title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ชวน NEC ญี่ปุ่นเสนอแผนพัฒนา Smart EEC ในไทย
|
วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ ชวน NEC ญี่ปุ่นเสนอแผนพัฒนา Smart EEC ในไทย
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมหารือกับนายโนริฮิโกะ อิชิกุโร (Mr. Norihiko Ishiguro) รองประธานบริษัท เอ็นอีซี คอร์เปอร์เรชั่น จํากัด อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น พร้อมคณะผู้บริหาร โดยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการนําเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้กับแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย ซึ่ง บ.เอ็นอีซีฯ มีประสบการณ์การดําเนินงานระหว่างประเทศต่างๆ มาแล้วทั่วโลก พร้อมทั้งเชิญชวนให้ บ.เอ็นอีซีฯ นําเสนอร่างแนวทางการพัฒนา Smart EEC เพื่อนํามาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้เชิญชวน บ.เอ็นอีซีฯ มาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดแสดงบูธในงาน Thailand Digital Big Bang 2017 ระหว่างวันที่ 21–24 กันยายน 2560 ด้วย เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560 ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
**************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ชวน NEC ญี่ปุ่นเสนอแผนพัฒนา Smart EEC ในไทย
วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ ชวน NEC ญี่ปุ่นเสนอแผนพัฒนา Smart EEC ในไทย
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมหารือกับนายโนริฮิโกะ อิชิกุโร (Mr. Norihiko Ishiguro) รองประธานบริษัท เอ็นอีซี คอร์เปอร์เรชั่น จํากัด อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น พร้อมคณะผู้บริหาร โดยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการนําเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้กับแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย ซึ่ง บ.เอ็นอีซีฯ มีประสบการณ์การดําเนินงานระหว่างประเทศต่างๆ มาแล้วทั่วโลก พร้อมทั้งเชิญชวนให้ บ.เอ็นอีซีฯ นําเสนอร่างแนวทางการพัฒนา Smart EEC เพื่อนํามาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้เชิญชวน บ.เอ็นอีซีฯ มาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดแสดงบูธในงาน Thailand Digital Big Bang 2017 ระหว่างวันที่ 21–24 กันยายน 2560 ด้วย เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560 ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
**************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4525
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นวัตกรรมรถมินิบัสอลูมิเนียม
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563
นวัตกรรมรถมินิบัสอลูมิเนียม
17 ธันวาคม 2562
รถมินิบัสอลูมิเนียม บริษัท สกุลฎ์ อินโนเวชั่น จํากัด ร่วมวิจัยกับ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เป็นรถมินิบัสนวัตกรรมใหม่อลูมิเนียมสัญชาติไทยที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิตตัวถงแบบปั๊มขึ้นรูปผสมผสานกับการฉีดขึ้นรูปทั้งคันตามมาตรฐานการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ทันสมัยเพื่อลดรอยต่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้โดยสาร
ทั้งนี้ สวทช. ได้สนับสนุนเรื่องการออกแบบด้วยเทคโนโลยีไลท์เวท (Lightweight Technology) เพื่อลดน้ําหนักให้กับโครงสร้างรถ มีน้ําหนักเบากว่ารถที่ใข้โครงสร้างโลหะ 50% ทําให้ประหยัดเชื้อเพลิง ไม่เป็นสนิมและประเมินโครงสร้างให้มีความปลอดภัยอย่างสูงสุด รวมถึงได้มีประกาศการลงทุนและสร้างโรงงานประกอบที่มีกําลังการผลิตกว่า 2,800 คันต่อปี เพื่อผลิตรถโดยสารตัวถังอลูมิเนียมครั้งแรกของประเทศไทย เตรียมพร้อมส่งมอบยอดจองจากปีที่แล้ว 208 คัน ภายในไตรมาสแรกปี 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นวัตกรรมรถมินิบัสอลูมิเนียม
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563
นวัตกรรมรถมินิบัสอลูมิเนียม
17 ธันวาคม 2562
รถมินิบัสอลูมิเนียม บริษัท สกุลฎ์ อินโนเวชั่น จํากัด ร่วมวิจัยกับ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เป็นรถมินิบัสนวัตกรรมใหม่อลูมิเนียมสัญชาติไทยที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิตตัวถงแบบปั๊มขึ้นรูปผสมผสานกับการฉีดขึ้นรูปทั้งคันตามมาตรฐานการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ทันสมัยเพื่อลดรอยต่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้โดยสาร
ทั้งนี้ สวทช. ได้สนับสนุนเรื่องการออกแบบด้วยเทคโนโลยีไลท์เวท (Lightweight Technology) เพื่อลดน้ําหนักให้กับโครงสร้างรถ มีน้ําหนักเบากว่ารถที่ใข้โครงสร้างโลหะ 50% ทําให้ประหยัดเชื้อเพลิง ไม่เป็นสนิมและประเมินโครงสร้างให้มีความปลอดภัยอย่างสูงสุด รวมถึงได้มีประกาศการลงทุนและสร้างโรงงานประกอบที่มีกําลังการผลิตกว่า 2,800 คันต่อปี เพื่อผลิตรถโดยสารตัวถังอลูมิเนียมครั้งแรกของประเทศไทย เตรียมพร้อมส่งมอบยอดจองจากปีที่แล้ว 208 คัน ภายในไตรมาสแรกปี 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27512
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมจ่ายเงินเยียวยารอบเดียว 3,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบางภายใน 20 ก.ค. นี้
|
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563
พม. เตรียมจ่ายเงินเยียวยารอบเดียว 3,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบางภายใน 20 ก.ค. นี้
พม. เตรียมจ่ายเงินเยียวยารอบเดียว 3,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบางภายใน 20 ก.ค. นี้
วันนี้ (1 ก.ค. 63) เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กทม.นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยถึงการจ่ายเงินเยียวยา 3,000 บาท สําหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) ว่า เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้สํานักงานปลัดกระทรวงกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดําเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยการจ่ายเงินเยียวยาโดยตรงรายละ 1,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเติมจากเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เบี้ยความพิการ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 รวมเป็นเงิน 3,000 บาท มีจํานวนทั้งหมด 6,781,881 ราย ประกอบด้วย 1. เด็กที่ได้รับสิทธิโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จํานวน 1,394,756 ราย 2. ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จํานวน 4,056,596 ราย และ 3. คนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ จํานวน 1,330,529 ราย
นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า กลุ่มเปราะบางทั้งสามกลุ่มเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อยและอยู่ในครอบครัวที่ประสบภาวะทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะว่างงานของสมาชิกครอบครัว โดยผู้ที่มีสิทธิรับเงินเยียวยา 3,000 บาท สําหรับกลุ่มเปราะบาง มีหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1. ต้องเป็นผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิ์การช่วยเหลือเยียวยาจากมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงแรงงาน (สํานักงานประกันสังคม)2. เป็นกลุ่มที่อยู่ในฐานข้อมูลของกระทรวง พม. ซึ่งได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องมีการลงทะเบียนในการขอรับสิทธิ์อีก โดยหากท่านได้รับเงินอุดหนุนในเดือนพฤษภาคม 2563 จากช่องทางการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือในรูปแบบเงินสด ถือว่าท่านมีสิทธิ์ตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวง พม. ซึ่งได้ดําเนินการเตรียมความพร้อมในการจ่ายเงินเยียวยาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. จะเร่งดําเนินการพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาเดือนละ 1,000 บาท รวม 3 เดือน คิดเป็นเงิน 3,000 บาท (ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 โดยแบ่งเป็น 2 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางที่ 1กรมบัญชีกลางโอนเงินช่วยเหลือเยียวยาโดยตรงไปยังบัญชีธนาคารของกลุ่มเป้าหมายที่เคยได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนผ่านบัญชีธนาคารอยู่เดิม และช่องทางที่ 2 กรมบัญชีกลางโอนเงินไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะนําจ่ายเป็นเงินสดให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่รับเงินอุดหนุนรายเดือนเป็นเงินสดอยู่เดิม ในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิ์หรือมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทุกจังหวัด หรือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมจ่ายเงินเยียวยารอบเดียว 3,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบางภายใน 20 ก.ค. นี้
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563
พม. เตรียมจ่ายเงินเยียวยารอบเดียว 3,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบางภายใน 20 ก.ค. นี้
พม. เตรียมจ่ายเงินเยียวยารอบเดียว 3,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบางภายใน 20 ก.ค. นี้
วันนี้ (1 ก.ค. 63) เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กทม.นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยถึงการจ่ายเงินเยียวยา 3,000 บาท สําหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) ว่า เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้สํานักงานปลัดกระทรวงกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดําเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยการจ่ายเงินเยียวยาโดยตรงรายละ 1,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเติมจากเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เบี้ยความพิการ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 รวมเป็นเงิน 3,000 บาท มีจํานวนทั้งหมด 6,781,881 ราย ประกอบด้วย 1. เด็กที่ได้รับสิทธิโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จํานวน 1,394,756 ราย 2. ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จํานวน 4,056,596 ราย และ 3. คนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ จํานวน 1,330,529 ราย
นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า กลุ่มเปราะบางทั้งสามกลุ่มเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อยและอยู่ในครอบครัวที่ประสบภาวะทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะว่างงานของสมาชิกครอบครัว โดยผู้ที่มีสิทธิรับเงินเยียวยา 3,000 บาท สําหรับกลุ่มเปราะบาง มีหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1. ต้องเป็นผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิ์การช่วยเหลือเยียวยาจากมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงแรงงาน (สํานักงานประกันสังคม)2. เป็นกลุ่มที่อยู่ในฐานข้อมูลของกระทรวง พม. ซึ่งได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องมีการลงทะเบียนในการขอรับสิทธิ์อีก โดยหากท่านได้รับเงินอุดหนุนในเดือนพฤษภาคม 2563 จากช่องทางการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือในรูปแบบเงินสด ถือว่าท่านมีสิทธิ์ตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวง พม. ซึ่งได้ดําเนินการเตรียมความพร้อมในการจ่ายเงินเยียวยาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. จะเร่งดําเนินการพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาเดือนละ 1,000 บาท รวม 3 เดือน คิดเป็นเงิน 3,000 บาท (ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 โดยแบ่งเป็น 2 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางที่ 1กรมบัญชีกลางโอนเงินช่วยเหลือเยียวยาโดยตรงไปยังบัญชีธนาคารของกลุ่มเป้าหมายที่เคยได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนผ่านบัญชีธนาคารอยู่เดิม และช่องทางที่ 2 กรมบัญชีกลางโอนเงินไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะนําจ่ายเป็นเงินสดให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่รับเงินอุดหนุนรายเดือนเป็นเงินสดอยู่เดิม ในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิ์หรือมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทุกจังหวัด หรือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33002
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. สร้างประวัติศาสตร์ “ค้ำประกันสินเชื่อ” ทุบสถิติ 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs …. เราไม่ทิ้งกัน
|
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2563
บสย. สร้างประวัติศาสตร์ “ค้ําประกันสินเชื่อ” ทุบสถิติ 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs .... เราไม่ทิ้งกัน
บสย. ประกาศความสําเร็จครั้งใหญ่เข้าสู่ 29 ปี ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ทุบสถิติอนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ เร็วสุด มากสุด 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs ....เราไม่ทิ้งกัน ร่วมฝ่าวิกฤต COVID-19 เติมทุน เสริมสภาพคล่อง
บสย. ประกาศความสําเร็จครั้งใหญ่เข้าสู่ 29 ปี ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ทุบสถิติอนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ เร็วสุด มากสุด 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs ....เราไม่ทิ้งกัน ร่วมฝ่าวิกฤต COVID-19 เติมทุน เสริมสภาพคล่อง เผยยังมีวงเงินอีก 40,000 ล้านบาท พร้อมเทหมดหน้าตักเพื่อ SMEs ทุกกลุ่ม
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ประกาศความสําเร็จครั้งใหญ่ ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ โดยสามารถอนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ ทะลุ 100,000 ล้านบาทแล้วในวันนี้ โดย 5 เดือนแรกของปี 2563 ทําลายสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง บสย. ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการ SMEs อย่างรุนแรง
ปัจจัยความสําเร็จมาจากการสนับสนุนการทํางานด้านนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ 1.นโยบายรัฐบาลและมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ต่อเนื่อง โดยใช้กลไกค้ําประกันสินเชื่อ บสย. 2.มาตรการรัฐบาลในการสนับสนุนงบประมาณที่ช่วยลดต้นทุนธุรกิจ โดยการจ่ายค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อใน 2 ปีแรกแทนผู้ประกอบการ SMEs และการได้รับการสนับสนุนจากธนาคารพันธมิตร เพื่อเร่งปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจทุกกลุ่ม นอกจากนี้ ในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมา บสย. ได้ปรับกระบวนการทํางานภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการในการอนุมัติหนังสือค้ําประกันสินเชื่อที่ปรับให้เร็วขึ้น จากเฉลี่ยวันละ 300 ฉบับ เป็นวันละ 1,400 ฉบับซึ่งได้รับความร่วมมือจากธนาคารพันธมิตรอย่างดีเยี่ยมเพื่อให้กระบวนการอนุมัติหนังสือค้ําประกันสินเชื่อ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการ SMEs ที่รอวงเงินเป็นจํานวนมาก
ทั้งนี้รัฐบาลและกระทรวงการคลัง ยังได้สนับสนุนให้ บสย. มีการดําเนินการได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs โดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบอนุมัติวงเงินในโครงการค้ําประกันสินเชื่อ บสย. SMEs สร้างไทย จํานวน 10,000 ล้านบาท และ บสย. ยังได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ บสย. เมื่อวันที่ 25พฤษภาคม 2563 ให้ปรับโครงการค้ําประกันสินเชื่อรายสถาบัน ทําให้ บสย. มีวงเงินค้ําประกันสินเชื่ออีกจํานวน 40,000 ล้านบาท ที่พร้อมเทหมดหน้าตัก เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้เข้าถึงสินเชื่อมากที่สุดทันเวลา ร่วมพยุงตัวฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. สร้างประวัติศาสตร์ “ค้ำประกันสินเชื่อ” ทุบสถิติ 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs …. เราไม่ทิ้งกัน
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2563
บสย. สร้างประวัติศาสตร์ “ค้ําประกันสินเชื่อ” ทุบสถิติ 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs .... เราไม่ทิ้งกัน
บสย. ประกาศความสําเร็จครั้งใหญ่เข้าสู่ 29 ปี ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ทุบสถิติอนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ เร็วสุด มากสุด 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs ....เราไม่ทิ้งกัน ร่วมฝ่าวิกฤต COVID-19 เติมทุน เสริมสภาพคล่อง
บสย. ประกาศความสําเร็จครั้งใหญ่เข้าสู่ 29 ปี ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ทุบสถิติอนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ เร็วสุด มากสุด 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs ....เราไม่ทิ้งกัน ร่วมฝ่าวิกฤต COVID-19 เติมทุน เสริมสภาพคล่อง เผยยังมีวงเงินอีก 40,000 ล้านบาท พร้อมเทหมดหน้าตักเพื่อ SMEs ทุกกลุ่ม
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ประกาศความสําเร็จครั้งใหญ่ ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ โดยสามารถอนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ ทะลุ 100,000 ล้านบาทแล้วในวันนี้ โดย 5 เดือนแรกของปี 2563 ทําลายสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง บสย. ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการ SMEs อย่างรุนแรง
ปัจจัยความสําเร็จมาจากการสนับสนุนการทํางานด้านนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ 1.นโยบายรัฐบาลและมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ต่อเนื่อง โดยใช้กลไกค้ําประกันสินเชื่อ บสย. 2.มาตรการรัฐบาลในการสนับสนุนงบประมาณที่ช่วยลดต้นทุนธุรกิจ โดยการจ่ายค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อใน 2 ปีแรกแทนผู้ประกอบการ SMEs และการได้รับการสนับสนุนจากธนาคารพันธมิตร เพื่อเร่งปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจทุกกลุ่ม นอกจากนี้ ในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมา บสย. ได้ปรับกระบวนการทํางานภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการในการอนุมัติหนังสือค้ําประกันสินเชื่อที่ปรับให้เร็วขึ้น จากเฉลี่ยวันละ 300 ฉบับ เป็นวันละ 1,400 ฉบับซึ่งได้รับความร่วมมือจากธนาคารพันธมิตรอย่างดีเยี่ยมเพื่อให้กระบวนการอนุมัติหนังสือค้ําประกันสินเชื่อ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการ SMEs ที่รอวงเงินเป็นจํานวนมาก
ทั้งนี้รัฐบาลและกระทรวงการคลัง ยังได้สนับสนุนให้ บสย. มีการดําเนินการได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs โดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบอนุมัติวงเงินในโครงการค้ําประกันสินเชื่อ บสย. SMEs สร้างไทย จํานวน 10,000 ล้านบาท และ บสย. ยังได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ บสย. เมื่อวันที่ 25พฤษภาคม 2563 ให้ปรับโครงการค้ําประกันสินเชื่อรายสถาบัน ทําให้ บสย. มีวงเงินค้ําประกันสินเชื่ออีกจํานวน 40,000 ล้านบาท ที่พร้อมเทหมดหน้าตัก เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้เข้าถึงสินเชื่อมากที่สุดทันเวลา ร่วมพยุงตัวฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31627
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ (วันพระ) ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ณ วัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
|
วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ (วันพระ) ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ณ วัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ (วันพระ) ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ณ วัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
วันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ (วันพระ) ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ณ วัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ โดยมี นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม รศ.ดร.ชวนี ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมพิธีเป็นจํานวนมาก โดยมีหน่วยงานเข้าร่วม ๒๖ หน่วยงาน ได้แก่ กรมบังคับคดี กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมเจ้าท่า กรมท่าอากาศยาน กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กรมปศุสัตว์ กรมที่ดิน กรมสรรพากร กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ ๑ สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สถาบันประสาทวิทยา โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี สถาบันราชานุกูล สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ สถาบันบําบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี เปรียญธรรมสมาคมแห่งประเทศไทย สภาวัฒนธรรมเขตบางกอกใหญ่ สภาวัฒนธรรมเขตปทุมวัน สภาวัฒนธรรมเขตบางคอแหลม โรงเรียนทวีธาภิเศก และโรงเรียนประถมทวีธาภิเศก
วิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทยในอดีตมีพระพุทธศาสนาเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ พุทธศาสนิกชนพากันไปวัดทําบุญ ตักบาตร เจริญจิตภาวนา ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จึงได้จัดโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ (วันพระ)ซึ่งสอดคล้องกับแผนการอุปถัมภ์คุ้มครองศาสนาต่างๆ ภายใต้คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๙/๒๕๕๙ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ อุปถัมภ์ศาสนา เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไปในการเสริมสร้างศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม กระตุ้นเตือนให้พุทธศาสนิกชนยึดมั่นในหลักพระพุทธศาสนา โดยเชิญชวนข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ นักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรมทําบุญ ใส่บาตร ฟังเทศน์ฟังธรรมร่วมกับชาวบ้านรอบวัด เป็นการขับเคลื่อนกิจกรรมเข้าวัดวันพระผ่าน “บวร” บ้าน วัด โรงเรียน มาเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมคุณธรรม ให้วัดมีบทบาทเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ได้เรียนรู้ทั้งด้านศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม สามารถดํารงตนตามหลักธรรมทางศาสนา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมทั้งนําไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ (วันพระ) ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ณ วัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ (วันพระ) ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ณ วัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ (วันพระ) ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ณ วัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
วันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ (วันพระ) ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ณ วัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ โดยมี นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม รศ.ดร.ชวนี ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมพิธีเป็นจํานวนมาก โดยมีหน่วยงานเข้าร่วม ๒๖ หน่วยงาน ได้แก่ กรมบังคับคดี กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมเจ้าท่า กรมท่าอากาศยาน กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กรมปศุสัตว์ กรมที่ดิน กรมสรรพากร กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ ๑ สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สถาบันประสาทวิทยา โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี สถาบันราชานุกูล สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ สถาบันบําบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี เปรียญธรรมสมาคมแห่งประเทศไทย สภาวัฒนธรรมเขตบางกอกใหญ่ สภาวัฒนธรรมเขตปทุมวัน สภาวัฒนธรรมเขตบางคอแหลม โรงเรียนทวีธาภิเศก และโรงเรียนประถมทวีธาภิเศก
วิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทยในอดีตมีพระพุทธศาสนาเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ พุทธศาสนิกชนพากันไปวัดทําบุญ ตักบาตร เจริญจิตภาวนา ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จึงได้จัดโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ (วันพระ)ซึ่งสอดคล้องกับแผนการอุปถัมภ์คุ้มครองศาสนาต่างๆ ภายใต้คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๙/๒๕๕๙ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ อุปถัมภ์ศาสนา เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไปในการเสริมสร้างศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม กระตุ้นเตือนให้พุทธศาสนิกชนยึดมั่นในหลักพระพุทธศาสนา โดยเชิญชวนข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ นักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรมทําบุญ ใส่บาตร ฟังเทศน์ฟังธรรมร่วมกับชาวบ้านรอบวัด เป็นการขับเคลื่อนกิจกรรมเข้าวัดวันพระผ่าน “บวร” บ้าน วัด โรงเรียน มาเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมคุณธรรม ให้วัดมีบทบาทเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ได้เรียนรู้ทั้งด้านศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม สามารถดํารงตนตามหลักธรรมทางศาสนา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมทั้งนําไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4784
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. จัดกิจกรรม “ฝากร้านออนไลน์สร้างรายได้” แก่สมาชิก ในสถานการณ์โควิด-19
|
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2563
กอช. จัดกิจกรรม “ฝากร้านออนไลน์สร้างรายได้” แก่สมาชิก ในสถานการณ์โควิด-19
กอช. ส่งเสริมสมาชิกสร้างรายได้ ผ่านช่องทางออนไลน์ช่วยเหลือสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในกิจกรรม “กอช. ฝากร้านออนไลน์สร้างรายได้”
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ส่งเสริมสมาชิกสร้างรายได้ ผ่านช่องทางออนไลน์ช่วยเหลือสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในกิจกรรม “กอช. ฝากร้านออนไลน์สร้างรายได้” โดย กอช. เป็นตัวกลางในการประชาสัมพันธ์สินค้าให้กับสมาชิก เกิดการสร้างรายได้ผ่านช่องทางออนไลน์ พร้อมเชิญชวนประชาชนทั่วไปอุดหนุนสินค้าสมาชิก กอช. ดูรายละเอียดสินค้าได้ที่ เฟซบุ๊ก กอช. “กองทุนการออมแห่งชาติ – กอช.”
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตามนโยบายของรัฐบาลรณรงค์ให้ประชาชนไม่ออกจากบ้านป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” กอช. จึงเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการสร้างรายได้ให้แก่สมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในกิจกรรม “กอช. ฝากร้านออนไลน์สร้างรายได้” โดยสมาชิก กอช. ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ค้าขาย เกษตรกร หรือสมาชิกผู้สนใจที่ประกอบอาชีพอื่นๆ สามารถฝากร้านกับ กอช. เพียงส่งรายละเอียดสินค้า อาทิ ชื่อร้าน รูปภาพสินค้า เบอร์โทรศัพท์ หรือรายละเอียดอื่นๆ ตาม กอช. กําหนด ผ่านช่องทางไลน์ “@nsf.th” หรือ ทางข้อความเฟซบุ๊ก กอช. “กองทุนการออมแห่งชาติ – กอช.” โดย กอช. จะเป็นตัวกลางในการประชาสัมพันธ์ให้กับสมาชิก ในการสร้างรายได้ ด้วยวิธีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์
ทั้งนี้ กอช. ขอเชิญชวนประชาชนทั่วไปร่วมอุดหนุนสินค้าของสมาชิก โดยสามารถเลือกดูสินค้าตามความต้องการ ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ เฟซบุ๊ก กอช. “กองทุนการออมแห่งชาติ – กอช.” ซึ่งกิจกรรมนี้สมาชิกสามารถฝากร้านขายสินค้าได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
สําหรับช่องทางอํานวยความสะดวกให้บริการสมาชิก ได้หลากหลายช่องทาง ด้วยสมาร์ทโฟนของท่าน อาทิ แอปพลิเคชัน “กอช” เพื่อสมัครสมาชิก ดูข้อมูลบัญชีเงินออม และใช้ตรวจสอบสิทธิการสมัครสมาชิกได้ทั้งระบบ IOS และ Android หรือดูข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของ กอช. ได้ทางเว็บไซต์ กอช. “www.nsf.or.th” และสายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. จัดกิจกรรม “ฝากร้านออนไลน์สร้างรายได้” แก่สมาชิก ในสถานการณ์โควิด-19
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2563
กอช. จัดกิจกรรม “ฝากร้านออนไลน์สร้างรายได้” แก่สมาชิก ในสถานการณ์โควิด-19
กอช. ส่งเสริมสมาชิกสร้างรายได้ ผ่านช่องทางออนไลน์ช่วยเหลือสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในกิจกรรม “กอช. ฝากร้านออนไลน์สร้างรายได้”
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ส่งเสริมสมาชิกสร้างรายได้ ผ่านช่องทางออนไลน์ช่วยเหลือสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในกิจกรรม “กอช. ฝากร้านออนไลน์สร้างรายได้” โดย กอช. เป็นตัวกลางในการประชาสัมพันธ์สินค้าให้กับสมาชิก เกิดการสร้างรายได้ผ่านช่องทางออนไลน์ พร้อมเชิญชวนประชาชนทั่วไปอุดหนุนสินค้าสมาชิก กอช. ดูรายละเอียดสินค้าได้ที่ เฟซบุ๊ก กอช. “กองทุนการออมแห่งชาติ – กอช.”
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตามนโยบายของรัฐบาลรณรงค์ให้ประชาชนไม่ออกจากบ้านป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” กอช. จึงเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการสร้างรายได้ให้แก่สมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในกิจกรรม “กอช. ฝากร้านออนไลน์สร้างรายได้” โดยสมาชิก กอช. ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ค้าขาย เกษตรกร หรือสมาชิกผู้สนใจที่ประกอบอาชีพอื่นๆ สามารถฝากร้านกับ กอช. เพียงส่งรายละเอียดสินค้า อาทิ ชื่อร้าน รูปภาพสินค้า เบอร์โทรศัพท์ หรือรายละเอียดอื่นๆ ตาม กอช. กําหนด ผ่านช่องทางไลน์ “@nsf.th” หรือ ทางข้อความเฟซบุ๊ก กอช. “กองทุนการออมแห่งชาติ – กอช.” โดย กอช. จะเป็นตัวกลางในการประชาสัมพันธ์ให้กับสมาชิก ในการสร้างรายได้ ด้วยวิธีการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์
ทั้งนี้ กอช. ขอเชิญชวนประชาชนทั่วไปร่วมอุดหนุนสินค้าของสมาชิก โดยสามารถเลือกดูสินค้าตามความต้องการ ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ เฟซบุ๊ก กอช. “กองทุนการออมแห่งชาติ – กอช.” ซึ่งกิจกรรมนี้สมาชิกสามารถฝากร้านขายสินค้าได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
สําหรับช่องทางอํานวยความสะดวกให้บริการสมาชิก ได้หลากหลายช่องทาง ด้วยสมาร์ทโฟนของท่าน อาทิ แอปพลิเคชัน “กอช” เพื่อสมัครสมาชิก ดูข้อมูลบัญชีเงินออม และใช้ตรวจสอบสิทธิการสมัครสมาชิกได้ทั้งระบบ IOS และ Android หรือดูข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของ กอช. ได้ทางเว็บไซต์ กอช. “www.nsf.or.th” และสายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29815
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แถลงข่าวตรวจยึดงาช้างลักลอบนำเข้าจากประเทศมาลาวี จำนวน 422 ท่อน น้ำหนัก 330 กิโลกรัม มูลค่า 17,000 บาท
|
วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2560
กรมศุลกากร สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แถลงข่าวตรวจยึดงาช้างลักลอบนําเข้าจากประเทศมาลาวี จํานวน 422 ท่อน น้ําหนัก 330 กิโลกรัม มูลค่า 17,000 บาท
แถลงข่าวตรวจยึดงาช้างลักลอบนําเข้าจากประเทศมาลาวี จํานวน 422 ท่อน น้ําหนัก 330 กิโลกรัม มูลค่า 17,000 บาท
วันนี้ (วันที่ 7 มีนาคม 2560) เวลา 11.30 น. นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาลักลอบนําเข้างาช้างจากประเทศมาลาวี จํานวน 422 ท่อน น้ําหนักประมาณ 330 กิโลกรัม มูลค่า 17 ล้านบาท ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารสํานักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ปัจจุบัน แม้จะมีการควบคุมการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์แล้วก็ตาม แต่ปัญหาการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ยังคงปรากฏเป็นประจํา เนื่องจากรายได้ที่ได้จากการกระทําผิดเป็นสิ่งจูงใจให้เกิดการกระทําความผิด และนํามาใช้ในการกระทําความผิดประเภทอื่นอีก ดังนั้น ผู้กระทําความผิดจึงได้พัฒนารูปแบบและวิธีการลักลอบให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และมีลักษณะการกระทําเป็นขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจะต้องมี การบูรณาการหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามขบวนการดังกล่าว นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร จึงได้มีนโยบายให้ความสําคัญกับการป้องกันและปราบปรามการลับลอบการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ อย่างเคร่งครัด โดยให้กรมศุลกากรบูรณาการการทํางานร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมทั้งได้สั่งการมอบหมายให้นายไพศาล ชื่นจิตร ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายวิจักษณ์ อภิรักษ์นันท์ชัย รักษาการที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี นายวรวุฒิ วิบูลย์ศิริชัย ผู้อํานวยการสํานักสืบสวนและปราบปราม นายสรศักดิ์ มีนะโตรี ผู้อํานวยการสํานักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายเดชา วิชัยดิษฐ รักษาราชการแทนผู้อํานวยการส่วนสืบสวนปราบปราม 3 ร่วมกันวางแผนสกัดกั้นขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ผิดกฎหมาย และดําเนินการกวาดล้างเครือข่ายผู้กระทําความผิด
การจับกุมในครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ทําการวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงในเที่ยวบินที่เดินทางมาจากหรือผ่านประเทศในทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่ความเสี่ยงสูงที่เครือข่ายลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ มักจะใช้ขนส่งสินค้าผิดกฎหมายดังกล่าวเข้ามายังประเทศไทยโดยใช้วิธีการซุกซ่อนปะปนมากับสินค้าชนิดอื่น โดยเมื่อวันที่ 3 และ 4 มีนาคม 2560 เจ้าหน้าที่ศุลกากรส่วนสืบสวนปราบปราม 3 สํานักสืบสวนและปราบปราม นําโดย นายเชาวน์ ตะกรุดเงิน และนายนิคม อังสกุลอาภรณ์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทําการตรวจสอบรายการบัญชีสินค้าอากาศยาน ของสายการบินเอธิโอเปีย เที่ยวบิน ET 618 ของวันที่ 3 มีนาคม 2560 และ ET 628 ของวันที่ 4 มีนาคม 2560 สําแดงชนิดของสินค้าเป็น Rough Stone (หินยังไม่เจียระไน) จํานวน 8 หีบห่อและ 7 หีบห่อ น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 1,026.60 กิโลกรัม และ 898.40 กิโลกรัม ตามลําดับ มีต้นทางบรรทุกที่ท่าอากาศยาน ลิลองเว (Lilongwe) ประเทศมาลาวี ผ่านกรุงแอดดีส อบาบา ประเทศเอธิโอเปีย เป็นสินค้าที่มีลักษณะตรงกับข้อมูลความเสี่ยง จึงได้ตรวจสอบด้วยเครื่องเอ็กซเรย์ ผลการตรวจสอบพบวัตถุแปลกปลอมมีลักษณะคล้ายงาช้างปะปนอยู่กับสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายหิน จึงได้เฝ้าติดตามผู้ที่จะมาปฏิบัติพิธีการศุลกากร เพื่อรับสิ่งของดังกล่าว และเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2560
พบชาวแกมเบียเดินทางมายังคลังสินค้าเขตปลอดอากร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อขอรับสินค้าเจ้าหน้าที่จึงได้เชิญตัวไปทําการตรวจสอบสินค้าร่วมกัน ผลการตรวจสอบพบ Rough Stone ตามที่ผู้นําเข้าสําแดง บรรจุอยู่ในลังกระดาษลูกฟูก และเมื่อเอาหินออกพบลังพลาสติกที่ซุกซ่อนใต้ก้อนหิน ภายในบรรจุงาช้าง จํานวน 422 ท่อน น้ําหนักประมาณ 330 กิโลกรัม
เจ้าหน้าที่ฯ จึงควบคุมตัวและแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบว่าการกระทําดังกล่าวเป็นความผิดฐานนําเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสัตว์ป่า ซากของสัตว์ป่า หรือผลิตภัณฑ์ที่ทําจากซากของสัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 23 และมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 นําซากสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 และนําของต้องห้ามต้องกํากัดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พระพุทธศักราช 2469 ประกอบมาตรา 16 และมาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 และนําส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดําเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สถิติปีงบประมาณ 2559 ถึงปัจจุบัน กรมศุลกากรสามารถจับกุมงาช้างได้ 10 คดี จํานวนงาช้างของกลาง 115 กิ่ง 823 ท่อน มูลค่ารวมกว่า 90 ล้านบาท
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แถลงข่าวตรวจยึดงาช้างลักลอบนำเข้าจากประเทศมาลาวี จำนวน 422 ท่อน น้ำหนัก 330 กิโลกรัม มูลค่า 17,000 บาท
วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2560
กรมศุลกากร สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แถลงข่าวตรวจยึดงาช้างลักลอบนําเข้าจากประเทศมาลาวี จํานวน 422 ท่อน น้ําหนัก 330 กิโลกรัม มูลค่า 17,000 บาท
แถลงข่าวตรวจยึดงาช้างลักลอบนําเข้าจากประเทศมาลาวี จํานวน 422 ท่อน น้ําหนัก 330 กิโลกรัม มูลค่า 17,000 บาท
วันนี้ (วันที่ 7 มีนาคม 2560) เวลา 11.30 น. นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาลักลอบนําเข้างาช้างจากประเทศมาลาวี จํานวน 422 ท่อน น้ําหนักประมาณ 330 กิโลกรัม มูลค่า 17 ล้านบาท ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารสํานักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ปัจจุบัน แม้จะมีการควบคุมการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์แล้วก็ตาม แต่ปัญหาการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ยังคงปรากฏเป็นประจํา เนื่องจากรายได้ที่ได้จากการกระทําผิดเป็นสิ่งจูงใจให้เกิดการกระทําความผิด และนํามาใช้ในการกระทําความผิดประเภทอื่นอีก ดังนั้น ผู้กระทําความผิดจึงได้พัฒนารูปแบบและวิธีการลักลอบให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และมีลักษณะการกระทําเป็นขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจะต้องมี การบูรณาการหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามขบวนการดังกล่าว นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร จึงได้มีนโยบายให้ความสําคัญกับการป้องกันและปราบปรามการลับลอบการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ อย่างเคร่งครัด โดยให้กรมศุลกากรบูรณาการการทํางานร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมทั้งได้สั่งการมอบหมายให้นายไพศาล ชื่นจิตร ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายวิจักษณ์ อภิรักษ์นันท์ชัย รักษาการที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี นายวรวุฒิ วิบูลย์ศิริชัย ผู้อํานวยการสํานักสืบสวนและปราบปราม นายสรศักดิ์ มีนะโตรี ผู้อํานวยการสํานักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายเดชา วิชัยดิษฐ รักษาราชการแทนผู้อํานวยการส่วนสืบสวนปราบปราม 3 ร่วมกันวางแผนสกัดกั้นขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ผิดกฎหมาย และดําเนินการกวาดล้างเครือข่ายผู้กระทําความผิด
การจับกุมในครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ทําการวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงในเที่ยวบินที่เดินทางมาจากหรือผ่านประเทศในทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่ความเสี่ยงสูงที่เครือข่ายลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ มักจะใช้ขนส่งสินค้าผิดกฎหมายดังกล่าวเข้ามายังประเทศไทยโดยใช้วิธีการซุกซ่อนปะปนมากับสินค้าชนิดอื่น โดยเมื่อวันที่ 3 และ 4 มีนาคม 2560 เจ้าหน้าที่ศุลกากรส่วนสืบสวนปราบปราม 3 สํานักสืบสวนและปราบปราม นําโดย นายเชาวน์ ตะกรุดเงิน และนายนิคม อังสกุลอาภรณ์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทําการตรวจสอบรายการบัญชีสินค้าอากาศยาน ของสายการบินเอธิโอเปีย เที่ยวบิน ET 618 ของวันที่ 3 มีนาคม 2560 และ ET 628 ของวันที่ 4 มีนาคม 2560 สําแดงชนิดของสินค้าเป็น Rough Stone (หินยังไม่เจียระไน) จํานวน 8 หีบห่อและ 7 หีบห่อ น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 1,026.60 กิโลกรัม และ 898.40 กิโลกรัม ตามลําดับ มีต้นทางบรรทุกที่ท่าอากาศยาน ลิลองเว (Lilongwe) ประเทศมาลาวี ผ่านกรุงแอดดีส อบาบา ประเทศเอธิโอเปีย เป็นสินค้าที่มีลักษณะตรงกับข้อมูลความเสี่ยง จึงได้ตรวจสอบด้วยเครื่องเอ็กซเรย์ ผลการตรวจสอบพบวัตถุแปลกปลอมมีลักษณะคล้ายงาช้างปะปนอยู่กับสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายหิน จึงได้เฝ้าติดตามผู้ที่จะมาปฏิบัติพิธีการศุลกากร เพื่อรับสิ่งของดังกล่าว และเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2560
พบชาวแกมเบียเดินทางมายังคลังสินค้าเขตปลอดอากร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อขอรับสินค้าเจ้าหน้าที่จึงได้เชิญตัวไปทําการตรวจสอบสินค้าร่วมกัน ผลการตรวจสอบพบ Rough Stone ตามที่ผู้นําเข้าสําแดง บรรจุอยู่ในลังกระดาษลูกฟูก และเมื่อเอาหินออกพบลังพลาสติกที่ซุกซ่อนใต้ก้อนหิน ภายในบรรจุงาช้าง จํานวน 422 ท่อน น้ําหนักประมาณ 330 กิโลกรัม
เจ้าหน้าที่ฯ จึงควบคุมตัวและแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบว่าการกระทําดังกล่าวเป็นความผิดฐานนําเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสัตว์ป่า ซากของสัตว์ป่า หรือผลิตภัณฑ์ที่ทําจากซากของสัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 23 และมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 นําซากสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 และนําของต้องห้ามต้องกํากัดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พระพุทธศักราช 2469 ประกอบมาตรา 16 และมาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 และนําส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดําเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สถิติปีงบประมาณ 2559 ถึงปัจจุบัน กรมศุลกากรสามารถจับกุมงาช้างได้ 10 คดี จํานวนงาช้างของกลาง 115 กิ่ง 823 ท่อน มูลค่ารวมกว่า 90 ล้านบาท
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2231
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2561
รอง นรม. พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ
ที่ประชุมเห็นชอบตัวชี้วัดและเป้าหมายรองรับกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2579)
วันนี้ ( 12 กรกฎาคม 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมเห็นชอบตัวชี้วัดและเป้าหมายรองรับกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2579) เชื่อมโยงทุกมิติในห่วงโซ่อาหารจากภาคเกษตร การแปรรูปการบริการสู่โภชนาการของผู้บริโภคและการค้า โดยน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักคิดพื้นฐานและรองรับการพัฒนาที่ยั่งยืนมุ่งสู่การเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางด้านอาหารและโภชนาการ เป็นแหล่งอาหารที่มีคุณภาพสูงปลอดภัยของโลก ประกอบไปด้วย ยุทธศาสตร์หลัก 4 ด้าน ได้แก่ 1) ความมั่นคงอาหาร 2) คุณภาพและความปลอดภัย 3) อาหารศึกษา และ 4) ด้านการบริหารจัดการ เพื่อเป็นแนวทางสําหรับหน่วยงานต่างๆใช้เป็นกรอบการวางแผนปฎิบัติงานอย่างบูรณาการ
สําหรับ กรอบยุทธศาสตร์ฯ ฉบับที่ 2 ได้กําหนดเป้าหมายรวม 6 ด้าน เพื่อสะท้อนผลสัมฤทธิ์การดําเนินงานในอีก 20 ปีข้างหน้า และยังมีความสอดคล้องกับเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs ได้แก่ 1) จํานวนคนขาดแคลนอาหารลดลง 2) ปริมาณการสูญเสียและขยะอาหารลดลง 3) ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อคุณภาพและความปลอดภัยอาหารเพิ่มขึ้น 4) มูลค่าการค้าอาหารเพิ่มขึ้น 5) จํานวนคนที่มีภาวะโภชนาการขาดและเกินลดลง และ 6) มีหน่วยงานกลางประสานการดําเนินการซึ่งเป้าหมายดังกล่าวเป็นเครื่องมือที่สําคัญในการกํากับการดําเนินงานให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาในห่วงโซ่อาหารอย่างต่อเนื่องเพื่อก่อให้เกิดความมั่งคงด้านอาหารและโภชนาการในระดับครัวเรือน ชุมชนและระดับชาติในภาวะปกติและภาวะวิกฤติ
............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2561
รอง นรม. พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ
ที่ประชุมเห็นชอบตัวชี้วัดและเป้าหมายรองรับกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2579)
วันนี้ ( 12 กรกฎาคม 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมเห็นชอบตัวชี้วัดและเป้าหมายรองรับกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2579) เชื่อมโยงทุกมิติในห่วงโซ่อาหารจากภาคเกษตร การแปรรูปการบริการสู่โภชนาการของผู้บริโภคและการค้า โดยน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักคิดพื้นฐานและรองรับการพัฒนาที่ยั่งยืนมุ่งสู่การเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางด้านอาหารและโภชนาการ เป็นแหล่งอาหารที่มีคุณภาพสูงปลอดภัยของโลก ประกอบไปด้วย ยุทธศาสตร์หลัก 4 ด้าน ได้แก่ 1) ความมั่นคงอาหาร 2) คุณภาพและความปลอดภัย 3) อาหารศึกษา และ 4) ด้านการบริหารจัดการ เพื่อเป็นแนวทางสําหรับหน่วยงานต่างๆใช้เป็นกรอบการวางแผนปฎิบัติงานอย่างบูรณาการ
สําหรับ กรอบยุทธศาสตร์ฯ ฉบับที่ 2 ได้กําหนดเป้าหมายรวม 6 ด้าน เพื่อสะท้อนผลสัมฤทธิ์การดําเนินงานในอีก 20 ปีข้างหน้า และยังมีความสอดคล้องกับเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs ได้แก่ 1) จํานวนคนขาดแคลนอาหารลดลง 2) ปริมาณการสูญเสียและขยะอาหารลดลง 3) ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อคุณภาพและความปลอดภัยอาหารเพิ่มขึ้น 4) มูลค่าการค้าอาหารเพิ่มขึ้น 5) จํานวนคนที่มีภาวะโภชนาการขาดและเกินลดลง และ 6) มีหน่วยงานกลางประสานการดําเนินการซึ่งเป้าหมายดังกล่าวเป็นเครื่องมือที่สําคัญในการกํากับการดําเนินงานให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาในห่วงโซ่อาหารอย่างต่อเนื่องเพื่อก่อให้เกิดความมั่งคงด้านอาหารและโภชนาการในระดับครัวเรือน ชุมชนและระดับชาติในภาวะปกติและภาวะวิกฤติ
............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13809
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เดินหน้าเปิดบ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ห้วยขวาง) เพื่อให้บริการสถานที่พักชั่วคราวแก่คนไร้ที่พึ่งและคนขอทานในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล
|
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
พม. เดินหน้าเปิดบ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ห้วยขวาง) เพื่อให้บริการสถานที่พักชั่วคราวแก่คนไร้ที่พึ่งและคนขอทานในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล
พม. เดินหน้าเปิดบ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ห้วยขวาง) เพื่อให้บริการสถานที่พักชั่วคราวแก่คนไร้ที่พึ่งและคนขอทานในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล
วันนี้ (11 ต.ค. 60) เวลา 10.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีเปิดบ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ห้วยขวาง) ตามนโยบาย การสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อย เพื่อรองรับคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานที่ประสบปัญหาด้านที่อยู่อาศัย ณ บ้านมิตรไมตรีห้วยขวาง กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ดําเนินการแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งและคนขอทาน ตามนโยบายของของรัฐ "ลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ” โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จึงได้จัดบริการ "บ้านมิตรไมตรี” จํานวน 10 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อให้บริการสถานที่พักชั่วคราวแก่คนไร้ที่พึ่งและประชาชนที่เคลื่อนย้ายถิ่นฐานเข้ามาหางานทํา หรือมีกิจธุระจําเป็น พร้อมจัดบริการสวัสดิการสังคมเบื้องต้น เช่น การให้คําปรึกษาแนะนําในการรักษาพยาบาลเบื้องต้น การวางแผนพัฒนาศักยภาพอย่างมีส่วนร่วม การปรับพฤติกรรม การส่งกลับภูมิลําเนาหรือคืนสู่ครอบครัวและชุมชน รวมทั้งการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือแก่กลุ่มเป้าหมายตามความต้องการ สามารถพึ่งพาตนเองได้ และอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข โดยไม่ต้องเข้ารับบริการระยะยาวในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2557 และพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 เพื่อการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการขั้นพื้นฐานจากรัฐ จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และกลับสู่ครอบครัวชุมชน หรือสังคมอย่างยั่งยืน
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า กรุงเทพมหานครเป็นมหานครที่มีประชากรจํานวนมากที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากเป็นศูนย์กลางด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา และการคมนาคมขนส่ง จึงทําให้มีเคลื่อนย้ายประชากรจากทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อเดินทางมายังกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้ กระทรวง พม. โดย พส. ขยายบริการ "บ้านมิตรไมตรี” เพิ่มเติมอีกจํานวน 4 แห่ง เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชน รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนไร้ที่พึ่ง ได้อย่างครอบคลุมทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประกอบด้วย 1) บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร(สายไหม) รองรับกลุ่มเป้าหมาย 20 คน เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 2) บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ห้วยขวาง) รองรับกลุ่มเป้าหมาย 30 คน เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันนี้ (11 ตุลาคม 2560) เป็นต้นไป 3) บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (อ่อนนุช) รองรับกลุ่มเป้าหมาย 200 คน 4) บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ธนบุรี) รองรับกลุ่มเป้าหมาย 50 คน ทั้งนี้ จากการเปิดให้บริการบ้านมิตรไมตรีทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงปัจจุบัน พบว่า มียอดผู้ใช้บริการสะสม จํานวน 3,300 คน แบ่งเป็นผู้เข้าพักชั่วคราวในบ้านมิตรไมตรี จํานวน 2,005 คน และผู้ที่เข้ารับบริการอื่นๆ แต่ไม่เข้าพักจํานวน 1,295 คน ทั้งนี้ การให้บริการของบ้านมิตรไมตรีดําเนินการโดยได้รับการสนับสนุน จากภาคีเครือข่ายทั้งองค์กรภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ตามแนวทาง "ประชารัฐ” ของรัฐบาล
"กระทรวง พม. โดย พส. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไร้ที่พึ่ง เพื่อให้คนไร้ที่พึ่ง รวมทั้ง คนขอทาน ได้รับการคุ้มครองและช่วยเหลือด้วยแนวทางที่ถูกต้อง สามารถประกอบอาชีพสร้างรายได้ และพึ่งพา ตนเองได้ อีกทั้งสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุข ทั้งนี้ หากพบเห็นคนไร้ที่พึ่งและคนขอทาน หรือ ผู้ประสบปัญหาทางสังคม สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 บริการ 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เดินหน้าเปิดบ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ห้วยขวาง) เพื่อให้บริการสถานที่พักชั่วคราวแก่คนไร้ที่พึ่งและคนขอทานในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
พม. เดินหน้าเปิดบ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ห้วยขวาง) เพื่อให้บริการสถานที่พักชั่วคราวแก่คนไร้ที่พึ่งและคนขอทานในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล
พม. เดินหน้าเปิดบ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ห้วยขวาง) เพื่อให้บริการสถานที่พักชั่วคราวแก่คนไร้ที่พึ่งและคนขอทานในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล
วันนี้ (11 ต.ค. 60) เวลา 10.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีเปิดบ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ห้วยขวาง) ตามนโยบาย การสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อย เพื่อรองรับคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานที่ประสบปัญหาด้านที่อยู่อาศัย ณ บ้านมิตรไมตรีห้วยขวาง กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ดําเนินการแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งและคนขอทาน ตามนโยบายของของรัฐ "ลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ” โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จึงได้จัดบริการ "บ้านมิตรไมตรี” จํานวน 10 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อให้บริการสถานที่พักชั่วคราวแก่คนไร้ที่พึ่งและประชาชนที่เคลื่อนย้ายถิ่นฐานเข้ามาหางานทํา หรือมีกิจธุระจําเป็น พร้อมจัดบริการสวัสดิการสังคมเบื้องต้น เช่น การให้คําปรึกษาแนะนําในการรักษาพยาบาลเบื้องต้น การวางแผนพัฒนาศักยภาพอย่างมีส่วนร่วม การปรับพฤติกรรม การส่งกลับภูมิลําเนาหรือคืนสู่ครอบครัวและชุมชน รวมทั้งการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือแก่กลุ่มเป้าหมายตามความต้องการ สามารถพึ่งพาตนเองได้ และอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข โดยไม่ต้องเข้ารับบริการระยะยาวในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2557 และพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 เพื่อการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการขั้นพื้นฐานจากรัฐ จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และกลับสู่ครอบครัวชุมชน หรือสังคมอย่างยั่งยืน
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า กรุงเทพมหานครเป็นมหานครที่มีประชากรจํานวนมากที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากเป็นศูนย์กลางด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา และการคมนาคมขนส่ง จึงทําให้มีเคลื่อนย้ายประชากรจากทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อเดินทางมายังกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้ กระทรวง พม. โดย พส. ขยายบริการ "บ้านมิตรไมตรี” เพิ่มเติมอีกจํานวน 4 แห่ง เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชน รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนไร้ที่พึ่ง ได้อย่างครอบคลุมทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประกอบด้วย 1) บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร(สายไหม) รองรับกลุ่มเป้าหมาย 20 คน เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 2) บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ห้วยขวาง) รองรับกลุ่มเป้าหมาย 30 คน เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันนี้ (11 ตุลาคม 2560) เป็นต้นไป 3) บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (อ่อนนุช) รองรับกลุ่มเป้าหมาย 200 คน 4) บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ธนบุรี) รองรับกลุ่มเป้าหมาย 50 คน ทั้งนี้ จากการเปิดให้บริการบ้านมิตรไมตรีทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงปัจจุบัน พบว่า มียอดผู้ใช้บริการสะสม จํานวน 3,300 คน แบ่งเป็นผู้เข้าพักชั่วคราวในบ้านมิตรไมตรี จํานวน 2,005 คน และผู้ที่เข้ารับบริการอื่นๆ แต่ไม่เข้าพักจํานวน 1,295 คน ทั้งนี้ การให้บริการของบ้านมิตรไมตรีดําเนินการโดยได้รับการสนับสนุน จากภาคีเครือข่ายทั้งองค์กรภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ตามแนวทาง "ประชารัฐ” ของรัฐบาล
"กระทรวง พม. โดย พส. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไร้ที่พึ่ง เพื่อให้คนไร้ที่พึ่ง รวมทั้ง คนขอทาน ได้รับการคุ้มครองและช่วยเหลือด้วยแนวทางที่ถูกต้อง สามารถประกอบอาชีพสร้างรายได้ และพึ่งพา ตนเองได้ อีกทั้งสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุข ทั้งนี้ หากพบเห็นคนไร้ที่พึ่งและคนขอทาน หรือ ผู้ประสบปัญหาทางสังคม สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 บริการ 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7336
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “Building Smarter Futures for Thailand 4.0”
|
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “Building Smarter Futures for Thailand 4.0”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “Digital Thailand and Higher Education” ในงานสัมมนา “Building Smarter Futures for Thailand 4.0” โดยมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล ได้จัดทําและดําเนินงานความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างความร่วมมือทางวิชาการในการจัดการเรียนการสอน งานวิจัย และนวัตกรรมร่วมกัน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนางานวิจัยเพื่อรองรับการพัฒนาของประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัล ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 และพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกร่วมกับภาคเอกชน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2560 ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ
*************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “Building Smarter Futures for Thailand 4.0”
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “Building Smarter Futures for Thailand 4.0”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “Digital Thailand and Higher Education” ในงานสัมมนา “Building Smarter Futures for Thailand 4.0” โดยมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล ได้จัดทําและดําเนินงานความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างความร่วมมือทางวิชาการในการจัดการเรียนการสอน งานวิจัย และนวัตกรรมร่วมกัน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนางานวิจัยเพื่อรองรับการพัฒนาของประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัล ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 และพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกร่วมกับภาคเอกชน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2560 ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ
*************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8787
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจำประเทศไทย
|
วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562
รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจําประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา) ให้การต้อนรับ นายเอมิลิโอ เด มิเกล กาลาเบีย เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะพร้อมพูดคุยหารือเกี่ยวกับด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อ
รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจําประเทศไทย
วันนี้ (๓ ตุลาคม ๒๕๖๒) เวลา ๑๔.๐๐น. ณ ห้องรับรอง ชั้น ๒๐รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา) ให้การต้อนรับนายเอมิลิโอ เด มิเกล กาลาเบีย (Mr. Emilio de Miguel Calabia)เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยแจ้งว่าราชอาณาจักรสเปนให้ความสําคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นเนื่องจากเป็นประเด็นปัญหาสําคัญของประชาคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อผู้หญิงและเด็ก จึงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสังคมไปสู่สังคมคาร์บอนต่ํา โดยมีความตั้งใจที่จะสร้าง green economy ให้กับประชาชนที่ต้องสูญเสียอาชีพจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเห็นว่าปัญหา PM 2.5ที่ประเทศไทยเผชิญอยู่นี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในการนี้ ได้เสนอเทคโนโลยีการกรองผ่านจากกระบวนการผลิต (Steel Dust) จากแหล่งกําเนิดในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีส่วนประกอบของสังกะสี ร้อยละ ๒๕ ซึ่งสามารถนําไปสู่กระบวนการรีไซเคิลต่อไป
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งว่า ในฐานะประธานอาเซียนได้ประกาศเป้าหมายที่สําคัญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของอาเซียนในที่ประชุม United Nations Climate Action Summit 2019 ณ สหรัฐอเมริกา และอาเซียนมีความพยายามที่จะดําเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการดําเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับประชาคมโลกในทุกระดับ พร้อมทั้งได้แจ้งว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” เพื่อร่วมกับทุกภาคส่วนในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมถึงการออกมาตรการระยะสั้นและระยะยาว เพื่อการป้องกันและลดการเกิดมลพิษจากแหล่งกําเนิด และหวังว่าจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยี และการบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับราชอาณาจักรสเปนในอนาคต
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจำประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562
รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจําประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา) ให้การต้อนรับ นายเอมิลิโอ เด มิเกล กาลาเบีย เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะพร้อมพูดคุยหารือเกี่ยวกับด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อ
รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจําประเทศไทย
วันนี้ (๓ ตุลาคม ๒๕๖๒) เวลา ๑๔.๐๐น. ณ ห้องรับรอง ชั้น ๒๐รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา) ให้การต้อนรับนายเอมิลิโอ เด มิเกล กาลาเบีย (Mr. Emilio de Miguel Calabia)เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยแจ้งว่าราชอาณาจักรสเปนให้ความสําคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นเนื่องจากเป็นประเด็นปัญหาสําคัญของประชาคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อผู้หญิงและเด็ก จึงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสังคมไปสู่สังคมคาร์บอนต่ํา โดยมีความตั้งใจที่จะสร้าง green economy ให้กับประชาชนที่ต้องสูญเสียอาชีพจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเห็นว่าปัญหา PM 2.5ที่ประเทศไทยเผชิญอยู่นี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในการนี้ ได้เสนอเทคโนโลยีการกรองผ่านจากกระบวนการผลิต (Steel Dust) จากแหล่งกําเนิดในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีส่วนประกอบของสังกะสี ร้อยละ ๒๕ ซึ่งสามารถนําไปสู่กระบวนการรีไซเคิลต่อไป
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งว่า ในฐานะประธานอาเซียนได้ประกาศเป้าหมายที่สําคัญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของอาเซียนในที่ประชุม United Nations Climate Action Summit 2019 ณ สหรัฐอเมริกา และอาเซียนมีความพยายามที่จะดําเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการดําเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับประชาคมโลกในทุกระดับ พร้อมทั้งได้แจ้งว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” เพื่อร่วมกับทุกภาคส่วนในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมถึงการออกมาตรการระยะสั้นและระยะยาว เพื่อการป้องกันและลดการเกิดมลพิษจากแหล่งกําเนิด และหวังว่าจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยี และการบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับราชอาณาจักรสเปนในอนาคต
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23603
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีติดตามความก้าวหน้าในการก่อสร้างพระเมรุมาศจำลองและโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ การระบายน้ำที่จังหวัดสกลนคร
|
วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรีติดตามความก้าวหน้าในการก่อสร้างพระเมรุมาศจําลองและโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ การระบายน้ําที่จังหวัดสกลนคร
รองนายกรัฐมนตรีติดตามความก้าวหน้าในการก่อสร้างพระเมรุมาศจําลองและโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ การระบายน้ําที่จังหวัดสกลนคร โดยดําเนินการแล้วไปกว่าร้อยละ 90 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่11 ตุลาคม 2560
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2560 เวลา 11.20 น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายให้กํากับดูแลและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 11 (จังหวัดนครพนม มุกดาหาร และสกลนคร) ได้เดินทางไปยังสนามหน้าศาลากลางหลังเก่าจังหวัดสกลนคร เพื่อติดตาม ความก้าวหน้าในการก่อสร้างพระเมรุมาศจําลองประจําจังหวัดสกลนคร ซึ่งได้ดําเนินการไปได้กว่าร้อยละ 90 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 11 ตุลาคม ก่อนวันที่ทางราชการกําหนด ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจ ในรายละเอียดของการก่อสร้าง พร้อมทั้งให้คําแนะนาในการจัดเตรียมสถานที่เพื่อรองรับการเดินทางมาร่วมพิธี ของพี่น้องประชาชนในจังหวัดสกลนคร ซึ่งคาดว่าจะมีเป็นจํานวนมากเช่นเดียวกับทุกจังหวัด จากนั้น พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง พร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดสกลนคร เพื่อพบปะกับราษฎรซึ่งเป็นเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างเขื่อนน้ําอูน จังหวัดสกลนคร ที่เดินทางมาพบรองนายกรัฐมนตรีเพื่อขอความช่วยเหลือจากกรณีที่ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับเงินชดเชยจาก การถูกเวนคืนที่ดินเพื่อก่อสร้างเขื่อนน้ําอูน เมื่อปี พ.ศ.2511 ที่อยากให้ทางราชการพิจารณาเพิ่มให้ตามที่ เคยมีข้อตกลงไว้ โดยหลังจากที่รองนายกรัฐมนตรีได้รับฟังปัญหาข้อขัดข้องแล้วได้กล่าวแสดงความเห็นใจ ในความเดือดร้อนของเกษตรกร ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว แต่รัฐบาลปัจจุบันก็ไม่ได้ นิ่งนอนใจ จึงได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้โดยเฉพาะ ทั้งในระดับจังหวัดและระดับกระทรวง โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ โดยรองนายกรัฐมนตรีได้รับเอกสาร ข้อมูลจากเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนดังกล่าว เพื่อจะนาไปหารือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ และอาจเสนอขึ้นไปในระดับคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งเกษตรกรที่มายื่นเรื่องในวันนี้แสดงความพอใจและยินดีที่ รองนายกรัฐมนตรีได้รับปากว่าจะดําเนินการแก้ไขปัญหาให้ด้วยความเต็มใจ จากนั้น พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมติดตาม การปฏิบัติราชการในภูมิภาคของรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ในพื้นที่เขตราชการที่ 11 ณ ห้องประชุมพระธาตุเชิงชุม ศาลากลางจังหวัดสกลนคร โดยมี นายวิทยา จันทร์ฉลอง ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร และหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดสกลนครเข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุมได้มีการรับทราบความก้าวหน้าของ โครงการต่าง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ อาทิ โครงการตามแผนบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็ง และยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ํา กรณีที่ได้รับผลกระทบจาก ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน อุทกภัย จากพายุเซินกา โครงการพัฒนาหนองหารจังหวัดสกลนคร และการก่อสร้าง ระบบบําบัดน้ําเสียโรงพยาบาลศูนย์สกลนคร
ภายหลังการประชุมรองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปตรวจติดตามโครงการ เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ํา ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครสกลนคร โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุน งบประมาณเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ํา ป้องกันน้ําท่วมในพื้นที่ชุมชนเมืองเดิมและพื้นที่ข้างเคียงใน เขตเทศบาลนครสกลนคร และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดแก่ทรัพย์สินประชาชนสถานที่ท่องเที่ยว ของจังหวัดสกลนครจากปัญหาน้ําท่วม ด้วยการติดตั้งเครื่องสูบน้ํา จํานวน 3 เครื่อง พร้อมตู้ควบคุมเครื่องสูบน้ํา และตู้ควบคุมเครื่องตักขยะ จากนั้นจึงได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลศูนย์สกลนคร เพื่อตรวจติดตามการก่อสร้าง บ่อบําบัดน้ําเสีย พร้อมทั้งให้คําแนะนําและข้อสังเกตเพื่อให้การดําเนินโครงการต่าง ๆ เป็นประโยชน์ต่อพี่น้อง ประชาชนให้มากที่สุด
**********************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีติดตามความก้าวหน้าในการก่อสร้างพระเมรุมาศจำลองและโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ การระบายน้ำที่จังหวัดสกลนคร
วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรีติดตามความก้าวหน้าในการก่อสร้างพระเมรุมาศจําลองและโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ การระบายน้ําที่จังหวัดสกลนคร
รองนายกรัฐมนตรีติดตามความก้าวหน้าในการก่อสร้างพระเมรุมาศจําลองและโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ การระบายน้ําที่จังหวัดสกลนคร โดยดําเนินการแล้วไปกว่าร้อยละ 90 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่11 ตุลาคม 2560
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2560 เวลา 11.20 น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายให้กํากับดูแลและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 11 (จังหวัดนครพนม มุกดาหาร และสกลนคร) ได้เดินทางไปยังสนามหน้าศาลากลางหลังเก่าจังหวัดสกลนคร เพื่อติดตาม ความก้าวหน้าในการก่อสร้างพระเมรุมาศจําลองประจําจังหวัดสกลนคร ซึ่งได้ดําเนินการไปได้กว่าร้อยละ 90 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 11 ตุลาคม ก่อนวันที่ทางราชการกําหนด ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจ ในรายละเอียดของการก่อสร้าง พร้อมทั้งให้คําแนะนาในการจัดเตรียมสถานที่เพื่อรองรับการเดินทางมาร่วมพิธี ของพี่น้องประชาชนในจังหวัดสกลนคร ซึ่งคาดว่าจะมีเป็นจํานวนมากเช่นเดียวกับทุกจังหวัด จากนั้น พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง พร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดสกลนคร เพื่อพบปะกับราษฎรซึ่งเป็นเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างเขื่อนน้ําอูน จังหวัดสกลนคร ที่เดินทางมาพบรองนายกรัฐมนตรีเพื่อขอความช่วยเหลือจากกรณีที่ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับเงินชดเชยจาก การถูกเวนคืนที่ดินเพื่อก่อสร้างเขื่อนน้ําอูน เมื่อปี พ.ศ.2511 ที่อยากให้ทางราชการพิจารณาเพิ่มให้ตามที่ เคยมีข้อตกลงไว้ โดยหลังจากที่รองนายกรัฐมนตรีได้รับฟังปัญหาข้อขัดข้องแล้วได้กล่าวแสดงความเห็นใจ ในความเดือดร้อนของเกษตรกร ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว แต่รัฐบาลปัจจุบันก็ไม่ได้ นิ่งนอนใจ จึงได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้โดยเฉพาะ ทั้งในระดับจังหวัดและระดับกระทรวง โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ โดยรองนายกรัฐมนตรีได้รับเอกสาร ข้อมูลจากเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนดังกล่าว เพื่อจะนาไปหารือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ และอาจเสนอขึ้นไปในระดับคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งเกษตรกรที่มายื่นเรื่องในวันนี้แสดงความพอใจและยินดีที่ รองนายกรัฐมนตรีได้รับปากว่าจะดําเนินการแก้ไขปัญหาให้ด้วยความเต็มใจ จากนั้น พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมติดตาม การปฏิบัติราชการในภูมิภาคของรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ในพื้นที่เขตราชการที่ 11 ณ ห้องประชุมพระธาตุเชิงชุม ศาลากลางจังหวัดสกลนคร โดยมี นายวิทยา จันทร์ฉลอง ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร และหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดสกลนครเข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุมได้มีการรับทราบความก้าวหน้าของ โครงการต่าง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ อาทิ โครงการตามแผนบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็ง และยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ํา กรณีที่ได้รับผลกระทบจาก ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน อุทกภัย จากพายุเซินกา โครงการพัฒนาหนองหารจังหวัดสกลนคร และการก่อสร้าง ระบบบําบัดน้ําเสียโรงพยาบาลศูนย์สกลนคร
ภายหลังการประชุมรองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปตรวจติดตามโครงการ เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ํา ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครสกลนคร โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุน งบประมาณเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ํา ป้องกันน้ําท่วมในพื้นที่ชุมชนเมืองเดิมและพื้นที่ข้างเคียงใน เขตเทศบาลนครสกลนคร และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดแก่ทรัพย์สินประชาชนสถานที่ท่องเที่ยว ของจังหวัดสกลนครจากปัญหาน้ําท่วม ด้วยการติดตั้งเครื่องสูบน้ํา จํานวน 3 เครื่อง พร้อมตู้ควบคุมเครื่องสูบน้ํา และตู้ควบคุมเครื่องตักขยะ จากนั้นจึงได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลศูนย์สกลนคร เพื่อตรวจติดตามการก่อสร้าง บ่อบําบัดน้ําเสีย พร้อมทั้งให้คําแนะนําและข้อสังเกตเพื่อให้การดําเนินโครงการต่าง ๆ เป็นประโยชน์ต่อพี่น้อง ประชาชนให้มากที่สุด
**********************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7228
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เตือนสถานประกอบกิจการระวังไฟไหม้ช่วงลอยกระทง
|
วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561
กสร. เตือนสถานประกอบกิจการระวังไฟไหม้ช่วงลอยกระทง
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เตือนสถานประกอบกิจการตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า ป้องกันเหตุไฟไหม้ช่วงเทศกาลลอยกระทง พร้อมแนะเพิ่มความระมัดระวัง คํานึงถึงความปลอดภัยอันดับแรก
นายวิวัฒน์ ตังหงส์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า เทศกาลลอยกระทงซึ่งตรงกับวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 นี้ เป็นช่วงที่เสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอันตรายจากการจุดประทัด พลุ ดอกไม้ไฟ และโคมลอย ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิตและสร้างความความเสียหายต่อทรัพย์สินได้ จึงขอฝากเตือนไปยังสถานประกอบกิจการในบริเวณใกล้เคียงควรกําชับให้ลูกจ้างตรวจสอบการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักรที่ไม่ได้ทํางานให้เรียบร้อยและจัดให้มีอุปกรณ์ดับเพลิง สัญญาณแจ้งเหตุให้พร้อมสําหรับการใช้งานเพื่อจะป้องกันความเสียหายและลดความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
นายวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า สําหรับนายจ้าง ลูกจ้าง ตลอดจนประชาชนทั่วไป ขอให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ และต้องปฏิบัติตามคําเตือนของเจ้าหน้าที่และป้ายเตือนต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด รวมทั้ง หลีกเลี่ยงพื้นที่จุดเสี่ยง อาทิ โป๊ะที่ชํารุดหรือมีผู้คนหนาแน่น สถานที่เล่นดอกไม้ไฟ และต้องดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ขอให้ทุกท่านคํานึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ช่วยกันดูแลไม่ให้เกิดการกระทําที่เสี่ยงต่ออันตรายใด ๆ เพื่อให้ทุกท่านได้ร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทงอย่างสนุกสนานรื่นเริงและปลอดภัย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เตือนสถานประกอบกิจการระวังไฟไหม้ช่วงลอยกระทง
วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561
กสร. เตือนสถานประกอบกิจการระวังไฟไหม้ช่วงลอยกระทง
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เตือนสถานประกอบกิจการตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า ป้องกันเหตุไฟไหม้ช่วงเทศกาลลอยกระทง พร้อมแนะเพิ่มความระมัดระวัง คํานึงถึงความปลอดภัยอันดับแรก
นายวิวัฒน์ ตังหงส์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า เทศกาลลอยกระทงซึ่งตรงกับวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 นี้ เป็นช่วงที่เสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอันตรายจากการจุดประทัด พลุ ดอกไม้ไฟ และโคมลอย ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิตและสร้างความความเสียหายต่อทรัพย์สินได้ จึงขอฝากเตือนไปยังสถานประกอบกิจการในบริเวณใกล้เคียงควรกําชับให้ลูกจ้างตรวจสอบการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักรที่ไม่ได้ทํางานให้เรียบร้อยและจัดให้มีอุปกรณ์ดับเพลิง สัญญาณแจ้งเหตุให้พร้อมสําหรับการใช้งานเพื่อจะป้องกันความเสียหายและลดความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
นายวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า สําหรับนายจ้าง ลูกจ้าง ตลอดจนประชาชนทั่วไป ขอให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ และต้องปฏิบัติตามคําเตือนของเจ้าหน้าที่และป้ายเตือนต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด รวมทั้ง หลีกเลี่ยงพื้นที่จุดเสี่ยง อาทิ โป๊ะที่ชํารุดหรือมีผู้คนหนาแน่น สถานที่เล่นดอกไม้ไฟ และต้องดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ขอให้ทุกท่านคํานึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ช่วยกันดูแลไม่ให้เกิดการกระทําที่เสี่ยงต่ออันตรายใด ๆ เพื่อให้ทุกท่านได้ร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทงอย่างสนุกสนานรื่นเริงและปลอดภัย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16921
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.รับรองหลักสูตรออนไลน์ด้านดิจิทัลของ IBM และ Microsoft
|
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562
ศธ.รับรองหลักสูตรออนไลน์ด้านดิจิทัลของ IBM และ Microsoft
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ ครั้งที่ 4
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ ครั้งที่ 4เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562 ณ ห้องประชุมราชวัลลภโดยมี ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ประธานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนประธานและผู้แทนสภาหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย เข้าร่วมประชุม
รมว.ศึกษาธิการเปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ มีผลการดําเนินงานที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยสถาบันอาชีวศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสถาบันอุดมศึกษา มีความตื่นตัวเป็นอย่างมาก และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) ซึ่งทั้ง3หน่วยงานมีความยินดีที่กระทรวงศึกษาธิการดําเนินการโครงการนี้ และพร้อมที่จะส่งเสริมสนับสนุนการจ้างงานผู้ที่จบการศึกษาจากหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติด้วย
สําหรับการประชุมในครั้งนี้ที่ประชุมได้รับรองหลักสูตรออนไลน์ด้านดิจิทัลของ IBM (International Business Machines) และ Microsoftซึ่งจะเป็นการเสริมทักษะด้านดิจิทัลให้กับผู้เรียนอาชีวศึกษาอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้พิจารณาหลักสูตร Dual Vocational Training Abroad ของเยอรมนีโดยสถาบันอาชีวศึกษาสามารถนําหลักสูตรนี้ไปปรับใช้กับการจัดการเรียนการสอนอย่างเหมาะสม โดยคํานึงถึงคุณภาพเป็นหลัก เพื่อยกระดับอาชีวศึกษาไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าเยอรมนี พร้อมกันนี้ ประเทศสิงคโปร์เสนอที่จะจัดหาสถานที่ในการฝึกปฏิบัติงานให้แก่ผู้เรียนในหลักสูตรอาชีวะนานาชาติของทุกประเทศด้วย สําหรับค่าใช้จ่ายในการเรียน กระทรวงศึกษาธิการเตรียมที่จะเจรจากับธนาคารออมสินและธนาคารอื่น ๆ เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาด้วย
สิ่งสําคัญคือ การประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติให้นักเรียนและนักศึกษารับรู้ เพื่อกระตุ้นให้เด็กมาเรียนหลักสูตรที่มีมาตรฐานนานาชาติ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะขณะนี้มีสถาบันอาชีวศึกษาเอกชนบางแห่ง เปิดโอกาสให้ได้เรียนก่อน แล้วจ่ายค่าใช้จ่ายภายหลัง ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีงานทําหลังจบการศึกษาแน่นอน
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า จะมีการผลักดันให้การดําเนินการอาชีวศึกษานานาชาติ เป็นนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการอาชีวศึกษาให้มีคุณภาพ และมีมาตรฐานเทียบเท่านานาชาติ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการและผู้จ้างงาน ทั้งนี้ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2562 นี้ กระทรวงศึกษาธิการจะจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อนําเสนอหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติที่ได้รับการรับรองให้กับสถาบันอุดมศึกษากว่า 180 แห่ง ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
โอกาสนี้รมว.ศึกษาธิการ ได้เป็นประธานมอบประกาศความร่วมมือการจัดการศึกษาของหลักสูตรต่าง ๆ จากนานาประเทศซึ่งขณะนี้มีจํานวนทั้งสิ้น6หลักสูตร จาก5ประเทศ คือ
หลักสูตรออนไลน์ด้านดิจิทัล2หลักสูตร จากสหรัฐอเมริกา
หลักสูตร Dual Vocational Training Abroad จากเยอรมนี
หลักสูตร BTEC ของ Pearson จากสหราชอาณาจักร
หลักสูตรInternational Computer Driving License : ICDL หรือวุฒิบัตรรับรองความสามารถคอมพิวเตอร์สากล จากสาธารณรัฐไอร์แลนด์
หลักสูตรการสอนเกี่ยวกับการโรงแรมและอุตสาหกรรมภาคบริการ ของWilliam Angliss Institute จากออสเตรเลีย
Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.รับรองหลักสูตรออนไลน์ด้านดิจิทัลของ IBM และ Microsoft
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562
ศธ.รับรองหลักสูตรออนไลน์ด้านดิจิทัลของ IBM และ Microsoft
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ ครั้งที่ 4
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ ครั้งที่ 4เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562 ณ ห้องประชุมราชวัลลภโดยมี ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ประธานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนประธานและผู้แทนสภาหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย เข้าร่วมประชุม
รมว.ศึกษาธิการเปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ มีผลการดําเนินงานที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยสถาบันอาชีวศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสถาบันอุดมศึกษา มีความตื่นตัวเป็นอย่างมาก และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) ซึ่งทั้ง3หน่วยงานมีความยินดีที่กระทรวงศึกษาธิการดําเนินการโครงการนี้ และพร้อมที่จะส่งเสริมสนับสนุนการจ้างงานผู้ที่จบการศึกษาจากหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติด้วย
สําหรับการประชุมในครั้งนี้ที่ประชุมได้รับรองหลักสูตรออนไลน์ด้านดิจิทัลของ IBM (International Business Machines) และ Microsoftซึ่งจะเป็นการเสริมทักษะด้านดิจิทัลให้กับผู้เรียนอาชีวศึกษาอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้พิจารณาหลักสูตร Dual Vocational Training Abroad ของเยอรมนีโดยสถาบันอาชีวศึกษาสามารถนําหลักสูตรนี้ไปปรับใช้กับการจัดการเรียนการสอนอย่างเหมาะสม โดยคํานึงถึงคุณภาพเป็นหลัก เพื่อยกระดับอาชีวศึกษาไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าเยอรมนี พร้อมกันนี้ ประเทศสิงคโปร์เสนอที่จะจัดหาสถานที่ในการฝึกปฏิบัติงานให้แก่ผู้เรียนในหลักสูตรอาชีวะนานาชาติของทุกประเทศด้วย สําหรับค่าใช้จ่ายในการเรียน กระทรวงศึกษาธิการเตรียมที่จะเจรจากับธนาคารออมสินและธนาคารอื่น ๆ เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาด้วย
สิ่งสําคัญคือ การประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติให้นักเรียนและนักศึกษารับรู้ เพื่อกระตุ้นให้เด็กมาเรียนหลักสูตรที่มีมาตรฐานนานาชาติ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะขณะนี้มีสถาบันอาชีวศึกษาเอกชนบางแห่ง เปิดโอกาสให้ได้เรียนก่อน แล้วจ่ายค่าใช้จ่ายภายหลัง ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีงานทําหลังจบการศึกษาแน่นอน
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า จะมีการผลักดันให้การดําเนินการอาชีวศึกษานานาชาติ เป็นนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการอาชีวศึกษาให้มีคุณภาพ และมีมาตรฐานเทียบเท่านานาชาติ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการและผู้จ้างงาน ทั้งนี้ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2562 นี้ กระทรวงศึกษาธิการจะจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อนําเสนอหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติที่ได้รับการรับรองให้กับสถาบันอุดมศึกษากว่า 180 แห่ง ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
โอกาสนี้รมว.ศึกษาธิการ ได้เป็นประธานมอบประกาศความร่วมมือการจัดการศึกษาของหลักสูตรต่าง ๆ จากนานาประเทศซึ่งขณะนี้มีจํานวนทั้งสิ้น6หลักสูตร จาก5ประเทศ คือ
หลักสูตรออนไลน์ด้านดิจิทัล2หลักสูตร จากสหรัฐอเมริกา
หลักสูตร Dual Vocational Training Abroad จากเยอรมนี
หลักสูตร BTEC ของ Pearson จากสหราชอาณาจักร
หลักสูตรInternational Computer Driving License : ICDL หรือวุฒิบัตรรับรองความสามารถคอมพิวเตอร์สากล จากสาธารณรัฐไอร์แลนด์
หลักสูตรการสอนเกี่ยวกับการโรงแรมและอุตสาหกรรมภาคบริการ ของWilliam Angliss Institute จากออสเตรเลีย
Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19393
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สศอ. เผย MPI เดือน ตุลาคม ขยายตัวร้อยละ 0.48 ส่งสัญญาณเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง
|
วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2560
สศอ. เผย MPI เดือน ตุลาคม ขยายตัวร้อยละ 0.48 ส่งสัญญาณเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง
สศอ. เผย ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ประจําเดือนตุลาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 0.48 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อน ส่งสัญญาณการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย โดยอุตสาหกรรมสําคัญที่ส่งผลบวก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง น้ํามันพืช เครื่องยนต์สําหรับรถยนต์ ...
สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผย ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ประจําเดือนตุลาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 0.48 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อน ส่งสัญญาณการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย โดยอุตสาหกรรมสําคัญที่ส่งผลบวก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง น้ํามันพืช เครื่องยนต์สําหรับรถยนต์ แปรรูปผลไม้และผัก และเฟอร์นิเจอร์
นายวีรศักดิ์ ศุภประเสริฐ รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ประจําเดือนตุลาคม ขยายตัวขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.48 ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม 10 เดือนแรกปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 1.38 ส่งสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจไทยกําลังขยายตัวต่อเนื่องเช่นเดียวกันกับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคําแท่ง) ที่ขยายตัวถึง ร้อยละ 14.7 รวมถึงการนําเข้าสินค้าทุนที่ขยายตัวร้อยละ 6.1 และการนําเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสําเร็จรูป (ไม่รวมทองคําแท่ง) ที่ขยายตัวถึงร้อยละ 13.8 โดยอุตสาหกรรมสําคัญที่ส่งผลบวก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง น้ํามันพืช เครื่องยนต์สําหรับรถยนต์ แปรรูปผลไม้และผัก และเฟอร์นิเจอร์
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) มีการขยายตัว ได้แก่
ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.67 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากสินค้ายางแผ่นและยางแท่ง เนื่องจากปีก่อนภาคใต้ประสบปัญหาน้ําท่วมทําให้ไม่สามารถกรีดยางได้ปริมาณน้ํายางจึงมีน้อยกว่า และปีนี้มีการขยายตลาดรวมถึงลูกค้าจีนยังคงมีความต้องการนําเข้าสินค้าจากไทยอย่างต่อเนื่อง
น้ํามันพืช ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.71 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากสินค้าน้ํามันปาล์มดิบ เนื่องจากปีนี้มีฝนตกอย่างต่อเนื่องทําให้ได้ผลผลิตปาล์มสูง ในขณะที่ปีก่อนภาคใต้ประสบปัญหาน้ําท่วมไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลปาล์มได้ รวมถึงภาครัฐมีมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มน้ํามันโดยการปรับสัดส่วนการใช้ไบโอดีเซล จากน้ํามันบี 5 เป็นน้ํามันบี 7 ส่งผลให้ระดับการใช้น้ํามันปาล์มดิบเพื่อผลิตเป็นไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 12,000 ตัน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2560
เครื่องยนต์สําหรับรถยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.16 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากสินค้าเครื่องยนต์ดีเซลเป็นหลัก โดยปริมาณการจําหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.48 ส่วนปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.01
แปรรูปผลไม้และผัก ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.87 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากสินค้าสับปะรดกระป๋องเป็นหลัก เนื่องจากปีนี้มีฝนตกต่อเนื่องตลอดปี ทําให้ได้ผลผลิตสับปะรดออกสู่ตลาดเป็นจํานวนมาก ประกอบกับไตรมาส 3 ของปีก่อน พื้นที่เพาะปลูกบางแห่งประสบปัญหาน้ําท่วมทําให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยกว่าปกติ
เฟอร์นิเจอร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.95 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากสินค้าเครื่องเรือนทําด้วยไม้เป็นหลัก โดยมีคําสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศเพื่อจําหน่ายในช่วงคริสมาสต์
สําหรับสินค้าในอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ได้แก่
เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน การผลิตเดือนตุลาคมลดลงร้อยละ 22.44 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากสินค้าคอนเดนซิ่งยูนิต แฟนคอยล์ยูนิต และคอมเพรสเซอร์ จากสภาพอากาศแปรปรวนทําให้ไม่สามารถทําตลาดได้ตามเป้า และจากการชะลอตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ปริมาณการจําหน่ายในประเทศ ลดลงร้อยละ 22.69 ส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.43 จากการขยายตลาดไปยุโรปเพิ่มขึ้น
เครื่องประดับ การผลิตเดือนตุลาคมลดลงร้อยละ 26.16 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากสินค้าต่างหู รองมาคือ แหวน จี้ และเพชร ตามการชะลอตัวของตลาดโลกรวมถึงราคาทองคําที่ผันผวน ส่งผลให้ลูกค้าหลักมีความต้องการบริโภคสินค้าเครื่องประดับและเพชรลดลง
การปั่นเส้นใยสิ่งทอ การผลิตเดือนตุลาคมลดลงร้อยละ 20.11 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากสินค้าเส้นด้ายและผ้าทอ เช่น ผ้าทอฝ้าย ผ้าทออื่นๆ และด้ายฝ้ายผสม เป็นหลัก โดยลดลงจากตลาดในประเทศและส่งออก ซึ่งตลาดในประเทศประสบปัญหาการนําเข้าสินค้าราคาถูกมาจําหน่ายมากขึ้น ส่วนการส่งออกประเทศคู่แข่งเช่น เวียดนาม จีนได้เข้าไปลงทุนในสิ่งทอต้นน้ําทําให้ความต้องการนําเข้าสินค้าจากไทยลดลง และกลายมาเป็นประเทศคู่แข่งที่สําคัญในตลาดส่งออกแทน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สศอ. เผย MPI เดือน ตุลาคม ขยายตัวร้อยละ 0.48 ส่งสัญญาณเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง
วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2560
สศอ. เผย MPI เดือน ตุลาคม ขยายตัวร้อยละ 0.48 ส่งสัญญาณเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง
สศอ. เผย ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ประจําเดือนตุลาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 0.48 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อน ส่งสัญญาณการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย โดยอุตสาหกรรมสําคัญที่ส่งผลบวก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง น้ํามันพืช เครื่องยนต์สําหรับรถยนต์ ...
สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผย ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ประจําเดือนตุลาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 0.48 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อน ส่งสัญญาณการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย โดยอุตสาหกรรมสําคัญที่ส่งผลบวก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง น้ํามันพืช เครื่องยนต์สําหรับรถยนต์ แปรรูปผลไม้และผัก และเฟอร์นิเจอร์
นายวีรศักดิ์ ศุภประเสริฐ รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ประจําเดือนตุลาคม ขยายตัวขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.48 ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม 10 เดือนแรกปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 1.38 ส่งสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจไทยกําลังขยายตัวต่อเนื่องเช่นเดียวกันกับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคําแท่ง) ที่ขยายตัวถึง ร้อยละ 14.7 รวมถึงการนําเข้าสินค้าทุนที่ขยายตัวร้อยละ 6.1 และการนําเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสําเร็จรูป (ไม่รวมทองคําแท่ง) ที่ขยายตัวถึงร้อยละ 13.8 โดยอุตสาหกรรมสําคัญที่ส่งผลบวก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง น้ํามันพืช เครื่องยนต์สําหรับรถยนต์ แปรรูปผลไม้และผัก และเฟอร์นิเจอร์
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) มีการขยายตัว ได้แก่
ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.67 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากสินค้ายางแผ่นและยางแท่ง เนื่องจากปีก่อนภาคใต้ประสบปัญหาน้ําท่วมทําให้ไม่สามารถกรีดยางได้ปริมาณน้ํายางจึงมีน้อยกว่า และปีนี้มีการขยายตลาดรวมถึงลูกค้าจีนยังคงมีความต้องการนําเข้าสินค้าจากไทยอย่างต่อเนื่อง
น้ํามันพืช ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.71 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากสินค้าน้ํามันปาล์มดิบ เนื่องจากปีนี้มีฝนตกอย่างต่อเนื่องทําให้ได้ผลผลิตปาล์มสูง ในขณะที่ปีก่อนภาคใต้ประสบปัญหาน้ําท่วมไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลปาล์มได้ รวมถึงภาครัฐมีมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มน้ํามันโดยการปรับสัดส่วนการใช้ไบโอดีเซล จากน้ํามันบี 5 เป็นน้ํามันบี 7 ส่งผลให้ระดับการใช้น้ํามันปาล์มดิบเพื่อผลิตเป็นไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 12,000 ตัน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2560
เครื่องยนต์สําหรับรถยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.16 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากสินค้าเครื่องยนต์ดีเซลเป็นหลัก โดยปริมาณการจําหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.48 ส่วนปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.01
แปรรูปผลไม้และผัก ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.87 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากสินค้าสับปะรดกระป๋องเป็นหลัก เนื่องจากปีนี้มีฝนตกต่อเนื่องตลอดปี ทําให้ได้ผลผลิตสับปะรดออกสู่ตลาดเป็นจํานวนมาก ประกอบกับไตรมาส 3 ของปีก่อน พื้นที่เพาะปลูกบางแห่งประสบปัญหาน้ําท่วมทําให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยกว่าปกติ
เฟอร์นิเจอร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.95 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากสินค้าเครื่องเรือนทําด้วยไม้เป็นหลัก โดยมีคําสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศเพื่อจําหน่ายในช่วงคริสมาสต์
สําหรับสินค้าในอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ได้แก่
เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน การผลิตเดือนตุลาคมลดลงร้อยละ 22.44 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากสินค้าคอนเดนซิ่งยูนิต แฟนคอยล์ยูนิต และคอมเพรสเซอร์ จากสภาพอากาศแปรปรวนทําให้ไม่สามารถทําตลาดได้ตามเป้า และจากการชะลอตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ปริมาณการจําหน่ายในประเทศ ลดลงร้อยละ 22.69 ส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.43 จากการขยายตลาดไปยุโรปเพิ่มขึ้น
เครื่องประดับ การผลิตเดือนตุลาคมลดลงร้อยละ 26.16 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากสินค้าต่างหู รองมาคือ แหวน จี้ และเพชร ตามการชะลอตัวของตลาดโลกรวมถึงราคาทองคําที่ผันผวน ส่งผลให้ลูกค้าหลักมีความต้องการบริโภคสินค้าเครื่องประดับและเพชรลดลง
การปั่นเส้นใยสิ่งทอ การผลิตเดือนตุลาคมลดลงร้อยละ 20.11 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากสินค้าเส้นด้ายและผ้าทอ เช่น ผ้าทอฝ้าย ผ้าทออื่นๆ และด้ายฝ้ายผสม เป็นหลัก โดยลดลงจากตลาดในประเทศและส่งออก ซึ่งตลาดในประเทศประสบปัญหาการนําเข้าสินค้าราคาถูกมาจําหน่ายมากขึ้น ส่วนการส่งออกประเทศคู่แข่งเช่น เวียดนาม จีนได้เข้าไปลงทุนในสิ่งทอต้นน้ําทําให้ความต้องการนําเข้าสินค้าจากไทยลดลง และกลายมาเป็นประเทศคู่แข่งที่สําคัญในตลาดส่งออกแทน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8525
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงทุนภาคเอกชนขยายตัว ไตรมาสแรก 2561 ขอส่งเสริมรวมกว่า 2 แสนล้านบาท
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน 2561
ลงทุนภาคเอกชนขยายตัว ไตรมาสแรก 2561 ขอส่งเสริมรวมกว่า 2 แสนล้านบาท
บีโอไอเผยสัญญาณการลงทุนปีนี้มีทิศทางดี ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรกปี 2561 มูลค่าเงินลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท พร้อมชูมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพกระตุ้นการลงทุนเพิ่ม
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงสถิติขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 (มกราคม – มีนาคม 2561) ว่า มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 333 โครงการ เงินลงทุนรวม 203,630 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อบรรยากาศการลงทุนในปีนี้ โดยมูลค่าดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28 ของเป้าหมายขอรับส่งเสริมการลงทุนตลอดทั้งปีที่ 720,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ มูลค่าเงินลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมากว่า 1 แสนล้านบาท โดยเป็นการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ ได้แก่ อุตสาหกรรม ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร
ชูมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพกระตุ้นลงทุนเพิ่ม
นางสาวดวงใจ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากการลงทุนโครงการใหม่ และโครงการขยายของ รายเดิม ในปีนี้น่าจะเห็นทิศทางการลงทุนของภาคเอกชนในอีกมิติหนึ่ง ซึ่งก็คือ มีการลงทุนตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากเฉพาะช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2561) มีผู้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตแล้ว 33 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 1,500 ล้านบาท
“ภาคเอกชนจํานวนมากยื่นขอลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยในปี 2560 มีมูลค่าสูงกว่า 17,000 ล้านบาท ทําให้บีโอไอมั่นใจว่าในปีนี้ จะมีความสนใจลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตสูงกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมการผลิตและของประเทศไทยไปพร้อมกันด้วย” นางสาวดวงใจ กล่าว
บีโอไอได้ออกมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันแก่ภาคอุตสาหกรรม และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี นวัตกรรม โดยมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ได้แก่ การส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานทดแทนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การนําหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ หรือระบบดิจิทัลมาใช้
*******************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงทุนภาคเอกชนขยายตัว ไตรมาสแรก 2561 ขอส่งเสริมรวมกว่า 2 แสนล้านบาท
วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน 2561
ลงทุนภาคเอกชนขยายตัว ไตรมาสแรก 2561 ขอส่งเสริมรวมกว่า 2 แสนล้านบาท
บีโอไอเผยสัญญาณการลงทุนปีนี้มีทิศทางดี ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรกปี 2561 มูลค่าเงินลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท พร้อมชูมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพกระตุ้นการลงทุนเพิ่ม
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงสถิติขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 (มกราคม – มีนาคม 2561) ว่า มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 333 โครงการ เงินลงทุนรวม 203,630 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อบรรยากาศการลงทุนในปีนี้ โดยมูลค่าดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28 ของเป้าหมายขอรับส่งเสริมการลงทุนตลอดทั้งปีที่ 720,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ มูลค่าเงินลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมากว่า 1 แสนล้านบาท โดยเป็นการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ ได้แก่ อุตสาหกรรม ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร
ชูมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพกระตุ้นลงทุนเพิ่ม
นางสาวดวงใจ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากการลงทุนโครงการใหม่ และโครงการขยายของ รายเดิม ในปีนี้น่าจะเห็นทิศทางการลงทุนของภาคเอกชนในอีกมิติหนึ่ง ซึ่งก็คือ มีการลงทุนตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากเฉพาะช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2561) มีผู้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตแล้ว 33 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 1,500 ล้านบาท
“ภาคเอกชนจํานวนมากยื่นขอลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยในปี 2560 มีมูลค่าสูงกว่า 17,000 ล้านบาท ทําให้บีโอไอมั่นใจว่าในปีนี้ จะมีความสนใจลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตสูงกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมการผลิตและของประเทศไทยไปพร้อมกันด้วย” นางสาวดวงใจ กล่าว
บีโอไอได้ออกมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันแก่ภาคอุตสาหกรรม และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี นวัตกรรม โดยมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ได้แก่ การส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานทดแทนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การนําหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ หรือระบบดิจิทัลมาใช้
*******************************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11585
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-แคนาดา สมัยพิเศษ
|
วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2560
นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-แคนาดา สมัยพิเศษ
นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-แคนาดา สมัยพิเศษ
วันนี้ (14 พ.ย. 60) เวลา 10.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในการประชุมสุดยอดอาเซียน-แคนาดา สมัยพิเศษ ในโอกาสครบรอบ 40 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-แคนาดา ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติฟิลิปปินส์ (PICC) กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับการครบรอบ 40 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-แคนาดา การครบรอบ 150 ปีของการสถาปนาแคนาดา และการครบรอบ 50 ปีการก่อตั้งอาเซียน พร้อมชื่นชมนายกรัฐมนตรีทรูโดฯ ที่เพิ่มความสําคัญต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ และได้แต่งตั้งเอกอัครราชทูตแคนาดาประจําอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตาคนแรกเมื่อปีที่ผ่านมา รวมทั้ง จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์อาเซียน-แคนาดา
อาเซียนและแคนาดาควรเร่งเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสําคัญที่อาเซียนและแคนาดาสามารถร่วมกันเสริมสร้างให้เกิด “การเจริญเติบโตเขียว” (green growth) ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นายกรัฐมนตรีมุ่งหวังว่า อาเซียนและแคนาดาจะได้เริ่มขยายความร่วมมือในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ การสร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง นับเป็นหัวใจสําคัญของการส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในอาเซียน และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์อาเซียน 2025 ซึ่งการส่งเสริมศักยภาพสตรี โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้สตรีเป็นพลังการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนจะส่งเสริมการบรรลุวิสัยทัศน์อาเซียนและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกทั้งยังสอดคล้องกับที่แคนาดาให้ความสนใจในเรื่องสิทธิของสตรีและเด็ก ผู้นําอาเซียนได้รับรองวาระการดําเนินงานในการสร้างความตระหนักในเรื่องการส่งเสริมขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของสตรีในอาเซียน ซึ่งจะเป็นรากฐานสําคัญในการพัฒนาประเด็นดังกล่าวต่อไป
ทั้งนี้อาเซียนยินดีที่แคนาดาสนับสนุนอาเซียนในฐานะแกนกลางของโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาค และเห็นว่า อาเซียนและแคนาดาควรร่วมกันพัฒนาและส่งเสริมระบบภูมิภาคนิยมและพหุภาคีนิยมบนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหว่างประเทศและผลประโยชน์ร่วมกัน
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียินดีที่ทราบว่า อาเซียนพร้อมจะเริ่มกระบวนการหารือแนวทางความเป็นไปได้ในการจัดทําความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดา (ASEAN-Canada FTA) ซึ่งก้าวดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับแคนาดาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น พร้อมขอบคุณแคนาดาที่ส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนและวัฒนธรรม โดยให้ความสําคัญกับการพัฒนาการศึกษา ตลอดจนการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนในประเทศอาเซียน เหล่านี้จะช่วยให้ประชาคมอาเซียนมีศักยภาพมากยิ่งขึ้นพร้อมรับมือการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Fourth Industrial Revolution)
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-แคนาดา สมัยพิเศษ
วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2560
นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-แคนาดา สมัยพิเศษ
นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-แคนาดา สมัยพิเศษ
วันนี้ (14 พ.ย. 60) เวลา 10.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในการประชุมสุดยอดอาเซียน-แคนาดา สมัยพิเศษ ในโอกาสครบรอบ 40 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-แคนาดา ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติฟิลิปปินส์ (PICC) กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับการครบรอบ 40 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-แคนาดา การครบรอบ 150 ปีของการสถาปนาแคนาดา และการครบรอบ 50 ปีการก่อตั้งอาเซียน พร้อมชื่นชมนายกรัฐมนตรีทรูโดฯ ที่เพิ่มความสําคัญต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ และได้แต่งตั้งเอกอัครราชทูตแคนาดาประจําอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตาคนแรกเมื่อปีที่ผ่านมา รวมทั้ง จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์อาเซียน-แคนาดา
อาเซียนและแคนาดาควรเร่งเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสําคัญที่อาเซียนและแคนาดาสามารถร่วมกันเสริมสร้างให้เกิด “การเจริญเติบโตเขียว” (green growth) ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นายกรัฐมนตรีมุ่งหวังว่า อาเซียนและแคนาดาจะได้เริ่มขยายความร่วมมือในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ การสร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง นับเป็นหัวใจสําคัญของการส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในอาเซียน และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์อาเซียน 2025 ซึ่งการส่งเสริมศักยภาพสตรี โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้สตรีเป็นพลังการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนจะส่งเสริมการบรรลุวิสัยทัศน์อาเซียนและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกทั้งยังสอดคล้องกับที่แคนาดาให้ความสนใจในเรื่องสิทธิของสตรีและเด็ก ผู้นําอาเซียนได้รับรองวาระการดําเนินงานในการสร้างความตระหนักในเรื่องการส่งเสริมขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของสตรีในอาเซียน ซึ่งจะเป็นรากฐานสําคัญในการพัฒนาประเด็นดังกล่าวต่อไป
ทั้งนี้อาเซียนยินดีที่แคนาดาสนับสนุนอาเซียนในฐานะแกนกลางของโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาค และเห็นว่า อาเซียนและแคนาดาควรร่วมกันพัฒนาและส่งเสริมระบบภูมิภาคนิยมและพหุภาคีนิยมบนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหว่างประเทศและผลประโยชน์ร่วมกัน
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียินดีที่ทราบว่า อาเซียนพร้อมจะเริ่มกระบวนการหารือแนวทางความเป็นไปได้ในการจัดทําความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดา (ASEAN-Canada FTA) ซึ่งก้าวดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับแคนาดาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น พร้อมขอบคุณแคนาดาที่ส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนและวัฒนธรรม โดยให้ความสําคัญกับการพัฒนาการศึกษา ตลอดจนการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนในประเทศอาเซียน เหล่านี้จะช่วยให้ประชาคมอาเซียนมีศักยภาพมากยิ่งขึ้นพร้อมรับมือการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Fourth Industrial Revolution)
**********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8067
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. แนะประชาชนช่วยกันสังเกตคนใกล้ชิด ป้องกันการฆ่าตัวตาย
|
วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561
ปลัด สธ. แนะประชาชนช่วยกันสังเกตคนใกล้ชิด ป้องกันการฆ่าตัวตาย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แนะสังเกตอาการคนใกล้ชิด หากผิดปกติให้พูดคุยทันที ป้องกันการฆ่าตัวตาย ประชาชน สามารถปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพจิตที่สายด่วน 1323
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แนะสังเกตอาการคนใกล้ชิด หากผิดปกติให้พูดคุยทันที ป้องกันการฆ่าตัวตาย ประชาชน สามารถปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพจิตที่สายด่วน 1323
วันนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2561) นายแพทย์เจษฎาโชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากข่าวการฆ่าตัวตายที่สื่อมวลชนนําเสนอ ทั้งที่สําเร็จและไม่สําเร็จนั้น ขอให้ประชาชนช่วยกันป้องกัน เนื่องจากเป็นเรื่องใกล้ตัว อาจเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยสังเกตความผิดปกติของผู้ใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้องรัง เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หากพบว่ามีการพูดในทํานองสั่งเสีย ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ ขอให้ใส่ใจ รับฟัง พูดคุย เป็นเพื่อน อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพื่อให้ได้มีโอกาสระบายความรู้สึกออกมา แต่หากไม่ดีขึ้นขอให้พาไปพบจิตแพทย์ทันที รวมทั้งขอให้ทุกคนสังเกตตัวเองว่ามีความเครียดสะสมหรือไม่ เช่นวิตกกังวลมาก นอนไม่หลับ และหาวิธีการผ่อนคลายความเครียด เช่น ออกกําลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ พูดคุยกับคนใกล้ชิด เป็นต้น หรือโทรปรึกษาสายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 หรือ แอปพลิเคชันสบายใจSabaijai
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวต่อว่า การฆ่าตัวตายมาจากหลายสาเหตุ ประมาณร้อยละ 50 ที่พบว่ามาจากโรคซึมเศร้า คาดว่าคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป เป็นโรคซึมเศร้า 1.5 ล้านคนได้มอบให้กรมสุขภาพจิต จัดทําโครงการค้นหาผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าในกลุ่มเสี่ยงเพื่อเพิ่มการเข้าถึงและลดความรุนแรงที่อาจนําไปสู่การฆ่าตัวตาย โดยล่าสุดมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเข้าถึงบริการร้อยละ 55.40
ทั้งนี้ ในปี 2559 ประเทศไทยมีอัตราผู้ฆ่าตัวตายสําเร็จอยู่ที่ 6.35 ต่อประชากรแสนคน ประมาณการณ์ว่ามีแนวโน้มลดลง ได้ใช้กลยุทธ์การป้องกันการทําร้ายตัวเองซ้ํา เพิ่มการเข้าถึงบริการ ซึ่งจะช่วยลดการฆ่าตัวตายลงได้เฉลี่ย 300 – 400 คนต่อปี
**********************26 กุมภาพันธ์ 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. แนะประชาชนช่วยกันสังเกตคนใกล้ชิด ป้องกันการฆ่าตัวตาย
วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561
ปลัด สธ. แนะประชาชนช่วยกันสังเกตคนใกล้ชิด ป้องกันการฆ่าตัวตาย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แนะสังเกตอาการคนใกล้ชิด หากผิดปกติให้พูดคุยทันที ป้องกันการฆ่าตัวตาย ประชาชน สามารถปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพจิตที่สายด่วน 1323
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แนะสังเกตอาการคนใกล้ชิด หากผิดปกติให้พูดคุยทันที ป้องกันการฆ่าตัวตาย ประชาชน สามารถปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพจิตที่สายด่วน 1323
วันนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2561) นายแพทย์เจษฎาโชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากข่าวการฆ่าตัวตายที่สื่อมวลชนนําเสนอ ทั้งที่สําเร็จและไม่สําเร็จนั้น ขอให้ประชาชนช่วยกันป้องกัน เนื่องจากเป็นเรื่องใกล้ตัว อาจเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยสังเกตความผิดปกติของผู้ใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้องรัง เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หากพบว่ามีการพูดในทํานองสั่งเสีย ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ ขอให้ใส่ใจ รับฟัง พูดคุย เป็นเพื่อน อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพื่อให้ได้มีโอกาสระบายความรู้สึกออกมา แต่หากไม่ดีขึ้นขอให้พาไปพบจิตแพทย์ทันที รวมทั้งขอให้ทุกคนสังเกตตัวเองว่ามีความเครียดสะสมหรือไม่ เช่นวิตกกังวลมาก นอนไม่หลับ และหาวิธีการผ่อนคลายความเครียด เช่น ออกกําลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ พูดคุยกับคนใกล้ชิด เป็นต้น หรือโทรปรึกษาสายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 หรือ แอปพลิเคชันสบายใจSabaijai
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวต่อว่า การฆ่าตัวตายมาจากหลายสาเหตุ ประมาณร้อยละ 50 ที่พบว่ามาจากโรคซึมเศร้า คาดว่าคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป เป็นโรคซึมเศร้า 1.5 ล้านคนได้มอบให้กรมสุขภาพจิต จัดทําโครงการค้นหาผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าในกลุ่มเสี่ยงเพื่อเพิ่มการเข้าถึงและลดความรุนแรงที่อาจนําไปสู่การฆ่าตัวตาย โดยล่าสุดมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเข้าถึงบริการร้อยละ 55.40
ทั้งนี้ ในปี 2559 ประเทศไทยมีอัตราผู้ฆ่าตัวตายสําเร็จอยู่ที่ 6.35 ต่อประชากรแสนคน ประมาณการณ์ว่ามีแนวโน้มลดลง ได้ใช้กลยุทธ์การป้องกันการทําร้ายตัวเองซ้ํา เพิ่มการเข้าถึงบริการ ซึ่งจะช่วยลดการฆ่าตัวตายลงได้เฉลี่ย 300 – 400 คนต่อปี
**********************26 กุมภาพันธ์ 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10365
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังชี้แจง การบริหารเงินคงคลังของรัฐบาล
|
วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561
กระทรวงการคลังชี้แจง การบริหารเงินคงคลังของรัฐบาล
ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง อธิบดีกรมบัญชีกลาง และผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์การบริหารเงินคงคลังของรัฐบาล
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง และ นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์การบริหารเงินคงคลังของรัฐบาล ตามที่ เพจ “กูต้องได้ 100 ล้าน จากทักษิณแน่ ๆ” ได้นําข้อมูลจากกระทรวงการคลัง เรื่อง ปริมาณเงินคงคลังของรัฐบาล โดยนําข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 – พฤศจิกายน 2560 เป็นตารางมาเปรียบเทียบ พร้อมกล่าวหาว่า ความสามารถในการบริหารเงินคงคลังของ คสช. มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ จนต้องกู้เงินเพิ่ม โดยนําข้อมูลดังกล่าวมาโต้แย้งกับการให้ข้อมูลของรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ระบุว่า เศรษฐกิจไทยเติบโต นั้น กระทรวงการคลังขอชี้แจงว่า
• ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา รัฐบาลมีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยมีงบประมาณรายจ่ายมากกว่าประมาณการรายได้ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยังมีข้อจํากัดจากอัตราการใช้กําลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ยังไม่เต็มศักยภาพ
• โดยการดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลดังกล่าวเป็นการขาดดุลสําหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุน ซึ่งการลงทุนภาครัฐจะช่วยส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนในภาพรวมของประเทศ ช่วยกระตุ้นและดึงดูดการลงทุนเพิ่มจากภาคเอกชนด้วย (crowding-in effect)
• กระทรวงการคลังจะดําเนินการกู้เงินเพื่อให้สอดคล้องกับกระแสรายได้ กระแสรายจ่าย ในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ ภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยมีการวางแผนการกู้เงินและบริหารเงินคงคลังร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ําเสมอ เพื่อให้การดําเนินงานมีประสิทธิภาพและรอบคอบรัดกุม และเป็นการดําเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย
• แนวทางในการดําเนินนโยบายการคลังและการบริหารเงินคงคลัง รัฐบาลได้คํานึงถึงภาวะเศรษฐกิจ สภาพคล่องของรัฐบาล และยังเป็นการดําเนินการภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังตามกฎหมายทุกประการ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้มีการบริหารเงินคงคลังให้เพียงพอต่อความต้องการใช้เงินในแต่ละช่วงเวลา โดยคํานึงถึงภาระดอกเบี้ย ซึ่งเป็นต้นทุนในการเก็บรักษาเงินคงคลังที่ไม่ควรจะมีมากเกินความจําเป็น
• การดําเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลแบบขาดดุล ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง (ในปี 2557 2558 และ 2559 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 0.9 2.9 และ 3.2 ตามลําดับ) โดยในปี 2560 สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ใกล้เคียงร้อยละ 4.0 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปี
• ในขณะที่ระดับหนี้สาธารณะของประเทศที่ผ่านมาอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ณ เดือนธันวาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 41.76 (ซึ่งต่ํากว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กําหนดให้สัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60) สะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
• อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไป หากภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ รัฐบาลก็อาจไม่มีความจําเป็นที่จะต้องจัดทํางบประมาณขาดดุล เพื่อให้ภาคเอกชนเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยังคงมีนโยบายที่มุ่งเน้นการจัดทํางบประมาณสมดุล พร้อมทั้งยังมีการจัดทําแผนการคลังระยะปานกลาง เพื่อเป็นการรักษากรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศให้มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ และสามารถรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
---------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังชี้แจง การบริหารเงินคงคลังของรัฐบาล
วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561
กระทรวงการคลังชี้แจง การบริหารเงินคงคลังของรัฐบาล
ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง อธิบดีกรมบัญชีกลาง และผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์การบริหารเงินคงคลังของรัฐบาล
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง และ นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์การบริหารเงินคงคลังของรัฐบาล ตามที่ เพจ “กูต้องได้ 100 ล้าน จากทักษิณแน่ ๆ” ได้นําข้อมูลจากกระทรวงการคลัง เรื่อง ปริมาณเงินคงคลังของรัฐบาล โดยนําข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 – พฤศจิกายน 2560 เป็นตารางมาเปรียบเทียบ พร้อมกล่าวหาว่า ความสามารถในการบริหารเงินคงคลังของ คสช. มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ จนต้องกู้เงินเพิ่ม โดยนําข้อมูลดังกล่าวมาโต้แย้งกับการให้ข้อมูลของรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ระบุว่า เศรษฐกิจไทยเติบโต นั้น กระทรวงการคลังขอชี้แจงว่า
• ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา รัฐบาลมีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยมีงบประมาณรายจ่ายมากกว่าประมาณการรายได้ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยังมีข้อจํากัดจากอัตราการใช้กําลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ยังไม่เต็มศักยภาพ
• โดยการดําเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลดังกล่าวเป็นการขาดดุลสําหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุน ซึ่งการลงทุนภาครัฐจะช่วยส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนในภาพรวมของประเทศ ช่วยกระตุ้นและดึงดูดการลงทุนเพิ่มจากภาคเอกชนด้วย (crowding-in effect)
• กระทรวงการคลังจะดําเนินการกู้เงินเพื่อให้สอดคล้องกับกระแสรายได้ กระแสรายจ่าย ในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ ภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยมีการวางแผนการกู้เงินและบริหารเงินคงคลังร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ําเสมอ เพื่อให้การดําเนินงานมีประสิทธิภาพและรอบคอบรัดกุม และเป็นการดําเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย
• แนวทางในการดําเนินนโยบายการคลังและการบริหารเงินคงคลัง รัฐบาลได้คํานึงถึงภาวะเศรษฐกิจ สภาพคล่องของรัฐบาล และยังเป็นการดําเนินการภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังตามกฎหมายทุกประการ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้มีการบริหารเงินคงคลังให้เพียงพอต่อความต้องการใช้เงินในแต่ละช่วงเวลา โดยคํานึงถึงภาระดอกเบี้ย ซึ่งเป็นต้นทุนในการเก็บรักษาเงินคงคลังที่ไม่ควรจะมีมากเกินความจําเป็น
• การดําเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลแบบขาดดุล ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง (ในปี 2557 2558 และ 2559 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 0.9 2.9 และ 3.2 ตามลําดับ) โดยในปี 2560 สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ใกล้เคียงร้อยละ 4.0 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปี
• ในขณะที่ระดับหนี้สาธารณะของประเทศที่ผ่านมาอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ณ เดือนธันวาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 41.76 (ซึ่งต่ํากว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กําหนดให้สัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60) สะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
• อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไป หากภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ รัฐบาลก็อาจไม่มีความจําเป็นที่จะต้องจัดทํางบประมาณขาดดุล เพื่อให้ภาคเอกชนเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยังคงมีนโยบายที่มุ่งเน้นการจัดทํางบประมาณสมดุล พร้อมทั้งยังมีการจัดทําแผนการคลังระยะปานกลาง เพื่อเป็นการรักษากรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศให้มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ และสามารถรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
---------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9995
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์โควิด-19 ภายในเรือนจำฯ ประจำวันที่ 26 เมษายน 2563 [กระทรวงยุติธรรม]
|
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2563
สถานการณ์โควิด-19 ภายในเรือนจําฯ ประจําวันที่ 26 เมษายน 2563 [กระทรวงยุติธรรม]
สถานการณ์โควิด-19 ภายในเรือนจําฯ ประจําวันที่ 26 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์โควิด-19 ภายในเรือนจำฯ ประจำวันที่ 26 เมษายน 2563 [กระทรวงยุติธรรม]
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2563
สถานการณ์โควิด-19 ภายในเรือนจําฯ ประจําวันที่ 26 เมษายน 2563 [กระทรวงยุติธรรม]
สถานการณ์โควิด-19 ภายในเรือนจําฯ ประจําวันที่ 26 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29869
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คืนชีวิตให้ชุมชนคลองคูเมืองเดิม...เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านสายน้ำและอัตลักษณ์ท้องถิ่น
|
วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563
คืนชีวิตให้ชุมชนคลองคูเมืองเดิม...เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านสายน้ําและอัตลักษณ์ท้องถิ่น
ตามที่รัฐบาลได้กําหนดให้หน่วยงานดําเนินโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ.2562 โดยมุ่งฟื้นฟูการพัฒนาลําน้ํา คูคลอง เพื่อสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน
ทําให้ถนนสวยงามด้วยการปลูกต้นไม้และสีสันดอกไม้หลายสีมีแนวทางการอนุรักษ์พัฒนาคลองนี้ โดยน้อมนําแนวพระราโชบาย ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยราชการในพระองค์ร่วมกับหน่วยราชการต่างๆ และภาคประชาชน ร่วมใจกันบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ ด้วยกิจกรรม “เราทําความดีด้วยหัวใจ”
ทําให้เกิด “แผนพัฒนา” ปรับปรุงภูมิทัศน์คลองในเกาะรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่คลองคูเมืองเดิม คลองหลอดวัดราชนัดดา คลองหลอดวัดราชบพิธ คลองบางลําพู คลองผดุงกรุงเกษม คลองวัดตรีทศเทพ คลองวัดสังเวช เริ่มพัฒนาด้วยการทําความสะอาดคลอง ล้างขัดเขื่อนริมคลอง และทาสีให้สวยงามเหมาะสมตลอด 2 ฝั่งคลอง ระยะทาง 7,300 เมตร นอกจากนี้ ยังจะปรับภูมิทัศน์โดยรอบพื้นที่ ทําความสะอาดถนน ทางเท้าตัดแต่งต้นไม้ มีการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่าง ขุดลอกคูคลอง ปรับสภาพแหล่งเสื่อมโทรม จนมีคุณภาพในระดับพอใช้ถึงระดับดี
ที่มีแม่งาน...“กระทรวงกลาโหม” ร่วมกับสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และภาคเอกชน จัดทําโครงการเพื่อการพัฒนาแหล่งน้ําคลองคูเมืองเดิม ที่เชื่อมจากแม่น้ําเจ้าพระยา ตรงบริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า ไปยังปากคลองตลาด ระยะทาง 1.7 กิโลเมตร
อีกทั้งพัฒนาคลองเชื่อมต่อ...ทั้งคลองหลอดวัดราชนัดดา คลองหลอดวัดราชบพิธ ให้ใสสะอาด สวยงาม มีการนําสายไฟฟ้า สายสื่อสารลงใต้ดิน และดําเนินการย้ายคนเร่ร่อนอาศัยในพื้นที่ไปอยู่สถานสงเคราะห์ของภาครัฐ ในการปรับปรุงภูมิทัศน์ริม 2 ฝั่ง ให้เหมาะสมเป็นแหล่งท่องเที่ยวสันทนาการที่เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่
ในปี 2563...พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญในการดําเนินโครงการให้ต่อเนื่องอย่างยั่งยืน ด้วยการสานต่อ “โครงการคลองคูเมืองเดิมเฉลิมพระเกียรติ” ให้สอดคล้องยุทธศาสตร์ นโยบายรัฐบาล มุ่งเน้นเกี่ยวกับด้านการท่องเที่ยวในชุมชน และแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์
ใช้โอกาสนี้ระดมจิตอาสา ผนึกกําลังมาร่วมกับหลายหน่วยงาน ในการช่วยกันบูรณะ “คลองคูเมืองเดิม” ที่เป็นคูเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ ตลอดจน 2 ฟากฝั่งคลอง ให้คืนกลับมาสู่ความเป็นธรรมชาติ
นับจาก “คูคลอง” ที่น้ําเคยดําขุ่นด้วยโคลน กลับมาใสสะอาด สามารถแลเห็นฝูงปลาน้อยใหญ่เกาะกลุ่มเริงร่ากระซิบกัน และต้นไม้ที่เคยอับเฉาก็กลับมาเขียวสดฉ่ําตา ฝูงนก กา เคยขาดหายไปก็มีมาถลาร่อนบิน ส่งเสียงเย้าหยอกกันสนุกสนาน เพื่อรอนักท่องเที่ยวกลับมาชื่นชมความเป็นธรรมชาติทางประวัติศาสตร์กันอีกครั้ง
โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่ชุมชนโดยรอบกระทรวงกลาโหม ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจ ด้วยการปลุกฟื้นคืนชีวิตให้ชุมชน ควบคู่กับการสืบค้นเรื่องราวประวัติศาสตร์ดั่งเดิม มีสถาปัตยกรรม และสิ่งปลูกสร้าง ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และทําการปรับปรุงสถาปัตยกรรมเดิมที่มีอยู่แล้วให้สวยงาม
เพื่อให้เป็นที่น่าสืบค้นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ และอัตลักษณ์ของท้องถิ่น เช่น ต้นตะเคียนที่ปลูกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และต้นขนุนสมัยรัชกาลที่ 5 ค้นหาต้นทุนเดิมของท้องถิ่นในทุกมิติ ปรับปรุงทําความสะอาด ทาสี โครงสร้างพื้นที่ถนน ฟุตปาท และจัดระบบการจราจรใหม่ทั้งหมด
ทําให้เป็นจุดขายของการท่องเที่ยว ที่มีการส่งเสริมอาหารมากมาย ต่างมีความอร่อยระดับชั้นนํา เพื่อนําไปสู่การพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน
กลายเป็นจุดกําเนิดปรับโฉม “คลองหลอด” พัฒนาน้ําในคลองคูเมืองเดิมให้กลับมาใสสะอาด ริมคลอง และบริเวณสวนหย่อมอาคารบ้านเรือน มีการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ให้มีความสวยงามเชิงอนุรักษ์แบบย้อนยุค และคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม ทําให้ประชาชนผู้พักอาศัยและชุมชนใกล้เคียงมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
สร้าง “กรุงเทพฯ” มีเสน่ห์อย่างแตกต่าง...แต่กลมกลืนด้วยศิลปวัฒนธรรม มีความเป็นเมืองสมัยใหม่ จากการพัฒนาพื้นที่ชุมชนโดยรอบให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และสร้างจิตสํานึกให้ทุกคนรักษาความสะอาด รักท้องถิ่น รักชุมชนรู้สึกเป็นเจ้าของ ไม่ทิ้งขยะลงคลอง ทั้งให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาคลองด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คืนชีวิตให้ชุมชนคลองคูเมืองเดิม...เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านสายน้ำและอัตลักษณ์ท้องถิ่น
วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563
คืนชีวิตให้ชุมชนคลองคูเมืองเดิม...เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านสายน้ําและอัตลักษณ์ท้องถิ่น
ตามที่รัฐบาลได้กําหนดให้หน่วยงานดําเนินโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ.2562 โดยมุ่งฟื้นฟูการพัฒนาลําน้ํา คูคลอง เพื่อสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน
ทําให้ถนนสวยงามด้วยการปลูกต้นไม้และสีสันดอกไม้หลายสีมีแนวทางการอนุรักษ์พัฒนาคลองนี้ โดยน้อมนําแนวพระราโชบาย ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยราชการในพระองค์ร่วมกับหน่วยราชการต่างๆ และภาคประชาชน ร่วมใจกันบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ ด้วยกิจกรรม “เราทําความดีด้วยหัวใจ”
ทําให้เกิด “แผนพัฒนา” ปรับปรุงภูมิทัศน์คลองในเกาะรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่คลองคูเมืองเดิม คลองหลอดวัดราชนัดดา คลองหลอดวัดราชบพิธ คลองบางลําพู คลองผดุงกรุงเกษม คลองวัดตรีทศเทพ คลองวัดสังเวช เริ่มพัฒนาด้วยการทําความสะอาดคลอง ล้างขัดเขื่อนริมคลอง และทาสีให้สวยงามเหมาะสมตลอด 2 ฝั่งคลอง ระยะทาง 7,300 เมตร นอกจากนี้ ยังจะปรับภูมิทัศน์โดยรอบพื้นที่ ทําความสะอาดถนน ทางเท้าตัดแต่งต้นไม้ มีการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่าง ขุดลอกคูคลอง ปรับสภาพแหล่งเสื่อมโทรม จนมีคุณภาพในระดับพอใช้ถึงระดับดี
ที่มีแม่งาน...“กระทรวงกลาโหม” ร่วมกับสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และภาคเอกชน จัดทําโครงการเพื่อการพัฒนาแหล่งน้ําคลองคูเมืองเดิม ที่เชื่อมจากแม่น้ําเจ้าพระยา ตรงบริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า ไปยังปากคลองตลาด ระยะทาง 1.7 กิโลเมตร
อีกทั้งพัฒนาคลองเชื่อมต่อ...ทั้งคลองหลอดวัดราชนัดดา คลองหลอดวัดราชบพิธ ให้ใสสะอาด สวยงาม มีการนําสายไฟฟ้า สายสื่อสารลงใต้ดิน และดําเนินการย้ายคนเร่ร่อนอาศัยในพื้นที่ไปอยู่สถานสงเคราะห์ของภาครัฐ ในการปรับปรุงภูมิทัศน์ริม 2 ฝั่ง ให้เหมาะสมเป็นแหล่งท่องเที่ยวสันทนาการที่เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่
ในปี 2563...พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญในการดําเนินโครงการให้ต่อเนื่องอย่างยั่งยืน ด้วยการสานต่อ “โครงการคลองคูเมืองเดิมเฉลิมพระเกียรติ” ให้สอดคล้องยุทธศาสตร์ นโยบายรัฐบาล มุ่งเน้นเกี่ยวกับด้านการท่องเที่ยวในชุมชน และแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์
ใช้โอกาสนี้ระดมจิตอาสา ผนึกกําลังมาร่วมกับหลายหน่วยงาน ในการช่วยกันบูรณะ “คลองคูเมืองเดิม” ที่เป็นคูเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ ตลอดจน 2 ฟากฝั่งคลอง ให้คืนกลับมาสู่ความเป็นธรรมชาติ
นับจาก “คูคลอง” ที่น้ําเคยดําขุ่นด้วยโคลน กลับมาใสสะอาด สามารถแลเห็นฝูงปลาน้อยใหญ่เกาะกลุ่มเริงร่ากระซิบกัน และต้นไม้ที่เคยอับเฉาก็กลับมาเขียวสดฉ่ําตา ฝูงนก กา เคยขาดหายไปก็มีมาถลาร่อนบิน ส่งเสียงเย้าหยอกกันสนุกสนาน เพื่อรอนักท่องเที่ยวกลับมาชื่นชมความเป็นธรรมชาติทางประวัติศาสตร์กันอีกครั้ง
โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่ชุมชนโดยรอบกระทรวงกลาโหม ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจ ด้วยการปลุกฟื้นคืนชีวิตให้ชุมชน ควบคู่กับการสืบค้นเรื่องราวประวัติศาสตร์ดั่งเดิม มีสถาปัตยกรรม และสิ่งปลูกสร้าง ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และทําการปรับปรุงสถาปัตยกรรมเดิมที่มีอยู่แล้วให้สวยงาม
เพื่อให้เป็นที่น่าสืบค้นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ และอัตลักษณ์ของท้องถิ่น เช่น ต้นตะเคียนที่ปลูกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และต้นขนุนสมัยรัชกาลที่ 5 ค้นหาต้นทุนเดิมของท้องถิ่นในทุกมิติ ปรับปรุงทําความสะอาด ทาสี โครงสร้างพื้นที่ถนน ฟุตปาท และจัดระบบการจราจรใหม่ทั้งหมด
ทําให้เป็นจุดขายของการท่องเที่ยว ที่มีการส่งเสริมอาหารมากมาย ต่างมีความอร่อยระดับชั้นนํา เพื่อนําไปสู่การพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน
กลายเป็นจุดกําเนิดปรับโฉม “คลองหลอด” พัฒนาน้ําในคลองคูเมืองเดิมให้กลับมาใสสะอาด ริมคลอง และบริเวณสวนหย่อมอาคารบ้านเรือน มีการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ให้มีความสวยงามเชิงอนุรักษ์แบบย้อนยุค และคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม ทําให้ประชาชนผู้พักอาศัยและชุมชนใกล้เคียงมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
สร้าง “กรุงเทพฯ” มีเสน่ห์อย่างแตกต่าง...แต่กลมกลืนด้วยศิลปวัฒนธรรม มีความเป็นเมืองสมัยใหม่ จากการพัฒนาพื้นที่ชุมชนโดยรอบให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และสร้างจิตสํานึกให้ทุกคนรักษาความสะอาด รักท้องถิ่น รักชุมชนรู้สึกเป็นเจ้าของ ไม่ทิ้งขยะลงคลอง ทั้งให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาคลองด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33856
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจแก่เด็กและเยาวชนบ้านเมตตา เน้นให้ยึดมั่นความซื่อตรง มีความเพียร และเป็นสุภาพชน
|
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่เด็กและเยาวชนบ้านเมตตา เน้นให้ยึดมั่นความซื่อตรง มีความเพียร และเป็นสุภาพชน
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่เด็กและเยาวชนบ้านเมตตา เน้นให้ยึดมั่นความซื่อตรง มีความเพียร และเป็นสุภาพชน
เมื่อวันพุธที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๐๐ น.
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม
เข้าตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่ผู้บริหาร ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ ฝ่ายปกครอง
พร้อมปฏิบัติหน้าที่ครูพิเศษ บรรยายในวิชาสังคมศึกษา เรื่อง “จิตวิทยาสังคม” แก่เด็กและเยาวชน
ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร (บ้านเมตตา) เขตบางนา กรุงเทพฯ
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวตอนหนึ่งในการบรรยายว่า “ครูอาจารย์ท่านสอนศิษย์มาหลายชั่วคน ว่า
ใครก็ตามได้รับความสําเร็จในชีวิตทางโลก อันได้แก่ ยศถาบรรดาศักดิ์ ตําแหน่งหน้าที่ ความใหญ่ความโต
ทั้งหลายเหล่านั้นหากมีภูมิคุ้มกันไม่ดี ที่อ่อนยวบยาบ ความสําเร็จดังกล่าว จะกลายเป็นความทุกขเวทนา
ความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เป็นยาพิษให้โทษตนเองไปตลอดชีวิต กลับกลายเป็นไหลซึมซับลงไปในสายเลือด
อันเป็นพิษเป็นภัยแก่ทั้งตนเองและลูกหลานไม่จบไม่สิ้น ละครฉากใหญ่จะเกิดขึ้น ที่ไม่ใช่เรื่องจริง
เพราะความหลงลืมตัว ความทะเยอทะยาน และหยิ่งผยองมากขึ้นของคนที่สมควรเป็นแบบอย่าง
แก่ครอบครัวและองค์กร แต่กลับไม่ทําหน้าที่ให้เหมาะสม ความถูกจึงกลายเป็นผิด ความดีเลยกลายเป็นชั่ว
คําชื่นชมเลยกลายเป็นคําตําหนิติเตียน เรื่องนี้มองในทางธรรมย่อมถือเป็นเวรเป็นกรรม ไม่มีใครช่วยเราได้
เพราะความมืดมนทางความคิด นอกจากตัวเราเองเท่านั้นที่จะเลือกทางเดินให้ถูก ให้เป็นไปตามครรลองคลองธรรม
ลูกหลานเยาวชนจึงต้องเลือกทางเดินให้ถูก มีความเคารพเชื่อฟังในบุพการี ครูอาจารย์ในสถานพินิจฯ
ที่ทุกท่านต่างมีความตั้งใจจริงและมีความจริงใจ ยึดมั่นความซื่อตรง มีความเพียร เป็นสุภาพชน ไม่อวดรู้อวดดี
วางอํานาจบาตรใหญ่ ความสําเร็จแก่ตนย่อมเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ความจริงไม่ทิ้งเราไปไหน”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจแก่เด็กและเยาวชนบ้านเมตตา เน้นให้ยึดมั่นความซื่อตรง มีความเพียร และเป็นสุภาพชน
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่เด็กและเยาวชนบ้านเมตตา เน้นให้ยึดมั่นความซื่อตรง มีความเพียร และเป็นสุภาพชน
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่เด็กและเยาวชนบ้านเมตตา เน้นให้ยึดมั่นความซื่อตรง มีความเพียร และเป็นสุภาพชน
เมื่อวันพุธที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๐๐ น.
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม
เข้าตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่ผู้บริหาร ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ ฝ่ายปกครอง
พร้อมปฏิบัติหน้าที่ครูพิเศษ บรรยายในวิชาสังคมศึกษา เรื่อง “จิตวิทยาสังคม” แก่เด็กและเยาวชน
ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร (บ้านเมตตา) เขตบางนา กรุงเทพฯ
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวตอนหนึ่งในการบรรยายว่า “ครูอาจารย์ท่านสอนศิษย์มาหลายชั่วคน ว่า
ใครก็ตามได้รับความสําเร็จในชีวิตทางโลก อันได้แก่ ยศถาบรรดาศักดิ์ ตําแหน่งหน้าที่ ความใหญ่ความโต
ทั้งหลายเหล่านั้นหากมีภูมิคุ้มกันไม่ดี ที่อ่อนยวบยาบ ความสําเร็จดังกล่าว จะกลายเป็นความทุกขเวทนา
ความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เป็นยาพิษให้โทษตนเองไปตลอดชีวิต กลับกลายเป็นไหลซึมซับลงไปในสายเลือด
อันเป็นพิษเป็นภัยแก่ทั้งตนเองและลูกหลานไม่จบไม่สิ้น ละครฉากใหญ่จะเกิดขึ้น ที่ไม่ใช่เรื่องจริง
เพราะความหลงลืมตัว ความทะเยอทะยาน และหยิ่งผยองมากขึ้นของคนที่สมควรเป็นแบบอย่าง
แก่ครอบครัวและองค์กร แต่กลับไม่ทําหน้าที่ให้เหมาะสม ความถูกจึงกลายเป็นผิด ความดีเลยกลายเป็นชั่ว
คําชื่นชมเลยกลายเป็นคําตําหนิติเตียน เรื่องนี้มองในทางธรรมย่อมถือเป็นเวรเป็นกรรม ไม่มีใครช่วยเราได้
เพราะความมืดมนทางความคิด นอกจากตัวเราเองเท่านั้นที่จะเลือกทางเดินให้ถูก ให้เป็นไปตามครรลองคลองธรรม
ลูกหลานเยาวชนจึงต้องเลือกทางเดินให้ถูก มีความเคารพเชื่อฟังในบุพการี ครูอาจารย์ในสถานพินิจฯ
ที่ทุกท่านต่างมีความตั้งใจจริงและมีความจริงใจ ยึดมั่นความซื่อตรง มีความเพียร เป็นสุภาพชน ไม่อวดรู้อวดดี
วางอํานาจบาตรใหญ่ ความสําเร็จแก่ตนย่อมเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ความจริงไม่ทิ้งเราไปไหน”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12114
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เดินหน้าพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ทำผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน มอก. เพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมไทย
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เดินหน้าพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ทําผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน มอก. เพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมไทย
สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตั้งเป้าปี 2560 พัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ทําผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน ยื่นขอใบอนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เดินหน้าพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ทำผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน มอก. เพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมไทย
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เดินหน้าพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ทําผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน มอก. เพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมไทย
สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตั้งเป้าปี 2560 พัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ทําผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน ยื่นขอใบอนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3496
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ มั่นใจกองทุนดีอีเน้นผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสมเกิดประโยชน์จริง
|
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ มั่นใจกองทุนดีอีเน้นผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสมเกิดประโยชน์จริง
กระทรวงดิจิทัลฯ
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ มั่นใจการบริหารกองทุนดีอี ที่มี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการบริการฯ จะเป็นกลไกสําคัญขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ยุคดิจิทัล เน้น 2 หน้าที่หลัก สนับสนุนและอุดหนุนทุกภาคส่วนในการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หวังผลักดันให้เกิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสม และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 ได้กําหนดให้มีการจัดตั้ง “กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” หรือ “กองทุนดีอี” ขึ้น เพื่อเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมดิจิทัล ตามแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล โดยกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) มีหน้าที่หลัก 2 ประการ คือ 1) ส่งเสริม สนับสนุน หรือให้ความช่วยเหลือหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หรือบุคคลทั่วไป ในการดําเนินการพัฒนาดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ต่อการบริการสาธารณะและไม่เป็นการแสวงหากําไร และ 2) ให้ทุนอุดหนุนการวิจัยและพัฒนาแก่หน่วยงานของรัฐและเอกชน หรือบุคคลทั่วไป ในเรื่องที่เกี่ยวกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
นอกจากนี้กองทุนดังกล่าว ยังมีบทบาทในการจัดให้มีบริการด้านโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม ตามที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มอบหมายให้ดําเนินการ ซึ่งภารกิจทั้งหมดภายใต้ พ.ร.บ.การพัฒนาดิจิทัลฯ ได้กําหนดแหล่งรายได้ของกองทุนดีอี ให้มาจาก 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนที่ 1 จากการจัดสรรคลื่นความถี่ ตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบการกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม โดยให้ กสทช. จัดสรรให้ในอัตราร้อยละ 15 ของรายได้ และส่วนที่ 2 เป็นเงินที่ได้รับการจัดสรรจากรายได้ของสํานักงาน กสทช. ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ในอัตราร้อยละ 15
สําหรับการบริหารกองทุนให้ดําเนินการตามวัตถุประสงค์นั้น กําหนดให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทําหน้าที่บริหารกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยคณะกรรมการฯ ชุดปัจจุบันมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นรองประธาน ในส่วนของกรรมการ ประกอบด้วย ตัวแทนจากภาครัฐ ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้ง และมีเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งการส่งเสริมและสนับสนุนในด้านการเงินให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ของกองทุนดีอี จะเป็นส่วนสําคัญที่ทําให้เกิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสม และเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างแท้จริงต่อไป
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ มั่นใจกองทุนดีอีเน้นผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสมเกิดประโยชน์จริง
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ มั่นใจกองทุนดีอีเน้นผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสมเกิดประโยชน์จริง
กระทรวงดิจิทัลฯ
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ มั่นใจการบริหารกองทุนดีอี ที่มี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการบริการฯ จะเป็นกลไกสําคัญขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ยุคดิจิทัล เน้น 2 หน้าที่หลัก สนับสนุนและอุดหนุนทุกภาคส่วนในการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หวังผลักดันให้เกิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสม และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 ได้กําหนดให้มีการจัดตั้ง “กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” หรือ “กองทุนดีอี” ขึ้น เพื่อเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมดิจิทัล ตามแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล โดยกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) มีหน้าที่หลัก 2 ประการ คือ 1) ส่งเสริม สนับสนุน หรือให้ความช่วยเหลือหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หรือบุคคลทั่วไป ในการดําเนินการพัฒนาดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ต่อการบริการสาธารณะและไม่เป็นการแสวงหากําไร และ 2) ให้ทุนอุดหนุนการวิจัยและพัฒนาแก่หน่วยงานของรัฐและเอกชน หรือบุคคลทั่วไป ในเรื่องที่เกี่ยวกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
นอกจากนี้กองทุนดังกล่าว ยังมีบทบาทในการจัดให้มีบริการด้านโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม ตามที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มอบหมายให้ดําเนินการ ซึ่งภารกิจทั้งหมดภายใต้ พ.ร.บ.การพัฒนาดิจิทัลฯ ได้กําหนดแหล่งรายได้ของกองทุนดีอี ให้มาจาก 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนที่ 1 จากการจัดสรรคลื่นความถี่ ตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบการกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม โดยให้ กสทช. จัดสรรให้ในอัตราร้อยละ 15 ของรายได้ และส่วนที่ 2 เป็นเงินที่ได้รับการจัดสรรจากรายได้ของสํานักงาน กสทช. ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ในอัตราร้อยละ 15
สําหรับการบริหารกองทุนให้ดําเนินการตามวัตถุประสงค์นั้น กําหนดให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทําหน้าที่บริหารกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยคณะกรรมการฯ ชุดปัจจุบันมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นรองประธาน ในส่วนของกรรมการ ประกอบด้วย ตัวแทนจากภาครัฐ ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้ง และมีเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งการส่งเสริมและสนับสนุนในด้านการเงินให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ของกองทุนดีอี จะเป็นส่วนสําคัญที่ทําให้เกิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสม และเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างแท้จริงต่อไป
**********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7832
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ชื่นชมประชาชนให้ความร่วมมือกับมาตรการของรัฐ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล (Social distancing)
|
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรี ชื่นชมประชาชนให้ความร่วมมือกับมาตรการของรัฐ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล (Social distancing)
นายกรัฐมนตรี ชื่นชมประชาชนให้ความร่วมมือกับมาตรการของรัฐ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล (Social distancing) ยืนยันเวชภัณฑ์ เตียง และสถานที่มีเพียงพอรองรับผู้ป่วย
วันนี้ (27มี.ค.63)เวลา11.30น. ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธินโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019แถลงภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.) ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฯ ว่า นายกรัฐมนตรีชื่นชมประชาชนที่ให้ความร่วมมือกับมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเว้นระยะห่างระหว่างกันทางสังคม หรือSocial distancingรวมทั้งกระทรวงคมนาคมยังจัดที่นั่งบนรถโดยสารสาธารณะ โรงอาหาร มีระยะห่างที่เหมาะสมตามมาตรการของรัฐบาล
ทั้งนี้ ที่ประชุม ฯ ยังรับทราบภาพรวมการดําเนินการต่าง ๆ ดังนี้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขรายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทยทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดว่า วันนี้มีผู้ป่วยใหม่91ราย รวมเป็นผู้ป่วยสะสม 1,136ราย ทิศทางผู้ป่วยรายใหม่ลดลงเล็กน้อยทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขยังนําเสนอการเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆเช่น จํานวนเตียงรองรับผู้ป่วยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนโรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลของทหาร ฯลฯรวมถึงการปรับโรงแรมเป็นโรงพยาบาลเฉพาะกิจ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่มาก รวมถึงจํานวนเตียงผู้ป่วยใน3จังหวัดชายแดนใต้และอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีเพียงพอรองรับผู้ป่วย รวมถึงการใช้ระบบออนไลน์ในการรายงานเกี่ยวกับสต๊อกสินค้าคงคลังอุปกรณ์เวชภัณฑ์ต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ด้วยทั้งนี้ยังมีงบกลางที่สนับสนุนมาให้ถึง1,500ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุข เป็นศูนย์จัดซื้อและกระจายอุปกรณ์ทางการแพทย์และเครื่องมือต่าง ๆ กระจายให้ทั่วประเทศสําหรับชุดตรวจเชื้อไวรัสที่มีความต้องการจํานวนมาก นายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติให้บริษัทเอกชนจําหน่ายทั้งลักษณะpcrหรือการสอดเข้าไปในโพรงจมูก เสนอเพิ่มอีก12บริษัท และเรื่องของการเจาะเลือดดูแอนติบอดี้หรือภูมิคุ้มกันในร่างการเพิ่มอีก3บริษัท จึงมั่นใจชุดการตรวจต่าง ๆ มีเพียงพอสําหรับรองรับประชาชน
กระทรวงพาณิชย์รายงานการดูแลสินค้าราคาแพง โดยเฉพาะไข่ที่มีการขายปลีกในราคาที่สูงมาก ซึ่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งว่า ขณะนี้ได้เข้าไปพูดคุยกับผู้ประกอบการสมาคมผู้ประกอบการไก่ไข่แล้ว โดยผู้ประกอบการรายใหญ่หรือฟาร์มนั้นยืนยันว่าราคาไข่ที่ออกจากฟาร์ม ไข่ฟอง1ราคาอยู่ที่2บาท80สตางค์ ซึ่งคาดว่าจะเกิดจากพ่อค้าคนกลางต่าง ๆ ทําให้ราคาเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ราคาไข่ที่2บาท80สตางค์ สามารถตั้งราคาขายได้ที่3บาท35สตางค์ ซึ่งขณะนี้สามารถหาซื้อไข่เบอร์3ในราคารานี้ได้ตามร้านค้าชุปเปอร์มาเก็ต และModern Tradeต่าง ๆรวมทั้งผู้ค้าปลีก ดิลิเวอรี่ ไลน์แมน ต่าง ๆ ได้ให้คํามั่นว่าจะไม่มีการขึ้นราคาบริการในช่วงนี้ รวมทั้งได้มีการผ่อนผันให้ศูนย์บริการโอเปอร์เรเตอร์โทรศัพท์ต่าง ๆ สามารถเปิดให้บริการประชาชนได้รวมถึงมีการผ่อนผันในเรื่องของการขนส่งสินค้า ที่มีการเข้า-ออก กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดกรณีการแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยนั้น ยังเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา3เรื่อง ได้แก่การขอให้มีการแต่งตั้งเพื่อยกระดับให้เป็นศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยระดับชาติ โดยจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการบริหาร คณะอนุกรรมการกําหนดราคากลางสําหรับเวชภัณฑ์ป้องกันในระดับประเทศ และคณะอนุกรรมการพิจารณาการอนุญาตส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหน้ากากอนามัยด้วย
โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงมหาดไทยรายงานถึงจังหวัดที่มีผู้ป่วยจํานวนมากและเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงจะต้องยกระดับควบเข้มข้นทุกมาตรการ ทั้งมาตรการสกัดกั้นเชื้อจากนอกพื้นที่ และยับยั้งการแพร่ระบาด ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑลกลุ่มจังหวัดทางด้านตะวันออกชลบุรีและพัทยา รวมถึงจังหวัดระยอง อุบลราชธานี ส่วนจังหวัดที่ต้องเน้นหนักมากเป็นพิเศษคือจังหวัดชายแดนใต้กับจังหวัดท่องเที่ยวทางภาคใต้ สงขลาปัตตานี ยะลา นราธิวาส และภูเก็ตซึ่งเป็นจังหวัดท่องเที่ยว
ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ รายงานการจัดเตรียมเครื่องบินเช่าเหมาลําไปรับคนไทยที่อยู่ประเทศอิตาลีต้องการเดินทางกลับประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุขจะได้ประสานงานร่วมกัน เพื่อหามาตรการดูแลคนไทยที่จะเดินทางกลับอย่างเหมาะสม เช่น ใบรับรองแพทย์fit to flyเนื่องจากประเทศอิตาลีก็ถือเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงของคนติดเชื้อไวรัสโควิด-19
ปลัดกระทรวงกลาโหมได้รายงานว่า ประชาชนให้ความร่วมมืออยู่บ้านอย่างไรก็ตามจะมีการเพิ่มจุดตรวจในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน377จุด อาจทําให้สัญจรไปมาไม่ราบรื่นบ้าง พร้อมกันนี้ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ขอความร่วมมือทุกส่วนราชการช่วยกันตรวจสอบFake Newsหากพบข้อมูลข่าวสารที่ไม่ชอบ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่จะดําเนินการตามกฎหมายต่อไป
นายกรัฐมนตรี ได้ย้ําห่วงใยถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยง ต้องมีการเตรียมพร้อมในการป้องกันตนเองโดยสวมหน้ากากอนามัยในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ด้วย พร้อมขอบคุณในน้ําใจทุกส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน และประชาชนที่ช่วยกันบริจาคในเรื่องของเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ทั้งยา หน้ากากอนามัย ฯลฯ เข้ามาอย่างต่อเนื่องนายกรัฐมนตรียังสั่งการให้ปรับปรุงเพิ่มคู่สาย หมายเลข1111สายโทรศัพท์ รองรับสําหรับบริการประชาชนที่โทรเข้ามาจํานวนมากรวมถึงช่องทางผ่านเว็บไซต์ในApplicationและไลน์โดยย้ําให้ผู้เกี่ยวข้อง นําวาระในที่ประชุมไปขยายผลและปฏิบัติให้เกิดผลให้ประชาชนได้รับทราบ รวมถึงนําไปปรับเป็นมาตรการต่าง ๆ ในการต่อสู้แก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019เพื่อร่วมกันฝ่าฝันวิกฤตและปัญหานี้ไปให้
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ชื่นชมประชาชนให้ความร่วมมือกับมาตรการของรัฐ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล (Social distancing)
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรี ชื่นชมประชาชนให้ความร่วมมือกับมาตรการของรัฐ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล (Social distancing)
นายกรัฐมนตรี ชื่นชมประชาชนให้ความร่วมมือกับมาตรการของรัฐ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล (Social distancing) ยืนยันเวชภัณฑ์ เตียง และสถานที่มีเพียงพอรองรับผู้ป่วย
วันนี้ (27มี.ค.63)เวลา11.30น. ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธินโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019แถลงภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.) ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฯ ว่า นายกรัฐมนตรีชื่นชมประชาชนที่ให้ความร่วมมือกับมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเว้นระยะห่างระหว่างกันทางสังคม หรือSocial distancingรวมทั้งกระทรวงคมนาคมยังจัดที่นั่งบนรถโดยสารสาธารณะ โรงอาหาร มีระยะห่างที่เหมาะสมตามมาตรการของรัฐบาล
ทั้งนี้ ที่ประชุม ฯ ยังรับทราบภาพรวมการดําเนินการต่าง ๆ ดังนี้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขรายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทยทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดว่า วันนี้มีผู้ป่วยใหม่91ราย รวมเป็นผู้ป่วยสะสม 1,136ราย ทิศทางผู้ป่วยรายใหม่ลดลงเล็กน้อยทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขยังนําเสนอการเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆเช่น จํานวนเตียงรองรับผู้ป่วยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนโรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลของทหาร ฯลฯรวมถึงการปรับโรงแรมเป็นโรงพยาบาลเฉพาะกิจ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่มาก รวมถึงจํานวนเตียงผู้ป่วยใน3จังหวัดชายแดนใต้และอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีเพียงพอรองรับผู้ป่วย รวมถึงการใช้ระบบออนไลน์ในการรายงานเกี่ยวกับสต๊อกสินค้าคงคลังอุปกรณ์เวชภัณฑ์ต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ด้วยทั้งนี้ยังมีงบกลางที่สนับสนุนมาให้ถึง1,500ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุข เป็นศูนย์จัดซื้อและกระจายอุปกรณ์ทางการแพทย์และเครื่องมือต่าง ๆ กระจายให้ทั่วประเทศสําหรับชุดตรวจเชื้อไวรัสที่มีความต้องการจํานวนมาก นายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติให้บริษัทเอกชนจําหน่ายทั้งลักษณะpcrหรือการสอดเข้าไปในโพรงจมูก เสนอเพิ่มอีก12บริษัท และเรื่องของการเจาะเลือดดูแอนติบอดี้หรือภูมิคุ้มกันในร่างการเพิ่มอีก3บริษัท จึงมั่นใจชุดการตรวจต่าง ๆ มีเพียงพอสําหรับรองรับประชาชน
กระทรวงพาณิชย์รายงานการดูแลสินค้าราคาแพง โดยเฉพาะไข่ที่มีการขายปลีกในราคาที่สูงมาก ซึ่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งว่า ขณะนี้ได้เข้าไปพูดคุยกับผู้ประกอบการสมาคมผู้ประกอบการไก่ไข่แล้ว โดยผู้ประกอบการรายใหญ่หรือฟาร์มนั้นยืนยันว่าราคาไข่ที่ออกจากฟาร์ม ไข่ฟอง1ราคาอยู่ที่2บาท80สตางค์ ซึ่งคาดว่าจะเกิดจากพ่อค้าคนกลางต่าง ๆ ทําให้ราคาเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ราคาไข่ที่2บาท80สตางค์ สามารถตั้งราคาขายได้ที่3บาท35สตางค์ ซึ่งขณะนี้สามารถหาซื้อไข่เบอร์3ในราคารานี้ได้ตามร้านค้าชุปเปอร์มาเก็ต และModern Tradeต่าง ๆรวมทั้งผู้ค้าปลีก ดิลิเวอรี่ ไลน์แมน ต่าง ๆ ได้ให้คํามั่นว่าจะไม่มีการขึ้นราคาบริการในช่วงนี้ รวมทั้งได้มีการผ่อนผันให้ศูนย์บริการโอเปอร์เรเตอร์โทรศัพท์ต่าง ๆ สามารถเปิดให้บริการประชาชนได้รวมถึงมีการผ่อนผันในเรื่องของการขนส่งสินค้า ที่มีการเข้า-ออก กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดกรณีการแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยนั้น ยังเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา3เรื่อง ได้แก่การขอให้มีการแต่งตั้งเพื่อยกระดับให้เป็นศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยระดับชาติ โดยจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการบริหาร คณะอนุกรรมการกําหนดราคากลางสําหรับเวชภัณฑ์ป้องกันในระดับประเทศ และคณะอนุกรรมการพิจารณาการอนุญาตส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหน้ากากอนามัยด้วย
โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงมหาดไทยรายงานถึงจังหวัดที่มีผู้ป่วยจํานวนมากและเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงจะต้องยกระดับควบเข้มข้นทุกมาตรการ ทั้งมาตรการสกัดกั้นเชื้อจากนอกพื้นที่ และยับยั้งการแพร่ระบาด ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑลกลุ่มจังหวัดทางด้านตะวันออกชลบุรีและพัทยา รวมถึงจังหวัดระยอง อุบลราชธานี ส่วนจังหวัดที่ต้องเน้นหนักมากเป็นพิเศษคือจังหวัดชายแดนใต้กับจังหวัดท่องเที่ยวทางภาคใต้ สงขลาปัตตานี ยะลา นราธิวาส และภูเก็ตซึ่งเป็นจังหวัดท่องเที่ยว
ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ รายงานการจัดเตรียมเครื่องบินเช่าเหมาลําไปรับคนไทยที่อยู่ประเทศอิตาลีต้องการเดินทางกลับประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุขจะได้ประสานงานร่วมกัน เพื่อหามาตรการดูแลคนไทยที่จะเดินทางกลับอย่างเหมาะสม เช่น ใบรับรองแพทย์fit to flyเนื่องจากประเทศอิตาลีก็ถือเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงของคนติดเชื้อไวรัสโควิด-19
ปลัดกระทรวงกลาโหมได้รายงานว่า ประชาชนให้ความร่วมมืออยู่บ้านอย่างไรก็ตามจะมีการเพิ่มจุดตรวจในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน377จุด อาจทําให้สัญจรไปมาไม่ราบรื่นบ้าง พร้อมกันนี้ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ขอความร่วมมือทุกส่วนราชการช่วยกันตรวจสอบFake Newsหากพบข้อมูลข่าวสารที่ไม่ชอบ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่จะดําเนินการตามกฎหมายต่อไป
นายกรัฐมนตรี ได้ย้ําห่วงใยถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยง ต้องมีการเตรียมพร้อมในการป้องกันตนเองโดยสวมหน้ากากอนามัยในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ด้วย พร้อมขอบคุณในน้ําใจทุกส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน และประชาชนที่ช่วยกันบริจาคในเรื่องของเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ทั้งยา หน้ากากอนามัย ฯลฯ เข้ามาอย่างต่อเนื่องนายกรัฐมนตรียังสั่งการให้ปรับปรุงเพิ่มคู่สาย หมายเลข1111สายโทรศัพท์ รองรับสําหรับบริการประชาชนที่โทรเข้ามาจํานวนมากรวมถึงช่องทางผ่านเว็บไซต์ในApplicationและไลน์โดยย้ําให้ผู้เกี่ยวข้อง นําวาระในที่ประชุมไปขยายผลและปฏิบัติให้เกิดผลให้ประชาชนได้รับทราบ รวมถึงนําไปปรับเป็นมาตรการต่าง ๆ ในการต่อสู้แก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019เพื่อร่วมกันฝ่าฝันวิกฤตและปัญหานี้ไปให้
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27986
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. แนะ “กรมธรรม์ประกันชีวิต – ประกันสุขภาพ” สามารถหักลดหย่อนภาษีได้
|
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
คปภ. แนะ “กรมธรรม์ประกันชีวิต – ประกันสุขภาพ” สามารถหักลดหย่อนภาษีได้
• เตือนประชาชนกรอกใบคําขอตามความจริง เพื่อลดข้อพิพาทการจ่ายเคลม
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจประกันชีวิตมีการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนผู้เอาประกันภัย ทั้งผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบระยะสั้น และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบระยะยาว เช่น การประกันชีวิตแบบตลอดชีพ และประกันชีวิตแบบบํานาญที่ประชาชนสามารถนําหลักฐานการชําระเบี้ยประกันชีวิตไปหักลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ เบี้ยประกันชีวิตที่ประชาชนสามารถนําไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ได้แก่ เบี้ยประกันชีวิตสําหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีกําหนดระยะเวลาคุ้มครอง ตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปีภาษี 2552 สามารถนําไปลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุดถึง 100,000 บาท และเบี้ยประกันสุขภาพที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมและจูงใจให้ประชาชนทําประกันสุขภาพ ซึ่งจะช่วยลดภาระในด้านค่ารักษาพยาบาลของประชาชน โดยล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกกฎกระทรวง เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2560 และได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2560 ซึ่งประชาชนสามารถนําเบี้ยประกันสุขภาพมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้ไม่เกิน 15,000 บาท แต่เมื่อรวมกับการหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั้งหมดแล้วต้อง ไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ เบี้ยประกันสุขภาพดังกล่าวต้องเป็นเบี้ยประกันสุขภาพที่ได้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ยังมีเบี้ยประกันชีวิตสําหรับกรมธรรม์แบบบํานาญ ซึ่งประชาชนสามารถนําไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ เพิ่มจากเบี้ยประกันชีวิตตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งเป็นเบี้ยประกันชีวิตแบบบํานาญตั้งแต่ปีภาษี 2553 โดยเมื่อรวมกับเงินที่จ่ายเข้ากองทุนสํารองเลี้ยงชีพ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการทําประกันชีวิต ผู้ขอทําประกันชีวิตจะต้องกรอกใบคําขอเอาประกันชีวิต ซึ่งบริษัทจะรับประกันชีวิตจากข้อมูลในใบคําขอ ฉะนั้นผู้ขอทําประกันชีวิตจะต้องกรอกใบคําขอตามความเป็นจริงทุกประการ หากผู้ขอทําประกันชีวิตไม่กรอกข้อมูลตามความเป็นจริง และข้อมูลนั้น เป็นสาระสําคัญที่บริษัทต้องเพิ่มเบี้ยประกันภัย หรือปฏิเสธการทําประกันภัย เมื่อบริษัทสืบทราบภายหลัง บริษัทมีสิทธิบอกยกเลิกกรมธรรม์ประกันชีวิต แต่อย่างไรก็ตามในกรมธรรม์ประกันภัยกําหนดให้บริษัทประกันภัยสามารถใช้สิทธิในการบอกยกเลิกกรมธรรม์ประกันชีวิต ในกรณีนี้ได้ภายใน 2 ปี นับจากวันทําสัญญาหรือวันต่ออายุสัญญา โดยในวันที่ผู้ขอเอาประกันชีวิตกรอกใบคําขอ จะต้องชําระเบี้ยประกันภัยงวดแรก และต้องได้รับใบเสร็จรับเงินชั่วคราวของบริษัทประกันชีวิตที่ระบุจํานวนเงินเบี้ยประกันภัยตรงกับจํานนวนเงินที่จ่ายไปจริงเก็บไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนั้นบริษัทพิจารณารับหรือไม่รับประกันชีวิต จะติดต่อกลับภายใน 30 วัน ดังนั้น หากประชาชนที่กําลังจะตัดสินใจซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตและกรมธรรม์ประกันสุขภาพขอให้ศึกษาเงื่อนไขความคุ้มครอง ความสามารถในการชําระเบี้ยประกันภัย และรายละเอียดข้อยกเว้นให้เข้าใจก่อนตัดสินใจทําประกันภัย เพื่อให้เหมาะสมและตรงกับความต้องการของตนเองได้มากที่สุด ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186 เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. แนะ “กรมธรรม์ประกันชีวิต – ประกันสุขภาพ” สามารถหักลดหย่อนภาษีได้
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
คปภ. แนะ “กรมธรรม์ประกันชีวิต – ประกันสุขภาพ” สามารถหักลดหย่อนภาษีได้
• เตือนประชาชนกรอกใบคําขอตามความจริง เพื่อลดข้อพิพาทการจ่ายเคลม
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจประกันชีวิตมีการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนผู้เอาประกันภัย ทั้งผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบระยะสั้น และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบระยะยาว เช่น การประกันชีวิตแบบตลอดชีพ และประกันชีวิตแบบบํานาญที่ประชาชนสามารถนําหลักฐานการชําระเบี้ยประกันชีวิตไปหักลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ เบี้ยประกันชีวิตที่ประชาชนสามารถนําไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ได้แก่ เบี้ยประกันชีวิตสําหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีกําหนดระยะเวลาคุ้มครอง ตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปีภาษี 2552 สามารถนําไปลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุดถึง 100,000 บาท และเบี้ยประกันสุขภาพที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมและจูงใจให้ประชาชนทําประกันสุขภาพ ซึ่งจะช่วยลดภาระในด้านค่ารักษาพยาบาลของประชาชน โดยล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกกฎกระทรวง เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2560 และได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2560 ซึ่งประชาชนสามารถนําเบี้ยประกันสุขภาพมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้ไม่เกิน 15,000 บาท แต่เมื่อรวมกับการหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั้งหมดแล้วต้อง ไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ เบี้ยประกันสุขภาพดังกล่าวต้องเป็นเบี้ยประกันสุขภาพที่ได้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ยังมีเบี้ยประกันชีวิตสําหรับกรมธรรม์แบบบํานาญ ซึ่งประชาชนสามารถนําไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ เพิ่มจากเบี้ยประกันชีวิตตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งเป็นเบี้ยประกันชีวิตแบบบํานาญตั้งแต่ปีภาษี 2553 โดยเมื่อรวมกับเงินที่จ่ายเข้ากองทุนสํารองเลี้ยงชีพ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการทําประกันชีวิต ผู้ขอทําประกันชีวิตจะต้องกรอกใบคําขอเอาประกันชีวิต ซึ่งบริษัทจะรับประกันชีวิตจากข้อมูลในใบคําขอ ฉะนั้นผู้ขอทําประกันชีวิตจะต้องกรอกใบคําขอตามความเป็นจริงทุกประการ หากผู้ขอทําประกันชีวิตไม่กรอกข้อมูลตามความเป็นจริง และข้อมูลนั้น เป็นสาระสําคัญที่บริษัทต้องเพิ่มเบี้ยประกันภัย หรือปฏิเสธการทําประกันภัย เมื่อบริษัทสืบทราบภายหลัง บริษัทมีสิทธิบอกยกเลิกกรมธรรม์ประกันชีวิต แต่อย่างไรก็ตามในกรมธรรม์ประกันภัยกําหนดให้บริษัทประกันภัยสามารถใช้สิทธิในการบอกยกเลิกกรมธรรม์ประกันชีวิต ในกรณีนี้ได้ภายใน 2 ปี นับจากวันทําสัญญาหรือวันต่ออายุสัญญา โดยในวันที่ผู้ขอเอาประกันชีวิตกรอกใบคําขอ จะต้องชําระเบี้ยประกันภัยงวดแรก และต้องได้รับใบเสร็จรับเงินชั่วคราวของบริษัทประกันชีวิตที่ระบุจํานวนเงินเบี้ยประกันภัยตรงกับจํานนวนเงินที่จ่ายไปจริงเก็บไว้เป็นหลักฐาน หลังจากนั้นบริษัทพิจารณารับหรือไม่รับประกันชีวิต จะติดต่อกลับภายใน 30 วัน ดังนั้น หากประชาชนที่กําลังจะตัดสินใจซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตและกรมธรรม์ประกันสุขภาพขอให้ศึกษาเงื่อนไขความคุ้มครอง ความสามารถในการชําระเบี้ยประกันภัย และรายละเอียดข้อยกเว้นให้เข้าใจก่อนตัดสินใจทําประกันภัย เพื่อให้เหมาะสมและตรงกับความต้องการของตนเองได้มากที่สุด ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186 เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8689
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้า Smart Hospital ตามนโยบาย Thailand 4.0
|
วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2561
กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้า Smart Hospital ตามนโยบาย Thailand 4.0
กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนนโยบาย Smart Hospital ตามนโยบาย Thailand 4.0 ใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ ระบบฐานข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพการจัดบริการประชาชน สะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนให้โรงพยาบาลในสังกัดเป็น Smart Hospital ตามนโยบาย Thailand 4.0 นําเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการบริหารจัดการ ระบบฐานข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพการจัดบริการประชาชน ทั้งด้าน ความสะดวกรวดเร็ว และความปลอดภัย ขณะนี้ทุกเขตสุขภาพได้ดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง เช่น เขตสุขภาพที่ 9 นําระบบ Cloud มาปรับใช้ในการติดตามดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องจากโรงพยาบาลถึงชุมชน ผ่านโปรแกรม Thai COC เขตสุขภาพ 5 พัฒนาระบบคิวอัตโนมัติครอบคลุมตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลจนรับยากลับบ้าน ผ่านโปรแกรมฮุกกะ นอกจากนั้นโรงพยาบาลหลายแห่งนําเทคโนโลยีระบบจัดยาอัตโนมัติมาใช้แทนบุคลากร เช่น โรงพยาบาลสมุทรสาคร โรงพยาบาลมะการักษ์ เป็นต้น สามารถลดระยะเวลารอรับยา ทําให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกต้องขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขกําลังร่วมวิจัยพัฒนาการนําโปรแกรม AI มาช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยโรค เช่น ช่วยในการวินิจฉัยโรคเบาหวานเข้าจอประสาทตา จากภาพถ่ายจอประสาทตา หรือช่วยวินิจฉัยภาพถ่ายรังสีปอด
ด้าน นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งพัฒนางานบริการทางการแพทย์ และนําเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบงานบริการอื่นๆ โดยร่วมกับธนาคารไทยพานิชย์พัฒนาโปรแกรม MOPH Connect เพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับประชาชนทุกคน และทดลองนําร่องที่โรงพยาบาลปทุมธานีMOPH Connect เป็นโปรแกรมพัฒนาบน LINE ซึ่งมีอยู่ใน Smart phone อยู่แล้ว ทําให้ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใหม่ เพียงแค่ Add Friend กับ MOPH Connect ก็สามารถเข้าใช้งานได้ทันทีขณะนี้มีโรงพยาบาล 20 กว่าแห่งที่สามารถเชื่อมต่อกับ MOPH ConnectและจะเปิดตัวMOPH Connect อย่างเป็นทางการประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน 2561
สําหรับฟังก์ชันการใช้งานใน MOPH Connect มีความสามารถหลายด้าน เช่น การค้นหาสถานบริการทั้งรัฐและเอกชน ตั้งแต่โรงพยาบาลจนถึงสถานีอนามัย ร้านขายยา พร้อมพิกัดนําทางผ่าน Google Maps กรณีเกิดเหตุด่วน 1669 สามารถส่งพิกัดที่อยู่ปัจจุบันให้อัตโนมัติ ระบบการจองคิวตรวจรักษาในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขตามสิทธิมีการแจ้งเตือนก่อนถึงวันนัดและแจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงคิวผ่านทาง LINE Notification ประชาชนไม่ต้องมาขอรับคิวตอนเช้า ช่วยลดเวลารอคอย ลดแออัด นอกจากนี้ มีฟังก์ชั่นประเมินความพึงพอใจการบริการของโรงพยาบาล มีบริการให้ความรู้สุขภาพ การบริจาคเงินให้โรงพยาบาลโดยตรง และข้อมูลลดหย่อนภาษีจากการบริจาคเข้าสู่ระบบของกรมสรรพากรอัตโนมัติ เพื่อความสะดวกในการลดหย่อนตอนยื่นชําระภาษีประจําปี เป็นต้น
*************************************11 พฤศจิกายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้า Smart Hospital ตามนโยบาย Thailand 4.0
วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2561
กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้า Smart Hospital ตามนโยบาย Thailand 4.0
กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนนโยบาย Smart Hospital ตามนโยบาย Thailand 4.0 ใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ ระบบฐานข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพการจัดบริการประชาชน สะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนให้โรงพยาบาลในสังกัดเป็น Smart Hospital ตามนโยบาย Thailand 4.0 นําเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการบริหารจัดการ ระบบฐานข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพการจัดบริการประชาชน ทั้งด้าน ความสะดวกรวดเร็ว และความปลอดภัย ขณะนี้ทุกเขตสุขภาพได้ดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง เช่น เขตสุขภาพที่ 9 นําระบบ Cloud มาปรับใช้ในการติดตามดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องจากโรงพยาบาลถึงชุมชน ผ่านโปรแกรม Thai COC เขตสุขภาพ 5 พัฒนาระบบคิวอัตโนมัติครอบคลุมตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลจนรับยากลับบ้าน ผ่านโปรแกรมฮุกกะ นอกจากนั้นโรงพยาบาลหลายแห่งนําเทคโนโลยีระบบจัดยาอัตโนมัติมาใช้แทนบุคลากร เช่น โรงพยาบาลสมุทรสาคร โรงพยาบาลมะการักษ์ เป็นต้น สามารถลดระยะเวลารอรับยา ทําให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกต้องขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขกําลังร่วมวิจัยพัฒนาการนําโปรแกรม AI มาช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยโรค เช่น ช่วยในการวินิจฉัยโรคเบาหวานเข้าจอประสาทตา จากภาพถ่ายจอประสาทตา หรือช่วยวินิจฉัยภาพถ่ายรังสีปอด
ด้าน นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งพัฒนางานบริการทางการแพทย์ และนําเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบงานบริการอื่นๆ โดยร่วมกับธนาคารไทยพานิชย์พัฒนาโปรแกรม MOPH Connect เพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับประชาชนทุกคน และทดลองนําร่องที่โรงพยาบาลปทุมธานีMOPH Connect เป็นโปรแกรมพัฒนาบน LINE ซึ่งมีอยู่ใน Smart phone อยู่แล้ว ทําให้ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใหม่ เพียงแค่ Add Friend กับ MOPH Connect ก็สามารถเข้าใช้งานได้ทันทีขณะนี้มีโรงพยาบาล 20 กว่าแห่งที่สามารถเชื่อมต่อกับ MOPH ConnectและจะเปิดตัวMOPH Connect อย่างเป็นทางการประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน 2561
สําหรับฟังก์ชันการใช้งานใน MOPH Connect มีความสามารถหลายด้าน เช่น การค้นหาสถานบริการทั้งรัฐและเอกชน ตั้งแต่โรงพยาบาลจนถึงสถานีอนามัย ร้านขายยา พร้อมพิกัดนําทางผ่าน Google Maps กรณีเกิดเหตุด่วน 1669 สามารถส่งพิกัดที่อยู่ปัจจุบันให้อัตโนมัติ ระบบการจองคิวตรวจรักษาในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขตามสิทธิมีการแจ้งเตือนก่อนถึงวันนัดและแจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงคิวผ่านทาง LINE Notification ประชาชนไม่ต้องมาขอรับคิวตอนเช้า ช่วยลดเวลารอคอย ลดแออัด นอกจากนี้ มีฟังก์ชั่นประเมินความพึงพอใจการบริการของโรงพยาบาล มีบริการให้ความรู้สุขภาพ การบริจาคเงินให้โรงพยาบาลโดยตรง และข้อมูลลดหย่อนภาษีจากการบริจาคเข้าสู่ระบบของกรมสรรพากรอัตโนมัติ เพื่อความสะดวกในการลดหย่อนตอนยื่นชําระภาษีประจําปี เป็นต้น
*************************************11 พฤศจิกายน 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16711
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ดูแลผู้บาดเจ็บ จากอุบัติเหตุรถทัวร์พลิกคว่ำ ที่จ.สุรินทร์
|
วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2561
สธ.ดูแลผู้บาดเจ็บ จากอุบัติเหตุรถทัวร์พลิกคว่ํา ที่จ.สุรินทร์
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกําชับให้โรงพยาบาลสุรินทร์ ดูรักษาผู้บาดเจ็บ จากอุบัติเหตุรถทัวร์พลิกคว่ําที่จังหวัดสุรินทร์อย่างเต็มที่ขณะนี้ยังคงนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล 5 ราย อาการดีขึ้นตามลําดับ ที่เหลือ 13 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย กลับบ้านหมดแล้ว
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้ทีมแพทย์ โรงพยาบาลสุรินทร์ ดูแลรักษาผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถทัวร์พลิกคว่ําอย่างเต็มที่ ซึ่งมีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 18 ราย ขณะนี้กลับบ้านแล้ว 13 ราย ยังคงนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 5 ราย เป็นชายชาวต่างชาติ 1 ราย ดังนี้
รายที่ 1 เป็นเพศชาย อายุ 20 ปี ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะเล็กน้อย และข้อศอกหักผิดรูป รู้สึกตัวดี รายที่ 2 เป็นเพศชาย อายุ 59 ปี ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะ เล็กน้อย และบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังช่วงเอว ไม่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง รายที่ 3 เป็นชายชาวต่างชาติอายุ 20 ปี ข้อหัวไหล่หลุด สัญญาณชีพปกติ รายที่ 4 เป็นหญิงอายุ 59 ปี บาดเจ็บที่กระดูกสันหลังช่วงคอ และกระดูกเชิงกราน ไม่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง สัญญาณชีพปกติ ส่วนรายที่ 5 เป็นเพศหญิงอายุ 36 ปี มีอาการปวดบริเวณหลัง พูดคุยรู้เรื่อง สัญญาณชีพปกติ ขณะนี้ผู้ป่วยทุกรายนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลสุรินทร์
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้ทีมแพทย์ดูแลรักษาผู้บาดเจ็บที่เข้ามารักษาทั้งหมดอย่างเต็มที่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ดูแลผู้บาดเจ็บ จากอุบัติเหตุรถทัวร์พลิกคว่ำ ที่จ.สุรินทร์
วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2561
สธ.ดูแลผู้บาดเจ็บ จากอุบัติเหตุรถทัวร์พลิกคว่ํา ที่จ.สุรินทร์
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกําชับให้โรงพยาบาลสุรินทร์ ดูรักษาผู้บาดเจ็บ จากอุบัติเหตุรถทัวร์พลิกคว่ําที่จังหวัดสุรินทร์อย่างเต็มที่ขณะนี้ยังคงนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล 5 ราย อาการดีขึ้นตามลําดับ ที่เหลือ 13 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย กลับบ้านหมดแล้ว
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้ทีมแพทย์ โรงพยาบาลสุรินทร์ ดูแลรักษาผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถทัวร์พลิกคว่ําอย่างเต็มที่ ซึ่งมีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 18 ราย ขณะนี้กลับบ้านแล้ว 13 ราย ยังคงนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 5 ราย เป็นชายชาวต่างชาติ 1 ราย ดังนี้
รายที่ 1 เป็นเพศชาย อายุ 20 ปี ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะเล็กน้อย และข้อศอกหักผิดรูป รู้สึกตัวดี รายที่ 2 เป็นเพศชาย อายุ 59 ปี ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะ เล็กน้อย และบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังช่วงเอว ไม่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง รายที่ 3 เป็นชายชาวต่างชาติอายุ 20 ปี ข้อหัวไหล่หลุด สัญญาณชีพปกติ รายที่ 4 เป็นหญิงอายุ 59 ปี บาดเจ็บที่กระดูกสันหลังช่วงคอ และกระดูกเชิงกราน ไม่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง สัญญาณชีพปกติ ส่วนรายที่ 5 เป็นเพศหญิงอายุ 36 ปี มีอาการปวดบริเวณหลัง พูดคุยรู้เรื่อง สัญญาณชีพปกติ ขณะนี้ผู้ป่วยทุกรายนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลสุรินทร์
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้ทีมแพทย์ดูแลรักษาผู้บาดเจ็บที่เข้ามารักษาทั้งหมดอย่างเต็มที่
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9518
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์
|
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์
วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์
วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้ลงนามในประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ เพิ่มเติม หลังจากที่ วธ. ได้ออกประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ที่ผ่านมานั้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) มีการขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น ประกอบกับข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้ง่าย และเริ่มมีแนวโน้มการติดเชื้อของบุคคลในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ดังนั้น วธ.จึงไม่นิ่งนอนใจกับข้อห่วงใยดังกล่าว จึงได้ปรับปรุงแก้ไขแนวทาง การปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ ที่ได้ประกาศก่อนหน้า โดยเห็นสมควรยกเลิกข้อ ๒.๓.๕ เทศกาลประเพณีสงกรานต์ ตามประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ฉบับวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ โดยให้ใช้แนวทางปฏิบัติที่มีการปรับปรุงฉบับใหม่ ดังนี้
๑. งดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับ ๒. งดเว้นการเดินทางกลับภูมิลําเนา ๓. งดเว้นการรดน้ําญาติผู้ใหญ่ทุกกรณี ๔. งดการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันของคนหมู่มาก หรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโดยเด็ดขาด ๕. เพื่อสืบสานประเพณีสงกรานต์ให้ปฏิบัติ ดังนี้ ๕.๑ สรงน้ําพระพุทธรูปที่บ้าน ๕.๒ การแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ใช้วิธีการกราบไหว้และขอพร โดยเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ๑ - ๒ เมตร และปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ สมาชิกในครอบครัวทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย และ ๕.๓ การแสดงความกตัญญูและขอพรต่อพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลกัน ให้แสดงออกผ่านช่องทางโทรศัพท์หรือสื่อออนไลน์
ทั้งนี้ ประกาศฉบับดังกล่าวของ วธ.มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงเดือนเมษายนเป็นช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ และแม้ว่าจะมีการประกาศเลื่อนวันหยุดสงกรานต์และงดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับแล้ว ก็อยากขอให้ทุกคนปฏิบัติตามประกาศของ วธ. และประกาศของ สธ. อย่างเคร่งครัด
--------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์
วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์
วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้ลงนามในประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ เพิ่มเติม หลังจากที่ วธ. ได้ออกประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ที่ผ่านมานั้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) มีการขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น ประกอบกับข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้ง่าย และเริ่มมีแนวโน้มการติดเชื้อของบุคคลในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ดังนั้น วธ.จึงไม่นิ่งนอนใจกับข้อห่วงใยดังกล่าว จึงได้ปรับปรุงแก้ไขแนวทาง การปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ ที่ได้ประกาศก่อนหน้า โดยเห็นสมควรยกเลิกข้อ ๒.๓.๕ เทศกาลประเพณีสงกรานต์ ตามประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ฉบับวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ โดยให้ใช้แนวทางปฏิบัติที่มีการปรับปรุงฉบับใหม่ ดังนี้
๑. งดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับ ๒. งดเว้นการเดินทางกลับภูมิลําเนา ๓. งดเว้นการรดน้ําญาติผู้ใหญ่ทุกกรณี ๔. งดการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันของคนหมู่มาก หรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโดยเด็ดขาด ๕. เพื่อสืบสานประเพณีสงกรานต์ให้ปฏิบัติ ดังนี้ ๕.๑ สรงน้ําพระพุทธรูปที่บ้าน ๕.๒ การแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ใช้วิธีการกราบไหว้และขอพร โดยเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ๑ - ๒ เมตร และปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ สมาชิกในครอบครัวทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย และ ๕.๓ การแสดงความกตัญญูและขอพรต่อพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลกัน ให้แสดงออกผ่านช่องทางโทรศัพท์หรือสื่อออนไลน์
ทั้งนี้ ประกาศฉบับดังกล่าวของ วธ.มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงเดือนเมษายนเป็นช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ และแม้ว่าจะมีการประกาศเลื่อนวันหยุดสงกรานต์และงดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับแล้ว ก็อยากขอให้ทุกคนปฏิบัติตามประกาศของ วธ. และประกาศของ สธ. อย่างเคร่งครัด
--------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28608
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเปิดศูนย์ดำรงธรรม บริการช่วงเทศกาลสงกรานต์ไม่มีวันหยุด พร้อมอำนวยความสะดวกให้ประชาชนทุกเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง
|
วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน 2560
มหาดไทยเปิดศูนย์ดํารงธรรม บริการช่วงเทศกาลสงกรานต์ไม่มีวันหยุด พร้อมอํานวยความสะดวกให้ประชาชนทุกเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง
กระทรวงมหาดไทยเปิดศูนย์ดํารงธรรม บริการช่วงเทศกาลสงกรานต์ไม่มีวันหยุด พร้อมอํานวยความสะดวกให้ประชาชนทุกเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง
วันนี้ (9 เม.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทย นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลําเนาหรือเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ เป็นจํานวนมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกและให้บริการด้านต่างๆ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนแก่ประชาชนในช่วงเวลาดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยจึงสั่งการให้ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดและอําเภอทั่วประเทศเปิดให้บริการศูนย์บริการร่วม/บริการเบ็ดเสร็จ (one stop service) ในระหว่างวันที่ 10 - 17 เมษายน 2560 และจัดเจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์เพื่อบริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่คืนวันที่ 9 เมษายนเป็นต้นไป เพื่อให้บริการประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะการอํานวยความสะดวกสําหรับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่อาจต้องการคําแนะนํา ความช่วยเหลือต่างๆ ซึ่งจะเป็นช่องทางที่ประชาชนสามารถเข้าถึง และขอรับบริการได้ง่าย สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยจะมีเจ้าหน้าที่บริการรับแจ้งเหตุและเรื่องร้องเรียนผ่านสายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถขอรับบริการ ร้องเรียนร้องทุกข์ และแจ้งเบาะแสการกระทําความผิด หรือขอความช่วยเหลือผ่าน Application SPOND ได้อีกด้วย
ในส่วนของงานบริการที่เปิดให้บริการแก่ประชาชน เช่น งานทะเบียนและบัตรประจําตัวประชาชน บริการรับชําระค่าสาธารณูปโภค รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน น้ําไม่ไหล ไฟฟ้าดับ ไฟฟ้าลัดวงจร รวมทั้งได้ประสานสํานักงานขนส่งจังหวัด เพื่อให้บริการทางทะเบียนรถยนต์อีกด้วย
ด้านงานให้บริการข้อมูลข่าวสารได้มีการจัดเตรียมให้คําแนะนําข้อมูลต่างๆ ที่จําเป็น เช่น ที่ตั้งหน่วย/จุดให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว โรงพยาบาลรัฐ/เอกชนที่ตั้งบนถนนสายหลัก/สายรองในพื้นที่จังหวัด และหมายเลขโทรศัพท์หน่วยงาน/องค์กร และเบอร์สายด่วนต่างๆ
ด้านการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน ได้ประสานกับส่วนราชการ วิทยาลัยอาชีวศึกษา มูลนิธิ อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นในกรณีที่พี่น้องประชาชนประสบเหตุฉุกเฉิน เช่น รถเสีย ยางแตก ซ่อมแซมรถ เปลี่ยนยาง และหากมีเหตุฉุกเฉินจําเป็นที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จะมีการสนธิกําลังชุดเคลื่อนที่เร็วเข้าระงับเหตุและแก้ไขปัญหาถึงพื้นที่เกิดเหตุโดยเร่งด่วน
สําหรับกรณีการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ ในช่วงเวลาดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดแนวทางปฏิบัติว่า หากประชาชนได้ร้องเรียนร้องทุกข์เข้ามา และเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนไม่ขัดต่อระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เน้นย้ําการดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง แต่หากเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยาก เกี่ยวข้องกับภารกิจของหลายหน่วยงานต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องและเรียกประชุมหารือส่วนราชการเพื่อดําเนินการแก้ไขปัญหาภายใน 7 วัน
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการดําเนินงานศูนย์ดํารงธรรมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2559 ที่ผ่านมา พบว่ามีพี่น้องประชาชนเข้ารับบริการเป็นจํานวนมาก ดังนั้นในปีนี้กระทรวงมหาดไทยจึงบูรณาการความร่วมมือจากส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในทุกพื้นที่พร้อมดูแลพี่น้องประชาชน ซึ่งคาดว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้จะมีพี่น้องประชาชนเข้าใช้บริการเป็นจํานวนมากเช่นเดียวกันกับปีก่อน โดยพี่น้องประชาชนสามารถติดต่อศูนย์ดํารงธรรมทางสายด่วน 1567 และ Application SPOND ได้ตลอด 24 ชั่วโมง.
ครั้งที่ 52/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเปิดศูนย์ดำรงธรรม บริการช่วงเทศกาลสงกรานต์ไม่มีวันหยุด พร้อมอำนวยความสะดวกให้ประชาชนทุกเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง
วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน 2560
มหาดไทยเปิดศูนย์ดํารงธรรม บริการช่วงเทศกาลสงกรานต์ไม่มีวันหยุด พร้อมอํานวยความสะดวกให้ประชาชนทุกเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง
กระทรวงมหาดไทยเปิดศูนย์ดํารงธรรม บริการช่วงเทศกาลสงกรานต์ไม่มีวันหยุด พร้อมอํานวยความสะดวกให้ประชาชนทุกเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง
วันนี้ (9 เม.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทย นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลําเนาหรือเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ เป็นจํานวนมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกและให้บริการด้านต่างๆ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนแก่ประชาชนในช่วงเวลาดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยจึงสั่งการให้ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดและอําเภอทั่วประเทศเปิดให้บริการศูนย์บริการร่วม/บริการเบ็ดเสร็จ (one stop service) ในระหว่างวันที่ 10 - 17 เมษายน 2560 และจัดเจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์เพื่อบริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่คืนวันที่ 9 เมษายนเป็นต้นไป เพื่อให้บริการประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะการอํานวยความสะดวกสําหรับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่อาจต้องการคําแนะนํา ความช่วยเหลือต่างๆ ซึ่งจะเป็นช่องทางที่ประชาชนสามารถเข้าถึง และขอรับบริการได้ง่าย สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยจะมีเจ้าหน้าที่บริการรับแจ้งเหตุและเรื่องร้องเรียนผ่านสายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถขอรับบริการ ร้องเรียนร้องทุกข์ และแจ้งเบาะแสการกระทําความผิด หรือขอความช่วยเหลือผ่าน Application SPOND ได้อีกด้วย
ในส่วนของงานบริการที่เปิดให้บริการแก่ประชาชน เช่น งานทะเบียนและบัตรประจําตัวประชาชน บริการรับชําระค่าสาธารณูปโภค รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน น้ําไม่ไหล ไฟฟ้าดับ ไฟฟ้าลัดวงจร รวมทั้งได้ประสานสํานักงานขนส่งจังหวัด เพื่อให้บริการทางทะเบียนรถยนต์อีกด้วย
ด้านงานให้บริการข้อมูลข่าวสารได้มีการจัดเตรียมให้คําแนะนําข้อมูลต่างๆ ที่จําเป็น เช่น ที่ตั้งหน่วย/จุดให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว โรงพยาบาลรัฐ/เอกชนที่ตั้งบนถนนสายหลัก/สายรองในพื้นที่จังหวัด และหมายเลขโทรศัพท์หน่วยงาน/องค์กร และเบอร์สายด่วนต่างๆ
ด้านการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน ได้ประสานกับส่วนราชการ วิทยาลัยอาชีวศึกษา มูลนิธิ อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นในกรณีที่พี่น้องประชาชนประสบเหตุฉุกเฉิน เช่น รถเสีย ยางแตก ซ่อมแซมรถ เปลี่ยนยาง และหากมีเหตุฉุกเฉินจําเป็นที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จะมีการสนธิกําลังชุดเคลื่อนที่เร็วเข้าระงับเหตุและแก้ไขปัญหาถึงพื้นที่เกิดเหตุโดยเร่งด่วน
สําหรับกรณีการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ ในช่วงเวลาดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดแนวทางปฏิบัติว่า หากประชาชนได้ร้องเรียนร้องทุกข์เข้ามา และเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนไม่ขัดต่อระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เน้นย้ําการดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง แต่หากเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยาก เกี่ยวข้องกับภารกิจของหลายหน่วยงานต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องและเรียกประชุมหารือส่วนราชการเพื่อดําเนินการแก้ไขปัญหาภายใน 7 วัน
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการดําเนินงานศูนย์ดํารงธรรมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2559 ที่ผ่านมา พบว่ามีพี่น้องประชาชนเข้ารับบริการเป็นจํานวนมาก ดังนั้นในปีนี้กระทรวงมหาดไทยจึงบูรณาการความร่วมมือจากส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในทุกพื้นที่พร้อมดูแลพี่น้องประชาชน ซึ่งคาดว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้จะมีพี่น้องประชาชนเข้าใช้บริการเป็นจํานวนมากเช่นเดียวกันกับปีก่อน โดยพี่น้องประชาชนสามารถติดต่อศูนย์ดํารงธรรมทางสายด่วน 1567 และ Application SPOND ได้ตลอด 24 ชั่วโมง.
ครั้งที่ 52/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2974
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รมช.เกษตรฯ" ยกย่องกลุ่มนาแปลงใหญ่ ต.กลาง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี เป็นกลุ่มต้นแบบ
|
วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2560
"รมช.เกษตรฯ" ยกย่องกลุ่มนาแปลงใหญ่ ต.กลาง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี เป็นกลุ่มต้นแบบ
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ยกย่องกลุ่มนาแปลงใหญ่ ต.กลาง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี เป็นกลุ่มต้นแบบ พร้อมหารือภาคเอกชนพัฒนาการผลิตข้าวในโครงการผลิตข้าวมาตรฐานการผลิตข้าวที่ยั่งยืน (SRPs)
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมกลุ่มนาแปลงใหญ่ตําบลกลาง (แปลง SRP) อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ว่า กลุ่มนาแปลงใหญ่นี้เป็นกลุ่มที่ประสบความสําเร็จ จนสามารถเป็นตัวอย่างให้กับกลุ่มแปลงใหญ่อื่น ๆ จึงได้มารับฟังปัญหาและอุปสรรคเพื่อแก้ไขให้สําเร็จยิ่งขึ้น และจะผลักดันในอนาคตต่อไป ทั้งนี้ กลุ่มดังกล่าวได้ผลิตข้าวคุณภาพ 3 อย่าง ได้แก่ 1) ข้าว GAP ซึ่งเป็นข้าวปลอดภัยที่รัฐบาลอยากให้ข้าวทุกเม็ดเป็น GAP ให้ได้ ถึงได้มีการเชื่อมโยงตลาดข้าว GAP ขึ้น 2) ข้าวอินทรีย์ โดยกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่ทําแบบธรรมชาติ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ จะทําให้เกิดกลุ่มอินทรีย์ที่มีการรับรองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีผู้สนใจที่จะนําข้าวอินทรีย์ไปขายต่างประเทศ จึงต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากต่างประเทศด้วย กลุ่มดังกล่าวจึงถือว่าเป็นกลุ่มที่ประสบความสําเร็จมาก ปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พยายามขยายตลาดด้านนี้ให้เพิ่มมากขึ้น และ 3) การผลิตข้าวตามโครงการผลิตข้าวมาตรฐานการผลิตข้าวที่ยั่งยืน (SRPs) เป็นโครงการของต่างประเทศที่ต้องการจะเห็นการพัฒนาการเพาะปลูกข้าวอย่างยั่งยืน ได้ผลผลิตที่ปลอดภัย มีมาตรฐานเหมือน GAP แต่มีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นอีก 2 ข้อ ได้แก่ การรักษาสิ่งแวดล้อม และการไม่เอาเปรียบแรงงานมนุษย์ หรือถือได้เป็น GAP+ นั่นเอง ซึ่งเกษตรกร ต.กลาง อ.เดชอุดล สามารถผลิตออกมาได้จริง และสามารถหาคนมารับซื้อเอาข้าวออกไปได้ ในราคาที่สูงกว่าข้าวทั่วไปตามท้องตลาดตามโครงการ GAP ของรัฐบาลเช่นกัน มีความสําเร็จคือจากเดิมทํานาแปลงใหญ่แค่ 2 อําเภอ (2 แปลง) ผลผลิตประมาณ 100 ตัน ปัจจุบันสามารถขยายเป็น 7 อําเภอ คาดว่าจะได้ผลผลิต 5,000 ตัน ที่จะไปขายในระดับข้าวมาตรฐาน SRPs ได้
อย่างไรก็ตาม ได้หารือผู้แทนจากภาคเอกชน ที่ถือเป็นกลไกสําคัญในการผลักดัน โดยมีความคาดหวังว่าอยากให้มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นแผนการผลิตระยะยาว เพื่อที่จะสามารถทําตลาดต่างประเทศได้ จึงมีการหารือเพื่อร่วมมือกันในการทําเรื่องดังกล่าว เนื่องจากรัฐบาลก็ดําเนินการในเรื่องนาแปลงใหญ่อยู่แล้ว ส่วนภาคเอกชนก็ร่วมมือจัดการในเรื่องการตลาด ทําให้ทุกคนร้อยอยู่ในห่วงโซ่คุณธรรม ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้แปรรูป และผู้ออกไปจําหน่าย เป็นห่วงโซ่เดียวกันที่จะช่วยเหลือเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และปลูกข้าวได้อย่างยั่งยืน มีการเติบโตขึ้นของวงการข้าวไทย ทั้งนี้ จึงถือเป็นวันแรกของการให้กําเนิดข้าวในโครงการ SRPs ให้เข้าไปสู่ตลาดโลก โดยเกษตรกร จ.อุบลราชธานี จะเป็นเกษตรกรกลุ่มแรกที่พาข้าวไทยเข้าสู่ตลาดโลกในมาตรฐาน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews60@gmail.com
moac58@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รมช.เกษตรฯ" ยกย่องกลุ่มนาแปลงใหญ่ ต.กลาง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี เป็นกลุ่มต้นแบบ
วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2560
"รมช.เกษตรฯ" ยกย่องกลุ่มนาแปลงใหญ่ ต.กลาง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี เป็นกลุ่มต้นแบบ
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ยกย่องกลุ่มนาแปลงใหญ่ ต.กลาง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี เป็นกลุ่มต้นแบบ พร้อมหารือภาคเอกชนพัฒนาการผลิตข้าวในโครงการผลิตข้าวมาตรฐานการผลิตข้าวที่ยั่งยืน (SRPs)
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมกลุ่มนาแปลงใหญ่ตําบลกลาง (แปลง SRP) อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ว่า กลุ่มนาแปลงใหญ่นี้เป็นกลุ่มที่ประสบความสําเร็จ จนสามารถเป็นตัวอย่างให้กับกลุ่มแปลงใหญ่อื่น ๆ จึงได้มารับฟังปัญหาและอุปสรรคเพื่อแก้ไขให้สําเร็จยิ่งขึ้น และจะผลักดันในอนาคตต่อไป ทั้งนี้ กลุ่มดังกล่าวได้ผลิตข้าวคุณภาพ 3 อย่าง ได้แก่ 1) ข้าว GAP ซึ่งเป็นข้าวปลอดภัยที่รัฐบาลอยากให้ข้าวทุกเม็ดเป็น GAP ให้ได้ ถึงได้มีการเชื่อมโยงตลาดข้าว GAP ขึ้น 2) ข้าวอินทรีย์ โดยกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่ทําแบบธรรมชาติ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ จะทําให้เกิดกลุ่มอินทรีย์ที่มีการรับรองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีผู้สนใจที่จะนําข้าวอินทรีย์ไปขายต่างประเทศ จึงต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากต่างประเทศด้วย กลุ่มดังกล่าวจึงถือว่าเป็นกลุ่มที่ประสบความสําเร็จมาก ปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พยายามขยายตลาดด้านนี้ให้เพิ่มมากขึ้น และ 3) การผลิตข้าวตามโครงการผลิตข้าวมาตรฐานการผลิตข้าวที่ยั่งยืน (SRPs) เป็นโครงการของต่างประเทศที่ต้องการจะเห็นการพัฒนาการเพาะปลูกข้าวอย่างยั่งยืน ได้ผลผลิตที่ปลอดภัย มีมาตรฐานเหมือน GAP แต่มีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นอีก 2 ข้อ ได้แก่ การรักษาสิ่งแวดล้อม และการไม่เอาเปรียบแรงงานมนุษย์ หรือถือได้เป็น GAP+ นั่นเอง ซึ่งเกษตรกร ต.กลาง อ.เดชอุดล สามารถผลิตออกมาได้จริง และสามารถหาคนมารับซื้อเอาข้าวออกไปได้ ในราคาที่สูงกว่าข้าวทั่วไปตามท้องตลาดตามโครงการ GAP ของรัฐบาลเช่นกัน มีความสําเร็จคือจากเดิมทํานาแปลงใหญ่แค่ 2 อําเภอ (2 แปลง) ผลผลิตประมาณ 100 ตัน ปัจจุบันสามารถขยายเป็น 7 อําเภอ คาดว่าจะได้ผลผลิต 5,000 ตัน ที่จะไปขายในระดับข้าวมาตรฐาน SRPs ได้
อย่างไรก็ตาม ได้หารือผู้แทนจากภาคเอกชน ที่ถือเป็นกลไกสําคัญในการผลักดัน โดยมีความคาดหวังว่าอยากให้มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นแผนการผลิตระยะยาว เพื่อที่จะสามารถทําตลาดต่างประเทศได้ จึงมีการหารือเพื่อร่วมมือกันในการทําเรื่องดังกล่าว เนื่องจากรัฐบาลก็ดําเนินการในเรื่องนาแปลงใหญ่อยู่แล้ว ส่วนภาคเอกชนก็ร่วมมือจัดการในเรื่องการตลาด ทําให้ทุกคนร้อยอยู่ในห่วงโซ่คุณธรรม ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้แปรรูป และผู้ออกไปจําหน่าย เป็นห่วงโซ่เดียวกันที่จะช่วยเหลือเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และปลูกข้าวได้อย่างยั่งยืน มีการเติบโตขึ้นของวงการข้าวไทย ทั้งนี้ จึงถือเป็นวันแรกของการให้กําเนิดข้าวในโครงการ SRPs ให้เข้าไปสู่ตลาดโลก โดยเกษตรกร จ.อุบลราชธานี จะเป็นเกษตรกรกลุ่มแรกที่พาข้าวไทยเข้าสู่ตลาดโลกในมาตรฐาน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews60@gmail.com
moac58@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5442
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดฉาก แข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 เยาวชนกว่า 300 คน ร่วมชิงชัย 26 สาขาอาชีพ
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561
เปิดฉาก แข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 เยาวชนกว่า 300 คน ร่วมชิงชัย 26 สาขาอาชีพ
ก.แรงงาน เจ้าภาพจัดแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 รัฐมนตรีแรงงาน กล่าวคํา
กราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิดงาน
ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี จ.นนทบุรี
ก.แรงงาน เจ้าภาพจัดแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 รัฐมนตรีแรงงาน กล่าวคํา
กราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิดงาน
ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่
31 สิงหาคม - 2 กันยายน 2561 โดยมีเยาวชนจาก 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม 331 คน จัดการแข่งขันทั้งสิ้น 6 กลุ่มสาขาอาชีพ รวม 26 สาขา โดยมีตัวแทนเยาวชนไทยร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 52 คน
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2561 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดงานแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยมี นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เฝ้ารับเสด็จฯ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 เห็นชอบให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นเจ้าภาพจัดงานแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 ในชื่อ “World Skills ASEAN Bangkok 2018” ภายใต้แนวคิด “ASEAN Skills, Crafting the Future” หรือ “ทักษะอาเซียนสรรสร้างอนาคต” เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนและคนทํางานพัฒนาทักษะฝีมือ รองรับการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 และนโยบาย Thailand 4.0
สําหรับการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 “World Skills ASEAN Bangkok 2018” กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องจัดการแข่งขันจํานวน 26 สาขาแบ่งเป็น 24 สาขาทางการ และ 2 สาขาสาธิต ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม 2561 – 2 กันยายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยมีเยาวชนจาก 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ บรูไน กัมพูชา ลาว เมียนมา มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย เข้าร่วมการแข่งขันจํานวน 331 คน ใน 6 กลุ่มสาขาอาชีพ ดังนี้ (1) กลุ่มสาขาอาชีพเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการผลิต (2) เทคโนโลยีการสื่อสาร (3) แฟชั่นและครีเอทีฟ (4) ขนส่งและโลจิสติกส์ (5) เทคโนโลยีก่อสร้างและอาคาร และ (6) บริการส่วนบุคคลและสังคม โดยยึดตามสาขาที่มีการจัดแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 11 ณ ประเทศมาเลเซีย และการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 44 ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ซึ่งประเทศไทยได้ส่งเยาวชนในทุกสาขาอาชีพเข้าร่วมแข่งขัน จํานวน 52 คน โดยเยาวชนที่ชนะการแข่งขันในครั้งนี้จะได้รับโอกาสในการคัดเลือกเป็นตัวแทนของประเทศเข้าร่วมแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 45 ที่จัดขึ้น ณ เมืองคาซาน สหพันธรัสเซีย (World Skills Kazan 2019) ระหว่างวันที่ 22-27 สิงหาคม 2562 ต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม One School One Country การประชุม ASEAN TVET Conference คู่ขนานกับการแข่งขันโดยผู้แข่งขันจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนจํานวน 331 คน ดําเนินการแข่งขันเป็นเวลา 3 วัน และจัดพิธีปิดงานแข่งขันและประกาศผลรางวัลในวันที่ 4 กันยายน 2561 โดยมีเงินรางวัลให้กับเยาวชนที่ชนะการแข่งขัน แบ่งเป็น เหรียญทอง 150,000 บาท เหรียญเงิน 75,000 บาท เหรียญทองแดง 40,000 บาท เหรียญฝีมือยอดเยี่ยม 20,000 บาท รางวัลปลอบใจ 10,000 บาท ขณะที่เจ้าภาพการแข่งขันฯ ครั้งต่อไป คือ ประเทศสิงคโปร์
-------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
30 สิงหาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดฉาก แข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 เยาวชนกว่า 300 คน ร่วมชิงชัย 26 สาขาอาชีพ
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561
เปิดฉาก แข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 เยาวชนกว่า 300 คน ร่วมชิงชัย 26 สาขาอาชีพ
ก.แรงงาน เจ้าภาพจัดแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 รัฐมนตรีแรงงาน กล่าวคํา
กราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิดงาน
ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี จ.นนทบุรี
ก.แรงงาน เจ้าภาพจัดแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 รัฐมนตรีแรงงาน กล่าวคํา
กราบบังคมทูล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิดงาน
ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่
31 สิงหาคม - 2 กันยายน 2561 โดยมีเยาวชนจาก 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม 331 คน จัดการแข่งขันทั้งสิ้น 6 กลุ่มสาขาอาชีพ รวม 26 สาขา โดยมีตัวแทนเยาวชนไทยร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 52 คน
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2561 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดงานแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยมี นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เฝ้ารับเสด็จฯ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 เห็นชอบให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นเจ้าภาพจัดงานแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 ในชื่อ “World Skills ASEAN Bangkok 2018” ภายใต้แนวคิด “ASEAN Skills, Crafting the Future” หรือ “ทักษะอาเซียนสรรสร้างอนาคต” เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนและคนทํางานพัฒนาทักษะฝีมือ รองรับการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 และนโยบาย Thailand 4.0
สําหรับการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 12 “World Skills ASEAN Bangkok 2018” กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องจัดการแข่งขันจํานวน 26 สาขาแบ่งเป็น 24 สาขาทางการ และ 2 สาขาสาธิต ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม 2561 – 2 กันยายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยมีเยาวชนจาก 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ บรูไน กัมพูชา ลาว เมียนมา มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย เข้าร่วมการแข่งขันจํานวน 331 คน ใน 6 กลุ่มสาขาอาชีพ ดังนี้ (1) กลุ่มสาขาอาชีพเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการผลิต (2) เทคโนโลยีการสื่อสาร (3) แฟชั่นและครีเอทีฟ (4) ขนส่งและโลจิสติกส์ (5) เทคโนโลยีก่อสร้างและอาคาร และ (6) บริการส่วนบุคคลและสังคม โดยยึดตามสาขาที่มีการจัดแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 11 ณ ประเทศมาเลเซีย และการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 44 ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ซึ่งประเทศไทยได้ส่งเยาวชนในทุกสาขาอาชีพเข้าร่วมแข่งขัน จํานวน 52 คน โดยเยาวชนที่ชนะการแข่งขันในครั้งนี้จะได้รับโอกาสในการคัดเลือกเป็นตัวแทนของประเทศเข้าร่วมแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 45 ที่จัดขึ้น ณ เมืองคาซาน สหพันธรัสเซีย (World Skills Kazan 2019) ระหว่างวันที่ 22-27 สิงหาคม 2562 ต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม One School One Country การประชุม ASEAN TVET Conference คู่ขนานกับการแข่งขันโดยผู้แข่งขันจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนจํานวน 331 คน ดําเนินการแข่งขันเป็นเวลา 3 วัน และจัดพิธีปิดงานแข่งขันและประกาศผลรางวัลในวันที่ 4 กันยายน 2561 โดยมีเงินรางวัลให้กับเยาวชนที่ชนะการแข่งขัน แบ่งเป็น เหรียญทอง 150,000 บาท เหรียญเงิน 75,000 บาท เหรียญทองแดง 40,000 บาท เหรียญฝีมือยอดเยี่ยม 20,000 บาท รางวัลปลอบใจ 10,000 บาท ขณะที่เจ้าภาพการแข่งขันฯ ครั้งต่อไป คือ ประเทศสิงคโปร์
-------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
30 สิงหาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15056
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. เฉพาะกิจด้านกฎหมาย ร่วมพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายการใช้ “ไทยชนะ” หวังลดความเสี่ยงการเเพร่โควิด-19 [กระทรวงยุติธรรม]
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563
คกก. เฉพาะกิจด้านกฎหมาย ร่วมพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายการใช้ “ไทยชนะ” หวังลดความเสี่ยงการเเพร่โควิด-19 [กระทรวงยุติธรรม]
คกก. เฉพาะกิจด้านกฎหมาย ร่วมพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายการใช้ “ไทยชนะ” หวังลดความเสี่ยงการเเพร่โควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม 1 ชั้น 9 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ 4/2563 ในระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference)
โดยมีนายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจกายุติธรรม พร้อมด้วยคณะกรรมการเข้าร่วมประชุม
เพื่อรับทราบการรายงานผลการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ 3/2563 และการตอบข้อหารือปัญหากฎหมายตามมาตรา 41 และมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2548 และร่วมกันพิจารณาประเด็นเร่งด่วนที่สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอให้คณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมายพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการจัดการการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตําแหน่งที่ว่างของจังหวัดลําปางในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ร่วมกันพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายในการนําระบบแอพพลิเคชั่นไทยชนะมาใช้ เพื่อวัตถุประสงค์ในป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค เพื่อช่วยให้การสอบสวนโรคกระทําได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว และเพื่อให้การปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. เฉพาะกิจด้านกฎหมาย ร่วมพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายการใช้ “ไทยชนะ” หวังลดความเสี่ยงการเเพร่โควิด-19 [กระทรวงยุติธรรม]
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563
คกก. เฉพาะกิจด้านกฎหมาย ร่วมพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายการใช้ “ไทยชนะ” หวังลดความเสี่ยงการเเพร่โควิด-19 [กระทรวงยุติธรรม]
คกก. เฉพาะกิจด้านกฎหมาย ร่วมพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายการใช้ “ไทยชนะ” หวังลดความเสี่ยงการเเพร่โควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม 1 ชั้น 9 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ 4/2563 ในระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference)
โดยมีนายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจกายุติธรรม พร้อมด้วยคณะกรรมการเข้าร่วมประชุม
เพื่อรับทราบการรายงานผลการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ 3/2563 และการตอบข้อหารือปัญหากฎหมายตามมาตรา 41 และมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2548 และร่วมกันพิจารณาประเด็นเร่งด่วนที่สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอให้คณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมายพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการจัดการการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตําแหน่งที่ว่างของจังหวัดลําปางในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ร่วมกันพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายในการนําระบบแอพพลิเคชั่นไทยชนะมาใช้ เพื่อวัตถุประสงค์ในป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค เพื่อช่วยให้การสอบสวนโรคกระทําได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว และเพื่อให้การปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30848
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรกรเตรียมเฮ!! “ประภัตร” จับมือจีน ลุยส่งออกโคเนื้อ
|
วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562
เกษตรกรเตรียมเฮ!! “ประภัตร” จับมือจีน ลุยส่งออกโคเนื้อ
เกษตรกรเตรียมเฮ!! “ประภัตร” จับมือจีน ลุยส่งออกโคเนื้อ 2,000 ตัว/วัน รับซื้อกก.ละ 100 บาท
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการหารือการค้าเพื่อส่งออกโคเนื้อไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว พร้อมด้วย นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายศรายุทธ ยิ้มยวน รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายสมชาย ดวงเจริญ ผู้ประกอบการบริษัท LS trading export import Co Ltd ฝ่ายลาว และนายหยางเจียง ผู้จัดการบริษัท LS chengkang ฝ่ายจีน ณ ห้องประชุม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การหารือกันในวันนี้ ทั้ง 3 ฝ่าย ต่างมีความยินดีในการค้าโคเนื้อร่วมกัน อย่างไรก็ตามไทยกับจีนยังไม่สามารถเจรจาการค้าได้โดยตรง จึงใช้บริษัทของลาว ซึ่งเป็นบริษัทลูกจากจีนเป็นตัวกลางในการส่งต่อโคเนื้อของไทย พร้อมกันนี้ จีนได้กําหนดคุณสมบัติของโคที่จะรับซื้อ จะต้องเป็นลูกผสมอเมริกันบราห์มัน หรือลูกผสมยุโรปทุกสายพันธุ์ น้ําหนักไม่ต่ํากว่า 350 – 400 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 100 บาท ส่งออก วันละ 2,000 ตัว โดยลาวจะนําโคจากไทยไปเลี้ยงต่ออีก 45 วัน ที่คอกโคขุนเพื่อเตรียมน้ําหนักของโค จากนั้นเข้าคอกกักกันโรคอีก 30 วัน รวม 75 วัน จึงจะสามารถส่งข้ามไปจีนได้ ทั้งนี้ จีนมีความต้องการเนื้อโคสําหรับบริโภคในประเทศอีกราว 9 ล้านตัน หรือคิดเป็นโคมีชีวิต ประมาณ 40 ล้านตัวต่อปี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์เป็นผู้แทนฝั่งไทยในการเจรจารายละเอียดความร่วมมือต่อไป ซึ่งกรมปศุสัตว์ไทยและกรมปศุสัตว์ลาวจะร่วมมือกันในการตรวจรับรองคอกโคขุน และคอกกักกันโรคในฝั่งไทยก่อนมีการส่งออก อีกทั้งเน้นย้ําให้มีมาตรการในการตรวจโรคสําคัญ อาทิ โรคปากเท้าเปื่อย ซึ่งจีนได้เข้มงวดในการห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงเด็ดขาด นอกจากนี้กรมปศุสัตว์จะเริ่มดําเนินการเตรียมความพร้อมของเกษตรกร โดยสร้างการรับรู้ที่ดี ปรับปรุงระบบการผลิตให้ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อให้น้ําหนักวัวได้มาตรฐานผลิตจากฟาร์ม GAP หรือฟาร์มปลอดโรค ของกรมปศุสัตว์ เป็นต้น
“สําหรับบทบาทหน้าที่ของไทย จะวางแผนเตรียมการในกระบวนการผลิต การรวมกลุ่มเกษตรกร หาพื้นที่เพื่อวางฐานการผลิต ซึ่งขณะนี้ได้มีนโยบายที่จะให้มีคอกขุนกลาง เลี้ยงโคจํานวน 1,000 ตัวในพื้นที่เป้าหมายแต่ละจังหวัด เพื่อเป็นทั้งคอกขุนในช่วงที่ต้องเพิ่มน้ําหนักโคให้ได้ตามคุณสมบัติที่จีนกําหนด ขณะเดียวกันต้องเป็นคอกมาตรฐานกักกันโรค และได้มารตฐานฟาร์มโคเนื้อเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศอีกด้วย” นายประภัตร กล่าว
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรกรเตรียมเฮ!! “ประภัตร” จับมือจีน ลุยส่งออกโคเนื้อ
วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562
เกษตรกรเตรียมเฮ!! “ประภัตร” จับมือจีน ลุยส่งออกโคเนื้อ
เกษตรกรเตรียมเฮ!! “ประภัตร” จับมือจีน ลุยส่งออกโคเนื้อ 2,000 ตัว/วัน รับซื้อกก.ละ 100 บาท
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการหารือการค้าเพื่อส่งออกโคเนื้อไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว พร้อมด้วย นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายศรายุทธ ยิ้มยวน รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายสมชาย ดวงเจริญ ผู้ประกอบการบริษัท LS trading export import Co Ltd ฝ่ายลาว และนายหยางเจียง ผู้จัดการบริษัท LS chengkang ฝ่ายจีน ณ ห้องประชุม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การหารือกันในวันนี้ ทั้ง 3 ฝ่าย ต่างมีความยินดีในการค้าโคเนื้อร่วมกัน อย่างไรก็ตามไทยกับจีนยังไม่สามารถเจรจาการค้าได้โดยตรง จึงใช้บริษัทของลาว ซึ่งเป็นบริษัทลูกจากจีนเป็นตัวกลางในการส่งต่อโคเนื้อของไทย พร้อมกันนี้ จีนได้กําหนดคุณสมบัติของโคที่จะรับซื้อ จะต้องเป็นลูกผสมอเมริกันบราห์มัน หรือลูกผสมยุโรปทุกสายพันธุ์ น้ําหนักไม่ต่ํากว่า 350 – 400 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 100 บาท ส่งออก วันละ 2,000 ตัว โดยลาวจะนําโคจากไทยไปเลี้ยงต่ออีก 45 วัน ที่คอกโคขุนเพื่อเตรียมน้ําหนักของโค จากนั้นเข้าคอกกักกันโรคอีก 30 วัน รวม 75 วัน จึงจะสามารถส่งข้ามไปจีนได้ ทั้งนี้ จีนมีความต้องการเนื้อโคสําหรับบริโภคในประเทศอีกราว 9 ล้านตัน หรือคิดเป็นโคมีชีวิต ประมาณ 40 ล้านตัวต่อปี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์เป็นผู้แทนฝั่งไทยในการเจรจารายละเอียดความร่วมมือต่อไป ซึ่งกรมปศุสัตว์ไทยและกรมปศุสัตว์ลาวจะร่วมมือกันในการตรวจรับรองคอกโคขุน และคอกกักกันโรคในฝั่งไทยก่อนมีการส่งออก อีกทั้งเน้นย้ําให้มีมาตรการในการตรวจโรคสําคัญ อาทิ โรคปากเท้าเปื่อย ซึ่งจีนได้เข้มงวดในการห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงเด็ดขาด นอกจากนี้กรมปศุสัตว์จะเริ่มดําเนินการเตรียมความพร้อมของเกษตรกร โดยสร้างการรับรู้ที่ดี ปรับปรุงระบบการผลิตให้ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อให้น้ําหนักวัวได้มาตรฐานผลิตจากฟาร์ม GAP หรือฟาร์มปลอดโรค ของกรมปศุสัตว์ เป็นต้น
“สําหรับบทบาทหน้าที่ของไทย จะวางแผนเตรียมการในกระบวนการผลิต การรวมกลุ่มเกษตรกร หาพื้นที่เพื่อวางฐานการผลิต ซึ่งขณะนี้ได้มีนโยบายที่จะให้มีคอกขุนกลาง เลี้ยงโคจํานวน 1,000 ตัวในพื้นที่เป้าหมายแต่ละจังหวัด เพื่อเป็นทั้งคอกขุนในช่วงที่ต้องเพิ่มน้ําหนักโคให้ได้ตามคุณสมบัติที่จีนกําหนด ขณะเดียวกันต้องเป็นคอกมาตรฐานกักกันโรค และได้มารตฐานฟาร์มโคเนื้อเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศอีกด้วย” นายประภัตร กล่าว
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22384
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน – บางซื่อ “ร่วมใจ เชื่อมสุข เพื่อประชาชน”
|
วันพุธที่ 16 สิงหาคม 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน – บางซื่อ “ร่วมใจ เชื่อมสุข เพื่อประชาชน”
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน – บางซื่อ ภายใต้แนวคิด “ร่วมใจ เชื่อมสุข เพื่อประชาชน”
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2560 ณ สถานีรถไฟฟ้าเตาปูน โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พลเอก ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) นายฤทธา สุภารัตน์ รองผู้ว่าการรักษาการแทนผู้ว่าการ รฟม. ผู้บริหาร รฟม. และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) (BEM) เข้าร่วมพิธีฯ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน – บางซื่อ เป็นผลจากความร่วมมือของทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนด้วยระบบรถไฟฟ้า ที่จะช่วยลดระยะเวลาการเดินทาง มีความปลอดภัย บรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด และลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจและการลงทุน เพื่อขยายความเจริญของเมือง รัฐบาลโดย กระทรวงคมนาคมได้ดําเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน – บางซื่อ ระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมต่อระหว่างสถานีเตาปูน ของรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) และสถานีบางซื่อ ของรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ําเงิน) โดยก่อสร้างและติดตั้งระบบไฟฟ้าแล้วเสร็จตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 ก่อนทดลองเดินรถไฟฟ้าเสมือนจริง (Trail running) และเปิดให้บริการประชาชน ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมด้วย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ และคณะ ได้ร่วมโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินจากชานชาลา ชั้น 3 ของสถานีเตาปูน ไปตามทางวิ่งลดระดับลงอุโมงค์ที่สถานีบางซื่อและตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการดําเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ณ สถานีสนามไชยและสถานีอิสรภาพ ซึ่งสถานีทั้ง 2 แห่ง ได้ออกแบบก่อสร้างให้มีความกลมกลืนกับประวัติศาสตร์ความเป็นมา และสัญลักษณ์เชิงพื้นที่ เช่น สถานีสนามไชย ได้ออกแบบโดยจําลองท้องพระโรงสมัยรัตนโกสินทร์ที่ให้ความรู้สึกงดงาม ตระการตา สถานีอิสรภาพ ได้ตกแต่งภายในเป็นลักษณะเสารูปหงส์ ซึ่งถือเป็นสัตว์สิริมงคล ศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ และสื่อถึงวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร เป็นต้น
สําหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ มีระยะทางประมาณ 27 กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่
1. ช่วงหัวลําโพง – บางแค ประกอบด้วย โครงสร้างทางวิ่งใต้ดิน ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินจํานวน 4 สถานี และโครงสร้างทางวิ่งยกระดับ ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้ายกระดับจํานวน 7 สถานี ศูนย์ซ่อมบํารุงจํานวน 1 แห่ง และอาคารจอดแล้วจร จํานวน 2 แห่ง โครงการฯ จะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2562
2.ช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ประกอบด้วย โครงสร้างทางวิ่งแบบยกระดับทั้งหมด ระยะทาง 13 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้ายกระดับจํานวน 8 สถานี โครงการฯ จะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน – บางซื่อ “ร่วมใจ เชื่อมสุข เพื่อประชาชน”
วันพุธที่ 16 สิงหาคม 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน – บางซื่อ “ร่วมใจ เชื่อมสุข เพื่อประชาชน”
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน – บางซื่อ ภายใต้แนวคิด “ร่วมใจ เชื่อมสุข เพื่อประชาชน”
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2560 ณ สถานีรถไฟฟ้าเตาปูน โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พลเอก ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) นายฤทธา สุภารัตน์ รองผู้ว่าการรักษาการแทนผู้ว่าการ รฟม. ผู้บริหาร รฟม. และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) (BEM) เข้าร่วมพิธีฯ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน – บางซื่อ เป็นผลจากความร่วมมือของทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนด้วยระบบรถไฟฟ้า ที่จะช่วยลดระยะเวลาการเดินทาง มีความปลอดภัย บรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด และลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจและการลงทุน เพื่อขยายความเจริญของเมือง รัฐบาลโดย กระทรวงคมนาคมได้ดําเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน – บางซื่อ ระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมต่อระหว่างสถานีเตาปูน ของรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) และสถานีบางซื่อ ของรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ําเงิน) โดยก่อสร้างและติดตั้งระบบไฟฟ้าแล้วเสร็จตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 ก่อนทดลองเดินรถไฟฟ้าเสมือนจริง (Trail running) และเปิดให้บริการประชาชน ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมด้วย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ และคณะ ได้ร่วมโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินจากชานชาลา ชั้น 3 ของสถานีเตาปูน ไปตามทางวิ่งลดระดับลงอุโมงค์ที่สถานีบางซื่อและตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการดําเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ณ สถานีสนามไชยและสถานีอิสรภาพ ซึ่งสถานีทั้ง 2 แห่ง ได้ออกแบบก่อสร้างให้มีความกลมกลืนกับประวัติศาสตร์ความเป็นมา และสัญลักษณ์เชิงพื้นที่ เช่น สถานีสนามไชย ได้ออกแบบโดยจําลองท้องพระโรงสมัยรัตนโกสินทร์ที่ให้ความรู้สึกงดงาม ตระการตา สถานีอิสรภาพ ได้ตกแต่งภายในเป็นลักษณะเสารูปหงส์ ซึ่งถือเป็นสัตว์สิริมงคล ศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ และสื่อถึงวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร เป็นต้น
สําหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ มีระยะทางประมาณ 27 กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่
1. ช่วงหัวลําโพง – บางแค ประกอบด้วย โครงสร้างทางวิ่งใต้ดิน ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินจํานวน 4 สถานี และโครงสร้างทางวิ่งยกระดับ ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้ายกระดับจํานวน 7 สถานี ศูนย์ซ่อมบํารุงจํานวน 1 แห่ง และอาคารจอดแล้วจร จํานวน 2 แห่ง โครงการฯ จะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2562
2.ช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ประกอบด้วย โครงสร้างทางวิ่งแบบยกระดับทั้งหมด ระยะทาง 13 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้ายกระดับจํานวน 8 สถานี โครงการฯ จะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2563
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5968
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
|
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 เวลา 20.15 น. ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
ตามที่สํานักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ไปประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา ด้วยพระอาการประชวรไข้หวัดใหญ่นั้น คณะแพทย์ได้ถวายพระโอสถมาระยะหนึ่งแล้ว จากนั้น พระอาการโดยรวมดีขึ้น ไม่ทรงมีพระปรอท ทรงพระกรรสะลดลง รับสั่งได้ดี เสวยพระกระยาหารได้ดี คณะแพทย์ขอพระราชทานให้ประทับที่โรงพยาบาล เพื่อถวายการฟื้นฟูพระวรกายต่อไป โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยทุกคนร่วมใจกัน ถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พร้อมตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ ทรงหายจากพระอาการประชวร และขอทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงโดยเร็ว ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสด็จพระราชดําเนินไปทรงพิสูจน์การคํานวณสถานที่และเวลาการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ณ หมู่บ้านหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งพระองค์ทรงคํานวณล่วงหน้าไว้ถึง 2 ปีว่าจะเกิดเหตุการณ์สําคัญทางดาราศาสตร์ โดยปีนี้ถือว่าเป็นการครบรอบ 150 ปี ของการเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงที่นับเป็นจุดเริ่มต้นและสัญลักษณ์ของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ของประเทศไทย
ในปีนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้จัดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจําปี 2561 นี้ ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรม” เพื่อเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทยและเผยแพร่ผลงานการวิจัยความก้าวหน้า เพื่อกระตุ้นความสนใจส่งเสริมความรู้ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 - 26 สิงหาคม 2561 นี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค ฮอล์ล 2 ถึง 8 เมืองทองธานี โดยมี นิทรรศการวิทยาศาสตร์ติดถ้ํา ซึ่งมีการนําเรือดําน้ําจิ๋วหรือเรือดําน้ําหมูป่าที่มีหน้าตาเหมือนแคปซูล พัฒนาโดย อีลอน มัสก์ เจ้าของกิจการขนส่งอวกาศสเปซเอ็กซ์มาจัดแสดง พร้อมกับให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ติดถ้ําเพื่อให้ผู้ชมได้เรียนรู้ ด้านภูมิศาสตร์ธรณีวิทยา เทคโนโลยีกู้ภัย และการเตรียมตัวไปเที่ยวถ้ํา นิทรรศการยุคข้อมูลครองโลกหรือ “BIG DATA” นิทรรศการวิกฤตขยะเทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิตและซูเปอร์ฟู้ด หรือ อาหารแห่งศตวรรษ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมต่าง ๆ ที่กําลังอยู่ในความสนใจของประชาชนมาจัดแสดงด้วย
นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคใต้ พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จังหวัดชุมพร และระนอง ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ รัฐบาลได้เน้นการพัฒนาจังหวัดระนอง ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Smart Living City) ผ่านการส่งเสริมเรื่องแพทย์ทางเลือก เพราะมีบ่อน้ําพุร้อนธรรมชาติ โดยจะต้องดูแล รักษาและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทางน้ํา ให้มีความสมบูรณ์ในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญในอนาคต พร้อมทั้ง พัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการค้าโลจิสติกส์ ชายฝั่งอันดามัน ซึ่งจะสนับสนุนแนวคิดการเชื่อมโยงของกลุ่มประเทศอินโด - แปซิฟิก และ One Belt One Road ของจีน เพื่อการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะการพัฒนาการ ใช้ประโยชน์จากท่าเรือระนองให้เต็มศักยภาพ สําหรับจังหวัดชุมพร นั้นเช่นเดียวกัน จะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาการบริหารจัดการน้ํา เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัย และสามารถกักเก็บน้ําไว้ใช้เพื่อการเกษตรกรรมและบริโภคได้ นอกจากนี้ จะต้องเร่งส่งเสริมเรื่องวิสาหกิจชุมชนและการบริหารจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น โดยนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้ดีขึ้น รวมถึงหน่วยงานของภาครัฐ ในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อวางแนวทางการดําเนินงานและการพัฒนาพื้นที่ อันได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี สงขลา กับกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง สตูล ประกอบด้วย โครงการทั้ง 4 ด้าน คือ การพัฒนาโครงข่ายเส้นทางให้สามารถเชื่อมโยงเครือข่าย ใช้เป็นประโยชน์ ในการเป็นประตูส่งสินค้าออกไปทางฝั่งตะวันตก (Western Gateway) สําหรับเชื่อมต่อพื้นที่ทั้งแนวตะวันออก - ตะวันตก และแนวเหนือ - ใต้ รวมถึงประเทศจีนมีทั้งการขยาย ทางหลัก การก่อสร้างใหม่ การสร้างถนนเชื่อมสองฝั่งทะเล รวมถึงการเร่งรัดการก่อสร้างและพัฒนาถนนเลียบชายหาดอ่าวไทย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งและระบบโลจิสติกส์ในพื้นที่
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเพื่อเติมว่า การผลิตและสร้างมูลค่าการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ในการพัฒนาทั้งการแปรรูปการเกษตร การประมง เพื่อที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มพัฒนาฐานอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Base Industry) ที่ต่อยอดจากการผลิตน้ํามันปาล์ม ให้มีมูลค่าสูงขึ้น รวมถึงการยกระดับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ ให้เป็นศูนย์กลางของงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับปาล์มน้ํามันและยางพารา เพื่อยกระดับเกษตรกรรายย่อยให้มีขีดความสามารถในการผลิตสินค้าเกษตรและแปรรูปให้มากขึ้น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชั้นนําแห่งใหม่กับแหล่งท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียงเลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ให้เชื่อมโยงกับทะเลอันดามัน (Royal Coast Andaman Cruise) เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หรือ “ริเวียร่าเมืองไทย” รวมถึงการท่องเที่ยวเพื่อจะรักษาความปลอดภัยเมืองท่องเที่ยวหลักโดยประยุกต์เทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งทางบกและทางน้ํามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการศึกษาแนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ป่าไม้ และป่าชายเลน (Green and Culture) ตลอดจนการขุดลอกและบํารุงรักษาร่องน้ําชายฝั่งทะเลที่สุราษฎร์ธานี การบริหารจัดการน้ํา เพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ําท่วม รวมถึงการจัดหาแหล่งน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภค ในจังหวัดพังงาและจังหวัดระนอง ตามลําดับ
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ําอีกว่า ด้านโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดําริ ในจังหวัดชุมพร ซึ่งสร้างขึ้นเป็นแก้มลิงธรรมชาตินั้น นอกจากจะช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในจังหวัดชุมพร และเป็นแหล่งน้ําสํารองสําหรับการเกษตรกรรม และผลิตน้ําประปาหล่อเลี้ยงชุมชนในอนาคตแล้วยังสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนได้อีกด้วย โดยเฉพาะหนองใหญ่นี้ ได้มีเกาะกลางน้ําที่เกิดจากการนําดินจากการขุดบึง ปรับแก้มลิง มาถมจนเป็นเกาะอยู่กลางน้ํา รวมทั้งมีการนําไม้ยืนต้นพันธุ์ภาคใต้ที่ใกล้สูญพันธุ์มาปลูกไว้หลายชนิด เป็นที่อยู่อาศัยของนกและกวาง มีการสร้างสะพานไม้เคี่ยมที่สวยงามเชื่อมต่อระหว่างเกาะกับฝั่งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เดินชมทัศนียภาพได้อีกด้วย
ตอนท้ายของรายการฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้พร้อมทั้งส่งเสริมให้ภาคใต้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ผ่านการก่อสร้างโรงพยาบาลเพิ่มเติม โดยดูความเหมาะสมในเรื่องของพื้นที่ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในเครื่องมือรักษาพยาบาลและคุณภาพการบริการของโรงพยาบาล ตลอดจนการสนับสนุนการดําเนินงาน OTOP Academy เพื่อส่งเสริมความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยจะพิจารณาในเรื่องความพร้อมของบุคลากรและรูปแบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อไป
............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 เวลา 20.15 น. ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
ตามที่สํานักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ไปประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา ด้วยพระอาการประชวรไข้หวัดใหญ่นั้น คณะแพทย์ได้ถวายพระโอสถมาระยะหนึ่งแล้ว จากนั้น พระอาการโดยรวมดีขึ้น ไม่ทรงมีพระปรอท ทรงพระกรรสะลดลง รับสั่งได้ดี เสวยพระกระยาหารได้ดี คณะแพทย์ขอพระราชทานให้ประทับที่โรงพยาบาล เพื่อถวายการฟื้นฟูพระวรกายต่อไป โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยทุกคนร่วมใจกัน ถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พร้อมตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ ทรงหายจากพระอาการประชวร และขอทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงโดยเร็ว ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสด็จพระราชดําเนินไปทรงพิสูจน์การคํานวณสถานที่และเวลาการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ณ หมู่บ้านหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งพระองค์ทรงคํานวณล่วงหน้าไว้ถึง 2 ปีว่าจะเกิดเหตุการณ์สําคัญทางดาราศาสตร์ โดยปีนี้ถือว่าเป็นการครบรอบ 150 ปี ของการเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงที่นับเป็นจุดเริ่มต้นและสัญลักษณ์ของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ของประเทศไทย
ในปีนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้จัดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจําปี 2561 นี้ ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรม” เพื่อเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทยและเผยแพร่ผลงานการวิจัยความก้าวหน้า เพื่อกระตุ้นความสนใจส่งเสริมความรู้ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 - 26 สิงหาคม 2561 นี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค ฮอล์ล 2 ถึง 8 เมืองทองธานี โดยมี นิทรรศการวิทยาศาสตร์ติดถ้ํา ซึ่งมีการนําเรือดําน้ําจิ๋วหรือเรือดําน้ําหมูป่าที่มีหน้าตาเหมือนแคปซูล พัฒนาโดย อีลอน มัสก์ เจ้าของกิจการขนส่งอวกาศสเปซเอ็กซ์มาจัดแสดง พร้อมกับให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ติดถ้ําเพื่อให้ผู้ชมได้เรียนรู้ ด้านภูมิศาสตร์ธรณีวิทยา เทคโนโลยีกู้ภัย และการเตรียมตัวไปเที่ยวถ้ํา นิทรรศการยุคข้อมูลครองโลกหรือ “BIG DATA” นิทรรศการวิกฤตขยะเทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิตและซูเปอร์ฟู้ด หรือ อาหารแห่งศตวรรษ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมต่าง ๆ ที่กําลังอยู่ในความสนใจของประชาชนมาจัดแสดงด้วย
นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคใต้ พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จังหวัดชุมพร และระนอง ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ รัฐบาลได้เน้นการพัฒนาจังหวัดระนอง ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Smart Living City) ผ่านการส่งเสริมเรื่องแพทย์ทางเลือก เพราะมีบ่อน้ําพุร้อนธรรมชาติ โดยจะต้องดูแล รักษาและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทางน้ํา ให้มีความสมบูรณ์ในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญในอนาคต พร้อมทั้ง พัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการค้าโลจิสติกส์ ชายฝั่งอันดามัน ซึ่งจะสนับสนุนแนวคิดการเชื่อมโยงของกลุ่มประเทศอินโด - แปซิฟิก และ One Belt One Road ของจีน เพื่อการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะการพัฒนาการ ใช้ประโยชน์จากท่าเรือระนองให้เต็มศักยภาพ สําหรับจังหวัดชุมพร นั้นเช่นเดียวกัน จะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาการบริหารจัดการน้ํา เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัย และสามารถกักเก็บน้ําไว้ใช้เพื่อการเกษตรกรรมและบริโภคได้ นอกจากนี้ จะต้องเร่งส่งเสริมเรื่องวิสาหกิจชุมชนและการบริหารจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น โดยนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้ดีขึ้น รวมถึงหน่วยงานของภาครัฐ ในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อวางแนวทางการดําเนินงานและการพัฒนาพื้นที่ อันได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี สงขลา กับกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง สตูล ประกอบด้วย โครงการทั้ง 4 ด้าน คือ การพัฒนาโครงข่ายเส้นทางให้สามารถเชื่อมโยงเครือข่าย ใช้เป็นประโยชน์ ในการเป็นประตูส่งสินค้าออกไปทางฝั่งตะวันตก (Western Gateway) สําหรับเชื่อมต่อพื้นที่ทั้งแนวตะวันออก - ตะวันตก และแนวเหนือ - ใต้ รวมถึงประเทศจีนมีทั้งการขยาย ทางหลัก การก่อสร้างใหม่ การสร้างถนนเชื่อมสองฝั่งทะเล รวมถึงการเร่งรัดการก่อสร้างและพัฒนาถนนเลียบชายหาดอ่าวไทย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งและระบบโลจิสติกส์ในพื้นที่
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเพื่อเติมว่า การผลิตและสร้างมูลค่าการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ในการพัฒนาทั้งการแปรรูปการเกษตร การประมง เพื่อที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มพัฒนาฐานอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bio Base Industry) ที่ต่อยอดจากการผลิตน้ํามันปาล์ม ให้มีมูลค่าสูงขึ้น รวมถึงการยกระดับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ ให้เป็นศูนย์กลางของงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับปาล์มน้ํามันและยางพารา เพื่อยกระดับเกษตรกรรายย่อยให้มีขีดความสามารถในการผลิตสินค้าเกษตรและแปรรูปให้มากขึ้น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชั้นนําแห่งใหม่กับแหล่งท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียงเลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ให้เชื่อมโยงกับทะเลอันดามัน (Royal Coast Andaman Cruise) เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หรือ “ริเวียร่าเมืองไทย” รวมถึงการท่องเที่ยวเพื่อจะรักษาความปลอดภัยเมืองท่องเที่ยวหลักโดยประยุกต์เทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งทางบกและทางน้ํามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการศึกษาแนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ป่าไม้ และป่าชายเลน (Green and Culture) ตลอดจนการขุดลอกและบํารุงรักษาร่องน้ําชายฝั่งทะเลที่สุราษฎร์ธานี การบริหารจัดการน้ํา เพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ําท่วม รวมถึงการจัดหาแหล่งน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภค ในจังหวัดพังงาและจังหวัดระนอง ตามลําดับ
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ําอีกว่า ด้านโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดําริ ในจังหวัดชุมพร ซึ่งสร้างขึ้นเป็นแก้มลิงธรรมชาตินั้น นอกจากจะช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในจังหวัดชุมพร และเป็นแหล่งน้ําสํารองสําหรับการเกษตรกรรม และผลิตน้ําประปาหล่อเลี้ยงชุมชนในอนาคตแล้วยังสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนได้อีกด้วย โดยเฉพาะหนองใหญ่นี้ ได้มีเกาะกลางน้ําที่เกิดจากการนําดินจากการขุดบึง ปรับแก้มลิง มาถมจนเป็นเกาะอยู่กลางน้ํา รวมทั้งมีการนําไม้ยืนต้นพันธุ์ภาคใต้ที่ใกล้สูญพันธุ์มาปลูกไว้หลายชนิด เป็นที่อยู่อาศัยของนกและกวาง มีการสร้างสะพานไม้เคี่ยมที่สวยงามเชื่อมต่อระหว่างเกาะกับฝั่งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เดินชมทัศนียภาพได้อีกด้วย
ตอนท้ายของรายการฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้พร้อมทั้งส่งเสริมให้ภาคใต้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ผ่านการก่อสร้างโรงพยาบาลเพิ่มเติม โดยดูความเหมาะสมในเรื่องของพื้นที่ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในเครื่องมือรักษาพยาบาลและคุณภาพการบริการของโรงพยาบาล ตลอดจนการสนับสนุนการดําเนินงาน OTOP Academy เพื่อส่งเสริมความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยจะพิจารณาในเรื่องความพร้อมของบุคลากรและรูปแบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อไป
............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14893
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สตช. ชี้แจงกรณีกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ เตือนประชาชนให้ระมัดระวังการทำธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ
|
วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2560
สตช. ชี้แจงกรณีกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ เตือนประชาชนให้ระมัดระวังการทําธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ
สตช. ชี้แจงกรณีกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ เตือนประชาชนให้ระมัดระวังการทําธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ
วันที่ 1 ธันวาคม 2560 พลตํารวจเอกวิระชัย ทรงเมตตา รักษาราชการแทน รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ/โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และ พลตํารวจตรี ยิ่งยศ เทพจํานงค์ รักษาราชการแทนผู้บังคับการตํารวจปราบปรามยาเสพติด 2 ชี้แจงกรณีกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ ตามที่นายกิตติเชษฐ์ พิพัฒน์เดชอุดม เจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Phiminun Aowsakul เข้าประมูลแหวนเพชร ราคา 390,000 บาท ผ่านแฟนเพจร้านขายส่งเพชรแห่งหนึ่ง ซึ่งนายกิตติเชษฐ์ ประมูลได้ในราคา 120,000 บาท และผู้ไลฟ์สด ซึ่งใช้ชื่อว่า “มาดาม” ได้ปิดประมูล และให้นายกิตติเชษฐ์ แจ้งชื่อ ไปทาง Inbox เพื่อจะให้พนักงานแจ้งเลขบัญชีกลับ และต่อมาได้มี Inbox จากเฟซบุ๊กที่มีชื่อ และรูปเช่นเดียวกับไลฟ์สดที่นายกิตติเชษฐ์ ประมูลแหวนเพชรเข้ามาติดต่อ พร้อมกับแจ้งเลขบัญชีปลายทางให้ทําการโอน แต่โอนไม่ได้ จึงแจ้งกลับไปทาง Inbox เฟซบุ๊กดังกล่าวได้ให้เลขบัญชีใหม่มา จึงทําการโอนได้ จากนั้น 1 ช.ม. ต่อมา พนักงานของเพจร้านขายส่งเพชรที่เปิดประมูล ได้ส่งเลขบัญชีมาให้ จึงทราบว่า โดนกลุ่มมิจฉาชีพหลอกโอนเงินไปแล้ว และจะรวบรวมหลักฐานเพื่อแจ้งความดําเนินคดีต่อไป โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามเรื่องนี้และแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับแก๊งค์มิจฉาชีพออนไลน์ ซึ่งพบมากขึ้น อาจส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้เทคโนโลยี ตามนโยบาย Thailand 4.0
สตช. ขอชี้แจงว่า เมื่อได้รับทราบเหตุที่เกิดขึ้น ก็ได้สั่งการให้กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ทําการสืบสวนจับกุมตัวผู้กระทําผิดมาดําเนินคดีโดยเร่งด่วนแล้ว และมั่นใจว่าจะสามารถรู้ตัวผู้กระทําผิดที่แท้จริง และจับกุมตัวมาดําเนินการตามกระบวนการยุติธรรมให้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ การกระทําดังกล่าว เข้าข่ายเป็นความผิดหลายข้อหาดังนี้
1) ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342(1) โทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (เป็นความผิดส่วนตัว ยอมความได้)
2) หากเล็งเห็นว่าจะทําให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง หรือไปหลอกลวงประชาชนจํานวนหลายราย ย่อมพัฒนาข้อกล่าวหา เป็นฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 โทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (เป็นอาญาแผ่นดิน ยอมความมิได้)
3) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาขนได้รับความเสียหาย ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(1) โทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (เป็นอาญาแผ่นดิน ยอมความมิได้)
และขอเรียนขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนมายังพี่น้องประชาชน ให้ใช้ความระมัดระวังในการทําธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ เนื่องจากอาชญากรจะเรียนรู้รูปแบบพฤติกรรมการทําธุรกิจและธุรกรรมของคู่ค้า เพื่อพัฒนาช่องทางใหม่ ๆ ในการก่ออาชญากรรมขึ้นมาเสมอ ดังนั้น ในการทําธุรกรรมออนไลน์ใด ๆ จึงไม่ควรทําพฤติกรรมซ้ําเดิม หรือใช้รหัสเดิมในการ login บัญชีต่าง ๆ เป็นระยะเวลานาน นอกจากนั้น ก่อนชําระเงินซื้อขายสินค้าใด ๆ ต้องตรวจสอบย้อนกลับก่อนทุกครั้งว่าเป็นตัวจริง และสําหรับผู้ที่เปิดร้านขายสินค้าออนไลน์นั้น ควรศึกษาหาช่องทางการชําระเงินผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกใช้มากมาย เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่ผู้ซื้อยิ่งขึ้น
สําหรับกรณีนี้ มีความมั่นใจว่าจะสามารถนําตัวผู้กระทําความผิดมาดําเนินคดีได้ในไม่ช้า หากมีความคืบหน้าด้านการจับกุมผู้กระทําผิดเมื่อใด จะแจ้งให้ทราบต่อไป
----------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สตช. ชี้แจงกรณีกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ เตือนประชาชนให้ระมัดระวังการทำธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ
วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2560
สตช. ชี้แจงกรณีกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ เตือนประชาชนให้ระมัดระวังการทําธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ
สตช. ชี้แจงกรณีกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ เตือนประชาชนให้ระมัดระวังการทําธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ
วันที่ 1 ธันวาคม 2560 พลตํารวจเอกวิระชัย ทรงเมตตา รักษาราชการแทน รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ/โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และ พลตํารวจตรี ยิ่งยศ เทพจํานงค์ รักษาราชการแทนผู้บังคับการตํารวจปราบปรามยาเสพติด 2 ชี้แจงกรณีกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ ตามที่นายกิตติเชษฐ์ พิพัฒน์เดชอุดม เจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Phiminun Aowsakul เข้าประมูลแหวนเพชร ราคา 390,000 บาท ผ่านแฟนเพจร้านขายส่งเพชรแห่งหนึ่ง ซึ่งนายกิตติเชษฐ์ ประมูลได้ในราคา 120,000 บาท และผู้ไลฟ์สด ซึ่งใช้ชื่อว่า “มาดาม” ได้ปิดประมูล และให้นายกิตติเชษฐ์ แจ้งชื่อ ไปทาง Inbox เพื่อจะให้พนักงานแจ้งเลขบัญชีกลับ และต่อมาได้มี Inbox จากเฟซบุ๊กที่มีชื่อ และรูปเช่นเดียวกับไลฟ์สดที่นายกิตติเชษฐ์ ประมูลแหวนเพชรเข้ามาติดต่อ พร้อมกับแจ้งเลขบัญชีปลายทางให้ทําการโอน แต่โอนไม่ได้ จึงแจ้งกลับไปทาง Inbox เฟซบุ๊กดังกล่าวได้ให้เลขบัญชีใหม่มา จึงทําการโอนได้ จากนั้น 1 ช.ม. ต่อมา พนักงานของเพจร้านขายส่งเพชรที่เปิดประมูล ได้ส่งเลขบัญชีมาให้ จึงทราบว่า โดนกลุ่มมิจฉาชีพหลอกโอนเงินไปแล้ว และจะรวบรวมหลักฐานเพื่อแจ้งความดําเนินคดีต่อไป โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามเรื่องนี้และแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับแก๊งค์มิจฉาชีพออนไลน์ ซึ่งพบมากขึ้น อาจส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้เทคโนโลยี ตามนโยบาย Thailand 4.0
สตช. ขอชี้แจงว่า เมื่อได้รับทราบเหตุที่เกิดขึ้น ก็ได้สั่งการให้กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ทําการสืบสวนจับกุมตัวผู้กระทําผิดมาดําเนินคดีโดยเร่งด่วนแล้ว และมั่นใจว่าจะสามารถรู้ตัวผู้กระทําผิดที่แท้จริง และจับกุมตัวมาดําเนินการตามกระบวนการยุติธรรมให้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ การกระทําดังกล่าว เข้าข่ายเป็นความผิดหลายข้อหาดังนี้
1) ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342(1) โทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (เป็นความผิดส่วนตัว ยอมความได้)
2) หากเล็งเห็นว่าจะทําให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง หรือไปหลอกลวงประชาชนจํานวนหลายราย ย่อมพัฒนาข้อกล่าวหา เป็นฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 โทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (เป็นอาญาแผ่นดิน ยอมความมิได้)
3) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาขนได้รับความเสียหาย ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(1) โทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (เป็นอาญาแผ่นดิน ยอมความมิได้)
และขอเรียนขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนมายังพี่น้องประชาชน ให้ใช้ความระมัดระวังในการทําธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ เนื่องจากอาชญากรจะเรียนรู้รูปแบบพฤติกรรมการทําธุรกิจและธุรกรรมของคู่ค้า เพื่อพัฒนาช่องทางใหม่ ๆ ในการก่ออาชญากรรมขึ้นมาเสมอ ดังนั้น ในการทําธุรกรรมออนไลน์ใด ๆ จึงไม่ควรทําพฤติกรรมซ้ําเดิม หรือใช้รหัสเดิมในการ login บัญชีต่าง ๆ เป็นระยะเวลานาน นอกจากนั้น ก่อนชําระเงินซื้อขายสินค้าใด ๆ ต้องตรวจสอบย้อนกลับก่อนทุกครั้งว่าเป็นตัวจริง และสําหรับผู้ที่เปิดร้านขายสินค้าออนไลน์นั้น ควรศึกษาหาช่องทางการชําระเงินผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกใช้มากมาย เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่ผู้ซื้อยิ่งขึ้น
สําหรับกรณีนี้ มีความมั่นใจว่าจะสามารถนําตัวผู้กระทําความผิดมาดําเนินคดีได้ในไม่ช้า หากมีความคืบหน้าด้านการจับกุมผู้กระทําผิดเมื่อใด จะแจ้งให้ทราบต่อไป
----------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8506
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม เพื่อขับเคลื่อนงานด้านการอำนวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ สู่สังคมที่เท่าเทียม
|
วันอังคารที่ 24 กันยายน 2562
รมว.ยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม เพื่อขับเคลื่อนงานด้านการอํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา สู่สังคมที่เท่าเทียม
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒
ในวันจันทร์ที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายสมณ์ พรหมรส อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมฯ เพื่อรับทราบผลการช่วยเหลือเงินกองทุนยุติธรรมและสถิติผู้ขอรับความช่วยเหลือทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค สถานะการเงิน รวมถึงผลการดําเนินงานด้านสารสนเทศ ผลการดําเนินการตามแผนบริหารความเสี่ยง ประจําปีบัญชี ๒๕๖๒ ผลการดําเนินงานการประเมินผลทุนหมุนเวียนประจําปีบัญชี ๒๕๖๒ ผลการตรวจสอบบัญชีกับสํานักงานยุติธรรมจังหวัด การช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา ของสํานักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหาย และจําเลยในคดีอาญา และแนวทางการปรับปรุงการดําเนินงานผลการตรวจสอบภายใน
นอกจากนี้ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาในประเด็นต่างๆ อาทิ ร่างระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. .... การแก้ไขหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเบี้ยประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกองทุนยุติธรรม อีกทั้งหลักเกณฑ์การพิจารณากรณีคําขอรับความช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ การกําหนดค่าทนายความในชั้นสอบสวน ที่ประชุมมีมติให้ฝ่ายเลขาฯ รับข้อสังเกตจากคณะกรรมการฯ เพื่อนําไปแก้ไขปรับปรุงในรายละเอียดให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม เพื่อขับเคลื่อนงานด้านการอำนวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ สู่สังคมที่เท่าเทียม
วันอังคารที่ 24 กันยายน 2562
รมว.ยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม เพื่อขับเคลื่อนงานด้านการอํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา สู่สังคมที่เท่าเทียม
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒
ในวันจันทร์ที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายสมณ์ พรหมรส อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมฯ เพื่อรับทราบผลการช่วยเหลือเงินกองทุนยุติธรรมและสถิติผู้ขอรับความช่วยเหลือทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค สถานะการเงิน รวมถึงผลการดําเนินงานด้านสารสนเทศ ผลการดําเนินการตามแผนบริหารความเสี่ยง ประจําปีบัญชี ๒๕๖๒ ผลการดําเนินงานการประเมินผลทุนหมุนเวียนประจําปีบัญชี ๒๕๖๒ ผลการตรวจสอบบัญชีกับสํานักงานยุติธรรมจังหวัด การช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา ของสํานักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหาย และจําเลยในคดีอาญา และแนวทางการปรับปรุงการดําเนินงานผลการตรวจสอบภายใน
นอกจากนี้ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาในประเด็นต่างๆ อาทิ ร่างระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. .... การแก้ไขหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเบี้ยประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือกองทุนยุติธรรม อีกทั้งหลักเกณฑ์การพิจารณากรณีคําขอรับความช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ การกําหนดค่าทนายความในชั้นสอบสวน ที่ประชุมมีมติให้ฝ่ายเลขาฯ รับข้อสังเกตจากคณะกรรมการฯ เพื่อนําไปแก้ไขปรับปรุงในรายละเอียดให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23370
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เปิดงาน “วันอาเซียน” ปี ๒๕๖๓ นำมิติทางวัฒนธรรมส่งเสริมปีแห่งอัตลักษณ์อาเซียน จัดแสดงอาหารจานเด่นจากประเทศอาเซียน ร่วมทำ “ต้มยำกุ้ง” อาหารมรดกภูมิปัญญาไทยโดยเชฟมิชลิน
|
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
รมว.วธ.เปิดงาน “วันอาเซียน” ปี ๒๕๖๓ นํามิติทางวัฒนธรรมส่งเสริมปีแห่งอัตลักษณ์อาเซียน จัดแสดงอาหารจานเด่นจากประเทศอาเซียน ร่วมทํา “ต้มยํากุ้ง” อาหารมรดกภูมิปัญญาไทยโดยเชฟมิชลิน
รมว.วธ.เปิดงาน “วันอาเซียน” ปี ๒๕๖๓ นํามิติทางวัฒนธรรมส่งเสริมปีแห่งอัตลักษณ์อาเซียน
จัดแสดงอาหารจานเด่นจากประเทศอาเซียน ร่วมทํา “ต้มยํากุ้ง” อาหารมรดกภูมิปัญญาไทยโดยเชฟมิชลิน
รมว.วธ.เปิดงาน “วันอาเซียน” ปี ๒๕๖๓ นํามิติทางวัฒนธรรมส่งเสริมปีแห่งอัตลักษณ์อาเซียน
จัดแสดงอาหารจานเด่นจากประเทศอาเซียน ร่วมทํา “ต้มยํากุ้ง” อาหารมรดกภูมิปัญญาไทยโดยเชฟมิชลิน
วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๓ ที่ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ชั้น ๓ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน กรุงเทพฯ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมวันอาเซียน ประจําปี ๒๕๖๓ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘ – ๙ สิงหาคม ๒๕๖๓ พร้อมชมการแสดงชุด “อัตลักษณ์อาเซียน : ตํารับอาเซียน” ชมและชิม “อาหารจานเด่น” จากสถานเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกอาเซียนประจําประเทศไทย พร้อมทั้งร่วมทํา “ต้มยํากุ้ง” โดย นายวิชิต มุกุระ เชฟประจําร้านอาหารไทยซึ่งได้รับดาวมิชลิน ประจําปี ๒๕๖๓ เป็นผู้สาธิตและสอน โดยมี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกอาเซียนประจําประเทศไทย ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้แทนกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
นายอิทธิพล กล่าวว่า กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนมีศิลปวัฒนธรรมและประเพณีที่คล้ายคลึงกัน ตลอดจนมีความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านต่างๆ ระหว่างกันมายาวนานนับถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๕๓ ปี นับจากวันก่อตั้งสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๐ ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) มีนโยบายในการสร้างบทบาทของไทยในเวทีอาเซียนและประชาคมโลก โดยใช้มิติทางวัฒนธรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเนื่องในวาระครบรอบ ๕ ปี การก่อตั้งศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน และเพื่อให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของสํานักเลขาธิการอาเซียน ที่ได้กําหนดให้ปี ๒๕๖๓ เป็นปีแห่งอัตลักษณ์อาเซียน (2020 Year of ASEAN Identity) วธ. จึงได้ดําเนินการจัดกิจกรรมวันอาเซียน ประจําปี ๒๕๖๓ ขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักรู้และทัศนคติที่ดีต่อการคงอยู่ของอาเซียนและสามเสาอันประกอบเป็นประชาคมอาเซียน โดยนําเสนออัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรมอาหารของอาเซียน ที่แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายและโดดเด่นเฉพาะตัว อีกทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์ส่วนนิทรรศการ “อาหารริมทางอาเซียน (ASEAN Street Food)” ภายในศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน
สําหรับกิจกรรมวันอาเซียน ประจําปี ๒๕๖๓ ระหว่างวันที่ ๘ – ๙ สิงหาคม ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑) การแสดงชุด “อัตลักษณ์อาเซียน : ตํารับอาเซียน” (๒) กิจกรรมการสาธิตและการนําเสนออาหารจานเด่นที่แสดงถึงอัตลักษณ์วัฒนธรรมของแต่ละประเทศ โดยผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกอาเซียนประจําประเทศไทย อาทิ นม บ็อญ จ๊ก ซ็อมลอ ปรอเฮอ จากประเทศกัมพูชา ลุมเปีย เซอมารัง จากประเทศอินโดนีเซีย หมกไก่และแจ่วพริกสด จากประเทศลาว นาซิ เลอมัก จากประเทศมาเลเซีย อโดโบ จากประเทศฟิลิปปินส์ ปูผัดพริกสิงคโปร์ จากประเทศสิงคโปร์ และหน่ม บ่อ โค จากประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ มีการสอนทําอาหารจานเด่นของไทย “ต้มยํากุ้ง” ซึ่งเป็นอาหารที่ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และอยู่ระหว่างดําเนินการจัดทําข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเสนอต่อองค์การยูเนสโก เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ โดย เชฟวิชิต มุกุระ หัวหน้าพ่อครัวประจําร้านอาหารไทย “ข้าว” ร้านอาหารรางวัลดาวมิชลิน ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นผู้สาธิตและสอน
ทั้งนี้ วธ.ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือชมถ่ายทอดสดผ่านทางเพจ Facebook ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๔๒๗๙
-----------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เปิดงาน “วันอาเซียน” ปี ๒๕๖๓ นำมิติทางวัฒนธรรมส่งเสริมปีแห่งอัตลักษณ์อาเซียน จัดแสดงอาหารจานเด่นจากประเทศอาเซียน ร่วมทำ “ต้มยำกุ้ง” อาหารมรดกภูมิปัญญาไทยโดยเชฟมิชลิน
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
รมว.วธ.เปิดงาน “วันอาเซียน” ปี ๒๕๖๓ นํามิติทางวัฒนธรรมส่งเสริมปีแห่งอัตลักษณ์อาเซียน จัดแสดงอาหารจานเด่นจากประเทศอาเซียน ร่วมทํา “ต้มยํากุ้ง” อาหารมรดกภูมิปัญญาไทยโดยเชฟมิชลิน
รมว.วธ.เปิดงาน “วันอาเซียน” ปี ๒๕๖๓ นํามิติทางวัฒนธรรมส่งเสริมปีแห่งอัตลักษณ์อาเซียน
จัดแสดงอาหารจานเด่นจากประเทศอาเซียน ร่วมทํา “ต้มยํากุ้ง” อาหารมรดกภูมิปัญญาไทยโดยเชฟมิชลิน
รมว.วธ.เปิดงาน “วันอาเซียน” ปี ๒๕๖๓ นํามิติทางวัฒนธรรมส่งเสริมปีแห่งอัตลักษณ์อาเซียน
จัดแสดงอาหารจานเด่นจากประเทศอาเซียน ร่วมทํา “ต้มยํากุ้ง” อาหารมรดกภูมิปัญญาไทยโดยเชฟมิชลิน
วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๓ ที่ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ชั้น ๓ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน กรุงเทพฯ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมวันอาเซียน ประจําปี ๒๕๖๓ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘ – ๙ สิงหาคม ๒๕๖๓ พร้อมชมการแสดงชุด “อัตลักษณ์อาเซียน : ตํารับอาเซียน” ชมและชิม “อาหารจานเด่น” จากสถานเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกอาเซียนประจําประเทศไทย พร้อมทั้งร่วมทํา “ต้มยํากุ้ง” โดย นายวิชิต มุกุระ เชฟประจําร้านอาหารไทยซึ่งได้รับดาวมิชลิน ประจําปี ๒๕๖๓ เป็นผู้สาธิตและสอน โดยมี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกอาเซียนประจําประเทศไทย ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้แทนกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
นายอิทธิพล กล่าวว่า กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนมีศิลปวัฒนธรรมและประเพณีที่คล้ายคลึงกัน ตลอดจนมีความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านต่างๆ ระหว่างกันมายาวนานนับถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๕๓ ปี นับจากวันก่อตั้งสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๐ ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) มีนโยบายในการสร้างบทบาทของไทยในเวทีอาเซียนและประชาคมโลก โดยใช้มิติทางวัฒนธรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเนื่องในวาระครบรอบ ๕ ปี การก่อตั้งศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน และเพื่อให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของสํานักเลขาธิการอาเซียน ที่ได้กําหนดให้ปี ๒๕๖๓ เป็นปีแห่งอัตลักษณ์อาเซียน (2020 Year of ASEAN Identity) วธ. จึงได้ดําเนินการจัดกิจกรรมวันอาเซียน ประจําปี ๒๕๖๓ ขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักรู้และทัศนคติที่ดีต่อการคงอยู่ของอาเซียนและสามเสาอันประกอบเป็นประชาคมอาเซียน โดยนําเสนออัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรมอาหารของอาเซียน ที่แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายและโดดเด่นเฉพาะตัว อีกทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์ส่วนนิทรรศการ “อาหารริมทางอาเซียน (ASEAN Street Food)” ภายในศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน
สําหรับกิจกรรมวันอาเซียน ประจําปี ๒๕๖๓ ระหว่างวันที่ ๘ – ๙ สิงหาคม ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑) การแสดงชุด “อัตลักษณ์อาเซียน : ตํารับอาเซียน” (๒) กิจกรรมการสาธิตและการนําเสนออาหารจานเด่นที่แสดงถึงอัตลักษณ์วัฒนธรรมของแต่ละประเทศ โดยผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกอาเซียนประจําประเทศไทย อาทิ นม บ็อญ จ๊ก ซ็อมลอ ปรอเฮอ จากประเทศกัมพูชา ลุมเปีย เซอมารัง จากประเทศอินโดนีเซีย หมกไก่และแจ่วพริกสด จากประเทศลาว นาซิ เลอมัก จากประเทศมาเลเซีย อโดโบ จากประเทศฟิลิปปินส์ ปูผัดพริกสิงคโปร์ จากประเทศสิงคโปร์ และหน่ม บ่อ โค จากประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ มีการสอนทําอาหารจานเด่นของไทย “ต้มยํากุ้ง” ซึ่งเป็นอาหารที่ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และอยู่ระหว่างดําเนินการจัดทําข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเสนอต่อองค์การยูเนสโก เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ โดย เชฟวิชิต มุกุระ หัวหน้าพ่อครัวประจําร้านอาหารไทย “ข้าว” ร้านอาหารรางวัลดาวมิชลิน ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นผู้สาธิตและสอน
ทั้งนี้ วธ.ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือชมถ่ายทอดสดผ่านทางเพจ Facebook ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๔๒๗๙
-----------------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34091
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพอากาศ ประจำปี 2561 ชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพ ที่ตั้งใจและทุ่มเททำงานด้วยหัวใจที่เสียสละ เพื่อพิทักษ์สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
|
วันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2561
นายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพอากาศ ประจําปี 2561 ชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพ ที่ตั้งใจและทุ่มเททํางานด้วยหัวใจที่เสียสละ เพื่อพิทักษ์สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
นายกรัฐมนตรีขอให้กําลังพลกองทัพอากาศทําหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบอย่างดีที่สุด สมเกียรติ และศักดิ์ศรีของการเป็นทหารของชาติและประชาชน พร้อมใช้ความรู้ความสามารถ ในการดําเนินงานด้วยความมีเอกภาพให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย เพื่อให้เป็นคุณประโยชน์แก่ส่วนรวม
วันนี้ (9 เมษายน 2561) เวลา 18.50 น. ณ หอประชุมกองทัพอากาศ (ทองใหญ่) เขตสายไหม กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา ร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันกองทัพอากาศ ประจําปี 2561 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ ข้าราชการกองทัพอากาศระดับชั้นนายพล ผู้ช่วยทูตทหาร ผู้แทนรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับกองทัพอากาศเข้าร่วม
เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางถึงบริเวณงานเลี้ยง พลอากาศเอก จอม รุ่งสว่าง ผู้บัญชาการทหารอากาศรอต้อนรับและเรียนเชิญร่วมถ่ายภาพบริเวณหน้าห้องจัดงาน จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยาชมนิทรรศการของกองทัพอากาศ และเดินเข้าสู่ภายในห้องจัดงาน หลังจากนั้น พลอากาศเอก ประพันธ์ ธูปะเตมีย์ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศกล่าวเชิญชวนดื่มถวายพระพร ผู้บัญชาการทหารอากาศกล่าวเนื่องในวันกองทัพอากาศ ประจําปี 2561
เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันกองทัพอากาศ ตอนหนึ่งความว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพอากาศได้มุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจในการป้องกัน รักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ รวมทั้งการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยพิบัติในทุกด้าน และมีส่วนสําคัญในการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มศักยภาพ โดยการทําหน้าที่ของกําลังพลทหารอากาศทุกคน ได้ร่วมมือ ร่วมใจกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยอุตสาหะ ทุ่มเทและเสียสละอย่างเต็มที่
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนการดําเนินงานของกองทัพอากาศอย่างเต็มที่ และขอเป็นกําลังใจให้กับข้าราชการทหารอากาศทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างให้กองทัพอากาศมุ่งสู่การเป็น “กองทัพอากาศชั้นนําในภูมิภาค” ตามวิสัยทัศน์ที่ได้กําหนดไว้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าด้วยประสบการณ์ องค์ความรู้ ความมุ่งมั่นและความสามัคคีร่วมใจของกําลังพลทุกคน จะทําให้กองทัพอากาศสามารถ ยืนหยัดเผชิญกับความท้าทาย ทุกด้านได้อย่างเข้มแข็ง สามารถปฏิบัติภารกิจในการคุ้มครองรักษาอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาประเทศ รวมทั้งช่วยเหลือประชาชน ให้พ้นจากทุกข์ภัยต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความขอชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของทุกคนที่ตั้งใจและทุ่มเททํางานด้วยหัวใจที่เสียสละ เพื่อพิทักษ์สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนตามปณิธานที่ได้ยึดถือไว้ พร้อมกล่าวให้กําลังใจข้าราชการทหารอากาศและเจ้าหน้าที่ทุกคนในการร่วมกันพัฒนาศักยภาพทางการทหารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยกระดับความสามารถ ความทันสมัย ให้สูงขึ้นเพื่อให้ก้าวทันต่อการปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา ซึ่งได้สร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจแก่ประชาชนตลอดมา
ในนามรัฐบาล ขอเป็นกําลังใจให้กับกําลังพลของกองทัพอากาศทุกคนที่กําลังปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ทําหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบอย่างดีที่สุด สมเกียรติ และศักดิ์ศรีของการเป็นทหารของชาติและประชาชน พร้อมร่วมกันใช้ความรู้ความสามารถ ในการดําเนินงานด้วยความมีเอกภาพให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย เพื่อให้เป็นคุณประโยชน์แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ โดยรัฐบาลพร้อมให้การส่งเสริมสนับสนุนกองทัพอากาศในทุกๆ ด้านอย่างเต็มที่ เพื่อให้มีศักยภาพพร้อมปฏิบัติงานในทุกมิติ และเป็นกองทัพอากาศที่มีความเข้มแข็งของภูมิภาคอาเซียนต่อไป
-------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพอากาศ ประจำปี 2561 ชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพ ที่ตั้งใจและทุ่มเททำงานด้วยหัวใจที่เสียสละ เพื่อพิทักษ์สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
วันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2561
นายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพอากาศ ประจําปี 2561 ชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพ ที่ตั้งใจและทุ่มเททํางานด้วยหัวใจที่เสียสละ เพื่อพิทักษ์สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
นายกรัฐมนตรีขอให้กําลังพลกองทัพอากาศทําหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบอย่างดีที่สุด สมเกียรติ และศักดิ์ศรีของการเป็นทหารของชาติและประชาชน พร้อมใช้ความรู้ความสามารถ ในการดําเนินงานด้วยความมีเอกภาพให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย เพื่อให้เป็นคุณประโยชน์แก่ส่วนรวม
วันนี้ (9 เมษายน 2561) เวลา 18.50 น. ณ หอประชุมกองทัพอากาศ (ทองใหญ่) เขตสายไหม กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา ร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันกองทัพอากาศ ประจําปี 2561 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ ข้าราชการกองทัพอากาศระดับชั้นนายพล ผู้ช่วยทูตทหาร ผู้แทนรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับกองทัพอากาศเข้าร่วม
เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางถึงบริเวณงานเลี้ยง พลอากาศเอก จอม รุ่งสว่าง ผู้บัญชาการทหารอากาศรอต้อนรับและเรียนเชิญร่วมถ่ายภาพบริเวณหน้าห้องจัดงาน จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยาชมนิทรรศการของกองทัพอากาศ และเดินเข้าสู่ภายในห้องจัดงาน หลังจากนั้น พลอากาศเอก ประพันธ์ ธูปะเตมีย์ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศกล่าวเชิญชวนดื่มถวายพระพร ผู้บัญชาการทหารอากาศกล่าวเนื่องในวันกองทัพอากาศ ประจําปี 2561
เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันกองทัพอากาศ ตอนหนึ่งความว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพอากาศได้มุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจในการป้องกัน รักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ รวมทั้งการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยพิบัติในทุกด้าน และมีส่วนสําคัญในการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มศักยภาพ โดยการทําหน้าที่ของกําลังพลทหารอากาศทุกคน ได้ร่วมมือ ร่วมใจกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยอุตสาหะ ทุ่มเทและเสียสละอย่างเต็มที่
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนการดําเนินงานของกองทัพอากาศอย่างเต็มที่ และขอเป็นกําลังใจให้กับข้าราชการทหารอากาศทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างให้กองทัพอากาศมุ่งสู่การเป็น “กองทัพอากาศชั้นนําในภูมิภาค” ตามวิสัยทัศน์ที่ได้กําหนดไว้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าด้วยประสบการณ์ องค์ความรู้ ความมุ่งมั่นและความสามัคคีร่วมใจของกําลังพลทุกคน จะทําให้กองทัพอากาศสามารถ ยืนหยัดเผชิญกับความท้าทาย ทุกด้านได้อย่างเข้มแข็ง สามารถปฏิบัติภารกิจในการคุ้มครองรักษาอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาประเทศ รวมทั้งช่วยเหลือประชาชน ให้พ้นจากทุกข์ภัยต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความขอชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของทุกคนที่ตั้งใจและทุ่มเททํางานด้วยหัวใจที่เสียสละ เพื่อพิทักษ์สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนตามปณิธานที่ได้ยึดถือไว้ พร้อมกล่าวให้กําลังใจข้าราชการทหารอากาศและเจ้าหน้าที่ทุกคนในการร่วมกันพัฒนาศักยภาพทางการทหารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยกระดับความสามารถ ความทันสมัย ให้สูงขึ้นเพื่อให้ก้าวทันต่อการปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา ซึ่งได้สร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจแก่ประชาชนตลอดมา
ในนามรัฐบาล ขอเป็นกําลังใจให้กับกําลังพลของกองทัพอากาศทุกคนที่กําลังปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ทําหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบอย่างดีที่สุด สมเกียรติ และศักดิ์ศรีของการเป็นทหารของชาติและประชาชน พร้อมร่วมกันใช้ความรู้ความสามารถ ในการดําเนินงานด้วยความมีเอกภาพให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย เพื่อให้เป็นคุณประโยชน์แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ โดยรัฐบาลพร้อมให้การส่งเสริมสนับสนุนกองทัพอากาศในทุกๆ ด้านอย่างเต็มที่ เพื่อให้มีศักยภาพพร้อมปฏิบัติงานในทุกมิติ และเป็นกองทัพอากาศที่มีความเข้มแข็งของภูมิภาคอาเซียนต่อไป
-------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11421
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการดำเนินงานสถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกำเนิดวิทย์
|
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562
รัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการดําเนินงานสถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกําเนิดวิทย์
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดําเนินงานด้านการศึกษาสถาบันวิทยสิริเมธี โรงเรียนกําเนิดวิทย์ โครงการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกวังจันทร์วังเลย์
จ.ระยอง - วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดําเนินงานด้านการศึกษาสถาบันวิทยสิริเมธี โรงเรียนกําเนิดวิทย์ โครงการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกวังจันทร์วังเลย์ โดยมี นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) นายจํารัส ลิ้มตระกูล อธิการบดีสถาบันวิทยสิริเมธี และคณะผู้บริหาร ปตท. ให้การต้อนรับ ณ อ.วังจันทร์ จังหวัดระยอง
สําหรับสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) เป็นสถาบันที่มุ่งเน้นสร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ โดยเน้นการเรียนการสอนแบบบูรณาการวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่เป็นงานวิจัยในระดับสากล และมุ่งเน้นการคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมในกลุ่ม New S-cuve ทางด้าน Digital, Robotice และ Bio-Industry ในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย ซึ่งจะมีศูนย์กลางการบ่มเพาะนวัตกรรมที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) โดยกลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมายบนพื้นที่นี้ คือ ศูนย์กลางการวิจัยและนวัตกรรมด้านระบบอัตโนมัติหุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ (ARIPOLIS) และศูนย์กลางการวิจัยและนวัตกรรมด้านชีววิทยาศาตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ (BIOPOLIS)
โดย VISTEC มุ่งหวังให้พื้นที่วังจันทร์วัลเลย์เป็นศูนย์กลางชั้นนําและสร้าง Startup Ecosystem สําหรับนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ที่จะสร้างและผลักดันให้เกิดนวัตกรรมและเชื่อมโยงภาคการศึกษาและภาคธุรกิจเข้าด้วยกัน และช่วยยกระดับศักยภาพขององค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของคนไทยให้อยู่ในระดับก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ ได้เยี่ยมชมงานวิจัยด้านต่างๆ ของนิสิตระดับปริญญาโทและปริญญาเอก อาทิ Synthetic Biology งานวิจัยการสร้างสารมูลค่าเพิ่มจากขยะอินทรีย์ครัวเรือน โดยเป็นกระบวนการชีววิทยาสังเคราะห์ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น Robotic Studio งานวิจัยการศึกษาพฤติกรรมการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตเพื่อนํามาพัฒนาหุ่นยนต์สู่นวัตกรรมหุ่นยนต์ด้านอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์ เป็นต้น
จากนั้นนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ได้เยี่ยมชมความก้าวหน้าการดําเนินงานของโรงเรียนกําเนิดวิทย์ และร่วมเป็นเกียรติพิธีลงนามความร่วมมือภาคีทุกภาคส่วน เพื่อพัฒนาโครงการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง โดยโรงเรียนกําเนิดวิทย์เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภายใต้การดูแลของมูลนิธิพลังแห่งการเรียนรู้ เพื่อการพัฒนานักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ให้สามารถศึกษาต่อทางด้านเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาไปเป็นนักวิจัย นักประดิษฐ์ และนวัตกรชั้นนําของประเทศในอนาคตต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการดำเนินงานสถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกำเนิดวิทย์
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562
รัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการดําเนินงานสถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกําเนิดวิทย์
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดําเนินงานด้านการศึกษาสถาบันวิทยสิริเมธี โรงเรียนกําเนิดวิทย์ โครงการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกวังจันทร์วังเลย์
จ.ระยอง - วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดําเนินงานด้านการศึกษาสถาบันวิทยสิริเมธี โรงเรียนกําเนิดวิทย์ โครงการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกวังจันทร์วังเลย์ โดยมี นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) นายจํารัส ลิ้มตระกูล อธิการบดีสถาบันวิทยสิริเมธี และคณะผู้บริหาร ปตท. ให้การต้อนรับ ณ อ.วังจันทร์ จังหวัดระยอง
สําหรับสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) เป็นสถาบันที่มุ่งเน้นสร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ โดยเน้นการเรียนการสอนแบบบูรณาการวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่เป็นงานวิจัยในระดับสากล และมุ่งเน้นการคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมในกลุ่ม New S-cuve ทางด้าน Digital, Robotice และ Bio-Industry ในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย ซึ่งจะมีศูนย์กลางการบ่มเพาะนวัตกรรมที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) โดยกลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมายบนพื้นที่นี้ คือ ศูนย์กลางการวิจัยและนวัตกรรมด้านระบบอัตโนมัติหุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ (ARIPOLIS) และศูนย์กลางการวิจัยและนวัตกรรมด้านชีววิทยาศาตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ (BIOPOLIS)
โดย VISTEC มุ่งหวังให้พื้นที่วังจันทร์วัลเลย์เป็นศูนย์กลางชั้นนําและสร้าง Startup Ecosystem สําหรับนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ที่จะสร้างและผลักดันให้เกิดนวัตกรรมและเชื่อมโยงภาคการศึกษาและภาคธุรกิจเข้าด้วยกัน และช่วยยกระดับศักยภาพขององค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของคนไทยให้อยู่ในระดับก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ ได้เยี่ยมชมงานวิจัยด้านต่างๆ ของนิสิตระดับปริญญาโทและปริญญาเอก อาทิ Synthetic Biology งานวิจัยการสร้างสารมูลค่าเพิ่มจากขยะอินทรีย์ครัวเรือน โดยเป็นกระบวนการชีววิทยาสังเคราะห์ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น Robotic Studio งานวิจัยการศึกษาพฤติกรรมการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตเพื่อนํามาพัฒนาหุ่นยนต์สู่นวัตกรรมหุ่นยนต์ด้านอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์ เป็นต้น
จากนั้นนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ได้เยี่ยมชมความก้าวหน้าการดําเนินงานของโรงเรียนกําเนิดวิทย์ และร่วมเป็นเกียรติพิธีลงนามความร่วมมือภาคีทุกภาคส่วน เพื่อพัฒนาโครงการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง โดยโรงเรียนกําเนิดวิทย์เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภายใต้การดูแลของมูลนิธิพลังแห่งการเรียนรู้ เพื่อการพัฒนานักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ให้สามารถศึกษาต่อทางด้านเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาไปเป็นนักวิจัย นักประดิษฐ์ และนวัตกรชั้นนําของประเทศในอนาคตต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19026
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ส่งท้ายความพิเศษปลายปี ด้วยสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0.99% ต่อปี 4 เดือนแรก บ้านมือสองกว่า 600 รายการ ลดราคาสูงสุด 50% จากราคาปกติ ในงาน Money Expo Year End 2018
|
วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2561
ธอส.ส่งท้ายความพิเศษปลายปี ด้วยสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0.99% ต่อปี 4 เดือนแรก บ้านมือสองกว่า 600 รายการ ลดราคาสูงสุด 50% จากราคาปกติ ในงาน Money Expo Year End 2018
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ส่งท้ายปี 2561 ด้วยผลิตภัณฑ์พิเศษสําหรับรองรับความต้องการของประชาชนในงานมหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 2 Money Expo Year End 2018
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ส่งท้ายปี 2561 ด้วยผลิตภัณฑ์พิเศษสําหรับรองรับความต้องการของประชาชนในงานมหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 2 Money Expo Year End 2018 นําโดยสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 4 เดือนแรก MRR-5.76% (0.99%) ฟรี!! ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันในอัตราพิเศษ ด้านเงินฝากนําเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากประจําเจ้าสัวแสนล้าน 18 เดือน รับดอกเบี้ยสูง 1.90% ต่อปี และนําบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ถึง 611 รายการ จําหน่ายในราคาพิเศษ มอบส่วนลดสูงสุดถึง 50% จากราคาปกติ ราคาจําหน่ายเริ่มต้นแค่ 40,000 บาทเท่านั้น ผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ซื้อทรัพย์ NPA มูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาท มีสิทธิ์รับมาตรการผ่อนดาวน์ 50% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานถึง 60 เดือน
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้มีช่องทางในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของธนาคาร โดยเฉพาะเพื่อการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่ประชาชนอาจได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จัดทําโปรโมชันพิเศษเพื่อเร่งปิดยอดขายให้ได้ตามเป้าหมาย ธอส.จึงได้ร่วมออกบูธในงาน มหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 2 Money Expo Year End 2018 โดยนําผลิตภัณฑ์พิเศษที่รองรับความต้องการของประชาชนที่มาร่วมงานส่งท้ายปี ได้แก่ สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เดือนที่ 1-4 = MRR-5.76% (0.99%) ต่อปี เดือนที่ 5-36 = MRR-3.10% (3.65%) ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี และกรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.75% ต่อปี) พิเศษ!! สําหรับลูกค้าที่จองสิทธิภายในงานได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทํานิติกรรม ยกเว้นค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันในอัตราพิเศษ แบ่งเป็น กรณีขอกู้ไม่เกิน 500,000 บาท คิดค่าประเมิน 1,900 บาท และกรณีขอกู้เกิน 500,000 บาท คิดค่าประเมิน 2,300 บาท ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น และซื้อหรือไถ่ถอนจํานองที่อยู่อาศัยพร้อมกับซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวก ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี จองสิทธิภายในงานระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2561 ยื่นคําขอกู้เงินระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 - 28 มกราคม 2562 และทํานิติกรรมภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 ทั้งนี้ ธนาคารขอสงวนสิทธิในการกําหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกําหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มกรอบวงเงินของโครงการแล้ว
เงินฝากอัตราดอกเบี้ยสูง นําเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากประจําเจ้าสัวแสนล้าน 18 เดือน รับดอกเบี้ยสูง 1.90% ต่อปี กําหนดระยะเวลาฝาก 18 เดือน เปิดบัญชีเงินฝากขั้นต่ํารายการละ 10,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาท เพียงจองสิทธิ์เงินฝากภายในงานและเปิดบัญชีที่สาขาในสังกัด กทม และ ปริมณฑล ตามที่ธนาคารกําหนดภายในวันที่ 8 ธันวาคม 2561
ทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสอง ธอส. ได้นําทรัพย์คุณภาพดี ทําเลเด่น รวม 611 รายการ มาจําหน่ายในราคาพิเศษ โดยเป็นทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และห้องชุด ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพ จ.สมุทรปราการ จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี จ.นครปฐม และ จ.สมุทรสาคร โดยจําหน่ายพร้อมส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 50% จากราคาปกติ ส่วนทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 40,000 บาท จํานวน 4 รายการ เป็นทรัพย์ประเภทห้องชุด ในโครงการปลาทอง เนื้อที่ 26.25 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พิเศษ!! ผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ที่ต้องการซื้อทรัพย์ NPA ของธนาคารมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งนํามาออกจําหน่ายในงานถึง 600 รายการ มีสิทธิรับมาตรการผ่อนดาวน์ 50% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 60 เดือน หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคา ซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน และให้ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี
นอกจากนี้ภายในงาน ธอส. ยังพร้อมให้คําแนะนําแก่ลูกค้าประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทํางานหรือผู้ที่กําลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ ที่สนใจเข้าร่วม “โครงการบ้านล้านหลัง” ซึ่งธนาคารเตรียม สินเชื่อที่อยู่อาศัยสําหรับลูกค้ารายย่อย วงเงิน 50,000 ล้านบาท ให้กู้เพื่อซื้อ หรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัย และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท ผ่อนชําระได้นานสูงสุด 40 ปี อัตราดอกเบี้ย กรณีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/คน/เดือน อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 – ปีที่ 5 คงที่ 3.00% ต่อปี ผ่อนชําระเริ่มต้นเพียง 3,800 บาท ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถรบชมแคตตาล็อกที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท ได้ที่เว็บไซต์ www.ghbmillionhome.com และเตรียมเปิดให้จองสิทธิ์วงเงินสินเชื่อของโครงการบ้านล้านภายในเดือนธันวาคม 2561
“และเพื่อให้ลูกค้าของธนาคารได้รับความสะดวกในการใช้บริการของ ธอส. มากยิ่งขึ้น ภายในงานธนาคารจึงได้เตรียมเจ้าหน้าที่มาให้บริการแนะนําการดาวน์โหลดและลงทะเบียนใช้งาน Mobile Application : GHB ALL แอปเดียวครบจบ รวมทุกบริการ ธอส. ไว้ในมือคุณ ซึ่งสามารถให้บริการได้ อาทิ ชําระเงินกู้โดยหักบัญชี ธอส. และสร้าง QR Code เพื่อชําระเงินกู้ด้วย Mobile Application ธนาคารต่าง ๆ ตรวจสอบสถานะสินเชื่อ เช็คยอดเงินฝาก ดู statement โอนเงินภายในและต่างธนาคาร และสมัครและโอนเงินผ่าน PromptPay ซึ่งธนาคารยังเตรียมขยายให้สามารถใช้บริการประเภทอื่น ๆ ได้เพิ่มขึ้นต่อไป”นายฉัตรชัยกล่าว
ทั้งนี้ งาน มหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 2 Money Expo Year End 2018 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2561 ณ ฮอลล์ EH 99-100 ไบเทคบางนา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ส่งท้ายความพิเศษปลายปี ด้วยสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0.99% ต่อปี 4 เดือนแรก บ้านมือสองกว่า 600 รายการ ลดราคาสูงสุด 50% จากราคาปกติ ในงาน Money Expo Year End 2018
วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2561
ธอส.ส่งท้ายความพิเศษปลายปี ด้วยสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0.99% ต่อปี 4 เดือนแรก บ้านมือสองกว่า 600 รายการ ลดราคาสูงสุด 50% จากราคาปกติ ในงาน Money Expo Year End 2018
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ส่งท้ายปี 2561 ด้วยผลิตภัณฑ์พิเศษสําหรับรองรับความต้องการของประชาชนในงานมหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 2 Money Expo Year End 2018
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ส่งท้ายปี 2561 ด้วยผลิตภัณฑ์พิเศษสําหรับรองรับความต้องการของประชาชนในงานมหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 2 Money Expo Year End 2018 นําโดยสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 4 เดือนแรก MRR-5.76% (0.99%) ฟรี!! ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันในอัตราพิเศษ ด้านเงินฝากนําเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากประจําเจ้าสัวแสนล้าน 18 เดือน รับดอกเบี้ยสูง 1.90% ต่อปี และนําบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ถึง 611 รายการ จําหน่ายในราคาพิเศษ มอบส่วนลดสูงสุดถึง 50% จากราคาปกติ ราคาจําหน่ายเริ่มต้นแค่ 40,000 บาทเท่านั้น ผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ซื้อทรัพย์ NPA มูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาท มีสิทธิ์รับมาตรการผ่อนดาวน์ 50% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานถึง 60 เดือน
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้มีช่องทางในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของธนาคาร โดยเฉพาะเพื่อการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่ประชาชนอาจได้ประโยชน์เพิ่มเติมจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จัดทําโปรโมชันพิเศษเพื่อเร่งปิดยอดขายให้ได้ตามเป้าหมาย ธอส.จึงได้ร่วมออกบูธในงาน มหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 2 Money Expo Year End 2018 โดยนําผลิตภัณฑ์พิเศษที่รองรับความต้องการของประชาชนที่มาร่วมงานส่งท้ายปี ได้แก่ สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เดือนที่ 1-4 = MRR-5.76% (0.99%) ต่อปี เดือนที่ 5-36 = MRR-3.10% (3.65%) ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี และกรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.75% ต่อปี) พิเศษ!! สําหรับลูกค้าที่จองสิทธิภายในงานได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทํานิติกรรม ยกเว้นค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันในอัตราพิเศษ แบ่งเป็น กรณีขอกู้ไม่เกิน 500,000 บาท คิดค่าประเมิน 1,900 บาท และกรณีขอกู้เกิน 500,000 บาท คิดค่าประเมิน 2,300 บาท ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น และซื้อหรือไถ่ถอนจํานองที่อยู่อาศัยพร้อมกับซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวก ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี จองสิทธิภายในงานระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2561 ยื่นคําขอกู้เงินระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 - 28 มกราคม 2562 และทํานิติกรรมภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 ทั้งนี้ ธนาคารขอสงวนสิทธิในการกําหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกําหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มกรอบวงเงินของโครงการแล้ว
เงินฝากอัตราดอกเบี้ยสูง นําเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากประจําเจ้าสัวแสนล้าน 18 เดือน รับดอกเบี้ยสูง 1.90% ต่อปี กําหนดระยะเวลาฝาก 18 เดือน เปิดบัญชีเงินฝากขั้นต่ํารายการละ 10,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาท เพียงจองสิทธิ์เงินฝากภายในงานและเปิดบัญชีที่สาขาในสังกัด กทม และ ปริมณฑล ตามที่ธนาคารกําหนดภายในวันที่ 8 ธันวาคม 2561
ทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสอง ธอส. ได้นําทรัพย์คุณภาพดี ทําเลเด่น รวม 611 รายการ มาจําหน่ายในราคาพิเศษ โดยเป็นทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และห้องชุด ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพ จ.สมุทรปราการ จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี จ.นครปฐม และ จ.สมุทรสาคร โดยจําหน่ายพร้อมส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 50% จากราคาปกติ ส่วนทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 40,000 บาท จํานวน 4 รายการ เป็นทรัพย์ประเภทห้องชุด ในโครงการปลาทอง เนื้อที่ 26.25 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พิเศษ!! ผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ที่ต้องการซื้อทรัพย์ NPA ของธนาคารมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งนํามาออกจําหน่ายในงานถึง 600 รายการ มีสิทธิรับมาตรการผ่อนดาวน์ 50% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 60 เดือน หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคา ซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน และให้ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี
นอกจากนี้ภายในงาน ธอส. ยังพร้อมให้คําแนะนําแก่ลูกค้าประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทํางานหรือผู้ที่กําลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ ที่สนใจเข้าร่วม “โครงการบ้านล้านหลัง” ซึ่งธนาคารเตรียม สินเชื่อที่อยู่อาศัยสําหรับลูกค้ารายย่อย วงเงิน 50,000 ล้านบาท ให้กู้เพื่อซื้อ หรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัย และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท ผ่อนชําระได้นานสูงสุด 40 ปี อัตราดอกเบี้ย กรณีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/คน/เดือน อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 – ปีที่ 5 คงที่ 3.00% ต่อปี ผ่อนชําระเริ่มต้นเพียง 3,800 บาท ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถรบชมแคตตาล็อกที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท ได้ที่เว็บไซต์ www.ghbmillionhome.com และเตรียมเปิดให้จองสิทธิ์วงเงินสินเชื่อของโครงการบ้านล้านภายในเดือนธันวาคม 2561
“และเพื่อให้ลูกค้าของธนาคารได้รับความสะดวกในการใช้บริการของ ธอส. มากยิ่งขึ้น ภายในงานธนาคารจึงได้เตรียมเจ้าหน้าที่มาให้บริการแนะนําการดาวน์โหลดและลงทะเบียนใช้งาน Mobile Application : GHB ALL แอปเดียวครบจบ รวมทุกบริการ ธอส. ไว้ในมือคุณ ซึ่งสามารถให้บริการได้ อาทิ ชําระเงินกู้โดยหักบัญชี ธอส. และสร้าง QR Code เพื่อชําระเงินกู้ด้วย Mobile Application ธนาคารต่าง ๆ ตรวจสอบสถานะสินเชื่อ เช็คยอดเงินฝาก ดู statement โอนเงินภายในและต่างธนาคาร และสมัครและโอนเงินผ่าน PromptPay ซึ่งธนาคารยังเตรียมขยายให้สามารถใช้บริการประเภทอื่น ๆ ได้เพิ่มขึ้นต่อไป”นายฉัตรชัยกล่าว
ทั้งนี้ งาน มหกรรมการเงินส่งท้ายปี ครั้งที่ 2 Money Expo Year End 2018 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2561 ณ ฮอลล์ EH 99-100 ไบเทคบางนา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17169
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ. / ก.วิทย์ เปิดบ้าน ต้อนรับผู้แทนจาก National Metrology Instite of Japan (NMIJ) ประเทศญี่ปุ่น
|
วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2560
วศ. / ก.วิทย์ เปิดบ้าน ต้อนรับผู้แทนจาก National Metrology Instite of Japan (NMIJ) ประเทศญี่ปุ่น
ดร.สุทธิเวช ต.แสงจันทร์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ ให้การต้อนรับ ผู้แทนจาก National Metrology Instite of Japan (NMIJ) ประเทศญี่ปุ่น เพื่อหารือความร่วมมือด้านสอบเทียบ การพัฒนาการทดสอบด้านอาหาร และการทดสอบความชํานาญห้องปฏิบัติการ
กรมวิทยาศาสตร์บริการ(วศ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) โดย ดร.สุทธิเวช ต.แสงจันทร์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ เป็นประธานกล่าวต้อนรับ Dr.Toshiyuki Takatsuji, Director, Research Institute of Engineering Measurement, Chair of APAM (Asia Pacific Metrology Program) และ Dr.Yochi Bitou, Length Standards Group Leader ผู้แทนจาก National Metrology Instite of Japan (NMIJ) ประเทศญี่ปุ่น เพื่อหารือความร่วมมือด้านสอบเทียบ การพัฒนาการทดสอบด้านอาหาร และการทดสอบความชํานาญห้องปฏิบัติการ โดย NMIJ ยินดีที่จะให้การสนับสนุนการพัฒนางานของ วศ. และพร้อมจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้คําปรึกษาแก่นักวิทยาศาสตร์ของ วศ. เพื่อนําไปสู่การพัฒนาองค์กรและประเทศ ตลอดจนนําองค์ความรู้ที่ได้นําไปปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามภารกิจของกรมวิทยาศาสตร์บริการ เมื่อวันที่ 23 มิถึนายน 2560ณ ห้องประชุมอัครเมธี ชั้น 6 อาคารตั้วฯ กรมวิทยาศาสตร์บริการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ. / ก.วิทย์ เปิดบ้าน ต้อนรับผู้แทนจาก National Metrology Instite of Japan (NMIJ) ประเทศญี่ปุ่น
วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2560
วศ. / ก.วิทย์ เปิดบ้าน ต้อนรับผู้แทนจาก National Metrology Instite of Japan (NMIJ) ประเทศญี่ปุ่น
ดร.สุทธิเวช ต.แสงจันทร์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ ให้การต้อนรับ ผู้แทนจาก National Metrology Instite of Japan (NMIJ) ประเทศญี่ปุ่น เพื่อหารือความร่วมมือด้านสอบเทียบ การพัฒนาการทดสอบด้านอาหาร และการทดสอบความชํานาญห้องปฏิบัติการ
กรมวิทยาศาสตร์บริการ(วศ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) โดย ดร.สุทธิเวช ต.แสงจันทร์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ เป็นประธานกล่าวต้อนรับ Dr.Toshiyuki Takatsuji, Director, Research Institute of Engineering Measurement, Chair of APAM (Asia Pacific Metrology Program) และ Dr.Yochi Bitou, Length Standards Group Leader ผู้แทนจาก National Metrology Instite of Japan (NMIJ) ประเทศญี่ปุ่น เพื่อหารือความร่วมมือด้านสอบเทียบ การพัฒนาการทดสอบด้านอาหาร และการทดสอบความชํานาญห้องปฏิบัติการ โดย NMIJ ยินดีที่จะให้การสนับสนุนการพัฒนางานของ วศ. และพร้อมจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้คําปรึกษาแก่นักวิทยาศาสตร์ของ วศ. เพื่อนําไปสู่การพัฒนาองค์กรและประเทศ ตลอดจนนําองค์ความรู้ที่ได้นําไปปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามภารกิจของกรมวิทยาศาสตร์บริการ เมื่อวันที่ 23 มิถึนายน 2560ณ ห้องประชุมอัครเมธี ชั้น 6 อาคารตั้วฯ กรมวิทยาศาสตร์บริการ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4850
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมผู้ประสบภัยและนักเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช
|
วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมผู้ประสบภัยและนักเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมผู้ประสบภัยและนักเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ระบุมาลงพื้นที่ด้วยใจ เผยการประชุม ครม.พรุ่งนี้จะกําชับการช่วยเหลือให้เป็นไปอย่างเร่งด่วน ย้ํารัฐบาลจะทําอย่างเต็มที่
วันนี้ (7 มกราคม 2562) เวลา 12.00 น. ณ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ตําบลแหลมตะลุมพุก อําเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมผู้ประสบภัย และนักเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ โดยนายกรัฐมนตรีได้เดินทักทายอย่างเป็นกันเอง ทั้งนี้ ผู้ประสบภัยต่างเปล่งเสียงให้กําลังใจ บอกให้นายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไปนาน ๆ และบอกรักนายกฯ ประยุทธ์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณพร้อมสอบถามความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยด้วยความห่วงใย และกล่าวตอนหนึ่งว่า มาลงพื้นที่ด้วยใจ รักทุกคน และรักประเทศไทย อะไรที่เป็นปัญหาของประชาชน รัฐบาลพร้อมรับไปพิจารณา ซึ่งพรุ่งนี้จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยจะกําชับเรื่องการช่วยเหลือให้เป็นไปอย่างเร่งด่วนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลจะทําอย่างเต็มที่
ในส่วนเรื่องของปัญหาสินค้าเกษตร และการประมง ขอให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน อย่านําปัญหาเหล่านั้นมาเป็นปัญหาการเมือง อย่าให้ใครมาสร้างความขัดแย้ง เพราะกําลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้งด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ขอให้เลือกคนดีเข้ามาทําหน้าที่แทนประชาชน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ปรุงอาหารคั่วกลิ้งหมูที่โรงครัวกองบัญชาการกองทัพไทย และชิมไข่เจียวหมูทอดจากโรงครัว ก่อนจะร่วมรับประทานอาหารกับผู้ประสบภัย ณ อาคารโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ และมอบอุปกรณ์กีฬาให้ผู้แทนโรงเรียน
------------------------------
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมผู้ประสบภัยและนักเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช
วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมผู้ประสบภัยและนักเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมผู้ประสบภัยและนักเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ระบุมาลงพื้นที่ด้วยใจ เผยการประชุม ครม.พรุ่งนี้จะกําชับการช่วยเหลือให้เป็นไปอย่างเร่งด่วน ย้ํารัฐบาลจะทําอย่างเต็มที่
วันนี้ (7 มกราคม 2562) เวลา 12.00 น. ณ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ตําบลแหลมตะลุมพุก อําเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมผู้ประสบภัย และนักเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ โดยนายกรัฐมนตรีได้เดินทักทายอย่างเป็นกันเอง ทั้งนี้ ผู้ประสบภัยต่างเปล่งเสียงให้กําลังใจ บอกให้นายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไปนาน ๆ และบอกรักนายกฯ ประยุทธ์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณพร้อมสอบถามความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยด้วยความห่วงใย และกล่าวตอนหนึ่งว่า มาลงพื้นที่ด้วยใจ รักทุกคน และรักประเทศไทย อะไรที่เป็นปัญหาของประชาชน รัฐบาลพร้อมรับไปพิจารณา ซึ่งพรุ่งนี้จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยจะกําชับเรื่องการช่วยเหลือให้เป็นไปอย่างเร่งด่วนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลจะทําอย่างเต็มที่
ในส่วนเรื่องของปัญหาสินค้าเกษตร และการประมง ขอให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน อย่านําปัญหาเหล่านั้นมาเป็นปัญหาการเมือง อย่าให้ใครมาสร้างความขัดแย้ง เพราะกําลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้งด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ขอให้เลือกคนดีเข้ามาทําหน้าที่แทนประชาชน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ปรุงอาหารคั่วกลิ้งหมูที่โรงครัวกองบัญชาการกองทัพไทย และชิมไข่เจียวหมูทอดจากโรงครัว ก่อนจะร่วมรับประทานอาหารกับผู้ประสบภัย ณ อาคารโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ และมอบอุปกรณ์กีฬาให้ผู้แทนโรงเรียน
------------------------------
สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17960
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพาณิชย์ผลักดันตลาดเฉพาะสินค้า (Magnet Market) กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น (Local Economy)
|
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
กระทรวงพาณิชย์ผลักดันตลาดเฉพาะสินค้า (Magnet Market) กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น (Local Economy)
นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ร่วมหารือกับรองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ) รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก (นายจิตวัฒน์ วิกสิต) ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ (นายอิทธิพงศ์ คุณากรบดินทร์) และรองอธิบดีกรมการค้าภายใน
เพื่อให้เกิดการส่งเสริมพัฒนาตลาดเฉพาะสินค้า (Magnet Market) ตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ณ หมู่บ้านไม้ดอกไม้ประดับคลอง 15 อําเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก แหล่งจําหน่ายไม้ดอกไม้ประดับบนถนนรังสิต-นครนายก ระยะทางกว่า 8 กิโลเมตร บนพื้นที่กว่า 900 ไร่ เพื่อให้เกิดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยว สร้างโอกาสและช่องทางการกระจายสินค้า พัฒนาผู้ประกอบการในพื้นที่
โดยเบื้องต้นกระทรวงพาณิชย์จะประสานภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับแต่งภูมิทัศน์ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อบูรณาการในการพัฒนาพื้นที่และผู้ประกอบการในรูปแบบประชารัฐ กับมืออาชีพด้านการตกแต่งบ้านและจัดสวน และจังหวัดนครนายกจะได้หารือในระดับพื้นที่เพื่อเตรียมการพัฒนาโดยมีเป้าหมายให้ตลาดไม้ดอกไม้ประดับคลอง 15 เป็นถนนสีเหลือง ตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทยให้เหลืองทั้งประเทศในช่วงพิธีถวายพระราชทานเพลิงพระบรมศพรัชการที่9 เพื่อให้ประชาชนที่ต้องการสามารถเลือกซื้อดอกไม้สีเหลืองมาประดับบ้านได้ และการจัดกิจกรรมในรูปแบบความร่วมมือประชารัฐ ทั้งการจัดประกวดตกแต่งสวน เพื่อให้ประชาชนและผู้ค้ามีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน
ตลาดเฉพาะสินค้า (magnet Market) เป็นช่องทางในการกระจายสินค้าที่มีลักษณะโดดเด่น มีความต้องการซื้อสูง และเป็นกลไกสําคัญในการเชื่อมโยงภาคการท่องเที่ยว ภายใต้นโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งให้ความสําคัญกับการสร้างความเข้มแข็งจากเศรษฐกิจภายในประเทศ (Local Economy) เป็นแหล่งรองรับและกระจายสินค้าที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน เป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินการในการส่งเสริมและพัฒนาตลาด สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศตามนโยบายรัฐบาล
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพาณิชย์ผลักดันตลาดเฉพาะสินค้า (Magnet Market) กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น (Local Economy)
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
กระทรวงพาณิชย์ผลักดันตลาดเฉพาะสินค้า (Magnet Market) กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น (Local Economy)
นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ร่วมหารือกับรองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ) รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก (นายจิตวัฒน์ วิกสิต) ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ (นายอิทธิพงศ์ คุณากรบดินทร์) และรองอธิบดีกรมการค้าภายใน
เพื่อให้เกิดการส่งเสริมพัฒนาตลาดเฉพาะสินค้า (Magnet Market) ตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ณ หมู่บ้านไม้ดอกไม้ประดับคลอง 15 อําเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก แหล่งจําหน่ายไม้ดอกไม้ประดับบนถนนรังสิต-นครนายก ระยะทางกว่า 8 กิโลเมตร บนพื้นที่กว่า 900 ไร่ เพื่อให้เกิดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยว สร้างโอกาสและช่องทางการกระจายสินค้า พัฒนาผู้ประกอบการในพื้นที่
โดยเบื้องต้นกระทรวงพาณิชย์จะประสานภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับแต่งภูมิทัศน์ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อบูรณาการในการพัฒนาพื้นที่และผู้ประกอบการในรูปแบบประชารัฐ กับมืออาชีพด้านการตกแต่งบ้านและจัดสวน และจังหวัดนครนายกจะได้หารือในระดับพื้นที่เพื่อเตรียมการพัฒนาโดยมีเป้าหมายให้ตลาดไม้ดอกไม้ประดับคลอง 15 เป็นถนนสีเหลือง ตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทยให้เหลืองทั้งประเทศในช่วงพิธีถวายพระราชทานเพลิงพระบรมศพรัชการที่9 เพื่อให้ประชาชนที่ต้องการสามารถเลือกซื้อดอกไม้สีเหลืองมาประดับบ้านได้ และการจัดกิจกรรมในรูปแบบความร่วมมือประชารัฐ ทั้งการจัดประกวดตกแต่งสวน เพื่อให้ประชาชนและผู้ค้ามีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน
ตลาดเฉพาะสินค้า (magnet Market) เป็นช่องทางในการกระจายสินค้าที่มีลักษณะโดดเด่น มีความต้องการซื้อสูง และเป็นกลไกสําคัญในการเชื่อมโยงภาคการท่องเที่ยว ภายใต้นโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งให้ความสําคัญกับการสร้างความเข้มแข็งจากเศรษฐกิจภายในประเทศ (Local Economy) เป็นแหล่งรองรับและกระจายสินค้าที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน เป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินการในการส่งเสริมและพัฒนาตลาด สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศตามนโยบายรัฐบาล
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4326
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุม ก.ค.ศ. 2/2560
|
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560
ผลการประชุม ก.ค.ศ. 2/2560
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 2/2560
ว่าที่ประชุมได้มีมติในเรื่องสําคัญ ดังนี้
เห็นชอบหลักเกณฑ์ฯ คัดเลือก ผอ./รอง ผอ. สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
อายุการขึ้นบัญชีสอบครูผู้ช่วย 1 ปี
อนุมัติให้สํานักงานศึกษาธิการจังหวัด และสํานักงานศึกษาธิการภาค เป็นหน่วยงานการศึกษา
เห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์ฯ คัดเลือกบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2)
อนุมัติย้าย ผอ.สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา 1 ราย
●เห็นชอบ(ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา และรองผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ที่ประชุมเห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้
คุณสมบัติของผู้เข้ารับการคัดเลือกให้เป็นไปตามมาตรฐานตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาโดยไม่มีการแบ่งกลุ่ม
หลักสูตรการคัดเลือกแบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ
ภาค ก ความรู้ความสามารถ ประวัติ ประสบการณ์ทางการบริหาร และผลงาน ประกอบด้วย
1) การสอบข้อเขียนความรู้ความสามารถ เกี่ยวกับการบริหารงานในหน้าที่ การวิเคราะห์กฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานและการนําไปใช้
2) การประเมินประวัติและประสบการณ์ทางการบริหาร
3) การประเมินผลงาน
ภาค ข ความเหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ ประกอบด้วยการประเมินศักยภาพ
ภาค ค ความเหมาะสมกับตําแหน่ง ประกอบด้วยการประเมินวิสัยทัศน์และแนวทางการพัฒนาเขตพื้นที่การศึกษา และการสัมภาษณ์
ให้สพฐ. ดําเนินการกําหนดจํานวนตําแหน่งว่างที่จะใช้บรรจุและแต่งตั้ง องค์ประกอบ ตัวชี้วัด คะแนนการประเมิน และวิธีการประเมินสัมฤทธิผลการปฏิบัติงานในหน้าที่ ผู้ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง และกําหนดข้อตกลงในการปฏิบัติงานในหน้าที่ผู้ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง
ให้คณะกรรมการสรรหาผู้ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาดําเนินการกําหนดวันและเวลาในการดําเนินการคัดเลือก ดําเนินการและบริหารจัดการในการออกข้อสอบ กําหนดตัดชี้วัด องค์ประกอบการประเมิน และคะแนนการประเมิน ตั้งคณะกรรมการประเมิน และดําเนินการคัดเลือก ซึ่งอาจมอบ สพฐ. หรือแต่งตั้งคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการดําเนินการคัดเลือกได้ตามความจําเป็นและเหมาะสม
ผู้สมัครต้องยื่นสมัครตามวัน เวลา สถานที่ ตามรูปแบบและวิธีการที่กําหนดและให้เลือกสมัครเข้ารับการคัดเลือกได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้นหากสมัครเกินกว่า 1 แห่ง จะถูกตัดสิทธิ์การคัดเลือกทั้งหมดและจะต้องรับรองตนเองด้วยว่าไม่ติดเงื่อนไขการปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเงื่อนไขอื่นใดที่ ก.ค.ศ. กําหนด
เกณฑ์การตัดสินแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ
ช่วงที่ 1ผู้ผ่านการคัดเลือกต้องได้คะแนนภาค ก และภาค ข แต่ละภาคไม่ต่ํากว่าร้อยละ 50 และคะแนนรวมทั้งสองภาคไม่ต่ํากว่าร้อยละ 60 โดยให้ประกาศรายชื่อจํานวน 2 เท่าของตําแหน่งว่าง เพื่อเข้ารับประเมินภาค ค กรณีได้คะแนนรวมเท่ากัน ให้ผู้ที่ได้คะแนนภาค ก มากกว่าอยู่ในอันดับที่ดีกว่า หากคะแนนเท่ากันอีก ให้ผู้ที่มีอาวุโสมากกว่าตามแนวปฏิบัติการจัดลําดับอาวุโสในราชการอยู่ในลําดับที่ดีกว่า
ช่วงที่ 2 ผู้ได้รับการคัดเลือกต้องได้คะแนนรวมภาค ก ภาค ข และภาค ค ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 60 และให้ประกาศรายชื่อเท่ากับจํานวนตําแหน่งว่างที่ประกาศรับสมัคร โดยเรียงลําดับจากผู้ที่ได้คะแนนรวมมากไปหาน้อย เพื่อเข้ารับการพัฒนาก่อนการบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งดังกล่าวกรณีได้คะแนนรวมเท่ากัน ให้ผู้ที่ได้คะแนนภาค ก มากกว่าอยู่ในอันดับที่ดีกว่า หากคะแนนภาค ก เท่ากัน ให้ผู้ทีได้คะแนนภาค ข มากกว่าอยู่ในลําดับที่ดีกว่า หากคะแนนภาค ข เท่ากันอีก ให้ผู้ที่มีอาวุโสมากกว่าตามแนวปฏิบัติการจัดลําดับอาวุโสในราชการอยู่ในลําดับที่ดีกว่า
ให้บรรจุและแต่งตั้งตามจํานวนตําแหน่งว่างโดยไม่มีการขึ้นบัญชี
ผู้ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งต้องได้รับการประเมินสัมฤทธิผลการปฏิบัติงานในหน้าที่เพื่อพัฒนาการศึกษาเป็นระยะเวลา 1 ปีโดยให้มีการประเมิน 2 ครั้ง ทุก 6 เดือนหากผลการประเมินรวมทั้ง 2 ครั้งไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน จะดําเนินการตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษารับเงินเดือนในอัตราทดแทน พ.ศ. 2551 (หรือให้กลับไปที่ตําแหน่งเดิม)
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งรองผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาซึ่งมีกรอบของหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเช่นเดียวกับการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
●เห็นชอบให้กําหนดอายุการขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ ในการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ.2560
โดยกําหนดให้บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ให้ใช้ได้ไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันประกาศขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมได้ขอให้ สพฐ. กําหนดปฏิทินปฏิบัติงานการคัดเลือกบุคคลฯ ตําแหน่งครูผู้ช่วย รวมทั้งกรณีที่มีความจําเป็นหรือมีเหตุพิเศษ ปี พ.ศ.2560 ให้รวดเร็วยิ่งขึ้นอย่างน้อย 10 วันจากเดิมที่เคยดําเนินการมาโดยขอให้กระบวนการทุกอย่างดําเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนเมษายนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อโรงเรียนเอกชน เพราะโรงเรียนเอกชนเคยร้องเรียนมาที่รัฐมนตรีและปลัดกระทรวงศึกษาธิการหลายครั้งแล้วว่าได้รับผลกระทบและเดือดร้อนในเรื่องนี้ ดังนั้น จะมีการแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งจะแก้ไขระเบียบคุรุสภา ในการคัดเลือกครูสาขาเฉพาะ เชี่ยวชาญ สาขาที่ขาดแคลน หรือสาขาที่มีความต้องการพิเศษได้มีโอกาสมาสมัครก่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และให้โรงเรียนเอกชนได้มีเวลาเตรียมตัวในการสรรหาครูมาแทนผู้ที่สอบแข่งขันได้ทันก่อนเปิดภาคเรียน
●อนุมัติกําหนดให้สํานักงานศึกษาธิการจังหวัด และสํานักงานศึกษาธิการภาค เป็นหน่วยงานการศึกษา
ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ที่กําหนดว่า"หน่วยงานการศึกษา"หมายความว่า
(1) สถานศึกษา
(2) สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
(3) สํานักงานการศึกษานอกโรงเรียน
(4) แหล่งการเรียนรู้ตามประกาศของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
(5) หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ หรือตามประกาศกระทรวง หรือ หน่วยงานที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากําหนด และมาตรา 41 ที่กําหนดว่า ตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จะมีในหน่วยงานการศึกษาใด จํานวนเท่าใด และต้องใช้คุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งอย่างใด ให้เป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กําหนด
ทั้งนี้ เพื่อการบริหารจัดการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล และที่ส่วนเกี่ยวข้อง เป็นไปตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 11/2559ลงวันที่ 21 มีนาคม 2559เรื่อง การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค
●เห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตําแหน่งประเภททั่วไป เพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ตามหลักเกณฑ์ฯ ว 11/2559 ลงวันที่ 9 กันยายน 2559 ใน 2 ประเด็น คือ
1) ข้อ 5.3 จากเดิมกําหนดคุณสมบัติคุณสมบัติ ต้องเป็นผู้ดํารงตําแหน่งประเภททั่วไป รับเงินเดือนไม่ต่ํากว่าขั้นต่ําของตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ เป็น“เป็นผู้ดํารงตําแหน่งประเภททั่วไป รับเงินเดือนไม่ต่ํากว่า 15,000 บาท”
2) ข้อ 11.3 จากเดิมให้บรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ โดยให้ได้รับเงินเดือนเท่าเดิม แต่ต้องไม่สูงกว่าขั้นสูงของระดับปฏิบัติการ เป็น“ให้บรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ โดยให้ได้รับเงินเดือนเท่าเดิม กรณีที่เงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของระดับปฏิบัติการ ให้ได้รับเงินเดือนตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามหนังสือสํานักงาน ก.พ. ที่ นร. 1012.2/258 ลงวันที่ 27 กันยายน 2559”
●อนุมัติย้ายผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ที่ประชุมอนุมัติย้ายนายธนู นูนน้อยผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15 (นราธิวาส ปัตตานี และยะลา) ไปดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 (สงขลา และสตูล)ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและประโยชน์ของทางราชการในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุม ก.ค.ศ. 2/2560
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560
ผลการประชุม ก.ค.ศ. 2/2560
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 2/2560
ว่าที่ประชุมได้มีมติในเรื่องสําคัญ ดังนี้
เห็นชอบหลักเกณฑ์ฯ คัดเลือก ผอ./รอง ผอ. สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
อายุการขึ้นบัญชีสอบครูผู้ช่วย 1 ปี
อนุมัติให้สํานักงานศึกษาธิการจังหวัด และสํานักงานศึกษาธิการภาค เป็นหน่วยงานการศึกษา
เห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์ฯ คัดเลือกบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2)
อนุมัติย้าย ผอ.สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา 1 ราย
●เห็นชอบ(ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา และรองผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ที่ประชุมเห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้
คุณสมบัติของผู้เข้ารับการคัดเลือกให้เป็นไปตามมาตรฐานตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาโดยไม่มีการแบ่งกลุ่ม
หลักสูตรการคัดเลือกแบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ
ภาค ก ความรู้ความสามารถ ประวัติ ประสบการณ์ทางการบริหาร และผลงาน ประกอบด้วย
1) การสอบข้อเขียนความรู้ความสามารถ เกี่ยวกับการบริหารงานในหน้าที่ การวิเคราะห์กฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานและการนําไปใช้
2) การประเมินประวัติและประสบการณ์ทางการบริหาร
3) การประเมินผลงาน
ภาค ข ความเหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ ประกอบด้วยการประเมินศักยภาพ
ภาค ค ความเหมาะสมกับตําแหน่ง ประกอบด้วยการประเมินวิสัยทัศน์และแนวทางการพัฒนาเขตพื้นที่การศึกษา และการสัมภาษณ์
ให้สพฐ. ดําเนินการกําหนดจํานวนตําแหน่งว่างที่จะใช้บรรจุและแต่งตั้ง องค์ประกอบ ตัวชี้วัด คะแนนการประเมิน และวิธีการประเมินสัมฤทธิผลการปฏิบัติงานในหน้าที่ ผู้ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง และกําหนดข้อตกลงในการปฏิบัติงานในหน้าที่ผู้ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง
ให้คณะกรรมการสรรหาผู้ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาดําเนินการกําหนดวันและเวลาในการดําเนินการคัดเลือก ดําเนินการและบริหารจัดการในการออกข้อสอบ กําหนดตัดชี้วัด องค์ประกอบการประเมิน และคะแนนการประเมิน ตั้งคณะกรรมการประเมิน และดําเนินการคัดเลือก ซึ่งอาจมอบ สพฐ. หรือแต่งตั้งคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการดําเนินการคัดเลือกได้ตามความจําเป็นและเหมาะสม
ผู้สมัครต้องยื่นสมัครตามวัน เวลา สถานที่ ตามรูปแบบและวิธีการที่กําหนดและให้เลือกสมัครเข้ารับการคัดเลือกได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้นหากสมัครเกินกว่า 1 แห่ง จะถูกตัดสิทธิ์การคัดเลือกทั้งหมดและจะต้องรับรองตนเองด้วยว่าไม่ติดเงื่อนไขการปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเงื่อนไขอื่นใดที่ ก.ค.ศ. กําหนด
เกณฑ์การตัดสินแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ
ช่วงที่ 1ผู้ผ่านการคัดเลือกต้องได้คะแนนภาค ก และภาค ข แต่ละภาคไม่ต่ํากว่าร้อยละ 50 และคะแนนรวมทั้งสองภาคไม่ต่ํากว่าร้อยละ 60 โดยให้ประกาศรายชื่อจํานวน 2 เท่าของตําแหน่งว่าง เพื่อเข้ารับประเมินภาค ค กรณีได้คะแนนรวมเท่ากัน ให้ผู้ที่ได้คะแนนภาค ก มากกว่าอยู่ในอันดับที่ดีกว่า หากคะแนนเท่ากันอีก ให้ผู้ที่มีอาวุโสมากกว่าตามแนวปฏิบัติการจัดลําดับอาวุโสในราชการอยู่ในลําดับที่ดีกว่า
ช่วงที่ 2 ผู้ได้รับการคัดเลือกต้องได้คะแนนรวมภาค ก ภาค ข และภาค ค ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 60 และให้ประกาศรายชื่อเท่ากับจํานวนตําแหน่งว่างที่ประกาศรับสมัคร โดยเรียงลําดับจากผู้ที่ได้คะแนนรวมมากไปหาน้อย เพื่อเข้ารับการพัฒนาก่อนการบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งดังกล่าวกรณีได้คะแนนรวมเท่ากัน ให้ผู้ที่ได้คะแนนภาค ก มากกว่าอยู่ในอันดับที่ดีกว่า หากคะแนนภาค ก เท่ากัน ให้ผู้ทีได้คะแนนภาค ข มากกว่าอยู่ในลําดับที่ดีกว่า หากคะแนนภาค ข เท่ากันอีก ให้ผู้ที่มีอาวุโสมากกว่าตามแนวปฏิบัติการจัดลําดับอาวุโสในราชการอยู่ในลําดับที่ดีกว่า
ให้บรรจุและแต่งตั้งตามจํานวนตําแหน่งว่างโดยไม่มีการขึ้นบัญชี
ผู้ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งต้องได้รับการประเมินสัมฤทธิผลการปฏิบัติงานในหน้าที่เพื่อพัฒนาการศึกษาเป็นระยะเวลา 1 ปีโดยให้มีการประเมิน 2 ครั้ง ทุก 6 เดือนหากผลการประเมินรวมทั้ง 2 ครั้งไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน จะดําเนินการตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษารับเงินเดือนในอัตราทดแทน พ.ศ. 2551 (หรือให้กลับไปที่ตําแหน่งเดิม)
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งรองผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาซึ่งมีกรอบของหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเช่นเดียวกับการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
●เห็นชอบให้กําหนดอายุการขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ ในการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ.2560
โดยกําหนดให้บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ให้ใช้ได้ไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันประกาศขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมได้ขอให้ สพฐ. กําหนดปฏิทินปฏิบัติงานการคัดเลือกบุคคลฯ ตําแหน่งครูผู้ช่วย รวมทั้งกรณีที่มีความจําเป็นหรือมีเหตุพิเศษ ปี พ.ศ.2560 ให้รวดเร็วยิ่งขึ้นอย่างน้อย 10 วันจากเดิมที่เคยดําเนินการมาโดยขอให้กระบวนการทุกอย่างดําเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนเมษายนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อโรงเรียนเอกชน เพราะโรงเรียนเอกชนเคยร้องเรียนมาที่รัฐมนตรีและปลัดกระทรวงศึกษาธิการหลายครั้งแล้วว่าได้รับผลกระทบและเดือดร้อนในเรื่องนี้ ดังนั้น จะมีการแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งจะแก้ไขระเบียบคุรุสภา ในการคัดเลือกครูสาขาเฉพาะ เชี่ยวชาญ สาขาที่ขาดแคลน หรือสาขาที่มีความต้องการพิเศษได้มีโอกาสมาสมัครก่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และให้โรงเรียนเอกชนได้มีเวลาเตรียมตัวในการสรรหาครูมาแทนผู้ที่สอบแข่งขันได้ทันก่อนเปิดภาคเรียน
●อนุมัติกําหนดให้สํานักงานศึกษาธิการจังหวัด และสํานักงานศึกษาธิการภาค เป็นหน่วยงานการศึกษา
ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ที่กําหนดว่า"หน่วยงานการศึกษา"หมายความว่า
(1) สถานศึกษา
(2) สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
(3) สํานักงานการศึกษานอกโรงเรียน
(4) แหล่งการเรียนรู้ตามประกาศของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
(5) หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ หรือตามประกาศกระทรวง หรือ หน่วยงานที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากําหนด และมาตรา 41 ที่กําหนดว่า ตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จะมีในหน่วยงานการศึกษาใด จํานวนเท่าใด และต้องใช้คุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งอย่างใด ให้เป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กําหนด
ทั้งนี้ เพื่อการบริหารจัดการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล และที่ส่วนเกี่ยวข้อง เป็นไปตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 11/2559ลงวันที่ 21 มีนาคม 2559เรื่อง การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค
●เห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตําแหน่งประเภททั่วไป เพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ตามหลักเกณฑ์ฯ ว 11/2559 ลงวันที่ 9 กันยายน 2559 ใน 2 ประเด็น คือ
1) ข้อ 5.3 จากเดิมกําหนดคุณสมบัติคุณสมบัติ ต้องเป็นผู้ดํารงตําแหน่งประเภททั่วไป รับเงินเดือนไม่ต่ํากว่าขั้นต่ําของตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ เป็น“เป็นผู้ดํารงตําแหน่งประเภททั่วไป รับเงินเดือนไม่ต่ํากว่า 15,000 บาท”
2) ข้อ 11.3 จากเดิมให้บรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ โดยให้ได้รับเงินเดือนเท่าเดิม แต่ต้องไม่สูงกว่าขั้นสูงของระดับปฏิบัติการ เป็น“ให้บรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ โดยให้ได้รับเงินเดือนเท่าเดิม กรณีที่เงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของระดับปฏิบัติการ ให้ได้รับเงินเดือนตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามหนังสือสํานักงาน ก.พ. ที่ นร. 1012.2/258 ลงวันที่ 27 กันยายน 2559”
●อนุมัติย้ายผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ที่ประชุมอนุมัติย้ายนายธนู นูนน้อยผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15 (นราธิวาส ปัตตานี และยะลา) ไปดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 (สงขลา และสตูล)ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและประโยชน์ของทางราชการในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1937
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบนโยบายมุ่งเน้นลดความเหลื่อมล้ำผ่านกองทุนยุติธรรม
|
วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบนโยบายมุ่งเน้นลดความเหลื่อมล้ําผ่านกองทุนยุติธรรม
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรมประจําจังหวัด
ในวันพุธที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๔๕ น.
ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้น กรุงเทพมหานคร
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ
คณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรมประจําจังหวัด
โดยมีผู้แทนจากสํานักงานยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ
ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรม
ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานกองทุนยุติธรรม รวม ๒๘๐ คน
ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบนโยบาย
ให้แก่เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรมประจําจังหวัด
โดยมีใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า
"สํานักงานยุติธรรมจังหวัดในฐานะหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชน
โดยมียุติธรรมจังหวัดเป็นเลขานุการตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ.๒๕๕๘
ถือเป็นกลไกสําคัญในการอํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ําแก่ประชาชนในภูมิภาค
ซึ่งการปฏิบัติงานในส่วนภูมิภาคนั้น ผู้ปฏิบัติงานจะต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
เกี่ยวกับระเบียบ ภารกิจ และอํานาจหน้าที่ของกองทุนยุติธรรม
รวมทั้ง แนวทางการช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้ที่ได้รับความเดือดร้อนแบบบูรณาการ
จําเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวงยุติธรรมจะต้องพัฒนา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ประชาชน
อาทิ การปรับลดระยะเวลาในการดําเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชน
จากเดิม ๔๕ วัน ให้ลดระยะเวลาดําเนินการเหลือ ๒๑ วัน ๑๔ วัน ๗ วัน และเหลือ ๔๘ ชั่วโมงในระยะต่อไป
รวมถึงการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้เพื่อลดขั้นตอนการทํางาน เป็นต้น
นอกจากนี้ ในการดําเนินงานในระดับพื้นที่จะต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ฯลฯ
เพื่อบูรณาการการทํางานร่วมมือกันและลงพื้นที่สํารวจปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
เพื่อดําเนินการให้การช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกอย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับ
ก่อให้เกิดความพึงพอใจของประชาชนผู้มาขอรับความช่วยเหลือต่อไป"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบนโยบายมุ่งเน้นลดความเหลื่อมล้ำผ่านกองทุนยุติธรรม
วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบนโยบายมุ่งเน้นลดความเหลื่อมล้ําผ่านกองทุนยุติธรรม
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรมประจําจังหวัด
ในวันพุธที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๔๕ น.
ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้น กรุงเทพมหานคร
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ
คณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรมประจําจังหวัด
โดยมีผู้แทนจากสํานักงานยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ
ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรม
ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานกองทุนยุติธรรม รวม ๒๘๐ คน
ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบนโยบาย
ให้แก่เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรมประจําจังหวัด
โดยมีใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า
"สํานักงานยุติธรรมจังหวัดในฐานะหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชน
โดยมียุติธรรมจังหวัดเป็นเลขานุการตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ.๒๕๕๘
ถือเป็นกลไกสําคัญในการอํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ําแก่ประชาชนในภูมิภาค
ซึ่งการปฏิบัติงานในส่วนภูมิภาคนั้น ผู้ปฏิบัติงานจะต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
เกี่ยวกับระเบียบ ภารกิจ และอํานาจหน้าที่ของกองทุนยุติธรรม
รวมทั้ง แนวทางการช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้ที่ได้รับความเดือดร้อนแบบบูรณาการ
จําเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวงยุติธรรมจะต้องพัฒนา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่ประชาชน
อาทิ การปรับลดระยะเวลาในการดําเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชน
จากเดิม ๔๕ วัน ให้ลดระยะเวลาดําเนินการเหลือ ๒๑ วัน ๑๔ วัน ๗ วัน และเหลือ ๔๘ ชั่วโมงในระยะต่อไป
รวมถึงการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้เพื่อลดขั้นตอนการทํางาน เป็นต้น
นอกจากนี้ ในการดําเนินงานในระดับพื้นที่จะต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ฯลฯ
เพื่อบูรณาการการทํางานร่วมมือกันและลงพื้นที่สํารวจปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
เพื่อดําเนินการให้การช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกอย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับ
ก่อให้เกิดความพึงพอใจของประชาชนผู้มาขอรับความช่วยเหลือต่อไป"
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17164
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๓
|
วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2560
การประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๓
การประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๓
การประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๓ (The Third Session of the United Nations Environment Assembly: UNEA3) กําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔-๖ ธันวาคม ๒๕๖๐
ณ สํานักงานใหญ่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา โดยมีหัวข้อหลัก “การก้าวสู่โลกที่ปราศจากมลพิษ” (Pollution Free Planet) โดยเอกอัครราชทูตไทยประจํากรุงไนไรบีและผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจําโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (นายเชิดเกียรติ อัตถากร) ทําหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วยรองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (นายโสภณ ทองดี) ผู้แทนกรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ และสํานักความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นพิธีเปิดการประชุม UNEA 3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมและพลังงาน คอสตาริกา ในฐานะ President UNEA3 กล่าวถึงความท้าทายที่ทั่วโลกกําลังเผชิญเกี่ยวกับปัญหามลพิษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ และเน้นย้ําให้รัฐบาลกําหนดนโยบาย รวมถึงภาคส่วนทุกส่วนในการร่วมกันแก้ไขปัญหา เพื่อก้าวไปสู่วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง นอกจากนั้นแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม สาธารณรัฐเคนยา กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุม และกล่าวถึงความสําเร็จในการห้ามการใช้ พลาสติก ซึ่งต้องการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และย้ําถึงความสําคัญของ UNEA ในการเป็นหน่วยงานผู้กําหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก ตามผลลัพธ์การประชุมrio+20 "future we want"
ในการนี้ เอกอัครราชทูตไทยประจํากรุงไนโรบีได้กล่าวถ้อยแถลง ถึงความสําคัญของการแก้ไขปัญหามลพิษซึ่งเชื่อมโยงไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยประเทศไทยน้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (SEP for SDGs) ใช้เป็นแนวทางในการดําเนินงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและให้ความร่วมมือกับประเทศกําลังพัฒนาต่างๆเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรุ้ร่วมกัน นอกจากนั้นแล้ว รัฐบาลไทยให้ความสําคัญกับทุกภาคส่วนในการร่วมดําเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหา สําหรับการดําเนินงานด้านการจัดการมลพิษมียุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ 20 ปี ยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อม สําหรับประเด็นด้านมลพิษทางทะเล รัฐบาลไทยให้ความสําคัญอย่างมาก และมีผลการดําเนินงานทั้งในเรื่องโครงการนําร่องการเลิกใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ําดื่ม (Plastic Bottle Cap Seal) การประกาศจัดระเบียบการงดสูบและทิ้งก้นบุหรี่ รวมทั้งขยะบนชายหาดโดยในการประชุมUN Oceans Conference ประเทศไทยได้ร่วมประกาศคํามั่นในการต่อสู้กับปัญหาขยะในทะเล และความร่วมมือระดับภูมิภาคในการแก้ไขปัญหาขยะในทะเล โดยมีบทบาทสําคัญให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการจัดการขยะทะเลของกลุ่มภูมิภาคอาเซียนในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASEAN Conference on Reducing Marine Debris in ASEAN Region เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ นอกจากนั้น ประเทศไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาร่างพระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ รัฐบาลส่งเสริมให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการดําเนินงานการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้กับมลพิษ อาทิ zero waste Thailand, Zero Waste Community และ Zero Waste School และกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาไปสู่โลกที่ปราศจากมลพิษ เพื่อเราและคนรุ่นต่อๆไปให้สามารถดํารงชีวิตได้อย่างมีความสุข
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๓
วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2560
การประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๓
การประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๓
การประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๓ (The Third Session of the United Nations Environment Assembly: UNEA3) กําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔-๖ ธันวาคม ๒๕๖๐
ณ สํานักงานใหญ่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา โดยมีหัวข้อหลัก “การก้าวสู่โลกที่ปราศจากมลพิษ” (Pollution Free Planet) โดยเอกอัครราชทูตไทยประจํากรุงไนไรบีและผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจําโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (นายเชิดเกียรติ อัตถากร) ทําหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วยรองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (นายโสภณ ทองดี) ผู้แทนกรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ และสํานักความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นพิธีเปิดการประชุม UNEA 3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมและพลังงาน คอสตาริกา ในฐานะ President UNEA3 กล่าวถึงความท้าทายที่ทั่วโลกกําลังเผชิญเกี่ยวกับปัญหามลพิษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ และเน้นย้ําให้รัฐบาลกําหนดนโยบาย รวมถึงภาคส่วนทุกส่วนในการร่วมกันแก้ไขปัญหา เพื่อก้าวไปสู่วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง นอกจากนั้นแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม สาธารณรัฐเคนยา กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุม และกล่าวถึงความสําเร็จในการห้ามการใช้ พลาสติก ซึ่งต้องการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และย้ําถึงความสําคัญของ UNEA ในการเป็นหน่วยงานผู้กําหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก ตามผลลัพธ์การประชุมrio+20 "future we want"
ในการนี้ เอกอัครราชทูตไทยประจํากรุงไนโรบีได้กล่าวถ้อยแถลง ถึงความสําคัญของการแก้ไขปัญหามลพิษซึ่งเชื่อมโยงไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยประเทศไทยน้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (SEP for SDGs) ใช้เป็นแนวทางในการดําเนินงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและให้ความร่วมมือกับประเทศกําลังพัฒนาต่างๆเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรุ้ร่วมกัน นอกจากนั้นแล้ว รัฐบาลไทยให้ความสําคัญกับทุกภาคส่วนในการร่วมดําเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหา สําหรับการดําเนินงานด้านการจัดการมลพิษมียุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ 20 ปี ยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อม สําหรับประเด็นด้านมลพิษทางทะเล รัฐบาลไทยให้ความสําคัญอย่างมาก และมีผลการดําเนินงานทั้งในเรื่องโครงการนําร่องการเลิกใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ําดื่ม (Plastic Bottle Cap Seal) การประกาศจัดระเบียบการงดสูบและทิ้งก้นบุหรี่ รวมทั้งขยะบนชายหาดโดยในการประชุมUN Oceans Conference ประเทศไทยได้ร่วมประกาศคํามั่นในการต่อสู้กับปัญหาขยะในทะเล และความร่วมมือระดับภูมิภาคในการแก้ไขปัญหาขยะในทะเล โดยมีบทบาทสําคัญให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการจัดการขยะทะเลของกลุ่มภูมิภาคอาเซียนในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASEAN Conference on Reducing Marine Debris in ASEAN Region เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ นอกจากนั้น ประเทศไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาร่างพระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ รัฐบาลส่งเสริมให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการดําเนินงานการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้กับมลพิษ อาทิ zero waste Thailand, Zero Waste Community และ Zero Waste School และกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาไปสู่โลกที่ปราศจากมลพิษ เพื่อเราและคนรุ่นต่อๆไปให้สามารถดํารงชีวิตได้อย่างมีความสุข
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8565
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เห็นชอบแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2561 มุ่งบูรณาการความร่วมมืออย่างเป็นระบบ
|
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560
พม. เห็นชอบแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2561 มุ่งบูรณาการความร่วมมืออย่างเป็นระบบ
พม. เห็นชอบแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2561 มุ่งบูรณาการความร่วมมืออย่างเป็นระบบ
วันนี้ (16 ต.ค. 60) เวลา 13.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ครั้งที่ 2/2560 เพื่อพิจารณาแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2561 ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่ง โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนดําเนินการ ในรูปแบบคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2560 - 2564การประชุมในวันนี้ที่ประชุมรับทราบรายงานผลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการ 4 คณะ ดังนี้ 1) คณะอนุกรรมการพัฒนามาตรการภายใต้คณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 2) คณะอนุกรรมการประเมินและติดตามผลการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 3) คณะอนุกรรมการสหวิชาชีพเพื่อการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 4) คณะอนุกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัด
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า การประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบตามที่คณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งได้จัดทําแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2561 ซึ่งมีสาระสําคัญดังนี้ 1) การพัฒนากลไกการดําเนินงานของคณะทํางานสหวิชาชีพระดับจังหวัดและติดตามผลการดําเนินงาน 2) จัดทํามาตรฐานและคู่มือสําหรับการดําเนินงานของสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 3 ) พัฒนาสถานะบุคคลของคนไร้ที่พึ่งในสถานคุ้มครองฯ 4) ขยายผลตําบลต้นแบบสู่ "ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชุมชน” 5) ทบทวน จัดทําบันทึกความร่วมมือร่วมกับกรมสุขภาพจิต 6) พัฒนาหลักสูตรสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากร และ 7) ทบทวนบันทึกความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า กองอํานวยการร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ได้ขอความร่วมมือ ให้กระทรวง พม. ดําเนินการจัดระเบียบคนไร้ที่พึ่ง คนขอทานบริเวณรอบท้องสนามหลวง และพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 1 -31 ตุลาคม 2560 ซึ่งตนได้มอบนโยบายให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ดําเนินการในการบูรณาการการทํางานร่วมกับกองบัญชาการตํารวจนครบาล (บช.น.) ในการจัดระเบียบคนไร้ที่พึ่ง คนขอทานบริเวณโดยรอบท้องสนามหลวง ในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทั้งนี้ ได้จัดชุดปฏิบัติการจัดระเบียบ วันละ 6 ชุด ซึ่งประกอบด้วย ชุดปฏิบัติการบ้านมิตรไมตรี นักพัฒนาสังคม นักสังคมสงเคราะห์ เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคม และเจ้าหน้าที่ตํารวจ บช.น. โดยจากการลงพื้นที่ของชุดปฏิบัติการดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1-15 ตุลาคม 2560 พบว่า มีจํานวนทั้งสิ้น 77 ราย แบ่งเป็นคนไร้ที่พึ่ง 72 ราย และคนขอทาน 5 ราย โดยได้ทําการคัดกรองและให้การช่วยเหลือคุ้มครอง ตามกระบวนการพระราชบัญญัติคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2557 และพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559
"กระทรวง พม. โดย พส. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไร้ที่พึ่ง เพื่อให้คนไร้ที่พึ่ง รวมทั้ง คนขอทาน ได้รับการคุ้มครองและช่วยเหลือด้วยแนวทางที่ถูกต้อง สามารถประกอบอาชีพสร้างรายได้ และพึ่งพาตนเองได้ อีกทั้งสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุข ทั้งนี้ หากพบเห็นคนไร้ที่พึ่งและคนขอทาน หรือผู้ประสบปัญหาทางสังคม สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 บริการ 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เห็นชอบแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2561 มุ่งบูรณาการความร่วมมืออย่างเป็นระบบ
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560
พม. เห็นชอบแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2561 มุ่งบูรณาการความร่วมมืออย่างเป็นระบบ
พม. เห็นชอบแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2561 มุ่งบูรณาการความร่วมมืออย่างเป็นระบบ
วันนี้ (16 ต.ค. 60) เวลา 13.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ครั้งที่ 2/2560 เพื่อพิจารณาแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2561 ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่ง โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนดําเนินการ ในรูปแบบคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2560 - 2564การประชุมในวันนี้ที่ประชุมรับทราบรายงานผลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการ 4 คณะ ดังนี้ 1) คณะอนุกรรมการพัฒนามาตรการภายใต้คณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 2) คณะอนุกรรมการประเมินและติดตามผลการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 3) คณะอนุกรรมการสหวิชาชีพเพื่อการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 4) คณะอนุกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัด
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า การประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบตามที่คณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งได้จัดทําแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2561 ซึ่งมีสาระสําคัญดังนี้ 1) การพัฒนากลไกการดําเนินงานของคณะทํางานสหวิชาชีพระดับจังหวัดและติดตามผลการดําเนินงาน 2) จัดทํามาตรฐานและคู่มือสําหรับการดําเนินงานของสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 3 ) พัฒนาสถานะบุคคลของคนไร้ที่พึ่งในสถานคุ้มครองฯ 4) ขยายผลตําบลต้นแบบสู่ "ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชุมชน” 5) ทบทวน จัดทําบันทึกความร่วมมือร่วมกับกรมสุขภาพจิต 6) พัฒนาหลักสูตรสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากร และ 7) ทบทวนบันทึกความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า กองอํานวยการร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ได้ขอความร่วมมือ ให้กระทรวง พม. ดําเนินการจัดระเบียบคนไร้ที่พึ่ง คนขอทานบริเวณรอบท้องสนามหลวง และพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 1 -31 ตุลาคม 2560 ซึ่งตนได้มอบนโยบายให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ดําเนินการในการบูรณาการการทํางานร่วมกับกองบัญชาการตํารวจนครบาล (บช.น.) ในการจัดระเบียบคนไร้ที่พึ่ง คนขอทานบริเวณโดยรอบท้องสนามหลวง ในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทั้งนี้ ได้จัดชุดปฏิบัติการจัดระเบียบ วันละ 6 ชุด ซึ่งประกอบด้วย ชุดปฏิบัติการบ้านมิตรไมตรี นักพัฒนาสังคม นักสังคมสงเคราะห์ เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคม และเจ้าหน้าที่ตํารวจ บช.น. โดยจากการลงพื้นที่ของชุดปฏิบัติการดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1-15 ตุลาคม 2560 พบว่า มีจํานวนทั้งสิ้น 77 ราย แบ่งเป็นคนไร้ที่พึ่ง 72 ราย และคนขอทาน 5 ราย โดยได้ทําการคัดกรองและให้การช่วยเหลือคุ้มครอง ตามกระบวนการพระราชบัญญัติคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2557 และพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559
"กระทรวง พม. โดย พส. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไร้ที่พึ่ง เพื่อให้คนไร้ที่พึ่ง รวมทั้ง คนขอทาน ได้รับการคุ้มครองและช่วยเหลือด้วยแนวทางที่ถูกต้อง สามารถประกอบอาชีพสร้างรายได้ และพึ่งพาตนเองได้ อีกทั้งสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุข ทั้งนี้ หากพบเห็นคนไร้ที่พึ่งและคนขอทาน หรือผู้ประสบปัญหาทางสังคม สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 บริการ 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7442
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ.ชื่นชมรพ.พัทลุง เร่งพัฒนาคุณภาพบริการสู่ สมาร์ท ฮอสปิตอล
|
วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม 2561
ปลัดสธ.ชื่นชมรพ.พัทลุง เร่งพัฒนาคุณภาพบริการสู่ สมาร์ท ฮอสปิตอล
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการพัฒนาคุณภาพบริการรพ.พัทลุง มีความพร้อมเป็น Smart hospital ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เตรียมเปิดศูนย์โรคหัวใจ ระยะแรกให้บริการสวนหัวใจได้เมษายนนี
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการพัฒนาคุณภาพบริการรพ.พัทลุง มีความพร้อมเป็น Smart hospital ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เตรียมเปิดศูนย์โรคหัวใจ ระยะแรกให้บริการสวนหัวใจได้เมษายนนี
วันนี้ (3 มีนาคม 2561) นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าจากการตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพัทลุง พบว่า มีความก้าวหน้าในการพัฒนาระบบบริการ เพื่อให้เป็นสมาร์ท ฮอสปิตอล (Smart hospital) ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทําโครงการโรงพยาบาลไร้กระดาษ เปลี่ยนระบบข้อมูลของโรงพยาบาลให้เป็นระบบดิจิตัล โดยยกเลิกการบันทึกเวชระเบียนผู้ป่วยนอกด้วยกระดาษตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 นําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบันทึกข้อมูลการรักษาพยาบาลผู้ป่วยแทน และนําเครื่องช่วยบริการอัตโนมัติมาให้ประชาชนลงทะเบียนรักษา เลือกคลินิกบริการด้วยตนเอง เตรียมขยายระบบให้มีการบันทึกการรักษาทางการพยาบาล (nurse note) ด้วยคอมพิวเตอร์ภายในเดือนเมษายน 2561 พัฒนาการแจ้งเตือนความเสี่ยงทางการแพทย์ต่างๆ (Early warning sign) แก่ผู้ให้บริการและผู้ป่วย เช่น การแพ้ยา การให้ยาซ้ําซ้อน การให้ยาที่มีปฏิกิริยาระหว่างกัน การรักษาที่ปลอดภัย และอื่นๆ ตลอดจนการนําข้อมูลไปบริการประชาชนด้านการนัดหมายแพทย์ และบริการข้อมูลทางสุขภาพบนมือถือต่อไป เปลี่ยนระบบข้อมูลของโรงพยาบาลให้เป็นระบบดิจิตัล 100 เปอร์เซ็นต์ในเดือนกันยายน 2561
นอกจากนี้ ได้พัฒนาระบบบริการสาขาโรคหัวใจ โดยร่วมมือกับภาคเอกชนเปิดศูนย์หัวใจโรงพยาบาลพัทลุง เริ่มให้บริการในวันที่ 17 เมษายน 2561 ให้บริการตลอด 24 ชม. ช่วยให้ประชาชนในเขตจังหวัดตรัง พัทลุง และนครศรีธรรมราชตอนล่างสามารถเข้าถึงบริการโรคหัวใจ ระยะแรกให้บริการสวนหัวใจ และสามารถให้บริการผ่าตัดหัวใจได้ในระยะต่อไป
นายแพทย์เจษฎากล่าวต่อว่า สําหรับการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใน 298 เตียงที่จะทําให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้มากขึ้นนั้น ทราบจากนายแพทย์นิรันดร์ จันทร์ตระกูล ผู้อํานวยการโรงพยาบาลพัทลุงว่า ประชาชนพัทลุง มีจิตศรัทธาร่วมกันบริจาคเงินกว่า 25 ล้านบาท เพื่อให้โรงพยาบาลนําไปดําเนินการเรื่องสถานที่ก่อสร้าง เริ่มก่อสร้างแล้วเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2561 ด้วยงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข จํานวน 299.4 ล้านบาท ตามสัญญาจะแล้วเสร็จในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ.ชื่นชมรพ.พัทลุง เร่งพัฒนาคุณภาพบริการสู่ สมาร์ท ฮอสปิตอล
วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม 2561
ปลัดสธ.ชื่นชมรพ.พัทลุง เร่งพัฒนาคุณภาพบริการสู่ สมาร์ท ฮอสปิตอล
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการพัฒนาคุณภาพบริการรพ.พัทลุง มีความพร้อมเป็น Smart hospital ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เตรียมเปิดศูนย์โรคหัวใจ ระยะแรกให้บริการสวนหัวใจได้เมษายนนี
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมการพัฒนาคุณภาพบริการรพ.พัทลุง มีความพร้อมเป็น Smart hospital ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เตรียมเปิดศูนย์โรคหัวใจ ระยะแรกให้บริการสวนหัวใจได้เมษายนนี
วันนี้ (3 มีนาคม 2561) นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าจากการตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพัทลุง พบว่า มีความก้าวหน้าในการพัฒนาระบบบริการ เพื่อให้เป็นสมาร์ท ฮอสปิตอล (Smart hospital) ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทําโครงการโรงพยาบาลไร้กระดาษ เปลี่ยนระบบข้อมูลของโรงพยาบาลให้เป็นระบบดิจิตัล โดยยกเลิกการบันทึกเวชระเบียนผู้ป่วยนอกด้วยกระดาษตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 นําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบันทึกข้อมูลการรักษาพยาบาลผู้ป่วยแทน และนําเครื่องช่วยบริการอัตโนมัติมาให้ประชาชนลงทะเบียนรักษา เลือกคลินิกบริการด้วยตนเอง เตรียมขยายระบบให้มีการบันทึกการรักษาทางการพยาบาล (nurse note) ด้วยคอมพิวเตอร์ภายในเดือนเมษายน 2561 พัฒนาการแจ้งเตือนความเสี่ยงทางการแพทย์ต่างๆ (Early warning sign) แก่ผู้ให้บริการและผู้ป่วย เช่น การแพ้ยา การให้ยาซ้ําซ้อน การให้ยาที่มีปฏิกิริยาระหว่างกัน การรักษาที่ปลอดภัย และอื่นๆ ตลอดจนการนําข้อมูลไปบริการประชาชนด้านการนัดหมายแพทย์ และบริการข้อมูลทางสุขภาพบนมือถือต่อไป เปลี่ยนระบบข้อมูลของโรงพยาบาลให้เป็นระบบดิจิตัล 100 เปอร์เซ็นต์ในเดือนกันยายน 2561
นอกจากนี้ ได้พัฒนาระบบบริการสาขาโรคหัวใจ โดยร่วมมือกับภาคเอกชนเปิดศูนย์หัวใจโรงพยาบาลพัทลุง เริ่มให้บริการในวันที่ 17 เมษายน 2561 ให้บริการตลอด 24 ชม. ช่วยให้ประชาชนในเขตจังหวัดตรัง พัทลุง และนครศรีธรรมราชตอนล่างสามารถเข้าถึงบริการโรคหัวใจ ระยะแรกให้บริการสวนหัวใจ และสามารถให้บริการผ่าตัดหัวใจได้ในระยะต่อไป
นายแพทย์เจษฎากล่าวต่อว่า สําหรับการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใน 298 เตียงที่จะทําให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้มากขึ้นนั้น ทราบจากนายแพทย์นิรันดร์ จันทร์ตระกูล ผู้อํานวยการโรงพยาบาลพัทลุงว่า ประชาชนพัทลุง มีจิตศรัทธาร่วมกันบริจาคเงินกว่า 25 ล้านบาท เพื่อให้โรงพยาบาลนําไปดําเนินการเรื่องสถานที่ก่อสร้าง เริ่มก่อสร้างแล้วเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2561 ด้วยงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข จํานวน 299.4 ล้านบาท ตามสัญญาจะแล้วเสร็จในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2563
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10482
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมเกษตรกรเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ ปี2560/61 จัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day) และบริการการเกษตร
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมเกษตรกรเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ ปี2560/61 จัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day) และบริการการเกษตร
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมเกษตรกรเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ ปี2560/61 จัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day) และบริการการเกษตร หวังกระตุ้นเกษตรกรเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาผ่าน ศพก. 882 ศูนย์ทั่วประเทศ
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายในการเตรียมความพร้อมเกษตรกรเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ ปี 2560/61 โดยมอบหมายให้ กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นแกนหลักในการดําเนินการจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day)และบริการการเกษตร เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ปี2560/61โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่และใช้ประโยชน์จากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรและศูนย์เครือข่ายที่มีอยู่ในพื้นที่ จํานวน 882 ศูนย์ทั่วประเทศ โดยให้หน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ ให้บริการด้านการเกษตรเพื่อสนับสนุนเกษตรกรเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ โดยจะเริ่มการเตรียมความพร้อมเกษตรกรเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ ปี 2560/61 ในเดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป
นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า สําหรับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ ปี 2560/61 ประกอบด้วย 4 กิจกรรมหลัก คือ1. การเตรียมความพร้อมองค์ความรู้เพื่อวางแผนการผลิตได้แก่ การจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day)การให้ความรู้และบริการทางการผลิต การบริหารการตลาด ความรู้เรื่องแหล่งเงินทุนและการทําบัญชี และการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่2. การเข้าถึงปัจจัยการผลิตโดยขณะนี้กรมการข้าวได้เตรียมข้าวเมล็ดพันธุ์ดีไว้แล้ว จํานวน420,200ตัน ในทุกศูนย์ขยายพันธุ์ข้าว รวมทั้งศูนย์ข้าวชุมชน โดยมีสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม สปก. เป็นผู้ประสานงาน และมีพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พืชตระกูลถั่ว ต้นพันธุ์อ้อยสะอาด 736,000ต้น และถั่วเหลือง/ถั่วเขียว/ถั่วลิสง ตามศูนย์ขยายพันธุ์พืช โดยกรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ดูแล อีกทั้งมีเมล็ดพันธุ์พืชอาหารสัตว์ 100,000กก. และท่อนพันธุ์พืชอาหารสัตว์ 5,000,000กก. นอกจากนี้ยังมีการให้บริการตรวจวิเคราะห์ดิน การอนุรักษ์ดินและน้ํา การปรับปรุงบํารุงดิน ซึ่งมีสารปรับปรุงอยู่ประมาณ 44,000 ตัน การทําปุ๋ยอินทรีย์ 223,419 ตัน การไถกลบตอซัง 535,262 ไร่ การให้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน และให้สหกรณ์ที่มีความพร้อมจําหน่ายปุ๋ย 181 แห่ง การควบคุมคุณภาพปัจจัยการผลิต การให้บริการน้ําชลประทาน การบริการทางด้านหม่อน/ไหม แมลงเศรษฐกิจ เครื่องจักกลเกษตร และแหล่งทุน/สินเชื่อ อาทิ สินเชื่อด้านปรับปรุงร้านจําหน่ายปัจจัยการผลิต สินเชื่อด้านรวบรวมผลผิตประมาณ 14,000 ล้านบาท สินเชื่อจัดหาแหล่งน้ํา/เครื่องจักรกล กองทุนปฏิรูปที่ดิน 351.60 ล้านบาท และแปลงใหญ่ 20,000 ล้านบาท
3. การบริหารจัดการความเสี่ยงได้แก่ การสํารวจ/เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ฯ/สัตว์ ประมง โดย ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน (ศจช.) 1,764 แห่ง การเตรียมการป้องกันกําจัดศัตรูพืช/สัตว์/ประมง เช่น เชื้อราไตรโคเดอร์มา เชื้อราบิวเวอร์เรีย เชื้อราเมตาไรเซียม และแตนเบียนทริโคแกรมม่า การเฝ้าระวังภัยธรรมชาติและการแจ้งเตือน และการประกันภัยพืชผล (ข้าว)4. การสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรได้แก่ พัฒนาองค์ความรู้และศักยภาพเกษตรกร ขณะนี้ได้ขับเคลื่อนSmart Farmer/Young Smart Farmerไปแล้ว จํานวน 11,130 ราย และให้ความรู้การจัดทําแผนการผลิตรายบุคคล (IFPP) มากกว่า 300 ราย รวมทั้งสนับสนุนการรวมกลุ่มทั้งวิสาหกิจชุมชน เชื่อมโยงการตลาดและส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ด้วย
สําหรับ งานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day)จะมีการจัดสถานีเรียนรู้ต่างๆ ให้เกษตรกรได้มาเรียนรู้ โดยเน้นการถ่ายทอดความรู้แบบเห็นของจริง รวมทั้งการจัดนิทรรศการทางการเกษตรและการให้บริการด้านการเกษตรของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่1.การให้ความรู้และบริการทางการผลิต เช่น ดิน ปุ๋ย น้ํา เทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิต เกษตรผสมผสาน การผลิตและขยายสารชีวภัณฑ์ การอบรมและรับรองมาตรฐานGAP/Organic2. การบริหารการตลาด ความต้องการของตลาด แหล่งรับซื้อ/ราคา คุณภาพและมาตรฐานสินค้า การจัดระบบlogisticการเจรจาเชื่อมโยงตลาด และ3.การให้คําแนะนําในการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่(Agri Map)นอกจากนี้ ยังมีการแสดงและจําหน่ายสินค้าของกลุ่มสถาบันเกษตรกรวิสาหกิจชุมชน ฯลฯ โดยงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day)และบริการการเกษตรเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ ปี 2560 จะเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงกลางเดือนมิถุนายน 2560ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานเกษตรจังหวัด สํานักงานเกษตรอําเภอใกล้บ้านท่าน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมเกษตรกรเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ ปี2560/61 จัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day) และบริการการเกษตร
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมเกษตรกรเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ ปี2560/61 จัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day) และบริการการเกษตร
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมเกษตรกรเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ ปี2560/61 จัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day) และบริการการเกษตร หวังกระตุ้นเกษตรกรเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาผ่าน ศพก. 882 ศูนย์ทั่วประเทศ
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายในการเตรียมความพร้อมเกษตรกรเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ ปี 2560/61 โดยมอบหมายให้ กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นแกนหลักในการดําเนินการจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day)และบริการการเกษตร เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ปี2560/61โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่และใช้ประโยชน์จากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรและศูนย์เครือข่ายที่มีอยู่ในพื้นที่ จํานวน 882 ศูนย์ทั่วประเทศ โดยให้หน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ ให้บริการด้านการเกษตรเพื่อสนับสนุนเกษตรกรเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ โดยจะเริ่มการเตรียมความพร้อมเกษตรกรเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ ปี 2560/61 ในเดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป
นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า สําหรับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ ปี 2560/61 ประกอบด้วย 4 กิจกรรมหลัก คือ1. การเตรียมความพร้อมองค์ความรู้เพื่อวางแผนการผลิตได้แก่ การจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day)การให้ความรู้และบริการทางการผลิต การบริหารการตลาด ความรู้เรื่องแหล่งเงินทุนและการทําบัญชี และการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่2. การเข้าถึงปัจจัยการผลิตโดยขณะนี้กรมการข้าวได้เตรียมข้าวเมล็ดพันธุ์ดีไว้แล้ว จํานวน420,200ตัน ในทุกศูนย์ขยายพันธุ์ข้าว รวมทั้งศูนย์ข้าวชุมชน โดยมีสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม สปก. เป็นผู้ประสานงาน และมีพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พืชตระกูลถั่ว ต้นพันธุ์อ้อยสะอาด 736,000ต้น และถั่วเหลือง/ถั่วเขียว/ถั่วลิสง ตามศูนย์ขยายพันธุ์พืช โดยกรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ดูแล อีกทั้งมีเมล็ดพันธุ์พืชอาหารสัตว์ 100,000กก. และท่อนพันธุ์พืชอาหารสัตว์ 5,000,000กก. นอกจากนี้ยังมีการให้บริการตรวจวิเคราะห์ดิน การอนุรักษ์ดินและน้ํา การปรับปรุงบํารุงดิน ซึ่งมีสารปรับปรุงอยู่ประมาณ 44,000 ตัน การทําปุ๋ยอินทรีย์ 223,419 ตัน การไถกลบตอซัง 535,262 ไร่ การให้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน และให้สหกรณ์ที่มีความพร้อมจําหน่ายปุ๋ย 181 แห่ง การควบคุมคุณภาพปัจจัยการผลิต การให้บริการน้ําชลประทาน การบริการทางด้านหม่อน/ไหม แมลงเศรษฐกิจ เครื่องจักกลเกษตร และแหล่งทุน/สินเชื่อ อาทิ สินเชื่อด้านปรับปรุงร้านจําหน่ายปัจจัยการผลิต สินเชื่อด้านรวบรวมผลผิตประมาณ 14,000 ล้านบาท สินเชื่อจัดหาแหล่งน้ํา/เครื่องจักรกล กองทุนปฏิรูปที่ดิน 351.60 ล้านบาท และแปลงใหญ่ 20,000 ล้านบาท
3. การบริหารจัดการความเสี่ยงได้แก่ การสํารวจ/เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ฯ/สัตว์ ประมง โดย ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน (ศจช.) 1,764 แห่ง การเตรียมการป้องกันกําจัดศัตรูพืช/สัตว์/ประมง เช่น เชื้อราไตรโคเดอร์มา เชื้อราบิวเวอร์เรีย เชื้อราเมตาไรเซียม และแตนเบียนทริโคแกรมม่า การเฝ้าระวังภัยธรรมชาติและการแจ้งเตือน และการประกันภัยพืชผล (ข้าว)4. การสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรได้แก่ พัฒนาองค์ความรู้และศักยภาพเกษตรกร ขณะนี้ได้ขับเคลื่อนSmart Farmer/Young Smart Farmerไปแล้ว จํานวน 11,130 ราย และให้ความรู้การจัดทําแผนการผลิตรายบุคคล (IFPP) มากกว่า 300 ราย รวมทั้งสนับสนุนการรวมกลุ่มทั้งวิสาหกิจชุมชน เชื่อมโยงการตลาดและส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ด้วย
สําหรับ งานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day)จะมีการจัดสถานีเรียนรู้ต่างๆ ให้เกษตรกรได้มาเรียนรู้ โดยเน้นการถ่ายทอดความรู้แบบเห็นของจริง รวมทั้งการจัดนิทรรศการทางการเกษตรและการให้บริการด้านการเกษตรของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่1.การให้ความรู้และบริการทางการผลิต เช่น ดิน ปุ๋ย น้ํา เทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิต เกษตรผสมผสาน การผลิตและขยายสารชีวภัณฑ์ การอบรมและรับรองมาตรฐานGAP/Organic2. การบริหารการตลาด ความต้องการของตลาด แหล่งรับซื้อ/ราคา คุณภาพและมาตรฐานสินค้า การจัดระบบlogisticการเจรจาเชื่อมโยงตลาด และ3.การให้คําแนะนําในการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่(Agri Map)นอกจากนี้ ยังมีการแสดงและจําหน่ายสินค้าของกลุ่มสถาบันเกษตรกรวิสาหกิจชุมชน ฯลฯ โดยงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี (Field Day)และบริการการเกษตรเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ ปี 2560 จะเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงกลางเดือนมิถุนายน 2560ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานเกษตรจังหวัด สํานักงานเกษตรอําเภอใกล้บ้านท่าน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3504
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เตือนเฝ้าระวังภัยไซเบอร์ เรียกค่าไถ่ ไวรัส PETYA ร้ายแรงกว่า Wannacry เผยมี 7 บริษัทประกันภัยที่มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยไซเบอร์
|
วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2560
คปภ. เตือนเฝ้าระวังภัยไซเบอร์ เรียกค่าไถ่ ไวรัส PETYA ร้ายแรงกว่า Wannacry เผยมี 7 บริษัทประกันภัยที่มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยไซเบอร์
จากสถานการณ์การระบาดของมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ PETYA หรือ Petrwrap ซึ่งเป็นไวรัสประเภทมัลแวร์ เรียกค่าไถ่ (RANSOMWARE) กําลังระบาดทั่วโลก (อเมริกาและยุโรป) อยู่ในขณะนี้ เป็นผลให้เครื่องคอมพิวเตอร์ขององค์กรที่ใช้ระบบปฏิบัติการ MS Windows ติดไวรัสดังกล่าว
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ ชื่อ PETYA หรือ Petrwrap ซึ่งเป็นไวรัสประเภทมัลแวร์ เรียกค่าไถ่ (RANSOMWARE) กําลังระบาดทั่วโลก (อเมริกาและยุโรป) อยู่ในขณะนี้ เป็นผลให้เครื่องคอมพิวเตอร์ขององค์กรที่ใช้ระบบปฏิบัติการ MS Windows ติดไวรัสดังกล่าวไม่สามารถใช้งานได้ เนื่องจากถูกเข้ารหัสลับ Master File Table (MFT) ของพาร์ทิชัน ซึ่งเป็นตารางที่ใช้ระบุตําแหน่งชื่อไฟล์ และเนื้อหาของไฟล์ในฮาร์ดดิสก์ ทําให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ได้ หากต้องการถอดรหัสต้องจ่ายค่าไถ่เป็นเงิน 300 USD ผ่านอีเมล์ แต่เนื่องจากอีเมล์ดังกล่าวถูกผู้ให้บริการปิดแล้ว จึงทําให้ไม่สามารถจ่ายค่าไถ่ได้ ซึ่งปัจจุบันเกิดผลกระทบกับประเทศต่างๆ ในวงกว้าง
สํานักงาน คปภ. ได้ตระหนักถึงผลกระทบจากภัยคุกคามดังกล่าวต่อระบบประกันภัย จึงได้กําหนดมาตรการรับมือภัยคุกคามไว้ 2 มาตรการ คือ ในส่วนขององค์กร ได้จัดทําแนวทางปฏิบัติในการป้องกันไวรัส ภายในองค์กร และสั่งการให้ สํานักงาน คปภ. ทั่วประเทศ ดําเนินการตามแนวปฏิบัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันภัยคุกคามที่อาจเจาะเข้ามาในระบบของสํานักงาน คปภ. สําหรับในส่วนของภาคอุตสาหกรรมประกันภัย สํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกํากับ ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แม้ในขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวในธุรกิจประกันภัย แต่เพื่อเป็นการป้องกันภัยคุกคามทางคอมพิวเตอร์ของภาคธุรกิจประกันภัย จึงได้ประสานไปยังสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย แจ้งเวียนบริษัทสมาชิกให้เฝ้าระวัง และเตรียมการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การป้องกัน การรับมือกับภัยคุกคามทางคอมพิวเตอร์ รวมทั้งสื่อสารให้พนักงานและประชาชนทราบแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเหมาะสม และขอให้รายงานสถานการณ์เฝ้าระวังภัยคุกคามทางคอมพิวเตอร์ต่อ สํานักงาน คปภ. เป็นระยะๆ หากได้รับผลกระทบจากภัยดังกล่าว ขอให้แจ้งมายัง สํานักงาน คปภ. ทาง E-mail : it@oic.or.th หรือ สายด่วน คปภ. 1186 โดยเร็ว เพื่อประสานให้ความช่วยเหลือ และจะมีการบูรณาการทํางานร่วมกันอย่างเป็นระบบเพื่อเตรียมการรับมือในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเฝ้าระวังจากการถูกจู่โจมหรือคุกคามทางไซเบอร์ สํานักงาน คปภ. ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผลิตภัณฑ์ประกันภัยเข้ามารองรับความเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งกรมธรรม์ประกันภัยไซเบอร์ในประเทศไทยจะตอบโจทย์ความคุ้มครองที่ครอบคลุม ทั้งค่าเสียหายจากการโจรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ค่าเสียหายจากการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ ค่าเสียหายจากการถูกคุกคามทางอิเล็กทรอนิกส์ ค่าเสียหายจากการทําลายทรัพย์สินทางอิเล็กทรอนิกส์ ค่าเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ และค่าใช้จ่ายพิเศษและความรับผิดทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งขณะนี้มีภาคธุรกิจประกันภัยที่ได้รับความเห็นชอบแบบกรมธรรม์ประกันภัยไซเบอร์แล้ว 7 บริษัท ประกอบด้วย บจ. เอฟพีจี ประกันภัย (ประเทศไทย) บมจ. ทิพยประกันภัย บมจ. ไทยประกันภัย บมจ. อลิอันซ์ ประกันภัย บจ. นิวแฮมพ์เชอร์ อินชัวรันส์ สาขาประเทศไทย บจ. เอไอจี ประกันภัย (ประเทศไทย) และ บมจ. โตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เตือนเฝ้าระวังภัยไซเบอร์ เรียกค่าไถ่ ไวรัส PETYA ร้ายแรงกว่า Wannacry เผยมี 7 บริษัทประกันภัยที่มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยไซเบอร์
วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2560
คปภ. เตือนเฝ้าระวังภัยไซเบอร์ เรียกค่าไถ่ ไวรัส PETYA ร้ายแรงกว่า Wannacry เผยมี 7 บริษัทประกันภัยที่มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยไซเบอร์
จากสถานการณ์การระบาดของมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ PETYA หรือ Petrwrap ซึ่งเป็นไวรัสประเภทมัลแวร์ เรียกค่าไถ่ (RANSOMWARE) กําลังระบาดทั่วโลก (อเมริกาและยุโรป) อยู่ในขณะนี้ เป็นผลให้เครื่องคอมพิวเตอร์ขององค์กรที่ใช้ระบบปฏิบัติการ MS Windows ติดไวรัสดังกล่าว
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ ชื่อ PETYA หรือ Petrwrap ซึ่งเป็นไวรัสประเภทมัลแวร์ เรียกค่าไถ่ (RANSOMWARE) กําลังระบาดทั่วโลก (อเมริกาและยุโรป) อยู่ในขณะนี้ เป็นผลให้เครื่องคอมพิวเตอร์ขององค์กรที่ใช้ระบบปฏิบัติการ MS Windows ติดไวรัสดังกล่าวไม่สามารถใช้งานได้ เนื่องจากถูกเข้ารหัสลับ Master File Table (MFT) ของพาร์ทิชัน ซึ่งเป็นตารางที่ใช้ระบุตําแหน่งชื่อไฟล์ และเนื้อหาของไฟล์ในฮาร์ดดิสก์ ทําให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ได้ หากต้องการถอดรหัสต้องจ่ายค่าไถ่เป็นเงิน 300 USD ผ่านอีเมล์ แต่เนื่องจากอีเมล์ดังกล่าวถูกผู้ให้บริการปิดแล้ว จึงทําให้ไม่สามารถจ่ายค่าไถ่ได้ ซึ่งปัจจุบันเกิดผลกระทบกับประเทศต่างๆ ในวงกว้าง
สํานักงาน คปภ. ได้ตระหนักถึงผลกระทบจากภัยคุกคามดังกล่าวต่อระบบประกันภัย จึงได้กําหนดมาตรการรับมือภัยคุกคามไว้ 2 มาตรการ คือ ในส่วนขององค์กร ได้จัดทําแนวทางปฏิบัติในการป้องกันไวรัส ภายในองค์กร และสั่งการให้ สํานักงาน คปภ. ทั่วประเทศ ดําเนินการตามแนวปฏิบัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันภัยคุกคามที่อาจเจาะเข้ามาในระบบของสํานักงาน คปภ. สําหรับในส่วนของภาคอุตสาหกรรมประกันภัย สํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกํากับ ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แม้ในขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวในธุรกิจประกันภัย แต่เพื่อเป็นการป้องกันภัยคุกคามทางคอมพิวเตอร์ของภาคธุรกิจประกันภัย จึงได้ประสานไปยังสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย แจ้งเวียนบริษัทสมาชิกให้เฝ้าระวัง และเตรียมการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การป้องกัน การรับมือกับภัยคุกคามทางคอมพิวเตอร์ รวมทั้งสื่อสารให้พนักงานและประชาชนทราบแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเหมาะสม และขอให้รายงานสถานการณ์เฝ้าระวังภัยคุกคามทางคอมพิวเตอร์ต่อ สํานักงาน คปภ. เป็นระยะๆ หากได้รับผลกระทบจากภัยดังกล่าว ขอให้แจ้งมายัง สํานักงาน คปภ. ทาง E-mail : it@oic.or.th หรือ สายด่วน คปภ. 1186 โดยเร็ว เพื่อประสานให้ความช่วยเหลือ และจะมีการบูรณาการทํางานร่วมกันอย่างเป็นระบบเพื่อเตรียมการรับมือในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเฝ้าระวังจากการถูกจู่โจมหรือคุกคามทางไซเบอร์ สํานักงาน คปภ. ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผลิตภัณฑ์ประกันภัยเข้ามารองรับความเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งกรมธรรม์ประกันภัยไซเบอร์ในประเทศไทยจะตอบโจทย์ความคุ้มครองที่ครอบคลุม ทั้งค่าเสียหายจากการโจรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ค่าเสียหายจากการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ ค่าเสียหายจากการถูกคุกคามทางอิเล็กทรอนิกส์ ค่าเสียหายจากการทําลายทรัพย์สินทางอิเล็กทรอนิกส์ ค่าเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ และค่าใช้จ่ายพิเศษและความรับผิดทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งขณะนี้มีภาคธุรกิจประกันภัยที่ได้รับความเห็นชอบแบบกรมธรรม์ประกันภัยไซเบอร์แล้ว 7 บริษัท ประกอบด้วย บจ. เอฟพีจี ประกันภัย (ประเทศไทย) บมจ. ทิพยประกันภัย บมจ. ไทยประกันภัย บมจ. อลิอันซ์ ประกันภัย บจ. นิวแฮมพ์เชอร์ อินชัวรันส์ สาขาประเทศไทย บจ. เอไอจี ประกันภัย (ประเทศไทย) และ บมจ. โตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4888
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน มอบเงินสิทธิประโยชน์ประกันสังคมแก่ทายาทผู้ประกันตน ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตเครื่องสำอาง
|
วันอังคารที่ 4 ธันวาคม 2561
รมว.แรงงาน มอบเงินสิทธิประโยชน์ประกันสังคมแก่ทายาทผู้ประกันตน ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตเครื่องสําอาง
รมว.แรงงาน มอบเงินสิทธิประโยชน์ประกันสังคมแก่ทายาทผู้ประกันตน ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตเครื่องสําอาง
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๓๐ น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบเงินสิทธิประโยชน์ประกันสังคมให้กับญาติกรณีเกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิตเครื่องสําอางบริษัท มินเทค แล็ปบอราทอรี่ จํากัด อยู่ภายในซอยพระแม่การุณ ๒๕ ถนนติวานนท์ ตําบลบ้านใหม่ อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ ๒๙ พ.ย. ๖๑ ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีลูกจ้างเสียชีวิต ๓ ราย ได้บาดเจ็บรักษาตัวในโรงพยาบาล ๑ ราย ซึ่งเป็นการประสบอันตรายเนื่องจากการทํางาน โดยทายาทผู้เสียชีวิตทั้ง ๓ ราย จะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเงินทดแทน ดังนี้ ๑. ทายาท นายไพรวิท ช่างต่อ ได้รับเงินทดแทนกรณีเสียชีวิต จํานวน ๔๘๖,๗๒๐ บาท ค่าจัดการศพ จํานวน ๓๓,๐๐๐ บาท เงินบําเหน็จชราภาพ ๑๗๑ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๑๙,๘๙๑ บาท ๒. ทายาท นายจามร คําอ่อนสา ได้รับเงินทดแทนกรณีเสียชีวิต จํานวน ๘๐๒,๘๒๘.๘๐ บาท ค่าจัดการศพ จํานวน ๓๓,๐๐๐ บาท เงินบําเหน็จชราภาพ ๓๔,๐๘๘.๗๖ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘๖๙,๙๑๗.๕๖ บาท ๓. ทายาท นายณัฐกานต์ บัวบาง ได้รับเงินทดแทนกรณีเสียชีวิต จํานวน ๕๔๗,๒๐๐ บาท ค่าจัดการศพ จํานวน ๓๓,๐๐๐ บาท เงินบําเหน็จชราภาพ ๕๗๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๘๐,๗๗๐ บาท
สําหรับลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ๑ ราย ได้แก่ นายพงพัฒน์ เชิดชูพันธ์ ขณะนี้ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจําเป็นจนสิ้นสุดการรักษา แต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค่าทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ ๖๐ ของค่าจ้างรายเดือน แต่ไม่เกิน ๑ ปี อีกด้วย จากนั้น รมว.แรงงาน ยังได้มอบเงินค่าเยียวยาทางการแพทย์เพิ่มเติมแก่ทายาท นางสาววิภาพร จันทร์เจิม ผู้ประกันตนที่เสียชีวิตจากการแพ้อาหารทะเล เป็นเงินจํานวนทั้งสิ้น ๓๖๐,๐๐๐ บาท
โดย รมว.แรงงาน ได้กําชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานดูแลสอดส่องความปลอดภัยในสถานประกอบการอย่างเข้มงวด เพื่อช่วยลดปัญหาลูกจ้างประสบอันตราย ซึ่งหากลูกจ้างประสบอันตราย กระทรวงแรงงาน โดยสํานักงานประกันสังคม มีกองทุนเงินทดแทน สําหรับดูแลลูกจ้างในระบบประกันสังคมให้ได้รับสิทธิเงินค่าทดแทนและค่ารักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกจ้างต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ หากลูกจ้างมีปัญหาข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานประกันสังคมทุกพื้นที่หรือ โทร. ๑๕๐๖ สายด่วนกระทรวงแรงงาน
+++++++++++++++++++++++
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน มอบเงินสิทธิประโยชน์ประกันสังคมแก่ทายาทผู้ประกันตน ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตเครื่องสำอาง
วันอังคารที่ 4 ธันวาคม 2561
รมว.แรงงาน มอบเงินสิทธิประโยชน์ประกันสังคมแก่ทายาทผู้ประกันตน ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตเครื่องสําอาง
รมว.แรงงาน มอบเงินสิทธิประโยชน์ประกันสังคมแก่ทายาทผู้ประกันตน ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตเครื่องสําอาง
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๓๐ น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบเงินสิทธิประโยชน์ประกันสังคมให้กับญาติกรณีเกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิตเครื่องสําอางบริษัท มินเทค แล็ปบอราทอรี่ จํากัด อยู่ภายในซอยพระแม่การุณ ๒๕ ถนนติวานนท์ ตําบลบ้านใหม่ อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ ๒๙ พ.ย. ๖๑ ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีลูกจ้างเสียชีวิต ๓ ราย ได้บาดเจ็บรักษาตัวในโรงพยาบาล ๑ ราย ซึ่งเป็นการประสบอันตรายเนื่องจากการทํางาน โดยทายาทผู้เสียชีวิตทั้ง ๓ ราย จะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเงินทดแทน ดังนี้ ๑. ทายาท นายไพรวิท ช่างต่อ ได้รับเงินทดแทนกรณีเสียชีวิต จํานวน ๔๘๖,๗๒๐ บาท ค่าจัดการศพ จํานวน ๓๓,๐๐๐ บาท เงินบําเหน็จชราภาพ ๑๗๑ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๑๙,๘๙๑ บาท ๒. ทายาท นายจามร คําอ่อนสา ได้รับเงินทดแทนกรณีเสียชีวิต จํานวน ๘๐๒,๘๒๘.๘๐ บาท ค่าจัดการศพ จํานวน ๓๓,๐๐๐ บาท เงินบําเหน็จชราภาพ ๓๔,๐๘๘.๗๖ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘๖๙,๙๑๗.๕๖ บาท ๓. ทายาท นายณัฐกานต์ บัวบาง ได้รับเงินทดแทนกรณีเสียชีวิต จํานวน ๕๔๗,๒๐๐ บาท ค่าจัดการศพ จํานวน ๓๓,๐๐๐ บาท เงินบําเหน็จชราภาพ ๕๗๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๘๐,๗๗๐ บาท
สําหรับลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ๑ ราย ได้แก่ นายพงพัฒน์ เชิดชูพันธ์ ขณะนี้ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจําเป็นจนสิ้นสุดการรักษา แต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค่าทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ ๖๐ ของค่าจ้างรายเดือน แต่ไม่เกิน ๑ ปี อีกด้วย จากนั้น รมว.แรงงาน ยังได้มอบเงินค่าเยียวยาทางการแพทย์เพิ่มเติมแก่ทายาท นางสาววิภาพร จันทร์เจิม ผู้ประกันตนที่เสียชีวิตจากการแพ้อาหารทะเล เป็นเงินจํานวนทั้งสิ้น ๓๖๐,๐๐๐ บาท
โดย รมว.แรงงาน ได้กําชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานดูแลสอดส่องความปลอดภัยในสถานประกอบการอย่างเข้มงวด เพื่อช่วยลดปัญหาลูกจ้างประสบอันตราย ซึ่งหากลูกจ้างประสบอันตราย กระทรวงแรงงาน โดยสํานักงานประกันสังคม มีกองทุนเงินทดแทน สําหรับดูแลลูกจ้างในระบบประกันสังคมให้ได้รับสิทธิเงินค่าทดแทนและค่ารักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกจ้างต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ หากลูกจ้างมีปัญหาข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานประกันสังคมทุกพื้นที่หรือ โทร. ๑๕๐๖ สายด่วนกระทรวงแรงงาน
+++++++++++++++++++++++
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17314
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ หารือ PTTGC ร่วมผลักดันงานจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ำ คลองขุดเจ้าเมืองในพื้นที่ลัดหลวง จ.สมุทรปราการ
|
วันอังคารที่ 10 มีนาคม 2563
ก.อุตฯ หารือ PTTGC ร่วมผลักดันงานจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ํา คลองขุดเจ้าเมืองในพื้นที่ลัดหลวง จ.สมุทรปราการ
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์จิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม หารือ PTTGC ร่วมผลักดันงานจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ํา คลองขุดเจ้าเมืองในพื้นที่ลัดหลวง จ.สมุทรปราการ
วันนี้ (10 มีนาคม 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์จิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมกับนายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมีคอล จํากัด (มหาชน) (PTTGC) และคณะ ซึ่งเป็นเครือข่ายจิตอาสาของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการร่วมดําเนินงานการพัฒนาคุณภาพน้ําของคลองขุดเจ้าเมืองในพื้นที่ ลัดหลวง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งผลการหารือเป็นไปด้วยดี โดย PTTGC ยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนงานจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ําของกระทรวงอุตสาหกรรม ตลอดจนงานจิตอาสาอื่นๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศโดยรวมต่อไป โดยมีนางอัญชลี ยิ่งทวีสิทธิกุล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม กรมโรงงานอุตสาหกรรม นางพงษ์ศิริ วรรณศรี ผู้อํานวยการกองตรวจและประเมินผล เลขานุการศูนย์ฯ และนายเศรษฐา ขันตี หัวหน้ากลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 1804 ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ ปตท.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ หารือ PTTGC ร่วมผลักดันงานจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ำ คลองขุดเจ้าเมืองในพื้นที่ลัดหลวง จ.สมุทรปราการ
วันอังคารที่ 10 มีนาคม 2563
ก.อุตฯ หารือ PTTGC ร่วมผลักดันงานจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ํา คลองขุดเจ้าเมืองในพื้นที่ลัดหลวง จ.สมุทรปราการ
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์จิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม หารือ PTTGC ร่วมผลักดันงานจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ํา คลองขุดเจ้าเมืองในพื้นที่ลัดหลวง จ.สมุทรปราการ
วันนี้ (10 มีนาคม 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์จิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมกับนายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมีคอล จํากัด (มหาชน) (PTTGC) และคณะ ซึ่งเป็นเครือข่ายจิตอาสาของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการร่วมดําเนินงานการพัฒนาคุณภาพน้ําของคลองขุดเจ้าเมืองในพื้นที่ ลัดหลวง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งผลการหารือเป็นไปด้วยดี โดย PTTGC ยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนงานจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ําของกระทรวงอุตสาหกรรม ตลอดจนงานจิตอาสาอื่นๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศโดยรวมต่อไป โดยมีนางอัญชลี ยิ่งทวีสิทธิกุล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม กรมโรงงานอุตสาหกรรม นางพงษ์ศิริ วรรณศรี ผู้อํานวยการกองตรวจและประเมินผล เลขานุการศูนย์ฯ และนายเศรษฐา ขันตี หัวหน้ากลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 1804 ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ ปตท.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27044
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อุตตม ร่วมต้อนรับคณะนักธุรกิจจีนเยือนไทย ปักธงร่วมพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0
|
วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม 2561
รมว.อุตตม ร่วมต้อนรับคณะนักธุรกิจจีนเยือนไทย ปักธงร่วมพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0
รมว.อุตตม ร่วมต้อนรับคณะนักธุรกิจจีนเยือนไทย ปักธงร่วมพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0
วันนี้(25 สิงหาคม 2561) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมต้อนรับคณะมนตรีแห่งรัฐของจีน นําโดย นายหวัง หย่ง พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงจากรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนจีนกว่า 500 คน เยือนไทยอย่างเป็นทางการ และลงพื้นที่ศึกษาดูงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ณ จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง
ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก ที่ภาครัฐและผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนชั้นนําของจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย - จีน ครั้งที่ 6 และร่วมสัมมนา “Thailand – China Business Forum 2018 : Strategic Partnership through the Belt and Road Initiative and the EEC” และเปิดโอกาสให้นักธุรกิจจีนได้พบกับนักธุรกิจไทย จับคู่สร้างเครือข่ายทางธุรกิจกับผู้ประกอบการธุรกิจรายใหม่ในประเทศไทย
นอกจากนั้นคณะนักธุรกิจจีนได้ร่วมลงพื้นที่รับฟังการบรรยายและศึกษาดูงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าโครงการอีอีซีเป็นโครงการเชิงยุทธศาสตร์ที่สําคัญที่สุดโครงการหนึ่งของรัฐบาลไทย ในการสนับสนุนการปฏิรูปปรับเปลี่ยนประเทศตามยุทธศาสตร์ “Thailand 4.0” โดยเดินทางไปยัง 1) ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา 2) นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง 3) นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์น ซีบอร์ด 4) สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) 5) สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า โครงการ อีอีซี จะเป็นแพลตฟอร์ม ของการสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจชุดใหม่ ที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อสร้างขีดความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการมูลค่าสูง เพื่อสร้างนวัตกรรม เพื่อพัฒนาคน ซึ่งตรงกับเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 ของจีน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อุตตม ร่วมต้อนรับคณะนักธุรกิจจีนเยือนไทย ปักธงร่วมพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0
วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม 2561
รมว.อุตตม ร่วมต้อนรับคณะนักธุรกิจจีนเยือนไทย ปักธงร่วมพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0
รมว.อุตตม ร่วมต้อนรับคณะนักธุรกิจจีนเยือนไทย ปักธงร่วมพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0
วันนี้(25 สิงหาคม 2561) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมต้อนรับคณะมนตรีแห่งรัฐของจีน นําโดย นายหวัง หย่ง พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงจากรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนจีนกว่า 500 คน เยือนไทยอย่างเป็นทางการ และลงพื้นที่ศึกษาดูงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ณ จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง
ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก ที่ภาครัฐและผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนชั้นนําของจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย - จีน ครั้งที่ 6 และร่วมสัมมนา “Thailand – China Business Forum 2018 : Strategic Partnership through the Belt and Road Initiative and the EEC” และเปิดโอกาสให้นักธุรกิจจีนได้พบกับนักธุรกิจไทย จับคู่สร้างเครือข่ายทางธุรกิจกับผู้ประกอบการธุรกิจรายใหม่ในประเทศไทย
นอกจากนั้นคณะนักธุรกิจจีนได้ร่วมลงพื้นที่รับฟังการบรรยายและศึกษาดูงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าโครงการอีอีซีเป็นโครงการเชิงยุทธศาสตร์ที่สําคัญที่สุดโครงการหนึ่งของรัฐบาลไทย ในการสนับสนุนการปฏิรูปปรับเปลี่ยนประเทศตามยุทธศาสตร์ “Thailand 4.0” โดยเดินทางไปยัง 1) ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา 2) นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง 3) นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์น ซีบอร์ด 4) สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) 5) สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า โครงการ อีอีซี จะเป็นแพลตฟอร์ม ของการสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจชุดใหม่ ที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อสร้างขีดความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการมูลค่าสูง เพื่อสร้างนวัตกรรม เพื่อพัฒนาคน ซึ่งตรงกับเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 ของจีน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14906
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นวัตกรรมการศึกษา ด้วยศาสตร์พระราชา
|
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2562
นวัตกรรมการศึกษา ด้วยศาสตร์พระราชา
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเสวนาในหัวข้อ "นวัตกรรมการศึกษา ด้วยศาสตร์พระราชา ฝ่าวิกฤติอุดมศึกษาไทย"
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเสวนาในหัวข้อ "นวัตกรรมการศึกษา ด้วยศาสตร์พระราชา ฝ่าวิกฤติอุดมศึกษาไทย" ในการประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) สมัยสามัญ ครั้งที่ 8/2562 เมื่อวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2562 ณ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การเสวนาในหัวข้อ “นวัตกรรมการศึกษา ด้วยศาสตร์พระราชา ฝ่าวิกฤติอุดมศึกษาไทย” ถือเป็นการน้อมนํา “พระบรมราโชบายด้านการศึกษา” ซึ่งเป็นศาสตร์พระราชาเพื่อนํามาปรับใช้กับการบริหารการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน โดยเฉพาะการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา ตามแนวพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” หลอมรวมกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทํา และได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ทํา (Active Learning) และการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนที่สนุก มีความสุข และหล่อหลอมทักษะการคิดวิเคราะห์ การทํางานเป็นทีม ตลอดจนคุณธรรมจริยธรรมและการเป็นคนดีด้วย
ในส่วนของการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยควรมีบทบาทในการยกระดับทักษะให้กับผู้ที่จบการศึกษาแล้ว เพื่อ Reskill Upskill ทักษะต่าง ๆ ตามความต้องการของประชาชน โดยให้ปราชญ์ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความรู้ พร้อมจัดระบบรับรองคุณวุฒิและดึงดูดให้คนมาเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด และถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนในยุคปัจจุบัน ซึ่งสังคมที่มีผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตจํานวนมาก จะเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมได้อย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด ทั้งยังช่วยให้สังคมมีความมั่นคงและยั่งยืนด้วย
นอกจากนี้ ขอหยิบยกหนังสือ “ศาสตร์พระราชา” เกี่ยวข้องกับการสร้างคนดีและเพื่อนําไปปรับใช้กับการบริหารอุดมศึกษา คือ สืบสานพระราชปณิธานการศึกษาไทย, สืบสานพระราชปณิธานความพอเพียง และสารานุกรมไทยสําหรับเยาวชน โดยเฉพาะสารานุกรมไทยสําหรับเยาวชน ควรแนะนําให้พ่อแม่ผู้ปกครองหาไว้ประจําบ้าน เพื่อเป็นเครื่องมือส่งเสริมการอ่านในครอบครัว ระหว่างพ่อแม่กับลูก และระหว่างพี่กับน้อง ที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีร่วมกัน
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ได้น้อมนําพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหลักในการทํางาน กล่าวคือ “ให้รัฐบาลทําหน้าที่เพื่อให้ประชาชนมีความสุขให้มากที่สุดในรัชกาลปัจจุบัน พร้อมสานต่อแนวพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมาตลอด 70 ปีที่ผ่านมา และน้อมนําพระบรมราโชบายที่ให้ไว้กับคณะองคมนตรี ว่า “ช่วยเขาเพื่อให้เค้าช่วยตัวเอง” ซึ่งมหาวิทยาลัยน้อมนําไปสู่การสร้างคนให้มีทักษะ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม อันจะนํามาสู่การสร้างงาน สร้างเงิน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขอย่างยั่งยืน
ณรีรัตน์ บุญหลัง: สรุป
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: ถ่ายภาพ
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ. : รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นวัตกรรมการศึกษา ด้วยศาสตร์พระราชา
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2562
นวัตกรรมการศึกษา ด้วยศาสตร์พระราชา
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเสวนาในหัวข้อ "นวัตกรรมการศึกษา ด้วยศาสตร์พระราชา ฝ่าวิกฤติอุดมศึกษาไทย"
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเสวนาในหัวข้อ "นวัตกรรมการศึกษา ด้วยศาสตร์พระราชา ฝ่าวิกฤติอุดมศึกษาไทย" ในการประชุมประธานสภาอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปอมท.) สมัยสามัญ ครั้งที่ 8/2562 เมื่อวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2562 ณ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การเสวนาในหัวข้อ “นวัตกรรมการศึกษา ด้วยศาสตร์พระราชา ฝ่าวิกฤติอุดมศึกษาไทย” ถือเป็นการน้อมนํา “พระบรมราโชบายด้านการศึกษา” ซึ่งเป็นศาสตร์พระราชาเพื่อนํามาปรับใช้กับการบริหารการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน โดยเฉพาะการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา ตามแนวพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” หลอมรวมกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทํา และได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ทํา (Active Learning) และการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนที่สนุก มีความสุข และหล่อหลอมทักษะการคิดวิเคราะห์ การทํางานเป็นทีม ตลอดจนคุณธรรมจริยธรรมและการเป็นคนดีด้วย
ในส่วนของการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยควรมีบทบาทในการยกระดับทักษะให้กับผู้ที่จบการศึกษาแล้ว เพื่อ Reskill Upskill ทักษะต่าง ๆ ตามความต้องการของประชาชน โดยให้ปราชญ์ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความรู้ พร้อมจัดระบบรับรองคุณวุฒิและดึงดูดให้คนมาเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด และถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนในยุคปัจจุบัน ซึ่งสังคมที่มีผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตจํานวนมาก จะเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมได้อย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด ทั้งยังช่วยให้สังคมมีความมั่นคงและยั่งยืนด้วย
นอกจากนี้ ขอหยิบยกหนังสือ “ศาสตร์พระราชา” เกี่ยวข้องกับการสร้างคนดีและเพื่อนําไปปรับใช้กับการบริหารอุดมศึกษา คือ สืบสานพระราชปณิธานการศึกษาไทย, สืบสานพระราชปณิธานความพอเพียง และสารานุกรมไทยสําหรับเยาวชน โดยเฉพาะสารานุกรมไทยสําหรับเยาวชน ควรแนะนําให้พ่อแม่ผู้ปกครองหาไว้ประจําบ้าน เพื่อเป็นเครื่องมือส่งเสริมการอ่านในครอบครัว ระหว่างพ่อแม่กับลูก และระหว่างพี่กับน้อง ที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีร่วมกัน
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ได้น้อมนําพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหลักในการทํางาน กล่าวคือ “ให้รัฐบาลทําหน้าที่เพื่อให้ประชาชนมีความสุขให้มากที่สุดในรัชกาลปัจจุบัน พร้อมสานต่อแนวพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมาตลอด 70 ปีที่ผ่านมา และน้อมนําพระบรมราโชบายที่ให้ไว้กับคณะองคมนตรี ว่า “ช่วยเขาเพื่อให้เค้าช่วยตัวเอง” ซึ่งมหาวิทยาลัยน้อมนําไปสู่การสร้างคนให้มีทักษะ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม อันจะนํามาสู่การสร้างงาน สร้างเงิน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขอย่างยั่งยืน
ณรีรัตน์ บุญหลัง: สรุป
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: ถ่ายภาพ
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ. : รายงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22541
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.ประวิตรฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ นำคณะเจ้าหน้าที่และนักกีฬาไทยที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
|
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561
รอง นรม. พล.อ.ประวิตรฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ นําคณะเจ้าหน้าที่และนักกีฬาไทยที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ นําคณะเจ้าหน้าที่และนักกีฬาไทยฯ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี พร้อมกล่าวให้ทุกคนเก็บเกี่ยวประสบการณ์กลับมา ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ทุกประสบการณ์มีความสําคัญ สามารถนํามาเป็นบทเรียนและปรับใช้ได้เสมอ
วันนี้ (6 สิงหาคม 2561) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นําคณะเจ้าหน้าที่และนักกีฬาไทยที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 (18 ส.ค. - 2 ก.ย. 61) เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีพร้อมรับโอวาท
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงานว่า การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม ถึง วันที่ 2 กันยายน 2561 นั้น ได้รับความรวมมือจากกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาฯ พร้อมภาคเอกชน และรัฐบาลที่ร่วมสนับสนุน ซึ่งมีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ร่วมเดินทางมาในการแข่งขันทั้งหมด 1,220 คน ใน 38 ชนิดกีฬา
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวโอวาทตอนหนึ่งว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาพบกับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่จะไปทําหน้าที่ในนามประเทศไทยในการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ในระหว่าง วันที่ 18 สิงหาคม ถึง วันที่ 2 กันยายน นี้ และขอชื่นชมทุกคนที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศไทยในการเข้าร่วมแข่งกีฬาในระดับเอเชีย ซึ่งเชื่อว่าทุกคนจะต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก ด้วยความมุ่งมั่น ความอดทน ความพากเพียร และการอุทิศตนในการฝึกซ้อมอย่างสม่ําเสมอ มีระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด จนสามารถพัฒนาทักษะความสามารถให้เกิดความเชี่ยวชาญ และเป็นตัวแทนของประเทศในการไปแข่งขันครั้งนี้อย่างเต็มภาคภูมิเพื่อนําชื่อเสียง มาสู่ประเทศไทย รวมทั้งการสร้างความเชื่อมโยงต่อกันด้วยกีฬาจะช่วยสร้างความสามัคคี สร้างมิตรภาพ ระหว่างนักกีฬาชาติต่าง ๆ ซึ่งสามารถนําไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาหรือการแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกันได้ของภูมิภาคนี้
ทั้งนี้ การแข่งขันกีฬาต้องอาศัยองค์ประกอบหลายด้าน รวมทั้งการทํางานเป็นทีมทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ซึ่งล้วนมีความสําคัญทั้งหมดเพราะทุกคนจะเป็นกลไกในการสร้างความสําเร็จให้เกิดขึ้น ด้วยความสามัคคีและความตั้งใจทํางานในหน้าที่ของตนอย่างเต็มกําลังความสามารถ นายกรัฐมนตรีจึงขอขอบคุณทุกฝ่ายที่มีส่วนสําคัญ ในความสําเร็จของคณะนักกีฬาไทย ทั้งครูผู้ฝึกสอน ทีมแพทย์ คณะกรรมการ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่ได้ทุ่มเทฝึกซ้อมและดูแลพัฒนาการกีฬาให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ และสามารถไปเป็นตัวแทนของประเทศในการแข่งขันครั้งนี้ จึงขอให้ทุกคนเก็บเกี่ยวประสบการณ์กลับมา ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ทุกประสบการณ์มีความสําคัญ สามารถนํามาเป็นบทเรียนและปรับใช้ได้เสมอ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเป็นกําลังใจให้ทุกคนทําหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด ขอให้ตระหนักถึงสาระสําคัญว่าการแข่งขันกีฬานั้นไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่การแพ้การชนะเพียงอย่างเดียว เพราะหากชนะมาโดยไร้มิตรภาพ มันก็ไม่มีความสําคัญอะไรเลย เพราะผิดวัตถุประสงค์ของการกีฬาที่แท้จริง แต่ทุกคนต้องมีน้ําใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และนําบทเรียนในระหว่างการแข่งขันกลับมาพัฒนาตนเองให้ก้าวต่อไปในวันข้างหน้าที่ดีกว่า และกลับมาเป็นแบบอย่างและช่วยกันพัฒนาวงการกีฬาของประเทศไทยให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งๆ ขึ้น พร้อมกล่าวขอขอบคุณคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย และ เจ้าหน้าที่ทุกคน ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาวงการกีฬาของไทยให้มีคุณภาพ สามารถแข่งขันกับนานาอารยประเทศได้อย่างทัดเทียมมากขึ้น และขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโปรดดลบันดาลให้นักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทุกคน ประสบความสําเร็จในการแข่งขันครั้งนี้ เพื่อนําชื่อเสียงมาสู่ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ พร้อมทั้งขอให้เดินทางไปและกลับโดยสวัสดิภาพ
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการบริหารการกีฬาทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ตลอดจนทีมเชียร์กีฬาที่ไปร่วมงานแข่งขันครั้งนี้ด้วยอัธยาศัยอันดี
..............................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.ประวิตรฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ นำคณะเจ้าหน้าที่และนักกีฬาไทยที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561
รอง นรม. พล.อ.ประวิตรฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ นําคณะเจ้าหน้าที่และนักกีฬาไทยที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ นําคณะเจ้าหน้าที่และนักกีฬาไทยฯ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี พร้อมกล่าวให้ทุกคนเก็บเกี่ยวประสบการณ์กลับมา ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ทุกประสบการณ์มีความสําคัญ สามารถนํามาเป็นบทเรียนและปรับใช้ได้เสมอ
วันนี้ (6 สิงหาคม 2561) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นําคณะเจ้าหน้าที่และนักกีฬาไทยที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 (18 ส.ค. - 2 ก.ย. 61) เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีพร้อมรับโอวาท
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงานว่า การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม ถึง วันที่ 2 กันยายน 2561 นั้น ได้รับความรวมมือจากกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาฯ พร้อมภาคเอกชน และรัฐบาลที่ร่วมสนับสนุน ซึ่งมีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ร่วมเดินทางมาในการแข่งขันทั้งหมด 1,220 คน ใน 38 ชนิดกีฬา
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวโอวาทตอนหนึ่งว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาพบกับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่จะไปทําหน้าที่ในนามประเทศไทยในการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ในระหว่าง วันที่ 18 สิงหาคม ถึง วันที่ 2 กันยายน นี้ และขอชื่นชมทุกคนที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศไทยในการเข้าร่วมแข่งกีฬาในระดับเอเชีย ซึ่งเชื่อว่าทุกคนจะต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก ด้วยความมุ่งมั่น ความอดทน ความพากเพียร และการอุทิศตนในการฝึกซ้อมอย่างสม่ําเสมอ มีระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด จนสามารถพัฒนาทักษะความสามารถให้เกิดความเชี่ยวชาญ และเป็นตัวแทนของประเทศในการไปแข่งขันครั้งนี้อย่างเต็มภาคภูมิเพื่อนําชื่อเสียง มาสู่ประเทศไทย รวมทั้งการสร้างความเชื่อมโยงต่อกันด้วยกีฬาจะช่วยสร้างความสามัคคี สร้างมิตรภาพ ระหว่างนักกีฬาชาติต่าง ๆ ซึ่งสามารถนําไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาหรือการแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกันได้ของภูมิภาคนี้
ทั้งนี้ การแข่งขันกีฬาต้องอาศัยองค์ประกอบหลายด้าน รวมทั้งการทํางานเป็นทีมทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ซึ่งล้วนมีความสําคัญทั้งหมดเพราะทุกคนจะเป็นกลไกในการสร้างความสําเร็จให้เกิดขึ้น ด้วยความสามัคคีและความตั้งใจทํางานในหน้าที่ของตนอย่างเต็มกําลังความสามารถ นายกรัฐมนตรีจึงขอขอบคุณทุกฝ่ายที่มีส่วนสําคัญ ในความสําเร็จของคณะนักกีฬาไทย ทั้งครูผู้ฝึกสอน ทีมแพทย์ คณะกรรมการ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่ได้ทุ่มเทฝึกซ้อมและดูแลพัฒนาการกีฬาให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ และสามารถไปเป็นตัวแทนของประเทศในการแข่งขันครั้งนี้ จึงขอให้ทุกคนเก็บเกี่ยวประสบการณ์กลับมา ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ทุกประสบการณ์มีความสําคัญ สามารถนํามาเป็นบทเรียนและปรับใช้ได้เสมอ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเป็นกําลังใจให้ทุกคนทําหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด ขอให้ตระหนักถึงสาระสําคัญว่าการแข่งขันกีฬานั้นไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่การแพ้การชนะเพียงอย่างเดียว เพราะหากชนะมาโดยไร้มิตรภาพ มันก็ไม่มีความสําคัญอะไรเลย เพราะผิดวัตถุประสงค์ของการกีฬาที่แท้จริง แต่ทุกคนต้องมีน้ําใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และนําบทเรียนในระหว่างการแข่งขันกลับมาพัฒนาตนเองให้ก้าวต่อไปในวันข้างหน้าที่ดีกว่า และกลับมาเป็นแบบอย่างและช่วยกันพัฒนาวงการกีฬาของประเทศไทยให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งๆ ขึ้น พร้อมกล่าวขอขอบคุณคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย และ เจ้าหน้าที่ทุกคน ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาวงการกีฬาของไทยให้มีคุณภาพ สามารถแข่งขันกับนานาอารยประเทศได้อย่างทัดเทียมมากขึ้น และขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโปรดดลบันดาลให้นักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทุกคน ประสบความสําเร็จในการแข่งขันครั้งนี้ เพื่อนําชื่อเสียงมาสู่ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ พร้อมทั้งขอให้เดินทางไปและกลับโดยสวัสดิภาพ
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการบริหารการกีฬาทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ตลอดจนทีมเชียร์กีฬาที่ไปร่วมงานแข่งขันครั้งนี้ด้วยอัธยาศัยอันดี
..............................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14389
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
|
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ณ ห้องประชุม 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (2 มิถุนายน 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมี นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุม 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
รองปลัดวรวรรณฯ เป็นประธานการประชุมโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ณ ห้องประชุม 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (2 มิถุนายน 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมี นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุม 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31869
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จัดประชุมปฏิบัติการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาระดับภาค 6 ภาคทั่วประเทศ
|
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561
ศธ.จัดประชุมปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาระดับภาค 6 ภาคทั่วประเทศ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับฟังผลการประชุม มอบนโยบาย และเป็นประธานปิดการประชุมปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาระดับภาค ของกระทรวงศึกษาธิการ ทั้ง 6 ภาคทั่วประเทศ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับฟังผลการประชุม มอบนโยบาย และเป็นประธานปิดการประชุมปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาระดับภาค ของกระทรวงศึกษาธิการทั้ง6ภาคทั่วประเทศ เมื่อวันพุธที่7กุมภาพันธ์2561ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพฯโดยมีนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ, ผู้บริหารองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ, ศึกษาธิการภาค, ศึกษาธิการจังหวัด, ผู้บริหารส่วนราชการระดับภาคและจังหวัด, เครือข่ายอุดมศึกษาภาค, ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะหัวหน้ากลุ่มจังหวัดภาค, ผู้แทนคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาค, ผู้แทนสภาหอการค้า และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกว่า300คน
น.ส.นิติยา หลานไทย ผู้อํานวยการสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สนย.สป.)กล่าวถึงการประชุมปฏิบัติการในครั้งนี้ว่า เป็นการดําเนินการต่อจากการจัดทําข้อเสนองบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2562(Pre-Ceiling)ของแผนงานพัฒนาพื้นที่ระดับภาค ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้เสนอต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (อ.ก.บ.ภ.) ทั้ง 6 ภาคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เพื่อให้คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค ทั้ง 6 ภาค มีกรอบและแนวทางการจัดทําแผนบูรณาการ ที่มีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาและแนวทางดําเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันจึงได้มีการประชุมปฏิบัติการในครั้งนี้ขึ้น ระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อชี้แจงกรอบและแนวทางการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาคของ ศธ. ตลอดจนสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และร่วมกันกําหนดกระบวนการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาระดับภาคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รองศึกษาธิการภาค รักษาการในตําแหน่งศึกษาธิการภาคได้นําเสนอแผนพัฒนาด้านการศึกษาระดับภาค เป็นรายภาคดังนี้
ภาคเหนือมีประเด็นการศึกษาดังนี้
เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการต่อเนื่องให้มีคุณภาพ สามารถสร้างมูลราคาเพิ่มอย่างยั่งยืน และกระจายประโยชน์อย่างทั่วถึง
เพื่อยกระดับฐานการผลิตเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัย เชื่อมโยงสู่อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปที่สร้างมูลค่าเพิ่ม
เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาความยากจน พัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุอย่างมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน และยกระดับทักษะฝีมือแรงงานภาคบริการ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีประเด็นการศึกษา ดังนี้
เพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจน และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม
เพื่อการสร้างความเข้มแข็งของฐานเศรษฐกิจภายใน ควบคู่กับการแก้ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ภาคกลางและพื้นที่กรุงเทพมหานครมีประเด็นการศึกษา ดังนี้
เพื่อการพัฒนากรุงเทพเป็นมหานครที่ทันสมัยระดับโลก ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิต และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเมือง
เพื่อการพัฒนาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และสร้างความเชื่อมโยง เพื่อกระจายการท่องเที่ยวทั่วทั้งภาค
เพื่อการยกระดับการผลิตสินค้าและอุตสาหกรรม โดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
ภาคตะวันออกมีประเด็นการศึกษา ดังนี้
เพื่อการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ดี และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
พัฒนาบุคลากรทางการศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยี เพื่อผลิตกําลังคนให้ตรงกับความต้องการอุตสาหกรรมเป้าหมาย และก่อให้เกิดการวิจัยสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยี ในการต่อยอดและขับเคลื่อนการพัฒนาในพื้นที่อย่างยั่งยืน เช่น EEC of Digital Park และ EEC of innovation
เพื่อการร่วมแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติที่มีความวิกฤตและจัดระบบการบริหารจัดการมลพิษให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
เพื่อการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนให้เป็นประตูเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อการปรับปรุงมาตรฐานสินค้า และธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยว
เป็นเลิศด้านการศึกษาสู่การพัฒนาในระดับอาเซียน
ภาคใต้มีประเด็นการศึกษา ดังนี้
เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวของภาคให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพชั้นนําของโลก เช่น พัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวให้มีความหลากหลาย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวที่สําคัญของภาค
เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปยางพาราและปาล์มน้ํามันแห่งใหม่ของประเทศ เช่น เพื่อการส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวโดยชุมชนให้เข้มแข็งและสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่
เพื่อการพัฒนาและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีชีวภาพและนวัตกรรมการผลิตด้านการเกษตร การแปรรูปผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อการพัฒนา การผลิตสินค้าเกษตรหลักของภาค เช่น การส่งเสริมเกษตรกรรุ่นใหม่ให้มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตและการบริหารจัดการฟาร์มอย่างเป็นธรรม
ภาคใต้ชายแดนมีประเด็นการศึกษา ดังนี้
เพื่อการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน
เพื่อการพัฒนาและสนับสนุนทักษะฝีมือแรงงาน ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ทั้งในพื้นที่และต่างประเทศ และรองรับการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เมืองการค้าและเมืองท่องเที่ยวชายแดน
เพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษา สนับสนุนการศึกษาเพื่อประกอบอาชีพ สร้างโอกาสในการเรียนระดับอาชีวศึกษาที่มีการพัฒนาทักษะการทํางานพร้อมการประกอบอาชีพ และสนับสนุนการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพทุกระดับ
เพื่อสร้างความเข้มแข็งสังคมพหุวัฒนธรรม สร้างความเข้าใจและยอมรับในการอยู่ร่วมกันของสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างสันติสุข และรักษาอัตลักษณ์วัฒนธรรม
เพื่อการพัฒนาเมืองสุไหงโก-ลก และเมืองเบตง ให้เป็นเมืองการค้าและการท่องเที่ยวชายแดน
เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับภาคการผลิต
เพื่อให้ปี 2561 เป็นปีแห่งการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มุ่งเน้นให้เกิดผลสําเร็จเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการศึกษาที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับบริบทของพื้นที่ในสังคมพหุวัฒนธรรม ที่มีอัตลักษณ์ ศาสนาและวัฒนธรรมเฉพาะของพื้นที่
การศึกษาเพื่อมีอาชีพและการมีงานทํา
สนับสนุนการเสริมสร้างความมั่นคงในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวสรุปเพิ่มเติมภายหลังรับฟังการนําเสนอว่า ข้อมูลจากการประชุมในวันนี้ ทําให้มองเห็นความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนของแต่ละภาคได้ชัดเจนมากขึ้น ประเด็นสําคัญที่จะเพิ่มเติม คือ"เรื่องของคําของบประมาณ"ที่จะต้องระบุหน่วยเบิกจ่ายที่ชัดเจน ด้านวัตถุประสงค์ของโครงการและกิจกรรมที่จะดําเนินการจะต้องมีความสอดคล้องกับอํานาจ หน้าที่ และภารกิจตามกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานเป็นสําคัญ ในการระบุหน่วยงานระดับพื้นที่ควรจะต้องสอดคล้องกับพื้นที่ดําเนินการโครงการ
ดังนั้น การกําหนดแผนจะต้องเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาการศึกษาระดับภาค กรอบความคิดต้องตอบโจทย์จะได้เห็นภาพทั้งระบบ กรอบแนวคิดของแต่ละภาคที่ได้นําเสนอมา อาจจะต้องมีการปรับให้รายละเอียดมีความชัดเจนมากขึ้น
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวภายหลังที่ได้รับฟังในครั้งนี้ว่า ยินดีที่ได้มาพบปะกันอีกครั้ง ถือว่าได้ทํางานร่วมกันมาอย่างเข้มแข็ง จนเกิดผลในทางปฏิบัติที่มีความก้าวหน้ามากขึ้นตามลําดับ ชื่นชมกับการทํางานร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และดีใจที่ได้เห็นถึงความก้าวหน้าไปทีละส่วน โดยเฉพาะการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (อ.ก.บ.ภ.)ซึ่งจะต้องเตรียมการกันต่อไป
สิ่งที่เราได้ร่วมดําเนินการกันมาในวันนี้ ล้วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางที่สําคัญไว้ว่า ประเทศไทยเป็นพื้นที่พิเศษทั้งหมดศธ.จึงต้องให้ความสําคัญในเรื่องของการศึกษาเป็นพิเศษ คือ 76+1 จังหวัด ให้เป็นพื้นที่พิเศษทั้งหมด โดยประชาชนเป็นศูนย์กลาง และให้การศึกษาเป็นพื้นฐานที่สําคัญต่อการดําเนินงานในเรื่องต่าง ๆ
ที่ผ่านมา ศธ.ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบวางแผนขับเคลื่อนการจัดการศึกษาในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ ให้เกิดผลในทางปฏิบัติของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยเฉพาะพื้นที่พิเศษซึ่งหมายถึงพื้นที่จังหวัดชายแดน 27 จังหวัด, พื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้, พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนรอบประเทศ 10 พื้นที่, การพัฒนา3เมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก (EEC) ใน3จังหวัดภาคตะวันออกซึ่งต่อมาได้ดําเนินการให้ทุกพื้นที่เป็นพื้นที่พิเศษที่มีมิติที่แตกต่างกัน
ดังนั้นการดําเนินการในทุกพื้นที่ จะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ เพื่อการพัฒนาพื้นที่ระดับภาค ประจําปีงบประมาณ 2562 ของสํานักงบประมาณ ซึ่งมีกรอบแนวคิดการดําเนินการต่อไปในภาพรวมของทุกภาคในเบื้องต้น ดังนี้
ให้ความสําคัญในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การผลิตและพัฒนาคนให้ตรงกับความต้องการของประเทศ การบริหารจัดการโครงการสําคัญ
น้อมนําพระราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 รวมทั้งศาสตร์พระราชาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9มาช่วยวิเคราะห์เพื่อกําหนดโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนบูรณาการศึกษาในทุกภาค ภายใต้สูตรการสร้างความสําเร็จ คือ ความเพียร + ความร่วมมือ + ประชารัฐ
มีกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลที่ครบถ้วนในทุกมิติเพื่อให้การจัดการศึกษาในทุกระดับสามารถ
บูรณาการร่วมกัน ตอบสนองเป้าหมายของการพัฒนาพื้นที่
ร่วมวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาในระดับภาค และวางแผนการจัดการศึกษาตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับการทํางานของภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ในรูปแบบโครงการสานพลังประชารัฐ และตลาดงานทั้งหมดเพื่อให้ได้กําลังคนที่ตอบโจทย์การพัฒนาพื้นที่ภูมิภาคและประเทศให้มากที่สุด
นําศักยภาพของแต่ละพื้นที่มาวิเคราะห์กําหนดเป็นจุดแข็งและโอกาสในการจัดทําแผนบูรณาการการศึกษาและแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพิ่มการสร้างการรับรู้ความเข้าใจในสาระสําคัญและโครงการต่าง ๆ ให้แก่ทุกภาคส่วน ในการขับเคลื่อนแผนบูรณาการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้กําหนดเป้าหมายในการดําเนินงานการขับเคลื่อนแผนบูรณาการ
ด้านการศึกษาระดับภาค ของกระทรวงศึกษาธิการ 6 ด้าน คือ 1) จัดระเบียบกลไกภาค 2) จัดทําแผนระดับภาค 3) จัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษาครอบคลุมทั้ง 6 ภาค เพื่อจัดทําฐานข้อมูลโครงข่ายใหญ่เพื่อเข้าสู่ระบบ Big Data 4) เตรียมจัดตั้งศูนย์พัฒนาบุคลากรระดับภาค 5) เตรียมการประเมินคุณภาพการศึกษา 6) ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน
"การทํางานบางครั้งก็จะต้องเจอกับปัญหา แต่การเจอปัญหาไม่ใช่จะก้าวผ่านไปโดยไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เพื่อที่จะไปมองหาโอกาส ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นก็ค่อยแก้ไขกันไป ซึ่งการดําเนินงานอะไรก็ตามจะต้องมีการประเมิน แต่ไม่ใช่ประเมินเพื่อให้เกิดการแข่งขัน ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น แต่ต้องการประเมินเพื่อทบทวนว่าสิ่งไหนที่ดีก็ให้ดําเนินการต่อไป สิ่งไหนที่เป็นปัญหาและเป็นจุดเล็ก ๆ ก็ขอให้ช่วยกันปรับไป รักษาสิ่งที่ดีไว้และพัฒนาต่อให้ดีขึ้นไปอีก
ขอขอบคุณทุกคนที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนให้การดําเนินงานครั้งนี้บรรลุผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม หวังว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมให้คณะกรรมการระดับภาค มีศักยภาพและบทบาทที่ส่งผลไปสู่การขับเคลื่อนการดําเนินการตามแผนพัฒนาภาคยุทธศาสตร์ที่ได้ดําเนินการมา
ที่สําคัญ ขอให้คณะกรรมการทุกคณะ สร้างการรับรู้ในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานมีความสอดคล้องให้ตรงกับความต้องการในพื้นที่อย่างแท้จริงต่อไป"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
7ก.พ.2561
จงจิตร ฟองละแอ:สรุป
บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง
ธเนศ งามสถิร:ถ่ายภาพ
กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.:รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จัดประชุมปฏิบัติการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาระดับภาค 6 ภาคทั่วประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561
ศธ.จัดประชุมปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาระดับภาค 6 ภาคทั่วประเทศ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับฟังผลการประชุม มอบนโยบาย และเป็นประธานปิดการประชุมปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาระดับภาค ของกระทรวงศึกษาธิการ ทั้ง 6 ภาคทั่วประเทศ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับฟังผลการประชุม มอบนโยบาย และเป็นประธานปิดการประชุมปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาระดับภาค ของกระทรวงศึกษาธิการทั้ง6ภาคทั่วประเทศ เมื่อวันพุธที่7กุมภาพันธ์2561ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพฯโดยมีนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ, ผู้บริหารองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ, ศึกษาธิการภาค, ศึกษาธิการจังหวัด, ผู้บริหารส่วนราชการระดับภาคและจังหวัด, เครือข่ายอุดมศึกษาภาค, ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะหัวหน้ากลุ่มจังหวัดภาค, ผู้แทนคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาค, ผู้แทนสภาหอการค้า และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกว่า300คน
น.ส.นิติยา หลานไทย ผู้อํานวยการสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สนย.สป.)กล่าวถึงการประชุมปฏิบัติการในครั้งนี้ว่า เป็นการดําเนินการต่อจากการจัดทําข้อเสนองบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2562(Pre-Ceiling)ของแผนงานพัฒนาพื้นที่ระดับภาค ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้เสนอต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (อ.ก.บ.ภ.) ทั้ง 6 ภาคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เพื่อให้คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค ทั้ง 6 ภาค มีกรอบและแนวทางการจัดทําแผนบูรณาการ ที่มีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาและแนวทางดําเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันจึงได้มีการประชุมปฏิบัติการในครั้งนี้ขึ้น ระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อชี้แจงกรอบและแนวทางการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาคของ ศธ. ตลอดจนสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และร่วมกันกําหนดกระบวนการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาระดับภาคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รองศึกษาธิการภาค รักษาการในตําแหน่งศึกษาธิการภาคได้นําเสนอแผนพัฒนาด้านการศึกษาระดับภาค เป็นรายภาคดังนี้
ภาคเหนือมีประเด็นการศึกษาดังนี้
เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการต่อเนื่องให้มีคุณภาพ สามารถสร้างมูลราคาเพิ่มอย่างยั่งยืน และกระจายประโยชน์อย่างทั่วถึง
เพื่อยกระดับฐานการผลิตเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัย เชื่อมโยงสู่อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปที่สร้างมูลค่าเพิ่ม
เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาความยากจน พัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุอย่างมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน และยกระดับทักษะฝีมือแรงงานภาคบริการ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีประเด็นการศึกษา ดังนี้
เพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจน และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม
เพื่อการสร้างความเข้มแข็งของฐานเศรษฐกิจภายใน ควบคู่กับการแก้ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ภาคกลางและพื้นที่กรุงเทพมหานครมีประเด็นการศึกษา ดังนี้
เพื่อการพัฒนากรุงเทพเป็นมหานครที่ทันสมัยระดับโลก ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิต และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเมือง
เพื่อการพัฒนาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และสร้างความเชื่อมโยง เพื่อกระจายการท่องเที่ยวทั่วทั้งภาค
เพื่อการยกระดับการผลิตสินค้าและอุตสาหกรรม โดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
ภาคตะวันออกมีประเด็นการศึกษา ดังนี้
เพื่อการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ดี และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
พัฒนาบุคลากรทางการศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยี เพื่อผลิตกําลังคนให้ตรงกับความต้องการอุตสาหกรรมเป้าหมาย และก่อให้เกิดการวิจัยสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยี ในการต่อยอดและขับเคลื่อนการพัฒนาในพื้นที่อย่างยั่งยืน เช่น EEC of Digital Park และ EEC of innovation
เพื่อการร่วมแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติที่มีความวิกฤตและจัดระบบการบริหารจัดการมลพิษให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
เพื่อการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนให้เป็นประตูเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อการปรับปรุงมาตรฐานสินค้า และธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยว
เป็นเลิศด้านการศึกษาสู่การพัฒนาในระดับอาเซียน
ภาคใต้มีประเด็นการศึกษา ดังนี้
เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวของภาคให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพชั้นนําของโลก เช่น พัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวให้มีความหลากหลาย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวที่สําคัญของภาค
เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปยางพาราและปาล์มน้ํามันแห่งใหม่ของประเทศ เช่น เพื่อการส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวโดยชุมชนให้เข้มแข็งและสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่
เพื่อการพัฒนาและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีชีวภาพและนวัตกรรมการผลิตด้านการเกษตร การแปรรูปผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อการพัฒนา การผลิตสินค้าเกษตรหลักของภาค เช่น การส่งเสริมเกษตรกรรุ่นใหม่ให้มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตและการบริหารจัดการฟาร์มอย่างเป็นธรรม
ภาคใต้ชายแดนมีประเด็นการศึกษา ดังนี้
เพื่อการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน
เพื่อการพัฒนาและสนับสนุนทักษะฝีมือแรงงาน ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ทั้งในพื้นที่และต่างประเทศ และรองรับการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เมืองการค้าและเมืองท่องเที่ยวชายแดน
เพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษา สนับสนุนการศึกษาเพื่อประกอบอาชีพ สร้างโอกาสในการเรียนระดับอาชีวศึกษาที่มีการพัฒนาทักษะการทํางานพร้อมการประกอบอาชีพ และสนับสนุนการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพทุกระดับ
เพื่อสร้างความเข้มแข็งสังคมพหุวัฒนธรรม สร้างความเข้าใจและยอมรับในการอยู่ร่วมกันของสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างสันติสุข และรักษาอัตลักษณ์วัฒนธรรม
เพื่อการพัฒนาเมืองสุไหงโก-ลก และเมืองเบตง ให้เป็นเมืองการค้าและการท่องเที่ยวชายแดน
เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับภาคการผลิต
เพื่อให้ปี 2561 เป็นปีแห่งการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มุ่งเน้นให้เกิดผลสําเร็จเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการศึกษาที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับบริบทของพื้นที่ในสังคมพหุวัฒนธรรม ที่มีอัตลักษณ์ ศาสนาและวัฒนธรรมเฉพาะของพื้นที่
การศึกษาเพื่อมีอาชีพและการมีงานทํา
สนับสนุนการเสริมสร้างความมั่นคงในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวสรุปเพิ่มเติมภายหลังรับฟังการนําเสนอว่า ข้อมูลจากการประชุมในวันนี้ ทําให้มองเห็นความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนของแต่ละภาคได้ชัดเจนมากขึ้น ประเด็นสําคัญที่จะเพิ่มเติม คือ"เรื่องของคําของบประมาณ"ที่จะต้องระบุหน่วยเบิกจ่ายที่ชัดเจน ด้านวัตถุประสงค์ของโครงการและกิจกรรมที่จะดําเนินการจะต้องมีความสอดคล้องกับอํานาจ หน้าที่ และภารกิจตามกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานเป็นสําคัญ ในการระบุหน่วยงานระดับพื้นที่ควรจะต้องสอดคล้องกับพื้นที่ดําเนินการโครงการ
ดังนั้น การกําหนดแผนจะต้องเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาการศึกษาระดับภาค กรอบความคิดต้องตอบโจทย์จะได้เห็นภาพทั้งระบบ กรอบแนวคิดของแต่ละภาคที่ได้นําเสนอมา อาจจะต้องมีการปรับให้รายละเอียดมีความชัดเจนมากขึ้น
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวภายหลังที่ได้รับฟังในครั้งนี้ว่า ยินดีที่ได้มาพบปะกันอีกครั้ง ถือว่าได้ทํางานร่วมกันมาอย่างเข้มแข็ง จนเกิดผลในทางปฏิบัติที่มีความก้าวหน้ามากขึ้นตามลําดับ ชื่นชมกับการทํางานร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และดีใจที่ได้เห็นถึงความก้าวหน้าไปทีละส่วน โดยเฉพาะการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (อ.ก.บ.ภ.)ซึ่งจะต้องเตรียมการกันต่อไป
สิ่งที่เราได้ร่วมดําเนินการกันมาในวันนี้ ล้วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางที่สําคัญไว้ว่า ประเทศไทยเป็นพื้นที่พิเศษทั้งหมดศธ.จึงต้องให้ความสําคัญในเรื่องของการศึกษาเป็นพิเศษ คือ 76+1 จังหวัด ให้เป็นพื้นที่พิเศษทั้งหมด โดยประชาชนเป็นศูนย์กลาง และให้การศึกษาเป็นพื้นฐานที่สําคัญต่อการดําเนินงานในเรื่องต่าง ๆ
ที่ผ่านมา ศธ.ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบวางแผนขับเคลื่อนการจัดการศึกษาในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ ให้เกิดผลในทางปฏิบัติของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยเฉพาะพื้นที่พิเศษซึ่งหมายถึงพื้นที่จังหวัดชายแดน 27 จังหวัด, พื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้, พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนรอบประเทศ 10 พื้นที่, การพัฒนา3เมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก (EEC) ใน3จังหวัดภาคตะวันออกซึ่งต่อมาได้ดําเนินการให้ทุกพื้นที่เป็นพื้นที่พิเศษที่มีมิติที่แตกต่างกัน
ดังนั้นการดําเนินการในทุกพื้นที่ จะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ เพื่อการพัฒนาพื้นที่ระดับภาค ประจําปีงบประมาณ 2562 ของสํานักงบประมาณ ซึ่งมีกรอบแนวคิดการดําเนินการต่อไปในภาพรวมของทุกภาคในเบื้องต้น ดังนี้
ให้ความสําคัญในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การผลิตและพัฒนาคนให้ตรงกับความต้องการของประเทศ การบริหารจัดการโครงการสําคัญ
น้อมนําพระราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 รวมทั้งศาสตร์พระราชาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9มาช่วยวิเคราะห์เพื่อกําหนดโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนบูรณาการศึกษาในทุกภาค ภายใต้สูตรการสร้างความสําเร็จ คือ ความเพียร + ความร่วมมือ + ประชารัฐ
มีกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลที่ครบถ้วนในทุกมิติเพื่อให้การจัดการศึกษาในทุกระดับสามารถ
บูรณาการร่วมกัน ตอบสนองเป้าหมายของการพัฒนาพื้นที่
ร่วมวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาในระดับภาค และวางแผนการจัดการศึกษาตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับการทํางานของภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ในรูปแบบโครงการสานพลังประชารัฐ และตลาดงานทั้งหมดเพื่อให้ได้กําลังคนที่ตอบโจทย์การพัฒนาพื้นที่ภูมิภาคและประเทศให้มากที่สุด
นําศักยภาพของแต่ละพื้นที่มาวิเคราะห์กําหนดเป็นจุดแข็งและโอกาสในการจัดทําแผนบูรณาการการศึกษาและแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพิ่มการสร้างการรับรู้ความเข้าใจในสาระสําคัญและโครงการต่าง ๆ ให้แก่ทุกภาคส่วน ในการขับเคลื่อนแผนบูรณาการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้กําหนดเป้าหมายในการดําเนินงานการขับเคลื่อนแผนบูรณาการ
ด้านการศึกษาระดับภาค ของกระทรวงศึกษาธิการ 6 ด้าน คือ 1) จัดระเบียบกลไกภาค 2) จัดทําแผนระดับภาค 3) จัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษาครอบคลุมทั้ง 6 ภาค เพื่อจัดทําฐานข้อมูลโครงข่ายใหญ่เพื่อเข้าสู่ระบบ Big Data 4) เตรียมจัดตั้งศูนย์พัฒนาบุคลากรระดับภาค 5) เตรียมการประเมินคุณภาพการศึกษา 6) ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน
"การทํางานบางครั้งก็จะต้องเจอกับปัญหา แต่การเจอปัญหาไม่ใช่จะก้าวผ่านไปโดยไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เพื่อที่จะไปมองหาโอกาส ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นก็ค่อยแก้ไขกันไป ซึ่งการดําเนินงานอะไรก็ตามจะต้องมีการประเมิน แต่ไม่ใช่ประเมินเพื่อให้เกิดการแข่งขัน ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น แต่ต้องการประเมินเพื่อทบทวนว่าสิ่งไหนที่ดีก็ให้ดําเนินการต่อไป สิ่งไหนที่เป็นปัญหาและเป็นจุดเล็ก ๆ ก็ขอให้ช่วยกันปรับไป รักษาสิ่งที่ดีไว้และพัฒนาต่อให้ดีขึ้นไปอีก
ขอขอบคุณทุกคนที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนให้การดําเนินงานครั้งนี้บรรลุผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม หวังว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมให้คณะกรรมการระดับภาค มีศักยภาพและบทบาทที่ส่งผลไปสู่การขับเคลื่อนการดําเนินการตามแผนพัฒนาภาคยุทธศาสตร์ที่ได้ดําเนินการมา
ที่สําคัญ ขอให้คณะกรรมการทุกคณะ สร้างการรับรู้ในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานมีความสอดคล้องให้ตรงกับความต้องการในพื้นที่อย่างแท้จริงต่อไป"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
7ก.พ.2561
จงจิตร ฟองละแอ:สรุป
บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง
ธเนศ งามสถิร:ถ่ายภาพ
กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.:รายงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9947
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สิ่งที่นักออกกำลังกายควรรู้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563
สิ่งที่นักออกกําลังกายควรรู้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19
สายออกกําลังกายควรรู้อะไรบ้างนะ
โควิด-19 แพร่เชื้อในขณะออกกําลังกายได้ถึง 20 เมตร
-เดินออกกําลังกาย สามารถแพร่เชื้อได้ไกล 4-5 เมตร
-วิ่งหรือปั่นจักรยานช้าๆ สามารถแพร่เชื้อได้ไกล 10 เมตร
-ปั่นจักรยานเร็วมากๆ สามารถแพร่เชื้อได้ไกล 20 เมตร
-การไอ จาม สามารถแพร่เชื้อได้ไกล 2 เมตร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สิ่งที่นักออกกำลังกายควรรู้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563
สิ่งที่นักออกกําลังกายควรรู้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19
สายออกกําลังกายควรรู้อะไรบ้างนะ
โควิด-19 แพร่เชื้อในขณะออกกําลังกายได้ถึง 20 เมตร
-เดินออกกําลังกาย สามารถแพร่เชื้อได้ไกล 4-5 เมตร
-วิ่งหรือปั่นจักรยานช้าๆ สามารถแพร่เชื้อได้ไกล 10 เมตร
-ปั่นจักรยานเร็วมากๆ สามารถแพร่เชื้อได้ไกล 20 เมตร
-การไอ จาม สามารถแพร่เชื้อได้ไกล 2 เมตร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29171
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. เข้าเยี่ยมคำนับและหารือกับ สมเด็จฯ ฮุน เซน
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562
รอง นรม. และ รมว.กห. เข้าเยี่ยมคํานับและหารือกับ สมเด็จฯ ฮุน เซน
หลังจากการประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ( GBC ) ไทย - กัมพูชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้รับเกียรติเข้าเยี่ยมคํานับ และร่วมรับประทานอาหารกลางวัน กับ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน และคณะ ณ ทําเนียบนายกรัฐมนตรี
หลังจากการประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ( GBC ) ไทย - กัมพูชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้รับเกียรติเข้าเยี่ยมคํานับ และร่วมรับประทานอาหารกลางวัน กับ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน และคณะ ณ ทําเนียบนายกรัฐมนตรี
โดยสมเด็จฯ ฮุน เซน ได้กล่าวสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งทรงให้ความอนุเคราะห์ สนับสนุนด้านการศึกษาและการสาธารณสุขแก่ประชาชนชาวกัมพูชาที่ผ่านมา ในขณะที่
พล.อ.ประวิตร’ ได้กล่าวว่า แสดงความปรารถนาดีและความระลึกถึง จาก พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นรม. พร้อมทั้งชื่นชมความสําเร็จของการจัดสร้างอนุสาวรีย์ ชนะ - ชนะ ที่แสดงถึงการต่อสู้รวมชาติและการปรองดองของประเทศ
ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันถึง แนวทางการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อหมุนเวียนและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตและต้องพึ่งพาอาศัยกันมากขึ้น โดยเห็นถึงความจําเป็นร่วมกัน ที่ต้องเพิ่มโอกาสและอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนในการสนับสนุน การค้า การลงทุน และการไปมาหาสู่กันระหว่างกันมากขึ้น โดยจําเป็นต้องจัดสร้างและเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมระหว่างกัน การขยายและเปิดจุดผ่านแดนร่วมกันมากขึ้น รวมทั้งการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวร่วมกัน ทั้งนี้ ต่างเห็นถึงความสําคัญของกลไกการประชุมทุกระดับ ที่ต้องมีการประชุมร่วมกันอย่างสม่ําเสมอ เพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือในผลประโยชน์ของชาติร่วมกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. เข้าเยี่ยมคำนับและหารือกับ สมเด็จฯ ฮุน เซน
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562
รอง นรม. และ รมว.กห. เข้าเยี่ยมคํานับและหารือกับ สมเด็จฯ ฮุน เซน
หลังจากการประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ( GBC ) ไทย - กัมพูชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้รับเกียรติเข้าเยี่ยมคํานับ และร่วมรับประทานอาหารกลางวัน กับ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน และคณะ ณ ทําเนียบนายกรัฐมนตรี
หลังจากการประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ( GBC ) ไทย - กัมพูชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้รับเกียรติเข้าเยี่ยมคํานับ และร่วมรับประทานอาหารกลางวัน กับ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน และคณะ ณ ทําเนียบนายกรัฐมนตรี
โดยสมเด็จฯ ฮุน เซน ได้กล่าวสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งทรงให้ความอนุเคราะห์ สนับสนุนด้านการศึกษาและการสาธารณสุขแก่ประชาชนชาวกัมพูชาที่ผ่านมา ในขณะที่
พล.อ.ประวิตร’ ได้กล่าวว่า แสดงความปรารถนาดีและความระลึกถึง จาก พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นรม. พร้อมทั้งชื่นชมความสําเร็จของการจัดสร้างอนุสาวรีย์ ชนะ - ชนะ ที่แสดงถึงการต่อสู้รวมชาติและการปรองดองของประเทศ
ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันถึง แนวทางการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อหมุนเวียนและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตและต้องพึ่งพาอาศัยกันมากขึ้น โดยเห็นถึงความจําเป็นร่วมกัน ที่ต้องเพิ่มโอกาสและอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนในการสนับสนุน การค้า การลงทุน และการไปมาหาสู่กันระหว่างกันมากขึ้น โดยจําเป็นต้องจัดสร้างและเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมระหว่างกัน การขยายและเปิดจุดผ่านแดนร่วมกันมากขึ้น รวมทั้งการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวร่วมกัน ทั้งนี้ ต่างเห็นถึงความสําคัญของกลไกการประชุมทุกระดับ ที่ต้องมีการประชุมร่วมกันอย่างสม่ําเสมอ เพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือในผลประโยชน์ของชาติร่วมกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18790
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ให้การต้อนรับคณะเยาวชนโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ประจำปี 2560 ณ ท่าเรือกรุงเทพ (โอ.บี.) เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
|
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560
ปลัด พม. ให้การต้อนรับคณะเยาวชนโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ประจําปี 2560 ณ ท่าเรือกรุงเทพ (โอ.บี.) เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
ปลัด พม. ให้การต้อนรับคณะเยาวชนโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ประจําปี 2560 ณ ท่าเรือกรุงเทพ (โอ.บี.) เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
วันที่ 16 พ.ย.60เวลา 14.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ได้มอบหมายให้ นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ให้การต้อนรับคณะเยาวชนโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ประจําปี 2560 พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ ผู้บริหารเรือ หัวหน้าคณะ ผู้นําเยาวชน และผู้ช่วยผู้นําเยาวชน เนื่องในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทย พร้อมร่วมกิจกรรมสําคัญ ระหว่างวันที่ 16-20 พฤศจิกายน 2560 ณ ท่าเรือกรุงเทพ (โอ.บี.) เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
นายพุฒิพัฒน์กล่าวว่า คณะเยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ประจําปี 2560 รุ่นที่ 44 พร้อม คณะผู้แทนจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ ผู้บริหารเรือ หัวหน้าคณะ ผู้นําเยาวชน และผู้ช่วยผู้นําเยาวชน ได้เดินทางทางด้วยเรือนิปปอนมารู และมาถึงท่าเรือกรุงเทพ (โอ.บี.) ในวันนี้ ตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาต้อนรับ คณะเยาวชนฯ พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียน เนื่องในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทย ทั้งนี้ คณะเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ นับเป็นก้าวสําคัญในการพัฒนาตนเองอย่างดียิ่ง ซึ่งประสบการณ์ในครั้งนี้จะมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อตนเองและทุกคน ซึ่งในอนาคตจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งตนเองและผู้คนรอบข้างในสังคม ทั้งนี้ ขอให้คณะเยาวชนทุกคน ใช้ช่วงเวลาในการเข้าร่วมโครงการฯ อย่างเต็มที่ และเปิดโลกทัศน์ของตนเองให้กว้างขึ้น โดยการเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ คณะเยาวชนต้องทําภารกิจร่วมกับเยาวชนไทย รวมทั้งการทัศนศึกษาสถานที่สําคัญของประเทศไทย
"ในนามรัฐบาลไทย ตนมีความยินดีต้อนรับคณะเยาวชนทุกคนสู่ประเทศไทย และหวังว่าทุกคนจะได้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ทั้งวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และสถานที่สําคัญ ทั้งนี้ ขอให้มีช่วงเวลาที่ดีอันน่าจดจํา ในช่วงพํานักอยู่ในประเทศไทย”นายพุฒิพัฒน์กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ให้การต้อนรับคณะเยาวชนโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ประจำปี 2560 ณ ท่าเรือกรุงเทพ (โอ.บี.) เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560
ปลัด พม. ให้การต้อนรับคณะเยาวชนโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ประจําปี 2560 ณ ท่าเรือกรุงเทพ (โอ.บี.) เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
ปลัด พม. ให้การต้อนรับคณะเยาวชนโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ประจําปี 2560 ณ ท่าเรือกรุงเทพ (โอ.บี.) เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
วันที่ 16 พ.ย.60เวลา 14.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ได้มอบหมายให้ นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ให้การต้อนรับคณะเยาวชนโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ประจําปี 2560 พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ ผู้บริหารเรือ หัวหน้าคณะ ผู้นําเยาวชน และผู้ช่วยผู้นําเยาวชน เนื่องในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทย พร้อมร่วมกิจกรรมสําคัญ ระหว่างวันที่ 16-20 พฤศจิกายน 2560 ณ ท่าเรือกรุงเทพ (โอ.บี.) เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
นายพุฒิพัฒน์กล่าวว่า คณะเยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ประจําปี 2560 รุ่นที่ 44 พร้อม คณะผู้แทนจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ ผู้บริหารเรือ หัวหน้าคณะ ผู้นําเยาวชน และผู้ช่วยผู้นําเยาวชน ได้เดินทางทางด้วยเรือนิปปอนมารู และมาถึงท่าเรือกรุงเทพ (โอ.บี.) ในวันนี้ ตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาต้อนรับ คณะเยาวชนฯ พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียน เนื่องในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทย ทั้งนี้ คณะเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ นับเป็นก้าวสําคัญในการพัฒนาตนเองอย่างดียิ่ง ซึ่งประสบการณ์ในครั้งนี้จะมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อตนเองและทุกคน ซึ่งในอนาคตจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งตนเองและผู้คนรอบข้างในสังคม ทั้งนี้ ขอให้คณะเยาวชนทุกคน ใช้ช่วงเวลาในการเข้าร่วมโครงการฯ อย่างเต็มที่ และเปิดโลกทัศน์ของตนเองให้กว้างขึ้น โดยการเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ คณะเยาวชนต้องทําภารกิจร่วมกับเยาวชนไทย รวมทั้งการทัศนศึกษาสถานที่สําคัญของประเทศไทย
"ในนามรัฐบาลไทย ตนมีความยินดีต้อนรับคณะเยาวชนทุกคนสู่ประเทศไทย และหวังว่าทุกคนจะได้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ทั้งวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และสถานที่สําคัญ ทั้งนี้ ขอให้มีช่วงเวลาที่ดีอันน่าจดจํา ในช่วงพํานักอยู่ในประเทศไทย”นายพุฒิพัฒน์กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8147
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์จับมือหน่วยงานทั้งไทยและเทศ ดันออร์แกนิกไทยสู่เวทีโลก
|
วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม 2560
พาณิชย์จับมือหน่วยงานทั้งไทยและเทศ ดันออร์แกนิกไทยสู่เวทีโลก
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศหันมาให้ความสําคัญกับการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ตลอดจนใช้ผลิตภัณฑ์ ที่ปลอดสารเคมีและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น
ส่งผลให้มีความต้องการบริโภคสินค้าออร์แกนิคเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย เกษตรอินทรีย์ หรือ ออกร์แกนิค นั้น จึงเป็นตัวเลือกที่อยู่ในลําดับต้นๆ ของกลุ่มคนที่หันกลับมาดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น ทั้งนี้ ในแง่ของผู้ผลิตสินค้าออกร์แกนิก นั้น นอกเหนือจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับมาตรฐานออร์แกนิคแล้ว การทําการตลาดผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะผู้ประกอบการต้องให้ความสําคัญเป็นอันดับต้นๆ โดยการพัฒนาตลาดสินค้า ออร์แกนิค นั้น มีสิ่งที่ต้องคํานึงถึงและให้ความสําคัญ อาทิ 1) การใช้ช่องทางการตลาดที่เหมาะสม ทั้งในรูปแบบดั้งเดิม เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต ชุมชนออร์แกนิค ร้านขายสินค้าออร์แกนิค ตลาดชุมชน และในรูปแบบของตลาดดิจิตอล ซึ่งผู้บริโภคสามารถที่จะเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา 2) การเจาะกลุ่มตลาด เช่น สมาชิก แฟรนไชส์ การท่องเที่ยวเชิงอนุลักษณ์ และความสวยความงาม ซึ่งแต่ละกลุ่มตลาดก็มีความต้องการที่แตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์การบริโภค 3) การสนับสนุนด้านการตลาด เช่น การมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ การขนส่งที่มีประสิทธิภาพ การสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ และการมีระบบการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยลดต้นทุนและยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ในสายตาของผู้บริโภคด้วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งในแวดวงผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคนั้น ความเชื่อถือในตัวผลิตภัณฑ์ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความสําคัญ เป็นอันมาก และ 4) ปัจจัยภายนอก เช่น การค้าที่เป็นธรรม การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน สวัสดิภาพของแรงงานและสัตว์ และความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ถูกใช้เป็นข้อกีดกันทางการค้าในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
สําหรับในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ นั้น ก็ได้มีการวางยุทธศาสตร์ด้านการตลาดสินค้าออร์แกนิค ปี 2560-2564 ซึ่งประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ที่สําคัญ ได้แก่ 1) การสร้างการรับรู้ของผู้ที่เกี่ยวข้องตลอด ห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนพัฒนาฐานข้อมูลที่มีความทันสมัย เพื่อรองรับการดําเนินการด้านการตลาดและ ก้าวทันต่อการการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมนี้ 2) ผลักดันมาตรฐานและระบบการรับรองออร์แกนิค โดยให้ความสําคัญกับการพัฒนาความรู้และมาตรฐานการผลิตเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคขอไทยได้รับความน่าเชื่อถือในตลาดต่างประเทศ 3) การพัฒนาและขยายตลาดสินค้าและบริการออร์แกนิค โดยส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายและตรงกับความต้องการของผู้บริโภค และ 4) การพัฒนาและสร้างมูลค่าสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับออร์แกนิค ทั้งในตลาดภายในและตลาดต่างประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มีการทํางานร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงมหาดไทย สมาคมออร์แกนิคแห่งประเทศไทย ท๊อปซุปเปอร์มาร์เก็ต เลมอนฟาร์ม และโมเดิร์นเทรดเป็นต้น โดยได้มีการดําเนินโครงการในรูปแบบต่างๆ เพื่อเข้าไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคร่วมกับชุมชนเพื่อ ให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของชุมชนนั้นได้คุณภาพและมาตรฐานจนถือมือผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลให้ชุมชน มีรายได้สามารถเลี้ยงครอบครัวได้เพิ่มสูงขึ้น โดยที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชนดําเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาออร์แกนิคของไทย แยกเป็นการส่งเสริมตลาดออร์แกนิคในประเทศ เช่น การเปิดโอกาสให้เกษตรกรจากประเทศได้เข้ามาเรียนรู้การทําเกษตรอินทรีย์และสร้างเครือข่ายกับเกษตรกรไทย (Opportunity on Organic Farm) การร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาและรับซื้อผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคจากชุมชน การส่งเสริมการตลาดสินค้าออร์แกนิคร่วมกับโมเดิร์นเทรดและห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ในส่วนของตลาดต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ได้สร้างเครือข่ายออร์แกนิกร่วมกับสมาคมการค้าออร์แกนิคของสหรัฐฯ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าออร์แกนิคระดับโลก เช่น ANUGA BioFach และ All Things Organic เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วกระทรวงพาณิชย์ก็พร้อมที่จะร่วมมือกับหน่วยงานด้านออร์แกนิคของประเทศในกลุ่มอาเซียนจัดการประชุมจัดตั้งสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์อาเซียน (The Federation of ASEAN Organic Producer and Trader Association) ขึ้น ในช่วงระหว่างงาน Organic & Natural Expo ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 27-30 กรกฎาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านออร์แกนิคระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน
“การประชุมจัดตั้งสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์อาเซียนนี้ ถือได้ว่าเป็นก้าวแรกในการสร้างความร่วมมือด้านออร์แกนิคระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ในอันที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของภูมิภาคนี้ให้กลายเป็นผู้นําด้านการผลิตสินค้าออร์แกนิค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในผลิตภัณฑ์ด้านอาหาร เนื่องจากอาเซียนถือได้ว่าเป็นภูมิภาคที่มีความสมบูรณ์และเพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรในด้านต่างๆ ที่จะเกื้อหนุนต่อการเป็นแหล่งอาหารปลอดภัยของโลกได้ แต่สิ่งสําคัญที่ต้องดําเนินการในระยะเวลาอันใกล้ คือ การพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านออร์แกนิค การใช้เทคโนโลยีการผลิต ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตลอดจนมีการพัฒนาฐานข้อมูลที่ทันสมัย เป็นต้น ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากทุกประเทศในอาเซียนช่วยกันผลักดันเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง” นางอภิรดี กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์จับมือหน่วยงานทั้งไทยและเทศ ดันออร์แกนิกไทยสู่เวทีโลก
วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม 2560
พาณิชย์จับมือหน่วยงานทั้งไทยและเทศ ดันออร์แกนิกไทยสู่เวทีโลก
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศหันมาให้ความสําคัญกับการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ตลอดจนใช้ผลิตภัณฑ์ ที่ปลอดสารเคมีและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น
ส่งผลให้มีความต้องการบริโภคสินค้าออร์แกนิคเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย เกษตรอินทรีย์ หรือ ออกร์แกนิค นั้น จึงเป็นตัวเลือกที่อยู่ในลําดับต้นๆ ของกลุ่มคนที่หันกลับมาดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น ทั้งนี้ ในแง่ของผู้ผลิตสินค้าออกร์แกนิก นั้น นอกเหนือจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับมาตรฐานออร์แกนิคแล้ว การทําการตลาดผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะผู้ประกอบการต้องให้ความสําคัญเป็นอันดับต้นๆ โดยการพัฒนาตลาดสินค้า ออร์แกนิค นั้น มีสิ่งที่ต้องคํานึงถึงและให้ความสําคัญ อาทิ 1) การใช้ช่องทางการตลาดที่เหมาะสม ทั้งในรูปแบบดั้งเดิม เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต ชุมชนออร์แกนิค ร้านขายสินค้าออร์แกนิค ตลาดชุมชน และในรูปแบบของตลาดดิจิตอล ซึ่งผู้บริโภคสามารถที่จะเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา 2) การเจาะกลุ่มตลาด เช่น สมาชิก แฟรนไชส์ การท่องเที่ยวเชิงอนุลักษณ์ และความสวยความงาม ซึ่งแต่ละกลุ่มตลาดก็มีความต้องการที่แตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์การบริโภค 3) การสนับสนุนด้านการตลาด เช่น การมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ การขนส่งที่มีประสิทธิภาพ การสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ และการมีระบบการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยลดต้นทุนและยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ในสายตาของผู้บริโภคด้วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งในแวดวงผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคนั้น ความเชื่อถือในตัวผลิตภัณฑ์ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความสําคัญ เป็นอันมาก และ 4) ปัจจัยภายนอก เช่น การค้าที่เป็นธรรม การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน สวัสดิภาพของแรงงานและสัตว์ และความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ถูกใช้เป็นข้อกีดกันทางการค้าในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
สําหรับในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ นั้น ก็ได้มีการวางยุทธศาสตร์ด้านการตลาดสินค้าออร์แกนิค ปี 2560-2564 ซึ่งประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ที่สําคัญ ได้แก่ 1) การสร้างการรับรู้ของผู้ที่เกี่ยวข้องตลอด ห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนพัฒนาฐานข้อมูลที่มีความทันสมัย เพื่อรองรับการดําเนินการด้านการตลาดและ ก้าวทันต่อการการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมนี้ 2) ผลักดันมาตรฐานและระบบการรับรองออร์แกนิค โดยให้ความสําคัญกับการพัฒนาความรู้และมาตรฐานการผลิตเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคขอไทยได้รับความน่าเชื่อถือในตลาดต่างประเทศ 3) การพัฒนาและขยายตลาดสินค้าและบริการออร์แกนิค โดยส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายและตรงกับความต้องการของผู้บริโภค และ 4) การพัฒนาและสร้างมูลค่าสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับออร์แกนิค ทั้งในตลาดภายในและตลาดต่างประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มีการทํางานร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงมหาดไทย สมาคมออร์แกนิคแห่งประเทศไทย ท๊อปซุปเปอร์มาร์เก็ต เลมอนฟาร์ม และโมเดิร์นเทรดเป็นต้น โดยได้มีการดําเนินโครงการในรูปแบบต่างๆ เพื่อเข้าไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคร่วมกับชุมชนเพื่อ ให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของชุมชนนั้นได้คุณภาพและมาตรฐานจนถือมือผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลให้ชุมชน มีรายได้สามารถเลี้ยงครอบครัวได้เพิ่มสูงขึ้น โดยที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชนดําเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาออร์แกนิคของไทย แยกเป็นการส่งเสริมตลาดออร์แกนิคในประเทศ เช่น การเปิดโอกาสให้เกษตรกรจากประเทศได้เข้ามาเรียนรู้การทําเกษตรอินทรีย์และสร้างเครือข่ายกับเกษตรกรไทย (Opportunity on Organic Farm) การร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาและรับซื้อผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคจากชุมชน การส่งเสริมการตลาดสินค้าออร์แกนิคร่วมกับโมเดิร์นเทรดและห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ในส่วนของตลาดต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ได้สร้างเครือข่ายออร์แกนิกร่วมกับสมาคมการค้าออร์แกนิคของสหรัฐฯ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าออร์แกนิคระดับโลก เช่น ANUGA BioFach และ All Things Organic เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วกระทรวงพาณิชย์ก็พร้อมที่จะร่วมมือกับหน่วยงานด้านออร์แกนิคของประเทศในกลุ่มอาเซียนจัดการประชุมจัดตั้งสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์อาเซียน (The Federation of ASEAN Organic Producer and Trader Association) ขึ้น ในช่วงระหว่างงาน Organic & Natural Expo ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 27-30 กรกฎาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านออร์แกนิคระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน
“การประชุมจัดตั้งสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์อาเซียนนี้ ถือได้ว่าเป็นก้าวแรกในการสร้างความร่วมมือด้านออร์แกนิคระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ในอันที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของภูมิภาคนี้ให้กลายเป็นผู้นําด้านการผลิตสินค้าออร์แกนิค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในผลิตภัณฑ์ด้านอาหาร เนื่องจากอาเซียนถือได้ว่าเป็นภูมิภาคที่มีความสมบูรณ์และเพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรในด้านต่างๆ ที่จะเกื้อหนุนต่อการเป็นแหล่งอาหารปลอดภัยของโลกได้ แต่สิ่งสําคัญที่ต้องดําเนินการในระยะเวลาอันใกล้ คือ การพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านออร์แกนิค การใช้เทคโนโลยีการผลิต ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตลอดจนมีการพัฒนาฐานข้อมูลที่ทันสมัย เป็นต้น ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากทุกประเทศในอาเซียนช่วยกันผลักดันเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง” นางอภิรดี กล่าว
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4130
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ อิสราเอล ลงนาม “ข้อตกลงการดำเนินการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยทำงานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล”
|
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563
ก.แรงงาน จับมือ อิสราเอล ลงนาม “ข้อตกลงการดําเนินการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยทํางานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล”
กระทรวงแรงงาน จัดพิธีลงนาม “ข้อตกลงการดําเนินการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยทํางานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล” เพื่อส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิของแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานภาคเกษตร
วันที่ 20 กรกฎาคม 2563 เวลา 15.00 น. หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงการดําเนินการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยทํางานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ซึ่งเป็นการลงนามระหว่างนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน ในนามของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และ H.E. Mr. Meir Shlomo เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจําประเทศไทย ในนามของหน่วยงานด้านประชากรและการตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงมหาดไทยรัฐอิสราเอล (PIBA) ณ ห้องประชุมจอมพล ป. พิบูลสงคราม ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ข้อตกลงการดําเนินการฯ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิของแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอลและกระบวนการจัดส่งแรงงานของทั้งสองประเทศเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเป็นไปตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยทํางานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ซึ่งได้มีการลงนามร่วมกันระหว่างสองประเทศ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัฐอิสราเอล และเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ รัฐอิสราเอล เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2563
ในขั้นตอนต่อไป ฝ่ายรัฐอิสราเอลจะนําความตกลงฯ ที่ได้มีการลงนามแล้วเสนอต่อรัฐสภา รัฐอิสราเอล เพื่อให้ความเห็นชอบและจะประกาศใช้บังคับ โดยทั้งสองประเทศจะสามารถดําเนินกระบวนการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอลได้ทันทีภายหลังจากการเปิดประเทศเมื่อสถานการณ์โควิด - 19 คลี่คลายลง
หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2563 มีแรงงานไทยทํางานในรัฐอิสราเอลประมาณ 25,000 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานภาคเกษตรโดยการจัดส่งขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration (IOM)) ภายใต้โครงการความร่วมมือไทย - อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน (Thailand - Israel Cooperation on the Placement of Workers (TIC)) ซึ่ง IOM จะยุติบทบาทในการสนับสนุนการดําเนินงานตามโครงการ TIC ในวันที่ 30 กันยายน 2563 และจะส่งต่อภารกิจการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ให้แก่กรมการจัดหางานและ PIBA ต่อไป
-----------------------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ อิสราเอล ลงนาม “ข้อตกลงการดำเนินการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยทำงานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล”
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563
ก.แรงงาน จับมือ อิสราเอล ลงนาม “ข้อตกลงการดําเนินการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยทํางานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล”
กระทรวงแรงงาน จัดพิธีลงนาม “ข้อตกลงการดําเนินการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยทํางานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล” เพื่อส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิของแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานภาคเกษตร
วันที่ 20 กรกฎาคม 2563 เวลา 15.00 น. หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงการดําเนินการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยทํางานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ซึ่งเป็นการลงนามระหว่างนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน ในนามของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และ H.E. Mr. Meir Shlomo เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจําประเทศไทย ในนามของหน่วยงานด้านประชากรและการตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงมหาดไทยรัฐอิสราเอล (PIBA) ณ ห้องประชุมจอมพล ป. พิบูลสงคราม ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ข้อตกลงการดําเนินการฯ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิของแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอลและกระบวนการจัดส่งแรงงานของทั้งสองประเทศเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเป็นไปตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยทํางานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ซึ่งได้มีการลงนามร่วมกันระหว่างสองประเทศ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัฐอิสราเอล และเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ รัฐอิสราเอล เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2563
ในขั้นตอนต่อไป ฝ่ายรัฐอิสราเอลจะนําความตกลงฯ ที่ได้มีการลงนามแล้วเสนอต่อรัฐสภา รัฐอิสราเอล เพื่อให้ความเห็นชอบและจะประกาศใช้บังคับ โดยทั้งสองประเทศจะสามารถดําเนินกระบวนการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอลได้ทันทีภายหลังจากการเปิดประเทศเมื่อสถานการณ์โควิด - 19 คลี่คลายลง
หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2563 มีแรงงานไทยทํางานในรัฐอิสราเอลประมาณ 25,000 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานภาคเกษตรโดยการจัดส่งขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration (IOM)) ภายใต้โครงการความร่วมมือไทย - อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน (Thailand - Israel Cooperation on the Placement of Workers (TIC)) ซึ่ง IOM จะยุติบทบาทในการสนับสนุนการดําเนินงานตามโครงการ TIC ในวันที่ 30 กันยายน 2563 และจะส่งต่อภารกิจการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ให้แก่กรมการจัดหางานและ PIBA ต่อไป
-----------------------------------------------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33531
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฉลิมชัย ติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี
|
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
รมว.เฉลิมชัย ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ําในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี
รมว.เฉลิมชัย ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ําในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี หวังเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ํา เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ําในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ณ โครงการอ่างเก็บน้ําหนองช้างใหญ่ ต.ยางสักกระโพหลุ่ม อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี ว่า อ่างเก็บน้ําหนองช้างใหญ่ เป็นอ่างเก็บน้ําขนาดกลาง มีพื้นที่โครงการฯ ประมาณ 7,500 ไร่ เป็นพื้นที่ชลประทาน 4,300 ไร่ สามารถเก็บกักน้ําได้กว่า 7.60 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเป็นแหล่งน้ําต้นทุนสําคัญที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค และทําการเกษตรของราษฎรในพื้นที่บ้านนาดี ตําบลยางสักกะโพหลุ่ม อําเภอม่วงสามสิบจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งปัจจุบันอ่างเก็บน้ําดังกล่าวมีสภาพตื้นเขินจากตะกอนดิน และพบวัชพืชขึ้นอย่างหนาแน่น ส่งผลให้ไม่สามารถเก็บกักน้ําได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงได้มอบหมายกรมชลประทานดําเนินการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ํา หากดําเนินการแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มปริมาณเก็บกักน้ําและใช้เป็นแหล่งน้ําสํารองในฤดูแล้งได้ในปีแรกถึง 5 ล้าน ลบ.ม. และเป็นโครงการต่อเนื่องอีก 3 ปี ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ลงมาดูสภาพพื้นที่จริง
เพื่อตั้งงบประมาณในปี 2564 - 2566 ซึ่งหากโครงการแล้วเสร็จอ่างเก็บน้ําแห่งนี้จะสามารถจุน้ําได้ถึง 23 ล้าน ลบ.ม.
“กระทรวงเกษตรฯ มุ่งดําเนินการเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ําไว้ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการอุปโภค-บริโภค การรักษาระบบนิเวศน์ และการทําการเกษตร โดยมอบหมายให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทํางานร่วมกัน ในการจัดแหล่งน้ํา หรือการปรับปรุงแหล่งน้ําเดิมให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น เพื่อใช้เป็นแหล่งน้ําสํารองในฤดูแล้ง หรือช่วยบรรเทาอุทกภัยในช่วงฤดูน้ําหลากได้ อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยแล้งโดยจัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือสําหรับออกให้ความช่วยเหลือประชาชน อีกทั้งกรมประมงยังได้ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ํา เพื่อเพิ่มปริมาณพ่อแม่พันธุ์สัตว์น้ําในธรรมชาติ สร้างความสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศ ตลอดจนเพิ่มปริมาณสัตว์น้ํา ซึ่งประชาชนสามารถจับสัตว์น้ําเพื่อเป็นอาชีพเสริมในช่วงฤดูแล้งได้” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้านนายสุชาติ เจริญศรี รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกรมชลประทาน โดยสํานักงานชลประทานที่ 7 ได้ดําเนินการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ําอ่างเก็บน้ําหนองช้างใหญ่ขึ้น ในปีงบประมาณ 2563 (เพิ่มเติม) ด้วยการเสริมสันทํานบดินให้สูงขึ้นอีกประมาณ 0.50 เมตร ความยาว 640 เมตร พร้อมติดตั้งบานแบบฝายพับได้บริเวณรอบอาคารระบายน้ําล้น สูง 1 เมตร เก็บกักน้ําได้เพิ่มอีกประมาณ 5 ล้าน ลบ.ม. นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการน้ําด้วยระบบควบคุมระยะไกล แบบ REAL TIME อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีแผนการพัฒนาอ่างเก็บน้ําในระยะยาว ซึ่งทางสํานักงานชลประทานที่ 7 ได้กําหนดแผนในการพัฒนาปรับปรุงอ่างเก็บน้ําหนองช้างใหญ่ไว้ในปี 2564 - 2567 ประกอบด้วย การก่อสร้างสถานีสูบน้ําด้วยไฟฟ้า จํานวน 4 แห่ง สามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้ประมาณ 8,000 ไร่ การก่อสร้างถนนยางพาราแอสฟัลท์ติก พร้อมเลนจักรยานรอบอ่างฯ กว้าง 9 เมตร ยาว 16 กิโลเมตร และขุดลอกอ่างเก็บน้ําเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักในอ่างฯได้กว่า 10 ล้าน ลบ.ม.
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฉลิมชัย ติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
รมว.เฉลิมชัย ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ําในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี
รมว.เฉลิมชัย ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ําในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี หวังเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ํา เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ําในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ณ โครงการอ่างเก็บน้ําหนองช้างใหญ่ ต.ยางสักกระโพหลุ่ม อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี ว่า อ่างเก็บน้ําหนองช้างใหญ่ เป็นอ่างเก็บน้ําขนาดกลาง มีพื้นที่โครงการฯ ประมาณ 7,500 ไร่ เป็นพื้นที่ชลประทาน 4,300 ไร่ สามารถเก็บกักน้ําได้กว่า 7.60 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเป็นแหล่งน้ําต้นทุนสําคัญที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค และทําการเกษตรของราษฎรในพื้นที่บ้านนาดี ตําบลยางสักกะโพหลุ่ม อําเภอม่วงสามสิบจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งปัจจุบันอ่างเก็บน้ําดังกล่าวมีสภาพตื้นเขินจากตะกอนดิน และพบวัชพืชขึ้นอย่างหนาแน่น ส่งผลให้ไม่สามารถเก็บกักน้ําได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงได้มอบหมายกรมชลประทานดําเนินการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ํา หากดําเนินการแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มปริมาณเก็บกักน้ําและใช้เป็นแหล่งน้ําสํารองในฤดูแล้งได้ในปีแรกถึง 5 ล้าน ลบ.ม. และเป็นโครงการต่อเนื่องอีก 3 ปี ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ลงมาดูสภาพพื้นที่จริง
เพื่อตั้งงบประมาณในปี 2564 - 2566 ซึ่งหากโครงการแล้วเสร็จอ่างเก็บน้ําแห่งนี้จะสามารถจุน้ําได้ถึง 23 ล้าน ลบ.ม.
“กระทรวงเกษตรฯ มุ่งดําเนินการเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ําไว้ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการอุปโภค-บริโภค การรักษาระบบนิเวศน์ และการทําการเกษตร โดยมอบหมายให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทํางานร่วมกัน ในการจัดแหล่งน้ํา หรือการปรับปรุงแหล่งน้ําเดิมให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น เพื่อใช้เป็นแหล่งน้ําสํารองในฤดูแล้ง หรือช่วยบรรเทาอุทกภัยในช่วงฤดูน้ําหลากได้ อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยแล้งโดยจัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือสําหรับออกให้ความช่วยเหลือประชาชน อีกทั้งกรมประมงยังได้ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ํา เพื่อเพิ่มปริมาณพ่อแม่พันธุ์สัตว์น้ําในธรรมชาติ สร้างความสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศ ตลอดจนเพิ่มปริมาณสัตว์น้ํา ซึ่งประชาชนสามารถจับสัตว์น้ําเพื่อเป็นอาชีพเสริมในช่วงฤดูแล้งได้” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้านนายสุชาติ เจริญศรี รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกรมชลประทาน โดยสํานักงานชลประทานที่ 7 ได้ดําเนินการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ําอ่างเก็บน้ําหนองช้างใหญ่ขึ้น ในปีงบประมาณ 2563 (เพิ่มเติม) ด้วยการเสริมสันทํานบดินให้สูงขึ้นอีกประมาณ 0.50 เมตร ความยาว 640 เมตร พร้อมติดตั้งบานแบบฝายพับได้บริเวณรอบอาคารระบายน้ําล้น สูง 1 เมตร เก็บกักน้ําได้เพิ่มอีกประมาณ 5 ล้าน ลบ.ม. นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการน้ําด้วยระบบควบคุมระยะไกล แบบ REAL TIME อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีแผนการพัฒนาอ่างเก็บน้ําในระยะยาว ซึ่งทางสํานักงานชลประทานที่ 7 ได้กําหนดแผนในการพัฒนาปรับปรุงอ่างเก็บน้ําหนองช้างใหญ่ไว้ในปี 2564 - 2567 ประกอบด้วย การก่อสร้างสถานีสูบน้ําด้วยไฟฟ้า จํานวน 4 แห่ง สามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้ประมาณ 8,000 ไร่ การก่อสร้างถนนยางพาราแอสฟัลท์ติก พร้อมเลนจักรยานรอบอ่างฯ กว้าง 9 เมตร ยาว 16 กิโลเมตร และขุดลอกอ่างเก็บน้ําเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักในอ่างฯได้กว่า 10 ล้าน ลบ.ม.
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26415
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ค.ศ.พิจารณาการขอทบทวนผลพิจารณาคุณสมบัติการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะของข้าราชการครู ตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ ว 13/2556
|
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน 2561
ก.ค.ศ.พิจารณาการขอทบทวนผลพิจารณาคุณสมบัติการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะของข้าราชการครู ตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ ว 13/2556
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 6/2561 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2561 ณ ห้องประชุมจันทรเกษม
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)ครั้งที่6/2561 เมื่อวันที่20มิถุนายน 2561 ณ ห้องประชุมจันทรเกษมกรณีที่สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ขอให้ ก.ค.ศ. ทบทวนผลการพิจารณาคุณสมบัติการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะของข้าราชการครู ตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ ว 13/2556
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ตามที่ส่วนราชการต่าง ๆ ได้เสนอรายชื่อข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ จํานวน 5,337 ราย แบ่งเป็นวิทยฐานะชํานาญการพิเศษ 382 ราย และวิทยฐานะเชี่ยวชาญ 4,955 ราย แยกตามสังกัด ดังนี้
สพฐ.จํานวน 4,995 ราย
สอศ.จํานวน 240 ราย
กศน.จํานวน 99 ราย
สช.จํานวน 3 ราย
อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเฉพาะกิจฯได้พิจารณาคุณสมบัติของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาไปแล้ว จํานวน 1,888 รายปรากฏว่ามีคุณสมบัติเข้ารับการประเมิน จํานวน 364 ราย(โดยเป็นประเภทรางวัล จํานวน 265 ราย และประเภทเทียบเคียง จํานวน 99 ราย)ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมิน จํานวน 1,524 ราย(โดยเป็นประเภทรางวัล 189 ราย และประเภทเทียบเคียง จํานวน 1,335 ราย)
ทั้งนี้สพฐ.ได้เสนอให้ ก.ค.ศ.ทบทวนผลพิจารณาคุณสมบัติการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะของข้าราชการครู ตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ ว 13/2556
ที่ประชุม ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ไม่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติหรือการประเมินรายใด หากเห็นว่าการพิจารณานั้นอาจคลาดเคลื่อนสามารถเสนอขอให้มีการทบทวนผลการพิจารณาเป็นรายบุคคลโดยชี้แจงเหตุผลประกอบการพิจารณาได้ และเสนอผ่านสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มายังสํานักงาน ก.ค.ศ. พิจารณาต่อไป
สําหรับผลการประชุม ก.ค.ศ. ในประเด็นอื่นๆ จะเผยแพร่ในวันที่21มิถุนายน2561
Written byเอมพร น้อยจินดา,ดรุวรรณ บุญมาก
Photo
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ค.ศ.พิจารณาการขอทบทวนผลพิจารณาคุณสมบัติการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะของข้าราชการครู ตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ ว 13/2556
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน 2561
ก.ค.ศ.พิจารณาการขอทบทวนผลพิจารณาคุณสมบัติการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะของข้าราชการครู ตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ ว 13/2556
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 6/2561 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2561 ณ ห้องประชุมจันทรเกษม
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)ครั้งที่6/2561 เมื่อวันที่20มิถุนายน 2561 ณ ห้องประชุมจันทรเกษมกรณีที่สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ขอให้ ก.ค.ศ. ทบทวนผลการพิจารณาคุณสมบัติการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะของข้าราชการครู ตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ ว 13/2556
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ตามที่ส่วนราชการต่าง ๆ ได้เสนอรายชื่อข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ จํานวน 5,337 ราย แบ่งเป็นวิทยฐานะชํานาญการพิเศษ 382 ราย และวิทยฐานะเชี่ยวชาญ 4,955 ราย แยกตามสังกัด ดังนี้
สพฐ.จํานวน 4,995 ราย
สอศ.จํานวน 240 ราย
กศน.จํานวน 99 ราย
สช.จํานวน 3 ราย
อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเฉพาะกิจฯได้พิจารณาคุณสมบัติของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาไปแล้ว จํานวน 1,888 รายปรากฏว่ามีคุณสมบัติเข้ารับการประเมิน จํานวน 364 ราย(โดยเป็นประเภทรางวัล จํานวน 265 ราย และประเภทเทียบเคียง จํานวน 99 ราย)ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมิน จํานวน 1,524 ราย(โดยเป็นประเภทรางวัล 189 ราย และประเภทเทียบเคียง จํานวน 1,335 ราย)
ทั้งนี้สพฐ.ได้เสนอให้ ก.ค.ศ.ทบทวนผลพิจารณาคุณสมบัติการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะของข้าราชการครู ตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ ว 13/2556
ที่ประชุม ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ไม่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติหรือการประเมินรายใด หากเห็นว่าการพิจารณานั้นอาจคลาดเคลื่อนสามารถเสนอขอให้มีการทบทวนผลการพิจารณาเป็นรายบุคคลโดยชี้แจงเหตุผลประกอบการพิจารณาได้ และเสนอผ่านสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มายังสํานักงาน ก.ค.ศ. พิจารณาต่อไป
สําหรับผลการประชุม ก.ค.ศ. ในประเด็นอื่นๆ จะเผยแพร่ในวันที่21มิถุนายน2561
Written byเอมพร น้อยจินดา,ดรุวรรณ บุญมาก
Photo
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13217
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมแสดงความพร้อมจัดงาน ‘SME Revolution: เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ เปิดวิสัยทัศน์และมาตรการพลิกโฉม SME ตามแนวประชารัฐสู่ Thailand 4.0
|
วันพุธที่ 1 มีนาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรมแสดงความพร้อมจัดงาน ‘SME Revolution: เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ เปิดวิสัยทัศน์และมาตรการพลิกโฉม SME ตามแนวประชารัฐสู่ Thailand 4.0
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) จัดงาน ‘SME Revolution: เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ ขึ้น
1 มีนาคม 2560 กรุงเทพมหานคร - ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าผลักดันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และวิสาหกิจชุมชน ให้เติบโตทันกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศและเศรษฐกิจโลกด้วยการเร่งดําเนินแผนงานตามแนวนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” (Thailand 4.0) ดึงทุกภาคส่วนร่วมผลักดันและสนับสนุนการดําเนินธุรกิจฯ ของเหล่า SME และโอท็อป ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) จัดงาน ‘SME Revolution: เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 10 – 12 มีนาคมนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อแสดงศักยภาพและร่วมพัฒนา SMEs ไทยทุกระดับให้ก้าวสู่ยุคประเทศไทย 4.0 อย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ โดยในงานแถลงข่าวมี ดร.สมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางสาลินี วังตาล ผู้อํานวยการ สสว. นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ SME Bank สถาบันการเงิน องค์กรและหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงนักธุรกิจ SMEs และตัวแทนโอท็อปที่ประสบความสําเร็จ ร่วมแถลงข่าว ณ โรงแรม เดอสุโกศล กรุงเทพฯ
ดร.อุตตม สาวนายน เผยถึงที่มาของการจัดงาน “วันนี้ประเทศไทยมีทิศทางชัดเจนในการก้าวสู่ประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0) ที่จะสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 โดยการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกระดับทั้งในส่วนกลาง และในท้องถิ่น (Local Economy) โดยจะอาศัยแนวความคิดและกรอบการทํางานที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการผสานการดําเนินธุรกิจเข้าไว้ด้วยกันกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยี รวมถึงความร่วมมือจากผู้มีความรู้ความชํานาญในสายงานต่างๆ อาทิ หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภายในท้องถิ่นและระดับประเทศ สถาบันการเงิน ศูนย์พัฒนาความรู้และแรงงานทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริม และเอื้อประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดขึ้นให้แก่ผู้ประกอบการทุกระดับได้เพิ่มศักยภาพ ผลงาน และผลกําไร ให้พร้อมเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
“ซึ่งแน่นอนว่า หนึ่งในฟันเฟืองสําคัญที่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและจําเป็นที่จะได้รับการพัฒนาความสามารถเพื่อยกระดับมาตรฐานการดําเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ คือ กลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และวิสาหกิจชุมชนในท้องถิ่น ที่นับเป็นกลุ่มที่มีบทบาทและมีความสําคัญต่อการเสริมสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างสูง เนื่องจากมีผู้ประกอบการจํานวนมากคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99 ของจํานวนกิจการทั้งหมด และยังเป็นแหล่งพัฒนาทักษะฝีมือและช่วยให้เกิดการจ้างแรงงาน ที่สําคัญ เป็นจุดเริ่มต้นในการลงทุนและสร้างเสริมประสบการณ์ รวมทั้งเป็นส่วนสําคัญที่เชื่อมโยงกับธุรกิจขนาดใหญ่และภาคการผลิตอื่น
และเพื่อเป็นการผลักดันให้เกิดการพัฒนาและยกระดับ รวมทั้งสนับสนุน SME และโอท็อปตามแนวนโยบายดังกล่าว กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้จัดงาน ‘SME Revolution : เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ ซึ่งถือเป็นงานแสดงมาตรการโครงการในการขับเคลื่อน SME ทั้งระบบของประเทศ พร้อมทั้งจะนําผลงานและผลิตภัณฑ์อันเกิดจากการดําเนินงานตามแนวทางพัฒนาแบบอุตสาหกรรม 4.0 มาแสดงสู่สายตาผู้ร่วมชมงานตลอด 3 วัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้จากนิทรรศการเกี่ยวกับมาตรการโครงการขับเคลื่อน SMEs ทั้งระบบ กลุ่มสินค้าและบริการจาก SMEs และโอท็อป ผลงานแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจาก 9 โครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village – CIV) นวัตกรรมและไอเดียต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจและต่อยอดธุรกิจ SMEs ทั้งยังสร้างโอกาสในการต่อยอดโอกาสใหม่ๆให้แก่ SMEs ทั้งที่มีธุรกิจอยู่และผู้ที่สนใจประกอบกิจการในอนาคต รวมถึงนักเรียนนักศึกษาและบุคคลทั่วไป ด้วยการรับคําปรึกษาแบบครบวงจรจากผู้เชี่ยวชาญและองค์กรพันธมิตรกว่า 30 องค์กร ที่จะเป็นเครื่องมือฟื้นฟู SMEs ไทยให้มีความพร้อมตั้งแต่ก้าวแรกไปจนถึงเทคนิคและกระบวนการดําเนินธุรกิจในเชิงลึกเลยทีเดียว ทั้งนี้ กลุ่ม SME ที่ประสบปัญหา ยังสามารถเข้ารับคําแนะนําและเงินกู้เพื่อการลงทุนกับทางสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ภายในงานยังจะมีการเปิดตัวกองทุนพัฒนา SME ตามแนวประชารัฐ จํานวน 20,000 ล้านบาท ที่ได้วางเป้าหมายในการช่วยเหลือสนับสนุน ธุรกิจและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกลุ่ม SME ในปี 2560 ไม่น้อยกว่า 2,000 ราย และการเปิดตัวกองทุนฟื้นฟู SME 2,000 ล้านบาท ของ สสว. รวมถึงโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (SME Transformation Loan) วงเงิน 15,000 ล้านบาทของ SME Bank ที่จะนํามากระจายความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนให้เกิดการประสานงานอย่างบูรณาการทั้งในเชิงข้อมูลความรู้ การเงินและการลงทุน ของฝั่งผู้ประกอบการและเหล่าองค์กรพันธมิตรที่จะอํานวยความสะดวกในทุกๆ ด้าน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมหวังว่า งานนี้จะเป็นเวทีที่ช่วยผลักดันและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ SMEsและโอท็อปไทยสามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งในทุกมิติและมีโอกาสก้าวไปสู่เวทีระดับภูมิภาค จนสร้างการพัฒนาที่มีศักยภาพและเสถียรภาพให้เศรษฐกิจไทยได้ต่อไปในอนาคต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวปิดท้าย
โดยงาน ‘SME Revolution: เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 - 12 มีนาคม 2560 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ เพลนารี ฮอลล์ 2 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร 0 2202 4414 – 7 หรือเข้าไปที่ www.SME-Revolution.com และ www.facebook.com/SMErevolution2017
(สามารถรับชมลิงค์การจัดงานที่ https://www.youtube.com/watch?v=Z0m9J7OYFmA&feature=youtu.be )
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมแสดงความพร้อมจัดงาน ‘SME Revolution: เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ เปิดวิสัยทัศน์และมาตรการพลิกโฉม SME ตามแนวประชารัฐสู่ Thailand 4.0
วันพุธที่ 1 มีนาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรมแสดงความพร้อมจัดงาน ‘SME Revolution: เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ เปิดวิสัยทัศน์และมาตรการพลิกโฉม SME ตามแนวประชารัฐสู่ Thailand 4.0
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) จัดงาน ‘SME Revolution: เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ ขึ้น
1 มีนาคม 2560 กรุงเทพมหานคร - ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าผลักดันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และวิสาหกิจชุมชน ให้เติบโตทันกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศและเศรษฐกิจโลกด้วยการเร่งดําเนินแผนงานตามแนวนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” (Thailand 4.0) ดึงทุกภาคส่วนร่วมผลักดันและสนับสนุนการดําเนินธุรกิจฯ ของเหล่า SME และโอท็อป ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) จัดงาน ‘SME Revolution: เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 10 – 12 มีนาคมนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อแสดงศักยภาพและร่วมพัฒนา SMEs ไทยทุกระดับให้ก้าวสู่ยุคประเทศไทย 4.0 อย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ โดยในงานแถลงข่าวมี ดร.สมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางสาลินี วังตาล ผู้อํานวยการ สสว. นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ SME Bank สถาบันการเงิน องค์กรและหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงนักธุรกิจ SMEs และตัวแทนโอท็อปที่ประสบความสําเร็จ ร่วมแถลงข่าว ณ โรงแรม เดอสุโกศล กรุงเทพฯ
ดร.อุตตม สาวนายน เผยถึงที่มาของการจัดงาน “วันนี้ประเทศไทยมีทิศทางชัดเจนในการก้าวสู่ประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0) ที่จะสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 โดยการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกระดับทั้งในส่วนกลาง และในท้องถิ่น (Local Economy) โดยจะอาศัยแนวความคิดและกรอบการทํางานที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการผสานการดําเนินธุรกิจเข้าไว้ด้วยกันกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยี รวมถึงความร่วมมือจากผู้มีความรู้ความชํานาญในสายงานต่างๆ อาทิ หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภายในท้องถิ่นและระดับประเทศ สถาบันการเงิน ศูนย์พัฒนาความรู้และแรงงานทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริม และเอื้อประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดขึ้นให้แก่ผู้ประกอบการทุกระดับได้เพิ่มศักยภาพ ผลงาน และผลกําไร ให้พร้อมเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
“ซึ่งแน่นอนว่า หนึ่งในฟันเฟืองสําคัญที่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและจําเป็นที่จะได้รับการพัฒนาความสามารถเพื่อยกระดับมาตรฐานการดําเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ คือ กลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และวิสาหกิจชุมชนในท้องถิ่น ที่นับเป็นกลุ่มที่มีบทบาทและมีความสําคัญต่อการเสริมสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างสูง เนื่องจากมีผู้ประกอบการจํานวนมากคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99 ของจํานวนกิจการทั้งหมด และยังเป็นแหล่งพัฒนาทักษะฝีมือและช่วยให้เกิดการจ้างแรงงาน ที่สําคัญ เป็นจุดเริ่มต้นในการลงทุนและสร้างเสริมประสบการณ์ รวมทั้งเป็นส่วนสําคัญที่เชื่อมโยงกับธุรกิจขนาดใหญ่และภาคการผลิตอื่น
และเพื่อเป็นการผลักดันให้เกิดการพัฒนาและยกระดับ รวมทั้งสนับสนุน SME และโอท็อปตามแนวนโยบายดังกล่าว กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้จัดงาน ‘SME Revolution : เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ ซึ่งถือเป็นงานแสดงมาตรการโครงการในการขับเคลื่อน SME ทั้งระบบของประเทศ พร้อมทั้งจะนําผลงานและผลิตภัณฑ์อันเกิดจากการดําเนินงานตามแนวทางพัฒนาแบบอุตสาหกรรม 4.0 มาแสดงสู่สายตาผู้ร่วมชมงานตลอด 3 วัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้จากนิทรรศการเกี่ยวกับมาตรการโครงการขับเคลื่อน SMEs ทั้งระบบ กลุ่มสินค้าและบริการจาก SMEs และโอท็อป ผลงานแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจาก 9 โครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village – CIV) นวัตกรรมและไอเดียต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจและต่อยอดธุรกิจ SMEs ทั้งยังสร้างโอกาสในการต่อยอดโอกาสใหม่ๆให้แก่ SMEs ทั้งที่มีธุรกิจอยู่และผู้ที่สนใจประกอบกิจการในอนาคต รวมถึงนักเรียนนักศึกษาและบุคคลทั่วไป ด้วยการรับคําปรึกษาแบบครบวงจรจากผู้เชี่ยวชาญและองค์กรพันธมิตรกว่า 30 องค์กร ที่จะเป็นเครื่องมือฟื้นฟู SMEs ไทยให้มีความพร้อมตั้งแต่ก้าวแรกไปจนถึงเทคนิคและกระบวนการดําเนินธุรกิจในเชิงลึกเลยทีเดียว ทั้งนี้ กลุ่ม SME ที่ประสบปัญหา ยังสามารถเข้ารับคําแนะนําและเงินกู้เพื่อการลงทุนกับทางสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ภายในงานยังจะมีการเปิดตัวกองทุนพัฒนา SME ตามแนวประชารัฐ จํานวน 20,000 ล้านบาท ที่ได้วางเป้าหมายในการช่วยเหลือสนับสนุน ธุรกิจและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกลุ่ม SME ในปี 2560 ไม่น้อยกว่า 2,000 ราย และการเปิดตัวกองทุนฟื้นฟู SME 2,000 ล้านบาท ของ สสว. รวมถึงโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (SME Transformation Loan) วงเงิน 15,000 ล้านบาทของ SME Bank ที่จะนํามากระจายความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนให้เกิดการประสานงานอย่างบูรณาการทั้งในเชิงข้อมูลความรู้ การเงินและการลงทุน ของฝั่งผู้ประกอบการและเหล่าองค์กรพันธมิตรที่จะอํานวยความสะดวกในทุกๆ ด้าน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมหวังว่า งานนี้จะเป็นเวทีที่ช่วยผลักดันและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ SMEsและโอท็อปไทยสามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งในทุกมิติและมีโอกาสก้าวไปสู่เวทีระดับภูมิภาค จนสร้างการพัฒนาที่มีศักยภาพและเสถียรภาพให้เศรษฐกิจไทยได้ต่อไปในอนาคต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวปิดท้าย
โดยงาน ‘SME Revolution: เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0’ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 - 12 มีนาคม 2560 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ เพลนารี ฮอลล์ 2 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร 0 2202 4414 – 7 หรือเข้าไปที่ www.SME-Revolution.com และ www.facebook.com/SMErevolution2017
(สามารถรับชมลิงค์การจัดงานที่ https://www.youtube.com/watch?v=Z0m9J7OYFmA&feature=youtu.be )
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2145
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมอบเงินบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ผ่านรายการพิเศษ “ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ำท่วม”
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมอบเงินบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ผ่านรายการพิเศษ “ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ําท่วม”
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมอบเงินบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ผ่านรายการพิเศษ “ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ําท่วม”
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมมอบเงินบริจาคสมทบ “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี” ในนามของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หน่วยงานในสังกัด และหน่วยงานพันธมิตรผู้ให้การสนับสนุน จํานวน 370,000 บาท ผ่านรายการพิเศษ “ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ําท่วม” ของรัฐบาล ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 MCOT HD หมายเลข 30 โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมรับสายโทรศัพท์ ซึ่งมีหน่วยงานราชการ บริษัทห้างร้านเอกชน และประชาชนทั่วไป ร่วมมอบเงินบริจาคอย่างต่อเนื่อง ณ สถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 MCOT HD ถนนพระราม 9 กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2562
***********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมอบเงินบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ผ่านรายการพิเศษ “ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ำท่วม”
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมอบเงินบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ผ่านรายการพิเศษ “ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ําท่วม”
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมอบเงินบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ผ่านรายการพิเศษ “ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ําท่วม”
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมมอบเงินบริจาคสมทบ “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี” ในนามของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หน่วยงานในสังกัด และหน่วยงานพันธมิตรผู้ให้การสนับสนุน จํานวน 370,000 บาท ผ่านรายการพิเศษ “ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ําท่วม” ของรัฐบาล ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 MCOT HD หมายเลข 30 โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมรับสายโทรศัพท์ ซึ่งมีหน่วยงานราชการ บริษัทห้างร้านเอกชน และประชาชนทั่วไป ร่วมมอบเงินบริจาคอย่างต่อเนื่อง ณ สถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 MCOT HD ถนนพระราม 9 กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2562
***********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23204
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพ / มูลค่าพืชไร่ชุมชน (สับปะรด) จ.ประจวบคีรีขันธ์ บ่มเพาะผู้ประกอบการด้วย วทน. เสริมแกร่งเศรษฐกิจ ขยายตลาดการส่งอ
|
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563
วว. ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพ / มูลค่าพืชไร่ชุมชน (สับปะรด) จ.ประจวบคีรีขันธ์ บ่มเพาะผู้ประกอบการด้วย วทน. เสริมแกร่งเศรษฐกิจ ขยายตลาดการส่งอ
วว. ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพ / มูลค่าพืชไร่ชุมชน (สับปะรด) จ.ประจวบคีรีขันธ์ บ่มเพาะผู้ประกอบการด้วย วทน. เสริมแกร่งเศรษฐกิจ ขยายตลาดการส่งออกหลังวิกฤตโควิด-19
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน “ศูนย์การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพและมูลค่าพืชไร่ชุมชน (สับปะรด) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” ระบุมีขนาดกําลังการคัดบรรจุสับปะรดผลสดได้ 3 ตันต่อชั่วโมง มุ่งบ่มเพาะผู้ประกอบการ เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ชี้เป็นศูนย์ฯที่จะช่วยเสริมความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของไทยด้านการขยายตลาดส่งออกสับปะรดผลสดและผลไม้อื่น ๆ ของไทย หลังวิกฤตโควิด-19
ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการคัดบรรจุสับปะรดในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็น 1 ใน 7 แห่งของโครงสร้างพื้นฐาน ที่ วว. ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการดําเนินการขับเคลื่อน เพื่อตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาให้กับผู้ประกอบการ เกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน โดยศูนย์ฯ แห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ 5 ไร่ ซึ่งการนิคมสร้างตนเองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้จัดสรรพื้นที่และมอบให้ วว. ดําเนินการ มีรูปแบบการบริหารจัดการมุ่งใช้ประโยชน์ในการเป็นศูนย์เรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการ เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์สับปะรดแห่งชาติ โดย วว. บูรณาการดําเนินงานศูนย์ฯแห่งนี้ร่วมกับหน่วยงานราชการและกลุ่มเกษตรกรที่มีความเข้มแข็งในพื้นที่
ศูนย์ฯ นี้มีศักยภาพในการผลิตสับปะรดผลสดส่งจําหน่ายต่างประเทศ ขนาดกําลังการผลิต 3 ตันต่อชั่วโมง เป็นโรงคัดบรรจุผลสดทันสมัยแห่งแรกของประเทศไทย ที่มีเครื่องจักรและกระบวนการผลิตมาตรฐานครบวงจร ที่สามารถใช้งานได้จริงในพื้นที่และเป็นศูนย์เรียนรู้ศึกษาดูงานของผู้ผลิตผู้ประกอบการสับปะรดจากพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังสามารถประยุกต์ต่อยอดการใช้ประโยชน์กับการผลิตผลไม้อื่นๆในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และใกล้เคียงได้
ปัจจุบันศูนย์ฯ มีขอบเขตการบ่มเพาะเทคโนโลยีการคัดบรรจุและแปรรูปสับปะรดและผลไม้อื่นๆ ได้แก่ 1.การแบ่งเกรดและคัดบรรจุสับปะรดผลสด, 2.การเคลือบผิวผลไม้, 3.การผลิตผลไม้ตัดแต่ง ได้แก่ มะม่วง ขนุน สับปะรด, 4.การบริหารจัดการห้องเย็น, 5.การผลิตสับปะรดกวน แยมสับปะรด น้ําสับปะรดผสมว่านหางจระเข้ มะม่วงกวน และ 6.การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสับปะรด
“...จากภาวะวิกฤตโควิด-19 ศูนย์การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพและมูลค่าพืชไร่ชุมชน(สับปะรด) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ของ วว. ได้มีบทบาทในการช่วยแก้ปัญหาการว่างงาน โดยการเปิดรับสมัครบุคลาการจํานวนหนึ่งเพื่อเข้ามาเป็นกําลังเสริมในระยะเวลา 6 เดือน นอกจากนั้นภายหลังวิกฤตในครั้งนี้ วว. มุ่งเป้าให้ศูนย์ฯแห่งนี้มีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านการขยายตลาดส่งออกของสับปะรดและผลไม้อื่นๆ ด้วยศักยภาพของศูนย์ฯที่ได้มาตรฐาน GMP จะทําให้ผลผลิตที่ผ่านกระบวนการของศูนย์ฯเป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ...” ผู้ว่าการ วว. กล่าว
ดร.รจนา ตั้งกุลบริบูรณ์ ผู้อํานวยการศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ วว. ในฐานะผู้บริหารศูนย์ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพและมูลค่าพืชไร่ชุมชน(สับปะรด) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์ฯ จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2563 หลังได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตและจําหน่ายสับปะรดผลสดที่มีคุณภาพตามมาตรฐานส่งออก นอกจากนี้ยังมีการจัดฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรตั้งแต่การเพิ่มปริมาณสับปะรดคุณภาพด้วยเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การแปรรูปผลผลิตทางเกษตรอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19
นอกจากนี้ภารกิจของศูนย์ฯ ยังมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมสับปะรดคือ เป็นที่ปรึกษาให้แก่เกษตรกรในระดับต้นน้ํา การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการขั้นปลายน้ําเกี่ยวกับมาตรฐานของผลผลิตที่จะรับซื้อจากเกษตรกร การเป็นเสมือนตัวกลางในการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อยกระดับการวิจัยพัฒนาและโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรและเทคโนโลยีการเกษตรในพื้นที่เพาะปลูกสับปะรด โดยผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะยาว คือ การทําให้เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดมีความสามารถในการพัฒนาคุณภาพผลผลิต มีอํานาจต่อรองกับพ่อค้าคนกลางและมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งผลผลิตสดมีการส่งออกไปยังต่างประเทศได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะทําให้ผู้ประกอบการ เกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือขอรับบริการ ศูนย์การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพและมูลค่าพืชไร่ชุมชน (สับปะรด) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ที่ (นางสาวกัลยา โมกขพันธุ์) โทร. 0 2577 9012 โทรสาร 0 2577 9004 E-mail :ppp_pkn@tistr.or.th/tistr@tistr.or.th
ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพ / มูลค่าพืชไร่ชุมชน (สับปะรด) จ.ประจวบคีรีขันธ์ บ่มเพาะผู้ประกอบการด้วย วทน. เสริมแกร่งเศรษฐกิจ ขยายตลาดการส่งอ
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563
วว. ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพ / มูลค่าพืชไร่ชุมชน (สับปะรด) จ.ประจวบคีรีขันธ์ บ่มเพาะผู้ประกอบการด้วย วทน. เสริมแกร่งเศรษฐกิจ ขยายตลาดการส่งอ
วว. ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพ / มูลค่าพืชไร่ชุมชน (สับปะรด) จ.ประจวบคีรีขันธ์ บ่มเพาะผู้ประกอบการด้วย วทน. เสริมแกร่งเศรษฐกิจ ขยายตลาดการส่งออกหลังวิกฤตโควิด-19
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน “ศูนย์การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพและมูลค่าพืชไร่ชุมชน (สับปะรด) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” ระบุมีขนาดกําลังการคัดบรรจุสับปะรดผลสดได้ 3 ตันต่อชั่วโมง มุ่งบ่มเพาะผู้ประกอบการ เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ชี้เป็นศูนย์ฯที่จะช่วยเสริมความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของไทยด้านการขยายตลาดส่งออกสับปะรดผลสดและผลไม้อื่น ๆ ของไทย หลังวิกฤตโควิด-19
ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการคัดบรรจุสับปะรดในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็น 1 ใน 7 แห่งของโครงสร้างพื้นฐาน ที่ วว. ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการดําเนินการขับเคลื่อน เพื่อตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาให้กับผู้ประกอบการ เกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน โดยศูนย์ฯ แห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ 5 ไร่ ซึ่งการนิคมสร้างตนเองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้จัดสรรพื้นที่และมอบให้ วว. ดําเนินการ มีรูปแบบการบริหารจัดการมุ่งใช้ประโยชน์ในการเป็นศูนย์เรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการ เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์สับปะรดแห่งชาติ โดย วว. บูรณาการดําเนินงานศูนย์ฯแห่งนี้ร่วมกับหน่วยงานราชการและกลุ่มเกษตรกรที่มีความเข้มแข็งในพื้นที่
ศูนย์ฯ นี้มีศักยภาพในการผลิตสับปะรดผลสดส่งจําหน่ายต่างประเทศ ขนาดกําลังการผลิต 3 ตันต่อชั่วโมง เป็นโรงคัดบรรจุผลสดทันสมัยแห่งแรกของประเทศไทย ที่มีเครื่องจักรและกระบวนการผลิตมาตรฐานครบวงจร ที่สามารถใช้งานได้จริงในพื้นที่และเป็นศูนย์เรียนรู้ศึกษาดูงานของผู้ผลิตผู้ประกอบการสับปะรดจากพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังสามารถประยุกต์ต่อยอดการใช้ประโยชน์กับการผลิตผลไม้อื่นๆในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และใกล้เคียงได้
ปัจจุบันศูนย์ฯ มีขอบเขตการบ่มเพาะเทคโนโลยีการคัดบรรจุและแปรรูปสับปะรดและผลไม้อื่นๆ ได้แก่ 1.การแบ่งเกรดและคัดบรรจุสับปะรดผลสด, 2.การเคลือบผิวผลไม้, 3.การผลิตผลไม้ตัดแต่ง ได้แก่ มะม่วง ขนุน สับปะรด, 4.การบริหารจัดการห้องเย็น, 5.การผลิตสับปะรดกวน แยมสับปะรด น้ําสับปะรดผสมว่านหางจระเข้ มะม่วงกวน และ 6.การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสับปะรด
“...จากภาวะวิกฤตโควิด-19 ศูนย์การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพและมูลค่าพืชไร่ชุมชน(สับปะรด) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ของ วว. ได้มีบทบาทในการช่วยแก้ปัญหาการว่างงาน โดยการเปิดรับสมัครบุคลาการจํานวนหนึ่งเพื่อเข้ามาเป็นกําลังเสริมในระยะเวลา 6 เดือน นอกจากนั้นภายหลังวิกฤตในครั้งนี้ วว. มุ่งเป้าให้ศูนย์ฯแห่งนี้มีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านการขยายตลาดส่งออกของสับปะรดและผลไม้อื่นๆ ด้วยศักยภาพของศูนย์ฯที่ได้มาตรฐาน GMP จะทําให้ผลผลิตที่ผ่านกระบวนการของศูนย์ฯเป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ...” ผู้ว่าการ วว. กล่าว
ดร.รจนา ตั้งกุลบริบูรณ์ ผู้อํานวยการศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ วว. ในฐานะผู้บริหารศูนย์ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพและมูลค่าพืชไร่ชุมชน(สับปะรด) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์ฯ จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2563 หลังได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตและจําหน่ายสับปะรดผลสดที่มีคุณภาพตามมาตรฐานส่งออก นอกจากนี้ยังมีการจัดฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรตั้งแต่การเพิ่มปริมาณสับปะรดคุณภาพด้วยเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การแปรรูปผลผลิตทางเกษตรอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19
นอกจากนี้ภารกิจของศูนย์ฯ ยังมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมสับปะรดคือ เป็นที่ปรึกษาให้แก่เกษตรกรในระดับต้นน้ํา การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการขั้นปลายน้ําเกี่ยวกับมาตรฐานของผลผลิตที่จะรับซื้อจากเกษตรกร การเป็นเสมือนตัวกลางในการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อยกระดับการวิจัยพัฒนาและโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรและเทคโนโลยีการเกษตรในพื้นที่เพาะปลูกสับปะรด โดยผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะยาว คือ การทําให้เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดมีความสามารถในการพัฒนาคุณภาพผลผลิต มีอํานาจต่อรองกับพ่อค้าคนกลางและมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งผลผลิตสดมีการส่งออกไปยังต่างประเทศได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะทําให้ผู้ประกอบการ เกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือขอรับบริการ ศูนย์การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มผลผลิตภาพและมูลค่าพืชไร่ชุมชน (สับปะรด) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ที่ (นางสาวกัลยา โมกขพันธุ์) โทร. 0 2577 9012 โทรสาร 0 2577 9004 E-mail :ppp_pkn@tistr.or.th/tistr@tistr.or.th
ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32031
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประชุมผ่านระบบ VCS ซักซ้อมแนวทางการจัดงานพระราชพิธีงานพระบรมศพฯ พร้อมติดตามความคืบหน้าการเตรียมงานพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาคฯ
|
วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2560
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประชุมผ่านระบบ VCS ซักซ้อมแนวทางการจัดงานพระราชพิธีงานพระบรมศพฯ พร้อมติดตามความคืบหน้าการเตรียมงานพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาคฯ
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประชุมผ่านระบบ VCS ซักซ้อมแนวทางการจัดงานพระราชพิธีงานพระบรมศพฯ พร้อมติดตามความคืบหน้าการเตรียมงานพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาค เน้นความถูกต้อง เรียบร้อย งดงาม และสมพระเกียรติ พร้อมเชิญชวนทุกภาคส่วนเข้ามีส่วนร่วม
วันนี้ (24 ส.ค. 60) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 1 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video conference)ไปยังจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อซักซ้อมแนวทางอันเกี่ยวเนื่องกับงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมทั้งติดตามความคืบหน้าในการจัดเตรียมงานพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของภาคประชาชนในส่วนภูมิภาคโดยการประชุมครั้งนี้ มีผู้แทนของสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้แทนกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนสํานักพระราชวัง และผู้แทนกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมชี้แจงเพื่อให้ข้อมูลด้วย
ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้เชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงวัฒนธรรม สํานักพระราชวัง และกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมประชุมเพื่อชี้แจงแนวทางการดําเนินงานและความคืบหน้าเกี่ยวกับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชซึ่งมีหมายกําหนดการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ระหว่างวันที่ 25–29 ตุลาคม 2560 โดยการประชุมในวันนี้มีประเด็นสําคัญ ได้แก่ 1.การติดตามความคืบหน้าของการเตรียมงานพระราชพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค 2.การจัดโครงการจิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ และ 3.การดําเนินการเกี่ยวกับข้าวสารพระราชทานฯ เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและมีความเข้าใจในกิจกรรมดังกล่าวเพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้เนื่องจากงานในพื้นที่จังหวัดมีปริมาณมาก ซึ่งใกล้จะสิ้นปีงบประมาณและใกล้ช่วงงานพระราชพิธี ประกอบกับ ผู้บริหารในบางพื้นที่จะมีการเกษียณอายุราชการและมีการปรับเปลี่ยนโยกย้าย จึงขอเน้นย้ําให้จังหวัดและอําเภอได้จัดระบบงานพร้อมมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน เพื่อให้การดําเนินงานพระราชพิธีฯ ดําเนินการได้อย่างถูกต้อง เรียบร้อย งดงาม และสมพระเกียรติ
สําหรับภารกิจอันเกี่ยวเนื่องกับงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีความคืบหน้าในการดําเนินงานดังนี้
1.การจัดงานพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาคประกอบด้วย1) ด้านสถานที่จัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้จังหวัดและอําเภอพิจารณาคัดเลือกวัดหรือสถานที่เหมาะสมในการ จัดเตรียมสถานที่จัดงานพิธีฯ จํานวน 878 แห่ง ซึ่งแยกเป็นวัด 669 แห่ง และสถานที่อื่นๆ จํานวน 209 แห่ง ได้แก่ ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอําเภอ สถานศึกษา สํานักสงฆ์ สนามกีฬา ลานอเนกประสงค์ สวนสาธารณะ และสถานที่สําคัญ เป็นต้น สําหรับการจัดซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ ได้กําหนดให้ใช้แบบซุ้มตามที่กรมศิลปากรกําหนด ตามความเหมาะสมของพื้นที่ภายใต้หลักความพอเพียง โดยแยกเป็น พระเมรุมาศจําลอง จํานวน 76 แห่ง (เฉพาะในส่วนของจังหวัดที่จัดร่วมกับอําเภอเมือง) ซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ แบบขนาดกลาง จํานวน 621 แห่ง และ ซุ้มถวายดอกไม้จันทน์แบบขนาดเล็ก หรือแบบตั้งโต๊ะหมู่ จํานวน 181 แห่ง ทั้งนี้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีและถวายความอาลัยอย่างทั่วถึง2) ด้านพิธีถวายดอกไม้จันทน์เน้นหลักการ เรียบร้อย งดงาม และการมีส่วนร่วม โดยในส่วนของจังหวัด จะมีการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ครั้งที่ 1 ก่อนการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เพื่อนําดอกไม้จันทน์ตัวแทนของจังหวัด จังหวัดละ 1 ช่อ รวม 76 ช่อ ส่งให้กระทรวงมหาดไทย เพื่อรวบรวมมอบให้กรุงเทพมหานคร ภายในวันที่ 15 กันยายน 2560 เพื่ออันเชิญไปถวายที่หอเปลื้องพระเมรุมาศในวันพระราชพิธี ทั้งนี้ กรุงเทพมหานคร จะได้มีการซักซ้อมขั้นตอนพิธีถวายดอกไม้จันทน์ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดพิธีมีแนวทางปฏิบัติในรูปแบบเดียวกัน
3) การประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์โดยยึดหลักการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และการมีส่วนร่วม ซึ่งขณะนี้กรมการพัฒนาชุมชน ได้รายงานความคืบหน้าในการดําเนินการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ ดังนี้ ดอกไม้จันทน์สําหรับเป็นตัวแทนจังหวัดและอําเภอ จํานวน 878 ช่อ ดําเนินการแล้วเสร็จ 636 ช่อ กําหนดแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้ สําหรับดอกไม้จันทน์สําหรับประชาชน ในการเข้าร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในพื้นที่ตั้งเป้าหมาย 36.8 ล้านดอก ดําเนินการแล้วเสร็จ 41 ล้านดอก4) การปลูกดอกดาวเรือง หรือดอกไม้สีเหลืองกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้จังหวัดและอําเภอ ดําเนินการปลูกดอกดาวเรืองหรือดอกไม้สีเหลือง บริเวณศาลากลางจังหวัด/ ที่ว่าการอําเภอ สถานที่ราชการ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เชิญชวนภาคราชการ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในพื้นที่ ร่วมปลูกดอกดาวเรือง หรือดอกไม้สีเหลือง เพื่อใช้ประดับสถานที่ราชการ สถานที่สําคัญ บริษัท ห้างร้าน และบ้านเรือนของประชาชน ซึ่งขณะนี้จังหวัดและอําเภอได้ดําเนินการตามห้วงเวลาและตามวงรอบการเจริญเติบโตของดอกดาวเรือง เพื่อให้ออกดอกและบานสะพรั่งในช่วงงานพระราชพิธีฯ ดังกล่าว5) การอํานวยความสะดวกประชาชนที่มาร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ฯ โดยให้จังหวัดและอําเภอ ยึดหลักการมีส่วนร่วม โดยถือว่าประชาชนทุกคนเป็นแขก และรัฐบาลเป็นเจ้าภาพ และได้เน้นย้ําให้จัดเตรียมความพร้อมของสถานที่ ระบบไฟฟ้าน้ําประปา แพทย์ พยาบาล ห้องสุขา การดูแลความสะอาดบริเวณสถานที่ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการจัดพิธี การรักษาความปลอดภัยและระบบการจราจร ตลอดจนการจัดที่พักคอยของประชาชนที่มาร่วมพิธี โดยเฉพาะในเรื่องเต้นท์ เก้าอี้ ห้องน้ํา ห้องสุขา ให้เพียงพอในการรองรับประชาชน6) ด้านการประชาสัมพันธ์ยึดหลักการสร้างการรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับงานพระราชพิธีถวายดอกไม้จันทน์อย่างทั่วถึง ให้กับพี่น้องประชาชน โดยให้จังหวัดและอําเภอประสานสื่อทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ประชาชนได้รับทราบ และเข้าร่วมกิจกรรม และพิธีถวายดอกไม้จันทน์ฯ โดยพร้อมเพรียงกัน พร้อมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชน ห้างร้านต่างๆ ซึ่งเป็นเจ้าของจอLEDได้ร่วมรับสัญญาณการถ่ายทอดสดพระราชพิธีฯ ในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 โดยพร้อมเพรียงกัน และให้เสมือนว่าอยู่ในงานพิธีเดียวกันทั่วทั้งประเทศ7) การบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว เพื่อร่วมสร้างประวัติศาสตร์ชาติ และประวัติศาสตร์ของจังหวัดและอําเภอ โดยให้จังหวัดและอําเภอรวบรวมภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวอันเกี่ยวเนื่องกับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ นับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 ถึง 26 ตุลาคม 2560 ในพื้นที่ เพื่อรวบรวมส่งให้คณะกรรมการฝ่ายจัดทําหนังสือที่ระลึกและจดหมายเหตุงานพระราชพิธีฯ
2. การจัดโครงการจิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯสืบเนื่องด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราโชบายให้ประชาชนชาวไทยได้ถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และมีส่วนร่วมในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ อย่างสมพระเกียรติโดยจัดโครงการจิตอาสาเฉพาะกิจพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เพื่อปฏิบัติภารกิจในช่วงงานพระราชพิธีในระหว่างวันที่18 – 31 ตุลาคม 2560 โดยจะแบ่งภารกิจออกเป็น 8 ประเภท ได้แก่ งานดอกไม้จันทน์ งานประชาสัมพันธ์ งานโยธา งานขนส่ง งานบริการประชาชน งานบริการด้านการแพทย์ งานรักษาความปลอดภัย และงานจราจร ซึ่งจะเปิดรับสมัครจิตอาสาเฉพาะกิจฯ ในระหว่างวันที่ 1-30 กันยายน 2560 นี้ โดยในส่วนกลางสมัครได้ที่กรุงเทพมหานคร และในส่วนภูมิภาค สมัครได้ที่ว่าการอําเภอทุกแห่งพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจะได้จัดการประชุมผ่านระบบVCSเพื่อชี้แจงรายละเอียดและแนวทางการดําเนินงานตามโครงการดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบต่อไป
3. การดําเนินการเกี่ยวกับข้าวสารพระราชทานฯเพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค สืบเนื่องด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานข้าวสาร เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ จํานวน 30 ตัน และข้าวสารที่ประชาชนร่วมกันบริจาคอีกจํานวน 162,064 ตัน โดยกระทรวงมหาดไทยได้รับจัดสรรข้าวสารพระราชทาน จํานวน 91,200 กิโลกรัม เพื่อส่งมอบให้จังหวัดนําไปจัดเลี้ยงประชาชนในช่วงงานวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ.
ครั้งที่ 121/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประชุมผ่านระบบ VCS ซักซ้อมแนวทางการจัดงานพระราชพิธีงานพระบรมศพฯ พร้อมติดตามความคืบหน้าการเตรียมงานพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาคฯ
วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2560
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประชุมผ่านระบบ VCS ซักซ้อมแนวทางการจัดงานพระราชพิธีงานพระบรมศพฯ พร้อมติดตามความคืบหน้าการเตรียมงานพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาคฯ
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประชุมผ่านระบบ VCS ซักซ้อมแนวทางการจัดงานพระราชพิธีงานพระบรมศพฯ พร้อมติดตามความคืบหน้าการเตรียมงานพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาค เน้นความถูกต้อง เรียบร้อย งดงาม และสมพระเกียรติ พร้อมเชิญชวนทุกภาคส่วนเข้ามีส่วนร่วม
วันนี้ (24 ส.ค. 60) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 1 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video conference)ไปยังจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อซักซ้อมแนวทางอันเกี่ยวเนื่องกับงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมทั้งติดตามความคืบหน้าในการจัดเตรียมงานพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของภาคประชาชนในส่วนภูมิภาคโดยการประชุมครั้งนี้ มีผู้แทนของสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้แทนกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนสํานักพระราชวัง และผู้แทนกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมชี้แจงเพื่อให้ข้อมูลด้วย
ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้เชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงวัฒนธรรม สํานักพระราชวัง และกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมประชุมเพื่อชี้แจงแนวทางการดําเนินงานและความคืบหน้าเกี่ยวกับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชซึ่งมีหมายกําหนดการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ระหว่างวันที่ 25–29 ตุลาคม 2560 โดยการประชุมในวันนี้มีประเด็นสําคัญ ได้แก่ 1.การติดตามความคืบหน้าของการเตรียมงานพระราชพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค 2.การจัดโครงการจิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ และ 3.การดําเนินการเกี่ยวกับข้าวสารพระราชทานฯ เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและมีความเข้าใจในกิจกรรมดังกล่าวเพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้เนื่องจากงานในพื้นที่จังหวัดมีปริมาณมาก ซึ่งใกล้จะสิ้นปีงบประมาณและใกล้ช่วงงานพระราชพิธี ประกอบกับ ผู้บริหารในบางพื้นที่จะมีการเกษียณอายุราชการและมีการปรับเปลี่ยนโยกย้าย จึงขอเน้นย้ําให้จังหวัดและอําเภอได้จัดระบบงานพร้อมมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน เพื่อให้การดําเนินงานพระราชพิธีฯ ดําเนินการได้อย่างถูกต้อง เรียบร้อย งดงาม และสมพระเกียรติ
สําหรับภารกิจอันเกี่ยวเนื่องกับงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีความคืบหน้าในการดําเนินงานดังนี้
1.การจัดงานพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาคประกอบด้วย1) ด้านสถานที่จัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้จังหวัดและอําเภอพิจารณาคัดเลือกวัดหรือสถานที่เหมาะสมในการ จัดเตรียมสถานที่จัดงานพิธีฯ จํานวน 878 แห่ง ซึ่งแยกเป็นวัด 669 แห่ง และสถานที่อื่นๆ จํานวน 209 แห่ง ได้แก่ ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอําเภอ สถานศึกษา สํานักสงฆ์ สนามกีฬา ลานอเนกประสงค์ สวนสาธารณะ และสถานที่สําคัญ เป็นต้น สําหรับการจัดซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ ได้กําหนดให้ใช้แบบซุ้มตามที่กรมศิลปากรกําหนด ตามความเหมาะสมของพื้นที่ภายใต้หลักความพอเพียง โดยแยกเป็น พระเมรุมาศจําลอง จํานวน 76 แห่ง (เฉพาะในส่วนของจังหวัดที่จัดร่วมกับอําเภอเมือง) ซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ แบบขนาดกลาง จํานวน 621 แห่ง และ ซุ้มถวายดอกไม้จันทน์แบบขนาดเล็ก หรือแบบตั้งโต๊ะหมู่ จํานวน 181 แห่ง ทั้งนี้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีและถวายความอาลัยอย่างทั่วถึง2) ด้านพิธีถวายดอกไม้จันทน์เน้นหลักการ เรียบร้อย งดงาม และการมีส่วนร่วม โดยในส่วนของจังหวัด จะมีการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ครั้งที่ 1 ก่อนการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เพื่อนําดอกไม้จันทน์ตัวแทนของจังหวัด จังหวัดละ 1 ช่อ รวม 76 ช่อ ส่งให้กระทรวงมหาดไทย เพื่อรวบรวมมอบให้กรุงเทพมหานคร ภายในวันที่ 15 กันยายน 2560 เพื่ออันเชิญไปถวายที่หอเปลื้องพระเมรุมาศในวันพระราชพิธี ทั้งนี้ กรุงเทพมหานคร จะได้มีการซักซ้อมขั้นตอนพิธีถวายดอกไม้จันทน์ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดพิธีมีแนวทางปฏิบัติในรูปแบบเดียวกัน
3) การประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์โดยยึดหลักการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และการมีส่วนร่วม ซึ่งขณะนี้กรมการพัฒนาชุมชน ได้รายงานความคืบหน้าในการดําเนินการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ ดังนี้ ดอกไม้จันทน์สําหรับเป็นตัวแทนจังหวัดและอําเภอ จํานวน 878 ช่อ ดําเนินการแล้วเสร็จ 636 ช่อ กําหนดแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้ สําหรับดอกไม้จันทน์สําหรับประชาชน ในการเข้าร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในพื้นที่ตั้งเป้าหมาย 36.8 ล้านดอก ดําเนินการแล้วเสร็จ 41 ล้านดอก4) การปลูกดอกดาวเรือง หรือดอกไม้สีเหลืองกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้จังหวัดและอําเภอ ดําเนินการปลูกดอกดาวเรืองหรือดอกไม้สีเหลือง บริเวณศาลากลางจังหวัด/ ที่ว่าการอําเภอ สถานที่ราชการ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เชิญชวนภาคราชการ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในพื้นที่ ร่วมปลูกดอกดาวเรือง หรือดอกไม้สีเหลือง เพื่อใช้ประดับสถานที่ราชการ สถานที่สําคัญ บริษัท ห้างร้าน และบ้านเรือนของประชาชน ซึ่งขณะนี้จังหวัดและอําเภอได้ดําเนินการตามห้วงเวลาและตามวงรอบการเจริญเติบโตของดอกดาวเรือง เพื่อให้ออกดอกและบานสะพรั่งในช่วงงานพระราชพิธีฯ ดังกล่าว5) การอํานวยความสะดวกประชาชนที่มาร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ฯ โดยให้จังหวัดและอําเภอ ยึดหลักการมีส่วนร่วม โดยถือว่าประชาชนทุกคนเป็นแขก และรัฐบาลเป็นเจ้าภาพ และได้เน้นย้ําให้จัดเตรียมความพร้อมของสถานที่ ระบบไฟฟ้าน้ําประปา แพทย์ พยาบาล ห้องสุขา การดูแลความสะอาดบริเวณสถานที่ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการจัดพิธี การรักษาความปลอดภัยและระบบการจราจร ตลอดจนการจัดที่พักคอยของประชาชนที่มาร่วมพิธี โดยเฉพาะในเรื่องเต้นท์ เก้าอี้ ห้องน้ํา ห้องสุขา ให้เพียงพอในการรองรับประชาชน6) ด้านการประชาสัมพันธ์ยึดหลักการสร้างการรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับงานพระราชพิธีถวายดอกไม้จันทน์อย่างทั่วถึง ให้กับพี่น้องประชาชน โดยให้จังหวัดและอําเภอประสานสื่อทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ประชาชนได้รับทราบ และเข้าร่วมกิจกรรม และพิธีถวายดอกไม้จันทน์ฯ โดยพร้อมเพรียงกัน พร้อมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชน ห้างร้านต่างๆ ซึ่งเป็นเจ้าของจอLEDได้ร่วมรับสัญญาณการถ่ายทอดสดพระราชพิธีฯ ในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 โดยพร้อมเพรียงกัน และให้เสมือนว่าอยู่ในงานพิธีเดียวกันทั่วทั้งประเทศ7) การบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว เพื่อร่วมสร้างประวัติศาสตร์ชาติ และประวัติศาสตร์ของจังหวัดและอําเภอ โดยให้จังหวัดและอําเภอรวบรวมภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวอันเกี่ยวเนื่องกับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ นับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 ถึง 26 ตุลาคม 2560 ในพื้นที่ เพื่อรวบรวมส่งให้คณะกรรมการฝ่ายจัดทําหนังสือที่ระลึกและจดหมายเหตุงานพระราชพิธีฯ
2. การจัดโครงการจิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯสืบเนื่องด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราโชบายให้ประชาชนชาวไทยได้ถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และมีส่วนร่วมในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ อย่างสมพระเกียรติโดยจัดโครงการจิตอาสาเฉพาะกิจพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เพื่อปฏิบัติภารกิจในช่วงงานพระราชพิธีในระหว่างวันที่18 – 31 ตุลาคม 2560 โดยจะแบ่งภารกิจออกเป็น 8 ประเภท ได้แก่ งานดอกไม้จันทน์ งานประชาสัมพันธ์ งานโยธา งานขนส่ง งานบริการประชาชน งานบริการด้านการแพทย์ งานรักษาความปลอดภัย และงานจราจร ซึ่งจะเปิดรับสมัครจิตอาสาเฉพาะกิจฯ ในระหว่างวันที่ 1-30 กันยายน 2560 นี้ โดยในส่วนกลางสมัครได้ที่กรุงเทพมหานคร และในส่วนภูมิภาค สมัครได้ที่ว่าการอําเภอทุกแห่งพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจะได้จัดการประชุมผ่านระบบVCSเพื่อชี้แจงรายละเอียดและแนวทางการดําเนินงานตามโครงการดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบต่อไป
3. การดําเนินการเกี่ยวกับข้าวสารพระราชทานฯเพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค สืบเนื่องด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานข้าวสาร เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ จํานวน 30 ตัน และข้าวสารที่ประชาชนร่วมกันบริจาคอีกจํานวน 162,064 ตัน โดยกระทรวงมหาดไทยได้รับจัดสรรข้าวสารพระราชทาน จํานวน 91,200 กิโลกรัม เพื่อส่งมอบให้จังหวัดนําไปจัดเลี้ยงประชาชนในช่วงงานวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ.
ครั้งที่ 121/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6185
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระวัง! อย่ามองข้ามความปลอดภัย "โรคร้าย" ที่มากับน้ำท่วม
|
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
ระวัง! อย่ามองข้ามความปลอดภัย "โรคร้าย" ที่มากับน้ําท่วม
..
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระวัง! อย่ามองข้ามความปลอดภัย "โรคร้าย" ที่มากับน้ำท่วม
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
ระวัง! อย่ามองข้ามความปลอดภัย "โรคร้าย" ที่มากับน้ําท่วม
..
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22677
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ตรวจสอบขั้นตอนและกระบวนการผลิตหน้ากากผ้าฯ พร้อมควบคุมการผลิตให้ได้ตามมาตรฐานฯ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
|
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
ก.อุตฯ ตรวจสอบขั้นตอนและกระบวนการผลิตหน้ากากผ้าฯ พร้อมควบคุมการผลิตให้ได้ตามมาตรฐานฯ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจสอบขั้นตอนและกระบวนการผลิตหน้ากากผ้าฯ พร้อมควบคุมการผลิตให้ได้ตามมาตรฐานฯ
วันที่ 3 เมษายน 2563 นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ โครงการผลิตหน้ากากผ้า เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) แก่ประชาชน ได้นําคณะกรรมการตรวจรับพัสดุเข้าตรวจสอบขั้นตอนการผลิตหน้ากากผ้าของ บริษัท พาลาดิน เวิร์คแวร์ จํากัด ซึ่งเป็น 1 ใน 5 บริษัท ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ผลิตหน้ากากผ้าที่มีคุณลักษณะผ้าและหน้ากากผ้าตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมกําหนด เรื่องข้อแนะนําคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสําหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยจากการตรวจสอบพบว่าโรงงานสามารถผลิตหน้ากากผ้าได้ตามมาตรฐาน
กระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย งบกลาง จํานวน 65 ล้านบาท และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดสรรงบรายจ่ายประจําปี 2563 ของสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพิ่มเติมอีก 2 ล้านบาท รวมเป็น 67 ล้านบาท เพื่อผลิตหน้ากากผ้าและแจกจ่ายให้ประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงพื้นที่เสี่ยงอื่น จํานวน 10 ล้านชิ้น เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยได้คัดเลือกบริษัท/โรงงาน จํานวน 5 ราย ได้แก่ บริษัท พาลาดิน เวิร์คแวร์ จํากัด บริษัท ยูนิเวอร์แซล แอพพาเรล จํากัด บริษัท แปซิฟิก การทอ จํากัด บริษัท กลัฟเท็กซ์ จํากัด และ บริษัท เกียรติสวัสดิ์ เท็กซ์ไทล์ จํากัด ซึ่งเป็นโรงงานที่มีความพร้อมและมีศักยภาพสามารถจัดหาวัตถุดิบในการผลิตที่มีคุณภาพ มีคุณลักษณะผ้าและหน้ากากผ้าตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมกําหนด เรื่องข้อแนะนําคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสําหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยผ่านการรับรองมาตรฐานจากสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ทั้งนี้ จากการตรวจเยี่ยมโรงงานฯ คณะกรรมการตรวจรับฯ มีความมั่นใจว่ากระทรวงอุตสาหกรรมสามารถแจกจ่ายหน้ากากผ้าล๊อตแรกให้กับประชาชนได้ภายในกลางเดือนเมษายนนี้อย่างแน่นอน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ตรวจสอบขั้นตอนและกระบวนการผลิตหน้ากากผ้าฯ พร้อมควบคุมการผลิตให้ได้ตามมาตรฐานฯ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
ก.อุตฯ ตรวจสอบขั้นตอนและกระบวนการผลิตหน้ากากผ้าฯ พร้อมควบคุมการผลิตให้ได้ตามมาตรฐานฯ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจสอบขั้นตอนและกระบวนการผลิตหน้ากากผ้าฯ พร้อมควบคุมการผลิตให้ได้ตามมาตรฐานฯ
วันที่ 3 เมษายน 2563 นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ โครงการผลิตหน้ากากผ้า เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) แก่ประชาชน ได้นําคณะกรรมการตรวจรับพัสดุเข้าตรวจสอบขั้นตอนการผลิตหน้ากากผ้าของ บริษัท พาลาดิน เวิร์คแวร์ จํากัด ซึ่งเป็น 1 ใน 5 บริษัท ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ผลิตหน้ากากผ้าที่มีคุณลักษณะผ้าและหน้ากากผ้าตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมกําหนด เรื่องข้อแนะนําคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสําหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยจากการตรวจสอบพบว่าโรงงานสามารถผลิตหน้ากากผ้าได้ตามมาตรฐาน
กระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย งบกลาง จํานวน 65 ล้านบาท และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดสรรงบรายจ่ายประจําปี 2563 ของสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพิ่มเติมอีก 2 ล้านบาท รวมเป็น 67 ล้านบาท เพื่อผลิตหน้ากากผ้าและแจกจ่ายให้ประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงพื้นที่เสี่ยงอื่น จํานวน 10 ล้านชิ้น เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยได้คัดเลือกบริษัท/โรงงาน จํานวน 5 ราย ได้แก่ บริษัท พาลาดิน เวิร์คแวร์ จํากัด บริษัท ยูนิเวอร์แซล แอพพาเรล จํากัด บริษัท แปซิฟิก การทอ จํากัด บริษัท กลัฟเท็กซ์ จํากัด และ บริษัท เกียรติสวัสดิ์ เท็กซ์ไทล์ จํากัด ซึ่งเป็นโรงงานที่มีความพร้อมและมีศักยภาพสามารถจัดหาวัตถุดิบในการผลิตที่มีคุณภาพ มีคุณลักษณะผ้าและหน้ากากผ้าตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมกําหนด เรื่องข้อแนะนําคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสําหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยผ่านการรับรองมาตรฐานจากสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ทั้งนี้ จากการตรวจเยี่ยมโรงงานฯ คณะกรรมการตรวจรับฯ มีความมั่นใจว่ากระทรวงอุตสาหกรรมสามารถแจกจ่ายหน้ากากผ้าล๊อตแรกให้กับประชาชนได้ภายในกลางเดือนเมษายนนี้อย่างแน่นอน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28547
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.มอบรางวัล "วัฒนคุณาธร" เชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ด้านวัฒนธรรม ประจำปี 2562
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562
วธ.มอบรางวัล "วัฒนคุณาธร" เชิดชูเกียรติผู้ทําคุณประโยชน์ด้านวัฒนธรรม ประจําปี 2562
วธ.มอบรางวัล "วัฒนคุณาธร" เชิดชูเกียรติผู้ทําคุณประโยชน์ด้านวัฒนธรรม ประจําปี 2562 คณะสงฆ์-ผู้ผลิตสื่อ-ปราชญ์ชาวบ้าน-ศิลปินพื้นบ้าน ขึ้นรับรางวัล ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา นราธิวาส พะเยา พิษณุโลก สงขลา สิงห์บุรี และอุดรธานี คว้ารางวัล สวจ.ดีเด่น
วธ.มอบรางวัล "วัฒนคุณาธร" เชิดชูเกียรติผู้ทําคุณประโยชน์ด้านวัฒนธรรม ประจําปี 2562 คณะสงฆ์-ผู้ผลิตสื่อ-ปราชญ์ชาวบ้าน-ศิลปินพื้นบ้าน ขึ้นรับรางวัล
ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา นราธิวาส พะเยา พิษณุโลก สงขลา สิงห์บุรี และอุดรธานี คว้ารางวัล สวจ.ดีเด่น
วันที่ 3 ตุลาคม 2562 เวลา 10.00 น. ที่อาคารวัฒนธรรมวิศิษฎ์ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ถนนเทียมร่วมมิตร กรุงเทพฯ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม ครบรอบ 17 ปี โดยมี สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนีวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ ต่อมาเวลา 13.30 น. ที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติผู้ทําคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดดีเด่น ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจําปี พ.ศ. 2561 โดยมีนายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารวธ. เครือข่ายด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เข้าร่วม
นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2545 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 17 ปี วธ.เป็นองค์กรหลักในการสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ปลูกฝังค่านิยมอันดีงามบนพื้นฐานคุณธรรม นําสังคมอยู่เย็นเป็นสุข โดยยึดหลักอนุรักษ์ สืบสาน และสร้างสรรค์วัฒนธรรมเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรม การพัฒนาสังคมที่เข้มแข็ง อันจะนําไปสู่สังคมที่มีความสมานฉันท์ ดํารงไว้ซึ่งคุณธรรม และสามารถพัฒนาเศรษฐกิจ บนพื้นฐานวัฒนธรรมไทยในอนาคต ด้วยการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทางวัฒนธรรมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการขับเคลื่อนภารกิจงานด้านวัฒนธรรม ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 วธ.ได้น้อมนําพระปฐมบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องการสืบสาน รักษา และต่อยอดมาเป็นแนวทางดําเนินงานภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี โดยยึดหลักธรรมาภิบาล มุ่งเน้นการบูรณาการของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานตามภารกิจในด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม โดยเฉพาะการเคารพเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ เป็นศูนย์รวมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชน รวมถึงการสร้างสรรค์คนดี สังคมดี ทั้งนี้ ในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนา 3 ตุลาคม 2562 วธ.จึงจัดกิจกรรมด้านศาสนาและวัฒนธรรม และมอบโล่รางวัล “วัฒนคุณาธร” แก่ผู้ทําคุณประโยชน์ต่อวธ. สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดดีเด่น ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจําปี พ.ศ. 2561 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูและประกาศเกียรติคุณ รวมถึงสร้างขวัญกําลังใจในการปฏิบัติงานของภาคีเครือข่าย โดยมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่ผู้ทําคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม 393 รางวัล แบ่งเป็นเด็กหรือเยาวชน 115 ราย ประเภทบุคคล 160 ราย และประเภทนิติบุคคลหรือคณะบุคคล 118 แห่ง/คณะ ดังนี้
ประเภทเด็กหรือเยาวชน 115 ราย อาทิ ด.ญ.กรวีร์ วงศ์สุขเสงี่ยม กทม. น.ส.ประวินา ราชแสง จ.ขอนแก่น
ด.ญ.ปิยธิดา อุ้ยฟูใจ จ.เชียงใหม่ นางสาวนิศารัตน์ ภู่สุวรรณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา นายคุณากร ประมุข จ.นครศรีธรรมราช และนายอัสสาลาม มะแซ จ.ปัตตานี เป็นต้น ประเภทบุคคล 160 ราย อาทิ พระราชเขมากร จ.แพร่ พระครูพิพัฒน์คมนียเขต จ.พังงา นายประวิทย์ มาลีนนท์ กทม. นางศรีนวล ขําอาจ จ.ปทุมธานี นายมณฑล อโหสิ จ.พิจิตร นายอําคา แสงงาม จ.ร้อยเอ็ด นายรัตนะ ตาแปง จ.พะเยา และนายประเสริฐ รักษ์วงศ์ จ.สงขลา เป็นต้น ประเภทนิติบุคคลหรือคณะบุคคล 118 แห่ง/คณะ อาทิ ศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมอันดามัน จ.กระบี่ มูลนิธิหุ่นสายเสมา ศิลปะเพื่อสังคม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร บริษัท อสมท จํากัด (มหาชน) ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี กลุ่มฟ้อนไตลื้อ จ.เชียงใหม่ สมาคมลิเกตะพานหิน จ.พิจิตร และคณะหมอลําแฮ้งคอคํา จ.ร้อยเอ็ด เป็นต้น
นอกจากนี้ วธ.ยังมอบรางวัลสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) ดีเด่น ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จํานวน 8 แห่ง ได้แก่ ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา นราธิวาส พะเยา พิษณุโลก สงขลา สิงห์บุรี และอุดรธานี รวมทั้งมอบรางวัลให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นในสังกัดวธ. ประจําปี พ.ศ. 2561 จํานวน 12 ราย อาทิ นายชัยนันท์ พันธุ์ภคไพโรจน์ นายช่างเทคนิคอาวุโส กรมศิลปากร และนายสมชาย ฟ้อนรําดี ครูเชี่ยวชาญวิทยาลัยนาฎศิลปลพบุรี เป็นต้น
ทั้งนี้ การมอบรางวัลในครั้งนี้ถือเป็นขวัญกําลังใจให้องค์กร หน่วยงานต่างๆ และบุคลากรที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจร่วมกันเป็นแกนนําในการส่งเสริม สนับสนุน และการร่วมขับเคลื่อนงานด้วยศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ก่อเกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติต่อไป
---------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.มอบรางวัล "วัฒนคุณาธร" เชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ด้านวัฒนธรรม ประจำปี 2562
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562
วธ.มอบรางวัล "วัฒนคุณาธร" เชิดชูเกียรติผู้ทําคุณประโยชน์ด้านวัฒนธรรม ประจําปี 2562
วธ.มอบรางวัล "วัฒนคุณาธร" เชิดชูเกียรติผู้ทําคุณประโยชน์ด้านวัฒนธรรม ประจําปี 2562 คณะสงฆ์-ผู้ผลิตสื่อ-ปราชญ์ชาวบ้าน-ศิลปินพื้นบ้าน ขึ้นรับรางวัล ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา นราธิวาส พะเยา พิษณุโลก สงขลา สิงห์บุรี และอุดรธานี คว้ารางวัล สวจ.ดีเด่น
วธ.มอบรางวัล "วัฒนคุณาธร" เชิดชูเกียรติผู้ทําคุณประโยชน์ด้านวัฒนธรรม ประจําปี 2562 คณะสงฆ์-ผู้ผลิตสื่อ-ปราชญ์ชาวบ้าน-ศิลปินพื้นบ้าน ขึ้นรับรางวัล
ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา นราธิวาส พะเยา พิษณุโลก สงขลา สิงห์บุรี และอุดรธานี คว้ารางวัล สวจ.ดีเด่น
วันที่ 3 ตุลาคม 2562 เวลา 10.00 น. ที่อาคารวัฒนธรรมวิศิษฎ์ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ถนนเทียมร่วมมิตร กรุงเทพฯ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม ครบรอบ 17 ปี โดยมี สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนีวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ ต่อมาเวลา 13.30 น. ที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติผู้ทําคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดดีเด่น ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจําปี พ.ศ. 2561 โดยมีนายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารวธ. เครือข่ายด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เข้าร่วม
นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2545 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 17 ปี วธ.เป็นองค์กรหลักในการสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ปลูกฝังค่านิยมอันดีงามบนพื้นฐานคุณธรรม นําสังคมอยู่เย็นเป็นสุข โดยยึดหลักอนุรักษ์ สืบสาน และสร้างสรรค์วัฒนธรรมเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรม การพัฒนาสังคมที่เข้มแข็ง อันจะนําไปสู่สังคมที่มีความสมานฉันท์ ดํารงไว้ซึ่งคุณธรรม และสามารถพัฒนาเศรษฐกิจ บนพื้นฐานวัฒนธรรมไทยในอนาคต ด้วยการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทางวัฒนธรรมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการขับเคลื่อนภารกิจงานด้านวัฒนธรรม ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 วธ.ได้น้อมนําพระปฐมบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องการสืบสาน รักษา และต่อยอดมาเป็นแนวทางดําเนินงานภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี โดยยึดหลักธรรมาภิบาล มุ่งเน้นการบูรณาการของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานตามภารกิจในด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม โดยเฉพาะการเคารพเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ เป็นศูนย์รวมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชน รวมถึงการสร้างสรรค์คนดี สังคมดี ทั้งนี้ ในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนา 3 ตุลาคม 2562 วธ.จึงจัดกิจกรรมด้านศาสนาและวัฒนธรรม และมอบโล่รางวัล “วัฒนคุณาธร” แก่ผู้ทําคุณประโยชน์ต่อวธ. สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดดีเด่น ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจําปี พ.ศ. 2561 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูและประกาศเกียรติคุณ รวมถึงสร้างขวัญกําลังใจในการปฏิบัติงานของภาคีเครือข่าย โดยมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่ผู้ทําคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม 393 รางวัล แบ่งเป็นเด็กหรือเยาวชน 115 ราย ประเภทบุคคล 160 ราย และประเภทนิติบุคคลหรือคณะบุคคล 118 แห่ง/คณะ ดังนี้
ประเภทเด็กหรือเยาวชน 115 ราย อาทิ ด.ญ.กรวีร์ วงศ์สุขเสงี่ยม กทม. น.ส.ประวินา ราชแสง จ.ขอนแก่น
ด.ญ.ปิยธิดา อุ้ยฟูใจ จ.เชียงใหม่ นางสาวนิศารัตน์ ภู่สุวรรณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา นายคุณากร ประมุข จ.นครศรีธรรมราช และนายอัสสาลาม มะแซ จ.ปัตตานี เป็นต้น ประเภทบุคคล 160 ราย อาทิ พระราชเขมากร จ.แพร่ พระครูพิพัฒน์คมนียเขต จ.พังงา นายประวิทย์ มาลีนนท์ กทม. นางศรีนวล ขําอาจ จ.ปทุมธานี นายมณฑล อโหสิ จ.พิจิตร นายอําคา แสงงาม จ.ร้อยเอ็ด นายรัตนะ ตาแปง จ.พะเยา และนายประเสริฐ รักษ์วงศ์ จ.สงขลา เป็นต้น ประเภทนิติบุคคลหรือคณะบุคคล 118 แห่ง/คณะ อาทิ ศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมอันดามัน จ.กระบี่ มูลนิธิหุ่นสายเสมา ศิลปะเพื่อสังคม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร บริษัท อสมท จํากัด (มหาชน) ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี กลุ่มฟ้อนไตลื้อ จ.เชียงใหม่ สมาคมลิเกตะพานหิน จ.พิจิตร และคณะหมอลําแฮ้งคอคํา จ.ร้อยเอ็ด เป็นต้น
นอกจากนี้ วธ.ยังมอบรางวัลสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) ดีเด่น ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จํานวน 8 แห่ง ได้แก่ ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา นราธิวาส พะเยา พิษณุโลก สงขลา สิงห์บุรี และอุดรธานี รวมทั้งมอบรางวัลให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นในสังกัดวธ. ประจําปี พ.ศ. 2561 จํานวน 12 ราย อาทิ นายชัยนันท์ พันธุ์ภคไพโรจน์ นายช่างเทคนิคอาวุโส กรมศิลปากร และนายสมชาย ฟ้อนรําดี ครูเชี่ยวชาญวิทยาลัยนาฎศิลปลพบุรี เป็นต้น
ทั้งนี้ การมอบรางวัลในครั้งนี้ถือเป็นขวัญกําลังใจให้องค์กร หน่วยงานต่างๆ และบุคลากรที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจร่วมกันเป็นแกนนําในการส่งเสริม สนับสนุน และการร่วมขับเคลื่อนงานด้วยศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ก่อเกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติต่อไป
---------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23615
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประเมินไทยชนะ การ์ดตก กระตุ้นตลาด-ห้างสรรพสินค้า-ศูนย์การค้าเข้มงวด [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน 2563
ผลประเมินไทยชนะ การ์ดตก กระตุ้นตลาด-ห้างสรรพสินค้า-ศูนย์การค้าเข้มงวด [กระทรวงสาธารณสุข]
ผลประเมินไทยชนะ การ์ดตก กระตุ้นตลาด-ห้างสรรพสินค้า-ศูนย์การค้าเข้มงวด
ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอีเอส เผยผลสํารวจประเมินความเสี่ยงกิจการ/กิจกรรมผ่าน “ไทยชนะ” พบ “ตลาด ห้าง ศูนย์การค้า” เป็นจุดเสี่ยงน่ากังวล หลังผลประเมิน “การ์ดตก” พร้อมกระตุ้นเตือนผู้ประกอบการจริงจังเข้มงวดการใช้ไทยชนะ ส่วน “ปทุมธานี” เป็นจังหวัดที่ประชาชนให้ความร่วมมือประเมินมากที่สุด
วันนี้ (25 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงความคืบหน้าการใช้งานแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” โดยกล่าวว่า ผลการประเมินของประชาชนที่เข้ารับบริการในกิจการ/กิจกรรม 24 กิจการ เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในแต่ละด้าน ได้แก่ การทําความสะอาดร้านค้า สวมหน้ากาก จุดบริการล้างมือ การเว้นระยะห่าง พบว่า 5 กิจการ/กิจกรรมที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ําสุด (จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) คือ 1.ตลาด ตลาดนัด ตลาดค้าส่ง หาบเร่ แผงลอย มีคะแนนเฉลี่ย 4.86 คะแนน 2.ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าส่ง ร้านสะดวกซื้อ 4.91 คะแนน 3.การจําหน่ายสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค 4.91 คะแนน 4.ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า 4.91 คะแนน และ 5.ร้านค้าปลีกธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม 4.92 คะแนน จะเห็นว่าคะแนนลดลงเมื่อเทียบการช่วงแรกของการผ่อนคลายมาตรการ จึงอยากกระตุ้นให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ต้องตระหนักและปฏิบัติตามแนวทางที่ ศบค.กําหนด ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์หรือสบู่ การเว้นระยะห่าง การลดความแออัด และการลงทะเบียนเข้า-ออก ผ่านไทยชนะ เพราะเมื่อหย่อนยานลงไป การเปิดประเทศหรือผ่อนคลายในระยะต่อไปจะกลายเป็นข้อกังขาถึงความสําเร็จที่ผ่านมาของประเทศไทยได้
นายแพทย์พลวรรธน์กล่าวต่อว่า สําหรับภาพรวมการใช้งานไทยชนะนั้น จนถึงวันที่ 25 มิถุนายน 2563 มีผู้ใช้งานทั้งสิ้น 30,792,286 คน มีกิจการ/ร้านค้าลงทะเบียน 230,768 ร้าน สัดส่วนการเช็คอิน/เช็คเอาท์ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะร้อยละ 55.6 ผ่านแอปพลิเคชันร้อยละ 86.7 โดยมีผู้ดาวน์โหลดใช้งาน 424,077 คน สําหรับ 5 จังหวัดที่มีสัดส่วนการประเมินกิจการ/กิจกรรมสูงสุดพบว่า จังหวัดปทุมธานีมีผู้ประเมินร้อยละ 79, นครปฐม ร้อยละ 76, กรุงเทพฯร้อยละ 76, นนทบุรีร้อยละ 75 และชลบุรีร้อยละ 74 ทั้งนี้ การร่วมกันประเมินร้านค้าและกิจกรรมจากประชาชน ถือเป็นสิ่งสําคัญที่จะช่วยกันตรวจสอบอย่างเข้มข้นในมาตรการที่กําหนดไว้ เป็นส่วนสําคัญในการร่วมกันป้องกันการแพร่กระจายของโควิด 19
“สําหรับการผ่อนคลายในระยะที่ 5 นั้น จะมีกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง จึงขอยืนยันว่าการลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันไทยชนะยิ่งมีความจําเป็น เพราะเมื่อเกิดการระบาดจะช่วยในการติดตามควบคุมโรคได้เป็นอย่างดี โดยจะติดต่อตรงส่วนตัวไปยังผู้ที่เข้ามาใช้บริการในพื้นที่ที่พบการระบาด ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ ย้ําว่าข้อมูลใช้เพื่อการควบคุมการระบาดของโควิด 19 เท่านั้น ส่วนปัญหาเรื่องข้อความสแปมไปยังโทรศัพท์ของผู้ใช้งานระบบ iOS ขณะนี้ ได้ประสานเจ้าของระบบดําเนินการแก้ไขแล้ว และอยู่ระหว่างติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขต่อไป” นายแพทย์พลวรรธน์กล่าว
****************************** 26 มิถุนายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประเมินไทยชนะ การ์ดตก กระตุ้นตลาด-ห้างสรรพสินค้า-ศูนย์การค้าเข้มงวด [กระทรวงสาธารณสุข]
วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน 2563
ผลประเมินไทยชนะ การ์ดตก กระตุ้นตลาด-ห้างสรรพสินค้า-ศูนย์การค้าเข้มงวด [กระทรวงสาธารณสุข]
ผลประเมินไทยชนะ การ์ดตก กระตุ้นตลาด-ห้างสรรพสินค้า-ศูนย์การค้าเข้มงวด
ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอีเอส เผยผลสํารวจประเมินความเสี่ยงกิจการ/กิจกรรมผ่าน “ไทยชนะ” พบ “ตลาด ห้าง ศูนย์การค้า” เป็นจุดเสี่ยงน่ากังวล หลังผลประเมิน “การ์ดตก” พร้อมกระตุ้นเตือนผู้ประกอบการจริงจังเข้มงวดการใช้ไทยชนะ ส่วน “ปทุมธานี” เป็นจังหวัดที่ประชาชนให้ความร่วมมือประเมินมากที่สุด
วันนี้ (25 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงความคืบหน้าการใช้งานแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” โดยกล่าวว่า ผลการประเมินของประชาชนที่เข้ารับบริการในกิจการ/กิจกรรม 24 กิจการ เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในแต่ละด้าน ได้แก่ การทําความสะอาดร้านค้า สวมหน้ากาก จุดบริการล้างมือ การเว้นระยะห่าง พบว่า 5 กิจการ/กิจกรรมที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ําสุด (จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) คือ 1.ตลาด ตลาดนัด ตลาดค้าส่ง หาบเร่ แผงลอย มีคะแนนเฉลี่ย 4.86 คะแนน 2.ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าส่ง ร้านสะดวกซื้อ 4.91 คะแนน 3.การจําหน่ายสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค 4.91 คะแนน 4.ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า 4.91 คะแนน และ 5.ร้านค้าปลีกธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม 4.92 คะแนน จะเห็นว่าคะแนนลดลงเมื่อเทียบการช่วงแรกของการผ่อนคลายมาตรการ จึงอยากกระตุ้นให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ต้องตระหนักและปฏิบัติตามแนวทางที่ ศบค.กําหนด ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์หรือสบู่ การเว้นระยะห่าง การลดความแออัด และการลงทะเบียนเข้า-ออก ผ่านไทยชนะ เพราะเมื่อหย่อนยานลงไป การเปิดประเทศหรือผ่อนคลายในระยะต่อไปจะกลายเป็นข้อกังขาถึงความสําเร็จที่ผ่านมาของประเทศไทยได้
นายแพทย์พลวรรธน์กล่าวต่อว่า สําหรับภาพรวมการใช้งานไทยชนะนั้น จนถึงวันที่ 25 มิถุนายน 2563 มีผู้ใช้งานทั้งสิ้น 30,792,286 คน มีกิจการ/ร้านค้าลงทะเบียน 230,768 ร้าน สัดส่วนการเช็คอิน/เช็คเอาท์ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะร้อยละ 55.6 ผ่านแอปพลิเคชันร้อยละ 86.7 โดยมีผู้ดาวน์โหลดใช้งาน 424,077 คน สําหรับ 5 จังหวัดที่มีสัดส่วนการประเมินกิจการ/กิจกรรมสูงสุดพบว่า จังหวัดปทุมธานีมีผู้ประเมินร้อยละ 79, นครปฐม ร้อยละ 76, กรุงเทพฯร้อยละ 76, นนทบุรีร้อยละ 75 และชลบุรีร้อยละ 74 ทั้งนี้ การร่วมกันประเมินร้านค้าและกิจกรรมจากประชาชน ถือเป็นสิ่งสําคัญที่จะช่วยกันตรวจสอบอย่างเข้มข้นในมาตรการที่กําหนดไว้ เป็นส่วนสําคัญในการร่วมกันป้องกันการแพร่กระจายของโควิด 19
“สําหรับการผ่อนคลายในระยะที่ 5 นั้น จะมีกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง จึงขอยืนยันว่าการลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันไทยชนะยิ่งมีความจําเป็น เพราะเมื่อเกิดการระบาดจะช่วยในการติดตามควบคุมโรคได้เป็นอย่างดี โดยจะติดต่อตรงส่วนตัวไปยังผู้ที่เข้ามาใช้บริการในพื้นที่ที่พบการระบาด ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ ย้ําว่าข้อมูลใช้เพื่อการควบคุมการระบาดของโควิด 19 เท่านั้น ส่วนปัญหาเรื่องข้อความสแปมไปยังโทรศัพท์ของผู้ใช้งานระบบ iOS ขณะนี้ ได้ประสานเจ้าของระบบดําเนินการแก้ไขแล้ว และอยู่ระหว่างติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขต่อไป” นายแพทย์พลวรรธน์กล่าว
****************************** 26 มิถุนายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32846
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย-สถานการณ์น้ำท่วม-3-จวท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเริ่มคลี่คลายเป็นปกติ-เตรียมเร่งฟื้นฟูพื้นที่และช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ-พร้อมวางแผนใช้น้ำที่เก็บกักไว้รับมือภัยแล้งที่จะมาถึ
|
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
โฆษกรัฐบาลเผย-สถานการณ์น้ําท่วม-3-จวท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเริ่มคลี่คลายเป็นปกติ-เตรียมเร่งฟื้นฟูพื้นที่และช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ-พร้อมวางแผนใช้น้ําที่เก็บกักไว้รับมือภัยแล้งที่จะมาถึ
โฆษกรัฐบาลเผย-สถานการณ์น้ําท่วม-3-จวท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเริ่มคลี่คลายเป็นปกติ-เตรียมเร่งฟื้นฟูพื้นที่และช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ-พร้อมวางแผนใช้น้ําที่เก็บกักไว้รับมือภัยแล้งที่จะมาถึง
วันนี้(29 ต.ค.59)พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ระดับน้ําในบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ําริมแม่น้ําเจ้าพระยาด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท อ.เมืองและ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี อ.ไชโยและอ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ลดลงต่ํากว่าตลิ่งและเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว เนื่องจากกรมชลประทานสามารถบริหารจัดการน้ําเหนือเขื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ “ท่านนายกฯ สั่งการให้แต่ละจังหวัดเร่งฟื้นฟูสภาพพื้นที่หลังน้ําท่วม พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนและเกษตรกรอย่างเต็มที่ตามระเบียบทางราชการ และยังได้กําชับให้ กษ. วางแผนจัดสรรน้ําเพื่อการเพาะปลูกพืชในฤดูแล้งปี 2559/60 ที่จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้.ให้รอบคอบรัดกุม หลังจากที่ได้เก็บกักน้ําบางส่วนไว้ในระบบชลประทานค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว” พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ปริมาณน้ําใน 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ําเจ้าพระยาล่าสุด เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และเขื่อนแควน้อยบํารุงแดนมีน้ําเต็มอ่าง เขื่อนสิริกิติ์มีน้ําในอ่างร้อยละ 80 ของความจุ และเขื่อนภูมิพลมีน้ําร้อยละ 50 ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณน้ํารวมกันทั้งหมด 9,600 ล้าน ลบ.ม. เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร และการรักษาระบบนิเวศในพื้นที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยา “สําหรับพื้นที่ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ยังมีน้ําเอ่อล้นเข้าท่วมขังบางจุดนั้น กรมชลประทานได้เร่งแก้ไขปัญหาโดยเพิ่มการระบายน้ําลงสู่แม่น้ําท่าจีนและทะเลตามลําดับ รวมทั้งเพิ่มการรับน้ําผ่านคลองชัยนาท-ป่าสัก เพื่อระบายน้ําลงสู่พื้นที่ฝั่งตะวันออกตอนล่าง ช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ลุ่มต่ําริมตลิ่งให้เข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย-สถานการณ์น้ำท่วม-3-จวท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเริ่มคลี่คลายเป็นปกติ-เตรียมเร่งฟื้นฟูพื้นที่และช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ-พร้อมวางแผนใช้น้ำที่เก็บกักไว้รับมือภัยแล้งที่จะมาถึ
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
โฆษกรัฐบาลเผย-สถานการณ์น้ําท่วม-3-จวท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเริ่มคลี่คลายเป็นปกติ-เตรียมเร่งฟื้นฟูพื้นที่และช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ-พร้อมวางแผนใช้น้ําที่เก็บกักไว้รับมือภัยแล้งที่จะมาถึ
โฆษกรัฐบาลเผย-สถานการณ์น้ําท่วม-3-จวท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเริ่มคลี่คลายเป็นปกติ-เตรียมเร่งฟื้นฟูพื้นที่และช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ-พร้อมวางแผนใช้น้ําที่เก็บกักไว้รับมือภัยแล้งที่จะมาถึง
วันนี้(29 ต.ค.59)พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ระดับน้ําในบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ําริมแม่น้ําเจ้าพระยาด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท อ.เมืองและ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี อ.ไชโยและอ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ลดลงต่ํากว่าตลิ่งและเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว เนื่องจากกรมชลประทานสามารถบริหารจัดการน้ําเหนือเขื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ “ท่านนายกฯ สั่งการให้แต่ละจังหวัดเร่งฟื้นฟูสภาพพื้นที่หลังน้ําท่วม พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนและเกษตรกรอย่างเต็มที่ตามระเบียบทางราชการ และยังได้กําชับให้ กษ. วางแผนจัดสรรน้ําเพื่อการเพาะปลูกพืชในฤดูแล้งปี 2559/60 ที่จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้.ให้รอบคอบรัดกุม หลังจากที่ได้เก็บกักน้ําบางส่วนไว้ในระบบชลประทานค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว” พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ปริมาณน้ําใน 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ําเจ้าพระยาล่าสุด เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และเขื่อนแควน้อยบํารุงแดนมีน้ําเต็มอ่าง เขื่อนสิริกิติ์มีน้ําในอ่างร้อยละ 80 ของความจุ และเขื่อนภูมิพลมีน้ําร้อยละ 50 ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณน้ํารวมกันทั้งหมด 9,600 ล้าน ลบ.ม. เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร และการรักษาระบบนิเวศในพื้นที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยา “สําหรับพื้นที่ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ยังมีน้ําเอ่อล้นเข้าท่วมขังบางจุดนั้น กรมชลประทานได้เร่งแก้ไขปัญหาโดยเพิ่มการระบายน้ําลงสู่แม่น้ําท่าจีนและทะเลตามลําดับ รวมทั้งเพิ่มการรับน้ําผ่านคลองชัยนาท-ป่าสัก เพื่อระบายน้ําลงสู่พื้นที่ฝั่งตะวันออกตอนล่าง ช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ลุ่มต่ําริมตลิ่งให้เข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/610
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การติดตามประเมินผลการดำเนินงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด
|
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
ปลัดกอบชัยฯ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การติดตามประเมินผลการดําเนินงานของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การติดตามประเมินผลการดําเนินงานของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ณ โรงแรมทีเค พาเลท แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
วันนี้ (10 สิงหาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "เรื่อง การติดตามประเมินผลการดําเนินงานของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด" พร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติงานและมอบใบประกาศเกียรติคุณการรายงานผลตามแผนปฏิบัติงานประจําปีงบประมาณ 2562 โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมพล โนดไธสง นายบรรจง สุกรีฑา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด 76 จังหวัด เข้าร่วม ณ โรงแรมทีเค พาเลท แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การติดตามประเมินผลการดำเนินงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
ปลัดกอบชัยฯ เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การติดตามประเมินผลการดําเนินงานของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การติดตามประเมินผลการดําเนินงานของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ณ โรงแรมทีเค พาเลท แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
วันนี้ (10 สิงหาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "เรื่อง การติดตามประเมินผลการดําเนินงานของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด" พร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติงานและมอบใบประกาศเกียรติคุณการรายงานผลตามแผนปฏิบัติงานประจําปีงบประมาณ 2562 โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมพล โนดไธสง นายบรรจง สุกรีฑา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด 76 จังหวัด เข้าร่วม ณ โรงแรมทีเค พาเลท แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34094
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีมอบฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง
|
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีมอบฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีมอบฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยในปีนี้มีผู้ประกอบการได้รับฉลากฯ จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รวม 77 ราย
วันที่ 16 ก.พ. 60พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีมอบฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยในปีนี้มีผู้ประกอบการได้รับฉลากฯ จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รวม 77 ราย จาก 11 ผลิตภัณฑ์ คาดช่วยชาติประหยัดพลังงาน 167.8ktoe หรือคิดเป็นเงินกว่า 5,100 ล้านบาท
พลเอกอนันตพร กล่าวว่า "การที่ พพ.ได้ติดฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง ในผลิตภัณท์ต่างๆนี้ นับว่าเป็นมาตรการที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ในการเลือกซื้ออุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงาน ซึ่งสามารถดูค่าตัวเลขได้ในฉลาก เพื่อพิจารณาเปรียบเที่ยบค่าประสิทธิภาพพลังงาน และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้อง ทําให้ประชาชนมีความมั่นใจ ผู้ประกอบการก็ได้รับการยืนยันว่าอุปกรณ์ที่ผลิตมานี้ประหยัดพลังงานได้จริง"
นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า "ในปี 2559 พพ.ได้ออกฉลากรวมทั้งสิ้น 6.7 ล้านใบ ให้กับผลิตภัณฑ์จํานวน 149 ยี่ห้อ 1,802 รุ่น ซึ่งในครั้งนี้มีผู้ประกอบการที่ได้รับฉลากรวม 77 ราย ส่งผลให้สามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศลงได้ 1,430 ล้านหน่วยต่อปี ก๊าซปิโตรเลียมเหลว 32.5 ล้านกิโลกรัมต่อปี และน้ํามันเชื้อเพลิง 6.5 ล้านลิตรต่อปี คิดเป็นพลังงาน 164.8 พันตันเทียบเท่าน้ํามันดิบ หรือคิดเป็นเงิน 5,100 ล้านบาทต่อปี และยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.8 ล้านตันต่อปี"
"ที่ผ่านมา พพ. ได้ริเริ่มมาตรการติดฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูงครั้งแรกในปี พ.ศ.2550 ได้มอบฉลากฯ รวมกว่า 17 ล้านใบ สามารถลดการใช้พลังงานกว่า 423 พันล้านตัน เทียบเท่าน้ํามันดิบ โดยในปีแรกนั้นได้นําร่องการติดฉลากบนเตาหุงต้มในครัวเรือนใช้กับก๊าซปิโตรเลียมเหลว เป็นผลิตภัณฑ์แรก และดําเนินการต่อเนื่องโดยเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาโดยลําดับจนถึงปัจจุบันได้ดําเนินงานติดฉลากไปแล้วทั้งหมด 11 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เตาหุงต้มในครัวเรือนใช้กับก๊าซปิโตรเลียมเหลว อุปกรณ์ปรับความเร็วรอบมอเตอร์ กระจก ฉนวนใยแก้ว มอเตอร์เหนี่ยวนําสามเฟส เครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กระบายความร้อนด้วยน้ํา เครื่องยนต์แก๊ซโซลีนขนาดเล็กระบายความร้อนด้วยอากาศ เตาก๊าซความดังสูง สีทาผนังอาคาร ปั๊มความร้อน และเครื่องอัดอากาศขนาดเล็กแบบลูกสูบ" อธิบดี พพ. กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีมอบฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีมอบฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีมอบฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยในปีนี้มีผู้ประกอบการได้รับฉลากฯ จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รวม 77 ราย
วันที่ 16 ก.พ. 60พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีมอบฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยในปีนี้มีผู้ประกอบการได้รับฉลากฯ จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รวม 77 ราย จาก 11 ผลิตภัณฑ์ คาดช่วยชาติประหยัดพลังงาน 167.8ktoe หรือคิดเป็นเงินกว่า 5,100 ล้านบาท
พลเอกอนันตพร กล่าวว่า "การที่ พพ.ได้ติดฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง ในผลิตภัณท์ต่างๆนี้ นับว่าเป็นมาตรการที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ในการเลือกซื้ออุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงาน ซึ่งสามารถดูค่าตัวเลขได้ในฉลาก เพื่อพิจารณาเปรียบเที่ยบค่าประสิทธิภาพพลังงาน และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้อง ทําให้ประชาชนมีความมั่นใจ ผู้ประกอบการก็ได้รับการยืนยันว่าอุปกรณ์ที่ผลิตมานี้ประหยัดพลังงานได้จริง"
นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า "ในปี 2559 พพ.ได้ออกฉลากรวมทั้งสิ้น 6.7 ล้านใบ ให้กับผลิตภัณฑ์จํานวน 149 ยี่ห้อ 1,802 รุ่น ซึ่งในครั้งนี้มีผู้ประกอบการที่ได้รับฉลากรวม 77 ราย ส่งผลให้สามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศลงได้ 1,430 ล้านหน่วยต่อปี ก๊าซปิโตรเลียมเหลว 32.5 ล้านกิโลกรัมต่อปี และน้ํามันเชื้อเพลิง 6.5 ล้านลิตรต่อปี คิดเป็นพลังงาน 164.8 พันตันเทียบเท่าน้ํามันดิบ หรือคิดเป็นเงิน 5,100 ล้านบาทต่อปี และยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.8 ล้านตันต่อปี"
"ที่ผ่านมา พพ. ได้ริเริ่มมาตรการติดฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูงครั้งแรกในปี พ.ศ.2550 ได้มอบฉลากฯ รวมกว่า 17 ล้านใบ สามารถลดการใช้พลังงานกว่า 423 พันล้านตัน เทียบเท่าน้ํามันดิบ โดยในปีแรกนั้นได้นําร่องการติดฉลากบนเตาหุงต้มในครัวเรือนใช้กับก๊าซปิโตรเลียมเหลว เป็นผลิตภัณฑ์แรก และดําเนินการต่อเนื่องโดยเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาโดยลําดับจนถึงปัจจุบันได้ดําเนินงานติดฉลากไปแล้วทั้งหมด 11 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เตาหุงต้มในครัวเรือนใช้กับก๊าซปิโตรเลียมเหลว อุปกรณ์ปรับความเร็วรอบมอเตอร์ กระจก ฉนวนใยแก้ว มอเตอร์เหนี่ยวนําสามเฟส เครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กระบายความร้อนด้วยน้ํา เครื่องยนต์แก๊ซโซลีนขนาดเล็กระบายความร้อนด้วยอากาศ เตาก๊าซความดังสูง สีทาผนังอาคาร ปั๊มความร้อน และเครื่องอัดอากาศขนาดเล็กแบบลูกสูบ" อธิบดี พพ. กล่าว
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1908
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ ประชุมออนไลน์ทวิภาคีรัฐมนตรีอังกฤษ MICHELLE DONELAN การร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและการวิจัยในยุคหลังโควิด-19 ในรูปแบบ NEW NORMAL
|
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2563
ดร.สุวิทย์ ประชุมออนไลน์ทวิภาคีรัฐมนตรีอังกฤษ MICHELLE DONELAN การร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและการวิจัยในยุคหลังโควิด-19 ในรูปแบบ NEW NORMAL
ดร.สุวิทย์ ประชุมออนไลน์ทวิภาคีรัฐมนตรีอังกฤษ MICHELLE DONELAN การร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและการวิจัยในยุคหลังโควิด-19 ในรูปแบบ NEW NORMAL
วันที่ 29 มิ.ย. 2563 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) ประชุมออนไลน์ทวิภาคีกับรัฐมนตรีอังกฤษ Michelle Donelan, Minister of State for Universities, Department for Education ในหัวข้อ การศึกษาในยุคหลังโควิด-19 ที่มหาวิทยาลัยจะต้องปรับตัว ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน การแลกเปลี่ยนบุคลากรและองค์ความรู้ระหว่างประเทศ ตลอดจนความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างสถาบันอุดมศึกษาของประเทศไทยและของประเทศอังกฤษ ณ ห้องประชุมชั้น 22 อาคารอุดมศึกษา ถนนศรีอยุธยา (สกอ.)
ดร.สุวิทย์ (รมว.อว.) กล่าวว่า Michelle Donelan, Minister of State for Universities, Department for Education รัฐมนตรีอังกฤษได้แชร์ถึงมาตรการในการรับมือเกี่ยวกับโรคระบาดโควิด-19 ที่ทางมหาวิทยาลัยอังกฤษนํามาปรับใช้ โดยคํานึงถึงความปลอดภัยและคุณภาพการเรียนเป็นสําคัญ ในรูปแบบแผนสําหรับการเรียนการสอนออนไลน์ควบคู่กับรูปแบบปกติ การช่วยเหลือนักศึกษาผ่านกองทุนของแต่ละมหาวิทยาลัย การประสานงานกับค่ายมือถือเพื่อขอลดค่าอินเทอร์เน็ต และได้มีการพูดคุยกับตัวแทนนักศึกษาที่ทําให้ทราบถึงความต้องการของนักศึกษา ทั้งนี้ทางรัฐบาลอังกฤษเองยังมีมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในโครงการ Skills Toolkit ให้ประชาชนทั่วไปได้เรียนฟรี ผ่าน online learning platform เช่น วิชา coding เป็นต้น ซึ่งมาตรการดังกล่าวมีความคล้ายกับของประเทศไทย และยังได้มีการนําเสนอถึงการให้ทุนระหว่างไทย-อังกฤษ โดยใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในการทําโครงการร่วมกับอังกฤษในการขยายขอบเขตไปสู่ CLMV
กระทรวง อว. เองก็มีมาตรการที่เข้ามารองรับถึงสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่จะสร้างการศึกษาตลอดชีวิตหรือ Lifelong Education ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พัฒนาหลักสูตรร่วม ให้สอดคล้องกับบริบทของโลก โดยเริ่มจาก reinvent ที่เน้นการ Reskill Upskill NewSkill มุ่งพัฒนา 4 ทักษะสําคัญคือ ภาษาอังกฤษ ดิจิทัล การเงิน และสังคม รวมทั้งเตรียมกําลังคนสําหรับอาชีพแห่งอนาคตที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูงอีกด้วย และนําเสนอหลักสูตรออนไลน์ในลักษณะที่คล้ายกันในชื่อ Future Skill New Career เพื่อพัฒนา 8 กลุ่มทักษะอุตสาหกรรม ได้แก่
1. Care giver industry
2. Food for the future industry
3. Smart farming industry
4. Smart tourism industry
5. Creative content
6. Smart innovative entrepreneur
7. Digital data industry
8. Industrial robotic industry
ด้านการวิจัยในระดับมหาวิทยาลัย กระทรวง อว. ได้ชูเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Economy เพื่อสร้างความมั่นคงทั้งในด้านอาหาร พลังงานสะอาด สุขภาพการแพทย์ และการมีงานทําด้วย high value service และ creative economy โดยตั้งกรอบเป้าหมายที่จะพัฒนาร่วมกันระหว่างสองประเทศ และผู้ประกอบการภาคธุรกิจของอังกฤษในประเทศไทย ในการพัฒนาหลักสูตรให้สามารถเทียบเท่าระดับสากล ในรูปแบบ work integrated learning ซึ่งจะช่วยให้การขับเคลื่อนเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้กระทรวง อว. มีมาตรการความร่วมมือที่จะสร้าง platform การพัฒนากับทางอังกฤษ โดยให้มีโครงการ quick win ที่ดําเนินงานภายใน 1-2 ปี ควบคู่กับโครงการระยะยาว การพัฒนาจะพุ่งเป้าไปที่การสร้างบุคลากรด้วยการเพิ่มความรู้และทักษะ reskill/ upskill การแลกเปลี่ยนบุคลากรนักศึกษา นักวิจัย รวมทั้งคณาจารย์ ไปจนถึง post doc และ post grad พร้อมด้วยการนํา MoU ความร่วมมือในระดับหน่วยงานมายกระดับการทํางานเป็นระดับกระทรวง แบบจตุภาคีระหว่างมหาวิทยาลัย ภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตรต่างประเทศ เพื่อให้เชื่อมโยงกันระหว่างประเทศเกิดการพัฒนาผลงานและนําเอาองค์ความรู้กลับมาพัฒนาประเทศ
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ ประชุมออนไลน์ทวิภาคีรัฐมนตรีอังกฤษ MICHELLE DONELAN การร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและการวิจัยในยุคหลังโควิด-19 ในรูปแบบ NEW NORMAL
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2563
ดร.สุวิทย์ ประชุมออนไลน์ทวิภาคีรัฐมนตรีอังกฤษ MICHELLE DONELAN การร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและการวิจัยในยุคหลังโควิด-19 ในรูปแบบ NEW NORMAL
ดร.สุวิทย์ ประชุมออนไลน์ทวิภาคีรัฐมนตรีอังกฤษ MICHELLE DONELAN การร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและการวิจัยในยุคหลังโควิด-19 ในรูปแบบ NEW NORMAL
วันที่ 29 มิ.ย. 2563 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) ประชุมออนไลน์ทวิภาคีกับรัฐมนตรีอังกฤษ Michelle Donelan, Minister of State for Universities, Department for Education ในหัวข้อ การศึกษาในยุคหลังโควิด-19 ที่มหาวิทยาลัยจะต้องปรับตัว ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน การแลกเปลี่ยนบุคลากรและองค์ความรู้ระหว่างประเทศ ตลอดจนความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างสถาบันอุดมศึกษาของประเทศไทยและของประเทศอังกฤษ ณ ห้องประชุมชั้น 22 อาคารอุดมศึกษา ถนนศรีอยุธยา (สกอ.)
ดร.สุวิทย์ (รมว.อว.) กล่าวว่า Michelle Donelan, Minister of State for Universities, Department for Education รัฐมนตรีอังกฤษได้แชร์ถึงมาตรการในการรับมือเกี่ยวกับโรคระบาดโควิด-19 ที่ทางมหาวิทยาลัยอังกฤษนํามาปรับใช้ โดยคํานึงถึงความปลอดภัยและคุณภาพการเรียนเป็นสําคัญ ในรูปแบบแผนสําหรับการเรียนการสอนออนไลน์ควบคู่กับรูปแบบปกติ การช่วยเหลือนักศึกษาผ่านกองทุนของแต่ละมหาวิทยาลัย การประสานงานกับค่ายมือถือเพื่อขอลดค่าอินเทอร์เน็ต และได้มีการพูดคุยกับตัวแทนนักศึกษาที่ทําให้ทราบถึงความต้องการของนักศึกษา ทั้งนี้ทางรัฐบาลอังกฤษเองยังมีมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในโครงการ Skills Toolkit ให้ประชาชนทั่วไปได้เรียนฟรี ผ่าน online learning platform เช่น วิชา coding เป็นต้น ซึ่งมาตรการดังกล่าวมีความคล้ายกับของประเทศไทย และยังได้มีการนําเสนอถึงการให้ทุนระหว่างไทย-อังกฤษ โดยใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในการทําโครงการร่วมกับอังกฤษในการขยายขอบเขตไปสู่ CLMV
กระทรวง อว. เองก็มีมาตรการที่เข้ามารองรับถึงสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่จะสร้างการศึกษาตลอดชีวิตหรือ Lifelong Education ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พัฒนาหลักสูตรร่วม ให้สอดคล้องกับบริบทของโลก โดยเริ่มจาก reinvent ที่เน้นการ Reskill Upskill NewSkill มุ่งพัฒนา 4 ทักษะสําคัญคือ ภาษาอังกฤษ ดิจิทัล การเงิน และสังคม รวมทั้งเตรียมกําลังคนสําหรับอาชีพแห่งอนาคตที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูงอีกด้วย และนําเสนอหลักสูตรออนไลน์ในลักษณะที่คล้ายกันในชื่อ Future Skill New Career เพื่อพัฒนา 8 กลุ่มทักษะอุตสาหกรรม ได้แก่
1. Care giver industry
2. Food for the future industry
3. Smart farming industry
4. Smart tourism industry
5. Creative content
6. Smart innovative entrepreneur
7. Digital data industry
8. Industrial robotic industry
ด้านการวิจัยในระดับมหาวิทยาลัย กระทรวง อว. ได้ชูเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Economy เพื่อสร้างความมั่นคงทั้งในด้านอาหาร พลังงานสะอาด สุขภาพการแพทย์ และการมีงานทําด้วย high value service และ creative economy โดยตั้งกรอบเป้าหมายที่จะพัฒนาร่วมกันระหว่างสองประเทศ และผู้ประกอบการภาคธุรกิจของอังกฤษในประเทศไทย ในการพัฒนาหลักสูตรให้สามารถเทียบเท่าระดับสากล ในรูปแบบ work integrated learning ซึ่งจะช่วยให้การขับเคลื่อนเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้กระทรวง อว. มีมาตรการความร่วมมือที่จะสร้าง platform การพัฒนากับทางอังกฤษ โดยให้มีโครงการ quick win ที่ดําเนินงานภายใน 1-2 ปี ควบคู่กับโครงการระยะยาว การพัฒนาจะพุ่งเป้าไปที่การสร้างบุคลากรด้วยการเพิ่มความรู้และทักษะ reskill/ upskill การแลกเปลี่ยนบุคลากรนักศึกษา นักวิจัย รวมทั้งคณาจารย์ ไปจนถึง post doc และ post grad พร้อมด้วยการนํา MoU ความร่วมมือในระดับหน่วยงานมายกระดับการทํางานเป็นระดับกระทรวง แบบจตุภาคีระหว่างมหาวิทยาลัย ภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตรต่างประเทศ เพื่อให้เชื่อมโยงกันระหว่างประเทศเกิดการพัฒนาผลงานและนําเอาองค์ความรู้กลับมาพัฒนาประเทศ
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33618
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา โรงพยาบาลพลังงานแสงอาทิตย์
|
วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2562
โรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา โรงพยาบาลพลังงานแสงอาทิตย์
โรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา ใช้ระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ผลิตกระแสไฟฟ้า ลดค่าไฟฟ้าได้ปีละ 400,000 บาท พร้อมติดตั้งระบบในรพ.สต.จํานวน 6 แห่ง ภายในปี 2562
โรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา ใช้ระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ผลิตกระแสไฟฟ้า ลดค่าไฟฟ้าได้ปีละ 400,000 บาท พร้อมติดตั้งระบบในรพ.สต.จํานวน 6 แห่ง ภายในปี 2562
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานอนุรักษ์พลังงานของโรงพยาบาลจะนะ ว่า โรงพยาบาลจะนะ ได้ดําเนินการตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ในการส่งเสริมอนุรักษ์การใช้พลังงาน ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และลดโลกร้อน โดยใช้พลังงานทดแทน ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์ขนาด 72 กิโลวัตต์ สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ประมาณเดือนละ 32,000 บาท หรือประมาณปีละ 400,000 บาท และใช้มาตรการประหยัดไฟฟ้าอื่นๆ อาทิ ปรับระบบการทํางานส่วนของซักฟอกและระบบการนึ่งฆ่าเชื้ออุปกรณ์ โดยจัดให้มีการเหลื่อมเวลาในใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าน้อย เข้าร่วมโครงการของกระทรวงพลังงานในการเปลี่ยนหลอด LED ทั้งโรงพยาบาล และเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศเป็นระบบ inverter 66 ตัว ที่สําคัญได้เริ่มติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์ให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลคู เพื่อเป็นต้นแบบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) พลังแสงอาทิตย์แห่งแรกในจังหวัดสงขลา สามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณเดือนละ 1,500 บาท หรือปีละ 18,000 บาท ซึ่งจะช่วยลดค่าไฟฟ้าของ รพ.สต.ได้ร้อยละ 30
ด้านนายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลจะนะ กล่าวว่า ได้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ชุดแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2560 บนหลังคาของตึกผู้ป่วยใน 4 ชั้น ขนาด 20.4 กิโลวัตต์ โดยโรงพยาบาลให้ผู้ที่สนใจมาช่วยกันติดตั้งเอง ทําให้ค่าไฟฟ้าเดือนธันวาคม 2560 เป็นเงิน 108,751 บาท เมื่อเปรียบเทียบค่าไฟเดือนธันวาคม 2559 เป็นเงิน 163,489 บาท สามารถประหยัดค่าไฟได้ถึง 54,000 บาทเมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกัน เมื่อการติดตั้งชุดแรกได้ผลดีมาก จึงได้เริ่มดําเนินการติดตั้งชุดใหม่เพิ่มอีก 50 กิโลวัตต์ รวมเป็น 72 กิโลวัตต์ งบประมาณที่ใช้ติดตั้ง 2.5 ล้านบาท คาดว่าใช้เวลาคืนทุน 5-6 ปี ซึ่งจะทําให้โรงพยาบาลมีเงินเหลือจ่ายไปพัฒนาระบบบริการได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ภายในปี 2562 พร้อมติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์ขนาด 3 กิโลวัตต์ ให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพจํานวน 6 แห่ง งบประมาณแห่งละ 110,000 บาท ได้แก่ รพ.สต.คู รพ.สต.ตลิ่งชัน รพ.สต.สะกอม รพ.สต.ท่าหมอไทร รพ.สต.จะโหนง และรพ.สต.ลางา
*************************** 20 กันยายน 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา โรงพยาบาลพลังงานแสงอาทิตย์
วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2562
โรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา โรงพยาบาลพลังงานแสงอาทิตย์
โรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา ใช้ระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ผลิตกระแสไฟฟ้า ลดค่าไฟฟ้าได้ปีละ 400,000 บาท พร้อมติดตั้งระบบในรพ.สต.จํานวน 6 แห่ง ภายในปี 2562
โรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา ใช้ระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ผลิตกระแสไฟฟ้า ลดค่าไฟฟ้าได้ปีละ 400,000 บาท พร้อมติดตั้งระบบในรพ.สต.จํานวน 6 แห่ง ภายในปี 2562
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานอนุรักษ์พลังงานของโรงพยาบาลจะนะ ว่า โรงพยาบาลจะนะ ได้ดําเนินการตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ในการส่งเสริมอนุรักษ์การใช้พลังงาน ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และลดโลกร้อน โดยใช้พลังงานทดแทน ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์ขนาด 72 กิโลวัตต์ สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ประมาณเดือนละ 32,000 บาท หรือประมาณปีละ 400,000 บาท และใช้มาตรการประหยัดไฟฟ้าอื่นๆ อาทิ ปรับระบบการทํางานส่วนของซักฟอกและระบบการนึ่งฆ่าเชื้ออุปกรณ์ โดยจัดให้มีการเหลื่อมเวลาในใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าน้อย เข้าร่วมโครงการของกระทรวงพลังงานในการเปลี่ยนหลอด LED ทั้งโรงพยาบาล และเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศเป็นระบบ inverter 66 ตัว ที่สําคัญได้เริ่มติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์ให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลคู เพื่อเป็นต้นแบบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) พลังแสงอาทิตย์แห่งแรกในจังหวัดสงขลา สามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณเดือนละ 1,500 บาท หรือปีละ 18,000 บาท ซึ่งจะช่วยลดค่าไฟฟ้าของ รพ.สต.ได้ร้อยละ 30
ด้านนายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลจะนะ กล่าวว่า ได้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ชุดแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2560 บนหลังคาของตึกผู้ป่วยใน 4 ชั้น ขนาด 20.4 กิโลวัตต์ โดยโรงพยาบาลให้ผู้ที่สนใจมาช่วยกันติดตั้งเอง ทําให้ค่าไฟฟ้าเดือนธันวาคม 2560 เป็นเงิน 108,751 บาท เมื่อเปรียบเทียบค่าไฟเดือนธันวาคม 2559 เป็นเงิน 163,489 บาท สามารถประหยัดค่าไฟได้ถึง 54,000 บาทเมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกัน เมื่อการติดตั้งชุดแรกได้ผลดีมาก จึงได้เริ่มดําเนินการติดตั้งชุดใหม่เพิ่มอีก 50 กิโลวัตต์ รวมเป็น 72 กิโลวัตต์ งบประมาณที่ใช้ติดตั้ง 2.5 ล้านบาท คาดว่าใช้เวลาคืนทุน 5-6 ปี ซึ่งจะทําให้โรงพยาบาลมีเงินเหลือจ่ายไปพัฒนาระบบบริการได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ภายในปี 2562 พร้อมติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์ขนาด 3 กิโลวัตต์ ให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพจํานวน 6 แห่ง งบประมาณแห่งละ 110,000 บาท ได้แก่ รพ.สต.คู รพ.สต.ตลิ่งชัน รพ.สต.สะกอม รพ.สต.ท่าหมอไทร รพ.สต.จะโหนง และรพ.สต.ลางา
*************************** 20 กันยายน 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23251
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีระบุ ไทยต้องบูรณาการทุกส่วนสร้างความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี
|
วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2560
รองนายกรัฐมนตรีระบุ ไทยต้องบูรณาการทุกส่วนสร้างความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี
รองรับการเป็นศูนย์กลางข้อมูลและโทรคมนาคมอาเซียน
วันนี้ (8 มิ.ย.60) เวลา13.30 น. ณ ห้อง GH201 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เปิดการประชุม“โครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลในยุคไทยแลนด์ 4.0 : Data Center Infrastructure of Thailand 4.0” ซึ่งจัดโดยสมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทย โดยกล่าวชื่นชมถึงความตั้งใจของผู้จัดงานในครั้งนี้ ที่มีแนวคิดที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ASEAN Data Center Hub ซึ่งการที่ประเทศไทยจะเป็น ASEAN Data Center Hub นั้น การเตรียมความพร้อมในด้านเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐาน จึงเป็นเรื่องจําเป็นและเร่งด่วน ที่จะต้องพิจารณาให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับการยกระดับให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการที่จะก้าวไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 และเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติได้อย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถา เรื่อง “ศูนย์กลางศูนย์ข้อมูลอาเซียน (ASEAN Data Center Hub)” โดยกล่าวว่า ปัจจุบันอยู่ในยุคของการปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นวิถีที่ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งคลื่นอินเทอร์เน็ต หรือ Wave of Internet เป็นการสร้างโครงสร้างและฐานรากของโลกออนไลน์ การที่ประเทศไทยจะก้าวไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 จึงควรจะมีความพร้อมหรือได้การสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางศูนย์ข้อมูลอาเซียน (ASEAN Data Center Hub) ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็น Land Link หรือ ระเบียงเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง (GMS Economic Corridors)
ที่เชื่อมกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นเสมือนสะพานแผ่นดิน (Land Bridge)
ที่เชื่อมสองทะเลเข้าด้วยกันจากพม่าสู่เวียดนาม หรือจากทะเลอันดามันสู่ทะเลจีนใต้ ฉะนั้นการที่จะพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางศูนย์ข้อมูลอาเซียน (ASEAN Data Center Hub) มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป การปรับระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า โทรคมนาคม ศูนย์ข้อมูลและมาตรฐาน บุคลากรทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งนโยบายและกฎหมายที่รองรับเพื่อให้ผู้ที่สนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศรับทราบและสนใจเข้ามาลงทุนจึงเป็นเรื่องที่จําเป็นและเร่งด่วน โดยเน้นย้ําว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง และจะต้องบูรณาการวางแผนรองรับในภาพรวม ทั้งนี้ หากประเทศไทยมีการบริหารจัดการระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดีก็จะเป็นศูนย์กลางข้อมูลและศูนย์กลางโทรคมนาคมของอาเซียนได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีระบุ ไทยต้องบูรณาการทุกส่วนสร้างความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี
วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2560
รองนายกรัฐมนตรีระบุ ไทยต้องบูรณาการทุกส่วนสร้างความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี
รองรับการเป็นศูนย์กลางข้อมูลและโทรคมนาคมอาเซียน
วันนี้ (8 มิ.ย.60) เวลา13.30 น. ณ ห้อง GH201 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เปิดการประชุม“โครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลในยุคไทยแลนด์ 4.0 : Data Center Infrastructure of Thailand 4.0” ซึ่งจัดโดยสมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทย โดยกล่าวชื่นชมถึงความตั้งใจของผู้จัดงานในครั้งนี้ ที่มีแนวคิดที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ASEAN Data Center Hub ซึ่งการที่ประเทศไทยจะเป็น ASEAN Data Center Hub นั้น การเตรียมความพร้อมในด้านเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐาน จึงเป็นเรื่องจําเป็นและเร่งด่วน ที่จะต้องพิจารณาให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับการยกระดับให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการที่จะก้าวไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 และเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติได้อย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถา เรื่อง “ศูนย์กลางศูนย์ข้อมูลอาเซียน (ASEAN Data Center Hub)” โดยกล่าวว่า ปัจจุบันอยู่ในยุคของการปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นวิถีที่ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งคลื่นอินเทอร์เน็ต หรือ Wave of Internet เป็นการสร้างโครงสร้างและฐานรากของโลกออนไลน์ การที่ประเทศไทยจะก้าวไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 จึงควรจะมีความพร้อมหรือได้การสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางศูนย์ข้อมูลอาเซียน (ASEAN Data Center Hub) ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็น Land Link หรือ ระเบียงเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง (GMS Economic Corridors)
ที่เชื่อมกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นเสมือนสะพานแผ่นดิน (Land Bridge)
ที่เชื่อมสองทะเลเข้าด้วยกันจากพม่าสู่เวียดนาม หรือจากทะเลอันดามันสู่ทะเลจีนใต้ ฉะนั้นการที่จะพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางศูนย์ข้อมูลอาเซียน (ASEAN Data Center Hub) มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป การปรับระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า โทรคมนาคม ศูนย์ข้อมูลและมาตรฐาน บุคลากรทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งนโยบายและกฎหมายที่รองรับเพื่อให้ผู้ที่สนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศรับทราบและสนใจเข้ามาลงทุนจึงเป็นเรื่องที่จําเป็นและเร่งด่วน โดยเน้นย้ําว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง และจะต้องบูรณาการวางแผนรองรับในภาพรวม ทั้งนี้ หากประเทศไทยมีการบริหารจัดการระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดีก็จะเป็นศูนย์กลางข้อมูลและศูนย์กลางโทรคมนาคมของอาเซียนได้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4400
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งยาน้ำท่วม ดูแลประชาชนภาคใต้เตือนระวังพลัดตกจมน้ำ
|
วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2560
สธ.ส่งยาน้ําท่วม ดูแลประชาชนภาคใต้เตือนระวังพลัดตกจมน้ํา
กระทรวงสาธารณสุข ส่งยาและเวชภัณฑ์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ 9 จังหวัด กว่า50,000ชุดเตือนประชาชนในพื้นที่น้ําท่วมให้ระวังการพลัดตกน้ํา/จมน้ํา หลังพบผู้เสียชีวิตสะสม 22 คน แนะหาอุปกรณ์ช่วยเหลือเบื้องต้นใกล้ตัว สถานบริการที่ได้รับผลกระทบ 53 แห่ง
กระทรวงสาธารณสุข ส่งยาและเวชภัณฑ์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ 9 จังหวัด กว่า50,000ชุดเตือนประชาชนในพื้นที่น้ําท่วมให้ระวังการพลัดตกน้ํา/จมน้ํา หลังพบผู้เสียชีวิตสะสม 22 คน แนะหาอุปกรณ์ช่วยเหลือเบื้องต้นใกล้ตัว สถานบริการที่ได้รับผลกระทบ 53 แห่งสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดติดตามดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างใกล้ชิดนายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ขณะนี้ ยังคงมีฝนตกชุกในจังหวัดทางภาคใต้เป็นระยะๆ ได้แก่ จังหวัดพัทลุง ตรัง นครศรีธรรมราช ปัตตานี สตูล สุราษฎร์ธานี ยะลา สงขลา และนราธิวาส โดยมีสถานบริการได้รับผลกระทบทั้งหมด 53 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล(รพ.สต.) มี 3 แห่งปิดให้บริการ คือ รพ.สต.บ้านโคกทึก,รพ.สต.บ้านช้าง,รพ.สต.บ้านหลักช้าง จ.นครศรีธรรมราช และย้ายจุดให้บริการชั่วคราวอีก 2 แห่ง คือ รพ.สต.ชะรัด อ.กงหรา จังหวัดพัทลุง เปิดให้บริการที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านชะรัด และรพ.สต.บ้านเกาะ ต.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา เปิดให้บริการที่อาคารอเนกประสงค์ หน้าวัดรังสิตาวาส ประชาชนสามารถไปรับบริการได้ที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ และ รพ.สต.ที่อยู่ใกล้เคียง เฝ้าระวังหากเกิดน้ําท่วมเฉียบพลัน และน้ําป่าไหลหลาก ได้ให้สถานบริการเตรียมแผนป้องกันและแผนจัดบริการประชาชน สํารวจกลุ่มเสี่ยงได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด รวมทั้งโรคที่ต้องเฝ้าระวังและพร้อมออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่
ทั้งนี้ได้สั่งการให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลในพื้นที่ประสบภัย ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชน ให้ความรู้เรื่องการป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นในช่วงน้ําท่วม การดูแลตนเอง และบุคคลในครอบครัว การจัดการสุขาภิบาลบริเวณบ้าน สุขภาวะส่วนบุคคล การออกเยี่ยมผู้ป่วยติดบ้าน/ติดเตียง โดยส่วนกลาง สนับสนุนยาและเวชภัณฑ์ เป็นยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย 50,000 ชุด
สําหรับประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เกิดน้ําท่วมขอให้ติดตามข้อมูลสภาพอากาศ ประกาศแจ้งเตือนภัยปฏิบัติตามคําเตือนอย่างเคร่งครัด จัดเตรียมเครื่องใช้ที่จําเป็นไว้ใช้ในช่วงน้ําท่วม โดยเฉพาะเครื่องอุปโภคบริโภค น้ําดื่มสะอาด ยารักษาโรค เป็นต้น และให้เตรียมวัสดุที่สามารถลอยน้ําได้ เช่น แกลลอนพลาสติก ขวดน้ําพลาสติก ลูกมะพร้าว ยางในรถยนต์ สําหรับใช้ยึดเกาะพยุงตัวขณะลุยน้ําท่วม
**************************** 3 ธันวาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งยาน้ำท่วม ดูแลประชาชนภาคใต้เตือนระวังพลัดตกจมน้ำ
วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2560
สธ.ส่งยาน้ําท่วม ดูแลประชาชนภาคใต้เตือนระวังพลัดตกจมน้ํา
กระทรวงสาธารณสุข ส่งยาและเวชภัณฑ์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ 9 จังหวัด กว่า50,000ชุดเตือนประชาชนในพื้นที่น้ําท่วมให้ระวังการพลัดตกน้ํา/จมน้ํา หลังพบผู้เสียชีวิตสะสม 22 คน แนะหาอุปกรณ์ช่วยเหลือเบื้องต้นใกล้ตัว สถานบริการที่ได้รับผลกระทบ 53 แห่ง
กระทรวงสาธารณสุข ส่งยาและเวชภัณฑ์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ 9 จังหวัด กว่า50,000ชุดเตือนประชาชนในพื้นที่น้ําท่วมให้ระวังการพลัดตกน้ํา/จมน้ํา หลังพบผู้เสียชีวิตสะสม 22 คน แนะหาอุปกรณ์ช่วยเหลือเบื้องต้นใกล้ตัว สถานบริการที่ได้รับผลกระทบ 53 แห่งสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดติดตามดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างใกล้ชิดนายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ขณะนี้ ยังคงมีฝนตกชุกในจังหวัดทางภาคใต้เป็นระยะๆ ได้แก่ จังหวัดพัทลุง ตรัง นครศรีธรรมราช ปัตตานี สตูล สุราษฎร์ธานี ยะลา สงขลา และนราธิวาส โดยมีสถานบริการได้รับผลกระทบทั้งหมด 53 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล(รพ.สต.) มี 3 แห่งปิดให้บริการ คือ รพ.สต.บ้านโคกทึก,รพ.สต.บ้านช้าง,รพ.สต.บ้านหลักช้าง จ.นครศรีธรรมราช และย้ายจุดให้บริการชั่วคราวอีก 2 แห่ง คือ รพ.สต.ชะรัด อ.กงหรา จังหวัดพัทลุง เปิดให้บริการที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านชะรัด และรพ.สต.บ้านเกาะ ต.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา เปิดให้บริการที่อาคารอเนกประสงค์ หน้าวัดรังสิตาวาส ประชาชนสามารถไปรับบริการได้ที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ และ รพ.สต.ที่อยู่ใกล้เคียง เฝ้าระวังหากเกิดน้ําท่วมเฉียบพลัน และน้ําป่าไหลหลาก ได้ให้สถานบริการเตรียมแผนป้องกันและแผนจัดบริการประชาชน สํารวจกลุ่มเสี่ยงได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด รวมทั้งโรคที่ต้องเฝ้าระวังและพร้อมออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่
ทั้งนี้ได้สั่งการให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลในพื้นที่ประสบภัย ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชน ให้ความรู้เรื่องการป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นในช่วงน้ําท่วม การดูแลตนเอง และบุคคลในครอบครัว การจัดการสุขาภิบาลบริเวณบ้าน สุขภาวะส่วนบุคคล การออกเยี่ยมผู้ป่วยติดบ้าน/ติดเตียง โดยส่วนกลาง สนับสนุนยาและเวชภัณฑ์ เป็นยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย 50,000 ชุด
สําหรับประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เกิดน้ําท่วมขอให้ติดตามข้อมูลสภาพอากาศ ประกาศแจ้งเตือนภัยปฏิบัติตามคําเตือนอย่างเคร่งครัด จัดเตรียมเครื่องใช้ที่จําเป็นไว้ใช้ในช่วงน้ําท่วม โดยเฉพาะเครื่องอุปโภคบริโภค น้ําดื่มสะอาด ยารักษาโรค เป็นต้น และให้เตรียมวัสดุที่สามารถลอยน้ําได้ เช่น แกลลอนพลาสติก ขวดน้ําพลาสติก ลูกมะพร้าว ยางในรถยนต์ สําหรับใช้ยึดเกาะพยุงตัวขณะลุยน้ําท่วม
**************************** 3 ธันวาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8508
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นิพนธ์ฯ นำทีม เติมกำลังใจชาวภาคเหนือ 9 จังหวัด สู้ภัยโควิด-19 จัด ข้าวสาร 35,000 กก. ปลากระป๋อง 40,000 กระป๋อง ปล่อยคาราวานแจกจ่ายถุงยังชีพ 14 คัน ที่ จ.นครสวรรค์ [กระทรวงมหาดไทย]
|
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2563
นิพนธ์ฯ นําทีม เติมกําลังใจชาวภาคเหนือ 9 จังหวัด สู้ภัยโควิด-19 จัด ข้าวสาร 35,000 กก. ปลากระป๋อง 40,000 กระป๋อง ปล่อยคาราวานแจกจ่ายถุงยังชีพ 14 คัน ที่ จ.นครสวรรค์ [กระทรวงมหาดไทย]
นิพนธ์ฯ นําทีม เติมกําลังใจชาวภาคเหนือ 9 จังหวัด สู้ภัยโควิด-19 จัด ข้าวสาร 35,000 กก. ปลากระป๋อง 40,000 กระป๋อง ปล่อยคาราวานแจกจ่ายถุงยังชีพ 14 คัน ที่ จ.นครสวรรค์
เมื่อเวลา 16.45 น. วันนี้ 27 พฤษภาคม 2563 ที่องค์การบริหารส่วนตําบลบางม่วง อําเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) พร้อมด้วย นายอรรถพร สิงหวิชัย ผวจ.นครสวรรค์ และผู้แทน ส่วนราชการ ร่วมปล่อยรถคาราวานจํานวน 14 คัน ซึ่งบรรทุกข้าวสาร 35,000 กิโลกรัม ปลากระป๋อง 40,000 บรรจุถุงยังชีพกว่า 7,000 ถุง เตรียมแจกจ่ายให้แก่พี่น้องประชาชนชาวภาคเหนือทั้ง 9 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือดร้อน ในสถานการณ์โควิดฯ
พร้อมนี้ รมช.มท. ได้มอบถุงยังชีพให้แก่พี่น้องประชาชนในเขตอําเภอเมืองนครสวรรค์ที่ได้รับความเดือดร้อนฯ จํานวน 200 ชุด เพื่อเป็นกําลังใจในการฟันฝ่าวิกฤตโควิด - 19 พร้อมกล่าวว่า "คาราวานถุงยังชีพกว่า 7,000 ชุดนี้ แต่ละถุง ได้บรรจุข้าวสาร 5 กก. ปลากระป๋อง 4 กระป๋อง น้ําตาลทราย และน้ําปลา ซึ่งทั้งหมดมีทั้งภาคเอกชน ห้างร้านต่าง ๆ ได้นํามามอบให้และไม่ได้ใช้งบประมาณจากภาครัฐแต่อย่างใด ขอขอบคุณผู้สนับสนุนทุกคนล้วนมีความห่วงใยต่อความเดือดร้อนในการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชน บางคนไม่ได้ออกไปขายของ ไม่ได้ออกไปรับจ้าง บางคนร้ายแรงถึงขั้นถูกเลิกจ้างงาน ทําให้ขาดรายได้มาจุนเจือครอบครัว สิ่งของในถุงยังชีพที่เราเตรียมมามอบให้นี้เป็นสิ่งจําเป็นสําหรับการยังชีพ ซึ่งอาจไม่มากมายนัก แต่สิ่งสําคัญที่สุดคือต้องการสื่อให้ทุกท่านได้รับรู้ว่า พร้อมสู้เคียงข้างพี่น้องประชาชนทุกคนในทุกสถานการณ์ที่ยากลําบาก ขอเติมกําลังใจครั้งนี้ให้แก่พี่น้องชาวภาคเหนือ รวมทั้งพี่น้องในภาคอื่น ๆ ทุกภาคทั้งประเทศ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปให้ได้ในที่สุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นิพนธ์ฯ นำทีม เติมกำลังใจชาวภาคเหนือ 9 จังหวัด สู้ภัยโควิด-19 จัด ข้าวสาร 35,000 กก. ปลากระป๋อง 40,000 กระป๋อง ปล่อยคาราวานแจกจ่ายถุงยังชีพ 14 คัน ที่ จ.นครสวรรค์ [กระทรวงมหาดไทย]
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2563
นิพนธ์ฯ นําทีม เติมกําลังใจชาวภาคเหนือ 9 จังหวัด สู้ภัยโควิด-19 จัด ข้าวสาร 35,000 กก. ปลากระป๋อง 40,000 กระป๋อง ปล่อยคาราวานแจกจ่ายถุงยังชีพ 14 คัน ที่ จ.นครสวรรค์ [กระทรวงมหาดไทย]
นิพนธ์ฯ นําทีม เติมกําลังใจชาวภาคเหนือ 9 จังหวัด สู้ภัยโควิด-19 จัด ข้าวสาร 35,000 กก. ปลากระป๋อง 40,000 กระป๋อง ปล่อยคาราวานแจกจ่ายถุงยังชีพ 14 คัน ที่ จ.นครสวรรค์
เมื่อเวลา 16.45 น. วันนี้ 27 พฤษภาคม 2563 ที่องค์การบริหารส่วนตําบลบางม่วง อําเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) พร้อมด้วย นายอรรถพร สิงหวิชัย ผวจ.นครสวรรค์ และผู้แทน ส่วนราชการ ร่วมปล่อยรถคาราวานจํานวน 14 คัน ซึ่งบรรทุกข้าวสาร 35,000 กิโลกรัม ปลากระป๋อง 40,000 บรรจุถุงยังชีพกว่า 7,000 ถุง เตรียมแจกจ่ายให้แก่พี่น้องประชาชนชาวภาคเหนือทั้ง 9 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือดร้อน ในสถานการณ์โควิดฯ
พร้อมนี้ รมช.มท. ได้มอบถุงยังชีพให้แก่พี่น้องประชาชนในเขตอําเภอเมืองนครสวรรค์ที่ได้รับความเดือดร้อนฯ จํานวน 200 ชุด เพื่อเป็นกําลังใจในการฟันฝ่าวิกฤตโควิด - 19 พร้อมกล่าวว่า "คาราวานถุงยังชีพกว่า 7,000 ชุดนี้ แต่ละถุง ได้บรรจุข้าวสาร 5 กก. ปลากระป๋อง 4 กระป๋อง น้ําตาลทราย และน้ําปลา ซึ่งทั้งหมดมีทั้งภาคเอกชน ห้างร้านต่าง ๆ ได้นํามามอบให้และไม่ได้ใช้งบประมาณจากภาครัฐแต่อย่างใด ขอขอบคุณผู้สนับสนุนทุกคนล้วนมีความห่วงใยต่อความเดือดร้อนในการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชน บางคนไม่ได้ออกไปขายของ ไม่ได้ออกไปรับจ้าง บางคนร้ายแรงถึงขั้นถูกเลิกจ้างงาน ทําให้ขาดรายได้มาจุนเจือครอบครัว สิ่งของในถุงยังชีพที่เราเตรียมมามอบให้นี้เป็นสิ่งจําเป็นสําหรับการยังชีพ ซึ่งอาจไม่มากมายนัก แต่สิ่งสําคัญที่สุดคือต้องการสื่อให้ทุกท่านได้รับรู้ว่า พร้อมสู้เคียงข้างพี่น้องประชาชนทุกคนในทุกสถานการณ์ที่ยากลําบาก ขอเติมกําลังใจครั้งนี้ให้แก่พี่น้องชาวภาคเหนือ รวมทั้งพี่น้องในภาคอื่น ๆ ทุกภาคทั้งประเทศ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปให้ได้ในที่สุด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31644
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ หนุนคนมีบ้าน ด้วยโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ให้วงเงินสูง คิดอัตรากำไรต่ำ พร้อมฟรีค่าธรรมเนียม และฟรีค่าประเมินหลักประกัน
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562
ไอแบงก์ หนุนคนมีบ้าน ด้วยโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ให้วงเงินสูง คิดอัตรากําไรต่ํา พร้อมฟรีค่าธรรมเนียม และฟรีค่าประเมินหลักประกัน
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ตอบสนองความต้องการของคนอยากมีบ้านด้วย 4โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของลูกค้า ที่ให้วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท เลือกผ่อนได้นานสูงสุด 35 ปี คิดอัตรากําไรต่ําเริ่มต้นที่ 2.25% ต่อปี
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ตอบสนองความต้องการของคนอยากมีบ้านด้วย 4โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของลูกค้า ที่ให้วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท เลือกผ่อนได้นานสูงสุด 35 ปี คิดอัตรากําไรต่ําเริ่มต้นที่ 2.25% ต่อปี พร้อมฟรีค่าธรรมเนียม Front-end-Fee และฟรีค่าประเมินหลักประกันในกรณีได้รับการอนุมัติสินเชื่อและเบิกใช้วงเงิน (ลูกค้าเป็นผู้ชําระค่าประเมินก่อน) นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถขอวงเงินอเนกประสงค์เพื่ออุปโภคบริโภค เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคลจากสถาบันการเงินอื่น หรือเพื่อชําระเงินสมทบตะกาฟุล MRTA ได้อีกด้วย
โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยนี้ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ คอนโด หรือต้องการก่อสร้าง ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย หรือซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัย โดยได้แบ่งกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยตามความต้องการของลูกค้า เช่น โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย บ้านใหม่ ibank สําหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยบ้านพรีเมี่ยม สําหรับลูกค้าที่ต้องการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือซื้อที่อยู่อาศัย หรือซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัยในมูลค่าไม่ต่ํากว่า 10 ล้านบาท โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มอาชีพมั่นคง สําหรับลูกค้ามีอาชีพมั่นคง เช่น กลุ่มอาชีพแพทย์ เภสัชกร ผู้พิพากษา วิศวกร สถาปนิกและนักบิน เป็นต้น และโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มรายได้ยั่งยืน สําหรับลูกค้าที่เป็นพนักงานในองค์กรขนาดใหญ่ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานธนาคาร พนักงานบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และบริษัทในเครือ
ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ไอแบงก์ ทุกสาขา หรือ โทร. Ibank call Center 1302 ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ หนุนคนมีบ้าน ด้วยโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ให้วงเงินสูง คิดอัตรากำไรต่ำ พร้อมฟรีค่าธรรมเนียม และฟรีค่าประเมินหลักประกัน
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562
ไอแบงก์ หนุนคนมีบ้าน ด้วยโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ให้วงเงินสูง คิดอัตรากําไรต่ํา พร้อมฟรีค่าธรรมเนียม และฟรีค่าประเมินหลักประกัน
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ตอบสนองความต้องการของคนอยากมีบ้านด้วย 4โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของลูกค้า ที่ให้วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท เลือกผ่อนได้นานสูงสุด 35 ปี คิดอัตรากําไรต่ําเริ่มต้นที่ 2.25% ต่อปี
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ตอบสนองความต้องการของคนอยากมีบ้านด้วย 4โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของลูกค้า ที่ให้วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท เลือกผ่อนได้นานสูงสุด 35 ปี คิดอัตรากําไรต่ําเริ่มต้นที่ 2.25% ต่อปี พร้อมฟรีค่าธรรมเนียม Front-end-Fee และฟรีค่าประเมินหลักประกันในกรณีได้รับการอนุมัติสินเชื่อและเบิกใช้วงเงิน (ลูกค้าเป็นผู้ชําระค่าประเมินก่อน) นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถขอวงเงินอเนกประสงค์เพื่ออุปโภคบริโภค เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคลจากสถาบันการเงินอื่น หรือเพื่อชําระเงินสมทบตะกาฟุล MRTA ได้อีกด้วย
โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยนี้ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ คอนโด หรือต้องการก่อสร้าง ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย หรือซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัย โดยได้แบ่งกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยตามความต้องการของลูกค้า เช่น โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย บ้านใหม่ ibank สําหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยบ้านพรีเมี่ยม สําหรับลูกค้าที่ต้องการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือซื้อที่อยู่อาศัย หรือซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัยในมูลค่าไม่ต่ํากว่า 10 ล้านบาท โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มอาชีพมั่นคง สําหรับลูกค้ามีอาชีพมั่นคง เช่น กลุ่มอาชีพแพทย์ เภสัชกร ผู้พิพากษา วิศวกร สถาปนิกและนักบิน เป็นต้น และโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มรายได้ยั่งยืน สําหรับลูกค้าที่เป็นพนักงานในองค์กรขนาดใหญ่ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานธนาคาร พนักงานบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และบริษัทในเครือ
ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ไอแบงก์ ทุกสาขา หรือ โทร. Ibank call Center 1302 ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18768
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยคว้า 2 รางวัลผู้นำนวัตกรรมทางการเงินในเอเชีย
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม 2560
กรุงไทยคว้า 2 รางวัลผู้นํานวัตกรรมทางการเงินในเอเชีย
ธนาคารกรุงไทยได้รางวัล ผู้นํานวัตกรรมบริการจัดการทางการเงินโดดเด่นในเอเชีย ปีที่ 2 ติดต่อกัน จากนิตยสาร The Asset
ธนาคารกรุงไทยได้รางวัล ผู้นํานวัตกรรมบริการจัดการทางการเงินโดดเด่นในเอเชีย ปีที่ 2 ติดต่อกัน จากนิตยสาร The Asset เดินหน้าพัฒนา e-solutions ให้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าทุกภาคส่วน รวมทั้งเป็นธนาคารหลักของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการตลาด 20% ภายใน 3 ปี
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้รับรางวัล Best e-Bank, Thailand และ Digital Infrastructure Awards ในหมวด Most Innovative Corporate Payment Project, Thailand จากการประกวด The Asset Triple A Digital Awards Programme 2016 จัดโดยนิตยสาร The Asset ซึ่งเป็นนิตยสารธุรกิจการเงินชั้นนําในภูมิภาคเอเชีย
แปซิฟิค เพื่อยกย่องสถาบันการเงินที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมบริการจัดการทางการเงิน และมุ่งมั่นในการพัฒนา Digital Banking
“ธนาคารมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนา e-solutions และได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และลูกค้าบุคคล ช่วยให้กระบวนการทํางานสะดวกรวดเร็วขึ้น ลดต้นทุน และลดความเสี่ยงในการปฏิบัติงาน ด้วยความมุ่งมั่นในการเป็น Your Trusted Banking Partner โดยเป็นธนาคารหลัก ที่ให้บริการจัดการทางการเงิน รวมทั้งเสนอบริการที่เหมาะสมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เช่น บริการออกหนังสือค้ําประกันอิเล็กทรอนิกส์ โครงการซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล บัตร
M-PASS บัตรเงินสด UBE-KTB Money Card และ โครงการอีคอมเมิร์ซ ร่วมกับอาลีบาบา ตั้งเป้าเป็นผู้นําบริการจัดการทางการเงิน โดยขยายสัดส่วนการตลาดเป็น 20% ภายในปี 2563
ที่ผ่านมา ธนาคารได้รับรางวัลด้านบริการจัดการทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เช่น รางวัล Best Cash Management Solution 4 รางวัล รางวัล Best in Treasury and Working Capital – Public Sector, Thailand รางวัล Best E-solutions Partner Bank, Thailand จากนิตยสาร The Asset, รางวัล Thailand Domestic Cash Management Bank of the Year 2016 จากนิตยสาร Asian Banking & Finance
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยคว้า 2 รางวัลผู้นำนวัตกรรมทางการเงินในเอเชีย
วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม 2560
กรุงไทยคว้า 2 รางวัลผู้นํานวัตกรรมทางการเงินในเอเชีย
ธนาคารกรุงไทยได้รางวัล ผู้นํานวัตกรรมบริการจัดการทางการเงินโดดเด่นในเอเชีย ปีที่ 2 ติดต่อกัน จากนิตยสาร The Asset
ธนาคารกรุงไทยได้รางวัล ผู้นํานวัตกรรมบริการจัดการทางการเงินโดดเด่นในเอเชีย ปีที่ 2 ติดต่อกัน จากนิตยสาร The Asset เดินหน้าพัฒนา e-solutions ให้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าทุกภาคส่วน รวมทั้งเป็นธนาคารหลักของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการตลาด 20% ภายใน 3 ปี
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้รับรางวัล Best e-Bank, Thailand และ Digital Infrastructure Awards ในหมวด Most Innovative Corporate Payment Project, Thailand จากการประกวด The Asset Triple A Digital Awards Programme 2016 จัดโดยนิตยสาร The Asset ซึ่งเป็นนิตยสารธุรกิจการเงินชั้นนําในภูมิภาคเอเชีย
แปซิฟิค เพื่อยกย่องสถาบันการเงินที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมบริการจัดการทางการเงิน และมุ่งมั่นในการพัฒนา Digital Banking
“ธนาคารมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนา e-solutions และได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และลูกค้าบุคคล ช่วยให้กระบวนการทํางานสะดวกรวดเร็วขึ้น ลดต้นทุน และลดความเสี่ยงในการปฏิบัติงาน ด้วยความมุ่งมั่นในการเป็น Your Trusted Banking Partner โดยเป็นธนาคารหลัก ที่ให้บริการจัดการทางการเงิน รวมทั้งเสนอบริการที่เหมาะสมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เช่น บริการออกหนังสือค้ําประกันอิเล็กทรอนิกส์ โครงการซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล บัตร
M-PASS บัตรเงินสด UBE-KTB Money Card และ โครงการอีคอมเมิร์ซ ร่วมกับอาลีบาบา ตั้งเป้าเป็นผู้นําบริการจัดการทางการเงิน โดยขยายสัดส่วนการตลาดเป็น 20% ภายในปี 2563
ที่ผ่านมา ธนาคารได้รับรางวัลด้านบริการจัดการทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เช่น รางวัล Best Cash Management Solution 4 รางวัล รางวัล Best in Treasury and Working Capital – Public Sector, Thailand รางวัล Best E-solutions Partner Bank, Thailand จากนิตยสาร The Asset, รางวัล Thailand Domestic Cash Management Bank of the Year 2016 จากนิตยสาร Asian Banking & Finance
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2157
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพาณิชย์เตรียมทำลายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา กว่า 10 ล้านชิ้น
|
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน 2562
กระทรวงพาณิชย์เตรียมทําลายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา กว่า 10 ล้านชิ้น
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา จะร่วมกับกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กองทัพบก สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรมศุลกากร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ
จัดพิธีทําลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่คดีถึงที่สุดแล้ว ในวันที่ 12 กันยายน 2562 ณ ลานอเนกประสงค์ กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 7 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ โดยในปีนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะให้เกียรติเป็นประธานในพิธี
ของกลางที่จะนํามาทําลายในครั้งนี้ประกอบด้วยสินค้าหลากหลายชนิด เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า เข็มขัด รองเท้า นาฬิกา โทรศัพท์มือถือ แผ่นซีดี/วีซีดี แว่นตา เครื่องสําอาง และบุหรี่ เป็นต้น
รวมทั้งสิ้น 10,620,825 ชิ้น มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 550 ล้านบาท โดยเป็นของกลางจากสํานักงานตํารวจแห่งชาติ จํานวน 251,019 ชิ้น ของกลางจาก กรมศุลกากร จํานวน 9,818,358 ชิ้น และของกลางจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ จํานวน 551,448 ชิ้น
“สินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้เป็นของผิดกฎหมายจะต้องนํามาทําลายอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ของเหล่านี้กลับไปหมุนเวียนขายในตลาดหรือใช้ได้อีก ซึ่งเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ นอกจากนี้ สินค้าละเมิดบางรายการเป็นอันตรายโดยสภาพหรือไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภค การทําลายของกลางฯ ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่มีความสําคัญในการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา จึงต้องดําเนินการอย่างโปร่งใส โดยกระทรวงพาณิชย์ได้เชิญตัวแทนเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาทั้งไทยและต่างประเทศ และทูตานุทูตจากประเทศคู่ค้าที่สําคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศสมาชิกอาเซียน มาร่วมเป็นสักขีพยานด้วย ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประเทศคู่ค้า นักลงทุนและเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาว่าจะไม่มีสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากลับไปสู่ท้องตลาดหรือส่งออกไปยังต่างประเทศ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล) กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพาณิชย์เตรียมทำลายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา กว่า 10 ล้านชิ้น
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน 2562
กระทรวงพาณิชย์เตรียมทําลายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา กว่า 10 ล้านชิ้น
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา จะร่วมกับกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กองทัพบก สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรมศุลกากร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ
จัดพิธีทําลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่คดีถึงที่สุดแล้ว ในวันที่ 12 กันยายน 2562 ณ ลานอเนกประสงค์ กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 7 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ โดยในปีนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะให้เกียรติเป็นประธานในพิธี
ของกลางที่จะนํามาทําลายในครั้งนี้ประกอบด้วยสินค้าหลากหลายชนิด เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า เข็มขัด รองเท้า นาฬิกา โทรศัพท์มือถือ แผ่นซีดี/วีซีดี แว่นตา เครื่องสําอาง และบุหรี่ เป็นต้น
รวมทั้งสิ้น 10,620,825 ชิ้น มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 550 ล้านบาท โดยเป็นของกลางจากสํานักงานตํารวจแห่งชาติ จํานวน 251,019 ชิ้น ของกลางจาก กรมศุลกากร จํานวน 9,818,358 ชิ้น และของกลางจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ จํานวน 551,448 ชิ้น
“สินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้เป็นของผิดกฎหมายจะต้องนํามาทําลายอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ของเหล่านี้กลับไปหมุนเวียนขายในตลาดหรือใช้ได้อีก ซึ่งเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ นอกจากนี้ สินค้าละเมิดบางรายการเป็นอันตรายโดยสภาพหรือไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภค การทําลายของกลางฯ ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่มีความสําคัญในการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา จึงต้องดําเนินการอย่างโปร่งใส โดยกระทรวงพาณิชย์ได้เชิญตัวแทนเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาทั้งไทยและต่างประเทศ และทูตานุทูตจากประเทศคู่ค้าที่สําคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศสมาชิกอาเซียน มาร่วมเป็นสักขีพยานด้วย ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประเทศคู่ค้า นักลงทุนและเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาว่าจะไม่มีสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากลับไปสู่ท้องตลาดหรือส่งออกไปยังต่างประเทศ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล) กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22823
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” ร่วมหารือปรับปรุงตารางข้อผูกพันสาขาโทรคมนาคมของไทยภายใต้กรอบ WTO
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
“ดีอีเอส” ร่วมหารือปรับปรุงตารางข้อผูกพันสาขาโทรคมนาคมของไทยภายใต้กรอบ WTO
“ดีอีเอส” ร่วมหารือปรับปรุงตารางข้อผูกพันสาขาโทรคมนาคมของไทยภายใต้กรอบ WTO
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมหารือเรื่องการปรับปรุงตารางข้อผูกพันสาขาโทรคมนาคมของไทย รอบอุรุกวัยขององค์การการค้าโลก (WTO) ภายใต้ความตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าบริการ (GATS) ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการปรับปรุงตารางข้อผูกพัน และขั้นตอนการนําเสนอความเห็นชอบการปรับปรุงตารางผูกพันสาขาโทรคมนาคมของไทย รอบอุรุกวัยขององค์การการค้าโลก (WTO) ณ ห้องประชุม 802 ชั้น 8 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2563 ซึ่งประธานแจ้งที่ประชุมรับทราบถึงความเป็นมา และสถานะล่าสุดของการปรับปรุงตารางข้อผูกพันฯ ดังกล่าว ว่า ที่ผ่านมากระทรวงดิจิทัลฯ ได้จัดให้มีการประชุมเพื่อหารือ รวมถึงสอบถามความเห็นไปยังหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในแต่ละด้าน อาทิ สํานักงาน กสทช. สดช. กระทรวงพาณิชย์ สํานักงานคณกรรมการกฎษฎีกา และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เป็นต้น
****************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” ร่วมหารือปรับปรุงตารางข้อผูกพันสาขาโทรคมนาคมของไทยภายใต้กรอบ WTO
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
“ดีอีเอส” ร่วมหารือปรับปรุงตารางข้อผูกพันสาขาโทรคมนาคมของไทยภายใต้กรอบ WTO
“ดีอีเอส” ร่วมหารือปรับปรุงตารางข้อผูกพันสาขาโทรคมนาคมของไทยภายใต้กรอบ WTO
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมหารือเรื่องการปรับปรุงตารางข้อผูกพันสาขาโทรคมนาคมของไทย รอบอุรุกวัยขององค์การการค้าโลก (WTO) ภายใต้ความตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าบริการ (GATS) ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการปรับปรุงตารางข้อผูกพัน และขั้นตอนการนําเสนอความเห็นชอบการปรับปรุงตารางผูกพันสาขาโทรคมนาคมของไทย รอบอุรุกวัยขององค์การการค้าโลก (WTO) ณ ห้องประชุม 802 ชั้น 8 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2563 ซึ่งประธานแจ้งที่ประชุมรับทราบถึงความเป็นมา และสถานะล่าสุดของการปรับปรุงตารางข้อผูกพันฯ ดังกล่าว ว่า ที่ผ่านมากระทรวงดิจิทัลฯ ได้จัดให้มีการประชุมเพื่อหารือ รวมถึงสอบถามความเห็นไปยังหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในแต่ละด้าน อาทิ สํานักงาน กสทช. สดช. กระทรวงพาณิชย์ สํานักงานคณกรรมการกฎษฎีกา และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เป็นต้น
****************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32202
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยธ. เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค ณ ประเทศกัมพูชา
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560
รมว.ยธ. เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค ณ ประเทศกัมพูชา
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค
เมื่อวันพุธที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐
ณ โรงแรม Raffles Le Royal Hotel กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค
โดยมีผู้แทนจากประเทศไทย กัมพูชา จีน สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม
และสํานักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เข้าร่วม
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม
โดยแสดงความยินดีต่อการครบรอบ ๒๕ ปี ของกรอบความร่วมมือ
ซึ่งการดําเนินตามแผนปฏิบัติการในอนุภูมิภาคเพื่อการควบคุมยาเสพติดของประเทศไทยนั้น
เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจที่ได้มีการลงนาม
และสอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมยาเสพติดทั้ง ๕ ฉบับ
วาระการพัฒนาอย่างยั่งยืนปี ค.ศ. ๒๐๓๐ และเอกสารผลลัพธ์การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ
ว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก ค.ศ. ๒๐๑๖ (UNGASS 2016)
และสนับสนุนการดําเนินงานตามแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกไปทั่วโลก
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แจ้งให้ที่ประชุมได้รับทราบ
เกี่ยวการบังคับใช้กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ของประเทศไทย
ซึ่งมีการปรับแนวทางการลงโทษเป็นแนวทางสาธารณสุขในการดูแลผู้ใช้ยาเสพติด
พร้อมทั้งเน้นย้ําว่า ความเป็นหุ้นส่วนและความเป็นเจ้าของร่วมกันนั้นสําคัญยิ่ง
สําหรับความร่วมมือและการดําเนินโครงการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
รวมถึงสนับสนุนการดําเนินงานตามแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือก
ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
พร้อมทั้งได้แสดงความขอบคุณการสนับสนุนจาก UNODC และขอให้เพิ่มพูนความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิก
ในด้านที่จําเป็นอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สําคัญในการแก้ปัญหายาเสพติด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยธ. เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค ณ ประเทศกัมพูชา
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560
รมว.ยธ. เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค ณ ประเทศกัมพูชา
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค
เมื่อวันพุธที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐
ณ โรงแรม Raffles Le Royal Hotel กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค
โดยมีผู้แทนจากประเทศไทย กัมพูชา จีน สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม
และสํานักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เข้าร่วม
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม
โดยแสดงความยินดีต่อการครบรอบ ๒๕ ปี ของกรอบความร่วมมือ
ซึ่งการดําเนินตามแผนปฏิบัติการในอนุภูมิภาคเพื่อการควบคุมยาเสพติดของประเทศไทยนั้น
เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจที่ได้มีการลงนาม
และสอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมยาเสพติดทั้ง ๕ ฉบับ
วาระการพัฒนาอย่างยั่งยืนปี ค.ศ. ๒๐๓๐ และเอกสารผลลัพธ์การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ
ว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก ค.ศ. ๒๐๑๖ (UNGASS 2016)
และสนับสนุนการดําเนินงานตามแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกไปทั่วโลก
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แจ้งให้ที่ประชุมได้รับทราบ
เกี่ยวการบังคับใช้กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ของประเทศไทย
ซึ่งมีการปรับแนวทางการลงโทษเป็นแนวทางสาธารณสุขในการดูแลผู้ใช้ยาเสพติด
พร้อมทั้งเน้นย้ําว่า ความเป็นหุ้นส่วนและความเป็นเจ้าของร่วมกันนั้นสําคัญยิ่ง
สําหรับความร่วมมือและการดําเนินโครงการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
รวมถึงสนับสนุนการดําเนินงานตามแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือก
ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
พร้อมทั้งได้แสดงความขอบคุณการสนับสนุนจาก UNODC และขอให้เพิ่มพูนความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิก
ในด้านที่จําเป็นอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สําคัญในการแก้ปัญหายาเสพติด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3676
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ซาบซึ้งน้ำใจคนไทยร่วมสร้างปรากฏการณ์ “ปรบมือให้กำลังใจแพทย์และบุคคลากรสาธารณสุข”
|
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
นายกฯ ซาบซึ้งน้ําใจคนไทยร่วมสร้างปรากฏการณ์ “ปรบมือให้กําลังใจแพทย์และบุคคลากรสาธารณสุข”
นายกรัฐมนตรี ซาบซึ้งน้ําใจคนไทยร่วมสร้างปรากฏการณ์ “ปรบมือให้กําลังใจแพทย์และบุคคลากรสาธารณสุข” พร้อมขอบคุณสื่อโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ออกมาปรามอย่านํา การติดเชื้อโควิด-19 มาโกหกเล่นในวัน “April Fool’s Day (เอพริลฟูลเดย์)”
วันนี้ (31 มี.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “COVID-19” ณ ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้เปิดเผยว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ได้การประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference เป็นไปตามมาตรการของรัฐบาลในเรื่องของการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณประชาชนในการสร้างปรากฏการณ์ปรบมือ ซึ่งเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อให้กําลังใจ แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศ เป็นปรากฏการณ์ในการให้กําลังใจซึ่งกันและกันของคนไทย ซึ่งมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งกับบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่ต้องทํางานหนักอย่างมากเพื่อประชาชนในขณะนี้ ทั้งยังจะนําข้อมูลและข้อความต่าง ๆ มาประเมินเพื่อนํามาสู่มาตรการบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จะมีการนําส่งให้ถึงมือแพทย์และบุคลากรอื่น ๆ โดยเร็ว
โฆษก ศบค. ยังรายงานถึงสําหรับสถานการณ์การติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลกและประเทศไทยว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก อยู่ที่ 784,381 คน มีอาการหนักจํานวน 29,597 คน หายป่วย 165,035 คน สหรัฐอเมริกายังมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสฯ มากที่สุด ตามด้วย อิตาลี สเปน จีน เยอรมนี ฝรั่งเศส อิหร่าน อังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม และอีกหลายประเทศ ส่วนตัวเลขการติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) สะสมของประเทศไทยอยู่ที่ 1,651 ราย รายใหม่ 127 และเสียชีวิต 10 คน โดยรายที่เสียชีวิต เป็นผู้ป่วยชายไทยอายุ 48 ปี อาชีพนักดนตรี ทํางานอยู่ที่กรุงเทพฯ มีประวัติส่วนตัวคือป่วยเป็นโรคเบาหวานและมะเร็ง ได้เริ่มป่วยตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2563 ด้วยอาการไอ มีไข้ เดินทางออกจากกรุงเทพฯ กลับไปต่างจังหวัด มีอาการจึงไปที่โรงพยาบาลอําเภอก่อนถูกส่งต่อไปโรงพยาบาลประจําจังหวัดพบว่ามีปอดอักเสบและอาการรุนแรงขึ้นจนกระทั่งระบบหายใจล้มเหลวและมีการติดเชื้อในกระแสเลือดที่รุนแรง เสียชีวิตวันที่ 30 มีนาคม 2563 จึงขอแสดงความเสียใจกับญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตด้วย
สําหรับรายงานผู้ที่ติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย แบ่งเป็น สัญชาติไทย 1,478 คน สัญชาติอื่น ๆ 244 คน กรุงเทพฯยังคงมีผู้ติดเชื้อฯ อันดับสูงสุดที่ 869 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 77 คน ภาคเหนือ 55 คน ภาคกลาง 172 คน และภาคใต้ 206 คน โดยเป็นกลุ่มวัยทํางานติดเชื้อมากที่สุด อายุระหว่าง 20 - 29 ปี (เป็นหญิงมากกว่าชาย) อายุระหว่าง 30 - 39 ปี (ชายมากกว่าหญิง) อายุ 40 - 49 ปี (ชายมากกว่าหญิง) อายุ 50-59 ปี (ชายมากกว่าหญิง) อายุน้อยที่สุด 6 เดือน และอายุสูงสุดที่ 84 ปี อายุเฉลี่ย 39 ปี ทั้งนี้ ย้ําว่าวัยทํางานซึ่งต้องเดินทางคนที่ต้องออกนอกบ้านคือคนที่สามารถเป็นพาหะนําเชื้อไปติดเชื้อคนในบ้านคนที่เป็นคนสูงอายุ จึงขอให้ทุกคนต้องเฝ้าระวังดูแลตนเองด้วย
โฆษก ศบค. ยังกล่าวถึงแนวโน้มคนวัยทํางานที่ติดเชื้อฯ ทําให้ตัวเลขขณะนี้อยู่ที่ 1,651 คน และรายใหม่ 127 คนว่า ส่วนใหญ่มาจากสนามมวย สถานบันเทิง ผู้สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ (จํานวน 62 คน) ผู้ป่วยอื่นๆ 49 คน เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และคนต่างชาติเดินทางมาจากต่างประเทศ อาชีพเสี่ยง และเป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข (จํานวน 3 คน) รอสอบสวนโรคอีก 16 คน เมื่อประชาชนทุกคนร่วมมือ การติดเชื้อใหม่ควรจะลดลง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ย้ําถึงการดําเนินมาตรการของรัฐบาลจะเริ่มจากเบาไปหาหนัก นายกรัฐมนตรีพึงพอใจระดับหนึ่งจากผลการดําเนินการตามมาตรการของรัฐบาลแต่ไม่นิ่งนอนใจ ยังต้องติดตามตัวเลขอย่างใกล้ชิด โดยสั่งการให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขรายงานให้รับทราบอย่างต่อเนื่อง
กรณีที่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ติดเชื้อไวรัสนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสั่งให้เจาะลึกว่าเกี่ยวโยงกับการปฏิบัติหน้าที่กับผู้ป่วยหรือไม่ ซึ่งในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ทั้ง 3 คนดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกันกับการดูแลผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุขต้องมีการหามาตรการป้องกันในต่อไป นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขยังกําชับเจ้าหน้าที่และบุคลากรที่ทํางานทางด้านนี้ ให้ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อป้องกันเต็มที่ เพราะถือเป็นด้านหน้า พร้อมย้ําประชาชนให้ความร่วมมือ การออกเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ อาจเป็นพาหะนําโรคได้ ขอให้ออกจากบ้านน้อยที่สุด ต่างจังหวัดก็อย่าได้นิ่งนอนใจแม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะยังทรงตัว ขอประชาชนคนทุกปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลด้วย
ทั้งนี้ การติดเชื้อของ Generation ที่1 2 และ 3 มีความสําคัญเพราะไม่ได้จะอ้างอิงว่าผู้ที่มาจากสนามมวยแล้วแต่กลายเป็นว่าคนที่ติดจากสนามมวยกลับไปอยู่ที่บ้านก็กลายเป็นกลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่สัมผัสกับคนใกล้ชิดที่ติดมาก่อนหน้านี้ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นความเสี่ยงไปแล้ว ส่วนคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศตัวเลขก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ามีลูกหลาน ญาติ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศขอให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลด้วย เพื่อป้องกันเป็นแหล่งเพราะเชื้อใหม่ รวมถึงขอความร่วมมือสถานบันเทิง ขอให้งดเว้นเลยไม่ให้มีการร่วมสังสรรค์ บันเทิงใด ๆ ทั้งสิ้น
โฆษก ศบค. วอนประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) ลดตัวเลขผู้ติดเชื้อให้ลดน้อยลง ขณะที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ขอความร่วมมือให้หยุดกิจกรรมการรวมกลุ่มบุคคล ขอให้งดถ่ายทอดการชกมวย รวมถึงกิจกรรมกองถ่ายภาพยนตร์ การแข่งเรือเจ็ตสกี ส่วนกรณี ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง การตักบาตร เป็นการขอความร่วมมือในการที่ป้องกันและลดความเสี่ยงจากการที่จะติดเชื้อฯ ด้วย
ส่วนที่มีความเป็นกังวลเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบกลาง ซึ่งเป็นเงินงบประมาณที่ใช้ในการฉุกเฉินวิกฤตนั้น นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญอย่างมาก โดยจัดสรรงบกลางเพื่อเพิ่มค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ ค่าเสี่ยงภัย ตลอดจนค่าทํางานล่วงเวลา เป็นต้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้รับที่จะไปดําเนินการแล้ว รวมไปถึงการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และเตรียมโรงพยาบาลสนาม ฯลฯ นอกจากนี้ยังได้มีการผ่อนปรนปลดล็อกการนําเข้ายาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ อีกด้วย
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียังชื่นชมสื่อโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ที่ร่วมมือชี้แจงให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น การออกมาเตือนว่าขณะนี้อยู่ในช่วงของ พ.ร.ก. สถานการณ์ฉุกเฉิน อย่านําเรื่องการติดเชื้อโควิด-19 มาโกหกเล่นในวัน “April Fool’s Day (เอพริลฟูลเดย์)” ตรงกับวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี ซึ่งขอขอบคุณทุกคนที่ได้ช่วยกัน
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ซาบซึ้งน้ำใจคนไทยร่วมสร้างปรากฏการณ์ “ปรบมือให้กำลังใจแพทย์และบุคคลากรสาธารณสุข”
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
นายกฯ ซาบซึ้งน้ําใจคนไทยร่วมสร้างปรากฏการณ์ “ปรบมือให้กําลังใจแพทย์และบุคคลากรสาธารณสุข”
นายกรัฐมนตรี ซาบซึ้งน้ําใจคนไทยร่วมสร้างปรากฏการณ์ “ปรบมือให้กําลังใจแพทย์และบุคคลากรสาธารณสุข” พร้อมขอบคุณสื่อโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ออกมาปรามอย่านํา การติดเชื้อโควิด-19 มาโกหกเล่นในวัน “April Fool’s Day (เอพริลฟูลเดย์)”
วันนี้ (31 มี.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “COVID-19” ณ ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้เปิดเผยว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ได้การประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference เป็นไปตามมาตรการของรัฐบาลในเรื่องของการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณประชาชนในการสร้างปรากฏการณ์ปรบมือ ซึ่งเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อให้กําลังใจ แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศ เป็นปรากฏการณ์ในการให้กําลังใจซึ่งกันและกันของคนไทย ซึ่งมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งกับบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่ต้องทํางานหนักอย่างมากเพื่อประชาชนในขณะนี้ ทั้งยังจะนําข้อมูลและข้อความต่าง ๆ มาประเมินเพื่อนํามาสู่มาตรการบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จะมีการนําส่งให้ถึงมือแพทย์และบุคลากรอื่น ๆ โดยเร็ว
โฆษก ศบค. ยังรายงานถึงสําหรับสถานการณ์การติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลกและประเทศไทยว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก อยู่ที่ 784,381 คน มีอาการหนักจํานวน 29,597 คน หายป่วย 165,035 คน สหรัฐอเมริกายังมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสฯ มากที่สุด ตามด้วย อิตาลี สเปน จีน เยอรมนี ฝรั่งเศส อิหร่าน อังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม และอีกหลายประเทศ ส่วนตัวเลขการติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) สะสมของประเทศไทยอยู่ที่ 1,651 ราย รายใหม่ 127 และเสียชีวิต 10 คน โดยรายที่เสียชีวิต เป็นผู้ป่วยชายไทยอายุ 48 ปี อาชีพนักดนตรี ทํางานอยู่ที่กรุงเทพฯ มีประวัติส่วนตัวคือป่วยเป็นโรคเบาหวานและมะเร็ง ได้เริ่มป่วยตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2563 ด้วยอาการไอ มีไข้ เดินทางออกจากกรุงเทพฯ กลับไปต่างจังหวัด มีอาการจึงไปที่โรงพยาบาลอําเภอก่อนถูกส่งต่อไปโรงพยาบาลประจําจังหวัดพบว่ามีปอดอักเสบและอาการรุนแรงขึ้นจนกระทั่งระบบหายใจล้มเหลวและมีการติดเชื้อในกระแสเลือดที่รุนแรง เสียชีวิตวันที่ 30 มีนาคม 2563 จึงขอแสดงความเสียใจกับญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตด้วย
สําหรับรายงานผู้ที่ติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย แบ่งเป็น สัญชาติไทย 1,478 คน สัญชาติอื่น ๆ 244 คน กรุงเทพฯยังคงมีผู้ติดเชื้อฯ อันดับสูงสุดที่ 869 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 77 คน ภาคเหนือ 55 คน ภาคกลาง 172 คน และภาคใต้ 206 คน โดยเป็นกลุ่มวัยทํางานติดเชื้อมากที่สุด อายุระหว่าง 20 - 29 ปี (เป็นหญิงมากกว่าชาย) อายุระหว่าง 30 - 39 ปี (ชายมากกว่าหญิง) อายุ 40 - 49 ปี (ชายมากกว่าหญิง) อายุ 50-59 ปี (ชายมากกว่าหญิง) อายุน้อยที่สุด 6 เดือน และอายุสูงสุดที่ 84 ปี อายุเฉลี่ย 39 ปี ทั้งนี้ ย้ําว่าวัยทํางานซึ่งต้องเดินทางคนที่ต้องออกนอกบ้านคือคนที่สามารถเป็นพาหะนําเชื้อไปติดเชื้อคนในบ้านคนที่เป็นคนสูงอายุ จึงขอให้ทุกคนต้องเฝ้าระวังดูแลตนเองด้วย
โฆษก ศบค. ยังกล่าวถึงแนวโน้มคนวัยทํางานที่ติดเชื้อฯ ทําให้ตัวเลขขณะนี้อยู่ที่ 1,651 คน และรายใหม่ 127 คนว่า ส่วนใหญ่มาจากสนามมวย สถานบันเทิง ผู้สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ (จํานวน 62 คน) ผู้ป่วยอื่นๆ 49 คน เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และคนต่างชาติเดินทางมาจากต่างประเทศ อาชีพเสี่ยง และเป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข (จํานวน 3 คน) รอสอบสวนโรคอีก 16 คน เมื่อประชาชนทุกคนร่วมมือ การติดเชื้อใหม่ควรจะลดลง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ย้ําถึงการดําเนินมาตรการของรัฐบาลจะเริ่มจากเบาไปหาหนัก นายกรัฐมนตรีพึงพอใจระดับหนึ่งจากผลการดําเนินการตามมาตรการของรัฐบาลแต่ไม่นิ่งนอนใจ ยังต้องติดตามตัวเลขอย่างใกล้ชิด โดยสั่งการให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขรายงานให้รับทราบอย่างต่อเนื่อง
กรณีที่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ติดเชื้อไวรัสนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสั่งให้เจาะลึกว่าเกี่ยวโยงกับการปฏิบัติหน้าที่กับผู้ป่วยหรือไม่ ซึ่งในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ทั้ง 3 คนดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกันกับการดูแลผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุขต้องมีการหามาตรการป้องกันในต่อไป นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขยังกําชับเจ้าหน้าที่และบุคลากรที่ทํางานทางด้านนี้ ให้ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อป้องกันเต็มที่ เพราะถือเป็นด้านหน้า พร้อมย้ําประชาชนให้ความร่วมมือ การออกเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ อาจเป็นพาหะนําโรคได้ ขอให้ออกจากบ้านน้อยที่สุด ต่างจังหวัดก็อย่าได้นิ่งนอนใจแม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะยังทรงตัว ขอประชาชนคนทุกปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลด้วย
ทั้งนี้ การติดเชื้อของ Generation ที่1 2 และ 3 มีความสําคัญเพราะไม่ได้จะอ้างอิงว่าผู้ที่มาจากสนามมวยแล้วแต่กลายเป็นว่าคนที่ติดจากสนามมวยกลับไปอยู่ที่บ้านก็กลายเป็นกลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่สัมผัสกับคนใกล้ชิดที่ติดมาก่อนหน้านี้ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นความเสี่ยงไปแล้ว ส่วนคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศตัวเลขก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ามีลูกหลาน ญาติ เดินทางกลับมาจากต่างประเทศขอให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลด้วย เพื่อป้องกันเป็นแหล่งเพราะเชื้อใหม่ รวมถึงขอความร่วมมือสถานบันเทิง ขอให้งดเว้นเลยไม่ให้มีการร่วมสังสรรค์ บันเทิงใด ๆ ทั้งสิ้น
โฆษก ศบค. วอนประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) ลดตัวเลขผู้ติดเชื้อให้ลดน้อยลง ขณะที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ขอความร่วมมือให้หยุดกิจกรรมการรวมกลุ่มบุคคล ขอให้งดถ่ายทอดการชกมวย รวมถึงกิจกรรมกองถ่ายภาพยนตร์ การแข่งเรือเจ็ตสกี ส่วนกรณี ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง การตักบาตร เป็นการขอความร่วมมือในการที่ป้องกันและลดความเสี่ยงจากการที่จะติดเชื้อฯ ด้วย
ส่วนที่มีความเป็นกังวลเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบกลาง ซึ่งเป็นเงินงบประมาณที่ใช้ในการฉุกเฉินวิกฤตนั้น นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญอย่างมาก โดยจัดสรรงบกลางเพื่อเพิ่มค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ ค่าเสี่ยงภัย ตลอดจนค่าทํางานล่วงเวลา เป็นต้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้รับที่จะไปดําเนินการแล้ว รวมไปถึงการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และเตรียมโรงพยาบาลสนาม ฯลฯ นอกจากนี้ยังได้มีการผ่อนปรนปลดล็อกการนําเข้ายาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ อีกด้วย
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียังชื่นชมสื่อโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ที่ร่วมมือชี้แจงให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น การออกมาเตือนว่าขณะนี้อยู่ในช่วงของ พ.ร.ก. สถานการณ์ฉุกเฉิน อย่านําเรื่องการติดเชื้อโควิด-19 มาโกหกเล่นในวัน “April Fool’s Day (เอพริลฟูลเดย์)” ตรงกับวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี ซึ่งขอขอบคุณทุกคนที่ได้ช่วยกัน
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28191
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. เสริมสร้างความรู้ด้านการอำนวยความยุติธรรม แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อบริการประชาชน
|
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560
ยธ. เสริมสร้างความรู้ด้านการอํานวยความยุติธรรม แก่กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อบริการประชาชน
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นวิทยากรบรรยายภายใต้โครงการฝึกอบรมหลักสูตรกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รุ่นที่ ๖๐/๒๕๖๐
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เวลา ๑๖.๐๐ น.
ณ ห้องบรรยายโรงเรียนนายอําเภอ
วิทยาลัยการปกครอง อําเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นวิทยากรบรรยายภายใต้โครงการฝึกอบรมหลักสูตรกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รุ่นที่ ๖๐/๒๕๖๐
ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ในหัวข้อ “การอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคม”
เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ ในด้านการอํานวยความยุติธรรม
และนําความรู้ที่ได้รับไปบริหารจัดการเกี่ยวกับการให้บริการประชาชนในพื้นที่
เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับความเป็นธรรม ผ่านกลไกผู้นําชุมชนได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเสมอภาค
ซึ่งจะนําไปสู่การสร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ําในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. เสริมสร้างความรู้ด้านการอำนวยความยุติธรรม แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อบริการประชาชน
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560
ยธ. เสริมสร้างความรู้ด้านการอํานวยความยุติธรรม แก่กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อบริการประชาชน
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นวิทยากรบรรยายภายใต้โครงการฝึกอบรมหลักสูตรกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รุ่นที่ ๖๐/๒๕๖๐
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เวลา ๑๖.๐๐ น.
ณ ห้องบรรยายโรงเรียนนายอําเภอ
วิทยาลัยการปกครอง อําเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นวิทยากรบรรยายภายใต้โครงการฝึกอบรมหลักสูตรกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รุ่นที่ ๖๐/๒๕๖๐
ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ในหัวข้อ “การอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคม”
เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ ในด้านการอํานวยความยุติธรรม
และนําความรู้ที่ได้รับไปบริหารจัดการเกี่ยวกับการให้บริการประชาชนในพื้นที่
เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับความเป็นธรรม ผ่านกลไกผู้นําชุมชนได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเสมอภาค
ซึ่งจะนําไปสู่การสร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ําในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1812
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เตือนประชาชนระมัดระวังการท่องเที่ยวน้ำตก ชายทะเล พร้อมย้ำให้ จนท.เสนอแนวทางแก้ปัญหาจราจรภายใน 3 เดือน
|
วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2561
นายกฯ เตือนประชาชนระมัดระวังการท่องเที่ยวน้ําตก ชายทะเล พร้อมย้ําให้ จนท.เสนอแนวทางแก้ปัญหาจราจรภายใน 3 เดือน
นายกฯ เตือนประชาชนระมัดระวังการท่องเที่ยวน้ําตก ชายทะเล พร้อมย้ําให้ จนท.เสนอแนวทางแก้ปัญหาจราจรภายใน 3 เดือน
วันนี้ (18 ส.ค. 61) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เนื่องจากในระยะนี้มีฝนตกในหลายพื้นที่จากอิทธิพลของพายุเบบินคา ซึ่งอาจจะทําให้เกิดภาวะน้ําท่วม น้ําป่าไหลหลาก น้ําล้นตลิ่ง และทะเลมีคลื่นสูงมากกว่าปกติ จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือน ระมัดระวังการเดินทาง ขนย้ายทรัพย์สินมีค่าขึ้นที่สูง เตรียมอุปกรณ์เพื่อการยังชีพให้พร้อม และติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด
"นายกฯ เน้นย้ํา เรื่องการไปเที่ยวน้ําตกจะต้องระมัดระวังตัวเองอย่างมาก หรืออาจเลื่อนการเดินทางออกไปก่อน เพราะที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์น้ําป่าไหลหลากขึ้นแล้ว เมื่อฝนตกหนักป่าจะเก็บน้ําสะสมไว้มาก แล้วไหลบ่าออกมา โดยเราไม่สามารถคาดการณ์ได้ ไม่เหมือนกับการวัดปริมาณน้ําฝนในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งการท่องเที่ยวชายทะเลหากมีคลื่นสูงต้องไม่ลงไปเล่นน้ํา เพราะอาจเสี่ยงอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้"
พร้อมกันนี้ ได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่ทั้งอุทยาน น้ําตก ชายทะเล และที่อื่น ๆ ให้คําแนะนํา ตักเตือน และตรวจตราดูแลประชาชนด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการรายงานข่าวที่ระบุว่า รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาจราจรให้ได้ภายใน 3 เดือนนั้น อาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยนายกรัฐมนตรีไม่ได้หมายความว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ได้ ภายใน 3 เดือน เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบผังเมืองที่มีมาตั้งแต่อดีต การอยู่ในระหว่างการก่อสร้างรถไฟฟ้า ใต้ดิน-บนดิน ปริมาณรถยนต์ -จักรยานยนต์ ในกรุงเทพมหานครที่มีจํานวนถึง 9.7 ล้านคัน ซึ่งมากกว่าจํานวนรถที่เหมาะสม ถึง 8 เท่ากับ เมื่อเทียบกับ เส้นทางถนนภายในพื้นที่กรุงเทพ แต่ได้สั่งการให้หน่วยงานหามาตรการ ใหม่เสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อที่จะลดปัญหาการจราจรติดขัดลงให้ได้มากที่สุดภายใน 3 เดือน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เตือนประชาชนระมัดระวังการท่องเที่ยวน้ำตก ชายทะเล พร้อมย้ำให้ จนท.เสนอแนวทางแก้ปัญหาจราจรภายใน 3 เดือน
วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2561
นายกฯ เตือนประชาชนระมัดระวังการท่องเที่ยวน้ําตก ชายทะเล พร้อมย้ําให้ จนท.เสนอแนวทางแก้ปัญหาจราจรภายใน 3 เดือน
นายกฯ เตือนประชาชนระมัดระวังการท่องเที่ยวน้ําตก ชายทะเล พร้อมย้ําให้ จนท.เสนอแนวทางแก้ปัญหาจราจรภายใน 3 เดือน
วันนี้ (18 ส.ค. 61) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เนื่องจากในระยะนี้มีฝนตกในหลายพื้นที่จากอิทธิพลของพายุเบบินคา ซึ่งอาจจะทําให้เกิดภาวะน้ําท่วม น้ําป่าไหลหลาก น้ําล้นตลิ่ง และทะเลมีคลื่นสูงมากกว่าปกติ จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือน ระมัดระวังการเดินทาง ขนย้ายทรัพย์สินมีค่าขึ้นที่สูง เตรียมอุปกรณ์เพื่อการยังชีพให้พร้อม และติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด
"นายกฯ เน้นย้ํา เรื่องการไปเที่ยวน้ําตกจะต้องระมัดระวังตัวเองอย่างมาก หรืออาจเลื่อนการเดินทางออกไปก่อน เพราะที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์น้ําป่าไหลหลากขึ้นแล้ว เมื่อฝนตกหนักป่าจะเก็บน้ําสะสมไว้มาก แล้วไหลบ่าออกมา โดยเราไม่สามารถคาดการณ์ได้ ไม่เหมือนกับการวัดปริมาณน้ําฝนในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งการท่องเที่ยวชายทะเลหากมีคลื่นสูงต้องไม่ลงไปเล่นน้ํา เพราะอาจเสี่ยงอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้"
พร้อมกันนี้ ได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่ทั้งอุทยาน น้ําตก ชายทะเล และที่อื่น ๆ ให้คําแนะนํา ตักเตือน และตรวจตราดูแลประชาชนด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการรายงานข่าวที่ระบุว่า รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาจราจรให้ได้ภายใน 3 เดือนนั้น อาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยนายกรัฐมนตรีไม่ได้หมายความว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ได้ ภายใน 3 เดือน เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบผังเมืองที่มีมาตั้งแต่อดีต การอยู่ในระหว่างการก่อสร้างรถไฟฟ้า ใต้ดิน-บนดิน ปริมาณรถยนต์ -จักรยานยนต์ ในกรุงเทพมหานครที่มีจํานวนถึง 9.7 ล้านคัน ซึ่งมากกว่าจํานวนรถที่เหมาะสม ถึง 8 เท่ากับ เมื่อเทียบกับ เส้นทางถนนภายในพื้นที่กรุงเทพ แต่ได้สั่งการให้หน่วยงานหามาตรการ ใหม่เสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อที่จะลดปัญหาการจราจรติดขัดลงให้ได้มากที่สุดภายใน 3 เดือน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14698
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรสนับสนุนให้ทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home เพื่อร่วมป้องกันการกลับมาของ Covid - 19 [กระทรวงการคลัง]
|
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
สรรพากรสนับสนุนให้ทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home เพื่อร่วมป้องกันการกลับมาของ Covid - 19 [กระทรวงการคลัง]
สรรพากรสนับสนุนให้ทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home เพื่อร่วมป้องกันการกลับมาของ Covid - 19
สรรพากรหนุนผู้ประกอบการและประชาชนทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ทั้งการลงทะเบียน การยื่นแบบ การชําระภาษีและการคืนเงินภาษี ใช้บริการง่าย สะดวก ปลอดภัย ผ่านออนไลน์ไม่ต้องเดินทาง ช่วยลดและป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) แพร่ซ้ํา พร้อมได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้บริการชําระภาษีออนไลน์จากธนาคารที่ร่วมโครงการจนถึงสิ้นปี 2563 อีกด้วย
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์โรค Covid – 19 ในประเทศไทยที่มีความผ่อนคลายลง ตามลําดับ กรมสรรพากรเป็นหน่วยงานภาครัฐที่ต้องมีธุรกรรมกับภาคธุรกิจและประชาชนอยู่ตลอดเวลา จึงสนับสนุนการป้องกันการกลับมาแพร่กระจายใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) ตามมาตรการ ให้คงระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ต่อไป ประกอบกับประชาชนคนไทยทุกกลุ่ม มีการเรียนรู้ที่จะทําธุรกรรมต่างๆ แบบออนไลน์ได้จากทุกที่โดยไม่จําเป็นต้องเจอหน้ากัน เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง และมีความปลอดภัย ในการทําธุรกรรมทางการเงิน กรมสรรพากรจึงได้มอบโครงการ “ทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home” ซึ่งจะช่วยให้บริการยื่นแบบและชําระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่www.rd.go.thเป็นการทําธุรกรรมภาษีที่ง่ายอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นอีกมาก
TAX from Home เป็นโครงการที่กรมสรรพากรได้ผ่อนคลายระเบียบและขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนเข้าถึงการทําธุรกรรมภาษีในทุกมิติได้ง่ายที่สุด และยังเป็นการร่วมมือกับภาคการเงิน เพื่อสนับสนุนการทําธุกรรมการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งด้านการรับและการจ่ายเงินของภาคธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวมในภาวะการณ์เช่นนี้ โครงการนี้จะเริ่มผ่อนคลายตั้งแต่ การลงทะเบียน e-Registration ขอยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต ที่สามารถทําแบบออนไลน์ และสามารถนําส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องผ่านทาง e-mail ได้ทันที ไม่จําเป็นต้องไปยื่นด้วยตนเองที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาอีกต่อไป และเมื่อผ่านการอนุมัติก็จะได้รับ User ID & Password เพื่อเริ่มใช้บริการได้เลยทันที
การยื่นแบบ e-Filing ได้สิทธิพิเศษขยายเวลาการยื่นแบบและชําระภาษีออนไลน์ออกไปอีก ทําให้ภาคเอกชนมีระยะเวลาในการบริหารกระแสเงินสดได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
การชําระภาษี e-Payment ธนาคารเกือบทั้งหมดร่วมมือกัน ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บริการสําหรับแบบที่ยื่นและชําระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์จากนี้จนถึงสิ้นปี 2563
การคืนเงินภาษี e-Refund ผู้เสียภาษีที่ชําระภาษีไว้เกิน กรมสรรพากรจะดําเนินการคืนเงินให้ผ่านระบบพร้อมเพย์ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ก็เป็นอีกหนึ่งบริการคืนเงินที่กรมสรรพากรและธนาคารร่วมกันให้บริการ”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “TAX from Home ทําให้สามารถประกอบธุรกิจ และมีการทําธุรกรรมภาษีแบบ Social Distancing ไม่จําเป็นต้องเจอหน้า ไม่มีการรับส่งเอกสาร ไม่มีการจับธนบัตรหรือเช็ค ไม่มีการสัมผัสใดๆซึ่งกันและกัน ซึ่งธุรกรรมแบบ Paperless & Cashless นี้จะช่วยอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษีทุกราย จึงขอเชิญชวนคนไทย ร่วมมือ ร่วมใจใช้ TAX from Home เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยปลอดจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) ตลอดไป”
สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรสนับสนุนให้ทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home เพื่อร่วมป้องกันการกลับมาของ Covid - 19 [กระทรวงการคลัง]
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
สรรพากรสนับสนุนให้ทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home เพื่อร่วมป้องกันการกลับมาของ Covid - 19 [กระทรวงการคลัง]
สรรพากรสนับสนุนให้ทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home เพื่อร่วมป้องกันการกลับมาของ Covid - 19
สรรพากรหนุนผู้ประกอบการและประชาชนทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ทั้งการลงทะเบียน การยื่นแบบ การชําระภาษีและการคืนเงินภาษี ใช้บริการง่าย สะดวก ปลอดภัย ผ่านออนไลน์ไม่ต้องเดินทาง ช่วยลดและป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) แพร่ซ้ํา พร้อมได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้บริการชําระภาษีออนไลน์จากธนาคารที่ร่วมโครงการจนถึงสิ้นปี 2563 อีกด้วย
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์โรค Covid – 19 ในประเทศไทยที่มีความผ่อนคลายลง ตามลําดับ กรมสรรพากรเป็นหน่วยงานภาครัฐที่ต้องมีธุรกรรมกับภาคธุรกิจและประชาชนอยู่ตลอดเวลา จึงสนับสนุนการป้องกันการกลับมาแพร่กระจายใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) ตามมาตรการ ให้คงระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ต่อไป ประกอบกับประชาชนคนไทยทุกกลุ่ม มีการเรียนรู้ที่จะทําธุรกรรมต่างๆ แบบออนไลน์ได้จากทุกที่โดยไม่จําเป็นต้องเจอหน้ากัน เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง และมีความปลอดภัย ในการทําธุรกรรมทางการเงิน กรมสรรพากรจึงได้มอบโครงการ “ทําธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home” ซึ่งจะช่วยให้บริการยื่นแบบและชําระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่www.rd.go.thเป็นการทําธุรกรรมภาษีที่ง่ายอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นอีกมาก
TAX from Home เป็นโครงการที่กรมสรรพากรได้ผ่อนคลายระเบียบและขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนเข้าถึงการทําธุรกรรมภาษีในทุกมิติได้ง่ายที่สุด และยังเป็นการร่วมมือกับภาคการเงิน เพื่อสนับสนุนการทําธุกรรมการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งด้านการรับและการจ่ายเงินของภาคธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวมในภาวะการณ์เช่นนี้ โครงการนี้จะเริ่มผ่อนคลายตั้งแต่ การลงทะเบียน e-Registration ขอยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต ที่สามารถทําแบบออนไลน์ และสามารถนําส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องผ่านทาง e-mail ได้ทันที ไม่จําเป็นต้องไปยื่นด้วยตนเองที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาอีกต่อไป และเมื่อผ่านการอนุมัติก็จะได้รับ User ID & Password เพื่อเริ่มใช้บริการได้เลยทันที
การยื่นแบบ e-Filing ได้สิทธิพิเศษขยายเวลาการยื่นแบบและชําระภาษีออนไลน์ออกไปอีก ทําให้ภาคเอกชนมีระยะเวลาในการบริหารกระแสเงินสดได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
การชําระภาษี e-Payment ธนาคารเกือบทั้งหมดร่วมมือกัน ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บริการสําหรับแบบที่ยื่นและชําระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์จากนี้จนถึงสิ้นปี 2563
การคืนเงินภาษี e-Refund ผู้เสียภาษีที่ชําระภาษีไว้เกิน กรมสรรพากรจะดําเนินการคืนเงินให้ผ่านระบบพร้อมเพย์ที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ก็เป็นอีกหนึ่งบริการคืนเงินที่กรมสรรพากรและธนาคารร่วมกันให้บริการ”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “TAX from Home ทําให้สามารถประกอบธุรกิจ และมีการทําธุรกรรมภาษีแบบ Social Distancing ไม่จําเป็นต้องเจอหน้า ไม่มีการรับส่งเอกสาร ไม่มีการจับธนบัตรหรือเช็ค ไม่มีการสัมผัสใดๆซึ่งกันและกัน ซึ่งธุรกรรมแบบ Paperless & Cashless นี้จะช่วยอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษีทุกราย จึงขอเชิญชวนคนไทย ร่วมมือ ร่วมใจใช้ TAX from Home เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยปลอดจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) ตลอดไป”
สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31108
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มแล้ว ทางลัดสร้างอาชีพ...สอนทำก๋วยเตี๋ยว ฟรี!!!
|
วันพุธที่ 12 กรกฎาคม 2560
เริ่มแล้ว ทางลัดสร้างอาชีพ...สอนทําก๋วยเตี๋ยว ฟรี!!!
พร้อมเทคนิคและเคล็ดลับปรุงก๋วยเตี๋ยวให้มัดใจลูกค้า สามารถประกอบธุรกิจได้ทันที เตรียมขยายเมนูอาหารประเภทอื่น...สร้างความหลากหลายเข้าถึงนักชิมทุกกลุ่ม พร้อมออนทัวร์ภูมิภาค
กระทรวงพาณิชย์ เปิดอบรมอาชีพสอนทําก๋วยเตี๋ยว...ฟรี!!! หวังเป็นทางลัดสร้างอาชีพให้ผู้ที่กําลังมองหาอาชีพ พร้อมเทคนิคและเคล็ดลับการปรุงก๋วยเตี๋ยวให้มัดใจลูกค้า โดยกูรูด้านการทําก๋วยเตี๋ยวระดับประเทศ เรียนจบ...เปิดร้านได้ทันที เตรียมต่อยอดขยายเมนูอาหารให้หลากหลาย...เข้าถึงนักชิมทุกกลุ่ม อนาคตพร้อมออนทัวร์เดินสายอบรมสร้างอาชีพในส่วนภูมิภาค สร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ในวันนี้ (วันพุธที่ 12 กรกฎาคม 2560) กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เปิดอบรมฝึกอาชีพ...สอนทําก๋วยเตี๋ยว...ฟรี!!! เป็นวันแรกสําหรับผู้ที่ยังไม่มีอาชีพเป็นของตนเองและต้องการเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว ซึ่งกิจกรรมทางลัดสร้างอาชีพนี้จะสอนวิธีการทําก๋วยเตี๋ยว เพื่อให้สามารถเปิดร้านได้จริง รวมถึงอบรมเทคนิคการบริหารจัดการร้านอย่างเป็นระบบเพื่อให้ร้านอยู่รอดและถูกใจลูกค้ามากที่สุด ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของการประกอบกิจการทุกประเภท”
“กระทรวงฯ ได้ร่วมมือกับ “ธุรกิจแฟรนไชส์” คือ ร้าน Gala Noodle (เย็นตาโฟตีลังกา) สอนทําก๋วยเตี๋ยวน้ําใส-เย็นตาโฟ ในวันนี้ และวันพุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 ร่วมมือกับ “มูลนิธิลุงขาวไขอาชีพ” สอนทําก๋วยเตี๋ยวน้ําตก และข้าวเหนียวหมูฝอย ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย โดยการอบรมทั้ง 2 วันมีผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมฝึกอาชีพเป็นจํานวนมาก แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของประชาชนที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตนเอง ทําให้มีแนวคิดว่าจะมีการขยายและต่อยอดการสอนอาชีพทําอาหารประเภทอื่นๆ เพื่อให้เกิดความหลากหลาย...สามารถเข้าถึงนักชิมทุกกลุ่ม รวมทั้ง ในอนาคตอาจมีการเดินสายอบรมสร้างอาชีพการทําอาหารในส่วนภูมิภาคด้วย โดยขณะนี้กําลังประสานความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจ แฟรนไชส์ ฯลฯ ในการกําหนดรูปแบบการอบรมและเมนูอาหารประเภทต่างๆ ซึ่งไม่เพียงแต่การสอนอาชีพธุรกิจอาหารเท่านั้น กระทรวงฯ ได้ทําการวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจประเภทอื่นๆ เพื่อใช้ในการอบรมสร้างอาชีพด้วย และพร้อมที่จะต่อยอดอาชีพสู่ธุรกิจอื่นๆ ตามความถนัดของแต่ละบุคคลในอนาคต ซึ่งจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจฐานรากของไทยในระยะยาว”
รมช. พณ. กล่าวทิ้งท้ายว่า “กิจกรรมทางลัดสร้างอาชีพ “การสอนทําก๋วยเตี๋ยว” เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความเข้มแข็ง สร้างความมั่นคงในอาชีพให้แก่ประชาชน และเป็นการยกระดับสังคมสู่ความแข็งแกร่งระดับประเทศ โดยเน้นการพัฒนาเพื่อเป็นผู้ประกอบการในเบื้องต้น และพร้อมที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นนักธุรกิจมืออาชีพ (Smart Entrepreneur) ในอนาคต ทั้งนี้ หัวใจหลักของการสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง ต้องเริ่มที่การสร้างอาชีพให้เต็มพื้นที่ ต้องให้เกิดเป็นวิสาหกิจชุมชน โดยจะต้องมี 3 ภาคส่วนร่วมมือกัน ประกอบด้วย ภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐ ในรูปแบบประชารัฐ ซึ่งหาก 3 ภาคส่วนนี้ร่วมมือกันอย่างจริงจังก็จะเกิดพลังที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มแล้ว ทางลัดสร้างอาชีพ...สอนทำก๋วยเตี๋ยว ฟรี!!!
วันพุธที่ 12 กรกฎาคม 2560
เริ่มแล้ว ทางลัดสร้างอาชีพ...สอนทําก๋วยเตี๋ยว ฟรี!!!
พร้อมเทคนิคและเคล็ดลับปรุงก๋วยเตี๋ยวให้มัดใจลูกค้า สามารถประกอบธุรกิจได้ทันที เตรียมขยายเมนูอาหารประเภทอื่น...สร้างความหลากหลายเข้าถึงนักชิมทุกกลุ่ม พร้อมออนทัวร์ภูมิภาค
กระทรวงพาณิชย์ เปิดอบรมอาชีพสอนทําก๋วยเตี๋ยว...ฟรี!!! หวังเป็นทางลัดสร้างอาชีพให้ผู้ที่กําลังมองหาอาชีพ พร้อมเทคนิคและเคล็ดลับการปรุงก๋วยเตี๋ยวให้มัดใจลูกค้า โดยกูรูด้านการทําก๋วยเตี๋ยวระดับประเทศ เรียนจบ...เปิดร้านได้ทันที เตรียมต่อยอดขยายเมนูอาหารให้หลากหลาย...เข้าถึงนักชิมทุกกลุ่ม อนาคตพร้อมออนทัวร์เดินสายอบรมสร้างอาชีพในส่วนภูมิภาค สร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ในวันนี้ (วันพุธที่ 12 กรกฎาคม 2560) กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เปิดอบรมฝึกอาชีพ...สอนทําก๋วยเตี๋ยว...ฟรี!!! เป็นวันแรกสําหรับผู้ที่ยังไม่มีอาชีพเป็นของตนเองและต้องการเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว ซึ่งกิจกรรมทางลัดสร้างอาชีพนี้จะสอนวิธีการทําก๋วยเตี๋ยว เพื่อให้สามารถเปิดร้านได้จริง รวมถึงอบรมเทคนิคการบริหารจัดการร้านอย่างเป็นระบบเพื่อให้ร้านอยู่รอดและถูกใจลูกค้ามากที่สุด ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของการประกอบกิจการทุกประเภท”
“กระทรวงฯ ได้ร่วมมือกับ “ธุรกิจแฟรนไชส์” คือ ร้าน Gala Noodle (เย็นตาโฟตีลังกา) สอนทําก๋วยเตี๋ยวน้ําใส-เย็นตาโฟ ในวันนี้ และวันพุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 ร่วมมือกับ “มูลนิธิลุงขาวไขอาชีพ” สอนทําก๋วยเตี๋ยวน้ําตก และข้าวเหนียวหมูฝอย ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย โดยการอบรมทั้ง 2 วันมีผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมฝึกอาชีพเป็นจํานวนมาก แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของประชาชนที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตนเอง ทําให้มีแนวคิดว่าจะมีการขยายและต่อยอดการสอนอาชีพทําอาหารประเภทอื่นๆ เพื่อให้เกิดความหลากหลาย...สามารถเข้าถึงนักชิมทุกกลุ่ม รวมทั้ง ในอนาคตอาจมีการเดินสายอบรมสร้างอาชีพการทําอาหารในส่วนภูมิภาคด้วย โดยขณะนี้กําลังประสานความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจ แฟรนไชส์ ฯลฯ ในการกําหนดรูปแบบการอบรมและเมนูอาหารประเภทต่างๆ ซึ่งไม่เพียงแต่การสอนอาชีพธุรกิจอาหารเท่านั้น กระทรวงฯ ได้ทําการวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจประเภทอื่นๆ เพื่อใช้ในการอบรมสร้างอาชีพด้วย และพร้อมที่จะต่อยอดอาชีพสู่ธุรกิจอื่นๆ ตามความถนัดของแต่ละบุคคลในอนาคต ซึ่งจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจฐานรากของไทยในระยะยาว”
รมช. พณ. กล่าวทิ้งท้ายว่า “กิจกรรมทางลัดสร้างอาชีพ “การสอนทําก๋วยเตี๋ยว” เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความเข้มแข็ง สร้างความมั่นคงในอาชีพให้แก่ประชาชน และเป็นการยกระดับสังคมสู่ความแข็งแกร่งระดับประเทศ โดยเน้นการพัฒนาเพื่อเป็นผู้ประกอบการในเบื้องต้น และพร้อมที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นนักธุรกิจมืออาชีพ (Smart Entrepreneur) ในอนาคต ทั้งนี้ หัวใจหลักของการสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง ต้องเริ่มที่การสร้างอาชีพให้เต็มพื้นที่ ต้องให้เกิดเป็นวิสาหกิจชุมชน โดยจะต้องมี 3 ภาคส่วนร่วมมือกัน ประกอบด้วย ภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐ ในรูปแบบประชารัฐ ซึ่งหาก 3 ภาคส่วนนี้ร่วมมือกันอย่างจริงจังก็จะเกิดพลังที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5154
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “สุริยะ” โชว์ผลงาน อนุมัติ มอก. รวด 244 เรื่อง พัฒนาขีดความสามารถอุตสาหกรรม ตั้งเป้าปี’63 กำหนดมาตรฐานกว่า 300 เรื่อง
|
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562
“สุริยะ” โชว์ผลงาน อนุมัติ มอก. รวด 244 เรื่อง พัฒนาขีดความสามารถอุตสาหกรรม ตั้งเป้าปี’63 กําหนดมาตรฐานกว่า 300 เรื่อง
“สุริยะ” โชว์ผลงาน อนุมัติ มอก. รวด 244 เรื่อง พัฒนาขีดความสามารถอุตสาหกรรม ตั้งเป้าปี’63 กําหนดมาตรฐานกว่า 300 เรื่อง
กระทรวงอุตสาหกรรม 17 ต.ค.62 : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โชว์ผลงานประกาศมาตรฐาน มอก. 244 เรื่อง หลังมอบนโยบายให้สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งรัดกําหนดมาตรฐานตามกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายให้ครอบคลุมสอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศตามนโยบายรัฐบาล โดยตั้งเป้าปี 2563 สามารถกําหนดมาตรฐานตามกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายและนโยบายรัฐบาลกว่า 300 เรื่อง
นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบนโยบายในการดําเนินงานให้แก่สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา สมอ. ได้เสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงนามประกาศมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) แล้ว จํานวน 244 เรื่อง ซึ่งเป็นมาตรฐานในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลให้ความสําคัญ ได้แก่ มาตรฐานในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมแพทย์ครบวงจร และมาตรฐานสําหรับส่งเสริมผู้ประกอบการ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมได้นําไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อเร่งขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้มีศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า
“การดําเนินงานด้านการกําหนดมาตรฐานของ สมอ.มีบทบาทสําคัญโดยเฉพาะการคุ้มครองผู้บริโภคที่ต้องได้รับการดูแลด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ ดังนั้น การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมจึงเป็นเรื่องสําคัญที่ต้องพัฒนาควบคู่ เพื่อให้การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศ สามารถแข่งขันทางการค้าได้อย่างยั่งยืนและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน” โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
ด้านนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการ สมอ. กล่าวเสริมว่า ได้เร่งรัดดําเนินการกําหนดมาตรฐานให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและสอดคล้องกับแนวทางสากล เพื่อส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก โดยมุ่งเป้าที่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ มาตรฐานรถจักรยานไฟฟ้า ตู้น้ําดื่มหยอดเหรียญอัตโนมัติ มาตรฐานสําหรับผลไม้กระป๋อง มาตรฐานเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมตามนโยบายของรัฐบาลในกลุ่มพลาสติกชีวภาพ เช่น ฟิล์มพลาสติกคลุมดินแตกสลายตัวได้ทางชีวภาพสําหรับงานเกษตรกรรม ถุงพลาสติกสลายตัวได้ทางชีวภาพ ถุงพลาสติกแตกสลายตัวได้ทางชีวภาพสําหรับเพาะชํากล้าไม้ ไม้สังเคราะห์จากพลาสติกผสมชีวมวล มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยของประชาชน เช่น มาตรฐานเครื่องเล่นสนามสาธารณะ ประเภทชิงช้าและกระดานลื่น มาตรฐานด้านความปลอดภัยของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ สําหรับแผนการกําหนดมาตรฐานในปี 2563 สมอ. ได้ตั้งเป้าหมายกําหนดมาตรฐานตามกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และนโยบายรัฐบาลกว่า 300 เรื่อง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “สุริยะ” โชว์ผลงาน อนุมัติ มอก. รวด 244 เรื่อง พัฒนาขีดความสามารถอุตสาหกรรม ตั้งเป้าปี’63 กำหนดมาตรฐานกว่า 300 เรื่อง
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562
“สุริยะ” โชว์ผลงาน อนุมัติ มอก. รวด 244 เรื่อง พัฒนาขีดความสามารถอุตสาหกรรม ตั้งเป้าปี’63 กําหนดมาตรฐานกว่า 300 เรื่อง
“สุริยะ” โชว์ผลงาน อนุมัติ มอก. รวด 244 เรื่อง พัฒนาขีดความสามารถอุตสาหกรรม ตั้งเป้าปี’63 กําหนดมาตรฐานกว่า 300 เรื่อง
กระทรวงอุตสาหกรรม 17 ต.ค.62 : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โชว์ผลงานประกาศมาตรฐาน มอก. 244 เรื่อง หลังมอบนโยบายให้สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งรัดกําหนดมาตรฐานตามกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายให้ครอบคลุมสอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศตามนโยบายรัฐบาล โดยตั้งเป้าปี 2563 สามารถกําหนดมาตรฐานตามกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายและนโยบายรัฐบาลกว่า 300 เรื่อง
นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบนโยบายในการดําเนินงานให้แก่สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา สมอ. ได้เสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงนามประกาศมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) แล้ว จํานวน 244 เรื่อง ซึ่งเป็นมาตรฐานในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลให้ความสําคัญ ได้แก่ มาตรฐานในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมแพทย์ครบวงจร และมาตรฐานสําหรับส่งเสริมผู้ประกอบการ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมได้นําไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อเร่งขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้มีศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า
“การดําเนินงานด้านการกําหนดมาตรฐานของ สมอ.มีบทบาทสําคัญโดยเฉพาะการคุ้มครองผู้บริโภคที่ต้องได้รับการดูแลด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ ดังนั้น การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมจึงเป็นเรื่องสําคัญที่ต้องพัฒนาควบคู่ เพื่อให้การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศ สามารถแข่งขันทางการค้าได้อย่างยั่งยืนและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน” โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
ด้านนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการ สมอ. กล่าวเสริมว่า ได้เร่งรัดดําเนินการกําหนดมาตรฐานให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและสอดคล้องกับแนวทางสากล เพื่อส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก โดยมุ่งเป้าที่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ มาตรฐานรถจักรยานไฟฟ้า ตู้น้ําดื่มหยอดเหรียญอัตโนมัติ มาตรฐานสําหรับผลไม้กระป๋อง มาตรฐานเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมตามนโยบายของรัฐบาลในกลุ่มพลาสติกชีวภาพ เช่น ฟิล์มพลาสติกคลุมดินแตกสลายตัวได้ทางชีวภาพสําหรับงานเกษตรกรรม ถุงพลาสติกสลายตัวได้ทางชีวภาพ ถุงพลาสติกแตกสลายตัวได้ทางชีวภาพสําหรับเพาะชํากล้าไม้ ไม้สังเคราะห์จากพลาสติกผสมชีวมวล มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยของประชาชน เช่น มาตรฐานเครื่องเล่นสนามสาธารณะ ประเภทชิงช้าและกระดานลื่น มาตรฐานด้านความปลอดภัยของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ สําหรับแผนการกําหนดมาตรฐานในปี 2563 สมอ. ได้ตั้งเป้าหมายกําหนดมาตรฐานตามกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และนโยบายรัฐบาลกว่า 300 เรื่อง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23924
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.ร.อ.ณรงค์ฯ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ครั้งที่ 1/2560
|
วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560
รอง นรม. พล.ร.อ.ณรงค์ฯ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ครั้งที่ 1/2560
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. 2560 – 2564
วันนี้ (2 มิถุนายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ชั้น 3 ทําเนียบรัฐบาล พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ครั้งที่ 1/2560 โดยมี พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รองศาสตราจารย์ ดร.จุรี วิจิตรวาทการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา และตัวแทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. 2560 – 2564 โดยมีเป้าประสงค์เพื่อ 1. สร้างสังคมเสมอภาค คนไทยมีเจตคติที่ดี 2. ปราศจากการเลือกปฏิบัติ เข้าใจถึงความเสมอภาคและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ 3. คุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพ (กายและใจ) พร้อมสุขภาวะ และมีการศึกษาที่เพียงพอต่อการประกอบอาชีพที่มั่นคง 4. มั่นคงปลอดภัย สังคมที่สงบสุข สตรีอยู่ในครอบครัว ชุมชน และสังคมที่อบอุ่นและมั่นคง โดยมีความปลอดภัยและปราศจากความรุนแรง 5. ทันโลกทันสมัย สตรีมีความรู้เท่าทันโลก สามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเข้าถึงข้อมูลความรู้และสามารถนําไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่างมีศักยภาพ
โดยมีแผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี (พ.ศ. 2560 – 2564) ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 ปรับเปลี่ยนเจตคติของสังคมในประเด็นความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย (Paradigm Shift Measures) ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์ คือ 1. ปรับเจตคติของคนไทยด้านความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย 2. สร้างเครือข่ายพันธมิตรกับสื่อ 3. ปลูกฝังค่านิยมวัฒนธรรมและปรับเจตคติสําหรับเด็กและเยาวชน
ยุทธศาสตร์ที่ 2 เสริมพลัง เพิ่มบทบาท และพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่สตรีไทยทุกกลุ่ม และทุกระดับ (Empowerment Measures) ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์ คือ 1. พัฒนาศักยภาพและทักษะในการประกอบอาชีพที่มั่นคง 2. สร้างความมั่นคงและการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ 3. ส่งเสริมให้สตรีมีบทบาทสําคัญในการพัฒนาสังคม 4. พัฒนาศักยภาพให้มีส่วนร่วมทางการเมืองและกระบวนการตัดสินใจ และ5. พัฒนาสุขภาพ สุขภาวะ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาเงื่อนไขและปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาสตรีที่มีประสิทธิผลและเสมอภาค (Enabling Condition Measures) ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์ คือ 1.พัฒนาและปรับปรุงกฎหมาย 2. กําหนดเงื่อนไขการพัฒนาสตรีเข้าสู่แผนปฏิบัติงานของหน่วยงาน 3. ส่งเสริมและพัฒนางานวิชาการด้านการพัฒนาสตรีและความเสมอภาค
ยุทธศาสตร์ที่ 4 กําหนดมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน คุ้มครอง ช่วยเหลือ และเยียวยา (Protective and Corrective Measures) ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์ คือ 1. การลดและขจัดความรุนแรงต่อสตรี 2. ลดความเหลื่อมล้ําด้านรายได้ 3. ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพ คุณภาพ และมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ยุทธศาสตร์ที่ 5 สร้างความเข้มแข็งของกลไกและกระบวนการพัฒนาสตรี (Strengthen WID Measures) ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ คือ 1. เสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกการพัฒนาสตรี 2. พัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรที่ปฏิบัติงาน 3. จัดสรรทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการดําเนินงาน 4. ส่งเสริมและพัฒนาเครือข่าย
ทั้งนี้ ตอนท้ายของการประชุม ประธานได้กล่าวย้ําว่าในแต่ละยุทธศาสตร์ เห็นควรให้ฝ่ายเลขาณุการฯ เพิ่มเติมรายละเอียดในส่วนแผนปฏิบัติงาน ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการบูรณาการทุกภาคส่วน Thailand 4.0 และให้เพิ่มเติมในส่วนดัชนีชี้วัดความสําเร็จของแต่ละโครงการในยุทธศาสตร์นั้น ๆ ที่จะต้องเป็นรูปธรรม มีความชัดเจน โดยให้เกิดประโยชน์สูงสุด และให้หน่วยงานที่ใกล้ชิดประชาชน เช่น องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เข้ามามีบทบาทในการพัฒนา เพี่อเป็นการเสริมพลังให้แต่ละโครงการประสบความสําเร็จ เนื่องจากใกล้ชิดประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้เพื่อจะได้นําแผนปฏิบัติงานดังกล่าว เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
..................................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.ร.อ.ณรงค์ฯ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ครั้งที่ 1/2560
วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560
รอง นรม. พล.ร.อ.ณรงค์ฯ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ครั้งที่ 1/2560
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. 2560 – 2564
วันนี้ (2 มิถุนายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ชั้น 3 ทําเนียบรัฐบาล พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ครั้งที่ 1/2560 โดยมี พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รองศาสตราจารย์ ดร.จุรี วิจิตรวาทการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา และตัวแทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. 2560 – 2564 โดยมีเป้าประสงค์เพื่อ 1. สร้างสังคมเสมอภาค คนไทยมีเจตคติที่ดี 2. ปราศจากการเลือกปฏิบัติ เข้าใจถึงความเสมอภาคและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ 3. คุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพ (กายและใจ) พร้อมสุขภาวะ และมีการศึกษาที่เพียงพอต่อการประกอบอาชีพที่มั่นคง 4. มั่นคงปลอดภัย สังคมที่สงบสุข สตรีอยู่ในครอบครัว ชุมชน และสังคมที่อบอุ่นและมั่นคง โดยมีความปลอดภัยและปราศจากความรุนแรง 5. ทันโลกทันสมัย สตรีมีความรู้เท่าทันโลก สามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเข้าถึงข้อมูลความรู้และสามารถนําไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่างมีศักยภาพ
โดยมีแผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี (พ.ศ. 2560 – 2564) ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 ปรับเปลี่ยนเจตคติของสังคมในประเด็นความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย (Paradigm Shift Measures) ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์ คือ 1. ปรับเจตคติของคนไทยด้านความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย 2. สร้างเครือข่ายพันธมิตรกับสื่อ 3. ปลูกฝังค่านิยมวัฒนธรรมและปรับเจตคติสําหรับเด็กและเยาวชน
ยุทธศาสตร์ที่ 2 เสริมพลัง เพิ่มบทบาท และพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่สตรีไทยทุกกลุ่ม และทุกระดับ (Empowerment Measures) ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์ คือ 1. พัฒนาศักยภาพและทักษะในการประกอบอาชีพที่มั่นคง 2. สร้างความมั่นคงและการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ 3. ส่งเสริมให้สตรีมีบทบาทสําคัญในการพัฒนาสังคม 4. พัฒนาศักยภาพให้มีส่วนร่วมทางการเมืองและกระบวนการตัดสินใจ และ5. พัฒนาสุขภาพ สุขภาวะ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาเงื่อนไขและปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาสตรีที่มีประสิทธิผลและเสมอภาค (Enabling Condition Measures) ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์ คือ 1.พัฒนาและปรับปรุงกฎหมาย 2. กําหนดเงื่อนไขการพัฒนาสตรีเข้าสู่แผนปฏิบัติงานของหน่วยงาน 3. ส่งเสริมและพัฒนางานวิชาการด้านการพัฒนาสตรีและความเสมอภาค
ยุทธศาสตร์ที่ 4 กําหนดมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน คุ้มครอง ช่วยเหลือ และเยียวยา (Protective and Corrective Measures) ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์ คือ 1. การลดและขจัดความรุนแรงต่อสตรี 2. ลดความเหลื่อมล้ําด้านรายได้ 3. ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพ คุณภาพ และมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ยุทธศาสตร์ที่ 5 สร้างความเข้มแข็งของกลไกและกระบวนการพัฒนาสตรี (Strengthen WID Measures) ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ คือ 1. เสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกการพัฒนาสตรี 2. พัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรที่ปฏิบัติงาน 3. จัดสรรทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการดําเนินงาน 4. ส่งเสริมและพัฒนาเครือข่าย
ทั้งนี้ ตอนท้ายของการประชุม ประธานได้กล่าวย้ําว่าในแต่ละยุทธศาสตร์ เห็นควรให้ฝ่ายเลขาณุการฯ เพิ่มเติมรายละเอียดในส่วนแผนปฏิบัติงาน ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการบูรณาการทุกภาคส่วน Thailand 4.0 และให้เพิ่มเติมในส่วนดัชนีชี้วัดความสําเร็จของแต่ละโครงการในยุทธศาสตร์นั้น ๆ ที่จะต้องเป็นรูปธรรม มีความชัดเจน โดยให้เกิดประโยชน์สูงสุด และให้หน่วยงานที่ใกล้ชิดประชาชน เช่น องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เข้ามามีบทบาทในการพัฒนา เพี่อเป็นการเสริมพลังให้แต่ละโครงการประสบความสําเร็จ เนื่องจากใกล้ชิดประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้เพื่อจะได้นําแผนปฏิบัติงานดังกล่าว เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
..................................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4237
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน น้อมนำพระราชดำรัส มาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ
|
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน 2559
ก.แรงงาน น้อมนําพระราชดํารัส มาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ
นายสุทธิ สุโกศล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกระแสพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้ทรงพระราชทานไว้ในครั้งเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา
~นายสุทธิ สุโกศล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกระแสพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้ทรงพระราชทานไว้ในครั้งเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันศุกร์ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2529 ความว่า ...ทุกวันนี้ ประเทศไทยยังมีทรัพยากรพร้อมมูล ทั้งทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรบุคคล ซึ่งเราสามารถนํามาใช้เสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ และเสถียรภาพอันถาวรของบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี ข้อสําคัญ เราต้องรู้จักใช้ทรัพยากรนั้นอย่างฉลาด คือไม่นํามาทุ่มเทใช้ให้สิ้นเปลืองไปโดยไร้ประโยชน์ หรือได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า หากแต่ระมัดระวังใช้ด้วยความประหยัดรอบคอบ ประกอบด้วยความคิดพิจารณาตามหลักวิชา เหตุผล และความถูกต้องเหมาะสม โดยมุ่งถึงประโยชน์แท้จริงที่จะเกิดแก่ประเทศชาติ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันยืนยาว...
นายสุทธิ กล่าวว่า จากกระแสพระราชดํารัสดังกล่าว ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ถือเป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทสําคัญต่อการพัฒนาประเทศ เนื่องจากคนถือเป็นกําลังหลักที่จะเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเจริญเติบโตของประเทศให้มีความมั่นคง ดังนั้น การดูแลกําลังคน รวมทั้งทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้มีงานทํา มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี จึงต้องอาศัยหลักวิชา ความรู้ ความสามารถ และคํานึงถึงเหตุผลความมั่นคงของบ้านเมืองอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติเป็นสําคัญ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน ได้จัดทํากรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ.๒๕๖๐ –๒๕๗๙) เพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปีของรัฐบาล รวมทั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔)และแผนแม่บทด้านแรงงาน (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) ซึ่งจะสอดคล้องกับวาระปฏิรูป 8 +1 ของกระทรวงแรงงานตามเจตนารมณ์ของ พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่จะปรับบทบาทให้สามารถรองรับภารกิจที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาพรวม
“กระทรวงแรงงาน ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาพรวม ขอน้อมนํากระแสพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ให้มีคุณคาและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” นายสุทธิ กล่าว
-----------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ /
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
17 พฤศจิกายน 2559
“OUR HOME OUR COUNTRY TOGETHER STRONGER"
"เราจะเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน เพราะที่นี่คือ บ้านของเรา ประเทศไทยของเรา"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน น้อมนำพระราชดำรัส มาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน 2559
ก.แรงงาน น้อมนําพระราชดํารัส มาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ
นายสุทธิ สุโกศล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกระแสพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้ทรงพระราชทานไว้ในครั้งเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา
~นายสุทธิ สุโกศล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกระแสพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้ทรงพระราชทานไว้ในครั้งเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันศุกร์ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2529 ความว่า ...ทุกวันนี้ ประเทศไทยยังมีทรัพยากรพร้อมมูล ทั้งทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรบุคคล ซึ่งเราสามารถนํามาใช้เสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ และเสถียรภาพอันถาวรของบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี ข้อสําคัญ เราต้องรู้จักใช้ทรัพยากรนั้นอย่างฉลาด คือไม่นํามาทุ่มเทใช้ให้สิ้นเปลืองไปโดยไร้ประโยชน์ หรือได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า หากแต่ระมัดระวังใช้ด้วยความประหยัดรอบคอบ ประกอบด้วยความคิดพิจารณาตามหลักวิชา เหตุผล และความถูกต้องเหมาะสม โดยมุ่งถึงประโยชน์แท้จริงที่จะเกิดแก่ประเทศชาติ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันยืนยาว...
นายสุทธิ กล่าวว่า จากกระแสพระราชดํารัสดังกล่าว ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ถือเป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทสําคัญต่อการพัฒนาประเทศ เนื่องจากคนถือเป็นกําลังหลักที่จะเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเจริญเติบโตของประเทศให้มีความมั่นคง ดังนั้น การดูแลกําลังคน รวมทั้งทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้มีงานทํา มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี จึงต้องอาศัยหลักวิชา ความรู้ ความสามารถ และคํานึงถึงเหตุผลความมั่นคงของบ้านเมืองอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติเป็นสําคัญ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน ได้จัดทํากรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ.๒๕๖๐ –๒๕๗๙) เพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปีของรัฐบาล รวมทั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔)และแผนแม่บทด้านแรงงาน (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) ซึ่งจะสอดคล้องกับวาระปฏิรูป 8 +1 ของกระทรวงแรงงานตามเจตนารมณ์ของ พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่จะปรับบทบาทให้สามารถรองรับภารกิจที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาพรวม
“กระทรวงแรงงาน ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาพรวม ขอน้อมนํากระแสพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ให้มีคุณคาและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” นายสุทธิ กล่าว
-----------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ /
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
17 พฤศจิกายน 2559
“OUR HOME OUR COUNTRY TOGETHER STRONGER"
"เราจะเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน เพราะที่นี่คือ บ้านของเรา ประเทศไทยของเรา"
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/802
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก อุดมเดชฯ รมช.กห. เป็นประธานในพิธีเปิดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"
|
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
พลเอก อุดมเดชฯ รมช.กห. เป็นประธานในพิธีเปิดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"
พลเอก อุดมเดชฯ รมช.กห. เป็นประธานในพิธีเปิดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน : Southern Thailand Experience มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” 6 - 23 เม.ย. 60
วันนี้ (7มีนาคม2560)เวลา10.30น. ณ เวทีกลาง ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานในพิธีเปิดงานตลาด คลองผดุงกรุงเกษม โดยมีนางสาวเรณู ตังคจิวางกูรรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และนายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนคณะผู้บริหารและตัวแทนหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “วิถีไทยชายแดนใต้ กินดี อยู่ได้ เข้าใจกัน” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 - 24 มีนาคม 2560 เวลา 10.00 - 19.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์
โอกาสนี้นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้กล่าวรายงานว่า นับเป็นโอกาสที่ดีของศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดสตูล สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา จัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล โดยจะเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ขายแดนภาคใต้ที่มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่หลากหลาย ทั้งด้านศาสนา เชื้อชาติ วัฒนธรรม และยังช่วยตอบโจทย์ภาครัฐในเรื่องของความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยมีการนําผลิตภัณฑ์ที่เป็นสุดยอดและหายาก มาจัดแสดง เสมือนได้มาเที่ยวใต้ใจกลางกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ ในส่วนกิจกรรมภายในงานตลาดนัดคลองผดุงกรุงเกษมในเดือนมีนาคมนี้ ทาง ศอ.บต. ได้คัดสรร “สุดยอดของดี” มีคุณภาพ ทั้งอาหารพื้นเมือง ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น และการสาธิตรูปแบบการดําเนินวิถีชีวิตในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้มานําเสนอ เพื่อให้ประชาชนที่สนใจได้มีโอกาสมาเยี่ยมชม ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการช่วยสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการในทุกระดับและผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากการจําหน่ายสินค้า สามารถดํารงชีพได้ตามปกติ ตลอดจนช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาด และสามารถต่อยอดธุรกิจให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ เลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้กล่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า แนวคิดการจัดงานในครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่นยืน เพราะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความหลากหลายทางด้านความเป็นอยู่ ทั้งด้านศาสนา และวัฒนธรรม แต่ประชาชนก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อกัน นับเป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งของความเป็นพหุสังคมชายแดนใต้
กิจกรรมไฮไลน์แบ่งออกเป็น 4 โซน สําคัญ ประกอบด้วย
โซน “อาหารเด็ดหลากหลายเสน่ห์ใต้ชวนชิม” ได้แก่ อาหารเด็ดหลากหลาย เสน่ห์ใต้ชวนชิม นําเสนออาหารปรุงสด ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นในพื้นที่ เช่น ข้าวมันไก่เบตง ข้าวยํา ข้าวหมกไก่ นาซิดาแฆ โรตี ชาชัก ขนมพื้นบ้าน
โซน “ทะเลเดือด” โซนแดนสวรรค์ สารพันของอร่อย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลิตผลทางการเกษตรทุกชนิด เช่น ทุกเรียนกวน กล้วยหิน ส้มแขกแช่อิ่ม มะม่วงแช่อิ่ม ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป เช่น ปลากุเลาเค็ม กุ้งแห้ง ปลากรอบปรุงรสทุกรูปแบบ
โซน “มรดกภูมิปัญญา งานศิลป์ทรงค่าแดนปักษ์ใต้” ได้แก่ งานศิลป์ทรงคุณค่าแดนปักษ์ใต้นําเสนอผลิตภัณฑ์ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ที่มีวิถีชีวิตหลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีวิถีชีวิตสะท้อนถึงวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าในสังคมไทย
โซน “ของดีแดนด้ามขวาน สืบสานความยั่งยืน” ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ กลุ่มผู้ด้อยโอกาส และนวดแผนไทย
พร้อมกันนี้ ศอ.บต. ได้รับความร่วมมือจากกรมประมงในการนําปลานิล และปลาพวงชมพู ซึ่งเป็นปลาที่มีชื่อเสียงด้านรสชาติมาจัดแสดงและจําหน่ายในงานนี้ด้วย ทั้งนี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงมีพระราชดําริ ให้ กรมประมงดําเนินการ นําพันธุ์ปลาดังกล่าวมาเพาะพันธุ์ปลาในเขื่อนบางลาง ตําบลบางลาง อําเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เมื่อ พ.ศ. 2543
จากนั้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกล่าวเปิดงานว่า การจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เป็นนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้มีดําริให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดําเนินการบูรณาการกับกระทรวงต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนส่งเสริมให้มีตลาดนัดชุมชน ซึ่งถือเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ให้กับคนเมือง และในอนาคตก็จะกลายเป็นสถานท่องเที่ยวหลักของคนกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ยังเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยว และยังมีส่วนช่วยส่งเสริมการต่อยอดด้านธุรกิจในการนําเสนอสินค้าและบริการผ่านองค์กรในหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งยังเป็นเวทีถ่ายทอดองค์ความรู้สู่การใช้ประโยชน์แก่ประชาชน โดยเฉพาะการจัดงานในครั้งนี้ทางศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อจะเป็นสื่อกลางให้พี่น้อง์ประชาชนเข้าถึง และเข้าใจ พี่น้องใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตลอดไป
โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองและตัวแทนผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันประกอบพิธีเปิดงานนี้อย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นได้ร่วมกันเดินเยี่ยมชมนิทรรศการและชมบู้ธแสดงสินค้าต่าง ๆ ภายในงานด้วยความสนใจและทักทายผู้มาร่วมงานด้วยอัธยาศัยอันดี
********************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก อุดมเดชฯ รมช.กห. เป็นประธานในพิธีเปิดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
พลเอก อุดมเดชฯ รมช.กห. เป็นประธานในพิธีเปิดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"
พลเอก อุดมเดชฯ รมช.กห. เป็นประธานในพิธีเปิดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน : Southern Thailand Experience มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” 6 - 23 เม.ย. 60
วันนี้ (7มีนาคม2560)เวลา10.30น. ณ เวทีกลาง ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานในพิธีเปิดงานตลาด คลองผดุงกรุงเกษม โดยมีนางสาวเรณู ตังคจิวางกูรรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และนายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนคณะผู้บริหารและตัวแทนหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “วิถีไทยชายแดนใต้ กินดี อยู่ได้ เข้าใจกัน” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 - 24 มีนาคม 2560 เวลา 10.00 - 19.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์
โอกาสนี้นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้กล่าวรายงานว่า นับเป็นโอกาสที่ดีของศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดสตูล สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา จัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล โดยจะเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ขายแดนภาคใต้ที่มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่หลากหลาย ทั้งด้านศาสนา เชื้อชาติ วัฒนธรรม และยังช่วยตอบโจทย์ภาครัฐในเรื่องของความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยมีการนําผลิตภัณฑ์ที่เป็นสุดยอดและหายาก มาจัดแสดง เสมือนได้มาเที่ยวใต้ใจกลางกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ ในส่วนกิจกรรมภายในงานตลาดนัดคลองผดุงกรุงเกษมในเดือนมีนาคมนี้ ทาง ศอ.บต. ได้คัดสรร “สุดยอดของดี” มีคุณภาพ ทั้งอาหารพื้นเมือง ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น และการสาธิตรูปแบบการดําเนินวิถีชีวิตในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้มานําเสนอ เพื่อให้ประชาชนที่สนใจได้มีโอกาสมาเยี่ยมชม ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการช่วยสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการในทุกระดับและผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากการจําหน่ายสินค้า สามารถดํารงชีพได้ตามปกติ ตลอดจนช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาด และสามารถต่อยอดธุรกิจให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ เลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้กล่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า แนวคิดการจัดงานในครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่นยืน เพราะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความหลากหลายทางด้านความเป็นอยู่ ทั้งด้านศาสนา และวัฒนธรรม แต่ประชาชนก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อกัน นับเป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งของความเป็นพหุสังคมชายแดนใต้
กิจกรรมไฮไลน์แบ่งออกเป็น 4 โซน สําคัญ ประกอบด้วย
โซน “อาหารเด็ดหลากหลายเสน่ห์ใต้ชวนชิม” ได้แก่ อาหารเด็ดหลากหลาย เสน่ห์ใต้ชวนชิม นําเสนออาหารปรุงสด ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นในพื้นที่ เช่น ข้าวมันไก่เบตง ข้าวยํา ข้าวหมกไก่ นาซิดาแฆ โรตี ชาชัก ขนมพื้นบ้าน
โซน “ทะเลเดือด” โซนแดนสวรรค์ สารพันของอร่อย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลิตผลทางการเกษตรทุกชนิด เช่น ทุกเรียนกวน กล้วยหิน ส้มแขกแช่อิ่ม มะม่วงแช่อิ่ม ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป เช่น ปลากุเลาเค็ม กุ้งแห้ง ปลากรอบปรุงรสทุกรูปแบบ
โซน “มรดกภูมิปัญญา งานศิลป์ทรงค่าแดนปักษ์ใต้” ได้แก่ งานศิลป์ทรงคุณค่าแดนปักษ์ใต้นําเสนอผลิตภัณฑ์ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ที่มีวิถีชีวิตหลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีวิถีชีวิตสะท้อนถึงวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าในสังคมไทย
โซน “ของดีแดนด้ามขวาน สืบสานความยั่งยืน” ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ กลุ่มผู้ด้อยโอกาส และนวดแผนไทย
พร้อมกันนี้ ศอ.บต. ได้รับความร่วมมือจากกรมประมงในการนําปลานิล และปลาพวงชมพู ซึ่งเป็นปลาที่มีชื่อเสียงด้านรสชาติมาจัดแสดงและจําหน่ายในงานนี้ด้วย ทั้งนี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงมีพระราชดําริ ให้ กรมประมงดําเนินการ นําพันธุ์ปลาดังกล่าวมาเพาะพันธุ์ปลาในเขื่อนบางลาง ตําบลบางลาง อําเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เมื่อ พ.ศ. 2543
จากนั้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกล่าวเปิดงานว่า การจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เป็นนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้มีดําริให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดําเนินการบูรณาการกับกระทรวงต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนส่งเสริมให้มีตลาดนัดชุมชน ซึ่งถือเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ให้กับคนเมือง และในอนาคตก็จะกลายเป็นสถานท่องเที่ยวหลักของคนกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ยังเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยว และยังมีส่วนช่วยส่งเสริมการต่อยอดด้านธุรกิจในการนําเสนอสินค้าและบริการผ่านองค์กรในหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งยังเป็นเวทีถ่ายทอดองค์ความรู้สู่การใช้ประโยชน์แก่ประชาชน โดยเฉพาะการจัดงานในครั้งนี้ทางศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อจะเป็นสื่อกลางให้พี่น้อง์ประชาชนเข้าถึง และเข้าใจ พี่น้องใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตลอดไป
โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองและตัวแทนผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันประกอบพิธีเปิดงานนี้อย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นได้ร่วมกันเดินเยี่ยมชมนิทรรศการและชมบู้ธแสดงสินค้าต่าง ๆ ภายในงานด้วยความสนใจและทักทายผู้มาร่วมงานด้วยอัธยาศัยอันดี
********************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2958
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ไตรมาส ๒)
|
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562
“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ไตรมาส ๒)
กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ไตรมาส ๒)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้อง BB ๒๐๖ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พันตํารวจโทพงษ์ธร ธัญญสิริ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ไตรมาส ๒) เพื่อทราบความก้าวหน้าการดําเนินงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา จังหวัดชายแดนใต้ของกระทรวงยุติธรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ไตรมาส ๑) ถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งรับทราบหลักเกณฑ์และกรอบงบประมาณแผนงานบูรณาการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมถึงความเชื่อมโยงในการดําเนินงานของกระทรวงยุติธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับโครงการสําคัญภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง และการประสานงานร่วมกับหน่วยงานอื่นในภารกิจด้านความมั่นคงของแต่ละหน่วยงาน ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยที่ประชุมมีมติให้ติดตามความก้าวหน้าของการดําเนินงานการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกระทรวงยุติธรรม ในไตรมาสที่ ๒ เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปตามแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นการอํานวยความยุติธรรมแก่ประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ไตรมาส ๒)
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562
“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ไตรมาส ๒)
กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ไตรมาส ๒)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้อง BB ๒๐๖ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พันตํารวจโทพงษ์ธร ธัญญสิริ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ไตรมาส ๒) เพื่อทราบความก้าวหน้าการดําเนินงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา จังหวัดชายแดนใต้ของกระทรวงยุติธรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ (ไตรมาส ๑) ถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งรับทราบหลักเกณฑ์และกรอบงบประมาณแผนงานบูรณาการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมถึงความเชื่อมโยงในการดําเนินงานของกระทรวงยุติธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับโครงการสําคัญภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง และการประสานงานร่วมกับหน่วยงานอื่นในภารกิจด้านความมั่นคงของแต่ละหน่วยงาน ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยที่ประชุมมีมติให้ติดตามความก้าวหน้าของการดําเนินงานการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกระทรวงยุติธรรม ในไตรมาสที่ ๒ เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปตามแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นการอํานวยความยุติธรรมแก่ประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้ต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19056
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ดศ. (กรณีฝุ่น PM 2.5) ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยา และ บมจ. กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563
นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ดศ. (กรณีฝุ่น PM 2.5) ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยา และ บมจ. กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน)
นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ดศ. (กรณีฝุ่น PM 2.5) ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยา และ บมจ. กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน)
นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานการประชุมหารือตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ (กรณีฝุ่น PM 2.5) ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยา และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ เป็นการแจ้งวาระเพื่อทราบและพิจารณาการดําเนินการงบประมาณในการพัฒนาระบบเทคโนโลยี (ปัญหาฝุ่น PM 2.5) รวมถึงการหารือร่วมกันในการจัดทําโครงการฯ ระหว่างกรมอุตุนิยมวิทยา และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ในการจัดทําโครงการและจัดทําแอพพลิเคชั่น สําหรับแจ้งปริมาณฝุ่นในแต่ละพื้นที่ให้ประชาชนได้รับทราบ ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2563
****************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ดศ. (กรณีฝุ่น PM 2.5) ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยา และ บมจ. กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563
นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ดศ. (กรณีฝุ่น PM 2.5) ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยา และ บมจ. กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน)
นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ดศ. (กรณีฝุ่น PM 2.5) ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยา และ บมจ. กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน)
นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานการประชุมหารือตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ (กรณีฝุ่น PM 2.5) ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยา และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ เป็นการแจ้งวาระเพื่อทราบและพิจารณาการดําเนินการงบประมาณในการพัฒนาระบบเทคโนโลยี (ปัญหาฝุ่น PM 2.5) รวมถึงการหารือร่วมกันในการจัดทําโครงการฯ ระหว่างกรมอุตุนิยมวิทยา และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ในการจัดทําโครงการและจัดทําแอพพลิเคชั่น สําหรับแจ้งปริมาณฝุ่นในแต่ละพื้นที่ให้ประชาชนได้รับทราบ ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2563
****************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25838
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งกรรมการใน ก.พ.อ.
|
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งกรรมการใน ก.พ.อ.
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันศุกร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๐ ได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน ๘ ราย
ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน ๑๐ ราย ตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖ นั้น
เนื่องจากกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าว ได้ดํารงตําแหน่งมาครบกําหนดตามวาระแล้ว และในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้คัดเลือกบุคคลเพื่อให้ประธานกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาคัดเลือกผู้สมควรดํารงตําแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและได้เห็นชอบให้เสนอขอพระราชทานโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งผู้สมควรดํารงตําแหน่งใหม่ จํานวน ๘ ราย ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์พิเศษทศพร ศิริสัมพันธ์
๒. ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ
๓. ศาสตราจารย์ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์
๔. ศาสตราจารย์บรรเจิด สิงคะเนติ
๕. ศาสตราจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
๖. ศาสตราจารย์วรเดช จันทรศร
๗. ศาสตราจารย์พิเศษวรภัทร โตธนะเกษม
๘. ศาสตราจารย์วิชัย ริ้วตระกูล
และได้นําความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งต่อไปแล้ว
บัดนี้ ได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ ตามที่เสนอทุกราย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง
รองนายกรัฐมนตรี
รายละเอียดเพิ่มเติม:ราชกิจานุเบกษา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งกรรมการใน ก.พ.อ.
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งกรรมการใน ก.พ.อ.
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันศุกร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๐ ได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน ๘ ราย
ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน ๑๐ ราย ตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖ นั้น
เนื่องจากกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าว ได้ดํารงตําแหน่งมาครบกําหนดตามวาระแล้ว และในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้คัดเลือกบุคคลเพื่อให้ประธานกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาคัดเลือกผู้สมควรดํารงตําแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและได้เห็นชอบให้เสนอขอพระราชทานโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งผู้สมควรดํารงตําแหน่งใหม่ จํานวน ๘ ราย ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์พิเศษทศพร ศิริสัมพันธ์
๒. ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ
๓. ศาสตราจารย์ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์
๔. ศาสตราจารย์บรรเจิด สิงคะเนติ
๕. ศาสตราจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
๖. ศาสตราจารย์วรเดช จันทรศร
๗. ศาสตราจารย์พิเศษวรภัทร โตธนะเกษม
๘. ศาสตราจารย์วิชัย ริ้วตระกูล
และได้นําความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งต่อไปแล้ว
บัดนี้ ได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ ตามที่เสนอทุกราย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง
รองนายกรัฐมนตรี
รายละเอียดเพิ่มเติม:ราชกิจานุเบกษา
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2983
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม 2562
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมสนับสนุนแผนพัฒนานักกีฬา ประจําปี 62 พัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศทั้งในระดับชาติ/นานาชาติ กีฬาโอลิมปิกเกมส์ และพาราลิมปิกเกมส์
วันนี้ (3 มกราคม 2562) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมพิจารณาและมีมติเห็นชอบ การสนับสนุนตามแผนพัฒนานักกีฬา ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 (งวดที่ 2) วงเงิน 833,883,342 บาท ประกอบด้วยแผนงานดังนี้ 1. การสนับสนุนระบบการพัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศทั้งในระดับชาติ/นานาชาติ โครงการเตรียมนักกีฬาโอลิมปิกเกมส์ และพาราลิมปิกเกมส์ และโครงการพัฒนานักกีฬาของสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย 2. การพัฒนาบุคลากรกีฬาสู่ความเป็นเลิศ โครงการพัฒนาบุคลากรของสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาแห่งจังหวัด และบุคลากรโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย 3. การกํากับดูแลกีฬามวยให้ปฏิบัติตามกฎหมาย 4. ส่งเสริม/สนับสนุนกิจกรรม และเครื่องมือด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา 5. การส่งเสริมการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระดับนานาชาติ และระดับชาติ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมพิจารณาและมีมติเห็นชอบ การสนับสนุนเงินรางวัลตามหลักเกณฑ์กองทุน จากสมาคมต่าง ๆ ที่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันรายการระดับนานาชาติ และประสบความสําเร็จซึ่งมีจํานวน 22 รายการ จาก 19 สมาคม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 20,667,000 บาท ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์และระเบียบที่คณะกรรมการกําหนดไว้ และมีมติเห็นชอบ การให้ความช่วยเหลือสมทบค่ารักษาพยาบาลเป็นกรณีพิเศษให้แก่ นายศุภชัย ทองคํา นักกีฬาเยาวชนทีมชาติไทย ที่ประสบอุบัติเหตุจากการแข่งขัน โดยมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่ออํานวยความสะดวก และอนุมัติเงินช่วยเหลือสมทบการรักษาพยาบาลเป็นกรณีพิเศษ 135,000 บาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมพิจารณาและมีมติเห็นชอบ การดําเนินงานเกี่ยวกับตัวชี้วัดไตรมาส 1 และการบริหารกองทุน รับทราบการจัดทําบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดําเนินงานทุนหมุนเวียน ประจําปีบัญชี 2562โดยมีมาตรการติดตามการดําเนินงานตามตัวชี้วัดในไตรมาสที่ 1 มีเรื่องสําคัญ 5 เรื่องที่ต้องรายงานให้ทราบ เรื่องเกี่ยวกับด้านการเงิน ด้านที่ไม่ใช่การเงิน ด้านการบริหารความเสี่ยง ระบบการบริหารจัดการสารสนเทศ และด้านระบบบริหารทรัพยากรบุคคล
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ มีมาตรการการบริหารงานกองทุนตามยุทธศาสตร์ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การส่งเสริมและพัฒนากีฬาเป็นเลิศ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การส่งเสริมและพัฒนากีฬาเพื่อการอาชีพและกีฬามวย ยุทธศาสตร์ที่ 3 การใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การเป็นศูนย์กลางการแข่งขันและฝึกซ้อมที่มีมาตรฐานและสามารถสร้างมูลค่า และ ยุทธศาสตร์ที่ 5 การดูแลด้านสวัสดิการเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิต
ตอนท้ายรองนายกรัฐมนตรีได้กําชับการดําเนินงานของคณะกรรมการฯ ให้บริหารจัดการด้วยความโปร่งใส ในส่วนข้อคิดเห็นพิจารณา ได้มอบให้ฝ่ายเลขานุการดําเนินการตามมติ โดยให้นําข้อคิดเห็นและข้อมูลต่าง ๆ ไปพัฒนาทักษะการกีฬาให้มีประสิทธิภาพและให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
...................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562
วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม 2562
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมสนับสนุนแผนพัฒนานักกีฬา ประจําปี 62 พัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศทั้งในระดับชาติ/นานาชาติ กีฬาโอลิมปิกเกมส์ และพาราลิมปิกเกมส์
วันนี้ (3 มกราคม 2562) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมพิจารณาและมีมติเห็นชอบ การสนับสนุนตามแผนพัฒนานักกีฬา ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 (งวดที่ 2) วงเงิน 833,883,342 บาท ประกอบด้วยแผนงานดังนี้ 1. การสนับสนุนระบบการพัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศทั้งในระดับชาติ/นานาชาติ โครงการเตรียมนักกีฬาโอลิมปิกเกมส์ และพาราลิมปิกเกมส์ และโครงการพัฒนานักกีฬาของสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย 2. การพัฒนาบุคลากรกีฬาสู่ความเป็นเลิศ โครงการพัฒนาบุคลากรของสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาแห่งจังหวัด และบุคลากรโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย 3. การกํากับดูแลกีฬามวยให้ปฏิบัติตามกฎหมาย 4. ส่งเสริม/สนับสนุนกิจกรรม และเครื่องมือด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา 5. การส่งเสริมการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระดับนานาชาติ และระดับชาติ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมพิจารณาและมีมติเห็นชอบ การสนับสนุนเงินรางวัลตามหลักเกณฑ์กองทุน จากสมาคมต่าง ๆ ที่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันรายการระดับนานาชาติ และประสบความสําเร็จซึ่งมีจํานวน 22 รายการ จาก 19 สมาคม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 20,667,000 บาท ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์และระเบียบที่คณะกรรมการกําหนดไว้ และมีมติเห็นชอบ การให้ความช่วยเหลือสมทบค่ารักษาพยาบาลเป็นกรณีพิเศษให้แก่ นายศุภชัย ทองคํา นักกีฬาเยาวชนทีมชาติไทย ที่ประสบอุบัติเหตุจากการแข่งขัน โดยมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่ออํานวยความสะดวก และอนุมัติเงินช่วยเหลือสมทบการรักษาพยาบาลเป็นกรณีพิเศษ 135,000 บาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมพิจารณาและมีมติเห็นชอบ การดําเนินงานเกี่ยวกับตัวชี้วัดไตรมาส 1 และการบริหารกองทุน รับทราบการจัดทําบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดําเนินงานทุนหมุนเวียน ประจําปีบัญชี 2562โดยมีมาตรการติดตามการดําเนินงานตามตัวชี้วัดในไตรมาสที่ 1 มีเรื่องสําคัญ 5 เรื่องที่ต้องรายงานให้ทราบ เรื่องเกี่ยวกับด้านการเงิน ด้านที่ไม่ใช่การเงิน ด้านการบริหารความเสี่ยง ระบบการบริหารจัดการสารสนเทศ และด้านระบบบริหารทรัพยากรบุคคล
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ มีมาตรการการบริหารงานกองทุนตามยุทธศาสตร์ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การส่งเสริมและพัฒนากีฬาเป็นเลิศ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การส่งเสริมและพัฒนากีฬาเพื่อการอาชีพและกีฬามวย ยุทธศาสตร์ที่ 3 การใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การเป็นศูนย์กลางการแข่งขันและฝึกซ้อมที่มีมาตรฐานและสามารถสร้างมูลค่า และ ยุทธศาสตร์ที่ 5 การดูแลด้านสวัสดิการเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิต
ตอนท้ายรองนายกรัฐมนตรีได้กําชับการดําเนินงานของคณะกรรมการฯ ให้บริหารจัดการด้วยความโปร่งใส ในส่วนข้อคิดเห็นพิจารณา ได้มอบให้ฝ่ายเลขานุการดําเนินการตามมติ โดยให้นําข้อคิดเห็นและข้อมูลต่าง ๆ ไปพัฒนาทักษะการกีฬาให้มีประสิทธิภาพและให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
...................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17892
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.