฮาร์ดแวร์ หากใช้งานบนจีพียูที่รองรับ (ทั้ง 3 ยี่ห้อข้างต้น) ผู้ใช้จำเป็นต้องรัน Windows 10 v1909 ขึ้นไป และติดตั้ง AV1 Video Extension ซึ่งจะเห็นผลจากการใช้ฮาร์ดแวร์ถอดรหัส ว่ามีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน ที่มา - Microsoft
# [Dota 2] สร้างสถิติใหม่อีกครั้ง The International 2020 มีเงินรางวัลรวมทะลุ 40 ล้านดอลลาร์ ถึงแม้จะเลื่อนแข่งกันไปแบบไม่มีกำหนดเพราะ COVID-19 สำหรับ The International 2020 ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ประจำปีของ Dota 2 แต่ผู้เล่นทั่วโลกก็ยังคงไม่หยุดเปย์ ร่วมสร้างสถิติใหม่ให้กับรายการนี้ โดยยอดเงินรางวัลรวมสุดท้ายอยู่ที่ 40,018,195 ดอลลาร์ ทำลายสถิติเดิมของ The International 2019 ซึ่งอยู่ที่ 34,330,068 ดอลลาร์ไปอย่างขาดลอย เงินรางวัลรวมของรายการ The Internaional นี้มาจากเงินรางวัลตั้งต้น 1,600,000 ดอลลาร์ บวกกับ 25% ของยอดขายไอเท็มใน Battle Pass ที่เปิดให้ผู้เล่นได้ซื้อภายในเกม ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ The International 2020 Battle Pass นั้นเปิดขายทั้งสิ้น 137 วัน ซึ่งนานกว่าของปีที่แล้วที่เปิดขายเพียง 111 วัน และ หากเทียบกันในวันที่ 111 นั้น เงินรางวัลรวมของปี 2020 จะอยู่ที่ราว 37 ล้านดอลลาร์ ซึ่งก็ยังทำลายสถิติเดิมอยู่ดี ทั้งนี้ Valve ยังไม่ได้มีการชี้แจ้งรายละเอียดออกมาว่าจะจัดสรรเงินรางวัลรวมก้อนนี้อย่างไร เนื่องจากการแข่งขันถูกเลื่อนไปยังปีหน้าแล้ว ที่มา: Dota 2 Prize Pool Tracker, Win.gg
# กูเกิลออกฟีเจอร์ช่วยคนหูหนวก ใช้มือถือฟังเสียงรอบตัวแล้วเตือนได้ว่าเป็นเสียงอะไร กูเกิลออกฟีเจอร์ใหม่ชื่อ Sound Notifications ให้ผู้ใช้ Android ที่อาจมีปัญหาเรื่องการได้ยิน (ตัวเลขของ WHO บอกว่ามีถึง 446 ล้านคนทั่วโลก) สามารถใช้สมาร์ทโฟนเป็น "หู" ฟังเสียงรอบตัว เช่น สัญญาณไฟไหม้ แตรรถ เพื่อแจ้งเตือนถึงอันตรายได้ ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของแอพเพื่อคนพิการชื่อ Live Scribe (ข่าวเก่า) โดยสมาร์ทโฟนจะคอยฟังเสียงที่เกิดขึ้นรอบตัวให้แทนเรา และแยกแยะให้ด้วยว่าเป็นเสียงของวัตถุใด (เช่น หมาเห่า น้ำไหล) ด้วยพลัง AI ที่ประมวลผลภายในเครื่อง (ไม่ต้องต่อเน็ต) จากนั้นแจ้งเตือนผู้ใช้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น เตือนผ่านแถบ notification, สั่น, เปิดไฟฉายกระพริบ หรือผ่านอุปกรณ์สวมใส่ที่เป็น Wear OS ในแอพยังมี timeline ให้ย้อนดูด้วยว่ามีเสียงใดเกิดขึ้นในเวลาไหน เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ด้วย ที่มา - Google
# GIMP ออกเวอร์ชัน 2.10.22 รองรับไฟล์แบบ AVIF ที่บีบอัดด้วย AV1 GIMP ออกเวอร์ชัน 2.10.22 ซึ่งเป็นรุ่นอัพเดตย่อยต่อจาก 2.10.20 ที่เพิ่งออกไม่นานนี้ ของใหม่ในเวอร์ชันนี้ได้แก่ รองรับไฟล์ AVIF ซึ่งเป็นไฟล์แบบเดียวกับ HEIF แต่ใช้อัลกอริทึม AV1 บีบอัดแทน HEVC ทำให้ไม่มีปัญหาสิทธิบัตร (อธิบายง่ายๆ ว่าเป็นขั้นกว่าของ WebP และเป็นคู่แข่งของ HEIF) ตอนนี้ AVIF รองรับแล้วใน Firefox, Chrome, Opera ปรับปรุงการเปิดไฟล์แบบ PSP (Paint Shop Pro) จัดการ metadata Exif Orientation ให้ดีขึ้น ภาพโดย Aryeom, Creative Commons by-sa 4.0 ที่มา - GIMP
# Sony เผยรายชื่อเกม PS4 ที่เล่นบน PS5 ไม่ได้, แว่น PS VR ใช้กับ PS5 ได้เลย ก่อนหน้านี้ Jim Ryan ซีอีโอ PlayStation เคยพูดไว้ว่าเกมจาก PS4 สัดส่วน 99% สามารถเล่นบน PS5 ได้ แต่ไม่บอกว่า 1% ที่เหลือมีเกมอะไรบ้าง วันนี้ Sony เผยข้อมูลผ่านบล็อก PlayStation ถึงรายละเอียดของการนำเกม PS4 มาเล่นบน PS5 แล้ว 99% ของเกม PS4 สามารถเล่นบน PS5 ได้ ส่วนเกมที่เล่นไม่ได้จะถูกระบุชื่อเป็น "PS4 Only" เครื่อง PS5 Digital Edition เล่นได้เฉพาะเกม PS4 แบบดิจิทัล ส่วนเครื่อง PS5 แบบมีช่องใส่แผ่น เล่นได้ทั้งแบบดิจิทัลและแบบแผ่น การเล่นเกม PS4 บนเครื่อง PS5 จะได้ประโยชน์จาก SSD ทำให้เกมโหลดเร็วขึ้น และมีฟีเจอร์ Game Boost ช่วยให้เฟรมเรตดีขึ้น และบางเกมอาจได้ความละเอียดเพิ่มขึ้นด้วย (ถ้าเกมนั้นซัพพอร์ต) สามารถ Remote Play เกมจาก PS4 ไปยัง PS5 ได้ แต่จะไม่ได้ฟีเจอร์ Game Boost ย้ายไฟล์เกมจาก PS4 ไป PS5 ได้ผ่านแลน, Wi-Fi หรือต่อ external harddisk แต่การย้ายเซฟ ขึ้นกับแต่ละเกมว่ารองรับหรือไม่ อุปกรณ์ PS VR ของ PS4 สามารถใช้กับ PS5 ได้ แต่ต้องใช้กล้อง PS Camera ของ PS4 เท่านั้น ใช้กับกล้อง PS5 HD Camera ไม่ได้ ส่วนเกมที่เป็น PS4 Only ที่ระบุชื่อแล้ว (สำหรับภูมิภาคสหรัฐอเมริกา) ได้แก่ DWVR Afro Samurai 2 Revenge of Kuma Volume One TT Isle of Man - Ride on the Edge 2 Just Deal With It! Shadow Complex Remastered Robinson: The Journey We Sing Hitman Go: Definitive Edition Shadwen Joe's Diner ที่มา - PlayStation Blog, PlayStation Support, ภาพจาก Sony
# Adobe ออกซอฟต์แวร์ขายขาด Photoshop Elements และ Premiere Elements 2021 Adobe ออกอัพเดตผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์แบบขายขาด Photoshop Elements และ Premiere Elements เวอร์ชันปี 2021 ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้เน้นใช้งานที่ง่าย สำหรับกลุ่มผู้ใช้เริ่มต้น โดยคัดเฉพาะฟีเจอร์สำคัญบางอย่างจากเวอร์ชัน Creative Cloud ฟีเจอร์เด่นที่ Adobe เพิ่มเข้ามาใน Elements 2021 โดยเน้นไปที่การปรับแต่งง่ายในคลิกเดียวบนเทคโนโลยี Adobe Sensei อาทิ สร้างไฟล์ GIF จากภาพนิ่ง, ปรับใบหน้าในภาพถ่ายกลุ่มให้มองไปทางเดียวกัน, เลือกวัตถุที่สนใจเพื่อปรับเบลอวิดีโอ, ระบบแนะนำการปรับแต่งภาพทิวทัศน์ และอีกหลายรายการ Adobe Photoshop Elements 2021 และ Adobe Premiere Elements 2021 รองรับ Windows 10 version 1903 ขึ้นไป และ macOS 10.14 ขึ้นไป ที่มา: Adobe
# เข็นไม่ขึ้น Amazon เลิกทำเกม Crucible หลังเปิดให้เล่นจริงๆ ไม่ถึง 2 เดือน Crucible เกมออนไลน์ฟอร์มยักษ์ของ Amazon เปิดตัวในเดือน พ.ค. 2020 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนต้องปรับสถานะกลับเป็น Closed Beta เพื่อปรับปรุงเกมครั้งใหญ่ ในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน หลังกลับไปทำการบ้านมาใหม่สักพัก Amazon ก็ยอมรับว่าเข็นไม่ขึ้นแล้ว และประกาศเลิกพัฒนาเกม Crucicle อย่างถาวร ผู้ที่ซื้อไอเทมหรือสินค้าในเกมไปแล้วจะได้คืนเงินเต็มจำนวนทั้งหมด เกมจะปิดเซิร์ฟเวอร์ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2020 Crucicle ถือเป็นความพยายามของ Amazon ที่ล้มเหลวอีกครั้ง หลังจากพยายามเจาะตลาดเกมมานานแต่ก็ไม่สำเร็จสักที (Amazon Games Studio เปิดมาตั้งแต่ปี 2012 ในขณะที่ Crucicle ใช้เวลาพัฒนามานานถึง 6 ปี) ตอนนี้ทางบริษัทยังมีโปรเจคใหญ่อีกตัวคือ New World เกมแนว MMORPG ที่เลื่อนไปเปิดตัวในปี 2021 แทน โดยทีมงาน Crucible จะถูกย้ายไปช่วยงาน New World ด้วย ที่มา - Crucicle, Ars Technica
# Nokia ประกาศแผนอัพเดต Android 11 มือถือกลุ่ม .1 เกือบทุกตัวไม่ได้ไปต่อ HMD Global ประกาศแผนการอัพเดต Android 11 ของมือถือในสังกัด (ซึ่งตรงกับที่เคยโพสต์มาแล้วรอบหนึ่งเมื่อปลายเดือนกันยายน แล้วลบทิ้ง) ไตรมาส 4/2020 ถึงไตรมาส 1/2021 Nokia 8.3 5G, 2.2, 5.3, 8.1 ไตรมาส 1/2021 Nokia 1.3, 4.2, 2.4, 2.3, 3.4 ไตรมาส 1/2021 ถึงไตรมาส 2/2021 Nokia 3.2, 7.2, 6.2 ไตรมาส 2/2021 Nokia 1 Plus, Nokia 9 Pureview แผนการอัพเดต Android 11 รอบนี้แปลว่ามือถือรุ่นที่เริ่มเก่าแล้ว (เช่น ตัวที่ลงท้ายด้วย .1 เกือบทุกตัวยกเว้น 8.1 หรืออดีตเรือธงอย่าง Nokia 8 Sirocco) จะไม่ได้อัพเดตเป็น Android 11 โดยทาง HMD Global บอกว่ามือถือหลายรุ่นได้อัพเกรด OS สองรอบไปแล้ว ก่อนหน้านี้ HMD เคยชูจุดขายเรื่องการอัพเดตเวอร์ชัน Android ที่รวดเร็วกว่าใคร แต่ช่วงหลังดูเหมือนระยะเวลาการอัพเดตเริ่มช้าลง บวกกับเสียงบ่นเรื่องบั๊กในรอมรุ่นต่างๆ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากจำนวนรุ่นที่เริ่มมากเกินไปจนซัพพอร์ตไม่ไหวแล้วนั่นเอง ที่มา - @NokiaMobile
# ปากีสถานสั่งแบน TikTok ข้อหาเผยแพร่เนื้อหาไม่เหมาะสมและผิดศีลธรรม ปากีสถานสั่งแบนแอปโซเชียลเน็ตเวิร์ควิดีโอยอดนิยม TikTok เนื่องจากวิดีโอบนแพลตฟอร์มนั้นมีเนื้อหาไม่เหมาะสมและผิดศีลธรรม หน่วยงานโทรคมนาคมของปากีสถาน หรือ PTA ระบุว่าทางหน่วยงานได้รับร้องเรียนจากหลายภาคส่วนเกี่ยวกับประเด็นการเผยแพร่เนื้อหาบนแพลตฟอร์ม TikTok และแม้ทางปากีสถานจะแจ้งเตือน TikTok ไปแล้วเป็นเวลานับเดือน แต่ TikTok ก็ยังไม่ทำตามคำสั่ง จึงเป็นที่มาของการสั่งบล็อคแอป TikTok ในประเทศ ปากีสถานมีกฎเกณฑ์ควบคุมเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตที่ค่อนข้างเข้มงวดอยู่แล้ว โดยกรณีของ TikTok ทางปากีสถานออกคำเตือนครั้งสุดท้ายเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ซึ่ง PTA ให้เหตุผลของการแบนว่าเพื่อควบคุมสิ่งที่ลามก หยาบคาย และผิดศีลธรรมที่เผยแพร่ผ่านแอปโซเชียลมีเดีย ที่มา - TechCrunch ภาพจาก Pixabay
# พนักงาน Twitch แฉพฤติกรรมเหยียดเพศ เหยียดผิว และคุกคามทางเพศในบริษัท เว็บไซต์ Gamindustry.biz เผยแพร่รายงานขนาดยาว เล่าเรื่องราวจากปากพนักงาน Twitch ที่ไม่เปิดเผยตัวตน ถึงพฤติกรรมเหยียดเพศ เหยียดผิว และคุกคามทางเพศ ในบริษัท หลัง Emmett Shear ซีอีโอของ Twitch ออกแถลงการบนทวิตเตอร์ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาพฤติกรรมคุกคามทางเพศ และสนับสนุนผู้ที่ออกมาส่งเสียงเรียกร้องสิทธิของตนเอง พนักงานรายหนึ่งกล่าวว่าการทำงานในบริษัท เหมือนอยู่ในกลุ่มผู้ชายห่ามๆ ตลอดเวลา ผู้หญิงถูกปฏิบัติด้วยมาตรฐานที่แตกต่างไป ไม่มีใครใส่ใจความเห็นของผู้หญิงในบริษัท ไม่ได้รับโอกาสเท่าเทียมกับผู้ชาย และถูกปฏิบัติเหมือนเป็นเหยื่อในฝูงนักล่า (“They were prey.") คำร้องเรียนของพนักงานถูก Twitch ซุกใต้พรมและไม่ดำเนินการใดๆ ฝ่ายบุคคลมักจะต้องการเอาใจผู้บริหารมากกว่าพนักงาน และบางครั้งการร้องเรียนเรื่องพฤติกรรมแย่ๆ ยังทำให้ผู้ร้องเรียนถูกเพ่งเล็งจากผู้บริหารมากขึ้น แม้แต่ Samantha Wong ที่เป็นภรรยาของ Justin Wong อดีตผู้บริหาร Twitch ยังถูกคุกคามทางเพศ และไม่สามารถดำเนินการใดๆ กับผู้ก่อเหตุที่เป็นแขก VIP ของบริษัทได้ แม้สามีของเธอจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมระดับสูงก็ตาม นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการเหยียดผิวในบริษัท เรื่อง hate speech ปัญหาเรื่องวัฒนธรรมการดื่มสุราที่และปาร์ตี้อย่างหนักที่บริษัท ปัญหาเรื่องเหล่าผู้บริหารและคนที่ตัดสินใจนโยบายต่างๆ ล้วนเป็นชายผิวขาว และมีกลุ่มคนที่ไม่มีใครสามารถเอาผิดได้ เช่น Kevin Lin อดีต COO ที่ปัจจุบันอยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรม กลยุทธ และนวัตกรรมขององค์กร และกลุ่มพนักงานที่อยู่กับบริษัทมาตั้งแต่สมัยยังเป็น Justin.tv ประเด็นปัญหาเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้งานก็น่าเป็นห่วง เพราะเคยมีทั้งวิดีโอการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นในปี 2008 สมัยยังเป็น Justin.tv ปัญหาเรื่องที่สตรีมเมอร์ถูกคุกคามทั้งในแชทและในชีวิตจริง และปัญหาการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวขอสตรีมเมอร์ที่เป็นเยาวชน และอีกมากมาย ที่ Twitch ดูจะไม่ใส่ใจมากเท่าที่ควร เมื่อ Gameindustry แจ้งเรื่องไปทาง Twitch ในหลายๆ ประเด็น ก็ได้คำตอบว่าทางบริษัทจริงจังในการสืบสวนและแก้ไขปัญหาร้องเรียนที่เกิดขึ้น การกล่าวหาว่าบริษัทไม่กระทำการใดๆ เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เป็นการไม่สะท้อนถึงภาพรวมที่แท้จริงของบริษัทในปัจจุบัน และหลายเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นนานมาแล้ว ในหลายๆ กรณี พนักงานที่มาเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่สามารถเปิดเผยช่วงเวลาได้ เพื่อเป็นการปกป้องข้อมูลที่อาจระบุตัวตนของพนักงานเหล่านั้น และดูเหมือนสภาวะในองค์กรของ Twitch จะเปลี่ยนไปมากหลังจากที่ Amazon เข้าซื้อ Twitch ในปี 2014 ด้วยเงิน 970 ล้านเหรียญสหรัฐ พนักงานรายหนึ่งเขียนแถลงการเรียกร้องให้ Twitch เปลี่ยนแปลงและแก้ไขพฤติกรรมเหล่านี้โดยด่วน โดยการเริ่มตั้งฝ่ายบุคคลที่ปราศจากอคติ ไล่บุคคลที่มีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ออก รับฟังปัญหาและให้โอกาสผู้หญิงในที่ทำงานอย่างเท่าเทียมมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป ที่มา - Gameindustry.biz
# NEW MG HS รถ SUV ที่มาพร้อมระบบช่วยขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับที่ 2 (Partial Automation) เพิ่มความปลอดภัยในราคาสุดคุ้ม เทคโนโลยีช่วยขับขี่อัตโนมัตินับเป็นเทคโนโลยีที่คนจำนวนมากรอคอย เพราะจะช่วยทำให้การขับขี่บนท้องถนนมีความปลอดภัยมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้ หรือแม้กระทั่งทำให้การจราจรคล่องตัวมากขึ้น โดยเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัตินั้นอาจจะแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ ระดับ 1 ระบบช่วยขับ: เช่น คุมความเร็วรถ (cruise control), เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระดับ 2 ช่วยขับบางส่วน: ตัวรถขับขี่ได้เองในบางภาวะ เช่น เคลื่อนตัวตามรถติดอัตโนมัติ ระดับ 3 ขับขี่ได้ทั้งหมดอย่างมีเงื่อนไข: ผู้ขับขี่ต้องพร้อมเข้าควบคุมรถตลอดเวลา แม้ปกติแล้วรถจะขับไปด้วยตัวเอง ระดับ 4 ขับขี่ด้วยตัวเองแทบทั้งหมด: รถสามารถเดินทางอัตโนมัติได้ แต่อาจขอความช่วยเหลือผู้ขับขี่บางเวลาเท่านั้น ผู้ขับขี่ไม่ต้องสนใจถนนหากรถไม่ได้ร้องขอแต่อย่างใด ระดับ 5 รถอัตโนมัติเต็มรูปแบบ: ไม่ต้องมีผู้ขับขี่อีกต่อไป รถบางรุ่นอาจจะไม่มีแม้แต่พวงมาลัย NEW MG HS รถ SUV ที่มาพร้อมกับระบบช่วยขับขี่ Advanced Driver Assistance System (ADAS) ที่มีระบบย่อยถึง 11 ระบบ และระบบความปลอดภัย Synchronized Protection System อีก 14 ระบบ ทำให้ NEW MG HS เป็นรถที่มีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในระดับที่ 2 ซึ่งนอกจากจะมีเทคโนโลยีความปลอดภัยมากมาย ดีไซน์สวยงามแล้ว ยังมีราคาที่จับต้องได้ในช่วงหนึ่งล้านบาทกว่าๆ เท่านั้น ระบบ ADAS ของ NEW MG HS แบ่งตามกลุ่มฟีเจอร์ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มระบบที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา RDA (Rear Drive Assist), กลุ่มระบบเตือนและควบคุมให้รถอยู่ในเลน LAS (Lane Assist System), และกลุ่มระบบที่ช่วยในการขับขี่ FDA (Front Drive Assist) RDA ป้องกันอุบัติเหตุจากมุมอับ RDA (Rear Drive Assist) เป็นกลุ่มระบบที่อาศัยเซ็นเซอร์ด้านหลังรถ ตรวจจับรถหรือวัตถุอื่นที่กำลังเข้าใกล้รถ ทำการเตือนให้ผู้ขับขี่รับรู้แม้จะเป็นมุมอับที่มองไม่เห็นจากกระจกหลัง กระจกข้าง หรือบางครั้งไม่ทันระวัง เช่น การเปิดประตูรถ กลุ่มระบบนี้แบ่งออกเป็น 4 ระบบย่อยได้แก่ ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist) เซ็นเซอร์ด้านหลังจะตรวจจับว่ามีรถกำลังเข้ามาใกล้รถของเราหรือไม่ โดยจะเตือนระหว่างผู้ขับขี่เปิดไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลน ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection) ช่วยแจ้งเตือนว่ามีรถในมุมอับสายตาที่ผู้ขับขี่อาจมองไม่เห็น ทำงานอัตโนมัติเมื่อขับรถเร็วกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) เตือนสิ่งผิดปกติด้านหลังขณะถอย ทำงานอัตโนมัติเมื่อถอยด้วยความเร็วต่ำกว่า 9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning) ลดอุบัติเหตุจากการที่มีรถกำลังแซงขณะเปิดประตูด้วยการแจ้งเตือนรถด้านหลังทั้งซ้ายและขวาขณะรถหยุดนิ่ง LAS ช่วยเตือนและช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน เพิ่มความปลอดภัย LAS (Lane Assist System) เป็นกลุ่มระบบที่อาศัยกล้องหน้ารถที่ติดตั้งอยู่ในกระจกมองหลัง ช่วยจับภาพสภาพถนนและเส้นแบ่งเลนอัตโนมัติ ทำให้สามารถช่วยควบคุมพวงมาลัยให้รถตรงเลนตลอดเวลา โดยระบบจะทำงานเมื่อความเร็วรถมากกว่า 60 กม./ชม ประกอบด้วย ระบบช่วยเตือนรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) เตือนทั้งในรูปแบบเสียง พร้อมแสดงรูปภาพบนหน้าปัด และมีการสั่นที่พวงมาลัย เพื่อเตือนผู้ขับขี่ให้แก้ไขทิศทางของรถ ระบบควบคุมเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention) เป็นระบบจะช่วยควบคุมและปรับองศาพวงมาลัย เพื่อให้รถกลับมาอยู่ในเลน หากล้อรถใกล้จะทับเส้นหรือทับเส้นแล้ว ระบบควบคุมให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist) ช่วยควบคุมรถให้รถอยู่ตรงกลางเลนตลอดเวลา และหากตรวจพบว่าผู้ขับขี่ไม่ได้ควบคุมพวงมาลัยอย่างต่อเนื่อง ระบบจะส่งสัญญาณเสียงเตือน พร้อมแสดงสัญลักษณ์บนแผงหน้าปัด เพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่จับพวงมาลัย FDA กลุ่มระบบที่ช่วยในการขับขี่ FDA (Front Drive Assist) เป็นกลุ่มฟีเจอร์อัตโนมัติที่อาศัยทั้งกล้องด้านหน้าและเรดาร์เพื่อตรวจจับวัตถุด้านหน้า แบ่งเป็น 4 ระบบ ดังนี้ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) เปิดให้ผู้ขับขี่ตั้งความเร็วรถที่ต้องการ พร้อมกับระยะห่างจากรถคันหน้าได้ เมื่อพบรถคันหน้าที่ขับช้ากว่าที่ตั้งไว้ รถจะลดความเร็วได้เองพร้อมทิ้งระยะห่าง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) ระบบช่วยขับขณะรถติด โดยจะควบคุมความเร็วให้รถเคลื่อนที่ตามรถคันหน้าโดยอัตโนมัติ ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) ระบบจะช่วยเตือนหากพบว่าอยู่ใกล้รถยนต์คันหน้าเกินไปและเสี่ยงต่อการชน ด้วยการส่งสัญญาณเสียงพร้อมแสดงข้อความเตือนบนหน้าปัด เพื่อให้ผู้ขับขี่ชะลอความเร็วหรือเบรก ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control) หากระบบตรวจพบว่าถนนมีไฟส่องสว่างไม่เพียงพอ และไม่มีรถสวนทางมา ระบบจะเปิดไฟสูงให้อัตโนมัติ และลดไฟลงทันทีเมื่อพบรถสวนทางมา ป้องกันการรบกวนผู้ร่วมถนนคันอื่นๆ จากฟีเจอร์ทั้งหมด ทำให้เห็นว่าแม้ NEW MG HS ยังเป็นรถอัตโนมัติระดับสองที่ยังต้องอาศัยผู้ขับขี่ควบคุมรถตลอดเวลา แต่ทุกฟีเจอร์ก็ช่วยแจ้งเตือนผู้ขับขี่ในจุดที่อาจจะพลาดไปได้ ช่วยให้การขับขี่มีความปลอดภัยขึ้นอย่างมาก และการมีระบบอัตโนมัติเช่นนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาไปสู่ระบบอัตโนมัติระดับสูงขึ้นไปในอนาคต สนใจสัมผัสระบบรถอัตโนมัติระดับที่สองของ NEW MG HS สามารถติดต่อศูนย์ MG ใกล้บ้านเพื่อทดสอบ NEW MG HS ได้แล้ววันนี้ที่ศูนย์ MG ทั่วประเทศ
# ปรับเน็ตเวิร์คองค์กรสู่ยุคคลาวด์เต็มรูปแบบ ด้วย dtac business SmartConnect powered by Netfoundry ในยุคนี้การใช้คลาวด์ในองค์กรทุกขนาดคงเป็นเรื่องปกติกันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเต็มรูปแบบหรือการใช้งานบางส่วนก็ตาม แต่แนวโน้มการใช้งานคลาวด์คงมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับสัดส่วนการติดตั้งโครงสร้างในสำนักงานเอง ทำให้การเตรียมเครือข่ายให้พร้อมต่อการใช้งานกลายเป็นปัจจัยสำคัญของระบบไอทีที่จะสนับสนุนให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้ การใช้งานคลาวด์ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ทำให้การเตรียมความพร้อมเน็ตเวิร์คกลายเป็นความท้าทาย องค์กรอาจจะพบว่าแอปพลิเคชั่นบางตัวที่กำลังย้ายขึ้นคลาวด์กลับต้องการแบนด์วิดท์อย่างหนักเพื่อเชื่อมต่อกลับมายังสำนักงาน ยิ่งกว่านั้นการใช้งานคลาวด์จากผู้ให้บริการหลายรายก็ยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากความสามารถของผู้ให้บริการแต่ละรายที่ต่างกัน ทำให้การวางแผนออกแบบเน็ตเวิร์คยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก การวางแผนผิดพลาดอาจจะทำให้แอปไม่มีเสถียรภาพ การเชื่อมต่อคลาวด์ทั้งหมดเข้าสำนักงานอาจจะทำให้แอปต่างคลาวด์ต้องส่งข้อมูลผ่านสำนักงานทั้งหมด สร้างโหลดต่อระบบเครือข่ายโดยไม่จำเป็น dtac business SmartConnect powered by NetFoundry เป็นบริการ network-as-a-service (NaaS) ที่วางโซลูชั่นสำหรับการแก้ปัญหาทั้งหมดในครั้งเดียว ด้วยการวางให้ SmartConnect เป็นเครือข่ายเสมือน ทำให้ฝ่ายไอทีไม่ต้องวางแผนเครือข่ายที่ซับซ้อน SmartConnect สามารถจัดการแทนได้ทั้งหมด พร้อมกับการจัดการความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสอย่างหนาแน่นไม่ว่าองค์กรจะมองว่าเครือข่ายส่วนใดวางใจได้หรือไม่ (zero trust security) การจัดการของ SmartConnect ลงลึกถึงแอปพลิเคชั่นทุกตัว หรือกระทั่งเครื่องของผู้ใช้งานทุกคน โดย SmartConnect จัดการการเข้ารหัสระหว่างจุดต่างๆ ในเครือข่าย หรือการเชื่อมต่อจากผู้ใช้ถึงตัวแอปพลิเคชั่นได้ทั้งหมด เมื่อเปิดบริการที่ต้องเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายในองค์กรหรือให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ต การรักษาความปลอดภัยของระบบเป็นโจทย์ใหญ่เรื่อยมา ผู้ดูแลระบบไอทีต้องการมั่นใจว่าผู้ใช้แต่ละคนสามารถเข้าถึงทุกบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพทำงานได้ตลอดเวลา แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการความมั่นใจว่าผู้ใช้จะไม่สามารถเข้าถึงบริการอื่นใดเกินกว่าที่ต้องใช้งานจริงๆ ระบบเน็ตเวิร์คแบบใหม่อย่าง SmartConnect ยืนยันตัวตนผู้ใช้ล่วงหน้าว่ามีสิทธิ์เข้าถึงบริการจริง การเชื่อมต่อเข้ารหัสจากปลายทางถึงปลายทางทันที และผู้ใช้ไม่ต้องรับรู้ว่าบริการนั้นติดตั้งเซิร์ฟเวอร์อยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเป็นเซิร์ฟเวอร์ในบริษัท, อยู่ในศูนย์ข้อมูลภายนอก, หรืออยู่บนคลาวด์ ผู้ใช้ก็ยังสามารถเชื่อมต่อโดยมั่นใจได้ว่าเป็นเซิร์ฟเวอร์จริง ส่วนตัวเซิร์ฟเวอร์ก็แน่ใจได้ว่าได้รับการเชื่อมต่อจากผู้ใช้ที่มีสิทธิจริงเท่านั้น dtac business SmartConnect powered by NetFoundry สร้างแพลตฟอร์มการเชื่อมต่อของบริการต่างๆ ในเครือข่าย สามารถจัดการจากศูนย์กลางได้ว่าใครสามารถเชื่อมต่อหาบริการใดบ้าง และตรวจสอบการเข้าใช้งานได้อย่างครบถ้วน ขณะที่ข้อมูลที่ส่งภายในการเชื่อมต่อนั้นก็เข้ารหัสจากปลายทางถึงปลายทาง (end-to-end encryption) ไม่มีใครสามารถแอบดูข้อมูลภายในหรือเปลี่ยนแปลงได้จนถึงเซิร์ฟเวอร์ปลายทาง ไม่ใช่หยุดแค่ VPN gateway เช่นเดิม ความปลอดภัยเช่นนี้ทำให้องค์กรสามารถเลือกย้ายบริการบางส่วนไปยังที่ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเก็บในศูนย์ข้อมูลของบริษัทหรือคลาวด์เจ้าต่างๆ ที่เหมาะสม โดยที่ผู้ใช้ยังสามารถใช้งานได้ตามเดิมไม่ต้องคอนฟิกค่าไอพีหรือพอร์ตใหม่แต่อย่างใด ขณะที่ผู้ใช้สามารถใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตปกติเชื่อมต่อเข้าหาแอปพลิเคชั่นอย่างเต็มประสิทธิภาพแต่ยังได้ความปลอดภัยเหมือนใช้เครือข่ายในองค์กร บริการ SmartConnect มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ Tunnel สำหรับใช้งานได้เทียบเท่า VPN เดิมๆ แต่เพิ่มการควบคุมอย่างละเอียดผ่านแพลตฟอร์ม องค์กรจะสามารถตั้งค่าให้ผู้ใช้แต่ละคนว่าสามารถเข้าถึงบริการใดได้บ้าง สำหรับแอปพลิเคชั่นพัฒนาใหม่ก็สามารถพัฒนาโดยใช้ชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ (software development kit) ของทาง NetFoundry ได้โดยตรง ทำให้แอปพลิเคชั่นรองรับเครือข่ายแบบใหม่นี้ในตัว หรือในกรณีที่มีศูนย์ข้อมูลที่มีแอปพลิเคชั่นจำนวนมากก็สามารถใช้ NetFoundry Gateway เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายทั้งวงเข้าสู่เครือข่าย SmartConnect ได้ทันที dtac ในฐานะผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่ของประเทศไทยมีความเข้าใจถึงปัญหาและความยากลำบากในการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายและบริการเป็นอย่างดี บริษัทสร้างทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญที่พร้อมจะช่วยเหลือทุกธุรกิจให้ปรับตัวไปสู่บริการเน็ตเวิร์ครูปแบบใหม่นี้ สนใจบริการ dtac business SmartConnect powered by NetFoundry ติดต่อ dtac business Call Center 1431 หรือ cloudsales@dtac.co.th และ www.dtac.co.th/business/products/smartconnect
# พุทธิพงษ์ แปลกใจทวิตเตอร์เอาเวลาไปตามหาไอโอแทนที่จะบล็อคเว็บตามคำสั่ง หลังจากเมื่อวานนี้ทวิตเตอร์ได้รายงานถึงบัญชีไอโอของกองทัพบกไทยจำนวน 926 บัญชี ล่าสุดพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลก็ออกมาแสดงความรู้สึกแปลกที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลเรื่องนี้ "และโดยเฉพาะในช่วงเวลานี้" แทนที่จะดำเนินการปิดกั้นหา หรือลบบัญชีของผู้ที่โพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันหลักของไทย พุทธิพงษ์เรียกร้องให้ทวิตเตอร์ปิดกั้นเนื้อหาตามคำสั่งศาลไทย "เพื่อแสดงความจริงใจในการทำงานที่โปร่งใสของทวิตเตอร์เอง" ก่อนหน้านี้พุทธิพงษ์ เคยแสดงความสงสัยต่อเฟซบุ๊กว่าทำไมระบบแปลข้อความอัตโนมัติถึงแปลผิด ที่มา - Facebook: พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์
# ร้านเกม GameStop เซ็นสัญญาไมโครซอฟท์ นำ Dynamics, Surface, Teams มาใช้งาน GameStop เครือร้านค้าปลีกขายเกมรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ประกาศความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับไมโครซอฟท์ (อย่าเพิ่งตกใจ ไม่ใช่ขายแต่ Xbox จนไม่ขายเกมยี่ห้ออื่น) แกนหลักคือ GameStop จะเปลี่ยนมาใช้ระบบหลังบ้านเป็น Dynamics 365 พนักงานขายหน้าร้านจะใช้ Surface เป็นอุปกรณ์ในการทำงานให้คล่องตัวมากขึ้น พนักงานทั้งหมดจะสื่อสารกันผ่าน Microsoft 365 และ Microsoft Teams ส่วนที่เกี่ยวข้องกับเกมมีข้อเดียวคือ GameStop จะช่วยขาย Xbox All Access โปรแกรมซื้อเครื่องแบบผ่อน 24 เดือน ซึ่งจะช่วยให้ทั้งไมโครซอฟท์และ GameStop มีลูกค้าผูกพันในระยะยาวมากขึ้น ถึงแม้ GameStop เป็นร้านค้าปลีกรายใหญ่ของโลก แต่ช่วงหลังก็เจอปัญหามากมาย ตั้งแต่อุตสาหกรรมเกมที่เปลี่ยนไปเป็นการขายผ่านดิจิทัลมากขึ้น, ธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาขาลง และวิกฤต COVID-19 ที่คอยซ้ำเติมไปอีก หลังข่าวความร่วมมือกับไมโครซอฟท์ประกาศออกมา ตลาดหุ้นก็ตอบรับอย่างดี และราคาหุ้นดีดขึ้นมาถึง 44% ที่มา - GameStop, Reuters
# TrendForce รายงาน ยอดส่งมอบทีวีทั่วโลกไตรมาส 3 สูงสุดเป็นประวัติการ, Samsung ยังครองส่วนแบ่งสูงสุด TrendForce รายงานว่า ยอดส่งมอบทีวีทั่วโลกพุ่งขึ้นมาสู่จุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่ทำให้คนทั่วโลกใช้เวลาอยู่บ้านนานขึ้นกว่าเดิม รวมถึงยอดจำหน่ายทีวีในครึ่งแรกของปีที่ไม่สามารถส่งมอบได้ตามเป้าจากประเด็นเรื่องปัญหาของซัพพลายเชนจากการแพร่ระบาดของไวรัส สำหรับบริษัทที่มียอดจำหน่ายทีวีสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ Samsung 14.2 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 36.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว, LG 7.94 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 6.7%, TCL 7.33 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 52.7%, Hisense 5.5 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 19% และ Xiaomi 3.38 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 22.9% อย่างไรก็ดี TrendForce ระบุว่าแม้ทีวีจะมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 แต่ก็ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมนี้เนื่องจากโดยรวมแล้วยอดขายทีวีตลอดปี 2020 จะยังคงลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ผู้บริโภคจะซื้อทีวีโดยรวมจะลดลง ในขณะที่ชิ้นส่วนยังคงราคาสูงขึ้นซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อผลกำไรของบริษัทผู้ผลิตทีวี ที่มา - The Verge ภาพจากบทความรีวิว
# Loon และบริษัทลูกของ SoftBank เริ่มทดสอบให้บริการ LTE ผ่านโดรนพลังแสงอาทิตย์ วันนี้ Alphabet บริษัทแม่ของ Google และ SoftBank บริษัทโทรคมนาคมจากญี่ปุ่นประกาศความสำเร็จในการเปิดทดลองใช้งานระบบเชื่อมต่อแบบ LTE จากโดรนพลังแสงอาทิตย์อย่างเป็นทางการ สำหรับโครงการนี้ Alphabet และ SoftBank ประกาศความร่วมมือกันตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่ง SoftBank โดยบริษัทลูก HAPSMobile เป็นผู้สร้างอากาศยาน และ Alphabet โดยบริษัท Loon จะเป็นผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร ตัวโดรนที่สองบริษัทร่วมกันสร้างนี้ใช้ชื่อว่า Sunglider มีใบพัด 10 ใบ บินได้เร็วสุด 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ และบินอยู่เหนือพื้นดิน 62,000 ฟุตในชั้นบรรยากาศ stratosphere ที่สูงกว่าชั้นบรรยากาศที่เครื่องบินพาณิชย์บินอยู่ในปัจจุบัน โดยการบินแต่ละเที่ยวตัวโดรนสามารถอยู่ได้นานหลายเดือน และผลการทดสอบพบว่าคุณภาพสัญญาณ LTE ที่โดรนปล่อยออกมาอยู่ในระดับที่สามารถประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ได้ ชมวิดีโอเกี่ยวกับโดน Sunglider ท้ายข่าว ที่มา - The Verge ภาพโดย HAPSMobile
# Google Duo เพิ่มฟีเจอร์แชร์หน้าจอโทรศัพท์ขณะวิดีโอคอล Google เปิดตัวฟีเจอร์แชร์หน้าจอโทรศัพท์ของแอปวิดีโอคอล Duo อย่างเป็นทางการ โดยฟีเจอร์แชร์หน้าจอของ Duo นี้ ทาง Google ทดสอบมาแล้วราว 2 ปีกว่า และเริ่มทยอยเปิดให้ใช้งานมาบ้างแล้ว ผู้ใช้ Duo สามารถเปิดฟีเจอร์แชร์หน้าจอระหว่างสนทนาผ่านวิดีโอคอลได้ทันที โดยเมื่อเปิดใช้งานแล้วผู้ที่อยู่ในวิดีโอคอลจะเห็นหน้าจอของผู้แชร์จอ ส่วนผู้แชร์จอจะไม่เห็นใครเลย แต่จะมีไอคอนบอกบน status bar และการแจ้งเตือนที่ระบุว่า “Ongoing screen sharing” อย่างไรก็ดี จากการทดสอบโดย Engadget ระบุว่าฟีเจอร์แชร์จอของ Duo ยังคงไม่สามารถใช้งานได้ทุกเครื่อง ที่มา - Engadget, Google
# เปล่าประโยชน์ ศูนย์นโยบายไซเบอร์แสตนฟอร์ดพบทวิตเตอร์ไอโอไทยแทบไม่มีใครสนใจ ได้แต่อวยกันเอง เมื่อวานนี้ทวิตเตอร์รายงานถึงบัญชีไอโอของกองทัพบกไทยจำนวน 926 บัญชี โดยศูนย์นโยบายไซเบอร์ของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด (Cyber Policy Center) ได้รับข้อมูลจากทวิตเตอร์และวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียด โดยบทสรุปของรายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นว่าปฎิบัติการไอโอครั้งนี้ได้แต่อวยกันเองโดยไม่มีใครสนใจนัก (รายงานพาดหัวว่า "Cheerleading Without Fans") นับเป็นปฎิบัติการที่ไร้ผล การวิเคราะห์พบว่าบัญชีที่ทวิตเตอร์แบนกลุ่มนี้มักสร้างขึ้นช่วงปลายปี 2019 จนถึงต้นปี 2020 และบัญชีส่วนใหญ่หยุดทวิตไปหลังสร้างบัญชีขึ้นมาไม่นาน ทีมวิจัยคาดว่าทวิตเตอร์คงแบนบัญชีหลังตรวจพบ โดยรวมทั้งกลุ่มแล้วนับเป็นกลุ่มที่แทบไม่มีใครสนใจ มี 684 บัญชีไม่มีใครตามเลย เฉลี่ยทวีตจากกลุ่มทั้งหมดกว่า 21,000 ทวีตมี engagement เพียง 0.26 engagement ต่อทวีตเท่านั้น ปฎิบัติการของกลุ่มนี้มีไม่กี่อย่างเท่านั้น หลักๆ คือการส่งเสียงสนับสนุนบัญชีทางการของกองทัพบก และส่งข้อความทับถม (dogpiling) บัญชีจากฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ในบางเหตุการณ์ เช่น เหตุกราดยิงโคราช บัญชีเหล่านี้พยายามชี้ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ความผิดของกองทัพบก พร้อมกับแสดงความชื่นชมกองทัพว่ารับมือได้ดี ที่มา - Cheerleading Without Fans: A Low-Impact Domestic Information Operation by the Royal Thai Army ปริมาณทวีตของกลุ่มไอโอตามช่วงเวลา เทียบกับเหตุการณ์ต่างๆ ช่วงที่เร่งทวีตหนักคือหลังเหตุกราดยิงโคราช แฮชแท็กยอดนิยมของกลุ่มไอโอกลุ่มนี้ บัญชีที่กลุ่มนิยมเมนชั่นหรือรีทวีต มักเป็นบัญชีทางการของกองทัพ
# Edge 86 เพิ่มสารบัญ PDF, ประกาศฟีเจอร์ Web Capture จับหน้าจอเว็บเพจแบบยาวๆ Microsoft Edge ออกเวอร์ชัน 86 ตามรอบของ Chromium 86 โดยมีฟีเจอร์เฉพาะของตัว Edge เองดังนี้ ตัวอ่าน PDF รองรับการแสดงสารบัญ (table of content) แล้ว ฟีเจอร์ Collections สำหรับเซฟข้อมูลจากหน้าเว็บ รองรับ Pinterest นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังประกาศฟีเจอร์ใหม่ของ Edge รุ่นทดสอบ (Insider) ดังนี้ Web Capture ตัวบันทึกภาพหน้าจอเว็บเพจ สามารถบันทึกภาพทั้งหน้าเพจแบบยาวๆ ได้ เพิ่มแถบ sidebar ช่วยเปรียบเทียบราคาสินค้าจากเว็บไซต์ต่างๆ (เฉพาะในสหรัฐ) ที่มา - Microsoft
# โฆษกกองทัพบกปฏิเสธกองทัพไม่มี IO ปกติทำอย่างเปิดเผย ให้ข้อมูลข่าวสารอย่างเดียว สืบเนื่องจากกรณีที่ทวิตเตอร์ออกรายงานว่ากองทัพบกไทยมีความเชื่อมโยงกับบัญชี IO กว่า 926 บัญชี ล่าสุดพลโทสันติพงศ์ ธรรมปิยะ รองเสธ.ทบ. โฆษกกองทัพบกออกมาปฏิเสธว่า ไม่ใช่ปฏิบัติการณ์ IO ของกองทัพ ไม่มีการทำทวิตเตอร์อวตาร และโซเชียลมีเดียที่ใช้ก็เพื่อประชาสัมพันธ์ ให้ข้อมูลข่าวสารและช่วยเหลือประชาชนเป็นหลัก ด้านรองโฆษกกองทัพบกระบุว่ารายงานของทวิตเตอร์ "น่าจะเป็นข้อสรุปที่ไม่เป็นธรรมกับกองทัพบก เพราะการประมวลผลภาพรวมที่ขาดการวิเคราะห์เชิงลึก ด้วยบัญชีผู้ใช้ที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ และไม่ได้มาจากบัญชีที่เป็นทางการของกองทัพบก" ที่มา - Wassana Nanuam
# ผู้พัฒนา Among Us กำลังหาวิธีให้ผู้เล่นที่โดนฆ่าเป็น Guardian Angel คอยช่วยเพื่อนได้ InnerSloth ผู้พัฒนา Among Us เตรียมหาวิธีเพิ่มความสามารถให้กับผู้เล่นที่โดนฆ่าเป็นคนแรกๆ ในเกม เนื่องจากผู้เล่นที่โดนฆ่าเป็นคนแรกๆ มักจะกดออกจากห้องทันที เพราะเบื่อที่ต้องเล่นเป็นผี ที่ทำได้แค่ลอยไปลอยมาและทำภารกิจ โดยไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือแชทกับเพื่อนที่ยังไม่ตายได้ InnerSloth กล่าวว่าการรักษาสมดุลของตัวเกมให้เข้ากันได้กับการเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเป็นเรื่องยากพอสมควร แต่ก็มีไอเดียว่าอาจจะให้ผู้เล่นเป็น Guardian Angel หรือเทวดาผู้พิทักษ์ คอยปกป้องเพื่อนได้ แต่ยังไม่มีรายละเอียดมากกว่านี้ และทีมงาน “กำลังหาวิธีกันอยู่” Among Us เป็นเกมอินดี้ที่พัฒนาโดย InnerSloth ทีมนักพัฒนาที่มีกันอยู่สามคน ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดรวมบน PC และมือถือมากกว่า 100 ล้านครั้งแล้ว โดยได้อานิสงค์จากการที่สตรีมเมอร์ชื่อดังหลายๆ คน เล่นเกมนี้ออกอากาศอย่างสนุกสนาน แถมยังทำให้แอป Discord มียอดดาวน์โหลดสูงเป็นประวัติการณ์ อีกด้วย ที่มา - Gamespot
# Soul แอนิเมชันจาก Pixar ถูกนำขึ้นฉายบน Disney+ แทน, ประเทศที่ฉายโรงยังไม่กำหนดวัน Soul อนิเมชันจาก Pixar ทีมีกำหนดเข้าโรงในช่วงคริสต์มาสปีนี้กลายเป็นหนังโรงเรื่องที่ 4 ต่อจาก Mulan, Artenis Fowl และ Hamilton ที่ถูกย้ายขึ้นไปฉายบน Disney+ แทนด้วยปัญหาวิกฤติโควิด อย่างไรก็ตาม Soul บน Disney+ จะไม่มีการเก็บเงินเพิ่มเพื่อรับชมเหมือนที่เก็บ 29.99 เหรียญสำหรับ Mulan ขณะที่ประเทศที่ Disney+ ยังไม่เปิดให้บริการ Soul ก็จะยังคงฉายในโรงเช่นเดิม แต่ยังไม่มีกำหนดวันฉายออกมา ที่มา - Deadline
# Waymo One บริการแท็กซี่ไร้คนขับให้บริการเชิงพาณิชย์ในเมือง Phoenix แล้ว Waymo One บริการแท็กซี่ไร้คนขับเริ่มเปิดทดสอบให้บริการเชิงพาณิชย์ในวงจำกัดมาตั้งแต่ปี 2018 ในเมือง Phoenix รัฐแอริโซนา วันนี้ Waymo One เปิดให้บริการกับสาธารณะอย่างเต็มรูปแบบแล้ว Waymo One จะให้บริการผ่านแอป Waymo ทั้งบน Play Store และ App Store ลักษณะเดียวกับการเรียก Uber โดย Waymo บอกว่าเร็ว ๆ นี้ตัวบริการจะเป็นแบบไร้คนขับ 100% ทำให้คาดว่าตอนนี้น่าจะยังต้องมีคนนั่งอยู่หลังพวงมาลัยตอนให้บริการอยู่ ที่มา - Waymo
# [ไม่ยืนยัน] AMD กำลังเจรจาซื้อกิจการ Xilinx ผู้ผลิตชิป FPGA มูลค่า 3 หมื่นล้านเหรียญ WSJ รายงานข่าววงในว่า AMD กำลังเจรจาซื้อกิจการ Xilinx ผู้พัฒนาชิป FPGA แบบเขียนโปรแกรมได้ ที่ถูกใช้ในอุปกรณ์เครือข่าย มูลค่าของดีลนี้เบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านเหรียญและอาจเจรจากันเสร็จสิ้นอย่างเร็วที่สุดสัปดาห์หน้า แต่ทุกอย่างก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งหากดีลนี้ปิดได้จริง AMD จะเข้ามาแข่งกับ Intel โดยเฉพาะชิปสื่อสารที่กำลังมีแนวโน้มเติบโตเร็ว ที่มา - WSJ
# บริการคลาวด์เกมมิ่ง xCloud เตรียมให้บริการบน iOS ผ่านเว็บแอปในปี 2021 ปัจจุบันบริการคลาวด์สตรีมมิ่ง (xCloud) ที่รวมอยู่ใน Xbox Game Pass Ultimate สามารถใช้งานได้เฉพาะบนอุปกรณ์ Android เท่านั้น แต่ล่าสุด Business Insider รายงานว่า Phil Spencer แจ้งกับพนักงานในการประชุมรวมเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า xCloud (ผ่าน Game Pass Ultimate) จะให้บริการบน iOS ได้ในปี 2021 แต่จะเป็นรูปแบบเว็บแอปเล่นผ่านบราวเซอร์ เช่นเดียวกับ Luna ของ Amazon การใช้วิธีนี้ เป็นไปเพื่อหลบหลีกกฎระเบียบล่าสุดของ Apple ที่จะต้องรีวิวเกมทุกเกมที่อยู่บนบริการเล่นเกมแบบสตรีมมิ่งที่อยู่บน App Store ซึ่งก่อนหน้านี้ Microsoft ก็ออกแถลงการตอบโต้ว่าเป็นการสร้างประสบการณ์ไม่ดีให้กับลูกค้า และเป็นการกระทำที่สองมาตรฐาน เพราะ Apple ไม่ได้มีการรีวิวหนังหรือซีรีส์ทุกเรื่องบนบริการสตรีมมิ่งวิดีโอเลย นอกจากนี้ The Verge ยังรายงานเพิ่มอีกว่า Microsoft ยังเตรียมให้เล่นเกมแบบสตรีมมิ่งผ่าน Xbox Game Pass ได้บนคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน Windows 10 ภายในปี 2021 เช่นกัน ส่วนในบ้านเรา หรือในประเทศอื่นๆ ยังไม่มีกำหนดให้บริการเหมือนเดิม ที่มา - Business Insider, The Verge
# ผลสำรวจเผยชาวอเมริกันกว่า 72% เลือกสั่งพรีออเดอร์ PS5 เวอร์ชันดิสก์ VGM บริษัทวิจัยการตลาดเปิดเผยผลสำรวจชาวอเมริกัน 511 คน มีเพียง 15% ของจำนวนนี้เท่านั้นที่สามารถพรีออเดอร์ได้ โดย 72% ของส่วนนี้เลือกพรีออเดอร์ PS5 เวอร์ชันดิสก์, 30% Xbox Series X, 10% PS5 เวอร์ชันดิจิทัลและ 8% เลือก Xbox Series S ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจ 29% ระบุว่าพยายามจะพรีออเดอร์แต่ไม่ทัน โดยกลุ่มนี้ 58% บอกว่าจะเลือก PS5 เวอร์ชันดิสก์, 40% Xbox Series X, 21% PS5 เวอร์ชันดิจิทัลและ 11% เลือก Xbox Series S ส่วนเรื่องคอนเทนท์เอ็กคลูซีฟ 52% ของคนที่เลือกพรีออเดอร์ PS5 (หรือจะพรีออเดอร์ภายในสิ้นปี) บอกว่า Spider-Man: Miles Morales เป็นเหตุผลหลักที่ซื้อ รองลงมาคือ God of War: Ragnarok ที่ 42% และ Final Fantasy XVI 32% ส่วนฝั่ง Xbox ทั้ง Series X และ S บอกว่าซื้อเพราะ Halo Infinites 45%, Fable 26% และ Forza Motorsport 8 ที่ 24% ที่น่าสนใจคือคนที่เลือก PS5 กว่า 45% บอกว่าเลือกเพราะคอนเทนท์เอ็กคลูซีฟ ส่วนฝั่ง Xbox กว่า 42% บอกว่าเลือกเพราะ Game Pass ดูรายงานฉบับเต็มและ methodology ได้จากที่มา ที่มา - VGM
# ไมโครซอฟท์ประกาศแนวทาง Microsoft Store เปิดกว้าง ไม่ปิดกั้นหรือบล็อคแอพ ก่อนหน้านี้มีบริษัทไอทีหลายราย เช่น Epic Games, Spotify, Tinder, Basecamp รวมตัวตั้งกลุ่ม Coalition for App Fairness (CAF) เพื่อผลักดันกฎหมายและกฎระเบียบด้านการผูกขาดสโตร์ ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศสนับสนุนแนวทางของ CAF (แต่ยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกแนวร่วม) โดย Microsoft Store บนวินโดวส์ ประกาศหลักการ 10 ข้อที่อิงจากหลักการของ CAF นักพัฒนามีอิสระในการเลือกแจกจ่ายแอพบนวินโดวส์ ไมโครซอฟท์จะไม่บล็อคสโตร์อื่น ไมโครซอฟท์จะไม่บล็อคแอพบนวินโดวส์ จากปัจจัยโมเดลธุรกิจหรือวิธีการส่งคอนเทนต์ (เทียบเคียงกรณีแอปเปิลบล็อค xCloud บน iOS) ไมโครซอฟท์จะไม่บล็อคแอพบนวินโดวส์ จากปัจจัยเรื่องระบบจ่ายเงิน (เทียบเคียงกรณีแอปเปิลบล็อค Fortnite) ไมโครซอฟท์จะเปิดให้นักพัฒนาเข้าถึงข้อมูลทางเทคนิคที่สำคัญ โดยให้ระยะเวลาที่เหมาะสม นักพัฒนาทุกรายมีสิทธิใช้งานสโตร์ของไมโครซอฟท์ ตราบเท่าที่ผ่านมาตรฐานเรื่องความปลอดภัย-ความเป็นส่วนตัว สโตร์ของไมโครซอฟท์ จะหักค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผล และไม่บังคับให้นักพัฒนาต้องมาขายของใดๆ สโตร์ของไมโครซอฟท์ ไม่ปิดกั้นให้นักพัฒนาสื่อสารกับผู้ใช้ผ่านแอพ สโตร์ของไมโครซอฟท์ จะปฏิบัติต่อแอพของไมโครซอฟท์ ด้วยมาตรฐานเดียวกับแอพของนักพัฒนารายอื่นๆ ไมโครซอฟท์จะไม่นำข้อมูลของแอพอื่นๆ ไปสร้างแอพของตัวเองมาแข่งขัน สโตร์ของไมโครซอฟท์จะโปร่งใสเรื่องข้อมูล และนโยบายต่างๆ ที่มา - Microsoft
# Google Assistant สั่งงานแอพ Android ด้วยเสียงได้แล้ว ยังใช้ได้แค่แอพยอดนิยมบางตัว Google Assistant รองรับคำสั่งเสียงเพื่อสั่งงานแอพ Android บนสมาร์ทโฟนแล้ว ตัวอย่างเช่น “Hey Google, open Selena Gomez on Snapchat” กูเกิลบอกว่าเบื้องต้น ฟีเจอร์นี้ใช้ได้กับแอพยอดนิยมประมาณ 30 ตัวของ Google Play ภาคภาษาอังกฤษ ที่ระบุชื่อได้แก่ Etsy, Snapchat, Nike Run, Postmates, Spotify, Twitter, Walmart, Discord, Mint, MyFitnessPal และจะทยอยเพิ่มแอพที่รองรับให้มากขึ้นในระยะถัดไป ที่มา - Google
# ทีม Xbox บอกจุดขายสเปกแรงอย่างเดียวไม่พอแล้ว เกมกลายเป็นเรื่องข้ามอุปกรณ์ Phil Spencer และทีมงาน Xbox หลายคนให้สัมภาษณ์กับ Wired (บทความเดียวกับเรื่อง 8K) ประเด็นหลักคือเรื่องสเปกของคอนโซลไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ Xbox Series X มีสเปกเครื่องที่แรงที่สุดในยุคนี้ (จีพียู 12 TFLOPS เทียบกับ vs 10 TFLOPS ของ PS5) แต่ Spencer ก็บอกว่าประสบการณ์เล่นเกมยุคนี้ไม่ถูกกำหนดโดยสเปกเครื่องอีกต่อไปแล้ว สิ่งสำคัญกว่าคือการมีประสบการณ์เดียวกันข้ามอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นพีซี คอนโซล หรือมือถือ ในอดีต Xbox ทุกรุ่นชูจุดเด่นเรื่องสเปกแรงมาตลอด (เมื่อเทียบกับคอนโซลของนินเทนโดที่ไม่เคยเน้นสเปก หรือโซนี่ที่มักเน้นเรื่องเกมมากกว่า) แต่พอมาถึงยุคปี 2020 จุดขายกลับเปลี่ยนจากเครื่องแรง มาเป็นตัวเลือกที่หลากหลาย ประเด็นที่น่าสนใจคือ Spencer ยอมรับว่าสเปกของ Xbox One รุ่นแรกมีปัญหา คือจีพียูแรง แต่ซีพียูไม่แรงตามพลังจีพียู ทำให้ Xbox One X ต้องกลับไปทำการบ้านใหม่ และสนใจเรื่องเฟรมเรตมากขึ้นกว่าเรื่องความละเอียด ด้วยการรองรับเทคโนโลยี variable refresh rate จากฝั่งพีซี แนวทางนี้สืบต่อมาจนถึงยุค Xbox Series X และ S ที่มีซีพียูและ I/O ความเร็วเท่ากัน (เฟรมเรตเท่ากัน) แต่แยกเครื่องเป็น 2 รุ่นตามลูกค้า 2 กลุ่มที่แตกต่างกันชัดเจน กลุ่มแรกคือ Xbox Series X จับฐานลูกค้าเดิมที่เน้นสเปกแรงๆ เป็นเกมเมอร์ตัวจริงที่นั่งเล่นเกมในโซฟาเป็นเวลานานๆ แต่ Xbox Series S เปิดตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ไม่สนใจ 4K และเล่นเกมในช่วงสั้นๆ เฉพาะเท่าที่มีเวลาว่าง ทีมงาน Xbox ยังให้ความเห็นว่า ลูกค้าเกมเมอร์ไม่ได้มีทีวี 4K เยอะเท่ากับที่ผู้พัฒนาเกมประเมินไว้ ซึ่งลูกค้าที่เหลือคือกลุ่มเป้าหมายของ Series S นอกจากการเปิดตลาดคอนโซลตัวล่าง ไมโครซอฟท์ยังจับกลุ่มคนที่อาจไม่สนใจซื้อคอนโซลเลยด้วย Xbox Game Pass ที่เป็นบริการเหมาจ่ายรายเดือน โดย Wired เปรียบเทียบว่าปัจจัยของการเลือกเล่นเกมเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ตัวอย่างคือ Fortnite ที่เล่นฟรี หาเงินจากการอัพเดตคอนเทนต์ และคนเล่นเพราะคนรอบตัวเล่นกัน เป็นประสบการณ์โซเชียลที่เล่นจากแพลตฟอร์มไหนก็ได้ ไมโครซอฟท์มองเห็นตลาดที่เปลี่ยนไปนี้ และพยายามขยายนิยามของ Xbox ให้กว้างขึ้นในแบบเดียวกัน ที่มา - Wired
# ทวิตเตอร์ตรวจพบบัญชีไอโอกองทัพบกไทย 926 บัญชี อวยทหารและรัฐบาล โจมตีฝ่ายตรงข้าม วันนี้ทวิตเตอร์รายงานการตรวจสอบเครือข่ายปฎิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือไอโอ (information operation) โดยพบกลุ่มเกี่ยวข้องกับรัฐบาลหลายชาติ ทั้งอิหร่าน, ซาอุดิอาระเบีย, คิวบา, รัสเซีย, และไทย สำหรับประเทศไทย ทวิตเตอร์ตรวจพบบัญชีกลุ่มใหญ่ที่ทวิตเตอร์ "เชื่อมโยงกับกองทัพบกไทยได้อย่างชัดเจน" ("we can reliably link to the Royal Thai Army") รวม 926 บัญชี กลุ่มบัญชีเหล่านี้พยายามแพร่กระจายเนื้อหาชื่นชมกองทัพบกไทยและรัฐบาล ไปพร้อมกับโจมตีบุคคลทางการเมืองฝ่ายตรงข้าม ทวิตเตอร์เปิดเผยทวิตของบัญชีเหล่านี้ออกมาพร้อมกัน โดยไม่ได้เปิดเผยชื่อผู้ใช้โดยตรงแต่เปิดเพียงค่าแฮชของชื่อบัญชีเท่านั้น ส่วนชื่อบัญชีแบบไม่แฮชนั้นต้องแจ้งเหตุผลการใช้งานก่อนจึงจะดาวน์โหลดได้ ข้อความในตัวทวีตไม่ได้แฮชไว้ ผมลองดูพบข้อความเช่น "อ้าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า...อุตส่าห์รณรงค์ยกเลิกเกณฑ์ทหาร พวกนี้ไปอยู่ดาวไหนมาวะ", "กองทัพบกยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง จัดกำลังลงพื้นที่แจกจ่ายหน้ากากอนามัย", "@wirojlak @hengsuaycountry ต้องถามกลับคืนว่ามาตรการที่รัฐได้ประกาศไป ขอความร่วมมือไป ประชาชนในหลายพื้นที่ มองเห็นความสำคัญหรือไม่ #ไม่ควรโทษแต่ใคร ฝ่ายเดียวนะครับคุณ" เป็นต้น ทวิตเตอร์ระบุว่าได้แบน (suspend) บัญชีเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว และจะเดินหน้าแบนกลุ่มที่เกี่ยวข้องต่อไป ที่มา - Twitter
# AMD เปิดตัว Ryzen 5000 คอร์ Zen 3 แคชผืนใหญ่ขึ้นสองเท่า, IPC เพิ่ม 19% วางขาย 5 พฤศจิกายนนี้ AMD เปิดตัวซีพียูตระกูลเดสก์ทอป Ryzen 5000 ที่เปลี่ยนคอร์ภายในเป็นสถาปัตยกรรม Zen 3 ปรับปรุงอัตราการประมวลคำสั่งต่อสัญญาณนาฬิกา (instruction per clock - IPC) เพิ่มขึ้นกว่า Zen 2 มา 19% และสถาปัตยกรรมแคชที่ Zen 2 เคยแบ่งส่วนทีละ 16MB ใน Zen 3 ปรับปรุงให้เข้าถึงแคชมากขึ้นเป็น 32MB ทำให้ซอฟต์แวร์ที่รันคอร์เดียวทำงานได้ประสิทธิภาพดีขึ้นจากความสามารถในการใช้แคชได้เต็มที่ ในการเปิดตัวครั้งนี้ AMD เปิดตัวพร้อมกัน 4 รุ่น วางขายวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ ได้แก่ AMD Ryzen 9 5950X 16 คอร์ 32 เธรด สัญญาณนาฬิกาสูงสุด 4.9GHz แคช์รวม 72MB สเปคความร้อน 105W ราคา 799 ดอลลาร์ AMD Ryzen 9 5900X 12 คอร์ 24 เธรด สัญญาณนาฬิกาสูงสุด 4.8GHz แคช์รวม 70MB สเปคความร้อน 105W ราคา 549 ดอลลาร์ AMD Ryzen 7 5800X 8 คอร์ 16 เธรด สัญญาณนาฬิกาสูงสุด 4.7GHz แคช์รวม 36MB สเปคความร้อน 105W ราคา 449 ดอลลาร์ AMD Ryzen 5 5600X 6 คอร์ 12 เธรด สัญญาณนาฬิกาสูงสุด 4.6GHz แคช์รวม 35MB สเปคความร้อน 65W ราคา 299 ดอลลาร์ งานนี้ทาง AMD แสดงผลเบนซ์มาร์คแบบเธรดเดี่ยวด้วย Cinebench ได้คะแนน 631 คะแนนนับเป็นผลทดสอบเธรดเดี่ยวที่ดีที่สุดในตอนนี้ ที่มา - AMD
# 10 ปียังไม่จบ คดีออราเคิลฟ้องกูเกิลละเมิดลิขสิทธิ์ Java เริ่มไต่สวนในศาลสูงสุดสหรัฐ เป็นคดีที่ลากยาวข้ามทศวรรษ คดีระหว่างออราเคิลกับกูเกิล ในประเด็น Android ละเมิดลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรของ Java เริ่มต้นในเดือนสิงหาคม 2010 และต่อสู้กันมาในหลายศาล ตอนนี้คดีเดินทางมาถึงศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา (Supreme Court) แล้ว ย้อนความแบบสั้นๆ คือ ศาลชั้นต้นตัดสินให้กูเกิลชนะในปี 2012 แต่ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ออราเคิลชนะในปี 2018 ทำให้กูเกิลยื่นเรื่องให้ศาลสูงสุดตัดสิน กำหนดเดิมคือศาลเริ่มไต่สวนครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2020 แต่เลื่อนมาเป็นเดือนตุลาคมเพราะสถานการณ์ COVID-19 ประเด็นหลักที่ต่อสู้กันยังเป็นเรื่อง API ของ Java ว่ามีลิขสิทธิ์หรือไม่ และถ้ามี การที่กูเกิลนำไปใช้งานกับ Android ถือเป็นการใช้งานที่เป็นธรรม (fair use) หรือไม่ การพิจารณาคดีนี้ถือว่ากูเกิลเสียเปรียบอยู่บ้าง เพราะปกติแล้ว ศาลสูงสุดของสหรัฐมีผู้พิพากษา 9 คน แต่ผู้พิพากษา Ruth Bader Ginsburg เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน ทำให้ผู้พิพากษาเหลือ 8 คน (คนใหม่กำลังอยู่ในกระบวนการเสนอชื่อ) ซึ่งถ้าหากผู้พิพากษาลงคะแนนเสมอกันที่ 4:4 จะมีผลให้คำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ นั่นแปลว่ากูเกิลแพ้คดี และต้องจ่ายเงินชดเชยให้ออราเคิล 9 พันล้านดอลลาร์ หลังการไต่สวนวันแรก สำนักข่าว Reuters รายงานว่าผู้พิพากษายังเสียงแตก กระบวนการพิจารณาคดีนี้ยังต้องใช้เวลาอีกนาน และคาดว่าศาลสูงสุดจะมีคำตัดสินออกมาในเดือนมิถุนายน 2021 ที่มา - The Register, VentureBeat, ภาพจาก Oracle
# เผยภาพแรก OnePlus 8T ก่อนเปิดตัว ใช้สีเขียว ดีไซน์คล้าย OnePlus Nord ใกล้วันเปิดตัว OnePlus 8T เรือธงรุ่นอัพเดตรอบปลายปีของ OnePlus เข้ามาเรื่อยๆ (กำหนดเปิดตัว 14 ตุลาคม) วันนี้ OnePlus เผยแพร่คลิปวิดีโอของ OnePlus 8T ให้เห็นหน้าตาเครื่องกันล่วงหน้า เครื่องที่นำมาโชว์เป็นเวอร์ชันสีเขียวโทนใกล้เคียงกับ OnePlus 8 (สีนี้ชื่อ Ultramarine Green) แต่ขยับตำแหน่งของโมดูลกล้อง จากตรงกลางมาชิดขอบด้านซ้ายบน เหมือนกับ OnePlus Nord ข้อมูลของ OnePlus 8T เท่าที่เราทราบกันคือ ใช้หน้าจอ 120Hz และมีระบบชาร์จ 65 วัตต์ ที่เหลือคงต้องรอติดตามกันในงานแถลงข่าว 14 ตุลาคม ที่มา - 9to5google
# FBI เตือน ใช้ Wi-Fi โรงแรมทำงานเสี่ยงต่อความปลอดภัย พร้อมแนะนำวิธีลดความเสี่ยงเมื่อทำงานนอกสถานที่ FBI ออกประกาศเตือนชาวอเมริกันเรื่องการใช้เครือข่ายไร้สายในโรงแรมสำหรับการทำงานระยะไกลว่า Wi-Fi โรงแรมมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในการใช้งานสูงกว่า Wi-Fi ในบ้านมาก ตั้งแต่สถานการณ์ COVID-19 ที่หลายพื้นที่ต้องล็อกดาวน์เมืองและประกาศมาตรการเว้นระยะห่างและลดความหนาแน่นของประชากรทำให้พนักงานออฟฟิศหลายคนต้องหาที่ทำงานนอกออฟฟิศ ช่วงแรกหลายคนอาจเลือกทำงานที่บ้าน แต่หลังจากหลายประเทศคลายล็อกดาวน์แล้วพนักงานออฟฟิศอาจเริ่มหาที่ทำงานใหม่ ประกอบกับช่วงนี้โรงแรมกำลังขาดนักท่องเที่ยวจึงนิยมออกแพคเกจใช้ห้องในเวลากลางวันเพื่อดึงดูดผู้ที่ต้องการหาที่ทำงานที่เงียบสงบ ทำให้เทรนด์การทำงานช่วงนี้เริ่มหันไปหาโรงแรมมากขึ้น FBI ระบุว่า Wi-Fi ของโรงแรมนั้นค่อนข้างอันตราย เพราะพื้นที่ของโรงแรมมีแขกผู้เข้าพักมากหน้าหลายตาที่ใช้เครือข่ายร่วมกันหมด รวมถึงโรงแรมจะเน้นอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้เป็นหลัก จึงทำให้การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยหย่อนยานไปมาก และยังไม่มีมาตรฐานเรื่องความปลอดภัยของ Wi-Fi ในโรงแรมอย่างชัดเจน ผู้ใช้เครือข่ายจึงต้องตระหนักว่าอย่าไว้ใจระบบรักษาความปลอดภัยและระบบมอนิเตอร์การโจมตีของเครือข่ายโรงแรม เนื่องจากโรงแรมมีความเสี่ยงที่จะถูกเจาะระบบได้ง่าย ดังนั้นผู้ใช้ที่ทำงานจากระยะไกลจึงต้องระมัดระวังทุกครั้งที่ใช้งาน เพราะคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำงานอาจถูกฝังโปรแกรมไม่พึงประสงค์และใช้เป็นทางผ่านสำหรับเจาะเข้าเครือข่ายในองค์กรเพื่อขโมยข้อมูลสำคัญหรือเข้ารหัสไฟล์เพื่อเรียกค่าไถ่ได้ สำหรับวิธีที่ FBI แนะนำวิธีลดความเสี่ยงจากการทำงานนอกสถานที่ เช่น ใช้ VPN เชื่อมต่อกับเครือข่ายองค์กรเพื่อเข้ารหัสทราฟฟิก, ใช้โทรศัพท์มือถือปล่อยฮอตสปอตแทนการใช้ Wi-Fi โรงแรม, อัพเดต OS และแพทซ์สม่ำเสมอ, แบคอัพข้อมูลสำคัญ, หลีกเลี่ยงการเข้าเว็บไซต์ที่ต้องกรอกข้อมูลสำคัญ, เลือกใช้ระบบล็อกอินแบบหลายปัจจัย และปฏิบัติตามกระบวนการและนโยบายความปลอดภัยของบริษัทนายจ้าง ที่มา - FBI, 9to5Mac ภาพโดย Free-Photos/Pixabay
# ผู้บริหาร Sega เปรย เครื่องเกมย้อนยุคตัวหน้าอาจเป็น Dreamcast Mini ยุคสมัยแห่งเครื่องเกมย้อนยุคกลับทำใหม่มาขายเวอร์ชันมินิ เราเห็นค่าย Sega ออก Mega Drive Mini และ Game Gear Micro กันไปแล้ว ล่าสุดผู้บริหาร Sega เริ่มออกมาพูดถึงไอเดียการทำ Dreamcast Mini แล้ว Yosuke Okunari ผู้บริหารของ Sega ให้สัมภาษณ์กับ Famitsu นิตยสารเกมของญี่ปุ่น ตอบคำถามว่าบริษัทมีแผนจะออกเครื่องเกมมินิตัวไหนต่อ คำตอบของเขาคืออาจเป็นได้ทั้ง SG-1000 Mini หรือ Dreamcast Mini ก็ได้ เครื่อง SG-1000 ของ Sega ไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก มันคือเครื่องคอนโซลตัวแรกของ Sega ที่ออกขายในปี 1983 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก (ภายหลังมันถูกพัฒนามาเป็น Sega Master System ก่อนจะประสบความสำเร็จกับ Mega Drive) ซึ่งโอกาสที่เราจะได้เห็น SG-1000 Mini น่าจะยากกว่า Dreamcast Mini อย่างไรก็ตาม Okunari ก็บอกว่าคงอีกสักพักใหญ่ๆ (นานกว่า 1-2 ปี) เราถึงจะได้เห็น Sega ออกเครื่องเกมมินิ เพราะโปรเจคน่าจะใหญ่กว่าการออก Game Gear Mini ที่วางขายเฉพาะในญี่ปุ่นนั่นเอง ที่มา - Eurogamer, ภาพจาก Sega
# ซัมซุงเปิดตัวแท็บเล็ต Galaxy Tab A7 ราคาเริ่ม 8,490 บาทและ Galaxy Fit2 ราคา 1,590 บาท ซัมซุงประเทศไทยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 ตัวคือ Galaxy Tab A7 แท็บเล็ตระดับกลางและ Galaxy Fit2 สมาร์ทแบนด์สำหรับออกกำลังกายรุ่นใหม่ Galaxy Tab A7 มีหน้าจอขนาด 10.4 นิ้ว แพแนลเป็น TFT แบบ LPTS ความละเอียด 2000x1200 พิกเซล อัตราส่วน 16.6:10 ชิปเซ็ต Snapdragon 662 แรม 3GB มีลำโพง 4 ตัวรองรับ Dolby Atmos แบตเตอรี่ 7,040 mAh รองรับชาร์จเร็ว 15W ความจุ 64GB รองรับ microSD สูงสุด 1TB รัน Android 10 ครอบด้วย One UI 2.1 ราคาจำหน่ายแบ่งเป็นรุ่น Wi-Fi ราคา 8,490 บาทและ LTE 9,990 บาท มีสี Dark Grey และ Gold ขณะที่ Galaxy Fit2 ดีไซน์และฟังก์ชันไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าเท่าไหร่ หน้าจอ AMOLED 1.1 นิ้ว แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 21 วัน มี 2 สีคือสีดำและแดง ราคา 1,590 บาท
# IBM ประกาศแผนโฟกัสธุรกิจไฮบริดคลาวด์, แยกธุรกิจบริการ infrastructure ตั้งเป็นบริษัทใหม่ IBM ประกาศแผนการแยกธุรกิจ Managed Infrastructure Services ออกจากส่วนงาน Global Technology Services โดยจะตั้งเป็นบริษัทใหม่เพื่อโฟกัสกับเทคโนโลยียุคใหม่โดยตรง บริษัทแห่งใหม่ของ IBM (ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีชื่อ) จะโฟกัสที่งานจัดการและพัฒนาให้โครงสร้างพื้นฐานทางไอทีของบริษัทต่าง ๆ ให้ทันกับยุคสมัยผ่านระบบ AI และระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ที่จะช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานทางไอทีและศูนย์ข้อมูลของลูกค้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น IBM ระบุว่าจะดำเนินแผนการแยกกิจการออกมาให้เสร็จภายในปี 2021 โดยรายละเอียดคร่าว ๆ ของบริษัทใหม่คือจะมีพนักงานราว 9 หมื่นคน, ลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ 4,600 แห่งใน 115 ประเทศ และสัญญาทางธุรกิจมูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้บริษัทใหม่ของ IBM มีขนาดใหญ่กว่าคู่แข่งที่ขนาดใกล้เคียงที่สุดเกือบ 2 เท่า (คู่แข่งหลักของบริษัทใหม่แห่งนี้ เช่น BMC, Microsoft) หลังจากจัดตั้งบริษัทใหม่แล้ว บริษัท IBM เองจะกลายเป็นผู้พัฒนาด้านงานไฮบริดคลาวด์และ AI เป็นหลัก ในขณะที่บริษัทใหม่จะเน้นการดีไซน์, รัน และพัฒนาให้โครงสร้างพื้นฐานทางไอทีทันสมัย การปรับตัวครั้งนี้ของ IBM ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจเนื่องจากองค์กรไอทีจำนวนไม่น้อยกำลังต้องการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยียุคเก่าของตัวเองมาเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้การพัฒนาระบบทางไอทีเป็นไปได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และมีบริษัทจำนวนมากกำลังจะเอาท์ซอร์สงานด้านโครงสร้างพื้นฐานของระบบไอทีอย่างเช่นเซิร์ฟเวอร์ให้บริษัทอื่นดูแลเพื่อนำทรัพยากรไปโฟกัสกับงานที่ interface ตรงกับลูกค้าแทน ที่มา - PR Newswire, TechCrunch ภาพจาก skeeze/Pixabay
# Phil Spencer บอกเกมมิ่งระดับ 8K ยังไม่จำเป็นในตอนนี้ และในอนาคตก็อาจไม่ต้องมีด้วยซ้ำ Phil Spencer หัวหน้าทีม Xbox ให้สัมภาษณ์กับ Wired มีประเด็นน่าสนใจว่า ถึงแม้ทั้ง Xbox Series X และ PS5 รองรับการเล่นเกมในระดับ 8K แต่ตัวเขามองว่า 8K ไม่จำเป็นในทางปฏิบัติ Spencer บอกว่า 8K เป็นเทคโนโลยีที่น่าไปให้ถึง แต่ตอนนี้ยังไม่มีหน้าจอแสดงผลระดับ 8K แพร่หลาย และอีกหลายปีกว่าโลกจะไปถึงระดับ 8K หรืออาจไม่มีวันนั้นด้วยซ้ำ เขามองว่าเทคโนโลยีการแสดงผลที่จับต้องได้มากกว่าคือ หน้าจอ 120Hz ซึ่งใช้งานได้จริงแล้วสำหรับคนที่ต้องใช้มันจริงๆ ที่มา - Wired ภาพโฆษณาบนเว็บไซต์ Xbox Series X ที่บอกว่ารองรับ 8K HDR
# สรุปรีวิว Nest Audio เสียงดีเกินตัว ในราคา 99 เหรียญ คุ้มกว่า Google Home Nest Audio ลำโพงอัจฉริยะรุ่นใหม่จาก Google ที่เหมือนเป็นรุ่นต่อยอดจาก Google Home ที่มาพร้อมไดรเวอร์ลำโพง 75 มิลลิเมตร กับทวีตเตอร์ 19 มิลลิเมตร และชิป Cortex-A53 4 คอร์ เริ่มมีรีวิวจากเว็บไซต์เทคโนโลยีและเครื่องเสียงออกมาพอสมควรแล้ว โดยรวมทุกเว็บไซต์ต่างชื่นชมในคุณภาพเสียงและรูปลักษณ์ที่ดีกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Google Home และอยู่ในระดับราคาที่จับต้องได้ คุณภาพเสียงดีกว่า Google Home แต่ยังแพ้ Google Home Max The Verge รีวิวว่า Nest Audio ให้คุณภาพเสียงดีกว่า Google Home มาก การจับคู่ลำโพงสองตัวเพื่อเล่นเสียงแบบ Stereo ทำได้ดี เมื่อผนวกกับความสามารถของ Google Assistant และราคาที่ต่ำกว่า 100 เหรียญแล้ว ถือว่าเป็นลำโพงที่คุ้มค่า แต่อาจยังติดปัญหาเล็กน้อยเรื่องขนาดของตัวเครื่องที่เล็ก ทำให้เสียงเบสไม่หนักแน่นนัก และการสั่งเล่นเพลงด้วยคำสั่งเสียง ยังมีติดขัดและผิดพลาดอยู่บ้าง Techcrunch ระบุว่า Nest Audio เล่นเสียงได้ดังกว่า Google Home ประมาณ 75% แต่อาจมีเสียงไม่ชัดเจนบ้างเมื่อเร่งระดับเสียงไว้สูงๆ แต่คุณภาพเสียงปกติยังชัดเจน และการจับคู่ลำโพงเพื่อเล่นเสียงแบบ Stereo ก็กลบจุดด้อยตรงนี้ได้ แต่ก็ยังแพ้ให้กับ Google Home Max อยู่ ทั้งในด้านความดังของเสียง และความหนักของเบส เว็บไซต์ Soundguys ให้คะแนนคุณภาพเสียง Nest Audio อยู่ที่ 7.9 คะแนน แพ้รุ่น Google Home Max ที่ได้ 8.5 คะแนนก่อนหน้านี้ แต่ Nest Audio เอาชนะไปได้ในด้านความคุ้มค่าและดีไซน์ ทำให้มีคะแนนรวม 8.2 คะแนนชนะ Google Home Max ที่ได้ 8.0 คะแนนเล็กน้อย (เพราะ Google Home Max เป็นดีไซน์แบบเก่าในปี 2017 และราคาเริ่มต้น 399 เหรียญ) Soundguys ชื่นชมไดรเวอร์ขนาด 75 มิลลิเมตร กับทวีตเตอร์ขนาด 19 มิลลิเมตรของ Nest Audio แต่ก็ระบุเหมือนกับ The Verge และ Techcrunch ว่าข้อจำกัดด้านขนาดของลำโพง ทำให้เสียงเบสไม่หนักมากนัก ถ้าเป็นคนชอบเสียงเบส Google Home Max ยังชนะอยู่ แต่ข้อดีของการที่เสียงเบสไม่หนักมากและมีทวีตเตอร์สำหรับเสียงย่านความถี่สูงมาด้วย คือผู้ฟังสามารถได้ยินเสียงร้องในย่านกลางหรือสูงได้ชัดเจน โดยไม่ถูกกลบรายละเอียดด้วยเสียงในย่านความถี่ต่ำ (เบส) ไมโครโฟนคุณภาพพอใช้ Nest Audio ใช้ไมโครโฟนแบบ far-field สามตัว เพิ่มมาอีกหนึ่งตัวจาก Google Home ซึ่ง Soundguys ระบุว่าคุณภาพใช้ได้ แต่ก็ยังขึ้นอยู่กับตำแหน่งการยืน และการหันหน้ามาพูดกับลำโพงโดยตรงจึงจะดีที่สุด The Verge ระบุว่าเวลาใช้คำสั่งเสียงกับ Nest Audio ยังต้องพูดดังกว่าลำโพง Echo ของ Amazon อยู่ และอาจต้องพูดดังขึ้นหากลำโพงกำลังเล่นเพลง แต่ระบบ Ambient EQ ก็ปรับระดับเสียงตอบรับของ Google Assistant ให้ดังพอสู้กับเสียงรอบข้างในห้องได้ดี ดีไซน์ดี ระบบเชื่อมต่อดี ราคาคุ้ม ทุกเว็บไซต์ชื่นชมดีไซน์ใหม่ที่ดูเรียบง่ายของ Nest Audio เมื่อเทียบกับดีไซน์แบบเก่าของ Google Home ที่บางเว็บไซต์กล่าวว่าเหมือนเครื่องกรองอากาศ หรือเครื่องฉีกสเปรย์ปรับอากาศ ขนาดที่เล็กแม้ทำให้เสียงเบสไม่หนักแน่นแบบที่กล่าวไปข้างต้น แต่ก็กินพื้นที่น้อย ฟีเจอร์การเชื่อมต่อสองลำโพงเพื่อเล่นเสียงแบบ Stereo และการเชื่อมต่อระบบในห้องต่างๆ ในห้องทำได้อย่างสะดวก แต่ก็ยังมีข้อติบ้างจากบางเว็บไซต์ในเรื่องสวิตช์ปิดลำโพงที่หลบมุมอยู่ด้านหลัง และการควบคุมแบบสัมผัส ที่บางครั้งไม่ตอบสนอง สรุป หากใครกำลังมองหาลำโพงอัจฉริยะสักตัวในบ้าน หรืออยากอัปเกรดจาก Google Home ตัว Nest Audio มีคุณภาพเสียง ดีไซน์ และอื่นๆ ที่พัฒนาขึ้นจนแตกต่างจาก Google Home มากพอที่จะอัปเกรดแล้ว (Android Police ถึงกับพาดหัวว่า “โยน Google Home ทิ้งไปได้เลย") แม้ Nest Audio ยังสู้ Google Home Max ที่ราคาเปิดตัว 399 เหรียญ (ราว 12,500 บาท) ในด้านความดังหรือเสียงเบสไม่ได้ แต่ในระดับราคา 99 เหรียญ (ราว 3,100 บาท) ก็ถือว่าเป็นลำโพงอัจฉริยะที่คุณภาพเสียงดี ฟังก์ชั่นครบ คุ้มค่าแก่การอัปเกรด คะแนนจากเว็บไซต์ต่างๆ The Verge - 7.5 / 10 Soundguys - 8.2 / 10 CNET - 7.8 / 10 Android Police - 9.5 / 10 PC Mag 4 / 5
# [Strategy Analytics] โซนี่กับซัมซุงครองตลาดเซ็นเซอร์กล้องมือถือรวมกัน 76% ใน H1/20 Strategy Analytics ออกรายงานส่วนแบ่งตลาดเซ็นเซอร์กล้องสมาร์ทโฟนในช่วงครึ่งปีแรกของ 2020 มูลค่าราว 6.3 พันล้านเหรียญ เติบโต 15% ส่วนแบ่งตลาดนำมาโดยโซนี่ที่ครองส่วนแบ่ง 44% ตามมาด้วยซัมซุงที่ 32% ส่วนอันดับ 3 คือ OmniVision มีส่วนแบ่งห่าง ๆ ที่ 9% นักวิเคราะห์ของ Strategy Analytics บอกว่าตลาดนี้เติบโตขึ้นจากการที่สมาร์ทโฟนเพิ่มจำนวนกล้องกันมากขึ้น ขณะที่เซ็นเซอร์ความละเอียดสูงอย่าง 64MP และ 108MP ก็ได้รับความนิยมจากผู้ผลิตสมาร์ทโฟนมากขึ้น และเทรนด์นี้ก็น่าจะคงอยู่ต่อไปเหมือนเดิมในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ที่มา - Strategy Analytics
# ARM ประกาศซีพียู Cortex-A ที่จะออกปี 2022 เป็นต้นไปจะไม่รองรับ 32 บิต ARM ประกาศในงาน ARM DevSummit ว่าซีพียูตระกูล Cortex-A ที่จะออกในปี 2022 เป็นต้นไปจะรองรับชุดคำสั่ง 64 บิตเท่านั้น ARM ระบุว่าตอนนี้แอป (น่าจะหมายถึงที่รองรับสถาปัตยกรรม ARM) ราว 60% รองรับ 64 บิตเรียบร้อยแล้ว ขณะที่นักพัฒนาก็มีเวลาปรับปรุงแอป เพราะกว่าผลิตภัณฑ์จริงจะออกถึงผู้บริโภคก็น่าจะราวปี 2023 ขณะที่ Google ก็เริ่มบังคับให้แอปที่ส่งขึ้น Play Store ต้องรองรับ 64 บิตไปแล้ว แม้ตัวระบบปฏิบัติการเองจะยังคงรองรับ 32 บิตอยู่ ตรงกันข้ามกับ iOS ที่ประกาศแล้วว่าจะไม่รองรับแอป 32 บิตในปี 2022 เป็นต้นไป ที่มา - XDA
# Dell เปิดตัวมอนิเตอร์ UltraSharp U2421E มีพอร์ต Ethernet, USB-C, ราคา 450 เหรียญ Dell เปิดตัวมอนิเตอร์รุ่น UltraSharp U2421E หน้าจอ WUXGA (1920x1200 พิกเซล) รีเฟรชเรต 60Hz อัตราส่วน 16:10 มีฟิลเตอร์กันแสงสีฟ้า ComfortView Plus เน้นพอร์ตเชื่อมต่อ มีพอร์ต Ethernet และ USB-C ใช้ชาร์จโน้ตบุ๊ค ส่งผ่านอินเทอร์เน็ตและข้อมูลได้ มีฟีเจอร์ MAC address pass-through เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยส่งต่อ MAC Address เดิมไปยังอุปกรณ์ใหม่ที่มาต่อเพิ่ม และ PXE Boot ทำ Wake-on LAN สั่งเปิดผ่านเน็ตเวิร์คได้ ข้อมูลพอร์ตเชื่อมต่อมีดังนี้ HDMI หนึ่งพอร์ต DisplayPort In หนึ่งพอร์ต DisplayPort Out หนึ่งพอร์ต USB Type-C/DisplayPort หนึ่งพอร์ต USB Type-C Downstream หนึ่งพอร์ต USB 3.2 Gen1 สองพอร์ต USB 3.2 Gen1 แบบชาร์จได้ หนึ่งพอร์ต (Max 2A) Audio-out (3.5 มม.) หนึ่งพอร์ต RJ45 (LAN) หนึ่งพอร์ต Dell UltraSharp U2421E มาพร้อมขาตั้งปรับ ก้ม-เงย-เอียง ได้ และปรับความสูงได้ถึง 150 มิลลิเมตร วางจำหน่ายแล้วในสหรัฐอเมริกา ราคา 449.99 เหรียญ (ราว 14,100 บาท) ที่มา - Notebookcheck
# Google Assistant จะเพิ่ม Guest Mode ไม่บันทึกคำสั่งเสียงใดๆ เก็บไว้เลย กูเกิลประกาศว่าบริการ Google Assistant บนอุปกรณ์ภายในบ้าน (เช่น ลำโพง Nest Mini/Hub) จะรองรับ Guest Mode เพื่อไม่ให้บันทึกคำสั่งเสียงนั้นลงในบัญชีกูเกิลของเรา กูเกิลบอกว่าปัจจุบัน ผู้ใช้สามารถลบคำสั่งเสียงที่เคยพูดไว้ได้อยู่แล้ว (“Hey Google, delete the last thing I said to you”) แต่การเพิ่ม Guest Mode ก็ช่วยให้ผู้ใช้ที่ไม่ต้องการให้เก็บคำสั่งเสียงเลยแม้แต่น้อย ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น ฟีเจอร์นี้จะเปิดใช้งานในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ที่มา - Google
# Samsung รายงานผลประกอบการเบื้องต้นไตรมาส 3/2020 กำไรเพิ่มขึ้นถึง 58% ซัมซุงรายงานผลประกอบการเบื้องต้นของไตรมาสที่ 3 ปี 2020 คาดมีรายได้ราว 66 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อน 6% และมีกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 12.3 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้น 58% เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม นักวิเคราะห์จึงประเมินว่ากำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มสูง น่าจะมาจากยอดสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ซัมซุงทำตลาดมากขึ้น ทั้งนี้ซัมซุงจะรายงานตัวเลขผลการดำเนินงานแบบละเอียดแยกรายหมวดธุรกิจอีกครั้ง ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ที่มา: ซัมซุง และ CNBC
# ผู้บริหาร Xbox บอก การขึ้นราคาเกมจะไม่ใช่ประเด็นเลย ถ้ามันอยู่ใน Game Pass การขึ้นราคาเกมบนคอนโซลยุคใหม่กำลังเป็นประเด็นโดยเฉพาะเรื่องราคาที่แตกต่างจากบนพีซีหรือแม้แต่ PS4 หลังจากที่เจ้าของแพลตฟอร์มอย่างโซนี่และพับลิชเชอร์อีกหลายราย ออกมาตั้งราคาใหม่ที่แพงขึ้นราว 10 เหรียญไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่า คอนโซลใหม่ให้ประสบการณ์ที่ดีกว่า ฝังไมโครซอฟท์ที่ยังไม่มีท่าทีในเรื่องนี้ก็หนีไม่พ้นจะถูกถามด้วยว่าจะขึ้นราคาเกมอีก 10 เหรียญตามกระแสหรือไม่ โดย Aaron Greenberg ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดเกมของ Xbox ตอบคำถามนี้ในรายการ Real Deal Podcast ไม่ได้คอนเฟิร์มหรือปฏิเสธโดยตรง แต่บอกว่าการกำหนดราคาเกมเป็นเรื่องซับซ้อนและมีเงื่อนไข มีข้อยกเว้นมากมาย เช่น ไมโครซอฟท์ที่ตั้งราคา Will of the Wisps ที่ 30 เหรียญหรือ State of Decay 2 ที่ 40 เหรียญ ซึ่งถูกกว่าราคาเฉลี่ยในตลาด Aaron บอกต่อว่าแต่สิ่งที่ไมโครซอฟท์ยึดมั่นคือแนวทางที่มีแฟนเกมเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจะด้วย Smart Delivery หรือการปล่อยเกมใหม่วันแรกบน Game Pass ดังนั้นราคาของเกมจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย ถ้ามันเล่นได้ผ่าน Game Pass ("So does the price of a game even matter, if it's included in your Game Pass subscription?") ที่มา - GameIndustry.biz
# Nokia เปิดตัว Android TV รุ่นใหม่ 6 รุ่นบนเว็บ Flipkart ในอินเดีย ราคาเริ่มต้นราว 5,600 บาท หลัง Nokia เปิดตัว Android TV บนเว็บไซต์ Flipkart ของอินเดียไปเมื่อปลายปีที่แล้ว วันนี้ Nokia เปิดตัว Android TV รุ่นใหม่อีก 6 รุ่น หน้าจอแบบ MaxBrite ความสว่างสูงสุด 450 nits เริ่มวางจำหน่าย 15 ตุลาคม มีรายละเอียดดังนี้ รุ่น 32 นิ้ว ความละเอียด 1366x768 หรือ HD Ready มีโซนไมโครดิมมิ่ง หรือการแบ่งโซนหรี่แสงไฟแบคไลท์เพื่อให้ภาพดำสนิท 512 โซน contrast ratio ที่ 3,000:1 มาพร้อมซาวด์บาร์ 39W (ลำโพง "QuatroX" 24W ร่วมกับ ดอกขับเสียงแหลม (tweeter) 15W) ปรับแต่งโดย Onkyo ภายในใช้ชิปควอดคอร์ จีพียู Mali แรม 1.5GB หน่วยความจำภายใน 8GB มีพอร์ต USB สองพอร์ต พอร์ต HDMI สามพอร์ต รองรับ Wi-Fi และ Bluetooth ราคา 12,999 รูปี (ราว 5,600 บาท) รุ่น 43 นิ้ว ความละเอียด FullHD มาพร้อมชิปควอดคอร์ และจีพียู Mali และซาวด์บาร์ 39W เช่นเดียวกัน สเปกโดยรวมเหมือนกับรุ่น 32 นิ้ว ราคา 22,999 รูปี (ราว 9,800 บาท) รุ่น 43 นิ้ว ความละเอียด 4K หน้าจอรองรับ HDR10 โซนไมโครดิมมิ่ง 512 โซน contrast ratio 5,000:1 ชิปควอดคอร์ แรม 2GB หน่วยความจำภายใน 16GB พอร์ต HDMI สามพอร์ต USB สองพอร์ต มาพร้อมซาวด์บาร์ 39W เช่นเดียวกับสองรุ่นด้านบน ราคา 28,999 รูปี (ราว 12,400 บาท) รุ่น 50, 55, 65 นิ้ว ความละเอียด 4K หน้าจอรองรับ HDR10 โซนไมโครดิมมิ่ง 512 โซน ชิปควอดคอร์ แรม 2GB หน่วยความจำภายใน 16GB พอร์ต HDMI สามพอร์ต USB สองพอร์ตเช่นกัน แต่จะได้ซาวด์บาร์ 48W (ลำโพงหลัก 30W ดอกขับเสียงแหลม 18W) รองรับ Wi-Fi และ Bluetooth มีราคาดังนี้ รุ่น 50 นิ้ว 4K ราคา 33,999 รูปี (ราว 14,500 บาท) รุ่น 55 นิ้ว 4K ราคา 39,999 รูปี (ราว 17,100 บาท) รุ่น 65 นิ้ว 4K ราคา 59,999 รูปี (ราว 25,600 บาท) ที่มา - Flipkart via Gadgets 360
# ซีรีย์ Resident Evil บน Netflix จะเป็นเรื่องราวช่วง RE1 และ RE2 ต่อเนื่องจากที่ Netflix ประกาศสร้างซีรีย์ Resident Evil ฉบับคนแสดง ไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มีการประกาศแคสต์ตัวนักแสดงเรียบร้อยแล้ว ขณะที่เรื่องราวในซีรีย์นี้ จะยึดตามเนื้อเรื่องช่วง Resident Evil 1 และ Resident Evil 2 ทีมผู้สร้างเปิดเผยว่าจะซื่อตรงต่อเรื่องราวต้นฉบับของเกม Capcom โดยเนื้อเรื่องจะดำเนินใน Raccoon City และ Spencer Mansion ช่วงปี 1998 โดยถึงแม้โปรดิวเซอร์จะบอกว่าต้องการนำพาย้อนกลับไปยังเนื้อหาเกม 2 ภาคแรก แต่ด้วยความที่ Resident Evil 3: Nemesis เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ทับซ้อนกับภาค 2 ก็น่าสนใจว่าเนื้อหาในซีรีย์จะมีคาบเกี่ยวมากน้อยแค่ไหน วันกำหนดฉาย Resident Evil ยังไม่มีประกาศครับ ที่มา - Deadline
# Teracube 2e มือถือจากวัสดุรีไซเคิล แบตเปลี่ยนได้ ประกัน 4 ปี ระดมทุนบน Indiegogo Teracube 2e มือถือเน้นด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เปิดระดมทุนบน Indiegogo ถึงเป้าภายใน 4 ชั่วโมง จุดขายคือฟีเจอร์รักษ์โลกต่างๆ มาพร้อมแบตเตอรี่ 4,000 mAh ที่เปลี่ยนเองได้ วัสดุรีไซเคิล ใช้แต่น็อตไม่ใช้กาว ถอดซ่อมเอง เปลี่ยนอะไหล่เองได้ Teracube 2e มาพร้อมเคสที่ย่อยสลายได้ในธรรมชาติ (biodegradeable) กล่องที่ผลิตด้วยกระดาษรีไซเคิลและใช้หมึกจากถั่วเหลือง ไม่แถมอุปกรณ์ชาร์จ ประกัน 4 ปีเต็ม รัน stock Android 10 และผู้ผลิตจะปลูกต้นไม้ 1 ต้นต่อยอดขาย 1 เครื่อง ตัวเครื่องมีสเปกดังนี้ หน้าจอ IPS ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 720x1560 พิกเซล ชิป MediaTek Helio A25 แรม 4GB หน่วยความจำภายใน 64GB กล้องหลัก 13MP + depth sensor 8MP กล้องหน้า 8MP แบต 4,000 mAh ถอดเปลี่ยนได้ มีรูหูฟัง 3.5 มม. รัน Android 10 ไม่รองรับ 5G เครื่องอยู่ในขั้นตอน Prototype แต่ยังสามารถลงเงินสนับสนุนได้ ระดับ 99 เหรียญ (ราว 3,100 บาท) จะได้ซื้อเครื่องในราคาลด 100 เหรียญ จากราคาเต็มที่จะขายในอนาคต ถ้าลงเงิน 119 เหรียญ (ราว 3,720 บาท) หรือ 139 เหรียญ (ราว 4,342 บาท) จะได้รับเครื่อง 1 เครื่อง ถ้าลงเงิน 199 เหรียญ (ราว 6,300 บาท) ได้สองเครื่อง และ 396 เหรียญ (ราว 12,400 บาท) ได้ 4 เครื่อง กำหนดการจัดส่ง ระบุไว้เป็นช่วงเดือนธันวาคมปีนี้ ที่มา - Indiegogo
# DigitalOcean เปิดตัว App Platform บริการ PaaS สำหรับเว็บแอพ ชูจุดเด่นที่ราคาถูก ตลาดคลาวด์มีบริการกลุ่ม Platform as a Service (PaaS) ที่ผู้ให้บริการคลาวด์ช่วยจัดการระบบหลังบ้านให้เราเสร็จสรรพ (fully managed) เช่น สเกลเครื่องตามทราฟฟิก, อัพเดต OS และซอฟต์แวร์, จัดการระบบความปลอดภัย ฯลฯ ตัวอย่างของบริการประเภทนี้คือ Heroku, Google App Engine หรือ Azure App Service ล่าสุด DigitalOcean ผู้ให้บริการคลาวด์แบบเช่าเครื่อง (IaaS) ที่มีชื่อเสียงเรื่องราคาถูก หันมาบุกตลาด PaaS กับเขาบ้างในชื่อว่า DigitalOcean App Platform โดยยังคงจุดแข็งเดิมของตัวเองคือ ราคาถูกกว่าคู่แข่ง DigitalOcean บอกว่าปัญหาที่ลูกค้า PaaS บ่นมากที่สุดคือ ตอนเริ่มต้นราคาไม่แพง แต่พอสเกลใหญ่มากขึ้น ราคาจะแพงขึ้นมาก บริษัทจึงต้องการเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องนี้ การที่ Digital Ocean เป็นเจ้าของเครื่องเอง (ที่ราคาถูกอยู่แล้ว) จึงทำให้ราคาของ App Platform ถูกลงตามไปด้วย เบื้องหลังของ DigitalOcean App Platform เป็น Kubernetes ที่บริษัทเป็นฝ่ายจัดการให้ ลูกค้าไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับความซับซ้อนตรงนี้ สามารถเชื่อมซอร์สโค้ดจาก GitHub มาดีพลอยบน App Platform ได้โดยตรง (ในอนาคตจะรองรับ GitLab และ Bitbucket ด้วย) รันไทม์ที่รองรับคือ Python, Node.js, Go, PHP, Ruby, Hugo (static ที่เขียนด้วย Go) แต่ถ้าใช้รันไทม์นอกเหนือจากนี้ ก็สามารถกำหนด Dockerfile มาใน repository ได้เช่นกัน ค่าบริการเริ่มต้นที่ 5 ดอลลาร์ต่อเดือน เลือกซื้อเพิ่มได้ตามปริมาณการใช้งานและฟีเจอร์ ถ้าต้องการสร้างเว็บแบบ static ก็มีรุ่นที่เปิดใช้งานฟรีด้วย ที่มา - DigitalOcean
# เมลไปไม่อ่าน กูเกิลจะเตือนผู้ใช้หากบัญชีโดนแฮ็ก ผ่านแอพใดๆ ในเครือกูเกิลที่เปิดใช้อยู่ กูเกิลประกาศเพิ่มวิธีแจ้งเตือนปัญหาความปลอดภัยของ Google Account ใหม่ จากเดิมที่เตือนทางอีเมล (ที่คนไม่อ่าน) หรือทางระบบแจ้งเตือนบนมือถือ (ที่คนก็อาจจะไม่อ่าน) มาเป็นการแสดงข้อความเตือนในแอพของกูเกิล ที่ผู้ใช้เปิดใช้งานอยู่ในตอนนั้น ตัวอย่างที่กูเกิลนำมาโชว์คือ ผู้ใช้อ่านเมลใน Gmail อยู่ หากบัญชีมีปัญหาความปลอดภัยขึ้นมา เช่น มีคนล็อกอินบัญชีของเราจากที่อื่น กูเกิลจะแสดงไอคอนตกใจสีแดงที่มุมขวาบนของหน้าจอ เมื่อกดแล้วจะเห็นรายละเอียดว่าแจ้งเตือนอะไรบ้าง กูเกิลบอกว่าจะเริ่มแจ้งเตือนผ่านวิธีนี้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และเริ่มขยายในวงกว้างช่วงต้นปีหน้า ที่มา - Google