title
stringlengths 8
870
| text
stringlengths 0
298k
| __index_level_0__
int64 0
54.3k
|
---|---|---|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 186) เรื่อง กำหนดแบบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 186)
เรื่อง กําหนดแบบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย
------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกําหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2521 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดแบบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย เพื่อให้ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ใช้ออกให้แก่ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ที่ผู้จ่ายมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย สําหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมิน ตามข้อ 17/1 ของข้อ 2 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 144 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยภาษีเงินได้ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 273 (พ.ศ. 2553) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ ต้องออกให้แก่ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย จํานวนสามฉบับมีข้อความตรงกันนั้น อย่างน้อยต้องมีข้อความตามแบบท้ายประกาศนี้
หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามวรรคหนึ่ง ต้องมีข้อความแต่ละฉบับ ดังนี้
(1) ฉบับที่ 1 หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย / สําเนาใบเสร็จรับเงิน มีข้อความว่า “สําหรับผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย (ผู้ขาย) ใช้แสดงพร้อมแบบแสดงรายการนําเข้า ส่งออกอัญมณีที่ยังมิได้เจียระไนต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร เพื่อผ่านพิธีการศุลกากรขาออก ขณะเดินทางออกนอกประเทศไทย”
(2) ฉบับที่ 2 สําเนาหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย / สําเนาใบเสร็จรับเงิน มีข้อความว่า “สําหรับผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย (ผู้ขาย) เก็บไว้เป็นหลักฐาน”
(3) ฉบับที่ 3 สําเนาหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย / ใบเสร็จรับเงิน มีข้อความว่า “สําหรับผู้หักภาษี ณ ที่จ่าย (ผู้ซื้อ) เก็บไว้เป็นหลักฐาน”
ผู้มีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ต้องจัดทําสําเนาคู่ฉบับไว้ เพื่อใช้เป็นหลักฐานสําหรับออกใบแทนในกรณีที่หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ที่ออกให้แก่ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว แต่ชํารุด สูญหาย โดยการออกใบแทนให้ใช้วิธีถ่ายเอกสารหรือพิมพ์เอกสารจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ในกรณีจัดทําหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และมีข้อความว่า “ใบแทน”
หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย จะต้องมีหมายเลขลําดับของหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และหมายเลขลําดับของเล่ม เว้นแต่ในกรณีที่ไม่ได้จัดทําหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นเล่มจะไม่มีหมายเลขลําดับของเล่มก็ได้
การลงชื่อของผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย จะใช้วิธีประทับลายมือชื่อผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายด้วยตรายาง หรือจะพิมพ์ลายมือชื่อผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้มีการเก็บลายมือชื่อไว้ (SCAN) ก็ได้
ข้อ ๒ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามข้อ 1 ต้องทําเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ แต่ถ้าทําเป็นภาษาต่างประเทศอื่นต้องมีคําแปลภาษาไทยกํากับ ส่วนตัวเลขให้ใช้เลขไทยหรืออารบิค
ข้อ ๓ ผู้ใดประสงค์จะทําหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นอย่างอื่นนอกจากที่กล่าวในข้อ 1 และข้อ 2 ต้องยื่นคําขออนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรก่อน และเมื่อได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรแล้ว ให้ปฏิบัติตามนั้นได้
ข้อ ๔ การออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 ให้ถือเป็นการออกใบรับตามมาตรา 105 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,214 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 185) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้พึงประเมินจากการขายพลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่ เพชร ไข่มุก และสิ่งทำเทียมเพชร หรือไข่มุก หรือที่ทำขึ้นใหม่
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 185)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้พึงประเมินจากการขายพลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก และอัญมณีที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทําเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทําขึ้นใหม่ เพชร ไข่มุก และสิ่งทําเทียมเพชร หรือไข่มุก หรือที่ทําขึ้นใหม่
-----------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 494 ) พ.ศ. 2553 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้จากการขายพลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก และอัญมณีที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทําเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทําขึ้นใหม่ เพชร ไข่มุก และสิ่งทําเทียมเพชร หรือไข่มุก หรือที่ทําขึ้นใหม่ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ เงินได้พึงประเมินจากการขายพลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก และอัญมณีที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทําเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทําขึ้นใหม่ เพชร ไข่มุก และสิ่งทําเทียมเพชร หรือไข่มุก หรือที่ทําขึ้นใหม่ ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ต้องเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
(2) ต้องเป็นเงินได้พึงประเมินจากการขายพลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก และอัญมณีที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทําเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทําขึ้นใหม่ เพชร ไข่มุก และสิ่งทําเทียมเพชร หรือไข่มุก หรือที่ทําขึ้นใหม่
(3) ต้องเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ไว้แล้วในอัตราร้อยละ 1.0 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับ
(4) ผู้มีเงินได้ต้องไม่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 311) พ.ศ. 2540การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ผู้ได้รับยกเว้นภาษีต้องแสดงหลักฐานหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และใบเสร็จรับเงินต่อเจ้าพนักงานประเมิน เพื่อแสดงว่า ได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายและนําส่งไว้แล้ว
ข้อ ๒ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ผู้ได้รับยกเว้นภาษีต้องแสดงหลักฐานหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และใบเสร็จรับเงินต่อเจ้าพนักงานประเมิน เพื่อแสดงว่า ได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายและนําส่งไว้แล้ว
ข้อ ๓ กรณีผู้มีเงินได้ ปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดไว้ตามข้อ 1 หรือข้อ 2 ผู้มีเงินได้ไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้พึงประเมินจากการขายพลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก และอัญมณีที่มีลักษณะทํานองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทําเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทําขึ้นใหม่ เพชร ไข่มุก และสิ่งทําเทียมเพชร หรือไข่มุก หรือที่ทําขึ้นใหม่และผู้มีเงินได้ต้องนําเงินได้พึงประเมินจากการขายอัญมณีดังกล่าว ไปรวมเป็นเงินได้ในการคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษีที่ได้รับเงินได้พึงประเมินนั้น และต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร ในกรณีมิได้ยื่นรายการและเสียภาษีภายในเวลาที่กฎหมายกําหนด
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ที่ลงในประกาศนี้เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,215 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 379) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้สูงอายุที่มีอายุหกสิบปีขึ้นไป
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 379)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้สูงอายุที่มีอายุหกสิบปีขึ้นไป
------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 639) พ.ศ. 2560 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าจ้างผู้สูงอายุที่มีอายุหกสิบปีขึ้นไปเข้าทํางาน ดังต่อไปนี้
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของ (3) ของข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 290) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้สูงอายุที่มีอายุหกสิบปีขึ้นไป ลงวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2560
“การแจ้งข้อมูลของผู้สูงอายุตามวรรคหนึ่ง สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่มีวันสุดท้ายแห่งกําหนดเวลาในการแจ้งข้อมูลของผู้สูงอายุในหรือหลังวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563 แต่ไม่เกินวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563 ให้แจ้งข้อมูลของผู้สูงอายุภายในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563”
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,216 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 183) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้ของกิจการที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 183)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้ของกิจการที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
---------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 492) พ.ศ. 2553 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้ของกิจการที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“รายได้จากการประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ” หมายความว่า รายได้ของกิจการซึ่งได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 492) พ.ศ. 2553
“รายได้จากกิจการอื่น” หมายความว่า รายได้ของกิจการซึ่งไม่ใช่รายได้ที่ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 492) พ.ศ. 2553
ข้อ ๒ การคํานวณกําไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในมาตรา 65 มาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการทั้งที่มีรายได้จากการประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ และรายได้จากกิจการอื่น ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวคํานวณกําไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของแต่ละกิจการแยกต่างหากจากกัน หากรายจ่ายใดไม่สามารถแยกกันได้โดยชัดแจ้งว่าส่วนใดเป็นรายจ่ายของกิจการใด ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเฉลี่ยรายจ่ายดังกล่าวตามส่วนของรายได้ระหว่างรายได้จากการประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ และรายได้จากกิจการอื่น
ข้อ ๓ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการผลิตสินค้า การขายสินค้าหรือการให้บริการที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล พร้อมทั้งบัญชีงบดุลและบัญชีกําไรขาดทุนภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีตามแบบที่อธิบดีกําหนดพร้อมกับชําระภาษีตามมาตรา 68 และมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร และยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีตามแบบที่อธิบดีกําหนดพร้อมกับชําระภาษีตามมาตรา 67 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจทั้งที่มีรายได้จากการประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ และรายได้จากกิจการอื่น ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและให้ใช้เลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรเดียวกัน โดยให้แยกกระดาษทําการซึ่งแสดงรายละเอียดการคํานวณกําไรขาดทุนของแต่ละกิจการออกจากกัน
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,217 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 378) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 378)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร
---------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 695) พ.ศ. 2563 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักรแต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 695) พ.ศ. 2563 ต้องเป็นเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร และต้องเป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นจากสัญญา ใบสั่งซื้อ ใบสั่งจ้าง หรือข้อตกลงในลักษณะทํานองเดียวกันทั้งสิ้น แล้วแต่กรณี ที่ได้กระทําตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563
ข้อ ๒ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ลงทุนในเครื่องจักรตามหลักเกณฑ์ข้อ 1 ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นจํานวนร้อยละหนึ่งร้อยห้าสิบของรายจ่ายตามจํานวนที่ได้จ่ายไปจริงตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563 โดยให้ยกเว้นตามส่วนเฉลี่ยเป็นจํานวนเท่ากันของจํานวนเงินได้ที่ได้รับยกเว้นสําหรับระยะเวลาห้ารอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน
ข้อ ๓ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามข้อ 2 เริ่มใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มต้นหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๔ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามข้อ 2 และข้อ 3 ดําเนินการ ดังนี้
(1) จัดทําโครงการลงทุนและแผนการลงทุนตามแบบแจ้งโครงการลงทุนและแผนการจ่ายเงินตามที่แนบท้ายประกาศนี้ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร http://www.rd.go.th ภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563
(2) จัดทํารายงานแสดงรายละเอียดของเครื่องจักรที่ใช้สิทธิยกเว้นนั้น โดยต้องมีรายการและข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ และเก็บรักษารายงานดังกล่าว รวมทั้งเอกสารประกอบการลงรายการในรายงานไว้ ณ สถานประกอบการ พร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
เครื่องจักรตามวรรคหนึ่งจะต้องมีอยู่ในทะเบียนทรัพย์สินของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือเอกสารอื่นใดในทํานองเดียวกันที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดทําขึ้น
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,218 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 181) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 181)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์
--------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 42 (8) (ค) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2534 และตามความในข้อ 2 (38) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 200 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ 5 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 55) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2538 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“กรณีผู้มีเงินได้ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากตามข้อ 2 จากทุกธนาคารรวมกัน มีจํานวนทั้งสิ้นเกิน 20,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้น ให้แจ้งแก่ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยดังกล่าว เพื่อหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนําส่งตามมาตรา 50 (2) และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยแต่ละแห่งได้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากดังกล่าวมีจํานวนรวมกันทั้งสิ้นเกิน 20,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้นให้ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากนั้นหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนําส่งตามมาตรา 50 (2) และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร ”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,219 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 377) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในระบบการจัดทำเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการนำส่งภาษี เครื่องบันทึกการเก็บเงิน ค่าบริการใช้พื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ค่าบริการใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ และค่าบริการที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ให้บริการนำส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 377) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สําหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในระบบการจัดทําเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการนําส่งภาษี เครื่องบันทึกการเก็บเงิน ค่าบริการใช้พื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ค่าบริการใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ และค่าบริการที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ให้บริการนําส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
---------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามมาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 7 และมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 683) พ.ศ. 2562 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สําหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในระบบการจัดทําเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการนําส่งภาษี เครื่องบันทึกการเก็บเงิน ค่าบริการใช้พื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ค่าบริการใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ และค่าบริการที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ให้บริการนําส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ดังต่อไปนี้
ให้ยกเลิกความในข้อ 4 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 359) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สําหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในระบบการจัดทําเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการนําส่งภาษี เครื่องบันทึกการเก็บเงิน ค่าบริการใช้พื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ค่าบริการใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ และค่าบริการที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ให้บริการนําส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2562 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 4 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 683) พ.ศ. 2562 มีหน้าที่ต้องแจ้งรายละเอียดการลงทุนและการจ่ายเงินตามที่แนบท้ายประกาศ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร (www.rd.go.th) ก่อนยื่นแบบแสดงรายการภาษีสําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่ใช้สิทธิ แต่ไม่เกินวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563”
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,220 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 180) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 180)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน
-------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 487) พ.ศ. 2552 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา บริษัทจํากัด บริษัทมหาชนจํากัดหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต้องซื้อทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงานที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานกําหนด ซึ่งกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานได้รับรองว่า เป็นวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน โดยเป็นค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปจริงตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553 และต้องมีใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานในการซื้อทรัพย์สินดังกล่าวผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง ต้องจัดทํารายงานแสดงรายละเอียดการซื้อวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน โดยต้องมีรายการและข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ และเก็บรักษารายงานดังกล่าวรวมทั้งเอกสารประกอบกับการลงรายการในรายงานไว้ ณ สถานประกอบการ พร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
ข้อ ๒ ในกรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ต้องเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5) (6) (7) หรือ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 48(1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคํานวณหักค่าใช้จ่ายตามความจําเป็นและสมควรการได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากร แล้ว
ข้อ ๓ ในกรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา บริษัทจํากัด บริษัทมหาชนจํากัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ไปแล้ว แต่ปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 487) พ.ศ. 2552 และตามข้อ 1 และข้อ 2 ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ดังกล่าว ไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้และต้องนําเงินได้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ไปแล้วไปรวมเป็นเงินได้ในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไปรวมเป็นรายได้ในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และกรณีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นั้น ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้เพิ่มเติมของปีภาษีหรือรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นั้น ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,221 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 376) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 376)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563
-----------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในวรรคสามของ (102) ของข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 363 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ผู้มีเงินได้ต้องซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิซึ่งมีจํานวนรวมกันไม่เกิน 200,000 บาท สําหรับปีภาษีนั้น และได้ซื้อหน่วยลงทุนนั้นในระหว่างวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563
(2) ผู้มีเงินได้ต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตาม (1) ต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 10 ปีนับตั้งแต่วันซื้อหน่วยลงทุน เว้นแต่กรณีที่ผู้มีเงินได้ไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมนั้น เพราะเหตุทุพพลภาพหรือตาย
กรณีทุพพลภาพ ต้องเป็นกรณีที่แพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจและแสดงความเห็นว่าผู้ถือหน่วยลงทุนทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพซึ่งก่อให้เกิดเงินได้ที่จะนํามาซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมได้อีกต่อไป
ข้อ ๒ กรณีผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเกินกว่าหนึ่งกองทุน เงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมในแต่ละกองทุนที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องมีจํานวนรวมกันไม่เกิน 200,000 บาท และต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามข้อ 1
ข้อ ๓ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนตามข้อ 1 และข้อ 2 ให้ยกเว้นเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท สําหรับปีภาษีนั้น โดยผู้มีเงินได้ดังกล่าวต้องเป็นบุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลและกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
ข้อ ๔ กรณีผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม และได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 3 แล้ว ต่อมาได้ปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของข้อ 1 หรือข้อ 2 ผู้มีเงินได้หมดสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 3 แต่ไม่รวมถึงกรณีที่ผู้มีเงินได้ไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม เพราะเหตุทุพพลภาพหรือตาย ผู้มีเงินได้ต้องเสียภาษีเงินได้สําหรับปีภาษีที่ได้นําเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนไปหักออกจากเงินได้เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้มาแล้วที่อยู่ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 5 ปีนับตั้งแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของปีภาษีนั้น ๆ จนถึงวันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมเพื่อเสียภาษีเงินได้เพิ่มเติมของปีภาษีดังกล่าว พร้อมเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร
ในกรณีที่มีการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการออมซึ่งไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 1 หรือข้อ 2 การคํานวณต้นทุนผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหน่วยลงทุน (capital gain) เพื่อเสียภาษีในกรณีดังกล่าวให้คํานวณโดยวิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO)
ข้อ ๕ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหนังสือรับรองการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมที่แสดงได้ว่ามีการจ่ายเงินเข้ากองทุนรวมเพื่อการออมดังกล่าว
ข้อ ๖ กรณีผู้มีเงินได้ได้โอนการลงทุนในหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตามข้อ 1 ทั้งหมดหรือบางส่วนไปยังกองทุนรวมเพื่อการออมอีกกองทุนหนึ่ง ไม่ว่าจะโอนไปยังกองทุนรวมเพื่อการออมกองทุนเดียวหรือหลายกองทุน ผู้มีเงินได้จะต้องโอนการลงทุนไปยังกองทุนรวมเพื่อการออมที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และจะต้องโอนการลงทุนภายใน 5 วันทําการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่กองทุนรวมเพื่อการออมที่โอนได้รับคําสั่งโอนจากผู้มีเงินได้ จึงจะถือว่าระยะเวลาในการถือหน่วยลงทุนในกรณีดังกล่าวมีระยะเวลาต่อเนื่องกัน
การโอนการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตามวรรคหนึ่ง กองทุนรวมเพื่อการออมที่ได้รับคําสั่งโอนจากผู้มีเงินได้ จะต้องจัดทําหนังสือรับรองการโอนหน่วยลงทุนส่งมอบให้แก่กองทุนรวมเพื่อการออมที่รับโอนเก็บไว้เป็นหลักฐานพร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
ข้อ ๗ หนังสือรับรองการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตามข้อ 5 และหนังสือรับรองการโอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตามข้อ 6 ต้องจัดทําเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ แต่ถ้าทําเป็นภาษาต่างประเทศอื่นต้องมีคําแปลภาษาไทยกํากับด้วย ส่วนตัวเลขให้ใช้เลขไทยหรือเลขอารบิคโดยมีข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้
การลงลายมือชื่อของผู้มีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมและหนังสือรับรองการโอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตามวรรคหนึ่ง จะใช้วิธีประทับลายมือชื่อผู้มีหน้าที่ออกหนังสือรับรองดังกล่าวด้วยตรายาง หรือจะพิมพ์ลายมือชื่อผู้มีหน้าที่ออกหนังสือรับรองโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้มีการเก็บลายมือชื่อไว้ (SCAN) ก็ได้
ข้อ ๘ ผู้มีเงินได้ที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ จะนําเงินได้ที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นไปใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 2 (102) วรรคหนึ่ง แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากรอีกไม่ได้
ข้อ ๙ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๑๐ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,222 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 179) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเป็นค่าห้องสัมมนาและค่าห้องพักในการอบรมสัมมนาของลูกจ้างภายในประเทศ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 179)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเป็นค่าห้องสัมมนาและค่าห้องพักในการอบรมสัมมนาของลูกจ้างภายในประเทศ
----------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 482) พ.ศ. 2552 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเป็นค่าห้องสัมมนาและค่าห้องพักในการอบรมสัมมนาของลูกจ้างภายในประเทศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จัดให้มีการอบรมสัมมนาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความสามารถลูกจ้างของตน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ต้องจัดทําโครงการการอบรมสัมมนาโดยมีหลักฐานเอกสารประกอบโครงการ เพื่อประโยชน์ในการแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมิน
ข้อ ๒ ค่าใช้จ่ายในการจัดอบรมสัมมนาตามข้อ 1 หมายถึงเฉพาะค่าใช้จ่ายที่จ่ายเป็นค่าห้องสัมมนา หรือค่าห้องสัมมนาและห้องพัก เฉพาะการอบรมสัมมนาและห้องพักภายในประเทศ ทั้งนี้ ห้องสัมมนาและห้องพักอาจไม่อยู่ในสถานประกอบการเดียวกันก็ได้ แต่จะต้องเกี่ยวเนื่องกับการอบรมสัมมนาในคราวเดียวกันนั้น
ค่าห้องสัมมนาตามวรรคหนึ่งหมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายที่ผู้ให้บริการห้องสัมมนาเรียกเก็บเป็นค่าอาหารและเครื่องดื่มจากการใช้ห้องสัมมนาตามปกติทางการค้า
ข้อ ๓ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ต้องจัดให้มีการอบรมสัมมนาให้เสร็จสิ้นภายในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 และต้องมิใช่การฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 437) พ.ศ. 2548
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,223 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 178) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 178) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย
--------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในวรรคสาม แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 271 (พ.ศ. 2552) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ต้องเป็นการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย และต้องมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นให้แล้วเสร็จในระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552
อสังหาริมทรัพย์ตามวรรคหนึ่งต้องไม่เคยผ่านการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือห้องชุดมาก่อน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
(2) การโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อตาม (1) ให้ได้รับยกเว้นภาษีเท่ากับจํานวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน 300,000 บาท โดยต้องจ่ายไปในระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552
(3) กรณีผู้มีเงินได้มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อหลายแห่ง ให้ได้รับยกเว้นภาษีได้ทุกแห่งรวมกันตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน 300,000 บาท
(4) กรณีผู้มีเงินได้หลายคนร่วมกันซื้อ ให้ได้รับยกเว้นภาษีได้ทุกคน โดยเฉลี่ยการได้รับยกเว้นภาษีตามส่วนของกรรมสิทธิ์ของแต่ละคน แต่รวมกันทั้งหมดแล้วต้องไม่เกินจํานวนที่จ่ายจริงและไม่เกิน 300,000 บาท
(5) กรณีสามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้เต็มจํานวนตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 300,000 บาท
(6) กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ และความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษี ให้ได้รับยกเว้นภาษีดังนี้
(ก) ถ้าภริยาไม่ใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ได้รับยกเว้นภาษีรวมกันตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน 300,000 บาท
(ข) ถ้าภริยาใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีได้กึ่งหนึ่งของจํานวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน 300,000 บาท
(7) กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ และความเป็นสามีภริยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษี ซึ่งต้องยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากกัน ให้ได้รับยกเว้นภาษีดังนี้
(ก) กรณีผู้มีเงินได้ซึ่งมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีอยู่ก่อนแล้ว ต่อมาได้สมรสกัน ซึ่งความเป็นสามีภริยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างยังคงได้รับยกเว้นภาษีตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 300,000 บาท
(ข) กรณีผู้มีเงินได้สมรสกัน ต่อมามีสิทธิได้รับยกเว้นภาษี ให้สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีได้กึ่งหนึ่งของจํานวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน 300,000 บาท
ข้อ ๒ การได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหนังสือรับรองจากผู้ขายที่พิสูจน์ได้ว่า มีการจ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยหนังสือรับรองดังกล่าวต้องมีข้อความอย่างน้อยตามที่แนบท้ายประกาศนี้
ข้อ ๓ ผู้มีเงินได้ต้องมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสามปี นับแต่วันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว แต่ไม่รวมถึงกรณีผู้มีเงินได้ถึงแก่ความตาย
ข้อ ๔ กรณีผู้มีเงินได้ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีตามข้อ 1 และข้อ 2 แล้ว และต่อมาได้ปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในข้อ 3 ผู้มีเงินได้ไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษี ผู้มีเงินได้ต้องนําเงินได้ที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีไปแล้ว ไปรวมเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และกรณีที่ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมของปีภาษี
ข้อ ๕ การได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,224 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 177) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 177)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์
--------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 42 (8) (ค) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2534 และตามความในข้อ 2(38) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 200 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 55)เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2538 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 2 ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร เฉพาะที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ที่ไม่ใช้เช็คในการถอนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมผ่านระบบการหักหรือโอนเงินจากบัญชีดังกล่าวไปยังบัญชีเงินฝากกระแสรายวันหรือบัญชีเงินฝากอื่นใด และมีจํานวนดอกเบี้ยรวมกันทั้งสิ้นไม่เกิน 20,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้น”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ที่ลงในประกาศนี้เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,225 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 176) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการบริจาคเงินภาษีให้แก่พรรคการเมือง
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 176)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการบริจาคเงินภาษีให้แก่พรรคการเมือง
----------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 58 และมาตรา 140 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 อธิบดีกรมสรรพากรโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงกําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการบริจาคเงินภาษีให้แก่พรรคการเมืองไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การบริจาคเงินภาษีให้แก่พรรคการเมือง ผู้เสียภาษีที่จะบริจาคได้ต้องเป็นบุคคลธรรมดา มีสัญชาติไทย และเมื่อคํานวณภาษีตามประมวลรัษฎากรตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจําปีแล้วมีเงินภาษีที่ต้องชําระตั้งแต่หนึ่งร้อยบาทขึ้นไป ให้กระทําได้ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการ ดังต่อไปนี้
(1) ต้องแสดงเจตนาไว้ในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจําปี โดยต้องระบุให้ชัดเจนว่าประสงค์จะบริจาคหรือไม่บริจาค และระบุรหัสรายชื่อพรรคการเมืองที่ต้องการบริจาค หากไม่ระบุความประสงค์หรือไม่ระบุรหัสรายชื่อพรรคการเมือง ให้ถือว่าไม่ได้แสดงเจตนาบริจาค
(2) แสดงเจตนาบริจาคได้เพียงหนึ่งพรรคการเมืองและเมื่อได้แสดงเจตนาแล้วจะเปลี่ยนแปลงมิได้ หากแสดงเจตนาเกินกว่าหนึ่งพรรคการเมือง ให้ถือว่าไม่ประสงค์จะบริจาคให้พรรคการเมืองใด
(3) เงินภาษีที่ได้แสดงเจตนาบริจาคให้แก่พรรคการเมืองตามประกาศนี้ ห้ามมิให้นําไปหักเป็นค่าลดหย่อนตามมาตรา 47 แห่งประมวลรัษฎากร
(4) กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างเป็นผู้เสียภาษีและยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจําปีรวมกันและรวมคํานวณภาษี ให้ต่างฝ่ายต่างมีสิทธิระบุความประสงค์ของตนเองในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจําปี
ข้อ ๒ พรรคการเมืองที่ผู้เสียภาษีจะแสดงเจตนาบริจาคเงินภาษีให้ได้ในปีภาษีใดจะต้องเป็นพรรคการเมืองที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนพรรคการเมืองในปีภาษีนั้น
พรรคการเมืองตามวรรคหนึ่งที่สิ้นสภาพ เลิก หรือยุบตามกฎหมายในปีภาษีใดให้ถือเสมือนว่าไม่มีพรรคการเมืองนั้นที่จะได้รับการแสดงเจตนาบริจาคเงินภาษีในปีภาษีนั้น
ข้อ ๓ ให้สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งแจ้งรายชื่อและรหัสของพรรคการเมือง ตามข้อ 2 ต่ออธิบดีกรมสรรพากรเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทราบเพื่อใช้สิทธิตามประกาศนี้
ข้อ ๔ ให้กรมสรรพากรจัดทํารายชื่อพรรคการเมืองที่ได้รับบริจาคเงินภาษีพร้อมจํานวนเงินภาษีที่ได้รับบริจาคทั้งหมดส่งให้นายทะเบียนพรรคการเมือง พร้อมกับโอนเงินดังกล่าวให้กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองเพื่อโอนต่อให้พรรคการเมืองที่ได้รับบริจาคเงินภาษีนั้นต่อไป
ในกรณีที่พรรคการเมืองใดสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบตามกฎหมายก่อนที่กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองจะโอนเงินให้แก่พรรคการเมืองนั้น ให้กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองดําเนินการโอนเงินภาษีที่ได้บริจาคให้พรรคการเมืองนั้นกลับคืนเป็นรายได้แผ่นดิน
ข้อ ๕ ในกรณีมีปัญหาในการปฏิบัติ ให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอํานาจวินิจฉัย และคําวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรให้ถือเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดตามประกาศนี้ด้วย
ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับการแสดงเจตนาตั้งแต่ปีภาษี 2551 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,226 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 175) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 175)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว
--------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2(66) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 267 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว และการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของ (1) ของข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 169) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551
“ในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้มีการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หรือได้ซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 และได้มีการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้เงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามวรรคหนึ่งเท่ากับส่วนที่ไม่เกิน 700,000 บาทแต่ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินสําหรับปีภาษี 2551 ”
ข้อ ๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 169) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551
“ในปีภาษี 2551 การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามวรรคหนึ่งระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หรือได้ซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 และได้มีการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ต้องมีจํานวนรวมกันไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษี 2551 ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 700,000 บาท”
ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของข้อ 5 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 169) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551
“ในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้มีการซื้อหน่วยลงทุนตามวรรคหนึ่งระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หรือได้ซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 และได้มีการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้ยกเว้นเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน ทั้งนี้ จะต้องมีจํานวนไม่เกิน 700,000 บาท สําหรับปีภาษี 2551”
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,227 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 375) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้ของกิจการที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 375)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้ของกิจการที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
---------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 และมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 624) พ.ศ. 2560 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้ของกิจการที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 313) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้ของกิจการที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
“กรณีในปีภาษี พ.ศ. 2563 หรือรอบระยะเวลาบัญชี 2563 ให้แจ้งการใช้สิทธิต่ออธิบดีกรมสรรพากรภายในสองร้อยห้าสิบวันนับแต่วันแรกของปีภาษี พ.ศ. 2563 หรือวันแรกของรอบระยะเวลาบัญชี 2563 แล้วแต่กรณี”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,228 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 374) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 374)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร
----------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 6 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 690) พ.ศ. 2563 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้
ให้ยกเลิกความใน (1) ของข้อ 4 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 366) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(1) จัดทําโครงการลงทุนและแผนการลงทุนตามแบบแจ้งโครงการลงทุนและแผนการจ่ายเงินตามที่แนบท้ายประกาศนี้ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร http://www.rd.go.th ภายในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563”
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,229 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 174) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 174)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
--------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2(65) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 265 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของข้อ 5 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 170) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551
“กรณีการขายหน่วยลงทุนตามวรรคหนึ่งที่ได้ซื้อมาในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้เริ่มซื้อหน่วยลงทุนหรือซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนที่ซื้อมาในปีภาษี 2551 ที่คํานวณมาจากเงินได้พึงประเมินที่ซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 700,000 บาท ในปีภาษี 2551”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,230 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 373) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินได้เป็นจำนวนสองเท่าของรายจ่ายเท่าที่ได้จ่ายไปเพื่อส่งเสริมการดำเนินกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่น
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 373)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสําหรับเงินได้เป็นจํานวนสองเท่าของรายจ่ายเท่าที่ได้จ่ายไปเพื่อส่งเสริมการดําเนินกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่น
------------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 76 ตรี และมาตรา 76 เบญจ (1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 50) พ.ศ. 2562 ประกอบกับมาตรา 3 โสฬส แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อใช้เงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน เพื่อการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีเงินได้สําหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความประสงค์ใช้เงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน เพื่อการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีเงินได้สําหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ใช้เงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานในการจัดทําบัญชีซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชีและมีผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชีตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ให้การรับรองว่าสกุลเงินดังกล่าวเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน
(2) สกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานต้องเป็นสกุลเงินตามประกาศกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 392) เรื่อง กําหนดเงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน เพื่อการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีเงินได้สําหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2563
(3) ให้แจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากรภายในหกเดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ประสงค์จะใช้เงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน
(4) ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th โดยตรง โดยใช้ชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ที่ได้รับจากการลงทะเบียนการเข้าใช้ระบบดังกล่าว หรือผ่านระบบบริการ Tax Single Sign On ทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกระทรวงการคลัง https://etax.mof.go.th โดยใช้ชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ที่ได้รับจากการลงทะเบียนการเข้าใช้ระบบบริการ Tax Single Sign On ของกระทรวงการคลัง
กรณีเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตาม (1) (2) (3) และ (4) ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ใช้เงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานตั้งแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้แจ้ง และให้ใช้เงินตราสกุลดังกล่าวตลอดไป จนกว่าจะได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรจึงจะเปลี่ยนแปลงได้
ข้อ ๒ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้แจ้งความประสงค์ใช้เงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานตามข้อ 1 และต่อมาประสงค์จะเปลี่ยนแปลงสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ต้องจัดทําบัญชีซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามวิชาการบัญชี และมีผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชีตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ให้การรับรองว่าสกุลเงินที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
(2) สกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานต้องเป็นสกุลเงินตามประกาศกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 392) เรื่อง กําหนดเงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน เพื่อการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีเงินได้สําหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2563 เว้นแต่ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงเพื่อใช้เงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน
(3) ให้ยื่นคําขออนุมัติต่ออธิบดีกรมสรรพากรภายในหกเดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ประสงค์จะเปลี่ยนแปลงสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน
(4) ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th โดยตรง โดยใช้ชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ที่ได้รับจากการลงทะเบียนการเข้าใช้ระบบดังกล่าว หรือผ่านระบบบริการ Tax Single Sign On ทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกระทรวงการคลัง https://etax.mof.go.th โดยใช้ชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ที่ได้รับจากการลงทะเบียนการเข้าใช้ระบบบริการ Tax Single Sign On ของกระทรวงการคลัง
(5) ให้เปลี่ยนแปลงสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานได้ต่อเมื่ออธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติโดยให้มีผลตั้งแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ขออนุมัติ
ข้อ ๓ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความประสงค์ใช้เงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานตามข้อ 1 ต้องยื่นแบบแจ้งเพื่อใช้เงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน (ส.ง.1) หรือประสงค์จะเปลี่ยนแปลงสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงานตามข้อ 2 ต้องยื่นแบบขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน (ส.ง.2) ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th โดยตรง โดยใช้ชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ที่ได้รับจากการลงทะเบียนเข้าใช้งานระบบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th หรือผ่านระบบบริการ Tax Single Sign On ทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกระทรวงการคลัง https://etax.mof.go.th โดยใช้ชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ที่ได้รับจากการลงทะเบียนการเข้าใช้ระบบบริการ Tax Single Sign On ของกระทรวงการคลัง ดังนี้
(1) กรอกแบบแจ้งเพื่อใช้เงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน (ส.ง.1) หรือแบบขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน (ส.ง.2) แล้วแต่กรณี ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th โดยตรง หรือผ่านระบบบริการ Tax Single Sign On ทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกระทรวงการคลัง
(2) บันทึกภาพถ่าย (Scan) หนังสือรับรองการจัดทําบัญชีกรณีบริษัทใช้เงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน และจัดส่งภาพถ่าย (Upload) ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th โดยตรง หรือผ่านระบบบริการ Tax Single Sign On ทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกระทรวงการคลัง
ข้อ ๔ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ใช้เงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน มีความประสงค์จะคํานวณค่าหรือราคาของเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สินที่เหลืออยู่ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีเป็นเงินตราสกุลที่ใช้ในการดําเนินงาน โดยใช้อัตราอื่นเฉพาะส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้คํานวณไว้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ยื่นคําขออนุมัติต่ออธิบดีกรมสรรพากรภายในรอบระยะเวลาบัญชีที่ประสงค์จะใช้อัตราอื่นเฉพาะส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้คํานวณไว้
(2) อัตราอื่นเฉพาะส่วนที่ขออนุมัติต้องเป็นอัตราที่มีการอ้างอิงในระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราอย่างเป็นสากล
(3) เมื่ออธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้ใช้อัตราใด ให้ใช้อัตรานั้นตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่ขออนุมัติ และต้องใช้ตลอดไปจนกว่าจะได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงได้
(4) ต้องยื่นคําขออนุมัติผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th โดยตรง โดยใช้ชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ที่ได้รับจากการลงทะเบียนเข้าใช้งานระบบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th หรือผ่านระบบบริการ Tax Single Sign On ทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกระทรวงการคลัง https://etax.mof.go.th โดยใช้ชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ที่ได้รับจากการลงทะเบียนการเข้าใช้ระบบบริการ Tax Single Sign On ของกระทรวงการคลัง
กรณีไม่ได้ยื่นคําขออนุมัติหรือไม่ได้รับอนุมัติตามวรรคหนึ่ง ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นคํานวณค่าหรือราคาจากเงินตราสกุลอื่นมาเป็นเงินตราไทยก่อน และคํานวณค่าหรือราคาเงินตราไทยนั้น เป็นค่าหรือราคาเงินตราสกุลที่ใช้ในการดําเนินงาน
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,231 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 173) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพและการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 173)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพและการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2(55) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 267 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพและการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของข้อ 7 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 171) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพและการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551
“ในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้มีการซื้อหน่วยลงทุนตามวรรคหนึ่งระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ ทั้งนี้ จะต้องมีจํานวนไม่เกิน 700,000 บาท สําหรับปีภาษี 2551 โดยการซื้อหน่วยลงทุนนั้นจะเริ่มซื้อหรือซื้อเพิ่มเติมในช่วงระยะเวลาดังกล่าวก็ได้ และในกรณีผู้มีเงินได้จ่ายเงินสะสมตามวรรคสองด้วยให้เงินได้ที่ได้รับยกเว้นดังกล่าวเมื่อรวมกับเงินสะสมแล้วต้องไม่เกิน 700,000 บาท”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป
หมวด - ประกาศ ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,232 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 372) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขสำหรับการยื่นแบบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 372)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขสําหรับการยื่นแบบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี
-------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 โสฬส แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 และมาตรา 71 ตรี วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 47) พ.ศ. 2561 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขสําหรับการยื่นแบบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ตามมาตรา 71 ตรี วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร ยื่นแบบรายงานข้อมูลดังกล่าวผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ (Website) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th ก็ได้ โดยวิธีการใดวิธีการหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) เข้าสู่ระบบการยื่นแบบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ทางเว็บไซต์ (Website) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th โดยตรง โดยใช้ชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ที่ได้รับจากการลงทะเบียนเข้าใช้ระบบดังกล่าวของกรมสรรพากร
(2) เข้าสู่ระบบการยื่นแบบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ทางเว็บไซต์ (Website) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th ผ่านระบบบริการ Tax Single Sign On ทางเว็บไซต์ (Website) ของกระทรวงการคลัง https://etax.mof.go.th โดยใช้ชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ที่ได้รับจากการลงทะเบียนการเข้าใช้ระบบบริการ Tax Single Sign On ของกระทรวงการคลัง
ข้อ ๒ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประสงค์จะยื่นแบบรายงานข้อมูลตามข้อ 1 จะต้องยื่นคําขอเพื่อลงทะเบียนการใช้ระบบการยื่นแบบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากรตามข้อ 1 (1) หรือระบบบริการ Tax Single Sign On ของกระทรวงการคลังตามข้อ 1 (2) และเมื่อได้รับอนุมัติแล้วจึงจะมีสิทธิยื่นรายการข้อมูลตามแบบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทางเว็บไซต์ (Website) ของกรมสรรพากร [www.rd.go.th](http://www.rd.go.th)
ข้อ ๓ การยื่นแบบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีตามข้อ 1 ให้ถือว่าเสร็จสมบูรณ์เมื่อบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ยื่นแบบรายงานข้อมูลดังกล่าวได้รับหมายเลขอ้างอิงการยื่นแบบจากระบบการยื่นแบบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับการยื่นแบบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันและมูลค่ารวมของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี สําหรับเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,233 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 172) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามข้อ 2(61) แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 172)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามข้อ 2(61) แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
-------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 266 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 112) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2545
ข้อ ๒ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ เฉพาะกรณีที่กรมธรรม์ประกันชีวิตมีกําหนดเวลาตั้งแต่สิบปีขึ้นไป และเป็นการประกันชีวิตที่ได้เอาประกันไว้กับผู้รับประกันภัยที่ประกอบกิจการประกันชีวิตในราชอาณาจักร ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(1) กรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติม ค่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายสําหรับความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติมดังกล่าว ไม่สามารถยกเว้นภาษีสําหรับเบี้ยประกันภัยดังกล่าวได้
(2) กรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีการรับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนในระหว่างอายุกรมธรรม์ ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังนี้
(ก) กรณีได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนทุกปี จะต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตรายปี หรือ
(ข) กรณีได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนตามช่วงระยะเวลาที่ผู้รับประกันภัยกําหนดนอกจาก (ก) เช่น ราย 2 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี เป็นต้น จะต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมของแต่ละช่วงระยะเวลาที่ผู้รับประกันภัยกําหนดให้มีการจ่ายเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืน หรือ
(ค) กรณีได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนที่ไม่เป็นไปตาม (ก) หรือ (ข) ผลรวมของเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนสะสมตั้งแต่ปีแรกถึงปีที่มีการจ่ายเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืน ต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมทั้งหมดในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
ทั้งนี้ เงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนตาม (ก) และหรือ (ข) และหรือ (ค) ไม่รวมเงินปันผลตามกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ได้รับตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันชีวิต หรือเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนที่จ่ายเมื่อสิ้นสุดการจ่ายเบี้ยประกันชีวิตแล้ว แต่ผู้เอาประกันภัยยังคงได้รับความคุ้มครองตามระยะเวลาที่กําหนดในสัญญาประกันชีวิต หรือเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนที่จ่ายเมื่อสิ้นสุดอายุกรมธรรม์ ความใน (1) และ (2) ให้ใช้บังคับสําหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ได้เริ่มทําตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป
ข้อ ๓ การได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ให้ได้รับยกเว้นภาษีตลอดปีภาษี ไม่ว่ากรณีที่จะได้รับยกเว้นภาษีนั้นจะมีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่
(2) กรณีสามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้ยกเว้นภาษีให้แก่สามีหรือภริยาซึ่งเป็นฝ่ายผู้มีเงินได้เต็มจํานวนตามที่จ่ายจริงเฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท
ในกรณีสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้มีการประกันชีวิตและความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี สามีหรือภริยาซึ่งเป็นฝ่ายผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อน สําหรับเบี้ยประกันชีวิตของสามีหรือภริยาฝ่ายที่ไม่มีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท ตามมาตรา 47(1)(ง) แห่งประมวลรัษฎากร
(3) กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้
(ก) ถ้าความเป็นสามีภริยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษี ให้สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจํานวนที่จ่ายจริง เฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท ซึ่งไม่เกินเงินได้พึงประเมินของแต่ละคนหลังจากหักค่าใช้จ่าย ตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
(ข) ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีและภริยาไม่ใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจํานวนที่จ่ายจริง เฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท ซึ่งไม่เกินเงินได้พึงประเมินของแต่ละคนหลังจากหักค่าใช้จ่าย ตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
(ค) ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีและภริยาใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามี ตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจํานวนที่จ่ายจริง เฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท ซึ่งไม่เกินเงินได้พึงประเมินของแต่ละคนหลังจากหักค่าใช้จ่าย ตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๔ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้
(1) กรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ได้เริ่มทําตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป ผู้มีเงินได้ต้องแจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อผู้รับประกันภัยที่ได้เอาประกันไว้
(2) กรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ได้ทําก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 หากผู้มีเงินได้เลือกไม่แจ้งความประสงค์การใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อผู้รับประกันภัยที่ได้เอาประกันไว้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานจากผู้รับประกันภัยที่พิสูจน์ได้ว่า มีการจ่ายเบี้ยประกันชีวิต
กรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติม หลักฐานตามวรรคหนึ่งต้องระบุจํานวนเบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันภัยที่จ่ายสําหรับความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติมแยกออกจากกัน
กรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีการรับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนในระหว่างอายุกรมธรรม์ หลักฐานตามวรรคหนึ่งต้องระบุเงื่อนไขตามข้อ 2 (2) ด้วย
ความในวรรคสองและวรรคสามให้ใช้บังคับสําหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ได้เริ่มทําตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป”
“ข้อ 4/1 ผู้รับประกันภัยที่ได้รับแจ้งความประสงค์ตามข้อ 4 ต้องส่งข้อมูลของผู้เอาประกันภัยต่อกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร โดยจัดทําขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและนําส่งตามวิธีการที่กําหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
การแจ้งและการส่งข้อมูลตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งภายในวันที่ 7 มกราคมของปีถัดไป เว้นแต่อธิบดีจะกําหนดเป็นอย่างอื่น”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 361) ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2562 ที่จะต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป)
“กรณีผู้รับประกันภัยได้แจ้งและส่งข้อมูลตามวรรคสองแล้ว แต่มีความประสงค์จะขอแก้ไข ยกเลิก หรือเพิ่มเติมข้อมูลดังกล่าวนั้น ให้ผู้รับประกันภัยแจ้งและส่งข้อมูลผ่านระบบรับข้อมูลเบี้ยประกันภัยเกินกําหนดเวลาบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 385) ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2563 ที่จะต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป)
ข้อ ๕ กรณีผู้มีเงินได้ ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 3 แล้ว และต่อมาได้ปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของข้อ 2 ผู้มีเงินได้หมดสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 3 และต้องเสียภาษีเงินได้สําหรับปีภาษีที่ได้นําเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตไปหักออกจากเงินได้เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้มาแล้วนับตั้งแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของปีภาษีนั้นๆ จนถึงวันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมเพื่อเสียภาษีเงินได้เพิ่มเติมของปีภาษีดังกล่าวพร้อมเงินเพิ่ม ตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๖ การได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๗ ในกรณีมีปัญหาในทางปฏิบัติ ให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอํานาจวินิจฉัย และคําวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรให้ถือเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดตามประกาศนี้ด้วย
ข้อ ๘ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 112) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2545 ให้ยังคงใช้บังคับต่อไป เฉพาะในการปฏิบัติจัดเก็บภาษีเงินได้ที่ค้างชําระหรือพึงชําระก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2551
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,234 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 371) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อใช้เงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดำเนินงาน เพื่อการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 371)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อใช้เงินตราสกุลอื่นนอกจากเงินตราไทยเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการดําเนินงาน เพื่อการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีเงินได้สําหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
-------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 692) พ.ศ. 2563 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้เป็นจํานวนสองเท่าของรายจ่ายเท่าที่ได้จ่ายไปเพื่อส่งเสริมการดําเนินกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่น ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้” หมายถึง บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่มีสินทรัพย์ถาวรซึ่งไม่รวมที่ดินเกินกว่าสองร้อยล้านบาทและมีการจ้างแรงงานเกินกว่าสองร้อยคนที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 692) พ.ศ. 2563
“บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการดําเนินกิจการ” หมายถึง บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่มีสินทรัพย์ถาวรซึ่งไม่รวมที่ดินไม่เกินสองร้อยล้านบาทและมีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคนที่ได้รับการส่งเสริมการดําเนินกิจการตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 692) พ.ศ. 2563
ข้อ ๒ การใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 692) พ.ศ. 2563 สําหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้
(1) กรณีเป็นการจ่ายค่าใช้จ่ายสําหรับค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อให้แก่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการดําเนินกิจการมีหน้าที่ต้องจ่าย ต้องมีหลักฐานใบรับหรือใบเสร็จรับเงินที่แสดงถึงการจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวที่ออกโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โดยชื่อผู้จ่ายเงินที่ระบุในเอกสารดังกล่าวต้องเป็นชื่อของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
ทั้งนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการดําเนินกิจการ ต้องมีหลักฐานข้อตกลงระหว่างกันในการจ่ายค่าใช้จ่ายตามวรรคหนึ่ง เพื่อส่งเสริมการดําเนินกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการดําเนินกิจการ ซึ่งต้องมีข้อความอย่างน้อยตามที่แนบท้ายประกาศนี้
(2) กรณีเป็นค่าใช้จ่ายสําหรับการส่งเสริมการดําเนินกิจการที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้ให้การรับรอง สําหรับรายการดังต่อไปนี้ โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ต้องเป็นผู้ออกหนังสือรับรองการส่งเสริมการดําเนินกิจการดังกล่าว
(ก) จัดให้มีการถ่ายทอดความรู้ด้านการบริหาร การตลาด การบัญชี หรือการอื่นที่เกี่ยวข้อง
(ข) จัดให้มีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
(ค) จัดให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุนการผลิต หรือการเพิ่มกําไร
(ง) จัดให้มีการส่งเสริมการตลาด
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับการส่งเสริมการดําเนินกิจการตามวรรคหนึ่ง ต้องมีหลักฐานตาม (3) หรือ (4) แล้วแต่กรณี
(3) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ที่ได้ออกค่าใช้จ่ายตาม (2) ได้ส่งเสริมการดําเนินกิจการแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการดําเนินกิจการโดยตรง ต้องมีหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(ก) หลักฐานการรับรองค่าใช้จ่ายที่ออกโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการดําเนินกิจการว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ได้มีการจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปจริง ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ได้ส่งเสริมการดําเนินกิจการแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการดําเนินกิจการเกินกว่าหนึ่งรายในคราวเดียวกัน หลักฐานการรับรองค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะจัดทําร่วมกันเพียงหนึ่งฉบับ โดยระบุชื่อ ที่อยู่ เลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรและลงลายมือชื่อผู้มีอํานาจลงนามผูกพันของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการดําเนินกิจการทุกรายในหลักฐานการรับรองค่าใช้จ่ายนั้นก็ได้
(ข) หลักฐานการจ่ายเงินที่ต้องจ่ายเพื่อให้การส่งเสริมการดําเนินกิจการตาม (2) เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการดําเนินกิจการแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการดําเนินกิจการ โดยต้องมีหลักฐานที่พิสูจน์ตัวผู้รับเงินได้อย่างชัดเจน เช่น ใบรับ ใบเสร็จรับเงิน สําเนาเช็คที่ระบุชื่อผู้รับที่ผ่านการเข้าบัญชีแล้ว หลักฐานการโอนเงินให้แก่ผู้รับ เป็นต้น โดยหลักฐานการจ่ายเงินดังกล่าวต้องสอดคล้องกับหลักฐานการรับรองค่าใช้จ่ายที่ออกโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการดําเนินกิจการตาม (ก)
(ค) หนังสือรับรองการส่งเสริมการดําเนินกิจการตาม (2) ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แล้วแต่กรณี ซึ่งต้องมีข้อความอย่างน้อยตามที่แนบท้ายประกาศนี้
(4) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ที่ได้ออกค่าใช้จ่ายตาม (2) โดยเป็นการส่งเสริมการดําเนินกิจการแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการดําเนินกิจการตามที่ได้จัดทําเป็นโครงการหรือแผนงานที่ทําร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ต้องมีหลักฐาน ดังต่อไปนี้
(ก) หลักฐานการรับรองค่าใช้จ่ายตามจํานวนที่ได้จ่ายเพื่อส่งเสริมการดําเนินกิจการแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมการดําเนินกิจการตามโครงการหรือแผนงานที่ทําร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ต้องจัดทําหลักฐานดังกล่าว ซึ่งหลักฐานดังกล่าวต้องสอดคล้องตรงตามโครงการหรือแผนงานนั้นด้วย
(ข) หลักฐานการจ่ายเงินที่ต้องจ่ายเพื่อให้การส่งเสริมการดําเนินกิจการตาม (2) เป็นไปตามโครงการหรือแผนงานที่ทําร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยต้องมีหลักฐานที่พิสูจน์ตัวผู้รับเงินได้อย่างชัดเจน เช่น ใบรับ ใบเสร็จรับเงิน สําเนาเช็คที่ระบุชื่อผู้รับที่ผ่านการเข้าบัญชีแล้ว หลักฐานการโอนเงินให้แก่ผู้รับ เป็นต้น โดยหลักฐานการจ่ายเงินดังกล่าวต้องสอดคล้องกับหลักฐานการรับรองค่าใช้จ่ายตาม (ก)
(ค) หนังสือรับรองการส่งเสริมการดําเนินกิจการตาม (2) ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แล้วแต่กรณี ซึ่งต้องมีข้อความอย่างน้อยตามที่แนบท้ายประกาศนี้
ข้อ ๓ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ต้องเก็บรักษาหลักฐานและหนังสือรับรองต่าง ๆ ตามข้อ 2 ไว้พร้อมให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,235 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 171) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพและการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 171)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพและการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
--------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2(55) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 266 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพและการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 90) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ลงวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2544
ข้อ ๒ เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมาย ว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ผู้มีเงินได้ต้องซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง และต้องไม่ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีติดต่อกัน การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามวรรคหนึ่ง ต้องมีจํานวนรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของเงินได้ที่ได้รับในแต่ละปี หรือมีจํานวนไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อปี
(2) ผู้มีเงินได้จะต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันซื้อหน่วยลงทุนครั้งแรก และไถ่ถอนหน่วยลงทุนดังกล่าวเมื่อผู้มีเงินได้นั้นมีอายุไม่ต่ํากว่า 55 ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ สําหรับการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมาย ว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับในกรณีผู้มีเงินได้ไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ เพราะเหตุทุพพลภาพหรือตาย
(3) ผู้มีเงินได้ต้องไม่ได้รับเงินปันผลหรือเงินอื่นใดจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพในระหว่างการลงทุน และต้องได้รับคืนเงินลงทุนและผลประโยชน์จากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพเมื่อมีการไถ่ถอนหน่วยลงทุนเท่านั้น
(4) ผู้มีเงินได้ต้องไม่กู้ยืมเงินหรือเบิกเงินจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนไว้
ข้อ ๓ กรณีผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพเกินกว่าหนึ่งกองทุน เงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพในแต่ละกองทุน ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามข้อ 2
การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามวรรคหนึ่ง ต้องมีจํานวนรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของเงินได้ที่ได้รับในแต่ละปี หรือมีจํานวนรวมกันไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อปี
ข้อ ๔ กรณีผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพซึ่งได้ปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในข้อ 2 หรือข้อ 3 ในปีใด เมื่อผู้มีเงินได้ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมตามข้อ 9 แล้ว และได้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ยังคงเหลืออยู่เมื่อผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพต่อไป โดยได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในข้อ 2 และข้อ 3 นับตั้งแต่ปีที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติม การนับระยะเวลาการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ให้นับระยะเวลาที่ได้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพก่อนปีที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมรวมเข้าด้วย
ข้อ ๕ กรณีผู้มีเงินได้ได้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันซื้อหน่วยลงทุนครั้งแรก และมีอายุไม่ต่ํากว่า 55 ปีบริบูรณ์ ทุพพลภาพ ผู้มีเงินได้จะไม่ซื้อหน่วยลงทุนต่อไป หรือจะซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพปีใดปีหนึ่งและจะซื้อหน่วยลงทุนเป็นจํานวนเท่าใดก็ได้ โดยให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามข้อ 2(1) และข้อ 3 วรรคสอง
ข้อ ๖ กรณีผู้มีเงินได้ได้โอนการลงทุนในหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหนึ่งทั้งหมดหรือบางส่วนไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพอื่น ไม่ว่าจะโอนไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพใดกองทุนรวมหนึ่งหรือหลายกองทุนรวมผู้มีเงินได้จะต้องโอนการลงทุนไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพอื่นภายใน 5 วันทําการ นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่โอนได้รับคําสั่งโอนจากผู้มีเงินได้
การโอนการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามวรรคหนึ่ง กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ได้รับคําสั่งโอนจากผู้มีเงินได้ จะต้องจัดทําเอกสารหลักฐานการโอนส่งมอบให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่รับโอนเก็บไว้เป็นหลักฐานพร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
ข้อ ๗ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนตามข้อ 2 ข้อ 3 ข้อ 4 และข้อ 5 ให้ยกเว้นเท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ ทั้งนี้ จะต้องมีจํานวนไม่เกิน 500,000 บาท สําหรับปีภาษีนั้น
กรณีผู้มีเงินได้จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสํารองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสํารองเลี้ยงชีพกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนด้วย เงินได้ที่ได้รับยกเว้นตามวรรคหนึ่ง เมื่อรวมกับเงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสํารองเลี้ยงชีพ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ หรือกองทุนสงเคราะห์ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้มีการซื้อหน่วยลงทุนตามวรรคหนึ่งระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ ทั้งนี้ จะต้องมีจํานวนไม่เกิน 700,000 บาท สําหรับปีภาษี 2551 โดยการซื้อหน่วยลงทุนนั้นจะเริ่มซื้นหรือซื้อเพิ่มเติมในช่วงระยะเวลาดังกล่าวก็ได้ และในกรณีผู้มีเงินได้จ่ายเงินสะสมตามวรรคสองด้วยให้เงินได้ที่ได้รับยกเว้นดังกล่าวเมื่อรวมกับเงินสะสมแล้วต้องไม่เกิน 700,000 บาท
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 173) ใช้บังคับ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป )
ข้อ ๘ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่แสดงได้ว่ามีการจ่ายเงินเข้ากองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
ข้อ ๙ กรณีผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 7 แล้ว และต่อมาได้ปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของข้อ 2 ข้อ 3 หรือข้อ 4 ผู้มีเงินได้หมดสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 7 และต้องเสียภาษีเงินได้สําหรับปีภาษีที่ได้นําเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนไปหักออกจากเงินได้เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้มาแล้วที่อยู่ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของปีภาษีนั้นๆ จนถึงวันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมเพื่อเสียภาษีเงินได้เพิ่มเติมของปีภาษีดังกล่าว พร้อมเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร
ในการเสียภาษีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาศัยอํานาจตามมาตรา 3 อัฎฐ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ได้อนุมัติขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ โดยให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมสําหรับปีภาษีที่ได้นําเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพไปหักออกจากเงินได้พึงประเมินเพื่อยกเว้นภาษีเงินได้แล้วได้ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของข้อ 2 ข้อ 3 หรือข้อ 4 โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๑๐ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๑๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2551
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,236 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 170) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้หรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 170)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้หรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
-----------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2 (65) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 265 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ เงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ผู้มีเงินได้ต้องซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง และต้องไม่ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี ติดต่อกัน
การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามวรรคหนึ่ง ต้องมีจํานวนรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของเงินได้ที่ได้รับในแต่ละปี หรือมีจํานวนไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อปี
(ยกเลิกโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 402) ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป)
(2) ผู้มีเงินได้จะต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันซื้อหน่วยลงทุนครั้งแรก
การนับระยะเวลาการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามวรรคหนึ่งให้นับเฉพาะปีที่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ซื้อหน่วยลงทุนเฉพาะที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในข้อ 1 (1) ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับในกรณีผู้มีเงินได้ไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ เพราะเหตุทุพพลภาพหรือตาย
(3) ผู้มีเงินได้ต้องไม่ได้รับเงินปันผลหรือเงินอื่นใดจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพในระหว่างการลงทุน และต้องได้รับคืนเงินลงทุนและผลประโยชน์จากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ เมื่อมีการไถ่ถอนหน่วยลงทุนเท่านั้น
(4) ผู้มีเงินได้ต้องไม่กู้ยืมเงินหรือเบิกเงินจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนไว้
ข้อ ๒ กรณีผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพเกินกว่าหนึ่งกองทุน เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพในแต่ละกองทุนที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามข้อ 1”
ข้อ ๓ กรณีผู้มีเงินได้ที่ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในข้อ 1 หรือข้อ 2 ในปีใด เมื่อผู้มีเงินได้ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมสําหรับปีภาษีที่ได้นําจํานวนเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพไปหักออกจากเงินได้พึงประเมินในการคํานวณภาษีเงินได้ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์นั้น และได้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ยังคงเหลืออยู่ หากผู้มีเงินได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพต่อไป โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในข้อ 1 และข้อ 2 นับตั้งแต่ปีที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติม ให้ผู้มีเงินได้มีสิทธินับระยะเวลาการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพก่อนปีที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมรวมเข้าด้วย”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 402) ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป)
ข้อ ๔ กรณีผู้มีเงินได้ได้โอนการลงทุนในหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหนึ่งทั้งหมดหรือบางส่วนไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพอื่น ไม่ว่าจะโอนไปยังกองทุนรวมใดกองทุนรวมหนึ่งหรือหลายกองทุนรวม ผู้มีเงินได้จะต้องโอนการลงทุนไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพอื่นภายใน 5 วันทําการ นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่โอนได้รับคําสั่งโอนจากผู้มีเงินได้
การโอนการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามวรรคหนึ่งกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ได้รับคําสั่งโอนจากผู้มีเงินได้จะต้องจัดทําเอกสารหลักฐานการ โอนส่งมอบให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่รับโอนเก็บไว้เป็นหลักฐานพร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
ข้อ ๕ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนตามข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 และข้อ 4 ให้ยกเว้นสําหรับเงินหรือผลประโยชน์ดังกล่าวที่คํานวณมาจากเงินได้พึงประเมินที่ซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ และจะต้องมีจํานวนไม่เกิน 500,000 บาท ในแต่ละปีภาษี
กรณีการขายหน่วยลงทุนตามวรรคหนึ่งที่ได้ซื้อมาในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้เริ่มซื้อหน่วยลงทุนหรือซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนที่ซื้อมาในปีภาษี 2551 ที่คํานวณมาจากเงินได้พึงประเมินที่ซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 700,000 บาท ในปีภาษี 2551
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 174) ใช้บังคับ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป)
“กรณีการขายหน่วยลงทุนที่ผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนนั้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่คํานวณมาจากเงินได้พึงประเมินที่ซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวในอัตราไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ในแต่ละปีภาษี”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 402) ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป)
ข้อ ๖ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่แสดงจํานวนเงินได้จากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
ข้อ ๗ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้มีสิทธินําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
(ยกเลิกโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 402) ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป)
ข้อ ๘ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2551
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,237 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 370) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่จ่ายให้แก่โครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 370)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ที่จ่ายให้แก่โครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
----------------------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 688) พ.ศ. 2562 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ที่จ่ายให้แก่โครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“โครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน” หมายความว่า โครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ข้อ ๒ ให้ยกเว้นภาษีเงินได้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้เป็นจํานวนเงินเท่าที่บริจาคแก่โครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2561 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ตามมาตรา 65 ตรี (3) (ข) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสองของกําไรสุทธิ
ข้อ ๓ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 2 ต้องบริจาคเป็นเงินสนับสนุนแก่หมู่บ้านตามโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน เป็นจํานวนเงินไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนบาทต่อหนึ่งหมู่บ้าน โดยสามารถบริจาคสนับสนุนได้มากกว่าหนึ่งหมู่บ้าน และต้องมีหลักฐานดังต่อไปนี้พร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
(1) บันทึกความร่วมมือตามโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อนที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้บริจาคเงินสนับสนุน
(2) ใบเสร็จรับเงินที่ออกโดยกรมป่าไม้ หรือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีข้อความระบุว่า เพื่อใช้สนับสนุนการดําเนินการโครงการ “ภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน”ชื่อป่าชุมชนที่ให้การสนับสนุน และปีที่ดําเนินการ ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกความร่วมมือตาม (1)
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,238 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 169) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 169)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว
---------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2(66) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 266 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวและการถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 133) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ลงวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2547
ข้อ ๒ เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามกฎหมาย ว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังนี้
(1) ผู้มีเงินได้ต้องซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวมีจํานวนรวมกันไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษีนั้น ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 500,000 บาท
“ในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้มีการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หรือได้ซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 และได้มีการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้เงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามวรรคหนึ่งเท่ากับส่วนที่ไม่เกิน 700,000 บาทแต่ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินสําหรับปีภาษี 2551 ”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 175) ใช้บังคับ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป)
(2) ผู้มีเงินได้จะต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทิน แต่ไม่รวมถึงกรณีผู้มีเงินได้ไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว เพราะทุพพลภาพหรือตาย กรณีทุพพลภาพ ต้องเป็นกรณีที่แพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจและแสดงความเห็นว่า ผู้ถือหน่วยลงทุนทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพซึ่งก่อให้เกิดเงินได้ที่จะนํามาซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวได้อีกต่อไป
ข้อ ๓ กรณีผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวเกินกว่าหนึ่งกองทุนเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวในแต่ละกองทุนที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามข้อ 2
การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามวรรคหนึ่ง ต้องมีจํานวนรวมกันไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษีนั้น ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 500,000 บาท
“ในปีภาษี 2551 การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามวรรคหนึ่งระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หรือได้ซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 และได้มีการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ต้องมีจํานวนรวมกันไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษี 2551 ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 700,000 บาท”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 175) ใช้บังคับ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป)
ข้อ ๔ กรณีผู้มีเงินได้ได้โอนการลงทุนในหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวทั้งหมดหรือบางส่วนไปยังกองทุนรวมหุ้นระยะยาวอีกกองทุนหนึ่ง ไม่ว่าจะโอนไปยังกองทุนรวมหุ้นระยะยาวกองทุนเดียวหรือหลายกองทุน ผู้มีเงินได้จะต้องโอนการลงทุนไปยังกองทุนรวมหุ้นระยะยาวนั้นภายใน5 วันทําการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่กองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่โอนได้รับคําสั่งโอนจากผู้มีเงินได้ จึงจะถือว่าระยะเวลาในการถือหน่วยลงทุนในกรณีดังกล่าวมีระยะเวลาต่อเนื่องกัน
การโอนการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามวรรคหนึ่ง กองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่ได้รับคําสั่งโอนจากผู้มีเงินได้ จะต้องจัดทําเอกสารหลักฐานการโอนส่งมอบให้แก่กองทุนรวมหุ้นระยะยาวที่รับโอนเก็บไว้เป็นหลักฐานพร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
ข้อ ๕ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนตามข้อ 2 และข้อ 3 ให้ยกเว้นเท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน ทั้งนี้ จะต้องมีจํานวนไม่เกิน 500,000 บาท สําหรับปีภาษีนั้น และผู้มีเงินได้ดังกล่าวต้องเป็นบุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล และกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
“ในปีภาษี 2551 หากผู้มีเงินได้มีการซื้อหน่วยลงทุนตามวรรคหนึ่งระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หรือได้ซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 และได้มีการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ให้ยกเว้นเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน ทั้งนี้ จะต้องมีจํานวนไม่เกิน 700,000 บาท สําหรับปีภาษี 2551”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 175) ใช้บังคับ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป)
ข้อ ๖ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหนังสือรับรองการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมที่แสดงได้ว่ามีการจ่ายเงินเข้ากองทุนรวมหุ้นระยะยาวดังกล่าว
ข้อ ๗ กรณีผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว และได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 5 แล้ว และต่อมาได้ปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของข้อ 2 หรือข้อ 3 ผู้มีเงินได้หมดสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 5 แต่ไม่รวมถึงกรณีที่ผู้มีเงินได้ไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวเพราะทุพพลภาพหรือตาย ผู้มีเงินได้ต้องเสียภาษีเงินได้สําหรับปีภาษีที่ได้นําเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนไปหักออกจากเงินได้เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้มาแล้วที่อยู่ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของปีภาษีนั้น ๆ จนถึงวันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมเพื่อเสียภาษีเงินได้เพิ่มเติมของปีภาษีดังกล่าว พร้อมเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร
ในกรณีที่มีการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมหุ้นระยะยาวซึ่งไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 2 หรือข้อ 3 การคํานวณต้นทุนผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหน่วยลงทุน (capital gain) เพื่อเสียภาษีในกรณีดังกล่าวให้คํานวณโดยวิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO)
ข้อ ๘ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๙ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2551 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,239 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 168) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ของวิสาหกิจชุมชนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 168)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ของวิสาหกิจชุมชนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
-------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2 (78) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 266 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข สําหรับวิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ วิสาหกิจชุมชนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ต้องจดทะเบียนและได้รับใบสําคัญแสดงการจดทะเบียนจากกรมส่งเสริมการเกษตรตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 และต้องจัดทําบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายประจําวัน เป็นภาษาไทย ภายใน 3 วันทําการ นับแต่วันที่มีรายได้หรือรายจ่าย โดยต้องมีรายการและข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 161) เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดทําบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2549
ทั้งนี้ ให้เก็บรักษาบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายประจําวัน และใบสําคัญแสดงการจดทะเบียนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี ณ ที่ตั้งของวิสาหกิจชุมชน และพร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้ทันที
ข้อ ๒ ในกรณีที่มีปัญหาในการปฏิบัติตามประกาศนี้ ให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอํานาจวินิจฉัย และคําวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรให้ถือเป็นที่สุด
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ผู้มีอํานาจลงนาม - สั่ง ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2551
ศานิต ร่างน้อย
(นายศานิต ร่างน้อย)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,240 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 369) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 369)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม
----------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในวรรคหนึ่งของ (102) ของข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 357 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ผู้มีเงินได้ต้องซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมมีจํานวนรวมกันไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 200,000 บาท สําหรับปีภาษีนั้น และได้ซื้อหน่วยลงทุนนั้นในระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567
(2) ผู้มีเงินได้ต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 10 ปีนับตั้งแต่วันซื้อหน่วยลงทุน เว้นแต่กรณีที่ผู้มีเงินได้ไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมเพราะเหตุทุพพลภาพหรือตาย
กรณีทุพพลภาพ ต้องเป็นกรณีที่แพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจและแสดงความเห็นว่าผู้ถือหน่วยลงทุนทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพซึ่งก่อให้เกิดเงินได้ที่จะนํามาซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมได้อีกต่อไป
ข้อ ๒ กรณีผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมเกินกว่าหนึ่งกองทุน เงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมในแต่ละกองทุนที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามข้อ 1
การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตามวรรคหนึ่ง ต้องมีจํานวนรวมกันไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 200,000 บาท สําหรับปีภาษีนั้น
ข้อ ๓ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนตามข้อ 1 และข้อ 2 ให้ยกเว้นเงินได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 200,000 บาท สําหรับปีภาษีนั้น โดยผู้มีเงินได้ดังกล่าวต้องเป็นบุคคลธรรมดาแต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลและกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่งเงินได้ที่ได้รับยกเว้นตามวรรคหนึ่ง เมื่อรวมกับเงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ สําหรับกรณีที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเงินสะสมเข้ากองทุนสํารองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ หรือเงินสะสมเข้ากองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ หรือเงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน แล้วแต่กรณี หรือเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือเบี้ยประกันภัยสําหรับการประกันชีวิตแบบบํานาญ หรือเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ในปีภาษีเดียวกัน
ข้อ ๔ กรณีผู้มีเงินได้ได้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม และได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 3 แล้ว ต่อมาได้ปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของข้อ 1 หรือข้อ 2 ผู้มีเงินได้หมดสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 3 แต่ไม่รวมถึงกรณีที่ผู้มีเงินได้ไถ่ถอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมเพราะเหตุทุพพลภาพหรือตาย ผู้มีเงินได้ต้องเสียภาษีเงินได้สําหรับปีภาษีที่ได้นําเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนไปหักออกจากเงินได้เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้มาแล้วที่อยู่ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 5 ปีนับตั้งแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของปีภาษีนั้น ๆ จนถึงวันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมเพื่อเสียภาษีเงินได้เพิ่มเติมของปีภาษีดังกล่าว พร้อมเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร
ในกรณีที่มีการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมเพื่อการออมซึ่งไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 1 หรือข้อ 2 การคํานวณต้นทุนผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหน่วยลงทุน (capital gain) เพื่อเสียภาษีในกรณีดังกล่าวให้คํานวณโดยวิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO)
ข้อ ๕ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหนังสือรับรองการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมที่แสดงได้ว่ามีการจ่ายเงินเข้ากองทุนรวมเพื่อการออมดังกล่าว
ข้อ ๖ กรณีผู้มีเงินได้ได้โอนการลงทุนในหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมทั้งหมดหรือบางส่วนไปยังกองทุนรวมเพื่อการออมอีกกองทุนหนึ่ง ไม่ว่าจะโอนไปยังกองทุนรวมเพื่อการออมกองทุนเดียวหรือหลายกองทุน ผู้มีเงินได้จะต้องโอนการลงทุนไปยังกองทุนรวมเพื่อการออมนั้นภายใน 5 วันทําการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่กองทุนรวมเพื่อการออมที่โอนได้รับคําสั่งโอนจากผู้มีเงินได้ จึงจะถือว่าระยะเวลาในการถือหน่วยลงทุนในกรณีดังกล่าวมีระยะเวลาต่อเนื่องกัน
การโอนการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตามวรรคหนึ่ง กองทุนรวมเพื่อการออมที่ได้รับคําสั่งโอนจากผู้มีเงินได้ จะต้องจัดทําหนังสือรับรองการโอนหน่วยลงทุนส่งมอบให้แก่กองทุนรวมเพื่อการออมที่รับโอนเก็บไว้เป็นหลักฐานพร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
ข้อ ๗ หนังสือรับรองการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตามข้อ 5 และหนังสือรับรองการโอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตามข้อ 6 ต้องจัดทําเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ แต่ถ้าทําเป็นภาษาต่างประเทศอื่นต้องมีคําแปลภาษาไทยกํากับด้วย ส่วนตัวเลขให้ใช้เลขไทยหรือเลขอารบิคโดยมีข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้
การลงลายมือชื่อของผู้มีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมและหนังสือรับรองการโอนหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมตามวรรคหนึ่ง จะใช้วิธีประทับลายมือชื่อผู้มีหน้าที่ออกหนังสือรับรองดังกล่าวด้วยตรายาง หรือจะพิมพ์ลายมือชื่อผู้มีหน้าที่ออกหนังสือรับรองโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้มีการเก็บลายมือชื่อไว้ (SCAN) ก็ได้
ข้อ ๘ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๙ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,241 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 167) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อหรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ตามข้อ 2(59) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 167)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สําหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อหรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ตามข้อ 2(59) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
----------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2(59) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 264 (พ.ศ. 2550) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สําหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 122) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สําหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ตามข้อ 2 (59) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2545
ข้อ ๒ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมสําหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(1) เป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมสําหรับการกู้ยืมจากกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ
(2) เป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมตามสัญญากู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้ออาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด หรือเพื่อสร้างอาคารใช้อยู่อาศัยบนที่ดินของตนเองหรือบนที่ดินที่ตนเองมีสิทธิครอบครอง
(3) ต้องจํานองอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด หรืออาคารพร้อมที่ดินเป็นประกันการกู้ยืมเงินนั้น โดยมีระยะเวลาจํานองตามระยะเวลาการกู้ยืม
(4) ต้องใช้อาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดตาม (3) เป็นที่อยู่อาศัยในปีที่ได้รับยกเว้นภาษี แต่ไม่รวมถึงกรณีลูกจ้างซึ่งถูกนายจ้างสั่งให้ไปปฏิบัติงานของนายจ้าง ณ ต่างถิ่นเป็นประจํา หรือกรณีอาคารหรือห้องชุดดังกล่าวเกิดอัคคีภัย ภัยธรรมชาติ หรือภัยอันเกิดจากเหตุอื่น ทั้งนี้ เฉพาะที่มิใช่ความผิดของผู้มีเงินได้ จนไม่อาจใช้อาคารหรือห้องชุดนั้นอยู่อาศัยได้
(5) กรณีผู้มีเงินได้มีอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดตาม (3) เป็นที่อยู่อาศัยในปีที่ได้รับยกเว้นภาษีเกินกว่า 1 แห่ง ให้ได้รับยกเว้นภาษีได้ทุกแห่งสําหรับอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด ตาม (3)
(6) ให้ได้รับยกเว้นภาษีตลอดปีภาษี ไม่ว่ากรณีที่จะได้รับยกเว้นภาษีนั้นจะมีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่
(7) กรณีผู้มีเงินได้หลายคนร่วมกันกู้ยืมให้ได้รับยกเว้นภาษีได้ทุกคนโดยเฉลี่ยการได้รับยกเว้นภาษีตามส่วนจํานวนผู้มีเงินได้ แต่รวมกันต้องไม่เกินจํานวนที่จ่ายจริงและไม่เกิน 100,000 บาท
(8) กรณีสามีภริยาร่วมกันกู้ยืมโดยสามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้เต็มจํานวนตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
(9) กรณีผู้มีเงินได้ซึ่งมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีอยู่ก่อนแล้ว ต่อมาได้สมรสกันให้ยังคงได้รับยกเว้นภาษีดังนี้
(ก) ถ้าความเป็นสามีภริยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีให้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
(ข) ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีและภริยาไม่ใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ได้รับยกเว้นภาษีรวมกันตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
(ค) ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีและภริยาใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีได้กึ่งหนึ่งของจํานวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
(10) กรณีการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้เงินกู้ยืมระหว่างผู้ให้กู้ตาม (1) กับธนาคาร บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ นายจ้างซึ่งมีระเบียบเกี่ยวกับเงินกองทุนที่จัดสรรไว้เพื่อสวัสดิการแก่ลูกจ้าง บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยตามกฎหมายว่าด้วยบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยหรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินและกองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้ยังคงได้รับยกเว้นภาษีได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
ข้อ ๓ ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมตามข้อ 2 ให้หมายความรวมถึงดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อชําระหนี้เงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย หรือห้องชุดด้วย ทั้งนี้ เฉพาะดอกเบี้ยสําหรับเงินกู้ยืมเพื่อชําระหนี้ส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชําระนั้น
ข้อ ๔ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานจากเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืมที่พิสูจน์ได้ว่า ได้มีการจ่ายดอกเบี้ยสําหรับการกู้ยืมเงินด้วย เว้นแต่
(1) กรณีการจ่ายดอกเบี้ยสําหรับการกู้ยืมเงินที่ได้เริ่มทําสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป ผู้มีเงินได้ต้องแจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืม
(2) กรณีการจ่ายดอกเบี้ยสําหรับการกู้ยืมเงินที่ได้ทําสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 หากผู้มีเงินได้เลือกไม่แจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืม ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานจากเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืมที่พิสูจน์ได้ว่ามีการจ่ายดอกเบี้ยสําหรับการกู้ยืมเงินนั้น”
“ข้อ 4/1 เจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืมที่ได้รับแจ้งความประสงค์ตามข้อ 4 ต้องส่งข้อมูลของผู้มีเงินได้ต่อกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร โดยจัดทําขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและนําส่งตามวิธีการที่กําหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
การแจ้งและการส่งข้อมูลตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งภายในวันที่ 15 มกราคมของปีถัดไป เว้นแต่อธิบดีจะกําหนดเป็นอย่างอื่น
กรณีเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืมได้แจ้งและส่งข้อมูลตามวรรคสองแล้ว แต่มีความประสงค์จะขอแก้ไข ยกเลิก หรือเพิ่มเติมข้อมูลดังกล่าวนั้น ให้เจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืมดังกล่าวแจ้งและส่งข้อมูลผ่านระบบรับข้อมูลดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเกินกําหนดเวลาบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 398) ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2564 ที่จะต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป)
ข้อ ๕ ในกรณีที่ผู้มีเงินได้หักลดหย่อนตามมาตรา 47 (1) (ซ) แห่งประมวลรัษฎากร หรือได้รับยกเว้นไม่ต้องนําเงินได้ตาม (52) หรือ (53) ของข้อ 2 แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 264 (พ.ศ. 2550) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากรรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ เงินได้ที่ได้รับยกเว้นตามข้อ 2 เมื่อรวมกับค่าลดหย่อนตามมาตรา 47 (1) (ซ) แห่งประมวลรัษฎากร หรือเงินได้ตาม (52) หรือ (53) ของข้อ 2 แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 264 (พ.ศ. 2550) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร แล้วแต่กรณี ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
ข้อ ๖ การได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึง มาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551
ศานิต ร่างน้อย
(นายศานิต ร่างน้อย)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,242 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 166) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อหรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โดยจำนองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้น ตามข้อ 2(53) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 166)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สําหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อหรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โดยจํานองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้น ตามข้อ 2(53) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
-------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2(53) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 264 (พ.ศ. 2550) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สําหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โดยจํานองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้น ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 88) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สําหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โดยจํานองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้น ตามข้อ 2(53) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543
ข้อ ๒ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมสําหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โดยจํานองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้น ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(1) เป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมสําหรับการกู้ยืมจากผู้ประกอบกิจการในราชอาณาจักร ดังต่อไปนี้
(ก) ธนาคาร
(ข) บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(ค) บริษัทประกันชีวิต
(ง) สหกรณ์
(จ) นายจ้างซึ่งมีระเบียบเกี่ยวกับเงินกองทุนที่จัดสรรไว้เพื่อสวัสดิการแก่ลูกจ้าง (ฉ) บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยตามกฎหมายว่าด้วยบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย
(2) เป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมตามสัญญากู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้ออาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด หรือเพื่อสร้างอาคารใช้อยู่อาศัยบนที่ดินของตนเองหรือบนที่ดินที่ตนเองมีสิทธิครอบครอง
(3) ต้องจํานองอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด หรืออาคารพร้อมที่ดินเป็นประกันการกู้ยืมเงินนั้น โดยมีระยะเวลาจํานองตามระยะเวลาการกู้ยืม
(4) ต้องใช้อาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดตาม (3) เป็นที่อยู่อาศัยในปีที่ได้รับยกเว้นภาษี แต่ไม่รวมถึงกรณีลูกจ้างซึ่งถูกนายจ้างสั่งให้ไปปฏิบัติงานของนายจ้าง ณ ต่างถิ่นเป็นประจํา หรือกรณีอาคารหรือห้องชุดดังกล่าวเกิดอัคคีภัย ภัยธรรมชาติ หรือภัยอันเกิดจากเหตุอื่น ทั้งนี้ เฉพาะที่มิใช่ความผิดของผู้มีเงินได้ จนไม่อาจใช้อาคารหรือห้องชุดนั้นอยู่อาศัยได้
(5) กรณีผู้มีเงินได้มีอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดตาม (3) เป็นที่อยู่อาศัยในปีที่ได้รับยกเว้นภาษีเกินกว่า 1 แห่ง ให้ได้รับยกเว้นภาษีได้ทุกแห่งสําหรับอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด ตาม (3)
(6) ให้ได้รับยกเว้นภาษีตลอดปีภาษี ไม่ว่ากรณีที่จะได้รับยกเว้นภาษีนั้นจะมีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่
(7) กรณีผู้มีเงินได้หลายคนร่วมกันกู้ยืมให้ได้รับยกเว้นภาษีได้ทุกคนโดยเฉลี่ยการได้รับยกเว้นภาษีตามส่วนจํานวนผู้มีเงินได้ แต่รวมกันต้องไม่เกินจํานวนที่จ่ายจริงเฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท
(8) กรณีสามีภริยาร่วมกันกู้ยืมโดยสามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้เต็มจํานวนตามที่จ่ายจริงเฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท
(9) กรณีผู้มีเงินได้ซึ่งมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีอยู่ก่อนแล้ว ต่อมาได้สมรสกันให้ยังคงได้รับยกเว้นภาษีดังนี้
(ก) ถ้าความเป็นสามีภริยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีให้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจํานวนที่จ่ายจริงเฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท
(ข) ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีและภริยาไม่ใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ได้รับยกเว้นภาษีรวมกันตามจํานวนที่จ่ายจริงเฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท
(ค) ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีและภริยาใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีได้กึ่งหนึ่งของจํานวนที่จ่ายจริงเฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่รวมกันไม่เกิน 90,000 บาท
(10) กรณีมีการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้เงินกู้ยืมระหว่างผู้ให้กู้ตาม (1) ให้ยังคงได้รับยกเว้นภาษีได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงเฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท
ข้อ ๓ ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมตามข้อ 2 ให้หมายความรวมถึงดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อชําระหนี้เงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย หรือห้องชุดด้วย ทั้งนี้ เฉพาะดอกเบี้ยสําหรับเงินกู้ยืมเพื่อชําระหนี้ส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชําระนั้น
ข้อ ๔ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานจากเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืมที่พิสูจน์ได้ว่า ได้มีการจ่ายดอกเบี้ยสําหรับการกู้ยืมเงินด้วย เว้นแต่เจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืมเป็นผู้ประกอบกิจการตามข้อ 2 (1) (ก) (ข) (ค) และ (ฉ) ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้
(1) กรณีการจ่ายดอกเบี้ยสําหรับการกู้ยืมเงินที่ได้เริ่มทําสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป ผู้มีเงินได้ต้องแจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืม
(2) กรณีการจ่ายดอกเบี้ยสําหรับการกู้ยืมเงินที่ได้ทําสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 หากผู้มีเงินได้เลือกไม่แจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืม ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานจากเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืมที่พิสูจน์ได้ว่ามีการจ่ายดอกเบี้ยสําหรับการกู้ยืมเงินนั้น”
“ข้อ 4/1 เจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืมที่ได้รับแจ้งความประสงค์ตามข้อ 4 ต้องส่งข้อมูลของผู้มีเงินได้ต่อกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร โดยจัดทําขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและนําส่งตามวิธีการที่กําหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
การแจ้งและการส่งข้อมูลตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งภายในวันที่ 15 มกราคมของปีถัดไป เว้นแต่อธิบดีจะกําหนดเป็นอย่างอื่น
กรณีเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืมได้แจ้งและส่งข้อมูลตามวรรคสองแล้ว แต่มีความประสงค์จะขอแก้ไข ยกเลิก หรือเพิ่มเติมข้อมูลดังกล่าวนั้น ให้เจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืมดังกล่าวแจ้งและส่งข้อมูลผ่านระบบรับข้อมูลดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเกินกําหนดเวลาบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 397) ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2564 ที่จะต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป)
ข้อ ๕ ในกรณีที่ผู้มีเงินได้หักลดหย่อนตามมาตรา 47 (1) (ซ) แห่งประมวลรัษฎากร หรือได้รับยกเว้นไม่ต้องนําเงินได้ตาม (52) หรือ (59) ของข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 264 (พ.ศ.2550) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร รวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ เงินได้ที่ได้รับยกเว้นตามข้อ 2 เมื่อรวมกับค่าลดหย่อนตามมาตรา 47 (1) (ซ) แห่งประมวลรัษฎากร หรือเงินได้ตาม (52) หรือ (59) ของข้อ 2 แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 264 (พ.ศ. 2550) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร แล้วแต่กรณี ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
ข้อ ๖ การได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551
ศานิต ร่างน้อย
(นายศานิต ร่างน้อย)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,243 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 368) เรื่อง กำหนดวิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 368)
เรื่อง กําหนดวิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
---------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 354 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดวิธีการและเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งได้จ่ายระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกินสามหมื่นบาท ให้เป็นไปตามวิธีการและเงื่อนไข ดังนี้
(1) รถที่ได้รับความเสียหายต้องเป็นรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์หรือตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก โดยรถหรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถนั้นได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ในขณะที่รถดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ที่ทางราชการประกาศให้เป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยหรือเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
(2) ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ผู้มีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง ต้องมีหลักฐานที่แสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถ หรือกรณีที่ผู้มีเงินได้เป็นผู้เช่าซื้อ ต้องมีหลักฐานแสดงการเช่าซื้อรถ ซึ่งเป็นรถที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ตาม (1) ดังนี้
(ก) กรณีที่ผู้มีเงินได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถ ได้แก่ หนังสือสัญญาซื้อขายรถ ใบคู่มือจดทะเบียนรถซึ่งมีชื่อผู้มีเงินได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถ เอกสารตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถ หรือหลักฐานอื่นใดที่แสดงได้ว่าผู้มีเงินได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถ
(ข) กรณีที่ผู้มีเงินได้เป็นผู้เช่าซื้อรถ ได้แก่ หนังสือสัญญาเช่าซื้อ หรือเอกสารอื่นใดที่แสดงได้ว่าผู้มีเงินได้เป็นผู้เช่าซื้อรถ
(ค) กรณีที่ผู้มีเงินได้มีสามีหรือภริยาและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถที่สามีหรือภริยาได้กรรมสิทธิ์มาระหว่างสมรสและเป็นสินสมรส โดยผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นสามีหรือภริยาไม่มีชื่อในเอกสารที่แสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถ หลักฐานที่แสดงได้ว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถ ได้แก่ หลักฐานตาม (ก) ที่มีชื่อของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ประกอบกับใบทะเบียนสมรส
(3) กรณีที่ผู้มีเงินได้ตาม (2) เป็นผู้จ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ตาม (1) ให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ดังต่อไปนี้
(ก) กรณีที่ผู้มีเงินได้คนเดียว จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวในรถหนึ่งคัน ให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินสามหมื่นบาท
(ข) กรณีที่ผู้มีเงินได้มากกว่าหนึ่งคน จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวในรถหนึ่งคัน ให้ผู้มีเงินได้ทุกคนได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ โดยเฉลี่ยการได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วนของค่าใช้จ่ายดังกล่าวที่ผู้มีเงินได้แต่ละคนได้จ่ายไปในการซ่อมแซมรถนั้น แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกินสามหมื่นบาท
(ค) กรณีที่ผู้มีเงินได้จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวในรถมากกว่าหนึ่งคัน ไม่ว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวสําหรับรถแต่ละคันจะเข้าลักษณะตาม (ก) หรือ (ข) แล้วแต่กรณี ให้ผู้มีเงินได้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง เมื่อรวมทุกคันแล้วต้องไม่เกินสามหมื่นบาท
(4) ค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถตาม (3) รวมถึงค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ดังต่อไปนี้ ระบบแอร์ ระบบเครื่องยนต์ ระบบช่วงล่างรถยนต์ สี เบาะ วิทยุ
(5) กรณีที่สามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ไม่ว่าสามีหรือภริยาเป็นผู้จ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ตาม (1) ให้สามีหรือภริยาผู้มีเงินได้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามหลักเกณฑ์ใน (2) (3) และ (4)
(6) กรณีที่สามีหรือภริยาต่างฝ่ายต่างเป็นผู้มีเงินได้ และต่างฝ่ายต่างจ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ตาม (1) ให้สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามหลักเกณฑ์ใน (2) (3) และ (4)
ข้อ ๒ ผู้มีเงินได้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 1 ต้องจัดทําแบบแสดงการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ โดยมีข้องความอย่างน้อยตามแบบแนบท้ายประกาศนี้และต้องมีเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้ พร้อมให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
(1) เอกสารการจ่ายเงินค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่เสียหายเนื่องจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่แสดงชื่อพร้อมที่อยู่และลายมือชื่อของผู้รับเงิน ชื่อของผู้จ่ายเงิน วัน เดือน ปี ที่จ่าย รายการที่จ่าย และจํานวนเงินที่จ่าย หรือหลักฐานอื่นที่พิสูจน์หรือแสดงได้ว่าผู้มีเงินได้เป็นผู้จ่ายเงินค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถนั้น
(2) เอกสารหลักฐานตามข้อ 1 (2)
ผู้มีเงินได้จะยื่นแบบแสดงการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้และภาพถ่ายเอกสารตาม (1) และ (2) พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ได้
ข้อ ๓ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี ไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปีภาษี พ.ศ. 2562
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,244 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 165) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อหรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โดยจำนองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกัน การกู้ยืมนั้น ตามข้อ 2(52) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 165)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สําหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อหรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โดยจํานองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกัน การกู้ยืมนั้น ตามข้อ 2(52) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
-------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2(52) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 264 (พ.ศ. 2550) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สําหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โดยจํานองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้น ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 87) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สําหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โดยจํานองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้น ตามข้อ 2(52) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543
ข้อ ๒ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมสําหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โดยจํานองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้น ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(1) เป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่ผู้มีเงินได้จ่ายให้แก่
(ก) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ข) กองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ค) นิติบุคคลเฉพาะกิจซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดําเนินการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่นิติบุคคลเฉพาะกิจดังกล่าวเข้ารับช่วงสิทธิเป็นเจ้าหนี้เงินกู้แทนกองทุนรวมตาม (ก) หรือ (ข) ธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ หรือนายจ้าง
(2) เป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมตามสัญญากู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้ออาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด หรือเพื่อสร้างอาคารใช้อยู่อาศัยบนที่ดินของตนเองหรือบนที่ดินที่ตนเองมีสิทธิครอบครอง
(3) ต้องจํานองอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด หรืออาคารพร้อมที่ดินเป็นประกันการกู้ยืมเงินนั้น โดยมีระยะเวลาจํานองตามระยะเวลาการกู้ยืม
(4) ต้องใช้อาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดตาม (3) เป็นที่อยู่อาศัยในปีที่ได้รับยกเว้นภาษี แต่ไม่รวมถึงกรณีลูกจ้างซึ่งถูกนายจ้างสั่งให้ไปปฏิบัติงานของนายจ้าง ณ ต่างถิ่นเป็นประจํา หรือกรณีอาคารหรือห้องชุดดังกล่าวเกิดอัคคีภัย ภัยธรรมชาติ หรือภัยอันเกิดจากเหตุอื่น ทั้งนี้ เฉพาะที่มิใช่ความผิดของผู้มีเงินได้ จนไม่อาจใช้อาคารหรือห้องชุดนั้นอยู่อาศัยได้
(5) กรณีผู้มีเงินได้มีอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดตาม (3) เป็นที่อยู่อาศัยในปีที่ได้รับยกเว้นภาษีเกินกว่า 1 แห่ง ให้ได้รับยกเว้นภาษีได้ทุกแห่งสําหรับอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดตาม (3)
(6) ให้ได้รับยกเว้นภาษีตลอดปีภาษี ไม่ว่ากรณีที่จะได้รับยกเว้นภาษีนั้นจะมีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่
(7) กรณีผู้มีเงินได้หลายคนร่วมกันกู้ยืมให้ได้รับยกเว้นภาษีได้ทุกคนโดยเฉลี่ยการได้รับยกเว้นภาษีตามส่วนจํานวนผู้มีเงินได้ แต่รวมกันต้องไม่เกินจํานวนที่จ่ายจริงและไม่เกิน 100,000 บาท
(8) กรณีสามีภริยาร่วมกันกู้ยืมโดยสามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้เต็มจํานวนตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
(9) กรณีผู้มีเงินได้ซึ่งมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีอยู่ก่อนแล้ว ต่อมาได้สมรสกันให้ยังคงได้รับยกเว้นภาษีดังนี้
(ก) ถ้าความเป็นสามีภริยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีให้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
(ข) ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีและภริยาไม่ใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ได้รับยกเว้นภาษีรวมกันตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
(ค) ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีและภริยาใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีได้กึ่งหนึ่งของจํานวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
(10) กรณีมีการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้เงินกู้ยืมระหว่างผู้ให้กู้ตาม (1) ให้ยังคงได้รับยกเว้นภาษีได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
ข้อ ๓ ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมตามข้อ 2 ให้หมายความรวมถึงดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อชําระหนี้เงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย หรือห้องชุดด้วย ทั้งนี้ เฉพาะดอกเบี้ยสําหรับเงินกู้ยืมเพื่อชําระหนี้ส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชําระนั้น
ข้อ ๔ การได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานจากเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืมที่พิสูจน์ได้ว่าได้มีการจ่ายดอกเบี้ยสําหรับการกู้ยืมเงินด้วย
ข้อ ๕ ในกรณีที่ผู้มีเงินได้หักลดหย่อนตามมาตรา 47(1)(ซ) แห่งประมวลรัษฎากร หรือได้รับยกเว้นไม่ต้องนําเงินได้ตาม (53) หรือ (59) ของข้อ 2 แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 264 (พ.ศ. 2550) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร รวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ เงินได้ที่ได้รับยกเว้นตามข้อ 2 เมื่อรวมกับค่าลดหย่อนตามมาตรา 47(1)(ซ) แห่งประมวลรัษฎากร หรือเงินได้ตาม (53) หรือ (59) ของข้อ 2 แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 264 (พ.ศ. 2550) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร แล้วแต่กรณี ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
ข้อ ๖ การได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากร แล้ว
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551
ศานิต ร่างน้อย
(นายศานิต ร่างน้อย)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,245 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 164) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้ของกิจการที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 164)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้ของกิจการที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
--------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 466) พ.ศ. 2550 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้ของกิจการที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“รายได้จากการประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ” หมายความว่า รายได้ของกิจการซึ่งได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 466) พ.ศ. 2550
“รายได้จากกิจการอื่น” หมายความว่า รายได้ของกิจการซึ่งไม่ใช่รายได้ที่ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 466) พ.ศ. 2550
ข้อ ๒ การคํานวณกําไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในมาตรา 65 มาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการทั้งที่มีรายได้จากการประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ และรายได้จากกิจการอื่นให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวคํานวณกําไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของแต่ละกิจการแยกต่างหากจากกัน หากรายจ่ายใดไม่สามารถแยกกันได้โดยชัดแจ้งว่าส่วนใดเป็นรายจ่ายของกิจการใด ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเฉลี่ยรายจ่ายดังกล่าวตามส่วนของรายได้ระหว่างรายได้จากการประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ และรายได้จากกิจการอื่น
ข้อ ๓ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการผลิตสินค้า การขายสินค้าหรือการให้บริการที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล พร้อมทั้งบัญชีงบดุลและบัญชีกําไรขาดทุน ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีตามแบบที่อธิบดีกําหนดพร้อมกับชําระภาษีตามมาตรา 68 และมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร และยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีตามแบบที่อธิบดีกําหนดพร้อมกับชําระภาษีตามมาตรา 67 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจทั้งที่มีรายได้จากการประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ และรายได้จากกิจการอื่น ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและให้ใช้เลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรเดียวกัน โดยให้แยกกระดาษทําการซึ่งแสดงรายละเอียดการคํานวณกําไรขาดทุนของแต่ละกิจการออกจากกัน
ข้อ ๔ กรณีที่มีปัญหาในทางปฏิบัติ ให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอํานาจวินิจฉัย และคําวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรให้ถือเป็นหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดตามประกาศนี้ด้วย
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2550
ศานิต ร่างน้อย
(นายศานิต ร่างน้อย)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,246 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 367) เรื่อง กำหนดวิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมอาคารหรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับตัวอาคารหรือในที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคาร หรือค่าซ่อมแซมห้องชุดในอาคารชุดหรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับห้องชุดในอาคารชุด ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 367)
เรื่อง กําหนดวิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมอาคารหรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับตัวอาคารหรือในที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคาร หรือค่าซ่อมแซมห้องชุดในอาคารชุดหรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับห้องชุดในอาคารชุด ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความใน แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 354 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดวิธีการและเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สิน ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมอาคาร หรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับตัวอาคารหรือในที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคาร หรือในการซ่อมแซมห้องชุดในอาคารชุด หรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับห้องชุดในอาคารชุด ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งได้จ่ายระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกินหนึ่งแสนบาท ให้เป็นไปตามวิธีการและเงื่อนไข ดังนี้
(1) ทรัพย์สินที่ได้รับการซ่อมแซมต้องเป็นอาคาร หรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับตัวอาคารหรือในที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคาร หรือห้องชุดในอาคารชุด หรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับห้องชุดในอาคารชุด ซึ่งได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และอยู่ในพื้นที่ที่ทางราชการประกาศให้เป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยหรือเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
(2) ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ผู้มีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง ต้องมีหลักฐานที่แสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ หรือหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้เช่าอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ หรือหลักฐานแสดงว่าผู้ใช้ประโยชน์จากอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดที่ได้รับความเสียหายนั้น เป็นที่อยู่อาศัยหรือใช้ประกอบกิจการ หรือใช้ประโยชน์อื่น แล้วแต่กรณี ดังนี้
(ก) กรณีที่ผู้มีเงินได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ได้แก่ หนังสือสัญญาซื้อขาย หนังสือขออนุญาตปลูกสร้างอาคาร หรือหลักฐานอื่นใดที่แสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคาร หรือห้องชุดในอาคารชุด
(ข) กรณีที่ผู้มีเงินได้เป็นผู้เช่า ได้แก่ หนังสือสัญญาเช่า หรือหลักฐานอื่นที่แสดงได้ว่ามีการเช่า
(ค) กรณีที่ผู้มีเงินได้ได้ใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัยหรือใช้ประกอบกิจการหรือใช้ประโยชน์อื่น ได้แก่ เอกสารหลักฐานการรับรองจากเจ้าของทรัพย์สินว่าผู้มีเงินได้ได้ใช้อาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดเป็นที่อยู่อาศัย หรือใช้ในการประกอบกิจการหรือใช้ประโยชน์อื่นใดโดยให้ระบุรายละเอียดให้ชัดเจนว่าใช้ประโยชน์ใด
(ง) กรณีที่ผู้มีเงินได้มีสามีหรือภริยาและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดที่สามีหรือภริยาได้มาระหว่างสมรสและเป็นสินสมรส โดยผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นสามีหรือภริยาไม่มีชื่อในเอกสารที่แสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดนั้น หลักฐานที่แสดงได้ว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด ได้แก่ หลักฐานตาม (ก) ที่มีชื่อของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ประกอบกับใบทะเบียนสมรส
(3) กรณีที่ผู้มีเงินได้ตาม (2) เป็นผู้จ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สิน ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ตาม (1) ให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ดังต่อไปนี้
(ก) กรณีที่ผู้มีเงินได้คนเดียว จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวในทรัพย์สินหนึ่งแห่ง ให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(ข) กรณีที่ผู้มีเงินได้มากกว่าหนึ่งคน จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวในทรัพย์สินหนึ่งแห่ง ให้ผู้มีเงินได้ทุกคนได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ โดยเฉลี่ยการได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วนของค่าใช้จ่ายที่ผู้มีเงินได้แต่ละคนได้จ่ายไปในการซ่อมแซมทรัพย์สินนั้น แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(ค) กรณีที่ผู้มีเงินได้จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวในทรัพย์สินมากกว่าหนึ่งแห่ง ไม่ว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวสําหรับทรัพย์สินแต่ละแห่งจะเข้าลักษณะตาม (ก) หรือ (ข) แล้วแต่กรณี เมื่อรวมทุกแห่งแล้วต้องไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(4) ค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ที่มีการจ่ายในการซ่อมแซมทรัพย์สินตาม (3) รวมถึงค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ดังต่อไปนี้ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องสุขภัณฑ์ ประตู หน้าต่าง รั้ว ประตูรั้ว สนามหญ้า สระว่ายน้ํา บ่อเลี้ยงปลา แท็งก์น้ํา ปั้มน้ํา ท่อน้ํา บ่อหรือถังบําบัดน้ําเสีย หลอดไฟฟ้า สายไฟฟ้า ซึ่งประกอบติดตั้งกับตัวอาคารหรือห้องชุด หรืออยู่ในที่แห่งเดียวกันหรืออยู่ในบริเวณเดียวกันกับอาคารหรือห้องชุด
(5) กรณีที่สามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ไม่ว่าสามีหรือภริยาเป็นผู้จ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการซ่อมแซมทรัพย์สิน ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ตาม (1) ให้สามีหรือภริยาผู้มีเงินได้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามหลักเกณฑ์ใน (2) (3) และ (4)
(6) กรณีที่สามีหรือภริยาต่างฝ่ายต่างเป็นผู้มีเงินได้ และต่างฝ่ายต่างจ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สิน ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนโพดุล พายุโซนร้อนคาจิกิ หรือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ตาม (1) ให้สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามหลักเกณฑ์ใน (2) (3) และ (4)
ข้อ ๒ ผู้มีเงินได้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 1 ต้องจัดทําแบบแสดงการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ โดยมีข้องความอย่างน้อยตามแบบแนบท้ายประกาศนี้และต้องมีเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้ พร้อมให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
(1) เอกสารการจ่ายเงินค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สิน ที่แสดงชื่อพร้อมที่อยู่และลายมือชื่อของผู้รับเงิน ชื่อของผู้จ่ายเงิน วัน เดือน ปี ที่จ่าย รายการที่จ่าย และจํานวนเงินที่จ่าย หรือหลักฐานอื่นที่พิสูจน์หรือแสดงได้ว่าผู้มีเงินได้เป็นผู้จ่ายเงินค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สินนั้น
(2) เอกสารหลักฐานตามข้อ 1 (2)
ผู้มีเงินได้จะยื่นแบบแสดงการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้และภาพถ่ายเอกสารตาม (1) และ (2) พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ได้
ข้อ ๓ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี ไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปีภาษี พ.ศ. 2562
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,247 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 163) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 163)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน
-----------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3(2) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2549 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 157) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ลงวันที่ 15 กันยายน พ. ศ. 2549 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 1 “ทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการ” หมายความว่า ทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้า”
ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 157) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ลงวันที่ 15 กันยายน พ. ศ. 2549 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 3 ทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการที่ขายต้องมีหลักฐานการได้มาซึ่งทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จรับเงิน ใบกํากับภาษี ใบส่งสินค้า ใบแจ้งหนี้ สัญญาซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน บัญชีทรัพย์สิน หรือเอกสารอื่นใดในทํานองเดียวกัน โดยเครื่องจักรใหม่ที่ซื้อทดแทนต้องเป็นทรัพย์สินประเภทเดียวกันกับทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการที่ขาย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มกําลังการผลิตสินค้าหรือการให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าที่ดีขึ้น หรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าหรือการให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าของกิจการ และต้องเป็นเครื่องจักรที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน”
ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (จ) ของข้อ 5 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 157) เรื่องกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ลงวันที่ 15 กันยายน พ. ศ. 2549
“(จ) ทรัพย์สินที่ได้มาตามโครงการซึ่งมูลค่าของทรัพย์สินนั้นได้รวมเป็นมูลค่าของโครงการ ซึ่งใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามความในมาตรา 3 (1) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2549”
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2550
ศานิต ร่างน้อย
(นายศานิต ร่างน้อย)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,248 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 366) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ตามมาตรา 65 ตรี(5) แห่งประมวลรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 366)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ตามมาตรา 65 ตรี(5) แห่งประมวลรัษฎากร
----------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 690) พ.ศ. 2563 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 690) พ.ศ. 2563 ต้องเป็นเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร และต้องเป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นจากสัญญา ใบสั่งซื้อ ใบสั่งจ้าง หรือข้อตกลงในลักษณะทํานองเดียวกันทั้งสิ้น แล้วแต่กรณีที่ได้กระทําตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
ข้อ ๒ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ลงทุนในเครื่องจักรตามหลักเกณฑ์ข้อ 1 ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นจํานวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายตามจํานวนที่ได้จ่ายไปจริงตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 โดยให้ยกเว้นตามส่วนเฉลี่ยเป็นจํานวนเท่ากันของจํานวนเงินได้ที่ได้รับยกเว้นสําหรับระยะเวลาห้ารอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน
ข้อ ๓ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามข้อ 2 เริ่มใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มต้นหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๔ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามข้อ 2 และข้อ 3 ดําเนินการ ดังนี้
“(1) จัดทําโครงการลงทุนและแผนการลงทุนตามแบบแจ้งโครงการลงทุนและแผนการจ่ายเงินตามที่แนบท้ายประกาศนี้ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร http://www.rd.go.th ภายในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 374) ประกาศ ณ วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2563)
(2) จัดทํารายงานแสดงรายละเอียดของเครื่องจักรที่ใช้สิทธิยกเว้นนั้น โดยต้องมีรายการและข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ และเก็บรักษารายงานดังกล่าว รวมทั้งเอกสารประกอบการลงรายการในรายงานไว้ ณ สถานประกอบการ พร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
เครื่องจักรตามวรรคหนึ่งจะต้องมีอยู่ในทะเบียนทรัพย์สินของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือเอกสารอื่นใดในทํานองเดียวกันที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดทําขึ้น
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,249 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 162) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 162)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้
---------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2 (76) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 263 (พ.ศ. 2549) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพ ให้แก่บริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัยที่ประกอบกิจการในราชอาณาจักร เพื่อเอาประกันภัยสําหรับบิดามารดาของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ตามจํานวนเบี้ยประกันภัยที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท ในปีภาษีนั้น ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ต้องเป็นการทําประกันสุขภาพให้กับบิดามารดาของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ซึ่งบิดาหรือมารดาดังกล่าวแต่ละคนมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ขอยกเว้นภาษีเงินได้ไม่เกินสามหมื่นบาท
(2) ผู้มีเงินได้หรือสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้จะต้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดามารดาที่ผู้มีเงินได้ใช้สิทธิขอยกเว้นภาษีเงินได้จากการทําประกันสุขภาพสําหรับบิดามารดาดังกล่าว
(3) ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้กรณีการทําประกันสุขภาพสําหรับบิดามารดาดังกล่าวตลอดปีภาษี ไม่ว่ากรณีที่จะได้รับยกเว้นภาษีนั้นจะมีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่
(4) กรณีผู้มีเงินได้หลายคนร่วมกันทําประกันสุขภาพสําหรับบิดามารดาดังกล่าว ให้ผู้มีเงินได้ทุกคนได้รับยกเว้นภาษีเงินได้โดยเฉลี่ยเบี้ยประกันภัยที่ผู้มีเงินได้ร่วมกันจ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท ตามส่วนจํานวนผู้มีเงินได้
(5) กรณีสามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้สามีหรือภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนเบี้ยประกันภัยที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท
(6) กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ดังนี้
(ก) ถ้าความเป็นสามีภริยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ให้สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนเบี้ยประกันภัยที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท
(ข) ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้และภริยาไม่ใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนเบี้ยประกันภัยที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท
(ค) ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้และภริยาใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนเบี้ยประกันภัยที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท
(7) กรณีผู้มีเงินได้มิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เฉพาะการทําประกันภัยสําหรับบิดามารดาที่อยู่ในประเทศไทย
ข้อ ๒ การประกันสุขภาพตามข้อ 1 ให้หมายถึง
(1) การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอันเกิดจากการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บ การชดเชยการทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะ เนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ
(2) การประกันภัยอุบัติเหตุเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก
(3) การประกันภัยโรคร้ายแรง (Critical Illnesses)
(4) การประกันภัยการดูแลระยะยาว (Long Term Care)
ข้อ ๓ ผู้มีเงินได้ต้องแจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อบริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัยที่ได้เอาประกันไว้ ทั้งนี้ สําหรับการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตั้งแต่ปีภาษี 2563 เป็นต้นไป
สําหรับในปีภาษี 2562 การใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ผู้มีเงินได้ต้องมีใบเสร็จรับเงินหรือหนังสือรับรองจากบริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัย ซึ่งต้องมีข้อความอย่างน้อยดังต่อไปนี้
(1) ชื่อ นามสกุล และเลขประจําตัวประชาชนของผู้เอาประกันภัย
(2) ชื่อ และนามสกุลของผู้จ่ายเบี้ยประกันภัย (ทุกคน)
(3) ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้รับประกันภัย
(4) จํานวนเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพตามข้อ 2
(5) จํานวนเงินที่มีสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้”
“ข้อ 3/1 บริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัยที่ได้รับแจ้งความประสงค์ตามข้อ 3 วรรคหนึ่ง ต้องส่งข้อมูลของผู้เอาประกันต่อกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร โดยจัดทําขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและนําส่งตามวิธีการที่กําหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
การแจ้งและการส่งข้อมูลตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งภายในวันที่ 7 มกราคมของปีถัดไป เว้นแต่อธิบดีจะกําหนดเป็นอย่างอื่น”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 360) ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2562 ที่จะต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป)
“กรณีบริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัยได้แจ้งและส่งข้อมูลตามวรรคสองแล้ว แต่มีความประสงค์จะขอแก้ไข ยกเลิก หรือเพิ่มเติมข้อมูลดังกล่าวนั้น ให้บริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัยแจ้งและส่งข้อมูลผ่านระบบรับข้อมูลเบี้ยประกันภัยเกินกําหนดเวลาบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 384) ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2563 ที่จะต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป)
ข้อ ๔ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๕ ในกรณีมีปัญหาในทางปฏิบัติ ให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอํานาจวินิจฉัยและคําวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรให้ถือเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดตามประกาศนี้ด้วย
ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2549
พิชาติ เกษเรือง
(นายพิชาติ เกษเรือง)
รองอธิบดี รักษาราชการแทน
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,250 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 161) เรื่อง กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 161)
เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดทําบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย
---------------------------------------------------
เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 17(1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ( ฉบับที่ 25) พ . ศ .2525 อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม มีหน้าที่จัดทําบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย และลงรายการในบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้และภาษีการค้า ( ฉบับที่ 1) เรื่อง กําหนดให้ผู้ประกอบการค้าที่ต้องเสียภาษีการค้าหรือแม้ไม่ต้องเสียภาษีการค้า แต่ต้องเสียภาษีเงินได้ปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดทําบัญชีรายรับเป็นประจําวันและกําหนดแบบบัญชีคุมสินค้า ลงวันที่ 31 มกราคม พ . ศ .2505
ข้อ ๒ ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5) (6) (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร จัดทําบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายเป็นประจําวัน โดยต้องมีรายการและข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้
ข้อ ๓ การจัดทําบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายประจําวัน ตามข้อ 2 ให้ทําเป็นภาษาไทย ถ้าทําเป็นภาษาต่างประเทศให้มีภาษาไทยกํากับ และให้ลงรายการในบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่ายภายใน 3 วันทําการ นับแต่วันที่มีรายได้หรือรายจ่าย
ข้อ ๔ ในกรณีที่มีปัญหาในการปฏิบัติตามประกาศนี้ ให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอํานาจวินิจฉัย และคําวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรให้ถือเป็นที่สุด
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ที่ลงประกาศนี้เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2549
พิชาติ เกษเรือง
(นาย พิชาติ เกษเรือง )
รองอธิบดี รักษาราชการแทน
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,251 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 160) เรื่อง กำหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 160)
เรื่อง กําหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
-----------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 67 ทวิ มาตรา 68 มาตรา 69 มาตรา 69 ทวิ มาตรา 70 และมาตรา 70 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรจึงกําหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เพื่อใช้ยื่นรายการต่อเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 16) เรื่อง กําหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525
“แบบแสดงรายการตาม (4) ใช้ยื่นโดยแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ด้วยสื่อบันทึกในระบบคอมพิวเตอร์ตามรูปแบบ (Format) ของข้อมูลที่อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดก็ได้ โดยผู้ประสงค์จะยื่นแบบแสดงรายการด้วยสื่อบันทึกในระบบคอมพิวเตอร์ ต้องยื่นคําขอต่ออธิบดีกรมสรรพากร”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับการยื่นรายการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,252 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 159) เรื่อง กำหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 159)
เรื่อง กําหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย
------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 58 และมาตรา 59 แห่งประมวลรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรจึงกําหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เพื่อใช้ยื่นรายการต่อเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในวรรคสามของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 58) เรื่อง กําหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 94) เรื่อง กําหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2544 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“แบบแสดงรายการตาม (1) (2) (3) (4) (5) และ (6) ใช้ยื่นโดยแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายด้วยสื่อบันทึกในระบบคอมพิวเตอร์ตามรูปแบบ (Format) ของข้อมูลที่อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดก็ได้ โดยผู้ประสงค์จะยื่นแบบแสดงรายการด้วยสื่อบันทึกในระบบคอมพิวเตอร์ ต้องยื่นคําขอต่ออธิบดีกรมสรรพากร”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับการยื่นรายการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,253 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 158) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ สำหรับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 158)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ สําหรับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย
---------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2(36) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตาม ความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 195 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (1) วรรคหนึ่ง ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 52) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ สําหรับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 151) เรื่อง กําหนด หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ สําหรับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย ลง วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2549 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ (1) กรณีเกษียณอายุ ลูกจ้างผู้นั้นต้องมีอายุไม่ต่ํากว่า 55 ปีบริบูรณ์ ซึ่งออกจากงานเพราะครบกําหนดหรือสิ้นกําหนดเวลาทํางานตามสัญญาจ้างแรงงานที่เป็นลายลักษณ์อักษร และเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสํารองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสํารองเลี้ยงชีพมาแล้วไม่ น้อย กว่า 5 ปี ”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศณวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,254 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 365) เรื่อง กำหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 365)
เรื่อง กําหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
---------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 67 ทวิ มาตรา 68 มาตรา 69 มาตรา 69 ทวิ มาตรา 70 และมาตรา 70 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรจึงกําหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เพื่อใช้ยื่นรายการต่อเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (6) ของข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 16) เรื่อง กําหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 21) เรื่อง กําหนดแบบแสดงรายการเกี่ยวกับภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2526 และให้ใช้ความดังต่อไปนี้แทน
“(6) แบบ ภ.ง.ด.55 ใช้สําหรับมูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ หรือกองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศตาม (3) หรือ (3/1) ของคํานิยาม “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล” ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2563
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,255 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต ที่ สน. 5/2540 เรื่อง แบบรายงานผลการชำระบัญชี
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สน. 5/2540
เรื่อง แบบรายงานผลการชําระบัญชี
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 11 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 9/2540 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการชําระบัญชีของกองทุนรวม ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2540 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การรายงานผลการชําระบัญชีของกองทุนรวม ให้ผู้ชําระบัญชีจัดทําตามแบบ 130-1 ท้ายประกาศนี้
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540
(นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,256 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 364) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 364)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้
---------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2 (97) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 334 (พ.ศ. 2560) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ 4 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 315) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้ ลงวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 4 บริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัยที่ได้รับแจ้งความประสงค์ตามข้อ 3 วรรคหนึ่ง ต้องส่งข้อมูลของผู้เอาประกันต่อกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร โดยจัดทําขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและนําส่งตามวิธีการที่กําหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2563 ที่จะต้องยื่นรายการในพ.ศ. 2564 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,257 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 363) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเงินฝากไว้กับธนาคารที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ และธนาคารผู้รับฝากจะจ่ายเงินและผลประโยชน์ โดยอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของผู้ฝาก
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 363)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเงินฝากไว้กับธนาคารที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ และธนาคารผู้รับฝากจะจ่ายเงินและผลประโยชน์ โดยอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของผู้ฝาก
-------------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2 (94) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 326 (พ.ศ. 2560) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเงินฝากไว้กับธนาคารที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 301) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเงินฝากไว้กับธนาคารที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ และธนาคารผู้รับฝากจะจ่ายเงินและผลประโยชน์ โดยอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของผู้ฝาก ลงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 3 การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้
(1) กรณีการฝากเงินตามข้อ 1 ที่ได้เริ่มทําตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป ผู้มีเงินได้ต้องแจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อธนาคารผู้รับฝากเงิน
(2) กรณีการฝากเงินตามข้อ 1 ที่ได้ทําก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 หากผู้มีเงินได้เลือกไม่แจ้งความประสงค์การใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อธนาคารผู้รับฝากเงิน ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานจากธนาคารผู้รับฝากเงินที่พิสูจน์ได้ว่า มีการส่งเงินฝากตามข้อ 1
กรณีการฝากเงินตามข้อ 1 ที่ธนาคารผู้รับฝากเงินมีข้อกําหนดให้ผู้รับฝากได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนในระหว่างอายุการฝากเงิน หลักฐานตามวรรคหนึ่งตองระบุเงื่อนไขตามข้อ 1 (2) ด้วย”
ข้อ ๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 3/1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 301) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเงินฝากไว้กับธนาคารที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ และธนาคารผู้รับฝากจะจ่ายเงินและผลประโยชน์ โดยอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของผู้ฝาก ลงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560
“ข้อ 3/1 ธนาคารผู้รับฝากเงินที่ได้รับแจ้งความประสงค์ตามข้อ 3 ต้องส่งข้อมูลของผู้ฝากเงินต่อกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร โดยจัดทําขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและนําส่งตามวิธีการที่กําหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
การแจ้งและการส่งข้อมูลตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งภายในวันที่ 7 มกราคมของปีถัดไป เว้นแต่อธิบดีจะกําหนดเป็นอย่างอื่น”
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2562 ที่จะต้องยื่นรายการในพ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,258 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 362) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญของผู้มีเงินได้ตามวรรคสามของข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 362)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยสําหรับการประกันชีวิตแบบบํานาญของผู้มีเงินได้ตามวรรคสามของข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
--------------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในวรรคสามของข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงฉบับที่ 279 (พ.ศ. 2554) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยสําหรับการประกันชีวิตแบบบํานาญของผู้มีเงินได้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 194) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยสําหรับการประกันชีวิตแบบบํานาญของผู้มีเงินได้ตามวรรคสามของข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 261) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยสําหรับการประกันชีวิตแบบบํานาญของผู้มีเงินได้ตามวรรคสามของข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 3 การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้
(1) กรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบํานาญที่ได้เริ่มทําตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป ผู้มีเงินได้ต้องแจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อผู้รับประกันภัยที่ได้เอาประกันไว้
(2) กรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบํานาญที่ได้ทําก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 หากผู้มีเงินได้เลือกไม่แจ้งความประสงค์การใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อผู้รับประกันภัยที่ได้เอาประกันไว้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานจากผู้รับประกันภัยซึ่งได้รับรองว่า เป็นการจ่ายเบี้ยประกันภัยสําหรับการประกันชีวิตแบบบํานาญที่ได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศฉบับนี้”
ข้อ ๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 3/1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 194) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยสําหรับการประกันชีวิตแบบบํานาญของผู้มีเงินได้ตามวรรคสามของข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 261) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยสําหรับการประกันชีวิตแบบบํานาญของผู้มีเงินได้ตามวรรคสามของข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558
“ข้อ 3/1 ผู้รับประกันภัยที่ได้รับแจ้งความประสงค์ตามข้อ 3 ต้องส่งข้อมูลของผู้เอาประกันต่อกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร โดยจัดทําขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและนําส่งตามวิธีการที่กําหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
การแจ้งและการส่งข้อมูลตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งภายในวันที่ 7 มกราคมของปีถัดไป เว้นแต่อธิบดีจะกําหนดเป็นอย่างอื่น”
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2562 ที่จะต้องยื่นรายการในพ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,259 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 361) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 361)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
-------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 266 (พ.ศ. 2551) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ 4 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 172) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 235) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 4 การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้
(1) กรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ได้เริ่มทําตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป ผู้มีเงินได้ต้องแจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อผู้รับประกันภัยที่ได้เอาประกันไว้
(2) กรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ได้ทําก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 หากผู้มีเงินได้เลือกไม่แจ้งความประสงค์การใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อผู้รับประกันภัยที่ได้เอาประกันไว้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานจากผู้รับประกันภัยที่พิสูจน์ได้ว่า มีการจ่ายเบี้ยประกันชีวิต
กรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติม หลักฐานตามวรรคหนึ่งต้องระบุจํานวนเบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันภัยที่จ่ายสําหรับความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติมแยกออกจากกัน
กรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีการรับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนในระหว่างอายุกรมธรรม์ หลักฐานตามวรรคหนึ่งต้องระบุเงื่อนไขตามข้อ 2 (2) ด้วย
ความในวรรคสองและวรรคสามให้ใช้บังคับสําหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ได้เริ่มทําตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป”
ข้อ ๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 4/1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 172) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 235) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามข้อ 2 (61) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556
“ข้อ 4/1 ผู้รับประกันภัยที่ได้รับแจ้งความประสงค์ตามข้อ 4 ต้องส่งข้อมูลของผู้เอาประกันภัยต่อกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร โดยจัดทําขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและนําส่งตามวิธีการที่กําหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
การแจ้งและการส่งข้อมูลตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งภายในวันที่ 7 มกราคมของปีถัดไป เว้นแต่อธิบดีจะกําหนดเป็นอย่างอื่น”
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2562 ที่จะต้องยื่นรายการในพ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,260 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต ที่ สน. 7/2540 เรื่อง คุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สน. 7/2540
เรื่อง คุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
"กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์" หมายความว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทจัดการจัดตั้งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อนําเงินที่ได้จากการจําหน่ายหน่วยลงทุนไปซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ และจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว
"บริษัทจัดการ" หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม
ข้อ ๒ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(1) มีคุณสมบัติตามประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวม
(2) มีบุคลากรซึ่งมีความรู้อย่างน้อยปริญญาตรีทางด้านกฎหมาย การเงิน การบัญชี การบริหารธุรกิจ วิศวกรรมศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์ ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หรือในการให้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์อย่างน้อยหนึ่งปี จํานวนไม่น้อยกว่าห้าคน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานที่รับผิดชอบงานในการเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ บุคลากรดังกล่าวจะสังกัดในหน่วยงานนั้นหรือสังกัดในหน่วยงานอื่น แต่ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานที่รับผิดชอบงานในการเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ให้ช่วยปฏิบัติหน้าที่ก็ได้
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540
(นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,261 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต ที่ สน. 15/2545 เรื่อง คุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สน. 15/2545
เรื่อง คุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ สน. 7/2540 เรื่อง คุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
“กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์” หมายความว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทจัดการจัดตั้งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อนําเงินที่ได้จากการจําหน่ายหน่วยลงทุนไปซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ และจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว
“บริษัทจัดการ” หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม
ข้อ ๓ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(1) มีคุณสมบัติตามประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวม
(2) มีบุคลากรซึ่งมีความรู้อย่างน้อยปริญญาตรีทางด้านกฎหมาย การเงิน การบัญชี การบริหารธุรกิจ วิศวกรรมศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์ ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หรือในการให้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์อย่างน้อยห้าปี จํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งคน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานที่รับผิดชอบงานในการเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ บุคลากรดังกล่าวจะสังกัดในหน่วยงานนั้นหรือสังกัดในหน่วยงานอื่น แต่ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานที่รับผิดชอบงานในการเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ให้ช่วยปฏิบัติหน้าที่ก็ได้
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2545 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2545
(นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,262 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต ที่ สน. 12/2540 เรื่อง ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการยื่นคำขอต่าง ๆ คุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ การให้ความเห็นชอบและการดำเนินงานของบริษัทประเมินค่าทรัพย์สินและผู้ประเมินหลักของ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้ลงทุนสถาบัน
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สน. 12/2540
เรื่อง ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการยื่นคําขอต่าง ๆ คุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์
การให้ความเห็นชอบและการดําเนินงานของบริษัทประเมินค่าทรัพย์สินและผู้ประเมินหลักของ
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สําหรับผู้ลงทุนสถาบัน
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 19(3) และมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ประกอบกับประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ กน. 19/2540 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สําหรับผู้ลงทุนสถาบัน ลงวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2540 ซึ่งกําหนดให้บริษัทจัดการต้องจัดให้มีบริษัทประเมินค่าทรัพย์สินที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน เพื่อทําการประเมินค่าและการสอบทานการประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนรวม สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จึงออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
"ผู้ดูแลผลประโยชน์" หมายความว่า ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวม
"บริษัทประเมินค่าทรัพย์สิน" หมายความว่า นิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ในการประเมินค่าหรือการสอบทานการประเมินค่าทรัพย์สินเป็นทางค้าปกติ และได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานให้เป็นบริษัทประเมินค่าทรัพย์สินของกองทุนรวมได้
"การประเมินค่า" หมายความว่า การคํานวณมูลค่าอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนรวมเพื่อวัตถุประสงค์สาธารณะในการเปิดเผยข้อมูลต่อประชาชนโดยเป็นการประเมินอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งต้องมีการตรวจสอบเอกสารสิทธิ ข้อจํากัดสิทธิครอบครองในทรัพย์สิน เงื่อนไขและข้อจํากัดทางกฎหมาย ข้อจํากัดอื่นของการใช้ประโยชน์ รายละเอียดการใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน และรายละเอียดอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการสํารวจทรัพย์สินตามสภาพที่เป็นอยู่
"การสอบทานการประเมินค่า" หมายความว่า การเสนอความเห็นเกี่ยวกับมูลค่าอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนรวม โดยมิได้มีการสํารวจทรัพย์สิน
"ผู้ประเมินหลัก" หมายความว่า ผู้ที่รับผิดชอบในการประเมินค่าหรือการสอบทานการประเมินค่า ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานให้เป็นผู้ประเมินหลักของกองทุนรวมได้ และลงลายมือชื่อในรายงานการประเมินค่า
"ผู้ลงทุนสถาบัน" หมายความว่า ผู้ลงทุนประเภทสถาบันหรือที่มีลักษณะเฉพาะตามข้อ 7(3)(ก) ถึง (ณ) แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กจ. 13/2539 เรื่อง การยื่นและการยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ ลงวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2539
"กองทุนรวม" หมายความว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทจัดการจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจําหน่ายหน่วยลงทุนแก่ผู้ลงทุนสถาบัน และนําเงินที่ได้จากการจําหน่ายหน่วยลงทุนไปซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์และจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว
"บริษัทจัดการ" หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม
"สํานักงาน" หมายความว่า สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย
ข้อ ๒ ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวมและการจดทะเบียนเพิ่มเงินทุนของกองทุนรวม ให้เป็นไปตามประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สน. 9/2540 เรื่อง การกําหนดค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการจดทะเบียน และการยื่นคําขอต่าง ๆ ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2540
ข้อ ๓ คุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวม ให้เป็นไปตามประกาศสํานักงานคณะ กรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วย คุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวม
ข้อ ๔ การให้ความเห็นชอบ การกํากับดูแล และการดําเนินงานของบริษัทประเมินค่าทรัพย์สินและผู้ประเมินหลักของกองทุนรวม ให้เป็นไปตามประกาศ เรื่อง การให้ความเห็นชอบและการ
ดําเนินงานของบริษัทประเมินค่าทรัพย์สินและผู้ประเมินหลักของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
ที่ อน. 2/2540 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2540
(นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,263 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต ที่ สน. 4/2541 เรื่อง ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการยื่นคำขอต่าง ๆ คุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ การให้ความเห็นชอบและการดำเนินงานของบริษัทประเมินค่าทรัพย์สินและผู้ประเมินหลักของ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้ลงทุนสถาบัน (ฉบับที่ 2)
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สน. 4/2541
เรื่อง ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการยื่นคําขอต่าง ๆ คุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ การให้ความเห็นชอบและการดําเนินงานของบริษัทประเมินค่าทรัพย์สินและผู้ประเมินหลักของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สําหรับผู้ลงทุนสถาบัน (ฉบับที่ 2)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกความในข้อ 3 แห่งประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สน. 12/2540 เรื่อง ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการยื่นคําขอต่าง ๆ คุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ การให้ความเห็นชอบและการดําเนินงานของบริษัทประเมินค่าทรัพย์สินและผู้ประเมินหลักของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สําหรับผู้ลงทุนสถาบัน ลงวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
"ข้อ 3 คุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวม ให้เป็นไปตามประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวม"
ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2541
(นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,264 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 182) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขรวมทั้งจำนวนคนพิการและคนทุพพลภาพในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้มีเงินได้ในการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการซึ่งมีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือคนทุพพลภาพตามมาตรา 47(1)(ฎ) แห่งประมวลรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 182)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขรวมทั้งจํานวนคนพิการและคนทุพพลภาพในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้มีเงินได้ในการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการซึ่งมีบัตรประจําตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือคนทุพพลภาพตามมาตรา 47(1)(ฎ) แห่งประมวลรัษฎากร
-----------------------------------------
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขรวมทั้งจํานวนคนพิการและอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 47(1)(ฎ) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 37) พ.ศ.2552 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขรวมทั้งจํานวนคนพิการและคนทุพพลภาพในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้มีเงินได้ในการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการซึ่งมีบัตรประจําตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือคนทุพพลภาพ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา สามีหรือภริยา บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้ บิดามารดาหรือบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ หรือบุคคลอื่นที่ผู้มีเงินได้เป็นผู้ดูแลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ คนละ 60,000 บาท โดยบุคคลดังกล่าวต้องเป็นคนพิการซึ่งมีบัตรประจําตัวคนพิการตามกฎหมาย ว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือเป็นคนทุพพลภาพ ตามมาตรา 47(1)(ฎ) แห่งประมวลรัษฎากร ให้หักลดหย่อนได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข รวมทั้งจํานวนคนพิการและคนทุพพลภาพในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้มีเงินได้ ดังต่อไปนี้
(1) ให้ผู้มีเงินได้หักลดหย่อน สําหรับบุคคลซึ่งเป็นคนพิการซึ่งมีบัตรประจําตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือบุคคลซึ่งเป็นคนทุพพลภาพ และอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้มีเงินได้ ดังต่อไปนี้
(ก) บิดามารดา ของผู้มีเงินได้
(ข) บิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้
(ค) สามีหรือภริยา ของผู้มีเงินได้
(ง) บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้
(จ) บุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้
(ฉ) บุคคลอื่นนอกจาก (ก) (ข) (ค) (ง) และ (จ) ที่ผู้มีเงินได้เป็นผู้ดูแลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จํานวน 1 คน
กรณีทุพพลภาพ ต้องเป็นกรณีที่แพทย์ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้ตรวจและแสดงความเห็นว่าบุคคลตาม (ก) (ข) (ค) (ง) (จ) และ (ฉ) มีภาวะจํากัดหรือขาดความสามารถในการประกอบกิจวัตรหลักอันเป็นปกติเยี่ยงบุคคลทั่วไปอันเนื่องมาจากสาเหตุทางปัญหาสุขภาพหรือความเจ็บป่วยที่เป็นต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 180 วัน หรือทุพพลภาพมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 วัน
(2) บุคคลตาม (1) ที่ผู้มีเงินได้จะใช้สิทธิหักลดหย่อนต้องมีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 30,000 บาท ในปีภาษีที่ผู้มีเงินได้ได้ใช้สิทธิหักลดหย่อน โดยไม่รวมถึงเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบุคคลตาม (1) เป็นทั้งคนพิการซึ่งมีบัตรประจําตัวคนพิการตามกฎหมาย ว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และเป็นคนทุพพลภาพ ให้ผู้มีเงินได้หักลดหย่อนได้ในฐานะคนพิการเพียงฐานะเดียว
(3) ผู้มีเงินได้ที่จะใช้สิทธิหักลดหย่อนคนพิการซึ่งเป็นบุคคลตาม (1) ผู้มีเงินได้นั้นต้องเป็นผู้ดูแลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการโดยมีชื่อเป็นผู้ดูแลคนพิการในบัตรประจําตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรณีมีการเปลี่ยนแปลงผู้ดูแลคนพิการในระหว่างปีภาษีให้ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเป็นผู้ดูแลคนพิการในบัตรประจําตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการคนสุดท้ายในปีภาษีนั้นเป็นผู้มีสิทธิหักลดหย่อน
“กรณีผู้มีเงินได้หลายคนมีชื่อเป็นผู้ดูแลคนพิการในบัตรประจําตัวคนพิการตามกฎหมาย ว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีเงินได้ทุกคนที่มีชื่อเป็นผู้ดูแลคนพิการในบัตรประจําตัวคนพิการ ตกลงกันเพื่อยินยอมให้ผู้มีเงินได้คนหนึ่งคนใดเป็นผู้ใช้สิทธิหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูตามประกาศนี้ และทําความตกลงเป็นหนังสือโดยผู้มีเงินได้ทุกคนที่มีชื่อเป็นผู้ดูแลคนพิการในบัตรประจําตัวคนพิการดังกล่าวเป็นผู้ลงนามในหนังสือตกลงยินยอมนั้น เพื่อให้ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้ใช้สิทธิหักลดหย่อนคนพิการใช้เป็นหลักฐานในการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูตามประกาศนี้
กรณีผู้มีเงินได้มีสามีหรือภริยาซึ่งมีบุตรชอบด้วยกฎหมายที่เป็นคนพิการ โดยผู้มีเงินได้มีเงินได้ฝ่ายเดียวแต่สามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้เป็นผู้ดูแลบุตรซึ่งเป็นคนพิการและมีชื่อเป็นผู้ดูแลในบัตรประจําตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการโดยไม่มีผู้มีเงินได้อื่นมีชื่อเป็นผู้ดูแลในบัตรประจําตัวคนพิการอีกให้ผู้มีเงินได้ดังกล่าวมีสิทธิหักลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นคนพิการนั้นโดยไม่ให้นําความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับในกรณีนี้”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 193) ใช้บังคับกับการหักลดหย่อนสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2552 ซึ่งจะต้องยื่นรายการในปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป)
(4) ผู้มีเงินได้ที่จะใช้สิทธิหักลดหย่อนคนทุพพลภาพซึ่งเป็นบุคคลตาม (1) ผู้มีเงินได้นั้นจะต้องมีเอกสารดังต่อไปนี้มาแสดงเพื่อขอใช้สิทธิหักลดหย่อน
(ก) ใบรับรองแพทย์จากแพทย์ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ได้ตรวจและแสดงความเห็นว่าบุคคลตาม (1) มีภาวะจํากัดหรือขาดความสามารถในการประกอบกิจวัตรหลักอันเป็นปกติเยี่ยงบุคคลทั่วไปอันเนื่องมาจากสาเหตุทางปัญหาสุขภาพหรือความเจ็บป่วยที่เป็นต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 180 วัน หรือทุพพลภาพมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 วัน และใบรับรองแพทย์ดังกล่าวต้องเป็นใบรับรองแพทย์ที่ออกในปีภาษีที่ขอใช้สิทธิหักลดหย่อน
กรณีผู้มีเงินได้หลายคนมีใบรับรองแพทย์จากแพทย์ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีเงินได้ทุกคนที่มีใบรับรองแพทย์ดังกล่าว ตกลงกันเพื่อยินยอมให้ผู้มีเงินได้คนหนึ่งคนใดเป็นผู้ใช้สิทธิหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูตามประกาศนี้ และทําความตกลงเป็นหนังสือโดยผู้มีเงินได้ทุกคนที่มีใบรับรองแพทย์ดังกล่าวเป็นผู้ลงนามในหนังสือตกลงยินยอมนั้น เพื่อให้ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้ใช้สิทธิหักลดหย่อนคนทุพพลภาพ ใช้เป็นหลักฐานในการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูตามประกาศนี้
(ข) หนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูคนทุพพลภาพ ที่รับรองว่าผู้มีเงินได้เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูบุคคลตาม (1) ซึ่งเป็นคนทุพพลภาพ โดยผู้รับรองต้องเป็นสามีภริยาหรือบุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมหรือหลาน หรือบิดามารดา หรือพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน หรือพี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน หรือปู่ย่าตายาย หรือลุงป้าน้าอา ของบุคคลตาม (1) ซึ่งเป็นคนทุพพลภาพ หรือกํานันผู้ใหญ่บ้าน หรือบุคคลที่เป็นสมาชิกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในท้องที่ที่บุคคลตาม (1) ซึ่งเป็นคนทุพพลภาพอยู่อาศัย โดยหนังสือรับรองดังกล่าว ผู้รับรองต้องรับรองของแต่ละปีภาษีที่ผู้มีเงินได้ได้ใช้สิทธิหักลดหย่อนผู้รับรองตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นบุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะ และรับรองผู้มีเงินได้ ได้ไม่เกิน 1 คน สําหรับการเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูคนทุพพลภาพคนหนึ่งคนใด
(5) การหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพตามประกาศนี้ให้หักได้ตลอดปีภาษี ไม่ว่ากรณีที่จะหักได้นั้นจะมีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่ ทั้งนี้ การหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนทุพพลภาพต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวรรคสองของ (1) ด้วย
(6) กรณีผู้มีเงินได้มิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยให้หักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพได้เฉพาะคนพิการหรือคนทุพพลภาพที่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย
ข้อ ๒ บุคคลตามข้อ 1 (1) ที่ผู้มีเงินได้จะใช้สิทธิหักลดหย่อนตามประกาศนี้จะต้องเป็นบุคคลที่มีเลขประจําตัวประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนราษฎร
ข้อ ๓ การหักลดหย่อนตามประกาศนี้ ผู้มีเงินได้ต้องแนบหนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ (แบบ ล.ย.04) ซึ่งมีข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ และแนบหลักฐานดังต่อไปนี้ พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
(1) กรณีหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการให้แนบภาพถ่ายบัตรประจําตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการของบุคคลที่ผู้มีเงินได้จะใช้สิทธิหักลดหย่อนพร้อมทั้งภาพถ่ายบัตรประจําตัวคนพิการดังกล่าวในส่วนที่แสดงว่าผู้มีเงินได้เป็นผู้ดูแลคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการด้วย
(2) กรณีหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนทุพพลภาพ ให้แนบหลักฐานดังต่อไปนี้
(ก) ใบรับรองแพทย์ตามข้อ 1(4)(ก)
(ข) หนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูคนทุพพลภาพ (แบบ ล.ย.04-1) ตามข้อ 1(4)(ข) โดยต้องมีข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้
ข้อ ๔ กรณีผู้มีเงินได้ซึ่งมีสิทธิหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 1 และคนพิการหรือคนทุพพลภาพดังกล่าวเป็นบุตรตามข้อ 1 (1) (ง) และ (จ) และผู้มีเงินได้และสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างมีเงินได้และอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว โดยภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร และใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามี ซึ่งสามีและภริยาต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ ได้คนละ 30,000 บาท สําหรับบุตรซึ่งเป็นคนพิการหรือคนทุพพลภาพนั้น ตามมาตรา 57 เบญจ (2) แห่งประมวลรัษฎากร สามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ต้องแนบหลักฐานดังต่อไปนี้ พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
(1) ภาพถ่าย แบบ ล.ย. 04 ของผู้มีเงินได้ตามข้อ 3 ซึ่งสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ได้ลงลายมือชื่อรับรองภาพถ่ายนั้น
(2) ภาพถ่ายหลักฐานตามข้อ 3 (1) และ (2) (ก) และ (ข) ของผู้มีเงินได้ ซึ่งสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ได้ลงลายมือชื่อรับรองภาพถ่ายนั้น
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วินัย วิทวัสการเวช
(นายวินัย วิทวัสการเวช)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,265 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต ที่ สธ. 13/2540 เรื่อง การยกเลิกประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับการอนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์ตั้งตัวแทนหรือนายหน้าเพื่อหาลูกค้าในต่างประเทศหรือส่งคำสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์จากต่างประเทศ
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สธ. 13 /2540
เรื่อง การยกเลิกประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เกี่ยวกับการอนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์ตั้งตัวแทนหรือนายหน้าเพื่อหาลูกค้าในต่างประเทศ
หรือส่งคําสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์จากต่างประเทศ
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 19 และมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สก. 72539 เรื่อง การอนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์ตั้งตัวแทนหรือนายหน้าเพื่อหาลูกค้าใน ต่างประเทศ หรือส่งคําสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์จากต่างประเทศ ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2540
(นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา)
เลขาธิการ สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,266 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต ที่ สจ. 14/2540 เรื่อง การจัดทำและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สจ. 14/2540
เรื่อง การจัดทําและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกข้อกําหนดด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เรื่อง การจัดทําและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์ ลงวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535
ข้อ ๒ ในประกาศนี้และในรายงานการถือหลักทรัพย์ที่กําหนดตามประกาศนี้
"หลักทรัพย์" หมายความว่า หุ้น หรือหลักทรัพย์แปลงสภาพ
"หลักทรัพย์แปลงสภาพ" หมายความว่า หุ้นกู้แปลงสภาพ ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น
"หุ้นกู้แปลงสภาพ" หมายความว่า หุ้นกู้แปลงสภาพที่ออกโดยบริษัทมหาชนจํากัดที่ให้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นที่ออกโดยบริษัทมหาชนจํากัดนั้น
"ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น" หมายความว่า ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นที่ออกโดยบริษัทมหาชนจํากัดที่ให้สิทธิที่จะซื้อหุ้นที่ออกโดยบริษัทมหาชนจํากัดนั้น
"ผู้บริหาร" หมายความว่า กรรมการ ผู้จัดการ ผู้ดํารงตําแหน่งระดับบริหารซึ่งเป็นระดับผู้จัดการฝ่ายขึ้นไป หรือผู้ซึ่งดํารงตําแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีอํานาจในการจัดการบริษัทมหาชนจํากัด และให้หมายความรวมถึงบุคคลซึ่งบริษัทมหาชนจํากัดทําสัญญาให้มีอํานาจทั้งหมดหรือบางส่วนในการบริหารงานของบริษัทมหาชนจํากัดด้วย
"เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน" หมายความว่า การเสนอขายหลักทรัพย์ที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสํานักงานตามมาตรา 65
"เสนอขายหลักทรัพย์แก่บุคคลในวงจํากัด" หมายความว่า การเสนอขายหลักทรัพย์ที่ผู้เสนอขายได้รับยกเว้นการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสํานักงานตามมาตรา 64
"สํานักงาน" หมายความว่า สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ข้อ ๓ ให้ผู้บริหารและผู้สอบบัญชีของบริษัทมหาชนจํากัดที่ได้รับอนุญาตจากสํานักงานให้เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน หรือให้เสนอขายหลักทรัพย์แก่บุคคลในวงจํากัดและต่อมาได้มีเจ้าของหลักทรัพย์รายใดรายหนึ่งเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน มีหน้าที่ต้องจัดทําและส่งรายงานการถือหลักทรัพย์ของตน ของคู่สมรส และของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในบริษัทมหาชนจํากัดที่ตนเป็นผู้บริหารหรือผู้สอบบัญชีนั้นต่อสํานักงานตามที่กําหนดในข้อ 4
ข้อ ๔ การจัดทําและส่งรายงานการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหารและผู้สอบบัญชีตามข้อ 3 ได้แก่การรายงานดังต่อไปนี้
(1) การรายงานการถือหลักทรัพย์ต่อสํานักงานเป็นครั้งแรก ให้ใช้แบบ 59-1
(2) การรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์อันเนื่องมาจากการซื้อ ขาย โอน หรือรับโอนหลักทรัพย์ ให้ใช้แบบ 59-2
ในกรณีที่การเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหารและผู้สอบบัญชี เป็นผลมาจากการใช้สิทธิซื้อหุ้นตามส่วนจํานวนหุ้นที่ถืออยู่ หรือเป็นผลมาจากการใช้สิทธิตามหลักทรัพย์แปลงสภาพ หรือ เป็นการได้มาโดยทางมรดก ไม่ถือว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงการถือ
หลักทรัพย์ที่ต้องรายงานตาม (2)
ข้อ ๕ การรายงานการถือหลักทรัพย์ต่อสํานักงานเป็นครั้งแรกตามข้อ 4(1) ให้ยื่นต่อสํานักงานภายในสามสิบวันนับแต่
(1) วันปิดการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน หรือ
วงเล็บ 2 วันที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งเป็นผู้บริหารหรือผู้สอบบัญชี ในกรณีที่เป็นการแต่งตั้งภายหลังจากวันปิดการเสนอขายหลักทรัพย์ตาม (1)
ข้อ ๖ การรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ตามข้อ 4(2) ให้ยื่นต่อสํานักงานทุกครั้งเมื่อมีการซื้อ ขาย โอน หรือรับโอนหลักทรัพย์ ทั้งนี้ ให้ยื่นภายในสามวันทําการนับแต่วันที่มีการซื้อ ขาย โอน หรือรับโอนหลักทรัพย์นั้น
ข้อ ๗ ผู้บริหารและผู้สอบบัญชีไม่ต้องจัดทําและส่งรายงานการถือหลักทรัพย์ต่อสํานักงานตามข้อ 5 หรือข้อ 6 เมื่อเกิดกรณีดังต่อไปนี้
(1) มีผู้บริหารหรือผู้สอบบัญชีของบริษัทมหาชนจํากัดทําหนังสือแจ้งให้สํานักงานทราบว่าบริษัทมหาชนจํากัดที่ตนเป็นผู้บริหารหรือผู้สอบบัญชีมีจํานวนผู้ถือหลักทรัพย์ทุกประเภทรวมกัน
น้อยกว่าหนึ่งร้อยราย และบริษัทมหาชนจํากัดดังกล่าวมิได้มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมิได้มีหลักทรัพย์ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์
(2) เมื่อครบอายุหลักทรัพย์แปลงสภาพและปรากฎว่าไม่มีผู้ใช้สิทธิตามหลักทรัพย์แปลงสภาพดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่รวมกรณีที่ผู้บริหารหรือผู้สอบบัญชีมีหน้าที่ต้องรายงานการถือหลักทรัพย์ตามประกาศนี้เนื่องจากบริษัทมหาชนจํากัดได้ออกหลักทรัพย์อื่น
เมื่อเหตุการณ์ตาม (1) หมดไป ผู้บริหารและผู้สอบบัญชีต้องจัดทําและส่งรายงานการถือหลักทรัพย์ต่อสํานักงานโดยถือปฏิบัติตามข้อ 5 และข้อ 6 อีกต่อไปเช่นเดิม ในการนี้ให้ผู้บริหารและผู้สอบบัญชียื่นรายงานการถือหลักทรัพย์โดยใช้แบบ 59-1 ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่เหตุการณ์ดังกล่าวหมดไป
ข้อ ๘ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2540
(นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,267 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต ที่ สจ. 30/2541 เรื่อง การจัดทำและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 2)
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สจ. 30/2541
เรื่อง การจัดทําและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์
===============================================
(ฉบับที่ 2)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกข้อกําหนดด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. ไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกบทนิยามคําว่า “หลักทรัพย์แปลงสภาพ” และ “ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น” ในข้อ 2 แห่งประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สจ. 14/2540 เรื่อง การจัดทําและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์ ลงวันที่12 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ “หลักทรัพย์แปลงสภาพ” หมายความว่า หุ้นกู้แปลงสภาพ ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น หรือใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้
“ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น” หมายความว่า ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นที่ออกโดยบริษัทมหาชนจํากัดที่ให้สิทธิที่จะซื้อหุ้นที่ออกโดยบริษัทมหาชนจํากัดนั้น และให้หมายความรวมถึงใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้”
ข้อ 2 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นบทนิยามคําว่า “ใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้” ระหว่างบทนิยามคําว่า “ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น” และคําว่า “ผู้บริหาร” ในข้อ 2 แห่งประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ สจ. 14/2540 เรื่อง การจัดทําและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์ ลงวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2540
“ “ใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้” หมายความว่า ตราสารที่บริษัทมหาชนจํากัดออกให้แก่ผู้ถือหุ้นตามส่วนจํานวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละคนมีอยู่ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นนั้นหรือบุคคลอื่นที่รับโอนตราสารดังกล่าวใช้เป็นหลักฐานในการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทมหาชนจํากัดนั้น โดยสิทธิดังกล่าวเป็นสัดส่วนกับจํานวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นนั้นแต่ละคนมีอยู่”
- 2 -
ข้อ 3 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2541
(นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,268 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สจ. 29/2543 เรื่อง การจัดทำและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 3)
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สจ. 29 /2543
----------------
เรื่อง การจัดทําและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์
(ฉบับที่ 3)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ออกข้อกําหนดด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไว้ดังต่อไปนี้
============================================================================================================================================================================================================================
ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สจ. 11/2541 เรื่อง การยกเว้นการจัดทําและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหารของสถาบันการเงินที่คณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินสั่งปิดกิจการ ลงวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2541
==========================================================================================================================================================================================================================================================================
ข้อ 2 ให้ยกเลิกข้อความในข้อ 7 แห่งประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สจ. 14/2540 เรื่อง การจัดทําและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์ ลงวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 และให้ใช้ความดังต่อไปนี้แทน
=====================================================================================================================================================================================================================
“ข้อ 7 เมื่อบริษัทมหาชนจํากัดตามประกาศนี้สิ้นสุดหน้าที่จัดทําและส่งงบการเงินและรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดําเนินงานตามนัยแห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ว่าด้วยการรายงานการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดําเนินงานของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ให้ผู้บริหารและผู้สอบบัญชีของบริษัทมหาชนจํากัดนั้นสิ้นสุดหน้าที่การจัดทําและส่งรายงานการถือหลักทรัพย์ต่อสํานักงานตามข้อ 3 เช่นเดียวกัน
=====================================================================================================================================================================================================================================================================================================================================================================================================================
เมื่อกรณีที่ทําให้บริษัทมหาชนจํากัดสิ้นสุดหน้าที่ตามวรรคหนึ่งหมดไป ให้ผู้บริหารและผู้สอบบัญชีของบริษัทมหาชนจํากัดนั้นจัดทําและส่งรายงานการถือหลักทรัพย์ต่อสํานักงานตามข้อกําหนดในประกาศนี้ต่อไปเช่นเดิม ในการนี้ ให้ผู้บริหารและผู้สอบบัญชียื่นรายงานการถือหลักทรัพย์โดยใช้แบบ 59-1 ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กรณีดังกล่าวหมดไป”
ข้อ 3 ประกาศนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2543
=====================================
(นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,269 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สจ. 53/2543 เรื่อง การจัดทำและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 4)
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สจ. 53/2543
เรื่อง การจัดทําและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์
(ฉบับที่ 2)
\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_\_
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกข้อกําหนดด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกบทนิยามคําว่า “ผู้บริหาร” ตามข้อ 2 แห่งประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สจ 14/2540 เรื่องการจัดทําและเปิดเผยรายงานการถือหลักทรัพย์ ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2540 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ “ผู้บริหาร” หมายความว่า กรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้ดํารงตําแหน่งระดับบริหารสี่รายแรกนับต่อจากผู้จัดการลงมา ผู้ซึ่งดํารงตําแหน่งเทียบเท่ากับผู้ดํารงตําแหน่งระดับบริหารรายที่สี่ทุกราย และให้หมายความรวมถึงผู้ดํารงตําแหน่งระดับบริหารในสายงานบัญชีหรือการเงินที่เป็นระดับผู้จัดการฝ่ายขึ้นไปหรือเทียบเท่า”
ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2543 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2543
(นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,270 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 157) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 157)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน
----------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3(2) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2549 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ “ทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการ” หมายความว่า ทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้า”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 163) ใช้บังคับ 1 มกราคม 2549 เป็นต้นไป )
ข้อ ๒ เงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทนที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในข้อ 3 ข้อ 4 และข้อ 5
ข้อ ๓ ทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการที่ขายต้องมีหลักฐานการได้มาซึ่งทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จรับเงิน ใบกํากับภาษี ใบส่งสินค้า ใบแจ้งหนี้ สัญญาซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน บัญชีทรัพย์สิน หรือเอกสารอื่นใดในทํานองเดียวกัน โดยเครื่องจักรใหม่ที่ซื้อทดแทนต้องเป็นทรัพย์สินประเภทเดียวกันกับทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการที่ขาย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มกําลังการผลิตสินค้าหรือการให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าที่ดีขึ้น หรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าหรือการให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าของกิจการ และต้องเป็นเครื่องจักรที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 163) ใช้บังคับ 1 มกราคม 2549 เป็นต้นไป )
ข้อ ๔ ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการก่อนซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทนภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการ หรือในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซื้อทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรใหม่ทดแทนก่อนขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ได้ซื้อทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรใหม่ทดแทน
ข้อ ๕ ทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการที่ขายเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ต้องไม่ใช่ทรัพย์สินในกรณีดังต่อไปนี้ ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้น
(ก) ทรัพย์สินที่นําไปใช้ในกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนซึ่งก่อให้เกิดรายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
(ข) ทรัพย์สินที่นําไปใช้ในกิจการซึ่งก่อให้เกิดรายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกา ที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
(ค) ทรัพย์สินอันเกิดจากรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าจ้างเพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 297) พ.ศ. 2539
(ง) อุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่ซื้อทดแทนอุปกรณ์เดิมซึ่งใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 436) พ.ศ. 2548
(จ) ทรัพย์สินที่ได้มาตามโครงการซึ่งมูลค่าของทรัพย์สินนั้นได้รวมเป็นมูลค่าของโครงการ ซึ่งใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามความในมาตรา 3 (1) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2549”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 163) ใช้บังคับ 1 มกราคม 2549 เป็นต้นไป )
ข้อ ๖ ในกรณีที่มีปัญหาที่ไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของประกาศนี้ได้ให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอํานาจวินิจฉัย และคําวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรให้ถือเป็นหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดตามประกาศนี้ด้วย
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,271 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต ที่ สธ. 22/2540 เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สธ. 22 /2540
เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกําไรขาดทุน
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 สํานักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิก
(1) ประกาศสํานักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกําไรขาดทุน ลงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2535
(2) ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สก. 7/2538 เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกําไรขาดทุน ลงวันที่ 24 มีนาคม 2538
ข้อ ๒ ให้บริษัทหลักทรัพย์ใช้แบบงบดุลและแบบบัญชีกําไรขาดทุนตามแบบท้าย ประกาศนี้ คือ แบบ บ.ล. 1 และ แบบ บ.ล. 1.1 ตามลําดับ ทั้งนี้ ในการจัดทํางบดุลและบัญชี กําไรขาดทุน ให้บริษัทหลักทรัพย์ถือปฏิบัติตามคําชี้แจงท้ายประกาศนี้ด้วย
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่งวดบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2540 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540
(นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,272 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต ที่ สธ. 6/2543 เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สธ. 6/2543
เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกําไรขาดทุน
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ. 22/2540 เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกําไรขาดทุน ลงวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540
ข้อ ๒ ให้บริษัทหลักทรัพย์จัดทํางบดุลและบัญชีกําไรขาดทุนตามแบบ บ.ล. 1 และ แบบ บ.ล. 1.1 ที่แนบท้ายประกาศนี้ ทั้งนี้ ในการจัดทํางบดุลและบัญชีกําไรขาดทุน ให้บริษัทหลักทรัพย์ถือปฏิบัติตามคําชี้แจงท้ายประกาศนี้ด้วย
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่งวดบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2542 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543
(นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,273 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ. 44/2543 เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน (ฉบับที่ 2)
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สธ. 44/2543
เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกําไรขาดทุน
(ฉบับที่ 2)
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกหน้า 2 ของหมายเหตุประกอบงบการเงินที่แนบท้ายประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ. 6/2543 เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกําไรขาดทุน ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 และให้ใช้หน้า 2 และ 2/1 ของหมายเหตุประกอบงบการเงินที่แนบท้ายประกาศนี้แทน
ข้อ 2 ให้ยกเลิกหน้า 1 ของคําอธิบายความหมายของรายการงบดุลที่แนบท้ายประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ สธ. 6/2543 เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกําไรขาดทุน ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 และให้ใช้หน้า 1 และ 1/1 ของคําอธิบายที่แนบท้ายประกาศนี้แทน
ข้อ 3 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่งวดการบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2543 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2543
(นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,274 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 360) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 360)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้
----------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2 (76) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 263 (พ.ศ. 2549) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 162) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ลงวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 234) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ลงวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 3 ผู้มีเงินได้ต้องแจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่อบริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัยที่ได้เอาประกันไว้ ทั้งนี้ สําหรับการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตั้งแต่ปีภาษี 2563 เป็นต้นไป
สําหรับในปีภาษี 2562 การใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ผู้มีเงินได้ต้องมีใบเสร็จรับเงินหรือหนังสือรับรองจากบริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัย ซึ่งต้องมีข้อความอย่างน้อยดังต่อไปนี้
(1) ชื่อ นามสกุล และเลขประจําตัวประชาชนของผู้เอาประกันภัย
(2) ชื่อ และนามสกุลของผู้จ่ายเบี้ยประกันภัย (ทุกคน)
(3) ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้รับประกันภัย
(4) จํานวนเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพตามข้อ 2
(5) จํานวนเงินที่มีสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้”
ข้อ ๒ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 3/1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 162) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ลงวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 234) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้ รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ลงวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556
“ข้อ 3/1 บริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัยที่ได้รับแจ้งความประสงค์ตามข้อ 3 วรรคหนึ่ง ต้องส่งข้อมูลของผู้เอาประกันต่อกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร โดยจัดทําขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและนําส่งตามวิธีการที่กําหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
การแจ้งและการส่งข้อมูลตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งภายในวันที่ 7 มกราคมของปีถัดไป เว้นแต่อธิบดีจะกําหนดเป็นอย่างอื่น”
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2562 ที่จะต้องยื่นรายการในพ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,275 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 156) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุน หรือการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 156)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุน หรือการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทําให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร
---------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3(1) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2549 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุน หรือการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทําให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“บริษัท” หมายความว่า บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
“ธุรกิจหลักของกิจการ” หมายความว่า ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการผลิตสินค้าหรือการขายสินค้าหรือการให้บริการที่กิจการกระทําเป็นปกติ
“โครงการ” หมายความว่า โครงการการลงทุนของบริษัทในทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการดําเนินธุรกิจหลักของกิจการ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในทรัพย์สินใหม่ การต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทําให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร โดยบริษัทต้องจัดทําเป็นแผนโครงการซึ่งได้รับอนุมัติแผนโครงการจากกรรมการผู้มีอํานาจของบริษัท
ข้อ ๒ เงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุน หรือการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทําให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร ต้องเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของกิจการ โดยมีแผนโครงการพร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
ข้อ ๓ เงินได้ที่ได้จ่ายตามข้อ 2 ต้องเป็นเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินตามโครงการ และต้องเป็นเงินได้ที่ได้จ่ายซึ่งเป็นมูลค่าของโครงการที่ได้จัดทําเป็นโครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป โดยมูลค่าของโครงการนั้น ได้แก่ มูลค่าของทรัพย์สินดังต่อไปนี้
(1) เครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องตกแต่ง และเฟอร์นิเจอร์ บรรดาที่ใช้ในการดําเนินธุรกิจหลักของกิจการ
(2) โปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือซื้อลิขสิทธิ์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ มาใช้ในธุรกิจหลักของกิจการของบริษัท
(3) ยานพาหนะที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยานพาหนะนั้นๆ ในราชอาณาจักรที่ใช้ในการดําเนินธุรกิจหลักของกิจการ แต่ไม่รวมถึงรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสาร
ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตที่มิใช่ได้มาเพื่อนําออกให้เช่า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกิจการ
มูลค่าของทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ มูลค่าของต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินจนถึงวันที่ทรัพย์สินนั้นใช้การได้ตามประสงค์
ข้อ ๔ ทรัพย์สินซึ่งมูลค่าของทรัพย์สินนั้นรวมเป็นมูลค่าของโครงการตามข้อ 3 ได้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(1) ต้องไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน
(2) ต้องสามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร และต้องได้ทรัพย์สินนั้นมาและอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้การได้ตามประสงค์ภายใน 5 รอบระยะเวลาบัญชีนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป
(3) ต้องหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินนั้นเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี นับแต่วันที่ทรัพย์สินอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้การได้ตามประสงค์
(4) ต้องอยู่ในราชอาณาจักร แต่ไม่รวมถึงกรณีทรัพย์สินประเภทยานพาหนะต้องเป็นทรัพย์สินที่ต้องจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยานพาหนะนั้นๆ ในราชอาณาจักร
(5) ต้องไม่นําไปใช้ในกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งก่อให้เกิดรายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
(6) ต้องไม่นําไปใช้ในกิจการ ซึ่งก่อให้เกิดรายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกา ที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
(7) ต้องไม่ใช่ทรัพย์สินในกรณีดังต่อไปนี้ ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้น
(ก) ทรัพย์สินอันเกิดจากรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าจ้างเพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 297) พ.ศ. 2539
(ข) เรือลําใหม่ที่ซื้อทดแทนเรือลําเก่าซึ่งใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมกิจการพาณิชยนาวีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 299) พ.ศ. 2539
(ค) อุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่ซื้อทดแทนอุปกรณ์เดิมซึ่งใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 436) พ.ศ. 2548
(ง) ทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการที่ซื้อทดแทนเครื่องจักรเก่าที่ใช้ในการประกอบกิจการซึ่งใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการขายเครื่องจักรเก่าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทนตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 460) พ.ศ. 2549
ข้อ ๕ การใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายตามข้อ 2 ให้บริษัทมีสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจํานวนร้อยละ 25 ของเงินได้ที่ได้จ่ายซึ่งเป็นมูลค่าของโครงการตามข้อ 3 และเป็นเงินได้ที่จ่ายไปจริง โดยบริษัทได้จ่ายเงินได้ดังกล่าวไปในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้มีสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น และต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินที่ได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ข้อ ๖ กรณีบริษัทได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีใดแล้ว และต่อมาได้ปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของข้อ 2 ข้อ 3 หรือข้อ 4 บริษัทไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล บริษัทต้องนําเงินได้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลไปแล้ว ไปรวมเป็นรายได้ในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและกรณีที่บริษัทยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น บริษัทต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๗ ในกรณีที่มีปัญหาที่ไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของประกาศนี้ได้ให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอํานาจวินิจฉัย และคําวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรให้ถือเป็นหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดตามประกาศนี้ด้วย
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,276 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต ที่ สน. 28/2540 เรื่อง การกำหนดอัตราส่วนการลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของกองทุนรวมประเภทที่ลงทุนในหน่วยลงทุน
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สน. 28/2540
เรื่อง การกําหนดอัตราส่วนการลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของกองทุนรวม
ประเภทที่ลงทุนในหน่วยลงทุน
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 5 แห่งประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กน. 26/2540 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมประเภทที่ลงทุนในหน่วยลงทุน ลงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2540 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
"บริษัทจัดการ" หมายความว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม
"กองทุนรวมหน่วยลงทุน" หมายความว่า กองทุนปิดหรือกองทุนเปิดที่บริษัทจัดการจัดตั้งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อนําเงินที่ได้จากการจําหน่ายหน่วยลงทุนไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่จัดตั้งและจัดการโดยบริษัทจัดการอื่น
"กองทุนปิด" หมายความว่า กองทุนรวมประเภทไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่จัดตั้งและจัดการโดยบริษัทจัดการ
"กองทุนเปิด" หมายความว่า กองทุนรวมประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่จัดตั้งและจัดการโดยบริษัทจัดการ
"ผู้ดูแลผลประโยชน์" หมายความว่า ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวมหน่วยลงทุน
"สํานักงาน" หมายความว่า สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ข้อ ๒ ให้บริษัทจัดการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนและใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของกองทุนรวมหน่วยลงทุน ไม่น้อยกว่าร้อยละเจ็ดสิบห้าของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมหน่วยลงทุน
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับระหว่างระยะเวลาดังต่อไปนี้
(1) ระยะเวลาหกเดือนแรกนับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทุนรวมหน่วยลงทุนและระยะเวลาหกเดือนสุดท้ายก่อนวันสิ้นอายุโครงการจัดการกองทุนรวมหน่วยลงทุน กรณีกองทุนรวมหน่วยลงทุนเป็นกองทุนปิดหรือเป็นกองทุนเปิดที่มีการกําหนดอายุโครงการ
(2) ระยะเวลาหกเดือนแรกนับตั้งแต่วันถัดจากวันจดทะเบียนกองทุนรวมหน่วยลงทุนกรณีกองทุนรวมหน่วยลงทุนเป็นกองทุนเปิดที่ไม่มีการกําหนดอายุโครงการ
ข้อ ๓ การคํานวณอัตราส่วนการลงทุนตามข้อ 2 วรรคหนึ่ง ให้บริษัทจัดการคํานวณโดยเฉลี่ยในแต่ละรอบระยะเวลาและตามกําหนดเวลาดังต่อไปนี้
(1) รอบระยะเวลาที่หนึ่ง ให้คํานวณโดยเฉลี่ยนับตั้งแต่วันถัดจากวันครบกําหนดระยะเวลาหกเดือนแรกตามข้อ 2 วรรคสอง จนถึงวันสุดท้ายของเดือนมิถุนายนหรือเดือนธันวาคมแล้วแต่ว่าถึงวันสุดท้ายของเดือนใดก่อน โดยให้คํานวณ ณ วันสุดท้ายของเดือนมิถุนายนหรือเดือนธันวาคม แล้วแต่กรณี เว้นแต่ระยะเวลาตามกําหนดเวลาดังกล่าวไม่ถึงสามเดือน กรณีเช่นว่านี้ให้นําการลงทุนในระยะเวลานั้นไปรวมคํานวณอัตราส่วนการลงทุนในรอบระยะเวลาที่สอง
(2) รอบระยะเวลาที่สอง ให้คํานวณโดยเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหกเดือนหรือรอบระยะเวลาหกเดือนรวมกับระยะเวลาในส่วนที่ไม่ถึงสามเดือนตาม (1) ถ้ามี ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันถัดจากวันสุดท้ายของเดือนมิถุนายนและเดือนธันวาคม หรือวันถัดจากวันครบกําหนดระยะเวลาหกเดือนแรกตามข้อ 2 วรรคสอง โดยให้คํานวณ ณ วันสุดท้ายของเดือนธันวาคมและเดือนมิถุนายน แล้วแต่กรณี
(3) รอบระยะเวลาที่สามและรอบระยะเวลาต่อ ๆ ไป ให้คํานวณโดยเฉลี่ยในแต่ละรอบระยะเวลาหกเดือนนับตั้งแต่วันถัดจากวันสุดท้ายของเดือนมิถุนายนและเดือนธันวาคม โดยให้คํานวณ ณ วันสุดท้ายของเดือนธันวาคมและเดือนมิถุนายน แล้วแต่กรณี
(4) รอบระยะเวลานับตั้งแต่วันถัดจากวันคํานวณอัตราส่วนการลงทุนตามรอบระยะเวลาและตามเวลาที่กําหนดตาม (3) ถึงวันก่อนวันเริ่มต้นการนับระยะเวลาหกเดือนสุดท้ายตามข้อ 2 วรรคสอง (1) ซึ่งมีระยะเวลาไม่ถึงหกเดือน ให้คํานวณโดยเฉลี่ยนับตั้งแต่วันถัดจากวันคํานวณ อัตราส่วน
การลงทุนในครั้งก่อน จนถึงวันก่อนวันเริ่มต้นการนับระยะเวลาหกเดือนสุดท้ายดังกล่าว โดยให้คํานวณ ณ วันก่อนวันเริ่มต้นการนับระยะเวลาหกเดือนสุดท้ายนั้น
ข้อ ๔ ให้บริษัทจัดการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนและใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนเพื่อเป็นทรัพย์สินของกองทุนรวมหน่วยลงทุน ณ สิ้นวัน ได้ ไม่เกินอัตราส่วนดังต่อไปนี้
(1) ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนและใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมกองทุนใดกองทุนหนึ่ง ได้ ไม่เกินร้อยละสิบห้าของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมหน่วยลงทุน
(2) ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนและใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนของทุกกองทุนรวมที่จัดตั้งและจัดการโดยบริษัทจัดการบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ได้ ไม่เกินร้อยละสามสิบของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมหน่วยลงทุน
(3) ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมกองทุนใดกองทุนหนึ่ง ได้ ไม่เกินร้อยละสิบห้าของจํานวนหน่วยลงทุนที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกองทุนรวมนั้น
(4) ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุน ได้ ไม่เกินร้อยละห้าของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมหน่วยลงทุน
ข้อ ๕ ให้บริษัทจัดการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมกองทุนใดกองทุนหนึ่งเพื่อเป็นทรัพย์สินของทุกกองทุนรวมที่อยู่ภายใต้การจัดตั้งและจัดการโดยบริษัทจัดการนั้น ณ สิ้นวัน รวมกันได้ไม่เกินร้อยละห้าสิบของจํานวนหน่วยลงทุนที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกองทุนรวมนั้น
ในกรณีที่หน่วยลงทุนมีจํานวนเกินอัตราส่วนที่กําหนดตามวรรคหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดจากการลงทุนหรือได้หน่วยลงทุนมาเพิ่มเติมหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้บริษัทจัดการใช้สิทธิออกเสียงในหน่วยลงทุนจํานวนที่เกินอัตราส่วนดังกล่าว ทั้งนี้ ในกรณีที่หน่วยลงทุนมีจํานวนเกินอัตราส่วนที่กําหนดโดยมิได้เกิดจากการลงทุนหรือได้หน่วยลงทุนมาเพิ่มเติม ให้บริษัทจัดการกําหนดการไม่ใช้สิทธิออกเสียงในหน่วยลงทุนของแต่ละกองทุนรวมที่ตนเป็นผู้จัดตั้งและจัดการอย่างเป็นธรรม
ข้อ ๖ ในกรณีที่หน่วยลงทุนและใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนในขณะที่ลงทุนหรือในขณะที่ได้มาเป็นทรัพย์สินของกองทุนรวมหน่วยลงทุนมีมูลค่าหรือจํานวนไม่เกินอัตราส่วนที่กําหนดในข้อ 4 หรือ ข้อ 5 หากต่อมาหน่วยลงทุนและใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนนั้นมีมูลค่าหรือจํานวนเกินอัตราส่วนดังกล่าว โดยมิได้เกิดจากการลงทุนหรือได้หน่วยลงทุนและใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนมาเพิ่มเติม บริษัทจัดการจะยังคงมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนและใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวต่อไปก็ได้ ทั้งนี้ ให้บริษัทจัดการดําเนินการดังต่อไปนี้
(1) จัดทํารายงานโดยระบุชื่อ จํานวน อัตราส่วนการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนและใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวข้างต้น และวันที่หน่วยลงทุนและใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนนั้นมีมูลค่าหรือจํานวนเกินอัตราส่วนที่กําหนดพร้อมสาเหตุ ส่งให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ทราบภายในสามวันทําการนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่หน่วยลงทุนและใบสําคัญแสดงสิทธิ
ที่จะซื้อหน่วยลงทุนนั้นมีมูลค่าหรือจํานวนเกินอัตราส่วนที่กําหนด
(2) สรุปรายงานตาม (1) เป็นรายไตรมาสตามปีปฏิทินส่งให้สํานักงานภายในสิบห้าวันนับตั้งแต่วันถัดจากวันสิ้นสุดไตรมาสนั้น โดยบริษัทจัดการจะมอบหมายให้ผู้ดูแลผลประโยชน์เป็นผู้สรุปและส่งรายงานแทนก็ได้
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2540
(นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา)
เลขาธิการ
สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,277 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 359) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในระบบการจัดทำเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการนำส่งภาษี เครื่องบันทึกการเก็บเงิน ค่าบริการใช้พื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ค่าบริการใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ และค่าบริการที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ให้บริการนำส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 359)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สําหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในระบบการจัดทําเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการนําส่งภาษี เครื่องบันทึกการเก็บเงิน ค่าบริการใช้พื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ค่าบริการใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ และค่าบริการที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ให้บริการนําส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
--------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามมาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 7 และมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 683) พ.ศ. 2562 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลา การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สําหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในระบบการจัดทําเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการนําส่งภาษี เครื่องบันทึกการเก็บเงิน ค่าบริการใช้พื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ค่าบริการใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ และค่าบริการที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ให้บริการนําส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
เครื่องบันทึกการเก็บเงิน” หมายความว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้บันทึกข้อมูลการขายสินค้าหรือให้บริการ และเชื่อมต่อกับระบบการรับชําระเงิน ซึ่งได้รับอนุมัติจากอธิบดี ตามมาตรา 86/6 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 46) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์การขออนุมัติใช้เครื่องบันทึกการเก็บเงิน เพื่อออกใบกํากับภาษีอย่างย่อ และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เกี่ยวกับการใช้เครื่องบันทึกการเก็บเงิน ตามมาตรา 86/6 แห่งประมวลรัษฎากร และให้หมายความรวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ต่อพ่วงกับเครื่องบันทึกการเก็บเงินสําหรับเชื่อมต่อกับระบบการรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อุปกรณ์รับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ข้อ ๒ การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสําหรับเงินได้เป็นจํานวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายเท่าที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในระบบการจัดทําเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการนําส่งภาษีสําหรับการนําส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีเงินได้ หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 3 ปัณรส แห่งประมวลรัษฎากร การจัดซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เก็บใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อื่นใดที่ใช้ร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องบันทึกการเก็บเงิน ตามมาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 683) พ.ศ. 2562 ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(1) ต้องเป็นรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในทรัพย์สินดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์สินตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร และได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 โดยให้ใช้สิทธิยกเว้นเงินได้ตามที่ได้จ่ายไปจริงในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มต้นหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน ตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร
(2) ต้องจัดทํารายงานข้อมูลการติดตั้งและการยกเลิกการติดตั้งทรัพย์สินดังกล่าว พร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
ข้อ ๓ การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสําหรับเงินได้เป็นจํานวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าบริการใช้พื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ค่าใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ และค่าบริการที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ให้บริการนําส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 683) พ.ศ. 2562 ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(1) ต้องเป็นการจ่ายเพื่อประโยชน์ในการจัดทํา ส่งมอบ และเก็บรักษาใบกํากับภาษีอิเล็กทรอนิกส์หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์
(2) ต้องเป็นรายจ่ายที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562
(3) ต้องมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ามีการจ่ายค่าบริการใช้พื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ค่าใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ และค่าบริการที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ให้บริการนําส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
ข้อ ๔ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 683) พ.ศ. 2562 มีหน้าที่ต้องแจ้งรายละเอียดการลงทุนและการจ่ายเงินตามที่แนบท้ายประกาศ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร (www.rd.go.th) ก่อนยื่นแบบแสดงรายการภาษีสําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่ใช้สิทธิ แต่ไม่เกินวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,278 |
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต ที่ สธ. 29/2540 เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์
|
ประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ที่ สธ. 29 /2540
เรื่อง แบบงบดุลและบัญชีกําไรขาดทุน สําหรับบริษัทหลักทรัพย์ ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ออกข้อกําหนดไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภท การให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จัดทํางบดุลและบัญชีกําไรขาดทุนตามแบบ บลธ. 1 และแบบ บลธ. 1.1 ตามลําดับที่แนบท้ายประกาศนี้ โดยให้ถือปฏิบัติตามคําชี้แจงท้ายประกาศด้วย
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับการจัดทํางบดุลและบัญชีกําไรขาดทุนของ งวดการบัญชีสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2540 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2540
(นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา)
เลขาธิการ สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
| 3,279 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 358) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขสำหรับรายจ่ายซึ่งเป็นเงินที่บริจาคแก่พรรคการเมือง ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 358)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขสําหรับรายจ่ายซึ่งเป็นเงินที่บริจาคแก่พรรคการเมือง ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
---------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 65 ตรี(3) (ก)แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 51) พ.ศ. 2562 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขสําหรับรายจ่ายซึ่งเป็นเงินที่บริจาคแก่พรรคการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธินําเงินที่บริจาคแก่พรรคการเมืองไปเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิตามมาตรา 65 ตรี (3) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร จะต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และไม่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งต้องห้ามมิให้บริจาคเงินให้แก่พรรคการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
ข้อ ๒ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามข้อ 1 มีสิทธินําเงินที่บริจาคแก่พรรคการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ไม่ว่าพรรคเดียวหรือหลายพรรคไปเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิได้ไม่เกินห้าหมื่นบาทในรอบระยะเวลาบัญชีที่บริจาคนั้น
ข้อ ๓ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินให้แก่พรรคการเมืองจะต้องมีหลักฐานใบเสร็จรับเงิน (แบบ พ.ก. 11) ที่ออกโดยพรรคการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพร้อมให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับการคํานวณกําไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,280 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 155) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ของธนาคารพาณิชย์ สำหรับค่าธรรมเนียมที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการเป็นผู้จัดการในการจัดหาเงินกู้ในลักษณะการร่วมให้กู้
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 155)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ของธนาคารพาณิชย์ สําหรับค่าธรรมเนียมที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการเป็นผู้จัดการในการจัดหาเงินกู้ในลักษณะการร่วมให้กู้
----------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 7(2) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 454) พ.ศ. 2549 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การยกเว้นภาษีเงินได้ของธนาคารพาณิชย์ สําหรับค่าธรรมเนียมที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการเป็นผู้จัดการในการจัดหาเงินกู้ในลักษณะการร่วมให้กู้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“ธนาคารพาณิชย์” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
“การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราจากต่างประเทศเพื่อให้กู้ยืมในต่างประเทศ” หมายความว่า
(1) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากต่างประเทศจากบุคคลดังต่อไปนี้ เพื่อนําไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในต่างประเทศ
(ก) บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทยและมีภูมิลําเนาหรือมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศ
(ข) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ และมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย
(ค) ธนาคารต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาหรือสํานักงานผู้แทนในประเทศไทย
(ง) สาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์
(จ) นิติบุคคลอื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกําหนด
(2) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินบาทจากธนาคารต่างประเทศในต่างประเทศหรือสาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ เพื่อนําไปให้กู้ยืมเป็นเงินบาทแก่ธนาคารต่างประเทศในต่างประเทศหรือสาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์
ข้อ ๒ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับค่าธรรมเนียมที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับจากการเป็นผู้จัดการในการจัดหาเงินกู้ในลักษณะการร่วมให้กู้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(1) เงินกู้ในลักษณะการร่วมให้กู้ต้องเป็นเงินตราต่างประเทศหรือเงินบาทอันมีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ และต้องเป็นการร่วมให้กู้เพื่อนําไปให้กู้ยืมในต่างประเทศ
(2) ในการจัดหาเงินกู้ในลักษณะการร่วมให้กู้หากมีผู้จัดการรายเดียว ผู้นั้นต้องประกอบกิจการการรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราจากต่างประเทศเพื่อให้กู้ยืมในต่างประเทศ และหากมีผู้จัดการหลายรายผู้จัดการเหล่านั้นต้องมีจํานวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการการรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราจากต่างประเทศเพื่อให้กู้ยืมในต่างประเทศ
(3) การดําเนินการด้านธุรการเพื่อนําไปสู่การตกลงทําสัญญาร่วมให้กู้ ตลอดจนการจัดทําสัญญาร่วมให้กู้ต้องกระทําในประเทศไทย
(4) ค่าธรรมเนียมที่ได้รับจากการเป็นผู้จัดการในการจัดหาเงินกู้ในลักษณะการร่วมให้กู้ต้องมีเอกสารหลักฐานที่ใช้ประกอบการลงบัญชีที่พิสูจน์ได้
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,281 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 154) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้ของธนาคารพาณิชย์ สำหรับเงินได้จากการรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราจากต่างประเทศเพื่อให้กู้ยืมในต่างประเทศ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 154)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้ของธนาคารพาณิชย์ สําหรับเงินได้จากการรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราจากต่างประเทศเพื่อให้กู้ยืมในต่างประเทศ
-----------------------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 454) พ.ศ. 2549 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้ของธนาคารพาณิชย์ สําหรับเงินได้จากการรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราจากต่างประเทศเพื่อให้กู้ยืมในต่างประเทศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“ธนาคารพาณิชย์” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
“การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราจากต่างประเทศเพื่อให้กู้ยืมในต่างประเทศ” หมายความว่า
(1) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากต่างประเทศจากบุคคลดังต่อไปนี้ เพื่อนําไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในต่างประเทศ
(ก) บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทยและมีภูมิลําเนาหรือมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศ
(ข) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ และมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย
(ค) ธนาคารต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงธนาคารต่างประเทศที่มีสาขาหรือสํานักงานผู้แทนในประเทศไทย
(ง) สาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์
(จ) นิติบุคคลอื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกําหนด
(2) การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินบาทจากธนาคารต่างประเทศในต่างประเทศหรือสาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ เพื่อนําไปให้กู้ยืมเป็นเงินบาทแก่ธนาคารต่างประเทศในต่างประเทศหรือสาขาในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์
“รายได้จากกิจการที่ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้” หมายความว่า รายได้จากการรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราจากต่างประเทศเพื่อให้กู้ยืมในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ซึ่งได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้ที่คํานวณจากกําไรสุทธิเหลือร้อยละ 10 ตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 454) พ.ศ. 2549
“รายได้จากกิจการที่ต้องเสียภาษีในอัตราปกติ” หมายความว่า รายได้ของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ที่คํานวณจากกําไรสุทธิในอัตราร้อยละ 30 ตามประมวลรัษฎากร และรายได้ของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งไม่ใช่รายได้จากกิจการที่ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้ที่คํานวณจากกําไรสุทธิเหลือร้อยละ 10 ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 454) พ.ศ. 2549
ข้อ ๒ การคํานวณกําไรสุทธิและขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้
(1) การคํานวณกําไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของธนาคารพาณิชย์ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในมาตรา 65 มาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
(2) กรณีธนาคารพาณิชย์ซึ่งมีทั้งรายได้จากกิจการที่ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้และรายได้จากกิจการที่ต้องเสียภาษีในอัตราปกติ ให้ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวคํานวณกําไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของรายได้แต่ละกิจการแยกต่างหากจากกัน
ข้อ ๓ รายได้และรายจ่ายที่ต้องนํามาคํานวณกําไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ
รายได้ที่จะนําไปคํานวณกําไรสุทธิของธนาคารพาณิชย์ หมายถึง รายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทําในรอบระยะเวลาบัญชี การคํานวณรายได้และรายจ่ายให้ใช้เกณฑ์สิทธิ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีธนาคารพาณิชย์ซึ่งมีทั้งรายได้จากกิจการที่ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้และรายได้จากกิจการที่ต้องเสียภาษีในอัตราปกติ หากรายจ่ายใดไม่สามารถแยกกันได้โดยชัดแจ้งว่า เป็นรายจ่ายของกิจการใดให้ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวเฉลี่ยรายจ่ายตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
(1) การคํานวณรายจ่าย เช่น รายจ่ายค่าน้ํา ค่าไฟ ค่าก่อสร้างอาคารเป็นต้น ให้ธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยรายจ่ายนั้นตามส่วนของรายได้จากกิจการที่ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้และรายได้จากกิจการที่ต้องเสียภาษีในอัตราปกติ
(2) กรณีที่ธนาคารพาณิชย์เห็นว่า การคํานวณรายจ่ายโดยวิธีอื่นจะถูกต้องตามความเป็นจริงมากกว่า หรือมีความเหมาะสมมากกว่าการคํานวณตามหลักเกณฑ์ข้อ (1) ธนาคารพาณิชย์อาจขออนุมัติเพื่อนําหลักเกณฑ์อื่นนั้นมาใช้แทนได้ โดยทําเป็นหนังสือแสดงเหตุผลของการขอเปลี่ยนแปลงยื่นต่ออธิบดี และเมื่อได้รับอนุมัติจากอธิบดีแล้ว ให้ถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกําหนดเป็นต้นไป
ข้อ ๔ การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ให้ธนาคารพาณิชย์ยื่นรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล พร้อมทั้งบัญชีงบดุล บัญชีทําการ และบัญชีกําไรขาดทุน ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ตามแบบที่อธิบดีกําหนดพร้อมกับชําระภาษีตามมาตรา 68 และมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร และยื่นรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชี ตามแบบที่อธิบดีกําหนดพร้อมกับชําระภาษีตามมาตรา 67 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรกรณีธนาคารพาณิชย์ซึ่งมีทั้งรายได้จากกิจการที่ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้และรายได้จากกิจการที่ต้องเสียภาษีในอัตราปกติ ให้ธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและให้ใช้เลขประจําตัวผู้เสียอากรเดียวกัน โดยให้แยกกระดาษทําการซึ่งแสดงรายละเอียดการคํานวณกําไรขาดทุนระหว่างรายได้จากกิจการที่ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้และรายได้จากกิจการที่ต้องเสียภาษีในอัตราปกติออกต่างหากจากกัน
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,282 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 153) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทำกิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 153)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทํากิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน
--------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 364) พ.ศ. 2542 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทํากิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (1.3) ของ (1) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 82) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทํากิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน ลงวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2543 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 149) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทํากิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน ลงวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2549
“(1.3) คู่สัญญาที่เป็นได้ทั้งด้านผู้ขายหลักทรัพย์ (ผู้กู้) และผู้ซื้อหลักทรัพย์ (ผู้ให้กู้) ระหว่างบริษัทหลักทรัพย์ประกอบธุรกิจซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ลงทุนทั่วไป”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ที่ลงในประกาศนี้เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,283 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 152) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นิติบุคคลเฉพาะกิจตามกฎหมายว่าด้วยนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์สำหรับเงินได้จากการดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 152)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นิติบุคคลเฉพาะกิจตามกฎหมายว่าด้วยนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์สําหรับเงินได้จากการดําเนินการตามที่กําหนดไว้ในโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุมัติจากสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
-------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 441) พ.ศ. 2548 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นิติบุคคลเฉพาะกิจตามกฎหมายว่าด้วยนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์สําหรับเงินได้จากการดําเนินการตามที่กําหนดไว้ในโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุมัติจากสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นิติบุคคลเฉพาะกิจตามกฎหมายว่าด้วยนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(1) ต้องเป็นเงินได้จากการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ภายใต้โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุมัติจากสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(2) ต้องดําเนินการตามข้อกําหนดเกี่ยวกับนโยบายในการจัดสรรกระแสรายรับที่เกิดจากการรับโอนสินทรัพย์ที่เป็นสิทธิเรียกร้องในการชําระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการตลอดอายุโครงการตามที่ได้รับอนุมัติจากสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(3) ต้องไม่มีการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลเฉพาะกิจ จนกว่านิติบุคคลเฉพาะกิจได้โอนสินทรัพย์และผลประโยชน์คงเหลือทั้งหมดกลับคืนให้ผู้เสนอโครงการและ สถานะนิติบุคคลเฉพาะกิจสิ้นสุดลง
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,284 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 151) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ สำหรับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 151)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ สําหรับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย
--------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2(36) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 195 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ เกี่ยวกับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (1) วรรคหนึ่ง ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 52) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ สําหรับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 80) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ สําหรับกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย ลงวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(1) กรณีเกษียณอายุ ลูกจ้างผู้นั้นต้องมีอายุไม่ต่ํากว่า 55 ปีบริบูรณ์ ซึ่งออกจากงานเพราะครบกําหนดหรือสิ้นกําหนดเวลาการทํางานตามสัญญาจ้างแรงงานที่เป็นลายลักษณ์อักษร และ
(ก) เข้าเป็นสมาชิกกองทุนสํารองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสํารองเลี้ยงชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือ
(ข) เข้าเป็นสมาชิกกองทุนสํารองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสํารองเลี้ยงชีพในระหว่างวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2537 ถึงวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2538 และได้ออกจากงานเพราะเกษียณอายุก่อนวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2543 ซึ่งมีระยะเวลาที่ทํางานกับนายจ้างนั้นก่อนเกษียณอายุไม่น้อยกว่า 5 ปี”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจํา พ.ศ. 2537 ที่จะต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2538 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,285 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 150) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ที่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยและมีอายุไม่ต่ำกว่าหกสิบห้าปีบริบูรณ์ในปีภาษีได้รับ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 150)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้ที่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยและมีอายุไม่ต่ํากว่าหกสิบห้าปีบริบูรณ์ในปีภาษีได้รับ
---------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2(72) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 257 (พ.ศ. 2549) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้ที่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยและมีอายุไม่ต่ํากว่าหกสิบห้าปีบริบูรณ์ในปีภาษีได้รับ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ เงินได้ที่ผู้มีเงินได้ซึ่งมีอายุไม่ต่ํากว่าหกสิบห้าปีบริบูรณ์ได้รับ โดยได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นเงินได้ที่ผู้มีเงินได้ได้รับในปีภาษีที่ผู้มีเงินได้มีอายุไม่ต่ํากว่าหกสิบห้าปีบริบูรณ์ และผู้มีเงินได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย เฉพาะเงินได้ที่ได้รับส่วนที่ไม่เกินหนึ่งแสนเก้าหมื่นบาทในปีภาษีนั้น
ข้อ ๒ ผู้มีเงินได้ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 1 ต้องเป็นผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล และกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
กรณีสามีภริยามีเงินได้ร่วมกัน โดยความเป็นสามีภริยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ข้อ ๓ กรณีผู้มีเงินได้ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 1 ได้รับเงินได้ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีใดหลายประเภท ผู้มีเงินได้จะเลือกใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินได้ที่ได้รับประเภทใดประเภทหนึ่ง หรือจะเลือกใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินได้หลายประเภท และแต่ละประเภทจะยกเว้นภาษีเงินได้จํานวนเท่าใดก็ได้ แต่เมื่อรวมจํานวนเงินได้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ดังกล่าวทั้งหมดแล้ว ต้องไม่เกินหนึ่งแสนเก้าหมื่นบาทในปีภาษีนั้น
ข้อ ๔ ผู้มีเงินได้ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 1 ให้ถือตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(1) กรณีสามีภริยามีเงินได้ร่วมกัน โดยความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของสามี ให้สามีเป็นผู้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ที่ได้รับร่วมกัน
(2) กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ไม่ว่าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่ ให้สามีภริยาต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ในส่วนที่ตนได้รับ
ข้อ ๕ ผู้มีเงินได้ที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 1 ต้องแสดงรายการเงินได้และจํานวนเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นั้น พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,286 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 149) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทำกิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 149)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทํากิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน
---------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 364) พ.ศ. 2542 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทํากิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (ณ) และ (ด) ของ (1.1) ของ (1) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 82) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทํากิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน ลงวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2543 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 105) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทํากิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน ลงวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2545
“(ณ) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(ด) ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ที่ลงในประกาศนี้เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2549
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,287 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 148) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 148)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
---------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 (2) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 437) พ.ศ. 2548 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 60) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ลงวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2539
ข้อ ๒ หลักสูตรที่ใช้ฝึกอบรมลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ต้องเป็นหลักสูตรที่จัดขึ้นเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้าง และได้รับการรับรองจากกระทรวงแรงงานและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมลูกจ้างแต่ละคนนั้นต้องเป็นไปตามอัตราที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงแรงงาน
ข้อ ๓ การฝึกอบรมตามข้อ 2 ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นนายจ้างนั้น
ข้อ ๔ ลูกจ้างที่เข้ารับการฝึกอบรมตามข้อ 2 ต้องเป็นลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องจัดทําทะเบียนลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานเพื่อเป็นหลักฐานการทํางานของลูกจ้าง
ข้อ ๕ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานลูกจ้างของตน ต้องมีการกําหนดเงื่อนไขให้ลูกจ้างที่เข้ารับการฝึกอบรมนั้นกลับเข้าทํางานให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นหลังจากการฝึกอบรมเสร็จสิ้น
ข้อ ๖ วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะใช้ในการฝึกอบรมตามข้อ 2 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ต้องกําหนดลักษณะ ขนาด และคุณสมบัติของวัสดุอุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อมิให้ปะปนกับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบกิจการตามปกติของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 60) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ลงวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2539 ให้ยังคงใช้บังคับต่อไป เฉพาะในการปฏิบัติจัดเก็บภาษีเงินได้ที่ค้างอยู่หรือพึงชําระก่อนวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2548
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,288 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 147) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษให้แก่ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 147)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษให้แก่ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
--------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 438) พ.ศ. 2548 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษให้แก่ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษให้แก่ลูกจ้าง ต้องประกาศหลักเกณฑ์ เงื่อนไขในการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษเป็นหนังสือให้ลูกจ้างทราบเป็นการทั่วไป ภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2548
ข้อ ๒ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต้องเริ่มต้นจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษให้แก่ลูกจ้างภายในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2548 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2548 และเมื่อจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษให้แก่ลูกจ้างคนใดของตนในเดือนใดต้องจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษให้ลูกจ้างคนนั้นติดต่อกันทุกเดือนพร้อมกับการจ่ายเงินเดือน ในกรณีที่หยุดจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษให้แก่ลูกจ้างคนนั้นในเดือนใด บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นไม่มีสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษที่ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างคนนั้นตั้งแต่เดือนหลังจากเดือนที่หยุดจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษให้แก่ลูกจ้างคนนั้น
ข้อ ๓ เงินเดือนที่ต้องนํามารวมกับเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษ ต้องเป็นเงินเดือนที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างตามบัญชีอัตราเงินเดือน หรือตามหลักเกณฑ์หรือตามวิธีปฏิบัติในการจ่ายเงินเดือนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
ในกรณีลูกจ้างเข้าทํางานก่อนเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 เงินเดือนตามวรรคหนึ่งต้องไม่ต่ํากว่าเงินเดือนสําหรับระยะเวลาเต็มเดือนของเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2548 หรือในกรณีคํานวณเงินเดือนจากระยะเวลาการทํางานในแต่ละเดือนจํานวนเงินที่ต้องนําไปคํานวณตามระยะเวลาการทํางานเพื่อคํานวณเป็นเงินเดือนต้องไม่ต่ํากว่าจํานวนเงินที่นําไปคํานวณตามระยะเวลาการทํางานเพื่อคํานวณเป็นเงินเดือนของเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2548
ในกรณีลูกจ้างเข้าทํางานในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 หรือภายหลังเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 เงินเดือนตามวรรคหนึ่งต้องไม่ต่ํากว่าเงินเดือนสําหรับระยะเวลาเต็มเดือนของเดือนที่เข้าทํางาน หรือในกรณีคํานวณเงินเดือนจากระยะเวลาการทํางานในแต่ละเดือนจํานวนเงินที่ต้องนําไปคํานวณตามระยะเวลาการทํางานเพื่อคํานวณเป็นเงินเดือนต้องไม่ต่ํากว่าจํานวนเงินที่นําไปคํานวณตามระยะเวลาการทํางานเพื่อคํานวณเป็นเงินเดือนของเดือนที่เข้าทํางาน
ข้อ ๔ ลูกจ้างซึ่งได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นจะต้องไม่ตัดสิทธิในการเพิ่มเงินเดือนหรือจํานวนเงินที่นําไปคํานวณตามระยะเวลาการทํางานเพื่อคํานวณเป็นเงินเดือนให้แก่ลูกจ้างนั้นซึ่งจะมีสิทธิได้รับการเพิ่มเงินดังกล่าวตามระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือข้อบังคับของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้เพิ่มเงินเดือนให้แก่ลูกจ้าง สําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับเงินเดือนที่มิได้คํานวณเงินเดือนจากระยะเวลาการทํางานในแต่ละเดือน จํานวนเงินเดือนที่จะต้องนํามารวมกับเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษต้องไม่ต่ํากว่าเงินเดือนของเดือนที่มีการเพิ่มเงินเดือน และสําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับเงินเดือนที่คํานวณเงินเดือนตามระยะเวลาการทํางานในแต่ละเดือน จํานวนเงินที่ต้องนําไปคํานวณตามระยะเวลาการทํางานเพื่อคํานวณเป็นเงินเดือนที่จะนํามารวมกับเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษ ต้องไม่ต่ํากว่าจํานวนเงินที่นําไปคํานวณตามระยะเวลาการทํางานเพื่อคํานวณเป็นเงินเดือนที่มีการเพิ่มขึ้นแล้ว
ข้อ ๕ เงินเดือนที่จะนํามารวมกับเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษของลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใดที่ได้ออกจากงานไปแล้ว และได้กลับเข้าทํางานเป็นลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นอีกในภายหลังให้เป็นดังนี้
(1) กรณีลูกจ้างซึ่งมิใช่ลูกจ้างที่ได้รับเงินเดือนที่คํานวณเงินเดือนจากระยะเวลาการทํางานในแต่ละเดือน เงินเดือนนั้นจะต้องไม่ต่ํากว่าเงินเดือนของเดือนที่มีเงินเดือนมากที่สุดที่ลูกจ้างนั้นเคยได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2548 ก่อนที่ลูกจ้างนั้นออกจากงาน
(2) กรณีลูกจ้างซึ่งได้รับเงินเดือนที่คํานวณเงินเดือนจากระยะเวลาการทํางานในแต่ละเดือน จํานวนเงินที่ต้องนําไปคํานวณตามระยะเวลาการทํางานเพื่อคํานวณเป็นเงินเดือน ต้องไม่ต่ํากว่าจํานวนเงินที่นําไปคํานวณตามระยะเวลาการทํางานเพื่อคํานวณเป็นเงินเดือนที่มีจํานวนมากที่สุด ที่ลูกจ้างนั้นเคยได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2548 ก่อนที่ลูกจ้างนั้นออกจากงานเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษตามวรรคหนึ่งต้องจ่ายเพิ่มเติมจากเงินเดือนและเงินได้อื่นอันเนื่องมาจากการจ้างแรงงานที่ลูกจ้างได้รับอยู่เป็นประจําทุกเดือนอยู่แล้วก่อนออกจากงานจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
ข้อ ๖ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประสงค์จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษให้แก่ลูกจ้าง ต้องยื่นแบบแจ้งการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสําหรับการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษซึ่งต้องมีข้อความอย่างน้อยตามที่แนบท้ายประกาศนี้
การยื่นแบบแจ้งการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสําหรับการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษตามวรรคหนึ่ง ต้องยื่นภายในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2549
การยื่นแบบแจ้งการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสําหรับการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษตามวรรคหนึ่ง ให้ยื่นผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตตามเว็บไซต์ (web site) ของกรมสรรพากร www.rd.go.th หรือ ณ สถานที่ดังต่อไปนี้
(1) สํานักงานสรรพากรพื้นที่ในท้องที่ที่สถานประกอบการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นตั้งอยู่
ในกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีสถานประกอบการหลายแห่งให้ยื่น ณ สํานักงานสรรพากรพื้นที่ในท้องที่ที่สถานประกอบการซึ่งเป็นสํานักงานใหญ่ตั้งอยู่
(2) สํานักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่สําหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่อยู่ในความรับผิดชอบของสํานักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่
ข้อ ๗ ในกรณีที่มีปัญหาในการปฏิบัติ ให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอํานาจวินิจฉัย และคําวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรให้ถือเป็นหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดตามประกาศนี้ด้วย
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,289 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 357) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการหักลดหย่อนเงินที่บริจาคแก่พรรคการเมือง หรือเงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่ให้เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 357)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการหักลดหย่อนเงินที่บริจาคแก่พรรคการเมือง หรือเงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่ให้เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
---------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 47 (1) (ฏ) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 51) พ.ศ. 2562 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการหักลดหย่อนเงินที่บริจาคแก่พรรคการเมือง หรือเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ที่ให้เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ผู้มีเงินได้ที่มีสิทธิหักลดหย่อนต้องเป็นบุคคลธรรมดา มีสัญชาติไทย
ข้อ ๒ ห้ผู้มีเงินได้หักลดหย่อนตามมาตรา 47 (1) (ฏ) แห่งประมวลรัษฎากร สําหรับกรณีดังต่อไปนี้
(1) การบริจาคเงินให้แก่พรรคการเมือง ซึ่งผู้มีเงินได้สามารถกระทําได้ตลอดปีภาษี
(2) การสนับสนุนการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง หมายถึง การสนับสนุนเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ให้แก่พรรคการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งผู้มีเงินได้สามารถกระทําได้ในช่วงระยะเวลาที่พรรคการเมืองจัดกิจกรรมระดมทุนเท่านั้น
ข้อ ๓ ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อนเงินที่บริจาคให้แก่พรรคการเมืองตามข้อ 2 (1) หรือเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่ให้เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมืองตามข้อ 2 (2) ไม่ว่าพรรคเดียวหรือหลายพรรคแต่รวมกันแล้วต้องไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
ข้อ ๔ ประเภทของทรัพย์สิน และการคํานวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ให้เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(1) อสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย การคํานวณมูลค่าให้ถือตามราคาประเมินทุนทรัพย์ของอสังหาริมทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอนนั้น
(2) ยานพาหนะที่มีหลักฐานทางทะเบียน ดังต่อไปนี้
(ก) รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนในประเทศไทย การคํานวณมูลค่าให้ใช้ราคาประเมินราคารถสําหรับปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ในการโอนกรรมสิทธิ์ซื้อขายรถดังกล่าวที่กรมการขนส่งทางบกกําหนดโดยให้คํานวณมูลค่าตามราคาเฉลี่ยระหว่างราคาประเมินสูงสุดและราคาประเมินต่ําสุดของราคาประเมินรถนั้น ในกรณีที่ไม่มีมูลค่าตามราคาประเมิน ให้ใช้ราคาประเมินที่ประเมินโดยบุคคล หรือหน่วยงานที่เป็นสมาชิกขององค์กรวิชาชีพเกี่ยวกับการประเมินราคาทรัพย์สินนั้น
(ข) เรือหรือเครื่องบิน การคํานวณมูลค่าให้ใช้ราคาประเมินที่ประเมินโดยบุคคลหรือหน่วยงานที่เป็นสมาชิกขององค์กรวิชาชีพของประเทศนั้นๆ เกี่ยวกับการประเมินราคาทรัพย์สินนั้น
(3) ทรัพย์สินอื่นหรือสินค้า
(ก) ทรัพย์สินอื่นต้องเป็นทรัพย์สินที่ซื้อมาในปีเดียวกับปีภาษีที่ใช้สิทธิหักลดหย่อนและให้ถือมูลค่าตามหลักฐานการได้มาของทรัพย์สินเป็นมูลค่าที่ผู้มีเงินได้มีสิทธินํามาหักลดหย่อน แต่มูลค่าดังกล่าวต้องไม่เกินราคาหรือค่าอันพึงมีในวันที่ให้ทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง
(ข) สินค้าไม่ว่าเป็นสินค้าที่ผลิตเองหรือซื้อมาเพื่อขาย ให้ถือเอามูลค่าต้นทุนของสินค้าดังกล่าวที่มีหลักฐานสามารถพิสูจน์ได้ เป็นมูลค่าของสินค้าที่ผู้มีเงินได้มีสิทธินํามาหักลดหย่อน แต่มูลค่าดังกล่าวต้องไม่เกินราคาหรือค่าอันพึงมีในวันที่ให้สินค้าเพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง
ข้อ ๕ ประโยชน์อื่นใดที่ให้เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง ต้องเป็นประโยชน์อื่นใดที่เป็นการให้บริการที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง ดังต่อไปนี้
(1) การให้บริการเช่าหรือใช้พื้นที่อาคารหรือสถานที่ใดๆ
(2) การให้บริการใช้ยานพาหนะ
การคํานวณมูลค่าของประโยชน์อื่นใดซึ่งเป็นการให้บริการตามวรรคหนึ่ง ให้ถือราคาหรือค่าอันพึงมีในวันที่พรรคการเมืองได้ใช้บริการนั้น
ข้อ ๖ ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานประกอบการใช้สิทธิหักลดหย่อนตามข้อ 4 ดังนี้
(1) กรณีบริจาคเป็นเงินจะต้องมีใบเสร็จรับเงิน (แบบ พ.ก. 11) ที่ออกโดยพรรคการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
(2) กรณีให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมืองจะต้องมีใบเสร็จรับเงิน (แบบ พ.ก. 9) ที่ออกโดยพรรคการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และมีเอกสารดังต่อไปนี้พร้อมให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
(ก) การสนับสนุนทรัพย์สินตามข้อ 4 (1) และ (2) จะต้องมีหลักฐานการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน เช่น สัญญาโอนทรัพย์สิน โฉนดที่ดิน หรือเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน หนังสือแสดงการจดทะเบียนรถ หลักฐานการจดทะเบียนเรือ หรืออากาศยาน แล้วแต่กรณี เป็นต้น
(ข) การสนับสนุนทรัพย์สินอื่นหรือสินค้าตามข้อ 4 (3)จะต้องมีหลักฐานแสดงการได้มาของทรัพย์สินที่ระบุจํานวน มูลค่า และวัน เดือน ปีที่ได้มาซึ่งทรัพย์สินนั้น หรือหลักฐานแสดงมูลค่าต้นทุนของสินค้าที่พิสูจน์ได้แล้วแต่กรณี
(ค) การสนับสนุนประโยชน์อื่นใดตามข้อ 5 จะต้องมีหลักฐานที่แสดงหรือพิสูจน์ถึงมูลค่าของการให้บริการซึ่งเป็นประโยชน์อื่นใดนั้น เช่น ใบแจ้งราคาค่าบริการตามปกติทางการค้าหรือหลักฐานอื่นใด ที่พิสูจน์ถึงมูลค่าหรืออัตราค่าบริการในช่วงระยะเวลาที่ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง เป็นต้น
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจําปีภาษี พ.ศ. 2561 ที่ต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,290 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 146) เรื่อง กำหนดแบบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 146)
เรื่อง กําหนดแบบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย
------------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกําหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2521 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดแบบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย เพื่อให้ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ใช้ออกให้แก่ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ดังต่อไปนี้
ให้ยกเลิกความในวรรคสาม ของข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 62) เรื่อง กําหนดแบบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 100) เรื่อง กําหนดแบบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2544 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ผู้มีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ต้องจัดทําสําเนาคู่ฉบับไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานสําหรับออกใบแทนในกรณีที่หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ที่ออกให้แก่ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้วแต่ชํารุด สูญหาย โดยการออกใบแทนให้ใช้วิธีถ่ายเอกสารหรือพิมพ์เอกสารจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในกรณีจัดทําหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และมีข้อความว่า “ใบแทน” ไว้ที่ด้านบนของเอกสารซึ่งผู้มีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ต้องลงลายมือชื่อรับรองด้วย”
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,291 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 145) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนแทนอุปกรณ์เดิม
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 145)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนแทนอุปกรณ์เดิม
-------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 436) พ.ศ. 2548 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนแทนอุปกรณ์เดิมดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ “ทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน” หมายความว่า อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงที่ประหยัดพลังงานและ/หรือลดความต้องการพลังงาน ซึ่งสามารถทํางานครบกระบวนการด้วยตัวเอง ที่ได้รับการรับรองจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานว่ามีผลต่อการประหยัดพลังงาน
ข้อ ๒ “ค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน” หมายความว่า มูลค่าของอุปกรณ์ เครื่องจักร รวมถึงค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน
ข้อ ๓ ค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนแทนอุปกรณ์เดิมที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในข้อ 4 ข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 และข้อ 8
ข้อ ๔ ทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์เดิมต้องมีหลักฐานการได้มาซึ่งทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จรับเงิน ใบกํากับภาษี ใบส่งสินค้า ใบแจ้งหนี้ สัญญาซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน บัญชีทรัพย์สิน หรือเอกสารอื่นใดในทํานองเดียวกัน และทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงานที่นํามาปรับเปลี่ยนต้องเป็นการได้มาโดยมีค่าตอบแทน และพร้อมใช้งานได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2549
ข้อ ๕ ทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงานที่นํามาปรับเปลี่ยนแทนอุปกรณ์เดิม ต้องเป็นทรัพย์สินประเภทเดียวกันกับทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์เดิมก่อนมีการปรับเปลี่ยน
ข้อ ๖ ผู้ประกอบการเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สําหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงานซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนแทนอุปกรณ์เดิม ต้องเป็นผู้ประกอบการซึ่งมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5)(6)(7) หรือ (8) และยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยขอใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายตามความจําเป็นและสมควร และหากผู้ประกอบการดังกล่าวยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยขอใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในปีภาษีใด ผู้ประกอบการดังกล่าวไม่มีสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตั้งแต่ปีภาษีนั้น
ข้อ ๗ ผู้ประกอบการที่ประสงค์จะขอรับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนแทนอุปกรณ์เดิม ต้องยื่นคําขอต่อกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานให้ตรวจสอบและได้รับหนังสือรับรองว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีผลต่อการประหยัดพลังงานตามหลักเกณฑ์ที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานกําหนด
ผู้ประกอบการซึ่งได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง หากได้ขายทรัพย์สินดังกล่าวในปีใด ผู้ประกอบการดังกล่าวไม่มีสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตั้งแต่ปีที่ขายทรัพย์สินดังกล่าวนั้น
ข้อ ๘ ผู้ประกอบการที่จะขอรับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 7 ต้องไม่ได้รับสิทธิประโยชน์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาขอรับสิทธิประโยชน์สนับสนุนจากส่วนราชการโดยตรงเพื่อการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานโครงการอื่นใด
ข้อ ๙ ในกรณีที่มีปัญหาที่ไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของประกาศนี้ได้ให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอํานาจวินิจฉัย และคําวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรให้ถือเป็นหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดตามประกาศนี้ด้วย
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,292 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 356) เรื่อง กำหนดวิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่าย เป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึก
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 356)
เรื่อง กําหนดวิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่าย เป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึก
--------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 342 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดวิธีการและเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึก ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึก ซึ่งได้จ่ายระหว่างวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2562 ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกินสามหมื่นบาท ให้เป็นไปตามวิธีการและเงื่อนไข ดังนี้
(1) รถที่ได้รับความเสียหายต้องเป็นรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์หรือตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก โดยรถหรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถนั้นได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึก ในขณะที่รถดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ที่ทางราชการประกาศให้เป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยหรือเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
(2) ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ผู้มีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง ต้องมีหลักฐานที่แสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถ หรือกรณีที่ผู้มีเงินได้เป็นผู้เช่าซื้อ ต้องมีหลักฐานแสดงการเช่าซื้อรถ ซึ่งเป็นรถที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึกตาม (1) ดังนี้
(ก) กรณีที่ผู้มีเงินได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถ ได้แก่ หนังสือสัญญาซื้อขายรถ ใบคู่มือจดทะเบียนรถซึ่งมีชื่อผู้มีเงินได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถ เอกสารตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถ หรือหลักฐานอื่นใดที่แสดงได้ว่าผู้มีเงินได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถ
(ข) กรณีที่ผู้มีเงินได้เป็นผู้เช่าซื้อรถ ได้แก่ หนังสือสัญญาเช่าซื้อ หรือเอกสารอื่นใดที่แสดงได้ว่าผู้มีเงินได้เป็นผู้เช่าซื้อรถ
(ค) กรณีที่ผู้มีเงินได้มีสามีหรือภริยาและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถที่สามีหรือภริยา ได้กรรมสิทธิ์มาระหว่างสมรสและเป็นสินสมรส โดยผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นสามีหรือภริยาไม่มีชื่อในเอกสารที่แสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถ หลักฐานที่แสดงได้ว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถ ได้แก่ หลักฐานตาม (ก) ที่มีชื่อของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ประกอบกับใบทะเบียนสมรส
(3) กรณีที่ผู้มีเงินได้ตาม (2) เป็นผู้จ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึกตาม (1) ให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ดังต่อไปนี้
(ก) กรณีที่ผู้มีเงินได้คนเดียว จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวในรถหนึ่งคัน ให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินสามหมื่นบาท
(ข) กรณีที่ผู้มีเงินได้มากกว่าหนึ่งคน จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวในรถหนึ่งคัน ให้ผู้มีเงินได้ทุกคนได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ โดยเฉลี่ยการได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วนของค่าใช้จ่ายดังกล่าวที่ผู้มีเงินได้แต่ละคนได้จ่ายไปในการซ่อมแซมรถนั้น แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกินสามหมื่นบาท
(ค) กรณีที่ผู้มีเงินได้จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวในรถมากกว่าหนึ่งคัน ไม่ว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าว สําหรับรถแต่ละคันจะเข้าลักษณะตาม (ก) หรือ (ข) แล้วแต่กรณี ให้ผู้มีเงินได้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง เมื่อรวมทุกคันแล้วต้องไม่เกินสามหมื่นบาท
(4) ค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถตาม (3) รวมถึงค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ดังต่อไปนี้ ระบบแอร์ ระบบเครื่องยนต์ ระบบช่วงล่างรถยนต์ สี เบาะ วิทยุ
(5) กรณีที่สามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ไม่ว่าสามีหรือภริยาเป็นผู้จ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุ หรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึกตาม (1) ให้สามีหรือภริยาผู้มีเงินได้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามหลักเกณฑ์ใน (2) (3) และ (4)
(6) กรณีที่สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างเป็นผู้มีเงินได้ และต่างฝ่ายต่างจ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุ หรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึกตาม (1) ให้สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามหลักเกณฑ์ใน (2) (3) และ (4)
ข้อ ๒ ผู้มีเงินได้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 1 ต้องจัดทําแบบแสดงการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ โดยมีข้อความอย่างน้อยตามแบบแนบท้ายประกาศนี้และต้องมีเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้ พร้อมให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
(1) เอกสารการจ่ายเงินค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถ ที่เสียหายเนื่องจากพายุโซนร้อนปาบึกที่แสดงชื่อพร้อมที่อยู่และลายมือชื่อของผู้รับเงิน ชื่อของผู้จ่ายเงิน วัน เดือน ปี ที่จ่าย รายการที่จ่าย และจํานวนเงินที่จ่าย หรือหลักฐานอื่นที่พิสูจน์หรือแสดงได้ว่าผู้มีเงินได้เป็นผู้จ่ายเงินค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกในรถนั้น
(2) เอกสารหลักฐานตามข้อ 1 (2)
ผู้มีเงินได้จะยื่นแบบแสดงการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้และภาพถ่ายเอกสารตาม (1) และ (2) พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ได้
ข้อ ๓ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี ไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปีภาษี พ.ศ. 2562
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,293 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 144) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้จากการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 144)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้จากการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศ
----------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 314) พ.ศ.2540 อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การคํานวณกําไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย สําหรับเงินได้จากการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (ก) ใน (2) ของข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 72) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้จากการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศ ลงวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2541 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(ก) รายได้จากการฝากสินค้าในการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศระหว่างกัน (Slot Exchange) ระหว่างผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางทะเลซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้กับผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางทะเลอื่น ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้
- ต้องมีการทําสัญญาฝากสินค้าในการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศระหว่างกัน
- ต้องเป็นการฝากสินค้าในการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศสําหรับการเดินเรือในเส้นทางเดียวกัน และจํานวนสินค้าที่ฝากนั้นจะต้องไม่เกินกว่าเนื้อที่ในระวางเรือที่เข้าทําสัญญาฝากสินค้าใน 1 รอบของการเดินเรือ
การเดินเรือในเส้นทางเดียวกัน หมายถึง การเดินเรือโดยมีเส้นทางที่ผ่านประเทศหนึ่งไปยังท่าเรือในประเทศอื่น ๆ และกลับมายังประเทศนั้น ถือเป็นหนึ่งรอบการเดินเรือ โดยมีการระบุรายชื่อท่าเรือ และชื่อเรือไว้ในสัญญา ทั้งนี้ จะมีการจอดที่ท่าเรือในเส้นทางที่ระบุไว้ในสัญญาหรือไม่ก็ได้ แต่จะไม่มีการเดินทางไปท่าเรืออื่น ๆ นอกเหนือจากที่ได้ระบุไว้ในสัญญา
ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ จะต้องจัดทํารายงานเพื่อแสดงต่อกรมการขนส่งทางน้ําและพาณิชยนาวี ตามแบบรายงานและระยะเวลาที่กรมการขนส่งทางน้ําและพาณิชยนาวีกําหนด”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ที่ลงในประกาศนี้เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,294 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 143) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทำกิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 143)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทํากิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน
---------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 364) พ.ศ. 2542 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทํากิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความใน (3) ของข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 82) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ขายและผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทํากิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน ลงวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2543 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(3) ต้องมีข้อกําหนดให้ผู้ขายหลักทรัพย์สัญญาจะคืนหลักทรัพย์ประเภทเดียวกัน ในจํานวนที่เทียบเท่ากับที่ขายให้ผู้ซื้อหลักทรัพย์เมื่อครบกําหนดซื้อคืนตามสัญญาหรือวันที่คู่สัญญาทวงถามในราคาตามวิธีการคํานวณที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า โดยมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ขายหลักทรัพย์จนถึงวันที่ซื้อคืนหลักทรัพย์ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ขายหลักทรัพย์
กรณีผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่ส่งมอบหลักทรัพย์คืนให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์ภายในกําหนดเวลา และผู้ขายหลักทรัพย์ได้ซื้อหลักทรัพย์มาคืนตนเองภายในกําหนดเวลา 1 เดือนนับแต่วันที่ผิดนัด ให้ถือว่าหลักทรัพย์ที่ผู้ขายหลักทรัพย์ซื้อมานั้น เป็นหลักทรัพย์ที่ได้รับคืนตามวรรคหนึ่ง
ทั้งนี้ หากมีการนําหลักทรัพย์ประเภทเดียวกับที่นํามาทําสัญญาขายหรือซื้อคืน มาเพิ่มหรือมีการส่งคืนหลักทรัพย์ดังกล่าวอันเนื่องมาจากมูลค่าหลักทรัพย์ดังกล่าวเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามวิธีการที่กําหนดในสัญญา ให้ถือว่าหลักทรัพย์ที่นํามาเพิ่มหรือหลักทรัพย์ที่เหลืออยู่เป็นหลักทรัพย์ที่ผู้ขายหลักทรัพย์จะซื้อคืนตามวรรคหนึ่งด้วย”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,295 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 355) เรื่อง กำหนดวิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่าย เป็นค่าซ่อมแซมอาคารหรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับตัวอาคารหรือในที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคาร หรือค่าซ่อมแซมห้องชุดในอาคารชุดหรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับห้องชุดในอาคารชุด ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึก
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 355)
เรื่อง กําหนดวิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่าย เป็นค่าซ่อมแซมอาคารหรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับตัวอาคารหรือในที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคาร หรือค่าซ่อมแซมห้องชุดในอาคารชุดหรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับห้องชุดในอาคารชุด ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึก
------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 1 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 342 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดวิธีการและเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สิน ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึก ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมอาคาร หรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับตัวอาคารหรือในที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคาร หรือในการซ่อมแซมห้องชุดในอาคารชุด หรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับห้องชุดในอาคารชุด ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึก ซึ่งได้จ่ายระหว่างวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2562 ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกินหนึ่งแสนบาท ให้เป็นไปตามวิธีการและเงื่อนไข ดังนี้
(1) ทรัพย์สินที่ได้รับการซ่อมแซมต้องเป็นอาคาร หรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับตัวอาคาร หรือในที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคาร หรือห้องชุดในอาคารชุด หรือทรัพย์สินที่ประกอบติดตั้งกับห้องชุดในอาคารชุด ซึ่งได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึก และอยู่ในพื้นที่ที่ทางราชการประกาศให้เป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยหรือเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
(2) ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ผู้มีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง ต้องมีหลักฐานที่แสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคาร หรือห้องชุดในอาคารชุดที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึก หรือหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้เช่าอาคาร หรือห้องชุดในอาคารชุดที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึก หรือหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดที่ได้รับความเสียหายนั้น เป็นที่อยู่อาศัยหรือใช้ประกอบกิจการ หรือใช้ประโยชน์อื่น แล้วแต่กรณี ดังนี้
(ก) กรณีที่ผู้มีเงินได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ได้แก่ หนังสือสัญญาซื้อขาย หนังสือขออนุญาตปลูกสร้างอาคาร หรือหลักฐานอื่นใดที่แสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคาร หรือห้องชุดในอาคารชุด
(ข) กรณีที่ผู้มีเงินได้เป็นผู้เช่า ได้แก่ หนังสือสัญญาเช่า หรือหลักฐานอื่นที่แสดงได้ว่ามีการเช่า
(ค) กรณีที่ผู้มีเงินได้ได้ใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัยหรือใช้ประกอบกิจการหรือใช้ประโยชน์อื่น ได้แก่ เอกสารหลักฐานการรับรองจากเจ้าของทรัพย์สินว่าผู้มีเงินได้ได้ใช้อาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดเป็นที่อยู่อาศัย หรือใช้ในการประกอบกิจการหรือใช้ประโยชน์อื่นใดโดยให้ระบุรายละเอียดให้ชัดเจนว่าใช้ประโยชน์ใด
(ง) กรณีที่ผู้มีเงินได้มีสามีหรือภริยาและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดที่สามีหรือภริยาได้มาระหว่างสมรสและเป็นสินสมรส โดยผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นสามีหรือภริยาไม่มีชื่อในเอกสารที่แสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุดนั้น หลักฐานที่แสดงได้ว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด ได้แก่ หลักฐานตาม (ก) ที่มีชื่อของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ประกอบกับใบทะเบียนสมรส
(3) กรณีที่ผู้มีเงินได้ตาม (2) เป็นผู้จ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สิน ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึกตาม (1) ให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ดังต่อไปนี้
(ก) กรณีที่ผู้มีเงินได้คนเดียว จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวในทรัพย์สินหนึ่งแห่ง ให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(ข) กรณีที่ผู้มีเงินได้มากกว่าหนึ่งคน จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวในทรัพย์สินหนึ่งแห่ง ให้ผู้มีเงินได้ทุกคนได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ โดยเฉลี่ยการได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วนของค่าใช้จ่ายที่ผู้มีเงินได้แต่ละคนได้จ่ายไปในการซ่อมแซมทรัพย์สินนั้น แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(ค) กรณีที่ผู้มีเงินได้จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวในทรัพย์สินมากกว่าหนึ่งแห่ง ไม่ว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าว สําหรับทรัพย์สินแต่ละแห่งจะเข้าลักษณะตาม (ก) หรือ (ข) แล้วแต่กรณี เมื่อรวมทุกแห่งแล้วต้องไม่เกินหนึ่งแสนบาท
(4) ค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ที่มีการจ่ายในการซ่อมแซมทรัพย์สินตาม (3) รวมถึงค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ดังต่อไปนี้ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องสุขภัณฑ์ ประตู หน้าต่าง รั้ว ประตูรั้ว สนามหญ้า สระว่ายน้ํา บ่อเลี้ยงปลา แท็งก์น้ํา ปั๊มน้ํา ท่อน้ํา บ่อหรือถังบําบัดน้ําเสีย หลอดไฟฟ้า สายไฟฟ้า ซึ่งประกอบติดตั้งกับตัวอาคารหรือห้องชุด หรืออยู่ในที่แห่งเดียวกันหรืออยู่ในบริเวณเดียวกันกับอาคารหรือห้องชุด
(5) กรณีที่สามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ไม่ว่าสามีหรือภริยาเป็นผู้จ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการซ่อมแซมทรัพย์สิน ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึกตาม (1) ให้สามีหรือภริยาผู้มีเงินได้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามหลักเกณฑ์ใน (2) (3) และ (4)
(6) กรณีที่สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างเป็นผู้มีเงินได้ และต่างฝ่ายต่างจ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุ หรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สิน ที่ได้รับความเสียหายจากพายุโซนร้อนปาบึกตาม (1) ให้สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามหลักเกณฑ์ใน (2) (3) และ (4)
ข้อ ๒ ผู้มีเงินได้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 1 ต้องจัดทําแบบแสดงการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ โดยมีข้อความอย่างน้อยตามแบบแนบท้ายประกาศนี้และต้องมีเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้ พร้อมให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
(1) เอกสารการจ่ายเงินค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สิน ที่แสดงชื่อพร้อมที่อยู่และลายมือชื่อของผู้รับเงิน ชื่อของผู้จ่ายเงิน วัน เดือน ปี ที่จ่าย รายการที่จ่าย และจํานวนเงินที่จ่าย หรือหลักฐานอื่นที่พิสูจน์หรือแสดงได้ว่าผู้มีเงินได้เป็นผู้จ่ายเงินค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สินนั้น
(2) เอกสารหลักฐานตามข้อ 1 (2)
ผู้มีเงินได้จะยื่นแบบแสดงการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้และภาพถ่ายเอกสารตาม (1) และ (2) พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ได้
ข้อ ๓ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี ไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปีภาษี พ.ศ. 2562
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,296 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 354) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 354)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
---------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 682) พ.ศ. 2562 อธิบดีกรมสรรพากร กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” หมายความว่า กองทุนเพื่อความเสมอภาค ทางการศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
“ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า ระบบที่ใช้สร้างและเก็บรักษาข้อมูลการบริจาค ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร ตามประมวลรัษฎากร
ข้อ ๒ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดา สําหรับการบริจาคให้แก่กองทุน เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ตามมาตรา 3 (1) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 682) พ.ศ. 2562 จะต้องบริจาคเป็นเงินเท่านั้น
ข้อ ๓ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับการบริจาค ให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ตามมาตรา 3 (2) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 682) พ.ศ. 2562 จะบริจาคเป็นเงิน ทรัพย์สินหรือสินค้าก็ได้
ในกรณีที่บริจาคเป็นทรัพย์สินหรือสินค้า ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังนี้
(1) กรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซื้อทรัพย์สินมาเพื่อการบริจาค ต้องมีหลักฐานการได้มาซึ่งทรัพย์สินที่ระบุจํานวนและมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินนั้น โดยให้ถือว่ามูลค่าตามหลักฐานดังกล่าวเป็นมูลค่าของรายจ่ายที่บริจาค
(2) กรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนาทรัพย์สินที่ได้บันทึกบัญชีทรัพย์สิน ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นมาบริจาค ให้ถือเอามูลค่าต้นทุนส่วนที่เหลือจากการคํานวณ หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินเป็นมูลค่าของรายจ่ายที่บริจาค
(3) กรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนาสินค้ามาบริจาค ไม่ว่าเป็นสินค้าที่ผลิตเองหรือซื้อมาเพื่อขาย ให้ถือเอามูลค่าต้นทุนของสินค้าดังกล่าวที่มีเอกสารหลักฐานสามารถพิสูจน์ได้ เป็นมูลค่าของรายจ่ายที่บริจาค แต่มูลค่าดังกล่าวต้องไม่เกินราคาสินค้าคงเหลือยกมา ตามมาตรา 65 ทวิ (6) แห่งประมวลรัษฎากร
(4) มูลค่าของทรัพย์สินหรือสินค้าที่ซื้อมาเพื่อบริจาคนั้น จะต้องมีจํานวนไม่เกินราคา ที่พึงซื้อได้โดยปกติ ทั้งนี้ ตามมาตรา 65 ตรี (15) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๔ ผู้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับการบริจาคให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ตามข้อ 2 และข้อ 3 ต้องมีเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้จากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พร้อมให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
(1) กรณีที่บริจาคเป็นเงิน ได้แก่ ใบเสร็จรับเงิน หรือหลักฐานอื่นเป็นหนังสือที่ออก โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เช่น หนังสือขอบคุณ ใบประกาศเกียรติคุณ ซึ่งหลักฐานดังกล่าวต้องระบุจํานวนเงินที่ได้บริจาคและสามารถพิสูจน์การรับบริจาคจากผู้บริจาคได้โดยมีการรับรองอย่างชัดแจ้งจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาว่าได้รับบริจาคจริง
(2) กรณีที่บริจาคเป็นทรัพย์สินหรือสินค้า ได้แก่ หลักฐานเป็นหนังสือที่ออกโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาซึ่งพิสูจน์ได้ว่าได้บริจาคทรัพย์สินหรือสินค้าให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เช่น หนังสือขอบคุณ ใบประกาศเกียรติคุณ ซึ่งหลักฐานดังกล่าวได้ระบุมูลค่าของทรัพย์สิน หรือสินค้านั้นตามหลักเกณฑ์ในข้อ 3
ข้อ ๕ กรณีที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษารับบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ ตามประกาศกรมสรรพากร เรื่อง การบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ให้ใช้ข้อมูลการบริจาคที่ปรากฏในระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ เป็นหลักฐานประกอบการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 4 โดยผู้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ไม่ต้องแสดงเอกสารหลักฐานการบริจาคต่อเจ้าพนักงานประเมิน
ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,297 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 142) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการบริจาคเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินที่บริจาคให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 142)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการบริจาคเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าจํานวนเงินที่บริจาคให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น
-----------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความแห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 255 (พ.ศ. 2548) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการบริจาคเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าจํานวนเงินที่บริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากธรณีพิบัติภัย ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ เงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนตามมาตรา 47(1)(2)(3)(4)(5) หรือ (6) แห่งประมวลรัษฎากร เท่าจํานวนเงินที่บริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากธรณีพิบัติภัยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการบริจาค ดังต่อไปนี้
(1) ผู้รับบริจาคต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น
(2) ผู้รับบริจาคต้องดําเนินการในลักษณะเป็นสื่อกลางในการรับบริจาคอย่างเปิดเผยเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากธรณีพิบัติภัยในพื้นที่จังหวัดกระบี่ จังหวัดตรัง จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง และจังหวัดสตูล ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2548
(3) ผู้รับบริจาคต้องนําเงินที่ได้รับบริจาคไปช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากธรณีพิบัติภัยดังกล่าวโดยตรง
(4) ภายหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 หากยังมีเงินที่ได้รับบริจาคเหลืออยู่ผู้รับบริจาคต้องส่งมอบเงินดังกล่าวให้แก่ส่วนราชการหรือองค์การหรือสถานสาธารณกุศลที่รัฐมนตรีประกาศกําหนดตามมาตรา 47 (7)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2548
(5) ผู้รับบริจาคต้องจัดส่งเอกสารหลักฐานให้แก่กรมสรรพากร ได้แก่ สําเนาบัญชีการรับเงินบริจาคซึ่งต้องแยกออกจากบัญชีการดําเนินงานตามปกติ สําเนาบัญชีแสดงรายการจ่ายค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุธรณีพิบัติภัย สําเนารายชื่อผู้บริจาค และสําเนาใบนําฝากหรือใบรับเงินชั่วคราวที่ออกให้แก่ผู้บริจาค โดยให้จัดส่งภายในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2549
ข้อ ๒ ในกรณีมีปัญหาในการปฏิบัติให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอํานาจวินิจฉัย และคําวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรให้ถือเป็นหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการบริจาคที่กําหนดตามประกาศนี้ด้วย
ข้อ ๓ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2547 ที่ต้องยื่นรายการในปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,298 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 353) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุดเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 353)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุดเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย
-----------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 1 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 348 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุดเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“อสังหาริมทรัพย์” หมายความว่า อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุดเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้มีเงินได้
ข้อ ๒ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
(2) ต้องเป็นการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าไม่เกิน 5,000,000 บาท และต้องไม่ใช่กรณีที่เป็นการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีการแยกสัญญาซื้อขายที่ดินและสัญญาก่อสร้างออกจากกัน
(3) ต้องเป็นการจ่ายค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ตามจํานวนที่จ่ายจริงที่จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 และต้องมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นให้แล้วเสร็จภายในช่วงเวลาดังกล่าว
(4) ผู้มีเงินได้ต้องใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปีภาษี 2562 ที่ต้องยื่นรายการและชําระภาษีเงินได้ในปี 2563
(5) ผู้มีเงินได้ต้องไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตนเองมาก่อน
(6) การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ให้ผู้มีเงินได้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เท่าจํานวนที่จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์จริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
(7) กรณีที่ผู้มีเงินได้หลายคนร่วมกันซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ทุกคน โดยเฉลี่ยการได้รับยกเว้นภาษีตามส่วนของกรรมสิทธิ์ของแต่ละคน แต่รวมกันทั้งหมดแล้วต้องไม่เกินจํานวนที่จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์จริงและไม่เกิน 200,000 บาท
(8) กรณีที่สามีภริยาร่วมกันซื้ออสังหาริมทรัพย์และต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ การได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ให้ใช้หลักเกณฑ์ตาม (7) โดยยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมิน ดังนี้
(ก) ถ้าต่างฝ่ายต่างยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับ หรือแยกยื่นรายการและเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่ถือเป็นเงินได้ของอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 57 ฉ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
(ข) ถ้าสามีภริยาตกลงยื่นรายการและเสียภาษีรวมกัน โดยถือเอาเงินได้พึงประเมินของตน เป็นเงินได้ของสามีหรือภริยาอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 57 ฉ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้มีเงินได้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ส่วนของตน และได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ส่วนของสามีหรือภริยาด้วย
(9) กรณีที่สามีภริยาร่วมกันซื้ออสังหาริมทรัพย์ หากสามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้ผู้มีเงินได้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เต็มจํานวนที่สามีภริยาได้จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
ข้อ ๓ ผู้มีเงินได้ต้องมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อ เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว แต่ไม่รวมถึงกรณีที่ผู้มีเงินได้ถึงแก่ความตาย หรือกรณีอสังหาริมทรัพย์นั้นสิ้นสภาพไปทั้งหมด
ข้อ ๔ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานประกอบการยกเว้นภาษีเงินได้ ดังนี้
(1) สําเนาสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เช่น สําเนาสัญญาขาย (ท.ด. 13) สําเนาสัญญาซื้อขายห้องชุดในอาคารชุด (อ.ช. 23) หรือสําเนาหนังสือโอนกรรมสิทธิ์อาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุด แล้วแต่กรณี
(2) หนังสือรับรองจากผู้ขายที่พิสูจน์ได้ว่า มีการจ่ายค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยต้องมีข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้
(3) หนังสือรับรองตนเองของผู้มีเงินได้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ว่า เป็นที่อยู่อาศัยแห่งแรก โดยต้องมีข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้
ข้อ ๕ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ให้ผู้มีเงินได้มีสิทธินําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี ไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร หลังจากหักค่าใช้จ่าย ตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๖ กรณีที่ผู้มีเงินได้ที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้แล้ว และต่อมาปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามประกาศนี้ ผู้มีเงินได้หมดสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ และต้องเสียภาษีเงินได้ สําหรับปีภาษีที่ได้นําค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ไปหักออกจากเงินได้พึงประเมินเพื่อยกเว้นภาษีเงินได้แล้ว พร้อมชําระเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,299 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 141) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ยืมและผู้ให้ยืมหลักทรัพย์
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 141)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ยืมและผู้ให้ยืมหลักทรัพย์
--------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 331) พ.ศ. 2541 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ยืมและผู้ให้ยืมหลักทรัพย์ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในข้อ 1 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 74) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ยืมและผู้ให้ยืมหลักทรัพย์ ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2541 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ 1 การยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประกาศกําหนด และต้องมีเงื่อนไขอย่างน้อย ดังต่อไปนี้
1.1 ต้องมีสัญญายืมและให้ยืมหลักทรัพย์เป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างผู้ยืมและผู้ให้ยืมหลักทรัพย์
1.2 ต้องมีข้อกําหนดให้มีการโอนหลักทรัพย์จากผู้ให้ยืมไปยังผู้ยืม โดยผู้ยืมตกลงว่าจะโอนหลักทรัพย์ที่ออกโดยนิติบุคคลเดียวกันหรือโครงการจัดการกองทุนรวมเดียวกัน ประเภท รุ่น และชนิดเดียวกัน ในจํานวนที่เทียบเท่ากับที่ยืมไปดังกล่าวคืนให้แก่ผู้ให้ยืมตามวันที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าหรือในวันที่ผู้ให้ยืมทวงถาม โดยมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ยืมจนถึงวันที่คืนหลักทรัพย์จะต้องไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันให้ยืมหลักทรัพย์
ทั้งนี้ หากผู้ยืมผิดนัดไม่ส่งมอบหลักทรัพย์คืนให้แก่ผู้ให้ยืมภายในกําหนดเวลา และผู้ให้ยืมได้ซื้อหลักทรัพย์ที่ให้ยืมมาคืนตนเองภายในกําหนดเวลา 1 เดือนนับแต่วันที่ผิดนัด ให้ถือว่าหลักทรัพย์ที่ผู้ให้ยืมซื้อมานั้น เป็นหลักทรัพย์ที่ได้รับคืนตามวรรคหนึ่งด้วย
1.3 ในกรณีที่การยืมหลักทรัพย์มีหลักประกันการยืมหลักทรัพย์และหลักประกันดังกล่าวเป็นหลักทรัพย์หรือตราสารใด ๆ สัญญายืมและให้ยืมหลักทรัพย์ต้องกําหนดให้มีการโอนหลักประกันจากผู้ยืมไปยังผู้ให้ยืม โดยผู้ให้ยืมตกลงว่าจะโอนหลักประกันดังกล่าวคืนแก่ผู้ยืมเมื่อผู้ยืมคืนหลักทรัพย์ตามข้อ 1.2 หรือเมื่อผู้ยืมได้วางหลักประกันอื่นแทนหลักประกันเดิมแล้ว
ทั้งนี้ หากผู้ให้ยืมผิดนัดไม่ส่งมอบหลักประกันคืนให้แก่ผู้ยืมภายในกําหนดเวลา และผู้ยืมได้ซื้อหลักประกันการยืมหลักทรัพย์มาคืนตนเองภายในกําหนดเวลา 1 เดือนนับแต่วันที่ผิดนัด ให้ถือว่าหลักประกันที่ผู้ยืมซื้อมานั้น เป็นหลักประกันที่ได้รับคืนตามวรรคหนึ่งด้วย”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,300 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 352) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากประจำ หรือผลตอบแทนเงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามตามหลักการมุฎอเราะบะฮ์ ที่ได้รับจากการฝากเงินกับธนาคารในประเทศ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 352)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากประจํา หรือผลตอบแทนเงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามตามหลักการมุฎอเราะบะฮ์ ที่ได้รับจากการฝากเงินกับธนาคารในประเทศ
----------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 2 (69) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 339 (พ.ศ. 2561) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากประจําหรือผลตอบแทนเงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามตามหลักการมุฎอเราะบะฮ์ที่ได้รับจากการฝากเงินกับธนาคารในประเทศที่มีระยะเวลาการฝากตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 137) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร เฉพาะดอกเบี้ยเงินฝากประจําที่มีระยะเวลาการฝากตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ลงวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2548
ข้อ ๒ ดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนเงินฝากที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นดอกเบี้ยเงินฝากประจําหรือผลตอบแทนเงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามตามหลักการมุฎอเราะบะฮ์ ที่ได้รับจากการฝากเงินกับธนาคารในประเทศที่มีระยะเวลาการฝากตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป แต่เมื่อรวมกับดอกเบี้ยเงินฝากประจําทุกประเภทหรือผลตอบแทนเงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามตามหลักการมุฎอเราะบะฮ์แล้ว ต้องมีจํานวนรวมกันทั้งสิ้นไม่เกินสามหมื่นบาทตลอดปีภาษีนั้น และผู้มีเงินได้ได้รับดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากดังกล่าวเมื่อมีอายุไม่ต่ํากว่าห้าสิบห้าปีบริบูรณ์
ข้อ ๓ ชื่อบัญชีเงินฝากต้องเป็นชื่อของผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนเงินฝากนั้น แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลและกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
ข้อ ๔ กรณีที่ผู้มีเงินได้ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนเงินฝากตามข้อ 2 รวมกับดอกเบี้ยเงินฝากประจําทุกประเภทรวมกันหรือผลตอบแทนเงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามตามหลักการมุฎอเราะบะฮ์แล้ว มีจํานวนทั้งสิ้นเกินสามหมื่นบาทตลอดปีภาษีนั้น ให้ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนเงินฝากดังกล่าวหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทั้งจํานวน และนําส่งตามมาตรา 50 (2) และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๕ ผู้มีเงินได้ซึ่งได้รับดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนเงินฝากตามข้อ 2 ที่สามีภริยาเป็นผู้ฝากเงินร่วมกันและไม่อาจแยกได้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นเงินฝากของสามีหรือภริยาแต่ละฝ่ายจํานวนเท่าใด ให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของสามีและภริยาฝ่ายละกึ่งหนึ่ง
ข้อ 6 ผู้ฝากเงินต้องแจ้งเลขประจําตัวประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร พร้อมแสดงบัตรประจําตัวประชาชนของตนต่อธนาคารผู้รับฝากเมื่อเปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าว
ข้อ ๖ ผู้ฝากเงินต้องแจ้งเลขประจําตัวประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร พร้อมแสดงบัตรประจําตัวประชาชนของตนต่อธนาคารผู้รับฝากเมื่อเปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าว
กรณีที่ผู้ฝากเงินตามวรรคหนึ่งไม่มีเลขประจําตัวประชาชน ให้แจ้งเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรต่อธนาคารผู้รับฝากเมื่อเปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าว
ข้อ ๗ ผู้มีเงินได้ซึ่งได้รับดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนเงินฝากตามข้อ 2 ต้องแจ้งข้อมูลของผู้มีเงินได้ตามหนังสือแจ้งการขอใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งต้องมีข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ต่อธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนเงินฝาก และให้ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนเงินฝากเก็บหลักฐานดังกล่าวไว้เพื่อให้เจ้าพนักงานประเมิตรวจสอบต่อไป
ในกรณีที่ผู้มีเงินได้ได้แจ้งข้อมูลตามวรรคหนึ่งแล้ว ผู้มีเงินได้ไม่มีหน้าที่แจ้งข้อมูลดังกล่าวอีก
ข้อ ๘ ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนเงินฝากตามข้อ 2 ต้องส่งข้อมูลของผู้มีเงินได้ที่แจ้งต่อธนาคารตามข้อ 7 และข้อมูลการฝากเงินของผู้มีเงินได้ต่อกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร โดยให้ส่งเป็นสื่อบันทึกข้อมูลของผู้มีเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับดอกเบี้ยเงินฝากประจําหรือผลตอบแทนเงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามตามหลักการมุฎอเราะบะฮ์ที่มีระยะเวลาการฝากตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปและผู้มีเงินได้มีอายุไม่ต่ํากว่าห้าสิบห้าปีบริบูรณ์ ซึ่งต้องมีรายละเอียดอย่างน้อยตามที่แนบท้ายประกาศนี้
การส่งข้อมูลของผู้มีเงินได้ฝากเงินตามวรรคหนึ่งสําหรับรอบระยะเวลาตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม ให้ส่งภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป เว้นแต่รอบระยะเวลาตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2561 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2561 ให้ส่งภายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,301 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 351) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในประเทศ ดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ หรือผลตอบแทนเงินฝากที่ได้รับจากการฝากเงินตามหลักการศาสนาอิสลามตามหลักการมุฎอเราะบะฮ์ ซึ่งเป็นการฝากเงินในประเทศ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 351)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในประเทศ ดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ หรือผลตอบแทนเงินฝากที่ได้รับจากการฝากเงินตามหลักการศาสนาอิสลามตามหลักการมุฎอเราะบะฮ์ ซึ่งเป็นการฝากเงินในประเทศ
----------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 4 วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 664) พ.ศ. 2561 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในประเทศ ดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ หรือผลตอบแทนเงินฝากที่ได้รับจากการฝากเงินตามหลักการศาสนาอิสลามตามหลักการมุฎอเราะบะฮ์ ซึ่งเป็นการฝากเงินในประเทศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 64) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารและดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งเป็นการฝากเงินในประเทศ ลงวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2539
ข้อ ๒ ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ หรือผลตอบแทนเงินฝากที่ได้รับจากการฝากเงินตามหลักการศาสนาอิสลามตามหลักการมุฎอเราะบะฮ์ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนํามารวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะต้องเป็นดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากจากบัญชีเงินฝากที่ผู้มีเงินได้เปิดขึ้นใหม่โดยเฉพาะแยกต่างหากจากบัญชีเงินฝากประเภทอื่น และผู้มีเงินได้ต้องมีบัญชีเงินฝากที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นี้บัญชีเดียว
ข้อ ๓ การฝากเงินดังกล่าวจะต้องเป็นการฝากตามวงเงิน และภายในระยะเวลาที่กําหนดในแต่ละเดือนจะขาดการฝาก หรือฝากไม่ครบตามวงเงินที่กําหนด หรือฝากล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กําหนด กรณีใดกรณีหนึ่ง หรือทุกกรณีรวมกันเกินสองเดือนไม่ได้
ข้อ ๔ ชื่อบัญชีเงินฝากจะต้องเป็นชื่อของผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนเงินฝากนั้น แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลและกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
ข้อ ๕ กรณีที่ผู้มีเงินได้ถอนเงินฝากตามข้อ 2 ก่อนครบกําหนดจ่ายคืนเงินฝาก ผู้มีเงินได้เป็นอันหมดสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนเงินฝากดังกล่าว
ข้อ ๖ ผู้มีเงินได้ซึ่งได้รับดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนเงินฝากตามข้อ 2 ที่สามีภริยาเป็นผู้ฝากเงินร่วมกันและไม่อาจแยกได้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นเงินฝากของสามีหรือภริยาแต่ละฝ่ายจํานวนเท่าใด ให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของสามีและภริยาฝ่ายละกึ่งหนึ่ง
ข้อ ๗ ผู้ฝากเงินต้องแจ้งเลขประจําตัวประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร พร้อมแสดงบัตรประจําตัวประชาชนของตนต่อธนาคารหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ผู้รับฝากเมื่อเปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าว
กรณีที่ผู้ฝากเงินตามวรรคหนึ่งไม่มีเลขประจําตัวประชาชน ให้แจ้งเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรต่อธนาคารหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ผู้รับฝากเมื่อเปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าว
ข้อ ๘ ธนาคารหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ ซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากหรือผลตอบแทนเงินฝากตามข้อ 2 ต้องส่งข้อมูลของผู้ฝากเงินต่อสํานักงานสรรพากรพื้นที่ในเขตท้องที่ที่ธนาคารหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากตั้งอยู่แล้วแต่กรณี ดังต่อไปนี้ ภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป
(1) กรณีที่บันทึกข้อมูลของผู้ฝากเงินด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้ส่งสื่อบันทึกข้อมูลของผู้ฝากเงินตามรูปแบบ (Format) ที่อธิบดีกรมสรรพากรกําหนด หรือ
(2) กรณีที่ไม่ได้บันทึกข้อมูลของผู้ฝากเงินด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้ส่งข้อมูลของผู้ฝากเงินตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกําหนด
ทั้งนี้ สําหรับรอบระยะเวลาตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2561 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2561 ให้ส่งภายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,302 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 350) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่าย เป็นค่าซื้อหนังสือทุกประเภท หรือค่าบริการหนังสือทุกประเภทที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 350)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่าย เป็นค่าซื้อหนังสือทุกประเภท หรือค่าบริการหนังสือทุกประเภทที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
---------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 1 และข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 347 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหนังสือทุกประเภท หรือค่าบริการหนังสือทุกประเภทที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อหนังสือทุกประเภท หรือค่าบริการหนังสือทุกประเภทที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ต้องเป็นไป ตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(1) ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือ คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล โดยให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันแล้วต้อง ไม่เกิน 15,000 บาท
(2) กรณีสามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่สามีหรือภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 15,000 บาท
(3) กรณี สามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้
(ก) ถ้าต่างฝ่ายต่างยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับ หรือแยกยื่นรายการและเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่ถือเป็นเงินได้ของอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 57 ฉ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 15,000 บาท
(ข) ถ้าสามีภริยาตกลงยื่นรายการและเสียภาษีรวมกัน โดยถือเอาเงินได้พึงประเมินของตนเป็นเงินได้ของสามีหรือภริยาอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 57 ฉ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้มีเงินได้ได้รับยกเว้น ภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 15,000 บาท และให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ส่วนของสามีหรือภริยาได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 15,000 บาท
ข้อ ๒ ผู้มีเงินได้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ต้องซื้อหนังสือทุกประเภท หรือรับบริการหนังสือ ทุกประเภทที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 และได้รับใบรับซึ่งมีรายการอย่างน้อยตามมาตรา 105 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร พร้อมระบุชื่อ และนามสกุลของผู้มีเงินได้
ข้อ ๓ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ตามข้อ 1 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 347 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร เมื่อรวมกับเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ตามข้อ 1 (2) และ (3) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 341 (พ.ศ. 2561) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 15,000 บาท
ข้อ ๔ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นาเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี ไปคานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร หลังจากหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,303 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 349) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าบริการหรือค่าที่พัก สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรอง และในจังหวัดอื่นซึ่งมิใช่จังหวัดท่องเที่ยวรอง
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 349)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าบริการหรือค่าที่พัก สําหรับการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรอง และในจังหวัดอื่นซึ่งมิใช่จังหวัดท่องเที่ยวรอง
--------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 4 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 344 (พ.ศ. 2562) ออกตามความ ในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าบริการหรือค่าที่พัก สําหรับการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรอง และในจังหวัดอื่นซึ่งมิใช่จังหวัดท่องเที่ยวรอง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“ผู้ประกอบธุรกิจนาเที่ยว” หมายความว่า ผู้ประกอบธุรกิจนาเที่ยวที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์
“ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม” หมายความว่า ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ได้รับใบอนุญาต ตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
“ผู้ประกอบกิจการโฮมสเตย์ไทย” หมายความว่า ผู้ประกอบกิจการให้บริการที่พัก โฮมสเตย์ไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานโฮมสเตย์ไทยจากกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
“ผู้ประกอบกิจการสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม” หมายความว่า ผู้ประกอบกิจการให้บริการที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
“สถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม” หมายความว่า สถานที่พักที่มีจํานวนห้องพักในอาคารเดียวกันหรือหลายอาคารรวมกันไม่เกินสี่ห้องและมีจํานวนผู้พักรวมกันทั้งหมดไม่เกินยี่สิบคน ซึ่งจัดตั้งขึ้น เพื่อให้บริการที่พักชั่วคราวสําหรับคนเดินทางหรือบุคคลอื่นใดโดยมีค่าตอบแทน อันมีลักษณะเป็น การประกอบกิจการเพื่อหารายได้เสริม และได้แจ้งให้นายทะเบียนทราบตามแบบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกําหนดตามข้อ 1 แห่งกฎกระทรวง กําหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2551
ข้อ ๒ การจ่ายค่าบริการหรือค่าที่พักสําหรับการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรอง และในจังหวัดอื่นซึ่งมิใช่จังหวัดท่องเที่ยวรอง ที่ผู้มีเงินได้จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(1) เป็นการจ่ายค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนาเที่ยว สําหรับการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรอง และในจังหวัดอื่นซึ่งมิใช่จังหวัดท่องเที่ยวรอง
(2) เป็นการจ่ายค่าที่พักในจังหวัดท่องเที่ยวรอง และในจังหวัดอื่นซึ่งมิใช่จังหวัดท่องเที่ยวรองดังต่อไปนี้
(ก) ค่าที่พักในโรงแรม ที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม
(ข) ค่าที่พักโฮมสเตย์ไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานโฮมสเตย์ไทยจากกรมการท่องเที่ยวกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบกิจการโฮมสเตย์ไทย
(ค) ค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม ที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบกิจการสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม
(3) เป็นการจ่ายค่าบริการหรือค่าที่พัก และมีการใช้บริการหรือเข้าพักภายในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562 โดยให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ดังนี้
(ก) สําหรับการจ่ายค่าบริการหรือค่าที่พักในจังหวัดท่องเที่ยวรอง ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 20,000 บาท
(ข) สําหรับการจ่ายค่าบริการหรือค่าที่พักในจังหวัดอื่นซึ่งมิใช่จังหวัดท่องเที่ยวรอง ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ในกรณีที่มีการจ่ายค่าบริการหรือค่าที่พักทั้ง (ก) และ (ข) ให้ได้รับยกเว้นไม่เกินจํานวนที่กําหนดใน (ก) และ (ข) แล้วแต่กรณี แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 20,000 บาท
ข้อ ๓ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้ได้จ่ายเป็นค่าบริการหรือค่าที่พักตามข้อ 2 ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(1) ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล โดยให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินจํานวนที่กําหนดในข้อ 2 (3)
(2) กรณีสามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่สามีหรือภริยา ซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินจํานวนที่กําหนดในข้อ 2 (3)
(3) กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้
(ก) กรณีต่างฝ่ายต่างยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับ หรือแยกยื่นรายการและเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่ถือเป็นเงินได้ของอีกฝ่ายหนึ่ง ตามมาตรา 57 ฉ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินจํานวนที่กําหนดในข้อ 2 (3)
(ข) กรณีสามีภริยาตกลงยื่นรายการและเสียภาษีรวมกัน โดยถือเอาเงินได้พึงประเมินของตนเป็นเงินได้ของสามีหรือภริยาอีกฝ่ายหนึ่ง ตามมาตรา 57 ฉ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้มีเงินได้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินจํานวนที่กําหนดในข้อ 2 (3) และให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ส่วนของสามีหรือภริยาได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินจํานวนที่กําหนดในข้อ 2 (3)
ข้อ ๔ ผู้มีเงินได้ที่จะใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 2 จะต้องมีหลักฐาน ดังนี้
(1) กรณีผู้ให้บริการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องมีหลักฐานใบกํากับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร โดยระบุวัน เดือน ปีที่เดินทางท่องเที่ยวหรือเข้าพัก และจังหวัดที่เดินทางท่องเที่ยวหรือจังหวัดที่ที่พักตามข้อ 2 (2) ตั้งอยู่
(2) กรณีผู้ให้บริการที่มิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องมีหลักฐานใบรับตามมาตรา 105 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยระบุชื่อนามสกุลของผู้มีเงินได้ วัน เดือน ปีที่เดินทางท่องเที่ยวหรือเข้าพัก และจังหวัดที่เดินทางท่องเที่ยวหรือจังหวัดที่ที่พักตามข้อ 2 (2) ตั้งอยู่
กรณีผู้ให้บริการตาม (1) หรือ (2) เป็นผู้ประกอบกิจการสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม ให้ระบุเลขที่รับแจ้งและจังหวัด ตามหนังสือรับแจ้งสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม ที่ออกโดยนายทะเบียนกระทรวงมหาดไทยด้วย
ข้อ ๕ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้มีสิทธินําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร หลังจากหักค่าใช้จ่าย ตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,304 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 348) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 348)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
-------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 1 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 346 (พ.ศ. 2562) ออกตามความ ในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(1) ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล โดยให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท
(2) กรณีสามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่สามีหรือภริยา ซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท
(3) กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้
(ก) ถ้าต่างฝ่ายต่างยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับ หรือแยกยื่นรายการและเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่ถือเป็นเงินได้ของอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 57 ฉ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท
(ข) ถ้าสามีภริยาตกลงยื่นรายการและเสียภาษีรวมกัน โดยถือเอาเงินได้พึงประเมินของตนเป็นเงินได้ของสามีหรือภริยาอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 57 ฉ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้มีเงินได้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 15,000 บาท และให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ส่วนของสามีหรือภริยาได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท
ข้อ ๒ ผู้มีเงินได้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ต้องซื้อสินค้าซึ่งเป็นสินค้าหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว โดยชาระราคาค่าสินค้านั้นตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562 และได้รับใบกํากับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร จากผู้ขายในกรณีที่ผู้ขายเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือได้รับใบรับซึ่งมีรายการอย่างน้อยตามมาตรา 105 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร พร้อมระบุชื่อ และนามสกุลของผู้มีเงินได้ ในกรณีที่ผู้ขายมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยในการจัดทํารายการชื่อ ชนิด และประเภทของสินค้าในใบกํากับภาษีตามมาตรา 86/4 (5) แห่งประมวลรัษฎากร หรือในใบรับนั้น ผู้ขายจะต้องปฏิบัติ ดังนี้
(1) ต้องระบุข้อความที่แสดงว่าสินค้านั้น เป็นสินค้าหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ในแต่ละรายการสินค้า หรือจัดทําเครื่องหมายแสดงในแต่ละรายการสินค้าที่เป็นสินค้าหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และมีข้อความที่แสดงว่าเครื่องหมายนั้น หมายถึงสินค้าหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ไว้ในใบกํากับภาษี หรือใบรับ เช่น “OTOP” “โอทอป” หรือ “One Tambon One Product” เป็นต้น
(2) กรณีที่สินค้าทุกรายการในใบกํากับภาษีหรือใบรับนั้นเป็นสินค้าหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมด จะไม่ระบุข้อความหรือเครื่องหมายที่แสดงว่า สินค้าแต่ละรายการเป็นสินค้าหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ตาม (1) ก็ได้ โดยให้ผู้ขายสินค้าซึ่งเป็นผู้ออกใบกํากับภาษีหรือใบรับประทับด้วยตรายางที่มีชื่อการค้า หรือเครื่องหมายการค้าของผู้ขายสินค้านั้น และให้ระบุข้อความว่า “สินค้าทุกรายการ เป็นสินค้าหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์” หรือข้อความอื่นในลักษณะทํานองเดียวกันในใบกํากับภาษี หรือใบรับฉบับนั้นด้วย
ข้อ ๓ กรณีที่ผู้มีเงินได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้นําภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามใบกํากับภาษีไปหักจากภาษีขายในการคํานวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ผู้มีเงินได้ไม่มีสิทธินําค่าซื้อสินค้าตามใบกํากับภาษีนั้นมาใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้
ข้อ ๔ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร หลังจากหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,305 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 140) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารและดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งเป็นการฝากเงินในประเทศ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 140) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารและดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งเป็นการฝากเงินในประเทศ
-----------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 301) พ.ศ. 2539 อธิบดีกรมสรรพากร กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร หรือดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งเป็นการฝากเงินในประเทศไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้ เป็นวรรคสองของข้อ 6 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 64) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารและดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งเป็นการฝากเงินในประเทศ ลงวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2539
“การแจ้งเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรพร้อมแสดงบัตรประจําตัวผู้เสียภาษีอากรตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งเลขประจําตัวประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรแทนก็ได้”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2546 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,306 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 347) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าเกี่ยวกับการศึกษาและกีฬา
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 347)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้ เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าเกี่ยวกับการศึกษาและกีฬา
-------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในกฎกระทรวง ฉบับที่ 345 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าเกี่ยวกับการศึกษาและกีฬา ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“อุปกรณ์การศึกษา” หมายความว่า อุปกรณ์รวมทั้งสิ่งประกอบของอุปกรณ์ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการใช้งานสําหรับการศึกษา
“เครื่องแต่งกายสําหรับการศึกษา” หมายความว่า เครื่องแต่งกายรวมทั้งสิ่งประกอบของเครื่องแต่งกายซึ่งถูกกําหนดให้ใช้แต่งเป็นเครื่องแบบสําหรับการศึกษา
“อุปกรณ์กีฬา” หมายความว่า อุปกรณ์รวมทั้งสิ่งประกอบของอุปกรณ์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อใช้เล่นกีฬาหรือออกกําลังกายแต่ไม่รวมถึงอุปกรณ์สําหรับกีฬาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Sports)
“เครื่องแต่งกายสําหรับการเล่นกีฬา” หมายความว่า เครื่องแต่งกายรวมทั้งสิ่งประกอบ ของเครื่องแต่งกายซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แต่งกายสําหรับการเล่นกีฬาหรือการออกกําลังกาย
ข้อ ๒ การยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าเกี่ยวกับการศึกษาและกีฬาให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและได้รับใบกํากับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(1) ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท
(2) กรณีสามีหรือภริยามีเงินได้ฝ่ายเดียว ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่สามีหรือภริยา ซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
(3) กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้
(ก) ถ้าต่างฝ่ายต่างยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับ หรือแยกยื่นรายการและเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยไม่ถือเป็นเงินได้ของอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 57 ฉ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท
(ข) ถ้าสามีภริยาตกลงยื่นรายการและเสียภาษีรวมกัน โดยถือเอาเงินได้พึงประเมินของตนเป็นเงินได้ของสามีหรือภริยาอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 57 ฉ แห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้มีเงินได้ได้รับยกเว้น ภาษีเงินได้ตามจํานวนที่จ่ายจริง เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 15,000 บาท และให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ส่วนของสามีหรือภริยาได้อีกตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท
ข้อ ๓ ผู้มีเงินได้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ต้องซื้อสินค้าเกี่ยวกับการศึกษาและกีฬา จากผู้ขายซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และได้รับใบกํากับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร โดยรายการชื่อ ชนิด และประเภทของสินค้าในใบกํากับภาษีตามมาตรา 86/4 (5) แห่งประมวลรัษฎากร จะต้องมีข้อความที่แสดงหรือพิสูจน์ได้ว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าเกี่ยวกับการศึกษาและกีฬาซึ่งเป็นสินค้าดังต่อไปนี้
(1) อุปกรณ์การศึกษา แต่ไม่รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
(2) เครื่องแต่งกายสําหรับการศึกษา
(3) อุปกรณ์กีฬา
(4) เครื่องแต่งกายสําหรับการเล่นกีฬา
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตาม (1) หมายถึง คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ โทรทัศน์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ กล้องถ่ายรูป ส่วนประกอบและอุปกรณ์ของกล้องถ่ายรูป หรือเครื่องเล่นแผ่นซีดีหรือแผ่นดีวีดี
ข้อ ๔ กรณีที่ผู้มีเงินได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้นาภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกํากับภาษีไปหักจากภาษีขายในการคานวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากรแล้วผู้มีเงินได้ไม่มีสิทธินาค่าซื้อสินค้าตามใบกํากับภาษีนั้นมาใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้
ข้อ ๕ ผู้มีเงินได้ที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับค่าซื้ออุปกรณ์การศึกษาแต่ไม่รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 345 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร จะต้องไม่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 347 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
ข้อ ๖ การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้ผู้มีเงินได้นําเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีไปคํานวณหักจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร หลังจากหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,307 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 139) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 139)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์
-------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 42 (8)(ค) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2534 และตามความใน ข้อ 2(38) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 200 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้ เป็นวรรคสามของข้อ 7 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 55) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2538
“การแจ้งเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรพร้อมแสดงบัตรประจําตัวผู้เสียภาษีอากรตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้แจ้งเลขประจําตัวประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรแทนก็ได้”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2546 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,308 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 346) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์และผลตอบแทนเงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามตามหลักการวะดีอะฮ์
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 346)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์และผลตอบแทนเงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามตามหลักการวะดีอะฮ์
----------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 42 (8) (ค) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 29) พ.ศ.2534 และตามความในข้อ 2 (38) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 339 (พ.ศ. 2561) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์และผลตอบแทนเงินฝากที่ได้รับจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลามที่ต้องจ่ายคืน เมื่อทวงถามตามหลักการวะดีอะฮ์กับธนาคารในประเทศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 344) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์และผลตอบแทนเงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามที่ต้องจ่ายคืน เมื่อทวงถามตามหลักการวะดีอะฮ์ลงวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2562
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
“ดอกเบี้ย” หมายความว่า ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในประเทศ ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์
“ผลตอบแทนเงินฝาก” หมายความว่า ผลตอบแทนเงินฝากธนาคารในประเทศ ที่ได้รับจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลามที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามตามหลักการวะดีอะฮ์
ข้อ ๓ ดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝากที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝากทุกบัญชีรวมกัน มีจํานวนทั้งสิ้นไม่เกิน 20,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้น
(2) ชื่อบัญชีเงินฝากและเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรที่ใช้ในการเปิดบัญชีเงินฝากจะต้องเป็นของผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากนั้น
(3) ผู้มีเงินได้ไม่ได้แจ้งธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากมิให้นําส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากให้กับกรมสรรพากร
(4) เป็นดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝาก ที่กรมสรรพากรได้รับข้อมูลเกี่ยวกับดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากนั้น จากธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากตามที่กําหนดในข้อ 5
ข้อ ๔ กรณีที่ผู้มีเงินได้ไม่ประสงค์จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามประกาศนี้ ให้แจ้งธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากเพื่อไม่ให้นําส่งข้อมูลเกี่ยวกับดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากให้กับกรมสรรพากรตามข้อ 5
ข้อ ๕ เว้นแต่กรณีตามข้อ 4 เพื่อประโยชน์ในการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ของผู้มีเงินได้ตามประกาศนี้ การส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากให้กับกรมสรรพากร ให้ธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากนําส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทุกบัญชีต่อกองเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพากร โดยจัดทําขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและนําส่งตามวิธีการที่กําหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
การนําส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากตามวรรคหนึ่ง ให้นําส่งภายในกําหนดเวลา ดังนี้
(1) สําหรับข้อมูลที่เกี่ยวกับการคํานวณเพื่อจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากในครึ่งปีแรกโดยคํานวณถึงวันที่ 15 พฤษภาคม ให้นําส่งภายในวันที่ 20 พฤษภาคมของปีนั้น
(2) สําหรับข้อมูลที่เกี่ยวกับการคํานวณเพื่อจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทั้งปีโดยคํานวณถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน ให้นําส่งภายในวันที่ 20 พฤศจิกายนของปีนั้น
(3) สําหรับข้อมูลการจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากในครึ่งปีแรก ซึ่งได้จ่ายก่อนหรือในวันที่ 30 มิถุนายน ให้นําส่งภายในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น
(4) สําหรับข้อมูลการจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทั้งปี ซึ่งได้จ่ายก่อนหรือในวันที่ 31 ธันวาคม ให้นําส่งภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป
ข้อ ๖ กรณีที่ผู้มีเงินได้ที่ได้รับดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขตามข้อ 3 ผู้มีเงินได้นั้นไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และให้ธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนําส่งตามมาตรา 50 (2) และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร หากธนาคารไม่ได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนําส่ง ให้ธนาคารนําส่งภาษีที่ต้องนําส่งพร้อมกับเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของ เงินภาษีที่ต้องนําส่ง ตามมาตรา 27 แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,309 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 345) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 345)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 670) พ.ศ. 2561 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเป็นค่าจ้างให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“รายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน ภาษีอากรที่ผู้จ่ายออกแทนให้ หรือประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงานซึ่งเป็น เงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร เงินที่จ่ายสมทบเข้ากองทุนสํารองเลี้ยงชีพ แต่ไม่รวมถึงรายจ่ายที่ต้องจ่ายตามที่กฎหมายกําหนดขึ้นโดยเฉพาะ เช่น เงินที่จ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม กองทุนส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นต้น
ข้อ ๒ รายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะนําไปใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 670) พ.ศ. 2561 ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(1) จํานวนรายจ่ายที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ จะต้องเกิดจากการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้าทํางานเป็นลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยจํานวนรายจ่าย และจํานวนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
(ก) ต้องเป็นการจ่ายให้แก่ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายละไม่เกิน หนึ่งหมื่นห้าพันบาทต่อเดือน และลูกจ้างนั้นจะต้องมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วไม่เกินหนึ่งแสนบาท โดยไม่รวมถึงเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากร
(ข) จํานวนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่นํามาเป็นฐานในการคํานวณหารายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนํามาใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นั้น ได้แก่ จํานวนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตาม (ก) ที่ทํางานเต็มเดือนในแต่ละเดือน เฉพาะส่วนที่ไม่เกินร้อยละสิบของจํานวนลูกจ้างทั้งหมดที่ทํางานเต็มเดือนในประเทศไทยในแต่ละเดือนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น โดยให้คํานวณหาจํานวนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นรายเดือน
การคํานวณหาจํานวนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามวรรคหนึ่ง หากปรากฏว่า ได้ผลลัพธ์ไม่ลงตัว มีเศษในการคํานวณ และเศษของผลลัพธ์มีจํานวนตั้งแต่ 0.5 ให้ปัดเศษขึ้นไปให้ได้จํานวนเต็มและให้ถือเป็นจํานวนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะเป็นฐานในการคํานวณหารายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะได้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้
(2) กรณีที่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหลายแห่ง ให้นายจ้างที่รับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้าทํางานก่อนเป็นผู้ใช้สิทธิ
ข้อ ๓ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีสิทธินํารายจ่ายที่ได้จ่ายไปใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 670) พ.ศ. 2561 มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(1) ต้องจัดทํารายงานเกี่ยวกับการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่นํามาใช้สิทธิยกเว้น ภาษีเงินได้สําหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีรายการและข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ และเก็บรักษารายงานดังกล่าว รวมทั้งเอกสารประกอบการลงรายการในรายงานไว้ ณ สถานประกอบการ พร้อมที่จะให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้
(2) ต้องจ่ายค่าจ้างผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และต้องแจ้งข้อมูลของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะนํามาใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ต่ออธิบดีกรมสรรพากรผ่านระบบธนาคาร ที่เกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างดังกล่าว เมื่อมีการจ่ายค่าจ้าง โดยมีรายการอย่างน้อย ดังต่อไปนี้
(ก) เลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากร และชื่อของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้จ่ายค่าจ้าง
(ข) เดือน ปี ของรายจ่ายค่าจ้าง และวัน เดือน ปี ที่จ่ายค่าจ้างให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
(ค) จํานวนเงินค่าจ้างที่จ่ายให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
(ง) เลขที่บัตรประจําตัวประชาชนของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
(จ) ชื่อ-นามสกุล ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
(ฉ) เลขที่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ข้อ ๔ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 670) พ.ศ. 2561 ต้องไม่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ในกรณี ดังต่อไปนี้
(1) ยกเว้นตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วย การยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 499) พ.ศ. 2553
(2) ยกเว้นตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วย การยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 519) พ.ศ. 2554
(3) ยกเว้นตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วย การยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 639) พ.ศ. 2560
ข้อ ๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,310 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 344) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์และผลตอบแทนเงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามตามหลักการวะดีอะฮ์
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 344)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์และผลตอบแทนเงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามตามหลักการวะดีอะฮ์
-----------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 42 (8) (ค) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 29) พ.ศ.2534 และตามความในข้อ 2 (38) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้น รัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 339 (พ.ศ. 2561) ออกตามความในประมวล รัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ และผลตอบแทนเงินฝากที่ได้รับจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลามที่ต้องจ่ายคืน เมื่อทวงถามตามหลักการวะดีอะฮ์กับธนาคารในประเทศ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 55) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2538 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 227) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ในราชอาณาจักรที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ ลงวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556
ข้อ ๒ ในประกาศนี้
“ดอกเบี้ย” หมายความว่า ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในประเทศ ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์
“ผลตอบแทนเงินฝาก” หมายความว่า ผลตอบแทนเงินฝากธนาคารในประเทศ ที่ได้รับจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลามที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามตามหลักการวะดีอะฮ์
ข้อ ๓ ดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝากที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝากทุกบัญชีรวมกัน มีจํานวนทั้งสิ้นไม่เกิน 20,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้น
(2) ชื่อบัญชีเงินฝากและเลขประจําตัวผู้เสียภาษีอากรที่ใช้ในการเปิดบัญชีเงินฝากจะต้องเป็นของผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยและ ผลตอบแทนเงินฝากนั้น
(3) ผู้มีเงินได้ซึ่งได้รับดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝาก ต้องยินยอมให้ธนาคารทุกธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝาก นําส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทน เงินฝากของผู้มีเงินได้ต่อกรมสรรพากรตามรูปแบบที่ธนาคารกําหนด โดยให้ธนาคารนําส่งข้อมูลดังกล่าว ต่อกรมสรรพากรตามข้อ 5 และเก็บหลักฐานการยินยอมไว้เพื่อให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบต่อไป
(4) ผู้มีเงินได้ต้องไม่นําดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากที่ได้รับไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนไปรวมคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ข้อ ๔ กรณีที่ผู้มีเงินได้ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามข้อ 3 ผู้มีเงินได้นั้นไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และให้ธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝาก มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนําส่งตามมาตรา 50 (2) และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร หากธนาคารไม่ได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนําส่ง ให้ธนาคารนําส่งภาษีที่ต้องนําส่งพร้อมกับเงินเพิ่ม อีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องนําส่ง ตามมาตรา 27 แห่งประมวล รัษฎากร
ข้อ ๕ เมื่อผู้มีเงินได้ให้ความยินยอมตามข้อ 3 (3) แล้ว ให้ธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากนําส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทุกบัญชีต่อกองเทคโนโลยี สารสนเทศ กรมสรรพากร โดยจัดทําขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและนําส่งตามวิธีการ ที่กําหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
การนําส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากตามวรรคหนึ่ง ให้นําส่งภายในกําหนดเวลา ดังนี้
(1) สําหรับข้อมูลที่เกี่ยวกับการคํานวณเพื่อจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากในครึ่งปีแรก โดยคํานวณถึงวันที่ 15 พฤษภาคม ให้นําส่งภายในวันที่ 20 พฤษภาคมของปีนั้น
(2) สําหรับข้อมูลที่เกี่ยวกับการคํานวณเพื่อจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทั้งปี โดยคํานวณถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน ให้นําส่งภายในวันที่ 20 พฤศจิกายนของปีนั้น
(3) สําหรับข้อมูลการจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากในครึ่งปีแรก ซึ่งได้จ่ายก่อนหรือในวันที่ 30 มิถุนายน ให้นําส่งภายในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น
(4) สําหรับข้อมูลการจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทั้งปี ซึ่งได้จ่ายก่อนหรือในวันที่ 31 ธันวาคม ให้นําส่งภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป
ข้อ ๖ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ที่ลงในประกาศนี้เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,311 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 343) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ที่บริจาคให้แก่โครงการฝึกอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน หรือศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ในกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 222
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 343)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้ที่บริจาคให้แก่โครงการฝึกอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบําบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน หรือศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ในกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 222
-----------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 541) พ.ศ. 2555 อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้ที่บริจาคให้แก่โครงการฝึกอบรมอาชีพ และการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบําบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนของสถานพินิจ และคุ้มครองเด็กและเยาวชนหรือศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ในกรมพินิจและคุ้มครองเด็ก และเยาวชน กระทรวงยุติธรรม ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 222) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้ที่บริจาคให้แก่โครงการฝึกอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบําบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนหรือศูนย์ฝึกและอบรม เด็กและเยาวชน ในกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม ลงวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555
“กรณีที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนหรือศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนในกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม รับบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ตามประกาศกรมสรรพากร เรื่อง การบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ให้ใช้ข้อมูลการบริจาคที่ปรากฏในระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) เป็นหลักฐานประกอบการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง โดยผู้ที่ใช้สิทธิยกเว้น ภาษีเงินได้ไม่ต้องแสดงเอกสารหลักฐานการบริจาคต่อเจ้าพนักงานประเมิน”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2562
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,312 |
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 138) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นเงินได้พึงประเมินของผู้ได้รับความเสียหายจากธรณีพิบัติภัย
|
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 138)
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นเงินได้พึงประเมินของผู้ได้รับความเสียหายจากธรณีพิบัติภัย
------------------------------------------------------------
อาศัยอํานาจตามความในข้อ 1 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 252 (พ.ศ. 2548) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกําหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นเงินได้พึงประเมินของผู้ได้รับความเสียหายจากธรณีพิบัติภัยดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ผู้ได้รับความเสียหายจากธรณีพิบัติภัยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนําเงินได้พึงประเมินมารวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(1) ต้องเป็นบุคคลธรรมดา บุคคลที่ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี กองมรดกของผู้ตายที่ยังมิได้แบ่ง คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล และห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ได้จดทะเบียน
(2) ต้องเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5) (6) (7) หรือ (8) แห่งประมวลรัษฎากร จากกิจการที่ทําในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดกระบี่ จังหวัดตรัง และจังหวัดสตูล
(3) ต้องมีการลงทะเบียนต่อศูนย์หรือหน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยของทางราชการ
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปี พ.ศ. 2547 ที่ต้องยื่นรายการในปี พ.ศ. 2548
ผู้มีอํานาจลงนาม - ประกาศ ณ วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2548
ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์
(นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์)
อธิบดีกรมสรรพากร
| 3,313 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.