title
stringlengths 1
182
| text
stringlengths 1
45.8M
| source
stringclasses 5
values | __index_level_0__
int64 0
197k
|
---|---|---|---|
17 ก.พ.
|
redirect 17 กุมภาพันธ์
|
thaiwikipedia
| 1,102 |
18 ก.พ.
|
redirect 18 กุมภาพันธ์
|
thaiwikipedia
| 1,103 |
19 ก.พ.
|
redirect 19 กุมภาพันธ์
|
thaiwikipedia
| 1,104 |
ภาวะคู่หรือคี่ (คณิตศาสตร์)
|
ในทางคณิตศาสตร์ จำนวนเต็มใด ๆ จะเป็นจำนวนคู่หรือจำนวนคี่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าจำนวนนั้นเป็นพหุคูณของ 2 มันจะเป็นจำนวนคู่ มิฉะนั้น มันจะเป็นจำนวนคี่
ตัวอย่างของจำนวนคู่ เช่น -4, 8, 0 และ 70
ตัวอย่างของจำนวนคี่ เช่น -5, 1 และ 71
เลข 0 เป็นจำนวนคู่ เพราะ 0 = 0 × 2
เซตของจำนวนคู่สามารถเขียนได้ดังนี้
จำนวนคู่ = 2Z = {..., −6, −4, −2, 0, 2, 4, 6, ...}
เซตของจำนวนคี่สามารถเขียนได้ดังนี้
จำนวนคี่ = 2Z + 1 = {..., −5, −3, −1, 1, 3, 5, ...}
สำหรับในระบบเลขฐานสิบ เราสามารถตรวจสอบว่าเป็นจำนวนคี่หรือคู่ได้โดยดูจากเลขหลักหน่วย กล่าวคือ ถ้าเลขหลักหน่วยเป็น 1,3,5,7 หรือ 9 แล้วจำนวนนั้นเป็นจำนวนคี่ มิฉะนั้น มันจะเป็นจำนวนคู่ และวิธีนี้ยังใช้ได้กับระบบเลขฐานที่ฐานเป็นจำนวนคู่อีกด้วย เช่น ระบบเลขฐานสอง ถ้าเลขหลักหน่วยเป็น 1 แล้วจำนวนนั้นเป็นจำนวนคี่ แต่ถ้าเป็น 0 มันจะเป็นจำนวนคู่ สำหรับระบบเลขฐานที่ฐานเป็นจำนวนคี่ จำนวนหนึ่ง ๆ จะเป็นจำนวนคู่หรือจำนวนคี่นั้น ขึ้นอยู่กับผลบวกของเลขโดด
จำนวนหนึ่งจะเป็นจำนวนคู่ถ้าสมภาคกับ 0 ในมอดุโล 2 และเป็นจำนวนคี่ถ้าสมภาคกับ 1 ในมอดุโล 2
จำนวนเฉพาะทุกจำนวนเป็นจำนวนคี่ ยกเว้นจำนวนเฉพาะ 2 ที่เป็นจำนวนคู่ จำนวนสมบูรณ์ (Perfect number) ที่เคยค้นพบทุกจำนวนเป็นจำนวนคู่ และยังไม่มีใครรู้ว่า มีจำนวนสมบูรณ์ที่เป็นจำนวนคี่หรือไม่
ข้อความคาดการณ์ของโกลด์บาช (Goldbach's conjecture) กล่าวว่าจำนวนเต็มทุกจำนวนที่มากกว่า 2 สามารถเขียนได้ในรูปของผลบวกของจำนวนเฉพาะสองจำนวน เช่น 5 = 2+3 มีการใช้คอมพิวเตอร์คำนวณว่าข้อคาดเดานี้จะเป็นจริงจนถึงอย่างน้อย 4 × 10^{18} แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้
== ภาวะคู่หรือคี่ของวัตถุอื่น ==
ภาวะคู่หรือคี่ยังสามารถบ่งบอกสถานะของวัตถุอย่างอื่นนอกจากจำนวนเต็มได้อีกด้วย
ในสาขาพีชคณิตนามธรรม ภาวะคู่หรือคี่ของการเรียงสับเปลี่ยนเป็นภาวะคู่หรือคี่ของจำนวนของคู่สลับ ซึ่งสามารถนำไปใช้ระบุภาวะคู่หรือคี่ของลูกบาศก์ของรูบิค บิชอปในเกมหมากรุก หรือปริศนาอื่น ๆ ได้
== ดูเพิ่ม ==
ภาวะคู่หรือคี่ของ 0
เลขคณิตมูลฐาน
มโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์
|
thaiwikipedia
| 1,105 |
ทางหลวง
|
ทางหลวง คือ ถนนหรือเส้นทางซึ่งจัดไว้เพื่อประโยชน์ในการจราจรสาธารณะทางบก ไม่ว่าในระดับพื้นดิน ใต้หรือเหนือพื้นดิน หรือใต้หรือเหนืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นนอกจากทางรถไฟ ระบบทางหลวงของสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า อินเตอร์สเตต เป็นระบบทางหลวงที่มียาวรวมทั้งหมดมากที่สุดในโลกโดยมีความยาวทั้งสิ้น 75,376 กม.(2004) ทางหลวงบางเส้นจะเชื่อมต่อระหว่างประเทศเช่น ยูโรเปียนรูท และถนนบางเส้นจะเชื่อมระหว่างเมืองหลวงของรัฐทั้งหมดในประเทศ เช่นใน ออสเตรเลียไฮเวย์ 1 ซึ่งเชื่อมตัวเมืองหลวงของรัฐทั้งหมดรอบประเทศออสเตรเลีย ถนนหลวงที่ยาวที่สุดในโลกคือ ทรานซ์-แคนาดาไฮเวย์ ซึ่งเริ่มจากเมือง วิกตอเรีย ในรัฐบริติชโคลัมเบีย ของฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ผ่าน 10 รัฐจนถึงเมืองเซนต์จอห์นในรัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ทางฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก
ทางหลวง ตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 (แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2549) หมายความว่า ทางหรือถนนซึ่งจัดไว้เพื่อประโยชน์ในการจราจรสาธารณะทางบก ไม่ว่าในระดับพื้นดิน ใต้หรือเหนือพื้นดิน หรือใต้หรือเหนืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น นอกจากทางรถไฟ และหมายความรวมถึงที่ดิน พืช พันธุ์ไม้ทุกชนิด สะพาน ท่อหรือรางระบายน้ำ อุโมงค์ ร่องน้ำ กำแพงกันดิน เขื่อน รั้ว หลักสำรวจ หลักเขต หลักระยะป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร เครื่องหมายสัญญาณ เครื่องสัญญาณไฟฟ้า เครื่องแสดงสัญญาณที่จอดรถ ที่พักคนโดยสาร ที่พักริมทาง เรือหรือพาหนะสำหรับขนส่งข้ามฟาก ท่าเรือสำหรับขึ้นหรือลงรถ และอาคารหรือสิ่งอื่นอันเป็นอุปกรณ์งานทางบรรดาที่มีอยู่หรือที่ได้จัดไว้ในเขตทางหลวงเพื่อประโยชน์แก่งานทางหรือผู้ใช้ทางหลวงนั้นด้วย
การออกแบบทางหลวงจะมีการออกแบบที่แตกต่างกันขึ้นไปขึ้นอยู่กับลักษณะถนน ความกว้างถนน และสภาพการสัญจร ทางหลวงสามารถมีได้ทั้งในลักษณะถนนสองเลน ถนนมีหรือไม่มีไหล่ทาง และผิวถนนของถนนเส้นเดียวกันที่ตำแหน่งต่างกัน จะมีลักษณะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่เป็นผู้ควบคุมถนนเส้นนั้น
ทางหลวงในประเทศไทยได้รับการควบคุมโดยกรมทางหลวง โดยมีทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 หรือถนนเพชรเกษม เป็นถนนที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เริ่มจากกรุงเทพมหานครถึงด่านพรมแดนจังโหลน อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ระยะทางรวมทั้งสิ้น 1,274 กิโลเมตร
== ประวัติ ==
เริ่มแรกมนุษย์ใช้ทางเท้า (traces) เดินไปมาหากัน ต่อมาเมื่อรู้จักใช้สัตว์เป็นพาหนะ จึงเปลี่ยนโดยใช้สัตว์ในการขับล้อเลื่อน เริ่มใช้ทางเกวียน ทางสร้างด้วยหินครั้งแรกเมื่อก่อนคริสต์ศักราช 3500 พบใน เมโสโปเตเมีย ซึ่งสร้างด้วยหิน สมัยโรมันรุ่งเรืองชาวโรมันได้สร้างติดต่อระหว่างอาณาจักรต่างๆ ต่อมาเมื่อศตวรรษที่ 18 Tresaquet ชาวฝรั่งเศสได้เริ่มสร้างถนนให้ดีขึ้น โดยใช้หินมาถมเป็นชั้น ๆทำให้ถนนรับน้ำหนักและมีความทนทานมากขึ้น หลังจากนั้น John Macadam ชาวอังกฤษได้นำหินมาเรียงกันเป็นผิวทาง และให้รถม้าวิ่งบดทับให้แน่น ทางลักษณะนี้จึงให้ชื่อว่า Macadam ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ ในสหรัฐอเมริกาการก่อสร้างทางเริ่มจากการปรับปรุงทางเก่าและเก็บค่าผ่านทาง (Turn Pike) ซึ่งอาจจะลงทุนโดยรัฐบาลหรือเอกชน ทางสายแรกสร้างระหว่างฟิลาเดเฟีย และเวอร์จิเนีย ต่อมาการสร้างทางหลวงถูกพัฒนามาเรื่อยๆ เช่น การนำแอสฟัลท์มาใช้ประกอบกับหินหรือมวลรวม ใช้ในลักษณะของ Mixed Inplace and Asphaltic Concrete หรือ ผิวทางคอนกรีตเสริมเหล็กปัจจุบัน และ Prestress Concrete ถูกนำมาใช้กับทางหลวง
== สถิติ ==
ทางหลวงนานาชาติที่ยาวที่สุด - ทางหลวงแพน-อเมริกัน ในทวีปอเมริกา (25,000 กม.)
ทางหลวงที่ยาวที่สุด (จุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง) - ทางหลวงทรานส์-แคนาดา (7,821 กม.) ในประเทศแคนาดา
ทางหลวงที่ยาวที่สุด (รอบวง) - ทางหลวงหมายเลข 1 ในประเทศออสเตรเลีย (20,000 กม.)
ระบบทางหลวงประเทศที่ใหญ่ที่สุด - สหรัฐอเมริกา (รวมทั้งหมด 6,340,366 กม.)
== ดูเพิ่ม ==
=== ทั่วไป ===
โครงสร้างพื้นฐาน
ถนน
ถนนที่เก็บค่าผ่านทาง
ถนนเลี่ยงเมือง
ถนนวงแหวน
ทางคู่
ทางด่วน
ทางแยก
ทางแยกต่างระดับ
=== แบ่งตามประเทศ ===
ทางด่วนในประเทศจีน
ทางด่วนในประเทศญี่ปุ่น
ทางด่วนในประเทศมาเลเซีย
ทางหลวงในประเทศไทย
ทางหลวงแห่งชาติ และทางด่วน
ระบบทางหลวงในไต้หวัน
อินเตอร์สเตต
เอาโทบาน
== อ้างอิง ==
โครงสร้างพื้นฐานทางถนน
ประเภทถนน
|
thaiwikipedia
| 1,106 |
จำนวนเต็ม
|
จำนวนเต็ม (Integer, Ganze Zahl, nombre entier) คือจำนวนที่สามารถเขียนได้โดยปราศจากองค์ประกอบทางเศษส่วนหรือทศนิยม ตัวอย่างเช่น 21, 4, −2048 เหล่านี้คือจำนวนเต็ม แต่ 9.75, 5, √2 เหล่านี้ไม่ใช่จำนวนเต็ม เศษของจำนวนเต็มเป็นเศษย่อยของจำนวนจริง และประกอบด้วยจำนวนธรรมชาติ (1, 2, 3, ...) ศูนย์ (0) และตัวผกผันการบวกของจำนวนธรรมชาติ (−1, −2, −3, ...)
เซตของจำนวนเต็มทั้งหมดมักแสดงด้วย Z ตัวหนา (หรือ \mathbb{Z} ตัวหนาบนกระดานดำ, U+2124) มาจากคำในภาษาเยอรมันว่า Zahlen แปลว่าจำนวน
จำนวนเต็ม (พร้อมด้วยการดำเนินการการบวก) ก่อร่างเป็นกรุปเล็กที่สุดอันประกอบด้วยโมนอยด์เชิงการบวกของจำนวนธรรมชาติ จำนวนเต็มก่อให้เกิดเซตอนันต์นับได้เช่นเดียวกับจำนวนธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ในทฤษฎีจำนวนเชิงพีชคณิตทำให้เข้าใจได้โดยสามัญว่า จำนวนเต็มซึ่งฝังตัวอยู่ในฟีลด์ของจำนวนตรรกยะ หมายถึง จำนวนเต็มตรรกยะ เพื่อแยกแยะออกจากจำนวนเต็มเชิงพีชคณิตที่ได้นิยามไว้กว้างกว่าจำนวนเต็มเป็นจำนวนนับ
== สมบัติทางพีชคณิต ==
Z เป็นเซตปิดสำหรับการดำเนินการการบวกและการคูณ เช่นเดียวกับจำนวนธรรมชาติ นั่นคือ ผลบวกและผลคูณของจำนวนเต็มสองจำนวนใด ๆ เป็นจำนวนเต็ม แต่ Z ยังเป็นเซตปิด เมื่อรวมจำนวนธรรมชาติลบและ 0 ด้วย แต่ Z ไม่เป็นเซตปิดสำหรับการหาร เนื่องจากผลหารของจำนวนเต็มสองจำนวน (เช่น 1 หารด้วย 2) ไม่จำเป็นต้องเป็นจำนวนเต็ม จำนวนเต็มไม่เปิดเซตปิดภายใต้การยกกำลัง ซึ่งต่างจากจำนวนธรรมชาติ (เพราะเมื่อยกกำลังด้วยเลขชี้กำลังเป็นบวกจะได้เศษส่วน)
ตารางด้านล่างแสดงสมบัติพื้นฐานของการบวกและการคูณของจำนวนเต็ม a, b และ c ใด ๆ
{|class="wikitable"
|+ สมบัติการบวกและการคูณจำนวนเต็ม
|
!scope="col" |การบวก
!scope="col" |การคูณ
|-
!scope="row" |การปิด:
|เป็นจำนวนเต็ม
|เป็นจำนวนเต็ม
|-
!scope="row"|การเปลี่ยนหมู่:
|
|
|-
!scope="row" |การสลับที่:
|
|
|-
!scope="row" |การมีสมาชิกเอกลักษณ์:
|
|a * 1 = a
|-
!scope="row" |การมีตัวผกผัน:
|
|
|-
!scope="row" |การแจกแจง:
|colspan=2 align=center |และ
|-
!scope="row" |ไม่มีตัวหารของศูนย์: (*)
| || | ถ้า แล้ว หรือ (หรือทั้งคู่)
|}
ตามศัพท์ของพีชคณิตนามธรรม คุณสมบัติห้าข้อแรกข้างบนสามารถบอกได้ว่าเซต Z กับการบวกเป็น อบิเลียนกรุป
== สมบัติการเรียงลำดับ ==
Z เป็น เซตเรียงลำดับที่ไม่มีขอบเขตบนหรือขอบเขตล่าง. การเรียงลำดับของ Z อยู่ในรูป
... bc.
== จำนวนเต็มในการคำนวณ ==
จำนวนเต็มมักเป็นชนิดข้อมูลพื้นฐานในภาษาโปรแกรม แต่จำนวนเต็มในภาษาโปรแกรมมีความจุจำกัด และมักมีจำนวนบิตที่ตายตัว ทำให้สามารถเก็บค่าได้แค่บางส่วนจากจำนวนเต็มทั้งหมดทางคณิตศาสตร์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง แบบจำลองทางทฤษฎีทางคำนวณ เช่น เครื่องจักรทัวริง สมมุติให้เครื่องคำนวณมีความจุไม่มีที่สิ้นสุด
(a+)-b
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
The Positive Integers - divisor tables and numeral representation tools
ทฤษฎีกรุป
จำนวน
ทฤษฎีจำนวน
ทฤษฎีเซต
คณิตศาสตร์มูลฐาน
จำนวนเต็ม
|
thaiwikipedia
| 1,107 |
25 มีนาคม
|
วันที่ 25 มีนาคม เป็นวันที่ 84 ของปี (วันที่ 85 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 281 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2434 (ค.ศ. 1891) - ประกาศตั้งกระทรวงยุติธรรม
พ.ศ. 2197 (ค.ศ. 1655) - คริสตียาน เฮยเคินส์ ค้นพบไททัน ดวงจันทร์บริวารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์
พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) - เยอรมนีตะวันตก เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก อิตาลี ฝรั่งเศส และเบลเยียม ลงนามในสนธิสัญญาแห่งโรม เพื่อก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป
พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - วันก่อตั้งขบวนการประชาชนมาเลเซีย
พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - วอร์ด คันนิงแฮม สร้างวิกิแห่งแรก
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2419 (ค.ศ. 1876) - หม่อมเจ้าอุปพัทธพงศ์ ศรีธวัช (สิ้นชีพิตักษัย 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2475)
พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1881) - เบลา บาร์ต็อก คีตกวีและนักเปียโนชาวฮังการี (ถึงแก่กรรม 26 กันยายน พ.ศ. 2488)
พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1908) - เดวิด ลีน ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอังกฤษ (ถึงแก่กรรม 16 เมษายน พ.ศ. 2534)
พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1928) - จิม โลเวลล์ นักบินอวกาศชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2478 (ค.ศ. 1936) - แฟลซ อีลอสเด้ แชมป์โลกมวยสากลชาวฟิลิปปินส์ (ถึงแก่กรรม 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528)
พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) - เซอร์เอลตัน จอห์น นักร้อง คีตกวี และนักเปียโนชายชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) - วสันต์ โชติกุล นักร้องชาวไทย
พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) - ซาราห์ เจสสิกา พาร์กเกอร์ นักแสดงและโปรดิวเซอร์ชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) -
* ฮุมเบอร์โต กอนซาเลซ นักมวยชาวเม็กซิกัน
* ชนะ ป.เปาอินทร์ และ สงคราม ป.เปาอินทร์ แชมป์โลกมวยสากลชาวไทยคนที่ 18 และแชมป์เฉพาะกาล ตามลำดับ
พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) - ปีเตอร์ ชินโกดะ นักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ชาวแคนาดา
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - ลี เพซ นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - แคธรีน แม็คฟี นักร้องชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) -
* กาญจน์คนึง เนตรศรีทอง นักร้อง นักแสดงชาวไทย
* บิกฌอน แร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน
* เอ็มอร พานุสิทธิ์ นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย
พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) -
* สกอตต์ ซินแคลร์ นักฟุตบอลชาวอังกฤษ
* อากีนัลดู ปูลีการ์ปู เม็งดึช ดา ไวกา นักฟุตบอลชาวแองโกลา
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - ณฉัตร จันทพันธ์ นักร้อง พิธีกร และนักแสดงชายชาวไทย
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - กมลาสน์ ดีประเสริฐ นักการเมืองชาวไทย
พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - แซม จอห์นสโตน นักฟุตบอลชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - การ์ลูส วินิซิยุส นักฟุตบอลชาวบราซิล
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - เอียน ดิออร์ แร็พเปอร์ นักร้องและนักแต่งเพลงชาวเปอร์โตริกัน
พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) -
* เจดอน แซนโช นักฟุตบอลชาวอังกฤษ
* สรัลชนา อภิสมัยมงคล นักแสดงชาวไทย
* โอซัน คาบัค นักฟุตบอลชาวตุรกี
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 2441 (ค.ศ. 1898) - กรมหมื่นปราบปรปักษ์ อดีตผู้บัญชาการกรมทหารเรือ (ประสูติ 3 กันยายน พ.ศ. 2386)
พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1918) - โคล้ด เดบุซซี่ คีตกวีชาวฝรั่งเศส (เกิด 22 สิงหาคม พ.ศ. 2405)
พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) - พระยาชลยุทธโยธินทร์ (อองเดร ดู เปลซี เดอ ริเชอลิเออ) อดีตผู้บัญชาการทหารเรือกองทัพเรือสยาม (เกิด 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2395)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
ศาสนาคริสต์ - วันสมโภชแม่พระรับสารเรื่องพระวจนะทรงรับเป็นมนุษย์
กรีซ - วันประกาศเอกราช (พ.ศ. 2363)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
NY Times: On This Day
Today in History: March 25
มีนาคม 25
มีนาคม
|
thaiwikipedia
| 1,108 |
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
|
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Stock Exchange of Thailand, SET) เป็นตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดทำการซื้อขายขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 ทำหน้าที่เป็นตลาดรองเพื่อแลกเปลี่ยนซื้อขายตราสารทุน ของบริษัทต่าง ๆ ที่ขึ้นทะเบียนไว้ และ เพื่อให้สามารถระดมเงินทุนเพิ่มเติมจากสาธารณะได้โดยสะดวก ปัจจุบันการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
== ประวัติ ==
ก่อนที่จะมีการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ขึ้นมานั้น ประเทศไทยได้มีการจัดตั้ง"บริษัทลงทุน"ในปี พ.ศ. 2503 โดยกลุ่มเอกชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศได้จัดตั้งสถาบันการเงินประเภทบริษัทจัดการลงทุน (Investment Management Company) ขึ้นดำเนินการในลักษณะกองทุนรวม (Mutual Fund) โดยให้ใช้ชื่อว่า กองทุนรวมไทย (Thai Investment Fund) หรือ TIF ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2505 กลุ่มอุตสาหกิจไทยเอกชนได้ร่วมกันจัดตั้งกิจการดำเนินงานในลักษณะสถานปริวรรตหุ้นที่เรียกว่าตลาดหลักทรัพย์โดยใช้ชื่อว่า บริษัท ตลาดหุ้นกรุงเทพ จำกัด (Bangkok Stock Exchange)
ตลาดหุ้นกรุงเทพดังกล่าวใช้เป็นสถานที่ซึ่งสมาชิกชุมนุมเพื่อแลกเปลี่ยนซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหุ้นที่มีอยู่ขณะนั้นไม่ได้ทำหน้าที่ตลาดหุ้นอย่างแท้จริง คือ การซื้อขายหุ้นที่สมาชิกกระทำให้ลูกค้านั้นมิได้กระทำในตลาดหุ้น แต่จะกระทำที่สำนักงานของสมาชิกแต่ละคน นอกจากนี้การบริหารตลาดหุ้นก็ยังไม่มีประสิทธิภาพดีพอ อุปสรรคที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ คือ บริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ มีทุนในปริมาณจำกัดทำให้ไม่สามารถขยายธุรกิจในด้านนี้ได้อย่างกว้างขวางเพียงพอและไม่คึกคักเท่าที่ควร ถึงแม้ว่าจะมีพื้นฐานในการจัดตั้งที่ดีการซื้อขายในตลาดหุ้นกรุงเทพ ก็ไม่ได้รับความสนใจมากนักมูลค่าการซื้อขายมีเพียง 160 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2511 และ 114 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2512 การซื้อขายมีปริมาณลดลงเป็น 46 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2513 และลดลงเหลือ 28 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2514 การซื้อขายหุ้นกู้มีมูลค่าถึง 87 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2515 แต่การซื้อขายหุ้นก็ยังไม่เป็นที่สนใจ โดยมูลค่าการซื้อขายหุ้นที่ต่ำที่สุดมีเพียง 26 ล้านบาทเท่านั้น และ ในที่สุดตลาดหุ้นกรุงเทพก็ต้องปิดกิจการลง เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าตลาดหุ้นกรุงเทพไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ ประกอบกับประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอ ในเรื่องตลาดทุน การพัฒนาบริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทยส่วนใหญ่จึงเกิดจากเงินทุนของเจ้าของกิจการเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามีเงินไม่เพียงพอก็กู้ยืมจากสถาบันการเงินที่มีอยู่ในขณะนั้น
ในปี พ.ศ. 2510 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เชิญศาสตราจารย์ซิดนีย์ เอ็ม. รอบบินส์ (Sydney M.Robbins) ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตลาดทุน และเป็นศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการเงิน จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เข้ามาช่วยศึกษาโครงสร้างตลาดเงินและตลาดทุนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2513 ก็ได้เสนอรายงานต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ในเอกสารชื่อ"A Capital Market in Thailand" หรือ "ตลาดทุนในประเทศไทย" รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นถึงปริมาณหลักทรัพย์และผู้สนใจซื้อขายหลักทรัพย์ในขณะนั้นว่ามีอยู่จำนวนมาก รวมทั้งมีปัญหากฎหมายและอื่น ๆ อีกหลายประการ และได้เสนอแนะหลักการและแนวทางเพื่อการแก้ไขปัญหาตลาดทุนของประเทศไทยไว้
ในปี พ.ศ. 2515 รัฐบาลได้เข้ามามีบทบาทโดยการแก้ไข "ประกาศคณะปฏิวัติที่ 58 เกี่ยวกับการควบคุมธุรกิจ การค้า ที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของประชาชน" การแก้ไขดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลสามารถกำกับดูแล การดำเนินงานของบริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ ซึ่งทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีระเบียบและยุติธรรม
ผลจากข้อเสนอแนะของศาสตราจารย์ซิดนีย์ เอ็ม. รอบบินส์ ทางคณะกรรมการมีความเห็นว่าควรรวมการซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศไทยให้อยู่ที่เดียวกัน และควรเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เห็นวีธีการประมูลซื้อขายด้วย ในที่สุดกระทรวงการคลังได้พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการจัดตั้งตลาดหุ้น และได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดให้มีแหล่งกลางสำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์ เพื่อส่งเสริมการออมทรัพย์และการระดมทุนในประเทศ ตามมาด้วยการแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับรายได้เพื่อให้สามารถนำเงินออมมาลงทุนในตลาดทุนได้ เมื่อได้เตรียมการต่าง ๆ แล้วจึงได้เปิดทำการซื้อขายครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 และทำพิธีเปิดตลาดหลักทรัพย์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลัง และได้ทำการเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษเป็นจากเดิม "Securities Exchange of Thailand" มาเป็น "Stock Exchange of Thailand" (SET) เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2534
== ที่ทำการและห้องค้า ==
นับแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เคยมีที่ทำการมาแล้วสี่แห่ง โดยแห่งแรกตั้งอยู่ที่ห้อง 412 ชั้น 4 อาคารศูนย์การค้าสยาม เลขที่ 965 ถนนพระรามที่ 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร นับแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2518 จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ตลท.ย้ายที่ทำการเป็นครั้งแรก ไปยังอาคารสินธร เลขที่ 130-132 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน ต่อมาตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2541 ตลท.ย้ายที่ทำการ มายังอาคารเลขที่ 62 ถนนรัชดาภิเษก แขวงคลองตัน เขตคลองเตย ซึ่งเป็นตึกอาคารของ ตลท.เอง แต่เช่าที่ดินกรรมสิทธิ์จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559 ตลท.ได้ย้ายที่ทำการไปยังตึกแห่งใหม่ มีรั้วกำแพงติดกับบริเวณของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการศูนย์ธุรกิจตลาดทุน โดยในบริเวณใกล้เคียงกันยังมีอาคารเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานขนาดใหญ่อีกด้วย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารสำนักงานแห่งใหม่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และพิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุนแห่งแรกในประเทศไทย ในวันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 14.00 น.
อนึ่ง สำหรับห้องค้า ซึ่งจะมีกระดานไฟฟ้าแสดงรายการหุ้นขนาดใหญ่ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลสำหรับตรวจสอบข้อมูลราคาหุ้น รวมไปถึงตัววิ่งข้อมูลราคาซื้อขายตลาดหุ้นผ่านสื่อโทรทัศน์บางแห่ง มิได้เป็นส่วนหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่อย่างใด หากแต่บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ มักดำเนินการจัดสร้างขึ้น ภายในสำนักงานของตนเอง โดยส่วนมากจะตั้งอยู่ภายในอาคารสินธร ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าใช้สำรวจราคาหุ้นได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ บล.แต่ละแห่งกำหนดไว้
== การดำเนินงานหลัก ==
=== การรับหลักทรัพย์จดทะเบียน ===
บริษัทจดทะเบียนประกอบด้วยบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดเอ็ม เอ ไอ
* บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET)
* บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
หลักทรัพย์จดทะเบียน
* หุ้นสามัญ (Common Stocks)
*ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหลักทรัพย์หรือวอแรนท์ (Warrant)
*หน่วยลงทุน (Unit Trusts)
*กองทุนรวม ETF (Exchange Traded Fund)
*หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stocks)
*ใบสำคัญแสดงสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ (Tranferable Subscription Right:TSR)
* ใบสำคัญแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (NVDR)
* ใบสำคัญแสดงสิทธิที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง (Depositary Receipt:DR)
* ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์หรือวอแรนท์อนุพันธ์ (Derivative Warrants:DW)
* หุ้นกู้ (Debentures)
* พันธบัตร (Bond)
=== การให้บริการระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ ===
ระบบซื้อขายหลักทรัพย์
ตลาดหลักทรัพย์ฯได้พัฒนาระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยคอมพิวเตอร์ [Automated System For the Stock Exchange of Thailand:ASSET] (31 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 ถึง 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555) (ปัจจุบันตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา ตลท.ได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบซื้อขาย เป็น SET CONNECT) เพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายหลักทรัพย์ให้แก่บริษัทสมาชิกและผู้ลงทุน โดยคำสั่งชื้อขายหลักทรัยพ์ที่ส่งเข้ามาจากบริษัทสมาชิก ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์จะทำการจับคู่คำสั่งซี้อขายโดยอัตโนมัติ (Automatic Order Matching:AOM) ซึ่งจะเป็นไปตามเกณฑ์การจัดลำดับของราคาและเวลา โดยคำสั่งซื้อขายที่มีลำดับราคาและเวลาที่ดีที่สุดจะถูกจับคู่ซื้อขายก่อนหลังจากที่มีการจับคู่คำสั่งซื้อขายแล้ว ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์จะยืนยันรายการซื้อขายดังกล่าวกลับไปยังบริษัทสมาชิก เพื่อให้ทราบผลในทันที รวมทั้งจัดให้มีระบบสำรองกรณีระบบเกิดขัดข้อง
นอกจากนี้ยังมีการซื้อขายรองที่เรียกว่า Put-through (PT) ซึ่งเป็นการที่บริษัทสมาชิกผู้ซื้อและบริษัทสมาชิกผู้ขายได้เจรจาตกลงการซื้อขายกันก่อนแล้ว จึงให้บริษัทสมาชิกผู้ขายเป็นผู้บันทึกรายการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขายหลักทรัพย์และให้บริษัทสมาชิกผู้ซื้อเป็นผู้รับรองรายการซื้อขายดังกล่าว
*AOM : วิธีการซื้อขายแบบจับคู่คำสั่งอัตโนมัติ เป็นวิธีการซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายส่งคำสั่งซื้อขายผ่านคอมพิวเตอร์เข้ามายังระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยระบบคอมพิวเตอร์ของตลาดหลักทรัพย์ฯจะเรียงลำดับและจับคู่คำสั่งซื้อขายโดยอัตโนมัติด้วยหลักการราคาและเวลาที่ดีที่สุดซึ่งหมายความว่าคำสั่งซื้อที่มีราคาสูงที่สุดและคำสั่งราคาขายที่ราคาต่ำที่สุดจะถูกจัดคู่ซื้อขายก่อน
* PT : เป็นวิธีซื้อขายแบบมีการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเป็นวิธีการซื้อขายที่บริษัทหลักทรัพย์ผู้ซื้อและผู้ขายทำความตกลงซื้อขายหุ้นกันเอง เมื่อตกลงซื้อขายกันได้แล้วก็จะบันทึกรายละเอียดของรายการซื้อขายดังกล่าวผ่านระบบการซื้อขายเพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์ฯทราบ ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯอนุญาตให้ใช้การซื้อขายแบบ PT สำหรับการซื้อขายรายใหญ่ (Big Lot Trading) หรือเป็นการซื้อขายหุ้นที่มีชาวต่างชาติเป็นเจ้าของ
สัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย
* NP (Notice Pending) :เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าบริษัทจดทะเบียนนั้นยังไม่ได้ส่งงบการเงินหรือรายงานให้ตลาดหลักทรัพย์ฯตามระยะเวลาที่กำหนด หรือตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างรอคำชี้แจงหรือรายงานเพิ่มเติมจากบริษัทจดทะเบียน
* NR (Notice Received) :เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าตลาดหลักทรัพย์ฯได้รับการชี้แจงข้อมูลหรือรายงานจากบริษัทจดทะเบียนที่ขึ้นเครื่องหมาย NP แล้ว และจะขึ้นเครื่องหมาย NR เป็นเวลา 1 วัน
* H (Trading Halt) :เป็นเครื่องหมายแสดงการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนนั้นเป็นการชั่วคราว โดยแต่ละครั้งมีระยะเวลาไม่เกินหนึ่งรอบการซื้อขาย
* SP (Trading Suspension) :เป็นเครื่องหมายแสดงการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนนั้นเป็นการชั่วคราว โดยแต่ละครั้งมีระยะเวลาเกินกว่าหนึ่งรอบการซื้อขาย
* XD (Excluding Dividend) :เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่า ณ วันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผลที่บริษัทประกาศจ่ายในงวดนั้น หากผู้ลงทุนต้องการจะได้สิทธิในเงินปันผลดังกล่าว จะต้องซื้อหุ้นนั้นก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD
* XR (Excluding Right) :เป็นเครื่องหมายแสดงว่า ณ วันที่ขึ้นเครื่องหมาย XR ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวไม่มีสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญจากการเพิ่มทุนในครั้งนั้นของบริษัท หากผู้ลงทุนต้องการได้สิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน จะต้องซื้อหุ้นนั้นก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XR
* XW (Excluding Warrant) :เป็นเครื่องหมายแสดงว่า ณ วันที่ขึ้นเครื่องหมาย XW ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวไม่มีสิทธิในการได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหลักทรัพย์หรือวอแรนท์
* XA (Excluding All) :เป็นเครื่องหมายแสดงว่า ณ วันที่ขึ้นเครื่องหมาย XA ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวไม่มีสิทธิได้รับทั้งเงินปันผล ดอกเบี้ย และ สิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่บริษัทได้ประกาศจ่ายและจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นในครั้งนั้น ๆ เครื่องหมายนี้จึงเหมือนกับเป็นเครื่องหมาย XD รวมกับ XR หรือ XW รวมกับ XR
กระดานการซื้อขายหลักทรัพย์หน่วยการซื้อขายและช่วงราคา
* กระดานหลัก (Main Board)
* กระดานหน่วยย่อย (Odd Board)
* กระดานพิเศษ (Special Board)
* กระดานรายใหญ่ (Big Lot Board)
* กระดานต่างประเทศ (Foreign Board)
ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดจำนวนหุ้นที่จะทำการซื้อขายบนกระดานหลัก เป็นหน่วยการซื้อขาย (Board Lot) โดยทั่วไป 1 หน่วยการซื้อขายจะเท่ากับ 100 หุ้น เท่ากันทุกหลักทรัพย์เช่นการซื้อขายหลักทรัพย์ ABC จำนวน 10 หน่วยการซื้อขายจะเท่ากับ 1,000 หุ้น ยกเว้นหลักทรัพย์มีราคาปิดตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปเป็นระยะเวลา 6 เดือนติดต่อกันจะกำหนดให้ 1 หน่วยการซื้อขายเท่ากับ 50 หุ้น ในกรณีที่ผู้ลงทุนต้องการซื้อขายหุ้นเป็นเศษของหน่วยการซื้อขาย เช่น 15 หุ้น, 77 หุ้น จะต้องซื้อขายบนกระดานหน่อยย่อย (Odd Lot Board)
ข้อกำหนดการซื้อขายหลักทรัพย์ตามช่วงราคา ขึ้นอยู่กับระดับราคาซื้อขายของแต่ละหลักทรัพย์ในขณะนั้น ๆ ซึ่งมีการแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม ตั้งแต่ช่วงราคาละ 0.01 บาท จนถึง 2.00 บาท ช่วงราคา
(เริ่มใช้ตั้งแต่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป)
ช่วงเวลาในการซื้อขายหลักทรัพย์
ช่วงเวลาในการซื้อขายหลักทรัพย์นั้นแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลา ทุกวันจันทร์-ศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์) คือ
1 ช่วงการซื้อขายรอบเช้า (Morning Session) ตั้งแต่เวลาเปิดตลาดช่วงเช้าที่ได้ทำการสุ่มเลือกเวลาในช่วง 9.55-10.00 น. จนถึงปิดตลาดรอบเช้าเวลา 12.30 น.
2 ช่วงการซื้อขายรอบบ่าย (Afternoon Session) ตั้งแต่เวลาเปิดตลาดที่ได้จากการสุ่มเลือกเวลาในช่วง 14.25-14.30 น. จนถึงเวลาในการปิดการซื้อขายประจำวันที่ได้จากการสุ่มเลือกเวลาในช่วง 16.35-16.40 น.
โดยผู้ลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ก่อนเวลาทำการในแต่ละรอบล่วงหน้า 30 นาที คือส่งคำสั่งซื้อขายในรอบเช้าได้ตั้งแต่เวลา 9.30 น. และในรอบบ่ายตั้งแต่เวลา 14.00 น. ซึ่งเรียกว่าช่วง Pre-opening เพื่อนำคำสั่งทั้งหมดมาเรียงลำดับและคำนวณหาราคาเปิด นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯยังได้เปิดให้มีการซื้อขายหลักทรัพย์นอกเวลาทำการ (Off-hour Trading) เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20-25 นาที นับตั้งแต่เวลาปิดการซื้อขายประจำวันที่ได้จากการสุ่มเลือก ไปจนถึงเวลา 17.00 น. เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถปรับพอร์ตการลงทุนในวันนั้น ๆ ให้เหมาะสมและสะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อรองรับการซื้อขายหลักทรัพย์ข้ามตลาดระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ราคาเสนอซื้อขายสูงสุดและต่ำสุด
เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุนให้กับผู้ลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้นส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์มีการขึ้นลงผันผวนอย่างรุนแรง ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนดให้ราคาเสนอซื้อเสนอขายในแต่ละวันสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 ของราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายในวันทำการก่อนหน้า แต่มีข้อยกเว้นในกรณีดังนี้
เป็นหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก
เป็นการซื้อขายวันแรกที่มีการขึ้นเครื่องหมาย XD, XR, XS และ XA
เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่มีการซื้อขายติดต่อกันเกินกว่า 15 วันทำการ
หลักทรัพย์นั้นมีราคาต่ำกว่า 1 บาท
Circuit Breaker
หากภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวมเกิดการเปลี่ยนแปลงลดลงอย่างผิดปกติ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมาตรการที่เรียกว่า Circuit Breaker ที่จะหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหมดเป็นการชั่วคราว เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับทราบสถานการณ์และมีเวลาไตร่ตรองข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนต่อไป โดย Circuit Breaker จะทำงานตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาดังนี้
เมื่อดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันนั้นลดลงในอัตราร้อยละ 10 ของดัชนีราคาหุ้นในวันทำการก่อนหน้า ระบบการซื้อขายจะหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นเวลา 30 นาที
เมื่อดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันนั้นลดลงในอัตราร้อยละ 20 ของดัชนีราคาหุ้นในวันทำการก่อนหน้า ระบบการซื้อขายจะหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
การชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์
หลังทำการซื้อขายหลักทรัพย์แล้วผู้ซื้อและผู้ขายมีหน้าที่ต้องชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ภายในวันทำการที่ 2 หลังการซื้อขาย (T+2) ยกเว้นตราสารหนี้ที่จะต้องชำระราคาและส่งมอบในวันทำการที่ 2 หลังการซื้อขาย (T+2) โดยใช้ระบบชำระราคาแบบยอดสุทธิ (Net Clearing) และส่งมอบหลักทรัพย์โดยวิธีหักโอนหลักทรัพย์ทางบัญชีระหว่างบริษัทสมาชิก ระบบหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวดำเนินการโดย บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด
=== การคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ลงทุน ===
กำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลสำคัญของบริษัทจดทะเบียน
การกำกับดูแลและตรวจสอบการซื้อขายหลักทรัพย์
การดูแลการปฏิบัติงานของบริษัทสมาชิก
=== การเผยแพร่และให้บริการสารสนเทศเพื่อการลงทุน ===
ระบบบริการข้อมูลหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
สิ่งพิมพ์และเอกสารเผยแพร่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
ห้องสมุดมารวย
สถานีโทรทัศน์ Money Channel
S-E-T Call Center
=== การส่งเสริมความรู้ให้แก่ผู้ลงทุน ===
ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดตั้งสถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุน (Thailand Securities Institute:TSI) เพื่อส่งเสริมความรู้ในด้านการเงินการลงทุนแก่ผู้ลงทุนเยาวชนและประชาชนทั่วไป ให้มีความรู้ความเข้าใจและความสามารถในการบริหารจัดการการเงิน อันจะนำไปสู่การมีสุขภาพทางการเงินที่ดีในอนาคต ตลอดจนพัฒนาความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพให้แก่บุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ โดยยึดหลักความมีจริยธรรมควบคู่กับความเป็นมืออาชีพที่จะให้บริการแก่ประชาชน โดยให้ความรู้ผ่านกิจกรรมอบรมและสัมนาในหลักสูตรต่าง ๆ ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งพัฒนาสื่อการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบเช่น หนังสือ วารสาร และสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ตลอดจนร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นพันธมิตรจัดตั้ง"มุมความรู้ตลาดทุน" (SET CORNER) ซึ่งเป็นเสมือนห้องสมุดสาขาย่อยของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯได้จัดตั้งบริษัทย่อยคือ บริษัท แฟมมิลี่ โนฮาว จำกัด เพื่อทำหน้าที่ผลิตและเผยแพร่สื่อความรู้และรายการสาระบันเทิงสอดแทรกความรู้ ที่เน้นเนื้อหาสาระด้านการจัดการการเงินส่วนบุคคลและการลงทุน เพื่อเผยแพร่ความรู้ไปยังผู้เกี่ยวข้องและผู้ที่สนใจอย่างแพร่หลายผ่านสื่อต่าง ๆ และจัดตั้งช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม "มันนีแชนแนล" เมื่อปี พ.ศ. 2548 เพื่อให้ความรู้ข่าวสารเศรษฐกิจและการลงทุน
== บทบาทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ==
ประโยชน์ต่อการจัดสรรเงินออมและการลงทุนในระยะยาว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นสถาบันการเงินที่มีความสำคัญในตลาดทุนและตลาดการเงินไทย ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายหลักทรัพย์ และเป็นกลไกหรือตัวกลางในการระดมเงินออมหรือเงินทุนส่วนเกินจากภาคครัวเรือนมาจัดสรรสู่ภาคการผลิตที่ต้องการเงินทุน ทำให้การออมและการลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้มีเงินออมมีแรงจูงใจในการออมและมีทางเลือกในการออมและการลงทุนเพิ่มมากขึ้น เมื่อเงินออมเข้าสู่ระบบการเงินผ่านกลไกตลาดทุนมากขึ้น ก็จะมีช่องทางและโอกาสในการระดมทุนระยะยาวในตลาดทุนเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้การใช้ทรัพยากรหรือเงินออมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการพัฒนาธุรกิจและระบบเศรษฐกิจโดยตรง
ประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างทางการเงินของธุรกิจ การระดมเงินทุนจากตลาดทุนโดยผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการระดมทุนของธุรกิจต่าง ๆ นอกเหนือจากการกู้เงินจากสถาบันการเงินโดยทั่วไป ทำให้กิจการนั้นสามารถระดมเงินทุนระยะยาวเพื่อใช้ในการลงทุนและดำเนินธุรกิจได้ตามที่ต้องการโดยไม่ต้องมีภาระจากดอกเบี้ยเงินกู้และสัดส่วนหนี้ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับส่วนของเจ้าของ
เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการ การที่บริษัทจดทะเบียนสามารถระดมทุนผ่านตลาดทุนโดยการออกหลักทรัพย์และเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนทั่วไปนั้น ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ลงทุนหรือผู้มีเงินออมที่จะได้มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการต่าง ๆ ที่เสนอขายหลักทรัพย์ดังกล่าว
ช่วยขยายฐานภาษีของรัฐบาล เนื่องจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดเอ็ม เอ ไอ เป็นกิจการที่มีการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐานและโปร่งใส มีระบบบัญชีที่ดีรวมทั้งมีการจัดทำงบการเงินและรายงานผลการดำเนินงานที่ถูกต้องและเป็นไปตามมาตรฐาน และมีการเปิดเผยขัอมูลไปยังผู้ลงทุนและผู้ทีเกี่ยวข้องอื่น ๆ อย่างแพร่หลาย ซึ่งข้อมูลและรายงานทางการเงินดังกล่าวนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนในการวิเคราะห์การลงทุนและเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัทในการวิเคราะห์การลงทุนและติดตามฐานะทางการเงินของธุรกิจแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอีกด้วย โดยเป็นข้อมูลฐานภาษีที่ถูกต้องและจะช่วยให้การจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปอย่างสะดวก ถูกต้องและครบถ้วนอีกด้วย
ช่วยลดภาระหนี้ต่างประเทศ การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อต้องการระดมทุนนั้น นับเป็นการระดมเงินทุนโดยผ่านตลาดทุนในประเทศเพื่อธุรกิจภายในประเทศ เงินทุนที่บริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ ระดมมาได้นั้น จะถูกใช้ไปในกระบวนการดำเนินธุรกิจที่เกิดขึ้นในประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในธุรกิจประเภทใหม่หรือขยายกิจการ ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยตอบสนองความต้องการเงินทุนของธุรกิจภายในประเทศซึ่งนอกจากจากจะลดความต้องการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศแล้ว ยังช่วยลดความต้องการกู้ยืมเงินตราจากต่างประเทศได้อีกด้วย
เป็นดัชนีชี้การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ ตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นทั้งแหล่งระดมทุนและแหล่งลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นที่สนใจของธุรกิจที่ต้องการเงินทุน และผู้ที่มีเงินออมที่ต้องการจะลงทุนรวมทั้งเป็นกลไกสำคัญในการระดมเงินทุนและจัดสรรเงินทุนระยะยาวให้แก่ภาคธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ดังนั้นภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ในขณะนั้น ๆ จะมีความสำคัญและสัมพันธ์กับทิศทางและแนวโน้มของพัฒนาการทางเศรษฐกิจ เนื่องจากกลไกตลาดทุนในขณะนั้นจะสะท้อนถึงความต้องการเพื่อการลงทุนของภาคการผลิตและความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าพัฒนาการและภาวะของตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นดัชนีชี้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่สำคัญประการหนึ่ง
== สัญลักษณ์และชื่อตลาดหลักทรัพย์ ==
การตั้งชื่อตลาดหลักทรัพย์ฯ และการกำหนดตราสัญลักษณ์ประจำองค์กรเกิดจากแนวคิดของหยิน-หยาง จากการบอกเล่าของคุณศุกรีย์ แก้วเจริญ ซึ่งเป็นกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคนแรก
== รายนามผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ==
{| border="1" cellpadding="4" cellspacing="1" style="margin: 1em 1em 1em 0; background: #f9f9f9; border: 1px #aaa solid; text-align:center; border-collapse: collapse; font-size: 95%;"
|- style="background:#cccccc"
! ลำดับ || รายนาม || เริ่มวาระ || สิ้นสุดวาระ
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 1 || ศุกรีย์ แก้วเจริญ || 20 ธันวาคม พ.ศ. 2518 || 29 มิถุนายน พ.ศ. 2521
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 2 || ณรงค์ จุลชาต || 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2521 || 6 สิงหาคม พ.ศ. 2523
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 3 || ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม || 1 กันยายน พ.ศ. 2523 || 31 มีนาคม พ.ศ. 2525
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 4 || สิริลักษณ์ รัตนากร || 1 สิงหาคม พ.ศ. 2525 || 31 สิงหาคม พ.ศ. 2528
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 5 || ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ || 16 กันยายน พ.ศ. 2528 || 30 มิถุนายน พ.ศ. 2535
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 6 || เสรี จินตนเสรี || 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 || 30 มิถุนายน พ.ศ. 2539
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 7 || สิงห์ ตังทัตสวัสดิ์ || 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 || 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2542
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 8 || วิชรัตน์ วิจิตรวาทการ || 15 กันยายน พ.ศ. 2542 || 31 สิงหาคม พ.ศ. 2544
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 9 || กิตติรัตน์ ณ ระนอง || 10 กันยายน พ.ศ. 2544 || 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 10 || ภัทรียา เบญจพลชัย || 1 มิถุนายน พ.ศ. 2549 || 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 11 || จรัมพร โชติกเสถียร|| 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553 || 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 12 || เกศรา มัญชุศรี || 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557 || 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 13 || ดร.ภากร ปีตธวัชชัย || 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561 || ปัจจุบัน
|}
== บริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์ฯ ==
บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนต่างด้าว จำกัด
บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท สยามดีอาร์ (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท เซ็ทเทรด ดอตคอม (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท แฟมมิลี่ โนฮาว จำกัด (สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม มันนี่ แชนแนล)
บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด
== ภาษีเงินปันผล ==
เมื่อผู้ลงทุนเข้ามาซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีอากรตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ถูกต้อง ในส่วนนี้จึงสรุปการเสียภาษีอากรที่เกี่ยวข้องไว้เพื่อเป็นข้อมูลดังปรากฏต่อไปนี้
ภาษีอากรของผู้ลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติที่ประกอบกิจการในประเทศไทย
* บุคคลธรรมดา
** หักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 ถ้าได้รับเงินปันผลจากบริษัทจดทะเบียน หรือบริษัทจำกัด
** เลือกให้หักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 หรือเลือกนำเงินปันผลไปรวมเสียภาษีปลายปี ถ้าได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวม
** ได้รับยกเว้นภาษี ถ้าได้รับเงินปันผลจากกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
* นิติบุคคล
** หักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 ถ้าผู้มีเงินได้ไม่ใช่บริษัทจดทะเบียน
** ได้รับยกเว้นภาษี ถ้าผู้มีเงินได้เป็นบริษัทจดทะเบียนและได้ถือหุ้นเป็น เวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือนก่อนจ่าย และ 3 เดือนหลังจ่ายเงินปันผล จากบริษัทไทยหรือกองทุนรวม
** ได้รับยกเว้นภาษี ถ้าผู้มีเงินได้ถือหุ้นในบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลอย่างน้อยร้อยละ 25 ของหุ้นทั้งหมดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือนก่อนจ่าย และ 3 เดือนหลังจ่ายเงินปันผล และบริษัทดังกล่าวมิได้ถือหุ้นในบริษัท ผู้มีเงินได้
** ได้รับยกเว้นภาษี ถ้าได้รับเงินปันผลจากกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
ภาษีอากรของผู้ลงทุนต่างประเทศที่มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย
* ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10
== เหตุการณ์สำคัญ ==
=== พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2529 ===
17 มีนาคม พ.ศ. 2519 – ดัชนีปิดที่ 76.43 จุดต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์
6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 - เหตุการณ์ 6 ตุลา ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง -0.47จุดคิดเป็น-0.59% ปิดที่ 79.33 จุด
20 เมษายน พ.ศ. 2520 - ดัชนีปิดที่ 105.42 จุดลดลง -6.73 จุด ลดลง -6.00%
18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520 - ดัชนีปิดที่ 179.81 จุดลดลงมากถึง -5.70% ภายหลังพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์เป็นนายกรัฐมนตรีเพียง7วัน
28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 - ดัชนีปิดที่ 240.20 จุดลดลง -6.31%
20 สิงหาคม พ.ศ. 2522 – บริษัทราชาเงินทุนถูกเพิกถอนใบอนุญาต ทำให้ราคาและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว เรียกวิกฤตการณ์ราชาเงินทุน
12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2522 - ตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 146.11 จุด ต่ำที่สุดในรอบหนึ่งปีอันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ราชาเงินทุน
14 กันยายน พ.ศ. 2525 - ดัชนีปิดที่ 131.89จุดลดลง -6.88 จุด ลดลง-4.96%
=== พ.ศ. 2530 - พ.ศ. 2539 ===
19 ตุลาคม พ.ศ. 2530 – ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดต่ำลงอย่างรวดโดยลดลงกว่า 509.32 จุดในวันเดียว (เรียก วันจันทร์ทมิฬ) มีผลถึงตลาดหุ้นไทยที่ผู้ลงทุนหมดความเชื่อมั่นจนมีการสั่งขายหุ้นเป็นจำนวนมากโดยดัชนีเปิดตลาดวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2530 ที่ 472.86 จุด และ ดัชนีปิดตลาดที่ 459.01 จุด ลดลง -13.85 จุดภายในวันเดียว
วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2530 ดัชนีลดลงอีก -36.64 จุดปิดที่ 422.37 จุด คิดเป็น -7.98%
วันที่ 21 ตุลาคม ปิดที่ 391.44 จุดลดลง -30.93 จุด ลดลง -7.32%
วันที่ 26 ตุลาคม ปิดที่ 368.18 จุดลดลง -31.31 จุด ลดลง -7.84%
วันที่ 27 ตุลาคม ปิดที่ 336.68 จุดลดลง -31.50 จุด ลดลง -8.56%
วันที่ 28 ตุลาคม ปิดที่ 330.80 จุดลดลง -5.88 จุด ลดลง -1.75%
วันที่ 29 ตุลาคม ปิดที่ 307.62 จุดลดลง -23.18 จุด ลดลง -7.01%
วันที่ 30 ตุลาคม ปิดที่ 299.83 จุดลดลง -7.79 จุด ลดลง -2.53%
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ดัชนีปิดตลาดที่ 253.98 จุด
วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2530 และ ดัชนีปิดตลาดที่ 243.97 ลดลง 10.01 จุด ต่ำสุดในรอบปี
11 มกราคม พ.ศ. 2531- เกิดข่าวลือเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎรไทยใน คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 44 จากแรงกดดันของ กลุ่ม 10 มกรา ดัชนีลดลง -19.76 จุด หรือ -6.04%
28 มีนาคม พ.ศ. 2531 - ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดลง -21.76 จุด หรือ - 5.41% ปิดที่ 380.29 จุด
13 ตุลาคม พ.ศ. 2532 - เกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นตกต่ำทั่วโลกเรียกว่า Friday the 13th mini-crash โดยดัชนีดาวน์โจนส์ลงไปกว่า 190.58 จุด -6.91% ด้านตลาดหุ้นไทย ได้รบผลกระทบในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2532 ดัชนีปิดตลาดวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2532 ที่ 705.60 จุด ดัชนีปิดตลาดวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2532 661.45 จุด ลดลง 44.15 จุดลดลง 6.26%
2 สิงหาคม พ.ศ. 2533 – เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซีย ส่งผล ให้ ในวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2533 ดัชนีปิดตลาดที่ 1009.04 จุด ลดลง จากวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2533 -88.48 จุด คิดเป็น -8.06% จุด ต่อมาวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2533 ดัชนีปิดที่ 922.35 จุด ลดลง -86.69 จุด คิดเป็น -8.59% และลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน โดยในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ดัชนีปิดตลาดที่ 544.30 จุดต่ำสุดในรอบหนึ่งปี
22 สิงหาคม พ.ศ. 2533 มีข่าวการสั่งปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ภายหลัง ประมวล สภาวสุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปลด กำจร สถิรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งภายหลังข่าวดังกล่าวดัชนีปรับลดลงใน วันที่ 22 สิงหาคม ปิดที่ 795.40 จุดลดลง -8.61% วันที่ 23 สิงหาคม ดัชนีปิดที่ 735.39 จุดลดลง -60.01 จุด -7.54%
24 สิงหาคม พ.ศ. 2533 ซัดดัม ฮุสเซน ปรากฏตัวทางโทรทัศน์พร้อมตัวประกันชาวอังกฤษ ซึ่ง ซัดดัม ฮุสเซน ปฏิเสธไม่ให้ออกนอกประเทศอิรัก ส่งผลให้ดัชนีปิดที่ 695.81จุด ลดลง -5.38% วันที่ 26 สิงหาคม ประมวล สภาวสุ ถูกปลดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
17 กันยายน พ.ศ. 2533 น้ำมันดิบภายในประเทศปรับตัวสูงมากจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย ส่งผลให้ในวันที่ 17 กันยายน ดัชนีปิดที่702.48จุด ลดลง-7.57% และ วันที่ 20 กันยายน ดัชนีปิดที่ 647.35 จุด ลดลง-5.72%
25 กันยายน พ.ศ. 2533 ภายหลังเหตุการณ์แก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ พ.ศ. 2533 ตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 613.95 จุด ลดลง -5.12%
4 ตุลาคม พ.ศ. 2533 การรวมประเทศเยอรมนีและพายุอีราพัดเข้าจังหวัดอุบลราชธานีส่งผลให้น้ำท่วมกรุงเทพมหานคร ดัชนีปิดที่ 671.99จุด ลดลง-5.86%
26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ภายหลังมาร์กาเรต แทตเชอร์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 พฤศจิกายน ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง ในวันที่ 26 พฤศจิกายน -37.01 ปิดที่ 601.85 จุดลดลง-5.81%
25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 - เกิดเหตุรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2534 ดัชนีปิดตลาดวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ที่ 791.64 จุด ดัชนีปิดตลาดวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ที่ 734.24 จุด ลดลงไปถึง -57.4 จุดหรือ -7.25%
20 สิงหาคม พ.ศ. 2534 - ความพยายามรัฐประหารในสหภาพโซเวียต พ.ศ. 2534 มีผลให้ดัชนีปิดลดลง-42.89 จุดหรือ-6.44% ปิดที่ 622.81 จุด
6 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 - ดัชนีปิดตลาดที่ 717.62 จุดลดลง -43.36 หรือ-5.70% เนื่องจากมีการชุมนุมที่อาคารรัฐสภาไทย
19 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 - ดัชนีปิดตลาดวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ที่ 732.89 จุด ดัชนีปิดตลาดวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ที่ 667.84 จุด ลดลง 65.05 จุด หรือ 8.88% ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬและรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
4 มกราคม พ.ศ. 2537 – ดัชนีราคาหุ้นได้สร้างจุดสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดัชนีปิดตลาดวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2537 ที่ 1,753.73 จุด เพิ่มขึ้น 70.88 จุด หรือ 4.21% ค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไร 31.49
7 มกราคม พ.ศ. 2537 - ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลง -92.51 จุด หรือ-5.55% ต่อมาวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2537 ดัชนีหุ้นไทยลดลงถึง -117.30 จุด ปิดที่ 1487.76 จุด ลดลงมากถึง -7.77%
7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 - ภายหลังประกาศกระทรวงการคลังเรื่องการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา ฉบับที่ 3 มีผลบังคับใช้ในวันดังกล่าว ดัชนี ลดลง -99.00 จุด หรือลดลง -6.86%
23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537 - ดัชนีปิดที่ 1322.85 จุด ลดลง -69.96 จุด -4.99 % เนื่องจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่ประเทศเม็กซิโก
7 ตุลาคม พ.ศ. 2539 - ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ลดลง -60.26 จุด หรือ 6% ปิดที่ 944.63 จุด ด้วยสาเหตุที่ไม่แน่ชัด อนึ่ง นายสุขวิช รังสิตพล ประกาศลาออกจาก เลขาธิการพรรคความหวังใหม่ ในวันนี้
18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 - ดัชนีปรับตัวลดลงเนื่องจากความไม่เชื่อมั่นทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2539 โดยลดลง -58.39 จุด หรือ -5.83%
=== พ.ศ. 2540 - พ.ศ. 2549 ===
2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 – รัฐบาลไทยได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท นับเป็นจุดเริ่มของวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540
27 ตุลาคม พ.ศ. 2540 – ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดต่ำลงอย่างรวดโดยลดลงกว่า 554.26 จุดในวันเดียว โดยตลาดปิดทำการเวลา 15.30 น. ก่อนเวลาปิดทำการปกติ เรียก The October 27th 1997 Mini-Crashด้านตลาดหุ้นไทย ได้รับผลกระทบโดยในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดตลาดที่ 491.01 ลดลง-2.99จุดคิดเป็น-0.61% และในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ดัชนีปิดตลาดที่ 460.80 ลดต่ำลง 30.21 จุด หรือ 6.15%
25 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ภายหลังประเทศไทยขอเข้ารับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ดัชนีปรับตัวลดลง -29.98 จุด ปิดที่ 529.61 จุด หรือลดลง -5.36%
8 ธันวาคม พ.ศ. 2540 กระทรวงการคลังร่วมกับองค์การเพื่อการปฏิรูปสถาบันการเงิน (ปรส.) ประกาศผลการพิจารณาแผนฟื้นฟู 58 สถาบันการเงิน และให้ปิดดำเนินการทั้งสิ้น 56 แห่ง
5 มกราคม พ.ศ. 2541 จากการสั่งปิดดำเนินกิจการของสถาบันการเงินรวมทั้งสิ้น 56 แห่งอาทิ ธนาคารมหานคร ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง -32.61 จุด หรือ -6.54% ภายในวันดังกล่าว
10-12 มิถุนายน พ.ศ. 2541 เกิดวิกฤตค่าเงินเยนของประเทศญี่ปุ่นลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ตลาดหลัทรัพย์ปรับตัวลดลง ในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2541 -16.15 จุด หรือ -5.24% ปิดที่ 292.10 จุดและลดลงต่อเนื่อง ในวันที่ 11 มิถุนายน -2.80% และ 12 มิถุนายน -1.60%
15 มิถุนายน พ.ศ. 2541 เกิดวิกฤตค่าเงินเยนของประเทศญี่ปุ่นลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง -15.98 จุด หรือ -5.72%
4 กันยายน พ.ศ. 2541 – ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้สร้างจุดต่ำที่สุดในรอบ 11 ปี โดยในวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2541 ดัชนีปิดตลาดที่ 207.40 จุด และวันที่4 กันยายน พ.ศ. 2541 ดัชนีปิดตลาดที่ 207.31 จุด ลดลง 0.09 จุด หรือ 0.04%
10-12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 - ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. ให้จัดตั้ง ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เพื่อเป็นตลาดรองสำหรับบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ผันผวนอย่างมากโดย ในวันที่ 10 พฤศจิกายน -27.23 จุด -7.48 % ปิดที่ 336.62 จุด วันที่ 11 พฤศจิกายน ปรับเพิ่ม 19.64 จุด หรือ เพิ่มขึ้น 5.83 % ปิดที่ 356.26 จุด และในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 ปรับตัวลดลง -23.20 จุด หรือ -6.51% ปิดที่ 328.28 จุด
5 มกราคม พ.ศ. 2543 - ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอม ในสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งสุงขึ้น นักลงทุนแห่เทขายหุ้นในวันดังกล่าวส่งผลให้ ตลาดหุ้นไทยดัชนีลดลง 32.61 จุด ดัชนีปิดตลาดที่ 465.85 จุด ลดลงจากวันก่อน -6.54%
22 กุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2543 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง -28.92 จุด ลดลงมากถึง -7.08% ปิดที่ 379.43 จุด สาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่อ่อนตัวลง
17 เมษายน พ.ศ. 2543 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง -21.57 จุด ลดลงมากถึง -5.20% ปิดที่ 392.88 จุด
13 กันยายน พ.ศ. 2544 - ภายหลังเกิดวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ตลาดหุ้นไทยในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ปิดที่ 330.37จุด ตลาดหุ้นไทยในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2544 ดัชนีลดลง 22.2 จุด ปิดตลาดที่ 308.17 จุด ลดลง -6.27% วันที่14 กันยายน พ.ศ. 2544 ดัชนีลดลงอีก 20.07 จุด ปิดตลาดที่ 288.10จุด ลดลง -6.51% และในวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2544 ดัชนีลดลงอีก 17.49 จุด ปิดตลาดที่ 270.61จุด -6.07% มูลค่าตามราคาตลาดของตลาดหุ้นไทยระหว่าง11 กันยายน พ.ศ. 2544 ถึง 20 กันยายน พ.ศ. 2544 เสียหายกว่า 2.51 แสนล้านบาท
8 ตุลาคม พ.ศ. 2544 - เกิดสงครามในอัฟกานิสถาน (พ.ศ. 2544–2557) โดยวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2544 ดัชนีปิดที่ 280.88 จุด และวันที่8 ตุลาคม พ.ศ. 2544 ดัชนีปิดที่ 277.28 ลดลง 2.6 จุด -1.07% ก่อนลงไปต่ำสุดในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ดัชนีปิดที่ 267.63 จุด ลดลง 3.27จุด -1.21%
23 มกราคม พ.ศ. 2549 – มูลค่าการซื้อขายสิ้นวันอยู่ที่ 94,062.04 ล้านบาท เป็นมูลค่าการซื้อขายที่สูงเป็นอันดับที่ 4 ของประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย โดยเป็นมูลค่าการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กว่า 57,058.10 ล้านบาท ให้กลุ่มเทมาเสกโฮลดิ้งส์ ประเทศสิงคโปร์
19 ธันวาคม พ.ศ. 2549 – ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาตรการกันสำรอง 30% เพื่อป้องกันกันเก็งกำไรค่าเงินบาท ส่งผลให้ผู้ลงทุนต่างชาติตื่นตระหนกพากันเทขายหุ้นเป็นจำนวนมาก โดยดัชนีลดลงกว่า 142.63 จุดหรือ 19.52% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในวันเดียวในประวัติศาสาตร์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนปิดตลาดที่ลบ 108.41 จุด หรือลดลง 14.84% และมีการใช้มาตรการ Circuit Breaker เป็นครั้งแรกของตลาดในช่วงเวลา 11.26 น.ซึ่งเป็นช่วงที่ดัชนีลดลงกว่า 74.06 หรือ 10.14%
=== พ.ศ. 2550 - พ.ศ. 2559 ===
6 ตุลาคม พ.ศ. 2551 – เนื่องจากการชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภาไทย 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ดัชนีตกลงในวันดังกล่าว -6.48% -38.25 จุด ปิดที่ 551.8 จุด วันต่อมา -4.18% -23.09 จุดปิดที่ 528.71 จุด และในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ดัชนีลดลง -36.37 จุด -6.88% ปิดที่ 492.34จุด
10 ตุลาคม พ.ศ. 2551 – ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสั่งใช้มาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ (circuit breaker) 30 นาที ตั้งแต่เวลา 14.35 น. เนื่องจากตลาดหุ้นไทย ลดลงมากกว่า 10 % เป็นครั้งที่ 2 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ เวลา 14.35 น. อยู่ที่ 449.91 จุด ลดลง 50.08 จุด ลดลง 10.02 %
24 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวลดลง -32.37 จุด หรือ -6.96% ปิดที่ 432.87 จุด เนื่องจากวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์
27 ตุลาคม พ.ศ. 2551 – ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสั่งใช้มาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ (circuit breaker) 30 นาที ตั้งแต่เวลา 16.04 น. เวลานั้น ดัชนีร่วงลง 10% อยู่ที่ระดับ 389.58 จุด หรือลดลง 43.29 จุด หลังเปิดการซื้อขายอีกครั้งในรอบที่ 2 ดัชนียังคงปรับลดลงต่อเนื่อง โดยปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 387.43 จุด ลดลง 45.44 จุด หรือลดลง 10.50 % ดัชนีต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี เนื่องจากวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์
15 ตุลาคม พ.ศ. 2552 – ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดัชนีหุ้นไทยทรุดถึง 58.72 จุด หรือ 8.03% เวลา 14.40 น. ปิดที่ 692.72 ลดลง 38.75 จุดหรือ 5.30% ภายในวันเดียว ผันผวนอย่างมากจากระดับสูงสุด 736.34 จุดและต่ำสุด 670.72 จุดในวันเดียวกัน สาเหตุมาจากการปล่อยข่าวลือในตลาดหุ้นเหตุการณ์ส่งผลให้พนักงานบริษัทเคที ซิมิโก้ และอดีตกรรมการบริษัทยูบีเอส ถูกจับ
19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 – กลุ่มบุคคลไม่ทราบฝ่าย บุกเข้าเผาทำลายชั้นล่าง ของอาคารที่ทำการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังกองกำลังทหารติดอาวุธ เข้าสลายการชุมนุมของ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ที่แยกราชประสงค์ ทำให้การซื้อขายหุ้น ของตลาดหลักทรัพย์ เปิดเพียงครึ่งวันเช้า ต่อมา ปิดทำการในวันที่ 20 และ 21 พฤษภาคม ตามประกาศของทางราชการ ในระหว่างประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปิดที่ 744.31 จุดลดลงจากวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 21.23 จุดหรือ-2.77% และในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ตลาดหุ้นไทยดัชนีลดลง 23.02 จุด -3.09% ปิดที่ 721.29 จุดต่ำสุดในรอบสองเดือน
23 กันยายน พ.ศ. 2554 – ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 958.16 จุด ลดลง 32.43 จุด หรือ -3.27% มูลค่าการซื้อขาย 50,108.85 ล้านบาท ขณะที่ TFEX หยุดซื้อขาย Silver Futures ครึ่งชั่วโมงหลังราคาร่วง 10% เป็นตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก หลังดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงหนักกว่า 400 จุดเมื่อคืน เป็นผลมาจากความวิตกกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย โดยเฉพาะความผิดหวังต่อมาตรการสว็อปพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้งวิกฤตหนี้สาธารณะยุโรปกดดันทางจิตวิทยาการลงทุน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะหมี
26 กันยายน พ.ศ. 2554 – ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 904.06 จุด ลดลง 54.10 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -5.65% มูลค่าการซื้อขาย 47,630.63 ล้านบาท ระหว่างวันมีการร่วงลงอย่างรุนแรงถึง -90.30 จุด และปิดทำการซื้อขายชั่วคราว 5 นาที โดยเหตุผลที่ตลาดหลักทรัพย์ชี้แจงมาจากความผิดพลาดของระบบตลาดเอ็มเอไอ
3 ตุลาคม พ.ศ. 2554 - ดัชนีปิดที่ 869.31 ลดลง 46.90จุด หรือ -5.12% เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศถอนทุนเพื่อรับมือวิกฤติหนี้สาธารณะยุโรป
21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 – ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,643.43 จุด เพิ่มขึ้น 0.03 จุด 0.001% มูลค่าการซื้อขาย 57,451.27 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดในรอบกว่า 19 ปี 4 เดือน
2 มกราคม พ.ศ. 2557 - ในวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ออกแถลงการณ์ต่อสื่อซึ่งเขาไม่ชี้ขาดโอกาสรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 อีกหนหนึ่ง ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงในวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557 -67.94 จุด หรือ ลดลง -5.23 % ปิดที่ 1230.77 จุด
15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 – ระหว่างวัน ดัชนีหลักทรัพย์ไทยร่วงลงหนักถึง 138.96 จุด หรือลดลง 9.2% สุดท้ายปิดตลาด ดัชนีอยู่ที่ 1,478.49 จุด ลดลง 36.46 จุด มูลค่าการซื้อขาย 102,662.94 ล้านบาท ด้านพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวหาพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
=== พ.ศ. 2560 - ปัจจุบัน ===
11 มกราคม พ.ศ. 2561 - ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทำสถิติปิดเหนือระดับ 1,800 จุดได้เป็นครั้งแรก ที่ระดับ 1,802.80 จุด หรือเพิ่มขึ้น 7.88 จุด มูลค่าการซื้อขาย 86,821.50 ล้านบาท ทั้งนี้ในการซื้อขายระหว่างวันดัชนีแตะระดับสูงสุดที่ 1,804.54 จุด และแตะจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,786.47 จุด
24 มกราคม พ.ศ. 2561 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทำสถิติใหม่ที่ระดับ 1,838.96 จุด สูงที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดทำการ
29 มิถุนายน พ.ศ. 2561 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่ำสุดในรอบ 10 เดือน ปิดที่ 1,595.58 จุด นับจากวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ที่ดัชนีปิดที่ 1,614.14 จุด
27 ธันวาคม พ.ศ. 2561 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปิดที่ 1,548.37 จุด ต่ำสุดในรอบ 19 เดือนนับจากวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 ที่ตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,561.66 จุด และ ต่ำสุดในรอบปี พ.ศ. 2561
29 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมูลค่าการซื้อขาย 204,855.67 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ตลาดหลักทรัพย์ลดลงมาก - 5.05 % ในวันเดียวโดยปรับลดลง - 72.69 จุด ปิดที่ 1,366.41 จุด จากโรคระบาดโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019
9 มีนาคม พ.ศ. 2563 ตลาดหลักทรัพย์ดัชนีทำจุดต่ำสุดในรอบ 7 ปี 4 เดือน 2 สัปดาห์ ดัชนี ปิดที่ 1,255.94 จุด ลดลง - 108.63 จุด หรือ -7.96% จากความกังวลโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 และสงครามราคาน้ำมันรัสเซีย–ซาอุดีอาระเบีย พ.ศ. 2563 นับจากวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ที่ปิดที่ 1,290.48 จุด
12 มีนาคม พ.ศ. 2563 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยลดลงมากกว่า -10 % ในเวลา 14.38 น. โดยมีการใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์หยุดทำการซื้อขายในช่วงเวลา 14.38 น. ถึง 15.08 น. ดัชนีปิดที่ 1,114.91 จุด ลดลง -134.98 จุด หรือ -10.80% เนื่องจากองค์การอนามัยโลกประกาศภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ โดยดัชนีปิดต่ำสุดรอบ 8 ปี 1 เดือน จากวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ปิดที่ 1,112.91 จุด
13 มีนาคม พ.ศ. 2563 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยลดลงมากกว่า -10 % ในเวลา 9.59 น. โดยมีการใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์หยุดทำการซื้อขายในช่วงเวลา 9.59 น. ถึง 10.29 น. ดัชนีปิดที่ 1,128.91 จุด เพิ่มขึ้น 14.00 จุด เนื่องจากการห้ามการเดินทางเข้าสหรัฐจากประเทศในเขตเชงเกน
16 มีนาคม พ.ศ. 2563 ตลาดหลักทรัพย์ ปรับลดลง -82.83 จุด ปิดที่ 1,046.08 จุด หรือลดลง -7.34% ในวันเดียว ต่ำสุดในรอบ 8 ปี 2 เดือน 1 สัปดาห์ นับจากวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555 ปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 1,051.63 จุด เนื่องจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของระบบธนาคารกลางสหรัฐ
23 มีนาคม พ.ศ. 2563 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยลดลงมากกว่า -8 % โดยมีการใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์หยุดทำการซื้อขายในช่วงเวลา 15.25 น. ถึง 15.55 น. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดที่ 1,024.46 จุด ลดลง -102.78 หรือ -9.12% ต่ำสุดในรอบ 8 ปี 2 เดือน 20 วัน นับจากวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555 ปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 1,036.21 จุด เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยโควิด-19
30 ตุลาคม พ.ศ. 2563 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน 3 สัปดาห์ โดยดัชนีปิดที่ 1,194.95 จุด - 6.69 จุด หรือ 0.56% เนื่องจาก การประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563 และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานครนับจาก 7 เมษายน พ.ศ. 2563 ดัชนีปิดที่ 1,214.95 จุด
21 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยลดลงมากกว่า 5% โดยนักลงทุนกังวลเรื่องการปิดจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อป้องกันโรค ปิดตลาดอยู่ที่ 1,401.78 จุด ลดลง 80.60 จุด หรือ -5.44% มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 129,430.44 ล้าน
6 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดที่ 1,521.72 จุดลดลง -5.94 จุด ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 5 เดือน 3 วัน นับจาก 3 มีนาคม พ.ศ. 2564 ปิดที่ 1,543.40 จุด
30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ดัชนีลดลง -21.00 จุด ปิดที่ 1,568.69 จุด ต่ำสุดในรอบ 2 เดือน หนึ่งสัปดาห์ นับจาก 23 สิงหาคม พ.ศ. 2564
18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดที่ 1,713.20 จุด ปรับขึ้น +1.62 จุด หรือคิดเป็น +0.09% สูงสุดในรอบ 2 ปี 6 เดือน 18 วัน นับจาก 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 ที่ปิดที่ 1,711.97 จุด
24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 จากความกังวลการที่รัสเซียประกาศบุกยึดประเทศยูเครน ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลดลง -33.73 จุด คิดเป็น -1.99% ปิดที่ 1,662.72 จุด
14 มีนาคม พ.ศ. 2566 ตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,523.49 ลดลง -49.18 จุด คิดเป็น -3.13 % ต่ำสุดในรอบ 1 ปี 7 เดือน 8 วันจากเหตุกลุ่มการเงินเอสวีบีล่ม ธนาคาร Silvergate Bank และธนาคาร Signature Bank ล่ม
26 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,371.22 จุด - 30.48 จุด หรือ -2.17% จุดจากผลกระทบสงครามอิสราเอล−ฮะมาส พ.ศ. 2566 ต่ำสุดในรอบ 2 ปี 10 เดือน 1 สัปดาห์ นับจากวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย ที่เน้นกิจการขนาดกลางและขนาดย่อมและกิจการเกี่ยวกับนวัตกรรม
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตลาดหลักทรัพย์
เศรษฐกิจของประเทศไทย
องค์กรที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2518
|
thaiwikipedia
| 1,109 |
ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
|
ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Market for Alternative Investment - MAI) เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งที่สองของmrThanaphon Vhonghachak ก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2542 และเปิดทำการซื้อขายวันแรกเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2544 มีจุดประสงค์การทำงานโดยทั่วไป เหมือนกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ The Stock Exchange of (Thailand) (SET) คือ ทำหน้าที่เป็นตลาดทุน เพื่อให้กิจการต่างๆ สามารถระดมเงินทุนเพิ่มเติมจากสาธารณะได้ แต่ตลาดใหม่นี้ จะเน้นไปที่กิจการขนาดกลางและขนาดย่อม (Thanaphon Vhonghachak - SME) และกิจการเกี่ยวกับนวัตกรรม โดยได้ผ่อนผันหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ลง เช่น ทุนชำระแล้วขั้นต่ำของหลักทรัพย์ในตลาดหลัก คือ 200 ล้านบาท ในขณะที่ขั้นต่ำของตลาดใหม่ ลดลงเป็น 40 ล้านบาท เป็นต้น เพื่อเปิดโอกาสให้กิจการขนาดเล็ก ที่ไม่สามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ ได้มีหนทางในการระดมทุน รวมทั้งสนับสนุนอุตสาหกรรมทุนส่วนตว (venture capital) เพื่อเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนปัจจุบันคือ ประธานให่ย (นายธนพล วงหาจัก)นายประทำมะนูน]เกีด11/11/199 (ตั้งแต่ มีนาคม พ.ศ. 2557)
== รายนามผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ==
{| border="1" cellpadding="4" cellspacing="1" style="margin: 1em 1em 1em 0; background: #f9f9f9; border: 1px #aaa solid; text-align:center; border-collapse: collapse; font-size: 95%;"
|- style="background:#cccccc"
! ลำดับ || รายนาม || เริ่มวาระ || สิ้นสุดวาระ
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 1 || ยุทธ วรฉัตรธาร || ||
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 2 || โสภาวดี เลิศมนัสชัย || ||
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 3 || วิเชฐ ตันติวานิช || ||
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 4 || ชนิตร ชาญชัยณรงค์ || ||
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 5 || ประพันธ์ เจริญประวัติ || || ปัจจุบัน
|}
== ดูเพิ่ม ==
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
ตลาดหลักทรัพย์
เศรษฐกิจของประเทศไทย
องค์การที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2542
|
thaiwikipedia
| 1,110 |
การคูณ
|
การคูณ คือการดำเนินการทางคณิตศาสตร์อย่างหนึ่ง ทำให้เกิดการเพิ่มหรือลดจำนวนจำนวนหนึ่งเป็นอัตรา การคูณเป็นหนึ่งในสี่ของการดำเนินการพื้นฐานของเลขคณิตมูลฐาน (การดำเนินการอย่างอื่นได้แก่ การบวก การลบ และการหาร)
การคูณสามารถนิยามบนจำนวนธรรมชาติว่าเป็นการบวกที่ซ้ำ ๆ กัน ตัวอย่างเช่น 3 คูณด้วย 4 (หรือเรียกโดยย่อว่า 3 คูณ 4) หมายถึงการบวกจำนวน 4 เข้าไป 3 ชุด ดังนี้
: 4+4+4 = 12\,\!
สำหรับการคูณของจำนวนตรรกยะ (เศษส่วน) และจำนวนจริง ก็นิยามโดยกรณีทั่วไปที่เป็นระบบของแนวความคิดพื้นฐานดังกล่าว
การคูณอาจมองได้จากการนับวัตถุที่จัดเรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า (สำหรับจำนวนธรรมชาติ) หรือการหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยการหนดความยาวของด้านมาให้ (สำหรับจำนวนทั่วไป) ส่วนกลับของการคูณคือการหาร ในเมื่อ 3 คูณด้วย 4 เท่ากับ 12 ดังนั้น 12 หารด้วย 4 ก็จะเท่ากับ 3 เป็นต้น
การคูณสามารถนิยามให้ขยายไปบนจำนวนชนิดอื่นเช่นจำนวนเชิงซ้อน และมีโครงสร้างที่เป็นนามธรรมมากขึ้นเช่นเมทริกซ์
== สัญกรณ์และคำศัพท์เฉพาะทาง ==
โดยทั่วไปการคูณสามารถเขียนโดยใช้เครื่องหมายคูณ (x) ระหว่างจำนวนทั้งสอง (ในรูปแบบสัญกรณ์เติมกลาง) ตัวอย่างเช่น
: 2 \times 3 = 6 (อ่านว่า 2 คูณ 3 เท่ากับ 6)
: 3 \times 4 = 12
: 2 \times 3 \times 5 = 6 \times 5 = 30
: 2 \times 2 \times 2 \times 2 \times 2 = 32
อย่างไรก็ตามก็ยังมีการใช้สัญกรณ์อื่น ๆ แทนการคูณโดยทั่วไป อาทิ
ใช้จุดกลาง (·) หรือไม่ก็มหัพภาค (.) อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น 5 · 2 หรือ 5 . 2 การใช้จุดกลางเป็นมาตรฐานในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และประเทศอื่นๆ ที่ใช้มหัพภาคเป็นจุดทศนิยม แต่ในบางประเทศที่ใช้จุลภาคเป็นจุดทศนิยม จะใช้มหัพภาคเป็นการคูณแทน
ใช้ดอกจัน (*) เช่น 5*2 มักใช้ในภาษาโปรแกรมเพราะเครื่องหมายนี้ปรากฏอยู่บนทุกแป้นพิมพ์ และสามารถดูได้ง่ายบนจอมอนิเตอร์รุ่นเก่า การใช้เครื่องหมายนี้แทนการคูณเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ภาษาฟอร์แทรน
ในพีชคณิต การคูณที่เกี่ยวกับตัวแปรมักจะเขียนให้อยู่ติดกัน เรียกว่า juxtaposition ตัวอย่างเช่น xy หมายถึง x คูณ y และ 5x หมายถึง 5 คูณ x เป็นต้น สัญกรณ์เช่นนี้สามารถใช้กับจำนวนที่ครอบด้วยวงเล็บ เช่น 5(2) หรือ (5)(2) ก็จะหมายถึง 5 คูณ 2
ในการคูณเมทริกซ์ มีความแตกต่างระหว่างการใช้สัญลักษณ์กากบาทกับจุด กากบาทใช้แทนการคูณเวกเตอร์ ในขณะที่จุดใช้แทนการคูณสเกลาร์ ดังนั้นการตั้งชื่อเรียกจึงแตกต่างกันคือผลคูณไขว้และผลคูณจุดตามลำดับ
จำนวนที่ถูกคูณโดยทั่วไปเรียกว่า ตัวประกอบ (factor) หรือ ตัวตั้งคูณ (multiplicand) ส่วนจำนวนที่นำมาคูณเรียกว่า ตัวคูณ (multiplier) ตัวคูณของตัวแปรหรือนิพจน์ในพีชคณิตจะเรียกว่า สัมประสิทธิ์ (coefficient) ซึ่งจะเขียนไว้ทางซ้ายของตัวแปรหรือนิพจน์ เช่น 3 เป็นสัมประสิทธิ์ของ 3xy2
ผลลัพธ์ที่เกิดจากการคูณเรียกว่า ผลคูณ (product) หรือเรียกว่า พหุคูณ (multiple) ของตัวประกอบแต่ละตัวที่เป็นจำนวนเต็ม ตัวอย่างเช่น 15 คือผลคูณของ 3 กับ 5 และในขณะเดียวกัน 15 ก็เป็นทั้งพหุคูณของ 3 และพหุคูณของ 5 ด้วย
== ผลคูณของลำดับ ==
ถ้าพจน์แต่ละพจน์ของผลคูณไม่ได้เขียนออกมาทั้งหมด เราอาจจะใช้เครื่องหมายจุดไข่ปลาแทนพจน์ที่หายไป เช่นเดียวกับการดำเนินการอื่น ๆ (เช่น การบวก) เช่น ผลคูณของจำนวนธรรมชาติ ตั้งแต่ 1-100 อาจเขียน 1 \cdot 2 \cdot \ldots \cdot 99 \cdot 100. และสามารถเขียนให้เครื่องหมายจุดไข่ปลาอยู่บริเวณกึ่งกลางแนวตั้งของแถวได้อีกด้วย คือ 1 \cdot 2 \cdot \cdots \cdot 99 \cdot 100.
นอกจากนี้แล้ว ผลคูณยังสามารถเขียนได้ด้วยเครื่องหมายผลคูณ ซึ่งมาจาก อักษร Π (Pi) ตัวใหญ่ ในอักษรกรีก.
ตัวอย่างเช่น
\prod_{i=m}^{n} x_{i} := x_{m} \cdot x_{m+1} \cdot x_{m+2} \cdot \cdots \cdot x_{n-1} \cdot x_{n}.
ตัวห้อยของประโยคสัญลักษณ์ข้างต้นแทนตัวแปรหุ่น (สำหรับประโยคนี้คือ i) และขอบเขตล่าง (m); ตัวยกแทนขอบเขตบน (n) เช่น
\prod_{i=2}^{6} \left(1 + {1\over i}\right) = \left(1 + {1\over 2}\right) \cdot \left(1 + {1\over 3}\right) \cdot \left(1 + {1\over 4}\right) \cdot \left(1 + {1\over 5}\right) \cdot \left(1 + {1\over 6}\right) = {7\over 2}.
เรายังสามารถหาผลคูณที่มีพจน์เป็นอนันต์ได้อีกด้วย เรียกว่าผลคูณอนันต์
ในการเขียน เราจะแทนที่ n ด้านบนด้วยเครื่องหมายอนันต์ (∞).
ผลคูณของพจน์จะกำหนดด้วยขีดจำกัดของผลคูณของ n พจน์แรก โดย n เพิ่มขึ้นโดยไม่มีขอบเขต เช่น
\prod_{i=m}^{\infty} x_{i} := \lim_{n\to\infty} \prod_{i=m}^{n} x_{i}
นอกจากนี้ยังสามารถแทน m ด้วยจำนวนลบอนันต์
\prod_{i=-\infty}^\infty x_i := \left(\lim_{n\to\infty}\prod_{i=-n}^m x_i\right) \cdot \left(\lim_{n\to\infty}\prod_{i=m+1}^n x_i\right),
และสำหรับจำนวนเต็ม m บางจำนวน สามารถกำหนดได้ทั้งอนันต์และลบอนันต์
== นิยาม ==
สำหรับความหมายของการคูณ ผลคูณของจำนวนธรรมชาติ n และ m ใด ๆ
nm := \sum_{k=1}^n m
กล่าวสั้น ๆ คือ 'บวก m เข้ากับตัวเอง n ตัว' สามารถเขียนได้ในลักษณะนี้เพื่อให้ชัดเจนมากขึ้น
n × m = m + m + m + ... + m
หมายถึงมีจำนวน 'm' n ตัวบวกกันนั่นเอง
5 × 2 = 2 + 2 + 2 + 2 + 2 = 10
2 × 5 = 5 + 5 = 10
4 × 3 = 3 + 3 + 3 + 3 = 12
6 × m = m + m + m + m + m + m = 6m
โดยใช้นิยาม เราสามารถพิสูจน์สมบัติของการคูณได้โดยง่ายดาย โดยดูจากสองตัวอย่างข้างต้น เรามีสมบัติว่า จำนวนสองจำนวนที่คูณกันสามารถสลับที่กันได้โดยผลคูณยังคงเดิม เราเรียกสมบัตินี้ว่า สมบัติการสลับที่ และ สมบัตินี้เป็นจริงสำหรับจำนวน x และ y ใด ๆ นั่นคือ
x · y = y · x.
นอกจากนี้ การคูณยังมีสมบัติการเปลี่ยนหมู่อีกด้วย ความหมายสำหรับจำนวน x,y และ z ใด ๆ คือ
(x · y)z = x(y · z).
หมายเหตุจากพีชคณิต: เครื่องหมายวงเล็บ หมายถึง การดำเนินภายในวงเล็บจะต้องกระทำก่อนการดำเนินการภายนอกวงเล็บ
การคูณมีสมบัติการแจกแจง เพราะ
x(y + z) = xy + xz.
มีสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการคูณกับ 1 นั่นคือ
1 · x = x.
เราเรียก 1 ว่า จำนวนเอกลักษณ์
สำหรับเลข 0 เราจะได้
m · 0 = 0 + 0 + 0 +...+ 0
เมื่อเรานำ '0' m ตัวมาบวกกัน ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมเป็นศูนย์ นั่นคือ
m · 0 = 0
ไม่ว่า m จะเป็นจำนวนใด (แม้กระทั่งอนันต์).
การคูณกับจำนวนลบอาจจะต้องมีการคิดเล็กน้อย เริ่มจากการคูณ (−1) กับจำนวนเต็ม m ใด ๆ
m(−1) = (−1) + (−1) +...+ (−1) = −m
นี่เป็นความจริงที่น่าสนใจว่า จำนวนลบ คือ จำนวนลบหนึ่ง คูณกับจำนวนบวกนั่นเอง เพราะฉะนั้นผลคูณระหว่างจำนวนบวกกับจำนวนลบทำได้โดยการคูณปกติ แล้วคูณด้วย (−1)
(−1)(−1) = −(−1) = 1
ในขณะนี้ เราสามารถสรุปการคูณระหว่างจำนวนเต็มสองจำนวนใด ๆ ได้แล้ว และนิยามนี้ยังขยายไปสำหรับเซตของเศษส่วน หรือ จำนวนตรรกยะ และขยายไปถึงจำนวนจริงและจำนวนเชิงซ้อน
หลายคนอาจสงสัยถ้าบอกว่า ผลคูณของ'ไร้จำนวน' คือ 1
รูปแบบนิยามเรียกซ้ำของการคูณเป็นไปตามกฎ
x · 0 = 0
x · y = x + x·(y − 1)
เมื่อ x เป็นจำนวนจริง และ y เป็นจำนวนธรรมชาติ เมื่อเรากำหนดนิยามของการคูณจำนวนธรรมชาติแล้ว เรายังขยายผลไปถึงจำนวนเต็ม จำนวนจริง และจำนวนเชิงซ้อนได้
== การคำนวณ ==
วิธีการคูณจำนวนโดยการทดลงกระดาษตามปกติ จำเป็นต้องใช้สูตรคูณที่ท่องจำ ซึ่งเป็นผลคูณของเลข 1−2 หลัก เพื่อให้สามารถตั้งคูณได้ แต่สำหรับวิธีการแบบชาวอียิปต์โบราณไม่เป็นเช่นนั้น ดังที่จะได้กล่าวต่อไป
การคูณจำนวนมากกว่าสองจำนวนบนเลขฐานสิบอาจทำให้เกิดความเบื่อหน่าย และก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย จึงมีการคิดค้นลอการิทึมสามัญ (ลอการิทึมฐานสิบ) เพื่อทำให้คำนวณง่ายขึ้น นอกจากนั้นสไลด์รูลก็เป็นเครื่องมือช่วยคูณจำนวนอย่างรวดเร็ว และได้ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำประมาณสามหลัก และตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็มีการประดิษฐ์เครื่องคิดเลขเชิงกล ซึ่งสามารถคูณเลขได้โดยอัตโนมัติถึง 10 หลัก ปัจจุบันนี้ใช้เครื่องคิดเลขอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แทน ซึ่งสามารถช่วยประหยัดเวลาการคูณเลขไปได้อย่างมาก
=== ขั้นตอนวิธีในประวัติศาสตร์ ===
วิธีการคูณหลายวิธีมีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยอารยธรรมอียิปต์ กรีซ บาบิโลเนีย ลุ่มแม่น้ำสินธุ และจีน
==== อียิปต์ ====
วิธีการคูณจำนวนเต็มและเศษส่วนของชาวอียิปต์โบราณ ดังเช่นที่ระบุไว้ใน Ahmes Papyrus เป็นการบวกต่อเนื่องกันและการเพิ่มค่าเป็นสองเท่า ตัวอย่างเช่น การหาผลคูณของ 13 กับ 21 ก่อนอื่นจะต้องเพิ่มค่า 21 เป็นสองเท่า 3 ครั้ง ซึ่งจะได้ 1 × 21 = 21, 2 × 21 = 42, 4 × 21 = 84, 8 × 21 = 168 จากนั้นจึงรวมพจน์ที่เหมาะสมเข้าด้วยกันจนได้ผลคูณ นั่นคือ
13 × 21 = (1 + 4 + 8) × 21 = (1 × 21) + (4 × 21) + (8 × 21) = 21 + 84 + 168 = 273
==== บาบิโลเนีย ====
เนื่องจากชาวบาบิโลนใช้ระบบเลขเชิงตำแหน่งฐานหกสิบ ซึ่งเทียบได้กับเลขฐานสิบของปัจจุบัน แต่มีสัญลักษณ์แทนเลขโดดในแต่ละหลักถึง 60 ตัว ดังนั้นการคูณของชาวบาบิโลนจึงคล้ายกับวิธีการตั้งคูณในปัจจุบัน แต่เนื่องจากเป็นการยากที่จะจดจำผลคูณที่แตกต่างกันทั้งหมด 60 × 60 จำนวน นักคณิตศาสตร์ชาวบาบิโลนจึงใช้ตารางการคูณ (สูตรคูณ) เข้าช่วย ตารางเหล่านี้ประกอบด้วยรายชื่อของพหุคูณ 20 จำนวนแรกของจำนวนที่สำคัญ n ซึ่งจะได้ n, 2n, ..., 20n ตามด้วยพหุคูณของ 10n นั่นคือ 30n, 40n, และ 50n การคำนวณผลคูณคือการบวกค่าในตารางผลคูณเข้าด้วยกัน เช่น 53n ก็หาได้จากการบวกค่าของ 50n กับ 3n เป็นต้น
==== จีน ====
ในตำราเรียนคณิตศาสตร์ของจีนชื่อว่า Zhou Pei Suan Ching (周髀算經) เมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล และหนังสือ The Nine Chapters on the Mathematical Art (九章算術) ได้อธิบายวิธีการคูณโดยการเขียนเป็นตัวหนังสือ ถึงแม้ว่านักคณิตศาสตร์ชาวจีนสมัยก่อนจะใช้ลูกคิดคำนวณด้วยมือทั้งการบวกและการคูณ
==== ลุ่มแม่น้ำสินธุ ====
นักคณิตศาสตร์ชาวฮินดูในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุในสมัยก่อน ใช้กลวิธีที่หลากหลายเพื่อคำนวณการคูณ ซึ่งการคำนวณส่วนใหญ่จะทำบนกระดานชนวนขนาดเล็ก เทคนิคหนึ่งที่ใช้กันคือการคูณแลตทิซ (lattice multiplication) เริ่มตั้งแต่การวาดตารางขึ้นมาหนึ่งตาราง กำกับด้วยตัวตั้งและตัวคูณลงบนแถวและหลัก แต่ละช่องจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนตามแนวทแยง เป็นแลตทิซรูปสามเหลี่ยม ซึ่งเฉียงเป็นแนวเดียวกันทุกช่อง จากนั้นแต่ละช่องสี่เหลี่ยมให้เขียนผลคูณของเลขโดดที่กำกับไว้ลงไป ผลคูณของจำนวนจะหาได้จากการรวมแถวที่เป็นแนวเฉียงเข้าด้วยกันทีละหลัก
==สมบัติ==
สำหรับจำนวนจริงและจำนวนเชิงซ้อน รวมทั้งจำนวนธรรมชาติ จำนวนเต็ม และ จำนวนตรรกยะ การคูณมีสมบัติต่อไปนี้:
สมบัติการสลับที่
ผลลัพธ์ของการคูณไม่ขึ้นกับลำดับของตัวตั้งและตัวคูณ:
:x\cdot y = y\cdot x
สมบัติการเปลี่ยนหมู่
ลำดับการดำเนินการคูณ(หรือการบวก)ไม่มีผลต่อผลลัพธ์:
:(x\cdot y)\cdot z = x\cdot(y\cdot z)
สมบัติการแจกแจง
เป็นจริงกับการคูณเหนือการบวก สมบัตินี้สำคัญมากเพราะใช้ทำให้นิพจน์พีชคณิตอยู่ในรูปอย่างง่าย:
:x\cdot(y + z) = x\cdot y + x\cdot z
เอกลักษณ์การคูณ
เอกลักษณ์การคูณคือ 1 จำนวนใด ๆ คูณด้วยหนึ่งได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนนั้น อาจเรียกสมบัตินี้ว่าสมบัติเอกลักษณ์:
:x\cdot 1 = x
สมาชิกศูนย์
จำนวนใด ๆ คูณด้วยศูนย์ ได้ผลลัพธ์เป็นศูนย์ สมบัตินี้เรียกว่าสมบัติการคูณด้วยศูนย์:
:x\cdot 0 = 0
จำนวนธรรมชาติอาจรวมศูนย์หรือไม่ก็ได้
สมบัติบางประการของการคูณอาจเป็นจริงสำหรับจำนวนบางระบบเท่านั้น
นิเสธ
ลบหนึ่งคูณกับจำนวนใด ๆ เท่ากับตัวผกผันการบวกของจำนวนนั้น
:(-1)\cdot x = (-x)
ลบหนึ่งคูณลบหนึ่งเป็นบวกหนึ่ง
:(-1)\cdot (-1) = 1
จำนวนธรรมชาติไม่รวมจำนวนลบ
ตัวผกผัน
จำนวน x ใด ๆ นอกเหนือจากศูนย์ มีตัวผกผันการคูณคือ \frac{1}{x} ที่ x\cdot\left(\frac{1}{x}\right) = 1
การคงการเรียงอันดับ
การคูณด้วยจำนวนบวกคงอันดับความมากน้อย:
:ถ้า a > 0 แล้ว(ถ้า b > c แล้ว ab > ac)
การคูณด้วยจำนวนลบสลับอันดับความมากน้อย:
:ถ้า a แล้ว(ถ้า b > c แล้ว ab )
ไม่มีการเรียงลำดับจำนวนเชิงซ้อน
ระบบคณิตศาสตร์นอกเหนือจากนี้ที่มีการดำเนินการคูณอาจไม่มีสมบัตินี้ทั้งหมด เช่นการคูณไม่มีสมบัติการสลับที่สำหรับเมทริกซ์และควอเทอร์เนียน
== ดูเพิ่ม ==
การคูณอย่างง่าย
ส่วนกลับ
สูตรคูณ
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Multiplication Worksheets
Multiplication
Arithmetic Operations In Various Number Systems
การคูณ
เลขคณิตมูลฐาน
การดำเนินการทวิภาค
สัญกรณ์คณิตศาสตร์
|
thaiwikipedia
| 1,111 |
สูตรคูณ
|
ในคณิตศาสตร์ สูตรคูณ เป็นสูตรคณิตศาสตร์ซึ่งใช้เพื่อแสดงวิธีคูณเลขตามระบบพีชคณิต
== ในเลขคณิตพื้นฐาน ==
สูตรคูณเป็นตารางกริดที่หัวแถวและคอลัมน์เป็นเลขที่จะนำมาคูณ และตัวเลขในแต่ละช่องคือผลคูณดังกล่าว
จากตาราง ค่าของ 3 × 6 หาได้จากช่องที่ 3 กับ 6 ตัดกัน ได้คำตอบเป็น 18
== การนำไปใช้ทั่วไป ==
โดยปกติแล้ว ใช้สูตรคูณเป็นคอลัมน์เพื่อให้จดจำง่ายตามรูปแบบดังนี้
1 × 7 = 7
2 × 7 = 14
3 × 7 = 21
4 × 7 = 28
5 × 7 = 35
6 × 7 = 42
7 × 7 = 49
8 × 7 = 56
9 × 7 = 63
10 × 7 = 70
11 × 7 = 77
12 × 7 = 84
== รูปแบบที่ปรากฏในตารางคูณ ==
ตัวอย่างสำหรับสูตรคูณแม่ 6
2 × 6 = 12
4 × 6 = 24
6 × 6 = 36
8 × 6 = 48
10 × 6 = 60
ในรูปทั่วไป
ตัวเลข × 6 = ครึ่งหนึ่งของตัวเลขคูณสิบ + ตัวเลข
1 × 6 = 05 + 1 = 6
2 × 6 = 10 + 2 = 12
3 × 6 = 15 + 3 = 18
4 × 6 = 20 + 4 = 24
5 × 6 = 25 + 5 = 30
6 × 6 = 30 + 6 = 36
7 × 6 = 35 + 7 = 42
8 × 6 = 40 + 8 = 48
9 × 6 = 45 + 9 = 54
10 × 6 = 50 + 10 = 60
การคูณ
การศึกษาคณิตศาสตร์
|
thaiwikipedia
| 1,112 |
จังหวัดเพชรบุรี
|
เพชรบุรี (/เพ็ดชะบุรี/; เดิมสะกดว่า เพ็ชร์บุรี) เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันตก (บ้างก็จัดอยู่ในภาคกลางตอนล่าง ด้านของการพยากรณ์อากาศจัดอยู่ภาคใต้ตอนบน) มีภูมิประเทศทั้งเป็นที่สูงติดเทือกเขาและที่ราบชายฝั่งทะเล มักเรียกชื่อสั้น ๆ ว่า เมืองเพชร เดิมเรียก พริบพรี และจากหลักฐานในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปรากฏชื่อว่า ศรีชัยวัชรปุระ
จังหวัดเพชรบุรีมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งผลิตน้ำตาล เนื่องจากมีต้นตาลหนาแน่น เป็นเมืองเก่าแก่ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เพชรบุรีเป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณและเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของไทยในกลุ่มหัวเมืองฝ่ายตะวันตก ปัจจุบันมีวัดเก่าแก่และบ้านเรือนทรงไทยจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีคำพูดติดปากว่า นักเลงเมืองเพชร ปัจจุบันเพชรบุรีเป็นเมืองด่านสำคัญระหว่างภาคกลางและภาคใต้ และยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น หาดชะอำ หาดปึกเตียน หาดเจ้าสำราญ แหลมหลวง แหลมเหลว และเขื่อนแก่งกระจาน
== ประวัติ ==
เพชรบุรีเป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณและเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของไทยในกลุ่มหัวเมืองฝ่ายตะวันตก มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ มีหลักฐานชื่อเรียกปรากฏในหนังสือชาวต่างประเทศ เช่น ชาวฮอลันดาเรียกว่า พิพรีย์ ชาวฝรั่งเศสเรียกว่า พิพพีล์ และ ฟิฟรี จึงสันนิษฐานกันว่าชื่อ "เมืองพริบพรี" เป็นชื่อเดิมของเมืองเพชรบุรี ซึ่งสอดคล้องกับชื่อวัดพริบพลีที่เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัด และที่วัดแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ตั้งเสาชิงช้าอีกด้วย
เพชรบุรี (ศรีชัยวัชรบุรี) เป็นเมืองเก่าแก่มาแต่โบราณ เคยเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ อาณาจักรหนึ่ง บางสมัยมีเจ้าผู้ครองนครหรือกษัตริย์ปกครองเป็นอิสระ บางสมัยอาจจะตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรที่เข้มแข็งกว่า เจ้าผู้ครองนครได้ส่งเครื่องบรรณาการไปยังเมืองจีนเป็นประจำ เพชรบุรีมีปรากฏเป็นหลักฐานมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เช่น พระปรางค์ 5 ยอด ณ วัดมหาธาตุวรวิหาร และปราสาทหินศิลาแลง ณ วัดกำแพงแลงเป็นต้น โดยที่มาของชื่อเมืองนั้นอาจเรียกตามตำนานที่เล่าสืบกันมาว่าในสมัยโบราณเคยมีแสงระยิบระยับในเวลาค่ำคืนที่เขาแด่น ทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่ามีเพชรพลอยบนเขานั้นจึงพากันไปค้นหาแต่ก็ไม่พบ จึงได้ออกค้นหาในเวลากลางคืนแล้วใช้ปูนที่ใช้สำหรับกินหมากป้ายเป็นตำหนิไว้เพื่อมาค้นหาในเวลากลางวัน แต่ก็ไม่พบ บ้างก็ว่าเรียกตามชื่อของแม่น้ำเพชรบุรี เมืองเพชรบุรีมีศิลปวัตถุมากมาย เป็นหลักฐานที่แสดงว่าเพชรบุรีเคยเป็นบ้านเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นชุมชนถาวรมาตั้งแต่สมัยทวารวดี เช่น ศิลปะปูนปั้น ทั้งนี้ก็เป็นไปได้ที่มีการเปลี่ยนชื่อ "วัชรปุระ" เป็น "เพชรบุรี" จากแผลงคำในชื่อ "วัชร" เป็น "เพชร" โดยเปลี่ยนจาก "ว" เป็น "พ"
=== สมัยสุโขทัย ===
แม้อาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงจะมีอำนาจครอบคลุมเพชรบุรี แต่เพชรบุรีก็ยังมีอิสระอยู่มาก สามารถส่งทูตไปจีนได้ ต้นวงศ์ของกษัตริย์เพชรบุรีในช่วงสมัยสุโขทัยคือ พระพนมทะเลศิริ ผู้เป็นเชื้อสายของพระเจ้าพรหมแห่งเวียงไชยปราการ ราชวงศ์นี้ได้ครองเมืองเพชรบุรีมาจนถึงสมัยพระเจ้าอู่ทองจึงได้เสด็จไปสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
=== สมัยอยุธยา ===
ในสมัยอยุธยาตอนต้น เพชรบุรีขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาในแบบศักดินาสวามิภักดิ์มีขุนนางควบคุมเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ อำนาจในส่วนกลางมีมากขึ้น เพชรบุรียังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกรุงศรีอยุธยา ดังนั้นอำนาจจากส่วนกลางจึงมามีส่วนในการปกครองเพชรบุรีมากกว่าเดิม
ในสมัยพระมหาธรรมราชา (พ.ศ. 2113) พระยาละแวก เจ้าเมืองเขมร ยกกองทัพมาสู้กับกองทัพอยุธยา แต่สู้ไม่ได้ จึงแพ้และหนีไป อีก 5 ปีต่อมา (พ.ศ. 2118) พระยาละแวกยกทัพเรือมาที่อยุธยาอีก สู้อยุธยาไม่ได้อีก จึงยกกองทัพกลับไป ต่อมา พ.ศ. 2121 ทางเขมรได้ให้พระยาจีนจันตุยกทัพมาตีเมืองเพชรบุรี แต่ชาวเพชรบุรีป้องกันเมืองไว้ได้ ต่อมา พ.ศ. 2124 อยุธยาติดพันรบกับกบฏ พระยาละแวกก็เลยชิงยกกองทัพเรือมาเองมีกำลังประมาณ 7,000 คน เมืองเพชรบุรีจึงตกเป็นของเขมร จนถึงสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงตีเขมรชนะ เพชรบุรีจึงเป็นอิสระ โดยใน พ.ศ. 2136 เมื่อสมเด็จพระนเรศวรฯ พิจารณานิสัยสันดานของเขมรแล้วเจ็บช้ำพระทัย จึงยกกองทัพไปตีเขมร จับครอบครัวเอาไว้แล้วมาไว้ที่อยุธยา ตัดคอล้างพระบาท เพราะชอบฉกฉวยโอกาสขณะที่อยุธยาตีติดทัพที่อื่น แต่พระองค์ท่านยังมีพระเมตตา ให้โอกาสลูกชายคนโตของพระยาละแวก กลับไปปกครองเขมรต่อ แล้วให้ระบุว่า จะต้องไม่เป็นกบฏต่ออยุธยา และต้องเป็นเมืองขึ้นของสยามต่อไป และเนื่องจากทรงโปรดปรานเมืองเพชรบุรีเป็นพิเศษ จึงได้เสด็จมาประทับที่เมืองเพชรบุรีเป็นเวลาถึง 5 ปี ก่อนจะทรงยกทัพใหญ่ไปปราบพม่า และสวรรคตที่เมืองหาง
เจ้าเมืองเพชรบุรีและชาวเมืองเพชรบุรีได้ร่วมเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับข้าศึกหลายครั้ง นับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, สมเด็จพระเชษฐาธิราช และสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ โดยเฉพาะในสมัยพระเทพราชา การปราบปรามเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งแข็งเมืองนั้น พระยาเพชรบุรีได้เป็นกำลังสำคัญในการส่งเสบียงให้แก่กองทัพฝ่ายราชสำนักอยุธยา อย่างไรก็ดีเมืองเพชรบุรีถูกตีแตกอีกครั้ง เมื่อพม่าโดยมังมหานรธราได้ยกมาตีไทย จนไทยต้องเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเป็นครั้งที่ 2 นั่นเอง
=== สมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ ===
ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจนถึงสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ไทยยังคงทำสงครามกับพม่ามาโดยตลอด ซึ่งเจ้าเมืองและชาวเมืองเพชรบุรีก็ยังคงมีส่วนร่วมในการทำสงครามดังกล่าว จนเมื่อพม่าตกเป็นของอังกฤษ บทบาทของเมืองเพชรบุรีที่มีต่อเมืองหลวงและราชสำนักจึงค่อย ๆ เปลี่ยนไป
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดปรานเมืองเพชรบุรีตั้งแต่ครั้งยังผนวช และเมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว โปรดให้สร้างพระราชวัง วัด และพระเจดีย์ใหญ่ขึ้นบนเขาเตี้ย ๆ ใกล้กับตัวเมืองและพระราชทานนามว่า “พระนครคีรี” ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังอีกแห่งหนึ่งในตัวเมืองเพชรบุรี คือ “พระรามราชนิเวศน์” หรือที่เรียกกันภาษาชาวบ้านว่า “วังบ้านปืน” และด้วยความเชื่อที่ว่าอากาศชายทะเลและน้ำทะเลอาจบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง “พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน” ที่ชายหาดชะอำเพื่อใช้เป็นที่ประทับรักษาพระองค์
== ภูมิศาสตร์ ==
=== ที่ตั้งและอาณาเขต ===
จังหวัดเพชรบุรีอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ตามเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35 ระยะทางประมาณ 123 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 6,225.138 ตารางกิโลเมตรหรือ 3,890,711.20 ไร่ โดยมีส่วนที่กว้างที่สุดวัดได้ 103 กิโลเมตรจากทิศตะวันออก-ตะวันตกและส่วนที่ยาวที่สุดวัดได้ 80 กิโลเมตรจากทิศเหนือ-ใต้ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดและประเทศใกล้เคียงต่อไปนี้
ด้านเหนือ ติดกับอำเภอบ้านคา อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี กับอำเภออัมพวาและอำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม
ด้านตะวันออก ติดชายฝั่งอ่าวไทย (น่านน้ำติดต่อตรงข้ามกับน่านน้ำจังหวัดชลบุรี ด้านทิศใต้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ด้านทิศเหนือ น่านน้ำจังหวัดสมุทรสงคราม น่านน้ำจังหวัดสมุทรสาคร น่านน้ำกรุงเทพมหานคร และน่านน้ำจังหวัดสมุทรปราการ) จากจุดอักษร ก. ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ ละติจูด 12 องศา-35 ลิปดา45 ฟิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 49 องศา-47 ลิปดา-30 ฟิลิปดาตะวันออก; ขนานกับเส้นละติจูดไปถึงจุดหมายเลข (1) ละติจูด 12 องศา-35 ลิปดา-45 ฟิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 ฟิลิปดาตะวันออก จากจุดอักษร ข. บนเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดเพชรบุรีกับจังหวัดสมุทรสงครามไปถึงจุดหมายเลข (2) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 ฟิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-10 ลิปดา-00 ฟิลิปดาตะวันออก; แล้วขนานกับเส้นละติจูดไปถึงจุดหมายเลข (3), ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 ฟิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 ฟิลิปดาตะวันออก จากจุดหมายเลข (3) ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 ฟิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 ฟิลิปดาตะวันออก; ขนานกับเส้นลองจิจูดไปบรรจบกันที่จุดหมายเลข (1) ละติจูด 12 องศา-35 ลิปดา-45 ฟิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 ฟิลิปดาตะวันออก
ด้านใต้ ติดกับอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ด้านตะวันตก ติดกับภาคตะนาวศรีของประเทศพม่า
=== ภูมิประเทศ ===
พื้นที่ด้านตะวันตกเป็นป่าไม้และภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีเทือกเขาตะนาวศรีเป็นเส้นกั้นอาณาเขตระหว่างไทยกับพม่า เฉพาะในเขตจังหวัดเพชรบุรีมีความยาวประมาณ 120 กิโลเมตร แม่น้ำสายสำคัญไหลผ่าน 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำเพชรบุรี มีความยาวตลอดสาย 227 กิโลเมตร แม่น้ำบางกลอย มีความยาว 44 กิโลเมตร และแม่น้ำบางตะบูน มีความยาว 18 กิโลเมตร มีประชากรอาศัยหนาแน่นทางตะวันออกของพื้นที่ ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเล ลักษณะภูมิประเทศจังหวัดเพชรบุรี แบ่งเป็น 3 เขต คือ
ก. เขตภูเขาและที่ราบสูง อยู่ทางด้านตะวันตกของจังหวัดติดกับพม่าในบริเวณอำเภอแก่งกระจานและอำเภอหนองหญ้าปล้อง มีภูเขาสูงและเป็นบริเวณที่สูงชันของจังหวัด มีลักษณะเป็นเทือกเขาทอดยาวจากเหนือมาใต้ พื้นที่ถัดจากบริเวณนี้จะค่อย ๆ ลาดต่ำลงมาทางด้านตะวันออก บริเวณนี้เป็นต้นกำเนิดแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำปราณบุรี
ข. เขตที่ราบลุ่มแม่น้ำ บริเวณตอนกลางของจังหวัดซึ่งอุดมสมบูรณ์ที่สุด มีแม่น้ำเพชรบุรีซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่าน และมีเขื่อนแก่งกระจานและเขื่อนเพชรบุรีซึ่งเป็นแหล่งน้ำระบบชลประทาน บริเวณนี้เป็นเขตเกษตรกรรมที่สำคัญของจังหวัด เขตนี้คือบริเวณบางส่วนของอำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง อำเภอชะอำ อำเภอบ้านลาด อำเภอบ้านแหลม และอำเภอเขาย้อย
ค. เขตที่ราบฝั่งทะเล อยู่ทางด้านตะวันออกของจังหวัด ติดกับชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย บริเวณนี้นับเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญยิ่งของจังหวัดในด้านการประมง การท่องเที่ยว เขตนี้ได้แก่ บางส่วนของอำเภอเมืองเพชรบุรี บ้านแหลม ท่ายาง และชะอำ ลักษณะพื้นที่ชายฝั่งเพชรบุรี เหนือแหลมหลวงไปทางทิศเหนือเป็นพื้นที่ชายฝั่งหาดโคลน มีระบบนิเวศป่าชายเลน ด้านทิศใต้ของแหลมหลวงลงไปด้านทิศใต้เป็นหาดทราย แหลมหลวงซึ่งอยู่ในพื้นที่ตำบลแหลมผักเบี้ยจึงเป็นแหลมที่แบ่งระบบนิเวศป่าชายเลน ออกจากระบบนิเวศหาดทราย เหนือแหลมหลวงขึ้นไปด้านทิศเหนือมีลักษณะเป็นหาดโคลนเพราะอยู่ใกล้พื้นที่ชุมน้ำของแม่น้ำสายใหญ่ ได้แก่ แม่น้ำเพชรบุรี แม่น้ำบางตะบูน แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำบางปะกง เมื่อฤดูน้ำหลากน้ำจากแม่น้ำได้พัดพาตะกอนลงสู่ทะเลเป็นจำนวนมาก จึงส่งผลให้พื้นที่ของชายฝั่งแถบนี้มีตะกอนในน้ำสูง ส่งผลให้ชายฝั่งมีโคลนจำนวนมาก ซึ่งเหมาะแก่ระบบนิเวศป่าชายเลน เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ทะเล บริเวณอ่าวไทยในเขตอำเภอบ้านแหลมถือว่าเป็นอ่าวที่พบหอยหลากชนิด เช่น หอยเสียบ หอยปากเป็ด หอยตระกาย หอยตลับ หอยหลอด หอยแครง เป็นต้น โดยเฉพาะหอยแครง เป็นแหล่งที่พบมากที่สุดในโลก ภายหลังได้มีการตัดไม้ป่าชายเลนนำไปเผาถ่าน ทำลายป่าเพื่อทำนากุ้งกุลาดำ จึงส่งผลให้ป่าชายเลนถูกทำลายเป็นจำนวนมาก
=== ภูมิอากาศ ===
จังหวัดเพชรบุรีอยู่ติดอ่าวไทยจึงได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ในฤดูฝน ซึ่งมีผลทำให้ฝนตกชุก และอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงฤดูหนาว จึงทำให้มีอากาศหนาวเย็นในช่วงเวลาดังกล่าว สามารถแบ่งฤดูกาลออกเป็น 3 ฤดู
ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม-เมษายน อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด 32.13 องศาเซลเซียส
ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยปีละ 959.5 มิลลิเมตร
ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุด 24.16 องศาเซลเซียส
ใน พ.ศ. 2550 อุณหภูมิอากาศสูงที่สุด 37 องศาเซลเซียส (19 เมษายน) อุณหภูมิอากาศต่ำที่สุด 16 องศาเซลเซียส (4 กุมภาพันธ์) อุณหภูมิอากาศเฉลี่ยทั้งปี 28.02 องศาเซลเซียส ปริมาณฝนตกรวมทั้งปี 1,113.4 มิลลิเมตร มีจำนวนวันฝนตกวัดได้ตั้งแต่ 0.1 มิลลิเมตร จำนวน 99 วัน จากสถิติปริมาณน้ำฝนตั้งแต่ พ.ศ. 2537–2550 เฉลี่ยวันฝนตกประมาณปีละ 103 วัน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในรอบ 12 ปี (พ.ศ. 2539–2550) 1,003.43 มิลลิเมตรต่อปี โดยมีฝนตกมากในช่วงเดือนกันยายน–ตุลาคม
ไฟล์:Images111.jpg|การค้าขายในแม่น้ำเพชรบุรี
ไฟล์:Jomklaw.jpg|สะพานจอมเกล้าในอดีต
ไฟล์:แม่น้ำเพชรในอดีต.jpg|แม่น้ำเพชรในอดีต
ไฟล์:โรงกลั่นและคลังน้ำมัน.JPG|โรงกลั่นและคลังน้ำมัน
== การเมืองการปกครอง ==
จังหวัดเพชรบุรีมีรูปแบบการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน 3 รูปแบบ คือ
=== การบริหารส่วนกลาง ===
ประกอบด้วยหน่วยงานสังกัดส่วนกลางซึ่งมาตั้งหน่วยปฏิบัติงานในพื้นที่ จำนวน 75 ส่วนราชการ
=== การบริหารส่วนภูมิภาค ===
มีหน่วยราชการที่อยู่ในความควบคุมดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัด คือ ส่วนราชการต่าง ๆ ในระดับจังหวัด และอำเภอ ส่วนราชการในระดับจังหวัดเป็นหน่วยงาน 2 ลักษณะ คือ หน่วยราชการบริหาร ส่วนภูมิภาคประจำจังหวัด และหน่วยราชการบริหารส่วนกลางในจังหวัด (ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง) หน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาคประจำจังหวัดของจังหวัดเพชรบุรีมีทั้งสิ้น 33 หน่วยงาน สังกัดกระทรวงมหาดไทย 8 หน่วยงาน และสังกัดกระทรวง ทบวง กรมอื่น ๆ 26 หน่วยงาน
ระดับจังหวัด ประกอบด้วยส่วนราชการประจำจังหวัด จำนวน 26 ส่วนราชการ
ระดับอำเภอ ประกอบด้วย 8 อำเภอ 93 ตำบล 698 หมู่บ้าน
{|
|--- valign=top
||
อำเภอเมืองเพชรบุรี
อำเภอเขาย้อย
อำเภอหนองหญ้าปล้อง
อำเภอชะอำ
||
อำเภอท่ายาง
อำเภอบ้านลาด
อำเภอบ้านแหลม
อำเภอแก่งกระจาน
||
|}
=== การบริหารส่วนท้องถิ่น ===
การปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบุรี, เทศบาลเมือง 2 แห่ง, เทศบาลตำบล 13 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 69 แห่ง มีรายละเอียดดังนี้
เทศบาลเมือง 2 แห่ง : เทศบาลเมืองเพชรบุรี และ เทศบาลเมืองชะอำ
{|class="wikitable"
|-
!width="13%"|จังหวัด !!width="1%"|ลำดับที่ !!width="20%"|ชื่อ !!width="13%"|อำเภอที่ตั้ง !!width="7%"|เนื้อที่(ตร.กม.) !!width="8%"|ประชากรสิ้นปี 2555(คน) !!width="9%"|ความหนาแน่น(คน/ตร.กม.) !!width="8%"|ปีที่ได้รับการจัดตั้งเป็นเทศบาลเมือง !!width="19%"|ชื่อและ/หรือฐานะก่อนหน้า
|-valign="top"
|-valign="top"
|rowspan="2"| เพชรบุรี ||align=center|1 || เทศบาลเมืองชะอำ || ชะอำ ||110.00 ||34,151 ||310.46 ||align=center|2547 || เทศบาลตำบลชะอำ
|-valign="top"
|align=center|2 || เทศบาลเมืองเพชรบุรี || เมืองเพชรบุรี ||5.40 ||23,811 ||4,409.44 ||align=center|2478 || สุขาภิบาลเมืองเพชรบุรี
|-valign="top"
|-valign="top"
|}
เทศบาลตำบล 13 แห่ง จำแนกตามอำเภอได้ดังนี้
{|class="wikitable" style="line-height:135%"
|-
!width="13%" rowspan=2|อำเภอ !!width="1%" rowspan=2|ลำดับที่!!width="21%" rowspan=2|ชื่อเทศบาล !!colspan=2|ครอบคลุมตำบล(ตาม พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่)!!width="9%" rowspan=2|ปีที่ได้รับการจัดตั้งเป็นเทศบาลตำบล !!width="21%" rowspan=2|ชื่อและ/หรือฐานะก่อนหน้า
|-
!width="17%"|เต็มพื้นที่ !!width="18%"|ไม่เต็มพื้นที่(เฉพาะบางส่วนหรือส่วนใหญ่)
|-valign="top"
|rowspan=3| เมืองเพชรบุรี||align=center|1|| เทศบาลตำบลหนองขนาน|| หนองขนาน||align=center|–||align=center|2555|| องค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนาน
|-valign="top"
|align=center|2|| เทศบาลตำบลหัวสะพาน|| วังตะโก, หัวสะพาน||align=center|–||align=center|2542|| สุขาภิบาลหัวสะพาน
|-valign="top"
|align=center|3|| เทศบาลตำบลหาดเจ้าสำราญ|| หาดเจ้าสำราญ||align=center|–||align=center|2542|| สุขาภิบาลหาดเจ้าสำราญ
|-valign="top"
| เขาย้อย||align=center|1|| เทศบาลตำบลเขาย้อย|| บางเค็ม|| เขาย้อย, ทับคาง, สระพัง ||align=center|2542|| สุขาภิบาลเขาย้อย
|-valign="top"
|rowspan=2| ชะอำ||align=center|1|| เทศบาลตำบลนายาง|| เขาใหญ่, ดอนขุนห้วย, นายาง||align=center|–||align=center|2542|| สุขาภิบาลนายาง
|-valign="top"
|align=center|2|| เทศบาลตำบลบางเก่า|| บางเก่า||align=center|–||align=center|2555|| องค์การบริหารส่วนตำบลบางเก่า
|-valign="top"
|rowspan=4| ท่ายาง||align=center|1|| เทศบาลตำบลท่าไม้รวก|| ท่าไม้รวก||align=center|–||align=center|2551|| องค์การบริหารส่วนตำบลท่าไม้รวก
|-valign="top"
|align=center|2|| เทศบาลตำบลท่ายาง|| ท่ายาง|| ท่าคอย||align=center|2542|| สุขาภิบาลท่ายาง
|-valign="top"
|align=center|3|| เทศบาลตำบลท่าแลง|| ท่าแลง||align=center|–||align=center|2551|| องค์การบริหารส่วนตำบลท่าแลง
|-valign="top"
|align=center|4|| เทศบาลตำบลหนองจอก||align=center|–|| หนองจอก||align=center|2542|| สุขาภิบาลหนองจอก
|-valign="top"
| บ้านลาด||align=center|1|| เทศบาลตำบลบ้านลาด|| บ้านลาด||align=center|–||align=center|2542|| สุขาภิบาลบ้านลาด
|-valign="top"
|rowspan=2| บ้านแหลม||align=center|1|| เทศบาลตำบลบางตะบูน||align=center|–|| บางตะบูน, บางตะบูนออก||align=center|2542|| สุขาภิบาลบางตะบูน
|-valign="top"
|align=center|2|| เทศบาลตำบลบ้านแหลม||align=center|–|| บ้านแหลม||align=center|2542|| สุขาภิบาลบ้านแหลม
|}
องค์การบริหารส่วนตำบล 69 แห่ง จำแนกตามอำเภอได้ดังนี้
* อำเภอเมืองเพชรบุรี : องค์การบริหารส่วนตำบลบางจาน องค์การบริหารส่วนตำบลนาพันสาม องค์การบริหารส่วนตำบลธงชัย องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกุ่ม องค์การบริหารส่วนตำบลหนองโสน องค์การบริหารส่วนตำบลไร่ส้ม องค์การบริหารส่วนตำบลบางจาก องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหม้อ องค์การบริหารส่วนตำบลต้นมะม่วง องค์การบริหารส่วนตำบลช่องสะแก องค์การบริหารส่วนตำบลนาวุ้ง องค์การบริหารส่วนตำบลสำมะโรง องค์การบริหารส่วนตำบลโพพระ องค์การบริหารส่วนตำบลต้นมะพร้าว องค์การบริหารส่วนตำบลโพไร่หวาน องค์การบริหารส่วนตำบลดอนยาง และ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองพลับ
* อำเภอเขาย้อย : องค์การบริหารส่วนตำบลเขาย้อย องค์การบริหารส่วนตำบลหนองปลาไหล องค์การบริหารส่วนตำบลหนองปรง องค์การบริหารส่วนตำบลหนองชุมพล องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยโรง องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยท่าช้าง และ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองชุมพลเหนือ
* อำเภอหนองหญ้าปล้อง : องค์การบริหารส่วนตำบลหนองหญ้าปล้อง องค์การบริหารส่วนตำบลยางน้ำกลัดใต้ และ องค์การบริหารส่วนตำบลท่าตะคร้อ
* อำเภอชะอำ : องค์การบริหารส่วนตำบลหนองศาลา องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยทรายเหนือ องค์การบริหารส่วนตำบลไร่ใหม่พัฒนา และ องค์การบริหารส่วนตำบลสามพระยา
* อำเภอท่ายาง : องค์การบริหารส่วนตำบลท่าคอย องค์การบริหารส่วนตำบลยางหย่อง องค์การบริหารส่วนตำบลหนองจอก องค์การบริหารส่วนตำบลมาบปลาเค้า องค์การบริหารส่วนตำบลวังไคร้ องค์การบริหารส่วนตำบลกลัดหลวง องค์การบริหารส่วนตำบลปึกเตียน องค์การบริหารส่วนตำบลเขากระปุก และ องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านในดง
* อำเภอบ้านลาด : องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหาด องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านทาน องค์การบริหารส่วนตำบลตำหรุ องค์การบริหารส่วนตำบลสมอพลือ องค์การบริหารส่วนตำบลไร่มะขาม องค์การบริหารส่วนตำบลท่าเสน องค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระเจ็ด องค์การบริหารส่วนตำบลหนองกะปุ องค์การบริหารส่วนตำบลไร่โคก องค์การบริหารส่วนตำบลโรงเข้ องค์การบริหารส่วนตำบลไร่สะท้อน องค์การบริหารส่วนตำบลท่าช้าง องค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำรงค์ และ องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยลึก
* อำเภอบ้านแหลม : องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแหลม องค์การบริหารส่วนตำบลบางขุนไทร องค์การบริหารส่วนตำบลปากทะเล องค์การบริหารส่วนตำบลบางแก้ว องค์การบริหารส่วนตำบลแหลมผักเบี้ย องค์การบริหารส่วนตำบลบางตะบูน องค์การบริหารส่วนตำบลบางครก องค์การบริหารส่วนตำบลท่าแร้ง และ องค์การบริหารส่วนตำบลท่าแร้งออก
* อำเภอแก่งกระจาน : องค์การบริหารส่วนตำบลแก่งกระจาน องค์การบริหารส่วนตำบลสองพี่น้อง องค์การบริหารส่วนตำบลวังจันทร์ องค์การบริหารส่วนตำบลป่าเด็ง องค์การบริหารส่วนตำบลพุสวรรค์ และ องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียง
=== รายพระนามและรายชื่อผู้ปกครอง ===
รายพระนามกษัตริย์ผู้ครองแคว้น
|}
รายชื่อเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี
{|class="wikitable"
! colspan="3" style="background: #ffdead;" | รายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี
|-
! ชื่อ
! เข้ารับตำแหน่ง
! สิ้นสุดการดำรงตำแหน่ง
|-
| 1. พระยาเพชรบุรี (ฟู)
| พ.ศ. 2325
| ไม่มีข้อมูล
|-
| 2. พระยมราช (ทองสุก)
| ไม่มีข้อมูล
| ไม่มีข้อมูล
|-
| 3. พระยามหาตาลวันปเทโส (เกตุ)
| ไม่มีข้อมูล
| ไม่มีข้อมูล
|-
| 4. พระยาสุรินทรฦาชัย (บัว)
| พ.ศ. 2399
| พ.ศ. 2401
|-
| 5. เจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค)(ต่อมาเป็นพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์)
| พ.ศ. 2401
| พ.ศ. 2437
|-
| 6. พระยาเพชรพิสัยศรีสวัสดิ์ (เทียน บุนนาค)(ต่อมาเป็นพระยาอัมรินทรฦาชัย)
| พ.ศ. 2437
| พ.ศ. 2440
|-
| 7. พระยาสุรินทรฤๅชัย (เทียม บุนนาค)
| พ.ศ. 2440
| พ.ศ. 2442
|-
| 8. พระยาสุรินทรฤๅชัย (เทียน บุนนาค)(ต่อมาเป็นพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์)
| พ.ศ. 2442
| พ.ศ. 2456
|-
| 9. พระยาเพชรพิสัยศรีสวัสดิ์ (แป้น วสันตสิงห์)
| พ.ศ. 2456
| 10 ธันวาคม พ.ศ. 2460
|-
| 10. พระยาสุรินทรฦาชัย (ทอง จันทรางศุ)
| 10 ธันวาคม พ.ศ. 2460
| 4 ตุลาคม พ.ศ. 2461
|-
| 11. พระยาพัชรินทรฦาชัย (ธูป โอสถานนท์)
| 4 ตุลาคม พ.ศ. 2461
| พ.ศ. 2465
|-
| 12. พระยาสุรพันธ์เสนี (อิ้น บุนนาค)
| พ.ศ. 2465
| พ.ศ. 2469
|-
| 13. พระยาจันตรักษ์ (จำลอง สวัสดิ์ชูโต)
| พ.ศ. 2469
| พ.ศ. 2473
|-
| 14. พระยาวิเศษฤๅชัย (ม.ล.เจริญ อิศรางกูร)
| พ.ศ. 2473
| พ.ศ. 2476
|-
| 15. พ.อ.หลวงอาจศรศิลป์ (เป้า ธนพุทธิ)
| พ.ศ. 2476
| พ.ศ. 2479
|-
| 16. พระบำรุงบุรีราช (วิง หรือ บำรุง สิทธิเทศานนท์)
| พ.ศ. 2479
| พ.ศ. 2484
|-
| 17. หลวงอรรถวิจิตรจรรยารักษ์ (กังวาน วงศ์สกุล)
| พ.ศ. 2484
| พ.ศ. 2485
|-
| 18. หลวงอรรถเกษมทาษา (สวิง อรรถเกษม)
| พ.ศ. 2485
| พ.ศ. 2485
|-
| 19. หลวงอรรถสิทธิสุนทร (พล.ต.อรรถสิทธิ์ สิทธิสุนทร)
| พ.ศ. 2485
| พ.ศ. 2487
|-
| 20. ร.อ.ขุนชาญใช้จักร ร.น. (ชาญ ชาญใช้จักร)
| พ.ศ. 2487
| พ.ศ. 2487
|-
| 21. พระบำรุงบุรีราช (วิง หรือ บำรุง สิทธิเทศานนท์)
| พ.ศ. 2487
| พ.ศ. 2488
|-
| 22. หลวงอรรถวิภาคไพศาลย์ (กระจ่าง อรรถวิภาคไพศาลย์)
| พ.ศ. 2488
| พ.ศ. 2488
|-
| 23. หลวงจรูญ บูรกิจ (จรูญ ณ สงขลา)
| พ.ศ. 2488
| พ.ศ. 2488
|-
| 24. ร.ท.ขุนวรกิจโกศล (ถวิล ระวังศัย)
| พ.ศ. 2488
| พ.ศ. 2489
|-
| 25. ขุนสนิทประชากร (ชลาด สนิทประชากร)
| พ.ศ. 2489
| พ.ศ. 2490
|-
| 26. พระสมัครสโมสร (เสงี่ยม สมัครสโมสร)
| พ.ศ. 2490
| พ.ศ. 2492
|-
| 27. ขุนบุริรักษ์บทวรัญช์ (ชุ่ม บริรักษ์บทวรัญช์)
| พ.ศ. 2492
| พ.ศ. 2493
|-
| 28. นายสนิท วิไลจิตต์
| พ.ศ. 2493
| พ.ศ. 2494
|-
| 29. นายแสวง ทิมทอง
| พ.ศ. 2494
| พ.ศ. 2495
|-
| 30. นายวิทูร จักกะพาก
| พ.ศ. 2495
| พ.ศ. 2496
|}
{|class="wikitable"
|-
! ชื่อ
! เข้ารับตำแหน่ง
! สิ้นสุดการดำรงตำแหน่ง
|-
| 31. นายบุญยฤทธิ์ นาคีนพคุณ
| พ.ศ. 2496
| พ.ศ. 2497
|-
| 32. นายสาย หุตะเจริญ
| พ.ศ. 2497
| พ.ศ. 2497
|-
| 33. นายเกษม สุขุม
| พ.ศ. 2497
| พ.ศ. 2499
|-
| 34. นายชาติ บุณยรัตพันธุ์
| พ.ศ. 2499
| พ.ศ. 2501
|-
| 35. นายจาด อุรัสยะนันทน์
| พ.ศ. 2501
| พ.ศ. 2511
|-
| 36. นายเอนก พยัคฆันตร
| พ.ศ. 2511
| พ.ศ. 2516
|-
| 37. นายประเวส เรืองจรัส
| พ.ศ. 2516
| พ.ศ. 2518
|-
| 38. นายประชุม บุญประคอง
| พ.ศ. 2518
| พ.ศ. 2519
|-
| 39. นายศุภโยค พานิชวิทย์
| พ.ศ. 2519
| พ.ศ. 2523
|-
| 40. นายชัด รัตนราช
| พ.ศ. 2523
| พ.ศ. 2527
|-
| 41. นายเชาวน์วัศ สุดลาภา
| พ.ศ. 2527
| พ.ศ. 2531
|-
| 42. พ.ต.อรุณ สังฆสุบรรณ
| พ.ศ. 2531
| พ.ศ. 2532
|-
| 43. นายอเนก โรจนไพบูลย์
| พ.ศ. 2532
| พ.ศ. 2534
|-
| 44. นายสุชาญ พงษ์เหนือ
| พ.ศ. 2534
| พ.ศ. 2536
|-
| 45. นายคงศักดิ์ ลิ่วมโนมนต์
| พ.ศ. 2536
| พ.ศ. 2539
|-
| 46. นายวิมล พวงทอง
| พ.ศ. 2539
| พ.ศ. 2540
|-
| 47. นายสมบัติ สืบสมาน
| พ.ศ. 2540
| 19 ตุลาคม 2540
|-
| 48. นายศิวะ แสงมณี
| 20 ตุลาคม 2540
| 15 เมษายน 2541
|-
| 49. นายชูชาติ พูลศิริ
| 16 เมษายน 2541
| 30 กันยายน 2542
|-
| 50. นายนิรันดร์ชัย เพชรสิงห์
| 1 ตุลาคม 2542
| 30 กันยายน 2546
|-
| 51. นายกิตติพงษ์ สุนานันท์
| 1 ตุลาคม 2546
| 30 กันยายน 2547
|-
| 52. นายประสงค์ พิทูรกิจจา
| 1 ตุลาคม 2547
| 12 พฤศจิกายน 2549
|-
| 53. นายสยุมพร ลิ่มไทย
| 13 พฤศจิกายน 2549
| 19 ตุลาคม 2551
|-
| 54. นายชาย พานิชพรพันธุ์
| 20 ตุลาคม 2551
| 30 กันยายน 2554
|-
| 55. นายวินัย บัวประดิษฐ์
| 24 พฤศจิกายน 2554
| 7 ตุลาคม 2555
|-
| 56. นายมณเฑียร ทองนิตย์
| 19 พฤศจิกายน 2555
| 30 กันยายน 2558
|-
| 57. นายสนิท ขาวสอาด
| 1 ตุลาคม 2558
| 30 กันยายน 2559
|-
| 58. นางฉัตรพร ราษฎร์ดุษดี
| 1 ตุลาคม 2559
| 30 กันยายน 2561
|-
| 59. นายกอบชัย บุญอรณะ
| 1 ตุลาคม 2561
| 15 มิถุนายน 2563
|-
| 60. นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์
| 16 มิถุนายน 2563
| 30 กันยายน 2564
|-
| 61. นายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร
| 15 ธันวาคม 2564
| 30 กันยายน 2565
|-
| 62. นายณัฏฐชัย นำพูลสุขสันติ์
| 2 ธันวาคม 2565
| ปัจจุบัน
|-
|}
== ประชากร ==
ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550 จังหวัดเพชรบุรีมีประชากร จำนวน 456,061 คน เป็นชาย 220,847 คน หญิง 235,214 คน จำนวนบ้าน 156,457 หลังคาเรือน ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ (ร้อยละ 97.35) และศาสนาอื่น ๆ ได้แก่ ศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 2.49) และศาสนาคริสต์ (ร้อยละ 0.16) รายได้ต่อหัวของประชากรจังหวัดเพชรบุรีใน พ.ศ. 2549 คือ 102,202 บาทต่อคนต่อปี
== ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ==
=== เมืองพี่น้อง ===
จังหวัดเพชรบุรีมีความสัมพันธ์ในฐานะเมืองพี่น้อง (Sister City) กับเมืองดังต่อไปนี้
พารามัตตา ประเทศออสเตรเลีย (พ.ศ. 2538)
หูลู่เต่า ประเทศจีน (พ.ศ. 2544) ความสัมพันธ์ในระดับเทศบาลกับเมือง โดยเทศบาลเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี กับนครหูลู่เต่าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
== การขนส่ง ==
=== ระยะทางจากตัวจังหวัดไปอำเภอต่าง ๆ ===
อำเภอบ้านลาด 9 กิโลเมตร
อำเภอบ้านแหลม 13 กิโลเมตร
อำเภอท่ายาง 20 กิโลเมตร
อำเภอเขาย้อย 24 กิโลเมตร
อำเภอหนองหญ้าปล้อง 35 กิโลเมตร
อำเภอชะอำ 42 กิโลเมตร
อำเภอแก่งกระจาน 47 กิโลเมตร
== สถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญ ==
ศิลปวัฒนธรรมเพชรบุรี
โบราณสถานในเมืองเพชร
หาดเจ้าสำราญ
หาดชะอำ
หาดปึกเตียน
วัดเกษมสุทธาราม
โบสถ์วัดท่าคอย ท่ายาง เพชรบุรี
วัดชายนา ท่ายาง เพชรบุรี
ตลาดริมน้ำท่าน้ำข้ามภพ ท่ายาง เพชรบุรี
พระราชวังรามราชนิเวศ (วังบ้านปืน)
วัดโคมนาราม (ที่จมทะเลไปแล้ว) - วัดโคมนาราม (วัดในบางแก้ว) ปัจจุบันได้ย้ายเข้ามาในแผ่นดินแล้ว สำหรับวัดที่อยู่ที่เดิมได้จมลงในทะเลไปแล้ว หลังจากได้มีการกัดเซาะของกระแสน้ำในทะเลอย่างรุนแรง ยากต่อการป้องกัน ซึ่งหลังจากได้มีการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้ศึกษาและได้ทำการหาวิธีป้องกัน ลดผลกระทบ ในปัจจุบันความรุนแรงของปัญหาการกัดเซาะได้ลดลงบ้าง
วัดปากน้ำ-ท่าหิน เป็นวัดร้างที่คงหลงเหลืออยู่แค่พระพุทธรูปกับซุ้มเท่านี้ อยู่ถนนโพธิ์การ้องใกล้สี่แยกท่าหินที่ไปบางแก้ว
วัดปีป เป็นวัดร้างที่ตั้งอยู่ข้างรางรถไฟในเขตตำบลช่องสะแก อำเภอเมืองเพชรบุรี
ชายฝั่งทะเลสมเด็จพระนเรศมหาราช เป็นชายฝั่งทะเลในพื้นที่แหลมผักเบี้ย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกชื่อชายฝั่งทะเลของจังหวัดเพชรบุรี-จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีความยาว 200 กิโลเมตร มีความยาวคอดไปถึงอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อแสดงถึงวีรกรรม พระปรีชาสามารถของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและเพื่อประกาศพระเกียรติคุณของพระมหากษัตริย์ไทย ให้ปรากฏพระนามบนแผนที่
ไฟล์:WatKomanaram.jpg|วัดโคมนาราม
ไฟล์:WatPakNam.jpg|วัดปากน้ำ
ไฟล์:Jedee watPeep.jpg|วัดปีป
ไฟล์:WatSrabua2.jpg|วัดสระบัว
ไฟล์:Pranakronkiree.jpg|พระนครคีรี
ไฟล์:วัวลาน.JPG|วัวลานเมืองเพชร
ไฟล์:สถานีรถไฟเพชรบุรี.jpg|สถานีรถไฟเพชรบุรี
== ดูเพิ่ม ==
รายชื่อวัดในจังหวัดเพชรบุรี
รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดเพชรบุรี
== เชิงอรรถ ==
== อ้างอิง ==
== บรรณานุกรม ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
จังหวัดริมฝั่งอ่าวไทย
|
thaiwikipedia
| 1,113 |
25 มี.ค.
|
redirect 25 มีนาคม
|
thaiwikipedia
| 1,114 |
จำนวนเฉพาะ
|
ในคณิตศาสตร์ จำนวนเฉพาะ (prime number) คือ จำนวนเต็มบวกที่มากกว่า 1 และมีตัวหารที่เป็นบวกอยู่ 2 ตัว คือ 1 กับตัวมันเอง ตรงข้ามกับจำนวนประกอบ
ลำดับของจำนวนเฉพาะเริ่มต้นด้วย
: 2, 3, 5, 7, 11, 13, 17, 19, 23, 29, 31, 37, 41, 43, 47, 53, 59, 61, 67, 71, 73, 79, 83, 89, 97, 101, 103, 107, 109, 113, 127, 131, 137, 139, 149, 151, 157, 163, 167, 173, 179, 181, 191, 193, 197, 199, ...
ในเดือนธันวาคม 2561 มีข่าวจำนวนเฉพาะที่มากที่สุดเท่าที่มีการค้นพบ ซึ่งมีความยาว 24,862,048 หลัก
== การแทนจำนวนธรรมชาติ ด้วยผลคูณของจำนวนเฉพาะ ==
ทฤษฎีบทมูลฐานของเลขคณิตกล่าวว่า จำนวนเต็มบวกทุกตัวสามารถเขียนได้ในรูปผลคูณของจำนวนเฉพาะ และเขียนได้แบบเดียวเท่านั้น จำนวนเฉพาะเป็นเหมือน "บล็อกก่อสร้าง"ของจำนวนธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น
23244 = 2^2 \times 3 \times 13 \times 149
ไม่ว่าเราจะแยกตัวประกอบของ 23244 แบบใดโดยไม่คำนึงถึงลำดับของตัวประกอบแล้ว มันก็จะไม่ต่างไปจากนี้
== สมบัติมูลฐาน ==
=== การแยกตัวประกอบได้อย่างเดียว ===
ถ้า p เป็นจำนวนเฉพาะ และ p หาร ab ลงตัวแล้ว p หาร a ลงตัว หรือ p หาร b ลงตัว ประพจน์นี้พิสูจน์โดยยุคลิด และมีชื่อเรียกว่า บทตั้งของยุคลิด ใช้ในการพิสูจน์เรื่องการแยกตัวประกอบได้อย่างเดียว
=== การมีอยู่นับไม่ถ้วน ===
มีจำนวนเฉพาะอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ข้อเท็จจริงนี้พร้อมบทพิสูจน์ปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือ Elements โดยยุคลิด จึงได้ชื่อว่าทฤษฎีบทของยุคลิด
บทพิสูจน์ของยุคลิดนั้นเริ่มต้นโดยพิสูจน์ว่า รายการจำกัด p_1, p_2, \dotsc, p_n ของจำนวนเฉพาะใด ๆ จะมีจำนวนเฉพาะอื่นที่ไม่อยู่ในลำดับนี้ แนวคิดหลักของบทพิสูจน์นี้คือ คูณจำนวนเฉพาะ p_1, p_2, \dotsc, p_n ในรายการทุกตัวเข้าด้วยกัน แล้วบวกหนึ่งให้กับผลคูณที่ได้ ซึ่งจะได้เป็นจำนวนใหม่
N = p_1\cdot p_2\dotsb p_n + 1
โดยทฤษฎีบทหลักมูลของเลขคณิต จะได้ว่าจำนวนนี้ต้องแยกตัวประกอบเป็นผลคูณของจำนวนเฉพาะได้
N = q_1 \cdot q_2 \dotsb q_m
(N อาจะมีตัวประกอบเป็นจำนวนเฉพาะตัวเดียวหรือหลายตัวก็ได้ และตัวประกอบเฉพาะเหล่านั้นอาจซ้ำกันก็ได้) แต่เนื่องจากจำนวนเฉพาะใด ๆ ในรายการ p_1, p_2, \dotsc, p_n เมื่อนำไปหาร N แล้วจะหารไม่ลงตัวเสมอ ดังนั้น ตัวประกอบเฉพาะ q_1, q_2 \dotsc, q_m ของ N ต้องเป็นจำนวนเฉพาะอื่นนอกเหนือจากในรายการ p_1, p_2, \dotsc, p_n จึงทำให้ได้ทันทีว่า มีจำนวนเฉพาะอยู่เป็นอนันต์
นอกจากบทพิสูจน์ของยูคลิดแล้ว ยังมีบทพิสูจน์ว่าจำนวนเฉพาะมีเป็นอนันต์ในแบบอื่น ๆ อีก เช่น บทพิสูจน์ของออยเลอร์โดยใช้วิธีการทางคณิตวิเคราะห์ บทพิสูจน์ของคริสเตียน ก็อลท์บัคโดยอาศัยจำนวนแฟร์มา บทพิสูจน์เชิงทอพอโลยีของฮิลแลล ฟัวร์ทสเตนแบร์ก และบทพิสูจน์ของเอิร์นส์ คุมเมอร์
=== การหาจำนวนเฉพาะ ===
ตะแกรงเอราทอสเทนีส และ ตะแกรงของ Atkin เป็นวิธีที่ใช้สร้างรายการจำนวนเฉพาะทั้งหมดตามจำนวนที่กำหนดอย่างรวดเร็ว
ในทางปฏิบัติ เราต้องการตรวจสอบว่าเลขที่กำหนดให้ว่าเป็นจำนวนเฉพาะหรือไม่ มากกว่าจะสร้างรายการจำนวนเฉพาะทั้งหมดขึ้นมา ซึ่งวิธีที่ทดสอบ จะให้คำตอบด้วยความน่าจะเป็น เราสามารถตรวจสอบเลขที่มีขนาดใหญ่ (มี 1 พันหลักขึ้นไป) ว่าเป็นจำนวนเฉพาะหรือไม่ได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้การทดสอบความเป็นจำนวนเฉพาะด้วยความน่าจะเป็น (probabilistic primality tests) ซึ่งวิธีนี้ จะต้องทำการสุ่มตัวเลขขึ้นมาตัวหนึ่ง เรียกว่า "พยาน" (witness) และใช้สูตรที่เกี่ยวข้องกับพยาน และจำนวนเฉพาะ N ทำการทดสอบ หลังจากที่ทดสอบไปหลายรอบ เราจะตอบได้ว่า N เป็น "จำนวนประกอบอย่างแน่นอน" หรือ N "อาจเป็นจำนวนเฉพาะ" วิธีทดสอบไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าเป็นจำนวนเฉพาะอย่างแน่นอนหรือไม่ การทดสอบบางครั้ง เมื่อใส่จำนวนประกอบลงไป ก็ให้คำตอบว่า "อาจเป็นจำนวนเฉพาะ" เสมอ ไม่ว่าจะเลือกพยานตัวใดก็ตาม จำนวนเหล่านี้เรียกว่า จำนวนเฉพาะเทียม (pseudoprimes) สำหรับการทดสอบ
== สมบัติเชิงวิเคราะห์ ==
== พีชคณิตนามธรรม ==
=== สาขาเลขคณิตมอดุลาร์และฟีลด์จำกัด ===
ถ้า p เป็นจำนวนเฉพาะ และ a เป็นจำนวนเต็มใดๆแล้ว ap − a หารด้วย p ลงตัว (ทฤษฎีบทน้อยของแฟร์มาต์)
จำนวนเต็ม p > 1 เป็นจำนวนเฉพาะ ก็ต่อเมื่อ (p − 1) ! + 1 หารด้วย p ลงตัว (ทฤษฎีบทของวิลสัน) ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนเต็ม n > 4 เป็นจำนวนประกอบ ก็ต่อเมื่อ (n− 1) ! หารด้วย n ลงตัว
== การประยุกต์ ==
จำนวนเฉพาะที่มีขนาดใหญ่มาก (ใหญ่กว่า 10100) นำไปใช้ประโยชน์ในขั้นตอนวิธีเข้ารหัสลับแบบกุญแจสาธารณะ นอกจากนี้ยังใช้ในตารางแฮช (hash tables) และเครื่องสุ่มเลขเทียม
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Caldwell, Chris, The Prime Pages at primes.utm.edu.
Prime Numbers at MathWorld
Prime sequencing technologies
MacTutor history of prime numbers
The prime puzzles
An English translation of Euclid's proof that there are infinitely many primes
Number Spiral with prime patterns
An Introduction to Analytic Number Theory, by Ilan Vardi and Cyril Banderier
EFF Cooperative Computing Awards
Why a Number Is Prime by Enrique Zeleny, The Wolfram Demonstrations Project.
=== คำนวณและสร้างจำนวนเฉพาะ ===
Online Prime Number Generator and Checker - instantly checks and finds prime numbers up to 128 digits long (does NOT require Java or Javascript)
Prime number calculator — Check prime number, and find next largest and next smallest prime numbers (requires Javascript).
Fast Online primality test — Dario Alpern's personal site – Makes use of the Elliptic Curve Method (up to thousands digits numbers check!, requires Java)
Prime Number Generator — Generates a given number of primes above a given start number.
Primes from WIMS is an online prime generator.
Huge database of prime numbers
จำนวนเต็ม
ทฤษฎีจำนวน
|
thaiwikipedia
| 1,115 |
อันเดรย์ คอลโมโกรอฟ
|
อันเดรย์ นิโคลาเยวิช คอลโมโกรอฟ (รัสเซีย: Андре́й Никола́евич Колмого́ров; อังกฤษ: Andrey Nikolaevich Kolmogorov), เกิดเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1903 เสียชีวิต 20 ตุลาคม ค.ศ. 1987, เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวรัสเซีย ยักษ์ใหญ่ในวงการคณิตศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมีผลงานโดดเด่นมากในงาน ทฤษฎีความน่าจะเป็นและทอพอโลยี. อันที่จริงแล้ว คอลโมโกรอฟมีผลงานในแทบทุกแขนงของคณิตศาสตร์ เช่น ตรรกศาสตร์, อนุกรมฟูรีเย, ความปั่นป่วน (turbulence), กลศาสตร์คลาสสิก นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในผู้คิดค้น ความซับซ้อนแบบคอลโมโกรอฟ ร่วมกับ เกรโกรี ไชตัง และ เรย์ โซโลโมนอฟ ในช่วงช่วงปี ค.ศ. 1960 ถึง ค.ศ. 1970.
คอลโมโกรอฟเสมือนเป็นบิดาของ ทฤษฎีความน่าจะเป็นสมัยใหม่ (บางครั้งเรียกว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงคณิตศาสตร์) เนื่องจากได้ปูรากฐานของทฤษฎีความน่าจะเป็นใหม่ทั้งหมด ด้วยสัจพจน์ที่เรียบง่ายเพียงไม่กี่ข้อ. โดยงานวิจัยด้านทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงคณิตศาสตร์ในปัจจุบัน (คนละประเภทกับงานวิจัยด้านทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์) มีรากฐานทั้งหมดอยู่บนสัจพจน์คอลโมโกรอฟนี้
เดวิด ซาลส์เบิร์ก กล่าวยกย่องคอลโมโกรอฟว่าเป็น โมซาร์ทแห่งคณิตศาสตร์ ในหนังสือ The Lady Tasting Tea: How Statistics Revolutionized Science in the Twentieth Century
== ประวัติ ==
ในปี ค.ศ. 1920 คอลโมโกรอฟได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งมอสโกว์ และได้ศึกษาในหลายสาขาวิชา โดยนอกจากคณิตศาสตร์และวิทยาศาตร์แล้ว คอลโมโกรอฟยังได้เข้าเรียนวิชาผสมโลหะและประวัติศาสตร์ด้วย. ในเวลานั้นคอลโมโกรอฟได้รับอิทธิพลทางด้านคณิตศาสตร์จากนักคณิตศาสตร์ชื่อดังของรัสเซียหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น พี.เอส. อเล็กซานดรอฟ, ลูซิน, เอโกรอฟ, ซัสลิน และ สเตปานอฟ. โดย พี.เอส. อเล็กซานดรอฟ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้นเพิ่งจะกลับมาทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยมอสโกว์อีกครั้ง ในช่วงที่คอลโมโกรอฟเข้ามาเรียนปริญญาบัณฑิตพอดี. อย่างไรก็ตามคอลโมโกรอฟรู้สึกประทับใจในวิชาอนุกรมตรีโกณมิติที่สเตปานอฟสอนมากที่สุด.
มีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า แม้ขณะที่คอลโมโกรอฟยังเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี เขาก็ได้เริ่มทำงานวิจัยที่มีผลกระทบในวงกว้างแล้ว. ในฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1922 คอลโมโกรอฟได้ทำบทความวิชาการเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางเซตจนเสร็จสิ้น งานชิ้นนี้ได้ขยายแนวความคิดเดิมของซัสลินให้ใช้ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น. และในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน คอลโมโกรอฟสามารถสร้างฟังก์ชันที่มีลักษณะแปลกประหลาด คือ ฟังก์ชันที่หาผลรวมได้แต่ลู่ออกแทบทุกจุด (a summable function which diverged almost everywhere) ซึ่งไม่เคยมีนักคณิตศาสตร์ท่านใดคาดคิดมาก่อนว่าจะมีฟังก์ชันประเภทนี้อยู่จริง งานนี้ส่งผลให้ชื่อของคอลโมโกรอฟเริ่มกระจายไปทั่วโลก. และในช่วงเวลาเดียวกันนี้คอลโกโกรอฟก็ยังสนใจงานคณิตวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นอนุพันธ์ ปริพันธ์ หรือทฤษฎีการวัด. คอลโมโกรอฟทำวิจัยในหลาย ๆ เรื่องทางคณิตศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป โดยแต่ละผลงานของเขาสามารถเห็นความเป็นต้นฉบับในรูปแบบของเขา เห็นเทคนิกวิธีการแก้ไขปัญหาที่หลากหลาย และเห็นความคิดที่ลึกซึ้งของคอลโมโกรอฟในการเจาะปัญหาแต่ละแบบ.
== ดูเพิ่ม ==
สัจพจน์ของความน่าจะเป็น
ความซับซ้อนแบบคอมโมโกรอฟ
ปริภูมิคอลโมโกรอฟ
การทดสอบแบบคอลโมโกรอฟ-สเมอรนอฟ
สมการของแชปแมน-คอลโมโกรอฟ
Kolmogorov-Arnold-Moser theorem
Kolmogorov's zero-one law
Kolmogorov dimension (upper box dimension)
== หนังสือชีวประวัติ ==
Selected works of A.N. Kolmogorov / edited by V.M. Tikhomirov; translated from the Russian by V.M. Volosov. 3 volumes. Dordrecht; Boston : Kluwer Academic Publishers, c1991-c1993 ISBN 90-277-2795-3 .
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
The Legacy of Andrei Nikolaevich Kolmogorov Curriculum Vitae and Biography. Kolmogorov School. Ph.D. students and descendants of A.N. Kolmogorov. A.N. Kolmogorov works, books, papers, articles. Photographs and Portraits of A.N. Kolmogorov.
St. Andrews MacTutor History of Mathematics Archive Biography of Andrey Nikolaevich Kolmogorov.
Collection of links to Kolmogorov resources
Andrei Nikolaevich Kolmogorov (in Russian)
Kolmogorov School at Moscow University
Mathematical genealogy of A.N. Kolmogorov
คอลโมโกรอฟ, อันเดรย์
คอลโมโกรอฟ, อันเดรย์
บุคคลจากแคว้นยาโรสลัฟล์
|
thaiwikipedia
| 1,116 |
ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์
|
ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ หรือ ภาษาศาสตร์เชิงคำนวณ (computational linguistics) เป็นสหวิทยาการที่ว่าด้วยการสร้างแบบจำลองเชิงตรรกะของภาษาธรรมชาติ จากมุมมองในเชิงคำนวณ แบบจำลองนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสาขาในสาขาหนึ่งของภาษาศาสตร์
เดิมทีเดียว นักภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์มักจะเป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งเชี่ยวชาญในด้านการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อประมวลผลภาษาธรรมชาติ (natural language) แต่งานวิจัยในช่วงหลัง ได้แสดงให้เห็นว่า ภาษานั้นซับซ้อนเกินกว่าที่คาดคิดไว้ ดังนั้นกลุ่มศึกษาภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์จึงกลายสภาพเป็นกลุ่มสหวิทยาการไป โดยจะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่เป็นนักภาษาศาสตร์ (นั่นคือ ฝึกฝนมาทางด้านภาษาศาสตร์โดยเฉพาะ) ส่วนคนอื่น ๆ อาจจะเชี่ยวชาญในสาขา วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ จิตวิทยาปริชาน (cognitive psychology) ตรรกวิทยา และอื่น ๆ
== จุดกำเนิด ==
ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์นั้นนับเป็นแขนงวิชาแรกเริ่มของปัญญาประดิษฐ์แขนงหนึ่ง ซึ่งเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1950 (พ.ศ. 2493 ถึง พ.ศ. 2503) เพื่อที่จะแปลเอกสารภาษาต่างประเทศไปเป็นภาษาอังกฤษโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะการแปลวารสารวิทยาศาสตร์ของสหภาพโซเวียต ในสมัยนั้นคอมพิวเตอร์ได้พิสูจน์ความสามารถแล้วว่า สามารถแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนได้เร็วกว่าและแม่นยำกว่ามนุษย์มาก แต่ถึงกระนั้น เทคนิคต่าง ๆ ก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากพอที่จะประมวลผลภาษาได้
เมื่อการแปลภาษาอัตโนมัติ (machine translation) ที่ให้ผลลัพธ์แม่นยำได้ล้มเหลว จึงได้มีการกลับมามองปัญหาของการประมวลผลภาษาใหม่ พบว่าปัญหานั้นซับซ้อนเกินกว่าที่ได้คาดคิดไว้ในตอนแรก ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์จึงได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นศาสตร์ใหม่ ที่อุทิศให้กับการพัฒนาขั้นตอนวิธี และซอฟต์แวร์ประมวลผลข้อมูลทางภาษาอย่างชาญฉลาด เมื่อปัญญาประดิษฐ์ได้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1960 (พ.ศ. 2503 ถึง พ.ศ. 2513) ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์จึงได้กลายมาเป็นแขนงหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ โดยเน้นการจัดการกับความเข้าใจในระดับมนุษย์ (human-level comprehension) และการสร้างภาษาธรรมชาติ (production of natural languages)
ในการแปลภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่งนั้น ได้มีการศึกษาวิจัยแล้วว่า คนจะต้องเข้าใจวากยสัมพันธ์ (syntax - หน้าที่และความสัมพันธ์ของคำคำหนึ่งกับคำอื่น ๆ ในข้อความ) ของภาษาทั้งสอง และอย่างน้อยก็ต้องในระดับหน่วยคำ (morphology) และทั้งประโยค ในการเข้าใจวากยสัมพันธ์ คนจะต้องเข้าใจอรรถศาสตร์ (semantics - ความหมาย) ของคำศัพท์ และรวมถึงความเข้าใจในวัจนปฏิบัติศาสตร์ (pragmatics - การสื่อความหมายที่เกิดจาก/หรือแปรไปตาม การใช้งาน) ว่าภาษานั้นใช้อย่างไร เช่น เพื่อบอกเล่า (declarative) หรือเพื่อการประชดประชัน (ironic) ดังนั้นการที่จะแปลความระหว่างภาษาได้นั้น จะต้องใช้องก์ความรู้ทั้งหลายที่มุ่งเน้นความเข้าใจเกี่ยวกับ การประมวลผลและการสังเคราะห์ประโยคของภาษาธรรมชาติแต่ละภาษาโดยใช้คอมพิวเตอร์นั่นเอง
== สาขาย่อย ==
ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นหลายแขนงหลัก ตามสื่อกลางของภาษาที่ประมวลผล ไม่ว่าจะเป็นทางการพูดหรือการเขียน และตามวิธีการใช้ภาษา ทั้งการวิเคราะห์และสังเคราะห์
การรู้จำเสียง (speech recognition) และการสังเคราะห์เสียง (speech synthesis) เป็นการศึกษาวิธีการเข้าใจหรือสร้างภาษาพูด
การแจกแจงโครงสร้าง (parsing) และการสังเคราะห์ภาษา (generation) เน้นไปที่การแยกภาษาเป็นส่วน ๆ และการประกอบรวมภาษาให้สื่อความได้ ตามลำดับ
การแปลภาษาด้วยเครื่อง ยังคงเป็นแขนงสำคัญอันหนึ่งของภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ โดยมีหลายแนวคิด เช่น การแปลจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่งโดยตรง หรือการแปลจากภาษาต้นทางไปเป็นภาษากลาง (ภาษาสากล - inter lingua) ก่อน จากนั้นค่อยแปลจากภาษากลางไปเป็นภาษาปลายทาง
ในการวิจัยด้านภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ จะมีแนวทางดังต่อไปนี้
ภาษาศาสตร์คลังข้อมูล โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยวิเคราะห์ (computer aided corpus linguistics)
การออกแบบโปรแกรมแจกแจงประโยค (parser) ให้รองรับภาษาธรรมชาติ
การออกแบบตัวกำกับ (tagger) เช่น ตัวกำกับชนิดคำ (en:part-of-speech tagger หรือ POS-tagger)
การนิยามตรรกศาสตร์แบบพิเศษ เช่น ตรรกศาสตร์ทรัพยากร เพื่อการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural language processing หรือ NLP)
การวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างภาษาฟอร์มอลกับภาษาธรรมชาติในสภาวะปกติ
สมาคมภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Association for Computational Linguistics หรือ ACL) ได้นิยามภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เป็นการศึกษาภาษาตามแนวทางวิทยาศาสตร์จากมุมมองเชิงคำนวณ นักภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์จะสนใจที่การสร้างแบบจำลองเชิงคำนวณ (computational model) ของปรากฏการณ์ทางภาษาศาสตร์ทั้งหลาย"
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
การประมวลผลภาษาธรรมชาติ
การแปลภาษาอัตโนมัติ
หน่วยความจำคำแปล (translation memory)
วารสารภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computational Linguistics (journal))
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Information Research and Development Division - ฝ่ายวิจัยและพัฒนาสาขาสารสนเทศ (งานวิจัย RDI-2, RDI-4 และ RDI-5) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)
Thai Computational Linguistics Laboratory (TCL Thailand) - ห้องวิจัยภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์
Knowledge Information & Data Management Laboratory (KIND) - ห้องวิจัยการจัดการข้อมูล, สารสนเทศ, และความรู้ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Centre for Research in Speech and Language Processing (CRSLP) - จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Specialty Research Unit in Natural Language Processing and Intelligent Information System Technology (NAiST) - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
Association for Computational Linguistics (ACL) - สมาคมภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์
ACL Anthology of research papers - รวบรวมบทความวิชาการ ที่จัดพิมพ์โดย ACL ทั้งในวารสาร และการประชุมวิชาการต่างๆ
Language Technology World
ภ
ภาษาศาสตร์ประยุกต์
|
thaiwikipedia
| 1,117 |
จำนวนธรรมชาติ
|
ในทางคณิตศาสตร์ จำนวนธรรมชาติ อาจหมายถึง จำนวนเต็มบวก หรือ จำนวนนับ (1, 2, 3, 4, ...) หรือ จำนวนเต็มไม่เป็นลบ (0 1 2 3 4 ...) ความหมายแรกมีการใช้ในทฤษฎีจำนวน ส่วนแบบหลังได้ใช้งานใน ตรรกศาสตร์ เซตและวิทยาการคอมพิวเตอร์
จำนวนธรรมชาติมีการใช้งานหลักอยู่สองประการ กล่าวคือสามารถใช้จำนวนธรรมชาติในการนับ เช่น มีส้มอยู่ 3 ผลบนโต๊ะ หรืออาจใช้สำหรับการจัดอันดับ เช่น เมืองนี้เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในประเทศ เป็นต้น
คุณสมบัติของจำนวนธรรมชาติที่เกี่ยวกับการหารลงตัว เช่นการกระจายของจำนวนเฉพาะ เป็นเนื้อหาในทฤษฎีจำนวน ปัญหาที่เกี่ยวกับการนับ เช่น ทฤษฎีแรมซี นั้นถูกศึกษาในคณิตศาสตร์เชิงการจัด
== ประวัติของจำนวนธรรมชาติและจำนวนศูนย์ ==
สันนิษฐานว่าจำนวนธรรมชาติ มีแหล่งกำเนิดอยู่ที่การนับ เริ่มด้วยเลขหนึ่ง
จำนวนธรรมชาติในนามธรรมได้เกิดขึ้นครั้งแรกจากการใช้ตัวเลข เพื่อแสดงให้ค่าจำนวน จนพัฒนาขึ้นมาในการบันทึกจำนวนที่มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ชาวบาบิลอนสร้างระบบหลักจำนวนขึ้นมาซึ่งจำเป็นมากในระบบเลขหนึ่งถึงสิบ ชาวอียิปต์ได้สร้างระบบจำนวนอย่างแตกต่างในภาษาเฮียโรกริฟต์ สำหรับหนึ่งถึงสิบและเลขยกกำลังตั้งแต่หลักสิบถึงหลักล้าน ตั้งแต่ที่ถ้ำหินของคาร์หนัก(เคหกรรมของชาวอียิปต์)ก่อนคริสต์ศักราช 1500 ปี จนถึงลูฟฟ์ที่ปารีส แสดงจำนวน 276 โดย 2 แทนที่หลักร้อย 7 แทนที่หลักสิบ 6 แทนที่หลักหน่วย และดังเช่นการเขียนจำนวน 4,622 ด้วย
== นิยามอย่างเป็นรูปนัย ==
นิยามอย่างเป็นรูปนัยเชิงคณิตศาสตร์ของจำนวนธรรมชาติพัฒนาตลอดช่วงประวัติศาสตร์โดยมีอุปสรรคบางประการ สัจพจน์ของเปอาโนกำหนดเงื่อนไขที่นิยามสมบูรณ์ใด ๆ ต้องสอดคล้อง การสร้างบางประการแสดงว่าแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เมื่อกำหนดทฤษฎีเซต ต้องมีอยู่
===สัจพจน์ของเปอาโน===
สัจพจน์ของเปอาโนเป็นที่มาของทฤษฎีอย่างเป็นรูปนัยของจำนวนธรรมชาติ
สัจพจน์ของเปอาโนมีดังนี้:
0 เป็นจำนวนธรรมชาติ
ทุกจำนวนธรรมชาติ a มีตัวตามหลัง เขียนแทนด้วย S(a) จริง ๆ แล้ว S(a) คือ a + 1
ไม่มีจำนวนธรรมชาติที่ตัวตามหลังเป็น 0
S เป็น ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง กล่าวคือจำนวนธรรมชาติที่ต่างกันมีตัวตามหลังที่ต่างกัน: ถ้า a \neq b แล้ว S(a) \neq S(b)
ถ้า 0 มีสมบัติอย่างหนึ่ง และ ตัวตามหลังของทุก ๆ จำนวนนับที่มีสมบัตินั้น ก็มีสมบัตินั้น แล้วทุกจำนวนธรรมชาติจะมีสมบัตินั้น (สัจพจน์นี้ยืนยันว่าการพิสูจน์โดยการอุปนัยเชิงคณิตศาสตร์ถูกต้อง)
หมายเหตุ 0 ในนิยามข้างต้นไม่ได้หมายถึงเลขศูนย์เสมอไป 0 หมายถึงบางจำนวนที่สอดคล้องกับสัจพจน์ของเปอาโน เมื่อพิจารณาร่วมกับ"ฟังก์ชันตัวตามหลัง"ตามเหมาะสม ทุกระบบที่สอดคล้องกับสัจพจน์เหล่านี้สมมูลกันตามรูปแบบเชิงตรรก อย่างไรก็ตาม มีแบบจำลองสัจพจน์ของเปอาโนที่นับไม่ได้ ซึ่งเรียกว่าแบบจำลองเลขคณิตแบบไม่มาตรฐาน และยืนยันโดยUpward Löwenheim-Skolem Theorem ชื่อ 0 ใช้ในที่นี้สำหรับสมาชิกตัวแรก (มีการเสนอชื่อ"สมาชิกตัวที่ศูนย์" เพื่อให้ใช้ "สมาชิกตัวแรก" เรียก 1 ใช้ "สมาชิกตัวที่สอง" เรียก 2 ฯลฯ) ซึ่งเป็นสมาชิกที่ไม่มีตัวนำหน้า เช่นจำนวนธรรมชาติที่เริ่มด้วย 1 ก็สอดคล้องสัจพจน์ ถ้าสัญลักษณ์ 0 ถือเป็นจำนวนธรรมชาติ 1 สัญลักษณ์ S(0) ถือเป็น 2 ฯลฯ ที่จริงแล้วในต้นฉบับของเปอาโน จำนวนธรรมชาติจำนวนแรกคือ 1
===การสร้างบนพื้นฐานทฤษฎีเซต===
====การสร้างมาตรฐาน====
การสร้างมาตรฐานในวิชาทฤษฎีเซต เป็นกรณีพิเศษของการสร้างเรียงลำดับแบบวอน นิวมันน์ กำหนดนิยามของจำนวนธรรมชาติดังนี้:
กำหนด 0 := { } เป็นเซตว่าง
และนิยาม S(a) = a ∪ {a} สำหรับทุกเซต a S(a) คือตัวตามหลัง a และเรียก S ว่า ฟังก์ชันตัวตามหลัง
โดยสัจพจน์ของอนันต์ เซตของจำนวนธรรมชาติทุกจำนวนมีอยู่ เซตนี้คืออินเตอร์เซกชันของทุกเซตที่มีสมบัติปิดภายใต้ฟังก์ชันตัวตามหลัง จึงสอดคล้องสัจพจน์ของเปอาโน
ทุกจำนวนธรรมชาติเท่ากับเซตของจำนวนธรรมชาติทั้งหมดที่น้อยกว่าจำนวนนั้นๆ นั่นคือ
*0 = { }
*1 = {0} =
*2 = {0, 1} = {0, {0}} =
*3 = {0, 1, 2} = {0, {0}, {0, {0}}} =
*n = {0, 1, 2, ..., n−2, n−1} = {0, 1, 2, ..., n−2,} ∪ {n−1} = {n−1} ∪ (n−1) = S(n−1)
ฯลฯ
== อ้างอิง ==
Edmund Landau, Foundations of Analysis, Chelsea Pub Co. ISBN 0-8218-2693-X.
Richard Dedekind, Essays on the theory of numbers, Dover, 1963, ISBN 0-486-21010-3 / Kessinger Publishing, LLC , 2007, ISBN 0-548-08985-X
N. L. Carothers. Real analysis. Cambridge University Press, 2000. ISBN 0-521-49756-6
Brian S. Thomson, Judith B. Bruckner, Andrew M. Bruckner. Elementary real analysis. ClassicalRealAnalysis.com, 2000. ISBN 0-13-019075-6
== ดูเพิ่ม ==
รายชื่อจำนวน
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Axioms and Construction of Natural Numbers
Essays on the Theory of Numbers by Richard Dedekind at Project Gutenberg
จำนวนเชิงการนับ
คณิตศาสตร์มูลฐาน
จำนวนเต็ม
ทฤษฎีจำนวน
จำนวน
|
thaiwikipedia
| 1,118 |
โอเอฟดีเอ็ม
|
โอเอฟดีเอ็ม (OFDM - Orthogonal frequency-division multiplexing) หรือที่บางครั้งเรียกว่า ดีเอ็มที (DMT - discrete multitone modulation) เป็นเทคนิคการส่งสัญญาณที่มีพื้นฐานแนวคิดจากเทคนิค เอฟดีเอ็ม frequency-division multiplexing (FDM)
ใน FDM สัญญาณหลาย ๆ สัญญาณ จะถูกส่งออกไปพร้อมกัน แต่ใช้ความถี่ไม่เท่ากัน ตัวอย่างของ FDM ก็คือการกระจายสัญญานวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งโดยปกติแล้ว แต่ละสถานีก็จะแพร่สัญญานในความถี่หรือช่องสัญญาณที่ได้รับกำหนดไว้ โดย OFDM ก็ได้พัฒนาแนวคิดของ FDM ต่อไปอีก: ใน OFDM นั้น ผู้ส่งสัญญาณแต่ละราย จะส่งสัญญาณออกไปในช่องความถี่ที่เป็นอิสระต่อกันหลาย ๆ ช่อง
== อ้างอิง ==
K. Fazel, S. Kaiser (2003) , Multi-Carrier and Spread Spectrum Systems, John Wiley & Sons, 2003, ISBN 0-470-84899-5
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
การเข้ารหัสปริภูมิ-เวลาแบบบล็อกเชิงดิฟเฟอเรนเชียล ร่วมกับโอเอฟดีเอ็มสำหรับการสื่อสารไร้สาย
การส่งสัญญาณ
|
thaiwikipedia
| 1,119 |
26 มีนาคม
|
วันที่ 26 มีนาคม เป็นวันที่ 85 ของปี (วันที่ 86 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 280 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2249 (ค.ศ. 1707) - อาณาจักรอังกฤษและอาณาจักรสกอตแลนด์ ผนวกกันเป็นอาณาจักรบริเตนใหญ่
พ.ศ. 2413 (ค.ศ. 1871) - ฝรั่งเศสก่อตั้งหน่วยการปกครองท้องถิ่นปารีส
พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1897) - พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เปิดการเดินรถไฟเป็นปฐมฤกษ์จากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย กำหนดให้เป็นวันกำเนิดกิจการรถไฟไทย
พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1917) - พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐาน “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย
พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) - จิม ทอมป์สัน ผู้ได้ฉายาว่าราชาไหมไทย หายตัวไปอย่างลึกลับในประเทศมาเลเซีย
พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เริ่มออกอากาศเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - กบฏ 26 มีนาคม 2520: เกิดกบฏกลุ่มทหารนำโดย พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ ต้องการล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร แต่ไม่สำเร็จ
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - ผู้นำอิสราเอล อียิปต์ และสหรัฐอเมริกา ร่วมลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพอิสราเอล-อียิปต์ ณ ทำเนียบขาว วอชิงตัน ดี.ซี. เป็นการยุติสงครามที่ยาวนาน 30 ปี
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - รถจักรไอน้ำมิกาโดหมายเลข 950 ทำขบวนรถไฟครั้งสุดท้ายจากสถานีกรุงเทพ ไปยัง สถานีรถไฟอยุธยา
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - หนอนเมลิสซาโจมตีระบบอีเมลทั่วโลก
พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) - สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ยุติการออกอากาศโทรทัศน์ระบบแอนะล็อกเป็นช่องสุดท้าย หลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน 50 ปีกับ บมจ.อสมท
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2059 (ค.ศ. 1516) - ค็อนราท เก็สส์เนอร์ นักธรรมชาติวิทยา แพทย์และนักภาษาศาสตร์ชาวสวิส (ถึงแก่กรรม 13 ธันวาคม พ.ศ. 2108)
พ.ศ. 2416 (ค.ศ. 1874) - โรเบิร์ต ฟรอสต์ กวีชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 29 มกราคม พ.ศ. 2506)
พ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1911) - เทนเนสซี วิลเลียมส์ นักเขียนบทละคร (ถึงแก่กรรม 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526)
พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1913) - พอล แอร์ดิช นักคณิตศาสตร์ชาวฮังการี (ถึงแก่กรรม 20 กันยายน พ.ศ. 2539)
พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) - สเตอร์ลิง เฮย์เดน นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2529)
พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) - อลัน อาร์คิน นักแสดง ผู้กำกับและนักดนตรีชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940)
* เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ นักประพันธ์ชาวไทย
* แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาคนที่ 52
พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - ริชาร์ด ดอว์กินส์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) - ไดอาน่า รอสส์ นักร้องชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) - มะโกะ มิโดะริ นักแสดงหญิงชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) - สตีฟ ไทเลอร์ นักดนตรีชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) - พัททริค ซึสคินท์ นักเขียนชาวเยอรมัน
พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - แลร์รี เพจ นักธุรกิจชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - เอกรัตน์ สารสุข นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - เควิน เดวิส นักฟุตบอลชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - พันกร บุณยะจินดา นักร้องชาวไทย
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) -
* เจย์ ฌอน นักร้องชาวอังกฤษ
* ฟลอเรียนา ลิมา นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - มิเกล อาร์เตตา อดีตนักฟุตบอลชาวสเปน
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - คะรินะ มะรุยะมะ นักฟุตบอลหญิงจากกรุงโตเกียว
พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) -
* เคียรา ไนต์ลีย์ นักแสดงหญิงชาวอังกฤษ
* โจนาธาน กรอฟฟ์ นักร้อง-นักแต่งเพลง นักแสดงชาวอเมริกัน
* วรินทร ปัญหกาญจน์ นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - สตีเวน เฟล็ตเชอร์ นักฟุตบอลชาวสกอตแลนด์
พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - ปัณณ์พันธุ์พงษ์ ปิ่นกอง นักฟุตบอลชาวไทย
พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - ม่านฟ้า ลูกทรายกองดิน แชมป์นักมวยสากลชาวไทย
พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) -
* ซีมอน แคร์ นักฟุตบอลชาวเดนมาร์ก
* มิก้า ชูนวลศรี นักฟุตบอลชาวไทย
* อังตูนีอู ปีนา นักฟุตบอลชาวบราซิล
พ.ศ. 2533 (ค.ศ.1990) -
* คิม มิน-ซอก นักร้องชาวเกาหลีใต้ สมาชิกวง EXO
* ชเว อู-ชิก นักแสดงชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - โอ วอนบิน นักร้องชาวเกาหลี
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - วาตานาเบะ มายุ นักร้องชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - ณัฐธิดา ตรีชัยยะ นักแสดงชาวไทย
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 2272 (ค.ศ. 1729) - ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ได้เดินทางมายังอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พ.ศ. 2370 (ค.ศ. 1827) - ลุดวิจ ฟาน เบโทเฟิน คีตกวีชาวเยอรมัน (เกิด พ.ศ. 2313)
พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) - เรย์มอนด์ แชนด์เลอร์ นักประพันธ์ชาวอังกฤษ-อเมริกัน (เกิด 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2431)
พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - เจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง เจ้านายฝ่ายเหนือ (เกิด 2 ตุลาคม พ.ศ. 2446)
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - หม่อมเจ้าเพลารถ จิตรพงศ์ (ประสูติ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2457)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
บังกลาเทศ - วันประกาศเอกราช (พ.ศ. 2514)
ไทย - การรถไฟแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2434)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
NY Times: On This Day
Today in History: March 26
มีนาคม 26
มีนาคม
|
thaiwikipedia
| 1,120 |
การประมวลภาษาธรรมชาติ
|
การประมวลภาษาธรรมชาติ (Natural language processing - NLP) เป็นสาขาย่อยของภาษาศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมสารสนเทศ และปัญญาประดิษฐ์ ทำการศึกษาการปฏิสัมพันธ์ระหว่างภาษาคอมพิวเตอร์และภาษา (ธรรมชาติ) มนุษย์ ในเชิงที่โปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถดำเนินการวิเคราะห์และแปลงข้อมูลภาษาธรรมชาติได้
การประมวลภาษาธรรมชาติมีการกล่าวถึงในปี พ.ศ. 2493 โดยแอลัน ทัวริง นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้เสนอการทดสอบคอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรที่สามารถคิดหรือกระทำได้เหมือนมนุษย์ ซึ่งวิธีการนั้นในปัจจุบันถูกเรียกว่าการทดสอบทัวริง
ในปัจจุบันการประมวลภาษาธรรมชาติมีการนิยมใช้ขั้นตอนการเรียนรู้เชิงคุณลักษณะและการเรียนรู้เชิงลึก ที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ออกมาได้ดี ตัวอย่างเช่นในแบบจำลองภาษา โดยได้มีการเปรียบเทียบกับวิธีการดั้งเดิมที่ใช้การประมวลผลภาษาธรรมชาติเชิงสถิติ หรือการประมวลผลตามกฎที่วางไว้
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
SAS - การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural language processing) นิยามและความสำคัญ
Digital Ventures Natural Language Processing เทคโนโลยีเชื่อมโยงปัญญาประดิษฐ์กับมนุษย์ด้วย “ภาษา”
TextCortex AI ประชาธิปไตยในการสื่อสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของ NLG
== อ้างอิง ==
ปัญญาประดิษฐ์
|
thaiwikipedia
| 1,121 |
การแปลด้วยเครื่อง
|
การแปลด้วยเครื่อง (MT; machine translation) เป็นศาสตร์ย่อยของภาษาศาสตร์เชิงคำนวณที่เกี่ยวกับการใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์แปลข้อความหรือคำพูดภาษาธรรมชาติภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น การใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์แปลข้อความภาษาไทย ไปเป็นภาษาอังกฤษ เป็นต้น ในระดับพื้นฐาน การแปลด้วยเครื่องทำได้โดยการแทนที่คำในภาษาหนึ่งด้วยคำในอีกภาษาหนึ่ง (การแปลคำต่อคำ) อย่างไรก็ตามการแปลภาษาโดยใช้การแทนที่คำอย่างง่ายไม่เพียงพอต่อการแปลภาษาให้ถูกต้อง เพราะภาษามีความคลุมเครือ ยกตัวอย่างเช่น คำว่า bank ในภาษาอังกฤษมีความเป็นไปได้ที่จะแปลเป็นคำภาษาไทย ได้ทั้งคำว่า "ธนาคาร" และ "ตลิ่ง" เป็นต้น นอกจากนั้นภาษายังแตกต่างกันในเรื่องสำนวนและไวยากรณ์ ยกตัวอย่างเช่น "il fait froid" ในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า "อากาศหนาว" ในภาษาไทย แต่ถ้าหากแปลคำต่อคำจะแปลว่า "มันทำหนาว" เป็นต้น เนื่องจากการแปลด้วยการแทนที่คำอย่างง่ายมีข้อจำกัด จึงมีการใช้เทคนิคการแปลด้วยเครื่องต่างๆ เช่น การเรียนรู้การแปลอัตโนมัติจากคลังข้อความขนาน และการวิเคราะห์ทางภาษาศาสตร์ เป็นต้น
ขั้นตอนในการแปลภาษาสามารถแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่
การถอดรหัสความหมายจากข้อความในภาษาต้นทาง
การเข้ารหัสความหมายไปเป็นข้อความในภาษาปลายทาง
ขั้นตอนในการแปลดังกล่าว เป็นทั้งขั้นตอนในการแปลด้วยเครื่อง และการแปลความหมายโดยนักแปลด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในการแปลภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาไทยโดยนักแปล ขึ้นตอนในการแปลคือ นักแปลถอดรหัสข้อความภาษาฝรั่งเศสให้เป็นความหมายที่นักแปลเข้าใจ จากนั้นนักแปลจึงเข้ารหัสความหมายที่ตนเองเข้าใจไปเป็นข้อความภาษาไทย
เบื้องหลังขั้นตอนที่ดูง่ายและเห็นได้ชัดเจนนี้อาศัยการดำเนินการทางกระบวนการความคิดที่ซับซ้อน เพื่อที่จะถอดรหัสความหมายของข้อความภาษาต้นทาง ต้องใช้ความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับไวยากรณ์ อรรถศาสตร์ วากยสัมพันธ์ สำนวน ฯลฯ ของภาษาต้นทาง รวมถึงความเข้าใจในวัฒนธรรมของผู้กล่าวด้วย ผู้แปลต้องการความรู้ที่ลึกซึ้งในลักษณะคล้ายกับการถอดรหัส เพื่อเข้ารหัสความหมายให้เป็นข้อความภาษาปลายทาง
== ประเภทของการแปลด้วยเครื่อง ==
การแปลด้วยเครื่องสามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆ โดยพิจารณาตามสถาปัตยกรรมทางภาษาศาสตร์ และสถาปัตยกรรมทางการคำนวณ
การเปลี่ยนภาษาต้นทางไปเป็นภาษาปลายทางสามารถทำได้โดยการแปลตรงไปตรงมาในระดับคำ อย่างไรก็ตามเพื่อแก้ปัญหาการแปลไม่ถูกต้อง ที่เกิดจากสาเหตุ เช่น ความแตกต่างกันของภาษาต้นทางและภาษาปลายทาง ฯลฯ ความรู้ด้านภาษาศาสตร์จึงถูกนำมาใช้ในการแปลภาษา ต่างไปจากการแปลตรงไปตรงมา การโอนถ่ายสามารถโอนถ่ายโครงสร้าง เช่น โครงสร้างต้นไม้วากยสัมพันธ์จากภาษาต้นทางที่ได้มาจากการวิเคราะห์ ไปเป็นโครงสร้างต้นไม้วากยสัมพันธ์ของภาษาปลายทาง จากนั้นจึงสร้างข้อความภาษาปลายทางจากโครงสร้างต้นไม้วากยสัมพันธ์ของภาษาปลายทางที่ได้มาจากการโอนถ่าย เป็นต้น โครงสร้างและการจัดการระบบที่ระบบระดับการวิเคราะห์ การสร้างและการโอนถ่าย เช่น การแปลด้วยเครื่องโดยการโอนถ่ายโครงสร้างต้นไม้วากยสัมพันธ์ การแปลด้วยเครื่องแบบตรงไปตรงมาระดับคำ ฯลฯ คือสถาปัตยกรรมทางภาษาศาสตร์ของการแปลอัตโนมัติ
กรณีการแปลภาษาไทยเป็นภาษาอื่นๆ สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงคือคำกริยาภาษาไทยมีการนำกริยาหลายตัวมาเรียงลำดับติดต่อกันได้มากกว่า 2 ตัว แต่ไม่เกิน 7 ตัว การวิเคราะห์จึงต้องมีความละเอียดอ่อนเป็นพิเศษ นอกจากนั้น การที่ภาษาไทยไม่มีกลุ่มคำที่เรียกว่า "คำคุณศัพท์" เหมือนในภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศส มีแต่คำว่า "คำวิเศษณ์" ซึ่งมีพฤติกรรมการใช้งานตรงกับรูปคำคุณศัพท์ในภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ทำให้การวิเคราะห์กลุ่มคำที่ทำหน้าเป็นคำกริยา verbal phrase มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
== อ้างอิง ==
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ. ผลงานวิจัย สวทช. สู่เชิงพาณิชย์ ปี 2549-2554. ปทุมธานี : สำนักงานฯ, 2554.
การแปลด้วยเครื่อง
|
thaiwikipedia
| 1,122 |
เมืองไทยรายสัปดาห์
|
เมืองไทยรายสัปดาห์ เป็นรายการวิเคราะห์ประเด็นข่าวรอบสัปดาห์ ดำเนินรายการโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ เริ่มออกอากาศเมื่อปี พ.ศ. 2546 ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ทีวี ต่อมา กลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 ได้ถูกระงับจากทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้ดำเนินรายการได้วิจารณ์รัฐบาล โดยโยงไปถึงสถาบันเบื้องสูง โดยผู้ผลิตได้เปลี่ยนชื่อรายการเป็น เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร และได้เปลี่ยนชื่อรายการอีกครั้ง เป็น เมืองไทยรายสัปดาห์ คอนเสิร์ตการเมือง ซึ่งเป็นการจัดรายการนอกสถานที่ มีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV NEWS1 และผ่านทางอินเทอร์เน็ต
== ประวัติ ==
รายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ได้เริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อ 4 เมษายน พ.ศ. 2546 ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ออกอากาศทุกคืนวันศุกร์ เวลา 21.00 - 22.00 น. ในระยะแรก โดยลักษณะแรก จะเป็นการเสนอการสนทนาและการเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ ศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบไทย ในวันที่ 4 กรกฎาคม ในปีเดียวกัน ทางรายการได้เปลี่ยนลักษณะรายการ มาเป็นการสนทนาในด้านการเมืองส่วนใหญ่ โดยยังคงออกอากาศทุกวันศุกร์เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนไปออกอากาศในเวลา 22.05-23.00 น. ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา โดยได้ออกรายการครั้งสุดท้ายเมื่อ 9 กันยายน พ.ศ. 2548 และหลังจากนั้นทาง บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้สั่งให้ระงับรายการนับแต่นั้นมา
รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ผลิตโดย บริษัท ไทยเดย์ ดอตคอม จำกัด บริษัทในเครือ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ภายหลังจากที่ถูกยกเลิก ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2548 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร" โดยได้จัดทำนอกสถานที่ โดยออกอากาศทุกวันศุกร์เวลา 18.00 - 20.30 น. ในครั้งแรก ๆ จัดขึ้นที่ หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เข้าร่วมรายการอาทิ รองศาสตราจารย์ สุวินัย ภรณวลัย ในครั้งหลังต่อมา ย้ายสถานที่ไปจัดที่ ลุมพินีสถาน เวทีลีลาศ สวนลุมพินี นอกจากนี้ ยังมีการจัดโทรทัศน์ให้ประชาชนได้ชมการถ่ายทอดสดรายการ ตามศูนย์ข่าว หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ประจำจังหวัดต่างๆ โดยสามารถชมผ่านทาง สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่อง ASTV NEWS1 หรือรับฟังได้ทางวิทยุ หรือทางอินเทอร์เน็ต
และต่อมา รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ก็ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “เมืองไทยรายสัปดาห์คอนเสิร์ตการเมือง” ซึ่งยังคงเสนอข่าวในแง่เดิม แต่ได้เพิ่มรายการข่าวของ อัญชลี ไพรีรัก และยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที รายการ “รู้ทัน...ทักษิณ” ของ รองศาสตราจารย์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง รักษาการสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร และปิดท้ายด้วยรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 17.00-23.00 น. แต่หลังจากที่มีงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ก็ได้กลับมาออกอากาศทุกวันศุกร์ เวลา 17.00-22.00 น. ตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2549 โดยจะมีสถานีข่าวสวนลุม วงดนตรีต่างๆ และรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เช่นเดิม โดยสามารถรับชมและรับฟังได้ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV NEWS 1 คลื่นวิทยุ F.M.97.75 คลื่นยามเฝ้าแผ่นดิน (http://www.managerradio.com/), ทางเว็บไซต์ผู้จัดการ และทางเครือข่ายวิทยุชุมชนบางคลื่น
== รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ==
หลังจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแล้ว รูปแบบรายการก็ยังคงดำเนินการวิจารณ์ถึงการทุจริตของรัฐบาลชุดที่แล้ว รวมทั้ง ผู้ดำเนินรายการยังเดินสายไปยังต่างประเทศ เพื่อชี้แจงถึงสาเหตุการปฏิรูป รวมทั้งเปิดเผยถึงความมิชอบในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดที่แล้ว ให้ต่างประเทศรับทราบ รวมทั้งนอกจากจะมี นายสนธิ ลิ้มทองกุล และน.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ดำเนินรายการแล้ว ยังมีผู้ดำเนินรายการรับเชิญ อาทิ ดร.เสรี วงศ์มณฑา ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายการุณ ไสงาม เป็นต้น โดยในระหว่างมีการประกาศใช้กฎอัยการศึก ผู้ดำเนินรายการได้ยกเลิกการจัดรายการในลักษณะการชุมนุมไว้ชั่วคราว แต่จะจัดในห้องส่งของสถานีแทน
ในเดือนมกราคมปี พ.ศ. 2550 สนธิ ลิ้มทองกุลและทีมงาน ได้เปลี่ยนชื่อรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ไปเป็น รายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดยออกอากาศทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ทางสถานีวิทยุผู้จัดการและโทรทัศน์ ASTV และในเดือนกุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน ได้มีการต่อสัญญาณไปออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ แต่ออกอากาศได้เพียง 2 สัปดาห์ (14-27 กุมภาพันธ์) เท่านั้น กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรได้เรียกร้องให้ถอดรายการนี้ออก เนื่องจากหาว่าไม่เป็นกลางและใส่ร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สร้างความอึดอัดใจให้แก่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ซึ่งนายสนธิก็ได้เป็นฝ่ายถอนรายการออกไปเอง โดยภายหลังนายสนธิกล่าวว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้โทรศัพท์มาบอกให้ตนถอดรายการนี้ออกไป
ต่อมา รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ยังคงออกอากาศในเวลาเดิม ทุกวันจันทร์-ศุกร์ โดยนายสนธิจะเป็นผู้ดำเนินรายการเองเฉพาะวันศุกร์ ด้วยเหตุผลเรื่องสุขภาพ ส่วนวันอื่น ๆ ให้ผู้อื่นดำเนินรายการแทน เช่น นายคำนูณ สิทธิสมาน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ เป็นต้น
== รายการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ==
ก่อนที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 25 พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2551 รายการยามเฝ้าแผ่นดินออกอากาศครั้งสุดท้ายเมื่อวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 และตลอดระยะเวลาการชุมนุม รายการนี้ก็มิได้มีขึ้นอีกเลย จนกระทั่งการชุมนุมอย่างยาวนานถึง 193 วันยุติลง รายการนี้ก็มีขึ้นอีกครั้งในห้องส่งของ ASTV อีกเช่นเคย และได้เปลี่ยนชื่อรายการใหม่เป็น รายการ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบรายการเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกจะเป็นการปราศรัยของแกนนำหรือแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และช่วงที่ 2 จะเป็นการแสดงดนตรีของวงดนตรีหรือศิลปินต่าง ๆ ที่เคยขึ้นเวทีในการชุมนุมมาแล้ว ช่วงที่ 3 จะเป็นพูดคุยกับแกนนำหรือแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ปัจจุบัน รายการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จัดขึ้นเฉพาะวันศุกร์ในเวลาเดิม โดยเป็นการจัดนอกห้องส่งภายในบริเวณบ้านเจ้าพระยา ในลักษณะของการชุมนุมย่อย
ต่อมาจึงเปลี่ยนมาจัดในห้องส่ง โดยมีการเชิญแกนนำหรือแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาพูดคุยกันถึงสถานการณ์ทางการเมืองในเรื่องต่าง ๆ
== การกลับมาของรายการ ==
รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ได้กลับมาออกอากาศอีกครั้งทางช่องเอเอสทีวี นิวส์วัน เวลา 20.30-22.30 น. โดยมีผู้ดำเนินรายการคือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ น.ส.อุษณีย์ เอกอุษณีย์ เป็นรายการที่วิเคราะห์สถานการณ์ เรื่องต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันยุติการออกอากาศแล้ว
== ดูเพิ่ม ==
การขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
== อ้างอิง ==
หนังสือปรากฏการณ์สนธิ จากเสื้อสีเหลืองถึงผ้าพันคอสีฟ้า โดย คำนูณ สิทธิสมาน. พ.ศ. 2549. ISBN 9749460979
เว็บไซต์เมืองไทยรายสัปดาห์
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ออกอากาศทางช่อง 9 เป็นครั้งสุดท้าย
ม
การตรวจพิจารณาในประเทศไทย
รายการโทรทัศน์ที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ พ.ศ. 2546
รายการโทรทัศน์ที่ยุติการออกอากาศในปี พ.ศ. 2548
|
thaiwikipedia
| 1,123 |
ช่อง 9 เอ็มคอต เอชดี
|
ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี (MCOT HD; ชื่อเดิม: สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม, สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 บางลำพู, สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท., สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี (9 MCOT HD)) เป็นสถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดินแห่งแรกของประเทศไทย ดำเนินการโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) รัฐวิสาหกิจสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับดูแล เริ่มแพร่ภาพเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2498 ในระบบวีเอชเอฟ เดิมออกอากาศเป็นภาพขาวดำทางช่องสัญญาณที่ 4 ต่อมาในปี พ.ศ. 2517 จึงย้ายมาออกอากาศด้วยภาพสีทางช่องสัญญาณที่ 9 และตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557 ออกอากาศในระบบทีวีดิจิทัลช่องหมายเลข 30 มาจนถึงปัจจุบัน มี พล.ต.อ. ทวิชชาติ พละศักดิ์ เป็นประธานกรรมการบริษัท และผาติยุทธ ใจสว่าง เป็นรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่
== ประวัติ ==
เมื่อปี พ.ศ. 2492 สรรพสิริ วิรยศิริ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศของกรมโฆษณาการ (กรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน) เขียนบทความเพื่อแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักกับ "วิทยุภาพ" อันเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารชนิดใหม่ของโลก ต่อมากรมโฆษณาการ (กรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน) ส่งข้าราชการกลุ่มหนึ่งไปศึกษางานที่สหราชอาณาจักรในราวปี พ.ศ. 2493 เมื่อเล็งเห็นประโยชน์มหาศาลต่อประเทศชาติ ทางกรมจึงนำเสนอ "โครงการจัดตั้งวิทยุโทรภาพ" ต่อจอมพลป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น แต่ในสภาผู้แทนราษฎร ส.ส. ส่วนมากกลับไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง เนื่องจากเห็นว่าสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน จึงยุติโครงการดังกล่าวลงชั่วคราว
หลังจากนั้น ประสิทธิ์ ทวีสิน ประธานกรรมการบริษัท วิเชียรวิทยุและโทรภาพ จำกัด นำเครื่องส่งวิทยุโทรภาพ 1 เครื่อง พร้อมเครื่องรับจำนวน 4 เครื่อง ซึ่งมีน้ำหนักรวมกว่า 2,000 กิโลกรัม มาทำการทดลองแพร่ภาพการแสดงดนตรีของวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ ไปยังทำเนียบรัฐบาล และบริเวณกรมประชาสัมพันธ์ ให้คณะรัฐมนตรีได้รับชม นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และยังเปิดฉายให้ประชาชนทั่วไปทดลองรับชมที่ศาลาเฉลิมกรุงด้วย เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2495
=== สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม ===
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2495 รัฐมนตรีและข้าราชการกลุ่มหนึ่งของกรมประชาสัมพันธ์ รวมจำนวน 7 คน ดำเนินการระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นต่อกรมประชาสัมพันธ์ 11 ล้านบาท และผู้ถือหุ้นใหญ่ร่วมกับภาครัฐอีก 8 แห่ง จำนวน 9 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 20 ล้านบาท จดทะเบียนจัดตั้ง "บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด" (Thai Television Co., Ltd. ชื่อย่อ: ท.ท.ท.) ขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนของปีดังกล่าว เพื่อเป็นผู้บุกเบิกการดำเนินกิจการการส่งสัญญาณโทรทัศน์ในประเทศไทย
ทั้งนี้ ในระยะก่อนจะดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์ บจก.ไทยโทรทัศน์ ได้จัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียง ท.ท.ท. ขึ้นเพื่อระดมทุนทรัพย์สำหรับบริหารงานและฝึกฝนบุคลากรฝ่ายต่าง ๆ พร้อมทั้งเตรียมงานส่วนอื่นไปด้วย โดยกระจายเสียงจากที่ทำการบริเวณแยกคอกวัว (ปัจจุบันเป็นอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา) จากนั้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2497 พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ประธานกรรมการ บจก.ไทยโทรทัศน์ (อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น) เป็นประธานวางศิลาฤกษ์อาคารที่ทำการ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 ภายในวังบางขุนพรหม ที่ทำการของธนาคารแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน (จึงเป็นที่มาของชื่อ ที่ผู้ชมทั่วไปเรียกว่า "ช่อง 4 บางขุนพรหม") โดยในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ก็เริ่มทดลองแพร่ภาพโทรทัศน์จากห้องส่งของสถานีวิทยุกระจายเสียง ท.ท.ท. ไปพลางก่อน จนกระทั่งก่อสร้างอาคารที่ทำการและติดตั้งเครื่องส่งเสร็จสมบูรณ์
จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นเป็นประธานพิธีเปิด สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 (Thai Television Channel 4 ชื่อย่อ: ไทย ที.วี. ชื่อเรียกตามอนุสัญญาสากลว่าด้วยวิทยุโทรทัศน์: HS1-TV) ขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทยและทวีปเอเชียแผ่นดินใหญ่ (Asia Continental) และเป็นแห่งที่สามของทวีปเอเชียทั้งหมด ถัดจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2498 ซึ่งตรงกับวันชาติไทยในสมัยนั้น โดยใช้เครื่องส่งโทรทัศน์ขนาด 10 กิโลวัตต์ แพร่ภาพขาวดำระบบ 525 เส้น 30 อัตราภาพ เช่นเดียวกับที่ใช้ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาในเวลา 19:00 น. วันเดียวกัน จึงเริ่มทดลองออกอากาศอย่างเป็นทางการ เริ่มด้วย อารีย์ นักดนตรี ผู้ประกาศของช่อง 4 บางขุนพรหม รำประกอบเพลงต้นบรเทศ (ในยุคหลังเรียกว่า "ต้นวรเชษฐ์") ซึ่งใช้เปิดการออกอากาศทั้งสถานีโทรทัศน์และสถานีวิทยุของ บจก.ไทยโทรทัศน์ ออกอากาศสดจากห้องส่งโทรทัศน์ จากนั้น เย็นจิตต์ สัมมาพันธ์ ผู้ประกาศแจ้งรายการประจำวัน
สำหรับคณะผู้ปฏิบัติงานยุคแรก ของช่อง 4 บางขุนพรหม ได้แก่ จำนง รังสิกุล เป็นผู้อำนวยการคนแรกของสถานีฯ และหัวหน้าฝ่ายผลิตรายการ, อัมพร พจนพิสุทธิ์ เป็นหัวหน้าฝ่ายกำกับภาพ, สมชาย มาลาเจริญ เป็นหัวหน้าฝ่ายช่างกล้อง, ธนะ นาคพันธุ์ เป็นหัวหน้าฝ่ายควบคุมการออกอากาศ, เกรียงไกร (สนั่น) ชีวะปรีชา เป็นหัวหน้าฝ่ายเครื่องส่ง, ธำรง วรสูตร ร่วมกับ ฟู ชมชื่น เป็นหัวหน้าฝ่ายเครื่องส่งและเสาอากาศ, จ้าน ตัณฑโกศัย เป็นหัวหน้าฝ่ายกำกับเสียง, รักษ์ศักดิ์ วัฒนพานิช เป็นหัวหน้าฝ่ายบริการเครื่องรับโทรทัศน์, สรรพสิริ วิรยศิริ เป็นหัวหน้าฝ่ายข่าว กับหัวหน้าฝ่ายช่างภาพและแสง
ส่วนผู้ประกาศยุคแรก ได้แก่ เย็นจิตต์ สัมมาพันธ์ (ปัจจุบันคือ เย็นจิตต์ รพีพัฒน์ ณ อยุธยา), อารีย์ นักดนตรี (ปัจจุบันคือ อารีย์ จันทร์เกษม), ดาเรศร์ ศาตะจันทร์, นวลละออ ทองเนื้อดี (ปัจจุบันคือ นวลละออ เศวตโสภณ), ชะนะ สาตราภัย และประไพพัฒน์ นิรัตพันธ์, สรรพสิริ วิรยศิริ, อาคม มกรานนท์, สมชาย มาลาเจริญ และบรรจบ จันทิมางกูร เป็นต้น
ในระยะแรกออกอากาศทุกวันอังคาร, วันพฤหัสบดี, วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ระหว่างเวลา 18:30 - 23:00 น. ต่อมาเพิ่มวันและเวลาออกอากาศมากขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ รัฐบาลในสมัยนั้น มักใช้ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 ถ่ายทอดการปราศรัยของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี, เผยแพร่ผลงานของรัฐบาล, ถ่ายทอดการประชุมรัฐสภา ตลอดจนถ่ายทอดสดงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ในปี พ.ศ. 2500 แต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น จึงสั่งการให้กองทัพบก จัดตั้งสถานีโทรทัศน์ขึ้นอีกแห่งหนึ่งคือ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 (ภาพขาวดำ; ปัจจุบันคือ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5) ในระหว่างปี พ.ศ. 2500 - 2501
ราวต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2517 ได้เปลี่ยนระบบการออกอากาศทาง ช่อง 4 บางขุนพรหม จากภาพขาวดำเป็นภาพสีในระบบ 625 เส้น 25 อัตราภาพอย่างสมบูรณ์ โดยได้ย้ายห้องส่งโทรทัศน์ไปที่ถนนพระสุเมรุ แขวงบางลำพู และราวปี พ.ศ. 2519 ได้หยุดทำการออกอากาศพร้อมกับการเปลี่ยนชื่อเป็น สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 บางลำพู ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2513 ที่ผ่านมา
สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม มีอัตลักษณ์เป็นภาพ "วิชชุประภาเทวี" หมายถึง เทวดาผู้หญิง ที่เป็นเทพเจ้าหรือนางพญาแห่งสายฟ้า ประดับด้วยลายเมฆ และสายฟ้าอยู่ภายในรูปวงกลม ที่ออกแบบโดย กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม (ในขณะนั้น)
=== สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 ===
==== สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 บางลำพู ====
บจก.ไทยโทรทัศน์ เริ่มออกอากาศเป็นภาพสี 625 เส้นในย่านความถี่ VHF ทางช่องสัญญาณที่ 9 ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2513 โดยแพร่ภาพออกอากาศคู่ขนานกับช่องสัญญาณที่ 4 ในระบบภาพขาวดำเป็นเวลาประมาณ 4 ปี กระทั่งราวต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2517 จึงยุติการออกอากาศในระบบภาพขาวดำ 525 เส้น ทางช่องสัญญาณที่ 4 คงไว้เพียงระบบภาพสีทางช่องสัญญาณที่ 9 อย่างสมบูรณ์ จึงเปลี่ยนชื่อเป็น "สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9" (Thai Color Television Channel 9) พร้อมทั้งย้ายห้องส่งโทรทัศน์รวมถึงที่ทำการทั้งหมด ไปยังอาคารพาณิชย์ขนาด 5 คูหา ย่านถนนพระสุเมรุ แขวงบางลำพู (ดังที่ผู้ชมทั่วไป มักเรียกว่า "ช่อง 9 บางลำพู" ในสมัยนั้น) เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย เสนอซื้อที่ดิน, อาคารที่ทำการ บจก.ไทยโทรทัศน์ และสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด ซึ่งอยู่ภายในบริเวณวังบางขุนพรหม
==== สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ====
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 คณะรัฐมนตรี นำโดยธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี ได้มีมติให้ยุบเลิกกิจการ บจก.ไทยโทรทัศน์ จากการปรับปรุงองค์กรเนื่องจากการรายงานข่าวในเหตุการณ์ 6 ตุลา ส่งผลให้การดำเนินงานของไทยทีวีสีช่อง 9 สิ้นสุดลงด้วย แต่มิได้ยุติการออกอากาศแต่อย่างใด ต่อมาวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2520 มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง "องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย" หรือ อ.ส.ม.ท. (The Mass Communication Organization of Thailand ชื่อย่อ: อ.ส.ม.ท.; M.C.O.T.) ให้เป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินกิจการสื่อสารมวลชนของรัฐให้มีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นที่เชื่อถือของสาธารณชน โดยรัฐบาลมอบทุนประเดิม 10 ล้านบาท และให้รับโอนกิจการสื่อสารมวลชนของ บจก.ไทยโทรทัศน์ คือ สถานีวิทยุกระจายเสียง ท.ท.ท. และสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 เพื่อดำเนินกิจการต่อไป ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2520 ซึ่งถือเป็นวันสถาปนา อ.ส.ม.ท. ส่งผลให้เปลี่ยนชื่อเป็น "สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท." โดยอัตโนมัติ
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดอาคารที่ทำการของ อ.ส.ม.ท. บนเนื้อที่ 14 ไร่ ที่มีห้องส่งโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยขณะนั้น เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2524 เวลา 09:25 น. ต่อมาระหว่างปี พ.ศ. 2528 - 2532 สมเกียรติ อ่อนวิมล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพิธีกรรายการ ความรู้คือประทีป ในขณะนั้น ตอบรับคำเชิญของผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. ในขณะนั้น ให้เข้ามาช่วยปรับปรุงการนำเสนอข่าว 9 อ.ส.ม.ท. ร่วมกับ บริษัท แปซิฟิค อินเตอร์คอมมิวนิเคชัน จำกัด ส่งผลให้เกิดผู้ประกาศข่าวคู่ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของยุคนั้นคือ ดร.สมเกียรติ และกรรณิกา ธรรมเกษร (ซึ่งทำหน้าที่ ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ส่วนวันเสาร์และวันอาทิตย์ ดร.สมเกียรติ ประกาศคู่กับ อรุณโรจน์ เลี่ยมทอง)
วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 อ.ส.ม.ท. ร่วมลงนามในสัญญากับสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เพื่อขยายเครือข่ายกิจการโทรทัศน์ของทั้งไทยทีวีสีช่อง 3 และไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ไปสู่ส่วนภูมิภาค และหน่วยงานภาครัฐ จัดสรรคลื่นความถี่ส่งด้วยระบบวีเอชเอฟ พร้อมอุปกรณ์การออกอากาศ เพื่อจัดตั้งสถานีเครื่องส่งโทรทัศน์ในการกำกับของ อ.ส.ม.ท. แต่ละแห่ง (ระยะหลังจึงขยายไปสู่ระบบ UHF) ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2531 - กรกฎาคม พ.ศ. 2534 เป็นระยะเวลา 3 ปี จึงทำให้สถานีโทรทัศน์ในการกำกับของ อ.ส.ม.ท. ทั้ง 2 แห่ง สามารถออกอากาศไปได้ทั่วประเทศ
ราวปี พ.ศ. 2535 แสงชัย สุนทรวัฒน์ เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. ในช่วงที่ถูกเรียกว่า "แดนสนธยา" เนื่องจากมีกลุ่มอิทธิพลมืดฝังตัวอยู่ในองค์กร แต่แสงชัยก็สามารถขจัดอิทธิพลมืดเหล่านั้นสำเร็จ รวมถึงสามารถพัฒนา อ.ส.ม.ท. ขึ้นมาเป็นอย่างดี แต่แล้วแสงชัยก็ถูกลอบสังหารด้วยอาวุธปืนจนเสียชีวิต ระหว่างนั่งรถยนต์เดินทางกลับบ้านพักในเมืองทองธานี เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2539 จากผลการสอบสวนของตำรวจ ระบุว่า อุบล บุญญชโลธร อดีตผู้รับสัมปทานจัดรายการทางสถานีวิทยุ อ.ส.ม.ท. ส่วนภูมิภาค จ้างวานให้บุตรเขย คือ ทวี พุทธจันทร์ ส่งมือปืนไปลอบสังหารแสงชัย ต่อมาอุบลถูกลอบสังหารจนเสียชีวิตบนรถยนต์ก่อนกลับถึงบ้านพักเช่นเดียวกับแสงชัย เมื่อปี พ.ศ. 2541
=== สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ===
เมื่อปี พ.ศ. 2545 มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. ขณะนั้น มีดำริให้ปรับปรุงการบริหารงานของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ให้มีความทันสมัย รวดเร็ว และฉับไว ในด้านการนำเสนอ รายงานข่าวสาร สาระความรู้ และความบันเทิง เพื่อให้ทันต่อเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคโลกาภิวัตน์ และเพื่อขจัดความเป็น "แดนสนธยา" ภายในองค์กรอีกด้วย
ในวันที่ 6 พฤศจิกายน จึงมีพิธีเปิดตัว "สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์" โดยมีทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นประธานในพิธี พร้อมทั้งเริ่มออกอากาศตามรูปแบบใหม่ ตั้งแต่เวลา 18:30 น. เป็นต้นไป โดยมีทั้งการเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์ของสถานีฯ พร้อมทั้งปรับปรุงรูปแบบการเสนอรายการตลอด 24 ชั่วโมง เพิ่มเวลานำเสนอข่าว โดยเฉพาะข่าวต้นชั่วโมง และแถบตัววิ่งข่าว (News Bar) เพิ่มช่วงแมกกาซีนออนทีวีในข่าวภาคค่ำ ซึ่งนำเสนอข่าวสารและสาระความรู้ ในประเด็นและการนำเสนอแบบสบาย ๆ โดยใช้วิธีการนำเสนอแบบนิตยสาร ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเป็นรายการข่าวบันเทิงในชื่อ ไนน์เอ็นเตอร์เทน ในเวลาต่อมา รวมถึงเพิ่มบทบาทความสัมพันธ์กับเครือข่ายสำนักข่าวชั้นนำทั่วโลก เช่น CNN/CNBC/AP/Reuters/VOA ของสหรัฐ, BBC ของสหราชอาณาจักร, NHK ของประเทศญี่ปุ่น และ CCTV ของประเทศจีน เป็นต้น
โมเดิร์นไนน์ทีวีดำเนินการผลิตรายการโทรทัศน์ ตลอดจนการแพร่ภาพ และควบคุมการออกอากาศ จากสถานีส่วนกลางในกรุงเทพมหานคร ไปยังสถานีเครือข่ายแอนะล็อกส่วนภูมิภาค 32 สถานี สามารถให้บริการครอบคลุมพื้นที่ 79.5% ของประเทศ มีประชากรในขอบเขตการออกอากาศไม่น้อยกว่า 96.5% ของประเทศ โดยมีรายการประเภทข่าวสาร สาระความรู้ ความบันเทิง กีฬา และรายการเพื่อสาธารณประโยชน์ รวมทั้งการถ่ายทอดสดต่างๆ โดยเฉพาะรายการประเภทข่าวสาร และสาระความรู้ ในด้านต่างๆ มานำเสนอในช่วงไพรม์ไทม์ที่มีผู้ชมมากที่สุด เพื่อให้ผู้ชม ได้รับข่าวสารและความรู้ที่เป็นประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน โดยมุ่งหวังจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ชมชาวไทย
มีเหตุการณ์สำคัญ ระหว่างรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งเกี่ยวข้องกับโมเดิร์นไนน์ทีวี คือ เมื่อเวลา 22:15 น. พลเอกนายสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ ทั้งนี้ คุณทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่จากสหรัฐอเมริกามาออกอากาศสดทางโมเดิร์นไนน์ทีวี แต่อ่านแถลงการณ์ได้เพียง 3 ฉบับ ก็มีกำลังพลทหารพร้อมอาวุธกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปถึงห้องควบคุมการออกอากาศ แล้วออกคำสั่งให้หยุดการประกาศทันที จึงทำให้เจ้าหน้าที่สถานีฯ ต้องปฏิบัติตามในที่สุด
จากนั้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555 คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นประธานในงานครบรอบ 60 ปี การสถาปนา อสมท พร้อมทั้งเริ่มออกอากาศรายการข่าวโทรทัศน์รูปแบบใหม่ของสำนักข่าวไทย ตามดำริของ จักรพันธุ์ ยมจินดา รองประธานกรรมการ และรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (บมจ.อสมท) ประกอบด้วย การนำเทคโนโลยีวิดีโอวอลล์ ขนาดความยาว 20 เมตร ความกว้าง 3 เมตร มาใช้กับการรายงานข่าวในห้องส่ง ร่วมกับการนำเฮลิคอปเตอร์ มาใช้ประกอบรายงานข่าวนอกสถานที่ เป็นครั้งแรกของสำนักข่าวไทย โดยใช้ชื่อว่า "เบิร์ดอายส์นิวส์" (Bird Eye's News) รวมทั้งจัดสำรวจความเห็นผู้ชมในชื่อ "เอ็มคอตโพลล์" (MCOT Poll) นอกจากนี้จะออกแบบตราสัญลักษณ์ของสำนักข่าวไทยขึ้นใหม่ ให้มีความทันสมัยมากขึ้น (ทว่าแบบที่จัดทำในยุคของจักรพันธุ์ มิได้นำมาใช้จริงแต่อย่างใด ซึ่งหลังจากนั้นมีการออกแบบใหม่ แล้วจึงนำออกใช้จริงต่อมา)
=== สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ===
เมื่อวันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558 ศิวะพร ชมสุวรรณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท เป็นประธานในพิธีเปิดตัว ช่อง 9 MCOT HD ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยนำเทปบันทึกภาพมาออกอากาศ ระหว่างเวลา 19:00-19:20 น. ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ชื่อใหม่ดังกล่าว ซึ่งมีการปรับปรุงอัตลักษณ์รูปแบบใหม่ เพื่อนำมาใช้แทนที่ตราสัญลักษณ์เดิมซึ่งใช้ร่วมกับกิจการในเครือ บมจ.อสมท นับแต่ปลายปี พ.ศ. 2545 พร้อมทั้งเพิ่มเติมรายการใหม่ จากผู้ผลิตเนื้อหาหลายแห่ง เช่น บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (เนชั่นทีวี), บริษัท สปริง 26 จำกัด (สปริง 26) และบริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ทรูวิชั่นส์) เป็นต้น
== การยุติการออกอากาศโทรทัศน์ระบบแอนะล็อก ==
ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 18:30 น. ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ได้ทำการยุติการออกอากาศโทรทัศน์ระบบแอนะล็อกจากสถานีเครื่องส่งโทรทัศน์ 13 สถานีเป็นลำดับแรก โดยมีผลกระทบต่อผู้ชมในพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน (รวมไปถึงที่อำเภอแม่สะเรียง) จังหวัดน่าน จังหวัดตาก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดเลย จังหวัดสกลนคร จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดสระแก้ว จังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง (รวมไปถึงอำเภอตะกั่วป่า) จังหวัดสตูล และในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 18:30 น. ช่อง 9 MCOT HD ได้ทำการยุติการแพร่ภาพในระบบอนาล็อกครบทุกพื้นที่ในประเทศ โดยยุติการแพร่ภาพจากสถานีเครื่องส่งโทรทัศน์ที่เหลืออีก 23 สถานี ซึ่งรวมไปถึงสถานีในกรุงเทพมหานครซึ่งยุติการออกอากาศเป็นลำดับสุดท้าย เนื่องจากโครงข่ายการออกอากาศโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัลของ บมจ.อสมท ให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว และเหลือแต่เพียงแค่การออกอากาศในระบบดิจิทัลทางช่องหมายเลข 30 (ภาพความคมชัดสูง) แต่เพียงอย่างเดียว
== ผู้ประกาศข่าวและผู้รายงานข่าว ==
=== ผู้ประกาศข่าวและผู้รายงานข่าวในปัจจุบันที่มีชื่อเสียง ===
กำภู ภูริภูวดล
รัชนีย์ สุทธิธรรม
สุทิวัส หงส์พูนพิพัฒน์
ธีรวัฒน์ พึ่งทอง
กุลธิดา สิริอิสสระนันท์
ชุติมา พึ่งความสุข
วีระ ธีรภัทร
นภัส ธีรดิษฐากุล
จามร กิจเสาวภาคย์
ภัทรดนัย เทศสุวรรณ
วาเนสสา สมัคศรุติ
=== ผู้ประกาศข่าวและผู้รายงานข่าวในอดีต ===
สำนักข่าวไทย
*วิศาล ดิลกวณิช (บ่ายนี้มีคำตอบ)
*อณัญญา ตั้งใจตรง (หัวหน้า บก. ข่าวการเมือง, ผู้สื่อข่าวการเมือง) - เสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2565
*ทัชธร วงศ์วานิช (ข่าวเช้าสำนักข่าวไทย) - ปัจจุบันอยู่ช่องไทยรัฐทีวี
*ธันยมัย อนันตกรณีวัฒน์
*ภรภัทร นีลพัธน์ (คุยโขมงข่าวเช้า/พระราม9ข่าวเช้า/คุยโขมงบ่ายสามโมง; 25XX - 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563)
*โศภณ นวรัตนาพงษ์ - ปัจจุบันอยู่ช่องทีเอ็นเอ็น 16
*ภิญญาพัชญ์ ด่านอุตรา (ข่าวเที่ยง/คลุกวงข่าว/คุยโขมงข่าวเช้า/Biztime/ข่าวค่ำ; 2553 - 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561)- ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* สวิตต์ ลีละพงศ์วัฒนา - ปัจจุบันเป็นผู้ประกาศข่าวช่อง 7 เอชดี
* บัญชา ชุมชัยเวทย์ (สดจากห้องค้า; พ.ศ. 2547-2549) - ปัจจุบันเป็นผู้ประกาศข่าวเศรษฐกิจทางช่อง 3 เอชดี
* กิตติ สิงหาปัด (ข่าวค่ำ; 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2550-31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551) - ปัจจุบันอยู่ช่อง 3 เอชดี
* ธีระ ธัญญอนันต์ผล (ข่าวค่ำ; พ.ศ. 2551-2552) - ปัจจุบันอยู่ช่อง 8
* จำเริญ รัตนตั้งตระกูล (ข่าวเที่ยง, คัดข่าวเด่น) - ปัจจุบันอยู่ทีเอ็นเอ็น 16
* พงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ (ข่าวค่ำ, ลมฟ้าอากาศ, เกาะข่าว 9) - ปัจจบันอยู่ไทยรัฐทีวี
* อรชุน รินทรวิฑูรย์ (ข่าวต้นชั่วโมง) - ปัจจุบันอยู่ช่องวัน 31
* กุณฑีรา ปัจฉิมสวัสดิ์ (ข่าวต้นชั่วโมง) - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* ฤทธิกร การะเวก (ข่าวกีฬาภาคค่ำ) - ปัจจุบันอยู่ทีเอ็นเอ็น 16
* ณัฐ เสตะจันทร์ (ข่าวกีฬาภาคเที่ยง, ข่าวกีฬาภาคค่ำ) - ปัจจุบันอยู่ NBT 2HD
* ลลิตา มั่งสูงเนิน (ข่าวเที่ยง, ข่าวค่ำ, 9 SPEED NEWS, รอบวันข่าว, คุยข่าวเสาร์-อาทิตย์) - ปัจจุบันอยู่เนชั่นทีวี
* อรการ จิวะเกียรติ (ข่าวเที่ยง, ข่าวค่ำ) - ปัจจุบันอยู่เนชั่นทีวี
* อำไพรัตน์ เตชะภูวภัทร (ข่าวค่ำ, ลมฟ้าอากาศ, พิธีกรรายการเอ็มคอตแฟมิลีนิวส์) - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* ดาวี ไชยคีรี (ผู้สื่อข่าวการเมือง) - ปัจจุบันอยู่ไทยพีบีเอส
* สกนธ์ จินดาวรรณ (ผู้สื่อข่าว) - ปัจจุบันอยู่ ไทยพีบีเอส
* ณิชกานต์ แววคล้ายหงษ์ (ผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจ) - ปัจจุบันอยู่พีพีทีวี
* สันติวิธี พรหมบุตร (ผู้สื่อข่าว) - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* ภูริภัทร บุญนิล (ผู้สื่อข่าว) - ปัจจุบันอยู่ไทยรัฐทีวี
* มินดา นิตยวรรธนะ (ข่าวค่ำ) - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* รินทร์ ยงวัฒนา (ข่าวค่ำ) - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* ศุภโชค โอภาสะคุณ (ข่าวต้นชั่วโมง) - ปัจจุบันอยู่อมรินทร์ทีวี
* โศธิดา โชติวิจิตร (ข่าวต้นชั่วโมง) - ปัจจุบันอยู่ช่อง 3 เอชดี
* มนุชา เจอมูล (ผู้สื่อข่าว) - ปัจจุบันอยู่ทีสปอร์ตในนาม Mainstand
* ธันย์ชนก จงยศยิ่ง (ข่าวต้นชั่วโมง) - ปัจจุบันอยู่ทีเอ็นเอ็น16
* ไอลดา พิศสุวรรณ (เอ็มคอตแฟมิลีนิวส์) - ปัจจุบันอยู่ช่องเวิร์คพอยท์ในนามสำนักข่าว Workpoint Today
* นฤมล รัตนาภิบาล (ข่าวในพระราชสำนัก) - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* ชัยนันท์ สันติวาสะ (ข่าวในพระราชสำนัก) - ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารภาพลักษณ์องค์กร
* ประชา เทพาหุดี (ข่าวกีฬาภาคค่ำ) - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* สุนทร สุจริตฉันท์ - ปัจจุบันเป็นสื่อมวลชนอิสระและนักธุรกิจส่วนตัว
* อรุณโรจน์ เลี่ยมทอง (ข่าวรับอรุณ) - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* นิรมล เมธีสุวกุล ผู้ประกาศข่าวและผู้สื่อข่าว - ปัจจุบันเป็นพิธีกรรายการทุ่งแสงตะวัน ทางช่อง 3 เอชดี
* วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์ (ข่าวพยากรณ์อากาศ) - ปัจจุบันเป็นผู้บริหารบริษัท 2020 เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด พิธีกรรายการตีสิบเดย์ ทางช่อง 3 เอชดี
* กรรณิกา ธรรมเกษร (ข่าวภาคค่ำ) - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* พิภู พุ่มแก้ว (ข่าวเที่ยง, ข่าวค่ำ) - ปัจจุบันอยู่ช่องเนชั่นทีวี
* ชลธิชา อัศวาณิชย์ - ปัจจุบันอยู่ทีเอ็นเอ็น 16
* อารตี คุโรปการนันท์ - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* พิสิทธิ์ กีรติการกุล - ปัจจุบันเหลือแค่การทำงานยังอยู่กับช่อง 7 เอชดี รวมไปถึงพิธีกรรายการคดีเด็ด
* ผศ.ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล - ปัจจุบันเป็นสื่อมวลชนอิสระ
* ศศิธร ลิ้มศรีมณี : ผู้สื่อข่าว - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* สุรชา บุญเปี่ยม : ผู้สื่อข่าว - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* ศัตฉัน วิสัยจร : ผู้สื่อข่าว - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* สกาวรัตน สยามวาลา - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* ศรีอาภา เรือนนาค - ปัจจุบันเป็นนักพากย์
* เพ็ญพรรณ แหลมหลวง - ปัจจุบันอยู่เนชั่นทีวี
ถึงลูกถึงคน (พ.ศ. 2546-2549), คุยคุ้ยข่าว (พ.ศ. 2547-2549)
* สรยุทธ สุทัศนะจินดา - ปัจจุบันอยู่ช่อง 3 เอชดี
* กนก รัตน์วงศ์สกุล - ปัจจุบันอยู่ช่องท็อปนิวส์
* ณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์ - ปัจจุบันอยู่ช่อง MONO29
9 ร่วมใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน (พ.ศ. 2550-2552)
*ไชยวัฒน์ อนุตระกูลชัย - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* ธันย์ชนก จงยศยิ่ง - ปัจจุบันอยู่ทีเอ็นเอ็น16
* ถวัลย์ ไชยรัตน์ - ปัจจุบันยุติการทำหน้าที่แล้ว
* วันชัย สอนศิริ - ปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภา
ข่าวข้นคนข่าว (พ.ศ. 2550-2555), เช้าข่าวข้น คนข่าวเช้า (2552-2555)
* กนก รัตน์วงศ์สกุล - ปัจจุบันอยู่เจเคเอ็น 18 บาย ท็อปนิวส์
* ธีระ ธัญไพบูลย์ - ปัจจุบันอยู่เจเคเอ็น 18 บาย ท็อปนิวส์
* จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ - ปัจจุบันอยู่ The Matter
คลุกวงข่าว (พ.ศ. 2555-2557)
* ภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ - ปัจจุบันอยู่ไทยรัฐทีวี
* ชนิตร์นันทน์ ปุณณะนิธิ - ปัจจุบันอยู่ช่อง 8
* สลิลาทิพย์ ทิพยไกรศร - ปัจจุบันเป็นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยคณบดี ฝ่ายแผนและประกันคุณภาพ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
== ดูเพิ่ม ==
รายชื่อละครโทรทัศน์ทางช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี
บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
สถานีวิทยุ อสมท
สำนักข่าวไทย
เครือข่ายโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มคอท
เอ็มคอตแฟมิลี
ช่อง 3 เอชดี
ช่อง 5 เอชดี
ช่อง 7 เอชดี
สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย
สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
เว็บไซต์หน้าหลักของกิจการโทรทัศน์ในบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
เว็บไซต์ ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี
อสมท ปรับผังทีวีโกยรายได้
9 อสมท โชว์ผังใหม่ เริ่ม 1 ก.ค.
ม
9
ม
|
thaiwikipedia
| 1,124 |
จำนวนตรรกยะ
|
ในทางคณิตศาสตร์ จำนวนตรรกยะ (rational number) คือจำนวนที่สามารถเขียนให้เป็นรูปเศษส่วนได้ โดยทั้งเศษและส่วนต้องเป็นจำนวนเต็ม และส่วนต้องไม่เท่ากับศูนย์, จำนวนที่สามารถเขียนให้เป็นรูปทศนิยมไม่รู้จบประเภทซ้ำได้ เช่น 1/9 (=0.999...), 12/99 (=0.1212...)
จำนวนตรรกยะสามารถเขียนให้เป็นรูปเศษส่วนได้หลายรูป เช่น 2/3 = 4/6 = 8/12 = 16/24 (=0.666...) นั้นหมายความว่าถ้าเขียนจำนวนตรรกยะให้เป็นรูปเศษส่วน ก็จะมีรูปเศษส่วนหลายรูป
นอกจากนี้ จำนวนตรรกยะยังสามารถเขียนให้เป็นรูปทศนิยมไม่รู้จบหรือทศนิยมซ้ำได้ เช่น 1/2 = 0.5 เป็นทศนิยมรู้จบ, 2/3 = 0.666... และ 1/9 =0.1111111... เป็นทศนิยมซ้ำ เป็นต้น
จำนวนจริงที่ไม่ใช่จำนวนตรรกยะ เรียกว่า จำนวนอตรรกยะ (irrational number)
ในทางคณิตศาสตร์ "...ตรรกยะ" หมายถึง การจำกัดขอบเขตให้อยู่ในระบบจำนวนตรรกยะเท่านั้น เช่น พหุนามตรรกยะ
เซตของจำนวนตรรกยะทั้งหมดเราใช้สัญลักษณ์ Q หรือ Blackboard Bold \mathbb{Q} โดยใช้เซตเงื่อนไข ได้ดังนี้
\mathbb{Q} = \left\{\frac{m}{n} : m \in \mathbb{Z}, n \in \mathbb{Z}, n \ne 0 \right\}
== เลขคณิต ==
การบวกและการคูณจำนวนตรรกยะสามารถทำได้โดยหลักต่อไปนี้
\frac{a}{b} + \frac{c}{d} = \frac{ad+bc}{bd}
\frac{a}{b} \cdot \frac{c}{d} = \frac{ac}{bd}
จำนวนตรรกยะสองจำนวน \frac{a}{b} และ \frac{c}{d} จะเท่ากัน ก็ต่อเมื่อ ad = bc
การบวกและการคูณจำนวนตรรกยะกับจำนวนตรงข้ามสามารถทำได้ดังนี้
- \left ( \frac{a}{b} \right) = \frac{-a}{b}
จำนวนตรรกยะ
เลขคณิต
จำนวน
เลขคณิตมูลฐาน
|
thaiwikipedia
| 1,125 |
จำนวนอดิศัย
|
ในทางคณิตศาสตร์นั้น จำนวนอดิศัย (transcendental number) คือ จำนวนอตรรกยะที่ไม่ใช่จำนวนเชิงพีชคณิต ซึ่งหมายถึงจำนวนที่ไม่ใช่ราก (คำตอบ) ของสมการพหุนาม
:a_n x^n + a_{n-1} x^{n-1}+ \cdots + a_1 x^1 + a_0 = 0
โดย n ≥ 1 และสัมประสิทธิ์ a_j เป็นจำนวนเต็ม (หรือจำนวนตรรกยะ ซึ่งให้ความหมายเดียวกัน เนื่องจากเราสามารถคูณสัมประสิทธิ์ทั้งหมดด้วยตัวคูณร่วมน้อย เพื่อให้สัมประสิทธิ์ทั้งหมดกลายเป็นจำนวนเต็ม) ซึ่งไม่เท่ากับศูนย์อย่างน้อยหนึ่งตัว
== สมบัติ ==
=== จำนวนอดิศัยไม่สามารถนับได้ ===
ตามหลักทฤษฎีเซต เซตของจำนวนเชิงพีชคณิตทั้งหมดนั้น สามารถนับได้ (สามารถสร้างฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งทั่วถึง ระหว่างเซตของจำนวนนับและจำนวนเชิงพีชคณิตได้) ในขณะที่เซตของจำนวนจริงทั้งหมด ไม่สามารถนับได้ (ไม่สามารถสร้างฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งทั่วถึง จากเซตของจำนวนนับไปยังจำนวนจริงได้) ดังนั้นเซตของจำนวนอดิศัยทั้งหมดนั้นจึง ไม่สามารถนับได้
ในมุมมองดังกล่าว เราสามารถกล่าวได้ว่า "จำนวนอดิศัยทั้งหมดมีมากกว่าจำนวนเชิงพีชคณิต" อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนั้นมีจำนวนอดิศัยเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่เรารู้จัก (ในทำนองเดียวกันกับปัญหาที่ไม่สามารถคำนวณได้ในทฤษฎีการคำนวณได้) โดยทั่วไป การพิสูจน์ว่าจำนวนหนึ่ง ๆ เป็นจำนวนอดิศัยนั้น ยากอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามคุณสมบัติของจำนวนปกติอาจจะช่วยในการระบุจำนวนอดิศัยจากจำนวนอื่นๆ ได้
== ประวัติการค้นพบจำนวนอดิศัย ==
จำนวนอดิศัยตัวแรกถูกค้นพบโดย Joseph Liouville ในปี ค.ศ. 1844 จึงมีชื่อเรียกว่าค่าคงที่ Liouville
== จำนวนอดิศัยที่สำคัญ ==
จำนวนอดิศัยอื่น ๆ ที่เรารู้จักมีดังต่อไปนี้:
ea ในกรณีที่ a เป็นจำนวนเชิงพีชคณิตที่ไม่เท่ากับศูนย์ (สังเกตว่า e เป็นจำนวนอดิศัย) (พิสูจน์โดยทฤษฎี Lindemann–Weierstrass )
π (พิสูจน์โดยทฤษฎี Lindemann–Weierstrass )
eπ ค่าคงตัว Gelfond (พิสูจน์โดยทฤษฎี Gelfond–Schneider)
2√2 หรือในรูปแบบทั่วไป ab โดย a ≠ 0,1 และเป็นจำนวนเชิงพีชคณิต และ b เป็นจำนวนอตรรกยะเชิงพีชคณิต ซึ่งเป็นคำตอบสำหรับปัญหาข้อที่เจ็ดของฮิลเบิร์ต ในกรณีขยายของปัญหาข้อที่เจ็ดของฮิลเบิร์ต ที่ต้องการให้พิจารณาว่า ab เป็นจำนวนอดิศัยหรือไม่เมื่อ a ≠ 0,1 และเป็นจำนวนเชิงพีชคณิต และ b เป็นจำนวนอตรรกยะใด ๆ นั้นยังคงไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้
sin (1)
ln (a) ถ้า a เป็นจำนวนตรรกยะบวกและ a ≠ 1
Γ (1/3) (ดู ฟังก์ชันแกมมา) Γ(1/4), and Γ(1/6).
Ω ค่าคงตัว Chaitin
\sum_{k=0}^\infty 10^{-\lfloor \beta^{k} \rfloor};\quad \beta > 1 โดย \beta\mapsto\lfloor \beta \rfloor เป็นฟังก์ชันพื้น (floor function) เช่น ถ้า β = 2 ตัวเลขนี้คือ 0.11010001000000010000000000000001000…
ค่าคงตัว Prouhet–Thue–Morse.
0.64341054629..., ค่าคงตัวของ Cahen.
== ความสำคัญของจำนวนอดิศัย ==
การค้นพบจำนวนอดิศัย สามารถนำไปใช้พิสูจน์ความ เป็นไปไม่ได้ ในการแก้ปัญหาของคณิตศาสตร์กรีกโบราณหลายข้อที่เกี่ยวกับ การสร้างรูปด้วยไม้บรรทัดและวงเวียน เช่น การสร้างสี่เหลี่ยมจตุรัสจากวงกลม ซึ่งเป็นไปไม่ได้เนื่องจาก π เป็นจำนวนอดิศัย. ในขณะที่การสร้างรูปด้วยไม้บรรทัดและวงเวียน สามารถสร้างได้แต่รูปที่มีความยาวในขอบเขตของจำนวนเชิงพีชคณิตเท่านั้น
== อ้างอิง ==
อ
ทฤษฎีจำนวน
|
thaiwikipedia
| 1,126 |
มอสโก
|
มอสโก (Moscow; , ; links=no|Москва|r=Moskva|p=mɐˈskva|a=Москва.ogg) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศรัสเซีย นครแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมอสควาในพื้นที่ทางตอนกลางของรัสเซียตะวันตก มีประชากรประมาณ 12.6 ล้านคนในเขตนครจำกัด แต่ถ้านับรวมพื้นที่เขตเมืองเข้าไปด้วยแล้ว จะมีประชากรถึง 17 ล้านคน และถ้านับรวมพื้นที่ปริมณฑลด้วยแล้ว จะมีประชากรทั้งสิ้น 20 ล้านคน ตัวนครมีพื้นที่ 2,511 ตารางกิโลเมตร หากนับรวมเขตเมืองจะมีพื้นที่ 5,891 ตารางกิโลเมตร และเมื่อรวมปริมณฑล จะมีพื้นที่ 26,000 ตารางกิโลเมตร มอสโกเป็นหนึ่งในนครที่ใหญ่ที่สุดในโลก นครที่มีประชากรมากที่สุดในทวีปยุโรป เขตเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในทวีปยุโรป และเขตปริมณฑลที่มีประชากรมากที่สุดในทวีปยุโรป นอกจากนี้ ยังเป็นนครที่มีพื้นที่มากที่สุดในทวีปยุโรป
มอสโกก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1147 ในฐานะเมืองเล็ก ก่อนที่จะเติบโตขึ้นเป็นเมืองที่เจริญและมีอำนาจจนกลายเป็นเมืองหลวงของแกรนด์ดัชชีมอสโก เมื่อแกรนด์ดัชชีมอสโกกลายเป็นอาณาจักรซาร์รัสเซียแล้ว มอสโกก็ยังคงเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจของอาณาจักรมาโดยตลอด เมื่ออาณาจักรซาร์กลายเป็นจักรวรรดิรัสเซีย เมืองหลวงถูกย้ายจากมอสโกไปยังเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก และย้ายกลับสู่มอสโกอีกครั้งหลังจากที่มีการปฏิวัติรัสเซีย ตัวนครกลับไปเป็นศูนย์กลางทางการเมืองของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียและสหภาพโซเวียต และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย มอสโกก็ได้ทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงของสหพันธรัฐรัสเซียมาจนถึงปัจจุบัน
ในฐานะที่เป็นนครใหญ่ที่อยู่ทางเหนือสุดและมีอากาศหนาวเย็นที่สุดในโลก ประกอบกับประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าแปดศตวรรษ มอสโกมีฐานะเป็นนครสหพันธ์ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ของรัสเซียและยุโรปตะวันออก นอกจากนี้ ในฐานะที่เป็นนครโลกอัลฟา มอสโกเป็นหนึ่งในเขตเมืองที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก หนึ่งในเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก มอสโกเป็นเมืองที่มีเศรษฐีพันล้านมากเป็นอันดับที่สามของโลก และมากที่สุดในทวีปยุโรป ศูนย์ธุรกิจนานาชาติมอสโกเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปและโลก และมีตึกระฟ้าหลายตึกที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของทวีปยุโรป มอสโกเป็นที่ตั้งของหอคอยออสตันกีนอซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป และเป็นเมืองเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1980 และฟุตบอลโลก 2018
ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของประเทศ มอสโกเป็นบ้านเกิดของศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ และนักกีฬาชาวรัสเซียหลายท่าน สังเกตได้จากการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ สถาบันการศึกษาและการเมือง และโรงละคร นครเป็นที่ตั้งของแหล่งมรดกโลกหลายแห่งของยูเนสโก และมีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมรัสเซีย ซึ่งปรากฏให้เห็นในมหาวิหารนักบุญเบซิล จัตุรัสแดง และเครมลินแห่งมอสโก ซึ่งเครมลินนี้เองเป็นที่ตั้งที่ทำการของรัฐบาลรัสเซีย มอสโกเป็นที่ตั้งของบริษัทการเงินและเทคโนโลยีหลายแห่ง และครอบคลุมด้วยระบบขนส่งต่าง ๆ อาทิ ท่าอากาศยานนานาชาติสี่แห่ง สถานีรถไฟเก้าแห่ง ระบบรถราง รถไฟฟ้ารางเดี่ยว และรถไฟใต้ดินมอสโก ซึ่งเป็นระบบรถไฟใต้ดินที่มีผู้โดยสารมากที่สุดในทวีปยุโรป และเป็นหนึ่งในระบบขนส่งมวลชนเร็วที่ใหญ่ที่สุดในโลก พื้นที่กว่าร้อยละ 40 ของนคร ปกคลุมด้วยต้นไม้ มอสโกจึงเป็นหนึ่งในนครที่มีพื้นที่สีเขียวมากที่สุดในทวีปยุโรปและโลก
== ประวัติศาสตร์ ==
ใน ค.ศ. 1237 เมืองมอสโกก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยเป็นเมืองของรัฐอิสระโดยเจ้าชาย ยูรี ดาลการุสกี การอยู่ริมฝั่งแม่น้ำวอลกาช่วยให้มอสโกขยายตัวอย่างรวดเร็ว ต่อมาใน ค.ศ. 1380 ชาวมอสโกได้เป็นแกนนำในการปลดปล่อยรัสเซียจากมองโกล ต่อมาใน ค.ศ. 1480 พระเจ้าซาร์อีวานที่ 3 ได้ปลดปล่อยรัสเซียจากการปกครองของเผ่า ตาตาร์ และย้ายเมืองหลวงของประเทศมายังมอสโก
ใน ค.ศ. 1712 พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราชได้ย้ายเมืองหลวงไปยังเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก มอสโกได้เผชิญกับการปิดล้อมโดยกองทัพของนโปเลียน โบนาปาร์ต ใน ค.ศ. 1812 แต่นโปเลียนต้องถอยทัพกลับไปเนื่องจากทนความหนาวเย็นไม่ได้
หลังจากการปฏิวัติรัสเซีย ใน ค.ศ. 1917 เลนินได้ย้ายเมืองหลวงกลับมายังมอสโกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1918 ซึ่งยังคงเป็นเมืองหลวงมาจนถึงปัจจุบัน
มอสโกเผชิญการปิดล้อมอีกครั้งจากนาซีเยอรมันระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองใน ค.ศ. 1941 และยังเป็นสถานที่จัดกีฬาโอลิมปิก ใน ค.ศ. 1980
== ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ==
=== เมืองพี่น้องและเมืองแฝด ===
มอสโกกับเมืองแฝดกับ:
อัลมาเตอ คาซัคสถาน
อัมมาน จอร์แดน
อังการา ตุรกี (1992)
ปักกิ่ง จีน
เบรุต เลบานอน
เบอร์ลิน เยอรมนี
บราติสลาวา สโลวาเกีย
เบอร์โน เช็กเกีย
บูคาเรสต์ โรมาเนีย
บัวโนสไอเรส อาร์เจนตินา (1990)
ชิคาโก สหรัฐ
กุสโก เปรู
ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ดึสเซิลดอร์ฟ เยอรมนี
กันจา อาเซอร์ไบจาน
ฮานอย เวียดนาม
นครโฮจิมินห์ เวียดนาม
จาการ์ตา อินโดนีเซีย
คาร์กิว ยูเครน
ลูบลิยานา สโลวีเนีย
ลอนดอน สหราชอาณาจักร
มะนิลา ฟิลิปปินส์
นิวเดลี อินเดีย
นูร์-ซุลตัน คาซัคสถาน
ปราก เช็กเกีย
เปียงยาง เกาหลีเหนือ
รีกา ลัตเวีย
โซล เกาหลีใต้
ทาลลินน์ เอสโตเนีย
เตหะราน อิหร่าน
ติรานา แอลเบเนีย
โตเกียว ญี่ปุ่น
วิลนีอัส ลิทัวเนีย
วอร์ซอ โปแลนด์
=== ข้อตกลงด้านความร่วมมือ ===
มอสโกทำข้อตกลงด้านความร่วมมือกับ:
กรุงเทพมหานคร ไทย (1997)
ลิสบอน โปรตุเกส (1997)
มาดริด สเปน (2006)
เทลอาวีฟ อิสราเอล (2001)
ตูนิส ตูนิเซีย (1998)
เยเรวาน อาร์มีเนีย (1995)
=== เมืองพี่น้องและเมืองแฝดในอดีต ===
เคียฟ ยูเครน
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Interactive map of housing in Moscow from 1785-2018
Travel2moscow.com – Official Moscow Guide
Official Moscow Administration Site
Informational website of Moscow
เมืองหลวงในทวีปยุโรป
เมืองในประเทศรัสเซีย
ก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 12
มอสโก
แคว้นมอสโก
|
thaiwikipedia
| 1,127 |
ประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกร
|
เซอร์เบียและมอนเตเนโกร (Serbia and Montenegro, SCG) เป็นชื่อของอดีตสหพันธรัฐซึ่งเป็นการรวมอย่างหลวม ๆ ของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร อดีตสาธารณรัฐของยูโกสลาเวีย ตั้งแต่ ค.ศ. 2003 จนถึง ค.ศ. 2006 ตั้งอยู่บนคาบสมุทรบอลข่านตอนตะวันตกกลาง ซึ่งแต่เดิมมีชื่อประเทศว่า สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย (FRY) ต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อประเทศในปี ค.ศ. 2003 ในชื่อ สหภาพรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกร
เซอร์เบียและมอนเตเนโกรมีความร่วมมือกันเฉพาะบางด้านในการเมือง (เช่น ผ่านสหพันธ์การป้องกันประเทศ) ทั้ง 2 รัฐมีนโยบายเศรษฐกิจและหน่วยเงินของตนเอง และประเทศไม่มีเมืองหลวงรวมอีกต่อไป โดยที่แบ่งแยกสถาบันที่ใช้ร่วมกันระหว่างเมืองเบลเกรดในเซอร์เบียและเมืองพอดกอรีตซาในมอนเตเนโกร ทั้งสองรัฐแยกออกจากกันหลังจากมอนเตเนโกรจัดให้มีการลงประชามติเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 และประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ปีเดียวกัน ทำให้เกิดประเทศใหม่คือประเทศมอนเตเนโกร ส่วนประเทศเซอร์เบียก็กลายเป็นผู้สืบสิทธิ์ต่าง ๆ ของประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกร
ความทะเยอทะยานในการเป็นรัฐผู้สืบทอดทางกฎหมายแต่เพียงผู้เดียวของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียไม่ได้รับการยอมรับจากองค์การสหประชาชาติ หลังจากการผ่านมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 777 ซึ่งยืนยันว่าสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียได้ยุติลงแล้ว และสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียเป็นรัฐใหม่ แม้ว่าสาธารณรัฐในอดีตทั้งหมดจะมีสิทธิ์ในการสืบทอดสถานะ แต่ก็ไม่มีสาธารณรัฐใดที่คงรักษาสภาพทางกฎหมายระหว่างประเทศเหมือนดังสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของสลอบอดัน มีลอเชวิช คัดค้านคำกล่าวอ้างดังกล่าว ดังนั้นสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมสหประชาชาติ
ตลอดเวลาของสหพันธ์สาธารณรัฐมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับประชาคมนานาชาติ เนื่องจากมีการออกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัฐในระหว่างสงครามยูโกสลาเวียและสงครามคอซอวอ นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงระหว่างปี 1992-1994 บทบาทของสหพันธ์สาธารณรัฐในสงครามยูโกสลาเวียสิ้นสุดลงด้วยความตกลงเดย์ตัน ซึ่งยอมรับความเป็นอิสระของสาธารณรัฐโครเอเชีย สโลวีเนีย และบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เช่นเดียวกับการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐต่าง ๆ และการรับรองบทบาทของประชากรเซอร์เบียในการเมืองบอสเนีย ต่อมาการแบ่งแยกดินแดนที่เพิ่มขึ้นภายในจังหวัดปกครองตนเองคอซอวอและเมตอฮิจา ซึ่งเป็นภูมิภาคของเซอร์เบียที่มีชาวแอลเบเนียอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการจลาจลโดยกองทัพปลดปล่อยคอซอวอ ซึ่งเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวแอลเบเนีย การปะทุของสงครามคอซอวอทำให้เกิดการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกอีกครั้ง เช่นเดียวกับการที่ชาติตะวันตกเข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งในที่สุด ความขัดแย้งจบลงด้วยการใช้มติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1244 ซึ่งรับรองการแยกเศรษฐกิจและการเมืองของคอซอวอจากสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ให้อยู่ภายใต้การบริหารของสหประชาชาติ
ความยากลำบากทางเศรษฐกิจและสงครามส่งผลให้เกิดความไม่พอใจมากขึ้นกับรัฐบาลของมีลอเชวิชและพันธมิตรของเขาซึ่งปกครองเซอร์เบียและมอนเตเนโกรในฐานะเผด็จการที่มีประสิทธิภาพ ในที่สุดสิ่งนี้จะสะสมในการปฏิวัติบูลดอลเซอร์ ซึ่งเห็นว่ารัฐบาลของเขาถูกโค่นล้ม และถูกแทนที่ด้วยรัฐบาลที่นำโดยฝ่ายค้านประชาธิปไตยแห่งเซอร์เบียและ วอยีสลาฟ คอชตูนีตซา ซึ่งยูโกสลาเวียได้เข้าร่วมกับสหประชาชาติเช่นกัน
สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียสิ้นสุดลงในปี 2003 หลังจากสภาแห่งสหพันธรัฐยูโกสลาเวียลงมติให้ตรากฎบัตรรัฐธรรมนูญของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ซึ่งจัดตั้งสหภาพแห่งรัฐของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ด้วยเหตุนี้ ชื่อยูโกสลาเวียจึงถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ การเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชที่เพิ่มขึ้นในมอนเตเนโกร นำโดย มีลอ คูคานอวิช หมายความว่ารัฐธรรมนูญของเซอร์เบียและมอนเตเนโกรรวมมาตราที่อนุญาตให้มีการลงประชามติในคำถามเกี่ยวกับเอกราชของมอนเตเนโกรหลังจากเวลาผ่านไปสามปี ในปี 2006 การลงประชามติถูกเรียกและผ่านไปอย่างฉิวเฉียด สิ่งนี้นำไปสู่การสลายตัวของสหภาพแห่งรัฐของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร และการจัดตั้งสาธารณรัฐอิสระของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ทำให้เซอร์เบียกลายเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล นี่ถือได้ว่าเป็นการกระทำครั้งสุดท้ายที่ยุติการล่มสลายของยูโกสลาเวีย
== ชื่อ ==
ในการก่อตั้งประเทศในปี 1992 หลังจากการล่มสลายของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย ชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศคือสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย เนื่องจากอ้างว่าเป็นรัฐผู้สืบทอดทางกฎหมายแต่เพียงผู้เดียวของ สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐอเมริกามองว่าการอ้างสิทธิ์นี้ไม่ถูกต้อง และอย่างน้อยในปี 1999 จึงเรียกประเทศนี้ว่า เซอร์เบียและมอนเตเนโกร รัฐธรรมนูญปี 2546 เปลี่ยนชื่อรัฐเป็น "สหภาพรัฐแห่งเซอร์เบียและมอนเตเนโกร"
== ภูมิศาสตร์ ==
เซอร์เบียและมอนเตเนโกรมีพื้นที่ 102,350 ตารางกิโลเมตร (39,518 ตารางไมล์) โดยมีแนวชายฝั่ง 199 กิโลเมตร (124 ไมล์) ภูมิประเทศของทั้งสองสาธารณรัฐมีความหลากหลายมาก โดยส่วนใหญ่ของเซอร์เบียประกอบด้วยที่ราบและเนินเขาเตี้ยๆ (ยกเว้นพื้นที่ภูเขาของคอซอซอและเมโทฮียา) และส่วนใหญ่ของมอนเตเนโกรประกอบด้วยภูเขาสูง เซอร์เบียไม่มีทางออกสู่ทะเลโดยสิ้นเชิง โดยมีแนวชายฝั่งเป็นของมอนเตเนโกร ภูมิอากาศก็แปรปรวนเหมือนกัน ทางเหนือมีภูมิอากาศแบบทวีป (ฤดูหนาวหนาวเย็นและฤดูร้อน) ; ภาคกลางมีการผสมผสานระหว่างภูมิอากาศแบบทวีปและเมดิเตอร์เรเนียน ภาคใต้มีภูมิอากาศแบบเอเดรียติคตามแนวชายฝั่ง โดยพื้นที่ภายในมีฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงที่ร้อนและแห้งแล้ง และฤดูหนาวที่ค่อนข้างหนาวเย็นและมีหิมะตกหนักในพื้นที่
เบลเกรด มีประชากร 1,574,050 คน เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสองประเทศ: และเป็นเมืองเดียวที่มีขนาดพอควร เมืองหลักอื่นๆ ของประเทศ ได้แก่ นอวีซาด นีช กรากูเยวัตส์ พอดกอรีตซา ซูบอติตซา พริสตีนา และพริสเรน แต่ละเมืองมีประชากรประมาณ 100,000–250,000 คน
== ประวัติศาสตร์ ==
=== การล่มสลายของยูโกสลาเวีย ===
6 เมษายน ค.ศ. 1991 - เกิดสงครามระหว่างรัฐบาลบอสเนียกับชาวพื้นเมืองเชื้อสายเซิร์บเนื่องจากพยายามแยกตัวเป็นอิสระ
25 มิถุนายน ค.ศ. 1991 - โครเอเชียและสโลวีเนียประกาศแยกตัว
21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1995 นายมีลอเชวิชได้ร่วมกับประธานาธิบดีโครเอเชียและบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา ลงนามในข้อตกลงสันติภาพ ภายหลังจากการโจมตีทางอากาศของนาโต
15 กรกฎาคม ค.ศ. 1997 - นายมีลอเชวิชลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีเซอร์เบีย และขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียูโกสลาเวีย
24 กันยายน ค.ศ. 1998 - นาโตยื่นคำขาดให้นายมีลอเชวิชยุติการสู้รบกับชาวคอซอวอเชื้อสายแอลเบเนีย มิเช่นนั้นจะถูกโจมตีทางอากาศ
6 ตุลาคม ค.ศ. 2000 - นายมีลอเชวิชพ่ายแพ้การเลือกตั้งต่อนายวอยีสลาฟ คอชตูนีตซา
7 ตุลาคม ค.ศ. 2000 - นายวอยีสลาฟ คอชตูนีตซา สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี
4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002 - เปลี่ยนชื่อประเทศจากสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียเป็นเซอร์เบียและมอนเตเนโกร
21 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 - ประชาชนมอนเตเนโกรได้ลงประชามติให้มอนเตเนโกรเป็นอิสระจากเซอร์เบีย
5 มิถุนายน ค.ศ. 2006 - เซอร์เบียได้ประกาศการแยกตัวอย่างเป็นทางการระหว่างเซอร์เบียและมอนเตเนโกร โดยเซอร์เบียจะเป็นผู้สืบสิทธิ์ของยูโกสลาเวีย
=== การก่อตั้ง ===
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 1991 เซอร์เบีย มอนเตเนโกร และดินแดนที่กลุ่มกบฏยึดครองในโครเอเชียตกลงร่วมกันว่าจะก่อตั้ง "ยูโกสลาเวียที่สาม" ขึ้นใหม่ ความพยายามยังเกิดขึ้นในปี 1991 เพื่อรวมบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเข้าในสหพันธรัฐ ด้วยการเจรจาระหว่างมีลอเชวิชและพรรคประชาธิปไตยเซิร์บของบอสเนีย และผู้เสนอสหภาพบอสเนีย – รองประธานาธิบดี เอดิล ซูลฟีคาปาซิช ของบอสเนียจึงอยู่ในเรื่องนี้ เขาเชื่อว่าบอสเนียจะได้รับประโยชน์จากการรวมเป็นหนึ่งกับเซอร์เบีย มอนเตเนโกร และครายีนา ดังนั้นเขาจึงสนับสนุนสหภาพที่จะรักษาเอกภาพของชาวเซิร์บและบอสนีแอก มีลอเชวิชยังคงเจรจากับซูลฟีคาปาซิช เพื่อรวมบอสเนียเข้าในยูโกสลาเวียใหม่ อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะรวมบอสเนียทั้งหมดไว้ในยูโกสลาเวียใหม่ยุติลงอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อปลายปี 1991 เนื่องจากอีเซตเบกอวิช วางแผนที่จะจัดการลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราช ในขณะที่ชาวเซิร์บบอสเนียและชาวโครแอตบอสเนียตั้งเขตปกครองตนเองขึ้น ความรุนแรงระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์เซอร์เบียและบอสเนียก็ปะทุขึ้นในไม่ช้า ดังนั้นยูโกสลาเวียจึงถูกจำกัดไว้เฉพาะสาธารณรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกร และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสาธารณรัฐเซอร์เบียที่แตกแยกระหว่างสงครามยูโกสลาเวีย
=== วิกฤตการณ์ยูโกสลาเวีย ===
ความแตกแยกของยูโกสลาเวียในปัจจุบันมีที่มาเป็นปัจจัยพื้นฐานหลายประการ ที่สำคัญประการหนึ่งคือปัจจัยทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสั่งสมมานานกว่าพันปีจากการที่สาธารณรัฐต่าง ๆ ซึ่งมาร่วมกันเป็นสหพันธ์ฯ มีเชื้อชาติ ศาสนา ความเป็นมาทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์แตกต่างกัน ความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติจึงเป็นปัญหาที่คุกรุ่นมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างชาวโครแอต ชาวเซิร์บ และชาวมุสลิม ในอดีตสโลวีเนียและโครเอเชียเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันและจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี แห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์ก (Hapsburg Empire) มาเป็นเวลาหลายศตวรรษ จึงมีความเกี่ยวพันทางสังคม วัฒนธรรม ภาษา ศาสนา และจิตใจกับยุโรปตะวันตก ในขณะที่รัฐทั้งหลายทางตอนใต้ คือ เซอร์เบีย มอนเตเนโกร บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และมาซิโดเนีย เคยอยู่ภายใต้อำนาจของจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine) และจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman) มานับพันปี จึงได้รับการหล่อหลอมวัฒนธรรมแบบบอลข่าน คือ แบบมุสลิมหรือคริสเตียนตะวันออก (Orthodox) ถึงแม้ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงด้วยการล่มสลายของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และมีการก่อตั้ง "ราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน" (Kingdom of Serbs, Croates and Slovenes) เป็นประเทศเอกราช โดยมีกษัตริย์ปกครอง แต่เสถียรภาพทางการเมืองภายในยังคงคลอนแคลน เพราะรัฐต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างด้านเชื้อชาติและศาสนา ยังคงมีความขัดแย้งกันลึก ๆ ในปี 1929 กษัตริย์อาเล็กซานดาร์ได้ทรงเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น "ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย" (Kingdom of Yugoslavia) และปกครองประเทศด้วยนโยบายเด็ดขาดโดยความร่วมมือของทหารตลอดมา จนได้รับขนานนามว่าเป็น “Royal Dictatorship” เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง ประธานาธิบดียอซีป บรอซ ตีโต สามารถยึดเหนี่ยวรัฐต่าง ๆ ของยูโกสลาเวียให้รวมกันอยู่ต่อไป ทั้งนี้ โดยใช้นโยบายอันเด็ดขาดกอปรกับอัจฉริยภาพของประธานาธิบดีตีโตเอง จนกระทั่งเมื่อประธานาธิบดีตีโตถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปี 1980 ความแตกแยกระหว่างรัฐทั้งหลายที่ประกอบขึ้นเป็นสหพันธรัฐยูโกสลาเวียก็เริ่มปรากฏขึ้น และเมื่อนายสลอบอดัน มีลอเชวิช ผู้นำเชื้อสายเซิร์บ ซึ่งมีแนวคิดชาตินิยม ก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 1989 ความขัดแย้งภายในจึงได้ทวีความรุนแรงจนเกิดวิกฤตการณ์ยูโกสลาเวียเดิมประกอบด้วย 6 สาธารณรัฐ กล่าวคือ สาธารณรัฐสโลวีเนีย โครเอเชีย เซอร์เบีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มอนเตเนโกร และมาซิโดเนีย รวมทั้งจังหวัดปกครองตนเองคอซอวอและวอยวอดีนา ซึ่งเป็นมณฑลปกครองตนเอง เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1991 สาธารณรัฐสโลวีเนียและโครเอเชียได้ประกาศแยกตัวเป็นเอกราช ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของยูโกสลาเวียอีกต่อไป ภายหลังจากการออกเสียงประชามติทั่วประเทศในสาธารณรัฐทั้งสอง การประกาศเป็นเอกราชดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติการณ์ยูโกสลาเวีย ซึ่งได้ขยายตัวเป็นสงครามกลางเมืองในเวลาต่อมา เมื่อสาธารณรัฐมาซิโดเนียและบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ได้ประกาศยกตัวออกเป็นรัฐเอกราชเช่นเดียวกัน เมื่อเดือนกันยายนและตุลาคม 1991 ตามลำดับ
=== สถานการณ์ในคอซอวอ ===
คอซอวอเป็นจังหวัดปกครองตนเองแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของสาธารณรัฐเซอร์เบีย ประกอบด้วยชาวแอลเบเนียร้อยละ 90 จากประชากรจำนวน 2 ล้านคน ในปี 1998 เคยเกิดการสู้รบอย่างรุนแรงระหว่างกองกำลังชาวคอซอวอเชื้อสายแอลเบเนียกับกองทัพของเซอร์เบียเมื่อเซอร์เบียประกาศยกเลิกสถานะการปกครองตนเองของคอซอวอ การสู้รบขยายตัวไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวแอลเบเนียอย่างโหดเหี้ยม ส่งผลให้เกิดผู้ลี้ภัยชาวแอลเบเนียในประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก
การสู้รบดังกล่าว ยุติลงเมื่อเนโทใช้ปฏิบัติการทางทหารกับเซอร์เบีย ในปี 1999 ซึ่งต่อมา NATO ได้ส่งกองกำลังคอซอวอ (Kosovo Force, KFOR) เข้าไปปฏิบัติการรักษาสันติภาพในคอซอวอ และสหประชาชาติได้จัดตั้งองค์กรบริหารชั่วคราวขึ้นในคอซอวอ (UNMIK) อย่างไรก็ดี กล่าวได้ว่า สถานการณ์ในคอซอวอหลังปี 1999 ยังไม่สงบนัก เนื่องจากมีการปะทะกันระหว่างชาวคอซอวอเชื้อสายแอลเบเนียกับเชื้อสายเซิร์บอยู่เป็นประจำ ก่อให้เกิดความตึงเครียดเป็นระยะ ๆ
=== การเจรจาระหว่างชาวคอซอวอเชื้อสายแอลเบเนียกับเชื้อสายเซิร์บ ===
เมื่อวันที่ 20-21 กุมภาพันธ์ 2006 ได้มีการเจรจาแบบเผชิญหน้าครั้งแรกระหว่างฝ่ายเซิร์บกับฝ่ายแอลเบเนียในคอซอวอที่กรุงเวียนนา เพื่อกำหนดสถานะในอนาคตของคอซอวอ โดยเป็นการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับกลางของทั้งสองฝ่าย และมีเจ้าหน้าที่ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเป็นผู้ประสานการเจรจา โดยเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2006 ได้มีการเจรจาระดับสูงระหว่างประธานาธิบดีเซอร์เบียและนายกรัฐมนตรีคอซอวอขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1999 แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องสถานะทางการเมืองที่ถาวรของคอซอวอ ฝ่ายเซิร์บยืนกรานให้คอซอวอเป็นส่วนหนึ่งของเซอร์เบีย โดยยินยอมให้อิสระในระดับหนึ่ง ขณะที่ฝ่ายแอลเบเนียต้องการอิสรภาพ สำหรับการเจรจาในระดับเจ้าหน้าที่ครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อวันที่ 7–8 สิงหาคม ที่ผ่านมายังไม่สามารถหาข้อยุติได้ โดยฝ่ายเซิร์บได้คว่ำบาตรการเจรจาในหัวข้อที่เกี่ยวกับอนาคตของคอซอวอ
=== การล่มสลายของสหภาพรัฐ ===
มอนเตเนโกรลงประชามติแยกตัวออกจากประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกรเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2006 มอนเตเนโกรได้จัดการลงประชามติเพื่อแยกตัวออกจากประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกร โดยมีผู้ลงคะแนนเสียงสนับสนุนให้รัฐมอนเตเนโกรแยกตัวออกจากประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ร้อยละ 55.4 ซึ่งเกินเกณฑ์ขั้นต่ำ (ร้อยละ 55) ที่สหภาพยุโรปกำหนดที่จะให้การรับรอง โดยมีจำนวนผู้ที่มาใช้สิทธิมากถึง ร้อยละ 86.3 จากจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนทั้งหมด 485,000 คน ซึ่งผลการลงประชามติในครั้งนี้ จะทำให้มอนเตเนโกรกลายเป็นประเทศเกิดใหม่ล่าสุดของโลก และมีแนวโน้มที่มอนเตเนโกรจะได้รับโอกาสในการพัฒนาประเทศและเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม เซอร์เบียจะเป็นรัฐสืบสิทธิเพียงผู้เดียว สำหรับมอนเตเนโกรนั้น เมื่อแยกตัวออกมาเป็นประเทศเอกราชจะต้องขอรับการรับรองจากนานาประเทศ และสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ และองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ อีกครั้งหนึ่ง
== การเมืองการปกครอง ==
=== บริหาร ===
ประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกรปกครองแบบสาธารณรัฐ โดยประธานาธิบดีเป็นประมุขมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล ได้รับเลือกตั้งจากสภาสำหรับจังหวัดปกครองตนเองคอซอวออยู่ภายใต้การบริหารของสหประชาชาติ
สภาแห่งสหพันธรัฐยูโกสลาเวีย ซึ่งเป็นตัวแทนของ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย (1992–2003) ประกอบด้วยสองห้อง: สภาพลเมืองและสภาแห่งสาธารณรัฐ ในขณะที่สภาพลเมืองทำหน้าที่เป็นสมัชชาสามัญ ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนของ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย สภาแห่งสาธารณรัฐถูกสร้างขึ้นอย่างเท่าเทียมกันโดยตัวแทนจากสาธารณรัฐที่เป็นส่วนประกอบของสหพันธ์ เพื่อให้แน่ใจว่ารัฐบาลกลางมีความเท่าเทียมกันระหว่างเซอร์เบียและมอนเตเนโกร
ประธานาธิบดีคนแรกระหว่างปี 1992–1993 คือ โดรบิกา โชชิช จากอดีตพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อมาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสนับสนุนบันทึกข้อขัดแย้งของสถาบันวิทยาศาสตร์และศิลปะแห่งเซอร์เบีย แม้จะดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศ แต่ โชชิชก็ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งในปี 1993 เนื่องจากการต่อต้านประธานาธิบดี สลอบอดัน มีลอเชวิช ของเซอร์เบีย โชชิช ถูกแทนที่โดย ซอรัน ลีลิช ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 1993 ถึง 1997 จากนั้น มีลอเชวิช ได้กลายเป็นประธานาธิบดียูโกสลาเวียในปี 1997 หลังจากวาระสุดท้ายของการเป็นประธานาธิบดีเซอร์เบียสิ้นสุดลงในปี 1997 สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียถูกครอบงำโดยมีลอเชวิชและพันธมิตรของเขา จนกระทั่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2000 มีการกล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้งและประชาชนชาวยูโกสลาเวียพากันออกมาที่ถนนและเข้าร่วมการจลาจลในกรุงเบลเกรดเพื่อเรียกร้องให้ถอดถอนมิโลเซวิชออกจากอำนาจ หลังจากนั้นไม่นาน มีลอเชวิช ก็ลาออก และ โวจิสลาฟ คอสตูนิกา เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดียูโกสลาเวียและยังคงเป็นประธานาธิบดีต่อไปจนกว่าจะมีการสร้างรัฐขึ้นใหม่เป็นสหภาพแห่งรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกร
นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลกลาง มิลาน ปานิช เริ่มหงุดหงิดกับพฤติกรรมครอบงำของมีลอเชวิช ในระหว่างการเจรจาทางการทูตในปี 1992 และบอกให้เขา"ไม่เปิดปากพูด" เพราะตำแหน่งของมีลอเชวิช นั้นต่ำกว่าตำแหน่งของเขาอย่างเป็นทางการต่อมามีลอเชวิชบังคับให้ปานิชลาออก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้เปลี่ยนไปหลังจากปี 1997 เมื่อวาระทางกฎหมายที่สองและครั้งสุดท้ายของมีลอเชวิชในฐานะประธานาธิบดีเซอร์เบียสิ้นสุดลง จากนั้นเขาก็เลือกประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงยึดอำนาจที่เขามีอยู่โดยพฤตินัยแล้ว
หลังจากที่สหพันธ์ถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นสหภาพแห่งรัฐแล้ว สมัชชาใหม่ของสหภาพแห่งรัฐก็ถูกสร้างขึ้น มีสภาเดียวและประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 126 คน โดย 91 คนมาจากเซอร์เบีย และ 35 คนมาจากมอนเตเนโกร สมัชชามีการประชุมกันในอาคารรัฐสภาเก่าของยูโกสลาเวีย ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสภาแห่งชาติเซอร์เบีย
ในปี 2546 หลังจากการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญและการสร้างสหภาพแห่งรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ประธานาธิบดีสเวทอซาร์ มารอวิช คนใหม่ของเซอร์เบียและมอนเตเนโกรได้รับเลือก เขายังเป็นประธานคณะรัฐมนตรีของเซอร์เบียและมอนเตเนโกรด้วย เป็นประธานาธิบดีคนแรกและคนสุดท้ายของเซอร์เบียและมอนเตเนโกรจนกระทั่งแยกออกจากกันในปี 2549
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 1999 สมัชชาแห่งสหพันธรัฐยูโกสลาเวียได้ผ่าน "การตัดสินใจเกี่ยวกับการภาคยานุวัติของ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ต่อรัฐสหภาพรัสเซียและเบลารุส"ผู้สืบทอดทางกฎหมายของการตัดสินใจนั้นคือสาธารณรัฐเซอร์เบีย
== การแบ่งเขตการปกครอง ==
ประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกรประกอบด้วย 2 สาธารณรัฐ (republics) คือ
สาธารณรัฐเซอร์เบีย (เมืองหลวง-เบลเกรด)
สาธารณรัฐมอนเตเนโกร (เมืองหลวง-พอดกอรีตซา)
ภายในสาธารณรัฐเซอร์เบียมี 2 มณฑลปกครองตนเอง (autonomous provinces) คือ
จังหวัดปกครองตนเองวอยวอดีนา (เมืองหลวง-นอวีซาด)
จังหวัดปกครองตนเองคอซอวอและเมโตฮียา (เมืองหลวง-พรีชตีนา)
ส่วนของเซอร์เบียที่ไม่ได้อยู่ในเขตของ 2 มณฑลดังกล่าว (มักเรียกว่า เซนทรัลเซอร์เบีย) ไม่ได้เป็นจังหวัดและไม่มีสถานะพิเศษ รวมทั้งไม่มีเมืองหลวงและรัฐบาล
ในพื้นที่ดินแดนทั้ง 3 แห่งข้างต้น จะแบ่งออกเป็น เขต (districts) รวม 29 เขต และแต่ละเขตแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น เทศบาล (municipalities)
ส่วนในสาธารณรัฐมอนเตเนโกรนั้นจะแบ่งออกเป็น 21 เทศบาล
== กองทัพ ==
กองทัพเซอร์เบียและมอนเตเนโกร (เซอร์เบีย: Војска Југославије/Vojska Jugoslavije, หรือ ВЈ/VJ) รวมกองกำลังภาคพื้นดินกับกองกำลังภายในและกองกำลังชายแดน กองกำลังทางเรือ กองกำลังป้องกันทางอากาศและทางอากาศ และการป้องกันพลเรือน ก่อตั้งขึ้นจากกองทัพประชาชนยูโกสลาเวีย (JNA) ซึ่งเป็นกองทัพของยูโกสลาเวียเดิม หน่วย VJ ชาวเซิร์บบอสเนียหลายหน่วยถูกย้ายไปที่เรปูบลิกาเซิร์บสกาในระหว่างสงครามบอสเนีย เหลือเพียงหน่วยโดยตรงจากเซอร์เบียและมอนเตเนโกรในกองทัพ โดยการปฏิบัติการทางทหารในช่วงสงครามยูโกสลาเวีย ซึ่งรวมถึงการปิดล้อมเมืองดูบรอฟนิกและยุทธการที่วูโควาร์ รวมถึงสงครามคอซอวอ และมีบทบาทในการต่อสู้ระหว่างการก่อความไม่สงบทางชาติพันธุ์ หลังจากสงครามโคโซโว กองทัพถูกบังคับให้อพยพออกจากโคโซโว และในปี 2546 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น กองกำลังของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร หลังจากการสลายตัวของสหภาพระหว่างเซอร์เบียและมอนเตเนโกร หน่วยจากแต่ละกองทัพได้รับมอบหมายให้ดูแล สาธารณรัฐอิสระแห่งเซอร์เบียและมอนเตเนโกร เนื่องจากการเกณฑ์ทหารเป็นระดับท้องถิ่นมากกว่าระดับรัฐบาลกลาง มอนเตเนโกรสืบทอดกองทัพเรือขนาดเล็กของยูโกสลาเวีย เนื่องจากเซอร์เบียไม่มีทางออกสู่ทะเล
== การเสนอการเปลี่ยนธงชาติและเพลงชาติแห่งสหภาพรัฐ ==
หลังจากการก่อตั้งสหภาพแห่งรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ธงไตรรงค์ของยูโกสลาเวียจะถูกแทนที่ด้วยธงใหม่ มาตรา 23 ของกฎหมายเพื่อการดำเนินการตามกฎบัตรรัฐธรรมนูญ ระบุว่ากฎหมายระบุธงใหม่จะต้องผ่านภายใน 60 วันของเซสชั่นแรกของรัฐสภาร่วมใหม่ ในบรรดาข้อเสนอธง ตัวเลือกที่เป็นที่นิยมคือธงที่มีเฉดสีฟ้าระหว่างไตรรงค์เซอร์เบียและไตรรงค์มอนเตเนกรินในปี 1993 ถึง 2004 เฉดสี Pantone 300C ถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม รัฐสภาไม่สามารถลงมติในข้อเสนอดังกล่าวได้ภายในกรอบเวลาตามกฎหมาย และไม่มีการนำธงมาใช้ 2004 มอนเตเนโกรใช้ธงที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากรัฐบาลที่ฝักใฝ่เอกราชพยายามแยกตัวออกจากเซอร์เบีย ข้อเสนอสำหรับธงใหม่ถูกยกเลิกหลังจากนี้ และสหภาพเซอร์เบียและมอนเตเนโกรไม่เคยนำธงมาใช้
แต่ชะตากรรมที่คล้ายกันเกิดขึ้นกับเพลงชาติและตราแผ่นดินที่จะเป็น; บทความที่ 23 ที่กล่าวถึงข้างต้นยังกำหนดว่ากฎหมายที่กำหนดธงและเพลงชาติของสหภาพแห่งรัฐจะต้องผ่านภายในสิ้นปี 2546 ข้อเสนออย่างเป็นทางการสำหรับเพลงชาติเป็นการผสมผสานที่ประกอบด้วยหนึ่งท่อนของเพลงชาติเซอร์เบียในอดีต (ปัจจุบัน)"บอเจ พราฟเด"ตามด้วยบทกวีของเพลงพื้นบ้านมอนเตเนโกร, "ออยซวีเยทลามัยสกาซอรอ". ข้อเสนอนี้ตกไปหลังจากการต่อต้านของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยพระสังฆราชพาฟเล ชาวเซอร์เบีย กำหนดเวลาตามกฎหมายอื่นผ่านไปและไม่มีการนำเพลงชาติมาใช้ ไม่เคยมีการนำเสนอข้อเสนอที่จริงจังสำหรับตราแผ่นดิน อาจเป็นเพราะตราแผ่นดินของยูโกสลาเวียซึ่งนำมาใช้ในปี 1994 ซึ่งรวมองค์ประกอบพิธีการของเซอร์เบียและมอนเตเนโกรเข้าด้วยกัน ถือว่าเพียงพอแล้ว
ดังนั้น สหภาพแห่งรัฐจึงไม่เคยนำสัญลักษณ์ของรัฐมาใช้อย่างเป็นทางการ และยังคงใช้ธงชาติและเพลงชาติของสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียต่อไปด้วยปัญหาจนกระทั่งมีการล่มสลายในปี 2006
== เศรษฐกิจ ==
รัฐประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างมากเนื่องจากการล่มสลายของยูโกสลาเวียและการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาด และการลงโทษทางเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อออกไป ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะเงินเฟ้อรุนแรงของดีนาร์ยูโกสลาเวีย ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 ยูโกสลาเวียได้เอาชนะอัตราเงินเฟ้อ ความเสียหายเพิ่มเติมต่อโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมของยูโกสลาเวียที่เกิดจากสงครามโคโซโว ทำให้เศรษฐกิจมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของขนาดในปี 1990 นับตั้งแต่ สลอบอดัน มีลอเชวิช อดีตประธานาธิบดีสหพันธรัฐยูโกสลาเวียถูกขับไล่ในเดือนตุลาคม 2000 รัฐบาลผสมฝ่ายค้านประชาธิปไตยเซอร์เบีย (DOS) ได้ดำเนินการมาตรการรักษาเสถียรภาพและดำเนินโครงการปฏิรูปตลาดเชิงรุก หลังจากต่ออายุสมาชิกกองทุนการเงินระหว่างประเทศในเดือนธันวาคม 2000 ยูโกสลาเวียยังคงรวมตัวกับประเทศต่างๆ ในโลกต่อไป โดยเข้าร่วมกับธนาคารโลกและธนาคารยุโรปเพื่อการบูรณะและพัฒนาอีกครั้ง
สาธารณรัฐมอนเตเนโกรที่เล็กกว่าได้ตัดขาดเศรษฐกิจจากการควบคุมของรัฐบาลกลางและจากเซอร์เบียในช่วงยุคมีลอเชวิช หลังจากนั้น สาธารณรัฐทั้งสองมีธนาคารกลางแยกจากกัน ในขณะที่มอนเตเนโกรเริ่มใช้สกุลเงินที่แตกต่างกัน โดยเริ่มแรกใช้มาร์คเยอรมัน และใช้ต่อไปจนกระทั่งมาร์คเลิกใช้และถูกแทนที่ด้วยเงินยูโร เซอร์เบียยังคงใช้ดีนาร์ยูโกสลาเวียต่อไป โดยเปลี่ยนชื่อเป็นดีนาร์เซอร์เบีย
ความซับซ้อนของความสัมพันธ์ทางการเมืองของ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียนั้น ความคืบหน้าช้าในการแปรรูป และความซบเซาของเศรษฐกิจยุโรปส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ ข้อตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะข้อกำหนดเกี่ยวกับวินัยทางการคลังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการกำหนดนโยบาย การว่างงานอย่างรุนแรงเป็นปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญ การทุจริตยังนำเสนอปัญหาสำคัญ ด้วยตลาดมืดขนาดใหญ่และการมีส่วนร่วมทางอาญาในระดับสูงในระบบเศรษฐกิจ
== การคมนาคมขนส่ง ==
เซอร์เบียและโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุบเขาแห่งโมราวามักถูกอธิบายว่าเป็น "ทางแยกระหว่างโลกตะวันออกและโลกตะวันตก" ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ประวัติศาสตร์ปั่นป่วน หุบเขานี้เป็นเส้นทางบกที่ง่ายที่สุดจากทวีปยุโรปไปยังกรีซและเอเชียไมเนอร์
ทางหลวงระหว่างประเทศสายหลักที่ตัดผ่านเซอร์เบียคือ E75 และ E70 E763/E761 เป็นเส้นทางที่สำคัญที่สุดที่เชื่อมเซอร์เบียกับมอนเตเนโกร
แม่น้ำดานูบ ซึ่งเป็นทางน้ำระหว่างประเทศที่สำคัญไหลผ่านเซอร์เบีย
เมืองท่าบาร์ เป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในมอนเตเนโกร
== กีฬา ==
=== ฟุตบอล ===
สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ต่อมาคือเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ได้รับการพิจารณาจากฟีฟ่าและยูฟ่าให้เป็นรัฐสืบต่อจากยูโกสลาเวียเพียงรัฐเดียว ฟุตบอลประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 1980 และต้นทศวรรษที่ 1990;อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่กำหนด ทำให้ประเทศนี้ถูกแยกออกจากการแข่งขันระดับนานาชาติทั้งหมดระหว่างปี 1992 และ 1996 หลังจากการยกเลิกการลงโทษ ทีมชาติผ่านเข้ารอบ FIFA World Cup สองครั้ง—ในปี 1998 ในฐานะ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย และในปี 2006 ในฐานะเซอร์เบียและมอนเตเนโกร . นอกจากนี้ยังผ่านเข้ารอบยูโร 2000 ในฐานะสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย
การปรากฏตัวในฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศสมาพร้อมกับความคาดหวังมากมายและความมั่นใจอย่างเงียบ ๆ เนื่องจากทีมได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในม้ามืดของทัวร์นาเมนต์เนื่องจากมีผู้เล่นระดับโลกที่ได้รับการพิสูจน์แล้วเช่นอายุ 29 ปี- Predrag Mijatović วัยชรา, Dragan Stojković วัย 33 ปี, Siniša Mihajlović วัย 29 ปี, Vladimir Jugović วัย 28 ปี และ Dejan Savićević วัย 31 ปี รวมถึง Dejan Stanković ดาวรุ่งวัย 19 ปี และเป้าหมายสูงอายุ 24 ปีไปข้างหน้า Savo Milošević และ Darko Kovačević อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีความคาดหวังสูงขึ้นคือ นี่เป็นการปรากฏตัวในระดับนานาชาติครั้งใหญ่ครั้งแรกของประเทศหลังการเนรเทศของสหประชาชาติ อย่างไรก็ตาม ทีมไม่เคยสามารถทำคะแนนสูงสุดได้ แม้ว่าพวกเขาจะตกรอบแบ่งกลุ่ม แต่ก็ถูกเนเธอร์แลนด์ตกรอบด้วยประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในรอบ 16 ทีมสุดท้าย อีกสองปีต่อมาในยูโร 2000 เกือบจะเป็นทีมเดิมอีกครั้งที่ตกรอบแบ่งกลุ่มและถูกเนเธอร์แลนด์ตกรอบอีกครั้ง ครั้งนี้น่าเชื่อ 1–6 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ
เซอร์เบียและมอนเตเนโกรเป็นตัวแทนจากทีมชาติเดียวในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2549 แม้ว่าจะมีการแบ่งอย่างเป็นทางการเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนเริ่ม ทีมสุดท้ายประกอบด้วยผู้เล่นที่เกิดในเซอร์เบียและมอนเตเนโกร
พวกเขาเล่นในทีมชาติครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2006 โดยแพ้ 3–2 ต่อ ไอวอรีโคสต์ หลังจากการแข่งขันฟุตบอลโลก ทีมนี้ได้รับสืบทอดมาจากเซอร์เบีย ในขณะที่ทีมใหม่จะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของมอนเตเนโกรในการแข่งขันระดับนานาชาติในอนาคต
=== บาสเก็ตบอล ===
ทีมบาสเก็ตบอลชายอาวุโสครองตำแหน่งบาสเก็ตบอลของยุโรปและโลกในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 โดยมีแชมป์ EuroBasket สามรายการ (1995, 1997 และ 2001), FIBA World Cup สองรายการ (1998 และ 2002) และโอลิมปิกฤดูร้อนหนึ่งรายการ เหรียญเงิน (1996).
ทีมชาติเริ่มแข่งขันในระดับนานาชาติในปี 1995 หลังจากลี้ภัยมาสามปีเนื่องจากการคว่ำบาตรทางการค้าของสหประชาชาติ ในช่วงเวลานั้นสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียไม่ได้รับอนุญาตให้แข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1992 ที่บาร์เซโลนา ยูโรบาสเก็ตปี 1993 และ FIBA World Championship ปี 1994 ซึ่งแต่เดิมเบลเกรดควรจะเป็นเจ้าภาพ ก่อนที่จะถูกพรากจากเมืองและถูกย้าย ไปยังเมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา
ที่ EuroBasket ปี 1995 ในกรุงเอเธนส์ ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับนานาชาติครั้งแรก ทีมของสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียที่หิวกระหายและมีแรงจูงใจสูง ซึ่งนำโดยหัวหน้าโค้ช Dušan Ivković ออกสตาร์ตด้วยพรสวรรค์ระดับโลก 5 คน พร้อมด้วยสตาร์ดังจากยุโรปที่ตำแหน่งหนึ่งถึงสี่ – Saša Đorđević วัย 27 ปี, Predrag Danilović วัย 25 ปี, Žarko Paspalj วัย 29 ปี, Dejan Bodiroga วัย 22 ปี – ปิดท้ายด้วย Vlade Divac วัย 27 ปี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับ LA Lakers ที่ห้าตำแหน่ง ด้วยม้านั่งสำรองที่มีความสามารถพอ ๆ กับ Zoran Sretenović (ผู้เล่นคนเดียวที่อายุเกิน 30 ปีในทีม), Saša Obradović, Zoran Savić กองหน้าจอมพลังแห่งเครื่องรางของขลัง และ Željko Rebrača เซนเตอร์ดาวรุ่งที่กำลังมาแรง กลุ่มซึ่งมีกรีซและลิทัวเนียเข้าชิงเหรียญด้วยสถิติ 6–0 ในสเตจการคัดออกโดยตรงรอบแรก รอบก่อนรองชนะเลิศ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียทำคะแนนทำลายฝรั่งเศสได้ 104 แต้ม จึงเปิดฉากการปะทะรอบรองชนะเลิศกับกรีซเจ้าภาพทัวร์นาเมนต์ ในบรรยากาศที่เข้มข้นของ OAKA Indoor Arena ทีมชาติสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียได้แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจโดยใช้ความสามารถในการป้องกันในเกมนั้นเพื่อดึงชัยชนะแปดคะแนนอันโด่งดังในเกม 60–52 คะแนนต่ำที่ตึงเครียด ในรอบชิงชนะเลิศ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียเล่นกับทีมลิทัวเนียมากประสบการณ์ ซึ่งนำโดยตำนานบาสเก็ตบอล Arvydas Sabonis นอกเหนือจากผู้เล่นระดับโลกคนอื่นๆ เช่น Šarūnas Marčiulionis, Rimas Kurtinaitis และ Valdemaras Chomičius รอบชิงชนะเลิศกลายเป็นเกมคลาสสิคของบาสเก็ตบอลนานาชาติ โดยยูโกสลาเวียจอมเจ้าเล่ห์มีชัยไปด้วยคะแนน 96–90 ตามหลัง Đorđević 41 คะแนน
พวกเขาเป็นตัวแทนของทีมเดียวในการแข่งขัน FIBA World Championship 2006 เช่นกัน แม้ว่าทัวร์นาเมนต์จะเล่นในกลางและปลายเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายนของปีนั้น และการเลิกราระหว่างเซอร์เบียและมอนเตเนโกรเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ทีมดังกล่าวยังได้รับสืบทอดมาจากเซอร์เบียหลังจบทัวร์นาเมนต์ ขณะที่มอนเตเนโกรสร้างทีมบาสเก็ตบอลระดับชาติแยกออกมาในภายหลัง เช่นเดียวกับทีมชาติของตนเองในกีฬาประเภททีมอื่นๆ ทั้งหมด
== วัฒนธรรม ==
=== วันหยุด ===
{|class="wikitable"
|+Holidays
|-
! style="background: #efefef; border-bottom: 2px solid gray;" | วัน
! style="background: #efefef; border-bottom: 2px solid gray;" | ชื่อ
! style="background: #efefef; border-bottom: 2px solid gray;" | หมายเหตุ
|-
| 1 มกราคม
| วันปีใหม่
| (วันหยุดราชการ)
|-
| 7 มกราคม
| วันคริสต์มาส
| ตามนิกายออร์ทอดอกซ์ (วันหยุด)
|-
| 27 มกราคม
| Saint Sava's feast Day – Day of Spirituality
|
|-
| 27 เมษายน
| วันรัฐธรรมนูญ
|
|-
| 29 เมษายน
| วันศุกร์ประเสริฐ (ตามนิกายออร์ทอดอกซ์)
|จนถึง ค.ศ. 2005
|-
| rowspan = 2 | 1 พฤษภาคม
| วันอีสเตอร์
| ค.ศ. 2005
|-
| วันแรงงานสากล
| (วันหยุด)
|-
| 2 พฤษภาคม
| Easter Monday (ตามนิกายออร์ทอดอกซ์)
| ค.ศ. 2005
|-
| 9 พฤษภาคม
| วันแห่งชัยชนะ
|
|-
| 28 มิถุนายน
| Vidovdan (Martyr's Day)
| วันรำลึกผู้เสียชีวิตจาก สงครามคอซอวอ
|}
วันหยุดที่มีการเฉลิมฉลองในเซอร์เบีย
15 กุมภาพันธ์ – Sretenje (วันชาติ, วันหยุด)
วันหยุดที่มีการเฉลิมฉลองในมอนเตเนโกร
13 กรกฎาคม – Statehood Day (วันหยุด)
== หมายเหตุ ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Country Profile: Serbia and Montenegro, BBC
Audio clips: Traditional music of Serbia and Montenegro. Musée d'Ethnographie de Genève. Retrieved 25 November 2010.
สหภาพรัฐสิ้นสภาพ
สหพันธรัฐสิ้นสภาพ
ซเซอร์เบียและมอนเตเนโกร
รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2535
รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2546
สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2549
อดีตรัฐสมาชิกสหประชาชาติ
สมาพันธรัฐสิ้นสภาพ
|
thaiwikipedia
| 1,128 |
ลิมิตของฟังก์ชัน
|
ถึงแม้ว่าฟังก์ชัน (sin x)/x จะไม่นิยามที่ 0 แต่เมื่อ x มีค่าเข้าใกล้ 0 มาก ๆ แล้ว (sin x)/x มีค่าเข้าใกล้ 1 หรืออีกนัยหนึ่ง ลิมิตของ (sin x)/x เมื่อ x เข้าใกล้ 0 มีค่าเท่ากับ 1
ในวิชาคณิตศาสตร์ ลิมิตของฟังก์ชัน เป็นแนวคิดพื้นฐานในคณิตวิเคราะห์และแคลคูลัส ซึ่งเกี่ยวข้อกับพฤติกรรมของฟังก์ชันใกล้กับจุดที่สนใจจุดหนึ่ง
นิยามที่รัดกุมซึ่งนิยามเป็นครั้งแรกในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ระบุไว้ด้านล่าง สำหรับแนวคิดอย่างไม่รัดกุมมากนัก ฟังก์ชัน จะรับค่า แล้วคืนค่าออกมาคือ เราจะกล่าวว่า ฟังก์ชัน มีลิมิต ที่จุด ก็ต่อเมื่อ ค่าของฟังก์ชัน จะเข้าใกล้ มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อกำหนดค่า ที่เข้าใกล้ค่า ให้กับฟังก์ชันมากขึ้นเรื่อย ๆ
แนวคิดเรื่องลิมิตเป็นหัวใจหลักของแคลคูลัสสมัยใหม่ โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องความต่อเนื่องของฟังก์ชันอาศัยแนวคิดเรื่องลิมิตเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ ฟังก์ชันจะเป็นฟังก์ชันต่อเนื่องถ้าสำหรับแต่ละจุดค่าของมันจะเท่ากับค่าของลิมิตที่จุดนั้น นอกจากนี้แนวคิดเรื่องลิมิตยังปรากฏในนิยามของอนุพันธ์ของฟังก์ชันอีกด้วย
แนวคิดเกี่ยวกับลิมิตยังขยายนัยทั่วไปออกไปบน ปริภูมิอิงระยะทาง และปริภูมิทอพอโลยี อีกด้วย
== ประวัติ ==
ดูที่ คณิตวิเคราะห์
== นิยามเป็นทางการ ==
=== นิยามแบบ (ε, δ) ของลิมิต ===
กำหนดให้ f\colon (a,b) \to \R เป็นฟังก์ชันบนช่วงเปิดที่เป็นสับเซตของเซตของจำนวนจริง และ p, L \in\R เป็นจำนวนจริงโดยที่ p \in (a,b) เราจะกล่าวว่าลิมิตของ f เมื่อ x มีค่าเข้าใกล้ p คือ L ก็ต่อเมื่อ
สำหรับทุกค่า \varepsilon > 0 จะมีจำนวนจริง \delta > 0 ที่ทำให้สำหรับทุกค่า x ถ้า 0 แล้ว \left\vert f(x) - L \right\vert
ถ้าลิมิตของ f เมื่อ x มีค่าเข้าใกล้ p คือ L แล้วเราจะเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์
\lim_{x \to p} f(x) = L
หรืออีกแบบหนึ่งได้เป็น
f(x) \to L เมื่อ x \to p (อ่านว่า "f(x) มีค่าเข้าใกล้ L เมื่อ x มีค่าเข้าใกล้ p")
สังเกตว่านิยามลิมิตไม่ขึ้นอยู่กับค่าของ f ที่จุด p ยิ่งไปกว่านั้น f(p) ไม่จำเป็นต้องหาค่าได้
== ฟังก์ชันบนปริภูมิอิงระยะทาง ==
กำหนดให้ f : (M,dM) -> (N,dN) เป็นการส่งค่าระหว่าง (เป็นฟังก์ชันที่นิยามบน) ปริภูมิอิงระยะทาง สองปริภูมิ, และกำหนดให้ p ∈M และ L ∈N, เราจะกล่าวว่า "ลิมิตของ f ที่ p คือ L" และเขียนว่า: \lim_{x \to p}f(x) = L ก็ต่อเมื่อ สำหรับทุกค่าของ ε > 0 จะมี δ > 0 ที่ สำหรับทุก ๆ x ∈M และ dM(x, p) N(f(x), L) \lim_{x \to p}f(x) = L เป็นกรณีพิเศษของฟังก์ชันบนปริภูมิอิงระยะทาง ที่มีทั้ง M และ N เป็นเซตของจำนวนจริง และ d(x,y) = |x-y|.
หรือเราจะเขียน
\lim_{x \to p}f(x) = \infty ก็ต่อเมื่อ
สำหรับทุกค่าของ R > 0 (ไม่ว่าจะใหญ่เท่าใด) จะต้องมี δ > 0 อย่างน้อยหนึ่งค่า ที่ สำหรับทุกค่าของจำนวนจริง x ที่ 0 R;
หรือจะเขียนว่า
\lim_{x \to p}f(x) = -\infty ก็ต่อเมื่อ
สำหรับทุกค่าของ R 0 อย่างน้อยหนึ่งค่า ที่ สำหรับทุกค่าของจำนวนจริง x ที่ 0 \lim_{x \to p^+} และถ้าใช้ p-x แทน ก็จะได้ ลิมิตซ้าย เขียนแทนโดย : \lim_{x \to p^-}
==== ลิมิตของฟังก์ชันค่าจริง ณ อนันต์ ====
ให้ f(x) เป็นฟังก์ชันค่าจริง เราจะพิจารณาลิมิตของฟังก์ชันเมื่อ x เพิ่มขึ้น หรือลดลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เราจะเขียน
\lim_{x \to \infty}f(x) = L
=== ฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน ===
ระนาบเชิงซ้อน ที่มีตัววัด (metric) เป็น d(x, y) := |x-y| จะเป็นปริภูมิอิงระยะทาง (metric space) ด้วยเช่นกัน
จะมีลิมิตสองประเภทเมื่อเราพูดถึงฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน
==== ลิมิตของฟังก์ชันที่จุดใดจุดหนึ่ง ====
สมมติให้ f เป็นฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน แล้วเราจะเขียนว่า
\lim_{x \to p}f(x) = L
ได้ ก็ต่อเมื่อ
สำหรับ ε > 0 ใด ๆ จะมี δ >0 อย่างน้อย 1 ค่า ซึ่งสำหรับจำนวนจริง x ใด ๆ ซึ่ง 0 \lim_{x \to \infty}f(x) = L
ได้ ก็ต่อเมื่อ
สำหรับ ε > 0 ใด ๆ จะมี S >0 ซึ่งสำหรับจำนวนเชิงซ้อน |x|>S ใด ๆ เราจะได้ |f(x)-L|\lim_{x \to 3}x^2=9
|ลิมิตของ x2 เมื่อ x เข้าใกล้ 3 คือ 9 ในกรณีนี้ ฟังก์ชันนั้นต่อเนื่อง และค่าของมันมีนิยามที่จุดนั้น ค่าลิมิตจึงเท่ากับการแทนค่าฟังก์ชัน
|-
|\lim_{x \to 0^+}x^x=1
|ลิมิตของ xx เมื่อ x เข้าใกล้ 0 จากทางขวาคือ 1
|-
|\lim_{x \to 0}{1 \over x} = \mbox{Undefined}\lim_{x \to 0^+}{1 \over x} = +\infty
|ลิมิตสองด้านของ 1/x เมื่อ x เข้าใกล้ 0 นั้นไม่มีนิยามลิมิตของ 1/x เมื่อ x เข้าใกล้ 0 จากทางขวาคือ +∞
|-
|\lim_{x \to 0^+}{|x| \over x}=1\lim_{x \to 0^-}{|x| \over x}=-1
|ลิมิตด้านเดียวของ |x|/x เมื่อ x เข้าใกล้ 0 คือ 1 จากด้านบวกและคือ -1 จากด้านลบ สังเกตว่า |x|/x = -1 เมื่อ x เป็นลบ และ |x|/x = 1 เมื่อ x เป็นบวก
|-
|\lim_{x \to 0}x \sin {1 \over x} = 1
|ลิมิตของ x sin(1/x) เมื่อ x เข้าใกล้ 0 คือ 0
|-
|\lim_{|x| \to \infty}x^{-a} = 0 \mbox{ if } a \in \mathbb{R}; a>0; x \in \mathbb{C}
|ฟังก์ชันยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นลบใด ๆ เข้าใกล้ 0 เมื่อขนาดของ x เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด
|-
|\lim_{x \to \infty}{x^a \over b^x} = 0 \mbox{ if } a,b \in \mathbb{R}; b>0
|ฟังก์ชันยกกำลังใด ๆ จะมีขนาดลดลงเป็นศูนย์ เทียบกับฟังก์ชันเลขชี้กำลังเพิ่มใด ๆ เมื่อ x เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด
|-
|\lim_{x \to \infty}{\log_b x \over x^a} = 0 \mbox{ if } a,b \in \mathbb{R}; a>0; b>0
|ฟังก์ชันลอการิทึมใด ๆ จะมีขนาดลดลงเป็นศูนย์ เทียบกับฟังก์ชันยกกำลังที่เป็นบวกใด ๆ เมื่อ x เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด
|-
|\lim_{x \to \infty}{a^x \over x!} = 0 \mbox{ if } a \in \mathbb{R}
|ฟังก์ชันเลขชี้กำลังใด ๆ จะมีขนาดลดลงเป็นศูนย์ เทียบกับฟังก์ชันแฟกทอเรียลใด ๆ เมื่อ x เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด
|}
=== ฟังก์ชันบนปริภูมิอิงระยะทาง ===
ถ้า z เป็นจำนวนเชิงซ้อน โดยที่ |z| 2, z3, ... ของจำนวนเชิงซ้อนจะลู่เข้าโดยมีลิมิตเป็น 0 โดยเรขาคณิตแล้ว จำนวนเหล่านี้จะ "เวียนเป็นก้นหอย" เข้าสู่จุดกำเนิด ตามเส้นก้นหอยลอการิทึม
ในปริภูมิอิงระยะทาง C[a,b] ของฟังก์ชันต่อเนื่องใด ๆ ที่นิยามบนช่วง [a,b] โดยมีระยะทางเพิ่มขึ้นจาก Supremum norm สมาชิกทุกตัวสามารถเขียนในรูปของลิมิตของลำดับของ ฟังก์ชันพหุนาม ได้ นี่คือเนื้อหาของ ทฤษฎีบทสโตน-ไวแยร์สตราสส์ (Stone-Weierstrass theorem)
=== คุณสมบัติ ===
ประโยค "ลิมิตของฟังก์ชัน f ที่ p คือ L" เหมือนกับประโยค
"สำหรับลำดับลู่เข้า (xn) ใน M ซึ่งมีลิมิตเท่ากับ pลำดับ (f(xn)) ลู่เข้าสู่ลิมิต L"
ในกรณีที่ f เป็นฟังก์ชันค่าจริง จะได้ว่า ประโยคนั้นเหมือนกับ "ทั้งลิมิตซ้ายและลิมิตขวาของ f ที่ p คือ L"
คณิตวิเคราะห์
แคลคูลัส
ฟังก์ชัน f ต่อเนื่อง ที่ p ก็ต่อเมื่อ เราสามารถหาค่าของลิมิตของ f(x) เมื่อ x เข้าใกล้ p และค่านั้นเท่ากับ f(p)
หรืออีกนัยหนึ่ง ฟังก์ชัน f แปลงลำดับใด ๆ ใน M ซึ่งสู่เข้าหา p ไปเป็นลำดับ N ซึ่งลู่เข้าหา f(p)
|
thaiwikipedia
| 1,129 |
โทรคมนาคม
|
โทรคมนาคม (telecommunication) หมายถึงการสื่อสารระยะไกล โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางสัญญาณไฟฟ้า หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เนื่องจากเทคโนโลยีที่แตกต่างกันจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับคำนี้ จึงมักใช้ในรูปพหูพจน์ เช่น Telecommunications
เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมในช่วงต้นประกอบด้วยสัญญาณภาพ เช่น ไฟสัญญาณ, สัญญาณควัน, โทรเลข, สัญญาณธง และเครื่องส่งสัญญาณด้วยกระจกสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ ตัวอย่างอื่น ๆ ของการสื่อสารโทรคมนาคมก่อนช่วงที่ทันสมัยได่แก่ข้อความเสียงเช่นกลอง, แตรและนกหวีด เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมด้วยไฟฟ้าและแม่เหล็กไฟฟ้าได้แก่โทรเลข, โทรศัพท์และ โทรพิมพ์, เครือข่าย, วิทยุ, เครื่องส่งไมโครเวฟ, ใยแก้วนำแสง, ดาวเทียมสื่อสารและอินเทอร์เน็ต
การปฏิวัติ ในการสื่อสารโทรคมนาคมไร้สายเริ่มต้นขึ้นในปี 190X กับการเป็นผู้บุกเบิกพัฒนาใน การสื่อสารทางวิทยุโดย Guglielmo มาร์โคนี ที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1909 สำหรับความพยายามของเขา นักประดิษฐ์ผู้บุกเบิกและนักพัฒนาอื่น ๆ ที่น่าทึ่งมาก ๆ ในด้านการ สื่อสารโทรคมนาคมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์รวมถึง ชาร์ลส์ วีทสโตน และ ซามูเอล มอร์ส (โทรเลข), Alexander Graham Bell (โทรศัพท์), เอ็ดวิน อาร์มสตรอง และลี เดอ ฟอเรสท์ (วิทยุ) เช่นเดียวกับที่ จอห์น โลจี แบร์ด และ Philo Farnsworth (โทรทัศน์)
กำลังการผลิตที่มีประสิทธิภาพของโลกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านทางเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมสองทางเพิ่มขึ้นจาก 281 เพตาไบต์ของข้อมูล (ที่ถูกบีบอัดอย่างดีที่สุด)
ในปี ค.ศ. 1986 เป็น 471 petabytes ในปี ค.ศ. 1993 และ 2.2 (บีบอัดอย่างดีที่สุด ) เอ็กซาไบต์ ในปี ค.ศ. 2000 และ 65 (บีบอัดอย่างดีที่สุด) exabytes ในปี ค.ศ. 2007 นี่คือเทียบเท่าข้อมูลของสองหน้า หนังสือพิมพ์ต่อคนต่อวันในปี 1986 และ หกเต็มหน้าหนังสือพิมพ์ต่อคนต่อวันในปี 2007 ด้วยการเจริญเติบโตขนาดนี้, การสื่อสารโทรคมนาคมมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในเศรษฐกิจโลกและอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั่วโลกประมาณ$ 4.7 ล้านล้านภาคเศรษฐกิจในปี 2012 รายได้จากการให้บริการของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมทั่วโลกถูกประเมินไว้ที่ $1.5 ล้านล้านในปี 2010 สอดคล้องกับ 2.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลก (GDP)
==นิรุกติศาสตร์==
การติดต่อสื่อสารด้วยการรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างตัวประมวลผล โดยผ่านสื่อกลางที่เชื่อมต้นทางและปลายทางที่ห่างกัน โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรูปแบบ ตามกฎเกณฑ์ หรือระเบียบวิธีการที่กำหนดขึ้นในแต่ละอุปกรณ์ การนิยามและการให้ความหมายของคำว่า “โทรคมนาคม” โดยทั่วไปนั้นอยู่บนมูลเหตุพื้นฐานหลักสองด้าน คือภาษาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมสมัย
ความหมายโดยรวมของสารานุกรมโทรคมนาคมไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ คือ
"การสื่อสาร ที่ช่วยลดระยะทางระหว่างบุคคล อุปกรณ์หรือระบบอัตโนมัติที่สร้างขึ้น เพื่อใช้สำหรับการส่ง แพร่กระจายหรือนำพา ด้วยวิธีการทาง
กลไฟฟ้า แสง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือคุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ ทางควอนตัมสำหรับการสื่อสัญญาณ ข้อความ เสียงภาพหรือสื่อประสมให้ผู้รับหรือระบบ
สามารถเข้าใจได้" ซึ่งวิวัฒนาการของการโทรคมนาคมนั้นเริ่มต้นจากการใช้มนุษย์ เป็นผู้ส่งสารและพัฒนามาเป็นการส่งสาร ด้วยสิ่งประดิษฐ์ จากธรรมชาติ
โดยใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น สัญญาณควัน สัญญาณไฟ หรือสัญญาณเสียง ซึ่งมีขอบเขตจำกัด ดังนั้นมนุษย์จึงได้มีการพัฒนาและคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ ทาง
ด้านโทรคมนาคมขึ้น เพื่อก้าวข้ามขอบเขตนั้น ๆ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เกิดเทคโนโลยี ที่ใช้สำหรับการสื่อสารโทรคมนาคมขึ้นมากมาย ซึ่งทำให้สามารถสื่อสาร
กันได้อย่างรวดเร็ว และได้ระยะทางที่ไกลมากขึ้น เริ่มต้นการพัฒนาจากการสื่อสารระหว่างบุคคล กลายเป็นการสื่อสารระดับเครือข่ายระหว่างประเทศ และ
และครอบคลุมทั่วโลกในที่สุด
== ประวัติ ==
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ ดู ประวัติการสื่อสารโทรคมนาคม
===ระบบโบราณ===
บทความหลัก : Hydraulic telegraph, Drums in communication, Beacon, Smoke signal, and Heliograph
ระบบสัญญาณแสงด้วยไฮดรอลิคของกรีกถูกนำมาใช้เป็นช่วงต้นของศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช ระบบนี้ทำงานด้วยตัวเปิดปิดและสัญญาณที่ตามองเห็น ทำหน้าที่เหมือนโทรเลขแสง อย่างไรก็ตาม มันจะสามารถใช้ประโยชน์ในช่วงระยะทางที่จำกัดมากของข้อความที่ถูกกำหนดล่วงหน้า และ เช่นเดียวกับทุกโทรเลขแสงที่สามารถถูกนำไปใช้งานได้ในสภาพการมองเห็นที่ดีเท่านั้น
ในระหว่างยุคกลาง แถวของกระโจมไฟถูกนำมาใช้โดยทั่วไปบนแนวยอดเขาเพื่อใช้เป็นวิธีการถ่ายทอดสัญญาณ แถวกระโจมไฟประสบอุปสรรคเพราะว่าพวกมันจะสามารถส่งได้บิตเดียวของข้อมูล เพื่อให้ความหมายของข้อความเช่น"มองเห็นศัตรู" ต้องมีการตกลงกันไว้ล่วงหน้า ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสังเกตในการใช้งานของพวกมันคือในระหว่าง the Spanish Armada เมื่อแถวกระโจมไฟถ่ายทอดสัญญาณจากพลีมัธไปลอนดอน ที่ส่งสัญญาณการมาถึงของเรือรบสเปน
ข้อมูลเพิ่มเติม: Optical communication
===ระบบตั้งแต่ยุคกลาง===
บทความหลัก: Semaphore line
ในปี ค.ศ. 1792 Claude Chappe, วิศวกรชาวฝรั่งเศสได้สร้างระบบโทรเลขภาพอยู่กับที่ (หรือ semaphore line)เป็นครั้งแรกระหว่างเมืองลีลและปารีส อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ได้รับความทุกข์ทรมานเนื่องจากต้องการใช้ผู้ใชังานที่มีความเชี่ยวชาญและหอสูงที่มีราคาแพงทุกๆระยะ 10-30 กิโลเมตร (6-20 ไมล์). อันเป็นผลมาจากการแข่งขันกับโทรเลขไฟฟ้า, สาย โทรเลขแสงเชิงพาณิชย์ชุดสุดท้ายของยุโรปในประเทศสวีเดนถูกทอดทิ้งในปี ค.ศ. 1880
=== โทรเลขและโทรศัพท์ ===
บทความหลัก : โทรเลข, สายเคเบิลสื่อสารใต้น้ำและประวัติความเป็นมาของโทรศัพท์
การทดลองหลายครั้งในการสื่อสารด้วยไฟฟ้าเริ่มขึ้นประมาณปี 1726 ในตอนต้นไม่ประสบความสำเร็จ นักวิทยาศาสตร์ รวมทั้ง Laplace, Ampère และ Gauss มีส่วนเกี่ยวข้อง ระบบโทรเลขด้วยไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริงถูกเสนอในเดือนมกราคม ค.ศ. 1837 โดยวิลเลียม Fothergill Cooke ผู้ที่พิจารณาว่ามันเป็นการปรับปรุง"โทรเลขแม่เหล็กไฟฟ้า"ที่มีอยู่เดิม; การปรับปรุงระบบห้าเข็ม-หกสายที่ถูกพัฒนาร่วมกับ ชาร์ลส์ วีทสโตน เข้าสู่การใช้ในเชิงพาณิชย์ในปี ค.ศ. 1838 ระบบโทรเลขในตอนต้นใช้สายไฟหลายสายเชื่อมต่อไปยังเข็มชี้หลายๆเข็ม
นักธุรกิจ ซามูเอล F.B. มอร์ส และนักฟิสิกส์ โจเซฟ เฮนรี ของสหรัฐฯได้พัฒนาระบบโทรเลขไฟฟ้ารุ่นที่เรียบง่ายของพวกเขาขึ้นมาเองอย่างอิสระ มอร์สประสบความสำเร็จในการแสดงให้เห็นถึงการใช้ระบบนี้เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1837 การสนับสนุนทางเทคนิคที่สำคัญที่สุด ของมอร์สในระบบโทรเลขนี้เป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพสูง รหัสมอร์สได้รับการพัฒนาร่วมกันกับเพื่อนของเขา อัลเฟรด เวล ซึ่งเป็นการก้าวหน้าที่สำคัญเหนือกว่าระบบที่ซับซ้อนมากกว่าและมีราคาแพงกว่าของ Wheatstone และจำเป็นต้องใช้เพียงแค่สายไฟสองเส้นเท่านั้น ประสิทธิภาพการสื่อสารของรหัสมอร์สนำหน้ารหัส Huffman ในการสื่อสารแบบดิจิตอลกว่า 100 ปี แต่มอร์สและเวลก็พัฒนารหัสได้หมดข้อสังเกต โดยใช้รหัสสั้นกว่าสำหรับตัวอักษรที่ใช้บ่อยๆ
สายเคเบิลโทรเลขถาวรข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นครั้งแรกประสบความสำเร็จใน 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1866 ช่วยให้มีการสื่อสารด้วยไฟฟ้าข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นครั้งแรก สายเคเบิล ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการมาไม่กี่เดือนในปี 1859 และในหมู่สิ่งอื่นๆ มันขนส่งข้อความทักทายไปมาระหว่างประธานาธิบดีเจมส์ บูคานัน ของสหรัฐฯกับสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร
อย่างไรก็ตาม สายเคเบิลที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นครั้งแรกได้ล้มเหลวในไม่ช้า และ โครงการที่จะวางสายแทนถูกเลื่อนออกไปเป็นเวลาห้าปีเนื่องจากสงครามกลางเมืองอเมริกา สายโทรศัพท์แรกที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก(ซึ่งประกอบด้วยตัวขยายอิเล็กทรอนิกส์หลายร้อยชุด) ไม่ได้ใช้งานจนกระทั่งปี ค.ศ. 1956 เพียงหกปีก่อนที่ดาวเทียมสื่อสารเชิงพาณิชย์ดวงแรกคือเทลสตาร์จะปล่อยขึ้นสู่วงโคจรในอวกาศ
โทรศัพท์ธรรมดาที่ใช้งานทั่วโลกในปัจจุบันได้รับการจดสิทธิบัตรเป็นครั้งแรกโดย Alexander Graham Bell ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1876 สิทธิบัตรครั้งแรกอันนั้นของเบลล์เป็นสิทธิบัตรหลักของโทรศัพท์ จากสิทธิบัตรนี้สิทธิบัตรอื่นๆ ทั้งหมดสำหรับอุปกรณ์โทรศัพท์ไฟฟ้าและคุณสมบัติอื่นก็เริ่มไหลออกมา เครดิตสำหรับการประดิษฐ์โทรศัพท์ไฟฟ้าได้รับการโต้แย้งบ่อยๆและการถกเถียงใหม่เกี่ยวกับปัญหาได้เกิดขึ้นตลอดเวลา. เช่นเดียวกับสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ เช่นวิทยุ,โทรทัศน์, หลอดไฟและดิจิตอลคอมพิวเตอร์ ที่จะมีหลายนักประดิษฐ์ที่ได้ทำการทดลองบุกเบิกในการส่งผ่านเสียงทางสายที่ และปรับปรุงความคิดของกันและกัน อย่างไรก็ตาม นักประดิษฐ์ที่สำคัญคืออเล็กซานเดอ แกรฮ์ม เบลล์และการ์ดิเนอ กรีน ฮับบาร์ด ผู้ที่จัดตั้งบริษัทโทรศัพท์บริษัทแรกชื่อ Bell Telephone Company ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็น American Telephone & Telegraph (AT&T) ณ เวลานั้นเป็นบริษัทโทรศัพท์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
บริการโทรศัพท์ในเชิงพาณิชย์ครั้งแรกถูกจัดตั้งขึ้นมาในปี 1878 และ 1879 บนทั้งสองด้านของ มหาสมุทรแอตแลนติก ในเมือง New Haven มลรัฐคอนเนคติกัท, และลอนดอนประเทศอังกฤษ.
=== วิทยุสื่อสารและโทรทัศน์ ===
บทความหลัก : ประวัติของวิทยุและประวัติของโทรทัศน์
ในปี ค.ศ. 1832 เจมส์ Lindsay ได้สาธิตในชั้นเรียนแสดงโทรเลขไร้สายผ่านตัวนำไฟฟ้าที่เป็นน้ำให้กับนักเรียนของเขา ในปี ค.ศ. 1854 เขาก็สามารถที่จะแสดงให้เห็นถึงการส่งสัญญาณข้ามอ่าว Firth of Tay จาก ดันดี, สกอตแลนด์ไปยังวูดเฮเวน, ระยะประมาณสองไมล์ (3 กิโลเมตร)อีกครั้งโดยใช้น้ำเป็นสื่อกลางในการส่งผ่าน ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1901 Guglielmo มาร์โคนี จัดตั้งการสื่อสารไร้สายระหว่าง เซนต์จอห์น, Newfoundland กับ Poldhu ในคอร์นวอลล์ (อังกฤษ) เขาได้รับรางวัลโนเบลในสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1909 ร่วมกับ คาร์ล Braun
เมื่อ 25 มีนาคม ค.ศ. 1925 จอห์น โลจี แบร์ด แห่งสก็อตแลนด์สามารถแสดงการส่งภาพเคลื่อนไหวที่ห้างสรรพสินค้า Selfridge's ในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ระบบของบาร์ดพึ่งพา การหมุนอย่างรวดเร็วของจาน Nipkow และทำให้มันกลายเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นโทรทัศน์เครื่องกล มันกลายเป็นพื้นฐานของการทดลองออกอากาศที่ทำโดย British Broadcasting Corporation เริ่ม 30 กันยายน ค.ศ. 1929 อย่างไรก็ตาม สำหรับส่วนใหญ่ของศตวรรษที่ 20, ระบบโทรทัศน์ได้รับการออกแบบ โดยใช้หลอดรังสีแคโทด ที่ประดิษฐ์คิดค้นโดย คาร์ล Braun. รุ่นแรกของโทรทัศน์ อิเล็กทรอนิกส์เพื่อรักษาสัญญาถูกผลิตโดย Philo Farnsworth ชาวอเมริกัน และมันถูกสาธิตให้ ครอบครัวของเขาในไอดาโฮเมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1927
อย่างไรก็ตาม โทรทัศน์ไม่ได้เป็นแต่เพียงเทคโนโลยีอันหนึง มันถูกจำกัดขั้นพื้นฐานและการใช้งานในทางปฏิบัติของมัน มันทำหน้าที่เป็นทั้งเครื่องใช้และยังเป็นสื่อกลางการเล่าเรื่องทางสังคม และการเผยแพร่ข้อความ มันเป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมที่ให้ประสบการณ์ของชุมชนของการได้รับข้อมูลและการได้รับประสพการณ์ทางจินตนาการ มันจะทำหน้าที่เป็น "หน้าต่างสู่โลก" โดย การเชื่อมผู้ชมจากทั่วทุกมุมผ่านการเขียนโปรแกรมของเรื่องราวต่างๆ, ชัยชนะและโศกนาฏกรรม ที่อยู่นอกประสพการณ์ส่วนตัว
=== โทรศัพท์ภาพ ===
บทความหลัก: ประวัติของ videotelephony
การพัฒนาของโทรศัพท์ภาพเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของเทคโนโลยีต่างๆที่ เปิดใช้งานการใช้วิดีโอแสดงสดพร้อมกับการสื่อสารโทรคมนาคมของเสียง แนวคิดของ โทรศัพท์ภาพเป็นที่นิยมครั้งแรกในช่วงปลายยุค 1870s ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป แม้ว่าวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่จะยอมให้มีการทดลองด่วนที่สุดจะใช้เวลาเกือบครึ่งศตวรรษจึงจะสำเร็จได้ เรื่องนี้เป็นตัวเป็นตนครั้งแรกในอุปกรณ์ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นโทรศัพท์วิดีโอหรือโทรศัพท์ภาพและมันวิวัฒนาการมาจากการวิจัยอย่างเข้มข้นและการทดลองในสาขาการสื่อสารโทรคมนาคมที่หลายหลายเช่น โทรเลขไฟฟ้า, โทรศัพท์, วิทยุและ โทรทัศน์
การพัฒนาของเทคโนโลยีวิดีโอที่สำคัญครั้งแรกเริ่มต้นในช่วงครึ่งหลังของปี 1920s ในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา กระตุ้นสะดุดตาโดยจอห์น โลจี แบร์ด และ AT&T Bell Labs เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นส่วนๆ อย่างน้อยโดย AT&T เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเสริมการใช้งานของโทรศัพท์ องค์กรจำนวนมากเชื่อว่า videotelephony จะดีกว่าการสื่อสารด้วยเสียงธรรมดา อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีวิดีโอจะถูกนำไปใช้ในการแพร่ภาพโทรทัศน์ระบบอนาล็อกอีกนานก่อนที่มันจะเป็น จริงหรือเป็นที่นิยมสำหรับ videophones
Videotelephony ถูกพัฒนาควบคู่ไปกับระบบโทรศัพท์เสียงทั่วไปจากกลางถึงปลายศตวรรษที่ 20 เฉพาะในศตวรรษที่ 20 กับการกำเนิดของตัวแปลงสัญญาณวิดีโอ codecs ที่มีประสิทธิภาพและบรอดแบนด์ความเร็วสูง ทำให้มันกลายเป็นเทคโนโลยีในทางปฏิบัติที่เป็นประโยชน์สำหรับ การใช้งานปกติ. ด้วยการปรับปรุงและความนิยมอย่างรวดเร็วของอินเทอร์เน็ต มันแพร่หลายอย่างกว้างขวางผ่านการใช้ในการประชุมทางวิดีโอและเว็บแคม ซึ่งมักใช้กับโทรศัพท์อินเทอร์เน็ต และในธุรกิจ ในที่ซึ่งเทคโนโลยีทางไกลได้ช่วยลดความจำเป็นในการเดินทาง
=== ดาวเทียม ===
ดาวเทียมของสหรัฐดวงแรกเพื่อการสื่อสารอยู่ในโครงการ SCORE เมื่อ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1958 ซึ่งใช้ เทปบันทึกเสียงในการจัดเก็บและส่งต่อข้อความเสียง มันถูกใช้ในการส่งคำอวยพรคริสมาสต์ ไปทั่วโลกจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ดไวต์ ดี ไอเซนฮาวร์ ในปี
|
thaiwikipedia
| 1,130 |
วิทยาศาสตร์
|
วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต รวมทั้งกระบวนการประมวลความรู้เชิงประจักษ์ ที่เรียกว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และกลุ่มขององค์ความรู้ที่ได้จากกระบวนการดังกล่าว
การศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์ยังถูกแบ่งย่อยออกเป็น วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ คำว่า science ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลว่า วิทยาศาสตร์นั้น มาจากภาษาลาติน คำว่า scientia ซึ่งหมายความว่า ความรู้
ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอนได้พยายามคิดค้นวิธีมาตรฐานในการอุปนัย เพื่อนำมาใช้สร้างทฤษฎีหรือกฎต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์จากข้อมูลที่ทดลองหรือสังเกตได้จากธรรมชาติ
เป็นผู้รื้อถอนและปรับปรุงแนวความคิดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมัยเก่า ที่ยึดติดกับแนวความคิดของอริสโตเติลทิ้งไป.
ณ ขณะนั้น กาลิเลโอได้กำหนดลักษณะสำคัญของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไว้ดังนี้
ทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นในปรากฏการณ์ธรรมชาติได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายสาเหตุได้ เช่น ในขณะที่ยังไม่มีความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงนั้น กาลิเลโอไม่สนใจที่จะอธิบายว่า "ทำไมวัตถุถึงตกลงสู่พื้นดิน ?" แต่สนใจคำถามที่ว่า "เมื่อมันตกแล้ว มันจะถึงพื้นภายในเวลาเท่าใด ?"
ใช้คณิตศาสตร์เพื่อเป็นภาษาหลักของวิทยาศาสตร์ (ดูหัวข้อ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์)
ในเวลาต่อมา ไอแซก นิวตันได้ต่อเติมรากฐานและระบบระเบียบของแนวคิดเหล่านี้ และเป็นต้นแบบสำหรับสาขาด้านอื่น ๆ ของวิทยาศาสตร์
ก่อนหน้านั้น, ในปี ค.ศ. 1619 เรอเน เดส์การตส์ ได้เริ่มเขียนความเรียงเรื่อง Rules for the Direction of the Mind (ซึ่งเขียนไม่เสร็จ). โดยความเรียงชิ้นนี้ถือเป็นความเรียงชิ้นแรกที่เสนอกระบวนการคิดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่และปรัชญาสมัยใหม่. อย่างไรก็ตามเนื่องจากเดส์การตส์ได้ทราบเรื่องที่กาลิเลโอ ผู้มีความคิดคล้ายกับตนถูกเรียกสอบสวนโดย
โป๊ปแห่งกรุงโรม ทำให้เดส์การตส์ไม่ได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นนี้ออกมาในเวลานั้น
การพยายามจะทำให้ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นระบบนั้น ต้องพบกับปัญหาของการอุปนัย ที่ชี้ให้เห็นว่าการคิดแบบอุปนัย (ซึ่งเริ่มต้นโดยฟรานซิส เบคอน) นั้น ไม่ถูกต้องตามหลักตรรกศาสตร์. เดวิด ฮูมได้อธิบายปัญหาดังกล่าวออกมาอย่างละเอียด คาร์ล พอพเพอร์ในความคิดลักษณะเดียวกับคนอื่น ๆ ได้พยายามอธิบายว่าสมมติฐานที่จะใช้ได้นั้นจะต้องทำให้เป็นเท็จได้ (falsifiable) นั่นคือจะต้องอยู่ในฐานะที่ถูกปฏิเสธได้ ความยุ่งยากนี้ทำให้เกิดการปฏิเสธความเชื่อพื้นฐานที่ว่ามีระเบียบวิธี 'หนึ่งเดียว' ที่ใช้ได้กับวิทยาศาสตร์ทุกแขนง และจะทำให้สามารถแยกแยะวิทยาศาสตร์ ออกจากสาขาอื่นที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ได้
== ปรัชญาวิทยาศาสตร์ ==
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของวิทยาศาสตร์ในประวัติศาสตร์มนุษย์ ได้สร้างประเด็นคำถามทางปรัชญาไว้มากมาย. โดยนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ได้ตั้งคำถามทางปรัชญาที่สำคัญดังนี้
สิ่งใดเป็นตัวแบ่งแยกความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับความรู้ประเภทอื่น ๆ เช่น โหราศาสตร์
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความจริงหรือไม่
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เชื่อถือได้แค่ไหน
วิทยาศาสตร์มีประโยชน์จริง ๆ หรือไม่
ศีลธรรมของวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม คือรูปแบบใด
ประเด็นเหล่านี้ยังเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักปรัชญาวิทยาศาสตร์อย่างมากในปัจจุบัน และไม่มีความเห็นใดที่ได้รับการยอมรับทั่วไปอีกเลยทีเดียว
== สาขาของวิทยาศาสตร์ ==
=== วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ===
==== ฟิสิกส์ ====
ฟิสิกส์เชิงทฤษฎี ( theoretical physics)
ฟิสิกส์เชิงคำนวณ (eng)
สวนศาสตร์ (Acoustics)
Astrodynamics (eng)
วิทยาศาสตร์โลก (Earth Sciences)
ดาราศาสตร์ (Astronomy)
ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ (Astrophysics)
Atomic, Molecular, and Optical physics eng
ชีวฟิสิกส์ (Biophysics)
Condensed matter physics (eng)
จักรวาลวิทยา (Cosmology)
อติสีตศาสตร์ (Cryogenics)
พลศาสตร์ (Dynamics)
พลศาสตร์ของไหล (Fluid dynamics)
Materials physics (eng)
Mathematical physics (eng)
กลศาสตร์ (Mechanics)
นิวเคลียร์ฟิสิกส์ (Nuclear physics)
ทัศนศาสตร์ (Optics)
Particle physics (eng) (or High Energy Physics)
พลาสมาฟิสิกส์ (eng)
พอลิเมอร์ฟิสิกส์ (eng)
Vehicle dynamics (eng)
==== เคมี ====
เคมีวิเคราะห์ (Analytical chemistry)
ชีวเคมี (Biochemistry)
เคมีการคำนวณ (Computational chemistry)
เคมีไฟฟ้า (Electrochemistry)
เคมีอนินทรีย์ (Inorganic chemistry)
วัสดุศาสตร์ (Materials science)
เคมีสิ่งแวดล้อม
เคมีอินทรีย์ (Organic chemistry)
เคมีฟิสิกส์ (Physical chemistry)
เคมีควอนตัม (Quantum chemistry)
สเปกโตรสโคปี (Spectroscopy)
สเตอริโอเคมิสตรี (Stereochemistry)
เคมีความร้อน (Thermochemistry)
====ชีววิทยา====
กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy)
ชีววิทยาดาราศาสตร์ (Astrobiology)
* ชีวเคมี (Biochemistry)
ชีวสารสนเทศศาสตร์ (Bioinformatics)
ชีวฟิสิกส์ (Biophysics)
พฤกษศาสตร์ (Botany)
ชีววิทยาของเซลล์ (Cell biology) (eng)
Cladistics (eng)
วิทยาเซลล์ (Cytology)
Developmental biology (eng
นิเวศวิทยา (Ecology)
กีฏวิทยา (Entomology)
วิทยาการระบาด (Epidemiology)
Evolutionary biology (Evolutionary biology)
Evolutionary developmental biology (eng)
Freshwater Biology (eng)
พันธุศาสตร์ (Genetics) (Population genetics), (Genomics), (Proteomics)
จิตวิทยา (en:Psychology)
วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม
มิญชวิทยา (Histology)
มีนวิทยา (Ichtyology)
วิทยาภูมิคุ้มกัน (Immunology
ชีววิทยาทางทะเล (Marine biology)
จุลชีววิทยา (Microbiology)
อณูชีววิทยา (Molecular Biology)
สัณฐานวิทยา (Morphology)
ประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience)
พัฒนาการของพืช (eng)
ปักษีวิทยา (Ornithology)
บรรพชีวินวิทยา (Palaeobiology)
วิทยาสาหร่าย (Phycology, Algology)
วิวัฒนาการชาติพันธุ์ (eng)
Physical anthropology (eng
สรีรวิทยา (Physiology)
Structural biology (eng)
อนุกรมวิธาน (Taxonomy)
พิษวิทยา (Toxicology)
วิทยาไวรัส (Virology)
สัตววิทยา (Zoology)
=== วิทยาศาสตร์ประยุกต์ ===
==== วิศวกรรมศาสตร์ ====
*สาขาของวิศวกรรมศาสตร์
==== วิทยาการคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ====
*วิทยาการคอมพิวเตอร์
*วิทยาการสารสนเทศ หรือ สารสนเทศศาสตร์
*วิทยาศาสตร์พุทธิปัญญา (Cognitive science)
*วิชาเกี่ยวกับการติดต่อและควบคุมของสัตว์และเครื่องจักร (eng)
*บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์
*Systemics
==== วิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science) ====
เภสัชศาสตร์ (Pharmacy)
ทันตแพทยศาสตร์ (Dentistry)
แพทยศาสตร์ (Medicine)
* เนื้องอกวิทยา (Oncology)
* พยาธิวิทยา (Pathology)
* อายุรเวช
* เวชศาสตร์
* เภสัชวิทยา (Pharmacology)
* พิษวิทยา (Toxicology)
สัตวแพทยศาสตร์ (Veterinary medicine)
เทคนิคการแพทย์
* เคมีคลินิค
* จุลทรรศน์ศาสตร์คลินิค
* เวชศาสตร์การธนาคารเลือด
* ทัศนมาตรศาสตร์ (Optometry)
* กายภาพบำบัด
* กิจกรรมบำบัด
* รังสีเทคนิค
* วิทยาศาสตร์การกีฬา (Sports science)
== หมายเหตุ ==
== ดูเพิ่ม ==
รายชื่อคณะวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย
== อ้างอิง ==
Feynman Richard. The Feynman Lecture Notes on Physics. Addison-wesley, 1971.
Morris Kilne. Mathematics for the Non-mathematician. Dover Publication, 1985.
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
รายชื่อเว็บไซต์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ไทย
เว็บบอร์ดวิทยาศาสตร์ - สังคมวิทยาศาสตร์ สังคมแห่งการเรียนรู้
=== แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมในภาษาอื่น ===
วิทยาศาสตร์คืออะไร โดย ริชาร์ด ไฟน์แมน
การแบ่งประเภทวิทยาศาสตร์
หนังสือวิทยาศาสตร์ของ GSCE
ข่าววิทยาศาสตร์ประจำวัน
รายการที่เรียงตามตัวอักษรดัดแปลงมาจากบทความใน Internet-Encyclopedia ชื่อว่า "Science"
ศีลธรรมของวิทยาศาสตร์
นิตยสาร Scientific American
นิตยสาร New Scientist
องค์กรวิทยาศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา
วิทยาศาสตร์
|
thaiwikipedia
| 1,131 |
ฟังก์ชันต่อเนื่อง
|
ในทางคณิตศาสตร์ ฟังก์ชันต่อเนื่อง (continuous function) คือฟังก์ชันที่ถ้าตัวแปรต้นมีค่าเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อย ผลลัพธ์ก็จะมีค่าเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อยด้วยเช่นกัน เราเรียกฟังก์ชันที่การเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อยของค่าของตัวแปรต้นทำให้เกิดการก้าวกระโดดของผลลัพธ์ของฟังก์ชันว่า ฟังก์ชันไม่ต่อเนื่อง (discontinuous function)
ตัวอย่างเช่น ให้ฟังก์ชัน h (t) เป็นฟังก์ชันที่ส่งเวลา t ไปยังความสูงของต้นไม้ที่เวลานั้น เราได้ว่าฟังก์ชันนี้เป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง อีกตัวอย่างของฟังก์ชันต่อเนื่องคือ ฟังก์ชัน T (x) ที่ส่งความสูง x ไปยังอุณหภูมิ ณ จุดที่มีความสูง x เหนือจุดพิกัดทางภูมิศาสตร์จุดหนึ่ง ในทางกลับกัน ถ้า M (t) เป็นฟังก์ชันที่ส่งเวลา t ไปยังจำนวนเงินที่อยู่ในบัญชีธนาคาร เราได้ว่า M ไม่ใช่ฟังก์ชันต่อเนื่องเนื่องจากผลลัพธ์ของฟังก์ชันมีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดเมื่อมีการฝากเงินหรือถอนเงินเข้าหรือออกจากบัญชี
ในคณิตศาสตร์แขนงต่างๆ นั้นแนวคิดของความต่อเนื่องถูกดัดแปลงให้มีความเหมาะสมกับคณิตศาสตร์แขนงนั้นๆ การดัดแปลงที่พบได้บ่อยที่สุดมีอยู่ในวิชาทอพอโลยี ซึ่งท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่งเติมได้ในบทความเรื่อง ความต่อเนื่อง (ทอพอโลยี) อนึ่ง ในทฤษฎีอันดับโดยเฉพาะในทฤษฏีโดเมน นิยามของความต่อเนื่องที่ใช้คือความต่อเนื่องของสก็อตซึ่งเป็นนิยามที่สร้างขึ้นจากความต่อเนื่องที่ถูกอธิบายในบทความนี้อีกทีหนึ่ง
== ฟังก์ชันค่าจริงต่อเนื่อง ==
สมมติว่า f เป็นฟังก์ชันที่ส่งช่วงช่วงหนึ่งของจำนวนจริงไปยังจำนวนจริง ดังเช่นฟังก์ชัน h, T, และ M ข้างต้น ฟังก์ชันเหล่านี้สามารถเขียนแทนด้วยกราฟของฟังก์ชันบนระนาบคาร์ทีเซียน เราอาจกล่าวโดยหยาบๆ ว่าฟังก์ชัน f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องถ้ากราฟของฟังก์ชันเป็นเส้นที่ไม่มีจุดแหว่งหรือการก้าวกระโดด กล่าวคือ เราสามารถเขียนกราฟได้โดยไม่ต้องยกปากกา
ถ้าจะกล่าวให้รัดกุมตามหลักคณิตศาสตร์แล้ว เรากล่าวว่าฟังก์ชัน f ต่อเนื่องที่จุด c ถ้าเงื่อนไขทั้งสองข้อต่อไปนี้เป็นจริง
ฟังก์ชัน f มีนิยามที่จุด c
ให้ c เป็นจุดลิมิตของโดเมนของ f แล้ว ลิมิตของ f (x) เมื่อ x เข้าใกล้ c มีค่าเท่ากับ f (c)
เรากล่าวว่าฟังก์ชัน f ฟังก์ชันต่อเนื่องทุกที่ หรือเรียกย่อๆ ว่า ฟังก์ชันต่อเนื่อง ถ้า f ต่อเนื่องที่ทุกจุดในโดเมนของมัน
=== นิยามเอปไซลอน-เดลตา ===
=== ตัวอย่าง ===
ทุก ๆ ฟังก์ชันพหุนามเป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง
ทุก ๆ ฟังก์ชันตรรกยะ ฟังก์ชันเลขชี้กำลัง ลอการิธึม ฟังก์ชันรากที่ n ฟังก์ชันตรีโกณมิติ ฟังก์ชันค่าสัมบูรณ์ เป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง (บนโดเมนที่หาค่าฟังก์ชันได้)
ทุก ๆ ฟังก์ชันขั้นบันได เช่น ฟังก์ชันที่มีค่าเป็น 1 เมื่อ x > 0 นอกนั้นฟังก์ชันมีค่าเท่ากับ 1, เป็นฟังก์ชันไม่ต่อเนื่อง
ฟังก์ชันดิริชเลต์ (หรือที่เรียกว่าฟังก์ชันข้าวโพดคั่ว) เป็นฟังก์ชันไม่ต่อเนื่อง
== ฟังก์ชันต่อเนื่องระหว่างปริภูมิอิงระยะทาง ==
== ฟังก์ชันต่อเนื่องระหว่างปริภูมิเชิงทอพอโลยี ==
นิยามของฟังก์ชันต่อเนื่องสามารถขยายให้กว้างขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมฟังก์ชันระหว่างปริภูมิทอพอโลยี ได้ดังนี้:
จะเรียกฟังก์ชัน f\colon X \to Y ว่าเป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง ก็ต่อเมื่อ สำหรับทุกเซตเปิด V\subseteq Y แล้วบุพภาพ
f^{-1}(V) = \left \{ x \in X \colon f(x)\in V \right \}
จะเป็นเซตเปิดด้วย
อนึ่ง สามารถพิสูจน์ได้ว่าในปริภูมิยุคลิด นิยามข้างต้นและนิยามเอปไซลอน-เดลตาเหมือนกันทุกประการ. จากนิยามนี้ทำให้นักคณิตศาสตร์ทราบแก่นที่แท้จริงของความต่อเนื่องคือ การนิยามเซตเปิดในระบบนั่นเอง ไม่ใช่ฟังก์ชันระยะทางดังที่เคยเข้าใจมา
แคลคูลัส
ทอพอโลยี
|
thaiwikipedia
| 1,132 |
แคลคูลัสกับพหุนาม
|
แคลคูลัสกับพหุนาม ในคณิตศาสตร์ พหุนามอาจเป็นฟังก์ชันที่ง่ายที่สุดในการทำแคลคูลัส อนุพันธ์ และปริพันธ์เป็นไปตามกฎต่อไปนี้
\frac{\mathrm{d}}{\mathrm{d}x} \sum^n_{k=0} a_k x^k = \sum^n_{k=0} ka_kx^{k-1}
\int \sum^n_{k=0} a_k x^k\;\mathrm{d}x= \sum^n_{k=0} \frac{a_k x^{k+1}}{k+1} + c.
ดังนั้นอนุพันธ์ของ x^{100} คือ 100x^{99} และปริพันธ์ของ x^{100} คือ \frac{x^{101}}{101}+c
== บทพิสูจน์ ==
เนื่องจากการหาอนุพันธ์เป็น การแปลงเชิงเส้น จะได้
\frac{\mathrm{d}}{\mathrm{d}x}\left( \sum_{r=0}^n a_r x^r \right) =
\sum_{r=0}^n \frac{\mathrm{d}\left(a_r x^r\right)}{\mathrm{d}x} =
\sum_{r=0}^n a_r \frac{\mathrm{d}\left(x^r\right)}{\mathrm{d}x}.
ดังนั้นจะต้องหา \frac{\mathrm{d}\left(x^r\right)}{\mathrm{d}x} สำหรับ จำนวนธรรมชาติ r ใดๆ ซึ่งมีการพิสูจน์โดยอุปนัย โดยใช้ กฎผลคูณ ซึ่งขึ้นอยู่กับกรณีที่ r=1 เท่านั้น
== นัยทั่วไป ==
\frac{\mathrm{d}}{\mathrm{d}x} \left(ax^k\right) = akx^{k-1}
เป็นจริงทุกค่า k ที่ xk มีความหมาย หรือ ทุกค่า k ที่เป็นจำนวนตรรกยะที่ xk มีการนิยามไว้
นัยทั่วไปนี้ก็เป็นจริงสำหรับการหาปริพันธ์ของพนุนามเช่นเดียวกัน
ถ้ามีพนุนามที่ตัวคูณไม่ใช่จำนวนจริงหรือจำนวนเชิงซ้อน (เช่นอาจเป็น จำนวนเต็ม หรือตัวเลขมอดุโลของจำนวนเฉพาะ) ก็สามารถนิยามอนุพันธ์จากความสัมพันธ์ข้างบน
== อ้างอิง ==
Larson, Ron; Hostetler, Robert P.; and Edwards, Bruce H. (2003). Calculus of a Single Variable: Early Transcendental Functions (3rd edition). Houghton Mifflin Company. ISBN 0-618-22307-X.
แคลคูลัส
|
thaiwikipedia
| 1,133 |
27 มีนาคม
|
วันที่ 27 มีนาคม เป็นวันที่ 86 ของปี (วันที่ 87 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 279 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2336 (ค.ศ. 1794) - วันสถาปนา กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา
พ.ศ. 2404 (ค.ศ. 1861) - อิตาลี ประกาศตั้งกรุงโรม เป็นเมืองหลวง
พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) - พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมกรมช่างจากกรมโยธา กระทรวงโยธาธิการ และกรมพิพิธภัณฑ์ กระทรวงธรรมการ ตั้งเป็นกรมศิลปากร
พ.ศ. 2456 (ค.ศ. 1914) - ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเทพ เปิดให้บริการ
พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) - โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ
พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) - นิกิตา ครุสชอฟ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสหภาพโซเวียต
พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ฉบับปฐมฤกษ์ วางจำหน่าย
พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - แผ่นดินไหววันศุกร์ประเสริฐ ถล่มเมืองแองเคอเรจในอะแลสกา และทำให้เกิดคลื่นสึนามิ
พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - จัดตั้งวิทยาลัยวิชาการศึกษา พระนคร ณ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร บนที่ดินของวัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร
พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - ภัยพิบัติท่าอากาศยานเตเนรีเฟ: เครื่องบินโดยสารโบอิง 747 สองลำ ชนกันบนรันเวย์ภายในท่าอากาศยานบนเตเนรีเฟในหมู่เกาะคานารีของสเปน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 583 คน เป็นหนึ่งในอุบัติเหตุทางอากาศยานที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การบิน
พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - แท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเลเหนือพังลง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 123 คน
พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - เจียงเจ๋อหมิน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - เอฟ 117 รุ่น เอ นามเรียกขานทางวิทยุ "Vega 31 หมายเลขเครื่องบิน 82-0806 1 ลำ ถูกยิงตกโดยกองทัพยูโกสลาเวีย ในสงครามคอซอวอ และอีก 1 ลำเสียหาย แต่ยังคงบินกลับฐานได้ คาดว่ากองทัพยูโกสลาเวียได้ทำเรดาร์ใหม่ที่มีความยาวคลื่นมากขึ้น จึงสามารถติดตามเครื่องบินเอฟ 117 ที่นับว่าเป็นเครื่องบินที่ สะท้อนคลื่นเรดาร์ต่ำ และยิงจรวดต่อต้านอากาศยานเอส เอ 3 กัว มาถูก แต่นักบินสามารถดีดตัวออกมาจากเครื่องบิน และมีหน่วยกู้ภัยมารับตัวกลับได้ แต่ซากเครื่องบินเอฟ 117 ถูกฝ่ายตรงข้ามยึดไปและคาดว่าเทคโนโลยี อาจถูกลอกเลียนแบบไปได้บ้าง
พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - เหตุการณ์ระเบิดพลีชีพที่นาทันยา ประเทศอิสราเอล ทำให้มีผู้เสียชีวิต 30 คน
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2405 (ค.ศ. 1863) - เฮนรี รอยซ์ ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมรถยนต์ชาวอังกฤษ (ถึงแก่กรรม 22 เมษายน พ.ศ. 2476)
พ.ศ. 2430 (ค.ศ. 1887) - หลวงปู่โต๊ะ เจ้าอาวาส วัดประดู่ฉิมพลี
พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) - ซาราห์ วอห์น นักร้องชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 3 เมษายน พ.ศ. 2533)
พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1933) - สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักคิดนักเขียน
พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) - ศรเพชร ศรสุพรรณ นักร้องเพลงลูกทุ่งชาวไทย (เสียชีวิต 8 มกราคม พ.ศ. 2565)
พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) - เควนติน แทแรนติโน ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - มารายห์ แครี นักร้องชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - เอลิซาเบธ มิตเชลล์ นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - จิมมี โฟลยด์ ฮัสเซิลบังก์ นักฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์
พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - เฟอร์กี้ นักร้องชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - อรทัย ดาบคำ (ต่าย อรทัย) นักร้องชาวไทย
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - กาเกา นักฟุตบอลชาวบราซิล
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - เฟี้ยวฟ้าว สุดสวิงริงโก้ นักแสดง และพิธีกรหญิงชาวไทย
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - หญิงลี ศรีจุมพล นักร้องชาวไทย
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - รอส อูลบริซท์ พ่อค้ายาเสพติดชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - มานูเอ็ล น็อยเออร์ นักฟุตบอลชาวเยอรมัน
พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) -
* เจสซี เจ นักร้องแนวอาร์แอนด์บี และโซล ชาวอังกฤษ
* เบรนดา ซ่ง นักแสดง โฆษก ผู้ผลิตภาพยนตร์ และนางแบบชาวอเมริกัน
* อัตสึโตะ อูจิดะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - โฆเซลู นักฟุตบอลอาชีพชาวสเปน
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ภาณุ จิระคุณ(ป๊อปปี้ เค-โอติก) นักร้องชาวไทย ค่าย กามิกาเซ่ - อาร์เอส
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - เปโดร โอเบียง นักฟุตบอลชาวสเปน
พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) -
*ปัญญริสา เธียรประสิทธิ์ (หวาย) นักร้องชาวไทย ค่าย กามิกาเซ่ - อาร์เอส
*สุรเกียรติ บุนนาค (แพน) นักแสดง พิธีกร และนายแบบไทย
*อินทัช เหลียวรักวงศ์ นักแสดงชายชาวไทย
พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - ยอวอน นักร้องและนักแสดงชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) -
*เจ้าหญิงซารา บินต์ ไฟซาห์
* พิทักษ์ชัย ลิ้มรักษา นักฟุตบอลชาวไทย
*ลิซ่า (นักร้องชาวไทย) แห่งวงBLACKPINK
พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - รตา ชินกระจ่างกิจ สมาชิกวง BNK48
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1931) - อาร์โนลด์ เบนเน็ตต์ นักเขียนชาวอังกฤษ (เกิด 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2410)
พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - ยูริ กาการิน นักบินอวกาศชาวรัสเซีย (เกิด 9 มีนาคม พ.ศ. 2476)
พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - เอ็ม.ซี. เอสเชอร์ ศิลปินชาวดัตช์ (เกิด 17 มิถุนายน พ.ศ. 2441)
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - ไชยลังกา เครือเสน พ่อครูด้านดนตรีพื้นบ้านล้านนาและการขับซอ (เกิด 15 ธันวาคม พ.ศ. 2447)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
วันที่ระลึกกองทัพอากาศ
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
NY Times: On This Day
Today in History: March 27
มีนาคม 27
มีนาคม
|
thaiwikipedia
| 1,134 |
สังคมศาสตร์
|
สังคมศาสตร์ (social science) เป็นหมวดหมู่สำคัญของสาขาทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกภายในสังคม สังคมศาสตร์ประกอบด้วยหลายแขนงในสาขาวิชา สาขาทางสังคมศาสตร์ประกอบด้วย การสื่อสารศึกษา จิตวิทยา นิติศาสตร์ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์มนุษย์ มานุษยวิทยา รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา สาธารณสุข และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นิยามของสังคมศาสตร์ในบางช่วงเวลาถูกใช้ในการอ้างเฉพาะถึงสาขาทางสังคมวิทยาหรือคำดั้งเดิมคือ "ศาสตร์แห่งสังคม" ซึ่งเริ่มใช้ในศตวรรษที่ 19 สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของสาขาย่อยในสังคมศาสตร์ดูเพิ่มที่เติมที่โครงร่างสังคมศาสตร์
นักสังคมศาสตร์เชิงปฏิฐานนิยมใช้ระเบียบวิธีที่ใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติเป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสังคม และกำหนดนิยามของศาสตร์ภายใต้การรับรู้สมัยใหม่อย่างเคร่งครัด ตรงกันข้ามกับนักสังคมศาสตร์ที่คัดค้านปฏิฐานนิยมอาจใช้การวิพากษ์สังคมหรือตีความเชิงสัญลักษณ์แทนการสร้างทฤษฎีเชิงประจักษ์ที่เป็นเท็จได้และทำให้มีมุมมองของศาสตร์ที่กว้างขึ้น ในการปฏิบัติทางวิชาการสมัยใหม่นักวิจัยมักใช้แนวคิดสรรผสานโดยใช้ระเบียบวิธีหลายวิธี (ตัวอย่างเช่นการมีทั้งการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ) นิยามของ "การวิจัยทางสังคมศาสตร์" ยังได้รับความเป็นเอกเทศจากผู้ที่เกี่ยวข้องเนื่องจากมีความหลากหลายของสาขาวิชาในการแบ่งปันจุดมุ่งหมายและวิธีการในการวิจัย
== แขนงวิชา ==
แขนงวิชาหลักในสาขาสังคมศาสตร์ประกอบด้วย
การสื่อสารศึกษา ศึกษาการไหลของสารสนเทศผ่านทางสื่อต่าง ๆ
จิตวิทยา ศึกษาจิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์
นิติศาสตร์ ศึกษาเกี่ยวกับข้อกฎหมาย
โบราณคดี ศึกษาเรื่องราวในอดีตของมนุษย์ผ่านทางหลักฐานทางโบราณคดี
ประวัติศาสตร์ ศึกษาพฤติการณ์ของมนุษย์และความเปลี่ยนแปลงของสังคมในประวัติศาสตร์
ภาษาศาสตร์ ศึกษาเกี่ยวกับภาษาทั้งรูปแบบ ที่มา และพัฒนาการของภาษา
ภูมิศาสตร์มนุษย์
มานุษยวิทยา การศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ในทุกแง่มุม
รัฐศาสตร์ ศึกษาการปกครองในระดับกลุ่มและในระดับประเทศ
เศรษฐศาสตร์ ศึกษาการผลิตและการจัดสรรทรัพยากรและความมั่งคั่งในสังคม
สังคมวิทยา วิเคราะห์สังคมมนุษย์และความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคม
== สังคมศาสตร์ในประเทศไทย ==
สถานะของสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ในวงการอุดมศึกษาไทยปัจจุบันค่อนข้างถูกละเลยความสำคัญ สาขาวิชาทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ในสถาบันอุดมศึกษาบางแห่งถูกลดสถานะลง หรือได้รับความสนใจจากนิสิตนักศึกษาน้อยลง เนื่องจากเป็นแขนงวิชาที่ถูกมองว่าไม่ตอบสนองโดยตรงต่อต่อความต้องการของตลาดแรงงานและภาคธุรกิจ และการนโยบายการพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นแต่ความสำคัญของสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
== ดูเพิ่ม ==
=== ทั่วไป ===
สังคม
วัฒนธรรม
มนุษยศาสตร์
=== ระเบียบวิธี ===
ระเบียบวิธีแบบวิทยาศาสตร์
สหสัมพันธ์
=== ขอบเขต ===
รัฐศาสตร์
วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
พฤติกรรมศาสตร์
=== รายการ ===
ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์
รายการสาขาวิชา
=== บุคคล ===
=== อื่น ๆ ===
พฤติกรรม
พฤติกรรมวิทยาและชาติพันธุ์วิทยา
ทฤษฎีเกม
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Institute for Comparative Research in Human and Social Sciences (ICR) (ญี่ปุ่น)
Centre for Social Work Research
Family Therapy and Systemic Research Centre
International Conference on Social Sciences
International Social Science Council
Introduction to Hutchinson et al., There's No Such Thing as a Social Science
Intute: Social Sciences (UK)
Social Science Research Society
Social Science Virtual Library
Social Science Virtual Library: Canaktanweb (Turkish)
Social Sciences And Humanities
UC Berkeley Experimental Social Science Laboratory
The Dialectic of Social Science by Paul A. Baran
American Academy Commission on the Humanities and Social Sciences
Social Phenomena by Teng Wang
สาขาวิชา
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์
|
thaiwikipedia
| 1,135 |
ระเบียบวิธีแบบวิทยาศาสตร์
|
ระเบียบวิธีแบบวิทยาศาสตร์ (scientific method) หรือ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (scientific process) เป็นหลักการพื้นฐานของการตรวจสอบและเสาะหาความรู้ใหม่แบบวิทยาศาสตร์ ที่ใช้หลักฐานทางกายภาพ นักวิทยาศาสตร์เสนอความเชื่อใหม่เกี่ยวกับโลกในรูปของทฤษฎีที่ผ่านขั้นตอนของ การสังเกต, การตั้งสมมติฐาน, และการอนุมาน ผลการทำนายของทฤษฎีเหล่านี้จะถูกทดสอบด้วยการทดลอง ถ้าผลการทำนายนั้นถูกต้องหรือสอดคล้องกับการทดลอง ทฤษฎีดังกล่าวจะถูกเก็บไว้ ทฤษฎีที่ความน่าเชื่อถือจะถูกนำไปทดลองซ้ำเพื่อยืนยันความถูกต้องเพิ่มเติม ระเบียบวิธีนี้ถูกจัดให้เป็นตรรกะสำคัญของธรรมเนียมปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ โดยสาระสำคัญนั้นระเบียบวิธีแบบวิทยาศาสตร์คือวิธีการที่รอบคอบมาก สำหรับสร้างความเข้าใจ ที่มีหลักฐานและยืนยันได้เกี่ยวกับโลก
== องค์ประกอบ ==
องค์ประกอบสำคัญของระเบียบวิธีแบบวิทยาศาสตร์คือการวนซ้ำของขั้นตอนด้านล่าง และการใช้วิธีดังกล่าวซ้ำภายในขั้นตอนย่อย:
การระบุลักษณะเฉพาะ (Characterization)
การตั้งสมมติฐาน (การสร้างคำอธิบายเชิงทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้)
การทำนายผล (การอนุมานเชิงตรรกศาสตร์จากสมมติฐาน)
การทดลอง (การทดสอบขั้นตอนทั้งหมด)
ขั้นตอนด้านบนคือระเบียบวิธีแบบสมมติฐาน-อนุมาน และใช้การสังเกตในขั้นตอนแรกและขั้นตอนที่สี่ แต่ละขั้นตอนจะต้องผ่านกระบวนการ peer review เพื่อป้องกันความผิดพลาด กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้ระบุสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทำทั้งหมด (ดูด้านล่าง) แต่อธิบายถึงวิทยาศาสตร์เชิงทดลอง (เช่น ฟิสิกส์ และเคมี) ขั้นตอนด้านต้นมักใช้ในการเรียนการสอนและการศึกษา1
=== การระบุลักษณะเฉพาะ ===
การระบุลักษณะเฉพาะ ประกอบด้วยการสังเกต (Observation) และการตั้งปัญหา (Problem)
การสังเกต (Observation)
วิธีการทางวิทยาศาสตร์มักจะเริ่มจากการสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา เมื่อได้ข้อสังเกตบางอย่างที่เราสนใจจะทำให้ได้สิ่งที่ตามมาคือ ปัญหา (Problem)
เช่น
การสังเกต:
"ต้นหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือต้นหญ้าที่อยู่ใต้หลังคามักจะไม่งอกงาม ส่วนต้นหญ้าในบริเวณใกล้เคียงกันที่ได้รับแสงเจริญงอกงามดี"
การตั้งปัญหา:
"แสงแดดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจริญงอกงามของต้นหญ้าหรือไม่"
"แบคทีเรียในจานเพาะเชื่อเจริญช้าไม่งอกงามถ้ามีราสีเขียวอยู่ในจานเพาะเชื้อนั้น"
การตั้งปัญหานั้นสำคัญกว่าการแก้ปัญหา" เพราะ การตั้งปัญหาที่ดีและชัดเจนจะทำให้ผู้ตั้งปัญหาเกิดความเข้าใจและมองเห็นลู่ทางของการค้นหาคำตอบเพื่อแก้ปัญหาที่ตั้งขึ้น ดังนั้นจึงต้องหมั่นฝึกการสังเกตสิ่งที่สังเกตนั้น:
เป็นอะไร? (What?)
เกิดขึ้นเมื่อไร?(When)
เกิดขึ้นที่ไหน?(Where)
เกิดขึ้นได้อย่างไร?(How)
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?(Why)
=== การตั้งสมมติฐาน ===
ก่อนที่นักวิจัยจะทำการวิจัยเรื่องใด ๆ ก็ตาม มักจะตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นก่อนว่าสิ่งนั้นควรจะเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นว่าทำไมแม่เหล็กจึงดูดเหล็กหรือแม่เหล็กด้วยกันได้ ก่อนที่จะทำการค้นหาสาเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์ต้องตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นว่า อณูทุก ๆ อณูของเหล็กธรรมดาเป็นแม่เหล็กอยู่แล้ว แต่มันไม่เรียงได้อนุกรมกันจึงไม่มีอำนาจแม่เหล็ก ข้อสันนิษฐานที่กล่าวนี้เรียกว่า สมมุติฐาน หรือ Hypothesis
การตั้งสมมติฐานที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
เป็นสมมติฐานที่เข้าใจง่าย มักนิยมใช้วลี "ถ้า…ดังนั้น"
เป็นสมมติฐานที่แนะลู่ทางที่จะตรวจสอบได้
เป็นสมมติฐานที่ตรวจได้โดยการทดลอง
เป็นสมมติฐานที่สอดคล้องและอยู่ในขอบเขตข้อเท็จจริงที่ได้จากการสังเกตและสัมพันธ์กับปัญหาที่ตั้งไว้
สมมติฐานที่เคยยอมรับอาจล้มเลิกได้ถ้ามีข้อมูลจากการทดลองใหม่ๆ มาลบล้าง แต่ก็มีบางสมมติฐานที่ไม่มีข้อมูลจากการทดลองมาคัดค้านทำให้สมมติฐานเหล่านั้นเป็นที่ยอมรับว่าถูกต้อง เช่น สมมติฐานของเมนเดลเกี่ยวกับหน่วยกรรมพันธุ์ ซึ่งเปลี่ยนกฎการแยกตัวของยีน หรือสมมติฐานของอโวกาโดรซึ่งเปลี่ยนเป็นกฎของอโวกาโดร
=== การทดลอง ===
การทดลอง เป็นกระบวนการปฏิบัติ หรือหาคำตอบหรือตรวจสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้โดยการทดลองเพื่อทำการค้นคว้าหาข้อมูลและตรวจสอบดูว่าสมมติฐานข้อใดเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด ประกอบด้วยกิจกรรม 3 กระบวนการ คือ
1. การออกแบบการทดลอง คือการวางแผนการทดลองก่อนที่จะลงมือปฏิบัติจริง โดยให้สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้เสมอ และควบคุมปัจจัยหรือตัวแปรต่างๆ ที่มีผลต่อการทดลอง แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ
ตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น (Independent Variable or Manipulated Variable) คือปัจจัยที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดผลการทดลองหรือตัวแปรที่ต้องศึกษาทำการตรวจสอบดูว่าเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดผลเช่นกัน
ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คือ ผลที่เกิดจากการทดลอง ซึ่งต้องใช้วิธีการสังเกตหรือวัดผลด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลไว้ และจะเปลี่ยนแปลงไปตามตัวแปรอิสระ
ตัวแปรที่ต้องควบคุม (Control Variable) คือปัจจัยอื่นๆ ที่นอกเหนือจากตัวแปรต้นที่มีผลต่อการทดลอง และต้องควบคุมให้เหมือนกันทุกชุดการทดลอง เพื่อป้องกันไม่ให้ผลการทดลองเกิดความคลาดเคลื่อน
ในการตรวจสอบสมมติฐาน นอกจากจะควบคุมปัจจัยที่มีผลต่อการทดลองจะต้องแบ่งชุดการทดลองออกเป็น 3 ชุด ดังนี้
ชุดทดลอง หมายถึง ชุดที่เราใช้ศึกษาผลของตัวแปรอิสระ
ชุดควบคุม หมายถึง ชุดของการทดลองที่ใช้เป็นมาตาฐานอ้างอิง เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลที่ได้จากการทดลอง ซึ่งชุดควบคุมนี้จะมีตัวแปรต่างๆ เหมือนชุดทดลองแต่จะแตกต่างจากชุดทดลองเพียง 1 ตัวแปรเท่านั้น คือตัวแปรที่เราจะตรวจสอบหรือตัวแปรอิสระ
2. การปฏิบัติการทดลอง ในกิจกรรมนี้จะลงมือปฏิบัติการทดลองจริงโดยจะดำเนินการไปตามขั้นตอนที่ได้ออกแบบไว้ และควรจะทดลองซ้ำๆ หลายๆ ครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าได้ผลเช่นนั้นจริง
3. การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกที่ได้จากการทดลองซึ่งข้อมูลที่ได้นี้สามารถรวบรวมไว้ใช้สำหรับยืนยันว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้ถูกต้องหรือไม่
ในบางครั้งข้อมูลอาจได้มาจากการสร้างข้อเท็จจริง เอกสาร จากการสังเกตปรากฏการณ์ หรือจากการซักถามผู้รอบรู้ แล้วนำข้อมูลที่ได้มานั้นไปแปรผลและลงข้อสรุปในต่อไป ดั้งนั้น การรวบรวมข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นในวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ตัวอย่าง
เมื่อคาดคะเนคำตอบว่า "แสงแดดทำให้ต้นหญ้าเจริญงอกงาม ดังนั้นต้นหญ้าที่ถูกแสงแดดจะเจริญงอกงาม ส่วนต้นหญ้าที่ไม่ถูกแสงแดดจะไม่เจริญงอกงามหรือเฉาตายไป" ดังนั้นในขั้นนี้จะเป็นขั้นที่จะตรวจสอบว่า คำตอบที่เราคาดคะเนไว้นี้จะถูกต้องหรือไม่ โดยอาจออกแบบการทดลองได้ดังนี้
นำต้นหญ้า (หรือพืชชนิดอื่นก็ได้เช่นถั่วเขียวที่ต้องเหมือนกันทั้ง 2 กลุ่มชุดการทดลอง) ปลูกในทีมีแสงแดด ส่วนอีกหนึ่งกลุ่มปลูกใช้สังกะสีมาครอบไว้ไม่ให้ได้รับแสงแดด (จัดชุการทดลองและชุดควบคุมให้เหมือนกันทุกประการยกเว้นการได้รับแสงแดด กับไม่ได้รับแสงแดด) ทำการควบคุมทั้งปริมาณน้ำที่รดทั้ง 2 กลุ่มนี้เท่าๆ กัน ประมาณ 2 สัปดาห์ ทำการสังเกตและบันทึกผล
ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ คือ แสงแดด
ตัวแปรตาม คือ ต้นหญ้าเจริญงอกงาม (หรือการเจริญเติบโตของต้นหญ้า)
ตัวแปรที่ต้องควบคุม คือ ปริมาณน้ำ, ชนิดของดิน, ปริมาณของดิน, ชนิดของกระถางที่ใช้ปลูก, ชนิดของต้นหญ้า
นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยความสูงของต้นหญ้า หรือการนำจำนวนใบของต้นหญ้า ซึ่งเราพบว่าต้นหญ้าที่ได้รับแสงแดดจะเจริญเติบโตงอกงามดีส่วนต้นหญ้าที่ไม่ได้รับแสงแดดจะมีสีเหลืองหรือสีขาวซีด และไม่งอกงาม จากนั้นก็สรุปผลการทดลอง
== เชิงอรรถ ==
เชิงอรรถ 1: ผู้สอนที่ใช้การแสวงหาความรู้เพื่อเป็นเครื่องมือในการสอน บางครั้งจะใช้ขั้นตอนที่ดัดแปลงจากระเบียบวิธีแบบวิทยาศาสตร์ โดยที่จะเปลี่ยนขั้นตอนแรกจาก "การระบุลักษณะเฉพาะ" เป็นการตั้งปัญหา
== อ้างอิง ==
|
thaiwikipedia
| 1,136 |
28 มีนาคม
|
วันที่ 28 มีนาคม เป็นวันที่ 87 ของปี (วันที่ 88 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 278 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 1388 (ค.ศ. 845) - ชนเผ่าไวกิง บุกล้อมปารีสเพื่อเรียกค่าไถ่มูลค่ามหาศาล
พ.ศ. 2345 (ค.ศ. 1802) - ไฮน์ริช วิลเฮล์ม มัททอยส์ โอลเบอรส์ นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ค้นพบพัลลัส ซึ่งเป็นดาวเคราะห์น้อยดวงที่ 2
พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) - กรุงคอนสแตนติโนเปิลได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกรุงอิสตันบูล
พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) - กองกำลังนำโดยจอมทัพฟรานซิสโก ฟรังโก ยึดครองมาดริด เป็นการยุติสงครามกลางเมืองในสเปน
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - ความล้มเหลวของระบบทำความเย็นในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์บนเกาะทรีไมล์ ใกล้กับเมืองแฮร์ริสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย นำไปสู่การรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี
พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.7 นอกชายฝั่งเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย เป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงมากที่สุดเป็นอันดับสองนับจากปี พ.ศ. 2503
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2410 (ค.ศ. 1868) - แมกซิม กอร์กี นักประพันธ์ชาวรัสเซีย (ถึงแก่กรรม 14 มิถุนายน พ.ศ. 2479)
พ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910) - อิงกริดแห่งสวีเดน สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก (สวรรคต 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543)
พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) - เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา
พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) - เพอร์รี บรอยทีกัม ผู้เล่นฟุตบอลชาวเยอรมัน
พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - วินซ์ วอห์น นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - มาร์ก คิง นักสนุกเกอร์อาชีพชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - แอนนี่ เวิร์สชิง นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - จูเลีย สไตลส์ นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - สแตฟว์ ม็องด็องดา นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - เลดีกากา (สเตฟานี่ เจอร์มาน็อตต้า) นักร้อง นักแต่งเพลง และดีไซเนอร์ ชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) -
* โจ เบนเนตต์ (นักฟุตบอล) นักฟุตบอล ชาวอังกฤษ
* มีชาอิล อันโตนีโอ นักฟุตบอลชาวอังกฤษ
* ลอรา แฮร์ริเออร์ นักแสดง และนางแบบชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) -
* ลูคัส ฮินเทอร์แซร์ นักฟุตบอลชาวออสเตรีย
* อี โฮว็อน นักร้องชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - แจ็กสัน หวัง นักกีฬาฟันดาบและศิลปินชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์ นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส
พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - แอ้ม ชลธิชา นักร้องลูกทุ่งชาวไทย
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - เวอร์จิเนีย วูล์ฟ นักเขียนผู้ริเริ่มใช้แนววิธีการเขียนตามกระแสสำนึกในการเล่าเรื่อง (เกิด 25 มกราคม ค.ศ. 1882)
พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - ดไวท์ ดี. ไอเซนฮาวร์ นายทหารและประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 34 (เกิด 14 ตุลาคม พ.ศ. 2433)
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - เวส สุนทรจามร นักประพันธ์เพลง (เกิด 5 เมษายน พ.ศ. 2444)
พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2000) - ปรีดา จุลละมณฑล อดีตนักจักรยานทีมชาติไทย (เกิด 21 สิงหาคม พ.ศ. 2488)
พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) - บุญเพ็ง ไฝผิวชัย ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) ปี 2540 (เกิด 22 กันยายน พ.ศ. 2475)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
NY Times: On This Day
Today in History: March 28
มีนาคม 28
มีนาคม
|
thaiwikipedia
| 1,137 |
ธรณีวิทยา
|
ธรณีวิทยา, ธรณีศาสตร์ (Geology จาก γη- (เก-, โลก) และ λογος (ลอกอส, ถ้อยคำ หรือ เหตุผล)) เป็นวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับโลก สสารต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของโลก เช่น แร่ หิน ดินและน้ำ รวมทั้งกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ตั้งแต่กำเนิดโลกจนถึงปัจจุบัน เป็นการศึกษาทั้งในระดับโครงสร้าง ส่วนประกอบทางกายภาพ เคมี และชีววิทยา ทำให้รู้ถึงประวัติความเป็นมา และสภาวะแวดล้อมในอดีตจนถึงปัจจุบัน ศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายใน และภายนอกที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นผิว วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ตลอดจนรูปแบบ และวิธีการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติ มาใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนอีกด้วย
นักธรณีวิทยาศึกษาพบว่าโลกมีอายุประมาณ 4,500 ล้านปี (4.5x109 ปี) และเห็นตรงกันว่าเปลือกโลกแยกออกเป็นหลายแผ่น เรียกว่าแผ่นเปลือกโลก แต่ละแผ่นเคลื่อนที่อยู่เหนือเนื้อโลกหรือแมนเทิลที่มีสภาวะกึ่งหลอมเหลว เรียกกระบวนการนี้ว่าการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก นอกจากนี้ นักธรณีวิทยายังทำหน้าที่ระบุตำแหน่งและจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แหล่งหิน แหล่งแร่ แหล่งปิโตรเลียมเช่น น้ำมันและถ่านหิน รวมทั้งโลหะอย่างเหล็ก ทองแดง และยูเรเนียม
วิชาธรณีวิทยา มีความเกี่ยวข้องกับหลากหลายสาขาวิชา เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ มีการบูรณการความรู้จากหลากหลายวิชา เพื่อวิเคราะห์หาคำตอบเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลก โดยสามารถแบ่งออกเป็นหลากหลายสาขาวิชา เช่น ธรณีวิทยากายภาพ (Physical Geology) ธรณีวิทยาโครงสร้าง (Structural Geology) ธรณีวิทยาแปรสัณฐาน (Geotectonics, Tectonics) ตะกอนวิทยา (Sedimentology) ธรณีสัณฐานวิทยา (Geomorphology) ธรณีเคมี (Geochemistry) ธรณีฟิสิกส์ (Geophysics) ธรณีอุทกวิทยา (Geohydrology) บรรพชีวินวิทยา (Paleontology) เป็นต้น
วิชาธรณีวิทยานอกโลก ศึกษาองค์ประกอบทางธรณีวิทยาของวัตถุในระบบสุริยะ อย่างไรก็ตาม ยังมีศัพท์เฉพาะอื่น ๆ ที่ใช้เรียกธรณีวิทยานอกโลก เช่น "ศศิวิทยา" (selenology) ศึกษาธรณีวิทยาบนดวงจันทร์, areology ศึกษาธรณีวิทยาบนดาวอังคาร เป็นต้น
วิชาธรณีวิทยา สามารถตอบปัญหาต่างๆ มากมาย ที่เกี่ยวข้องกับ วิวัฒนาการของโลก ดาวเคราะห์ และ จักรวาล ธรณีพิบัติภัย ภูเขาไฟ แผ่นดินไหว รอยเลื่อน สึนามิ อุทกภัย น้ำท่วม น้ำหลาก การกัดเซาะ ดินถล่ม หลุมยุบ ภูเขา แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร ทะเลทราย ไดโนเสาร์ ซากดึกดำบรรพ์หรือบรรพชีวินหรือฟอสซิล บั้งไฟพญานาค ไม้กลายเป็นหิน ถ่านหิน น้ำมัน ปิโตรเลียม เชื้อเพลิง แหล่งแร่ เหล็กไหล อุลกมณี โลกศาสตร์
==ธรณีกาล==
ตารางธรณีกาลเป็นการรวบรวมธรณีประวัติทั้งหมดไว้โดยมีจุดอ้างอิงเริ่มต้นวัดจากอายุของหินโบราณที่เก่าที่สุดในระบบสุริยะซึ่งมีอายุ 4.567 Ga, (gigaannum: billion years ago) โดยมีโลกซึ่งถือกำเนิดขึ้นในบรมยุคฮาเดียนเมื่อ 4.54 Ga (gigaannum: พันล้านปีก่อน) และเดินทางมาบรรจบถึงระยะเวลาปัจจุบันซึ่งอยู่ในสมัยโฮโลซีน
===เหตุการณ์สำคัญในธรณีประวัติ===
4.567 Ga: กำเนิดระบบสุริยะ
4.54 Ga: ดาวเคราะห์โลกถือกำเนิด
c. 4 Ga: สิ้นสุดยุคการถูกระดมชนอย่างหนักครั้งล่าสุด, กำเนิดสิ่งมีชีวิต
c. 3.5 Ga: เริ่มต้นการสังเคราะห์ด้วยแสง
c. 2.3 Ga: ออกซิเจนถูกเติมเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ, โลกลูกบอลหิมะครั้งแรก
730–635 Ma (megaannum: ล้านปีก่อน): โลกลูกบอลหิมะครั้งที่สอง
542± 0.3 Ma: การระเบิดในยุคแคมเบรียน – สิ่งมีชีวิตเปลือกแข็งเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น เป็นยุคที่พบฟอสซิลได้มากยุคแรกในช่วงเริ่มต้นของพาลีโอโซอิก
c. 380 Ma: สัตว์มีกระดูกสันหลังบนบกถือกำเนิด
250 Ma: การสูญพันธุ์ เพอร์เมียน-ไทรแอสสิก – การสูญพันธุ์ของ 90% ของสัตว์บกในช่วงปลายยุคพาลีโอโซอิก เริ่มต้นมีโซโซอิก
65 Ma: การสูญพันธุ์ ครีเทเชียส-เทอร์เชียรี่ – ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ สิ้นสุดยุคมีโซโซอิกและเริ่มต้นยุคซีโนโซอิก
c. 7 Ma – ปัจจุบัน: ยุคของมนุษย์
* c. 7 Ma: บรรพบุรุษของมนุษย์โบราณถือกำเนิด
* 3.9 Ma: บรรพบุรุษของมนุษย์ยุคใหม่ถือกำเนิด
* 200 ka (kiloannum: พันปีก่อน): มนุษย์ยุคใหม่ (Homo sapiens) ถือกำเนิดในแอฟริกา
== หน่วยงานด้านธรณีวิทยาในประเทศไทย ==
ในประเทศไทย มีหน่วยงานที่ศึกษา ค้นคว้าด้านธรณีวิทยาหลายหน่วยงานด้วยกัน เช่น
=== กรมทรัพยากรธรณี ===
กรมทรัพยากรธรณี เป็นหน่วยงานแรกของประเทศไทยที่มีการทำงานและการศึกษาด้านธรณีวิทยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศตั้ง กรมราชโลหกิจและภูมิวิทยา ขึ้นในกระทรวงเกษตราธิการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ร.ศ. 110 (พ.ศ. 2434) นับจนถึงขณะนี้ เป็นเวลา 117 ปีแล้ว และต่อมาได้ย้ายสังกัดไปขึ้นกับกระทรวงต่าง ๆ ตามยุคสมัย 6 กระทรวง คือ กระทรวงเกษตราธิราช กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กระทรวงเศรษฐการ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ โดย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น กรมทรัพยากรธรณี เมื่อครั้งสังกัด กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ภายหลังจากการปฏิรูประบบราชการเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 กรมทรัพยากรธรณี ได้ย้ายมาสังกัด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เลขที่ 75/10 ถนนพระรามที่6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
=== ภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ===
เป็นหน่วยงานด้านการศึกษาแรกของประเทศไทยที่เปิดให้มีการเรียนการสอนด้านธรณีวิทยาในระดับมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ โดยเปิดทำการสอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 มีศาสตราจารย์ ดร. แถบ นีละนิธิ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ และรักษาการหัวหน้าภาควิชาธรณีวิทยา (สมัยนั้นเรียกแผนกวิชา) มีศาสตราจารย์ ดร. Th. H. F. Klompe ชาวฮอลันดา เป็นผู้ร่างหลักสูตร ร่วมกับกรมทรัพยากรธรณี (กรมโลหกิจเดิม) ต่อมาเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2502 จึงได้รับอนุมัติจากสภามหาวิทยาลัยให้จัดตั้งเป็นภาควิชาธรณีวิทยาขึ้นในคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อย่างเป็นทางการ
== แนวทางการเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี ==
ผู้ที่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมีความประสงค์จะเข้าศึกษาต่อ สาขาวิชาธรณีวิทยา จะต้องมี ความรอบรู้ในสาขาวิทยาศาสตร์ โดยเน้นวิชาคณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา และสมัครสอบเข้าศึกษาได้โดยการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาของทบวงมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยที่เปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรปริญญาตรี ได้แก่
====หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต (วท.บ.)====
ภาควิชาธรณีวิทยา (Geology) คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ภาควิชาธรณีวิทยา (Geological Sciences) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ภาควิชาเทคโนโลยีธรณี คณะเทคโนโลยี (Geotechnology) มหาวิทยาลัยขอนแก่น
สาขาวิชาธรณีศาสตร์ (Geosciences) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี
ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ (Earth Sciences) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
====หลักสูตรปริญญาวิศวกรรมศาสตร์ (วศ.บ.)====
วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีธรณี (Geotechnology) สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
แม้ว่าแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีความหลากหลายในรายวิชาแตกต่างกันไป สังเกตได้จากชื่อของสาขาหรือภาควิชา แต่ทุกสถาบันข้างต้นจะให้ความรู้ในเนื้อหาหลักที่สำคัญของธรณีวิทยาแก่ผู้ศึกษาทุกคน รวมถึงการออกภาคสนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการเรียนการสอน
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
=== ข้อมูลธรณีวิทยาประเทศไทย ===
ธรณีวิทยาประเทศไทย จากเว็บไซต์ของกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แผนที่ธรณีวิทยาประเทศไทย มาตราส่วน 1:2,500,000 จากเว็บไซต์ของกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
คำอธิบายแผนที่ธรณีวิทยาประเทศไทย มาตราส่วน 1:2,500,000 จากเว็บไซต์ของกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
=== เว็บบอร์ดด้านธรณีวิทยาในประเทศไทย ===
เว็บบอร์ดถาม-ตอบ ความรู้ด้านธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เว็บบอร์ดประจำภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ภาควิชาเทคโนโลยีธรณี คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สาขาวิชาเทคโนโลยีธรณี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน
วิทยาศาสตร์น่ารู้ โดย ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน
โครงการลีซ่า โครงการเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ โดยหอดูดาวเกิดแก้ว สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
วิชาการธรณีไทย/www.geothai.net แหล่งรวมความรู้ทางธรณีวิทยาเพื่อคนไทย
==อ้างอิง==
วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
วิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์
วิทยาศาสตร์โลก
|
thaiwikipedia
| 1,138 |
ฮาร์ต
|
ฮาร์ต (Heart) คือวงฮาร์ดร็อกที่นำโดยผู้หญิง ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดวงหนึ่งจากซีแอทเทิล ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1974 โดยสองพี่น้อง แอน วิลสัน (ร้องนำ) และ แนนซี่ วิลสัน (กีต้าร์) แนวดนตรีของวงฮาร์ตได้รับอิทธิพลจาก วงเลด เซพพลิน (Led Zeppelin) มาก คือการประสมกันของโฟลก์ร็อกและเพาเวอร์บาลลาดอย่างลงตัว ความสำเร็จของวงฮาร์ตรวมไปถึง 9 เพลงฮิตติด 10 อับดับแรกของ ยูเอส ชาร์ต (U.S. chart) และยอดจำหน่ายกว่า 20 ล้านอัลบั้มทั่วโลก
== สมาชิก ==
แอนน์ วิลสัน - นักร้องนำ, ฟลุ๊ต, กีตาร์, กีตาร์เบส, ออโต้ฮาร์พ, คีย์บอร์ด
แนนซี่ วิลสัน - กีตาร์, แมนโดลิน, คีย์บอร์ด, ฮาร์โมนิกา, นักร้อง
โรเจอร์ วิลสัน - กีตาร์, แมนโดลิน
ฮาเวิร์ด ลีซ - กีตาร์, คีย์บอร์ด, ซินธิไซเซอร์
สตีฟ ฟอสเซ็น - กีตาร์เบส
ไมเคิล เดอโรเซียร์ - กลอง
มาร์ก แอนดีส - กีตาร์เบส
เด็นนี คาร์มัสซี - กลอง
เฟอร์นันโด ซอนเดอร์ - กีตาร์เบส
เด็นนี่ ฟงเฮย์เซอร์ - กลอง
== ผลงาน ==
Dreamboat Annie (1976)
Little Queen (1977)
Magazine (1978)
Dog & Butterfly (1978)
Bebe Le Strange (1980)
Greatest Hits/Live (1981) (compilation & live)
Private Audition (1982)
Passionworks (1983)
Heart (1985)
Bad Animals (1987)
Brigade (1990)
Rock the House (1991) (live)
Desire Walks On (1993)
The Road Home (1995) (live)
Alive in Seattle (2003) (live)
Jupiter's Darling (2004)
== อันดับสูงสุดในยูเอส ชาร์ต ==
=== ท๊อป 10 อัลบั้ม ===
Dreamboat Annie [#7, August 1976]
Little Queen [#9, June 1977]
Bebe Le Strange [#5, March 1980]
Greatest Hits/Live [#13, December 1980/January 1981]
Heart [#1, August 1985]
Bad Animals [#2, July 1987]
Brigade [#3, June 1990]
=== ท๊อป 10 ซิงเกิล ===
"Magic Man" [#9, September 1976]
"Tell It Like It Is" [#8, December 1980]
"What about Love?" [#10, July 1985]
"Never" [#4, October 1985]
"These Dreams" [#1, February 1986 (1 week)]
"Nothin' at All" [#10, May 1986]
"Alone" [#1, June 1987 (3 weeks)]
"Who Will You Run To" [#7, September 1987]
"All I Wanna Do Is Make Love to You" [#2, May 1990]
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Roger Fisher
Heart's official site
กลุ่มดนตรีร็อกสัญชาติอเมริกัน
กลุ่มดนตรีที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2517
|
thaiwikipedia
| 1,139 |
เฮเทอร์ โนวา
|
เฮเทอร์ โนวา (Heather Nova) คือ นักร้องและนักแต่งเพลง เดิมชื่อ เฮเทอร์ ฟริทธ์ (Heather Frith) เกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1967 ที่ประเทศเบอร์มิวดา ความผูกพันกับทะเลได้มีอิทธิพลกับแนวเพลงของเธอมาก เนื่องจากในวัยเด็กเธอใช้ชีวิตบนเรือขนาด 40 ฟุต ที่พ่อของเธอสร้างขึ้นมา เฮเทอร์สำเร็จการศึกษาจาก Rhode Island School of Design ในปี ค.ศ. 1989
== ผลงาน ==
The First Recording (1997, re-release of her first EP from 1990)
Glow Stars (1993)
Blow (live, 1993)
Oyster (1994)
Live at the Milky Way (live, 1995)
Siren (1998)
Wonderlust (live, 2000)
South (2001)
Storm (2003)
Redbird (2005)
== หนังสือ ==
the sorrowjoy (ISBN 0954211502)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Online Community
Official website
Website for the sorrowjoy
Biography , available from allmusic.com; the same biography is also available from the VH1 website,
บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2510
บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่
|
thaiwikipedia
| 1,140 |
วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
|
วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (อังกฤษ: natural science) หมายถึงกลุ่มของสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตามการจัดให้สาขาใดสาขาหนึ่งอยู่ในวิทยาศาสตร์ธรรมชาตินั้น ขึ้นอยู่กับทั้งข้อตกลงในอดีตและความหมายสาขาในปัจจุบัน
ตามธรรมเนียมดั้งเดิม ความหมายของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ คือสาขาที่ศึกษาเกี่ยวกับโลกและสรรพสิ่งรอบๆ ตัว (ที่เรียกว่าธรรมชาติ) ในมุมมองทางกายภาพ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติเป็นพื้นฐานให้กับวิทยาศาสตร์ประยุกต์ เมื่อพิจารณารวมกันแล้ววิทยาศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ประยุกต์แตกต่างจากทั้งสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ เทววิทยา หรือศิลปะ ส่วนวิชาคณิตศาสตร์นั้นไม่ถูกจัดให้เป็นวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ แต่ได้สร้างเครื่องมือและแนวทางที่ใช้ในวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติมีเป้าหมายเพื่ออธิบายการทำงานของโลกด้วยกระบวนการธรรมชาติ แทนที่จะใช้คำอธิบายที่มีรากฐานมาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คำว่าวิทยาศาสตร์ธรรมชาติยังถูกใช้เพื่อแยกแยะ "วิทยาศาสตร์" ที่เป็นสาขาวิชาที่ทำการศึกษาด้วยระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ ออกจากปรัชญาธรรมชาติ
ควบคู่ไปกับการความหมายแบบดั้งเดิม ปัจจุบันคำว่า "วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ" ถูกใช้ในความหมายใกล้เคียงกับความหมายตามรูปศัพท์มากขึ้น ในความหมายนี้ "วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ" จะถูกใช้แทนคำว่าวิทยาศาสตร์ชีวภาพซึ่งสนใจกระบวนการทางชีวภาพ ในลักษณะที่แตกต่างจากวิทยาศาสตร์กายภาพที่พิจารณากฎเกณฑ์พื้นฐานของธรรมชาติทางฟิสิกส์และเคมี
== วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ==
ดาราศาสตร์
ชีววิทยา
เคมี
วิทยาศาสตร์โลก (Earth science)
นิเวศวิทยา
ธรณีวิทยา
ฟิสิกส์
== ดูเพิ่ม ==
รายการสาขาวิชา
ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์
ปรัชญาธรรมชาติ
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Natural Sciences at Cambridge University - วิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
The History of Recent Science and Technology - ประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีล่าสุด
Reviews of Books About Natural Science เว็บไซต์นี้มีบทวิจารณ์ที่ตีพิมพ์แล้วมากกว่า 50 บทความเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ รวมไปถึงความเรียงเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติในเรื่องที่ทันสมัย
สาขาวิชา
|
thaiwikipedia
| 1,141 |
วิทยาศาสตร์ประยุกต์
|
วิทยาศาสตร์ประยุกต์ (อังกฤษ: applied science) คือสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ที่นำความรู้จากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติไปใช้กับปัญหาในทางปฏิบัติ สาขาวิชาต่างของวิศวกรรมศาสตร์เป็นตัวอย่างของวิทยาศาสตร์ประยุกต์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์มีความสำคัญสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และในด้านอุตสาหกรรมเรียกวิทยาศาสตร์ประยุกต์ว่า การวิจัยและพัฒนา (research & development) มีนักวิทยาศาสตร์ดังนี้ 1.ทอมัส อัลวา เอดิสัน 2.ไมเคิล ฟาราเดย์ 3.หลุยส์ ปาสเตอร์ 4.พี่น้องตระกูลไรต์ 5.กาลิเลโอ กาลิเลอี
=== สาขาของวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ===
วิศวกรรมศาสตร์
วิทยาการคอมพิวเตอร์
วิทยาการสารสนเทศ
วิทยาศาสตร์พุทธิปัญญา
== อ้างอิง ==
applied science ; ข้อมูลจาก WordNet
|
thaiwikipedia
| 1,142 |
H2
|
H2 สามารถหมายถึง:
ก๊าซไฮโดรเจน (H2)
เอช2 รีเซพเตอร์แอนตาโกนิสต์ ยาที่ใช้ระงับการทำงานของฮีสตามีนต่อพาเรียทัลเซลล์
การ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องเอชทู วาดโดย อาดาจิ มิซึรุ
ฮัมเมอร์ เอชทู (Hummer H2) รถยนต์รุ่น เอชทูผลิตโดยบริษัทฮัมเมอร์
|
thaiwikipedia
| 1,143 |
NLP
|
NLP อาจหมายถึง
การประมวลภาษาธรรมชาติ (natural language processing) หนึ่งในเป้าหมายของปัญญาประดิษฐ์
Neuro-linguistic programming เป็นวิธีการอันเป็นวิทยาศาสตร์เทียมเพื่อการสื่อสาร การพัฒนาตน และจิตบำบัด
|
thaiwikipedia
| 1,144 |
ทฤษฎีบทพีทาโกรัส
|
ในวิชาคณิตศาสตร์ ทฤษฎีบทพีทาโกรัส แสดงความสัมพันธ์ในเรขาคณิตแบบยุคลิด ระหว่างด้านทั้งสามของสามเหลี่ยมมุมฉาก กำลังสองของด้านตรงข้ามมุมฉากเท่ากับผลรวมของกำลังสองของอีกสองด้านที่เหลือ ในแง่ของพื้นที่ กล่าวไว้ดังนี้
ทฤษฎีบทดังกล่าวสามารถเขียนเป็นสมการสัมพันธ์กับความยาวของด้าน a, b และ c ได้ ซึ่งมักเรียกว่า สมการพีทาโกรัส ดังด้านล่าง
a^2 + b^2 = c^2\!\, (อาจแทนด้วยตัวแปรอื่นเช่น x, y, z, ก, ข, ค)
โดยที่ c เป็นความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก และ a และ b เป็นความยาวของอีกสองด้านที่เหลือ
ทฤษฎีบทพีทาโกรัสตั้งตามชื่อนักคณิตศาสตร์ชาวกรีก พีทาโกรัส ซึ่งถือว่าเป็นผู้ค้นพบทฤษฎีบทและการพิสูจน์ แม้จะมีการแย้งบ่อยครั้งว่า ทฤษฎีบทดังกล่าวมีมาก่อนหน้าเขาแล้ว มีหลักฐานว่านักคณิตศาสตร์ชาวบาบิโลนเข้าใจสมการดังกล่าว แม้ว่าจะมีหลักฐานหลงเหลืออยู่น้อยมากว่าพวกเขาปรับให้มันพอดีกับกรอบคณิตศาสตร์
ทฤษฎีบทดังกล่าวเกี่ยวข้องกับทั้งพื้นที่และความยาว ทฤษฎีบทดังกล่าวสามารถสรุปได้หลายวิธี รวมทั้งปริภูมิมิติที่สูงขึ้น ไปจนถึงปริภูมิที่มิใช่แบบยูคลิด ไปจนถึงวัตถุที่ไม่ใช่สามเหลี่ยมมุมฉาก และอันที่จริงแล้ว ไปจนถึงวัตถุที่ไม่ใช่สามเหลี่ยมเลยก็มี แต่เป็นทรงตัน n มิติ ทฤษฎีบทพีทาโกรัสดึงดูดความสนใจจากนักคณิตศาสตร์เป็นสัญลักษณ์ของความยากจะเข้าใจในคณิตศาสตร์ ความขลังหรือพลังปัญญา มีการอ้างถึงในวัฒนธรรมสมัยนิยมมากมายทั้งในวรรณกรรม ละคร ละครเพลง เพลง สแตมป์และการ์ตูน
== รูปอื่น ==
ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น หาก c แทนความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก และ a และ b แทนความยาวของอีกสองด้านที่ประกบมุมฉาก ทฤษฎีบทพีทาโกรัสจะสามารถเขียนในรูปสมการพีทาโกรัสได้ดังนี้
a^2 + b^2 = c^2\,
หรือ
c = \sqrt{a^2 + b^2} \,
ถ้าทราบความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก c และด้านประชิดมุมฉากด้านใดด้านหนึ่ง (a หรือ b) แล้ว ความยาวด้านที่เหลือสามารถคำนวณได้ดังนี้
a = \sqrt{c^2 - b^2} \,
หรือ
b = \sqrt{c^2 - a^2} \,
ทฤษฎีบทพีทาโกรัสกำหนดความสัมพันธ์ของด้านทั้งสามของสามเหลี่ยมมุมฉากอย่างง่าย เพื่อที่ว่าถ้าทราบความยาวของด้านสองด้าน ก็จะสามารถหาความยาวของด้านที่เหลือได้ อีกบทแทรกหนึ่งของทฤษฎีบทพีทาโกรัสคือ ในสามเหลี่ยมมุมฉากใด ๆ ด้านตรงข้ามมุมฉากจะยาวกว่าสองด้านที่เหลือ แต่สั้นกว่าผลรวมของทั้งสอง
ทฤษฎีบทดังกล่าวสามารถกล่าวโดยสรุปได้เป็นกฎของโคซายน์ ซึ่งเมื่อให้ความยาวของด้านทั้งสองและขนาดของมุมระหว่างด้านนั้นมา จะสามารถคำนวณหาความยาวด้านที่สามของสามเหลี่ยมใด ๆ ได้ ถ้ามุมระหว่างด้านเป็นมุมฉาก กฎของโคซายน์จะย่อลงเหลือทฤษฎีบทพีทาโกรัส
== การพิสูจน์ ==
ทฤษฎีบทพีทาโกรัสอาจเป็นทฤษฎีบทที่รู้จักกันว่ามีการพิสูจน์มากกว่าทฤษฎีบทอื่น หนังสือ The Pythagorean Proposition มีการพิสูจน์มากถึง 370 แบบ
ไฟล์:Pythagoras-2a.gif|ภาพเคลื่อนไหวแสดงการพิสูจน์ทฤษฎีบทพีทาโกรัส
ไฟล์:Pythag anim.gif|การพิสูจน์โดยการจัดเรียงรูปสามเหลี่ยมใหม่
ไฟล์:Pythagorean theorem rearrangement.svg|การพิสูจน์โดยการจัดเรียงพื้นที่
== บทกลับของทฤษฎีบทพีทาโกรัส ==
บทกลับของทฤษฎีบทพีทาโกรัสนั้นเป็นจริง โดยกล่าวไว้ดังนี้
กำหนด a, b และ c เป็นจำนวนจริงบวกที่ a^2+b^2=c^2 จะมีสามเหลื่ยมมุมฉากหนึ่งรูปที่มีความยาวด้านเท่ากับสามจำนวนนั้น และสามเหลี่ยมนั้นจะมีมุมฉากระหว่างด้าน a และ b
ชุดของสามจำนวนนี้เรียกว่า สามสิ่งอันดับพีทาโกรัส อีกข้อความหนึ่งกล่าวว่า
สำหรับสามเหลี่ยมใด ๆ ที่มีด้าน a, b และ c ถ้า a^2+b^2=c^2 แล้วมุมระหว่าง a กับ b จะวัดได้ 90°
บทกลับนี้ยังปรากฏอยู่ในหนังสือ Euclid's Elements ของ ยุคลิดด้วย
ถ้าในสามเหลี่ยมรูปหนึ่ง สี่เหลี่ยมบนด้านหนึ่งเท่ากับผลรวมของสี่เหลี่ยมบนอีกสองด้านที่เหลือของสามเหลี่ยมแล้ว แล้วมุมที่รองรับด้านทั้งสองที่เหลือของสามเหลี่ยมนั้นจะเป็นมุมฉาก
บทกลับนี้สามารถพิสูจน์ได้โดยใช้ กฎของโคไซน์ หรือตามการพิสูจน์ดังต่อไปนี้
กำหนดสามเหลี่ยม ABC มีด้านสามด้านที่มีความยาว a,b และ c และ a^2+b^2=c^2 เราจะต้องพิสูจน์ว่ามุมระหว่าง a และ b เป็นมุมฉาก ดังนั้น เราจะสร้างสามเหลื่ยมมุมฉากที่มีความยาวของด้านประกอบมุมฉาก เป็น a และ b แต่จากทฤษฎีบทปีทาโกรัส เราจะได้ว่าด้านตรงข้ามมุมฉาก ของสามเหลื่ยมรูปที่สองก็จะมีค่าเท่ากับ c เนื่องจากสามเหลี่ยมทั้งสองรูปมีความยาวด้านเท่ากันทุกด้าน สามเหลี่ยมทั้งสองรูปจึงเท่ากันทุกประการแบบ "ด้าน-ด้าน-ด้าน" และต้องมีมุมขนาดเท่ากันทุกมุม ดังนั้นมุมที่ด้าน a และ b มาประกอบกัน จึงต้องเป็นมุมฉากด้วย
จากบทพิสูจน์ของบทกลับของทฤษฎีบทปีทาโกรัส เราสามารถนำไปหาว่ารูปสามเหลี่ยมใด ๆ เป็นสามเหลี่ยมมุมแหลม, มุมฉาก หรือ มุมป้าน ได้ เมื่อกำหนดให้ c เป็นความยาวของด้านที่ยาวที่สุดในรูปสามเหลี่ยม
ถ้า a^2+b^2=c^2 สามเหลี่ยมนั้นจะเป็นสามเหลี่ยมมุมฉาก
ถ้า a^2+b^2>c^2 สามเหลี่ยมนั้นจะเป็นสามเหลี่ยมมุมแหลม
ถ้า a^2+b^2 สามเหลี่ยมนั้นจะเป็นสามเหลี่ยมมุมป้าน
== อ้างอิง ==
มุม
ทฤษฎีบททางคณิตศาสตร์
รูปสามเหลี่ยม
สมการ
เรขาคณิตบนระนาบยุคลิด
พีทาโกรัส
|
thaiwikipedia
| 1,145 |
ภาษาอุซเบก
|
ภาษาอุซเบก (Oʻzbekcha/Ўзбекча) เป็นภาษากลุ่มเตอร์กิกที่พูดโดยชาวอุซเบกในประเทศอุซเบกิสถานและพื้นที่อื่น ๆ ในเอเชียกลาง ภาษาที่ใกล้เคียงที่สุดในเชิงคำและไวยากรณ์คือภาษาอุยกูร์ ส่วนภาษาเปอร์เซียและภาษารัสเซียได้มีอิทธิพลสำคัญต่อภาษาอุซเบก
ภาษาอุซเบกเป็นภาษาราชการของประเทศอุซเบกิสถาน และมีคนพูดเป็นภาษาแม่ประมาณ 18.5 ล้านคน ภาษาอุซเบกก่อน พ.ศ. 2535 เขียนด้วยอักษรซีริลลิก แต่ในปัจจุบันมีการใช้อักษรละตินเขียนในประเทศอุซเบกิสถาน ส่วนชาวจีนที่พูดภาษาอุซเบกใช้อักษรอาหรับเขียน
อิทธิพลของศาสนาอิสลามรวมถึงภาษาอาหรับแสดงชัดเจนในภาษาอุซเบก รวมถึงอิทธิพลของภาษารัสเซียในช่วงที่ประเทศอุซเบกิสถานอยู่ภายใต้การยึดครองของจักรวรรดิรัสเซียและสหภาพโซเวียต คำภาษาอาหรับส่วนใหญ่ผ่านเข้ามายังภาษาอุซเบกผ่านทางภาษาเปอร์เซีย
ภาษาอุซเบกแบ่งเป็นภาษาย่อย ๆ จำนวนมาก ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างภูมิภาค อย่างไรก็ดี มีภาษาย่อยที่เข้าใจกันทั่วไป ซึ่งใช้ในสื่อมวลชนและในสิ่งตีพิมพ์ส่วนใหญ่ นักภาษาศาสตร์บางคนถือว่าภาษาที่พูดในประเทศอัฟกานิสถานตอนเหนือโดยชาวอุซเบกพื้นเมือง เป็นภาษาย่อยของภาษาอุซเบก
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 รัฐบาลอุซเบกิสถานได้ประกาศว่าอุซเบกิสถานวางแผนที่จะเปลี่ยนระบบการเขียนภาษาอุซเบกจากอักษรซีริลลิกเป็นอักษรละตินโดยสมบูรณ์ภายในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566 กำหนดเวลาที่คล้ายกันได้รับการขยายหลายครั้ง
== อ้างอิง ==
ตระกูลภาษาเตอร์กิก
ภาษาในประเทศอุซเบกิสถาน
ภาษาในประเทศจีน
ภาษาในประเทศอัฟกานิสถาน
|
thaiwikipedia
| 1,146 |
CS
|
CS Cs หรือ cs สามารถหมายถึง
วิทยาการคอมพิวเตอร์ (computer science) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการคำนวณ และการประมวลผลสารสนเทศ
ซีเซียม (Caesium, Cs) ธาตุเคมีเลขอะตอม 55
ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CS Loxinfo) บริษัทให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
ประเทศคอสตาริกา (Costa Rica)
เคาน์เตอร์-สไตรก์ วิดีโอเกมเกี่ยวกับการต่อสู้ของกลุ่มต่อต้านผู้ก่อการร้าย
ไซเบอร์เซ็กส์ (cybersex)
แก๊สซีเอส หรือ Chlorobenzylidenemalonitrile ซึ่งเป็นส่วนผสมหนึ่งในแก๊สน้ำตา
นอกจากนี้ ยังเป็นชื่อของ
รุ่นของซอฟต์แวร์อะโดบี โฟโตชอป (Photoshop CS ย่อจาก Creative Suite)
|
thaiwikipedia
| 1,147 |
ภาษาโปรแกรม
|
ภาษาโปรแกรม คือภาษาประดิษฐ์ชนิดหนึ่งที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อสื่อสารชุดคำสั่งแก่เครื่องจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรมสามารถใช้สร้างโปรแกรมที่ควบคุมพฤติกรรมของเครื่องจักร และ/หรือ แสดงออกด้วยขั้นตอนวิธี (algorithm) อย่างตรงไปตรงมา ผู้เขียนโปรแกรมซึ่งหมายถึงผู้ที่ใช้ภาษาโปรแกรมเรียกว่า โปรแกรมเมอร์ (programmer)
ภาษาโปรแกรมในยุคแรกเริ่มนั้นเกิดขึ้นก่อนที่คอมพิวเตอร์จะถูกประดิษฐ์ขึ้น โดยถูกใช้เพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องทอผ้าของแจ็กการ์ดและเครื่องเล่นเปียโน ภาษาโปรแกรมต่าง ๆ หลายพันภาษาถูกสร้างขึ้นมา ส่วนมากใช้ในวงการคอมพิวเตอร์ และสำหรับวงการอื่นภาษาโปรแกรมก็เกิดขึ้นใหม่ทุก ๆ ปี ภาษาโปรแกรมส่วนใหญ่อธิบายการคิดคำนวณในรูปแบบเชิงคำสั่ง อาทิลำดับของคำสั่ง ถึงแม้ว่าบางภาษาจะใช้การอธิบายในรูปแบบอื่น ตัวอย่างเช่น ภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงฟังก์ชัน หรือการเขียนโปรแกรมเชิงตรรกะ
การพรรณนาถึงภาษาโปรแกรมหนึ่ง ๆ มักจะแบ่งออกเป็นสองส่วนได้แก่ วากยสัมพันธ์ (รูปแบบ) และอรรถศาสตร์ (ความหมาย) บางภาษาถูกนิยามขึ้นด้วยเอกสารข้อกำหนด (ตัวอย่างเช่น ภาษาซีเป็นภาษาหนึ่งที่กำหนดโดยมาตรฐานไอโซ) ในขณะที่ภาษาอื่นอย่างภาษาเพิร์ลรุ่น 5 และก่อนหน้านั้น ใช้การทำให้เกิดผลแบบอ้างอิง (reference implementation) เป็นลักษณะเด่น
== คำจำกัดความ ==
ภาษาโปรแกรมเป็นสัญกรณ์อย่างหนึ่งสำหรับการเขียนโปรแกรม ซึ่งมีข้อกำหนดต่าง ๆ เกี่ยวกับการคิดคำนวณหรือขั้นตอนวิธี ผู้แต่งตำราบางคน (ไม่ใช่ทั้งหมด) ได้ให้คำจำกัดความของ "ภาษาโปรแกรม" อย่างเข้มงวดว่า หมายถึงภาษาที่สามารถแสดงออกด้วยขั้นตอนวิธีที่เป็นไปได้ทั้งหมด คุณลักษณะมักเป็นปัจจัยพิจารณาที่สำคัญสำหรับคำถามว่า อะไรที่ถือว่าเป็นภาษาโปรแกรม รวมทั้งปัจจัยต่อไปนี้
การทำงานและเป้าหมาย ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ คือภาษาชนิดหนึ่ง ที่ใช้สำหรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ที่กระทำการคิดคำนวณหรือขั้นตอนวิธีบางอย่าง และควบคุมอุปกรณ์ภายนอกที่เป็นไปได้อาทิ เครื่องพิมพ์ เครื่องขับจานบันทึก หุ่นยนต์ และอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น โปรแกรมโพสต์สคริปต์ มักถูกสร้างโดยโปรแกรมอื่นเพื่อควบคุมเครื่องพิมพ์หรือจอภาพ ภาษาโปรแกรมโดยนัยทั่วไปมากขึ้น อาจใช้พรรณนาการคิดคำนวณบนเครื่องจักรบางชนิด ซึ่งอาจเป็นเครื่องจักรนามธรรมก็ได้ เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ข้อกำหนดภาษาโปรแกรมที่สมบูรณ์ จะต้องมีการพรรณนาลักษณะเครื่องจักรหรือหน่วยประมวลผลสำหรับภาษานั้น ซึ่งอาจเป็นการพรรณนาในอุดมคติก็ได้ ในทางปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ ภาษาโปรแกรมเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ จึงทำให้ภาษาโปรแกรมต่าง ๆ โดยปกติถูกกำหนดและศึกษาในแนวทางนี้ ภาษาโปรแกรมต่างจากภาษาธรรมชาติตรงที่ ภาษาธรรมชาติใช้แสดงปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเพียงเท่านั้น ในขณะที่ภาษาโปรแกรมทำให้มนุษย์สื่อสารชุดคำสั่งแก่เครื่องจักรได้อีกด้วย
แนวคิดนามธรรม ภาษาโปรแกรมโดยปกติจะมีภาวะนามธรรม สำหรับนิยามและจัดดำเนินการโครงสร้างข้อมูล หรือควบคุมกระแสการทำงาน ความจำเป็นในทางปฏิบัติที่ภาษาโปรแกรมสนับสนุนภาวะนามธรรมอย่างเพียงพอ แสดงออกมาด้วยหลักการที่เป็นนามธรรม หลักการนี้บางครั้งก็คิดค้นขึ้นเพื่อเป็นข้อเสนอแนะให้โปรแกรมเมอร์สามารถใช้ภาวะนามธรรมเช่นนั้นได้อย่างถูกต้อง
พลังในการแสดงออก ทฤษฎีการคำนวณแบ่งประเภทภาษาต่าง ๆ ตามการคิดคำนวณโดยความสามารถในการแสดงออก ภาษาทัวริงบริบูรณ์ทุกภาษาสามารถทำให้เกิดผลได้ด้วยเซตของขั้นตอนวิธีที่เหมือนกัน ภาษาเอสคิวแอลและภาษาแชริตีเป็นตัวอย่างของภาษาที่ไม่เป็นทัวริงบริบูรณ์ แต่ก็ยังเรียกว่าเป็นภาษาโปรแกรม
ภาษามาร์กอัปอย่างเช่น เอกซ์เอ็มแอล เอชทีเอ็มแอล หรือทร็อฟฟ์ เป็นต้น ซึ่งถูกนิยามว่าเป็นข้อมูลเชิงโครงสร้าง โดยทั่วไปไม่ถือว่าเป็นภาษาโปรแกรม อย่างไรก็ตาม ภาษาโปรแกรมอาจจะใช้วากยสัมพันธ์เหมือนภาษามาร์กอัป ถ้าอรรถศาสตร์เชิงคำนวณมีการนิยามไว้ ตัวอย่างเช่น เอกซ์เอสแอลที ซึ่งเป็นภาษาย่อยของเอกซ์เอ็มแอลที่เป็นทัวริงบริบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ภาษาลาเทกซ์ซึ่งตามปกติใช้สำหรับสร้างโครงสร้างเอกสาร แต่ก็มีเซตย่อยของทัวริงบริบูรณ์อยู่ด้วย
วลี ภาษาคอมพิวเตอร์ บางครั้งก็ใช้แทนความหมายของภาษาโปรแกรม อย่างไรก็ตาม ผู้แต่งตำราแต่ละคนก็ใช้วลีทั้งสองรวมถึงขอบเขตที่ชัดเจนในแนวทางที่ต่างกัน แนวคิดหนึ่งอธิบายว่า ภาษาโปรแกรมเป็นเซตย่อยของภาษาคอมพิวเตอร์ ในทำนองนี้ ภาษาที่ใช้ในการคิดคำนวณอันมีเป้าหมายต่างกัน ที่แสดงออกเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยนัยทั่วไปคือภาษาคอมพิวเตอร์ที่ถูกเลือกขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น ภาษามาร์กอัปบางครั้งก็ถูกพูดถึงว่าเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ เพื่อเน้นย้ำว่ามันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเขียนโปรแกรม แนวคิดอีกอย่างหนึ่งอธิบายว่า ภาษาโปรแกรมคือโครงสร้างเชิงทฤษฎีสำหรับการเขียนโปรแกรมให้แก่เครื่องจักรนามธรรม และภาษาคอมพิวเตอร์คือเซตย่อยของสิ่งดังกล่าวที่ทำงานบนคอมพิวเตอร์ในทางกายภาพ ซึ่งมีทรัพยากรฮาร์ดแวร์จำกัด จอห์น ซี. เรย์โนลด์ เน้นว่า ภาษาข้อกำหนดรูปนัย (formal specification) มีลักษณะของภาษาโปรแกรมมากพอ ๆ กับภาษาที่ตั้งใจให้กระทำการ เขายังให้เหตุผลด้วยว่า รูปแบบรับเข้าเชิงข้อความหรือแม้แต่เชิงกราฟิกที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของคอมพิวเตอร์ ก็ถือเป็นภาษาโปรแกรมเช่นกัน ถึงแม้ข้อเท็จจริงคือสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ทัวริงบริบูรณ์ และให้ความเห็นอีกว่า การมองข้ามมโนทัศน์ของภาษาโปรแกรมคือสาเหตุของความบกพร่องมากมายในรูปแบบรับเข้า
== ลักษณะของภาษาโปรแกรม ==
ภาษาโปรแกรมแต่ละภาษาสามารถพิจารณาว่าเป็นเซตของข้อกำหนดอย่างเป็นทางการของวากยสัมพันธ์ ศัพท์ และความหมาย
ข้อกำหนดเหล่านี้มักรวมถึง:
ข้อมูล และโครงสร้างข้อมูล
คำสั่ง และลำดับการทำงาน
ปรัชญาในการออกแบบ
สถาปัตยกรรมของภาษา
ภาษาส่วนใหญ่ที่มีการใช้งานอย่างกว้างขวาง หรือมีการใช้งานในระยะเวลาพอสมควร จะมีกลุ่มทำงานเพื่อสร้างมาตรฐาน ซึ่งมักจะมีการพบปะกันเป็นระยะๆ เพื่อสร้างและจัดพิมพ์นิยามอย่างเป็นทางการของภาษา รวมถึงการปรับปรุงเพิ่มเติมภาษาด้วย
=== ชนิดข้อมูล ===
การจัดเก็บข้อมูลภายในคอมพิวเตอร์สมัยใหม่นั้น ภายในแล้วจะเก็บเป็นตัวเลขศูนย์และหนึ่ง (เลขฐานสอง) อย่างไรก็ตาม ข้อมูลมักถูกแทนสารสนเทศในชีวิตประจำวันเช่น ชื่อบุคคล เลขบัญชี หรือผลการวัด ดังนั้นข้อมูลแบบฐานสองจะถูกจัดการโดยภาษาโปรแกรม เพื่อทำให้รองรับการจัดเก็บข้อมูลที่ซับซ้อนขึ้นเหล่านี้
ระบบที่ข้อมูลถูกจัดการภายในโปรแกรมเรียกว่าชนิดข้อมูลของภาษาโปรแกรม การออกแบบและศึกษาเกี่ยวกับชนิดข้อมูลเรียกว่าทฤษฎีชนิด ภาษาโปรแกรมสามารถจัดออกได้เป็นกลุ่มภาษาที่มี การจัดชนิดแบบสถิตย์ และภาษาที่มี การจัดชนิดแบบพลวัต
=== โครงสร้างข้อมูล ===
โครงสร้างข้อมูล คือรูปแบบของการจัดเก็บข้อมูล ที่เกิดจากการนำเอาตัวแปรประเภทต่าง ๆ กันมาประยุกต์รวมกันเพื่อให้ง่ายต่อการที่จะนำไปใช้ ในalgorithm ต่าง ๆ
== ภาษาโปรแกรมที่นิยม ==
ภาษาเครื่อง (Machine Languages)
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly)
ภาษาระดับสูง (High-level Languages)
* ภาษาซี (C)
* ภาษาซีพลัสพลัส (C++)
* ภาษาซีชาร์ป (C#)
* ภาษาโคบอล (COBOL)
* ภาษาปาสกาล (Pascal)
* ภาษาเบสิก (BASIC)
* ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN)
* ภาษาจาวา (Java)
* ภาษาจาวาสคริปต์ (JavaScript)
* ภาษาเพิร์ล (Perl)
* ภาษาพีเอชพี (PHP)
* ภาษาไพทอน (Python)
* ภาษาโปรล็อก (Prolog)
* ภาษาอ็อบเจกทีฟ-ซี (Objective-C)
* ภาษารูบี้ (Ruby)
== อ้างอิง ==
สัญกรณ์
|
thaiwikipedia
| 1,148 |
อาวุธ
|
อาวุธ (weapon) หมายถึงอุปกรณ์และเครื่องมือที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ก่อความเสียหายต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาวุธสามารถใช้ในหลากหลายกิจกรรม ตั้งแต่การก่ออาชญากรรม, การล่าสัตว์, การบังคับใช้กฎหมาย, การป้องกันตนเอง, และการสงคราม อาวุธทั้งสิ้นทั้งปวงทางการทหารเรียกว่า ยุทธภัณฑ์ (armament) บ้างจึงเรียกรวมว่า อาวุธยุทธภัณฑ์ ใช้ในการรบและการสนับสนุนการรบ แต่ไม่ใช้ในการช่วยรบ
อาวุธแบ่งเป็นสองประเภท:
อาวุธจริง: มีดดาบ, ขวาน, ธนู, ปืน, ยุทโธปกรณ์ ฯลฯ
สิ่งเทียมอาวุธ: ก้อนหิน, ท่อนไม้, เก้าอี้ ฯลฯ
อาวุธ
การรักษาความปลอดภัย
|
thaiwikipedia
| 1,149 |
29 มีนาคม
|
วันที่ 29 มีนาคม เป็นวันที่ 88 ของปี (วันที่ 89 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 277 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2180 (ค.ศ. 1638) - ชาวสวีเดนตั้งถิ่นฐานโดยใช้ชื่อว่า "นิวสวีเดน" ใกล้กับอ่าวเดลาแวร์ นับเป็นอาณานิคมแห่งแรกของสวีเดนในอเมริกา
พ.ศ. 2391 (ค.ศ. 1849) - สหราชอาณาจักรผนวกรัฐปัญจาบที่อยู่ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคม
พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - สงครามเวียดนาม : พลรบหน่วยสุดท้ายของสหรัฐอเมริกา เดินทางออกจากประเทศเวียดนามใต้
พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - ยานมาริเนอร์ 10 ขององค์การนาซา เป็นยานอวกาศลำแรกที่โคจรเข้าใกล้ดาวพุธ
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2315 (ค.ศ. 1772) - สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ (สวรรคต 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2360)
พ.ศ. 2332 (ค.ศ. 1790) - จอห์น ไทเลอร์ ประธานาธิบดีคนที่ 10 ของสหรัฐอเมริกา (ถึงแก่กรรม 18 มกราคม พ.ศ. 2404)
พ.ศ. 2430 (ค.ศ. 1887) - พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของไทย (ถึงแก่กรรม 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490)
พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) - วอร์เนอร์ แบ็กซ์เตอร์ นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2494)
พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) - วิลเลียม วอลตัน คีตกวีชาวอังกฤษ (ถึงแก่กรรม 8 มีนาคม พ.ศ. 2526)
พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) - แซม วอลตัน นักธุรกิจและผู้ประกอบการชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 5 เมษายน พ.ศ. 2535)
พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) - จอห์น เมเจอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร
พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960)
* แอนนาเบลลา ไซออร์รา นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน
* ฮิโรมิ สึรุ นักพาย์ชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - ชาติชาย ปุยเปีย จิตรกรชาวไทย
พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) - ฮิเดโตชิ นิชิจิมะ นักแสดงชายชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - รุย กอชตา นักฟุตบอลชาวโปรตุเกส
พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - มาร์ก โอเฟอร์มาร์ส นักฟุตบอลชาวดัตช์
พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - คิม แท-ฮี นักแสดงหญิงชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982)
* เจย์ อาลี นักแสดงชาวอังกฤษ
* ทาคิซาว่า ฮิเดอากิ นักร้อง นักแสดง ชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - ดอนัลด์ เซอโรนี นักศิลปะการต่อสู้แบบผสมชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - ดีมีทรี ปาแย็ต นักฟุตบอลอาชีพชาวฝรั่งเศส
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - ตีมู ปุกกี นักฟุตบอลชาวฟินแลนด์
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991)
* มาร์เติน เดอ โรน นักฟุตบอลชาวดัตช์
* อึงโกโล ก็องเต นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส
* ไอรีน นักร้องชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - เวลสัน ซิม นักว่ายน้ำอาชีพชาวมาเลเซีย
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 1601 (ค.ศ. 1058) - สมเด็จพระสันตะปาปาสตีเฟนที่ 9
พ.ศ. 1911 (ค.ศ. 1368) - จักรพรรดิโกะ-มุระกะมิ
พ.ศ. 2335 (ค.ศ. 1792) - พระเจ้ากุสตาฟที่ 3 แห่งสวีเดน
พ.ศ. 2416 (ค.ศ. 1873) - พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชย (ประสูติ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2400)
พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) - โรเบิร์ต ฟัลคอน สกอตต์ นักสำรวจชาวอังกฤษ (เกิด 6 มิถุนายน พ.ศ. 2411)
พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี. แซร์) (เกิด 30 เมษายน พ.ศ. 2428)
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - คาร์ล ออร์ฟ คีตกวีชาวเยอรมัน (เกิด 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2438)
พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) - วิทยา เจตะภัย (ถนอม สามโทน)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
NY Times: On This Day
Today in History: March 29
มีนาคม 29
มีนาคม
|
thaiwikipedia
| 1,150 |
ข้อความคาดการณ์จำนวนเฉพาะคู่แฝด
|
ข้อความคาดการณ์จำนวนเฉพาะคู่ (Twin Prime Conjecture) เป็นปัญหาที่โด่งดังในทฤษฎีจำนวนในเรื่องจำนวนเฉพาะ ซึ่งกล่าวว่า "มีจำนวนเฉพาะ p ซึ่ง p+2 เป็นจำนวนเฉพาะด้วย อยู่ไม่จำกัด"
เรียกจำนวนเฉพาะสองตัวดังกล่าวว่า จำนวนเฉพาะคู่แฝด มีการวิจัยข้อความคาดการณ์นี้โดยนักทฤษฎีจำนวน และนักคณิตศาสตร์จำนวนมากก็คิดว่าข้อความคาดการณ์นี้เป็นจริง อาศัยจากหลักฐานทางจำนวนและความน่าจะเป็นการกระจายตัวของจำนวนเฉพาะ
จริงเมื่อpเป็นจำนวนเฉพาะ และ เนื่องจากจำนวนเฉพาะมีเป็นอนันต์ ดังนั้น ถูก
ทฤษฎีจำนวน
ข้อความคาดการณ์
|
thaiwikipedia
| 1,151 |
ข้อความคาดการณ์ของก็อลท์บัค
|
ในคณิตศาสตร์ ข้อความคาดการณ์ของก็อลท์บัค (Goldbach's conjecture) เป็นหนึ่งในปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ที่เก่าแก่ที่สุดในทฤษฎีจำนวนและในคณิตศาสตร์ ซึ่งกล่าวว่า
ทุกจำนวนคู่ที่มากกว่า 2 สามารถเขียนอยู่ในรูปผลบวกของจำนวนเฉพาะสองจำนวนได้ และจำนวนคี่ที่มากกว่า 7 เขียนในรูปการบวกกันของจำนวนเฉพาะที่เป็นจำนวนคี่สามจำนวนได้
ตัวอย่างเช่น
4=2+2
6=3+3
8=3+5
10=3+7=5+5
12=5+7
14=3+11=7+7
ฯลฯ
== อ้างอิง ==
Kraeft, Uwe (2010), Goldbach's Conjecture and Structures of Primes in Number Theory, Shaker Verlag, Aachen, ISBN 978-3-8322-9166-2
ข้อความคาดการณ์
ทฤษฎีจำนวน
ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ยังแก้ไม่ได้
|
thaiwikipedia
| 1,152 |
กีฬาโอลิมปิก
|
กีฬาโอลิมปิกเกมส์ (Olympic Games, les Jeux olympiques, JO) หรือกีฬาโอลิมปิกเกมส์สมัยใหม่ (Modern Olympic Games) เป็นการแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศที่สำคัญ มีทั้งกีฬาฤดูร้อนและฤดูหนาว โดยมีนักกีฬากว่าพันคนเข้าร่วมการแข่งขันในหลายชนิดกีฬา กีฬาโอลิมปิกถูกมองว่าเป็นการแข่งขันกีฬาที่สำคัญที่สุดของโลก โดยมีประเทศเข้าร่วมแข่งขันกว่า 200 ประเทศ ปัจจุบัน กีฬาโอลิมปิกจัดขึ้นทุก ๆ 4 ปี โดยผลัดกันระหว่างโอลิมปิกฤดูร้อนกับโอลิมปิกฤดูหนาวห่างกันทุก 2 ปี
การสร้างสรรค์กีฬาโอลิมปิกได้รับแรงบันดาลใจจากกีฬาโอลิมปิกโบราณ (Ὀλυμπιακοί Ἀγῶνες) ที่เคยจัดขึ้นในโอลิมเปีย กรีซ จากในระหว่างศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาลจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 4 โดย บารอน ปีแยร์ เดอ กูแบร์แต็ง ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้ก่อตั้งคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ใน พ.ศ. 2437 จนนำไปสู่การจัดโอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2439 ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ นับแต่นั้นมาไอโอซีกลายเป็นองค์การที่ดูแลกระบวนการโอลิมปิก (Olympic Movement) โดยมีกฎบัตรโอลิมปิกนิยามโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ
วิวัฒนาการของกระบวนการโอลิมปิกระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 และ 21 ได้ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อกีฬาโอลิมปิกหลายประการ การปรับแก้บางอย่างรวมไปถึง การริเริ่มโอลิมปิกฤดูหนาวเพื่อแข่งขันกีฬาน้ำแข็งและฤดูหนาว กีฬาพาราลิมปิกเพื่อนักกีฬาที่มีความพิการทางร่างกาย และกีฬาโอลิมปิกเยาวชนเพื่อนักกีฬาวัยรุ่น ไอโอซีได้ปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมืองและเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 20 ตามความจริง ผลคือ กีฬาโอลิมปิกได้ขยับจากลักษณะมือสมัครเล่นบริสุทธิ์ (pure amateurism) ตามแนวคิดของกูแบร์แต็ง เพื่อให้นักกีฬาอาชีพร่วมการแข่งขันได้ ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของสื่อมวลชนได้ก่อให้เกิดปัญหาการอุปถัมภ์โดยบริษัทและการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์จากกีฬาโอลิมปิก สงครามโลกนำไปสู่การยกเลิกโอลิมปิกเมื่อ พ.ศ. 2459, 2483 และ 2487 มีการคว่ำบาตรครั้งใหญ่ระหว่างสงครามเย็น ซึ่งจำกัดการเข้าร่วมในโอลิมปิกเมื่อ พ.ศ. 2523 และ 2527
กระบวนการโอลิมปิกประกอบด้วยสหพันธ์กีฬาระหว่างประเทศ คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติ และคณะกรรมการจัดการแข่งขันของกีฬาโอลิมปิกแต่ละครั้ง เมืองเจ้าภาพเป็นผู้รับผิดชอบการจัดการแข่งขันและการจัดหาเงินทุนเพื่อสมโภช (celebrate) กีฬาตามกฎบัตรโอลิมปิก โปรแกรมโอลิมปิก ซึ่งประกอบด้วยกีฬาที่จะมีการแข่งขันในโอลิมปิก ถูกกำหนดโดยไอโอซีเช่นกัน การสมโภชกีฬาโอลิมปิกหมายรวมพิธีการและสัญลักษณ์จำนวนมาก อาทิ ธงและคบเพลิงโอลิมปิก ตลอดจนพิธีเปิดและปิด มีนักกีฬากว่า 13,000 คน เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนและฤดูหนาวใน 33 ชนิดกีฬา เกือบ 400 รายการ ผู้ที่ชนะเลิศเป็นอันดับหนึ่ง สองและสามในแต่ละรายการจะได้รับเหรียญโอลิมปิก ทอง เงินและทองแดง ตามลำดับ
== กีฬาโอลิมปิกโบราณ ==
กีฬาโอลิมปิกโบราณ (Ancient Olympic Games) เป็นเทศกาลทางศาสนาและกรีฑาซึ่งจัดขึ้นทุกสี่ปี ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งซุสในโอลิมเปีย กรีซ โดยนครรัฐและราชอาณาจักรกรีซโบราณได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมแข่งขัน โอลิมปิกโบราณนี้เน้นกรีฑาเป็นหลัก แต่ก็มีการแข่งขันต่อสู้และรถม้าด้วย ระหว่างการแข่งขัน ความขัดแย้งระหว่างนครรัฐที่เข้าร่วมทั้งหมดจะถูกเลื่อนไปจนกว่าการแข่งขันจะเสร็จสิ้น จุดกำเนิดของกีฬาโอลิมปิกเหล่านี้ยังเป็นปริศนาและตำนาน เรื่องปรัมปราหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดชี้ว่า เฮราคลีสและซุสผู้เป็นบิดาเป็นแบบฉบับของกีฬาดังกล่าว ตามตำนาน เฮราคลีสเป็นผู้แรกที่เรียกกีฬานี้ว่า "โอลิมปิก" และตั้งธรรมเนียมจัดการแข่งขันขึ้นทุกสี่ปี ตำนานยืนยันว่า หลังจากที่เฮราคลีสสำเร็จภารกิจสิบสองประการ (twelve labors) แล้ว เขาได้ทรงสนามกีฬาโอลิมปิกเพื่อถวายเกียรติแด่ซุส หลังการแข่งขันนี้ เขาเดินเป็นเส้นตรงระยะ 200 ก้าว และเรียกระยะทางนี้ว่า "stadion" (στάδιον, stadium, "เวที") ซึ่งภายหลังชาวกรีกยังใช้เป็นหน่วยวัดระยะทางด้วย เรื่องปรัมปราอีกเรื่องหนึ่งเชื่อมโยงกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกกับมโนทัศน์การพักรบโอลิมปิก (ἐκεχειρία, ekecheiria, Olympic truce) ของกรีซ วันก่อตั้งกีฬาโอลิมปิกโบราณที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด คือ 776 ปีก่อนคริสตกาล ตามรอยจารึกซึ่งพบที่โอลิมเปีย และมีการระบุรายชื่อผู้ชนะการวิ่งซึ่งจัดขึ้นทุกสี่ปีเริ่มตั้งแต่ 776 ปีก่อน ค.ศ. กีฬาโอลิมปิกโบราณมีรายการแข่งขันวิ่ง ปัญจกีฬา (ประกอบด้วยการกระโดด ขว้างจักร พุ่งแหลน วิ่ง และมวยปล้ำ) ชกมวย มวยปล้ำ ศิลปะป้องกันตัวแพนแครชัน (pankration) และขี่ม้า ความเชื่อมีอยู่ว่า คอโรเอบัส (Coroebus) พ่อครัวจากนครเอลลิส (Elis) เป็นผู้ชนะโอลิมปิกคนแรก
กีฬาโอลิมปิกมีความสำคัญทางศาสนาเป็นหลัก โดยมีการแข่งขันกีฬาร่วมกับพิธีกรรมบูชายัญเพื่อถวายเกียรติแด่ทั้งซุส (ซึ่งมีเทวรูปอันมีชื่อเสียงโดย ฟิเดียส ในเทวสถานของพระองค์ที่โอลิมเปีย) และฟีลอปส์ เทพวีรบุรุษและพระมหากษัตริย์ตามตำนานของโอลิมเปีย ฟีลอปส์มีชื่อเสียงในการแข่งรถม้ากับพระเจ้าอีโนมาอัส (Oenomaus) แห่งปีซาทิส (Pisatis) ผู้ชนะจากการแข่งขันดังกล่าได้รับการยกย่องและมีอนุสรณ์ในบทกวีและรูปปั้น กีฬาโอลิมปิกจัดขึ้นทุกสี่ปี ซึ่งคาบนี้เรียกว่า Olympiad ซึ่งชาวกรีกใช้เป็นหน่วยในการวัดเวลาอย่างหนึ่ง กีฬาโอลิมปิกเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรที่เรียกว่า กีฬาแพนเฮลลินนิค (Panhellenic Games) ซึ่งมีกีฬาไพเธียน กีฬานีเมียน และกีฬาอิสท์เมียน
กีฬาโอลิมปิกรุ่งเรืองถึงขีดสุดในศตวรรษที่ 6 และ 5 ก่อนคริสตกาล จากนั้นค่อย ๆ เสื่อมความสำคัญลง เมื่อชาวโรมันมีอำนาจและอิทธิพลในกรีซ ขณะที่ยังไม่มีการเห็นพ้องต้องกันในทางวิชาการว่ากีฬาโอลิมปิกโบราณสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการเมื่อใด ส่วนใหญ่มักถือ ค.ศ. 393 เมื่อจักรพรรดิธีโอโดเซียสที่ 1 ทรงประกาศให้ลัทธิและการปฏิบัติตามหลักเพเกินถูกกำจัดไป ส่วนการอ้างอีกอย่างหนึ่ง คือ ใน ค.ศ. 426 เมื่อผู้สืบราชบัลลังก์ จักรพรรดิธีโอโดเซียสที่ 2 มีพระบรมราชโองการทำลายเทวสถานกรีกทั้งหมด
== โอลิมปิกสมัยใหม่ ==
หลังจากโอลิมปิกโบราณได้ล้มเลิกไปเป็นเวลาถึง 15 ศตวรรษ โอลิมปิกยุคใหม่ก็เกิดขึ้น โดยมีนักกีฬาคนสำคัญของฝรั่งเศสชื่อ ปิแอร์ เดอ ดูเบอร์แตง ท่านขุนนางผู้นี้เกิดในกรุงปารีส เมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2406 (ค.ศ. 1863) สนใจประวัติศาสตร์ ปัญหาการเมืองและสังคม ในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) ท่านอายุได้ 26 ปี ได้เกิดความคิดที่จะฟื้นฟูการแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งได้ล้มเลิกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 936 (ค.ศ. 393) โดยติดต่อกับบุคคลสำคัญของประเทศอังกฤษ, สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส เป็นเวลาถึง 4 ปี ในที่สุดได้เปิดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการขึ้น ที่ตำบลซอร์บอนน์ ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) และประกาศ ณ ที่นั้นว่า การแข่งขันโอลิมปิกซึ่งได้หยุดมานานกว่า 15 ศตวรรษ จักได้พื้นขึ้นใหม่เป็นการปัจจุบัน และแผนการของงานโอลิมปิกปัจจุบันนั้น ได้เป็นที่ตกลงกันในที่ประชุมจำนวน 15 ประเทศ ณ ตำบลซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส
คณะกรรมการผู้ริเริ่มได้ลงมติว่า ให้ทำการเปิดการแข่งขันโอลิมปิกปัจจุบันขึ้น โดยกำหนด 4 ปีต่อ 1 ครั้ง โดยให้ประเทศสมาชิกหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ แต่การเปิดแข่งขันครั้งแรกให้เริ่ม ณ กรุงเอเธนส์ ใน พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896) เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการกำเนิดกีฬาโอลิมปิกเมื่อครั้งโบราณ จากนั้นเป็นต้นมาการแข่งขันและวิธีเล่นกรีฑาก็พัฒนาไปอย่างกว้างขวาง และการแข่งขันทุก ๆ ครั้ง ให้ถือเอากรีฑาเป็นกีฬาหลัก ซึ่งจะขาดเสียมิได้ในการแข่งขันแต่ละครั้ง
=== เจ้าภาพ ===
การกำหนดว่าประเทศใดจะได้เป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไปนั้น กระทำขึ้น ณ สถานที่ที่การแข่งขันครั้งล่าสุดดำเนินอยู่นั้นเอง คณะกรรมการโอลิมปิกสากลจะพิจารณาบรรดาประเทศสมาชิกที่เสนอขอจัด และมีอำนาจเด็ดขาดที่จะลงมติให้ประเทศใดเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะประกาศให้ทราบอย่างเป็นทางการ ในวันพิธีเปิดการแข่งขันครั้งล่าสุดนั้น ประเทศที่ได้รับพิจารณาให้เป็นเจ้าภาพ ถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับความไว้วางใจ อันก่อให้เกิดความภาคภูมิใจต่อประชาชนทั้งประเทศ
=== สมาชิก ===
ในปัจจุบัน ประเทศทั่วโลกเป็นสมาชิกโอลิมปิกประมาณ 197 ประเทศ แต่บางประเทศไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน เพราะเป็นประเทศเล็ก ขาดความพร้อมในเรื่องตัวนักกีฬา บารอน ปิแอร์เดอ ดูเบอร์แตง ได้ให้นิยามการเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกว่า ผู้เข้าร่วมการแข่งขันนั้นไม่เลือกผิวพรรณ ศาสนา ลัทธิการปกครอง แต่อย่างใด ความหมายการแข่งขันเพื่อให้นักกีฬาชาติต่าง ๆ ได้มาร่วมชุมนุมกัน ตัวนักกีฬาเปรียบเสมือนทูตสันถวไมตรีส่งมาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ร่วมเล่นสนุกสนานด้วยความเห็นอกเห็นใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดทั้งสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน อันนำมาซึ่งความสามัคคีและเพื่อสันติภาพของโลก การแพ้หรือชนะไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การเข้าร่วม”
=== รางวัล ===
รางวัลของการแข่งขันในสมัยโบราณผู้ที่ชนะจะได้รับการสรรเสริญมาก รางวัลที่ให้แก่ผู้ชนะในสมัยนั้น คือ กิ่งไม้มะกอกซึ่งตัดมาจากยอดเขาโอลิมปัส อันเป็นที่สิงสถิตของซุส แล้วทำเป็นวงคล้ายมงกุฎ จักรพรรดิจะเป็นผู้พระราชทานครอบลงบนศีรษะของผู้ชนะนั้น ๆ พร้อมทั้งได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ให้ชนรุ่นหลังศึกษาและชื่นชมต่อไป
สำหรับการแข่งขันโอลิมปิกสมัยปัจจุบันแบ่งรางวัลเป็นสามระดับ คือ เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง ให้แก่ผู้ชนะเลิศ ผู้ชนะเลิศที่สอง และที่สามตามลำดับ ส่วนอันดับที่สี่ไปถึงอันดับที่หก จะได้ประกาศนียบัตรการเข้าร่วมการแข่งขัน
=== คบเพลิงโอลิมปิก ===
โคมไฟโอลิมปิก เมื่อมีการแข่งขันโอลิมปิกจะมีการจุดไฟกองใหญ่ขึ้นบนยอดเขาโอลิมปัส เพื่อให้ความสว่างไสว และเพื่อเป็นสัญญาณประกาศให้คนทั่วไปได้ทราบว่า การเฉลิมฉลองได้เริ่มขึ้นแล้ว พิธีการจุดไฟนั้น เริ่มแรกทำบนยอดเขาโอลิมปัส โดยใช้แว่นรวมแสงอาทิตย์ไปยังเชื้อเพลิง เมื่อติดไฟแล้ว จึงนำตะเกียงต่อเอาไว้ ไฟกองใหญ่จะคงลุกโชติช่วงต่อไปจนตลอดงานฉลอง ส่วนตะเกียงนั้นจะมีการวิ่งถือไปทั่วทุกนครรัฐ ด้วยการส่งต่อกันไปเป็นทอด ๆ จากนักวิ่ง คนละ 2 ไมล์ หากผ่านทะเลหรือแม่น้ำก็จะลงเรือข้ามฟากโดยไฟไม่ดับ ไฟนี้ชาวกรีก ถือว่าเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ และความสงบสุขของชาวกรีก ซึ่งพระเจ้าจะทรงพระพิโรธต่อบุคคลที่ไม่สนใจในกิจการนี้
โอลิมปิกในปัจจุบัน ยังคงรักษาประเพณีเรื่องการจุดไฟไว้ดังเดิมทุกประการ กล่าวคือ ก่อนจะมีการแข่งขันจะมีพิธีจุดไฟ ณ เขาโอลิมปัส ผู้จุดคือ สาวพรหมจารีย์ผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ต่อไฟจากแว่นรวมแสงของดวงอาทิตย์ด้วยคบเพลิง และไฟนี้จะถูกแจกจ่ายไปยังประเทศสมาชิกทั่วโลก และข้ามน้ำข้ามทะเลไปสู่ประเทศเจ้าภาพ และมีการวิ่งถือคบเพลิงส่งต่อกันไปจุดที่กระถางใหญ่บริเวณงานในวันแรกของพิธีเปิดการแข่งขัน ไฟจะต้องไม่ดับตั้งแต่เริ่มจุด ณ ภูเขาโอลิมปัส จนกว่าจะสิ้นสุดการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนั้น ๆ
=== สัญลักษณ์โอลิมปิก ===
ธงโอลิมปิกมีผืนธงเป็นสีขาว ขนาดมาตรฐานยาว 3 เมตร กว้าง 2 เมตร ส่วนเครื่องหมายห้าห่วงคล้องกันอยู่บนกลางธง ขนาด 2 เมตร คูณ 0.60 เมตร มีสีฟ้า สีเหลือง สีดำ สีเขียว สีแดง ตามลำดับจากซ้ายไปขวา คล้องไขว้กันอยู่ตรงกลางสองแถว แถวบน 3 ห่วง แถวล่าง 2 ห่วง ห่วงสีที่คล้องกันอยู่ตรงกลางธงบนพื้นธงสีขาว รวมเป็น 6 สี โดยแท้จริงแล้ว ห้าห่วงหมายถึง ห้าส่วนของโลกที่อยู่ในโอบอ้อมของ “โอลิมปิกนิยม” มิเจาะจงเป็นห้าทวีปในโลกอย่างที่เข้าใจกัน แต่บังเอิญห้าทวีปนี้ก็เป็นห้าส่วนของโลกก็เลยอนุโลมกันไปเช่นนั้น ส่วนสีที่ห่วง 5 สี มิได้หมายถึงสีประจำทวีป ซึ่งสีทั้งหมด 6 สี รวมทั้งสีขาวที่เป็นพื้นธง หมายความว่า ธงชาติของประเทศต่าง ๆ ในโลกประกอบด้วยสีใดสีหนึ่งหรือมากกว่านั้นในจำนวนหกสีนั้น และไม่มีธงชาติของประเทศใดที่มีสีนอกเหนือไปจากหกสีนี้
ด้านล่างของห่วงมีคำอยู่ 3 คำ ซึ่งเป็นภาษาโรมัน แต่ละคำมีความหมายดังต่อไปนี้
Citius (swifter) : ความเร็ว ผู้เข้าร่วมการแข่งขันต้องวิ่งให้เร็วที่สุด
Altius (higher) : ความสูง ผู้เข้าร่วมการแข่งขันต้องทำให้สูงที่สุด
Fortius (stronger) : ความแข็งแรง ผู้เข้าร่วมการแข่งขันต้องมีความแข็งแกร่งที่สุด
== สนามกีฬาโอลิมปิก ==
== พิธีสำคัญ ==
=== พิธีปิด ===
ในพิธีปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก จะมีการแข่งขันกีฬาประเภทสุดท้าย ซึ่งจะแข่งขันในสนามกีฬาหลัก โดยมากมักจะเป็นการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของกีฬาฟุตบอล เมื่อการแข่งขันกีฬาประเภทสุดท้ายเสร็จสิ้น ขบวนนักกีฬาจากประเทศต่าง ๆ จะเดินเข้าสนามเพื่อเข้าร่วมพิธีปิด โดยประธานในพิธีกล่าวปิด แล้วไฟในกระถางคบเพลิงก็จะเริ่มดับลง บนป้ายบอกคะแนนจะมีตัวอักษรขึ้นว่า "จนกว่าเราจะพบกันใหม่ ณ เมือง..." (สถานที่ที่จะมีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งต่อไปอีก 4 ปีข้างหน้า) สุดท้ายจึงร่วมร้องสามัคคีชุมนุมเป็นอันเสร็จสิ้น
== กีฬาในโอลิมปิก ==
== กระบวนการโอลิมปิก ==
กระบวนการโอลิมปิก (Olympic Movement) เป็นการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ณ ที่ใดที่หนึ่งของโลกทุก 4 ปี เป็นลำดับไป โดยไม่ขาดตอนหรือหยุดยั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่ง หรือล้มเลิกไปเหมือนอย่างในอดีตกาล รวมเข้าไปด้วย องค์กรต่าง ๆ นักกีฬา และ บุคคลที่เห็นด้วยกับแนวทางของกฎบัตรโอลิมปิก
กระบวนการโอลิมปิก ประกอบไปด้วยผู้ที่เห็นด้วยกับแนวทางของกฎบัตรโอลิมปิก และผู้ที่รับรองอำนาจของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee หรือ IOC) รวมไปถึง สหพันธ์ระหว่างประเทศ (International Federations หรือ IF) ของกีฬาที่มีการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก, คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติ (National Olympic Committees หรือ NOCs), คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก (Organising Committees of the Olympic Games หรือ OCOGs) นักกีฬา กรรมการผู้ตัดสิน และผู้ตัดสิน สมาคม ชมรม รวมไปถึงองค์กรและสถาบันที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล
== สถานที่จัดการแข่งขันโอลิมปิกในยุคปัจจุบัน ==
ในด้านการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ผ่านมา จะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนให้ประเทศสมาชิกต่าง ๆ ในแต่ละทวีปเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน และหากได้พิจารณาข้อมูลย้อนหลังนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 เป็นต้นมา ได้มีการพิจารณาตามเกณฑ์การกระจายแบบ Geographic Distribution
{| bgcolor="#f7f8ff" cellpadding="3" cellspacing="0" border="1" style="font-size: 90%; border: gray solid 1px; border-collapse: collapse;"
|- bgcolor="#CCCCCC" align = "center"
! rowspan="2" | ปี (ค.ศ.)
! colspan="3" | กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน
! colspan="3" | กีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว
! colspan="3" | กีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน
! colspan="3" | กีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว
|- bgcolor="#CCCCCC" align = "center"
| | ครั้งที่ || เมืองเจ้าภาพ || ประเทศเจ้าภาพ || ครั้งที่ || เมืองเจ้าภาพ || ประเทศเจ้าภาพ || ครั้งที่ || เมืองเจ้าภาพ || ประเทศเจ้าภาพ || ครั้งที่ || เมืองเจ้าภาพ || ประเทศเจ้าภาพ
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1896 || 1 || เอเธนส์ || || || || || || || || || ||
|-
| 1900 || 2 || ปารีส || || || || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1904 || 3 || เซ็นต์หลุยส์ || || || || || || || || || ||
|-
| 1906 || จัดพิเศษ || เอเธนส์ || || || || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1908 || 4 || ลอนดอน || || || || || || || || || ||
|-
| 1912 || 5 || สต็อกโฮล์ม || || || || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1916 || - || เบอร์ลิน(ยกเลิกเนื่องจาก WW1) || || || || || || || || || ||
|-
| 1920 || 6 || แอนต์เวิร์ป || || || || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1924 || 7 || ปารีส || || 1 || ชามอนี || || || || || || ||
|-
| 1928 || 8 || อัมสเตอร์ดัม || || 2 || ซังคท์โมริทซ์ || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1932 || 9 || ลอสแอนเจลิส || || 3 || เลคพลาซิด || || || || || || ||
|-
| 1936 || 10 || เบอร์ลิน || || 4 || การ์มิช-พาร์เทินเคียร์เชิน || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1940 || - || โตเกียว→เฮลซิงกิ(ยกเลิกเนื่องจาก WW2) || → || - || ซัปโปะโระ→ซังคท์โมริทซ์→การ์มิช-พาร์เทินเคียร์เชิน(ยกเลิกเนื่องจาก WW2) || → → || || || || || ||
|-
| 1944 || - || ลอนดอน(ยกเลิกเนื่องจาก WW2) || || - || กอร์ตีนาดัมเปซโซ(ยกเลิกเนื่องจาก WW2) || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1948 || 11 || ลอนดอน || || 5 || ซังคท์โมริทซ์ || || || || || || ||
|-
| 1952 || 12 || เฮลซิงกิ || || 6 || ออสโล || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1956 || 13 || เมลเบิร์น || || 7 || กอร์ตีนาดัมเปซโซ || || || || || || ||
|-
| 1960 || 14 || โรม || || 8 || สควอว์วัลเลย์ || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1964 || 15 || โตเกียว || || 9 || อินส์บรุค || || || || || || ||
|-
| 1968 || 16 || เม็กซิโกซิตี || || 10 || เกรอนอบล์ || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1972 || 17 || มิวนิก || || 11 || ซัปโปะโระ || || || || || || ||
|-
| 1976 || 18 || มอนทรีออล || || 12 || อินส์บรุค || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1980 || 19 || มอสโก || || 13 || เลคพลาซิด || || || || || || ||
|-
| 1984 || 20 || ลอสแอนเจลิส || || 14 || ซาราเยโว || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1988 || 21 || โซล || || 15 || แคลกะรี || || || || || || ||
|-
| 1992 || 22 || บาร์เซโลนา || || 16 || อัลแบร์วิล || ฝรั่งเศส || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1994 || || || || 17 || ลิลเลฮัมเมร์ || || || || || || ||
|-
| 1996 || 23 || แอตแลนตา || || || || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 1998 || || || || 18 || นะงะโนะ || || || || || || ||
|-
| 2000 || 24 || ซิดนีย์ || || || || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 2002 || || || || 19 || ซอลต์เลกซิตี || || || || || || ||
|-
| 2004 || 25 || เอเธนส์ || || || || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 2006 || || || || 20 || ตูริน || || || || || || ||
|-
| 2008 || 26 || ปักกิ่ง || || || || || || || || || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 2010 || || || || 21 || แวนคูเวอร์ || || 1 || สิงคโปร์ || || || ||
|-
| 2012 || 27 || ลอนดอน || || || || || || || || 1 || อินส์บรุค ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 2014 || || || || 22 || โซชิ || || 2 || หนานจิง || || || ||
|-
| 2016 || 28 || รีโอเดจาเนโร || || || || || || || || 2 || ลิลเลฮัมเมร์ ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 2018 || || || || 23 || พย็องชัง || || 3 || บัวโนสไอเรส || || || ||
|-
| 2020 || 29 || โตเกียว (เลื่อนการแข่งขันเป็นปี 2021 เนื่องจาก โควิด 19) || || || || || || || || 3 || โลซาน ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 2022 || || || || 24 || ปักกิ่ง || || || || || || ||
|-
| 2024 || 30 || ปารีส || || || || || || || || 4 || คังว็อน ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 2026 || || || || 25 || มิลาน และกอร์ตีนาดัมเปซโซ || || 4 || ดาการ์ || || || ||
|-
| 2028 || 31 || ลอสแอนเจลิส || || || || || || || || 5 || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 2030 || || || || 26 || || || 5 || || || || ||
|-
| 2032 || 32 || บริสเบน || || || || || || || || 6 || ||
|- bgcolor="#EFEFEF"
| 2034 || || || || 27 || || || 6 || || || || ||
|-
| 2036 || 33 || || || || || || || || || 7 || ||
|}
== ดูเพิ่ม ==
สรุปเหรียญรางวัลโอลิมปิกตลอดกาล
กีฬาพาราลิมปิก
เวิลด์เกมส์
== อ้างอิง ==
== บรรณานุกรม ==
== อ่านเพิ่ม ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
"Olympic Games". Encyclopædia Britannica Online.
New York Times Interactive of all the medals in the Modern Olympics
insidethegames – the latest and most up to date news and interviews from the world of Olympic, Commonwealth and Paralympic Games
ATR – Around the Rings – the Business Surrounding the Olympics
GamesBids.com – An Authoritative Review of Olympic Bid Business (home of the BidIndex™)
Database Olympics
History of Olympics to the Present Day
Reference book about all Olympic Medalists of all times
การแข่งขันกีฬาหลายประเภท
การแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศ
|
thaiwikipedia
| 1,153 |
วิศวกรรมชีวเวช
|
วิศวกรรมชีวการแพทย์ หรือ วิศวกรรมชีวเวช (Biomedical Engineering) หรือ วิศวกรรมการแพทย์ (Medical Engineering) เป็นสาขาวิชที่นำเอาความรู้ทางด้าน วิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน เพื่อออกแบบ สร้างหรือพัฒนาซอฟต์แวร์ อุปกรณ์ หรือเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน สามารถใช้งานได้จริง รวมถึงการศึกษาค้นคว้าเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีความซับซ้อน และต้องการขั้นตอนการผลิตที่มีมาตรฐาน และ ประสิทธิภาพสูง
== อ้างอิง ==
วิศวกรรมชีวภาพ
ชีวเวช
วิทยาศาสตร์สุขภาพ
|
thaiwikipedia
| 1,154 |
ทฤษฎีบทสี่สี
|
ทฤษฎีบทสี่สี (Four color theorem) กล่าวว่า แผนที่ทางภูมิศาสตร์สามารถระบายด้วยสี 4 สี ซึ่งไม่มีพื้นที่ที่อยู่ติดกันมีสีเดียวกันได้เสมอ เราเรียกพื้นที่ว่าติดกันก็ต่อเมื่อมันมีส่วนของขอบร่วมกัน ไม่ใช่แค่จุดร่วมกัน และพื้นที่แต่ละชิ้นจะต้องติดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ใช่แยกเป็นหลายๆ ส่วน อย่างมิชิแกน หรืออาเซอร์ไบจาน
เป็นที่ประจักษ์ว่าสี 3 สีนั้นไม่เพียงพอ ซึ่งพิสูจน์ได้ไม่ยาก นอกจากนั้น เราสามารถพิสูจน์ได้ว่าสี 5 สีนั้นเพียงพอในการระบายแผนที่
ทฤษฎีบทสี่สี เป็นทฤษฎีบทแรกที่ถูกพิสูจน์ด้วยคอมพิวเตอร์ แต่การพิสูจน์นี้ไม่เป็นที่ยอมรับจากนักคณิตศาสตร์ส่วนใหญ่ เพราะว่ามันไม่สามารถตรวจสอบด้วยคนได้ และบางคนถึงกับกังวลในความถูกต้องของตัวแปลภาษา (คอมไพเลอร์) และฮาร์ดแวร์ที่ใช้ทำงานโปรแกรมสำหรับการพิสูจน์
การขาดความสง่างามทางคณิตศาสตร์ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ดังคำกล่าวอันหนึ่งว่า "บทพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ที่ดีเป็นดั่งบทกวี — แต่นี่มันคือสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ชัดๆ!"
== ประวัติ ==
ข้อความคาดการณ์อันนี้ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในปี พ.ศ. 2395 (ค.ศ. 1852) เมื่อ ฟรานซิส กูทรี (Francis Guthrie) ได้สังเกตเห็นว่าสามารถใช้เพียงสี่สีก็เพียงพอในการระบาย ขณะที่กำลังระบายแผนที่ของเขตหนึ่งในอังกฤษ ในขณะนั้นกูทรีเป็นลูกศิษย์ของ ออกัสตัส เดอ มอร์แกน (Augustus De Morgan) ที่ ยูนิเวอร์ซิตีคอลเลจลอนดอน (University College London) (กูทรีจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2393 (ค.ศ. 1850) และต่อมาได้เป็นศาสตราจารย์สาขาคณิตศาสตร์ในประเทศแอฟริกาใต้) โดยตามคำบอกเล่าของเดอร์มอร์แกน:
วันนี้ลูกศิษย์ของผมคนหนึ่ง [กูทรี] ขอให้ผมช่วยให้เหตุผลของความจริงอันหนึ่ง - ทั้งที่ผมก็ยังไม่รู้จนถึงบัดนี้เลยว่ามันเป็นความจริง เขาบอกว่า ไม่ว่าเราจะแบ่งรูปออกเป็นส่วนๆในลักษณะใดก็ตาม แล้วระบายสีแต่ละส่วนโดยให้ส่วนที่มีขอบร่วมกันเป็นคนละสีกัน แล้วมันเพียงพอที่จะใช้สีเพียงสี่สี กรณีต่อไปนี้คือกรณีที่ต้องการสี่สีพอดี เรายังไม่สามารถหากรณีที่ต้องการห้าสีหรือมากกว่านั้นได้ ...
หลักฐานอ้างอิงที่มีการตีพิมพ์เป็นอันแรกถูกพบในงานของ อาร์เทอร์ เคย์เลย์ (Arthur Cayley) On the colourings of maps., Proc. Royal Geography Society 1, 259-261, 1879.
นับตั้งแต่ข้อความคาดการณ์นี้ถูกประกาศขึ้นมา ก็มีผู้คนจำนวนมากต้องประสบความล้มเหลวในการพิสูจน์มัน บทพิสูจน์หนึ่งของทฤษฎีบทนี้คืองานของ อัลเฟรด เคมป์ (Alfred Kempe) ในปี พ.ศ. 2422 (ค.ศ. 1879) ซึ่งเป็นชิ้นที่ผู้คนยอมรับกันทั่วไป บทพิสูจน์อีกอันหนึ่งคือของ ปีเตอร์ เทท (Peter Tait) ในปี พ.ศ. 2423(1880) จวบจนกระทั่งปี พ.ศ. 2433 (ค.ศ. 1890) เพอร์ซี เฮวูด (Percy Heawood) จึงได้แสดงว่าบทพิสูจน์ของเคมป์มีข้อผิดพลาด และใน พ.ศ. 2434 (ค.ศ. 1891) จูเลียส ปีเตอร์เซน (Julius Petersen) จึงได้แสดงว่าบทพิสูจน์ของเททผิดพลาด น่าแปลกใจว่าไม่มีผู้ใดเห็นข้อผิดพลาดเหล่านี้ในบทพิสูจน์แต่ละอันถึง 11 ปี
ใน พ.ศ. 2433 (ค.ศ. 1890) นอกจากเฮวูดจะชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดของบทพิสูจน์ของเคมป์แล้ว เขายังได้พิสูจน์ว่ากราฟเชิงระนาบทุกอันสามารถระบายได้ด้วยสี 5 สี - ดู ทฤษฎีบทห้าสี
ผลงานที่สำคัญได้ถูกสร้างขึ้นโดยนักคณิตศาสตร์ชาวโครเอเชียชื่อ ดานีโล บลานูซา (Danilo Blanuš) ในช่วงปี พ.ศ. 2483-2492 (1940s) โดยการสร้างสนาร์ค (snark) ต้นแบบขึ้น
ในช่วงปี พ.ศ. 2503-2522 (1960s และ 70s) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ไฮน์ริค ฮีช (Heinrich Heesch) ได้พัฒนาวิธีการในการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยหาบทพิสูจน์
ในพ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ จี สเปนเซอร์-บราวน์ (G. Spencer-Brown) อ้างว่าทฤษฎีบทนี้สามารถพิสูจน์ได้ด้วยระบบคณิตศาสตร์ที่เขาได้พัฒนาขึ้นมา อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยสามารถที่จะสร้างบทพิสูจน์นี้ขึ้นมาจริงๆ ได้
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) นั่นเอง จึงได้มีผู้พิสูจน์ข้อคาดการณ์สี่สีนี้ได้สำเร็จ โดย เคนเน็ท แอพเพล (Kenneth Appel) และ โวล์ฟแกง เฮเคน (Wolfgang Haken) แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์บานา-แชมเปญ โดยได้รับคำปรึกษาทางด้านขั้นตอนวิธีจาก เจ คอช (J. Koch)
บทพิสูจน์เริ่มต้นด้วยการลดรูปแบบของแผนที่ทั้งหมดให้เหลือเพียง 1,936 รูปแบบ (และภายหลังสามารถลดลงเหลือ 1,476 รูปแบบ) จากนั้นจึงนำไปตรวจสอบทีละอันด้วยคอมพิวเตอร์ และมีการตรวจสอบซ้ำสองแยกต่างหากโดยโปรแกรมและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่างกัน อย่างไรก็ตามบทพิสูจน์นี้มีความยาวถึง 500 หน้า และเต็มไปด้วยตัวอย่างค้านของตัวอย่างค้าน (counter-counter-example) ที่เขียนด้วยมือ โดยส่วนใหญ่เป็นการทดสอบการระบายสีกราฟ ของลูกชายวัยสิบกว่าๆ ของเฮเคน โปรแกรมคอมพิวเตอร์นี้ใช้เวลาทำงานหลายร้อยชั่วโมง
ในปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) นีล โรเบิร์ตสัน (Neil Robertson) , แดเนียล แซนเดอร์ส (Daniel Sanders) , พอล ซีมัวร์ (Paul Seymour) และ โรบิน โทมัส (Robin Thomas) สร้างบทพิสูจน์ที่คล้ายๆ กัน แต่มีกรณีที่ต้องทดสอบเพียง 633 กรณี บทพิสูจน์อันใหม่นี้ก็ยังจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วย และเป็นการยากที่จะตรวจสอบด้วยคน
ในปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) เบนจามิน เวอร์เนอร์ (Benjamin Werner) และ จอร์จส์ กอนทิเออร์ (Georges Gonthier) พิสูจน์ทฤษฎีบทนี้ด้วยใช้โปรแกรมพิสูจน์ทฤษฎีบทชื่อ Coq ซึ่งช่วยลดความจำเป็นที่จะต้องเชื่อในความถูกต้องของโปรแกรมหลายๆ โปรแกรม ที่ใช้ในการสอบกรณีแต่ละกรณี — เหลือเพียงแค่ต้องเชื่อใน Coq เท่านั้น
ตั้งแต่ได้มีการพิสูจน์ทฤษฎีบทนี้สำเร็จ ขั้นตอนวิธีที่มีประสิทธิภาพมากมายก็ได้ถูกสร้างขึ้นสำหรับระบายสีแผนที่ด้วนสี่สี โดยทำงานในเวลาเพียง O(n2) เมื่อ n คือจำนวนจุดยอด นอกจากนี้ยังมีขั้นตอนวิธีทรงประสิทธิภาพที่สามารถตรวจสอบได้ว่าแผนที่ใช้สี 1 หรือ 2 สีระบายได้หรือไม่ สำหรับกรณี 3 สีนั้นเป็นปัญหาเอ็นพีสมบูรณ์ และดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงว่าจะไม่มีวิธีการเร็วๆ การตรวจสอบว่ากราฟโดยทั่วไป (ไม่จำเป็นต้องเป็นกราฟเชิงระนาบ) สามารถระบายด้วยสี่สีได้หรือไม่ ก็เป็นปัญหาเอ็นพีสมบูรณ์เช่นกัน
== ไม่เกี่ยวกับการทำแผนที่ ==
ทฤษฎีบทสี่สีนี้ไม่ได้ถูกค้นพบ หรือมีต้นกำเนิด เกี่ยวข้องใดๆกับการเขียนแผนที่จริงๆ ตามคำกล่าวอ้างของเคนเนธ เมย์ นักประวัติศาสตร์คณิตศาสตร์ ซึ่งได้ศึกษาตัวอย่างของสมุดแผนที่ในห้องสมุดรัฐสภาสหรัฐฯ เขาสรุปว่า ไม่มีข้อบ่งชี้เลยว่าจะมีความพยายามที่จะลดจำนวนสีที่ใช้ แผนที่ส่วนใหญ่ใช้มากกว่าสี่สี และเมื่อใดก็ตามที่ใช้เพียงสี่สี จำนวนสีที่ต้องการจริงๆกลับน้อยกว่านั้น
หนังสือเรียนวิชาการเขียนแผนที่ และประวัติศาสตร์การเขียนแผนที่ ไม่ได้กล่าวถึงทฤษฎีบทสี่สีเลย ถึงแม้ว่าการระบายสีแผนที่จะเป็นหัวข้อหนึ่งที่ให้ความสนใจกัน นักเขียนแผนที่บอกว่า โดยทั่วไปพวกเขาจะสนถึงการระบายสีให้เกิดความสมดุล ไม่ให้มีสีใดกลืนสีอื่นไปหมดมากกว่า เรื่องจำนวนสีไม่ได้อยู่ในความสนใจของพวกเขาเท่าใดนัก
== รูปอย่างเป็นทางการในทฤษฎีกราฟ ==
ในการทำทฤษฎีบทสี่สีให้อยู่ในรูปเป็นทางการโดยใช้ทฤษฎีกราฟ เราจะกล่าวว่าจุดยอด (vertices) ในกราฟเชิงระนาบสามารถระบายด้วยสีโดยใช้อย่างมากเพียง 4 สีได้เสมอ โดยไม่มีจุดยอดที่ประชิดกันมีสีเดียวกัน หรือกล่าวสั้นๆ ว่า "กราฟเชิงระนาบทุกกราฟเป็น กราฟ 4 สี (four-colorable) " ทุกพื้นที่ของแผนที่จะถูกแทนด้วยจุดยอดของกราฟ และจุดยอดสองจุดจะเชื่อมกันด้วยเส้นเชื่อม (edge) ก็ต่อเมื่อทั้งสองพื้นที่มีส่วนของขอบร่วมกัน
== บทพิสูจน์แย้งที่ผิด ==
ดังเช่นปัญหาคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงข้ออื่นๆ ทฤษฎีบทสี่สีได้ก่อให้เกิดบทพิสูจน์และบทพิสูจน์แย้งที่ผิดๆ ขึ้นมากมาย ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของมัน บทพิสูจน์บางอัน เช่น งานของเคมป์และเททที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว ยืนหยัดต้านทานการตรวจสอบอยู่ในวงการได้นานนับสิบปี ก่อนที่จะมีผู้ค้นพบข้อผิดพลาด แต่งานอื่นๆ อีกหลายชิ้น ซึ่งมักมาจากมือสมัครเล่นและพวกสติไม่เต็ม อาจจะไม่เคยถูกนำมาแสดงต่อสาธารณะเลย
{|
|4CT Non-Counterexample 1.svg
แผนที่นี้ดูเผินๆ อาจต้องการห้าสีเป็นอย่างน้อย...
|4CT Non-Counterexample 2.svg
...แต่ที่จริงแล้ว มันสามารถระบายได้ด้วยสี่สี
|}
ความพยายามเบื้องต้นที่สุดในการหา "ตัวอย่างค้าน" มักจะเริ่มด้วยการสร้างพื้นที่ที่ติดกับพื้นที่อื่นหลายๆ อัน ซึ่งช่วยบังคับให้บริเวณโดยรอบ ใช้สีจำกัดได้เพียงสามสีเท่านั้น (ถ้าทฤษฎีเป็นจริง) อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจสนใจอยู่กับพื้นที่อันใหญ่มากเกินไป จนลืมสังเกตไปว่า ที่จริงแล้วแผนที่สามารถระบายได้ด้วยสีเพียงสามสี
ความผิดพลาดลักษณะนี้ ยังสามารถนำมาพูดในลักษณะที่กว้างขึ้นได้ นั่นคือ หากมีพื้นที่บางส่วนถูกกำหนดสีที่แน่นอนเอาไว้ก่อนแล้ว อาจเป็นไปได้ว่าพื้นที่ส่วนที่เหลือจะไม่สามารถระบายด้วยสี่สีได้ (ทั้งที่ในความจริงแล้ว หากเรายอมให้บางสีที่กำหนดไปแล้วเปลี่ยนแปลงได้ เราก็อาจจะยังสามารถระบายพื้นที่ที่เหลือด้วยสี่สีได้อยู่) ดังนั้นการทดสอบโดยการค่อยๆ ระบายสี จึงมักจะเกิดความผิดพลาดลักษณะนี้ และได้ผลลัพธ์เป็นตัวอย่างค้านแบบผิดๆ
เป็นไปได้ว่าต้นเหตุของความเข้าใจผิดอันนี้ มาจากความจริงที่ว่า การบังคับสีนั้นไม่ได้มีลักษณะถ่ายทอด นั่นคือพื้นที่หนึ่งๆ ถูกบังคับให้มีสีแตกต่างจากพื้นที่ที่ติดกับมันเท่านั้น แต่มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพื้นที่อันถัดไป (อันที่ติดกับอันที่ติดกับมัน) เลย และถ้าหากคุณสมบัตินี้เป็นจริงขึ้นมา กราฟเชิงระนาบก็คงต้องใช้สีสำหรับระบายจำนวนมหาศาลทีเดียว
บทพิสูจน์แย้งอื่นๆ ก็มักจะทำผิดข้อกำหนดบางอย่างของทฤษฎีบทโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น นำพื้นที่หนึ่งเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอีกพื้นที่หนึ่ง, สร้างพื้นที่ที่แตกกระจายเป็นหลายส่วนไม่ติดกัน (เช่น มิชิแกน) หรือบังคับไม่ให้พื้นที่ที่มีจุดร่วมกันมีสีเดียวกัน (ที่จริงแล้วข้อกำหนดบังคับเฉพาะพื้นที่ที่มีขอบร่วมกัน)
== นัยทั่วไป ==
พิจารณาปัญหาการระบายสีลงบนพื้นผิวใดๆนอกเหนือไปจากระนาบ การระบายสีลงบนพื้นผิวทรงกลมมีลักษณะเดียวกับบนระนาบ สำหรับพื้นผิวแบบปิด(แบบพลิกได้หรือพลิกไม่ได้ก็ได้(orientable or non-orientable)) ที่มีจีนัสเป็นบวก จำนวนสีสูงสุด p ที่ต้องการขึ้นอยู่กับค่าเฉพาะออยเลอร์ χ ของพื้นผิวนั้นๆ ตามสมการ
p=\left\lfloor\frac{7 + \sqrt{49 - 24 \chi}}{2}\right\rfloor
ข้อยกเว้นเดียวของสมการนี้คือ ขวดไคลน์(Klein bottle) ซึ่งมีค่าเฉพาะออยเลอร์เป็น 0 แต่ต้องการ 6 สี นี่เป็นที่รู้จักกันตอนแรกในฐานะข้อความคาดการณ์เฮวูด และถูกพิสูจน์เป็นทฤษฎีบทการระบายสีแผนที่ โดยเกอร์ฮาร์ด ริงเกล(Gerhard Ringel) และยังส์ (J. T. W. Youngs) ในปีพ.ศ. 2511
ตัวอย่างเช่น ทอรัสมีค่าเฉพาะออยเลอร์ χ = 0 และต้องการ p = 7 สี ในทอรัส แผนที่ทุกๆแบบต้องการสี 7 สีเพื่อระบายมัน
== ตัวอย่างค้านจากการใช้งานจริง ==
ในความเป็นจริง บางประเทศอาจไม่ได้มีพื้นที่ติดเป็นแผ่นเดียวกัน (เช่น รัฐอะแลสกา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา) หากเราบังคับให้พื้นที่ที่เป็นประเทศเดียวกันต้องมีสีเดียวกัน สีจำนวนสี่สีอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากเมื่อเขียนแผนที่เป็นกราฟแล้วมันอาจไม่เป็นกราฟเชิงระนาบ ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้ทฤษฎีบทสี่สีได้ ตัวอย่างเช่น พิจารณาแผนที่ต่อไปนี้
พื้นที่ A สองอันเป็นของประเทศเดียวกัน ดังนั้นจึงต้องใช้สีเดียวกัน เมื่อเป็นดังนี้ทำให้แผนที่นี้ต้องการห้าสี เนื่องจากพื้นที่ A ทั้งคู่อยู่ติดกับพื้นที่สี่ผืนที่เหลือ และทั้งสี่ผืนต่างก็ติดกับพื้นที่อื่นๆทั้งหมด ถ้า A มีสามผืนแยกจากกัน เราก็จะจำเป็นต้องใช้หกสี และในการสร้างลักษณะนี้ เราสามารถสร้างแผนที่ที่ต้องการสีเท่าใดก็ได้
== อ้างอิง ==
Appel, Kenneth & Haken, Wolfgang & Koch, John, Every Planar map is Four Colorable, Illinois: Journal of Mathematics: vol.21: pp.439-567, December 1977.
Appel, Kenneth & Haken, Wolfgang, Solution of the Four Color Map Problem, Scientific American, vol.237 no.4: pp.108-121, October 1977.
Appel, Kenneth & Haken, Wolfgang, Every Planar Map is Four-Colorable. Providence, RI: American Mathematical Society, 1989.
O'Connor and Robertson, History of the Four Color Theorem, MacTutor project, http://www-groups.dcs.st-and.ac.uk/~history/HistTopics/The_four_colour_theorem.html
Saaty and Kainen, The Four Color Problem: Assaults and Conquest (ISBN 0-486-65092-8)
Robin Thomas, An Update on the Four-Color Theorem (PDF File) , Notices of the American Mathematical Society, Volume 45, number 7 (August 1998)
Robin Thomas, The Four Color Theorem, http://www.math.gatech.edu/~thomas/FC/fourcolor.html
== ดูเพิ่ม ==
ทฤษฎีบทห้าสี
ทฤษฎีกราฟ
ทอพอโลยี
การให้สีกราฟ
ทฤษฎีบททางคณิตศาสตร์
กราฟเชิงระนาบ
|
thaiwikipedia
| 1,155 |
ฟังก์ชันตรีโกณมิติ
|
ฟังก์ชันตรีโกณมิติ (Trigonometric function) คือ ฟังก์ชันของมุม ซึ่งมีความสำคัญในการศึกษารูปสามเหลี่ยมและปรากฏการณ์ในลักษณะเป็นคาบ ฟังก์ชันอาจนิยามด้วยอัตราส่วนของด้าน 2 ด้านของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก หรืออัตราส่วนของพิกัดของจุดบนวงกลมหนึ่งหน่วย หรือนิยามในรูปทั่วไปเช่น อนุกรมอนันต์ หรือสมการเชิงอนุพันธ์ รูปสามเหลี่ยมที่นำมาใช้จะอยู่ในระนาบแบบยุคลิด ดังนั้น ผลรวมของมุมทุกมุมจึงเท่ากับ 180° เสมอ นอกเหนือจากการใช้งานทั่วไปในคณิตศาสตร์ ฟังก์ชันตรีโกณมิติยังถูกใช้งานอย่างกว้างขวางในสาขาวิชาเชิงปริมาณ ตัวอย่างเช่นฟิสิกส์หรือวิทยาการคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบัน มีฟังก์ชันตรีโกณมิติอยู่ 6 ฟังก์ชันที่นิยมใช้กันดังตารางข้างล่าง (สี่ฟังก์ชันสุดท้ายนิยามด้วยความสัมพันธ์กับฟังก์ชันอื่น แต่ก็สามารถนิยามด้วยเรขาคณิตได้)
ความสัมพันธ์ระหว่างฟังก์ชันเหล่านี้ อยู่ในบทความเรื่อง เอกลักษณ์ตรีโกณมิติ
== นิยามจากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ==
ในการนิยามฟังก์ชันตรีโกณมิติสำหรับมุม A เราจะกำหนดให้มุมใดมุมหนึ่งในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากเป็นมุม A
เรียกชื่อด้านแต่ละด้านของรูปสามเหลี่ยมตามนี้
ด้านตรงข้ามมุมฉาก (hypotenuse) คือด้านที่อยู่ตรงข้ามมุมฉาก หรือเป็นด้านที่ยาวที่สุดของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ในที่นี้คือ h
ด้านตรงข้าม (opposite side) คือด้านที่อยู่ตรงข้ามมุมที่เราสนใจ ในที่นี้คือ a
ด้านประชิด (adjacent side) คือด้านที่อยู่ติดกับมุมที่เราสนใจและมุมฉาก ในที่นี้คือ b
จะได้
1). ไซน์ ของมุม คือ อัตราส่วนของความยาวด้านตรงข้าม ต่อความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก ในที่นี้คือ
sin(A) = ข้าม/ฉาก = a/h
2). โคไซน์ ของมุม คือ อัตราส่วนของความยาวด้านประชิด ต่อความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก ในที่นี้คือ
cos(A) = ชิด/ฉาก = b/h
3). แทนเจนต์ ของมุม คือ อัตราส่วนของความยาวด้านตรงข้าม ต่อความยาวด้านประชิด ในที่นี้คือ
tan(A) = ข้าม/ชิด = a/b
4). โคซีแคนต์ csc(A) คือฟังก์ชันผกผันการคูณของ sin(A) นั่นคือ อัตราส่วนของความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก ต่อความยาวด้านตรงข้าม
csc(A) = ฉาก/ข้าม = h/a
5). ซีแคนต์ sec(A) คือฟังก์ชันผกผันการคูณของ cos(A) นั่นคือ อัตราส่วนของความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก ต่อความยาวด้านประชิด
sec(A) = ฉาก/ชิด = h/b
6). โคแทนเจนต์ cot(A) คือฟังก์ชันผกผันการคูณของ tan(A) นั่นคือ อัตราส่วนของความยาวด้านประชิด ต่อความยาวด้านตรงข้าม
cot(A) = ชิด/ข้าม = b/a
== นิยามด้วยวงกลมหนึ่งหน่วย ==
ฟังก์ชันตรีโกณมิติทั้ง 6 ฟังก์ชัน สามารถนิยามด้วยวงกลมหนึ่งหน่วย ซึ่งเป็นวงกลมที่มีรัศมียาว 1 หน่วย และมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จุดกำเนิด วงกลมหนึ่งหน่วยช่วยในการคำนวณ และหาค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติสำหรับอาร์กิวเมนต์ที่เป็นบวกและลบได้ ไม่ใช่แค่ 0 ถึง π/2 เรเดียนเท่านั้น สมการของวงกลมหนึ่งหน่วยคือ:
x^2 + y^2 = 1 \,
จากรูป เราจะวัดมุมในหน่วยเรเดียน โดยให้มุมเป็นบวกในทิศทวนเข็มนาฬิกา และมุมเป็นลบในทิศตามเข็มนาฬิกา ลากเส้นให้ทำมุม θ กับแกน x ด้านบวก และตัดกับวงกลมหนึ่งหน่วย จะได้ว่าพิกัด x และ y ของจุดตัดนี้จะเท่ากับ cos θ และ sin θ ตามลำดับ เหตุผลเพราะว่ารูปสามเหลี่ยมที่เกิดขึ้นนั้น จะมีความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก ยาวเท่ากับรัศมีวงกลม นั่นคือยาวเท่ากับ 1 หน่วย เราจะได้ sin θ = y/1 และ cos θ = x/1 วงกลมหนึ่งหน่วยช่วยให้เราหากรณีที่สามเหลี่ยมมีความสูงเป็นอนันต์ (เช่น มุม π/2 เรเดียน) โดยการเปลี่ยนความยาวของด้านประกอบมุมฉาก แต่ด้านตรงข้ามมุมฉากยังยาวเท่ากับ 1 หน่วย เท่าเดิม
สำหรับมุมที่มากกว่า 2π หรือต่ำกว่า −2π เราสามารถวัดมุมได้ในวงกลม ด้วยวิธีนี้ ค่าไซน์และโคไซน์จึงเป็นฟังก์ชันเป็นคาบที่มีคาบเท่ากับ 2π:
\sin\theta = \sin\left(\theta + 2\pi k \right)
\cos\theta = \cos\left(\theta + 2\pi k \right)
เมื่อ θ เป็นมุมใดๆ และ k เป็นจำนวนเต็มใดๆ
คาบที่เป็นบวกที่เล็กที่สุดของฟังก์ชันเป็นคาบ เรียกว่า คาบปฐมฐานของฟังก์ชัน คาบปฐมฐานของไซน์, โคไซน์, ซีแคนต์ หรือโคซีแคนต์ จะเท่ากับวงกลมหนึ่งวง นั่นคือเท่ากับ 2π เรเดียน หรือ 360 องศา คาบปฐมฐานของแทนเจนต์ หรือโคแทนเจนต์ จะเท่ากับครึ่งวงกลม นั่นคือเท่ากับ π เรเดียน หรือ 180 องศา
จากข้างบนนี้ ค่าไซน์และโคไซน์ถูกนิยามจากวงกลมหนึ่งหน่วยโดยตรง แต่สี่ฟังก์ชันตรีโกณมิติที่เหลือจะถูกนิยามโดย
\tan\theta = \frac{\sin\theta}{\cos\theta}
\sec\theta = \frac{1}{\cos\theta}
\csc\theta = \frac{1}{\sin\theta}
\cot\theta = \frac{\cos\theta}{\sin\theta}
ฟังก์ชันตรีโกณมิติพื้นฐานทั้งหมด สามารถนิยามจากวงกลมหนึ่งหน่วยได้โดยใช้วงกลมหนึ่งหน่วย ที่จุดศูนย์กลางอยู่ที่จุด O (ตามรูปทางขวา) ซึ่งคล้ายกับการนิยามเชิงเรขาคณิตที่ใช้กันมาในสมัยก่อน ให้ AB เป็นคอร์ดของวงกลม ซึ่ง θ เป็นครึ่งหนึ่งของมุมที่รองรับคอร์ดนั้น จะได้
sin(θ) คือ ความยาว AC (ครึ่งหนึ่งของคอร์ด) นิยามนี้เริ่มใช้โดยชาวอินเดีย
cos(θ) คือระยะทางตามแนวนอน OC
versin(θ) = 1 − cos(θ) คือ ความยาว CD
tan(θ) คือ ความยาวของส่วน AE ของเส้นสัมผัสที่ลากผ่านจุด A จึงเป็นที่มาของคำว่าแทนเจนต์นั่นเอง (tangent = สัมผัส)
cot(θ) คือ ส่วนของเส้นสัมผัสที่เหลือ คือความยาว AF
sec(θ) = OE และ
csc(θ) = OF เป็นส่วนของเส้นซีแคนต์ (ตัดวงกลมที่จุดสองจุด) ซึ่งสามารถมองว่าเป็นภาพฉายของ OA ตามแนวเส้นสัมผัสที่จุด A ไปยังแกนนอนและแกนตั้ง ตามลำดับ
exsec(θ) = DE = sec(θ) − 1 (ส่วนของซีแคนต์ด้านนอก)
ด้วยวิธีสร้างเหล่านี้ ทำให้เห็นภาพฟังก์ชันซีแคนต์และแทนเจนต์ลู่ออก เมื่อ θ เข้าใกล้ π/2 (90 องศา) และโคซีแคนต์และโคแทนเจนต์ลู่ออก เมื่อ θ เข้าใกล้ศูนย์ (เราสามารถพิสูจน์เอกลักษณ์ตรีโกณมิติด้วยรูปภาพได้)
==นิยามด้วยอนุกรม==
โดยการใช้เรขาคณิตและคุณสมบัติของลิมิต เราแสดงได้ว่าอนุพันธ์ของไซน์คือโคไซน์ และอนุพันธ์ของโคไซน์คือค่าลบของไซน์ เราสามารถใช้อนุกรมเทย์เลอร์สำหรับแสดงเอกลักษณ์ต่อไปนี้สำหรับทุกจำนวนจริง x:
\sin x = x - \frac{x^3}{3!} + \frac{x^5}{5!} - \frac{x^7}{7!} + \cdots = \sum_{n=0}^\infty \frac{(-1)^nx^{2n+1}}{(2n+1)!}
\cos x = 1 - \frac{x^2}{2!} + \frac{x^4}{4!} - \frac{x^6}{6!} + \cdots = \sum_{n=0}^\infty \frac{(-1)^nx^{2n}}{(2n)!}
เอกลักษณ์เหล่านี้มักใช้เป็น นิยาม ของฟังก์ชันไซน์ และโคไซน์
ซึ่งนำไปใช้เป็นจุดเริ่มต้นแบบเข้มของฟังก์ชันตรีโกณมิติ และการประยุกต์ของมัน (เช่น อนุกรมฟูรีเย) เพราะว่ามันมีพื้นฐานอยู่บนระบบจำนวนจริง ไม่ขึ้นกับการตีความทางเรขาคณิตใดๆ การหาอนุพันธ์ได้และความต่อเนื่องของฟังก์ชันก็มาจากนิยามนี้
== เอกลักษณ์ ==
ดูบทความหลักที่ เอกลักษณ์ตรีโกณมิติ
\sin \left(x+y\right)=\sin x \cos y + \cos x \sin y
\sin \left(x-y\right)=\sin x \cos y - \cos x \sin y
\cos \left(x+y\right)=\cos x \cos y - \sin x \sin y
\cos \left(x-y\right)=\cos x \cos y + \sin x \sin y
\sin x+\sin y=2\sin \left( \frac{x+y}{2} \right) \cos \left( \frac{x-y}{2} \right)
\sin x-\sin y=2\cos \left( \frac{x+y}{2} \right) \sin \left( \frac{x-y}{2} \right)
\cos x+\cos y=2\cos \left( \frac{x+y}{2} \right) \cos \left( \frac{x-y}{2} \right)
\cos x-\cos y=-2\sin \left( \frac{x+y}{2} \right)\sin \left( \frac{x-y}{2} \right)
\tan x+\tan y=\frac{\sin \left( x+y\right) }{\cos x\cos y}
\tan x-\tan y=\frac{\sin \left( x-y\right) }{\cos x\cos y}
\cot x+\cot y=\frac{\sin \left( x+y\right) }{\sin x\sin y}
\cot x-\cot y=\frac{-\sin \left( x-y\right) }{\sin x\sin y}
== ดูเพิ่ม ==
ฟังก์ชันไฮเพอร์โบลิก
ทฤษฎีบทพีทาโกรัส
เอกลักษณ์ตรีโกณมิติ
== ประวัติ ==
ฟังก์ชันตรีโกณมิติ ที่ใช้ในปัจจุบันพัฒนามาจากยุคกลาง แต่การศึกษาตรีโกณมิติในยุคแรกๆ
สามารถย้อนไปถึงคอร์ดฟังก์ชัน ที่ค้นพบโดย ฮิปปาร์คัส (180 - 125 ก่อนคริสตกาล) และ ปโตเลมี (ค.ศ. 90-165)
หนังสือฉบับแรกที่มีการใช้ 'sin' 'cos' 'tan' ปรากฏในศตวรรษที่ 16 โดยนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส อัลเบิรต์ จีลาด
ในฉบับที่พิมพ์ในปี ค.ศ. 1682 กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ได้พิสูจน์ว่า sin x ไม่ใช่ ฟังก์ชันพีชคณิต ของ x
== อ้างอิง ==
ตรีโกณมิติ
ฟังก์ชันพิเศษมูลฐาน
|
thaiwikipedia
| 1,156 |
มารี กูว์รี
|
มารี สกวอดอฟสกา-กูว์รี (Marie Skłodowska–Curie) มีชื่อแต่แรกเกิดว่า มาเรีย ซาลอแมอา สกวอดอฟสกา (Marya Salomea Skłodowska; ; 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1867 – 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1934) เป็นนักเคมีผู้ค้นพบรังสีเรเดียม ที่ใช้ยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีอัตราการตายของคนไข้เป็นอันดับหนึ่งมาทุกยุคสมัย ด้วยผลงานที่มีความสำคัญต่อมนุษยชาติเหล่านี้ ทำให้มารี กูว์รีได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้งด้วยกัน
== ประวัติ ==
มารี กูว์รี เป็นชาวโปแลนด์ เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1867 ที่เมืองวอร์ซอ เขตวิสทูลา จักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศโปแลนด์ เป็นบุตรของบรอนีสวาวา (Bronisława) กับววาดึสวอฟ (Władysław) ววาดึสวอฟ (บิดา) เป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ และมักพาเธอมาที่ห้องปฏิบัติการเสมอ จึงทำให้เธอสนใจวิชาด้านวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็ก แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อรัสเซียมาปกครองโปแลนด์และบังคับให้ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาทางการก็ตาม
ในสมัยนั้นค่านิยมในสังคมของผู้หญิงส่วนใหญ่จะต้องเรียนการเป็นแม่บ้าน ซึ่งมารี กูว์รี แตกต่างโดยสิ้นเชิง ที่ใส่ใจค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์
หลังจบการศึกษาระดับต้นแล้ว เธอกับพี่สาวก็ทำงานด้วยการเป็นครูสอนอนุบาล สอนหนังสือให้กับเด็ก ๆ แถว ๆ นั้น โดยทั้งสองมุ่งหวังอยากไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส แต่เงินไม่พอกับค่าใช้จ่าย เธอจึงให้พี่สาวคือ บรอเนีย ไปเรียนต่อด้านแพทยศาสตร์ก่อน พอจบแล้วค่อยส่งเสียเธอเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์ต่อไป จนพี่สาวจบมาเธอก็ได้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยปารีส สมใจแต่ด้วยเงินอันน้อยนิดจากพี่สาวไม่พอต่อค่าใช้จ่าย เธอจึงดิ้นรนหางานทำจนได้เป็นผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการทางเคมีของปีแยร์ กูว์รี จนทั้งสองแต่งงานมีลูกด้วยกัน แต่ปีแยร์เสียชีวิตก่อนเพราะอุบัติเหตุรถม้าชน ระหว่างที่เรียนไปทำงานไป เธอก็มุ่งมั่นศึกษาทดลองไปเรื่อย ๆ จนมาพบรังสีแร่ธาตุเรเดียม โดยได้มาจากแร่พิตช์เบลนด์ที่เป็นออกไซต์ชนิดหนึ่งสามารถแผ่กระจายรังสีได้ จากการเพียรพยายามทดลองมาหลายปีในการสกัดแร่ชนิดต่าง ๆ จนมาพบรังสีดังกล่าวทำให้เธอได้รับปริญญาเอกในการค้นพบแร่ธาตุเรเดียม
จนใน ค.ศ. 1902 เธอก็สามารถสกัดแร่เรเดียมให้บริสุทธิ์ได้ เรียกว่า เรเดียมคลอไรด์ ที่สามารถแผ่รังสีได้มากกว่ายูเรเนียมหลายเท่า มีคุณสมบัติคือ ให้แสงสว่างและความร้อนได้ และเมื่อแร่นี้แผ่รังสีไปถูกวัตถุอื่น วัตถุนั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นธาตุกัมมันตรังสี และสามารถแผ่รังสีได้เช่นเดียวกันกับแร่เรเดียม จนทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลต่อมา
การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแร่เรเดียมอย่างหนัก และต่อเนื่องกว่า 4 ปี ทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลอีกครั้ง แม้สามีจะเสียชีวิตก็ตาม ด้วยกำลังใจอันล้นเปี่ยม เมื่อเกิดภาวะสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งผู้คนส่วนมากล้มตายและถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เธอจึงอาสาสมัครเป็นอาสากาชาดเพื่อช่วยทหารที่บาดเจ็บ ในการเอกซเรย์เคลื่อนที่ตระเวนรักษาตามหน่วยต่าง ๆ จนสงครามสงบเธอก็กลับมาทำงาน แต่ก็ต้องล้มป่วยเพราะผลมาจากการทำงานหนัก และโดนรังสีเรเดียม ทำให้ไขกระดูกถูกทำลายและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
อนึ่ง มารี กูว์รี สามารถจดสิทธิบัตรได้ และทำให้เธอเป็นเศรษฐีได้ในพริบตา แต่เธอกลับเลือกที่จะมอบสิ่งที่เธอค้นพบให้กับโลก ทำให้เธอและครอบครัวเป็นเพียงครอบครัวนักวิทยาศาสตร์จน ๆ ตลอดจนเสียชีวิต
หลังการเสียชีวิตของ มารี กูว์รี หนึ่งในลูกสาวของเธออีแรน ฌอลีโย-กูว์รี ก็ได้ค้นคว้างานวิจัยของเธอต่อไป จนประสบความสำเร็จได้รับรางวัลโนเบลในเวลาต่อมา
== รางวัลที่ได้รับ ==
รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ค.ศ. 1903 จากผลงานการพบธาตุเรเดียม
Davy Medal ค.ศ. 1903
Matteucci Medal ค.ศ. 1904
รางวัลโนเบลสาขาเคมี ค.ศ. 1911 จากผลงานการค้นคว้าหาประโยชน์จากธาตุเรเดียม
== การวิพากษ์วิจารณ์ ==
หลังจากปีแยร์ กูว์รี สามีของเธอจากไป มารีเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้กับนักฟิสิกส์ที่มีภรรยาแล้ว มีหลักฐานปรากฏชัดเป็นจดหมายรักที่เธอเขียน เรื่องได้เปิดเผยสู่สาธารณชนก่อนที่เธอจะเข้ารับรางวัลโนเบลครั้งที่สอง มีผู้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์และกีดกันไม่ให้เธอเข้ารับรางวัล แต่เธอกลับกล่าวว่าเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับการรับรางวัล
== ดูเพิ่ม ==
ปีแยร์ กูว์รี
กูว์รี (หน่วย)
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2410
กัมมันตรังสี
นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส
นักเคมีชาวโปแลนด์
นักฟิสิกส์ชาวโปแลนด์
ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์
ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี
ผู้ได้รับรางวัลโนเบลมากกว่าหนึ่งครั้ง
ชาวโปแลนด์ผู้ได้รับรางวัลโนเบล
ชาวฝรั่งเศสผู้ได้รับรางวัลโนเบล
ผู้หญิงผู้ได้รับรางวัลโนเบล
นักวิทยาศาสตร์หญิง
บุคคลจากวอร์ซอ
เสียชีวิตจากโรคเลือด
บุคคลจากมหาวิทยาลัยปารีส
บุคคลที่เคยนับถือศาสนาคริสต์
|
thaiwikipedia
| 1,157 |
สมชาย นีละไพจิตร
|
สมชาย นีละไพจิตร (13 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 - เห็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2547) เป็นนักกฎหมายและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนมุสลิมชาวไทยที่ "หายตัวไป" ในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2547 ในช่วงของรัฐบาล"ทักษิณ ชินวัตร"ในวันนั้น มีพยานเห็นสมชายครั้งสุดท้ายที่รามคำแหงโดยมีชายสี่คนลากเขาเข้าไปในรถ และไม่มีใครเห็นเขาอีกเลย
เจ้าหน้าที่ห้าคนถูกบังคับให้สืบสวนคดีของสมชายและพ้นผิดไปใน พ.ศ. 2558 ปีต่อมาทางดีเอสไอปิดคดีนี้ หลังจากไม่มีผลจากการสืบสวนมา 12 ปี สาเหตุการเสียชีวิต (ที่เป็นไปได้) ของสมชาย นีละไพจิตร ยังไม่ได้รับคำอธิบาย และใน พ.ศ. 2559 ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ประกาศปิดการสืบสวนคดีนี้
==ประวัติ==
เขาเป็นทนายให้ความช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ โดยเฉพาะคดีที่ประชาชนถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการก่อการร้ายจนจำเลยพ้นจากข้อหาได้เกือบทุกคดี เช่น คดี โต๊ะกูเฮง หรือ กูมะนาเส กอตอนีลอ จากคดีเผาโรงเรียนเมื่อปี 2537 คดีหมอแว นายแพทย์ แวมาหะดี แวดาโอ๊ะ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับกลุ่มก่อการร้ายเจไอ และยังเข้าไปเป็นทนายให้กับผู้ต้องหาที่ตำรวจจับกุมได้ในภายหลังจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดโรงเรียนเมื่อ 4 มกราคม 2547
เขาสมรสกับ อังคณา นีละไพจิตร มีลูกสาวหนึ่งคนได้แก่ ดร.ประทับจิต นีละไพจิตร เป็นอดีตอาจารย์ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
==เบี้องหลัง==
ในช่วงที่เขาหายตัว สมชายส่งตัวแทนผู้ต้องสงสัยมุสลิม 5 คนที่ก่อเหตุในค่ายทหารที่จังหวัดนราธิวาสในเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 อุบัติเหตุในวันนั้นส่งผลใหเกิดความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ สมชายที่ทำงานในด้านวิชาชีพทางกฎหมายเป็นเวลา 30 ปี ได้เรียกร้องให้ทหารยกเลิกกฏอัยการศึกในบริเวณนี้ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 กฎอัยการศึกยังคงมีผลในจังหวัดปัตตานี, ยะลา และนราธิวาส
ใน พ.ศ. 2549 ศาลอาญามีคำสั่งให้ พันตำรวจตรี เงิน ทองสุข (Pol.Maj. Ngern Thongsuk) จากกองปราบปรามให้จำคุก 3 ปี เนื่องจากมีส่วนร่วมในการหายตัวของสมชาย ในขณะที่ตำรวจชายทั้งหมดที่ตั้งข้อหาขโมยและใช้กำลังในทางมิชอบได้รับการปล่อยตัว หลังจากนั้น พันตำรวจตรี เงินหายตัวไป ครอบครัวของเขาพิสูจน์ว่าเขาเสียชีวิตในเหตุการณ์ดินถล่ม ทางศาลประกาศให้เขาเป็นบุคคลสูญหาย
==สถานะคดี==
การสืบสวนเกี่ยวกับชะตาของสมชายเริ่มขึ้นใน พ.ศ. 2547 ใน พ.ศ. 2552 ภรรยาของเขาได้เผยแพร่บัญชีที่ทำโดยเธอ, ที่ปรึกษากฎหมาย และองค์การนอกภาครัฐในนามของสมชาย ข้อมูลเมื่อมีนาคม 2560 เป็นช่วงครบรอบ 13 ปีที่หายตัวไป จึงคาดว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว
ในช่วงปลาย พ.ศ. 2556 ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่าแฟ้มคดีหายไป แต่อ้างในภายหลังว่าได้พบแฟ้มแล้ว สถานะของคดีและกระทรวงที่ดำเนินการก็ยังไม่ทราบที่แน่ชัด
ใน พ.ศ. 2559 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) "ประกาศปิดคดี โดยกล่าวว่าไม่พบผู้กระทำผิด"
==ดูเพิ่ม==
ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
ลำดับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
==อ้างอิง==
==แหล่งข้อมูลอื่น==
กองทุนรางวัลสมชาย นีละไพจิตร
สมชาย นีละไพจิตร ประวัติบุคคล สำนักข่าวไทย
ThanaiSomchai.com - เว็บไซต์ที่ติดตามกรณีหายตัว
เว็บไซต์ - เกี่ยวกับการหายตัวไปของทนายสมชาย
นักกฎหมายชาวไทย
นักสิทธิมนุษยชน
บุคคลที่หายสาบสูญ
บุคคลจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
มุสลิมชาวไทย
พรรคชาติพัฒนา (พ.ศ. 2535)
เหยื่ออาชญากรรมชาวไทย
นักเคลื่อนไหวชาวไทย
บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย หลัง พ.ศ. 2544
|
thaiwikipedia
| 1,158 |
เซเว่น อีเลฟเว่น
|
บริษัท เซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven, Inc., มักย่อเป็น SEI) เป็นบริษัทร้านสะดวกซื้อแบบลูกโซ่สัญชาติอเมริกันที่มีสำนักงานใหญ่ที่Irving รัฐเท็กซัส และถือครองโดย Seven & I Holdings ของญี่ปุ่นผ่าน Seven-Eleven Japan Co., Ltd. บริษัทนี้ได้รับการจัดตั้งใน ค.ศ. 1927 ในฐานะหน้าร้านห้องบรรจุน้ำแข็งที่แดลลัส จากนั้นใน ค.ศ.1928 ถึง 1946 จึงเปลี่ยนชื่อเป็น Tote'm Stores หลังจากอิโต-โยกาโด ซูเปอร์มาร์เกตแบบลูกโซ่สัญชาติญี่ปุ่นและบริษัทแม่ของ Seven-Eleven Japan ถือสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทถึงร้อยละ 70 ใน ค.ศ. 1991 บริษัทนี้จึงกลายเป็นบริษัทในเครือของ Seven-Eleven Japan ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005
== ศัพทมูลวิทยา ==
ร้านแรกของบริษัทตั้งอยู่ที่แดลลัสมีชื่อว่า "Tote'm Stores" บางร้านมีเสาโทเทม "พื้นเมือง" ตั้งอยู่หน้าร้าน จากนั้นใน ค.ศ. 1946 จึงมีการเปลี่ยนชื่อร้านจาก "Tote'm" ไปเป็น "7-Eleven" เพื่อสะท้อนชั่วโมงเวลาทำงานของบริษัทคือ 7 โมงเช้า ถึง 5 ทุ่ม (7:00 a.m. ถึง 11:00 p.m.) ทุกวัน ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1999 บริษัทในสหรัฐมีการเปลี่ยนชื่อจาก "The Southland Corporation" ไปเป็น "7-Eleven Inc."
หลังเซเว่น อีเลฟเว่นใช้โลโกปัจจุบันใน ค.ศ. 1968 มีการใช้อักษร n ตัวพิมพ์เล็กในโลโกเนื่องจากภรรยาคนแรกของจอห์น พี. ทอมป์สัน ซีเนียร์ ประธานบริษัทในคริสต์ทศวรรษ 1960 คิดว่าอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดแข็งทื่อเล็กน้อย เธอแนะนำให้เปลี่ยนสิ่งนี้ "เพื่อทำให้โลโกดูสง่างามมากขึ้น"
== ประวัติ ==
เซเว่น-อีเลฟเว่น ถือกำเนิดขึ้น เมื่อ ค.ศ. 1927 โดย บริษัท เซาท์แลนด์ ไอซ์ จำกัด (เซาท์แลนด์ คอร์ปอเรชั่น) เริ่มต้นกิจการผลิต และจัดจำหน่ายน้ำแข็ง ที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส สหรัฐ ในปีเดียวกัน ทางบริษัทฯ ได้นำสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ มาจำหน่าย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า จึงเปลี่ยนชื่อเป็น Tote'm Store ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น เซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven) เพื่อรองรับการขยายกิจการนี้ ซึ่งในระยะแรก เปิดให้บริการ ตั้งแต่เวลา 07.00-23.00 น. หรือ 07:00 AM.-11:00 PM. ของทุกวัน
ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1980 บริษัทเริ่มประสบปัญหาทางการเงิน และได้รับความช่วยเหลือจากอิโต-โยกาโดซึ่งเป็นผู้ซื้อแฟรนไชส์รายใหญ่ที่สุด บริษัทญี่ปุ่นมีอำนาจควบคุมบริษัทในปี พ.ศ. 2534 ในปี พ.ศ. 2548 อิโต-โยคะโดก่อตั้งบริษัทเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์และเซเว่น-อีเลฟเว่นก็กลายเป็นบริษัทลูกของเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ตั้งแต่นั้นมา
== ผลิตภัณฑ์และบริการ ==
== สาขาทั่วโลก ==
=== เอเชีย ===
==== กัมพูชา ====
ณ วันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2021 ทางเซเว่น อีเลฟเว่นและเครือเจริญโภคภัณฑ์ของไทยเปิดร้านเซเว่น อีเลฟเว่นแห่งแรกที่เขต Chroy Changvar พนมเปญ บริษัทกล่าวนัยถึงแผนการเปิดร้านเพิ่มอีกอย่างน้อย 6 แห่งในพนมเปญใน ค.ศ. 2021
==== อินโดนีเซีย ====
ใน ค.ศ. 2008 ทางเซเว่น อีเลฟเว่นประกาศแผนขยายกิจการในประเทศอินโดนีเซียผ่านข้อตกลงมาสเตอร์แฟรนไชส์กับ Modern Sevel Indonesia แผนแรกของ Modern Sevel Indonesia จะมุ่งเน้นไปที่การเปิดสาขาในจาการ์ตา โดยกำหนดเป้าหมายไปยังพื้นที่เชิงพาณิชย์และธุรกิจที่มีประชากรหนาแน่น มีร้านเซเว่น อีเลฟเวนในอินโดนีเซียเพียง 190 ร้าน จากนั้นจึงลดลงเหลือ 166 ร้านในเดือนกันยายน ค.ศ. 2016
เซเว่น อีเลฟเว่นปิดให้บริการในอินโดนีเซียเมื่อ ค.ศ. 2017 โดยอ้างถึงยอดขายที่ต่ำ
==== ญี่ปุ่น ====
==== ลาว ====
ณ วันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 2023 ทางเซเว่น อีเลฟเว่นและเครือเจริญโภคภัณฑ์ของไทยเปิดร้านเซเว่น อีเลฟเว่นแห่งแรกที่เมืองศรีโคตรบอง นครหลวงเวียงจันทน์ เวียงจันทน์
==== มาเลเซีย ====
==== ฟิลิปปินส์ ====
==== สิงคโปร์ ====
==== ไทย ====
ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นสาขาแรกเปิดตัวใน พ.ศ. 2532 ที่ซอยพัฒพงษ์ในกรุงเทพมหานคร เครือข่ายนี้ประกอบด้วยร้านค้าที่บริษัทเป็นเจ้าของ (45%) และร้านค้าแฟรนไชส์ (55%) โดยบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) เป็นทั้งเจ้าของและผู้ตั้งแฟรนไชส์เซเว่น อีเลฟเว่นในประเทศไทย ณ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 มีร้านเซเว่น อีเลฟเว่นถึง 11,983 ร้าน ว่าจ้างงาน 170,000 งาน ใน พ.ศ. 2562 เซเว่น อีเลฟเว่นสร้างรายได้ให้กับซีพีถึง 335,532 ล้านบาท เซเว่น อีเลฟเว่นถือส่วนแบ่งการตลาดในหมวดร้านสะดวกซื้อถึง 70% ส่วนร้านสะดวกซื้ออื่น ๆ มีเพียง 7,000 ร้าน (เช่น แฟมิลี่มาร์ท) และร้านขนาดเล็ก 400,000 ร้าน ประเทศไทยมีจำนวนร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่นมากเป็นอันดับสอง โดยเป็นรองเพียงร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในประเทศญี่ปุ่น
ในความพยายามที่จะลดมลพิษพลาสติก บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัทแม่ของเซเว่น อีเลฟเว่น ประกาศในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ว่าจะลดและหยุดการใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ข้อมูลเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 ระบุว่า ทั้งเซเว่น อีเลฟเว่นกับร้านค้าปลีก 42 แห่ง จะหยุดการให้บริการถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแก่ลูกค้า อย่างไรก็ตาม การใช้ถุงพลาสติกยังคงแพร่หลายในหลายร้านค้าทั่วประเทศ
==== เวียดนาม ====
=== สาขา ===
== รูปภาพ ==
ไฟล์:HK SYP Chong Yip Ctr 7-11 shop.jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในฮ่องกง
ไฟล์:7-Eleven store Toyosu branch Tokyo Japan 20140319.jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในญี่ปุ่น
ไฟล์:7-Eleven store at East Hongju St (20170313085103).jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในจีน
ไฟล์:7 cafe Bandar Puteri Puchong (220713).jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในมาเลเซีย
ไฟล์:FvfLaUnion6965 05.JPG|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในฟิลิปปินส์
ไฟล์:7-Eleven SG - panoramio.jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในสิงคโปร์
ไฟล์:7-Eleven store Busan-Yeonsan-jungang branch 20180331 063210.jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในเกาหลีใต้
ไฟล์:7 ELEVEn Outles in Sindian.jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในไต้หวัน
ไฟล์:7-Eleven Copenhagen.jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในเดนมาร์ก
ไฟล์:Sju Elva (36007967).jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในสวีเดน
ไฟล์:7-Eleven - Holbergs Plass - Oslo - 2013-03-31 at 16-13-34.jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในนอร์เวย์
ไฟล์:GUS-STATION in Canada.JPG|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในแคนาดา
ไฟล์:7-Eleven Cancun.jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในเม็กซิโก
ไฟล์:Gulf7eleven.jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในสหรัฐ
ไฟล์:190 Bourke Street, Melbourne, VIC, 3000.jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในออสเตรเลีย
ไฟล์:7-11 บางยี่เรือ.jpg|ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในไทย
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์ของ เซเว่น อีเลฟเว่น ประเทศไทย
เครือเจริญโภคภัณฑ์
ร้านสะดวกซื้อ
ร้านสะดวกซื้อของสหรัฐ
ร้านสะดวกซื้อของประเทศญี่ปุ่น
ร้านสะดวกซื้อของประเทศไทย
ร้านสะดวกซื้อของประเทศจีน
ร้านสะดวกซื้อของประเทศแคนาดา
ร้านสะดวกซื้อของประเทศออสเตรเลีย
ร้านสะดวกซื้อของประเทศฟิลิปปินส์
ร้านสะดวกซื้อของประเทศสิงคโปร์
ร้านสะดวกซื้อของประเทศมาเลเซีย
ร้านสะดวกซื้อของประเทศเวียดนาม
ร้านสะดวกซื้อของประเทศกัมพูชา
ร้านสะดวกซื้อของประเทศลาว
บริษัทที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2470
แฟรนไชส์
บริษัทนานาชาติที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา
|
thaiwikipedia
| 1,159 |
พรรคประชาธิปัตย์
|
พรรคประชาธิปัตย์ (ย่อ: ปชป.) เป็นพรรคการเมืองไทยที่เก่าแก่ที่สุด ก่อตั้งขึ้นในฐานะพรรคฝ่ายกษัตริย์นิยม และปัจจุบันเป็นพรรคฝ่ายอนุรักษนิยม และสนับสนุนกลไกตลาด
พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในปี พ.ศ. 2491, พ.ศ. 2519 และ พ.ศ. 2539 และหลังจากนั้นก็ไม่เคยได้เสียงข้างมากในสภาอีกเลย ฐานเสียงของพรรคส่วนใหญ่คือภาคใต้และกรุงเทพฯ แม้ว่าผลการเลือกตั้งในกรุงเทพฯ จะผันผวนมากก็ตาม ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ถึง พ.ศ. 2565 มีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจากพรรคประชาธิปัตย์ 3 คน คือนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร และ พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ถึง พ.ศ. 2562 พรรคประชาธิปัตย์นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ถึง พ.ศ. 2566 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คือนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
== ประวัติ ==
พรรคประชาธิปัตย์ ก่อตั้งโดยพันตรีควง อภัยวงศ์ เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2489 แต่พรรคถือว่าวันที่ 6 เมษายน ซึ่งตรงกับวันจักรีเป็นวันก่อตั้งพรรค โดยเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมและกษัตริย์นิยม หลังการเลือกตั้งในเดือนมกราคม พ.ศ. 2489 โดยสมาชิกในยุคแรกๆ ได้แก่ กลุ่มกษัตริย์นิยมที่ต่อต้านนายปรีดี พนมยงค์ และอดีตขบวนการเสรีไทย ซึ่งพรรคต้องแข่งขันกับพรรคที่สนับสนุนนายปรีดี และพรรคก้าวหน้าของสองพี่น้องจากราชสกุลปราโมช คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชและ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมกราคม พ.ศ. 2489 กลุ่มพันธมิตรที่นำโดยนายปรีดีได้รับเสียงข้างมากในรัฐสภา อย่างไรก็ตาม นายปรีดีปฏิเสธการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐสภาได้แต่งตั้งพันตรีควงเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 พันตรีควงลาออกจากตำแหน่งพร้อมกับคณะรัฐมนตรีทั้งคณะในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2489 หลังจากแพ้โหวตในร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ส.ส. อุบลราชธานี ด้วยคะแนน 65-63 เสียง และถูกแทนที่โดยนายปรีดี
== บทบาททางการเมือง ==
=== รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ===
เมื่อถึงการเลือกตั้งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายกษัตริย์นิยมอย่างหม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล, พระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล), เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา), พระยาบริรักษ์เวชชการ (ไล่ฮวด ติตติรานนท์) และนายศรีเสนา สมบัติศิริ ยกเว้นหม่อมเจ้าอุปาลีสาณ ทั้ง 4 คนกลายเป็นองคมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยพรรคที่ร่วมกับนายปรีดียังคงได้รับเสียงข้างมากในสภา นายปรีดีได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ภายหลังลาออก รัฐสภาจึงเลือก พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะราษฎรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่ด้วยปัญหาหลายประการทำให้คณะนายทหารที่นำโดย พลโทผิน ชุณหะวัณ นายทหารนอกราชการทำรัฐประหารยึดอำนาจและโค่นล้มรัฐบาลของพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
คณะรัฐประหารจึงได้เชิญพันตรีควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นนายกรัฐมนตรีพลเรือน ในการเลือกตั้งครั้งต่อมาเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเสียงข้างมากเป็นครั้งแรก และรัฐสภาเลือกพันตรีควงกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ต่อมาทหารกลุ่มเดิมทำรัฐประหารอีกครั้งโดยบังคับให้พันตรีควงลาออกจากตำแหน่งและเชิญจอมพลแปลก พิบูลสงครามกลับคืนสู่อำนาจและเป็นนายกรัฐมนตรี
=== เสียสิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล ===
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2518 พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคในขณะนั้น ชนะการเลือกตั้งด้วยจำนวน สส. 72 คน ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และได้รับโปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีโดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคเกษตรสังคม และพรรคแนวร่วมสังคมนิยม แต่ได้คะแนนเสียงสนับสุนนเพียง 103 คน ไม่ถึงครึ่งของสภา (135 คน) โดยรัฐธรรมนูญสมัยนั้น กำหนดว่า การแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต้องได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร เมื่อถึงวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อสภา วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2518 ปรากฏว่า รัฐบาลของเสนีย์ได้รับเสียงสนับสนุนเพียง 111 เสียง ถือว่าไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนผู้แทนราษฎร เสนีย์และพรรคจึงแสดงความรับผิดชอบ โดยการลาออก และสละสิทธิ์การตั้งรัฐบาล
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคมในขณะนั้น ซึ่งมี ส.ส.ในสภาเพียง 18 เสียง สามารถรวบรวม ส.ส.พรรคต่าง ๆ รวม 8 พรรค ได้ 135 เสียง กลายเป็นเสียงข้างมากของสภา และคึกฤทธิ์ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์กลายเป็นฝ่ายค้าน
=== กลุ่ม 10 มกรา ===
กลุ่ม 10 มกรา ก่อตั้งโดย เฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ เลขาธิการพรรคในปี พ.ศ. 2522 และ วีระ มุสิกพงศ์ เลขาธิการพรรคในปี พ.ศ. 2530 โดยที่มาของชื่อกลุ่มมาจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2530 ณ โรงแรมเอเชีย ที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค ซึ่งกลุ่มของนายวีระได้เสนอชื่อนายเฉลิมพันธ์ ส่วนกลุ่มของนายชวน หลีกภัย ได้เสนอชื่อนายพิชัย รัตตกุล หัวหน้าพรรคในขณะนั้น ส่วนตัวนายวีระได้ลงชิงตำแหน่งเลขาธิการพรรคแข่งกับ พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ ปรากฏว่าทั้งนายเฉลิมพันธ์และนายวีระพ่ายแพ้ต่อนายพิชัยและพล.ต.สนั่น
กลุ่ม 10 มกรานี้มีความไม่พอใจในการบริหารงานของพิชัยมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เช่น ไม่เห็นด้วยที่พิชัยสนับสนุน พิจิตต รัตตกุล ลูกชายของตน ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพลังงาน แทนที่ ดำรง ลัทธพิพัฒน์ ที่ถึงแก่กรรมไปด้วยการกระทำอัตวินิบาตกรรม เหตุเพราะอายุและประสบการณ์ทางการเมืองของพิจิตตนั้นยังน้อยอยู่ หรือการที่เสนอรายชื่อบุคคลเป็นรัฐมนตรี ที่ทางกลุ่มเห็นว่าไม่เหมาะสม เป็นต้น
ต่อมากลุ่ม 10 มกรา ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์พร้อมกับ กลุ่มวาดะห์ ภายหลังจากการที่ทั้งสองกลุ่มไม่ยกมือสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรจนทำให้ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ต้องประกาศยุบสภา เมื่อปี พ.ศ. 2531 ซึ่งกลุ่ม 10 มกราบางส่วนและทางกลุ่มวาดะห์ได้ร่วมมือกันจัดตั้งพรรคการเมืองโดยใช้ชื่อว่า พรรคประชาชน
=== การชนะเลือกตั้งของชวน หลีกภัย ===
ใน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มีนาคม พ.ศ. 2535 พรรคประชาธิปัตย์มี ส.ส. 44 คน ประกาศเป็นพรรคฝ่ายค้านร่วมกับ พรรคความหวังใหม่, พรรคพลังธรรม, พรรคเอกภาพ, พรรคปวงชนชาวไทย, และพรรคมวลชน จนสื่อมวลชนให้ฉายาว่า พรรคเทพ เพราะต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ รสช.
หลังจากเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ตามมาด้วยการยุบสภา มีการจัด การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป กันยายน พ.ศ. 2535 โดยกระแสต่อต้านระบอบเผด็จการนั้นยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และขณะเดียวกัน ภาพลักษณ์ของพลตรี จำลอง ศรีเมือง ถูกเปลี่ยนจากผู้นำในการสู้กับเผด็จการ กลายเป็นการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่นำพาคนไปเสียชีวิตในการชุมนุมประท้วง ด้วยวาทะกรรม จำลองพาคนไปตาย โดยพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น มีชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้าพรรค ได้ออกวาทกรรม “ผมเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา” ประกาศไม่เอาการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ รสช. และไม่เอาท่าทีแข็งกร้าวแบบจำลอง ศรีเมือง
ภายหลังการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์มี สส. 79 คน กลายมาเป็นพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งในรอบ 16 ปี โดยมีการเชิญอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านมาจัดตั้งรัฐบาลด้วย และชัยชนะในครั้งนััน เป็นครั้งล่าสุดที่พรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้ง
=== ได้จัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง ===
ใน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2539 พรรคประชาธิปัตย์ได้ สส. 123 เสียง แพ้ พรรคความหวังใหม่ ไปเพียง 2 เสียง ชวนประกาศตัวเป็นพรรคฝ่ายค้านทันที ถึงแม้จะมีสมาชิกในพรรคไม่เห็นด้วยก็ตาม
แต่ภายหลังการลาออกของชวลิต ยงใจยุทธ จากวิกฤตต้มยำกุ้ง ก็ได้มีการลงคะแนนอีกครั้ง ซึ่งรอบนี้มีผู้เสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 คน คือ ชวน หลีกภัย และ ชาติชาย ชุณหะวัณ และด้วยความช่วยเหลือจาก สนั่น ขจรประศาสน์ ทำให้สามารถได้เสียงจาก สส. กลุ่มงูเห่า จากพรรคประชากรไทยลงคะแนนให้ จนทำให้ชวนได้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกสมัย และได้กลายมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมี พรรคชาติไทย, พรรคกิจสังคม, พรรคประชากรไทย (กลุ่มงูเห่า), พรรคเอกภาพ, พรรคเสรีธรรม, พรรคพลังธรรม, และพรรคไท ร่วมรัฐบาล
ถึงแม้ พรรคชาติพัฒนา จะเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ให้สมาชิกคนสำคัญของพรรคร่วมคณะรัฐมนตรีด้วย เช่น กร ทัพพะรังสี, ปวีณา หงสกุล เป็นต้น
=== การเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2548 ===
พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีคะแนนเสียงอันดับสองในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีจำนวนที่นั่ง 96 ที่นั่ง (จากทั้งหมด 500 ที่นั่ง) มีฐานเสียงใหญ่อยู่ที่ภาคใต้ ใน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2548 พรรคประชาธิปัตย์ได้เสียงจากภาคใต้ถึง 52 ที่นั่งจาก 54 ที่นั่ง อย่างไรก็ตามพรรคไม่ได้รับการสนับสนุนมากนักในส่วนอื่น ๆ ของประเทศ (ยกเว้นในเขตกรุงเทพมหานคร ที่คะแนนเสียงแปรผันไปตามสถานการณ์ทางการเมืองแต่ละสมัย ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2548 พรรคฯ ได้เสียงจากกรุงเทพเพียง 4 ที่นั่ง จาก 37 ที่นั่ง โดยที่พรรคคู่แข่งคือ พรรคไทยรักไทย ได้ถึง 32 ที่นั่ง) ลักษณะเช่นนี้เหมือนกับพรรคเสรีนิยมของสหราชอาณาจักรที่ผู้สนับสนุนอย่างเหนียวแน่นส่วนใหญ่จะอยู่ในแคว้นสก็อตแลนด์ คือเป็นลักษณะภูมิภาคนิยม ดังจะเห็นได้ชัดเจนจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีจำนวนที่นั่งในสภาผู้แทนสูงถึง 136 ที่นั่ง แต่พรรคได้รับเลือกเพียง 2 ที่นั่งเท่านั้น
ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 พรรคประชาธิปัตย์ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุน จากประชาชนทั่วประเทศ ในระบบบัญชีรายชื่อจำนวน 7,210,742 เสียง
โดยการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 นั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้แนวทางการหาเสียงว่า "เลือกให้ถึง 201 ที่นั่ง" และ "ทวงคืนประเทศไทย" อันเนื่องจากต้องการสัดส่วนที่นั่งในสภาฯให้ถึง 200 ที่ เพื่อที่ต้องการจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 นั่นเอง
หลังการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้ตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ 6 คณะ คือ
* คณะกรรมาธิการการตำรวจ มี นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง เป็นประธาน
* คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง มี นายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก เป็นประธาน
* คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ มี นายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส.ยะลา เป็นประธาน
* คณะกรรมาธิการติดตามมติสภา มี นายวินัย เสนเนียม ส.ส.สงขลา เป็นประธาน
* คณะกรรมาธิการการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน มี นายสุวโรช พะลัง ส.ส.ชุมพร เป็นประธาน
* คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข มี นายธีระ สลักเพชร ส.ส.ตราด เป็นประธาน
=== คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 ===
ช่วงวิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมอีก 2 พรรค คือ พรรคชาติไทย และ พรรคมหาชน คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ด้วยการไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง โดยมีเหตุผลว่ารัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ยุบสภา โดยไม่ชอบธรรม และต่อมามีคำวินิจฉัยของศาลให้การเลือกตั้ง 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นโมฆะ เนื่องจาก กกต. จัดการเลือกตั้งไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น มีการหันคูหาเลือกตั้งที่ทำให้การลงคะแนนไม่เป็นการลงคะแนนลับ
ในช่วงเวลาเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำการฟ้องร้องต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในขณะนั้น ให้ดำเนินคดียุบพรรคไทยรักไทย เนื่องจากกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยมีการจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงเกณฑ์ร้อยละ 20 ตามกฎหมาย และพรรคประชาธิปัตย์มีพยานบุคคลจากพรรคเล็กยืนยัน แต่ต่อมาพยานดังกล่าวได้กลับคำให้การกลางคัน และพรรคไทยรักไทยที่เป็นผู้ต้องหาในคดีกลับฟ้องร้องต่อ กกต. ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยกล่าวหาว่ามีการจ้างพรรคเล็กให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย และมีพฤติกรรมที่เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงมีการนำคดีขึ้นสู่กระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
ต่อมาภายหลังการ รัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดย คปค. ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงพร้อมกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมีคณะตุลาการรัฐธรรมนูญขึ้นตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2549 ประกอบด้วยตัวแทนฝ่ายตุลาการคือ ประธานศาลฎีกา และประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นต้น รับโอนอรรถคดีจากศาลรัฐธรรมนูญมาดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป จนกระทั่งวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยกคำร้องในส่วนพรรคประชาธิปัตย์ และมีมติให้ยุบ พรรคไทยรักไทยและพรรคเล็กที่ถูกฟ้องร่วมในคดี และวินิจฉัยให้ตัดสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและพรรคเล็กทั้งหมด เป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นที่ประจักษ์ว่ากรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งจริง และขณะเดียวกันไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าพรรคประชาธิปัตย์จ้างพรรคเล็กให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยหรือมีพฤติกรรมล้มล้างการปกครองตามฟ้องแต่อย่างใด
=== หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ===
หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 พรรคประชาธิปัตย์ถูกงดกิจกรรมทางการเมืองชั่วคราว จนกระทั่งได้มีกำหนดการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอนโยบายบริหารประเทศชื่อว่า "วาระประชาชน" ใจความสำคัญว่า "ประชาชนต้องมาก่อน" ในการรณรงค์เลือกตั้ง โดยได้เสนอต่อสาธารณะนับตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2549 มีกลุ่มนโยบาย 4 หัวข้อใหญ่
ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้อันดับ 2 รวม 165 ที่นั่ง รองจากพลังประชาชนได้คะแนนอันดับ 1 ที่ได้ 232 ที่นั่ง โดยพรรคประชาธิปัตย์แบ่งตามภาคได้ดังนี้
{|class="wikitable"
!เขตพื้นที่!!จำนวนที่นั่ง!!ได้
|-
||กรุงเทพมหานคร||36||27
|-
||กลาง||98||35
|-
||ตะวันออกเฉียงเหนือ||135||5
|-
||ใต้||56||49
|-
||เหนือ||75||16
|-
||สัดส่วน||80||33
|-
||รวม||480||165
|}
พรรคพลังประชาชนได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสม ร่วมกับพรรคการเมืองอื่นๆ คือ พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคชาติไทย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคมัชฌิมาธิปไตย และพรรคประชาราช โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้านพรรคเดียวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้ประกาศจัดตั้ง "รัฐบาลเงา" หรือ "ครม.เงา" เพื่อตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาลและนำเสนอแนวทางการบริหารประเทศควบคู่ไปกับการบริหารงานของรัฐบาล ตามรูปแบบ "คณะรัฐมนตรีเงา" ใน "ระบบเวสมินสเตอร์" ของอังกฤษขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 โดยมีเว็บไซต์ www.shadowdp.com ในการเผยแพร่การปฏิบัติหน้าที่ของ ครม.เงา
=== รัฐบาลผสม ===
ภายหลังจากศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมืองซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล (พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย) และเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งส่งผลให้ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต้องพ้นจากตำแหน่ง พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาลผสมโดยร่วมกับพรรคการเมืองอื่น ๆ คือ พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคภูมิใจไทย และพรรคกิจสังคม (ภายหลังพรรคมาตุภูมิได้เข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแทนพรรคเพื่อแผ่นดิน) พร้อมกับสนับสนุนให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ชนะพลตำรวจเอกประชา พรหมนอก จากพรรคเพื่อแผ่นดิน ด้วยคะแนน 235 ต่อ 198 เสียง ในการลงมติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 และได้จัดตั้งรัฐบาลผสม เป็นคณะรัฐมนตรี คณะที่ 59 ของไทย
=== คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ. 2553 ===
อภิชาต สุขัคคานนท์ นายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหาว่า ใน พ.ศ. 2548 พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเงินบริจาค จำนวนสองร้อยห้าสิบแปดล้านบาท จาก บริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) แต่ไม่แจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง ทราบ และใช้จ่ายไปโดยผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมาย ซึ่งเงินจำนวนยี่สิบเก้าล้านบาท ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดสรรให้จากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มาตรา 66 อนุมาตรา (2) และ (3) จึงขอให้ศาลมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ และตัดสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 98
คดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ด้วยมติสี่ต่อสองว่า กฎหมายกำหนดให้ผู้ร้องยื่นคำร้องมาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ปรากฏแก่ตนว่าผู้ถูกร้องฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นเหตุให้ถูกยุบได้ ทว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องมาล่วงระยะเวลาสิบห้าวันดังกล่าวนี้ จึงไม่ชอบที่จะพิจารณาวินิจฉัยคำร้องสืบไป และให้ยกคำร้อง
=== หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2554 ===
หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศยุบสภาในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เพื่อให้จัดตั้งการเลือกตั้งทั่วไป และหลังจากที่ พรรคประชาธิปัตย์ได้แพ้การเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2554 นายอภิสิทธิ์ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 และเป็นเหตุให้คณะเลขาธิการพรรค รองหัวหน้าพรรค ที่ปฏิบัติหน้าที่นั้น ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งหมด หลังจากนั้นได้มีการลงคะแนนเสียงเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ และผลออกมาในวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 หลังนายอภิสิทธิ์ พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้รับเลือกให้กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง
พ.ศ. 2556
=== หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 ===
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีท่าทีครึ่ง ๆ กลาง ๆ ต่อรัฐประหารเมื่อปี 2557 แม้เขาโพสต์ลงเฟซบุ๊กขออภัยที่ไม่สามารถผลักดันแผนปฏิรูปประเทศและปกป้องประชาธิปไตยได้ และพร้อมร่วมคัดค้านรัฐประหาร หาก คสช. ไม่มีคำตอบชัดเจนว่าจะปฏิรูปอะไรและประชาชนจะมีส่วนร่วมอย่างไร และมีผู้รักประชาธิปไตยที่แท้จริงเสนอประชาธิปไตยที่ดีกว่า แต่เขาก็โพสต์สนับสนุนให้ คสช. ใช้มาตรการเข้มข้นขึ้นเพื่อรับมือกับการต่อต้านรัฐประหาร ขณะที่นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่า ประยุทธ์ควรเป็นนายกรัฐมนตรี ควรใช้อำนาจเด็ดขาด อย่าเป็นนักประชาธิปไตยเหมือนสุรยุทธ์ จุลานนท์ อย่าสนใจคำครหานินทาว่ามาจากรัฐประหาร หากทำดี แก้ปัญหาได้ ทำประเทศปรองดองได้ ทุกคนจะสรรเสริญ
ในปี 2561 พรรคประชาธิปัตย์จัดการลงมติเลือกหัวหน้าพรรคเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง ผลปรากฏว่าอภิสิทธิ์ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคอีกสมัย
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 อภิสิทธิ์ย้ำว่าจะไม่สนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนมหาชน 3.9 ล้านเสียง ส.ส. 52 ที่นั่ง ซึ่งน้อยกว่าพรรคเกิดใหม่อย่างพรรคพลังประชารัฐและพรรคอนาคตใหม่ ในคืนเลือกตั้ง อภิสิทธิ์ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค หลังค่อนข้างแน่ชัดว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้ ส.ส. ไม่ถึง 100 ที่นั่ง หลายคนคาดว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเปลี่ยนไปร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ
จะมีการลงมติเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 มีผู้สมัคร 4 คน ได้แก่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หนังสือพิมพ์ มติชน เขียนว่า จุรินทร์และกรณ์เป็นตัวเต็ง โดยจุรินทร์มีโอกาสมากกว่าเนืองจากชวน หลีกภัย ผู้มีบารมีในพรรค สนับสนุน เป็นนักการเมืองจากภาคใต้และเลือกเลขาธิการพรรคจากภาคตะวันออก ซึ่งจะมาเชื่อมระหว่างภาคใต้และภาคกลาง ทั้งนี้ กรณ์, อภิรักษ์ และพีระพันธุ์มองว่ามีความเป็นไปได้ที่พรรคจะร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ผลปรากฏว่า จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่
ต่อมามีข่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์เจรจาได้ที่นั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ และมีมติร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ผลของมติทำให้สมาชิกบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว เช่น สมชัย ศรีสุทธิยากร รวมถึงสมาชิกกลุ่ม "นิวเด็ม" (New Dem) ซึ่งเป็นคนหนุ่มสาวในพรรค ลาออกหลายคน ต่อมา นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม และนายอุเทน ชาติภิญโญ ลาออกจากสมาชิกพรรค
เมื่อจุรินทร์เป็นหัวหน้าพรรคแล้ว เกิดความเห็นแตกแยกกันในพรรคจนทำให้มีสมาชิกพรรคเก่าแก่แยกตัวออกไปหลายกลุ่ม เช่น กรณ์ที่แยกออกไปตั้งพรรคกล้าซึ่งคาดว่ามาจากการตั้งปริญญ์ พานิชภักดิ์มาคุมทีมเศรษฐกิจ
จากนั้นในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 เพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรคโดยยกเลิกข้อบังคับพรรคฉบับปี 2561 ทั้งฉบับและประกาศใช้ข้อบังคับพรรคฉบับใหม่
=== หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2566 ===
หลังการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2566 พรรคประชาปัตย์ได้รับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 25 คน ส่งผลให้จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้ง ต่อมามีสมาชิกพรรคหลายคนถูกกล่าวถึงว่าอาจจะได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ อาทิ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ เดชอิศม์ ขาวทอง แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันจากเจ้าตัว ส่วนผู้ช่วยศาสตราจารย์อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ปฏิเสธว่าไม่มีความประสงค์จะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีเพียงอลงกรณ์ พลบุตร ที่ประกาศตัวก่อนถึงวันประชุมใหญ่ว่ามีความประสงค์จะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จนกระทั่งวันที่ 9 กรกฎาคม 2566 ซึ่งเป็นวันประชุมใหญ่ของพรรคได้มีการประชุมตามระเบียบวาระเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ โดยบุคคลที่คาดว่าจะได้รับการเสนอชื่อและแสดงความประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้ง จำนวน 4 คน คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งคาดว่าชวน หลีกภัย จะเป็นผู้เสนอชื่อ, นราพัฒน์ แก้วทอง ซึ่งคาดว่ากลุ่มของเฉลิมชัย ศรีอ่อน จะเป็นผู้เสนอชื่อ, มัลลิกา บุญมีตระกูล และพันโทหญิง ฐิฏา รังสิตพล มานิตกุล ซึ่งเป็น 2 ผู้ประสงค์จะลงสมัคร แต่ในที่สุดการประชุมต้องยุติลงเนื่องจากไม่ครบองค์ประชุม
ต่อมาในวันที่ 6 สิงหาคม ได้มีการจัดการเลือกตั้งหัวหน้าพรรครอบสองขึ้นอีกครั้งที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น แต่เหตุการณ์ก็ซ้ำรอยเมื่อการประชุมล่มเพราะมีสมาชิกบางส่วนไม่เข้าร่วมการประชุม โดยในคราวนี้เฉลิมชัย ศรีอ่อนรักษาการณ์เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำ สส.พรรคทั้ง 21 คน ออกจากห้องประชุมพร้อมกล่าวประณามว่านี่คือ "การกระทำที่เลวร้าย" และ “เล่นเกมการเมืองเพื่อหวังตอบสนองความต้องการของใครบางคน” แต่เมื่อถึงวันจริงกลับมี ส.ส. จำนวน 16 คน ลงมติเห็นชอบให้เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ชัยชนะ เดชเดโช หนึ่งในกลุ่ม ส.ส. ดังกล่าว ระบุว่าได้ตัดสินใจไม่นานก่อนเริ่มการประชุมรัฐสภา และพร้อมรับกับผลที่ตามมา ด้าน เดชอิศม์ ขาวทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรค ระบุว่าพรรคไม่มีเอกภาพตั้งแต่การประชุมเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ที่ล่มถึงสองครั้ง และมติพรรคก่อนการประชุมร่วมของรัฐสภาไม่ชัดเจน เขายังอ้างว่าแม้แต่อดีตสมาชิกกลุ่ม กปปส. และพรรคภูมิใจไทย ก็ยังลงมติเห็นชอบ ดังนั้นกลุ่มของตนซึ่งเป็นคนยุคใหม่จึงไม่ควรรับมรดกความขัดแย้งต่อจากคนรุ่นเก่า ทั้งนี้ เขากล่าวว่าแม้จะลงมติเห็นชอบ แต่ก็พร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้าน และพรรคยังไม่ถึงจุดแตกหัก ด้านชวน หลีกภัย ยืนยันว่าในวันประชุมพรรคมีมติให้งดออกเสียง และกล่าวถึงเดชอิศม์ว่า "ยอมรับว่าตอนที่เรา (พรรคประชาธิปัตย์) สู้กับพรรคเพื่อไทย และนายทักษิณ ชินวัตร นายเดชอิศม์ ก็อยู่ในพรรคนั้น"
ต่อมาในช่วงบ่ายวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 นายจุรินทร์ได้ตัดสินใจลาออกจากรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อหวังให้ที่ประชุมใหญ่วิสามัญเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ได้อย่างราบรื่น จากนั้นในช่วงเย็นวันเดียวกัน ณ ที่ทำการพรรคได้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคชุดรักษาการ ซึ่งที่ประชุมมีมติแต่งตั้งให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรคควบรักษาการหัวหน้าพรรคอีกตำแหน่งหนึ่ง พร้อมกับกำหนดวันจัดประชุมใหญ่วิสามัญเป็นวันที่ 9 ธันวาคม 2566 เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และให้เพิ่มองค์ประชุมอีก 150 คน มาจากตัวแทนภาค ภาคละ 30 คน เพื่อสำรองไว้ในกรณีองค์ประชุมไม่ครบ โดยให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์สมัครเข้ามาด้วยตนเอง หากสมัครเกินจำนวนให้ใช้วิธีจับสลาก
== บุคลากร ==
=== รายชื่อหัวหน้าพรรค ===
{| border="1" cellpadding="4" cellspacing="1" style="margin: 1em 1em 1em 0; background: #f9f9f9; border: 1px #aaa solid; text-align:center; border-collapse: collapse; font-size: 95%;"
|- style="background:#cccccc"
| ลำดับ || รูป || ชื่อ || เริ่มวาระ || สิ้นสุดวาระ
|หมายเหตุ
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 1 || 100px || พันตรี ควง อภัยวงศ์ || พ.ศ. 2489 || 15 มีนาคม พ.ศ. 2511
|
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 2 || 100px || หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช || พ.ศ. 2511 || 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2522
|
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 3 || 100px || พันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ || 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 || 3 เมษายน พ.ศ. 2525
|
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 4 || 100px || พิชัย รัตตกุล || 3 เมษายน พ.ศ. 2525 || 26 มกราคม พ.ศ. 2534
|
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 5 || 100px || ชวน หลีกภัย || 26 มกราคม พ.ศ. 2534 || 20 เมษายน พ.ศ. 2546
|
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 6 || 100px || บัญญัติ บรรทัดฐาน || 20 เมษายน พ.ศ. 2546 || 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548
|
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 7 || 100px || อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ || 5 มีนาคม พ.ศ. 2548 || 24 มีนาคม พ.ศ. 2562
|
|-
| bgcolor = "#E9E9E9"| 8 || 100px || จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ || 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562|| 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
|
|}
=== รายชื่อเลขาธิการพรรค ===
{| border="1" cellpadding="4" cellspacing="1" style="margin: 1em 1em 1em 0; background: #f9f9f9; border: 1px #aaa solid; text-align:center; border-collapse: collapse; font-size: 95%;"
|- style="background:#cccccc"
| ลำดับ || รูป || ชื่อ || เริ่มวาระ || สิ้นสุดวาระ
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 1 || 100px || พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช || 6 เมษายน พ.ศ. 2489 || 16 กันยายน พ.ศ. 2491
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 2 || 100px || เทพ โชตินุชิต || 17 กันยายน พ.ศ. 2491 || 25 มิถุนายน พ.ศ. 2492
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 3 || 100px || ชวลิต อภัยวงศ์ || 1 มิถุนายน พ.ศ. 2492 || 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 4 || 100px || ใหญ่ ศวิตชาติ || 30 กันยายน พ.ศ. 2498 || 26 กันยายน พ.ศ. 2513
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 5 || 100px || ธรรมนูญ เทียนเงิน || 26 กันยายน พ.ศ. 2513 || 6 ตุลาคม พ.ศ. 2518
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 6 || 100px || ดำรง ลัทธพิพัฒน์ || 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2518 || 6 ตุลาคม พ.ศ. 2521
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 7 || 100px || เฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ || 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 || 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2522
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 8 || 100px||มารุต บุนนาค || 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 || 3 เมษายน พ.ศ. 2525
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 9 || 100px || เล็ก นานา || 3 เมษายน พ.ศ. 2525 || 5 เมษายน พ.ศ. 2529
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 10 ||
100px
|| วีระ มุสิกพงศ์ || 5 เมษายน พ.ศ. 2529 || 10 มกราคม พ.ศ. 2530
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 11 || 100px || พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ || 10 มกราคม พ.ศ. 2530 || 17 กันยายน พ.ศ. 2543
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 12 || 100px || อนันต์ อนันตกูล || 17 กันยายน พ.ศ. 2543 || 20 เมษายน พ.ศ. 2546
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 13 || 100px ||ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ || 20 เมษายน พ.ศ. 2546 || 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 14 || 100px || สุเทพ เทือกสุบรรณ || 5 มีนาคม พ.ศ. 2548 || 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 15(ครั้งที่ 1) || 100px || เฉลิมชัย ศรีอ่อน || 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554 || 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 16 || 100px || จุติ ไกรฤกษ์ || 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556 || 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 15(ครั้งที่ 2) || 100px || เฉลิมชัย ศรีอ่อน ||15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562|| ปัจจุบัน
|}
== ผลการเลือกตั้ง ==
=== ผลการเลือกตั้งทั่วไป ===
=== การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ===
=== ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) ===
=== ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต (สข.) ===
== ข้อวิจารณ์ ==
=== ภาพลักษณ์ ===
พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีฐานเสียงเหนียวแน่นในภาคใต้ จนมีเรื่องเล่าว่า "ส่งเสาไฟฟ้าลงก็ชนะ" ซึ่งมีนักวิชาการอธิบายว่าเป็นเพราะผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์มีเครือข่ายอยู่แล้วทำให้แทบไม่ต้องหาเสียง ซึ่งไม่เกี่ยวกับอุดมการณ์ และยังรวมถึงกระแส "ชวนฟีเวอร์" หรือนายกฯ คนใต้ ทำให้นักการเมืองในภาคใต้ที่อยากเลือกตั้งชนะต่างพากันเข้าพรรคประชาธิปัตย์กันหมด อย่างไรก็ตามในช่วงหลัง ๆ ประชาชนบางส่วนเริ่มเบื่อหน่ายกับความไม่พัฒนาของภูมิภาคทำให้พรรคอื่นเริ่มเจาะฐานเสียงได้บ้าง
หลังการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2562 ทำให้มีการค้นคำว่า "พรรคแมลงสาบ" ในเสิร์ชเอนจินปริมาณเพิ่มขึ้น คำนี้มีการใช้เพื่อหมายถึงอายุยืนยาวและการรั้งอำนาจอย่างยาวนานของพรรค และมีการใช้เพื่อล้อเลียนพรรคเมื่อใดที่ปรากฏการกระทำที่ไร้เกียรติของพรรค ทั้งนี้ คำดังกล่าวมีที่มาจากศาสตราจารย์ กนก วงษ์ตระหง่าน สมาชิกพรรค ในการประชุมประจำปี 2545 ที่เสนอ "ทฤษฎีแมลงสาบ" เพื่อให้พรรคอยู่รอดในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเวลานั้น
=== การสนับสนุนการชุมนุมของ กปปส. ===
=== คำร้องคัดค้านการเป็น สส. ===
15 มิถุนายน พ.ศ. 2566 มีเอกสารที่นำเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ประกาศผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ครั้งที่ 1 ปรากฎว่ามี ว่าที่ ส.ส. ที่ประกาศผลรับรอง 329 คน ขณะที่มี 71 เขต ที่มีเรื่องร้องคัดค้าน มีรายงานว่า เอกสารดังกล่าวอาจเป็นเอกสารสรุปของฝ่ายปฏิบัติการ แจ้งเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ที่ยังไม่ได้นำเสนอต่อที่ประชุม กกต. โดยพรรคประชาธิปัตย์ถูกร้องคัดค้านทั้งสิ้น 3 คน ดังนี้
แต่ถึงกระนั้น กกต. ก็ประกาศรับรอง สส. ทั้ง 500 คนก่อน โดยได้ชี้แจงว่าจะดำเนินการพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง
== การแยกตัวของสมาชิกพรรค ==
พรรคประชาธิปัตย์เคยมีสมาชิกพรรคที่ลาออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ หรือย้ายไปเป็นกรรมการบริหารพรรค โดยมีดังนี้
พรรคกิจสังคม นำโดย หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช (เดิมเคยเป็นหัวหน้าพรรคก้าวหน้า (พ.ศ. 2488) แต่ได้มารวมกับพรรคประชาธิปัตย์ในเวลาต่อมา / สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองในวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561)
พรรคประชากรไทย นำโดย สมัคร สุนทรเวช
พรรคก้าวหน้า (พ.ศ. 2526) นำโดย อุทัย พิมพ์ใจชน (ก่อนจะยุบรวมเป็น พรรคเอกภาพ ในเวลาต่อมา)
พรรคประชาชน นำโดย เฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ (ก่อนจะยุบรวมเป็น พรรคเอกภาพ ในเวลาต่อมา)
พรรคมหาชน นำโดย สนั่น ขจรประศาสน์ (สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563)
พรรครวมพลังประชาชาติไทย นำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ
พรรคไทยภักดี นำโดย วรงค์ เดชกิจวิกรม
พรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
พรรคกล้า นำโดย กรณ์ จาติกวณิช
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์
ประชาธิปัตย์
พรรคอนุรักษ์นิยมในประเทศไทย
|
thaiwikipedia
| 1,160 |
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
|
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) (Communist Party of Thailand - CPT) เป็นพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ดำเนินแนวทางตามลัทธิมาร์กซ์ ลัทธิเลนิน และลัทธิเหมา พรรคก่อตั้งในปี พ.ศ. 2485 แต่ไม่เคยจดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมายอย่างเป็นทางการ แม้ว่าจะเคยมีอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยสังกัดพรรคอยู่ช่วงหนึ่ง แต่บทบาทส่วนใหญ่ของพรรคเป็นที่จดจำจากเหตุการณ์การก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นการจับอาวุธขึ้นสู้กับทางการไทย
อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2523 บทบาทของพรรคได้สิ้นสุดลงแล้วเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการดำเนินกิจกรรมของอดีตสมาชิกพรรค หรือความพยายามจดทะเบียนชื่อพรรคการเมืองอยู่
== ประวัติ ==
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เดิมเรียก พรรคคอมมิวนิสต์สยาม เริ่มก่อตั้งโดยโฮจิมินห์ ชาวเวียดนาม ใช้นามแฝงว่า สหายซุง โดยประชุมครั้งแรกแบบลับ ๆ ที่ โรงแรมตุ้นกี่ หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง เมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2473 โดยแต่งตั้งหลี หรือ โงจิ๊งก๊วก เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก และมีตัวแทนสองคนคือ ตัง หรือ เจิ่นวันเจิ๋น และ เหล่าโหงว หรือ อู่จื้อจือ จนก่อตั้งเป็นรูปร่างเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2485 หลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 ที่กรุงเทพมหานคร โดยมีสมาชิกก่อตั้ง 57 คน พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นพรรคแนวอุดมการณ์ ยึดมั่นในลัทธิมากซ์-เลนินและลัทธิเหมา โดยมีความมุ่งหมายเพื่อสร้างความเสมอภาคทางชนชั้น ชี้นำสังคมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ และต่อสู้เอาชนะระบบทุนนิยมด้วยวิธี "ป่าล้อมเมือง"
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยยกเลิกกฎหมายคอมมิวนิสต์ช่วงหนึ่งเพื่อแลกกับการที่สหภาพโซเวียตยอมรับไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ทำให้พรรคมีการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอยู่ช่วงหนึ่ง โดยมีอดีต ส.ส. สังกัด พคท. แต่หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ.2494 มีการตราพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2495 ซึ่งทำให้การคงอยู่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ทำให้พรรคต้องลงต่อสู้ใต้ดินอีกครั้ง
สมาชิกในช่วงแรกเป็นชนชั้นล่างส่วนใหญ่ และเคลื่อนไหวด้วยการลอบสังหารทางการเมือง ส่วนทางการไทยก็ตอบโต้ด้วยมาตรการ "ถีบลงเขา เผาลงถังแดง" ต่อประชาชนที่ต้องสงสัยว่าฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ ในปี 2508 พรรคเริ่มการก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์ในประเทศ
สมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นมากหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ทำให้มีนักศึกษาและปัญญาชนหนีเข้าป่าไปจำนวนมาก ท่ามกลางบรรยากาศการปราบปรามผู้มีความคิดฝ่ายซ้ายอย่างเข้มข้นในเวลานั้น แต่พรรคประสบปัญหาเป็นเผด็จการตามลัทธิเหมา รวมทั้งเริ่มขาดการสนับสนุนจากต่างชาติ ทำให้รัฐบาลเป็นฝ่ายเหนือกว่ามากขึ้นเป็นลำดับ
จนเมื่อปี 2523 ได้มีการออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 และอีกฉบับในปี 2525 นิรโทษกรรมสมาชิกพรรคที่ออกจากป่าให้มาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย นับเป็นการสิ้นสุดการก่อการกำเริบครั้งนั้น
ปี 2553 ธง แจ่มศรี ออกแถลงการณ์ยุติการนำแต่ไม่ยุบพรรค จนเกิดความไม่พอใจและกดดันให้เขาลาออกจากเลขาธิการพรรค และเลือกให้วิชัย ชูธรรม เป็นเลขาธิการพรรคแทน ในที่สุดธง แจ่มศรี และสหายจึงไปจัดตั้งพรรคประชาธิปไตยประชาชนไทย" (พปท.) และมีการเคลื่อนไหวแบบ “ปิดลับที่สุด”
ปัจจุบันพรรคคอมมิวนิสต์ยังมีอยู่ โดยยังมีการจัดกิจกรรมของอดีตสมาชิกพรรคและนักรบ ตลอดจนมีความพยายามจดทะเบียนชื่อพรรคการเมือง แต่ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้งปฏิเสธโดยอ้างเหตุผลว่าคอมมิวนิสต์เป็น "ระบอบการปกครอง" ที่เป็นปรปักษ์กับประชาธิปไตย
== รายชื่อเลขาธิการพรรค ==
รายชื่อเลขาธิการพรรค เรียงตามวาระที่ได้ดำรงตำแหน่ง โดยการเลือกเลขาธิการพรรคนั้น จะกระทำในที่ประชุมสมัชชา พคท. แต่ละครั้ง
พ.ศ. 2485 - พิชิต ณ สุโขทัย (จูโซ่วลิ้ม, พายัพ อังคะสิงห์) (แหล่งข้อมูลบางแหล่งไม่เห็นด้วยกับข้อมูลนี้ โดยอ้างว่า ในขณะนั้น นายพิชิตไม่ได้เข้าร่วมประชุมสมัชชาด้วย)
พ.ศ. 2495 - ประสงค์ วงศ์วิวัฒน์ (ทรง นพคุณ)
พ.ศ. 2504 - มิตร สมานันท์ (เจริญ วรรณงาม) ชาวอุดรธานี สำเร็จการศึกษาสาขาวารสารศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมต่อต้านญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ศึกษาต่อที่สถาบันลัทธิมารก์ซเลนินที่กรุงปักกิ่ง และเสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2521
พ.ศ. 2525 - ประชา ธัญญไพบูลย์ (ธง แจ่มศรี) ชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม เข้าร่วมพรรคตั้งแต่อายุ 17 ปี
พ.ศ. 2553 - วิชัย ชูธรรม (สหายเล่าเซ้ง) ได้รับการประกาศให้เป็นเลขาธิการพรรคคนที่ห้าโดยคณะกรรมการกลางพรรค ฝ่ายเสียงข้างมาก นำโดย ไวฑูรย์ สินธุวานิชย์ และวินัย เพิ่มพูนทรัพย์ หลังจากความขัดแย้งทางการเมืองภายในพรรค
== อดีตสมาชิกที่มีชื่อเสียงของพรรค ==
โฮจิมินห์
พโยม จุลานนท์
ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
จิตร ภูมิศักดิ์
อัศนี พลจันทร
ศุภชัย โพธิ์สุ
== ดูเพิ่ม ==
รายชื่อพรรคการเมืองไทย
สถานีเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท.)
การก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย
ลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย
== อ้างอิง ==
คอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
กลุ่มกบฏในประเทศไทย
|
thaiwikipedia
| 1,161 |
โอลิมปิก (แก้ความกำกวม)
|
โอลิมปิก อาจหมายถึง
กีฬาโอลิมปิก - การแข่งขันกีฬาจากผู้เข้าแข่งขันทั่วโลก จัดขึ้นทุก ๆ 4 ปี
โอลิมปิกวิชาการ - การแข่งขันทางวิชาการระดับนานาชาติของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา
สายการบินโอลิมปิกแอร์ไลน์ส (Olympic Airlines) ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติกรีซ (เดิมชื่อ โอลิมปิกแอร์เวย์ส)
อาร์เอ็มเอส โอลิมปิก (RMS Olympic) - เรือพี่น้องของเรือไททานิก (RMS Titanic)
คาบสมุทรโอลิมปิก ในรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
โอลิมปิก แดม - เหมืองแร่ทองแดง, ทอง, เงิน และยูเรเนียม ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย
|
thaiwikipedia
| 1,162 |
ลัทธิมากซ์
|
ลัทธิมากซ์ (Marxism) หรือมักใช้ทับศัพท์ว่า มาร์กซิสม์ เป็นวิธีวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์สังคมวิทยาแบบฝ่ายซ้ายถึงซ้ายจัด ที่ใช้การตีความพัฒนาการทางประวัติศาสตร์แบบวัตถุนิยม ซึ่งเป็นเป็นที่รู้จักในชื่อวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ (historical materialism) เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ทางชนชั้นและความขัดแย้งทางสังคม (social conflict) และใช้มุมมองแบบวิภาษวิธีในการพิจารณาการแปลงสภาพทางสังคม (social transformation) มันถือกำเนิดจากงานเขียนของคาร์ล มาคส์ และฟรีดริช เอ็งเงิลส์ นักปรัชญาชาวเยอรมันสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อเวลาผ่านไปลัทธิมากซ์พัฒนาเป็นหลายแขนงและสำนักคิด ไม่มีทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Marxist philosophy) ทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งที่สมบูรณ์ครบถ้วนและเป็นที่สิ้นสุด
ตามทฤษฎีลัทธิมากซ์ ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นเกิดในสังคมทุนนิยมอันเนื่องจากความขัดกันระหว่างผลประโยชน์ทางวัตถุของชนกรรมาชีพ ประชากรส่วนใหญ่ซึ่งรับค่าจ้างผลิตสินค้าและบริการ กับชนชั้นกระฎุมพี ประชากรส่วนน้อยซึ่งเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและเอาความมั่งคั่งมาจากการจัดสรรมูลค่าส่วนเกิน (กำไร) ที่ชนกรรมาชีพผลิต การต่อสู้ระหว่างชนชั้นนี้ซึ่งมักแสดงออกมาเป็นการกบฏของพลังการผลิตของสังคม (productive forces) ต่อความสัมพันธ์การผลิตของสังคม (relations of production) ส่งผลให้เกิดวิกฤติระยะสั้นเมื่อชนชั้นกระฎุมพีประสบความลำบากในการจัดการความแปลกแยกของแรงงาน (Marx's theory of alienation) ที่ทวีความรุนแรงขึ้นของชนกรรมาชีพ วิกฤตนี้จะลงเอยด้วยการปฏิวัติของชนกรรมาชีพและการสถาปนาสังคมนิยม ซึ่งเป็นระบบทางสังคมและเศรษฐกิจที่ให้สังคมเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตที่กระจายให้แต่ละคนตามการมีส่วนร่วม และการผลิตที่จัดระเบียบโดยตรงสำหรับการใช้สอย เมื่อพลังการผลิตก้าวหน้าขึ้น มาคส์ตั้งสมมติฐานว่าสังคมนิยมในท้ายที่สุดจะแปลงเป็นสังคมคอมมิวนิสต์
สำนักคิดต่าง ๆ นอกจากจะเน้นและดัดแปลงแง่มุมบางอย่างของลัทธิมากซ์คลาสสิก (classical marxism) แล้ว แนวคิดแนวมากซ์ถูกนำไปรวมและปรับใช้ในหลากหลายทฤษฎีทางสังคม (social theory) ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุปที่แตกต่างหลากหลาย พร้อมกับบทวิพากษ์ทางเศรษฐศาสตร์การเมือง (critique of political economy) ของมากซ์ ลักษณะต่าง ๆ ที่ให้นิยามลัทธิมากซ์มักถูกเรียกในชื่อวัตถุนิยมวิภาษวิธี (dialectical materialism) และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ทว่าศัพท์เหล่านี้ถูกบัญญัติขึ้นหลังมาคส์เสียชีวิตแล้ว และหลักการของมันถูกตั้งคำถามจากผู้ที่ระบุตนว่าเป็นมาร์กซิสต์บางคน
ลัทธิมากซ์ได้สร้างผลกระทบต่อวงการวิชาการทั่วโลกอย่างลุ่มลึก และส่งอิทธิพลต่อหลากหลายสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นมานุษยวิทยา, โบราณคดี (Marxist archaeology), ทฤษฎีศิลปะ (Marxist aesthetics), อาชญาวิทยา (Marxist criminology), วัฒนธรรมศึกษา (cultural studies), เศรษฐศาสตร์, การศึกษา, จริยศาสตร์ (Marxist ethics), ทฤษฎีภาพยนตร์ (Marxist film theory), ภูมิศาสตร์ (geography), ประวัติศาสตร์นิพนธ์ (Marxist historiography), วรรณคดีวิจารณ์ (Marxist literary criticism), สื่อมวลชนศึกษา (media studies), ปรัชญา, รัฐศาสตร์, เศรษฐศาสตร์การเมือง, จิตวิทยา (Freudo-Marxism), วิทยาศาสตร์ศึกษา (science studies), สังคมวิทยา (Marxist sociology), การผังเมืองและการละคร
== ภาพรวม ==
ลัทธิมากซ์พยายามอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม (social phenomena) ภายในสังคมใด ๆ ด้วยการวิเคราะห์วัตถุสภาพและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จำเป็นในการสนองความต้องการเชิงวัตถุของมนุษย์ แนวคิดนี้สันนิษฐานว่ารูปแบบของการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจ หรือวิถีการผลิต ส่งอิทธิพลต่อปรากฏการณ์ทางสังคมอื่น ๆ ทั้งมวล รวมทั้งความสัมพันธ์ทางสังคมที่กว้างกว่า สถาบันทางการเมือง ระบบกฎหมาย ระบบวัฒนธรรม สุนทรียภาพ และอุดมการณ์ ความสัมพันธ์ทางสังคมเหล่านี้และระบบเศรษฐกิจประกอบกันเป็นฐานและโครงสร้างส่วนบน เมื่อพลังการผลิต (กล่าวคือเทคโนโลยี) พัฒนายิ่งขึ้น รูปแบบการจัดระเบียบการผลิตอย่างที่ดำรงอยู่จะล้าสมัยและขัดขวางการพัฒนาก้าวหน้า คาร์ล มาคส์ เขียนไว้ว่า "ที่ขั้นของการพัฒนาขั้นหนึ่ง พลังการผลิตเชิงวัตถุของสังคมจะขัดแย้งกับความสัมพันธ์การผลิตที่ดำรงอยู่ หรือ นี่จะกล่าวแต่เพียงสิ่งเดียวกันแต่ด้วยศัพท์ทางกฎหมาย กับความสัมพันธ์ของทรัพย์สินภายในกรอบที่พวกมันได้ดำเนินการมาจนบัดนี้ จากรูปแบบต่าง ๆ ของการพัฒนาของพลังการผลิต ความสัมพันธ์เหล่านี้กลายเป็นพันธนาการของพวกมัน จากนั้นยุคสมัยของการปฏิวัติทางสังคม (social revolution) จึงเริ่มต้น"
ความไร้ประสิทธิภาพดังกล่าวจะปรากฏตัวเป็นความขัดแย้งทางสังคมภายในสังคม จากนั้นจึงชิงชัยกันในระดับของการต่อสู้ระหว่างชนชั้น การต่อสู้อันนี้ภายในวิถีการผลิตแบบทุนนิยมปรากฏตัวเป็นการต่อสู้ระหว่างชนกลุ่มน้อยผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต (ชนชั้นกระฎุมพี) กับส่วนใหญ่ของประชากรซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการ (ชนกรรมาชีพ) มาร์กซิสต์เริ่มต้นการอนุมานด้วยข้อตั้งว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (social change) เกิดขึ้นจากการต่อสู้ระหว่างชนชั้นต่าง ๆ ภายในสังคมซึ่งมีความขัดแย้งกัน แล้วสรุปว่า ในเมื่อทุนนิยมขูดรีดและกดขี่ชนกรรมาชีพ ดังนั้นทุนนิยมจะนำไปสู่การปฏิวัติของชนกรรมาชีพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทรัพย์สินส่วนบุคคลในฐานะปัจจัยการผลิตจะถูกแทนที่ด้วยการถือกรรมสิทธิ์แบบสหกรณ์ในสังคมสังคมนิยม เศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (Socialist economics) จะไม่มีพื้นฐานการผลิตเป็นการสร้างผลกำไรของเอกชน แต่เป็นการสนองต่อความต้องการของมนุษย์ กล่าวได้ว่าคือการผลิตเพื่อการใช้สอย (production for use) ฟรีดริช เอ็งเงิลส์ อธิบายไว้ว่า "วิถีการถือเอาแบบทุนนิยมที่ผลผลิตเป็นนายทาสของผู้ผลิตแล้วก็ของผู้ถือเอา จะถูกแทนที่ด้วยวิถีการถือเอาผลผลิตซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนธรรมชาติของปัจจัยการผลิตสมัยใหม่ ในมือหนึ่ง การถือเอาของสังคมโดยตรงให้เป็นปัจจัยในการบำรุงรักษาและการขยายตัวการผลิต และในอีกมือหนึ่ง การถือเอาของปัจเจกชนโดยตรงให้เป็นปัจจัยในการยังชีพและการเสวยสุข"
เศรษฐศาสตร์สำนักมากซ์และผู้สนับสนุนมองว่าทุนนิยมไม่มีความยั่งยืนในทางเศรษฐกิจ (economic stability) และไม่สามารถพัฒนามาตรฐานการครองชีพ (Standard of living) ของประชากรได้ เพราะต้องชดเชยอัตรากำไรที่ลดลง (Tendency of the rate of profit to fall) ด้วยการลดค่าจ้างและสวัสดิการ (Welfare) ของลูกจ้างและต้องรุกรานทางการทหารในขณะเดียวกัน และมองว่าวิถีการผลิตแบบสังคมนิยม (socialist mode of production) จะรับช่วงต่อทุนนิยมเป็นวิถีการผลิตของมนุษย์ผ่านการปฏิวัติโดยกรรมาชีพ ทฤษฎีภาวะวิกฤติแนวมากซ์เชื่อว่าสังคมนิยมไม่เพียงแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นความจำเป็นทางเศรษฐกิจด้วย
=== ศัพทมูลวิทยา ===
คำว่า Marxism (ลัทธิมากซ์) เป็นที่รู้จักจาก คาร์ล เคาท์สกี (Karl Kautsky) ซึ่งนับว่าตนเองเป็น orthodox Marxist (มาร์กซิสต์แบบเดิม) ในช่วงที่มีความขัดแย้งระหว่างผู้ติดตามมาคส์แบบเดิมกับแบบลัทธิแก้ เอดูอาร์ท แบร์นชไตน์ คู่แข่งลัทธิแก้ของเคาท์สกีต่อมาก็นำคำนี้มาใช้
เอ็งเงิลส์ไม่สนับสนุนให้ใช้คำว่า Marxism ในการเรียกมุมมองของเขาหรือของมาคส์ก็ตาม เขากล่าวว่าคำนี้ถูกใช้ในทางที่ผิดเป็นคำขยาย (Grammatical modifier) เชิงวาทกรรมของพวกที่พยายามอ้างว่าตนเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของมาคส์ และแปะป้ายคนอื่น ๆ ด้วยคำอื่นอย่าง Lassallians (ลัทธิลาซาล) ใน ค.ศ. 1882 เอ็งเงิลส์กล่าวว่ามาคส์วิจารณ์ ปอล ลาฟาร์ก (Paul Lafargue) ลูกเขยของมาคส์ที่เรียกตนว่าเป็นมาร์กซิสต์ว่า หากมุมมองของลาฟาร์กคือมาร์กซิสต์ อย่างนั้นแล้ว "สิ่งหนึ่งนั้นแน่นอนคือตัวฉันเองไม่ได้เป็นมาร์กซิสต์" (ce qu'il y a de certain c'est que moi, je ne suis pas Marxiste)
=== วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ===
ลัทธิมากซ์ใช้ระเบียบวิธีแบบวัตถุนิยม ที่มาคส์และเอ็งเงิลส์เรียกว่าการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์แบบวัตถุนิยม และในภายหลังเป็นที่รู้จักในชื่อวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ เพื่อวิเคราะห์เหตุเบื้องหลังของพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากมุมมองของวิธีการส่วนรวมที่มนุษย์ใช้ยังชีพตนเอง คำอธิบายของมาคส์เกี่ยวกับทฤษฎีนี้มีอยู่ในงานเขียนของเขา The German Ideology (ค.ศ. 1845) และในคำนำของ A Contribution to the Critique of Political Economy (ค.ศ. 1859) ลักษณะต่าง ๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสังคมทั้งหลาย (ชนชั้นทางสังคม พีระมิดการเมือง และอุดมการณ์) ถูกสันนิษฐานว่าถือกำเนิดขึ้นมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งสองคือสิ่งที่เรียกว่าฐานและโครงสร้างส่วนบน (base and superstructure) อุปลักษณ์ว่าด้วยฐานและโครงสร้างส่วนบนนี้เป็นการอธิบายถึงความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งหมดที่มนุษย์ใช้ในการผลิตและการผลิตซ้ำการดำรงอยู่ทางสังคมของตน มาคส์กล่าวว่า "ผลรวมของพลังการผลิตทั้งหมดที่เข้าถึงมือมนุษย์เป็นตัวที่กำหนดสภาพของสังคม" และคือฐานทางเศรษฐกิจของสังคม
ฐานนั้นประกอบไปด้วยพลังการผลิตเชิงวัตถุ อาทิแรงงาน (means of labor) ปัจจัยการผลิต และความสัมพันธ์การผลิต กล่าวคือการจัดระเบียบทางสังคมและการเมืองที่ควบคุมการผลิตและการกระจาย โครงสร้างส่วนบนซึ่งงอกออกมาจากฐานนี้คือ "จิตสำนึกทางสังคม (social consciousness) ในรูปแบบต่าง ๆ" ทางกฎหมายและการเมือง ซึ่งได้สภาวะต่าง ๆ ทั้งโครงสร้างส่วนบนและอุดมการณ์หลัก (dominant ideology) ของสังคมมาจากฐานทางเศรษฐกิจนั้นเอง ความขัดแย้งระหว่างการพัฒนาพลังการผลิตเชิงวัตถุกับความสัมพันธ์การผลิตจะกระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติสังคม โดยที่การเปลี่ยนแปลงของฐานทางเศรษฐกิจจะนำไปสู่การแปลงสภาพทางสังคมของโครงสร้างส่วนบน
ความสัมพันธ์นี้เป็นแบบสะท้อน โดยเริ่มแรกฐานจะให้กำเนิดแก่โครงสร้างส่วนบน และคงตนไว้เป็นพื้นฐานของการจัดระเบียบทางสังคม (social organization) รูปแบบหนึ่ง ระเบียบสังคมที่ก่อร่างขึ้นใหม่เหล่านั้นก็ส่งผลต่อทั้งส่วนฐานและส่วนโครงสร้างส่วนบน ดังนั้นแทนที่จะสถิตย์นิ่ง ความสัมพันธ์เป็นแบบวิภาษ ซึ่งแสดงออกมาและขับเคลื่อนโดยความขัดแย้งและความย้อนแย้ง เอ็งเงิลส์อธิบายว่า "ประวัติศาสตร์ของสังคมที่ดำรงอยู่ตราบจนบัดนี้ทั้งสิ้นคือประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ระหว่างชนชั้น เสรีชนกับทาส แพทริเซียนกับเพลเบียน (Plebeians) เจ้าที่ดินกับข้าที่ดิน นายสมาคมช่าง (guild) กับนายช่าง (journeyman) กล่าวคือผู้กดขี่กับผู้ถูกกดขี่ (Oppressors–oppressed distinction) เผชิญหน้ากันในความขัดแย้งระหว่างกันเป็นนิตย์ ซึ่งดำเนินไปโดยไร้ซึ่งอุปสรรค บ้างซ่อนเร้นไว้ บ้างออกมาสู้กัน การต่อสู้ซึ่งเมื่อสิ้นสุดลงแล้วจะลงเอยด้วยการปฏิวัติประกอบร่างสังคมทั้งมวลขึ้นใหม่ หรือการล่มสลายร่วมกันของชนชั้นชิงชัย"
มาคส์พิจารณาว่าความขัดแย้งทางชนชั้นที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นแรงขับเคลื่อนของประวัติศาสตร์มนุษย์ ดังเช่นความขัดแย้งที่ได้ปรากฏเป็นจริงในรูปของระยะเปลี่ยนผ่าน (Transition economy) ของการพัฒนาที่เด่นชัดในยุโรปตะวันตก เอ็งเงิลส์อธิบายความคิดเรื่องวิวัฒนาการของสังคมในความคิดของมาคส์ว่า สังคมมีวิวัฒนาการด้วยกัน 6 ขั้น โดย 4 ขั้นแรกของพัฒนาการของความสัมพันธ์ทางการผลิตในประวัติศาสตร์ของมนุษย์คือ:
สังคมคอมมิวนิสต์โบราณ (primitive communism): เป็นสังคมชนเผ่า (tribe) ที่มีลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
สังคมทาส: เป็นสังคมซึ่งวิวัฒนาการจากชนเผ่ากลายเป็นนครรัฐ บ่อเกิดของระบอบอภิชนาธิปไตย
สังคมศักดินา: เป็นสังคมซึ่งมีเจ้าขุนมูลนายเป็นชนชั้นปกครอง และพ่อค้าวิวัฒนาการกลายเป็นกระฎุมพี
สังคมทุนนิยม: เป็นสังคมซึ่งมีนายทุนเป็นชนชั้นปกครอง เป็นผู้สร้างและเป็นนายจ้างของชนกรรมาชีพ
แม้ว่าวัตถุนิยมประวัติศาสตร์จะถูกเรียกว่าเป็นทฤษฎีประวัติศาสตร์แบบวัตถุนิยม แต่มาคส์ไม่เคยอ้างว่าเขาได้สร้างกุญแจผีไว้ไขประวัติศาสตร์ขึ้นมา และการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์แบบวัตถุนิยมไม่ได้เป็น "ทฤษฎีเชิงประวัติศาสตร์-ปรัชญาเกี่ยวกับวิถีทั่วไปที่ผู้คนทั้งมวลถูกโชคชะตาบีบบังคับ โดยไม่สนถึงพฤติการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่พวกเขาประสบพบเจอเลย" ในจดหมายถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รัสเซีย Otetchestvennye Zapiskym (ค.ศ. 1877) เขาอธิบายว่าแนวคิดของเขามีพื้นฐานอยู่บนการศึกษาสภาพความเป็นจริงในยุโรปอย่างเป็นรูปธรรม
===การวิพากษ์ทุนนิยม===
อิทธิพลของจิตนิยมเยอรมันเห็นได้จากแนวคิดเรื่องความแปลกแยก ซึ่งมาคส์รับมาจาก Phenomenology of Spirit (ค.ศ. 1807) ของเฮเกิลและ The Essence of Christianity (ค.ศ. 1841) ของฟ็อยเออร์บัค ใน ค.ศ. 1844 ผ่านหนังสือของเขาชื่อ "ต้นฉบับทางเศรษฐศาสตร์และปรัชญาจากปี 1844" (Economics and Philosophical Manuscript 1844)" มาคส์ระบุถึงความแปลกแยก 4 ชนิดที่เกิดขึ้นกับกรรมกรที่ทำงานอยู่ในระบบการผลิตแบบทุนนิยม อันได้แก่:
ความแปลกแยกจากผลผลิตของแรงงานของเขาเอง
ความแปลกแยกจากขั้นตอนการผลิต
ความแปลกแยกจากสารัตถะสปีชีส์ (Gattungswesen) หรือธรรมชาติของมนุษย์
ความแปลกแยกจากมนุษย์ด้วยกันเอง
มากซ์วิเคราะห์ว่าอัตรามูลค่าส่วนเกิน (หรือกำไร) คือระดับของการขูดรีดพลังแรงงานโดยทุน หรือการขูดรีดคนงานโดยนายทุน มากซ์เริ่มการวิเคราะห์โดยการสมมุติว่าไม่มีการขูดรีดอยู่เลย การซื้อขายสินค้าทำที่มูลค่าของมันที่มากซ์กล่าวว่าวัดได้ด้วยเวลาแรงงานนามธรรมอันจำเป็นทางสังคม (Socially necessary labour time) ในการผลิตมันขึ้นมา เช่นหากจำเป็นต้องใช้แรงงานนามธรรมห้าชั่วโมงในการผลิตผลไม้หนึ่งลัง และสองชั่วโมงครึ่งในการผลิตเสื้อหนึ่งตัว เราจะสามารถแลกเปลี่ยนเสื้อสองตัวได้ผลไม้หนึ่งลัง มาคส์กล่าวว่านายทุนซื้อสินค้าที่เรียกว่าพลังแรงงาน (Labour power) จากคนงานที่มูลค่าแลกเปลี่ยน (Exchange value) ของมันในรูปของค่าจ้าง ซึ่งเป็นมูลค่าที่เพียงพอให้คนงานสามารถแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่น ๆ เพื่อยังชีพได้ เช่นอาหารมูลค่าเท่ากับแรงงานนามธรรมห้าชั่วโมง และเมื่อซื้อไปแล้ว นายทุนจึงเป็นเจ้าของพลังแรงงานนั้นในระหว่างเวลาทำงาน และทำให้มูลค่าใช้สอย (Use value) ของพลังแรงงานแปลกแยกออกจากตัวคนงาน
นายทุนบริโภคมูลค่าใช้สอยของพลังแรงงานที่ซื้อมาด้วยการให้คนงานทำงานเป็นเวลาสิบชั่วโมงเป็นต้น มูลค่าที่คนงานผลิตทั้งหมดสิบชั่วโมงจึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นค่าจ้างห้าชั่วโมงและส่วนที่เป็นมูลค่าส่วนเกินอีกห้าชั่วโมงที่ได้มาจากการใช้มูลค่าใช้สอยของพลังแรงงานซึ่งตกเป็นของนายทุน ผลคือคนงานกลับต้องทำงานปริมาณมากกว่าที่จำเป็นสำหรับการยังชีพ และนายทุนกลับได้รับมูลค่าส่วนเกินมาโดยไม่ต้องทำอะไรนอกจากเพียงแค่การบริโภคสินค้าที่มาคส์เรียกว่าพลังแรงงาน มาคส์สรุปว่านายทุนได้รับผลผลิตของแรงงานคนอื่นโดยไม่ต้องให้อะไรตอบแทนเขา ในตัวอย่างดังที่กล่าวมาแล้วคือแรงงานที่ไม่ได้จ่ายไปปริมาณห้าชั่วโมง กล่าวคือ นายทุนขูดรีดแรงงาน ทฤษฎีมากซิสต์นี้อ้างว่าที่นายทุนได้รางวัล (หรือมูลค่าส่วนเกินในรูปของ "กำไร") ไม่ใช่เพราะเขาปล้นหรือหลอกลวงคนงาน และไม่ใช่เพราะเขายอมรับความเสี่ยง เป็นเจ้าของสินทรัพย์ อดเปรี้ยวกินหวาน ทำธุรกิจ หรือทำงานหนัก แต่เพียงแค่เพราะเขาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถบริโภคพลังแรงงานของคนงาน จึงได้รับมูลค่าของมันและมูลค่าใช้สอยในการสร้างมูลค่าส่วนเกินขึ้นมา
จากการวิเคราะห์เรื่องการขูดรีดแรงงานของมาคส์ ชนชั้นนายทุนจึงต้องพัฒนาเครื่องมือและวิธีการผลิตให้ก้าวหน้าขึ้นตลอดเวลา ต้องขยายตลาดสินค้า แหล่งวัตถุดิบและกิจการไปทั่วโลก การผลิตแบบทุนนิยมนี้ได้ทำให้เกิดความปั่นป่วนและวิกฤตทางเศรษฐกิจแบบวัฏจักร นั่นคือการผลิตล้นเกินท่ามกลางโลกที่อดอยากขาดแคลน เพื่อแก้ไขวิกฤตการผลิตล้นเกินและรักษาราคาของผลผลิตให้สูงกว่าต้นทุน จึงต้องทำลายผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาด พยายามขยายตลาดใหม่และใช้ตลาดเก่าให้เป็นประโยชน์ ซึ่งผลสุดท้ายก็จะนำไปสู่วิกฤตรอบด้านที่รุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้ความขัดแย้งทางชนชั้นในสังคมรุนแรงขึ้นจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมในที่สุด จากปรากฏการณ์ดังกล่าว มาคส์เห็นว่า สิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในสังคมทุนนิยมเป็นจริงเฉพาะกับผู้ที่มีทรัพย์สิน ไม่ใช่สำหรับกรรมาชีพและคนยากจน การที่มนุษย์ถูกทำให้ยอมรับว่ามีความรวยหรือความจนนั้นมาคส์เรียกว่าจิตสำนึกหลอกลวงและจอมปลอม (False Conciousness)
จิตสำนึกหลอกลวงและจอมปลอมกำหนดพฤติกรรมในสังคมมนุษย์ให้ถูกครอบงำโดยปัจจัยในการผลิต คือ ทุน เครื่องมือ และที่ดิน ที่สำคัญคือ แรงงานเป็นตัวกำหนด และผลักดัน ซึ่งส่งผลให้เกิดชนชั้นทางสังคม มากซ์เรียกความคิดเหล่านี้ว่า "วัตถุนิยมประวัติศาสตร์" (historical materialism) โดยมีตรรกะดังนี้
ทุกสิ่งเป็นไปตามกฎของวิภาษวิธีของเฮเกิล ดังนั้น
ทุกสิ่งย่อมมีการสูญสลาย และย่อมมีสิ่งเกิดใหม่ ประวัติศาสตร์ของสังคมเป็นวิวัฒนาการของการต่อสู้ทางชนชั้น
การเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ ในเชิงปริมาณ ย่อมก่อให้เกิดคุณภาพ ในทางวัตถุ คือ สภาวะ ในทางสังคม คือการปฏิวัติ
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกฎ 3 ข้อ ข้างต้น
มนุษย์ที่สมบูรณ์ (ในสังคมคอมมิวนิสต์) คือผู้ที่มีจิตสำนึกต่อสังคม เพราะได้รับการพัฒนา และวิวัฒนาการทางความคิด และวัตถุมาอย่างยาวนาน
อ้างอิงตามวลาดีมีร์ เลนิน "เนื้อหาหลักของลัทธิมากซ์" คือ "หลักเศรษฐศาสตร์ของมาคส์" มาคส์อธิบายถึงคำกล่าวอ้างของนายทุนกระฎุมพีและนักเศรษฐศาสตร์ของพวกเขาที่ "ผลประโยชน์ของทุนเป็นสิ่งเดียวกันกับผลประโยชน์ของคนทำงาน" ว่าเป็นคำโกหก เขาเชื่อว่าพวกเขาทำเช่นนั้นโดยการอ้างว่า "การเติบโตของทุนในการผลิตอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้" เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับทั้งนายทุนที่ร่ำรวยและกรรมกรคนงานเพราะเป็นการสร้างการจ้างงานให้พวกเขา
นอกจากการวิพากษ์วิจารณ์ มาคส์กล่าวถึงผลลัพธ์บางประการของทุนนิยมโดยกล่าวว่ามัน "ได้สร้างพลังการผลิตในระดับมหาศาลและใหญ่โตยิ่งกว่าในยุคสมัยก่อนยุคใด ๆ ทั้งสิ้น" และ "ได้ยุติระเบียบแบบศักดินาและปิตาธิปไตยทั้งมวล"
=== ชนชั้นทางสังคม ===
มาคส์จัดแบ่งชนชั้นทางสังคมด้วยเกณฑ์สองข้อ การถือครองปัจจัยการผลิตกับการควบคุมเหนือพลังแรงงานของคนอื่น ตามเกณฑ์การแบ่งชนชั้นตามความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินดังกล่าวนี้ มาคส์ระบุกลุ่มสังคมภายในการจัดช่วงชั้นทางสังคมของวิถีการผลิตแบบทุนนิยมไว้ดังต่อไปนี้:
ชนกรรมาชีพ: "ชนชั้นของผู้ใช้แรงงานรับจ้างสมัยใหม่ ผู้ที่ไม่ถือครองปัจจัยการผลิตของตน และถูกลดทอนจนต้องขายพลังแรงงานของตนเพื่อยังชีพ" วิถีการผลิตแบบทุนนิยมสร้างเงื่อนไขที่ทำให้ชนชั้นกระฎุมพีสามารถขูดรีดชนกรรมาชีพได้ โดยที่แรงงานของกรรมกรคนงานผลิตมูลค่าส่วนเกินที่มากกว่าค่าจ้างของเขาเอง
* ลุมเพินโพรเลทารีอาท (Lumpenproletariat): คนนอกคอกในสังคม อาทิอาชญากร คนเร่ร่อน (vagrancy) คนขอทาน (begging) หรือคนค้าประเวณีซึ่งไม่มีสำนึกทางการเมือง (political consciousness) หรือชนชั้น (class consciousness) ในเมื่อไม่สนใจในกิจการทางเศรษฐกิจระดับประเทศหรือแม้แต่ระหว่างประเทศ มากซ์อ้างว่าช่วงชั้นย่อยของชนกรรมาชีพนี้จะไม่มีบทบาทในการปฏิวัติทางสังคมที่จะมาถึง
ชนชั้นกระฎุมพี: "ชนชั้นของนายทุนสมัยใหม่ ผู้ถือครองปัจจัยการผลิตทางสังคมและนายจ้างของแรงงานรับจ้าง" และดังนั้นคือผู้ขูดรีดชนกรรมาชีพ กลุ่มนี้ถูกแบ่งย่อยเป็นชนชั้นกระฎุมพีกับชนชั้นกระฎุมพีน้อย
* ชนชั้นกระฎุมพีน้อย (Petite bourgeoisie): ผู้ที่ทำงานและสามารถซื้อพลังแรงงานได้เล็กน้อย (อาทิเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก (Small business) ชาวไร่ชาวนา เจ้าของที่ดิน และกรรมกรฝีมือ) ลัทธิมากซ์คาดการณ์ว่าการประดิษฐ์ปัจจัยการผลิตขึ้นใหม่อยู่อย่างสม่ำเสมอจะทำลายชนชั้นกระฎุมพีน้อยไปในที่สุด และลดทอนพวกเขาจากชนชั้นกลางกลายเป็นชนกรรมาชีพ
เจ้าที่ดิน: ชนชั้นทางสังคมซึ่งมีความสำคัญในประวัติศาสตร์ที่ยังคงถือความมั่งคั่งและอำนาจบางส่วนไว้
ชาวไร่ชาวนา: ชนชั้นที่กระจัดกระจายและไม่สามารถจัดตั้งและส่งผลสร้างความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม (socioeconomics) ส่วนใหญ่จะกลายเป็นชนกรรมาชีพและบางส่วนจะกลายเป็นเจ้าของที่ดิน
สำนึกทางชนชั้นหมายถึงการที่ชนชั้นทางสังคมตระหนักรู้ถึงตนเองและโลกทางสังคม และความสามารถที่จะกระทำอย่างเป็นเหตุผลเพื่อประโยชน์สูงสุดของตน สำนึกทางชนชั้นเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่ชนชั้นทางสังคมจะสามารถปฏิวัติได้โดยสำเร็จและจากนั้นจึงสามารถจัดตั้งเผด็จการโดยชนกรรมาชีพ
มาคส์ไม่ได้ให้นิยามคำว่า อุดมการณ์ แต่ใช้คำนี้เพื่ออธิบายถึงการผลิตจินตภาพของความเป็นจริงทางสังคม เอ็งเงิลส์กล่าวว่า "อุดมการณ์เป็นกระบวนการซึ่งผู้ที่เรียกกันว่านักคิดได้กระทำไปโดยจิตสำนึก ถูกต้อง แต่เป็นจิตสำนึกจอมปลอม เขายังคงไม่รู้ว่าอะไรกันคือแรงจูงใจที่แท้จริงที่กระตุ้นเขา ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เป็นกระบวนการทางอุดมการณ์เลย ฉะนั้นเขาจินตนาการถึงแรงจูงใจที่จอมปลอมหรือประหนึ่งเป็นมัน"
เพราะชนชั้นปกครองควบคุมปัจจัยการผลิตของสังคม โครงสร้างส่วนบนของสังคม (กล่าวคือความคิดครอบงำของสังคม) จึงถูกกำหนดโดยผลประโยชน์สูงสุดของชนชั้นปกครอง มาคส์กล่าวใน The German Ideology ว่า "ความคิดของชนชั้นปกครองคือความคิดครอบงำในทุก ๆ ยุคสมัย กล่าวคือชนชั้นซึ่งเป็นพลังเชิงวัตถุที่ครอบงำในสังคมนั้น ในเวลาเดียวกันก็เป็นพลังทางปัญญาที่ครอบงำ"
แรงจูงใจของกำไร (profit motive) จะถูกกำจัดไปด้วยการถือครองปัจจัยการผลิตโดยส่วนรวม (common ownership) และถูกแทนที่ด้วยแรงจูงใจของการสานต่อความเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์ ชนชั้นของผู้ผลิตกับผู้ถือเอาจะหายไปเพราะมูลค่าส่วนเกินที่กรรมกรผลิตจะกลายเป็นทรัพย์สินของสังคมโดยรวม และในเมื่อรัฐถือกำเนิดจากคณะของข้าบริพารที่ชนชั้นปกครองกลุ่มแรกจ้างวานมาเพื่อปกป้องอภิสิทธิ์ทางเศรษฐกิจของพวกเขา มันจะเหือดหายไป (Withering away of the state) เมื่อเงื่อนไขที่ทำให้มันดำรงอยู่หายสาบสูญไป
=== ลัทธิคอมมิวนิสต์ การปฏิวัติ และสังคมนิยม ===
อ้างอิงตาม The Oxford Handbook of Karl Marx มาคส์ใช้ศัพท์หลายแบบเรียกสังคมยุคหลังทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็น "positive humanism" สังคมนิยม คอมมิวนิสม์ "realm of free individuality" สมาคมอิสระของผู้ผลิต ฯลฯ เขาใช้ศัพท์เหล่านี้สลับทดแทนกันได้โดยสิ้นเชิง แนวคิดที่กล่าวว่า "สังคมนิยม" กับ "คอมมิวนิสม์" เป็นขั้นของการพัฒนาที่ต่างกันเป็นสิ่งที่ไม่พบเห็นในงานเขียนของเขา และปรากฏอยู่ในคลังศัพท์ของลัทธิมากซ์ภายหลังเขาเสียชีวิตแล้วเท่านั้น
เอ็งเงิลส์อธิบายความคิดเรื่องวิวัฒนาการของสังคมในความคิดของมาคส์ว่า สังคมมีวิวัฒนาการด้วยกัน 6 ขั้น โดย 2 ขั้นถัดจากทุนนิยมคือ:
สังคมสังคมนิยม: เป็นวิวัฒนาการที่เกิดจากการปฏิวัติทางสังคมของชนกรรมาชีพที่ถูกขูดรีดให้กลายมาเป็นผู้ปกครองแบบ " เผด็จการโดยชนกรรมาชีพ" (Dictatorship of the proletariat) และมีการพิจารณาวิถีการผลิตแบบใหม่เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่วิวัฒนาการขั้นสุดท้าย
สังคมคอมมิวนิสต์: เป็นวิวัฒนาการทางสังคมขั้นสูงสุดของมนุษย์ ที่สังคมสามารถกระจายรายได้อย่างเท่าเทียมกัน เป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น มนุษย์ทุกคนสามารถใช้ชีวิตตามใจปรารถนา โดยมีเพียงความรับผิดชอบต่อตนเองและชุมชนโดยรวม
อ้างอิงตามทฤษฎีลัทธิมากซ์แบบเดิม (orthodox Marxist) การล้มล้างระบอบทุนนิยมด้วยการปฏิวัติสังคมนิยมในสังคมปัจจุบันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความหลีกเลี่ยงไม่ได้ของการปฏิวัติสังคมนิยมที่จะมาถึงเป็นหัวข้อถกเถียงระหว่างหลายสำนักคิดของลัทธิมากซ์ แต่มาร์กซิสต์ทุกคนเชื่อว่าสังคมนิยมเป็นเรื่องจำเป็น มาร์กซิสต์อ้างว่าสำหรับประชากรส่วนใหญ่สังคมสังคมนิยมเป็นสิ่งที่ดีกว่าสังคมทุนนิยม วลาดีมีร์ เลนิน เขียนไว้ก่อนการปฏิวัติรัสเซียว่า "การทำให้การผลิตกลายเป็นของสังคม (social ownership) จะนำมาสู่การแปลงปัจจัยการผลิตกลายเป็นทรัพย์สินของสังคม ... การแปลงนี้จะส่งผลโดยตรงให้เกิดผลิตภาพของแรงงานเพิ่มขึ้นอย่างมโหฬาร เวลาทำงานที่ลดลง และการแทนที่เศษเดน ซากของการผลิตที่มีขนาดเล็ก โบราณ และแตกแยกกัน ด้วยแรงงานแบบรวมหมู่ที่ดีขึ้น" ความล้มเหลวของการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1905 พร้อมกับความล้มเหลวของขบวนการสังคมนิยมที่ไม่สามารถต้านทานการอุบัติของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้ นำมาสู่ความพยายามทางทฤษฎีและการมีส่วนร่วมเป็นสำคัญจากเลนินและโรซา ลุคเซิมบวร์ค ในการตระหนักในทฤษฎีภาวะวิกฤติ (crisis theory) ของมาคส์ และความพยายามในการประกอบร่างของทฤษฎีจักรวรรดินิยม
== ประวัติ ==
=== คาร์ล มาคส์ และฟรีดริช เอ็งเงิลส์ ===
มาคส์ได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากสามแหล่งหลัก ๆ ปรัชญาจิตนิยมเยอรมัน (German idealism) สังคมนิยมฝรั่งเศส (French Left) และเศรษฐศาสตร์การเมืองแบบอังกฤษและสกอตแลนด์ (classical economics) มาคส์สนใจเป็นพิเศษในความแปลกแยกจากพลังแรงงานของตนเองของชนชั้นแรงงาน เขาเขียนถึงประเด็นความแปลกแยกนี้อย่างมาก มาคส์เริ่มต้นด้วยแนวคิดแบบเฮเกิลเรื่องความแปลกแยกและพัฒนามันกลายเป็นแนวคิดที่เป็นวัตถุนิยมยิ่งขึ้น มาคส์วิเคราะห์ประวัติศาสตร์ด้วยการต่อสู้ระหว่างชนชั้น ซึ่งสามารถสรุปได้ด้วยบรรทัดแรก ๆ ของแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (ค.ศ. 1848) ว่า "ประวัติศาสตร์ของสังคมที่ดำรงอยู่ตราบจนบัดนี้ทั้งสิ้นคือประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ระหว่างชนชั้น" มาคส์ยังอธิบายถึงการขูดรีดแรงงาน วิถีการผลิตแบบทุนนิยม และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์
มาคส์และเอ็งเงิลส์ร่วมกันพัฒนาทฤษฎีคอมมิวนิสต์ขึ้นมา ทั้งสองพบกันเป็นครั้งแรกที่สำนักงานของหนังสือพิมพ์ไรนิชเชอไซทุง (Rheinische Zeitung) ที่มาคส์ทำงานอยู่ และพบกันเป็นครั้งที่สองที่ปารีสใน ค.ศ. 1844 นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของทั้งสอง พวกเขาร่วมกันเขียนวิพากษ์แนวคิดของบรูโน เบาเออร์ (Bruno Bauer) และกลุ่มนิยมเฮเกิลรุ่นใหม่ (young hegelians) ในงานชื่อ Die heilige Familie (The Holy Family (book)) ใน ค.ศ. 1845 มาคส์ถูกรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศสในขณะนั้นเนรเทศออกจากประเทศด้วยแรงกดดันจากปรัสเซีย ทั้งสองจึงลี้ภัยไปประเทศเบลเยียมโดยต้องเงื่อนไขว่าจะไม่เผยแพร่งานเขียนที่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองร่วมสมัย ที่นั่น ทั้งสองพร้อมกับเพื่อนสนิทอีกคน ฟีลิป ฌีโก (Philippe Gigot) ได้ก่อตั้ง Kommunistisches Korrespondenz-Komitee (Communist Correspondence Committee "คณะกรรมการสัมพันธ์คอมมิวนิสต์") เพื่อประสานสัมพันธ์คอมมิวนิสต์ในทวีปยุโรป โดยใน ค.ศ. 1846 ได้ก่อตั้งศูนย์ประสานงานในหลายประเทศและเขียนจดหมายเวียนส่งหากัน
ใน ค.ศ. 1847 มาคส์และเอ็งเงิลส์เริ่มเขียนแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ โดยได้รับอิทธิพลจากฉบับร่าง Grundsätze des Kommunismus (The Principles of Communism "หลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์") ของเอ็งเงิลส์ และตีพิมพ์ออกมาใน ค.ศ. 1848 มาคส์และเอ็งเงิลส์เดินทางกลับเยอรมันทันทีภายหลังจากการปฏิวัติเยอรมัน ค.ศ. 1848 เริ่มขึ้น และร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์น็อยเออร์ไรนิชเชอไซทุง (Neue Rheinische Zeitung) ที่เมืองโคโลญกับสมาชิกแนวหน้าของสันนิบาตคอมมิวนิสต์ (communist league) ที่อาศัยอยู่ที่นั่น ในขณะเดียวกัน จากมาตรการใหม่เพื่อขับไล่ฝ่ายซ้ายและนักปฏิวัติออกจากประเทศของคณะรัฐมนตรีที่แต่งตั้งโดยกษัตริย์ฟรีดริช วิลเฮ็ล์มที่ 4 หนังสือพิมพ์น็อยเออร์ไรนิชเชอไซทุงจึงถูกปิด และมาคส์ถูกสั่งให้ออกจากประเทศ มาคส์กลับมาที่ปารีส ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ในเมืองขับไล่เพราะถูกมองว่าเป็นอันตรายทางการเมือง ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1849 เขาจึงลี้ภัยไปที่ลอนดอน
หลังมาคส์เสียชีวิตไปใน ค.ศ. 1883 เอ็งเงิลส์จึงกลายเป็นผู้เรียบเรียงและผู้แปลงานเขียนของมาคส์ งานเขียนของเขา กำเนิดครอบครัว ทรัพย์สินส่วนบุคคล และรัฐ (Origins of the Family, Private Property, and the State) (ค.ศ. 1884) ซึ่งวิเคราะห์ว่าการกดขี่ผู้หญิงโดยผู้ชายนั้นเกิดขึ้นมาพร้อมกับพัฒนาการของการมีคู่สมรสคนเดียว เป็นส่วนสำคัญที่มีต่อทฤษฎีสตรีสิทธินิยม (feminist theory) และสตรีสิทธินิยมแนวมากซ์ (Marxist feminism) และถูกเปรียบเทียบกับการกดขี่ชนชั้นแรงงานโดยชนชั้นนายทุน
=== การปฏิวัติรัสเซียและสหภาพโซเวียต ===
ในการปฏิวัติเดือนตุลาคม ค.ศ. 1917 ฝ่ายบอลเชวิคยึดอำนาจจากรัฐบาลชั่วคราวรัสเซีย พวกบอลเชวิคสถาปนารัฐสังคมนิยม (socialist state) แห่งแรกบนแนวคิดประชาธิปไตยแบบโซเวียตและลัทธิเลนิน รัฐที่เพิ่งก่อตั้งนี้ยุติการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งของรัสเซียและสถาปนารัฐกรรมกรปฏิวัติ (revolutionary worker's state) หลังจากการปฏิวัติเดือนตุลาคม รัฐบาลโซเวียตต่อสู้กับขบวนการขาว และหลายขบวนการเอกราชในสงครามกลางเมืองรัสเซีย ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ นโยบายสังคมนิยมต่าง ๆ และการพัฒนาแนวคิดสังคมนิยมแบบใหม่ ลัทธิมากซ์–เลนิน ได้เกิดขึ้นมา
ใน ค.ศ. 1919 รัฐบาลโซเวียตซึ่งเพิ่งจัดตั้งขึ้นมาได้ก่อตั้งคอมมิวนิสต์อะคาเดมี (Communist Academy) และสถาบันมาคส์-เอ็งเงิลส์-เลนิน (Marx–Engels–Lenin Institute) เพื่อศึกษาหลักการมาร์กซิสต์และเผยแพร่เอกสารวิจัยและอุดมการณ์ของทางการพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อเลนินเสียชีวิตไปใน ค.ศ. 1924 เกิดความขัดแย้งกันภายในขบวนการคอมมิวนิสต์โซเวียต ระหว่างโจเซฟ สตาลินและเลออน ทรอตสกี ในรูปแบบของกลุ่มค้านฝ่ายขวา (right opposition) และกลุ่มค้านฝ่ายซ้าย (left opposition) ตามลำดับ ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นจากการตีความทฤษฎีของมากซ์กับเลนินที่ต่างกันในบริบทขณะนั้นของสหภาพโซเวียต
=== การปฏิวัติคอมมิวนิสต์จีน ===
เมื่อสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สองและสงครามโลกครั้งที่สองโดยกว้างได้สิ้นสุดลง การปฏิวัติคอมมิวนิสต์จีนเกิดขึ้นในบริบทของสงครามกลางเมืองจีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1921 ขัดแย้งกับก๊กมินตั๋งในเรื่องอนาคตของประเทศ ตลอดสงครามกลางเมือง เหมา เจ๋อตง ได้พัฒนาทฤษฎีลัทธิมากซ์ที่เข้ากับบริบทของประวัติศาสตร์จีน เหมามีฐานสนับสนุนในวงกว้างจากชาวนาซึ่งแตกต่างจากการปฏิวัติรัสเซียที่มีฐานสนับสนุนหลักอยู่ในใจกลางเมืองในจักรวรรดิรัสเซีย แนวคิดสำคัญบางข้อจากเหมาเช่น ประชาธิปไตยใหม่ (new Democracy), แนวทางมวลชน (mass line) และสงครามประชาชน สาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ได้รับการสถาปนาขึ้นใน ค.ศ. 1949 รัฐสังคมนิยมแห่งใหม่นี้ตั้งบนฐานความคิดของมาคส์ เอ็งเงิลส์ เลนิน และสตาลิน
นับแต่สตาลินเสียชีวิตจนกระทั่งช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 เกิดความขัดแย้งที่ทวีขึ้นระหว่างประเทศจีนกับสหภาพโซเวียต การล้มล้างอิทธิพลของสตาลินซึ่งเริ่มขึ้นในสมัยของนีกีตา ครุชชอฟ และนโยบายเดต็องต์ถูกมองว่าเป็นลัทธิแก้ (Revisionism (Marxism)) และมาร์กซิสต์ไม่พอ การประชันหน้ากันทางอุดมการณ์นี้ได้เอ่อล้นกลายเป็นวิกฤตที่กว้างขึ้นในระดับโลกแวดล้อมประเด็นหลักว่าชาติใดที่จะเป็นผู้นำขบวนการสังคมนิยมในนานาชาติ
หลังเหมาเสียชีวิตและเติ้ง เสี่ยวผิง ขึ้นสู่อำนาจ ลัทธิเหมาและลัทธิมากซ์ทางการของประเทศจีนได้รับการสังคายนาใหม่ ตัวแบบใหม่นี้เป็นลัทธิมากซ์-เลนินและลัทธิเหมาในรูปพลวัตในประเทศจีน มักถูกเรียกว่าสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน (socialism with Chinese characteristics) แนวทางใหม่นี้มีศูนย์กลางเป็นหลักการพื้นฐานสี่ประการ (Four Cardinal Principles) ของเติ้งซึ่งพยายามค้ำจุนบทบาทหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและค้ำจุนหลักการว่าประเทศจีนยังอยู่ในระบอบสังคมนิยมระยะต้น (primary stage of socialism) ที่ยังกำลังทำงานเพื่อสร้างสังคมคอมมิวนิสต์บนหลักการลัทธิมากซ์
=== ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ===
การปฏิวัติคิวบาเมื่อ ค.ศ. 1959 นำมาซึ่งชัยชนะของฝ่ายฟิเดล กัสโตร และขบวนการ 26 กรกฎาคม แม้ว่าจะไม่ได้ระบุเป็นการปฏิวัติสังคมนิยมอย่างชัดแจ้ง ทว่าเมื่อชนะและขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว กัสโตรนำตัวแบบการพัฒนาสังคมนิยมของลัทธิเลนินมาใช้และร่วมเป็นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียต เช เกบารา นักปฏิวัติมาร์กซิสต์ชาวอาร์เจนตินาหนึ่งในผู้นำของการปฏิวัติครั้งนั้น ต่อมาได้เดินทางไปช่วยเหลือขบวนการปฏิวัติสังคมนิยมในคองโก-กินชาซาและโบลิเวีย โดยในท้ายที่สุดถูกจับและฆ่าโดยหน่วยของ เฟลิกซ์ โรดริเกซ (Felix Rodriguez) เจ้าหน้าที่ซีไอเอชาวคิวบาตามคำสั่งของรัฐบาลโบลิเวีย แม้รัฐบาลสหรัฐมีความต้องการจับเป็นไว้สำหรับการสอบสวนเพิ่มเติม หลังมรณกรรมเขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก
ในสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลลัทธิเหมาได้ดำเนินการปฏิวัติทางวัฒนธรรมตั้งแต่ ค.ศ. 1966 ถึง 1976 เพื่อขจัดล้างสังคมจีนให้สิ้นจากองค์ประกอบของทุนนิยมและเดินหน้าเข้าสู่สังคมนิยม เมื่อเหมา เจ๋อตง เสียชีวิต คู่แข่งของเขาเข้ายึดอำนาจการเมือง และภายใต้การนำของเติ้ง เสี่ยวผิง มีการแก้ไขใหม่หรือละทิ้ง (Boluan Fanzheng) นโยบายสมัยการปฏิวัติทางวัฒนธรรมของเหมาหลายข้อ และการโอนกิจการของรัฐบางส่วนไปเป็นของเอกชน
ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 และช่วงต้น 1990 เกิดการล่มสลายของรัฐสังคมนิยมส่วนใหญ่ซึ่งอ้างอุดมการณ์ลัทธิมากซ์–เลนิน ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 และช่วงต้น 1980 อุดมการณ์ฝ่ายขวาใหม่ (New Right) และทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีสหรัฐโรนัลด์ เรแกน และนายกรัฐมนตรีอังกฤษมาร์กาเรต แทตเชอร์ ได้อุบัติกลายเป็นกระแสอุดมการณ์นำของการเมืองตะวันตกและนำพาให้ชาติตะวันตกมีท่าทีที่แข็งกร้าวยิ่งขึ้นต่อสหภาพโซเวียตและพันธมิตรลัทธิเลนิน ระหว่างนั้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1985 นักปฏิรูปมีฮาอิล กอร์บาชอฟ ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตและพยายามละทิ้งตัวแบบการพัฒนาแบบลัทธิเลนินเพื่อแทนที่ด้วยประชาธิปไตยสังคมนิยม ในท้ายที่สุด การปฏิรูปของกอร์บาชอฟพร้อม ๆ กับประชานิยมชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์ (ethnic nationalism) ที่กำลังเติบโตนำมาสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในช่วงปลาย ค.ศ. 1991 กลายเป็นรัฐชาติต่าง ๆ ทั้งหมดละทิ้งตัวแบบสู่สังคมนิยมแบบลัทธิมากซ์-เลนิน และส่วนใหญ่แปรสภาพเป็นเศรษฐกิจทุนนิยม
=== คริสต์ศตวรรษที่ 21 ===
เมื่อก้าวเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 21 ประเทศที่เป็นระบอบลัทธิมากซ์-เลนินอย่างเป็นทางการหลงเหลืออยู่เพียงประเทศจีน คิวบา ลาว เกาหลีเหนือ และเวียดนาม แต่ในประเทศเนปาลใน ค.ศ. 2008 รัฐบาลลัทธิเหมาซึ่งนำโดยประจัณฑะได้รับเลือกตั้งหลังจากที่เคยต่อสู้แบบกองโจรเป็นเวลายาวนาน
ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 รัฐบาลสังคมนิยมได้รับเลือกตั้งขึ้นมาในหลายประเทศในแถบลาตินอเมริกา จนกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "กระแสสีชมพู" ซึ่งนำโดยรัฐบาลเวเนซุเอลาของอูโก ชาเบซ กระแสนี้ประกอบด้วยการได้รับเลือกตั้งของเอโบ โมราเลส ในโบลิเวีย ราฟาเอล กอร์เรอา ในเอกวาดอร์ และดานิเอล ออร์เตกา ในนิการากัว รัฐบาลสังคมนิยมเหล่านี้หลอมรวมพันธมิตรทางการเมืองและเศรษฐกิจผ่านองค์กรระหว่างประเทศอย่างพันธมิตรโบลิบาร์เพื่อประชาชนอเมริกาของเรา (Bolivarian Alliance for the Peoples of Our America) และสร้างพันธมิตรกับประเทศคิวบาที่เป็นลัทธิมากซ์-เลนิน แม้ไม่มีใครสนับสนุนแนวทางลัทธิสตาลินโดยตรง แต่ส่วนใหญ่ยอมรับว่าได้รับอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญจากทฤษฎีลัทธิมากซ์ ประธานาธิบดีเวเนซุเอลาอูโก ชาเบซ ประกาศตนเป็นผู้นิยมลัทธิทรอตสกีระหว่างพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีของเขาเพียงสองวันก่อนพิธีเข้ารับตำแหน่งของเขาเองในวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2007 องค์กรลัทธิทรอตสกีในเวเนซุเอลาไม่ได้มองว่าชาเบซเป็นนักลัทธิทรอตสกี และบางส่วนเรียกว่าเขาเป็นพวกชาตินิยมกระฎุมพี ในขณะที่อีกส่วนมองว่าเขาเป็นผู้นำปฏิวัติที่จริงใจ แต่ขาดการวิเคราะห์แนวมาร์กซิสต์จึงกระทำความผิดพลาดอย่างมีนัยสำคัญ
อ้างอิงตามมาร์กซิสต์ชาวอิตาลีจันนี วัตตีโม (Gianni Vattimo) และซันตีอาโก ซาบาลา (Santiago Zabala) ในหนังสือของพวกเขา Hermeneutic Communism (ค.ศ. 2011) "ลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างอ่อนแบบใหม่นี้แตกต่างโดยสำคัญจากรูปปรากฏเดิมแบบโซเวียต (และในปัจจุบันแบบจีน) เพราะประเทศอเมริกาใต้เหล่านี้ดำเนินตามขั้นตอนเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย และยังสามารถกระจายอำนาจระบบราชการของรัฐผ่านภารกิจโบลิบาร์ (Bolivarian missions) ได้สำเร็จ โดยรวมแล้ว หากชาติตะวันตกรู้สึกเหมือนว่าลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างอ่อนนี้เป็นวิญญาณหลอกหลอน มันไม่ใช่เพียงเพราะการบิดเบือนของสื่อมวลชนเท่านั้น แต่ยังเพราะมันเป็นตัวแทนของอีกทางเลือกหนึ่งที่เกิดขึ้นผ่านกระบวนการประชาธิปไตยในแบบเดียวกับที่ชาติตะวันตกคอยประกาศยึดมั่นอยู่ตลอดเวลา แต่กลับลังเลที่จะนำมันมาใช้"
สี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้แถลงถึงการเพิ่มความมุ่งมั่นของพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อความคิดของมาคส์ ที่งานเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปีชาตกาลของมาคส์ สีกล่าว "เราต้องคว้าข้อได้เปรียบ คว้าการริเริ่ม และคว้าอนาคตไว้ เราต้องพัฒนาความสามารถในการประยุกต์ใช้ลัทธิมากซ์เพื่อวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง" โดยเสริมว่าลัทธิมากซ์นั้นเป็น "อาวุธทางอุดมการณ์ที่ทรงพลังที่ให้เราใช้ทำความเข้าใจโลก รู้ซึ้งในกฎหมาย ขวนขวายหาความจริง และเปลี่ยนแปลงโลก" สีเน้นย้ำเพิ่มถึงความสำคัญของการประเมินและการสานต่อประเพณีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และการยอมรับอดีตของการปฏิวัติของมัน
นักปฏิวัติ ผู้นำ และพรรคต่าง ๆ เหล่านั้นมีความเที่ยงตรงต่อชิ้นงานของคาร์ล มากซ์ เท่าใดนั้นเป็นที่ถกเถียงกันอย่างยิ่ง และมาร์กซิสต์กับนักสังคมนิยมหลาย ๆ คนปฏิเสธพวกเขา นักสังคมนิยมโดยทั่วไปและนักเขียนสังคมนิยม เช่นดมีตรี วอลคาโกนอฟ (Dimitri Volkogonov) ยอมรับว่าการกระทำของผู้นำสังคมนิยมแบบอำนาจนิยม (authoritarian socialist) ได้ทำลาย "ความน่าดึงดูดใจขั้นมหาศาลของสังคมนิยมที่เกิดขึ้นมาจากการปฏิวัติเดือนตุลาคม"
== ข้อวิจารณ์ ==
ข้อวิจารณ์ลัทธิมากซ์มีมาจากหลากหลายอุดมการณ์ทางการเมืองและสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นข้อวิจารณ์ทั่วไปเกี่ยวกับการขาดความคงเส้นคงวาภายใน ข้อวิจารณ์เกี่ยวกับวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ว่าเป็นนิยัตินิยมประวัติศาสตร์ชนิดหนึ่ง ความจำเป็นที่จะต้องกดทับสิทธิของปัจเจกชน ประเด็กปัญหาในการปฏิบัติใช้ลัทธิคอมมิวนิสต์ และประเด็นทางเศรษฐกิจอาทิการบิดเบือนหรือการขาดหายไปของสัญญาณราคา (price signal) และสิ่งจูงใจที่ลดลง มากกว่านั้นยังมีการระบุถึงปัญหาเชิงญาณวิทยาและเชิงประจักษ์อยู่บ่อยครั้ง
มาร์กซิสต์บางคนวิจารณ์การทำให้ลัทธิมากซ์กลายเป็นสถาบันทางวิชาการว่าเป็นสิ่งที่ตื้นเขินเกินไปและแยกตัวออกจากการกระทำทางการเมือง อเล็กซ์ คัลลินิคอส (Alex Callinicos) ทรอตสกีอิสต์และนักวิชาการกล่าวว่า: "ผู้ปฏิบัติของมันทำให้นึกถึงนาร์ซิสซัสที่ตกหลุมรักกับเงาสะท้อนของตัวเองในตำนานกรีก ... บางครั้งก็จำเป็นที่จะต้องสละเวลาเพื่อพัฒนาและทำให้แนวคิดต่าง ๆ ที่เราใช้งานกระจ่างขึ้น แต่แน่นอนว่าสำหรับมาร์กซิสต์ตะวันตกนี่ได้กลายเป็นเป้าหมายในตัวมันเอง ผลลัพธ์คืองานเขียนก้อนหนึ่งซึ่งไม่มีใครเข้าใจเลยนอกจากชนกลุ่มน้อยนิดของนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูง"
อนึ่ง ข้อวิจารณ์ทางปัญญาบางข้อของลัทธิมากซ์ท้าทายสมมุติฐานบางประการที่แพร่หลายอยู่ในแนวคิดของมาคส์และลัทธิมากซ์ภายหลังยุคของเขาแต่ไม่ได้ปฏิเสธการเมืองแนวมาร์กซิสต์ ผู้สนับสนุนร่วมสมัยบางคนของลัทธิมากซ์อ้างว่าหลายแง่มุมของแนวคิดมาร์กซิสต์สามารถนำมาใช้ได้ แต่คลังข้อมูลนั้นไม่สมบูรณ์หรือล้าสมัยไปแล้วในด้านที่เกี่ยวกับบางแง่มุมของทฤษฎีทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคม พวกเขาอาจรวมแนวคิดแบบลัทธิมากซ์เข้ากับแนวคิดของนักทฤษฎีคนอื่น ๆ เช่นมัคส์ เวเบอร์ กล่าวคือสำนักแฟรงก์เฟิร์ตเป็นต้น
=== ทั่วไป ===
นักปรัชญาและนักประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา (intellectual history) แลแช็ก กอวากอฟสกี (Leszek Kołakowski) ชี้ว่า "ทฤษฎีของมาคส์ไม่สมบูรณ์และกำกวมในหลายแห่ง และสามารถถูกนำมา 'ใช้' ได้ในหลากหลายวิถีทางที่ขัดแย้งกันโดยไม่ปรากฏว่าเป็นการละเมิดหลักการของมัน" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาถือว่า "กฎแห่งวิภาษวิธี" เป็นสิ่งที่ผิดโดยพื้นฐาน และกล่าาวว่าบางอันเป็น "ข้อความจริงที่ไม่มีเนื้อหาแบบมาร์กซิสต์ที่เจาะจง" และอันอื่น ๆ เป็น "สิทธันต์เชิงปรัชญาที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์" และบางอันก็เป็นเพียง "เรื่องไร้สาระ" เขาเชื่อว่ากฎแนวมาร์กซิสต์บางข้อสามารถตีความได้หลายแบบ แต่การตีความเหล่านี้โดยทั่วไปยังคงตกอยู่ในข้อผิดพลาดข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อนั้น
ทฤษฎีบทของโอกิชิโอะ (Okishio's theorem) แสดงให้เห็นว่าหากนายทุนใช้เทคนิคตัดลดต้นทุนและไม่ได้เพิ่มค่าจ้างที่แท้จริง (real wage) อัตรากำไรจะต้องเพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างความเคลือบแคลงในมุมมองของมาคส์ที่กล่าวว่าอัตรากำไรจะมีแนวโน้มที่จะลดลง
ข้อกล่าวหาถึงความไม่คงเส้นคงว่าเป็นส่วนสำคัญในเศรษฐศาสตร์สำนักมากซ์และข้อถกเถียงเกี่ยวกับมันมีมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 แอนดรูว์ ไคลแมน (Andrew Kliman) อ้างว่าข้อกล่าวหาว่าทฤษฎีมาร์กซิสต์ไม่คงเส้นคงวาภายในทำให้ไม่สามารถปรับแก้ไขความไม่คงเส้นคงวาเหล่านั้นได้ เพราะหากไม่คงเส้นคงวาภายในก็จะต้องผิดไปโดยปริยาย การทำวิจัยเกี่ยวกับมันในปัจจุบันจึงถูกกดทับและปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงทรัพยากรตั้งแต่เริ่ม จอห์น แคสซิดี (John Cassidy (journalist)) กล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างข้อกล่าวหาถึงความไม่คงเส้นคงวากับการขาดงานศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีของมาคส์
=== ญาณวิทยาและประจักษนิยม ===
นักวิจารณ์ลัทธิมากซ์อ้างว่าการคาดการณ์ของมาคส์ผิด บางรายชี้ไปที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวของเศรษฐกิจทุนนิยมที่โดยทั่วไปเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจที่อิงตลาดน้อยกว่า การที่เศรษฐกิจทุนนิยมไม่ประสบกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจที่แย่ลงจนนำไปสู่การล้มล้างระบอบทุนนิยม และที่การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ไม่เกิดขึ้นในประเทศเป็นทุนนิยมขั้นสูงแต่เกิดขึ้นในภูมิภาคที่ยังไม่พัฒนาแทน นอกจากนี้ยังวิจารณ์โดยกล่าวว่าทำให้มาตรฐานการครองชีพต่ำลงเมื่อเทียบกับประเทศทุนนิยม แต่ข้อกล่าวอ้างนี้เป็นที่พิพาท
นักปรัชญาวิทยาศาสตร์ คาร์ล พอปเปอร์ (Karl Popper) ได้วิจารณ์พลังการอธิบาย (explanatory power) และความสมเหตุสมผล (Validity (logic)) ของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ไว้ในหนังสือของเขา The Poverty of Historicism และ Conjectures and Refutations พอปเปอร์เชื่อว่าลัทธิมากซ์ในตอนแรกเป็นวิทยาศาสตร์ ในนัยที่มาคส์ได้ตั้งสมมติฐานทฤษฎีเชิงคาดการณ์อย่างแท้จริง แต่เมื่อการคาดการณ์นั้นไม่เป็นจริง พอปเปอร์อ้างว่าทฤษฎีนี้หลีกเลี่ยงการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จด้วยการเพิ่มสมมุติฐานเฉพาะกิจเข้าไปที่ทำให้มันเข้ากันได้กับข้อเท็จจริง ด้วยเหตุนี้พอปเปอร์กล่าวว่าทฤษฎีซึ่งในตอนแรกเป็นวิทยาศาสตร์จริง ๆ ได้เสื่อมสภาพกลายเป็นสิทธันต์แบบวิทยาศาสตร์เทียม
=== อนาธิปไตยและอิสรนิยม ===
อนาธิปไตยมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับลัทธิมากซ์ นักอนาธิปัตย์และนักสังคมนิยมแบบอิสรนิยมที่ไม่ได้เป็นมาร์กซิสต์หลายคนปฏิเสธความจำเป็นที่จะต้องมีระยะของรัฐเปลี่ยนผ่าน โดยอ้างว่าการสถาปนาสังคมนิยมขึ้นมาจะทำได้ผ่านองค์กรที่กระจายอำนาจและไม่บีบบังคับเท่านั้น นักอนาธิปัตย์มีฮาอิล บาคูนิน วิจารณ์แนวโน้มอำนาจนิยมของมาคส์ "สังคมนิยมค่ายทหาร" หรือ "ลัทธิคอมมิวนิสต์ค่ายทหาร" (barracks communism) เป็นวลีที่มาคส์และเอ็งเงิลส์ใช้เรียกแนวคิดของเซอร์เกย์ เนชาเยฟ (Sergey Nechayev) สมาชิกฝ่ายของบาคูนินในสมาคมกรรมกรสากล (International Workingmen's Association) และได้กลายเป็นชื่อเรียกข้อวิจารณ์แบบนี้ ซึ่งปลุกภาพจำของชีวิตของพลเมืองว่าถูกจัดเป็นกรมเป็นกองเหมือนกับชีวิตของทหารเกณฑ์ในค่ายทหาร
=== เศรษฐศาสตร์ ===
ข้อวิจารณ์อื่น ๆ มาจากจุดยืนด้านเศรษฐศาสตร์ อาทิงานเขียนของวลาดีมีร์ คาร์โปวิช ดมีตรีฟ (Vladimir Karpovich Dmitriev) ใน ค.ศ. 1898 งานเขียนของลาดิสเลาส์ บอร์ทคีวิทช์ (Ladislaus Bortkiewicz) ใน ค.ศ. 1906–1907 และนักวิจารณ์คนอื่น ๆ กล่าวหาว่าทฤษฎีมูลค่า (value theory) ของมาคส์และกฎแนวโน้มการลดลงของอัตรากำไรไม่มีความคงเส้นคงวาภายใน กล่าวคือ นักวิจารณ์เหล่านี้กล่าวว่าข้อสรุปของมาคส์ไม่ได้เป็นไปตามข้อตั้งทางทฤษฎีของเขา เมื่อข้อผิดพลาดที่ถูกกล่าวหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไข ข้อสรุปของเขาว่าราคาและกำไรโดยรวมเท่ากับและถูกกำหนดโดยมูลค่าและมูลค่าส่วนเกินโดยรวมนั้นจะไม่เป็นจริงอีกต่อไป ผลคือทฤษฎีของเขาที่การขูดรีดกรรมกรคนงานเป็นแหล่งของกำไรเพียงแหล่งเดียวถูกตั้งข้อสงสัย
นักเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรีย (Austrian School) หลายรุ่นวิเคราะห์วิพากษ์ลัทธิมากซ์และสังคมนิยมในด้านระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ และผลเกี่ยวพันทางการเมือง ก็อทฟรีท ฮาเบอร์เลอร์ (Gottfried Haberler) อ้างว่าบทวิจารณ์เศรษฐศาสตร์ของมาคส์ของเบิห์ม-บาแวร์ค (Eugen von Böhm-Bawerk) "ถี่ถ้วนและสร้างความเสียหาย" มากเสียจนแม้กระทั่งทศวรรษ 1960 แล้วก็ยังไม่มีนักวิชาการสำนักมากซ์คนใดที่สามารถหักล้างมันได้อย่างชี้ชัด ลูทวิช ฟ็อน มีเซิส (Ludwig von Mises) จุดไฟการถกเถียงเกี่ยวกับปัญหาการคำนวณทางเศรษฐกิจ (economic calculation problem) ขึ้นมาใหม่โดยอ้างว่าเมื่อสินค้าทุน (capital good) ขาดสัญญาณราคา ในความคิดของเขาแง่มุมอื่น ๆ ในเศรษฐกิจแบบตลาดจะไร้ซึ่งเหตุผลทั้งสิ้น ทำให้เขาประกาศว่า "กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีเหตุผลเป็นไปไม่ได้ในเครือจักรภพสังคมนิยม"
ดารอน อาเจโมลู (Daron Acemoglu) และเจมส์ เอ. รอบินสัน (James A. Robinson) อ้างว่าทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของมาคส์บกพร่องตั้งแต่พื้นฐานเพราะมันพยายามทำให้เศรษฐกิจง่ายลงกลายเป็นประมวลของกฎทั่วไปไม่กี่ข้อที่เพิกเฉยต่อผลกระทบที่สถาบันต่าง ๆ มีต่อเศรษฐกิจ
== ลัทธิมากซ์ในปัจจุบัน ==
ทฤษฎีของลัทธิมากซ์ ได้รับการยึดถือ แปลความ และวิพากษ์วิจารณ์ จากบรรดานักวิชาการ นักการเมือง พรรคการเมือง รัฐบาล องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประชาชนจำนวนมาก และเรียกทฤษฎีสังคมนิยมของมากซ์ว่า ลัทธิมากซ์นับตั้งแต่ทฤษฎีนี้ ได้กำเนิดขึ้นตลอดมา ตราบจนถึงปัจจุบัน จนกล่าวได้ว่าเป็นทฤษฎีที่ได้รับการพูดถึงและอ้างอิงมากที่สุดทฤษฎีหนึ่ง ไม่ว่าจากฝ่ายที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม
นับจากที่ได้กำเนิดขึ้นในกลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ได้มีคนนำลัทธิมากซ์ไปใช้เป็นจำนวนมาก คนเหล่านี้ในปัจจุบันแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ
กลุ่มแรก คือ กลุ่มคนที่เชื่อมั่นในลัทธิมากซ์แบบดั้งเดิม และนำลัทธิมากซ์ ไปประยุกต์ใช้ โดยเน้นถึงความถูกต้องตรงตามทฤษฎีอย่างเคร่งครัด พวกนี้จะเรียกตนเองว่าเป็นนักลัทธิมากซ์ และกล่าวหากลุ่มที่สองว่าเป็นพวกลัทธิแก้
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มคนที่เห็นว่า ทฤษฎีบางส่วนของลัทธิมากซ์ ไม่ถูกต้องและไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบันแล้ว แต่ทฤษฎีบางส่วนของลัทธิมากซ์ ยังคงถูกต้องและสามารถใช้ได้จึงนำเอาเฉพาะส่วนที่ยังใช้ได้ไปประยุกต์ใช้ตามมุมมองของกลุ่มตน โดยไม่ยึดถือทฤษฎีลัทธิมากซ์ดั้งเดิมอย่างเคร่งครัดเหมือนกลุ่มแรก แต่ยังเรียกกลุ่มตนว่าเป็นนักลัทธิมากซ์
กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มคนที่ไม่ได้เชื่อถือในทฤษฎีลัทธิมากซ์ แต่นำเฉพาะแนวคิดหรือข้อเขียนบางส่วนที่ตรงกับแนวคิดของตน มาใช้อ้างอิงในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง หรือทางอื่น ๆ เช่น ข้อเขียนของทอฟเลอร์ (Alvin Toffler) ซึ่งถือว่าเป็นนักอนาคตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐ
==ตระกูลทางความคิดต่าง ๆ ของลัทธิมากซ์==
1. ลัทธิมากซ์โบราณ (Orthodox Marxism หรือ Old School Marxism)
ลัทธิมากซ์โบราณคือกลุ่มนักวิชาการที่ยึดถือทฤษฎีของมากซ์อย่างเคร่งครัด
2. ลัทธิมากซ์ในรัสเซีย : ลัทธิเลนิน (Leninism), ลัทธิสตาลิน (Stalinism) และลัทธิตรอตสกี (Trotskyism)
3. ลัทธิเหมา (Maoism)
4. มากซ์สายใหม่หรือนีโอมากซิสม์ (Neo-Marxism)
มากซ์สายใหม่เป็นสกุลทางความคิดที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 โดยยังยึดโยงทางความคิดเข้ากับความคิดของมากซ์ไว้ โดยเฉพาะในเรื่องที่ว่าสังคมและวัฒนธรรมมักจะมีความขัดแย้งและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเสมอ ผลของการเปลี่ยนแปลงมักจะเป็นสภาวะใหม่ที่แตกต่างจากภาวะเดิม รวมถึงเชื่อว่าสังคมมนุษย์นั้นมีความไม่เท่าเทียมกัน อำนาจการชี้นำ และครอบงำสังคมยกอยู่ในมือกลุ่มคนส่วนน้อย
ในส่วนที่มากซ์สายใหม่มองต่างไปจากมากซ์โบราณ คือในเรื่องเครื่องมือหรือเงื่อนไขของการครอบงำ ดังนี้
ขณะที่มากซ์สายเดิมมองว่าเครื่องมือหรือเงื่อนไขดังกล่าวคืออำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นลักษณะการครอบงำโดยตรง และการต่อสู้ทางชนชั้นก็ต่อสู้โดยตรงเช่นกัน ชนชั้นกรรมมาชีพที่ต่างมีสำนึกทางชนชั้นร่วมกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อต้องการปฏิวัติสังคมอย่างถอนรากถอนโคน เพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ปราศจากชนชั้น สังคมแห่งความเท่าเทียมกัน หรือสังคมคอมมิวนิสต์
มากซ์สายใหม่จะมองว่าเครื่องมือ หรือเงื่อนไขของการครอบงำนั้น คืออุดมการณ์ทางการเมือง อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมหรือความรู้ โดยมีลักษณะการครอบงำทางอ้อม และการต่อสู้ทางชนชั้นก็ต่อสู้โดยทางอ้อมเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างพลังขับเคลื่อนผ่านกลุ่มตัวแทนสังคมต่าง ๆ กลุ่มประชาสังคม กลุ่มเครือข่าย โดยมีเป้าหมายพื้นฐานเพื่อการปฏิรูปสังคมสู่สังคมที่มีความยุติธรรม อย่างค่อยเป็นค่อยไป
มากซ์สายใหม่ยังแยกย่อยอีกเป็นหลายตระกูล แต่ก็มักเรียกขานแยกต่างหากกันไป อาทิ มากซ์สายใหม่ที่เน้นศึกษาวัฒนธรรมได้แก่นักปรัชญามากซ์สายใหม่ในมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ทในเยอรมนี ก็จะเรียกขานว่านักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ท หรือนักปรัชญามากซ์สายใหม่ในมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมก็จะเรียกขานว่านักคิดสายเบอร์มิงแฮม เป็นต้น แต่อย่างไรเสียอิทธิพลความคิดของนักทฤษฎีมากซ์สายใหม่นั้นก็สามารถลากโยงไปถึงความคิดของนักการเมืองชาวอิตาลีที่ชื่อว่า อันโตนีโอ กรัมชี
5. ลัทธิมากซ์เชิงโครงสร้าง (the Structural Marxism)
หลุยส์ อัลธูแซร์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ได้พัฒนาความคิดของมากซ์ และมากซ์สายใหม่ของกรัมชี่ผนวกเข้ากับทฤษฎีสังคมศาสตร์ตระกูลโครงสร้างนิยม โดยมองว่ารัฐนั้นเป็นข้ารับใช้ของระบอบทุนนิยม และชนชั้นนายทุน ชนชั้นนายทุนมีอำนาจสั่งการรัฐโดยตรง อำนาจรัฐกับอำนาจของทุนจึงเป็นสิ่งเดียวกัน จากกระบวนการดังกล่าวรัฐจึงทำหน้าที่ตอบสนองต่อทุน ในการโอบอุ้มช่วยเหลือนายทุนมากกว่าตอบสนอง และโอบอุ้มสังคม รัฐกระทำการดังกล่าวผ่านนโยบายสาธารณะ, กฎหมาย และระบบเศรษฐกิจให้เป็นไปตามที่นายทุนต้องการ
สำหรับอาลตูว์แซร์อุดมการณ์มีฐานะเป็นโครงสร้างส่วนบนที่มีบทบาทในการกำหนดให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับโครงสร้างส่วนล่าง อุดมการณ์จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างรัฐกับปัจเจกบุคคลสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีเอกภาพและต่อเนื่อง จนกลายเป็นเรื่องคุ้นชินเรื่องปกติธรรมดาไป
อาลตูว์แซร์มองว่าอุดมการณ์เป็นเครื่องมือในการสร้าง, สืบสาน และผลิตซ้ำให้กับสังคม อุดมการณ์จึงต้องถูกผลิตซ้ำผ่านการปลูกฝังบ่มเพาะให้กับสมาชิกในสังคม โดยการถูกฝึกฝนให้ยอมรับต่อกฎเกณฑ์ของระบบที่ดำรงอยู่ การผลิตซ้ำความสัมพันธ์ทางการผลิตนี้ถูกกระทำขึ้นอย่างมั่นคงโดยการใช้อำนาจรัฐผ่านกลไกหรือสถาบันซึ่งรวมกันเป็นรัฐ อุดมการณ์จึงเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐ โดยรัฐใช้อุดมการณ์เพื่อผลประโยชน์ดังกล่าวสิ่งที่อัลธูแซร์เรียกว่ากลไกของรัฐ (the state apparatus) โดย อาลตูว์แซร์แบ่งออกเป็นสองแบบ คือ
กลไกของรัฐที่มีลักษณะกดบังคับ (repressive state apparatus) ได้แก่ รัฐบาล ทหาร ตำรวจ ศาล คุก กลไกของรัฐในลักษณะแรกนี้ปฏิบัติการโดยการบังคับใช้ความรุนแรง
กลไกของรัฐในเชิงอุดมการณ์ (ideological state apparatus) ซึ่งได้แก่ ศาสนา โรงเรียน ครอบครัว ระบบกฎหมาย พรรคการเมือง สหภาพแรงงาน และเครือข่ายการสื่อสาร กลไกของรัฐแบบที่สองนี้ปฏิบัติการณ์ผ่านการสร้างอุดมการณ์ให้กับสมาชิกในสังคม
6. สำนักวัฒนธรรมศึกษาเบอร์มิงแฮม (The Birmingham School of The Cultural Studies)
นักทฤษฎีสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยพยายามที่จะข้ามพ้นวิธีคิดแบบเศรษฐกิจกำหนดวัฒนธรรมในฐานะที่วัฒนธรรมเป็นโครงสร้างส่วนบนแบบลัทธิมากซ์โบราณมาสู่ความเข้าใจวัฒนธรรมในฐานะที่เป็น "การกระทำ" (action) ที่เกี่ยวพันกับเศรษฐกิจและการเมือง ทั้งนี้โดยเอามนุษย์เป็นแกนกลางในการศึกษา (human agency) มากกว่าจะศึกษาเพียงแค่สภาวะที่กำหนดพฤติกรรมมนุษย์ (condition) กับผลที่ตามมาจากการถูกกำหนด (outcome) หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือนักทฤษฎีสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยพยายามเข้าใจการเกิดขึ้นของวัฒนธรรม (the making of culture) ในรายละเอียด มากกว่าศึกษาแค่ว่าอะไรเป็นตัวกำหนดวัฒนธรรมแต่เพียงเท่านั้น โดยสรุป นักคิดสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยพยายามที่จะหาส่วนผสมผสานระหว่างแนวคิดว่าวัฒนธรรมนั้นถูกกำหนดโดยพลังในระดับโครงสร้างต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์ และวัฒนธรรมนั้นมีอิสระโดยตัวเอง ซึ่งการผสมผสานดังกล่าวนั้นสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยได้รับแรงบันดาลใจจากงานของกรัมชี่
งานเขียนของสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยศึกษานั้นเน้นการศึกษาชีวิตจริงของผู้คนในแง่มุมต่าง ๆ อาทิ เรื่องการศึกษา เรื่องวัฒนธรรมวัยรุ่น เรื่องสื่อมวลชน อาทิ โฆษณา และโทรทัศน์ ดังนั้น หัวใจสำคัญของการศึกษาของสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยนั้นจึงอยู่ที่การประกาศจุดยืนทางอุดมการณ์ของตัวเองอย่างชัดเจนในเบื้องแรกว่า ยึดถือและศรัทธาในงานของมากซ์ แต่ก็เสนอว่าที่ผ่านมานั้นยังไม่มีทฤษฎีในเรื่องของอุดมการณ์ที่เป็นที่พอใจและหนทางที่จะได้ทฤษฎีอุดมการณ์ที่น่าพอใจนั้นก็คือการผสมผสานการถกเถียงทางทฤษฎีเข้ากับการศึกษากรณีรูปธรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะในการทำการค้นหา "ความสัมพันธ์ที่แท้จริง (real relations)" กับ "รูปแบบที่ปรากฏออกมา (phenomenal form)" ซึ่งในหลายกรณีนั้นรูปแบบที่ปรากฏออกมานั้นก็ทำให้เราลุ่มหลงอยู่กับมัน และเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นจริงแท้
สำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยศึกษานั้นจึงเสนอว่า การศึกษาเรื่องอุดมการณ์นั้นเป็นส่วนสำคัญในการศึกษา "วัฒนธรรม" โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ระหว่าง ความคิดต่าง ๆ สถาบันต่าง ๆ และบริบททางสังคม ทฤษฎีของสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยศึกษามีอิทธิพลในการศึกษาเรื่องของการสื่อสารและสื่อมวลชนกับมิติทางการเมืองโดยเฉพาะในอังกฤษในช่วงทศวรรษที่ 70 เป็นต้นมา โดยเฉพาะงานเขียนของสจวร์ต ฮอลล์ นักสังคมวิทยาชาวสหราชอาณาจักรที่มีอิทธิพลอย่างสูงอยู่ในวงวิชาการในศูนย์ศึกษาวัฒนธรรมร่วมสมัยที่มหาวิทยาลัย เบอร์มิงแฮม (Center of Contemporary Cultural Studies ; CCCS) หรือที่รู้จักกันในเวลาต่อมาว่า "ตระกูลนักคิดสายเบอร์มิงแฮม (the Birmingham school)" โดยฮอลล์ เสนอว่า คำว่าอุดมการณ์นั้นไม่เคยเป็นคำที่มีความเป็นกลางทางการเมือง และแม้จะมีการให้ความหมายว่า อุดมการณ์คือ "ชุดของความคิดที่มีความเป็นระบบ" แต่วิธีการอธิบายเช่นนี้ก็มีลักษณะที่เน้นการพรรณาความ มากกว่าการวิเคราะห์ ดังนั้น แม้ว่าคำว่าอุดมการณ์ทางการเมืองจะมีความเกี่ยวข้องกับคำว่า "ความคิด" แต่ในขณะเดียวกันความคิดนั้นไม่ใช่ตัวอุดมการณ์ทั้งหมด อุดมการณ์จึงมีการซ่อนแอบความหมายอยู่ด้วย และเป็นหน้าที่ของนักวัฒนธรรมร่วมสมัยศึกษาที่จะต้องค้นหาให้ได้ว่าอะไรคือรากฐานหรือธรรมชาติของการบังคับหรือเป็นที่มาของการที่บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องของความคิดซึ่งเข้ามากำหนดส่วนที่เป็นความคิด
นักคิดสายเบอร์มิงแฮมใช้รากฐานทางทฤษฎีของฮอลล์มาใช้เชิงวิพากษ์วัฒนธรรมผ่านการวิเคราะห์ การตีความ การวิจารณ์นวัตกรรมทางวัฒนธรรม โดยรวมแล้วนักคิดสายเบอร์มิงแฮมมองว่าวัฒนธรรมเป็นรากฐานของการแปรรูปทางสังคม (social reformation) โดยสังคมมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่เป็นลำดับชั้น และเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกัน ทั้งในเรื่องชนชั้น ความเป็นเพศ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และความเป็นชาติ นักคิดสายเบอร์มิงแฮมจึงมุ่งศึกษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจของพลังที่ครอบงำ และการต่อต้านในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รวมถึงปฏิเสธ การจัดระบบแบบลำดับชั้นสูงต่ำ (hierarchical stratification) ของวัฒนธรรม นักคิดสายเบอร์มิงแฮมจะเชื่อว่าวัฒนธรรมนั้นต่างมีความสำคัญต่อกันในระดับระนาบ (horizontal) ผู้รับสื่อเป็นผู้กระทำ (active audience) เพราะเป็นผู้สร้างความหมายต่าง ๆ และยังผลิตซ้ำวัฒนธรรมดังกล่าวด้วย นักคิดสายเบอร์มิงแฮมจะพุ่งประเด็นศึกษาว่าผู้รับสื่อตีความและแปรความหมายวัฒนธรรมที่ได้รับจากสื่ออย่างไร รวมถึงวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ทำให้ผู้รับสารตอบสนองต่อสื่อแตกต่างกันไป
ในช่วงทศวรรษที่ 1970 นักคิดสายเบอร์มิงแฮมเริ่มให้ความสนใจกับวัฒนธรรมย่อยของกลุ่มวัยรุ่น เพื่อต่อต้านการครอบงำของระบบทุนนิยมในรูปแบบต่าง ๆ วัฒนธรรมวัยรุ่นจึงถูกมองในฐานะรูปแบบวัฒนธรรมใหม่ที่เป็นผลสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ประเด็นเรื่องอัตลักษณ์, ความแตกต่างหลากหลาย, การครอบงำทางวัฒนธรรม ฯลฯ ผ่าน การแต่งกาย แฟชั่น พฤติกรรม และอุดมการณ์ทางการเมือง และที่สำคัญการเกิดขึ้นของ "วัฒนธรรมย่อย (sub culture)" ที่ต่อต้านรูปแบบวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่ครอบงำนั้นเกิดขึ้น หรือสามารถถูกเข้าใจได้อย่างไร
7. สำนักคิดแฟรงก์เฟิร์ต (The Frankfürt School)
เป็นกลุ่มนักวิชาการในสถาบันวิจัยทางสังคมแห่งมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ต (Institution of Social Research, Johann Wolfgang von Goethe-University of Frankfurt) โดยการนำของมักซ์ ฮอคไฮม์เมอร์, ธีโอดอร์ อดอร์โน, , เฮอร์เบิร์ท มาคูเซอ และวอลเตอร์ เบนญามิน ที่เริ่มมีการศึกษาเชิงวิพากษ์ (critical theory) ในประเด็นทางวัฒนธรรมอาทิ เศรษฐศาสตร์การเมืองของสื่อ, การวิเคราะห์วัฒนธรรม, การวิเคราะห์การรับสารในทางอุดมการณ์ เป็นต้น นักวิชาการกลุ่มดังกล่าวนี้เป็นที่รู้จักในนามนักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ท (The Frankfürt School) ซึ่งก็คือชื่อสถาบันที่นักวิชาการกลุ่มนี้สังกัดนั่นเอง
นักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ทจะปฏิเสธทฤษฎีลัทธิมากซ์ในส่วนที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยวิพาก์ว่าให้ความสำคัญต่อส่วนนี้มากเกินไปจนละเลยมิติอื่นไปเสียหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรม นักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ทจึงให้ความสำคัญกับมิติด้านวัฒนธรรม ความคิด จิตสำนึก และอุดมการณ์ ประเด็นที่นักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ทให้ความสนใจคือการที่สื่อทำให้ "วัฒนธรรม" แปรสภาพมาเป็น "สินค้า" หรือในภาษาของนักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ททำให้ทุกอย่างกลายเป็น "วัฒนธรรมสำหรับคนหมู่มาก (mass culture) กล่าวคือมีการผลิตวัฒนธรรมเพื่อกำไร ซึ่งนักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ทเห็นว่าเป็นการทำลายคุณค่าทางวัฒนธรรม ดังนั้นสำหรับนักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ทวัฒนธรรมจึงไม่มีวัฒนธรรมชั้นสูง (hi-culture) หรือวัฒนธรรมชั้นล่าง (lo-culture) คงมีแต่เพียงวัฒนธรรมสำหรับคนหมู่มากที่ต่างถูกผลิตมาเพื่อตอบสนองความต้องการขายวัฒนธรรมในฐานะของสินค้า ที่คุณค่านั้นได้ถูกทำลายลงไปแล้วทั้งหมดเท่านั้น
8. แนวคิดหลังลัทธิมากซ์ (Post-Marxism)
แนวคิดลัทธิมากซ์ แบบหลังโครงสร้างนิยม (Poststructuralist Marxism) หรือ ลัทธิมากซ์หลังสมัยใหม่ (Postmodern Marxism) หรือเรียกสั้น ๆ ว่าหลังลัทธิมากซ์ (Post-Marxism) เป็นแนวคิดที่วางฐานอยู่บนการวิพากษ์แนวคิดลัทธิมากซ์เชิงโครงสร้างของอาลตูว์แซร์ และใช้ฐานคิดบางส่วนจากแนวคิดของมีแชล ฟูโก ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างแนวคิดหลังลัทธิมากซ์กับลัทธิมากซ์อื่น ๆ คือ แต่เดิมนั้นลัทธิมากซ์จะมองการต่อสู้ทางชนชั้นโดยวางฐานอยู่บนแนวคิดเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่แนวคิดหลังลัทธิมากซ์จะปฏิเสธมุมมองดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าเป็นมุมมองที่มีความคับแคบ แนวคิดหลังลัทธิมากซ์จะมองว่าการกดขี่ทางชนชั้นนั้นสามารถกล่าวรวมไปถึงเรื่องเพศ ชาติพันธุ์วรรณา เชื้อชาติ ศาสนา ฯลฯ อย่างไรก็ดีก็มีการกล่าววิจารณ์ว่าแม้แนวคิดหลังมาร์ซิสม์จะพยายามกล่าวว่าตนเองนั้นหันหลังให้กับลัทธิมากซ์ก็ตาม อย่างไรก็ดีนักคิดตระกูลนี้เองก็ยังหลงใหลในแนวทางการวิเคราะห์สังคมและการเมืองแบบมากซ์อยู่อย่างมากเช่นกัน
== ดูเพิ่ม ==
ลัทธิคอมมิวนิสต์
ศาสนาทางโลก
อาร์ไคฟ์อินเตอร์เน็ตผู้นิยมลัทธิมาร์คซ์
เศรษฐศาสตร์สำนักมากซ์
== อ้างอิง ==
===บรรณานุกรม===
ขบวนการทางปรัชญา
อุดมการณ์ทางเศรษฐศาสตร์
|
thaiwikipedia
| 1,163 |
องค์การนอกภาครัฐ
|
องค์การนอกภาครัฐ (non-governmental organisation/organization: NGO) เป็นองค์การที่ไม่แสวงผลกำไร และดำเนินงานอยู่ภายนอกโครงสร้างการเมืองแบบสถาบัน โดยทั่วไปใช้เรียกกลุ่มรณรงค์ด้านสังคม วัฒนธรรม กฎหมาย และสิ่งแวดล้อมซึ่งไม่มีเป้าหมายหลักทางการค้า แต่เพื่ออุดมการณ์ในการปกป้องประชาชนไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาซึ่งไร้การจัดการที่ดี องค์การนอกภาครัฐมักจะได้รับเงินสนับสนุนส่วนหนึ่งจากภาคเอกชน
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
ThaiNGO.org - เว็บท่าองค์การนอกภาครัฐไทย
NGOs, Peasants and the State: Transformation and Intervention in Rural Thailand, 1970-1990.
องค์การการกุศล
|
thaiwikipedia
| 1,164 |
อักษรละติน
|
อักษรละติน (Latin alphabet) หรือที่รู้จักกันในชื่อ อักษรโรมัน (Roman alphabet) เป็นระบบตัวเขียนแบบตัวอักษร ที่มีต้นแบบมาจากอักษรละตินดั้งเดิม ซึ่งหยิบยืมมาจากอักษรกรีกอีกทอดหนึ่ง เริ่มนำไปใช้ในนครรัฐคิวมี (Cumae) ยุคกรีกโบราณ ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี (มังนาไกรกิอา) และถูกนำไปปรับใช้โดยชาวอิทรัสคัน (Etruscans) รวมถึงชาวโรมัน หลังจากนั้นต่อมามีชุดอักษรละตินหลากหลายตัวที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของกราฟ การเรียบเรียงเสียง และคุณสมบัติออกเสียงที่ต่างไปจากอักษรละตินดั้งเดิม
อักษรละตินเป็นแม่แบบให้กับสัทอักษรสากล (International Phonetic Alphabet) อันเป็นอักษร 26 ตัวซึ่งแพร่หลายมากที่สุด ประกอบไปด้วย ISO อักษรละตินพื้นฐาน (ISO basic Latin alphabet) ที่เป็นอักษรรูปแบบเดียวกับอักษรอังกฤษ (English Alphabet)
ชุดตัวอักษรละตินเป็นแม่แบบให้กับตัวอักษรจำนวนมากที่สุดของระบบการเขียนทั้งหมด และยังเป็นระบบการเขียนที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายมากที่สุด อักษรละตินเป็นระบบอักษรซึ่งเป็นมาตรฐานในการเขียนให้กับหลายภาษาในยุโรปตะวันตกและยุโรปกลาง ส่วนใหญ่ในภูมิภาคทะเลทรายซาฮาราทางแอฟริกาตอนใต้ อเมริกา และโอเชียเนีย รวมถึงภาษาต่าง ๆ ที่กระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ของโลก
== ชื่อและที่มา ==
อักษรชุดนี้เรียกกันว่าอักษรละตินหรืออักษรโรมัน มีแหล่งกำเนิดมาจากนครรัฐโรมโบราณ (แม้ว่าตัวพิมพ์ใหญ่บางตัวจะมีต้นแบบมาจากอักษรกรีกก็ตาม) การทับศัพท์ด้วยอักษรชุดนี้มักเรียกกันว่า "การถอดเป็นอักษรโรมัน" ("romanization") ในผังยูนิโคดใช้ชื่อว่า "Latin" เช่นเดียวกันกับหลักขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO)
ระบบตัวเลขในอักษรชุดนี้ใช้ระบบเลขโรมันรวมๆ แล้วเรียกว่าตัวเลขโรมัน ตัวเลข 1, 2, 3 ... เป็นตัวเลขอักษรละติน/โรมันซึ่งมีที่มาจากระบบเลขแบบฮินดู–อารบิก
== ยูนิโคด ==
== อ้างอิง ==
=== แหล่งอ้างอิง ===
=== แหล่งข้อมูล ===
|
thaiwikipedia
| 1,165 |
30 มีนาคม
|
วันที่ 30 มีนาคม เป็นวันที่ 89 ของปี (วันที่ 90 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 276 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2409 (ค.ศ. 1867) - วิลเลียม เอช. ซูเวิร์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา เจรจาซื้อดินแดนอะแลสกาจากรัสเซีย
พ.ศ. 2442 (ค.ศ. 1899) - พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง"โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน" อันเป็นจุดกำเนิดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย
พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1912) - โมร็อกโกลงนามในสนธิสัญญาเฟซ ทำให้เป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส
พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1940) - สงครามโลกครั้งที่สอง: ญี่ปุ่นแต่งตั้งวางจิงเว่ย เป็นผู้นำรัฐบาลหุ่นในประเทศจีน
พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1945) - สงครามโลกครั้งที่สอง: ทหารโซเวียตเข้ารุกรานประเทศออสเตรีย
พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) - แคนาดาเปิดบริการระบบรถไฟฟ้าใต้ดินแห่งแรก หลังจากใช้เวลาก่อสร้างนาน 5 ปี
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - โรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ถูกยิงที่หน้าอกได้รับบาดเจ็บในความพยายามลอบสังหารที่วอชิงตัน ดี.ซี.
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์วางระเบิดท่าอากาศยานในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ทำให้มีชาวสหรัฐเสียชีวิต 4 คน
พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - เป็นวันเปิดการจราจรบนสะพาน พระราม 3
พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - เกิดระเบิดที่ศาสนสถานของศาสนาฮินดูในรัฐชัมมูและกัษมีระ มีผู้เสียชีวิต 10 คน กลุ่มแนวร่วมอิสลามออกมาอ้างความรับผิดชอบ
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2362 (ค.ศ. 1820) - แอนนา ซีเวลล์ นักเขียนชาวอังกฤษ (ถึงแก่กรรม 25 เมษายน พ.ศ. 2421)
พ.ศ. 2395 (ค.ศ. 1853) - ฟินเซนต์ ฟัน โคค จิตรกรชาวดัตช์ (ถึงแก่กรรม 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2433)
พ.ศ. 2434 (ค.ศ. 1891) - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลวาดวรองค์ (สิ้นพระชนม์ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2436)
พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896) - สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริ) (สิ้นพระชนม์ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2516)
พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) - เลิศ อัศเวศน์ นักหนังสือพิมพ์ชาวไทย ผู้ร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย (ถึงแก่กรรม 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2564)
พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923) - มัณฑนา โมรากุล นักร้องชาวไทย
พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) - วอร์เรน เบต์ตี นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) - อีริค แคลปตัน นักร้อง/นักดนตรีชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) - เอ็มซีแฮมเมอร์ นักร้อง/แร็ปเปอร์ชาว อเมริกัน
พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - เทรซี แชปแมน นักร้องชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - เซลีน ดิออน นักร้องชาวแคนาดา
พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - คาเรล โพบอร์สกี้ย์ นักฟุตบอลชาวเช็ก
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) -
* ไซมอน เว็บบ์ นักร้องชาวอังกฤษ
* นอราห์ โจนส์ นักร้องและนักเปียโนชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) -
* ฟีลิป แม็กแซ็ส นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส
* มาร์ก ฮัดสัน (นักฟุตบอลเกิดปี พ.ศ. 2525) นักฟุตบอลชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - อานนท์ นานอก นักฟุตบอลชาวไทย
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - อัลบาโร ซิลบา นักฟุตบอลชาวฟิลิปปินส์
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - เซร์ฆิโอ ราโมส นักฟุตบอลชาวสเปน
พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - กณิณ ปัทมนันถ์ นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - อี กี-กวัง นักร้อง นักแต่งเพลง และนักแสดงชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - ธนทัต ชัยอรรถ นักร้อง/นักแสดงชายชาวไทย
พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) -
* วิทวัส ท้าวคำลือ นักแสดงภาพยนตร์
* คิม จี-ซู (นักแสดง) นักแสดงชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - เยโตร วิลเลิมส์ นักฟุตบอลชาวดัตช์
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 2325 (ค.ศ. 1783) - วิลเลียม ฮันเตอร์ นักกายวิภาคศาสตร์และแพทย์ชาวสกอต (เกิด 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2261)
พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1897) - เจ้าหลวงนรนันท์ไชยชวลิต
พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) -
* สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ พระราชชนนี (พระราชสมภพ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2443)
* ซัลวาโตเร่ เบอร์รูนี่ แชมป์โลกมวยสากลชาวอิตาลี (เกิด 11 เมษายน พ.ศ. 2446)
พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) - ดีเด่น เก่งการุณ นักมวย (เกิด 25 เมษายน พ.ศ. 2520)
พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) - ดิธ ปราน ช่างภาพและนักข่าวชาวกัมพูชา-อเมริกัน (เกิด 27 กันยายน พ.ศ. 2485)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
NY Times: On This Day
Today in History: March 30
Miho Komatsu Official Biography
มีนาคม 30
มีนาคม
|
thaiwikipedia
| 1,166 |
ภาษาปาทาน
|
ภาษาปาทาน (ฮินดูสตานี: Paṭhānī) หรือ ภาษาปัชโต (پښتو, ) เป็นภาษากลุ่มอิหร่านตะวันออกในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน ในวรรณกรรมเปอร์เซียรู้จักกันในชื่อ ภาษาอัฟกัน (افغانی, Afghāni)
ชาวปาทานพูดภาษานี้เป็นภาษาแม่ โดยเป็นหนึ่งในสองภาษาทางการของประเทศอัฟกานิสถาน และเป็นภาษาที่มีผู้พูดมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศปากีสถาน โดยเฉพาะในแคว้นแคบาร์ปัคตูนควาและอำเภอทางเหนือของแคว้นบาโลชิสถาน และยังเป็นภาษาหลักของชาวปาทานพลัดถิ่นทั่วโลก มีจำนวนผู้พูดภาษาปาทานอย่างน้อย 40 ล้านคน ถึงแม้ว่าบางส่วนประมาณการว่าจำนวนนี้อาจสูงถึง 60 ล้านคน ภาษาปาทานยังเป็น "หนึ่งในเครื่องหมายเอกลักษณ์หลักทางชาติพันธุ์" ของชาวปาทาน
== ไวยากรณ์ ==
ภาษาปาทานเรียงประโยคแบบประธาน-กรรม-กริยา คำคุณศัพท์มาก่อนคำนาม นามและคำคุณศัพท์ผันตามเพศ (ชาย/หญิง) จำนวน (เอกพจน์/พหูพจน์) และการก (กรรมตรง/กรรมรอง) การกกรรมตรงใช้กับประธาน และกรรมที่ถูกกระทำโดยตรงในปัจจุบัน การกกรรมรองมักใช้ตามหลังบุพบทและใชในอดีตสำหรับประธานของสกรรมกิริยา ไม่มีคำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะ แต่แทนที่ด้วยคำว่า นี่/นั่น ระบบของคำกริยาซับซ้อนมาก มีกาลต่าง ๆ มากมาย ได้แก่ ปัจจุบันกาลธรรมดา มีเงื่อนไขหรือสมมติ อดีตกาลธรรมดา อดีตกาลกำลังกระทำ ปัจจุบันกาลสมบูรณ์ ภาษาปาทานเป็นภาษาประเภทสัมพันธการก
ภาษาปาทานเป็นภาษาตระกูลอินโด-ยูโรเปียน คำศัพท์ส่วนใหญ่จึงมีกำเนิดเกี่ยวข้องกับภาษาใกล้เคียง หลังจากศาสนาอิสลามเข้ามาสู่อัฟกานิสถาน ทำให้ภาษาปาทานได้รับอิทธิพลรวมทั้งคำยืมจากภาษาอาหรับและภาษาเปอร์เซีย
หลังจากเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ภาษาปาทานเขียนด้วยอักษรเปอร์เซีย-อาหรับ ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในอินเทอร์เน็ต มีการใช้อักษรละตินเขียนภาษาปาทานมากขึ้น ภาษาปาทานมีอักษรหลายตัวที่ไม่มีในภาษาเปอร์เซีย เช่นเสียงม้วนลิ้นของ t, d, r, n จะใช้อักษรอาหรับรวมกับพันดัก (panḍak) คือวงกลมเล็ก ๆ อยู่ข้างใต้ ټ ډ ړ และ ڼ และยังมีอักษร ge และ xin ซึ่งใช้อักษรอาหรับเติมจุดทั้งข้างบนและข้างล่าง ږ และ ښ
==ระบบการเขียน==
ภาษาปาทานใช้ชุดตัวอักษรปาทาน ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดตัวอักษรเปอร์เซีย-อาหรับหรือชุดตัวอักษรอาหรับดัดแปลง ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 Bayazid Pir Roshan ได้เพิ่มตัวอักษรใหม่ 13 ตัวในอักษรปาทาน ตัวอักษรได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
อักษรปาทานมีพยัญชนะ 45 ถึง 46 ตัว และเครื่องหมายเสริมสัทอักษร 4 เครื่องหมาย นอกจากนี้ยังมีการเขียนภาษาปาทานโดยใช้อักษรละตินด้วย โดยแสดงการเน้นพยางค์ด้วยเครื่องหมายเสริมสัทอักษรเหนือสระ: ә́, á, ā́, ú, ó, í และ é ตารางข้างล่าง (อ่านจากซ้ายไปขวา) แบ่งเป็นตัวอักษรรูปเดี่ยว เทียบเคียงกับอักษรละตินและสัทอักษรสากล:
== อ้างอิง ==
==บรรณานุกรม==
Georg Morgenstierne (1926) Report on a Linguistic Mission to Afghanistan. Instituttet for Sammenlignende Kulturforskning, Serie C I-2. Oslo.
Daniel G. Hallberg (1992) Pashto, Waneci, Ormuri (Sociolinguistic Survey of Northern Pakistan, 4). National Institute of Pakistani Studies, 176 pp. .
Herbert Penzl A Grammar of Pashto: A Descriptive Study of the Dialect of Kandahar, Afghanistan,
Herbert Penzl A Reader of Pashto,
==อ่านเพิ่ม==
Morgenstierne, Georg. "The Place of Pashto among the Iranic Languages and the Problem of the Constitution of Pashtun Linguistic and Ethnic Unity." Paṣto Quarterly 1.4 (1978): 43-55.
==แหล่งข้อมูลอื่น==
Pashto Dictionary with Phonetic Keyboard & Auto-Suggestion
Pashto Phonetic Keyboard
Pashto Language & Identity Formation in Pakistan
Indo-Aryan identity of Pashto
Henry George Raverty. A Dictionary of the Puk'hto, Pus'hto, or Language of the Afghans. Second edition, with considerable additions. London: Williams and Norgate, 1867.
D. N. MacKenzie, "A Standard Pashto" , Khyber.org
Freeware Online Pashto Dictionaries
A Pashto Word List
Origins of Pashto
Resources for the Study of the Pashto Language
กลุ่มภาษาอิหร่าน
กลุ่มภาษาอิหร่านตะวันออก
ปาทาน
ปาทาน
ปาทาน
|
thaiwikipedia
| 1,167 |
20 ก.พ.
|
redirect 20 กุมภาพันธ์
|
thaiwikipedia
| 1,168 |
21 ก.พ.
|
redirect 21 กุมภาพันธ์
|
thaiwikipedia
| 1,169 |
22 ก.พ.
|
redirect 22 กุมภาพันธ์
|
thaiwikipedia
| 1,170 |
23 ก.พ.
|
redirect 23 กุมภาพันธ์
|
thaiwikipedia
| 1,171 |
24 ก.พ.
|
redirect 24 กุมภาพันธ์
|
thaiwikipedia
| 1,172 |
25 ก.พ.
|
redirect 25 กุมภาพันธ์
|
thaiwikipedia
| 1,173 |
26 ก.พ.
|
redirect 26 กุมภาพันธ์
|
thaiwikipedia
| 1,174 |
27 ก.พ.
|
redirect 27 กุมภาพันธ์
|
thaiwikipedia
| 1,175 |
28 ก.พ.
|
redirect 28 กุมภาพันธ์
|
thaiwikipedia
| 1,176 |
จังหวัดเชียงราย
|
เชียงราย (, เจียงฮาย) เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของประเทศไทยในเชิงภูมิศาสตร์ มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศพม่าและประเทศลาว ทางตอนเหนือและตะวันออก, จังหวัดพะเยา และ จังหวัดลำปาง ทางทิศใต้ และจังหวัดเชียงใหม่ ทางทิศตะวันตกจังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่ดั้งเดิมของชาวไทย ประกอบด้วยเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ยุคก่อตั้ง หิรัญนครเงินยางเชียงแสน และ อาณาจักรล้านนา เช่น เมืองเงินยาง เมืองเชียงแสน และ เมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายแบ่งการปกครองออกเป็น 18 อำเภอ มีแม่น้ำกก แม่น้ำอิง แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำสายสำคัญ ทำเลที่ตั้งของจังหวัดเชียงรายอยู่บริเวณรอยต่อระหว่าง 3 ประเทศ คือ ประเทศไทย ประเทศพม่า และประเทศลาว หรือรู้จักกันในนามของดินแดนสามเหลี่ยมทองคำ ในอดีตเคยเป็นแหล่งผลิตและขนส่งฝิ่นที่สำคัญของโลก ปัจจุบันจังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย โดยในปี พ.ศ. 2561 มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวมมากเป็นอันดับสองในภาคเหนือ รองจากจังหวัดเชียงใหม่ จำนวนราว 3,600,000 คน คิดเป็นชาวต่างชาติราว 620,000 คน สร้างรายได้ให้กับจังหวัดราว 28,500 ล้านบาท โดยมีท่าอากาศยานประจำจังหวัดคือท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายมาจากเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยมาจากการเกษตร การป่าไม้ และประมง ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 32,500 ล้านบาท
เมืองเชียงรายมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็นที่ตั้งของหิรัญนครเงินยางเชียงแสน ซึ่งเป็นนครหลวงก่อนการกำเนิดอาณาจักรล้านนา มี "คำเมือง" เป็นภาษาท้องถิ่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งด้านศิลปะ ประเพณีวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในรูปแบบล้านนา ไทใหญ่ ไทเขิน และไทลื้อจากสิบสองปันนาผสมผสานกัน นอกจากนี้จังหวัดเชียงรายยังขึ้นชื่อว่าเป็น "เมืองศิลปะ"และเป็นที่เกิดของศิลปินที่มีอิทธิพลอย่างมากในวงการศิลปะไทย โดยเฉพาะ ถวัลย์ ดัชนี ผู้สร้างสรรค์บ้านดำ และเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ผู้สร้างสรรค์วัดร่องขุ่นและหอนาฬิกาเมืองเชียงราย สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเชียงรายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของศิลปิน และเป็นแบบอย่างของวัดร่องเสือเต้นซึ่งเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ
== ประวัติศาสตร์ ==
=== สมัยราชวงศ์มังราย ===
พงศาวดารโยนกว่า พญามังรายสร้างขึ้น ณ ที่ซึ่งเดิมเป็นเวียงไชยนารายณ์ เมื่อ พ.ศ. 1805 และครองราชสมบัติอยู่ ณ เมืองเชียงรายจนถึง พ.ศ. 1839 จึงไปสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นในท้องที่ระหว่างดอยสุเทพกับแม่น้ำปิง และครองราชสมบัติอยู่ ณ เมืองเชียงใหม่จนถึง พ.ศ. 1854 ส่วนตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ระบุว่า พญามังรายทรงเสด็จตามช้างมาทางทิศตะวันออกแล้วเห็นชัยภูมิเหมาะแก่การสร้างเมืองริมฝั่งน้ำแม่กก จึงสร้างเป็นเวียงล้อมรอบดอยจอมทองไว้ในปี พ.ศ. 1805
สำหรับเมืองเชียงรายนั้น เมื่อพญามังรายย้ายไปครองราชสมบัติที่เมืองเชียงใหม่แล้ว พระราชโอรสคือ ขุนครามหรืออีกชื่อหนึ่งว่าพญาไชยสงครามก็ได้ครองราชสมบัติสืบต่อมา นับแต่นั้นเมืองเชียงรายก็ขึ้นต่อเมืองเชียงใหม่
=== สมัยล้านนาภายใต้การปกครองของพม่า ===
ครั้นต่อมาเมื่อล้านนาตกไปอยู่ในปกครองของพม่า ในปี พ.ศ. 2101 พม่าได้ตั้งขุนนางปกครองเมืองเชียงรายเรื่อยมา หลังจากนั้น พ.ศ. 2317 เจ้ากาวิละแห่งลำปางได้สวามิภักดิ์ต่อกรุงเทพฯ ทำให้หัวเมืองล้านนาฝ่ายใต้ตกเป็นประเทศราชของสยาม ขณะที่เชียงรายและหัวเมืองล้านนาฝ่านเหนืออื่น ๆ ยังคงอยู่ใต้อำนาจพม่า ล้านนากลายเป็นพื้นที่แย่งชิงอำนาจระหว่างสยามกับพม่า ในช่วงเวลาดังกล่าวเมืองเชียงรายเริ่มร้างผู้คน ประชาชนอพยพหนีภัยสงครามไปอยู่เมืองอื่น บ้างก็ถูกกวาดต้อนลงไปทางใต้ พ.ศ. 2247 เมืองเชียงแสนฐานที่มั่นสุดท้ายของพม่า ถูกกองทัพเชียงใหม่ ลำปาง และน่าน ตีแตก เมืองเชียงรายจึงกลายสภาพเป็นเมืองร้างตามเมืองเชียงแสน
=== สมัยล้านนาภายใต้การปกครองของสยาม ===
ในปี พ.ศ. 2386 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชานุญาตให้เจ้าหลวงเชียงใหม่ฟื้นฟูเชียงรายขึ้นใหม่ ภายหลังเมืองเชียงรายได้เป็นส่วนหนึ่งของมณฑลพายัพ กระทั่งปี พ.ศ. 2453 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีประกาศกระทรวงมหาดไทย ยกฐานะเมืองเชียงรายเป็นเมืองจัตวามณฑลพายัพ ใน พ.ศ. 2453 เมืองเชียงแสน เมืองเชียงราย เมืองฝาง เวียงป่าเป้า เมืองพะเยา อำเภอแม่ใจ อำเภอดอกคำใต้ อำเภอแม่สรวย อำเภอเชียงคำ อำเภอเชียงของ ตั้งเป็นเมืองจัตวาเรียกว่าเมืองเชียงราย อยู่ในมณฑลพายัพ และจัดแบ่งการปกครองออกเป็น 10 อำเภอ คือ อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอเมืองเชียงแสน อำเภอเมืองฝาง อำเภอเวียงป่าเป้า อำเภอเมืองพะเยา อำเภอแม่ใจ อำเภอดอกคำใต้ อำเภอแม่สรวย อำเภอเชียงคำ และอำเภอเชียงของ เหมือนอย่างหัวเมืองชั้นในที่ขึ้นกับกรุงเทพมหานครทั้งปวง ภายหลังเมืองเชียงรายได้เปลี่ยนเป็นจังหวัดเชียงราย
=== การเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ===
ตั้งแต่มีการตั้งจังหวัดเชียงราย อาณาเขตของจังหวัดเชียงรายมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับ โดยมีการโอนพื้นที่บางส่วน ไปขึ้นกับจังหวัดข้างง และโอนพื้นที่จังหวัดข้างเคียง เข้ามารวมกับจังหวัดเชียงราย รวมถึงการแบ่งพื้นที่บางส่วน ตั้งเป็นจังหวัดใหม่ ดังนี้
การโอนอำเภอเมืองฝาง ไปขึ้นกับจังหวัดเชียงใหม่
มีประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง โอนอำเภอเมืองฝาง จังหวัดเชียงรายไปขึ้นจังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2468 เนื่องจากความลำบากในการเดินทางติดต่อราชการ ปัจจุบันคือ อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย และอำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่
การโอนหมู่ 7 ตำบลป่าตึง อำเภอเชียงแสน ไปขึ้นกับจังหวัดเชียงใหม่
พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด พุทธศักราช 2479 ได้มีการโอนพื้นที่เหนือลำน้ำแม่งามในเขตตำบลป่าตึง อำเภอเชียงแสนในขณะนั้น (อำเภอแม่จันในปัจจุบัน)ไปขึ้นตำบลแม่อาย อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันอยู่ในเขต ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
การโอนอำเภอปง จังหวัดน่าน มาขึ้นกับจังหวัดเชียงราย
ตามพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดน่าน จังหวัดเชียงราย และจังหวัดแพร่ พ.ศ. 2495 ได้มีการโอนอำเภอปง จังหวัดน่าน ยกเว้น ตำบลสวด (อำเภอบ้านหลวง ในปัจจุบัน) มาขึ้นกับจังหวัดเชียงราย (สีเขียว) และโอนตำบลสะเอียบ (สีส้ม) อำเภอปง ไปขึ้นกับอำเภอสอง จังหวัดแพร่
การโอนหมู่บ้านหมู่ที่ 10 ตำบลควน อำเภอปง จังหวัดเชียงราย ไปขึ้นตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน และโอนตำบลยอด อำเภอปง จังหวัดเชียงราย ไปขึ้นอำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน
ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 137 ซึ่งมีสถานะเทียบเท่าพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติซึ่งออกตามความในมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 กำหนดให้เปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่าน โดยโอนหมู่บ้านหมู่ที่ 10 ตำบลควน อำเภอปง จังหวัดเชียงราย ไปขึ้นตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน และโอนตำบลยอด อำเภอปง จังหวัดเชียงราย ไปขึ้นอำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน
การแบ่งพื้นที่บางส่วนตั้งเป็นจังหวัดพะเยา
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2520 ได้แบ่งแยกพื้นที่บางส่วนทางตอนใต้ของจังหวัดจัดตั้งขึ้นเป็นจังหวัดพะเยา
== ภูมิศาสตร์ ==
=== ที่ตั้งและอาณาเขต ===
จังหวัดเชียงรายตั้งอยู่ตอนเหนือสุดของประเทศไทย อยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 19 องศาเหนือ ถึง 20 องศา 30 ลิปดาเหนือ และเส้นแวงที่ 99 องศา 15 ลิปดา ถึง 100 องศา 45 ลิปดาตะวันออก
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดเมืองสาดและจังหวัดท่าขี้เหล็กของรัฐฉาน ประเทศพม่า และแขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว
ทิศตะวันออก ติดต่อกับแขวงบ่อแก้ว และแขวงไชยบุรี ประเทศลาว
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอภูซาง อำเภอจุน อำเภอดอกคำใต้ อำเภอภูกามยาว อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา อำเภอเมืองปาน อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง และอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
ทิศตะวันตก ติดกับอำเภอดอยสะเก็ด อำเภอพร้าว อำเภอไชยปราการ อำเภอฝาง และอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเมืองสาด รัฐฉาน ประเทศพม่า
จังหวัดเชียงรายมีชายแดนติดกับประเทศพม่าประมาณ 130 กิโลเมตร และมีชายแดนติดต่อกับประเทศลาวประมาณ 180 กิโลเมตร เป็นเพียงหนึ่งในสองจังหวัดของประเทศไทยที่มีอาณาเขตชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยกันถึงสองประเทศในจังหวัดเดียว
=== ภูมิประเทศ ===
จังหวัดเชียงราย มีพื้นที่ 11,678.369 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 7,290,000 ไร่ มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงในทวีปตอนเหนือ (North Continental Highland) มีพื้นที่ราบสูงเป็นหย่อม ๆ ในเขตอำเภอแม่สรวย อำเภอเวียงป่าเป้า และอำเภอเชียงของ บริเวณเทือกเขาจะมีความสูงประมาณ 1,500-2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยมีดอยลังกาหลวง เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัด มีความสูง 2,031 เมตรบริเวณส่วนที่ราบตามลุ่มแม่น้ำสำคัญในตอนกลางของพื้นที่ ได้แก่ อำเภอพาน อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอแม่จัน อำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน และอำเภอเชียงของ มีความสูงประมาณ 410-580 เมตร จากระดับน้ำทะเล ลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง มีป่าไม้ปกคลุม บริเวณเทือกเขามีชั้นความสูง 1,500-2,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล มีที่ราบเป็นหย่อม ๆ ในระหว่างหุบเขา และตามลุ่มน้ำสำคัญ จังหวัดเชียงรายมีภูเขาล้อมรอบโดยเฉพาะทางทิศตะวันตกเป็นแนวเทือกเขาผีปันน้ำ ติดต่อกันไปเป็นพืดตลอดเขตจังหวัด
=== ภูมิอากาศ ===
จังหวัดเชียงรายมีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 24 องศาเซลเซียส
ฤดูร้อน เริ่มจากกลางเดือนกุมภาพันธ์–กลางเดือนพฤษภาคม มีอุณหภูมิเฉลียประมาณ 32 องศาเซลเซียส
ฤดูฝน เริ่มจากกลางเดือนพฤษภาคม–กลางเดือนตุลาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยปีละ 1,768 มิลลิเมตร มากที่สุดในปี 2544 จำนวน 2,287.60 มิลลิเมตรน้อยที่สุดในปี 2546 จำนวน 1,404.10 มิลลิเมตร จำนวนวันที่มีฝนตกเฉลี่ย 143 วันต่อปี
ฤดูหนาว เริ่มจากพฤศจิกายน–กุมภาพันธ์ จังหวัดเชียงรายมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 15.0 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 0.9 - 1.0 องศาเซลเซียส 2542 สภาพอากาศของจังหวัดเชียงราย ถือว่าหนาวจัดในพื้นที่ราบ อุณหภูมิจะอยู่ที่ 7-9 องศาเซลเซียส ส่วนบนยอดดอย อุณหภูมิต่ำสุดจะอยู่ที่ 0-5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิ -1.5 องศาที่ภูชี้ฟ้า ปลายปี 2556 จึงทำให้อากาศที่เชียงรายในช่วงฤดูหนาว เป็นพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวอยากมาเป็นอย่างมาก
=== ทรัพยากรป่าไม้ ===
พื้นที่จังหวัดเชียงรายมีทั้งสิ้น 11.678.369 ตารางกิโลเมตร หรือ 7,298,981 ไร่ ในปี 2542 มีพื้นที่ป่าไม้จำนวน 2,365,967 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 32.42 ของพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่ป่าไม้แบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
==== อุทยานแห่งชาติ ====
อุทยานแห่งชาติดอยหลวง เนื้อที่ 731,250 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่อำเภอพาน อำเภอแม่สรวย อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย อำเภอแม่ใจ อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา อำเภอวังเหนือ และอำเภองาว จังหวัดลำปาง
อุทยานแห่งชาติขุนแจ มีเนื้อที่ 177,177 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
อุทยานแห่งชาติลำน้ำกก มีเนื้อที่ 396,794 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอแม่จัน อำเภอแม่ลาว อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน มีเนื้อที่ 12,000 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า มีเนื้อที่ 201,082 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย
==== วนอุทยาน ====
จังหวัดเชียงราย มีวนอุทยาน (Forest Park) ซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติที่รัฐจัดไว้ ให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน และสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด จำนวน 27 แห่ง ดังนี้
วนอุทยานชาพันปี
วนอุทยานดอยกาดผี
วนอุทยานดอยพระบาท
วนอุทยานถ้ำผาแล
วนอุทยานน้ำตกขุนน้ำยาบ
วนอุทยานน้ำตกดอนศิลา-ผางาม
วนอุทยานภูชมดาว
วนอุทยานน้ำตกตาดควัน
วนอุทยานน้ำตกตาดสวรรค์
วนอุทยานน้ำตกตาดสายรุ้ง
วนอุทยานน้ำตกมิโอฉ่อแต๊ะ
วนอุทยานน้ำตกแม่โท
วนอุทยานน้ำตกแม่สลอง
วนอุทยานน้ำตกวังธารทอง
วนอุทยานน้ำตกศรีชมภู
วนอุทยานน้ำตกห้วยก้างปลา
วนอุทยานน้ำตกห้วยตาดทอง
วนอุทยานน้ำตกห้วยน้ำอุ่น
วนอุทยานน้ำตกห้วยแม่สัก
วนอุทยานน้ำตกหัวแม่คำ
วนอุทยานพญาพิภักดิ์
วนอุทยานริมโขง
วนอุทยานสันผาพญาไพร
วนอุทยานห้วยทรายมาน
วนอุทยานห้วยน้ำช้าง
นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ป่าไม้รูปแบบอื่นอีก ดังต่อไปนี้
สวนรุกขชาติ (Arboretum) - มีเพียงแห่งเดียว คือสวนรุกชาติโป่งสลี เทศบาลตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย มีพื้นที่ 668.75 ไร่ พันธุ์ไม้ส่วนใหญ่เป็นไม้สักขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นป่าเดิมที่เหลืออยู่และมีการปลูกต้นไม้อื่น ๆ แทรกบ้าง
ป่าสงวนแห่งชาติ (National Reserved Forest) - มีทั้งหมด 30 แห่ง มีพื้นที่รวม 4,485,966 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 61.46 ของพื้นที่จังหวัด แบ่งเป็นพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ จำนวน 3,525,896 ไร่ พื้นที่มอบ สปก. จำนวน 960,070 ไร่ แยกออกเป็นพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ 513,683 ไร่ ป่าเพื่อการเกษตร 425,832 ไร่ และพื้นที่กันคืนกรมป่าไม้ 20,555 ไร่
ป่าชุมชน (Community Forest) - เป็นป่าธรรมชาติ ที่ชาวบ้านช่วยกันป้องกันรักษาเอาไว้ สำหรับเป็นแหล่งซับน้ำและใช้สอย ปัจจุบันมีการสร้างป่าชุมชนขึ้นในพื้นที่สาธารณะ เพื่อใช้ประโยชน์ของชุมชน
เขตห้ามล่าสัตว์ป่า - มีเพียงแห่งเดียวคือ พื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย อำเภอเชียงแสน มีพื้นที่ 2,711 ไร่
=== ทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งแร่ ===
ทังสเตน หรือ วุลแฟรม แร่ทังสเตนเป็นแร่ที่พบในเทือกเขาด้านตะวันตกของจังหวัด ในเขตอำเภอแม่สรวย และอำเภอเวียงป่าเป้า ซึ่งอาจเกิดเป็นแหล่งแร่อิสระเช่นซีไลท์และวุลแฟรม หรืออาจเกิดรวมกับแร่อื่น ๆ เช่น ดีบุก และพลวง
ดีบุกและพลวง แร่ทั้งสองประเภทเป็นแร่ในกลุ่มโลหะพื้นฐาน อาจเกิดร่วมกับแร่ทังสเตนมีอยู่มากในเทือกเขาด้านตะวันตก เช่นกัน แต่มีปริมาณและการผลิตน้อยกว่าทังสเตน
แมงกานีส เป็นแหล่งแร่ที่มีขนาดเล็ก เคยมีการผลิตในเขตอำเภอเทิง ปัจจุบันมีแปลงประทาน
ในเขตอำเภอพญาเม็งราย แต่ไม่มีการผลิต
ไพโรฟิลไลต์ และกัลก์ เป็นแร่ที่พบกระจายในเขตอำเภอเทิงและอำเภอเชียงของ แต่ไม่มีการผลิต
ดินขาว และบอลเคลย์ เป็นแร่ที่พบกระจายในอำเภอเวียงป่าเป้า มีผลผลิตจำนวนน้อย ปัจจุบันยังคงมีการผลิตบอลเคลย์จากเหมือง
หินปูนอุตสาหกรรม เป็นหินปูนที่ใช้ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ใช้ทำปูนขาวสำหรับอุตสาหกรรมฟอกหนัง และอุตสาหกรรมน้ำตาล มีการผลิตหินปูนในเขตอำเภอเมืองเชียงราย อำเภอป่าแดด และอำเภอเวียงชัย
=== ทรัพยากรน้ำ ===
แม่น้ำโขง/สามเหลี่ยมทองคำ
น้ำแม่กก มีต้นกำเนิดในประเทศพม่า ไหลเข้าสู่ประเทศไทยในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ไหลผ่านอำเภอเมืองเชียงราย อำเภอเวียงชัย อำเภอแม่จัน อำเภอดอยหลวง อำเภอเชียงแสน แล้วไหลไปบรรจบแม่น้ำโขงที่หมู่ที่ 7 บ้านสบกก ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน มีความยาวประมาณ 145 กิโลเมตร
น้ำแม่ลาว ต้นกำเนิดจากภูเขาในเขตอำเภอเวียงป่าเป้า แล้วไหลผ่านอำเภอแม่สรวย อำเภอพาน อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอเวียงชัย ไปบรรจบกับ น้ำแม่กกที่อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย มีความยาวประมาณ 137 กิโลเมตร
น้ำแม่อิง ต้นน้ำเกิดจากหนองเล็งทรายก่อนเข้ากว๊านพะเยา ไหลผ่านอำเภอเทิง แล้วไหลไปบรรจบแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงของ ส่วนที่ไหลผ่าน จังหวัดเชียงราย ยาวประมาณ 136 กิโลเมตร
น้ำแม่จัน ต้นน้ำเกิดจากภูเขาสามเส้า ทางด้านทิศตะวันตกของอำเภอแม่จันติดกับรัฐชาน (ประเทศพม่า) แล้วไหลไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมกับแม่น้ำคำไหลไปบรรจบแม่น้ำโขง มีความยาวประมาณ 100 กิโลเมตร
แม่น้ำโขง มีต้นกำเนิดจากภูเขาหิมาลัย ไหลเข้าสู่ประเทศไทยที่หมู่ที่ 1 บ้านสบรวก ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย แล้วไหลผ่านอำเภอเชียงของ และอำเภอเวียงแก่น รวมความยาวที่ผ่านจังหวัดเชียงราย ประมาณ 94 กิโลเมตร
น้ำแม่คำ ต้นน้ำเกิดจากภูเขาในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง แล้วไหลผ่านอำเภอแม่จัน อำเภอเชียงแสน อำเภอแม่สาย แล้วไหลไปบรรจบแม่น้ำโขงที่หมู่ที่ 5 บ้านสบคำ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย มีความยาวทั้งสิ้น ประมาณ 85 กิโลเมตร
แม่น้ำสาย ใช้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า ในเขตจังหวัดเชียงราย เป็นแม่น้ำสายสั้น ๆ ประมาณ 31 กิโลเมตรมีน้ำไหลตลอดปี
แม่น้ำรวก ต้นน้ำเกิดในประเทศพม่า ไหลเข้าสู่ประเทศไทยที่ อำเภอแม่สาย และอำเภอเชียงแสน แล้วไหลไปบรรจบแม่น้ำโขงที่หมู่ที่ 1 บ้านสบรวก ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ใช้เป็นเส้นแบ่งเขตแดน ระหว่างประเทศไทย และประเทศพม่า
== เศรษฐกิจ ==
โครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายมาจากการเกษตร ป่าไม้ และการประมงเป็นหลัก พืชสำคัญทางเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย ได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวโพด ชา เลี้ยงสัตว์ สัปปะรด มันสำปะหลัง ส้มโอ ลำไย และลิ้นจี่ ซึ่งทั้งคู่เป็นผลไม้สำคัญที่สามารถปลูกได้ในทุกอำเภอของจังหวัด นอกจากนี้จังหวัดเชียงรายยังขึ้นชื่อสำหรับการเพาะปลูกชา อันเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของจังหวัดเชียงรายในปี พ.ศ. 2561 นอกจากนี้จังหวัดเชียงรายยังเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญในเชิงการท่องเที่ยว มีจำนวนผู้เยี่ยมเยียนจังหวัดเชียงรายทั้งหมดราว 3,600,000 คนในปี 2561 มากเป็นอันดับที่สองในภาคเหนือ รองจากจังหวัดเชียงใหม่ การท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับจังหวัดมากกว่า 28,500 บาท
== สัญลักษณ์ ==
ตราประจำจังหวัด : รูปช้างสีขาวใต้เมฆ หมายถึง นิมิตของความรุ่งเรืองในอดีต เพราะพญามังรายเคยใช้ช้างเป็นกำลังสำคัญในการทำศึกปราบศัตรูจนได้ชัยชนะ นอกจากนี้ ช้างยังเป็นชนวนให้พญามังรายมาก่อร่างสร้างเมืองนี้ขึ้นอีกด้วย โดยว่ากันว่า หายไปจากหลักที่ผูกไว้ พญามังรายติดตามไปจนถึงภูมิประเทศอันบริบูรณ์ริมน้ำกก จึงโปรดให้ตั้งเมืองเชียงรายขึ้น ณ ที่นั้น
ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกพวงแสด (Pyrostegia venusta)
ต้นไม้ประจำจังหวัด: กาซะลองคำ (Radermachera ignea) โดยเป็นไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานให้เป็นไม้ประจำจังหวัดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี
== การเมืองการปกครอง ==
=== หน่วยการปกครอง ===
==== การปกครองส่วนภูมิภาค ====
การปกครองส่วนภูมิภาคแบ่งออกเป็นระดับอำเภอ จำนวน 18 อำเภอ ระดับตำบล จำนวน 124 ตำบล และระดับหมู่บ้าน จำนวน 1,753 หมู่บ้าน ได้แก่
==== การปกครองส่วนท้องถิ่น ====
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดเชียงราย รวมทั้งสิ้น 144 แห่งประกอบด้วย 1 เทศบาลนคร 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลจำแนกตามอำเภอ ดังนี้
{|class="wikitable"
|- style=
!อำเภอ!!เทศบาลตำบล!!องค์การบริหารส่วนตำบล !!รวม
|-
||เมืองเชียงราย||10||5||15
|-
||แม่จัน||8||5||13
|-
||แม่สาย||4||6||10
|-
||เชียงแสน||5||2||7
|-
||เชียงของ||7||1||8
|-
||เทิง||6||6||12
|-
||ป่าแดด||5||-||5
|-
||พาน||2||14||16
|-
||เวียงชัย||5||1||6
|-
||แม่สรวย||3||6||9
|-
||เวียงป่าเป้า||4||5||9
|-
||พญาเม็งราย||3||3||6
|-
||แม่ลาว||3||4||7
|-
||ขุนตาล||3||1||4
|-
||เวียงเชียงรุ้ง||1||3||4
|-
||เวียงแก่น||3||1||4
|-
||แม่ฟ้าหลวง||-||4||4
|-
||ดอยหลวง|| -||3||3
|-
||รวมทั้งสิ้น||72||70||142
|}
=== รายชื่อเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ===
=== การเลือกตั้ง ===
ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2566 จังหวัดเชียงรายแบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 7 เขต มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 7 คน โดยแต่ละเขตแบ่งออกดังนี้
เขต 1 ประกอบด้วย อำเภอเมืองเชียงราย (เฉพาะตำบลเวียง ตำบลรอบเวียง ตำบลสันทราย ตำบลท่าสาย ตำบลป่าอ้อดอนชัย ตำบลแม่กรณ์ ตำบลห้วยชมภู ตำบลดอยฮาง ตำบลแม่ยาว ตำบลบ้านดู่ และตำบลริมกก)
เขต 2 ประกอบด้วย อำเภอเวียงชัย อำเภอเวียงเชียงรุ้ง อำเภอเมืองเชียงราย (เฉพาะตำบลแม่ข้าวต้ม ตำบลนางแล และตำบลท่าสุด) และอำเภอแม่จัน (เฉพาะตำบลแม่จัน ตำบลป่าตึง ตำบลป่าซาง ตำบลสันทราย และตำบลท่าข้าวเปลือก)
เขต 3 ประกอบด้วย อำเภอแม่ลาว อำเภอแม่สรวย และอำเภอเวียงป่าเป้า
เขต 4 ประกอบด้วย อำเภอพาน อำเภอป่าแดด และอำเภอเมืองเชียงราย (เฉพาะตำบลดอยลานและตำบลห้วยสัก)
เขต 5 ประกอบด้วย อำเภอเทิง อำเภอพญาเม็งราย อำเภอขุนตาลและอำเภอเชียงของ(เฉพาะตำบลบุญเรือง)
เขต 6 ประกอบด้วย อำเภอแม่สาย อำเภอแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่จัน ( เฉพาะตำบลแม่ไร่ ตำบลแม่คำ ตำบลศรีค้ำ และตำบลจอมสวรรค์)
เขต 7 ประกอบด้วย อำเภอเชียงแสน อำเภอดอยหลวง อำเภอเวียงแก่น อำเภอเชียงของ (ยกเว้นตำบลบุญเรือง) และอำเภอแม่จัน (เฉพาะตำบลจันจว้าและตำบลจันจว้าใต้)
== ประชากร ==
จังหวัดเชียงรายมีประชากรหลายเชื้อชาติ ทั้งชาวไทยพื้นราบ ชาวไทยภูเขา และชาวจีนฮ่อที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่บนดอยสูง แต่ละชนชาติจะมีประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ เป็นเสน่ห์ห์อีกอย่างที่ทำให้เชียงรายได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ประชากรในเขตจังหวัดเชียงราย แบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่ม อาทิ
คนไทยพื้นราบ ประกอบด้วยชาวไทยวน ไทลื้อ ไทเขิน ไทใหญ่ ดังนี้
* ไทยวน หรือคนเมือง เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุด
* ไทลื้อ ไทเขิน ไทใหญ่ เป็นกลุ่มชนที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงและทางตอนใต้ของจีน
ชาวไทยภูเขา ประกอบด้วย อาข่า มูเซอ เย้า กะเหรี่ยง ลีซอ ม้ง ลั๊วะ โดยส่วนมากอาศัยอยู่ตามภูเขาและพื้นราบ
ชาวไทยเชื้อสายจีน โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นอดีตทหาร พรรคก๊กมินตั๋ง ได้เข้ามาตั้งรกราก ได้แก่ หมู่บ้านสันติคีรี นอกจากนี้ยังชาวจีนอื่น ๆ อีก เช่น จีนแต้จิ๋ว มีอยู่ในแทบทุกอำเภอโดยเฉพาะในอำเภอเมือง อำเภอแม่จัน อำเภอแม่สาย, ชาวจีนแคะ ในอำเภอเมือง อำเภอพาน อำเภอป่าแดด อำเภอเทิง อำเภอเชียงของ, ชาวจีนมณฑลยูนนานหรือฮ่อ ในอำเภอเมือง อำเภอแม่สาย อำเภอแม่จัน อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ อำเภอเวียงแก่น อำเภอแม่สรวย อำเภอแม่ฟ้าหลวง เป็นต้น
ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า บุคคลหลายสัญชาติที่อพยพมาจากพม่าเข้าอยู่ในประเทศไทยก่อนวันที่ 9 มีนาคม 2519 การออกนอกเขตจังหวัดที่อยู่อาศัยต้องขออนุญาตจากปลัดกระทรวงมหาดไทย
ชาวไทยภาคอีสานอพยพ เป็นประชากรที่อพยพมาจากภาคอีสานเพื่อมาตั้งถิ่นฐานในเชียงรายโดยส่วนมากอาศัยอยู่เขตชานเมืองในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงรายและอำเภออื่นๆ เช่น อำเภอเวียงเชียงรุ่ง อำเภอเวียงชัย อำเภอเทิง(อยู่ตามแม่น้ำอิง) อำเภอเชียงของ อำเภอเชียงแสน อำเภอพาน เป็นต้น
ชาวลาวอพยพ คนลาวที่อาศัยอยู่กับญาติพี่น้องตามแนวชายแดนของประเทศไทย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองของลาวในปี พ.ศ. 2517 ขณะนี้ทางการของไทยยังไม่อนุญาตให้เดินทางออกนอกเขตจังหวัดที่อยู่อาศัย
ชาวไทยภาคกลางอพยพ
== วัฒนธรรมและประเพณี ==
แห่พระแวดเวียง ประเพณีอัญเชิญพระพุทธรูปแวดเวียงเชียงราย ซึ่งมีพื้นฐานความคิดมาจากตำนานพระเจ้าเลียบโลก ด้วยมีจุดมุ่งหมาย ให้ประชาชนได้มีโอกาสสักการบูชาพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ซึ่งประดิษฐานอยู่ตามวัดวาอารามต่าง ๆ ในตัวเมืองเชียงราย เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตในวาระของการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ โดยการอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงราย มาประดิษฐานบนบุษบกที่ได้สร้างขึ้นโดยช่างศิลปินที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงราย จัดตั้งเป็นขบวนอัญเชิญไปรอบเมืองเชียงราย ให้พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสกราบไหว้สักการบูชาด้วย ข้าวตอก ดอกไม้ เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่เป็นสิริมงคลยิ่งนัก
ปอยหลวง งานบุญปอยหลวงเป็นเอกลักษณ์ของชาวล้านนาซึ่งเป็นผลดีต่อสภาพทางสังคมหลายประการ นับตั้งแต่ชาวบ้านได้มาทำบุญร่วมกัน ร่วมกันจัดงานทำให้เกิดความสามัคคีในการทำงาน งานทำบุญปอยหลวงยังเป็นการรวมญาติพี่น้องที่อยู่ต่างถิ่นได้มีโอกาสทำบุญร่วมกัน และมีการสืบทอดประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาครั้งแต่บรรพชนไม่ให้สูญหายไปจากสังคม ช่วงเวลา จากเดือน 5 จนถึงเดือน 7 เหนือ (ตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคมของทุกปี) ระยะเวลาประมาณ 3-7 วัน
ป๋าเวณี ปี๋ใหม่เมือง งานประเพณีสงกรานต์ จัดขึ้นประมาณกลางเดือนเมษายน ในงานมีขบวนแห่และสรงน้ำพระเจ้าล้านทอง การแข่งเรือ และการละเล่นพื้นเมืองและมหรสพ จัดบริเวณตัวเมืองเชียงราย และอำเภอเชียงแสน
งานเทศกาลลิ้นจี่และของดีเมืองเชียงราย เทศกาลที่ชาวเกษตรกรต่างนำผลผลิตทางการเกษตรของตนมาออกร้าน โดยเฉพาะลิ้นจี่ที่มีชื่อเสียงมากของเชียงราย จัดขึ้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี ภายในงานมีการประกวดขบวนรถและธิดาลิ้นจี่ และการออกร้าน บริเวณสนามกีฬากลางจังหวัดเชียงราย
งานไหว้สาพญามังราย จัดให้มีพิธีบวงสรวงพญามังราย มีการออกร้าน จัดนิทรรศการของส่วนราชการและเอกชน และงานรื่นเริงอื่น ๆ จัดวันที่ 23 มกราคม-1 กุมภาพันธ์
เป็งปุ๊ด หรือ เพ็ญพุธ เป็นประเพณีตักบาตรเที่ยงคืนค่อนรุ่งเข้าสู่วันเพ็ญขึ้น15 ค่ำที่ตรงกับวันพุธ ตามวัฒนธรรมและความเชื่อของบรรพบุรุษล้านนาไทย ที่เชื่อกันว่าพระอุปคุตซึ่งพระอรหันต์องค์หนึ่งแปลงกายเป็นสามเณรน้อยมาบิณฑบาตโปรดสัตว์โลกในยามเที่ยงคืน และชาวล้านนาในอดีตเชื่อว่าการทำบุญตักบาตรถวายพระอุปคุตในวันเป็งปุ๊ดก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ มีโชคลาภและร่ำรวย บังเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต โดยบรรพบุรุษชาวล้านนาเชื่อว่า ทุกคืนที่ย่างเข้าสู่วันพุธขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันเป็งปุ๊ด และจะมีประชาชนชาวล้านนาจำนวนมากมารอเพื่อประกอบพิธีทำบุญตักบาตรพระภิกษุสามเณร
งานอนุรักษ์มรดกไทยล้านนา จัดในเดือนเมษายน มีการจัดนิทรรศการและการแสดงแบบไทยล้านนา มีการสาธิตงานศิลปะ บริเวณหอวัฒนธรรมนิทัศน์ อำเภอเมือง
งานประเพณีขึ้นพระธาตุดอยตุง จัดขึ้นในวันขึ้น 14-15 ค่ำ เดือนหกเหนือ หรือเดือนมีนาคม เป็นประเพณีของชาว ล้านนา รวมทั้งชาวไทยใหญ่ในพม่าที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา โดยชาวบ้านและพระสงฆ์ จะเดินขึ้นพระธาตุในตอนกลางคืน เมื่อมาถึงก็จะพากันนมัสการองค์พระธาตุก่อน จากนั้นจึงหาพื้นที่ประกอบอาหารเพื่อตักบาตรในตอนเช้า หลังจากตักบาตรแล้วจะ ช่วยกันบูรณะบริเวณองค์พระธาตุ เมื่อถึงยามค่ำคืนก็มารวมกันที่ปะรำพิธีเพื่อฟังเทศน์
ประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก เป็นประเพณีเกี่ยวกับความเชื่อของผู้คนที่อยู่ริมแม่น้ำโขง โดยเฉพาะชาวประมง ในเขตบ้านหาดไคร้ ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ เกี่ยวกับปลาบึกซึ่งเป็นปลาขนาด ใหญ่อาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงว่า เป็นปลาศักดิ์สิทธิ์ มีเทพเจ้าคุ้มครอง ก่อนที่ชาวประมง จะจับปลาบึกต้องมีการบวงสรวงก่อน ฤดูกาลจับปลาบึกระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม
ประเพณีโล้ชิงช้าของชาวอีก้อ หรือที่เรียกตนเองว่า "อาข่า" มีเชื้อสายจากจีน-ทิเบต เดินทางอพยพมาอยู่บริเวณ ชายแดนไทย-พม่า แถบตอนเหนือของลำน้ำกก โดยเฉพาะอำเภอแม่จัน และแม่สาย การโล้ชิงช้าเป็นการขึ้นไปขอพรและแสดงความรำลึกถึงพระคุณของเทพธิดาแห่ง สรวงสวรรค์ ผู้ประทานความชุ่มชื่นอุดมสมบูรณ์ให้กับพืชพันธุ์ธัญญาหารและ ยังเป็นการเซ่นไหว้บรรพบุรุษอีกด้วย จัดในช่วงเดือนสิงหาคม
ประเพณีปีใหม่ม้ง (น่อเป๊เจ่า) จัดขึ้นทุกปี ในวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 1 หรือขึ้น 1 ค่ำเดือน 2 (ช่วงเดือน พฤศจิกายน-มกราคม) ตามปฏิทินจันทรคติ ของทุกปี มีการละเล่น การแข่งขัน และการแสดงมากมาย เช่น การโยนลูกช่วง (ป๋อป๊อ) ของวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ยังโสด การแข่งขันยิงหน้าไม้ การแข่งขันตีลูกข่าง การแข่งรถฟอร์มูล่าม้ง ฯลฯ
=== ภาษา ===
ภาษาพูด ใช้พูดจากันเรียกว่า คำเมือง เนื่องจากเชียงรายเคยเป็นเมืองร้างผู้คนนานเกือบร้อยปี ได้มีการฟื้นฟูบ้านเมืองขึ้นมาใหม่เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2384 โดยได้เกณฑ์ราษฎรจากเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ และชนเผ่าไตใหญ่ ไตลื้อ ไตยอง และไตขืน (เขิน) ซึ่งอพยพจากเชียงตุง และสิบสองปันนา รวมทั้งชาวลาวจากประเทศลาว ได้เข้ามาอาศัยอยู่รวมกัน ดังนั้นสำเนียงพูดของชาวเชียงรายจึงมีความหลากหลายทางสำเนียงในพื้นที่ต่าง ๆ
ภาษาเขียน เชียงรายก็เช่นเดียวกันกับจังหวัดทางภาคเหนืออื่น ๆ คือมีภาษาเขียนที่เรียกว่าอักขระล้านนา หรือตัวเมือง อักษรล้านนามีวิวัฒนาการมาจากอักษรพราหมีของอินเดีย มีการจัดระบบของหลักภาษาคล้ายกับภาษาบาลี อักษรล้านนามีรูปทรงกลมป้อมคล้ายอักษรพม่าและมอญ แต่หลักการทางภาษาไม่เหมือนกัน
== การจัดตั้งอำเภอและจังหวัด ==
=== การแบ่งพื้นที่บางอำเภอในอดีต เพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอ และอำเภอต่าง ๆ ===
แบ่งพื้นที่อำเภอแม่จันตั้งเป็นอำเภอเชียงแสน อำเภอแม่สาย อำเภอแม่ฟ้าหลวง และอำเภอดอยหลวง
อำเภอแม่จัน เดิมชื่อว่าอำเภอเชียงแสน มีพื้นที่อยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดเชียงราย (พื้นที่สีเขียวในแผนที่ ในรูป 2) ต่อมาถูกแบ่งพื้นที่บางส่วนเพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอและอำเภอต่าง ๆ ได้แก่ อำเภอเชียงแสน อำเภอแม่สาย อำเภอแม่ฟ้าหลวง และอำเภอดอยหลวง ตามลำดับ
เดิมมีการแยกพื้นที่ตำบลในเวียง ตำบลบ้านแซว และตำบลป่าสัก อำเภอเชียงแสน (หมายเลข 1 ในรูป 2) เพื่อตั้งเป็น กิ่งเชียงแสน เนื่องจากการคมนาคมระหว่างพื้นที่ดังกล่าวกับตัวอำเภอยากลำบาก แต่ภายหลัง เมื่อการคมนาคมสะดวกมากขึ้นกิ่งเชียงแสนจึงถูกยุบรวมเข้ากับอำเภอเชียงแสนตามเดิมในปี พ.ศ. 2468 แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2470 เมื่อประชากรมากขึ้นเพื่อเป็นการสะดวกแก่การติดต่อราชการจึงมีการประกาศตั้งกิ่งอำเภออีกครั้ง โดยชื่อว่า กิ่งอำเภอเชียงแสนหลวง ในปี พ.ศ. 2470 ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อ กิ่งอำเภอเชียงแสนหลวง เป็นกิ่งอำเภอเชียงแสน พร้อมกับเปลี่ยนชื่ออำเภอเชียงแสน เป็นอำเภอแม่จัน เพื่อให้สอดคลองกับที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2480 และอีก 30 ปีต่อมา กิ่งอำเภอเชียงแสนได้ยกฐานะเป็นอำเภอเชียงแสน ในปี พ.ศ. 2500
ในปี พ.ศ. 2481 มีการแยกตำบลแม่สายและตำบลโป่งผา เพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอแม่สาย (หมายเลข 2 ในรูป 2) เนื่องจากมีประชากรหนาแน่นและเป็นทำเลค้าขาย ต่อมาได้ยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอแม่สายในปี พ.ศ. 2493
ในปี พ.ศ. 2535 ได้มีการแยกตำบลเทอดไทย ตำบลแม่สลองนอก และตำบลแม่สลองใน เพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอแม่ฟ้าหลวง (หมายเลข 7 ในรูป 2) เนื่องจากเป็นพื้นที่ห่างไกลและเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จึงตั้งชื่ออำเภอว่า แม่ฟ้าหลวง ตามพระสมัญญานาม ต่อมาได้ยกฐานะเป็นอำเภอแม่ฟ้าหลวง ในปี พ.ศ. 2539
ในปี พ.ศ. 2539 ได้แยกตำบลปงน้อย ตำบลโชคชัย และตำบลหนองป่าก่อ เพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอดอยหลวง (หมายเลข 11 ในรูป 2)และต่อมาได้ยกฐานะเป็นอำเภอดอยหลวงในปี พ.ศ. 2550
แบ่งพื้นที่อำเภอเมืองเชียงรายเพื่อตั้งเป็นอำเภอเวียงชัยและอำเภอแม่ลาว
อำเภอเมืองเชียงรายเป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการของจังหวัดเดิมมีพื้นที่ครอบคลุมลุ่มน้ำแม่กกส่วนใหญ่ (พื้นที่สีส้มในแผนที่ ในรูป 2) ต่อมาแยกเป็น อำเภอเวียงชัย และอำเภอแม่ลาว และต่อมาอำเภอเวียงชัยได้แยกพื้นที่บางส่วนเพื่อตั้งเป็นอำเภอเวียงเชียงรุ้งตามลำดับ
ในปี พ.ศ. 2517 ได้มีการแบ่งพื้นที่ตำบลเวียงชัย ตำบลทุ่งก่อ และตำบลผางาม ออกจากอำเภอเมืองเชียงราย เพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอเวียงชัย (หมายเลข 3 และ 10 ในรูป 2) และต่อมายกฐานะเป็นอำเภอเวียงชัยในปี พ.ศ. 2522
ในปี พ.ศ. 2536 มีการแบ่งพื้นที่ตำบลดงมะดะ ตำบลจอมหมอกแก้ว ตำบลโป่งแพร่ ตำบลป่าก่อดำ และตำบลบัวสลี ออกจากอำเภอเมืองเชียงรายเพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอแม่ลาว (หมายเลข 9 ในรูป 2) และยกฐานะเป็นอำเภอแม่ลาวในปี พ.ศ. 2539
แบ่งพื้นที่อำเภอเวียงชัยเพื่อตั้งเป็นอำเภอเวียงเชียงรุ้ง
ในปี พ.ศ. 2538 มีการแบ่งพื้นที่ตำบลป่าซาง ตำบลดงมหาวัณ และตำบลทุ่งก่อ ออกจากอำเภอเวียงชัยเพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอเชียงรุ้ง (หมายเลข 10 ในรูป 2) แต่ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นกิ่งอำเภอเวียงเชียงรุ้ง เพื่อให้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และยกฐานะเป็นอำเภอเวียงเชียงรุ้งในปี พ.ศ. 2550
แบ่งพื้นที่อำเภอพานเพื่อตั้งอำเภอป่าแดด
อำเภอพาน ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดเขียงราย (พื้นที่สีฟ้าในแผนที่ ในรูป 2) ต่อมาได้แยกพื้นที่ตำบลป่าแดดเพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอป่าแดด (หมายเลข 4 ในรูป 2)ในปี พ.ศ. 2512 และยกฐานะเป็นอำเภอป่าแดดในปี พ.ศ. 2518
แบ่งพื้นที่อำเภอเชียงของเพื่อตั้งอำเภอเวียงแก่น
อำเภอเชียงของ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงราย (พื้นที่สีม่วงอ่อนในแผนที่ ในรูป 2) ต่อมาได้แยกตำบลปอ ตำบลหล่ายงาว และตำบลม่วงยายเพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอเวียงแก่น(หมายเลข 6) ในปี พ.ศ. 2530 และยกฐานะเป็นอำเภอเวียงแก่นในปี พ.ศ. 2538
แบ่งพื้นที่อำเภอเทิงเพื่อตั้งอำเภอพญาเม็งรายและอำเภอขุนตาล
อำเภอเทิงเป็นอำเภอที่มีพื้นที่กว้างขวางตั้งอยู่ทิศตะวัตออกเฉียงใต้ของตัวจังหวัด (สีแดง ในรูป 2) ต่อมาได้แบ่งพื้นที่บางส่วนตั้งเป็นอำเภอพญาเม็งราย และอำเภอขุนตาล ตามลำดับ
ในปี พ.ศ. 2524 ได้แยกตำบลแม่เปา ตำบลแม่ต๋ำ และตำบลไม้ยา ออกจากอำเภอเทิงเพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอพญาเม็งราย (หมายเลข 5 ในรูป 2) และยกฐานะเป็นอำเภอพญาเม็งรายในปี พ.ศ. 2530
ในปี พ.ศ. 2524 ได้แยกตำบลป่าตาล ตำบลต้า และตำบลยางฮอม ออกจากอำเภอเทิง เพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอขุนตาล (หมายเลข 8 ในรูป 2) และยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอขุนตาลในปี พ.ศ. 2539
=== การเสนอโครงการจัดตั้งกิ่งอำเภอต่าง ๆ ในช่วงปี พ.ศ. 2539-ปัจจุบัน ===
เนื่องจากบางอำเภอของจังหวัดเชียงรายมีพื้นที่กว้างใหญ่ แม้ว่าการคมนาคมจะสะดวกง่ายดายแต่ก็ใช้เวลานานในการเดินทางติดต่อราชการ รวมถึงบางพื้นที่ได้มีมีประชากรหนาแน่นขึ้นและมีความเจริญมากขึ้นเป็นลำดับ จึงมีการเสนอโครงการจัดตั้งกิ่งอำเภอต่าง ๆ ในหลายพื้นที่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 (ดังรูป 3) ดังนี้
เสนอให้แยกตำบลแม่เจดีย์ ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ และตำบลเวียงกาหลง ออกจากอำเภอเวียงป่าเป้าในปี พ.ศ. 2539 เพื่อตั้งเป็น กิ่งอำเภอแม่ขะจาน อำเภอเวียงป่าเป้า เนื่องจากแม่ขะจานไกลจากตัวเมืองเวียงป่าเป้าแต่มีความเจริญและประชากรเริ่มหนาแน่นกว่า อย่างไรก็ตาม ชื่อกิ่งอำเภอแม่ขะจานยังปรากฏตามเว็บไซต์ต่าง ๆ อย่างไม่เป็นทางการอาจสร้างความสับสนกับผู้อ่านได้
เสนอให้แยกตำบลวาวี ออกจากอำเภอแม่สรวยในปี พ.ศ. 2539 เพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอวาวี แต่โครงการได้ถูกระงับเนื่องจากขาดแคลนงบประมาณ อย่างไรก็ตาม ได้มีการรื้นฟื้นอีกครั้งหลังจากมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดฝางขึ้นโดยมีการอ้างว่าเป็นความต้องการของประชาชนในตำบลวาวีเนื่องจากเดินทางติดต่อกับตัวอำเภอฝางสะดวกมากกว่าติดต่อกับจังหวัดเชียงราย
เสนอให้แยกตำบลห้วยสักและตำบลดอยลานออกจากอำเภอเมืองเชียงรายเพื่อตั้งกิ่งอำเภอดอยสัก ในปี พ.ศ. 2539 แต่โครงการได้ถูกระงับเนื่องจากขาดแคลนงบประมาณเช่นกัน แต่เนื่องจากมีการเตรียมสถานที่สำหรับเป็นที่ว่าการกิ่งอำเภอชั่วคราวและมีการขึ้นป้ายแล้ว จึงทำให้เกิดข้อสงสัยสำหรับผู้ที่พบเห็นป้ายในสมัยหลัง
เสนอให้แยกตำบลปล้อง ตำบลแม่ลอย ตำบลศรีดอนชัย และตำบลเชียงเคี่ยน ออกจากอำเภอเทิง เพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอปล้อง
เสนอให้แยกตำบลแม่อ้อและตำบลสันมะเค็ด ออกจากอำเภอพาน เพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอแม่อ้อ ในปี พ.ศ. 2539 แต่ก็ได้ถูกระงับไปเช่นกัน จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 ก็ได้มีข่าวการทำประชาคมเพื่อเสนอโครงการจัดตั้งกิ่งอำเภออีกครั้งโดยใช้ชื่อกิ่งอำเภอพัชรกิติยาภา โดยพบว่าเกิดความขัดแย้งระหว่าง 2 ตำบลในการเสนอพื้นที่ที่เหมาะสมในการตั้งศูนย์ราชการของอำเภอใหม่ ทั้งยังก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับความเหมาะสมของชื่ออำเภอว่าจะเป็นชื่อท้องถิ่นหรือเป็นชื่อพระราชทานอีกด้วย
เสนอให้แยกตำบลครึ่ง ตำบลห้วยซ้อ และตำบลบุญเรือง ออกจากอำเภอเชียงของเพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอเรืองนคร แต่โครงการนี้ได้ถูกระงับไปเช่นกัน
===การเสนอโครงการจัดตั้งจังหวัดเทิงนคร===
ในช่วงปี พ.ศ. 2540-2545 หลังจากได้มีการจัดตั้งหน่วยงานราชการระดับจังหวัด เช่น เรือนจำจังหวัดเทิง ศาลจังหวัดเทิง สำนักงานอัยการจังหวัดเทิง สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงราย สาขาเทิง จึงได้มีกระแสการเสนอรณรงค์เพื่อเสนอโครงการจัดตั้งจังหวัดเทิงขึ้นโดยนักการเมืองในเขตอำเภอเทิง โดยใช้ชื่อที่ใช้ในการรณรงค์ในขณะนั้นว่า จังหวัดเทิงนคร โดยเสนอที่จะแยก อำเภอเทิง อำเภอเชียงของ อำเภอป่าแดด อำเภอพญาเม็งราย อำเภอขุนตาล และอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ขึ้นเป็นจังหวัดใหม่ แต่โครงการนี้ได้เงียบไปแและเป็นที่กล่าวถึงใหม่เป็นระยะ ๆ บนกระดานสนทนาต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต
===การเสนอโครงการจัดตั้งจังหวัดเชียงของ===
หลังจากมีการก่อสร้าง สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ขึ้นที่อำเภอเชียงของ ในปี พ.ศ. 2554 และมีโครงการเชียงของเมืองใหม่ขึ้นมารับการพัฒนาที่จะตามมาตามทางหลวงเอเชียสาย 3 (AH3) หรือเส้นทาง R3A จึงมีแนวคิดที่จะเสนอโครงการจัดตั้งจังหวัดเชียงของ โดยแยกอำเภอเชียงแสน อำเภอดอยหลวง อำเภอเทิง อำเภอเชียงของ อำเภอป่าแดด อำเภอพญาเม็งราย อำเภอขุนตาล และอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ขึ้นเป็นจังหวัดใหม่ และก่อให้เกิดข้อถกเถียงบนกระดานข่าวในอินเทอร์เน็ตอยู่ระยะหนึ่งหลังจากมีข่าวลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในปี พ.ศ. 2554 อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวได้เงียบไปหลังจากนั้นไม่นาน
== การศึกษา ==
จังหวัดเชียงรายรับรองระบบการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับอุดมศึกษา มีจำนวนสถานศึกษาทั้งสิ้น 916 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นสถาบันการศึกษาขั้นพื้นฐาน 590 แห่ง ตามมาด้วยสถาบันการศึกษาเอกชน 201 แห่ง และมีสถาบันอุดมศึกษา 8 แห่ง มีครู/อาจารย์ 18,178 คน และนักเรียน นักศึกษา 259,571 คน ซึ่งอัตราส่วนครู/อาจารย์ ต่อนักเรียน นักศึกษาเป็น 1:21 นักเรียนในสังกัดส่วนใหญ่อยู่ในระดับประถมศึกษา 90,007 คน รองลงมาคือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 45,221 คน
=== โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ===
โรงเรียนสหศึกษาประจำจังหวัด: โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม
โรงเรียนสหศึกษาประจำจังหวัด: โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์
โรงเรียนสหศึกษาประจำจังหวัด: โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย
=== สถาบันอุดมศึกษา ===
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติเชียงราย
มหาวิทยาลัยพะเยา วิทยาเขตเชียงราย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงราย
สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 2 เชียงราย
==== สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ====
วิทยาลัยเชียงราย
== สาธารณสุข ==
จังหวัดเชียงรายมีโรงพยาบาลแผนปัจจุบัน 26 แห่ง มีเตียงจำนวนทั้งหมด 2,614 เตียง มีบุคลากรแพทย์ 521 คน (อัตราส่วนต่อประชากรเป็น 4.44) พยาบาล 2,729 คน (อัตราส่วนต่อประชากรเป็น 2.33) ทันตแพทย์ 141 คน (อัตราส่วนต่อประชากรเป็น 1.20) และเภสัชกร 141 คน (อัตราส่วนต่อประชากรเป็น 2.08)
=== โรงพยาบาลของรัฐ ===
โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช
โรงพยาบาลพาน
โรงพยาบาลแม่จัน
โรงพยาบาลแม่สาย
โรงพยาบาลเทิง
โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า
โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเชียงของ
โรงพยาบาลเชียงแสน
โรงพยาบาลแม่ลาว
โรงพยาบาลพญาเม็งราย
โรงพยาบาลแม่สรวย
โรงพยาบาลเวียงชัย
โรงพยาบาลเวียงเชียงรุ้ง
โรงพยาบาลป่าแดด
โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง
โรงพยาบาลเวียงแก่น
โรงพยาบาลขุนตาล
โรงพยาบาลดอยหลวง
=== โรงพยาบาลเอกชน ===
โรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์
โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย
โรงพยาบาลเชียงรายราม
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ แม่สาย
สถานพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์ เชียงแสน
สถานพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค แม่สาย
สถานพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค เชียงของ
== การขนส่ง ==
จังหวัดเชียงรายมีระบบขนส่งที่หลากหลายทั้งทางบก ทางอากาศ และทางรถไฟในอนาคต โดยเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางการบินที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ เป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และจังหวัดเชียงรายมีสถานีรถโดยสารประจำทาง 2 แห่ง สำหรับการขนส่งผู้โดยสารไปยังต่างอำเภอ และจังหวัดอื่น ๆ
ทางด้านระบบขนส่งมวลชน มี รถสองแถว ตุ๊กตุ๊ก รถเมล์ แท็กซี่มิเตอร์ ให้บริการในพื้นที่เทศบาลนครเชียงราย และอำเภอใกล้เคียง
== สาธารณูปโภค ==
ไฟฟ้า การไฟฟ้าของจังหวัดอยู่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 1 ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ รับซื้อกระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ณ แหล่งผลิตแม่เมาะ จังหวัดลำปาง สามารถให้บริการไฟฟ้าได้ครอบคลุม 18 อำเภอ สำหรับหมู่บ้าน ที่ไม่สามารถขยายเขตระบบจำหน่ายได้เนื่องจากสาเหตุหลายประการ ได้แก่ เป็นหมู่บ้าน ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แหล่งต้นน้ำลำธาร ลุ่มน้ำ เขตป่าอนุรักษ์ อุทยานแห่งชาติ เป็นต้น ซึ่งหลายแห่งมีการติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์
ประปา การประปาในจังหวัดเชียงราย มีจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ การประปาเชียงราย การประปาพาน การประปาเทิง การประปาเวียงเชียงของ และการประปาแม่สาย
โทรศัพท์ จังหวัดเชียงรายมีชุมสายโทรศัพท์
ไปรษณีย์ มีสำนักงานไปรษณีย์ จำนวน 22 แห่ง
== กีฬา ==
จังหวัดเชียงรายมีการจัดการแข่งขันกีฬาในระดับประเทศหลายครั้ง ได้แก่ การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ 2 ครั้ง กีฬาเยาวชนแห่งชาติ 1 ครั้ง และกีฬานักเรียนนักศึกษาแห่งประเทศไทย 2 ครั้ง
เชียงรายมีสโมสรฟุตบอลอาชีพ 3 สโมสร ได้แก่
ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด แชมป์ไทยลีก ฤดูกาล 2562
เชียงราย ซิตี้
เชียงราย ล้านนา
== สถานที่ท่องเที่ยว ==
=== สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ===
ดอยแม่สลอง อำเภอแม่ฟ้าหลวง
ดอยตุง อำเภอแม่สาย
ทะเลสาบเชียงแสน อำเภอเชียงแสน
น้ำพุร้อนโป่งพระบาท อำเภอเมือง
น้ำพุร้อนแม่ขะจาน อำเภอเวียงป่าเป้า
ปางช้างกระเหรี่ยงรวมมิตร อำเภอเมือง
ดอยผาตั้ง อำเภอเวียงแก่น
ดอยช้าง อำเภอแม่สรวย
อุทยานแห่งชาติดอยหลวง อำเภอพาน
อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย
อุทยานแห่งชาติลำน้ำกก อำเภอเมือง
อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า อำเภอเทิง
อุทยานแห่งชาติขุนแจ อำเภอเวียงป่าเป้า
เขื่อนแม่สรวย อำเภอแม่สรวย
=== สถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป ===
อำเภอเมืองเชียงราย
วัดร่องขุ่น
สิงห์ปาร์คเชียงราย
วัดร่องเสือเต้น
บ้านดำ
ถนนคนเดิน - ที่สำคัญมีสองแห่งคือ
* กาดเจียงฮายรำลึก บริเวณถนนธนาลัยสุดสาย ใจกลางเมือง (วันเสาร์)
* ถนนคนม่วน ช่วงบริเวณถนนสันโค้งสุดสาย (วันอาทิตย์)
เชียงรายไนท์บาซาร์
อำเภออื่น ๆ
ไร่ชาฉุยฟง อำเภอแม่จัน
เมืองเก่าโบราณเชียงแสน อำเภอเชียงแสน
สามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน อำเภอเชียงแสน
ตลาดชายแดนแม่สาย อำเภอแม่สาย
ผาหมี ผาฮี้ อำเภอแม่สาย
ชุมชนปางห้า อำเภอแม่สาย
ภูชี้ดาว อำเภอเทิง
ริมโขง อำเภอเชียงของ
== บุคคลที่มีชื่อเสียง ==
วิสาร เตชะธีราวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
สถิตย์ ไชยปัญญา นักวิชาการด้านภาษาสันสกฤตและฮินดี
สฤษฏ์ อึ้งอภินันท์ นักการเมือง
พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน นักการเมือง
รัตนา จงสุทธานามณี นักการเมือง
ยงยุทธ ติยะไพรัช นักการเมือง
สามารถ แก้วมีชัย นักการเมือง
วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ นักการเมือง
ครูจูหลิง ปงกันมูล ข้าราชการครู
ถวัลย์ ดัชนี จิตรกร
เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกร
มาลา คำจันทร์ นักเขียน
วริฏฐิสา ลิ้มธรรมมหิศร นักแสดง
สายธาร นิยมการณ์ นักแสดง
ภูริตา สุปินชมภู นักแสดง
ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์ นักแสดง
ณัฐวุฒิ ศรีหมอก หรือกอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ นักร้อง
ตวงสิทธิ์ เรียมจินดา นักร้อง
อนุวัฒน์ สงวนศักดิ์ภักดี นักร้อง
อุเทน พรหมมินทร์ นักร้อง
ปู่จ๋าน ลองไมค์ นักร้อง
คนึงพิมพ์ ธนพิชชากรณ์ นักร้อง
ชาตรี เพชรเม็งราย นักร้อง
กรรฐกรฐ์ หล่อเสถียรธารี นักร้อง
จิรายุทธ ผโลประการ นักร้อง
กรวิชญ์ สูงกิจบูลย์ นักร้อง/นักแสดง
วีรินทร์ทิรา นาทองบ่อจรัส ผู้ประกาศข่าว
ปริม อินทวงศ์ อดีตนักวอลเลย์ทีมชาติไทย
โสรยา พรมหล้า นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิง
วิภาวี ศรีทอง นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย
วัชรกร มะโนวร นักฟุตบอล
มิตติ ติยะไพรัช ประธานสโมสรฟุตบอลเชียงราย ยูไนเต็ด
วัชรกร ไกลถิ่น อดีตนักฟุตบอลทีมเชียงราย ยูไนเต็ด
กฤษฎี ประกอบของ อดีตนักฟุตบอลทีมเชียงราย ยูไนเต็ด
พงศภัทร์ กันคำ นักแสดง
วรรษพร วัฒนากุล นักแสดง
จิณณ์ณิตา บุดดี นางงาม
บัวบาน ผามั่ง อดีตนักกรีฑาทีมชาติไทย
แองจี้ เพชรรุ่งเรือง นักมวยไทย
ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช นักการเมือง
== บ้านพี่เมืองน้อง ==
คุนหมิง ประเทศจีน
เหวย์ฟาง ประเทศจีน
หลวงพระบาง ประเทศลาว
ตองจี ประเทศพม่า
ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า
ยูเนียนซิตี สหรัฐ
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
รายชื่อวัดในจังหวัดเชียงราย
สโมสรฟุตบอลเชียงราย ยูไนเต็ด
สโมสรฟุตบอลจังหวัดเชียงราย
อาณาจักรเชียงแสน
อาณาจักรโยนค
รายชื่อโบราณสถานในจังหวัดเชียงราย
รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดเชียงราย
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
ข้อมูลจังหวัดเชียงราย จากสำนักงานสถิติจังหวัดเชียงราย
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัดเชียงราย
เชียงรายโฟกัส สังคมออนไลน์ ของคนเชียงราย
เที่ยวไทย เที่ยวเชียงราย บล็อกคนเชียงราย
เชียง
อาณาจักรล้านนา
|
thaiwikipedia
| 1,177 |
Heather Nova
|
redirect เฮเทอร์ โนวา
|
thaiwikipedia
| 1,178 |
31 มีนาคม
|
วันที่ 31 มีนาคม เป็นวันที่ 90 ของปี (วันที่ 91 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 275 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) - หอไอเฟล ในกรุงปารีส เปิดอย่างเป็นทางการ
พ.ศ. 2441 (ค.ศ. 1898) - สหรัฐยึดมาโลลอส เมืองหลวงของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917) - เดนิชเวสต์อินดิส ในหมู่เกาะแคริบเบียน เปลี่ยนชื่อเป็นหมู่เกาะเวอร์จินแห่งสหรัฐอเมริกา หลังจากสหรัฐฯ จ่ายเงิน 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับเดนมาร์ก
พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) - สหรัฐฯ เริ่มใช้เวลาออมแสงเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) - โรงถ่ายภาพยนตร์ฮอลลีวูด เริ่มใช้ประมวลการผลิตภาพยนตร์
พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - เรสเซิลเมเนียซึ่งเป็นรายการ เพย์-เพอร์-วิว ที่ใหญ่และยาวนานที่สุดของ WWE เริ่มจัดขึ้นที่ เมดิสัน สแควร์ การ์เดน ที่นิวยอร์ก เป็นครั้งแรก
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2330 (ค.ศ. 1787) - พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (สวรรคต 2 เมษายน พ.ศ. 2394)
พ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905) - กุหลาบ สายประดิษฐ์ นักประพันธ์ (ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2517)
พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) - ที. อาร์. ชอว์ นักประวัติศาสตร์และนักถ้ำวิทยาชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) - เยฟเกนี ลาซาเรฟ นักแสดงเชื้อสายรัสเซีย-อเมริกัน (ถึงแก่กรรม 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559)
พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) - คริสโตเฟอร์ วอลเคน นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) - จันทรา คชหิรัญ นักร้องชาวไทย
พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) - อัล กอร์ รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45
พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) - มานะ มหาสุวีระชัย นักการเมือง
พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - วิชัย ราชานนท์ นักมวยสากลสมัครเล่น
พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - สิทธิพร สุนทรพจน์ นักร้องลูกทุ่งชาวไทย
พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) - ยวน แม็คเกรเกอร์ นักแสดงชายชาวสก็อตแลนด์
พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - กมลชนก เวโรจน์ นักร้อง นักแสดง และนางแบบชาวไทย
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - ไบรอัน ไทรี เฮนรี นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) -
* ญาณิน วิสมิตะนันทน์ นักแสดงผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว
* อุซามะฮ์ เฮาซาวี อดีตนักฟุตบอลชาวซาอุดีอาระเบีย
พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) -
* เจสสิก้า ชอร์ นักแสดงชาวอเมริกัน
* ไอริกับเมริ นางแบบ และ นักแสดงหนังโป๊ญี่ปุ่น
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - เปาลู มาชาดู นักฟุตบอลชาวโปรตุเกส
พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - นูรดีน อัมราบัต นักฟุตบอล ชาวโมร็อกโก
พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) -
* ชุษณะ นัมคณิสร นักฟุตบอลอาชีพชาวไทย
* คณิน สแตนลีย์ นักแสดง นายแบบชาวไทย
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) -
* เรนาตอ เกลิช นักฟุตบอลชาวโครเอเชีย
* อภิวัฒน์ แจ่มเจริญ นักฟุตซอลชาวไทย
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - ณัฐรุจา ชุติวรรณโสภณ (แก้ว) อดีตสมาชิกวง BNK48
พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - โศภิดา จิระไตรธาร
พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - กู จุนฮเว (จูเน่ iKON) สมาชิกวง iKON
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 2270 (ค.ศ. 1727) - ไอแซก นิวตัน นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาชาวอังกฤษ (เกิด 4 มกราคม พ.ศ. 2185)
พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) - หลวงวิจิตรวาทการ นักพูด นักเขียน และนักการเมืองชาวไทย (เกิด 11 สิงหาคม พ.ศ. 2441)
พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - เซเลนา นักร้องชาวอเมริกัน (เกิด 16 เมษายน พ.ศ. 2514)
พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) -
* ซาฮา ฮาดิด สถาปนิกชาวอิรัก-อังกฤษ (เกิด 31 ตุลาคม พ.ศ. 2493)
* อิมเร เคอร์เตสซ์ นักเขียนและผู้ได้รับรางวัลโนเบลชาวฮังการี (เกิด 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2472)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
วันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า (วันมหาเจษฎาบดินทร์)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
Today in History: March 31
มีนาคม 31
มีนาคม
|
thaiwikipedia
| 1,179 |
กระบี่กระบอง
|
กระบี่กระบอง เป็นกีฬา การแสดงสาธิต และการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยอาวุธโบราณของไทย โดยทำเลียนแบบอาวุธจริง เป็นไม้ โลหะ หนังสัตว์ ซึ่งประกอบด้วยอาวุธทั้งแบบสั้นและแบบยาว อาทิเช่น ดาบ หอก ง้าว กระบี่ พลอง นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์สำหรับป้องกันตัว อันได้แก่ ดั้ง เขน โล่ ไม้ศอกสั้น
== ประวัติ ==
ชาติไทยเป็นชนชาติที่มีสงครามการต่อสู้เพื่อป้องกันประเทศ รักษาความเป็นเอกราชของแผ่นดินยาวนานชนชาติหนึ่ง ชาวไทยในยุคแรก ๆ ที่เริ่มก่อตั้งแผ่นดินจนถึงยุครัตนโกสินทร์ได้อาศัยสติปัญญา ความกล้าหาญ และใช้อาวุธนานาชนิดที่มีอยู่ในท้องถิ่นและกองทัพเข้าสู้ป้องกันมาโดยตลอด เริ่มจากกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และ กรุงรัตนโกสินทร์ บรรดาทหารกล้าตลอดจนชาวบ้านต่างฝึกฝน เสาะหาเรียนวิชาฟันดาบและการต่อสู้ด้วยอาวุธนานาชนิด จึงเกิดมีการฝึกซ้อมอยู่เป็นประจำ จนถึงขั้นประลองฝีมือ
ในสมัยก่อนการประลองเป็นเรื่องจริงจังอาศัยหลักวิชาการต่อสู้เป็นหลักจึงมีคนนิยมเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าประลองกับชาวต่างชาติหรือชาวตะวันตกที่ใช้อาวุธของเขาเป็นหลักยิ่งทำให้เป็นที่สนใจมากขึ้น ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ยังมีการประลองมวย และการต่อสู้ด้วยอาวุธหน้าพระที่นั่งเช่นกัน
== อาวุธกระบี่กระบอง ==
ประกอบด้วย:
== ในวัฒนธรรมร่วมสมัย ==
ในมังงะ ภารกิจล้างพันธุ์นรก มีตัวละครจากประเทศไทย เป็นผู้ใช้วิชากระบี่กระบอง และในตอนที่ 124 ได้มีการให้ชื่อตอนดังกล่าวว่า KRABI-KRABONG
== อ้างอิง ==
เรียบเรียงจาก บทความแสดงในงานนิทรรศการกีฬาไทย ท้องสนามหลวง เดือนมีนาคม 2545 โดย อ.นิพนธ์ ศรีวิจิตร
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Antonio Graceffo writes about krabi krabong in Thailand
กระบี่กระบอง
ศิลปะการต่อสู้ของไทย
กีฬาที่มีต้นกำเนิดในประเทศไทย
|
thaiwikipedia
| 1,180 |
ฟันดาบไทย
|
กีฬาฟันดาบไทย เป็นกีฬาไทย ที่พัฒนามาจากกระบี่-กระบอง โดยนาวาตรีจรูญ ไตรรัตน์คิดค้นดัดแปลงแก้ไขจากการแสดง วิวัฒนาการมาเป็นเกมการต่อสู้เพื่อการแข่งขัน ซึ่งเริ่มแรกได้มีการเล่นกันในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนมีการแข่งชิงตำแหน่ง “ขุนพลจุฬาฯ” เกิดขึ้น และได้รับความสนใจจากนิสิต นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จนมีการแข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัย
== การเล่นกีฬาดาบไทย ==
การเล่นกีฬาดาบไทย ประเภทกระบี่และดาบสองมือเพื่อการแข่งขัน
ให้นักกีฬาทั้งสองฝ่าย ถือกระบี่หวาย ฝ่ายละ 1 เล่ม ถ้าเป็นดาบสองมือให้ถือดาบ 2 มือหุ้มนวม ฝ่ายละ 2 เล่ม อาวุธทั้งสองชนิด ให้เป็นไปตามแบบ และขนาดที่กำหนดไว้ในกติกา
การปฏิบัติตนของนักกีฬาก่อนเริ่มทำการแข่งขันเมื่อเจ้าหน้าที่เรียกนักกีฬาลงสนามแข่งขัน ให้นักกีฬาทั้งสองฝ่ายมายืนอยู่กลางสนามต่อหน้ากรรมการผู้ตัดสิน นักกีฬาทั้ง 2 ฝ่ายทำความเคารพกรรมการผู้ตัดสิน และคู่ต่อสู้ โดยการไหว้ ตามแบบขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทย แล้วแยกกันออกไปยืนจรดดาบห่างกัน (นอกระยะดาบ) คอยฟังกรรมการผู้ตัดสินออกคำสั่งให้เริ่มการต่อสู้
=== การต่อสู้ของนักกีฬา ===
เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมทำการต่อสู้ กรรมการผู้ตัดสินจะออกคำสั่งให้นักกีฬาต่อสู้กัน โดยคู่ต่อสู้มีสิทธิ์ที่จะใช้อาวุธฟันเข้าตามร่างกายทุกส่วนของคู่ต่อสู้ เช่น ศีรษะ แขน ขา ลำตัว เป็นต้น การฟันดังกล่าวจะต้องไม่เป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ โดยขาดหลักวิชาการต่อสู้ ขาดเหตุผล ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่คู่ต่อสู้ อันเป็นการผิดวิสัยของนักกีฬาฟันดาบ นอกจากนี้การเข้าไปฟันคู่ต่อสู้ จะต้องระวังการตอบโต้จากคู่ต่อสู้ด้วยการปิดป้องอาวุธฝ่ายตรงข้าม เพื่อป้องกันตัวเองให้ได้ด้วย
=== การได้เสียคะแนนของนักกีฬา ===
ฝ่ายที่ถูกคู่ต่อสู้เข้าฟันโดนร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วไม่สามารถโต้ตอบกลับไปโดนร่างกายคู่ต่อสู้ได้ทันที ให้เป็นฝ่ายเสียคะแนน 1 คะแนน
=== การนับคะแนนแพ้ชนะ ===
นักกีฬาฝ่ายใดเสียคะแนนน้อยกว่า ในระยะเวลาที่กำหนด เป็นฝ่ายชนะ
นักกีฬาฝ่ายใดเสียคะแนนถึง 5 คะแนน ก่อนหมดเวลาการแข่งขันที่กำหนดให้เป็นฝ่ายแพ้
=== เวลาที่ใช้ทำการแข่งขัน ===
นักกีฬาชาย ใช้เวลาแข่งขัน 3 นาที
นักกีฬาหญิง ใช้เวลาแข่งขัน 3 นาที
=== การทำหน้าที่ของคณะกรรมการตัดสิน ===
การแข่งขันแต่ละครั้ง จะมีกรรมการผู้ตัดสิน และกรรมการผู้ช่วยผู้ตัดสินดังนี้
กรรมการผู้ตัดสิน 1 คน เป็นผู้ออกคำสั่งให้นักกีฬาเริ่มทำการต่อสู้ และหยุดทำการต่อสู้ เมื่อจะทำการวินิจฉัยการเข้าฟันคู่ต่อสู้ และตัดสินชี้ขาดการให้คะแนนแก่นักกีฬา
กรรมการผู้ช่วยผู้ตัดสินจำนวน 4 คน เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้ตัดสินโดยให้คำปรึกษาแก่กรรมการผู้ตัดสิน หลังจากการสั่งหยุดการต่อสู้ เพื่อวินิจฉัยผลการตัดสินแต่ละครั้ง นอกจากนี้ยังช่วยดูแลการออกนอกวงของนักกีฬาทั้งคู่ ความบกพร่องของอาวุธขณะทำการต่อสู้ การแต่งกายของนักกีฬาเป็นต้น
กรรมการเทคนิค เป็นผู้ควบคุมการชี้แจงคะแนนผ่านกระดานบอกคะแนน รวบรวมข้อมูลและผลของการแข่งขันแต่ละรอบ เพื่อนำไปจัดการแข่งขันในรอบถัดไป รวมไปถึงชี้แจงและให้คำปรึกษาในกรณีเกิดปัญหาขณะการแข่งขัน
== พัฒนากีฬาดาบไทย ==
นับจากการแข่งชิงตำแหน่ง “ขุนพลจุฬาฯ” กีฬาฟันดาบไทย ได้พัฒนามาเป็นลำดับดังนี้
พ.ศ. 2481 การแข่งขันภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พ.ศ. 2507 กีฬา 5 มหาวิทยาลัย
พ.ศ. 2513 กีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1
พ.ศ. 2543 กีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 32
เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดคือ “ในปีพุทธศักราช 2506 สำนักดาบศรีไตรรัตน์ ร่วมกับมูลนิธิจัดหาอุปกรณ์การศึกษาสำหรับเด็ก ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญา ได้จัดการแข่งขันฟันดาบไทยระหว่างมหาวิทยาลัยขึ้น ณ สนามกีฬาแห่งชาติ เมื่อวันที่ 18 มกราคม โดยหม่อมดุษฎี บริพัตร ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จทอดพระเนตร และพระราชทานถ้วยรางวัลแก่นักกีฬา โดยมีอาจารย์ทองหล่อ ไตรรัตน์ เป็นผู้ถวายคำอธิบายระหว่างการแข่งขัน และด้วยความสนพระทัย เมื่อจบการแข่งขัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีรับสั่งว่า “ให้รักษากีฬานี้ไว้ อย่าทอดทิ้ง” นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น ศิลปะกีฬานี้จึงยังคงอยู่มาตราบเท่าทุกวันนี้”
== อ้างอิง ==
รวบรวมจากคู่มือการเล่นกีฬาฟันดาบไทย โดยสมาคมกีฬาไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
กระบี่กระบอง
วัฒนธรรมไทย
|
thaiwikipedia
| 1,181 |
เวลาออมแสง
|
เวลาออมแสง (อังกฤษ : Daylight Saving Time, อักษรย่อ : DST) หรือ เวลาฤดูร้อน (อังกฤษ : Summer Time) เป็นข้อตกลงในการปรับนาฬิกาไปข้างหน้า เพื่อให้มีแสงอาทิตย์ในช่วงเวลาบ่ายมากขึ้นและมีแสงอาทิตย์ในช่วงเวลาเช้าน้อยลง โดยปกติแล้วการปรับจะปรับไปข้างหน้าหนึ่งชั่วโมงก่อนเข้าฤดูใบไม้ผลิ และปรับกลับหลังในฤดูใบไม้ร่วง เวลาออมแสงในยุคสมัยใหม่ถูกเสนอขึ้นครั้งแรกโดย William Willett นักก่อสร้างชาวอังกฤษ หลายประเทศได้เริ่มใช้การปรับเวลาลักษณะนี้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยมีรายละเอียดแตกต่างไปตามสถานที่และมีการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งคราว
การเลื่อนนาฬิกาตามหลักเวลาออมแสงนี้ก่อให้เกิดความท้าทายในหลายด้าน เช่น อาจทำให้การรักษาเวลายุ่งยากขึ้น และกระทบการนัดหมาย การเดินทาง การบัญชี การลงบันทึก อุปกรณ์การแพทย์ รวมไปถึงเครื่องจักรอุตสาหกรรม ระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติการส่วนมากสามารถปรับนาฬิกาของตัวได้อัตโนมัติ แต่การปรับนี้ก็อาจทำได้จำกัดและมีความผิดพลาด โดยเฉพาะเมื่อกฎของเวลาออมแสงเปลี่ยน
ระบบเวลาออมแสงมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีช่วงแสงสว่างที่ "เหมาะสม" ตามความต้องการของท้องถิ่น โดยปรับนาฬิกาให้เข้ากับการขึ้นลงของดวงอาทิตย์ ซึ่งเปลี่ยนไปตามฤดูกาลตามความเอียงของแกนโลก
ในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 ได้เริ่มทำการปรับเวลาออมแสงแตกต่างจากประเทศอื่นโดยเริ่มต้น 3 อาทิตย์ก่อนเวลาออมแสงปกติ และสิ้นสุด 1 อาทิตย์หลังเวลาออมแสงปกติ การปรับเปลี่ยนดังกล่าวได้รับการรับรองโดยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2005
ในประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เคยมี DST ได้แก่ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
== ศัพทวิทยา ==
ในภาษาอังกฤษ Daylight Saving Time บางครั้งอาจเขียนเชื่อมกันด้วยเครื่องหมายยัติภังค์ (-) เป็น Daylight-Saving Time
'saving' ในที่นี้เป็นคำคุณศัพท์ เหมือนกับในคำว่า labor saving device (เครื่องทุ่นแรง, เครื่องประหยัดแรง)
ส่วนการใช้คำอื่น ๆ เช่น daylight savings time, daylight savings, และ daylight time ก็พบเห็นได้ทั่วไป
โดย 'savings' ในที่นี้เป็นการเปรียบเหมือนใน savings account (บัญชีออมทรัพย์)
ในข้อเสนอต้นฉบับของ Willett นั้น ใช้ศัพท์ว่า daylight saving แต่ใน ค.ศ. 1911 คำว่า summer time ก็ได้มาแทนที่คำว่า daylight saving time ในร่างกฎหมายในสหราชอาณาจักร
ชื่อเขตเวลานั้นมักจะเปลี่ยนไปเมื่อใช้เวลาออมแสง
ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันแทนที่คำว่า standard (มาตรฐาน) ด้วย daylight (ออมแสง):
เช่น Pacific Standard Time (PST) กลายเป็น Pacific Daylight Time (PDT)
ภาษาอังกฤษแบบบริเตนใช้ summer (ฤดูร้อน): เช่น Greenwich Mean Time (GMT) กลายเป็น British Summer Time (BST)
ตัวย่อนั้นไม่ได้เปลี่ยนตามเสมอ เช่น ชาวออสเตรเลียจำนวนมาก (แม้ไม่ทั้งหมด) เรียก Eastern Standard Time (EST) กลายเป็น Eastern Summer Time (ซึ่งย่อว่า EST เช่นกัน)
== อ้างอิง ==
The British version, focusing on the UK, is
== ดูเพิ่ม ==
เขตเวลา
เวลาพิกัดสากล
เวลาสากล
เขตเวลา
|
thaiwikipedia
| 1,182 |
กรีฑา
|
กรีฑา (athletics) หมายถึง กีฬาประเภทหนึ่งแบ่งเป็นประเภทลู่และลาน ประเภทลู่ ได้แก่ วิ่งระยะทางต่าง ๆ ประเภทลาน ได้แก่ ขว้างจักร กระโดดสูง ทุ่มน้ำหนัก มีการแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ 776ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยทำการแข่งขัน ณ ลาน เชิงเขาโอลิมปัส ในแคว้นอีลิส ประเทศกรีซ โดยเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในสมัยโบราณ เมื่อกรีกเสื่อมอำนาจลง โรมันได้เข้ามาปกครองกรีกและห้ามชาวกรีกแข่งขันกีฬา ทำให้การแข่งขันกรีฑาต้องล้มเลิกไปด้วย
ต่อมาใน พ.ศ. 2439 นักกีฬาชาวฝรั่งเศส ชื่อ ปีแยร์ เดอ กูแบร์แต็ง ได้เริ่มการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกขึ้นใหม่หลังจากล้มเลิกไปเป็นเวลานานถึง 1,500ปีกว่าๆ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกขึ้นครั้งนี้ได้จัดขึ้นที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ และกรีฑาเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่ได้รับการบรรจุเข้าในการแข่งขันครั้งนี้ด้วย จากนั้นจึงมีพัฒนาการมาตามลำดับจนถึงปัจจุบัน ในประเทศไทยได้มีการแข่งขันขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2440กรีฑาซึ่งได้รับการจัดตั้งสามารถสืบย้อนไปได้ถึงกีฬาโอลิมปิกสมัยยุคโบราณนับแต่ 776 ปีก่อนคริสตกาล และรายการแข่งขันกรีฑาสมัยใหม่ส่วนใหญ่มีสโสมสรสมาชิกของสหพันธ์กรีฑานานาชาติ(IAAF) กรีฑาเป็นกระดูกสันหลังของโอลิมปิกฤดูร้อนสมัยใหม่ และการชุมนุมระหว่างประเทศชั้นนำอื่น ๆ รวมทั้ง การแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลก (IAAF World Championships) และการแข่งขันกรีฑาในร่มชิงแชมป์โลก (World Indoor Championships) และกรีฑาสำหรับผู้พิการทางกายแข่งขันกันที่ พาราลิมปิกฤดูร้อน และการแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลกของคณะกรรมการพาราลิมปิกในระหว่างประเทศ (IPC Athletics World Championships.)
== ชนิดของกรีฑา ==
การวิ่งระยะสั้น คือ ระยะทางที่วิ่งไม่เกิน 400 เมตร ส่วนประกอบสำคัญในการวิ่งและการแกว่งแขน ท่าตั้งต้นก่อนวิ่งควรทำมุม 75-80 องศา
การวิ่งผลัด เหมือนกับการวิ่งระยะสั้นต่างกันตรงมีไม้คทาถืออยู่ในมือเวลาวิ่ง
การวิ่งข้ามรั้ว ควรฝึกกระโดดระดับสูงก่อน
วิ่งกระโดดไกล คือ การโดดอย่างสูงจากพื้นไปในอากาศ การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ใช้ การเหยียดขาแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
# กระโดดจากพื้นอย่างสูง
# ระยะลอยตัวในอากาศ
# ระยะลงพื้น
วิ่งกระโดดสูง คือ การกระโดดขึ้นสปริงข้อเท้าข้างเดียว
# แบบท่ากลิ้งตัว
# แบบท่ากรรไกรทางตรง
# แบบท่ากรรไกร2ทาง
ทุ่มน้ำหนัก เป็นกรีฑาประเภทลาน การฝึกทุ่มมี 2 ระยะคือ การทุ่มอยู่กับที่และการเคลื่อนที่ผ่านวงกลมทุ่ม
ขว้างจักร วิธีขว้างจักรแบ่งเป็น 2 วิธี คือ การขว้างอยู่กับที่และการหมุนตัวขว้าง ขว้างจักร
พุ่งแหลน เป็นกรีฑาประเภทลาน การถือแหลน มี 2 แบบ คือ แบบถือเหนือไหล่และแบบชิดข้างลำตัว
== ลู่และลาน ==
== กรีฑาในประเทศไทย ==
การเล่นกรีฑาในประเทศไทย ริเริ่มโดยครูชาวอังกฤษนำมาสอนให้นักเรียนไทย ได้ฝึกเล่นในโรงเรียนพระตำหนักวังสวนกุหลาบ ในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้วค่อยเจริญแพร่หลายขึ้น เมื่อกระทรวงธรรมการเริ่มทำการได้กราบบังคมทูลเชิญ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานและทอดพระเนตรการแข่งขัน นับตั้งแต่นั้นมากระทรวงธรรมการ ได้พยายามจัดให้มีการแข่งขันกรีฑาเป็นประจำปีตลอดมา
ใน พ.ศ. 2476 รัฐบาลได้ตั้งกรมพลศึกษาขึ้น มีนโยบายส่งเสริมการกีฬาและการกรีฑาของชาติให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น สนับสนุนให้มีการแข่งขันหลายประเภท เช่น การแข่งขันระหว่างโรงเรียน มหาวิทยาลัย และระหว่างประชาชนควบคู่กันไปภายใต้การดำเนินงานของกรมพลศึกษา
สมาคมกรีฑาสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2494 โดยมีพระยาจินดารักษ์ เป็น นายกสมาคมคนแรก และในปีเดียวกันก็ได้เข้ามาเป็นสมาชิกของสหพันธ์สมาคมกรีฑานานาชาติ (IAAF)
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2508 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม รับสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์
ปัจจุบัน การแข่งขันกรีฑาถือเป็นกีฬาหลักที่จะต้องบรรจุเข้าอยู่ในการแข่งขันรายการสำคัญๆ ทุกครั้ง และนักกรีฑาของไทยหลายคน ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในการแข่งขันระหว่างชาติหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นการวิ่งผลัด
กรีฑา
กีฬาในโอลิมปิกฤดูร้อน
|
thaiwikipedia
| 1,183 |
จังหวัดภูเก็ต
|
ภูเก็ต (เดิมสะกดว่า ภูเก็จ) เป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศไทย และเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อยู่ในทะเลอันดามัน จังหวัดที่ใกล้เคียงทางทิศเหนือ คือ จังหวัดพังงา ทางทิศตะวันออก คือ จังหวัดพังงา ทั้งเกาะล้อมรอบด้วยมหาสมุทรอินเดีย และยังมีเกาะที่อยู่ในอาณาเขตของจังหวัดภูเก็ตทางทิศใต้และตะวันออก การเดินทางเข้าสู่ภูเก็ตนอกจากทางเรือแล้ว สามารถเดินทางโดยรถยนต์ซึ่งมีเพียงเส้นทางเดียวผ่านทางจังหวัดพังงา โดยข้ามสะพานสารสินและสะพานคู่ขนาน คือ สะพานท้าวเทพกระษัตรีและสะพานท้าวศรีสุนทร เพื่อเข้าสู่ตัวจังหวัด และทางอากาศโดยมีท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตรองรับ ท่าอากาศยานนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ
คำว่า ภูเก็ต คาดว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า บูกิต (ในภาษามลายูแปลว่าภูเขา) และคำว่า "ภูเขา" ในภาษาอุรักลาโว้ย เรียกว่า "บูเก๊ะ" หรือที่เคยรู้จักแต่โบราณในนาม เมืองถลาง
== สัญลักษณ์ประจำจังหวัด ==
ต้นไม้ประจำจังหวัด : ประดู่บ้าน (Pterocarpus indicus)
ดอกไม้ประจำจังหวัด : ดอกเฟื่องฟ้า (Bougainvillea)
สัตว์น้ำประจำจังหวัด : หอยมุกจานหรือหอยมุกขอบทอง (Pinctada maxima)
== ประวัติ ==
เดิมคำว่าภูเก็ตนั้นสะกดว่า ภูเก็จ ซึ่งแปลได้ว่า เมืองแก้ว จึงใช้ตราเป็นรูปภูเขา (ภู) มีประกายแก้ว (เก็จ) เปล่งออกเป็นรัศมี (ดูตราที่ผ้าผูกคอลูกเสือ) ตรงกับความหมายเดิมซึ่งชาวทมิฬเรียก มณิครัม ตามหลักฐาน พ.ศ. 1568 ภูเก็ตเป็นที่รู้จักของนักเดินเรือที่ใช้เส้นทางระหว่างจีนกับอินเดีย โดยผ่านแหลมมลายู หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดก็คือ หนังสือภูมิศาสตร์และแผนที่เดินเรือของคลอดิอุส ปโตเลมี เมื่อประมาณ พ.ศ. 700 กล่าวถึงการเดินทางจากแหลมสุวรรณภูมิลงมาจนถึงแหลมมลายู ซึ่งต้องผ่านแหลม จังซีลอน หรือเกาะภูเก็ต (เกาะถลาง) นี้เอง
จากประวัติศาสตร์ไทย ภูเก็ตเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรตามพรลิงก์ อาณาจักรศรีวิชัย สืบต่อมาจนถึงสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราชเรียกเกาะภูเก็ตว่า เมืองตะกั่วถลาง เป็นเมืองที่ 11 ใน 12 เมืองนักษัตร โดยใช้ตราเป็นรูปสุนัข จนถึงสมัยสุโขทัย เมืองถลางไปขึ้นกับเมืองตะกั่วป่า ในสมัยอยุธยา ชาวฮอลันดา ชาวโปรตุเกส และชาวฝรั่งเศส ได้สร้างสถานที่เก็บสินค้าเพื่อรับซื้อแร่ดีบุกจากเมืองภูเก็ต (ถลาง)
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้เกิดสงครามเก้าทัพขึ้น พระเจ้าปดุง กษัตริย์ของประเทศพม่าในสมัยนั้น ได้ให้แม่ทัพยกทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ เช่น ไชยา นครศรีธรรมราช และให้ยี่หวุ่นนำกำลังทัพเรือพล 3,000 คนเข้าตีเมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง และเมืองถลาง ซึ่งขณะนั้นเจ้าเมืองถลาง (พญาพิมลอัยาขัน) เพิ่งถึงแก่อนิจกรรม ท่านผู้หญิงจัน ภรรยา และคุณมุก น้องสาว จึงรวบรวมกำลังต่อสู้กับพม่าจนชนะเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2328 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงจันเป็น ท้าวเทพกระษัตรี และคุณมุกเป็นท้าวศรีสุนทร
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รวบรวมหัวเมืองชายทะเลตะวันตกตั้งเป็น มณฑลภูเก็ต และเมื่อปี พ.ศ. 2476 ได้ยกเลิกระบบมณฑลเทศาภิบาล เปลี่ยนมาเป็นจังหวัดภูเก็ต
== รายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัด ==
== หน่วยการปกครอง ==
=== การปกครองส่วนภูมิภาค ===
การปกครองแบ่งออกเป็น 3 อำเภอ 17 ตำบล 104 หมู่บ้าน
=== การปกครองส่วนท้องถิ่น ===
มีการแบ่งการปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนี้
เทศบาลนคร
เทศบาลนครภูเก็ต
เทศบาลเมือง
เทศบาลเมืองกะทู้
เทศบาลเมืองป่าตอง
เทศบาลตำบล
เทศบาลตำบลราไวย์
เทศบาลตำบลรัษฏา
เทศบาลตำบลวิชิต
เทศบาลตำบลฉลอง
เทศบาลตำบลกะรน
เทศบาลตำบลเทพกระษัตรี
เทศบาลตำบลศรีสนุทร
เทศบาลตำบลป่าคลอก
เทศบาลตำบลเชิงทะเล
== ประชากร ==
ชาวเลเป็นกลุ่มชนกลุ่มแรก ๆ ที่มาอาศัยอยู่บนเกาะภูเก็ต จากนั้นมาจึงกลุ่มชนอื่น ๆ อพยพตามมาอีกจำนวนมาก ทั้งชาวจีน ชาวไทย ชาวเปอรานากัน ชาวมาเลเซีย ฯลฯ จนมีวัฒนธรรมเฉพาะเป็นของตนเองสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นสีสันอย่างหนึ่งของภูเก็ต ตามบันทึกของฟรานซิส ไลต์ กล่าวถึงชาวภูเก็ตว่าเป็นพวกผสมผสานกันทางด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรมกับชาวมลายู โดยเฉพาะคนไทยจำนวนมากในสมัยนั้นทำตัวเป็นพุทธศาสนิกชน สักการะพระพุทธรูป ขณะที่กัปตันทอมัส ฟอร์เรสต์ ชาวอังกฤษที่เดินเรือมายังภูเก็ต ใน พ.ศ. 2327 ได้รายงานว่า "ชาวเกาะแจนซีลอนพูดภาษาไทย ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจภาษามลายู พวกเขามีลักษณะหน้าตาคล้ายกับชาวมลายู ท่าทางคล้ายชาวจีนมาก"
ปัจจุบันชาวภูเก็ตส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ชาวจีนฮกเกี้ยน ชาวจีนช่องแคบ ชาวจีนกวางตุ้ง ฯลฯ รวมไปถึงชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม แถบอำเภอถลาง โดยเฉพาะชาวไทยมุสลิมมีจำนวนถึงร้อยละ 20-36 ของประชากรในภูเก็ต มีมัสยิดแถบอำเภอถลางราว 30 แห่งจาก 42 แห่งทั่วจังหวัด มีกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล กลุ่มอูรักลาโว้ยและพวกมอแกน (มาซิง) ซึ่งมอแกนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ มอเกนปูเลา (Moken Pulau) และ มอเกนตาหมับ (Moken Tamub) และยังมีชนกลุ่มต่างชาติอย่างชาวยุโรปที่เข้าลงทุนในภูเก็ต รวมไปถึงชาวอินเดีย มีชาวคริสต์ในภูเก็ตราว 300 คน ชาวสิกข์ที่มีอยู่ราว 200 คน และชาวฮินดูราว 100 คน และแรงงานต่างด้าวชาวพม่า ลาว และเขมรราวหมื่นคน
จากการสำรวจใน พ.ศ. 2553 พบว่าประชากรในจังหวัดภูเก็ตนับถือศาสนาพุทธร้อยละ 73 ศาสนาอิสลามร้อยละ 25 ศาสนาคริสต์และอื่น ๆ ร้อยละ 2 ส่วนการสำรวจใน พ.ศ. 2557 พบว่านับถือศาสนาพุทธร้อยละ 71.06 ศาสนาอิสลามร้อยละ 27.60 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 1.01 และอื่น ๆ ร้อยละ 0.33 และการสำรวจใน พ.ศ. 2560 พบว่านับถือศาสนาพุทธร้อยละ 68.61 ศาสนาอิสลามร้อยละ 26.65 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 0.98 นอกนั้นนับถือศาสนาอื่น
== สถานที่สำคัญ ==
ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต เป็นศาลากลางที่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ทั้งยังเป็นโบราณสถานที่ยังใช้การอยู่จนกระทั่งปัจจุบันอีกด้วย
วัดฉลอง (ปัจจุบันชื่อ วัดไชยธาราราม) พ.ศ. 2419 ศิษย์พ่อท่านแช่มต่อสู้กับอั้งยี่
วัดพระนางสร้าง มีลายแทง "พิกุลสองสารภีดีสมอแดงจำปาจำปีตะแคง..." พระพุทธรูปดีบุกที่เก่าแก่ที่สุด ตำนานพระนางเลือดขาว
อนุสาวรีย์ ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2509
เกาะสิเหร่ มีชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ย (ชาวไทยใหม่) รองเง็งคณะแม่จิ้ว ประโมงกิจ เป็นแม่เพลงอันดามัน หรือราชินีรองเง็งแห่งอันดามัน มีพระพุทธไสยาสน์ บนยอดเขา วัดบ้านเกาะสิเหร่ เกาะสิเหร่ แต่เดิมชาวอุรักลาโว้ย เรียกว่า "ปูเลา ซิเระห์" แปลว่า "เกาะพลู" ภายหลังจึงเพี้ยนไปเป็น "เกาะสิเหร่" ตามสำเนียงคนไทยเรียก
ศาลเจ้ากะทู้ (อ๊ามในทู) เป็นที่แรก ที่เริ่มประเพณีถือศิลกินผัก (เจี๊ยะฉ่าย)
ศาลเจ้าบางเหนียว ศาลเจ้าใกล้บริเวณท่าเรือที่ชาวต่างชาติรับส่งสินค้ามีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี
ศาลเจ้าแสงธรรม หรืออ๊ามเตงก่องต๋อง ศาลเจ้าเก่าแก่แห่งหนึ่งของภูเก็ตมีสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก เป็นศาลเจ้าประจำตระกูลตัน
ศาลเจ้าบ้านท่าเรือ หรือฮกเล่งเก้ง เป็นที่ประดิษฐานองค์พระโป๊เซ้งไต่เต่ องค์พระประธานของศาลเจ้า
ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย หรือ จุ้ยตุ่ยเต้าโบ้เก้ง หรือ คนภูเก็ตเรียกว่า อ๊ามจุ๊ยตุ๋ย (เป็นศาลเจ้าที่มีคนร่วมงานประเพณีถือศิลกินผักมากที่สุดในจังหวัด)
วัดพระทอง
จุดชมวิวกะรน หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่าจุดชมวิวสามอ่าว เป็นจุดชมวิวบนเนินเขาซึ่งชื่อเล่นนั้นก็มาจากการที่สามารถมองเห็นอ่าว เห็นชายหาดได้ถึง 3 หาดจากจุดชมวิวนี้ทั้งหาดกะตะน้อย กะตะ และกะรน นอกจากนั้นยังสามารถมองเห็นน้ำทะเลไล่โทนสีอีกด้วย
จุดชมวิวเขารัง เขารังนั้นเป็นภูเขาเตี้ยๆ ภายในตัวจังหวัด ในอดีตนั้นเรียกว่าเขาหลัง เพราะเปรียบเสมือนหลังบ้านของจังหวัดภูเก็ต ด้านบนนั้นมีสวนสาธารณะให้ประชาชนได้ไปผ่อนคลาย ซึ่งจากด้านบนจะมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวตัวเมืองภูเก็ตและทะเลภูเก็ตได้ไกลๆ สวยงามมากทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนเลย
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง มีเทวประธานคือพระวิษณุ จดหมายเหตุท้าวเทพกระษัตรี หง่อก่ากี่ ชาวเล
ภูเก็ตแฟนตาซี ภูเก็ตแฟนตาซี ธีมปาร์ควัฒนธรรมไทยแห่งแรกของโลก ซึ่งมีหลายจุดน่าสนใจทั้งภูผาพิศวง จำลองเขาตะปูของอ่าวพังงา หมู่บ้านพรรษา ที่มีสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์หลายรูปแบบ มีการจัดแสดงชุดมหัศจรรย์กมลาที่เป็นการแสดงที่ใช้งบลงทุนทั้งในโชว์และในโรงละครวังไอยราสูงถึง 1,500 ล้านบาท
ย่านเมืองเก่าภูเก็ต (สถาปัตยกรรมจีน-โปรตุเกส) ถนนถลาง ถนนดีบุก ถนนพังงา ถนนกระบี่ ถนนภูเก็ต ถนนรัษฎา ถนนระนอง ถนนเยาวราช ถนนเทพกระษัตรี ถนนสตูล ซอยรมณีย์ และตรอกสุ่นอุทิศ
พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ภูเก็ต เดิมใช้ชื่อว่าพิพิธภัณฑ์เหมืองแร่กะทู้ ใน อังมอเหลามีเหมืองจำลองเหมืองแล่น เหมืองรู เหมืองหาบ เหมืองฉีด เหมือง เรือขุด; โลหะดีบุก เพชรภูเก็จ เพชรพังงา แทนทาลัม วิถีชีวิตชาวกะทู้; ภายนอกมีรางเหมืองแร่ (เหมืองสูบ-ฉีด) ขนาดใหญ่ไว้สาธิตการได้แร่ดีบุกของนายหัวเหมือง
พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรีหรือพระใหญ่แห่งเมืองภูเก็ต พระใหญ่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขานาคเกิด เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ สามารถสังเกตเห็นได้จากหลายจุดในภูเก็ต ผิวของพระพุทธรูปนั้นประดับด้วยหินอ่อนหยกขาวจากพม่า เป็นงานประณีตที่สวยงามมาก
แหลมพรหมเทพ แหลมพรหมเทพ แลนด์มาร์กของจังหวัดภูเก็ต เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในประเทศไทย แหลมพรหมเทพมีลักษณะเป็นแหลมโค้งทอดตัวลงสู่ทะเล สามารถเดินลงไปที่ปลายแหลมได้ เมื่อไปถึงตรงปลายแหลมจะสามารถมองเห็นวิวด้านซ้ายเป็นหาดในยะ ส่วนด้านขวาก็จะเป็นชายหาดในหานสวยงามมากทีเดียว นอกจากตัวแหลมแล้ว เพื่อนๆ ยังสามารถไปดูประภาคารกาญจนาภิเษก ซึ่งภายในจะมีนิทรรศการเกี่ยวกับการสร้างประภาคาร
สนามบินนานาชาติภูเก็ต อยู่ติดชายทะเลระหว่างหาดในยางและหาดไม้ขาว
อนุสรณ์สถานเมืองถลาง อยู่ในสมรภูมิเมืองถลาง พ.ศ. 2328 ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง พื้นที่ ๙๖ ไร่ ก่อนการพัฒนาเป็นทุ่งนาหลวง มีคลองเสน่ห์โพไหลผ่านไปบรรจบกับคลองบางใหญ่ซึ่งไหลมาจากเทือกเขาพระแทวไปออกทะเลที่อู่ตะเภา ทะเลพัง เคยเป็นที่จอดเรือรบของยี่หวุ่น แม่ทัพเรือพม่าเมื่อ พ.ศ. 2328
ฮ่ายเหลงอ๋อง พญามังกร ณ ลานเฉลิมพระเกียรติฯ 72 พรรษา มหาราชินี (อยู่ติดกับสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูเก็ต)
หาดป่าตอง
คริสตจักรพระนิเวศภูเก็ต ศาสนสถานของคริสเตียนในตำบลฉลอง ตั้งอยู่เลขที่ 40/36 ซ.ทรงคุณ หมู่ 1 ตำบลฉลอง
== ภาษาถิ่น ==
ภาษาถิ่นของจังหวัดภูเก็ต เป็นภาษาไทยถิ่นใต้ ที่ไม่เหมือนถิ่นอื่นในภาคใต้ โดยจะมีสำเนียงภาษาจีนฮกเกี้ยน และภาษามลายูปนอยู่มาก ดังนั้นภาษาถิ่นภูเก็ตจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พบได้เฉพาะ แถบภูเก็ตและพังงา เท่านั้น
ในอดีตนั้นชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในภูเก็ตนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวจีนอพยพมาจากมณฑลฮกเกี้ยน เมื่อเข้ามาอาศัยอยู่ในภูเก็ตแล้ว ก็ได้นำเอาวัฒนธรรมต่าง ๆ มากมายเข้ามาใช้ หนึ่งในนั้นก็คือ ภาษา ซึ่งในยุคแรก ๆ นั้นได้ติดต่อสื่อสารกันด้วยภาษาจีนฮกเกี้ยน ต่อมามีการค้าขายมากขึ้นต้องติดต่อกับต่างชาติมากขึ้น ชาวจีนฮกเกี้ยนบางส่วนก็ไปมาหาสู่กับปีนัง มาเลเซียบ้าง มีการค้าขายแร่ดีบุกต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้ภาษามลายูเริ่มเข้ามาผสมปนเข้าด้วยกันกับภาษาฮกเกี้ยน ทำให้เกิดเป็นภาษาที่ผสมสำเนียงเข้าด้วยกัน เป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในภูเก็ตและใกล้เคียง
ภาษาฮกเกี้ยนในภูเก็ตนั้น ปัจจุบันยังคงมีใช้อยู่เพียงแต่สำเนียงอาจจะเพี้ยนไปจากภาษาฮกเกี้ยนเดิมบ้าง เพื่อปรับให้เข้ากับการออกเสียงของคนภูเก็ต ซึ่งใกล้เคียงกับภาษาฮกเกี้ยนที่ใช้กันในปีนัง มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ เนื่องจากมีการปรับเสียงให้เข้ากับสัทอักษรการออกเสียงของคนภูเก็ต บางคำในภาษาฮกเกี้ยนจึงไม่เหมือนกันภาษาฮกเกี้ยนแท้ของจีน แต่ก็ใกล้เคียง นอกจากนี้ยังพบว่าระบบไวยากรณ์ที่ใช้นั้น บ้างก็ยืมมากจากภาษาฮกเกี้ยนด้วย ภาษาภูเก็ตบ้างก็เรียก ภาษาบาบ๋า
== การศึกษา ==
โรงเรียน
โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย โรงเรียนประจำจังหวัดภูเก็ต
โรงเรียนสตรีภูเก็ต โรงเรียนประจำจังหวัดภูเก็ต
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ภูเก็ต ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โรงเรียนประจำจังหวัดภูเก็ตแบบสหศึกษา
โรงเรียนกะทู้วิทยา โรงเรียนประจำอำเภอกะทู้
โรงเรียนเมืองถลาง โรงเรียนประจำอำเภอถลาง
*โรงเรียนเชิงทะเลวิทยาคม
*โรงเรียนวีรสตรีอนุสรณ์
ระดับอุดมศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต
มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งภูเก็ต
==เหตุการณ์และอุบัติเหตุ==
วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2527 เกิดเหตุไฟไหม้ บ้านเลขที่ 103 ถนนบางกอก อำเภอเมืองภูเก็ต มีผู้เสียชีวิตเป็นผู้หญิง 5 ราย ซึ่งภายหลังวันต่อมาทราบว่าผู้เสียชีวิตทั้งห้าราย มีอาชีพเป็นหญิงขายบริการทางเพศ
วันที่ 23-30 มิถุนายน พ.ศ. 2529 รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหลังเกิดเหตุจลาจลทั่วจังหวัดภูเก็ตเพื่อประท้วงคัดค้านโรงงานแทนทาลัมจนนำไปสู่การเผาโรงงานแทนทาลัม อันเป็นการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ไปสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างสิ้นเชิง
วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 เกิดแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย และทำให้เกิดคลื่นสึนามิในเวลาต่อมา เกิดเหตุเวลา 07.58 น. ตามเวลาในประเทศไทย ศูนย์กลางอยู่ลึกลงไปในมหาสมุทรอินเดีย ใกล้ด้านตะวันตกของตอนเหนือเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ทำให้เกิดความเสียหายบนเกาะสุมาตรา และภาคใต้ของประเทศไทย
วันที่ 16 กันยายน 2550 - เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินของสายการบิน วัน-ทู-โก แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ OG 269 ซึ่งเดินทางมาจากท่าอากาศยานดอนเมือง แต่เมื่อถึงท่าอากาศยานภูเก็ตแล้ว เครื่องบินเกิดการไถลออกนอกรันเวย์(ทางวิ่ง) ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 90 ราย บาดเจ็บ 41 ราย
วันที่ 10-24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เกิดเหตุเผาทำลายสถานีตำรวจภูธรถลางท่ามกลางการใช้ มาตรา 44 แทนกฎอัยการศึกของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีผู้ต้องหาประมาณ 50 รายทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายมาตรา 44 และพรบ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558
วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เกิดเหตุการณ์เรือล่ม 3 ลำ โดยมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 47 ราย
== เมืองพี่เมืองน้อง ==
ลาสเวกัส, สหรัฐอเมริกา
นิส, ฝรั่งเศส
เจได้, จีน
ปีนัง, มาเลเซีย
== บุคคลที่มีชื่อเสียงของจังหวัด ==
(รายชื่อบุคคลบันเทิงดังต่อไปนี้ ไม่ได้เรียงลำดับจากอายุงานทางด้านวงการบันเทิง)
ภัทรพล ศิลปาจารย์ (พอล) - นักจัดรายการวิทยุ, นักแสดง , นักธุรกิจ
จริยา แอนโฟเน่ (นก) - นักแสดง, ผู้จัดละครของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
สกาวใจ พูนสวัสดิ์ (อ๋อม) - พิธีกร,นักแสดง
วิชญาณี เปียกลิ่น (แก้มเดอะสตาร์) - ผู้ชนะการประกวดจากรายการเรียลลิตีโชว์ เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 4
จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม (โดม) - ผู้ชนะการประกวดจากรายการเรียลลิตีโชว์ รายการเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 8
สโรชา เย็นใส (โบวี่) - นักร้องสังกัดอาร์เอส
อาเมเรีย จาคอป (เอมี่) - มิสทีนไทยแลนด์ 2006
พรสุดา ถาวราภา (เจแอน) - นักร้องสังกัด (GMM GRAMMY)
จักรกฤษณ์ อินทนา (อุ่น) เคพีเอ็น 2
สุภาษิต วงษา (อ้น) - ผู้ชนะเลิศ To Be Number One Idol รุ่นที่2
อันโทนี่ ทง (กาย) - รองชนะเลิศอันดับ 1 เคพีเอ็น อวอร์ด 2010, นักร้องสังกัดเคพีเอ็น
พิทวัส พฤกษกิจ (โต้ง 2p) - นักร้องวงเซาท์ไซด์ สังกัดไทยเทเนี่ยม เอ็นเตอร์เทนเมนต์
จิณภัค เปียกลิ่น (เกต เดอะสตาร์) - ผู้ร่วมการแข่งขันรายการเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 6, นักร้องสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
มัฑณาวี คีแนน (ซี) - นักร้องสังกัดอาร์เอส
ลัลณ์ลลิน เตจะสา เวศซ์ (เฌอเบลล์) - นักแสดงสังกัดเอ็กแซ็กท์
เซลิน่า เพียซ (เซ) - นักแสดงสังกัดสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
มาเรีย จูเลียตต้า คอนเซนติโน่ (จูเลียต) - นักแสดงสังกัดสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
ธนนท์ จำเริญ (นนท์) - ผู้ชนะเลิศเดอะวอยซ์ไทยแลนด์ ฤดูกาลที่ 1
ภาวิดา มอริจจิ (ซิลวี่) - ผู้เข้าร่วมการแข่งขันเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวปี 7
วัลเณซ่า เมืองโคตร (ณฉัตร) - มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012
เทีย ลี่ ทวีพาณิชย์พันธุ์ (เทีย) - มิสทีนไทยแลนด์ 2012, ผู้เข้าแข่งขันเอเชียเน็กซต์ท็อปโมเดล ฤดูกาลที่ 2 และ รองชนะเลิศรายการเดอะเฟซไทยแลนด์ ฤดูกาลที่ 3ผู้เขาแข่งขันรายการเดอะเฟซไทยแลนด์ ซีซั่น 4 ออลสตาร์
โสภาพรรณ วิรุฬหมาศ (เชอร์รี่) - มิสโกลบอินเตอร์เนชันแนลไทยแลนด์ 2013
ซูซานน่า เรโนล (ซู) - พรีเซนเตอร์โฆษณา
ณัฐวดี ดอกกะฐิน (นัท) - เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 10
ธนกฤต อยู่โต (โจอี้) - เป็นนักแสดงสังกัดสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
ธัญชนก กู๊ด (แพทริเซีย) - เป็นนักแสดงสังกัดสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น (เจมส์) - พิธีกร , นักแสดง , นายแบบ , นักจัดรายการวิทยุ
ชาวิกา วัตรสังข์ (ยิ้ม) รองชนะเลิศอันดับหนึ่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2015,Top10 ไทยซุปเปอร์โมเดลคอนเทสต์ 2012, มิสเอิร์ธไทยแลนด์ 2015
กันติชา ชุมมะ (ติชา) - ผู้ชนะเลิศเดอะเฟซไทยแลนด์ ฤดูกาลที่ 2
นัตยา ทองเสน (เพลงขวัญ) - รองชนะเลิศ รายการเดอะเฟซไทยแลนด์ ฤดูกาลที่ 3 นักแสดงของ เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ ภายใต้สังกัด จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
อารียา ผลฟูตระกูล (กิ่ง) - สงครามนางงาม 2
อแมนด้า ออบดัม (ด้า) -มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์2020, มิสทัวริซึมเมโทรโพลิตันอินเตอร์เนชันแนล 2016
ปาเมล่า ปาสิเนตตี้ (แพม) - มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017
ธนบดี ใจเย็น (ภีม) - นักร้องสังกัด MBO Teen Entertainment
อาร์เธอร์ อภิชาติ กานโยซ์ (อติล่า) - รองชนะเลิศ รายการเดอะเฟซเมนไทยแลนด์ ฤดูกาลที่ 1 รองชนะเลิศ รายการเดอะเฟซไทยแลนด์ ซีซั่น 4 ออลสตาร์
วัณเลิศ รณรงค์ (เต้ ควนดินแดง ) - บุคคนยอดเยี่ยมประจำจังหวัด ครั้งที่ 45 เมื่อ 2017
อชิรญา เสนปาน (มาย Last Idol)
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
=== หนังสือและบทความ ===
ธีรวัต ณ ป้อมเพชร. (2550). ตามรอย (ว่าด้วย) ประวัติศาสตร์เมืองภูเก็ตในคริสต์ศตวรรษที่ 17 (กรรณิกา จรรย์แสง, ผู้แปล). ใน ยงยุทธ ชูแว่น (บก.), คาบสมุทรไทยในราชอาณาจักรสยาม. น. 229–81. กรุงเทพฯ: นาคร.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2550). จากรัฐชายขอบถึงมณฑลเทศาภิบาล: ความเสื่อมสลายของกลุ่มอำนาจเดิมในเกาะภูเก็ต. ใน ยงยุทธ ชูแว่น (บก.), คาบสมุทรไทยในราชอาณาจักรสยาม. น. 283–347. กรุงเทพฯ: นาคร.
=== ออนไลน์ ===
รายชื่อวัดในจังหวัดภูเก็ต
รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดภูเก็ต
รายชื่ออาหารพื้นเมืองในจังหวัดภูเก็ต
รายชื่อสาขาของธนาคารในจังหวัดภูเก็ต
รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดภูเก็ต
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด
ภูเก็ต
ช่องแคบมะละกา
|
thaiwikipedia
| 1,184 |
1 เมษายน
|
วันที่ 1 เมษายน เป็นวันที่ 91 ของปี (วันที่ 92 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 274 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2369 (ค.ศ. 1826) - ซามูเอล มอรีย์ จดสิทธิบัตรเครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน
พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) - เลิกการนับปีแบบใช้จุลศักราช ใช้การนับปีแบบรัตนโกสินทรศกปีนี้เป็นปีแรก (ร.ศ. 108) และเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็น 1 เมษายน แทนวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5
พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) - ประกาศตั้งกระทรวง 12 กระทรวงคือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงนครบาล กระทรวงวัง กระทรวงเกษตรพาณิชการ กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพระคลัง กระทรวงยุทธนาการ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงธรรมการ กระทรวงโยธาธิการ กระทรวงมุรธาธร และเลิกตำแหน่งสมุหนายกและสมุหพระกลาโหม
พ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905) - ประกาศเลิกทาสในราชอาณาจักรสยาม โดยตราพระราชบัญญัติทาส ร.ศ. 124
พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - ซุน ยัตเซ็น ลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีของจีน และมอบตำแหน่งนี้ให้แก่หยวน ซื่อไข่
พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) - รัฐประหารในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2476: พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราและประกาศปิดสภาผู้แทนราษฎร
พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) - อองรี เนสเล่ได้ผลิตเครื่องดื่ม คือ กาแฟผงตรา เนสเล่ ออกวางจำหน่ายในสวิตเซอร์แลนด์เป็นวันแรก
พ.ศ. 2481 (ค.ศ.1938) - กรมสามัญศึกษา ได้ถือกำเนิดขึ้นมีหน้าที่จัดการศึกษาสายสามัญ
พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) - ยุทธภูมิโอกินาวา: ทหารสหรัฐฯ ยกพลขึ้นบกที่เกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่สอง
พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) - สตีฟ จอบส์ และ สตีฟ วอซเนียก และ โรนัลด์ เวย์น (ถอนหุ้นในภายหลัง) ร่วมกันก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - อิหร่านประกาศตนเป็นสาธารณรัฐอิสลาม เทวาธิปไตยที่มี อะญาตุลลอฮ์ โคไมนี เป็นผู้นำสูงสุด
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - เกิดกบฏยังเติร์กหรือกบฏเมษาฮาวาย โดยทหารกลุ่ม จปร.7 หวังเข้ายึดอำนาจ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี
พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - โปเกมอนอนิเมะซีซันแรกเริ่มออกอากาศเป็นตอนแรกในญี่ปุ่น
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2428 (ค.ศ. 1885) - วอลเลซ บีรี นักแสดงชาวอเมริกัน (เสียชีวิต 15 เมษายน พ.ศ. 2492)
พ.ศ. 2469 (ค.ศ. 1926) - เกชา เปลี่ยนวิถี นักแสดงอาวุโส (เสียชีวิต 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2564)
พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) - แฟแร็นตส์ ปุชกาช นักฟุตบอลและผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวฮังการี-สเปน (ถึงแก่กรรม 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549)
พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) - เดบบี เรย์โนลส์ นักแสดงและนักร้องชาวอเมริกัน (เสียชีวิต 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559)
พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) - แอนเน็ตต์ โอทูเล นักแสดง, นักเต้น, นักร้อง, และนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) - ราม ราชพงษ์ อดีตนักแสดงชาวไทย (เสียชีวิต 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2564)
พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - พัก ยอง-ชุล นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางประชาธิปไตยชาวเกาหลีใต้ (ถึงแก่กรรม 14 มกราคม พ.ศ. 2530)
พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) - แกลเรินส์ เซดอร์ฟ นักฟุตบอลชาวดัตช์
พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) - เจเจ ฟีลด์ นักแสดงภาพยนตร์โทรทัศน์และละครโทรทัศน์ชาวอังกฤษ-อเมริกัน
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - วิริฒิพา ภักดีประสงค์ นักแสดงและนางแบบชาวไทย, วีเจ
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - รอเบิร์ต วิตเตก นักฟุตบอลชาวสโลวาเกีย
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - แมตต์ แลนเทอร์ นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - โฌนัส กงซัลวิส โอลีเวย์รา นักฟุตบอลชาวบราซิล
พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - ก้อง ห้วยไร่ เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่ง หมอลำ ชาวไทย
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - สตีเวน ควินน์ นักฟุตบอลชาวไอริช
พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - ช็อง แฮ-อิน นักแสดงชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - แอชลีย์ เวสต์วูด (นักฟุตบอลเกิดใน พ.ศ. 2533) นักฟุตบอล ชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) -
* โลแกน พอล ยูทูบเบอร์ชาวอเมริกัน
* อรภัสญาน์ สุกใส นักร้องลูกทุ่งชาวไทย
พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - เอซา บัตเตอร์ฟีลด์ นักแสดงชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - ฐณธรณ์ ธัญญกรกุล นักแสดงชายชาวไทย
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) - กรมขุนเจริญผลภูลสวัสดิ์ (ประสูติ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2370)
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - เอื้อ สุนทรสนาน นักดนตรีไทย (เกิด 21 มกราคม พ.ศ. 2453)
พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - ซิโม แฮวแฮ พลซุ่มยิงชาวฟินแลนด์ (เกิด 17 ธันวาคม พ.ศ. 2448)
พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - เลสลี่ จาง นักแสดงชาวฮ่องกง (เกิด 12 กันยายน พ.ศ. 2499)
พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) - เล็ก นานา นักธุรกิจและนักการเมืองไทย (เกิด พ.ศ. 2467)
พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) - มิซะโอะ โอกะวะ ชาวญี่ปุ่นที่มีอายุเกิน 110 ปี (เกิด 5 มีนาคม พ.ศ. 2441)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
วันเอพริลฟูลส์
วันข้าราชการพลเรือน
==อ้างอิง==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
Today in History: April 1
มเมษายน 01
เมษายน
|
thaiwikipedia
| 1,185 |
กระทรวงการคลัง (ประเทศไทย)
|
กระทรวงการคลัง (Ministry of Finance) เป็นหน่วยงานราชการส่วนกลางประเภทกระทรวงของไทย ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเงินของแผ่นดิน การภาษีอากร การรัษฎากร กิจการเกี่ยวกับที่ดินราชพัสดุ กิจการอันกฎหมายบัญญัติให้เป็นการผูกขาดของรัฐ กิจการหารายได้ซึ่งรัฐมีอำนาจดำเนินการได้แต่เพียงผู้เดียวตามกฎหมายและไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวง ทบวง กรมอื่น และกิจการซึ่งจะเป็นสัญญาผูกพันต่อเมื่อรัฐบาลได้ให้อำนาจหรือสัตยาบัน รวมทั้งการค้ำประกันหนี้ของส่วนราชการและองค์การรัฐ สถาบันการเงินและรัฐวิสาหกิจ
== ประวัติ ==
กระทรวงการคลังได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2418 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตราพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ และจากพระราชบัญญัติฉบับนี้ กรมพระคลังมหาสมบัติมีฐานะเป็นกระทรวงเพราะใช้คำภาษาอังกฤษเพื่อเรียกอธิบดีว่า มินิสเตอร์ ออฟ ฟิแนนซ์
ดูที่ ประวัติกระทรวงการคลังไทย
== หน่วยงานในสังกัด ==
=== ส่วนราชการ ===
สำนักงานรัฐมนตรี
สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
กรมสรรพากร
กรมธนารักษ์
กรมสรรพสามิต
กรมศุลกากร
กรมบัญชีกลาง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
=== รัฐวิสาหกิจ ===
สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.)
ธนาคารออมสิน
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.)
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
องค์การสุรา (สังกัดกรมสรรพสามิต)
โรงงานไพ่ (สังกัดกรมสรรพสามิต)
บริษัทธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (สังกัดกรมธนารักษ์)
====อดีตรัฐวิสาหกิจที่กำกับดูแล====
บริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด
องค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (ยุบเลิก)
บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (ยุบเลิก)
บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (ยุบเลิก)
บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) (เปลี่ยนเป็นหน่วยงานในกำกับ)
ธนาคารกรุงไทย (เปลี่ยนเป็นธนาคารพาณิชย์ของภาครัฐ)
=== หน่วยงานในกำกับ / หน่วยงานอิสระ ===
สถาบันคุ้มครองเงินฝาก
สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง
กองทุนการออมแห่งชาติ
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
กองทุนเงินให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา
บริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน)
ธนาคารกรุงไทย (ธนาคารพาณิชย์ของภาครัฐ)
== รายชื่อเสนาบดีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ==
== รายชื่อปลัดกระทรวงการคลัง ==
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ธนาคารแห่งประเทศไทย
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
กระทรวงการคลัง
หน่วยงานของรัฐบาลไทยในเขตพญาไท
|
thaiwikipedia
| 1,186 |
วงกลมแนบในและวงกลมแนบนอกของรูปสามเหลี่ยม
|
ในเรขาคณิต วงกลมแนบใน (incircle หรือ inscribed circle) ของรูปสามเหลี่ยม คือ วงกลมที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ภายในรูปสามเหลี่ยม มันจะสัมผัสกับด้านทั้ง 3 ด้าน จุดศูนย์กลางของวงกลมแนบใน เรียกว่า ศูนย์กลางวงกลมแนบใน (incenter). วงกลมแนบนอก (excircle หรือ escribed circle) ของรูปสามเหลี่ยม คือ วงกลมที่อยู่ติดด้านนอกของรูปสามเหลี่ยม สัมผัสกับด้าน 1 ด้านและส่วนขยายที่ยื่นออกมาทั้ง 2 ด้าน สามเหลี่ยมทุกรูปจะมีวงกลมแนบนอกอยู่ 3 วง และสัมผัสกับด้านของรูปสามเหลี่ยม
จุดศูนย์กลางของวงกลมแนบใน สามารถหาได้จากจุดตัดของเส้นแบ่งครึ่งมุมภายในทั้ง 3 เส้น จุดศูนย์กลางของวงกลมแนบนอกหาได้จากจุดตัดของเส้นแบ่งครึ่งมุมภายใน 1 เส้น และเส้นแบ่งครึ่งมุมภายนอกอีก 2 เส้น จากรูปนี้ จะเรียกจุดศูนย์กลางของวงกลมแนบในและจุดศูนย์กลางของวงกลมแนบนอกทั้ง 3 ว่าระบบออร์โทเซนตริก
รัศมีของวงกลมแนบในและวงกลมแนบนอกนั้น มีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมอย่างใกล้ชิด ถ้า S คือพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม ที่มีด้าน a, b และ c แล้วรัศมีของวงกลมแนบใน หรือ รัศมีใน (inradius) จะเท่ากับ 2S/(a+b+c) รัศมีของวงกลมแนบนอกที่ด้าน a จะเท่ากับ 2S/(-a+b+c) รัศมีของวงกลมแนบนอกที่ด้าน b จะเท่ากับ 2S/(a-b+c) และรัศมีของวงกลมแนบนอกที่ด้าน c จะเท่ากับ 2S/(a+b-c) จากสูตรเหล่านี้ เราจะเห็นว่าวงกลมแนบนอกจะใหญ่กว่าวงกลมแนบในเสมอ และวงกลมแนบนอกที่ใหญ่ที่สุดจะอยู่บนด้านที่ยาวที่สุด
รูปสามเหลี่ยม
|
thaiwikipedia
| 1,187 |
กรุงเทพ (แก้ความกำกวม)
|
กรุงเทพ อาจหมายถึง
ดินแดนและการปกครอง
กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา – เมืองของพระนารายณ์ซึ่งอวตารมาเป็นพระรามตามคัมภีร์ครุฑปุราณะ
กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา – อาณาจักรอยุธยา อาณาจักรโบราณในประเทศไทยปัจจุบัน เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นนารายณ์อวตาร จึงเอาชื่อเมืองพระนารายณ์ข้างต้นมาตั้ง
กรุงเทพมหานคร
* กรุงเทพมหานคร – ชื่อเมืองหลวงแห่งอาณาจักรรัตนโกสินทร์ และเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยปัจจุบัน ตั้งชื่อตามความเชื่ออย่างเดียวกัน เรียกโดยย่อว่า "กรุงเทพฯ" รหัสพยัญชนะว่า "กท" และอักษรย่ออย่างไม่เป็นทางการว่า "กทม."
* กรุงเทพมหานคร – องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในกรุงเทพมหานคร อักษรย่อว่า "กทม."
* กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา (เมืองหลวงอาณาจักรอยุธยา) – เช่น "เสด็จเที่ยวประพาสอยู่ดังนั้นประมาณสิบห้าเวร จึ่งเสด็จกลับยังกรุงเทพมหานคร" (มาจากชื่อเต็มว่า "กรุงเทพมหานครบวรทวารวดีศรีอยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมยอุดมราชนิเวศนมหาสถาน")
* ประเทศสยาม – เช่น "บรรดาการงานของคนที่อยู่ในบังคับอังกฤษ ซึ่งเข้ามาอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร ก็ต้องฟังบังคับบัญชาของกงสุลที่เข้ามาตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร"
นครหลวงกรุงเทพธนบุรี – เขตการปกครองในอดีตของประเทศไทย อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครปัจจุบัน
เมืองลอสแอนเจลิส (City of Los Angeles) – เมืองเอกของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ชื่อเป็นภาษาสเปนมีความหมายว่า "เทพ" (Angels) และมีสมัญญาว่า "กรุงเทพ" (City of Angels)
|
thaiwikipedia
| 1,188 |
เอสไอแอล อินเทอร์เนชันนัล
|
เอสไอแอล อินเทอร์เนชันนัล (SIL International) หรือชื่อเดิมว่า ซัมเมอร์อินสทิทิวต์ออฟลิงกวิสติกส์ (Summer Institute of Linguistics; สถาบันภาษาศาสตร์ภาคฤดูร้อน) เป็นองค์กรคริสต์ไม่แสวงหากำไรจากสหรัฐอเมริกา ที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อศึกษาและบันทึกภาษาต่างๆ โดยเฉพาะภาษาชนกลุ่มน้อย และส่งเสริมการอ่านออกเขียนได้ในภาษาเหล่านั้น รวมถึงพัฒนาระบบการเขียนให้กับภาษาที่ไม่ได้มีการเขียนมาก่อน เอสไอแอลมีวัตถุประสงค์คือการศึกษาภาษาต่างๆ และส่งเสริมให้ผู้พูดภาษานั้นสามารถอ่านหนังสือได้ เพื่อแปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาท้องถิ่นและเผยแผ่ศาสนา
เอสไอแอลเผยแพร่ฐานข้อมูลเอทโนล็อก ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสถิติและข้อมูลอื่นๆ ของภาษาทั่วโลกมากกว่าเจ็ดพันภาษา
บทบาททางศาสนาของเอสไอแอลทำให้องค์กรถูกวิจารณ์จากนักวิชาการภาษาศาสตร์ ว่ามีบทบาทในการส่งเสริมผลประโยชน์แบบลัทธิอาณานิคม และทำลายภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่น
SIL ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของยูเนสโก และสหประชาชาติ นอกจากนี้ยังได้รับฐานะเป็นองค์กรที่ไม่หวังผลกำไรในหลาย ๆ ประเทศ. SIL ให้บริการครูผู้สอนและสื่อการสอน สำหรับหลักสูตรภาษาศาสตร์แก่หลาย ๆ สถาบันอุดมชั้นนำ เช่น มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา อย่าง Biola University, Moody Bible Institute, Houghton College, University of North Dakota, Northwest Christian College, Bryan College, University of Texas at Arlington, University of Oregon และ Dallas Theological Seminary นอกจากนี้ ยังมีมหาวิทยาลัยที่ศึกษาหลักสูตร SIL เช่น มหาวิทยาลัย Trinity Western University ในประเทศแคนาดา และมหาวิทยาลัย Northern Territory University ในประเทศออสเตรเลีย
== รหัส SIL ==
SIL ใช้ตัวอักษรสามตัวมาสร้างเป็นรหัสภาษา รหัส SIL ที่เป็นที่รู้จัก เช่น
ABV ภาษาอาหรับ
CHN ภาษาจีนกลาง
ENG ภาษาอังกฤษ
FRN ภาษาฝรั่งเศส
GER ภาษาเยอรมัน
INZ ภาษาอินโดนีเซีย
JPN ภาษาญี่ปุ่น
KKN ภาษาเกาหลี
KMR ภาษาเขมร
MLI ภาษามลายู
RUS ภาษารัสเซีย
SPN ภาษาสเปน
TGL ภาษาตากาล็อก
THJ ภาษาไทย
VIE ภาษาเวียดนาม
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
SIL International
ภาษาศาสตร์
มาตรฐานสากล
องค์การทางศาสนาคริสต์
|
thaiwikipedia
| 1,189 |
จังหวัดกาญจนบุรี
|
กาญจนบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกของประเทศไทย มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 19,473 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเชียงใหม่ และมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตก มีระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 129 กิโลเมตร มีชายแดนติดต่อกับประเทศพม่าระยะทางประมาณ 370 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ ทิศเหนือ จรดจังหวัดตากและจังหวัดอุทัยธานี ทิศใต้ จรดจังหวัดราชบุรี ทิศตะวันออก จรดจังหวัดสุพรรณบุรีและนครปฐม ทิศตะวันตก จรดประเทศพม่า
== ประวัติ ==
ความเป็นมาของกาญจนบุรีเท่าที่มีการค้นพบหลักฐานนั้น ย้อนไปได้ถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อมีการค้นพบเครื่องมือหินในบริเวณบ้านเก่า อำเภอเมืองกาญจนบุรี ล่วงมาถึงสมัยทวารวดี ซึ่งมีหลักฐานคือซากโบราณสถานที่ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี เป็นเจดีย์ลักษณะเดียวกับจุลประโทนเจดีย์ที่จังหวัดนครปฐม บ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี และเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งค้นพบโบราณวัตถุ เช่น พระพิมพ์สมัยทวารวดีจำนวนมาก สืบเนื่องต่อมาถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ 16-18 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบคือปราสาทเมืองสิงห์ ซึ่งมีรูปแบบศิลปะแบบขอม สมัยบายน
กาญจนบุรียังปรากฏในพงศาวดารเหนือว่า กาญจนบุรีเป็นเมืองขึ้นของสุพรรณบุรีในสมัยสุโขทัย ครั้นมาถึงสมัยอยุธยา กาญจนบุรีก็มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในการทำสงครามระหว่างกองทัพไทยกับพม่า จนกระทั่งถึงสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ เดิมตัวเมืองกาญจนบุรีเดิมนั้นตั้งอยู่ที่ตำบลลาดหญ้า (บริเวณเขาชนไก่ในปัจจุบัน) ภายหลังจนถึง พ.ศ. 2374 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้โปรดให้ก่อสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการขึ้นเป็นการถาวร ณ เมืองกาญจนบุรีใหม่โดยตั้งอยู่ ณ ตำบลปากแพรก อันเป็นสถานที่บรรจบของแม่น้ำแควใหญ่และแม่น้ำแควน้อย โดยตัวเมืองอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแม่กลองกับแม่น้ำแควใหญ่ ซึ่งมีความเหมาะสมทางยุทธศาสตร์และด้านการค้า โดยเริ่มก่อสร้างเมืองเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2374 และสำเร็จในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2375 และได้แยกออกจากสุพรรณบุรีนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ส่วนใหญ่เพื่อติดต่อค้าขายกับเมืองราชบุรี ดังพระราชนิพนธ์เสด็จประพาสไทรโยค กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "แต่มีเมืองปากแพรกเป็นที่ค้าขาย ด้วยเขาชนไก่เมืองเดิมอยู่เหนือมากมีแก่งถึงสองแก่ง ลูกค้าไปมาลำบาก จึงลงมาตั้งเมืองเสียที่ปากแพรกนี้เป็นทางไปมาแก่เมืองราชบุรีง่าย เมืองที่สร้างขึ้นใหม่ กว้าง 5 เส้น ยาว 10 เส้น 18 วา มีป้อม 4 มุมเมือง ป้อมย่านกลางด้านยาวตรงหน้าเมืองทิศตะวันตกเฉียงใต้มีป้อมใหญ่อยู่ตรงเนิน ด้านหลังมีป้อมเล็กตรงกับป้อมใหญ่ 1 ป้อม" การสร้างเมืองกาญจนบุรีใหม่นี้ ดังปรากฏในศิลาจารึกดังนี้ ให้พระยาราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจเป็นพระยาประสิทธิสงครามรามภักดีศรีพิเศษประเทศนิคมภิรมย์ราไชยสวรรค์พระยากาญจนบุรี ครั้งกลับเข้าไปเฝ้าโปรดเกล้าฯ ว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองอังกฤษ พม่า รามัญ ไปมาให้สร้างเมืองก่อกำแพงขึ้นไว้จะได้เป็นชานพระนครเขื่อนเพชรเขื่อนขัณฑ์มั่นคงไว้แห่งหนึ่ง ในปัจจุบันกำแพงถูกทำลายลงโดยธรรมชาติและหน่วยราชการเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เหลือเพียงประตูเมืองและกำแพงเมืองบางส่วน
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อมีการจัดรูปแบบการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล กาญจนบุรีถูกโอนมาขึ้นกับมณฑลราชบุรี และยกฐานะเป็นจังหวัดกาญจนบุรีในปี พ.ศ. 2467
เหตุการณ์ที่ทำให้กาญจนบุรีมีชื่อเสียงไปทั่วโลก คือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นได้ตัดสินใจสร้างทางรถไฟยุทธศาสตร์ จากชุมทางหนองปลาดุกในประเทศไทยไปยังเมืองทันบูซายัตในพม่า โดยเกณฑ์เชลยศึกและแรงงานจำนวนมากมาเร่งสร้างทางรถไฟอย่างหามรุ่งหามค่ำ จนทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ทั้งจากความเป็นอยู่ที่ยากแค้นและโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้า ซึ่งภาพและเรื่องราวของความโหดร้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปรากฏอยู่ในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งในกาญจนบุรี
ชื่อเรียกอื่น ๆ ของกาญจนบุรี เช่น เมืองกาญจน์ ปากแพรก ศรีชัยยะสิงหปุระ (ซึ่งในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เรียกเมืองกาญจนบุรีว่า ศรีชัยยะสิงหปุระ) และเมืองขุนแผน เป็นต้น
== ภูมิศาสตร์ ==
=== อาณาเขตติดต่อ ===
ตามภูมิศาสตร์ที่ตั้ง จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่อยู่ในภาคตะวันตก แต่ในทางการปกครองแบบ 4 ภูมิภาค (เหนือ อีสาน กลาง ใต้)และกรมอุตุนิยมวิทยา จะถูกจัดอยู่ในภาคกลาง มีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดอื่น ๆ 5 จังหวัด ดังนี้
ทิศเหนือ ติดกับ อำเภออุ้มผาง (จังหวัดตาก) อำเภอบ้านไร่ (จังหวัดอุทัยธานี) รัฐมอญและรัฐกะเหรี่ยง (ประเทศพม่า)
ทิศตะวันออก ติดกับ อำเภอบ้านไร่ (จังหวัดอุทัยธานี) อำเภอด่านช้าง อำเภอหนองหญ้าไซ อำเภอดอนเจดีย์ อำเภออู่ทองและ อำเภอสองพี่น้อง(จังหวัดสุพรรณบุรี)
ทิศใต้ ติดกับ อำเภอกำแพงแสน (จังหวัดนครปฐม) อำเภอสวนผึ้ง อำเภอจอมบึง อำเภอโพธารามและ อำเภอบ้านโป่ง(จังหวัดราชบุรี)
ทิศตะวันตก ติดกับรัฐมอญ และภาคตะนาวศรี (ประเทศพม่า) โดยมีแนวเขาสำคัญแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับพม่าคือทิวเขาถนนธงชัย และทิวเขาตะนาวศรี
=== ภูมิประเทศ ===
พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดเป็นป่าไม้และภูเขาสูง โดยเฉพาะพื้นที่ทางด้านเหนือและตะวันตกของจังหวัด ถึงแม้จังหวัดกาญจนบุรีจะมีเขตพื้นที่ติดกับจังหวัดตากทางด้านทิศเหนือ แต่ก็ไม่มีถนนเชื่อมต่อกัน เนื่องจากมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกและมีป่าที่อุดมสมบูรณ์รกทึบสลับกับมีภูเขาอันสลับซับซ้อน หากจะเดินทางติดต่อกันต้องอ้อมไปทางจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดชัยนาท จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดกำแพงเพชร แล้วจึงเข้าจังหวัดตาก ซึ่งมีระยะทางกว่า 490 กิโลเมตร และหากต้องการเดินทางไปอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดกาญจนบุรี จะต้องเดินทางย้อนลงมาทางใต้รวมระยะทางกว่า 700 กิโลเมตร
ลักษณะภูมิประเทศจังหวัดกาญจนบุรี แบ่งออกได้ 3 ลักษณะดังนี้
เขตภูเขาและที่สูง พื้นที่ทางด้านทิศเหนือของจังหวัด ได้แก่ บริเวณอำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ อำเภอศรีสวัสดิ์ และอำเภอไทรโยค มีลักษณะเป็นเทือกเขาต่อเนื่องมาจากเทือกเขาถนนธงชัยถัดไปทางด้านตะวันตกของจังหวัด เทือกเขาตะนาวศรีซึ่งกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับประเทศพม่าทอดยาวลงไปทางด้านใต้ บริเวณนี้จะเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำที่สำคัญของจังหวัด คือ แม่น้ำแควใหญ่ และแม่น้ำแควน้อย ซึ่งในแถบนี้จะมีรอยเลื่อนอยู่หลายรอยและมักเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่บ่อยครั้ง
เขตที่ราบลูกฟูก ได้แก่ พื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด มีลักษณะเป็นที่ราบเชิงเขาสลับกับเนินเขาเตี้ย ๆ อยู่บริเวณอำเภอเลาขวัญ อำเภอบ่อพลอย และบางส่วนของอำเภอพนมทวน
เขตที่ราบลุ่มน้ำ ได้แก่ พื้นที่ทางด้านใต้ของจังหวัด ลักษณะเป็นที่ราบ ดินมีความอุดมสมบูรณ์ อยู่บริเวณอำเภอท่ามะกา อำเภอท่าม่วง และบางส่วนของอำเภอพนมทวน อำเภอเมืองกาญจนบุรี
=== ภูมิอากาศ ===
ฤดูร้อน ระหว่างกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม มีลมฝ่ายใต้พัดมาปกคลุม ทำให้มีอากาศร้อนอบอ้าวทั่วไป โดยมีอากาศร้อนจัดอยู่ในเดือนเมษายน
ฤดูฝน ระหว่างกลางเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน ในระยะนี้เป็นช่วงที่ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุม ทำให้มีฝนตกชุกโดยตกชุกที่สุดในเดือนกันยายน
ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ โดยในช่วงนี้ ความกดอากาศสูงจากประเทศจีนและลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุม ทำให้อากาศหนาวเย็นและความแห้งแล้งแผ่ปกคลุมจังหวัดกาญจนบุรี
จังหวัดกาญจนบุรีมีอุณหภูมิต่ำสุดโดยเฉลี่ย 22.7 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดโดยเฉลี่ย 36.0 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำที่สุดวัดได้ 3.7 องศาเซลเซียส (เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2517) อุณหภูมิสูงสุดที่วัดได้ 44.2 องศาเซลเซียส (เมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2559) และมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1496.2 มิลลิเมตรต่อปี
=== ธรณีวิทยา ===
ในด้านทรัพยากรดิน พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดกาญจนบุรีมีภูเขาสลับซับซ้อน พื้นที่ที่เหมาะสำหรับเกษตรกรรมคือ ที่ราบระหว่างภูเขาซึ่งมีแม่น้ำและลำน้ำสายต่าง ๆ ไหลผ่าน เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีหินปูน หินแกรนิต หินแกรไนโอออไรท์ หินไนล์ หินดินดาน หินควอทโซฟีลไลท์ เป็นวัตถุต้นกำเนิดดิน ที่ราบระหว่างหุบเขาและสองฝั่งแม่น้ำจึงมีลักษณะเป็นตะกอนที่เกิดจากการสลายตัวของหินดังกล่าวแล้วถูกน้ำพัดพามาทับถม และเนื่องจากพื้นที่ส่วนนี้มีหินปูนเป็นส่วนใหญ่ ดินจึงมีปฏิกิริยาเป็นกลางหรือเป็นด่าง มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางถึงดี จึงเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชไร่ที่สำคัญของประเทศเช่น อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง และสับปะรด ส่วนในบริเวณที่ราบต่ำใช้ปลูกข้าวแต่มีเนื้อที่ไม่มากนัก
=== อุทกวิทยา ===
ในด้านทรัพยากรน้ำ จังหวัดกาญจนบุรีมีแหล่งน้ำที่สำคัญ 3 ประเภทคือ
น้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล ต้นกำเนิดของแหล่งน้ำบาดาลส่วนใหญ่มาจากน้ำฝนซึ่งตกสู่ผิวดินลงไปกับเก็บใต้ชั้นดิน พื้นที่ทางตอนบนและทางตะวันตกของจังหวัดซึ่งมีสภาพเป็นที่สูงภูเขา รองรับด้วยหินแปรปริมาณน้ำบาดาลจึงมีน้อยมาก ส่วนพื้นที่ทางตะวันออกและทางใต้ของจังหวัดเป็นที่ราบลุ่ม มีแหล่งน้ำบาดาลสามารถนำขึ้นมาใช้ได้ แต่ยังคงมีปริมาณน้อย
น้ำผิวดิน แหล่งน้ำผิวดินมีต้นน้ำอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดถึงเขตจังหวัดอุทัยธานี ลักษณะทางน้ำเป็นร่องลึกในระหว่างหุบเขา มีธารน้ำบางสายไหลขึ้นไปทางเหนือสู่ประเทศพม่า แต่ลำธารส่วนใหญ่ไหลลงสู่แม่น้ำแควน้อยและแควใหญ่ ก่อนจะรวมตัวกันเป็นแม่น้ำแม่กลอง ส่วนด้านตะวันออกมีลำตะเพินเป็นธารน้ำสำคัญของบริเวณนี้ แหล่งน้ำผิวดินที่สำคัญ ได้แก่ แม่น้ำแควน้อย แม่น้ำแควใหญ่ (ศรีสวัสดิ์) แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำลำตะเพิน
น้ำจากการชลประทาน จังหวัดกาญจนบุรีเป็นที่ตั้งของเขื่อนซึ่งมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งเพื่อวัตถุประสงค์หลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า แต่สิ่งที่ได้รับผลประโยชน์ตามมาคือการชลประทานที่สามารถส่งน้ำให้กับพื้นที่เพาะปลูก ประกอบด้วย เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนท่าทุ่งนา ในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ เขื่อนวชิราลงกรณ์ในอำเภอทองผาภูมิ อำเภอสังขละบุรี และเขื่อนแม่กลองในอำเภอท่าม่วง
แหล่งน้ำที่สำคัญ
แม่น้ำแควใหญ่ (แม่น้ำศรีสวัสดิ์)
แม่น้ำแควน้อย (แม่น้ำไทรโยค)
แม่น้ำแม่กลอง
แม่น้ำบีคลี่
แม่น้ำซองกาเลีย
แม่น้ำรันตี
แม่น้ำภาชี
แม่น้ำสุริยะ (แม่น้ำทรยศ ไหลย้อนไปทางเหนือเข้าเขตพม่า)
ทะเลสาบเขื่อนศรีนครินทร์
ทะเลสาบเขาแหลม
ทะเลสาบท่าทุ่งนา
== หน่วยการปกครอง ==
=== การปกครองส่วนภูมิภาค ===
จังหวัดกาญจนบุรีแบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็น 13 อำเภอ 98 ตำบล 959 หมู่บ้าน 206 ชุมชน โดยทั้ง 13 อำเภอ มีดังนี้
อำเภอเมืองกาญจนบุรี
อำเภอไทรโยค
อำเภอบ่อพลอย
อำเภอศรีสวัสดิ์
อำเภอท่ามะกา
อำเภอท่าม่วง
อำเภอทองผาภูมิ
อำเภอสังขละบุรี
อำเภอพนมทวน
อำเภอเลาขวัญ
อำเภอด่านมะขามเตี้ย
อำเภอหนองปรือ
อำเภอห้วยกระเจา
=== การปกครองส่วนท้องถิ่น ===
พื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด 122 แห่ง แบ่งตามประเภทและอำนาจบริหารจัดการภายในท้องที่ได้เป็น องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี, เทศบาลเมือง 3 แห่ง (ได้แก่ เทศบาลเมืองกาญจนบุรี เทศบาลเมืองท่าเรือพระแท่น และเทศบาลเมืองปากแพรก), เทศบาลตำบล 46 แห่ง, และองค์การบริหารส่วนตำบล 72 แห่ง รายชื่อเทศบาลทั้งหมดแบ่งตามอำเภอในจังหวัดกาญจนบุรี มีดังนี้
อำเภอเมืองกาญจนบุรี
เทศบาลเมืองกาญจนบุรี
เทศบาลเมืองปากแพรก
เทศบาลตำบลแก่งเสี้ยน
เทศบาลตำบลลาดหญ้า
เทศบาลตำบลหนองบัว
เทศบาลตำบลท่ามะขาม
อำเภอไทรโยค
เทศบาลตำบลน้ำตกไทรโยคน้อย
เทศบาลตำบลวังโพธิ์
เทศบาลตำบลไทรโยค
อำเภอบ่อพลอย
เทศบาลตำบลบ่อพลอย
เทศบาลตำบลหนองรี
อำเภอศรีสวัสดิ์
เทศบาลตำบลเอราวัณ
เทศบาลตำบลเขาโจด
อำเภอท่ามะกา
เทศบาลเมืองท่าเรือพระแท่น
เทศบาลตำบลลูกแก
เทศบาลตำบลท่ามะกา
เทศบาลตำบลท่าไม้
เทศบาลตำบลพระแท่น
เทศบาลตำบลหวายเหนียว
เทศบาลตำบลดอนขมิ้น
เทศบาลตำบลหนองลาน
เทศบาลตำบลพระแท่นลำพระยา
อำเภอท่าม่วง
เทศบาลเมืองกาญจนบุรี
เทศบาลตำบลท่าม่วง
เทศบาลตำบลสำรอง
เทศบาลตำบลหนองขาว
เทศบาลตำบลหนองตากยา
เทศบาลตำบลวังขนาย
เทศบาลตำบลวังศาลา
เทศบาลตำบลท่าล้อ
เทศบาลตำบลม่วงชุม
เทศบาลตำบลหนองหญ้าดอกขาว
อำเภอทองผาภูมิ
เทศบาลตำบลทองผาภูมิ
เทศบาลตำบลสหกรณ์นิคม
เทศบาลตำบลท่าขนุน
เทศบาลตำบลลิ่นถิ่น
อำเภอสังขละบุรี
เทศบาลตำบลวังกะ
อำเภอพนมทวน
เทศบาลตำบลพนมทวน
เทศบาลตำบลตลาดเขต
เทศบาลตำบลหนองสาหร่าย
เทศบาลตำบลรางหวาย
เทศบาลตำบลดอนเจดีย์
อำเภอเลาขวัญ
เทศบาลตำบลเลาขวัญ
เทศบาลตำบลหนองฝ้าย
อำเภอด่านมะขามเตี้ย
เทศบาลตำบลด่านมะขามเตี้ย
อำเภอหนองปรือ
เทศบาลตำบลหนองปรือ
เทศบาลตำบลหนองปลาไหล
เทศบาลตำบลสมเด็จเจริญ
อำเภอห้วยกระเจา
เทศบาลตำบลห้วยกระเจา
เทศบาลตำบลสระลงเรือ
== รายชื่อเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัด ==
== ประชากรศาสตร์ ==
ตามข้อมูลจำนวนประชากรของสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560 จังหวัดกาญจนบุรีมีประชากร 887,979 คน คิดเป็นอันดับที่ 25 ของประเทศ โดยแบ่งเป็นประชากรเพศชาย 446,262 คน และประชากรเพศหญิง 441,717 คน มีความหนาแน่นประชากรโดยเฉลี่ย 43.53 คนต่อตารางกิโลเมตร คิดเป็นอันดับที่ 74 ของประเทศ อำเภอที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุด คือ อำเภอท่ามะกา ซึ่งมีความหนาแน่นประชากรเฉลี่ย 400.14 คนต่อตารางกิโลเมตร ส่วนอำเภอที่ประชากรเบาบางที่สุด คือ อำเภอศรีสวัสดิ์ ซึ่งมีความหนาแน่นประชากรเฉลี่ย 8.09 คนต่อตารางกิโลเมตร
== การขนส่ง ==
=== ระยะทางจากอำเภอเมืองกาญจนบุรีไปอำเภอต่าง ๆ ===
อำเภอท่าม่วง 14 กิโลเมตร
อำเภอพนมทวน 25 กิโลเมตร
อำเภอท่ามะกา 32 กิโลเมตร
อำเภอด่านมะขามเตี้ย 32 กิโลเมตร
อำเภอบ่อพลอย 40 กิโลเมตร
อำเภอไทรโยค 50 กิโลเมตร
อำเภอห้วยกระเจา 54 กิโลเมตร
อำเภอหนองปรือ 76 กิโลเมตร
อำเภอเลาขวัญ 85 กิโลเมตร
อำเภอศรีสวัสดิ์ 125 กิโลเมตร
อำเภอทองผาภูมิ 144 กิโลเมตร
อำเภอสังขละบุรี 215 กิโลเมตร
== สถานที่ท่องเที่ยว ==
น้ำตกเอราวัณ - ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 100 – 400 เมตร แบ่งเป็น 7 ชั้น เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดกาญจนบุรี ความพิเศษของน้ำตกเอราวัณ คือ น้ำเป็นสีฟ้าใสอมเขียว ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 62 กม.
วัดหินแท่นลำภาชี ตั้งอยู่บ้านหินแท่น ตำบลหนองไผ่ อำเภอด่านมะขามเตี้ย เป็นวัดที่เลื่องชื่ออุโบสถที่สวยที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี ที่มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี องค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่หน้าอุโบสถ โดยอุโบสถที่สวยงามแห่งนี้เรียกว่า โบสถ์สำเภาแก้วร้อยล้าน ถูกสร้างขนาบข้างด้วยเรืออนันตนาคราชลักษมีหนึ่งเดียวในประเทศไทย
วัดถ้ำเสือ อยู่ที่ ตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง วัดและสถานที่ท่องเที่ยวตั้งอยู่บนยอดเขา สวยงามสะดุดตา เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวมหัศจรรย์ในจังหวัดกาญจนบุรี
สะพานข้ามแม่น้ำแคว ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองกาญจนบุรี เป็นสะพานข้ามทางรถไฟสายมรณะ
ด่านเจดีย์สามองค์ ตั้งอยู่ที่ ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี เป็นจุดผ่านแดนระหว่างไทยกับพม่า มีตลาดชายแดน เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของอำเภอสังขละบุรี
== บุคคลสำคัญ ==
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร – สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระมหาคณานัมธรรมปัญญาธิวัตร (เจริญ กิ๊นเจี๊ยว) – อดีตเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย
พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (เย็นเต็ก) – เจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย
พระมหาคณานัมธรรมปัญญาธิวัตร (ถนอม เถี่ยนถึก) – เจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย
พระสมณานัมวุฑฒาจารย์ไพศาลคณกิจ (โฝ พ็องเดี้ยว) – อดีตรองเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย
พระคณานัมธรรมเมธาจารย์ (ณรงค์ ติ่นเรียน) – เจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย
พระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธโชติ) – พระเกจิอาจารย์
พระเทพเมธาภรณ์ (ประสงค์ วราสโย) – พระสงฆ์ไทย
พระวิสุทธรังษี (เปลี่ยน อินฺทสโร) – อดีตเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพล
หลวงปู่ยิ้ม จนฺทโชติ – พระเกจิอาจารย์
พระโสภณสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) – พระเกจิอาจารย์
พระราชอุดมมงคล (เอหม่อง อุตฺตมรมฺโภ) – พระเกจิอาจารย์
พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) – เจ้าคณะภาค1
พระเผด็จ ทตฺตชีโว – พระสงฆ์
พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) – นายกรัฐมนตรีไทย
ฉาย วิโรจน์ศิริ – นักการเมืองชาวไทย
บุญหลง พหลพลพยุหเสนา – ภริยานายกรัฐมนตรีไทย
พิจ พหลพลพยุหเสนา – ภริยานายกรัฐมนตรีไทย
กรรณาภรณ์ พวงทอง – นักแสดง
พุทธิดา สมัยนิยม – มิสแกรนด์กาญจนบุรี 2016/ ผู้เข้าแข่งขัน The Face Thailand ซีซั่น3/ผู้เข้าแข่งขัน Miss Fabulos Thailand 2023
จำรัส มังคลารัตน์ – นักการเมือง
ฉัตรชัย เปล่งพานิช – นักแสดง
ไพโรจน์ สังวริบุตร – นักแสดง
ฉัตรพันธ์ เดชกิจสุนทร – นักการเมือง
สุรพงษ์ ปิยะโชติ - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ชาญ อังศุโชติ – นักการเมือง
สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ – อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
สมชาย วิษณุวงศ์ – นักการเมือง
แมน เนรมิตร – นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง เจ้าของผลงานเพลง "ชวนชม"
ดวงตา คงทอง – นักร้อง
นิภาภัทร สุดศิริ – นางสาวไทย พ.ศ. 2514
สยามรัฐ บัวเจริญ – นักแสดง
ดีพร้อม ไชยวงศ์เกียรติ – คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์
ทัศน์พล วิวิธวรรธน์ - นักเเสดง
ตี๋ ดอกสะเดา – นักแสดงตลก
โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม – นักแสดงตลก
ธรรมวิชญ์ โพธิพิพิธ – นักการเมือง
ธัญญ์ ธนากร – นักแสดง
ธัญญา โสภณ – นักแสดง
ธนวัฒน์ ประสิทธิสมพร – นักแสดง
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ – กวีไทย
บุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์ – อดีตนายกเทศมนตรีเมืองกาญจนบุรี
ปฏิภาณ เพ็ชรพูล – นักฟุตบอลทีมชาติไทย
สุพจน์ จดจำ – นักฟุตบอลอาชีพ
ประเวศ วะสี – นักวิชาการด้านสาธารณสุขและการศึกษาชาวไทย
ปราโมทย์ ธีระวิวัฒน์ – อดีตนักกีฬาแบดมินตันชายชาวไทย
แผน สิริเวชชะพันธ์ – นักการเมือง
พิจิตตรา สิริเวชชะพันธ์ – นักแสดง นางแบบ
รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์ – อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ที่ปรึกษาทางด้านประวัติศาสตร์แก่กองทัพบก
วิกรม กรมดิษฐ์ – นักธุรกิจและนักเขียนชาวไทย
วิไล พนม – นักร้องลูกทุ่งชาวไทย
วีระเดช โค๊ธนี – นักกีฬาฟันดาบ
สมคิด พงษ์อยู่ – นักกีฬาฟันดาบ
ศตวรรษ เศรษฐกร – นักร้องนักแสดงชาวไทย
ศรชัย มนตริวัต – นักการเมือง
สมศักดิ์ ชัยสงคราม – อดีตนักแสดงชาวไทย
สุพจน์ จดจำ – นักกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทย
สุเชาว์ นุชนุ่ม – นักฟุตบอลทีมชาติไทย
หนึ่งเดียว ศักดิ์จารุพร – นักมวย
ปฐมสิทธิ์ ปฐมโพธิ์ทอง – นักมวย
อารีย์ วิรัฐถาวร – เล่นกีฬายกน้ำหนัก
เดชา พิศสมัย – นักคาราเต้-โด ทีมชาติไทย
สุทัตตา เชื้อวู้หลิม – นักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทย
หนึ่งเดียว ศักดิ์จารุพร – นักมวย
พงษ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย - เชฟชาวไทย
เวฬุรีย์ ดิษยบุตร – มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2557 / นักแสดง / พิธีกรรายการสตรอเบอรี่ชีสเค้ก
นันทิกานต์ สิงหา – นักแสดง / พิธีกรรายการสตรอเบอรี่ชีสเค้ก
กิติพัทธ์ ชลารักษ์ – พิธีกรรายการเทยเที่ยวไทย / นักแสดง
ศักดา แก้วบัวดี – นักแสดงภาพยนตร์เทศกาลภาพยนตร์เมืองกาน
อินทรีน้อย ลูกหนองไก่ขัน – นักมวยไทยในชุดลิเก
เฉลียว ยางงาม – วีรบุรุษสงครามเวียดนาม
ชนัตถ์ ดำรงเถกิงศักดิ์ – นักร้อง
พินิจ จันทร์สมบูรณ์ – นักการเมือง
ปารเมศ โพธารากุล – นักการเมือง
นที รักษ์พลเมือง – คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
มนตรี มงคลสมัย – อดีตศาสตราจารย์และหัวหน้าภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นพดล อินนา – นักการเมือง
สุชาติ หนองบัว – ราชองค์รักษ์พิเศษ
อิสรพงศ์ ดอกยอ – นักร้อง / นักแสดง
รัชพงศ์ ทิวะธนเศรษฐ์ – นักแสดง
จรัญ งามดี – นักแสดง
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
รายชื่อวัดในจังหวัดกาญจนบุรี
รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดกาญจนบุรี
รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดกาญจนบุรี
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด
|
thaiwikipedia
| 1,190 |
คอมไพเลอร์
|
คอมไพเลอร์ (compiler) หรือ โปรแกรมแปลโปรแกรม, ตัวแปลโปรแกรม เป็น โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่แปลงชุดคำสั่งภาษาคอมพิวเตอร์หนึ่ง ไปเป็นชุดคำสั่งที่มีความหมายเดียวกัน ในภาษาคอมพิวเตอร์อื่น
คอมไพเลอร์ส่วนใหญ่ จะทำการแปล รหัสต้นฉบับ (source code) ที่เขียนในภาษาระดับสูง เป็น ภาษาระดับต่ำ หรือภาษาเครื่อง ซึ่งคอมพิวเตอร์สามารถที่จะทำงานได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม การแปลจากภาษาระดับต่ำเป็นภาษาระดับสูง ก็เป็นไปได้ โดยใช้ตัวแปลโปรแกรมย้อนกลับ (decompiler)
ผลลัพธ์ของการแปลโปรแกรม (คอมไพล์) โดยทั่วไป ที่เรียกว่า ออบเจกต์โค้ด จะประกอบด้วยภาษาเครื่อง (Machine code) ที่เต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับชื่อและสถานที่ของแต่ละจุด และการเรียกใช้วัตถุภายนอก (Link object) (สำหรับฟังก์ชันที่ไม่ได้อยู่ใน อ็อบเจกต์) สำหรับเครื่องมือที่เราใช้รวม อ็อบเจกต์เข้าด้วยกัน จะเรียกว่าโปรแกรมเชื่อมโยงเพื่อที่ผลลัพธ์ที่ออกมาในขั้นสุดท้าย เป็นไฟล์ที่ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถใช้งานได้สะดวก
คอมไพเลอร์ที่สมบูรณ์ตัวแรก คือ ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN) ของ ไอบีเอ็ม ในปี ค.ศ. 1957 และ ภาษาโคบอล (COBOL) ก็เป็นคอมไพเลอร์ตัวแรก ๆ ที่สามารถทำงานได้บนหลาย ๆ สถาปัตยกรรมทางคอมพิวเตอร์ การพัฒนาตัวแปลภาษารุดหน้าอย่างรวดเร็ว และเริ่มมีรูปแบบที่ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อมา ในช่วงทศวรรษ 1960
== การแปลโปรแกรม ==
การทำงานเริ่มจากตัวแปลโปรแกรมจะอ่านรหัสต้นฉบับของภาษานั้นๆ แล้วเริ่มตรวจสอบความผิดพลาด ถ้าพบก็จะแปลโปรแกรมไม่ผ่านและให้ผู้ใช้แก้ไขรหัสต้นฉบับก่อน เมื่อแปลผ่าน คอมไพเลอร์จะสร้างไฟล์วัตถุ (.obj บนดอสและ .o บนลินุกซ์) ขึ้นมา แล้วคอมไพเลอร์จะเชื่อมโยงแฟ้มข้อมูลวัตถุเข้ากับรหัสต้นฉบับ และสร้างไฟล์เอกซ์คิวต์ (.exe บนดอส) ขึ้นมา
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
คอมไพเลอร์
การทำภาษาโปรแกรมให้เกิดผล
ไลบรารีคอมพิวเตอร์
สิ่งประดิษฐ์ของสหรัฐ
|
thaiwikipedia
| 1,191 |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย
|
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดิมเรียก เสนาบดีว่าการกรมพระคลังมหาสมบัติ หรือ เสนาบดีว่าการกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีไทย หัวหน้ากระทรวงการคลังของประเทศไทย ผู้ดำรงตำแหน่งคนปัจจุบัน คือ เศรษฐา ทวีสิน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2566
== เสนาบดีว่าการกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ (พ.ศ. 2416 – พ.ศ. 2475)==
{| border="1" cellpadding="4" cellspacing="1" style="margin: 1em 1em 1em 0; background: #f9f9f9; border: 1px #aaa solid; text-align:center; border-collapse: collapse; font-size: 95%;"
|- style="background:#cccccc"
| ลำดับ(สมัย) || รูป || รายพระนาม/รายนาม || เริ่มวาระ || สิ้นสุดวาระ
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 1 || 80px || สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ || พ.ศ. 2416 || พ.ศ. 2429
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 2 || 80px || สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ || พ.ศ. 2429 || พ.ศ. 2435
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 3 || 80px || มหาเสวกเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ || 21 มีนาคม พ.ศ. 2435 || 23 ธันวาคม พ.ศ. 2437
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 4 || 80px || พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนศิริธัชสังกาศ || 23 ธันวาคม พ.ศ. 2437 || 26 สิงหาคม พ.ศ. 2439
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 5 || 80px || พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย || 26 สิงหาคม พ.ศ. 2439 || 1 มิถุนายน พ.ศ. 2449
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 6 || 80px || มหาอำมาตย์เอก พระยาสุริยานุวัตร (เกิด บุนนาค) || 1 มิถุนายน พ.ศ. 2449 || 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2450
|-
| rowspan = 2 bgcolor="#E9E9E9"| 7
| rowspan=2| 80px
| rowspan=2| มหาอำมาตย์เอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ
| | 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2450 || 31 มีนาคม พ.ศ. 2450
|-
| |รั้งตำแหน่ง 1 เมษายน พ.ศ. 2451 || 17 มกราคม พ.ศ. 2465
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 8 || 80px || มหาอำมาตย์เอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุภโยคเกษม ||17 มกราคม พ.ศ. 2465 || 26 ตุลาคม พ.ศ. 2472
|-
| rowspan = 2 bgcolor="#E9E9E9"| 9
| rowspan=2| 80px
| rowspan=2| มหาอำมาตย์เอก พระยาโกมารกุลมนตรี (ชื่น โกมารกุล ณ นคร)
| | 26 ตุลาคม พ.ศ. 2472 || 31 มีนาคม พ.ศ. 2473
|-
| |รั้งตำแหน่ง 1 เมษายน พ.ศ. 2473 || 9 เมษายน พ.ศ. 2475
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 8(2) || 80px || มหาอำมาตย์เอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศุภโยคเกษม || 9 เมษายน พ.ศ. 2475 || 29 มิถุนายน พ.ศ. 2475
|-
| bgcolor="#E9E9E9"| 10 || 80px || มหาอำมาตย์โท พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์)||29 มิถุนายน พ.ศ. 2475 || 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475
|}
== รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (พ.ศ. 2476 – ปัจจุบัน) ==
== รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ยังมีชีวิตอยู่ ==
ปัจจุบันมีอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ยังมีชีวิตอยู่ 19 คน ได้แก่
{| border="1" cellpadding="4" cellspacing="1" style="margin: 1em 1em 1em 0; background: #f9f9f9; border: 1px #aaa solid; text-align:center; border-collapse: collapse; font-size: 95%;"
|- style="background:#E9E9E9"
! รายนาม || วาระ || วันเกิด
|-
| พนัส สิมะเสถียร || พ.ศ. 2535 ||
|-
| บดี จุณณานนท์ || พ.ศ. 2539 ||
|-
| สมหมาย ภาษี || พ.ศ. 2557-2558 ||
|-
| ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ || พ.ศ. 2535–2538;พ.ศ. 2540–2544 ||
|-
| ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ || พ.ศ. 2539 ||
|-
| หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล || พ.ศ. 2549-2550 ||
|-
| ทนง พิทยะ || พ.ศ. 2540;พ.ศ. 2548-2549 ||
|-
| ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ || พ.ศ. 2550-2551 ||
|-
| ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล || พ.ศ. 2554-2555 ||
|-
| สุชาติ ธาดาธำรงเวช || พ.ศ. 2551 ||
|-
| สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ || พ.ศ. 2544-2545;พ.ศ. 2547-2548 ||
|-
| อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ || พ.ศ. 2558-2562 ||
|-
| อาคม เติมพิทยาไพสิฐ || พ.ศ. 2563-2566 ||
|-
| สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี || พ.ศ. 2551 ||
|-
| สุรเกียรติ์ เสถียรไทย || พ.ศ. 2538-2539 ||
|-
| กิตติรัตน์ ณ ระนอง || พ.ศ. 2555-2557 ||
|-
| ปรีดี ดาวฉาย || พ.ศ. 2563 ||
|-
| อุตตม สาวนายน || พ.ศ. 2562-2563 ||
|-style="background:#CFC;"
| เศรษฐา ทวีสิน || พ.ศ. 2566-ปัจจุบัน ||
|-
| กรณ์ จาติกวณิช || พ.ศ. 2551-2554 ||
|}
==อ้างอิง==
== ดูเพิ่ม ==
รายนามรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของไทย
รายนามปลัดกระทรวงการคลังของไทย
การคลัง
กระทรวงการคลัง
*
รัฐมนตรีคลัง
|
thaiwikipedia
| 1,192 |
ภาษาเปอร์เซีย
|
เปอร์เซีย (Persian; ) รู้จักจากชื่อเรียกในกลุ่มชน (endonym) ว่า ฟอร์ซี (فارسی, , ) เป็นภาษาอิหร่านตะวันตกที่อยู่ในสาขาอิหร่านของสาขาย่อยอินโด-อิเรเนียนจากตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน เปอร์เซียเป็นภาษาพหุศูนย์ที่ผู้คนพูดเป็นภาษาหลักและใช้อย่างเป็นทางการในประเทศอิหร่าน ประเทศอัฟกานิสถาน และประเทศทาจิกิสถาน ซึ่งความหลากหลายของภาษามาตรฐานที่สามารถเข้าใจร่วมกันมีอยู่ 3 แบบ คือ เปอร์เซียแบบอิหร่าน, เปอร์เซียแบบดารี (เรียกว่า ดารี อย่างเป็นทางการตั้งแต่ ค.ศ. 1958) และเปอร์เซียแบบทาจิก (เรียกว่า ทาจิก อย่างเป็นทางการตั้งแต่สมัยโซเวียต) นอกจากนี้ ยังมีผู้พูดภาษาทาจิกตั้งแต่เกิดในประชากรของประเทศอุซเบกิสถาน, เช่นเดียวกันกับภูมิภาคอื่นที่มีประวัติศาสตร์สังคมเปอร์เซียในเขตวัฒนธรรมเกรตเตอร์อิหร่าน ในประเทศอิหร่านและอัฟกานอสถานเขียนด้วยชุดตัวอักษรเปอร์เซีย ซึ่งมาจากอักษรอาหรับ ส่วนในประเทศทาจิกิสถานเขียนด้วยอักษรทาจิก ซึ่งมาจากอักษรซีริลลิก
ภาษาเปอร์เซียในปัจจุบันสืบต่อมาจากภาษาเปอร์เซียกลาง ภาษาทางการของจักรวรรดิซาเซเนียน (ค.ศ. 224–651) ซึ่งสืบต่อมาจากภาษาเปอร์เซียโบราณที่ใช้ในจักรวรรดิอะคีเมนิด (550–330 ปีก่อนคริสตกาล) มีต้นกำเนิดในพื้นที่จังหวัดฟอร์ส (เปอร์เซีย) ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอิหร่าน ไวยากรณ์ของภาษานี้มีความคล้ายกับภาษาในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียนหลายภาษา
ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ ภาษาเปอร์เซียเป็นภาษาอันทรงเกียรติในจักรวรรดิที่มีศูนย์กลางในเอเชียตะวันตก เอเชียกลาง และเอเชียใต้ ภาษาเปอร์เซียเก่าเขียนด้วยคูนิฟอร์มเปอร์เซียเก่าในจารึกระหว่างศตวรรษที่ 6 ถึง 4 ก่อนคริสตกาล ภาษาเปอร์เซียกลางเขียนด้วยอักษรที่มาจากภาษาแอราเมอิก (ปะห์ลาวีกับมาณีกี) ในจารึกกับคัมภีร์ศาสนาโซโรอัสเตอร์และศาสนามาณีกีในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึง 10 มีการเขียนวรรณกรรมภาษาเปอร์เซียใหม่ครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 9 หลังการพิชิตจักรวรรดิเปอร์เซียโดยมุสลิมเป็นต้นมา จึงเริ่มมีการนำอักษรอาหรับมาดัดแปลง ภาษาเปอร์เซียเป็นภาษาแรกที่ทลายการผูกขาดของชาวอาหรับผ่านระบบการเขียนในโลกมุสลิม ทำให้กวีเปอร์เซียกลายเป็นธรรมเนียมในข้าราชสำนักตะวันออกหลายแห่ง ในอดีต แม้แต่ผู้ไม่ใช่เจ้าของภาษาก็ใช้ภาษานี้เป็นภาษาราชการ เช่น จักรวรรดิออตโตมันในเอเชียไมเนอร์, จักรวรรดิโมกุลในเอเชียใต้ และชาวปาทานในประเทศอัฟกานิสถาน ภาษานี้มีอิทธิพลบางส่วนในภาษาอาหรับด้วย พร้อมกับยืมคำมาจากภาษาอาหรับในยุคกลาง
มีผู้พูดภาษาเปอร์เซียประมาณ 110 ล้านคนทั่วโลก รวมถึงชาวเปอร์เซีย, ชาวทาจิก, ชาวแฮซอแรฮ์, ชาวตัตแถบคอเคซัส และอายมัก คำว่า Persophone อาจใช้เพื่ออ้างถึงผู้พูดภาษาเปอร์เซีย
== การจัดจำแนก ==
ภาษาเปอร์เซียอยู่ในกลุ่มอิหร่านตะวันตกในกลุ่มภาษาอิหร่าน ซึ่งเป็นสาขาของกลุ่มภาษาอินโด-ยูโรเปียนในกลุ่มย่อยกลุ่มอินโด-อิเรเนียน เรียงประโยคแบบประธาน-กรรม-กริยา กลุ่มภาษาอิหร่านตะวันตกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มย่อย: กลุ่มภาษาอิหร่านตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีผู้พูดภาษาเปอร์เซียเป็นส่วนใหญ่ และกลุ่มภาษาอิหร่านตะวันตกเฉียงเหนือ ที่มี ภาษาเคิร์ดเป็นภาษาที่มีผู้พูดมากที่สุด
== การเรียกชื่อ ==
=== ชื่อท้องถิ่น ===
ภาษาดารี (มาจาก دربار /dærbɒr/ "ศาล") เป็นชื่อท้องถิ่นในอัฟกานิสถานและเอเชียใต้ แต่ชาวอัฟกันส่วนใหญ่ในอัฟกานิสถานจะเรียกภาษานี้ว่าภาษาฟาร์ซี
ภาษาฟาร์ซี/ปาร์ซี (فارسی / پارسی) เป็นชื่อท้องถิ่นในอิหร่าน
ภาษาทาจิก (тоҷикӣ) เป็นชื่อท้องถิ่นของภาษานี้ในเอเชียกลาง โดยเฉพาะในทาจิกิสถาน
=== ชื่อในภาษาอังกฤษ ===
ในภาษาอังกฤษเรียกชื่อภาษานี้ว่าภาษาเปอร์เซียซึ่งเป็นการออกเสียงแบบอังกฤษของคำที่มาจากภาษาละติน Persianus زبان /zæbɒn/ 'ภาษา'
==== การเปลี่ยนแปลง ====
อักษรเปอร์เซียมีการเปลี่ยนแปลงตัวอักษรจากภาษาอาหรับ เช่นอลิฟที่มีฮัมซะหฺอยู่ข้างล่าง ( إ ) เปลี่ยนเป็น ( ا ) คำที่เขียนด้วยฮัมซะหฺจะเขียนต่างไป เช่น مسؤول เป็น مسئول และ ة เปลี่ยนเป็น ه หรือ ت อักษรที่เปลี่ยนรูปร่างไป แสดงในตารางข้างล่าง การเขียนตามรูปแบบเดิมในภาษาอาหรับไม่ถือว่าผิดแต่ไม่นิยม
=== อักษรละติน ===
องค์กรนานาชาติสำหรับการจัดมาตรฐานได้เสนอการปริวรรตภาษาเปอร์เซียเป็นอักษรละตินแต่ไม่เป็นที่นิยม อีกรูปแบบหนึ่งมาจากอักษรละตินมาตรฐานสำหรับกลุ่มภาษาเตอร์กิกที่นำไปใช้ในทาจิกิสถานเมื่อราว พ.ศ. 2463 ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้อักษรซีริลลิกในอีกทศวรรษต่อมา นอกจากนั้นยังมีระบบของ Universal Persian Alphabet ใช้ในหนังสือตำราหรือคู่มือการท่องเที่ยว และ International Persian Alphabet ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นโดย A. Moslehi นักภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ
=== อักษรทาจิก ===
อักษรซีริลลิกถูกนำมาใช้เขียนภาษาทาจิกในสมัยสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตทาจิก โดยนำมาใช้แทนอักษรละตินที่เริ่มใช้หลังการปฏวัติบอลเชวิกในราว พ.ศ. 2473 หลัง พ.ศ. 2482 การเขียนด้วยอักษรเปอร์เซียในประเทศถูกสั่งห้าม
==ตัวอย่าง==
ประโยคในนี้คือปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนข้อที่ 1
== อ้างอิง ==
== ข้อมูลทั่วไป ==
== อ่านเพิ่ม ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Academy of Persian Language and Literature official website
Assembly for the Expansion of the Persian Language official website
Persian language Resources
Persian Language Resources, parstimes.com
Persian language tutorial books for beginners
Haim, Soleiman. New Persian–English dictionary. Teheran: Librairie-imprimerie Beroukhim, 1934–1936. uchicago.edu
Steingass, Francis Joseph. A Comprehensive Persian–English dictionary. London: Routledge & K. Paul, 1892. uchicago.edu
UCLA Language Materials Project: Persian, ucla.edu
How Persian Alphabet Transits into Graffiti, Persian Graffiti
Basic Persian language course (book + audio files) USA Foreign Service Institute (FSI)
ภาษาเปอร์เซีย
วัฒนธรรมอิหร่าน
เปอร์เซีย
เปอร์เซีย
เปอร์เซีย
|
thaiwikipedia
| 1,193 |
2 เมษายน
|
วันที่ 2 เมษายน เป็นวันที่ 92 ของปี (วันที่ 93 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 273 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2335 (ค.ศ. 1792) - ประมวลกฎหมายการผลิตเหรียญกษาปณ์ (สหรัฐอเมริกา) ผ่านความเห็นชอบ ทำให้เกิดโรงกษาปณ์แห่งสหรัฐอเมริกา
พ.ศ. 2344 (ค.ศ. 1801) - กองกำลังสหราชอาณาจักร ทำลายเรือรบเดนมาร์กในสมรภูมิโคเปนเฮเกน
พ.ศ. 2394 (ค.ศ. 1851) - เจ้าฟ้ามงกุฎได้ลาสิกขาเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรีเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2394
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - สงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์: กำลังรบพิเศษของอาร์เจนตินา เริ่มการรุกรานหมู่เกาะฟอล์กแลนด์
พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - เอซุสก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) - การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในไทย พ.ศ. 2549 ซึ่งภายหลังศาลตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) - แผ่นดินไหวขนาด 8.0 ในมหาสมุทรแปซิฟิก ใกล้หมู่เกาะโซโลมอน ทำให้เกิดคลื่นสึนามิ คร่าชีวิตประชาชนในหมู่เกาะไปเป็นจำนวนมาก
พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) - เกิดเหตุระเบิดในโกดังรับซื้อของเก่าในซอยลาดปลาเค้า72 ทำให้มีผู้เสียชีวิต7ราย บาดเจ็บ5ราย
== วันเกิด ==
พ.ศ. 1285 (ค.ศ. 742) - ชาร์ลส์เลอมาญ จักรพรรดิแห่งชาวแฟรงค์ (ถึงแก่กรรม 28 มกราคม พ.ศ. 1357)
พ.ศ. 2348 (ค.ศ. 1805) - ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน นักประพันธ์ชาวเดนมาร์ก (ถึงแก่กรรม 4 สิงหาคม พ.ศ. 2418)
พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840) - เอมิล โซลา นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส (ถึงแก่กรรม 29 กันยายน พ.ศ. 2445)
พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) - หลวงพ่อคง ธัมมโชโต (มรณภาพ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486)
พ.ศ. 2420 (ค.ศ. 1877) - พระองค์เจ้าบวรเดช (สิ้นพระชนม์ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2496)
พ.ศ. 2457 (ค.ศ. 1914) - อเล็ก กินเนสส์ นักแสดงชาวอังกฤษ (ถึงแก่กรรม 5 สิงหาคม พ.ศ. 2543)
พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) - ไพโรจน์ นิงสานนท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (เสียชีวิต 16 มีนาคม พ.ศ. 2564)
พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) - มาร์วิน เกย์ นักร้องชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 1 เมษายน พ.ศ. 2527)
พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) - โรชาน เซธ นักแสดงชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962)
*คลาร์ก เกรกก์ นักแสดง, ผู้กำกับ และผู้เขียนบทภาพยนตร์ชาวอเมริกัน
*สลา คุณวุฒิ นักประพันธ์เพลงแนวลูกทุ่งอีสานและหมอลำ
พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) - เทดดี เชอริงแฮม นักฟุตบอลชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) - บุษบา อธิษฐาน นักร้องลูกทุ่งหญิงชาวไทย (เสียชีวิต 18 กันยายน พ.ศ. 2544)
พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - อภิชาติ พรมรักษา มือกีตาร์ นักแต่งเพลงชาวไทย
พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ นักแสดงชายชาวเยอรมัน
พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) - เจมี เรย์ นิวแมน นักแสดง, โปรดิวเซอร์ และนักร้องชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979)
* สุริยา ปราสาทหินพิมาย นักมวยสากลสมัครเล่นชาวไทย
* จักรพันธ์ ปั่นปี อดีตนักฟุตบอลชาวไทย
* เจสซี คาร์ไมเคิล มือคีย์บอร์ดชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - ฟาทาอิ โอนิเคเค แชมป์นักมวยสากลชาวไนจีเรีย
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986)
* รีฮาบ ดีเจ ,โปรดิวเซอร์เพลง และรีมิกซ์เซอร์ชาวดัตซ์
* ลี ดีไวซ์ นักร้อง นักแต่งเพลง มือกีตาร์ชาวอเมริกัน
* อีบราฮิม อาเฟิลไล นักฟุตบอลชาวดัตช์
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990)
* เอลลิน นักร้องชาวเกาหลีใต้ สมาชิกวงเครยอนป๊อป
* มิราเล็ม ปิยานิช นักฟุตบอลอาชีพชาวบอสเนีย
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - คราโว่ แร็ปเปอร์ นักร้อง นักแต่งเพลงและผู้ผลิตแผ่นเสียงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - ไทเลอร์ แบล็กคิตต์ นักฟุตบอลชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - ณัฐนิช รัตนเสรีเกียรติ
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 2394 (ค.ศ. 1851) - พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชสมภพ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330)
พ.ศ. 2415 (ค.ศ. 1872) - แซมมวล มอร์ส นักประดิษฐ์และจิตรกรชาวอเมริกัน (เกิด 27 เมษายน พ.ศ. 2334)
พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) - โจเซอิ โทดะ นายกสมาคมโซคา งัคไก ท่านที่2 (เกิด 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2443)
พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - ฌอร์ฌ ปงปีดู นักการเมืองชาวฝรั่งเศส (เกิด 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2454)
พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 (ประสูติ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2463)
พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) - ประสิทธิ์ พยอมยงค์ ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล - เรียบเรียง) (เกิด 7 มีนาคม พ.ศ. 2469)
พ.ศ. 2555 (พ.ศ. 2012) - เจ้าหญิงฟัตมา เนสลีชาห์ เจ้าหญิงองค์สุดท้ายแห่งออตโตมัน (ประสูติ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2464)
พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) - อัศนี ปราโมช องคมนตรี ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล) (เกิด 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2477)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
ประเทศไทย - วันสายใจไทย วันหนังสือเด็กแห่งชาติ และวันอนุรักษ์มรดกไทย วันรักการอ่าน
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
NY Times: On This Day
Today in History: April 2
== อ้างอิง ==
มเมษายน 02
เมษายน
|
thaiwikipedia
| 1,194 |
ภาษาทาจิก
|
ทาจิก (Забони тоҷикӣ, Zaboni tojikī, ) มีอีกชื่อว่า ภาษาเปอร์เซียทาจิก (форси́и тоҷикӣ́, forsii tojikī, ) เป็นภาษาเปอร์เซียรูปแบบหนึ่งที่มีผู้พูดโดยชาวทาจิกในประเทศทาจิกิสถานและอุซเบกิสถาน มีความใกล้ชิดกับภาษาดารี นักวิชาการบางส่วนจัดให้ภาษาทาจิกเป็นภาษาย่อยของภาษาเปอร์เซียมากกว่าเป็นภาษาของตนเอง ความนิยมของแนวคิดเรื่องภาษาทาจิกเป็นรูปแบบหนึ่งของภาษาเปอร์เซียมีมากจนกระทั่งในสมัยที่มีปัญญาชนชาวทาจิกพยายามจัดตั้งให้ภาษาทาจิกเป็นภาษาที่แยกจากภาษาเปอร์เซีย ซัดริดดีน อัยนี (Sadriddin Ayni) ปัญญาชนคนสำคัญ โต้แย้งกลับว่า ภาษาทาจิกไม่ใช่ "ภาษาย่อยที่ถูกทำให้เสื่อมลง" (bastardised dialect) ของภาษาเปอร์เซีย ปัญหาที่ว่าภาษาทาจิกและเปอร์เซียเป็นภาษาย่อยสองภาษาของภาษาเดียวกันหรือเป็นสองภาษาที่ไม่ต่อเนื่องนั้นมีความเป็นการเมืองอยู่ในนั้นด้วย
ภาษาทาจิกเป็นหนึ่งในสองภาษาราชการของประเทศทาจิกิสถาน ส่วนอีกภาษาหนึ่งคือภาษารัสเซีย ซึ่งเป็นภาษาราชการระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ภาษานี้มีความต่างจากภาษาเปอร์เซียที่ใช้พูดในอิหร่านและอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นผลมาจากการแบ่งแยกดินแดนทางการเมือง การแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์และการจัดมาตรฐานทางภาษา รวมทั้งอิทธิพลของภาษารัสเซียและภาษากลุ่มเตอร์กิกที่อยู่รอบ ๆ มาตรฐานของภาษานี้ยึดตามสำเนียงตะวันตกเฉียงเหนือของทาจิกิสถานซึ่งเป็นเมืองเก่าของซามาร์คันฑ์ และได้รับอิทธิพลจากภาษาอุซเบกด้วย ภาษาทาจิกมีหน่วยคำในคำศัพท์ การออกเสียงและไวยากรณ์ซึ่งไม่มีในภาษาเปอร์เซียที่พูดในที่อื่น ซึ่งน่าจะเป็นมาจากการที่ถูกแบ่งแยกโดยภูมิศาสตร์เขตเทือกเขาของเอเชียกลาง
== การแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ ==
เมืองที่สำคัญของผู้พูดภาษาทาจิกในประวัติศาสตร์คือซามาร์คันท์และบูคาราซึ่งในปัจจุบันอยู่ในอุซเบกิสถาน ในอุซเบกิสถานนั้น นอกจากจะมีผู้พูดภาษาทาจิกมากในบริเวณทั้งสองนี้แล้ว ยังมีในจังหวัดซูร์ซอนดาร์โยทางใต้และตามแนวชายแดนที่ติดกับทาจิกิสถาน
ในสมัยที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ชาวทาจิกไม่ได้รับการรับรองในอุซเบกิสถาน พวกเขาต้องเลือกระหว่างอยู่ในอุซเบกิสถานและลงทะเบียนเป็นชาวอุซเบก หรือเลือกเป็นชาวทาจิกและถูกย้ายไปอยู่ทาจิกิสถาน . ในทาจิกิสถานนั้น ประชากร 80% พูดภาษาทาจิก ผู้พูดภาษาทาจิกในบาดักซานซึ่งมีภาษากลุ่มปาร์มีเป็นภาษาหลักจะพูดได้สองภาษา นอกจากนั้นยังพบมากทางภาคเหนือของของอัฟกานิสถานและในเมืองสำคัญเช่น คาบูล คุนดุชและเฮรัต ซึ่งภาษาทาจิกในอัฟกานิสถานเขียนด้วยอักษรอาหรับ-เปอร์เซีย และเรียกว่าภาษาดารีเปอร์เซีย นอกจากนี้มีผู้พูดภาษาทาจิกในรัสเซีย คาซัคสถานและที่อื่นๆ
ในประเทศจีน ภาษทาจิกไม่มีรูปเขียนอย่างเป็นทางการ ชาวจีนที่พูดภาษาทาจิกส่วนใหญ่ ที่จริงแล้วพูดภาษาซาริโกลี หรือซาริโคลี (Sariqul, Sariköli) ซึ่งแม้ว่าจะเรียกว่าภาษาทาจิก ก็ไม่ได้สัมพันธ์ใกล้เคียงกับ ภาษาทาจิก มากกว่าภาษากลุ่มปามีร์ (Pamir languages) และใช้ภาษาอุยกูร์ และภาษาจีนเพื่อติดต่อกับคนชนชาติอื่น ๆ ในพื้นที่
== สำเนียง ==
สำเนียงของภาษาทาจิกแบ่งได้เป็น
สำเนียงเหนือ อยู่ทางใต้ของอุซเบกิสถานและคีร์กิซสถาน
สำเนียงกลาง อยู่ในอายนี มัสต์โย อิสซอร์ และบางส่วนของวาร์ซอบ
สำเนียงใต้ ได้แก่สำเนียงของบาดักซาน และอื่นๆ
สำเนียงตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่สำเนียงในปันจ์และดาร์วอซ
สำเนียงที่ใช้โดยชาวยิวบูคาเรียเรียกภาษาบูโครี จัดอยู่ในสำเนียงเหนือ มีศัพท์ภาษาฮีบรูปนเข้ามาและเคยเขียนด้วยอักษรฮีบรู ซึ่งถ้าตัดส่วนที่มาจากภาษาฮีบรูออกไป ผู้พูดภาษาบูโครีจะเข้าใจกันได้กับผู้พูดสำเนียงเหนืออื่นๆ
== ไวยากรณ์ ==
การเรียงลำดับในประโยคภาษาทาจิกเป็นประธาน-กรรม-กริยา.
=== นาม ===
ไม่มีเครื่องหมายแสดงเพศ แต่แสดงจำนวน การแสดงเพศมักเป็นการเปลี่ยนรูปคำ เช่น мурғ (murgh) 'นก' and хурус (khurus) 'นกตัวผู้'หรือการเติมตัวช่วย 'нар' (nar) สำหรับผู้ชายหรือ 'мода' (moda) สำหรับผู้หญิง ต่อท้ายคำนาม เช่น хари нар (xari nar) 'ลาตัวผู้' และ хари мода (xari moda) 'ลาตัวเมีย'
จำนวนมีเฉพาะเอกพจน์กับพหูพจน์ รูปพหูพจน์แสดงโดยปัจจัย –ҳо หรือ –он แต่คำยืมจากภาษาอาหรับจะใช้รูปแบบของภาษาอาหรับ ไม่มีคำนำหน้านามชี้เฉพาะ แต่มีคำนำหน้านามแบบไม่ชี้เฉพาะที่ตำแหน่งแรกก่อนคำนาม และต่อท้ายนามในรูปปัจจัย
== คำศัพท์ ==
ภาษาทาจิกมีลักษณะอนุรักษนิยมทางด้านคำศัพท์ คำศัพท์ใหม่ๆในภาษาทาจิกมาจากภาษารัสเซีย ซึ่งเป็นผลจากการที่ทาจิกิสถานเคยรวมอยู่ในสหภาพโซเวียตมาก่อน คำศัพท์บางส่วนมาจากภาษาอุซเบกที่อยู่ใกล้เคียงและภาษาอาหรับผ่านทางศาสนาอิสลาม ตั้งแต่พ.ศ. 2523 มีความพยายามแทนที่คำยืมด้วยคำดั้งเดิมในภาษา รวมทั้งสร้างคำใหม่จากคำดั้งเดิมนั้น
== ระบบการเขียน ==
ในประเทศทาจิกิสถานและประเทศอื่น ๆ ที่เคยอยู่ในสหภาพโซเวียต ภาษาทาจิกในปัจจุบันเขียนด้วยอักษรซีริลลิก โดยในอดีตเคยเขียนด้วยอักษรละตินใน ค.ศ. 1928 และอักษรอาหรับในช่วงก่อน ค.ศ. 1928 ในสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตทาจิกมีการแทนที่อักษรละตินด้วยอักษรซีริลลิกใน ค.ศ. 1939 ชุดตัวอักษรทาจิกประดิษฐ์อักษรเพิ่มเติมจากอักษรซีริลลิกอีกหกอักษร โดยใส่เครื่องหมายเสริมสัทอักษรกำกับอักษรเพิ่มเติมเหล่านี้ในอักขรวิธีทาจิก
== ประวัติ ==
ภาษาทาจิกสืบมาจากภาษาเปอร์เซีย และมีลักษณะใกล้เคียงกันมากจนบางคนถือว่าเป็นภาษาถิ่นของภาษาเปอร์เซีย ตามประวัติศาสตร์นั้นถือว่าเป็นภาษาถิ่นภาษาหนึ่งของภาษาเปอร์เซียที่พูดโดยชนพื้นเมืองชาวทาจิกในเอเชียกลาง ครั้นเมื่อสหภาพโซเวียตบังคับให้ใช้อักษรละตินในปี พ.ศ. 2471 และอักษรซีริลลิกในเวลาต่อมา ภาษาทาจิกจึงถือเป็นอีกภาษาหนึ่งต่างหากในทาจิกิสถาน ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็ด้วยเหตุผลทางการเมือง (ส่วนในอัฟกานิสถาน ชาวทาจิกยังคงใช้อักษรอาหรับต่อไป) ภาษามีความแตกต่างจากภาษาเปอร์เซียที่พูดในประเทศอัฟกานิสถานและประเทศอิหร่านไปบ้าง เนื่องจากเขตแดนทางการเมืองและอิทธิพลของภาษารัสเซีย อย่างไรก็ดีเอกสารที่เขียนภาษาทาจิกเขียนสามารถอ่านเข้าใจโดยชาวอัฟกันหรืออิหร่านที่พูดภาษาเปอร์เซีย และในทางกลับกันด้วย นักเขียนที่มีชื่อเสียง เช่น โอมาร์ คัยยัม (Omar Khayyam) ฟีร์เดาซี (Firdausi) และอาลี ชีร์ นาไว (Ali Shir Navai) ยืนยันว่าทั้งสองภาษามีต้นกำเนิดร่วมกัน
ภาษาเปอร์เซียยุคใหม่พัฒนาขึ้นในทรานโซเซียนาและโคราซาน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอัฟกานิสถาน อุซเบกิสถาน และทาจิกิสถาน ภาษาเหล่านี้เป็นลูกหลานของภาษาเปอร์เซียยุคกลาง และได้รับอิทธิพลจากภาษากลุ่มอิหร่านโบราณในเอเชียกลาง เช่น ภาษาซอกเดีย
หลังจากการรุกรานของชาวอาหรับเข้าสู่อิหร่านและเอเชียกลางในพุทธศตวรรษที่ 13 ภาษาอาหรับเข้ามาเป็นภาษาสำคัญในพุทธศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นยุคของราชวงศ์ซามานิดส์ ภาษาเปอร์เซียยุคใหม่ได้พัฒนาขึ้นมาในช่วงนี้และกลายเป็นภาษากลางแทนภาษาอาหรับ แต่อิทธิพลของภาษาอาหรับยังคงอยู่ เช่น อักษรอาหรับแบบเปอร์เซียและมีคำยืมจากภาษาอาหรับจำนวนมาก
ภาษาเปอร์เซียยุคใหม่กลายเป็นภาษากลางในเอเชียกลางหลายประเทศและเข้าไปแทนที่ภาษาอื่น เช่น ภาษาชะกะไต ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 21 ภาษาทาจิกที่เป็นสำเนียงหนึ่งของภาษาเปอร์เซียสมัยใหม่ ได้รับอิทธิพลจากภาษาเพื่อนบ้าน ได้แก่ภาษากลุ่มเตอร์กิก โดยเฉพาะภาษาอุซเบกมากขึ้น ภาษาอุซเบกเข้ามาแพร่กระจายในพื้นที่อุซเบกิสถานและบริเวณอื่นๆในเอเชียกลาง และเข้ามาแทนที่ภาษาทาจิก จนบางบริเวณ ไม่มีผู้พูดภาษาทาจิกเหลืออยู่อีกเลย
การเกิดสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตทาจิก เมื่อ พ.ศ. 2472 ทำให้ภาษาทาจิกเป็นภาษาราชการของรัฐร่วมกับภาษารัสเซีย มีการอพยพผู้พูดภาษาทาจิกจากสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอุซเบกมาสู่ทาจิกิสถาน หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2534 รัฐบาลทาจิกิสถานได้สนับสนุนให้ใช้ภาษาทาจิกมากยิ่งขึ้น
== อ้างอิง ==
==ข้อมูล==
Azim Baizoyev, John Hayward: A beginner's guide to Tajiki. - 1. publ. - London [u. a.]: RoutledgeCurzon, 2004. (includes a Tajiki-English Dictionary)
Ido, S. (2005) Tajik
Korotow, M. (2004) Tadschikisch Wort für Wort. Kauderwelsch
Lazard, G. (1956) "Caractères distinctifs de la langue tadjik". Bulletin de la Société Linguistique de Paris. 52. pp. 117–186
Lazard, G. "Le Persan". Compendium Linguarum Iranicarum. Wiesbaden. 1989.
Windfuhr, G. (1987) in Comrie, B. (ed.) "Persian". The World's Major Languages. pp. 523–546
Perry, J. R. (2005) A Tajik Persian Reference Grammar (Boston : Brill)
Rastorgueva, V. (1963) A Short Sketch of Tajik Grammar (Netherlands : Mouton)
Назарзода, С. – Сангинов, А. – Каримов, С. – Султон, М. Ҳ. (2008) Фарҳанги тафсирии забони тоҷикӣ (иборат аз ду ҷилд). Ҷилди I. А – Н. Ҷилди II. О – Я. (Душанбе).
Khojayori, Nasrullo, and Mikael Thompson. Tajiki Reference Grammar for Beginners. Washington, DC: Georgetown UP, 2009.
Windfuhr, Gernot. "Persian and Tajik." The Iranian Languages. New York, NY: Routledge, 2009.
Windfuhr, Gernot. Persian Grammar: History and State of Its Study. De Gruyter, 1979. Trends in Linguistics. State-Of-The-Art Reports.
Marashi, Mehdi, and Mohammad Ali Jazayery. Persian Studies in North America: Studies in Honor of Mohammad Ali Jazayery. Bethesda, MD: Iran, 1994.
==อ่านเพิ่ม==
John Perry. TAJIK ii. TAJIK PERSIAN (Encyclopædia Iranica)
Bahriddin Aliev and Aya Okawa. TAJIK iii. COLLOQUIAL TAJIKI IN COMPARISON WITH PERSIAN OF IRAN (Encyclopædia Iranica)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Tajiki Cyrillic to Persian alphabet converter
A Worldwide Community for Tajiks
BBC news in Tajik
English-Tajik-Russian Dictionary
Free Online Tajik Dictionary
Численность населения Республики Таджикистан на 1 января 2015 года. Сообщение Агентства по статистике при Президенте Республики Таджикистан
намоишгоҳи "Китоби Душанбе". A news clip about a Dushanbe book exhibition, with examples of various members of the public speaking Tajiki.
ทาจิก
ทาจิก
ทาจิก
ทาจิก
ทาจิก
ทาจิก
ทาจิก
ทาจิก
ทาจิก
ทาจิก
|
thaiwikipedia
| 1,195 |
เมษายน
|
เมษายน เป็นเดือนที่ 4 ของปี ตามปฏิทินกริกอเรียน และเป็นหนึ่งในเดือน 4 เดือนที่มี 30 วัน (เขียนย่อ เม.ย. ภาษาปากเรียก เมษา หรือเดือนเมษา)
ตามหลักโหราศาสตร์ เดือนเมษายนเริ่มต้นขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ และสิ้นสุดเมื่อยกเข้าสู่ราศีพฤษภ แต่ในทางดาราศาสตร์ ต้นเดือนเมษายนดวงอาทิตย์อยู่ในกลุ่มดาวปลาและปลายเดือนไปอยู่ในกลุ่มดาวแกะ
ชื่อในภาษาอังกฤษ "April" มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน แอปปรีริส ("aprilis") และ แอปเปรีเร ("aperire") หมายถึง "กางออก" ซึ่งอาจหมายถึงการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ หรืออาจมาจาก Apru ชื่อเทพีแห่งความรักในภาษาของชาวอิทรูเรีย ส่วนในประเทศไทยเริ่มใช้ชื่อเดือนเมษายนใน พ.ศ. 2432 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เป็นผู้เสนอให้ใช้ราศีกำหนดชื่อเดือน
ตามปฏิทินโรมันดั้งเดิม กำหนดให้เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ 2 ของปี และมี 29 วัน จากนั้นจูเลียส ซีซาร์ได้ปฏิรูประบบปฏิทินใหม่ เมื่อ 45 ปีก่อนคริสตกาล กำหนดให้เดือนมกราคมเป็นเดือนแรก ทำให้เดือนเมษายนขยับไปเป็นเดือนที่ 4 ของปี และมี 30 วัน
== วันสำคัญ ==
1 เมษายน - วันข้าราชการพลเรือนในประเทศไทย
2 เมษายน - วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, วันสายใจไทย, วันอนุรักษ์มรดกไทย และวันหนังสือเด็กแห่งชาติในประเทศไทย
5 เมษายน - วันคล้ายวันพระราชสมภพ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
6 เมษายน - วันจักรีในประเทศไทย
7 เมษายน - วันอนามัยโลก
13-15 เมษายน - วันสงกรานต์ในประเทศไทย
14 เมษายน - วันครอบครัวในประเทศไทย
22 เมษายน - วันคุ้มครองโลก
23 เมษายน - วันหนังสือและลิขสิทธิ์สากล
24 เมษายน - วันเทศบาลในประเทศไทย
25 เมษายน - วันคล้ายวันสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
29 เมษายน - วันเต้นรำสากล, วันพฤกษชาติในญี่ปุ่น, วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ
30 เมษายน - วันคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย
== ดูเพิ่ม ==
จดหมายเหตุเดือนเมษายน
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
มเมษายน
|
thaiwikipedia
| 1,196 |
กราฟเชิงระนาบ
|
กราฟเชิงระนาบ (planar graph) ในทฤษฎีกราฟ คือกราฟที่สามารถวาดบนระนาบได้โดยไม่มีเส้นเชื่อมใดๆ ตัดกัน เช่น กราฟต่อไปนี้เป็นกราฟเชิงระนาบ
6n-graf.svg 200px
(รูปที่สอง สามารถวาดให้ไม่มีเส้นเชื่อมตัดกันได้ โดยย้ายเส้นทแยงมุมเส้นหนึ่งออกไปข้างนอก)
แต่กราฟสองรูปข้างล่างนี้ ไม่เป็นกราฟเชิงระนาบ
เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะวาดกราฟสองรูปนี้โดยไม่มีเส้นเชื่อมตัดกัน กราฟสองรูปนี้เป็นกราฟที่ไม่เป็นกราฟเชิงระนาบที่เล็กที่สุดด้วย
== ลักษณะเฉพาะ ==
กาซีมีแยช กูราตอฟสกี (Kazimierz Kuratowski) นักคณิตศาสตร์ชาวโปแลนด์ ได้ศึกษากราฟเชิงระนาบและสามารถระบุลักษณะเฉพาะของกราฟเชิงระนาบ ในทฤษฎีที่รู้จักกันในชื่อ ทฤษฎีบทของกูราตอฟสกี ซึ่งกล่าวว่า "กราฟจะเป็นกราฟเชิงระนาบ ก็ต่อเมื่อ กราฟนั้นไม่ประกอบด้วยกราฟย่อยซึ่งเป็น การกระจาย ของ K5 (กราฟแบบบริบูรณ์ที่มี 5 จุดยอด) หรือ K3,3 (กราฟแบบสองเชิงแบบบริบูรณ์ ที่มีจุดยอด 6 จุดโดย จุดยอด 3 จุดจะเชื่อมโยงกับจุดยอดอีก 3 จุด)"
การกระจายของกราฟ เป็นผลลัพธ์มาจากการแทรกจุดยอดลงไปในเส้นเชื่อม นั่นคือ เปลี่ยนจากเส้นเชื่อม •——• ไปเป็น •—•—• และอาจทำซ้ำอย่างนี้อีกหลายครั้ง ลักษณะเฉพาะดังกล่าวสามารถเขียนได้อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า "ทฤษฎีบท P" ได้ดังนี้
กราฟจะเป็นกราฟเชิงระนาบ ก็ต่อเมื่อ กราฟนั้นไม่มีกราฟย่อยซึ่งสมสัณฐานกับ K5 หรือ K3,3
กราฟจะเป็นกราฟเชิงระนาบ ก็ต่อเมื่อ กราฟนั้นไม่มี K5 หรือ K3,3 เป็นไมเนอร์
รูปทั่วไปของทฤษฎีของกูราตอฟสกีที่มีขอบเขตการใช้งานที่กว้างขวางมากถูกพิสูจน์โดยนีล โรเบิร์ตสันและพอล ซีมัวร์ในทฤษฎีบทโรเบิร์ตสัน-ซีมัวร์ที่เป็นเหมือนหลักไมล์อีกอันหนึ่งของทฤษฎีกราฟ ในภาษาของทฤษฎีนี้ K5 และ K3,3 คือ "ไมเนอร์ต้องห้าม" ของเซตของกราฟเชิงระนาบที่มีขนาดจำกัด
ในทางปฏิบัติ วิธีของกูราตอฟสกีนั้นใช้ตรวจสอบกราฟว่าเป็นกราฟเชิงระนาบหรือไม่ได้ค่อนข้างช้า อย่างไรก็ตาม ยังมีขั้นตอนวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในการแก้ปัญหานี้ สำหรับกราฟที่มี n จุดยอด เรามีขั้นตอนวิธีที่ใช้เวลา O(n) ในการตรวจสอบว่ากราฟเป็นกราฟเชิงระนาบหรือไม่
ในบางกรณี ทฤษฎีบทด้านล่างที่ได้มาจากสูตรของออยเลอร์นี้ก็ยังอาจใช้ได้ด้วย สำหรับกราฟเชิงระนาบเชื่อมโยงเชิงเดียว ที่มี n จุดยอด และ e เส้นเชื่อม
ทฤษฎีบทที่ 1. ถ้า n ≥ 3 แล้ว e ≤ 3n - 6
ทฤษฎีบทที่ 2. ถ้า n > 3 และไม่มีวัฏจักรที่มีความยาว 3, แล้ว e ≤ 2n - 4
สังเกตว่าทฤษฎีบทนี้ใช้คำว่า ถ้า, ไม่ได้ใช้คำว่า "ก็ต่อเมื่อ" ดังนั้นจึงยังไม่ใช้การระบุลักษณะเฉพาะที่ครบถ้วน นั่นคือผลจากทฤษฎีบทนี้จึงแสดงได้แค่ว่ากราฟที่ไม่ตรงตามเงื่อนไขเหล่านี้ไม่เป็นกราฟเชิงระนาบ
แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ากราฟนี้เป็นกราฟเชิงระนาบ ดังนั้นถ้าทั้งสองทฤษฎีบทนี้ไม่สามารถระบุอะไรได้แล้ว เราจึงต้องใช้ทฤษฎี P ในการตรวจสอบ
ยกตัวอย่างเช่น กราฟ K3,3 มีจุดยอด 6 จุด มี 9 เส้นเชื่อม และไม่มีวัฎจักรที่มีความยาว 3. ดังนั้น ด้วยทฤษฎีบทที่สอง กราฟนี้จึงไม่เป็นกราฟเชิงระนาบ
== สูตรของออยเลอร์ ==
สูตรของออยเลอร์ (Euler's formula) กล่าวว่า ถ้ากราฟเชิงระนาบเชื่อมโยงจำกัด (finite connected planar graph) ถูกวาดในระนาบโดยไม่มีเส้นเชื่อมตัดกัน และ v คือ จำนวนของจุดยอด, e คือจำนวนของเส้นเชื่อม และ f คือจำนวนของหน้า (face) (บริเวณที่ถูกล้อมด้วยเส้นเชื่อม ซึ่งรวมถึงบริเวณด้านนอกซึ่งมีขนาดไม่จำกัดด้วย) แล้ว
v − e + f = 2
นั่นคือ ลักษณะเฉพาะของออยเลอร์เท่ากับ 2 ตัวอย่างเช่น จากกราฟเชิงระนาบรูปแรกในหน้านี้ เราจะได้ v=6, e=7 และ f=3 จากกราฟรูปที่สอง ถ้าวาดโดยไม่มีเส้นเชื่อมตัดกัน เราจะได้ v=4, e=6 และ f=4 สูตรของออยเลอร์สามารถพิสูจน์ได้ดังนี้: ถ้ากราฟไม่เป็นต้นไม้แล้ว เราจะลบเส้นเชื่อมที่อยู่บนวัฏจักรออกไป ซึ่งจะเป็นการลด e และ f ลงอย่างละ 1 ดังนั้น v − e + f จึงเป็นค่าคงที่ ให้ทำซ้ำจนกว่าจะได้ต้นไม้ เราจะได้ v = e + 1 และ f = 1 ดังนั้น v - e + f = 2
ในกราฟเชิงระนาบเชิงเดียวเชื่อมโยงจำกัด หน้าใดๆจะถูกล้อมด้วยเส้นเชื่อมอย่างน้อย 3 เส้น และเส้นเชื่อมทุกๆเส้นจะสัมผัสกับหน้าอย่างมาก 2 หน้า; โดยการใช้สูตรของออยเลอร์ เราสามารถแสดงให้เห็นได้ว่า กราฟเหล่านี้เป็นกราฟที่เบาบาง นั่นคือ e ≤ 3v - 6 ถ้า v ≥ 3
== คุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ ==
=== ความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนจุดยอดและเส้นเชื่อม ===
=== การทดสอบความสมสัณฐาน ===
=== การระบายสี ===
=== กราฟคู่กัน ===
ทฤษฎีกราฟ
กราฟเชิงระนาบ
ตระกูลกราฟ
|
thaiwikipedia
| 1,197 |
จังหวัดนครราชสีมา
|
นครราชสีมา หรือรู้จักในชื่อ โคราช เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดเชียงใหม่ และมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากกรุงเทพฯ ชื่อเมืองนครราชสีมาปรากฏที่เป็นบทความเป็นครั้งแรกเป็นเมืองพระยามหานครในการปฏิรูปการปกครองในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา) ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมีรับสั่งให้ย้ายเมืองนครราชสีมามาตั้งบริเวณพื้นที่ปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ.2199-2231
== ที่มาของชื่อ ==
มีผู้เสนอว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่ เมืองนครราช คือเมืองเดียวกันกับเมืองราด ของพ่อขุนผาเมือง เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเมืองพระนครหลายประการ นอกจากนี้รูปสลักกองทัพชาวสยามบนระเบียงด้านหนึ่งของ นครวัด อาจเป็นชาวสยามจากลุ่มแม่น้ำมูลที่เกี่ยวข้องกับเมืองนครราช และยังมีการกล่าวถึงเมืองนครราชสีมาในพงศาวดารของกัมพูชาหลายครั้งด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีมุมมองอีกด้านหนึ่งก็ว่า นครราชสีมา นั้นเป็นคำไทยเป็นคำใหม่ แยกเป็นคำได้คือ นคร, ราช และ สีมา หมายความว่า "เมืองใหญ่อันเป็นขอบขัณฑสีมาของราชอาณาจักร" (ราช+สีมา) ส่วนคำว่า โคราช (สำเนียงถิ่น: โค-ร่าด, ไทยกลาง: โค-ราด, เขมร: โก-เรียช) นั้น น่าจะเพี้ยนมาจาก นครราช (อ่านตามสำเนียงว่า คอน-หฺราด ซึ่งเป็นคำเรียกนครราชสีมาแบบย่อ ๆ ของชาวบ้าน) หรือ อังกอร์เรียจ ต่อมาลดรูปเป็น กอร์เรียจ และเพี้ยนเป็นโคราชในที่สุด แต่ไม่ได้เพี้ยนมาจากชื่อเมืองโคราฆปุระ (Gorakhpur) ที่เป็นชื่อเมืองสมัยใหม่ในแคว้นเดียวกับเมืองอโยธยา (Ayodhya) ในอินเดีย ตามข้อสันนิษฐานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพแต่อย่างใด เนื่องจากเมืองโคราชที่สูงเนินมีความเก่าแก่กว่าเมืองโคราฆปุระ ส่วนบันทึกของซิมง เดอ ลาลูแบร์ ทูตชาวฝรั่งเศสที่เข้ามากรุงศรีอยุธยาในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้เขียนชื่อบนแผนที่บริเวณนี้ว่า Corazema หรือ โคราชเสมา
เดิมทีนั้นชื่อเมืองนครราชสีมา มีการใช้ "นครราชสีมา" และ "นครราชสีห์มา" สลับกันไป จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2445 (พ.ศ. 2444 เดิม) ได้มีพระบรมราชโองการฯ ให้ประกาศว่า
== ประวัติศาสตร์ ==
=== สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ===
ภาพเขียนสีเขาจันทร์งามที่วัดเขาจันทร์งามอำเภอสีคิ้วเป็นภาพเขียนสีของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่ามีชุมชนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคหินใหม่ต่อเนื่องมาถึงยุคสำริดและยุคเหล็กอยู่ที่อำเภอโนนสูงประกอบด้วยแหล่งโบราณคดีบ้านปราสาทและแหล่งโบราณคดีบ้านโนนวัด ซึ่งเป็นชุมชนที่มีการอาศัยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ประมาณ 3000 ปีก่อนตั้งแต่ยุคหินจนถึงยุคประวัติศาสตร์ ในยุคสำริดมีการค้นพบเครื่องประดับสำริดต่างๆและเครื่องปั้นดินเผา แหล่งโบราณคดีบ้านโนนวัดเป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีพบการฝังศพผู้ใหญ่ไว้ในภาชนะดินเผา ที่อำเภอพิมายพบภาชนะดินเผาแบบพิมายดำ (Phimai Black Ware) เมื่อเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์วัฒนธรรมเขมรอินเดียและพระพุทธศาสนาเข้ามาในพื้นที่ ทำให้ชุมชนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ถูกแทนที่ด้วยชุมชนในยุคประวัติศาสตร์ซึ่งได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากภายนอก
=== สมัยโบราณ ===
==== อาณาจักรศรีจนาศะ ====
ในยุคทวารวดีปรากฏมีอาณาจักรศรีจนาศะ หรือ "จนาศะปุระ" ขึ้นซึ่งสันนิษฐานว่ามีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองโบราณเสมา ในตำบลเสมาอำเภอสูงเนินในปัจจุบัน พบหลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรศรีจนาศะจากจารึกสองชิ้นได้แก่ จารึกบ่ออีกาพบที่บ้านอีกาอำเภอสูงเนิน กำหนดอายุที่พ.ศ. 1411 ใช้อักษรหลังปัลลวะและจารึกด้วยภาษาสันสกฤตและภาษาเขมร กล่าวถึงพระราชาแห่งศรีจนาศะประทานสัตว์และทาสแก่พระสงฆ์และสรรเสริญอังศเทพผู้สร้างศิวลึงค์ และจารึกศรีจนาศะซึ่งพบที่อยุธยาเป็นอักษรขอมโบราณในภาษาสันกฤตและเขมรกล่าวถึงรายพระนามกษัตริย์แห่งศรีจนาศะจารึกขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 1480 เมืองเสมาเป็นเมืองมีคูน้ำคันดินล้อมรอบเป็นรูปวงกลมรีพบโบราณสถานจำนวนเก้าแห่ง นอกจากนี้ยังมีพระนอนหินทรายที่วัดธรรมจักรเสมารามซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในยุคศรีจนาศะ หลักฐานที่พบแสดงว่าถึงพระพุทธศาสนาในศรีจนาศะซึ่งได้รับอิทธิพลจากทวารวดีอยู่คู่กับศาสนาพราหมณ์ไศวนิกาย เมืองศรีจนาศะมีความสัมพันธ์กับเมืองศรีเทพจังหวัดเพชรบูรณ์และเมืองละโว้ซึ่งอยู่ภายใต้มัณฑละเดียวกัน
เมื่อจักรวรรดิเขมรแผ่ขยายอำนาจมาในพื้นที่เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ทำให้อาณาจักรศรีจนาศะสิ้นสุดลง จารึกเมืองเสมา พ.ศ. 1514 กล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 เมือง "โคราฆะปุระ" ถือกำเนิดขึ้นที่ตำบลโคราชริมแม่น้ำลำตะคองมีปราสาทเมืองแขกและปราสาทโนนกู่ซึ่งเป็นศิลปะแบบเกาะแกร์
==== ปราสาทพิมายและอาณาจักรขอมโบราณ ====
สันนิษฐานว่าปราสาทหินพิมายถูกสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 เนื่องจากรูปแบบศิลปะของซุ้มและมุขหน้าปราสาทประธานเป็นศิลปะแบบบาปวนซึ่งเป็นศิลปะในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 นอกจากปราสาทหินพิมายยังมีปราสาทหินพนมวันที่ตำบลบ้านโพธิ์ซึ่งสร้างขึ้นในยุคเดียวกัน พบจารึกที่ปราสาทพิมายทั้งหมดหกหลัก กล่าวถึงการบูชาและถวายของแด่พระพุทธเจ้า การกล่าวสรรเสริญพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 และการสร้างรูปเคารพรวมทั้งพิธีกรรมต่างๆ จารึกปราสาทหินพิมาย 2 พ.ศ. 1579 กล่าวถึงพระนาม“ศรีสูรยวรมะ” ปราสาทหินพิมายเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาวัชรยาน ทับหลังของปราสาทประธานสลักเป็นรูปของพระชินพุทธะและพบสัญลักษณ์และรูปเคารพของวัชรยานอื่นๆ เมืองพิมายหรือ "วิมายปุระ" เป็นฐานที่มั่นของราชวงศ์มหิธรปุระซึ่งเริ่มต้นขึ้นที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 และต่อมาได้ครองจักรวรรดิเขมร จารึกปราสาทหินพิมาย 3 พ.ศ. 1651 ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 1 กล่าวว่า “...กมรเตงอัญศรีวิเรนทราธิบดีวรมะเมืองโฉกวะกุลสถาปนากมรเตงชคตเสนาบดีไตรโลกยวิชัย ซึ่งเป็นเสนาบดีแห่งกมรเตงชคตวิมายะ" ในยุคนี้มีการสร้างปราสาทพิมายเพิ่มเติมในศิลปะยุคนครวัดซึ่งเป็นศิลปะในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ปราสาทหินพิมายจึงเป็นการรวมกันของศิลปะยุคบาปวนและศิลปะยุคนครวัด
เมื่อราชวงศ์มหิธรปุระได้ขึ้นครองจักรวรรดิเขมรเมืองวิมายประทวีความสำคัญขึ้นในฐานะศูนย์กลางการปกครองของขอมโบราณในลุ่มแม่น้ำมูลตอนบน ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 บูรณะปราสาทพิมายเนื่องจากเป็นเมืองเกิดของพระมารดา จากที่ปรากฏในจารึกปราสาทพระขรรค์พ.ศ. 1734 ที่นครธมซึ่งกล่าวถึงเส้นทางการคมนาคมในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กล่าวว่า“จากเมืองหลวงไปยังเมืองวิมาย (มี) ที่พักพร้อมด้วยไฟ 17 แห่ง” แสดงให้เห็นว่าเมืองวิมายเป็นเมืองจุดหมายปลายทางที่สำคัญ พบรูปประติมากรรมเหมือนของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ปราสาทพิมาย ต่อมาเมื่อจักรวรรดิเขมรเสื่อมอำนาจลงและอาณาจักรอยุธยาแผ่ขยายอำนาจเข้ามาเมืองพิมายจึงลดความสำคัญลง
=== สมัยอยุธยา ===
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปลีก เลขทะเบียน ๒๒๒ ๒/ก ๑๐๔ กล่าวถึงสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) “อยู่ปีหนึ่ง ท่านให้ก็ตกแต่งช้างม้ารี้พล ทั้งปวงจะยกไปเมืองพิมายพนมรุ้งไซร้ พอเจ้าเมืองทั้งหลายถวายบังคมพระบาทผู้เป็นเจ้าๆก็ให้พระราชทานรางวัลแล้วคืนไปอยู่ตามภูมิลำเนา” ซึ่งตรงกับศิลาจารึกขุนศรีไชยราชมงคลเทพซึ่งจารึกขึ้นเมื่อพ.ศ. 1974 และพบที่อำเภอลำสนธิจังหวัดลพบุรี กล่าวถึงสมเด็จพระอินทราบรมจักรพรรดิธรรมิกราชโปรดฯให้ขุนศรีไชยราชมงคลเทพ "เอาจตุรงค์ช้างม้ารี้พลไปโจมจับพระนครพิมายพนมรุ้ง" แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรอยุธยาแผ่ขยายอำนาจเข้ามาในเขตลุ่มแม่น้ำมูลตอนบนและที่ราบสูงโคราชด้านตะวันตกในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าสามพระยาฯ
ในสมัยอยุธยาเมืองนครราชสีมาคือ "เมืองโคราฆะ" ริมแม่น้ำลำตะคองในตำบลโคราชอำเภอสูงเนินในปัจจุบันซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเมืองเสมา เมืองนครราชสีมามีความสำคัญในฐานะเป็นฐานการปกครองของอยุธยาในลุ่มแม่น้ำมูลตอนบนและเป็นรอยต่ออาณาเขตของอยุธยากับอาณาจักรล้านช้างและเขมรป่าดง ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจากกฎมณเฑียรบาลเมืองนครราชสีมาเป็นหนึ่งในเมืองพระยามหานครแปดเมืองซึ่งเจ้าเมืองต้องถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน นาทหารหัวเมือง ปรากฏราชทินนามของเจ้าเมืองนครราชสีมาว่า ออกญากำแหงสงครามรามภักดีอภัยพิรียบรากรมภาหุ ศักดินา 10,000 ไร่ พงศาวดารเขมรระบุว่าในพ.ศ. 2113 เมื่อสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 แห่งอาณาจักรเขมรละแวกเข้าตีกรุงศรีอยุธยาไม่สำเร็จจึงยกทัพเข้ามายึดเมืองนครราชสีมาได้สำเร็จ สมเด็จพระนเรศวรฯทรงจัดการปกครองหัวเมืองขึ้นใหม่โดยเมืองนครราชสีมามีฐานะเป็นเมืองชั้นโท นอกจากนี้พงศาวดารเขมรยังระบุอีกว่าในพ.ศ. 2173 รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระศรีธรรมราชาที่ 2 แห่งอาณาจักรเขมรอุดงยกทัพมากวาดต้อนผู้คนในเขตเมืองนครราชสีมา
ครั้นถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเห็นว่านครราชสีมามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เนื่องจากเป็นเมืองหน้าด่านของอยุธยาติดกับพรมแดนลาวล้านช้าง จึงโปรดฯให้ย้ายเมืองนครราชสีมาจากเมืองโคราฆะเดิมและเมืองเสมามาสร้างเมืองใหม่ที่อำเภอเมืองนครราชสีมาในปัจจุบัน วางผังเมืองโดยเดอลามาร์ (De la Mare) วิศวกรชาวฝรั่งเศส เป็นตารางรูปสีเหลี่ยมกว้าง 1,000 เมตร ความยาว 1,700 เมตร มีกำแพงเมืองขนาดใหญ่ตามแบบตะวันตกมีป้อมค่ายหอรบ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงรวมชื่อเมืองโคราฆะและเมืองเสมาแล้วพระราชทานนามเมืองใหม่ว่า "เมืองนครราชสีมา" เมื่อจุลศักราช 1036 (พุทธศักราช 2217) และทรงแต่งตั้งให้พระยายมราช (สังข์)เป็นเจ้าเมือง ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ บันทึกไว้ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ว่า เมืองโคราชสีมา (Corazema) เป็นหัวเมืองใหญ่หนึ่งในเจ็ดมณฑล ตั้งอยู่ติดชายแดนของราชอาณาจักรสยามกับเมืองลาว มีเมืองบริวาร 5 เมืองได้แก่ เมืองนครจันทึก (อำเภอสีคิ้ว) เมืองชัยภูมิ เมืองพิมาย เมืองบุรีรัมย์ และเมืองนางรอง
เมื่อสมเด็จพระเพทราชาทรงยึดอำนาจในพ.ศ. 2231 พระยายมราช (สังข์) เจ้าเมืองนครราชสีมาที่แต่งตั้งโดยสมเด็จพระนารายณ์ฯแข็งเมืองไม่ไปถือน้ำพิพัฒน์สัตยา พระเพทราชาทรงส่งทัพเข้าล้อมเมืองนครราชสีมาในพ.ศ. 2232 แต่ไม่สำเร็จและถอยกลับไป พระเพทราชาจึงทรงส่งทัพมาอีกครั้งในปีถัดมาสามารถยึดเมืองนครราชสีมาได้ในที่สุด พระยายมราช (สังข์) หลบหนีไปยังเมืองนครศรีธรรมราช จากนั้นปีพ.ศ. 2241 ชาวบ้านในเมืองนครราชสีมาชื่อบุญกว้างพร้อมพรรคพวกอีกยี่สิบแปดคนสามารถยึดอำนาจในเมืองนครราชสีมาจากเจ้าเมืองคนใหม่ได้ นำไปสู่กบฏบุญกว้าง พระเพทราชาทรงส่งทัพเข้าล้อมเมืองนครราชสีมาอีกครั้งกินเวลายืดเยื้ออยู่นานถึงสามปี ฝ่ายอยุธยาใช้อุบายผูกหม้อดินระเบิดกับว่าวจุฬาแล้วชักให้ลอยไปตกในเมืองนครราชสีมาเพื่อให้เกิดเพลิงไหม้ จนกระทั่งเจ้าเมืองนครราชสีมาออกอุบายให้บุญกว้างและพรรคพวกยกทัพไปตั้งที่ลพบุรีทัพหลวงจึงเข้าตีทัพบุญกว้างพ่ายแพ้ไป ในขณะที่พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศกล่าวว่าหลังจากถูกล้อมบุญกว้างและพรรคพวกหลบหนีออกจากเมืองนครราชสีมาไปได้
เมื่อทัพพม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาในพ.ศ. 2309 กรมหมื่นเทพพิพิธพระโอรสในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จจากหัวเมืองชายทะเลตะวันออกมาเกลี้ยกล่อมให้พระยานครราชสีมาเจ้าเมืองนครราชสีมาให้การสนับสนุนแด่พระองค์ในการกอบกู้อยุธยาจากการล้อมของพม่า แต่พระยานครราชสีมาไม่ยินยอมด้วย กรมหมื่นเทพพิพิธจึงทรงส่งหม่อมเจ้าประยงพระโอรสและหลวงมหาพิชัยลักลอบนำกองกำลังเข้าเมืองนครราชสีมาและทำการลอบสังหารพระยานครราชสีมา กรมหมื่นเทพพิพิธจึงทรงสามารถยึดเมืองนครราชสีมาได้แต่เพียงไม่นานน้องชายของพระยานครราชสีมาที่ถูกสังหารไปนั้นคือหลวงแพ่งหลบหนีไปยังเมืองพิมายขอความช่วยเหลือจากพระพิมายผู้เป็นเจ้าเมืองพิมายในการยึดเมืองนครราชสีมาคืนจากกรมหมื่นเทพพิพิธ พระพิมายและหลวงแพ่งยกทัพจากเมืองพิมายเข้ามายึดเมืองนครราชสีมาได้สำเร็จและจับกุมกรมหมื่นเทพพิพิธ พระพิมายไว้พระชนม์ชีพกรมหมื่นเทพพิพิธและเชิญกรมหมื่นเทพพิพิธไปประทับที่เมืองพิมาย หลวงแพ่งได้เป็นพระยานครราชสีมา
=== สมัยกรุงธนบุรี ===
หลังกรุงศรีอยุธยาล่มสลายในพ.ศ. 2310 เจ้าเมืองพิมายจึงยกให้กรมหมื่นเทพพิพิธขึ้นเป็น"เจ้าพิมาย" เกิดชุมนุมเจ้าพิมายขึ้น เจ้าพิมายกรมหมื่นเทพพิพิธทรงแต่งตั้งเจ้าเมืองพิมายเดิมเป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (พระพิมาย) ยกทัพเข้าลอบสังหารพระยานครราชสีมา (หลวงแพ่ง) ชุมนุมเจ้าพิมายมีเขตอำนาจตั้งแต่สระบุรีขึ้นไปจรดเขตแดนของอาณาจักรล้านช้าง เป็นหนึ่งในชุมนุมต่างๆที่เกิดขึ้นหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาโดยมีกรมหมื่นเทพพิพิธหรือเจ้าพิมายป็นผู้นำ ในพ.ศ. 2311 หลังจากที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตีค่ายโพธิ์สามต้นแตกแล้ว มองย่าปลัดทัพฝ่ายพม่าหลบหนีมาเข้าพวกกับชุมนุมพิมาย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงยกทัพติดตามขึ้นมาตีชุมนุมเจ้าพิมาย เจ้าพิมายให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ (พระพิมาย) ตั้งรับอยู่ที่ด่านจอหอ (ตำบลจอหอ อำเภอเมือง) และให้พระยาวรวงษาธิราชบุตรชายของเจ้าพระศรีสุริยวงษ์ตั้งทัพอยู่ที่ด่านขุนทด ทัพหลวงของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกทัพเข้ายึดค่ายของเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ (เจ้าพิมาย) ที่จอหอได้สำเร็จ เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ (พระพิมาย) ถูกจับกุมและประหารชีวิต พระราชวรินทร์ (ทองด้วง) ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระมหามนตรี (บุญมา) ต่อมาคือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เข้ายึดค่ายของพระยาวรวงษาธิราชที่ด่านขุนทดได้สำเร็จ เมื่อทัพทั้งสองพ่ายแพ้แก่ธนบุรีเจ้าพิมายจึงหลบหนีจากเมืองพิมายไปยังลาวล้านช้างแต่ขุนชนะจับเจ้าพิมายมาถวายแด่พระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีฯทรงสำเร็จโทษเจ้าพิมายและแต่งตั้งให้ขุนชนะเป็นพระยากำแหงสงครามครองเมืองนครราชสีมา ชุมนุมเจ้าพิมายจึงสิ้นสุดลงและนครราชสีมาจึงเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของธนบุรี
ในสมัยธนบุรีปรากฏมีนามเจ้าเมืองนครราชสีมาได้แก่ พระยากำแหงสงคราม (ขุนชนะ) และ"เจ้าพระยานครราชสีมา" (ปิ่น) เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงยกทัพไปอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ปีพ.ศ. 2321 นั้น เจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น) ได้เป็นทัพหน้า ในพ.ศ. 2323 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงให้พระยากำแหงสงคราม (ขุนชนะ) ย้ายไปรับราชการที่ธนบุรีและแต่งตั้งให้หลวงนายฤทธิ์ (ทองอิน) เป็นพระยาสุริยอภัย (ทองอิน) เป็นเจ้าเมืองนครราชสีมา (ต่อมาคือเจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์) และพระอภัยสุริยา (บุญเมือง) เป็นปลัดเมืองนครราชสีมา (ต่อมาคือเจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศรบดินทร์) ในช่วงปลายรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีฯเมื่อเกิดการกบฏพระยาสรรค์ขึ้น พระยาสุริยอภัยเจ้าเมืองนครราชสีมาได้นำกำลังทหารของนครราชสีมาเข้าควบคุมสถานการณ์ที่กรุงธนบุรีไว้ก่อนที่เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์จะยกทัพกลับมาจากกัมพูชาและเกิดการเปลี่ยนแผ่นดิน
=== สมัยรัตนโกสินทร์ ===
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงแต่งตั้งให้พระยานครราชสีมา (เที่ยง) บุตรของเจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น) เป็นเจ้าเมืองนครราชสีมา เมื่อสยามมีอำนาจเหนือหัวเมืองประเทศราชลาวล้านช้างทำให้เมืองนครราชสีมามีความสำคัญในฐานะเป็นช่องทางและสื่อกลางระหว่างส่วนกลางที่กรุงเทพฯและประเทศราชลาว เมืองนครราชสีมาจึงถูกยกฐานะขึ้นมาเป็นเมืองชั้นเอก เจ้าเมืองนครราชสีมามีอำนาจในการสอดส่องดูแลประเทศราช ๓ เมือง คือ เวียงจันทน์ นครพนม จำปาศักดิ์ รวมทั้งหัวเมืองเขมรป่าดง ในสมัยรัชกาลที่ 2 พ.ศ. 2362 เกิดกบฏอ้ายสาเกียดโง้งที่อาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ มีรับสั่งให้พระยานครราชสีมา (เที่ยง) นำกองทัพไปปราบ ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครราชสีมาต่อจากพระยานครราชสีมา (เที่ยง) คือเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น)
ในสมัยรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2369 ขณะที่เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) กับพระปลัดเมืองนครราชสีมากำลังอยู่ในราชการที่เมืองขุขันธ์อยู่นั้น เจ้าอนุวงศ์ยกทัพลาวมายึดครองเมืองนครราชสีมาได้และสั่งให้กวาดต้อนชาวเมืองนครราชสีมาไปยังเวียงจันทน์ พระยาพรหมยกกระบัตรเมืองนครราชสีมาจำต้องยอมจำนนต่อเจ้าอนุวงศ์ ฝ่ายพระปลัดเมืองนครราชสีมาเมื่อทราบว่าฝ่ายลาวเข้ายึดเมืองนครราชสีมาแล้วจึงรีบเดินทางกลับมายังนครราชสีมาแสร้งทำทีว่าเข้าสวามิภักดิ์ต่อเจ้าอนุวงศ์ พระปลัดเมือง พระยาพรหมยกกระบัตร จึงนำชาวเมืองนครราชสีมาติดตามเจ้าอนุวงศ์ไปจนกระทั่งถึงทุ่งสัมฤทธิ์ (ตำบลสัมฤทธิ์ อำเภอพิมาย) พระปลัดเมืองและพระยาพรหมจึงนำกองกำลังชาวเมืองนครราชสีมาเข้าโจมตีฝ่ายลาว ในขณะที่คุณหญิงโมภริยาของพระปลัดเมืองฯนำทัพของผู้หญิงถืออาวุธเป็นกระบองและหลาวทำจากไม้เข้าต่อสู้กับฝ่ายลาว นำไปสู่วีรกรรมที่ทุ่งสัมฤทธิ์ นางสาวบุญเหลือบุตรีของหลวงเจริญกรมการเมืองผู้น้อยฯวิ่งนำคบเพลิงไปจุดชนวนเกวียนบรรทุกกระสุนดินดำทำให้เกิดระเบิดอย่างรุนแรง นางสาวบุญเหลือสละชีพเสียชีวิตไปพร้อมกับเพี้ยรามพิชัยขุนพลฝ่ายลาว เหตุการณ์วีรกรรมที่ทุ่งสัมฤทธิ์ทำให้เจ้าอนุวงศ์ต้องถอยทัพกลับไปโดยให้เจ้าโถงผู้เป็นหลานตั้งมั่นอยู่ที่เมืองพิมาย ต่อมาในพ.ศ. 2370 คุณหญิงโมจึงได้รับการปูนบำเหน็จแต่งตั้งให้เป็น "ท้าวสุรนารี" กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงยกทัพมาตั้งมั่นที่นครราชสีมา เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) เข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ กรมพระราชวังบวรฯมีพระบัณฑูรให้เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) อยู่ฟื้นฟูเมืองนครราชสีมาให้กลับขึ้นมาดังเดิม พระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ต่อมาคือเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สามารถตีทัพของเจ้าโถงแตกพ่ายไปแล้วยึดเมืองพิมายคืนมาได้
เมื่อ เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) ถึงแก่กรรม พระพรหมบริรักษ์ (เกษ) บุตรชายคนโตของเจ้าพระยาบดินทรเดชาได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เจ้าเมืองนครราชสีมาคนต่อมา
เมื่อว่างเว้นจากสงคราม เมืองโคราชได้ฟื้นตัวขึ้นใหม่กลายเป็นชุมทาง การค้าที่สำคัญ ในการติดต่อระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับภาคกลาง มีกองเกวียน กองคาราวานการค้า ขนาดใหญ่ผ่าน และ หยุดพักอยู่เสมอ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 บาทหลวงปาลเลกัวซ์ ได้เขียนว่า ตัวเมืองโคราชล้อมรอบด้วยกำแพงตั้งอยู่บนที่ราบสูง เดินทางจากบางกอกใช้เวลา 6 วันโดยไต่ระดับสูงขึ้นไปตามเส้นทาง ดงพญาไฟ ประชากรโคราชมีประมาณ 60,000 คน ครึ่งหนึ่งเป็นคนสยาม อีกครึ่งหนึ่งเป็นคนเขมร ในตัวเมืองมีประชากร 7,000 คน มีคนจีนประมาณ 700 คน มีเหมืองแร่ทองแดง มีโรงหีบอ้อย สินค้า คือ ข้าว งาช้าง หนังสัตว์ เขาสัตว์ ไม้เต็ง อบเชย
ในรัชกาลนี้ เจ้าพระยานครราชสีมา (เกษ) ได้เลื่อนเป็น เจ้าพระยามุขมนตรี (เกษ) และ เจ้าเมืองนครราชสีมาคนต่อมาคือ พระยานครราชสีมา (แก้ว) บุตรชายคนรองของเจ้าพระยาบดินทรเดชา
หลังจากนั้น พระยานครราชสีมา (แก้ว) ได้เลื่อนเป็น เจ้าพระยายมราช (แก้ว) และ เจ้าเมืองคนต่อมาคือ พระยานครราชสีมา (เมฆ) บุตรชายคนโตของ เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน)
ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระยานครราชสีมา (เมฆ) บุตรของ เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) ได้เป็นแม่ทัพบกไปปราบจีนฮ่อที่เมืองหนองคาย ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งมณฑลนครราชสีมาเพื่อควบคุมดูแลหัวเมืองในบริเวณใกล้เคียง เป็นมณฑลแรกของประเทศ มีพระยานครราชสีมา (กาจ สิงหเสนี) บุตรเขยของพระยานครราชสีมา (เมฆ) เป็นผู้ว่าราชการคนแรก มีการจัดตั้งกองทหารประจำมณฑลตามหลักสากล มีการตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่นครราชสีมา มีการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ ผ่านอยุธยา สระบุรี ดงพญาไฟ ไปสู่นครราชสีมา จนเปิดการเดินรถไฟหลวง สายกรุงเทพ - นครราชสีมา ได้สำเร็จ การคมนาคมติดต่อสะดวกขึ้นเป็นอย่างมาก ในช่วงเดียวกันฝรั่งเศสได้เข้ามามีอำนาจเหนือคาบสมุทรอินโดจีน ทำให้สยามจำต้องเร่งการปรับปรุงพัฒนาราชอาณาจักรโดยเฉพาะในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีการจัดตั้งการขนส่งปรษณียภัณฑ์ทางอากาศ และ สายการบินระหว่าง กรุงเทพ - นครราชสีมา มีการขยายเส้นทางรถไฟสายอีสาน จนสามารถขยายเส้นทางการเดินรถไฟจาก นครราชสีมา ถึง ขอนแก่น และ นครราชสีมา ถึง อุบลราชธานี ได้สำเร็จในสมัยรัชกาลที่ 7
=== ยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ===
ในช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์เจ้าบวรเดช ได้รวบรวมกองกำลังทหารจากมณฑลนครราชสีมาเป็นหลัก ร่วมกับ พันเอกพระยาศรีสิทธิ์สงคราม เพื่อทำการต่อสู้กับคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะผู้ก่อการได้ยกกองกำลังเข้ามาล้อมกรุงเทพฯ แต่เมื่อการต่อสู้ยืดเยื้อในที่สุดก็ต้องถอยทัพและประสบความพ่ายแพ้เนื่องจากมีกำลังที่น้อยกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ พันโทหลวงพิบูลสงครามผู้บัญชาการกองกำลังผสมฝ่ายรัฐบาล มีอำนาจในการควบคุมกำลังทหารมากขึ้นส่งผลให้ได้อำนาจทางการเมืองและจัดตั้งรัฐบาลทหารได้ในเวลาต่อมา
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทหารในสังกัด มณฑลทหารบกที่ 3 นครราชสีมา ได้ทำการร่วมรบในกรณีพิพาทอินโดจีน กองทัพไทยสามารถยึดดินแดนกลับคืนมาบางส่วน เป็นการชั่วคราว หลังสงครามยุติสหรัฐอเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือสร้างถนนมิตรภาพ จาก สระบุรี ถึง นครราชสีมา ซึ่งเป็นทางหลวงที่ได้มาตรฐานดีที่สุดของประเทศในขณะนั้น
ในช่วงสงครามเวียดนาม สหรัฐอเมริกาได้ขอใช้นครราชสีมาเป็นฐานบัญชาการการรบ มีการสร้างฐานบินโคราช และต่อมาไทยได้เปลี่ยนให้เป็น กองบิน 1 ซึ่งเป็นฐานกำลังรบทางอากาศหลักของกองทัพอากาศไทยในปัจจุบัน โดยมีมีเครื่องบิน F-16 ประจำการอยู่สองฝูงบิน
ในปี พ.ศ. 2523 มีความพยายามรัฐประหารโดยกลุ่มทหารของ พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา แต่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ทรงแปรพระราชฐานไปประทับที่นครราชสีมา กองกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 2 นำโดยพลตรี อาทิตย์ กำลังเอกได้เป็นกองกำลังหลักในการปราบกบฏลงได้ในที่สุด หลังจากนั้น อดีตผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 2 หลายท่านได้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในเวลาต่อมา
เนื่องจากความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ปัจจุบัน นครราชสีมา จึงได้กลายเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองที่สำคัญรองจากกรุงเทพมหานคร เป็นประตูสู่อิสาน เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งเป็นที่ตั้งของกองฐานกำลังรบหลักของกองทัพบก และกองทัพอากาศในปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 2553 ได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในจังหวัดนครราชสีมา เนื่องจากฝนช่วงปลายฤดูตกหนักในบริเวณต้นแม่น้ำมูล นับเป็นอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 50 ปี
== ภูมิศาสตร์ ==
=== ภูมิประเทศ ===
จังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับสมณญานามว่าเป็น “ประตูสู่ภาคอีสาน” เพราะเป็นจังหวัดแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่วิ่งมาจากภาคกลางในถนนมิตรภาพ อยู่บนที่ราบสูงโคราช ห่างจากกรุงเทพ 259 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 20,493.964 ตารางกิโลเมตร (12,808,728 ไร่) เป็นพื้นที่ป่าไม้ 2,297,735 ไร่ โดยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติคืออุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และอุทยานแห่งชาติทับลานร้อยละ 61.4 และเป็นแหล่งน้ำ 280,313 ไร่ ทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดชัยภูมิ และขอนแก่น ทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดปราจีนบุรี นครนายก และสระแก้ว ทิศตะวันออกติดต่อกับจังหวัดบุรีรัมย์ และทิศตะวันตกติดต่อกับจังหวัดสระบุรี ชัยภูมิ และลพบุรี
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 150-300 เมตร มีเทือกเขาสันกำแพง และเทือกเขาพนมดงรัก เป็นแนวยาวทางด้านทิศใต้และทิศตะวันตก ส่วนบริเวณตอนล่างค่อนไปทางเหนือและตะวันออกเป็นที่ราบลุ่ม โดยมีลำตะคองและลำน้ำสาขาอื่น ๆ ไหลหล่อเลี้ยงบริเวณด้านเหนือของเมือง และ เป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำสำคัญคือแม่น้ำมูลซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
===ภูมิอากาศ===
สภาพภูมิอากาศของจังหวัดนครราชสีมาจัดอยู่ในประเภททุ่งหญ้าเขตร้อน มีลมมรสุมหลักพัดผ่านคือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้อากาศหนาวเย็นและแห้งแล้ง กับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีอากาศชุ่มชื้นและมีฝนตกชุก โดยทั่วไปสามารถแบ่งฤดูกาลออกได้เป็น 3 ฤดู คือ ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม มีฝนตกชุก ตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนตุลาคม โดยมีปริมาณน้ำฝนสูงสุดในเดือนตุลาคม ฤดูหนาว สภาพอากาศจะเริ่มเปลี่ยนจากฤดูฝนไปสู่ฤดูหนาวตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ระยะนี้ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นลมหนาวและแห้งพัดจากประเทศจีน และฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงกลางเดือนพฤษภาคม
เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดนครราชสีมาเป็นพื้นที่ราบสูง มีป่าและทิวเขาสูงกั้นเขตแดนเป็นแนวยาว อากาศจึงค่อนข้างร้อนอบอ้าวในฤดูร้อน และในฤดูหนาวก็ค่อนข้างหนาวเย็นโดยอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีประมาณ 27.4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 22.7 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 33 อาศาเซลเซียส มีค่าความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยตลอดทั้งปี 71 % ความชื้นสัมพัทธ์สูงสุดเฉลี่ย 89% ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำสุดเฉลี่ย 49 %
=== อาณาเขตติดต่อ ===
ทิศเหนือ จรดจังหวัดชัยภูมิ จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดบุรีรัมย์
ทิศตะวันออก จรดจังหวัดบุรีรัมย์
ทิศใต้ จรดจังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดสระแก้ว,
ทิศตะวันตก จรดจังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรีและจังหวัดนครนายก
== เขตการปกครอง ==
=== การปกครองส่วนภูมิภาค ===
แบ่งปกครองแบ่งออกเป็น 32 อำเภอ 289 ตำบล 3,743 หมู่บ้าน
{|class="wikitable sortable" style="margin:1em auto 1em auto; width:100%; text-align:center"
|+ ข้อมูลอำเภอในจังหวัดนครราชสีมา
! colspan=12 | แผนที่
|-
! colspan=12 |
|-
! rowspan=2 width="5%" | หมายเลขในแผนที่
! rowspan=2 width="5%" | รหัสเขตการปกครอง
! rowspan=2 width="20%" | ชื่ออำเภอ
! rowspan=2 width="5%" | ชั้น
! rowspan=2 width="10%" | พื้นที่(ตร.กม.)
! rowspan=2 width="10%" | ห่างจากศาลากลางจังหวัด(กม.)
! rowspan=2 width="10%" | ตั้งเมื่อ(พ.ศ.)
! rowspan=2 width="5%" | จำนวนตำบล
! rowspan=2 width="5%" | จำนวนหมู่บ้าน
! colspan=3 width="25%" | ประชากร
|-
! ชาย !! หญิง !! รวม
|-
| 1 || 3001 || อำเภอเมืองนครราชสีมา || พิเศษ || 755.596 || 0 || 2438 || 25 || 243 || 214,809 || 224,657 || 439,466
|-
| 8 || 3008 || อำเภอด่านขุนทด || 1 || 1,428.14 || 84 || 2451 || 16 || 220 || 62,900 || 63,881 || 126,781
|-
| 12 || 3012 || อำเภอบัวใหญ่ || 1 || 305.028 ||101 || 2440 || 10 || 121 || 41,776 || 41,984 || 83,760
|-
| 14 || 3014 || อำเภอปักธงชัย || 1 || 1,374.32 || 34 || 2451 || 16 || 213 || 56,797 || 59,349 || 116,146
|-
| 15 || 3015 || อำเภอพิมาย || 1 || 896.871 || 60 || 2440 || 12 || 208 || 64,039 || 65,925 || 129,964
|-
| 20 || 3020 || อำเภอสีคิ้ว || 1 || 1,247.07 || 45 || 2441 || 12 || 169 || 60,967 || 61,704 || 122,671
|-
| 21 || 3021 || อำเภอปากช่อง || 1 || 1,825.17 || 85 || 2501 || 12 || 217 || 92,953 || 94,097 || 187,050
|-
| 2 || 3002 || อำเภอครบุรี || 2 || 1,816.85 || 58 || 2482 || 12 || 152 || 46,578 || 47,683 || 94,261
|-
| 6 || 3006 || อำเภอจักราช || 2 || 501.672 || 40 || 2496 || 8 || 108 || 34,979 || 35,138 || 70,117
|-
| 7 || 3007 || อำเภอโชคชัย || 2 || 503.917 || 30 || 2448 || 10 || 126 || 38,581 || 40,364 || 78,945
|-
| 10 || 3010 || อำเภอโนนสูง || 2 || 676.981 || 37 || 2440 || 16 || 195 || 61,941 || 64,443 || 126,384
|-
| 13 || 3013 || อำเภอประทาย || 2 || 600.648 || 97 || 2506 || 13 || 148 || 38,900 || 38,948 || 77,848
|-
| 18 || 3018 || อำเภอสูงเนิน || 2 || 782.853 || 36 || 2444 || 11 || 125|| 39,140 || 41,065 || 80,205
|-
| 16 || 3016 || อำเภอห้วยแถลง || 2 || 495.175 || 65 || 2506 || 10 || 120 || 37,826 || 37,254 || 75,080
|-
| 17 || 3017 || อำเภอชุมพวง || 2 || 540.567 || 98 || 2502 || 9 || 130 || 41,132 || 41,179 || 82,311
|-
| 3 || 3003 || อำเภอเสิงสาง || 3 || 1,200.24 || 88 || 2519 || 6 || 84 || 34,440 || 34,188 || 68,628
|-
| 4 || 3004 || อำเภอคง || 3 || 454.737 || 79 || 2481 || 10 || 155 || 40,231 || 41,067 || 81,298
|-
| 9 || 3009 || อำเภอโนนไทย || 3 || 541.994 || 28 || 2443 || 10 || 131 || 35,584 || 36,675 || 72,259
|-
| 11 || 3011 || อำเภอขามสะแกแสง || 3 || 297.769 || 50 || 2511 || 7 || 72 || 21,537 || 21,722 || 43,259
|-
| 23 || 3023 || อำเภอแก้งสนามนาง || 3 || 107.258 || 130 || 2529 || 5 || 56 || 18,656 || 18,828 || 37,484
|-
| 25 || 3025 || อำเภอวังน้ำเขียว || 3 || 1,130.00 || 70 || 2535 || 5 || 83 || 20,992 || 21,078 || 42,070
|-
| 5 || 3005 || อำเภอบ้านเหลื่อม || 4 || 218.875|| 85 || 2519 || 4 || 39 || 10,733 || 10,859 || 21,592
|-
| 22 || 3022 || อำเภอหนองบุญมาก || 4 || 590.448 || 52 || 2526 || 9 || 104 || 29,847 || 29,882 || 59,729
|-
| 26 || 3026 || อำเภอเทพารักษ์ || 4 || 357.465 || 90 || 2538 || 4 || 58 || 12,087 || 11,755 || 23,842
|-
| 28 || 3028 || อำเภอพระทองคำ || 4 || 359.522 || 45 || 2539 || 5 || 74 || 20,982 || 21,255 || 42,237
|-
| 31 || 3031 || อำเภอสีดา || 4 || 162.825 || 85 || 2540 ||5 || 50 || 12,177 || 12,167 || 24,344
|-
| 30 || 3030 || อำเภอบัวลาย || 4 || 106.893 || 103 || 2540 || 4 || 45 || 12,296 || 12,473 || 24,769
|-
| 24 || 3024 || อำเภอโนนแดง || 4 || 193.407 || 75 || 2532 || 5 || 65 || 12,536 || 12,950 || 25,486
|-
| 19 || 3019 || อำเภอขามทะเลสอ || 4 || 203.605 || 22 || 2509 || 5 || 46 || 14,404 || 14,418 || 28,822
|-
| 27 || 3027 || อำเภอเมืองยาง || 4 || 255.522 || 110 || 2538 || 4 || 44 || 14,156 || 13,925 || 28,081
|-
| 29 || 3029 || อำเภอลำทะเมนชัย || 4 || 308.457 || 120 || 2539 || 4 || 59 || 16,166 || 16,066 || 32,232
|-
| 32 || 3032 || อำเภอเฉลิมพระเกียรติ || 4 || 254.093 || 18 || 2539 || 5 || 61 || 17,191 || 17,777 || 34,968
|-
|}
=== การปกครองส่วนท้องถิ่น ===
มีจำนวนทั้งสิ้น 334 แห่ง แบ่งออกเป็น องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาลนคร 1 แห่ง เทศบาลเมือง 4 แห่ง เทศบาลตำบล 85 แห่ง และ องค์การบริหารส่วนตำบล 243 แห่ง โดยเทศบาลสามารถจำแนกได้ตามพื้นที่ดังนี้
อำเภอเมืองนครราชสีมา
เทศบาลนครนครราชสีมา
เทศบาลตำบลโคกกรวด
เทศบาลตำบลโคกสูง
เทศบาลตำบลจอหอ
เทศบาลตำบลปรุใหญ่
เทศบาลตำบลโพธิ์กลาง
เทศบาลตำบลหนองไข่น้ำ
เทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อม
เทศบาลตำบลหัวทะเล
เทศบาลตำบลเมืองใหม่โคกกรวด
เทศบาลตำบลบ้านใหม่
เทศบาลตำบลสุรนารี
เทศบาลตำบลบ้านโพธิ์
เทศบาลตำบลไชยมงคล
เทศบาลตำบลพุดซา
เทศบาลตำบลตลาด
อำเภอปากช่อง
เทศบาลเมืองปากช่อง
เทศบาลตำบลกลางดง
เทศบาลตำบลหมูสี
เทศบาลตำบลวังไทร
เทศบาลตำบลสีมามงคล
อำเภอสีคิ้ว
เทศบาลเมืองสีคิ้ว
เทศบาลตำบลคลองไผ่
เทศบาลตำบลลาดบัวขาว
เทศบาลตำบลหนองน้ำใส
อำเภอบัวใหญ่
เทศบาลเมืองบัวใหญ่
เทศบาลตำบลหนองบัวสะอาด
อำเภอปักธงชัย
เทศบาลเมืองเมืองปัก
เทศบาลตำบลปักธงชัย
เทศบาลตำบลตะขบ
เทศบาลตำบลนกออก
เทศบาลตำบลบ่อปลาทอง
เทศบาลตำบลลำนางแก้ว
อำเภอด่านขุนทด
เทศบาลตำบลด่านขุนทด
เทศบาลตำบลหนองกราด
เทศบาลตำบลหนองบัวตะเกียด
อำเภอพิมาย
เทศบาลตำบลพิมาย
เทศบาลตำบลรังกาใหญ่
อำเภอโนนสูง
เทศบาลตำบลโนนสูง
เทศบาลตำบลดอนหวาย
เทศบาลตำบลตลาดแค
เทศบาลตำบลด่านคล้า
เทศบาลตำบลมะค่า
เทศบาลตำบลใหม่
อำเภอโชคชัย
เทศบาลตำบลโชคชัย
เทศบาลตำบลด่านเกวียน
เทศบาลตำบลท่าเยี่ยม
อำเภอครบุรี
เทศบาลตำบลครบุรีใต้
เทศบาลตำบลจระเข้หิน
เทศบาลตำบลแชะ
เทศบาลตำบลไทรโยง-ไชยวาล
เทศบาลตำบลอรพิมพ์
อำเภอเทพารักษ์
ไม่มีเทศบาล
อำเภอสูงเนิน
เทศบาลตำบลกุดจิก
เทศบาลตำบลสูงเนิน
อำเภอขามทะเลสอ
เทศบาลตำบลขามทะเลสอ
เทศบาลตำบลพันดุง
อำเภอขามสะแกแสง
เทศบาลตำบลขามสะแกแสง
เทศบาลตำบลหนองหัวฟาน
เทศบาลตำบลโนนเมือง
อำเภอคง
เทศบาลตำบลเมืองคง
เทศบาลตำบลเทพาลัย
อำเภอโนนไทย
เทศบาลตำบลโนนไทย
เทศบาลตำบลโคกสวาย
เทศบาลตำบลบัลลังก์
อำเภอห้วยแถลง
เทศบาลตำบลห้วยแถลง
เทศบาลตำบลหินดาด
เทศบาลตำบลกงรถ
อำเภอเสิงสาง
เทศบาลตำบลเสิงสาง
เทศบาลตำบลโนนสมบูรณ์
อำเภอบ้านเหลื่อม
เทศบาลตำบลบ้านเหลื่อม
อำเภอจักราช
เทศบาลตำบลจักราช
อำเภอเฉลิมพระเกียรติ
เทศบาลตำบลท่าช้าง
อำเภอชุมพวง
เทศบาลตำบลชุมพวง
อำเภอโนนแดง
เทศบาลตำบลโนนแดง
เทศบาลตำบลวังหิน
อำเภอบัวลาย
เทศบาลตำบลหนองบัวลาย
อำเภอประทาย
เทศบาลตำบลประทาย
อำเภอพระทองคำ
เทศบาลตำบลพระทองคำ
เทศบาลตำบลสระพระ
อำเภอเมืองยาง
เทศบาลตำบลเมืองยาง
อำเภอลำทะเมนชัย
เทศบาลตำบลหนองบัววง
เทศบาลตำบลขุย
เทศบาลตำบลช่องแมว
เทศบาลตำบลบ้านยาง
เทศบาลตำบลไพล
อำเภอวังน้ำเขียว
เทศบาลตำบลศาลเจ้าพ่อ
อำเภอสีดา
เทศบาลตำบลสีดา
อำเภอหนองบุญมาก
เทศบาลตำบลหนองหัวแรต
เทศบาลตำบลแหลมทอง
อำเภอแก้งสนามนาง
เทศบาลตำบลบึงสำโรง
== รายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ==
== เศรษฐกิจ ==
โครงสร้างเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดนครราชสีมามีโครงสร้างที่สำคัญ ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และการค้าส่งค้าปลีก ซึ่งมีอัตราสัดส่วนโครงสร้างร้อยละ 22.46, 19.82 และ 14.91 ตามลำดับ ในภาคการเกษตร จังหวัดมีพื้นที่เกษตรกรรมทั้งสิ้น 8,931,032 ไร่ แบ่งเป็น ปลูกข้าว จำนวน 4,329,724 ไร่ พืชไร่จำพวกข้าวโพด มันสำปะหลัง ปอ ฝ้าย และข้าวฟ่าง จำนวน 3,793,602 ไร่ และปลูกพืชสวน 632,170 ไร่ มีครัวเรือนเกษตรกรรวมทั้งสิ้น 326,587 ครัวเรือน โดยมีพืชเศรษฐกิจ 3 อันดับแรก คือ ข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด การเลี้ยงไหมโดยเฉพาะที่อำเภอปักธงชัยเป็นแหล่งผ้าไหมที่ขึ้นชื่อ อาชีพการทำป่าไม้ และการประมงน้ำจืดตามลุ่มน้ำ
ในภาคอุตสาหกรรม ปี พ.ศ. 2560 จังหวัดนครราชสีมามีโรงงานทั้งสิ้น 7,513 โรงงาน มีมูลค่าการลงทุน ประมาณ 188,074 ล้านบาท มีจำนวนคนงานรวม 129,531 คน ซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมการเกษตรมีสัดส่วนเฉลี่ยร้อยละ 18.84 อุตสาหกรรมขนส่งเฉลี่ยร้อยละ 12.27 อุตสาหกรรมอโลหะเฉลี่ยร้อยละ 11.38 และอุตสาหกรรมอาหารเฉลี่ยร้อยละ 10.02 สำหรับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ มีแร่ที่สำคัญคือ หินบะซอลต์ หินปูน และ เกลือหิน โดยเฉพาะเกลือหิน พบมากในตอนเหนือและตอนกลางของจังหวัด
ในปี พ.ศ. 2564 (year 2021) จังหวัดนครราชสีมามีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (Gross Provincial Product - GPP) เท่ากับ 315,583 ล้านบาท ( 9.3 Billion US$) อยู่ในลำดับที่ 1 ของภาตตะวันออกเฉียงเหนือ ลำดับที่ 12 ของประเทศ และ ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อคน (GPP per capita) เท่ากับ 126,119 บาท ( 3,699 US$) อยู่ในลำดับที่ 1 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลำดับที่ 32 ของประเทศ
ภาคการเงินการธนาคาร จังหวัดนครราชสีมามีจำนวนสำนักงานของธนาคารทั้งสิ้น 152 สำนักงาน(มีนาคม พ.ศ. 2562) เงินรับฝากรวมทุกประเภท (มีนาคม พ.ศ. 2562) ทั้งสิ้น 153,649 ล้านบาท และเงินให้สินเชื่อรวมทุกประเภท (มีนาคม 2562) ทั้งสิ้น 169,203 ล้านบาท
=== นิคมอุตสาหกรรม ===
นิคมอุตสาหกรรมนวนคร 2 นครรราชสีมา
เขตอุตสาหกรรมสุรนารี
นิคมอุตสาหกรรมสูงเนิน (โครงการ)
== ประชากรศาสตร์ ==
=== ประชากรศาสตร์ ===
ปัจจุบันจังหวัดนครราชสีมามีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมากเป็นอันดับสองของประเทศรองจากกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วยประชากรหลากหลายเชื้อชาติหรือหลายชาติพันธุ์ แต่กลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดนครราชสีมาที่มีจำนวนมากมีอยู่สองกลุ่มใหญ่คือ ไทย (หรือเรียกอีกอย่างว่า ไทโคราช) และอีกกลุ่มคือชาวลาว และ ชาวอีสาน(ตอนบนและด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเขตจังหวัด) และมีชนกลุ่มน้อยอีกได้แก่ มอญ กุย (หรือส่วย) ชาวบน จีน ไทยวน ญวน และแขก
==== ไทโคราช ====
กลุ่มชาติพันธุ์ไทยที่อยู่ในนครราชสีมาเรียกอีกอย่างว่า ไทโคราช เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดในจังหวัดนครราชสีมา คนกลุ่มนี้ใช้ภาษาคล้ายคนไทยภาคกลาง เพียงแต่เสียงวรรณยุกต์เพี้ยนไปบ้าง และมีคำศัพท์สำนวนบางอย่างที่มีลักษณะเป็นของตนเอง เดิมถิ่นนี้ชาวพื้นเมืองเป็นละว้า ชาวไทยภาคกลางได้อพยพเข้ามาอยู่อาศัย สมัยกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอู่ทองให้ขุนหลวงพะงั่วยกกองทัพมารวบรวมดินแดนแถบนี้เข้ากับกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอู่ทองโปรดฯให้กองทหารอยุธยาตั้งด่านอยู่ประจำ และส่งช่างชาวอยุธยามาก่อสร้างบ้านเรือนและวัดวาอารามเป็นอันมาก ชาวไทยอยุธยาได้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และได้อพยพมาอยู่นครราชสีมาอีกระลอกหนึ่งคือ คราวเสียกรุงครั้งที่ 2 โดยมีชาวไทยชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกได้อพยพเข้ามาเพิ่มด้วย ชาวไทยกลุ่มนี้และชาวไทยพื้นเมืองเดิม (เข้าใจว่าเป็นชาวสยามลุ่มน้ำมูล) สืบเชื้อสายเป็นชาวไทยโคราชและรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีสืบทอดกันมา
กลุ่มไทโคราชเป็นกลุ่มที่แสดงเอกลักษณ์ของเมืองนครราชสีมา เพราะสำเนียงแตกต่างจากกลุ่มอื่น เป็นกลุ่มที่พูดภาษาไทยโคราชซึ่งคล้ายคลึงภาษาไทยกลางแต่สำเนียงเพี้ยน เหน่อ ห้วนสั้น เกิ่นเสียง มีคำไทยลาว (อีสาน) ปะปนบ้างเล็กน้อย ชาวไทยโคราชแต่งกายแบบไทยภาคกลาง รับประทานข้าวเจ้า อาหารทั่วไปคล้ายคลึงภาคกลาง ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมคล้ายไทยภาคกลาง ปัจจุบัน กลุ่มไทยโคราชอาศัยอยู่หนาแน่นในอำเภอต่อไปนี้ เช่น อำเภอเมืองนครราชสีมา อำเภอโนนสูง อำเภอโนนไทย อำเภอด่านขุนทด อำเภอพระทองคำ อำเภอเทพารักษ์ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอขามทะเลสอ อำเภอขามสะแกแสง อำเภอโชคชัย อำเภอหนองบุญมาก อำเภอครบุรี อำเภอเสิงสาง อำเภอวังน้ำเขียว อำเภอสีคิ้ว อำเภอปากช่อง อำเภอสูงเนิน และ อำเภอพิมาย และยังพบชาวไทยโคราชในบางส่วนของจังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดชัยภูมิ (อำเภอบำเหน็จณรงค์ อำเภอเทพสถิต และ อำเภอซับใหญ่)และจังหวัดบุรีรัมย์ (อำเภอเมืองบุรีรัมย์ นางรอง และหนองกี่)
==== ชาวไทอีสาน ====
ชาวไทอีสานเป็นกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนประชากรมากรองจากกลุ่มไทโคราช อาศัยอยู่มากในอำเภอต่อไปนี้ของจังหวัดนครราชสีมา เช่น อำเภอบัวใหญ่ อำเภอบัวลาย อำเภอสีดา อำเภอแก้งสนามนาง อำเภอประทาย อำเภอโนนแดง อำเภอบ้านเหลื่อม อำเภอเมืองยาง อำเภอลำทะเมนชัย อำเภอปักธงชัย อำเภอสูงเนิน อำเภอคง อำเภอห้วยแถลง อำเภอชุมพวง อำเภอจักราชและบางส่วนของ อำเภอพิมาย อำเภอครบุรี อำเภอเสิงสาง อำเภอวังน้ำเขียว และ อำเภอสีคิ้ว เป็นต้น ชาวไทยอีสานพูดภาษาอีสานท้องถิ่นคล้ายกับจังหวัดอื่นๆในภาคอีสาน และมีขนบธรรมเนียมประเพณีเหมือนชาวอีสานทั่วไป
==== ชาวไทยเชื้อสายลาว ====
อพยพเข้ามาอยู่สมัยสงครามปราบปรามเมืองเวียงจันทน์ในสมัยกรุงธนบุรี และสมัยปราบเจ้าอนุวงศ์ในรัชกาลที่3 มีการกวาดต้อนครอบครัวลาวเข้ามาอยู่ในหัวเมืองชั้นในหลายครั้ง และมีการอพยพเข้ามาโดยสมัครใจเพิ่มขึ้นในระยะหลัง คนกลุ่มที่นี้มักเรียกกันว่า "ลาวเวียง" มีการใช้ภาษาลาวสำเนียงเวียงจันทน์ซึ่งต่างกับภาษาอีสานสำเนียงท้องถิ่นอย่างสิ้นเชิง กระจายอาศัยกันอยู่ทั่วไปในจังหวัดนครราชสีมา โดยส่วนมากมักพบที่อำเภอสูงเนินและอำเภอปักธงชัย ปัจจุบันสืบหาแทบไม่ได้แล้วเนื่อจากการเทครัวมีมานับ200ปีและมีการแต่งงานกับคนพื้นเมือง มีจำนวนน้อยที่สืบหาได้ว่ามีเชื้อสาวลาวเวียงจันทน์ตามคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ เช่น การเก็บรักษาผ้าซิ่นแต่เดิมไว้ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เนื่องจากชาวลาวเวียงจันทน์อพยพมาจากเมืองที่มีวัฒนธรรมสูง มักจะมีของมีค่าติดตัวมาด้วย เช่น ผ้าซิ่น ข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบชาวเวียงจันทน์ที่ยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ชาวลาวเวียงจันทน์อพยพมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่3 เนื่องจากมีการทำสงครามกับเวียงจันทน์หลายครั้ง และเป็นครั้งใหญ่ที่ทำลายนครเวียงจันทน์อย่างราบคราบ จึงทำให้ชาวลาวเวียงจันทน์ถูกเกณฑ์เป็นเชลยจำนวนมาก โดยหัวเมืองใหญ่อย่างนครราชสีมารับชาวเชลยไว้เป็นจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือกระจายไปตามหัวเมืองต่างๆในภาคกลาง
==== มอญ ====
จากการสำรวจสำมะโนประชากรของจังหวัดนครราชสีมา เมื่อ พ.ศ. 2446 ในสมัยรัชกาลที่ 5 พบว่า มีชาวมอญอยู่จำนวน 2,249 คน จากจำนวนประชากรของนครราชสีมา 402,668 คน ชาวมอญอพยพเข้ามาอยู่บริเวณเมืองนครราชสีมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2318 ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระราชทานครัวมอญที่อพยพเข้ามาสวามิภักดิ์ มีเจ้าพระยามหาโยธา (พญาเจ่ง) ต้นสกุล "คชเสนี" เป็นหัวหน้า แบ่งให้พระยานครราชสีมานำขึ้นมาอยู่ที่เมืองนครราชสีมา ตั้งครัวมอญที่ลำพระเพลิง เขตอำเภอปักธงชัยที่บ้านพลับพลา อำเภอโชคชัย พระยาศรีราชรามัญผู้เป็นหัวหน้าพาญาติพี่น้องมาอยู่ในเมืองเป็นสายกองส่วยทอง ตั้งบ้านเรือนเรียกว่าบ้านมอญ เมื่อเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ เมื่อ พ.ศ. 2336 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ คชเสนี) คุมกองมอญมาสมทบมาร่วมรบกับกำลังฝ่ายไทย เมื่อเสร็จศึกแล้วพวกมอญเห็นเมืองปักธงชัยอุดมสมบูรณ์จึงมาตั้งถิ่นฐาน ปัจจุบันชาวมอญในนครราชสีมายังรักษาวัฒนธรรมประเพณีมอญไว้ เช่น ภาษา การไหว้ผี การเล่นสะบ้าในเขตบ้านท่าโพธิ บ้านสำราญเพลิง ตำบลนกออก อำเภอปักธงชัย ประกอบอาชีพทำนา ทำสวน ทำเครื่องปั้นดินเผา ภาษามอญจะใช้พูดในชาวไทยมอญที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป คนรุ่นหลังจากนี้จะพูดภาษาไทยโคราชทั้งสิ้น
==== ส่วย ====
ส่วย หรือ ข่า เป็นชนพื้นเมืองของหัวเมืองเขมรป่าดงและเมืองนครราชสีมา พูดภาษาตระกูลมอญ-เขมร ได้อยู่ในพื้นที่นี้ก่อนที่คนไทยจะเข้ามามีอิทธิพลเหนือดินแดนบริเวณลุ่มแม่น้ำมูลตอนบน เมื่อ พ.ศ. 2362 เจ้าเมืองนครราชสีมา (ทองอินทร์) ตีข่าได้ แล้วนำมายังเมืองนครราชสีมา
ภาษาส่วย เป็นภาษาของชาวส่วยที่อพยพมาจากจังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดบุรีรัมย์ ที่มาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ ตำบลห้วยแถลง อำเภอห้วยแถลง ปัจจุบันมีเฉพาะผู้ที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ที่ยังคงใช้ภาษาส่วยในกลุ่มของตนเอง นอกจากนั้นจะใช้ภาษาไทยโคราชเป็นพื้น
==== ญัฮกุร ====
ญัฮกุร หรือ เนียะกุล เป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ตามไหล่เขาหรือเนินเขาเตี้ย ๆ บริเวณด้านในของที่ราบสูงโคราช ชาวบนอาจสืบเชื้อสายมาจากคนในสมัยทวารวดี อยู่ในบางหมู่บ้านของอำเภอปักธงชัย อำเภอครบุรี และอำเภอหนองบุญมาก
ภาษาชาวบน เป็นภาษาตระกูลมอญ-เขมร ปัจจุบันชาวบนพูดภาษาชาวบนเฉพาะผู้ที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป นอกจากนั้นใช้ภาษาไทยโคราช
==== ไทยวน ====
ไทยวน หรือ ไทยโยนก เป็นเผ่าไทยในภาคเหนือของไทย ได้อพยพเข้ามาอยู่ที่อำเภอสีคิ้วสองทางด้วยกันคือ พวกแรกอพยพจากทางเหนือมาอยู่ที่อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ต่อมาเจ้าเมืองสระบุรีต้องการตั้งกองเลี้ยงโคนมที่เมืองนครจันทึก จึงได้แบ่งครอบครัวชาวไทยวนจากอำเภอเสาไห้ไปอยู่ที่อำเภอสีคิ้ว ส่วนอีกพวกหนึ่งอพยพมาจากเวียงจันทน์ ชาวไทยวนยังรักษาประเพณีและวัฒนธรรมแบบโยนกไว้ได้ดีมาก ภาษาไทยวน ใช้พูดในหมู่ไทยวนด้วยกันเองซึ่งมีอยู่ประมาณ 5,000 คน ในเขตอำเภอสีคิ้ว ในท้องที่ตำบลลาดบัวขาว ตำบลสีคิ้ว และตำบลบ้านหัน
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มเชื้อสาย ชาวจีน, ชาวเวียดนาม, และแขก (อินเดีย, บังคลาเทศ, ปากีสถาน ฯลฯ)
=== ดัชนีความก้าวหน้าของคน ===
ดัชนีความก้าวหน้าของคน (หรือ เอชเอไอ) เป็นดัชนีติดตามความก้าวหน้าในการพัฒนามนุษย์ในระดับจังหวัดของไทย เริ่มจัดทำตั้งแต่ปี 2546 โดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (หรือ ยูเอนดีพี) ต่อมาสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้ามาทำหน้าที่นี้แทนตั้งแต่ปี 2560
ดัชนีรวมที่ครอบคลุมขอบเขตสำคัญทั้งหมดแปดด้านของการพัฒนามนุษย์ คือ
ด้านสุขภาพ
ด้านการศึกษา
ด้านชีวิตการทำงาน
ด้านเศรษฐกิจ (รายได้)
ด้านที่อยู่อาศัยและชุมชนสภาพแวดล้อม
ด้านชีวิตครอบครัวและชุมชน
ด้านการคมนาคมและการสื่อสาร
ด้านการมีส่วนร่วม
ดัชนีความก้าวหน้าของคน (หรือ เอชเอไอ) ของจังหวัดนครราชสีมา เปรียบเทียบรายปี
= สูงขึ้น
= คงที่
= ต่ำลง
ตัวเลขด้านข้างเครื่องหมายแสดงถึงอันดับที่เปลี่ยนแปลงไปจากปีก่อนหน้า
== การศึกษา ==
=== โรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐ ===
โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย
โรงเรียนสุรนารีวิทยา
โรงเรียนบุญวัฒนา
โรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์
โรงเรียนมหิศราธิบดี
โรงเรียนโคราชพิทยาคม
โรงเรียนอุบลรัตนราชกัญญาราชวิทยาลัย นครราชสีมา
โรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์
โรงเรียนสุรนารีวิทยา ๒
โรงเรียนบุญวัฒนา ๒
โรงเรียนพุดซาพิทยาคม
โรงเรียนสุรวิวัฒน์
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า นครราชสีมา
=== โรงเรียนมัธยมศึกษาของเอกชน ===
โรงเรียนเกียรติคุณวิทยา
โรงเรียนมารีย์วิทยา
โรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา
โรงเรียนสารสาสน์วิเทศโคราช
โรงเรียนสารสาสน์วิเทศนครราชสีมา
=== สถาบันอุดมศึกษา ===
==== สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ====
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (ศูนย์กลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครราชสีมา)
มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครราชสีมา
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย และศูนย์การศึกษาโคราช
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า สีคิ้ว)
สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา)
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา
==== สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ====
มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
วิทยาลัยนครราชสีมา
วิทยาลัยเทคโนโลยีพนมวันท์
สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน ศูนย์การเรียนรู้จังหวัดนครราชสีมา
วิทยาลัยพิชญบัณฑิต นครราชสีมา
วิทยาลัยพุทธศาสนานานาชาติ วิทยาเขตนครราชสีมา
สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ หน่วยการเรียนทางไกลจังหวัดนครราชสีมา
=== สถาบันอาชีวศึกษา ===
==== สถาบันการอาชีวศึกษาของรัฐ ====
สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 ประกอบด้วยวิทยาลัยในสังกัด 9 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา,วิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมา,วิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ, วิทยาลัยเทคนิคสุรนารี,วิทยาลัยเทคนิคชัยภูมิ,วิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์,วิทยาลัยเทคนิคคูเมือง,วิทยาลัยเทคนิคสุรินทร์ และวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุรินทร์ มีที่ตั้งสำนักงานสถาบัน(ชั่วคราว) อยู่ภายในวิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เป็น 1 ในสถาบันการอาชีวศึกษา 19 สถาบัน ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎกระทรวงการรวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาเพื่อจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2555 สำหรับวิทยาลัยในสังกัดในจังหวัดนครราชสีมา ได้แก่
* วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา เปิดสอนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ-ปริญญาตรี (สายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ)
* วิทยาลัยเทคนิคสุรนารี อ.โชคชัย
* วิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ อ.ด่านขุนทด
* วิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมา
วิทยาลัยอาชีวศึกษาอื่น ๆ
* วิทยาลัยเทคนิคนครโคราช (สารพัดช่างนครราชสีมาเดิม)
* วิทยาลัยเกษตรกรรมและเทคโนโลยีนครราชสีมา อ.สีคิ้ว
* วิทยาลัยเทคนิคปักธงชัย
* วิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวนครราชสีมา (NR-CBAT) เปิดสอนระดับ ปวช.-ปวส. ในด้านบริหารธุรกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
* วิทยาลัยเทคนิคปากช่อง (การอาชีพปากช่องเดิม)
* วิทยาลัยเทคนิคพิมาย (การอาชีพพิมายเดิม)
* วิทยาลัยการอาชีพปากช่อง วิทยาเขตสูงเนิน
* วิทยาลัยเทคนิคบัวใหญ่ (การอาชีพบัวใหญ่เดิม)
* วิทยาลัยการอาชีพชุมพวง
สถาบันอาชีวศึกษา (เอกชน)
* วิทยาลัยเทคโนโลยีชนะพลขันธ์ นครราชสีมา
* วิทยาลัยเทคโนโลยีช่างกลพณิชยการนครราชสีมา
* วิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวศึกษานครราชสีมา
* โรงเรียนเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
* วิทยาลัยอาชีวศึกษาเมรี่เทคโนโลยี (ยุบรวมเข้ากับมารีย์บริหารธุรกิจ เมื่อปี 2561)
* วิทยาลัยเทคโนโลยีมารีย์บริหารธุรกิจ นครราชสีมา (โรงเรียนคาทอลิกในสังกัดเขตมิสซังนครราชสีมา)
* โรงเรียนเทคโนสุระ
* บัวใหญ่เทคโนโลยีพณิชยการ
* วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการปากช่อง
* วิทยาลัยเทคโนโลยีสายมิตร นครราชสีมา
* โรงเรียนกุสุมภ์เทคโนโลยี
=== วิทยาลัยเฉพาะทาง ===
วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา เปิดสอนหลักสูตรนาฏศิลป์ชั้นต้น กลาง และสูง
=== สถาบันวิจัย ===
สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน)
ศูนย์วิจัยข้าวโพดข้าวฟ่างแห่งชาติ
สถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เฉลิมพระเกียรติ
สถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย
== การสาธารณสุข ==
โรงพยาบาลศูนย์
โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา (1,619 เตียง) เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
โรงพยาบาลทั่วไป
โรงพยาบาลปากช่องนานา (300 เตียง)
โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา (200 เตียง)
โรงพยาบาลพิมาย (144 เตียง)
โรงพยาบาลชุมชน
{|
|--- valign=top
||
ระดับ M2
* โรงพยาบาลบัวใหญ่ (268 เตียง)
* โรงพยาบาลสีคิ้ว (154 เตียง)
* โรงพยาบาลครบุรี (149 เตียง)
* โรงพยาบาลด่านขุนทด (126 เตียง)
* โรงพยาบาลโชคชัย (91 เตียง)
|}
{|
|--- valign=top
||
ระดับ F1
* โรงพยาบาลสูงเนิน (119 เตียง)
* โรงพยาบาลปักธงชัย (118 เตียง)
* โรงพยาบาลจักราช (110 เตียง)
* โรงพยาบาลโนนไทย (87 เตียง)
* โรงพยาบาลโนนสูง (86 เตียง)
* โรงพยาบาลชุมพวง (75 เตียง)
* โรงพยาบาลประทาย (72 เตียง)
|}
{|
|--- valign=top
||
ระดับ F2
* โรงพยาบาลขามสะแกแสง (60 เตียง)
* โรงพยาบาลคง (60 เตียง)
* โรงพยาบาลเสิงสาง (60 เตียง)
* โรงพยาบาลหนองบุญมาก (60 เตียง)
* โรงพยาบาลห้วยแถลง (60 เตียง)
* โรงพยาบาลลำทะเมนชัย (48 เตียง)
* โรงพยาบาลวังน้ำเขียว (40 เตียง)
* โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ (36 เตียง)
* โรงพยาบาลแก้งสนามนาง (35 เตียง)
* โรงพยาบาลบ้านเหลื่อม (35 เตียง)
* โรงพยาบาลโนนแดง (33 เตียง)
* โรงพยาบาลขามทะเลสอ (30 เตียง)
* โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่า 100 ปี เมืองยาง (30 เตียง)
* โรงพยาบาลพระทองคำเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (30 เตียง)
|}
{|
|--- valign=top
||
ระดับ F3
* โรงพยาบาลหัวทะเล (30 เตียง)
* โรงพยาบาลเทพารักษ์ (30 เตียง)
* โรงพยาบาลสีดา (24 เตียง)
* โรงพยาบาลบัวลาย (10 เตียง)
* โรงพยาบาลมกุฏคีรีวัน (5 เตียง)
|}
โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย
โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (820 เตียง)
โรงพยาบาลทหาร
โรงพยาบาลค่ายสุรนารี (420 เตียง)
โรงพยาบาลกองบิน 1 (50 เตียง)
โรงพยาบาลเอกชน
{|
|--- valign=top
||
โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา (150 เตียง)
โรงพยาบาลกรุงเทพปากช่อง (31 เตียง)
โรงพยาบาลโคราชเมโมเรียล (35 เตียง)
โรงพยาบาลเฉลิมชัย
โรงพยาบาลเซนต์แมรี่ (150 เตียง)
โรงพยาบาลด่านเมดิคอล
โรงพยาบาลเดอะโกลเด้นท์เกต (60 เตียง)
โรงพยาบาลบัวใหญ่รวมแพทย์ (50 เตียง)
||
โรงพยาบาล ป.แพทย์ (150 เตียง)
โรงพยาบาล ป.แพทย์ 2
โรงพยาบาลปากช่องเมมโมเรียน
โรงพยาบาลพิมายเมดิคอล
โรงพยาบาลมิตรภาพโพลี่คลีนิค
โรงพยาบาลมนตรี
โรงพยาบาลสาตรเวช
โรงพยาบาลหมอสิน
|}
โรงพยาบาลเฉพาะทาง
โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ (300 เตียง)
อื่นๆ
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 5 กรมอนามัย (60 เตียง)
== การคมนาคม ==
=== ทางอากาศ ===
วันที่ 2 กันยายน 2554 ที่ท่าอากาศยานนครราชสีมา อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา บริษัท Thai Regional Aviation จำกัด ได้ทำการเปิดเที่ยวบิน สุวรรณภูมิ-โคราช-สุวรรณภูมิ บริษัทเลือกใช้เครื่องบินรุ่น Piper Navajo Chieftain ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ได้รับความนิยมสูง และ มีความปลอดภัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้เวลาในการเดินทาง 40 นาที (ปัจจุบันหยุดให้บริการในสายนี้แล้ว)
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 สายการบิน กานต์แอร์ ได้ทำการเปิดเที่ยวบิน จาก ท่าอากาศยานเชียงใหม่ - ท่าอากาศยานนครราชสีมา โดยทำการบิน 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ (จันทร์, พุธ, พฤหัสบดี, เสาร์) โดยใช้เครื่องบินรุ่น ATR-72 (ปัจจุบันหยุดให้บริการในสายนี้แล้ว)
วันที่ 3 ธันวาคม 2560 สายการบินนิวเจน แอร์เวย์ส เปิดให้บริการเส้นทางบิน นครราชสีมา - เชียงใหม่ และภูเก็ต (ปัจจุบันสายนี้หยุดให้บริการแล้ว)
วันที่ 21 ธันวาคม 2560 สายการบินนิวเจน แอร์เวย์ส เปิดให้บริการเส้นทางบิน นครราชสีมา - กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) (ปัจจุบันสายนี้หยุดให้บริการแล้ว)
=== รถยนต์ ===
จากกรุงเทพฯ สามารถเดินทางด้วยรถยนต์ มายังจังหวัดนครราชสีมาได้หลายเส้นทาง คือ
เส้นทางผ่านทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ผ่านรังสิต วังน้อย จนถึงจังหวัดสระบุรี ข้ามทางต่างระดับมิตรภาพ ทางทิศตะวันออก ไปยังทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ผ่านอำเภอแก่งคอย มวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เรื่อยไปจนถึงอำเภอปากช่อง สีคิ้ว สูงเนิน และจังหวัดนครราชสีมา รวมระยะทางประมาณ 256 กิโลเมตร
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 เส้นทางผ่านเขตมีนบุรี อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา อำเภอพนมสารคาม อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอวังน้ำเขียว อำเภอปักธงชัย จนถึงจังหวัดนครราชสีมา รวมระยะทางประมาณ 273 กิโลเมตร
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 เส้นทางรังสิต-นครนายก ต่อทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 ไปกบินทร์บุรี แล้วแยกเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 ผ่านอำเภอวังน้ำเขียว ปักธงชัย เรื่อยไปจนถึงจังหวัดนครราชสีมา
=== รถโดยสารประจำทาง ===
==== จากกรุงเทพมหานคร ====
มีรถโดยสารธรรมดา และ รถปรับอากาศชั้น 1 ชั้น 2 และรถตู้ปรับอากาศ สาย 21 (กรุงเทพฯ - นครราชสีมา) วิ่งให้บริการจาก สถานีขนส่งหมอชิต 2 กรุงเทพฯ มายังจังหวัดนครราชสีมา ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีบริษัทเอกชน ที่ได้รับสัมปทานเปิดบริการเดินรถโดยสารสาย 21 ดังนี้
รถปรับอากาศชั้น 1
* บริษัท เชิดชัยโคราช จำกัด (ราชสีมาทัวร์)
* บริษัท แอร์โคราชพัฒนา จำกัด
* บริษัท สุรนารีแอร์ จำกัด
* บริษัท นครชัย21 จำกัด
* บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน)
รถปรับอากาศชั้น 2
* กลุ่มเดินรถ ป.2 สาย 21
รถตู้ปรับอากาศ (ไม่รับรายทาง)
* เสรี รถตู้ลีมูซีน
* กลุ่มเดินรถตู้จากนครราชสีมาไปยังกรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ
ซึ่งจะให้บริการ รับ-ส่ง ผู้โดยสารที่สถานีขนส่งทั้งสองแห่ง คือ สถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 1 (ถนนบุรินทร์) และสถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 2 (ถนนมิตรภาพ-หนองคาย) นอกจากนั้น ยังสามารถที่จะเลือกเดินทางโดยรถโดยสารประจำทางจากกรุงเทพฯ ปลายทางจังหวัดต่าง ๆ ในภาคอีสานที่ผ่านจังหวัดนครราชสีมาได้
==== ภายในจังหวัด ====
การเดินทางภายในเขตเทศบาลและพื้นที่ใกล้เคียง มีขนส่งสาธารณะให้บริการดังนี้คือ
รถโดยสารประจำทางหมวด 1 และหมวด 4 (รถสองแถว) วิ่งบริการภายในเขตเทศบาล และ บริเวณใกล้เคียง รถโดยสารหมวด 1 แบ่งออกเป็น 21 สาย วิ่งบริการภายในเขตเทศบาลและพื้นที่ใกล้เคียงไปตามเส้นทางต่าง ๆ
รถจักรยานยนต์รับจ้าง, รถสามล้อเครื่อง และรถสามล้อ วิ่งให้บริการผู้โดยสารภายในเขตตัวเมือง
รถแท็กซี่มิเตอร์ (Taxi Meter) เปิดให้บริการในช่วงการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 24 เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 เป็นจังหวัดแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจุดจอดรถแท็กซี่อยู่ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 2 สถานีรถไฟนครราชสีมา สถานีรถไฟชุมทางจิระ ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ นครราชสีมา เซ็นทรัลพลาซา นครราชสีมา เทอร์มินอล 21 โคราช และสถานบันเทิง นอกจากนี้ยังสามารถเรียกใช้บริการโดยโทรศัพท์เลขหมายด่วนหริอเรียกผ่านแอปพลิเคชัน ปัจจุบันมีรถให้บริการทั้งสิ้นจำนวนมากกว่า 70 คัน
ถ้าต้องการเดินทางไปต่างอำเภอ จะมีรถโดยสารประจำทางหมวด 4 ให้บริการไปยังอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดนครราชสีมา หลายสายด้วยกัน สามารถขึ้นรถได้ที่สถานีขนส่งแห่งที่ 1 ถนนบุรินทร์ มีทั้งประเภทรถสองแถว และ รถบัสโดยสารประจำทางให้บริการ จะมีรถโดยสารไป อำเภอปักธงชัย อำเภอประทาย อำเภอด่านขุนทด อำเภอปากช่อง อำเภอสูงเนิน สำหรับสถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 2 นั้น จะมีรถโดยสาร ไปเฉพาะ อำเภอพิมาย อำเภอห้วยแถลง อำเภอโชคชัย อำเภอหนองบุญมาก และอำเภอเสิงสาง
==== เดินทางระหว่างจังหวัด ====
มีทั้งรถโดยสารประจำทางธรรมดา และปรับอากาศ หมวด 2 และ 3 จำนวนหลายเส้นทางในจังหวัดต่าง ๆ วิ่งให้บริการผ่านจังหวัดนครราชสีมาที่สถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 2 (ถนนมิตรภาพ-หนองคาย) ทุกวัน
==== เดินทางระหว่างประเทศ ====
กรุงเทพฯ-นครราชสีมา - นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (กรุงเทพฯ-เวียงจันทน์ 900 บาท, นครราชสีมา-เวียงจันทน์ 540 บาท)
* เวลา 21.00 น. จากสถานีต้นทาง กรุงเทพฯ (หมอชิต 2) ถึง บขส. นครราชสีมา แห่งที่ 2 ประมาณ 23.50 น.
* เวลา 18.00 น. จากสถานีต้นทาง นครหลวงเวียงจันทน์ ถึง บขส. นครราชสีมา แห่งที่ 2 ประมาณ 1 นาฬิกา หรือ 01.00 น.
* เที่ยววิ่งนอกวันและเวลาราชการ เก็บค่าทำการล่วงเวลา ของด่านตรวจคนเข้าเมืองคนละ 5 บาท โดยจัดเก็บที่สถานีเดินรถ
* เดินทางด้วยรถปรับอากาศ 2 ชั้น 32 ที่นั่ง มีสุขภัณฑ์ พนักงานต้อนรับ และอาหารว่าง
* ติดต่อสถานีเดินรถนครราชสีมา โทรศัพท์ 044-254964 หรือ 1490 เรียก บขส.
ในการเดินทางข้ามแดนจากจังหวัดนครราชสีมา ไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สามารถใช้หลักฐาน คือหนังสือเดินทางคือหนังสือผ่านแดน หรือหนังสือผ่านแดนชั่วคราวโดยมีแนวปฏิบัติและขั้นตอนดังต่อไปนี้
ใช้บัตรผ่านแดน สำหรับเดินทางเข้าประเทศลาวไม่เกิน 3 วัน 2 คืน และไม่เดินทางไปแขวงอื่น การทำบัตรผ่านแดนทำที่ศาลากลางจังหวัดที่มีชายแดนติดกับลาวโดยใช้หลักฐาน ดังนี้
* รูปถ่าย 1 นิ้ว 2 รูป
* สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และบัตรจริง
* สำเนาทะเบียนบ้าน
* ค่าธรรมเนียม
* หากยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องใช้สำเนาสูติบัตรด้วย
การขอวีซ่า
* ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการของไทยได้รับยกเว้นไม่ต้องขอวีซ่า สามารถอยู่ในประเทศลาวได้ 30 วัน
* สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาต้องขอวีซ่าจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประจำประเทศไทยที่กรุงเทพฯ หรือสถานกงสุลใหญ่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่จังหวัดขอนแก่นโดยต้องใช้รูปถ่าย 1 รูป และเสียค่าธรรมเนียม 30 ดอลลาร์สหรัฐ
==== สถานีขนส่งผู้โดยสาร ====
จังหวัดนครราชสีมา มีสถานีขนส่งผู้โดยสารที่ให้บริการแก่ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังอำเภอ หรือ จังหวัดต่าง ๆ ดังนี้
สถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 1 ตั้งอยู่เลขที่ 86 ถนนบุรินทร์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 7 ไร่ 2 งาน 98 ตารางวา เปิดใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2510 บริหารจัดการโดยเทศบาลนครนครราชสีมา ใช้เป็นสถานีขนส่งภายในจังหวัดเป็นหลัก และมีรถโดยสารปรับอากาศ สายที่ 21 กรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา ให้บริการ ประกอบไปด้วย
* ชานชาลาจอดรถโดยสาร จำนวน 24 ช่องจอด พื้นที่ 3,840 ตารางเมตร
* พื้นที่อาคารผู้โดยสาร 6,194 ตารางเมตร
ปัจจุบันสถานีขนส่งฯ แห่งที่ 1 มีรถโดยสารประจำทางเข้าใช้บริการเฉลี่ยวันละ 2,000 เที่ยว/วัน หรือประมาณ 430,000 เที่ยว/ปี และมีผู้โดยสารหมุนเวียนเข้าใช้บริการเฉลี่ย 30,000 คน/วัน หรือประมาณ 12,000,000 คน/ปี
สถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 2 ตั้งอยู่ที่ ถนนมิตรภาพ สระบุรี-หนองคาย ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา มีเนื้อที่ 29 ไร่ 50 ตารางวา เป็นสถานีขนส่งฯที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในจังหวัดนครราชสีมาและในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้ง และดำเนินการสถานีขนส่ง คือ บริษัท ไทยสงวนบริการ จำกัด ใช้เป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารระหว่างจังหวัดเป็นหลักเส้นทางที่สำคัญคือ สายที่ 21 กรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา ประกอบด้วย
* ชานชาลาจอดรถโดยสาร จำนวน 111 ช่องจอด พื้นที่ 17,760 ตารางเมตร
* พื้นที่อาคารผู้โดยสาร 28,416 ตารางเมตร
* ที่จอดรถส่วนบุคคลประมาณ 250 คัน และรถจักรยานยนต์ ประมาณ 1,100 คัน
ปัจจุบันสถานีขนส่งฯ แห่งที่ 2 มีรถโดยสารประจำทางเข้าใช้บริการเฉลี่ยวันละ 3,000 เที่ยว /วัน หรือประมาณ 740,000 เที่ยว/ปี และมีผู้โดยสารหมุนเวียนเข้าใช้บริการเฉลี่ย 80,000 คน/วัน หรือประมาณ 19,000,000 คน/ปี
สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอโชคชัย ตั้งอยู่เลขที่ 1 หมู่ที่ 12 ตำบลโชคชัย อำเภอโชคชัย มีเนื้อที่ 7 ไร่ บริหารจัดการโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา เปิดดำเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2539 ประกอบด้วย
* ชานชาลาจอดรถโดยสาร จำนวน 16 ช่องจอด พื้นที่ 3,280 ตารางเมตร
* ที่จอดรถส่วนบุคคลประมาณ 40 คัน และรถจักรยานยนต์ ประมาณ 50 คัน
สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอโชคชัย มีรถโดยสารประจำทางเข้าใช้บริการวันละประมาณ 210 เที่ยว สถานีขนส่งฯ สามารถรองรับผู้โดยสารได้ประมาณวันละ 2,000 คน /วัน
สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอพิมาย ตั้งอยู่บริเวณตำบลในเมือง อำเภอพิมาย มีเนื้อที่ 6 ไร่ 54 ตารางวา ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้ง และดำเนินการสถานีขนส่งคือ บริษัท ไทยสงวนบริการ จำกัด เปิดดำเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2538 ประกอบด้วย
* ชานชาลาจอดรถโดยสาร จำนวน 18 ช่องจอด พื้นที่ 3,840 ตารางเมตร
* ที่จอดรถส่วนบุคคลประมาณ 15 คัน และ รถจักรยานยนต์ ประมาณ 25 คัน
สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอพิมาย มีรถโดยสารประจำทางเข้าใช้บริการวันละประมาณ 230 เที่ยว สถานีขนส่งฯ สามารถรองรับผู้โดยสารได้ประมาณวันละ 2,000 คน / วัน
=== รถไฟ ===
มีรถไฟสายภาคตะวันออกเฉียงเหนือกรุงเทพ - อุบลราชธานีและกรุงเทพ - หนองคายทั้งขบวนรถด่วนพิเศษ รถด่วน รถเร็วและรถธรรมดาวิ่งให้บริการจากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ผ่านจังหวัดนครราชสีมาทุกวัน นอกจากนี้ยังมีขบวนรถท้องถิ่นวิ่งให้บริการระหว่างสถานีรถไฟนครราชสีมาไปยังสถานีรถไฟจังหวัดอื่นๆ เช่น สุรินทร์ อุบลราชธานี อุดรธานี หนองคาย และอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรีอีกด้วย
สถานีรถไฟนครราชสีมาสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดนครราชสีมาและในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นสถานีรถไฟชั้น 1 ตั้งอยู่ที่ถนนมุขมนตรี อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา อยู่ห่างจากสถานีรถไฟกรุงเทพเป็นระยะทาง 264 กิโลเมตร
=== รถไฟความเร็วสูง ===
โครงการรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเฉียงเหนือ (กรุงเทพฯ–นครราชสีมา–หนองคาย) ช่วงที่ 1 กรุงเทพ (บางซื่อ) – นครราชสีมา (กำลังก่อสร้าง เปิดให้บริการในปี 2570)
สถานีที่ผ่านจังหวัดนครราชสีมา
* สถานีรถไฟปากช่อง
* สถานีรถไฟนครราชสีมา
* สถานีรถไฟบัวใหญ่ (ในอนาคต)
=== ทางหลวง ===
==== ทางหลวงพิเศษ ====
ทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 หรือมอเตอร์เวย์บางปะอิน–สระบุรี–นครราชสีมา (กำลังก่อสร้าง เปิดให้บริการในปี 2566)
* ทางออกในเขตจังหวัดนครราชสีมา
** ปากช่อง
** สีคิ้ว
** ขามทะเลสอ
** นครราชสีมา
==== ทางหลวงแผ่นดิน ====
ทางหลวงสายสำคัญของจังหวัดนครราชสีมามีดังนี้
ทางหลวงหมายเลขหลักเดียว
# 20px ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ในเขตจังหวัดนครราชสีมา เริ่มจาก กลางดง - ปากช่อง - คลองไผ่ - สีคิ้ว - สูงเนิน - โคกกรวด - นครราชสีมา - จอหอ - ตลาดแค - บ้านวัด - สีดา - สิ้นสุดจังหวัดนครราชสีมาในเขตอำเภอบัวลาย
ทางหลวงหมายเลขสองหลัก
# 20px ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 24 (ถนนโชคชัย-เดชอุดม และถนนสถลมารค) ในเขตจังหวัดนครราชสีมา เริ่มจากทางแยกต่างระดับสีคิ้ว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา - รอยต่ออำเภอหนองบุนนากกับอำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์
ทางหลวงหมายเลขสามหลัก
# 20px ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 (ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนรามอินทรา ถนนสุวินทวงศ์) ในเขตจังหวัดนครราชสีมา เริ่มจากรอยต่อจังหวัดปราจีนบุรีกับอำเภอวังน้ำเขียว - อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
# 20px ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 ในเขตจังหวัดนครราชสีมา เริ่มจากอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา - รอยต่ออำเภอด่านขุนทดกับอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ
# 20px ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 202 ในเขตจังหวัดนครราชสีมา เริ่มจากรอยต่ออำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิกับอำเภอแก้งสนามนาง - รอยต่ออำเภอประทาย กับ อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ จังหวัดบุรีรัมย์
# 20px ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 204 (ถนนเลี่ยงเมืองนครราชสีมา) อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
# 20px ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 205 (ถนนสุรนารายณ์) ในเขตจังหวัดนครราชสีมา เริ่มจากรอยต่ออำเภอด่านขุนทดกับอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ - อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
# 20px ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 206 (ทางเข้าเมืองพิมาย และ เลี่ยงเมืองพิมาย) จาก ถนนมิตรภาพ อำเภอโนนสูง - อำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา
# 20px ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 207(ถนนพาณิชย์เจริญ) จากอำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา - รอยต่ออำเภอพล จังหวัดขอนแก่น
# 20px ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 224 ในเขตจังหวัดนครราชสีมา เริ่มจากอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา - รอยต่ออำเภอเสิงสางกับจังหวัดบุรีรัมย์
# 20px ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 ในเขตจังหวัดนครราชสีมา เริ่มจากอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา - รอยต่ออำเภอห้วยแถลงกับจังหวัดบุรีรัมย์
# 20px ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 290 (ถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา) อำเภอเมืองนครราชสีมา อำเภอขามทะเลสอ อำเภอโนนสูง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา เป็นถนนวงแหวนรอบเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย รองจากถนนวงแหวนรอบนอกกาญจนาภิเษก
== กีฬา ==
เนื่องจากจังหวัดนครราชสีมามีศักยภาพหลายด้าน ทำให้จังหวัดนครราชสีมามีโอกาสจัดการแข่งขันกีฬาในระดับชาติ และระดับนานาชาติอยู่เสมอ
จังหวัดนครราชสีมา เป็นจังหวัดที่มีความโดดเด่นด้านกีฬาทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ เนื่องจากมีการพัฒนาด้านกีฬาตลอดเวลา ในหลากหลายชนิดกีฬา เช่น
มวย
นักมวยโคราช ได้สร้างชื่อจนเป็นที่ยอมรับในวงการมวยไทย และมวยสากล มาเป็นระยะเวลายาวนาน
วอลเลย์บอล
ทีมวอลเลย์บอลของโรงเรียนในจังหวัดนครราชสีมา ได้ผลิตนักกีฬาที่มีชื่อเสียงหลายคนเข้าสู่ทีมชาติอย่างต่อเนื่อง
ทีมวอลเลย์บอลประจำจังหวัด คือ สโมสรวอลเลย์บอลนครราชสีมา (แคทเดวิล) โดยมีทั้งทีมชายและทีมหญิง ปัจจุบันเล่นอยู่ในวอลเลย์บอลไทยแลนด์ลีก
วันที่ 17- 25 เมษายน 2557 ทีมสโมสรวอลเลย์บอลนครราชสีมา (หญิง) เข้าร่วมการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์สโมสรเอเชีย 2014 ที่ยิมเนเซียมเทศบาลเมืองนครปฐม ได้อันดับที่ 5 ของทวีปเอเชีย
ฟุตซอล
ฟุตซอลไทยลีก
* ทีมสโมสรฟุตซอลนครราชสีมา เดอะเดอะมอลล์ วีวัน (ซุปเปอร์แคท)
ฟุตซอลลีก ดิวิชั่น 1
* ทีมสโมสรฟุตซอลนครราชสีมา SAT3
ฟุตบอล
ไทยลีก (T1)
* ทีมสโมสรฟุตบอลนครราชสีมามาสด้า เอฟซี (สวาทแคท)
ไทยลีก 3 (T3)
*ทีมสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา ยูไนเต็ด
ไทยลีก อเมเจอร์ ทัวร์นาเมนต์
* ทีมสโมสรฟุตบอลเพื่อนปากช่อง
* ทีมสโมสรฟุตบอลโคราช (นักรบที่ราบสูง)
* ทีมสโมสรฟุตบอลโคราช ยูไนเต็ด (ไอ้กระทิงดุ)
* ทีมสโมสรฟุตบอลโคราช ซิตี้
* ทีมสโมสรฟุตบอลมหาวิทยาลัยวงชวลิตกุล
* ทีมสโมสรฟุตบอลจิมทอมสัน ฟาร์ม
เซปัคตะกร้อ
ทีมสโมสรตะกร้อนครราชสีมา (แมวป่าทมิฬ) ปัจจุบันทำการแข่งขันในตะกร้อไทยแลนด์ลีก
บาสเกตบอล
ในจังหวัดนครราชสีมามีการจัดการแข่งขันบาสเกตบอลลีกภายในจังหวัด ในชื่อ โคราชบาสเกตบอล ลีก
=== สนามกีฬา ===
สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวา 2550
* โคราช ชาติชาย ฮอลล์
สนามกีฬากลาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (นครราชสีมา)
สนามกีฬามหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
สนามกีฬาเทศบาลนครราชสีมา
สนามกีฬาสุรพลากีฬาสถาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
สนามกีฬากลาง ค่ายสุรนารี
สนามกีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
== เทศกาลและงานประเพณี ==
งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี กำหนดจัดระหว่างวันที่ 23 มีนาคม - 3 เมษายน ของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันที่คุณหญิงโมได้รับชัยชนะจากข้าศึก จัดบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และทุกอำเภอในจังหวัดนครราชสีมา หนึ่งเดียวในประเทศไทยที่จัดงานทุกอำเภอ
งานแห่เทียนพรรษาโคราช เสริมบุญสร้างบารมี กำหนดจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษา มีการประกวดรถต้นเทียนแต่ละประเภท ณ บริเวณสวนรักษ์และลานอนุสาวรีย์ ท้าวสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีความวิจิตรสวยงามตระการตาไม่แพ้ที่ใด และมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากที่สุดในภูมิภาคกว่า 500,000 คน
เทศกาลขนมจีนประโดก ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและเผยแพร่วัฒนธรรมขนมจีนบ้านประโดก ณ บริเวณสวนสุขภาพชุมชนบ้านประโดก ตำบลหมื่นไวย อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
เทศกาลเครื่องปั้นดินเผา-ด่าน-เกวียน แสดงศิลปะ และวัฒนธรรม ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตำบลท่าอ่าง อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา
เที่ยวเพลิน เดินชม โคกกรวด ชิมอาหารโบราณ ชมการแสดงมากมาย ณ อุทยานสถานีรถไฟโคกกรวด-ตลาดเก่าไทย-จีน โคกกรวด หมู่ที่1 ต.โคกกรวด อ.เมืองนครราชสีมา
งานตรุษจีนนครราชสีมา กิจกรรมที่เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีต่อกันระหว่างชาวไทยและชาวจีน ซึ่งถือว่าเป็นงานที่มีความยิ่งใหญ่ภายใต้ความเชื่อที่มีมานาน และเป็นการฉลองวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนสุดยิ่งใหญ่อลังการ ณ บริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และบริเวณสวนอนุสรณ์สถาน อำเภอเมืองนครราชสีมา
อำเภอปากช่อง
* ปากช่องคาวบอยซิตี ริมถนนมิตรภาพสายเก่า บริเวณสวนสาธารณะเขาแคน เทศกาลที่ชาวอำเภอปากช่องต่างแต้มสีสันในแบบอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ การเนรมิตเมืองปากช่องให้เป็นเมืองคาวบอยตะวันตก
* เทศกาลน้อยหน่า ของดีปากช่อง และงานกาชาด
อำเภอพิมาย
* การแข่งเรือพิมาย การแข่งเรือเป็นรูปแบบของการเล่นในฤดูน้ำหลากที่สร้างความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน และคนต่างหมู่บ้านได้พบปะกัน เป็นการสร้างความสมานสามัคคีของสังคมได้ทางหนึ่งช่วงเวลา จัดหลังวันออกพรรษา แต่ไม่เกินวันเพ็ญเดือนสิบสอง
* งานเทศกาลเที่ยวพิมาย จัดในวันเสาร์-อาทิตย์ สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤศจิกายน จัดขึ้นเพื่อเป็นการสร้างสรรค์กิจกรรมส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวหลักของจังหวัด คือ อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดียวกับงานประเพณีแข่งเรือพิมาย ภายในงานมีกิจกรรมหลายอย่าง เช่น การแข่งเรือยาวประเพณี การแสดงทางวัฒนธรรม ขบวนแห่พุทธราชาและพุทธประวัติ ขบวนแห่พุทธประทีปและการแสดงประกอบแสง เสียง
อำเภอวังน้ำเขียว
* งานเบญจมาศบาน ในม่านหมอก จัดขึ้นในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ณ หน้าที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลไทยสามัคคี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการส่งเสริมการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของอำเภอวังน้ำเขียวซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การประกวดและจำหน่าย “ดอกเบญจมาศ” แปลงสาธิตดอกเบญจมาศหลากสายพันธุ์ หลากการแสดงและจำหน่ายสินค้าผักเมืองหนาวและกิจกรรมการขี่จักรยานท่องเที่ยวรับสายหมอกและลมหนาว
* วังน้ำเขียวฟลอร่าแฟนตาเซีย ณ บริเวณแยกวัดโพธิ์เฉลิมพระเกียรติ อำเภอวังน้ำเขียว
อำเภอเสิงสาง
* งานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา คณะสงฆ์อำเภอเสิงสางโดยความร่วมมือของเทศบาลตำบลเสิงสาง วัฒนธรรมอำเภอเสิงสาง และพุทธสมาคมอำเภอเสิงสางได้ร่วมกันจัดกิจกรรมสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชาอำเภอเสิงสางประจำปี จัดที่เทศบาลตำบลเสิงสาง
อำเภอคง
* ไม้ชวนชมประจำอำเภอคง
* เทศกาลประเพณีของดีเมืองคง
* ประเพณีบุญบั้งไฟตำบลหนองมะนาว
* งานเห็ดเมืองคง
อำเภอปักธงชัย
* งานผ้าไหมและของดีเมืองปักธงชัย เป็นงานที่ชาวอำเภอปักธงชัย ได้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมผ้าไหม และสินค้าต่าง ๆ ของอำเภอปักธงชัย จัดในวันที่ 9-15 ธันวาคม ของทุกปี ที่สนามหน้าที่ว่าการอำเภอปักธงชัย
อำเภอโชคชัย
* เทศกาลกินหมี่ ประเพณีแห่เทียนพรรษา
* แข่งเรือพาย ตำบลท่าลาดขาว เดือนพฤศจิกายนของทุกปี
* แข่งเรือ ตำบลละลมใหม่พัฒนา
อำเภอแก้งสนามนาง
* งานเทศกาล มหัศจรรย์ทุ่งดอกจานบานสะพรั่ง
* งานบุญข้าวจี่
* งานทอดผ้าไหม
อำเภอด่านขุนทด
* งานสมโภชพระบรมสารีริกธาตุ วัดบ้านไร่ ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด วันที่ 11 มกราคมของทุกปี
อำเภอขามสะแกแสง
* งานของดีอำเภอขามสะแกแสง บริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอขามสะแกแสง เพื่อประชาสัมพันธ์ผลผลิตจากเกษตรกรโดยเฉพาะพริก ถือเป็นของดีของอำเภอ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้ พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรตระหนักถึงความสำคัญในอาชีพเกษตรกร ได้รับความรู้เชิงวิชาการและความรู้ใหม่ในการเพิ่มผลผลิต อีกทั้งการสร้างเสริมการตลาด ส่งเสริมความสามัคคี และอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นของอำเภอ
อำเภอสูงเนิน
* ประเพณีกินเข่าค่ำของดีเมืองสูงเนิน จัดขึ้นเป็นประจำในเสาร์ที่2ของเดือนมีนาคมของทุกปี โดยมีการแสดงแสง สี เสียง ชุดนิรมิตกรรมเหนือลำตะคลอง และการแสดงโอทอปประจำตำบลของอำเภอสูงเนิน การประกวดธิดากินเข่าค่ำ จัดขึ้นที่ปราสาทเมืองแขก ตำบลโคราช
อำเภอหนองบุญมาก
*เทศกาลเฟื่องฟ้างาม อำเภอหนองบุญมาก งานเทศกาลเฟื่องฟ้างามและของดีอำเภอหนองบุญมาก จัดขึ้นวันที่ 18-24 พฤศจิกายนของทุกปี เพื่อประชาสัมพันธ์ของดีอำเภอหนองบุญมาก ส่งเสริมอาชีพการปลูกต้นเฟื่องฟ้าและไม้ดัด ณ ศูนย์ราชการอำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา ยังมีจัดงานเยือนถิ่นหนองบุญมาก การแสดงแสงสีเสียง ณ ปราสาทหินบ้านถนนหัก จัดโดย องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านใหม่ อำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา จัดขึ้นช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี
อำเภอเทพารักษ์
* งานเทศกาลชมพระอาทิตย์ตกดิน ดอยเจดีย์ อำเภอเทพารักษ์
* พิธีสักการะรูปหล่อหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ตำบลบึงปรือ อำเภอเทพารักษ์
อำเภอเมืองยาง
* ประเพณีงานข้าวใหม่ปลามัน จัดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปีซึ่งเป็นระยะเวลาที่การเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้วและเชื่อกันว่าหากได้ข้าวและปลาในช่วงดังกล่าวจะมีรสชาติดีเป็นเลิศ อำเภอเมืองยาง
อำเภอลำทะเมนชัย
* การแข่งขันพายเรืออีโปงในเทศกาลวันสงกรานต์ อำเภอลำทะเมนชัย
อำเภอสีดา
* งานท้องถิ่นอำเภอสีดา
อำเภอโนนแดง
งานบุญบั้งไฟ ตำบลดอนยาวใหญ่ อำเภอโนนแดง
== บุคคลที่มีชื่อเสียง ==
{|
|--- valign=top
||
ศิลปิน/นักแสดง
กัญญ์กุลณัช ปัญญากิตตินันท์
จักรพันธ์ ครบุรีธีรโชติ
ณัฎฐพัชร์ วิภัทรเดชตระกูล
ติ๊ก ชีโร่
ตั๊กแตน ชลดา
ธงชัย ประสงค์สันติ
ธมลวรรณ กอบลาภธนากูล
นันทิตา ฆัมภิรานนท์
นนทนันท์ อัญชุลีประดิษฐ์
ปภาดา กลิ่นสุมาลย์
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
พัชร์ลิตา จิระพิทักษ์ชัย
เพ็ญ พิสุทธิ์
รตวรรณ ออมไธสง
รัตติยา พลเสน
รวิวรรณ จินดา
รัญชน์รวี เอื้อกูลวราวัตร
วงศกร ปรมัตถากร
วีรยา จาง
เจเน็ต เขียว
ศักดิ์ชาย วันชัย
เสกสรรค์ ศุขพิมาย
สุชาร์ มานะยิ่ง
สุนารี ราชสีมา
สุพิชฌาย์ ศรีสวัสดิ์
ศุทธสิทธิ์ พจน์ฐศักดิ์
เหมือนฝัน บัณฑิตสกุล
อัมพร ปานกระโทก
แอร์ สุชาวดี
พาเมล่า เบาว์เด้น
พัชรา แวงวรรณ
นิศาชล สิ่วไธสง
ปรารถนา สัชฌุกร
ปาริฉัตร ไพรหิรัญ
||
นักกีฬา
วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์
ปิยะมาศ โมนยะกุล
อุดมพร พลศักดิ์
พงษ์ศักดิ์เล็ก ศิษย์คนองศักดิ์
อานนท์ สังข์สระน้อย
รัตนพล ส.วรพิน
รัตนชัย ส.วรพิน
สมจิตร จงจอหอ
ศิวลักษณ์ เทศสูงเนิน
|นักการเมือง
• ประเสริฐ จันทรรวงทอง
• วรรณรัตน์ ชาญนุกูล
• เสกสกล อัตถาวงศ์
• จรูญพงศ์ พันธุ์ศรีนคร
• วัชรพล โตมรศักดิ์
• ณัฐจิรา อิ่มวิเศษ
||
พระภิกษุสงฆ์
พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ)
พระธรรมวชิรสุตาภรณ์ (สุพจน์ โชติญาโณ)
||
สือมวลชน
อธึกกิต แสวงสุข(ใบตองแห้ง)
|}
== ดูเพิ่ม ==
รายชื่อวัดในจังหวัดนครราชสีมา
รายชื่อตำบลในจังหวัดนครราชสีมา
เทศบาลนครนครราชสีมา
ประตูเมืองนครราชสีมา
นครชัยบุรินทร์
คูเมืองนครราชสีมา
รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดนครราชสีมา
รายชื่อศูนย์การค้าในจังหวัดนครราชสีมา
== อ้างอิง ==
Gervaise, Nicolas (originally published 1688) The Natural and Political History of the Kingdom of Siam. แปลโดย สันต์ ท.โกมลบุตร
de La Lubere, Simon (originally published 1693) Kingdom of Siam. แปลโดย สันต์ ท.โกมลบุตร
ภาพสแกนจากฉบับแปลภาษาอังกฤษของจดหมายเหตุลาลูแบร์ จากเว๊บไซต์ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยคอร์เนล
McCarthy, James Fitzroy (originally published 1901) Surveying and Exploring in Siam. แปลโดย น.ท.หญิง สุมาลี วีระวงศ์
Pallegeix, Jean-Baptiste (originally published 1854) Description du Royaume Thai ou Siam. แปลโดย สันต์ ท.โกมลบุตร
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด
เว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์เมืองนครราชสีมา
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา
แผนที่ตัวเมืองนครราชสีมา
|
thaiwikipedia
| 1,198 |
อนุพันธ์
|
ในวิชาคณิตศาสตร์ อนุพันธ์ (derivatives) ของฟังก์ชันของตัวแปรจริง เป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงของค่าของฟังก์ชันเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของอาร์กิวเมนต์ (ค่าที่ป้อนเข้าหรือตัวแปรต้น) อนุพันธ์เป็นเครื่องมือพื้นฐานของแคลคูลัส ตัวอย่างเช่น อนุพันธ์ของตำแหน่งของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่เมื่อเทียบกับเวลา คือ ความเร็วของวัตถุนั้น ซึ่งเป็นการวัดว่าตำแหน่งของวัตถุมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพียงใดเมื่อเวลาผ่านไป
อนุพันธ์ของฟังก์ชันตัวแปรเดียวที่ตัวแปรต้นใด ๆ คือความชันของเส้นสัมผัส (tangent) ที่สัมผัสกับกราฟของฟังก์ชันที่จุดนั้น เส้นสัมผัสคือการประมาณเชิงเส้นของฟังก์ชันที่ใกล้เคียงที่สุด (best linear approximation) กับค่าตัวแปรต้นนั้น ด้วยเหตุนี้ อนุพันธ์มักอธิบายได้ว่าเป็น "อัตราการเปลี่ยนแปลงขณะใดขณะหนึ่ง" ซึ่งก็คืออัตราส่วนของการเปลี่ยนแปลงขณะใดขณะหนึ่งของตัวแปรตามต่อตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ
กระบวนการหาอนุพันธ์เรียกว่า การหาอนุพันธ์ (differentiation หรือ การดิฟเฟอเรนชิเอต) ส่วนกระบวนการที่กลับกันเรียกว่า การหาปฏิยานุพันธ์ (antidifferentiation) ทฤษฎีบทมูลฐานของแคลคูลัสกล่าวว่าการหาปฏิยานุพันธ์เหมือนกันกับการหาปริพันธ์ (integration หรือ การอินทิเกรต) การหาอนุพันธ์และการหาปริพันธ์เป็นตัวดำเนินการพื้นฐานในแคลคูลัสตัวแปรเดียว
อนุพันธ์ของฟังก์ชันเป็นมโนทัศน์ (concept) หนึ่งในสองมโนทัศน์หลักของแคลคูลัส (อีกมโนทัศน์หนึ่งคือปฏิยานุพันธ์ ซึ่งคือตัวผกผันของอนุพันธ์)
== การหาอนุพันธ์และอนุพันธ์ ==
การหาอนุพันธ์ เป็นการคำนวณเพื่อที่จะได้มาซึ่งอนุพันธ์ อนุพันธ์ของฟังก์ชัน ของตัวแปร คืออัตราที่ค่า ของฟังก์ชันเปลี่ยนแปลงไปต่อการเปลี่ยนแปลงของตัวแปร เรียกว่า อนุพันธ์ของ เทียบกับ ถ้า และ เป็นจำนวนจริง และถ้ากราฟของฟังก์ชัน ลงจุดเทียบกับ อนุพันธ์ก็คือความชันของเส้นกราฟในแต่ละจุด
กรณีที่ง่ายที่สุด นอกเหนือจากกรณีของฟังก์ชันคงตัว คือเมื่อ เป็นฟังก์ชันเชิงเส้นของ ซึ่งหมายถึงกราฟของ จะเป็นเส้นตรง ในกรณีนี้ สำหรับจำนวนจริง และ และความชัน ซึ่งกำหนดโดยการเปลี่ยนแปลงของ หารด้วยการเปลี่ยนแปลงของ ดังสมการ
m = \frac{\Delta y}{\Delta x}
เมื่อสัญลักษณ์ (เดลตา) แทนคำว่า "การเปลี่ยนแปลง" สูตรนี้เป็นจริง เพราะว่า
y+\Delta y=f\left( x+\Delta x\right)
=m\left( x+\Delta x\right) +b
=mx +m\,\Delta x +b
= y + m\,\Delta x
เพราะฉะนั้น จะได้
y+\Delta y=y+m\,\Delta x
ทำให้ได้
\Delta y=m\,\Delta x
ซึ่ง เป็นค่าที่ถูกต้องของความชันของเส้นกราฟ ถ้าฟังก์ชัน ไม่เป็นฟังก์ชันเชิงเส้น (กล่าวคือ กราฟของมันไม่เป็นเส้นตรง) แล้วการเปลี่ยนแปลงของ หารด้วยการเปลี่ยนแปลงของ จะมีค่าแตกต่างกันออกไป การหาอนุพันธ์จึงเป็นวิธีการที่จะหาค่าที่ถูกต้องของอัตราการเปลี่ยนแปลงที่ค่าตัวแปรต้น ใด ๆ
แนวคิดนี้ ซึ่งแสดงดังรูปที่ 1 ถึงรูปที่ 3 คือการคำนวณอัตราการเปลี่ยนแปลงจากค่าลิมิตของอัตราส่วนของผลต่าง เมื่อ เข้าใกล้ค่าที่น้อยมาก
=== สัญกรณ์ ===
มีสัญกรณ์สำหรับอนุพันธ์สองแบบที่ใช้กันโดยทั่วไป แบบหนึ่งมาจากไลบ์นิซ และอีกแบบหนึ่งมาจากลากรางจ์ อนุพันธ์อีกแบบหนึ่งซึ่งคิดขึ้นโดยนิวตันมีใช้บ้างในสาขาฟิสิกส์
ในสัญกรณ์ของไลบ์นิซ การเปลี่ยนแปลงที่น้อยมากของ แสดงได้เป็น และอนุพันธ์ของ เทียบกับ เขียนได้ดังนี้
\frac{dy}{dx} \,\!
แสดงถึงอัตราส่วนของปริมาณที่น้อยมากสองปริมาณ (ข้างบนอ่านว่า "อนุพันธ์ของ y เทียบกับ x" หรือ "d y บาย d x" รูปแบบ "d y d x" นี้ใช้กันในการสนทนาอย่างบ่อยครั้ง แต่มันอาจทำให้สับสนได้)
ส่วนสัญกรณ์ของลากรางจ์ อนุพันธ์ของฟังก์ชัน เทียบกับ แสดงได้เป็น (อ่านว่า "f ไพรม์ของ of x") หรือ (อ่านว่า "f ไพรม์ x ของ x")
และในสัญกรณ์ของนิวตัน อนุพันธ์ของฟังก์ชันเขียนแทนด้วยจุดบนตัวแปรตาม นั่นคือ ถ้า y เป็นฟังก์ชันของ t แล้วอนุพันธ์ของ y เทียบกับ t จะเขียนแทนด้วย \dot{y} ในขณะที่อนุพันธ์อันดับที่สูงขึ้นจะเพิ่มจำนวนจุด เช่น \ddot{y}, \overset{...}{y} สัญกรณ์นี้นิยมใช้สำหรับตัวแปรตามที่ขึ้นกับเวลา
=== อัตราส่วนเชิงผลต่างของนิวตัน ===
อนุพันธ์ของฟังก์ชัน f ที่ x ในเชิงเรขาคณิต คือ ความชันของเส้นสัมผัสของกราฟ f ที่ x เราไม่สามารถหาความชันของเส้นสัมผัสจากฟังก์ชันที่กำหนดให้โดยตรงได้ เพราะว่าเรารู้เพียงจุดบนเส้นสัมผัส ซึ่งก็คือ (x, f (x)) เท่านั้น ในทางอื่น เราจะประมาณความชันของเส้นสัมผัสด้วยเส้นตัด (secant line) หลาย ๆ เส้น ที่มีจุดตัดทั้ง 2 จุดอยู่ห่างกันเป็นระยะทางสั้น ๆ เมื่อหาลิมิตของความชันของเส้นตัดที่จุดตัดอยู่ใกล้กันมาก ๆ เราจะได้ความชันของเส้นสัมผัส ดังนั้น อาจนิยามอนุพันธ์ว่าคือ ลิมิตของความชันของเส้นตัดที่เข้าใกล้เส้นสัมผัส
เพื่อหาความชันของเส้นตัดที่จุดตัดอยู่ใกล้กันมาก ๆ ให้ h เป็นจำนวนที่มีค่าน้อย ๆ h จะแทนการเปลี่ยนแปลงน้อย ๆ ใน x ซึ่งจะเป็นจำนวนบวกหรือลบก็ได้ ดังนั้น ความชันของเส้นที่ลากผ่านจุด (x,f (x) ) และ (x+h,f (x+h) ) คือ
{f (x+h) -f (x) \over h}
ซึ่งนิพจน์นี้ก็คือ อัตราส่วนเชิงผลต่างของนิวตัน (Newton's difference quotient) อนุพันธ์ของ f ที่ x คือ ลิมิตของค่าของผลหารเชิงผลต่าง ของเส้นตัดที่เข้าใกล้กันมาก ๆ จนเป็นเส้นสัมผัส:
f' (x) =\lim_{h\to 0}{f (x+h) -f (x) \over h}
=== ตัวอย่าง ===
ฟังก์ชันกำลังสอง หาอนุพันธ์ได้ที่ และอนุพันธ์ของมันที่ตำแหน่งนั้นเท่ากับ 6 ผลลัพธ์นี้มาจากการคำนวณลิมิตของอัตราส่วนของผลต่างของ เมื่อ เข้าใกล้ศูนย์:
\begin{align}
f'(3) & = \lim_{h\to 0}\frac{f(3+h)-f(3)}{h} = \lim_{h\to 0}\frac{(3+h)^2 - 3^2}{h} \\[10pt]
& = \lim_{h\to 0}\frac{9 + 6h + h^2 - 9}{h} = \lim_{h\to 0}\frac{6h + h^2}{h} = \lim_{h\to 0}{(6 + h)}
\end{align}
นิพจน์สุดท้ายแสดงให้เห็นว่าอัตราส่วนของผลต่างเท่ากับ เมื่อ และไม่นิยามเมื่อ เนื่องจากนิยามของอัตราส่วนของผลต่าง อย่างไรก็ตาม นิยามของลิมิตกล่าวว่าอัตราส่วนของผลต่างไม่จำเป็นต้องนิยามเมื่อ ลิมิตก็คือผลลัพธ์จากการให้ เข้าสู่ศูนย์ ซึ่งหมายถึงแนวโน้มของค่า เมื่อ มีค่าน้อยลงมาก ๆ
\lim_{h\to 0}{(6 + h)} = 6 + 0 = 6
ดังนั้น ความชันของกราฟของฟังก์ชันกำลังสองที่จุด คือ 6 และอนุพันธ์ของมันที่ คือ
ต่อไปนี้เป็นการคำนวณในทำนองเดียวกันในกรณีทั่วไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอนุพันธ์ของฟังก์ชันกำลังสองที่ คือ :
\begin{align}
f'(a) & = \lim_{h\to 0}\frac{f(a+h)-f(a)}{h} = \lim_{h\to 0}\frac{(a+h)^2 - a^2}{h} \\[0.3em]
& = \lim_{h\to 0}\frac{a^2 + 2ah + h^2 - a^2}{h} = \lim_{h\to 0}\frac{2ah + h^2}{h} \\[0.3em]
& = \lim_{h\to 0}{(2a + h)} = 2a
\end{align}
=== ความต่อเนื่องและการหาอนุพันธ์ได้ ===
ถ้า f เป็นฟังก์ชันที่หาอนุพันธ์ ณ a ได้ f จะต้องต่อเนื่องที่ a เสมอ ถ้า f ไม่ต่อเนื่องที่ a จะหาอนุพันธ์ไม่ได้ ตัวอย่างเช่น เลือกจุด a และให้ f เป็นฟังก์ชันขั้นบันไดที่มีค่า 1 สำหรับ x ทั้งหมดที่น้อยกว่า a และมีค่า 10 สำหรับ x ทั้งหมดที่มากกว่าหรือเท่ากับ a แล้ว f ไม่สามารถมีอนุพันธ์ได้ที่ a โดยหาก h เป็นค่าลบ a + h จะอยู่ที่ส่วนล่างของขั้นบันได ดังนั้นเส้นตัดจาก a ถึง a + h นั้นสูงชันมากและเมื่อ h มีแนวโน้มเป็นศูนย์ความชันจะไม่มีที่สิ้นสุด หาก h เป็นค่าบวก a + h จะอยู่บนส่วนสูงของขั้นบันได ดังนั้นเส้นตัดจาก a ถึง a + h มีความชันเป็นศูนย์ ดังนั้นเส้นตัดจึงไม่ได้เข้าใกล้ความชันเดียว และลิมิตของอัตราส่วนของผลต่างจึงไม่สามารถหาได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าฟังก์ชันจะต่อเนื่อง ณ จุดหนึ่ง ก็ยังอาจไม่สามารถหาอนุพันธ์ได้ ตัวอย่างเช่นฟังก์ชันค่าสัมบูรณ์ f(x) = |x| ต่อเนื่องที่ x = 0 แต่ไม่สามารถหาอนุพันธ์ได้ หาก h เป็นค่าบวกความชันของเส้นตัดจาก 0 ถึง h จะเท่ากับ 1 ในขณะที่ถ้า h เป็นลบความชันของเส้นตัดจาก 0 ถึง h จะเป็น -1 จุดที่หาอนุพันธ์ไม่ได้นี้สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นมุมในกราฟที่ x = 0 แต่แม้ฟังก์ชันที่กราฟไม่หักมุมก็ยังอาจจะไม่สามารถหาอนุพันธ์ได้ ณ จุดที่ความชันเป็นแนวตั้ง: ตัวอย่างเช่นฟังก์ชันที่กำหนดโดย f(x) = x1/3 ไม่สามารถหาอนุพันธ์ได้ที่ x = 0
สรุปว่า ฟังก์ชันที่มีอนุพันธ์นั้นต่อเนื่อง แต่มีฟังก์ชันต่อเนื่องที่ไม่มีอนุพันธ์
ฟังก์ชันส่วนใหญ่ที่พบในทางปฏิบัติมีอนุพันธ์ทุกจุดหรือเกือบทุกจุด เพราะเหตุนี้ ในช่วงแรกของประวัติศาสตร์ของแคลคูลัส นักคณิตศาสตร์หลายคนสันนิษฐานว่าฟังก์ชันต่อเนื่องมีอนุพันธ์ที่จุดส่วนใหญ่ ซึ่งภายใต้เงื่อนไขที่ไม่รุนแรงมาก เช่นถ้าฟังก์ชันเป็นฟังก์ชันโมโนโทนหรือฟังก์ชันลิปชิตส์ สิ่งนี้จะเป็นจริง อย่างไรก็ตามในปี 1872 ไวเออร์ชตราส พบตัวอย่างแรกของฟังก์ชันที่ต่อเนื่องได้ทุกที่ แต่ไม่สามารถหาอนุพันธ์ได้ที่ไหน ตัวอย่างนี้เรียกว่าฟังก์ชันไวเออร์ชตราส ในปี 1931 สเตฟาน บานาค พิสูจน์ว่าเซตของฟังก์ชันที่มีอนุพันธ์ในบางจุดเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของฟังก์ชันต่อเนื่องทั้งหมด หมายความว่าการสุ่มฟังก์ชันต่อเนื่องใด ๆ แทบไม่มีโอกาสเลยที่จะหาอนุพันธ์ได้แม้จุดเดียว
== อนุพันธ์ในฐานะฟังก์ชัน ==
ถ้าฟังก์ชัน f สามารถหาค่าอนุพันธ์ได้ในทุกจุดในโดเมนของมัน เราสามารถนิยามฟังก์ชันที่พาค่า x ทุกค่าในโดเมนนั้นไปหาค่าของอนุพันธ์ของ f ที่ x ได้ ฟังก์ชันนี้เขียนแทนด้วย f และเรียกว่า ฟังก์ชันอนุพันธ์ ของ f
ในกรณีที่ f ไม่สามารถหาอนุพันธ์ได้ครบทุกจุดในโดเมน ฟังก์ชันที่มีค่าเท่ากับอนุพันธ์นี้สำหรับจุดที่หาได้ และไม่นิยามสำหรับจุดอื่น ๆ ก็สามารถเรียกว่าอนุพันธ์ของ f ได้เช่นกัน ซึ่งอนุพันธ์นี้ยังคงเป็นฟีงก์ชัน แต่มีโดเมนเล็กกว่า f
จากมุมมองนี้ เราสามารถมองการหาอนุพันธ์เป็นฟังก์ชันของฟังก์ชัน นั่นคือ อนุพันธ์เป็นตัวดำเนินการที่มีโดเมนเป็นเซตของฟังก์ชันทุกฟังก์ชันที่หาอนุพันธ์ได้ทุกจุดบนโดเมนของตัวมันเอง และมีเรนจ์เป็นเซตของฟังก์ชัน หากเราแทนตัวดำเนินการนี้ด้วย D แล้วจะได้ D(f) = f เนื่องจาก D(f) เป็นฟังก์ชัน สามารถหาค่าที่จด a ใด ๆ ได้ว่า D(f)(a) = f'(a)
== อนุพันธ์อันดับสูง ==
หาก f เป็นฟังก์ชันที่หาอนุพันธ์ได้ โดย f' เป็นอนุพันธ์ของ f แล้วอนุพันธ์ของ f อีกทีหนึ่ง (ถ้าอนุพันธ์นี้หาได้) เขียนแทนด้วย f และเรียกว่า อนุพันธ์อันดับสอง ของ f ในทำนองเดียวกัน อนุพันธ์ของ f (ถ้าหาได้) เขียนแทนด้วย f และเรียกว่า อนุพันธ์อันดับสาม ของ f เมื่อทำเช่นนี้ซ้ำไปเรื่อย ๆ เราก็จะได้นิยามของ อนุพันธ์อันดับที่ n ว่าเป็นอนุพันธ์ของอนุพันธ์อันดับที่ n - 1 อนุพันธ์อันดับตั้งแต่สองขึ้นไปนี้โดยรวมเรียกว่า อนุพันธ์อันดับสูง (higher-order derivatives)
อนุพันธ์อันดับสูงมีนัยสำคัญในวิชาฟิสิกส์ กล่าวคือ ถ้า x(t) แสดงตำแหน่งของวัตถุที่เวลา t แล้วอนุพันธ์อันดับหนึ่งของ x แสดงความเร็วของวัตถุ และอันดับสองแสดงความเร่ง
ฟังก์ชันที่มีอนุพันธ์ไม่จำเป็นต้องมีอนุพันธ์อันดับสูงกว่านั้น เช่น หาก
f(x) = \begin{cases} +x^2, & x\ge 0 \\ -x^2, & x \le 0\end{cases}
แล้วจะสามารถพิสูจน์ได้ว่า f หาอนุพันธ์ได้เท่ากับ
f'(x) = \begin{cases} +2x, & x\ge 0 \\ -2x, & x \le 0\end{cases}
เท่ากับสองเท่าของฟังก์ชันค่าสัมบูรณ์ ซึ่งไม่มีอนุพันธ์ที่ x = 0 ดังนั้น f ไม่มีอนุพันธ์อันดับสองที่ค่า x นี้
ในทำนองเดียวกัน ฟังก์ชันสามารถมีอนุพันธ์ขึ้นไปถึงอันดับที่ k แต่ไม่มีอนุพันธ์อันดับที่ k + 1 ซึ่งเรียกว่าฟังก์ชันที่หาอนุพันธ์ได้ k ครั้ง และถ้าอนุพันธ์อันดับที่ k นี้ต่อเนื่องด้วย จะเรียกฟังก์ชันนั้นว่าอยู่ในคลาส Ck ฟังก์์ชันที่หาอนุพันธ์ได้เรื่อย ๆ โดยไม่จำกัดครั้งเรียกว่า ฟังก์ชันปรับเรียบ (smooth function)
ฟังก์ชันพหุนามทุกฟังก์ชันสามารถหาอนุพันธ์ได้ไม่จำกัดครั้ง โดยถ้าพหุนามดีกรี n ถูกหาอนุพันธ์ n ครั้งจะได้ฟังก์ชันค่าคงที่เสมอ และอนุพันธ์อันดับถัดจากนั้นก็จะเป็นศูนย์ทุกอันดับ ดังนั้นฟังก์ชันพหุนามทุกฟังก์ชันเป็นฟังก์ชันปรับเรียบ
=== จุดเปลี่ยนเว้า ===
จุดที่อนุพันธ์อันดับสองของฟังก์ชันเปลี่ยนเครื่องหมาย (จากจำนวนจริงลบเป็นจำนวนจริงบวก หรือในทางกลับกัน) เรียกว่า จุดเปลี่ยนเว้า ที่จุดเปลี่ยนเว้า อนุพันธ์อันดับสองอาจเป็นศูนย์ ดังในกรณีที่จุดเปลี่ยนเว้าที่ ของฟังก์ชัน หรืออนุพันธ์อันดับสองอาจหาค่าไม่ได้ ดังในกรณีที่จุดเปลี่ยนเว้าที่ ของฟังก์ชัน ฟังก์ชันจะเปลี่ยนจากฟังก์ชันเว้าไปเป็นฟังก์ชันนูนหรือในทางกลับกันที่จุดเปลี่ยนเว้า
== รายละเอียดสัญกรณ์ ==
=== สัญกรณ์ของไลบ์นิซ ===
สัญลักษณ์ dx, dy และ dx/dy เสนอโดยกอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ในปี ค.ศ. 1675 สัญลักษณ์นี้ใช้กันอย่างทั่วไปเมื่อสมการ ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตาม อนุพันธ์อันดับหนึ่งเขียนได้ดังนี้
\frac{dy}{dx},\quad\frac{d f}{dx}(x),\;\;\mathrm{or}\;\; \frac{d}{dx}f(x)
อนุพันธ์อันดับสูงจะแสดงโดยใช้สัญลักษณ์
\frac{d^ny}{dx^n},
\quad\frac{d^n f}{dx^n}(x),
\;\;\mathrm{or}\;\;
\frac{d^n}{dx^n}f(x)
สำหรับอนุพันธ์อันดับที่ n ของ (เทียบกับ x) ข้างบนเป็นสัญลักษณ์ย่อของการใช้ตัวดำเนินการอนุพันธ์หลายตัว ยกตัวอย่างเช่น
\frac{d^2y}{dx^2} = \frac{d}{dx}\left(\frac{dy}{dx}\right)
ในสัญกรณ์ของไลบ์นิซ เราสามารถเขียนอนุพันธ์ของ y ที่จุด ในรูปที่แตกต่างกันสองแบบ:
\left.\frac{dy}{dx}\right|_{x=a} = \frac{dy}{dx}(a)
สัญกรณ์ของไลบ์นิซช่วยให้สามารถระบุตัวแปรในการหาอนุพันธ์ได้ (ในตัวส่วน) โดยเฉพาะในเรื่องการหาอนุพันธ์ย่อย และยังทำให้ง่ายต่อการจำกฎลูกโซ่อีกด้วย:
\frac{dy}{dx} = \frac{dy}{du} \cdot \frac{du}{dx}.
=== สัญกรณ์ของลากรางจ์ ===
ในบางครั้งเราเรียกว่า สัญกรณ์ไพรม์ หนึ่งในสัญกรณ์ยุคใหม่ที่ใช้กันมากที่สุดสำหรับการหาอนุพันธ์ ซึ่งมาจากโฌแซ็ฟ-หลุยส์ ลากร็องฌ์ โดยใช้เครื่องหมายไพรม์ กล่าวคือ อนุพันธ์ของฟังก์ชัน f(x) เขียนได้ในรูป f′(x) หรือ f′ ในทำนองเดียวกันอนุพันธ์อันดับสองและสามก็เขียนได้ในรูปดังนี้
(f')'=f\,   และ   (f)'=f'
เพื่อที่จะเขียนอนุพันธ์อันดับที่สูงกว่านี้ ผู้เขียนบางคนก็จะใช้เลขโรมันเป็นตัวยก หรือบางคนอาจใช้จำนวนนับในวงเล็บ:
f^{\mathrm{iv}}\,\!   หรือ   f^{(4)}
สัญกรณ์ด้านหลัง ถ้าอยู่ในรูปทั่วไปก็คือ f (n) สำหรับอนุพันธ์อันดับ n ของ f สัญกรณ์นี้มีประโยชน์มากที่สุดเมื่อเราต้องการจะกล่าวถึงอนุพันธ์ในอยู่ในรูปฟังก์ชันของมันเอง ดังเช่นในกรณีนี้ สัญกรณ์ไลบ์นิซอาจกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก
=== สัญกรณ์ของนิวตัน ===
สัญกรณ์ของนิวตันสำหรับการหาอนุพันธ์ เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าสัญกรณ์จุด โดยการเขียนไว้เหนือชื่อฟังก์ชันเพื่อแทนจำนวนครั้งของอนุพันธ์ ถ้า แล้ว
\dot{y}   และ   \ddot{y}
หมายถึง อนุพันธ์อันดับหนึ่งและสองของ y เทียบกับ t ตามลำดับ สัญกรณ์นี้นำไปใช้อย่างเฉพาะทางอย่างเช่น อนุพันธ์เทียบกับเวลา หรือเทียบกับความยาวส่วนโค้ง ซึ่งใช้กันทั่วไปในฟิสิกส์ สมการเชิงอนุพันธ์ และเรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ โดยสัญกรณ์นี้ไม่สามารถที่จะเขียนได้เมื่ออนุพันธ์มีอันดับที่สูงขึ้น ในทางปฏฺบัติ จะใช้เพียงอนุพันธ์ไม่กี่อันดับที่จำเป็นเท่านั้น
=== สัญกรณ์ของออยเลอร์ ===
สัญกรณ์ของออยเลอร์จะใช้ตัวดำเนินการเชิงอนุพันธ์ D ซึ่งจะใช้กับฟังก์ชัน f เพื่อที่จะได้อนุพันธ์อันดับหนึ่ง Df ส่วนอนุพันธ์อันดับสองเขียนได้ในรูป D2f และอนุพันธ์อันดับ n เขียนได้ในรูป Dnf
ถ้า เป็นตัวแปรตาม แล้ว x จะเป็นตัวห้อยอยู่ใต้ D เพื่อบ่งบอกว่ากำลังเทียบกับตัวแปรต้น x ดังข้างล่าง
D_x y\,   หรือ D_x f(x)\,,
แต่ตัวห้อย x มักจะถูกละไว้ในฐานที่เข้าใจเพื่อความรวดเร็ว เมื่อมีตัวแปรต้นนี้อยู่ตัวเดียว
สัญกรณ์ของออยเลอร์มีประโยชน์ในการแก้สมการเชิงอนุพันธ์เชิงเส้น
== กฎการคำนวณ ==
=== กฎสำหรับฟังก์ชันพื้นฐาน ===
การหาอนุพันธ์ของเลขยกกำลัง: ถ้า
f(x) = x^r
เมื่อ r เป็นจำนวนจริงใด ๆ แล้ว
f'(x) = rx^{r-1}
เมื่อไรก็ตามที่ฟังก์ชันนี้สามารถหาค่าได้ ตัวอย่างเช่น ถ้า f(x) = x^{1/4} แล้ว
f'(x) = (1/4)x^{-3/4}
และฟังก์ชันอนุพันธ์สามารถหาค่าได้เฉพาะสำหรับค่า x ที่เป็นบวก ไม่ใช่ เมื่อ กฎนี้จะให้ค่า f′(x) เป็นศูนย์สำหรับ ซึ่งกรณีนี้ก็คือกฎค่าคงที่
กฎค่าคงที่: ถ้า f(x) คือค่าคงที่ แล้ว
f' = 0
ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม:
\frac{d}{dx}e^x = e^x
\frac{d}{dx}a^x = a^x\ln(a)
\frac{d}{dx}\ln(x) = \frac{1}{x},\qquad x > 0
\frac{d}{dx}\log_a(x) = \frac{1}{x\ln(a)}
ฟังก์ชันตรีโกณมิติ:
\frac{d}{dx}\sin(x) = \cos(x)
\frac{d}{dx}\cos(x) = -\sin(x)
\frac{d}{dx}\tan(x) = \sec^2(x) = \frac{1}{\cos^2(x)} = 1+\tan^2(x)
จากกฎผลคูณและกฎผลหารทำให้ได้
\frac{d}{dx}\csc (x) = -\csc x\cot x
\frac{d}{dx}\sec (x) = \sec x \tan x
\frac{d}{dx}\cot (x) = -\csc^2 x
ฟังก์ชันตรีโกณมิติผกผัน:
\frac{d}{dx}\arcsin(x) = \frac{1}{\sqrt{1-x^2}}, -1
\frac{d}{dx}\arccos(x)= -\frac{1}{\sqrt{1-x^2}}, -1
\frac{d}{dx}\arctan(x)= \frac{1}
=== กฎสำหรับฟังก์ชันหลายฟังก์ชันรวมกัน ===
ในหลายกรณี การใช้วิธีอัตราส่วนเชิงผลต่างของนิวตันแบบตรง ๆ จะทำให้การคำนวณลิมิตยุ่งยากได้ ซึ่งหลีกเลี่ยงโดยการใช้กฎการหาอนุพันธ์เหล่านี้
กฎผลรวม:
(\alpha f + \beta g)' = \alpha f' + \beta g' \, สำหรับฟังก์ชันทั้งหมด f และ g และจำนวนจริงทั้งหมด \alpha และ \beta
กฎผลคูณ:
(fg)' = f 'g + fg' \, สำหรับฟังก์ชันทั้งหมด f และ g ในกรณีพิเศษ กฎนี้รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่า (\alpha f)' = \alpha f' เมื่อไรก็ตามที่ \alpha เป็นค่าคงที่ เพราะว่า \alpha' f = 0 \cdot f = 0 จากกฎค่าคงที่
กฎผลหาร:
\left(\frac{f}{g} \right)' = \frac{f'g - fg'}{g^2} สำหรับฟังก์ชันทั้งหมด f และ g ของตัวแปรต้นทั้งหมดโดยที่ .
กฎลูกโซ่: ถ้า f(x) = h(g(x)) แล้ว
f'(x) = h'(g(x)) \cdot g'(x) \,
=== ตัวอย่างการคำนวณ ===
อนุพันธ์ของ
f(x) = x^4 + \sin (x^2) - \ln(x) e^x + 7\,
คือ
\begin{align}
f'(x) &= 4 x^{(4-1)}+ \frac{d\left(x^2\right)}{dx}\cos (x^2) - \frac{d\left(\ln {x}\right)}{dx} e^x - \ln(x) \frac{d\left(e^x\right)}{dx} + 0 \\
&= 4x^3 + 2x\cos (x^2) - \frac{1}{x} e^x - \ln(x) e^x
\end{align}
ในพจน์ที่สองของ คำนวณโดยใช้กฎลูกโซ่ และพจน์ที่สามใช้กฎผลคูณ นอกจากนี้ยังใช้กฎการหาอนุพันธ์สำหรับฟังก์ชันพื้นฐาน ได้แก่ x2, x4, sin(x), ln(x) และ รวมถึงค่าคงที่ 7 ในพจน์สุดท้าย
== ทั่วไป ==
== ดูเพิ่ม ==
กณิกนันต์
คณิตวิเคราะห์
ปฏิยานุพันธ์
ปริพันธ์
ตัวผกผันการคูณ
== หมายเหตุ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Khan Academy: "Newton, Leibniz, and Usain Bolt"
Online Derivative Calculator from Wolfram Alpha.
แคลคูลัส
ฟังก์ชันและการจับคู่
คณิตวิเคราะห์
|
thaiwikipedia
| 1,199 |
เขาเอเวอเรสต์
|
เอเวอเรสต์ (Everest; सगरमाथा, สครมาถา; ทิเบต: ཇོ་མོ་གླང་མ; 珠穆朗玛 จูมู่หลั่งหม่า) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในโลกที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่ในหุบเขาย่อยมหาลังกูร์หิมัลในเทือกเขาหิมาลัย จุดสูงสุดของเขาเอเวอเรสต์อยู่บนพรมแดนจีน-เนปาล ปัจจุบันเอเวอเรสต์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหนึ่งของเนปาลและทิเบต มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาปีนเขาจำนวนมาก และ มีมากกว่า 300 คนเสียชีวิตบนเขาเอเวอเรสต์ และร่างผู้เสียชีวิตจำนวนมากถูกทิ้งไว้บนเขา
== ดูเพิ่ม ==
อุทยานแห่งชาติสครมาถา
เทือกเขาหิมาลัย
เขาโอโฆสเดลซาลาโด
== อ้างอิง ==
เอเวอเรสต์
เอเวอเรสต์
จุดที่สุดในโลก
เทือกเขาหิมาลัย
จุดสูงสุดของประเทศ
|
thaiwikipedia
| 1,200 |
3 เมษายน
|
วันที่ 3 เมษายน เป็นวันที่ 93 ของปี (วันที่ 94 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 272 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 1586 (ค.ศ. 1043) - พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดธรรมสักขีขึ้นครองราชบัลลังก์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษ
พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350) - สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
พ.ศ. 2264 (ค.ศ. 1721) - รอเบิร์ต วอลโพล กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของบริเตนใหญ่ แม้ว่าตัวเขาเองจะปฏิเสธตำแหน่งดังกล่าวก็ตาม
พ.ศ. 2394 (ค.ศ. 1851) - พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สยามหลังจากที่พระเชษฐาต่างพระราชมารดาคือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต
พ.ศ. 2403 (ค.ศ. 1860) - บริการไปรษณีย์ด้วยรถม้าด่วน โพนีเอกซ์เพรส ที่ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก เริ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา
พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) - ซันเดถ้วยแรกถือกำเนิดขึ้นที่รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) - แฮร์รี เอส. ทรูแมน ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ลงนามแผนมาร์แชลล์ที่เสนอโดย จอร์จ มาร์แชลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ 16 ประเทศในยุโรป หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - ไอบีเอ็มเผยแผนการผลิต PC Convertible ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์วางตักรุ่นแรก
พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) - รถไฟฟ้าบีทีเอส เปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวใต้ ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ (สายสุขุมวิทส่วนต่อขยาย) 1 สถานี คือ สถานีสำโรง และเป็นรถไฟฟ้าบีทีเอสสายแรกที่ให้บริการนอกเขตกรุงเทพมหานคร
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2326 (ค.ศ. 1783) - วอชิงตัน เออร์วิง นักเขียนชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2402)
พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) - ดอริส เดย์ นักแสดง นักร้องชาวอเมริกัน (เสียชีวิต 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2562)
พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) - มาร์ลอน แบรนโด นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2547)
พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) - เฮ็ลมูท โคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี (เสียชีวิต 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560)
พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) - แมน เนรมิตร นักร้องลูกทุ่งชาวไทย
พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) - ทองสุข สัมปหังสิต อดีตผู้ฝึกสอนทีมการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) - อเล็ก บอลด์วิน นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - เอ็ดดี้ เมอร์ฟี นักแสดงชายชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) - กมลชนก เขมะโยธิน นักแสดง พิธีกรและนางแบบชาวไทย
พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - เบน เมนเดลโซห์น นักแสดงชาวออสเตรเลีย
พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - กิตติศักดิ์ ชลศึกษ์ ผู้ประกาศข่าวชาวไทย
พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - สุภิญญา กลางณรงค์ นักกิจกรรมชาวไทย
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) -
*เบน ฟอสเตอร์ (นักฟุตบอล) นักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษ
*ออสติน วูล์ฟ นักแสดง และนายแบบภาพยนตร์ลามกเกย์ชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) -
*ฉัตรชัย คุ้มพญา นักฟุตบอลอาชีพชาวไทย
พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - คณิศ ปิยะปภากรกูล อดีต ศิลปิน นักแสดง นักร้อง และนายแบบชาวไทย
พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - ติม กรึล นักฟุตบอลชาวดัตช์
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) -
*ธนิน มนูญศิลป์ (บอมบ์) นักแสดงและนายแบบชาวไทย
*ธีธัช จรรยาศิริกุล นักร้อง/นักแสดงชาวไทย
*ลอวเร คาลินิช นักฟุตบอลชาวโครเอเชีย
*อัลเฟรโด เมเคีย นักฟุตบอลกองกลางชาวฮอนดูรัส
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - เฮย์ลีย์ คิโยะโกะ นักร้อง นักแต่งเพลง นักแสดง และนักเต้นชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - อาเดรียง ราบีโย นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส
พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - กาบรีแยล เฌซุส นักฟุตบอลชาวบราซิล
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1897) - โยฮันเนส บราห์ม คีตกวีชาวเยอรมัน (เกิด 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2376)
พ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905) - พระยาวิสูตรสาครดิฐ (จอห์น บุช) หรือที่รู้จักโดยทั่วไปคือ "กัปตันบุช" (เกิด 4 สิงหาคม พ.ศ. 2362)
พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) - กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ประสูติ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2400)
พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - กลีบ มหิธร ผู้รจนาตำราอาหารชื่อ หนังสือกับข้าวสอนลูกหลานของท่านผู้หญิงกลีบ มหิธร (เกิด 24 ธันวาคม พ.ศ. 2419)
พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) - เชซาเร มัลดีนี นักฟุตบอลและผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวอิตาลี (เกิด 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2475)
พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) - วาดะ โคจิ นักร้องชายอนิเมะซองชาวญี่ปุ่น (เกิด 29 มกราคม พ.ศ. 2517)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
กินี - วันเอกราช
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
NY Times: On This Day
Today in History: April 3
มเมษายน 03
เมษายน
|
thaiwikipedia
| 1,201 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.