title
stringlengths
1
182
text
stringlengths
1
45.8M
source
stringclasses
5 values
__index_level_0__
int64
0
197k
28 เมษายน
วันที่ 28 เมษายน เป็นวันที่ 118 ของปี (วันที่ 119 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 247 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) - กบฏดุซงญอ: ตำรวจยกเข้าหมู่บ้านดุซงญออีกครั้ง และปราบฝ่ายจลาจลได้อย่างเด็ดขาด พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) - พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงเข้าพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส กับ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) - ญี่ปุ่นภายใต้การยึดครอง ได้รับอิสรภาพหลังจากที่สนธิสัญญาซานฟรานซิสโกมีผลบังคับใช้ พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - ชาลส์ เดอ โกล ประธานาธิบดีคนแรกในสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 5 ลาออกจากตำแหน่ง พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ที่พอร์ตอาเทอร์, ออสเตรเลีย โดยมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 35 ชีวิต พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - ความไม่สงบในภาคใต้ของประเทศไทย: เหตุการณ์รุนแรงที่มัสยิดกรือเซะ จังหวัดปัตตานี == วันเกิด == พ.ศ. 2301 (ค.ศ. 1758) - เจมส์ มอนโร ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 5 (ถึงแก่กรรม 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2374) พ.ศ. 2406 (ค.ศ. 1863) - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (สิ้นพระชนม์ 10 มีนาคม พ.ศ. 2490) พ.ศ. 2421 (ค.ศ. 1878) - ลิโอเนล แบร์รีมัวร์ นักแสดงภาพยนตร์ ละครเวที ละครวิทยุ ชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497) พ.ศ. 2451 (ค.ศ. 1908) - ออสการ์ ชินด์เลอร์ นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ชาวโปแลนด์ (ถึงแก่กรรม 9 ตุลาคม พ.ศ. 2517) พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) - หม่อมเจ้าสวาสดิ์วัฒโนดม ประวิตร (สิ้นชีพิตักษัย 1 กันยายน พ.ศ. 2544) พ.ศ. 2469 (ค.ศ. 1926) - ฮาร์เปอร์ ลี นักเขียนชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559) พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) - ซัดดัม ฮุสเซน ประธานาธิบดีอิรัก (ถึงแก่กรรม 30 ธันวาคม พ.ศ. 2549) พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - เจ้าหญิงอันโทเนีย ดัชเชสแห่งเวลลิงตัน พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - เลดีเฮเลน เทย์เลอร์ พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) - เจ้าชายอาลี เรซา ปาห์ลาวีที่ 2 แห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน (สิ้นพระชนม์ 4 มกราคม พ.ศ. 2554) พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - ฮอร์เฮ การ์ซีอา นักแสดงและนักแสดงตลกชาวอเมริกัน พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - เพเนโลเพ ครูซ นักแสดงหญิงชาวสเปน พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) *พิภพ อ่อนโม้ อดีตนักฟุตบอลอาชีพชาวไทย *ชนมาศ มัสยวาณิช อดีตนักแสดงหญิงชาวไทย พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - โนะริโกะ เอะงุชิ นักแสดงหญิงชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) * เจสสิกา อัลบา นักแสดงชาวอเมริกัน * โทบี เลนนาร์ด มัวร์ นักแสดงชาวออสเตรเลีย พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - นิกกี เกรแฮม นักจัดรายการโทรทัศน์ชาวอังกฤษ (เสียชีวิต 9 เมษายน พ.ศ. 2564) พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - เจนจิรา ศรีสงคราม นักกีฬายิงเป้าบินทีมชาติ (เสียชีวิต 18 มกราคม พ.ศ. 2565) พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - ไซมอน ค็อกซ์ (นักฟุตบอลเกิดปี พ.ศ. 2530) นักฟุตบอลชาวอังกฤษ พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - ฆวน มาตา นักฟุตบอลชาวสเปน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - คิม ซองกยู นักร้องชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - * เดนนิส มูริลลู นักฟุตบอลอาชีพชาวบราซิล * เดนนิส วิลลานูเอวา นักฟุตบอลชาวฟิลิปปินส์ พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - ช็อง จิน-ฮวัน นักร้อง แร็ปเปอร์ และนักแสดงชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - วอนพิล นักร้องชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - เลือง ซวน เจื่อง นักฟุตบอลอาชีพชาวเวียดนาม พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - โทนี เรฟโวโลรี นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - ซง ยูวิน นักร้อง และนักแสดงชาวเกาหลีใต้ == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2259 (ค.ศ. 1716) - นักบุญหลุยส์ เดอ มงฟอร์ มิชชันนารี นักเทศน์ ธรรมสักขี และบาทหลวงนิกายโรมันคาทอลิกชาวฝรั่งเศส (เกิด 31 มกราคม พ.ศ. 2216) พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) - เบนิโต มุสโสลินี เผด็จการชาวอิตาลีและนายกรัฐมนตรีอิตาลีคนที่ 27 (เกิด 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2426) พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) - ไมเคิล คอลลินส์ (นักบินอวกาศ) นักบินอวกาศชาวอเมริกัน (เกิด 31 ตุลาคม พ.ศ. 2473) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == วันราชาภิเษกสมรส ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร วันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสากล วันรำลึกแรงงานสากล == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Today in History: April 28 มเมษายน 28 เมษายน
thaiwikipedia
1,502
หลุมดำ
หลุมดำ (black hole) หมายถึงเทหวัตถุในเอกภพที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมาก ไม่มีอะไรออกจากบริเวณนี้ได้แม้แต่แสง ยกเว้นหลุมดำด้วยกัน เราจึงมองไม่เห็นใจกลางของหลุมดำ หลุมดำจะมีพื้นที่หนึ่งที่เป็นขอบเขตของตัวเองเรียกว่าขอบฟ้าเหตุการณ์ ที่ตำแหน่งรัศมีชวาทซ์ชิลท์ ถ้าหากวัตถุหลุดเข้าไปในขอบฟ้าเหตุการณ์ วัตถุจะต้องเร่งความเร็วให้มากกว่าความเร็วแสงจึงจะหลุดออกจากขอบฟ้าเหตุการณ์ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่วัตถุใดจะมีความเร็วมากกว่าแสง วัตถุนั้นจึงไม่สามารถออกมาได้อีกต่อไป เมื่อดาวฤกษ์ที่มีมวลมหึมาแตกดับลง มันอาจจะก่อกำเนิดวัตถุที่ดำมืดที่สุด ทว่ามีอำนาจทำลายล้างสูงสุดไว้เบื้องหลัง นักดาราศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า "หลุมดำ" เราไม่สามารถมองเห็นหลุมดำด้วยกล้องโทรทรรศน์ใด ๆ เนื่องจากหลุมดำไม่เปล่งแสงหรือรังสีใดเลย แต่สามารถตรวจพบได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์วิทยุ และคลื่นโน้มถ่วงของหลุมดำ (ในเชิงทฤษฎี โครงการไลโก) และจนถึงปัจจุบันได้ค้นพบหลุมดำในจักรวาลแล้วอย่างน้อย 6 แห่ง หลุมดำเป็นซากที่สิ้นสลายของดาวฤกษ์ที่ถึงอายุขัยแล้ว สสารที่เคยประกอบกันเป็นดาวนั้นได้ถูกอัดตัวด้วยแรงดึงดูดของตนเองจนเหลือเป็นเพียงมวลหนาแน่นที่มีขนาดเล็กยิ่งกว่านิวเคลียสของอะตอมเดียว ซึ่งเรียกว่า ภาวะเอกฐาน หลุมดำแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ หลุมดำมวลยวดยิ่ง เป็นหลุมดำในใจกลางของดาราจักร, หลุมดำขนาดกลาง, หลุมดำจากดาวฤกษ์ ซึ่งเกิดจากการแตกดับของดาวฤกษ์, และ หลุมดำจิ๋วหรือหลุมดำเชิงควอนตัม ซึ่งเกิดขึ้นในยุคเริ่มแรกของเอกภพ แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นภายในหลุมดำได้ แต่ตัวมันก็แสดงการมีอยู่ผ่านการมีผลกระทบกับวัตถุที่อยู่ในวงโคจรภายนอกขอบฟ้าเหตุการณ์ ตัวอย่างเช่น หลุมดำอาจจะถูกสังเกตเห็นได้โดยการติดตามกลุ่มดาวที่โคจรอยู่ภายในศูนย์กลางหลุมดำ หรืออาจมีการสังเกตก๊าซ (จากดาวข้างเคียง) ที่ถูกดึงดูดเข้าสู่หลุมดำ ก๊าซจะม้วนตัวเข้าสู่ภายใน และจะร้อนขึ้นถึงอุณหภูมิสูง ๆ และปลดปล่อยรังสีขนาดใหญ่ที่สามารถตรวจจับได้จากกล้องโทรทรรศน์ที่โคจรอยู่รอบโลก การสำรวจให้ผลในทางวิทยาศาสตร์เห็นพ้องต้องกันว่าหลุมดำนั้นมีอยู่จริงในเอกภพ แนวคิดของวัตถุที่มีแรงดึงดูดมากพอที่จะกันไม่ให้แสงเดินทางออกไปนั้นถูกเสนอโดยนักดาราศาสตร์มือสมัครเล่นชาวอังกฤษ จอห์น มิเชล ในปี 1783 และต่อมาในปี 1795 นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ปีแยร์-ซีมง ลาปลัส ก็ได้ข้อสรุปเดียวกัน ตามความเข้าใจล่าสุด หลุมดำถูกอธิบายโดยทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ซึ่งทำนายว่าเมื่อมีมวลขนาดใหญ่มากในพื้นที่ขนาดเล็ก เส้นทางในพื้นที่ว่างนั้นจะถูกทำให้บิดเบี้ยวไปจนถึงศูนย์กลางของปริมาตร เพื่อไม่ให้วัตถุหรือรังสีใด ๆ สามารถออกมาได้ ขณะที่ทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไปอธิบายว่าหลุมดำเป็นพื้นที่ว่างที่มีความเป็นภาวะเอกฐานที่จุดศูนย์กลางและที่ขอบฟ้าเหตุการณ์บริเวณขอบ คำอธิบายนี้เปลี่ยนไปเมื่อค้นพบกลศาสตร์ควอนตัม การค้นคว้าในหัวข้อนี้แสดงให้เห็นว่านอกจากหลุมดำจะดึงวัตถุไว้ตลอดกาล แล้วยังมีการค่อย ๆ ปลดปล่อยพลังงานภายใน เรียกว่า รังสีฮอว์คิง และอาจสิ้นสุดลงในที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับหลุมดำที่ถูกต้องตามทฤษฎีควอนตัม == ที่มาของชื่อ == การที่เราใช้คำว่า หลุมดำ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์นี้เริ่มขึ้นในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1960 โดยไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด โดยทั่วไปจะให้การยกย่องแก่นักฟิสิกส์ชื่อ จอห์น วีลเลอร์ ว่าเป็นผู้บัญญัติศัพท์คำนี้ขึ้นในการบรรยายของเขาในปี ค.ศ. 1967 เรื่อง เอกภพของเรา : สิ่งที่รู้และไม่รู้ โดยใช้คำนี้แทนคำเดิมว่า ดาวที่ยุบตัวอย่างสมบูรณ์โดยความโน้มถ่วง อย่างไรก็ตามวีลเลอร์ได้ยืนกรานว่าผู้บัญญัติศัพท์เป็นผู้ร่วมสัมมนาคนอื่น เขาเพียงแต่นำมาใช้เพราะมันกระชับและใช้ง่ายดี คำนี้ยังปรากฏอยู่ในจดหมายฉบับหนึ่งของ แอนน์ อิววิง ที่เขียนถึง เอเอเอเอส ในปี ค.ศ. 1964 มีใจความว่า "..ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ เมื่อเพิ่มมวลให้กับดาวที่กำลังจะหมดอายุขัย สนามโน้มถ่วงขนาดมหึมาที่ดาวกระทำต่อตัวเองจะทำให้เกิดการยุบตัวของสภาพแรงโน้มถ่วง (gravitational collapse) อย่างรวดเร็ว และทำให้ดาวดวงนั้นกลายเป็น "หลุมดำ" ในเอกภพ.." มีการใช้วลีนี้ในภาษาอังกฤษมาหลายปีก่อนหน้านั้นแล้ว ตามชื่อหลุมดำแห่งกัลกัตตา ซึ่งเป็นตรุเล็ก ๆ ในฟอร์ตวิลเลียม เมืองป้อมทหารของอังกฤษที่กัลกัตตา ชาวยุโรป 146 คนถูก Siraj-ud-Daulah เจ้าแคว้นเบงกอลลงโทษคุมขังเอาไว้ที่นี่ระหว่างการสงครามเมื่อปี ค.ศ. 1756 โดยมีเพียง 23 คนที่รอดชีวิต == ประวัติการศึกษาหลุมดำ == === อิงตามทฤษฎีของนิวตัน === แนวความคิดเกี่ยวกับวัตถุที่มีมวลมากเสียจนแม้แต่แสงก็ไม่สามารถหนีออกมาได้เริ่มขึ้นจากนักธรณีวิทยาชื่อ จอห์น มิเชล ซึ่งได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งในปี ค.ศ. 1783 ส่งถึงเพื่อนชื่อ เฮนรี คาเวนดิช ในเวลาต่อมาแนวคิดนี้ได้รับการตีพิมพ์โดยรอยัลโซไซตี้ ทฤษฎีนี้ถือว่าแสงได้รับอิทธิพลจากความโน้มถ่วงเช่นเดียวกันกับวัตถุอื่นที่มีมวล ในปี ค.ศ. 1796 นักคณิตศาสตร์ชื่อ ปีแยร์-ซีมง ลาปลัส ได้เสนอแนวคิดเดียวกันนี้ในหนังสือของเขา Exposition du système du Monde ทั้งในฉบับพิมพ์ครั้งที่หนึ่งและสอง (แต่แนวคิดนี้ไม่ปรากฏในฉบับพิมพ์ครั้งหลัง ๆ) ในเวลาต่อมา แนวคิดของทั้งมิเชลและลาปลัสที่อิงอยู่บนหลักการของนิวตันมักถูกอ้างถึงว่าเป็น ดาวมืด เพื่อแยกมันออกจาก "หลุมดำ" ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป แนวความคิดส่วนใหญ่เกี่ยวกับหลุมดำได้ถูกเพิกเฉยไปในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หลังจากที่ยอมรับกันแล้วว่าแสงเป็นคลื่นที่ไม่มีมวล ดังนั้นจึงไม่ได้รับอิทธิพลจากความโน้มถ่วง ไม่เหมือนกับหลุมดำในปัจจุบันที่เชื่อว่าวัตถุด้านหลังขอบฟ้าจะยังคงที่อยู่แม้จะเกิดการยุบตัว === อิงตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป === ในปี ค.ศ. 1915 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้พัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับความโน้มถ่วงเรียกว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ซึ่งแสดงให้เห็นดังกล่าวข้างต้นแล้วว่า แรงโน้มถ่วงมีผลกระทบกับแสง (แม้ว่าแสงจะมีมวลเป็นศูนย์ก็ตาม ทว่าจุดกำเนิดของสภาพโน้มถ่วงมิได้เกิดจากมวล แต่เกิดจากพลังงาน) หลังจากนั้นไม่กี่เดือน คาร์ล ชวาทซ์ชิลท์ ได้เสนอมาตราชวาทซ์ชิลท์สำหรับสนามโน้มถ่วงของมวลแบบจุดและมวลทรงกลม ที่แสดงว่าหลุมดำสามารถเกิดขึ้นได้ตามทฤษฎี ปัจจุบันรัศมีชวาทซ์ชิลท์เป็นที่รู้จักกันในฐานะรัศมีของขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำที่ไม่หมุน แต่ในเวลานั้นผู้คนยังไม่เข้าใจกัน ตัวอย่างเช่นชวาทซ์ชิลท์เองก็ยังคิดว่ามันไม่อาจเป็นจริงในทางกายภาพ โจฮันเนส โดรสเต นักศึกษาของแฮ็นดริก โลเรินตส์ ได้เสนอผลลัพธ์แบบเดียวกันสำหรับมวลแบบจุดหลังจากที่ชวาทซ์ชิลท์เสนอแนวคิดเป็นเวลาหลายเดือน ทั้งยังได้อธิบายคุณสมบัติบางประการเพิ่มเติมอีกด้วย ในปี ค.ศ. 1930 นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชื่อ สุพราหมัณยัน จันทรสิกขา แย้งว่า ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ วัตถุที่ไม่หมุนและมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 1.44 เท่า (คือค่าขอบเขตจันทรสิกขา) จะยุบตัวลงจนสิ้นสูญเพราะไม่มีอะไรเท่าที่รู้จักจะมาหยุดมันได้ ข้อโต้แย้งของเขาถูกโต้กลับโดยนายอาร์เทอร์ เอ็ดดิงตัน ผู้ซึ่งเชื่อว่ามีบางอย่างสามารถหยุดการยุบตัวได้ ความคิดของเอ็ดดิงตันก็มีส่วนถูก เพราะดาวแคระขาวที่มีมวลมากกว่าขอบเขตจันทรสิกขาจะยุบตัวลงกลายเป็นดาวนิวตรอน แต่ในปี ค.ศ. 1939 โรเบิร์ต ออพเพนไฮม์เมอร์ได้ตีพิมพ์บทความ (โดยมีผู้เขียนร่วมหลายคน) ที่ทำนายว่าดาวที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 3 เท่าขึ้นไป (คือค่าขอบเขตโทลแมน-ออพเพนไฮม์เมอร์-โวลคอฟฟ์) จะยุบตัวลงกลายเป็นหลุมดำ ด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่จันทรสิกขาเคยนำเสนอ ออพเพนไฮม์เมอร์กับเพื่อนร่วมงานใช้ระบบอ้างอิงพิกัดของชวาทซ์ชิลท์ (ซึ่งเป็นระบบพิกัดอย่างเดียวที่มีให้ใช้ใน ค.ศ. 1939) ทำให้สร้างเอกภาวะทางคณิตศาสตร์ออกมาได้ที่รัศมีชวาทซ์ชิลท์ กล่าวอีกนัยหนึ่งสมการล่มลงไปที่ค่ารัศมีชวาทซ์ชิลท์เพราะค่าบางค่ากลายเป็นอนันต์ คำแปลนี้บ่งชี้ว่ารัศมีชวาทซ์ชิลท์เป็นค่าขอบเขตของ "ฟอง" ที่ซึ่งเวลา "หยุด" เป็นเวลาหลายปีทีเดียวที่ดาวยุบตัวเหล่านี้ถูกเรียกว่า "ดาวแช่แข็ง" เพราะการคำนวณแสดงว่าผู้สังเกตภายนอกจะเห็นพื้นผิวของดาวหยุดนิ่งที่เวลาซึ่งการยุบตัวเกิดขึ้นภายในรัศมีชวาทซ์ชิลท์ ทว่านักฟิสิกส์จำนวนมากยังไม่สามารถยอมรับแนวคิดเรื่องเวลาที่หยุดนิ่งภายในรัศมีชวาทซ์ชิลท์ ประเด็นนี้ยังเป็นที่สนใจอยู่บ้างเล็กน้อยตลอดเวลาที่ผ่านไป 20 ปี == คุณสมบัติ == ตามทฤษฎีโนแฮร์ หลุมดำมีคุณสมบัติทางกายภาพที่แยกออกจากกัน 3 ประการ ได้แก่ มวล ประจุไฟฟ้า และโมเมนตัมเชิงมุม หลุมดำสองหลุมใด ๆ ที่มีค่าคุณสมบัติทั้งสามเท่ากันจะไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างกันได้เลย ซึ่งไม่เหมือนกับวัตถุทางดาราศาสตร์อื่น ๆ เช่น ดาวฤกษ์ ที่มีค่าคุณสมบัติมากมายจนอาจจะนับไม่ถ้วน แสดงว่าในการยุบตัวของดาวฤกษ์จนกลายไปเป็นหลุมดำนั้นมีข้อมูลของคุณสมบัติที่สูญหายไปเป็นจำนวนมหาศาล แต่นัยยะหนึ่งในการศึกษาทฤษฎีทางกายภาพ ข้อมูลก็เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ไม่มีวันสูญหาย การที่ข้อมูลคุณสมบัติของหลุมดำสูญหายไปเกือบหมดจึงเป็นเรื่องน่าพิศวง นักฟิสิกส์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า พาราดอกซ์ข้อมูลของหลุมดำ ทฤษฎีโนแฮร์ได้สร้างสมมติฐานบางอย่างเกี่ยวกับธรรมชาติของเอกภพและสสารที่อยู่ในเอกภพ สมมติฐานอื่น ๆ จะนำไปสู่บทสรุปที่ต่างไป ตัวอย่างเช่น ถ้าธรรมชาติยอมให้มีแม่เหล็กขั้วเดียว ซึ่งเป็นไปได้ในทางทฤษฎีแต่ไม่เคยถูกสังเกตพบ ก็น่าจะเป็นไปได้ที่หลุมดำจะมีประจุแม่เหล็ก แต่ถ้าเอกภพมีมากกว่า 4 มิติ (เหมือนที่กล่าวไว้ในทฤษฎีสตริง) หรือมีโครงสร้างทรงกลมแบบ แอนไท เดอ ซิทเตอร์ สเปซ ทฤษฎีนี้ก็จะผิดไปโดยสิ้นเชิง เพราะจะเกิด "แฮร์" ขึ้นได้จากหลายแหล่ง อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้จะยังคงใช้ได้ในมิติของพวกเราที่ปรากฏเป็น 4 มิติ ซึ่งเอกภพมีรูปร่างเกือบจะแบน === ประเภทของหลุมดำ === หลุมดำแบบง่ายที่สุดที่เป็นไปได้ คือแบบที่มีเพียงมวล แต่ไม่มีประจุและโมเมนตัมเชิงมุม หลุมดำประเภทนี้เรียกว่า หลุมดำชวาทซ์ชิลท์ ตามชื่อนักฟิสิกส์ผู้ค้นพบคำตอบดังกล่าวในปี ค.ศ. 1915 คือ คาร์ล ชวาทซ์ชิลท์ หลุมดำชนิดนี้เป็นผลลัพธ์แท้จริงสำหรับสมการไอน์สไตน์อย่างแรกที่มีการค้นพบ รวมถึงสอดคล้องกับทฤษฎีเบอร์คอฟฟ์ที่อธิบายถึงสุญญากาศเพียงชนิดเดียวที่เป็นสมมาตรทรงกลม ในโลกแห่งความจริงของฟิสิกส์ นี่หมายความว่าการสังเกตการณ์สนามแรงโน้มถ่วงของหลุมดำกับของวัตถุทรงกลมอื่นที่มีมวลพอ ๆ กันอย่างเช่นดาวฤกษ์หรือดาวเคราะห์ทรงกลมซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ในอวกาศว่างเปล่าภายนอกวัตถุ จะไม่มีความแตกต่างกันเลย ทำให้แนวคิดยอดนิยมที่ว่าหลุมดำจะ "ดูดทุกอย่าง" รอบตัวมันเข้าไปนั้นไม่ถูกต้อง สนามโน้มถ่วงภายนอกที่อยู่พ้นจากขอบฟ้าเหตุการณ์ก็มีสภาพเหมือนกับสนามของวัตถุขนาดใหญ่ธรรมดาทั่วไป ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีการค้นพบคำอธิบายสำหรับหลุมดำที่กว้างกว่านั้น ทฤษฎีของไรส์เนอร์-นอร์ดสตรอมอธิบายเกี่ยวกับหลุมดำที่มีประจุไฟฟ้า ขณะที่ ทฤษฎีของเคอร์แสดงให้เห็นหลุมดำแบบที่มีการหมุนรอบตัวเอง คำอธิบายที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดสำหรับหลุมดำที่อยู่กับที่คือ มาตราเคอร์-นิวแมน ซึ่งหลุมดำจะมีทั้งประจุและโมเมนตัมเชิงมุม ในบรรดาคำอธิบายต่าง ๆ เหล่านี้มีคุณสมบัติร่วมกันอยู่ซึ่งนำมารวมเข้ากับงานของชวาทซ์ชิลท์เป็นระยะทางที่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับสัดส่วนของประจุและโมเมนตัมเชิงมุมกับมวล (ในหน่วยธรรมชาติ) ขณะที่มวลของหลุมดำสามารถจะมีค่าเท่าใดก็ได้ (ที่เป็นบวก) แต่คุณสมบัติอีกสองประการอันได้แก่ประจุและโมเมนตัมเชิงมุมนั้นจะต้องขึ้นกับมวล ในหน่วยธรรมชาติ ประจุรวม Q และโมเมนตัมเชิงมุมลัพธ์ J จะเป็นไปตามความสัมพันธ์ Q2+ (J/M) 2 ≤ M2 สำหรับหลุมดำที่มีมวล M หลุมดำที่มีความไม่เท่ากันของความสัมพันธ์นี้อย่างล้นเหลือเรียกว่า เอกซ์ตรีมอลแบล็คโฮล ผลลัพธ์จากสมการไอน์สไตน์ที่ฝืนความไม่เท่ากันนี้เป็นไปได้โดยไม่มีขอบฟ้าเหตุการณ์ คำอธิบายเหล่านี้ทำลายความเป็นเอกภาวะและไม่อาจเกิดขึ้นได้ในทางฟิสิกส์ ทฤษฎีรังสีคอสมิก (cosmic censorship hypothesis) กล่าวว่าไม่มีทางที่เอกภาวะจะเกิดขึ้นได้เนื่องจากการสลายของความโน้มถ่วงของสภาพแท้จริงของวัตถุทั่วไป ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นได้โดยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ สำหรับหลุมดำที่เกิดจากการยุบตัวของดาวฤกษ์คาดว่าจะมีประจุที่เกือบเป็นกลางของดาว ทั้งนี้เป็นผลจากแรงมหาศาลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กระนั้นก็ดี คาดว่าการหมุนรอบตัวเองจะเป็นคุณลักษณะร่วมของวัตถุอัดแน่น และแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ในระบบดาวคู่ GRS 1915+105 ซึ่งน่าจะเป็นหลุมดำด้วย ดูจะมีโมเมนตัมเชิงมุมใกล้เคียงค่าสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ === ขนาดของหลุมดำ === {|align="right" class="wikitable" style="margin: 1ex" |- ! ชนิด !! มวล !! ขนาด |- |หลุมดำมวลยวดยิ่ง ||style="text-align: center;"| ~105 - 109 MSun ||style="text-align: center;"| ~0.001 - 10 AU |- |หลุมดำมวลปานกลาง ||style="text-align: center;"| ~103 MSun ||style="text-align: center;"| ~103 km = REarth |- |หลุมดำจากดาวฤกษ์ ||style="text-align: center;"| ~10 MSun ||style="text-align: center;"| ~30 km |- |หลุมดำจิ๋ว||style="text-align: center;"| up to ~MMoon ||style="text-align: center;"|up to ~0.1 mm |} หลุมดำในธรรมชาติจะจำแนกประเภทตามขนาดมวล ความแตกต่างของโมเมนตัมเชิงมุม J ขนาดของหลุมดำที่คิดจากรัศมีของขอบฟ้าเหตุการณ์ หรือรัศมีชวาทซ์ชิลท์ เป็นสัดส่วนกับมวล M\, โดย r_{sh} \approx 3.0\, M/M_\bigodot \;\mathrm{km,} เมื่อ r_{sh}\, คือรัศมีชวาทซ์ชิลท์และ M_\bigodotเป็นมวลดวงอาทิตย์ ดังนั้น ขนาดและมวลของหลุมดำจึงมีความสัมพันธ์กันโดยไม่ขึ้นกับการหมุน เมื่อใช้มวลและขนาดของหลุมดำในการจำแนกจะแบ่งได้เป็น หลุมดำมวลยวดยิ่ง - ประกอบไปด้วยมวลร้อยพันล้านล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์ และเชื่อว่ามีอยู่จริงบริเวณศูนย์กลางของดาราจักรส่วนใหญ่รวมถึงดาราจักรทางช้างเผือกของเราด้วย เชื่อว่าเป็นตัวการสำคัญของการเกิดนิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์ และอาจจะเกิดขึ้นจากการรวมกันของหลุมดำขนาดเล็กจำนวนมาก หรือจากการพอกพูนของดาวฤกษ์และก๊าซในอวกาศ หลุมดำมวลยวดยิ่งที่ใหญ่ที่สุดที่ค้นพบอยู่บริเวณ OJ 287 มีน้ำหนักประมาณ 18,000 ล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์ หลุมดำมวลปานกลาง - มีขนาดมวลนับหลายพันเท่าของมวลดวงอาทิตย์ เชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานของแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ที่มีความเข้มมาก ๆ ยังไม่มีหลักฐานว่าหลุมดำขนาดนี้เกิดขึ้นจากอะไร สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการชนกันของหลุมดำที่มีมวลขนาดต่ำในบริเวณใจกลางของกลุ่มดาวฤกษ์หนาแน่น เช่นใ นกระจุกดาวทรงกลมหรือดาราจักร เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการระเบิดรุนแรงของคลื่นความโน้มถ่วง ซึ่งอาจสังเกตพบต่อไปในไม่ช้า การแบ่งประเภทความแตกต่างระหว่างหลุมดำมวลยวดยิ่งกับหลุมดำมวลขนาดกลางเป็นแต่เพียงระเบียบวิธีในหลักการเท่านั้น ข้อมูลอื่นใดเช่น ขนาดของมวลต่ำสุด หรือขนาดของมวลสูงสุดที่หลุมดำหนึ่ง ๆ สามารถก่อตัวขึ้นได้จากการยุบตัวของดาวฤกษ์มวลมาก ยังเป็นที่เข้าใจกันน้อยมาก แต่ก็เชื่อกันว่าน่าจะมีขนาดน้อยกว่า 200 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ หลุมดำจากดาวฤกษ์ - มีมวลต่ำสุดตั้งแต่ประมาณ 1.5–3.0 เท่าของดวงอาทิตย์ (จากขอบเขตโทลแมน-ออพเพนไฮม์เมอร์-โวลคอฟฟ์ สำหรับมวลมากสุดของดาวนิวตรอน) ไปจนถึงประมาณ 15–20 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ หลุมดำชนิดนี้เกิดขึ้นจากการยุบตัวของดาวฤกษ์เดี่ยว หรืออาจเป็นการรวมกันของดาวนิวตรอนคู่ก็ได้ (ซึ่งหนีจากกันไม่พ้นด้วยอิทธิพลของรังสีความโน้มถ่วง ) ดาวฤกษ์เหล่านี้ในตอนเริ่มต้นอาจมีมวลมากถึง ≈100 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ หรือมากกว่านั้น แต่ได้สูญเสียมวลด้านนอกออกไปในระหว่างช่วงต้นของ วิวัฒนาการ เช่นการสูญเสียมวลไปในลมดาวฤกษ์ระหว่างที่เป็นดาวยักษ์แดง หรือระหว่างเป็นดาววูล์ฟ ราเยด หรือระหว่างการระเบิดซูเปอร์โนวา ซึ่งทำให้ดาวกลายเป็นดาวนิวตรอนหรือกลายเป็นหลุมดำ จากแบบจำลองทางทฤษฎีวิวัฒนาการดาวฤกษ์ในขั้นท้าย ๆ เรายังไม่สามารถทราบขนาดของมวลสูงสุดที่จะกลายเป็นหลุมดำจากดาวฤกษ์ ถ้าแกนกลางของดาวค่อนข้างโปร่ง มันจะกลายเป็นดาวแคระขาว หลุมดำจิ๋ว - มีมวลน้อยกว่ามวลของดาวฤกษ์มาก ที่มวลขนาดนี้จึงได้รับอิทธิพลจากกลศาสตร์ควอนตัมมาก ไม่มีกลไกใดเท่าที่ทราบที่สามารถอธิบายการเกิดแบบปกติของหลุมดำประเภทนี้จากวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ แต่จากสมมุติฐานการพองตัวของจักรวาลแสดงให้เห็นว่า มีหลุมดำชนิดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มของเอกภพแล้ว ถ้าพิจารณาจากทฤษฎีบางประการว่าด้วยความโน้มถ่วงทางควอนตัม หลุมดำประเภทนี้อาจเกิดขึ้นได้จากปฏิกิริยาพลังงานสูงมากที่เกิดจากรังสีคอสมิกปะทะกับชั้นบรรยากาศ หรือเกิดในตัวเร่งอนุภาค เช่น เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ ทฤษฎีรังสีฮอว์คิงทำนายว่าหลุมดำประเภทนี้จะระเหยไปเป็นแสงสว่างวาบระหว่างการแผ่รังสีแกมมา ซึ่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศรังสีแกมมาเฟอร์มีของนาซา (ชื่อเดิมว่า กลาสท์) ที่ส่งขึ้นไปสู่อวกาศเมื่อปี ค.ศ. 2008 กำลังทำการค้นหาแสงวาบชนิดนี้อยู่ == องค์ประกอบ == === ขอบฟ้าเหตุการณ์ === คำจำกัดความขอบฟ้าเหตุการณ์อันเป็นองค์ประกอบหนึ่งของหลุมดำ คือพื้นผิวในกาลอวกาศซึ่งระบุตำแหน่งที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ เมื่อวัตถุได้ข้ามผ่านพื้นผิวนี้ไปแล้ว จะไม่มีทางผ่านกลับออกมายังอีกด้านได้อีก ดังนั้นอะไรก็ตามภายในพื้นผิวนี้จึงไม่สามารถมองเห็นได้จากผู้สังเกตภายนอก นอกจากนี้ ขอบฟ้าเหตุการณ์นี้ยังกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอวกาศทั่วไป โดยไม่มีลักษณะเด่นอะไรจะให้ผู้ล่วงผ่านไปในหลุมดำทราบว่าเขาได้ข้ามผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ไปแล้ว ขอบฟ้าเหตุการณ์ไม่ได้เป็นพื้นผิวที่เป็นของแข็ง ไม่ได้กีดขวางหรือทำให้สสารหรือรังสีที่เคลื่อนผ่านบริเวณนั้นช้าลงเลย ภายนอกขอบฟ้าเหตุการณ์ สนามโน้มถ่วงก็ถูกสร้างขึ้นเช่นเดียวกันโดยวัตถุที่เป็นทรงกลมสมมาตรที่มีมวลเท่ากัน แนวคิดที่มักจะกล่าวว่าหลุมดำจะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างลงไปนั้นผิด เพราะวัตถุยังสามารถคงรอบโคจรไว้รอบ ๆ หลุมดำได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด จัดให้มันอยู่นอกทรงกลมโฟตอน (อธิบายด้านล่าง) และไม่สนใจผลกระทบใด ๆ ของรังสีความโน้มถ่วง ที่ทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานจากการโคจร คล้าย ๆ ผลกระทบจากรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า === ภาวะเอกฐาน === ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ในบริเวณใจกลางหลุมดำทรงกลมนั้นจะมีเอกภาวะกาลอวกาศอยู่ นั่นหมายถึงสุดโค้งของกาลอวกาศ หมายความว่าจากจุดที่ผู้สังเกตที่กำลังจะเข้าสู่หลุมดำ ที่เวลาหนึ่งที่กำลังจะข้ามผ่านจุดนั้นไป หลุมดำจะกลายมาถูกกดอัดเข้าสู่บริเวณที่ปริมาตรเป็นศูนย์ ดังนั้นความหนาแน่นอนันต์ ที่ปริมาตรศูนย์นี้ บริเวณที่มีความหนาแน่นไม่สิ้นสุดจะอยู่บริเวณใจกลางหลุมดำพอดีเรียก เอกภาวะความโน้มถ่วง เอกภาวะในหลุมดำที่ไม่มีการหมุนนั้นเป็นจุดจุดหนึ่ง หรืออาจกล่าวได้ว่ามันมีความยาว กว้างและลึกเป็นศูนย์ เอกภาวะของหลุมดำที่หมุนได้ จะไม่นับเป็นการก่อสร้างของวงแหวนพิศวง ที่อยู่นอกระนาบการหมุน ในวงแหวนนั้นจะไม่มีความหนาและไม่มีปริมาตร การปรากฏของเอกภาวะเป็นที่เข้าใจว่าเป็นสัญญาณของจุดสิ้นสุดของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป โดยไม่คาดคิด เหมือนกับที่เกิดเมื่อกลศาสตร์ควอนตัมมีผลกระทบและกลายมาเป็นความสำคัญ เนื่องจากความกดดันมีมากและอนุภาคก็มีผลกระทบซึ่งกันและกัน โชคไม่ดีที่ไม่สามารถที่จะรวมทฤษฎีควอนตัมและความโน้มถ่วงเข้าด้วยกันได้ แต่อย่างไรก็ตามก็คาดว่าทฤษฎีโน้มถ่วงควอนตัมจะแสดงลักษณะเด่นของหลุมดำโดยไม่มีเอกภาวะ อย่างไรก็ตาม การก่อตัวของเอกภาวะอาจใช้เวลาจำกัดมากจากจุดที่ผู้สังเกตการยุบตัวของวัตถุ แต่จากจุดที่ไกลจากผู้สังเกตอาจจะใช้เวลาไม่สิ้นสุดเนื่องจากการยืดเวลาเนื่องจากความโน้มถ่วง === ทรงกลมโฟตอน === ทรงกลมโฟตอนเป็นขอบเขตของความหนาที่เป็นศูนย์เมื่อโฟตอนเคลื่อนที่ไปตามเส้นสัมผัสวงกลมที่จะทำให้วงโคจรเป็นวงกลม สำหรับหลุมดำที่ไม่มีการหมุน ทรงกลมโฟตอนจะมีรัศมีประมาณ 1.5 เท่าของรัศมีชวาทซ์ชิลท์ วงโคจรจะไม่คงที่ ดังนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามที่ตกลงไปแม้จะมีขนาดเล็กก็จะเติบโตข้ามเวลา แม้ว่าจะถูกกำหนดให้อยู่วงโคจรรอบนอกเพื่อหนีจากหลุมดำ หรือข้ามขอบฟ้าเหตุการณ์ไปก็ตาม เมื่อแสงสามารถหนีจากภายในทรงกลมโฟตอนได้ ไม่ว่าจะเป็นแสงใดที่สามารถข้ามผ่านทรงกลมโฟตอนในเส้นทางโคจรภายในจะถูกจับโดยหลุมดำ ดังนั้นแสงใด ๆ ที่อยู่นอกผู้สังเกตจากภายในทรงกลมโฟตอนจะต้องมีการแผ่ออกมาจากวัตถุภายในทรงกลมโฟตอนแต่ก็ยังอยู่นอกขอบฟ้าเหตุการณ์อยู่ดี วัตถุรวมตัวกันแน่นอื่น ๆ เช่น ดาวนิวตรอน ก็สามารถมีทรงกลมโฟตอนได้เช่นกัน ในความเป็นจริงสนามความโน้มถ่วงของวัตถุนี้ไม่ขึ้นกับขนาดที่แท้จริง ดังนั้นวัตถุใด ๆ ก็ตามที่มีขนาดเล็กกว่า 1.5 เท่าของรัศมีชวาทซ์ชิลท์ก็จะมีทรงกลมโฟตอนได้ === เออร์โกสเฟียร์ === หลุมดำที่หมุนได้จะถูกล้อมรอบด้วยบริเวณกาลอวกาศที่ไม่สามารถจะอยู่นิ่งได้เรียก เออร์โกสเฟียร์ เป็นผลมาจากกระบวนการย้ายกรอบ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปทำนายว่ามวลที่หมุนใด ๆ จะมีการค่อย ๆ ผ่านพ้นไปตามกาลอวกาศทันทีรอบตัวมันเอง วัตถุใด ๆ ใกล้ ๆ กับมวลที่หมุนได้จะเริ่มเคลื่อนในทิศทางที่กำลังจะหมุน ผลกระทบสำหรับหลุมดำที่กำลังหมุนนี้จะรุนแรงมากขึ้นใกล้กับขอบฟ้าเหตุการณ์ที่วัตถุใด ๆ สามารถเคลื่อนที่เร็วกว่าความเร็วแสงในทิศทางตรงข้าม เออร์โกสเฟียร์ ของหลุมดำถูกล้อมรอบโดย ในภายนอกทรงรีรูปไข่ ที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับขอบฟ้าเหตุการณ์ที่ขั้วและเป็นที่สังเกตได้กว้างกว่ารอบ ๆ เส้นศูนย์สูตร ขอบเขตนี้บางทีเรียกว่า"เออร์โกเฟส" แต่มันเป็นขอบเขตและไม่เป็นสถานะของแข็งไปมากกว่าบริเวณขอบฟ้าเหตุการณ์ ที่จุดนี้ เป็นการลากผ่านความเร็วแสงของกาลอวกาศ ภายในแต่อยู่ภายนอกขอบฟ้าเหตุการณ์ ในกาลอวกาศเออร์โกสเฟียร์ ถูกลากผ่านไปรอบ ๆ ด้วยความเร็วกว่าแสง ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปห้ามไม่ให้วัสดุใด ๆ เคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าแสงเช่นเดียวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ แต่อนุญาตให้บริเวณของกาลอวกาศเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสงเมื่อสัมพันธ์กับกาลอวกาศอื่น วัตถุและรังสีรวมไปถึงแสงสามารถที่จะคงอยู่ในวงโคจรภายใน เออร์โกสเฟียร์ได้โดยไม่ตกลงในใจกลาง แต่พวกมันไม่สามารถอยู่ใกล้ แต่จะคงที่เหมือนกับที่สามารถสังเกตเห็นได้โดยผู้สังเกตจากภายนอก เพราะว่านั่นสามารถที่จะทำให้มันเคลื่อนที่ถอยหลังได้เร็วกว่าแสงสัมพัทธ์กับบริเวณกาลอวกาศของมันที่เคลื่อนที่เร็วกว่าความเร็วแสงสัมพัทธ์ของผู้สังเกตภายนอก วัตถุและรังสีสามารถที่จะหนีจาก เออร์โกสเฟียร์ ในความเป็นจริงแล้วกระบวนการเพนโรส (Penrose process) ทำนายว่าวัตถุจะบินหนีจากเออโกสเฟียร์ โดยขโมยพลังงานบางส่วนออกมาจากหลุมดำหมุนได้ด้วย ถ้ามวลขนาดใหญ่ของวัตถุหนีด้วยวิธีการนี้หลุมดำจะค่อย ๆ หมุนช้าลงและหยุดไปในที่สุด === รังสีฮอว์คิง === ในปี 1974 สตีเฟน ฮอว์คิง ได้แสดงว่าหลุมดำเป็นสีดำทั้งหมดแต่แผ่รังสีความร้อนจำนวนหนึ่งออกมา เขาได้คำตอบโดยการประยุกต์ทฤษฎีสนามควอนตัม ในพื้นหลุมดำสถิตย์ ผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณก็คือหลุมดำควรจะปลดปล่อยอนุภาคในรูปสเปกตรัมของวัตถุดำ ซึ่งผลนี้เป็นที่รู้จักในเวลาต่อมาว่ารังสีฮอว์คิง เมื่อผลลัพธ์จากฮอว์คิงอาจจะขยายผลไปได้อีกกับผลกระทบจากระเบียบวิธีอื่น ๆ อุณหภูมิของการแผ่รังสีของสเปกตรัมของวัตถุดำเป็นปฏิภาคกับความโน้มถ่วงพื้นผิว (surface gravity) ของหลุมดำ สำหรับหลุมดำของชวาทซ์ชิลท์ เป็นส่วนกลับกับมวล ดังนั้นหลุมดำขนาดใหญ่จะอุณหภูมิต่ำมากและแผ่รังสีที่มีขนาดเล็กมาก หลุมดำที่เกิดจากการระเบิดของดาวที่มีมวล 10 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ เช่น อาจจะมีอุณหภูมิฮอว์คิงในหลาย ๆ นาโนเคลวินน้อยกว่า 2.7K เกิดจากรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล ส่วนหลุมดำจิ๋วนั้นควรจะค่อนข้างสว่างเนื่องจากผลิตพลังงานสูงจากรังสีแกมมา อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีการสำรวจรังสีฮอว์คิงที่หลุมดำใด ๆ == การก่อตัวและวิวัฒนาการ == จากธรรมชาติที่แปลกประหลาดของหลุมดำ ก็เป็นธรรมดาว่าต้องมีการตั้งคำถามถึงวัตถุที่อันตรายที่มีอยู่จริงในธรรมชาติหรืออาจะเป็นเพียงคำตอบของสมการไอน์สไตน์ กระนั้นในปี 1970 ฮอว์คิงและเพนโรส ได้พิสูจน์ในทางตรงข้ามว่าภายใต้สภาวะทั่วไปของหลุมดำจะสามารถก่อตัวในเอกภพใด ๆ ก็ได้ และกระบวนการก่อนตัวเริ่มต้นสำหรับหลุมดำนี้ก็คาดว่าจะเกิดจากการยุบตัวของสภาพโน้มถ่วง (gravitational collapse) ของวัตถุหนักเช่นดาว แต่มีกระบวนการที่แปลกกว่านั้นที่ทำให้เกิดหลุมดำได้ === การยุบตัวของสภาพโน้มถ่วง === การยุบตัวของสภาพโน้มถ่วงนี้เกิดจากเมื่อวัตถุอยู่ภายใต้ความดันที่สภาพโน้มถ่วงของตัวมันเองไม่สามารถต้านทานได้ ถ้าเป็นดาวก็อาจจะเกิดขึ้นจากการที่ดาวมีการสังเคราะห์นิวคลีโอดาวน้อยเกินไป ที่จะรักษาอุณหภูมิไว้ได้ หรือเนื่องมาจากดาวที่มีความเสถียรเมื่อได้รับมวลมากในทางที่ไม่สามารถเพิ่มอุณหภูมิที่แก่นได้ หรือในอีกกรณีที่อุณหภูมิของดาวไม่เพียงพอที่จะปกป้องดาวจากการยุบตัวภายใต้น้ำหนักของตัวมันเองได้จากกฎแก๊สอุดมคติ ซึ่งอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างความดัน อุณหภูมิและปริมาตร การยุบตัวอาจจะหยุดได้ด้วยความกดดันที่ลดลงของส่วนประกอบของดาว หรือก็คือการที่สสารกลายเป็นของเหลวในสภาวะเสื่อมสลายที่ประหลาด ผลลัพธ์ที่ได้จัดเป็นหนึ่งในดาวหลายประเภทของดาวที่มีความหนาแน่นสูง โดยดาวที่หนาแน่นเหล่านี้ประเภทใดที่จะก่อตัวนั้นก็ขึ้นอยู่กับมวลเล็กมวลน้อยมารวมกัน สสารจะที่เหลือก็จะเปลี่ยนกลไกด้วยการยุบตัวไปในชั้นนอก (เช่น การเกิดซูเปอร์โนวา หรืออาจจะมีการสั่นสะเทือนจนกลายเป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ และต้องเข้าใจว่ามวลที่เหลือออกมานั้นเป็นน้อยกว่าของดาวแม่มาก คือจากดาวที่มีมวล 20 เท่าของมวลดวงอาทิตย์อาจเหลือเพียงแค่ 5 เท่า เท่านั้นหลังจากเกิดการยุบตัว ถ้ามวลของเศษเล็กเศษน้อยที่เหลือ เหลืออยู่เพียง 3-4 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ (จากขอบเขตของโทลแมน-ออพเพนไฮน์เมอร์-โวลคอฟ) ไม่ว่าจะเป็นเพราะดาวดวงเดิมนั้นอาจจะเคยใหญ่มา หรือเป็นเพราะว่าเศษที่เหลือนั้นรวมไปกับมวลอื่น ๆ อาจจะเป็นนิวตรอนที่ลดความดันลงมา ก็อาจะจะไม่เพียงพอที่จะหยุดการยุบตัวนี้ได้ กลไกหลังจากนี้ (ยกเว้นความดันที่ลดลงของควาร์ก) มีพลังมากพอที่จะหยุดการยุบตัวและวัตถุจะสามารถกลายเป็นหลุมดำได้ทั้งสิ้น การยุบตัวอันเกิดจากแรงโน้มถ่วงของดาวนี้สรุปได้ว่าเป็นการก่อตัวของหลุมดำที่เกิดจากดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ ===== การเกิดขึ้นของหลุมดำจากบิกแบง ===== การยุบตัวจากแรงโน้มถ่วงอาศัยความหนาแน่นมาก ๆ ในยุคปัจจุบันของเอกภพ ความหนาแน่นมาก ๆ ขนาดนี้จะพบแต่เพียงบนดาว แต่ในยุคก่อนหน้านี้หลังจากเกิดบิกแบง ความหนาแน่นจะมากกว่านี้มากพอที่จะสร้างหลุมดำขึ้นมาได้ ความหนาแน่นมาก ๆ อย่างเดียวนี้ไม่เพียงพอที่จะสร้างหลุมดำ เมื่อมวลกระจัดกระจายและไม่สามารถรวมกันได้ สำหรับจุดเริ่มต้นของหลุมดำนั้น จะสร้างตัวกลางที่มีความหนาแน่น และจะต้องเป็นการรบกวนความหนาแน่นเริ่มต้นที่สามารถที่จะเกิดขึ้นภายในแรงโน้มถ่วงของตัวมันเอง แบบจำลองที่ต่างไปสำหรับเอกภพในอดีตนั้นค่อนข้างที่จะกว้างกว่าที่จะทำนายความยุ่งเหยิงได้ แบบจำลองมากมายพยายามทำนายการเกิดของหลุมดำ เริ่มมาจากมวลแพลงค์ ถึงร้อยหรือพันเท่าของมวลดวงอาทิตย์ การเริ่มต้นเกิดของหลุมดำนี้อาจถือได้ว่าเป็นการเกิดแบบหนึ่งของหลุมดำได้ === ผลจากการชนพลังงานสูง === การยุบตัวจากแรงโน้มถ่วงไม่ได้เป็นกระบวนการเดียวที่จะสร้างหลุมดำเท่านั้น ในทางทฤษฎี หลุมดำอาจจะเกิดขึ้นจากการชนกันที่มีความหนาแน่นมากพอ ด้วยเหตุผลที่ว่าหลุมดำสามารถที่จะนำเอามวลใด ๆ (หลุมดำจิ๋ว) มาสร้างก็ได้ไม่ว่ามวลนั้นจะมีพลังงานต่ำเพียงใด อย่างไรก็ตาม จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีเหตุการณ์ใดที่พิสูจน์ว่าเป็นการทดลองของมวลสมมาตรในตัวสั่นสะเทือนอนุภาค คำแนะนำนี้อาจจะเป็นขอบเขตสำหรับมวลของหลุมดำได้ ในทางทฤษฎีแล้ว ขอบเขตนี้คาดว่าจะอยู่รอบ ๆ มวลแพลงค์ (~1019 GeV/c2) เมื่อผลกระทบทางควอนตัมทำให้ความเป็นไปได้ทางทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปหยุดลง ซึ่งทำให้การสร้างหลุมดำด้วยกระบวนการที่ใช้พลังงานสูงเกินเอื้อมไปหรือไม่สามารถที่จะเกิดใกล้ ๆ โลกได้ การพัฒนาล่าสุดในทางแรงโน้มถ่วงทางควอนตัมพบว่าขอบเขตควรจะน้อยกว่านี้มาก braneworld ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทำให้มวลแพลงน้อยลงไปอีกอาจจะเข้าใกล้ 1 TeV ก็เป็นได้ และนี่จะทำให้ความเป็นไปได้ของหลุมดำจิ๋วจะถูกสร้างจากการชนพลังงานสูง เกิดจากรังสีคอสมิกที่ชนกับชั้นบรรยากาศ หรือแม้กระทั่งในเครื่องชนอนุภาคขนาดใหญ่ที่ เซิร์น และทฤษฎีเหล่านี้ยังอยู่ในการคาดเดา และการเกิดของหลุมดำจากกระบวนการเหล่านี้ก็ถูกลงความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทั้งสิ้น === การเติบโต === เมื่อหลุมดำก่อตัว มันสามารถที่จะเติบโตขึ้นได้จากการดูดซับสสารอื่น ๆ ได้หลุมดำใด ๆ จะดูดซับฝุ่นภายในดาวจากที่อยู่รอบ ๆ ตัวมัน และที่แทรกอยู่ทั่วไปในรังสีพื้นหลังของจักรวาล แต่ไม่มีกระบวนการใดเหล่านี้ควรที่จะมีผลต่อมวลของหลุมดำที่เกิดจากดาวฤกษ์ โดยกระบวนการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในระบบดาวคู่ หลังจากการก่อตัวของหลุมดำสามารถที่จะดึงสสารจำนวนหนึ่งมาจากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ได้ การรวมตัวนี้จะใหญ่ขึ้นเมื่อหลุมดำมารวมกับดาวอื่นหรือวัตถุที่หนาแน่นอื่น ๆ ในหลุมดำมวลยวดยิ่งนั้นสันนิษฐานว่าเป็นศูนย์กลางของกาแล็กซี่จำนวนมาก และคาดว่าจะก่อตัวจากการรวมตัวกันของวัตถุขนาดเล็ก กระบวนการนี้สามารถที่จะเป็นจุดกำเนิดของหลุมดำขนาดกลางได้เช่นกัน === การระเหยของหลุมดำ === ถ้าทฤษฎีของฮอว์คิงเกี่ยวกับรังสีในหลุมดำนั้นถูกต้อง หลุมดำก็จะต้องมีการปลดปล่อยรังสีสเปกตรัมออกมาจากการสูญเสียพลังงานเนื่องจากตามทฤษฎีของมวลสัมพัทธ์แล้วพลังงานที่หนาแน่นเท่านั้น (e = mc2) หลุมดำจะหดลงและระเหยไปตามกาลเวลา อุณหภูมิฮอว์คิงเป็นสัดส่วนกับความโน้มถ่วงพื้นผิว ของหลุมดำ ที่เป็นส่วนกลับของมวล หลุมดำขนาดใหญ่จะแผ่รังสีมากกว่าหลุมดำขนาดเล็ก หลุมดำที่มีการหมุนจะแผ่คลื่นความโน้มถ่วงออกมา ซึ่งคลื่นความโน้มถ่วงคือพลังงานในการหมุนของหลุมดำ เมื่อแผ่คลื่นความโน้มถ่วงออกไปหลุมดำจะหมุนช้าลงจนในที่สุด เมื่อหลุมดำหยุดหมุน คลื่นความโน้มถ่วงจะไม่หายไป แต่หลุมดำจะค่อยเสียมวลออกไปเพื่อใช้เป็นพลังงานในการแผ่คลื่นความโน้มถ่วง หรือที่เรียกว่าหลุมดำระเหย หลุมดำที่เกิดจากดาวฤกษ์ที่มีมวล 5 เท่าของดวงอาทิตย์นั้นมีอุณหภูมิฮอว์คิงประมาณ 12 นาโนเคลวิน ซึ่งน้อยกว่า 2.7 เคลวินมาก และเกิดจากรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล มวลดาวฤกษ์และที่ใหญ่กว่านั้นทำให้หลุมดำได้รับมวลมากกว่าที่มันจะแผ่ออกมาผ่านรังสีฮอว์คิงจากไมโครเวฟพื้นหลัง และจากเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง เพื่อที่จะให้มีอุณหภูมิมากกว่า 2.7 K (และที่อุณหภูมินี้ก็สามารถที่จะระเหยได้) หลุมดำต้องการที่จะเบากว่าดวงจันทร์ (ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่าสิบเท่าของหน่วยมิลลิเมตร) ในทางกลับกันถ้าหลุมดำมีขนาดเล็กมาก คาดว่าผลจากรังสีจะเพิ่มขึ้น แม้หลุมดำจะถูกเปรียบเทียบว่าหนักเท่ากับมนุษย์นั้นจะระเหยในทันที โดยหลุมดำที่มีน้ำหนักเท่ากับรถ (~ 10-24 m) ก็จะใช้เวลาประมาณเสี้ยววินาทีในการระเหย ในช่วงนั้นจะปรากฏความสว่างมากกว่า 200 เท่าของดวงอาทิตย์ หลุมดำที่เบากว่าจะระเหยได้เร็วกว่า เช่นถ้ามีขนาด 1 TeV/c2 จะใช้เวลาน้อยกว่า 10-88 วินาทีที่จะระเหย และแน่นอนว่าแรงโน้มถ่วงควอนตัมในหลุมดำที่มีขนาดเล็กกว่าจะมีบทบาทแม้ว่าการพัฒนาความโน้มถ่วงควอนตัมจะทำให้หลุมดำขนาดเล็กคงที่ตามสมมติฐาน == ผลของการตกลงไปในหลุมดำ == ในส่วนนี้จะเป็นการอธิบายว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีบางสิ่งตกลงไปในหลุมดำชวาทซ์ชิลท์ ที่เป็นหลุมดำแบบไม่หมุนและไม่มีประจุ ส่วนหลุมดำที่หมุนและมีประจุจะมีความยุ่งยากที่เพิ่มขึ้นมาเมื่อตกลงไป ซึ่งจะไม่อธิบายในส่วนนั้น === กระบวนการสปาเกตตี้ === วัตถุที่อยู่ภายใต้แรงดึงดูดขนาดใหญ่จะสัมผัสได้ถึงแรงไทดัล ที่ทำให้มันไปในทิศทางของวัตถุที่ก่อให้เกิดสนามโน้มถ่วง นี่อาจจะเกิดจากกฎกำลังสองผกผันทำให้ส่วนที่ใกล้กว่าของวัตถุที่ถูกแผ่ออกสัมผัสกับแรงดึงดูดได้เร็วกว่าส่วนที่อยู่ไกลกว่า ใกล้ ๆ กับหลุมดำ แรงไทดอลจะถูกคาดหวังว่าจะเพียงพอที่จะทำให้วัตถุตกลงไป ไม่ว่าจะเป็นอะตอม หรือนิวคลีออน เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า กระบวนการสปาเกตตี้ กระบวนการสปาเกตตี้นี้จะเริ่มจากวัตถุที่ตกลงไปในหลุมดำแยกเป็นสองส่วน จากนั้นแต่ละส่วนก็จะแยกออกเป็นอีกสองส่วนรวมเป็นสี่ แล้วก็แยกเป็นแปด กระบวนการแยกออกเป็นสอง นี้จะดำเนินไปเรื่อย ๆ และผ่านจุดที่จะแยกวัตถุต้นแบบในระดับอะตอม และสุดท้ายกระบวนการนี้จะทำให้วัตถุกลายเป็นสตริงของอนุภาคพื้นฐาน ความแรงของแรงไทดัลของหลุมดำขึ้นกับค่าความโน้มถ่วงนั้นเปลี่ยนแปลงระยะอย่างไรมากกว่าที่จะคิดถึงแรงสัมบูรณ์ที่ตกลงไป นั่นหมายความว่าหลุมดำขนาดเล็กจะเกิดปรากฏการณ์สปาเกตตี้เมื่อวัตถุที่ตกลงไปนั้นยังอยู่ภายนอกขอบฟ้าเหตุการณ์ ขณะที่วัตถุที่ตกลงไปในหลุมดำขนาดใหญ่นั้นอาจไม่ผิดแผกแตกต่างไป หรืออาจจะไปสัมผัสแรงขนาดใหญ่ที่ผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ไป === ก่อนที่วัตถุที่ตกลงไปจะข้ามขอบฟ้าเหตุการณ์ === วัตถุที่อยู่ในสนามความโน้มถ่วงจะมีเวลาที่ช้าลงเรียกว่า การยืดของช่วงเวลาจากความโน้มถ่วง สัมพันธ์กับผู้สังเกตภายนอกสนาม โดยผู้สังเกตจะมองเห็นกระบวนการทางกายภาพรวมไปถึงนาฬิกาที่เดินช้าลงเช่นกัน เมื่อวัตถุที่นำมาทดลองได้ผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ไปนั้น พบว่าเกิดการยืดของช่วงเวลาอันมีผลมาจากความโน้มถ่วง (เมื่อวัดโดยผู้สังเกตจากระยะไกลหลุมดำ) จนเข้าใกล้ค่าอนันต์ หรือก็คือเวลาจะหยุดลง จากมุมมองของผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ไกล วัตถุที่ตกลงไปนั้นอาจจะเคลื่อนที่ช้าลง เมื่อเข้าใกล้แต่คล้ายกับว่าจะไม่ไปถึงขอบฟ้าเหตุการณ์ได้ และมีลักษณะที่แดงและมืดทึบลงเนื่องจากเกิดการเลื่อนของสเปกตรัมไปในทิศทางที่มีความยาวคลื่นเพิ่มขึ้น การเคลื่อนไปทางแดงที่เกิดขึ้นโดยความโน้มถ่วงจากหลุมดำ ในที่สุดวัตถุนั้นจะค่อนข้างมืดลงไปจนไม่สามารถมองเห็นได้ที่จุดก่อนที่จะเข้าใกล้ขอบฟ้าเหตุการณ์ ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการยืดของช่วงเวลา ซึ่งการเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นกระบวนการหนึ่งที่ช้าลงเรื่อย ๆ และการยืดของช่วงเวลานี้มีผลกระทบมากกว่าค่าความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงเสียอีก โดยที่ความถี่ของแสงมีค่าลดลง และทำให้ดูราวกับว่ามีสีแดงมากขึ้น เนื่องจากแสดงเคลื่อนที่ไปครบรอบใช้เวลาน้อยกว่าการเคลื่อนของเข็มนาฬิกาของผู้สังเกตในหนึ่งวินาที ความถี่ที่ต่ำลงมีพลังงานที่ลดลงและมีความทึบและเป็นสีแดงมากขึ้น จากมุมมองการตกของวัตถุ ระยะที่วัตถุเกิดการเคลื่อนไปทางน้ำเงิน หรือการที่สเปกตรัมเคลื่อนที่เข้าหาผู้สังเกต และมีความยาวคลื่นสั้นลงอันเนื่องจากเคลื่อนที่เข้าหาผู้สังเกต จะมีความยาวคลื่นสั้นลงมาจากค่าสนามโน้มถ่วงของหลุมดำ ปรากฏการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นส่วนกลับของ การเคลื่อนไปทางแดง ที่เกิดขึ้นโดยความเร็วของการตกของวัตถุเมื่อเทียบกับระยะทาง === เมื่อวัตถุผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ === จากมุมมองของวัตถุที่ตกลงไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษที่บริเวณขอบฟ้าเหตุการณ์ ความจริงเพราะว่าไม่มีทางใดที่วัตถุนั้นจะหาทางออกมาได้ ไม่ว่าจะผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์แล้วหรือไม่ก็ตาม เป็นตัวเปรียบเทียบว่าคงต้องใช้เวลาที่เป็นอนันต์ที่ผู้สังเกตจากระยะไกลจะมองเห็นการข้ามผ่านขอบวัตถุบริเวณขอบฟ้าเหตุการณ์ === ภายในขอบฟ้าเหตุการณ์ === เมื่อวัตถุผ่านไปที่เอกภาวะที่ศูนย์กลางด้วยค่าเวลาที่เหมาะสมจากการวัดโดยใช้วัตถุที่ตกลงไปนั้น ผู้สังเกตที่อยู่บนวัตถุจะเห็นความต่อเนื่องของวัตถุที่บริเวณภายนอกขอบฟ้าเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไปทางน้ำเงินหรือไปทางแดงก็ขึ้นอยู่กับวิถีโคจร เมื่อเวลาที่เหมาะสมของวัตถุที่ตกลงไปในขอบฟ้าเหตุการณ์ขึ้นอยู่กับจุดเริ่มต้นจากจุดหยุดนิ่งที่บริเวณขอบฟ้าเหตุการณ์ มีรายงานในปี ค.ศ. 2007 ว่าผลของจรวดที่เข้าไปในหลุมดำนั้นพบว่าเป็นเพียงการลดเวลาที่เหมาะสมของคน ๆ หนึ่งที่เริ่มจากจุดหยุดนิ่งที่ขอบฟ้าเหตุการณ์แต่ถ้าเป็นคนอื่นที่จรวดเกิดการระเบิดพอดีก็จะสามารถยืดเวลาของการตกลงไปได้ และเมื่อทำซ้ำเวลาก็จะลดลงอีก === การชนเอกภาวะ === เมื่อวัตถุเคลื่อนที่เข้าใกล้เอกภาวะมาก ๆ ด้วยแรงไทดัลที่มีค่าอนันต์ ส่วนประกอบทั้งหมดของวัตถุรวมไปถึงอะตอม และอนุภาคขนาดเล็กกว่าอะตอม จะถูกฉีกออกจากกันก่อนที่จะถึงเอกภาวะ โดยที่ไม่สามารถทราบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายในเอกภาวะ แต่เชื่อว่าจากทฤษฎีควอนตัมโน้มถ่วง ต้องการที่จะอธิบายเหตุการณ์บริเวณใกล้เคียง เมื่อวัตถุข้ามผ่านไปในขอบฟ้าเหตุการณ์ มันจะหายไปจากเอกภพภายนอก ผู้สังเกตการณ์ระยะไกลจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของมวล ประจุ และโมเมนตัมเชิงมุมเล็กน้อย ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ผ่านจุดนี้ไปจะไม่สามารถเป็นตัวอย่างศึกษาได้อีกต่อไป จากภายนอกเอกภพ พบว่าหินที่ถูกโยนเข้าไปในหลุมหนึ่งล้านปีที่แล้วยังไม่สามารถที่จะผ่านขอบฟ้าไปได้ตามทฤษฏีอาจต้องมีการแก้ไข === อะไรทำให้สสารหลุดจากหลุมดำไม่ได้ === {| align="right" class="wikitable" style="margin:1ex 1ex 1ex 1ex" width="350" |-width |BH-no-escape-1.svgวัตถุสามารถเคลื่อนที่ในทิศทางใดก็ได้เมื่ออยู่ห่างจากหลุมดำ ภายใต้ความเร็วแสง |- |BH-no-escape-2.svgยิ่งใกล้หลุมดำเข้ามาพื้นผิวจะเริ่มบิดเบี้ยว ทางที่จะเข้าสู่หลุมดำจะมีมากกว่าทางที่จะหลุดออกจากหลุมดำ |- |BH-no-escape-3.svgภายในขอบฟ้าเหตุการณ์ เส้นทางทั้งหมดจะดึงอนุภาคเข้าใกล้ศูนย์กลางของหลุมดำ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะหลุดออกมาได้อีก |} เหตุผลที่นิยมจะนำมาอธิบายปรากฏการณ์หลุมดำก็คือแนวคิดเกี่ยวกับความเร็วหลุดพ้น ความเร็วนี้เป็นที่ต้องการสำหรับการเริ่มต้นที่ผิวของวัตถุขนาดใหญ่เพื่อที่จะหลุดจากสนามโน้มถ่วงของวัตถุใด ๆ แนวคิดนี้มาจากกฎความโน้มถ่วงของนิวตันที่ความเร็วหลุดพ้นของวัตถุหนาแน่นเพียงพอจะเท่ากับหรือมากกว่าความเร็วแสง มีการกล่าวอ้างว่าไม่มีอะไรที่จะมากกว่าความเร็วแสงได้ จึงสรุปได้ว่าไม่มีสสารใดจะสามารถหนีจากวัตถุที่หนาแน่นขนาดนี้ได้ อย่างไรก็ดี ข้อขัดแย้งนี้ก็ยังมีช่องโหว่ที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมแสงจึงมีผลต่อวัตถุที่มีแรงโน้มถ่วง หรือเหตุใดมันจึงไม่สามารถหลุดออกมาได้ และก็ไม่สามารถอธิบายว่าทำไมยานอวกาศที่มีกำลังส่งไม่สามารถที่จะหยุดได้อย่างอิสระ สองแนวคิดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ต้องนำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ แนวความคิดแรกก็คือเวลาและอวกาศ นั้นไม่ใช่แนวคิดที่จะแยกออกจากกัน แต่มีความเกี่ยวข้องกันและรวมเรียกเป็นกาลอวกาศ ความเกี่ยวข้องนี้มีลักษณะพิเศษ คือ วัตถุจะไม่สามารถเคลื่อนที่ในกาลอวกาศได้อย่างอิสระ มันจะเคลื่อนที่นำหน้าเวลาและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในอวกาศได้เร็วกว่าความเร็วแสง และนี่คือผลลัพธ์ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ แนวคิดที่สองอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป คือมวลจะถูกทำให้ผิดรูปร่างอยู่ในกาลอวกาศนี้ ผลกระทบของมวลในกาลอวกาศนี้อธิบายให้รู้ว่าเมื่อทิศทางของเวลาเบี่ยงเบนไปข้างหน้ามวล มีผลให้วัตถุจะเคลื่อนที่นำหน้ามวล นี่เป็นประสบการณ์จากความโน้มถ่วง ผลกระทบจากความเบี่ยงเบนนี้ทำหน้าระยะทางคล้ายกับจะสั้นลง ในบางจุดใกล้มวล ความเบี่ยงเบนนี้จะมากขึ้นทำให้เส้นทางที่เป็นไปได้ทั้งหมดของวัตถุสามารถนำหน้ามวลได้ทั้งสิ้น นั่นก็หมายความว่าวัตถุใด ๆ ที่ผ่านจุดนี้ไปแล้วจะไม่สามารถไปได้ไกลกว่ามวล แม้ว่าจะมีกำลังจากการบิน โดยเรียกจุดนี้ว่า ขอบฟ้าเหตุการณ์ == เทคนิคการหาหลุมดำ == === วงแหวนก๊าซและลำก๊าซ === จานพอกพูนมวล เป็นก๊าซร้อนที่ประกอบด้วยอะตอม และไอออนของธาตุต่าง ๆ รวมทั้งอิเล็กตรอนอิสระ และอนุภาคพลังงานสูงมากมาย และก๊าซร้อน หรือ พลาสมา ที่พุ่งออกมาเป็นลำอากาศ ซึ่งเกิดจากการเหนียวนำในจานพอก แต่จานพอกนี้ไม่ได้เป็นตัวพิสูจน์ว่าหลุมดำจากดาวฤกษ์มีอยู่จริง เพราะวัตถุขนาดใหญ่และมีความหนาแน่นมาก เช่น ดาวนิวตรอนและดาวแคระขาว สามารถสร้างวงแหวนก๊าซและลำก๊าซก่อตัว ซึ่งมีประพฤติตัวเหมือน ๆ กันกับหลุมดำ ในทางกลับกัน วงแหวนก๊าซและลำแก๊สอาจจะเป็นหลักฐานที่ดีสำหรับการปรากฏของหลุมดำมวลยวดยิ่ง เพราะเรารู้ว่ามวลมีขนาดใหญ่พอจะทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ได้ก็มีแต่หลุมดำเท่านั้น === การแผ่รังสีอย่างรุนแรง === การแผ่รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา ไม่ได้พิสูจน์ว่าหลุมดำจะปรากฏ แต่สามารถบอกได้ว่าเป็นจุดที่ควรจะมองหา และข้อดีอีกอย่างคือมันสามารถผ่านเนบิวลาและกลุ่มก๊าซได้ง่าย แต่การแผ่รังสีเอกซ์ และแกมมารวมไปถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่รุนแรงผิดปกตินั้น จะเป็นข้อพิสูจน์ว่านั่นไม่ใช่หลุมดำ ดังนั้นนักล่าหลุมดำทั้งหลายสามารถย้ายเป้าหมายไปแหล่งอื่นได้เลย ดาวนิวตรอนและดาวอื่น ๆ ที่มีพื้นผิวค่อนข้างหนาแน่น และสสารที่ชนกันกับพื้นผิวที่เปอร์เซ็นต์ของความเร็วแสงสูงนั้นจะผลิตรังสีที่สว่างวูบรุนแรงในช่วงเวลาหนึ่ง หลุมดำที่ไม่มีวัสดุพื้นผิว ก็จะไม่เกิดปรากฏการณ์นี้ ส่วนวัตถุที่หนาแน่นมากจะเป็นจุดที่อาจจะเจอหลุมดำได้ แสงวาบรังสีแกมมา หรือจีอาร์บี ครั้งหนึ่งอาจจะเป็นสัญญาณว่าจะมีหลุมดำเกิดใหม่ เนื่องจากนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์คิดว่าจีอาร์บี ทำให้เกิดการยุบตัวของสนามโน้มถ่วงและหรือดาวยักษ์ หรือโดยการชนระหว่างดาวนิวตรอน และลักษณะสำคัญทั้งสองรวมไปถึงมวลและความดันที่เพียงพอจะสร้างหลุมดำ แต่ปรากฏว่าการชนกันระหว่างดาวนิวตรอนและหลุมดำก็สามารถเกิดปรากฏการณ์นี้ได้เช่นกัน ดังนั้นการระเบิดของรังสีแกมมานี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าจะมีหลุมดำเกิดขึ้น และเป็นที่รู้กันว่าการระเบิดนี้นอกกาแล๊กซี่ ส่วนใหญ่มาจากระยะทางเป็นล้านล้านปีแสง ดังนั้นหลุมดำจะที่เจอนั้นความจริงแล้วมีอายุกว่าล้านปี นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์บางคนเชื่อว่าแหล่งกำเนิดของรังสีเอกซ์ที่สว่างมาก ๆ นั้นอาจจะเป็น จานพอกพูนมวล ของหลุมดำขนาดกลาง เควซาร์ถูกคิดว่าเป็นวงแหวนก๊าซของหลุมดำมวลยวดยิ่ง เพราะว่าไม่มีวัตถุอื่นใดที่ค้นพบแล้วจะมีพลังงานมากพอที่จะแผ่พลังงานได้มาก เควซาร์สามารถที่จะแผ่ออกผ่านสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า รวมไปถึงรังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา และสามารถมองเห็นได้จากระยะไกลเนื่องจากความสว่างที่มีค่ามาก ประมาณ 5 และ 25% ของเควซาร์เป็นกลุ่มเมฆวิทยุ ที่เรียกอย่างนี้เพราะว่าการแผ่ของคลื่นวิทยุมีกำลังมาก === การมองผ่านความโน้มถ่วง === เลนส์ความโน้มถ่วง นี้ก่อตัวมาจากแสงจากแหล่งที่สว่างจากระยะไกลมาก ๆ เช่น เควซาร์ ที่จะบิดเบี้ยวอยู่รอบ ๆ วัตถุขนาดใหญ่เช่น หลุมดำ ระหว่างแหล่งกำเนิดและผู้สังเกต กระบวนการนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม การมองผ่านความโน้มถ่วง และเป็นการทดสอบอีกอย่างของการคาดการณ์จากทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ตามทฤษฎีแล้วมวลจะล้อมรอบกาลอวกาศ เพื่อที่จะสร้างสนามความโน้มถ่วง และจะมีผลที่จะเบนแสงไป ภาพจากแหล่งที่อยู่หลังเลนส์จะปรากฏให้ผู้สังเกตเห็นเป็นหลายภาพ ในกรณีที่แหล่งกำเนิด วัตถุที่ทำหน้าที่เป็นเลนส์และผู้สังเกตอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน แหล่งกำเนิดจะปรากฏเป็นวงแหวนหลังวัตถุต้นกำเนิด การมองผ่านความโน้มถ่วงนี้อาจเกิดจากวัตถุอื่นนอกจากหลุมดำ เพราะสนามความโน้มถ่วงที่มีมากนี้จะไปเบี่ยงเบนรังสี ผลที่เกิดจากรูปภาพหลาย ๆ รูปนี้อาจจะมาจากกาแล๊กซี่ที่อยู่ไกล ๆ ก็ได้ === วัตถุที่โคจรรอบหลุมดำ === วัตถุที่โคจรรอบหลุมดำนี้ เป็นตัววัดค่าสนามโน้มถ่วงรอบ ๆ ศูนย์กลางวัตถุ ตัวอย่างในอดีตอาทิเช่น การค้นพบในปี 1970 ซึ่งสมมติให้วงแหวนแก๊สนี้จะโคจรอยู่รอบ ๆ หลุมดำ ที่ทำให้ ซิกนัส เอกซ์-1 เป็นที่รู้จักจากการเป็นแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ ในขณะที่เราไม่สามารถมองวัตถุได้โดยตรง รังสีเอกซ์จะริบหรี่เป็นหน่วย มิลลิวินาที และเป็นไปตามคาดที่ก้อนก๊าซร้อนโคจรรอบ ๆ หลุมดำที่มีมวลประมาณ 10 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ สเปกตรัมของรังสีเอกซ์จะแสดงรูปร่างตามที่คาดสำหรับวงแหวนที่โคจรรอบวัตถุใด ๆ และเส้นของธาตุเหล็กที่แผ่รังสีที่ประมาณ 6.4 keV และขยายไปถึงแถบสีแดง (บนด้านที่ต่ำกว่าของวงแหวน) และถึงสีน้ำเงิน (ในส่วนที่เข้าใกล้) อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ดาวเอสทู ที่มองเห็นโคจรอยู่ที่ใจกลางกาแล็กซี่ เป็นดาวที่มีแสงจากหลุมดำที่มีขนาดประมาณ 3.5×106 เท่าของดวงอาทิตย์ ดังนั้นสามารถที่จะพล็อตการเคลื่อนไหวของวงโคจรได้ แต่ไม่มีการสำรวจอื่น ๆ ที่ใจกลางของวงโคจรนอกจากตำแหน่งของหลุมดำ === การระบุมวลของหลุมดำ === การสั่นกึ่งคาบ สามารถใช้ระบุมวลของหลุมดำได้ เทคนิคนี้สามารถใช้ได้กับความสัมพันธ์ระหว่างหลุมดำและภายในวงแหวนรอบ ๆ ตัวมัน ที่มีก๊าซหมุนวนภายในก่อนที่จะถึงขอบฟ้าเหตุการณ์ เมื่อก๊าซยุบตัวลงจะแผ่รังสีเอกซ์ด้วยความเข้มที่แตกต่างกันในรูปแบบซ้ำ ๆ ในช่วงเวลาปกติ สัญญาณนี้เรียกว่า ควอไซน์ พิริออดิก ออสซิลเลชั่น หรือ คิวพีโอ ความถี่ คิวพีโอ นี้ขึ้นกับมวลของหลุมดำ ซึ่งจะเกิดที่ขอบฟ้าเหตุการณ์ใกล้ ๆ กับหลุมดำ ดังนั้น คิวพีโอจะมีความถี่มากขึ้น สำหรับหลุมดำที่มีมวลมากกว่านี้ ขอบฟ้าเหตุการณ์ก็จะอยู่ไกลข้น ทำให้ ความถี่คิวพีโอ ลดลง == วัตถุที่น่าจะเป็นหลุมดำ == === หลุมดำมวลยวดยิ่งที่ใจกลางดาราจักร === จากข้อมูลสมาคมดาราศาสตร์อเมริกา ดาราจักรขนาดใหญ่มักจะมีหลุมดำขนาดใหญ่ที่ใจกลาง โดยที่มวลของหลุมดำจะแปรผันตรงกับดาราจักรที่มันอยู่ มีการใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลและกล้องโทรทรรศน์ภาพพื้นในฮาวายในการสำรวจดาราจักรขนาดใหญ่ นักดาราศาสตร์ใช้คำว่า "ดาราจักรกัมมันต์" มานานหลายทศวรรษในการเรียกขานดาราจักรที่มีลักษณะประหลาด เช่น เส้นสเปกตรัมที่ผิดปกติ และการแผ่คลื่นวิทยุอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม การศึกษาทั้งในทางทฤษฎีและจากผลสังเกตการณ์แสดงให้เห็นว่าในนิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์ของดาราจักรเหล่านั้นน่าจะมีหลุมดำมวลยวดยิ่งอยู่ แบบจำลองของนิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์นี้ประกอบด้วยหลุมดำที่ใจกลางซึ่งมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์เป็นล้านหรือพันล้านเท่า แผ่นจานของก๊าซและฝุ่นซึ่งเรียกว่าจานรวมมวล และลำอนุภาคพลังงานสูง (relativistic jet) ที่ตั้งฉากกับจานรวมมวล แม้จะมีการคาดการณ์ว่า น่าจะพบหลุมดำมวลยวดยิ่งในแกนกลางของดาราจักรกัมมันต์ส่วนใหญ่ แต่มีการศึกษาอย่างละเอียดเพื่อพยายามตรวจหาและระบุมวลที่แท้จริงในใจกลางของดาราจักรที่น่าจะมีหลุมดำมวลยวดยิ่งแต่เพียงบางแห่งเท่านั้น ได้แก่ ดาราจักรแอนดรอเมดา เมสสิเยร์ 32 เมสสิเยร์ 87 NGC 3115 NGC 3377 NGC 4258 และดาราจักรหมวกปีก โดยที่ใจกลางดาราจักรทางช้างเผือกของเราก็มีหลุมดำมวลยวดยิ่งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า ซาจิเทอเรียสเอ* (Sagittarius A*) ดาว S2 ที่ตามวงโคจรรูปวงรีด้วยคาบการโคจร 15.2 ปีและจุดใกล้ที่สุดที่มีระยะทางประมาณ 17 ชั่วโมงแสงจากศูนย์กลางวัตถุ การประมาณครั้งแรกชี้ว่าที่ศูนย์กลางของวัตถุมีมวล 2.6 เท่าของดวงอาทิตย์และมีรัศมีน้อยกว่า 17 ชั่วโมงแสง ก็มีแต่หลุมดำเท่านั้นที่จะสามารถมีมวลมากขนาดนั้นในปริมาตรน้อย ๆ การสังเกตการณ์ขั้นต่อไป เป็นการยืนยันการมีอยู่จริงของหลุมดำโดยการแสดงว่าที่ใจกลางใจวัตถุนั้นมีมวลประมาณ 3.7 เท่าของมวลดวงอาทิตย์และมีรัศมีไม่มากไปกว่า 6.25 ชั่วโมงแสง === หลุมดำขนาดกลางในกระจุกดาวทรงกลม === ในปี 2002 กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลได้ทำการสังเกตและแสดงว่าน่าจะมีหลุมดำขนาดกลางและกระจุกดาวทรงกลมชื่อ เมสสิเยร์ 15 และมายอล II โดยการตีความนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและคาบของการโคจรของดาวในกระจุกดาวทรงกลม แต่จากหลักฐานที่ได้จากกล้องฮับเบิลนั้นก็ไม่สามารถให้ข้อสรุปที่ดีได้ เมื่อพบว่ากลุ่มของดาวนิวตรอนนั้นก็ให้ผลการสังเกตที่คล้ายกัน กระทั่งการค้นพบครั้งล่าสุดที่นักดาราศาสตร์คาดว่าความโน้มถ่วงที่ซับซ้อนที่มีต่อกันในกระจุกดาวทรงกลมนั้นจะทำให้เกิดหลุมดำได้ ในปี 2004 กลุ่มของนักดาราศาสตร์รายงานว่ามีการค้นพบหลุมดำมวลขนาดกลางที่ได้รับการยืนยันในทางช้างเผือก โคจรสามปีแสงจากซาจิเทอเรียส เอ หลุมดำที่มีมวล 1,300 เท่าของมวลดวงอาทิตย์นี้อยู่ภายในกระจุกดาว 7 ดวง ซึ่งอาจจะเป็นเศษเล็กเศษน้อยจากกระจุกดาวขนาดใหญ่ซึ่งเป็นลากเป็นทางผ่านใจกลางดาราจักร การสังเกตการณ์นี้น่าจะมีการเสริมแนวคิดที่ว่าหลุมดำขนาดใหญ่จะเกิดขึ้นโดยการดูดซับหลุมดำที่มีขนาดเล็กกว่าและดาวข้างเคียง ในเดือนมกราคมปี 2007 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาท์แธมตัน ประเทศสหราชอาณาจักร รายงานการพบหลุดดำที่มีมวลขนาด 10 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ในกระจุกดาวทรงกลมรวมกับดาราจักรชื่อ เอ็นจีซี 4427 โดยมีระยะห่างประมาณ 55 ล้านปีแสง === หลุมดำที่เกิดจากดาวฤกษ์ในกาแล็กซี่ทางช้างเผือก === กาแล๊กซี่ทางช้างเผือกของเรานั้นน่าจะประกอบไปด้วยหลุมดำที่เกิดจากดาวฤกษ์ที่จะอยู่ใกล้เรามากกว่าหลุมดำในบริเวณซาจิเทอเรียสเอ ซึ่งหลุมดำเหล่านี้เป็นสมาชิกของระบบดาวคู่รังสีเอกซ์ที่ทำให้วัตถุมีความหนาแน่นมากขึ้นจากคู่ของมันผ่านอะครีชั่นดิสก์ หลุมดำที่เป็นไปได้ในระบบนี้น่าจะมีมวลมากกว่า 20 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ หลุมดำที่เกิดจากดาวฤกษ์ส่วนใหญ่จากที่เคยสำรวจมาจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบดาวคู่ที่ตั้งอยู่ในกาแล็กซี่เมซิเออ 33 === หลุมดำจิ๋ว === ในทางทฤษฎี ไม่มีขนาดที่เล็กที่สุดสำหรับหลุมดำ เมื่อหลุมดำเกิดขึ้นมาหลุมหนึ่งก็จะมีคุณสมบัติของหลุมดำ โดยสตีเฟน ฮอวคิง ได้อธิบายไว้ในทฤษฎีของหลุมดำแรกเริ่ม ที่สามารถจะระเหยและมีขนาดเล็กลงได้ นั่นก็คือหลุมดำจิ๋ว การค้นหาหลุมดำแรกเริ่มที่ยังมีการระเหยอยู่นั้นเป็นเป้าหมายหลักของดาวเทียมกลาส ที่ปล่อยขึ้นไปในปี 2008 อย่างไรก็ตามถ้าหลุมดำจิ๋วสามารถที่จะสร้างได้ด้วยวิธีการอื่น เช่น ผลจากรังสีคอสมิค หรือจากการปะทะกันซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะทำให้มันระเหยได้ มีรายงานว่าสามารถที่จะจับสัญญาณการสั่นของอนุภาคจากบนโลกได้เมื่อเกิดการก่อตัวของหลุมดำ โดยสัญญาณเหล่านี้จะไม่เหมือนกับความโน้มถ่วงภายในหลุมดำ แต่ก็จะมีการเทียบกับพื้นผิวสำหรับทฤษฎีควอนตัมโน้มถ่วง พฤติกรรมคล้ายหลุมดำเนื่องจากเอดีเอสและซีเอฟทีระหว่างทฤษฎีของแรงนิวเคลียร์ที่รุนแรงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับทฤษฎีแรงโน้มถ่วงและทฤษฎีแรงโน้มถ่วงควอนตัม ทฤษฎีเหล่านี้คล้ายกันเพราะใช้อธิบายทฤษฎีสตริง ดังนั้นการก่อตัวและความไม่ต่อเนื่องของ ควาร์ก-กลูออน พลาสมานั้นก็เกี่ยวข้องกับการเกิดหลุมดำ ลูกไฟที่ Relativistic Heavy Ion Collider [อาร์เอชไอซี] เป็นปรากฏการณ์ที่อาจเทียบได้กับหลุมดำ และคุณสมบัติส่วนใหญ่จะทำให้ได้อย่างถูกต้องโดยใช้การเปลี่ยนเทียบนี้ อย่างไรก็ดี ลูกไฟนี้ไม่ใช่วัตถุโน้มถ่วง และก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะมีพลังงานมากกว่าที่เครื่องชนอนุภาคแฮดรอนขนาดใหญ่ (LHC) จะสามารถสร้างหลุมดำจิ๋วขึ้นมาตามทฤษฎีหรือไม่ == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == หลุมดำมวลยวดยิ่ง หลุมดำเชิงควอนตัม == แหล่งข้อมูลอื่น == Stanford Encyclopedia of Philosophy: "Singularities and Black Holes" by Erik Curiel and Peter Bokulich. "Black hole" on Scholarpedia. Black Holes: Gravity's Relentless Pull—Interactive multimedia Web site about the physics and astronomy of black holes from the Space Telescope Science Institute Frequently Asked Questions (FAQs) on Black Holes "Schwarzschild Geometry" Advanced Mathematics of Black Hole Evaporation Hubble site ดาราจักร ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ฟิสิกส์ดาราศาสตร์
thaiwikipedia
1,503
มณฑลกวางตุ้ง
มณฑลกวางตุ้ง หรือ กว่างตง เป็นมณฑลหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศจีน ตั้งอยู่ทางเหนือของทะเลจีนใต้ เมืองหลวงของมณฑลคือ กว่างโจว ประชากรในมณฑลมีจำนวน 113.46 ล้านคน (ข้อมูลปี ค.ศ. 2018) มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 179,800 ตารางกิโลเมตร นับเป็นมณฑลที่มีประชากรมากที่สุด และมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 15 ของประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของมณฑลกวางตุ้งในปี ค.ศ. 2018 มีมูลค่า 1.47 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (9.73 ล้านล้านหยวนจีน) ทำให้เศรษฐกิจของมณฑลมีขนาดใหญ่กว่ามณฑลอื่น ๆ ในประเทศ และเป็นหน่วยการปกครองที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก มณฑลกวางตุ้งเป็นที่ตั้งของเขตอภิมหานครหนึ่งของจีน คือ เขตเศรษฐกิจดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้าน[tech|เทคโนโลยีขั้นสูง] อุตสาหกรรมการผลิต และการค้าระหว่างประเทศ เมืองสำคัญที่ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจนี้ ได้แก่ กว่างโจว ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑล และเชินเจิ้น ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของประเทศ มณฑลกวางตุ้งกลายเป็นมณฑลที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศจีน แซงหน้ามณฑลเหอหนานและมณฑลชานตงไปเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 โดยมีผู้อยู่อาศัยถาวรตามทะเบียนบ้านจำนวน 79.1 ล้านคน และผู้อพยพที่อาศัยอยู่ในมณฑลเป็นเวลาอย่างน้อยหกเดือนจำนวน 31 ล้านคน ประชากรทั้งหมดมีจำนวน 104,303,132 คน ตามข้อมูลในสำมะโนปี ค.ศ. 2010 คิดเป็นร้อยละ 7.79 ของประชากรในจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้มณฑลกวางตุ้งเป็นเขตการปกครองระดับแรกที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศที่อยู่นอกเอเชียใต้ เนื่องจากมีเพียงรัฐดังต่อไปนี้ของประเทศอินเดียเท่านั้นที่มีจำนวนประชากรมากกว่ามณฑลกวางตุ้ง ซึ่งได้แก่ รัฐพิหาร รัฐมหาราษฏระ และรัฐอุตตรประเทศ มณฑลกวางตุ้งที่ปกครองโดยสาธารณรัฐประชาชนจีนในปัจจุบันนั้นครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของมณฑลกวางตุ้งในสมัยก่อน แต่อย่างไรก็ตาม หมู่เกาะปราตัสที่อยู่ในทะเลจีนใต้ ปัจจุบันอยู่ในความควบคุมของสาธารณรัฐจีน (หรือไต้หวัน) ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นส่วนหนึ่งของมณฑลกวางตุ้งก่อนเกิดสงครามกลางเมืองจีน มณฑลกวางตุ้งมีเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายสูง โดยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 มณฑลกวางตุ้งครองอันดับสูงสุดในการจัดอันดับจีดีพีรวมในบรรดาเขตการปกครองระดับมณฑลทั้งหมดของประเทศ โดยมีมณฑลเจียงซูและมณฑลชานตงอยู่อันดับสองและสามตามลำดับ ในปี ค.ศ. 2018 จีดีพีของมณฑลขึ้นสูงถึง 1.47 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (9.73 ล้านล้านหยวนจีน) มากกว่าประเทศสเปนที่มีจีดีพี 1.43 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศที่มีจีดีพีมากเป็นอันดับที่ 13 ของโลก มณฑลนี้มีส่วนสนับสนุนประมาณร้อยละ 12 ของผลผลิตทางเศรษฐกิจทั้งหมดของจีนแผ่นดินใหญ่ และเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตและสำนักงานของบริษัททั้งของจีนและต่างประเทศ มณฑลกวางตุ้งได้รับประโยชน์จากการที่ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินอย่างฮ่องกง ซึ่งมีพรมแดนติดกันทางทิศใต้ และยังเป็นเจ้าภาพจัดงานนำเข้าและส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในจีน ซึ่งคืองานแคนตันแฟร์ (Canton Fair) จัดขึ้นในเมืองกว่างโจว เมืองหลวงของมณฑล หลังจากการรวมกันของภูมิภาคหลิ่งหนานในราชวงศ์ฉิน ผู้คนจากที่ราบภาคกลางได้อพยพเข้ามาและสร้างวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ วัฒนธรรมทั้งทางด้านภาษา ดนตรี อาหาร การแสดงงิ้ว และพิธีชงชา ได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศอื่น ๆ เขตบริหารพิเศษทั้งสองแห่งอันได้แก่ฮ่องกงและมาเก๊า ก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางวัฒนธรรมของกวางตุ้งเช่นกัน และยังมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อชาวจีนที่อยู่ในสิงคโปร์และมาเลเซีย == ชื่อ == "กว่าง" แปลว่า กว้าง หรือ กว้างใหญ่ ชื่อนี้มีบันทึกความเกี่ยวข้องกับภูมิภาคนี้ตั้งแต่การก่อตั้ง มณฑลกว่าง ในปี ค.ศ. 226 สันนิษฐานว่าชื่อ "กว่าง" พัฒนามาจากชื่อเมือง กว่างซิ่น (广信; 廣信) เมืองหน้าด่านที่สร้างขึ้นในราชวงศ์ฮั่น ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับหวู่โจว(ในปัจจุบัน) โดยอ้างอิงถึงโองการของจักรพรรดิหวู่แห่งฮั่น และในสมัยนั้นกวางตุ้งและกวางสีถูกเรียกรวมกันว่า สองกว่าง (; ภาษาจีนกวางตุ้ง: Loeng gwong) ในสมัยราชวงศ์ซ่ง สองกว่าง ถูกแยกออกจากกันอย่างเป็นทางการ โดยเรียกว่า ฝั่งทางตะวันออกของกว่างของจีนภาคใต้ และ ฝั่งทางตะวันออกของกว่างของจีนภาคใต้ ซึ่งชื่อย่อเป็น กว่างฝั่งตะวันออก (广东路; 廣東路) และ กว่างฝั่งตะวันตก (广西路; 廣西路) ในภาษาอังกฤษ "Canton" (แคน-ตัน) มีรากศัพท์มาจาก Cantão (คำทับศัพท์ในภาษาโปรตุเกสของ กวางตุ้ง) โดยทั่วไปมีความหมายเฉพาะเมืองหลวงของมณฑล คือ กวางโจว ในอดีตในยุโรป(และประเทศที่ใช้อักษรละตินเป็นหลัก) ชื่อ Canton ยังใช้เรียกแทนชื่อมณฑล (กวางตุ้ง) ด้วย การเขียนชื่อ กวางตุ้ง ในระบบเวด-ไจลส์ เขียนได้เป็น 'Kwangtung' ปัจจุบันส่วนใหญ่หันมาใช้เป็น Guangdong จากพินอินในภาษาจีนมาตรฐาน และภาษาของกวางโจวใช้เรียกในภาษาอังกฤษว่า Cantonese (แคน-ตัน-นีส) เนื่องจากความสำคัญของภาษาจีนกวางตุ้งในสำเนียงกวางโจวซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑล จึงมักใช้อ้างอิงแทนภาษาจีนกวางตุ้งสำเนียงอื่น ๆ สำหรับผู้พูดที่เกี่ยวข้องกับสายวิวัฒนาการและภาษาจีนกวางตุ้งในเมืองใกล้เคียงได้อีกด้วย เช่น สำเนียงซุ่นเต๋อ สำเนียงเจียงเหมิน สำเนียงกว่างซี ในประเทศจีน ภาษาจีนมาตรฐานใช้ 广东话 เรียก ภาษาจีนกวางตุ้ง (ซึ่งบางครั้งยังผนวกการเรียกภาษาแต้จิ๋วเข้ารวมใน 广东话 อีกด้วยแม้ว่าไม่ได้มาจากรากภาษาจีนกวางตุ้ง แต่ถูกใช้เนื่องจากการแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์) == ประวัติศาสตร์ == == ภูมิศาสตร์ == มณฑลกวางตุ้งมีพื้นที่ทางเหนือยกตัวสูงและทางใต้ต่ำ มีเทือกเขาและภูเขาขนาดเล็กตัดสลับกับที่ราบ มีแม่น้ำจู (หรือแม่น้ำเพิร์ล) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายยาวเป็นอันดับสามของประเทศ ไหลผ่านเป็นระยะทาง 2,122 กิโลเมตร มีพื้นที่บนแผ่นดินใหญ่ราว 178,600 ตารางกิโลเมตร พื้นที่รวมของเกาะแก่งต่าง ๆ ราว 1,600 ตารางกิโลเมตร ชายฝั่งทะเลยาวทั้งสิ้น 4,310 กิโลเมตร พื้นที่ภูเขามีสัดส่วนร้อยละ 31.7, เทือกเขาขนาดเล็กร้อยละ 28.5, ที่ราบสูงร้อยละ 16.1 และที่ราบร้อยละ 23.7 มณฑลกวางตุ้งติดกับทะเลจีนใต้ทางทิศใต้ มีคาบสมุทรเหลย์โจวอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้สุดของมณฑล ซึ่งในคาบสมุทรนี้มีภูเขาไฟที่มีพลังจำนวนไม่มาก มณฑลนี้มีดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล ซึ่งเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำสามสาย ได้แก่ แม่น้ำตง แม่น้ำเป่ย์ และแม่น้ำซี ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำนี้เต็มไปด้วยเกาะเล็ก ๆ หลายร้อยเกาะ มณฑลนี้ถูกแยกจากพื้นที่ทางเหนือโดยเทือกเขาที่รวมเรียกว่า เทือกเขาหนาน (หนานหลิ่ง) ยอดเขาที่สูงที่สุดในมณฑลคือ ฉือเคิงคง (石坑崆) ซึ่งมีความสูง 1,902 เมตร (6,240 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล มณฑลกวางตุ้งมีพื้นที่ติดต่อดังนี้ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดต่อกับมณฑลฝูเจี้ยน ทิศเหนือติดกับมณฑลเจียงซีและมณฑลหูหนาน ทิศตะวันตกติดกับเขตปกครองตนเองกว่างซี และทิศใต้ติดกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกงและมาเก๊า มีมณฑลไหหลำเป็นเกาะตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคาบสมุทรเหลย์โจว นอกจานี้ หมู่เกาะปราตัสที่อยู่ในทะเลจีนใต้ ซึ่งเดิมอยู่ภายใต้การปกครองส่วนหนึ่งของมณฑลกวางตุ้ง ปัจจุบันอยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เมืองที่อยู่รอบ ๆ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล เช่น ตงกว่าน ฝัวชาน กว่างโจว ฮุ่ยโจว เจียงเหมิน เชินเจิ้น จงชาน และจูไห่ เมืองอื่น ๆ ในมณฑล เช่น แต้จิ๋ว (เฉาโจว), ซัวเถา (ช่านโถว), เฉากฺวัน, จั้นเจียง, เจ้าชิ่ง, หยางเจียง และยฺหวินฝู มณฑลกวางตุ้งมีภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้น (เคิพเพิน: พื้นแผ่นดินภายใน Cfa, ตามชายฝั่ง Cwa) ถึงแม้ว่าจะอยู่ใกล้เขตภูมิอากาศแบบร้อนชื้นทางทิศใต้ก็ตาม ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,366 มิลลิเมตรต่อปี มีฤดูหนาวเป็นระยะเวลาสั้น ไม่รุนแรง อบอุ่น และค่อนข้างแห้ง ในขณะที่มีฤดูร้อนที่ยาวนานและชื้น อุณหภูมิเฉลี่ยรายวันในกว่างโจวในเดือนมกราคมและกรกฎาคมอยู่ที่ และ ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามความชื้นจะทำให้รู้สึกร้อนกว่ามากในฤดูร้อน ในฤดูหนาวที่บริเวณชายฝั่งน้ำค้างแข็งจะเกิดขึ้นยาก แต่อาจเกิดขึ้นได้บนบริเวณพื้นแผ่นดินที่อยู่ถัดเข้าไปเป็นระยะเวลาไม่กี่วันในฤดูหนาวของแต่ละปี == ประชากร == ประมาณ 80 ล้านคน มีภูมิลำเนาในกวางตุ้ง 74.73 ล้านคน (สำรวจสำมะโนประชากร มีนาคม 2001) กวางตุ้งมีชนเผ่าหลากหลายถึง 53 กลุ่ม นอกเหนือจากฮั่นแล้ว ยังมี จ้วง เย้า มุสลิม แมนจู อี๋ หลี แม้ว เป็นต้น ปี 2003 ประชากรที่มีภูมิลำเนาใจกวางตุ้งเพิ่มเป็น 79.54 ล้านคน อัตราการเกิด 13.66% อัตราการตาย 5.31% == เศรษฐกิจ == ปี 2003 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ของมณฑล มีมูลค่า 1,344,993 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 13.6% มูลค่าการนำเข้าและส่งออกของมณฑลรวมทั้งสิ้น 283,646 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 28.3% โดยมีคู่ค้าที่สำคัญได้แก่ ฮ่องกง มูลค่าการค้า 59,256 ล้านเหรียญฯ สหรัฐอเมริกา 44,541 ล้านเหรียญฯ ญี่ปุ่น 34,598 ล้านเหรียญฯ สหภาพยุโรป 30,606 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 24.4% 22.8% 29.6%และ 30.6% ตามลำดับ ทั้งนี้ คู่ค้าสำคัญ 10 อันดับแรก ได้แก่ ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ เยอรมัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮอลแลนด์และไทย รายได้พลเมืองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยต่อคนของชาวเมืองในครึ่งปีแรกของปี 2003 คิดเป็น 6,498.7 หยวน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 10.2% รายได้เฉลี่ยต่อคนของประชาชนในชนบทอยู่ที่ 1,957.6 หยวน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 6.4% === เกษตรกรรม === มีเพียง 15% ของพื้นที่ในมณฑล ที่สามารถทำการเพาะปลูกได้ โดยมีการปลูกข้าว 2 ครั้งต่อปี บนพื้นที่ 76% ของพื้นที่ที่เพาะปลูกได้ ผลผลิตข้าวยังนับเป็น 80% ของผลผลิตอาหารทั้งหมดของมณฑล === อุตสาหกรรม === อุตสาหกรรมเบามีความสำคัญที่สุดในมณฑล นอกจากหัตถกรรมแล้ว อุตสาหกรรมเบาที่เฟื่องฟูที่สุดได้แก่ การแปรรูปอาหาร และการผลิตเสื้อผ้า สิ่งทอ การฟอกน้ำตาลกระจุกอยู่ในกว่างโจว ตงกวน ซุ่นเต๋อ เจียงเหมิน และซัวเถา นอกจากนี้ ในกว่างโจว ฝอซัน และซุ่นเต๋อ ยังมีอุตสาหกรรมสาวเส้นใยไหมและการทอที่พัฒนาก้าวหน้า สำหรับอุตสาหกรรมหนักได้แก่ การแปรรูปโลหะ การผลิตเครื่องจักร การต่อเรือ และการสร้างเรือ การผลิตพลังงานไฟฟ้า และเหมืองแร่ อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์พลาสติก อาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ พลังงานไฟฟ้า อุตสาหกรรมหลอมโลหะ === การค้าระหว่างประเทศ === สภาพการส่งออกในตลาดอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และฮ่องกงล้วนมีตัวเลขการเจริญเติบโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังมีตลาดส่งออกในทวีปแอฟริกา กลุ่มอาเซียน อินเดีย และรัสเซียอีกด้วย สินค้าส่งออกที่สำคัญคือ ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชั้นสูง เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าแปรรูป === ทรัพยากร === มีทรัพยากรแร่ธาตุที่ค้นพบและเป็นแหล่งคลังแร่ 89 ชนิด ได้แก่ ถ่านหิน แร่เหล็ก ถ่านเลน หินควอตซ์ (หินเขี้ยวหนุมาน) ดินที่ใช้ทำเครื่องปั้นดินเผา แร่เยมาเนียม เป็นต้น มีพื้นที่เพาะพันธุ์สัตว์น้ำทะเล 7,800 ตร.กม. เพาะพันธุ์สัตว์น้ำจืด 4,300 ตร.กม. ผลิตผลทางการเกษตรที่สำคัญคือ ข้าว ผัก ผลไม้และต้นป่าน เป็นต้น ไม้เศรษฐกิจได้แก่ ไม้สน ไม้ฉำฉาและไม้จื่อ เป็นต้น ผลไม้ขึ้นชื่อ ได้แก่ สับปะรด กล้วย ลิ้นจี่ ลำไย และส้ม == การแบ่งเขตการปกครอง == มณฑลกวางตุ้งแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเขตการปกครองระดับจังหวัด 21 แห่ง โดยทั้งหมดมีสถานะเป็นนครระดับจังหวัด (ในจำนวนนี้มี 2 แห่งที่เป็นนครกิ่งมณฑลด้วย) เขตการปกครองระดับจังหวัดทั้ง 21 แห่งของมณฑลกวางตุ้งนี้แบ่งย่อยออกเป็น 119 เขตการปกครองระดับอำเภอ (ประกอบด้วย 64 เขต, 20 นครระดับอำเภอ, 34 อำเภอ, และ 3 อำเภอปกครองตนเอง) นครกว่างโจว (广州市 Guǎngzhōu Shì)* นครเฉากวาน (韶关市 Sháoguān Shì) นครเชินเจิ้น (深圳市 Shēnzhèn Shì)* นครจูไห่ (珠海市 Zhūhǎi Shì) นครชั่นโถว หรือ ซัวเถา (汕头市 Shàntóu Shì) นครฝัวชาน (佛山市 Fóshān Shì) นครเจียงเหมิน (江门市 Jiāngmén Shì) นครจั้นเจียง (湛江市 Zhànjiāng Shì) นครเม่าหมิง (茂名市 Màomíng Shì) นครเจ้าชิ่ง (肇庆市 Zhàoqìng Shì) นครฮุ่ยโจว (惠州市 Huìzhōu Shì) นครเหมย์โจว (梅州市 Méizhōu Shì) นครชั่นเหว่ย์ หรือ ซัวบ้วย (汕尾市 Shànwěi Shì) นครเหอเยฺหวียน (河源市 Héyuán Shì) นครหยางเจียง (阳江市 Yángjiāng Shì) นครชิงเยฺหวี่ยน (清远市 Qīngyuǎn Shì) นครตงกว่าน (东莞市 Dōngguǎn Shì)** นครจงชาน (中山市 Zhōngshān Shì)** นครเฉาโจว หรือ แต้จิ๋ว (潮州市 Cháozhōu Shì) นครเจียหยาง หรือ เก๊กเอี๊ย (揭阳市 Jiēyáng Shì) นครยฺหวินฝู (云浮市 Yúnfú Shì) หมายเหตุ * - มีสถานะเป็นนครกิ่งมณฑลด้วย ** - ไม่มีเขตการปกครองระดับอำเภอ นครมีอำนาจปกครองเขตการปกครองระดับตำบลโดยตรง == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์ทางการของมณฑลกวางตุ้ง กวางตุ้ง
thaiwikipedia
1,504
สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ (เกิด 10 ธันวาคม พ.ศ. 2497) เป็นนักการเมืองชาวไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายกระทรวง == ประวัติ == สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2497 ที่กรุงเทพมหานคร (จังหวัดพระนครในขณะนั้น) เป็นบุตรของนายอาฮง แซ่จึง และ นางม้วยเซียง(แซ่เดิมคือ "แซ่โป่ว" หรือ "แซ่หวัง") มีพี่น้อง 5 คน คือ นายสรรเสริญ จุฬางกูร, นายพัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ(เสียชีวิตแล้ว), นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ น.ส.อริสดา จึงรุ่งเรืองกิจ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และเข้าศึกษาต่อที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และแพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ โดยนายสุริยะเรียนเป็นเวลาครึ่งปี แต่เพราะด้วยผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ทำให้นายสุริยะได้เปลี่ยนแผนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศแทน จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี วิศวกรรมอุตสาหการ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ.2521 นอกจากนี้ยังเข้าศึกษาที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร(วปอ.) จนกระทั่งสำเร็จได้รับวุฒิปริญญาบัตรในปี 2538 ซึ่งเรียนรุ่นเดียวกันกับ คุณทนง พิทยะ คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม คุณพิสิฐ กุศลาไสยานนท์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ การบินไทย ด้านชีวิตส่วนตัวสมรสแล้วกับนางสุริสา จึงรุ่งเรืองกิจ มีบุตรชาย 1 คน คือ ศาตนันท์ จึงรุ่งเรืองกิจ และเป็นอาของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้เข้าสู่ชีวิตทางการเมืองมีตำแหน่งทางการเมืองครั้งแรก คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ปี พ.ศ. 2541 ในโควตาพรรคกิจสังคม ซึ่งการก้าวสู่เส้นทางทางการเมืองได้รับการเชื่อถือจากนายมนตรี พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ในเวลาต่อมาเมื่อการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2544 นายสุริยะได้เข้าร่วมสังกัดพรรคไทยรักไทย ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค โดยนายสุริยะเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 12 เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2545 ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคไทยรักไทย มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งในพรรคไทยรักไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้เข้าสู่ตำแหน่งเลขาธิการพรรคไทยรักไทย แทน ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ผลงานที่สำคัญระหว่างที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม ในปี พ.ศ. 2544 ได้จัดตั้งธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม แปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนารัฐวิสาหกิจให้เป็นองค์กรหลักในการกอบกู้เศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้ประเทศ รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย ในปี พ.ศ. 2545 วันที่ 25 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร พร้อมด้วยนายสุริยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและนายชัก วิลเลียมสัน ประธานกรรมการบริษัทยูโนแคล คอร์ปอเรชั่น ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) กับบริษัท ยูโนแคลไทยแลนด์ จำกัด บริษัทมิตซุยออยล์ เอ็กซพลอเรชั่น จำกัด และบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด จำนวน 2 ฉบับได้แก่ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแหล่งเอราวัณและแหล่งยูโนแคล 2/3 ทั้งนี้ส่งผลให้เกิดการประหยัดเงินได้หมื่นล้านบาทตลอดอายุสัมปทาน 10 ปี ผลงานที่สำคัญในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระหว่างวันที่ 2 ตุลาคม 2545 จนถึง ปี 2548 คือ การปราบปรามทุจริตในการจัดเก็บค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์ของกรมทางหลวงในปี พ.ศ. 2545 การเร่งรัดการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ , การสนับสนุนให้มีการก่อสร้างระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายใต้ ตอน S1 , การเร่งรัดการเปิดดำเนินการให้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน สายสีน้ำเงินตอนหัวลำโพง-บางซื่อ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย , โครงการนักบินเอื้ออาทร เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ทาง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ได้มีมติเอกฉันท์ยกคำร้องกรณีคดีทุจริตเครื่องตรวจสัมภาระภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือ CTX9000 ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น ==การทำงาน== รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงอุตสาหกรรม (พรรคไทยรักไทย, รัฐบาลทักษิณ 2) (พรรคพลังประชารัฐ,รัฐบาลประยุทธ์ 2) รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงคมนาคม (พรรคไทยรักไทย, รัฐบาลทักษิณ 2) เลขาธิการพรรค พรรคไทยรักไทย พ.ศ. 2544 - พ.ศ. 2545 - รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงอุตสาหกรรม (ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับที่ 12 พรรคไทยรักไทย, รัฐบาลทักษิณ 1) พ.ศ. 2541 - รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงอุตสาหกรรม (พรรคกิจสังคม, รัฐบาลชวน 2) ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงพาณิชย์ กรรมการ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กรรมการ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ประธานกรรมการ บริษัท ซัมมิทอิเล็กทรอนิกส์ คอมโพเนนท์ จำกัด ประธานกรรมการ บริษัท ซัมมิท แอดวานซ์ แมททีเรียล จำกัด กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอโดซีพ อินดัสตรี จำกัด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัมมิท โอโตบอดี้ อินดัสตรี จำกัด กรรมการบริหาร บริษัท ซัมมิท ไพน์เฮิร์สท กอล์ฟ แอนด์ คันทรีคลับ จำกัด ประธานกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) == การเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ == ในปี พ.ศ. 2550 เขาได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 หลังจากนั้นได้เข้าร่วมแถลงข่าวเปิดตัวพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552 ที่โรงแรมสยามซิตี้ โดยร่วมกับแกนนำ อาทิ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ โสภณ ซารัมย์ ศุภชัย ใจสมุทร และพรทิวา นาคาศัย กระทั่งวันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561 นายสุริยะในฐานะหัวหน้ากลุ่มสามมิตรได้ประกาศเข้าร่วมงานกับ พรรคพลังประชารัฐ ต่อมาก่อนการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 เขาและกลุ่มสามมิตร ได้ย้ายไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย == การเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย == สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ย้ายไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย ก่อนการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 จะเกิดขึ้น ต่อมาเขาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ในปี 2566 == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == ผ่าขบวนการ สินบนอินวิชั่น , นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ชาวไทยเชื้อสายแต้จิ๋ว สกุลจึงรุ่งเรืองกิจ นักธุรกิจชาวไทย นักการเมืองไทย บุคคลจากกรุงเทพมหานคร รองนายกรัฐมนตรีไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมไทย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยแบบบัญชีรายชื่อ พรรคกิจสังคม นักการเมืองพรรคไทยรักไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย บุคคลจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา บุคคลจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช. ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม.
thaiwikipedia
1,505
ลัทธิอำนาจนิยม
อำนาจนิยม (authoritarianism) เป็นรูปแบบการจัดระเบียบทางสังคมซึ่งมีลักษณะของการอ่อนน้อมต่ออำนาจหน้าที่ ตามปกติมักตรงข้ามกับปัจเจกนิยมและอิสรนิยม ในทางการเมือง รัฐบาลอำนาจนิยมเป็นรัฐบาลซึ่งอำนาจหน้าที่ทางการเมืองกระจุกตัวอยู่กับนักการเมืองกลุ่มเล็ก อำนาจนิยม เป็นระบอบการเมืองที่มีฐานอยู่บนอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเผด็จการชนิดที่ผู้ปกครองสามารถใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหนือรัฐ หรือกลุ่มคนใด ๆ ในการดำรงไว้ซึ่งเป้าหมายสูงสุด คือ การรักษาอำนาจของตน (Kurian, 2011: 103) โดยมักจะไม่คำนึงถึงสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นที่เป็นปฏิปักษ์กับผู้นำ ควบคุมสื่อมวลชน ผูกขาดการใช้อำนาจและจำกัดการตรวจสอบ กล่าวได้ว่า ระบอบอำนาจนิยมเป็นระบอบการเมืองที่ใช้แพร่หลายมากที่สุดเป็นระยะเวลายาวนานที่สุด ในประวัติศาสตร์การปกครองของมนุษยชาติ ทุกวันนี้ “อำนาจนิยม” เป็นคำที่ถูกใช้ถึงบ่อยครั้งที่สุด เมื่อกล่าวถึงระบอบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ลักษณะสำคัญของระบอบอำนาจนิยม คือ การกระทำและการตัดสินใจของผู้ปกครองไม่ถูกจำกัดโดยสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของประชาชน ในขณะที่สิทธิ เสรีภาพของประชาชนมีอยู่อย่างจำกัด กล่าวอีกนัยหนึ่ง สิทธิทางการเมืองของประชาชน หากมีอยู่บ้าง ก็จำกัดเต็มที ด้วยเหตุที่ผู้ปกครองอำนาจนิยมจะสร้างกฎระเบียบ มาตรการที่เข้มงวด เพื่อจำกัดกิจกรรมของบุคคลและกลุ่มบุคคลที่ต้องการมีส่วนร่วมในการจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม ในระบอบอำนาจนิยม ประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมมักไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงออกทางการเมืองใด ๆ ยกเว้น กิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากอำนาจรัฐ ฉะนั้น การต่อสู้ทางการเมืองในรูปแบบการชุมนุมประท้วงและเดินขบวนตามจังหวะและโอกาส จึงแทบจะเป็นรูปแบบการมีส่วนร่วมชนิดเดียวที่ทำได้ ในขณะที่เสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนที่จะวิพากษ์วิจารณ์และตั้งคำถามต่อระบบการเมืองจะถูกตรวจสอบ หากฝ่าฝืนจะมีมาตรการลงโทษ อำนาจนิยมมีลักษณะของอำนาจที่เข้มข้นและรวมเข้าสู่ศูนย์กลางอย่างมาก ซึ่งรักษาไว้โดยการปราบปรามทางการเมืองและการกีดกันคู่แข่งที่เป็นไปได้ รัฐบาลอำนาจนิยมใช้พรรคการเมืองและองค์การมวลชนเพื่อระดมคนมารอเป้าหมายของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ในระบอบอำนาจนิยม ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตประจำวันในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับมิติทางการเมืองได้อย่างปกติ สามารถเลือกประกอบอาชีพ นับถือศาสนา และสังสรรค์หาความสุขได้โดยไม่อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงจากรัฐบาล แต่กระนั้น ในบางประเทศสิทธิและเสรีภาพในการดำเนินชีวิตอาจถูกควบคุมโดยธรรมเนียมปฏิบัติ บรรทัดฐานหรือความเชื่อทางศาสนาที่เข้มงวด ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งหรือคนละส่วนกับอำนาจรัฐในระบบการเมืองก็ได้ ประเทศที่จัดได้ว่าเป็นระบอบอำนาจนิยม เช่น อิหร่าน สหภาพเมียนมาร์ (พม่า--Union of Myanmar) ซาอุดิอาระเบีย และอินโดนีเซีย ภายใต้นายพลซูฮาร์โต เป็นต้น ข้อมูลที่น่าสนใจ คือ ประสบการณ์ทางการเมืองของประเทศในลาตินอเมริกา นำมาสู่คำเรียกขาน “ระบอบราชการอำนาจนิยม” (bureaucratic authoritarianism) ที่ใช้อธิบายประเทศจำนวนหนึ่งที่เคยเป็นประชาธิปไตย แต่เกิดหักเหจนในที่สุดระบอบประชาธิปไตยต้องล่มสลาย และถูกแทนที่ด้วยแนวร่วมระหว่างคณะทหารกับพลเรือนที่ทำการรัฐประหารยึดกุมสถาบันการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ชนชั้นนำที่ประกอบด้วย ทหาร ข้าราชการพลเรือน นักเทคนิคระดับสูง (technocrats) ตลอดจนนักธุรกิจชั้นนำดำเนินนโยบายที่เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรม แต่ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย และการเข้ามาแข่งขันในตลาดการเมือง โดยคณะทหารและระบบราชการดังกล่าว แสดงบทบาททางการเมืองในฐานะที่เป็นสถาบัน ไม่ใช่ตัวบุคคล นักวิชาการลาตินอเมริกาวิเคราะห์ว่า ระบอบราชการอำนาจนิยม เป็นผลจากการพัฒนาอุตสาหกรรมทุนนิยมแบบพึ่งพา ประเทศที่จัดว่าใช้ระบอบราชการอำนาจนิยม เช่น บราซิล อาร์เจนตินา และ ชิลี ในยุคปัจจุบันที่ปรากฏมากที่สุดคือ “อำนาจนิยมที่มาจากการเลือกตั้ง” (electoral authoritarianisms) หรือระบอบอำนาจนิยมที่มีเปลือกนอกฉาบด้วยผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งปรากฏให้เห็นในหลายประเทศแถบตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ (Linz, 2000: 34; Badie, 2011: 107) ในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน กระบวนการอันสำคัญและจำเป็นกระบวนการหนึ่งที่มิอาจขาดหายไปได้เลยก็คือ การเลือกตั้ง (election) เพราะเป็นกระบวนการที่จะทำให้ประชาชนเจ้าของอำนาจได้แสดงออกซึ่งเจตจำนงเสรีของแต่ละบุคคล ทว่าการเลือกตั้งก็อาจมิใช่ตัวบ่งชี้ถึงความเป็นประชาธิปไตยเสมอไป เพราะระบอบอำนาจนิยมในหลายประเทศได้อาศัยกระบวนการเลือกตั้งมาเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมในการปกครอง และการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ด้วยการอ้างเสียงสนับสนุนข้างมาก ทำให้เกิดอำนาจนิยมแบบใหม่ที่เรียกว่า อำนาจนิยมที่มาจากการเลือกตั้ง (electoral authoritarianism) ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่า การเลือกตั้งมิได้เท่ากับการมีประชาธิปไตยเสมอไป หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การเลือกตั้งเป็นปัจจัยที่ “จำเป็น” แต่อาจไม่ “เพียงพอ” ที่จะแบ่งระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ออกจากระบอบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เส้นแบ่งใหม่ที่เกิดขึ้นระหว่างการเลือกตั้งของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และระบอบอำนาจนิยมที่แฝงเร้นอยู่ในคราบประชาธิปไตยตัวแทนจอมปลอม (authoritarianism disguised in the form of representative democracy) จึงอยู่ที่มิติด้านคุณภาพของการเลือกตั้งและประสิทธิภาพของกลไกตรวจสอบด้วย กล่าวคือ การเลือกตั้งจะต้องเป็นการเลือกตั้งที่เสรี เที่ยงธรรม และโปร่งใส (free, fair, and transparent election) ที่ปราศจากการแทรกแซงจากปัจจัยภายนอกอื่น ๆ อาทิ การซื้อสิทธิ์ขายเสียง การแทรกแซงของคณะทหาร ไม่มีการครอบงำ หรือจำกัดคู่แข่งทางการเมืองในกระบวนการเลือกตั้ง จึงจะนับได้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่เพียงพอและจำเป็นที่จะนำไปสู่ระบอบเสรีประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริง (Badie, 2011: 112-114) และเมื่อได้ชัยชนะและมีเสียงข้างมากแล้ว หากใช้กลไกเสียงข้างมากบ่อนทำลายกลไกตรวจสอบ ก็อาจนำไปสู่อำนาจนิยมซึ่งเกิดขึ้นภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย นอกจากนั้น ความแตกต่างระหว่างอำนาจนิยมและประชาธิปไตยที่สำคัญไม่แพ้การเลือกตั้ง คือ การมีหลักนิติธรรมที่ไม่เอนเอียง มีรัฐบาลที่ตรวจสอบได้ และมีกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอิสระปราศจากการแทรกแซงหรืออคติ == อรรถาธิบาย == แนวคิดเรื่องระบอบอำนาจนิยมเป็นผลจากบริบททางการเมืองหลังทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา ที่โลกได้แบ่งระบอบการปกครองต่าง ๆ ออกเป็น 2 ค่ายใหญ่ตามอุดมการณ์ทางการเมือง คือ ระบอบประชาธิปไตย และระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย โดยระบอบอำนาจนิยมถูกมองว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทฤษฎีเกี่ยวกับอำนาจนิยมได้มีการศึกษาอย่างเป็นระบบครั้งแรกโดยฮวน เจ. ลินท์ (Juan J. Linz) ในปี ค.ศ. 1964 ลินท์ ระบุว่าระบอบการปกครองแบบอำนาจนิยมนั้นจะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติพื้นฐาน 3 ประการอันได้แก่ 1) พหุนิยมแบบจำกัด 2) การมุ่งไปที่จิตใจมากกว่าอุดมการณ์ 3) ปราศจากการระดมสรรพกำลังทางการเมือง (political mobilization) เพื่อการสนับสนุนในระยะยาว (Badie, 2011: 108) ความเป็นพหุนิยมแบบจำกัดนั้นเป็นลักษณะประการหนึ่งที่ทำให้อำนาจนิยมอยู่กึ่งกลางระหว่างเผด็จการเบ็ดเสร็จ กับประชาธิปไตย เพราะในขณะที่ระบอบประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้มีพหุนิยมแบบเต็มรูปแบบ และเผด็จการเบ็ดเสร็จที่ไม่เปิดโอกาสให้มีพหุนิยมขึ้นในสังคมเลยนั้น ระบอบอำนาจนิยมกลับเปิดโอกาสให้ความแตกต่างหลากหลายบางประการดำรงอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการยอมให้มีคู่แข่ง หรือฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง คือ พรรคการเมืองอื่น ๆ หรือภาคประชาสังคมบ้าง แต่กระนั้นสิ่งเหล่านี้ก็มักจะต้องถูกจำกัด และดำเนินกิจกรรมอยู่ได้ก็โดยความยินยอมของผู้นำอำนาจนิยม ภายในขอบเขตที่ถูกกำหนดไว้ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วการยอมให้มีความแตกต่างในสังคมอยู่บ้างนี้ ก็มักจะเป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมให้แก่การปกครองโดยคณะทหาร (military junta) หรือผู้นำที่กุมอำนาจอยู่เบื้องหลังนั่นเอง ซึ่งความก้ำกึ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ระบอบอำนาจนิยมไม่มีการจัดระบบโครงสร้าง และอุดมการณ์ที่อยู่เบื้องหลังอย่างเป็นระบบและชัดเจน อันเป็นที่มาของลักษณะสำคัญประการที่สองก็คือ การมุ่งควบคุมจิตใจมากกว่าอุดมการณ์ ซึ่งส่งผลให้ระบอบการปกครองนี้ไม่สามารถระดมสรรพกำลังทางการเมือง เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากวัยรุ่นหนุ่มสาว นักวิชาการ และนักศึกษาปัญญาชนในสังคมได้นั่นเอง (Linz, 2000: 159-261) == ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย == ช่วงเวลาที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบอำนาจนิยมที่ชัดเจนที่สุดเห็นจะได้แก่ ช่วงปี พ.ศ. 2500-2516 หรือ ในช่วงระบอบสฤษดิ์ และระบอบถนอม-ประภาส นั่นเอง โดยในช่วง พ.ศ. 2502-2506 ที่ได้มีการประกาศธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 ทำให้นายกรัฐมนตรี คือจอมพลสฤษดิ์สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 17 ซึ่งบัญญัติข้อความให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีในกรณีพิเศษไว้อย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งสามารถสั่งประหารประชาชนโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรม ไม่มีเสรีภาพของสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ และที่สำคัญก็คือ ไม่มีพรรคการเมือง และการเลือกตั้ง อำนาจการเมืองทั้งหมดจึงอยู่ในมือของจอมพลสฤษดิ์แต่เพียงผู้เดียว ที่แต่งตั้งตนเองเป็นทั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก และอธิบดีกรมตำรวจ การจัดวางความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ ในสังคมในสายตาของจอมพลสฤษดิ์ตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า รัฐบาลต้องมีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่เสถียรภาพทางการเมืองและความเป็นปึกแผ่นของชาติ ส่วนระบบราชการมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลโดยเฉพาะจากตัวผู้นำคือจอมพลสฤษดิ์ ภายใต้ตรรกะนี้ ข้าราชการจึงมีหน้าที่หลักเป็นผู้รับใช้รัฐบาล ไม่ใช่รับใช้ประชาชน แนวคิดของจอมพลสฤษดิ์เป็นการประยุกต์ประเพณีการจัดระเบียบการเมืองการปกครองของไทยแบบพ่อปกครองลูกที่มีพื้นฐานอยู่บนประวัติศาสตร์และจารีตดั้งเดิมในสมัยสุโขทัย แนวคิดดังกล่าวถูกเรียกขานว่า “ระบอบพ่อขุนอุปถัมภ์” (ทักษ์, 2552: 226-227) ซึ่งได้กลายเป็นที่มาของวาทกรรม “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” ที่ใช้สร้างความชอบธรรมทางการเมืองท่ามกลางความล้มเหลวในการวางรากฐานประชาธิปไตยของสังคมไทยมาหลายทศวรรษ แม้ว่าในปี พ.ศ. 2511 หลังจากการถึงแก่อนิจกรรมของจอมพลสฤษดิ์ไปกว่า 5 ปี ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2511 และตามติดมาด้วยการเลือกตั้งในปีเดียวกัน อันเป็นผลลัพธ์มาจากความพยายามของสหรัฐอเมริกาในการผลักดันให้ไทยเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยกลไกของการเลือกตั้ง เพื่อรับมือกับภัยคอมมิวนิสต์ (Kesboonchoo-Mead, 2012: 215-240) ทว่าการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นนั้น แท้จริงเป็นเพียงฉากหน้าในการสร้างความชอบธรรมให้แก่ระบอบถนอม-ประภาสผู้สืบทอดอำนาจจากจอมพลสฤษดิ์ เพราะพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งก็ได้แก่พรรคสหประชาไทย ของจอมพลถนอม กิตติขจร อีกทั้งในสภายังมีวุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งของจอมพลถนอมอีกกว่าครึ่งสภา (จำนวน 91 คน จาก 140 คน) ดังนั้น จอมพลถนอมจึงมีอำนาจล้นเหลือที่มาจากการผูกขาดเสียงสนับสนุนในรัฐสภา รัฐบาลของจอมพลถนอมในปี พ.ศ. 2511 จึงเป็นเพียงแค่รัฐบาลตัวแทนของระบอบอำนาจนิยมจากการเลือกตั้งที่แม้จะเปิดโอกาสให้มีพรรคการเมือง และการเลือกตั้ง แต่ก็แฝงเร้นไว้ด้วยความพยายามในการรักษาฐานอำนาจทางการเมือง ควบคู่ไปกับการแสร้งทำให้ดูเหมือนว่าเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ด้วยกลไกที่ผิดฝาผิดตัว และบิดเบือนจึงทำให้รัฐบาลของจอมพลถนอมไม่อาจรับมือกับแรงเสียดทานที่ตามมาจากกลไกของระบบรัฐสภา คือ การตรวจสอบ และการอภิปรายซักถามโดยฝ่ายค้าน และสมาชิกรัฐสภาไปได้ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่รัฐบาลไม่สามารถผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อรัฐสภาได้ จอมพลถนอมจึงตัดสินใจสลัดคราบประชาธิปไตย และเปิดเผยตัวตนของระบอบเผด็จการด้วยการยึดอำนาจตัวเองในปี พ.ศ. 2514 ซึ่งการรัฐประหารครั้งนี้ได้นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงมากขึ้น และนำไปสู่การล่มสลายของระบอบอำนาจนิยม ถนอม-ประภาส ภายหลังจากการเกิดวิกฤติการณ์เดือนตุลาคมในอีก 2 ปีถัดมา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “เหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ. 2516” ภายใต้ระบอบอำนาจนิยม สฤษดิ์ – ถนอม – ประภาส ก่อให้เกิดการสืบทอดค่านิยม และทัศนคติแบบเจ้าคนนายคน การที่คณะรัฐมนตรีในช่วงเวลาดังกล่าวมีที่มาจากข้าราชการประจำและข้าราชการบำนาญจำนวนมาก ทำให้มีการใช้เส้นสายในแวดวงข้าราชการเป็นบันไดไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งทางการเมือง เปิดโอกาสให้คณะทหาร กลุ่มธุรกิจและข้าราชการผูกขาดอำนาจและกอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองเป็นจำนวนมหาศาล จนกระทั่ง รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได้มีการระบุว่าเป็น ลัทธิอำนาจนิยมที่แฝงมากับระบอบประชาธิปไตย หรือ “อำนาจนิยมที่มาจากการเลือกตั้ง” (electoral authoritarianisms) โดยนักวิชาการชื่อเกษียร เตชะพีระ (2547) กล่าวว่า "วัฒนธรรรมการเมืองอำนาจนิยมแบบปฏิปักษ์ปฏิรูปภายใต้ระบอบทักษิณ มี 7 ประการ ได้แก่ การสร้าง “เสียงข้างมาก” และ “ผลประโยชน์ส่วนรวม” เสมือนจริง ผลประโยชน์ทับซ้อนและมาตรฐานสองหน้า เสียงที่เห็นต่างและผลประโยชน์ของผู้เห็นต่างถูกเบียดผลักให้กลายเป็น “เสียงส่วนน้อย” และ “ผลประโยชน์ของคนข้างน้อย” สิทธิเสียงข้างน้อยและของบุคคลถูกบิดพลิ้ว ปัดปฏิเสธ กระทั่งบดขยี้ ด้วยกำลังของรัฐได้อย่างชอบธรรม วาทกรรมและวิธีการของชาตินิยมเผด็จการฝ่ายขวาต่อต้านคอมมิวนิสต์ในอดีต ถูกหยิบยืมมาเวียนใช้ สืบทอดและพัฒนา การก่อการร้ายโดยรัฐใช้ได้เหมือนในยุคสงครามเย็น การเมืองภาคประชาชนกลายเป็นการเมืองประเด็นเดียว อนึ่ง ปัจจุบัน (2563) หลังรัฐประหารของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (2557-2562) ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ขึ้น โดยใช้อำนาจของตัวเองในขณะนั้น สร้างรัฐธรรมนูญที่สอดไส้การสืบทอดปกป้องอำนาจของตัวเองและพวกพ้อง ด้วยการแต่งตั้ง ส.ว. 250 คนโดยที่ภาคประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม เพื่อโหวตเลือกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี หลังมีการเลือกตั้งในปี 2562 ทั้งที่พรรคพลังประชารัฐพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งไม่ได้รับเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้ประเทศไทยถูกปกครองด้วยระบอบอำนาจนิยม ภายใต้รัฐธรรมนูญซ่อนรูป == ดูเพิ่ม == รัฐตำรวจ คตินิยมอำนาจรัฐ ระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ สังคมเศรษฐศาสตร์ ทฤษฎีการเมือง ปรัชญาสังคม ลัทธิ == อ้างอิง ==
thaiwikipedia
1,506
กวางตุ้ง
กวางตุ้ง อาจหมายถึง มณฑลกวางตุ้ง มณฑลหนึ่งของจีนตั้งอยู่ตอนใต้สุดของประเทศ ภาษากวางตุ้ง ภาษาจีนที่ใช้เป็นหลักในมณฑลกวางตุ้ง ผักกาดกวางตุ้ง เรียกอย่างย่อว่า ผักกวางตุ้ง
thaiwikipedia
1,507
29 เมษายน
วันที่ 29 เมษายน เป็นวันที่ 119 ของปี (วันที่ 120 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 246 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 1972 (ค.ศ. 1429) - โยนออฟอาร์ค ปลดปล่อยออร์เลอ็องจากการโอบล้อมของกองทัพอังกฤษ พ.ศ. 2313 (ค.ศ. 1770) - กัปตันเจมส์ คุก และลูกเรือ ขึ้นฝั่งครั้งแรกที่ออสเตรเลีย พ.ศ. 2405 (ค.ศ. 1862) - สงครามกลางเมืองอเมริกา: กองกำลังสหภาพโดยการนำของพลเรือเอกเดวิด เฟรากัต เข้ายึดครองนิวออร์ลีนส์ พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - การตัดสินปล่อยตัวตำรวจที่ทำร้ายร็อดนีย์ คิง เป็นชนวนให้เกิดความไม่สงบในลอสแอนเจลิส พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - แอปเปิลคอมพิวเตอร์วางจำหน่ายแมคโอเอสเท็น (Macintosh OS X 10.4 - "Tiger") พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) - * กระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์ขึ้นไปปฏิบัติภารกิจสุดท้ายของกระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์ (เที่ยวบินที่ STS-134) * พระราชพิธีเสกสมรสระหว่างเจ้าชายวิลเลียมกับแคเธอริน มิดเดิลตัน ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ นครเวสต์มินสเตอร์ ประเทศอังกฤษ == วันเกิด == พ.ศ. 2361 (ค.ศ. 1818) - จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 2 แห่งรัสเซีย (สวรรคต 13 มีนาคม พ.ศ. 2424) พ.ศ. 2397 (ค.ศ. 1854) - อ็องรี ปวงกาเร นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ชาวฝรังเศส (ถึงแก่กรรม 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2455) พ.ศ. 2444 (ค.ศ. 1901) - สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตแห่งญี่ปุ่น (สวรรคต 7 มกราคม พ.ศ. 2532) พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) - หม่อมเจ้าไกรสิงห์ วุฒิชัย (สิ้นชีพิตักษัย 3 มีนาคม พ.ศ. 2519) พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) - คิง ฮู ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวจีน (เสียชีวิต 14 มกราคม พ.ศ. 2540) พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) - วิลลี เนลสัน นักร้อง นักแต่งเพลงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) - เลน สมิท นักแสดงชาวอเมริกัน (เสียชีวิต 13 มิถุนายน พ.ศ. 2548) พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) - เบอร์นี มาดอฟฟ์ นักแสดงชาวอเมริกัน (เสียชีวิต 14 เมษายน พ.ศ. 2564) พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - ยูโกะ ทานากะ นักแสดงชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) - แดเนียล เดย์-ลูวิส นักแสดงชาวอังกฤษ พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) - มิเชล ไฟเฟอร์ นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - * อังเดร อากัสซี นักเทนนิสชาวอเมริกัน * อูมา เธอร์แมน นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - โฌลต์ เลิฟ อดีตนักฟุตบอลชาวฮังการี พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - อักซานา อดีตนักมวยปล้ำชาวลิทัวเนีย พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - * จ้าว เยว่ นักร้องหญิงชาวจีน * สุภัสสรา ธนชาต นักแสดงและนางแบบหญิงชาวไทย พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - แคทเธอรีน แลงฟอร์ด นักแสดงหญิงชาวออสเตรเลีย พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - ธัญญวีร์ ชุณหสวัสดิกุล นักแสดงหญิงชาวไทย พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - ม็อด อังเงลีกา เบห์น พระธิดาคนแรกใน เจ้าหญิงมาร์ธา ลุยเซอแห่งนอร์เวย์ พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) - โซชิตล์ โกเมซ นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 1923 (ค.ศ. 1380) - นักบุญกาเตรีนาแห่งซีเอนา พ.ศ. 2382 (ค.ศ. 1839) - กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ (ประสูติ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2355) พ.ศ. 2444 (ค.ศ. 1901) - ขุนหลวงพระยาไกรสี (เปล่ง เวภาระ) อธิบดีกรมอัยการคนแรกของประเทศสยาม (เกิด 27 ตุลาคม พ.ศ. 2405) พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - อัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอังกฤษ (เกิด 13 สิงหาคม พ.ศ. 2442) พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) - อีร์ฟาน ข่าน นักแสดงชาวอินเดีย (เกิด 7 มกราคม พ.ศ. 2510) พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) - เจ้าชายมูฮัมหมัด บิน เฏาะลาล พระปิตุลาใน สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ที่ 2 (ประสูติ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2483) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == สากล - วันเต้นรำสากล โรมันคาทอลิก - วันฉลองนักบุญกาเตรีนาแห่งซีเอนา ญี่ปุ่น - วันพฤกษชาติ == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day Today in History: April 29 มเมษายน 29 เมษายน
thaiwikipedia
1,508
30 เมษายน
วันที่ 30 เมษายน เป็นวันที่ 120 ของปี (วันที่ 121 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 245 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2332 (ค.ศ. 1789) - จอร์จ วอชิงตัน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรก พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812) - สหรัฐรับรองลุยเซียนา เป็นรัฐที่ 18 พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1985) - สนามฟุตบอล Bramall Lane เปิดใช้งานเป็นครั้งแรก พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) * วันเปิดทำการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย * สงครามเวียดนามยุติลง เมื่อทหารเวียดนามเหนือเข้ายึดเมืองไซ่ง่อน พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - เพลง "Beat It" ของไมเคิล แจ็กสัน ขึ้นอันดับ 1 เพลงยอดนิยมของบิลล์บอร์ด พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) * เวิลด์ไวด์เว็บถือกำเนิดขึ้นที่เซิร์น (ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์ยุโรป) * โมนิกา เซเลส นักเทนนิสมือหนึ่งของโลก ถูกแทงข้างหลังโดยแฟนเทนนิสของสเตฟฟี กราฟ ในช่วงพักระหว่างการแข่งขันเทนนิสรายการหนึ่งที่จัดขึ้นในฮัมบวร์ค ประเทศเยอรมนี ทำให้เธอต้องหยุดเล่นเทนนิสไปนานถึง 2 ปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - วันก่อตั้งรัฐบาลเวียดนามอิสระ พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) * องค์การนาโตรับรองการเข้าเป็นสมาชิกของสาธารณรัฐเช็ก ฮังการี และโปแลนด์ * ประเทศกัมพูชาเข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 10 ของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - การลงประชามติในปากีสถานรับรองให้เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปอีก 5 ปี == วันเกิด == พ.ศ. 1788 (ค.ศ. 1245) - พระเจ้าฟีลิปที่ 3 แห่งฝรั่งเศส (สวรรคต 5 ตุลาคม พ.ศ. 1828) พ.ศ. 2076 (ค.ศ. 1533) - หลุยส์แห่งลอแรน-โวเดมง สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส (สวรรคต 29 มกราคม พ.ศ. 2144) พ.ศ. 2194 (ค.ศ. 1651) - ฌ็อง-บาติสต์ เดอ ลา ซาล (มรณกรรม ค.ศ. 1709) พ.ศ. 2205 (ค.ศ. 1662) - สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 แห่งอังกฤษ (สวรรคต 28 ธันวาคม พ.ศ. 2237) พ.ศ. 2320 (ค.ศ. 1777) - คาร์ล ฟรีดริช เกาส์ นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน (ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2398) พ.ศ. 2452 (ค.ศ. 1909) - สมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนาแห่งเนเธอร์แลนด์ (สวรรคต 20 มีนาคม พ.ศ. 2547) พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920) - ร้อยเอกทอม มัวร์ ทหารชาวอังกฤษ (ถึงแก่กรรม 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564) พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) - หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ชยางกูร (สิ้นชีพิตักษัย 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564) พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟแห่งสวีเดน พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) - อังตอนียู กูแตรึช เลขาธิการองค์การสหประชาชาติคนที่ 9 พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) * เจน แคมเปียน ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวนิวซีแลนด์ *วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์ พิธีกรชาวไทย พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - โทมัส ชาฟ นักฟุตบอลชาวเยอรมัน พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - มนต์สิทธิ์ คำสร้อย นักร้องชาวไทย พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) - เอเดรียน พาสดาร์ นักแสดง ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอเมริกัน พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - ฮิโรอากิ โมริชิมะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - ชเว ยองซอก นักเทควันโดชาวเกาหลี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - จอห์น โอเช นักฟุตบอลชาวไอร์แลนด์ พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - เคียร์สเต็น ดันสต์ นักแสดง นักร้อง และนางแบบชาวอเมริกัน พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - ซานโตส เอสโกบาร์ นักมวยปล้ำชาวเม็กซิโก พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - อนา เดอ อาร์มัส นักแสดงชาวคิวบา-สเปน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - จาง อูยอง นักร้องชาวเกาหลี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - แทรวิส สก็อตต์ แรปเปอร์, นักร้อง และโพรดิวเซอร์ชาวอเมริกัน พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - มาร์ค-อันเดร แทร์ สเตเกิน นักฟุตบอลชาวเยอรมัน พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - ฝั่ม วัน เตี๊ยน นักกีฬาฟุตบอลชาวเวียดนาม พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - เทเดน เมงกี นักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษ == วันถึงแก่กรรม== พ.ศ. 1606 (ค.ศ. 1063) - จักรพรรดิซ่งเหยินจง (พระราชสมภพ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 1553) พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) - พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) - อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และเอวา เบราน์ พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - กิมฮ้อ นิมมานเหมินท์ คหบดีชาวเชียงใหม่ พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - เจ้าหญิงบังจา พระชายาในมกุฎราชกุมารอึยมินแห่งเกาหลี พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - ล้อต๊อก นักแสดงตลกชาวไทย พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) - ปราโมทยา อนันตา ตูร์ นักเขียนชาวอินโดนีเซีย พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) - เบน อี. คิง นักดนตรีชาวอเมริกันแนวเพลงโซล พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) - ค่อม ชวนชื่น นักแสดงชาวไทย (เกิด 5 มกราคม พ.ศ. 2500) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == คริสตจักรโรมันคาทอลิก - วันฉลองนักบุญสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 5 ประเทศไทย - วันคุ้มครองผู้บริโภค เวียดนาม - วันประกาศอิสรภาพ เนเธอร์แลนด์ - วันชาติ == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day Today in History: April 30 มเมษายน 30 เมษายน
thaiwikipedia
1,509
ดาวพลูโต
ดาวพลูโต (Pluto; ดัชนีดาวเคราะห์น้อย: 134340 พลูโต; สัญลักษณ์: หรือ ) เป็นดาวเคราะห์แคระในแถบไคเปอร์ วงแหวนของวัตถุพ้นดาวเนปจูน โดยเป็นวัตถุแถบไคเปอร์ชิ้นแรกที่ถูกค้นพบ มันมีขนาดใหญ่ที่สุดและมีมวลมากที่สุดเป็นอันดับสองในบรรดาดาวเคราะห์แคระที่รู้จักในระบบสุริยะ และยังเป็นวัตถุที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 9 และมวลมากเป็นอันดับที่ 10 ในระบบสุริยะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดาวพลูโตเป็นวัตถุแถบไคเปอร์ที่ใหญ่ที่สุดโดยปริมาตร แต่มีมวลน้อยกว่าอีริส ซึ่งเป็นวัตถุในแถบหินกระจาย ดาวพลูโตมีลักษณะเหมือนกับวัตถุอื่น ๆ ในบริเวณเดียวกัน กล่าวคือ ประกอบไปด้วยหินและน้ำแข็งเป็นส่วนใหญ่ มีมวลและปริมาตรประมาณ 1 ใน 6 และ 1 ใน 3 ของดวงจันทร์ตามลำดับ วงโคจรของดาวพลูโตมีความเยื้องศูนย์กลางมาก อยู่ที่ 30 ถึง 49 หน่วยดาราศาสตร์ (4.4 – 7.4 พันล้านกิโลเมตร) จากดวงอาทิตย์ หมายความว่าเมื่อดาวพลูโตอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด มันจะอยู่ใกล้กว่าวงโคจรของดาวเนปจูนเสียอีก แต่เนื่องด้วยการสั่นพ้องของวงโคจร ทำให้ดาวเคราะห์ทั้งสองดวงไม่สามารถโคจรมาชนกันได้ ในปี พ.ศ. 2557 ดาวพลูโตมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 32.6 หน่วยดาราศาสตร์ แสงจากดวงอาทิตย์ใช้เวลาประมาณ 5.5 ชั่วโมง ถึงจะไปถึงดาวพลูโตที่ระยะทางเฉลี่ย (39.5 หน่วยดาราศาสตร์) ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2473 โดยไคลด์ ทอมบอ และถูกจัดให้เป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ สถานะการเป็นดาวเคราะห์ของมันเริ่มเป็นที่สงสัยเมื่อมีการค้นพบวัตถุประเภทเดียวกันจำนวนมากซึ่งถูกค้นพบในภายหลังในบริเวณแถบไคเปอร์ ความรู้ที่ว่าดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์หินขนาดใหญ่ที่เป็นน้ำแข็งเริ่มถูกคัดค้านจากนักดาราศาสตร์หลายคนที่เรียกร้องให้มีการจัดสถานะของดาวพลูโตใหม่ ในปี พ.ศ. 2548 มีการค้นพบอีริส วัตถุในแถบหินกระจาย ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าดาวพลูโต 27% ซึ่งทำให้สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (IAU) จัดการประชุมซึ่งเกี่ยวกับการตั้ง "นิยาม" ของดาวเคราะห์ขึ้นมาครั้งแรก ในปีเดียวกัน หลังสิ้นสุดการประชุม ดาวพลูโตถูกลดสถานะให้เป็นกลุ่ม "ดาวเคราะห์แคระ" ในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ยานอวกาศนิวฮอไรซันส์กลายเป็นยานอวกาศลำแรกที่บินผ่านดาวพลูโตสำเร็จระหว่างเส้นทางนิวฮอไรซันส์ก็ได้เก็บข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับดาวพลูโตและดาวบริวารของมันไปด้วย == ประวัติ == === การค้นพบ === ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1840 อูร์แบ็ง เลอ แวรีเย ได้ใช้กลศาสตร์แบบฉบับเพื่อทำนายตำแหน่งของดาวเนปจูน ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ถูกค้นพบ หลังจากที่พบว่าดาวยูเรนัสมีวงโคจรที่ไม่ตรงกับการคำนวณ การสำรวจดาวเนปจูนในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้นำพาให้นักดาราศาสตร์คาดเดากันว่าเหตุที่วงโคจรของดาวยูเรนัสคลาดเคลื่อนเนื่องด้วยแรงดึงดูดของดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งซึ่งถัดจากดาวเนปจูนออกไป ในปี พ.ศ. 2449 เปอร์ซิวัล โลเวลล์ เศรษฐีนครบอสตัน ผู้ซึ่งก่อตั้งหอดูดาวโลเวลล์ ในแฟลกสแตฟฟ์ รัฐแอริโซนา ในปี พ.ศ. 2437 ได้เริ่มภารกิจการค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่เก้า เขาได้ให้ชื่อไว้ว่า "ดาวเคราะห์ X" ในปี พ.ศ. 2452 โลเวลล์และวิลเลียม เอช. พิกเกอร์ริง ได้เสนอพิกัดดาราศาสตร์ที่เป็นไปได้ของดาวเคราะห์นี้ โลเวลล์และทางหอดูดาวของเขายังคงดำเนินการค้นหาต่อไป จนกระทั่งโลเวลล์เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2459 แต่ก็ไม่ได้ทำให้การค้นหาหยุดชะงักลง ก่อนการเสียชีวิตของโลเวลล์ คณะสำรวจของเขาก็ได้ถ่ายภาพเบลอของดาวพลูโตสองภาพ ภาพแรกถ่ายเมื่อวันที่ 19 มีนาคม และอีกภาพถ่ายเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2458 แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยอมรับในสิ่งที่พวกเขาพบ นอกจากนั้นยังมีการสำรวจ 14 ครั้งก่อนการค้นพบ โดยครั้งเก่าแก่ที่สุดมีขึ้นที่หอดูดาวเยอร์เกส เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2452 เนื่องจากการต่อสู้ทางกฎหมายของคอนสแตนซ์ โลเวลล์ ภรรยาหม่ายของเพอร์ซิวัล ผู้ที่พยายามนำส่วนได้กว่าหนึ่งล้านดอลลาร์ของหอดูดาวไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว ทำให้การค้นหาดาวเคราะห์ X หยุดชะงัก จนกระทั่ง พ.ศ. 2472 เมื่อ เวสโต เมลวิน สลิเฟอร์ ได้ยื่นภารกิจการค้นหาดาวเคราะห์ X ให้กับ ไคลด์ ทอมบอ ซึ่งในขณะนั้นอายุได้ 23 ปี ผู้ที่ซึ่งมาถึงหอดูดาวโลเวลล์ หลังจากที่สลิเฟอร์สนใจในในตัวอย่างของภาพวาดทางดาราศาสตร์ของเขา หน้าที่ของทอมบอคือการถ่ายภาพท้องฟ้ายามกลางคืนเป็นจำนวนหลายสิบภาพ แล้ววิเคราะห์แต่ละภาพว่ามีวัตถุใดในภาพเหล่านั้นที่เปลี่ยนตำแหน่ง โดยใช้ตัวเปรียบเทียบ เขาได้สลับภาพ 14 ภาพไปมา เพื่อสร้างการเคลื่อนที่เสมือนของวัตถุใดๆที่เปลี่ยนตำแหน่งหรือปรากฏขึ้นระหว่างภาพถ่าย ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ซึ่งการสำรวจล่วงเลยไปเกือบปีแล้ว ทอมบอค้นพบวัตถุชื้นหนึ่งที่เปลี่ยนตำแหน่งจากภาพถ่ายของวันที่ 23 และ 29 มกราคมของปีนั้น และได้ภาพคุณภาพต่ำที่ถ่ายเมื่อวันที่ 21 มกราคม เป็นตัวช่วยยืนยันการเคลื่อนที่นี้ หลังจากที่ทางหอดูดาวได้ตรวจสอบภาพถ่ายว่าถูกต้องแล้ว ข่าวของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ก็ถูกประกาศออกไปทางโทรเลขของหอดูดาวฮาร์วาร์ดคอลเลจ ในวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2473 === ชื่อ === การค้นพบนี้เป็นประเด็นใหญ่ไปทั่วโลก หอดูดาวโลเวลล์ ได้รับสิทธิในการตั้งชื่อวัตถุใหม่นี้ โดยได้รับชื่อที่ถูกเสนอมากกว่า 1,000 ชื่อจากทั่วทุกมุมโลก เรียงจากแอตลาสถึงไซมัล ทอมบอกระตุ้นให้สลิเฟอร์เร่งการตั้งชื่อวัตถุใหม่นี้ก่อนที่จะมีคนอื่นตั้งชื่อให้ คอนสแตนซ์ โลเวลล์ได้เสนอชื่อ ซุส แล้วเปอร์ซิวัล และสุดท้ายคอนสแตนซ์ แต่ชื่อเหล่านี้ก็ตกไป ชื่อของพลูโต ตั้งตามชื่อของเทพเจ้าแห่งยมโลก ถูกเสนอโดยเวเนเทีย เบอร์นี (พ.ศ. 2461 – พ.ศ. 2552) นักเรียนหญิงวัย 11 ปีในออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ โดยเธอกำลังสนใจในเทพปกรณัมแบบฉบับ เธอเสนอชื่อนี้ระหว่างการสนทนากับฟัลคอนเนอร์ มาดาน ตาของเธอ อดีตบรรรณารักษ์ห้องสมุดโบดเลียนของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และมาดานก็เสนอชื่อนี้ไปยังเฮอร์เบิร์ต ฮอลล์ เทอร์เนอร์ ศาสตราจารย์ดาราศาสตร์ และเขาก็นำไปบอกกับเพื่อนร่วมงานในสหรัฐอเมริกา วัตถุนี้ถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2473 โดยการออกเสียงของสมาชิกในหอดูดาวโลเวลล์ที่คัดเลือกชื่อจนเหลือเพียงสามชื่อ ได้แก่ มิเนอร์วา (ซึ่งได้นำไปตั้งชื่อเป็นดาวเคราะห์น้อยแล้ว) โครนัส (ซึ่งไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากถูกเสนอโดยนักดาราศาสตร์ไร้ชื่อเสียง ทอมัส เจฟเฟอร์สัน แจคสัน ลี) และพลูโต โดยสมาชิกทุกคนได้ลงคะแนนให้ชื่อพลูโตทั้งหมด ชื่อได้ถูกประกาศในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2473 และจากการประกาศนี้มาดานได้มอบเงินจำนวน 5 ปอนด์ (เท่ากับ 300 ปอนด์ หรือ 450 ดอลลาร์สหรัฐ ใน พ.ศ. 2558) ให้แก่เวเนเทียเป็นรางวัล ชื่ออีกชื่อหนึ่งของดาวพลูโตได้รับแรงบันดาลใจจากข้อเท็จจริงที่ว่า สองอักษรแรกของชื่อ พลูโต เป็นตัวย่อของเปอร์ซิวัล โลเวลล์ ทำให้สัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์ของดาวพลูโต (, Unicode U+2647, ♇) ถูกสร้างขึ้นจากการประกอบกันของตัวอักษร P และ L ดาวพลูโตมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2,372 กิโลเมตร และมีมวล 1.31 × 1022 กิโลกรัม ซึ่งน้อยกว่ามวลของดวงจันทร์ 17.82 % (น้อยกว่าโลก 24 %) ดาวพลูโตมีพื้นที่ผิว 1.665 × 107 ตารางกิโลเมตร หรือเทียบได้กับพื้นที่ประเทศรัสเซีย มีแรงโน้มถ่วงที่ผิวดาวเท่ากับ 0.063 g (เทียบกับโลกที่ 1 g) การค้นพบ แครอน ดาวบริวารของดาวพลูโต ทำให้มีการกำหนดมวลของระบบดาวพลูโต–แครอนขึ้นใหม่ โดยใช้กฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ข้อที่สามของเคปเลอร์ จากการสำรวจดาวพลูโตที่สัมพันธ์กับแครอน ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวพลูโตได้แม่นยำขึ้น และหลังจากที่มีการประดิษฐ์เลนส์ชนิดดัดแปลงได้ ทำให้มีการคาดเดาถึงรูปร่างได้แม่นยำขึ้น ด้วยมวลที่น้อยกว่ามวลดวงจันทร์อยู่ 0.2 เท่า ทำให้ดาวพลูโตมีมวลน้อยกว่าดาวเคราะห์หินทั้งหมด แม้กระทั่งดาวบริวารเจ็ดดวง ได้แก่ แกนีมีด ไททัน คัลลิสโต ไอโอ ดวงจันทร์ ยูโรปา และไทรทัน แต่เดิมมวลของดาวพลูโตถูกคาดไว้มาก จนกระทั่งการค้นพบแครอน ดาวพลูโตมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าสองเท่า และมีมวลมากกว่าหลายเท่าของดาวเคราะห์แคระ ซีรีส วัตถุที่ใหญ่ที่สุดในแถบดาวเคราะห์น้อย แต่มีมวลน้อยกว่าอีริส วัตถุพ้นดาวเนปจูนที่ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2548 แม้ว่าดาวพลูโตจะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2,372 กิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณของอีริส (2,326 กิโลเมตร) ก็ตาม การประเมินขนาดของดาวพลูโตซับซ้อน เนื่องด้วยชั้นบรรยากาศของดาวพลูโต และหมอกไฮโดรคาร์บอน ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 เลลลอช, เด เบอร์ก และคณะ ตีพิมพ์การค้นพบสารผสมมีเทนในชั้นบรรยากาศของดาวพลูโต ซึ่งทำให้ประเมินได้ว่า ดาวพลูโตควรมีขนาดใหญ่กว่า 2,360 กิโลเมตร ด้วย "การคาดเดาที่ดีที่สุด" คือ 2,368 กิโลเมตร ในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ภาพถ่ายและข้อมูลต่างๆ จากยานนิวฮอไรซันส์ ได้ประเมินเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวพลูโตไว้ที่ 2,370 กิโลเมตร (1,470 ไมล์) ซึ่งภายหลังเปลี่ยนเป็น 2,372 กิโลเมตร (1,474 ไมล์) ในวันที่ 24 กรกฎาคม == ชั้นบรรยากาศ == ดาวพลูโตมีชั้นบรรยากาศที่ประกอบไปด้วยไนโตรเจน (N2) มีเทน (CH4) และคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ซึ่งอยู่ในภาวะเป็นไอน้ำแข็งบนผิวดาวพลูโต จากผลการวัดของยานนิวฮอไรซันส์ ความดันที่ผิวดาวอยู่ที่ 1 ปาสกาล (10 ไมโครบาร์) น้อยกว่าประมาณ 1 แสน ถึง 1 ล้านเท่าของโลก ในเบื้องต้น นักดาราศาสตร์มีความเห็นว่า เมื่อดาวพลูโตเคลื่อนห่างจากดวงอาทิตย์ ชั้นบรรยากาศจะเกิดการแข็งตัวแล้วร่วงลงสู่ผิวดาว แต่เมื่อถึงช่วงที่ดาวพลูโตอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ อุณหภูมิพื้นผิวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้น้ำแข็งเหล่านั้นระเหิดกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า ถึงกระนั้น ข้อมูลจากยานนิวฮอไรซันส์ แสดงให้เห็นว่า จริงๆแล้ว ความหนาแน่นชั้นบรรยากาศของดาวพลูโตกำลังเพิ่มขึ้น และดูเหมือนว่าจะหลุดลอยเป็นแก๊สตามวงโคจร การสำรวจของนิวฮอไรซันส์ ยังพบว่าไนโตรเจนในชั้นบรรยากาศหลุดออกมาในปริมาณน้อยกว่าจากที่คาดไว้ 10,000 เท่า แอลัน สเติร์นยืนยันว่าเพียงแค่อุณหภูมิผิวดาวพลูโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จะทำให้ความหนาแน่นชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จาก 18 มิลลิบาร์เป็น 280 มิลลิบาร์ (3 เท่าของดาวอังคาร และหนึ่งในสี่ของโลก) ที่ความหนาแน่นขนาดนั้น ไนโตรเจนอาจไหลผ่านชั้นบรรยากาศในรูปของเหลว ความหนาของชั้นบรรยากาศดาวพลูโตสามารถเพิ่มสูงได้ถึง 1,670 กิโลเมตร แม้ชั้นบรรยากาศส่วนบนจะไม่มีรูปร่างที่แน่นอน การมีอยู่ของมีเทน ซึ่งเป็นแก๊สเรือนกระจกรุนแรง ในชั้นบรรยากาศของดาวพลูโต ทำให้เกิดการสลับที่ของอุณหภูมิ โดยอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศสูงกว่าอุณหภูมิที่ผิวดาว แม้การสำรวจจากยานนิวฮอไรซันส์จะเผยว่าบรรยากาศชั้นบนของดาวพลูโต อาจมีอุณหภูมิต่ำกว่าที่คาดไว้มาก (70 K ซึ่งผิดจากที่คาดไว้ 100 K) ชั้นบรรยากาศของดาวพลูโตแบ่งออกเป็นชั้นหมอกทั้งหมด 20 ชั้น ซึ่งหนาประมาณ 150 กิโลเมตร คาดว่าจะเกิดจากคลื่นความดันที่สร้างขึ้นโดยการไหลของอากาศผ่านภูเขาบนดาวพลูโต == ดาวบริวาร == ดาวพลูโตมีดาวบริวารเท่าที่ทราบห้าดวง ได้แก่ แครอน ซึ่งมีการระบุครั้งแรกในปี พ.ศ. 2521 โดย เจมส์ คริสตี นักดาราศาสตร์, นิกซ์และไฮดรา ซึ่งถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2548 ทั้งคู่, เคอร์เบอรอส ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2554 และสติกซ์ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2555 วงโคจรของดาวบริวารเป็นวงกลม (ความเยื้องศูนย์กลาง < 0.006) และร่วมระนาบกับเส้นศูนย์สูตรของดาวพลูโต (ความเอียง < 1°) ฉะนั้นจึงเอียงประมาณ 120° เทียบกับวงโคจรของดาวพลูโต ระบบดาวบริวารของดาวพลูโตอัดกันอยู่อย่างหนาแน่นมาก โดยวงโคจรของดาวบริวารห้าดวงที่ทราบอยู่ใน 3% ชั้นในของบริเวณซึ่งวงโคจรตามทางจะเสถียร แครอนโคจรอยู่ใกล้ดาวพลูโตที่สุด โดยแครอนมีขนาดใหญ่พอที่จะอยู่ในสภาวะสมดุลอุทกสถิตและทำให้แบรีเซนเตอร์ของระบบดาวพลูโต–แครอนอยู่นอกดาวพลูโต ถัดจากแครอนออกไปมีดาวบริวารดาวคู่ (circumbinary) ขนาดเล็กกว่ามากของดาวพลูโต ได้แก่ สติกซ์ นิกซ์ เคอร์เบอรอส และไฮดราตามลำดับ คาบการโคจรของดาวบริวารของดาวพลูโตทุกดวงสัมพันธ์กันในระบบของการสั่นพ้องวงโคจร เมื่อการหมุนควงถูกนับด้วยแล้ว สำหรับคาบโคจรของสติกซ์ นิกซ์ และไฮดรา อยู่ในอัตราส่วน 18:22:23 นอกจากนี้สติกซ์ นิกซ์ เคอร์เบอรอส และไฮดรายังโคจรอยู่ในอัตราส่วน 3:4:5:6 โดยประมาณ ด้วยแครอนที่ซึ่งเข้าใกล้แล้วก็ถอยห่างจากกลุ่มดาวบริวารนี้ออกไป ระบบดาวพลูโต–แครอนเป็นระบบหนึ่งที่แบรีเซนเตอร์เลยออกไปจากผิวของดาวดวงใหญ่ (617 พาโทรคลัส เป็นตัวอย่างขนาดเล็กหนึ่ง และดวงอาทิตย์กับดาวพฤหัสบดี เป็นตัวอย่างขนาดใหญ่ตัวอย่างเดียว) การเยื้องของแบรีเซนเตอร์และขนาดที่ใหญ่ของแครอนเมื่อเทียบกับดาวพลูโตแล้ว ได้ทำให้นักดาราศาสตร์บางคนเรียกมันว่าดาวเคราะห์แคระคู่ ระบบนี้ยังมีลักษณะที่ไม่เหมือนกับระบบดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ คือ การล็อกไทดัล กล่าวคือดาวพลูโตและแครอนจะหันหน้าเข้าหากันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดบนดาวดวงใดก็ตาม ดาวอีกดวงจะลอยค้างอยู่บนฟ้าอย่างนั้นเสมอ หรือไม่ลอยขึ้นมาเสมอ นี่ยังหมายความว่าคาบการหมุนรอบตัวเองของแต่ละดาวเท่ากับระยะเวลาที่พวกมันใช้โคจรรอบจุดศูนย์กลางแรงโน้มถ่วง ในปี พ.ศ. 2552 การสังเกตจากหอดูดาวเจมินี แสดงให้เห็นว่าบนผิวแครอน มีแอมโมเนียไฮเดรตและผลึกน้ำอยู่ ซึ่งหมายความว่าบนผิวดาวยังเกิดการปะทุของน้ำอยู่ ดาวบริวารของดาวพลูโตถูกสันนิษฐานว่าก่อตัวจากการปะทะของดาวพลูโตกับวัตถุขนาดเดียวกันชิ้นหนึ่ง ในช่วงยุคแรก ๆ ของระบบสุริยะ การปะทะได้ปลดปล่อยวัสดุที่ซึ่งภายหลังได้รวมตัวกันก่อเป็นดาวบริวารรอบ ๆ ดาวพลูโต ถึงอย่างนั้น เคอร์เบอรอสมีความสะท้อนแสงต่ำกว่าดาวบริวารดวงอื่นมาก ซึ่งยากต่อการอธิบายด้วยการปะทะครั้งใหญ่ == ต้นกำเนิด == ต้นกำเนิดและตัวตนของดาวพลูโตเป็นปริศนาแก่นักดาราศาสตร์มาอย่างยาวนานแล้ว สมมติฐานแรก ๆ เกี่ยวกับดาวพลูโต ระบุว่าดาวพลูโตเคยเป็นดาวบริวารของดาวเนปจูนมาก่อน ก่อนที่จะถูกแรงโน้มถ่วงของไทรทันเหวี่ยงออกไป ภายหลังแนวคิดนี้ก็ถูกค้าน เนื่องจากพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่ดาวพลูโตจะเป็นเช่นนั้น เพราะดาวพลูโตไม่เคยเข้าใกล้ดาวเนปจูนเลยสักครั้งเดียว ตำแหน่งจริงของดาวพลูโตถูกเปิดเผยออกมาเมื่อ พ.ศ. 2535 เมื่อนักดาราศาสตร์เริ่มทำการสำรวจวัตถุน้ำแข็งขนาดเล็กในบริเวณพ้นวงโคจรของดาวเนปจูนออกไปเช่นเดียวกับ ดาวพลูโต ทั้งขนาดและองค์ประกอบ กลุ่มวัตถุพ้นดาวเนปจูนนี้เชื่อว่าจะเป็นต้นกำเนิดของดาวหางคาบสั้น ปัจจุบัน ดาวพลูโต รู้จักกันว่าเป็นสมาชิกที่ใหญ่ที่สุดในแถบไคเปอร์ แถบของวัตถุซึ่งห่างออกไป 30–50 หน่วยดาราศาสตร์จากดวงอาทิตย์ ณ ปี พ.ศ. 2554 การสำรวจแถบไคเปอร์ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์และวัตถุขนาดใกล้เคียงดาวพลูโตที่เหลือถูกคาดว่าจะอยู่ห่างออกไป 100 หน่วยดาราศาสตร์จากดวงอาทิตย์ หรือมากกว่านั้น ดาวพลูโตเหมือนกับวัตถุในแถบไคเปอร์อื่น ๆ ตรงที่สมบัติของมันไปมีร่วมกันกับดาวหาง ตัวอย่างเช่น ลมสุริยะค่อย ๆ เป่าผิวของดาวพลูโตออกไปสู่อวกาศ นักดาราศาสตร์ยังเชื่อกันว่า ถ้าดาวพลูโตอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ในระยะเดียวกับโลกแล้ว ดาวพลูโตจะมีหางเช่นเดียวกับที่ดาวหางมี การคาดการณ์นี้ตกไปเนื่องด้วยข้อถกเถียงที่ว่าความเร็วหลุดพ้นของดาวพลูโตมีมากเกินไปที่จะเป็นเช่นนั้น แม้ดาวพลูโตจะเป็นวัตถุในแถบไคเปอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบ ไทรทัน ดาวบริวารของดาวเนปจูน ที่มีขนาดใหญ่กว่าดาวพลูโตเล็กน้อย มีลักษณะทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศคล้ายคลึงกับดาวพลูโต นั่นทำให้เชื่อกันว่าไทรทัน เดิมก็เป็นวัตถุในแถบไคเปอร์ที่ถูกดาวเนปจูนดึงมา อีริสมีขนาดใกล้เคียงกับดาวพลูโต (แต่มีมวลมากกว่า) แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ถูกจัดรวมเป็นวัตถุในแถบไคเปอร์อย่างเคร่งครัดนัก มันดูค่อนข้างที่จะเป็นสมาชิกในแถบหินกระจายมากกว่า วัตถุแถบไคเปอร์จำนวนมาก เหมือนกับดาวพลูโต มีอัตราส่วนวงโคจรเป็น 2:3 กับดาวเนปจูน วัตถุแถบไคเปอร์ที่มีอัตราส่วนวงโคจรนี้ เรียกว่า พลูติโน ตั้งชื่อตามดาวพลูโต เหมือนกับดาวดวงอื่น ๆ ในแถบไคเปอร์ พลูโตถูกคาดว่าจะมีเศษซากของดาวเคราะห์เล็ก ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่จากจานดาวเคราะห์ก่อนเกิด ซึ่งเป็นเศษดาวที่ไม่สามารถรวมตัวกันได้ในยุคเริ่มแรกของระบบสุริยะ นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ยอมรับว่าดาวพลูโตอยู่ในวงโคจรดังปัจจุบันนี้ได้ เนื่องจากการย้ายตำแหน่งฉับพลัน โดยดาวเนปจูนในช่วงแรก ๆ ของระบบสุริยะ ขณะที่ดาวเนปจูนเคลื่อนออกไปเรื่อย ๆ จนถึงตำแหน่งของวัตถุในแถบไคเปอร์ก่อนเกิด ได้ดึงดาวดวงนี้มาโคจรรอบตัวเอง (ไทรทัน) และทำให้อัตราส่วนวงโคจรของดาวดวงอื่นคงที่ และบางส่วนของถูกเหวี่ยงออกไปจนกลายเป็นวงโคจรที่ผิดปกติ วัตถุในแถบหินกระจายซึ่งเป็นบริเวณที่วงโคจรไม่เสถียร อยู่พ้นจากแถบไคเปอร์ออกไป ถูกคาดว่าวัตถุต่าง ๆ ที่อยู่ในตำแหน่งนั้นปัจจุบัน เกิดจากผลกระทบที่ดาวเนปจูนเคลื่อนออกมาจากบริเวณใกล้ดวงอาทิตย์ แบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2547 โดยอาเลสซันโดร มอร์บีเดลลี จากหอสังเกตการณ์โกตดาซูร์ในนิส เสนอว่าการย้ายตำแหน่งของดาวเนปจูนสู่แถบไคเปอร์นั้น อาจเกิดจากการก่อตัวของอัตราส่วนวงโคจร 1:2 ของดาวพฤหัสบดีกับดาวเสาร์ ซึ่งได้สร้างแรงผลักจากความโน้มถ่วง ทำให้วงโคจรของดาวยูเรนัสและดาวเนปจูนขยายกว้างขึ้น จนสุดท้ายเกิดการสลับที่ เป็นผลให้วัตถุแถบไคเปอร์ดั้งเดิมถูกผลักออกไปด้วย ซึ่งสามารถอธิบายถึงการกระหน่ำครั้งใหญ่ช่วงปลาย ที่เกิดขึ้นเมื่อ 600 ล้านปีก่อนหลังจากการก่อตัวของระบบสุริยะ และจุดกำเนิดของโทรจันดาวพฤหัสบดี มันเป็นไปได้ว่าก่อนหน้าที่ดาวเนปจูนจะย้ายตำแหน่งจนรบกวนวงโคจรดาวต่าง ๆ ในตำแหน่งดั้งเดิม ดาวพลูโตเคยมีวงโคจรที่ระยะ 33 หน่วยดาราศาสตร์จากดวงอาทิตย์ แบบจำลองนิซแสดงผลว่า จะมีวัตถุขนาดเท่าดาวพลูโตจำนวนมากอยู่ในจานดาวเคราะห์ก่อนเกิดดั้งเดิม ซึ่งรวมทั้งไทรทันและอีริส == การสำรวจ == ระยะทางของดาวพลูโตถึงโลก ทำให้ยากแก่การศึกษาและการสำรวจเชิงลึก ในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ยานอวกาศนิวฮอไรซันส์ของนาซาบินผ่านระบบดาวพลูโต และให้ข้อมูลต่างๆมากมายกลับมา === การสังเกต === ดาวพลูโตมีค่าความส่องสว่างปรากฏอยู่ที่เฉลี่ย 15.1 และสว่างขึ้นถึง 13.65 ที่ตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์ เพื่อที่จะสังเกต จำเป็นต้องใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดประมาณ 30 เซนติเมตร (12 นิ้ว) และมีขนาดรูรับแสงพอประมาณ มันจะดูเหมือนดาวฤกษ์และไม่มีจานที่มองเห็นได้ แม้ว่าจะเป็นกล้องโทรทรรศนขนาดใหญ่ก็ตาม เพราะว่าดาวพลูโตมีขนาดเชิงมุมเพียงแค่ 0.11" แผนที่าวพลูโตที่เก่าที่สุด ทำขึ้นในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เป็นแผนที่ความสว่างที่อิงจากการสังเกตอุปราคาระยะใกล้ โดยแครอน ดาวบริวารที่ใหญ่ที่สุดของมัน การสังเกตครั้งนั้นได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงในค่าความสว่างเฉลี่ยของระบบดาวพลูโต-แครอนระหว่างการเกิดอุปราคา ตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดอุปราคา ณ จุดที่สว่างที่สุดของดาวพลูโต จะทำให้ความสว่างรวมทั้งดาวเพิ่มขึ้นมากกว่าเกิดอุปราคา ณ จุดที่มืด การประมวลผลจากคอมพิวเตอร์ของการสังเกตจำนวนมากในลักษณะนี้ ทำให้สามารถสร้างแผนที่ความสว่างได้ วิธีนี้ยังสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงความสว่างแต่ละช่วงเวลาได้อีกด้วย แผนที่ที่ดีกว่าถูกทำขึ้นจากภาพโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ซึ่งให้ความละเอียดสูงกว่า ให้รายละเอียดได้มากกว่า และยังได้แก้ไขจุดผิดพลาดเป็นระยะกว่า 100 กิโลเมตร รวมทั้งบริเวณขั้วดาวและจุดที่สว่างมากกว่า แผนที่เหล่านี้ถูกทำโดยการประมวลผลที่ซับซ้อนของคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะหาแบบแผนที่ที่สอดคล้องกับภาพจากฮับเบิล และภาพนั้นก็กลายเป็นภาพที่ละเอียดที่สุดของดาวพลูโตจนกระทั่งยานนิวฮอไรซันส์ไปถึงในปี พ.ศ. 2558 เพราะกล้องสองตัวบนฮับเบิลที่ใช้ถ่ายภาพหยุดการใช้งานแล้ว === การสำรวจ === ยานอวกาศนิวฮอไรซันส์ ซึ่งบินผ่านดาวพลูโตในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2558 เป็นยานอวกาศลำแรกและลำเดียวที่พยายามสำรวจดาวพลูโตโดยตรง ถูกปล่อยในปี พ.ศ. 2549 ถ่ายภาพดาวพลูโตภาพแรกจากระยะไกลในช่วงปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ระหว่างการทดสอบกล้องถ่ายภาพบนยาน ตัวภาพถ่ายที่ระยะทางประมาณ 4.2 พันล้านกิโลเมตร และได้พิสูจน์ความสามารถของยานในการถ่ายภาพระยะไกลได้ โดยถ่ายขึ้นมีจุดประสงค์หลักเพื่อเคลื่อนตัวไปอย่างระมัดระวังสู่ดาวพลูโตและวัตถุในแถบไคเปอร์ ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2550 ยานอวกาศได้ใช้แรงช่วยจากดาวพฤหัสบดี นิวฮอไรซันส์บินเข้าใกล้ดาวพลูโตที่สุดในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 หลังจากการเดินทางข้ามระบบสุริยะกว่า 3,462 วัน การสังเกตทางวิทยาศาสตร์ของดาวพลูโตเริ่มขึ้นตั้งแต่ 5 เดือนก่อนที่ยานจะบินผ่านดาวพลุโต และดำเนินต่อไปอีกอย่างน้อยหนึ่งเดือนหลังบินผ่าน การสังเกตดำเนินการโดยใช้อุปกรณ์สำหรับการสำรวจระยะไกลซึ่งรวมทั้งอุปกรณ์ถ่ายภาพ และอุปกรณ์ส่งสัญญาณคลื่น จุดมุ่งหมายทางวิทยาศาสตร์ของยานนิวฮอไรซันส์ คือระบุรายละเอียดลักษณะทางกายภาพและสัณฐานของดาวพลูโตกับแครอน ดาวบริวารของมัน ทำแผนที่แต่ละส่วนของผิวดาว และวิเคราะห์ชั้นบรรยากาศปกติของดาวพลูโตและอัตราของหลุดออกของมัน == ภาพ == === วิดีโอ === == เชิงอรรถ == == รายการอ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == New Horizons homepage Pluto Profile at NASA's Solar System Exploration site NASA Pluto factsheet ดาวเคราะห์แคระ วัตถุพ้นดาวเนปจูน วัตถุไคเปอร์ วัตถุทางดาราศาสตร์ที่ค้นพบในปี พ.ศ. 2473 นิวฮอไรซันส์ ภารกิจสู่ดาวพลูโต
thaiwikipedia
1,510
ตัวเลขไทย
ตัวเลขไทย เป็นอักษรตัวเลขที่ใช้แสดงจำนวนนับในภาษาไทย ประวัติการเกิดขึ้นของเลขไทยที่ใช้กันในปัจจุบัน พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงริเริ่มนำมาใช้เป็นภาษาของชาติไทย ทรงนำอักษรขอม (เขมร) มาดัดแปลง และมีต้นตอมาจากอักษรเทวนาครีของอินเดีย เช่นเดียวกับเลขอาหรับ เป็นหนึ่งในไม่กี่ภาษาที่ใช้ระบบจำนวนนับเป็นเลขฐานสิบ และมีการเปลี่ยนแปลงสัณฐาน จากอดีตสู่ปัจจุบันน้อยมาก ==เลขพื้นฐาน== === ศูนย์ถึงสิบ === ศูนย์ในเลขอาหรับเขียนเป็น 0 แบบวงรี แต่ในเลขไทยเขียนเป็น ๐ แบบวงกลมเล็ก ในบางกรณีสามารถมีความหมายว่า ตรงกลาง ด้วย คำนี้มีที่มาจากภาษาสันสกฤตว่า ศูนฺย ชื่อเลขไทยสำหรับ จำนวน +1 และหน่วยทั่วไปของ 2 ถึง 9 อยู่ในตารางข้างล่าง ซึ่งเทียบกับรูปแบบภาษาจีน (เช่น กวางตุ้งและหมิ่นหนาน) ที่มีผู้พูดในจีนตอนใต้ บ้านเกิดของชาวจีนโพ้นทะเลที่อาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในความเป็นจริง ศัพทมูลวิทยาของตัวเลข 2, 3, 4, 6, 7, 8, 9 และ 10 คือภาษาจีนสมัยกลาง ส่วนตัวเลข 5 คือภาษาจีนเก่า อย่างไรก็ตาม รูปร่างเลขโดดมีความคล้ายกับตัวเลขเขมร ถึงแม้ว่าชื่อเรียกสำหรับตัวเลขในภาษาไทยและลาวมีความคล้ายกัน แต่รูปร่างตัวเลขทั้งสองภาษามีรูปร่างแตกต่างกันบางส่วน โดยตารางข้างบนเทียบอักษรและการสะกดแบบกวางตุ้งกับหมิ่นหนาน ส่วนตารางข้างล่างเทียบรูปร่างตัวเลขในแบบเขมร ไทย และลาว === สิบถึงหนึ่งล้าน === {| border=1 align=center cellpadding=4 cellspacing=0 style="margin: 0 0 1em 1em; background: #f9f9f9; border: 1px #aaa solid; border-collapse: collapse; font-size: 95%;" |- ! width="100" align="center"| เลขไทย ! width="100" align="center"| เลขอาหรับ ! width="100" align="center"| ค่าของตัวเลข |- |align="center"| ๑๐ |align="center"| 10 |align="center"| สิบ |- |align="center"| ๑๑ |align="center"| 11 |align="center"| สิบเอ็ด |- |align="center"| ๒๐ |align="center"| 20 |align="center"| ยี่สิบ |- |align="center"| ๑๐๐ |align="center"| 100 |align="center"| (หนึ่ง)ร้อย |- |align="center"| ๑,๐๐๐ |align="center"| 1,000 |align="center"| (หนึ่ง)พัน |- |align="center"| ๑๐,๐๐๐ |align="center"| 10,000 |align="center"| (หนึ่ง)หมื่น |- |align="center"| ๑๐๐,๐๐๐ |align="center"| 100,000 |align="center"| (หนึ่ง)แสน |- |align="center"| ๑,๐๐๐,๐๐๐ |align="center"| 1,000,000 !align="center"| (หนึ่ง)ล้าน |} เลข ๑๓๒ อ่านว่า หนึ่งร้อยสามสิบสอง คำว่า ร้อย, พัน ฯลฯ ซึ่งเป็นค่าประจำหลัก จะต้องอ่านออกเสียงหลังเลขในหลักนั้น ๆ และในหลักภาษา จะต้องอ่านออกเสียง ๑๐๐ ว่า หนึ่งร้อย ไม่ใช่ ร้อย ในภาษาพูดทั่วไป คำว่า หนึ่ง มีออกเสียงเพี้ยนเป็น นึง ซึ่งทำให้ความหมายของ 100 (ร้อยนึง) กับ 101 (ร้อยหนึ่ง : ตามหลักภาษา อ่านว่า หนึ่งร้อยเอ็ด) แตกต่างกัน === สูงกว่าหนึ่งล้าน === ตัวเลขที่สูงกว่าหนึ่งล้าน สามารถใช้คำว่า ล้าน เป็นตัวคูณ เช่น 10,000,000 อ่านว่า สิบล้าน มาจากเอา "สิบ" คูณ "ล้าน" == ดูเพิ่ม == ตัวเลขจีน ระบบเลขอินเดีย ตัวเลขอินเดีย ตัวเลขเขมร Lakh อักษรไทย ภาษาไทย นาฬิกาหกชั่วโมง สำนักงานราชบัณฑิตยสภา == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == Thai Royal Institute On-line Dictionary (ORID 1999) [TH: พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒] Numerals in many different writing systems, which includes Lao, Khmer and Thai numerals 0-9; retrieved 2008-11-12 Graphic version of Numerals in many different writing systems, no Unicode required; retrieved 2008-11-12 Thai Numbers . How they are written in their numeral and textual forms and how to pronounce them. "International Reference Library Thread of Thai Classifiers" (38 entries) วัฒนธรรมไทย ระบบเลข อักษรไทย
thaiwikipedia
1,511
ปีปกติสุรทินที่วันแรกเป็นวันเสาร์
ปฏิทินสำหรับปีปกติสุรทินที่วันแรกเป็นวันเสาร์ (เช่น พ.ศ. 2565 2554 2548 2537 2526 2520 2515 ) ---- ปฏิทิน
thaiwikipedia
1,512
จันทบุรี (แก้ความกำกวม)
จันทบุรี อาจหมายถึง จังหวัดจันทบุรี อำเภอเมืองจันทบุรี เทศบาลเมืองจันทบุรี สังฆมณฑลจันทบุรี แม่น้ำจันทบุรี มณฑลจันทบุรี เมืองจันทบุรี (ลาว) เมืองในนครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว กรมพระจันทบุรีนฤนาถ - พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ - พระโอรสในกรมพระจันทบุรีนฤนาถ และพระราชบิดาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หน้าแก้ความกำกวมชื่อสถานที่
thaiwikipedia
1,513
2001 จอมจักรวาล (ภาพยนตร์)
2001 จอมจักรวาล (2001: A Space Odyssey) เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายวิทยาศาสตร์ในชุด จอมจักรวาล ของ อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก เรื่อง 2001 จอมจักรวาล เกี่ยวกับการเดินทางไปยังดาวเสาร์ของมนุษย์ในปี ค.ศ. 2001 ออกฉายในปี ค.ศ. 1968 กำกับโดยสแตนลีย์ คูบริก แต่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องเล็กน้อย จากดาวเสาร์ในฉบับนิยายเป็นดาวพฤหัสบดี ด้วยเหตุผลด้านเทคนิคที่ไม่สามารถสร้างฉากดาวเสาร์ขึ้นมาได้ บทภาพยนตร์เขียนคู่ไปกับฉบับนิยาย ได้รับการยกย่องอย่างสูงในฐานะแบบฉบับของภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ ได้รับรางวัลออสการ์ สาขา Visual Effects ค.ศ. 1968 และยังเป็นหนึ่งในสิบภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล จากการสำรวจของ Sight & Sound ในปี ค.ศ. 2002 == เนื้อเรื่องย่อ == การค้นพบแท่งหินสีดำลึกลับที่เรียกว่าโมโนลิธบนดวงจันทร์โดยบังเอิญ และค้นพบร่องรอยว่ามีแท่งหินแบบเดียวกันอีกแท่งบนดวงจันทร์จาเพตัสของดาวเสาร์ ทำให้องค์การนาซาส่งยานโอดิสซีย์ออกไปสำรวจ ลูกเรือของยานโอดิสซีย์ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ก่อนจะค้นพบความจริงของจักรวาล == ตัวละคร == เดวิด โบว์แมน แฟรงค์ พูล ดร. เฮย์วูด ฟลอยด์ ดิมิทริ มอยส์วิทช์ ฮัล 9000 == ดูเพิ่ม == จอมจักรวาล == อ้างอิง == ภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2511 ภาพยนตร์ที่กำกับโดย สแตนลีย์ คูบริก ภาพยนตร์อังกฤษ ภาพยนตร์อิงบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ ภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือของ อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก อาร์เทอร์ ซี. คลาร์ก ภาพยนตร์เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม รางวัลออสการ์ ภาพยนตร์โดยเอ็มจีเอ็ม ภาพยนตร์ที่มีฉากในอนาคต ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในประเทศอังกฤษ ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในสกอตแลนด์ ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในรัฐยูทาห์ ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในรัฐแอริโซนา ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในประเทศสเปน ภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์บราเธอร์ส ภาพยนตร์อนุรักษ์หอทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติสหรัฐ
thaiwikipedia
1,514
10 สิงหาคม
วันที่ 10 สิงหาคม เป็นวันที่ 222 ของปี (วันที่ 223 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 143 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2335 (ค.ศ. 1792) – กลุ่มผู้ก่อการจลาจลในการปฏิวัติฝรั่งเศสยกขบวนบุกพระราชวังตุยเลอรีส์ พ.ศ. 2389 (ค.ศ. 1846) – รัฐสภาสหรัฐอเมริกาจัดตั้งสถาบันสมิธโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยนำชื่อมาจาก โจเซฟ สมิธสัน ซึ่งบริจาคเงินให้ถึง 500,000 ดอลลาร์ พ.ศ. 2435 (ค.ศ.1892) - พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทดลองจัดระเบียบการปกครองระดับตำบลและหมู่บ้านขึ้นเป็นครั้งแรก ณ อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. 2456 (ค.ศ. 1913) – การลงนามสนธิสัญญาบูคาเรสต์ ทำให้สงครามบอลข่านครั้งที่ 2 ยุติลง พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) - พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอภิเษกสมรสกับนางสาวสุวัทนา อภัยวงศ์ (เดิม:เครือแก้ว อภัยวงศ์) และสถาปนาขึ้นเป็น เจ้าจอมสุวัทนา พระสนมเอก นับเป็นเจ้าจอมคนล่าสุดในปัจจุบัน พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) – ยานแมเจลแลนเดินทางถึงดาวศุกร์ พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) – น้ำป่าและโคลนถล่มไหลท่วมตำบลน้ำก้อและน้ำชุน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ กลางดึก มีผู้เสียชีวิต 126 ศพ ราษฎรไร้ที่อยู่อาศัยกว่า 1700 ครัวเรือน == วันเกิด == พ.ศ. 388 (141ปีก่อนคริสต์ศักราช) - จักรพรรดิฮั่นอู่ จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก พ.ศ. 2373 (ค.ศ. 1830) - โอกุโบะ โทะชิมิชิ นักการเมืองชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2417 (ค.ศ. 1874) - เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 31 (ถึงแก่กรรม 20 ตุลาคม พ.ศ. 2507) พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1897) - หม่อมเจ้าบุญจิราธร จุฑาธุช (สิ้นชีพิตักษัย 19 มีนาคม พ.ศ. 2523) พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) - อารีย์ นักดนตรี ผู้ประกาศ/จัดรายการวิทยุ-โทรทัศน์ พิธีกร นักแสดง นักร้อง นักพากย์ชาวไทย พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) - อันโตนิโอ บันเดอราส นักแสดงชาวสเปน พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) - สุรศักดิ์ วงษ์ไทย นักแสดง , นักร้อง และพิธีกรชายชาวไทย พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) - ชุติมา นัยนา นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) - * จัสติน เทอรู นักแสดง ผู้กำกับ และนักเขียนบทชาวอเมริกัน * รอย คีน นักฟุตบอลชาวไอริช พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - * ณวัฒน์ อิสรไกรศีล พีธีกรชาวไทย * อลิสา อินทุสมิต อดีตนางแบบ นักแสดง นักร้อง ชาวไทย พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) - สกาวใจ พูนสวัสดิ์ นักแสดง พิธีกรชาวไทย พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - เทรนตัน ดูคาติ นักแสดง, นายแบบ และผู้กำกับภาพยนตร์ลามกเกย์ชาวอเมริกัน พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) - * พิษณุ นิ่มสกุล นักร้อง นักแสดงชาวไทย * เจก รัตนตั้งตระกูล พิธีกร และผู้ประกาศข่าวชาวไทย * อภิเชษฐ์ พุฒตาล นักฟุตบอลชาวไทย พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - นัตสึมิ อาเบะ นักร้องและนักแสดงหญิงชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - โอลอฟ วัตสัน นักฟุตบอลชาวสวีเดน พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - * จุติพันธุ์ มงคลสุธี นักธุรกิจชาวไทย * ณรงค์ จันทร์เสวก นักฟุตบอลชาวไทย พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - ซีลวาโน กอมวาลีอุส นักฟุตบอลอาชีพชาวดัตช์ พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - พรพรรณ ฤกษ์อัตการ นักแสดงและนางงามชาวไทย พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - ภตภร สีบุญเรือง นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - * ซิดนีย์ เลมมอน นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน * อี ซ็อง-คย็อง นางแบบ นักแสดง และนักร้องชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - แก้วมณี วัฒนวรากุล นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - บือร์นาร์ดู ซิลวา นักฟุตบอลชาวโปรตุเกส พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - * ซาอิด เบนรามา นักฟุตบอลชาวแอลจีเรีย * ไมค์-สตีเวิน เบเรอ นักฟุตบอลชาวเยอรมัน พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - ลูกา มารีนี นักแข่งรถจักรยานยนต์ชาวอิตาลี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - * พงษ์ชนะ กองกิริต นักฟุตบอลชาวไทย * อาซุกะ ไซโตะ ไอดอล นักร้อง นักแสดง และนางแบบแฟชั่น ลูกครึ่งญี่ปุ่น-พม่า พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - ริชาร์ด เกียนี่ นักแสดงชายชาวไทย พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - นัสสึมิ ทะนะกะ ไอดอลนักแสดงชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - นส.วิภา นักกินเบียร์ระดับชาติ == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 514 (30 ปีก่อนคริสตกาล) - คลีโอพัตรา (เกิด พ.ศ. 474) พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) – โรเบิร์ต ก็อดดาร์ด นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญจรวดชาวอเมริกัน (เกิด 5 ตุลาคม พ.ศ. 2425) พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) – แถบ นีละนิธิ ปรมาจารย์แห่งวิชาเคมีไทย (เกิด 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2450) พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) – สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) – เต้นไลง์ ศัลยแพทย์ชาวพม่า (เกิด 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == วันไบโอดีเซลสากล วันกำนันผู้ใหญ่บ้าน == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Today in History: August 10 สิงหาคม 10 สิงหาคม
thaiwikipedia
1,515
รายชื่อประเทศเรียงตามจำนวนประชากร
นี่คือรายชื่อประเทศเรียงตามจำนวนประชากร ประกอบด้วยรัฐเอกราชและเขตปกครองพิเศษตามมาตรฐาน ISO 3166-1 ดินแดนซึ่งประกอบขึ้นเป็นรัฐเอกราชโดยแบ่งแยกมิได้จะถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐเอกราชด้วยเช่นกัน แต่ไม่รวมไปถึงองค์กรระหว่างประเทศ อย่างเช่น สหภาพยุโรป ซึ่งมิได้มีสถานะเป็นรัฐเอกราชและเขตปกครองพิเศษซึ่งไม่มีประชากรอยู่อาศัยอย่างถาวร อย่างเช่น การอ้างสิทธิ์ของหลายประเทศเหนือแอนตาร์กติกา ตัวเลขซึ่งใช้ในรายชื่อดังกล่าวตั้งอยู่บนประมาณการล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาตินั้น ๆ ที่สามารถยึดถือเอาได้ แต่ถ้าหากไม่มีสถิติที่สามารถถือเอาได้ ตัวเลขจะนำมาจากประมาณการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 โดยแผนกประชากร สำนักงานสังคมและเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติ แต่เนื่องมาจากการเก็บข้อมูลสถิติอาจไม่ได้เก็บในเวลาเดียวกันในทุกประเทศ หรือด้วยความแม่นยำในระดับเดียวกัน ผลจำนวนประชากรอาจนำไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาดได้ ประมาณการประชากรทั่วโลกที่สหประชาชาติประเมินไว้ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 คือ 7.6 พันล้านคน == รายชื่อ == ==หมายเหตุ== == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == ภูมิศาสตร์ ทวีป รายชื่อประเทศเรียงตามลำดับตัวอักษร รายชื่อประเทศเรียงตามทวีป รายชื่อประเทศและเขตการปกครองเรียงตามขนาดพื้นที่ทั้งหมด รายชื่อประเทศและดินแดน รายชื่อเขตการปกครอง == แหล่งข้อมูลอื่น == United Nations Analytical Report for the 2004 revision of World Population Prospects (the analytical report for the 2006 revision is not available online) — รวมคำอธิบายวิธีการประมาณการจำนวนประชากรและแหล่งข้อมูลที่ใช้ รายชื่อประเทศ ประชากร
thaiwikipedia
1,516
ฮ่องกง
ฮ่องกง หรือ เซียงก่าง (Hong Kong; 香港) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Hong Kong Special Administrative Region of the People's Republic of China) เป็นเขตปกครองตนเองริมฝั่งทางตอนใต้ของประเทศจีนอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกในทางภูมิศาสตร์ มีสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงและทะเลจีนใต้โอบรอบ ด้วยเนื้อที่ 1,104 ตารางกิโลเมตร และประชากรกว่า 7.5 ล้านคน ถือเป็นเขตปกครองที่มีประชากรอยู่อาศัยหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ฮ่องกงยังเป็นหนึ่งในเขตปกครองตนเองที่พัฒนามากที่สุดในโลก, เป็นเมืองที่มีจำนวนตึกระฟ้ามากที่สุดในโลก และมีราคาอสังหาริมทรัพย์ที่แพงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ประวัติศาสตร์ของฮ่องกงเริ่มต้นจากการเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร (ฮ่องกงของบริเตน) หลังจากจีนพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่น เกาะฮ่องกง และดินแดนตอนปลายคาบสมุทรเกาลูนตกเป็นอาณานิคมใน ค.ศ. 1842 และ 1860 ตามลำดับ อาณานิคมขยายไปถึงคาบสมุทรเกาลูนหลังสงครามฝิ่นครั้งที่สอง และขยายออกไปอีกเมื่อสหราชอาณาจักรทำสัญญาเช่าดินแดนเป็นเวลา 99 ปีใน ค.ศ. 1898 ฮ่องกงของบริเตนถูกยึดครองโดยจักรวรรดิญี่ปุ่นตั้งแต่ ค.ศ. 1941 ถึง 1945 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนจะกลับมามีสถานะเดิมอีกครั้งหลังการยอมจำนนของญี่ปุ่น ต่อมา สหราชอาณาจักรทำสัญญาส่งมอบดินแดนทั้งหมดคืนให้แก่ประเทศจีนใน ค.ศ. 1997 และมีสถานะเป็นหนึ่งในสองเขตบริหารพิเศษของจีน (อีกแห่งคือมาเก๊า) แต่จีนได้รับรองให้ฮ่องกงสามารถรักษาระบอบการปกครองและเศรษฐกิจที่แยกจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ได้ โดยอยู่ภายใต้หลักการของ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" มานับแต่นั้น เดิมทีฮ่องกงเป็นเพียงหมู่บ้านเกษตรกรและชาวประมง แต่ความเจริญได้เข้ามาสู่เกาะอย่างรวดเร็วและได้พัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการค้าและการเดินเรือที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ฮ่องกงกลายเป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชียที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษ 1950 และแม้จะไม่มีสถานะเป็นประเทศ แต่ในปัจจุบันฮ่องกงเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับสิบ และผู้นำเข้ารายใหญ่อันดับเก้าของโลก ฮ่องกงบริหารเศรษฐกิจแบบผสมโดยเน้นระบบทุนนิยมซึ่งมีการเก็บภาษีต่ำและมีระบบการค้าเสรี รายได้หลักมาจากภาคบริการและการส่งออก มีสกุลเงินคือดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งเป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดเป็นอันดับแปดของโลก ฮ่องกงมีจำนวนมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก และมากที่สุดเป็นอันดับสองในทวีปเอเชีย แม้ว่าฮ่องกงจะมีรายได้ต่อหัวของประชากรสูง แต่ยังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในระดับสูงเช่นกัน โดยมีความเท่าเทียมกันของรายได้ต่ำ และประสบปัญหาค่าครองชีพสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก ฮ่องกงเป็นเขตปกครองตนเองที่พัฒนาแล้วอย่างสูง โดยอยู่ในอันดับสี่จากการจัดอันดับดัชนีการพัฒนามนุษย์ และประชากรมีความคาดหมายคงชีพสูง และจากการมีประชากรอาศัยอย่างหนาแน่น ทำให้ฮ่องกงพัฒนาระบบเครือข่ายการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพสูงโดยมีอัตราการใช้บริการขนส่งสาธารณะสูงถึง 90% ฮ่องกงยังอยู่ในอันดับสี่ของโลกในการจัดอันดับด้านความสามารถการแข่งขันทางการเงิน ฮ่องกงมีส่วนร่วมในองค์การการค้าโลก, ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก, คณะกรรมการโอลิมปิกสากล และหน่วยงานของสหประชาชาติหลายแห่ง == นิรุกติศาสตร์ == มีการบันทึกว่าชื่อของเกาะฮ่องกงมีการเขียนเป็นอักษรละตินครั้งแรกว่า "He-Ong-Kong" ใน ค.ศ. 1780 แต่เดิมหมายถึงปากน้ำเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างท่าเรือแอเบอร์ดีนและชายฝั่งทางตอนใต้ของเกาะฮ่องกง แอเบอร์ดีนเป็นจุดเริ่มต้นการติดต่อระหว่างกะลาสีชาวอังกฤษและชาวประมงท้องถิ่น แม้จะไม่ทราบที่มาของชื่ออักษรละตินดังกล่าว แต่เชื่อกันว่าเป็นการออกเสียงตามภาษาจีนกวางตุ้ง hēung góng ชื่อนี้มีความหมายตามตัวอักษรว่า "ท่าเรือที่หอมหวาน" และ "ท่าเรือที่เต็มไปด้วยเครื่องหอม" โดยความหมายของคำว่า "หอมหวาน และ กลิ่นหอม" ที่ปรากฏในชื่อ อาจหมายถึงรสหวานของน้ำจืดที่ไหลผ่านท่าเรือซึ่งมาจากแม่น้ำจูหรืออาจเป็นกลิ่นจากโรงงานเครื่องหอมที่เรียงรายตามแนวชายฝั่งทางเหนือของเกาลูน เครื่องหอมและไม้หอมทั้งหมดถูกเก็บไว้ใกล้ท่าเรือแอเบอร์ดีนเป็นจำนวนมากเพื่อส่งออกก่อนที่อ่าววิกทอเรียจะได้รับการพัฒนา เซอร์จอห์น เดวิส (ผู้ว่าการอาณานิคมคนที่สอง) เสนอแนวคิดในสมมติฐานของชื่อเกาะอีกหนึ่งประการ โดยเดวิสกล่าวว่าชื่อนี้อาจมาจากคำว่า "Hoong-keang" ซึ่งหมายถึง "กระแสน้ำสีแดง" เนื่องจากสีของดินที่น้ำตกบนเกาะไหลผ่าน ชื่อ Hong Kong ในปัจจุบันเริ่มมีการใช้ใน ค.ศ. 1810 โดยในช่วงแรกนิยมเขียนติดกันเป็น Hongkong กระทั่ง ค.ศ. 1926 รัฐบาลประกาศให้เขียนเป็นสองคำแยกจากกัน จึงมีการใช้คำว่า Honk Kong อย่างเป็นทางการมานับแต่นั้น แต่บริษัทต่าง ๆ ที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงอาณาณิคมยังนิยมใช้ชื่อ Hongkong อยู่ เช่น Hongkong Land, Hongkong Electric Company, Hongkong and Shanghai Hotels และ Hongkong and Shanghai Banking Corporation (HSBC) แต่ในปัจจุบันแทบไม่พบเห็นการเขียนติดกันแล้ว == ภูมิศาสตร์ == ฮ่องกงอยู่บนชายฝั่งทางตอนใต้ของจีนห่างจากมาเก๊าไปทางตะวันออก 60 กม. (37 ไมล์) ทางด้านตะวันออกของปากแม่น้ำจู ล้อมรอบด้วยทะเลจีนใต้ทุกด้านยกเว้นทางเหนือซึ่งอยู่ติดกับเมืองเซินเจิ้นริมฝั่งแม่น้ำ Sham Chun พื้นที่ 1,110.18 ตารางกิโลเมตร (428.64 ตารางไมล์) ประกอบด้วยเกาะฮ่องกง คาบสมุทรเกาลูน เขตดินแดนใหม่ เกาะลันเตา และเกาะอื่น ๆ อีกกว่า 200 เกาะ จากพื้นที่ทั้งหมด 1,073 ตารางกิโลเมตร (414 ตารางไมล์) เป็นที่ดิน และ 35 ตารางไมล์ (14 ตารางไมล์) เป็นน้ำ จุดที่สูงที่สุดของอาณาเขตคือยอดเขาไท่โม่ชานซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 957 เมตร (3,140 ฟุต) การพัฒนาเมืองกระจุกตัวอยู่ที่คาบสมุทรเกาลูน เกาะฮ่องกง และในเมืองใหม่ ๆ ทั่วดินแดนใหม่ ส่วนใหญ่สร้างขึ้นบนที่ดิน 70 รางกิโลเมตร (27 ตารางไมล์) (6% ของที่ดินทั้งหมดหรือประมาณ 25% ของพื้นที่พัฒนาแล้วในอาณาเขต) ภูมิประเทศที่ยังไม่พัฒนาเป็นเนินเขาถึงภูเขา มีที่ราบน้อยมาก และส่วนใหญ่ประกอบด้วยทุ่งหญ้า ป่าไม้ ไม้พุ่ม หรือพื้นที่เกษตรกรรม ประมาณ 40% ของพื้นที่ที่เหลือเป็นสวนสาธารณะและเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ ฮ่องกงมีระบบนิเวศที่หลากหลาย มีพืชมากกว่า 3,000 สายพันธุ์บนเกาะนี้ (300 สายพันธุ์มีถิ่นกำเนิดในฮ่องกง) และแมลง นก รวมถึงสัตว์น้ำหลายพันชนิดเนืองจากอยู่ติดแหล่งน้ำขนาดใหญ่ === ภูมิอากาศ === ฤดูร้อนอากาศร้อนชื้น มีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 26-30 องศาเซลเซียส ฤดูหนาวอากาศเย็นสบายและแห้ง น้อยครั้งที่จะมีอุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายนฝนตกชุกและมีลมแรง ฤดูร้อนมักเกิดลมมรสุม == ประวัติศาสตร์ == === ยุคก่อนอาณานิคม === "ฮ่องกง" เดิมเป็นเพียงหมู่บ้านประมงเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในเขตอำเภอซินอัน เมืองเซินเจิ้น ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษากวางตุ้ง ซึ่งมาจากภาษาจีนกลาง ว่า "เซียงกั่ง" ความหมายก็ไม่เหมือนใคร หมายความว่า "ท่าเรือหอม" มีความเป็นมา สืบเนื่องมาแต่ครั้งที่กวางตุ้ง เป็นแหล่งปลูกไม้หอมชนิดหนึ่ง ส่งขายเป็นสินค้าออก โดยที่ต้องมาขนถ่ายสินค้ากัน ที่ท่าเรือน้ำลึกตอนใต้สุดของแผ่นดินจีน ด้วยภูมิประเทศของฮ่องกงเอง ที่เป็นเมืองท่าน้ำลึก เหมาะแก่การจอดเรือสินค้าขนาดใหญ่ จึงทำให้ฮ่องกงกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโลก === อาณานิคมสหราชอาณาจักร, การยึดครองของญี่ปุ่น และยุคสงครามเย็น === เมื่อราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีเรือของกองทัพเรือสหราชอาณาจักร นำโดยกัปตัน ชาร์ลส์ อีเลียต (Charles Elliot) แล่นผ่านน่านน้ำระหว่าง แหลมเกาลูนและเกาะแห่งหนึ่งที่ร่ำลือกันว่า เป็นที่หลบลมพายุของพวกโจรสลัด กัปตันอีเลียต เกิดได้กลิ่นหอมชนิดหนึ่ง จึงจอดเรือและขึ้นฝั่ง ส่งล่ามลงไปสอบถาม ได้ความว่าเป็นท่าเรือหอม ใช้ขนถ่ายไม้หอม กัปตันรับทราบด้วยความประทับใจ เมื่อกัปตันอีเลียตเดินทางกลับสู่สหราชอาณาจักรและได้รับการแต่งตั้งให้ไปประจำการฝ่ายการพาณิชย์ของสหราชอาณาจักรในภาคพื้นเอเซีย ซึ่งขณะนั้นเอง ประเทศสหราชอาณาจักรซึ่งปกครองโดยพระนางวิกตอเรีย กำลังต้องการอาณานิคมในแถบทะเลจีนใต้ เพื่อใช้เป็นที่จัดส่งสินค้า หรือฝิ่นนั่นเอง และประจวบเหมาะพอดีกับที่ฝ่ายสหราชอาณาจักรและจีน กำลังมีปัญหาเรื่องการค้าฝิ่นในแถบกวางตุ้งของจีน จนทำให้เกิดสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ขึ้นใน ค.ศ. 1839 กัปตันอีเลียตจึงตัดสินใจยกพลขึ้นบกที่ท่าเรือกลิ่นหอม และประกาศให้ดินแดนแถบนั้นเป็นของสหราชอาณาจักร ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1841 หลังจากจีนพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่น ปลายศตวรรษที่ 19 เกาะฮ่องกง และดินแดนตอนปลายคาบสมุทรเกาลูน จึงตกเป็นอาณานิคมใน ค.ศ. 1842 และ 1860 ตามลำดับ ว่ากันว่ามีเหตุการณ์ที่น่าขัน และสร้างความขายหน้าให้กับพระราชินีวิกตอเรียยิ่งนัก ที่กองทหารสหราชอาณาจักรเข้ายึดเกาะที่มีแต่หินโสโครก หาประโยชน์ไม่ได้เลย กัปตันอีเลียตจึงถูกลงโทษด้วยการส่งไปเป็นกงสุลสหราชอาณาจักรประจำรัฐเท็กซัสแทน ต่อมาภายหลัง ตั้งแต่นั้น จีนและสหราชอาณาจักรกระทบกระทั่งกันเรื่องการค้าฝิ่นเรื่อยมา เกิดสงครามฝิ่นถึงสองครั้ง หลังสงครามฝิ่นครั้งที่สองนี่เอง สหราชอาณาจักรได้บีบบังคับให้จีนทำสัญญาใน ค.ศ. 1898 สหราชอาณาจักรได้ทำสัญญา ‘เช่าซื้อ’ พื้นที่ทางตอนใต้ของลำน้ำเซินเจิ้น ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า ‘เขตดินแดนใหม่’ (เขตนิวเทร์ริทอรีส์) รวมทั้งเกาะรอบข้าง ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กว่าเมื่อครั้งสหราชอาณาจักรเข้ายึดครองในสมัยสงครามฝิ่นเกือบสิบเท่า. ผู้สำเร็จราชการคนแรกที่มาประจำยังเกาะฮ่องกง เฮนรี จอห์น เทมเพิล ไวเคานต์พาลเมอร์สตันที่ 3 เคยขนานนามเกาะแห่งนี้ไว้ว่า "หินไร้ค่า" แต่สหราชอาณาจักรได้ช่วยวางรากฐานการศึกษา การปกครอง และผังเมืองให้ฮ่องกงเป็นอย่างดี เพียงชั่วพริบตาเดียว ฮ่องกงได้กลับกลายเป็นศูนย์กลางพาณิชย์และยังเป็นประตูเปิดสู่ประเทศจีน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองฮ่องกงของบริเตนต้องเผชิญภาวะสงคราม กองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นได้โจมตีบริเวณเกาะฮ่องกงซึ่งนำไปสู่ยุทธการที่ฮ่องกงในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ในช่วงเช้าวันเดียวกับการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ หลังจากการสู้รบอย่างดุเดือดถึง 18 วัน ผู้ว่าการฮ่องกงของอังกฤษได้ประกาศยอมแพ้ต่อจักรวรรดิญี่ปุ่น และฮ่องกงต้องตกอยู่ภายใต้การยึดครองซึ่งกินเวลาเกือบสี่ปีซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ฮ่องกง ญี่ปุ่นปกครองฮ่องกงด้วยกฎอัยการศึกตามคำสั่งของรัฐบาลทหารนำโดย พลเอก เร็นสุเกะ อิโซไก มีการออกกฎหมายที่เข้มงวดและกดขี่ประชาชนฮ่องกง รวมถึงมีการทารุณกรรมต่อชาวจีนและฮ่องกงรวมถึงการข่มขืนสตรี และการประหารชีวิตชาวฮ่องกงกว่า 10,000 ราย ทั้งยังมีการปฏิรูปการศึกษาโดยการบังคับให้เรียนภาษาญี่ปุ่น และสั่งห้ามการใช้ภาษาอังกฤษและภาษาจีนกวางตุ้ง จุดสิ้นสุดของการยึดครองดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการยอมจำนนของญี่ปุ่นต่อฝ่ายสัมพันธมิตร นำไปสู่การยอมคืนเกาะฮ่องกงให้แก่อังกฤษในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1945 จากนั้น เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและประชากรเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงกลายเป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชียที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษ 1950 ด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลอาณานิคมจึงเริ่มปฏิรูปเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ โครงการบ้านจัดสรรสำหรับประชาชน สำนักงานคณะกรรมการอิสระต่อต้านการทุจริต และรถไฟขนส่งมวลชน ล้วนจัดตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษหลังสงครามเพื่อให้มีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น รวมถึงรณรงค์ด้านความซื่อสัตย์สุจริตในราชการ และพัฒนาการขนส่งเอ็มทีอาร์ (สายรถไฟฟ้า) ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ว่าความสามารถในการแข่งขันของอาณาเขตในด้านการผลิตจะค่อย ๆ ลดลงเนื่องจากต้นทุนแรงงานและทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น แต่ก็เปลี่ยนไปใช้เศรษฐกิจแบบบริการ ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ฮ่องกงได้จัดตั้งตัวเองเป็นศูนย์กลางทางการเงินและศูนย์กลางการขนส่งระดับโลก สหราชอาณาจักรเช่าฮ่องกงเป็นเวลา 99 ปี โดยกำหนดวันหมดสัญญาไว้วันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1997 โดยได้ทำพิธีส่งคืนเกาะฮ่องกง ให้แก่จีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ทั้งนี้เคยมีการเจรจาระหว่างสหราชอาณาจักรโดย นางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับ นายเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำฝ่ายจีน เพื่อเจรจาขอเช่าเกาะฮ่องกงต่อแต่ได้รับการปฏิเสธ และในปีเดียวกันนั้น วันที่ 26 กันยายน ผู้นำทั้งสองจึงเปิดเจรจาอีกครั้งและลงนามในสัญญา โดยมีสาระสำคัญว่า สหราชอาณาจักรจะยอมส่งมอบคืนเกาะฮ่องกงให้กับจีน และจีนได้ให้สัญญาว่าจะยอมให้ฮ่องกง อยู่ในฐานะ "เขตปกครองตนเอง" ต่อไปได้อีก 50 ปี (สิ้นสุดในปี พ.ศ.2590) โดยมีนายต่งเจียนหวา เป็นผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกงซึ่งเป็นชาวจีนคนแรกหลังการส่งมอบอำนาจอธิปไตยเหนือฮ่องกงจากสหราชอาณาจักรไปยังประเทศจีน ทั้งนี้จีนได้ร่างรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้รัฐบาลปักกิ่งรับผิดชอบด้านกิจการต่างประเทศ การทหาร และความมั่งคงเท่านั้น ส่วนการบริหารยังคงให้อิสระแก่ชาวฮ่องกงเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามด้วยทำเลอันเหมาะสม เกาะฮ่องกงก็ยังมีบทบาทสำคัญยิ่งในศตวรรษที่ 21 ในฐานะเมืองท่าการค้าระหว่างประเทศ ฐานที่ตั้งสำคัญของผู้ผลิต และศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก === ปัจจุบัน === ภายหลังสหราชอาณาจักรส่งมอบฮ่องกงคืนแก่จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงต้องเผชิญวิกฤติการเงินอย่างรุนแรง รัฐบาลจำเป็นต้องใช้ทุนสำรองจำนวนมากเพื่อรักษาค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงในช่วงวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย และได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการระบาดทั่วของไข้หวัดนก ตามมาด้วยการระบาดของโรคซาร์ใน ค.ศ. 2002–04 ซึ่งในช่วงเวลานั้นนั้นถือว่าฮ่องกงประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ ค.ศ. 1997 เป็นต้นมา รัฐบาลมีอุดมการณ์แน่วแน่ในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในสังคมภายใต้หลักการ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ทว่าการตัดสินใจของรัฐบาลกลางในการดำเนินการคัดกรองผู้ได้รับการเสนอชื่อล่วงหน้าก่อนที่จะอนุญาตให้มีการเลือกตั้งผู้บริหารระดับสูงได้ก่อให้เกิดการประท้วงหลายครั้งใน ค.ศ. 2014 ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "การปฏิวัติร่ม" ความคลาดเคลื่อนในการลงทะเบียนการเลือกตั้งและการตัดสิทธิ์สมาชิกสภานิติบัญญัติที่ได้รับการเลือกตั้งหลังการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ ค.ศ. 2016 และการบังคับใช้กฎหมายระดับชาติในสถานีรถไฟความเร็วสูงเกาลูนตะวันตกทำให้เกิดความกังวลเพิ่มขึ้นในแง่การรักษาเอกราชของภูมิภาค ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 ได้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เพื่อตอบสนองต่อร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่อนุญาตให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังไต้หวัน ในขณะที่ผู้ประท้วงโต้แย้งว่าอาชญากรอาจถูกส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังจีนแผ่นดินใหญ่แทน โดยผู้นำการประท้วงอ้างว่าได้มีประชนในฮ่องกงมากกว่าสามล้านคนเข้าร่วมการประท้วง == การเมืองการปกครอง == ฮ่องกงเป็นเขตบริหารพิเศษที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง รัฐบาลจีนใช้นโยบาย "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ปกครองฮ่องกง ตามกฎหมายพื้นฐานที่ใช้ปกครองและบริหารฮ่องกงที่สภาประชาชนจีนอนุมัติและประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1990 ให้สิทธิฮ่องกงในการปกครองตนเองอย่างอิสระ สามารถดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การเงิน การพาณิชย์ ฯลฯ ได้ตามระบบเสรี รัฐบาลจีนได้กำหนดให้ฮ่องกงสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเสรีต่อไปได้อีกเป็นเวลา 50 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1997 จนไปถึง 30 มิถุนายน ค.ศ. 2047 การบริหารของรัฐบาลแบ่งออกเป็น: ฝ่ายบริหาร: ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง มีหน้าที่รับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมายระดับภูมิภาค สามารถบังคับให้มีการพิจารณากฎหมายใหม่ และแต่งตั้งสมาชิกสภาบริหารและเจ้าหน้าที่หลัก รวมถึงรักษาการกับคณะมนตรีบริหาร หัวหน้าผู้บริหารในสภาสามารถเสนอร่างกฎหมายใหม่ ออกกฎหมายรอง และมีอำนาจในการยุบสภา สภานิติบัญญัติ: สภานิติบัญญัติมีสภาเดียวมีหน้าที่ออกกฎหมายระดับภูมิภาค อนุมัติงบประมาณ และมีอำนาจฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง ตุลาการ: ศาลอุทธรณ์และศาลล่างมีอำนาจตีความกฎหมาย และยกเลิกกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายพื้นฐาน ผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งโดยหัวหน้าผู้บริหารตามคำแนะนำของคณะกรรมการ ผู้บริหารสูงสุดทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลและดำรงตำแหน่งสูงสุดได้สองวาระไม่เกินห้าปี สภาแห่งรัฐ (นำโดยนายกรัฐมนตรีจีน) แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงภายหลังการเสนอชื่อโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งประกอบด้วยผู้นำธุรกิจ ชุมชน และรัฐบาลจำนวน 1,200 คน สภานิติบัญญัติมีสมาชิก 70 คน แต่ละคนมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี จำนวน 35 คนจะได้รับเลือกโดยตรงจากเขตเลือกตั้งทางภูมิศาสตร์ 30 คนได้รับเลือกจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จำกัดซึ่งเป็นตัวแทนของภาคเศรษฐกิจหรือกลุ่มผลประโยชน์พิเศษ และสมาชิกที่เหลืออีก 5 คนได้รับการเสนอชื่อจากสมาชิกสภาเขต ฮ่องกงมีพรรคการเมือง 22 พรรค ซึ่งพรรคเหล่านี้มีการแบ่งแยกตามอุดมการณ์ออกเป็นสามกลุ่มหลักได้แก่ กลุ่มสนับสนุนค่ายปักกิ่ง (รัฐบาลปัจจุบัน) กลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตย และกลุ่มท้องถิ่น พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่มีสถานะทางการเมืองอย่างเป็นทางการในฮ่องกง และสมาชิกของพรรคไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งในท้องถิ่น ฮ่องกงเป็นตัวแทนในสภาประชาชนแห่งชาติโดยผู้แทน 36 คนที่ได้รับการคัดเลือกผ่านวิทยาลัยการเลือกตั้งและผู้แทน 203 คนในการประชุมปรึกษาหารือทางการเมืองของประชาชนจีนซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาลกลาง โดยทั่วไปแล้วกฎหมายภายในประเทศของจีนไม่มีผลบังคับใช้ในภูมิภาคนี้ และฮ่องกงจะถือว่าเป็นเขตอำนาจศาลที่แยกจากกัน ระบบตุลาการตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายจารีตประเพณี สืบสานประเพณีทางกฎหมายที่จัดตั้งขึ้นระหว่างการปกครองของอังกฤษ ศาลท้องถิ่นอาจอ้างถึงแบบอย่างที่กำหนดไว้ในกฎหมายอังกฤษและนิติศาสตร์ในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในจีนแผ่นดินใหญ่มีผลบังคับใช้กับกรณีที่สำนักงานปกป้องความมั่นคงแห่งชาติใช้สอบสวนคดี การตีความและแก้ไขอำนาจเหนือกฎหมายพื้นฐานและเขตอำนาจศาลเหนือการกระทำของรัฐอยู่ที่ผู้มีอำนาจส่วนกลาง ทำให้ศาลระดับภูมิภาคในท้ายที่สุดอยู่ใต้บังคับบัญชาของระบบกฎหมายแพ่งสังคมนิยมของแผ่นดินใหญ่ การตัดสินใจของคณะกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติมีผลเหนือกระบวนการยุติธรรมในอาณาเขต นอกจากนี้ ในสถานการณ์ที่คณะกรรมการประจำประกาศภาวะฉุกเฉินในฮ่องกง สภาแห่งรัฐอาจบังคับใช้กฎหมายระดับชาติควบคุมสถานการณ์ ผู้เดินทางระหว่างฮ่องกง, จีน และมาเก๊าทุกคนต้องผ่านด่านควบคุมชายแดนโดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ พลเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ไม่มีสิทธิ์อาศัยอยู่ในฮ่องกงและอยู่ภายใต้การควบคุมการเข้าเมือง นโยบายการเงินสาธารณะได้รับการจัดการแยกต่างหากจากรัฐบาลแห่งชาติ === การแบ่งเขตการปกครอง === อาณาเขตแบ่งออกเป็น 18 เขต แต่ละเขตเป็นตัวแทนของสภาเขต และมีส่วนช่วยในการแนะนำรัฐบาลในประเด็นการแก้ปัญหาท้องถิ่น เช่น การจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ การบำรุงรักษาโปรแกรมชุมชน การส่งเสริมวัฒนธรรม และนโยบายสิ่งแวดล้อม มีที่นั่งสภาเขตทั้งหมด 479 ที่นั่ง โดย 452 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีประธานคณะกรรมการชนบทซึ่งเป็นตัวแทนของหมู่บ้านและปริมณฑลรอบนอก === นโยบายต่างประเทศ === รัฐบาลกลางและกระทรวงการต่างประเทศรับผิดชอบด้านการทูต ฮ่องกงมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในองค์การการค้าโลก ฟอรัมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก คณะกรรมการโอลิมปิกสากล และหน่วยงานของสหประชาชาติหลายแห่ง รัฐบาลระดับภูมิภาคมีสำนักงานการค้าในจีนแผ่นดินใหญ่และประเทศอื่น ๆ การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติของฮ่องกงโดยรัฐบาลกลางในกรุงปักกิ่งในเดือนมิถุนายน 2020 ส่งผลให้มีการระงับสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนแบบทวิภาคีโดยสหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟินแลนด์ และไอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกายุติการปฏิบัติพิเศษทางเศรษฐกิจและการค้าของฮ่องกงในเดือนกรกฎาคม 2020 เนื่องจากไม่สามารถแยกฮ่องกงว่าเป็นหน่วยงานที่แยกจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้อีกต่อไป === ปัญหา === ฮ่องกงอยู่ภายใต้การปกครองผสมที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมด สมาชิกสภานิติบัญญัติซึ่งมาจากการเลือกตั้งตามเขตเลือกตั้งที่ประกอบด้วยกลุ่มอาชีพและกลุ่มข้าราชการเฉพาะไม่ใช่ประชาชนทั่วไป การจัดการเลือกตั้งรับประกันว่าเสียงข้างมากในฝ่ายนิติบัญญัติจะได้รับการสนับสนุนตั้งแต่การโอนอำนาจอธิปไตย ในทำนองเดียวกัน ผู้บริหารระดับสูงได้รับเลือกจากนักการเมืองที่ตั้งขึ้นและสมาชิกองค์กรของคณะกรรมการการเลือกตั้งมากกว่าที่จะมาจากการเลือกตั้งโดยตรง แม้ว่าการออกเสียงลงคะแนนสากลสำหรับผู้บริหารระดับสูงและการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติทั้งหมดจะเป็นเป้าหมายที่กำหนดไว้ในมาตรา 45 และ 68 ของกฎหมายขั้นพื้นฐาน สภานิติบัญญัติได้รับการเลือกตั้งโดยตรงเพียงบางส่วนเท่านั้น และผู้บริหารยังคงได้รับการเสนอชื่อโดยหน่วยงานที่ไม่เป็นตัวแทนอยู่ รัฐบาลได้รับการร้องเรียนหลายครั้งให้มีการปฏิรูประบบดังกล่าว ชนกลุ่มน้อยและชาติพันธุ์อื่น ๆ (ยกเว้นกลุ่มชาติพันธุ์ในยุโรป) มีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยในการบริหารงานของรัฐบาล และมักประสบกับการเลือกปฏิบัติในด้านที่อยู่อาศัย การศึกษา และการจ้างงาน การสมัครงานและการใช้บริการสาธารณะมักมีข้อกำหนดด้านภาษา และทรัพยากรการศึกษาภาษายังคงไม่เพียงพอสำหรับผู้ศึกษาภาษาจีน ผู้ช่วยแม่บ้านชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรีจากฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ได้รับการคุ้มครองเพียงเล็กน้อยภายใต้กฎหมายระดับภูมิภาค แม้ว่าจะอาศัยและทำงานในฮ่องกง แต่คนงานเหล่านี้ไม่ถือว่ามีฐานะเป็นบุคคลและไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในดินแดน การค้ามนุษย์และการขดขี่ทางเพศในฮ่องกงยังคงเป็นปัญหา ผู้หญิงและเด็กหญิงชาวฮ่องกงและชาวต่างชาติถูกบังคับให้ค้าประเวณีในซ่องโสเภณี บ้าน และธุรกิจต่าง ๆ ในเมือง ปฏิญญาร่วมรับรองกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกงเป็นเวลา 50 ปีหลังจากการโอนอำนาจอธิปไตย ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าฮ่องกงจะถูกปกครองอย่างไรหลัง ค.ศ. 2047 และบทบาทของรัฐบาลกลางในการกำหนดระบบการปกครองในอนาคตของดินแดนแห่งนี้เป็นหัวข้อของการอภิปรายและการแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองถึงปัจจุบัน ระบบการเมืองและตุลาการของฮ่องกงอาจรวมเข้ากับระบบของจีนในขณะนั้น หรืออาจบริหารอาณาเขตต่อไปแยกกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีการประท้วงครั้งใหญ่ในปี 2020 คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ (National People's Congress) ได้ผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกงที่เป็นประเด็นถกเถียง และได้จัดตั้งสำนักงานเพื่อการปกป้องความมั่นคงแห่งชาติซึ่งเป็นสำนักงานสืบสวนภายใต้อำนาจของรัฐบาลกลางซึ่งได้รับการยกเว้นจากเขตอำนาจศาล สหราชอาณาจักรถือว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นการละเมิดปฏิญญาร่วมอย่างร้ายแรง ในเดือนตุลาคม 2020 ตำรวจฮ่องกงจับกุมนักการเมืองที่สนับสนุนประชาธิปไตย 7 คน ฐานทะเลาะวิวาทกับนักการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาลจีนในเดือนพฤษภาคม พวกเขาถูกตั้งข้อหาดูหมิ่นและก่อกวนการทำหน้าที่สมาชิกสภา == เศรษฐกิจ == ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่การโอนอำนาจอธิปไตย เนื่องจากประชากรสูงอายุในภูมิภาคนี้ค่อย ๆ เพิ่มจำนวน แม้ว่ารายได้เฉลี่ยของครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2016 แต่ช่องว่างทางรายได้ยังคงสูง ฮ่องกงมีจำนวนมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุด โดยคิดเป็นอัตราหนึ่งต่อ 109,657 คน แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามลดความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้น === โครงสร้าง === ฮ่องกงมีเศรษฐกิจบริการแบบผสมผสานแบบเน้นทุนนิยม โดยมีการเก็บภาษีต่ำ มีการแทรกแซงตลาดของรัฐบาลเพียงเล็กน้อย เศรษฐกิจของฮ่องกงอยู่ในอันดับต้น ๆ ของดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจของมูลนิธิเฮอริเทจตั้งแต่ปี 1995 ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก โดยมีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ 30.4 ล้านล้านเหรียญฮ่องกง (3.87 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) ณ เดือนธันวาคม 2018 ฮ่องกงเป็นองค์กรการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 10 ในการส่งออกและนำเข้า (2017) โดยซื้อขายสินค้าที่มีมูลค่ามากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ กว่าครึ่งของปริมาณการขนส่งสินค้าประกอบด้วยการถ่ายลำ (สินค้าที่เดินทางผ่านฮ่องกง) ผลิตภัณฑ์จากจีนแผ่นดินใหญ่มีสัดส่วนประมาณ 40% ที่ตั้งของเมืองอนุญาตให้สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ซึ่งรวมถึงท่าเรือที่พลุกพล่านที่สุดอันดับเจ็ดของโลก และมีท่าอากาศยานที่พลุกพล่านที่สุดสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของอาณาเขตคือจีนแผ่นดินใหญ่และสหรัฐอเมริกา คู่ค้าสำคัญในกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฮ่องกงยังเป็นตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราใหญ่อันดับ 7 และเป็นตลาดค้าทองคำขนาดใหญ่หนึ่งในสี่ของโลก นอกจากนี้ ฮ่องกงยังเป็นเขตการส่งออกสินค้าทั่วโลก อาทิ เสื้อผ้าสำเร็จรูป นาฬิกา ของเล่น เกมคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุตสาหกรรมขนาดเบาอีกหลายชนิด ฮ่องกงเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมทางทะเลที่ไหลจากชายฝั่งจีนผ่านคลองสุเอซไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีเส้นทางรถไฟไปยังยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ฮ่องกงมีที่ดินทำกินน้อยและมีทรัพยากรธรรมชาติน้อย ต้องนำเข้าอาหารและวัตถุดิบส่วนใหญ่ อาหารฮ่องกงมากกว่า 90% ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ รวมทั้งเนื้อสัตว์และข้าวเกือบทั้งหมดรวมทั้งจากประเทศไทย กิจกรรมทางการเกษตรคือ 0.1% ของจีดีพีและประกอบด้วยการปลูกพืชและพันธุ์ไม้ดอก ระหว่างปี 1961 ถึง 1997 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของฮ่องกงเพิ่มขึ้น 180 เท่า และจีดีพีต่อหัวเพิ่มขึ้น 87 เท่า จีดีพีฮ่องกงเทียบกับจีนแผ่นดินใหญ่สูงสุดที่ 27% ในปี 1993 ลดลงเหลือน้อยกว่า 3% ในปี 2017 เนื่องจากจีนแผ่นดินใหญ่พัฒนาการเปิดเสรีเศรษฐกิจ การบูรณาการทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานกับจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่การเปิดเสรีตลาดบนแผ่นดินใหญ่ในปี 1978 นับตั้งแต่เริ่มให้บริการรถไฟข้ามพรมแดนอีกครั้งในปี 1979 ทางเชื่อมทางรถไฟและถนนจำนวนมากได้รับการปรับปรุงและสร้าง อำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ ข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นได้กำหนดนโยบายการค้าเสรีระหว่างสองพื้นที่อย่างเป็นทางการ โดยแต่ละเขตอำนาจให้คำมั่นว่าจะขจัดอุปสรรคที่เหลืออยู่ในการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน รัฐบาลอาณานิคมมีนโยบายอุตสาหกรรมเพียงเล็กน้อยและแทบไม่มีการควบคุมการค้า ภายใต้หลักคำสอนของ "การไม่แทรกแซงภาคธุรกิจ" การบริหารประเทศหลังสิ้นสุดสงครามจงใจหลีกเลี่ยงการจัดสรรทรัพยากรโดยตรง การแทรกแซงอย่างแข็งขันถือว่าเป็นอันตรายต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่เศรษฐกิจเปลี่ยนไปเป็นพื้นฐานการบริการในช่วงทศวรรษ 1980 รัฐบาลอาณานิคมในช่วงปลายได้แนะนำนโยบายการแทรกแซง การบริหารหลังการส่งมอบยังคงดำเนินต่อไปและขยายโครงการเหล่านี้ รวมถึงการค้ำประกันการส่งออก, โครงการบำเหน็จบำนาญภาคบังคับ, ค่าแรงขั้นต่ำ, กฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติ และผู้สนับสนุนการจำนองของรัฐ === การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ === การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในฮ่องกงสามารถทำได้โดยเสรี เงินดอลลาร์ฮ่องกง (Hong Kong Dollar) เป็นสกุลเงินที่สามารถแลกเปลี่ยนกับเงินตราต่างประเทศได้ อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันทางการฮ่องกงได้กำหนดให้เงินดอลลาร์ฮ่องกงมีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Rate) กับเงินดอลลาร์สหรัฐ (แต่เพิ่มสูง/ต่ำกว่าอัตราที่กำหนดได้เล็กน้อย) อัตราแลกเปลี่ยนในเดือนมกราคม ค.ศ. 2022 คือ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 7.79 ดอลลาร์ฮ่องกง 1หยวนจีน เท่ากับ 1.22ดอลลาร์ฮ่องกง และ 1 ปอนด์สเตอร์ลิงก์ เท่ากับ 10.45ดอลลาร์ฮ่องกง (อัตราซื้อขายโดยเฉลี่ย) ธนบัตรของฮ่องกงพิมพ์โดยธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ธนาคารเอชเอสบีซี และธนาคารแห่งประเทศจีน === การท่องเที่ยว === ฮ่องกงเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งตึกสูงระฟ้า อาคารทันสมัย ตลาดขายของพื้นเมือง ตลาดขายของเก่า วัดวาอาราม หรือแม้แต่แปลงปลูกผัก จากความหลากหลายเหล่านี้จึงทำใหฮ่องกงมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างมากมาย นักท่องเที่ยวสามารถพบกับสิ่งที่น่าสนใจและหลากหลาย โดยเราสามารถแบ่งเขตท่องเที่ยวสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลัก ๆ ออกเป็น 3 เขต คือ เกาะฮ่องกง ฝั่งเกาลูน เขตนิวเทอร์ริทอรี่ส์ และหมู่เกาะต่าง ๆ ย่านเซ็นทรัล (Central) เขตเซ็นทรัลเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของฮ่องกง เป็นที่ตั้งของบริษัทธุรกิจชั้นนำของเอเชีย ธนาคารนานาชาติ สำนักงานใหญ่ของรัฐบาล และอาคารศาลสูงสุด พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยตึกสูงระฟ้า ที่เป็นอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าอันทันสมัย ตลอดจนโรงแรมระดับ 5 ดาว อาคารที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่ในย่านเซ็นทรัลนี้ ได้แก่ อาคาร Bank of China Tower ออกแบบโดย I.M. Pei และ อาคาร HongKong Bank ออกแบบโดย Sir Norman Foster ท่ามกลางความทันสมันเหล่านี้ยังมีถนนแบบขั้นบันไดอันเก่าแก่ ซึ่งได้รับการบันทึกว่าเป็นทางเลื่อนต่อเนื่องที่ยาวที่สุดในโลก และนอกจากนี้เรายังสามารถพบเห็นสวนสาธารณะที่ร่มรื่นเขียวขจีแทรกตัวอยู่ทั่วไป นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมายังเขตเซ็นทรัลได้โดยรถไฟใต้ดิน ลงสถานี Central หรือ สถานี Hongkong ฮ่องกงมีชื่อเสียงในด้านการเป็นแหล่งชอปปิ้ง โดยย่านที่มีชื่อเสียง เช่น ถนนนาธาน (จิมซ้าโจ๋ย) ย่านเซ็นทรัล เป็นต้น แหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น สวนสนุก ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท สวนสนุกโอเชียนปาร์ค วิกตอเรียพีค พระใหญ่วัดโปลิน(พระไวโรจนพุทธะ) วัดหวังต้าเซียน อ่าวน้ำตื้น Repulse Bay นอกจากนั้นยังมีการแสดง Symphony of lights ซึ่งเป็นมัลติมีเดียโชว์ที่ติดตั้งถาวรใหญ่ที่สุดในโลก === นโยบายการค้า === ฮ่องกงดำเนินนโยบายการค้าเสรีและเป็นเมืองท่าเสรี การดำเนินการค้าแบบเสรีมาตั้งแต่เดิมจนถึงปัจจุบันติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ทำให้ฮ่องกงมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศมากเป็นอันดับที่ 9 ของโลก รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการพาณิชย์และการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ ฮ่องกงยังเป็นส่วนหนึ่งของขุมพลังทางเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำซูเจียง หรือแม่น้ำเพิร์ล อันเปรียบเสมือนประตูการค้าเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน ในปัจจุบันฮ่องกงเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก โดยใช้ชื่อในฐานะสมาชิกขององค์การการค้าโลกว่า "Hong Kong, China" ซึ่งเป็นสมาชิกแยกต่างหากจากจีน นอกจากนั้น ฮ่องกงยังเป็นสมาชิกในองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ด้วย คือ APEC, PECC, ADB, WCO, ESCAP รวมทั้งเป็นผู้สังเกตการณ์ใน OECD ด้วย จากการดำเนินนโยบายการค้าแบบเสรีและเป็นเมืองท่าเสรี ฮ่องกงจึงไม่มีการจัดเก็บภาษีศุลกากรในการนำเข้าและส่งออก แต่มีการเก็บภาษีสรรพสามิต (Excise Duty) สินค้า 3 หมวด คือ สินค้าเครื่องดึ่มผสมแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ ใบยาสูบ และหมวดผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิง == โครงสร้างพื้นฐาน == === คมนาคม และโทรคมนาคม === ฮ่องกงเป็นเมืองที่มีการพัฒนาด้านเครือข่ายการคมนาคมขนส่งสูงทั้งของรัฐ และเอกชน การเดินทางในแต่ละวันของชาวฮ่องกง 90% เป็นการใช้ขนส่งสาธารณะ และทำให้ฮ่องกงเป็นเมืองหนึ่งที่มีขนส่งสาธารณะครอบคลุมและมีประสิทธิภาพเมืองหนึ่งของโลก เพื่อความสะดวกสบายจึงมีบัตรเงินสดอ็อคโทปัส เป็นบัตรที่ไว้ใช้จ่ายค่าโดยสารรถไฟ รถราง รถบัส เรือข้ามฟาก และยังสามารถใช้ได้ที่ร้านสะดวกซื้อกับร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเช่นกัน The Peak Tram ซึ่งเป็นระบบขนส่งสาธารณะระบบแรกของฮ่องกง ให้บริการรถรางไฟฟ้าระหว่างเซ็นทรัลและวิกตอเรียพีคตั้งแต่ ค.ศ. 1888 เขตภาคกลางและตะวันตกมีระบบบันไดเลื่อนและทางเท้าที่กว้างขวาง รวมถึงบันไดเลื่อนและทางเดินกลาง (ระบบบันไดเลื่อนกลางแจ้งที่ยาวที่สุดในโลก) Hong Kong Tramways ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของเกาะฮ่องกง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (MTR) เป็นเครือข่ายรถไฟโดยสารที่ครอบคลุม เชื่อมต่อสถานีรถไฟใต้ดิน 93 แห่งทั่วอาณาเขต ด้วยจำนวนผู้โดยสารมากกว่าห้าล้านคนต่อวัน ระบบให้บริการ 41% ของผู้โดยสารระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมดในเมือง และมีอัตราตรงเวลา 99.9% บริการรถไฟข้ามพรมแดนไปยังเซินเจิ้นให้บริการโดยรถไฟสายตะวันออก และรถไฟระหว่างเมืองระยะไกลไปยังกวางโจว เซี่ยงไฮ้ และปักกิ่งดำเนินการจากสถานีฮุงฮอม มีบริการเชื่อมต่อระบบรถไฟความเร็วสูงแห่งชาติที่สถานีรถไฟเกาลูนตะวันตก ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงเป็นสนามบินหลักของอาณาเขต สายการบินกว่า 100 แห่งให้บริการเที่ยวบินจากสนามบิน รวมทั้งคาเธ่ย์แปซิฟิค, ฮ่องกงแอร์ไลน์ และสายการบินต้นทุนต่ำฮ่องกงเอ็กซเพรส และสายการบินขนส่งสินค้าแอร์ฮ่องกง เป็นสนามบินที่พลุกพล่านที่สุดอันดับที่ 8 ของโลกในแง่จำนวนผู้โดยสาร และรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศมากที่สุดในโลก อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มีให้บริการอย่างแพร่หลาย โดย 92.6% ของครัวเรือนสามารถเข้าถึงการเชื่อมต่อ การเชื่อมต่อผ่านโครงสร้างพื้นฐานไฟเบอร์ออปติกเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ทำให้มีความเร็วในการเชื่อมต่อเฉลี่ยในภูมิภาคสูงถึง 21.9 Mbit/s (เร็วที่สุดเป็นอันดับสี่ของโลก) การใช้โทรศัพท์มือถือแพร่หลายเช่นกัน โดยฮ่องกงมีการลงทะเบียนโทรศัพท์มือถือมากกว่า 18 ล้านบัญชี มากกว่าสองเท่าของจำนวนประชากรทั้งหมด === วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี === จากการพัฒนาพื้นที่ปกครองอย่างรวดเร็วหลังสิ้นสุดการยึดครองของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลก กอปรกับการได้รับวัฒนธรรมและความเจริญทางเทคโนโลยีของสหราชอาณาจักรทำให้ฮ่องกงพัฒนาขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่เป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชียในทศวรรษ 1950 ฮ่องกงมีชื่อเสียงในด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, เครื่อใช้ไฟฟ้า รวมถึงเทคโนโลยีชีวภาพ และการแพทย์ของฮ่องกงยังได้รับการยกย่องว่ามีมาตรฐานระดับโลก พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ฮ่องกงมีชื่อเสียงจากการจัดนิทรรศการนานาชาติมากกว่า 500 งาน รวมถึงการแสดงหุ่นยนต์และความเป็นจริงเสมือน ใน ค.ศ. 2006 วงการแพทย์ของฮ่องกงสร้างชื่อเสียงจากการค้นพบวิธีการห้ามเลือดได้ในชั่วพริบตา จากการรายงานการวิจัยในวารสาร Nanomedicine (การแพทย์นาโน) ซึ่งเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตระบุว่านักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮ่องกงและสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ของสหรัฐฯ กำลังค้นคว้าวิธีใหม่ในการห้ามเลือดระหว่างการผ่าตัดด้วยของเหลวเทคโนโลยีชั้นสูงที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ ซึ่งยังช่วยร่นระยะเวลาการผ่าตัดได้อย่างมาก นอกจากนี้ นับตั้งแต่เกิดการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา ทีมแพทย์ฮ่องกงยังมีส่วนสำคัญในการร่วมวิจัยและพัฒนาประสิทธิภาพวัคซีนไฟเซอร์ === สาธารณูปโภค === ฮ่องกงผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่จากผู้ผลิตท้องถิ่น พลังงานส่วนใหญ่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดย 46% มาจากถ่านหินและ 47% มาจากปิโตรเลียม ส่วนที่เหลือมาจากการนำเข้าอื่น ๆ รวมถึงพลังงานนิวเคลียร์ที่ผลิตในจีนแผ่นดินใหญ่ แหล่งพลังงานหมุนเวียนมีพลังงานเพียงเล็กน้อยที่สร้างขึ้นได้เอง แหล่งพลังงานลมขนาดเล็กได้รับการพัฒนาเล็กน้อย และบ้านส่วนตัวและอาคารสาธารณะจำนวนเล็กน้อยได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ จากการมีความหนาแน่นของประชากรสูง แต่มีแหล่งน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้ประชากรฮ่องกงประสบปัญหาการเข้าถึงแหล่งน้ำ และมีปริมาณน้ำฝนไม่เพียงพอในบางปี แม่น้ำตงเจียงในกวางตุ้งเป็นแหล่งจ่ายน้ำ 70% ในเขตเมืองฮ่องกง ห้องน้ำสาธารณะบางแห่งจะใช้น้ำทะเลซึ่งช่วยลดปริมาณการใช้น้ำจืด === การศึกษา === การศึกษาในฮ่องกงยึดระบบตามแบบของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะระบบการศึกษาภาษาอังกฤษภาคบังคับ เด็ก ๆ จะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนตั้งแต่อายุ 6 ขวบจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา โดยทั่วไปแล้วเมื่ออายุ 18 ปี เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษา นักเรียนทุกคนทำการสอบและได้รับรางวัลประกาศนียบัตรการศึกษาระดับมัธยมศึกษาแห่งฮ่องกงเมื่อสำเร็จหลักสูตร ผู้อยู่อาศัยอายุ 15 ปีขึ้นไป 81% สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 66% จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 32% เข้าร่วมโปรแกรมระดับอุดมศึกษาและ 24% ได้รับปริญญาตรีหรือสูงกว่า การศึกษาภาคบังคับมีส่วนทำให้อัตราการรู้หนังสือของผู้ใหญ่สูงถึง 95.7% แต่ยังต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ เนื่องจากการไหลเข้าของผู้ลี้ภัยจากจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงยุคอาณานิคมหลังสงคราม ประชากรสูงอายุส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษาเนื่องจากภาวะสงครามและความยากจน โรงเรียนแบ่งออกเป็นสามประเภท: โรงเรียนของรัฐที่ดำเนินการโดยรัฐบาล, โรงเรียนที่ได้รับเงินอุดหนุน รวมทั้งโรงเรียนสงเคราะห์และให้ทุนจากรัฐบาล และโรงเรียนเอกชนซึ่งมักจะดำเนินการโดยองค์กรทางศาสนาและที่รับสมัครตามคุณธรรมทางวิชาการ โรงเรียนเหล่านี้อยู่ภายใต้แนวทางหลักสูตรตามที่สำนักการศึกษากำหนด โรงเรียนเอกชนที่ได้รับเงินอุดหนุนภายใต้โครงการเงินช่วยเหลือโดยตรง โรงเรียนนานาชาติอยู่นอกระบบนี้ซึ่งบริหารโดยเอกชน และอาจเลือกใช้หลักสูตรที่แตกต่างกันและสอนโดยใช้ภาษาอื่น รัฐบาลรักษานโยบายของ "การสอนภาษาแม่" โรงเรียนส่วนใหญ่ใช้ภาษาจีนกวางตุ้งเป็นสื่อกลางในการสอน โดยมีการศึกษาข้อเขียนทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ภาษาอื่น ๆ ที่ใช้เป็นสื่อการสอนในการศึกษานอกโรงเรียนนานาชาติ ได้แก่ ภาษาอังกฤษและภาษาจีนกลางมาตรฐาน (ผู่ทงฮฺว่า) โรงเรียนมัธยมศึกษาเน้นย้ำ "การรู้หนังสือสองภาษาและสามภาษา" ซึ่งสนับสนุนให้มีการศึกษาภาษาพูดภาษาจีนกลางเพิ่มมากขึ้น ฮ่องกงมีมหาวิทยาลัย 11 แห่ง มหาวิทยาลัยฮ่องกง (The University of Hong Kong) ก่อตั้งขึ้นเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของเมืองในช่วงยุคอาณานิคมตอนต้นใน ค.ศ. 1911 Chinese University of HongKong เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยสาธารณะ ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1963 โดยกฎบัตรที่ได้รับจากสภานิติบัญญัติแห่งฮ่องกง เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของฮ่องกง เป็นหนึ่งในสามสถาบันด้านการวิจัยที่ดีที่สุดของเอเชียร่วมกับ Hong Kong University of Science and Technology และ City University of Hong Kong === สาธารณสุข === ความคาดหมายคงชีพเฉลี่ยในฮ่องกงอยู่ที่ 82.2 ปีสำหรับผู้ชายและ 87.6 ปีสำหรับผู้หญิงในปี 2018 ซึ่งสูงเป็นอันดับหกของโลก มะเร็ง โรคปอดบวม โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และอุบัติเหตุเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ระบบสาธารณสุขถ้วนหน้าได้รับทุนจากรายได้ภาษีทั่วไป และค่ารักษาพยาบาลได้รับการสนับสนุนอย่างสูง โดยเฉลี่ยแล้ว 95% ของค่ารักษาพยาบาลได้รับการคุ้มครองโดยรัฐบาล == ประชากรศาสตร์ == === เชื้อชาติ === ฮ่องกงมีจำนวนประชากรกว่า 6.99 ล้านคน ในปี 2549 ความหนาแน่นของประชากร 6,300 คนต่อตารางกิโลเมตร ประชากรส่วนมากป็นชาวฮ่องกง มีร้อยละ 3 เป็นชาวต่างชาติ อาทิ สหราชอาณาจักร ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อเมริกัน ฯลฯ === ระเบียบการเข้าเมือง === หนังสือเดินทางมีอายุใช้งานอย่างน้อย 1 เดือน นักท่องเที่ยวหลายสัญชาติจากหลายประเทศไม่ต้องขอวีซ่าตั้งแต่ 7 วัน ถึง 180 วัน ขึ้นอยู่กับสัญชาติ (สำหรับคนไทยอยู่ในฮ่องกงได้โดยไม่ต้องขอวีซ่านาน 1 เดือน) === ศาสนา === ในบรรดาประชากรที่นับถือศาสนา "คำสอนสามประการ" ตามประเพณีของจีน ศาสนาพุทธ ลัทธิขงจื๊อ และลัทธิเต๋า มีผู้นับถือมากที่สุด (20%) รองลงมาคือคริสต์ศาสนา (12%) และอิสลาม (4%) ผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ รวมทั้งศาสนาซิกข์ ศาสนาฮินดู และศาสนายิว มีไม่มากนัก === ภาษา === ภาษากวางตุ้งซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่มีการพูดตั้งแต่มณฑลกวางตุ้งของจีนเรื่อยมาจนถึงฮ่องกงได้กลายมาเป็นภาษาทางการของฮ่องกง ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นของภาษาของเจ้าอาณานิคมก็ยังคงเป็นภาษาทางการร่วมซึ่งถูกใช้พูดมากกว่า 38 เปอร์เซ็นของประชากร ก็เป็นภาษาที่ใช้แพร่หลาย ส่วนภาษาจีนท้องถิ่นอื่นเช่นแต้จิ๋ว หรือจีนแคะ ฯลฯ ก็มีไม่น้อยเช่นกัน และตั้งแต่ฮ่องกงกลับสู่ใต้การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ การใช้ภาษาจีนกลางในการติดต่อก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากการเข้ามาของชาวจีนแผ่นดินใหญ่และการติดต่อค้าขายระหว่างกัน ถึงแม้ว่าการใช้อักษรจีนนั้นยังนิยมใช้อักษรจีนตัวเต็มอยู่ก็ตาม นอกจากนั้นทางรัฐบาลฮ่องกงได้มีโครงการ "สองแบบอักษร สามภาษา" เพื่อสนับสนุนให้ชาวฮ่องกงใช้ภาษาทั้ง 3 ภาษาร่วมกัน คือภาษากวางตุ้ง จีนกลาง และอังกฤษ == วัฒนธรรม == ฮ่องกงมีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกมาหลายศตวรรษ จากการเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร และเป็นหนึ่งในเขตบริหารพิเศษของจีน ค่านิยมแบบจีนดั้งเดิมที่เน้นเรื่องครอบครัวและการศึกษาผสมผสานกับอุดมคติของตะวันตกเป็นที่ปฏิบัติกันอย่างแพร่หลาย รวมทั้งเสรีภาพทางเศรษฐกิจและหลักนิติธรรม แม้ว่าประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อชาติจีน แต่ฮ่องกงได้พัฒนาเอกลักษณ์ที่แตกต่างออกไป อาณาเขตแยกออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านการปกครองสหราชอาณาจักรที่ยาวนานและมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป วัฒนธรรมกระแสหลักมาจากผู้อพยพที่มาจากส่วนต่าง ๆ ของจีน สิ่งนี้ได้รับอิทธิพลจากการศึกษาแบบอังกฤษ ระบบการเมืองที่แยกจากกัน และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของดินแดนในปลายศตวรรษที่ 20 ผู้อพยพส่วนใหญ่ในยุคนั้นหนีความยากจนและสงคราม สะท้อนให้เห็นทัศนคติที่แพร่หลายต่อความมั่งคั่ง ชาวฮ่องกงมักจะเชื่อมโยงภาพพจน์และการตัดสินใจเข้ากับผลประโยชน์ทางวัตถุ ความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยในอัตลักษณ์ท้องถิ่นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังการส่งมอบ ประชากรส่วนใหญ่ (52%) ระบุว่าเป็น "ชาวฮ่องกง" ในขณะที่ 11% อธิบายว่าตนเองเป็น "ชาวจีน" ประชากรที่เหลืออ้างว่ามีอัตลักษณ์ผสม 23% เป็น "ชาวฮ่องกงในจีน" และ 12% เป็น "ชาวจีนในฮ่องกง" ชาวฮ่องกงมีคตินิยมแบบชาวจีนดั้งเดิม ในการเคารพให้เกียรติผู้สูงอายุและการบูชาบรรพบุรุษ และมีคตินิยมในการนิยมการมีบุตรชายเพื่อเป็นเกียรติแก่ตระกูล โดยทั่วไปสังคมฮ่องกงมีระบบครอบครัวเดี่ยว === อาหาร === อาหารในฮ่องกงมีพื้นฐานมาจากอาหารกวางตุ้งเป็นหลัก แม้ว่าดินแดนแห่งนี้จะได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศและต้นกำเนิดที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัยก็ตาม ข้าวเป็นอาหารหลัก และมักจะเสิร์ฟแบบธรรมดาร่วมกับอาหารอื่น ๆ โดยเน้นความสดของวัตถุดิบ สัตว์ปีกและอาหารทะเลมักขายสดในตลาดสด และมีการปรุงอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปชาวฮ่องกงทานอาหารห้ามื้อทุกวัน: อาหารเช้า กลางวัน น้ำชายามบ่าย อาหารเย็น และซิ่วเย้ (อาหารมื้อดึก) ติ่มซำเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร เป็นประเพณีการรับประทานอาหารนอกบ้านกับครอบครัวและเพื่อนฝูง อาหารจานเด็ด ได้แก่ โจ๊ก ชาซิ่วเป่า ซิวยุก ทาร์ตไข่ และพุดดิ้งมะม่วง อาหารตะวันตกแบบท้องถิ่นมีให้บริการที่ cha chaan teng (คาเฟ่สไตล์ฮ่องกง) รายการเมนู cha chaan teng ทั่วไป ได้แก่ ซุปมักกะโรนี เฟรนช์โทสต์ทอด และชานมสไตล์ฮ่องกง === วันหยุด === === กีฬาและนันทนาการ === แม้จะมีพื้นที่ขนาดเล็ก แต่ฮ่องกงยังนิยมการเล่นกีฬาและกิจกรรมด้านสันทนาการมากมาย เมืองนี้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาสำคัญ ๆ มากมาย รวมทั้งกีฬาภูมิภาคเอเชียตะวันออก 2009, กีฬาขี่ม้าในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 และจัดแข่งขันรายการพิเศษพรีเมียร์ลีกเอเชีย โดยเชิญสโมสรจากอังกฤษมาร่วมแข่งขัน เช่นลิเวอร์พูล งานวิ่งฮ่องกงมาราธอนได้รับความนิยมในไปทั่วทวีปเอเชีย และเป็นหนึ่งในงานที่มีผู้เข่าร่วมสูงที่สุด ฮ่องกงมีทีมกีฬาเป็นของตนเองและแยกจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ในการแข่งขันรายการนานาชาติ ฮ่องกงเข้าร่วมในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนหลายสมัย และส่งนักกีฬาเข้าร่วมในหลายชนิดกีฬา และได้รับเหรียญรางวัล 4 เหรียญถึงปัจจุบัน === สื่อสารมวลชน === หนังสือพิมพ์ในฮ่องกงส่วนใหญ่เขียนเป็นภาษาจีน แต่ก็มีหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษจากสองถึงสามบริษัทเช่นกัน หนังสือพิมพ์เจ้าสำคัญได้แก่ South China Morning Post มีการตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ภาษาจีนหลายฉบับทุกวัน ที่โดดเด่นที่สุดคือหมิงเปาและโอเรียนทัลเดลินิวส์ สิ่งพิมพ์ในท้องถิ่นมักเกี่ยวข้องกับการเมือง รัฐบาลกลางมีสื่อสิ่งพิมพ์ของตัวเองได้แก่ Ta Kung Pao และ Wen Wei Po สิ่งพิมพ์นานาชาติหลายแห่งมีการดำเนินการและได้รับความนิยมในฮ่องกง รวมทั้งเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล, ไฟแนนเชียล ไทมส์, ยูเอสเอทูเดย์ รวมถึงโยะมิอุริชิมบุง (讀賣新聞/読売新聞) และ เดอะ นิคเคอิ สองบริษัทใหญ่ของญี่ปุ่น (日本経済新聞) ผู้แพร่ภาพกระจายเสียงโทรทัศน์ฟรีสามแห่งดำเนินการในฮ่องกง TVB ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรทัศน์ที่โดดเด่นของฮ่องกง มีส่วนแบ่งผู้ชม 80% บริการเพย์ทีวีที่ดำเนินการโดยเคเบิลทีวีฮ่องกงและ PCCW นำเสนอช่องเพิ่มเติมหลายร้อยช่องและรองรับผู้ชมที่หลากหลาย RTHK เป็นสถานีกระจายเสียงสาธารณะ ให้บริการช่องวิทยุเจ็ดช่องและช่องรายการโทรทัศน์สามช่อง ผู้แพร่ภาพกระจายเสียงที่ไม่ใช่บริษัทในประเทศสิบรายการออกอากาศสำหรับประชากรต่างชาติในอาณาเขต การเข้าถึงสื่อและข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับของจีนแผ่นดินใหญ่ รวมถึง Great Firewall === วงการบันเทิง === เพลง แคนโตป็อป เป็นแนวเพลงกวางตุ้งยอดนิยมที่ปรากฏในฮ่องกงในช่วงทศวรรษ 1970 วิวัฒนาการมาจากเพลงสไตล์เซี่ยงไฮ้ และยังได้รับอิทธิพลจากอุปรากรกวางตุ้งและป๊อปตะวันตกอีกด้วย สื่อท้องถิ่นนำเสนอและให้การสนับสนุนเพลงของศิลปินชื่อดังเช่น แซม ฮุย, เหมย ยั่นฟาง, เลสลี จาง และ ถาน หย่งหลิน ในช่วงทศวรรษที่ 1980 การส่งออกภาพยนตร์และรายการโชว์ของแคนโตป็อปได้ออกสู่สายตาผู้ชมทั่วโลก ความนิยมของแนวเพลงดังกล่าวถึงจุดสูงสุดในปี 1990 ดนตรีคลาสสิกของตะวันตกมีประวัติยาวนานในฮ่องกงและยังคงเป็นส่วนใหญ่ของการศึกษาดนตรีในท้องถิ่น วง Hong Kong Philharmonic Orchestra ซึ่งได้รับทุนจากสาธารณชนซึ่งเป็นวงซิมโฟนีออร์เคสตรามืออาชีพที่เก่าแก่ที่สุดของดินแดนแห่งนี้ มักเป็นเจ้าภาพนักดนตรีและวาทยกรจากต่างประเทศ วงดุริยางค์จีนฮ่องกงประกอบด้วยเครื่องดนตรีจีนคลาสสิก เป็นวงดนตรีจีนชั้นนำและมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมดนตรีดั้งเดิมในชุมชน ฮ่องกงพัฒนาอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ จนกลายเป็นศูนย์กลางการสร้างภาพยนตร์ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 เนื่องจากกระแสของผู้สร้างภาพยนตร์เซี่ยงไฮ้อพยพไปยังดินแดนแห่งนี้ และอิทธิพลจากชีวประวัติของทหารผ่านศึกที่เพิ่มขึ้นจากการทำสงครามมีส่วนช่วยสร้างอุตสาหกรรมบันเทิงของอาณานิคมแห่งนี้ในทศวรรษต่อมา ในช่วงทศวรรษ 1960 ฮ่องกงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ชมจากต่างประเทศผ่านภาพยนตร์เช่น The World of Suzie Wong เมื่อภาพยนตร์ของ บรูซ ลี The Way of the Dragon ออกฉายในปี 1972 ก็ปลุกกระแสความนิยมด้านภาพยนตร์ไปทั่วภูมิภาค ในช่วงทศวรรษ 1980 ภาพยนตร์เช่น A Better Tomorrow, As Tears Go By และ Zu Warriors จาก Magic Mountain ได้ขยายความสนใจไปทั่วโลกนอกเหนือจากภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้ ภาพยนตร์นักเลงในท้องถิ่น ละครโรแมนติก และจินตนาการเหนือธรรมชาติซึ่งกลายเป็นที่นิยม == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == Hong Kong Tourism Board Hong Kong Mass Transit Rail รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2540 อดีตอาณานิคมของอังกฤษ อดีตอาณานิคมของญี่ปุ่น เขตมหานครในสาธารณรัฐประชาชนจีน
thaiwikipedia
1,517
6
6 (หก) เป็นจำนวน ตัวเลข และเป็นชื่อของสัญลักษณ์ภาพ เป็นจำนวนธรรมชาติที่อยู่ถัดจาก 5 (ห้า) และอยู่ก่อนหน้า 7 (เจ็ด) == คำเติมนำหน้า == ภาษากรีก - hexa- hex- ภาษาละติน - sexa- sex- ภาษาไทยโบราณ - ลก- ภาษาไทยปัจจุบัน - ฉ- == ชื่อเรียก == === ลก === พระนามของกษัตริย์ เจ้าฟ้า หรือโอรสองค์ที่หก ท้าวลก -- พระโอรสองค์ที่หกใน พญาสามฝั่งแกน ต่อมาคือ พระเจ้าติโลกราช ท้าวลกกลม -- ตามพงศาวดารล้านช้าง เป็นพระโอรสองค์ที่หกของขุนบรม เป็นผู้สร้างเมืองคม === ฉ === กัณฑ์ฉกษัตริย์ -- กัณฑ์หนึ่งในพระเวสสันดรชาดก ซึ่งใช้ในการเทศน์มหาชาติ == วิวัฒนาการ == Evolution6glyph.png == ในทางคณิตศาสตร์ == 6 เป็นจำนวนเต็มบวกที่เล็กที่สุดที่ไม่ได้เป็นทั้งจำนวนกำลังสองและจำนวนเฉพาะ หก เป็นจำนวนประกอบที่เล็กที่สุดอันดับสอง มีเลขที่หารลงตัวคือ 1, 2 และ 3 หก เป็นจำนวนจำนวนเดียวที่เป็นทั้งผลรวมและผลคูณของจำนวนบวก 3 จำนวนที่เรียงกัน ฟังก์ชันตรีโกณมิติมีทั้งหมด 6 ฟังก์ชัน หกยังเป็นจำนวนแปดเหลี่ยม เป็นจำนวนสามเหลี่ยม เช่นเดียวกับจำนวนกำลังสองของหก (36) ในเลขฐานสอง 6 เป็นคอมพลิเมนต์ของเลข 9 (6 = 01102 and 9 = 10012) === ตารางการคำนวณพื้นฐาน === {|class="wikitable" style="text-align: center; background: white" |- ! style="width:105px;"|การคูณ !1 !2 !3 !4 !5 !6 !7 !8 !9 !10 ! style="width:5px;"| !11 !12 !13 !14 !15 !16 !17 !18 !19 !20 ! style="width:5px;"| !21 !22 !23 !24 !25 ! style="width:5px;"| !50 !100 !1000 |- |6 \times x |6 |12 |18 |24 |30 |36 |42 |48 |54 |60 ! |66 |72 |78 |84 |90 |96 |102 |108 |114 |120 ! |126 |132 |138 |144 |150 ! |300 |600 |6000 |} {|class="wikitable" style="text-align: center; background: white" |- ! style="width:105px;"|การหาร !1 !2 !3 !4 !5 !6 !7 !8 !9 !10 ! style="width:5px;"| !11 !12 !13 !14 !15 |- |6 \div x |6 |3 |2 |1.5 |1.2 |1 |0.\overline{85714}\overline{2} |0.75 |0.\overline{6} |0.6 ! |0.\overline{5}\overline{4} |0.5 |0.\overline{46153}\overline{8} |0.\overline{42857}\overline{1} |0.4 |- |x \div 6 |0.1\overline{6} |0.\overline{3} |0.5 |0.\overline{6} |0.8\overline{3} |1 |1.1\overline{6} |1.\overline{3} |1.5 |1.\overline{6} ! |1.8\overline{3} |2 |2.1\overline{6} |2.\overline{3} |2.5 |} {|class="wikitable" style="text-align: center; background: white" |- ! style="width:105px;"|การยกกำลัง !1 !2 !3 !4 !5 !6 !7 !8 !9 !10 ! style="width:5px;"| !11 !12 !13 |- |6 ^ x\, |6 |36 |216 |1296 |7776 |46656 |279936 |1679616 |10077696 |60466176 ! |362797056 |2176782336 |13060694016 |- |x ^ 6\, |1 |64 |729 |4096 |15625 |46656 |117649 |262144 |531441 |1000000 ! |1771561 |2985984 |4826809 |} == ในทางวิทยาศาสตร์ == เซลล์ของรังผึ้งเป็นรูปหกเหลี่ยม 6 เป็นเลขอะตอมของคาร์บอน แมลงมี 6 ขา โมเลกุลเบนซีนมีวงแหวนของอะตอมคาร์บอน 6 อะตอม == ในทางเทคโนโลยี == เป็นรหัสระบุชนิดของเรซินใช้ในการรีไซเคิลเพื่อระบุว่าเป็นโฟม == ในทางอื่น ๆ == หก คือ: จำนวนครึ่งหนึ่งของโหล นิยมใช้ในการค้า เลขจำนวนแรกที่คุณต้องนับนิ้วด้วยมืออีกข้าง == อ้างอิง == จำนวนเต็ม
thaiwikipedia
1,518
7
7 (เจ็ด) เป็นจำนวนธรรมชาติที่อยู่ถัดจาก 6 (หก) และอยู่ก่อนหน้า 8 (แปด) == คำเติมนำหน้า == ภาษากรีก - hepta- hept- ภาษาละติน - septua- ภาษาไทยโบราณ - เจ็ด- ภาษาไทยปัจจุบัน - สัปต- == ชื่อเรียก == === เจ็ด === พระนามของกษัตริย์ เจ้าฟ้า หรือโอรสองค์ที่เจ็ด ท้าวเจ็ด -- พระโอรสองค์ที่เจ็ดใน พญาสามฝั่งแกน ต่อมาคือ พระเจ้าติโลกราช ท้าวเจ็ดเจือง -- ตามพงศาวดารล้านช้าง เป็นพระโอรสองค์ที่เจ็ดของขุนบรม เป็นผู้สร้างเมืองคม วงการบันเทิง ซ้อเจ็ด -- คอลัมนิสต์ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 -- ช่องโทรทัศน์ สถานที่ วัดเจดีย์เจ็ดยอด จังหวัดเชียงใหม่ น้ำตกเจ็ดสาวน้อย จังหวัดสระบุรี ตำบลเจ็ดริ้ว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ตำบลเจ็ดเสมียน อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี สถานีรถไฟเจ็ดเสมียน อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี -- สถานีรถไฟ อื่น ๆ สวรรค์ชั้น 7 -- เพลงของเจ เจตริน วรรธนะสิน วินโดวส์ 7 == วิวัฒนาการ == Evo7glyph.png == ความหมายและความเชื่อ == คัมภีร์ไบเบิลระบุไว้ว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกใช้เวลาทั้งสิ้น 6 วัน และทรงใช้เวลาอีก 1 วันเพื่อพักผ่อน (ปฐมกาล 1) จึงเป็นที่มาของการกำหนดให้ 1 สัปดาห์ มี 7 วัน และกำหนดให้มี 1 วันเป็นวันหยุดพักผ่อน (ซึ่งอาจจะเป็นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ) และเลข 7 ก็กลายเป็นเลขนำโชคสำหรับชาวคริสต์ จำนวนของวัตถุในระบบสุริยะที่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า (ดวงจันทร์, ดาวอังคาร, ดาวพุธ, ดาวพฤหัสบดี, ดาวศุกร์, ดาวเสาร์ และ ดวงอาทิตย์) มีการนำชื่อดาวทั้งเจ็ดมาตั้งเป็นชื่อวันในสัปดาห์ นำมาใช้ครั้งแรกโดยชาวบาบิโลน ชาวญี่ปุ่นนับถือเทพเจ้าโชคลาภทั้ง 7 7 เป็นเลขอะตอมของไนโตรเจน ค่า pH เท่ากับ 7 หมายถึงมีสภาพเป็นกลาง เช่นน้ำบริสุทธิ์ 7 เป็นจำนวนเฉพาะที่น้อยที่สุดเป็นอันดับสี่ จำนวนเฉพาะต่อไปคือ 11 รูปเจ็ดเหลี่ยมด้านเท่าไม่สามารถสร้างขึ้นได้จากสันตรงกับวงเวียน แมลงเต่าทองธรรมดามีจุดบนตัว 7 จุด ได้แก่ตรงกลางใกล้กับส่วนหัว 1 จุด และปีกข้างละ 3 จุด 7 เป็นเลขศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของชาวจีนและชาวอินเดีย ขณะที่ชาวญี่ปุ่นจะถือว่าเป็นเลขมงคลสูงสุด โดยมีที่มาจากพุทธศาสนาที่เผยแผ่เข้ามาในประเทศในช่วงปี ค.ศ. 552–1868 ในความเชื่อของชาวตะวันตก คู่รักที่ครองคู่หรือรักด้วยกันมาเมื่อเข้าสู่ปีที่ 7 มักจะเลิกรากัน == อ้างอิง == จำนวนเต็ม
thaiwikipedia
1,519
อายชีลด์ 21 ไอ้หนูไต้ฝุ่นมะกันบอล
อายชีลด์ 21 ไอ้หนูไต้ฝุ่นมะกันบอล เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นแต่งเรื่องโดยริอิจิโร อินะงะกิ และวาดภาพโดยยุซุเกะ มุระตะ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับกีฬาอเมริกันฟุตบอล เปิดตัวในรูปแบบภาพยนตร์ในงานจั๊มป์เฟสต้า 2004 และถูกทำเป็นแอนิเมชันในปี ค.ศ. 2005 เบื้องต้นการ์ตูนเรื่องนี้ได้ถูกตีพิมพ์ในนิตยสารวีคลี่ โชเน็น จั๊มป์ของสำนักพิมพ์ชูเอฉะ โดยมียอดจำหน่ายมากกว่า 16 ล้านเล่มในประเทศญี่ปุ่น และเมื่อแอนิเมชันเรื่องนี้ได้ฉายไปทำให้เกิดกระแสเด็กมัธยมในประเทศญี่ปุ่นหันมาเล่นกีฬาอเมริกันฟุตบอลมากขึ้นเท่าตัว โดยในประเทศไทยได้ถูกตีพิมพ์ในนิตยสารบูมของบริษัทเนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ในเครือเนชั่น แอนิเมชันเรื่องนี้ได้เริ่มแพร่ภาพช่องทีวีโตเกียวตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2548 จนถึงวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551 มีจำนวนตอนทั้งหมด 145 ตอน โดยมีผู้สนับสนุนหลักของภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้คือเอ็นเอฟแอล เจแปนของประเทศญี่ปุ่น ในส่วนประเทศไทยได้แพร่ภาพทางช่องทรูสปาร์คของทรูวิชั่นส์ โดยฉายจบแค่ปี 1 เท่านั้น ภายหลังการ์ตูนคลับเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ ==เนื้อเรื่อง== เนื้อเรื่องของการ์ตูนเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ โคบายาคาวา เซนะ เด็กนักเรียนมัธยมปลายปีหนึ่งของโรงเรียนเดมอน มีนิสัยขี้แหย อ่อนแอ ไม่กล้าขัดใจคนอื่น ความทรงจำตั้งแต่เด็กคือการเป็นลูกน้องของเด็กๆในวัยเดียวกันมาตลอด ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เซนะถูกใช้ให้ไปซื้อของ ใช้ให้ถือของไปส่ง จนกลายเป็นว่าเขาได้พัฒนาการวิ่งของตนเองจนเข้าขั้นนักวิ่งแข้งทองโดยที่แม้แต่ตนเองก็ยังไม่รู้ มีเพียง ฮิรุม่า โยอิจิ ประธานชมรมอเมริกันฟุตบอลผู้ชั่วร้ายได้ไปเจอเข้าและจัดการลักพาตัวเซนะมาแต่งองค์ทรงเครื่องซะใหม่ในชุดเบอร์ 21 และสวมอายชิลด์ (กระบังตา) ปลอมตัวให้เสร็จสรรพ และตั้งชื่อ "อายชิลด์ 21" เด็กนักเรียนสุดอ่อนแอจึงได้กลายเป็นฮีโร่ของอเมริกันฟุตบอลในเวลาต่อมาในตำแหน่งรันนิ่งแบ็ค ในช่วงแรกเซนะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนในทีมในฐานะผู้ดูแลทีมอเมริกันฟุตบอลโรงเรียนเดมอนสลับกับการเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล โดยเริ่มแข่งครั้งแรกในการแข่งขันในฤดูใบไม้ผลิโดยหวังว่าจะเป็นอาวุธลับของทีม แต่สุดท้ายก็มาเจอทีมแกร่งอย่างโอโจไวท์ไนท์ที่พ้นยุคทองของทีมไปแล้ว แต่ก็ยังมีการพัฒนาฝีมืออย่างไม่หยุดนิ่ง และนั่นเป็นครั้งแรกที่เซนะได้พบกับไลน์แบ็คเกอร์ที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง ชิน เซย์จูโร่ โดยผลการแข่งขันทีมโรงเรียนเดมอนพ่ายแพ้ไปในที่สุด หลังจากพ่ายแพ้ไปในการแข่งขันฤดูใบไม้ผลิไปแล้ว ทีมโรงเรียนเดมอนได้เตรียมตัวเพื่อแข่งขันในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นการแข่งขันที่สำคัญที่สุดเพราะทีมที่ชนะจะได้ไปแข่งขันในศึก "คริสต์มาสโบว์ล" กับทีมที่ชนะในเขตคันไซ ฮิรุม่า คุริตะ และเซนะได้ค่อยๆสร้างทีมเดมอนทีละเล็กละน้อย โดยมีรีซีฟเวอร์อย่าง ไรมอน ทาโร่ หรือมอนตะ อดีตนักกีฬาเบสบอลที่ถนัดแค่การรับลูกเพียงอย่างเดียว คิกเกอร์ที่ก่อตั้งมากับพวกฮิรุม่าอย่าง ทาเคคุระ เก็น หรือ มุซาชิ ไลน์อย่างสามพี่น้อง หา หาประกอบด้วย จูมอนจิ คาซึกิ, คุโรกิ โคจิ และโทงาโน่ โชโซ กับ โคมุซึบิ ไดคิจิ ที่มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของคุริตะ ยูคิมิสึ มานาบุ ที่ไม่เก่งกีฬาแต่ถนัดเรื่องการวางแผนและการมองแผนการเล่นของฝ่ายตรงข้าม ทาคิ นัตสึฮิโกะ ที่เป็นตัวไทเอนด์ พร้อมกับน้องสาวอย่าง ทาคิ สึซึนะ ที่เป็นกัปตันเชียร์ลีดเดอร์ของทีม รวมทั้งอิชิมารุ เท็ตสึโอะที่ควบสองชมรม และนอกจากนี้ยังมีตัวช่วยจากชมรมบาสที่ถูกฮิรุม่าข่มขู่มาอย่าง ยามาโอกะ เคนตะ กับ ซาทาเกะ โยเฮ และจากชมรมซูโม่อย่าง โอมาซาดาเกะ ฟูโตชิ และมีเทรนเนอร์ที่เคยเป็นอาจารย์ของพวกฮิรุม่าสมัยมัธยมต้นอย่าง โดบุโรคุ ซาคากิ รวมทั้งผู้จัดการทีม อาเนซาคิ มาโมริ ที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเซนะที่แก่กว่าเซนะหนึ่งปี ในศึกการแข่งขันกับโรงเรียนเทย์โคคุ เดมอนได้รับการฝึกสอนจากทีมออลสตาร์ แมนทูแมน คือเซนะสอนโดยชิน เซจูโร่ คุริตะ= กาโอ มอนตะ = อิ๊กคิว ยูคิมิตสึ = เท็ตสึมา ทาคิ=อาคาบะ อิชิมารุ=ริคุ โคะมุซึบิ=โอทาวาระ จูมอนจิ=คาเคอิ คุโรกิ=มิซึมาจิ โทงาโน่=บัมบ้า แล้วจึงเริ่มการฝึกสุดโหดจากโค้ชแมนทูแมน โดยที่ทุกคนทุ่มเต็มที่กับการฝึก แต่มอนตะซึ่งคิดถึงคุณฮอนโจคนที่ซึ่งเคารพ ต้องมาแข่งกับตัวเองโดยไม่ได้แข่งกับฮอนโจ มาซารุ แต่แข่งกับลูกของเขา ฮอนโจ ทากะ มอนตะจึงได้บอกกับฮิรุม่าโดยส่งอีเมลล์โดยจะขอออกจากทีม เผอิญว่าเซนะรู้เรื่องนี้จึงไปตามมอนตะ แล้วจึงคุยกัน แต่ทว่าระหว่างที่พูดเซนะเผลอไปทำถุงมือที่คุณฮอนโจ มาซารุให้กับมอนตะตกลงไปที่ใต้สะพานแล้วรถบรรทุกก็เหยียบถุงมือนั่นจนยับเยิน มอนตะจึงต่อยเซนะแล้วมอนตะจึงโกรธเซนะไปพักหนึ่ง แต่เซนะเป็นคนรักเพื่อนจึงวิ่งตระเวนหาถุงมือคนที่เคยแข่งกับมอนตะมาทั้งหมดแม้คนนั้นจะอยู่ที่ไหนก็ตาม มอนตะจึงคิดได้แล้วขอบคุณเซนะ แล้วโยนถุงมือที่คุณฮอนโจ มาซารุให้มาลงทะเลเพื่อที่ตัวเองจะได้สู้กับลูกของเขาฮอนโจทากะได้อย่างเต็มที่และก็จะเหนือกว่าเขาให้ได้ ทีมชาติญี่ปุ่นและทีมชาติอเมริกา ได้รับรางวัลชนะเลิศร่วมกัน แต่ทั้งสองทีมได้ดำเนินการแข่งต่อเวลาเองโดยพลการ ผลการแข่งนั้นไม่มีการเปิดเผย และแพนเธอร์จากทีมชาติสหรัฐได้รับเลือกเป็น MVP ของการแข่งในภายหลัง ==ฉากในเรื่อง== ริอิจิโร อินะงะกิได้กล่าวว่าฉากในการ์ตูนเรื่องนี้ได้สร้างจากบริเวณชานเมืองของกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่ที่ตนเองอาศัยอยู่ ==ทีมหลักของเรื่องนี้== เดมอนเดวิลแบ๊ทส์ ทีมอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนเดมอนผู้ก่อตั้งทีมมี 3 คน คือ "ฮิรุม่า โยอิจิ" ควอเตอร์แบคจอมโฉด "คุริตะ เรียวคัน" อ้วนแป๊ะจอมพลัง และ "ทาเคคุระ เก็น" หรือ "มุซาชิ" คิกเกอร์ในตำนาน แม็กนั่ม 60 หลา ซึ่งมีสมาชิกในชมรมเพียง3คนตลอดปี จนถึงปีที่"โคบายาคาว่า เซนะ"เข้ามา นักวิ่งความเร็วแสงด้วยสถิติสูงสุดของ NFL อย่าง 4.2 วินาที/40 หลา ได้เข้าชมรม และมีสมาชิกอื่น ๆ อีกมากมายได้เข้ามาในปีนี้ เช่น"ไรมอน ทาโร่" หรือ"มอนตะ" รีซีฟเวอร์ No.1ของโตเกียว ซึ่งอาจเป็นยุคทองของเดมอนก็ว่าได้ ได้เป็นตัวแทนของตะวันออกไปแข่งชิงถ้วยคริสต์มาสโบว์ลเจอกับเทโคคุ อเล็กซานเดอร์ และคว้าชัยชนะมาได้อย่างฉิวเฉียดในท้ายที่สุด และเป็นทีมแรกจากฝั่งคันโตในรอบ 30 ปีที่สามารถเอาชนะทีมแกร่งจากคันไซอย่างเทโคคุ อเล็กซานเดอร์ได้สำเร็จ โอโจไวท์ไนท์ ทีมอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนโอโจ สุดยอดทีมรับที่ไร้เทียมทาน โดยมีไลน์แบ็คเกอร์ ผู้เป็นเพอร์เฟ็คท์ เพลเยอร์อย่าง "ชิน เซย์จูโร่" และโตเกียว เบสท์ รีซีฟเวอร์ที่สาวๆกรี๊ดสลบอย่าง"ซากุราบะ ฮารุโตะ" แท็คทีมกับ"ทาคามิ อิจิโร่" รวมกันเป็น ไม้ตายสุดยอด"เอเวอร์เรส พาส" และไลน์สุดแข็งแกร่งบ้าพลัง "โอทาวาระ มาโคโตะ" ทำให้คนยกย่องว่าเป็นสุดยอดทีมรับในญี่ปุ่น ได้รับฉายาว่า"ราชันย์" เซย์บุไวลด์กันแมน ทีมอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนเซย์บุ นำทีมโดยสุดยอดควอเตอร์แบคสิงห์ปืนไวนิรนามอย่าง"คิด" แท็คทีมกับหัวรถจักรไร้เทียมทานผู้เป็นถึง Tokyo Best Receiver "เท็ตซึม่า โจ" และไม้ตายก้นหีบอย่าง โรดิโอ ไดรฟ์ ความเร็วแสงของ"ริคุ" ทำให้คนยกย่องสรรเสริญว่าเป็น สุดยอดทีมรุกในญี่ปุ่น ชินริวจินาคา ทีมอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนชินริวจิ ทีมที่ถูกขนานนามว่า"เทพไร้พ่าย" ชนะทีมอื่น ๆ มาถึง 9 นัดรวด โดยมี "คอนโง อากอน" อัจฉริยะในรอบ 100 ปี ผู้มีอิมพัลส์ระดับเทพ อัตราการตอบโต้เพียง 0.11 วินาที ตามด้วยคู่แฝดอย่าง"คอนโง อุนซุย" พี่ชายฝาแฝดที่ถูกพระเจ้าเมินเฉย แต่ด้วยความมุมานะ ทำให้ผลักดันตัวเองไปในนักกีฬาระดับแนวหน้า และอีกหนึ่งอัจฉริยะแบบ"โฮโซคาว่า อิ๊กคิว" จ้าวแห่งศึกกลางหาว เจ้าของสถิติวิ่งถอยหลัง เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ในเวลา 4.89 นาที ทำให้ชินริวจินาคาเป็นทีมเทพไร้พ่ายอย่างคำร่ำลือ ได้รับฉายาว่า"เทพไร้พ่าย" ฮาคุซู ไดโนซอร์ ทีมสุดแกร่งที่เข้าชิงศึกคันโต นำทีมโดย มัลโก้ ควอเตอร์แบ็คจอมเจ้าเล่ห์ ไม่แพ้ฮิรุม่า กาโอ ไลน์ที่แข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่นที่เล่นกับทีมไหนทำเอาควอเตอร์แบ็คทีมนั้นเข้าโรงพยาบาลไปทุกราย รวมถึงคิดของเซย์บุด้วย บันโดะ สไปเดอร์ ทีมอเมรืกันฟุตบอลของโรงเรียนบันโดะที่ในทีมมีแค่คิกทีมเพราะผู้เล่นหลักในทีมรุกและทีมรับถูกโรงเรียนเทย์โคคุดึงตัวไปหมดนำทีมโดย อาคาบะ ฮายาโตะ ที่กล้าประกาศว่าคือ อายชิลด์ 21 ตัวจริงและ ซาซากิโคทาโร่ที่ประกาศว่าจะเป็นคิกเกอร์ NO.1 เทโคคุอเล็กซานเดอร์ ทีมอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนเทโคคุงาคุเอ็น นำทีมโดย"ยามาโตะ ทาเครุ"(รันนิ่งแบค)อายชีลด์ 21 ตัวจริง(แท้แน่นอน) และ"ฮอนโจ ทากะ" (รีซฟเวอร์) ลูกของฮอนโจ มาซารุคนที่มอนตะนับถือมากที่สุดและ"โคอิซึมิ คาริน" (ควอเตอร์แบค) เป็นควอเตอร์แบคที่เป็นผู้หญิงและไลน์แมนอย่าง"เฮระ คุเรจิ" (เฮอคิลลิส) ได้เป็นตัวแทนของตะวันตกไปแข่งชิงถ้วยคริสต์มาสโบว์ลเจอกับเดมอน เดวิลแบท ทีมชาติอเมริกา ทีมอเมริกันฟุตบอลของประเทศอเมริกามีนักอเมริกันฟุตบอลสุดยอดทั้งห้าที่เรียกว่าเพนตาแกรมคือ 1. คลิฟ ฟอร์ด ดี หลุย (ควอเตอร์แบค) 2. Mr.ดอน จักพรรดิแห่งการศึกษา (ไลน์แมน) 3. ทาทันก้า (ไสน์แบคเกอร์) มนุษย์โดมผู้ปัดทุกลูกพาสให้ร่วงได้ซึ่งเขามีส่วนสูง 210 ซม. (สูงที่สุดในการแข่ง) แรงกระโดและแขนที่ยาวทำให้เขาปัดลูกพาสให้ร่วงได้ 4. บัคด์ (คอร์เนอร์แบค) ใช้กังฟูในการชนะคู่ต่อสู้ 5. แพนเทอร์ (รันนิ่งแบค) แพนเทอร์เคยต่อสู้กับเซนะมาก่อน == ตำแหน่งการเล่นในอเมริกันฟุตบอล == ทีมรุก (11คน) ออฟเฟนซีฟ ไลน์แมน (5คน) : ทำหน้าที่บล็อกทีมรับฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้เวลาควอเตอร์แบ็คในการมองหาปีก หรือบล็อกเปิดทางให้ตัววิ่ง ผู้เล่นในกลุ่มนี้ไม่มีสิทธิถือลูกวิ่งหรือรับลูก เว้นแต่มีการแจ้งกรรมการล่วงหน้าไว้เป็นกรณีพิเศษ ออฟเฟนซีฟ ไลน์แมนทั้ง 5 ประกอบไปด้วยผู้เล่นในตำแหน่งต่างๆดังต่อไปนี้ - เซ็นเตอร์ (C) - ไรท์การ์ด (RG) - เลฟท์การ์ด (LG) - ไรท์แท็กเกิ้ล (RT) - เลฟท์แท็กเกิ้ล (LT) ควอเตอร์แบค (QB)(1คน) : ศูนย์กลางของทีม เป็นคนเรียกแผนการเล่น และส่งลูกให้ตัววิ่งหรือขว้างให้ปีก ไวด์ รีซีฟเวอร์ (WR) (2คน) : ตัวรับลูกปีกนอก รันนิ่งแบค (RB) (2คน) : หรือบางครั้งเรียกว่าตัววิ่ง มีหน้าที่พาลูกวิ่ง และรับลูกระยะสั้นๆจากควอเตอร์แบ็ค ในบางแผนการเล่นตัววิ่งจะเป็นตัวบล็อกตัวสุดท้ายให้แก่ควอเตอร์แบ็คอีกด้วย นอกจากนี้ตัววิ่งที่มีน้ำหนักตัวมากและมักวิ่งทะลวงอาจเรียกว่าฟูลแบ็ค (FB) ไทท์เอ็นด์ (TE) (1คน) : ตัวรับลูกปีกใน ดังนั้นจึงต้องเป็นคนที่ทำได้ทั้งบล็อก รับลูก ทีมรับ (11คน) ดีเฟนซีฟ ไลน์แมน (3-4คน) : เป็นผู้เล่นแนวรับแถวแรกที่มีหน้าที่ไล่อัดควอเตอร์แบ็ค หรือตัววิ่ง ปกติจะมี 4 คน ประกอบด้วย ดีเฟนซีฟ แท็คเกิ้ล (DT) และดีเฟนซีฟเอน(DE) แต่แผนการเล่นใหม่ๆของบางทีมอาจปรับผู้เล่นเกมรับแถวแรกนี้เหลือ 3 คน ไลน์แบคเกอร์ (3-4คน) : ผู้เล่นเกมรับแถวที่สอง มีหน้าที่ป้องกันการวิ่ง ประกบปีกใน หรือช่วยกดดันควอเตอร์แบ็ค ปกติจะมี 3 คน แต่แผนการเล่นใหม่ๆของบางทีมอาจปรับผู้เล่นเกมรับแถวสองนี้เพิ่มเป็น 4 คน เซฟตี้ (2คน) : แบ่งเป็นสตรองเซฟตี้(SS) และฟรีเซฟตี้(FS) ปกติเซฟตี้จะช่วยผู้เล่นคอร์เนอร์แบ็คหรือตัวคุมปีกในการป้องกันการขว้าง แต่บางครั้งอาจช่วยกดดันและไล่แซ็คควอเตอร์แบ็คในแผนการบรีสได้ คอร์เนอร์แบค(CB) (2คน) : บางครั้งเรียกกันว่าตัวคุมปีก มีหน้าที่หลักในการป้องกันการรับลูกของปีกนอกฝั่งตรงข้าม ตัวเล่นพิเศษ คิกเกอร์(K) : เป็นผู้เล่นที่ทำหน้าที่เตะฟิลด์โกล เตะ TFP(Try For Point : โบนัสเกมหลังทัชดาวน์) พั้นเตอร์ (P) เป็นผู้เล่นที่ทำหน้าที่เตะ PUNT ทิ้งในดาวน์ที่ 4 (เตะเปลี่ยนฝั่ง) == ทีมชาติมัธยมปลายของญี่ปุ่น == ทีมรุก เซ็นเตอร์ (ไลน์) = คุริตะ เรียวคัน (เดมอน เดวิลแบทส์) ออฟเฟนซีฟ การ์ด (ไลน์)= "เฮอร์คิวลิส"เฮระ คุเรจิ (เทย์โคคุ อเล็กซานเดอร์), "จูโบ"อากิระ นากาบุ (โรงเรียนมัธยมต้น) ออฟเฟนซีฟ แท็คเคิล (ไลน์) = ยามาบูชิ กอนดะยู (ชินริวจิ นาคา), บัมบ้า มาโมรุ (ไทโย สฟิงซ์) ควอเตอร์แบค = "คิด"มูฉะโนะโคจิ ชิเอ็น (เซย์บุ ไวลด์กันแมนส์) หรือ ฮิรุม่า โยอิจิ (เดมอน เดวิลแบทส์) ไวด์ รีซีฟเวอร์ = "มอนตะ"ไรมอน ทาโร่ (เดมอน เดวิลแบทส์), ซากุราบะ ฮารุโตะ (โอโจ ไวท์ไนท์) ฮาล์ฟแบ็ค (รันนิ่งแบ็ค) = โคบายาคาว่า เซนะ (เดมอน เดวิลแบทส์) ฟูลแบ็ค (รันนิ่งแบ็ค) = ยามาโตะ ทาเครุ (เทย์โคคุ อเล็กซานเดอร์) สล็อตแบ็ค = เท็ตสึมา โจ (เซย์บุ ไวลด์กันแมนส์) ทีมรับ ดีเฟนซีฟ แท็คเคิล (ไลน์)= กาโอ ริคิยะ (ฮาคุชู ไดโนเสาร์), โอทาวาระ มาโคโตะ (โอโจ ไวท์ไนท์) ดีเฟนซีฟ การ์ด (ไลน์)= มิซึมาจิ เค็นโกะ (เคียวชิน โพไซดอน), "อะคิลิส"อาคิ ริวสุเกะ (เทย์โคคุ อเล็กซานเดอร์) เซฟตี้ = ไคทานิ ริคุ (เซย์บุ ไวลด์กันแมนส์), "มัลโก้"มารุโกะ เรย์จิ (ฮาคุชู ไดโนเสาร์) คอร์เนอร์แบค = โฮโซคาว่า อิ๊กคิว (ชินริวจิ นาคา), ฮอนโจ ทากะ (เทย์โคคุ อเล็กซานเดอร์) ไลน์แบคเกอร์ (แนวกลาง)= ชิน เซย์จูโร่ (โอโจ ไวท์ไนท์) ไลน์แบ็คเกอร์ (ปีก) = คาเคอิ ชุน (เคียวชิน โพไซดอน), คอนโง อากอน (ชินริวจิ นาคา) ตัวเล่นพิเศษ คิกเกอร์ = "มุซาชิ"ทาเคคุระ เก็น (เดมอน เดวิลแบทส์), ซาซากิ โคทาโร่ (บันโดะ สไปเดอร์) ไทท์เอ็นด์ = อาคาบะ ฮายาโตะ (บันโดะ สไปเดอร์) โดยอาคาบะจะลงเล่น เฉพาะกรณีที่ทีมจะใช้คิกเกม == ตัวละคร == === ตัวละครในทีมเดมอน เดวิลแบ๊ทส์ === ดูตัวละครได้ใน ตัวละครในทีมเดมอน เดวิลแบ๊ทส์ === ตัวละครหลักอื่นๆ === ทีมโอโจไวท์ไนท์ ชิน เซย์จูโร่ เบนเพรส : 140 กก. แดช 40 หลา : 4.2 วิฯ ตำแหน่ง : ไลน์แบคเกอร์ เกิดวันที่ 9 กรกฎาคม ผู้เล่น MVP ของโตเกียวอัจฉริยะผู้มุมานะ เพอเฟ็คท์เพลเยอร์ ที่ใคร ๆก็ทาบไม่ติด เป็นคนที่ใคร ๆก็ไม่คิดทาบรัศมี ตำแหน่งไลน์แบ็คเกอร์ในทีมโอโจไวท์ไนท์ ตามติดมาด้วยอาวุธสุดแกร่งอย่าง"ไทรเดนต์ แทคเกิ้ล"ที่ใคร ๆก็หวั่นในความรุนแรงของมัน แต่ก็ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับ "อายชีลด์ 21" จึงมุฝึกมาตลอดเพื่อคว้าชัยชนะจากศึกรันเนอร์ความเร็วแสงแต่ในทางกลับกันก็เป็นคนที่บื้อเรื่องเทคโนโลยีแบบสุดๆ จับสิ่งไหนที่เป็นเทคโนโลยีก็มีอันต้องวายวอดไปเสียทุกเครื่อง ซากุราบะ ฮารุโตะ เบนเพรส : 70 กก. เดช 40 หลา : 4.86 วิฯ ตำแหน่ง : รีซีฟเวอร์ เกิดวันที่ 12 มีนาคม รีซีฟเวอร์ทีมโอโจ ไวท์ไนท์ ที่มีความสูงเป็นอาวุธ เป็นคนเดียวในทีมที่เอาตัวไปทาบรัศมีกับชิน อัจฉริยะของทีม เป็นดาราที่สาว ๆ ชื่นชอบ และได้รับการยกย่องว่าเป็นมือหนึ่งของทีมเสมอ ทำให้ตัวเขาเองรู้สึกไม่สบายใจ จึงฝึกหนัก พยายามให้ตัวเองได้เป็นมือหนึ่งของทีม ทีมเซย์บุไวลด์กันส์แมน คิด (มูฉะโนะโคจิ ชิเอ็น) เบนเพรส : 70 กก. แดช 40 หลา : 5.6 วิฯ ระยะเวลาในการพาส : 0.15 วิฯ ตำแหน่ง : ควอเตอร์แบค ควอเตอร์แบ็คสิงห์ปืนไวแห่งทีมเซย์บุ ไวลด์กันส์แมน ผู้ไม่ประสงค์จะเอ่ยนาม สถิติความเร็วในการปาลูกเร็วที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งมีความแม่นยำสุดเป็นอย่างมาก และยังไม่เคยมีใครที่บลิตซ์ (รวบตัวก่อนส่งลูก) คิดได้เลยแม้แต่คนเดียว เท็ตสึม่า โจ เบนเพรส : 115 กก. แดช40หลา : 5.0 วิฯ ตำแหน่ง : รีซีฟเวอร์ หัวรถจักรไร้เทียมทานทีมเซย์บุ ไวลด์กันส์แมน รีชีฟเวอร์ที่รักษาเส้นทางพาสรูทของตัวเองได้ยอดเยี่ยม แท็คทีมกับคิด ทำให้เป็นการพาสที่ไร้เทียมทาน จึงถูกยกย่องให้เป็นทีมรุกสุดแกร่งในโตเกียว คาอิทานิ ริคุ เบนเพรส : 60 กก. แดช40หลา : 4.5 วิฯ ตำแหน่ง : รันนิ่งแบค / เซฟตี้ รันนิ่งแบ็คความเร็วแสงทีมเซย์บุไวลด์กันส์แมนที่มี"โรดิโอ ไดรฟ์"เป็นท่าไม้ตายที่สามารถเร่งสปีดความเร็วแสงได้ในพริบตา ซึ่งเป็นอาจารย์สอนเทคนิควิ่งให้กับ "เซนะ"จนเซนะพัฒนาฝีเท้าตัวเองจากการเป็นเบ๊คนอื่นมาเป็น "อายชิลด์ 21" ในที่สุด ทีมชินริวจินาคา คอนโง อากอน เบนเพรส : ไม่ปรากฏ แดช 40 หลา : ไม่ปรากฏ ตำแหน่ง : เล่นได้ทุกตำแหน่ง อัจฉริยะในรอบ100ปีแห่งทีมเทพไร้พ่ายชินริวจิ นาคา ผู้ที่ทำให้โอโจยุคทองพ่ายแพ้ย่อยยับใน5นาทีก่อนจบการแข่งขัน มีอิมพัลส์(ประสาทการตอบโต้)ความเร็วแสง เห็นปุ๊บตอบโต้ปั๊บ เป็นจุดที่ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่เก่งกาจอย่างไร้ที่ติ โฮโซคาว่า อิ๊กคิว เบนเพรส : ไม่ปรากฏ แดช 40 หลา : ไม่ปรากฏ แดช 40 หลา (ถอยหลัง) : 4.89 วิฯ (เป็นท่าไม้ตายของคอร์เนอร์แบค) ตำแหน่ง : รีซีฟเวอร์ (ทีมรุก)/คอร์เนอร์แบค (ทีมรับ) อัจฉริยะอีกคนในทีมชินริวจิ นาคา เด็กร่างเล็กที่ใช้คุณสมบัติของตัวเองเข้าโควตาของทีมไร้พ่ายอย่างชินริวจิได้ ปีศาจแห่งศึกกลางหาว ที่ไม่ยอมยกเกียรตินี้ให้ใครเด็ดขาด และใช้การประกบพื้นฐานของคอนเนอร์แบ็คอย่างวิ่งถอยหลังได้น่าขนลุกและไร้คำบรรยาย ทีมบันโดะสไปเดอร์ อาคาบะ ฮายาโตะ เบนเพรส : ไม่ปรากฏ แดช 40 หลา : ไม่ปรากฏ ตำแหน่ง : ไทท์เอ็นด์ อดีตผู้เล่น MVP ของโตเกียวทีมบันโดะ สไปเดอร์ จ้าวแห่งลีดบล็อกเกอร์ที่สามารถผลักคุริตะยังกระเด็น ด้วย"สไปเดอร์ พอยชั่น"ท่าไม้ตายสุดแกร่งของอาคาบะ ที่กล้าประกาศว่าคืออายชีล์ด 21 ตัวจริง โคทาโร่ ซาซากิ เบนเพรส : ไม่ปรากฏ แดช 40 หลา : ไม่ปรากฏ ตำแหน่ง : คิกเกอร์ คิกเกอร์ทีมบันโดะ สไปเดอร์ ที่เตะ TFP ในสถิติ 100% เตะได้ละเอียดอ่อนและเพอเฟ็กค์สุด ๆ ผู้ประกาศตัวว่าจะเป็น No.1 ของคิกเกอร์ให้ได้(จริงๆเป็นNo.2 No.1คือ ทาเคคุระ เก็น(มุซาชิ)ของเดวิลแบท) ทีมฮาคุซู ไดโนซอร์ กาโอ ริคิยะ เบนเพรส : 210 กก. แดช 40 หลา : ไม่ปรากฏ ตำแหน่ง : ไลน์แมน ไลน์แมนทีมฮาคุซู ไดโนซอร์ที่แข็งแกร่งทีสุดในญี่ปุ่นแข่งกับทึมไหนทำเอาควอเตอร์แบ็คทีมนั้นเข้าโรงพยาบาลไปทุกรายที่ถึงกับทำบัมบ้าไลน์แมนสุดแกร่งของทีมไทโยสฟริงค์สลบไปถึงต้องหามออกจากสนามระหว่างแข่งจนทีมไทโยสฟริงค์กลัวกาโอจนสละสิทธิ์การแข่งขัน มารุโกะ เรย์จิ,มัลโก้ เบนเพรส : 60 กก. แดช40หลา : 5.2 วิฯ ตำแหน่ง : ควอเตอร์แบ็ค / เซฟตี้ เป็นลูกครึ่งที่มีสายเลือดของบิดาอดีตมาเฟียอิตาลีอยู่ มีอำนาจปกครองผู้คนเกินกว่าจะคาดคิด มากซะจนน่าแหยง คติพจน์ประจำใจคือ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" ชายสุดเนี้ยบที่ชื่นชอบสูทอิตาลี และโคล่าขวด ผู้ชายคู่กับอำนาจ ผู้หญิงคู่กับความรัก เทย์โคคุ อเล็กซานเดอร์ ยามาโตะ ทาเครุ เบรนเพรส : ไม่ปรากฏ แดช 40 หลา : 4.2 วิฯ ตำแหน่ง : รันนิ่งแบ็ค อายชีลด์ 21 ตัวจริงสังกัดโน้ตเตรอะดาม ได้ถูก Mr.ดอน ใส่ร้ายจึงต้องกลับญี่ปุ่น โคอิซึมิ คาริน (โร่) เบรนเพรส :35กก. แดช 40 หลา : 4.90 ตำแหน่ง :ควอเตอร์แบ็ค ผู้ที่ถูกบังคับเข้าชมรมอเมริกันฟุตบอลของเทย์โคคุ ทั้งๆที่ไม่ได้อยากเล่นเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยฝีมือการปาที่นุ่มนวล จึงทำให้ถูกชักชวนเข้าชมรมโดยทากะ เคียวชิน โพไซดอน คาเคอิ ชุน ตำแหน่ง : ไลน์แบคเกอร์ เคยไปเรียน ม.ต้นที่อเมริกา และได้พบกับอายชีลด์ 21 ตัวจริง == รายชื่อตอน == == อ้างอิง == หนังสือ อายชิลด์ 21 เล่มที่ 20 มารุโกะ เรย์จิ โอวีเอ การ์ตูนญี่ปุ่นแนวสุขนาฏกรรม การ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชเน็ง‎ อนิเมะที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2548 อนิเมะและมังงะเกี่ยวกับกีฬา ทีวีบี การ์ตูนญี่ปุ่นแนวก้าวผ่านวัย
thaiwikipedia
1,520
ยุทธการใต้สมุทร
ยุทธการใต้สมุทร (The silent service) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเกี่ยวกับการต่อสู้โดยเรือดำน้ำนโยบายและแนวคิดทางการเมือง ผลงานของไคจิ คาวางูจิ ความยาว 32 เล่มจบ โดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ เรื่องราวของกับตันไคเอเดะ ชิโร่ กับลูกเรือได้ให้หายสาบสูญระหว่างปฏิบัติภารกิจบนเรือดำน้ำนิวเคลียร์ยามาโตะ (ยามาโตะ เป็นชื่อเรียกของประเทศญี่ปุ่นสมัยอดีต) โดยเรือดำน้ำมีชื่อเดิมว่าซีแบท (ที่แปลว่า ค้างคาวทะเล) และต่อมาเรือดำน้ำยามาโตะ ได้ประกาศตนเองเป็นประเทศเอกราชยามาโตะ โดยมีอำนาจและสิทธิการเมืองเทียบเท่ากับประเทศอื่นทั่วโลก ในระหว่างเนื้อเรื่องได้มียุทธการต่อสู้ใต้น้ำโดยเรือดำน้ำและตอร์ปิโด และมีการเน้นไปทางทฤษฎีและแนวคิดทางการเมือง == เนื้อเรื่อง == == ตัวละคร == == รายชื่อตอน == == แหล่งข้อมูลอื่น == หนังสือการ์ตูนเรื่องอื่นๆของ Kaiji Kawaguchi ผู้วาด ยุทธการใต้สมุทร การ์ตูนญี่ปุ่น การ์ตูนญี่ปุ่นแนวเซเน็ง‎ การทหารในอนิเมะและมังงะ
thaiwikipedia
1,521
บินสู่ฝัน
บินสู่ฝัน (One For Sorrow, Two For Joy) เป็นนิยายเยาวชนแปลของ ไคลฟ์ วู้ดดอล แปลเป็นภาษาไทยโดย สุชาดา ขันธะชวนะ จัดพิมพ์โดยสำนักสยามอินเตอร์บุคส์ เรื่องราวเกี่ยวกับการกอบกู้อาณาจักรนกจากการครอบครองของนกสาลิกาดำ โดยตัวเอกคือ เคอร์ริค นกกางเขนตัวสุดท้ายที่ต้องทำภารกิจในการกำกับดูแลของนกเค้าเฒ่า โทมาร์ ชื่อเรื่องมาจากโคลงพื้นบ้านของประเทศอังกฤษ ที่เกี่ยวกับนกสาลิกาและเป็นโคลงสอนนับเลขไปในตัว One for sorrow, two for joy, three for a girl, four for a boy, five for silver, six for gold, seven for a secret, never to be told, eight for a wish, nine for a kiss, ten for a time of joyous bliss. ดิสนีย์ได้ซื้อลิขสิทธิ์บทประพันธ์เพื่อนำไปทำเป็นภาพยนตร์ในราคา 1 ล้านดอลลาห์สหรัฐ และวู้ดดอลเองกำลังเขียนภาคต่อในชื่อว่า Seven for Secret วรรณกรรมเยาวชน วรรณกรรมแปล วรรณกรรมภาษาอังกฤษ
thaiwikipedia
1,522
เดอะมอลล์
เอ็ม ไลฟ์สโตร์ (M Lifestore) และ เดอะมอลล์ (อังกฤษ: The Mall) เป็นศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าในประเทศไทย โดยมีเจ้าของ คือ กลุ่มเดอะมอลล์ หรือบริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด มีสาขา ได้แก่ รามคำแหง, ท่าพระ, งามวงศ์วาน, บางแค, บางกะปิ และนครราชสีมา นอกจากนี้บางสาขายังมีสวนน้ำ และสวนสนุกด้วย เดอะมอลล์สาขาแรก เปิดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2524 บริหารงานโดยศุภชัย อัมพุช เจ้าของธุรกิจอาบอบนวดหลายแห่งบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ปัจจุบันเดอะมอลล์บริหารงานโดยสุรัตน์ อัมพุช และศุภลักษณ์ อัมพุช บุตรสาวของศุภชัย นอกจากนี้ เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์, สยามพารากอน และบลูพอร์ต ก็เป็นธุรกิจในเครือเดอะมอลล์ด้วย == ประวัติ == ตระกูลอัมพุชที่ทำธุรกิจบันเทิงหลายแห่งย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ซึ่งในขณะนั้นศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าอื่นยังไม่ตื่นตัว ได้นำเอาศูนย์รวมความบันเทิงมาเป็นจุดขาย หลังจากเปิดสาขาแรกที่เดอะมอลล์ราชดำริ แต่ก็ต้องปิดตัวไปในปี พ.ศ. 2531 เนื่องจากขาดทุน ไม่มีค่าเช่าห้าง ศุภลักษณ์ อัมพุช วิเคราะห์ปัญหาว่า ปัญหาของเดอะมอลล์ ราชดำริ เกิดจาก มีที่จอดรถไม่ดีและสถานที่ห้างเล็กไป บันไดเลื่อนวางไม่ดี ทางเข้าแคบไป แม้ทางเข้าจะมีคนเข้าออกมากมาย มีโฆษณาที่ดี คอนเซปต์ที่ดี ออกแบบร้านที่ดูดี มีสินค้าดี แต่ก็ขาดทุน ประกอบกับเกิดเหตุไฟไหม้อาคาร ภายหลังได้ให้ บริษัท นารายณ์ภัณฑ์พาวิลเลี่ยน จำกัด เช่าพื้นที่เป็นศูนย์ศิลปหัตถกรรมไทย กรกระทั่งหมดสัญญา ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าว คือเกสรทาวเวอร์ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เกษรวิลเลจ จนมาเปิดเดอะมอลล์สาขาหัวหมาก ซึ่งเป็นย่านชานเมือง เพื่อมุ่งให้แตกต่างจากคู่แข่ง เป็นเดอะมอลล์ 2, 3 ซึ่งอยู่ติดกันโดยมีสะพานลอยเชื่อมกัน ส่วนเดอะมอล์ 4 อยู่เยื้อง ๆ กับ เดอะมอลล์ 2, 3 มีโรงหนังเมเจอร์ซีนเพล็กซ์ ลานสเก็ตเป็นจุดนำเสนอขาย ต่อมาได้ขยับขยายเปิดห้างสรรพสินค้าย่านฝั่งธนฯ ด้วยเหตุผลที่ว่า ฝั่งธนบุรียังมีพื้นที่สีเขียวว่างอยู่ทางตะวันตก ขณะนั้นบริเวณนั้นก็ยังไม่มีห้างสรรพสินค้าอยู่เลยแม้จะเป็นบริเวณที่มีคนอาศัยกันอยู่หนาแน่น จึงเปิดเดอะมอลล์ 1 แห่งใหม่ ณ ท่าพระ ในปี พ.ศ. 2532 เป็นห้างแบบครบวงจร และมีสวนน้ำลอยฟ้าอยู่ชั้นบนสุดของห้าง แต่ปิดปรับปรุงครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2550 เพราะเจอเสาร้าวและทรุดตัว 5 ต้น และยกเลิกสวนน้ำ มาเป็นโรงหนังและฟิตเนสแทน ต่อด้วยเดอะมอลล์ 5 งามวงศ์วาน ในปี พ.ศ. 2534 และเปิดเดอะมอลล์ 2 สาขาพร้อมกัน คือ เดอะมอลล์ 6 บางแค และ เดอะมอลล์ 7 บางกะปิ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2537 จนมาเปิดสาขาต่างจังหวัดแห่งแรกที่เดอะมอลล์ โคราช จังหวัดนครราชสีมา ในปี พ.ศ. 2543 ในปี พ.ศ. 2563 ได้มีการปรับปรุงเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน เป็นเอ็ม ไลฟ์สโตร์ และในปีถัดมาสาขาท่าพระก็ได้มีการปรับปรุงเช่นกัน ทั้งนี้ กลุ่มเดอะมอลล์มีกำหนดปรับปรุงสาขาบางแคและบางกะปิในปี พ.ศ. 2566 และสาขาโคราชในลำดับถัดไป == ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า == เดอะมอลล์มีจำนวนสาขาทั้งหมด 8 สาขา ต่อมา 9 สาขา ปัจจุบันได้เปิดให้บริการทั้งหมด 8 สาขา ได้แก่ === กรุงเทพมหานครและปริมณฑล === === ภูมิภาค === == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เดอะมอลล์กรุ๊ป สองทศวรรษเดอะมอลล์กรุ๊ป ศูนย์การค้าในประเทศไทย ห้างสรรพสินค้าในประเทศไทย *
thaiwikipedia
1,523
เอ็มโพเรียม
เอ็มโพเรียม (Emporium) เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยเป็นอาคารหลักในกลุ่มดิ เอ็มดิสทริค เปิดให้บริการเมื่อ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง บริหารงานโดยบริษัท ซิตี้มอลล์ กรุ๊ป จำกัด ในกลุ่มเดอะมอลล์ ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท ติดกับสวนเบญจสิริ ในพื้นที่เขตคลองเตย นับเป็นห้างสรรพสินค้าในรูปแบบสแตนอโลนสาขาแรกและสาขาเดียวของกลุ่มเดอะมอลล์ จากเดิมที่เอ็มโพเรียมเป็นศูนย์การค้าที่เน้นความสำคัญกับตลาดลูกค้าชาวต่างชาติและลูกค้าระดับสูง == ประวัติ == เอ็มโพเรียม เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2537 โดยกลุ่มเดอะมอลล์ได้ซื้อที่ดินบริเวณปากซอยสุขุมวิท 24 เพื่อก่อสร้างห้างสรรพสินค้าหรูหราแห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือกับกลุ่มตระกูลโสภณพนิช ผู้ก่อตั้งธนาคารกรุงเทพ ที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการอาคารระฟ้า 1 หลัง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นโรงแรมชาเทรียมและอีกส่วนหนึ่งเป็นสำนักงานให้เช่า ตัวอาคารทั้งหมดได้รับการออกแบบโดยกลุ่มสถาปนิก Jacqueline et Henri Boiffils โดยออกแบบถึงความคลาสสิกที่เต็มไปด้วยความหรูหรา แต่แล้วการก่อสร้างกลับล่าช้ากว่ากำหนดเนื่องจากประเทศไทยเริ่มประสบภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่จนก่อให้เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้นักลงทุนหลายแห่งตัดสินใจถอนทุนออกจากโครงการเกือบทั้งหมด ยกเว้นกลุ่มโสภณพนิช โครงการพัฒนาแล้วเสร็จในช่วงกลางปี พ.ศ. 2540 ต่อมาใน พ.ศ. 2554 กลุ่มเดอะมอลล์ได้ตัดสินใจปรับปรุงโครงสร้างอาคารครั้งใหญ่ภายใต้แนวคิด "ที่สุดแห่งสุนทรียและแรงบันดาลใจ" โดยปรับสัดส่วนพื้นที่และการจัดสรรพื้นที่ใหม่ทั้งหมด ย้ายร้านค้าบางส่วนไปยังเอ็มควอเทียร์ เพิ่มพื้นที่ห้างสรรพสินค้าอีก 20% เพิ่มพื้นที่สำหรับร้านสินค้าหรูหรา ปรับโรงภาพยนตร์ขึ้นเป็นโรงภาพยนตร์สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับสูง เพิ่มทางเชื่อมอาคารกับสถานีพร้อมพงษ์ และปรับทางเชื่อมเดิมให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น การปรับปรุงทั้งหมดนี้ทำให้เอ็มโพเรียมกลายเป็นศูนย์การค้าที่ตกแต่งในรูปแบบหอศิลป์แห่งแรกของประเทศไทย โดยการปรับปรุงแล้วเสร็จทั้งหมดใน พ.ศ. 2557 ก่อนเอ็มควอเทียร์จะเปิดให้บริการในปีถัดมา ใน พ.ศ. 2565 กลุ่มเดอะมอลล์ได้ดำเนินการปรับปรุงเอ็มโพเรียมครั้งใหญ่พร้อมกับเอ็มควอเทียร์ เพื่อรับการเปิดให้บริการของเอ็มสเฟียร์ โดยในครั้งนี้ กลุ่มเดอะมอลล์ ได้ตัดสินใจปิดพื้นที่เช่าเกือบทั้งหมด และให้ร้านค้าบางส่วนย้ายไปเปิดป็อปอัพสโตร์ชั่วคราวในเอ็มควอเทียร์ ก่อนเปิดร้านค้าถาวรในเอ็มสเฟียร์ และใช้พื้นที่อาคารทั้งหมดพัฒนาเป็นห้างสรรพสินค้าแยกเฉพาะเต็มรูปแบบด้วยพื้นที่กว่า 80% ในขณะที่อีก 20% เป็นร้านค้าสินค้าหรูหรา และโรงภาพยนตร์ที่ยังเปิดให้บริการตามปกติ โดยการปรับปรุงครั้งนี้กำหนดแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2566 == การจัดสรรพื้นที่ == เอ็มโพเรียม แบ่งพื้นที่เป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งคือห้างสรรพสินค้า ความสูง 7 ชั้น มีพื้นที่สำคัญคือห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม, สปอร์ตมอลล์ โดยมีอาดิดาสเป็นบูติกขนาดใหญ่ในพื้นที่, เพาเวอร์มอลล์ และเกมเซ็นเตอร์, บีเทรนด์, บิวตี้ฮอลล์, กูร์เม่ต์มาร์เก็ต และกูร์เม่ต์ ไวน์ เซลลาร์, กูร์เม่ต์อีตส์ ซึ่งทั้งหมดคิดเป็น 80% ของพื้นที่อาคาร ในขณะที่อีก 20% แบ่งเป็น ร้านค้าสินค้าหรูหรา และโรงภาพยนตร์เอ็มพรีเว่ ซีเนคลับ ในเครือเอสเอฟ ซีเนม่า จำนวน 5 โรงภาพยนตร์ พื้นที่อีกส่วนหนึ่งของเอ็มโพเรียม เป็นอาคารเอนกประสงค์ เอ็มโพเรียม ทาวเวอร์ ความสูง 43 ชั้น ภายในประกอบไปด้วยสองส่วนย่อย ส่วนแรกคืออาคารสำนักงานเอ็มโพเรียม ซึ่งเป็นที่ตั้งของ บจก.ซิตี้ มอลล์ กรุ๊ป และ สำนักงานย่อยของ บจก. เดอะมอลล์ กรุ๊ป รวมถึงสำนักงานของบริษัทข้ามชาติหลายแห่ง อีกส่วนหนึ่งคือโรงแรมเอ็มโพเรียมสวีท บาย ชาเทรียม จำนวน 376 ห้อง บริหารโดยกลุ่มโรงแรมชาเทรียม โครงการเอ็มโพเรียม มีทางเชื่อมไปยังสถานีพร้อมพงษ์ของรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิท รวมถึงทางเชื่อมไปยังเอ็มควอเทียร์และเอ็มสเฟียร์ ที่ชั้นเอ็ม และชั้น 1 == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == ศูนย์การค้าในเขตคลองเตย กลุ่มเดอะมอลล์ เดอะ ดิสทริกต์ เอ็ม
thaiwikipedia
1,524
กลุ่มเซ็นทรัล
กลุ่มเซ็นทรัล (Central Group) เป็นผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกและบริการทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ดำเนินธุรกิจหลากหลายแขนง อาทิ ธุรกิจห้างสรรพสินค้า, ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจบริหารและการตลาดสินค้าแฟชั่น, ธุรกิจโรงแรมและ รีสอร์ท, ธุรกิจร้านอาหาร รวมไปถึงธุรกิจดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ด้วยยุทธศาสตร์ นิวเซ็นทรัล นิวอีโคโนมี ในฐานะสุดยอดเทคคอมปานี และผู้นำด้านดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มอย่างเต็มรูปแบบ == ประวัติ == บริษัทเซ็นทรัลเทรดดิ้ง หรือชื่อการค้า ห้างเซ็นทรัล ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2490 โดย เตียง จิราธิวัฒน์ (นี่เตียง แซ่เจ็ง) และ สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ (ฮกเส่ง แซ่เจ็ง) บุตรชายคนโต เป็นร้านค้าตึกแถวครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้นขนาด 1 คูหา ปากตรอกกัปตันบุช (ปัจจุบันคือซอยเจริญกรุง 30) ย่านสี่พระยา จำหน่ายหนังสือ รวมทั้งเสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า และเครื่องสำอาง ทั้งสินค้าในประเทศและสินค้านำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเซ็นทรัลเป็นกิจการใหม่ที่สานต่อจากกิจการร้านชำ เข่งเซ่งหลี ย่านบางขุนเทียน ของเตียง 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2493 บริษัทเซ็นทรัลเทรดดิ้ง ย้ายที่ตั้งไปยังตึกแถว 3 คูหา ย่านสุริวงษ์ ปากตรอกชาร์เตอร์แบงก์ ในปี พ.ศ. 2499 เตียง ได้ร่วมทุนกับบุตรชายทั้งสามคน อันได้แก่ สัมฤทธิ์, วันชัย และ สุทธิพร เปิดทำการห้างสรรพสินค้าเต็มรูปแบบที่ย่านวังบูรพา โดยใช้ชื่อว่า เซ็นทรัล วังบูรพา ต่อมาจึงเปิดสาขาใหม่ที่ย่านราชประสงค์ในปีพ.ศ. 2507 สาขาสีลมในปี พ.ศ. 2511 และ พ.ศ. 2517 เปิดห้างสรรพสินค้าแบบจุดเดียวเสร็จสรรพ (one stop) ที่ชิดลม ต่อมา พ.ศ. 2524 จึงขยายกิจการตั้งสาขาลาดหญ้า ในฝั่งธนบุรี และเปิดสาขาลาดพร้าว ในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งสมบูรณ์และใหญ่ที่สุดในบรรดาห้างสรรพสินค้าไทยในสมัยนั้น ในปี พ.ศ. 2535 ได้ขยายสาขาไปต่างจังหวัด ที่อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ ขยายสาขาไปสู่ต่างจังหวัด == กลุ่มธุรกิจของบริษัท == ปัจจุบันในปี พ.ศ. 2565 กลุ่มเซ็นทรัล แบ่งประเภทธุรกิจออกเป็น 6 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก และแบรนด์สินค้า, ศูนย์การค้า และอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์, โรงแรมและร้านอาหาร, ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท, บริการด้านการเงินและฟินเทค, เดอะ วัน, ธุรกิจใหม่ในยุคดิจิทัล === ศูนย์การค้า และอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ (Malls & Commercial Properties)=== รับผิดชอบในการบริหารอาคารอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์การค้า และส่วนงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยปัจจุบันเซ็นทรัลพัฒนามีการแบ่งธุรกิจภายในดังนี้ ==== บริหารศูนย์การค้า ==== ==== บริหารอาคารสำนักงาน ==== ลาดพร้าว ปิ่นเกล้า Tower A ปิ่นเกล้า Tower B บางนา เซ็นทรัลเวิลด์ ออฟฟิสเศส แจ้งวัฒนะ เดอะไนน์ ทาวเวอร์ส แกรนด์ พระราม 9 จี ทาวเวอร์ แกรนด์ พระราม 9 ยูนิลีเวอร์ เฮาส์ แกรนด์ พระราม 9 เซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศเซส แอท ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (กำลังก่อสร้าง) ทีเพลส (CPN โดย สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเม้นท์ เป็นเจ้าของโครงการ โดยให้ ยูนิเวนเจอร์ เป็นผู้บริหารอาคาร) ==== โครงการศูนย์การค้าขนาดเล็ก ==== มาร์เก็ตเพลส บางบอน มาร์เก็ตเพลส สุขาภิบาล 3 มาร์เก็ตเพลส ประชาอุทิศ มาเช่ ทองหล่อ เจ อเวนิว (ทองหล่อ ซอย 15) มาร์เก็ตเพลส นวมินทร์ เพชรเกษม พาวเวอร์ เซ็นเตอร์ เอกมัย พาวเวอร์ เซ็นเตอร์ ลา วิลล่า อารีย์ ดิ อเวนิว รัชโยธิน พัทยา อเวนิว นวมินทร์ ซิตี้ อเวนิว 1 นวมินทร์ ซิตี้ อเวนิว 2 เหม่งจ๋าย (บี-ควิก) มาร์เก็ตเพลส นางลิ้นจี่ มาร์เก็ตเพลส ดุสิต มาร์เก็ตเพลส กรุงเทพกรีฑา ==== โครงการศูนย์การค้าภายใต้การร่วมทุน ==== เมกา บางนา ==== โรงแรม ==== โรงแรมเซ็นทาราและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ อุดรธานี ที่ เซ็นทรัล อุดร โรงแรมฮิลตัน พัทยา ที่ เซ็นทรัล พัทยา โรงแรมเซ็นทารา โคราช ที่ เซ็นทรัล โคราช โรงแรมโกโฮเทล บ่อวิน ที่ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ บ่อวิน โรงแรมเซ็นทารา อุบล ที่ เซ็นทรัล อุบล ดุสิตธานี กรุงเทพ ที่ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ==== โครงการที่พักอาศัยเพื่อเช่า ==== เซ็นทรัล ซิตี้ เรสซิเดนซ์ (CPN เป็นเจ้าของพื้นที่บางส่วนของโครงการ) ==== โครงการที่พักอาศัยเพื่อขาย (แนวสูง) ==== เอสเซ็นท์ เชียงใหม่ เอสเซ็นท์ ขอนแก่น เอสเซ็นท์ ระยอง เอสเซ็นท์ วิลล์ เชียงใหม่ เอสเซ็นท์ วิลล์ เชียงราย เอสเซ็นท์ นครราชสีมา ฟีล พหล 34 เอสเซ็นท์ อุบลราชธานี เบ็ล แกรนด์ พระราม 9 เอสเซ็นท์ พาร์ควิลล์ เชียงใหม่ เอสเซ็นท์ ระยอง 2 เอสเซ็นท์ โคราช เอสเซ็นท์ หาดใหญ่ เอสเซ็นท์ วิลล์ อยุธยา ฟีล ภูเก็ต เอสเซ็นท์ วิลล์ สุราษฎร์ธานี เอสเซ็นท์ วิลล์ สุพรรณบุรี เอสเซ็นท์ วิลล์ ฉะเชิงเทรา เอสเซ็นท์ ตรัง ==== โครงการที่พักอาศัยเพื่อขาย (แนวราบ) ==== นิยาม บรมราชชนนี นินญา กัลปพฤกษ์ เอสเซ็นท์ ทาวน์ พิษณุโลก นิรติ เชียงราย นิรติ บางนา นิรติ ดอนเมือง เอสเซ็นท์ อเวนิว ระยอง นินญา ราชพฤกษ์ นิรติ เชียงใหม่ ==== การลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ที่ถือหุ้นมากกว่า 10% ==== บจก. เซ็นทรัลฟู้ดอเวนิว - ศูนย์อาหารภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า (บางส่วน) และเซ็นทรัล บางนา บจก. เซ็นทรัลพัฒนา พระราม 2 - เซ็นทรัล พระราม 2 และศูนย์อาหารภายในเซ็นทรัล พระราม 2 บจก. เซ็นทรัลพัฒนา พระราม 3 - เซ็นทรัล พระราม 3 และศูนย์อาหารภายในเซ็นทรัล พระราม 3 และเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า (บางส่วน) บจก. เซ็นทรัลพัฒนา เรียลตี้ - เซ็นทรัล ลาดพร้าว (บางส่วน) บริการสาธารณูปโภคในเซ็นทรัล ลาดพร้าว (บางส่วน) เซ็นทรัล ชลบุรี และศูนย์อาหารภายในเซ็นทรัล ชลบุรี บจก. บางนา เซ็นทรัล พร็อพเพอร์ตี้ - เซ็นทรัล บางนา อาคารสำนักงาน และสวนน้ำ ณ เซ็นทรัล บางนา โครงการที่พักอาศัย เซ็นทรัล ซิตี้ เรสซิเดนซ์ บจก. เซ็นทรัลพัฒนา เชียงใหม่ - เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต และศูนย์อาหารในเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต บจก. เซ็นทรัลพัฒนา รัตนาธิเบศร์ - เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ และศูนย์อาหารในเซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ บจก. เซ็นทรัลเวิลด์ - เซ็นทรัล อุดร เซ็นทรัล พิษณุโลก เซ็นทรัล อุบล และเซ็นทรัล สมุย รวมทั้งศูนย์อาหารภายในศูนย์การค้าดังกล่าว โรงแรมเซ็นทาราและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ อุดรธานี และโรงแรม โกโฮเทล บ่อวิน บจก. เซ็นทรัลพัฒนา ขอนแก่น - เซ็นทรัล ขอนแก่น และศูนย์อาหารภายในเซ็นทรัล ขอนแก่น บจก. เซ็นทรัลพัฒนา ดีเวลลอปเม้นท์ - เซ็นทรัล เชียงราย เซ็นทรัล สุราษฎร์ธานี เซ็นทรัล ลำปาง และศูนย์อาหารภายในศูนย์การค้าดังกล่าว บจก. เซ็นทรัลพัฒนา ไนน์ สแควร์ - ศูนย์การค้าและสำนักงานเซ็นทรัล พระราม 9 บจก. ซีพีเอ็น ระยอง - เซ็นทรัล ระยอง และศูนย์อาหารในเซ็นทรัล ระยอง บจก. ซีพีเอ็น โคราช - เซ็นทรัล โคราช และศูนย์อาหารในเซ็นทรัล โคราช บจก. ซีพีเอ็น วิลเลจ - เซ็นทรัล วิลเลจ ลักซูรี่ เอาท์เล็ต และศูนย์อาหารภายในเซ็นทรัล วิลเลจ บจก. ซีพีเอ็น พัทยา - เซ็นทรัล พัทยา และโรงแรมฮิลตัน พัทยา บจก. ซีพีเอ็น เรสซิเด้นซ์ - พัฒนาโครงการที่พักอาศัยเพื่อขาย บจก. ซีพีเอ็น เรสซิเด้นซ์ แมเนจเมนท์ - บริหารงานนิติบุคคล อาคารชุด และบ้านจัดสรร บจก. ซีพีเอ็น เรซซิเด้นซ์ ขอนแก่น - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจก. ซีพีเอ็น เอสเตท - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และโรงแรมเซ็นทารา โคราช บจก. ซีพีเอ็น โกบอล - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และลงทุนในบริษัทย่อยเพื่อประกอบธุรกิจในประเทศมาเลเซีย Global Retail Development & Investment Limited - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Central Plaza i-City Real Estate Sdn. Bhd. - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ CPN Venture Sdn. Bhd. - ให้คำปรึกษาด้านการบริหารและการจัดการอสังหาริมทรัพย์ Chipper Global Limited - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และลงทุนในบริษัทอื่นๆ Porto Worldwide Limited - ลงทุนในธุรกิจแกร็บ ประเทศไทย บจก. ดาราฮาร์เบอร์ - เซ็นทรัล ศรีราชา และศูนย์อาหารภายในเซ็นทรัล ศรีราชา โรงแรมโก โฮเทล ศรีราชา บจก. ซี.เอส.ซิตี้ - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจก. ฟีโนมินอน ครีเอชั่น - พัฒนาโครงการธีมปาร์คภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภูเก็ต บจก. สแควร์ ริทซ์ พลาซา - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจก. สยาม รีเทล ดีเวลล็อปเม้นท์ - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจก. อยุธยาเกษตรธานี - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจก. ซีพีเอ็น ซิตี้ - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจก. ซีพีเอ็น คอมเพล็กซ์ - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจก. ชนะคุณ ดีเวลลอปเม้นท์ - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจก. ซินเนอร์จิสติก พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (กิจการร่วมค้ากับ โลตัส) บจก. ซีพีเอ็น แอนด์ เอชเคแอล - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมธุรกิจไทย 4 โดย บมจ.หลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย - ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เซ็นทรัลเวิลด์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่า อสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท บริหารงานโดยบริษัท ซีพีเอน รีท แมเนจเมนท์ จำกัด - ลงทุนสิทธิการเช่า บจก. ซีพีเอ็น รีท แมเนจเมนท์ - ให้บริการจัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ บจก. ซีพีเอ็น พัทยา โฮเทล - ผู้เช่าช่วงและประกอบธุรกิจโรงแรมฮิลตัน พัทยา ที่อยู่ภายใต้ CPNREIT กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN คอมเมอร์เชียล โกรท โดย บลจ.ไทยพาณิชย์ - ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ บมจ. แกรนด์คาแนล แลนด์ - เดอะ ไนน์ ทาวเวอร์ บจก. สเตอร์ลิง อีควิตี้ - ยูนิลีเวอร์ เฮ้าส์ บจก. เบ็ล ดีเวลลอปเมนท์ - เบ็ล แกรนด์ พระราม 9 บจก. เบ็ล แอสเซทส์ - พัฒนาโครงการที่พักอาศัย บจก. จี แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจก. พระราม 9 สแควร์ - จี ทาวเวอร์ บจก. พระราม 9 สแควร์ โฮเต็ล - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจก. รัชดา แอสเซทส์ โฮลดิ้ง - บจ. เบย์วอเตอร์ สัดส่วนร้อยละ 50 บจก. เบย์วอเตอร์ - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บมจ. ดุสิตธานี - ประกอบธุรกิจโรงแรม รับจ้างบริหารงานโรงแรม บจก. วิมานสุริยา - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจก. สวนลุม พร็อพเพอร์ตี้ - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจก. พระราม 4 เดเวลลอปเม้นท์ - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจก. ศาลาแดง พร๊อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บมจ. สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจ. สยามฟิวเจอร์ พร็อพเพอร์ตี้ - ศูนย์การค้าเอสพละนาด รัชดาภิเษก บจ. สยามฟิวเจอร์ แมเนจเมนท์ - ดำเนินธุรกิจด้านการบริการศูนย์การค้ามาร์เก็ตเพลส นวมินทร์ (สุขาภิบาล 1) บจ. รัชโยธิน อเวนิว - ศูนย์การค้าดิ อเวนิว รัชโยธิน บจ. รัชโยธิน อเวนิว แมเนจเมนท์ - ดำเนินธุรกิจด้านการบริการศูนย์การค้าดิ อเวนิว รัชโยธิน บจ. เพชรเกษม พาวเวอร์ เซ็นเตอร์ - ศูนย์การค้าเพชรเกษม พาวเวอร์ เซ็นเตอร์ บจ. เอกมัย ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ - ศูนย์การค้าเอกมัย พาวเวอร์ เซ็นเตอร์ บจ. เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ - เมกาบางนา (กิจการร่วมค้ากับ อิคาโน่ เอเชีย แอนด์ เม็กซิโก) บจ. นอร์ธ บางกอก ดีเวลลอปเมนท์ - ศูนย์การค้าแห่งใหม่บริเวณรังสิต บจ. เวสต์ บางกอก ดีเวลลอปเมนท์ - พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บจ. คอมมอนกราวน์ (ประเทศไทย) - ธุรกิจ Co-Working Space บจ. เจดับเบิ้ลยูดี สโตร์ อิท - ธุรกิจให้บริการสถานที่เก็บสินค้า บจ. เจดับเบิ้ลยูดี สโตร์ อิท (รามอินทรา) - ธุรกิจให้บริการสถานที่เก็บสินค้า บจ. สโตร์การ์ด - ธุรกิจให้บริการสถานที่เก็บสินค้า === ค้าปลีก และแบรนด์สินค้า (Retail & Brands) === ธุรกิจค้าปลีก และแบรนด์สินค้า เป็นสายธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มเซ็นทรัล ครอบคลุมทั้งในเอเชีย และยุโรป โดยมีจุดแข็งอยู่ที่การมีแบรนด์ชื่อดังหลากหลายแบรนด์ ระบบการดำเนินงานที่ทันสมัย และบุคลากรที่มีประสบการณ์ และความสามารถ สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มฟู้ด, กลุ่มแฟชั่น, กลุ่มฮาร์ดไลน์ และ กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ==== กลุ่มแฟชั่น (Fashion Group) ==== ในกลุ่มแฟชั่น จะประกอบไปด้วย 4 หมวดธุรกิจดังนี้ ห้างสรรพสินค้าที่จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล (Central) ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (Robinson) ห้างสรรพสินค้ารินาเชนเต (Rinascente) ห้างสรรพสินค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ห้างสรรพสินค้าอิลลัม (ILLUM) กลุ่มห้างสรรพสินค้าคาเดเว (The KaDeWe Group) (ถือหุ้นสัดส่วน 50.1 ต่อ 49.9 กับกลุ่มซิกน่า) * ห้างสรรพสินค้าคาเดเว (KaDeWe) * ห้างสรรพสินค้าโอเบอร์โพลลิงเกอร์ (Oberpollinger) * ห้างสรรพสินค้าอัลสแตร์เฮาส์ (Alsterhaus) ห้างสรรพสินค้าโกลบัส (Globus) (ถือหุ้นสัดส่วน 50.1 ต่อ 49.9 กับกลุ่มซิกน่า) ห้างสรรพสินค้าโกลเดนเนส ควอเทียร์ (Goldenes Quartier) ร้านค้าเฉพาะทาง ซี อาร์ ซี สปอร์ต (CRC Sports) * ซูเปอร์สปอร์ต (Supersports) * ฟิต สปอร์ต (Fitsports) คิส บิวตี้ สโตร์ (KIS Beauty Store) สินค้านำเข้า โดย เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป เครือข่ายและผู้แทนจำหน่ายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศผ่านเคาน์เตอร์จำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง รวมถึงร้านค้าแบบเดี่ยว อาทิ Accessorize Casio G-Shock Mango Mango Touch H.E. by Mango Dorothy Perkins Combi Wallis Hush Puppies Lee Miss Selfridge Jurlique John Henry ==== กลุ่มฟู้ด (Food Group) ==== รับผิดชอบในการบริหารส่วนร้านค้าสินค้าอุปโภค บริโภค ภายใต้การบริหารของ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ท็อปส์ (Tops) * ท็อปส์ ไฟน์ ฟู้ด (Tops Fine Food) * ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ (Tops Food Hall) ** ไทยเฟเวอริท (Thai Flavorites) * ท็อปส์ คลับ (Tops Club) * ท็อปส์ (Tops) โก! โฮลเซลล์ (GO! Wholesale) อีตไทย (EATHAI) ท็อปส์ ไวน์ เซลลาร์ (Tops Wine Cellar) มัทสึโมโตะ คิโยชิ (Matsumoto Kiyoshi) โก! เวียดนาม (GO! Vietnam) ==== กลุ่มฮาร์ดไลน์ (Hardline Group) ==== รับผิดชอบในการบริหารส่วนร้านค้าสินค้าใหญ่ที่ไม่ใช่สินค้าเพื่อการอุปโภคและบริโภค ไทวัสดุ (Thai Watsadu) * บีเอ็นบี โฮม (BnB Home) * โก! ว้าว เพาเวอร์บาย (Power Buy) * โก! เพาเวอร์ ออฟฟิศเมท (Office Mate) * ออฟฟิศเมท พลัส (Office Mate Plus) บีทูเอส (B2S) * บีทูเอส ธิงค์สเปซ (B2S Think Space) เหงียนคิม (Nguyen Kim) เมพ คอร์ปอเรชั่น (MEB) ออโต้วัน (Auto 1) ==== กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ (Property) ==== มาร์เก็ตเพลส วงศ์สว่าง ไชน่าเวิลด์ วังบูรพา เซ็นทรัล เอ็มบาสซี แพลตฟอร์ม วงเวียนใหญ่ เซ็นทรัล: ดิ ออริจินัล สโตร์ กลุ่มศูนย์การค้า โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ และโก! ไลฟ์สไตล์ โก! มอลล์ ประเทศเวียดนาม === โรงแรมและร้านอาหาร (Hospitality) === กลุ่มเซ็นทรัลเป็นเจ้าของ และบริหารงานโรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ในเมืองสำคัญต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่โรงแรมหรูระดับพรีเมียม ไปจนถึงโรงแรมราคาย่อมเยา ภายใต้แบรนด์เซ็นทารา รีเซิร์ฟ, เซ็นทารา แกรนด์, เซ็นทารา บูติก คอลเลกชั่น, เซ็นทารา, เซ็นทรา บาย เซ็นทารา และ โคซี่ ตลอดจนแบรนด์โรงแรมต่างชาติอย่าง พาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ และฮิลตัน พัทยา นอกจากนี้กลุ่มเซ็นทรัลยังได้ร่วมลงทุนโรงแรมในเครือสเตย์แฟกทอรี โฮเทล กรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมในประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ โรงแรมฮิลลารีส์, โรงแรมรีลีฟ และโรงแรมสตอร์ค นอกจากนี้ กลุ่มเซ็นทรัลยังเป็นผู้นำด้านเชนร้านอาหารในประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จ เป็นผู้บริหารจัดการแบรนด์ร้านอาหารมากมายที่มีชื่อเสียงทั้งในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และสากล อาทิ มิสเตอร์โดนัท, เคเอฟซี, อานตี้ แอนส์, เปปเปอร์ ลันช์, ชาบูตง, เดอะ เทอเรส, โยชิโนยะ, โอโตยะ, เทนยะ, คัดสึยะ, เฟซท์, สลัด แฟคทอรี่ และบราวน์ === บริการด้านการเงินและฟินเทค (Financial Services & FinTech) === ตามยุทธศาสตร์ “นิวเซ็นทรัล นิวอีโคโนมี” บริการด้านการเงิน และฟินเทคของกลุ่มเซ็นทรัล จะเพิ่มความสะดวกสบายให้กับวงการค้าปลีก ทั้งสำหรับร้านค้า และผู้บริโภค ตลอดจนส่งเสริมประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดในอนาคต บริการด้านการเงินและฟินเทคภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล ประกอบด้วย บัตรเครดิต ได้แก่ เซ็นทรัล เดอะวัน เครดิตการ์ด, สินเชื่อเพื่อการใช้จ่าย และสินเชื่อส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์และบริการด้านการชำระเงิน ได้แก่ บัตรของขวัญ, อีเพย์เมนต์ และอีวอลเล็ท บริการโบรคเกอร์ประกันภัย ได้แก่ ประกันรถยนต์, ประกันสุขภาพ, ประกันภัยส่วนบุคคล, ประกันวินาศภัย และ ประกันชีวิตกลุ่ม == กิจกรรมเพื่อสังคม == === โครงการ "เซ็นทรัล ทำ" (Central Tham) === โครงการเพื่อความยั่งยืนของ กลุ่มเซ็นทรัล ดําเนินงานโดยมุ่งเน้นการลดความเหลื่อมลํ้า ให้โอกาสทุกคนในสังคมด้วยการ พัฒนาด้านการศึกษาสู่การเป็นศูนย์การเรียนรู้ ส่งเสริมอาชีพคนพิการ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้มั่นคง แบ่งปันความรู้ทักษะต่าง ๆ สนับสนุนช่องทางการสื่อสารทางการตลาด พร้อมกับการรักษาและดูแลสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่โลกสีเขียว ขับเคลื่อนทุกภาคส่วนสู่การท่องเที่ยวยั่งยืน โดยมีโครงการที่น่าสนใจ ได้แก่ ==== จริงใจ มาร์เก็ต จ. เชียงใหม่ ==== จริงใจ มาร์เก็ต จ.เชียงใหม่ ถือเป็นหนึ่งในโครงการแห่งความจริงใจและใส่ใจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล ที่อยู่ภายใต้ เซ็นทรัล ทำ ได้เริ่มต้นตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2555 สร้างขึ้นภายใต้แนวคิดรักษ์โลก และ CSV (Creating Shared Values) รวมพื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 28 ไร่ โดยภายในตลาดแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ อาหาร, ศิลปะและงานออกแบบ, งานฝีมือ และยังมีร้าน Tops Green สโตร์สีเขียวแห่งแรก รวมไปถึงร้าน Good Goods สินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นผลิตภัณฑ์แบรนด์ไทยที่ผ่านการพัฒนาคุณภาพและออกแบบให้มีความร่วมสมัยที่เน้นสร้างความสุขอย่างยั่งยืนทั้งแก่ผู้คนในชุมชน และนักท่องเที่ยว ==== ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนผ้าทอนาหมื่นศรี จ. ตรัง ==== กลุ่มเซ็นทรัลให้การสนับสนุนก่อสร้าง “พิพิธภัณฑ์ผ้าทอนาหมื่นศรี” เพื่อรวบรวมผ้าทอมือโบราณที่มีประวัติยาวนานกว่า 200 ปี พร้อมทั้งสืบสานลายอัตลักษณ์โบราณ ปัจจุบัน “ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนผ้าทอนาหมื่นศรี” นับได้ว่าเป็นต้นแบบของศูนย์การเรียนรู้การอนุรักษ์เชิงวัฒนธรรม ในแต่ละเดือนจะมีหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน แวะเวียนไปดูงานอย่างสม่ำเสมอ และเพื่อให้นักท่องเที่ยวทราบเเหล่งข้อมูลท่องเที่ยวในชุมชน ได้มีการจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวและป้ายข้อมูล และอบรมความรู้เรื่องการท่องเที่ยวชุมชน ให้กับชุมชนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยว ==== ศูนย์การเรียนรู้พุทธนิเวศเกษตรอินทรีย์ ไร่เชิญตะวัน จ.เชียงราย ==== เซ็นทรัล ทำ ร่วมมือกับพระเมธีวชิโรดม (ท่าน ว.วชิรเมธี) ผู้ก่อตั้งศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย และภาคีเครือข่าย ต่อยอด โครงการพุทธนิเวศเกษตรอินทรีย์ ไร่เชิญตะวัน ผลักดันสู่ “ต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ด้านนวัตกรรมการทำเกษตรอินทรีย์” เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับชาวไร่ชาวนาในการทำเกษตรแบบบริสุทธิ์ ปลอดสารเคมี และเน้นใช้เกษตรทฤษฎีใหม่ พัฒนาวิสาหกิจชุมชน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อความยั่งยืน บนพื้นที่ 2 ไร่ เปิดสอนตั้งแต่ ปี 2556 มีทั้งหมด 13 รุ่น โดย เซ็นทรัล ทำ ตั้งเป้าในการพัฒนาพื้นที่เกษตรอินทรีย์เพิ่มเติม 13 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ปลูกไม้ผล พืชเศรษฐกิจ จำนวน 3 ไร่ และพื้นที่ปลูกผักสวนครัว สมุนไพรพื้นบ้าน จำนวน 10 ไร่ ==== ชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีชีวิตยั่งยืนแม่ทา อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ==== ร่วมกับ มูลนิธิสายใยแผ่นดิน และหน่วยงานมากมายในการส่งเสริมและสนับสนุนด้านต่าง ๆ ดำเนินโครงการพื้นที่วิถีชีวิตยั่งยืนแม่ทา เป็นโครงการต้นแบบ บนพื้นที่จำนวน 9 ไร่ ที่มุ่งหวังให้สมาชิกคนรุ่นใหม่รวมกลุ่มกันจัดสรรพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ด้านต่าง ๆ และยังสนับสนุนโครงการพื้นที่ข่วงชีวิต วิถียั่งยืน ==== กาแฟรักษาป่า ภูชี้เดือน จ.เชียงราย ==== การท่องเที่ยวชุมชนเชิงนิเวศ กาแฟอินทรีย์ รักษาป่า ภูชี้เดือน กาแฟอาราบิก้าออร์แกนิกบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ปลูกด้วยความใส่ใจใต้ต้นไม้ที่เรารักษาไว้เพื่อร่มเงาที่เหมาะสม สำหรับการเติบโตของต้นกาแฟและเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมกับชุมชน เซ็นทรัล ทำ ได้เข้าไปส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน จังหวัดเชียงราย สนับสนุนให้เกษตรกรในพื้นที่ภูชี้เดือนปรับเปลี่ยนวิธีการเพาะปลูกจากเกษตรแบบเชิงเดี่ยวและใช้สารเคมี มาเป็นการปลูกกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าแท้ โดยการคัดต้นพันธุ์แท้ ทริปปิก้า มัลเดอริ่ง จากต่างประเทศ มาปลูกในผืนป่าธรรมชาติบนพื้นที่ภูชี้เดือน เป็นการปลูกกาแฟรักษาป่ากว่า 1,500 ไร่ ==== ชุมชนผ้าย้อมครามบ้านกุดจิก จ.สกลนคร ==== ร่วมมือกับ กรมพัฒนาชุมชน เข้าไปสนับสนุนพัฒนากลุ่มทอผ้าบ้านกุดจิก โดยให้ความสำคัญกับความร่วมมือระหว่างชุมชนและองค์กร ร่วมกันหาจุดเด่น และเอกลักษณ์ ที่ทั้งฝ้ายและสีธรรมชาติ นั้นทำการปลูกเอง ครามก็ปลูกเอง ความสามารถที่แตกต่างของชุมชนนี้ ==== ศูนย์การเรียนรู้พัฒนาผลผลิตการเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน บ้านเทพพนา อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ ==== ช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกรในพื้นที่ ด้วยความตั้งใจที่จะปลูกพืชเศรษฐกิจ ผลผลิตหลักคือ อะโวคาโด พันธุ์แฮสส์ แมกซิโก ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลก จุดเริ่มต้นจากการปลูกอะโวคาโด สายพันธุ์แฮสส์ สู่การทำเกษตรอย่างยั่งยืน ที่มีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ และได้ทำการขยายผลเครือข่ายผู้ปลูกอะโวคาโด โครงการ เซ็นทรัล ทำ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยการ พัฒนาต่อยอดด้านท่องเที่ยวชุมชนเชิงวิถีเกษตรอินทรีย์ โดยจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวร่วมกับสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา จ.ชัยภูมิ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี == อ้างอิง == About Central Group == ดูเพิ่ม == รายชื่อศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าของกลุ่มเซ็นทรัล รายชื่อห้างสรรพสินค้าในประเทศไทย ตระกูลจิราธิวัฒน์ == แหล่งข้อมูลอื่น == Central Department store CPN - Property development & investment สาขาของเซ็นทรัลในปัจจุบัน เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซา เซ็นทรัล เครดิตคาร์ด โครงการใหม่ล่าสุดของ CPN ห้างสรรพสินค้าในประเทศไทย กลุ่มเซ็นทรัล บริษัทที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2490 บริษัทค้าปลีกของประเทศไทย
thaiwikipedia
1,525
สมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7
สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 ทรงมีชื่อเดิมว่า จูลิโอ ดิ จูเลียโน เดอ เมดิชี (Giulio di Giuliano de' Medici) ประสูติในปี ค.ศ. 1478 และสิ้นพระชนม์ในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1534 พระองค์ทรงเป็นบุตรนอกสมรสของจูเลียโน เดอ เมดิชี (Giuliano de' Medici) ซึ่งถูกลอบสังหารโดยฝ่ายตรงข้ามกับตระกูลเมดิชีคือตระกูลปัซซี. พระองค์ยังทรงเป็นหลานของ โลเรนโซ เดอ เมดิชี และทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องของสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10. เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 ได้รับตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปา สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 (ขณะนั้นเป็นพระคาร์ดินัลเมดิชี) ก็ได้รับความไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญ. พระองค์ได้ทำหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของตระกูลเมดิชีในเมืองฟลอเรนซ์. เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 สิ้นพระชนม์ลง พระคาร์ดินัลเมดิชี ไม่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่ง, เช่นเดียวกับเพื่อนของเขา คือ อเลสซานโดร ฟาร์เนส, แต่ทั้งสองคนก็ได้มีส่วนร่วมในการเลือกสมเด็จพระสันตะปาปาเอเดรียนที่ 6 ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน. เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาเอเดรียนที่ 6 สิ้นพระชนม์ลง พระคาร์ดินัลเมดิชีก็ได้ดำรงตำแหน่งสืบต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1523 สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 ทรงเห็นแก่เรื่องทางโลกมากเกินไป จึงทำให้พระองค์ไม่สามารถเข้าใจความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ภายในองค์กรศาสนาได้ แต่ด้วยนิสัยโลเลของพระองค์ ก็ทำให้พระองค์ไม่สามารถจัดการเรื่องทางโลกได้ดีเช่นกัน. ในช่วงแรก พระองค์ได้ใส่ใจต่อกิจการทางโลกที่มีต่อจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระองค์มีความตื่นตระหนกต่ออำนาจของจักรพรรด์ชาร์ลส์ที่ 5 ผู้ได้รับชัยชนะครั้งสำคัญในการรบที่ปาเวีย. ความตื่นตระหนกนี้ ผลักดันให้พระองค์เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสและเจ้าชายอิตาลีหลายพระองค์ เพื่อต่อต้านจักรพรรดิ. เนื่องจากพระองค์มีนิสัยโลเล ไม่นานพระองค์ก็เปลี่ยนใจ แต่อะไร ๆ ก็สายเกินแก้เสียแล้ว. ในที่สุด กรุงโรมก็ถูกกองทัพของจักรพรรดิปล้นสะดมในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1527 พระองค์จำต้องยอมแพ้หลังจากที่ถูกล้อมในปราสาท Sant' Angelo หลังจากนั้นพระองค์ก็ถูกคุมขังเป็นเวลา 6 เดือน. หลังจากที่พระองค์ถูกปล่อยจากที่คุมขัง พระองค์ก็ยังต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของจักรพรรดิ. ระหว่างนั้นพระองค์ได้ทำตามคำขอของจักรพรรดิ โดยการจัดการกับพวกโปรเตสแตนต์อย่างเข้มงวด. ขณะที่อำนาจของสมเด็จพระสันตะปาปากำลังตกต่ำ ชาวเมืองฟลอเรนซ์ก็ได้ก่อกบฏ และขับไล่ตระกูลเมดิชีออกจากเมือง. 2 ปีต่อมา หลังจากที่พระองค์ได้เจรจาสันติภาพกับจักรพรรดิเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ยกทัพบุกเมืองฟลอเรนซ์โดยมีจักรพรรดิช่วยเหลือ หลังจากที่ล้อมเมืองไว้ 11 เดือน เมืองฟลอเรนซ์ก็ยอมแพ้. พระองค์ได้แต่งตั้งบุตรนอกสมรสของพระองค์ชื่อ อเลสซานโดร ให้เป็นผู้ปกครองของเมืองฟลอเรนซ์. เหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่ง ในสมณสมัยของพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 ก็คือ การที่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 กษัตริย์แห่งอังกฤษ ทรงประกาศให้คริสตจักรในอังกฤษไม่ขึ้นต่อสันตสำนักในปี ค.ศ. 1533 แต่ให้มาขึ้นตรงต่อพระองค์ (เฮนรี่ที่ 8) แทน. สาเหตุมาจากพระมเหสีของพระองค์ คือพระนางคัทเธอรีนแห่งอรากอน ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายแก่พระองค์ได้ (ทรงให้กำเนิตบุตรสาวคนเดียว) พระองค์จึงขอให้สมเด็จพระสันตะปาปาหย่าให้ แต่หลักของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกนั้นห้ามการหย่า, อีกทั้งพระนางคัทเธอรีนนั้นมีศักดิ์เป็นน้าของจักรพรรดิอีกด้วย, พระเจ้าเฮนรี่จึงไม่พอใจและได้ประกาศแยกตัวออกมา พระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1534 เนื่องจากเสวยเห็ดพิษชนิดที่มีพิษรุนแรงที่สุดเข้าไป บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2021 เสียชีวิตจากยาพิษ คลีเมนต์ที่ 7 ตระกูลเมดีชี บุคคลจากฟลอเรนซ์
thaiwikipedia
1,526
สมเด็จพระสันตะปาปาเอเดรียนที่ 6
สมเด็จพระสันตะปาปาเอเดรียนที่ 6 (2 มีนาคม ค.ศ. 1459 - 14 กันยายน ค.ศ. 1523) มีพระนามเดิมว่า Adrian Florisz Boeyens ทรงดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1522 จนกระทั่งสิ้นพระชนม์. พระองค์ประสูติที่ยูเทรกท์ ในดินแดนที่เป็นประเทศเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน (สมัยนั้น ประชาชนแถบเมืองอูเทร็คท์พูดภาษาเยอรมันและเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) บรรพบุรุษของพระองค์ก็อพยพมาจากเยอรมนี ดังนั้นในปัจจุบันจึงถือกันว่าพระองค์เป็นทั้งชาวดัชท์และชาวเยอรมัน โดยพระองค์เป็นสมเด็จพระสันตปาปาองค์สุดท้ายที่ไม่ได้มาจากอิตาลี ถ้าไม่นับสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 (ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 1978-2005) นอกจากนี้ พระองค์ยังเป็นพระสันตะปาปาเพียงพระองค์เดียวที่มาจากเนเธอร์แลนด์ และองค์สุดท้ายที่เป็นชาวเยอรมัน (ก่อนหน้าสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 อีกด้วย) พระองค์เป็นที่รู้จักจากการที่พระองค์พยายามต่อต้านนิกายโปรเตสแตนต์ โดยการปรับปรุงนิกายโรมันคาทอลิกให้เคร่งครัดน่าเลื่อมใสยิ่งขึ้น. พระองค์ประสูติในเมืองยูเทรกท์ พระนามเดิมของพระองค์นั้นเขียนได้ต่าง ๆ กันไป เช่น Adriaan Florisz, A. Florisz Boeyens, A. Florens หรืออื่น ๆ คำว่า 'Florens' หรือ 'Florisz' หมายถึง บุตรของ Floris พระองค์ศึกษาวิชาเทววิทยา ปรัชญา และกฎหมายศาสนจักร ณ มหาวิทยาลัย Leuven โดยได้รับการสนับสนุนด้วยเงินทุนจากมาร์กาเรตแห่งเบอร์กันดี และสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเอกสาขาเทววิทยา ในปี ค.ศ. 1491. ได้ดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีแห่งวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์ และรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัย Leuven ในปี ค.ศ. 1507 พระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอาจารย์ของคาร์ล (ขณะนั้นอายุ 7 ปี) พระนัดดาในจักรพรรดิมักซีมีเลียนแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคาร์ลผู้นี้จะได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์. ต่อมาในปี ค.ศ. 1515 พระองค์ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจการทูตในสเปน เมื่อมาถึงเมืองโตเลโดในสเปน พระองค์ก็ได้ปกครองมุขมณฑลตอร์โตซา ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1516 พระองค์ก็ได้เป็นหัวหน้าผู้สอบสวนทางศาสนาแห่งอรากอน ปีต่อมสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10ได้แต่งตั้งพระองค์เป็นพระคาร์ดินัล. เมื่อจัจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 ยังทรงพระเยาว์ พระองค์ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมกับพระคาร์ดินัล Jimenez. หลังจากที่พระคาร์ดินัล Jimenez ถึงแก่กรรมลง พระองค์ก็ได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าผู้สอบสวนทางศาสนาแห่งกาสตีลและอารากอนในวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1518 (พระองค์ดำรงตำแหน่งนี้ไปจนถึงเมื่อพระองค์ได้รับเลือกเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาในปี ค.ศ. 1522) ในปี ค.ศ. 1520 จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 เสด็จไปยังเนเธอร์แลนด์ พระองค์ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่สเปน พระองค์ต้องรับมือกับการกบฏที่ใหญ่มากในครั้งนั้น เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 สิ้นพระชนม์ลง เหล่าพระคาร์ดินัลก็จัดการเลือกตั้งขึ้น ตัวเก็งในครั้งนั้นคือ พระคาร์ดินัลจูลิโอ เดอ เมดีชี (ภายหลังได้ขึ้นเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7) การเลือกตั้งยืดเยื้อมาก แต่ในที่สุด ผู้ทีได้รับเลือกก็คือ สมเด็จพระสันตะปาปาเอเดรียนที่ 6 ผู้มีอายุ 63 ปีและไม่ได้ไปเข้าร่วมการเลือกตั้ง พระองค์ทำพิธีสวมมงกุฎในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1522 ในมหาวิหารนักบุญเปโตร ขณะนั้น พระองค์ก็ได้ตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะปฏิรูปศาสนา แต่ปรากฏว่าพระองค์ต้องทำการนั้นเพียงลำพัง สิ่งที่พระองค์ตั้งใจทำมีอยู่หลายอย่าง อย่างหนึ่งที่สำคัญคือการพยายามยกเลิกการขายใบยกโทษบาป แต่พระองค์ก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้เนื่องจากสันตะสำนักมีหนี้สินจำนวนมาก เนื่องจากการใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยของสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 พระองค์มีความเคร่งศาสนามาก ไม่โปรดความฟุ่มเฟือยและสิ่งสนุกสนาน ทำให้ศิลปินและนักดนตรีในกรุงโรมไม่ได้รับการส่งเสริมอย่างที่เคยเป็นมา นักดนตรีและศิลปินต่างพากันย้ายออกจากกรุงโรม ส่งผลให้มาตรฐานการดนตรีและศิลปะของสันตสำนักตกต่ำลงอย่างรวดเร็วในสมณสมัยของพระองค์ พระองค์เป็นผู้ที่ปรารถนาสันติภาพคนหนึ่ง แต่พระองค์ก็ล้มเหลวในการทำให้เกิดสันติภาพในยุโรป ในปี ค.ศ. 1523 พระองค์จำต้องร่วมเป็นพันธมิตรกับอังกฤษ จักรวรรดิฯ และเมืองเวนิซในการสู้รบต่อต้านฝรั่งเศส ก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 1522 สุลต่านสุไลมานที่ 1 แห่งจักรวรรดิออตโตมัน ก็เข้ายึดครองเกาะโรดส์ สำหรับเรื่องปัญหาพวกโปรแตสแตนต์ในเยอรมนี พระองค์ก็เหมือนจะไม่ทราบถึงความหนักหน่วงที่แท้จริงของปัญหา โดย ณ การประชุมที่จัดจึ้นที่นูเรมเบิร์ก พระองค์ได้ส่ง Francesco Chiericati ไปเข้าร่วมแทน ความคิดของพระองค์คือควรจะเริ่มปรับปรุงหน่วยงาน Roman Curia และปรับปรุงให้ศาสนามีความเคร่งครัด น่าเลื่อมใสมากขึ้น แต่ไม่มีใครเห็นด้วย ความเห็นส่วนมากของผู้ที่เข้าร่วมประชุมก็คือ ให้นำตัว มาร์ติน ลูเทอร์ มาลงโทษในฐานะพวกนอกรีต และไม่เห็นด้วยกับการปรับปรุงวัตรปฏิบัติต่าง ๆ งานชิ้นหนึ่งที่สมเด็จพระสันตะปาปาเอเดรียนที่ 6 ทรงนิพนธ์ขึ้น มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า แม้สมเด็จพระสันตะปาปาก็สามารถทำผิดพลาดในด้านความเชื่อได้ (haeresim per suam determinationem aut Decretalem assurondo) แต่ชาวคาทอลิกถือว่า งานชิ้นนั้นเป็นเพียงความเห็นส่วนพระองค์ ไม่ใช่คำประกาศอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงไม่ขัดกับหลักการที่สำคัญ ที่ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาทรงไม่ผิดพลาดในประการใด ๆ สมเด็จพระสันตะปาปาเอเดรียนที่ 6 สิ้นพระชนม์ในวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1523 สมณสมัยของพระองค์ดำรงอยู่เพียงปีเศษ ๆ จึงทำให้พระองค์ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอะไรได้ ผลงานของพระองค์จำนวนมากสูญหายไปหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2002 พระสันตะปาปาชาวดัตช์ พระสันตะปาปาชาวเยอรมัน บุคคลจากยูเทรกต์
thaiwikipedia
1,527
ประเทศชาด
ชาด (Tchad; تشاد, Tshād) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในแอฟริกากลาง มีอาณาเขตทางเหนือจดประเทศลิเบีย ทางตะวันออกจดประเทศซูดาน ทางใต้จดสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ทางตะวันตกเฉียงใต้จดประเทศแคเมอรูนและประเทศไนจีเรีย และทางตะวันตกจดประเทศไนเจอร์ เนื่องจากมีระยะไกลจากทะเลและมีภูมิอากาศเป็นแบบทะเลทรายเป็นส่วนใหญ่ ประเทศจึงได้ชื่อว่าเป็น "หัวใจตายของแอฟริกา" (dead heart of Africa) ทางเหนือมีทิวเขาทิเบสตี (Tibesti Mountains) ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในทะเลทรายสะฮารา เดิมเป็นส่วนหนึ่งของแอฟริกาศูนย์สูตรของฝรั่งเศส (Federation of French Equatorial Africa) มีชื่อตามทะเลสาบชาด (Lake Chad) == ประวัติศาสตร์ == ชาดเป็นดินแดนที่เคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโบราณที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของพ่อค้าชาวอาหรับ ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองชาดเมื่อ พ.ศ. 2443 จนได้รับเอกราชเมื่อ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2503 ใน พ.ศ. 2509 กลุ่มมุสลิมทางภาคเหนือก่อกบฏต่อต้านรัฐบาลในภาคใต้ที่เป็นชาวคริสต์ รัฐบาลชาดเปิดให้กองทหารลิเบียเข้ามาในประเทศเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2523 และแสดงเจตนารมณ์จะรวมเข้ากับลิเบียเมื่อ 6 มกราคม พ.ศ. 2524 แต่ถูกฝรั่งเศสและหลายชาติในแอฟริกาคัดค้าน กองทหารลิเบียจึงถอนตัวออกไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2524 กบฏมุสลิมนำโดยฮาเบอร์เข้ายึดเมืองหลวงได้ใน พ.ศ. 2526 แต่ยังต้องต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่มีลิเบียหนุนหลัง ฝรั่งเศสเข้ามาสนับสนุนฮาเบอร์ ต่อมาฝรั่งเศสกับลิเบียตกลงจะถอนทหารออกจากชาดพร้อมกันภายในเดือนกันยายน พ.ศ. 2527 แต่ลิเบียยังคงทหารไว้ทางเหนือของชาดจนถูกทหารชาดขับออกไปในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2530 ชาดต้องประสบกับปัญหาสงครามกลางเมืองหลายครั้ง รวมถึงการบุกรุกดินแดนโดยลิเบีย และกลุ่มกบฏที่ดำเนินการก่อความไม่สงบอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมา เมื่อนาย Deby สถาปนาตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดี และได้ยกร่างและประกาศใช้รัฐธรรมนูญ และจัดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2539 และปี 2544 อย่างไรก็ตาม ในปี 2548 ได้มีกลุ่มกบฏใหม่เกิดขึ้นทางชายแดนฝั่งตะวันตกของซูดาน และดำเนินการก่อความไม่สงบทางภาคตะวันออกของชาด ปัจจุบัน อำนาจทางการเมืองของประเทศยังคงตกอยู่ในมือของคนกลุ่มน้อยของประเทศ == ภูมิอากาศ == ภาคเหนือมีอากาศแบบทะเลทราย ทางภาคใต้มีอากาศร้อนชื้น ฝนตกมากในเดือนสิงหาคม และแห้งแล้งที่สุดในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม อากาศหนาวที่สุดในเดือนธันวาคม (ประมาณ 14-33 องศาเซลเซียส) ==การเมืองการปกครอง== ชาดปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี นายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำรัฐบาล ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี มีอำนาจในการเสนอชื่อแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่บริหารประเทศ ฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบด้วยรัฐสภาระบบสองสภา มีสมาชิกสภา 155 คน มาจากการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี ในขณะที่วุฒิสมาชิกดำรงตำแหน่งคราวละ 6 ปี มีการเลือกตั้งทุก ๆ 2 ปี เพื่อทดแทนสมาชิก 1 ใน 3 ส่วนของสภาที่พ้นหน้าที่ ฝ่ายตุลาการประกอบด้วยศาลสูง ศาลอุทธรณ์ ศาลอาญา และศาลแขวง ประธานาธิบดี Idriss Deby ซึ่งได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีโดยการทำรัฐประหารในปี 2533 ได้ปกครองประเทศเรื่อยมา ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายน 2548 ประธานาธิบดี Idriss Deby ได้จัดให้มีการลงประชามติเพื่อปรับแก้รัฐธรรมนูญซึ่งยังผลให้ตนสามารถสมัครลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีต่อได้เป็นสมัยที่ 3 และได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีต่อมา และดำรงตำแหน่งมาจนถึงปัจจุบัน ท่ามกลางกระแสคัดค้านของพวกกบฏที่ยังคงใช้ความรุนแรงในความพยายามโค่นล้มรัฐบาลคว ==นโยบายต่างประเทศ== สถานการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคแอฟริกากลางส่งผลอย่างยิ่งต่อสถานะของชาดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ชาดต้องรับภาระผู้ลี้ภัยจากการสู้รบในสาธารณรัฐแอฟริกากลางและซูดาน ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ยังคงอยู่ในระดับเสื่อมทรามกับกับซูดาน ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันออกซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกันยาวที่สุดถึง 1,360 กิโลเมตร ทั้งสองประเทศกล่าวหากันและกันว่าให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏที่ต่อต้านรัฐบาล ล่าสุด ชาดได้ปิดพรมแดนและตัดความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจกับซูดาน เพื่อตอบโต้การที่ซูดานตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับชาดในปี 2549 ในปี 2550 สภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมติให้กองกำลังรักษาสันติภาพร่วมแห่งสหประชาชาติและสหภาพยุโรป (UN-European Union peacekeeping force) ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองประชาชนจากผลกระทบของการสู่รบในดาร์ฟูร์ ประเทศซูดาน ต่อมา ในเดือนมกราคม 2551 สหภาพยุโรปได้เห็นชอบให้จัดตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลี้ภัยจากการสู้รบในดาร์ฟูร์ ความสัมพันธ์ระหว่างชาดกับฝรั่งเศสยังคงเป็นไปด้วยดี ที่ผ่านมา ฝรั่งเศสได้ส่งกองกำลังเข้ามาช่วยปราบปรามกลุ่มกบฏ และให้ความช่วยเหลือชาดในด้านต่าง ๆ อยู่เสมอ การที่ชาดผันตัวมาเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา ทำให้ต่างประเทศให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในชาดมากขึ้น รัฐบาลชาดเองก็ได้ปรับกฎหมายเกี่ยวกับการลงทุนและค้าขายน้ำมันให้มีความผ่อนปรนมากขึ้นเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างชาติ ==การแบ่งเขตการปกครอง== 18 เขตได้แก่ Batha Borkou-Ennedi-Tibesti Chari-Baguirmi Guera Hadjer-Lamis Kanem Lac Logone Occidental Logone Oriental Mandoul Mayo-Kebbi Est Mayo-Kebbi Ouest Moyen-Chari Ouaddai Salamat Tandjile Ville de N'Djamena Wadi Fira ==ประชากร== ===ศาสนา=== อิสลามร้อยละ 53.1 คริสต์ร้อยละ 34.3 (คาทอลิกร้อยละ 20.1 โปรเตสแตนต์ร้อยละ 14.2) อื่น ๆ ร้อยละ 12.6 == อ้างอิง == http://www.mfa.go.th/web/2387.php?id=306 == แหล่งข้อมูลอื่น == Chad. The World Factbook. Central Intelligence Agency. Chad country study from Library of Congress Chad profile from the BBC News Key Development Forecasts for Chad from International Futures ช ชาด ประเทศที่ใช้ภาษาอาหรับเป็นภาษาทางการ รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2503 อดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส
thaiwikipedia
1,528
สถิตยศาสตร์ไฟฟ้า
สถิตยศาสตร์ไฟฟ้า (electrostatics) เป็นสาขาหนึ่งของวิชาฟิสิกส์ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์และคุณสมบัติของประจุไฟฟ้าที่นิ่งหรือเคลื่อนไหวช้า เนื่องจากฟิสิกส์แบบคลาสสิก เป็นที่รู้กันว่าวัสดุบางอย่างเช่นอำพันสามารถดูดอนุภาคน้ำหนักเบาหลังจากมีการขัดถูกัน ในภาษากรีกคำว่าอัมพัน ήλεκτρον หรือ อิเล็กตรอน electron เป็นที่มาของคำว่า 'ไฟฟ้า' ปรากฏการณ์ไฟฟ้าสถิตเกิดขึ้นจากแรงที่ประจุไฟฟ้ากระทำต่อประจุไฟฟ้าอื่น แรงดังกล่าวจะอธิบายได้ตามกฎของคูลอมบ์ แม้ว่าแรงนี้จะถูกเหนี่ยวนำให้เกิดโดยไฟฟ้าสถิต มันดูเหมือนจะค่อนข้างอ่อนแอ ยกตัวอย่างเช่นแรงไฟฟ้าสถิตระหว่างอิเล็กตรอนหนึ่งตัวและโปรตอนหนึ่งตัวที่รวมกันขึ้นเป็นอะตอมไฮโดรเจนมีความอ่อนแอ แต่ก็แข็งแกร่งมากกว่าประมาณ 36 แมกนิจูดเป็นเลขสิบยกกำลัง (10-36) เท่าของแรงโน้มถ่วงที่กระทำระหว่างพวกมัน มีตัวอย่างมากมายของปรากฏการณ์ไฟฟ้าสถิต จากพวกที่ง่ายมากเช่นการดึงดูดห่อพลาสติกให้ติดกับมือของคุณหลังจากที่คุณรื้อมันออกจากแพคเกจ และการดึงดูดกระดาษที่ติดกับตาชั่งที่มีประจุ จนถึงการระเบิดที่เกิดขึ้นเองที่เห็นได้ชัดของไซโลข้าว ความเสียหายของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในระหว่างการผลิต และการทำงานของเครื่องถ่ายเอกสารและเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ไฟฟ้าสถิตเกี่ยวข้องกับการสะสมของประจุบนพื้นผิวของวัตถุเนื่องจากการสัมผัสกับพื้นผิวอื่น แม้ว่าการแลกเปลี่ยนประจุจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ตามที่สองพื้นผิวใด ๆ สัมผัสกันและแยกจากกัน ผลกระทบของการแลกเปลี่ยนประจุมักจะสังเกตเห็นได้เฉพาะเมื่ออย่างน้อยหนึ่งของพื้นผิวมีความต้านทานต่อการไหลของไฟฟ้าที่สูง นี้เป็นเพราะประจุที่ถ่ายโอนไปยังหรือมาจากพื้นผิวที่มีความต้านทานสูงจะถูกติดกับมากหรือน้อยอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานพอจนมีการสังเกตเห็นผลกระทบนั้น จากนั้นประจุเหล่านี้ยังคงอยู่บนวัตถุจนกว่าพวกมันจะถ่ายเทออกลงดินหรือถูกทำให้เป็นกลางอย่างรวดเร็วโดยปลดปล่อยประจุ: เช่นปรากฏการณ์ที่คุ้นเคยของ 'การช็อก' ไฟฟ้าสถิตที่มีสาเหตุมาจากการวางตัวเป็นกลางของประจุที่สร้างขึ้นในร่างกายจากการสัมผัสกับพื้นผิวที่หุ้มฉนวน . == ชุดของไทรโบอิเล็กตริก == บทความหลัก: ผลกระทบไทรโบอิเล็กตริก ผลกระทบไทรโบอิเล็กตริกเป็นประเภทหนึ่งของการผลิตไฟฟ้าจากการสัมผัส ในการนี้วัสดุบางอย่างจะเกิดประจุไฟฟ้าขึ้นบนผิวหน้าชองมันเมื่อมันถูกนำเข้ามาสัมผัสกับวัสดุที่แตกต่างกันและจากนั้นก็ถูกแยกออกจากกัน หนึ่งในวัสดุนั้นจะได้ประจุบวกมาและอีกวัสดุหนึ่งจะได้ประจุลบมาในปริมาณที่เท่ากัน ขั้วและความแข็งแรงของประจุที่ผลิตขึ้นจะแตกต่างกันตามวัสดุ, พื้นผิวที่ขรุขระ, อุณหภูมิ, ความเครียด, และคุณสมบัติอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น อำพันสามารถได้รับประจุไฟฟ้าจากการเสียดสีกับอีกวัสดุหนึ่งเช่นขนสัตว์ คุณสมบัตินี้ ที่บันทึกไว้เป็นครั้งแรกโดยธารีสแห่งไมลิตัส เป็นปรากฏการณ์ทางไฟฟ้าแรกที่ตรวจสอบโดยมนุษย์ ตัวอย่างอื่น ๆ ของวัสดุที่สามารถได้รับประจุอย่างมีนัยสำคัญเมื่อถูเข้าด้วยกันได้แก่ แก้วถูกับผ้าไหม และยางแข็งถูด้วยขนสัตว์ == เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสถิต == บทความหลัก: เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสถิต การปรากฏตัวของความไม่สมดุลของประจุผิวหมายความว่าวัตถุที่จะแสดงพลังดูดหรือพลังผลัก ความไม่สมดุลของประจุผิวนี้ ซึ่งทำให้เกิดไฟฟ้าสถิต สามารถสร้างขึ้นโดยการแตะพื้นผิวที่แตกต่างกันสองชนิดเข้าด้วยกันแล้วแยกพวกมันออกจากกันเนื่องจากปรากฏการณ์ของการสร้างไฟฟ้าจากการสัมผัสและผลกระทบของไทรโบอิเล็กตริก การถูวัตถุไม่นำไฟฟ้าสองชนิดจะสร้างไฟฟ้าสถิตย์จำนวนมาก นี้ไม่ใช่แค่เพียงผลจากแรงเสียดทานเท่านั้น สองพื้นผิวไม่นำไฟฟ้าสามารถถูกประจุแค่เพียงถูกวางไว้ด้านบนของวัตถุอื่น เนื่องจากพื้นผิวส่วนใหญ่จะมีเนื้อหยาบ มันจะใช้เวลานานจะประสบความสำเร็จในการประจุโดยผ่านการสัมผัสมากกว่าผ่านการถู การถูวัตถุเข้าด้วยกันจะเพิ่มปริมาณของการสัผัสแบบกาวระหว่างสองพื้นผิว โดยปกติฉนวนไฟฟ้าเช่นสารที่ไม่นำไฟฟ้า จะดีทั้งการสร้างและจับยืดประจุผิว ตัวอย่างบางส่วนของสารเหล่านี้ได้แก่ยาง, พลาสติก, แก้ว, และไส้ไม้ วัตถุที่เป็นสื่อกระแสไฟฟ้าเท่านั้นที่สร้างความไม่สมดุลของประจุได้ยาก ยกเว้นตัวอย่างเช่นเมื่อพื้นผิวโลหะหนึ่งได้รับผลกระทบโดยสารไม่ใช่ตัวนำที่เป็นของแข็งหรือของเหลว ประจุที่ถูกถ่ายโอนในระหว่างการสร้างไฟฟ้าโดยการสัมผัสจะถูกเก็บไว้บนพื้นผิวของแต่ละวัตถุ เครื่องกำเนิดไฟฟ้านิ่งเป็นอุปกรณ์ที่ผลิตแรงดันไฟฟ้าสูงมากที่กระแสต่ำมากและใช้สำหรับการสาธิตการสอนในชั้นเรียนฟิสิกส์ มันจะพึ่งพาผลกระทบนี้ โปรดทราบว่าการปรากฏตัวของกระแสไฟฟ้าจะไม่หันเหไปจากแรงไฟฟ้าสถิตหรือจากประกายไฟ จากการปล่อยโคโรนา หรือปรากฏการณ์อื่น ๆ ทั้งสองปรากฏการณ์สามารถดำรงอยู่พร้อมกันในระบบเดียวกัน ดูเพิ่มเติม: เครื่องแรงเสียดทาน, เครื่องวิมส์เฮิร์สต์ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแวนเดอ กราฟฟ์ == การเป็นกลางของประจุ == ปรากฏการณ์ไฟฟ้าสถิตตามธรรมชาติที่คุ้นเคยมากที่สุดได้แก่การแกล้งเป็นครั้งคราวในฤดูกาลความชื้นต่ำ แต่สามารถเป็นตัวทำลายและเป็นอันตรายในบางสถานการณ์ เมื่อทำงานในการติดต่อโดยตรงกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์รวม (โดยเฉพาะ MOSFETs ที่ละเอียดอ่อน) หรือในการปรากฏตัวของก๊าซไวไฟ ความระมัดระวังจะต้องมีเพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมและการปล่อยประจุอย่างทันทีทันใดของประจุนิ่ง (ดูการปลดปล่อยไฟฟ้าสถิต) == การเหนี่ยวนำประจุ == บทความหลัก: การเหนี่ยวนำไฟฟ้าสถิต การเหนี่ยวนำประจุเกิดขึ้นเมื่อวัตถุที่มีประจุลบตัวหนึ่งผลักอิเล็กตรอน (ที่มีประจุลบ) ให้ออกไปจากพื้นผิวของวัตถุที่สอง นี่จะสร้างภูมิภาคหนึ่งในวัตถุที่สองที่เป็นประจุบวกมากขึ้น จากนั้นแรงดึงดูดจะกระทำระหว่างวัตถุทั้งสอง ตัวอย่างเช่นเมื่อบอลลูนถูกถู บอลลูนจะติดกับผนังเมื่อแรงดึงดูดเข้ากระทำโดยสองพื้นผิวที่มีประจุตรงกันข้าม (พื้นผิวของผนังจะได้รับประจุไฟฟ้าเนื่องจากการเหนี่ยวนำประจุ เมื่ออิเล็กตรอนอิสระที่พื้นผิวของ ผนังถูกผลักโดยบอลลูนที่เป็นลบ ทำให้พื้นผิวผนังเป็นบวก ซึ่งต่อมาก็ดึงดูดเข้ากับพื้นผิวของบอลลูน) คุณสามารถสำรวจผลกระทบด้วยการจำลองของ balloon and static electricity. == ไฟฟ้า'นิ่ง' == บทความหลัก: ไฟฟ้านิ่ง ก่อนปี 1832 เมื่อไมเคิล ฟาราเดย์ได้ตีพิมพ์ผลการทดลองของเขาเกี่ยวกับตัวตนของไฟฟ้า นักฟิสิกส์คิดว่า "ไฟฟ้านิ่ง" (static electricity) จะแตกต่างจากประจุไฟฟ้าอื่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ไมเคิล ฟาราเดย์ได้พิสูจน์ว่าไฟฟ้าที่ถูกเหนี่ยวนำจากแม่เหล็ก, ไฟฟ้าของนายโวลตาที่ผลิตโดยแบตเตอรี่, และไฟฟ้านิ่ง ทั้งหมดนี้เหมือนกัน ไฟฟ้านิ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อวัสดุบางอย่างถูกัน เช่นขนสัตว์บนพลาสติกหรือพื้นรองเท้าบนพรม กระบวนการนี้ทำให้อิเล็กตรอนถูกดึงออกจากพื้นผิวของวัสดุหนึ่งและย้ายไปอยู่บนพื้นผิวของอีกวัสดุหนึ่ง การช็อคนิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพื้นผิวของวัสดุที่สองถูกประจุให้เป็นลบด้วยอิเล็กตรอน สัมผัสกับตัวนำที่มีประจุบวก หรือในทางกลับกัน ไฟฟ้านิ่งนิยมใช้ทั่วไปในการถ่ายเอกสาร ตัวกรองอากาศและบางสีสำหรับยานยนต์ ไฟฟ้านิ่งเป็นการสะสมประจุไฟฟ้าบนวัตถุสองชิ้นที่ได้ถูกแยกออกจากกัน ชิ้นส่วนไฟฟ้าขนาดเล็กอาจเสียหายจากไฟฟ้านิ่ง ผู้ผลิตชิ้นส่วนจำนวนมากจะใช้อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้านิ่งหลายอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ == ไฟฟ้านิ่งและอุตสาหกรรมเคมี == เมื่อวัสดุที่แตกต่างกันถูกนำมาอยู่ด้วยกันแล้วแยกจากกัน การสะสมของประจุไฟฟ้าสามารถเกิดขึ้นได้ซึ่งปล่อยให้วัสดุหนึ่งมีประจุบวกในขณะที่อีกวัสดุหนึ่งกลายเป็นประจุลบ ช็อคเบา ๆ ที่คุณได้รับเมื่อสัมผัสกับวัตถุที่ลงดินหลังจากที่เดินบนพรมเป็นตัวอย่างหนึ่งของประจุไฟฟ้าส่วนเกินที่สะสมในร่างกายของคุณจากการประจุจากความเสียดทานระหว่างรองเท้าและพรมของคุณ การสะสมประจุที่สร้างขึ้นบนร่างกายคุณสามารถสร้างการปลดปล่อยประจุไฟฟ้าที่รุนแรง แม้ว่าการทดลองกับไฟฟ้านิ่งอาจจะสนุก ประกายไฟที่คล้ายกันอาจสร้างอันตรายอย่างรุนแรงในอุตสาหกรรมที่ทำงานกับสารไวไฟที่ประกายไฟฟ้าขนาดเล็กอาจจุดประกายไฟให้กับส่วนผสมระเบิดที่มีผลกระทบร้ายแรง กลไกการประจุที่คล้ายกันสามารถเกิดขึ้นได้ภายในของเหลวการนำไฟฟ้าต่ำที่ไหลผ่านเส้นท่อ-กระบวนการที่เรียกว่าการไฟฟ้าโดยการไหล (flow electrification) ของเหลวที่มีการนำไฟฟ้าต่ำ (ต่ำกว่า 50 picosiemens ต่อเมตร) จะถูกเรียกว่าตัวสะสม ของเหลวที่มีการนำไฟฟ้าสูงกว่า 50 pS/m จะเรียกว่าตัวไม่สะสม ในตัวไม่สะสม ประจุทั้งหลายกลับมาเป็นกลางเร็วเท่าที่พวกมันถูกแยกออกจากกันและดังนั้นการสร้างประจุไฟฟ้าสถิตจึงไม่ได้มีนัยสำคัญ ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี 50 pS/m คือค่าการนำไฟฟ้าต่ำสุดที่แนะนำสำหรับการกำจัดประจุจากของเหลวที่เพียงพอ แนวคิดที่สำคัญสำหรับของเหลวฉนวนเป็นเวลาผ่อนคลายแบบคงที่ นี้จะคล้ายกับค่าคงที่เวลา (tau) ภายในวงจร RC สำหรับวัสดุฉนวน มันเป็นอัตราส่วนของค่าคงที่ไดอิเล็กตริกนิ่งหารด้วยการนำไฟฟ้าของวัสดุ สำหรับของเหลวไฮโดรคาร์บอน บางครั้งนี่ถูกประมาณโดยการหารตัวเลข 18 ด้วยการนำไฟฟ้าของของเหลว ดังนั้นของเหลวที่มีการนำไฟฟ้าเท่ากับ 1 pS/ซม. (100 pS/m) จะมีเวลาผ่อนคลายประมาณ 18 วินาที ประจุส่วนเกินภายในของเหลวจะถูกกระจายไปเกือบสมบูรณ์หลังจาก 4-5 เท่าของเวลาผ่อนคลายหรือ 90 วินาทีสำหรับของเหลวในตัวอย่างข้างต้น ประจุจะถูกผลิตเมื่อของเหลวมีความเร็วสูงขึ้นและเพิ่มขึ้นตามขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อที่ใหญ่ขึ้น กลายเป็นค่อนข้างมีนัยสำคัญในท่อขนาด 8 นิ้ว (200 มิลลิเมตร) หรือใหญ่กว่า การผลิตประจุนิ่งในระบบเหล่านี้จะถูกควบคุมที่ดีที่สุดโดยการจำกัดความเร็วของของเหลว มาตรฐานอังกฤษ BS PD CLC/TR 50404:2003 (เดิม BS-5958-Part 2) รหัสของการปฏิบัติสำหรับควบคุมไฟฟ้านิ่งที่ไม่พึงประสงค์ใช้กำหนดขีด จำกัดความเร็ว เพราะผลกระทบขนาดใหญ่ของมันต่อค่าคงที่ไดอิเล็กตริก ความเร็วแนะนำสำหรับของเหลวไฮโดรคาร์บอนมีน้ำเป็นส่วนประกอบควรจะถูกจำกัดที่ 1 เมตร/วินาที การเชื่อมแบบบอนดิ้งและการลงดินเป็นวิธีปกติที่ใช้ป้องกันประจุสะสมได้ สำหรับของเหลวที่มีการนำไฟฟ้าต่ำกว่า 10 pS/m การเชื่อมแบบบอนดิ้งและการลงดินจะไม่เพียงพอสำหรับกระจายประจุ และสารป้องกันไฟฟ้าสถิตอาจจำเป็น ==== มาตรฐานบังคับใช้ ==== 1.BS PD CLC/TR 50404:2003 รหัสของการปฏิบัติในการควบคุมไฟฟ้านิ่งที่ไม่พึงประสงค์ 2.NFPA 77 (2007) ข้อควรปฏิบัติแนะนำเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิต 3.API RP 2003 (1998) การป้องกันการจุดระเบิดที่เกิดจากกระแสนิ่ง ฟ้าผ่าและจรจัด == การเหนี่ยวนำไฟฟ้าสถิตในการใช้งานในเชิงพาณิชย์ == การเหนี่ยวนำไฟฟ้าสถิตถูกใช้ในอดีตเพื่อสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแรงดันสูงที่รู้จักกันเป็นเครื่องที่มีอิทธิพล องค์ประกอบหลักที่เกิดในช่วงเวลาเหล่านี้คือตัวเก็บประจุ การเหนี่ยวนำไฟฟ้าสถิตยังใช้สำหรับการตกตะกอนหรือการยิงวิถีโค้งด้วยไฟฟ้ากลศาสตร์ ในเทคโนโลยีดังกล่าวอนุภาคขนาดเล็กที่มีประจุจะถูกเก็บรวบรวมหรือฝากไว้อย่างจงใจบนพื้นผิว การประยุกต์ใช้งานจะมีช่วงจากตัวตกตะกอนไฟฟ้าสถิตจนถึงการพิมพ์แบบสเปรย์หรือเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท เมื่อเร็ว ๆ นี้เทคโนโลยีการถ่ายโอนพลังงานไร้สายใหม่ได้มีพื้นฐานมาจากการเหนี่ยวนำไฟฟ้าสถิตระหว่างไดโพลสั่นที่ห่างไกลด้วยกัน == อ้างอิง == ไฟฟ้าสถิต
thaiwikipedia
1,529
เพชฌฆาตไซบอร์ก
เพชฌฆาตไซบอร์ก เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องและภาพโดยยูกิโตะ คิชิโระ ตีพิมพ์ในนิตยสาร Business Jump ของสำนักพิมพ์ชูเอฉะ ลิขสิทธิ์ในประเทศไทยเป็นของสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ ความยาว 9 เล่มจบ ชื่อเรื่อง GUNNM มาจากสองคำ คือ "GUN" (กัน - "ปืน" ในภาษาอังกฤษ) บวกกับ "夢" (มุ - ภาษาญี่ปุ่นแปลว่า "ความฝัน") มีการตีพิมพ์ทั้งหมด 3 ภาค โดยในภาคแรกนั้นเนื้อเรื่องถูกตัดตอนให้จบลงอย่างรวบรัดตามความต้องการของสำนักพิมพ์ อย่างไรก็ดี ผู้เขียนได้ผลิตผลงานภาคต่อในชื่อว่า GUNNM : The Last Order เพชฌฆาตไซบอร์ก ภาค Last Order โดยอาศัยพื้นฐานเนื้อหาจากภาคที่ 1 แต่มีการแก้ไขจุดจบของเรื่องที่ไม่อิงตามเนื้อหาเดิมที่ปรากฏในเล่มที่ 9 ของภาคแรก และ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเขียนภาคที่ 3 ในชื่อ GUNNM: Mars Chronicle สำหรับชื่อในการตีพิมพ์ภาคภาษาอังกฤษและประเทศทางตะวันตกส่วนใหญ่ จะใช้ชื่อว่า Battle Angel Alita โดยชื่อ อลิตะ เป็นชื่อของ กัลลี่ ตัวละครหลักของเรื่อง ที่ถูกเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับการตีพิมพ์ในประเทศเหล่านั้น == เนื้อเรื่อง == เพชฌฆาตไซบอร์ก เป็นการ์ตูนแนวไซไฟที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการออกค้นหาความหมายของชีวิตของตัวละครเอก คือ กัลลี่ (Gally) ซึ่งเป็นไซบอร์กที่ถูกเก็บมาจากกองขยะใต้นครลอยฟ้า "ซาเลม" โดยหมอ "อิโดะ (Ido) " ซึ่งเป็นชาวซาเลมที่ถูกคัดออกจากการเป็นพลเมืองซาเลมเป็นผู้ซ่อมร่างของกัลลี่ให้ เธอฟื้นขึ้นมาแต่ว่าความทรงจำในอดีตได้หายไป สิ่งที่พอเหลืออยู่บ้าง คือ ทักษะการต่อสู้แบบ "พันเซอร์ คุนซ์" อันเป็นวิชาการต่อสู้รูปแบบเฉพาะของดาวอังคารที่หายสาบสูญไป การผจญภัยของเพื่อตามหาความหมายและเยียวยาความเจ็บปวดของชีวิต คือสิ่งที่เป็นตัวดำเนินเรื่อง เพชฌฆาตไซบอร์กทั้ง 9 เล่มได้ทำให้เราเห็นพัฒนาของตัวละคร จากการเป็นเด็กน้อยผู้สูญเสียความทรงจำ กลายเป็น ฮันเตอร์ วอร์ริเออร์ (ทำหน้าที่เหมือนตำรวจหรือนักล่าค่าหัว) กัลลี่ได้สมัครเป็นฮันเตอร์วอริเออร์ และได้เผชิญหน้ากับมาคาคุ กัลลี่ชนะ แต่มาคาคุหนีไปได้ และร่างกัลลี่เสียหายหนัก อิโดะได้ให้ร่างเบอเซอเกอร์กับกัลลี่ กัลลี่ได้พบกับซาปันและทำให้ซาปันขายหน้า มาคาคุกลับมาล้างแค้น โดยลักพาตัวคิโยโกะลงไปในระบบท่อระบายน้ำใต้เมืองเศษเหล็ก ระหว่างการต่อสู้กับมาคาคุ กัลลี่ได้ค้นพบว่าร่างเบอร์เซอร์เกอร์สามารถสร้างพลาสมาได้ ดิสตี้โนวาเริ่มเข้ามามีบทบาทเป็นครั้งแรก มาคาคุได้เล่าว่าดิสตี้โนวาเป็นคนให้ร่างไซบอร์กกับเค้า มาคาคุแพ้กัลลี่ และถูกจับตาย กัลลี่ได้พบกับยูโก เด็กหนุ่มผู้ใฝ่ฝันที่จะขึ้นไปบนซาเลม ยูโกทำงานผิดกฎหมาย ลักขโมยสันหลังให้กับเวกเตอร์ ซาปันล่วงรู้ และวางแผนฆ่ายูโกเผื่อแก้แค้นกัลลี่ กัลลี่ฟันซาปันตกตึกสูง และหายสาบสูญ กัลลี่เองก็หนีหายตัวไปด้วย อิโดตามหากัลลี่ ระหว่างตามหา ได้พบกับซิมิล่า น้องสาวของจาชูกัน แชมเปี้ยนมอเตอร์บอล (ลักษณะคล้ายการแข่งรถสูตร 1) อิโดจึงพบว่ากัลลี่ก็เป็นผู้เล่นมอเตอร์บอลด้วย กัลลี่ได้ร่างเผื่อเล่นมอเตอร์บอลจากทีม ร่างนี้มีดาบติดศอก ซึ่งเป็นอาวุธของผู้ฝึกแพนเซอร์คุนซ์ ดาบนั้นทำจากเหล็กดามัสกัส กัลลี่เก็บร่างเบอร์เซอร์ไว้ในโกดัง กัลลี่ชนะมอเตอร์บอลหลายครั้งจนได้เลื่อนจาก ลีกสาม เป็นลีกหนึ่ง และกำลังจะได้แข่งกับจาชูกัน อิโดค้นพบว่าดิสตี้โนวาเป็นชาวซาเลมซึ่งถูกขับไล่ลงมายังเมืองเศษเหล็กเช่นเดียวกับตัวเอง นอกจากนั้นดิสตี้โนวาได้ดัดแปลงสมองให้จาชูกัน แต่สมองมีปัญหาและกำลังจะตาย อิโดได้ช่วยให้จาชูกันสามารถแข่งครั้งสุดท้ายกับกัลลี่ได้จนชนะ ก่อนที่จาชูกันจะตายในสนามแข่ง ซาปันเห็นกัลลี่ออกทีวีในการแข่งมอเตอร์บอล จึงเกิดอาการบ้าและได้ฆ่าคนรัก ซาร่า โดยไม่ได้ตั้งใจ ซาปันโทษกัลลี่ที่ทำให้ซาร่าตาย และออกตามล่ากัลลี่เพื่อล้างแค้น สองปีต่อมาซาปันพบกัลลี่ และถูกกัลลี่ฆ่าอีกครั้ง ดิสตี้โนวาได้ร่างเบอร์เซอร์เกอร์ไป อิโดพยายามติดต่อขอร่างเบอร์เซอร์เกอร์คืน แต่ดิสตี้โนวากลับเอาสมองของซาปันมาใส่ร่างเบอร์เซอร์เกอร์ ซาปันจึงฆ่าอิโดและโนวา และตามมาล้างแค้นกัลลี่ ดิสตี้โนวาสามารถคืนชีพได้เพราะนาโนแมชชีน รีสตอเรอร์ และได้มอบกระสุนนาโนแมชชีนให้กับกัลลี่เพื่อทำลายร่างเบอร์เซอร์เกอร์ และสํญญาจะชุบชีวิตให้กับอิโด ซึ่งกัลลี่ก็สามารถฆ่าซาปันได้เป็นครั้งสุดท้าย และร่างเบอร์เซอร์เกอร์ก็ถูกทำลาย กัลลี่ได้กลายเป็น ทูนด (TUNED) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสายลับของซาเลม เพื่อดำเนินการจับกุม ศจ.ดีสตีส โนวา นักวิทยาศาสตร์ผู้บ้าคลั่ง ระหว่างตามหาโนวา กัลลี่ได้รับมอบหมายให้คุมครองรถไฟเสบียง และได้พบรักกับโฟเกีย ซึ่งเข้าร่วมเป็นทหารรับจ้างของทูนด รถไฟเสบียงถูกกองโจรบาร์แจ็คโจมตี กัลลี่และโฟเกียถูกจับแต่หนีออกมาได้ท่ามกลางทะเลทราย โฟเกียแบกกัลลี่เดินกลางทะเลทรายจนเกือบตายทั้งคู่ แต่เกิดมีฝนมหัศจรรย์ตกลงมา และทูนดก็เข้าช่วยเหลือ กัลลี่ได้แยกจากฟอร์เกียที่หมู่บ้านชาวประมง และปฏิบัติการณ์ตามหาโนวาต่อ ทูนดสร้างหุ่นเลียนแบบกัลลขึ้นมา 12 ตัว และส่งหุ่นตัวที่สองมาทดสอบต่อสู้กับกัลลี่ กัลลี่ ชนะด้วยความช่วยเหลือจากลู โอเปอร์เรเตอร์คนใหม่ของทูนด กัลลี่ได้พบกับโคโยมิ และเกิดตกลงไปในถ้ำใต้ดินด้วยกัน กัลลี่เสียหายหนักต้องเข้าภาวะจำศีล กัลลี่ได้รับความช่วยเหลือจากเคออส ผู้มีพลังไซโคมิตรี้ เคออสหลงรักกัลลี่ ได้จับกัลลี่แต่งชุดเจ้าสาว และช่วยพากัลลี่ไปพบโนวา เคออสเปิดเผยว่าโนวาเป็นพ่อของเค้า ระหว่างทางได้เผชิญหน้ากับกองโจรบาร์แจ็ค และเด็นหัวหน้ากองโจร กัลลี่ต่อสู้กับเด็น แต่โคโยมิกลับปกป้องเด็น กัลลี่จึงไว้ชีวิตเด็น เคออสพากัลลี่ไปพบอิโด ซึ่งโนวาได้ชุบชีวิตให้ตามสัญญา เคออสทิ้งกัลลี่ไว้กับอิโด เพื่อไปพบโนวาแต่เพียงคนเดียว กัลลี่ได้พบว่าอิโดได้ลบความทรงจำของตัวเองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เค้าจำกัลลี่ไม่ได้ กัลลี่จึงเดินทางตามเคออสไปพบกับโนวา ในระหว่างนั้นกองโจรบาแจ็คและเด็นได้เข้าโจมตีซาเลมอย่างเต็มกำลัง แต่ได้พบกับความพ่ายแพและย่อยยับ โนวาทำลายกัลลี่ได้สำเร็จ และได้ให้ร่างใหม่กัลลี่บนซาเรม เมลคิเซเดค คอมพิวเตอร์สมองของซาเลม จะทำลายซาเลม โดยปล่อยให้ซาเรมตกใส่เมืองเศษเหล็ก โนวาได้ให้นาโนแมชชีนกับกัลลี่ ซึ่งสามารถเปลี่ยนซาเรมให้กลายเป็นต้นไม้แห่งชีวิตและไม่ตกลงมา ยังผลให้ร่างไซบอร์กของกัลลี่กลายเป็นมนุษย์เต็มที่ กัลลี่ได้พบกับโฟเกียและได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมนุษย์และมีความสุขตลอดไป == ตัวละคร == กัลลี่ ไดสุเกะ อิโด (Dr. Daisuke Ido) จาชูกัน ดิสตี โนวา ฟอกเกีย เด็น เคออส == รายชื่อตอน == == จุดเด่นของเรื่อง == นอกจาการเดินเรื่องด้วยการต่อสู้และการเอาชนะตนเองแล้ว สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญคือการมีข้อมูลทางวิชาการประกอบเรื่อง มีการลง footnote หรือหมายเหตุท้ายหน้า รวมถึงการใส่ภาคผนวก เพื่ออธิบายเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ประกอบในเรื่องเป็นจำนวนมาก === นาโนเทคโนโลยี === ตัวละครหลักศาสตราจารย์ดิสตี โนวาผู้ใช้นาโนเทคโนโลยีจะมีอำนาจมากคล้ายๆกับผู้วิเศษคนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลระดับโมเลกุลทำให้เขาสามารถทำการ ฟื้นฟูสมอง ชุบชีวิต ไปจนถึงสร้างอาวุธทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว เป็นการ์ตูนที่พูดถึงนาโนเทคโนโลยีมานานมาก ก่อนที่สาขานี้จะเป็นที่สนใจของสาธารณชน === พลาสมา === ทักษะหนึ่งของกัลลี่คือการควบคุมสนามแม่เหล็กและพลังงานความร้อน ซึ่งทำใช้พลาสมาเป็นอาวุธได้ === พันเซอร์ คุนซ์ === ความสามารถในการต่อสู้ของกัลลี่เกิดจากการสามารถใช้วิชาการต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่เรียกว่า พันเซอร์ คุนซ์ อันเป็นวิชาเก่าแก่และหาได้ยาก และสืบทอดมาเฉพาะผู้อาศัยในอาณานิคมดาวอังคาร เบื้องหลังและความเป็นมาของวิชาพันเซอร์ คุนซ์ จะถูกอรรถาธิบายใน เพชฌฆาตไซบอร์ก ภาค Last Order === เมืองเศษเหล็ก และ นครลอยฟ้าซาเล็ม === เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเมืองเศษเหล็ก ซึ่งอยู่ภายใต้นครลอยฟ้า "ซาเล็ม" โดยทั้งสองเมืองมีความสัมพันธ์ในลักษณะไม่เท่าเทียมกัน โดยซาเล็มเป็นผู้ควบคุมความเป็นไปและใช้ทรัพยากรที่เมืองเศษเหล็กรวบรวมและแปรรูปส่งขึ้นไปให้ผ่านทาง แฟคตอรี่ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนรัฐบาลของเมืองเศษเหล็ก อย่างไรก็ดี แฟคตอรี่มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมให้การทำงานของเมืองเศษเหล็กเป็นไปอย่างปกติเท่านั้น จึงไม่มีบทบาทในการต่อต้านอาชญากรรมและสวัสดิภาพของคนในเมืองเศษเหล็กมากนัก นอกจากนี้ กฎหมายในเมืองเศษเหล็กทั้งหมดก็เป็นไปเพื่อปกป้องการทำงานของแฟคตอรี่และการคงอยู่ของนครลอยฟ้าซาเล็ม เช่น วัตถุหรือสิ่งมีวิตที่บินได้ถือเป็นอาชญากรรม เมืองเศษเหล็กจึงไม่มีนก การแย่งชิงทรัพย์สินระหว่างฮันเตอร์วอริเออถือเป็นอาชญากรรม (เช่น หัวของอาชญากร) แต่การปล้นชิงวัตถุสิ่งของ การฆ่าคนที่ไม่ได้ทำงานให้แฟคตอรี่ส่วนใหญ่ไม่ถือเป็นอาชญากรรม เป็นต้น === ฮันเตอร์ วอริเออ === เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำหน้าที่ล่าค่าหัวอาชญากรที่แฟคตอรี่ขึ้นบัญชีไว้ ลักษณะการทำงานคล้ายตำรวจ แต่ไม่มีการจัดองค์กรและไม่มีการทำงานร่วมกัน ทำให้ฮันเตอร์วอริเออไม่มีบทบาทในการเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรมแต่อย่างใด === กองโจรบาแจ๊ค === ถือเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่จัดมีการจัดทัพโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อล้มล้างการปกครองของแฟคตอรี่ และทำลายนครลอยฟ้าซาเล็ม สำหรับอุดมการณ์ของกลุ่ม อาจพิจารณาจากคำพูดของ "เด็น" ผู้นำกลุ่มกองโจร ที่กล่าวว่าเขาต้องการ "สร้างอาณาจักรที่นกบินได้" == เพชฌฆาตไซบอร์ก ภาค Last Order == เนื้อเรื่องทั้ง 9 เล่มของเพฌชฆาตไซบอร์กมีจุดเด่นที่การดำเนินเรื่องที่รวดเร็วและแสดงให้เราเห็นถึงการต่อสู้กับอุปสรรคของชีวิตของกัลลี่อย่างต่อเนื่อง แต่ในส่วนของความทรงจำในอดีตของกัลลี่นั้น ในภาคแรกจะไม่ค่อยได้รับการคลี่คลายหรือเฉลยปริศนามากเท่าไหร่นัก แต่จะมาเน้นค่อนข้างมากในภาค "Last Order" แทน อีกสิ่งหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นส่วนเด่นที่สุดของเพชฌฆาตไซบอร์กคือ การมีส่วนของเกร็ดความรู้ทางทฤษฏี เช่น ทฤษฏีทางจิตวิทยา ทฤษฏีทางฟิสิกส์ มาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในเรื่อง ทำให้เพชฌฆาตไซบอร์กไม่เพียงแต่มีคุณค่าด้านความบันเทิง แต่ยังให้ในเรื่องของความรู้และความเข้าใจในการค้นหาความหมายของชีวิตอีกด้วย เนื้อหาโดยละเอียดสามารถดูได้ที่ เพชฌฆาตไซบอร์ก ภาค Last Order == ภาพยนตร์ == เรื่อง เพชฌฆาตไซบอร์ก ได้ถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปทำเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดโดยผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน ในชื่อเรื่องว่า อลิตา แบทเทิล แองเจิ้ล == ผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียน == เพชฌฆาตไซบอร์ก ภาค Last Order อควอไนท์ โดราเอมอน == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์ของ Yukito Kishiro การ์ตูนญี่ปุ่น การ์ตูนญี่ปุ่นแนวเซเน็ง‎
thaiwikipedia
1,530
วิศุทธิ์ พรนิมิตร
วิศุทธิ์ พรนิมิตร เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2519 เป็นนักวาดการ์ตูนชาวไทย ที่มีผลงานที่โดดเด่น โดยเริ่มเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่เขียนผลงานเรื่อง ฮีชีอิท (hesheit) ซึ่งเป็นผลงานที่ไม่เน้นลายเส้น แต่เน้นความคิดและองค์ประกอบต่างๆ ของเรื่องราว == ประวัติ == วิศุทธิ์ พรนิมิตร จบการศึกษา จาก คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หลังจากที่เขียนในไทยได้ระยะหนึ่ง เขาได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อแสวงหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ เขาได้ออกเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. 2546 เพื่อศีกษาภาษาญี่ปุ่น พร้อมทั้งเผยแพร่ผลงานของตัวเอง ภายในเวลาไม่ถึงปีก็เป็นที่สนใจของคนญี่ปุ่น ทำให้เขามีผลงานที่ญี่ปุ่นออกมามากมาย จึงได้เกิดการ์ตูนที่เขาเขียนแต่เป็นภาษาญี่ปุ่นขึ้น รวมทั้งฮีชีอิทซึ่งเป็นผลงานที่สร้างชื่อของเขาก็ได้ถูกตีพิมพ์เป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน ด้วยผลงานที่โดดเด่น ทำให้เขาได้ถูกจัดอันดับหนึ่งใน 250 คนที่น่าจับตามองของโลก จากนิตยสาร Elle ของญี่ปุ่น วิศุทธิ์ยังถือได้ว่าเป็นนักวาดการ์ตูนชาวไทยคนแรกที่มีผลงานตีพิมพ์ในญี่ปุ่นอีกด้วย == ผลงาน == ฮีชีอิท เคยตีพิมพ์ในนิตยสาร Katch และ a day ควันใต้หมวก everybodyeverything หนังสือการ์ตูนไทยเล่มแรกที่ได้ตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่น ตั้มกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นงานเขียนหนังสือ โรมานซ์ ทำแอนิเมชั่นโฆษณาทีวีของเปียโนยี่ห้อ YAMAHA ทำไอคอนเมนูเคลื่อนไหวของโทรศัพท์มือถือ docomo ทำการ์ตูนแอนิเมชั่น Paper Man ของกระดาษถ่ายเอกสารยี่ห้อ Double A อัลบั้ม "ออกไปข้างนอก" ร่วมกับวง Penguin Villa ในฐานะมือกลองของวง นอกจากงานการ์ตูนและงานเขียนหนังสือแล้ว วิศุทธิ์ยังได้งานอื่น ๆ ในญี่ปุ่นอีก เช่น ทำแอนิเมชันให้หนังโฆษณาโทรศัพท์มือถือ วาดภาพปกซีดีเพลงและปกหนังสือของนักเขียนชื่อดัง แต่งร้านอาหาร แสดงเปียโนประกอบแอนิเมชัน วาดการ์ตูนเรื่องยาวของตัวเองลงทุกเดือนในนิตยสาร IKKI ของญี่ปุ่น ฯลฯ == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == ฮีชีอิท == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ สัมภาษณ์ที่ Eotoday สัมภาษณ์ที่นิตยสาร Mars วิศุทธิ์ พรนิมิตร นักเขียนการ์ตูนจากรั้วสวนกุหลาบฯ -- คนไทยคนแรกที่ได้ตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่น Suankularb in a Magazine Blog ส่วนตัวของ วิศุทธิ์ พรนิมิตร คลิปวิดีโอใน YouTube หัวข้อ Wisut on TV ทวิตเตอร์ ปรัชญาชีวิตในช่องสี่เหลี่ยมของ “วิศุทธิ์ พรนิมิตร” นักวาดการ์ตูนไทย จิตรกรภาพประกอบ นักออกแบบแอนิเมชัน บุคคลจากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
thaiwikipedia
1,531
1 พฤษภาคม
วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันที่ 121 ของปี (วันที่ 122 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 244 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2029 (ค.ศ. 1486) - คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นำเสนอแผนการของเขาในการค้นหาเส้นทางตะวันตกไปสู่อินเดียต่อสมเด็จพระราชินีแห่งสเปน สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลที่ 1 แห่งกัสติยา พ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) - พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707 มีผลบังคับใช้ สกอตแลนด์เข้าร่วมกับอังกฤษเพื่อก่อตั้งราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ พ.ศ. 2329 (ค.ศ. 1786) - The Marriage of Figaro อุปรากรของโมซาร์ท เปิดการแสดงครั้งแรกในกรุงเวียนนา พ.ศ. 2350 (ค.ศ. 1807) - พระราชบัญญัติการค้าทาส ค.ศ. 1807 มีผลบังคับใช้ เป็นการยกเลิกการค้าทาสภายในจักรวรรดิอังกฤษ พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840) - แสตมป์เพนนี แบล็กเป็นแสตมป์ชุดแรกที่ออกจำหน่ายและออกใช้อย่างเป็นทางการในสหราชอาณาจักร พ.ศ. 2387 (ค.ศ. 1844) - กองกำลังตำรวจฮ่องกง กองกำลังตำรวจสมัยใหม่แห่งที่ 2 ของโลกและกองกำลังตำรวจแห่งแรกในทวีปเอเชีย ได้รับการจัดตั้งขึ้น พ.ศ. 2394 (ค.ศ. 1851) - สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามีเสด็จเปิดนิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ที่วังแก้วหรือคริสตัลพาเลซในลอนดอน พ.ศ. 2416 (ค.ศ. 1873) - ตึกอิเควเทเบิลไลฟ์เปิดใช้งานเป็นครั้งแรกและเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกตึกแรกของโลก พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880) - รัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนธรรมเนียมออพฟิศใหม่ใช้ยืนและนั่งเก้าอี้แบบฝรั่ง เป็นการเปลี่ยนธรรมเนียมให้คล้อยตามอารยประเทศ พ.ศ. 2427 (ค.ศ. 1884) - วันแรงงาน: ผู้ใช้แรงงานในสหรัฐเรียกร้องให้มีชั่วโมงทำงานนาน 8 ชั่วโมง พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) - พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา กองเสือป่า พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) - วัคซีนโปลิโอที่พัฒนาโดย โจนัส ซอล์ก ได้เผยแพร่สู่สาธารณะ พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) - รัฐบอมเบย์ของอินเดีย ถูกแยกออกเป็น มหาราษฏระ กับ คุชราต พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - ฟิเดล คาสโตร นายกรัฐมนตรีคิวบา ประกาศให้คิวบาเป็นชาติสังคมนิยม ยกเลิกการเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) *เจ้าชายนารูฮิโตะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ที่ 126 แห่งญี่ปุ่น ภายหลังการสละราชบัลลังก์ของพระราชบิดาเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา *พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้นยังทรงพระอิสริยยศสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรมีพระราชโองการสถาปนาพลเอกหญิงสุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา ดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระราชินีสุทิดาภายหลังพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในวันเดียวกัน == วันเกิด == พ.ศ. 1761 (ค.ศ. 1218) - พระเจ้ารูด็อล์ฟที่ 1 แห่งเยอรมนี (สวรรคต 15 กรกฎาคม พ.ศ. 1834) พ.ศ. 2312 (ค.ศ. 1769) - อาร์เธอร์ เวลสลีย์ ดยุกที่ 1 แห่งเวลลิงตัน (ถึงแก่กรรม 14 กันยายน พ.ศ. 2395) พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1897) - สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) พระสงฆ์ชาวไทย (มรณภาพ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517) พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) - หลวงสุขุมนัยประดิษฐ (ประดิษฐ์ สุขุม) ข้าราชการพลเรือนและนักประพันธ์เพลงชาวไทย (ถึงแก่อนิจกรรม 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2510) พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) - สีสะหวาด แก้วบุนพัน อดีตรองประธานประเทศแห่ง สปป.ลาว (เสียชีวิต 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563) พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) - จ่าง แซ่ตั้ง กวี, จิตรกร และนักปราชญ์ชาวไทย (ถึงแก่กรรม 26 สิงหาคม พ.ศ. 2533) พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) - โยโกะ อะกิ นักแต่งเพลง, นักร้อง, นักเขียนชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) - การ์ลูส โรเบร์ตู จี การ์วัลยู นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) - เรย์ พาร์กเกอร์ จูเนียร์ นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ นักร้องชาวอเมริกัน พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - วีระยุทธ ดิษยะศริน อดีตพระสวามีในสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นักการเมืองหญิงชาวไทย พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) - ทิม แม็กกรอว์ นักร้องคันทรีและนักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - ฆาบิ กราซิอา อดีตนักฟุตบอลชาวสเปน พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - จามิน เหมพิพัฒน์ นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - โอลิเวอร์ นอยวิลล์ นักฟุตบอลชาวเยอรมัน พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - ศรพิชัย พิษณุราชันย์ นักมวยแชมป์โลกชาวไทย พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - สุธาสินี พุทธินันทน์ นักร้องหญิงชาวไทย พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) - เจมส์ แบดจ์ เดล นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - อนุชิต สพันธุ์พงษ์ นักร้อง และนักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - บอล เชิญยิ้ม นักแสดงตลกชายชาวไทย พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - อเล็กซานเดอร์ เฮล็บ นักฟุตบอลชาวเบลารุส พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - ดารียอ เซอร์นา นักฟุตบอลชาวโครเอเชีย พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) * เจมี่ ดอร์แนน นักแสดง นายแบบและนักดนตรีชาวไอริช * แบตู (นักฟุตบอล) นักฟุตบอลชาวโปรตุเกส พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) * เคอิจิโร โคะยะมะ นักร้องชาวญี่ปุ่น * ซาชา ดาแวน นักแสดงละครเวที,ภาพยนตร์และนักพากย์เสียงชาวอังกฤษ * อัชชา นามปาน นักแสดงชายชาวไทย พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - พิษณุ หารคำตัน อดีตนักกีฬาวอลเลย์บอลชายทีมชาติไทย พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - เลโอนาร์โด โบนุชชี นักฟุตบอลชาวอิตาลี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - ภัทร์ ฉัตรบริรักษ์ นายแบบ และนักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - ดิเยโก คอนเทนโท นักฟุตบอลชาวเยอรมัน พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - เดลาโตรี นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - จิรกิตติ์ คูอาริยะกุล นักแสดงชายชาวไทย == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 1661 (ค.ศ. 1118) - มาทิลดาแห่งสกอตแลนด์ สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ พ.ศ. 2098 (ค.ศ. 1555) - สมเด็จพระสันตะปาปามาร์เซลลุสที่ 2 พ.ศ. 2115 (ค.ศ. 1572) - สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 5 พ.ศ. 2375 (ค.ศ. 1832) - สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ (ประสูติ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2328) พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) - อานโตนิน ดโวชาค คีตกวีชาวเช็ก (เกิด 8 กันยายน พ.ศ. 2384) พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920) - เจ้าหญิงมาร์กาเรตแห่งคอนน็อต (ประสูติ 15 มกราคม พ.ศ. 2425) พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) - ดิเรก ชัยนาม หนึ่งในคณะราษฎร ผู้พาประเทศไทยเข้าสู่สหประชาชาติ (เกิด 18 มกราคม พ.ศ. 2448) พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) - สวลี ผกาพันธุ์ นักร้องเพลงลูกกรุงชาวไทย (เกิด 6 สิงหาคม พ.ศ. 2474) พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) - โอลิมเปีย ดูคาคิส นักแสดง ผู้กำกับ ครูและนักเคลื่อนไหวชาวอเมริกัน (เกิด 20 มิถุนายน พ.ศ. 2574) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == สากล - เมย์เดย์, วันแรงงานสากล โรมันคาทอลิก - วันระลึกถึงนักบุญโยเซฟ กรรมกร พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026) - วันวิสาขบูชา == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Today in History: May 1 พฤษภาคม 01 พฤษภาคม
thaiwikipedia
1,532
เอ็มพี3
MP3 (เอ็มพีสาม หรือ เอ็มพีทรี) เป็นวิธีการเข้ารหัสสัญญาณเสียงดิจิตัลที่เป็นที่นิยมแบบหนึ่ง ใช้วิธีการบีบอัดข้อมูลแบบมีการสูญเสียข้อมูลบางส่วนบางส่วน หรือ lossy ออกแบบมาเพื่อใช้ลดปริมาณข้อมูลเสียงให้เหลือเพียงเล็กน้อย (ส่วนมากจะได้ที่อัตรา 10 ต่อ 1) แต่ข้อมูลที่ลดลงมานี้ก็ยังให้คุณภาพเสียงที่ดีใกล้เคียงกับสัญญาณเสียงต้นฉบับโดยทดสอบกับผู้ฟังส่วนใหญ่ ในการใช้งานส่วนใหญ่คำว่า MP3 จะเป็นกล่าวอ้างถึงแฟ้มที่ใช้เก็บเสียงหรือดนตรีในรูปแบบ MP3 บนเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องเล่น MP3 คำว่า MP3 ได้มาจากคำว่า "MPEG-1 Audio Layer 3" หรือในคำที่เป็นทางการว่า "ISO/IEC 11172-3 Layer 3" อย่างไรก็ตามแฟ้มนามสกุล ".mp3" บางแฟ้มก็ใช้การเข้ารหัสแบบใหม่ที่มีชื่อว่า "MPEG-2 Audio Layer 3" หรือ "ISO/IEC 13818-3 Layer 3" MP3 เป็นรูปแบบการบีบอัดข้อมูลแบบมีการสูญเสียข้อมูลบางส่วน ใช้แทนข้อมูลเสียงที่เข้ารหัสแบบ PCM ให้มีขนาดที่เล็กโดยตัดข้อมูลบางส่วนที่พิจารณาแล้วว่าระบบการได้ยินของมนุษย์เกือบจะไม่สามารถรับฟังได้ (แนวคิดนี้คล้ายกับการบีบอัดข้อมูลภาพแบบ JPEG) วิธีการต่างๆที่ช่วยให้สามารถตัดข้อมูลบางส่วนออกไปได้ได้ถูกนำมาใช้กับ MP3 รวมทั้ง psychoacoustics ข้อมูลเสียงแบบ MP3 สามารถบีบอัดให้มีขนาดที่แตกต่าง หรือมี อัตราบิท ที่หลากหลายขึ้นกับขนาดของข้อมูลและคุณภาพเสียง เป็นรูปแบบแฟ้มที่เป็นการบีบอัดข้อมูลแบบมีการสูญเสียข้อมูลบางส่วนออกมา เพื่อให้ปริมาณข้อมูลลดลง แต่ยังคงคุณภาพใกล้เคียงกับสัญญาณเสียงเดิม อาจมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่เป็นเพียงเล็กน้อย และในการเข้ารหัสแบบ MP3 เป็นการเข้ารหัสของเพลงเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้สามารถใช้เนื้อที่ได้มากขึ้น และสามารถรวบรวมแฟ้มเพลงหลายๆแฟ้มมารวมอยู่ในรูปของ MP3 ทำให้ไม่สิ้นเปลืองเนื้อที่ในการจัดเก็บข้อมูล == ข้อดีของการเก็บแฟ้มในรูปแบบ MP3 == เนื่องจากแฟ้ม MP3 เป็นแฟ้มที่มีขนาดเล็ก ดังนั้นจึงใช้พื้นที่ในการเก็บน้อย โปรแกรมที่ใช้เล่นแฟ้ม MP3 ก็เช่น โปรแกรม Windows Media Player และโปรแกรมนี้ก็จะมีมากับเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว ไม่ต้องไปหา Download ใหม่ (แต่ต้องเป็น windows 98 ขึ้นไป) รวมไปถึง Winamp ซึ่งหา download ได้ทั่วไป == ดูเพิ่ม == MPEG ID3 == อ้างอิง == MP3 File Format Specification การบีบอัดข้อมูล โคเดกเสียง เอ็มเพก ทอมสันเอสเอ
thaiwikipedia
1,533
จิตสวนศาสตร์
จิตสวนศาสตร์ (คำอ่าน : จิด-ตะ-สะ-วะ-นะ-สาด ; Psychoacoustics) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับประสาทสัมผัสของมนุษย์ด้านการได้ยิน == พื้นฐาน == การประยุกต์ใช้งานด้านการประมวลสัญญาณเสียงจำเป็นต้องทราบถึงลักษณะการได้ยินของมนุษย์ เสียงเป็นคลื่นที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความดันของอากาศ เมื่อกระทบกับอวัยวะภายในหูจะส่งสัญญาณประสาทไปยังสมองเพื่อประมวลเสียงที่ได้มา == ขีดจำกัดของประสาทสัมผัส == อวัยวะของมนุษย์ที่ใช้รับฟังเสียง คือ หู สามารถรับรู้ได้ในช่วงตั้งแต่ความถี่ 20 Hz ถึง 22 kHz เมื่ออายุเพิ่มขึ้นช่วงการได้ยินนี้จะลดลง โดยเฉพาะช่วงความถี่สูง ๆ ความถี่ที่ต่ำมาก ๆ นั้นมนุษย์ไม่สามารถได้ยินแต่สามารถรู้สึกได้ผ่านทางผิวหนัง การแยกแยะความถี่เสียง 2 ความถี่ของมนุษย์มีลักษณะไม่เชิงเส้นตลอดย่านความถี่ที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ โดยในย่านความถี่เสียงต่ำ ๆ นั้นสามารถแยกแยะความแตกต่างเมื่อความถี่ทั้งคู่แตกต่างกันเพียงไม่กี่ Hz ในขณะที่ในย่านความถี่เสียงสูง ๆ สามารถแยกแยะความแตกต่างของเสียงทั้งสองเมื่อความแตกต่างของความถี่มีค่า เช่น 1 kHz ในย่านความถี่ 4 kHz เป็นต้น == การซ่อนเสียง == การซ่อนเสียง (Sound masking) เป็นการเพิ่มเสียงธรรมชาติ หรือเสียงสังเคราะห์ (ตามปกติ ถึงแม้ว่าเรียกอย่างไม่ตรงนักว่า “เสียงสีขาว white noise” หรือ “เสียงสีชมพู pink noise” เสียงสีขาวเป็นเสียงแบบสุ่มซึ่งคลุมสเปกตรัมความถี่ยินได้ทั้งหมดด้วยความเข้มเท่า ๆ กันโดยประมาณทุกความถี่ เสียงนี้จะได้ยินคล้ายน้ำตกที่กำลังไหลซู่ หรือลมที่กำลังพัดผ่านต้นไม้ เสียงสีชมพูมีค่าความเข้มลดลงตามลำดับช่วงความถี่สูง) เข้าสู่สภาวะแวดล้อมเพื่อบดบังเสียงที่ไม่ต้องการโดยการใช้การซ่อนทางโสตประสาท วิธีนี้แตกต่างจากเทคนิคการควบคุมเสียงแบบใช้พลังงาน การซ่อนเสียงลดหรือกำจัดการรับรู้เสียงที่มีอยู่ก่อนแล้วในบริเวณที่กำหนดและสามารถทำให้สภาพแวดล้อมที่ทำงานสบายขึ้น ขณะที่สร้างความเป็นส่วนตัวของการพูดเพื่อผู้ทำงานสามารถมีสมาธิดีขึ้นและประสิทธิภาพมากขึ้น การซ่อนเสียงสามารถใช้ภายนอกได้ด้วยเพื่อคืนสภาพแวดล้อมให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น การซ่อนเสียงถูกอธิบายได้โดยอุปมาอุปไมยกับแสง ลองนึกถึงห้องมืดห้องหนึ่งที่ซึ่งบางคนกำลังเปิดปิดไฟฉาย แสงไฟฉายนี้ชัดแจ้งและน่ารำคาญ คราวนี้นึกว่าเปิดไฟในห้อง ไฟฉายก็ยังคงเปิดปิด แต่สังเกตไม่ได้อีกต่อไปเพราะว่ามันถูกซ่อนเอาไว้ การซ่อนเสียงเป็นกระบวนการที่คล้ายคลึงกันในการปกปิดเสียงอันน่ารำคาญด้วยเสียงซึ่งปลอบประโลมกว่าหรือน่ารำคาญน้อยกว่า สวนศาสตร์ การได้ยิน
thaiwikipedia
1,534
ฮีชีอิท
ฮีชีอิท (hesheit) เป็นการ์ตูนไทยผลงานของ วิศุทธิ์ พรนิมิตร ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Manga Katch จนกระทั่งหลังจากนิตยสาร Manga Katch ปิดตัวไป ก็ได้ลงตีพิมพ์ต่อเป็นประจำในนิตยสาร อะเดย์ (a day) ฮีชีอิท เป็นการ์ตูนที่ใช้ลายเส้นเรียบง่าย ไม่เน้นความสวยงาม แต่เน้นเรื่องของคติสอนใจ ออกไปทางแนวปรัชญา ลายเส้นบางช่วงเขียนออกมาหยาบ ๆ รวมถึงตัวหนังสือบางครั้งก็มีการขีดฆ่าให้เห็น การจัดหน้าเป็นไปอย่างไม่เรียบร้อย == ฉบับรวมเล่ม == ฮีชีอิท ฉบับรวมเล่มมีทั้งหมด 2 แบบ แบบแรก เป็นการรวมตอนที่เคยตีพิมพ์ใน Manga Katch และบางตอนที่ไม่เคยตีพิมพ์มาก่อน โดยวางขายครั้งแรกในงานแฟตเฟสติวัลครั้งที่ 1 มีจำนวนทั้งหมด 4 เล่ม แบบที่สอง จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์ หลังจากนิตยสาร Manga Katch ปิดตัวลงไปแล้ว โดยรวบรวมตอนเก่าที่เคยรวมเล่มไปแล้ว และตอนใหม่ที่เขียนขึ้นทีหลัง มีจำนวนทั้งหมด 8 เล่ม หน้าปกทั้งชุดสามารถนำมาเรียงต่อเป็นภาพเดียวกันได้ ปัจจุบันได้ออกเล่ม 9 และ 10 มาแล้ว แต่หน้าปกไม่ต่อเนื่องอย่าง 8 เล่มแรก == สื่ออื่นๆ == ฮีชีอิท ทำเป็น VCD ในปี พ.ศ. 2547 โดยบริษัท beboydcg มีทั้งหมด 9 ตอน โดยมีทั้งตอนที่มาจากในหนังสือ ตอนที่ทำขึ้นมาใหม่ และมิวสิกวิดีโอของโมเดิร์นด็อก และโจอี้บอย == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == วิศุทธิ์ พรนิมิตร == แหล่งข้อมูลอื่น == "ฮีชีอิท" ออนไลน์ การ์ตูนไทย หนังสือการ์ตูนไทย
thaiwikipedia
1,535
โมเดิร์นด็อก
โมเดิร์นด็อก (Moderndog) นักดนตรีกลุ่มแนวออลเทอร์นาทิฟร็อกของไทยซึ่งเป็นวงดนตรีแรกในค่ายเพลงเบเกอรี่มิวสิค และเป็นหนึ่งในนักดนตรีกลุ่มแรก ๆ ที่จุดประกายดนตรีทางเลือก (ออลเทอร์นาทิฟ) ซึ่งต่อมาแนวเพลงดังกล่าวได้รับความนิยมในประเทศไทย อย่างมากในปี พ.ศ. 2537 == ประวัติ== โมเดิร์นด็อกเริ่มต้นจากวงดนตรีนิสิตที่ชนะการประกวดจากเวทีโค้กมิวสิกอวอร์ด ประจำปี พ.ศ. 2535 โดยได้อันดับหนึ่ง มีวงดนตรีที่ได้รองอันดับคือ สไมล์บัฟฟาโล่ จากนั้นได้ออกอัลบัมชุดแรก โมเดิร์นด็อก-เสริมสุขภาพ ในปี พ.ศ. 2537 สังกัดค่ายเบเกอรี่มิวสิค โดยมีกมล สุโกศล แคลปป์ (สุกี้) เป็นผู้อำนวยการผลิต ด้วยแนวดนตรีแบบฟังก์ โซล มอเดิร์นร็อก และกรันจ์ที่ผสมผสานกันลงตัว มีเพลงดังอย่าง "มานี" "บางสิ่ง" "บุษบา" "หมดเวลา" แต่เพลงที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในอัลบั้มชุดนี้เป็นเพลง "ก่อน" ซึ่งต่อมาเพลงนี้ได้กลายเป็นเพลงประจำวงโมเดิร์นด็อก และอัลบัมดังกล่าวจึงประสบความสำเร็จมาก และได้จุดประกายดนตรีทางเลือกแก่วงการดนตรีเมืองไทยนับแต่นั้น ในปี พ.ศ. 2540 ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 2 คาเฟ่ มีเพลงดังอย่าง "รูปไม่หล่อ" และ "ติ๋ม" ต่อมาอีกสี่ปี ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 3 Love Me Love My Life มีเพลงดังอย่าง "สิ่งที่ไม่เคยบอก" "เวตาล" ในปี พ.ศ. 2547 ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 4 แดดส่อง มีเพลงดังอย่าง "ตาสว่าง" อีกสี่ปีต่อมาได้ออกอัลบั้มชุดที่ 5 ทิงนองนอย หลังจากอัลบัมที่ 5 ทิงนองนอย วางจำหน่ายไปมากกว่า 5 ปี โมเดิร์นด็อกได้ปล่อยซิงเกิลแรก "โอน้อยออก" จากอัลบั้มชุดที่ 6 โดยออกเผยแพร่เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ทางช่องยูทูบของวงโมเดิร์นด็อกเอง โดยได้ภู่กัน สันสุริยะ (ใหม่ อพาร์ตเมนต์คุณป้า) ร่วมบันทึกเสียงเบสในเพลงนี้ด้วย อัลบั้มชุดที่ 6 นี้ยังมีโปรดิวเซอร์ชาวสก็อตอย่าง Tony Doogan มาร่วมงานอีกด้วย ซึ่งเคยร่วมงานกับวง Mogwai วง โพสต์ร็อค จากสก็อตแลนด์ และวง อินดี้ร็อก Belle And Sebastain โดยอัลบั้มชุดที่หกนี้ได้อัดกันที่สตูดิโอทาร์บอกซ์ โรด เมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา สตูดิโอบ้านไม้กลางป่า หลังจากนั้นทางวงได้ปล่อยซิงเกิ้ลที่สอง สกาล่า เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556 จากอัลบั้มชุดที่หกของวง โมเดิร์นด็อก ในสังกัด บริษัท โมเดิร์นด็อก จำกัด ออกเผยแผร่ทางช่องยูทูบ ของวงโมเดริ์นด็อก เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ภายในเอ็มวีมิวสิค สกาล่า มีศิลปินนักร้องจำนวนมากคับคั่งมาร่วมร้องเพลง อาทิ ชลาทิศ ตันติวุฒิ , อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข , สุวีระ บุญรอด , อารักษ์ อมรศุภศิริ , หรินทร์ สุธรรมจรัส , สมพล รุ่งพาณิชย์ , ณัฐวุฒิ ศรีหมอก , รัดเกล้า อามระดิษ , สิงโต นำโชค , อาทิวราห์ คงมาลัย , มาเรียม บีไฟว์ , (แน็ป เรโทรสเปกต์) , ตุลย์ (อพาร์ตเมนต์คุณป้า) , เมื่อย (สครับบ์) เป๊ก ซีล (วงดนตรี) , ตรัย ภูมิรัตน , ปิยะ ศาสตรวาหา , กษิดิศ สำเนียง , วิน สควีซ แอนิมอล โดยเป็นเอ็มวีที่ทางวงผลิตเองทุกขั้นตอน โดยมีโป้ง - ปวิณ สุวรรณชีพ มือกลองของวง เป็นผู้ควบคุมการดูแลเอ็มวีดังกล่าว ทางสมาชิกของวงกล่าวถึงสาเหตุที่เลือกใช้โรงภาพยนตร์สกาล่า เป็นเพลง เนื่องมาจากโรงหนังดังกล่าวมีความคลาสสิคที่ถึงแม้จะผ่านมาหลายยุคสมัยแต่ก็ยังดึงดูดความน่าสนใจและอยู่ในใจคนเสมอ ซึ่งเนื้อหาเพลงก็คือการชวนคนไปดูหนัง และออกมาร่วมสังสรรค์ร่วมกัน ออกมาเริงร่าสนุกสนาน และทางวงปล่อยซิงเกิ้ลที่สาม ทบทวน จากอัลบั้มชุดที่หกของวง เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557 เป็นเพลงแนวให้กำลังใจ โดยป็อด นักร้องนำ อธิบายเกี่ยวกับเพลงนี้ว่าตัวเราเองก็รุมเร้าเจอปัญหาต่างๆ คนเราเองก็มีปัญหาตจ่างกันไป ไม่มีใครหนีมันได้ ดังนั้นเราเองก็ให้กำลังใจ ลุกขี้นสู้ขึ้นมา แล้วเดินต่อไป อย่าหมดหวัง ชีวิตมันยังมีสิ่งดีๆอยู่ข้างๆเสมอ ถึงแม้ในวันที่เราไม่เหลือใครเลย แค่มองไปยังท้องฟ้า เราก็จะได้เห็นเส้นขอบฟ้าอยู่เคียงข้างนะ ... พวกเราตั้งใจทำเพลงนี้ออกมาเพื่อสร้างกำลังใจให้กับทุกคนครับ" โมเดริ์นด็อกปล่อยเพลงซิงเกิ้ลที่สี่ Cloud จากอัลบั้มชุดที่หกของวง เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557 ซึ่งซิงเกิ้ลดังกล่าวเป็นการเฉลิมครบรอบ 20 ปี ของทางวง หลังจากนั้นต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2558 ทางวงก็ได้ปล่อยซิงเกิ้ลที่สาม Cheer เมื่อ วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558) โดยเอ็มวี สมาชิกทั้งสาม ป็อด - ธนชัย อุชชิน โป้ง - ปวิณ สุวรรณชีพ และ เม - เมธี น้อยจิน ร่วมเต้นแอโรบิคกับพ่อค้าแม่ค้าชาวปกครอง ที่กลางตลาดยอดพิมาน ปากคลองตลาด ทางด้านเอ็มวีได้ คงเดช จาตุรันต์รัศมี นักร้องนำวง สี่เต่าเธอ นักแต่งเพลงและนักเขียนบบทชาวไทย มาควบคุมดูแลการผลิต 9 กันยายน พ.ศ. 2558 โมเดิร์นด็อก ได้ปล่อยซิงเกิ้ล วันนี้เมื่อปีก่อน (Today, Last Year) เป็นซิงเกิ้ลลำดับที่ 6 ก่อนจะออกอัลบั้มในปี 2559 พร้อมคอนเสิร์ตใหญ่ฉลองครบรอบ 22 ปี == สมาชิก == สมาชิกปัจจุบันมี 3 คน ประกอบด้วย ธนชัย อุชชิน (ป๊อด) ร้องนำ, กีตาร์ เมธี น้อยจินดา (เมธี) กีตาร์ ปวิณ สุวรรณชีพ (โป้ง) กลอง อดีตมือเบส สมอัตถ์ บุณยะรัตเวช (บ๊อบ) มีผลงานร่วมกับวงสองชุด คือชุดแรก Moderndog - เสริมสุขภาพ และชุด Love Me Love My Life นอกจากนี้ ณฐพล ศรีจอมขวัญ (ก้อ กรู๊ฟไรเดอร์ส) และต่อยศ จงแจ่ม (ป๊อก ซีล) ก็เคยเป็นมือเบสสมทบในช่วงที่โมเดิร์นด็อกแสดงคอนเสิร์ต สราวุธ เลิศปัญญานุช (แน่น) นักดนตรีและนักแต่งเพลงของเอ็กแซ็กท์และซีเนริโอ เคยเป็นสมาชิกวงในตำแหน่งคีย์บอร์ด เมื่อครั้งร่วมแข่งขันโค้กมิวสิกอวอร์ด ประจำปี พ.ศ. 2535 แต่ไม่ได้ร่วมบันทึกเสียงอัลบัมแรก == ผลงาน == === อัลบัม === เสริมสุขภาพ (9 สิงหาคม พ.ศ. 2537) คาเฟ่ (2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540) เลิฟมีเลิฟมายไลฟ์ (26 กรกฎาคม พ.ศ. 2544) แดดส่อง (27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547) ทิงนองนอย (9 กันยายน พ.ศ. 2551) ป๊อด/โป้ง/เมธี (9 สิงหาคม พ.ศ. 2559) ===อีพีและซิงเกิล=== ...ก่อน (19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537) รูปไม่หล่อ (1 เมษายน พ.ศ. 2540) เวตาล (1 กันยายน พ.ศ. 2544) สิ่งที่ไม่เคยบอก (11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544) Animal (2 เมษายน พ.ศ. 2545) ฉันยังคงหายใจ (พ.ศ. 2551) 5.3.15 (พ.ศ. 2552) โอน้อยออก (4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556) สกาล่า (5 ธันวาคม พ.ศ. 2556) ทบทวน (22 เมษายน พ.ศ. 2557) Cloud (9 กันยายน พ.ศ. 2557) (เป็นซิงเกิลฉลองครบรอบ 20 ปีโมเดิร์นด็อก) Cheer (1 มีนาคม พ.ศ. 2558) วันนี้เมื่อปีก่อน (Today, Last Year) (9 กันยายน พ.ศ. 2558) ดอกไม้บาน (Bloom) (14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560) === บันทึกการแสดงสด === The Very Common of Moderndog (28 มีนาคม พ.ศ. 2545) Wake Up At Ten (28 ตุลาคม พ.ศ. 2548) === ผลงานพิเศษ === ร้องกันอีกครั้ง (ร่วมร้องกับ แทททูคัลเลอร์) == คอนเสิร์ต == Dog on Stage World Tour - 15 ธันวาคม พ.ศ. 2537 ณ เอ็มบีเคฮอลล์ Buffet Concert - 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 ณ เอ็มบีเคฮอลล์ 1-2-Call Freedom Concert Presents Moderndog: Love Me Love My Life - 29 ธันวาคม พ.ศ. 2544 ณ ลานกลางแจ้ง ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย The Very Common of Moderndog - 19-22 ธันวาคม พ.ศ. 2545 ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ตาสว่าง WAKE UP AT TEN - 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 ณ อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก Lee Presents ModernDog Private Performance - 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ณ ลานกลางแจ้ง ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (เป็นคอนเสิร์ตก่อนที่โมเดิร์นด็อกจะบินไปแสดงในต่างประเทศในวันถัดมา) โมเดิร์นด็อก ยูเอสเอ เวิร์ลทัวร์ 2009 การแสดงใน 6 หัวเมืองของสหรัฐอเมริกา ได้แก่ แซนแฟรนซิสโก, ลาสเวกัส, ลอสแอนเจลิส, ชิคาโก, วอชิงตัน ดี.ซี. และนครนิวยอร์ก ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากคนไทยในสหรัฐ 5-3-15 (ห้า-สาม-สิบห้า) - 2-3 ตุลาคม 2552 ณ อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก (คอนเสิร์ตร่วมกับสปอร์ต แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ โดยเลข 5 คือจำนวนอัลบัมทั้งหมดที่ผ่านมา เลข 3 คือสมาชิกภายในวง เมื่อคูณกันจึงจะได้ 15 ปี) Lipoviton-D Presents Moderndog 22 - 18 มีนาคม พ.ศ. 2560 ณ อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี (คอนเสิร์ตฉลอง 22 ปี ของวง โดยร่วมกับบีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เดิมกำหนดจัดในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559) === คอนเสิร์ตรับเชิญ === คอนเสิร์ต STAMP GREAN DAY LIVE CONCERT ร่วมขับร้องเพลงตาสว่างกับอภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข (16 มีนาคม 2556) คอนเสิร์ตเกิดมาเพื่อเพลง 77 ปี สุเทพ วงศ์กำแหง (25 มิถุนายน 2554) คอนเสิร์ต Thailand Happiness Street Festival (25-26 กรกฎาคม 2557) == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == กลุ่มดนตรีออลเทอร์นาทิฟร็อกสัญชาติไทย ศิลปินสังกัดเบเกอรี่มิวสิค กลุ่มดนตรีไทยในยุค 1990 กลุ่มดนตรีที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2537
thaiwikipedia
1,536
พระสันตะปาปา
พระสันตะปาปา (papa มาจากคำว่า πάππας|translit=pappas, "บาทหลวง"; Pope) หมายถึง มุขนายกแห่งคริสตจักรกรุงโรม (Bishop of the Church of Rome) และผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั่วโลก คริสตจักรนี้ถือว่าพระสันตะปาปาเป็นผู้สืบตำแหน่งจากนักบุญซีโมนเปโตรอัครทูตของพระเยซู สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเป็นพระสันตะปาปาพระองค์ปัจจุบันตามการประชุมเลือกตั้งพระสันตะปาปาในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2013 ตำแหน่งของพระสันตะปาปา ในภาษาอังกฤษเรียก ปาปาซี (Papacy) และรัฐบาลคริสตจักรในพระสันตะปาปาเรียก "สันตะสำนัก" ตั้งอยู่ที่กรุงโรม โดยถือตามความเชื่อสืบมาว่า นักบุญเปโตรและนักบุญเปาโลอัครทูตได้พลีชีพเป็นมรณสักขีในศาสนาคริสต์ที่นี่ พระสันตะปาปายังทรงดำรงตำแหน่งประมุขนครรัฐวาติกันด้วย ซึ่งเป็นรัฐอธิปไตยที่ตั้งอยู่ภายในกรุงโรม ตำแหน่งพระสันตะปาปาถือเป็นตำแหน่งที่เก่าแก่ที่สุดในโลกตำแหน่งหนึ่ง และมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์โลก ในสมัยโบราณพระสันตะปาปามีหน้าที่หลักในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์และตัดสินข้อขัดแย้งด้านความเชื่อภายในคริสตจักร ในสมัยกลางพระสันตะปาปามีบทบาทสำคัญมากในทางโลกในยุโรปตะวันตกด้วย เช่น เป็นผู้ตัดสินความขัดแย้งระหว่างประมุขของรัฐ รวมถึงสงครามหลายครั้ง ปัจจุบันนี้นอกจากจะทำหน้าที่ด้านเผยแผ่ศาสนาคริสต์แล้ว พระสันตะปาปายังปฏิบัติพระกรณียกิจด้านคริสต์ศาสนสัมพันธ์และศาสนสัมพันธ์ งานการกุศล และการปกป้องสิทธิมนุษยชนด้วย ตั้งแต่สมัยใหม่เป็นต้นมา พระสันตะปาปาได้สูญเสียอำนาจทางฝ่ายโลก ปัจจุบันจึงเน้นแต่ด้านศาสนา ในปี ค.ศ. 1870 คริสตจักรโรมันคาทอลิกมีประกาศคำสอนต้องเชื่อว่าพระสันตะปาปาไม่เคยผิดพลาดในการกำหนดหลักความเชื่อและศีลธรรม แต่ก็ไม่ค่อยประกาศใช้บ่อยครั้งนัก การประกาศครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1950 เรื่องยืนยันว่าเรื่องแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์เป็นคำสอนต้องเชื่อ == ประวัติ == คำว่า Papa ในภาษาละติน หรือ Pappas ในภาษากรีก แปลว่า บิดา ศาสนาคริสต์ตะวันออกได้ใช้คำนี้เพื่อหมายถึงมุขนายกและบาทหลวงระดับสูงในคริสตจักร ต่อมาคำนี้ถูกใช้เป็นคำนำหน้านามของอัครบิดรแห่งอะเล็กซานเดรียมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 3 และต่อมาจึงใช้กับบรรดามุขนายกในศาสนาคริสต์ตะวันตกด้วย มาร์เซลลินุสเป็นมุขนายกองค์แรกของคริสตจักรกรุงโรมที่ใช้คำนำหน้านามว่าพระสันตะปาปา แต่ก็เป็นการใช้อย่างไม่เป็นทางการ จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมา คริสตจักรโรมันคาทอลิกจึงใช้คำว่าพระสันตะปาปากับมุขนายกแห่งกรุงโรมโดยเฉพาะ และในคริสต์ศตวรรษที่ 11 สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 7 ได้ประกาศให้คำว่า "พระสันตะปาปา" สงวนไว้ใช้กับมุขนายกแห่งกรุงโรมเท่านั้น == พระอิสริยยศทางการ == รายชื่อพระอิสริยยศอย่างเป็นทางการของพระสันตะปาปาตามหนังสือ Annuario Pontificio (รายงานประจำปีของสันตะสำนัก) ได้แก่ ส่วนคำว่า "พระสันตะปาปา" (Papa) ไม่ปรากฏเป็นพระอิสริยยศทางการ แต่มักใช้เป็นชื่อเอกสาร และเขียนย่อเป็น PP. (มาจาก papa pontifex) กำกับลงท้ายในลายพระอภิไธย เช่น สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6 ทรงลงพระนามว่า "Paulus PP. VI" == รายพระนามสมเด็จพระสันตะปาปา == == ผู้อ้างตนเป็นพระสันตะปาปา == ผู้อ้างตนเป็นพระสันตะปาปา หรือ พระสันตะปาปาซ้อน (antipope) หมายถึง ผู้ที่เป็นพระสันตะปาปาโดยไม่ถูกต้อง ทั้งที่อ้างตัวเอง เกิดจากความสับสน หรือได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปาแล้ว แต่ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ หรือได้รับตำแหน่งโดยถูกต้องแล้ว แต่ถือกันว่าเป็นพระสันตะปาปาอย่างไม่ถูกต้อง และเป็นปรปักษ์ต่อพระสันตะปาปาที่ได้รับเลือกมาอย่างถูกต้องตามกฎหมายศาสนจักร พระสันตะปาปาซ้อนมักเกิดจากความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองฝ่ายอาณาจักรกับฝ่ายคริสตจักรในขณะนั้น โดยเฉพาะกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทั้งนี้ผู้ปกครองในหลายสมัยพยายามจะเข้ามาแทรกแซงศาสนจักร ส่วนศาสนจักรเองนั้น ตามประวัติศาสตร์ก็ปรากฏว่ามีการพยายามแทรกแซงทางโลกเช่นเดียวกัน เช่นการสนับสนุน antiking ในประเทศเยอรมนีสมัยก่อน นอกจากความขัดแย้งกับทางโลกแล้ว ความสับสนและไม่ลงรอยภายในศาสนจักรเอง ก็ทำให้มีผู้อ้างตนเป็นพระสันตะปาปาขึ้นในระหว่างการเลือกพระสันตะปาปาเช่นเดียวกัน กล่าวได้อีกอย่างก็คือ พระสันตะปาปาที่ถูกต้องนั้นก็มีโอกาสเป็นปรปักษ์พระสันตะปาปาได้เช่นเดียวกัน ถ้าการณ์กลับว่าพระสันตะปาปาเท็จได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาที่ถูกต้อง ความไม่ลงรอยกันในการเลือกพระสันตะปาปาในศาสนจักรโรมันคาทอลิกนั้น ภายหลังนำไปสู่การปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ในที่สุด รายนามพระสันตะปาปาซ้อนมาจากมุมมองของนิกายโรมันคาทอลิก ผู้อ้างตนเป็นพระสันตะปาปาบางพระองค์อาจจะถือเป็นพระสันตะปาปาที่ถูกต้องในมุมมองของนิกายอื่น == พระสันตะปาปาพระองค์สุดท้าย == มีการพยากรณ์กันว่า พระสันตะปาปาองค์สุดท้ายจะใช้พระนามว่า "เปโตร" (สมเด็จพระสันตะปาปาเปโตรที่ 2) == หมายเหตุ == ฝ่ายคาทอลิกเรียก "พระสังฆราชแห่งพระศาสนจักรกรุงโรม" == อ้างอิง == == บรรณานุกรม == == อ่านเพิ่ม == Brusher, Joseph H. Popes Through The Ages. Princeton: D. Van Nostland Company, Inc., 1959. Chamberlin, E.R. The Bad Popes. 1969. Reprint: Barnes and Noble, 1993. ISBN 978-0-88029-116-3. Dollison, John Pope-pourri. New York: Simon & Schuster, 1994. ISBN 978-0-671-88615-8. Kelly, J.N.D. The Oxford Dictionary of Popes. Oxford: University Press, 1986. ISBN 0-19-213964-9. Maxwell-Stuart, P.G. Chronicle of the Popes: The Reign-by-Reign Record of the Papacy from St. Peter to the Present; with 308 Illustrations, 105 in Color. London: Thames and Hudson, 1997. ISBN 0-500-01798-0. Norwich, John Julius. The Popes: a History. Chatto, 2011. == แหล่งข้อมูลอื่น == Catholic Encyclopedia entry Pope Endurance League - Sortable list of Popes Data Base of more than 23,000 documents of the Popes in latin and modern languages The Holy See - The Holy Father—website for the past and present Holy Fathers (since Pope Leo XIII) "papacy." Encyclopædia Britannica. 2009. Encyclopædia Britannica Online Origins of Peter as Pope The Authority of the Pope: Part I The Authority of the Pope: Part II ประมุขแห่งรัฐ
thaiwikipedia
1,537
2 พฤษภาคม
วันที่ 2 พฤษภาคม เป็นวันที่ 122 ของปี (วันที่ 123 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 243 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2351 (ค.ศ. 1808) - สงครามคาบสมุทรไอบีเรีย: ประชาชนในกรุงมาดริด ประเทศสเปน รวมตัวกันต่อสู้กับกองทัพฝรั่งเศส พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) - มีรายงานการปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดลอคเนสส์ ครั้งแรกในยุคใหม่ พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) - มีการชกมวยสากลชิงแชมป์โลกเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ระหว่างจำเริญ ทรงกิตรัตน์ นักมวยชาวไทย กับจิมมี่ คาร์รัทเธอร์ แชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวทชาวออสเตรเลีย ที่สนามกีฬาจารุเสถียร พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - โทนี แบลร์ สมาชิกพรรคแรงงาน ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร นับเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในรอบ 185 ปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) - พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16: เลสเตอร์ซิตี ได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อผลการแข่งขันของเชลซีเสมอกับทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-2 ที่สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ == วันเกิด == พ.ศ. 2272 (ค.ศ. 1729) - จักรพรรดินีนาถเยกาเจรีนาที่ 2 แห่งรัสเซีย (เยกาเจรีนามหาราชินี) (สวรรคต 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2339) พ.ศ. 2416 (ค.ศ. 1873) - พระองค์เจ้าสุวพักตร์วิไลยพรรณ (สิ้นพระชนม์ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2473) พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) - สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ดอร์จี วังชุก (สวรรคต 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2515) พ.ศ. 2478 (ค.ศ. 1935) - * พระเจ้าฟัยศ็อลที่ 2 แห่งอิรัก (ถึงแก่กรรม 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501) * ลุยส์ ซัวเรซ มิรามอนเตส นักฟุตบอลและผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวสเปน พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) - ฌัก โรคเคอ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากลคนที่ 8 (เสียชีวิต 30 สิงหาคม พ.ศ. 2564) พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) - เจริญ สิริวัฒนภักดี นักธุรกิจชาวไทย พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - เลสลีย์ กอร์ นักร้องชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558) พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) - ซึกมุนต์ กาลีนอฟสกี นักฟุตบอลชาวโปแลนด์ พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - แมตต์ เจอรัลด์ นักแสดงและนักเขียนบทชาวอเมริกัน พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - ดเวย์น จอห์นสัน นักแสดงชายชาวอเมริกัน/นักมวยปล้ำชายชาวอเมริกัน พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - เดวิด เบคแคม นักฟุตบอลชายชาวอังกฤษ พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - เดวิด นิวเจนต์ นักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษ พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - จอง จินอุน นักร้องชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - ซ็อนมี นักร้องชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - มารี เบรินเนอร์ นักแสดงหญิงชาวไทย พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - หฺวัง จื่อเทา นักร้อง นักแต่งเพลง แร็ปเปอร์ นักแสดง นายแบบ และนักธุรกิจชาวจีน พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - ยุก ซอง-แจ นักร้อง, นักแต่งเพลง, นักแสดงและนักร้องชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - ยูลีอาน บรันท์ นักฟุตบอลชาวเยอรมัน พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - เฌอปราง อารีย์กุล ไอดอลชาวไทย พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - กันต์พิมุกต์ ภูวกุล ศิลปินเกาหลีใต้สัญชาติไทย พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - ชาร์ลี ซาเวจ (นักฟุตบอล) นักฟุตบอลอาชีพชาวเวลส์ พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) - เจ้าหญิงชาร์ลอตต์แห่งเวลส์ == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 916 (ค.ศ. 373) - นักบุญอะทาเนเชียสแห่งอะเล็กซานเดรีย อัครมุขนายกแห่งอะเล็กซานเดรีย พ.ศ. 2062 (ค.ศ. 1519) - เลโอนาร์โด ดา วินชี นักประดิษฐ์และจิตรกรชาวอิตาลี (เกิด 15 เมษายน พ.ศ. 1995) พ.ศ. 2365 (ค.ศ. 1822) - เจ้าพระยาวงศาสุรศักดิ์ (แสง วงศาโรจน์) เจ้าเมืองราชบุรี คนที่ 2 ต้นสกุลวงศาโรจน์ (เกิด 13 มกราคม พ.ศ. 2311) พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษชาวไทย (เกิด 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443) พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - ฮิเดะโตะ มัทซึโมะโตะ นักดนตรีชาวญี่ปุ่น (เกิด 13 ธันวาคม พ.ศ. 2507) พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) - อุซามะห์ บิน ลาดิน หัวหน้าอัลกออิดะห์ (เกิด 10 มีนาคม พ.ศ. 2500) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) - วันพืชมงคล โรมันคาทอลิก - วันฉลองนักบุญอะทาเนเชียสแห่งอะเล็กซานเดรีย == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day Today in History: May 2 พฤษภาคม 02 พฤษภาคม
thaiwikipedia
1,538
ซิลิคอน
ซิลิคอน (Silicon) เป็นธาตุเคมีในตารางธาตุ ที่มีสัญลักษณ์ Si และเลขอะตอม 14 เป็นธาตุกึ่งโลหะแบบเตตระวาเลนต์ (คือมีวาเลนซ์เป็น 4) ซิลิคอนทำปฏิกิริยาน้อยกว่าธาตุที่คล้ายกันคือคาร์บอน เป็นธาตุที่มีมากที่สุดในเปลือกโลกเป็นอันดับ 2 มีปริมาตร 25.7% โดยน้ำหนัก ปรากฏในดินเหนียว เฟลด์สปาร์ (feldspar) หินแกรนิต ควอตซ์ และทราย ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของซิลิคอน ไดออกไซด์ (หรือซิลิกา) และซิลิเกต (สารประกอบที่ประกอบจากซิลิคอน ออกซิเจน และ โลหะ) ซิลิคอน เป็นส่วนประกอบหลักของแก้ว ซีเมนต์ เซรามิก, อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ ส่วนใหญ่ และซิลิโคน (สารพลาสติกที่มักจะสับสนกับซิลิคอน) ซิลิคอนใช้เป็นสารกึ่งตัวนำอย่างแพร่หลาย เนื่องจาก สารกึ่งตัวนำเจอร์เมเนียมมีปัญหาเกี่ยวกับการไหลของกระแสไหลย้อนกลับ (reverse leakage current) == ประวัติ == เยินส์ ยาคอบ แบร์ซีเลียส นักเคมีชาวสวีเดนเตรียมซิลิคอนในรูปธาตุอิสระได้ในปี ค.ศ. 1823 โดยผ่านซิลิคอนเตตระฟลูออไรด์ (SiF4) ไปยังโลหะโพแทสเซียมที่ร้อนแดง และเขาสามารถเตรียมธาตุนี้ได้จากปฏิกิริยาระหว่างโพแทสเซียมฟลูออซิลิเกตและโพแทสเซียมด้วย เป็นไปได้ว่า โฌแซ็ฟ หลุยส์ แก-ลูว์ซัก และ หลุยส์ ฌัก เธนาร์ อาจเตรียมซิลิคอนอสัญฐานที่ไม่บริสุทธิ์โดยวิธีเดียวกันกับแบร์ซีเลียส ในปี ค.ศ. 1809 ซิลิคอนในรูปผลึกเตรียมขึ้นเป็นครั้งแรกโดยอ็องรี เอเตียน แซ็งต์-แคลร์ เดวีลล์ ในปี ค.ศ. 1854 โดยนำโซเดียมอะลูมินัมคลอไรด์เหลวที่ไม่บริสุทธิ์ (มี Si ประมาณ 10 %) มาแยกสลายด้วยไฟฟ้า == สารประกอบ == ซิลิคอนไดออกไซด์ - SiO2 ใช้ในการทำกระจก ซิลิคอนไนไตรต์ - Si3N4 ซิลิคอนฟอสไฟต์ - Si3P4 ซิลิคอนเททระโบไรด์ - SiB4 ซิลิคอนเฮกซะโบไรด์ - SiB6 ซิลิคอนอะลูมิไนด์ - SiAl4 อะลูมิเนียมซิลิเกต - 3Al2O32SiO2 โซเดียมฟลูออโรซิลิเกต - Na2SiF6 ตะกั่ว(II)เฮกซะฟลูออโรซิลิเกต - PbSiF6 ซิลิคอน - Si == ประโยชน์ == === ซิลิคอนและโลหะผสม === การประยุกต์นำซิลิคอนบริสุทธิ์ที่มีมากที่สุด คือ การผสมกับอะลูมิเนียม เพื่อหล่อทำชิ้นส่วนรถยนต์ (เป็น 55% ของการใช้ทั่วโลก) การประยุกต์นำซิลิคอนบริสุทธิ์ที่มีมากเป็นอันดับ 2 คือเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตซิลิโคน (40% ของการใช้ทั่วโลก) ซิลิคอนบริสุทธิ์ใช้ผลิตซิลิคอนบริสุทธิ์พิเศษสำหรับการประยุกต์ทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย * สารกึ่งตัวนำ - ซิลิคอนบริสุทธิ์พิเศษสามารถผสม (doping) กับธาตุอื่น ๆ เพื่อเปลี่ยนผลสนองทางไฟฟ้า โดยควบคุมจำนวน และประจุ (บวกหรือลบ) ของตัวนำไฟฟ้า ซึ่งจำเป็นสำหรับทรานซิสเตอร์ เซลล์สุริยะ เครื่องตรวจจับ (semiconductor detectors) และอุปกรณ์กึ่งตัวนำอื่น ๆ ที่ใช้ในอิเล็กทรอนิกส์ * โฟโตนิกส์ - ซิลิคอนสามารถใช้เป็นรามันเลเซอร์ (Raman laser) เพื่อผลิตแสงความถี่เดียว (coherent light) (อย่างไรก็ดี เป็นแหล่งแสงที่ไม่มีประสิทธิภาพ) * แอลซีดีและเซลล์สุริยะ - ซิลิคอนอสัณฐานที่ผสมไฮโดรเจนใช้อย่างกว้างขวางในการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ราคาต่ำและพื้นที่ใหญ่ เช่น ใน แอลซีดี และยังอาจนำไปใช้ในเซลล์สุริยะแบบฟิล์มบางที่มีราคาต่ำและพื้นที่ใหญ่ เหล็กกล้าและเหล็กหล่อ - ซิลิคอนเป็นสารประกอบสำคัญของเหล็กกล้าบางชนิด และใช้ในการผลิตเหล็กหล่อโดยใส่เป็นโลหะผสมเหล็กและซิลิคอน หรือ ซิลิคอนกับแคลเซียม === สารประกอบซิลิคอน === การก่อสร้าง: ซิลิคอนไดออกไซด์หรือซิลิกา ในรูปของทรายและดินเหนียวเป็นส่วนผสมที่สำคัญของคอนกรีตและอิฐ และใช้ในการผลิตซีเมนต์ เครื่องปั้นดินเผา/เครื่องเคลือบ - ซิลิคอนเป็นสารที่ทนต่อความร้อนได้ดีที่ใช้ในการผลิตอุณหภูมิสูง และสารประกอบซิลิเกตใช้ในการผลิตเครื่องเคลือบ และเครื่องปั้นดินเผา กระจก - ซิลิกาจากทรายเป็นส่วนประกอบหลักของกระจก กระจกสามารถทำเป็นรูปต่าง ๆ ได้มากมายและมีคุณสมบัติกายภาพที่แตกต่างกัน ซิลิกาเป็นวัตถุหลักในการผลิตกระจกหน้าต่าง บรรจุภัณฑ์ ฉนวน และสิ่งของอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ สารขัด - ซิลิคอนคาร์ไบด์เป็นหนึ่งในสารขัดที่มีความสำคัญที่สุด วัสดุทางการแพทย์ - ซิลิโคนเป็นสารประกอบที่ยืดหยุ่น มีพันธะซิลิคอน-ออกซิเจน และ ซิลิคอน-คาร์บอน และใช้ในวงกว้างขวางเช่น ซิลิโคนเสริมหน้าอก และ คอนแทกต์เลนส์ รวมถึงการประยุกต์อื่น ๆ ด้วย สารประกอบซิลิคอน ซิลิคอน วัสดุกึ่งตัวนำ ธาตุเคมี วัสดุศาสตร์
thaiwikipedia
1,539
พฤษภาคม
พฤษภาคม เป็นเดือนที่ 5 ของปี ตามปฏิทินกริกอเรียน และเป็นหนึ่งในเดือน 7 เดือนที่มี 31 วัน ตามหลักโหราศาสตร์ เดือนพฤษภาคมเริ่มต้นขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีพฤษภ และสิ้นสุดเมื่อยกเข้าสู่ราศีเมถุน แต่ในทางดาราศาสตร์ ต้นเดือนพฤษภาคมดวงอาทิตย์อยู่ในกลุ่มดาวแกะและปลายเดือนไปอยู่ในกลุ่มดาววัว ชื่อในภาษาอังกฤษ "May" อาจมีที่มาจากเทพเจ้ากรีกนามว่า ไมอา (Maia) ซึ่งโรมันถือเป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ ส่วนในประเทศไทยเริ่มใช้ชื่อเดือนพฤษภาคมในปี พ.ศ. 2432 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เป็นผู้เสนอให้ใช้ราศีกำหนดชื่อเดือน == วันสำคัญ == สากล 1 พฤษภาคม - วันแรงงาน 3 พฤษภาคม - วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก 8 พฤษภาคม - วันกาชาดโลก 11 พฤษภาคม - วันปรีดี พนมยงค์ 12 พฤษภาคม - วันพยาบาลสากล 30 พฤษภาคม - วันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว 31 พฤษภาคม - วันงดสูบบุหรี่โลก วันแม่ - มักจะจัดกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งวันที่มักจะไม่ตรงกัน ไทย 4 พฤษภาคม - พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและวันฉัตรมงคลตั้งแต่พ.ศ. 2563 5 พฤษภาคม - วันคล้ายวันประสูติพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ 6 พฤษภาคม - วันกำลังสำรอง วันพืชมงคล แล้วแต่ทางสำนักพระราชวังกำหนดในแต่ละปี วันวิสาขบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 (เดือน 7 ในปีที่มีอธิกมาส) ตามปฏิทินจันทรคติไทย == ดูเพิ่ม == จดหมายเหตุเดือนพฤษภาคม13.3023570, 100.9536280 == แหล่งข้อมูลอื่น == เดือน
thaiwikipedia
1,540
3 พฤษภาคม
วันที่ 3 พฤษภาคม เป็นวันที่ 123 ของปี (วันที่ 124 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 242 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2037 (ค.ศ. 1494) - คริสตอเฟอร์ โคลัมบัส สังเกตพบดินแดนจาเมกา พ.ศ. 2334 (ค.ศ. 1791) - รัฐธรรมนูญแห่งโปแลนด์กลายเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกในยุโรปและฉบับที่สองของโลก พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) - มาร์กาเร็ต มิตเชลล์ ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ จากผลงานวรรณกรรมเรื่อง วิมานลอย (Gone with the Wind) พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) - รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นฉบับใหม่มีผลใช้บังคับ == วันเกิด == พ.ศ. 1155 (ค.ศ. 612) - จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 3 แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ (เสียชีวิต 20 เมษายน หรือ 24/26 พฤษภาคม พ.ศ. 1184) พ.ศ. 1958 (ค.ศ. 1415) - เซซิลี เนวิลล์ ดัชเชสแห่งยอร์ก (ถึงแก่กรรม 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2038) พ.ศ. 2012 (ค.ศ. 1469) - นิกโกเลาะ มาเกียเวลลี (เสียชีวิต 21 มิถุนายน พ.ศ. 2570) พ.ศ. 2369 (ค.ศ. 1826) - พระเจ้าคาร์ลที่ 15 แห่งสวีเดน (สวรรคต 18 กันยายน พ.ศ. 2415) พ.ศ. 2427 (ค.ศ. 1884) - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสรรควิไสยนรบดี (สิ้นพระชนม์ 12 มกราคม พ.ศ. 2456) พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903) - บิง ครอสบี นักร้อง นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 14 ตุลาคม พ.ศ. 2520) พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) - เจมส์ บราวน์ นักร้อง นักแสดง เอนเทอร์เทนเนอร์ ชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 25 ธันวาคม พ.ศ. 2549) พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) - คริสโตเฟอร์ ครอสส์ นักร้องชาวอเมริกัน พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - สยาม สังวริบุตร ผู้กำกับการแสดงละครชาวไทย พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - นันทนา บุญ-หลง อดีตนักร้อง นักพากย์และนักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - บ็อบบี แคนนาวาลี นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - รุษยา เกิดฉาย นักแสดงหญิงชาวไทย พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - เอเซเกียล ลาเบซี นักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - ปอม เกลม็องตีแย็ฟ นักแสดงและนางแบบชาวฝรั่งเศส พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - เศรษฐพงศ์ เพียงพอ นักร้องนักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - กรรณิการ์ ธิปะโชติ นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงชาวไทย พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - อเล็กซ์ อิโวบี นักฟุตบอลอาชีพชาวไนจีเรีย พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - กฤตภาส วิชัยดิษฐ นักฟุตบอลชาวไทย พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ นักฟุตบอลอาชีพชาวเยอรมัน == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 1695 (ค.ศ. 1152) - พระนางมาทิลดาแห่งบูลอญ สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) - คิด สุวรรณศร ผู้กำกับภาพยนตร์ พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) - ชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งเครือโรงแรมดุสิตธานี (เกิด 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2467) พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) - เลิศ อัศเวศน์ นักหนังสือพิมพ์ชาวไทย ผู้ร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และสมาคมนักข่าวแห่งประเทษไทย (เกิด 30 มีนาคม พ.ศ. 2465) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก (World Press Freedom Day) ญี่ปุ่นและโปแลนด์ - วันรัฐธรรมนูญ คริสตจักรโรมันคาทอลิก - วันฉลองนักบุญฟีลิปอัครทูตและนักบุญยากอบ บุตรอัลเฟอัส == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day พฤษภาคม 03 พฤษภาคม
thaiwikipedia
1,541
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ในประเทศไทย สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก คือประมุขแห่งคณะสงฆ์หรือพระราชาของคณะสงฆ์ ซึ่งตามกฎหมายคณะสงฆ์บัญญัติให้ทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ที่มาและอำนาจหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชเป็นไปตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 == พระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลไทย == สมเด็จพระสังฆราช เป็นตำแหน่งที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ดังมีหลักฐานจากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้จารึกคำว่าสังฆราชไว้ด้วย สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นตำแหน่งสมณะศักดิ์สูงสุดฝ่ายพุทธจักรของคณะสงฆ์ราชอาณาไทย ทรงเป็นองค์ประธานการปกครองคณะสงฆ์ ตำแหน่งนี้น่าจะมีที่มาจากคณะสงฆ์ไทย นำแบบอย่างมาจาก ลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ทรงอัญเชิญพระเถระผู้ใหญ่ของลังกา ที่เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในประเทศไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้เพิ่มตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเป็นสกลมหาสังฆปริณายก มีอำนาจว่ากล่าวออกไปถึงหัวเมือง โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายคามวาสี เป็นพระสังฆราชขวา สมเด็จพระวันรัตเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสี เป็นสังฆราชซ้าย องค์ใดมีพรรษายุกาลมากกว่า ก็ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา พระอริยมุนี ได้ไปสืบอายุพระพุทธศาสนาที่ลังกาทวีป มีความชอบมาก เมื่อกลับมาได้รับสมณศักดิ์สูงขึ้นตามลำดับจนเป็นสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์มีพระราชดำริให้คงราชทินนามนี้ไว้ จึงทรงตั้งราชทินนามสมเด็จพระสังฆราชเป็น สมเด็จพระอริยวงศาสังฆราชาธิบดี และมาเป็น สมเด็จพระอริยวงษญาณ ในสมัยกรุงธนบุรี และได้ใช้ต่อมาจนถึง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงปรับปรุงเพิ่มเติมเป็น "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" ซึ่งได้ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ตามทำเนียบสมณศักดิ์ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่มีตำแหน่งสังฆปริณายก 2 องค์ ที่เรียกว่า พระสังฆราชซ้าย/ขวา ดังกล่าวแล้ว ยังมีคำอธิบายอีกประการหนึ่งว่า สมเด็จพระอริยวงศ์ เป็นพระสังฆราชฝ่ายขวาว่า คณะเหนือ พระพนรัตน์เป็นพระสังฆราชฝ่ายซ้ายว่า คณะใต้ มีพระสุพรรณบัฏจารึกพระนามเมื่อทรงตั้งทั้ง 2 พระองค์ แต่ที่สมเด็จพระพนรัตน์ โดยปกติไม่ได้เป็นสมเด็จ ส่วนพระสังฆราชฝ่ายขวานั้นเป็นสมเด็จทุกพระองค์ จึงเรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช จึงเป็นมหาสังฆปริณายก มีศักดิ์สูงกว่าพระสังฆราชฝ่ายซ้าย ที่พระพนรัตน์แต่เดิม ทรงยกพระเกียรติยศเป็นสมเด็จแต่บางองค์ มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงเป็นสมเด็จทุกพระองค์ เมื่อครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี วิธีการปกครองพระราชอาณาจักรในครั้งนั้น หัวเมืองใหญ่ที่ห่างไกลจากราชธานี เป็นเมืองประเทศราชโดยมาก แม้เมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ราชธานี ก็ตั้งเจ้านายในพระราชวงศ์เสด็จออกไปครองเมือง ทำนองเจ้าประเทศราช เมืองใหญ่แต่ละเมือง จึงน่าจะมีพระสังฆราชพระองค์หนึ่ง เป็นสังฆปรินายกของสังฆบริษัทในเมืองนั้น ดังปรากฏเค้าเงื่อนในทำเนียบชั้นหลัง ยังเรียกเจ้าคณะเมืองว่าพระสังฆราชอยู่หลายเมือง จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงเปลี่ยนมาเป็นสังฆปาโมกข์ พระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสีนี้มีมาแต่ครั้งพุทธกาล คือฝ่ายที่พำนักอยู่ใกล้เมืองเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย เรียกว่าคามวาสี อีกฝ่ายหนึ่งบำเพ็ญสมณธรรมในที่สงบเงียบตามป่าเขา ห่างไกลจากบ้านเมืองเรียกว่าอรัญวาสี ภิกษุแต่ละฝ่ายยังแบ่งออกเป็นคณะ แต่ละคณะจะมีพระราชาคณะปกครอง หัวหน้าพระราชาคณะเรียกว่าสมเด็จพระราชาคณะ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเปลี่ยนพระอิสริยยศสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เป็น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ทรงเศวตฉัตร 5 ชั้น พระราชวงศ์ชั้นรองลงมา เท่าที่ปรากฏ มีชั้นหม่อมเจ้าผู้ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช มีคำนำหน้า พระนามว่า สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชหนึ่งพระองค์ ตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม ในการนี้ นายกรัฐมนตรีจะเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ แต่ถ้าสมเด็จพระราชาคณะดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ จะเสนอสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นตามลำดับสมณศักดิ์และความสามารถในการทำหน้าที่แทน ต่อมาในปี พ.ศ. 2560 ได้มีการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ กำหนดให้ "มาตรา 7 พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง และให้นายกรัฐมนตรี ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” == เครื่องยศของสมเด็จพระสังฆราช == สมเด็จพระสังฆราชจะทรงมีเครื่องพระยศประกอบพระอิสริยยศสมเด็จพระสังราช ดังนี้ พระแท่นภายใต้เศวตฉัตร 3 ชั้น พัดยศสมเด็จพระสังฆราช บาตร พร้อมฝาบาตร เชิงบาตรถมปัด พานพระศรี ถมปัด ขันน้ำและพานรอง ถมปัด คณโฑ ถมปัด พระสุพรรณศรี ถมปัด พระสุพรรณราช ถมปัด หีบตราพระจักรี ถมปัด ปิ่นโตทรงกลม 4 ชั้น ถมปัด กาทรงกระบอก ถมปัด หม้อลักจั่น ถมปัด กระโถน ถมปัด ไฟล์:แท่นพระสังฆราช.jpeg|พระแท่นภายใต้เศวตฉัตร 3 ชั้น ไฟล์:พัดยศสมเด็จพระสังฆราช.jpeg|พัดยศสมเด็จพระสังฆราช เมื่อสิ้นพระชนม์จะทรงได้รับเครื่องประกอบพระอิสริยยศ ได้แก่ พระโกศกุดั่นน้อย (หรือ มากกว่า) พระเศวตฉัตร 3 ชั้นกางกั้นพระโกศ (หรือมากกว่า) เสด็จสรงน้ำพระศพ พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพ 100 วัน พระสงฆ์รับพระราชทานฉันเช้า-เพล 100 วัน ริ้วกระบวนพระอิสริยยศเชิญพระโกศพระศพไปยังพระเมรุ พระเมรุผ้าขาว สำหรับพระราชทานเพลิงพระศพ (ปัจจุบันใช้พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส) เสด็จพระราชทานเพลิงพระศพ บำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ตลอดจนฉลองพระอัฐิ เศวตฉัตร 3 ชั้นสุมพระอัฐิบนพระเมรุ (หรือมากกว่า) เครื่องประโคมสังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง กลองชนะ จ่าปี่ จ่ากลอง == รายพระนาม == == อ้างอิง == เชิงอรรถ บรรณานุกรม หอมรดกไทย พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) , พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548 พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 พ.ศ. 2547, ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 121 ตอนพิเศษ 34 ก หน้า 1, 17 กรกฎาคม 2547 == แหล่งข้อมูลอื่น == คำศัพท์ศาสนาพุทธ
thaiwikipedia
1,542
สมเด็จพระอริยวงษญาณ (นาค)
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (นาค) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดราชบุรณราชวรวิหาร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2386 ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 6 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2392 เมื่อพระชันษาได้ 86 ปี พระประวัติตอนต้นไม่พบรายละเอียด มีแต่เพียงว่าประสูติในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2301 เป็นพระราชาคณะที่ พระนิกรมุนี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้เลื่อนเป็น พระพรหมมุนี เมื่อปี พ.ศ. 2359 ต่อมาเป็น พระธรรมอุดม และได้เลื่อนเป็น สมเด็จพระพนรัตน เมื่อปี พ.ศ. 2373 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากในระยะเวลาที่ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหารกำลังอยู่ระหว่างการปฏิสังขรณ์ พระองค์จึงสถิต ณ วัดราชบูรณะตลอดมาจนสิ้นพระชนม์ ทำให้ธรรมเนียมการแห่สมเด็จพระสังฆราชมาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เป็นอันเลิกไปตั้งแต่นั้นมา และสมเด็จพระสังฆราชเคยสถิตอยู่ ณ พระอารามใด เมื่อครั้งก่อน เป็นสมเด็จพระสังฆราช ก็ยังคงสถิตอยู่ ณ พระอารามนับสืบต่อไป เป็นแบบธรรมเนียมมาจนถึงปัจจุบัน ได้มีการส่งสมณทูตไปลังกาเป็นครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2387 โดยทางเรือและเดินทางกลับในปีเดียวกัน พร้อมกับ ได้ยืมหนังสือพระไตรปิฎกมาอีก 30 คัมภีร์ พร้อมทั้งมีภิกษุสามเณร และคฤหัสถ์ชาวลังกา ติดตามมาด้วยกว่า 40 คน การที่มีพระสงฆ์ชาวลังกาเดินทางเข้ามาสยามบ่อยครั้ง จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ขณะผนวชและเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร รับภาระต้อนรับดูแลพระสงฆ์ชาวลังกา ดังนั้น วัดบวรนิเวศจึงมีหมู่กุฎีไว้รับรองพระสงฆ์ลังกาโดยเฉพาะ เรียกว่า คณะลังกา == อ้างอิง == หอมรดกไทย นาค ภิกษุในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สมเด็จพระอริยวงษญาณ อริยวงษญาณ (นาค)
thaiwikipedia
1,543
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (11 ธันวาคม พ.ศ. 2333 – 9 ธันวาคม พ.ศ. 2396) พระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวาสุกรี เป็นสมเด็จพระสังฆราชไทยพระองค์ที่ 7 แห่งอาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์) และเป็นพระราชวงศ์พระองค์แรกที่ทรงได้รับสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช นอกจากนี้ยังเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกที่ประสูติในสมัยรัตนโกสินทร์ ทรงสถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรงสมณศักดิ์เมื่อปี พ.ศ. 2394 ถึงปี พ.ศ. 2396 รวม 2 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษาได้ == พระประวัติ == สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจุ้ย (ต่อมาได้เลื่อนยศเป็นท้าวทรงกันดาล) เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2333 มีพระนามว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวาสุกรี ผนวชเป็นสามเณรเมื่อพระชันษาได้ 12 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2345 ผนวชเป็นพระภิกษุ แล้วเสด็จไปประทับ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ทรงศึกษาหนังสือไทยและภาษาบาลีตลอดทั้งวิชาอื่น ๆ จากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน จนมีพระปรีชาสามารถ ทั้งทางคดีโลก และคดีธรรม มีผลงานอันเป็นพระราชนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงให้รวมวัดในแขวงกรุงเทพมหานคร ขึ้นเป็นคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกลาง แล้วได้สถาปนากรมหมื่นนุชิตชิโนรสให้ดำรงสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะเจ้าคณะรอง และทรงตั้งเป็นเจ้าคณะกลาง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศบรมพงศาธิบดี จักรีบรมนารถ ปฐมพันธุมหาราชวรังกูร ปรเมนทรเรนทรสูริย์สัมมานาภิสักกาโรดมสถาร อริยสมศีลาจารพิเศษมหาวิมล มงคลธรรมเจดีย์ ยุตมุตวาทีสุวิรมนุญ อดุลยคุณคณาธาร มโหฬารเมตยาภิธยาศรัย ไตรปิฎกกลาโกสล เบญจปดลเศวตฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาสมณุตมาภิเศกาภิสิต ปรมุกกฤษฐสมณศักดิธำรง มหาสงฆปรินายก พุทธศาสนดิลกโลกุตตมมหาบัณฑิตย สุนทรวิจิตรปฏิภาณ ไวยัติญาณมหากระวี พุทธาทิศรีรัตนตรัยคุณารักษ เอกอรรคมหาอนาคาริยรัตน์ สยามาทิโลกปฏิพัทธพุทธบริษัทยเนตร สมณคณินทราธิเบศรสกลพุทธจักโรประการกิจ สฤษดิศุภการ มหาปาโมกษประธานวโรดม บรมนารถบพิตร (ต่อมาในรัชกาลที่ 6 จึงโปรดให้เปลี่ยนเป็นกรมพระตามยศเจ้ากรม) ทรงสมณศักดิ์เป็นพระมหาสังฆปริณายก ทั่วพระราชอาณาเขต ให้จัดตั้ง พระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามมีทั้งพิธีสงฆ์ และพิธีพราหมณ์ คล้ายกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของคณะสงฆ์ไทย เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชก็ว่างตลอดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากไม่มีพระเถระรูปใดมีคุณสมบัติอยู่ในฐานะที่จะทรงสถาปนาตามหลักเกณฑ์ กล่าวคือ ตามพระราชประเพณีนิยมที่มีมาแต่โบราณ พระเถระที่จะทรงตั้งเป็น สมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระราชาคณะ นั้น ก็เฉพาะผู้ทรงคุณสมบัติพิเศษ คือเป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นอาจารย์เป็นที่ทรงนับถือเหมือนอย่างพระอุปัชฌาย์ หรือพระอาจารย์ หรือเป็นผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า มีอายุแก่กว่าพระชนมพรรษา แม้ว่าจะว่างสมเด็จพระสังฆราช แต่การปกครองคณะสงฆ์ก็สามารถดำเนินไปได้ด้วยดี เนื่องจากแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์ทรงถือเป็นพระราชภาระในการปกครองดูแลคณะสงฆ์ โดยมีเจ้านาย หรือขุนนางผู้ใหญ่ในตำแหน่ง เจ้ากรมสังฆการี เป็นผู้กำกับดูแลแทนพระองค์ สมเด็จพระสังฆราชมิได้ทรงบัญชาการคณะสงฆ์โดยตรง ทรงดำรงฐานะปูชนียบุคคล การปกครองในลักษณะนี้ ได้มาเปลี่ยนแปลงไปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า การเรียกพระนามพระบรมราชวงศ์ซึ่งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระประมุขแห่งสังฆมณฑลแต่เดิมนั้นเรียกตามพระอิสริยยศแห่งพระบรมราชวงศ์ ไม่ได้เรียกตามสมณศักดิ์ของพระประมุขแห่งสังฆมณฑล คือ "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" หรือที่เรียกอย่างย่อว่า "สมเด็จพระสังฆราช" พระองค์จึงเปลี่ยนคำนำพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระประมุขแห่งสังฆมณฑลว่า "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า" เพื่อให้ปรากฏพระนามในส่วนสมณศักดิ์ด้วย ดังนั้น จึงเปลี่ยนคำนำพระนามเป็น "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส" == พระอัจฉริยภาพ == สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส มีพระอัจฉริยภาพหลายด้าน ในทางอักษรศาสตร์ ก็ได้นิพนธ์เรื่องฉันท์มาตราพฤติ และวรรณพฤติ ตำราโคลงกลบท คำกฤษฎี เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้นิพนธ์บทกวีอีกเป็นจำนวนมาก ที่ล้วนมีคุณค่าเป็นเพชรน้ำเอกทางวรรณกรรมของไทยตลอดมา สำหรับวรรณกรรมศาสนา ได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องปฐมสมโพธิกถา ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก หรือร่ายยาวมหาชาติ ซึ่งนับเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกทางพระพุทธศาสนาในสมัยรัตนโกสินทร์ นอกจากนี้ได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้มากเช่น ลิลิตตะเลงพ่าย พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส เทศนาพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ลิลิตกระบวนพยุหยาตราพระกฐินสถลมารค และชลมารค เป็นต้น ในทางพระพุทธศิลป์ ได้ทรงคิดแบบพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงเลือกพระอิริยาบถต่าง ๆ จากพุทธประวัติเป็นจำนวน 37 ปาง เริ่มตั้งแต่ปางบำเพ็ญทุกขกิริยา จนถึงปางห้ามมาร พระพุทธรูปปางต่าง ๆ เหล่านี้ ในปี พ.ศ. 2533 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสเป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรมระดับโลก ประจำปี พ.ศ. 2533 นับเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่ได้รับการถวายเกียรตินี้ === พระนิพนธ์ === สรรพสิทธิคำฉันท์ สมุทรโฆษคำฉันท์ตอนปลาย กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ฉันท์ดุษฏีสังเวยกล่อมช้างพัง กาพย์ขับไม้กล่อมช้างพัง ฉันท์มาตราพฤติ ฉันท์วรรณพฤติ ลิลิตตะเลงพ่าย ลิลิตกระบวนพยุหยาตราพระกฐินสถลมารคและชลมารค โคลงยอพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปฏิสังขรวัดพระเชตุพน ร่ายทำขวัญนาค เทศน์มหาชาติ ๑๑ กัณฑ์ ตำราพระพุทธรูปต่าง ๆ ปฐมสมโพธิกถา พระธรรมเทศนาพงศาวดากรุงศรีอยุธยา ลิลิตจักรทีปนี (เป็นตำราโหราศาสตร์) กลอนเพลงยาวเจ้าพระ คำฤษฏี (หนังสือรวบรวมศัพท์) โคลงเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ เช่น โคลงฤษีดัดตน โคลงภาพต่างภาสา ฉันท์สังเวยกลองวินิจฉัยเภรี กุรุธรรมชาฏก ฯลฯ == พระเกียรติยศ == === พระอิสริยยศ === พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวาสุกรี (11 ธันวาคม พ.ศ. 2333 – 7 กันยายน พ.ศ. 2352) พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าพระวาสุกรี (7 กันยายน พ.ศ. 2352 – พ.ศ. 2356) พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส(พ.ศ. 2356 - พ.ศ. 2394) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส(พ.ศ. 2394 - 9 ธันวาคม พ.ศ. 2396) ภายหลังการสิ้นพระชนม์ พระเจ้าไอยกาเธอ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส (พ.ศ. 2411 - 2453) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (พ.ศ. 2453 - 2464) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส(พ.ศ. 2464) == พงศาวลี == == อ้างอิง == เชิงอรรถ บรรณานุกรม กวีชาวไทย สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์เจ้าชาย ภิกษุในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1 กรมพระ บุคคลสำคัญของโลกด้านวัฒนธรรม ภิกษุที่เป็นเจ้านายในราชวงศ์จักรี บุคคลจากเขตพระนคร ชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม สกุลยมาภัย บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
thaiwikipedia
1,544
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชไทย พระองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นหนึ่งในสิบพระเถระผู้เป็นต้นวงศ์ธรรมยุต ประทับ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ได้รับมหาสมณุตมาภิเษกเมื่อปี พ.ศ. 2434 ขณะพระชันษาได้ 82 ปี ดำรงตำแหน่งได้ 10 เดือนก็สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2435 ขณะมีพระชันษา == พระประวัติ == === ทรงพระเยาว์ === สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 18 ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อยเล็ก เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 10 ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 14 กันยายน จ.ศ. 1171 (พ.ศ. 2352) เวลาสี่ทุ่มเศษ เนื่องจากวันประสูตินั้นเป็นวันเริ่มสวดมนต์ตั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์จึงได้รับพระราชทานนามว่าพระองค์เจ้าฤกษ์ เมื่อพระบิดาสวรรคตในปี พ.ศ. 2360 พระองค์ได้เสด็จไปประทับในพระบรมมหาราชวังกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าประไพวดี กรมหลวงเทพยวดี เป็นบางคราว เพราะเจ้าจอมมารดาของพระองค์เคยเป็นข้าหลวงของเจ้าฟ้าพระองค์นี้ ต่อมาเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเทพยวดีได้นำพระองค์ไปฝากกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ จึงคุ้นเคยกันมานับแต่นั้น === ผนวช === พ.ศ. 2365 เมื่อพระชันษาได้ 13 ปี ได้ผนวชเป็นสามเณร ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร โดยมีสมเด็จพระอริยวงษญาณ (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วศึกษาภาษาบาลีตามคัมภีร์มูลกัจจายน์กับพระญาณสมโพธิ (รอด) จนชำนาญ ผนวชได้ 4 พรรษา ก็ประชวรด้วยพระโรคทรพิษ จึงลาผนวชมารักษาพระองค์จนหายประชวร สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพโปรดให้ผนวชเป็นสามเณรอีกครั้ง ณ พระราชวังบวรสถานมงคล พ.ศ. 2372 เมื่อมีพระชันษาครบ 20 ปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ลาสิกขาบทเพื่อทำการสมโภชพร้อมกับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ ที่จะทรงผนวชเป็นสามเณรในเวลานั้น ได้สมเด็จพระอริยวงษญาณ (ด่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระวินัยรักขิต วัดมหาธาตุ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ผนวชแล้วศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะเป็นพระภิกษุ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งธรรมยุติกนิกาย ก็ได้ทรงเข้าถือธรรมเนียมนั้นตาม ทรงทำทัฬหีกรรม ณ นทีสีมา โดยมีพระสุเมธมุนี (ซาย พุทฺธวํโส) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงเป็นพระภิกษุเป็นพระกรรมวาจาจารย์ แล้วศึกษาพระปริยัติธรรมต่อในสำนักพระวิเชียรปรีชา (ภู่) แม้จะไม่เคยสอบพระปริยัติธรรม แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานตาลปัตรสำหรับพระเปรียญที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าทรงเคยรับ ให้ทรงใช้ต่อ ปีวอก พ.ศ. 2379 ทรงติดตามพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ย้ายไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร == พระอิสริยยศ == ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นสามัญ พระราชทานตาลปัตรแฉกถมปัด และเครื่องยศตามศักดิ์พระราชาคณะ ตั้งฐานานุกรมได้ 2 รูป รับนิตยภัตเดือนละ 3 ตำลึง และเบี้ยหวัดปีละ 2 ชั่งตามเดิม ต่อมาในปี พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามว่า พระเจ้าวรวงษ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ปิยพรหมจรรย์ธรรมวรยุต ปฏิบัติสุทธคณะนายก พุทธสาสนดิลกบวรัยยะบรรพชิต สรรพธรรมิกกิจโกศล สุวิมลปรีชา ปัญญาอรรคมหาสมณุดม บรมบพิตร และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตพระองค์แรก ตั้งฐานานุกรมได้ 11 รูป ได้รับนิตยภัตเดือนละ 5 ตำลึง เบี้ยหวัดปีละ 10 ชั่ง เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกตลอดรัชกาลรวมเป็นระยะเวลา 15 ปี ในระหว่างนั้น พระองค์ทรงดำรงสมณฐานันดรเป็นที่สอง รองจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งมหาสังฆปริณายก เมื่อปี พ.ศ. 2416 พระองค์เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากลาผนวช ทรงตั้งพระทัยจะถวายมหาสมณุตตมาภิเษก แต่กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ไม่ทรงรับ เพราะถ่อมพระองค์ว่าจะเป็นเจ้าวังหน้า ไม่ควรข้ามชั้นเจ้านายวังหลวงหลายพระองค์ที่มีพระชันษาสูงกว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้า ฯ เลื่อนพระอิสริยยศขึ้นเป็น พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ บวรรังษีสุริยพันธุ์ ปิยพรหมจรรย์ธรรมวรยุต ปฏิบัติสุทธะคณะนายก พุทธสาสนดิลกบวรัยยะบรรพชิต สรรพธรรมิกกิจโกศล สุวิมลปรีชา ปัญญาอรรคอนาคาริยรัตโนดม พุทธะวราคมโหรกลากุสโลภาศ ปรมินทรมหาราชหิโตปัธยาจารย์ มโหฬารเมตยาภิธยาไศรย พุทธาทิศรีรัตนไตรคุณารักษ์ อุกฤษฐศักดิ์สกลสังฆปาโมกข์ ประธานาธิบดินทร มหาสมณคะณินทรวโรดม บรมบพิตร ได้รับนิตยภัตเดือนละ 10 ตำลึง เบี้ยหวัดปีละ 30 ชั่ง การที่เลื่อนพระอิสริยยศครั้งนี้ แม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงรับถวายมหาสมณุตมาภิเษกในที่สมเด็จพระสังฆราช แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ถวายพระเกียรติยศในทางสมณศักดิ์สูงสุด เท่ากับทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช และมิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปอื่นใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชเป็นระยะเวลาถึง 23 ปี ในปี พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงเจริญพระชนมายุไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดในพระบรมราชตระกูลอันนี้ ที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี ยังดำรงอยู่ก็ดี ที่จะมีพระชนมายุเทียมถึง ทั้งยังเป็นที่นับถือของคนทั่วไปทั้งฝ่ายคฤหัสถ์และฝ่ายบรรพชิต พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก เลื่อนพระอิสริยยศเป็นกรมสมเด็จพระ พระราชทานเบญจปฎลเศวตฉัตร ตาลปัตรแฉกพื้นตาด รับนิตยภัตเดือนละ 12 ตำลึง เบี้ยหวัดปีละ 35 ชั่ง ตั้งฐานานุกรมได้เพิ่มอีก 4 รูป มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ บวรรังษีสุริยพันธุ์ ปิยพรหมจรรย์ธรรมวรยุต ปฏิบัติสุทธิคณะนายก ธรรมนิติสาธกปวรัยบรรพชิต สรรพธรรมิกกิจโกศล สุวิมลปรีชา ปัญญาอรรคมหาสมณุดม บรมพงษาธิบดี จักรกรีบรมนารถ มหาเสนานุรักษ์อนุราชวรางกูร ปรมินทรบดินทร์สูริย์หิโตปัธยาจารย์ มโหฬารเมตยาภิธยาไศรย์ ไตรปิฎกโหรกลาโกศล เบญจปดลเสวตรฉัตร ศิริรัตโนปลักษณมหาสมณุตมาภิเศกาภิสิต ปรมุกฤษฐสมณศักดิธำรง มหาสงฆปรินายก พุทธสาสนดิลกโลกุตมมหาบัณฑิตย์ สุนทรวิจิตรปฏิภาณ ไวยัตติยญาณมหากระวี พุทธาทิศรีรัตนไตรคุณารักษ์ เอกอรรคมหาอนาคาริยรัตน์ สยามาธิโลกยปฏิพัทธ พุทธบริสัษยเนตร สมณคณินทราธิเบศร์ สกลพุทธจักโรปการกิจ สฤษดิศุภการ มหาปาโมกษประธานวโรดม บรมนารถบพิตร" ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า การเรียกพระนามพระบรมราชวงศ์ซึ่งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระประมุขแห่งสังฆมณฑลแต่เดิมนั้นเรียกตามพระอิสริยยศแห่งพระบรมราชวงศ์ ไม่ได้เรียกตามสมณศักดิ์ของพระประมุขแห่งสังฆมณฑล คือ "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" หรือที่เรียกอย่างย่อว่า "สมเด็จพระสังฆราช" พระองค์จึงเปลี่ยนคำนำพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระประมุขแห่งสังฆมณฑลว่า "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า" เพื่อให้ปรากฏพระนามในส่วนสมณศักดิ์ด้วย ดังนั้น จึงเปลี่ยนคำนำพระนามเป็น "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์" == สิ้นพระชนม์ == สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ประชวรด้วยต้อกระจกจนทำให้พระเนตรบอด ต่อมาทรงพระประชวรด้วยพระโรคชราตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2435 ทำให้พระบังคนหนักไม่ได้ และรู้สึกหนาวพระวรกาย ถึงวันที่ 17 ทรงพระอาเจียน เสวยไม่ค่อยได้ บรรทมไม่หลับ ถึงวันที่ 21 เป็นวันอุโบสถ มีพระประสงค์จะลงอุโบสถ เพราะนับแต่ผนวชมาทรงลงอุโบสถเสมอไม่เคยขาด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเกรงว่าหากเสด็จไปพระอาการจะทรุดลงจึงโปรดอุทิศพระตำหนักนั้นเป็นอุโบสถ เพื่อให้ทรงได้ทำอุโบสถตามพระประสงค์ วันต่อ ๆ มาพระอาการยังคงทรุดลงตามลำดับ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2435 เวลา 23:03 น. พระชันษาได้ 83 ปี 13 วัน ผนวชเป็นพระภิกษุได้ 64 พรรษา พระศพประดิษฐานอยู่ ณ พระตำหนัก นานถึง 8 ปี จึงพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2443 == พระปรีชาสามารถ == สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงแตกฉานในภาษาบาลี พระนิพนธ์ที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในภาษาบาลีคือพระนิพนธ์เรื่อง "สุคตวิทัตถิวิธาน" ซึ่งทรงนิพนธ์เป็นภาษาบาลี นอกจากนี้ ยังได้ทรงนิพนธ์เรื่องเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ เป็นภาษาบาลีอีกหลายเรื่อง นับว่าพระองค์ทรงเป็นปราชญ์ทางภาษาบาลีที่สำคัญพระองค์หนึ่ง นอกจากจะเป็นปราชญ์ทางภาษาบาลีแล้ว ยังมีพระปรีชาสามารถ ในด้านต่าง ๆ พอประมวลได้ดังนี้ คือ ด้านสถาปัตยกรรม ทรง ออกแบบพระปฐมเจดีย์ องค์ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ. 2396 ด้านโบราณคดี ทรงเป็นนักอ่านศิลาจารึกรุ่นแรกของไทยได้ศึกษาและรวบรวมจารึกต่าง ๆ ในประเทศไทยไว้มาก และได้ทรงอ่านจารึกสุโขทัยหลักที่ 2 (จารึกวัดศรีชุม) ที่เป็นอักษรขอม เป็นพระองค์แรก ด้านประวัติศาสตร์ ทรงนิพนธ์ลิลิตพงศาวดารเหนือ เรื่องพระปฐมเจดีย์ และพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ด้านดาราศาสตร์ ทรงพระนิพนธ์ตำราปฏิทินปักขคณนา (คำนวณปฏิทินทางจันทรคติ) ไว้อย่างพิสดาร ด้านวิทยาศาสตร์ ทรงบันทึกจำนวนฝนตกเป็นรายวัน ติดต่อกันเป็นเวลาถึง 45 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2389 ถึงปี พ.ศ. 2433 เพื่อเป็นการเก็บสถิติน้ำฝนในประเทศไทย เรียกบันทึกนี้ว่า จดหมายเหตุบัญชีน้ำฝน ด้านกวี ทรงพระนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาบาลี ไว้เป็นจำนวนมาก ที่เป็นภาษาไทย ทรงนิพนธ์ไว้จำนวนมาก เช่น ได้ลงพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กาพย์เสด็จนครศรีธรรมราช ลิลิตพงศาวดารเหนือ เป็นต้น ด้านพระศาสนา ทรงเป็นองค์ประธานชำระและแปลพระไตรปิฎก พิมพ์พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ทรงกำหนดพระราชบัญญัติ และประกาศคณะสงฆ์ต่าง ๆ ทรงให้กำเนิดพระกริ่งในประเทศไทย ทรงสร้างพระกริ่งที่เรียกกันว่าพระกริ่งปวเรศ ซึ่งเป็นต้นแบบของพระกริ่งในยุคต่อมาของไทย == พงศาวลี == == อ้างอิง == เชิงอรรถ บรรณานุกรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์เจ้าชาย กรมพระยา พระกุลเชษฐ์ในราชวงศ์จักรี เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร พระราชโอรสในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ ภิกษุที่เป็นเจ้านายในราชวงศ์จักรี ผู้รอดชีวิตจากฝีดาษ บุคคลจากเขตพระนคร บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
thaiwikipedia
1,545
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว)
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม สา ฉายา ปุสฺสเทโว เป็นสมเด็จพระสังฆราชไทยพระองค์ที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2436 ถึงปี พ.ศ. 2442 รวม 6 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุ เคยเป็นสามเณรนาคหลวง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดของกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะเป็นผู้สามารถสอบเปรียญธรรม 9 ประโยค ได้ขณะยังเป็นสามเณร รูปแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น สามเณรอัจฉริยะ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ == พระประวัติ == สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) เดิมเป็นชาวตำบลบางไผ่ จังหวัดนนทบุรี ประสูติในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 9 แรม 8 ค่ำ ปีระกา จ.ศ. 1175 ตรงกับวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2356 บ้านเดิมอยู่บางเชิงกราน จังหวัดราชบุรี พระชนกทรงพระนามว่า จัน พระชนกของพระองค์ทรงเคยอุปสมบทและชำนาญในคัมภีร์มิลินทปัญหาและมาลัยสูตรมาก จึงทรงได้ฉายาจากประชาชนว่า จันมิลินทมาลัย พระชนนีทรงพระนามว่า สุข ทรงมีพี่น้องเกิดร่วมบิดามารดาเดียวกัน 5 คน คืออวบ, ช้าง, สา, สัง, และอิ๋ม พระอนุชาของสมเด็จพระสังฆราช (สา) มีพระนามว่าสัง ได้บวชเป็นพระภิกษุที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ได้สมณศักดิ์สูงสุดที่ตำแหน่งพระสมุทรมุนี แต่ภายหลังก็ทรงลาสิกขา ไม่ปรากฏว่าสมเด็จพระสังฆราช (สา) ทรงมีนามสกุลเดิมว่าอย่างไร ซึ่งในช่วงที่พระองค์ลาสิกขามาครองเรือนมีภรรยานั้น จึงมีทายาทที่สืบเชื้อสายมาจากพระองค์นามสกุลว่า "ปุสสเด็จ" และ "ปุสสเทโว" ซึ่งทั้งสองนามสกุลนี้ยังคงมีทายาทสืบต่อกันมาในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีจนถึงปัจจุบัน === การศึกษา === ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เดิมอยู่วัดใหม่ในคลองบางขุนเทียนบ้านหม้อ บางตนาวสี แขวงเมืองนนทบุรี ปัจจุบันคือวัดนครอินทร์ จ.นนทบุรี แล้วย้ายไปอยู่วัดสังเวชวิศยารามวรวิหาร และไปเรียนพระปริยัติธรรมในพระราชวังบวรกับอาจารย์อ่อน และโยมบิดาของท่านเอง ซึ่งเป็นอาจารย์บอกหนังสืออยู่ที่พระราชวังบวรดัวยกัน เมื่อพระชนมายุได้ 14 ปี ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมเป็นครั้งแรก แปลได้ 2 ประโยค จึงยังไม่ได้เป็นเปรียญ แต่คนเรียกกันว่า เปรียญวังหน้า ซึ่งมีที่มาของชื่อนี้ว่า ในการแปลพระปริยัติธรรมนั้น ผู้เข้าแปลครั้งแรกต้องแปลให้ได้ครบ 3 ประโยคในคราวเดียว จึงจะนับว่าเป็นเปรียญ ถ้าได้ไม่ครบในการสอบครั้งต่อไป จะต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ครั้งนั้นสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพมีพระประสงค์ที่จะอุปการะภิกษุสามเณรที่เข้าสอบ มิให้ท้อถอย ดังนั้นถ้ารูปใดแปลได้ 2 ประโยค ก็ทรงรับอุปการะไปจนกว่าจะสอบเข้าแปลใหม่ ได้เป็นเปรียญ 3 ประโยค ภิกษุ สามเณร ที่ได้รับพระราชทานอุปการะในเกณฑ์ดังกล่าว จึงได้ชื่อว่า เปรียญวังหน้า ต่อมา สามเณรสาได้ถวายตัวเป็นศิษย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงผนวชพำนักที่วัดสมอราย (ปัจจุบันคือวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร) เนื่องจากได้ยินกิตติศัพท์ว่าทรงปราดเปรื่องเรื่องภาษาบาลีจนหาผู้เทียบได้ยาก เมื่อได้สมัครเป็นศิษย์ ก็ถ่ายทอดความรู้ภาษาบาลีให้สามเณรสา จนกระทั่งเมื่อสามเณรสาอายุได้เพียงแค่ 18 ปีก็สามารถแปลพระปริยัติธรรมได้ถึงเปรียญธรรม 9 ประโยค เป็นที่อัศจรรย์ในความฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก สมัยนั้นยังแปลพระปริยัติธรรมกันด้วยปากเปล่า (หมายถึงแปลสดให้กรรมการฟัง แล้วแต่กรรมการว่าจะให้แปลคัมภีร์อะไร หน้าเท่าไหร่) เป็นที่โจษจันไปทั่วพระนคร สามเณรสาจึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนาคหลวงสายเปรียญธรรมรูปแรกในกรุงรัตนโกสินทร์ === อุปสมบทเป็นนาคหลวงแล้วสึก === พระองค์ได้อุปสมบท ณ วัดราชาธิวาส เมื่อปี พ.ศ. 2376 โดยมีพระสุเมธมุนี (ซาย พุทฺธวํโส) ซึ่งเป็นพระมอญเป็นพระอุปัชฌาย์ พระวชิรญาณ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ฉายาว่า ปุสฺโส นักวิชาการหลายท่านเข้าใจว่าสามเณรสา สอบเปรียญ 9 ประโยค ได้ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งไม่ใช่ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2379 หลังจากสอบได้แล้วและอุปสมบทแล้ว ท่านได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหารตามพระวชิรญาณภิกขุซึ่งทรงย้ายจากวัดราชาธิวาสมาพำนักที่วัดบวรนิเวศวิหารตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาสา ปุสฺโส จึงเป็นสามเณรนาคหลวงสายเปรียญธรรมรูปแรกที่จำพรรษาอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร เพียงแต่ไม่ได้สอบบาลีได้ในสำนักนี้เท่านั้น ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งท่านเป็นพระราชาคณะที่พระอมรโมลี ต่อมาได้ลาสิกขาไปเป็นฆราวาสอยู่ระยะหนึ่ง === อุปสมบทใหม่อีกครั้ง ที่มาของ พระมหาสา 18 ประโยค === เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลาผนวชและเสด็จขึ้นครองราชย์ มีรับสั่งให้นำนายสา มาเข้าเฝ้า แล้วมีพระราชกระแสรับสั่งถามว่า จะบวชอีกมั้ย นายสาก็กราบบังคมทูลว่า อยากจะบวช พระองค์จึงได้ทรงจัดหาเครื่องอัฐบริขารให้ ท่านจึงได้อุปสมบทครั้งที่ 2 เมื่ออายุได้ 39 ปี ตก พ.ศ. 2394 ณ พัทธสีมา วัดบวรนิเวศวิหาร บางลำพู กรงเทพมหานคร โดยมีกรมหมื่นบวรรังสีสุริยพันธุ์ (ต่อมาคือสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์) เป็นพระอุปัชฌาย์ คราวนี้ได้ฉายาว่า ปุสฺสเทโว ขณะอายุได้ 38 ปี เมื่ออุปสมบทแล้ว ว่ากันว่า ได้ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมอีกครั้งหนึ่ง และทรงแปลได้หมดทั้ง 9 ประโยค จึงมีผู้กล่าวถึงพระองค์ด้วยสมญานามว่า สังฆราช 18 ประโยค ในคราวอุปสมบทครั้งที่ 2 นี้ พระองค์เป็นพระอันดับอยู่ 7 ปี จึงได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่พระสาสนโสภณ เมื่อปี พ.ศ. 2401 รับพระราชทานนิตยภัตเสมอพระราชาคณะชั้นเทพ แต่ถือตาลปัตรแฉกเสมอพระราชาคณะชั้นสามัญ คนทั่วไปเรียกกันโดยย่อว่า เจ้าคุณสา ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2408 ซึ่งเป็นวัดแรกที่ตั้งขึ้นใหม่ของธรรมยุติกนิกายขึ้น แล้วโปรดให้พระสาสนโสภณ (สา ปุสฺสเทโว) ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐฯ มีพระภิกษุติดตามจากวัดบวรนิเวศวิหารอีก 20 รูป ครั้งนี้ท่านได้รับพระราชทานตาลปัตรแฉกพื้นแพรเสมอชั้นธรรม และเมื่อปี พ.ศ. 2415 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ สถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ ขึ้นเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่พระธรรมวโรดม แต่คงใช้ราชทินนามเดิมว่า พระสาสนโสภณที่พระธรรมวโรดม ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2422 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ === สมเด็จพระสังฆราช === ปี พ.ศ. 2434 ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สถิต ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม จนตลอดพระชนมชีพ ในปี พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ สถาปนาเพิ่มอิสริยยศให้เป็นพิเศษกว่าสมเด็จพระราชาคณะแต่ก่อนมา คือทรงสถาปนาให้เป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ นับว่าเป็น พระมหาเถระรูปที่ 2 ที่ได้รับสถาปนาในพระราชทินนามนี้ อันเป็นพระราชทินนามสำหรับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เมื่อพระองค์ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี พ.ศ. 2436 พระองค์ไม่ได้รับพระราชนามพระสุพรรณบัฏใหม่ คงใช้พระสุพรรณบัฏเดิม แต่ได้รับพระราชทานใบกำกับพระสุพรรณบัฏใหม่ และมีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ 16 ตำแหน่ง (ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่พิเศษ เพราะปกติจะมี 15 ตำแหน่งเท่านั้น) == ผลงาน == พระองค์ได้แต่งหนังสือเทศน์ขึ้นไว้ สำหรับใช้อ่านในวันธรรมสวนะปกติ และในวันบูชา แต่งเรื่องปฐมสมโพธิ์ย่อ 3 กัณฑ์จบ สำหรับถวายเทศน์ในวันวิสาขบูชา 3 วัน ๆ ละ หนึ่งกัณฑ์ และเรื่องจาตุรงคสันนิบาตกับโอวาทปาติโมกข์ สำหรับถวายในวันมาฆบูชาที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และยังได้ รจนาปฐมสมโพธิ์ภาคพิสดาร สำหรับใช้เทศนาในวัด 2 คืนจบอีกด้วย พระนิพนธ์ต่าง ๆ ของพระองค์ ยังคงใช้ ในการเทศนา และศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุ สามเณร จนถึงปัจจุบัน งานพระนิพนธ์ของพระองค์มีอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นงานแปลพระสูตรที่มีอยู่ 20 สูตร หนังสือเทศนามี 70 กัณฑ์ และเบ็ดเตล็ดมี 5 เรื่อง ในปี พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งแต่เดิมจารึกไว้ด้วย อักษรขอม ด้วยการจารลงในใบลาน การคัดลอกทำได้ช้า ทำให้ไม่เป็นที่แพร่หลาย ไม่พอใช้ในการศึกษาเล่าเรียน ไม่สะดวกในการเก็บรักษา และนำมาใช้อ่าน ทั้งตัวอักษรขอมก็มีผู้อ่านได้น้อยลงตามลำดับ การพิมพ์พระไตรปิฎก เป็นเล่มด้วยตัวอักษรไทย จะแก้ปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าวได้ จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้อาราธนาพระเถระนุเถระมาประชุม ร่วมกับราชบัณฑิตทั้งหลาย ตรวจชำระพระไตรปิฎกภาษาบาลี แล้วจัดพิมพ์เป็นเล่มหนังสือขึ้น (เรียกว่าพระไตรปิฎกฉบับ ร.ศ. 112) สมเด็จพระสังฆราช (สา) ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ร่วมกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขณะทรงดำรงพระยศกรมหมื่น เป็นรองอธิบดี จัดการทั้งปวงในการสังคายนาครั้งนี้ พระไตรปิฎกที่จัดพิมพ์ครั้งนี้มีจำนวน 1000 จบ ๆ ละ 39 เล่ม ใช้เงิน 2,000 ชั่ง พิมพ์เสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2436 เป็นที่เลื่องลือแพร่หลายไปทั่วโลก และทรงผูกพระคาถาหน้าบันกระทรวงกลาโหม และตราแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 (ตราอาร์ม) == ลำดับสมณศักดิ์ == พ.ศ. 2382 เป็นพระราชาคณะที่ พระอมรโมลี (หลังจากย้ายจากวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร มาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหารได้ 2 ปี) พ.ศ. 23?? ลาสิกขาบท พ.ศ. 2394 กลับมาอุปสมบทใหม่ พ.ศ. 2401 เป็นพระราชาคณะที่ พระสาสนโสภณ (ตำแหน่งสมณศักดิ์ใหม่ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริขึ้นเพื่อพระมหาสา ผู้กลับมาบวชใหม่และสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ณ สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหารอีกครั้งโดยเฉพาะ) ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้เมื่อปีมะเมีย เดิมที ทรงพระราชดำริจะใช้ตำแหน่งว่า "พระสาสนดิลก" แต่พระมหาสาได้ถวายพระพรว่าสูงเกินไป จึงทรงใช้ว่า ’พระสาสนโสภณ’ พ.ศ. 2415 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองคณะใต้ที่ พระสาสนโสภณ วิมลญาณสุนทร บวรสังฆนายก ตรีปิฎกวิทยาคุณาลังการวิสุทธิ ธรรมวรยุตติกคณาภิสัมมานิตปาโมกษ์ ที่พระธรรมวโรดม พ.ศ. 2422 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลย์ สุนทรนายก ตรีปิฎกวิทยาคุณ วิบลยคัมภีรญาณสุนทร มหาอุดรคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี พ.ศ. 2434 ได้รับสถาปนาเพิ่มอิสริยยศเป็น สมเด็จพระอริยวงษาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง มหาสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุสโลภาศ ปรมินทรมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์ ปุสสเทวาภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตมสาสนโสภณ วิมลศีลสมาจารวัตร พุทธสาสนิกบริสัชคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณสุนทร มหาอุดรคณฤศร บวรสังฆารามคามวาสีอรัญวาสี 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชในราชทินนามเดิมว่า สมเด็จพระอริยวงษาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง มหาสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุศโลภาศ ปรมินทรมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์ ปุสสะเทวาภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตมสาสนโศภน วิมลศีลสมาจารวัตร พุทธสาสนิกบริสัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณสุนทร มหาอุดดรคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสีอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งประธานสมณมณฑลทั่วราชอาณาเขตและเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ == สิ้นพระชนม์ == สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ประชวรด้วยพระโรคบิดมาตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม แพทย์หลวงและแพทย์เชลยศักดิ์ต่างจัดพระโอสถถวาย แต่พระอาการไม่ทุเลา จนสิ้นพระชนม์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2442 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2443) เวลาเย็นวันต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ จากพระราชวังบางปะอินมายังวัดราชประดิษฐฯ พระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการ ร่วมสรงน้ำพระศพ แล้วอัญเชิญพระศพลงในพระลองในประกอบโกศกุดั่นน้อย ทรงสดับปกณณ์แล้วเสด็จกลับ พระศพตั้งบำเพ็ญกุศลจนถึงวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2443 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2444) จึงอัญเชิญพระบุพโพไปพระราชทานเพลิง ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พร้อมกับพระบุพโพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ต่อมาวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2443 จึงแห่พระศพไปประดิษฐานยังพระเมรุมณฑป ณ ท้องสนามหลวง แล้วพระราชทานเพลิงพระศพในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ศกนั้น เช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จึงเสด็จฯ มาเก็บพระอัฐิและพระอังคารแล้วโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานยังวัดราชประดิษฐฯ หลังจากสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกเลยตลอดรัชสมัย เป็นเวลาถึง 11 ปี == อ้างอิง == เชิงอรรถ บรรณานุกรม ภิกษุในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สา เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร นาคหลวง เปรียญธรรม 9 ประโยค ภิกษุจากจังหวัดนนทบุรี เสียชีวิตจากโรคบิด บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
thaiwikipedia
1,546
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (12 เมษายน พ.ศ. 2403 - 2 สิงหาคม พ.ศ. 2464) เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เสด็จสถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ได้รับมหาสมณุตตมาภิเษกเมื่อปี พ.ศ. 2453 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรงพระอิสริยยศ 11 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2464 พระชันษา == พระประวัติ == === พระกำเนิด === สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเจ้าจอมมารดาแพ ประสูติเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2403 ในวันที่พระองค์ประสูตินั้นฝนตกหนักมากราวกับฟ้ารั่ว เหมือนนาคให้น้ำบริเวณนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัวจึงพระราชทานนามว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ ต่อมา เจ้าจอมมารดาแพถึงแก่กรรมลงในขณะที่พระองค์มีพระชันษาเพียง 1 ปี พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุตรี ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระมาตุจฉา จึงทรงรับไปเลี้ยงดู เมื่อทรงเจริญวัยทรงพระดำเนินได้ รับสั่งได้คล่องแคล่ว จึงเสด็จพำนักอยู่กับท้าวทรงกันดาล (สี) ซึ่งเป็นยายแท้ ๆ === ผนวช === เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี จนสามารถแปลธรรมบทได้ก่อนผนวชเป็นสามเณร นอกจากนี้ยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษและโหราศาสตร์ อีกด้วย ถึงปี พ.ศ. 2416 เมื่อพระชันษาได้ 13 ปี ได้ทรงผนวชเป็นสามเณร โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และหม่อมเจ้าพระธรรมมุณหิศธาดา (สีขเรศ วุฑฺฒิสฺสโร) ทรงเป็นผู้ประทานศีล 10 หลังจากทรงบรรพชาแล้วได้ประทับอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ประมาณ 2 เดือน จึงทรงลาผนวช ครั้นครบปีบวช (พระชันษา 20 ปี) ได้ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2422 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌายาจารย์ และพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทรํสี) วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร อยู่ 1 พรรษา จึงย้ายไปประทับที่วัดมกุฏกษัตริยารามเพื่อศึกษาข้อวัตรปฏิบัติของพระจันทรโคจรคุณผู้เป็นพระอาจารย์ ในระหว่างนั้นได้ทรงทำทัฬหีกรรมหรือการบวชซ้ำ ที่วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร โดยมีพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทรํสี) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาเดช ฐานจาโร วัดโสมนัสวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ == พระอิสริยยศ == เมื่อผนวชได้ 3 พรรษา ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมหน้าพระที่นั่ง ทรงแปลได้เป็นเปรียญธรรม 5 ประโยค จากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองในธรรมยุติกนิกาย เมื่อปี พ.ศ. 2424 พระองค์ได้ครองวัดบวรนิเวศวิหาร สืบต่อจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศฯ เมื่อปี พ.ศ. 2434 และในปี พ.ศ. 2436 ได้รับโปรดเกล้าเพิ่มพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต มีราชทินนามว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส สุนทรพรตวิสุทธิพรหมจรรย์ วิมลศีลขันธ์วรธรรมยุตติ์ ศรีวิสุทธิคณะนายก สาสนดิลกธรรมานุวาทย์ บริสัษยนารถสมณุดมบรมบพิตร วันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2449 พระองค์ได้รับสถาปนาเลื่อนพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส สุนทรพรตวิสุทธิพรหมจรรย์ วิมลศีลขันธ์ธรรมวรยุต ศรีวิสุทธิคณนายก สาสนดิลกธรรมานุวาทย์ บริสัษยนารถสมณุดมบรมบพิตร และเมื่อปี พ.ศ. 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก แต่งตั้งเป็นเจ้าคณะใหญ่แห่งพระสงฆ์ ทั้งกรุงเทพมหานคร และหัวเมืองทั่วพระราชอาณาเขต และเลื่อนพระอิสริยยศจากกรมหลวงขึ้นเป็นกรมพระยา มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า การเรียกพระนามพระราชวงศ์ซึ่งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระประมุขแห่งสังฆมณฑลแต่เดิมนั้นเรียกตามพระอิสริยยศแห่งพระบรมราชวงศ์ ไม่ได้เรียกตามสมณศักดิ์ของพระประมุขแห่งสังฆมณฑล คือ "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" พระองค์จึงเปลี่ยนคำนำพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระประมุขแห่งสังฆมณฑลว่า "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า" เพื่อให้ปรากฏพระนามในส่วนสมณศักดิ์ด้วย โดยพระองค์ได้เปลี่ยนคำนำพระนามของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เพื่อเฉลิมพระเกียรติเป็นพระองค์แรก ในปีต่อมาคือ ปี พ.ศ. 2454 พระองค์ได้ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงเสนาบดีกระทรวงธรรมการ มีความว่า ควรถวายอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์แก่พระองค์ ในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชให้เด็ดขาด เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์เรียบร้อย หลังจากนั้นอีก 6 เดือน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมอบการทั้งปวงซึ่งเป็นกิจธุระพระศาสนา ถวายแด่พระองค์ผู้เป็นมหาสังฆปริณายก ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2455 == สิ้นพระชนม์ == สมเด็จพระมหาสมณเจ้าประชวรด้วยวัณโรค มีพระอาการเรื้อรังมานานนับสิบปี จนกำเริบรุนแรงเกินกว่าความสามารถของแพทย์หลวง ในที่สุดสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ก็สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2464 สิริรวมพระชันษาได้ 61 ปี ครองวัดบวรนิเวศวิหารนาน 30 ปี ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ 10 ปี 7 เดือน งานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เริ่มในวันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2465 โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปบำเพ็ญพระราชกุศลที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ทุกวันตั้งแต่วันดังกล่าว จนถึงวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน เวลา 16:00 น. จึงโปรดให้เคลื่อนพระศพไปประดิษฐานยังพระจิตกาธาน ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง แล้วพระราชทานเพลิงพระศพ เช้าวันต่อมาเจ้าพนักงานภูษามาลาดับพระเพลิงแล้วประมวลพระอัฐิ เวลา 07:00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาเก็บพระอัฐิประมวลลงในพระโกศทองลงยา แล้วให้เจ้าพนักงานเชิญพระโกศไปประดิษฐานในบุษบก ณ พระที่นั่งทรงธรรม ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเสร็จแล้ว จึงโปรดให้เจ้าพนักงงานเชิญพระโกศไปประดิษฐานที่พระตำหนักเพ็ชร ช่วงบ่ายเสด็จฯ มาทรงสดับพระพุทธมนต์และพระธรรมเทศนา จากนั้นในวันอังคารที่ 11 เมษายน ได้เสด็จฯ มาบำเพ็ญพระราชกุศลอีกครั้ง แล้วบรรจุพระอังคารเข้าในฐานพระพุทธไสยา มุขหลังวิหารพระศรีศาสดา แล้วเสด็จฯ กลับ == พระกรณียกิจ == ทรงเริ่มพัฒนาการพระศาสนา โดยเริ่มต้นที่วัดบวรนิเวศวิหาร ได้แก่ริเริ่มให้ภิกษุสามเณรที่บวชใหม่ เรียนพระธรรมวินัยในภาษาไทย มีการสอบความรู้ด้วยวิธีเขียน ต่อมาจึงกำหนดให้เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับคณะสงฆ์ เรียกว่า นักธรรม ทรงจัดตั้ง มหามกุฎราชวิทยาลัย เป็นการริเริ่มจัดการศึกษาของพระภิกษุ สามเณรแบบใหม่ คือ เรียนพระปริยัติธรรม ประกอบกับวิชาการอื่น ที่เอื้ออำนวยต่อการสอนพระพุทธศาสนา ผู้ที่สอบได้จะได้เป็นเปรียญเช่นเดียวกับที่สอบได้ในสนามหลวง เรียกว่า เปรียญมหามงกุฎ แต่ได้เลิกไปในอีก 8 ปีต่อมา ทรงออกนิตยสาร ธรรมจักษุ ซึ่งเป็นนิตยสารทางพระพุทธศาสนา ฉบับแรกของไทย ทรงอำนวยการจัดการศึกษาหัวเมืองทั่วราชอาณาจักรเมื่อปี พ.ศ. 2441 ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่จะขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานไปยังประชาชนทั่วราชอาณาจักร ทรงเห็นว่า วัดเป็นแหล่งให้การศึกษาแก่คนไทยมาแต่โบราณกาล เป็นการขยายการศึกษาได้เร็วและทั่วถึง เพราะมีวัดอยู่ทั่วไปในพระราชอาณาจักร ไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน งานนี้มีกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยสนับสนุน พระองค์ดำเนินการอยู่ 5 ปี ก็สามารถขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานคือ ชั้นประถมศึกษา ออกไปได้ทั่วประเทศ จากนั้นจึงให้กระทรวงธรรมการ ดำเนินการต่อไป ทรงปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์ เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์เป็นไปด้วยดี เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาตนเอง และประเทศชาติ จึงเกิด พ.ร.บ. ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) ขึ้น ซึ่งเป็น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับแรกของไทย สาระสำคัญของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้จัดคณะสงฆ์ออกเป็น 4 คณะ คือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง และคณะธรรมยุติกา มีสมเด็จพระราชาคณะเป็นเจ้าคณะ และมีพระราชาคณะรอง คณะละหนึ่งรูป รวมเป็น 8 รูป ทั้ง 8 รูปนี้ยกขึ้นเป็น มหาเถรสมาคม เป็นองค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ และเป็นที่ปรึกษาในการพระศาสนา และการคณะสงฆ์ของพระมหากษัตริย์ มีเจ้าคณะปกครองลดหลั่นไปตามลำดับคือ เจ้าคณะมณฑล เจ้าคณะเมือง เจ้าคณะแขวง และเจ้าอาวาส มีเสนาบดีกระทรวงธรรมการ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ มหาเถรสมาคมเป็นเพียง ที่ทรงปรึกษา ขององค์พระมหากษัตริย์ ดังนั้นกระทรวงธรรมการ จึงต้องทำหน้าที่สังฆราชโดยปริยาย พระองค์ได้ทรงปรับปรุงการพระพุทธศาสนา และทางคณะสงฆ์ในด้านต่าง ๆ เป็นอันมากโดยเริ่มงานตั้งแต่เสด็จไปตรวจการคณะสงฆ์ในหัวเมืองต่าง ๆ เกือบทั่วราชอาณาจักร โดยกระทำอย่างต่อเนื่องทุกปีเกือบ ตลอดพระชนม์ชีพ ทำให้ทรงทราบความเป็นไปของคณะสงฆ์ และของประชาชนในภูมิภาคต่าง ๆ เป็นอย่างดี และนำข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ มาปรับปรุง แก้ไขในทุก ๆ ด้าน พอประมวลได้ดังนี้ ด้านการพระศาสนา พระองค์ได้พัฒนาภิกษุสามเณร ให้มีความรู้ความสามารถในพระธรรมวินัย เพื่อจะได้แนะนำสั่งสอนประชาชนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทรงผลิตตำราและหนังสือทางพระพุทธศาสนา ที่คนทั่วไปสามารถอ่านทำความเข้าใจได้ง่าย ด้านการคณะสงฆ์ ทรงออกพระมหาสมณาณัติ ประทานพระวินิจฉัยและทรงวางระเบียบ แบบแผน เกี่ยวกับความประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุสามเณรในด้านต่าง ๆ ให้ถูกต้องเป็นมาตรฐาน เช่น ระเบียบเกี่ยวกับพระอุปัชฌาย์ การบรรพชาอุปสมบท การปกครองภิกษุสามเณรและศิษย์วัด การวินิจฉัยอธิกรณ์ ระเบียบเกี่ยวกับ สมณศักดิ์ พัดยศ นิตยภัต ดวงตราประจำตำแหน่ง เป็นต้น ด้านการศึกษา ทรงปรับปรุงการศึกษาของคณะสงฆ์ให้ทันสมัย ทรงจัดการศึกษาพระปริยัติ ธรรมเพิ่มขึ้นจากแบบเดิมที่ศึกษาภาษาบาลี โดยให้ศึกษาพระธรรมวินัยในภาษาไทยเรียกว่า หลักสูตร นักธรรม งานพระนิพนธ์ พระองค์ทรงรอบรู้ภาษาต่าง ๆ หลายภาษา คือ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส ได้ทรงนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก เช่น พระประวัติตรัสเล่า หนังสือหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี โท เอก หลักสูตรบาลี ไวยากรณ์ทั้งชุด รวมพระนิพนธ์ทั้งหมดมีมากกว่า 200 เรื่อง นอกจากนี้ยังทรงชำระ คัมภีร์บาลีไว้กว่า 20 คัมภีร์ == พงศาวลี == == อ้างอิง == เชิงอรรถ บรรณานุกรม โกวิท ตั้งตรงจิตร. 19 สมเด็จพระสังฆราชกรุงรัตนโกสินทร์. --กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น, 2554. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์เจ้าชาย กรมพระยา เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เปรียญธรรม 5 ประโยค พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 เสียชีวิตจากวัณโรค ภิกษุที่เป็นเจ้านายในราชวงศ์จักรี บุคคลจากเขตพระนคร บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
thaiwikipedia
1,547
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เรียกพระนามเดิมว่า 'หม่อมเจ้าภุชงค์' (16 ธันวาคม พ.ศ. 2402 - 25 สิงหาคม พ.ศ. 2480) เป็นพระราชวงศ์ในราชสกุล ชมพูนุท ดำรงสมณศักดิ์สมเด็จพระสังฆราชไทยเป็นพระองค์ที่ 11 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2465 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รวม 16 ปี และเป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร == พระประวัติ == === ประสูติกาล === พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า มีพระนามเดิมว่าหม่อมเจ้าภุชงค์ เป็นพระโอรสพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนเจริญผลภูลสวัสดิ์ กับหม่อมปุ่น ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2402 แรม 7 ค่ำ เดือนอ้าย ที่วังหน้าวัดราชบพิธฯ มุมถนนราชบพิธกับถนนเฟื่องนคร ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว === การศึกษาขณะเป็นฆราวาส === เมื่อยังทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาอักขรสมัยไทย ในสำนักเจ้าจอมมารดาสัมฤทธิ์ผู้เป็นย่า เมื่อเข้าพิธีเกศากันต์แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้า ฯ ให้ไปศึกษาที่โรงเรียน Raffles เมืองสิงคโปร์ เมื่อปี พ.ศ. 2414 เป็นเวลา 9 เดือน แล้วจึงเสด็จกลับพระนคร ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษสำหรับเจ้านายขึ้นแล้ว จึงทรงเข้าศึกษาต่อที่นี่โดยไม่กลับไปสิงคโปร์อีก นอกจากนี้ยังทรงศึกษาอักษรขอมจากพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) จนผนวชในปี พ.ศ. 2416 === ผนวช === พ.ศ. 2416 เมื่อพระชนมายุได้ 14 พรรษา ผนวชเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หม่อมเจ้าพระอรุณนิภาคุณากรเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ผนวชแล้วประทับ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เมื่ออายุครบอุปสมบทในปี พ.ศ. 2422 ได้โปรดให้อุปสมบทที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ พุทฺธสิริ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสาสนโสภณที่พระธรรมวโรดม (สา ปุสฺสเทโว) วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หม่อมเจ้าพระอรุณนิภาคุณากร เป็นพระบรรพชาจารย์ ได้รับพระนามฉายาว่า "สิริวฑฺฒโน" ผนวชแล้วกลับมาประทับที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามตามเดิม === การศึกษาขณะเป็นบรรพชิต === ขณะเป็นสามเณรได้ศึกษาภาษาบาลีกับพระครูบัณฑรธรรมสโมทาน (สด) ภาษาไทยกับพระยาโอวาทวรกิจ (แก่น) และภาษาสันสกฤตกับพราหมณ์ เมื่อผนวชเป็นพระภิกษุแล้วได้ศึกษาพระปริยัติธรรมกับสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ขณะทรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมวโรดม ทรงเข้าสอบเปรียญ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2425 ได้เป็นเปรียญธรรม 4 ประโยค ต่อมาในปี พ.ศ. 2430 ทรงเข้าแปลได้เพิ่มอีก 1 ประโยค รวมเป็นเปรียญธรรม 5 ประโยค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานวัตถุจัตุปัจจัยมูลค่า 2 ชั่งเป็นรางวัล ===การสิ้นพระชนม์=== พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ประชวรด้วยพระโรคเส้นพระโลหิตในกระเพาะพระบังคนเบาพิการ ทำให้บังคนเบาเป็นโลหิต สิ้นพระชนม์เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2480 แรม 3 ค่ำ เดือน 9 สิริรวมพระชนมายุได้ 77 พรรษา ดำรงสมณเพศได้ 59 พรรษา ได้รับพระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส == สมณศักดิ์ == พ.ศ. 2430 ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ หม่อมเจ้าพระสถาพรพิริยพรต พ.ศ. 2438 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่เสมอชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2442 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมปาโมกข์ มีราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัตรว่า หม่อมเจ้าพระสถาพรพิริยพรต อังคีรสธรรมปาโมกข์ ยุตโยคยตินายก ไตรปิฎกธารี ธรรมวาทีคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2444 ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธฯ เป็นพระองค์ที่ 2 สืบต่อจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 ได้เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองในคณะกลาง มีสมณศักดิ์เสมอพระพรหมมุนี และมีพระอิสริยยศเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า มีราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัตรว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระสถาพรพิริยพรต อังคีรสสาสนธำรง ราชวรพงษ์ศักดิ์พิบุลย์ สุนทรอรรถปริยัติโกศล โสภณศีลสมาจารวัตร มัชฌิมคณานุนายก สาสนดิลกบพิตร" 22 มกราคม พ.ศ. 2453 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่คณะกลาง มีราชทินนามว่า "พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ ขัตติยพงศ์พรหมจารี ประสาทนียคุณากร สถาพรพิริยพรต อังคีรสศาสนธำรง ราชวรวงศ์วิสุต วชิราวุธมหาราชอภินิษกรมณาจารย์ สุขุมญาณวิบุล สุนทรอรรถปริยัติโกศล โศภนศีลสมาจารวัตร มัชฌิมคณิศรมหาสังฆนายก พุทธศาสนดิลกสถาวีรบพิตร" 2 มกราคม พ.ศ. 2456 เป็นเจ้าคณะรองฝ่ายธรรมยุติกนิกายด้วยอีกตำแหน่ง 20 สิงหาคม พ.ศ. 2464 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า สกลมหาสังฆปริณายก นับว่าเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์แรก มีพระนามว่า "พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชินวรศิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า" 20 เมษายน พ.ศ. 2469 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็นกรมหลวง มีราชทินนามว่า "พระเจ้าวรวงศเธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน ขัติยมหาเจษฎานุพงศ อริยวงศาคตญาณวิมลสกลมหาสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลาโกศล ภัทรผลพลูสวัสดิสัทธรรมทีปกร ไทวภราดรมหาราชาภินิษกรมณาจารย์ ภุชงคบุราภิธานครุฐานิยมมหาบัณฑิต สุขสิทธิหิตรรถเมตตาขันตยาศรัย ศรีรัตนตรัยศรณาภิรัต สยามาธิปัตยามหาสังฆปาโมกขประธานาธิบดี ศรีสมณุดมบรมบพิตร" ==พระปรีชาสามารถ== พระองค์มีพระปรีชาสามารถทางพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง นับว่าเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญพระองค์หนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงนิพนธ์ตำรา และหนังสือสำคัญทางพระพุทธศาสนาไว้มากมาย เช่น คัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา หรือพจนานุกรมภาษาบาลีแปลเป็นไทย มหานิบาตชาดก นิทานต้นบัญญัติ สามเณรสิกขา เป็นต้น พระนิพนธ์เหล่านี้ ยังใช้เป็นคู่มือในการศึกษาภาษาบาลี และศึกษาพระพุทธศาสนาของภิกษุสามเณรมาจนถึงปัจจุบัน ทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตสืบต่อจากสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อน และทรงเป็นกรรมการชุดแรกของมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2436 สุดท้ายได้เป็นนายกกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2464 ตราบจนสิ้นพระชนม์ ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์โรงเรียนวัดราชบพิธ พระองค์ที่ 2 ประทานคาถาภาษาบาลีเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจบรรดาครูและนักเรียนว่า "วิริเยน ทุกขมจฺเจติ" แปลว่า "คนล่วงทุกข์เสียได้ด้วยความเพียร" และได้ประทานตรา "ชส" ซึ่งเป็นพระนามย่อของพระองค์ให้แก่โรงเรียน ซึ่งปัจจุบัน ได้เป็นสัญลักษณ์บนเข็ม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนแห่งนี้ == ครบ 150 ปี วันประสูติ == 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ครบ 150 ปี วันประสูติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของพระองค์จึงได้จัดงานเฉลิมพระเกียรติโดยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงรับงานนี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ == สัญลักษณ์ประจำพระองค์ == พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงใช้สัญลักษณ์ประจำพระองค์หลากหลายแบบ โดยมากจะเป็นรูปอักษรพระนามย่อ ช.ส. (ย่อมาจากพระนามทรงกรม "ชินวรสิริวัฒน์") ผูกเป็นลวดลายอักษรวิจิตรแบบต่างๆ บางแบบจะปรากฏภาพฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น อันเป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศสมเด็จพระสังฆราชเจ้ารวมอยู่ด้วย ภายหลังเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ได้ทรงออกแบบตราถวายย้อนหลังขึ้นใหม่ เป็นรูปอักษรพระนามย่อ ช.ส. ภายใต้ฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น โดยมีพระภควัมหรือภาพพระพุทธเจ้าประดิษฐานบนระบายฉัตร เพื่อใช้ในการจัดทำพัดชินสิริ ซึ่งเป็นพัดรองที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงพระศพในปี พ.ศ. 2481 เนื่องจากทรงมีพระปรารภว่าตราบางแบบอ่านได้ยาก ไฟล์:Wat Jinavararam, Bang Khayaeng, Pathum Thani 09.jpg|ตราอักษรพระนามย่อ ช.ส. และตรานาค (มาจากพระนามเดิม "หม่อมเจ้าภุชงค์") ประดับที่บานประตูและหน้าต่างพระอุโบสถวัดชินวรารามวรวิหาร จังหวัดปทุมธานี ไฟล์:Monogram of Jinavarasirivaddhana (variant).svg|แบบตราประจำพระองค์ ซึ่งใช้ตีพิมพ์บนหน้าปกหนังสือต่างๆ ขณะยังดำรงพระชนม์ชีพ ไฟล์:Monogram of Jinavarasirivaddhana (variant-2).jpg|แบบตราประจำพระองค์ ซึ่งใช้ในเหรียญที่ระลึกต่างๆ ขณะยังดำรงพระชนม์ชีพ (ตรานี้ปรากฏอยู่ที่หน้าบันพระวิหาร วัดชินวรารามวรวิหาร) ไฟล์:Monogram of Jinavarasirivaddhana (variant-3).jpg|แบบตราประจำพระองค์ ปรากฏอยู่ที่หน้าบันพระตำหนักชินวรสิริวัฒน์ วัดชินวรารามวรวิหาร ไฟล์:ตราประจำพระองค์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า.png|แบบตราประจำพระองค์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงออกแบบถวายเมื่อปี พ.ศ. 2481 ไฟล์:Monogram of Jinavarasirivaddhana (posthumous design by Narisara Nuwattiwong, variant).png|แบบตราประจำพระองค์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงออกแบบถวายเมื่อปี พ.ศ. 2481 ตีพิมพ์บนหน้าปกหนังสือ "มหานิบาตชาดก ทศชาติฉะบับชินวร" ไฟล์:150th11thHHBhujong.jpg‎|ตราสัญลักษณ์งานฉลองครบ 150 ปี วันประสูติพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า (16 ธันวาคม 2402 — 2552) == พงศาวลี == ==อ้างอิง== พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปรมาธิวรเสฐมหาเจษฎาธิบดินทร ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชสกุล ร่มฉัตร หนังสือพิมพ์ ราชบพิธ ปีที่ 22 ฉบับที่ 71 ประจำเดือน กันยายน - มีนาคม 2548 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชาย พระองค์เจ้าตั้ง กรมหลวง สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เปรียญธรรม 5 ประโยค ภิกษุที่เป็นเจ้านายในราชวงศ์จักรี บุคคลจากเขตพระนคร บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
thaiwikipedia
1,548
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทโว)
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม แพ พงษ์ปาละ ฉายา ติสฺสเทโว เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ 12 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 6 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2487 ขณะพระชันษาได้ == พระประวัติ == สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช มีพระนามเดิมว่าแพ ประสูติในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2399 เป็นชาวสวนบางลำภูล่าง อำเภอคลองสาน จังหวัดธนบุรี พระชนกชื่อนุตร พงษ์ปาละ พระชนนีอ้น พงษ์ปาละ เมื่อพระชันษาได้ 7 ปี ได้ไปศึกษาอักษรสมัยกับสมเด็จพระวันรัตน์ (สมบุรณ์) ขณะยังเป็นเจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ กรุงเทพมหานคร เมื่อสมเด็จพระวันรัตน์ (สมบุรณ์) ย้ายไปครองวัดราชบุรณราชวรวิหาร พระองค์ได้ย้ายตามไปด้วย ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ. 2411 โดยมีสมเด็จพระวันรัตน์ (สมบุรณ์) เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อสมเด็จพระวันรัตน์ (สมบุรณ์) ย้ายไปครองวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ก็ให้รับพระองค์ไปอยู่ด้วย ขณะอยู่วัดพระเชุตพนฯ พระองค์ได้ศึกษากับสมเด็จพระวันรัตน์เป็นหลัก นอกจากนี้ก็ศึกษากับเสมียนตราสุขบ้าง พระโหราธิบดี (ชุ่ม) บ้าง อาจารย์โพบ้าง ได้เข้าสอบครั้งแรกที่พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาทในปี พ.ศ. 2419 แต่สอบไม่ผ่าน พ.ศ. 2419 ท่านอายุครบอุปสมบท แต่สมเด็จพระวันรัต (สมบุรณ์) อาพาธ พระองค์อยู่พยาบาลจนกระทั่งท่านมรณภาพ จึงไปฝากตัวเป็นศิษย์สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) วัดสุทัศนฯ ตามที่สมเด็จพระวันรัต (สมบุรณ์) ฝากฝังไว้ ในปีเถาะ พ.ศ. 2422 จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเศวตฉัตร โดยมีสมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วย้ายมาอยู่วัดสุทัศนฯ ศึกษากับสมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) เป็นหลัก และไปศึกษากับสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) บ้าง เข้าสอบอีกครั้งที่พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาทในปีมะเมีย พ.ศ. 2425 ได้เปรียญธรรม 4 ประโยค ต่อมาปีระกา พ.ศ. 2428 เข้าสอบที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แปลเพิ่มได้อีก 1 ประโยค เป็นเปรียญธรรม 5 ประโยค == ลำดับสมณศักดิ์ == พ.ศ. 2423 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูฐานานุกรมในพระธรรมวโรดม (แดง สีลวฑฺฒโน) ในตำแหน่งพระครูใบฎีกา พระครูมงคลวิลาส และพระครูวินัยธร ตามลำดับ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2432 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระศรีสมโพธิ มีนิตยภัตเดือนละ 4 ตำลึง พ.ศ. 2439 ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเสมอพระราชาคณะชั้นเทพ พ.ศ. 2441 ได้เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระเทพโมลี ตรีปิฎกธรา มหาธรรมกถึกคณฤศร บวรสังฆารามคามวาสี พ.ศ. 2443 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่ พระธรรมโกษาจารย์ สุนทรญาณนายก ตรีปิฎกมุนี มหาคณาธิบดีสมณิศร บวรสังฆารามคามวาสี พ.ศ. 2455 ได้รับพระราชทานหิรัญบัฏเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองคณะกลางที่ พระพรหมมุนี ศรีวิสุทธิญาณ ตรีปิฎกธรรมาลังการวิภูษิต มัชฌิมคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี สังฆนายก 30 ธันวาคม พ.ศ. 2458 โปรดให้ย้ายมาเป็นเจ้าคณะรองหนใต้ 14 มีนาคม พ.ศ. 2458 โปรดให้บัญชาคณะมณฑลที่ขึ้นกับคณะใต้แทนสมเด็จพระวันรัต (ฑิต อุทโย) พ.ศ. 2466 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสีที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ อเนกสถานปรีชา สัปตวิสุทธิจริยาสมบัติ นิพัทธธุตคุณ ศิริสุนทรพรตจาริก อรัญญิกคณฤศร สมณนิกรมหาปรินายก ตรีปิฎกโกศล วิมลศีลขันธ์ สรรพสมณคุณ วิบุลยประสิทธิ์ บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี มหาสังฆนายก กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2472 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะทักษิณมหาคณิศวราธิบดีที่ สมเด็จพระวันรัต ปริยัตติพิพัฑฒนพงศ์ วิสุทธสงฆปรินายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณสุนทร มหาทักษิณคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช 19 กันยายน พ.ศ. 2482 ได้รับเฉลิมพระนามตามสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมวิธานธำรง สกลสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุศโลภาส อานันทมหาราชพุทธมามกาจารย์ ติสสเทวภิธานสังฆวิสสุต ปาวจนุตตมโศภน วิมลศีลสมาจารวัตร พุทธศาสนิกบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลคัมภีรญาณสุนทร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญญวาสี เมื่อมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เมื่อปี พ.ศ. 2484 เพื่อประสานนโยบายฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักรให้เป็นไปด้วยดี พระองค์ก็ได้บริหารงานคณะสงฆ์ให้ลุล่วงไป โดยแต่งตั้งพระมหาเถรานุเถระในสังฆสภา ให้ดำรงตำแหน่งตามบทบัญญัติ แห่ง พ.ร.บ. คณะสงฆ์ฉบับดังกล่าวโดยครบถ้วนด้วยดีทุกประการ == อ้างอิง == เชิงอรรถ บรรณานุกรม แพ สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าคณะใหญ่หนใต้ เจ้าคณะอรัญวาสี เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ภิกษุในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เปรียญธรรม 5 ประโยค บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
thaiwikipedia
1,549
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระนามเดิม หม่อมราชวงศ์ชื่น ราชสกุลนพวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 13 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อปี พ.ศ. 2488 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 14 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501 สิริพระชันษา == พระประวัติ == === พระกำเนิด === สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ มีพระนามเดิมว่า หม่อมราชวงศ์ชื่น เป็นโอรสในหม่อมเจ้าถนอม นพวงศ์ และหม่อมเอม (สกุลเดิม คชเสนี) ประสูติภายในวังของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส (ต้นราชสกุลนพวงศ์) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2415 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 12 ปีวอก ส่วนหม่อมเอมพระชนนีเป็นธิดาพระยาดำรงราชพลขันธ์ (จุ้ย คชเสนี) ซึ่งเป็นบุตรเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ คชเสนี) ต่อมาได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร โดยทำหน้าที่เป็นคะเดท ทหารม้าในกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภ มีหน้าที่ตามเสด็จรักษาพระองค์ === ผนวชและศึกษาพระปริยัติธรรม === พระองค์บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2428 โดยมีพระพรหมมุนี (เหมือน สุมิตฺโต) วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วทรงศึกษาพระปริยัติธรรมกับอาจารย์หลายท่าน เช่น หม่อมเจ้าประภากร มาลากุล พระสุทธสีลสังวร (สาย) และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเข้าสอบไล่ครั้งแรกเมื่อปีขาล พ.ศ. 2433 ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สอบไล่ได้เปรียญธรรม 5 ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร และได้รับพระราชทานพัดเปรียญในวันที่ 29 พฤศจิกายน ร.ศ. 112 ต่อมาวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2435 ได้อุปสมบท ณ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร โดยพระพรหมมุนี (แฟง กิตฺติสาโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ผนวชแล้วมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร ในตอนแรกทรงตั้งพระทัยจะสอบถึงเพียงเปรียญธรรม 5 ประโยคเท่านั้น แต่สมเด็จฯ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส โปรดให้สอบต่อ และทรงส่งพระองค์เข้าสอบในปีมะเมีย พ.ศ. 2437 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จึงได้อีก 2 ประโยค รวมเป็นเปรียญธรรม 7 ประโยค == พระกรณียกิจ == พระองค์ได้มีส่วนร่วมกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มาตั้งแต่ต้น คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์บำรุงการศึกษามณฑลหัวเมือง ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ให้ทรงเป็นผู้อำนวยการจัดการศึกษา มีการจัดพิมพ์แบบเรียนต่าง ๆ พระราชทานแก่พระภิกษุสงฆ์ ไปไว้ใช้ฝึกสอน ให้ยกโรงเรียนพุทธศาสนิกชนในหัวเมืองทั้งปวง มารวมขึ้นอยู่ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เพื่อจะได้เป็นหมวดเดียวกัน พระองค์ขณะที่ดำรงสมณศักดิ์พระสุคุณคุณาภรณ์ ได้เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลจันทบุรี ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2445 ได้มีการออกพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 อันเป็นผลเนื่องมาจากการจัดการพระศาสนา และการศึกษาในหัวเมือง พระองค์ทรงเป็นแม่กองสอบไล่พระปริยัติธรรมหลายครั้ง ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่างจังหวัด เมื่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ชราและอาพาธ ก็ได้ทรงมอบหน้าที่เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตให้ทรงบัญชาการแทน เมื่อปี พ.ศ. 2477 และเมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2480 พระองค์ก็ได้ทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตสืบต่อมา และให้ทรงจัดการปกครองคณะธรรมยุตที่สำคัญหลายประการ เมื่อเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้าแล้ว ได้ทรงปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์ให้ดียิ่งขึ้น โดยจัดการปกครองคณะสงฆ์ทั้งสองนิกายคือ มหานิกายและธรรมยุติกนิกาย เมื่อปี พ.ศ. 2494 ดังนี้ การปกครองส่วนกลาง คณะสังฆมนตรีคงบริหารรวมกัน แต่การปกครองบังคับบัญชาให้เป็นไปตามนิกาย การปกครองส่วนภูมิภาคให้แยกตามนิกาย พระองค์ได้เป็นพระราชอุปัชฌยาจารย์เมื่อพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จออกผนวชในปี พ.ศ. 2499 และในงานฉลองพุทธศตวรรษในประเทศไทย รัฐบาลประเทศพม่าได้ถวายสมณศักดิ์สูงสุดของพม่าคือ อภิธชมหารัฏฐคุรุ แด่พระองค์ เมื่อปี พ.ศ. 2500 == ตำแหน่ง == พ.ศ. 2445 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะมณฑลจันทบุรี พ.ศ. 2467 ได้เป็นเจ้าคณะมณฑลอยุธยา พ.ศ. 2476 ทรงเป็นประธานมหาเถรสมาคม บัญชาการคณะสงฆ์แทนพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พ.ศ. 2485 ทรงเป็นประธานคณะวินัยธร ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 == สมณศักดิ์ == พ.ศ. 2439 ได้รับโปรดเกล้าฯ ตั้งเป็นพระราชาคณะที่ พระสุคุณคณาภรณ์ พ.ศ. 2446 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นเทพพิเศษที่พระญาณวราภรณ์ สุนทรศีลวิสุทธินายก ไตรปิฎกเมธา มหาคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2451 ลาออกจากหน้าที่พระราชาคณะเพื่อเตรียมลาสิกขาบท แต่ยังทรงอาลัยในสมณเพศจึงรั้งรออยู่ พ.ศ. 2454 รับพระราชทานพัดยศเดิมและกลับเข้ารับราชการตามตำแหน่งเดิม พ.ศ. 2455 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นธรรมในราชทินนามเดิม พ.ศ. 2464 ได้รับสถาปนาสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นธรรมพิเศษที่ พระญาณวราภรณ์ สุนทรธรรมปาโมกข์ ยุตโยคญาณดิลก ไตรปิฎกธารี ธรรมวาทียติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2471 โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตติกา ในพระราชทินนามพิเศษว่า สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ ปาพจนงคญาณวราภรณ์ สุนทรวิสุทธิพรหมจารี ตรีปิฎกธรรมโกศล วิมลศีลขันธ์สรรพสุจิตต์ มหากิริฏราชประนับดา นพวงศวรานุวรรตน์ อุตกฤษฏรัตตัญญูกาพยปฏิภาณ คุโณธารสังฆประมุข ธรรมยุกติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทโว) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้สถาปนาสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์เป็นสมเด็จพระสังฆราชในราชทินนามเดิม เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2488 ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้โปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามเป็น "สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ วิสุทธิสงฆคุณาลังการ อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุสโลภาส ภูมิพลมหาราชสรณคมนาจารย์ สุจิตตาภิธานสังฆวิสุต มหามกุฎมหาราชประนัปดา นพวงศราชกุลาภิวรรธน์ สุขุมอรรถธรรมวิจารปรีชา กาพยรจนาฉันทพากยปฏิภาน ปาวจนุตตมญาณวราภรณ์ สุนทรวิสุทธิพรหมจรรย์ วิมลศีลขันธสมาจารวัตร พุทธศาสนิกบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภานพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณบัณฑิต สรรพคณิสสรมหาปธานาธิบดี คามวาสี อรัณยวาสี สมเด็จพระสังฆราช และในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม พร้อมเฉลิมพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วิสุทธิสงฆคุณาลังการ อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุสโลภาส ภูมิพลมหาราชหิโตปัธยาจารย์ สุจิตตาภิธานสังฆวิสุต มหามกุฎมหาราชประนัปดา นพวงศราชกุลาภิวรรธน์ สุขุมอรรถธรรมวิจารปรีชา กาพรจนาฉันทพากยปฏิภาน ปาวจนุตตมญาณวราภรณ์ สุนทรวิสุทธิพรหมจรรย์ วิมลศีลขันธสมาจารวัตร พุทธศาสนิกบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภานพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณบัณฑิต สรรพคณิสสรมหาปธานาธิบดี ศรีสมณุดมบรมบพิตร คชนาม" == สิ้นพระชนม์ == สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501 เวลา 01:08 น. พระศพตั้งบำเพ็ญพระกุศล ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร คณะปฏิวัติให้สถานที่ราชการทุกแห่งลดธงลงครึ่งเสา 3 วัน และให้ข้าราชการไว้ทุกข์ 15 วันเพื่อถวายความอาลัย และได้รับพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาสเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2503 เป็นพระองค์แรกที่ใช้พระเมรุถาวร และใช้เป็นพระเมรุและเมรุ ในงานพระราชทานเพลิงพระศพและงานพระราชทานเพลิงศพ พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนบุคคลสำคัญจนถึงปัจจุบัน == พระนิพนธ์ == ผลงานพระนิพนธ์มีอยู่เป็นจำนวนมาก พอประมวลได้ดังนี้ พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้า ฯ ให้ชำระพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ พระองค์ได้ทรงชำระ 2 เล่ม คือ เล่ม 25 และเล่ม 26 พ.ศ. 2467 ทรงชำระอรรถกถาชาดก ภาคที่ 3 จากจำนวน 10 ภาค ที่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โปรดให้ชำระพิมพ์ หนังสือที่ทรงนิพนธ์ ได้แก่ ศาสนาโดยประสงค์ พระโอวาทธรรมบรรยาย ตายเกิด ตายสูญ ทศพิธราชธรรม พร้อมทั้งเทวตาทิสนอนุโมทนากถา สังคหวัตถุ จักรวรรดิวัตร และขัตติยพละ พุทธศาสนคติ บทความต่าง ๆ รวมเล่ม ชื่อว่า ความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาตั้งแต่เบื้องต้น ทีฆาวุคำฉันท์ และพระธรรมเทศนาที่สำคัญได้แก่ ธรรมเทศนาทศพิธราชธรรม ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระธรรมเทศนาวชิรญาณวงศ์เทศนา 55 กัณฑ์ == พงศาวลี == == อ้างอิง == สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์เจ้าตั้ง กรมหลวง แม่กองบาลีสนามหลวง เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เจ้าคณะมณฑล เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เปรียญธรรม 7 ประโยค ราชสกุลนพวงศ์ ภิกษุที่เป็นเจ้านายในราชวงศ์จักรี สกุลคชเสนี บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
thaiwikipedia
1,550
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปลด กิตฺติโสภโณ)
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม ปลด เกตุทัต ฉายา กิตฺติโสภโณ เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 14 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2503 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 2 ปี 1 เดือน 13 วัน สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2505 สิริพระชันษา == พระประวัติ == === พระกำเนิด === สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช มีพระนามเดิมว่า ปลด ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2432 ตรงกับแรม 13 ค่ำ เดือน 6 ปีฉลู ณ บ้านในตรอกหลังตลาดพาหุรัด ติดกับวัดราชบุรณราชวรวิหาร เป็นบุตรพระชนกขุนพิษณุโลกประชานาถ (ล้ำ เกตุทัต) กับพระชนนีปลั่ง เกตุทัต พระชนกของพระองค์เป็นเจ้ากรมคนแรกในสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ แต่ด้วยปัญหาสุขภาพจึงได้กราบทูลลาออกก่อนที่จะทรงกรมหลวง === บรรพชา === ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ. 2444 ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เริ่มเรียนภาษาบาลีตั้งแต่พระชนมายุ 8 ปี เรียนมูลกัจจายน์ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้ประโยค 1 ได้รับโปรดเกล้า ฯ จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้อยู่ที่วัดเบญจมบพิตร ต่อมาได้เข้าแปลประโยค 2 และประโยค 3 ได้ สอบได้ประโยค 4 เมื่อพระชันษาได้ 13 ปี ประโยค 5 ถึงประโยค 7 เมื่อพระชันษาได้ 14, 15, 16 ปี ตามลำดับ สอบประโยค 8 ได้เมื่อพระชันษาได้ 19 ปี และประโยค 9 เมื่อพระชันษาได้ 20 ปี ในปี พ.ศ. 2451 === อุปสมบท === ทรงอุปสมบทเป็นนาคหลวงสายเปรียญธรรม ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อปี พ.ศ. 2452 สมเด็จพระวันรัต (ฑิต อุทโย) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธรรมวโรดม (จ่าย ปุณฺณทตฺโต) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระธรรมเจดีย์ (เข้ม ธมฺมสโร) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า "กิตฺติโสภโณ" == ตำแหน่ง == พ.ศ. 2463 เป็นพระคณาจารย์โท ในทางภาษาบาลี พ.ศ. 2468 เป็นเจ้าคณะแขวงกลาง จังหวัดพระนคร พ.ศ. 2470 เป็นเจ้าคณะมณฑลพายัพ พ.ศ. 2471 เป็นเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร และเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม พ.ศ. 2494 เป็นสังฆนายก พ.ศ. 2501 เป็นผู้บัญชาการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ และรักษาการในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช == สมณศักดิ์ == พ.ศ. 2457 เป็นพระราชาคณะที่ พระศรีวิสุทธิวงษ์ พ.ศ. 2466 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชเวที ตรีปิฎกภูษิต ธรรมบัณฑิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2469 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพมุนี ศรีวิสุทธศีลาจารย์ ญาณนายก ตรีปิฎกธรา มหาคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2473 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมโกศาจารย์ สุนทรญาณดิลก ตรีปิฎกธรรมภูษิต ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2482 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองหนกลางที่ พระพรหมมุนี ศรีวิสุทธิญาณนายก ตรีปิฎกธรรมาลังการวิภูษิต มัชฌิมคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี สังฆนายก พ.ศ. 2490 เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระวันรัต ปริยัติพิพัฒนพงศ์ วิสุทธิสงฆปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณสุนทร มหาคณะปธานาดิศร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี พ.ศ. 2503 เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 14 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุสโลภาส ภูมิพลมหาราชอนุศาสนาจารย์ กิตติโสภณาภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตตมโศภน วิมลศีลสมาจารวัตร พุทธศาสนิกบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลคัมภีรญาณสุนทร บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช == พระกรณียกิจ == พระองค์ทรงกระทำกิจทางพระศาสนามาโดยตลอด ด้วยประการต่าง ๆ เป็นอันมาก ตลอดพระชนมชีพ พอประมวลสรุปได้ดังนี้ ด้านการปกครอง เริ่มตั้งแต่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจ้าคณะแขวง เจ้าคณะมณฑล กรรมการเถรสมาคม ประธานคณะบัญชาการคณะสงฆ์ แทนองค์สมเด็จพระสังฆราช สังฆนายก และรักษาการในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ด้านการศึกษา เริ่มตั้งแต่การศึกษาในสำนักวัดเบญจมบพิตร ฯ การศึกษาในมณฑลพายัพ ทั้ง 7 จังหวัด และแขวงกลางจังหวัดพระนคร เป็นกรรมการสอบพระปริยัติธรรมในสนามหลวง เป็นแม่กองบาลีสนามหลวง เป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การศึกษา ด้านการเผยแผ่ มีหนังสือธรรมที่ทรงนิพนธ์ พิมพ์ออกเผยแผ่ เป็นอันมาก เช่น มงคลภาษิต ปราภวภาษิต ศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมทั้งงานพระธรรมเทศนา ในโอกาสต่าง ๆ ที่ได้รับการยอย่องว่า มีสำนวนโวหารง่าย ๆ เป็นที่เข้าใจซาบซึ้ง ด้านการต่างประเทศ ได้เสด็จไปต่างประเทศเพื่อการพระศาสนาหลายครั้ง คือ * พ.ศ. 2482 ไปตรวจการณ์คณะสงฆ์ ไทรบุรี และปีนัง แทนสมเด็จพระสังฆราช * พ.ศ. 2498 เป็นหัวหน้าคณะไปร่วมงานฉัฎฐสังคายนาจตุตถสันนิบาต (สมัยไทย) โดยเป็นประธาน กระทำพิธีเปิดประชุมสังคายนา ณ สหภาพพม่า * พ.ศ. 2499 เป็นหัวหน้าคณะไปร่วมพิธีฉลอง พุทธชยันตี 25 ศตวรรษแห่งพระพุทธศาสนา ณ ประเทศลังกา และไปสังเกตการพระศาสนาในประเทศอินเดีย * พ.ศ. 2501 เป็นหัวหน้าคณะไปเป็นประธานประกอบพิธีบรรจุพระบรมธาตุ ณ วัดบุปผาราม เมืองปีนัง สหพันธรัฐมาลายา * พ.ศ. 2502 เป็นหัวหน้าคณะไปร่วมพิธีฉลองพระพุทธชยันตี 25 ศตวรรษแห่งพระพุทธศาสนา ณ ประเทศญี่ปุ่น และในปีเดียวกันนี้ ได้นำพระสงฆ์ไทยไปอยู่ ณ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย และได้เสด็จไปมนัสการสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ที่อินเดีย * พ.ศ. 2504 เสด็จไปสังเกตการพระศาสนา ในสหรัฐอเมริกา ตามคำทูลอาราธนาของมูลนิธิเอเซีย == ผลงาน == งานด้านวิชาการและงานพิเศษ มีงานสำคัญคือ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับมอบให้เป็นผู้ชำระคัมภีร์อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย 4 คัมภีร์ คือ อรรถกถาอุทาน อิติวุตตก มหานิเทศ และจุลนิเทศ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับมอบให้เป็นผู้ชำระคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย 3 คัมภีร์ คือ มหานิเทศ จุลนิเทศ และชาดก และได้ชำระคัมภีร์ สารัตถทีปนี ฎีกาพระวินัย ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เป็นประธานกรรมาธิการแปลพระไตรปิฎกภาษาบาลีเป็นภาษาไทย จนจบพิมพ์เป็นเล่มได้จำนวน 80 เล่ม เมื่อปี พ.ศ. 2500 เมื่อปี พ.ศ. 2500 ได้เป็นประธานสงฆ์ในงานรัฐพิธีฉลอง 25 พุทธศตวรรษของไทย == สิ้นพระชนม์ == หลังจากเสวยภัตตาหารเพลในงานทำบุญบ้านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2505 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ทรงกลับวัด ถึงเวลา 15.00 น. หลังสรงน้ำ ทรงปวดพระเศียรอย่างรุนแรง พระอุปฐากเชิญแพทย์มาดูพระอาการ พระองค์ตรัสกับแพทย์ได้ไม่กี่คำก็สิ้นพระชนม์ แพทย์ลงความเห็นว่าเส้นพระโลหิตใหญ่ในพระมัตถลุงค์แตก เมื่อเวลา 16.27 น. สิริพระชันษาได้ สำนักนายกรัฐมนตรีประกาศให้สถานที่ราชการลดธงครึ่งเสา 3 วัน และข้าราชการไว้ทุกข์ 15 วัน เพื่อถวายความอาลัย และได้มีพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร == อ้างอิง == เชิงอรรถ บรรณานุกรม สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปลด สังฆนายก เจ้าคณะมณฑล เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เปรียญธรรม 9 ประโยค นาคหลวง ภิกษุในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย บุคคลจากกรุงเทพมหานคร เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
thaiwikipedia
1,551
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อยู่ ญาโณทโย)
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม อยู่ ช้างโสภา ฉายา ญาโณทโย เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ 15 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2506 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 2 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2508 สิริพระชันษา == พระประวัติ == === พระกำเนิด === สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มีพระนามเดิมว่า อยู่ ช้างโสภา (นามสกุลเดิม "แซ่ฉั่ว") ประสูติเมื่อวันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2417 ที่เรือนแพหน้าวัดกัลยาณมิตร อำเภอบางกอกใหญ่ (ในปัจจุบันคือ เขตบางกอกใหญ่) ธนบุรี พระชนกชื่อตรุษ พระชนนีชื่อจันทน์ ทรงรับการศึกษาเบื้องต้นในสำนักของบิดา และพระอาจารย์ช้างที่วัดสระเกศ === อุปสมบท === สมเด็จพระสังฆราช (อยู่) ทรงบรรพชาเป็นสามเณรอยู่วัดสระเกศ จนถึงปีมะเมีย พ.ศ. 2437 จึงทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยสมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธรรมทานาจารย์ (จุ่น) และพระธรรมกิตติ (เม่น) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ === การศึกษา === หลังจากบรรพชาเป็นสามเณร จึงได้ศึกษาภาษาบาลีตามคัมภีร์มูลกัจจายน์กับพระอาจารย์ช้าง และศึกษาในสำนักของพระธรรมกิตติ (เม่น) สำนักสมเด็จพระวันรัตน์ (แดง สีลวฑฺฒโน) และสำนักของพระยาธรรมปรีชา (ทิม) ด้วย พ.ศ. 2433 ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมในสนามหลวง ได้เป็นเปรียญธรรม 3 ประโยค พ.ศ. 2436 สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค พ.ศ. 2441, 2443, 2444 และ 2445 ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรม ได้เป็นเปรียญ 5, 6, 7, 8 และ 9 ประโยคตามลำดับ ทรงเป็นเปรียญ 9 ประโยค เมื่อพระชนมายุ 28 พรรษา และเป็นเปรียญธรรม 9 ประโยครูปแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้รับพระมหากรุณาให้นำรถยนต์หลวงมาส่งถึงอารามเป็นพิเศษ และได้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อได้เปรียญธรรม 9 ประโยคแล้ว พระองค์ก็ทรงดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการสนามหลวง สอบไล่พระปริยัติธรรมตลอดมา == สมณศักดิ์ == พ.ศ. 2451 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระปิฎกโกศล พ.ศ. 2464 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชเวที ตรีปิฎกภูสิต ธรรมบัณฑิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2466 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเวที ตรีปิฎกคุณสุนทรธรรมภูสิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2470 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมเจดีย์ กวีวงศนายก ตรีปิฏกบัณฑิตมหาคณฤศร บวรสังฆารามคามวาสี พ.ศ. 2488 ได้รับสถาปนาสมณศักดิ์เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระธรรมวโรดม บรมญาณอดุลย์ สุนทรนายก ตรีปิฎกคุณาลังการภูสิต สุทธิกิจสาทร มหาคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2496 ได้รับสถาปนาสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลสุนทรนายก ตรีปิฎกวิทยาคุณ วิบุลคัมภีรญาณสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี พ.ศ. 2506 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช มีราชทินนามว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณ ญาโณทยาภิธานสังฆวิสุต พุทธบริษัทคารวสถาน ธรรมปฏิภาณญาณสุนทร บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช == ตำแหน่ง == พ.ศ. 2462, 2468 เป็นแม่กองธรรมสนามจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2464 เป็นแม่กองธรรมสนามจังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. 2465, 2467 เป็นแม่กองธรรมจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. 2467 เป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศ และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะแขวงเหนือ จังหวัดธนบุรี พ.ศ. 2470 เป็นกรรมการเถรสมาคม == พระกรณียกิจ == พระองค์ทรงอุปถัมภ์ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกบาลี และนักธรรม ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น เป็นองค์อุปภัมภ์กิตติมศักดิ์ของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตั้งแต่เริ่มเปิดการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2490 ตลอดมา ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง วัดสระเกศ) จนสำเร็จเรียบร้อยดังที่เห็นอยู่ปัจจุบัน เป็นปูชนียสถานที่เริ่มสร้างมาแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นศรีสง่าแก่กรุงเทพมหานครมาจวบถึงปัจจุบัน == สิ้นพระชนม์ == สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อยู่ ญาโณทโย) สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคเส้นพระโลหิตในพระเศียรอุดตัน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2508 เวลา 02.20 น. สิริพระชันษา สำนักนายกรัฐมนตรีประกาศให้สถานที่ราชการลดธงครึ่งเสาและข้าราชการไว้ทุกข์ 15 วัน และได้รับพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 == อ้างอิง == เชิงอรรถ บรรณานุกรม [พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อยู่ ญาโณทโย) สมเด็จพระสังฆราช วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508] สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ พระธรรมวโรดม พระธรรมเจดีย์ ภิกษุในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เปรียญธรรม 9 ประโยค บุคคลจากเขตบางกอกใหญ่ เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง ชาวไทยเชื้อสายแต้จิ๋ว บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
thaiwikipedia
1,552
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (จวน อุฏฺฐายี)
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม จวน ศิริสม ฉายา อุฎฺฐายี เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 16 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2508 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 7 ปี สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2514 สิริพระชันษา == พระประวัติ == สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มีพระนามเดิมว่า ลำจวน ศิริสม ภายหลังเปลี่ยนพระนามเป็น จวน ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2440 ที่ตำบลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เมื่อพระชันษาได้ 9 ปี ได้เข้ามาศึกษาชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดคฤหบดี จังหวัดธนบุรี จนจบชั้น ป. 3 แล้วกลับภูมิลำเนา ถึงปี พ.ศ. 2452 ทรงจบชั้นมัธยมศึกษา แล้วเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ได้ไม่นานต้องลาออกเพราะประชวรโรคเหน็บชา ถึงปี พ.ศ. 2453 ทรงไปศึกษาอยู่กับพระมหาสมณวงศ์ (แท่น โสมทดฺโต) เจ้าอาวาสวัดมหาสมณารามราชวรวิหาร (วัดเขาวัง) จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นพี่ชายของพระอัยกา (ตา) จนพระองค์มีพระชันษา 16 ปี จึงได้มาศึกษาพระปริยัติธรรมกับพระอริยมุนี (แจ่ม จตฺตสลฺโล) ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม โดยมีพระธรรมปาโมกข์ (ถม วราสโย) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอริยมุนี (แจ่ม จตฺตสลฺโล) เป็นพระสรณคมนาจารย์ และอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2460 โดยมีพระธรรมปาโมกข์ (ถม วราสโย) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระราชกวี (แจ่ม จตฺตสลฺโล) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ระหว่างดำรงสมณเพศได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถในทางวิชาการ โดยเป็นบรรณาธิการหนังสือวารสารรายปักษ์สยามวัด ทำให้พระองค์มีความสามารถในการประพันธ์ต่าง ๆ มีโคลง ฉันท์ เป็นต้น == การศึกษา == พ.ศ. 2460 ทรงอุปสมบทเป็นภิกษุ ในปีเดียวกันนี้ทรงสอบได้นักธรรมชั้นตรี และเปรียญธรรม 3 ประโยค พ.ศ. 2461 สอบได้นักธรรมชั้นโท พ.ศ. 2462, 2464 และ 2465 สอบได้เปรียญธรรม 4,5 และ 6 ประโยค ตามลำดับ พ.ศ. 2466 สอบได้นักธรรมชั้นเอก พ.ศ. 2467, 2470 และ 2472 สอบได้เปรียญธรรม 7,8 และ 9 ประโยค ตามลำดับ == พระสมณศักดิ์ == พ.ศ. 2476 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระกิตติสารมุนี พ.ศ. 2478 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชเวที ตรีปิฎกภูษิต ธรรมบัณฑิต ยติคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี พ.ศ. 2482 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเวที ตรีปิฎกคุณ สุนทรธรรมภูษิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2488 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมปาโมกข์ ยุตโยคญาณดิลก ไตรปิฎกธารี ธรรมวาที ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2490 เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระศาสนโศภน วิมลญาณอดุลย์สุนทรนายก ตรีปิฎกธรรมาลังการภูสิต ธรรมนิตยสาทร อุดมคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2499 เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ จาตุรงคประธานวิสสุต พุทธพจนมธุรสธรรมวาที คัมภีรญาณปริยัติกุสโลภาส ภูมิพลมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์ วิสารศีลาจารวัตร เวไนยบริษัทประสาทกร ธรรมยุติกคณิสสรมหาสังฆนายก พ.ศ. 2508 เป็นสมเด็จพระสังฆราชที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุสโลภาส ภูมิพลมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์ อุฏฐายีภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตตมสาสนโสภณ วิมลศีลขันธสมาจารวัตร พุทธศาสนิกบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลคัมภีรญาณสุนทร บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช == พระกรณียกิจ == พระองค์ได้ประกอบพระกรณียกิจด้านการพระศาสนาเป็นอันมาก พอประมวลได้ดังนี้ === ด้านการศึกษา === ทรงชำนาญในอักษรขอม อักษรพม่า อักษรมอญ และอักษรโรมัน จากการที่ได้ตรวจชำระพระไตรปิฎกบางปกรณ์ ตามที่ได้รับมอบ ซึ่งจะต้องสอบทานอักษรไทยกับต้นฉบับอักษรขอม เกี่ยวกับอักษรพม่า และอักษรโรมัน พ.ศ. 2470 เป็นกรรมการตรวจบาลีไวยากรณ์ในสนามหลวง พ.ศ. 2471 เป็นกรรมการตรวจนักธรรมชั้นโท-เอกในสนามหลวง เป็นกรรมการตรวจบาลี ประโยค 4-5-6 พ.ศ. 2476 เป็นปีที่เริ่มฟื้นฟูกิจการของมหามกุฏราชวิทยาลัยในยุคใหม่ ทรงรับหน้าที่เป็นกรรมการและอนุกรรมการหลายคณะ คือ อนุกรรมการตรวจชำระแบบเรียน เช่น นวโกวาท และ พุทธศาสนสุภาษิต กรรมการอำนวยการหนังสือธรรมจักษุ กรรมการ อุปนายกและนายกกรรมการมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ตลอดมาจนสิ้นพระชนม์ === ด้านการปกครองคณะสงฆ์ === พ.ศ. 2477 เป็นกรรมการคณะธรรมยุต พ.ศ. 2485 เป็นสมาชิกสังฆสภา พ.ศ. 2486 เป็นผู้รักษาการ ในตำแหน่งสังฆนายก แทนสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) วัดบรมนิวาส พ.ศ. 2489 เป็นผู้สั่งการในตำแหน่งสังฆนายก แทนสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) วัดเทพศิรินทราวาส พ.ศ. 2493 เป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การเผยแผ่ ซึ่งมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) เป็นสังฆนายกสมัยที่ 2 พ.ศ. 2494 เป็นสังฆนายก สมัยที่ 1 และสังฆมนตรีว่าการองค์การเผยแผ่ พ.ศ. 2506 เป็นกรรมการเถรสมาคมโดยตำแหน่ง ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 พ.ศ. 2479 กรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ลักษณะปกครองสงฆ์ ฉบับใหม่ พ.ศ. 2503 เป็นสังฆนายก ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2505 เป็นผู้บัญชาการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระสังฆราช === ด้านการต่างประเทศ === เสด็จไปดูการพระศาสนาในประเทศลาว มาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย เนปาล ศรีลังกา ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม ตามคำเชิญของพุทธบริษัทของประเทศนั้น ๆ ทรงไปร่วมงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้แทนสมเด็จพระสังฆราช (วัดเบญจมบพิตร) ไปร่วมประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกที่ ย่างกุ้ง ประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2504 === งานเผยแผ่พระศาสนา === ได้ทรงดำเนินการมาโดยตลอดไปรูปแบบต่าง ๆ พอประมวลได้ดังนี้ พ.ศ. 2476 ทรงร่วมกับคณะมิตรสหาย ตั้งสมาคมพุทธศาสนาขึ้นเป็นครั้งแรก คือ พุทธสมาคม เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา และส่งเสริมการศึกษา พ.ศ. 2477 เป็นพระคณาจารย์เอกทางเทศนา (ธรรมกถึก) พ.ศ. 2479 เป็นกรรมการควบคุมการแปลพระไตรปิฎกภาษาบาลี และ พ.ศ. 2497 เป็นประธานกรรมการจัดรายการแสดงธรรมทางวิทยุในวันธรรมสวนะ == งานพระนิพนธ์ == พ.ศ. 2469 ทรงแปลตติยสมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัย เพื่อใช้เป็นตำรา พ.ศ. 2482 ทรงแต่ง รตนตฺตยปฺปภาวสิทฺธิคาถาแทน รตนตฺตยปฺปภาวาภิยาจนคาถา และได้ใช้สวดในพระราชพิธีต่อมา ยังมีพระนิพนธ์อีกมากกว่า 100 เรื่อง เช่น มงคลในพุทธศาสนา สาระในตัวคน วิธีต่ออายุให้ยืน การทำใจให้สดชื่นผ่องใส และฉันไม่โกรธเป็นต้น และมีพระธรรมเทศนาอีกหลายร้อยเรื่อง ที่สำคัญคือ มงคลวิเศษคาถา ที่แสดงในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา == สิ้นพระชนม์ == สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺฐายี) สิ้นพระชนม์โดยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในท้องที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2514 เวลา 10:05 น. สิริพระชันษา คณะปฏิวัติประกาศให้สถานที่ราชการลดธงลงครึ่งเสา 3 วัน และข้าราชการไว้ทุกข์ 15 วัน เพื่อถวายความอาลัย และได้รับพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ หน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2515 == อ้างอิง == เชิงอรรถ บรรณานุกรม [พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในงานพระราชทานเพลิงพระศพวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2515] สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จวน สังฆนายก สังฆมนตรีว่าการองค์การเผยแผ่ เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร เปรียญธรรม 9 ประโยค บุคคลจากอำเภอบ้านโป่ง เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย ภิกษุจากจังหวัดราชบุรี บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
thaiwikipedia
1,553
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริ)
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม ปุ่น สุขเจริญ ฉายา ปุณฺณสิริ เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ 17 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2515 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ดำรงพระยศอยู่ 1 ปีเศษ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2516 สิริพระชันษาได้ ==พระกำเนิด== สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มีพระนามเดิมว่า ปุ่น สุขเจริญ ประสูติเมื่อวันอังคาร แรม 13 ค่ำ เดือน 4 ปีวอก จ.ศ. 1258 ร.ศ. 115 เวลา 24 นาฬิกาเศษ ตรงกับวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2439 ณ บ้านตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี พระชนกชื่อเน้า สุขเจริญ พระชนนีชื่อวัน สุขเจริญ เป็นบุตรคนที่ 6 ในจำนวนพี่น้อง 8 คน มีพี่เป็นหญิง 4 คน ถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัย พี่คนที่ 5 เป็นชายชื่อเหลือ น้องชายคนที่ 7 ชื่อเป้ง สุขเจริญ และน้องชายคนที่ 8 ชื่อสิ่ว ถึงแก่กรรมไปทั้งหมดแล้ว ==การศึกษาปฐมวัย== พ.ศ. 2445 พระชันษา 6 ปี ศึกษากับพระชนกที่บ้าน จนอ่านหนังสือแบบเรียนเร็วเล่ม 1 - 2 จบแล้ว พระชนกจึงส่งให้เข้าเรียนต่อในโรงเรียนเอกชน เป็นเวลาประมาณหนึ่งปี พ.ศ. 2446 พระชนกนำไปฝากเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์หอม เกสโร (แสงจินดา) ซึ่งเป็นญาติมีศักดิ์เป็นอา ณ วัดสองพี่น้อง ได้เริ่มศึกษาภาษาบาลีด้วยอักษรขอม และมูลกัจจายน์ (หนังสือใหญ่) กับพระอาจารย์หอม เกสโร และพระอาจารย์จ่าง ปุณฺณโชติ (พระครูอุภัยภาดารักษ์) เวลาเย็น ต่อบทสวดมนต์กับพระอาจารย์ที่เรียกว่าต่อหนังสือค่ำ พ.ศ. 2454 พระชันษา 15 ปี พระอาจารย์หอม วัดสองพี่น้อง นำมาฝากพระภิกษุป่วน (ภายหลังย้ายมาอยู่วัดพระเชตุพน และเป็นพระครูบริหารบรมธาตุ เจ้าอาวาสวัดนางชี เขตภาษีเจริญ) ผู้เป็นญาติฝ่ายโยมมารดา ณ วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร ได้ศึกษาอักษรขอมเพิ่มเติมกับพระภิกษุป่วน พ.ศ. 2455 พระชันษา 16 ปี ย้ายมาอยู่กับพระสด (พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ) ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ณ วัดพระเชตุพน ==การบรรพชา - อุปสมบท== พ.ศ. 2455 พระชันษา 16 ปี บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดสองพี่น้อง พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินฺทโชโต) เจ้าอาวาสวัดสองพี่น้อง เจ้าคณะอำเภอสองพี่น้อง เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. 2456 พระชันษา 17 ปี ลาสิกขาจากสามเณร เพราะพระชนกป่วยต้องไปช่วยโยมทำนา พ.ศ. 2457 พระชันษา 18 ปี บรรพชาเป็นสามเณรอีกครั้งหนึ่ง และกลับมาอยู่วัดพระเชตุพนตามเดิม พ.ศ. 2460 พระชันษา 22 ปี อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรบุรี พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินฺทโชโต) วัดสองพี่น้อง เจ้าคณะอำเภอสองพี่น้อง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อโหน่ง อินฺทสุวณฺโณ วัดสองพี่น้อง (ต่อมาเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ตำบลดอนมะดัน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระศากยบุตติยวงศ์ (เผื่อน ติสฺสทตฺโต) ภายหลังเป็นสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2460 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ==ศึกษาปริยัติธรรม== พ.ศ. 2455 ศึกษาภาษาบาลี และนักธรรมในสำนักเรียนวัดพระเชตุพน กับพระศากยบุตติยวงศ์ (เผื่อน ติสฺสทตฺโต) และพระมหาปี วสุตฺตโม พ.ศ. 2456 สอบได้นักธรรมชั้นตรี พ.ศ. 2458 พระชันษา 20 ปี สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค ขณะเป็นสามเณร และได้เข้ารับพระราชทานประกาศนียบัตรและพัดใบตาลใจกลางพื้นแพรเขียวจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พ.ศ. 2462 สอบได้นักธรรมชั้นโท พ.ศ. 2463 สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค พ.ศ. 2466 สอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค พ.ศ. 2470 สอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค ==ศึกษาภาษาต่างประเทศ== พ.ศ. 2462 พระชันษา 25 ปี อุปสมบทได้ 3 พรรษา ศึกษาภาษาอังกฤษกับหลวงประสานบรรณวิทย์ ตลาดนางเลิ้ง ศึกษาภาษาจีนกับนายกมล มะลิทอง ==ดำรงตำแหน่งหน้าที่ในพระอาราม== พ.ศ. 2463 เป็นครูสอนบาลีไวยากรณ์ พ.ศ. 2467 เป็นครูสอนชั้นธรรมบท กอง 1 - 2 และชั้นธรรมบท กอง 3 ซึ่งเป็นชั้นประโยค 3 จนถึง พ.ศ. 2487 นับเวลาเป็นครู 25 ปี พ.ศ. 2484 เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน พ.ศ. 2486 เป็นเจ้าคณะเหนือ วัดพระเชตุพน พ.ศ. 2487 เป็นผู้อำนวยการเทศน์ปุจฉาวิสัชนา ==ดำรงตำแหน่งหน้าที่ทางคณะสงฆ์== 4 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เป็นพระคณาจารย์เอกทางเทศนา 13 มีนาคม พ.ศ. 2486 เป็นเจ้าคณะตรวจการภาคบูรพา (สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด) 3 กันยายน พ.ศ. 2486 เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค 2 (อยุธยา อ่างทอง สระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี นครสวรรค์ พิจิตร กำแพงเพชร สุพรรณบุรี) เป็นกรรมการสังคายนาพระธรรมวินัย พ.ศ. 2487 เป็นพระอุปัชฌาย์ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2488 เป็นสมาชิกสังฆสภา 9 มีนาคม พ.ศ. 2490 เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน 6 มีนาคม พ.ศ. 2491 เป็นสังฆมนตรี (สมัยที่ 1) ซึ่งมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) เป็นสังฆนายก 18 มิถุนายน พ.ศ. 2491 เป็นเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน 31 สิงหาคม พ.ศ. 2491 เป็นกรรมการและเลขาธิการ กรรมการสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการ (ก.ส.พ.) 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2492 เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค 2 (สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด) 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 เป็นสังฆมนตรี (สมัยที่ 2) ซึ่งมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) เป็นสังฆนายก 11 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เป็นสังฆมนตรี (สมัยที่ 3) ซึ่งมีพระศาสนโศภน (จวน อุฏฺฐายี) เป็นสังฆนายก 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 เป็นสังฆมนตรี (สมัยที่ 4) ซึ่งมีสมเด็จพระวันรัต (ปลด กิตฺติโสภโณ) เป็นสังฆนายก 5 ตุลาคม พ.ศ. 2494 เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค 7 (สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม สุพรรณบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์) 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 เป็นสังฆมนตรี (สมัยที่ 5) ซึ่งมีสมเด็จพระวันรัต (ปลด กิตฺติโสภโณ) เป็นสังฆนายก 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 เป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การสาธารณูปการ (สมัยที่ 5) แทนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทฺธสโร) ที่มรณภาพ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 เป็นกรรมการสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการ (ก.ส.พ.) พ.ศ. 2502 - 2508 เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ 12 มกราคม พ.ศ. 2503 เป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การเผยแพร่ (สมัยที่ 6) 31 ตุลาคม พ.ศ. 2504 เป็นกรรมการพิจารณาหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี 1 มกราคม พ.ศ. 2506 เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม 29 มกราคม พ.ศ. 2506 เป็นกรรมการพิจารณาร่างหลักสูตรพระปริยัติธรรม แผนกบาลี เปรียญตรี โท เอก พ.ศ. 2506 - 2507 เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา 20 สิงหาคม พ.ศ. 2508 เป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง และรักษาการในตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก หนเหนือ และหนใต้ 15 มกราคม พ.ศ. 2509 เป็นแม่กองงานพระธรรมทูต 10 - 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช 19 มีนาคม พ.ศ. 2515 เป็นเจ้าคณะนครหลวงกรุงเทพธนบุรี 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ==ดำรงตำแหน่งหน้าที่ในคณะมหานิกาย== พ.ศ. 2490 - เป็นกรรมการสภามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2494 - เป็นประธานกรรมการเจ้าคณะตรวจการภาค (ก.จ.ภ.) พ.ศ. 2500 - เป็นกรรมการอุปถัมภ์กิตติมศักดิ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 27 มีนาคม พ.ศ. 2516 - ตั้งสมัชชามหาคณิสสร และเป็นประธานสมัชชามหาคณิสสร ==ดำรงตำแหน่งหน้าที่ศาสนกิจพิเศษ== พ.ศ. 2483 - เป็นกรรมการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย แผนกพระวินัย พ.ศ. 2492 - เป็นสภานายกสภาพระธรรมกถึก พ.ศ. 2494 - เป็นอนุกรรมการอบรมศีลธรรมและวัฒนธรรมแก่ข้าราชการและประชาชน (ก.อ.ช.) พ.ศ. 2496 - เป็นประธานกรรมการสงฆ์แห่งโรงพยาบาลสงฆ์ พ.ศ. 2497 - เป็นประธานทอดผ้าป่าวันโรงพยาบาลสงฆ์ โดยทรงริเริ่มในนามสภาพระธรรมกถึก, เป็นกรรมการวิทยุกระจายเสียงวันธรรมสวนะ พ.ศ. 2498 - เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการทำนุบำรุงโรงพยาบาลสงฆ์ พ.ศ. 2501 - เป็นประธานกรรมการปรับปรุงตลาดเฉลิมโลก พ.ศ. 2508 - เป็นกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสงฆ์ พ.ศ. 2510 - เป็นประธานจิตตภาวันวิทยาลัย ==เสด็จไปทรงบำเพ็ญศาสนกิจในต่างประเทศ== พ.ศ. 2497 - ประชุมฉัฏฐสังคายนา ประเทศพม่า, สังเกตการณ์พระศาสนา ประเทศกัมพูชา พ.ศ. 2499 - งานฉลองพุทธชยันตี (25 ศตวรรษ) ประเทศศรีลังกา, นมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย และแวะประเทศสิงคโปร์ พ.ศ. 2502 - พิธีเปิดวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย พ.ศ. 2505 - ตั้งผู้ปกครองวัดเชตวัน กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พ.ศ. 2506 - เยี่ยมวัดไทยในรัฐเคดาห์ ปีนัง ประเทศมาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์ พ.ศ. 2509 - เป็นประธานผูกพัทธสีมา วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย และสังเกตการณ์พระพุทธศาสนา ประเทศเนปาล, ตั้งเจ้าอาวาสวัดเชตวัน กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พ.ศ. 2510 - เป็นประธานผูกพัทธสีมา วัดเชตวัน กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พ.ศ. 2511 - งานพระราชทานเพลิงศพ พระนิโครธรรมธาดา ประเทศมาเลเซีย, เยี่ยมวัดพุทธปทีป กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และเสด็จประเทศเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ลักเซมเบอร์ก เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี พ.ศ. 2513 - เป็นผู้แทนคณะสงฆ์แห่งประเทศไทย ในงานถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระสังฆราช ประเทศกัมพูชา พ.ศ. 2515 - เยือนประเทศสหรัฐอเมริกา ตามคำอาราธานาของรัฐบาลอเมริกัน เยือนสำนักวาติกัน กรุงโรม ตามคำอาราธนาของสมเด็จพระสันตปาปา ประมุขแห่งศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก และเยี่ยมวัดพุทธปทีป ประเทศอังกฤษ ผ่านไปเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และสเปน == พระกรณียกิจ == ผลงานของพระองค์ นอกจากที่ได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติงานตามตำแหน่งหน้าที่ และงานพิเศษต่าง ๆ ที่ได้รับมอบอย่างครบถ้วนแล้ว ยังมีงานด้านพระศาสนาที่ทรงริเริ่มพัฒนาอีกเป็นจำนวนมาก กล่าวคือ งานด้านการก่อสร้าง และปฏิสังขรณ์ ก่อสร้างและปฏิสังขรณ์ทั้งปูชนียสถาน เช่น พระอาราม สาธารณสถาน เช่น พิพิธภัณฑ์ โรงเรียน โรงพยาบาล ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเป็นจำนวนมาก งานด้านมูลนิธิ ก่อตั้งและสนับสนุนมูลนิธิ ที่ดำเนินงานด้านธรรม ด้านวิชาการ และการศึกษา และด้านสาธารณูปการ เป็นจำนวนมาก งานด้านพระนิพนธ์ มีพระธรรมเทศนาจำนวนมาก วันสำคัญทางศาสนา ประมวลอาณัติคณะสงฆ์ สารคดี เช่น สู่เมืองอนัตตา พุทธชยันตี เดีย-ปาล (อินเดีย-เนปาล) สู่สำนักวาติกัน และนิกสัน และบ่อเกิดแห่งกุศล คือ โรงพยาบาล เป็นต้น ธรรมนิกาย เช่น จดหมายสองพี่น้อง สันติวัน พรสวรรค์ หนี้กรรมหนี้เวร ไอ้ตี๋ ดงอารยะ เกียรติกานดา คุณนายชั้นเอก ความจริงที่มองเห็น ความดีที่น่าสรรเสริญ อภินิหารอาจารย์แก้ว กรรมสมกรรม งานด้านต่างประเทศ ไปร่วมประชุมฉัฎฐสังคายนาพระไตรปิฎก ณ ประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2497 ไปร่วมงานฉลองพุทธชยันตี (25 พุทธศตวรรษ) ณ ประเทศศรีลังกา เมื่อปี พ.ศ. 2499 นอกจากนี้ยังไป และสังเกตการณ์ พระศาสนาและเยือนวัดไทยในต่างประเทศ อีกเป็นจำนวนมาก ==งานพระนิพนธ์ "สันติวัน" และ "ศรีวัน== นอกจากแต่งและเรียบเรียงพระธรรมเทศนาแล้ว โดยที่สนใจในการประพันธ์มาตั้งแต่ยังเป็นสามเณร โปรดการอ่านหนังสือและสะสมหนังสือต่าง ๆ ทั้งเคยเขียนบทความเกี่ยวกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ในพระนามว่า "ป. ปุณฺณสิริ" ยังนิพนธ์หนังสืออีก 20 กว่าเรื่อง ประเภทวิชาการ เมื่อเป็นเลขาธิการ ก.ส.พ. ได้รวบรวมระเบียบข้อบังคับคณะสงฆ์พิมพ์เป็นเล่ม ชื่อประมวลอาณัติคณะสงฆ์ ประเภทสารคดีบันทึกการเสด็จไปยังที่ต่าง ๆ คือ; สู่เมืองอนัตตา พุทธชยันตี เดีย - ปาล สู่สำนักวาติกัน และนิกสัน ฯลฯ และพระนิพนธ์เรื่องสุดท้าย คือ; บ่อเกิดแห่งกุศลคือโรงพยาบาล ฯลฯ ประเภทธรรมนิยาย เช่น จดหมายสองพี่น้อง สันติวัน พรสวรรค์ หนี้กรรมหนี้เวร ไอ้ตี๋ ดงอารยะ เกียรติกานดา คุณนายชั้นเอก ความจริงที่มองเห็น ความดีที่น่าสรรเสริญ อภินิหารอาจารย์แก้ว จรัมบุญ กรรมสมกรรม ในพระนามสันติวัน หรือศรีวัน ฯลฯ นอกจากนี้ ยังได้เขียนเป็นบทความต่าง ๆ อีกมาก ==การบริหารคณะสงฆ์== สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริ) บริหารการคณะสงฆ์ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ วัดโสธรวราราม และในตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ตามประกาสสถาปนาสมณศักดิ์นั้นแล้ว นอกจากนี้ยังวิตกถึงวัดที่เป็นพระอารามหลวง ซึ่งชำรุดทรุดโทรมเป็นจำนวนมาก ปรารภในที่ประชุมพระสังฆาธิการของกรุงเทพมหานคร มีพระประสงค์จะให้วัดเป็นระเบียบเรียบร้อย เช่น สร้างกำแพงหรือรั้วกั้นเขตวัด เมื่อทุเลาจากการประชวรคราวแรก ได้เสด็จไปตรวจเยี่ยมวัดราชโอรสาราม และวัดชัยพฤกษมาลา ที่ได้ตั้งพระเถระไปเป็นเจ้าอาวาส ในขณะประชวรก็ยังมีพระบัญชาให้พระเถระผู้ใหญ่ออกตรวจเยี่ยมวัดแทนพระองค์ ส่วนในตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีเวลาน้อย ทั้งยังต้องรักษาพระองค์อีกเป็นส่วนมาก ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีพระดำริในการคณะสงฆ์หลายประการ โดยมุ่งประโยชน์สุขและความเจริญแก่ประชาชน ทั้งยังมอบความเป็นอิสระในการบริหารคณะ เช่น เมื่อจะแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมในส่วนคณะมหานิกาย ก็ประชุมหารือกับพระเถระในฝ่ายมหานิกาย ในฝ่ายคณะธรรมยุต ก็หารือกับพระเถระในคณะธรรมยุตก่อน อนึ่ง ดำริถึงพระภิกษุที่ได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ซึ่งได้รับการยกย่องขึ้นเป็นพระครูประทวน จึงขออนุมัติต่อมหาเถรสมาคม ให้สร้างพัดขึ้นถวายเป็นเกียรติยศ ==พระเกียรติคุณพิเศษ== สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) เจริญอยู่ในพรหมวิหารธรรม เป็นครุฐานียอภิปูชนียบุคคล เป็นที่รักที่เคารพบูชาสักการะอย่างยิ่งแห่งปวงชนทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ได้รับยกย่องพระเกียรติคุณเป็นอย่างสูง จึงมีพระนามเป็นพิเศษว่า “สมเด็จป๋า” พระเครื่องและเหรียญพระรูป ที่สร้างขึ้นในวาระต่าง ๆ หรือที่มีผู้มาขออนุญาตพิมพ์เป็นที่ระลึกในงานกุศล ปรากฏว่าเป็นที่นิยมกันมาก ดังนี้ พระเครื่อง "สมเด็จแสน" พิมพ์พระองค์เองเป็นปฐมฤกษ์ มีจำนวน 170,000 องค์ แจกในงานบำเพ็ญพระกุศลพระชันษา 72 ปี พระกริ่ง "สมเด็จฟ้าลั่น" และ "สมเด็จฟ้าแจ้ง" (ธรรมจารี) เททองหล่อในวันคล้ายวันประสูติ พ.ศ. 2515 - 2516 จำนวน 1,700 องค์ เหรียญพระรูป "เหรียญ 60" "เหรียญ 72" "สมเด็จรอบโลก" "เหรียญทรงฉัตร" ทั้งหมดพิมพ์ประมาณ 600,000 เหรียญ วัด ส่วนราชการ องค์การกุศล ที่โปรดอนุญาตให้พิมพ์เหรียญพระรูปเท่าที่รวบรวมได้ 55 แบบพิมพ์ จำนวนประมาณ 1,00,000 เหรียญ เหรียญพระรูปเหรียญสุดท้าย "สมเด็จเพิ่มบารมี" เป็นที่ระลึกในวันครบปีสถาปนา จำนวน 100,000 เหรียญ ==พระสมณศักดิ์== 1 มีนาคม พ.ศ. 2484 พระชันษา 45 ปี พรรษา 24 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระอมรเวที 1 มีนาคม พ.ศ. 2489 พระชันษา 50 ปี พรรษา 29 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสุธี ธรรมปรีชาภิมณฑ์ ปริยัติโกศล ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี 8 มิถุนายน พ.ศ. 2490 พระชันษา 51 ปี พรรษา 30 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเวที ตรีปิฎกคุณ สุนทรธรรมภูษิต ยติคณิสร บวรสังฆาราม คามวาสี 5 ธันวาคม พ.ศ. 2491 พระชันษา 52 ปี พรรษา 31 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมดิลก ศากยปุตติยนายก ตรีปิฎกบัณฑิต ยติคณิสร บวรสังฆาราม คามวาสี 5 ธันวาคม พ.ศ. 2499 พระชันษา 60 ปี พรรษา 39 เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏที่ พระธรรมวโรดม บรมญาณอดุลสุนทรนายก ตรีปิฎกคุณาลังการวิภูสิต สุทธิกิจสาทร มหาคณิสร บวรสังฆาราม คามวาสี 5 ธันวาคม พ.ศ. 2504 พระชันษา 65 ปี พรรษา 44 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระวันรัต ปริยัติพิพัฒนพงศ์ วิสุทธิสงฆ์ปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณสุนทร มหาคณปธานาดิศร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญญวาสี 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 พระชันษา 76 ปี พรรษา 55 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกกลาสุโกสล วิมลคัมภีรญาณ ปุณณสิริภิธานสังฆวิสุทธิ์ ปาวจนุตตมสิกขวโรปการ ศีลขันธสมาจารสุทธิปฏิบัติ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลธรรมวิสารสุนทร บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกองค์ที่ 17 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ==การประชวร== พ.ศ. 2492 ประชวรหนักเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2499 ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ที่ประทับหลบรถโดยสาร ตงลงไปค้างที่คลองข้างวัดศรีสำราญ ถนนเพชรเกษม บาดเจ็บเล็กน้อย ประทับรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลสงฆ์ พ.ศ. 2502 เสด็จประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลสงฆ์โดยปกติ เมื่อประชวร พันโท หลวงนิตย์เวชชวิศิษฏ์ (นิตย์ เปาเวทย์) เป็นผู้ถวายการรักษาเป็นประจำ พ.ศ. 2510 แพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคเบาหวาน ได้รับการรักษาจาก พลตำรวจตรี นายแพทย์ปราโมทย์ ศรศรีวิชัย แห่งเทศบาลกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทราบ จึงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ท่านผู้หญิงศรีจิตรา บุนนาค แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเบาหวาน แห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และนายแพทย์สิโรตม์ บุนนาค เป็นแพทย์ถวายการรักษาพยาบาลประจำพระองค์ ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2510 และได้เสด็จไปประทับ ณ ตึกจงกลนี วัฒนวงศ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อรับการตรวจเป็นประจำทุก ๆ ปี เมื่อ พ.ศ. 2515 ก่อนเสด็จไปต่างประเทศ ก็ได้รับการตรวจพระอาการทั่วไป ต้นเดือนกันยายน พ.ศ. 2515 ได้เสด็จไปรับการตรวจพระอาการ เมื่อตรวจเอกซเรย์ ปรากฏว่าพระปัปผาสะ (ปอด) ข้างซ้ายผิดปกติ จึงต้องเสด็จไปประทับ ณ ตึกจงกลณี วัฒนวงศ์ เพื่อให้คณะแพทย์ตรวจพระอาการโดยละเอียด คณะแพทย์พบว่า ปอดข้างซ้ายเป็นเนื้องอก (มะเร็ง) จำต้องรักษาโดยการผ่าตัดโดยด่วน เมื่อความได้ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะแพทย์ถวายการรักษาในทางที่เห็นว่าดีและปลอดภัยมากที่สุด คณะแพทย์ได้ถวายการผ่าตัดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2515 หลังจากถวายการผ่าตัดแล้ว พระอาการดีขึ้นโดยลำดับ จนเสด็จกลับวัดได้ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศง 2515 คณะแพทย์ได้ถวายคำแนะนำให้ทรงพักรักษาพระองค์อีกสามเดือน ตลอดเวลาที่พักอยู่นั้น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้จัดบุรุษพยาบาลและเจ้าหน้าที่กายภาพบำบัด มาเฝ้าปฏิบัติและถวายการรักษาเป็นประจำ จนเสด็จประชุมมหาเถรสมาคม และเสด็จไปกิจนิมนต์ได้ ครั้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2516 มีพระอาการผิดปกติ แพทย์ประจำพระองค์ได้มาถวายการตรวจและถวายยา วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2516 รู้สึกพระองค์ว่าความจำเสื่อมผิดปกติไปมาก หลังจากที่เสด็จไปแสดงพระธรรมเทศนา ถึงกับรับสั่งว่า ต่อไปคงจะเทศน์ไม่ได้อีกแล้ว ความจำไม่ดี แพทย์ประจำพระองค์ได้กราบทูลอาราธนาให้เสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลเพื่อตรวจพระอาการกำหนดเสด็จไปวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2516 วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 หลังจากทรงทำอุโบสถสังฆกรรมแล้ว คณะแพทย์ได้ตรวจพระอาการ ปรากฏว่า โรคมะเร็งขึ้นสมองด้านซ้าย จึงทำให้พระวรกายซีกขวาอ่อนแรง เคลื่อนไหวไม่ได้ ครั้นเมื่อถวายการรักษาทางยา และฉายรังสีโคบอลท์พระอาการดีขึ้นจนพระหัตถ์ข้างขวาเคลื่อนไหวได้และทรงอักษรได้บ้าง วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ประชวรพระวาโย ต้องเชิญเสด็จประทับห้องฉุกเฉิน ตั้งแต่นั้นมา พระอาการก็มีแต่ทรงกับทรุด วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 มีพระโลหิตออกจากกระเพาะอาหาร คณะแพทย์ต้องถวายการผ่าตัด เมื่อเวลา 23.00 น. หลังจากนั้น พระอาการดีขึ้นเล็กน้อย วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2516 พระอาการน่าวิตก วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2516 เวลา 20.00 น. พระอาการทรุดหนักลง ต่อแต่นั้นมาพระอาการมีแต่ทรุดลงเป็นลำดับ และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2516 เวลา 22.25 น. โดยมีคณะแพทย์ พยาบาล และศาสตราจารย์ นายแพทย์อุดม โปษะกฤษณะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยพระเถรานุเถระ ศิษยานุศิษย์ เฝ้าพระอาการอยู่ตลอดเวลา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในการรักษาพยาบาลตลอดมา และมีคณะแพทย์กราบบังคมทูลถวายรายงานการประชวรให้ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ทุกระยะ ตั้งแต่ยังสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระวันรัต ตราบจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ ==สิ้นพระชนม์== โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้มีแถลงการณ์แจ้งข่าวพระอาการตลอดมาทุกระยะ แถลงการณ์ในการสิ้นพระชนม์ มีดังนี้ "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2516 ด้วยพระอาการเวียนพระเศียร ความจำทรงเสื่อมลง พระวรกายทางซีกขวาอ่อนเคลื่อนไหวไม่ได้ คณะแพทย์ลงความเห็นว่า พระอาการทั่วไปทั้งหมด เนื่องมาจากการที่พระองค์ทรงประชวรเป็นเนื้องอกในปอดข้างซ้าย ซึ่งคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาด้วยรังสีโคบอลท์ พระอาการดีขึ้นบ้าง ต่อมาวันที่ 14 ตุลาคม 2516 มีพระโรคแทรก คือ พระโลหิตออกจากกระเพาะอาหาร คณะแพทย์ได้ถวายการผ่าตัดเพื่อระงับมิให้สูญเสียพระโลหิตทางลำไส้อีก และถวายการผ่าตัดเพื่อมิให้มีพระอาการขึ้นอีก นับตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา พระอาการทางสมองมากขึ้น จนครึ่งพระวรกายซีกขวาเคลื่อนไหวไม่ได้ ทรงมีพระอาการไข้ขึ้นสูงตลอดมา ปอดบวม มีพระอาการทั่วไปอ่อนเพลียลงตามลำดับ ในที่สุดสิ้นพระชนม์ลงเมื่อวันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2516 เวลา 22.25 น. ด้วยพระอาการอันสงบ คณะแพทย์ได้พยายามเยียวยาถวายการรักษาพระองค์อย่างสุดความสามารถจนถึงสิ้นพระชนม์ ในตอนกลางคืน วันสิ้นพระชนม์ มีพระสงฆ์เฝ้าเยี่ยมพระอาการประมาณ 300 รูป คฤหัสถ์ประมาณ 200 คน" ==การพระศพ== พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระศพตามโบราณราชประเพณีทุกประการ วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2516 เวลา 16.00 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาถวายน้ำสรงพระศพ ณ ตึกกวี เหวียนระวี แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระโกศประดิษฐานเหนือชั้นแว่นฟ้าประกอบพระลองกุดั่นใหญ่ แวดล้อมด้วยเครื่องประดับพระเกียรติยศ ณ หอประชุมสงฆ์ วัดพระเชตุพน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมทั้งกลางวัน และกลางคืน รับพระราชทานฉันเช้าวันละ 8 รูป เพลวันละ 4 รูป กำหนด 7 วัน ทั้งได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทานถวาย เมื่อครบ 7 วัน 50 วัน และ 100 วัน พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดการพระราชกุศลออกพระเมรุ และพระราชทานเพลิง วันที่ 22, 23 และ 24 เมษายน พ.ศ. 2517 ในการบำเพ็ญกุศลถวายพระศพนี้ มหาเถรสมาคม คณะสงฆ์ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่าง ๆ ทั่วทุกภาค คณะรัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม สมาคม พ่อค้า ประชาชน ศิษยานุศิษย์ คณะสงฆ์จีน คณะสงฆ์ญวน สมาคมคาทอลิกแห่งประเทศไทย สมาคมศรีคุรุสิงห์สภา สมาคมฮินดูสมาช สมาคมฮินดูธรรมสภา และในต่างประเทศ ก็มีพระภิกษุสงฆ์พร้อมด้วยพุทธบริษัทจากฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ได้โดยเสด็จพระราชกุศลมาจนถึงวันพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ทรงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน องค์ที่ 11 เป็นเวลา 26 ปี 8 เดือน 30 วัน ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 17 เป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน 18 วัน สิริพระชันษา 77 ปี พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2517 == สิ่งอันเนื่องด้วยพระนาม == ==== โรงพยาบาล ==== โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 17 ตั้งอยู่ที่ ต.สองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ==อ้างอิง== ==แหล่งข้อมูลอื่น== เว็บไซต์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ภิกษุในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สังฆมนตรีว่าการองค์การสาธารณูปการ สังฆมนตรีว่าการองค์การเผยแพร่ แม่กองงานพระธรรมทูต เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เปรียญธรรม 6 ประโยค บุคคลจากอำเภอสองพี่น้อง ภิกษุจากจังหวัดสุพรรณบุรี บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
thaiwikipedia
1,554
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ พระนามเดิม วาสน์ ฉายา วาสโน เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ 18 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2517 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงอยู่ในตำแหน่ง 14 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2531 สิริพระชันษา == พระประวัติ == === ประสูติ === สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ มีพระนามเดิมว่ามัทรี นิลประภา ภายหลังเปลี่ยนพระนามเป็น วาสน์ ประสูติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2440 เวลา 19.33 น. ที่ตำบลบ่อโพง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรคนโตของพระชนกผาดและพระชนนีบาง นิลประภา === อุปสมบท === พระองค์ได้บรรพชา ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2455 โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ครั้งทรงกรมหมื่น เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวินัยมุนี(แปลก วุฑฺฒิญาโณ)เป็นพระศีลาจารย์ แล้วอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวินัยมุนี(แปลก วุฑฺฒิญาโณ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระญาณดิลก (รอด วราสโย) วัดเสนาสนาราม พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "วาสโน" === การศึกษา === เมื่ออุปสมบทแล้วได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้ตามลำดับดังนี้ พ.ศ. 2458 นักธรรมชั้นตรี พ.ศ. 2459 สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค (ได้รับพระราชทานพัดใบตาลพื้นแพรเขียวประดับเลื่อม เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2460 ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน) พ.ศ. 2461 สอบได้นักธรรมชั้นโท พ.ศ. 2470 สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค == ลำดับสมณศักดิ์ == พ.ศ. 2465 เป็นพระครูฐานานุกรมในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัตน์ ที่ พระครูโฆสิตสุทธสร พ.ศ. 2466 เป็นพระครูฐานานุกรมในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัตน์ ที่ พระครูธรรมธร และพระครูวิจิตรธรรมคุณ ตามลำดับ พ.ศ. 2477 เป็นพระราชาคณะปลัดซ้ายฐานานุกรมในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ที่ พระจุลคณิศร สัทธรรมนิติธรมหาเถราธิการ คณกิจบรรหารธุรการี สมุหบดีศรีธรรมภาณกาจารย์ พ.ศ. 2489 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชกวี นรสีหพจนปิลันธน์ คันถรจนาบัณฑิต ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2490 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพโมลี ตรีปิฎกธาดา มหากถิกสุนทร ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2492 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมปาโมกข์ ยุตตโยคญาณดิลก ไตรปิฎกธารี ธรรมวาที ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2500 เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ญาณวิสุทธิจริยาปริณายก ตรีปิฎกคุณาลังการ นานานสถานราชคมนีย์ สาธุการีธรรมากร สุนทรศีลาทิขันธ์ พ.ศ. 2506 เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุล สุนทรนายก ตรีปิฎกวิทยาคุณ วิบุลคัมภีรญาณสุนทร ธรรมิกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี พ.ศ. 2517 เป็นสมเด็จพระสังฆราชที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกคัมภีรญาณ วาสนภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตตมโสภณ ภัทรผลสาธารณูปกร ชินวรวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุลศีลสมาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช ภายหลังการสิ้นพระชนม์ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 ทรงได้รับการสถาปนาพระอัฐิเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ ธรรมาภรณคุณวิจิตรปฏิภาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกคัมภีรญาณบัณฑิต วชิราลงกรณนริศหิโตปัธยาจารย์ วาสนภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตตมพิศาล นิทัศนนิทานนิพนธปรีชา ปาวจนุตตมโสภณ ภัทรผลสาธารณูปการ วิมลศีลสมาจารวัตรสุนทร สรรพคณิศรมหาสังฆาธิบดี ศรีสมณุดมบรมบพิตร == พระกรณียกิจ == === งานพระศาสนา === พระองค์ได้บริหารงานพระศาสนา ในการคณะสงฆ์มาโดยตลอดเป็นอันมาก พอประมวลได้ดังนี้ พ.ศ. 2481 เป็นกรรมการคณะธรรมยุต พ.ศ. 2485 เป็นกรรมการมหามงกุฎราชวิทยาลัย เป็นคณาจารย์เอกทางรจนาพระคัมภีร์ และเป็นสมาชิกสภาสังฆสภา พ.ศ. 2486 เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะตรวจการภาคกลาง และภาค 2 เป็นเจ้าคณะอำเภอพระนคร และเป็นกรรมการการสังคายนาพระธรรมวินัย พ.ศ. 2491 เป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และเป็นเจ้าคณะตรวจการณ์ภาค 1 พ.ศ. 2493 เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าองค์การสาธารณูปการ ซึ่งมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) เป็นสังฆนายก พ.ศ. 2494 เป็นเจ้าคณะธรรมยุต ผู้ช่วยภาค 1-2-6 และเป็นเจ้าคณะจังหวัด พระนคร-สมุทรปราการ และนครสวรรค์ พ.ศ. 2494 เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าองค์การสาธารณูปการ ซึ่งมีพระศาสนโศภน (จวน อุฏฺฐายี) เป็นสังฆนายก พ.ศ. 2498 เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าองค์การสาธารณูปการ ซึ่งมีสมเด็จพระวันรัต (ปลด กิตฺติโสภโณ) เป็นสังฆนายก พ.ศ. 2503 เป็นสังฆมนตรีว่าองค์การสาธารณูปการ ซึ่งมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฺฐายี) เป็นสังฆนายก พ.ศ. 2504 เป็นผู้รักษาการณ์ในตำแหน่งเจ้าคณะธรรมยุต ภาค 1-2-6 และเป็นอุปนายกกรรมการมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ นายกกรรมการและนายกสภาการศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ประธานการศึกษาของคณะสงฆ์ ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ประธารกรรมการมูลนิธิส่งเสริมกิจการศาสนา และมนุษยธรรม เป็นองค์อุปถัมภ์ในกิจการด้านการพระศาสนา และการสงเคราะห์ในด้านต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เช่น มูลนิธิสังฆประชานุเคราะห์ สัมมาชีวศิลปมูลนิธิ ศูนย์และชมรมพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถร) สถานสงเคราะห์คนชราวาสนเวศน์ และมูลนิธิสมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถร) เป็นต้น === งานเผยแผ่ศาสนธรรม === งานเผยแผ่ศาสนธรรม นับว่าเป็นงานหลักที่ทรงกระทำเป็นพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบต่าง ๆ กล่าวคือ การสังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชำระพระไตรปิฎก ในการสมัยสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี นับเป็นครั้งที่ 3 ของประเทศไทย การบรรยายธรรม ได้จัดให้มีพระธรรมเทศนาประจำวันธรรมสวนะในพระอุโบสถเป็นประจำ การบรรยายสวดมนต์มีคำนำแปล ณ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ประจำวันพระแรม 8 ค่ำ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 ถึง พ.ศ. 2517 การตรวจเยี่ยมพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศทั้ง 73 จังหวัด เพื่อรับทราบปัญหาต่าง ๆ ที่จะได้นำมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไป การแต่งหนังสือและบทความต่าง ๆ เพื่อสอนพระพุทธศาสนาในระดับต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก === งานสาธารณูปการ === งานสาธารณูปการ การตั้งมูลนิธิต่างๆ เพื่อบำรุงพระอาราม ทรงสร้างและให้ความอุปถัมภ์ในการสร้างวัด โรงเรียน โรงพยาบาล และสาธารณสถานต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เช่น วัดแสงธรรมสุทธาราม จังหวัดนครสวรรค์ วัดโพธิทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาคารเรียนโรงเรียนประชาบาลวัดสระกะเทียม นครปฐม โรงเรียนประชาบาลวัดโพธิ์ทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถระ) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศาลาบำเพ็ญบุญ วัดเสนาสนาราม หอนาฬิกา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศาลาที่พักริมทางหลวง 8 แห่ง ศาลาทรงไทยหน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร 2 หลัง และสถานสงเคราะห์คนชราวาสนเวศน์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สิ่งก่อสร้างสุดท้ายคือ โรงเรียนวัดราชบพิธแห่งใหม่ ในที่ดินที่กองทัพบกยกให้ เนื่องในวโรกาสพระชนมายุครบ 90 พรรษา งานสร้างพุทธมณฑล ให้สำเร็จเสร็จทันในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 5 รอบ ในปี พ.ศ. 2530 เป็นผลงานสำคัญของพระองค์ที่เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 === งานพระนิพนธ์ === งานพระนิพนธ์ ทรงนิพนธ์หนังสือและบทความต่าง ๆ ทั้ง ร้อยแก้ว และร้อยกรองไว้เป็นจำนวนมาก เช่น ทิศ 6 สังคหวัตถุ 4 สัมปรายิกัตถประโยชน์ วัดของบ้าน พุทธศาสนคุณ พัฒนาใจ บุคคลหาได้ยาก มรดกชีวิต ความเติบโต วาสนาสอนน้อง จดหมายถึงพ่อ วาทแห่งวาสน์ คำกลอนสอนใจ วาสนคติ นิราศ 2 ปี สวนดอกสร้อย สักวาปฏิทิน กลอนปฏิทิน อาจารย์ดี สมพรปาก คน-ระฆัง เรือ-สมาคม วัยที่เขาหมดสงสาร และบทความเรื่องบันทึกศุภาสินี เป็นต้น == สิ้นพระชนม์ == สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (วาสนมหาเถร) สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคพระปับผาสะอักเสบ พระหทัยวาย ณ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2531 เวลา 16.50 น. วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2532 เวลา 16.30 น. พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ไปในการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (วาสน์ วาสโน) ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส ประดิษฐานพระอัฐิ ณ พระวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ในปี พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาพระอัฐิของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (วาสน์ วาสโน) ในฐานะพระราชอุปัธยาจารย์เมื่อครั้งทรงผนวช ขึ้นเป็น "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ" ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น ถวายกางกั้นพระรูปบรรจุพระสรีรางคาร ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แบ่งพระอัฐิบรรจุลงพระโกศทองคำ เชิญมาประดิษฐานในหอพระนาก วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเป็นที่ทรงสักการบูชาและทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายในพระฐานะพระบุพการีทางธรรมสืบไป == อ้างอิง == เชิงอรรถ บรรณานุกรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต สังฆมนตรีว่าการองค์การสาธารณูปการ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เปรียญธรรม 4 ประโยค บุคคลจากโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย บุคคลจากอำเภอนครหลวง เสียชีวิตจากโรคปอดบวม เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว ภิกษุจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
thaiwikipedia
1,555
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร พระนามเดิม เจริญ คชวัตร ฉายา สุวฑฺฒโน (3 ตุลาคม พ.ศ. 2456 – 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556) เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2535ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ถือเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์แรกที่มีพระชันษามากกว่าพระสังฆราชในอดีตและเป็นพระองค์แรกของไทยที่มีชันษา100 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต == พระประวัติ == === ขณะทรงพระเยาว์ === สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร มีพระนามเดิมว่า เจริญ คชวัตร ประสูติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2456 ที่ตำบลบ้านใต้ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เป็นบุตรคนโตของพระชนกน้อย คชวัตร และพระชนนีกิมน้อย คชวัตร พระองค์มีน้องชาย 2 คน ได้แก่ นายจำเนียร คชวัตร และนายสมุทร คชวัตร พระชนกของพระองค์ป่วยเป็นโรคเนื้องอกและเสียชีวิตไปตั้งแต่พระองค์ยังเล็ก หลังจากนั้น พระองค์ได้มาอยู่ในความดูแลของนางกิมเฮ้ง หรือกิมเฮงซึ่งเป็นพี่สาวของพระชนนีกิมน้อยที่ได้ขอพระองค์มาเลี้ยงดู และนางกิมเฮ้งจึงตั้งชื่อหลานชายผู้นี้ว่า "เจริญ" พระชนกน้อย คชวัตร เป็นบุตรคนที่สามจากทั้งหมดสี่คนของเล็ก กับแดงอิ่ม คชวัตร เป็นหลานปู่-หลานย่าของหลวงพิพิธภักดี ผู้เคยเป็นข้าราชการชาวกรุงเก่า กับนางจีนผู้ภริยาหลวงพิพิธภักดีเป็นหลานยายของท้าวเทพกระษัตรี ส่วนพระชนนีกิมน้อย หรือน้อย ซึ่งเคยเปลี่ยนชื่อเป็นแดงแก้วนั้น มีบิดาเป็นคนเชื้อสายจีนคือนายเฮงเล็ก แซ่ตั๊น กับมารดาเชื้อสายญวนชื่อนางทองคำ ครั้นนายเฮงเล็กถึงแก่กรรม นางทองคำจึงสมรสใหม่กับนายสุข รุ่งสว่าง มีบุตรด้วยกัน 4 คน เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนประชาบาล วัดเทวสังฆาราม จนจบชั้นประถม 5 (เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2 ในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ. 2468 ในขณะที่มีพระชันษา 12 ปี หลังจากนั้น ทรงไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรต่อและไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหน ทรงเล่าว่า "เมื่อเยาว์วัยมีพระอัธยาศัยค่อนข้างขลาด กลัวต่อคนแปลกหน้า และค่อนข้างจะเป็นคนติดป้าที่อยู่ ใกล้ชิดกันมาแต่ทรงพระเยาว์โดยไม่เคยแยกจากกันเลย" จึงทำให้พระองค์ไม่กล้าตัดสินพระทัยไปเรียนต่อที่อื่น === บรรพชาและอุปสมบท === เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์นั้นทรงเจ็บป่วยออดแอดอยู่เสมอ โดยมีอยู่คราวหนึ่งที่ทรงป่วยหนักจนญาติ ๆ ต่างพากันคิดว่าคงไม่รอดแล้วและได้บนไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะให้บวชเพื่อแก้บน แต่เมื่อหายป่วยแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ได้บวช จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถม 5 แล้ว พระองค์จึงได้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อแก้บนในปี พ.ศ. 2469 ขณะมีพระชันษาได้ 14 ปี ที่วัดเทวสังฆาราม โดยมีพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทฺธโชติ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระครูนิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) เจ้าอาวาสสวัดศรีอุปลาราม เป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล ภายหลังบรรพชาแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษา และได้มาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม หลังจากนั้น พระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) พระอุปัชฌาย์ได้พาพระองค์ไปยังวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และนำพระองค์ขึ้นเฝ้าถวายตัวต่อสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร (ต่อมาคือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์) เพื่ออยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงได้รับประทานนามฉายาจากสมเด็จพระสังฆราชว่า “สุวฑฺฒโน” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เจริญดี” จนกระทั่งพระชันษาครบอุปสมบทจึงทรงเดินทางกลับไปอุปสมบทที่วัดเทวสังฆารามเมื่อ พ.ศ. 2476 ภายหลังจึงได้เดินทางเข้ามาจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เพื่อทรงศึกษาพระธรรมวินัยและที่วัดบวรนิเวศวิหารนี่เอง พระองค์ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทซ้ำในธรรมยุติกนิกายเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2477) โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเทพเมธี (จู อิสฺสรญาโณ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ === การศึกษาพระปริยัติธรรม === พระองค์ทรงเริ่มเรียนพระปริยัติธรรมตามคำชักชวนของพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทฺธโชติ) พระอุปัชฌาย์ ที่ตั้งใจจะให้พระองค์กลับมาสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามและจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมเตรียมไว้ให้ โดยพระอุปัชฌาย์นำพระองค์ไปฝากไว้กับพระครูสังวรวินัย (อาจ) เจ้าอาวาสวัดเสน่หา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2470 แล้วจึงเริ่มเรียนภาษาบาลีโดยมีพระเปรียญจากวัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร เป็นอาจารย์สอน หลังจากนั้น จึงเดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงสอบได้นักธรรมชั้นตรีได้เมื่อ พ.ศ. 2472 และทรงสอบได้นักธรรมชั้นโทและเปรียญธรรม 3 ประโยค ในปี พ.ศ. 2473 พระองค์ทรงตั้งพระทัยอย่างมากในการสอบเปรียญธรรม 4 ประโยค แต่ผลปรากฏว่าทรงสอบตก ทำให้ทรงรู้สึกท้อแท้และคิดว่า "คงจะหมดวาสนาในทางพระศาสนาเสียแล้ว" แต่เมื่อทรงคิดทบทวนและไตร่ตรองดูว่าทำไมจึงสอบตก ก็ทรงตระหนักได้ว่าเหตุแห่งการสอบตกนั้นเกิดจากความประมาทโดยแท้ กล่าวคือ ทรงทำข้อสอบโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบด้วยสำคัญผิดว่าตนรู้ดีแล้ว ทั้งยังมุ่งอ่านเฉพาะเนื้อหาที่เก็งว่าจะออกเป็นข้อสอบเท่านั้น ซึ่งพระองค์ทรงพบว่าเป็นวิธีการเรียนที่ไม่ถูกต้องเพราะไม่ทำให้เกิดความรู้อย่างแท้จริง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์สอบตก เมื่อพระองค์ทรงตระหนักได้ดังนี้แล้วจึงทรงเปลี่ยนมาใช้วิธีเรียนแบบสม่ำเสมอและทั่วถึง พระองค์จึงสอบได้ทั้งนักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 4 ประโยค ในปี พ.ศ. 2475 หลังจากนั้น พระองค์ทรงกลับไปสอนพระปริยัติธรรมที่โรงเรียนเทวานุกูล วัดเทวสังฆาราม เพื่อสนองพระคุณพระเทพมงคลรังษีเป็นเวลา 1 พรรษา แล้วจึงทรงกลับมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารเพื่อทรงศึกษาพระปริยัติธรรมต่อไป โดยทรงสอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค โดยในระหว่างที่ทรงอยู่วัดบวรนิเวศวิหารนั้น พระองค์ก็ยังคงกลับไปช่วยสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามอยู่เสมอ พระองค์ยังทรงศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ในปี พ.ศ. 2484 === การปฏิบัติหน้าที่ด้านคณะสงฆ์ === หลังจากที่พระองค์สอบได้เปรียญธรรม 9 แล้ว พระองค์ทรงเริ่มงานอันเกี่ยวเนื่องกับคณะสงฆ์อีกมากมาย ซึ่งนอกเหนือจากเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมแล้ว พระองค์ยังเป็นผู้อำนวยการศึกษาสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหารซึ่งมีหน้าที่จัดการศึกษาของภิกษุสามเณรทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลี รวมทั้งทรงเป็นสมาชิกสังฆสภาโดยตำแหน่งในฐานะเป็นพระเปรียญ 9 ประโยค ต่อมา เมื่อมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2488 พระองค์ทรงรับหน้าที่เป็นกรรมการสภาการศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัย รวมทั้ง เป็นพระวินัยธรชั้นอุทธรณ์และรักษาการพระวินัยธรชั้นฎีกาในกาลต่อมา นอกจากนี้ ยังทรงเป็นเลขานุการในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์อีกด้วย เมื่อมีพระชันษาได้ 34 ปี พระองค์ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ พระโศภนคณาภรณ์ โดยพระองค์ได้รับเลือกจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ให้เป็นพระอภิบาลของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรในระหว่างที่ผนวชเป็นพระภิกษุและเสด็จประทบ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2499 ต่อมา ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นธรรม ที่ พระธรรมวราภรณ์ โดยราชทินนามทั้ง 2 ข้างต้นนั้นเป็นราชทินนามที่ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานแก่พระองค์เป็นรูปแรก ในปี พ.ศ. 2504 พระองค์ได้รับตำแหน่งเป็นผู้รักษาการเจ้าคณะธรรมยุตภาคทุกภาคและเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร ในปีเดียวกันนี้เองพระองค์ได้รับการสถาปนาที่ พระสาสนโสภณ พระองค์เข้ารับตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 นอกจากนั้น ยังได้ทรงนิพนธ์ผลงานทางวิชาการ เอกสาร และตำราด้านพุทธศาสนาไว้มากมาย === สมเด็จพระสังฆราช === พ.ศ. 2515 พระองค์ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร ซึ่งเป็นราชทินนามที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้ตั้งขึ้นใหม่สำหรับพระราชทานสถาปนาสมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร) พระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2359 ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร จึงเป็นตำแหน่งพิเศษที่โปรดพระราชทานสถาปนาแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระเท่านั้น เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ สมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้นสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2531 ทำให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในราชทินนามเดิมคือ สมเด็จพระญาณสังวร ซึ่งราชทินนามดังกล่าวนับเป็นราชทินนามพิเศษ กล่าวคือ สมเด็จพระสังฆราชที่มิได้เป็นพระบรมวงศานุวงศ์นั้น โดยปกติจะใช้ราชทินนามว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ บางพระองค์ ครั้งนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งครั้งมีการใช้ราชทินนาม สมเด็จพระญาณสังวร สำหรับสมเด็จพระสังฆราชเพื่อเป็นการยกย่องพระเกียรติคุณทางวิปัสสนาธุระของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ === ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช === ในช่วงที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช มีศาสนกิจที่จะต้องเสด็จไปต่างประเทศ พระองค์จะมีพระบัญชาแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช โดยเมื่อครั้งพระองค์เสด็จประเทศจีนอย่างเป็นทางการ ตามคำกราบทูลอาราธนาของทบวงศาสนกิจ ประเทศจีน และเสด็จปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศเนปาล พระองค์มีพระบัญชาแต่งตั้งให้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช นอกจากนี้ เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศอินเดีย พระองค์มีพระบัญชาแต่งตั้งสมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ช่วงปี พ.ศ. 2547 หลังจากที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ประชวรและประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เข้าร่วมงานพระศาสนาไม่สะดวก มหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรปกครองคณะสงฆ์ ได้แต่งตั้งให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชได้มีพระบัญชาว่า “ทราบและเห็นชอบ” เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2547 ต่อมา การแต่งตั้งนั้นได้สิ้นสุดลงเพราะครบระยะเวลาที่กำหนด มหาเถรสมาคมจึงได้แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อบริหารกิจการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช โดยประกอบด้วยพระราชาคณะ รวม 7 รูป จากพระอาราม 7 วัด โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ในฐานะมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ทำหน้าที่ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช === สิ้นพระชนม์ === สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สิ้นพระชนม์เนื่องจากการติดเชื้อในพระกระแสโลหิต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.30 น. วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยยศในเวลานั้น) เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ไปในการพระราชพิธีถวายน้ำสรงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ ตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร อนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทราบฝ่าละอองทุลีพระบาทด้วยความเศร้าสลดพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก 15 วัน นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ถึงวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 และโปรดถวายพระโกศกุดั่นใหญ่ทรงพระศพ ประดิษฐานพระศพไว้ ณ ตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร และถวายเกียรติตามราชประเพณีทุกประการ เมื่อถึงวาระที่จะพระราชทานเพลิงพระศพอันเป็นปัจฉิมวาระแห่งการพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดถวายพระโกศทองน้อยทรงพระศพโดยอนุโลมตามโบราณราชประเพณี มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น กางกั้นพระโกศ ถวายเป็นเครื่องเพิ่มเติมพระเกียรติยศให้ปรากฏสืบไป วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.30 น. พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยยศในเวลานั้น) เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ไปในการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส ประดิษฐานพระอัฐิ ณ ตำหนักเดิม วัดบวรนิเวศวิหาร และประดิษฐานพระสรีรางคาร ณ พระวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศวิหาร ในปี พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาพระอัฐิของสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในฐานะพระราชกรรมวาจาจารย์เมื่อครั้งทรงผนวช ขึ้นเป็น "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร" ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น ถวายกางกั้นพระรูปบรรจุพระสรีรางคาร ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แบ่งพระอัฐิบรรจุลงพระโกศทองคำ เชิญมาประดิษฐานในหอพระนาก วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเป็นที่ทรงสักการบูชาและทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายในพระฐานะพระบุพการีทางธรรมสืบไป == พระกรณียกิจ == === ด้านการพระศาสนาในต่างประเทศ === พระองค์ได้เป็นกำลังสำคัญในการดำเนินการมาโดยลำดับ ดังนี้ พ.ศ. 2509 ในฐานะประธานกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตในต่างประเทศ ได้เสด็จไปเป็นประธานสงฆ์ ในพิธีเปิดวัดพุทธประทีป ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และดูกิจการพระธรรมทูตในประเทศอังกฤษและอิตาลี พ.ศ. 2511 เสด็จไปดูการพระศาสนา วัฒนธรรม และการศึกษาในประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ อันเป็นผลให้ต่อมาได้มีการวางแผนร่วมกับชาวพุทธอินโดนีเซีย ในอันที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศนั้น และได้ส่งพระธรรมทูตชุดแรกไปยังอินโดนีเซีย เมื่อปี พ.ศ. 2512 ได้ส่งพระภิกษุจากวัดบวรนิเวศ ออกไปปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี พ.ศ. 2516, และตั้งสำนักสงฆ์ในปี พ.ศ. 2518 พ.ศ. 2514 เสด็จไปดูการพระศาสนา และการศึกษาในประเทศเนปาล และอินเดีย ปากีสถาน ตะวันออก (บังคลาเทศ) ทำให้เกิดงานฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในเนปาล ในขั้นแรก ได้ให้ทุนภิกษุ สามเณรเนปาลมาศึกษาพระพุทธศาสนาในไทย ที่วัดบวรนิเวศฯ พ.ศ. 2520 เสด็จไปบรรพชาชาวอินโดนีเซีย จำนวน 43 คน ที่เมืองสมารัง ตามคำอาราธนาของคณะสงฆ์เถรวาทอินโดนีเซีย พ.ศ. 2528 ทรงเป็นประธานคณะสงฆ์ ไปประกอบพิธีผูกพัทธสีมาอุโบสถ วัดจาการ์ต้าธรรมจักรชัย ณ ประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นการผูกพันธสีมาอุโบสถวัดพระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นครั้งแรกของประเทศอินโดนีเซีย และในปีเดียวกันนี้ ได้เสด็จไปเป็นประธานบรรพชากุลบุตรศากย แห่งเนปาล จำนวน 73 คน ณ กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล พ.ศ. 2536 เสด็จไปเจริญศาสนาสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน เป็นครั้งแรก ที่ประเทศจีน ตามคำกราบทูลอาราธนาของรัฐบาลจีน พ.ศ. 2538 เสด็จไปเป็นประธาน วางศิลาฤกษ์วัดไทย ณ ลุมพินี ประเทศเนปาล ซึ่งรัฐบาลไทยจัดสร้างถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี === ด้านสาธารณูปการ === ได้ทรงบูรณะซ่อมสร้างเสนาสนะ และถาวรวัตถุอันเป็นสาธารณประโยชน์เป็นจำนวนมาก กล่าวคือ ปูชนียสถาน: ได้แก่ มณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง พระเจดีย์ วัดบวรนิเวศวิหาร พระบรมธาตุ เจดีย์ศรีนครินทรมหาสันติคีรี ดอยแม่สลอง พระอาราม ได้แก่ วัดสันติคีรี ดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย วัดรัชดาภิเศก อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี วัดล้านนาสังวราราม อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ วัดพุมุด อำเภอไทรโยค กาญจนบุรี วัดญาณสังวราราม อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี นอกจากนั้นยังทรงอุปถัมภ์วัดไทยในต่างประเทศอีกหลายแห่งคือ วัดพุทธรังสี นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย วัดจาการ์ตาธรรมจักรชัย กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย วัดนครมณฑปศรีกีรติวิหาร เมืองกิรติปูร เนปาล โรงเรียน: ได้แก่ โรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ยโสธร โรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต กาญจนบุรี โรงพยาบาล: ได้แก่ การสร้างตึกวชิรญาณวงศ์ ตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบาร และตึก ภปร. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต จังหวัดกาญจนบุรี, โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี, และโรงพยาบาลสกลมหาสังฆปรินายก เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์ แด่สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทุกพระองค์ รวม 19 แห่ง ได้เริ่มก่อสร้างไปแล้วหลายแห่ง === พระภารกิจ === พ.ศ. 2484 เป็นสมาชิกสังฆสภาโดยตำแหน่ง เป็นกรรมการสังคายนาพระธรรมวินัย และเป็นผู้อำนวยการศึกษาสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. 2489 เป็นพระวินัยธรชั้นอุทธรณ์ และเป็นกรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. 2493 เป็นกรรมการเถรสมาคม คณะธรรมยุต ประเภทชั่วคราว พ.ศ. 2494 เป็นกรรมการอำนวยการมหามงกุฎราชวิทยาลัย และเป็นกรรมการแผนกตำราของมหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. 2496 เป็นกรรมการตรวจชำระ คัมภีร์ฎีกา พ.ศ. 2497 เป็นกรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุตประเภทถาวร พ.ศ. 2499 เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชซึ่งทรงพระผนวชและเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระธรรมวราภรณ์ และรักษาการวินัยธรชั้นฎีกา พ.ศ. 2501 เป็นกรรมการคณะธรรมยุติ และเป็นกรรมการมูลนิธิส่งเสริมกิจการพระศาสนา และมนุษยธรรม (ก.ศ.ม.) พ.ศ. 2503 เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครอง สั่งการองค์การปกครองฝ่ายธรรมยุต พ.ศ. 2504 เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นผู้อำนวยการมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นประธานกรรมการสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นผู้รักษาการณ์เจ้าคณะธรรมยุตภาคทุกภาค และเป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. 2506 เป็นกรรมการเถรสมาคม ซึ่งเป็นกรรมการชุดแรก ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 พ.ศ. 2515 เป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานครและสมุทรปราการ พ.ศ. 2517 เป็นประธานกรรมการคณะธรรมยุต พ.ศ. 2521 เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ในพระราชพิธีทรงผนวช พันตรี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พ.ศ. 2528 เป็นรองประธานกรรมการสังคีติการสงฆ์ ในการสังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชำระพระไตรปิฎก และเป็นสังฆปาโมกข์ปาลิวิโสธกะพระวินัยปิฎก เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2531 รักษาการเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เป็นนายกกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย และเป็นนายกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย == พระนิพนธ์ == ทรงนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก ทั้งที่เป็นตำรา พระธรรมเทศนา และทั่วไป พอประมวลได้ดังนี้: ประเภทตำรา ทรงเรียบเรียง วากยสัมพันธ์ ภาค 1-2 สำหรับใช้เป็นหนังสือประกอบ การศึกษาของนักเรียนบาลี และทรงอำนวยการจัดทำ ปทานุกรม บาลี ไทย อังกฤษ สันสกฤต ฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ประเภทพระธรรมเทศนา มีอยู่เป็นจำนวนมาก เท่าที่พิมพ์เป็นเล่มแล้ว เช่น: ปัญจคุณ 5 กัณฑ์ ทศพลญาณ 10 กัณฑ์ มงคลเทศนา โอวาทปาฏิโมกข์ 3 กัณฑ์ สังฆคุณ 9 กัณฑ์ ประเภทงานแปลเป็นภาษาต่างประเทศ ทรงริเริ่มและดำเนินการให้แปลตำราทางพุทธศาสนา จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อใช้ในการศึกษาพระพุทธศาสนา เช่น: นวโกวาท วินัยมุข พุทธประวัติ ภิกขุปาติโมกข์ อุปสมบทวิธี ทำวัตรสวดมนต์ ประเภททั่วไป มีอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น: การนับถือพระพุทธศาสนา หลักพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านล้ำเลิศ 45 พรรษาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสั่งสอนอะไร (ไทย-อังกฤษ) วิธีปฏิบัติตนให้ถูกต้องทางธรรมะ พระพุทธศาสนากับสังคมไทย เรื่องกรรม ศีล (ไทย-อังกฤษ) แนวปฏิบัติในสติปัฎฐาน อาหุเณยโย อวิชชา สันโดษ หลักธรรมสำหรับการปฏิบัติอบรมจิต การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่ บัณฑิตกับโลกธรรม แนวความเชื่อ บวชดี บุพการี-กตัญญูกตเวที คำกลอนนิราศสังขาร ตำนานวัดบวรนิเวศ วิธีสร้างบุญบารมี แสงส่องใจ ความซับซ้อนของกรรม พุทธวิธีแก้หลง == พระเกียรติยศ == === ลำดับสมณศักดิ์ === พ.ศ. 2490 พระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระโศภณคณาภรณ์ พ.ศ. 2495 พระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามเดิม พ.ศ. 2498 พระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม พ.ศ. 2499 พระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมวราภรณ์ บรมนริศรธรรมนีติสาธก ตรีปิฎกคุณวิภูสิต ธรรมวิทิตคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2504 รองสมเด็จพระราชาคณะ มีราชทินนามตามจารึกในหิรัญบัฏว่า พระสาสนโสภณ วิมลญาณสุนทร บรมนริศรธรรมนีติสาธก ตรีปิฎกธรรมาลังการวิภูสิต ธรรมยุตติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2515 สมเด็จพระราชาคณะ มีราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศรธรรมนีติสาธก ตรีปิฎกปริยัตติธาดา สัปตวิสุทธิจริยาสมบัติ อุดมศีลจารวัตรสุนทร ธรรมยุตติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี 21 เมษายน พ.ศ. 2532 ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศรธรรมนีติภิบาล อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัตติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต ปาวจนุตตมพิสาร สุขุมธรรมวิธานธำรง วชิรญาณวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดี คามวาสี อรัณยวาสี สมเด็จพระสังฆราช ===== ภายหลังการสิ้นพระชนม์ ===== 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 ทรงได้รับการสถาปนาพระอัฐิเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร วชิราลงกรณราชาภินิษกรมณาจารย์ สุขุมธรรมวิธานธำรง อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ สุวัฑฒนภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตตมพิสาร วชิรญาณวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร สรรพคณิศรมหาสังฆาธิบดี ศรีสมณุดมบรมบพิตร === ตำแหน่งที่ได้รับการถวาย === ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา (Supreme Holiness of World Buddhism) อันเป็นตำแหน่งที่ได้รับการทูลถวายจากผู้นำชาวพุทธโลกจาก 32 ประเทศเข้าร่วมประชุมสุดยอดพุทธศาสนิกชนแห่งโลก ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2555 ในฐานะที่ทรงได้รับการเคารพอย่างสูงสุด รวมทั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกแห่งประเทศไทย ผู้สอนพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทุกคนปฏิบัติธรรมตั้งอยู่ในพระปัญญาธรรมและพระกรุณาธรรมนำ ไปสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองมีพระบารมีปกแผ่ไพศาลไปทั่วราชอาณาจักรไทยและทั่วโลก นับเป็นแบบอย่างของสากลโลก ซึ่งเป็นการมอบตำแหน่งนี้เป็นครั้งแรกของโลก === ปริญญากิตติมศักดิ์ === พระองค์ได้รับการถวายปริญญากิตติมศักดิ์จากสถาบันการศึกษา ดังต่อไปนี้ พ.ศ. 2529: ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2532: อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. 2533: พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2537: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญาและศาสนา จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2538: การศึกษาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2539: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2540: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาภาษาไทย จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. 2543: ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาปรัชญาและศาสนา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2545: ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาไทศึกษา จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ. 2547: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี พ.ศ. 2548: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม พ.ศ. 2554: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต พ.ศ. 2556: ศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา จากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ==สถานที่เนื่องด้วยพระนาม== โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 (เจริญ สุวฑฺฒโน) จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี โรงพยาบาลญาณสังวร เชียงราย โรงพยาบาลญาณสังวร ชลบุรี ตึก 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จังหวัดกาญจนบุรี อาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) สภากาชาดไทย วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี อาคารสมเด็จพระญาณสังวร โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 (เจริญ สุวฑฺฒโน) จังหวัดกาญจนบุรี ศูนย์สุขภาพพระสงฆ์ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 ตำบลวังด้ง อำเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี == งานฉลองพระชันษา 96 ปี (8 รอบ) == 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงเจริญพระชันษาครบ 96 ปี รัฐบาลจัดให้มีการบำเพ็ญกุศล และงานฉลองเนื่องในโอกาสมงคลนี้ == งานฉลองพระชันษา 100 ปี == งานแสดงมุทิตาจิต ฉลองพระชันษา 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในวันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ณ ตึกวชิรญาณ-สามัคคีพยาบาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เวลา 08.00 น. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เสด็จฯ ออกทรงรับบาตรจากศิษยานุศิษย์ และ ประชาชนทั่วไป เวลา 09.00 น. ศิลปิน ดารา นักร้อง ที่จะมาร่วมรณรงค์รับบริจาคเงิน เพื่อโดยเสด็จพระกุศล สมเด็จพระสังฆราชให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรและรับประทานเกียรติบัตร และออกรณรงค์รับบริจาคตามคลินิกผู้ป่วยนอก / หอผู้ป่วยพิเศษ / สำนักงาน เวลา 11.00 น. ถวายภัตตาหารเพล ณ ตึกวชิรญาณ สามัคคีพยาบาร ชั้น 5 เวลา 13.00 น. การบรรยายพิเศษ “ใส่บาตรอย่างไร ได้บุญ ไกลโรค” ณ ห้องประชุมเฉลิม พรมมาส ตึก อปร. เวลา 13.30 น. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงรับน้ำสรงพระราชทาน จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และบรมวงศานุวงศ์ทุก พระองค์ เนื่องในงานฉลองพระชันษา 100 ปี เวลา 15.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เป็นองค์ประธานทอดผ้าป่าสามัคคี 84,000 กอง เวลา 15.30 - 16.45 น. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช โปรดฯ ให้ศิษยานุศิษย์และประชาชนทั่วไปเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพร เวลา 17.00 น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์แสดงมุทิตาจิตฉลองสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องในงานฉลองพระชันษา 100 ปี เวลา 18.00 น. พิธีลาบวชเนกขัมมบารมี 101 คน == พงศาวลี == == อ้างอิง == เชิงอรรถ บรรณานุกรม == แหล่งข้อมูลอื่น == สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง สังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครอง เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เปรียญธรรม 9 ประโยค ชาวไทยเชื้อสายจีน ชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม ชาวไทยที่มีอายุเกิน 100 ปี ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย บุคคลจากอำเภอเมืองกาญจนบุรี เสียชีวิตจากภาวะพิษเหตุติดเชื้อ ภิกษุจากจังหวัดกาญจนบุรี บุคคลในประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
thaiwikipedia
1,556
เครื่องเอนิกมา
เอนิกมา (ENIGMA) เป็นเครื่องเข้ารหัสซึ่งถูกพัฒนาขึ้นในช่วงต้นถึงกลางศตวรรษที่ 20 ใช้ในการป้องกันความลับในการลื่อสาร ทั้งในทางการทูต, การทหาร, การพาณิชย์ เครื่องเข้ารหัสนี้ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายที่สุดในวงการทหารและรัฐบาลของนาซีเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง วิศวกรชาวเยอรมัน อาร์ทัวร์ เชอร์บิอุส เกิดแนวคิดในการสร้างเครื่องมือเข้ารหัสลับปีค.ศ. 1918 ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ประดิษฐ์และเปิดตัวเครื่องนี้ในปีค.ศ. 1923 ภายใต้ชื่อ Enigma ในช่วงแรกถูกใช้งานในการสื่อสารทางพาณิชย์ และต่อมาก็ถูกนำไปใช้ในกองทัพและระบบรัฐบาลของหลายประเทศ ที่โดดเด่นที่สุดคือในนาซีเยอรมนี ทั้งก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เครื่องเอนิกมามีอยู่ด้วยกันหลายรุ่น แต่รุ่นสำหรับแวร์มัคท์เป็นที่โด่งดังที่สุด เครื่องเอนิกมาของเยอรมันมีจุดเด่นตรงที่การเข้ารหัสและถอดรหัสที่มีการสลับซับซ้อนทำให้ยากต่อการแกะรหัสมาก ความน่าจะเป็นที่จะเดาออกได้มีเพียงหนึ่งใน 158.962 ล้านล้านล้านรูปแบบ (เทียบเท่า 67 บิต) จนทำให้กองทัพเยอรมันเชื่อไม่มีโอกาสเลยที่ศัตรูจะถอดรหัสได้ อย่างไรก็ตาม ประเทศอังกฤษและฝ่ายสัมพันธมิตรได้พยายามหาทางถอดรหัสเครื่องเอนิกมาได้ จนกระทั่งแอลัน ทัวริง นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษสามารถถอดรหัสเครื่องอินิกมาได้สำเร็จ ทำให้ประเทศอังกฤษและฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถเอาชนะเยอรมนีได้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ==อ้างอิง== วิทยาการเข้ารหัสลับ
thaiwikipedia
1,557
ชวน หลีกภัย
ชวน หลีกภัย (เกิด 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2481) เป็นนักการเมืองชาวไทย เคยดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาไทยและประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 20 รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีหลายกระทรวง ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตรัง 11 สมัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ 6 สมัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยตั้งแต่สภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 10 ถึง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26 ระยะเวลานับถึงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566 รวม 38 ปี 8 เดือน == ประวัติและครอบครัว == ชวน หลีกภัย เกิดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 ที่ตำบลท้ายพรุ (ปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลทับเที่ยง) อำเภอเมือง จังหวัดตรัง เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวน 9 คน ของนิยม กับถ้วน หลีกภัย เมื่อยังเด็ก ชวนมีชื่อเรียกในครอบครัวว่า "เอียด" หมายถึง เล็ก เนื่องจากเป็นคนรูปร่างเล็ก ชวนจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมวัดควนวิเศษมูลนิธิ และโรงเรียนศิลปศึกษาเตรียมมหาวิทยาลัยศิลปากร และนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2505 มีบุตรชายกับภักดิพร สุจริตกุล หนึ่งคน คือ สุรบถ หลีกภัย == การทำงาน == ชวนเริ่มทำงานเป็นทนายความ ต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตรังสังกัดพรรคประชาธิปัตย์สมัยแรกในปี 2512 และได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในหลายรัฐบาล ชวนขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2534 ในเหตุการณ์ 6 ตุลา ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์พร้อมกับรัฐมนตรีในพรรคประชาธิปัตย์อีก 2 คน คือ ดำรง ลัทธพิพัฒน์ และสุรินทร์ มาศดิตถ์ == นายกรัฐมนตรีสมัยแรก == การเลือกตั้งเมื่อเดือนกันยายน 2535 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พรรคประชาธิปัตย์ชนะได้ที่นั่งมากที่สุดในสภา โดยได้ ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 79 ที่นั่ง ชนะพรรคชาติไทยที่ได้ 77 ที่นั่ง ชวนตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคความหวังใหม่, พรรคเอกภาพ, พรรคพลังธรรมและพรรคกิจสังคมโดยพรรคชาติพัฒนาเข้าร่วมคณะรัฐมนตรีหลังพรรคความหวังใหม่ออกจากรัฐบาลในช่วงปลายปี 2537 ในระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรก (23 กันยายน พ.ศ. 2535 - 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) รัฐบาลชวน 1 มีนโยบายที่โดดเด่น อาทิ การเร่งรัดการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การขยายช่องทางจราจรหลักเป็น 4 ช่องจราจรทั่วทั้งประเทศ สร้างรางรถไฟรางคู่ในพื้นที่ที่มีความพร้อม เริ่มศึกษาการใช้รถไฟฟ้าในประเทศไทย โครงการนมโรงเรียน ริเริ่มกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) ส่งเสริมการกระจายอำนาจโดยผลักดันพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลขึ้นทั่วประเทศ และจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นครั้งแรก รัฐบาลชวนสมัยแรกได้มาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อสมาชิกคณะรัฐมนตรีไปมีส่วนในเอกสารโครงการปฏิรูปที่ดิน สปก. 4-01 ซึ่งมีการจำหน่ายในจังหวัดภูเก็ต เกิดการวิจารณ์จากสาธารณะและสื่ออย่างหนัก จึงเป็นประเด็นที่ฝ่ายค้านนำโดย นายบรรหาร ศิลปอาชา ผู้นำฝ่ายค้าน หยิบเป็นประเด็นหลักในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและได้กำหนดวันลงมติคือวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 ปรากฏว่าพรรคพลังธรรมซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเห็นว่ารัฐบาลตอบคำถามในการอภิปรายไม่ไว้วางใจคลุมเครือไม่ชัดเจน ทางพรรคจึงได้มีมติงดออกเสียงให้รัฐบาล ทำให้ผลการประชุมของพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลืออยู่จึงเห็นตรงกันให้มีการยุบสภา นายชวนในฐานะนายกรัฐมนตรีจึงประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2538 == นายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง == ดำรงตำแหน่งระหว่าง วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 - 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ชวน หลีกภัย ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สอง โดยรับช่วงต่อหลังจากพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากเกิดปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนักจนต้องลอยตัวค่าเงินบาท ชวนได้แต่งตั้งคณะทำงานด้านเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือจนได้รับความเชื่อถือและเห็นชอบจากสถาบันการเงินนานาชาติและสหรัฐอเมริกา มุ่งไปสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อีกทั้งรัฐบาลผสมก็เอาชนะความพยายามของฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้ชวนจะไม่ใช่นักการเมืองที่น่าดึงดูดใจ แต่ก็ได้รับการสนับสนุนและไว้วางใจ เพราะถูกมองว่าซื่อสัตย์ มุ่งปฏิรูประบอบประชาธิปไตยและขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวง การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สอง ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เคารพกติกาประชาธิปไตย เนื่องจากรัฐบาลจัดตั้งขึ้น โดยกลุ่มของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเดิมสนับสนุนให้พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ดำรงตำแหน่งแทน โดยการสนับสนุนของพรรคความหวังใหม่ (125 คน) พรรคชาติพัฒนา (52 คน) พรรคประชากรไทย (18 คน) และ พรรคมวลชน (2 คน) รวม 197 เสียง ส่วนฝ่ายค้านเดิมนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ (123 คน) ร่วมกับพรรคชาติไทย (39 คน) พรรคเอกภาพ (8 คน) พรรคพลังธรรม (1 คน) พรรคไท (1 คน) และพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ได้แก่ พรรคกิจสังคม (20 คน) และพรรคเสรีธรรม (4 คน) สนับสนุนชวน หลีกภัย ด้วยเสียงทั้งสิ้นรวม 196 เสียง ซึ่งน้อยกว่าฝ่ายรัฐบาล 1 เสียง การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของชวน หลีกภัย ก่อให้เกิดกลุ่มการเมืองชื่อ กลุ่มงูเห่า หมายถึง สมาชิกพรรคประชากรไทย 12 คนที่สนับสนุนรัฐบาลโดยคำชวนของพลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ จนถูกพรรคประชากรไทยขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรค และส่งผลให้สิ้นสุดสถานภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามกฎหมาย กลุ่มงูเห่าทั้ง 12 คน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่ามติดังกล่าวเป็นมติที่ไม่ชอบ ขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 12 คน ยังคงสถานภาพ และหาพรรคใหม่สังกัด นอกจากกรณีกลุ่มงูเห่าแล้ว ยังมีกรณีรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลที่ได้รับการตัดสินว่ามีความผิดทางการเมืองอีก 2 ท่าน ได้แก่ นายรักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยนายรักเกียรติ สุขธนะ (พรรคชาติไทย) ได้รับคำพิพากษาตัดสินจาก ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้จำคุกเป็นเวลา 5 ปี ฐานเรียกรับสินบนบริษัทยา ทีเอ็น พี เฮลท์ แคร์ จำกัด ซึ่งนับว่าเป็นรัฐบาลชุดแรกที่รัฐมนตรีร่วมรัฐบาล ได้รับโทษถึงที่สุดให้จำคุกจากการทุจริตในระหว่างการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล นอกจากนี้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ของรัฐบาลนายชวน หลีกภัยและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้รับคำพิพากษาจากศาลรัฐธรรมนูญ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จากการรายงานบัญชีทรัพย์สินตกหล่น แม้ว่าชวนจะได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่มือสะอาด จนได้รับฉายา Mr. Clean (นายสะอาด) แต่รัฐบาลเขาเต็มไปด้วยกรณีอื้อฉาวและข่าวลือการฉ้อราษฎร์บังหลวง โดยรักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถูกตั้งข้อหาว่ารับสินบน 5 ล้านบาทจากบริษัทยาแห่งหนึ่งและบังคับให้โรงพยาบาลของรัฐซื้อยาราคาสูงเกินจริง == เชิงอรรถ == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == ข้อมูล ชวน หลีกภัย จากเว็บไซต์รัฐบาลไทย เว็บไซต์ส่วนตัวของ ชวน หลีกภัย หนังสือเย็นลมป่า ผลงานชิ้นเอกที่เขียนเรื่องและวาดรูปประกอบด้วยตนเอง บันทึกเรื่องจริง! เหตุการณ์บางเสี้ยวชีวิต ชวน หลีกภัย บุคคลจากอำเภอเมืองตรัง ชาวไทยเชื้อสายฮกเกี้ยน พุทธศาสนิกชนชาวไทย สกุลหลีกภัย ทนายความชาวไทย นักการเมืองไทย นายกรัฐมนตรีไทย ประธานรัฐสภาไทย ประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไทย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไทย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรไทย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตรัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยแบบบัญชีรายชื่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยแบบสัดส่วน บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลา นักการเมืองที่เป็นแนวร่วมกปปส. หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาธิปัตย์ บุคคลจากคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร บุคคลจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช. ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม. ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.จ.ว. (ฝ่ายหน้า)
thaiwikipedia
1,558
บรรหาร ศิลปอาชา
บรรหาร ศิลปอาชา (19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 – 23 เมษายน พ.ศ. 2559) เป็นนักการเมืองชาวไทย นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 21 อดีตประธานกรรมการมูลนิธิบรรหาร-แจ่มใส ศิลปอาชา อดีตประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี 11 สมัย อดีตนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา อดีตนายกสภาสถาบันการพลศึกษา อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหศรีชัยก่อสร้าง จำกัด และอดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ทั้งเป็นพี่ชายของชุมพล ศิลปอาชา อดีตรองนายกรัฐมนตรี == ประวัติ == ตามทะเบียนราษฎร บรรหารเกิดวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2475 แต่บางแหล่งว่าเกิดวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 บรรหารเป็นชาวตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เดิมมีชื่อว่า เต็กเซียง แซ่เบ๊ (馬德祥) มีชื่อเล่นว่า "เติ้ง" บิดาของบรรหาร คือ เซ่งกิม แซ่เบ๊ ส่วนมารดาของบรรหาร คือ สายเอ็ง แซ่เบ๊ เป็นเจ้าของร้านสิ่งทอชื่อ ย่งหยูฮง ทั้งคู่มีบุตร 6 คน ดังนี้ตามลำดับ สมบูรณ์ ศิลปอาชา, สายใจ ศิลปอาชา, อุดม ศิลปอาชา, บรรหาร ศิลปอาชา, ดรุณี วายากุล, และชุมพล ศิลปอาชา บรรหารสมรสกับคุณหญิงแจ่มใส ศิลปอาชา มีบุตร 3 คน กัญจนา ศิลปอาชา (หนูนา) ภัคณีรัศ ศิลปอาชา (เดิมชื่อปาริชาติ) (ยุ้ย) วราวุธ ศิลปอาชา (ท็อป) สมรสกับสุวรรณา ไรวินท์ บรรหารจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาที่จังหวัดสุพรรณบุรี เข้ากรุงเทพฯ มาเรียนหนังสือชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัฒนศิลป์วิทยาลัย แต่ต้องหยุดเรียนไป เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง หันไปทำงานกับพี่ชาย และก่อตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างเป็นของตัวเองชื่อ บริษัท สหศรีชัยก่อสร้าง เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2496 พ.ศ. 2505 ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด นทีทอง และ พ.ศ. 2508 ก่อตั้งบริษัทวารทิพย์ จำกัด ต่อมาก่อตั้งบริษัท บี.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ขายเคมีภัณฑ์ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2513 ใน พ.ศ. 2523 ครอบครัวบรรหารได้ก่อตั้งบริษัท สหศรีชัยเคมิคอลส์ จำกัด เพื่อขายเคมีภัณฑ์ ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท คอสติกไทย จำกัด บริษัททั้งหมดเป็นตัวแทนจำหน่ายคลอรีนให้แก่กรมโยธาธิการและการประปาส่วนภูมิภาคจนมีฐานะดีขึ้น ใน พ.ศ. 2515 เขาเป็นผู้ร่วมทุนก่อตั้ง หนังสือพิมพ์บ้านเมือง อีกด้วย ต่อมาเมื่อเป็นนักการเมืองแล้ว ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมระหว่าง วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2519 ถึงวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2519 และระหว่าง วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 จึงเริ่มเรียนหนังสือต่อจนจบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อ พ.ศ. 2529 และศึกษาต่อปริญญาโทนิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน สำนักข่าวอิศรารายงานว่า เขาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีฐานะร่ำรวยรองจากทักษิณ ชินวัตร หากเปรียบเทียบกับนายกรัฐมนตรี 10 คน คือ ชวน หลีกภัย, พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ, พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์, สมัคร สุนทรเวช, สมชาย วงศ์สวัสดิ์, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เขายังเป็นอาของนคร ศิลปอาชา ซึ่งได้ตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงานภายหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2558 และได้รับตำแหน่งประธานคณะกรรมการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ตั้งแต่ วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2560 == การศึกษา == มัธยม ม.6 โรงเรียนประทีปวิทยาลัย จ.สุพรรณบุรี ประกาศนียบัตรการบัญชี โรงเรียนกรุงเทพการบัญชีวิทยาลัย ปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปริญญาโท นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปริญญากิตติมศักดิ์ ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา ใน พ.ศ. 2553 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ได้มอบปริญญาครุศาสตรอุตสาหกรรมบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ให้แก่บรรหารอีกด้วย ระหว่างที่บรรหารเรียนที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงอยู่นั้น บรรหารเคยเรียนกับนายวิษณุ เครืองามด้วย == บทบาททางการเมือง == บรรหารเข้าสู่วงการเมืองจากการชักชวนของบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ ตั้งแต่มีการก่อตั้งพรรคชาติไทยเมื่อ พ.ศ. 2517 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติใน พ.ศ. 2516 และเป็นสมาชิกวุฒิสภา ใน พ.ศ. 2518 ก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ พ.ศ. 2519 และ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาทุกสมัยที่มีการเลือกตั้ง ต่อมาบรรหารขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคชาติไทยใน พ.ศ. 2523 และในปีเดียวกันนั้น เขาถูกพินิจ จันทรสุรินทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง และคณะรวม 42 คน ยื่นคำร้องต่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยว่า เขาขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากมีบิดาเป็นคนต่างด้าว และสำเร็จการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย แต่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีมติให้ยกคำร้องดังกล่าว ต่อมาใน พ.ศ. 2537 บรรหารได้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคชาติไทย และเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย === การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี === ตลอดเวลาที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บรรหารได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในหลายกระทรวง ใน พ.ศ. 2519 ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีสมัยแรก คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช จนกระทั่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากนายกรัฐมนตรีลาออก และได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งเดิม อีกสมัยหนึ่ง แต่ดำรงตำแหน่งเพียง 12 วัน และได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณเพียงวันเดียวก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากการรัฐประหารของพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (3 มีนาคม พ.ศ. 2523 – 4 มีนาคม พ.ศ. 2524) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (5 สิงหาคม พ.ศ. 2529 – 3 สิงหาคม พ.ศ. 2531) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ (4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 – 9 มกราคม พ.ศ. 2533) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ (9 มกราคม พ.ศ. 2533 – 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ (14 ธันวาคม พ.ศ. 2533 – 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลพลเอก สุจินดา คราประยูร (7 เมษายน พ.ศ. 2535 – 9 มิถุนายน พ.ศ. 2535) === พฤษภาทมิฬ === ก่อนเกิดเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ บรรหาร ศิลปอาชา เลขาธิการพรรคชาติไทย เป็นตัวแทนพรรคชาติไทย ในฐานะ พรรคร่วมรัฐบาลให้สัญญาว่าจะแถลงถึงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อมาบรรหาร และตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาล ออกโทรทัศน์ ปฏิเสธ เรื่องดังกล่าว ทำให้เกิดการชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาลและนำไปสู่เหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ในที่สุด === การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี === ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2538 บรรหาร ศิลปอาชา ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกของพรรคได้รับเลือกตั้งมากที่สุด ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทำให้บรรหาร ได้ดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ของประเทศไทย พร้อมควบตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อีกตำแหน่งหนึ่งระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2538 ถึง พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 รัฐบาลบรรหาร มีผลงานที่โดดเด่น อาทิเช่น การริเริ่มการปฏิรูปการเมืองโดยให้มีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 จัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ รับมือเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2538 การจัดพระราชพิธีกาญจนาภิเษก การนำประเทศเข้าสู่เวทีประชาคมโลก เช่น การเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษ ในโอกาสครบรอบ 50 ปีสหประชาชาติ ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 5 การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป (ASEM) การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังมีการจัดงานแสดงเกษตรและอุตสาหกรรมโลก พ.ศ. 2538 (WORLDTECH’ 95 THAILAND) การบริหารราชการแผ่นดินในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขา ดำเนินไปด้วยความไม่ราบรื่น จนกระทั่งในวันที่ 18-20 กันยายน พ.ศ. 2539 เขาถูกพรรคฝ่ายค้าน นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายไม่ไว้วางใจโจมตีว่าการบริหารประเทศไร้ประสิทธิภาพ ไม่เป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ ประกอบกับพรรคร่วมรัฐบาลได้แก่ พรรคความหวังใหม่ พรรคนำไทย และพรรคมวลชน ได้ขอให้เขาลาออกจากตำแหน่ง แต่เขาได้ตัดสินใจยุบสภา เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2539 แทน บรรหารมีสมญานามมากมาย จากลักษณะเด่นหลายประการ เช่น มีฐานเสียงหนาแน่นอย่างที่สุดในจังหวัดสุพรรณบุรี มีสถานะเป็นเจ้าถิ่นจนได้สมญาว่า "มังกรสุพรรณ" หรือ "มังกรการเมือง" และเนื่องจากมีลักษณะคล้าย เติ้งเสี่ยวผิง อดีตผู้นำจีน สื่อมวลชนจึงนิยมเรียกบรรหารสั้น ๆ ว่า "เติ้ง" หรือ "เติ้งเสี่ยวหาร" และ"ปลาไหล" เนื่องจากเป็นคนพลิกพลิ้วว่องไว ลื่นไหลไปกับทุกสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี === บทบาทหลังการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี === ในการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2548 พรรคชาติไทยซึ่งใช้คำหาเสียงว่า "สัจจะนิยม สร้างสังคมให้สมดุล" บรรหารในฐานะหัวหน้าพรรคได้ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า จะไม่ขอร่วมรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อีก ถ้าพรรคไทยรักไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ในวิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2548–2553 พรรคชาติไทยได้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน และร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคมหาชน คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ก่อนการเลือกตั้งในปลาย พ.ศ. 2550 ไม่นาน ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไปร่วมกับพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มอำนาจเก่าจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ บรรหารตอบว่า "จะไม่ทำให้ผู้ใหญ่ที่นับถือมา 30 ปี ผิดหวัง" ซึ่งบรรหารไม่ได้บอกว่าเป็นใคร แต่สาธารณชนก็ตีความว่า หมายถึง พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ หลังการเลือกตั้งปรากฏว่า บรรหารและพรรคชาติไทยก็ไปเข้าร่วมกับพรรคพลังประชาชนจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรค ได้ออกมาโจมตีและแฉพฤติกรรมบรรหารเป็นการใหญ่ บรรหารรวมทั้งวราวุธและกัญจนาถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นระยะเวลาทั้งหมด 5 ปี เนื่องจากการยุบพรรคชาติไทย ซึ่งขณะนั้นบรรหารดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 มีผู้พบระเบิดที่ที่ทำการพรรคชาติไทยเพื่อเป็นการข่มขู่ที่มีข่าวว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคชาติไทยพัฒนาจะสนับสนุนอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย ธันวาคม พ.ศ. 2551ต่อมาในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 พรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยชุมพล ศิลปอาชาได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาและ ธีระ วงศ์สมุทรเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใน พ.ศ. 2554 พรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเนื่องจากทั้งสองพรรคมีความเป็นศัตรูกันอย่างชัดเจนโดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่างประกาศพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อใช้กับนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามส่งผลให้เกิดคดี นักการเมืองจากทั้งสองพรรค ถูกศาลออกหมายจับ ในข้อหาทำผิดกฎหมายดังกล่าวจำนวนมาก ในขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนาได้ผลประโยชน์จากการร่วมงานกับทั้งสองพรรคกล่าวคือ ชุมพล ศิลปอาชาได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาและธีระ วงศ์สมุทรเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใน พ.ศ. 2556 เขาอาสาทำงานเป็น ผู้ประสานงานคณะทำงานเวทีปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ให้แก่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเข้าพบ สนธิ ลิ้มทองกุล และ จำลอง ศรีเมือง ในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556 เขายืนยันว่าพรรคชาติไทย ไม่ได้ทำผิดและไม่สมควรถูกยุบพรรค ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา ลำดับที่ 1 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรียกเขารายงานตัวตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 23/2557 เขาไปรายงานตัวในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 === ประวัติการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. === การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2519 จังหวัดสุพรรณบุรี สังกัด พรรคชาติไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2526 จังหวัดสุพรรณบุรี สังกัด พรรคชาติไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2529 จังหวัดสุพรรณบุรี สังกัด พรรคชาติไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2531 จังหวัดสุพรรณบุรี สังกัด พรรคชาติไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มีนาคม พ.ศ. 2535 จังหวัดสุพรรณบุรี สังกัด พรรคชาติไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป กันยายน พ.ศ. 2535 จังหวัดสุพรรณบุรี สังกัด พรรคชาติไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2538 จังหวัดสุพรรณบุรี สังกัด พรรคชาติไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2539 จังหวัดสุพรรณบุรี สังกัด พรรคชาติไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2544 จังหวัดสุพรรณบุรี สังกัด พรรคชาติไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2548 จังหวัดสุพรรณบุรี สังกัด พรรคชาติไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2550 จังหวัดสุพรรณบุรี สังกัด พรรคชาติไทย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 แบบบัญชีรายชื่อ สังกัด พรรคชาติไทยพัฒนา == อนิจกรรม == วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559 เกิดภาวะภูมิแพ้และหอบหืดกำเริบ จึงนำส่งโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ อาการวิกฤติตั้งแต่วันแรกที่เข้ารักษา จนถึงแก่อนิจกรรมด้วยภาวะดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 04:42 นาฬิกา รวมอายุ มีพิธีพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส == รางวัลและเกียรติยศ == บรรหาร ศิลปอาชา ได้รับพระราชทานยศกองอาสารักษาดินแดนเป็น นายกองใหญ่บรรหาร ศิลปอาชา เมื่อ พ.ศ. 2533 == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == บรรหาร ศิลปอาชา ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ดังนี้ พ.ศ. 2500 – 80px เหรียญงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ === เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ === * พ.ศ. 2539 - 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญไมเคิลและจอร์จ ชั้นที่ 1 (GCMG) == อ้างอิง == วีรชาติ ชุ่มสนิท, 24 นายกรัฐมนตรีไทย, ออลบุ๊คส์พับลิสชิ่ง, 2549 ISBN 974-94553-9-8 == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลนักการเมือง ThaisWatch.com == งานศึกษาที่เกี่ยวข้อง == พัชราวรรณ เจริญพันธุ์. “กระบวนทัศน์การพัฒนาการศึกษาท้องถิ่นของ ฯพณฯ บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของประเทศไทย.” วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต ภาควิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2558. พรภิรมย์ เชียงกูล. “รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา (พ.ศ. 2538-2539) : วิเคราะห์ในมิติทางประวัติศาสตร์.” วารสารเกษตรศาสตร์ (สังคมศาสตร์) 23, 2 (กรกฎาคม 2545) : 91-103. วิศิษฎ ชัชวาลทิพากร. “การไร้เสถียรภาพของรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา: ศึกษาในเชิงปัญหาความชอบธรรม ปัญหาทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาการปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2540. Nishizaki, Yoshinori. “The King and Banharn: Towards an Elaboration of Network Monarchy in Thailand.” South East Asia Research 21, 1 (Jul 2013) : 69-103. Nishizaki, Yoshinori. “The Moral Origin of Thailand's Provincial Strongman: The Case of Banharn Silpa-Archa.” South East Asia Research 13, 2 (Jul 2005) : 184-234. Wasana Wongsurawat. “The Social Capital of Being Chinese in Thai Politics.” In Yos Santasombat (Ed.), The Sociology of Chinese Capitalism in Southeast Asia: Challenges and Prospects. pp. 75-92. Singapore: Palgrave Macmillan, 2018. บุคคลจากอำเภอเมืองสุพรรณบุรี ชาวไทยเชื้อสายแต้จิ๋ว สกุลศิลปอาชา มหาเศรษฐีชาวไทย พุทธศาสนิกชนชาวไทย นักการเมืองไทย นายกรัฐมนตรีไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไทย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรไทย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พรรคชาติไทย พรรคชาติไทยพัฒนา บุคคลจากโรงเรียนกรุงเทพการบัญชีวิทยาลัย บุคคลจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช. ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม. ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ภ. ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.จ. (ฝ่ายหน้า) ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน เสียชีวิตจากหอบหืด บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2516–2544 บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย หลัง พ.ศ. 2544 หัวหน้าพรรคการเมืองในประเทศไทย
thaiwikipedia
1,559
4 พฤษภาคม
วันที่ 4 พฤษภาคม เป็นวันที่ 124 ของปี (วันที่ 125 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 241 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 1799 (ค.ศ. 1256) - คณะออกัสติเนียนตั้งขึ้นที่อารามเลชเชโต เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 4 ทรงออกสารตราพระสันตะปาปาชื่อ Licet ecclesiae catholicae พ.ศ. 2014 (ค.ศ. 1471) - สงครามแห่งดอกกุหลาบ: พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 แห่งอังกฤษ นำทัพชนะกองทหารของเจ้าผู้ครองนครแลงคาสเตอร์และสังหารเอ็ดเวิร์ดแห่งเวสต์มินสเตอร์ เจ้าชายแห่งเวลส์ พ.ศ. 2036 (ค.ศ. 1493) - สมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 ทรงแบ่งโลกใหม่ระหว่างสเปนกับโปรตุเกสด้วยเส้นแบ่งเขต พ.ศ. 2169 (ค.ศ. 1626) - เปเตอร์ มินวี นักสำรวจชาวดัตช์ เดินทางมาถึงนิวเนเธอร์แลนด์ (ปัจจุบันคือเกาะแมนแฮตตัน) ด้วยเรือเซเมว พ.ศ. 2319 (ค.ศ. 1776) - โรดไอแลนด์กลายเป็นอาณานิคมของอเมริกาแห่งแรกที่สละความจงรักภักดีต่อพระเจ้าจอร์จที่ 3 พ.ศ. 2357 (ค.ศ. 1814) - * จักรพรรดินโปเลียนเสด็จมาถึงปอร์โตเฟร์ราโยบนเกาะเอลบา เพื่อเริ่มการเนรเทศครั้งแรกของพระองค์ * พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 7 แห่งสเปนทรงล้มล้างรัฐธรรมนูญสเปน ค.ศ. 1812 ทำให้สเปนกลับสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869) - เริ่มยุทธนาวีที่ฮาโกดาเตะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโบชินในญี่ปุ่น พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) - สหรัฐเริ่มขุดคลองปานามา พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - อิตาลียึดครองเกาะโรดส์ของกรีก พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) - ขบวนการ 4 พฤษภาคม นักศึกษาในกรุงปักกิ่ง เดินขบวนคัดค้านการประชุมสันติภาพที่แวร์ซายในฝรั่งเศส ที่ญี่ปุ่นบังคับให้รัฐบาลหยวน ซื่อไข่ ลงนามรับรองคำขาด 21 ข้อ ซึ่งมีข้อหนึ่งที่จีนต้องยอมรับรองสิทธิเหนือดินแดนมณฑลซานตง พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) - สถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ถูกก่อตั้งขึ้น พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) - ทีมฟุตบอลโตรีโน ทั้งหมด (ยกเว้นผู้เล่น 2 คนที่ไม่ได้เดินทาง: เซาโร โทมา เนื่องจากได้รับบาดเจ็บและ เรนาโต กันดอลฟี เนื่องจากคำขอของโค้ช) เสียชีวิตในอุบัติเหตุเครื่องบินตก พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) - เออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์ ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์จากผลงาน The Old Man and the Sea พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) - งานประกาศรางวัลแกรมมี่จัดขึ้นครั้งแรก พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - พรรคอนุรักษนิยมได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง ทำให้ มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของสหราชอาณาจักร พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - เรือหลวงเชฟฟิลด์ของอังกฤษอับปางลง หลังจากเครื่องบินทิ้งระเบิดของอาร์เจนตินาโจมตีด้วยจรวดนำวิถี บริเวณหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - ลัตเวียประกาศอิสรภาพจากสหภาพโซเวียต พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - ยิตส์ฮัก ราบิน นายกรัฐมนตรีอิสราเอล และนายยัสเซอร์ อาราฟัต ผู้นำองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์หรือพีแอลโอ ลงนามในข้อตกลงสันติภาพ โดยอนุญาตให้ปาเลสไตน์ปกครองตนเองในฉนวนกาซา พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - เคน ลิฟวิงสโตน กลายเป็นนายกเทศมนตรีคนแรกของกรุงลอนดอน พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) - พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก == วันเกิด == พ.ศ. 2197 (ค.ศ. 1654) - จักรพรรดิคังซี (สวรรคต 20 ธันวาคม พ.ศ. 2265) พ.ศ. 2358 (ค.ศ. 1815) - กรมหมื่นเชษฐาธิเบนทร์ (สิ้นพระชนม์ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2404) พ.ศ. 2416 (ค.ศ. 1873) - พระองค์เจ้าโอภาสไพศาลรัศมี (สิ้นพระชนม์ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2440) พ.ศ. 2417 (ค.ศ. 1874) - แฟรงค์ คอนราด วิศวกรไฟฟ้าชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 11 ธันวาคม พ.ศ. 2484) พ.ศ. 2469 (ค.ศ. 1926) - พยงค์ มุกดา นักร้อง นักแสดง นักแต่งเพลงชาวไทย (ถึงแก่กรรม 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553) พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) - ฮุสนี มุบาร็อก ประธานาธิบดีแห่งอียิปต์(เสียชีวิต 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563) พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) - ออดรีย์ เฮปเบิร์น นักแสดงอังกฤษเชื้อสายเนเธอร์แลนด์ (ถึงแก่กรรม 20 มกราคม พ.ศ. 2536) พ.ศ. 2474 (ค.ศ. 1931) - เกนนาดี โรจเดียซ์เตวนสกี วาทยากรชาวโซเวียตและรัสเซีย (ถึงแก่กรรม 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561) พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) - สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จ ตูโปอูที่ 5 แห่งราชอาณาจักรตองงา (สวรรคต 18 มีนาคม พ.ศ. 2555) พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) - คีธ แฮริง ศิลปินชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533) พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - สหรัถ สังคปรีชา นักร้อง นักดนตรี นักแสดง ชาวไทย พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - ไมค์ เดิร์นท์ นักร้องชาวอเมริกัน พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - แลนซ์ เบสส์ นักร้องชาวอเมริกัน พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - มาซาชิ โองูโระ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - เฟร์นันดู ลุยซ์ โรซา นักฟุตบอลทีมชาติบราซิล พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) * เซสก์ ฟาเบรกัส นักฟุตบอลชาวสเปน * หลี่ อี้เฟิง นักร้องและนักแสดงชาวจีน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) * เมงูริ (นักแสดงเอวี) นักแสดง และเอวีไอดอลชาวญี่ปุ่น * รอรี แม็คอิลรอย นักกอล์ฟชาวไอร์แลนด์เหนือ พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - ศิตาภา อรรถบุรานนท์ นักร้องชาวไทย พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ทาเมียร์ นะบาตี นักกีฬาหมากรุกสากลชาวอิสราเอล พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - มณฑิรา สุวรรณเลิศเจริญ นักแสดงและพิธีกรชาวไทย พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - เร็กซ์ออเรนจ์เคาน์ตี นักร้องและนักแต่งเพลงชาวอังกฤษ พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - ศิภัชรดา ผิวทอง นักแสดงหญิงชาวไทย พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - นาเวีย โรบินสัน ศิลปิน นักร้องและนักแสดงชาวอเมริกัน == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) - หม่อมเจ้าอัปษรสมาน กิติยากร (ประสูติ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2420) พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - โจซิป โบรซ ติโต ประธานาธิบดียูโกสลาเวีย (เกิด 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2435) พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - สุชีพ ปุญญานุภาพ นักวิชาการที่ได้รับการยอมรับทั้งจากพุทธศาสนิกชนและคณะสงฆ์ไทยอย่างกว้างขวาง (เกิด 13 เมษายน พ.ศ. 2460) พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - ชูศรี สกุลแก้ว ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดงด้านหุ่นกระบอกไทย (เกิด 19 กันยายน พ.ศ. 2451) พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) - นพดฬ ชาวไร่เงิน นักร้องลูกทุ่งและลูกกรุงชาวไทย (เกิด 14 มีนาคม พ.ศ. 2478) == วันสำคัญในอดีตและวันหยุดเทศกาล == วันประกาศเอกราชในลัตเวีย (พ.ศ. 2533) วันฉัตรมงคลเฉลิมสิริราชสมบัติรัชพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day พฤษภาคม 04 พฤษภาคม
thaiwikipedia
1,560
5 พฤษภาคม
วันที่ 5 พฤษภาคม เป็นวันที่ 125 ของปี (วันที่ 126 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 240 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 1758 (ค.ศ. 1215) - เหล่าขุนนางสละความจงรักภักดีต่อ พระเจ้าจอห์นแห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่นำไปสู่การลงนามใน มหากฎบัตร พ.ศ. 1803 (ค.ศ. 1260) - กุบไลข่านขึ้นเป็นผู้นำจักรวรรดิมองโกล พ.ศ. 2037 (ค.ศ. 1494) - ในการเดินทางครั้งที่สองสู่โลกใหม่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินทางไป จาเมกา ลงจอดที่อ่าวดิสคัฟเวอรี่ และประกาศให้จาเมกาเป็นทรัพย์สินของราชสำนักสเปน พ.ศ. 2152 (ค.ศ. 1609) - ไดเมียว ชิมาซุ ทาดาสึเนะ แห่ง แคว้นศักดินาซัตสึมะ ทางตอนใต้ของ เกาะคีวชู ประสบความสำเร็จในการบุก อาณาจักรรีวกีว ใน โอกินาวา พ.ศ. 2183 (ค.ศ. 1640) - พระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ยุบ รัฐสภาสั้น พ.ศ. 2305 (ค.ศ. 1762) - รัสเซีย และ ปรัสเซีย ลงนามใน สนธิสัญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก พ.ศ. 2332 (ค.ศ. 1789) - พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงเรียกประชุมสภาฐานันดร พ.ศ. 2364 (ค.ศ. 1821) - * จักรพรรดินโปเลียน สวรรคตระหว่างการถูกเนรเทศบน เกาะเซนต์เฮเลนา ในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ * หนังสือพิมพ์แมนเชสเตอร์การ์เดียน ซึ่งปัจจุบันคือ เดอะการ์เดียน ฉบับแรกได้รับการตีพิมพ์ พ.ศ. 2429 (ค.ศ. 1886) - คนงานที่เดินขบวนเพื่อเรียกร้องสิทธิการทำงาน 8 ชั่วโมง/วัน ในเมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน ถูกยิงโดยกองกำลังรักษาดินแดนวิสคอนซิน ซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อ การสังหารหมู่เบย์วิว พ.ศ. 2434 (ค.ศ. 1891) - มิวสิคฮอลล์ ในนิวยอร์กซิตี้ (ภายหลังเป็นที่รู้จักในชื่อ คาร์เนกีฮอลล์) เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่และมีการแสดงครั้งแรก โดยมี ไชคอฟสกี เป็น วาทยกร รับเชิญ พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) - สงครามโลกครั้งที่สอง: กองทัพสัมพันธมิตรปลดปล่อยราชอาณาจักรเดนมาร์ก พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) - วันสถาปนาสภายุโรป พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - โครงการเมอร์คิวรี: อลัน เชปเพิร์ด กลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกในอวกาศ เมื่อขึ้นบินนาน 15 นาที แบบไม่เต็มวงโคจร พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - สนธิสัญญาบาเซิล ซึ่งจำกัดการเคลื่อนย้ายขยะอันตรายไปยังประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศด้อยพัฒนา เริ่มมีผลบังคับใช้ พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - พรรคแรงงานชนะการเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร ทำให้โทนี แบลร์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน == วันเกิด == พ.ศ. 2356 (ค.ศ. 1813) - เซอเรน เคียร์เคอกอร์ นักปรัชญาชาวเดนมาร์ก (ถึงแก่กรรม 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2398) พ.ศ. 2361 (ค.ศ. 1818) - คาร์ล มาร์กซ นักปรัชญาการเมืองชาวเยอรมัน (ถึงแก่กรรม 14 มีนาคม พ.ศ. 2425) พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) - แยชือ สกอลีมอฟสกี ผู้กำกับภาพยนตร์, นักเขียนบท, นักเขียนบทละคร และนักแสดงชาวโปแลนด์ พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - บรรจบ เจริญพร นักร้องลูกทุ่ง/นักร้อง/นักแสดงชาวไทย (ถึงแก่กรรม 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559) พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) - กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา หรือ "จ๊อด" แห่งวงกัมปะนีและอดีตสมาชิกวงบัตเตอร์ฟลาย โปรดิวเซอร์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งของวงการเพลง พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) - ริชาร์ด อี แกรนท์ นักแสดงชาวลิสวาตี-อังกฤษ พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - คาร์ลอส กาเบรียล ซาราซาร์ แชมป์โลกมวยสากลชาวอาร์เจนตินา พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - ฉัตรมงคล บำเพ็ญ นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - ยอสซี่ เบนายูน นักฟุตบอลชาวอิสราเอล พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - เครก เดวิด นักร้องชาวอังกฤษ พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) * เจย์ โบธรอยด์ นักฟุตบอลชาวอังกฤษ * เจ้าชายโจเอล ดาวิต มาคอนเนนแห่งเอธิโอเปีย * ไอ ฮิเมโนะ นักแสดงเอวี พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) * เฮนรี แควิลล์ นักแสดงชาวอังกฤษ พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - เอมานูเอเล จักเกรีนี นักฟุตบอลชาวอิตาลี พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) * มิตเชิลล์ กัปเปินแบร์ค นักฟุตบอลชาวดัตช์ * ยานิก จาลอ นักฟุตบอลอาชีพชาวโปรตุเกส พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - เกรอัม ดอร์แรนส์ นักฟุตบอลชาวสกอตแลนด์ พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - อะเดล นักร้อง-นักแต่งเพลงชาวอังกฤษ พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - คริส บราวน์ นักร้องชาวอเมริกัน พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ราอุล ฆิเมเนซ นักฟุตบอลชาวเม็กซิโก พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - โกรัน เคาซิช นักฟุตบอลชาวเซอร์เบีย พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - รามัน ปราตาเซียวิช นักข่าวและนักกิจกรรมชาวเบลารุส พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - ณภัทร เสียงสมบุญ นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - จัสติน ไคลเวิร์ต นักฟุตบอลอาชีพชาว ดัตช์ พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - อีไลจาห์ วินนิงตัน นักว่ายน้ำชาวออสเตรเลีย == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2364 (ค.ศ. 1821) - นโปเลียน โบนาปาร์ต (นโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส) (เกิด 15 สิงหาคม พ.ศ. 2312) พ.ศ. 2365 (ค.ศ. 1822) - พระเจ้าช้างเผือกธรรมลังกา พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) - จิตร ภูมิศักดิ์ นักประพันธ์และนักคิด (เกิด 25 กันยายน พ.ศ. 2473) พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - ไมเคิล ชารา นักประพันธ์ชาวอเมริกัน (เกิด 23 มิถุนายน พ.ศ. 2471) พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) - อูมารู ยาร์อาดัว ประธานาธิบดีไนจีเรีย == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == วันเสรีภาพของประเทศเดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์ และเอธิโอเปีย วันเด็กของประเทศเกาหลีใต้, ประเทศญี่ปุ่น == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day พฤษภาคม 05 พฤษภาคม
thaiwikipedia
1,561
กลุ่มดาวคนครึ่งม้า
กลุ่มดาวคนครึ่งม้า เป็นกลุ่มดาวในซีกฟ้าใต้ หนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี และยังเป็นกลุ่มดาวในรายการกลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล กลุ่มดาวนี้เป็นกลุ่มดาวที่ขนาดใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งในท้องฟ้า มีดาวสว่างติด 1 ใน 20 อันดับถึง 2 ดวง คือ แอลฟาคนครึ่งม้า (ริเจล เค้นท์) และบีตาคนครึ่งม้า (ฮาดดาร์) == ดูเพิ่ม == กระจุกดาวทรงกลมโอเมกาคนครึ่งม้า กลุ่มดาวคนครึ่งม้า คนครึ่งม้า
thaiwikipedia
1,562
กลุ่มดาวซีฟิอัส
กลุ่มดาวซีฟิอัส เป็นกลุ่มดาวในซีกฟ้าเหนือ หนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี และยังเป็นกลุ่มดาวในรายการกลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล กลุ่มดาวนี้แทนราชาซีฟิอัสในเทพปกรณัมกรีก กลุ่มดาวซีฟิอัส มองเห็นได้ดีที่สุดในเวลา 21.00 น.ของเดือนพฤศจิกายน == เทพปกรณัมกรีก == ตามเทพปกรณัมกรีก ซีฟิอัสเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรเอธิโอเปีย เมื่อเอธิโอเปียถูกคุกคามโดย ปิศาจทะเลนามซีตัส (Sea Monster,Cetus) เทพพยากรณ์แห่งแอมมอน (Oracle of Ammon) แนะนำให้ซีฟิอัสนำธิดา คือ เจ้าหญิงแอนดรอเมดาไปมอบให้แก่ซีตัส เจ้าหญิงแอนดรอเมดา จึงถูกล่ามโซ่ไว้ริมทะเล เพื่อรอเป็นอาหารของซีตัส ซึ่งต่อมา เธอก็ได้รับความช่วยเหลือจากเพอร์ซิอัส (Perseus) == เดลตาเซฟีไอ/ดาวแปรแสงเซฟีอิด == เดลตาเซฟีไอ (Delta Cephei / δ Cep / δ Cephei) เป็นดาวดวงหนึ่งซึ่งน่าสนใจ ในกลุ่มดาวซีฟิอัส โดยในปีค.ศ. 1784 จอห์น กูดริคค์ (John Goodricke) ค้นพบว่ามันเป็นดาวแปรแสง คือความสว่าง จะไม่คงที่แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และเดลตาเซฟีไอนี้ก็เป็น หนึ่งในดาวแปรแสงเพียงไม่กี่ดวง ที่คุณสามารถสังเกตเห็น การเปลี่ยนแปลงความสว่างของมันได้ด้วยตาเปล่า โดยจะมีความสว่างเปลี่ยนจากแมกนิจูด 3.6 ถึง 4.3 ในช่วงคาบเวลา 5.36634 วัน ดาวเดลตาเซฟีไอไม่เพียงแต่เป็นดาวแปรแสง แต่ยังเป็น ดาวแปรแสงที่มีลักษณะพิเศษ คือจะมีการ กะพริบในคาบเวลาที่คงที่ และเมื่อมีการศึกษาดาวแปรแสงประเภทนี้ มากขึ้นเรื่อยๆ ได้พบดาว ที่มีลักษณะคล้ายกัน อีกเป็นจำนวนมาก ก็พบว่า คาบเวลาที่ใช้ในการกะพริบ (จากจางสุดไปสว่างสุด) สัมพันธ์กับความส่องสว่างสัมบูรณ์ ของดาวแต่ละดวง ซึ่งความสัมพันธ์นี้ ค้นพบในปีค.ศ. 1908 โดย เฮนริเอตา ลีวิตต์ (Henrietta Swan Leavitt) ต่อมาจึงเรียกดาวแปรแสงประเภทนี้ว่า ดาวแปรแสงเซฟีอิด (Cepheid variable or Cepheid) ตามชื่อของดาวเดลตาเซฟีไอ (โดยมีดาวเดลตาเซฟีไอเป็นดาวต้นแบบ) และจากการค้นพบของเฮนริเอตา ลีวิตต์ (สตรีหูนวก แต่ความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ของเธอ เป็นประโยชน์ต่อวงการดาราศาสตร์มาก โดยเฉพาะในยุคสมัยที่ไม่มีคอมพิวเตอร์) นี้เอง ทำให้ดาวแปรแสงเซฟีอิด กลายเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ในทางดาราศาสตร์ ใช้ในการวัดระยะทางในเอกภพ โดยหากเราพบดาวแปรแสงเซฟีอิดที่ใด ลองจับเวลาที่ใช้ในการกะพริบ แล้วเราก็จะทราบจากการคำนวณ ได้ว่า ดาวดวงนั้นควรมีความส่องสว่างสัมบูรณ์จริง ๆเท่าไร เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ ค่าความสว่างที่เราสังเกตได้ ก็จะคำนวณกลับไปได้ว่า ดาวแปรแสงเซฟีอิดดวงนั้นอยู่ห่างจากเราไปเท่าไร == วัตถุในอวกาศห้วงลึกอื่นๆ ที่น่าสนใจบริเวณกลุ่มดาวซีฟิอัส == Fireworks Galaxy (NGC 6946) ค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1798 โดยวิลเลียม เฮอร์เชล เป็นดาราจักรชนิดก้นหอย (Spiral Galaxy) อยู่ระหว่างกลุ่มดาวซีฟิอัสกับกลุ่มดาวหงส์ (Cygnus) อยู่ห่างไป 10 ล้านปีแสง ซึ่งในเวลาต่อมา ก็ได้มีการพบซูเปอร์โนวา จำนวนมากถึง 8 แห่งใน Fireworks Galaxy นี้ NGC 188 เป็นกระจุกดาวเปิดที่อยู่ใกล้ดาวเหนือ กลุ่มดาว กลุ่มดาวซีฟิอัส
thaiwikipedia
1,563
กลุ่มดาวซีตัส
กลุ่มดาวซีตัส หรือ กลุ่มดาววาฬ เป็นกลุ่มดาวในซีกฟ้าใต้ หนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี และยังเป็นกลุ่มดาวในรายการกลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ในเทพปกรณัมกรีก กลุ่มดาวนี้แทนวาฬหรือสัตว์ทะเลร้าย อยู่ในบริเวณที่เรียกกันว่าทะเลท้องฟ้า ซึ่งได้ชื่อมาจากการที่กลุ่มดาวหลายกลุ่มในบริเวณนี้มีชื่อเกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ กลุ่มดาวปลา และกลุ่มดาวแม่น้ำ ==ดูเพิ่ม== WHL0137-LS (ดาวเอเรนเดล) ดาวฤกษ์ที่ไกลที่สุดเท่าที่เคยพบจนถึงปัจจุบัน ตั้งอยู่ในกลุ่มดาวซีตัส กลุ่มดาววาฬ กลุ่มดาว
thaiwikipedia
1,564
กลุ่มดาวนกกา
กลุ่มดาวนกกา เป็นกลุ่มดาวขนาดเล็กในซีกฟ้าใต้ หนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี และยังเป็นกลุ่มดาวในรายการกลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ในเทพปกรณัมกรีก กลุ่มดาวนี้มีดาวฤกษ์ที่สว่างมองเห็นได้ด้วยเปล่าเพียง 11 ดวง (สว่างกว่าโชติมาตร 5.5) กลุ่มดาว กลุ่มดาวนกกา
thaiwikipedia
1,565
กลุ่มดาวถ้วย
กลุ่มดาวถ้วย เป็นกลุ่มดาวขนาดเล็กในซีกฟ้าใต้ หนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี และยังเป็นกลุ่มดาวในรายการกลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ไม่มีดาวฤกษ์ที่สว่างกว่าโชติมาตร 4 เป็นสมาชิก กล่าวกันว่ากลุ่มดาวนี้แทนถ้วยของเทพอะพอลโล กลุ่มดาว กลุ่มดาวถ้วย
thaiwikipedia
1,566
กลุ่มดาวโลมา
กลุ่มดาวโลมา เป็นกลุ่มดาวขนาดเล็กในซีกฟ้าเหนือ ใกล้กับเส้นศูนย์สูตรฟ้า หนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี และยังเป็นกลุ่มดาวในรายการกลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล กลุ่มดาว กลุ่มดาวโลมา
thaiwikipedia
1,567
กลุ่มดาวม้าแกลบ
กลุ่มดาวม้าแกลบ เป็นกลุ่มดาวที่มีขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในท้องฟ้า รองจากกลุ่มดาวกางเขนใต้ แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี กลุ่มดาว กลุ่มดาวม้าแกลบ
thaiwikipedia
1,568
กลุ่มดาวแม่น้ำ
กลุ่มดาวแม่น้ำ (Eridanus) เป็นกลุ่มดาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 6 ในกลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล และเป็นหนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี กลุ่มดาวแม่น้ำมีดาวฤกษ์สว่างดวงหนึ่งที่ปลายสุดทางทิศใต้ ชื่อว่า ดาวอะเคอร์นาร์ (α Eri) จัดเป็นดาวที่มีความแป้นมากที่สุดดวงหนึ่ง การวัดรูปร่างด้วยเครื่องมือทางดาราศาสตร์พบว่าความยาวตามแนวเส้นศูนย์สูตรของดาว ยาวกว่าความยาวตามแนวขั้วราว 50% ซึงเป็นผลจากการที่ดาวอะเคอร์นาร์หมุนรอบตัวเองเร็วมาก กลุ่มดาว กลุ่มดาวแม่น้ำ
thaiwikipedia
1,569
ชองระอา
ชองระอา เป็นชื่อของพรรณไม้ อาจหมายถึง ไม้เถาชนิด Strychnos thorelii Pierre ในวงศ์ Strychnaceae ดอกสีขาวนวล ผลกลม ใช้ทำยาได้ ไม้เถาชนิด Securidaca inappendiculata Hassk. ในวงศ์ Polygalaceae ดอกสีเหลือง ผลมีปีก เสลดพังพอน Barleria lupulina
thaiwikipedia
1,570
ปักกิ่ง
ปักกิ่ง ในภาษากวางตุ้ง (c=北京|j=Bākgìng) หรือ เป่ย์จิง ในภาษาจีนกลาง (p=) เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีชื่อย่อว่า จิง ตั้งอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ที่ราบหวาเป่ย์ ชื่อแรกเริ่มคือ จี้ (薊) สมัยวสันตสารท (春秋) และสมัยรณรัฐ (战国)เป็นเมืองหลวงของแคว้นเยียน สมัยราชวงศ์เหลียว เป็นเมืองหลวงรอง ชื่อ เยียนจิง เป็นเมืองหลวงของจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิน หยวน หมิง ชิงจนถึง สาธารณรัฐจีน เคยใช้ชื่อจงตู ต้าตู เป่ย์ผิงและเป่ย์จิง โดยมีชื่อเรียกทั้งหมดกว่า 60 ชื่อ เริ่มตั้งเป็นเมืองตั้งแต่ปี 1928 ปัจจุบัน แบ่งเป็น 16 เขตและ 2 อำเภอ เป็นนครที่ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง พื้นที่ทั่วกรุงปักกิ่งมีถึง 16,800 ตารางกิโลเมตร ถึงสิ้นปี ค.ศ. 2017 ทั่วกรุงเปย์จิงมีประชากร 21,107,000 คน กรุงปักกิ่งเป็นศูนย์การเมือง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ การศึกษาและเขตชุมทางการคมนาคมทั่วประเทศจีนและก็เป็นเมืองท่อง เที่ยวที่มีชื่อดังทั้งในประเทศจีนและในโลก แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมีกำแพงเมืองจีน พระราชวังโบราณ หอสักการะฟ้าเทียนถัน สุสานหลวงราชวงศ์หมิง วังพักร้อนอี๋เหอหยวนและภูเขาเซียงซาน เป็นต้น ปัจจุบันปักกิ่งเป็นเขตการปกครองพิเศษแบบมหานคร 1 ใน 4 แห่งของจีน ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากับมณฑลหลังจากปักกิ่งได้รับการจัดตั้งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 โดยเฉพาะหลังจากสมัย 80 ศตวรรษที่ 20 เมืองปักกิ่งได้พัฒนาอย่างรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ มีการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ปัจจุบันนี้ปักกิ่งมีถนนที่สลับกัน ตึกสูง ๆ โดยไม่เพียงแต่รักษาสภาพเมืองโบราณ และยังแสดงถึงสภาพเมืองที่ทันสมัย กลายเป็นเมืองใหญ่ของโลก ปักกิ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ ปักกิ่งเป็นศูนย์กลางทางการปกครอง การศึกษา การขนส่ง และวัฒนธรรมจีน ในขณะที่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจนั้นจะอยู่ที่เซี่ยงไฮ้และฮ่องกง ปักกิ่งเป็น 1 ใน 4 เมืองหลวงเก่าของจีน และได้รับเลือกให้จัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 อีกด้วย มหานครปักกิ่งเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน นับแต่ สมัยราชวงศ์หยวน สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของจีน ปักกิ่งมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น จัตุรัสเทียนอันเหมิน กำแพงเมืองจีน พระราชวังฤดูร้อน พระราชวังต้องห้าม เป็นต้น มีประวัติความเป็นมา เริ่ม ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งมี การขุดค้นพบกะโหลก มนุษย์ปักกิ่งตามหลักฐานที่พิสูจน์ได้ปักกิ่งมีความเจริญ รุ่งเรืองมานับแต่ คริสศตวรรษที่ 13 ในปี พ.ศ. 1964 (ค.ศ. 1421) จักรพรรดิหย่งเล่อ ได้ทำการก่อสร้างและออกแบบผังเมืองใหม่และย้ายฐานราชการชั่วคราวในขณะนั้นจาก เมืองหนานจิงมายัง เป่ย์จิง หรือปักกิ่งในปัจจุบัน ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาปักกิ่งถูกยกสถานะเป็นเมืองสำคัญระดับโลกเป็นศูนย์กลางทางการปกครองการค้า การลงทุนที่สำคัญที่สุดของประเทศจีนในแต่ละปีมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาติดต่อการค้าท่องเที่ยว ศึกษาเป็นจำนวนมากประชาชนชาวปักกิ่งมีสภาพความเป็นอยู่และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมทั้งได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากตะวันตกมากขึ้นด้วย == ที่มาของชื่อ == กรุงปักกิ่ง มีชื่อเมืองหลายชื่อ คำว่า ปักกิ่ง หรือ เป่ย์จิงหมายถึง เมืองหลวงทางทิศเหนือ (มาจากอักษรจีน 北 ที่แปลว่าเหนือ และ 京 ที่แปลว่าเมืองหลวง) กรุงปักกิ่ง ใช้ตัวย่อภาษาอังกฤษคือ BJ == ประวัติศาสตร์ == ปักกิ่ง มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี เป็นเมืองหลวงโบราณของจีน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์เหลียว ราชวงศ์จิน ราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง รวม 5 ราชวงศ์ และเมื่อสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 2492 (ค.ศ. 1949) ก็ได้ตั้งให้ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ ตาม หลักฐานทางประวัติศาสตร์ พื้นที่กรุงปักกิ่งในปัจจุบัน เมื่อ 110 ปีก่อนคริสตกาลเป็นที่ตั้งของอาณาจักรจี้กั๋ว ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซีโจว ต่อมาเมื่อถึงกลางของราชวงศ์ชุนชิว (770 – 476 ปีก่อนคริสตกาล) อาณาจักรเยียนกั๋วได้รวมอาณาจักรจี้กั๋วเข้าไว้ด้วยกัน หลังจากนั้นอาณาจักรฉินกั๋วก็ได้ตีเอาจี้กั๋วมาเป็นของตนเมื่อ 226 ปีก่อนคริสตกาล ถึงปี 2024 (ค.ศ. 1481) อาณาจักรจี้กั๋วกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวงของแคว้นเหลียวซึ่งก่อตั้ง ขึ้นโดยชนชาติชี่ตัน และตั้งชื่อใหม่ว่าหนานจิง หรือเยียนจิง ในเวลาต่อมาได้มีการสถาปนาราชวงศ์จิน และได้ย้ายเมืองหลวง มาอยู่ที่แย่นจิงในปี 2239 (ค.ศ. 1696) โดยเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น จงตู ต่อมาราชวงศ์จินถูกรุกรานโดยชาวมองโกล จึงได้ย้ายเมืองหลวงไปที่เปี้ยนจิง (เมืองไคฟง มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) หลังจากนั้น ราชวงศ์หยวนก็ได้สถาปนาขึ้นภายใต้การปกครองของชาวมองโกล และตั้งให้ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงในปี 2353 (ค.ศ. 1810) จากนั้นปักกิ่งก็ถูกตั้งให้เป็นเมืองหลวงเรื่อยมาในสมัยราชวงศ์หมิง และชิง จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2492 เมื่อจีนเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็ได้กำหนดให้ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศจนถึงปัจจุบัน โบราณสถานในปักกิ่งที่ตกทอดสืบต่อมาและมีปรากฏให้เห็นจนถึงทุกวันนี้มีมาก มาย เช่น พระราชวังต้องห้าม กำแพงเมืองจีน หอบูชาฟ้า พระราชวังฤดูร้อน สุสานสิบสามกษัตริย์ เป็นต้น สถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นมรดกทางประศาสตร์อันสำคัญทั้งของจีนและของโลก == ที่ตั้งและอาณาเขต == มหานครปักกิ่งมีพื้นที่ติดต่อดังนี้ ทิศเหนือ ทิศใต้ และ ทิศตะวันตก ถูกล้อมรอบด้วย มณฑลเหอเป่ย์ ทิศตะวันออก ติดต่อกับ นครเทียนสิน == ภูมิอากาศ == == ประชากร == กรุงปักกิ่งมีประชากรทั้งสิ้น 21,707,000 คน(ข้อมูลเมื่อเดือน มกราคม ค.ศ.2021) == การขนส่ง == กรุงปักกิ่ง มีการจัดการขนส่งมวลชน เช่น รถไฟใต้ดินปักกิ่ง เริ่มก่อสร้างทางรถไฟใต้ดินเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1965 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1969 และเปิดบริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1971 โดยมีสถานีรถไฟทั้งหมด 370 แห่งและมีระยะทางทั้งหมด 608 กิโลเมตร (ข้อมูลจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ.2017 ) == การศึกษา == ปักกิ่ง ถือว่าเป็นศูนย์กลางการศึกษาของประเทศจีน โดยมีสถาบันการศึกษาชั้นนำกว่า 70 แห่ง และสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์กว่า 4,000 แห่ง == ห้องแสดงภาพ == ไฟล์:Beijing_northeast.jpg|เมืองปักกิ่ง ไฟล์:Beijing traffic jam.JPG|การจราจรในปักกิ่ง ไฟล์:Beijing cbd.jpg|ทิวทัศน์กรุงปักกิ่ง == หมายเหตุ == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == www.beijing.gov.cn เว็บไซต์ทางการ (อักษรจีนตัวย่อ) เว็บไซต์ทางการ (ภาษาอังกฤษ) กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน สาระน่ารู้ก่อนเดินทาง โดยกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศไทย นครปกครองโดยตรงของประเทศจีน เมืองหลวงในทวีปเอเชีย เขตมหานครในสาธารณรัฐประชาชนจีน
thaiwikipedia
1,571
เดอะ เมทริกซ์ เรฟโวลูชั่นส์ ปฏิวัติมนุษย์เหนือโลก
เดอะ เมทริกซ์ เรฟโวลูชั่นส์ ปฏิวัติมนุษย์เหนือโลก (The Matrix Revolutions) เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวโลดโผนและนิยายวิทยาศาสตร์ ฉายเมื่อปี ค.ศ. 2003 เขียนบทและกำกับโดย พี่น้องวาชอวสกี เป็นภาพยนตร์ภาคต่อของ เดอะ เมทริกซ์ รีโหลดเดด สงครามมนุษย์เหนือโลก (2003) และเป็นภาพยนตร์เรื่องที่สามในภาพยนตร์ชุด เดอะ เมทริกซ์ ภาพยนตร์ฉายพร้อมกันใน 108 ดินแดนเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 จัดจำหน่ายโดย วอร์เนอร์บราเธอส์พิกเชอส์ ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในไตรภาคเดิมของภาพยนตร์ชุด เส้นเรื่องของ เมทริกซ์ ดำเนินต่อไปในวิดีโอเกม เดอะ เมทริกซ์ออนไลน์ เดอะ เมทริกซ์ เรฟโวลูชั่นส์ เป็นภาพยนตร์คนแสดงเรื่องแรกที่ฉายพร้อมกันในโรงภาพยนตร์ระบบปกติและไอแมกซ์ ถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะได้รับคำวิจารณ์ที่หลากหลายจากนักวิจารณ์ ภาพยนตร์ทำเงินมากกว่า 427 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก ภาพยนตร์เรื่องที่สี่ เดอะ เมทริกซ์ เรเซอเร็คชั่นส์ เริ่มถ่ายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 กำหนดฉายวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2021 == โครงเรื่อง == นีโอและเบนนอนหมดสติอยู่ในห้องพยาบาลของยานแฮมเมอร์ ในเมทริกซ์นีโอติดอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดินที่ชื่อว่า Mobil Ave (คำที่เกิดจากการสลับตัวอักษร Limbo) ดินแดนเปลี่ยนผ่านระหว่างเมทริกซ์และเมืองเครื่องจักร เขาพบกับครอบครัวของโปรแกรมรวมทั้งเด็กหญิงที่ชื่อซาติ พ่อของเธอบอกกับนีโอว่ารถไฟใต้ดินนี้ถูกควบคุมโดยเทรนแมน โปรแกรมที่ภักดีต่อเมโรวินเจี้ยน เมื่อนีโอพยายามขึ้นรถไฟไปพร้อมกับครอบครัวนี้ เทรนเมนปฎิเสธและเอาชนะเขาได้ เซอเรฟตัวแทนออราเคิลติดต่อมอร์เฟียสและทรินิตี้ซึ่งได้แจ้งข่าวพวกเขาเกี่ยวกับนีโอที่ติดอยู่ เซอเรฟ มอร์เฟียส และทรินิตี้เข้าไปยังคลับเฮลซึ่งพวกเขาเผชิญหน้ากับเมโรวินเจี้ยนโดยบังคับให้เขาปล่อยตัวนีโอ นีโอไปพบกับออราเคิลซึ่งเผยว่าสมิทตั้งใจทำลายทั้งเมทริกซ์และโลกจริง เธอบอกว่า”ทุกสิ่งที่มีจุดเริ่มต้นนั้นมีจุดจบ” และว่าสงครามจะสิ้นสุดลง หลังจากนีโอออกไปสมิทกลุ่มหนึ่งก็เข้ายึดครองร่างของซาติและเซอเรฟ  ออราเคิลยอมให้ถูกยึดครองร่างแต่โดยดี จากนั้นสมิทก็ได้รับพลังการมองเห็นอนาคตของออราเคิล แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเธอหายไปตลอดกาลหรือไม่ ในโลกจริงลูกเรือของเนบูคาเนซซาและแฮมเมอร์เจอยานของไนโอบี โลกอส และทำให้ยานใช้งานได้อีกครั้ง พวกเขาสอบสวนเบนซึ่งบอกว่าเขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ ในขณะที่กัปตันวางแผนป้องกันไซออน นีโอขอยานลำหนึ่งเพื่อเดินทางไปยังเมืองเครื่องจักร ไนโอบีซึ่งเคยเจอกับออราเคิลได้มอบยานโลกอสให้เขาไป นีโอออกเดินทางพร้อมกับทรินิตี้ เบนซึ่งซ่อนตัวอยู่ในโลกอสจับทรินิตี้เป็นตัวประกัน นีโอรู้ว่าเบนถูกสมิทควบคุมร่างอยู่จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น เบนเผาตาของนีโอด้วยสายไฟฟ้าทำให้เขาตาบอดถาวร นีโอค้นพบความสามารถให้การรับรู้อะไรก็ตามที่เป็นส่วนหนึ่งของซอร์ซโคัดของเครื่องจักรในโลกจริงเป็นการเรืองแสงสีทอง เขาเห็นและฆ่าเบน ทรินิตี้ขับยานไปยังเมืองเครื่องจักร ไนโอบีและมอร์เฟียสรีบกลับไปยังไซออนบนยานแฮมเมอร์เพื่อช่วยพวกมนุษย์ปกป้องเมือง อู่เรือไซออนเต็มไปด้วยพวกเซนติเนล กัปตันมิฟูเน่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสสั่งให้คิดส์เปิดประตูให้แฮมเมอร์ เมื่อยานมาถึงก็ได้ปล่อย EMP ออกมาทำให้พวกเซนตินัลตรงนั้นหยุดทำงานลง แต่ระบบป้องกันที่เหลืออยู่ของไซออนก็ด้วยเช่นกัน  พวกมนุษย์ถูกบังคับให้ต้องล่าถอยและรอคอยการโจมตีครั้งต่อไปโดยคิดว่านี่จะเป็นที่มั่นสุดท้ายของพวกเขา ใกล้กับเมืองเครื่องจักร โลกอสถูกกระหน่ำด้วยการระดมยิงทำให้ยานตกและทรินิตี้บาดเจ็บสาหัส นีโอเข้าไปยังเมืองเครื่องจักรและเผชิญหน้ากับบอสเครื่องจักร นีโอเตือนว่าสมิทวางแผนยึดทั้งเดอะเมทริกซ์และโลกจริงและเสนอจะหยุดสมิทเพื่อแลกเปลี่ยนกับสันติสุขของไซออน บอสเครื่องจักรตกลงจากนั้นเซนติเนลก็หยุดโจมตีไซออน เครื่องจักรจัดการเชื่อมต่อเพื่อให้นีโอเข้าไปยังเมทริกซ์ ภายในเมทริกซ์สมิทที่มีพลังของออราเคิลก้าวออกมาและพูดว่าเขามองเห็นชัยชนะในอนาคตของเขากับนีโอ หลังจากการต่อสู้อันยืดเยื้อ นีโอตระหนักว่าไม่มีวิธีอื่นใดอีกที่จะเอาชนะได้และทำให้ตัวเขาเองถูกเข้ายึดครองร่าง เมื่อเชื่อมต่อกับเดอะซอร์ซ บอสแมชชีนส่งคำสั่งลบโปรแกรมสมิทผ่านทางร่างของนีโอในโลกจริง ทำให้โคลนนีโอ/สมิทและโคลนสมิทคนอื่นๆถูกทำลาย ลบสมิททิ้งไปในที่สุด พวกเซนติเนลถอนตัวจากไซออน มอเฟียสกับไนโอบีสวมกอดกัน แล้วนีโอเห็นภาพของเมืองเครื่องจักรเป็นครั้งสุดท้ายในขณะที่ร่างของเขาถูกพวกเครื่องจักรพาไป เดอะเมทริกซ์ถูกรีบูต อาร์คิเทคพบกับออราเคิลในสวนสาธารณะ พวกเขาเห็นด้วยว่าสันติสุขจะคงอยู่ตราบนานเท่าที่จะนานได้ และว่าพวกมนุษย์ที่ปรารถนาจะได้รับโอกาสออกจากเดอะเมทริกซ์ เมื่อถูกถามถึงชะตากรรมของนีโอ ออราเคิลบอกซาติว่าเธอคิดว่าพวกเขาจะเจอนีโออีกครั้ง ซาติบอกว่าเธอสร้างพระอาทิตย์ขึ้นที่ขอบฟ้าเพื่อเป็นเกียรติแก่นีโอ เซอเรฟถามออราเคิลว่าเธอรู้หรือไม่ว่านี่จะเกิดขึ้น เธอตอบว่าเธอไม่รู้แต่เธอเชื่อ == เครื่องจักรและยานพาหนะ == โฮเวอร์คราฟ ยานของฝ่ายไซออน ติดตั้งระบบพยุงตัวยานด้วยไฟฟ้า และอีเอ็มพี(คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า)ที่เด่นๆ มี แฮมเมอร์ และ โลโกส มีอาวุธป้อมปืนกล อาร์เมอร์ เพอร์โซนอล ยูนิต หรือ เอพียูส์ หุ่นรบของไซออน ปรากฏตัวครั้งแรกในรีโหลดเดด แต่มีบทมากในภาคนี้ ใช้ป้องกันไซออน เติมกระสุนโดยการขน มีอาวุธปืนกล 2 กระบอก เซนทิเนล เครื่องจักรปลาหมึก ตัวหลักของพวกเครื่องจักร มีขนาดใหญ่กว่าคนปกติ จึงสามารถฆ่าทหารไซออนได้ง่ายๆ ในภาคนี้ มีไม่ต่ำกว่าแสนในหนึ่งระลอก มีอาวุธในแขนขาตัวเอง เครื่องจักรสว่าน เครื่องจักรที่ใช้เจาะเข้าไปในไซออน สมารถเก็บขาได้ ต้องใช้มิสไซล์ยิงขาจัดการ มีอาวุธเป็นสว่าน == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == The Matrix Revolutions (2003) ที่ สยามโซน.คอม มเทริกซ์ เรฟโวลูชั่นส์ ด ภาพยนตร์กังฟู ภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์บราเธอร์ส ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในซิดนีย์ ภาพยนตร์ที่กำกับโดย พี่น้องวาชอวสกี ภาพยนตร์โดรน
thaiwikipedia
1,572
กลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส
กลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส เป็นกลุ่มดาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ในกลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล และเป็นหนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี ชื่อของกลุ่มดาวมาจากชื่อของเฮอร์คิวลีสในเทพปกรณัมโรมัน ดาวที่สว่างที่สุดของกลุ่มดาวนี้คือดาว"บีตาเฮอร์คิวลิส"หรือ"คอร์โนเฟอรอส(Kornephoros)" ซึ่งดาวดวงนี้ยังเป็นดาวที่เทพที่สุดบนท้องฟ้าอีกด้วย กลุ่มดาว กลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส
thaiwikipedia
1,573
ดิ แอนิแมทริคซ์ เจาะจินตนาการทะลุโลก
ดิ แอนิแมทริคซ์ เจาะจินตนาการทะลุโลก เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันสำหรับผู้ใหญ่ที่รวมภาพยนตร์สั้นแนวนิยายวิทยาศาสตร์ วางจำหน่ายเมื่อปี ค.ศ. 2003 สร้างโดย พี่น้องวาชอวสกี ภาพยนตร์ประกอบด้วยภาพยนตร์สั้นเก้าเรื่อง สร้างจาก ภาพยนตร์ชุด เดอะ เมทริกซ์ ซึ่งเขียนบทและกำกับโดย พี่น้องวาชอวสกี ภาพยนตร์สี่เรื่องเขียนบทโดยพี่น้องวาชอวสกี ภาพยนตร์ให้รายละเอียดเรื่องราวเบื้องหลังของภาพยนตร์ชุด เดอะ เมทริกซ์ รวมถึงสงครามดั้งเดิมระหว่างมนุษยชาติและเครื่องจักร ที่นำไปสู่การสร้างเมทริกซ์ นอกจากนี้ ยังนำเสนอเรื่องราวรองที่ขยายจักรวาลและเชื่อมโยงเข้ากับภาพยนตร์ชุดหลัก == เนื้อเรื่อง == เนื้อเรื่องของ ดิแอนิเมะทริคซ์ แบ่งเป็น 9 ส่วน ซึ่งแสดงถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดถึงใน เดอะ แมทริคซ์ ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องที่นอกเหนือในเนื้อเรื่องที่จัดทำเป็นภาพยนตร์ ซึ่งเนื้อเรื่องในภาพยนตร์ชุดนี้ มีเนื้อหาเล่าถึง การกำเนิด เรื่องราวคาบเกี่ยวจากภาพยนตร์ รวมถึงการใช้ชีวิตใน เดอะ แมทริกซ์ === Final Flight of the Osiris === Final Flight of the Osiris เขียนบทโดย The Wachowskis, กำกับโดย Andy Jones โดยภาพในเรื่องเป็นภาพยนตร์ 3 มิติ เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่ยานโอไซริสได้พบเห็นบนพื้นผิวโลก และพยายามส่งขาวสารนั้นให้ทางไซออนรับรู้ก่อนจะสายเกินไป เป็นเรื่องราวเริ่มต้น(Prequel)ก่อนเหตุการณ์ในเรื่อง The Matrix Reloaded === The Second Renaissance : Part 1 - 2 === The Second Renaissance เขียนบทโดย The Wachowskis, กำกับโดย Mahiro Maeda ภาพในเรื่องเป็นภาพยนตร์เป็นภาพ 2 มิติสลับ 3 มิติ บางส่วน เรื่องราวเกี่ยวกับการกำเนิด เดอะ แมทริกซ์ ในยุคที่รุ่งเรืองของมนุษย์ จนเหมือนเทียบเท่ากับยุคเรเนซองค์ ที่ 2 มนุษย์ได้สร้างหุ่นยนตร์เพื่อความสะดวกของตน แต่เมื่อเกิดมีเหตุการ์ณที่หุ่นยนต์ฆ่ามนุษย์ มนุษย์อันโสมมกลับขับไล่สิ่งที่ตนเองสร้างขึ้น จนเป็นเหตุให้เกิดสงครามโลกระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์ เป็นจุดกำเนิดของ The Matrix === Kid's Story === เขียนบทโดย The Wachowskis, กำกับโดย Shinichiro Watanabe เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ชื่อ เดอะ คิด(Kid-ปรากฏตัวใน The Matrix Reloaded และ The Matrix Revolutions) ในขณะที่เขายังอยู่ในเมทริกซ์ แม้จะถูกมองเป็นเด็กเพี้ยนๆ เขาเชื่อว่ายังมีโลกที่เหนือกว่าโลกนี้อยู่และต้องการใครสักคนมาปลดปล่อยเขา สุดท้ายแล้วเขาก็ได้ทำสิ่งที่เกินความคาดหมายของทุกๆคนที่เฝ้าจับตาดูเขาอยู่ === Program === กำกับโดย Yoshiaki Kawajiriเล่าเรื่องด้วยภาพสไตลล์แอนิเมะชันญี่ปุ่นสมัยเก่า เรื่องของซิส กับโปรแกรมฝึกการต่อสู้ ที่ทำให้เธอต้องเลือกระหว่างการทรยศพวกพ้องเพื่ออยู่กับคนที่ตัวเองรัก หรือเลือกที่จะฆ่าคนที่ตัวเองรักเพื่ออยู่ในโลกความเป็นจริงต่อไป === World Record=== กำกับโดย Takeshi Koikeเมื่อนักวิ่งระดับโลกทำลายสถิติได้ ผลตอบแทนจุดสูงสุดของความเร็วมนุษย์ก็คือ การได้ออกมาสู่โลกจริง...แม้เพียงชั่วเวลาสั้นๆก็ตาม === Beyond === กำกับโดย Koji Morimotoเมื่อยูโกะออกตามหาแมวที่หายไปของเธอ ทำให้เธอได้พบกับเด็กกลุ่มหนึ่งและ 'บ้านผีสิง' สถานที่ลับเฉพาะที่กฎของฟิสิกส์ถูกทำลายลง แต่เมทริกซ์จะจัดการอย่างไรกับความผิดพลาดนี้? === A Detective Story === กำกับโดย Shinichiro Watanabeเรื่องของนักสืบหนุ่มที่ได้รับการว่าจ้างให้ตามล่าแฮกเกอร์สาว 'ทรินิตี้' ท้ายสุดแล้วเขาจะทำคดีนี้สำเร็จหรือไม่ ...คดีเดียวที่จะสามารถปิดได้ทุกคดี === Matriculated === กำกับโดย Peter Chungหากเมทริกซ์คือการจับมนุษย์มาทำให้เป็นโปรแกรม การทดลองของชาวไซออนกลุ่มนี้ก็คือการจับโปรแกรมมาทำให้เป็นมนุษย์ == หมายเหตุและอ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ อแนิมเทริคซ์ ภาพยนตร์แอนิเมชัน ภาพยนตร์โดรน แอนิเมชันตะวันตกที่ได้รับอิทธิพลจากสื่ออนิเมะ
thaiwikipedia
1,574
กลุ่มดาวหมาป่า
กลุ่มดาวหมาป่า เป็นกลุ่มดาวในซีกฟ้าใต้ หนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี และยังเป็นกลุ่มดาวในรายการกลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล กลุ่มดาวนี้อยู่ระหว่างกลุ่มดาวคนครึ่งม้ากับกลุ่มดาวแมงป่อง กลุ่มดาว กลุ่มดาวหมาป่า
thaiwikipedia
1,575
กลุ่มดาวลูกธนู
กลุ่มดาวลูกธนู เป็นกลุ่มดาวที่มีขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในท้องฟ้า รองจากกลุ่มดาวกางเขนใต้ และกลุ่มดาวม้าแกลบ แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็เป็นกลุ่มดาวเก่าแก่หนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี ในบรรดากลุ่มดาว 88 กลุ่มดาวลูกธนูเป็นกลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล กลุ่มดาว กลุ่มดาวลูกธนู
thaiwikipedia
1,576
กลุ่มดาวสามเหลี่ยม
กลุ่มดาวสามเหลี่ยม เป็นกลุ่มดาวหนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี และยังเป็นกลุ่มดาวในรายการกลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล มีดาว 3 ดวงเรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยม สามเหลี่ยม กลุ่มดาวสามเหลี่ยม
thaiwikipedia
1,577
กลุ่มดาวยีราฟ
กลุ่มดาวยีราฟ เป็นกลุ่มดาวขนาดใหญ่ในซีกฟ้าเหนือ แต่ไม่เด่นชัดเพราะดาวฤกษ์สมาชิกมีความสว่างน้อย ปรากฏครั้งแรกในบันทึกของจาคอบ บาร์ตช์ เมื่อ ค.ศ. 1624 แต่อาจกำเนิดขึ้นก่อนหน้านั้นโดย เพทรัส แพลนเซียส กลุ่มดาว กลุ่มดาวยีราฟ
thaiwikipedia
1,578
รหัส
ในการสื่อสาร และการประมวลผลสารสนเทศ รหัส คือ กฎในการแปลงสารสนเทศหนึ่งๆ (เช่น ตัวอักษร, คำ, หรือวลี) ให้อยู่ในรูปแบบหรือลักษณะที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิม การเข้ารหัส (encoding) คือกระบวนการที่ผู้ให้ข้อมูลทำการแปลงสารสนเทศให้กลายเป็นข้อมูล ที่จะถูกส่งไปยังผู้รับ เช่น ระบบประมวลผลข้อมูล การถอดรหัส (decoding) คือกระบวนการย้อนกลับในการแปลงข้อมูลที่ได้รับมา ให้เป็นสารสนเทศที่ผู้รับสามารถเข้าใจได้ ในบางสถานที่หรือสถานการณ์ การใช้ภาษาพูดหรือภาษาเขียนธรรมดานั้น ไม่สามารถเป็นสื่อกลางในการสื่อสารได้ ซึ่งทำให้การเข้ารหัสมีความจำเป็น ยกตัวอย่างเช่น การสื่อสารทางสายหลายครั้งได้เปลี่ยนคำที่พูดกัน ให้เป็นคำที่สั้นลง ทำให้ข้อมูลเดียวกันสามารถส่งได้โดยใช้จำนวนอักขระที่น้อยลง รวดเร็วขึ้น และประหยัดขึ้น อีกตัวอย่างเช่นการใช้รูปแบบของธงที่ปักอยู่ในประภาคารสูงเพื่อทำให้คนที่อยู่ในสถานที่ห่างไกล สามารถเข้าใจความหมายและตีความได้ ในวิทยาการเข้ารหัสลับ รหัสถูกนำมาใช้ในการสื่อสารที่ต้องการรักษาความลับ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันรหัสลับได้ถูกนำมาใช้แทน ดู รหัส (วิทยาการเข้ารหัสลับ) การประมวลผลสัญญาณ การเข้ารหัส
thaiwikipedia
1,579
กลุ่มดาวกิ้งก่าคะมีเลียน
กลุ่มดาวกิ้งก่าคะมีเลียน เป็นกลุ่มดาวขนาดเล็กในซีกฟ้าใต้ ที่ถูกรวมไว้ในแผนที่ดาว ยูรานอเมเทรีย (Uranometria) ของโยฮันน์ บาเยอร์ แต่อาจกำเนิดขึ้นก่อนหน้านั้น กิ้งก่าคะมีเลียน กลุ่มดาวกิ้งก่าคะมีเลียน
thaiwikipedia
1,580
กลุ่มดาววงเวียน
กลุ่มดาววงเวียน เป็นกลุ่มดาวขนาดเล็กกลุ่มหนึ่งในซีกฟ้าใต้ วงเวียน กลุ่มดาววงเวียน
thaiwikipedia
1,581
เจได
เจได อัศวินเจได หรือเรียกกันโดยรวมว่า นิกายเจได เป็นตัวละครฝ่ายวีรบุรุษที่สำคัญของผลงานหลายชิ้นของแฟรนไชส์ สตาร์ วอร์ส พวกเขาจะทำงานอยู่เคียงข้างกับสาธารณรัฐกาแลกติกเก่า และต่อมาให้การสนับสนุนแก่ฝ่ายพันธมิตรกบฎ นิกายเจไดได้ถูกอธิบายว่าเป็นทั้งองค์กรนักพรต นักวิชาการ ทหาร และผู้รักษาสันติภาพที่ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง ซึ่งมีต้นกำเนิดย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปีก่อนเหตุการณ์ในภาพยนตร์เรื่องแรกที่เข้าฉายในแฟรนไชส์ องกรที่ถูกสมมุติขึ้นได้เป็นแรงบันดาลใจทำให้เกิดขบวนการทางศาสนาใหม่และศาสนาล้อเลียนในโลกแห่งความเป็นจริง: ลัทธิเจได ภายใจจักรวาลสตาร์ วอร์สที่ถูกสมมุติขึ้น เจไดเป็นผู้พิทักษ์ที่ทรงพลังในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความยุติธรรม ผู้ที่ผ่านสัญชาตญาณ การฝึกฝนอย่างเข้มงวดและมีวินัยในตนเองอย่างเข้มข้น สามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติที่ถูกเรียกว่า เดอะ ฟอร์ส(พลัง) ตัวอย่างเช่น ความสามารถในการเคลื่อนย้ายสิ่งของด้วยจิตใจ การแสดงพลังอันน่าทึ่งและเชื่อมโยงกับความคิดของบางคน ตามที่จอร์จ ลูคัส ผู้สร้างสตาร์ วอร์สได้กล่าวอธิบายว่า เจไดเป็น"พระนักรบผู้รักษาสันติในจักรวาล" หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ยกเว้นแต่เป็นทางเลือกสุดท้าย ด้วยเป้าหมายภารกิจ "เพื่อใช้พลังของพวกเขาในการทำให้รัฐบาลของดาวเคราะห์ทั้งหมดอยู่ในแนวเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาก็จะไม่ทำในสิ่งที่ชั่วร้าย" เจไดมี"อำนาจทางศีลธรรมในการเช่นนั้น" เนื่องจากพวกเขาเป็น"ผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมมากที่สุดในกาแลกซี" ตลอดทั้งแฟรนไชส์ เจไดมักจะเป็นที่จดจำโดยเสื้อคลุมและเสื้อยาวของพวกเขาในเฉดสีน้ำตาลต่าง ๆ และการใช้กระบี่แสงของพวกเขา : อาวุธที่คล้ายดาบที่มีใบมีดที่มีสีสันที่ถูกทำขึ้นมาจากพลาสมา คล้ายกับปรัชญาทางฮินดูและประเพณีทางศาสนาในโลกแห่งความเป็นจริง(รวมทั้งศาสนาพุทธ) จริยธรรมของเจไดมุ่งเน้นไปที่ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การมีสติ การไม่ยึดติด และการหลีกหนีความสุขส่วนตัว ซึ่งเป็นลักษณะของสิ่งที่เจไดเรียกว่า "ด้านสว่าง" ของพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบค่านิยมทางศีลธรรมของเจไดมองว่าความกลัวเป็นเหตุทำให้เกิดความทุกข์: ความกลัวทำให้เกิดความโกรธ ความโกรธทำให้เกิดความเกลียดชัง และความเกลียดชังทำให้เกิดความทุกข์ เจไดย้ำเตือนว่าอารมณ์เชิงลบที่มากเกินไปเหล่านี้อาจทำให้สมาชิกของพวกเขาหันหลังให้กับด้านสว่างของพลังเข้าสู่ด้านมืด ซึ่งได้โอบรับทั้งความหลงใหล ความก้าวร้าว ความเกลียดชัง ความเดือดดาล และความขมขื่นเป็นวีถีแห่งชีวิต ภายในแฟรนไชส์ สตาร์ วอร์ส ซิธ เป็นผู้ติดตามพลังด้านมืดและศัตรูดั้งเดิมของเจได ในขณะที่ซิธแสวงหาการปกครองด้วยความรุนแรงและอำนาจที่เด็ดขาดเหนือกาแลกซี ส่วนเจไดทำงานเพื่อปกป้องประชาธิปไตย สันติภาพ และความยุติธรรม ในช่วงยุคสาธารณรัฐเก่า เจไดนำ "สันติาพมาสู่กาแลกซีด้วยการเป็นนักการทูตและนักแก้ปัญหา" นอกจากนี้ยังเป็นหน้าที่ของเจไดที่จะสืบสวนคดีอาชญากรรมบางอย่าง ตั้งแต่การฆาตกรรมที่มีชื่อเสียงไปจนถึงการทุจริตทางการเมือง การทำหน้าที่เป็นตัวแทนสันติภาพระหว่างกลุ่มระหว่างดาวเคราะห์ที่ทรงอำนาจ ปกป้องเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูงของสาธารณรัฐ ติดตามผู้ลี้ภัย และทำหน้าที่เป็นทหารของสาธารณรัฐในสงครามโคลน ถึงกระนั้น ข้อบัญญัติทางศาสนาของพวกเขาก็ต้องการให้พวกเขารักษาและปกป้องทุกชีวิตและใช้พลังของพวกเขาเพื่อความรู้และการป้องกันเท่านั้น ด้วยการเถลิงอำนาจของซิธลอร์ดนามว่า ดาร์ธ ซีเดียส หรือ พัลพาทีน ในช่วงยุคจักรวรรดิกาแลกติก นิกายเจไดได้กลายเป็นพวกนอกกฏหมายและสมาชิกส่วนใหญ่ถูกสังหารในการกวาดล้างทางการเมืองที่ตามมา == ประวัติ == นิกายเจไดเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มผู้เรียนรู้ปรัชญาบนดาวไทธอน (Tython) เจไดได้รับการเคารพว่าเป็นผู้รักษาความสงบและความยุติธรรมของกาแลคซี่ ด้วยอาวุธวิเศษจากพลังและพลังและด้านสว่างของพวกเขา ที่เรียกว่า กระบี่แสง (Lightsabers) พลังของเจไดจึงเป็นที่น่าเกรงขามของประชาชนในกาแลคซี่ ความสุขุมเยือกเย็น ความประพฤติของเจได ทำให้พวกเขาเป็นสุดยอดผู้นำมาซึ่งความสงบสุขในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งหรือสงคราม สำหรับพลังของเจไดและความหลากหลายที่เจไดมีน้อย บ่อยครั้งจึงถูกห้อมล้อมด้วยศัตรูในช่วงเวลาแห่งปัญหาและความสับสน พลังชั่วร้ายที่แฝงอยู่ได้ท้าทายนิกายเจไดและสถาบันที่เจไดปกป้อง หนึ่งในนั้นคือ ซิธ นักรบมืดที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของเจได ซิธสาปแช่งศัตรู สงครามระหว่างเจไดและซิธได้นำกาแลคซี่เข้าสู่สงครามครั้งแล้วครั้งเล่า ในช่วงวิกฤต อำนาจของซิธสามารถสกัดกั้นการรู้เห็นของนิกายเจไดให้มืดบอดได้ หนทางแห่งเจไดกลายเป็นหนทางแห่งปัญญาและความอดกลั้น ถูกผลักดันด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและเด็ดขาดเมื่อถึงคราวจำเป็น บางครั้งที่สภาเจไดแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องในการตัดสินใจ อย่างเช่นในช่วงสงครามแมนดาลอเรี่ยน (Mandalorian Wars) ที่สภาเจไดควรทำงานตามสถานการณ์และแผนระยะยาว การนิ่งเฉยของสภากระตุ้นให้รีแวนตอบโต้กลับ และเป็นเหตุให้เข้าสู่สงครามเจไดกลางเมืองในส่วนอื่นๆ ของกาแลคซี่ เส้นแบ่งระหว่างซิธและเจไดก็เด่นชัดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งนี้ ทั้งสองฝ่ายถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของการทำลายล้างที่เกิดในที่ต่างๆ เช่น บนดาว คาทารร์(Katarr) ทีลอส(Telos)และบนแดนทูอีน (Dantooine) ด้วยการวางแผนที่ซับซ้อนและความสามารถในการปรับตัวที่น่าพิศวงของปรมาจารย์ซิธผู้หนึ่ง (วุฒิสมาชิกพัลพาทีนแห่งนาบู) ได้ปรากฏตัวในห้องทำงานของสมุหนายกแห่งสาธารณรัฐ แผนของแห่งสงครามได้ถูกกำหนด และทำลายเจไดอย่างรุนแรงและรวดเร็วภายในครั้งเดียวได้ทำลายนิกายเจได และอ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของกาแล็กซี่ให้อยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ แม้ว่าการกวาดล้างเจไดจะยังไม่จบสิ้น ภายในยุคสมัยนั้น เจไดก็กลับมาปกป้องและทะนุบำรุงกาแล็กซี่อีกครั้งด้วยสติปัญญา และการนำทางของเจได ซึ่งก็คือที่มาของคติธรรมสำหรับสาธารณรัฐใหม่ == หนทางแห่งการเป็นเจได == การเป็นเจไดนั้นต้องรับข้อผูกมัดที่ลึกซึ้งและจิตใจที่หลักแหลม ชีวิตของเจไดคือการเสียสละ เจได คือผู้ที่มีสัมผัสของพลังซึ่งจะแผ่ออกมาตั้งแต่ยังเล็ก หากเกิดในดาวที่เจไดสามารถไประบุตัวได้ ก็จะได้รับการระบุตัวตั้งแต่ตอนเกิด (หรือโดยเร็วที่สุด) จากนั้นจะถูกนำตัวไปยังวิหารเจไดบนคอรัสซังค์ตั้งแต่ยังเป็นทารกหรืออายุน้อยมากไม่เกิน 7-8 ปี เมื่ออยู่ในวิหารเจได เด็กๆ จะได้รับการเลี้ยงดูและสั่งสอนตามวิธีของเจได รวมทั้งวิถีชีวิต กฎของเจไดที่ให้ความสำคัญเช่น ความสุขุม ความอดทน และความเมตตา และจะต้องระงับ ความรู้สึก เช่น ความเกลียด ความโกรธ และความกลัว ที่เป็นการทำลายตนและนำสู่หนทางแห่งด้านมืดของพลัง === การฝึกฝน === เจไดวัยเยาว์ส่วนใหญ่มักถูกเรียกว่ายังลิ่งหรือ เด็กๆ จะได้รับการจัดเป็นกลุ่มแล้วรับการถ่ายทอดวิชาจากปรมาจารย์เจไดที่มีประสบการณ์ เช่น โยดา เพื่อเรียนรู้วิถีของเจไดและอำนาจแห่งพลัง โดยปกติ การฝึกฝนเพื่อเป็นเจไดจะเริ่มตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เว้นแต่ยุคฟื้นฟูเจได หลังจากการสิ้นอำนาจของจักรวรรดิกาแล็กติก ระยะแรกนั้น เจไดรุ่นใหม่เป็นผู้ใหญ่ที่มีสัมผัสของพลัง ได้รับการฝึกครั้งแรกจากอาจารย์ลุค สกายวอล์คเกอร์โดยตรง หลังจากนั้นจึงค่อยรับเด็กๆเข้ามาฝึกฝนตามธรรมเนียมเดิม เมื่อนักเรียนแต่ละคนได้รับการฝึกถึงขั้นที่น่าพอใจตามวิถีแห่งเจไดแล้ว เหล่าอัศวินที่ประสงค์จะมีศิษย์จะมาคัดเลือกเด็กเหล่านี้ไปฝึกฝนแบบตัวต่อตัว (ในห้องมืด) โดยเด็กที่ได้รับเลือกจะมีสถานะเป็น พาดาวัน สัญลักษณ์ของพาดาวัน (ในเผ่าพันธุ์ที่มีเส้นผม) คือ การไว้ผมเปียเล็กห้อยข้างใบหู และเกล้าหางม้าขนาดเล็กที่หลังศีรษะ สัญลักษณ์เหล่านี้จะถูกตัดออกในพิธีหลังจากพาดาวันได้รับการยอมรับเป็นอัศวินเต็มตัว ศิษย์พาดาวันจะติดตามอาจารย์ไปในภารกิจต่างๆ โดยอาจารย์จะทำตัวเป็นแบบอย่างให้คำชี้แนะ เมื่อพาดาวันมีประสบการณ์และฝีมือมากขึ้นก็อาจได้รับภารกิจเดี่ยวเป็นบางครั้ง หากเด็กคนใดไม่ได้รับการเลือกไปเป็นพาดาวันของอัศวินเจไดภายในอายุ 13 ปี จะถูกคัดแยกไปอยู่ในหน่วยที่มีภารกิจเฉพาะ เช่น หน่วยสำรวจ หน่วยกสิกรรม หรือเป็นเจไดผู้เยียวยา การเลื่อนจากพาดาวันขึ้นเป็นอัศวิน มีได้สองกรณีคือ ได้รับการทดสอบโดยสภาเป็นผู้ตัดสิน และ พาดาวันผู้นั้นมีผลงานโดดเด่นและได้รับการยอมรับว่า มีความสามารถสมควรได้รับการเลื่อนชั้นแล้ว ซึ่งโอบีวัน เคโนบี ได้เลื่อนชั้นเป็นอัศวินจากการเป็นผู้สังหารซิธ แม้ยังขณะที่ยังเป็นพาดาวัน === การฝึกกระบี่แสง === อาวุธตามธรรมเนียมของเจไดก็คือกระบี่แสงซึ่งเมื่ออยู่ในมือที่มีทักษะคล่องแคล่ว อาจกลายเป็นการต่อสู้ที่ร้ายกาจ แม้แต่กับการต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่ใช้อาวุธระยะไกล ในการบรรลุระดับของทักษะนี้ต้องการความตั้งใจสูงและการฝึกฝนที่เข้มงวด นักเรียนจะฝึกฝนการใช้กระบี่แสงจากระยะไกลและเด็กๆ จะใช้กระบี่แสงในการฝึกฝน พวกเขายังดวลกับเจไดด้วยกันเองเพื่อทดสอบฝีมือของพวกเขา เมื่อถึงเวลาการใช้กระบี่จริงๆ เจไดต้องการความระมัดระวังสูง ด้วยเหตุนี้การฝึกฝนให้เป็นหนึ่งเดียวกับพลัง ตั้งแต่การเป็นหนึ่งเดียวกับความประณีตในเนื้อในของกระบี่แสงและชั้นแรกของประจุพลังซึ่งต้องการความรู้ทางด้านพลังเพื่อสนับสนุน เจไดจะสร้างกระบี่แสงด้วยตนเองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝน โดยใช้คริสตัลพิเศษเป็นจุดรวมของใบกระบี่แสง ในช่วงสงครามเจไดกลางเมือง เจไดซีรีนหลายคนใช้คริสตัลพิเศษคาชาในกระบี่แสงเป็นเครื่องมือในการเข้าญาณ โดยการเป็นหนึ่งเดียวกับคริสตัลในการฝึกกฎเกณฑ์ของพวกเขา เพื่อช่วยขจัดความวอกแวกในจิตใจ แม้แต่ความตึงเครียดในการต่อสู้จะนำตัวมันเองเพื่อหาส่วนประกอบของกระบี่แสง การเข้าญาณในถ้ำคริสตัลบนดาวเคราะห์ เช่น อิลัมหรือแดนทูอีนมักจะเห็นภาพใจจิตใจของเจไดเกี่ยวกับกระบี่แสงที่พวกเขาจะสร้างขึ้น การสร้างกระบี่แสงถูกพิจารณาเป็นเครื่องวัดระยะของการเข้าสู่ขั้นอัศวินเจไดและเป็นสัญลักษณ์ที่ให้ความหมายแข็งแกร่ง === หนทางแห่งชีวิต === ในการปฏิบัติตามหลักของเจได การปฏิบัติตัวของเจไดจะต้องไม่สั่นคลอนเพื่อยืนหยัดในระเบียบวินัยของตนเอง มีความรับผิดชอบและช่วยเหลือสาธารณะ เจไดต้องควบคุมความรู้สึกและความเห็นแก่ตัว พวกเขามีชีวิตที่มีเกียรติ มีหลักเกณฑ์ ในนิกายเจไดความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์ เจไดมักช่วยสนับสนุนและปกป้องความอ่อนแอ กฎของการผูกมัด เช่น ความรู้สึก ความคิดเห็น ดั่งความเข้าใจในด้านมืดและสว่างในทุกสิ่ง เรียนรู้ที่จะเห็นอย่างระมัดระวัง เปิดตาของพวกเขาเพื่อรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ไม่ชัดแจ้งและปฏิบัติหน้าที่อย่างระมัดระวัง แม้กระทั่งสนใจในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ สำคัญที่สุด เจไดทำหน้าที่เพื่อสาธารณรัฐและเป็นหนึ่งเดียวกับพลัง เหล่าเจไดก่อนที่รูซานน์จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบมีหนทางหลายหนทางในการปฏิบัติของพวกเขา นิกายมีการจัดรวมที่หละหลวมและอัศวินเอกชนและปรมาจารย์ยอมให้อิสระส่วนตัวมากกว่า ภายหลัง นิกายมีศูนย์กลางสำคัญคือสภาสูง แม้ว่าต่อมามันจะกลายเป็นข้อห้าม เจไดในยุคแรกๆ จะใช้โล่และเกราะเพื่อป้องกันตนเองในสนามรบ และใช้ปืนเลเซอร์แทนกระบี่แสงในการต่อสู้ เจไดในยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงยังไม่มีชุดคลุมอีกด้วย หรืออาจมีมากหรือน้อยเมื่อพวกเขาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว แม้ว่าเสื้อคลุมยาวตามประเพณีนั้นเป็นที่ชอบของปรมาจารย์ส่วนใหญ่ก็ตาม นี่รวมถึงเสื้อคลุมที่มีแขน เสื้อคลุมไม่มีแขนที่มักจะมีสีและโทนที่ไม่เปลี่ยนแปลงของสีขาวและน้ำตาล สีเทาก็เป็นสีปกติของเสื้อคลุมด้วย ด้านข้างซ้ายของชุดคลุมมักพลิกให้เห็นด้านขวาของลำตัว หลังจากมีการเปลี่ยนแปลง เสื้อคลุมยาวก็กลายเป็นเสื้อผ้าหลักของเจได แม้แต่ในสมรภูมิ เจไดยังใส่กางเกงอีกด้วย โอบิ เข็มขัดหนังสาระพัดประโยชน์ ที่ซึ่งพวกเขาเก็บเครื่องมือพิเศษสำหรับในภารกิจของพวกเขา และบูทหนัง สีของเจไดแสดงให้เห็นความกลมกลืนกับพลัง ซึ่งมีรูปร่างตรงกันข้ามกับซิธผู้ซึ่งแต่งกายโดยใช้สีดำเป็นหลักอย่างสิ้นเชิง ในการเห็นพ้องต้องใจของพวกเขาในเรื่องการไร้ความยึดติด ชุดแสดงให้เห็นว่าบางที่ก็ไม่จำเป็นในทีเดียว เจไดแห่งสาธารณรัฐถูกต้องห้ามมิให้มีความผูกพันที่แรงกล้า ดังที่พวกเขาเชื่อว่ามันจะนำไปสู่ความรู้สึกของด้านมืด ด้วยเหตุนี้ เจไดจึงห้ามให้มีการแต่งงาน อนาคิน สกายวอล์คเกอร์อาจเป็นคำสั่งเสียในเรื่องการระมัดระวังของเจได เหมือนที่เขากลัวการสูญเสียภรรยาลับของเขา คือ แพดเม่ อมิดาลาเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาจมลงสู่ด้านมืดของพลัง แต่การติดต่อกับลูกชายของเขา ลุค สกายวอล์คเกอร์ จะนำเขากลับสู่แสงสว่าง แม้ว่าเจไดไม่ได้มีข้อต้องการว่าจะต้องเป็นพรหมจรรย์ บางคนอาจมีความจำเป็นต้องมีทายาท ดังเช่นหนึ่งในกรณีพิเศษที่ได้ถูกบันทึกไว้ คือกรณีของ คิ-อดิ-มันดิิซึ่งเป็นชาวดาวซีเรียที่มีอัตราการเกิดต่ำ และอัตราเพศชายต่อเพศหญิงเป็น 1:10 จึงได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้สมรสโดยมีภรรยาหลายคนได้ และเป็นพ่อของลูกสาว 7 คน ลูกชาย 1 คนรานิค โซลูซาร์ถูกสั่งสอนวินัยจากสภาในการแต่งงานของเขาและลูกที่เกิดแต่ก็ไม่ได้ถูกขับออกจากการเป็นเจได แม้จะมีข้อจำกัดนี้ เจไดรู้การที่จะมีความลับ ความสัมพันธ์อย่างลับๆ กับคนที่ไม่ใช่เจได เช่น การแต่งงานของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์กับแพดเม่ อมิดาลา ควินลัน วอสและคาลีน เฮนทซ์ และนีจา ฮัลซีอนกับซีร่า ฮัลซีอน หรือกับคนในนิกายเจได เช่น ความสัมพันธ์ของคิท ฟิสโตกับเอย์ล่า ซีคูร่า ไคว-กอน จินกับทาฮ์ล โอบี-วัน เคโนบีกับซีริ ทาชิ และโทล์มกับทีอซา ความสัมพันธ์พวกที่ส่วนมากไม่ได้นำไปสู่โชคร้าย ไกลออกไป รีแวนแบ่งปันความรักกับแบสติล่า ชานซึ่งทำให้เธอพ้นความชั่วร้าย ความด่างพร้อยอื่นๆ ที่เห็นได้ชัดในสภาสูงในเรื่องนี้ นี่นำไปสู่ความโกลาหลของโจลี บินโดกับภรรยาของเขา นายาม่า บินโด ในช่วงมหาสงครามซิธ บินโดฝึกสอนภรรยาของเขาให้ใช้พลัง แต่แล้วไม่นานเธอก็จมลงสู่ด้านมืด เขาไม่ได้ถูกขับไล่ออกจากนิกาย แต่กลับถูกเลื่อนขั้นให้เป็นอัศวินเจไดอีกครั้ง เขาจึงเสียศรัทธาในความไตร่ตรองของสภาและออกจากนิกาย มาถึงยุคเปลี่ยนแปลงของรูซานน์ เจไดบางคนได้ทำการแต่งงานและมีครอบครัวเป็นของตนเอง แม้แต่ทั้งครอบครัวก็เกิดมาจากเจได เช่น ครอบครัวของเอ็นเดอร์ ซันไรเดอร์ เด็กจากครอบครัวเจไดมักมีพรสวรรค์ในพลัง แม้ว่าต่อมาในนิกาย ครอบครัวก็ยังมีอยู่แม้ว่าการสืบเชื้อสายนั้นผ่านจากสมาชิกของครอบครัวแต่ละคนซึ่งไม่ได้เป็นเจได ครอบครัวเจไดแห่งสาธารณรัฐล่าสุดยังรวมถึงครอบครัวคูนและครอบครัวเดธท์ เส้นทางของเจไดนั้นเป็นชีวิตที่ยืนยาว เจไดมักใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในนิกาย เรียนรู้เกี่ยวกับนิกายและพลังมากขึ้น และเดินตามเจตนารมณ์ของสภาเจได จนกระทั่งเกิดสงครามโคลน ซึ่งมีเจไดเพียง 20 คนเท่านั้น (ทั้งอัศวินหรือสูงกว่า) กล่าวว่าจะออกจากนิกาย อย่างผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดเคาท์นดูกูและปรมาจารย์ฟาเนียส พวกเขาเหล่านี้ถูกเรียกว่าผู้สูญหายทั้ง 20 หรือเรียกง่ายๆ ว่า"ผู้หลงทาง" == พลัง == เจไดรวมเป็นหนึ่งด้วยการเรียนรู้ด้านพลังของพวกเขา "สนามพลังงาน" ซึ่งแผ่กระจายออกมาจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เจไดค้นหาการเข้าใจในพลังซึ่งพวกเขาจะได้ใช้มันเพื่อปกป้องและช่วยเหลือผู้คนที่พวกเขารับใช้ เจไดเชื่อว่าพลังสามารถควบคุมได้โดยการเรียนรู้อย่างระมัดระวังและการเข้าฌาณเพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้และโลกรอบตัว ขณะที่พวกเขาเรียนด้านสว่างของพลัง เจไดสนับสนุนสมาชิกของพวกเขาเพื่อใช้พลังในการป้องกันและรักษาเท่านั้น ไม่เคยใช้ด้วยความโกรธและกลัว แต่เจไดหลายคนตามประวัติศาสตร์ไม่เห็นด้วยในความคิดนี้ โต้เถียงว่าเป็นอย่างอื่น ผู้ใช้ด้านมืดของพลังน่าจะเป็นที่ยอมรับ การไม่เห็นพ้องต้องกันนี้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เจไดต้องทำศึกสงครามกับซิธไม่หยุดหย่อน ด้านมืดของพลังนั้นเป็นที่น่ายั่วยุของเจไดหลายต่อหลายคน หลายอย่างของด้านมืดดูเร็วกว่าและง่ายกว่า แสวงหาในด้านมืด อย่างไรก็ตาม มันเป็นการพยายามที่จะทำลายตนเอง และเจไดหลายคนผู้ที่ใช้พลังมืดพบว่ามันยิ่งหันกลับไปมากขึ้นและมากขึ้น แม้ว่าเจไดบางคนอาจกลับเข้าสู่แสงสว่างได้อีกครั้ง แต่หลายคนก็จมลึกจนกลายเป็นเจไดมืด บางคนก็เป็นสามชิกของนิกายซิธ ยิ่งไปกว่านั้น การโหยหาด้านมืดก็ลดความสามารถของเจไดลงไปด้วย บดบังการมองทะลุในสิ่งสำคัญ ด้วยเหตุนี้ การฝึกฝนพลังด้านมืด จึงถูกประกาศให้เป็นสิ่งต้องห้ามโดยสภาเจได พวกที่จมสู่ด้านมืด อย่างไรก็ตาม เจไดก็พยายามที่จะช่วยในเจได การฆ่าคือหนทางสุดท้าย ความดีเลวนี้ครั้งหนึ่งเป็นความแข็งแกร่งและอ่อนแอของนิกาย มันทำให้พวกเขาดูเหมือนน่าไว้ใจเกินไป อย่างไรก็ตาม แม้แต่ซิธที่แข็งแกร่ง เช่น รีแวนและดาร์ธ เวเดอร์ก็ถูกช่วยและหันกลับสู่ด้านสว่างโดยเจได == สามหลักมั่นของความแข็งแกร่งของเจได == ความแข็งแกร่งของกฎของเจไดและนิกายตั้งอยู่บนสามคำสอนหลัก มีวินัยในตน ความรู้ เช่นเดียวกับที่อยู่ในเอกสารของเจได พลัง พลังงานทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งติดอยู่กับทุกสิ่งและรวมถึงความเกี่ยวข้องกับมิดิ-คลอเรียน เมื่อใช้อย่างถูกต้อง มันจะช่วยเจไดแก้ปัญหาทุกปัญหาและผ่านอุปสรรคทุกอุปสรรค ช่วยกาแล็กซี่ให้สงบขึ้น == ลำดับชั้นของอัศวินเจได == เช่นเดียวกับที่เจไดต้องยึดมันในกฎของเจไดและพลัง สมาชิกแต่ละคนจะต้องบรรลุระดับพื้นฐานทั้งสี่ของเจได == การปกครองของนิกาย == เจไดผู้ช่ำชอง เป็นหนทางสำหรับผู้ใหญ่ที่มีความรู้สึกด้านพลังซึ่งไม่เคยฝึกฝนตามระเบียบของเจไดมาก่อน เจไดเริ่มต้น (หรือ ยังลิ่งหรือ"คาดหมายว่าจะเป็นเจได") เด็กที่มีความรู้สึกด้านพลัง มักตรวจพบว่าจะได้เป็นเจไดโดยตรวจจากตัวอย่างเลือด พวกที่มีพลังแฝงอยู่มักจะมีจำนวนมิดิ-คอสเรียนที่สูงในเลือดของพวกเขา ด้วยวัยทียังเล็ก เด็กจะถูกนำมาจากครอบครัวของพวกเขาและไปที่วิหารเจไดเพื่อเริ่มการฝึก ยังลิ่งจะรวมกันเป็นกลุ่มเดียวกัน เจไดพาดาวัน ศิษย์ที่เริ่มการฝึกสอนอย่างจริงจังโดยอัศวินเจไดหรือปรมาจารย์เจไดคนเดียวเท่านั้น ในการวัดขั้นของสถานะพาดาวัน ผู้เริ่มต้นต้องถูกเลือกโดยอัศวินหรืออาจารย์ โดยอาจารย์จะสามารถมีศิษย์ได้เพียงคนเดียว หากยังลิ่งยังไม่ถูกเลือกให้เป็นพาดาวันจนมีอายุ 13 ปี ยังลิ่งจะถูกเปลี่ยนไปเป็นตำแหน่งอื่นแทน อย่างน้อยก็จนวนเวียนว่ายอยู่ในเหล่าเจไดช่วยเหลือ หรือพวกเขาอาจถูกเลือกให้ออกจากนิกาย มันขึ้นอยู่กับว่าความสามารถของเขาแสดงออกมาทางด้านไหน อาจเป็นเหล่ากสิกรรม เหล่าการแพทย์ หรือเหล่าสำรวจ พาดาวันจะไว้ผมเปียยาวไว้หลังหูขวา เมื่อพาดาวันเลื่อนขึ้นสู่เหล่าอัศวิน เปียก็จะถูกตัดในระหว่างพิธีกรรมอัศวิน อย่างน้อยเจไดไม่กี่คนแม้ว่าจะเป็นอัศวินไม่ยุ่งยากโดยแค่บอกว่าพวกเขาได้ผ่านการพิสูจน์ความเป็นเจไดจะถูกไตร่ตรองว่าจำเป็น อย่างเช่น โอบีวัน เคโนบี และเวอร์จ บางทีก็ยกเว้นให้สำเร็จการฝึกพาดาวันไปเลย อย่างในกรณีของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ อัศวินเจได พาดาวันที่ถูกฝึกสอนอาจกลายเป็นเจไดที่ถูกสอนเต็มที่แล้วเมื่อพวกเขาสำเร็จการพิสูจน์ความเป็นเจได การพิสูจน์ก็มี แต่มันก็มีจำกัดเช่นกัน การพิสูจน์แห่งความเป็นคน การพิสูจน์แห่งความกล้าหาญ การพิสูจน์แห่งทักษะและการพิสูจน์แห่งตน (หรือการพิสูจน์แห่งกระจกเงา) อาจารย์เจได อัศวินเจไดที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในพลังและจัดการสอนพาดาวันและฝึกจนเขาบรรลุถึงอัศวินเจได คำนำหน้านี้อาจใช้ให้กับผู้ที่ทำวีรกรรมที่น่ายกย่อง การประกาศตนเองให้เป็นอาจารย์เจไดนั้นหายากและเป็นที่ไม่พอใจของสภาเจได ตัวอย่างเช่น โจรัส ซี บอท (Jorus C'baoth) และตัวโคลนของเขาโจรัส ซี บอท (Joruus C'baoth) สมาชิกของสภา เจไดน้อยมักที่จะถูกเสนอชื่อให้รับใช้สภาเจได การดูแลนิกาย สภาจะมีแต่ผู้ที่มีความรู้เยอะส่วนใหญ่ อาจารย์ที่มีประสบการณ์ (ในวันที่แห้งเหือดของนิกาย หนึ่งอัศวิน คิ-อดิ-มันดิ ทำหน้าที่เป็นสมาชิกของสภา แต่เขาพบความยากลำบากในการเป็นอาจารย์ในเวลาที่เขาถูกเสนอชื่อ) อัศวินเจไดอีกคน อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ถูกแต่งตั้งเข้าสภาโดยสมุหนายกพัลพาทีน แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับขั้นอาจารย์เพราะเหตุนี้ สภาจะประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมดเป็นอาจารย์ 12 คน โดย 5 คนจะใช้เวลาทั้งชีวิต( 2 คนจะขอลดตำแหน่งเป็นรอง) 4 คนในช่วงเวลายาวนาน และ 3 คนในช่วงเวลาสั้นๆ ปรมาจารย์เจได ระดับสูงสุดในนิกายเจไดนั้นคือปรมาจารย์เจได โยดาคือหนึ่งในปรมาจารย์ เช่นเดียวกับลุค สกายวอล์คเกอร์ในสงครามสวาร์ม บางคนเชื่อว่าอาจารย์แวนดาร์ตั้งตัวเองเป็นอาจารย์ผู้อาวุโส อัศวินเจไดหรืออาจารย์เจไดจะมีศิษย์เพียงครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น และพาดาวันจะต้องเป็นอัศวินเจไดก่อนที่จะเลือกพาดาวันคนใหม่มาเป็นศิษย์ หลายพันปีก่อนช่วงการเปลี่ยนแปลงของรูซานน์ อาจารย์สามารถมีศิษย์มากกว่าหนึ่งคนได้ เช่น อาจารย์อาคา เจทธ์ที่มีศิษย์ถึง 3 คน คือ พี่น้องอุลลิคและเคย์ เคว-โดรม่าและทวิเลค ทอทท์ โดนีตา เมื่อนิกายเจไดใหม่เริ่มต้นครั้งแรก ลุค สกายวอล์คเกอร์ มอบหมายนักเรียนหลายคนให้กับอาจารย์ที่น้อยนิดในนิกาย เช่น ไคล์ คาทาร์นมี เจเดน คอรร์ และรอช เพนิน ทั้งสองถูกมอบให้กับเขา == หน่วยปฏิบัติการพิเศษ == การเป็นเจไดคือชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง ในฐานะนิกายเจไดซึ่งต้องมีตวามรับผิดชอบสูง ขณะที่เจไดส่วนมากเป็นเจไดรักษาการ บางที่อาจทำหน้าที่พิเศษในบริเวณไม่มากก็น้อย แต่ในการเห็นพ้องต้องกันกับความสนใจของพวกเขาและการเลื่อน หรือเพราะพวกเขาถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่รับผิดชอบสำหรับพื้ที่ซึ่งต้องการหน่วยพิเศษทำ ด้วยการเป็นหน่วยพิเศษนี้มักกลายเป็นเจไดที่ไม่เหมือนคน ยิ่งกว่านั้น ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของกาแล็กซี่ เจไดบางคนจะทำหน้าที่ทางการทหารและสู้รบเคียงข้างกับกองกำลังของสาธารณรัฐ === การทหารและสงคราม === ในช่วงสงคราม โดยเฉพาะเมื่อกองกำลังซิธปรากฏตัวขึ้น เจไดอาจต้องปฏิบัติหน้าที่ในทางทหารและบัญชาการกองทัพแห่งสาธารณรัฐ อย่างที่เห็นในสงความแมนดาลอเรี่ยน สงครามกลางเมืองเจไดสงครามซิธใหม่ และสงครามโคลน ดังนั้น เจไดจึงกลายเป็นทหารไม่ใช่แค่ผู้รักษาความสงบ ผู้บัญชาการเจได (Jedi Commander) พาดาวันที่ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการในมหากองทัพแห่งสาธารณรัฐิผู้บัญชาการเจไดจะทำหน้าที่จนกระทั่งได้เป็นอัศวิน พาดาวันจะได้รับหน้าที่นายพลเมื่อเป็นจไดอย่างเต็มตัว นายพลเจได (Jedi General) เจไดผู้ที่ทำหน้าที่บัญชาการกองทัพของสาธารณรัฐ ถูกพิจารณาให้เป็นนายพลอย่างเต็มตัว นายพลเจไดผู้อาวุโส (Senior Jedi General) ตำแหน่งสูงของเจไดที่ทำหน้าที่เป็นนายพลในสงครามโคลน นายพลเจไดผู้อาวุโสมักจะเป็นอาจารย์เจไดที่มีประสบการณ์ด้านการทำสงครามและยุทธวิธี นายพลเจไดขั้นสูง (High Jedi General) สมาชิกของสภาเจไดที่ทำหน้าที่เป็นนายพลในช่วงสงครามโคลน นายพลเจไดขึ้นสูงไม่ได้แค่บัญชาการกองทัพของตนเองเท่านั้น แต่ยังคงสั่งการนายพลเจไดคนอื่นๆ อีกด้วย โยดา(Yoda) โอบีวัน เคโนบี (Obi-wan Kenobi) และ เมซ วินดู (Mace Windu) เป็นนายพลเจไดขึ้นสูงที่มีชื่อเสียง ขุนนางเจได (Jedi Lord) เจไดผู้ที่รับหน้าที่กองทัพแห่งแสงสว่างในช่วงสงครามซิธใหม่ ขุนนางเจไดที่ดำรงตำแหน่งนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองแต่อย่างใด ตำแหน่งนี้ถูกยกเลิกหลังสงคราม ในตำแหน่งอื่นๆ ที่เพิ่มมาจากตำแหน่งธรรมดา มีจำนวนของยศและตำแหน่งอยู่บนพื้นฐานของหน่วยพิเศษในพื้นที่ของสงครามและการต่อสู้ นักรบแห่งพลัง (Force Warrior) เจไดผู้ที่มีทักษะในการต่อสู้ที่ไม่มีอาวุธใดๆ มีเพียงการใช้การเข้าญาณ ศิลปะการป้องกันตัวและพลัง เจไดเอซ (Jedi ace) เจไดผู้ที่มีความพิเศษในด้านการสู้รบโดยใช้สตาร์ไฟเตอร์ เป็นการใช้ทักษะในการเป็นนักบินและความสามารถพลัง เจไดผู้รักษาทางเข้า (Jedi gatemaster) เจไดผู้ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาของทางเข้าหลักสู่วิหารเจได เจไดเหล่านี้มักจะถูกฝึกในทางที่พิเศษออกไป เจไดผู้พิทักษ์ (Jedi Guardian) อาจารย์เจไดผู้ที่มีทักษะพิเศษทางด้านการต่อสู้ ผู้พิทักษ์จะเพ่งเล็งสมาธิเรื่องกางฝึกฝนสงครามและการต่อสู้เป็นพิเศษโดยที่ไม่สูญเสียจุดมุ่งหมายบนชั้นเชิงและหลักธรรมของพลัง เจไดผู้เชี่ยวชาญอาวุธ (Jedi Weapon Master) อาจารย์เจไดผู้ที่เพ่งเล็งไปที่การต่อสู้คนเดียว ผู้ที่เชี่ยวชาญทางอาวุธเป็นนักสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิกาย แต่ยังมีความเข้าใจในความเป็นธรรมและทักษะของพลังที่ปราศจาการต่อสู้ === การเยียวยา === เจไดผู้รักษา (Jedi Healer) เจไดบางคนอาจเป็นคนที่เพ่งเล็งไปในทางใจบุญมากกว่าพลัง โดยเฉพาะพลังฟื้นฟูในการเพิ่มพูนความรู้อย่างเช่นพลัง มีความรู้ที่กว้างขวางทางการแพทย์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ เจไดผู้รักษามีจะประจำการอยู่ที่โรงพยาบาลของกลุ่มเจได(Jedi Medical Corps Infirmary) แต่อาจทำหน้าที่ในสนามรบก็เป็นได้ เช่น ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของสงครามโคลน เจไดผู้รักษาจะประจำการอยู่บนยานพยาบาล(MedStar-class frigate)และบางครั้งยานพาหนะศัลยแพทย์(Republic Mobile Surgical Unit)ของสาธารณรัฐ ("ริมซูส") (Rimsoos) === ศาสนา ประวัติศาสตร์ และความรู้ === เจไดบางคนอาจเชี่ยวชาญในเรื่องเก่าๆ เช่นในประวัติศาสตร์ของกาแล็กซี่ พลัง และนิกายเจไดสร้างความรู้ที่หาค่ามิได้ นักโบราณคดีเจได (Jedi archaeologist) เจไดผู้ที่มีความสามารถในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์จากการขุดค้นทางโบราณคดี เจไดโบราณคดีมักจะมีสมาชิกที่มาจากคณะสำรวจ(ExplorCorps)และสนับสุนให้การสำรวจมีหลากหลายแนวทาง นักประวัติศาสตร์เจได (Jedi historian) เจไดผู้ที่มีความสามารถในด้านการรายงานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกาแล็กซี่และนิกายเจได นักประวัติศาสตร์เจไดรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับนิกายเจไดอย่างละเอียด บรรณารักษ์เจได (Jedi librarian) เจไดผู้ที่มีความสามารถในด้านการดูแลฐานข้อมูลของความรู้ บรรณารักษ์เจไดมีหน้าที่อย่างสำคัญในหอสมุดเจได(Jedi library) เช่นมหาหอสมุดเจได (Great Jedi Library) โบราณ หอสมุดแห่งกลุ่มเจได (Jedi Enclave) บนแดนทูอีน(Dantooine) หรือ เอกสารของเจได(Jedi Archives) นักธรณีวิทยาเจได (Jedi geologist) เจไดผู้ที่มีความสามารถในด้านธรณีวิทยา เจไดเกี่ยวกับกงสุล (Jedi Consular)/นักปราชญ์ อาจารย์เจไดผู้อุทิศตนให้กับเรื่องที่ลึกลับในพลัง กงสุล(นักปราชญ์ในขั้นปรมาจารย์)จะมีการมองทะลุในธรรมะของพลังและมีทักษะสูงในการใช้พลังที่หลากหลาย === การติดต่อและการทูต === เจไดเฝ้ายาม (Jedi Sentinel) เจไดผู้ที่ค้นพบความสมดุลระหว่างการฝึกการต่อสู้ในแบบของเจไดผู้พิทักษ์ (Jedi Guardian)และมุมมองในธรรมะที่กว้างขวางและการสอนเรื่องความรับผิดชอบของเจไดเกี่ยวกับกงสุล(Jedi Consular) เจไดเหล่านี้ชอบที่จะขุดค้นความจริงเกี่ยวกับการหลอกลวงและความไม่ยุติธรรม และนำแสงสว่างมาสู่มัน พวกเขามักจะทำหน้าที่ในการภารกิจการลาดตระเวนและมีทักษะในการรักษาความปลอดภัย คอมพิวเตอร์ การล่องหน หรือการแพทย์ รวมถึงการทูตอีกด้วย ผู้ระวังภัย (Jedi Watchman) เจไดที่มักถูกเรียกให้ทำหน้าที่เป็นความยุติธรรมในการทูต พวกเจ้าจะเป็นผู้ที่ไม่ใช้ความรุนแรงและช่วยเจรจาในเวลาที่มีการโต้เถียงกัน และการตัดสินของพวกเขามักจะรู้กัยว่ามีความยุติธรรมและเป็นข้อยุติ เมื่อเป็นนักทูต เจไดจะใส่ใจในเรื่องความยุติธรรมมากที่สุด เจไดผู้ระวังภัยจะคอยตรวจตราเจาะจงในเฉพาะระบบและเขต เนื่องจากทำหน้าที่คล้ายกับนายทหารที่ติดต่อระหว่างทั้งสองกองทัพ ระหว่างระบบหรือเขตกับสภาเจได เจไดผู้ระวังภัยมักจะมีทักษะในด้านการทูตและความรู้ด้านวัฒนธรรมศาสนาของระบบหรือเขตนั้นๆ ที่พวกเขาจับตามองอยู่สูง เจไดผู้ระวังภัยมักจะมาจากระบบหรือเขตที่พวกเขาทำหน้าที่ดูแลอยู่นั่นเอง === การต่อสู้กับอาชญากรรมและการสืบสวน === นิกายเจไดยังมีส่วนในการตอบโต้กับอาชญากรรมอีกด้วย พวกเขาอาจเป็นเจ้าหน้าที่ทั่วไปของกาแลคซี,แต่ยังมีกลุ่มของเจไดที่ทำหน้าที่สืบสวนในอาชญากรรมนั้นๆ การสืบสวน การแก้ปัญหา และการป้องกัน เจไดผู้สืบสวน (Jedi investigator) เจไดพิเศษที่จะถูกแต่งตั้งโดยสภาเพื่อทำหน้าที่เปิดโปงสิ่งที่ซ่อนอยู่และเปิดเผยภัยที่ซ่อนเร้นต่อกาแล็กซี่ เช่น การรวมตัวของกลุ่มอาชญากรรมที่มีอำนาจ การโกงกินและการคิดกบฏต่อสาธารณรัฐและภัยอื่นๆ ที่ยังอยู่ในเงามืด เจไดผู้สืบสวนมักจะทำงานคนเดียวและปลอมตัวเพื่อแทรกซึมกลุ่มองค์กรที่น่าสงสัยหรืออาจทำงานยุ่งเกี่ยวกับการสืบสวนการเคลื่อนไหวที่เหมือนเป็นอาชญากรรม เจไดผู้เฝ้ายาม (Jedi Sentinel) เจไดผู้เฝ้ายามเป็นความสมบูรณ์แบบระหว่างเจไดผู้พิทักษ์กับเจไดกงสุล มีการควบคุมใช้ทักษะที่ยอดเยี่ยมในการต่อสู้และความรู้ในพลัง เจไดประเภทนี้ทำหน้าที่คล้ายทั้งเจไดผู้สืบสวนและเจไดผู้ติดตาม ค้นหารากและทำลายทั้งอาชญากรรมและด้านมืด ในอีกทาง เจไดผู้เฝ้ายามยังมีทักษะในสาขาต่างๆ อีกมาก เจไดผู้ติดตาม (Jedi Shadow) เจไดผู้ที่มีหน้าที่ในการตามหาและทำลายสัญญาณในการมาของด้านมืดของพลัง เจไดผู้ติดตามคืออาวุธหลักของนิกายเจไดที่จะทำการต่อสู้กับด้านมืดจนกระทั่งสู่สงครามโคลน == ซิธ == ซิธ เป็นชื่อเรียกของเหล่าอัศวินเจไดที่หลงไปในด้านมืดของพลังซึ่งชวนหลงใหลมากกว่า และเข้าถึงได้ง่ายกว่าพลังด้านสว่าง มักจะเป็นศัตรูกับเจไดที่ภักดีต่อพลังด้านสว่างทำให้ก่อสงครามมากมาย == วิหารเจได == วิหารเจได เป็นสถานที่และสิ่งก่อสร้างในภาพยนตร์ นวนิยาย หนังสือการ์ตูน และสื่ออีกมากมายของสตาร์ วอร์ส วิหารเจไดนั้นเป็นสถานที่ที่มีบทบาทมากมายในสตาร์ วอร์ส โดยเฉพาะในไตรภาคที่สอง ในภาพยนตร์ วิหารเจไดปรากฏตัวครั้งแรกในภัยซ่อนเร้น วิหารเจได (ภาษาอังกฤษ: Jedi Temple) เป็นศูนย์บัญชาการหลักของนิกายเจไดตั้งแต่ช่วงสงครามซิธครั้งใหญ่จนถึงการกวาดล้างเจไดครั้งใหญ่ และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น มันก็เป็นสถานที่ฝึก บริหาร และที่พัก มันเสียหายอย่างมากในช่วงเวลาก่อนการประกาศระเบียบใหม่ ==อ้างอิง== == แหล่งข้อมูลอื่น == Starwars.wikia.com เว็บไซต์สตาร์ วอร์ส สภาเจไดแห่งประเทศไทย องค์กรและหน่วยงานในสตาร์ วอร์ส ตัวละครที่เป็นนักดาบ องค์กรสมมุติ ตัวละครที่เป็นอัศวิน
thaiwikipedia
1,582
กลุ่มดาวนกเขา
กลุ่มดาวนกเขา เป็นกลุ่มดาวขนาดเล็ก อยู่ทางใต้ของกลุ่มดาวหมาใหญ่ และกลุ่มดาวกระต่ายป่า เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของของกลุ่มดาวหมาใหญ่ แต่ถูกแยกออกมาโดยออกัสติน โรเยอร์ เมื่อ พ.ศ. 2222 (ค.ศ. 1679) กลุ่มดาว กลุ่มดาวนกเขา
thaiwikipedia
1,583
กลุ่มดาวผมเบเรนิซ
กลุ่มดาวผมเบเรนิซ เป็นกลุ่มดาวที่เคยเป็นเพียงดาวเรียงเด่นมาก่อน อยู่ใกล้กลุ่มดาวสิงโต ในอดีตจึงเคยยอมรับกันว่าเป็นส่วนหางของสิงโต กลุ่มดาว กลุ่มดาวผมเบเรนิซ
thaiwikipedia
1,584
เอกธำมรงค์
แหวนเอกธำมรงค์ (The One Ring) หรือชื่ออื่น ๆ ว่า แหวนเอก แหวนประมุข แหวนแห่งอำนาจ (Ruling Ring) และ ยมทูตแห่งอิซิลดูร์ (Isildur's Bane) เป็นแหวนวิเศษในจินตนาการซึ่งเป็นองค์ประกอบในพล็อตหลักจากนิยายไตรภาคเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ (1954–55) ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน แหวนนี้ปรากฏตัวครั้งแรกในเรื่องก่อนหน้าชื่อ เดอะฮอบบิท (1937) ในฐานะแหวนวิเศษที่ทำให้ผู้สวมล่องหนได้ โทลคีนเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแหวนแห่งอำนาจที่มุ่งร้าย และเขียนส่วนของ เดอะฮอบบิท ใหม่เพื่อให้เข้ากับการเล่าเรื่องที่ขยายออกไป เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ บรรยายถึงภารกิจของ ฮอบบิท โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ เพื่อทำลายแหวนวงนี้ ผู้สร้างแหวนนี้คือ เซารอน ผู้เป็นจอมมาร สร้างขึ้นในยุคที่สอง โดยใส่พลังของตัวเองลงไปด้วย แหวนจะคอยทดสอบจิตใจทุกคนที่มันเห็น ผู้ที่ชนะใจตัวเองไม่ได้แหวนจะนำไปสู่ความตาย และทำให้คนดีอ่อนแอ แต่หากเป็นกลางจะเปลี่ยนเป็นปีศาจชั่วคราวแล้วกลับเป็นปกติก็จะมีอำนาจต้านแหวนได้ เนื่องจากเป็นแหวนที่มีอำนาจมากที่สุดในแหวนแห่งอำนาจ หลังจากสงครามที่เซารอนพ่ายแพ้ครั้งแรก แหวนตกไปอยู่ในมือของอิซิลดูร์, กอลลัม, บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ก่อนที่โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ผู้ถือแหวนคนสุดท้ายจะนำแหวนไปทำลายที่ภูเขามรณะ(แต่แท้จริงๆแล้วแซมไวส์ แกมจีเป็นผู้ถือแหวนคนสุดท้ายแต่อยู่ในระยะสั้นที่สุด เพราะหลังจากที่เข้าใจผิดว่าโฟรโดถูกแมงมุมยักษ์ชีล็อบฆ่าตาย แซมได้เอาแหวนเอกไปเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของเซารอน ต่อมาเมื่อช่วยโฟรโดแล้วก็เอาแหวนเอกมาคืนให้แก่โฟรโดตามเดิม) == จารึกบนแหวน == แหวนเอกธำมรงค์มีลักษณะเป็นแหวนทองเกลี้ยง มีอักขระเทงกวาร์ของพวกเอลฟ์จารึกไว้ในภาษาแบล็กสปีชหรือภาษาทมิฬแห่งมอร์ดอร์ อ่านได้ดังนี้ คำจารึกนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทกลอนโบราณของพวกเอลฟ์ ซึ่งมีเนื้อความเต็มคือ แหวนสามวงแด่กษัตริย์พรายใต้แผ่นฟ้า เจ็ดวงแด่เจ้าชาวแคระในท้องพระโรงศิลา เก้าวงนั้นหนาแด่มนุษย์ผู้ไร้นิรันดร์ วงเดียวแด่เจ้าแห่งอสูรผู้ครองบัลลังก์ดำ ในแดนมรณะแห่งมอร์ดอร์ วงเดียวเพื่อครองพิภพ วงเดียวเพื่อค้นพบจบหล้า วงเดียวเพื่อสาปสิ้นทุกวิญญาณ์ พันธนาไว้ในความมืดมน ในแดนมรณะแห่งมอร์ดอร์'' == อ้างอิง == อัญมณีในตำนานของโทลคีน
thaiwikipedia
1,585
ภัยพิบัติเฮย์เซล
โศกนาฏกรรมเฮย์เซล เป็นเหตุการณ์ที่ผู้ชมฟุตบอลเสียชีวิต ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ระหว่างทีมลิเวอร์พูลกับทีมยูเวนตุส ในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1985 ที่สนามเฮย์เซล กรุงบรัซเซลส์ ประเทศเบลเยียม แฟนฟุตบอลทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันส่งผลให้อัฒจันทร์พังลงมา มีผู้เสียชีวิต 39 คน เป็นชาวอิตาลีแฟนบอลยูเวนตุส 32 คน, เบลเยียม 4 คน, ฝรั่งเศส 2 คน, และไอร์แลนด์ 1 คน จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ลิเวอร์พูลถูกสั่งห้ามเข้าแข่งขันฟุตบอลยุโรปทุกรายการเป็นเวลา 6 ปี เช่นเดียวกับทุกสโมสรในอังกฤษก็ถูกสั่งห้ามเข้าแข่งขันฟุตบอลยุโรปทุกรายการเป็นเวลา 5 ปี == อ้างอิง == ศโศกนาฏกรรมเฮย์เซล ภัยพิบัติในสนามกีฬา สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส ภัยพิบัติในประเทศเบลเยียม บรัสเซลส์
thaiwikipedia
1,586
กลุ่มดาวกางเขนใต้
กลุ่มดาวกางเขนใต้ เป็นกลุ่มดาวในซีกฟ้าใต้ ในซีกโลกใต้ กลุ่มดาวกางเขนใต้ เป็นกลุ่มดาวที่มองเห็นได้ตลอดทั้งปี กลุ่มดาวนี้เป็นกลุ่มดาวในรายการกลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล เป็นกลุ่มดาวที่เป็นที่รู้จักกันดีกลุ่มหนึ่งในท้องฟ้า ล้อมรอบด้วยกลุ่มดาวคนครึ่งม้า และกลุ่มดาวแมลงวัน == ลักษณะสำคัญ == กลุ่มดาวนี้ประกอบด้วย ดาวฤกษ์ เพียง 4 ดวง แต่มีดาวสว่างมากอันดับต้นถึง 2 ดวง คือ Acrux และ Bcrux (Mimosa) กลุ่มดาวกางเขนไต้ เป็นกลุ่มดาวสำคัญ ช่วยชี้หาทิศใต้ ตรงตำแหน่ง ขั้วฟ้าใต้ ได้ (ทิศใต้ หาลำบากกว่าทิศเหนือ เพราะไม่มีดาวใดประจำอยู่ตำแหน่งขั้วใต้ของ ทรงกลมท้องฟ้า เลย ) โดยไล่จากปลายกางเขน (Acrux) ลงไปประมาณ 4-5 ช่วง == ประวัติศาสตร์ == เป็นกลุ่มดาวที่อยู่บน ธงประจำชาติ ของประเทศ นิวซีแลนด์ เพราะประเทศนี้อยู่ไปทางซีกโลกใต้มาก จนไม่อาจเห็นดาวเหนือ และทางทิศใต้ก็ไม่มีดาวใต้ ดังนี้ดาวกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มดาวสำคัญหนึ่งเดียวที่ช่วยนำทางให้นักเดินเรือในสมัยนั้น แต่ในทางกลับกัน ผู้ที่อาศัยอยู่ทางซีกโลกเหนือมาก ๆ จะพบได้ลำบาก เพราะตำแหน่งดาวบน ทรงกลมท้องฟ้า จะอยู่ใต้พื้นโลกเกือบตลอดเวลา == อ้างอิง == กลุ่มดาว กลุ่มดาวกางเขนใต้
thaiwikipedia
1,587
กลุ่มดาวปลากระโทงแทง
กลุ่มดาวปลากระโทงแทง เป็นกลุ่มดาวในซีกฟ้าใต้ ปรากฏในแผนที่ดาว อูราโนเมเทรีย (Uranometria) ของโยฮัน ไบเออร์ เมื่อปี ค.ศ. 1603 แต่อาจเป็นที่รู้จักกันมาก่อนหน้านั้น วัตถุท้องฟ้าเด่นในกลุ่มดาวนี้ คือ เมฆมาเจลลันใหญ่ ที่กินพื้นที่เลยไปถึงกลุ่มดาวภูเขา กลุ่มดาว กลุ่มดาวปลากระโทงแทง
thaiwikipedia
1,588
พฤษภาคม พ.ศ. 2548
__NOTOC__ == 31 พฤษภาคม 2548 == การประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2005 ได้เสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมิสยูนิเวิร์สคนล่าสุดเป็นสาวงามจากประเทศแคนาดา รองอันดับ 1 เป็นสาวงามจากเปอร์โตริโก รองอันดับ 2 สาวงามจากสาธารณรัฐโดมินิกัน รองอันดับ 3 จากประเทศเม็กซิโก และรองอันดับ 4 สาวงามจากเวเนซุเอลา == 30 พฤษภาคม 2548 == ชาวฝรั่งเศสพากันไปลงประชามติว่าจะรับรองรัฐธรรมนูญยุโรปแล้วในวันที่ 29 พ.ค. ขณะโพลแสดงให้เห็นว่าผู้ปฏิเสธจะได้รับชัยชนะ ซึ่งจะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในกระบวนการนำรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาใช้ในชาติสมาชิกอียู (ผู้จัดการออนไลน์/เอเอฟพี) == 29 พฤษภาคม 2548 == เกิดเหตุสารกัมมันตรังสีความเข้มข้นสูงราว 83,000 ลิตร (ครึ่งหนึ่งของน้ำในสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานกีฬาโอลิมปิก) รั่วไหลออกจากท่อในโรงงานนิวเคลียร์เซลลาฟิลด์ เมืองคัมเบรีย ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ โดยเจ้าหน้าที่ไม่เคยล่วงรู้เป็นเวลานานถึง 9 เดือน (ผู้จัดการออนไลน์/เอเอฟพี) == 28 พฤษภาคม 2548 == == 27 พฤษภาคม 2548 == == 26 พฤษภาคม 2548 == ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษา 9 ป.ป.ช. มีความผิด ลงโทษจำคุก 2 ปี แต่จากตำแหน่งหน้าที่ โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี (ผู้จัดการออนไลน์) ศาลจังหวัดกาญจนบุรี อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว "ดาบสมชาย" ผู้ต้องหาคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ โดยตีหลักทรัพย์ค้ำประกัน 1 ล้านบาท (ผู้จัดการออนไลน์) == 25 พฤษภาคม 2548 == == 24 พฤษภาคม 2548 == == 23 พฤษภาคม 2548 == == 22 พฤษภาคม 2548 == พุทธศาสนิกชนชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมกันประกอบพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในวันวิสาขบูชา ตามประเพณี เพื่อความเป็นศิริมงคลกับชีวิต เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาดปานกลาง วัดความสั่นสะเทือนได้ 6.1 ริกเตอร์ เหนือเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ห่างจากจังหวัดภูเก็ตไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 450 กิโลเมตร โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย (ผู้จัดการออนไลน์) == 21 พฤษภาคม 2548 == == 20 พฤษภาคม 2548 == ศาลรัฐธรรมนูญ จะตัดสินกรณี ป.ป.ช. ขึ้นเงินเดือนตัวเอง == 19 พฤษภาคม 2548 == == 18 พฤษภาคม 2548 == == 17 พฤษภาคม 2548 == == 16 พฤษภาคม 2548 == == 15 พฤษภาคม 2548 == == 14 พฤษภาคม 2548อุกะ == == 13 พฤษภาคม 2548 คิคิ == == 12 พฤษภาคม 2548 == สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมีมติรับรอง นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นเลขาธิการใหญ่ที่ประชุมอังค์ถัดคนต่อไปแล้ว หลังจากที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลากว่า 2 เดือน เนื่องจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ยังคงข้องใจในความสามารถของนายศุภชัย (รอยเตอร์) == 11 พฤษภาคม 2548 == ฝ่ายค้านไต้หวัน เชื่อจีนเลือกทางฉลาดคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งระหว่างกัน และขอให้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างสันติ 12 สาวงามที่เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์ส ประจำปี 2005 ถ่ายทำสารคดีโปรโมทการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทย เกิดระเบิดพลีชีพหลายครั้งในอิรักวันนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 60 คน และบาดเจ็บเกือบ 100 คน (บีบีซี) == 10 พฤษภาคม 2548 == สำนักงานปรมาณูยูเอ็นชี้ เกาหลีเหนืออาจมีอาวุธนิวเคลียร์ซุกซ่อนอยู่มากถึง 6 ลูก เพิ่มความหวาดวิตกให้กับสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งออกมาเตือนก่อนหน้านี้ว่า เกาหลีเหนืออาจทดลองนิวเคลียร์ได้ภายในเดือนหน้า (รอยเตอร์) ผู้นำจากทั่วโลกร่วมชุมนุมกันที่กรุงมอสโก เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ในพิธีสวนสนามอันยิ่งใหญ่มโหฬารที่จัตุรัสแดง เนื่องในโอกาสรำลึกครบรอบ 60 ปีแห่งชัยชนะเหนือนาซีเยอรมนี โดยมีประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียเป็นเจ้าภาพ รมว.ไอซีที เป็นประธานลงนามข้อตกลงความร่วมมือจัดระเบียบซิมการ์ด โดยมีผลบังคับใช้วันนี้ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ == 9 พฤษภาคม 2548 == ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย และประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช แห่งสหรัฐฯได้พบกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันก่อนวันรำลึกถึงเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยบุชได้ยกย่องรัสเซีย ในการโค่นลัทธินาซี (เอเอฟพี) เกิดเหตุอาฟเตอร์ช็อกอย่างรุนแรงในเมืองบันดาอาเจะฮ์ วัดความรุนแรงได้ 5.5 ริกเตอร์ ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากวิ่งตื่นออกมาตามถนนมุ่งหน้าสู่พื้นที่สูง เนื่องจากเกรงว่าคลื่นยักษ์สึนามิอาจจะเกิดขึ้น (เอเอฟพี) == 8 พฤษภาคม 2548 == == 7 พฤษภาคม 2548 == ที่ประชุมอาเซม วอนเกาหลีเหนือกลับร่วมโต๊ะเจรจา 6 ฝ่าย “โดยเร็วและปราศจากข้อแม้ใด ๆ” ขณะที่ไทยนำเสนอนโยบายให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา พร้อมเรียกร้องนานาชาติให้ความสำคัญกับการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งต่าง ๆ (ผู้จัดการรายวัน ) == 6 พฤษภาคม 2548 == เลือกตั้งสหราชอาณาจักร: ผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการระบุ พรรคแรงงานได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภาฯ ทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้แล้ว ด้านพรรคอนุรักษนิยมตามเป็นอันดับที่ 2 ตามด้วยพรรคเสรีประชาธิปไตย (บีบีซีนิวส์) ผลเอ็กซิตโพล ที่ทางสถานีโทรทัศน์บีบีซีและไอทีวี ของสหราชอาณาจักร ทำร่วมกันนั้น ชี้ว่านายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ จากพรรคแรงงาน จะชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 3; อย่างไรก็ตาม เขากลับได้คะแนนเสียงลดลงเป็นจำนวนมาก (เอเอฟพี) อลงกรณ์ แนะ ทักษิณ ตรวจวุฒิฯ รมต.โดยเฉพาะผู้ที่ระบุว่าจบการศึกษาปริญญาโท หรือปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อในต่างประเทศ == 5 พฤษภาคม 2548 == == 4 พฤษภาคม 2548 == อิหร่านประกาศจะยังคงพัฒนายูเรเนียมต่อไป และจะไม่ล้มเลิกโครงการพลังงานนิวเคลียร์ พร้อมยืนยันว่าไม่ได้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด (เอเอฟพี) นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอิรัก อิบรอฮิม อัลญะฟารี นำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าทำพิธีสาบานตนแล้วเมื่อวันที่ 3 ถือเป็นคณะรัฐบาลชุดแรกในประวัติศาสตร์ที่มาจากการเลือกตั้ง == 3 พฤษภาคม 2548 == องค์การสหประชาชาติเปิดการประชุมว่าด้วย สนธิสัญญาห้ามแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ ท่ามกลางความตึงเครียด จากการท้าทายของเกาหลีเหนือและอิหร่าน คณะกรรมการอาหารและยามีมติเปลี่ยนสถานะผลิตภัณฑ์ที่ใช้อดบุหรี่เป็นยาอันตรายและให้ขายในร้านขายยาแผนปัจจุบันได้ “ทักษิณ”สั่งยกเลิกเครื่องตรวจระเบิดในสนามบินสุวรรณภูมิจากจีอี อินวิชั่น จนกว่าจะทำให้ภาพพจน์ของประเทศไทยไม่ให้เสียหาย 3 พรรคใหญ่ในสหราชอาณาจักรเร่งหาเสียง โดยผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดชี้ว่า พรรคแรงงานของ โทนี แบลร์ ผู้นำปัจจุบัน ยังคงมีคะแนนนำ == 2 พฤษภาคม 2548 == พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เผย กมธ.มีมติส่งหนังสือด่วนถึงกระทรวงคมนาคมวันนี้ ขอดูสัญญาจัดซื้อโครงการเครื่องตรวจวัตถุระเบิด (ไอทีวี) == 1 พฤษภาคม 2548 == สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเก็บอัฐิและอังคารคุณพุ่ม เจนเซน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ก่อนจะทรงนำไปบรรจุที่พระอนุสาวรีย์ราชสกุล กิติยากร วัดราชบพิตรฯ ประธานาธิบดีไต้หวัน เรียกร้องจีนให้เจรจาโดยตรงผ่านรัฐบาลไต้หวัน และเตือนผู้นำฝ่ายค้านไต้หวันไม่ให้เจรจากับรัฐบาลจีน == แหล่งข่าว == === หนังสือพิมพ์ === รายวัน: ไทยรัฐ - เดลินิวส์ - ข่าวสด - แนวหน้า - กรุงเทพธุรกิจ - ผู้จัดการรายวัน - มติชนรายวัน - บางกอกโพสต์ รายสัปดาห์: ฐานเศรษฐกิจ - ประชาติธุรกิจ === โทรทัศน์ === ช่อง 3 - ช่อง 5 - ช่อง 7 - ช่อง 9 - ช่อง 11 - ไอทีวี - เนชั่นแชนแนล === สำนักข่าวต่างประเทศ === ซีเอ็นเอ็น - บีบีซี - รอยเตอร์ - เอเอฟพี พฤษภาคม พ.ศ. 2548
thaiwikipedia
1,589
กลุ่มดาวหมาล่าเนื้อ
กลุ่มดาวหมาล่าเนื้อ เป็นกลุ่มดาวขนาดเล็กในซีกฟ้าเหนือ ตั้งชื่อโดยโจแฮนเนส เฮเวลีอุส ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นสัญลักษณ์แทน คาร่า และ แอสเทอเรียน หมาล่าสัตว์ของกลุ่มดาวคนเลี้ยงสัตว์ กลุ่มดาว กลุ่มดาวหมาล่าเนื้อ
thaiwikipedia
1,590
กลุ่มดาวกระดูกงูเรือ
กลุ่มดาวกระดูกงูเรือ เป็นกลุ่มดาวในซีกฟ้าใต้ที่อดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มดาวเรืออาร์โก วัตถุท้องฟ้าเด่น คือ ดาวคาโนปัส ดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในท้องฟ้ายามค่ำคืน และดาวอีตากระดูกงูเรือ ดาวที่มีมวลสูง อยู่ ณ ใจกลางเนบิวลากระดูกงูเรือ (เอ็นจีซี 3372) กลุ่มดาว กลุ่มดาวกระดูกงูเรือ กลุ่มดาวเรืออาร์โก
thaiwikipedia
1,591
วิลเลียม เฮอร์เชล
วิลเลียม เฮอร์เชล (William Herschel Wilhelm Herschel; พ.ศ. 2281 - 2365) เป็นนักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน และต่อมาเขาได้ใช้สัญชาติอังกฤษ เขาเป็นผู้ค้นพบดาวยูเรนัสโดยบังเอิญใน ค.ศ.1782 ขณะเขากำลังส่องกล้องโทรทรรศน์ศึกษาดาวฤกษ์ ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าดวงแรกที่ถูกค้นพบ เฮอร์เชลเป็นนักดนตรีอาชีพที่อพยพจากเมืองฮันโนเฟอร์ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนี) มาตั้งหลักแหล่งอยู่ในอังกฤษ งานอดิเรกของเขาคือ การสร้างกล้องโทรทรรศน์ และมีความชำนาญมากในการศึกษาสังเกตดวงดาว การค้นพบดาวยูเรนัสทำให้เฮอร์เชลมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลก น้องสาวของเขา คือ แคโรลีน เฮอร์เชล (พ.ศ. 2293 - 2391) ทำงานร่วมกับเขา และได้ค้นพบดาวหางหลายดวง == บิดามารดา และญาติพี่น้อง == บิดาของเขาคือ ไอแซก เฮอร์เชล (Isaac Herschel) ซึ่งมีเชื้อสายยิว ดังนั้นวิลเลียมจึงมีเชื้อสายยิวมาจากพ่อ โดยไอแซกเป็นคนเป่าโอโบในวงดุริยางค์ทหาร ในขณะที่มารดาเป็นคริสเตียนทำให้เขาเป็นคริสเตียน ในบรรดาญาติพี่น้องทั้งสิบคน มีพี่น้องสี่คนต้องจากไปตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนเซอร์จอห์น เฮอร์เชล บุตรชายของเขาได้เป็นผู้ค้นพบสารในการล้างฟิล์มถ่ายรูป == ผลงานการค้นพบ == วิลเลียมค้นพบดาวยูเรนัสในวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2324 พบดวงจันทร์โอบีรอนและไททาเนียของดาวยูเรนัส ดวงจันทร์เอนเซลาดัสและมิมัสของดาวเสาร์ และพบเนบิวลาชื่อเอสกีโมด้วย == อ้างอิง == "William Herschel"by Michael Hoskin. New dictionary of Scientific Biography Scribners, 2008. v. 3, pp. 289-291. วิลเลียม เฮอร์เชล - เจ็ดผู้บุกเบิกห้วงอวกาศ มหาวิทยาลัยราชมงคล บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2281 นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ การสำรวจอวกาศ ดาวยูเรนัส เซอร์ บุคคลจากฮันโนเฟอร์ ชาวอังกฤษเชื้อสายยิว ชาวอังกฤษเชื้อสายเยอรมัน
thaiwikipedia
1,592
กลุ่มดาวเตาหลอม
กลุ่มดาวเตาหลอม เป็นกลุ่มดาวในซีกฟ้าใต้ ตั้งชื่อโดยนิโกลา-ลุย เดอ ลากาย ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 เดิมมีชื่อภาษาละตินว่า Fornax Chemica (เตาหลอมเคมี) กลุ่มดาว กลุ่มดาวเตาหลอม
thaiwikipedia
1,593
คาร์ล เซแกน
คาร์ล เซแกน (Carl Sagan; 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1934 – 20 ธันวาคม ค.ศ. 1996) เป็นนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับบรรยากาศของดาวเคราะห์ต่าง ๆ เซแกนได้ศึกษาว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นและมีวิวัฒนาการบนโลกอย่างไร สนใจถึงความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอื่นเป็นพิเศษ เซแกนเป็นคนริเริ่มความคิดที่จะติดตั้งแผ่นป้ายบนยานสำรวจอวกาศไพโอเนียร์ 10 ที่เป็นเหมือนจดหมายจากโลก ยานไพโอเนียร์ 10 ผ่านเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดีใน ค.ศ. 1973 ก่อนที่จะออกไปยังขอบนอกของระบบสุริยะแล้วออกสู่อวกาศ แผ่นป้ายแบบเดียวกันติดไปกับยานสำรวจอวกาศไพโอเนียร์ 11 ในปีต่อมา นอกจากงานด้านดาราศาสตร์แล้ว เซแกนยังมีชื่อเสียงจากนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Contact ซึ่งเกี่ยวกับความพยายามของมนุษย์ในการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลก นิยายเรื่องนี้ ภายหลังได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน (ชื่อภาษาไทยคือ "คอนแทค อุบัติการณ์สัมผัสห้วงจักรวาล") นำแสดงโดย โจดี้ ฟอสเตอร์ == ประวัติ == คาร์ล เซแกน เกิดที่บรุกลิน นครนิวยอร์ก ในครอบครัวชาวยิวรัสเซีย พ่อของเขาคือ แซม เซแกน พนักงานโรงงานทอผ้าที่อพยพมาจากรัสเซีย แม่ของเขาคือ ราเชล มอลลี กรูเบอร์ เป็นแม่บ้าน ชื่อ คาร์ล มาจากชื่อแม่ของราเชล คือ คลารา เซแกนจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมราห์เวย์ ในเมืองราห์เวย์ นิวเจอร์ซีย์ ใน ค.ศ. 1951 และได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ที่นี่เขาได้เข้าร่วมสมาคมดาราศาสตร์รายร์สัน ได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมใน ค.ศ. 1954 วิทยาศาสตร์บัณฑิตใน ค.ศ. 1955 วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาฟิสิกส์ ใน ค.ศ. 1956 จากนั้นจึงได้รับดุษฎีบัณฑิตในปี ค.ศ. 1960 ในสาขาดาราศาสตร์และฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เมื่ออายุได้ 26 ปี ระหว่างที่ศึกษาปริญญาตรี เซแกนใช้เวลาว่างทำงานในห้องทดลองของนักพันธุวิทยา H. J. Muller ต่อมาในปี 1960-1962 เขาได้รับทุนวิจัย Miller Fellow ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ปี 1962-1968 ได้เข้าทำงานที่หอดูดาวฟิสิกส์ดาราศาสตร์สมิธโซเนียน ที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ เซแกนเป็นผู้บรรยายและทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดทุกปีจนถึง ค.ศ. 1968 จึงได้ย้ายไปอยู่มหาวิทยาลัยคอร์เนลในนิวยอร์ก เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ที่คอร์เนลใน ค.ศ. 1971 และได้เป็นผู้อำนวยการห้องทดลองวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ที่นี่ ช่วง ค.ศ. 1972-1981 เซแกนได้เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยวิทยุสำหรับฟิสิกส์และอวกาศ ที่คอร์เนล เซแกนเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานกับโครงการสำรวจอวกาศของสหรัฐอเมริกานับแต่แรกเริ่ม นับแต่คริสต์ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา เขาทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์การนาซา หน้าที่หนึ่งขณะที่เขาทำงานให้กับองค์การอวกาศแห่งนี้คือการบรรยายแก่นักบินอวกาศในโครงการอพอลโลก่อนที่พวกเขาจะไปสู่ดวงจันทร์ เซแกนให้การสนับสนุนต่อโครงการยานอวกาศแบบขับเคลื่อนด้วยหุ่นยนต์หลายโครงการที่ออกไปสำรวจระบบสุริยะตลอดช่วงชีวิตของเขา เขาเป็นผู้ริเริ่มแนวคิดในการนำข้อมูลข่าวสารอันเป็นสากลให้ติดไปบนยานอวกาศที่ตั้งเป้าเดินทางออกนอกระบบสุริยะ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่อาจมาพบมันเข้าจะได้เข้าใจได้ เซแกนเป็นผู้เรียบเรียงข้อมูลชุดแรกที่ส่งออกไปสู่อวกาศในรูปของแผ่นจานทองคำ ที่ติดไปกับยานสำรวจอวกาศ ไพโอเนียร์ 10 ส่งขึ้นสู่อวกาศใน ค.ศ. 1972 ต่อมายานไพโอเนียร์ 11 ก็ได้นำแผ่นจานลักษณะเดียวกันนี้อีกแผ่นหนึ่งไปด้วยเมื่อขึ้นสู่อวกาศในปีถัดไป เซแกนยังคงปรับแต่งแผ่นจานข้อมูลนี้อยู่ตลอดชีวิตของเขา ชุดที่บรรจงสร้างอย่างประณีตที่สุด คือ แผ่นจานทองคำของวอยเอจเจอร์ ที่เขาพัฒนาและติดตั้งไว้บนยานวอยเอจเจอร์ ที่ถูกส่งออกไปใน ค.ศ. 1977 นอกจากนี้เซแกนยังมักยื่นข้อเสนอกับเงินทุนสนับสนุนโครงการกระสวยอวกาศและสถานีอวกาศ ให้นำไปพัฒนาโครงการสำรวจอวกาศด้วยหุ่นยนต์แทน เซแกนสอนวิชาการคิดเชิงวิพากษ์ที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลจนถึง ค.ศ. 1996 ซึ่งเขาเสียชีวิตด้วยโรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อในโพรงกระดูกอันพบได้ค่อนข้างยาก วิชาที่เซแกนสอนนั้นจำกัดจำนวนที่นั่งเพียงภาคเรียนละ 20 ที่นั่ง แต่ในแต่ละปี มีนักศึกษาหลายร้อยคนที่ขอลงทะเบียนเรียนกับเขา หลังจากเซแกนเสียชีวิต หลักสูตรนี้ก็ปิดตัวลง จนกระทั่งถึง ค.ศ. 2000 จึงได้เปิดสอนอีกครั้งโดย Dr. Yervant Terzian == ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ == เซแกนให้ความสนใจกับการสำรวจพื้นผิวอุณหภูมิสูงของดาวศุกร์ ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 ยังไม่มีใครทราบถึงสภาวะที่แท้จริงของพื้นผิวดาวดวงนั้น เซแกนได้จัดทำรายการความเป็นไปได้ในรายงานฉบับหนึ่ง ซึ่งภายหลังได้เผยแพร่ในหนังสือของ Time-Life ชื่อ Planets และมีชื่อเสียงมาก มุมมองของเซแกนคือ พื้นผิวดาวศุกร์แห้งผากอย่างยิ่งและร้อนมาก ตรงกันข้ามกับภาพของสรวงสวรรค์ที่เคยจินตนาการกันมาแต่ก่อน เขาได้ตรวจสอบการแผ่รังสีคลื่นวิทยุจากดาวศุกร์และสรุปว่าอุณหภูมิพื้นผิวของดาวศุกร์สูงถึง 500&nbsp;°C (900&nbsp;°F) เมื่อครั้งที่เป็นนักวิทยาศาสตร์รับเชิญไปยังห้องทดลองการขับเคลื่อนด้วยไอพ่นของนาซ่า เขาได้ช่วยเหลือโครงการมาริเนอร์อันเป็นภารกิจสู่ดาวศุกร์ โดยทำหน้าที่ออกแบบยานและบริหารโครงการ ผลสำรวจจากยานมาริเนอร์ 2 ในปี ค.ศ. 1962 ช่วยยืนยันข้อสรุปของเซแกนเกี่ยวกับพื้นผิวของดาว เซแกนเป็นนักวิทยาศาสตร์กลุ่มแรกๆ ที่ทำนายว่า ไททัน ดวงจันทร์ของดาวเสาร์น่าจะมีพื้นผิวห่อหุ้มด้วยมหาสมุทร และ ยูโรปา ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดีน่าจะมีชั้นใต้พื้นผิวเต็มไปด้วยน้ำเช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้ยูโรปาเป็นดาวที่มีความเป็นไปได้สำหรับอยู่อาศัย ในเวลาต่อมา ยานอวกาศกาลิเลโอได้ยืนยันการมีอยู่ของชั้นผิวมหาสมุทรของยูโรปา เซแกนยังมีส่วนช่วยไขปัญหาความลึกลับของหมอกแดงที่เห็นอยู่บนไททัน เขาเห็นว่ามันคือโมเลกุลอินทรีย์อันซับซ้อนที่ตกลงเหมือนฝนสู่พื้นผิวของดวงจันทร์ เขายังให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องกับชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์และดาวพฤหัสบดี รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลบนดาวอังคาร เซแกนเป็นผู้ริเริ่มทฤษฎีว่าชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์นั้นร้อนจัดมาก และมีความหนาแน่นสูงมากโดยมีแรงดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลงไปใกล้ถึงระดับพื้นผิว เขายังคาดการณ์ถึงสภาวะโลกร้อน อันเป็นอันตรายที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จากฝีมือมนุษย์ โดยโยงปรากฏการณ์นี้เข้ากับการพัฒนาการของดาวศุกร์อันมีลักษณะคล้ายปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งกลายเป็นดาวเคราะห์ที่ร้อนและไม่สามารถอยู่อาศัยได้ เซแกนกับเพื่อนร่วมงานที่มหาวิทยาลัยคอร์เนล เอ็ดวิน เออร์เนสต์ ซัลปีเตอร์ ได้ทำนายถึงชีวิตที่มีอยู่ในกลุ่มเมฆของดาวพฤหัสบดี เนื่องจากชั้นบรรยากาศอันหนาแน่นของดาวนั้นอุดมไปด้วยโมเลกุลอินทรีย์ เซแกนเฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสีของพื้นผิวดาวอังคาร และสรุปว่าไม่มีฤดูกาลหรือปรากฏการณ์ใดๆ อันเนื่องมาจากพืชพันธุ์ไม้บนดาวดวงนั้นดังที่คนส่วนใหญ่เชื่อกันในเวลานั้น เขาบอกว่าการเปลี่ยนแปลงของสีบนพื้นผิวเป็นผลจากฝุ่นผงที่ถูกพายุพัดเท่านั้น ผลงานของเซแกนที่สร้างชื่อเสียงแก่เขามากที่สุด คืองานวิจัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของสิ่งมีชีวิตต่างดาว รวมถึงการทดลองสร้างกรดอมิโนขึ้นจากองค์ประกอบเคมีพื้นฐานโดยอาศัยรังสี ใน ค.ศ. 1994 เซแกนได้รับเหรียญรางวัล Public Welfare Medal ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดขององค์กรวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (National Academy of Sciences) ในฐานะ "ผู้อุทิศตนในการประยุกต์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติ" == รางวัลและเกียรติยศ == รางวัลประจำปีสำหรับรายการโทรทัศน์ยอดเยี่ยม - 1981 - มหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ - PBS series Cosmos Apollo Achievement Award - องค์การนาซา เหรียญรางวัลนาซา ผู้อุทิศตนแก่สาธารณประโยชน์ - องค์การนาซา (ได้รับ 2 ครั้ง) รางวัลเอ็มมี - Outstanding Individual Achievement - 1981 - PBS series Cosmos รางวัลเอ็มมี - Outstanding Informational Series - 1981 - PBS series Cosmos Exceptional Scientific Achievement Medal - องค์การนาซา Helen Caldicott Leadership Award - Women's Action for Nuclear Disarmament รางวัลฮิวโก - 1981 - Cosmos Humanist of the Year - 1981 - Awarded by the American Humanist Association In Praise of Reason Award - 1987 - คณะกรรมการการสืบสวนทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการกล่าวอ้างปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ (Committee for the Scientific Investigation of Claims of the Paranormal) รางวัลไอแซก อสิมอฟ - 1994 - คณะกรรมการการสืบสวนทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการกล่าวอ้างปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ รางวัล John F. Kennedy Astronautics - สมาคมนักบินอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกา รางวัล จอห์น ดับเบิลยู. แคมป์เบล อนุสรณ์ - 1974 - Cosmic Connection: An Extraterrestrial Perspective รางวัล Joseph Priestley - "สำหรับการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ" Klumpke-Roberts Award จาก สมาคมดาราศาสตร์แห่งแปซิฟิก - 1974 เหรียญรางวัล Konstantin Tsiolkovsky - มอบให้โดยสมาพันธ์นักบินอวกาศโซเวียต รางวัลโลกัส 1986 - Contact รางวัลโลเวลล์ โทมัส - ชมรมนักสำรวจ - โอกาสครบรอบ 75 ปี Masursky Award - สมาคมดาราศาสตร์อเมริกัน ทุนวิจัยมิลเลอร์ - สถาบันมิลเลอร์ (1960–1962) หอเกียรติยศนิวเจอร์ซีย์ - 2009 inductee Oersted Medal - 1990 - สมาคมครูฟิสิกส์แห่งอเมริกัน Peabody Award - 1980 - PBS series Cosmos Prix Galbert - The international prize of Astronautics เหรียญรางวัล Public Welfare Medal - 1994 - องค์กรวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกา รางวัลพูลิตเซอร์ ประเภทวรรณกรรมทั่วไป - 1978 - The Dragons of Eden SF Chronicle Award - 1998 - Contact ได้รับยกย่องเป็น "99th Greatest American" (ชาวอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ คนที่ 99) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2005 จากรายการ Greatest American ทางช่อง Discovery Channel == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == The Carl Sagan Portal Carl Sagan at the Internet Movie Database Can We Know the Universe? – 1979 essay โดย Carl Sagan นำมาจากหนังสือของเขา ชื่อ Broca's Brain นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน นักเขียนชาวอเมริกัน การสำรวจอวกาศ SETI ชาวอเมริกันเชื้อสายรัสเซีย บุคคลจากบรุกลิน ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยชิคาโก บุคคลจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บุคคลจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล
thaiwikipedia
1,594
กลุ่มดาวนกกระเรียน
กลุ่มดาวนกกระเรียน เป็นกลุ่มดาวในซีกฟ้าใต้ ปรากฏในแผนที่ดาว ยูรานอเมเทรีย (Uranometria) ของโยฮันน์ บาเยอร์ เมื่อปี ค.ศ. 1603 แต่อาจเป็นที่รู้จักกันมาก่อนหน้านั้น กลุ่มดาว กลุ่มดาวนกกระเรียน
thaiwikipedia
1,595
เปอร์ซิวัล โลเวลล์
เปอร์ซิวัล โลเวลล์ (Percival Lowell; ค.ศ. 1855 - 1916) นักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ได้หลงเสน่ห์ของดาวอังคาร เขาจึงสร้างหอดูดาวของตนเองที่เมืองแฟล็กสตาฟฟ์ รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาดาวอังคารโดยเฉพาะ โลเวลล์เชื่อว่า เขาเห็นระบบของเส้นที่ลากโยงไปมาจำนวนมากบนผิวของดาวอังคาร และคิดว่าเป็นคลองขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นมาสำหรับส่งน้ำ โดยชาวดาวอังคารผู้มีความรู้ความสามารถ คนทั่วไปเห็นด้วยกับความคิดของโลเวลล์ เป็นเวลานับแรมปีที่ผู้คนคิดว่าบนดาวอังคารอาจมีคนอยู่ ใน ค.ศ. 1897 เอช.จี. เวลส์ ได้เขียนนวนิยายเรื่อง วอร์ออฟเดอะเวิลด์ส (War of the Worlds) โดยมีเค้าโครงเรื่องตามความเชื่อของโลเวลล์ ทุกวันนี้เรารู้ว่าเส้นสายต่าง ๆ ที่โลเวลล์เห็นบนดาวอังคารนั้นไม่มีอยู่จริง บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2398 นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน การสำรวจอวกาศ บุคคลจากรัฐแอริโซนา บุคคลจากรัฐแมสซาชูเซตส์
thaiwikipedia
1,596
แถบไคเปอร์
แถบไคเปอร์ (Kuiper Belt) หมายถึง บริเวณที่อยู่เลยวงโคจรของดาวเนปจูนออกไป ที่ด้านนอกระบบสุริยะรอบนอก มีบริเวณกว้าง 3,500 ล้านไมล์ มีก้อนวัตถุแข็ง เป็นน้ำแข็งขนาดเล็กจำนวนมากโคจรรอบดวงอาทิตย์ ลักษณะคล้ายกับแถบดาวเคราะห์น้อย ที่อยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี วัตถุที่อยู่ในแถบไคเปอร์ มีชื่อเรียกว่า วัตถุแถบไคเปอร์ (Kuiper Belt Object - KBO) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า วัตถุพ้นดาวเนปจูน (Trans-Neptunian Object - TNO) ซึ่งมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นน้ำแข็ง เชื่อกันว่าก้อนน้ำแข็งเหล่านี้ เป็นแหล่งกำเนิดของดาวหางคาบสั้น โดยชื่อแถบไคเปอร์นี้ ได้ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ เจอราร์ด ไคเปอร์ ผู้ค้นพบ เดิมทีวัตถุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ถูกค้นพบในแถบไคเปอร์ คือ ดาวพลูโต ซึ่งถูกค้นพบเมื่อ ค.ศ. 1930 ส่วนก้อนน้ำแข็งอื่น ๆ นั้นมีแสงริบหรี่และมองหายาก จึงถูกค้นพบในเวลาต่อมา ดวงแรกที่ค้นพบ คือ 1992 QB1 เมื่อ ค.ศ. 1992 และใน ค.ศ. 2005 นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบวัตถุในบริเวณนี้ดวงหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกว่า 2003UB313 โดยมีขนาดใกล้เคียงกับพลูโต และนำไปสู่การถกเถียงในหมู่นักดาราศาสตร์ว่าควรจะเรียกวัตถุใหม่ที่มีขนาดใกล้เคียงกับพลูโตว่าดาวเคราะห์หรือไม่ สหพันธ์ดาราศาสตร์สากลจึงลงมติปลดพลูโตจากการเป็นดาวเคราะห์มาเป็นดาวเคราะห์แคระ และวัตถุที่มาของความขัดแย้งนี้ก็ได้ชื่อเป็นทางการว่า เอริส (Eris) ต่อมาในต้น ค.ศ. 2007 นักดาราศาสตร์ก็ยืนยันขนาดของเอริสว่ามีขนาดใหญ่กว่าพลูโตเล็กน้อย โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2400 กิโลเมตร นักดาราศาสตร์จะได้ศึกษาวัตถุในแถบไคเปอร์อย่างละเอียด ใน ค.ศ. 2015 เมื่อยานนิวฮอไรซันส์ ของนาซา เดินทางไปถึงวงโคจรของดาวพลูโตในเดือนกรกฎาคม ระบบสุริยะ วัตถุพ้นดาวเนปจูน ดาวเคราะห์แคระ น้ำนอกโลก
thaiwikipedia
1,597
กาลิเลโอ (ยานอวกาศ)
ยานกาลิเลโอ เป็นยานสำรวจดาวพฤหัสบดี ถูกส่งออกจากโลกเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) ใช้เวลา 6 ปีในการเดินทางไปยังดาวพฤหัสบดี ในระหว่างทางยานกาลิเลโอได้เข้าใกล้ดาวเคราะห์น้อยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีชื่อว่า แกสปรา และต่อมาได้ผ่านใกล้ดาวเคราะห์น้อยอีกดวงหนึ่งชื่อ ไอดา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) ยานกาลิเลโอก็ปล่อยหัวสำรวจลงไปในบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี ยานโคจรของยานกาลิเลโอให้รายละเอียดในระยะใกล้ของดาวพฤหัสบดีและดาวบริวารที่ไม่เคยมีมาก่อน == หัวสำรวจกาลิเลโอ == หัวสำรวจซึ่งเดินทางไปในอวกาศเพื่อสำรวจดาวพฤหัสบดีพร้อมกับยานอวกาศกาลิเลโอ เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1995 ได้เคลื่อนลงไปในบรรยากาศลึกด้วยความเร็วสูงถึง 170,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ร่มชูชีพช่วยชะลอความเร็วลง จากนั้นเครื่องมือ 6 อย่างก็ส่งข้อมูลกลับมานาน 57 นาที ขณะลดระดับลงในบรรยากาศดาวพฤหัสบดี โดยกาลิเลโอได้สรุปว่า เป็นดาวพฤหัสบดีเป็นดาวเคราะห์ที่มีความสวยงาม == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ ยานกาลิเลโอ - 100 ปี ดาราศาสตร์โลก กาลิเลโอ ภารกิจสู่ดาวพฤหัสบดี ภารกิจอวกาศในปี พ.ศ. 2532
thaiwikipedia
1,598
กลุ่มดาวนาฬิกา
กลุ่มดาวนาฬิกา เป็นกลุ่มดาวในซีกฟ้าใต้ เดิมมีชื่อภาษาละตินว่า Horologium Oscillitorium ตั้งโดยนีกอลา หลุยส์ เดอ ลากาย ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 เพื่อเป็นเกียรติแก่คริสตียาน เฮยเคินส์ ผู้คิดค้นนาฬิกาลูกตุ้ม กลุ่มดาว กลุ่มดาวนาฬิกา
thaiwikipedia
1,599
กลุ่มดาวงูไฮดรา
กลุ่มดาวงูไฮดรา เป็นกลุ่มดาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดากลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล และเป็นหนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี == อ้างอิง == Ian Ridpath and Wil Tirion (2007). Stars and Planets Guide, Collins, London. ISBN 978-0007251209. Princeton University Press, Princeton. ISBN 978-0691135564. == แหล่งข้อมูลอื่น == The Deep Photographic Guide to the Constellations: Hydra Star Tales – Hydra กลุ่มดาว กลุ่มดาวงูไฮดรา
thaiwikipedia
1,600
กัสซีนี–เฮยเคินส์
ภารกิจ กัสซีนี–เฮยเคินส์ (Cassini–Huygens) หรือตามสื่อนิยมเขียนเป็น แคสสินี–ฮอยเกนส์ เป็นความร่วมมือระหว่างนาซา, องค์การอวกาศยุโรป (ESA) และองค์การอวกาศอิตาลี (ASI) เพื่อส่งยานไปศึกษาดาวเสาร์และระบบดาวเสาร์ อันรวมถึงวงแหวนดาวเสาร์และดาวบริวาร ยานอวกาศหุ่นยนต์ไร้คนบังคับชั้นแฟลกชิปประกอบด้วยยานกัสซีนีของนาซา และส่วนลงจอดเฮยเคินส์ของ ESA ซึ่งจะลงจอดบนไททัน ดาวบริวารใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ กัสซีนีเป็นยานอวกาศลำที่สี่ที่เยือนดาวเสาร์และเป็นลำแรกที่เข้าสู่วงโคจร ยานนี้ตั้งชื่อตามโจวันนี โดเมนีโก กัสซีนี นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี และคริสตียาน เฮยเคินส์ นักดาราศาสตร์ชาวดัตช์ ยานโดยสารไปกับไททัน 4บี/เซ็นทอร์เมื่อวันี่ 15 ตุลาคม 2540 ปฏิบัติภารกิจในอวกาศเป็นเวลากว่า 19 ปี โดยใช้เวลา 13 ปีโคจรรอบดาวเสาร์ แล้วศึกษาดาวเคราะห์และระบบดาวหลังเข้าสู่โคจรเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 การเดินทางสู่ดาวเสาร์มีการบินผ่านดาวศุกร์ (เมษายน 2541 ถึงกรกฎาคม 2542) โลก (สิงหาคม 2542) ดาวเคราะห์น้อย 2685 มาเซอร์สกี และดาวพฤหัสบดี (ธันวาคม 2543) ภารกิจสิ้นสุดลงในวันที่ 15 กันยายน 2560 เมื่อกัสซีนีได้รับคำสั่งให้บินเข้าชั้นบรรยากาศบนของดาวเสาร์และถูกเผาไหม้เพื่อป้องกันความเสี่ยงการทำให้ดาวบริวารของดาวเสาร์ปนเปื้อนจุลชีพจากโลกที่ติดไปกับยาน ทั้งนี้ ดาวบริวารของดาวเสาร์บางดวงมีสิ่งแวดล้อมที่อาจมีสิ่งมีชีวิตได้ ภารกิจดังกล่าวเป็นที่รู้กันแพร่หลายว่าประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย ผู้อำนวยการกองวิทยาดาวเคราะห์ของนาซาเรียก กัสซีนี–เฮยเคินส์ ว่าเป็น "ภารกิจแห่งครั้งแรก" ซึ่งปฏิบัติความเข้าใจของมนุษย์เกี่ยวกับระบบดาวเสาร์ ซึ่งรวมทั้งดาวบริวารและวงแหวน และความเข้าใจว่าอาจพบสิ่งมีชีวิตได้ในระบบสุริยะ ภารกิจดั้งเดิมของกัสซีนีวางแผนไว้กินเวลาสี่ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2547 ถึงพฤษภาคม 2551 ต่อมาภารกิจถูกขยายเวลาไปสองปีถึงเดือนกันยายน 2553 เรียก ภารกิจวิษุวัตกัสซีนี (Cassini Equinox Mission) และขยายเวลาครั้งที่สองและครั้งสุดท้ายด้วย ภารกิจอายันกัสซีนี (Cassini Solstice Mission) ที่กินเวลาต่อมาอีกเจ็ดปีถึงวันที่ 15 กันยายน 2560 16 ประเทศในทวีปยุโรปพร้อมทั้งสหรัฐจัดตั้งทีมซึ่งรับผิดชอบต่อการออกแบบ การก่อสร้าง การบิน และการเก็บข้อมูลจากส่วนโคจรกัสซีนีและยานสำรวจเฮยเคินส์ ภารกิจดังกล่าวบริหารจัดการโดยห้องปฏิบัติการแรงขับเคลื่อนไอพ่นของนาซาในสหรัฐ ที่ซึ่งส่วนบนรนโคจรถูกออกแบบและประกอบ การพัฒนายานสำรวจไททันเฮยเคินส์บริหารจัดการโดยศูนย์วิจัยอวกาศและเทคโนโลยียุโรป อุปกรณ์เครื่องมือสำหรับยานสำรวจดังกล่าวได้รับการจัดหาจากหลายประเทศ องค์การอวกาศอิตาลี (ASI) จัดหาเสาวิทยุกำลังขยายสูงของยานสำรวจกัสซีนี และเรดาร์น้ำหนักเบาและกะทัดรัด ซึ่งทำหน้าที่อเนกประสงค์ทั้งเป็นการถ่ายภาพจากเรดาร์ (synthetic aperture radar) มาตรความสูงเรดาร์และมาตรรังสี กัสซีนีได้รับพลังงานโดยพลูโทเนียม-238 หนัก 32.7 กิโลกรัม โดยเป็นความร้อนจากการสลายกัมมันตรังสีของธาตุนั้นและเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า เฮยเคินส์ได้รับการสนับสนุนโดยกัสซีนีระหว่างการเดินทาง และเมื่อแยกออกมาใช้แบตเตอรีเคมี == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == Cassini-Huygens main page at NASA Cassini Mission Homepage by the Jet Propulsion Laboratory กัสซีนี–เฮยเคินส์ ภารกิจสู่ดาวเสาร์ นาซา ภารกิจอวกาศในปี พ.ศ. 2540
thaiwikipedia
1,601