title
stringlengths
1
182
text
stringlengths
1
45.8M
source
stringclasses
5 values
__index_level_0__
int64
0
197k
จินตนิยาย
จินตนิยาย (speculative fiction) เป็นคำรวมๆ ที่หมายถึงแนวหนึ่งของเรื่องแต่งที่มีองค์ประกอบเหนือธรรมชาติหรือเป็นอนาคต ซึ่งนับรวมถึงบันเทิงคดีวิทยาศาสตร์ นิยายแฟนตาซี เรื่องแนวซูเปอร์ฮีโร วิทยาศาสตร์แฟนตาซี สยองขวัญ เหนือธรรมชาติ และส่วนผสมต่างๆ ของแนวเหล่านี้ Φανταστικό Fantastic
thaiwikipedia
1,702
บันเทิงคดีแนวจินตนิมิต
บันเทิงคดีแนวจินตนิมิต (Fantasy Fiction) เป็นวรรณกรรมในจักรวาลสมมติ ส่วนมากมักมี สถานที่ เหตุการณ์ หรือผู้คน แตกต่างจากโลกความเป็นจริง มักจะเป็นในเชิงของเวทมนตร์, เหนือธรรมชาติ และสัตว์ในตำนาน, กลุ่มเป้าหมายหลักของบันเทิงคดีแนวจินตนิมิตคือ เด็ก และ ผู้ใหญ่ บันเทิงคดีแนวจินตนิมิตหลาย ๆ เรื่อง อย่างในชุดของ "Forgotten Realm" แม้จะมีเครื่องจักรกล หรือวิทยาศาสตร์เข้ามาประกอบอยู่ด้วย แต่ด้วยโครงสร้างของฉาก และเนื้อเรื่อง ย่อมดูออกทันทีว่าเป็นจินตนิมิต เสน่ห์ของบันเทิงคดีแนวจินตนิมิต คือความหลากหลายของโครงเรื่อง และตัวละคร อย่างไรก็ตาม ออร์สัน สก็อต การ์ด เคยให้ข้อสังเกตเอาไว้ใน "How to write Science Fiction and Fantasy" ของเขาว่า บันเทิงคดีแนวจินตนิมิตที่สนุกและน่าติดตามนั้น เมื่อคุณสร้างโลกขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่ว่าตัวละครทุกตัว (หรือบางตัว) จะมีอำนาจเวทมนตร์ มีความสามารถไม่จำกัด นั่นคือควรจะต้องมีข้อจำกัด ตามกฎที่คุณสร้างขึ้นในโลกของคุณ เช่น หากต้องการอำนาจใด อาจจะต้องเสียบางอย่างไปเพื่อแลกกับมันมา กล่าวคือไม่มีการกระทำใด ๆ ที่ปราศจากผลกระทบ เป็นต้น ==ดูเพิ่ม== จินตนิมิต นิยายวิทยาศาสตร์ ปุราณวิทยา ประเภทวรรณกรรม
thaiwikipedia
1,703
โมบิลสูท กันดั้มซี้ด
โมบิลสูท กันดั้ม ซี้ด (Mobile Suit Gundam SEED) (เรียกย่อ ๆ ว่า กันดั้มซี้ด) เป็นอนิเมะฉายทางโทรทัศน์ในประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในอนิเมะตระกูลกันดั้ม ของสตูดิโอซันไรส์ แต่ ดำเนินเรื่องในจักรวาลเฉพาะที่ใช้ชื่อศักราชว่า Cosmic Era แยกจากกันดั้มตอนอื่น ๆ ความยาว 50 ตอน ฉายระหว่าง ค.ศ. 2002-2003 ลิขสิทธิ์ในประเทศไทยเป็นของบริษัท DEX และเคยฉายทางไอทีวี ในปี พ.ศ. 2547 ปัจจุบันออกอากาศทางช่อง ASTV3 Happy Variety Channel ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 17.30-18.00 น. ในปี พ.ศ. 2552 ยังได้ออกอากาศทางช่อง 5 อีกครั้งด้วย และล่าสุดในปี พ.ศ. 2565 ออกอากาศทางช่อง 9 กด 30 ในรายการช่อง 9 การ์ตูน ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 7.00-7.30 น. โมบิลสูท กันดั้ม ซี้ด มีภาคต่อที่ชื่อว่า โมบิลสูท กันดั้ม ซี้ดเดสทินี และมีภาคเสริมหรือ Side Story คือ โมบิลสูท กันดั้ม ซี้ดแอสเทรย์ กับ กันดั้มซี้ด C.E.73 สตาร์เกเซอร์ หลังจากนั้นก็มีภาคพิเศษ Gundam Seed Special Edition ออกมาทั้งหมด 3 ตอนจบ ซึ่งเป็นการนำเนื้อเรื่องเดิมมาตัดต่อใหม่ให้กระชับขึ้น และเพิ่มฉากใหม่ ๆ เข้าไป ซึ่งบริษัท DEX ก็ยังเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์เหมือนฉบับโทรทัศน์ นอกจากนี้ยังมีการประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะมีการสร้างกันดั้มชุด SEED นี้ ออกมาเป็นแบบภาพยนตร์ == เรื่องย่อ == ไฟแห่งสงครามที่ครุกกรุ่นกำลังจะโหมกระพือในอีกไม่นานนี้..เรื่องราวเกี่ยวกับสงครามระหว่าง เนเชอรัล และ โคออร์ดิเนเตอร์. โคออร์ดิเนตอร์ หรือ มนุษย์ที่ได้รับการตัดต่อพันธุกรรม ให้มีความสามารถสูงขึ้นกว่าปกติ ในขณะที่ เนเชอรัล หรือ มนุษย์ซึ่งเกิดตามแบบธรรมชาติ เริ่มมีความอิจฉาริษยาในความสามารถของพวกเขา ความอิจฉาริษยานั้นแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียด และก่อให้เกิดกลุ่มผู้ต่อต้านโคออร์ดิเนเตอร์หรือ บลูคอสมอส (Blue Cosmos) เพราะเหตุนี้ เหล่าโคออร์ดิเนเตอร์จึงได้สร้างโคโลนี่ในอวกาศขึ้นมาเรียก แพลนท์ (PLANT : Productive Ally on Nexus Technology) และเพราะเหตุนี้ทำให้โคออร์ดิเนเตอร์ที่เคยอาศัยบนโลกนั้น เริ่มเหลือน้อยลงทุกที ในที่สุด ไฟแห่งสงครามก็ระเบิดขึ้น ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ CE (Cosmic Era) 70 สามวันหลังจากการประกาศสงครามระหว่างฝ่ายสหพันธ์โลก (OMNI : Oppose Militancy & Neutralize Invasion Enforcer) และ กองทหารของเหล่าโคออร์ดิเนเตอร์ หรือ ซาฟท์ (ZAFT : Zodiac Alliance of Freedom Treaty) ฝ่ายสหพันธ์โลกเริ่มโจมตีแพลนท์เป็นครั้งแรก และใช้อาวุธนิวเคลียร์ทำลายโคโลนี่ที่มีชื่อว่า "ยูนิอุสเซเว่น (Junius Seven) " ซึ่งเป็นแพลนท์ทางด้านเกษตรกรรม ผู้คนบริสุทธิ์กว่า 200,000 ราย ต้องเสียชีวิต (243,721 คน) จนถูกกล่าวขานว่าเป็นเหตุการณ์ " วาเลนไทน์ เลือด (Bloody Valentine) " ทำให้ฝ่ายแพลนท์ตัดสินใจใช้ N-Jammer (Neutron Jammer) ซึ่งสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของอนุภาคนิวตรอน ทำให้ยับยั้งปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้ โดยแพลนท์ยิงฝัง N-Jammer ลงใต้พื้นดินทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนพลังงานอย่างมาก และคลื่นวิทยุบนโลกก็ถูกรบกวนจนใช้การได้ลำบาก ไฟแห่งสงครามที่ก่อตัวขึ้น และจบลงในอีก 11 เดือนต่อมา โดยฝ่ายแพลนท์ได้รับชัยชนะในหลายๆ พื้นที่ในโลก ซึ่งหลังจากสงครามครั้งนี้สงบลง เรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้น คิระ ยามาโตะ ตัวเอกของเรื่อง เป็นนักเรียนวิศวกรรมหุ่นยนต์ของเฮลิโอโพลิส (Heliopolis) โคโลนี่ของออร์บ ซึ่งเป็นประเทศเป็นกลาง ที่กำลังใช้ชีวิตวัยเรียนอย่างสงบสุข จนกระทั่งถูกฝ่ายซาฟท์ที่นำโดยพันเอกครูเซ่เข้าโจมตี หลังจากค้นพบว่า ออร์บได้พัฒนาโมบิลสูทและยานรบรุ่นใหม่(อาร์คแองเจิ้ล) ร่วมกับสหพันธ์โลกภายในโรงงานหลักของมอร์เก้นเรท (Morgenroete) โดยซาฟท์มีจุดประสงค์ที่จะขโมยโมบิลสูททั้ง 5 เครื่อง (สไตรค์, ดูเอล, บัสเตอร์, อีจิส และบลิทซ์) ยกเว้นเพียงตัวสุดท้ายเท่านั้นที่คิระบังเอิญได้ขึ้นบังคับ นามของมันคือ สไตรค์ จนกระทั่งนำไปสู่สงครามกับเหล่าโมบิลสูทอีก 4 เครื่องที่เหลือ โดยคิระเรียกชื่อโมบิลสูท สไตรค์ว่า "กันดั้ม (Gundam) " จากตัวอักษรนำหน้าข้อความที่ปรากฏในมอนิเตอร์ห้องนักบินตอนเข้าระบบปฏิบัติการของโมบิลสูท คิระ ซึ่งเป็นโคออร์ดิเนเตอร์ ได้แสดงความสามารถปรับเปลี่ยนระบบปฏิบัตการที่ยังไม่สมบูรณ์ของสไตรค์ในเวลาคับขัน จนเขาสามารถบังคับสไตรค์ต่อสู้กับหุ่นจินน์ของซาฟท์ได้ เพื่อปกป้องเพื่อนๆของเขา และหาหนทางยุติสงครามครั้งนี้ == ตัวละคร == === ลูกเรืออาร์คแองเจิ้ล === คิระ ยามาโตะ (Kira Yamato) เด็กหนุ่มโคออดิเนเตอร์ ผู้มีพ่อเป็นนักวิจัยในการสร้างโคออร์ดิเนเตอร์ แม่เป็น Natural ในขณะที่แม่ของคิระตั้งครรค์เป็นลูกแฝด พ่อของคิระได้นำตัวอ่อนออกมาหนึ่งคนและได้ปรับแต่งพันธุกรรมขณะที่พัฒนาอยู่จึงกลายเป็นสุดยอดโคออร์ดิเนเตอร์ซึ่งแฝดอีกคนก็มิได้ตายไปยังคงพัฒนาตัวเองอยู่ในครรค์และกลายเป็น คางาริ แต่ในตอนนั้นกำลังเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงจากทั้งสองฝ่ายพี่น้องคู่นี้จึงต้องแยกจากกันโดยที่คิระได้ถูกฝากเลี้ยงกับครอบครัวยามาโตะและคางาริได้ถูกฝากเลี้ยงไว้กับผู้นำของออร์บ เดิมเคยอยู่ที่แพลนท์เป็นเพื่อนสนิทกับอัสรัน ต่อมาย้ายมาอาศัยอยู่ใน ออร์บ (ORB) ภายหลังได้รู้ว่าคางาริเป็นพี่สาว(แผนที่ความสัมพันธ์ของตัวละครอย่างเป็นทางการนั้นเขียนเป็นพี่สาวและน้องชาย)ที่เกิดจากสายเลือดเดียวกัน ประเทศเป็นกลางที่ไม่มีนโยบายกีดกันเหล่าโคออดิเนเตอร์ มีนิสัยค่อนข้างเฉยเมยต่อสิ่งรอบข้าง ทั้งที่เป็นคนเก่ง แต่ไม่เคยเอาจริงเอาจัง เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ชอบทำสงครามแต่กลับต้องบังคับโมบิลสูท GAT-X105 สไตรค์ เพราะสถานะการณ์บังคับจากการที่เขาไปแก้ไขระบบปฏิบัติการของกันดั้ม ทำให้มนุษย์ธรรมดา(Natural) ไม่สามารถบังคับได้ และเหนืออื่นใดคือเขาอยากปกป้องเพื่อน เมื่อยานอาร์คแองเจิ้ลลงมายังโลก ก็ได้รับการติดต่อจากคางาริ ยูระ อัสฮา ซึ่งในตอนนั้นปิดบังฐานะของตัวเองอยู่ และมุ่งหน้าเดินทางสู่ออร์บ เพื่อทำการซ่อมบำรุงที่มอร์เก้นเรท แต่หน่วยทหารที่นำโดยอัสรันก็แอบตามมาจนเกิดการต่อสู้อย่างหนัก สไตรค์ของคิระ และอีจิสของอัสรันก็ต่อสู้กันจนจมไปทั้งสองเครื่อง คิระถูกสรุปว่า M.I.A. (Missing In Action) แต่จริงๆ แล้วเขาได้รับการช่วยเหลือจากสังคราชมาคิโอ ให้ไปพักรักษาตัวอยู่กับ ลักซ์ ไคลน์ และเมื่อคิระได้ทราบข่าวการบุกโจมตีฐานโจชัวร์ เขาจึงต้องการต่อสู้อีกครั้งเพื่อปกป้องเพื่อนๆ และเพื่อสู้กับศัตรูตัวจริงของสงครามครั้งนี้ ลักซ์ จึงให้ความช่วยเหลือด้วยการลอบพา คิระ มาที่โรงเก็บ ZGMF-X10A ฟรีด้อม หุ่นรุ่นใหม่ 1 ใน 2 เครื่อง ของซาฟท์ที่ใช้ข้อมูลของฝ่ายสหพันธ์โลกสร้างขึ้น และติดตั้ง N-Jammer Canceler เพราะฟรีด้อมใช้พลังงานจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ คิระจึงขึ้นบังคับฟรีด้อมกันดั้มมุ่งหน้าสู่โลก เขาสามารถช่วยป้องกันยานอาร์คแองเจิ้ลที่ฐานโจชัวร์ได้สำเร็จ คิระกลับเข้าประจำยานอาร์คแองเจิ้ลอีกครั้ง โดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะไม่เปิดเผยเทคโนโลยีของฟรีด้อมเด็ดขาด หลังการต่อสู้อันหนักหน่วงกับหุ่นรุ่นใหม่ 3 เครื่อง ของกองทัพสหพันธ์โลก และได้รับการช่วยเหลือจากจัสติสของอัสรัน แต่เกาะของสาธารณรัฐออร์บก็ยังถูกทำลาย คิระจึงออกสู่อวกาศอีกครั้งเพื่อทำศึกตัดสินกับกองทัพซาฟท์ เขาได้พบความจริงอันน่าตกใจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของตัวเขาเองและแผนการที่แท้จริงของราอูล จนถึงการต่อสู้ในศึกสุดท้ายที่ยาคินดูเอ้ คิระก็สามารถล้มราอูลลงได้สำเร็จ เมอร์ริว ราเมียส (Murrue Ramius) นายทหารหญิงแห่งสหพันธ์โลกสังกัดกองกำลังภาคพื้นแอตแลนติก ที่รับผิดชอบโปรเจกต์ G ดูแลการผลิตและทดสอบอยู่ที่เฮลิโอโพลิส เมื่อเกิดเหตุชิงหุ่นยนต์ทั้ง 5 เครื่อง เธอเห็นคิระยังติดอยู่ในโรงงานจึงต้องพาคิระขึ้นสไตรค์เพื่อจะหนีออกมา แต่ด้วยความที่เธอไม่เคยบังคับมาก่อน ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับหุ่นจินน์ที่เข้ามาโจมตีได้ จังหวะเดียวกันคิระมองเห็นเพื่อนๆ กำลังวิ่งหนีอยู่ใกล้กับสไตรค์ คิระจึงแย่งคันบังคับจากเมอร์ริว และเข้าแก้ไขระบบปฏิบัติการและบังคับสไตรค์ต่อสู้จนเอาชนะจินน์ได้ เมอร์ริว ที่เห็น คิระ บังคับและสามารถแสดงประสิทธิภาพสไตรค์ออกมาได้มากกว่าการทดสอบ และระบบปฏิบัติการที่คิระแก้ไขไปนั้น พวกเนเชอรัลไม่มีทางจะใช้ได้ จึงจำเป็นต้องให้คิระเป็นนักบินของสไตรค์โดยปริยาย ภายหลังเธอได้รับตำแหน่งกัปตันยานอาร์คแองเจิ้ล โดยความเห็นของมู ลา ฟลาก้า เพราะแม้มูจะมียศสูงกว่า แต่ในภาวะสงครามเขาก็ต้องออกรบเหมือนกัน เมอร์ริว เป็นกัปตันที่ใจดีจนเกินไป ไม่เข้มงวดในระเบียบมากนัก แต่นั่นก็ทำให้ลูกเรือทุกคนเคารพเธออย่างจริงใจ เมอร์ริวนำยานอาร์คแองเจิ้ลออกจากกองทัพสหพันธ์โลกหลังจากที่ทราบถึงแผนที่ฐานทัพโจชัวร์ อลาสก้า และทำให้ยานอาร์คแองเจิ้ลมีจุดยืนเพื่อสันติภาพอย่างแท้จริง เธอมีผมสีนำตาล ได้เลื่อนยศเป็นร้อยเอกจากร้อยโท สูง176ซ.ม.หนัก44กิโลกรัมในภาคซีด และสูง177ซ.ม.หนัก57ก.ก.ในภาคซี้ดเดสทินี มู ลา ฟลาก้า (Mwu La Fraga) "เหยี่ยวแห่งเอนดีเมียน" คือฉายาของเขา พันตรีมู ลา ฟลาก้า รับหน้าที่พานักบินของโปรเจกต์ G ซึ่งเป็นนักเรียนนายร้อยจบใหม่ หรือ "ลูกเจี๊ยบ" มาส่งให้ที่ท่าจอดยาน แต่ก็เกิดเหตุชิงหุ่นยนต์ซะก่อน ทำให้นักบินเหล่านั้นเสียชีวิตกันหมด มูจึงขออนุญาตขึ้นยานอาร์คแองเจิ้ล และรับหน้าที่ช่วยเหลือด้านกำลังรบ โดยขับยานรบโมบิลอาเมอร์และเป็นคู่ปรับกับราอูลในสงคราม 11 เดือน เมื่อยานอาร์คแองเจิ้ลเดินทางมาถึงฐานโจชัวร์ มูได้รับคำสั่งให้ลงจากยานเพื่อรับหน้าที่ใหม่พร้อมกับนาทาล และเฟรย์ แต่เมื่อกองทัพใหญ่ของซาฟท์บุกโจมตี มูก็ได้พบกับข้อมูลที่ทางสหพันธ์โลกจะทำลายฐานนี้ทิ้งพร้อมกับกำลังส่วนหนึ่งรวมทั้งอาร์คแองเจิ้ลด้วย มูจึงรีบไปเตือนอาร์คแองเจิ้ล และเป็นเหตุให้เขากลับขึ้นยานอีกครั้ง และเปิดเผยความในใจที่เขามีต่อเมอร์ริว ภายหลังจากที่คิระขึ้นเป็นนักบินของฟรีด้อม มูก็รับช่วงเป็นนักบินของสไตร์คต่อโดยใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ที่เนเชอรัลสามารถบังคับได้ ซึ่งคิระทำขึ้นให้กับมอร์เก้นเรทเพื่อใช้กับหุ่นแอสเทรย์ตอนนำอาร์คแองเจิ้ลไปออร์บ และในศึกสุดท้ายที่ยาคินดูเอ้ มูบังคับสไตรค์เข้ารับโรเอนกรีนที่ยานโดมิเนี่ยนยิงใส่อาร์คแองเจิ้ล และมูได้ทิ้งคำพูดสุดท้ายให้กับเมอร์ริวว่า "ฉันเนี่ยเป็นผู้ชายที่ทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้จริงๆ เลยนะ" นาทาล บาจิรูล (Natarle Badgiruel) ร้อยตรี นาทาล บาจิรูล หน่วยกองยานที่ 8เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูง สังกัดสหพันธ์โลก หน่วยของเธอได้รับมอบหมายหน้าที่ลับสุดยอดให้นำยานรบอาร์คแองเจิ้ลจากมอร์เก้นเรด กลับมายังดวงจันทร์ แต่เกิดเหตุขโมยหุ่นยนต์ขึ้นเสียก่อน ท่าจอดยานถูกระเบิด แม้ตัวยานจะไม่ได้รับความเสียหายแต่ทางออกก็ถูกปิดไปแล้ว เธอจึงรวบรวมลูกเรื่อที่เหลือรอดจากการระเบิด และนำอาร์คแองเจิ้ลออกยานโดยยังไม่ได้ทำพิธีปล่อย สู่ภายในโคโลนีและได้พบกับ ร้อยโท เมอริว ราเมียส พร้อมกับ คิระ ยามาโตะ เธอมอบตำแหน่งกัปตันให้เมอริว ราเมียส ด้วยเหตุผลว่าเป็นคนที่รู้จักยานลำนี้เป็นอย่างดีน่าจะออกคำสั่งได้ดีกว่า ส่วนตัวเธอรับหน้าที่ C.I.C (Combat Information Center) ซึ่งทำหน้าที่สั่งการโจมตีทุกชนิดให้กับยาน อาร์คแองเจิ้ล ซึ่งคำสั่งของเธอถือเป็นสิทธิ์ขาดโดยไม่ต้องผ่านกัปตัน และในบางครั้งความคิดเห็นของเธอมักจะขัดแย้งกับกัปตันเมอริวอยู่บ่อยครั้ง เพราะความถูกต้อง(ทางการทหาร)ของเธอ กับความถูกต้อง (ทางด้านมนุษย์ธรรม)ของเมอริว มักจะไม่ได้ไปในทางเดียวกัน ภายหลังจากที่ยานอาร์คแองเจิ้ลเข้าประจำการที่ฐานทัพโจชัวร์ เธอลงจากยานอาร์คแองเจิ้ลเพื่อรับคำสั่งใหม่ และได้รับหน้าที่เป็น กัปตันยานรบ โดมิเนี่ยน ซึ่งเป็นยานรบชั้นอาร์คแองเจิ้ลเช่นเดียวกัน เธอได้เสียชีวิตหลังจากการสละยาน และตายไปพร้อมกับ มุลต้า อัสราเอล จากการยิงปืนใหญ่โรเอ็นกรินของยานอาร์คแองเจิ้ล นาทาล บาจิรูล นับว่าเป็นทหารที่มีความสามารถสูงมากคนหนึ่ง เพราะถ้าหากขาดเธอไป แองเจิ้ลคงไม่สามารถฝ่าฟันสถานะการณ์วิกฤติต่างๆ จากโคโลนี่จนลงมายังโลกได้อย่างแน่นอน สูง174ซ.ม.หนัก47กก. เฟรย์ อัสตาร์ (Flay Alstar) ลูกสาวของรัฐมนตรีต่างประเทศสหพันธ์โลก เป็นลูกเรืออาร์คแองเจิ้ลด้วยสถานะการบังคับ เช่นเดียวกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม คิระ, ไซ, ทอลล์, มิริอาเรีย, คาซึอิ คิระสนใจในตัวเธอ แต่เธอไม่สนใจ และตัวเธอเองก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว ซึ่งก็คือ ไซ แต่ในการเผชิญหน้ากับกองยานของครูเซ่ ซึ่งบุกโจมตี กองยานสหพันธ์ที่พ่อของเฟรย์โดยสารมาด้วยนั้น ทำให้เธอต้องมองดูพ่อตายต่อหน้าต่อตา เธอคิดแค้นกล่าวหาคิระว่าไม่ตั้งใจสู้เพราะต้องสู้กับโคออดิเนเตอร์ด้วยกัน แต่หลังจากนั้นเธอก็เริ่มเข้ามาตีสนิทกับคิระเพื่อหวังจะหลอกให้คิระต่อสู้จนต้องตาย เธอใช้คำพูดที่ดูเหมือนจะเห็นอกเห็นใจแต่แฝงไว้ด้วยความกดดันให้คิระสู้เพื่อปกป้องคนอื่น จนกระทั่งคิระถูกแจ้งเป็น M.I.A. เธอจึงรู้สึกเสียใจ และลงจากยานพร้อมกับนาทาล เพื่อไปรับคำสั่งใหม่ แต่เมื่อฐานโจชัวร์ถูกโจมตี เธอก็ถูกครูเซ่จับตัวไป เพราะเสียงของครูเซ่นั้น ฟังเหมือนกับเสียงของพ่อเธอ เธอจึงค่อนข้างที่จะเชื่อฟังคำพูดของครูเซ่ ครูเซ่ใช้เธอเป็นเครื่องมือนำแปลนการผลิด N-Jammer Canceler ไปมอบให้กับฝ่าย Blue Cosmos สุดท้ายเธอก็กลายเป็นลูกเรือ ของยานโดมิเนี่ยน แต่แล้วเธอก็ต้องจบชีวิตลงด้วยฝีมือของครูเซ่ โดยแม้คิระจะพยายามสุดชีวิตแต่ก็ไม่สามารถช่วยเธอไว้ได้ เธอมีผมสีแดง สูง174ซ.ม.หนัก46กิโลกรัม ไซ อาไกล์ (Ssigh Argyle) คู่หมั้นของเฟรย์ และเป็นเพื่อนกับคิระ ช่วงแรกเขาดูเป็นเหมือนที่พึ่งทางใจของเฟรย์อย่างมาก จนกระทั่งเฟรย์เริ่มใกล้ชิดกับคิระ เขาก็เริ่มแคลงใจ และไม่เข้าใจเหตุผลที่ในสิ่งที่เฟรย์ทำ จนเมื่อคิระเห็นเขาทะเลาะกับเฟรย์ คิระจึงหลุดปากบอกความสัมพันธ์ของตนกับเฟรย์ ไซซึ่งกำลังช๊อค และคิดเอาเองว่าเฟรย์สนใจคิระเพราะเขาเป็นนักบิน จึงแอบเข้าไปในโรงเก็บสไตรค์ และพยายามจะบังคับกันดั้มด้วยตัวเอง แต่หุ่นก็ล้มไม่เป็นท่า เป็นเหตุให้เขาโดนจับขัง ในตอนท้ายไซก็อยู่ประจำการบนยานอาร์คแองเจิ้ลจนสิ้นสุดสงครามที่ยาคินดูเอ้ด้วย ทอลล์ เกนิก (Tolle Koenic) เพื่อนของคิระ และคนรักของมิลิอาเรียในตอนที่อาร์คแองเจิ้ลลงมายังโลกแล้ว ก็พยายามฝึกบินด้วยเครื่องฝึกหัดบินเสมือนจริง จนสามารถออกรบได้จริง โดยขับเครื่องสกายกลาสเปอร์ แต่ก็ต้องจบชีวิตลงด้วยฝีมือของอัสรัน มิริอาเรีย ฮาล์ว (Miriallia Haw) "มิลลี่"คือชื่อเล่นของเธอ เธอเป็นคนรักของทอลล์ รับหน้าที่สื่อสารกับนักบิน บนยานอาร์คแองเจิ้ล เธอไม่เคยแคลงใจในตัวคิระเลย และคอยเป็นคนกลางในกลุ่มเพื่อนๆ เวลามีเรื่องทะเลาะกัน เธอเสียใจกับการตายของทอลล์เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้โทษว่าเป็นเพราะคิระ เมื่อดิอักก้าถูกจับเป็นเชลย มิลลี่ ก็คิดแค้นจนแอบลอบสังหารเขาตอนที่อยู่ในห้องพยาบาล แต่ก็ถูกห้ามไว้ได้ เธอใจเย็นลงตอนที่เอาอาหารไปให้ดิอักก้าที่ห้องขัง ซึ่งดิอักก้าอธิบายว่า คนที่ฆ่าทอลล์นั้นไม่ใช่เขา ดิอักก้าได้ช่วยคิระต่อสู้กับกองทัพสหพันธ์โลกที่ออร์บ ทำให้มิลลี่เริ่มมองดิอักก้าในแง่ดีขึ้น เธอสูง156ซ.ม.หนัก51ก.ก. คาสึอิ บัสเคิร์ก เพื่อนในกลุ่มของคิระ เป็นคนที่ค่อนข้างขี้ขลาด และไม่ค่อยรักษาน้ำใจของคิระ โดยมักจะกล่าวพาดพิงโคออดิเนเตอร์ในทางเสียๆ หายๆ หรือไม่ก็บ่นน้อยใจที่เนเชอรัล ด้อยกว่าอยู่บ่อยๆ เป็นเพื่อนคนแรกในกลุ่มที่ขอปลดประจำการไปก่อนที่อาร์คแองเจิ้ลจะลงไปที่โลกแต่ก็ต้องตายไปพร้อมกับเฟรย์ ดาริดา ลอลาฮา แชนโดร่า ที่ 2 (Dalida Roe Laha Chandora II) แจ็กกี้ โทโนมุระ (Jackie Tonomura) อาโนลด์ นอยแมน (Arnold Neuman) โรเมโร พาล (Romero Pal) โทรี่ หุ่นยนต์นกที่อัสรันสร้างให้กับคิระ ตอนที่อยู่แพลนท์ด้วยกัน === ฝ่ายแพลนท์ === อัสรัน ซาล่า (Athrun Zala) เพื่อนรักสมัยเด็กของคิระเข้าเป็นทหารของซาร์ฟเพราะแม่ของเขา(ลีนัวร์ ซาล่า)เสียชีวิตที่ยูนิอุสเซเว่น ได้เข้าประจำการกองทัพซาร์ฟในสังกัดหน่วยครูเซ่ ซึ่งได้รับคำสั่งให้มาขโมยโมบิลสูทของสหพันธ์โลกที่นำมาเก็บไว้ที่เฮลิโอโพลิส(โคโลนี่ของออร์บ)เขาได้เจอกับคิระอีกครั้ง ในขณะที่เข้าไปชิงสไตรค์ อัสรันพยายามจะกล่อมให้คิระมาอยู่กับซาร์ฟ แต่คิระเลือกที่จะปกป้องเพื่อนๆ อัสรันบังคับหุ่น GAT-X303 อีจิส จึงต้องกลายเป็นศัตรูของเขาไปแล้ว เมื่อมายังโลกได้ติดเกาะและรู้จักกับคางาริ ในปฏิบัติการโจมตียานอาร์คแองเจิ้ลที่ออร์บ หลังจากที่ทอลล์ตายแล้ว อัสรันบังคับอีจิสจับกลางตัวสไตรค์แล้วระเบิดหุ่นทิ้ง สไตรค์เสียหายมากจนคิดว่าคิระตายไปแล้ว อัสรันกลับไปที่แพลนท์เพื่อบอกข่าวการตายให้ครอบครัวของนิโคลรู้ และขึ้นบังคับ ZGMF-X09A จัสติส เพื่อไล่ตาม ฟรีด้อม มาที่โลก จนเข้าช่วยเหลือคิระจากการโจมตีของหุ่นรุ่นใหม่ 3 เครื่องของสหพันธ์โลกที่ออร์บ และได้เจอกับคางาริ จนอัสรันเปลี่ยนใจเข้าร่วมกับอาร์คแองเจิ้ลต่อสู้กับแพทริก ซาล่า พ่อของตน ในท้ายสุดจำต้องระเบิดจัสตินเพื่อทำลายเจเนซิส ลักซ์ ไคล์น (lacus Clyne) "เจ้าหญิงแห่งเสียงเพลงของซาร์ฟ" ที่ประชาชนชาวแพลนท์รักและให้ความเชื่อถือเป็นอย่างมาก ลักซ์เป็นลูกสาวของซีเคล ไคล์น ประธานสภาแห่งซาร์ฟ ถูกกำหนดให้เป็นคู่หมั่นกับอัสรัน มีบุคลิกเรียบร้อย นุ่มนวล อ่อนหวาน มีความเป็นผู้นำสูงและมีแนวคิดเพื่อสันติภาพ ทั้งยังสามารถวางแผนสร้างกลุ่มกำลังพิเศษภายในกองทัพซาร์ฟ แต่ในขณะนำยานไปยูนิอุสเซเว่นในวันครบรอบ วาเลนไทน์เลือด ถูกกองทัพโลกโจมตีเพราะไม่เชื่อว่ายานของเธอเป็นแค่ยานพลเรือน แต่สามารถขึ้นแคปซูลช่วยชีวิตหนีออกมาได้ จนคิระไปพบเข้าและนำกลับมายังอาร์คแองเจิ้ล ลักซ์เข้าใจและเป็นห่วงในตัวคิระเป็นอย่างมาก ในท้ายที่สุดเป็นผู้นำยานเอเทอร์นอล ร่วมกับอาร์คแองเจิ้ลและคุซานางิ เพื่อทำลายเจเนซิสและยุติสงครามในที่สุด ราอูล เลอ ครูเซ่ (Raww Le Klueze) เป็นหัวหน้าของหน่วยครูเซ่ กองทัพซาฟท์ เบื้องหน้าเป็นหัวหน้าของพวกอัสรัน แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคือการทำลายมนุษย์ให้สูญสิ้น เพราะว่าเกลียดมนุษย์ที่กำเนิดเขาขึ้นมา ครูเซ่เป็นโคลนนิ่งของ อัล เดอ ฟลาก้า ผู้เป็นบิดาของ มูว ลา ฟลาก้า ที่ ดร.ยูเรน ฮิบิกิ สร้างขึ้นมา ในสงครามครั้งสุดท้ายได้บังคับ ZGMF-X13A โปรวิเดนซ์ เข้าต่อสู้กับ ฟรีด้อม แต่พ่ายแพ้ในที่สุด อิซาค จูล (Yzak Joule) เพื่อนร่วมหน่วยของอัสรัน มีนิสัยใจร้อน ไม่ค่อยเชื่อฟังเพื่อนร่วมทีมเท่าไหร่ เป็นคู่แข่งของอัสรัน อิซาคบังคับ GAT-X102 ดูเอล และในศึกครั้งหนึ่ง อิซาคโดนมีดของ สไตรค์ จึงทำให้เกิดรอยแผลที่หน้าและแค้นนักบินสไตร์คมาก แต่ในที่สุดก็เข้าร่วมกับฝ่ายอาร์คแองเจิ้ลในสงครามที่ยาคินดูเอ้ ดิอัคก้า เอลส์แมน (Dearka Elthman) เพื่อนร่วมหน่วยของอัสรัน สนิทกับอิซาค เป็นผู้บังคับ GAT-X103 บัสเตอร์ ในปฏิบัติการโจมตียานอาร์คแองเจิ้ลที่ออร์บ คิระยิงบัสเตอร์ตกและดิอัคก้าถูกจับเป็นเชลยในยาน และช่วยอาร์คแองเจิ้ลต่อสู้กับสหพันธ์โลกที่เข้าโจมตีออร์บ จนถึงสงครามที่ยาคินดูเอ้ นิโคล อามาลฟี่ (Nicol Amarfi) เพื่อนร่วมหน่วยของอัสรัน สนิทกับอัสรัน เป็นผู้บังคับ GAT-X207 บลิทซ์ ในปฏิบัติการโจมตียานอาร์คแองเจิ้ลที่ออร์บ หลังจากที่บัสเตอร์ตก สไตรค์ที่ต่อสู้กับอีจิสอยู่ นิโคลจึงบังคับบลิทช์เข้าโจมตีแต่กลับถูกสไตรค์ฟันเข้า เสียชีวิตทันที รัสตี้ แมคเคนซี่ (Rusty Macancy) เพื่อนร่วมหน่วยของอัสรัน เสียชีวิตตั้งแต่ตอนเข้าโจมตีเฮลิโอโพลิส มิเกล ไอแมน (Miguel Aiman) แพทริก ซาล่า (Patrick Zala) ผู้นำแพลนท์ เป็นพ่อของ อัสรัน เป็นผู้ที่เคียดแค้น เนเชอรัล จากเหตุการณ์ โศกนาฏกรรมยูนิอุสเซเว่น ซึ่งทำให้เสียภรรยาไป จึงต้องการทำลายเนเชอรัลให้สิ้นซาก และเปลี่ยนแผนที่จะโจมตีฐานทัพปานามาเป็นฐานทัพโจชัวร์ อลาสก้าแทน ท้ายสุดเสียชีวิตที่ยาคินดูเอ้ ซีเกล ไคลน์ (Sigel Clyne) ประธานสภาแห่งซาร์ฟ บิดาของลักซ์ ถูกทหารซาร์ฟยิงตายหลังจากที่คิระนำฟรีด้อมไปได้ไม่นาน แอนดรูว์ วอลท์เฟลด์ (Andrew Waltfeld) "เสือแห่งทะเลทราย" อดีตผู้บัญชาการภาคพื้นแอฟริกา หลังจากบาคูที่ขับโดนคิระจัดการ โดยตนเองไม่ตายเพียงเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่คนรัก(ไอช่า)ตาย ภายหลังมารับตำแหน่งกัปตันยาน เอเทอร์นอล ให้กับกองกำลังของลักซ์ '''มัลโก้ โมราซิม (Marco Morassim) ผู้บัญชาการหน่วยโมราซิม ที่ฐานทัพคาเพนทาเรีย ได้ขับ ดีน ในการต่อสู้กับอาร์คแองเจิ้ลรอบแรกที่มหาสมุทรอินเดีย แล้วเสียท่าให้กับ สกายกลาสเปอร์ ของ มู ลา ฟราก้า รอบสองขับหุ่นที่ใช้ในทะเล โซโน ต่อสู้กับ อาร์คแองเจิ้ลอีกรอบ แล้ว จบชีวิตด้วย สไตรค์กันดั้ม ของ คิระ ยามาโตะ === ฝ่ายออร์บ === คางาริ ยูระ อัธฮา ลูกสาวของอุซุมิ ผู้นำประเทศออร์บ เดินทางไปเฮลิโอโพลิสเพื่อสืบหาโครงการ G ได้พบและรับการช่วยชีวิตโดยคิระให้เดินทางกลับโลกอย่างปลอดภัย คางาริติดต่ออาร์คแองเจิ้ลให้มุ่งหน้าสู่ออร์บ แล้วร่วมเดินทางไปกับยานอาร์คแองเจิ้ลและได้พบกับอัสรัน ในการโจมตีของสหพันธ์โลกที่ออร์บ คางาริบังคับหุ่น MBF-02 สไตรด์รูจ ซึ่งเป็นหุ่นที่เหมือนกับสไตรค์ของคิระ แต่มีระบบเฟรสชิพต่างกัน หลังจากเดินทางสู่อวกาศพบกับอาร์คแองเจิ้ล คางาริรับรู้เรื่องกดดันของอัสรันและเห็นใจเค้าเป็นอย่างมาก ในท้ายสุดคางาริเข้าไปช่วยอัสรันไว้ในช่วงที่จะระเบิดจัสตินเพื่อทำลายเจเนซิส อุซุมิ นาระ อัธฮา ผู้นำประเทศออร์บ และ เป็นพ่อของ คางาริ เป็นผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกองทัพสหพันธ์โลก และดำเนินนโยบายเป็นกลางจนได้พลีชีพตัวเองพร้อมกับประเทศ แต่ก่อนนั้นได้เรียกเหล่าคนรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมกับอาร์คแองเจิ้ลเข้าพบและฝากความหวังแห่งสันติภาพไว้กับพวกเค้าเหล่านั้น เลโดนิล คิซากะ องค์รักษ์คนสนิทของคางาริ เป็นผู้ที่ใกล้ชิดและคางาริไว้ใจมากที่สุด คอยช่วยเหลือคางาริตั้งแต่ปลอมตัวเข้าร่วมกับกองกำลังทะเลทรายเพื่อสู้กับเสือแห่งทะเลทราย และเป็นกัปตันบังคับยานคุซานางิ เอริก้า ซิมมอนส์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและช่างเทคนิคของมอร์เกนเรทที่ออร์บ เป็นผู้ดูแลโปรเจกต์ G และการสร้างโมบิลสูท MBF-M1 M1แอสเทรย์ ทั้งยังเป็นผู้ทำรายงานความสามารถที่เรียกว่า SEED ในโคออดิเนเตอร์ของ คิระ ยามาโตะ อาซางิ โค้ดเวล นักบินของออร์บ ที่บังคับแอสเทรย์ M1 ด้วยระบบปฏิบัติการที่คิระสร้างขึ้น และเข้าต่อสู้ในสงครามยาคินดูเอ้ จูริ วู เนียน นักบินของออร์บ ที่บังคับแอสเทรย์ M1 ด้วยระบบปฏิบัติการที่คิระสร้างขึ้น และเข้าต่อสู้ในสงครามยาคินดูเอ้ มายูระ ลาแบ็ท นักบินของออร์บ ที่บังคับแอสเทรย์ M1 ด้วยระบบปฏิบัติการที่คิระสร้างขึ้น และเข้าต่อสู้ในสงครามยาคินดูเอ้ === บลูคอสมอส === มุลต้า อัสราเอล ชายที่เป็นผู้นำของบลูคอสมอส อยู่ประจำยาน โดมิเนียน พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อชัยชนะและทำลายโคออดิเนเตอร์ให้หมดสิ้น ออร์ก้า ซับแน็ค หัวหน้าหน่วยของ CPU ที่มีชีวิต ขับ GAT-X131 คาลามิตี้กันดั้ม ชอบอ่านนิยายเวลาปกติ โครโต บูเออร์ นักบินที่เป็น CPU มีชีวิต ขับ GAT-X370 เรดเดอร์กันดั้ม ชอบเล่นเกมเวลาปกติ ชานี่ แอนดราส นักบิน CPU มีชีวิตอีกคน มีผมสีเขียวอ่อน จะต้องรับประทานยาเป็นระยะ ขับ GAT-X252 ฟอร์บิดเดนกันดั้ม ชอบฟังเพลงเวลาปกติ วิลเลียม ซูทเทอร์แลนด์ ผู้บัญชาการฐานทัพโจชัวร์ (JOSH-A) ที่อลาสก้า เป็นผู้ออกคำสั่งให้ อาร์คแองเจิ้ล อยู่เฝ้าฐานทัพเพื่อเป็นเป้าล่อกองทัพใหญ่ของซาฟท์ แล้วทำลายทิ้ง เป็นผู้สนับสนุน บลูคอสมอส == โมบิลสูท == === กันดั้ม === GAT-X105 สไตรค์ (Strike) GAT-X303 อีจิส (Aegis) GAT-X102 ดูเอล (Duel) GAT-X103 บัสเตอร์ (Buster) GAT-X207 บลิทซ์ (Blitz) ZGMF-X10A ฟรีด้อม (Freedom) ZGMF-X09A จัสติส (Justice) GAT-X370 เรดเดอร์ (Raider) GAT-X131 คาลามิตี้ (Calamity) GAT-X252 ฟอร์บิดเดน (Forbidden) MBF-02 สไตรค์รูจ (Strike Rouge) ZGMF-X13A โปรวิเดนซ์ (Providence) MBF-P01 กันดั้มแอสเทรย์โกลด์เฟรม (Gundam Astray Gold Frame) MBF-P02 กันดั้มแอสเทรย์เรดเฟรม (Gundam Astray Red Frame) MBF-P03 กันดั้มแอสเทรย์บลูเฟรม (Gundam Astray Blue Frame) ZGMF-X12 กันดั้มแอสเทรย์เอ้าท์เฟรม (Gundam Astray Out Frame) ZGMF-X11A รีเจเนอร์เรด (Regenerate) ZGMF-X12A เทสตาเม้น (Testament) === โมบิลสูทของซาฟท์ === ZGMF-1017 จินน์ (GINN) ZGMF-515 ซี้ค (CGUE) TMF/A-802 บาคู (BuCUE) TMF/A-803 ลาโกว์ (LaGOWE) TFA-02 ซูท (ZuOOT) AMF-101 ดินน์ (DINN) UMF-4A กูน (GOOhN) UMF-5 โซโน่ (ZnO) ZGMF-600 เกวซ (GuAIZ) YFX-600R เกวซ เอกซ์เพอร์ริเมนต์ท่าว ไฟร์อาร์ม (GuAIZ Experimental Firearms Type) AME-WAC01 ดินน์ รุ่นพิเศษ ติดตั้งอิเล็กโทรนิก (DINN Special Electronic Installation Type) TMF/A-802 บาคู รพี-โหมด รุ่น แอนดริว วอลเฟลด์ (P-Mod.W BuCUE Waltfeld Custom Type) TMF/TR-2 บาคู รุ่น สอดแนม (BuCUE Tactical Reconnaissance Type) UTA/TE-6 กูน รุ่นทดสอบ (GOOhN Underground Mobility Test Type) YFX-200 ซี๊ค ดี๊ฟ อาร์ม (CGUE DEEP Arms) === โมบิลสูทของสหพันธ์โลก === GAT-01 สไตรค์แด๊กเกอร์ (Strike Dagger) GAT/A-01E2 บัสเตอร์แด๊กเกอร์ (Buster Dagger) GAT-01A1 แด๊กเกอร์ (Dagger) GAT-01D ลองแด็กเกอร์ (Long Dagger) GAT-01D1 ดูเอลแด็กเกอร์ (Duel Dagger) GAT-333 เรดเดอร์ร่างสมบูรณ์ (Raider Full Spec) GAT-706S ดี๊ป ฟอร์บิดเด้น (Deep Forbidden) GAT-X133 ซอร์ด คาลามิตี้ (Sword Calamity) GAT-X255 ฟอร์บิดเด้น บลู (Forbidden Blue) === โมบิลสูทของออร์บ === MBF-M1 เอ็มวันแอสเทรย์ (M1 Astray) MBF-M1 เอ็มวันเอแอสเทรย์ (M1A Astray) == ยานรบและอื่นๆ == === ฝ่ายสหพันธ์โลก === ยานชั้น เดร็ก ยานชั้น เนลสัน ยานชั้น อามาเกม่อน ยานชั้น อาร์คแองเจิ้ล === ฝ่ายซาฟท์ === ยานชั้น นาสก้า ยานชั้น ลอราเซีย ยานชั้น เลเซปส์ == ทีมงาน == ผู้สร้าง - โยชิยูกิ โทมิโนะ, ฮาจิเมะ ยาทาเตะ ผู้เขียนบท - จิอากิ โมโรซาวะ ออกแบบตัวละคร - ฮิซาชิ ฮิราอิ ออกแบบหุ่นยนต์ & เครื่องจักร - คุนิโอะ โอคาวาระ, คิมิโทชิ ยามาเนะ ดนตรีประกอบ - โทชิฮิโกะ ซาโต้ กำกับศิลป์ - ชิเงมิ อิเคดะ ควบคุมการบันทึกเสียง - ยาสุโอะ อุรางามิ ผู้กำกับ - มิตสึโอะ ฟุคุดะ ผลิตแอนิเมชัน - ซันไรส์ == รายชื่อตอน == ในการนับจำนวนตอนของเรื่องจะถูกเรียกว่า เฟซ-... (PHASE-00) ตามด้วยจำนวนเลข หมายเหตุ - ในวันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ และ วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 รายการช่อง 9 การ์ตูน ได้ออกอากาศรีรัน โมบิลสูท กันดั้มซี๊ด เฟซที่ 39 และ เฟซที่ 40 -ในวันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2566 รายการช่อง 9 การ์ตูน ได้ออกอากาศ โมบิลสูท กันดั้มซี้ด เฟซที่ 47 และ เฟซที่ 48 ในวันเดียวกัน และ วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2566 รายการช่อง 9 การ์ตูน ได้ออกอากาศ โมบิลสูท กันดั้มซี้ด เฟซที่ 49 และ เฟซที่ 50 ในวันเดียวกัน โดยการตัดเนื้อหาไปบางส่วน เพื่อเร่งรัดให้จบ เพราะว่า จะออกอากาศ โมบิลสูท กันดั้มซี้ดเดสทินี ที่จะออกอากาศ ตอนแรก ใน วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2566 ตามกำหนดการรายการช่อง 9 การ์ตูน == เพลงประกอบ == เพลงเปิดเรื่อง (Opening) : Invoke ขับร้องโดย T.M. Revolution Moment ขับร้องโดย Vivian or Kazuma Believe ขับร้องโดย นามิ ทามากิ Realize ขับร้องโดย นามิ ทามากิ เพลงจบ (Ending) : Anna ni Issho Datta no ni ขับร้องโดย See-Saw River ขับร้องโดย ทัตสึยะ อิชิอิ Find The Way ขับร้องโดย มิกะ นากาชิม่า[Nakashima Mika] (ตอนที่ 40-จบ) เพลงแทรกระหว่างเรื่อง (Insert Song) : Shizuka na Yoru ni ขับร้องโดย ริเอะ ทานากะ METEOR ขับร้องโดย T.M. Revolution Akatsuki no Kuruma ขับร้องโดย FictionJunction YUUKA Mizu no Akashi ขับร้องโดย ริเอะ ทานากะ เพลงประจำตัวละคร (Character Song) : Ima Konoshunkan ga Subete (เพลงของ คิระ ยามาโตะ) ขับร้องโดย โซอิจิโร่ โฮชิ Precious Rose (เพลงของ คางาริ ยูระ อัธฮะ) ขับร้องโดย นาโอมิ ชินโด Shoot (เพลงของ อิซาค จูล) ขับร้องโดย โทโมคาสึ เซกิ == ดูเพิ่ม == รายชื่อตัวละครใน Cosmic Era รายชื่อหุ่นยนต์ใน Cosmic Era สงครามยาคินดูเอ้ == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ กันดั้มซี้ดในเว็บไทยโทคุ เว็บบอร์ดกันดั้มซี้ด ไทยฟอรั่ม การ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชเน็ง‎ การก่อการร้ายในบันเทิงคดี
thaiwikipedia
1,704
สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น
สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 3 ซิธชำระแค้น (Star Wars: Episode III – Revenge of the Sith) เป็นภาพยนตร์แนวมหากาพย์บันเทิงคดีอวกาศ ฉายเมื่อปี ค.ศ. 2005 เขียนบทและกำกับโดยจอร์จ ลูคัส แสดงนำโดย ยวน แม็คเกรเกอร์, นาตาลี พอร์ตแมน, เฮย์เดน คริสเตนเซน, เอียน เมกเดอร์มิด, ซามูเอล แอล. แจ็กสัน, คริสโตเฟอร์ ลี, แอนโทนี แดเนียลส์, เคนนี เบเกอร์และแฟรงค์ ออซ เป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายใน สตาร์ วอร์ส ไตรภาคต้น, ตอนที่สามใน มหากาพย์สกายวอร์คเกอร์ และเป็นภาพยนตร์ สตาร์ วอร์ส ที่ฉายเป็นลำดับที่หกจากทั้งหมด ซิธชำระแค้น ดำเนินเรื่องหลังเกิดสงครามโคลน ใน สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 2 กองทัพโคลนส์จู่โจม (ค.ศ. 2002) สามปี เหล่าเจได ได้กระจายไปทั่วกาแลกซี นำไปสู่สงครามขนาดใหญ่กับสมาพันธ์แบ่งแยกดินแดน หลัง เคาต์ ดูกู ถูกฆ่า สภาเจไดได้ส่ง โอบีวัน เคโนบี ไปสังหาร นายพลกรีวัส ผู้นำกองกำลังฝ่ายแบ่งแยกดินแดน เพื่อยุติสงครามนี้ ในขณะเดียวกัน อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ได้รับมอบหมายจากสภาเจไดให้คอยสอดแนม พัลพาทีน สมุหนายกแห่งสาธารณรัฐกาแลกติก ซึ่งแท้จริงแล้วเขาเป็นซิธลอร์ด ดาร์ธ ซีเดียส หลังอนาคินเห็นภาพนิมิตว่าภรรยาของเขา แพดเม่ อมิดาลา เสียชีวิตขณะคลอดบุตร พัลพาทีนจึงได้โน้มน้าวอนาคินให้เข้าสู่ด้านมืดของพลัง และกลายเป็นศิษย์ของเขาชื่อว่า ดาร์ธ เวเดอร์ และทำให้เกิดผลกระทบตามมามากมายต่อกาแลกซี ลูคัสเริ่มเขียนบทก่อนการสร้าง กองทัพโคลนส์จู่โจม จะเสร็จสิ้น การสร้าง ซิธชำระแค้น เริ่มต้นเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2003 โดยมีการถ่ายทำที่ ออสเตรเลีย, ไทย, สวิตเซอร์แลนด์, จีน, อิตาลีและสหราชอาณาจักร ซิธชำระแค้น ฉายรอบปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 ที่เทศกาลภาพยนตร์กาน ก่อนที่จะฉายทั่วโลกเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 ภาพยนตร์ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์ โดยชมในเรื่องฉากโลดโผน, ธีมที่เป็นผู้ใหญ่, ดนตรีประกอบ, เทคนิคด้านภาพและการแสดงของ แม็คเกรเกอร์, เมกเดอร์มิด, ออซและจิมมี สมิตส์ คำวิจารณ์ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่บทพูดและการแสดงของคริสเตนเซน ภาพยนตร์ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดใน สตาร์ วอร์ส ไตรภาคต้น ภาพยนตร์ทำลายสถิติหลายรายการในสัปดาห์เปิดตัว ต่อเนื่องไปจนทำเงินมากกว่า 868 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก ทำให้เป็นภาพยนตร์ สตาร์ วอร์ส ที่ทำเงินสูงสุดอันดับที่สองในเวลานั้น ยังเคยเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในสหรัฐและภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดอันดับที่สองในปี ค.ศ. 2005 ภาพยนตร์ยังครองสถิติเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในวันเปิดตัวในวันพฤหัสบดี ด้วยจำนวนเงิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ == โครงเรื่อง == เหนือดาวเคราะห์คอรัสซัง โอบีวัน เคโนบีและอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ นำภารกิจช่วยเหลือสมุหนายกพัลพาทีน ซึ่งถูกลักพาตัวไปโดย นายพลกรีวัส ไซบอร์กผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายแบ่งแยกดินแดน หลังทั้งสองคนแทรกซึมเข้าไปในยานธงของกรีวัสและได้ต่อสู้กับเคาต์ ดูกู อนาคินเอาชนะดูกูได้และตัดหัวเขา หลังอนาคินได้รับการยั่วยุจากพัลพาทีน กรีวัสสามารถหลบหนีออกจากยานซึ่งได้รับความเสียหายหนัก ทำให้เจไดทั้งสองคนต้องนำยานอวกาศลงจอดสู่พื้นดินที่คอรัสซัง ที่นั่น อนาคินได้พบกับภรรยาของเขา แพดเม่ อมิดาลา เธอเปิดเผยว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ ต่อมา อนาคินเริ่มฝันร้ายเห็นภาพแพดเม่เสียชีวิตขณะกำลังคลอดบุตร พัลพาทีนได้แต่งตั้งให้อนาคินเป็นผู้แทนส่วนตัวของเขาในสภาเจได ทางสภาเจไดเริ่มสงสัยในตัวพัลพาทีน จึงอนุญาตให้อนาคินเป็นสมาชิกในสภาเจได แต่ปฏิเสธให้ตำแหน่งอาจารย์เจไดกับเขา และบอกให้อนาคินคอยสอดแนมพัลพาทีน ทำให้ความไว้วางใจของอนาคินที่มีต่อเจไดนั้นลดลง พัลพาทีนล่อลวงอนาคินด้วยความรู้เกี่ยวกับพลังของเขา รวมไปถึง พลังที่ป้องกันความตาย ขณะเดียวกัน โอบีวันเดินทางไปยูทาเปาและได้สังหารกรีวัส โยดาเดินทางไป คาชีค ดาวเกิดของวูกกี เพื่อป้องกันการรุกรานของฝ่ายแบ่งแยกดินแดน เมื่อพัลพาทีนเปิดเผยว่าเขารู้วิถีด้านมืดของพลังและพูดว่าเขามีพลังที่สามารถช่วยชีวิตแพดเม่ อนาคินรู้ทันทีว่าเขาคือซิธลอร์ดผู้อยู่เบื้องหลังสงครามโคลน และรายงานเรื่องนี้ให้กับเมซ วินดู ซึ่งต่อมาวินดูได้เผชิญหน้ากับพัลพาทีนและเอาชนะเขาได้ อนาคินซึ่งกำลังสิ้นหวังในการช่วยชีวิตแพดเม่ อนาคินได้เข้ามาขัดขวางโดยตัดแขนวินดูก่อนที่เขาจะฆ่าพัลพาทีน ทำให้พัลพาทีนใช้พลังสังหารวินดูและผลักเขาออกไปจนถึงแก่ความตาย อนาคินเข้าสู่ด้านมืดกลายเป็นซิธและพัลพาทีนเรียกเขาว่า ดาร์ธ เวเดอร์ พัลพาทีนออกคำสั่งที่ 66 เป็นคำสั่งที่ให้โคลนทรูปเปอร์ฆ่าเจไดซึ่งผู้บัญชาการของพวกเขา ทำให้นิกายเจไดถูกกวาดล้างจนเกือบหมด ขณะเดียวกัน เวเดอร์และกองทหารโคลนทรูปเปอร์ของเขา ฆ่าเจไดที่ยังหลงเหลืออยู่ในวิหารเจได หลังจากนั้นเวเดอร์ได้เดินทางไปยังดาวเคราะห์ภูเขาไฟ มุสตาฟา เพื่อฆ่าผู้นำฝ่ายแบ่งแยกดินแดน พัลพาทีนประกาศแต่งตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิต่อหน้าวุฒิสมาชิกกาแลกติก ก่อนจะเปลี่ยนการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นจักรวรรดิกาแลกติก และกล่าวหาว่าเจไดเป็นกบฏ โอบีวันและโยดาเอาตัวรอดได้จากความโกลาหล ทั้งสองคนเดินทางกลับไปคอรัสซังและรับรู้ว่าอนาคินได้เข้าสู่ด้านมืด โยดาสั่งให้โอบีวันไปเผชิญหน้ากับเวเดอร์ ขณะที่โยดาเผชิญหน้ากับพัลพาทีน เมื่อแพดเม่รับรู้ถึงการทรยศของอนาคิน เธอเดินทางไปมุสตาฟา โดยที่โอบีวันได้หลบซ่อนอยู่ในยานของเธอ แพดเม่ได้อ้อนวอนเวเดอร์ให้เวเดอร์ละทิ้งด้านมืด แต่เขาปฏิเสธ เมื่อโอบีวันปรากฏตัว เวเดอร์โกรธและคิดว่าแพดเม่พาโอบีวันมาเพื่อฆ่าตน เวเดอร์จึงใช้พลังบีบคอแพดเม่จนสลบ โอบีวันเข้าปะทะกับเวเดอร์ด้วยการดวลกระบี่แสง การดวลจบลงด้วยการที่โอบีวันตัดขาและแขนซ้ายของเวเดอร์ ปล่อยเขาไว้ที่ริมฝั่งซึ่งมีลาวาไหลผ่าน โอบีวันหยิบกระบี่แสงของเวเดอร์และดูเวเดอร์ถูกไฟเผาด้วยความสยองขวัญและปล่อยให้เขาตาย ที่คอรัสซัง โยดาต่อสู้กับพัลพาทีน จนการดวลของพวกเขาจบด้วยการเสมอกัน โยดาหนีไปกับวุฒิสมาชิก เบล ออร์กานา และไปรวมกลุ่มกับโอบีวันและแพดเม่ บนดาวเคราะห์น้อย โพลิส แมสซา แพดเม่ได้ให้กำเนิดแฝดสอง เธอตั้งชื่อว่า ลุคและเลอา แล้วเธอก็เสียชีวิตหลังขาดแรงใจที่จะอยู่ต่อ ที่มุสตาฟา พัลพาทีนมารับตัวเวเดอร์ซึ่งยังมีชีวิตอยู่และพาเขาไปคอรัสซัง เขาได้รับการรักษาโดยการใส่แขนขากลและสวมชุดเกราะสีดำ เมื่อเวเดอร์ถามว่าแพดเม่นั้นปลอดภัยไหม พัลพาทีนตอบว่าเขาฆ่าเธอด้วยความโกรธ ทำให้เวเดอร์โกรธอย่างรุนแรง โอบีวันและโยดาวางแผนซ่อนแฝดทั้งสองคนจากซิธและหายตัวไปจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมในการต่อสู้กับเอมไพร์ ขณะที่งานศพของแพดเม่จัดขึ้นที่นาบู ดาวเกิดของเธอ พัลพาทีนและเวเดอร์ดูแลการก่อสร้างของดาวมรณะ เบลพาเลอาไปยังดาวเกิดของเขา อัลเดอราน ซึ่งเขาและภรรยาของเขาจะเป็นคนรับเลี้ยง โอบีวันพาลุคไปยังบ้านของโอเวนและเบรู ลุงและป้าของลุค บนดาวทาทูอีน ก่อนที่จะหายตัวไปและคอยเฝ้าดูเขาอยู่ห่าง ๆ == นักแสดง== ยวน แม็คเกรเกอร์ เป็น โอบีวัน เคโนบี, อาจารย์เจได, นายพลแห่งสาธารณรัฐกาแลกติกและอาจารย์ของอนาคิน นาตาลี พอร์ตแมน เป็น แพดเม่ อมิดาลา, วุฒิสมาชิกของนาบู เป็นภรรยาของอนาคินอย่างลับ ๆ และตั้งครรภ์บุตรของพวกเขา เฮย์เดน คริสเตนเซน เป็น อนาคิน สกายวอล์คเกอร์, อัศวินเจได, วีระบุรุษแห่งสงครามโคลนและอดีตพาดาวันของโอบีวัน, ผู้เข้าสู่ด้านมืดของพลังและกลายเป็นซิธลอร์ด ดาร์ธ เวเดอร์ เอียน เมกเดยร์มิด เป็น พัลพาทีน/ ดาร์ธ ซีเดียส, สมุหนายกแห่งสาธารณรัฐกาแลกติก ซึ่งแท้จริงเขาคือซิธลอร์ด ต่อมาได้ก่อตั้งและเป็นผู้นำของจักรวรรดิกาแลกติก เขาใช้ประโยชน์จากความไม่ไว้วางใจที่มีต่อเจไดของอนาคินและความกลัวที่เขาจะสูญเสียแพดเม่ไป ลวงเขาให้เข้าสู่ด้านมืดและกลายเป็นอาจารย์ของเวเดอร์ ซามูเอล แอล. แจ็กสัน เป็น เมซ วินดู, อาจารย์เจไดและสมาชิกอาวุโสของสภาเจได จิมมี สมิตส์ เป็น เบล ออร์กานา, วุฒิสมาชิกของอัลเดอราน คริสโตเฟอร์ ลี เป็น เคาต์ ดูกู / ดาร์ธ ไทรานัส, ศิษย์ของดาร์ธ ซีเดียสซึ่งเป็นซิธและผู้นำของฝ่ายแบ่งแยก แอนโทนี แดเนียลส์ เป็น ซีทรีพีโอ, ดรอยด์การทูตส่วนตัวของอนาคินและแพดม่ ซึ่งถูกสร้างโดยอนาคินเมื่อตอนเป็นเด็ก เคนนี เบเกอร์ เป็น อาร์ทูดีทู, แอสโตรเมคดรอยด์ของอนาคิน แฟรงค์ ออซ เป็น เสียงของ โยดา, ปรมาจารย์เจไดและผู้นำของสภาเจได ปีเตอร์ เมย์ฮิว, โอลิเวอร์ ฟอร์ด เดวีส์, อาเหม็ด เบสต์และซิลาส คาร์สัน กลับมารับบทเดิมจากภาพยนตร์ก่อนหน้านี้เป็น ชิวแบคคา, ซิโอ บิบเบิล, จาร์ จาร์ บิงคส์, นุต กันเรย์และคิ อดิ มันดิ ตามลำดับ โจเอล เอดเกอร์ตันและบอนนี เพียสส์ เป็นนักแสดงรับเชิญโดยกลับมารับบทเดิมจากใน กองทัพโคลนส์จู่โจม เป็นโอเวนและเบรู ลาร์ส วิศวกรเสียง แมตทิว วูด เป็นคนให้เสียง นายพลกรีวัส ไซบอร์กผู้บัญชาการกองกำลังดรอย์ของฝ่ายแบ่งแยกดินแดน ทีมัวรา มอร์ริสัน เป็น ผู้บัญชาการโคดีและทหารโคลนทรูปเปอร์ที่เหลือ บรูซ สเปนซ์ เป็น ทิออน มิดอน ผู้ดูแลท้องถิ่นของยูทาเปา เจอเรมี บุลลอช (เคยแสดงเป็น โบบา เฟทท์ ใน จักรวรรดิเอมไพร์โต้กลับ และ การกลับมาของเจได) เป็น กับตัน โคลตัน นักบินของยานอวกาศกบฏ เทนทิวีโฟร์ เจนเนวิบ โอไรล์ลี เป็น วุฒิสมาชิก มอน มอธมา ถึงแม้ว่าฉากของเธอจะถูกตัดออกจากภาพยนตร์ โรฮาน นิโคล เป็น กัปตัน เรย์มัส แอนทิลีส เวน เพแกรม เป็น วิลฮัฟ ทาร์คิน วัยหนุ่ม และ ผู้ประสานงานตัวแสดงแทน นิก กิลลาร์ด (Nick Gillard) เป็น เจไดชื่อว่า ซิน ดรัลลิก (Cin Drallig) (เป็นการสะกดชื่อของเขากลับหลัง โดยตัดตัว 'k' ออก) เอดัน บาร์ตัน ลูกของผู้ตัดต่อภาพยนตร์ โรเจอร์ บาร์ตัน เป็น ลุค สกายวอล์คเกอร์และเลอา ออร์กานา ซึ่งเป็นทารก เจมส์ เอิร์ล โจนส์ เป็นนักแสดงรับเชิญไม่มีชื่อในเครดิต กลับมารับบทเดิมจากภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ ให้เสียงดาร์ธ เวเดอร์ ผู้กำกับและผู้สร้าง สตาร์ วอร์ส จอร์จ ลูคัส เป็นนักแสดงรับเชิญเป็น บารอน พาพานอยดะ เอเลี่ยนหน้าสีน้ำเงินซึ่งเป็นผู้ชมในโรงละครโอเปร่าที่คอรัสซัง ลูกชายของลูคัส เจตต์ แสดงเป็น เซตต์ จูคาสซา เจไดเด็กที่กำลังฝึกฝน หนึ่งในลูกสาวของลูคัส อาแมนดา แสดงเป็น เทอร์ ทานีล ปรากฏในโฮโลแกรมบันทึกความปลอดภัย ขณะที่ลูกสาวอีกคนหนึ่ง เคที แสดงเป็น ชี เอกเวย์ ชาวแพนโตรันผิวสีน้ำเงิน พบเห็นได้ขณะที่พัลพาทีนเดินทางมาถึงวุฒิสภาหลังได้รับการช่วยเหลือจากเจไดและตอนที่กำลังพูดคุยกับ บารอน พาพานอยดะ ที่โรงละครโอเปร่า คริสเตียน ซิมป์สัน เป็น ตัวแสดงแทนของ เฮย์เดน คริสเตนเซน == การสร้าง == === การเขียน === ลูคัสกล่าวว่าเขาคิดเรื่องราวของมหากาพย์ สตาร์ วอร์ส เอาไว้แล้ว ในรูปแบบของโครงร่างในปี ค.ศ. 1983 อย่างก็ตาม เขาชี้แจงในภายหลังว่า ณ ช่วงเวลานั้น เขายังไม่ได้ใส่รายละเอียดลงไป โดยเขียนแค่จุดโครงเรื่องที่สำคัญ ฉากการดวลของภาพยนตร์นำมาจากนวนิยายที่ดัดแปลงมาจากภาพยนตร์ การกลับมาของเจได โดยที่โอบีวันเล่าว่าการต่อสู้ระหว่างเขากับอนาคินจบลง โดยที่อนาคิน "ตกลงไปในหลุมหลอมเหลว" ลูคัสเริ่มทำงานเขียนบทภาพยนตร์ของ เอพพิโซด 3 ก่อน กองทัพโคลนส์จู่โจม ภาพยนตร์ก่อนหน้านี้จะฉาย มีการเสนอให้กับศิลปินแนวคิดว่าภาพยนตร์จะเปิดเรื่องด้วยภาพเจ็ดการต่อสู้บนดาวเคราะห์เจ็ดแห่ง ใน เดอะซีเครตฮิสทรีออฟสตาร์ วอร์ส ไมเคิล คามินสกี สันนิษฐานว่า ลูคัสพบจุดอ่อนในเรื่องการเข้าสู่ด้านมืดของอนาคินและได้จัดเรียงเรื่องราวใหม่ทั้งหมด เช่น แทนที่จะเปิดเรื่องด้วยภาพจากสงครามโคลน ลูคัสตัดสินใจเน้นไปที่อนาคิน จบองค์แรกด้วยเขาฆ่าเคาต์ ดูกู เป็นสัญญาณเริ่มให้เขาเข้าสู่ด้านมืด แฟน ๆ จำนวนมากในออนไลน์คาดการณ์ชื่อตอนของภาพยนตร์ โดยมีชื่อที่ลือกัน ได้แก่ ไรส์ออฟดิเอมไพร์ (Rise of the Empire), เดอะครีปปิงเฟียร์ (The Creeping Fear) (เคยเป็นชื่อภาพยนตร์ในเว็บไซต์หลักอย่างเป็นทางการในวันเมษาหน้าโง่ เมื่อปี ค.ศ. 2004) และ เบิร์ธออฟดิเอมไพร์ (Birth of the Empire) ในที่สุด ชื่อ ซิธชำระแค้น (Revenge of the Sith) ก็กลายเป็นชื่อตอนของภาพยนตร์ ซึ่งก็มาจากการคาดการณ์ของแฟน ๆ โดยลูคัสเองก็ไม่ได้ยืนยันโดยตรง ชื่อตอนอ้างอิงถึง รีเวนจ์ออฟเดอะเจได (Revenge of the Jedi) ซึ่งชื่อดั้งเดิมของ การกลับมาของเจได ก่อนลูคัสจะเปลี่ยนชื่อภาพยนตร์หนึ่งอาทิตย์ก่อนฉายรอบปฐมทัศน์ โดยประกาศว่าเจไดไม่แสวงหาการแก้แค้น ลูคัสวางแผนไว้ว่าจะมีการเชื่อมโยงกับไตรภาคเดิมมากยิ่งขึ้น โดยเขาได้เขียนไว้ในร่างแรกให้มีการปรากฏตัวของ ฮาน โซโล อายุ 10 ปี บนดาวคาชีก แต่บทดังกล่าวไม่มีการคัดเลือกนักแสดงหรือถ่ายทำ เขายังเขียนฉากให้พัลพาทีนเปิดเผยกับอนาคินว่า พัลพาทีนสร้างอนาคินมาจากมิดิคลอเรียนส์ ดังนั้นพัลพาทีนจึงเป็น "พ่อ "ของอนาคิน ทำให้เป็นฉากคู่ขนานกับการเปิดเผยของเวเดอร์กับลุคใน จักรวรรดิเอมไพร์โต้กลับ แต่ลูคัสก็ปฏิเสธฉากนี้ อีกฉากหนึ่งที่วางแผนไว้โดยลูคัส ซึ่งเขียนเอาไว้ในช่วงแรกของการพัฒนาภาพยนตร์คือ บทสนทนาระหว่างอาจารย์โยดากับวิญญาณไควกอน จินน์ โดยมีเลียม นีสัน กลับมารับบทเดิมจากภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ (เขายังบอกใบ้ถึงความเป็นไปได้ที่จะปรากฏตัวในภาพยนตร์) อย่างไรก็ตาม ฉากนี้ก็ไม่เคยถ่ายทำและบทพูดของนีสันก็ไม่ได้บันทึก ถึงแม้ว่าฉากนี้จะปรากฏในนวนิยายที่ดัดแปลงมาจากภาพยนตร์ หลังถ่ายทำภาพยนตร์เสร็จในปี ค.ศ. 2003 ลูคัสเปลี่ยนแปลงตัวละครอนาคินหลายอย่าง โดยเขียนฉาก "เข้าสู่ด้านมืด" ใหม่ทั้งหมด ลูคัสประสบความสำเร็จในการ "เขียนใหม่" นี้ผ่านการตัดต่อจากภาพที่ได้จากการถ่ายทำและการถ่ายซ่อมในลอนดอนเมื่อปี ค.ศ. 2004 โดยในรูปแบบก่อนหน้านี้ อนาคินมีเหตุผลมากมายที่เขาจะเข้าสู่ด้านมืด หนึ่งในนั้นคือความเชื่อที่ว่าเจไดกำลังวางแผนที่จะล้มล้างสาธารณรัฐ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ยังคงอยู่ในภาพยนตร์ จากการแก้ไขและถ่ายซ้ำหลายฉาก ลูคัสเน้นไปที่ความต้องการของอนาคินที่จะช่วยให้แพดเม่รอดพ้นจากความตาย ทำให้เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ กลายเป็นว่าอนาคินเข้าสู่ด้านมืดด้วยเหตุผลนี้เป็นหลัก == อ้างอิง == === เชิงอรรถ === === อ้างอิง === === บรรณานุกรม === == แหล่งข้อมูลอื่น == Star Wars Episode III: Revenge of the Sith at StarWars.com สตาร์ วอร์ส ภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2548 ภาพยนตร์ที่กำกับโดย จอร์จ ลูคัส ภาพยนตร์สตาร์ วอร์ส ภาพยนตร์ปฐมบท ภาพยนตร์โดยลูคัสฟิล์ม ภาพยนตร์โดยทเวนตีธ์เซนจูรีฟอกซ์ ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในประเทศไทย ภาพยนตร์หุ่นยนต์ ภาพยนตร์ผจญภัยในอวกาศ ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในประเทศออสเตรเลีย ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในประเทศจีน ภาพยนตร์และโทรทัศน์มีม
thaiwikipedia
1,705
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 650 ตารางกิโลเมตร หรือ 406,250 ไร่ ประกอบด้วยเกาะต่าง ๆ ที่มากถึง 52 เกาะ เรียงตัวกัน ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเกาะช้าง และบางส่วนของ อำเภอเกาะกูด เกาะที่สำคัญที่สุด คือ เกาะช้าง นอกจากนี้ยังมีเกาะอื่น ๆ ที่ยังคงสภาพความสวยงามตามธรรมชาติ ได้แก่ เกาะคลุ้ม เกาะเหลายาใน เกาะไม้ซี้ใหญ่ เกาะหวาย เกาะง่าม บางแห่งมีปะการังใต้น้ำที่คงความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ เช่น เกาะหวาย และหมู่เกาะรัง ฯลฯ ที่ทำการอุทยานฯ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะช้างใกล้คลองธารมะยม บริเวณด้านหน้ามีท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ของอุทยานฯ นอกจากนี้ยังมีหน่วยพิทักษ์อุทยานอีก 3 จุด ซึ่งล้วนอยู่บนเกาะช้าง คือ บริเวณอ่าวคลองสน  บริเวณทางเข้าน้ำตกคลองพลู  และบริเวณหมู่บ้านสลักเพชร เกาะช้าง เดิมเป็นเกาะที่ไม่มีชุมชนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัย แต่มีความสำคัญในฐานะที่เป็นท่าจอดเรือหลบลมมรสุม แหล่งเสบียงอาหาร และน้ำจืด โดยเฉพาะที่บริเวณอ่าวสลักเพชร หรืออ่าวสลัด เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่โจรสลัด ชาวจีนไหหลำ และชาวญวน ปัจจุบันบนเกาะช้างมีประชาชนอาศัยอยู่ 8 หมู่บ้าน เกาะช้างเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากเกาะภูเก็ต มีเนื้อที่ 429 ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเขาสูงมีผาหินสลับซับซ้อน ยอดเขาที่สูงที่สุดได้แก่ เขาสลักเพชร มีความสูงประมาณ 744 เมตร สภาพป่าโดยทั่วไปมีอุดมสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบเขา เป็นต้นกำเนิดของต้นน้ำลำธาร ทำให้มีน้ำตกหลายแห่งบนเกาะ ด้านฝั่งตะวันออกของเกาะนั้น มีชายฝั่งที่สวยงามอย่างมาก อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง เป็นพื้นที่ที่ถูกประกาศเป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เมื่อปี พ.ศ. 2547 ==การจัดตั้งอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง== ในปี พ.ศ. 2510 จังหวัดตราดได้ให้ นายสมศักดิ์ เผื่อนด้วง ไปทำการสำรวจบริเวณน้ำตกธารมะยม และได้ส่งรายงานการสำรวจเบื้องต้นของน้ำตกธารมะยม ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะช้าง อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด ให้กรมป่าไม้พิจารณาจัดตั้งเป็นวนอุทยาน ซึ่งในปี 2516 กรมป่าไม้ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการให้จัดตั้ง " วนอุทยานน้ำตกธารมะยม " และกรมป่าไม้ได้มีหนังสือให้จังหวัดตราดรับงานจัดตั้งวนอุทยานน้ำตกธารมะยมไปดำเนินการในปี 2517 ซึ่งในปี 2518 จังหวัดตราดได้ให้ นายทนง โหตรภวานนท์ พนักงานป่าไม้ตรี ไปดำเนินการจัดตั้งวนอุทยานน้ำตกธารมะยม ต่อมาคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 2/2524 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2524 ให้ดำเนินการจัดบริเวณเกาะช้างและเกาะกูด จังหวัดตราด เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลอีกแห่งหนึ่ง กรมป่าไม้จึงมีคำสั่งให้นายเรืองศิลป์ ประกรศรี นักวิชาการป่าไม้ 4 ไปทำการสำรวจหาข้อมูลรายละเอียด ทั้งดำเนินการปรับปรุงวนอุทยานน้ำตกธารมะยม เพื่อยกฐานะเป็นอุทยานแห่งชาติต่อไป จากรายงานข้อมูลการสำรวจตามหนังสือวนอุทยานน้ำตกธารมะยมพบว่า เกาะช้างและเกาะบริวารสภาพทั่วไปมีทิวทัศน์สวยงาม มีน้ำตก และสัตว์ป่าหลายชนิดอาศัยอยู่ ตลอดจนในอดีตน่านน้ำบริเวณทิศตะวันออกของเกาะช้างได้เกิดเหตุการณ์ขึ้นในสมัยอินโดจีน กล่าวคือ เรือรบหลวงสงขลา เรือรบหลวงชลบุรี และเรือรบหลวงธนบุรีได้ทำการยุทธนาวีกับเรือรบฝรั่งเศสจำนวน 7 ลำ อย่างห้าวหาญ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2484 วีรกรรมครั้งนี้ได้รับการจารึก ไว้ในประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือ เพื่ออนุรักษ์น่านน้ำประวัติศาสตร์และสภาพธรรมชาติของหมู่เกาะในทะเล กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีมติในการประชุม ครั้งที่ 1/2525 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2525 เห็นควรจัดตั้งหมู่เกาะช้างเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยมีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินเกาะช้างและเกาะใกล้เคียงในท้องที่ตำบลเกาะช้าง และตำบลเกาะหมาก อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด ครอบคลุมพื้นที่ 406,250 ไร่ หรือ 650 ตารางกิโลเมตร โดยเป็นพื้นน้ำประมาณ 458 ตารางกิโลเมตร หรือ 70 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 99 ตอนที่ 197 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2525 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 45 ของประเทศไทย == ลักษณะภูมิประเทศ == อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง มีความหลากหลายของพืชพรรณมาก ส่วนใหญ่เป็น ป่าดงดิบชื้น เป็นป่าที่ค่อนข้างห่างจากชายฝั่ง พืชพรรณธรรมชาติส่วนใหญ่เป็นไม้สกุลพลอง สารภีป่า และไม้ในสกุลหว้า ขึ้นปนอยู่ประปราย. พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ ยางนา กระบาก ตะเคียนทอง ทะโล้ พญาไม้ เปล้า หลาวชะโอน เต่าร้าง หวาย เตยย่าน กล้วยไม้ ไผ่ เร่ว กระวาน ฯลฯ มีที่ราบตามชายฝั่งทะเลในบริเวณหมู่บ้านสลักเพชร หมู่บ้านสลักคอก หมู่บ้านคลองสน และอ่าวคลองพร้าว พืชพรรณธรรมชาติที่พบเป็น ป่าชายหาด ลักษณะเป็นป่าโปร่งมีพรรณไม้ขึ้นอยู่ไม่กี่ชนิด เช่น หูกวาง สารภีทะเล เมา เสม็ด เตยทะเล เป็นต้น. ตามชายฝั่งที่เป็นดินเลนบริเวณอ่าวและปากคลองลำธารต่าง ๆ จะพบ ป่าชายเลน พันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ โกงกางใบใหญ่ โกงกางใบเล็ก โปรงขาว แสม พังกาหัวสุม ถั่วดำ แสม ตะบูน ปอทะเล และตีนเป็ดทะเล และ ป่าพรุ เป็นสังคมพืชที่เกิดขึ้นบริเวณที่มีน้ำขังตลอดปี บริเวณอ่าวสลักคอกและอ่าวสลักเพชร พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ เหงือกปลาหมอ และกก เป็นต้น ==ลักษณะภูมิอากาศ== ลักษณะภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง แบ่งออกได้ดังนี้ ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่ เดือนพฤษภาคม - เดือนตุลาคมของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ได้รับอิทธิพลจาก มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายปีประมาณ 4,700 มิลลิเมตร ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ ในระยะนี้มีมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมพื้นที่ ทำให้อุณหภูมิลดลงอากาศหนาวเย็น ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือน มีนาคม - เดือนเมษายน ในระยะนี้ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนผ่านเส้นศูนย์สูตรไปทางซีกโลกเหนือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังอ่อนค่อนข้างจะแปรปรวน มีฝนตกน้อยทำให้อากาศร้อนอบอ้าว โดยเฉพาะในเดือนเมษายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 27 องศาเซลเซียส == สถานที่ท่องเที่ยวใน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง == ยุทธนาวีเกาะช้าง == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง , กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หมู่เกาะช้าง ห ช้าง อุทยานแห่งชาติทางทะเลในประเทศไทย อำเภอเกาะช้าง อำเภอเกาะกูด
thaiwikipedia
1,706
ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า
ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า (The Storm Riders) เป็นภาพยนตร์ นิยาย หนังสือการ์ตูนจีนกำลังภายใน รวมทั้งเกมส์คอมพิวเตอร์. แต่งและวาดโดยหม่าหยงเฉิงนักเขียนชาวฮ่องกง. โดยแต่งครั้งแรกเป็นฉบับการ์ตูนซึ่งมีชื่อเสียงมากในฮ่องกง โดยกล่าวกันว่าใครไม่เคยอ่านฟงอวิ๋นถือว่าเชยเลยทีเดียว. หลังจากนั้นมีการทำเป็นภาพยนตร์จอเงินและโด่งดังไปทั่วทวีปเอเชีย. หลังจากนั้นอีกราว 10 ปี หม่าหยงเฉิงจึงตัดสินใจเขียนฉบับนิยายโดยเพิ่มรายละเอียด ความเป็นมาจากฉบับการ์ตูน. โดยฉบับหนังสือการ์ตูนและนิยาย ลิขสิทธิ์ในประเทศไทยเป็นของสำนักพิมพ์บูรพัฒน์ ฉบับการ์ตูนปัจจุบันถึงเล่มที่ 152 ประกอบไปด้วย 3 ภาค ภาค 1 อยู่ในเล่มที่ 1 ถึง 24 จะกล่าวถึง ตัวละครหลัก 2 คน คือ เนี่ยฟง กับปู้จิ้งอวิ๋น ที่มีชีวิตอาภัพในวัยเด็ก และถูกรับเข้าเป็นศิษย์ของสงป้า ประมุขพรรคใต้หล้าผู้ซึ่งหวังจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน. ในภายหลังเนื้อเรื่องก็จะกล่าวถึงการบุกรุกตงง้วนจากดินแดนตะวันออก ซึ่งฟงอวิ๋นต้องร่วมมือกันต่อสู้ โดยได้รับความช่วยเหลือจากจอมยุทธคนอื่น ๆ. ภาค 2 อยู่ในเล่ม 24 ถึง 59 จะกล่าวถึงการตามหาธาตุมังกร ซึ่งเป็นยาวิเศษที่จะให้ผู้ที่ครอบครองไร้เทียมทาน. ในภาพยนตร์ภาคนี้มีชื่อว่า 7 ยอดศาสตรา. ภาค 3 อยู่ที่เล่ม 59 ถึง ปัจจุบัน ในภาคนี้ตัวเอกจะเป็นรุ่นลูกของฟงอวิ๋นและเพื่อน เช่น ปู้เทียน เสินฟง และ อี้ฟง. ==ภาพยนตร์== ฉายในปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่เป็นประวัติการณ์ของฮ่องกง โดยทำรายได้ชนะภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดอย่าง อาร์มาเก็ดดอน (Armageddon) และ ก๊อตซิลล่า (Godzilla) กำกับโดย แอนดริว์ หลิว นำแสดงโดย กัวฟู่เฉิง (ปู้จิ้งอวิ๋น) เจิ้ง อี้เจี้ยน (เนี่ยฟง) ซอนนี่ ชิบะ(สงป้า) ข่งฉือ (หยาง กง หยู) ซูฉี(ฉูฉู่) ด้วยสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ตระการตา อย่างที่ไม่เคยมีก่อนในภาพยนตร์จีนกำลังภายใน ฉายในประเทศไทย เมื่อปลายเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน ใช้ชื่อภาษาไทยว่า "ฟงอวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า" ภาค2 มีฉายตอนปลายปี 2552 โดยผู้กำกับ แดนนี่ แปง และ ออกไซด์ แปง โดยนำแสดงคนเดิมจากภาคแรกอย่าง เจิ้ง อี้เจี้ยน นำแสดงเป็นเนี้ยฟง และ กัวฟู่เฉิง มาเล่นอีกครั้ง แม้ระยะเวลาจะจากภาคแรกห่างถึง 11 ปี แต่ทั้งคู่ ก็ยังแสดงได้ยอกเยี่ยมเหมือนดิม ทั้งนี้ บริษัท Universe และ Beijing"s Chengtian Entertainment ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ได้ลงทุนสร้างสร้างสตูดิโอ ในประเทศไทย ที่โกดังสยามทุนพัฒนา ย่านปากเกร็ดเพื่อใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะ แล้วภาคนี้ยังมีจุดเด่นคือ CG ที่อลังการ ซึ่งเป็นจุดเด่นเหมือนภาคแรกที่ได้สร้างออกมาแล้วสร้างความฮือฮาในขณะนั้น บันเทิงคดีกำลังภายใน ภาพยนตร์ที่สร้างจากการ์ตูน การ์ตูนจีน ฟงอวิ๋น ภาพยนตร์ซีรีส์ ภาพยนตร์ภาษาจีนกวางตุ้ง
thaiwikipedia
1,707
เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี
เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี เป็นนิยายกำลังภายในภาคต่อของเรื่อง มังกรหยก เป็นผลงานการประพันธ์ของกิมย้ง มีภาคต่อในชุดเดียวกันคือเรื่อง ดาบมังกรหยก บางสำนวนแปลใช้ชื่อเรื่องว่า ลูกมังกรหยก ฉบับแปลภาษาไทยมีหลายสำนวน ยึดตามฉบับที่ลิขสิทธิ์ถูกต้องแปลโดย น.นพรัตน์ ใช้ชื่อว่า เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊คส์ ความยาว 4 เล่มจบ ได้รับการดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายครั้ง รวมถึงวิดีโอเกมด้วย == เรื่องย่อ == เนื้อเรื่องกล่าวต่อจาก เรื่อง มังกรหยก เริ่มต้นด้วยการฆ่าล้างตระกูลเล็ก โดย ลี้มกโช้ว จนดำเนินเรื่องไปเจอกับเอี้ยก้วยในวัยเด็ก จนเอี้ยก้วยได้ไปเป็นศิษย์ก๊วยเจ๋งที่เกาะดอกท้อ แต่โดนกลั่นแกล้งประจำ ต่อมาก๊วยเจ๋งฝากให้เป็นศิษย์สำนักช้วนจินก่า แต่ก็โดนอาจารย์กับศิษย์ดุด่ากลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา จนได้มาพบกับยายซุนและเซียวเล่งนึ่ง ที่สำนักสุสานโบราณ เอี้ยก้วยกราบเซียวเล้งนึ่งเป็นอาจารย์ ทั้งสองได้ฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย == ตัวละคร == เอี้ยก้วย เซียวเล้งนึ่ง ก๊วยพู้ ก๊วยเซียง ก๊วยพั่วลู่ ลี้มกโช้ว อั้งเล้งปอ กงซุนเล็กงัก เล็กบ่อซวง เทียเอ็ง ลิ้มเชียวเอง ราชครูจักรทอง ฮั่วตู เซียวเซียงจื่อ นีมอชิง อีเคอซี บู๊ซำทง ==การดัดแปลงในสื่ออื่น== ===ภาพยนตร์=== ===ละครโทรทัศน์=== บันเทิงคดีกำลังภายใน มังกรหยก งานเขียนของกิมย้ง วรรณกรรมในปี พ.ศ. 2502
thaiwikipedia
1,708
ดาบมังกรหยก
ดาบมังกรหยก (หรือ มังกรหยกภาค 3 หรือ กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร) เป็นนิยายกำลังภายในภาคต่อของ มังกรหยก แต่งโดยกิมย้ง (ชื่อในภาษาจีน อักษรจีนตัวเต็ม: 倚天屠龍記; อักษรจีนตัวย่อ: 倚天屠龙记; พินอิน: yǐ tiān tú lóng jì) และชื่อในภาษาอังกฤษ คือ The Heavenly Sword and the Dragon Saber หรือ The Heaven Sword and Dragon Saber) == เนื้อเรื่องย่อ == ระยะเวลาถัดจากมังกรหยก ภาค 2 สามถึงสี่ชั่วอายุคน เกี่ยวกับการช่วงชิงความเป็นใหญ่ในยุทธภพของสำนักง้อไบ๊ และสำนักบู๊ตึ้ง ตัวเอก เตียบ่อกี้ (บุตรชายเพียงคนเดียวของ จอมยุทธ์ที่ห้า แห่งสำนักบู๊ตึ้ง เตียชุ่ยซัว และ บุตรีของจ้าวอินทรีคิ้วขาว แห่งพรรคมาร ฮึงซู่ซู่) ซึ่งเป็นลูกหลานในบู๊ตึ้งต้องผจญภัยมากมาย และสุดท้ายได้เป็นประมุขนิกายเม้งก่า (บางสำนวนใช้ พรรคจรัสหรือพรรครุ่งเรือง) ซึ่งมีบทบาทในการกอบกู้ประเทศจากมองโกล โดยนางเอกในภาคนี้ชื่อหมิ่นหมิ่น (เตี๋ยเมี่ยง) เป็นลูกสาวของอ๋องมองโกล == ตัวละคร == เตียบ่อกี้ (จางอู๋จี้) : เตียบ่อกี้ หรือ จางอู๋จี้ (Zhang Wuji, 張無忌) เป็นบุตรชายของเตียชุ่ยซัว (จางชุ่ยซาน) ศิษย์คนที่ 5 ของ เตียซำฮง (จางซานฟง) และเป็นหลานชายของ พญาอินทรีคิ้วขาว ฮึงทีเจี่ย มีพ่อบุญธรรมคือ พญาราชสีห์ทองคำเจี่ยซุ่น ถือกำเนิดและเติบโตบนเกาะน้ำแข็งอัคคี สมัยเด็กเมื่อกลับสู่แผ่นดินใหญ่ โดนผ่ามือภูตเร้นลับ พิษเย็นเข้าในร่าง พ่อและแม่โดนชาวยุทธถามหาพญาราชสีห์ทองคำที่ครอบครองดาบฆ่ามังกร แต่เพื่อรักษาสัจจะจึงได้ยอมฆ่าตัวตายเพื่อปกปิดความลับ เตียบ่อกี้เติบโตมากับเตียซำฮง แต่เพราะพิษเย็นในร่าง จึงต้องทรมานอยู่เรื่อยตั้งแต่เด็ก วันหนึ่งเตียซำฮงได้ช่วยเหลือเซี่ยง้อชุนจากพวกชาวยุทธฝ่ายธรรมะ ทำให้เซี่ยง้อชุนซาบซึ้งใจมาก จึงได้อาสาพาเตียบ่อกี้ไปรักษากับหมอเทวดาแห่งเม้งก่านามว่าโอ้วแชงู้ที่หุบเขาผีเสื้อ ทำให้เตียบ่อกี้ได้รับการถ่ายทอดวิชาแพทย์ เมื่อเติบโตได้มีโอกาสฝึกพลังเก้าเอี๊ยง (พลังนวภพ/เก้าสุริยัน) ซึ่งเสริมธาตุหยาง พิษไอเย็นที่เป็นธาตุหยินจึงหายไป และได้มีวาสนาฝึกคัมภีร์เคลื่อนย้ายจักรวาล จึงได้ขึ้นเป็นประมุขนิกายเม้งก่า เนื่องจากเตียบ่อกี้เป็นชายหนุ่มที่มีจิตใจอ่อนโยน มองคนแต่ในแง่ดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จึงมีสาวงามหลายคนมาหลงรัก ได้แก่ เตี๋ยเมี่ยงหรือมินมินเทอมู่เอ่อร์ องค์หญิงแห่งมองโกล จิวจี้เยียก สาวงามศิษย์แม่ชีมิกจ้อแห่งง้อไบ๊ ฮึงลี้หรือตูยี้ญาติผู้น้อง และเสี่ยวเจียว หญิงสาวผู้มีประวัติความเป็นมาอันลึกลับ เตี๋ยเมี่ยง (จ้าวหมิ่น) :เตี๋ยเมี่ยงหรือจ้าวหมิ่น เป็นธิดาของจ้าวลื่ออ๋องแม่ทัพแห่งมองโกล มีชื่อเต็มว่า มินมินเทอมู่เอ่อร์ นางเป็นคนฉลาดเฉลียว เล่ห์เหลี่ยมสูงและเจ้าแผนการ เล้งอ๋องได้รับบัญชาให้ทำหน้าที่ปราบกบฏ จึงได้มอบหมายหน้าที่นี้ให้กับองค์หญิงมินมินไปทำ นางลอบวางยาเตียบ่อกี้และพลพรรคเม้งก่า เตียบ่อกี้ต้องกลับไปเอายาถอนพิษได้พบมินมินอีกครั้งและเกิดเหตุการณ์ตกไปในกับดักด้วยกัน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นางเริ่มหลงรักเขา ในเวลาต่อมามินมินยกพวกไปบุกบู๊ตึ๊งโดยอ้างว่าตนคือเตียบ่อกี้แห่งเม้งก่า แต่คราวนั้นเตียบ่อกี้ซึ่งล่วงหน้ามารอก่อนแล้วได้แสดงถึงวรยุทธ์อันสูงส่งของตนให้ทุกคนประจักษ์ทำให้มินมินต้องล่าถอย เพื่อช่วยเหลือฮึงลี้เต็งผู้เป็นศิษย์น้องของบิดา เตียบ่อกี้จึงต้องยอมสัญญาว่าจะทำงานให้มินมิน 3 ข้อ โดยที่ข้อแรกมินมินขอให้เตียบ่อกี้พาไปดูดาบฆ่ามังกร เตียบ่อกี้จึงจำเป็นต้องรับปากและพาไปเกาะน้ำแข็งอัคคี ในระหว่างเดินทางเตียบ่อกี้ได้พบแม่เฒ่ากิมฮวยกำลังบังคับให้จิวจี้เยียกตามนางไป เตียบ่อกี้ มินมิน และเสี่ยวเจียวจึงต้องเดินทางไปเกาะงูศักดิ์สิทธิ์แทน บนเกาะงูศักดิ์สิทธิ์ จิวจี้เยียกซึ่งต้องการกระบี่อิงฟ้าดาบฆ่ามังกรตัดสินใจวางยาทุกคน ฆ่าฮึงลี้ญาติผู้น้องของเตียบ่อกี้ และนำมินมินไปลอยแพเพื่อเตรียมใส่ความ โชคดีมินมินรอดตายมาได้ มินมินถูกเตียบ่อกี้เข้าใจผิดเรื่องฆ่าฮึงลี้แต่เขาก็ไม่อาจฆ่านางล้างแค้นตามที่สาบานไว้เพราะเตียบ่อกี้ก็มีใจให้มินมินเช่นกัน ในวันแต่งงานของเตียบ่อกี้กับจิวจี้เยียก มินมินตัดสินใจตามไปขัดขวาง พร้อมทั้งขอให้ทำงานชิ้นที่สอง คือขอไม่ให้แต่งงานกับจิวจี้เยียกโดยใช้พญาราชสีห์ทองคำมาเป็นเครื่องมือข่มขู่ เตียบ่อกี้ไม่มีทางเลือกจึงต้องตามออกไป หลังจากเรื่องราวต่างๆคลี่คลายเตียบ่อกี้ตัดสินใจออกจากพรรคเม้งก่าในขณะที่มินมินละทิ้งทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับชายคนรัก โดยนางได้ขอสัญญาข้อที่สามนั่นคือ ขอให้เตียบ่อกี้เขียนคิ้วให้นางทุกวันตราบจนชีวิตจะหาไม่ เตียซำฮง (จางซานฟง):เตียซำฮงเป็นเจ้าสำนักของสำนักบู๊ตึ๊ง (หวู่ตัง) ผู้คิดค้นวิชาไท้เก๊ก มีชื่อเดิมว่าเตียกุนป้อ เป็นเด็กวัดเสี้ยวลิ้ม (เส้าหลิน) มีหน้าที่คอยดูแลหอพระธรรมร่วมกับกักเอี้ยงไต้ซือผู้เป็นอาจารย์ กุนป้อและกักเอี้ยงไต้ซือได้มีโอกาสได้ฝึกพลังนวภพ (พลังเก้าเอี้ยง/เก้าสุริยัน) จากคัมภีร์นวภพ (คัมภีร์เก้าเอี้ยง/เก้าสุริยัน) ที่ปรมาจารย์ตั๊กม้อบัญญัติไว้ โดยทั้งคู่คิดเพียงว่าเป็นวิชาช่วยเสริมความแข็งแรงของร่างกายเท่านั้น และนอกจากพลังนวภพแล้วกุนป้อก็ไม่ได้ฝึกพลังการต่อสู้อื่นเลย ต่อมาเซียวเซียงจื้อและอีเคอซีแห่งมองโกลได้ใช้แผนชั่วร้ายเข้ามาในวัดและขโมยคัมภีร์นวภพออกไป กุนป้อและ กักเอี้ยงไต้ซือได้ออกตามหา จนเกิดการต่อสู้กัน ด้วยการชี้แนะจากเอี้ยก้วยบวกกับพลังปราณนวภพภายในตัวทำให้สามารถเอาชนะได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่ปรากฏว่าไม่พบคัมภีร์นวภพที่ทั้งคู่ สองศิษย์อาจารย์จึงต้องกลับวัดไปมือเปล่า กักเอี้ยงไต้ซือโดนลงโทษโดยต้องแบกนำขึ้นลงจากวัดทุกวัน หลายปีต่อมา ฮ่อจ๊กเต๊า หรือฉายาสามศักดิ์สิทธิ์คุนลุ้น ได้เดินทางมายังเสี้ยวลิ้ม เพื่อบอกว่า อีเคอซีและเซียวเซียงจื้อเดินทางมาถึงยอดเขาคุนลุ้น เกิดการต่อสู้เพื่อแย่งคัมภีร์นวภพกันจนล้มตายทั้งคู่ ก่อนตายอีเคอซีได้ฝากฮ่อจกเต๋ามาบอกเสี้ยวลิ้มว่า "คัมภีร์อยู่ในน้ำมัน" แต่เนื่องจากเกิดการขัดคอกัน ฮ่อจกเต๋าจึงคิดจะรับคำชี้แนะจากเสี้ยวลิ้ม กุนป้อได้มีโอกาสต่อสู้ และด้วยพลังนวภพที่ฝึกมาหลายปีบวกกับกระบวนท่าที่ได้รับมาจากเอี้ยก้วยอีกเล็กน้อย ทำให้กุนป้อเอาชนะฮ่อจกเต๋าได้ แต่เนื่องจากกฎของเสี้ยวลิ้มห้ามศิษย์ในวัดห้ามแอบฝึกวิชาโดยไม่ได้รับอนุญาต กุนป้อจึงกลายเป็นศิษย์ทรยศ ด้วยความช่วยเหลือจากกักเอี้ยงไต้ซือ กุนป้อจึงหนีรอดมาได้ คืนนั้น ก่อนที่กักเอี้ยงไต้ซือจะมรณภาพ ได้ถ่ายทอดพลังนวภพให้กับกุนป้อ, ก๊วยเซียง และบ้อเส็กเซียงสือแห่งเสี้ยวลิ้มที่ฟังอยู่ด้านข้าง ต่างคนต่างจำได้คนละส่วน หลังจากนั้นก็มรณภาพ ไม่นานหลังจากนั้น กุนป้อก็เดินทางไปถึงภูเขาแห่งหนึ่ง เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นเตียซำฮงและก่อตั้งสำนักบู๊ตึ๊งขึ้น ส่วนก๊วยเซียงซึ่งได้รับฟังเคล็ดพลังนวภพจากกักเอี้ยงไต้ซือเช่นกันก็ได้บวชเป็นชี และก่อตั้งสำนักง้อไบ๊ขึ้นเช่นกัน จิวจี้เยียก (โจวจื่อรั่ว) : จิวจี้เยียกเดิมเป็นบุตรสาวคนแจวเรือ ในขณะที่ได้มีการปะทะกันระหว่างเซี่ยง่อชุนและชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะทำให้พ่อของนางต้องมาตายลง ระหว่างนั้นเตียซำฮงแห่งบู๊ตึ๊งได้เข้ามาช่วยหลือเซี่ยง่อชุนและได้พาจิวจี๊เยียกไปฝากฝังเป็นศิษย์ของแม่ชีมิกจ้อแห่งสำนักง้อไบ๊ จิวจี้เยียกมีความรักที่มั่นคงแต่เพียงเตียบ่อกี้ แต่โชคร้ายเนื่องจากเตียบ่อกี้ได้ขึ้นเป็นประมุขเม้งก่าซึ่งมีความแค้นกับแม่ชีมิกจ้ออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ทำให้แม่ชีมิกจ้อบังคับให้จิวจี้เยียกสาบานว่าจะไม่รักเตียบ่อกี้เด็ดขาด และจะไม่แต่งงานกันพร้อมทั้งมอบตำแหน่งเจ้าสำนักง้อไบ๊ให้และบอกความลับเกี่ยวกับกระบี่อิงฟ้าและดาบฆ่ามังกร หลังจากที่แม่ชีมิกจ้อมรณภาพลง จิวจี้เยียกถูกแม่เฒ่ากิมฮวยบังคับให้ไปเกาะงูศักดิ์สิทธิ์กับนาง ที่นั่นจิวจี้เยียกได้พบกับเตียบ่อกี้อีกครั้ง ซึ่งครั้งนั้นเตียบ่อกี้มากับเตี๋ยเมี่ยง และเสี่ยวเจียวเพื่อมาตามหาเจี่ยซุ่นผู้เป็นบิดาบุญธรรม จิวจี้เยียกรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะที่เกาะนั้นมีทั้งกระบี่อิงฟ้าและดาบฆ่ามังกรอยู่ จิวจี้เยียกจึงวางแผนใส่ร้ายเตี๋ยเมี่ยงและขโมยกระบี่อิงฟ้าดาบฆ่ามังกรเพื่อเอาสุดยอดเคล็ดวิชาในนั้น เพื่อที่จะขับพิษผงสิบหอมที่อยู่ในร่างของจิวจี้เยียก เจี่ยซุ่นจึงขอร้องแกมบังคับให้เตียบ่อกี้หมั้นหมายกับจิวจี้เยียกเพื่อจะได้สะดวกในการรักษาเพราะขั้นตอนของการรักษาต้องมีการถูกเนื้อต้องตัวกัน และจะแต่งงานกันเมื่อกลับไปถึงแผ่นดินใหญ่ ในงานแต่งงานของจิวจี้เยียกกับเตียบ่อกี้ เตี๋ยเมี่ยงไม่อาจทนอยู่ได้จึงเข้ามาขัดขวางพร้อมทั้งทวงสัญญาข้อสอง ขอให้เตียบ่อกี้ล้มเลิกงานแต่งงานโดยหยิบเส้นผมของเจี่ยซุ่นออกมาขู่ เตียบ่อกี้จึงวิ่งออกจากงานแต่งงานไป ระหว่างนั้นจิวจี้เยียกได้เข้าขัดขวางและเกิดการต่อสู้กัน ในการต่อสู้ครั้งนี้เองที่จิวจี้เยียกใช้วิชาที่แอบขโมยมาจากกระบี่อิงฟ้า (กรงเล็บกระดูกขาว) ต่อหน้าผู้อื่นเป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่อาจจะหยุดยั้งเตียบ่อกี้ได้ จิวจี้เยียกจึงต้องกลับง้อไบ๊ด้วยความแค้นและฝึกวิชากรงเล็บกระดูกขาว เพื่อหวังที่จะล้างแค้นเตียบ่อกี้ แต่ด้วยความร้อนใจทำให้จิวจี้เยียกเร่งฝึกฝนอย่างไร้การควบคุม ทำให้เกิดคลุ้มคลั่งจนสติวิปลาส กลายเป็นมารไป เตียชุ่ยซัว (จางชุ่ยซาน) : ศิษย์คนที่ 5 แห่งสำนักบู๊ตึ๊ง บิดาของเตียบ่อกี้ เป็นผู้รักคุณธรรม ได้พบรักกับ ฮึงซู่ซู่ บุตรีของ พญาอินทรีคิ้วขาว ฮึงทีเจี่ย แห่งพรรคอินทรีฟ้า ในงานประกาศศักดาดาบฆ่ามังกร เขาถูกเจี่ยซุ่นจับตัวไปยังเกาะน้ำแข็งอัคคีพร้อมนาง ด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน ทำให้ทั้ง 2 ได้ผลิตเตียบ่อกี้ ซึ่งเป็นพยานรักขึ้นมา ฮึงซู่ซู่ (อินซู่ซู่) : มารดาของเตียบ่อกี้, บุตรีของ พญาอินทรีคิ้วขาว ฮึงทีเจี่ย แห่งพรรคอินทรีฟ้า ได้ชื่อว่าเป็นนางมาร แม้บางคราจะดูเหี้ยมโหด แต่นางก็ยังคงมีหัวใจให้แก่เตียชุ่ยซัว เมื่อครั้งที่ 6 สำนักขึ้นเขาบู๊ตึ๊งบีบบังคับให้บอกที่ซ่อนของเจี่ยซุ่น นางได้ฆ่าตัวตายตามเตียชุ่ยซัวผู้สามีเพื่อรักษาความลับให้กับเจี่ยซุ่น ก่อนตาย นางได้แอบวางกลเสี้ยมให้ 6 สำนักแตกคอกันเอง และสอนเตียบ่อกี้ว่าอย่าไว้ใจผู้หญิง เพราะ ผู้หญิงยิ่งสวยมากแค่ไหน ยิ่งโกหกเก่งมากขึ้นเท่านั้น เอี้ยเซียว (หยางเซียว) :ทูตซ้ายแห่งพรรคจรัส หรือ นิกายเม้งก่า ฝีมือสูงส่ง หน้าตาหล่อเหลา เขาหลงรักกีเฮียวพู้ ศิษย์เอกแห่งสำนักง้อไบ๊ ความรักของทั้งคู่เป็นที่ประทับใจต่อผู้ที่ได้ชมได้อ่าน นอกจากนี้บุตรสาวของทั้งคู่ คือ เอี้ยปุ๊กหุ่ย ซึ่งในละครมักจะมีแคแรกเตอร์ที่น่ารัก เป็นที่จดจำไม่รู้เลือน กีเฮียวพู้ (จีเสี่ยวฝู) :ศิษย์เอกของแม่ชีมิกจ้อ เป็นคู่หมั้นของ ฮึงหลีเต็ง จอมยุทธ์ 6 แห่งบู๊ตึ๊ง เอี้ยเซียว เพื่อต้องการที่จะข่มขู่แม่ชีมิกจ้อ จึงได้จับนางไปเป็นตัวประกัน แต่สุดท้าย ด้วยความอ่อนโยน ใจดี และความใกล้ชิด จึงทำให้เอี้ยเซียวหลงรักนางโดยไม่รู้ตัว ทำให้กีเฮียวพู้ต้องผิดต่อฮึงหลีเต็ง เพราะนางเองก็เกิดหลงรักเอี้ยเซียวขึ้นมาด้วยเช่นกัน: ฮ่วมเอี้ยว (ฟ่านเหยา) ทูตขวาแห่งพรรคจรัส หรือ นิกายเม้งก่า วรยุทธ์สูงเทียบเท่าทูตซ้าย เป็นชายรูปงามแต่ยอมทำลายโฉมตนเองเพื่อปลอมตัวเข้าไปเป็นสายลับในราชสำนัก เอี้ยปุ๊กหุ่ย (หยางปู้หุ่ย) : เอี้ยปุ๊กหุ่ยเป็นลูกสาวของกีเฮียวพู้ และ เอี้ยเซียว หลังจากที่กีเฮียวพู้ถูกเอี้ยเซียวลักพาตัวไป เมื่อทั้ง 2 ได้อยู่ใกล้ชิดกันจนกลายเป็นความรัก เอี้ยปุ๊กหุ่ย เป็นน้องสาวที่เตียบ่อกี้รักมากคนหนึ่ง อยู่กับเตียบ่อกี้มาตั้งแต่เล็กๆ ได้มารู้ความจริงทีหลังว่าพ่อกับแม่ของตนทำผิดต่อฮึงหลีเต็ง และเห็นว่าฮึงหลีเต็งพิการจากฝีมือเซ่งคุน จึงเกิดความเห็นใจ สงสาร จนกลายเป็นความรักต่อกัน จึงได้ตกลงใจจะรัก และดูแลฮึงหลีเต็งต่อไปจนชั่วชีวิต เอี้ยปุ๊กหุ่ยมีหน้าตาคล้ายกับกีเฮียวพู้ผู้เป็นแม่มาก ชื่อของปุ๊กหุ่ย แปลว่า ไม่สำนึก, ไม่เสียใจ (ปู้หุ่ย) เพราะกีเฮียวพู้ไม่เคยนึกเสียใจเลย ที่รักเอี้ยเซียว ฮึงหลีเต็ง (อินลี่ถิง) : ศิษย์คนที่ 6 ของสำนักบู๊ตึ๊ง อารมณ์ร้อน มุทะลุ เขาหลงรักกีเฮียวพู้ ทว่ากีเฮียวพู้กลับปันใจให้เอี้ยเซียว ทำให้เขาเศร้าโศก และคิดมากจนกลายเป็นคนที่สติไม่อยู่กับร่องกับรอย คุ้มดีคุ้มร้ายไป เสี่ยวเจียว (เสี่ยวจาว) : เป็นสาวน้อยลึกลับที่ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป เข้ามาอยู่กับนิกายเม้งก่าในฐานะสาวใช้ หน้าตาขี้เหร่ แต่แท้ที่จริงสวมหน้ากากไว้ ใบหน้าจริงงดงามมาก เป็นลูกสาวของแม่เฒ่ากิมฮวย และเป็นประมุขสาขาใหญ่นิกายเม้งก่าที่ เปอร์เซีย ฐานะที่แท้จริงเป็นเจ้าหญิง ตูยี้, ฮึงลี้ :ตูยี้หรืออินหลี เป็นลูกพี่ลูกน้องของเตียบ่อกี้ เป็นลูกสาวของพี่ชายของฮึงซู่ซู่ หลงรักเตียบ่อกี้อยู่ข้างเดียว มีความแค้นต่อพ่อที่ทำให้แม่ของตัวเองต้องตาย ตูยี้มีหน้าตาอัปลักษณ์ เพราะฝึกวิชาแมงมุมพิษเพื่อจะเป็นเซียนพิษ ทำให้พิษทำลายโฉมหน้าของนางจนหมดสิ้น เลือดที่ไหลเวียนทั่วร่างกายล้วนเป็นพิษทั้งสิ้น ตูยี้เป็นศิษย์ของแม่เฒ่ากิมฮวย ตอนที่จิวจี้เยี๊ยกชิงดาบฆ่ามังกรกับกระบี่อิงฟ้า ตูยี้เป็นคนเดียวที่เป็นพยานรู้เห็น จี้เยี้ยกจึงฆ่าตูยี้เพื่อหวังปิดปาก แต่เหตุการณ์กลับกัน เพราะนอกจากตูยี้จะไม่ตายแล้ว เลือดพิษในตัวยังไหลออกไปหมด ทำให้ตูยี้คืนชีพขึ้นมา และหน้าตายังหายอัปลักษณ์อีกด้วย มิกจ้อซือไท่ (เมี่ยเจวี๋ยซือไท่) : แม่ชีมิกจ้อซือไท่เป็นเจ้าสำนักแห่งง้อไบ๊มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ มีฝีมือเก่งกาจแต่ได้ฉายาว่าถือดีงี่เง่า แต่มีกระบี่อิงฟ้าครอบครอง มีความแค้นต่อพรรคเม้งก่าโดยเฉพาะเอี้ยเซียว ก่อนตายได้บอกความลับของกระบี่อิงฟ้าและดาบฆ่ามังกร ให้กับจิวจี้เยี้ยกซึ่งเป็นเจ้าสำนักรุ่นที่ 4 ต่อจากนาง แม่เฒ่ากิมฮวย (กิมฮวยโผวโผ่ว หรือจินฮวาผอผ่อ) : แม่เฒ่ากิมฮวย มีฉายาว่า "มังกรเสื้อม่วง" หรือ "พญามังกรแพรม่วง" เป็นมารดาของเสี่ยวเจียว อีกทั้งยังเป็นกุมารีของประมุขสาขาใหญ่นิกายเม้งก่าที่เปอร์เซีย มีชื่อเดิมว่าไดอีซี่ (ไต้ฉีซือ) ได้รับคำสั่งให้มาเข้าร่วมเม้งก่าในแผ่นดินตงง้วนเพื่อหาทางขโมยเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาล นางประกอบความดีความชอบจนได้รับขึ้นชื่อเป็นอันดับ 1 จาก 4 ผู้คุ้มกฎแห่งเม้งก่า เนื่องจากเมื่อคราที่ฮั่งโชยเฮียะมาท้าประลองกับสำนักเม้งก่า นางสามารถชนะการประลองได้ แต่จากการประลองครั้งนั้นทำให้นางและฮั่งโชยเฮียะเกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน ต่อมานางออกจากเม้งก่าและไปใช้ชีวิตคู่อยู่กับใบไม้เงินฮั่งโชยเฮียะ หลังจากฮั่งโชยเฮียะสิ้นชีพ นางจึงต้องทอดทิ้งลูกสาวไว้ แล้วปลอมแปลงตัวตนเป็นแม่เฒ่ากิมฮวยเพื่อหลบซ่อนจากการตามล่าของเม้งก่าเปอร์เซีย เนื่องจากการที่นางมีสามีเป็นการผิดกฎของเม้งก่าที่กุมารีจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ โดยโทษของการฝ่าฝืนกฎจะต้องถูกเผาทั้งเป็น ฮึงทีเจี่ย (อินเทียนเจิ้ง) : หนึ่งใน 4 ผู้คุมกฎนิกายเม้งก่า ฉายา "พญาอินทรีคิ้วขาว" บิดาของฮึงซู่ซู่ และฮึงเอี๊ยอ้วง ภายหลังที่ประมุขเอี้ยเต็งทีสิ้นชีพ เขาได้ออกจากนิกายมาก่อตั้งพรรคของตนเองขึ้น ชื่อว่าพรรคอินทรีฟ้า เจี่ยซุ่น (เซี่ยซิ่น) : หนึ่งใน 4 ผู้คุมกฎนิกายเม้งก่า ฉายา "พญาราชสีห์ทองคำ" บิดาบุญธรรมของเตียบ่อกี้ เฝ้าตามหาดาบฆ่ามังกรเพื่อบงการทั่วหล้า และล้างแค้นเซ่งคุนผู้เป็นอาจารย์ ด้วยความสะเทือนใจจากเหตุการณ์ในอดีต ทำให้เขามีอาการคุ้มดีคุ้มร้าย ขณะเดินทางไปยังเกาะน้ำแข็งอัคคีได้เกิดคลุ้มคลั่งจะทำร้ายเตียชุ่ยซัว และซู่ซู่ จึงถูกซู่ซู่ซัดด้วยพิษจนตาบอดทั้ง 2 ข้าง และเมื่อครั้งที่ฮึงซู่ซู่จะคลอดเตียบ่อกี้ก็ได้เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีก ทว่าเสียงร้องของเตียบ่อกี้ทำให้ได้สติกลับคืนมา เขาเป็นคนตั้งชื่อให้เตียบ่อกี้ตามชื่อ เจี่ยบ่อกี้ ลูกชายที่ตายไป หลังจากที่เตียบ้อกี้ได้กลับสู่แผ่นดินใหญ่ จึงได้เปลี่ยนนามสกุลจากเจี่ยมาใช้เตียตามบิดาแทน (บ่อกี้ หรืออู๋จี้ หมายถึง ไร้กฎเกณฑ์) เต็งเมี่ยงกุน (ติงหมิ่นจิน) : ศิษย์พี่ของจิวจี้เยี้ยก เป็นศิษย์ร่วมรุ่นกับกีเฮียวพู้ เป็นคนทะเยอทะยาน ขี้อิจฉา คอยโขกสับจิวจี้เยียกอยู่เสมอ เพราะริษยาที่ตนเองไม่ได้เป็นศิษย์โปรดทั้งๆ ที่อยู่มานานกว่า ซ่งแชจือ (ซ่งชิงซู) : บุตรชายของซ่งง้วนเกี่ยแห่งบู๊ตึ๊ง มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเตียบ่อกี้เช่นกัน เกลียดชังที่เตียบ่อกี้แย่งชิงความรักจากจิวจี้เยียกไป มีความรักที่มั่นคงมาก เขายอมสละชีวิตเพื่อปกป้องทั้งบิดาของตน และสตรีที่ตนรัก ฮึงเอี๊ยอ้วง (อินเยี่ยหวัง) : พี่ชายของฮึงซู่ซู่ บิดาของฮึงลี้ เป็นคนเจ้าชู้ เขาทอดทิ้งแม่ของฮึงลี้ไปมีภรรยาใหม่ ทำให้นางต้องตรอมใจ โกรธแค้นที่ฮึงลี้ทำร้ายภรรยาใหม่จนตาย ทำให้ตัดขาดความเป็นพ่อลูกกัน ภายหลังถูกฝ่ามือภูตเร้นลับจนเกือบสิ้นชีวิต จึงได้สำนึกกลับใจหันมาให้อภัยกับฮึงลี้ โอ้วแชงู้ (หูชิงหนิว) : หมอเทวดา ผู้ถ่ายทอดวิชาการแพทย์แก่เตียบ่อกี้ แม่นางแซ่เอี้ย (หยาง) หรือแม่นางเสื้อเหลือง :เจ้าสำนักสุสานโบราณ ทายาทรุ่นหลานของเอี้ยก้วย (หยางกั้ว) และเซียวเหล่งนึ่ง (เสี่ยวหลงหนวี่) แต่งกายด้วยชุดสีเหลือง วรยุทธ์ลึกล้ำสุดคาดเดา เอาชนะกรงเล็บกระดูกขาวของจิวจี้เยี้ยกได้ในกระบวนท่าเดียว ไม่เปิดเผยชื่อจริง ทิ้งท้ายคำพูดไว้เป็นปริศนาแก่เตียบ่อกี้ว่า "หลังภูเขาจงหนาน ในสุสานโบราณ คู่รักเจ้าอินทรี สาบสูญจากยุทธภพ" อีกทั้งยังขอฝากอนาคตของพรรคกระยาจกไว้ที่เตี้ยบ่อกี้อีกด้วย อุ้ยเจ็กเฉีย : ฉายา "พญาค้างคาวปีกเขียว" หนึ่งใน 4 ผู้คุมกฎนิกายเม้งก่า มีวิชาตัวเบาที่เป็นเลิศแต่เนื่องจากฝึกวิชาฝ่ามือไหมเย็น จนธาตุไฟเข้าแทรกทำให้ต้องดื่มเลือดของมนุษย์เพื่อคลายพิษของตัวเอง เคยดูดเลือดของเตียบ่อกี้สมัยเด็กด้วยความเข้าใจผิด ภายหลังได้เตียบ่อกี้ ใช้วิชาเก้าเอี้ยงช่วยขับพิษดังกล่าวให้ ค้างคาวปีกเขียวจึงซึ้งในพระคุณ ได้เป็นกำลังสำคัญตั้งใจฟื้นฟูนิกายเม้งก่า เซ่งคุน (เฉิงคุน) : หัตถ์อัสนีบาต อาจารย์ของเจี่ยซุ่น อดีตเคยอยู่ในนิกายเม้งก่า ลักลอบเป็นชู้กับฮูหยินเอี้ย เพื่อต้องการทำลายเม้งก่า จึงได้ฆ่าล้างครอบครัวเจี่ยซุ่น เพราะรู้ดีว่าเจี่ยซุ่นมุทะลุ จะต้องใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายชื่อเสียงของเม้งก่าได้อย่างแน่นอน หลบหนีการตามล่าของเจี่ยซุ่นไปกบดานที่เสี้ยวลิ้ม และเปลี่ยนชื่อเป็น หยวนเจินไต้ซือ ซ่งง้วนเกี่ย (ซ่งหยวนเฉียว) : จอมยุทธ์ 1 แห่งบู๊ตึ๊ง บิดาของซ่งแชจือ มีความสุขุม ทว่าขาดความรอบคอบ ตามใจซ่งแชจือจนเสียคน จนสุดท้ายก็ต้องมาสูญเสียลูกชายไป เอี้ยเต็งที (หยางติ่งเทียน) : เป็นประมุขรุ่นที่ 33 ของพรรคเม้งก่า ฝึกพลังเคลื่อนย้ายจักรวาลได้ถึงแค่ขั้นที่ 4 พอจะฝึกขั้นที่ 5 ธาตุไฟเข้าแทรก ก่อนตายได้เขียนจดหมายสั่งเสียให้เจี่ยซุ่นรับตำแหน่งเจ้าสำนัก จากนั้นก็ได้มาพบกับภรรยาของตนคบชู้กับเซ่งคุน ทำให้โกรธและอาการกำเริบตายในทางลับของพรรคเม้งก่า == ความหมายที่แฝงในชื่อดาบ == หากวิเคราะห์ให้ดีแล้วชื่อของดาบและกระบี่มีอะไรที่แฝงอยู่ โดยปกติแล้วมังกรเป็นสัตว์เทพ แสดงถึงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่กล้าใช้สัญลักษณ์นี้ การที่ดาบนี้ถูกตั้งชื้อว่าดาบฆ่ามังกร แฝงความนัยถึงการใช้ดาบนี้โค่นล้มฮ่องเต้ ซึ่งในเนื้อเรื่องคือพวกมองโกล ราชวงศ์หยวนนั่นเอง ส่วนชื่อกระบี่ที่ว่าอิงฟ้านั้นหมายความถึงการอ้างอิงสิทธิของสวรรค์ ล้มล้างคนชั่วเพื่อช่วยเหลือคนดี เมื่อใดที่คนชั่วเป็นใหญ่ สวรรค์จะไม่ปล่อยไว้ จะเห็นได้ว่าชื่ออาวุธสองอย่างนี้แสดงความหมายในการกอบกู้บ้านเมือง ช่วยเหลือสังคม และคงไว้ซึ่งความสงบของแผ่นดิน ในดาบฆ่ามังกร บรรจุด้วยตำราพิชัยสงคราม ที่ก๊วยเจ๋งใช้จนทำให้เจงกิสข่านสามารถโค่นพญามังกร (ฮ่องเต้) จากบัลลังก์ได้ ฉะนั้น คำสัญลักษณ์ของดาบฆ่ามังกรคือ ใครไขความลับของดาบนี้ "เป็นใหญ่ได้ในโลกหล้า" ก๊วยเจ๋งสร้างดาบฆ่ามังกร และมอบให้บุตรชายของตน (ก๊วยพั่วโล้ว) รักษาไว้ เพื่อสรรหาผู้ที่จะสามารถเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้ และสร้างกระบี่อิงฟ้า ที่บรรจุตำรายุทธชั้นสูงทั้งหมดของตน ก่อนมอบให้บุตรสาว (ก๊วยเซียง) ซึ่งรักสันติ เป็นผู้ดูแล พร้อมกับบอกความลับของกระบี่และดาบไว้ เพื่อให้ก๊วยเซียงเป็นผู้พิทักษ์แผ่นดิน เพราะผู้ที่ฝึกวิทยายุทธในกระบี่อิงฟ้า จะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแผ่นดิน สามารถสังหารฮ่องเต้ได้ แม้มีทหารนับหมื่นแสนคอยปกป้อง จึงเป็นคำกล่าวที่ว่า 'อิงฟ้าไม่ปรากฏ (ผู้ถือดาบ) ฆ่ามังกรเป็นใหญ่ในโลกหล้า' ชื่อกระบี่อิงฟ้า ในภาษาจีน ความหมายคือ อิง กฏแห่ง ฟ้า เพราะฮ่องเต้คือ โอรสสวรรค์ ผู้ได้รับบัญชาให้มาเกิดเพื่อปกครองมนุษย์ การจะประหารฮ่องเต้ได้ ต้องได้รับบัญชาจากสวรรค์เท่านั้น ==การดัดแปลงในสื่ออื่น== ===ภาพยนตร์=== ===ละครโทรทัศน์=== ==ดูเพิ่ม== ดาบมังกรหยก บันเทิงคดีกำลังภายใน มังกรหยก งานเขียนของกิมย้ง วรรณกรรมในปี พ.ศ. 2504
thaiwikipedia
1,709
มังกรหยก ภาค 3 (ภาพยนตร์)
มังกรหยก ภาค 3 (The Brave Archer 3 หรือ Blast of the Iron Palm) เป็นภาพยนตร์จีนกำลังภายในสัญชาติฮ่องกงที่ออกฉายในปี ค.ศ. 1981 โดยอิงเนื้อหาจากนวนิยายของ กิมย้ง เรื่อง มังกรหยก ภาค 2 ภาพยนตร์เรื่องนี้ผลิตโดย Shaw Brothers Studio กำกับภาพยนตร์โดย จางเชอะ นำแสดงโดยฟู่เซิง ภาพยนตร์นี้เป็นภาคสามในภาพยนตร์ไตรภาคชุดมังกรหยก และเป็นภาคต่อจาก มังกรหยก ภาค 2 (1977) และภาพยนตร์ไตรภาคชุดนี้ยังมีภาพยนตร์ภาคแยกออกไปอีก 2 เรื่องคือ มังกรหยก ภาค 4 (1982) และ มังกรหยก ภาค 5 ตอน เอี้ยก้วยกับเซียวเล่งนึ่ง (1983) ==นักแสดงนำ== ฟูเซิง รับบท ก๊วยเจ๋ง หนิวหนิว รับบท อึ้งย้ง กุ๊ฟง รับบท อั้งฉิกกง กัว จุ้ย รับบท จิวแป๊ะทง หวัง หลุงเว่ย รับบท อาวเอี๊ยงฮง ==แหล่งข้อมูลอื่น==
thaiwikipedia
1,710
ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่
ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่ (流星‧蝴蝶‧劍 ; JING TIEN SI LIA - LIWSHING HOQTIE JIEN) เป็นนิยายกำลังภายในของโก้วเล้ง ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องเดอะก็อดฟาเธอร์ ของ มาริโอ พูโซ ฉบับภาษาไทยเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊คส์ แปลโดย น.นพรัตน์ ความยาว 2 เล่มจบ. ISBN 974-684-944-1 ต่อมาได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์, ละครโทรทัศน์ หลายต่อหลายครั้ง ตลอดจนวิดีโอเกมบนเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี == ตัวละคร == เม่งแชฮุ้น เอี๊ยบเซี้ยง ซุนเง๊กแป๊ะ กัวเล่าตอ ลุกเฮียงชวง เซี่ยวเตี๊ยบ ==อ้างอิง== บันเทิงคดีกำลังภายใน งานเขียนของโก้วเล้ง
thaiwikipedia
1,711
ก็ต่อเมื่อ
↔ ⇔ ≡ สัญลักษณ์ทางตรรกศาสตร์สำหรับแทนก็ต่อเมื่อ ในวิชาตรรกศาสตร์และวิชาที่เกี่ยวข้อง เช่น คณิตศาสตร์และปรัชญา ก็ต่อเมื่อเป็นตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์แบบเงื่อนไขสองทางระหว่างประพจน์ เพราะว่าก็ต่อเมื่อเป็นเงื่อนไขสองทาง ตัวเชื่อมนี้สามารถเปรียบเทียบกับเงื่อนไขเชิงตรรกศาสตร์มาตรฐาน ชื่อภาษาอังกฤษของตัวเชื่อมนี้คือ if and only if มาจาก "only if" ซึ่งเท่ากับ "ถ้า ... แล้ว" รวมกับบทกลับ ("if") เมื่อเชื่อมด้วยก็ต่อเมื่อ ประพจน์ที่เชื่อมโยงกันจะเป็นจริงได้ จำเป็นต้องมีประโยคที่เชื่อมด้วยเป็นจริง กล่าวคือ ทั้งสองประพจน์เป็นจริง หรือประพจน์เหล่านี้เป็นเท็จทั้งสองประพจน์ การเขียนที่พบได้ทั่วไปแทน P ก็ต่อเมื่อ Q ได้แก่ Q เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นและเพียงพอสำหรับ P, P สมมูลกับ Q (ดูหน้าตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์), P ถ้าเกิด Q เท่านั้น, P เฉพาะเมื่อ Q, P ในกรณี Q เท่านั้น, และ P เฉพาะกรณี Q ผู้เขียนบางคนถือว่า "iff" ในภาษาอังกฤษไม่เหมาะสมสำหรับงานเขียนอย่างเป็นทางการ ในขณะที่บางคนยังใช้คำนี้ == นิยาม == ตารางค่าความจริงของ p \iff qเป็นดังนี้: {| class = "wikitable" |+ ก็ต่อเมื่อ |- ! style="width: 30%" | p ! style="width: 30%" | q | style="width: 30%" | p \iff q |- | T || T || T |- | T || F || F |- | F || T || F |- | F || F || T |} == ตัวอย่าง == จะได้เลื่อนชั้น ก็ต่อเมื่อ สอบผ่าน จะได้เลื่อนชั้น ก็ต่อเมื่อ สอบผ่าน เป็นความจริง จะได้เลื่อนชั้น ก็ต่อเมื่อ สอบไม่ผ่าน ไม่เป็นความจริง จะไม่ได้เลื่อนชั้น ก็ต่อเมื่อ สอบผ่าน ไม่เป็นความจริง จะไม่ได้เลื่อนชั้น ก็ต่อเมื่อ สอบไม่ผ่าน เป็นความจริง ==อ้างอิง== คำศัพท์คณิตศาสตร์ * คณิตศาสตร์
thaiwikipedia
1,712
เงื่อนไขสองทาง
เงื่อนไขสองทาง ในแคลคูลัสเชิงประพจน์ คือตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ที่เชื่อมประโยคสองประโยคในรูปแบบ p ก็ต่อเมื่อ q, โดยที่ p มักถูกเรียกว่า สมมติฐาน และ q เรียกว่า ข้อสรุป   ตัวดำเนินการนี้ถูกเขียนด้วยลูกศรชี้สองทาง "\leftrightarrow" และสมมูลกับ (p \rightarrow q) \land (q \rightarrow p) สมมติฐานมักถูกเรียกว่าเงื่อนไขที่จำเป็น ในขณะที่ข้อสรุปเรียกว่าเงื่อนไขที่เพียงพอ เงื่อนไขสองทางในภาษาอังกฤษมักใช้ว่า if and only if (เมื่อและต่อเมื่อ) หรือเขียนย่อเป็น iff เช่น p iff q ส่วนการเขียนแบบอื่นที่มีใช้นั้นรวมไปถึง p จำเป็นและพอเพียงสำหรับ q หรือ p precisely if q (ก็ต่อเมื่อ) เงื่อนไขสองทางนิยามด้วยตารางค่าความจริงต่อไปนี้: == คุณสมบัติ == สมบัติการเปลี่ยนหมู่ ((a \leftrightarrow b) \leftrightarrow c) \leftrightarrow (a \leftrightarrow (b \leftrightarrow c)) สมบัติการสลับที่ (a \leftrightarrow b) \leftrightarrow (b \leftrightarrow a) สมบัติสะท้อน a \leftrightarrow a ตรรกศาสตร์
thaiwikipedia
1,713
อะตอม
อะตอม หรือเดิมเรียก ปรมาณู (atom; άτομον) เป็นหน่วยพื้นฐานของสสาร ประกอบด้วยส่วนของนิวเคลียสที่หนาแน่นมากอยู่ตรงศูนย์กลาง ล้อมรอบด้วยกลุ่มหมอกของอิเล็กตรอนที่มีประจุลบ นิวเคลียสของอะตอมประกอบด้วยโปรตอนที่มีประจุบวกกับนิวตรอนซึ่งเป็นกลางทางไฟฟ้า (ยกเว้นในกรณีของ ไฮโดรเจน-1 ซึ่งเป็นนิวไคลด์เสถียรชนิดเดียวที่ไม่มีนิวตรอน) อิเล็กตรอนของอะตอมถูกดึงดูดอยู่กับนิวเคลียสด้วยแรงแม่เหล็กไฟฟ้า ในทำนองเดียวกัน กลุ่มของอะตอมสามารถดึงดูดกันและกันก่อตัวเป็นโมเลกุลได้ อะตอมที่มีจำนวนโปรตอนและอิเล็กตรอนเท่ากันจะมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า มิฉะนั้นแล้วมันอาจมีประจุเป็นบวก (เพราะขาดอิเล็กตรอน) หรือลบ (เพราะมีอิเล็กตรอนเกิน) ซึ่งเรียกว่า ไอออน เราจัดประเภทของอะตอมด้วยจำนวนโปรตอนและนิวตรอนที่อยู่ในนิวเคลียส จำนวนโปรตอนเป็นตัวบ่งบอกชนิดของธาตุเคมี และจำนวนนิวตรอนบ่งบอกชนิดไอโซโทปของธาตุนั้น ตามความเข้าใจในปัจจุบัน อะตอมเป็นวัตถุขนาดเล็กที่มีมวลน้อยมาก เราสามารถสังเกตการณ์อะตอมเดี่ยว ๆ ได้โดยอาศัยเครื่องมือพิเศษ เช่น กล้องจุลทรรศน์แบบส่องกราดในอุโมงค์ มวลประมาณ 99.9% ของอะตอมกระจุกรวมกันอยู่ในนิวเคลียส โดยมีโปรตอนและนิวตรอนเป็นมวลที่เหลือประมาณเท่า ๆ กัน อิเล็กตรอนที่โคจรรอบอะตอมจะมีระดับพลังงานที่เสถียรอยู่จำนวนหนึ่งในลักษณะของวงโคจรอะตอม และสามารถเปลี่ยนแปลงระดับไปมาระหว่างกันได้โดยการดูดซับหรือปลดปล่อยโฟตอนที่สอดคล้องกับระดับพลังงานที่ต่างกัน อิเล็กตรอนเหล่านี้เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติทางเคมีของธาตุ และมีอิทธิพลอย่างมากต่อคุณสมบัติทางแม่เหล็กของอะตอม อิเล็กตรอนของอะตอมถูกดึงดูดกับโปรตอนในนิวเคลียสด้วยแรงแม่เหล็กไฟฟ้า โปรตอนและนิวตรอนในนิวเคลียสถูกดูดเข้าหากันด้วยแรงนิวเคลียร์ ปกติแรงนิวเคลียร์เข้มกว่าแรงแม่เหล็กไฟฟ้า ยกเว้นในบางกรณีที่แรงแม่เหล็กไฟฟ้าเข้มกว่าแรงนิวเคลียร์ ซึ่งจะทำให้เกิดการแบ่งนิวเคลียสและเกิดเป็นธาตุใหม่ เรียกว่า การสลายของนิวเคลียส จำนวนโปรตอนในนิวเคลียสเป็นเลขอะตอม และเป็นตัวนิยามธาตุ ตัวอย่างเช่น อะตอมที่มีโปรตอน 29 ตัวจะเป็นธาตุทองแดง จำนวนนิวตรอนเป็นตัวระบุไอโซโทปของธาตุ อะตอมสามารถดึงดูดอะตอมอื่นตั้งแต่หนึ่งอะตอมขึ้นไปเกิดพันธะเคมีเป็นสารประกอบเคมีเช่น โมเลกุลหรือผลึก (crystal) การรวมตัวและแยกอะตอมนี้เป็นตัวการของการเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพที่สังเกตได้ในธรรมชาติ วิชาที่ศึกษาเรียก เคมี "อะตอม" มาจากภาษากรีกว่า ἄτομος/átomos, α-τεμνω ซึ่งหมายความว่า "ไม่สามารถตัดแบ่งให้เล็กลงไปได้อีก" (แต่เดิมจึงถูกเรียกในภาษาไทยว่า ปรมาณู) หลักการของอะตอมในฐานะส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของสสารที่ไม่สามารถแบ่งได้อีกต่อไป ถูกเสนอขึ้นครั้งแรกโดยนักปรัชญาชาวอินเดียและนักปรัชญาชาวกรีก ซึ่งจะตรงกันข้ามกับปรัชญาอีกสายหนึ่งที่เชื่อว่าสสารสามารถแบ่งแยกได้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีสิ้นสุด (คล้ายกับปัญหา discrete หรือ continuum) ในคริสต์ศตวรรษที่ 17-18 นักเคมีเริ่มวางแนวคิดทางกายภาพจากหลักการนี้โดยแสดงให้เห็นว่าวัตถุหนึ่ง ๆ ควรจะประกอบด้วยอนุภาคพื้นฐานที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้อีกต่อไป ระหว่างช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักฟิสิกส์ค้นพบส่วนประกอบย่อยของอะตอมและโครงสร้างภายในของอะตอม ซึ่งเป็นการแสดงว่า "อะตอม" ที่ค้นพบตั้งแต่แรกยังสามารถแบ่งแยกได้อีก และไม่ใช่ "อะตอม" ในความหมายที่ตั้งมาแต่แรก กลศาสตร์ควอนตัมเป็นทฤษฎีที่สามารถนำมาใช้สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของอะตอมได้เป็นผลสำเร็จ == กำเนิดทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ == ไม่มีความก้าวหน้าในการทำความเข้าใจกับอะตอมเพิ่มมากขึ้นนักจนกระทั่งศาสตร์ทางด้านเคมีเริ่มพัฒนาขึ้น ในปี ค.ศ. 1661 นักปรัชญาธรรมชาติ โรเบิร์ต บอยล์ เผยแพร่งานเขียนเรื่อง The Sceptical Chymist ซึ่งเขาเห็นว่าสสารประกอบขึ้นจากส่วนประกอบหลากหลายระหว่าง "corpuscules" หรืออะตอมที่แตกต่างกัน ซึ่งต่างไปจากธาตุพื้นฐานทั้งสี่คือ อากาศ ดิน ไฟ และน้ำ ปี ค.ศ. 1789 ขุนนางชาวฝรั่งเศสและนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ อองตวน ลาวัวซิเยร์ กำหนดคำว่า ธาตุ (element) เพื่อใช้ในความหมายถึงสสารพื้นฐานที่ไม่สามารถแบ่งแยกด้วยกระบวนการทางเคมีต่อไปได้อีก ปี ค.ศ. 1803 อาจารย์ชาวอังกฤษและนักปรัชญาธรรมชาติ จอห์น ดอลตัน (John Dalton) ใช้แนวคิดของอะตอมมาอธิบายว่าทำไมธาตุต่าง ๆ จึงมีปฏิกิริยาเป็นสัดส่วนของจำนวนเต็มเล็กที่สุดเสมอ คือ กฎสัดส่วนพหุคูณ (law of multiple proportion) และทำไมก๊าซบางชนิดจึงสลายตัวในน้ำได้ดีกว่าสารละลายอื่น เขาเสนอว่าธาตุแต่ละชนิดประกอบด้วยอะตอมชนิดเดียวกันที่ไม่เหมือนใคร และอะตอมเหล่านี้สามารถรวมตัวเข้าด้วยกันได้กลายเป็นสารประกอบทางเคมี สิ่งที่ดอลตันกำลังคำนึงถึงนี้เป็นจุดกำเนิดแรกเริ่มของทฤษฎีอะตอมยุคใหม่ ทฤษฎีเกี่ยวกับอนุภาคอีกทฤษฎีหนึ่ง (ซึ่งเป็นส่วนขยายของทฤษฎีอะตอมด้วย) เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1827 เมื่อนักพฤกษศาสตร์ โรเบิร์ต บราวน์ ใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูเศษฝุ่นของเมล็ดข้าวที่ลอยอยู่ในน้ำ และพบว่ามันเคลื่อนที่ไปแบบกระจัดกระจายไม่แน่นอน นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ต่อมารู้จักกันในชื่อ การเคลื่อนที่แบบบราวน์ ปี ค.ศ. 1877 J. Desaulx เสนอว่าปรากฏการณ์นี้มีสาเหตุมาจากการเคลื่อนของความร้อนในโมเลกุลน้ำ และในปี ค.ศ. 1905 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้คิดค้นการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ขึ้นได้เป็นครั้งแรก นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ฌอง แปร์แรง ใช้งานของไอน์สไตน์เพื่อทำการทดลองระบุมวลและขนาดของอะตอม ซึ่งในเวลาต่อมาได้พิสูจน์ทฤษฎีอะตอมของดอลตัน ปี ค.ศ. 1869 ดมีตรี เมนเดเลเยฟ อาศัยการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ยุคก่อนหน้าเช่นลาวัวซิเยร์ คิดค้นและเผยแพร่ตารางธาตุขึ้นเป็นครั้งแรก ตารางนี้ใช้เป็นตัวแทนถึงกฎการวนซ้ำ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติทางเคมีเฉพาะตัวของธาตุ ซึ่งจะ วนซ้ำเป็นรอบ ๆ ตามหมายเลขอะตอม === ส่วนประกอบย่อยและทฤษฎีควอนตัม === เจ. เจ. ทอมสัน นักฟิสิกส์ ค้นพบอิเล็กตรอนจากการศึกษารังสีแคโธดเมื่อปี ค.ศ. 1897 และสรุปว่ามันเป็นส่วนประกอบอยู่ในอะตอมทุกตัว ซึ่งเป็นการล้มล้างความเชื่อที่ว่าอะตอมนั้นเป็นอนุภาคเล็กที่สุดของสสารไม่สามารถแบ่งแยกได้ ทอมสันแสดงหลักฐานว่า อิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบและมีมวลต่ำมากนี้กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในอะตอม เป็นไปได้ว่าอาจหมุนวนรอบ ๆ อะตอมเหมือนวงแหวน โดยมีประจุที่สมดุลจากการลอยตัวอยู่ในทะเลอนุภาคประจุบวกอันสม่ำเสมอ ในเวลาต่อมาแนวคิดนี้รู้จักกันในชื่อ แบบจำลองอะตอมของทอมสัน (plum-pudding model) ปี ค.ศ. 1909 ฮันส์ ไกเกอร์ และ เออร์เนสต์ มาร์สเดน ภายใต้การแนะนำของนักฟิสิกส์ เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด ทำการทดลองด้วยการยิงรังสีอัลฟาใส่แผ่นทองคำ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีอะตอมฮีเลียมประจุบวก แล้วค้นพบว่าอนุภาคมีการหักเหไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับมุมหักเหที่ควรจะเป็นตามที่บทความของทอมสันเคยทำนายเอาไว้ รัทเทอร์ฟอร์ดตีความการทดลองนี้ว่าเป็นการบ่งชี้ถึงประจุบวกในอะตอมหนักของทองคำ และมวลส่วนมากของมันรวมตัวกันอยู่ที่นิวเคลียสซึ่งอยู่บริเวณศูนย์กลางของอะตอม เรียกชื่อแนวคิดนี้ว่า แบบจำลองรัทเทอร์ฟอร์ด ปี ค.ศ. 1913 ขณะที่นักเคมีรังสี เฟรเดอริค ซอดดี ทำการทดลองกับผลที่ได้จากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี เขาค้นพบว่าดูเหมือนจะมีชนิดของอะตอมมากกว่าหนึ่งชนิดในแต่ละตำแหน่งของตารางธาตุ มาร์กาเร็ต ท็อดด์ ตั้งชื่อคำว่า ไอโซโทป ขึ้นเพื่อใช้ในความหมายถึงอะตอมที่แตกต่างกันแต่เป็นอะตอมของธาตุเดียวกัน เจ.เจ. ทอมสัน สร้างเทคนิคในการแบ่งแยกประเภทของอะตอมจากงานเกี่ยวกับแก๊สที่แตกตัวเป็นประจุ ซึ่งต่อมาได้นำไปสู่การค้นพบไอโซโทปเสถียร ขณะเดียวกันในปี ค.ศ. 1913 นักฟิสิกส์ นีลส์ บอร์ เสนอรูปแบบของอิเล็กตรอนที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เขากล่าวว่ามันมีวงโคจรหลายระดับแตกต่างกัน และสามารถกระโดดไปมาระหว่างระดับวงโคจรต่าง ๆ ได้ แต่ไม่สามารถหมุนเป็นเกลียวเข้าออกตามใจชอบระหว่างทางได้ อิเล็กตรอนตัวหนึ่ง ๆ จะต้องดูดซับหรือแผ่พลังงานปริมาณจำเพาะเจาะจงขนาดหนึ่งออกมาเพื่อเปลี่ยนระดับวงโคจรที่มีกำหนดตายตัวอยู่แล้ว เมื่อแสงจากวัตถุที่ร้อนจัดวิ่งผ่านปริซึม มันจะสร้างสเปกตรัมหลากสีขึ้น การปรากฏของระดับพลังงานต่าง ๆ ที่กำหนดตายตัวได้รับการอธิบายอย่างสมบูรณ์จากการเปลี่ยนระดับวงโคจรนี้ กิลเบิร์ต นิวตัน ลูอิส สามารถอธิบายถึงพันธะเคมีระหว่างอะตอมได้ในปี ค.ศ. 1916 ว่าเป็นปฏิกิริยาระหว่างอิเล็กตรอนที่เป็นส่วนประกอบภายใน ดังที่คุณสมบัติทางเคมีของธาตุเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วตามที่ปรากฏในตารางธาตุ ปี ค.ศ. 1919 นักเคมีชาวอเมริกัน เออร์วิง แลงมิวร์ เสนอวิธีการอธิบายว่า ถ้าอิเล็กตรอนในอะตอมเชื่อมต่อกันหรือจับกลุ่มกันในลักษณะบางอย่าง กลุ่มของอิเล็กตรอนน่าจะรวมกันเป็นชั้นพลังงานของอิเล็กตรอนรอบ ๆ นิวเคลียส ปี ค.ศ. 1918 รัทเทอร์ฟอร์ดค้นพบว่าประจุบวกภายในอะตอมแต่ละตัวจะมีจำนวนเท่ากับเลขจำนวนเต็มบวกของนิวเคลียสไฮโดรเจนเสมอ เขาลงความเห็นว่าภายในนิวเคลียสมีอนุภาคประจุบวกอยู่เรียกว่า โปรตอน อย่างไรก็ดี มวลของนิวเคลียสมักจะมากกว่าเลขเหล่านี้ ทำให้คาดการณ์กันว่ามวลส่วนที่เกินไปนั้นน่าจะเป็นของอนุภาคที่มีประจุเป็นกลาง (คือ นิวตรอน) การทดลองของสเติร์น-เกอร์แลค ในปี ค.ศ. 1922 ทำให้เรามีหลักฐานเกี่ยวกับลักษณะความเป็นควอนตัมของอะตอม เมื่อลำอนุภาคอะตอมของเงินวิ่งผ่านสนามแม่เหล็กที่มีรูปร่างเฉพาะอย่างหนึ่ง ลำอนุภาคนั้นจะแยกออกไปในทิศทางของโมเมนตัมเชิงมุมของอะตอม หรือตามสปิน เนื่องจากทิศทางนี้เกิดขึ้นแบบสุ่ม จึงคาดการณ์ว่าลำอนุภาคจะแยกออกเป็นเส้น ทว่าลำอนุภาคกลับแยกออกเป็นสองส่วนเท่านั้นตามทิศทางสปินของอะตอมว่าเป็นแบบขึ้นหรือแบบลง ปี ค.ศ. 1924 หลุยส์ เดอ บรอย เสนอแนวคิดว่าอนุภาคทุกชนิดมีพฤติกรรมเหมือนคลื่น ปี ค.ศ. 1926 แอร์วิน ชเรอดิงเงอร์ใช้แนวคิดนี้พัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของอะตอมที่อธิบายอิเล็กตรอนในลักษณะของรูปคลื่นสามมิติแทนที่จะเป็นอนุภาคแบบจุด ผลสืบเนื่องจากการใช้รูปคลื่นอธิบายอนุภาคคือ มันเป็นไปไม่ได้ในทางคณิตศาสตร์ที่จะทราบค่าที่แน่นอนทั้งตำแหน่งและโมเมนตัมของอนุภาคในเวลาเดียวกัน ในเวลาต่อมาแนวคิดนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ หลักแห่งความไม่แน่นอน ซึ่งเรียบเรียงขึ้นโดย แวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก ในปี ค.ศ. 1926 จากหลักการนี้ ถ้ากำหนดตำแหน่งที่แน่นอนของอนุภาคแล้วจะสามารถทราบเพียงขอบเขตที่เป็นไปได้ของโมเมนตัม ในทำนองกลับกันก็เช่นเดียวกัน แบบจำลองนี้สามารถใช้อธิบายผลสังเกตการณ์พฤติกรรมของอะตอมแบบที่แบบจำลองอื่น ๆ ก่อนหน้าไม่สามารถอธิบายได้ เช่นโครงสร้างของอะตอมและรูปแบบสเปกตรัมของอะตอมที่มีขนาดใหญ่กว่าไฮโดรเจน ดังนั้นแบบจำลองของอะตอมที่คล้ายคลึงกับแบบจำลองดาวเคราะห์จึงถูกละทิ้งไป หันไปใช้แบบจำลองที่อธิบายถึงโซนวงโคจรในอะตอมที่อยู่รอบ ๆ นิวเคลียสอันเป็นบริเวณที่น่าจะสังเกตพบอิเล็กตรอนมากที่สุด การพัฒนาของเครื่องวิเคราะห์มวล (mass spectrometer) ทำให้สามารถตรวจวัดมวลที่แน่นอนของอะตอมได้ อุปกรณ์นี้อาศัยแม่เหล็กในการเบี่ยงเบนวิถีของลำอนุภาคไอออน และตรวจวัดปริมาณการหักเหจากอัตราส่วนระหว่างมวลอะตอมกับประจุของมัน นักเคมี ฟรานซิส วิลเลียม แอสตันใช้เครื่องมือนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าไอโซโทปมีมวลที่ต่างออกไป มวลอะตอมของไอโซโทปเหล่านี้จะแปรค่าไปเป็นจำนวนเต็มบวก เรียกว่า กฎของเลขจำนวนเต็ม (whole number rule) การอธิบายไอโซโทปที่แตกต่างเหล่านี้ต้องรอไปอีกจนกระทั่งมีการค้นพบนิวตรอน หรืออนุภาคที่มีประจุเป็นกลางซึ่งมีมวลเท่ากับโปรตอน นักฟิสิกส์ชื่อ เจมส์ แคดวิคค้นพบนิวตรอนในปี ค.ศ. 1932 จึงทำให้สามารถอธิบายไอโซโทปได้ในฐานะธาตุที่มีจำนวนโปรตอนเท่ากันแต่มีจำนวนนิวตรอนภายในนิวเคลียสที่แตกต่างออกไป === ฟิชชัน ฟิสิกส์พลังงานสูง และสสารหนาแน่น === ปี ค.ศ. 1938 นักเคมีชาวเยอรมัน อ็อทโท ฮาน ผู้เป็นศิษย์ของรัทเทอร์ฟอร์ด ยิงนิวตรอนใส่อะตอมยูเรเนียมด้วยสมมุติฐานจะได้ธาตุหลังยูเรเนียมออกมา แต่การทดลองทางเคมีของเขากลับให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบเรียม หนึ่งปีต่อมา ลีเซอ ไมท์เนอร์ กับออตโต ฟริสช์ผู้เป็นหลาน สามารถพิสูจน์ว่าผลลัพธ์ของฮานเป็นการทดลอง นิวเคลียร์ฟิชชัน เป็นครั้งแรก ปี ค.ศ. 1944 ฮานได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี แต่ไมต์เนอร์กับฟริสช์กลับไม่มีชื่อได้รับร่วมทั้งที่ฮานได้พยายามเสนอแล้ว ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 มีการพัฒนาเครื่องเร่งอนุภาคและเครื่องตรวจจับอนุภาค ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาผลกระทบจากการเคลื่อนที่ของอะตอมที่ระดับพลังงานสูง ๆ ได้ มีการค้นพบฮาดรอนเป็นส่วนประกอบย่อยของนิวตรอนและโปรตอน ซึ่งเป็นอนุภาคประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนที่เล็กกว่าเรียกว่า ควาร์ก แบบจำลองมาตรฐานทางนิวเคลียร์ฟิสิกส์ได้รับการพัฒนาขึ้นจนสามารถอธิบายคุณลักษณะของนิวเคลียสได้อย่างสมบูรณ์ในรูปแบบของอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมและแรงต่าง ๆ ที่มีผลต่อปฏิกิริยาของอนุภาคเหล่านั้น == ส่วนประกอบของอะตอม == === อนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม === แม้คำว่า อะตอม จะมีกำเนิดจากรากศัพท์ที่มีความหมายถึงอนุภาคที่เล็กที่สุดซึ่งไม่สามารถแบ่งได้อีกต่อไป แต่การใช้งานในทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้น อะตอมยังประกอบด้วยอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมอีกมากมาย อนุภาคที่เป็นส่วนประกอบของอะตอมได้แก่ อิเล็กตรอน โปรตอน และนิวตรอน อย่างไรก็ดี อะตอมของไฮโดรเจน-1 นั้นไม่มีนิวตรอน และประจุไฮโดรเจนบวกก็ไม่มีอิเล็กตรอน เท่าที่รู้กันในปัจจุบัน อิเล็กตรอนเป็นอนุภาคที่มีมวลน้อยที่สุดในบรรดาอนุภาคทั้งหมด (อนุภาคที่เล็กที่สุดและมีมวลน้อยที่สุดที่ทราบในปัจจุบันคือ อนุภาคควาร์ก) ประมาณ 9.11 kg โดยมีประจุไฟฟ้าลบและมีขนาดที่เล็กเกินกว่าจะวัดได้ด้วยเทคนิคเท่าที่มีอยู่ โปรตอนมีประจุบวก และมีมวลราว 1,836 เท่าของอิเล็กตรอน คือประมาณ 1.6726 kg แม้ว่าอาจลดลงได้จากการเปลี่ยนแปลงพลังงานยึดเหนี่ยวของโปรตอนที่มีต่ออะตอม ส่วนนิวตรอนนั้นไม่มีประจุไฟฟ้า มีมวลราว 1,839 เท่าของมวลอิเล็กตรอน หรือ 1.6929 kg นิวตรอนกับโปรตอนมีขนาดพอ ๆ กันที่ประมาณ 2.5 ม. แม้ว่า 'พื้นผิว' ของอนุภาคเหล่านี้จะไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนก็ตาม ในแบบจำลองมาตรฐานทางฟิสิกส์ ทั้งโปรตอนและนิวตรอนต่างประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานเรียกว่า ควาร์ก ควาร์กเป็นหนึ่งในสองชนิดของกลุ่มอนุภาคเฟอร์มิออนซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสสาร องค์ประกอบอีกตัวหนึ่งคือเลปตอน ซึ่งมีอิเล็กตรอนเป็นส่วนประกอบ ควาร์กมีอยู่ 6 ประเภท แต่ละประเภทมีประจุไฟฟ้าเป็นเศษส่วนที่แตกต่างกันคือ +2/3 หรือ −1/3 โปรตอนประกอบด้วยอัพควาร์ก 2 ตัวและดาวน์ควาร์ก 1 ตัว ขณะที่นิวตรอนประกอบด้วยอัพควาร์ก 1 ตัวและดาวน์ควาร์ก 2 ตัว ความแตกต่างนี้เป็นตัวบ่งบอกถึงความแตกต่างของมวลและประจุระหว่างอนุภาคสองชนิด ควาร์กยึดเหนี่ยวกันไว้ได้ด้วยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม ซึ่งเป็นลักษณะของกลูออน กลูออนเป็นอนุภาคชนิดหนึ่งในตระกูลเกจโบซอน ซึ่งเป็นอนุภาคมูลฐานทางด้านแรงปฏิกิริยาทางฟิสิกส์ === นิวเคลียส === โปรตอนกับนิวตรอนที่ยึดเหนี่ยวกันภายในอะตอมหนึ่ง ๆ จะรวมกันเป็นนิวเคลียสอะตอมขนาดเล็ก เรียกชื่อว่า นิวคลีออน รัศมีของนิวเคลียสมีค่าประมาณ \begin{smallmatrix}1.07 \sqrt[3]{A}\end{smallmatrix} fm โดยที่ A คือจำนวนนิวคลีออนรวม นี่มีขนาดเล็กกว่ารัศมีของอะตอมมาก ประมาณ 105 fm นิวคลีออนยึดเหนี่ยวกันเอาไว้ด้วยแรงดึงดูดระยะใกล้ ๆ เรียกว่า แรงนิวเคลียร์ ที่ระยะห่างต่ำกว่า 2.5 fm แรงนี้จะมีพลังแรงมากกว่าแรงไฟฟ้าสถิตซึ่งทำให้ประจุโปรตอนที่เป็นบวกพยายามผลักตัวออกจากกัน อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันจะมีจำนวนโปรตอนเท่ากัน เรียกตัวเลขนี้ว่า หมายเลขอะตอม ในธาตุชนิดหนึ่ง ๆ อาจมีจำนวนนิวตรอนที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นตัวกำหนดค่าไอโซโทปของธาตุนั้น ๆ จำนวนโดยรวมของโปรตอนกับนิวตรอนเป็นตัวระบุนิวไคลด์ จำนวนนิวตรอนเทียบกับโปรตอนเป็นตัวกำหนดความเสถียรของนิวเคลียส และไอโซโทปที่ทำให้เกิดการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี นิวตรอนกับโปรตอนต่างเป็นเฟอร์มิออนเพียงแต่เป็นคนละชนิด ตามหลักการกีดกันของเพาลี คือผลจากแรงควอนตัมทำให้เฟอร์มิออน ที่เทียบเท่ากัน ไม่สามารถมีสถานะควอนตัมเดียวกันในเวลาเดียวกันได้ ดังนั้นโปรตอนทุกตัวในนิวเคลียสจึงต้องดำรงอยู่ในสถานะที่แตกต่างกันด้วยระดับพลังงานต่าง ๆ ของตัวเอง กฎเดียวกันนี้ยังใช้กับนิวตรอนทั้งหมดด้วย แต่ไม่ได้ห้ามโปรตอนกับนิวตรอนให้มีสถานะควอนตัมอันเดียวกัน มีความเป็นไปได้ที่นิวเคลียสของอะตอมที่มีหมายเลขอะตอมต่ำซึ่งมีจำนวนโปรตอนกับนิวตรอนต่างกัน จะลดสถานะพลังงานต่ำลงจากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี อันทำให้จำนวนโปรตอนกับนิวตรอนเกือบจะเท่ากัน ผลที่เกิดขึ้นทำให้อะตอมที่มีจำนวนโปรตอนกับนิวตรอนเกือบเท่ากันนั้นมีภาวะเสถียรขึ้นและไม่สลายตัว อย่างไรก็ดี ยิ่งหมายเลขอะตอมสูงขึ้น แรงผลักระหว่างโปรตอนก็จะยิ่งทำให้สัดส่วนนิวตรอนที่ต้องมีเพื่อรักษานิวเคลียสให้เสถียรต้องเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้แนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีนิวเคลียสที่เสถียรซึ่งมีจำนวนโปรตอนและนิวตรอนเท่า ๆ กันที่หมายเลขอะตอมมากกว่า Z = 20 (แคลเซียม) ยิ่ง Z มีจำนวนมากขึ้นไปสู่นิวเคลียสธาตุหนัก สัดส่วนนิวตรอนต่อโปรตอนที่ต้องมีเพื่อความเสถียรจะยิ่งเพิ่มขึ้นไปที่ประมาณ 1.5 จำนวนโปรตอนและนิวตรอนในนิวเคลียสอะตอมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แม้จะต้องใช้พลังงานสูงมากเพราะมีแรงยึดเหนี่ยวที่เข้มมาก ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันเกิดขึ้นเมื่ออนุภาคอะตอมหลายตัวรวมตัวกันทำให้เกิดเป็นนิวเคลียสใหม่ที่หนักกว่าเดิม เช่นจากการชนกันของนิวเคลียสสองตัว ยกตัวอย่างเช่นที่แกนกลางของดวงอาทิตย์ โปรตอนต้องการพลังงาน 3–10 keV เพื่อเอาชนะแรงยึดเหนี่ยวระหว่างกัน หรือ กำแพงคูลอมบ์ (coulomb barrier) แล้วหลอมรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นนิวเคลียสเพียงอันเดียว ส่วนปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันจะเกิดขึ้นในทางตรงกันข้าม คือการที่นิวเคลียสหนึ่งแตกตัวออกเป็นนิวเคลียสขนาดเล็กกว่า 2 ตัว โดยมากเกิดขึ้นจากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี นิวเคลียสยังอาจเปลี่ยนแปลงได้จากการยิงด้วยอนุภาคขนาดเล็กพลังงานสูง หรือโฟตอน ถ้าสามารถเปลี่ยนแปลงจำนวนโปรตอนในนิวเคลียสได้ อะตอมก็จะเปลี่ยนคุณลักษณะไปเป็นธาตุชนิดอื่น ถ้ามวลของนิวเคลียสหลังจากเกิดปฏิกิริยาฟิวชันมีน้อยกว่าจำนวนมวลรวมของอนุภาคขณะที่ยังแยกกัน มวลที่แตกต่างกันระหว่างค่าทั้งสองอาจจะแพร่ออกไปในลักษณะของพลังงานบางอย่าง (เช่น รังสีแกมมา หรือพลังงานจลน์ของอนุภาคบีตา) ดังที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อธิบายไว้ในสมการสมมูลระหว่างมวล-พลังงาน E = mc2 เมื่อ m คือมวลที่สูญหายไป และ c คือความเร็วแสง จำนวนที่หายไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวเคลียสใหม่ และเป็นการสูญเสียพลังงานแบบไม่มีวิธีย้อนกลับ ซึ่งทำให้อนุภาคที่หลอมรวมกันยังคงอยู่ในสถานะที่จำเป็นต้องใช้พลังงานในระดับนั้นเพื่อแยกตัวออกจากกัน การเกิดฟิวชันของนิวเคลียสสองตัวให้กลายเป็นนิวเคลียสเดียวที่ใหญ่ขึ้น โดยที่มีหมายเลขอะตอมต่ำกว่าเหล็กและนิกเกิล หรือจำนวนนิวคลีออนรวมประมาณ 60 เรียกว่ากระบวนการคายความร้อน ซึ่งจะปลดปล่อยพลังงานออกมามากกว่าพลังงานที่ต้องใช้ในการรวมตัวกัน กระบวนการปลดปล่อยพลังงานเช่นนี้เองที่ทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันในดาวฤกษ์ซึ่งสามารถเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับนิวเคลียสธาตุหนัก พลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลีออนในนิวเคลียสเริ่มต้นลดจำนวนลง นั่นคือกระบวนการฟิวชันที่สร้างนิวเคลียสที่มีหมายเลขอะตอมสูงกว่า 26 และมวลอะตอมมากกว่า 60 เรียกว่ากระบวนการดูดความร้อน นิวเคลียสมวลมากเหล่านี้ไม่สามารถสร้างปฏิกิริยาฟิวชันต่อเนื่องที่รักษาสภาวะสมดุลอุทกสถิตของดาวฤกษ์เอาไว้ได้ === กลุ่มหมอกอิเล็กตรอน === อิเล็กตรอนในอะตอมถูกดึงดูดเอาไว้กับโปรตอนในนิวเคลียสด้วยแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงชนิดนี้ยึดเหนี่ยวอิเล็กตรอนเอาไว้ภายในหลุมพลังงานไฟฟ้าสถิตที่อยู่รอบ ๆ นิวเคลียส นั่นแสดงว่าจำเป็นต้องได้รับพลังงานจากแหล่งภายนอกเพื่อช่วยให้อิเล็กตรอนหนีออกไปได้ ยิ่งอิเล็กตรอนอยู่ใกล้กับนิวเคลียสมากเท่าใด แรงดึงดูดนี้ก็ยิ่งมากขึ้น ดังนั้นอิเล็กตรอนที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางของหลุมพลังงานจำเป็นต้องใช้พลังงานมากกว่าเพื่อจะหนีออกมาได้ เช่นเดียวกับอนุภาคอื่น อิเล็กตรอนมีคุณสมบัติแบบทวิภาค คือเป็นทั้งอนุภาคและเป็นทั้งคลื่น เมฆอิเล็กตรอนเป็นบริเวณภายในหลุมพลังงานที่อิเล็กตรอนแต่ละตัวจะสร้างคลื่นนิ่ง 3 มิติประเภทหนึ่งขึ้น อันเป็นรูปคลื่นที่ไม่เคลื่อนที่ตามนิวเคลียส พฤติกรรมนี้ถูกกำหนดจากออร์บิทัลของอะตอม ซึ่งเป็นฟังก์ชันคณิตศาสตร์ที่แสดงคุณสมบัติความเป็นไปได้ที่อิเล็กตรอนจะปรากฏตัวขึ้นที่จุดเฉพาะหนึ่ง ๆ ขณะที่ถูกวัดตำแหน่ง รอบ ๆ นิวเคลียสจะมีออร์บิทัลที่ไม่ต่อเนื่องกันล้อมรอบอยู่ในลักษณะของควอนตา ทั้งนี้เพราะรูปแบบคลื่นอื่นที่เป็นไปได้จะสลายตัวไปอย่างรวดเร็วเข้าสู่สถานะที่เสถียรมากกว่า ออร์บิทัลอาจมีลักษณะวงแหวนหนึ่งวง หลายวง หรือเป็นโครงสร้างโหนดก็ได้ ซึ่งมีความแตกต่างจากออร์บิทัลอื่น ๆ ทั้งด้านขนาด รูปร่าง และศูนย์กลาง ออร์บิทัลอะตอมแต่ละแบบจะสอดคล้องกับระดับพลังงานเฉพาะของอิเล็กตรอนค่าหนึ่ง ๆ อิเล็กตรอนสามารถเปลี่ยนสถานะของมันไปยังระดับพลังงานที่สูงกว่าได้โดยการดูดซับโฟตอนที่มีพลังงานเพียงพอจะยกระดับตัวมันขึ้นไปสู่สถานะควอนตัมใหม่ ในทางกลับกัน กระบวนการปลดปล่อยรังสีด้วยตัวเองทำให้อิเล็กตรอนที่ระดับพลังงานสูงสามารถลดระดับพลังงานลงไปยังสถานะที่ต่ำกว่าได้ขณะที่แผ่พลังงานส่วนเกินออกไปเป็นโฟตอน คุณลักษณะของค่าพลังงานที่กำหนดจากสถานะควอนตัมที่แตกต่างกันนี้ เป็นสาเหตุของการเกิดเส้นสเปกตรัม ปริมาณพลังงานที่จำเป็นต้องใช้ (ทั้งแบบเพิ่มเข้าไปหรือปลดปล่อยออกมา) ในการเปลี่ยนสถานะของอิเล็กตรอนนี้น้อยกว่าพลังงานยึดเหนี่ยวของนิวคลีออนมาก เช่น จำเป็นต้องใช้พลังงานเพียง 13.6 eV เพื่อให้อิเล็กตรอนจากอะตอมของไฮโดรเจนเปลี่ยนระดับลงไปยังสถานะพื้น เทียบกับพลังงาน 2.23 ล้าน eV ในการแยกนิวเคลียสของดิวเทอเรียม อะตอมมีประจุเป็นกลางถ้ามันมีจำนวนโปรตอนกับอิเล็กตรอนเท่ากัน อะตอมที่มีอิเล็กตรอนมากหรือน้อยกว่าปกติเรียกว่า ไอออน อิเล็กตรอนที่อยู่ไกลจากนิวเคลียสมากอาจถ่ายโอนไปยังอะตอมข้างเคียง หรืออยู่ร่วมระหว่างสองอะตอมก็ได้ ด้วยกลไกนี้ อะตอมจึงสามารถเกิดพันธะเคมีกลายเป็นโมเลกุลและสารประกอบเคมีอื่น ๆ เช่น การเกิดผลึกแบบไอโอนิกคริสตัลหรือโคเวเลนต์ โครงสร้างของเมฆอิเล็กตรอนอาจเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนอิเล็กตรอนที่มีในกลุ่มเมฆนั้น มีวิธีการนับจำนวนอิเล็กตรอนที่แตกต่างกันอยู่จำนวนหนึ่ง เช่น กฎออกเตต หรือ กฎ 18 อิเล็กตรอน ซึ่งโดยมากจะใช้เป็นเพียงกฎช่วยจำและไม่ได้ใช้แบบเดียวกันกับอะตอมทุกชนิด นักศึกษาใหม่ในวิชาเคมีมักถูกสอนให้จำโครงสร้างอะตอมแบบง่าย ๆ เป็น 2, 8, 8, 8, 8, 8, 8, [...] ทั้งนี้เพื่อให้ลำดับการสอนทำได้ง่ายขึ้น แต่จำนวนอิเล็กตรอนในแต่ละเชลล์สำหรับอะตอมขนาดใหญ่ที่จริงแล้วมีจำนวนที่ต่างไปจากนี้ เช่น 2, 8, 18, 32, 50, 72 แต่ต้องเป็นนักศึกษาชั้นสูงจึงค่อยทำความเข้าใจกับความซับซ้อนนี้ == คุณสมบัติ == === คุณสมบัติทางนิวเคลียร์ === ตามคำนิยามแล้ว อะตอมสองตัวที่มีจำนวน โปรตอน ในนิวเคลียสเท่ากัน จะเป็นอะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน อะตอมที่มีจำนวนโปรตอนเท่ากันแต่มีจำนวน นิวตรอน แตกต่างกันจัดว่าเป็นไอโซโทปของธาตุเดียวกัน ตัวอย่างเช่น อะตอมของไฮโดรเจนทั้งหมดจะมีโปรตอน 1 ตัวเหมือนกัน แต่ไอโซโทปของไฮโดรเจนมีหลายชนิด ตั้งแต่แบบไม่มีนิวตรอน คือ ไฮโดรเจน-1, แบบนิวตรอน 1 ตัว (ดิวเทอเรียม), แบบนิวตรอน 2 ตัว (ทริเทียม) และที่มีนิวตรอนมากกว่า 2 ตัว ไฮโดรเจน-1 เป็นรูปแบบที่พบกันแพร่หลายมากที่สุด บางคราวก็เรียกว่า โปรเทียม ธาตุที่เรารู้จักแล้วมีกลุ่มหมายเลขอะตอมตั้งแต่ไฮโดรเจน ซึ่งมีโปรตอน 1 ตัว ไปจนถึง ออกาเนสซอน ซึ่งเป็นธาตุที่มีโปรตอน 118 ตัว ไอโซโทปของธาตุทั้งหมดที่เรารู้จักที่มีหมายเลขอะตอมมากกว่า 82 จัดเป็นสารกัมมันตรังสี มีนิวไคลด์อยู่ 339 ชนิดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบนโลก ในจำนวนนี้ 256 ชนิด (ประมาณ 76%) ไม่พบการสลายตัว ซึ่งจะเรียกว่าเป็นไอโซโทปเสถียร ในบรรดาธาตุ 80 ชนิดจะมีไอโซโทปเสถียรอย่างน้อย 1 ตัว สำหรับธาตุหมายเลข 43, 61, และทุกธาตุที่หมายเลข 83 หรือสูงกว่า ไม่มีไอโซโทปที่เสถียร อาจกำหนดเป็นกฎได้ว่า สำหรับธาตุทุกชนิด มีไอโซโทปเสถียรอยู่เพียงจำนวนน้อยนิด เฉลี่ยมีไอโซโทปเสถียรประมาณ 3.1 ตัวต่อธาตุที่มีไอโซโทปเสถียร มีธาตุอยู่ 27 ชนิดที่มีไอโซโทปเสถียรเพียงตัวเดียว ขณะที่จำนวนไอโซโทปเสถียรมากที่สุดเท่าที่เคยพบคือ 10 โดยพบในดีบุก ความเสถียรของไอโซโทปเกิดจากสัดส่วนระหว่างโปรตอนต่อนิวตรอน รวมไปถึง "จำนวนมหัศจรรย์" ของนิวตรอนหรือโปรตอนที่แสดงถึงระดับพลังงานควอนตัมทั้งแบบ closed และแบบ filled ระดับชั้นพลังงานควอนตัมเหล่านี้คือระดับพลังงานภายในแบบจำลองชั้นพลังงานของนิวเคลียส ดังเช่น filled shell ของโปรตอน 50 ตัวในดีบุก แสดงถึงความเสถียรของนิวไคลด์แบบไม่ปกติ จากจำนวนนิวไคลด์เสถียรทั้งหมดที่รู้จักกัน 256 ชนิด มีเพียง 4 ชนิดเท่านั้นที่มีจำนวนโปรตอนและนิวตรอนเป็นเลขคี่ ได้แก่ ไฮโดรเจน-2 (ดิวเทอเรียม), ลิเธียม-6, โบรอน-10 และ ไนโตรเจน-14 นอกจากนี้ สำหรับนิวไคลด์กัมมันต์แบบคี่-คี่ ที่มีครึ่งชีวิตมากกว่าพันล้านปี ก็มีเพียง 4 ชนิดเท่านั้นคือ โปแตสเซียม-40, วานาเดียม-50, แลนทานัม-138 และ แทนทาลัม-180m นิวเคลียสที่มีจำนวนแบบคี่-คี่ ส่วนใหญ่จะไม่เสถียรอย่างมากโดยเกิดการสลายปลดปล่อยอนุภาคบีตา เพราะผลจากการสลายนั้นจะได้จำนวนมาเป็นแบบคู่-คู่ ซึ่งเป็นพันธะที่แข็งแรงกว่า ตาม nuclear pairing effects === มวล === เนื่องจากมวลส่วนมากของอะตอมอยู่ในโปรตอนและนิวตรอน ดังนั้นจำนวนรวมของอนุภาคเหล่านี้ (เรียกรวมกันว่า "นิวคลีออน") ในอะตอมหนึ่ง ๆ จึงเรียกว่าเป็น เลขมวล โดยมากมักจะแสดงมวลนิ่งโดยใช้หน่วยมวลอะตอม (u) ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่า ดาลตัน (Da) หน่วยนี้นิยามจาก 1 ส่วน 12 ของมวลของอะตอมอิสระที่เป็นกลางของคาร์บอน-12 ซึ่งมีค่าประมาณ 1.66 kg ไฮโดรเจน-1 ซึ่งเป็นไอโซโทปที่เบาที่สุดของไฮโดรเจนและเป็นอะตอมที่มีมวลน้อยที่สุด มีน้ำหนักอะตอมเท่ากับ 1.007825 u อะตอมหนึ่ง ๆ จะมีมวลโดยประมาณเท่ากับเลขมวลคูณด้วยหน่วยมวลอะตอม อะตอมเสถียรที่หนักที่สุด คือ ตะกั่ว-208 ซึ่งมีมวล 207.9766521 u ถึงแม้จะเป็นอะตอมที่มีมวลมากที่สุด มันก็ยังเบาเกินกว่าที่เราจะไปทำอะไรด้วยโดยตรงได้ นักเคมีจึงนิยมใช้หน่วย โมล แทน โมลมีนิยามว่า หนึ่งโมลของธาตุใด ๆ จะมีจำนวนอะตอมเท่ากันเสมอ (ประมาณ 6.022) ที่เลือกใช้จำนวนนี้ก็เพื่อว่า ถ้าธาตุใด ๆ มีเลขอะตอมเป็น 1 u แล้ว โมลอะตอมของธาตุนั้นจะมีมวลใกล้เคียงกับ 0.001 กก. หรือ 1 กรัม อาศัยคำนิยามของหน่วยมวลอะตอมนี้ คาร์บอน-12 จึงมีมวลอะตอมเท่ากับ 12 u พอดี และหนึ่งโมลของอะตอมคาร์บอนมีน้ำหนักเท่ากับ 0.012 กก. === รูปร่างและขนาด === เราไม่สามารถบอกขอบเขตที่แน่นอนของอะตอมได้ การบอกขนาดของอะตอมจึงมักอธิบายในลักษณะรัศมีอะตอม คือการวัดระยะห่างของเมฆอิเล็กตรอนที่แผ่ออกไปจากนิวเคลียส อย่างไรก็ดี การบอกระยะห่างเช่นนี้อยู่บนสมมุติฐานว่าอะตอมมีรูปร่างเป็นทรงกลม ซึ่งจะเป็นจริงก็ต่อเมื่ออะตอมนั้นอยู่ในสุญญากาศหรืออวกาศเสรีเท่านั้น รัศมีอะตอมหาได้จากระยะห่างระหว่างนิวเคลียสอะตอม 2 ตัวที่ดึงดูดกันอยู่ในพันธะเคมี มีค่าแปรเปลี่ยนไปตามแต่ตำแหน่งของอะตอมบนแผนผังอะตอม หรือตามชนิดของพันธะเคมี จำนวนอะตอมเพื่อนบ้าน (เลขโคออร์ดิเนชัน) และคุณสมบัติทางควอนตัมที่เรียกว่า สปิน ตามที่ปรากฏในตารางธาตุ ขนาดอะตอมมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นถ้ายิ่งอยู่ในคอลัมน์ที่ต่ำลงไปข้างล่าง แต่มีขนาดเล็กลงหากเปรียบเทียบจากด้านซ้ายไปขวา เทียบกันแล้ว อะตอมที่มีขนาดเล็กที่สุดคืออะตอมของฮีเลียม ซึ่งมีรัศมี 32 พิโคเมตร ส่วนอะตอมใหญ่ที่สุดคือ ซีเซียม มีขนาด 225 พิโคเมตร ถ้าอะตอมอยู่ในสนามพลังงานอื่น ๆ เช่น สนามไฟฟ้า รูปร่างของอะตอมจะบิดเบี้ยวไปไม่เป็นทรงกลม การเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับขนาดความแรงของสนามพลังงานและชนิดวงโคจรของอิเล็กตรอนในเชลล์นอกสุด ซึ่งแสดงไว้ในทฤษฎีกรุป การเปลี่ยนแปลงรูปร่างอื่น ๆ เช่นรูปทรงคริสตัล เกิดขึ้นจากสนามพลังงานไฟฟ้า-คริสตัล ในการก่อตัวแบบสมมาตรต่ำ มีรูปทรงโดดเด่นอีกแบบหนึ่งคือทรงรี เกิดขึ้นกับไอออนซัลเฟอร์ในสารประกอบประเภท pyrite มิติของอะตอมนั้นเล็กกว่าความยาวคลื่นของแสง (400-700 นาโนเมตร) นับหลายพันเท่า จึงไม่สามารถมองดูอะตอมด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงได้ อย่างไรก็ดี เราสามารถสังเกตการณ์อะตอมเดี่ยว ๆ ได้โดยใช้กล้องจุลทรรศน์แบบส่องกราดในอุโมงค์ ซึ่งบางตัวอย่างอาจแสดงให้เห็นความเล็กจิ๋วของอะตอมได้ เส้นผมของมนุษย์มีขนาดความกว้างประมาณ 1 ล้านเท่าของอะตอมคาร์บอน หยดน้ำหนึ่งหยดมีอะตอมออกซิเจนอยู่ประมาณ 2 เซ็กซ์ทิลเลียน (2) และอะตอมไฮโดรเจนอีก 2 เท่าของจำนวนนี้ เพชร 1 กะรัต มีมวล 2 กิโลกรัม ประกอบด้วยอะตอมคาร์บอนจำนวน 10 เซ็กซ์ทิลเลียน (1022) อะตอม ถ้าเราขยายขนาดผลแอปเปิ้ลให้ใหญ่เท่าขนาดของโลก หนึ่งอะตอมในแอปเปิ้ลจะมีขนาดประมาณผลแอปเปิ้ลปกติ === การสลายตัวของสารกัมมันตรังสี === ธาตุทุกชนิดจะมีไอโซโทปอย่างน้อยหนึ่งตัวที่มีนิวเคลียสที่ไม่เสถียร และมีการสลายตัวของกัมมันตรังสี ทำให้นิวเคลียสนั้นปลดปล่อยอนุภาคออกมาหรือเกิดการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า การแผ่กัมมันตรังสีสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อรัศมีของนิวเคลียสมีขนาดใหญ่กว่าเทียบกับรัศมีของแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม ซึ่งส่งแรงได้ในระยะทางเพียง 1 fm รูปแบบการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีที่พบกันมากที่สุด ได้แก่ การสลายปลดปล่อยอนุภาคอัลฟา เกิดขึ้นเมื่อนิวเคลียสปลดปล่อยอนุภาคอัลฟาออกมา คือนิวเคลียสฮีเลียมที่ประกอบด้วยโปรตอน 2 ตัวและนิวตรอน 2 ตัว ผลจากการแผ่รังสีชนิดนี้จะได้ธาตุใหม่ที่มีเลขอะตอมน้อยลง การสลายปลดปล่อยอนุภาคบีตา เกิดขึ้นเนื่องจากแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงนิวตรอนกลายไปเป็นโปรตอน หรือโปรตอนกลายเป็นนิวตรอน แบบแรกคือการแผ่อิเล็กตรอน 1 ตัวกับแอนตินิวตริโน 1 ตัว ส่วนแบบที่สองเป็นการแผ่โพสิตรอน 1 ตัวกับ นิวตริโน 1 ตัว การแผ่อนุภาคของอิเล็กตรอนหรือโพสิตรอนนั้นเรียกว่าอนุภาคบีตา ผลจากการแผ่รังสีชนิดนี้อาจทำให้เลขอะตอมของนิวเคลียสเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างละ 1 หน่วย การสลายปลดปล่อยอนุภาคแกมมา เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงระดับพลังงานของนิวเคลียสไปยังระดับที่ต่ำกว่า ทำให้เกิดการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา อาจเกิดขึ้นหลังจากมีการปลดปล่อยอนุภาคอัลฟาหรือบีตาในการสลายตัวของกัมมันตรังสีแล้วก็ได้ การสลายตัวของสารกัมมันตรังสีแบบอื่น ๆ ที่พบค่อนข้างน้อย ได้แก่การปล่อยลำอนุภาคนิวตรอนหรือโปรตอน หรือกลุ่มของนิวคลีออนจากนิวเคลียส การปล่อยอนุภาคบีตามากกว่า 1 ตัว หรือการเกิดอิเล็กตรอนความเร็วสูง (จากการแปลงผันภายใน) ซึ่งมิใช่รังสีบีตา และโฟตอนพลังงานสูงที่มิใช่รังสีแกมมา ไอโซโทปกัมมันต์แต่ละตัวจะมีระยะเวลาในการปลดปล่อยอนุภาค หรือครึ่งชีวิต ที่เฉพาะตัว ซึ่งกำหนดจากระยะเวลาที่ต้องใช้ในการทำให้สารตัวอย่างนั้นสลายตัวไปเหลือเพียงครึ่งเดียว อันเป็นกระบวนการสลายตัวแบบเอ็กโปเนนเชียล สัดส่วนของไอโซโทปที่เหลืออยู่เป็น 50% ของทุก ๆ ระยะครึ่งชีวิตจะลดลงเรื่อย ๆ นั่นคือ หลังจากที่ผ่านระยะครึ่งชีวิตไป 2 ครั้ง จะเหลือปริมาณไอโซโทปนั้นอยู่ 25% ของจำนวนในครั้งแรก และลดลงในลักษณะนี้ไปเรื่อย ๆ === โมเมนต์แม่เหล็ก === อนุภาคมูลฐานจะมีคุณสมบัติภายในเชิงกลศาสตร์ควอนตัมประการหนึ่งรู้จักกันในชื่อ สปิน หากเปรียบเทียบก็อาจคล้ายคลึงกับโมเมนตัมเชิงมุมของวัตถุที่หมุนรอบจุดศูนย์กลางมวลของตัวเอง แม้ว่าถ้าจะพูดให้เคร่งครัดแล้ว อนุภาคเหล่านี้มีลักษณะเป็นเหมือนจุดซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่ามันกำลังหมุน การวัดค่าสปินใช้หน่วยของค่าคงที่ของพลังค์ (ħ) โดยที่อิเล็กตรอน โปรตอน และนิวตรอน ล้วนมีค่าสปิน ½ ħ, or "spin-½" ในอะตอมหนึ่ง ๆ อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ไปรอบนิวเคลียสจะมีโมเมนตัมเชิงมุมในวงโคจรเพิ่มไปกับสปินของมัน ขณะที่ตัวนิวเคลียสเองนั้นมีโมเมนตัมเชิงมุมขึ้นกับนิวเคลียร์สปินของมัน สนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นโดยอะตอม (หรือโมเมนต์แม่เหล็กของมัน) สามารถนิยามได้จากรูปแบบที่แตกต่างกันของโมเมนตัมเชิงมุม ว่าเป็นวัตถุมีประจุที่กำลังหมุนรอบตัวเองและสร้างสนามแม่เหล็กออกมา อย่างไรก็ดี คุณลักษณะอันโดดเด่นที่สุดก็เกิดขึ้นมาจากสปิน โดยธรรมชาติของอิเล็กตรอนแล้ว มันจะเป็นไปตามหลักการกีดกันของเพาลี กล่าวคือ ไม่มีทางที่จะพบอิเล็กตรอน 2 ตัวอยู่ในสถานะควอนตัมเดียวกันได้ อิเล็กตรอนที่เป็นคู่จะอยู่ตรงกันข้ามกัน ถ้าสมาชิกหนึ่งอยู่ในสถานะสปินขึ้น อีกตัวจะอยู่ในสถานะตรงกันข้าม คือสปินลง ดังนั้นค่าสปินทั้งสองจะหักล้างกันเอง ทำให้ลดแรงแม่เหล็กสองขั้วลงเป็นศูนย์สำหรับอะตอมบางตัวที่มีจำนวนอิเล็กตรอนเป็นเลขคู่ ในธาตุที่มีคุณสมบัติของแม่เหล็กเฟอร์โร อย่างเช่น เหล็ก จำนวนอิเล็กตรอนที่เป็นเลขคี่ทำให้มีอิเล็กตรอนเหลือซึ่งไม่มีคู่ และทำให้เกิดผลรวมโมเมนต์แม่เหล็กสุทธิขึ้น วงโคจรของอะตอมข้างเคียงจะซ้อนทับกัน และไปสู่สถานะพลังงานที่ต่ำกว่าเมื่อสปินของอิเล็กตรอนที่ไม่มีคู่ได้แนวตรงกันกับตัวอื่น กระบวนการนี้รู้จักกันในชื่อ อันตรกิริยาแลกเปลี่ยน (exchange interaction) เมื่อเกิดแนวโมเมนต์แม่เหล็กของอะตอมแม่เหล็กเฟอร์โรขึ้น สสารนั้นก็สามารถสร้างสนามแรงขนาดใหญ่ขึ้นจนตรวจวัดได้ สสารแบบพาราแม็กเนติกมีอะตอมที่มีโมเมนต์แม่เหล็กซึ่งสร้างแนวขึ้นในทิศทางแบบสุ่มโดยที่ไม่สามารถตรวจพบสนามแม่เหล็กเลย แต่โมเมนต์แม่เหล็กของอะตอมแต่ละตัวนั้นเรียงแนวกันตามการก่อตัวของสนาม นิวเคลียสของอะตอมก็สามารถมีค่าสปินสุทธิได้เช่นกัน ตามปกติแล้วนิวเคลียสเหล่านี้จะเรียงตัวกันในทิศทางแบบสุ่ม อันเนื่องมาจากสภาวะสมดุลความร้อน อย่างไรก็ดี มีธาตุบางตัว (เช่น ซีนอน-129 ซึ่งมีความเป็นไปได้ในการเกิดขั้วสปินที่สถาวะนิวเคลียร์สปินอย่างมีนัยสำคัญ จนมันเรียงตัวกันในทิศทางเดียวกันได้ เงื่อนไขเช่นนี้เรียกว่า hyperpolarization ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้กับการสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก (MRI) === ระดับพลังงาน === อิเล็กตรอนที่ถูกดึงดูดอยู่ภายในอะตอมหนึ่ง ๆ จะมีพลังงานศักย์ซึ่งแปรผกผันกับระยะห่างของมันจากนิวเคลียส ค่านี้วัดได้จากขนาดของพลังงานที่จำเป็นต้องใช้เพื่อให้อิเล็กตรอนนั้นหลุดออกจากอะตอม โดยปกติใช้หน่วยวัดเป็น อิเล็กตรอนโวลต์ (eV) ในแบบจำลองกลศาสตร์ควอนตัม อิเล็กตรอนที่มีพันธะจะสามารถครอบครองสถานะจำนวนหนึ่งรอบนิวเคลียส แต่ละสถานะนั้นสอดคล้องกับระดับพลังงานที่เฉพาะเจาะจง ระดับพลังงานที่ต่ำที่สุดของอิเล็กตรอนเรียกว่า สภาวะพื้น (ground state) ส่วนอิเล็กตรอนที่อยู่ในระดับพลังงานที่สูงกว่าจะเรียกว่าอยู่ในสภาวะกระตุ้น (excited state) อิเล็กตรอนที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างสภาวะที่แตกต่างกันสองสภาวะ จะต้องดูดซับหรือปลดปล่อยโฟตอนออกมาที่ระดับพลังงานหนึ่งซึ่งเท่ากับค่าแตกต่างของพลังงานศักย์ของสภาวะทั้งสอง พลังงานของโฟตอนที่ปลดปล่อยออกมาเป็นสัดส่วนกับความถี่ของมัน ดังนั้นระดับพลังงานที่เฉพาะเจาะจงจะมีช่วงสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้าที่เป็นเอกลักษณ์ ธาตุแต่ละชนิดจะมีสเปกตรัมเฉพาะ ขึ้นอยู่กับประจุนิวเคลียร์ ระดับพลังงานย่อยของอิเล็กตรอน อันตรกิริยาแม่เหล็กไฟฟ้าระหว่างอิเล็กตรอน และปัจจัยอื่น ๆ เมื่อสเปกตรัมพลังงานที่ต่อเนื่องผ่านแก๊สหรือพลาสมา โฟตอนบางส่วนจะถูกอะตอมดูดกลืนไป ทำให้อิเล็กตรอนเปลี่ยนแปลงระดับพลังงาน อิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้นเหล่านั้นซึ่งยังคงถูกดึงดูดอยู่กับอะตอม จะปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างต่อเนื่องเป็นโฟตอน โดยปลดปล่อยออกมาทุกทิศทางอย่างสุ่ม จากนั้นก็ตกลงไปยังระดับพลังงานที่ต่ำกว่า ดังนั้นอะตอมจึงทำตัวเหมือนตัวกรอง ซึ่งทำให้เกิดแนวเส้นดูดกลืนมืด ๆ ต่อเนื่องขึ้นที่พลังงานที่ส่งออกมา (ผู้สังเกตที่มองดูอะตอมจากมุมอื่นซึ่งไม่ได้รวมเอาสเปกตรัมต่อเนื่องเป็นฉากหลัง จะมองเห็นเส้นปลดปล่อยของโฟตอนที่ปลดปล่อยออกมาจากอะตอมแทน) เครื่องมือวัดสเปกโตรสโกปีสำหรับความแรงและความกว้างของเส้นสเปกตรัมจะช่วยให้เราสามารถระบุองค์ประกอบและคุณสมบัติทางกายภาพของสสารนั้นได้ การตรวจสอบเส้นสเปกตรัมอย่างละเอียดพบว่ามีการแบ่งแยกเชิงโครงสร้างอย่างละเอียดจำนวนหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจาก การคู่ควบของสปินกับออร์บิท (spin-orbit coupling) อันเป็นอันตรกิริยาระหว่างสปินกับการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนชั้นนอกสุด เมื่ออะตอมอยู่ในสนามแม่เหล็กภายนอก เส้นสเปกตรัมจะแยกออกเป็นสามส่วนหรือมากกว่านั้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ปรากฏการณ์ซีแมน (Zeeman effect) ซึ่งเกิดขึ้นจากอันตรกิริยาของสนามแม่เหล็กกับโมเมนต์แม่เหล็กของอะตอมและอิเล็กตรอนภายใน อะตอมบางตัวอาจมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนที่ระดับพลังงานเดียวกัน ซึ่งจะปรากฏออกมาเป็นเส้นสเปกตรัมหนึ่งเส้น อันตรกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กกับอะตอมจะทำให้การจัดเรียงอิเล็กตรอนนี้เคลื่อนไปที่ระดับพลังงานระดับอื่น ส่งผลให้มีเส้นสเปกตรัมหลายเส้น การที่มีสนามไฟฟ้าภายนอกนี้สามารถทำให้เกิดการแยกตัวและการเคลื่อนตัวของเส้นสเปกตรัมที่เปรียบเทียบกันได้โดยการดัดแปลงระดับพลังงานของอิเล็กตรอน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ปรากฏการณ์สตาร์ค (Stark effect) ถ้าอิเล็กตรอนใต้แรงดึงดูดอยู่ในสภาวะกระตุ้น โฟตอนที่มีพลังงานเหมาะสมสามารถเปล่งแสงด้วยระดับพลังงานที่ตรงกัน การจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ อิเล็กตรอนต้องลดระดับพลังงานลงไปยังสภาวะที่ต่ำกว่าที่ทำให้มีความแตกต่างของระดับพลังงานเท่ากับพลังงานของโฟตอนที่อยู่ในภาวะกระตุ้น โฟตอนที่เปล่งแสงออกมากับโฟตอนในสภาวะกระตุ้นจะเคลื่อนตัวออกโดยขนานกันและด้วยเฟสที่ตรงกัน นั่นก็คือรูปแบบของคลื่นของโฟตอนทั้งสองนั้นสอดประสานกันพอดี คุณสมบัติทางกายภาพเช่นนี้ใช้ในการสร้างเลเซอร์ ซึ่งสามารถเปล่งลำแสงเชื่อมต่อกันของพลังงานแสงภายในแถบความถี่แคบ ๆ แถบหนึ่ง === พฤติกรรมของเวเลนซ์และแรงยึดเหนี่ยว === วงโคจรอิเล็กตรอนชั้นนอกสุดของอะตอมในสภาวะที่ไม่ได้รวมกัน รู้จักกันในชื่อว่า วงโคจรเวเลนซ์ อิเล็กตรอนที่อยู่ในวงโคจรนี้จะเรียกชื่อว่า เวเลนซ์อิเล็กตรอน จำนวนของเวเลนซ์อิเล็กตรอนหาได้จากพฤติกรรมของแรงยึดเหนี่ยวกับอะตอมอื่น ๆ เพราะอะตอมมีแนวโน้มจะเกิดปฏิกิริยาทางเคมีกับอะตอมอื่น ๆ ในลักษณะที่คอยเติมเต็ม (หรือทำให้ว่าง) วงโคจรเวเลนซ์ชั้นนอกสุด ตัวอย่างเช่น การเคลื่อนย้ายอิเล็กตรอนเดี่ยวระหว่างอะตอมเป็นการประมาณการที่มีประโยชน์สำหรับพันธะที่เกิดขึ้นระหว่างอะตอมที่มีอิเล็กตรอนในวงโคจรเกินมา 1 ตัว กับอีกอะตอมหนึ่งที่ขาดอิเล็กตรอนในวงโคจรไป 1 ตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ และเกลือไอออนทางเคมีอื่น ๆ อย่างไรก็ดี ธาตุหลายชนิดปรากฏว่ามีเวเลนซ์หลายตัว หรือมีแนวโน้มที่จะมีจำนวนอิเล็กตรอนในสารประกอบที่แตกต่างกันเป็นจำนวนไม่เท่ากัน ดังนั้นพันธะเคมีระหว่างธาตุเหล่านี้จึงทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนอิเล็กตรอนหลายรูปแบบซึ่งมีการเคลื่อนย้ายอิเล็กตรอนมากกว่า 1 ตัว ตัวอย่างเหล่านี้รวมไปถึงธาตุคาร์บอนและสารประกอบอินทรีย์อื่น ๆ ธาตุเคมีมักจะปรากฏตัวในตารางธาตุ ซึ่งวางตำแหน่งตามคุณสมบัติทางเคมีที่ปรากฏ ธาตุที่มีจำนวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเป็นเลขเดียวกันจะจับกลุ่มรวมกันแสดงในแนวดิ่งในตาราง หรืออยู่ในคอลัมน์เดียวกัน (ส่วนแถวแนวนอนสื่อถึงการเติมวงโคจรควอนตัมของอิเล็กตรอน) ธาตุที่อยู่ทางขวาของตารางจะมีอิเล็กตรอนในวงโคจรชั้นนอกอย่างสมบูรณ์ ทำให้มันมีลักษณะเฉื่อยในทางเคมี รู้จักกันในชื่อ แก๊สมีสกุล === สถานะ === จำนวนอะตอมที่พบในสถานะต่าง ๆ ของสสาร ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางกายภาพของสสารนั้น ๆ เช่น อุณหภูมิและความดัน เมื่อแปรเงื่อนไขเหล่านี้ สสารนั้นก็สามารถเปลี่ยนสภาพไประหว่างของแข็ง ของเหลว ก๊าซ และพลาสมา ในสถานะหนึ่ง ๆ สสารสามารถดำรงอยู่ในสภาพที่แตกต่างกันก็ได้ ตัวอย่างของกรณีนี้เช่น คาร์บอน ซึ่งสามารถดำรงอยู่ได้ทั้งในรูปของแกรไฟต์ หรือเพชร เมื่ออุณหภูมิมีค่าเข้าใกล้ศูนย์องศาสัมบูรณ์ อะตอมจะเกิดการควบแน่นของโบส-ไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นจุดที่กลศาสตร์ควอนตัมที่ตามปกติสามารถสังเกตการณ์ได้เฉพาะในระดับอะตอมเท่านั้น เริ่มส่งผลและสามารถสังเกตการณ์ในระดับมหภาคได้ กลุ่มของอะตอมที่เย็นยิ่งยวดนี้จะมีพฤติกรรมเป็นซูเปอร์อะตอมหนึ่งเดียว ทำให้สามารถตรวจสอบคุณสมบัติพื้นฐานของพฤติกรรมทางกลศาสตร์ควอนตัมได้ == การตรวจจับ == กล้องจุลทรรศน์แบบส่องกราดในอุโมงค์ คือเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจดูพื้นผิวในระดับอะตอม อาศัยปรากฏการณ์ quantum tunneling ซึ่งยอมให้อนุภาคข้ามผ่านชั้นพลังงานที่ตามปกติแล้วจะข้ามไปไม่ได้ อุโมงค์อิเล็กตรอนในสุญญากาศระหว่างแผ่นโลหะอิเล็กโทรดสองชิ้นซึ่งมีชั้นของอะตอมสะสมอยู่ จะทำให้เกิดความหนาแน่นของกระแสในอุโมงค์จนทำให้สามารถตรวจวัดได้ การสแกนอะตอมตัวหนึ่ง (เรียกว่า tip) ขณะที่มันวิ่งผ่านอะตอมอีกตัวหนึ่ง (อะตอมตัวอย่าง) ทำให้สามารถวาดภาพการเคลื่อนที่ของ tip เทียบกับกระแสการเคลื่อนที่ของอะตอมที่แยกกัน ผลการคำนวณทำให้เราสามารถสร้างภาพจากกล้องจุลทรรศน์ scanning tunneling microscope ขึ้นมาเป็นภาพของอะตอมแต่ละอะตอมได้ ภาพเหล่านี้ช่วยยืนยันว่า ที่การกระตุ้นขนาดต่ำ ระยะห่างเฉลี่ยของวงโคจรอิเล็กตรอนจะอยู่ใกล้กับระดับพลังงานแฟร์มี ซึ่งเป็นระดับความหนาแน่นของสถานะโดยปกติ อะตอมอาจมีประจุขึ้นมาได้ถ้าเอาอิเล็กตรอนตัวหนึ่งออกไปเสีย ประจุไฟฟ้าจะทำให้ทิศทางการเคลื่อนที่ของอะตอมเอียงโค้งไปเมื่อเดินทางผ่านบริเวณสนามแม่เหล็ก รัศมีการโค้งไปของไอออนที่เคลื่อนที่อันเนื่องจากสนามแม่เหล็กนั้นสามารถบอกได้จากมวลของอะตอม หลักการนี้นำไปใช้ในเครื่องสเปกโตรมิเตอร์ของมวลเพื่อตรวจวัดอัตราส่วนมวลต่อประจุ (mass-to-charge ratio) ของไอออน ถ้าตัวอย่างที่ตรวจวัดมีไอโซโทปหลายตัว สเปกโตรมิเตอร์ของมวลจะสามารถระบุสัดส่วนของแต่ละไอโซโทปในตัวอย่างนั้นได้โดยการวัดความเข้มของลำไอออนแต่ละตัวที่แตกต่างกัน เทคนิคในการทำให้อะตอมระเหิดนี้รวมไปถึง inductively coupled plasma atomic emission spectroscopy (ICP-AES) และ inductively coupled plasma mass spectrometry (ICP-MS) ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ใช้พลาสมาในการทำให้อะตอมตัวอย่างระเหิดเพื่อทำการวิเคราะห์ สำหรับกระบวนวิธีที่เจาะจงมากกว่านี้ได้แก่ การตรวจวัดการสูญเสียพลังงานของอิเล็กตรอน (electron energy loss spectroscopy) ซึ่งจะตรวจวัดพลังงานที่สูญเสียจากลำอิเล็กตรอนภายในกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องผ่านเมื่อมันทำอันตรกิริยากับอะตอมตัวอย่าง ภาพโทโมกราฟของอะตอมโพรบได้ผลลัพธ์สามมิติในระดับต่ำกว่านาโนเมตร และสามารถใช้เครื่อง time-of-flight mass spectrometry เพื่อระบุคุณสมบัติทางเคมีของอะตอมได้ เราสามารถใช้สเปกตรัมของสถานะกระตุ้นของอะตอมในการวิเคราะห์องค์ประกอบอะตอมในดาวฤกษ์ที่อยู่ห่างไกลได้ แสงที่สังเกตการณ์จากดาวฤกษ์เหล่านั้นประกอบด้วยความยาวคลื่นแสงขนาดหนึ่ง ๆ ซึ่งสามารถแยกแยะออกได้โดยมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงควอนตัมของอะตอมแก๊สอิสระ อาศัยหลอดปล่อยประจุที่บรรจุธาตุชนิดเดียวกันทำให้เราสามารถเลียนแบบสีแบบเดียวกันได้ ฮีเลียมถูกค้นพบด้วยวิธีการเช่นนี้โดยตรวจได้จากสเปกตรัมของดวงอาทิตย์เป็นเวลา 23 ปีก่อนที่จะพบมันบนโลกเสียอีก == ต้นกำเนิดและสถานะปัจจุบัน == อะตอมเป็นส่วนประกอบราว 4% ของความหนาแน่นพลังงานรวมทั้งหมดในเอกภพที่สังเกตได้ โดยมีค่าความหนาแน่นเฉลี่ยประมาณ 0.25 อะตอมต่อลูกบาศก์เมตร สำหรับภายในดาราจักรเช่นทางช้างเผือกจะมีอะตอมอยู่เป็นจำนวนหนาแน่นมากกว่ามาก โดยมีความหนาแน่นของสสารในสสารระหว่างดาวระหว่าง 105 ถึง 109 อะตอม/ลบ.ม. เชื่อกันว่า ดวงอาทิตย์ของเราอยู่ภายในฟองท้องถิ่นซึ่งเป็นบริเวณกลุ่มแก๊สที่มีประจุสูง ดังนั้นความหนาแน่นของบริเวณโดยรอบระบบสุริยะจึงมีเพียง 103 อะตอม/ลบ.ม. ดาวฤกษ์ก่อตัวจากกลุ่มเมฆหนาแน่นในสสารระหว่างดาว และกระบวนการวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ส่งผลให้เกิดธาตุจำนวนมากมายขึ้นในอวกาศระหว่างดาวซึ่งมีมวลหนักกว่าไฮโดรเจนกับฮีเลียม อะตอมภายในทางช้างเผือกกว่า 95% รวมตัวกันอยู่ภายในดาวฤกษ์ และมวลรวมของอะตอมคิดเป็นประมาณ 10% ของมวลดาราจักร (มวลส่วนที่เหลือนั้นยังไม่เป็นที่รู้จัก เรียกกันว่า สสารมืด) === การสังเคราะห์นิวเคลียส === โปรตอนและอิเล็กตรอนที่เสถียรเกิดขึ้นหลังจากเกิดบิกแบงเพียงหนึ่งวินาที ระหว่างช่วงสามนาทีต่อมา บิกแบงนิวคลีโอซินทีสิสได้สร้างสสารส่วนใหญ่ของฮีเลียม ลิเทียม และดิวเทอเรียมขึ้นในเอกภพ และบางทีอาจรวมถึงเบอริลเลียมและโบรอนด้วย อะตอมชุดแรก ๆ (ที่อิเล็กตรอนเป็นส่วนประกอบอย่างสมบูรณ์) ในทางทฤษฎีแล้วเชื่อว่าเกิดขึ้น 380,000 ปีหลังจากบิกแบง —คือยุคที่เรียกว่า recombination เมื่อเอกภพที่กำลังขยายตัวออกนั้นเย็นลงเพียงพอที่ทำให้อิเล็กตรอนสามารถเกาะติดกับนิวเคลียสได้ นับแต่นั้น นิวเคลียสอะตอมก็เริ่มรวมตัวเข้าในดาวฤกษ์ผ่านกระบวนการนิวเคลียร์ฟิวชันและสร้างธาตุต่าง ๆ ขึ้นไปจนถึงเหล็ก ไอโซโทปบางตัวเช่น ลิเทียม-6 เกิดขึ้นในอวกาศโดยผ่านสปอลเลชั่นของรังสีคอสมิก เมื่อโปรตอนพลังงานสูงปะทะกับนิวเคลียสของอะตอม ทำให้นิวคลีออนจำนวนมากดีดตัวออกมา ธาตุที่หนักกว่าเหล็กเกิดขึ้นในมหานวดาราผ่านกระบวนการอาร์และในแขนงดาวยักษ์เชิงเส้นกำกับ ผ่านกระบวนการเอส ทั้งสองกระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการที่นิวเคลียสอะตอมจับนิวตรอนเอาไว้ ธาตุบางชนิดเช่น ตะกั่ว ส่วนใหญ่ก่อตัวขึ้นผ่านกระบวนการสลายให้กัมมันตรังสีของธาตุที่หนักกว่า === โลก === อะตอมส่วนมากที่ก่อตัวกันขึ้นเป็นโลกและสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกนั้นเกิดขึ้นจากการสลายตัวของเนบิวลาที่อยู่ในเมฆโมเลกุลเพื่อก่อตัวขึ้นเป็นระบบสุริยะ ส่วนที่เหลือเป็นผลจากการสลายตัวให้กัมมันตรังสี ส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องกันนี้สามารถนำมาใช้เพื่อระบุถึงอายุของโลกได้ ฮีเลียมส่วนมากที่อยู่บริเวณเปลือกของโลก (ประมาณ 99% เป็นก๊าซ เช่นฮีเลียม-3 ที่มีอยู่เป็นจำนวนมหาศาล) เป็นผลที่เกิดจากการสลายปลดปล่อยอนุภาคอัลฟา มีอะตอมบางส่วนที่ตรวจพบว่าไม่ได้มีอยู่ตั้งแต่ตอนแรกกำเนิดโลก ทั้งไม่ได้เป็นผลที่เกิดจากการสลายตัวให้กัมมันตรังสี เช่น คาร์บอน-14 เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากรังสีคอสมิกในชั้นบรรยากาศ อะตอมบางชนิดบนโลกถูกประดิษฐ์ขึ้น ทั้งโดยที่ตั้งใจสร้าง หรือเป็นผลพลอยได้จากการแตกตัวหรือการระเบิดของนิวเคลียร์ ในบรรดาธาตุหลังยูเรเนียม—คือพวกที่มีเลขอะตอมมากกว่า 92— มีเพียงพลูโตเนียมกับเนปจูเนียมเท่านั้นที่เกิดขึ้นบนโลกโดยธรรมชาติ ธาตุหลังยูเรเนียมนั้นมีอายุกัมมันตรังสีสั้นกว่าอายุปัจจุบันของโลก และจากปริมาณที่ตรวจได้แสดงว่าธาตุเหล่านั้นเริ่มสลายตัวมานานแล้ว มีข้อยกเว้นเพียงพลูโตเนียม-244 ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากฝุ่นคอสมิก ส่วนตัวประกอบอื่นของพลูโตเนียมและเนปจูเนียมนั้นเกิดขึ้นจากการจับตัวของนิวตรอนในแร่ยูเรเนียม โลกมีอะตอมอยู่ประมาณ อะตอม ในชั้นบรรยากาศของดาว มีอะตอมอิสระของก๊าซเฉื่อยอยู่บ้างเล็กน้อย เช่น อาร์กอน และ นีออน ส่วนที่เหลือ 99% ของบรรยากาศจะอยู่ในรูปของโมเลกุล ซึ่งรวมไปถึงคาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจนโมเลกุลคู่ และไนโตรเจน ที่พื้นผิวของโลก อะตอมรวมตัวกันเข้าเป็นสารประกอบหลายชนิด รวมถึง น้ำ เกลือ ซิลิเกต และออกไซด์ อะตอมสามารถรวมตัวกันกลายเป็นสสารใหม่ซึ่งไม่ได้ประกอบด้วยโมเลกุลที่แยกจากกันก็ได้ เช่นคริสตัล และโลหะที่เป็นของเหลวหรือของแข็ง === รูปแบบที่พบได้ยาก และที่มีแต่ในทฤษฎี === ขณะที่ทราบกันดีว่า ไอโซโทปซึ่งมีเลขอะตอมสูงกว่าตะกั่ว (82) นั้นเป็นสารกัมมันตรังสี แต่ก็มีแนวคิด "เกาะแห่งความเสถียร" สำหรับธาตุจำนวนหนึ่งที่มีเลขอะตอมสูงกว่า 103 ธาตุหนักมากเหล่านี้อาจมีนิวเคลียสที่ค่อนข้างเสถียรมากกว่าเมื่อเทียบกับสารสลายกัมมันตรังสี ธาตุที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นอะตอมธาตุหนักมากที่เสถียร คือ อูนไบเฮกเซียม ซึ่งมีโปรตอน 126 ตัวและนิวตรอน 184 ตัว อนุภาคแต่ละตัวของสสารจะมีปฏิสสารที่คู่กันเสมอโดยมีประจุไฟฟ้าที่ตรงกันข้าม ดังนั้น โพสิตรอนก็คือแอนติอิเล็กตรอนที่มีประจุเป็นบวก และแอนติโปรตอนก็เทียบเท่ากับโปรตอนที่มีประจุเป็นลบ เมื่อสสารกับปฏิสสารของมันมาพบกัน ก็จะทำลายล้างกันและกัน ด้วยเหตุนี้ประกอบกับความไม่สมดุลระหว่างจำนวนของสสารและปฏิสสาร เราจึงพบปฏิสสารในเอกภพได้ยากมาก (สาเหตุที่มีสสารกับปฏิสสารไม่สมดุลกันนั้นยังไม่เป็นที่เข้าใจกันนัก แม้ว่าทฤษฎีแบริโอเจเนซิสจะช่วยเสนอคำอธิบายได้บ้าง) เราจึงไม่สามารถพบอะตอมของปฏิสสารได้ในธรรมชาติ อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ. 1996 ห้องทดลอง CERN ในเจนีวา ได้สังเคราะห์แอนติไฮโดรเจนซึ่งเป็นปฏิสสารตรงข้ามกับไฮโดรเจนขึ้นได้สำเร็จ อะตอมประหลาดอื่น ๆ ถูกสร้างขึ้นโดยการแทนที่โปรตอน นิวตรอน หรืออิเล็กตรอนตัวใดตัวหนึ่งด้วยอนุภาคอื่นที่มีประจุเดียวกัน ตัวอย่างเช่น การแทนที่อิเล็กตรอนด้วยมิวออนซึ่งมีมวลมากกว่า ทำให้เกิดอะตอมมิวออนิกขึ้น อะตอมจำพวกนี้สามารถใช้ทดสอบการทำนายพื้นฐานทางฟิสิกส์ได้ == ดูเพิ่ม == อนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม โมเลกุล ไอโซโทปกัมมันตรังสี ธาตุหลังยูเรเนียม ตารางธาตุ == หมายเหตุ == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == —a guide to the atom for teens. เคมี หลักการสำคัญของฟิสิกส์
thaiwikipedia
1,714
9 พฤษภาคม
วันที่ 9 พฤษภาคม เป็นวันที่ 129 ของปี (วันที่ 130 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 236 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - ประเทศไทยกับฝรั่งเศส ลงนามในอนุสัญญาสันติภาพระหว่างกันที่กรุงโตเกียว หลังสิ้นสุดกรณีพิพาทอินโดจีน พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - สงครามเย็น: เยอรมนีตะวันตกเข้าร่วมกับองค์การนาโต พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - สงครามเวียดนาม: ชาวอเมริกัน 75,000 - 100,000 คน ร่วมชุมนุมคัดค้านสงครามหลังทำเนียบขาว ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - เกิดระเบิดควบคุมด้วยรีโมทในงานพาเหรดที่ดาเกสถาน ประเทศรัสเซีย มีผู้เสียชีวิต 42 คน คาดว่าเป็นฝีมือกลุ่มอัลกออิดะห์ == วันเกิด == พ.ศ. 2417 (ค.ศ. 1874) - โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ (ถึงแก่กรรม 2 มีนาคม พ.ศ. 2482) พ.ศ. 2458 (ค.ศ. 1915) - ซีโมน อาร์นอตซ์ (ถึงแก่กรรม 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544) พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) - กาญจนา นาคนันทน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (ถึงแก่กรรม 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557) พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) - เกลนดา แจ็กสัน นักแสดงอังกฤษ พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) - ยุพ ไฮน์เคิส นักฟุตบอลและผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) - บิลลี โจเอล นักร้องชาวอเมริกัน พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - โกสต์เฟซ คิลลาห์ แร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - โรซาริโอ ดอว์สัน นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - เจ้าหญิงไนลา บินต์ อาซิม พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - * เฉลิมศักดิ์ แก้วสุขแท้ นักฟุตบอลอาชีพชาวไทย * อีฟว์ เอกวัลลา เอมัน นักฟุตบอลชาว แคเมอรูน พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - เก็งกิ ฮารางูจิ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - แดน เบิร์น นักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษ พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - พัค ซุน-โฮ นักแสดง, นักร้อง และนายแบบชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - โนอาห์ เซนตินีโอ นักแสดง และนายแบบชาวอเมริกัน พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - * เอ-คิด นักมวยปล้ำอาชีพชาวสเปน == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - เทียนซิง นอร์เก นักปีนเขาชาวเนปาล (เกิด พ.ศ. 2457) พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) - *พรเดชา สุขารมณ์ นักร้อง, แพทย์ชาวไทย (เกิด 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514) *ธนดล นิลนพรัตน์ นักร้องและดีเจชาวไทย (เกิด 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2528) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969), พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985), พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986), พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997), พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002), พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008), พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012), พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014), พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016), พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019), พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) - วันพืชมงคล ทวีปยุโรป - วันยุโรป == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day พฤษภาคม 09 พฤษภาคม
thaiwikipedia
1,715
วิถี (ทฤษฎีกราฟ)
ในคณิตศาสตร์ วิถี (path) ในกราฟคือลำดับของจุดยอด ซึ่งจุดยอดแต่ละจุดจะมีเส้นเชื่อมเชื่อมจุดยอดในลำดับที่อยู่ติดกัน. จุดยอดแรกเรียกว่า จุดยอดเริ่ม และจุดยอดสุดท้าย เรียกว่า จุดยอดปลาย จุดยอดอื่นๆในวิถี เรียกว่า จุดยอดภายใน วัฏจักร (cycle) คือ วิถีที่จุดยอดเริ่มเป็นจุดเดียวกับจุดยอดปลาย วิถีที่ไม่มีจุดยอดซ้ำกัน เรียกว่า วิถีเชิงเดียว (simple path) เช่นเดียวกันนั้น วัฏจักรที่ไม่มีจุดยอดซ้ำกัน (ยกเว้นจุดยอดเริ่มต้นกับจุดยอดปลาย) เรียกว่า วัฏจักรเชิงเดียว (simple cycle) วิถี 2 วิถีจะเป็นอิสระ (independent) ต่อกัน ถ้ามันไม่มีจุดยอดภายในร่วมกัน ความยาว (length) ของวิถี คือจำนวนของเส้นเชื่อมที่ใช้ในวิถี ซึ่งอาจนับเส้นเชื่อมหลายครั้งได้ เช่น จากกราฟในรูป (1, 2, 5, 1, 2, 3) คือวิถีที่มีความยาว 5 และ (5, 2, 1) คือวิถีเชิงเดียวที่มีความยาว 2 กราฟถ่วงน้ำหนัก จะกำหนดค่า น้ำหนัก (weight) ให้เส้นเชื่อมแต่ละเส้นภายในกราฟ น้ำหนักของวิถีในกราฟถ่วงน้ำหนัก คือ ผลบวกของน้ำหนักของเส้นเชื่อมที่แวะผ่าน บางครั้งใช้คำว่า ค่าใช้จ่าย (cost) หรือ ความยาว แทนคำว่าน้ำหนัก ==ดูเพิ่ม== อภิธานศัพท์ทฤษฎีกราฟ ปัญหาวิถีสั้นสุด ปัญหาการเดินทางของพนักงานขาย ทฤษฎีกราฟ
thaiwikipedia
1,716
ฮิรางานะ
ฮิรางานะ คือ อักษรพยางค์และอักษรในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของอักษรญี่ปุ่นที่ใช้ในปัจจุบัน (ฮิรางานะ,คาตากานะและคันจิ) ฮิรางานะและคาตากานะเป็นระบบคานะที่ตัวอักษรหนึ่งตัวแสดงถึงหนึ่งเสียง ในแต่ละ "คานะ" สามารถเป็นได้ทั้งในรูปสระและตัวสะกด == ที่มา == ฮิรางานะพัฒนามาจากอักษรจีน เริ่มแรกเรียก อนนาเดะ หรือ มือของผู้หญิง เพราะใช้เขียนโดยผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ผู้ชายจะเขียนโดยใช้คันจิและคาตากานะ ประมาณ พ.ศ. 1500 ฮิรางานะจึงใช้โดยทั่วไป คำว่า ฮิรางานะ หมายถึง อักษรพยางค์สามัญ รูปแบบแรก ๆ ของฮิรางานะมีสัญลักษณ์หลายตัวที่ออกเสียงเหมือนกัน ระบบการเขียนมีความแตกต่างกันขึ้นกับผู้เขียนแต่ละคน รัฐบาลญี่ปุ่นเข้ามาจัดรูปแบบเมื่อ พ.ศ. 2489 จึงกลายเป็นอักษรที่ใช้ในปัจจุบัน == ลักษณะและการใช้ == ฮิรางานะมีสัญลักษณ์ 46 ตัว และมักใช้ในการลงท้ายคำ (okurigana) ในภาษาญี่ปุ่น ใช้สำหรับคำที่ไม่มีในตัวอักษรคันจิ หรือใช้ในส่วนท้ายของคำกริยาหรือใช้เป็นคำช่วย ใช้โดยทั่วไปในสื่อสำหรับเด็ก ตำราเรียน และหนังสือการ์ตูน ฮิรางานะใช้สำหรับเป็นคำอ่านสำหรับตัวอักษรคันจิ เพื่อช่วยผู้อ่านได้ ซึ่งเรียกว่าฟูริงานะ ในหนังสือพิมพ์มีกฎที่ต้องใส่ฟูริงานะคู่กับคันจิที่นอกเหนือไปจากคันจิที่ทางราชการรับรองว่าเป็นคันจิที่ใช้บ่อย 1,945 ตัว หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่จะไม่ใช้คันจินอกเหนือไปจากคันจิกลุ่มนี้ ในปัจจุบันมีระบบฮิรางานะ 2 แบบคือ อิโรฮะ ฮิรางานะแบบเก่า และโกจูอง ฮิรางานะแบบใหม่ == ตารางฮิรางานะ == ตัวอักษรฮิรางานะและเสียงอ่านของแต่ละตัว (ใช้ในการอ่านเท่านั้น) บางที่อาจใช้ตัวอักษรฮิรางานะในการเขียนแล้วแต่ความเหมาะสม หากต้องการทับศัพท์โปรดดูที่ การทับศัพท์ภาษาญี่ปุ่น {| border="0" cellspacing="2px" cellpadding="2px" width="100%" |+ |- |bgcolor="#BECFEB" valign=top align="center" colspan = 5 | สระและพยัญชนะ |bgcolor="#D4D4D4" colspan = 3 align="center"|yōon |-bgcolor="#BECFEB" valign=top align="center" !あ อะ !い อิ !う อุ !え เอะ !お โอะ |bgcolor="#D4D4D4"| (ยะ) |bgcolor="#D4D4D4"| (ยุ) |bgcolor="#D4D4D4"| (โยะ) |- |colspan="8"| |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |か คะ |き คิ |く คุ |け เคะ |こ โคะ |bgcolor="#F3F5DE"|きゃ เคียะ (คฺยะ) |bgcolor="#F3F5DE"|きゅ คิว (คฺยุ) |bgcolor="#F3F5DE"|きょ เคี้ยว (โคฺยะ) |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |さ ซะ |し ชิ |ず ซุ |せ เซะ |そ โซะ |bgcolor="#F3F5DE"|しゃ ชะ |bgcolor="#F3F5DE"|しゅ ชุ |bgcolor="#F3F5DE"|しょ โชะ |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |た ทะ |ち ท๎ชิ |つ ท๎สึ |て เทะ |と โทะ |bgcolor="#F3F5DE"|ちゃ ท๎ชะ |bgcolor="#F3F5DE"|ちゅ ท๎ชุ |bgcolor="#F3F5DE"|ちょ โท๎ชะ |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |な นะ |に นิ |ぬ นุ |ね เนะ |の โนะ |bgcolor="#F3F5DE"|にゃ เนียะ (นฺยะ) |bgcolor="#F3F5DE"|にゅ นิว (นฺยุ) |bgcolor="#F3F5DE"|にょ เนี้ยว (โนฺยะ) |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |は ฮะ |ひ ฮิ |ふ ฟุ |へ เฮะ |ほ โฮะ |bgcolor="#F3F5DE"|ひゃ เฮียะ (ฮฺยะ) |bgcolor="#F3F5DE"|ひゅ ฮิว (ฮฺยุ) |bgcolor="#F3F5DE"|ひょ เฮี้ยว (โฮฺยะ) |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |ま มะ |み มิ |む มุ |め เมะ |も โมะ |bgcolor="#F3F5DE"|みゃ เมียะ (มฺยะ) |bgcolor="#F3F5DE"|みゅ มิว (มฺยุ) |bgcolor="#F3F5DE"|みょ เมี้ยว (โมฺยะ) |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |や ยะ |bgcolor="#E9E9E9"| |ゆ ยุ |bgcolor="#E9E9E9"| |よ โยะ |bgcolor="#E9E9E9" colspan="3"| |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |ら ระ |り ริ |る รุ |れ เระ |ろ โระ |bgcolor="#F3F5DE"|りゃ เรียะ (รฺยะ) |bgcolor="#F3F5DE"|りゅ ริว (รฺยุ) |bgcolor="#F3F5DE"|りょ เรี้ยว (โรฺยะ) |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |わ วะ |ゐ*** วิ |bgcolor="#E9E9E9"| |ゑ*** เวะ |を**** โอะ |bgcolor="#E9E9E9" colspan="3"| |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |bgcolor="#E9E9E9" colspan="4"| |ん -น |bgcolor="#E9E9E9" colspan="3"| |- |colspan="8"| |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |が งะ |ぎ งิ |ぐ งุ |げ เงะ |ご โงะ |bgcolor="#F3F5DE"|ぎゃ เงียะ (งฺยะ) |bgcolor="#F3F5DE"|ぎゅ งิว (งฺยุ) |bgcolor="#F3F5DE"|ぎょ เงี้ยว (โงฺยะ) |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |ざ ด๎สะ |じ ด๎ชิ* |ず ด๎สุ** |ぜ เด๎สะ |ぞ โด๎สะ |bgcolor="#F3F5DE"|じゃ ด๎ชะ |bgcolor="#F3F5DE"|じゅ ด๎ชุ |bgcolor="#F3F5DE"|じょ โด๎ชะ |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |だ ดะ |ぢ ด๎ชิ* |づ ด๎สึ** |で เดะ |ど โดะ |bgcolor="#F3F5DE"|ぢゃ ด๎ชะ |bgcolor="#F3F5DE"|ぢゅ ด๎ชุ |bgcolor="#F3F5DE"|ぢょ โด๎ชะ |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |ば บะ |び บิ |ぶ บุ |べ เบะ |ぼ โบะ |bgcolor="#F3F5DE"|びゃ เบี๊ยะ (บฺยะ) |bgcolor="#F3F5DE"|びゅ บิว (บฺยุ) |bgcolor="#F3F5DE"|びょ เบี๊ยว (โบฺยะ) |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" |ぱ พะ |ぴ พิ |ぷ พุ |ぺ เพะ |ぽ โพะ |bgcolor="#F3F5DE"|ぴゃ เพียะ (พฺยะ) |bgcolor="#F3F5DE"|ぴゅ พิว (พฺยุ) |bgcolor="#F3F5DE"|ぴょ เพี้ยว (โพฺยะ) |} じ กับ ぢ ออกเสียงคล้ายกัน * ず กับ づ ออกเสียงเหมือนกัน ** ゐ และ ゑ ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว *** を จะออกเสียงเหมือนกับ お แต่ を จะใช้กับคำช่วย を เท่านั้น ในบทเพลงบ่อยครั้งมักได้ยิน を เป็นเสียง wo [โวะ] แทน พินทุ (-ฺ) ที่ถ่ายทอดเสียงภาษาไทย หมายถึงต้องออกเสียงควบกล้ำกัน ยามักการ (-๎) หรือสัญลักษณ์คล้ายเลข 3 กลับซ้ายขวาอยู่บนพยัญชนะไทย คือ การถ่ายทอดเสียงให้รู้ว่าเป็นพยัญชนะผสมกันระหว่างพยัญชนะตัวหน้าและตัวหลัง ทั้งเสียงปกติอย่าง ち จ๎ชิ จ กับ ช ผสมกัน つ ท๎สึ ท กับ ส ผสมกัน รวมไปถึงเสียงขุ่นหรือเสียงก้องในลำคออย่าง ざ ด๎สะ ด กับ ส ผสมกันเหมือนตัวภาษาอังกฤษ คือ Z ตามเสียง phonetic symbols ในภาษาอังกฤษ じ ด๎ยิ* ด กับ ย ผสมกัน เป็นต้น === ตัวอักษรที่ใช้สำหรับภาษาต่างประเทศ === {| border="0" cellpadding="5px" cellspacing="2px" width="50%" |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" ||............||............||............||いぇ (เยะ ye)||............ |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" ||............||うぃ (วิ wi)||............||うぇ (เวะ we)||うぉ (โวะ wo) |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" ||わ゙ (va)||ゐ゙ (vi)||ゔ (vu)||ゑ゙ (ve) ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว||を゙ (vo) |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" ||ゔぁ (va)||ゔぃ (vi)||ゔぅ (vu)||ゔぇ (ve)||ゔぉ (vo) |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" ||............||............||............||しぇ (เชะ she)||............ |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" ||............||............||............||じぇ (เด๎ยะ je)||............ |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" ||............||............||............||ちぇ (เท๎ชะ che)||............ |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" ||............||てぃ (ทิ ti)||とぅ (ทึ tu) ||............||............ |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" ||............||でぃ (ดิ di)||どぅ (ดึ du) ||............||............ |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" ||つぁ (ท๎สะ tsa)||つぃ (ท๎สิ tsi)||.............||つぇ (เท๎สะ tse)||つぉ (โท๎สึะ tso) |-bgcolor="#E7F5DE" valign=top align="center" ||ふぁ (ฟะ fa)||ふぃ (ฟิ fi)||.............||ふぇ (เฟะ fe)||ふぉ (โฟะ fo) |} โดยปกติแล้วใช้ตัวอักษรคาตากานะ == ยูนิโคด == == อ้างอิง == ประวัติและการเขียนฮิรางานะ คานะ
thaiwikipedia
1,717
ดาราจักร
ดาราจักร หรือ กาแล็กซี (galaxy) เป็นกลุ่มของดาวฤกษ์นับล้านดวง กับสสารระหว่างดาวอันประกอบด้วยแก๊ส ฝุ่น และสสารมืด รวมอยู่ด้วยกันด้วยแรงโน้มถ่วง คำนี้มีที่มาจากภาษากรีกว่า galaxias [γαλαξίας] หมายถึง "น้ำนม" ซึ่งสื่อโดยตรงถึงดาราจักรทางช้างเผือก (Milky Way) ดาราจักรโดยทั่วไปมีขนาดน้อยใหญ่ต่างกัน นับแต่ดาราจักรแคระที่มีดาวฤกษ์ประมาณสิบล้านดวง ไปจนถึงดาราจักรขนาดยักษ์ที่มีดาวฤกษ์นับถึงล้านล้านดวง โคจรรอบศูนย์กลางมวลจุดเดียวกัน ในดาราจักรหนึ่ง ๆ ยังประกอบไปด้วยระบบดาวหลายดวง กระจุกดาวจำนวนมาก และเมฆระหว่างดาวหลายประเภท ดวงอาทิตย์ของเราเป็นหนึ่งในบรรดาดาวฤกษ์ในดาราจักรทางช้างเผือก เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะซึ่งมีโลกและวัตถุอื่น ๆ โคจรโดยรอบ ในอดีตมีการแบ่งดาราจักรเป็นชนิดต่าง ๆ โดยจำแนกจากลักษณะที่มองเห็นด้วยตา รูปแบบที่พบโดยทั่วไปคือดาราจักรรี (elliptical galaxy) ซึ่งปรากฏให้เห็นเป็นรูปทรงรี ดาราจักรชนิดก้นหอย (spiral galaxy) เป็นดาราจักรรูปร่างแบนเหมือนจาน ภายในมีแขนฝุ่นเป็นวงโค้ง ดาราจักรที่มีรูปร่างไม่แน่นอนหรือแปลกประหลาดเรียกว่าดาราจักรแปลก (peculiar galaxy) ซึ่งมักเกิดจากการถูกรบกวนด้วยแรงโน้มถ่วงของดาราจักรข้างเคียง อันตรกิริยาระหว่างดาราจักรในลักษณะนี้อาจส่งผลให้ดาราจักรมารวมตัวกัน และทำให้เกิดสภาวะที่ดาวฤกษ์มาจับกลุ่มกันมากขึ้นและกลายสภาพเป็นดาราจักรที่สร้างดาวฤกษ์ใหม่อย่างบ้าคลั่ง เรียกว่าดาราจักรชนิดดาวกระจาย (starburst galaxy) นอกจากนี้ดาราจักรขนาดเล็กที่ปราศจากโครงสร้างอันเชื่อมโยงกันก็มักถูกเรียกว่าดาราจักรไร้รูปแบบ (irregular galaxy) เชื่อกันว่าในเอกภพที่สังเกตได้มีดาราจักรอยู่ประมาณหนึ่งแสนล้านแห่ง ดาราจักรส่วนใหญ่มีเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 1,000 ถึง 100,000 พาร์เซก และแยกห่างจากกันและกันนับล้านพาร์เซก (หรือเมกะพาร์เซก) ช่องว่างระหว่างดาราจักรประกอบด้วยแก๊สเบาบางที่มีความหนาแน่นเฉลี่ยต่ำกว่า 1 อะตอมต่อลูกบาศก์เมตร ดาราจักรส่วนใหญ่จะจับกลุ่มเรียกว่ากระจุกดาราจักร (cluster) ในบางครั้งกลุ่มของดาราจักรนี้อาจมีขนาดใหญ่มาก เรียกว่ากลุ่มกระจุกดาราจักร (supercluster) โครงสร้างขนาดมหึมาขึ้นไปกว่านั้นเป็นกลุ่มดาราจักรที่โยงใยถึงกันเรียกว่า ใยเอกภพ (filament) ซึ่งกระจายอยู่ครอบคลุมเนื้อที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของเอกภพ แม้จะยังไม่เป็นที่เข้าใจนัก แต่ดูเหมือนว่าสสารมืดจะเป็นองค์ประกอบกว่า 90% ของมวลในดาราจักรส่วนใหญ่ ข้อมูลจากการสังเกตการณ์พบว่าหลุมดำมวลยวดยิ่งอาจอยู่ที่บริเวณใจกลางของดาราจักรจำนวนมาก แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด มีข้อเสนอว่ามันอาจเป็นสาเหตุเริ่มต้นของนิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์ (active galactic nucleus: AGN) ซึ่งพบที่บริเวณแกนกลางของดาราจักร ดาราจักรทางช้างเผือกเองก็มีหลุมดำเช่นว่านี้อยู่ที่นิวเคลียสด้วยอย่างน้อยหนึ่งหลุม == ที่มาของชื่อ == คำว่า กาแล็กซี มาจากคำศัพท์ในภาษากรีกที่ใช้เรียกดาราจักรของเรา คือ galaxias (γαλαξίας) หรือ kyklos galaktikos ซึ่งมีความหมายว่า "วงกลมน้ำนม" อันเนื่องมาจากลักษณะที่ปรากฏบนท้องฟ้า ในตำนานเทพปกรณัมกรีก เทพซุสมีบุตรคนหนึ่งกับสตรีชาวมนุษย์ คือ เฮราคลีส พระองค์วางบุตรผู้เป็นทารกบนทรวงอกของเทพีเฮราขณะที่นางหลับ เพื่อให้ทารกได้ดื่มน้ำนมของนางและจะได้เป็นอมตะ เมื่อเฮราตื่นขึ้นและพบว่าทารกแปลกหน้ากำลังดื่มนมจากอกนาง ก็ผลักทารกนั้นออกไป สายน้ำนมกระเซ็นออกไปบนฟากฟ้ายามราตรี เกิดเป็นแถบแสงจางๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า "ทางน้ำนม" (Milky Way; ไทยเรียก "ทางช้างเผือก") ในบทความทางด้านดาราศาสตร์ คำว่า galaxy ที่ขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่ ('Galaxy') จะใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงดาราจักรทางช้างเผือกของเรา เพื่อให้แตกต่างจากดาราจักรอื่น คำว่า "ทางน้ำนม" (Milky Way) ปรากฏครั้งแรกในวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ในบทกวีของชอเซอร์ ดังนี้ เมื่อวิลเลียม เฮอร์เชล ได้จัดทำรายการวัตถุท้องฟ้า เขาเรียกวัตถุแบบดาราจักร เช่น ดาราจักร M31 ว่า "spiral nebula" ในเวลาต่อมาจึงพบว่าวัตถุนั้นเป็นการรวมกลุ่มอย่างหนาแน่นของดาวฤกษ์จำนวนมาก และได้ทราบระยะห่างอย่างแท้จริง มันจึงถูกเรียกว่า island universes อย่างไรก็ดี คำว่า universe เป็นที่เข้าใจกันว่าหมายถึงห้วงอวกาศโดยรวมทั้งหมด ดังนั้นคำนี้จึงไม่ได้ใช้เรียกขานอีก ภายหลังวัตถุจำพวกดาราจักรจึงถูกเรียกว่า galaxy == ประวัติการสังเกตการณ์ == การค้นพบว่าเราอาศัยอยู่ในดาราจักร และความจริงที่ว่ามีดาราจักรอยู่เป็นจำนวนมากมาย เกิดขึ้นพร้อมๆ กันกับการพบข้อเท็จจริงของทางช้างเผือก และเนบิวลาต่างๆ ที่อยู่บนท้องฟ้า === ทางช้างเผือก === นักปรัชญาชาวกรีกชื่อ ดีโมครีตัส (450-370 ปีก่อนคริสตกาล) เสนอว่าแถบสว่างบนฟากฟ้ายามราตรีที่รู้จักกันในชื่อ ทางช้างเผือก อาจจะประกอบด้วยดวงดาวที่อยู่ไกลออกไป นักดาราศาสตร์ชาวเปอร์เซียชื่อ อาบู รายาน อัล-บิรูนิ (Abū Rayhān al-Bīrūnī) (ค.ศ. 973-1048) ก็คิดว่าดาราจักรทางช้างเผือกเป็นที่รวมดาวฤกษ์มากมายเหมือนกลุ่มเมฆอันไม่อาจนับได้ การพิสูจน์ทฤษฎีนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1610 เมื่อ กาลิเลโอ กาลิเลอี ศึกษาดาราจักรทางช้างเผือกผ่านกล้องโทรทรรศน์ และค้นพบว่ามันประกอบด้วยดาวจาง ๆ จำนวนมาก หนังสือเล่มหนึ่งในปี ค.ศ. 1755 อิมมานูเอล คานท์ วาดภาพดาราจักรจากผลงานก่อนหน้าของโทมัส ไรท์ โดยจินตนาการ (ได้ตรงเผง) ว่าดาราจักรน่าจะเป็นโครงสร้างหมุนวนที่ประกอบด้วยดาวฤกษ์จำนวนมากซึ่งดึงดูดกันและกันไว้ด้วยแรงโน้มถ่วง คล้ายคลึงกับระบบสุริยะ แต่ในระดับที่ใหญ่กว่ามาก เรามองเห็นแผ่นจานของดาวฤกษ์เหล่านั้นเป็นแถบอยู่บนท้องฟ้าได้เนื่องจากมุมมองของเราที่อยู่ภายในจานนั่นเอง คานท์ยังคิดไปอีกว่า เนบิวลาสว่างบางแห่งที่ปรากฏบนฟ้ายามค่ำคืนอาจเป็นดาราจักรอื่นที่แยกจากเราก็ได้ ความพยายามครั้งแรกที่จะบรรยายรูปร่างของทางช้างเผือกและตำแหน่งของดวงอาทิตย์ในดาราจักรนั้นเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1785 เมื่อ วิลเลียม เฮอร์เชล เฝ้านับดวงดาวบนท้องฟ้าส่วนต่างๆ อย่างละเอียด เขาสร้างแผนภาพของดาราจักรขึ้นโดยสมมุติว่าระบบสุริยะอยู่ใกล้กับศูนย์กลาง จากจุดเริ่มต้นที่ละเอียดละออนี้ แคปทีย์น สามารถสร้างภาพวาดดาราจักรทรงรีขนาดเล็ก (เส้นผ่านศูนย์กลางราว 15 กิโลพาร์เซก) โดยมีดวงอาทิตย์อยู่ใกล้ศูนย์กลางได้ในปี ค.ศ. 1920 ต่อมา ฮาร์โลว์ แชปลีย์ ใช้วิธีการที่แตกต่างออกไปโดยอ้างอิงจากการจัดทำบัญชีกระจุกดาวทรงกลม สร้างเป็นภาพที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง คือแผ่นจานแบนมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 70 กิโลพาร์เซก ส่วนดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางมาก การวิเคราะห์ทั้งสองรูปแบบนี้ไม่สามารถอธิบายการดูดกลืนแสงโดยฝุ่นระหว่างดาวซึ่งปรากฏในระนาบดาราจักรได้ แต่หลังจากที่โรเบิร์ต จูเลียส ทรัมเพลอร์ สามารถระบุปริมาณของปรากฏการณ์นี้ได้ในปี ค.ศ. 1930 โดยการศึกษากระจุกดาวเปิด ภาพปัจจุบันของดาราจักรทางช้างเผือกของเราก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น === เนบิวลา === ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชาลส์ เมสสิเยร์ รวบรวมรายชื่อเนบิวลา (วัตถุท้องฟ้าที่สว่างและปรากฏรูปร่างเหมือนกลุ่มแก๊ส) ที่สว่างที่สุด 109 รายการ และต่อมาวิลเลียม เฮอร์เชล รวบรวมรายชื่อเนบิวลาได้ในปริมาณมากกว่าที่ 5,000 รายการ ปี ค.ศ. 1845 ลอร์ดรอสส์ ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ใหม่ทำให้สามารถแยกแยะเนบิวลาทรงกลมกับทรงรีออกจากกันได้ เขายังแยกแยะจุดแสงที่แยกจากกันในเนบิวลาเหล่านี้ได้อีกจำนวนหนึ่ง ทำให้เชื่อว่าการคาดคะเนของคานท์ก่อนหน้านี้น่าจะเป็นจริง ปี ค.ศ. 1917 เฮเบอร์ เคอร์ติส สังเกตพบโนวา เอส แอนดรอเมดา ซึ่งอยู่ใน "เนบิวลาใหญ่แอนดรอเมดา" (วัตถุท้องฟ้าของเมสสิเยร์ หมายเลข M31) เมื่อตรวจสอบบันทึกภาพถ่าย เขาพบโนวาเพิ่มอีก 11 แห่ง เคอร์ติสสังเกตว่าโนวาเหล่านี้มีค่าความสว่างเฉลี่ยจางกว่ากลุ่มที่อยู่ในดาราจักรของเรา 10 อันดับ ผลที่ได้คือเขาสามารถประเมินระยะห่างของโนวาเหล่านั้นได้ว่าอยู่ไกล 150,000 พาร์เซก เขากลายเป็นผู้สนับสนุนสมมุติฐาน "island universes" ที่ระบุว่าเนบิวลารูปก้นหอย แท้จริงมันคือดาราจักรที่แยกเป็นอิสระ ในปี ค.ศ. 1920 มีการถกเถียงทางวิชาการเรียกว่า "The Great Debate" ระหว่าง ฮาร์โลว์ แชปลีย์ กับ เฮเบอร์ เคอร์ติส เกี่ยวกับลักษณะทางธรรมชาติของทางช้างเผือก เนบิวลารูปก้นหอย และขนาดของเอกภพ เคอร์ติสชี้ให้เห็นถึงแถบสีดำในเนบิวลาเหล่านั้นซึ่งดูคล้ายกับฝุ่นมืดในทางช้างเผือก รวมไปถึงการเคลื่อนดอปเพลอร์ เพื่อสนับสนุนแนวคิดของเขาว่าเนบิวลาใหญ่แอนดรอเมดาแท้จริงคือดาราจักรหนึ่ง ประเด็นนี้คลี่คลายลงได้ในช่วงต้นทศวรรษ 1920 เมื่อ เอ็ดวิน ฮับเบิล อาศัยกล้องโทรทรรศน์กล้องใหม่ของเขา สามารถแยกแยะองค์ประกอบด้านนอกของเนบิวลารูปก้นหอยจำนวนหนึ่งได้ว่ามันประกอบด้วยดาวฤกษ์เดี่ยว ๆ หลายดวง และระบุดาวแปรแสงชนิดเซเฟอิดได้อีกด้วย ทำให้เขาสามารถประเมินระยะห่างของเนบิวลาเหล่านั้นได้ว่ามันอยู่ห่างไกลจากโลกของเราเกินกว่าที่จะเป็นส่วนหนึ่งของทางช้างเผือก ปี ค.ศ. 1936 ฮับเบิลสร้างระบบการจัดกลุ่มดาราจักรซึ่งยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน เรียกว่า "ลำดับของฮับเบิล" (Hubble Sequence) === งานวิจัยยุคใหม่ === ปี ค.ศ. 1944 เฮนดริค ฟาน เดอ ฮัลสต์ ทำนายเรื่องการแผ่รังสีของคลื่นไมโครเวฟที่ความยาวคลื่น 21 ซม. ว่าเป็นผลจากอะตอมของแก๊สไฮโดรเจนระหว่างดาว การสังเกตการณ์ดังกล่าวในปี ค.ศ. 1951 ได้ช่วยพัฒนาแนวทางการศึกษาเกี่ยวกับทางช้างเผือกมากขึ้น เพราะมันไม่ได้รับผลกระทบจากการดูดกลืนโดยฝุ่นในอวกาศ และการเคลื่อนดอปเพลอร์ของมันก็ช่วยให้สามารถสร้างแผนที่การเคลื่อนที่ของแก๊สในดาราจักรได้ การสังเกตการณ์นี้นำไปสู่สมมุติฐานว่ามีโครงสร้างรูปคานหมุนอยู่ที่กลางดาราจักร กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่พัฒนามากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถตรวจสอบร่องรอยของแก๊สไฮโดรเจนในดาราจักรอื่นได้อีกด้วย ช่วงทศวรรษ 1970 เวอรา รูบิน ศึกษาเรื่องความเร็วในการหมุนของแก๊สในดาราจักร เธอพบว่ามวลที่สังเกตได้ทั้งหมด (จากดาวฤกษ์และแก๊ส) ไม่สอดคล้องกันกับความเร็วในการหมุนของแก๊ส ปัญหานี้จะสามารถอธิบายได้ด้วยการมีอยู่ของสสารมืดที่มองไม่เห็นจำนวนมหาศาล นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลได้ช่วยให้การสังเกตการณ์พัฒนายิ่งขึ้น การค้นพบประการหนึ่งคือ สสารมืดที่หายไปในดาราจักรของเราไม่อาจเป็นเพียงดาวฤกษ์เล็ก ๆ ที่จางมากแต่เพียงอย่างเดียว การสังเกตการณ์อวกาศห้วงลึกของฮับเบิล (Hubble Deep Field: HDF) ซึ่งเป็นการถ่ายภาพโดยเปิดรับแสงเป็นเวลานานในพื้นที่ที่ดูว่างเปล่าบนท้องฟ้า ได้เผยให้เห็นว่ามีดาราจักรอื่นอีกราว 125,000 ล้านแห่งในเอกภพแห่งนี้ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นในการตรวจจับภาพสเปกตรัมซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า (กล้องโทรทรรศน์วิทยุ กล้องอินฟราเรด และกล้องโทรทรรศน์รังสีเอกซ์) ช่วยให้เราสามารถตรวจพบดาราจักรอื่น ๆ ที่กล้องฮับเบิลตรวจไม่พบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสำรวจดาราจักรในเขตบดบัง (ส่วนที่ถูกบดบังโดยทางช้างเผือก) ทำให้มีการค้นพบดาราจักรใหม่ได้บ้าง == ชนิดและสัณฐานของดาราจักร == ดาราจักรแบ่งออกได้เป็นสามชนิดใหญ่ ๆ คือ แบบรี แบบก้นหอย และแบบไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างในรายละเอียดตามลักษณะปรากฏ ดังที่พบได้ในลำดับของฮับเบิล ทั้งนี้ ลำดับของฮับเบิลได้แยกแยะประเภทของดาราจักรตามลักษณะภายนอกที่มองเห็น ดังนั้นจึงอาจมีลักษณะเฉพาะบางอย่างของดาราจักรที่ถูกละเลยไป เช่น อัตราการก่อกำเนิดของดาวฤกษ์ (ในดาราจักรชนิดดาวกระจาย) หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นที่แกนกลาง (ในดาราจักรกัมมันต์) เป็นต้น === ดาราจักรรี === ตามระบบการจำแนกของฮับเบิล ดาราจักรรีถูกแบ่งตามความรีของดาราจักร เริ่มตั้งแต่ E0 ซึ่งเป็นดาราจักรที่มีลักษณะเกือบกลม ไปจนถึง E7 ที่เรียวยาวมาก ดาราจักรเหล่านี้มีลักษณะพื้นฐานเป็นรูปทรงรี ทำให้เห็นมันมีรูปร่างเป็นทรงรีได้ไม่ว่าจะเปลี่ยนมุมมองไปในทางใด ลักษณะที่ปรากฏแสดงให้เห็นว่ามีโครงสร้างเพียงเล็กน้อย และไม่ค่อยมีสสารระหว่างดาว ทำให้ดาราจักรเหล่านี้มีกระจุกดาวเปิดค่อนข้างน้อย อัตราการเกิดดาวฤกษ์ใหม่ก็ต่ำด้วย ดาราจักรชนิดนี้มักมีดาวฤกษ์ที่อายุมากเป็นสมาชิก พบดาววิวัฒน์ได้รอบศูนย์กลางดาราจักรในทุกทิศทาง ในแง่นี้มันจึงคล้ายคลึงกับกระจุกดาวทรงกลมซึ่งเล็กกว่ามาก ดาราจักรที่ใหญ่ที่สุดเป็นดาราจักรรี เชื่อกันว่าดาราจักรรีหลายแห่งก่อตัวขึ้นจากอันตรกิริยาระหว่างดาราจักร ส่งผลทำให้เกิดการชนกันแล้วรวมตัวเข้าด้วยกัน มันอาจขยายตัวขึ้นจนมีขนาดมหึมา (เมื่อเทียบกับดาราจักรชนิดก้นหอย) และดาราจักรรีขนาดยักษ์มักพบอยู่ใกล้กับแกนกลางของกระจุกดาราจักรขนาดใหญ่ ดาราจักรชนิดดาวกระจายเป็นผลพวงจากการชนกันของดาราจักรซึ่งสามารถก่อให้เกิดดาราจักรรีได้ === ดาราจักรชนิดก้นหอย === ดาราจักรชนิดก้นหอยประกอบด้วยแถบจานหมุนของดาวฤกษ์และสสารระหว่างดาว มีดุมโป่งนูนบริเวณกึ่งกลางซึ่งประกอบด้วยดาวฤกษ์เก่าแก่ ถัดจากดุมตรงกลางเป็นแขนสว่างทอดออกไปสู่ด้านนนอก ตามระบบการจำแนกดาราจักรของฮับเบิล ดาราจักรชนิดก้นหอยอยู่ในประเภท S ตามด้วยอักษร (a, b หรือ c) ซึ่งใช้บอกระดับความแน่นของแขนดาราจักรและขนาดของดุมที่ศูนย์กลาง ดาราจักรแบบ Sa จะมีแขนที่บีบแน่น ไม่ค่อยเห็นเป็นแขนชัดเจนนัก และมีดุมค่อนข้างใหญ่ ในทางตรงข้าม ดาราจักรแบบ Sc จะมีแขนที่กว้าง เห็นเป็นแขนชัดเจน และมีดุมที่ค่อนข้างเล็ก แขนของดาราจักรชนิดก้นหอยมีลักษณะคล้ายคลึงกับก้นหอยลอการิทึม ซึ่งเป็นรูปแบบที่สามารถแสดงให้เห็นในทางทฤษฎีว่าเกิดจากความปั่นป่วนภายในดาวฤกษ์ต่าง ๆ ที่หมุนวนไปในทางเดียวกัน แขนเคลื่อนที่ไปรอบศูนย์กลางเช่นเดียวกับดาวฤกษ์ แต่มันเคลื่อนไปด้วยความเร็วเชิงมุมคงที่ หมายความว่าบรรดาดาวฤกษ์ทั้งหลายจะเคลื่อนเข้าและออกจากแขน โดยที่ดาวฤกษ์ใกล้แกนดาราจักรโคจรเร็วกว่าแขน ส่วนดาวฤกษ์รอบนอกจะโคจรช้ากว่าแขน เชื่อกันว่าแขนก้นหอยเป็นส่วนที่มีความหนาแน่นของสสารสูง หรือเป็น "คลื่นความหนาแน่น" เมื่อดาวฤกษ์เคลื่อนผ่านแขน ความเร็วของระบบดาวแต่ละระบบจะเปลี่ยนแปลงไปตามแรงโน้มถ่วงของส่วนที่มีความหนาแน่นสูงกว่า (ความเร็วจะกลับคืนเป็นปกติหลังจากดาวฤกษ์เคลื่อนออกไปยังอีกด้านหนึ่งของแขน) ปรากฏการณ์นี้คล้ายคลึงกับ "คลื่น" ในการเคลื่อนที่ของรถยนต์บนถนนที่ติดขัด เราสามารถมองเห็นแขนดาราจักรได้เนื่องจากความหนาแน่นของสสารสนับสนุนให้เกิดก่อตัวของดาวฤกษ์ ดังนั้นภายในแขนจึงมีดาวฤกษ์ที่สว่างและอายุน้อยเป็นจำนวนมาก ดาราจักรชนิดก้นหอยส่วนใหญ่มักมีแถบของดาวฤกษ์ ลักษณะเหมือนคาน ขยายออกไปจากแกนกลางทั้งสองด้าน คานดังกล่าวไปบรรจบกับโครงสร้างแขนก้นหอยของดาราจักร ตามการจำแนกฮับเบิล ดาราจักรแบบนี้จัดเป็นประเภท SB ตามด้วยตัวอักษรเล็ก (a, b หรือ c) ซึ่งใช้ระบุรูปแบบของแขนก้นหอย (ทำนองเดียวกับการจำแนกประเภทในดาราจักรชนิดก้นหอยทั่วไป) เชื่อว่าคานของดาราจักรเป็นเพียงโครงสร้างชั่วคราวซึ่งอาจเกิดจากคลื่นความหนาแน่นที่แผ่ออกมาจากแกนกลาง หรืออาจเกิดจากอันตรกิริยากับดาราจักรอื่น ดาราจักรชนิดก้นหอยมีคานส่วนมากมีพลัง อันอาจเป็นผลจากการที่แก๊สไหลผ่านแขนก้นหอยเข้าไปสู่แกนกลางของดาราจักร ดาราจักรของเราเป็นดาราจักรขนาดใหญ่ จัดอยู่ในชนิดก้นหอยมีคาน มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 30 กิโลพาร์เซก และหนาประมาณ 1 กิโลพาร์เซก มีดาวฤกษ์อยู่ประมาณ 200,000 ล้านดวง และมีมวลรวมประมาณ 600,000 ล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์ === สัณฐานอื่น ๆ === ดาราจักรแปลก (peculiar galaxy) คือการก่อตัวของดาราจักรที่มีลักษณะผิดปกติอันเนื่องมาจากอันตรกิริยากับดาราจักรอื่น ตัวอย่างเช่น ดาราจักรชนิดวงแหวน ซึ่งมีโครงสร้างของดาวฤกษ์และสสารระหว่างดาวเรียงกันเป็นรูปคล้ายวงแหวนอยู่รอบแกนกลาง เชื่อว่าดาราจักรชนิดวงแหวนเกิดขึ้นจากการที่ดาราจักรขนาดเล็กเคลื่อนที่ผ่านแกนกลางของดาราจักรชนิดก้นหอย เหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นกับดาราจักรแอนดรอเมดาก็ได้ เพราะเมื่อสำรวจในย่านอินฟราเรด พบว่ามีโครงสร้างคล้ายวงแหวนหลายชั้นอยู่รอบดาราจักร ดาราจักรชนิดลูกสะบ้า (lenticular galaxy) เป็นดาราจักรที่มีรูปร่างกึ่ง ๆ ระหว่างดาราจักรรีกับชนิดก้นหอย ในการจำแนกฮับเบิล ดาราจักรชนิดลูกสะบ้าถูกจัดให้อยู่ในประเภท S0 มีแขนก้นหอยจาง ๆ ที่ไม่ชัดเจน และมีดาวฤกษ์รวมตัวกันเป็นทรงรีด้วย (ดาราจักรชนิดลูกสะบ้ามีคาน จัดเป็นดาราจักรประเภท SB0) นอกเหนือจากการจำแนกประเภทของดาราจักรตามที่บรรยายไว้ข้างต้นแล้ว ยังมีดาราจักรอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถจำแนกได้ว่ามีสัณฐานรีหรือเป็นชนิดก้นหอย จึงจำแนกดาราจักรเหล่านี้เป็น "ดาราจักรไร้รูปแบบ" ดาราจักรประเภท Irr-I มีโครงสร้างให้เห็นบ้าง แต่ยังไม่ชัดเจนพอที่จะจำแนกได้ตามระบบของฮับเบิล ส่วนดาราจักรประเภท Irr-II นั้นไม่ปรากฏโครงสร้างใด ๆ เลยเมื่อเทียบกับการจำแนกฮับเบิล และเป็นดาราจักรที่กำลังถูกรบกวนหรือถูกทำลายด้วยแรงโน้มถ่วง ตัวอย่างของดาราจักร (แคระ) ชนิดไร้รูปแบบที่อยู่ใกล้เรา ได้แก่ เมฆแมเจลแลน === ดาราจักรแคระ === แม้ดาราจักรที่โดดเด่นสะดุดตาและเป็นที่รู้จักคือดาราจักรรีและดาราจักรชนิดก้นหอย แต่ดาราจักรส่วนมากในเอกภพเป็นดาราจักรแคระ ดาราจักรขนาดเล็กเหล่านี้มีขนาดเพียงราวหนึ่งในร้อยส่วนของทางช้างเผือกเท่านั้น ดาราจักรแคระประกอบด้วยดาวฤกษ์เพียงไม่กี่พันล้านดวง ยังมีดาราจักรขนาดจิ๋วอีกหลายแห่งที่เพิ่งค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยมีขนาดราว 100 พาร์เซกเท่านั้น ดาราจักรแคระหลายดาราจักรอาจโคจรรอบดาราจักรอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่า ดาราจักรทางช้างเผือกเองมีดาราจักรขนาดเล็กโคจรอยู่รอบ ๆ อย่างน้อยหนึ่งโหล จากจำนวนทั้งหมดที่คาดว่ามีอยู่ราว 300-500 ดาราจักรซึ่งยังค้นไม่พบ ดาราจักรแคระอาจได้รับการจำแนกเป็นดาราจักรรี ก้นหอย หรือไร้รูปแบบก็ได้ แต่ดาราจักรแคระทรงรีมักดูไม่ค่อยเหมือนดาราจักรรีขนาดใหญ่ มันจึงมักถูกเรียกว่าดาราจักรแคระคล้ายทรงกลม (dwarf spheroidal galaxies) == สภาวะความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ == === ดาราจักรอันตรกิริยา === ดาราจักรต่าง ๆ ภายในกระจุกดาราจักร โดยเฉลี่ยอยู่ห่างกันเกินกว่าหนึ่งอันดับของขนาด (order of magnitude) เพียงเล็กน้อย เมื่อวัดจากเส้นผ่านศูนย์กลางของมัน ด้วยเหตุนี้จึงเกิดอันตรกิริยาระหว่างดาราจักรเหล่านี้อยู่เนือง ๆ และมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อวิวัฒนาการของดาราจักร ดาราจักรที่อยู่ใกล้กันมากจะมีอันตรกิริยาระหว่างกันจนทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของรูปร่างอันเนื่องมาจากแรงน้ำขึ้นลง (tide) และอาจมีการแลกเปลี่ยนแก๊สกับฝุ่นระหว่างกันด้วย การชนกันระหว่างดาราจักรเกิดขึ้นเมื่อดาราจักรสองดาราจักรเคลื่อนตัดผ่านกันและกัน และมีโมเมนตัมสัมพัทธ์มากพอที่มันจะไม่รวมตัวเข้าด้วยกัน โดยทั่วไป ดาวฤกษ์ในดาราจักรที่กำลังชนกันจะเคลื่อนผ่านทะลุไปได้โดยไม่เกิดการชนกับดาวดวงอื่น อย่างไรก็ดี แก๊สและฝุ่นในดาราจักรทั้งสองจะมีอันตรกิริยาต่อกัน สสารระหว่างดาวจะถูกรบกวนและบีบอัด ทำให้เกิดการก่อตัวเป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ในจำนวนมหาศาล การชนกันระหว่างดาราจักรทำให้รูปร่างของดาราจักรใดดาราจักรหนึ่งหรือทั้งสองบิดเบี้ยว และอาจทำให้เกิดโครงสร้างรูปคาน วงแหวน หรือคล้ายหางก็ได้ กรณีสุดโต่งของอันตรกิริยาระหว่างดาราจักรคือการรวมตัวเข้าด้วยกัน ในกรณีนี้ โมเมนตัมสัมพัทธ์ของดาราจักรทั้งสองมีไม่มากพอที่จะเคลื่อนผ่านกันไปได้ มันจะค่อย ๆ รวมตัวเข้าด้วยกันกลายเป็นดาราจักรใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม การรวมตัวกันสามารถทำให้สัณฐานของดาราจักรใหม่แตกต่างไปจากเดิม หากดาราจักรหนึ่งมีมวลมากกว่า จะเกิดผลลัพธ์ที่เรียกว่าการกลืน (cannibalism) ดาราจักรที่ใหญ่กว่าแทบไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ส่วนดาราจักรที่เล็กกว่าจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ดาราจักรทางช้างเผือกกำลังอยู่ในกระบวนการนี้เช่นกัน โดยที่มันกำลังกลืนดาราจักรรีแคระคนยิงธนูกับดาราจักรแคระหมาใหญ่ === ดาวกระจาย === ดาวฤกษ์ก่อกำเนิดขึ้นในดาราจักรได้โดยการจับกลุ่มกันของแก๊สเย็นที่รวมตัวเป็นเมฆโมเลกุลขนาดยักษ์ บางดาราจักรมีการก่อเกิดดาวฤกษ์ใหม่ในอัตราสูงมากที่เรียกว่า "ดาวกระจาย (starburst)" หากมันยังคงสภาพเช่นนั้น มันจะใช้แก๊สที่มีอยู่หมดไปภายในเวลาน้อยกว่าช่วงชีวิตของดาราจักร ดังนั้นช่วงที่เกิดดาวกระจายจึงมักใช้เวลานานเพียงประมาณสิบล้านปี ซึ่งนับว่าสั้นมากเมื่อเทียบกับอายุของดาราจักร ดาราจักรชนิดดาวกระจายสามารถพบได้เป็นปกติในยุคแรก ๆ ของเอกภพ ปัจจุบันยังคงมีสภาวะดังกล่าวอยู่ คิดเป็นสัดส่วนราว 15% ของอัตราการผลิตดาวทั้งหมด ดาราจักรชนิดดาวกระจายประกอบไปด้วยฝุ่นแก๊สที่รวมกันอยู่หนาแน่น เกิดดาวฤกษ์ใหม่จำนวนมาก รวมไปถึงดาวฤกษ์มวลสูงที่ทำให้เมฆหมอกของแก๊สที่อยู่โดยรอบแตกตัวเป็นไอออนจนก่อตัวเป็นบริเวณเอช 2 (H II region) ดาวฤกษ์มวลสูงเหล่านี้ยังอาจระเบิดเป็นซูเปอร์โนวา ทำให้เกิดซากซูเปอร์โนวาที่แผ่ขยายออกไปจนทำอันตรกิริยาต่อแก๊สรอบ ๆ การก่อเกิดดาวเช่นนี้จุดชนวนทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ มีการก่อกำเนิดดาวใหม่จำนวนมากทั่วไปหมดทั้งกลุ่มแก๊ส เมื่อแก๊สถูกนำไปใช้หรือกระจายออกไปจนเกือบหมด การก่อเกิดดาวจึงยุติลง ปรากฏการณ์ดาวกระจายมักเกี่ยวข้องกับการรวมตัวกันหรืออันตรกิริยาระหว่างดาราจักร M82 เป็นตัวอย่างต้นแบบของปรากฏการณ์นี้ ซึ่งมันได้เคลื่อนเข้าใกล้ดาราจักร M81 ที่มีขนาดใหญ่กว่า เรามักพบบริเวณที่มีการก่อเกิดดาวใหม่ในดาราจักรไร้รูปแบบอีกด้วย === นิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์ === ดาราจักรจำนวนหนึ่งที่สังเกตพบ ได้รับการจำแนกเป็นดาราจักรกัมมันต์ กล่าวคือ ส่วนใหญ่ของพลังงานที่ปล่อยออกมาทั้งหมด มีกำเนิดมาจากแหล่งพลังงานอื่นนอกเหนือจากดาวฤกษ์ ฝุ่น และสสารระหว่างดาว รูปแบบมาตรฐานของนิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์คือการมีจานพอกพูนมวลรอบหลุมดำมวลยวดยิ่ง (supermassive black hole : SMBH) ที่แกนกลางของดาราจักร การแผ่รังสีจากนิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์เป็นผลจากพลังงานโน้มถ่วงของสสารในจานขณะตกลงไปในหลุมดำ ประมาณ 10% ของวัตถุเหล่านี้ มีลำพลังงานสองลำซึ่งปลดปล่อยอนุภาคออกจากแกนกลางในทิศทางตรงข้ามกันด้วยความเร็วใกล้ความเร็วแสง กลไกที่ทำให้เกิดลำพลังงานนี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจดีนัก ดาราจักรกัมมันต์ที่แผ่รังสีพลังงานสูงในรูปของรังสีเอกซ์ ได้รับการจำแนกเป็นดาราจักรซีย์เฟิร์ต (Seyfert galaxy) หรือเควซาร์ (quasar) ขึ้นอยู่กับสภาพส่องสว่าง ส่วนเบลซาร์ (blazar) เชื่อว่าเป็นดาราจักรกัมมันต์ที่มีลำพลังงานชี้มายังโลก ดาราจักรวิทยุจะแผ่คลื่นวิทยุออกมาพร้อมกับลำพลังงาน แบบจำลองหนึ่งเดียวของดาราจักรกัมมันต์เหล่านี้แสดงถึงความแตกต่างอันเนื่องมาจากมุมมองของผู้สังเกตการณ์ สิ่งที่อาจเกี่ยวข้องกับนิวเคลียสดาราจักรกัมมันต์ (รวมไปถึงดาวกระจาย) คือ ไลเนอร์ (low-ionization nuclear emission-line regions : LINERs) แสงที่เปล่งออกมาจากดาราจักรประเภทนี้ ส่วนใหญ่เป็นธาตุที่แตกตัวเป็นไอออนในระดับต่ำ ประมาณหนึ่งในสามของดาราจักรที่อยู่ใกล้เรามีไลเนอร์ในนิวเคลียส == กำเนิดและวิวัฒนาการของดาราจักร == การศึกษาเรื่องกำเนิดและวิวัฒนาการของดาราจักรเป็นไปเพื่อพยายามตอบคำถามว่าดาราจักรเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างตลอดช่วงประวัติศาสตร์ของเอกภพ บางทฤษฎีเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายแล้ว แต่ก็ยังมีความเคลื่อนไหวใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอในแวดวงฟิสิกส์ดาราศาสตร์ === การก่อกำเนิด === แบบจำลองด้านจักรวาลวิทยาในปัจจุบันที่ใช้อธิบายเอกภพในยุคเริ่มต้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีบิกแบง เชื่อว่าประมาณ 300,000 ปีหลังจากเหตุการณ์นั้น อะตอมของไฮโดรเจนและฮีเลียมได้เริ่มก่อตัว เป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า recombination ไฮโดรเจนเกือบทั้งหมดมีสภาวะเป็นกลาง (ไม่มีประจุ) และดูดซับแสงไว้ ยังไม่มีดาวฤกษ์ใด ๆ ก่อตัวขึ้น ผลจากเหตุการณ์นั้นเกิดเป็นยุคที่เรียกว่า "ยุคมืด" (Dark Ages) ผลจากการผันผวนของความหนาแน่น (หรือความไม่แน่นอนทางแอนไอโซทรอปี) ภายในสสารยุคเริ่มต้นทำให้เกิดโครงสร้างขนาดใหญ่ขึ้นในเอกภพ มวลของสสารแบริออนเริ่มควบแน่นภายในสสารมืดที่มีอุณหภูมิต่ำ การรวมตัวของโครงสร้างในยุคเริ่มต้นนี้น่าจะทำให้เกิดเป็นดาราจักรดังที่เราเห็นในปัจจุบัน หลักฐานที่แสดงถึงดาราจักรยุคแรก ๆ ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 2006 เมื่อมีการค้นพบ IOK-1 ว่ามีค่าการเลื่อนไปทางแดงสูงอย่างผิดปกติถึง 6.96 สอดคล้องกับช่วงเวลา 750 ล้านปีหลังบิกแบง ทำให้มันเป็นดาราจักรที่ไกลที่สุดและอายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยพบมา นักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งยังอ้างถึงวัตถุอื่น (เช่น Abell 1835 IR1916) ว่ามีการเลื่อนไปทางแดงสูงกว่า (จึงย้อนไปในอดีตของเอกภพได้ไกลกว่า) แต่อายุและองค์ประกอบของ IOK-1 ก็เป็นที่น่าเชื่อถือมากกว่า การมีอยู่ของดาราจักรก่อนเกิด (protogalaxy) ชี้ให้เห็นว่ามันจะต้องเกิดขึ้นใน "ยุคมืด" ของเอกภพ รายละเอียดของกระบวนการในช่วงการก่อเกิดดาราจักรในยุคแรกของเอกภพ นับเป็นหัวข้อถกเถียงหลักในแวดวงดาราศาสตร์ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มจากบนลงล่างและกลุ่มจากล่างขึ้นบน ทฤษฎีของกลุ่มจากบนลงล่าง (เช่น แบบจำลองเอกเกน-ลินเดน-เบลล์-แซนเดจ (Eggen–Lynden-Bell–Sandage : ELS)) เสนอว่าดาราจักรก่อนเกิดก่อตัวด้วยกระบวนการยุบตัวในระดับที่ใหญ่มากพร้อม ๆ กัน โดยใช้เวลายาวนานราวหนึ่งร้อยล้านปี ส่วนทฤษฎีของกลุ่มจากล่างขึ้นบน (เช่นแบบจำลองแซล-ซินน์ (Searle-Zinn : SZ) เสนอว่า มีการก่อตัวของโครงสร้างขนาดเล็ก เช่น กระจุกดาวทรงกลม ขึ้นก่อน จากนั้นโครงสร้างเล็ก ๆ เหล่านี้จึงพอกพูนกันกลายเป็นดาราจักรขนาดใหญ่ขึ้น ทฤษฎีสมัยใหม่จะต้องพยายามอธิบายถึงการมีอยู่ของสสารมืดซึ่งค่อนข้างแน่ชัดว่ามีอยู่จริง ทันทีที่ดาราจักรก่อนเกิดเริ่มก่อตัวขึ้นและหดตัวลง ดาวกลุ่มแรก (เรียกว่า ดารากร 3) ก็เริ่มเกิดขึ้นภายใน ดาวฤกษ์เหล่านี้มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจนและฮีเลียมเกือบทั้งหมด และอาจมีมวลสูงมาก ดังนั้นจึงเผาผลาญเชื้อเพลิงอย่างรวดเร็วและกลายเป็นซูเปอร์โนวา ปลดปล่อยธาตุหนักออกไปสู่สสารระหว่างดาว ดาวฤกษ์รุ่นแรกสุดนี้ทำให้เกิดประจุขึ้นอีกครั้งกับไฮโดรเจนที่เป็นกลางซึ่งอยู่ในบริเวณโดยรอบ และทำให้ฟองของอวกาศขยายตัวขึ้นขณะที่แสงก็สามารถออกเดินทางได้แล้ว === วิวัฒนาการ === ในเวลาหนึ่งพันล้านปีของการก่อตัวของดาราจักร โครงสร้างหลัก ได้แก่ กระจุกดาวทรงกลม หลุมดำมวลยวดยิ่งที่ศูนย์กลาง และดุมดาราจักรอันประกอบด้วยดารากร 3 ซึ่งมีโลหะอยู่น้อยก็เริ่มปรากฏขึ้น การกำเนิดของหลุมดำมวลยวดยิ่งดูเหมือนจะมีบทบาทสำคัญมากต่อวิธีการเติบโตของดาราจักร มันจำกัดปริมาณสสารโดยรวมที่เพิ่มเข้าไปในดาราจักร ในยุคแรกนี้ ดาราจักรทั้งหลายต่างผ่านกระบวนการดาวกระจายซึ่งเป็นการก่อตัวของดาวฤกษ์ครั้งใหญ่ สองพันล้านปีต่อมา สสารต่าง ๆ ก็เริ่มกลายเป็นจานดาราจักร ดาราจักรจะยังดึงดูดสสารต่าง ๆ จากเมฆที่เคลื่อนด้วยความเร็วสูงและดาราจักรแคระเข้าสู่ตัวมันอยู่ตลอดอายุขัย สสารเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นไฮโดรเจนและฮีเลียม วงจรการเกิดและแตกดับของดาวฤกษ์ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณธาตุหนักขึ้นอย่างช้า ๆ ซึ่งต่อมาก่อให้เกิดดาวเคราะห์ในท้ายที่สุด อันตรกิริยาและการชนกันระหว่างดาราจักร สามารถส่งผลต่อวิวัฒนาการของดาราจักรได้อย่างมาก การรวมตัวกันของดาราจักรพบได้เป็นปกติในยุคแรกของเอกภพ และดาราจักรส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่มีสัณฐานที่แปลกประหลาดพิสดาร ด้วยระยะห่างระหว่างดาวซึ่งไกลมาก ทำให้ดาวส่วนมากไม่ได้รับผลกระทบจากการชนกันของดาราจักร อย่างไรก็ตาม ผลจากแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อแก๊สและฝุ่นระหว่างดาวอันเป็นส่วนประกอบแขนก้นหอยของดาราจักร ก็ทำให้เกิดขบวนดาวฤกษ์จำนวนมากเรียกว่า "tidal tails" ตัวอย่างของการก่อตัวในลักษณะนี้พบได้ใน NGC 4676 หรือดาราจักรหนวดแมลง ดาราจักรทางช้างเผือกกับดาราจักรแอนดรอเมดาที่อยู่ใกล้เคียง กำลังเคลื่อนที่เข้าหากันด้วยอัตราเร็วประมาณ 130 กิโลเมตรต่อวินาที และอาจชนกันภายในเวลา 5-6 พันล้านปีข้างหน้า แม้ว่าดาราจักรทางช้างเผือกยังไม่เคยรวมตัวเข้ากับดาราจักรขนาดใหญ่เช่นแอนดรอเมดามาก่อน แต่ก็พบหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่าทางช้างเผือกเคยชนกับบรรดาดาราจักรแคระที่มีขนาดเล็กกว่า อันตรกิริยาระหว่างวัตถุอวกาศขนาดใหญ่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ยิ่งเวลาผ่านไป การรวมกันของระบบดาวที่มีขนาดพอ ๆ กันยิ่งพบเห็นได้ยากขึ้น ดาราจักรสว่างส่วนมากยังคงสภาพเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลงนานหลายพันล้านปีมาแล้ว และอัตราการเกิดดาวฤกษ์ก็อาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้วเมื่อราวหนึ่งหมื่นล้านปีก่อน === แนวโน้มในอนาคต === ปัจจุบันยังคงมีการก่อเกิดดาวฤกษ์ใหม่ในดาราจักรขนาดเล็กที่แก๊สเย็นยังไม่สลายไปจนหมด ดาราจักรชนิดก้นหอยเช่นทางช้างเผือก สามารถสร้างดาวฤกษ์ใหม่นานตราบเท่าที่มันยังมีเมฆโมเลกุลหนาแน่นของไฮโดรเจนระหว่างดาวอยู่ภายในแขนก้นหอย ดาราจักรรีไม่มีแก๊สเหล่านั้นจึงไม่สามารถสร้างดาวฤกษ์ใหม่ ๆ ได้อีก แหล่งกำเนิดสสารที่จำเป็นต่อการกำเนิดดาวฤกษ์นั้นมีจำกัด เมื่อดาวฤกษ์ได้แปลงไฮโดรเจนเหล่านั้นไปเป็นธาตุหนักแล้ว การกำเนิดดาวใหม่ก็เป็นอันสิ้นสุด ยุคแห่งการก่อตัวของดาวฤกษ์ในปัจจุบันคาดว่าจะดำเนินต่อไปอีกเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งแสนล้านปี จากนั้น "ยุคดาว" จะค่อย ๆ เสื่อมลงในเวลาราว 10-100 ล้านล้านปี เมื่อดาวฤกษ์ที่เล็กที่สุดและมีชีวิตยาวนานที่สุดในห้วงอวกาศของเรา คือดาวแคระแดง เริ่มจางหายไป ในตอนปลายของยุคดาว ดาราจักรจะประกอบไปด้วยวัตถุที่มีมวลอัดแน่น เช่นดาวแคระน้ำตาล ดาวแคระขาวที่กำลังเย็นลง ("ดาวแคระดำ") ดาวนิวตรอน และหลุมดำ เมื่อนั้นผลจากความโน้มถ่วงที่เริ่มคลายลงจะทำให้ดาวฤกษ์ทั้งหลายตกลงสู่ใจกลางหลุมดำมวลยวดยิ่ง หรือมิฉะนั้นก็ถูกเหวี่ยงออกไปสู่ห้วงอวกาศระหว่างดาราจักรอันเป็นผลจากการชนกัน == โครงสร้างที่ใหญ่กว่า == การสำรวจอวกาศห้วงลึกแสดงว่าดาราจักรมักอยู่ใกล้กัน พบดาราจักรที่อยู่ลำพัง ไม่มีอันตรกิริยากับดาราจักรขนาดใกล้เคียงกันตลอดช่วงหนึ่งพันล้านปีที่ผ่านมาได้น้อยมาก มีเพียง 5% ของดาราจักรที่ได้สำรวจแล้วเท่านั้นที่ปรากฏว่าเป็นดาราจักรโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง อย่างไรก็ดี ดาราจักรเดี่ยวเหล่านี้อาจเคยมีอันตรกิริยาหรือแม้กระทั่งรวมตัวกันกับดาราจักรอื่นมาแล้วในอดีต บ้างก็อาจมีดาราจักรขนาดเล็กโคจรอยู่โดยรอบ ดาราจักรเดี่ยวสามารถก่อกำเนิดดาวฤกษ์ใหม่ได้ในอัตราที่สูงกว่าปกติ เพราะแก๊สของมันไม่ได้ถูกดึงดูดออกไปโดยดาราจักรข้างเคียง ในภาพกว้าง เอกภพยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้แต่ละดาราจักรมีระยะทางเฉลี่ยห่างออกจากกันมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ (ดู กฎของฮับเบิล) แรงโน้มถ่วงดึงดูดซึ่งกันและกัน ทำให้การรวมตัวกันของดาราจักรในระดับท้องถิ่น สามารถเอาชนะการขยายตัวของเอกภพได้ การรวมกลุ่มกันของดาราจักรเกิดขึ้นนานแล้วนับแต่ยุคต้นของเอกภพ เมื่อกลุ่มของสสารมืดดึงดูดดาราจักรเข้าหากัน กลุ่มที่อยู่ข้างเคียงก็รวมตัวกันเป็นกระจุกซึ่งมีโครงสร้างใหญ่ขึ้น การรวมตัวกันเช่นนี้ทำให้แก๊สระหว่างดาราจักรที่อยู่ในกระจุกเดียวกันมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก อาจสูงถึง 30-100 ล้านเคลวิน ประมาณ 70-80% ของมวลในแต่ละกระจุกอยู่ในรูปของสสารมืด อีก 10-30% เป็นแก๊สร้อน สสารอีกเล็กน้อยไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ อยู่ในรูปของดาราจักร ดาราจักรส่วนใหญ่ในเอกภพถูกยึดไว้ด้วยแรงโน้มถ่วงกับกลุ่มดาราจักรอื่นอีกจำนวนหนึ่ง ก่อให้เกิดโครงสร้างคล้ายแฟร็กทัลภายในกระจุกดาราจักร ระดับที่เล็กที่สุดของการรวมตัวกันเรียกว่ากลุ่มดาราจักร กลุ่มดาราจักรเป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุดของกระจุกดาราจักร และเป็นการรวมตัวกันของดาราจักรที่พบได้มากที่สุดในเอกภพ การที่ดาราจักรดึงดูดกันและกันอยู่ได้นั้น ดาราจักรสมาชิกจะต้องมีความเร็วต่ำเพียงพอที่จะไม่หลุดหนีไป ทว่าหากมีพลังงานจลน์ไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้จำนวนสมาชิกในกลุ่มลดน้อยลงเนื่องจากเกิดการรวมเข้าด้วยกัน โครงสร้างที่ใหญ่กว่ากลุ่มดาราจักรเรียกว่ากระจุกดาราจักร (cluster) ประกอบด้วยดาราจักรนับพันรวมกลุ่มกันภายในพื้นที่เพียงไม่กี่เมกะพาร์เซก กระจุกดาราจักรมักมีดาราจักรรีขนาดยักษ์อยู่หนึ่งดาราจักร เรียกว่าดาราจักรสว่างที่สุดในกระจุก (brightest cluster galaxy: BCG) เมื่อเวลาผ่านไป แรงไทดัลจะค่อย ๆ ฉีกทำลายดาราจักรบริวาร แล้วรวมดาราจักรเหล่านั้นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมัน กลุ่มกระจุกดาราจักร (supercluster) ประกอบไปด้วยดาราจักรจำนวนหลายหมื่น พบรวมตัวกันอยู่เป็นกระจุก เป็นกลุ่ม หรือบางครั้งก็อยู่เดี่ยว ๆ ในระดับนี้ดาราจักรจะวางตัวเป็นแผ่น (sheet) และเส้นใย (filament) ล้อมรอบที่ว่างอันกว้างใหญ่ไพศาล เหนือขึ้นไปจากโครงสร้างนี้ เอกภพจะมีลักษณะเป็นไอโซทรอปีและเป็นเนื้อเดียวกัน ดาราจักรทางช้างเผือกเป็นสมาชิกอยู่ในโครงสร้างที่เรียกว่า "กลุ่มท้องถิ่น" (Local Group) ซึ่งจัดว่าเป็นกลุ่มดาราจักรขนาดเล็ก มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมกะพาร์เซก ทางช้างเผือกกับดาราจักรแอนดรอเมดาเป็นดาราจักรที่สว่างที่สุดในกลุ่มนี้ ส่วนสมาชิกอื่น ๆ เป็นดาราจักรแคระที่อยู่รอบดาราจักรทั้งสอง กลุ่มท้องถิ่นยังเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มกระจุกดาราจักรหญิงสาว ซึ่งประกอบขึ้นจากกลุ่มและกระจุกดาราจักรจำนวนมากโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กระจุกดาราจักรหญิงสาว == การสังเกตการณ์ในหลายความยาวคลื่น == หลังการค้นพบดาราจักรอื่นนอกเหนือจากทางช้างเผือก การสังเกตการณ์ในยุคแรก ๆ อาศัยเพียงการสังเกตในแสงที่ตามองเห็น ซึ่งดาวฤกษ์แผ่รังสีในย่านนี้ออกมามากที่สุด การสังเกตการณ์ดาวฤกษ์ที่รวมตัวกันเป็นดาราจักรจึงเป็นส่วนประกอบสำคัญในวิชาดาราศาสตร์เชิงแสง มันเป็นย่านสเปกตรัมที่เหมาะที่สุดในการสังเกตการณ์บริเวณเอช 2 และยังเหมาะสำหรับการตรวจสอบการกระจายตัวของฝุ่นในแขนดาราจักร ความทึบแสงของฝุ่นที่อยู่ในสสารระหว่างดาวทำให้การสังเกตในแสงที่ตามองเห็นทำไม่ได้ นักดาราศาสตร์จึงอาศัยการสังเกตในย่านอินฟราเรดไกลซึ่งสามารถทะลุผ่านฝุ่นระหว่างดาวออกไปได้ค่อนข้างดี การสังเกตในย่านนี้ทำได้อย่างละเอียดสำหรับการสำรวจบริเวณด้านในของเมฆโมเลกุลขนาดยักษ์และแกนกลางของดาราจักร นักดาราศาสตร์ใช้อินฟราเรดในการสังเกตดาราจักรที่อยู่ห่างไกลมากซึ่งมีการเลื่อนไปทางแดงสูง และก่อตัวในช่วงต้นของประวัติศาสตร์เอกภพ แต่การที่ไอน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศของโลกดูดซับบางส่วนของอินฟราเรดไว้ จึงจำเป็นต้องติดตั้งกล้องโทรทรรศน์บนที่สูงหรือในอวกาศ การศึกษาดาราจักรที่มองไม่เห็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาราจักรกัมมันต์ กระทำโดยใช้คลื่นวิทยุ ซึ่งความถี่วิทยุระดับ 5-30 เมกะเฮิรตซ์ สามารถผ่านชั้นบรรยากาศของโลกได้ (ไอโอโนสเฟียร์ปิดกั้นสัญญาณที่มีความถี่ต่ำกว่านี้) อินเตอร์ฟีรอมิเตอร์วิทยุ (radio interferometer) ขนาดใหญ่ถูกนำมาใช้ในการทำแผนที่ลำพลังงานที่เปล่งออกมาจากนิวเคลียสของดาราจักร กล้องโทรทรรศน์วิทยุก็สามารถนำมาใช้ในการสังเกตไฮโดรเจนที่เป็นกลาง (โดยตรวจการแผ่รังสีที่ 21 ซม.) รวมถึงสสารที่ไม่แตกตัวเป็นไอออนในยุคต้นของเอกภพซึ่งต่อมาได้ยุบตัวเป็นดาราจักร กล้องโทรทรรศน์รังสีเอกซ์และอัลตราไวโอเลต สามารถตรวจสอบปรากฏการณ์ดาราจักรที่ปลดปล่อยพลังงานสูงมาก ๆ ได้ เช่นกรณีที่ดาวฤกษ์ในดาราจักรห่างไกลถูกฉีกออกด้วยแรงโน้มถ่วงของหลุมดำ ซึ่งทำให้เกิดการส่องสว่างของอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ก็ช่วยในการทำแผนที่การกระจายตัวของแก๊สร้อนในกระจุกดาราจักร นอกจากนี้ การมีอยู่ของหลุมดำมวลยวดยิ่งที่แกนกลางดาราจักรก็สามารถยืนยันได้ด้วยดาราศาสตร์รังสีเอกซ์ == ดูเพิ่ม == เนบิวลา รายชื่อดาราจักร == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == กลุ่มของดาราจักร ดาราจักรแอนดรอเมดา แผนที่ของเอกภพ ดาราจักร - ข้อมูลและการสังเกตการณ์สำหรับมือสมัครเล่น ดาราจักรที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบ โครงสร้างขนาดใหญ่ในเอกภพ
thaiwikipedia
1,718
10 พฤษภาคม
วันที่ 10 พฤษภาคม เป็นวันที่ 130 ของปี (วันที่ 131 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 235 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2046 (ค.ศ. 1503) - คริสตอเฟอร์ โคลัมบัส และลูกเรือ เป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เดินทางไปถึงหมู่เกาะเคย์แมน ในทะเลแคริบเบียน พ.ศ. 2317 (ค.ศ. 1774) - พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส เสด็จขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869) - ระบบทางรถไฟข้ามทวีปสายแรกของทวีปอเมริกาเหนือ เสร็จสมบูรณ์ พ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910) - ตั้งเมืองแม่ฮ่องสอน พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) - นาซีเยอรมันเผาทำลายหนังสือจำนวนมากที่เขียนโดยยิว พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - สงครามโลกครั้งที่สอง : * นายกรัฐมนตรี เนวิล เชมเบอร์ลิน แห่งสหราชอาณาจักร ประกาศลาออก และเสนอให้ วินสตัน เชอร์ชิล สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา * เยอรมันโจมตีเนเธอร์แลนด์ พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - สงครามโลกครั้งที่สอง: รูดอล์ฟ เฮสส์ ผู้นำนาซี โดดร่มลงในสกอตแลนด์ โดยอ้างว่ามาในภารกิจเพื่อสันติภาพ พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) - ทหารญี่ปุ่นที่เววักยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ เตรียมก่อสร้างเขื่อนอุบลรัตน์ พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ จ.นครปฐม ทำให้คนงานที่ส่วนใหญ่เป็นสตรี เสียชีวิต 188 คน พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - เนลสัน แมนเดลา เป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของแอฟริกาใต้ พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - พายุพัดรุนแรงบริเวณใกล้ยอดเขาเอเวอเรสต์ ทำให้นักปีนเขา 8 คน เสียชีวิต พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - เกิดแผ่นดินไหว ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิหร่าน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2,400 คน == วันเกิด == พ.ศ. 2401 (ค.ศ. 1858) - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากาพย์กนกรัตน์ (สิ้นพระชนม์ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2422) พ.ศ. 2404 (ค.ศ. 1861) - สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี (สิ้นพระชนม์ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2470) พ.ศ. 2434 (ค.ศ. 1894) - พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) (เสียชีวิตเมื่อ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2476) พ.ศ. 2442 (ค.ศ. 1899) - เฟรด แอสแตร์ นักแสดงภาพยนตร์ชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 22 มิถุนายน พ.ศ. 2530) พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920) - กรุณา กุศลาสัย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2546 (ถึงแก่กรรม 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552) พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - หม่อมเจ้าวิสาขะ ยุคล พระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร (สิ้นชีพิตักษัย 31 มีนาคม พ.ศ. 2527) พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) - ฟืร์นังดู ปือไรรา ช่างภาพอิสระชาวดัตช์ (เสียชีวิต 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2528) พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) - ริชาร์ด พิทท์แมน นักมวยสากลชาวนิวซีแลนด์ พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) - นฤพนธ์ ไชยยศ พิธีกร, นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - * กษาปณ์ จำปาดิบ นักร้องและนักแสดงชาวไทย * แด็นนิส แบร์คกัมป์ นักฟุตบอลชาวฮอลแลนด์ พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - จิรศักดิ์ ปานพุ่ม นักร้องชาวไทย พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) - คิม จ็อง-นัม พี่ชายต่างมารดาของคิม จ็อง-อึน ผู้นำประเทศเกาหลีเหนือ (ถึงแก่กรรม 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560) พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - รึชทือ เรชแบร์ อดีตนักฟุตบอลชาวตุรกี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - ลี ฮโยริ นักร้องและนักแสดงชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - พิศาล ดอกไม้แก้ว นักฟุตบอลชาวไทย พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - * คณิน บัดติยา นักแสดงและพิธีกรชาวไทย * เอมีลีโอ อีซากีร์เร นักฟุตบอลชาวฮอนดูรัส พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - แอดัม ลัลลานา นักฟุตบอลชาวอังกฤษ พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - * ชารีซ เพ็มเพ็งโค นักร้องชาวฟิลิปปินส์ * นานะ นิโนมิยะ นักแสดงเอวีชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - * กัญญฉัตร ฝนมณี นักแสดงและพิธีกรรายการสตอเบอรี่ชีสเค้ก * พชร จิราธิวัฒน์ นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - ธีรวัฒน์ คลังทอง นักคาราเต้ชาวไทย พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - * ภัทร เอกแสงกุล นักแสดงชาวไทย * ฮิเดมาซะ โมริตะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - * มุไคดะ มานัตสึ อดีตสมาชิกวง SKE48 * ลูกัส มาร์ติเนซ กัวร์ตา นักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - ริชาร์ลีซง นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - แพ จิน-ย็อง นักร้องชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) - เจ้าชายชาลส์แห่งลักเซมเบิร์ก (ประสูติ พ.ศ. 2563) == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2317 (ค.ศ. 1774) - พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส (พระราชสมภพ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2252) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963), พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968), พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976), พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984), พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991), พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995), พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007), พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) - วันพืชมงคล พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998), พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) - วันวิสาขบูชา วันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติในประเทศไทย == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day พฤษภาคม 10 พฤษภาคม
thaiwikipedia
1,719
รายชื่อหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย
รายชื่อหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย == หนังสือพิมพ์ทั่วไป == === รายวัน === ไทยรัฐ - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดของประเทศ เดลินิวส์ - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เจ้าของเดียวกับกิจการโรงพิมพ์ประชาช่าง และผู้แทนจำหน่ายนมเปรี้ยวยาคูลท์ในประเทศไทย แนวหน้า - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน มีวารินทร์ และผาณิต พูนศิริวงศ์ เป็นผู้บริหาร (เว็บไซต์) ข่าวสด - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน ในเครือมติชน ผู้จัดการรายวัน 360 องศา - เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวธุรกิจ และการเมือง ในเครือผู้จัดการ มติชน - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน ในเครือมติชน สยามรัฐ - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน ที่มีอายุยาวนานที่สุด ซึ่งยังวางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน ไทยโพสต์ - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน มีเปลว สีเงิน และ อ้วน อรชร == หนังสือพิมพ์ธุรกิจ == === รายวัน === กรุงเทพธุรกิจ - หนังสือพิมพ์เศรษฐกิจธุรกิจภาษาไทยรายวัน ในเครือเนชั่น ผู้จัดการรายวัน 360 องศา - เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวธุรกิจ และการเมือง ในเครือผู้จัดการ ข่าวหุ้น - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน นำเสนอความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (เว็บไซต์) เป็นหนังสือพิมพ์หุ้นรายวัน จันทร์-ศุกร์ จับตาความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีทั้งหมด 32 หน้า ปัจจุบัน อายุ 28 ปี รายละเอียดดังนี้ * หน้า 1 ข่าวหน้า 1 * หน้า 2 คอลัมน์ * หน้า 3 โฆษณา * หน้า 4 คอลัมน์ * หน้า 5 ตลาดทุน * หน้า 6 ตารางข้อมูล * หน้า 7~11 บริษัทจดทะเบียน * หน้า 12 เศรษฐกิจต่างประเทศ * หน้า 13 การเมือง-เศรษฐกิจ * หน้า 14 ข่าว * หน้า 15 ตลาดทุน * หน้า 16 ตลาดทุน * หน้า 17 ประกาศ * หน้า 18 ประกาศ-หุ้น * หน้า 19~26 หุ้น * หน้า 27~29 ต่อข่าว * หน้า 30 การเงิน-กองทุนรวม-ประกัน * หน้า 31 การเงิน-อนุพันธ์-การคลัง * หน้า 32 การเงิน-การคลัง ทันหุ้น - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน นำเสนอความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (เว็บไซต์) === รายสามวัน === ฐานเศรษฐกิจ - เป็นหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจธุรกิจภาษาไทยรายสามวัน ในเครือเนชั่น ประชาชาติธุรกิจ - เป็นหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจธุรกิจภาษาไทยรายสามวัน ในเครือมติชน === รายสัปดาห์ === สยามธุรกิจ เป็นหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจธุรกิจภาษาไทยรายสัปดาห์ ดอกเบี้ยธุรกิจ - หนังสือพิมพ์เศรษฐกิจธุรกิจภาษาไทยรายสัปดาห์ (เว็บไซต์) === รายปักษ์ === ตลาดวิเคราะห์ - เป็นหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจธุรกิจภาษาไทยรายปักษ์ โดย บริษัท เมคกิ้งส์ มีเดีย จำกัด == หนังสือพิมพ์กีฬา == สยามกีฬารายวัน - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวกีฬา ในเครือสยามสปอร์ต สตาร์ซอคเก้อร์รายวัน - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวฟุตบอล โดยเฉพาะฟุตบอลยุโรป ในเครือสยามสปอร์ต สปอร์ตพูล - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวฟุตบอลและอัตราต่อรอง โดยเฉพาะลีกหลักฟุตบอลยุโรป ในเครือสยามสปอร์ต สปอร์ตแมน - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวฟุตบอล และอัตราต่อรองฟุตบอลทั่วโลก ในเครือสยามสปอร์ต ฟุตบอลพูลฉบับตลาดลูกหนัง - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวฟุตบอลและอัตราต่อรอง โดยเฉพาะลีกรองฟุตบอลยุโรป ในเครือสยามสปอร์ต มวยสยาม มวยเด็ด == หนังสือพิมพ์บันเทิง == สยามบันเทิง == หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ == บางกอกโพสต์ (Bangkok Post) - หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษรายวัน ที่จำหน่ายในประเทศไทย ในเครือโพสต์พับลิชชิง เดอะเนชั่น (The Nation) - หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษรายวัน ที่จำหน่ายในประเทศไทย ในเครือเนชั่น == หนังสือพิมพ์ภาษาจีน == ซิงเสียนเยอะเป้า (星暹日报) - หนังสือพิมพ์ภาษาจีนรายวันที่มียอดคนอ่านมากที่สุดในประเทศไทย (เว็บไซต์) จีนสากล (世界日報) - หนังสือพิมพ์ภาษาจีนรายวัน ที่จำหน่ายในประเทศไทย (เว็บไซต์) ตงฮั้วยิดเป้า (中華日報) - หนังสือพิมพ์ภาษาจีนรายวัน ที่จำหน่ายในประเทศไทย (เว็บไซต์) เกียฮั้วตงง้วน(ศิรินคร) (京華中原聯合日報) - หนังสือพิมพ์ภาษาจีนรายวัน ที่จำหน่ายในประเทศไทย (เว็บไซต์) ซิงจงเอี๋ยน (新中原報) - หนังสือพิมพ์ภาษาจีนรายวัน ที่จำหน่ายในประเทศไทย เอเชียนิวส์ไทม์ (亞洲日報) - หนังสือพิมพ์ภาษาจีนรายวัน ที่จำหน่ายในประเทศไทย (เว็บไซต์) == หนังสือพิมพ์ภาษาญี่ปุ่น == บางกอก ชูโฮ (Bangkok Shuho - バンコク週報) - หนังสือพิมพ์ภาษาญี่ปุ่นรายสัปดาห์ ที่จำหน่ายในประเทศไทย โดยยุติการตีพิมพ์ในรูปแบบกระดาษในเดือนมีนาคม 2561 (เว็บไซต์) นิวส์คลิป (Newsclip) - หนังสือพิมพ์ภาษาญี่ปุ่นรายสัปดาห์ ที่จำหน่ายในประเทศไทย (เว็บไซต์) == หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น == บรรพตนิวส์ - หนังสือพิมพ์รายปักษ์ของภาคกลาง ในจังหวัดนครสวรรค์ พุทธสาสนา - หนังสือพิมพ์รายสามเดือน เสนอบทความทางพระพุทธศาสนา ก่อตั้งโดยพระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ) ไทยนิวส์ - หนังสือพิมพ์รายวันของภาคเหนือ ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงใหม่นิวส์ - หนังสือพิมพ์รายวันของภาคเหนือ ในจังหวัดเชียงใหม่ โคราชคนอีสาน - หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในจังหวัดนครราชสีมา โฟกัสภาคใต้ - หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ของภาคใต้ ในจังหวัดสงขลากรุงเทพ สมิหลาไทมส์ - หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ของภาคใต้ ในจังหวัดสงขลา ทางไท - หนังสือพิมพ์รายปักษ์ของภาคใต้ ในจังหวัดสงขลา นิวส์ทูเดย์ - หนังสือพิมพ์รายวันของภาคกลาง ในกรุงเทพ ลำปางทูเดย์- หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ของภาคเหนือ ในจังหวัดลำปาง เอสเอ็มอี บัญชี นิวส์ - หนังสือพิมพ์รายวันของภาคกลาง ในกรุงเทพ เอ็กเซ็กคิวทีฟ-หนังสือพิมพ์รายเดือนของจังหวัดนครราชสีมา ทรรศนะ-หนังสือพิมพ์รายวันของจังหวัดสมุทรสาคร โคราชการค้า-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา ธุรกิจโคราช-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา โคราชการเมือง-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา โฟกัสโคราช-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา อีสานโพสต์นิวส์-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา เมืองคุณย่า-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา ข่าวเสรี-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา นิวส์ธุรกิจ-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา เดอะนิวส์-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา ไทยสยาม-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา โคราชเศรษฐกิจ-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา สีมานิวส์-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา รวมพลัง-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา มิตรภาพ-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา ราชสีมา-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา ข่าวปัก-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา โคราชทูเดย์-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา เทอดไท-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา อีสานวาไรตี้-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา สตรีธุรกิจ-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา หอการค้า-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา โคราชอินไซด์-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา ทันข่าวการเมือง-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา พลังไทยยุคใหม่-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา โคราชสื่อสัมพันธ์-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา เฟริส์นิวส์-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา ไผทสยาม-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา ข่าวโคราช-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา ภูธร 191-หนังสือพิมพ์ของจังหวัดนครราชสีมา == หนังสือพิมพ์แจกฟรี == แม็คโคร เทสโก้ โลตัส วิชโก็ โอลเซล ดูโฮม โกลบอลเฮ้าส์ หนังสือพิมพ์ที่อยู่ในถังขยะ == หนังสือพิมพ์ในอดีต == บางกอกรีคอเดอ ไทย กรุงเทพเดลิเมล์ ดรุโณวาท ข่าวราชการ (ค็อต) จีนโนสยามวารศัพท์ สยามออบเซิร์ฟเวอร์ ประชาชาติรายวัน ดาวสยาม เจ้าพระยา สยามโพสต์ สื่อธุรกิจ วัฏจักรรายวัน คู่แข่ง โลกกีฬา เสรีรายวัน กรุงเทพธุรกิจ บิซวีค เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายสัปดาห์ เสนอข่าวธุรกิจ ในเครือเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป ผู้จัดการรายวัน - เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวธุรกิจ และการเมือง ในเครือผู้จัดการ คิกออฟ - เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวกีฬา ในเครือฐานเศรษฐกิจ ประชาทรรศน์ เดลีเอ็กซ์เพรส ไทยเรดนิวส์ มหาประชาชนสุดสัปดาห์ ผู้จัดการรายสัปดาห์ - เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายสัปดาห์ เสนอข่าวธุรกิจ ในเครือแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป โลกวันนี้ - เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน ในเครือวัฏฏะ บ้านเมือง - เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน มีรูปนกคาบข่าวอยู่บนตัวหนังสือ "บ้านเมือง" สีแดงเป็นสัญลักษณ์ นิว)108 โพสต์ทูเดย์ - เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวธุรกิจ ในเครือโพสต์ พับลิชชิง - เอ็มทูเอฟ - เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน แจกฟรีทุกเช้าวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยเริ่มฉบับปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554 คมชัดลึก - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน ในเครือเนชั่น บีแอลที อะเดย์บุลเลตติน แร็บบิดทูเดย์ สยามดารา -เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวบันเทิง ในเครือสยามสปอร์ต สยามบันเทิง - เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายสามวัน เสนอข่าวบันเทิง ดาราเดลี - เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวบันเทิง ในเครืออาร์เอส ซูเปอร์บันเทิง - หนังสือพิมพ์บันเทิงภาษาไทยรายปักษ์ ในเครือผู้จัดการ ฮอตสกอร์ - หนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวฟุตบอล และอัตราต่อรองฟุตบอลทั่วโลก โดยเฉพาะฟุตบอลยุโรป ก่อตั้งโดยอภิสิทธิ์ อภิสุขสิริ และทันตแพทย์พิชัย ปิตุวงศ์ สยามเฮดไลน์นิวส์ - หนังสือพิมพ์ออนไลน์ นำเสนอหัวข้อข่าวประจำวันทั้งในและต่างประเทศ หัวข้อข่าวยอดนิยมประจำวัน และข้อมูลประจำวันเช่น ราคาทองคำ ดัชนีตลาดหุ้น (เว็บไซต์) ! หนังสือพิมพ์
thaiwikipedia
1,720
เมฆออร์ต
เมฆออร์ต (Oort cloud) คือ ชั้นเมฆในอวกาศที่ล้อมรอบระบบสุริยะอยู่เป็นทรงกลม บริเวณเมฆเหล่านี้อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ออกไปราว 50,000 - 100,000 หน่วยดาราศาสตร์ จากดวงอาทิตย์ ไกลออกไปจากขอบระบบสุริยะรอบนอก ตำแหน่งของเมฆออร์ตอยู่ในระยะความห่าง 1 ใน 4 ของดาวแคระแดงพร็อกซิมาคนครึ่งม้า ในกลุ่มเมฆออร์ตนี้มีวัตถุพ้นดาวเนปจูน อย่างดาวเคราะห์แคระ 90377 เซดนา ที่ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 อยู่ด้วย วัตถุในกลุ่มเมฆออร์ตคือเศษเหลือจากการสร้างดาวเคราะห์ เป็นก้อนน้ำแข็งสกปรก มีส่วนประกอบไปด้วยน้ำแข็ง คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน แอมโมเนีย ฝุ่น และหิน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ไม่กี่กิโลเมตรไปจนถึงหลายสิบกิโลเมตร นักดาราศาสตร์เชื่อกันว่ากลุ่มเมฆออร์ตเป็นแหล่งต้นกำเนิดของดาวหาง เมฆออร์ตตั้งชื่อตามนักดาราศาสตร์ชาวดัตช์ ยัน แฮ็นดริก ออร์ต (Jan Hendrik Oort, 1900 - 1992) ซึ่งเขาได้ทำการวิเคราะห์เส้นทางการโคจรของดาวหาง 19 ดวงพบว่าดาวหางเหล่านี้มาจากแหล่งของดาวหางที่มีรูปร่างเป็นทรงกลมที่มีขนาดใหญ่มาก โดยอยู่ที่ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ตั้งแต่ประมาณ 1.5 - 3.1 ปีแสง ซึ่งเขาได้ประมาณไว้ว่าแหล่งของดาวหางดังกล่าว น่าจะมีดาวหางอยู่ราว 1 แสน 9 หมื่นล้านดวง และได้เสนอว่าช่วงเวลาประมาณทุก ๆ 100,000 – 200,000 ปี แรงโน้มถ่วงจากดาวฤกษ์ดวงอื่นที่เคลื่อนผ่านเข้ามาใกล้ระบบสุริยะ ภายในระยะห่างจากดวงอาทิตย์ราว 3.16 ปีแสง จะรบกวนดาวหางส่วนหนึ่งในแหล่งนี้จนหลุดเข้ามายังระบบสุริยะชั้นใน ซึ่งแหล่งของดาวหางตามสมมติฐานของเขา นี้ถูกตั้งชื่อตามชื่อของเขาว่า “เมฆออร์ต” (Oort cloud) แต่ภายในช่วงครึ่งศตวรรษล่าสุดนี้ ได้มีจำนวนดาวหางที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลและวิเคราะห์วงโคจรเพิ่มขึ้น ทำให้มีการปรับปรุงแนวคิดเรื่องเมฆออร์ตเสียใหม่ ซึ่งในระยะหลังมานี้ นักดาราศาสตร์พบว่าค่าระยะห่างจากดวงอาทิตย์ของตำแหน่งที่ห่างดวงอาทิตย์มาก ที่สุดในวงโคจร มีค่าประมาณ 0.69 ปีแสง ซึ่งเป็นระยะที่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าที่ Oort เคยเสนอไว้ และต่อมาก็มีการปรับค่าระยะห่างจากดวงอาทิตย์ของขอบนอกของเมฆออร์ตใหม่ คือราวๆ 3.1 ปีแสง เนื่องจากนักดาราศาสตร์พบว่าแรงโน้มถ่วงที่ดวงอาทิตย์ดึงดูดดาวหางที่อยู่ห่างกว่าระยะดังกล่าว จะมีค่าค่อนข้างน้อย วัตถุเมฆออร์ต หมายเลข ชื่อ เส้นผ่านศูนย์กลางตามแนวศูนย์สูตร(กม.) ระยะจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด (หน่วยดาราศาสตร์) ระยะจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุด (หน่วยดาราศาสตร์) ค้นพบเมื่อ ผู้ค้นพบ Diameter method 90377 เซดนา <1800, >1250 76 (±7) ~850 พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) Michael E. Brown, Chadwick A. Trujillo, David L. Rabinowitz thermal == แหล่งข้อมูลอื่น == Representation, Southwest Research Institute The Kuiper Belt and The Oort Cloud มเฆออร์ต มเฆออร์ต
thaiwikipedia
1,721
ประเทศมอลโดวา
มอลโดวา (Moldova, ) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐมอลโดวา (Republica Moldova) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในภูมิภาคยุโรปตะวันออก ตั้งอยู่ระหว่างประเทศโรมาเนียทางทิศตะวันตกกับประเทศยูเครนทางทิศตะวันออก มีพรมแดนกับโรมาเนียตามแม่น้ำปรุตและแม่น้ำดานูบ ในอดีตพื้นที่ประเทศมอลโดวาอยู่ในอาณาบริเวณของราชรัฐมอลเดเวียต่อมาถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซียใน พ.ศ. 2355 และได้รวมกับดินแดนโรมาเนียอื่น ๆ เป็นประเทศโรมาเนียใน พ.ศ. 2461 หลังจากเปลี่ยนผู้มีอำนาจเหนือดินแดนนี้ไปมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มอลโดวาก็ได้กลายเป็นดินแดนของสหภาพโซเวียตในชื่อสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวียระหว่าง พ.ศ. 2488–2534 จนในที่สุดก็ได้ประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2534 == ประวัติศาสตร์ == ในบรรดากลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช มอลโดวาเป็นประเทศที่มีพื้นที่ขนาดเล็กเป็นอันดับที่สอง รองจากอาร์เมเนีย ในประวัติศาสตร์ มอลโดวาเป็นรัฐเล็ก ๆ ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำปรุตกับแม่น้ำนีสเตอร์ ซึ่งรู้จักกันในครั้งนั้นว่า เบสซาเรเบีย (Bessarabia) เคยอยู่ภายใต้การปกครองของโรมาเนีย ต่อมาถูกรุกรานและมีการเปลี่ยนแปลงเขตแดนบ่อยครั้ง จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง รัฐนี้จึงได้ถูกผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนสหภาพโซเวียต ในสมัยยุคกลาง ดินแดนส่วนใหญ่ของมอลโดวาที่ขณะนี้ถูกผนวกรวมกับโรมาเนียและยูเครน เคยอยู่ภายใต้การปกครองของฮังการีและลิทัวเนีย ในคริสตศวรรษที่ 16 ถูกตุรกีเข้ามาปกครอง และถูกผนวกรวมกับจักรวรรดิรัสเซียในปี ค.ศ. 1812 อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากพ่ายแพ้ในสงครามไครเมีย จักรวรรดิรัสเซียต้องเสียดินแดนส่วนหนึ่งของมอลโดวา (ทางใต้ของเบสซาเรเบีย) ให้โรมาเนีย แต่ก็ได้กลับคืนมาอีกครั้ง ในระหว่างการประชุมใหญ่เบอร์ลิน ใน ค.ศ. 1878 ต่อมาจักรวรรดิรัสเซียต้องเสียดินแดนเบสซาเรเบียให้โรมาเนียอีกครั้งในปี ค.ศ. 1918 และในปี ค.ศ. 1924 สหภาพโซเวียตได้จัดตั้งสาธารณรัฐปกครองตนเองสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวียขึ้นทางภาคตะวันออกของแม่น้ำนีสเตอร์ (ประชากรส่วนใหญ่เป็นมีเชื้อชาติยูเครน) และไม่ยอมรับการอ้างสิทธิ์ของโรมาเนียเหนือดินแดนเบสซาเรเบีย ภายหลังจากการลงนามกติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบนทรอพ ในปี ค.ศ. 1939 สหภาพโซเวียตได้ดินแดนเบสซาเรเบียกลับคืนมาและผนวกรวมกับสาธารณรัฐปกครองตนเองสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวียในปี ค.ศ. 1940 และเสียดินแดนส่วนใหญ่ของมอลโดวาให้โรมาเนียอีกครั้งเมื่อเยอรมันบุกสหภาพโซเวียตในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 ยกเว้นทางด้านตะวันออกของแม่น้ำนีสเตอร์ ส่วนบริเวณทรานส์นีสเตรียซึ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำนีสเตอร์กับแม่น้ำบุก (Bug) ก็ถูกครอบครองโดยกองกำลังทหารของโรมาเนียที่เข้าไปสร้างความโหดร้ายให้แก่ชาวพื้นเมืองเป็นอย่างมาก ในขณะที่ชาวยิวและชาวยิปซีได้รับการยกเว้น อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง มอลโดวาก็กลับมาอยู่ภายใต้การครอบครองของสหภาพโซเวียตอีกครั้งในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1944 เขตแดนในปัจจุบันของมอลโดวาถูกกำหนดขึ้นในปี ค.ศ. 1947 เมื่อได้มีการจัดตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวียอีกครั้ง และโรมาเนียยอมยกมอลโดวาให้สหภาพโซเวียตอย่างเป็นทางการ ดังนั้น จึงมีการรื้อฟื้นการปกครองแบบโซเวียต และสาธารณรัฐมอลโดวาก็เข้าสู่กระบวนการแผลงให้เป็นรัสเซีย (Russiafication) อย่างเข้มงวด ทำให้ในระหว่างนั้น มอลโดวาถูกแยกออกจากการปกครองของโรมาเนียอย่างเด็ดขาด อีกทั้งยังมีการส่งเสริมให้ผู้อพยพชาวยูเครนกับชาวรัสเซียเข้าไปตั้งถิ่นฐานในมอลโดวา โดยเฉพาะบริเวณเขตอุตสาหกรรมทรานส์นีสเตรีย นโยบายแผลงให้เป็นรัสเซียในมอลโดวาดำเนินไปอย่างเข้มข้นตลอดระยะเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สองและเริ่มเบาบางลงเมื่อสหภาพโซเวียตมีนโยบายกลัสนอสต์ (Glasnost) ในปลายปี ค.ศ. 1986 และต่อมาในปี ค.ศ. 1989 กระบวนการแยกตัวเป็นเอกราชและการปฏิรูปประเทศของมอลโดวาก็เริ่มชัดเจนขึ้น โดยผลที่เป็นรูปธรรมที่สุด คือ การที่รัฐบาลสหภาพโซเวียตต้องยอมให้ภาษามอลโดวาภาษาทางการแทนการใช้ภาษารัสเซีย ภายหลังจากนาย Mircea Druc นักเศรษฐศาสตร์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1990 นาย Druc ได้ริเริ่มแผนปฏิรูประบบเศรษฐกิจและการเมือง จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1990 รัฐสภามอลโดวาได้ออกเสียงที่จะให้มีการประกาศเอกราชและการร่างรัฐธรรมนูญ จนในที่สุดมอลโดวาก็ได้ประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1991 พร้อมทั้งได้เรียกร้องให้รัสเซียถอนกำลังทหารออกจากมอลโดวาและจัดตั้งกองกำลังแห่งชาติมอลโดว่าขึ้นมาแทน == การแบ่งเขตการปกครอง == ประเทศมอลโดวาแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 32 เขต, 3 เทศบาลนคร (คีชีเนา, บัลตส์ และเบนเดร์หรือตีกีนา) และ 2 เขตกึ่งปกครองตนเอง (กากาอูซียาและทรานส์นีสเตรีย — สถานะของเขตหลังนี้ยังเป็นที่ขัดแย้ง) เขตต่าง ๆ ได้แก่ เขตอาเนนีย์นอย เขตบาซาราเบอัสกา เขตบรีเชน เขตกาฮุล เขตกันเตมีร์ เขตเกอเลอรัช เขตเกอวูเชน เขตชีมิชลียา เขตกรีวูเลน เขตดอนดูเชน เขตดรอกียา เขตดูเบอซาร์ เขตเอดีเนตส์ เขตเฟอเลชต์ เขตฟลอเรชต์ เขตกลอเดน เขตฮึนเชชต์ เขตยาลอเวน เขตเลออวา เขตนิสปอเรน เขตออกนิตซา เขตออร์เฮย์ เขตเรซีนา เขตรึชกัน เขตซึนเจเรย์ เขตซอรอกา เขตสเตรอเชน เขตชอลเดอเนชต์ เขตชเตฟันวอเดอ เขตตารากลียา เขตเตเลเนชต์ เขตอุงกีเยน ไม่มีชาติใดยอมรับอำนาจอธิปไตยของทรานส์นีสเตรีย โดยยังถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมอลโดวาโดยนิตินัย (ตามกฎหมาย) แม้ว่าในความเป็นจริงรัฐบาลมอลโดวาจะไม่ได้ควบคุมดินแดนนี้ก็ตาม ==หมายเหตุ== == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == S.Res.148 - A resolution to express the sense of the Senate that the United States should support the right to self-determination of the people of the Republic of Moldavia and northern Bucovina Moldova. The World Factbook. Central Intelligence Agency. Moldova, Republic of from UCB Libraries GovPubs. Moldova profile from the BBC News. Key Development Forecasts for Moldova from International Futures. ม รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2534 รัฐในอดีตสหภาพโซเวียต ม
thaiwikipedia
1,722
บ้านเมือง
บ้านเมือง เป็นหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทย เสนอข่าวทั่วไป มีรูปนกคาบข่าวอยู่บนตัวหนังสือ บ้านเมือง สีแดงเป็นสัญลักษณ์ ปัจจุบันบ้านเมือง ได้ยุติการผลิตและจำหน่ายหนังสือพิมพ์ไปแล้ว โดยฉบับสุดท้ายคือฉบับวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559 และเหลือเพียงแค่การเผยแพร่ข่าวผ่านทางเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 == ประวัติ == หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2515 โดยมี บริษัท บ้านเมืองการพิมพ์ จำกัด ที่มาจากการรวมตัวกัน ของนักหนังสือพิมพ์ และนักธุรกิจกลุ่มหนึ่ง ซึ่งบริษัทฯ มีมติให้ วิจารณ์ ภุกพิบูลย์ เป็นผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ และ มานะ แพร่พันธุ์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย ซึ่งเป็นบุตรชายของ "ยาขอบ" (นักประพันธ์เรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ) เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ส่วนตัวหนังสือพิมพ์ในยุคแรกนั้น พิมพ์สีขาวดำ ด้วยระบบออฟเซต ฉบับละ 16 หน้า ราคา 1.00 บาท ต่อมาหนังสือพิมพ์บ้านเมือง ได้พัฒนารูปแบบ และเนื้อหาสาระด้วยการพิมพ์ในระบบออฟเซตสี่สี ฉบับละ 20 หน้า ราคา 10.00 บาท แบ่งออกเป็นสามส่วนคือ ข่าวทั่วไป ข่าวกีฬา และข่าวบันเทิง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการอ่านของผู้อ่านหลายคนพร้อมกัน และตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2543 หนังสือพิมพ์บ้านเมือง อยู่ภายใต้การบริหารงานของคณะกรรมการ บริษัท นวกิจบ้านเมือง จำกัด ปัจจุบัน หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ได้ยุติการพิมพ์แล้ว คงเหลือแต่การนำเสนอข่าวทางเว็บไซต์เท่านั้น === ลักษณะเด่น === หนังสือพิมพ์บ้านเมือง เป็นฉบับแรกที่เปิดรับโฆษณาย่อย ในชื่อ ตลาดบ้านเมือง เพื่อเป็นสื่อกลางในการซื้อขายสินค้า และบริการต่างๆ หรือประกาศรับสมัครงาน เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นฉบับแรกที่เปิดหน้ารวมสาระความรู้ การ์ตูน และเกมสำหรับเยาวชน ในชื่อ หน้านี้ของคุณหนู อีกด้วย === เกียรติยศ === พ.ศ. 2518 - รางวัลหนังสือพิมพ์ดีเด่นสำหรับเยาวชน จากสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2535 - รางวัลบทบรรณาธิการดีเด่น จากสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2540 - รางวัลภาพข่าวยอดเยี่ยม จากสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2544 - รางวัลชนะเลิศพาดหัวข่าวสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม โล่พระราชทาน ภปร ทองคำ จากสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับมูลนิธิธนาคารกรุงเทพ * ปอกเปลือกราชการ ซื้อเก้าอี้ ปีหนึ่งกว่าหมื่นล้าน พ.ศ. 2545 - รางวัลชนะเลิศพาดหัวข่าวสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม โล่พระราชทาน ภปร ทองคำ จากสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ * ทรงห่วงใยมหันตภัยร้าย ยาเสพติดทวีความรุนแรง พ.ศ. 2546 - รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 พาดหัวข่าวสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม โล่พระราชทาน ภปร ทองคำ จากสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ * ทรงเตือนนายกฯ คิดพอเพียง อย่าเห่อ-อย่าลอย พ.ศ. 2548 - รางวัลองค์กรที่เผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม จากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2548 - รางวัลองค์กรส่งเสริมกิจกรรมเยาวชนกับการอนุรักษ์พลังงาน จากกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงพลังงาน == เกร็ด == หนังสือพิมพ์บ้านเมืองเคยจัดงานประกาศผลและมอบรางวัลทีวีตุ๊กตาทองมหาชน ให้กับผู้แสดงผลงานทางสื่อโทรทัศน์จากการตัดสินของประชาชนที่ส่งจดหมายเข้ามา โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 และสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2525 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 หนังสือพิมพ์บ้านเมือง จะเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทางเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์เองเท่านั้น == อ้างอิง == ประวัติความเป็นมา จากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์บ้านเมือง == แหล่งข้อมูลอื่น == บ้านเมือง หนังสือพิมพ์ในประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2515 สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2559
thaiwikipedia
1,723
สยามรัฐรายวัน
สยามรัฐ เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยรายวัน เสนอข่าวทั่วไป ออกฉบับปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2493 ราคา 50 สตางค์ โดยมี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และนายสละ ลิขิตกุล เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และมีคำขวัญประจำหนังสือพิมพ์ว่า "นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ" เป็นพุทธศาสนสุภาษิตภาษาบาลีบทหนึ่ง อ่านว่า "นิคคัณเห นิคคะหาระหัง ปัคคัณเห ปัคคะหาระหัง" แปลว่า "ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม" ถือเป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่มีอายุยาวนานที่สุดที่ยังมีวางจำหน่ายอยู่จนถึงปัจจุบัน == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == สยามรัฐ หนังสือพิมพ์ในประเทศไทย หนังสือพิมพ์ผู้นำ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2493
thaiwikipedia
1,724
สยามกีฬารายวัน
สยามกีฬารายวัน เป็นหนังสือพิมพ์ที่รายงานเฉพาะข่าวกีฬาและผลการแข่งขันกีฬา ฉบับแรกของประเทศไทย และมียอดจำหน่ายสูงที่สุดในประเทศไทยด้วย วางจำหน่ายฉบับปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2528 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 สยามกีฬารายวันได้ปรับรูปแบบโดยรวมเอาหนังสือพิมพ์ฟุตบอลสยามรายวันและมวยสยามรายวันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามกีฬารายวัน โดยก่อนหน้านั้นได้ควบเอาหนังสือพิมพ์สยามดาราเข้าเป็นส่วนหนึ่งในสยามกีฬารายวันด้วย == ดูเพิ่ม == สยามสปอร์ตซินดิเคท สตาร์ซอคเก้อร์รายวัน มวยสยามรายวัน == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ หนังสือพิมพ์ในประเทศไทย กีฬาในประเทศไทย เครือสยามสปอร์ต ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2528
thaiwikipedia
1,725
รายชื่อนิตยสารผู้หญิงในประเทศไทย
รายชื่อนิตยสารผู้หญิงในประเทศไทย (การสะกดยึดตามหัวหนังสือ) == หนังสือหัวไทย == กุลสตรี ขวัญเรือน คุณหญิง ดิฉัน แพรว แพรวสุดสัปดาห์ ฟ้านารี สกุลไทย สตรีสาร หญิงไทย ลิปส์ (Lips) วูเมน พลัส (Woman Plus) อิมเมจ (Image) == หนังสือหัวนอก == คลีโอ (CLEO) www.CLEOTHAILAND.COM คอสโมโพลิแทน(Cosmopolitan) เซเว่นทีน (Seventeen) SHAPE !นิตยสารผู้หญิงในประเทศไทย
thaiwikipedia
1,726
การแบ่งแยกนิวเคลียส
การแบ่งแยกนิวเคลียส หรือ นิวเคลียร์ฟิชชัน (nuclear fission) ในสาขาฟิสิกส์นิวเคลียร์และเคมีนิวเคลียร์ เป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์หรือกระบวนการการสลายกัมมันตรังสีอย่างหนึ่งที่นิวเคลียสของอะตอม แตกออกเป็นชิ้นขนาดเล็ก (นิวเคลียสที่เบากว่า) กระบวนการฟิชชันมักจะผลิตนิวตรอนและโปรตอนอิสระ (ในรูปของรังสีแกมมา) พร้อมทั้งปลดปล่อยพลังงานออกมาจำนวนมาก แม้ว่าจะเป็นการปลดปล่อยจากการสลายกัมมันตรังสีก็ตาม นิวเคลียร์ฟิชชันของธาตุหนักถูกค้นพบเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1938 โดยชาวเยอรมัน อ็อทโท ฮานและผู้ช่วยของเขา ฟริทซ์ ชตรัสมัน และได้รับการอธิบายในทางทฤษฎีในเดือนมกราคมปี 1939 โดยลีเซอ ไมท์เนอร์ และหลานชายของเธอ อ็อทโท โรแบร์ท ฟริทซ์ ฟริทซ์ได้ตั้งชื่อกระบวนการนี้โดยการเปรียบเทียบกับฟิชชันทางชีวภาพของเซลล์ที่มีชีวิต มันเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน (exothermic reaction) อย่างหนึ่งซึ่งสามารถปลดปล่อยพลังงานจำนวนมากในรูปของทั้งรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าและพลังงานจลน์ของชิ้นส่วนย่อยที่แตกออก (ความร้อนที่ให้กับวัสดุที่เป็นกลุ่มในขณะที่ปฏิกิริยาการแบ่งแยกเกิดขึ้น) เพื่อให้การหลอมสามารถผลิตพลังงานขึ้นมาได้ พลังงานยึดเหนี่ยวนิวเคลียสโดยรวมขององค์ประกอบที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นลบน้อยกว่า (พลังงานที่สูงขึ้น) กว่าพลังงานขององค์ประกอบช่วงเริ่มต้น ฟิชชันเป็นรูปแบบหนึ่งของการแปลงพันธ์นิวเคลียส (nuclear transmutation) เพราะชิ้นส่วนที่แตกออกไม่ได้มีองค์ประกอบทางเคมีเดียวกันกับอะตอมเดิม ทั้งสองนิวเคลียสที่ถูกผลิตส่วนใหญ่มักจะมีขนาดเทียบเคียงกันแต่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยทั่วไปมักจะมีอัตราส่วนมวลของผลิตภัณฑ์อยู่ที่ประมาณ 3 ต่อ 2 สำหรับไอโซโทปของวัสดุฟิสไซล์ธรรมดา ฟิชชันส่วนใหญ่จะเป็นฟิชชันแบบไบนารี (ผลิตชิ้นแตกที่มีประจุสองชิ้น) แต่ในบางครั้ง (2-4 ครั้งต่อหนึ่งพันเหตุการณ์) ชิ้นแตกที่มีประจุบวก 3 ชิ้นถูกผลิตออกมาในการหลอมที่เรียกว่าฟิชชันสามชิ้น (ternary fission) ชิ้นแตกที่เล็กที่สุดในกระบวนการฟิชชันสามชิ้นเหล่านี้มีขนาดในช่วงตั้งแต่โปรตอนจนถึงนิวเคลียสของอาร์กอน นอกเหนือไปจากฟิชชันที่เกิดจากนิวตรอน ควบคุมและใช้ประโยชน์โดยมนุษย์แล้ว รูปแบบโดยธรรมชาติของการสลายกัมมันตรังสีที่เกิดขึ้นเอง (ไม่ต้องใช้นิวตรอน) จะยังถูกเรียกว่าฟิชชันเช่นกัน และมันเกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในไอโซโทปที่มีเลขมวลสูงมาก ฟิชชันเกิดเอง ถูกค้นพบในปี 1940 โดย Flyorov, Petrzhak และ Kurchatov ในมอสโก เมื่อพวกเขาได้ตัดสินใจที่จะยืนยันว่า โดยไม่ต้องมีการระดมยิงด้วยนิวตรอน อัตราการเกิดฟิชชันของยูเรเนียมจะเล็กน้อยจนไม่ต้องนำมาคำนวณได้ ตามที่ได้คาดการณ์โดย Niels Bohr; มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น องค์ประกอบของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นคาดเดาไม่ได้ (ซึ่งแตกต่างกันไปในวงกว้างของความน่าจะเป็นและลักษณะที่ค่อนข้างวุ่นวาย) พวกมันทำให้ฟิชชันแตกต่างจากกระบวนการควอนตัมอุโมงค์ที่เกิดอย่างชัดเจน เช่นการปล่อยโปรตอน การสลายให้อนุภาคอัลฟาและการสลายกลุ่ม ที่ในแต่ละครั้งให้ผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกัน นิวเคลียร์ฟิชชันผลิตพลังงานเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าและขับการระเบิดของอาวุธนิวเคลียร์ การนำไปใช้งานทั้งสองนี้เป็นไปได้เพราะสารบางอย่างที่เรียกว่าเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ทำให้เกิดการฟิชชันเมื่อพวกมันถูกกระแทกด้วยนิวตรอนฟิชชัน และส่งผลให้มีการปลดปล่อยนิวตรอนเมื่อนิวเคลียสแตกออก นี้จะทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์ที่ยั่งยืนด้วยตนเอง และปล่อยพลังงานออกมาในอัตราที่สามารถควบคุมได้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หรือในอัตราที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างรวดเร็วมากในอาวุธนิวเคลียร์ ปริมาณของ'พลังงานอิสระ'ที่มีอยู่ในเชื้อเพลิงนิวเคลียร์มีเป็นล้านเท่าของปริมาณพลังงานอิสระที่มีอยู่ในมวลที่คล้ายกันของเชื้อเพลิงสารเคมีเช่นน้ำมันก๊าซโซลีน ทำให้นิวเคลียร์ฟิชชนเป็นแหล่งพลังงานที่มีความหนาแน่นสูง อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนิวเคลียร์ฟิชชันโดยค่าเฉลี่ยจะมีกัมมันตรังสีมากกว่าธาตุหนักทั้งหลายที่ถูกฟิชชันตามปกติเพื่อทำให้เป็นเชื้อเพลิง และยังคงอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานมากอย่างมีนัยสำคัญซึ่งทำให้เกิดปัญหากากนิวเคลียร์เพิ่มขึ้น ความกังวลทั้งหลายเกี่ยวกับการสะสมของกากนิวเคลียร์และเกี่ยวกับศักยภาพในการทำลายล้างของอาวุธนิวเคลียร์อาจถ่วงดุลกับคุณภาพที่พึงประสงค์ของนิวเคลียร์ฟิชชันว่าเป็นแหล่งพลังงานแหล่งหนึ่ง และเพิ่มการอภิปรายทางการเมืองอย่างต่อเนื่องด้านพลังงานนิวเคลียร์ โดยปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่นิวเคลียสของธาตุขนาดใหญ่แยกตัวเป็นนิวเคลียสของธาตุที่มีขนาดเล็กลง เรียกว่า ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน ซึ่งค่อนข้างจะคุ้นหูสำหรับคนไทยเนื่องจากมีการกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง ในปัจจุบันมีการนำเอาพลังงานนิวเคลียร์จากปฏิกิริยาฟิชชันมาใช้อย่างแพร่หลายในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ประเทศอังกฤษ และประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น แต่การนำเอาปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันมาใช้นั้นมีความเสี่ยงในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูงมาก ซึ่งเห็นได้จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่โรงงานไฟฟ้าเชอโนเบิล ที่สหภาพโซเวียต ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากมายและยังคงเป็นเรื่องเศร้าใจและน่ากลัวจนถึงทุกวันนี้ == อ้างอิง == Elisabeth Crawford, Ruth Lewin Sime, and Mark Walker. "A Nobel Tale of Postwar Injustice", Physics Today Volume 50, Issue 9, 26–32 (1997). == ดูเพิ่ม == ปฏิกิริยานิวเคลียร์ ระเบิดนิวเคลียร์ลิตเติลบอย กัมมันตรังสี นิวเคลียร์เคมี ฟิสิกส์นิวเคลียร์ วิทยาศาสตร์ หลักการสำคัญของฟิสิกส์
thaiwikipedia
1,727
วิบูลย์กิจ
สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ เป็นสำนักพิมพ์การ์ตูนญี่ปุ่นในประเทศไทย รู้จักกันในชื่อย่อ VBK หรือชื่อเต็ม Vibulkij Publishing Group == ประวัติ == ในยุคตั้งต้นเป็นสำนักพิมพ์หัวแถวของตลาดหนังสือการ์ตูนในยุคที่ยังไม่มีลิขสิทธิ์(ช่วงยุค80's-ต้นๆ90's) มีหนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์มีชื่อหลายหัว เช่น เดอะซีโร่ (the Zero), อนิเมทวีคลี่ (Animage Weekly), วีคลี่สเปเชียล (Weekly-Special) และหนังสือการ์ตูนแนวฮีโร่รายสะดวกที่ได้รับความนิยมอย่างสูงอย่าง ทีวีไลน์ และนิตยสารเกมแนวคอนโซลนาม เมก้า ภายหลังได้เป็นสำนักพิมพ์การ์ตูนค่ายแรก ๆ ในประเทศ ที่หันมาซื้อสิทธิการ์ตูนอย่างถูกต้องจากต้นสังกัดในประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ทางวิบูลย์กิจยังเป็นสำนักพิมพ์เจ้าแรกๆในไทยที่สนับสนุนการสร้างสรรค์งานการ์ตูนฝีมือคนไทยผ่านทางนิตยสารในเครือเช่น Thai Comics(ไทยคอมิค) ทางวิบูลย์กิจได้ถือสิทธิของการ์ตูนญี่ปุ่นดังๆไว้เป็นจำนวนมาก และหลายเรื่องก็เป็นที่รู้จักกันในหมู่นักอ่านการ์ตูนชาวไทย เช่น ข้าชื่อโคทาโร่, โคนัน, จีทีโอ คุณครูพันธุ์หายาก, คุณครูจอมเวทย์ เนกิมะ, ล่าอสูรกาย, เซนต์เซย์ย่า, จอมคนแดนฝัน เป็นต้น แต่ผลงานการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายสูงสุดได้แก่ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ในอดีต วิบูลย์กิจปฏิเสธที่จะทำหนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์แบบเล่มใหญ่ และใช้วิธีอ่านจากหลังไปหน้าแบบญี่ปุ่นด้วยเหตุผลว่าไม่ต้องการจะให้วิถีการอ่านของคนไทยต้องคล้อยตามวัฒนธรรมการอ่านของทางญี่ปุ่นมากเกินไปนัก ทำให้ไม่สามารถขอลิขสิทธิ์การ์ตูนบางเรื่อง ที่สำนักพิมพ์ค่อนข้างเข้มงวดกับรูปเล่มได้ ต่อมาจึงได้เริ่มตีพิมพ์โดยใช้วิธีอ่านจากหลังไปหน้า โดยการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องแรกที่ตีพิมพ์แบบจากหลังไปหน้าคือ xxxโฮลิค และ ซึบาสะ สงครามเทพข้ามมิติ จากนิตยสาร KC.Trio เนื่องจากทางต้นฉบับต้องการให้คงภาพและวิธีอ่านไว้โดยทำให้ปัจจุบันนิตยสารการ์ตูนญี่ปุ่นทั้งหมดใช้สัญญาของทางญี่ปุ่นเป็นหลัก โดยเป็นข้อตกลงทางการค้าและลิขสิทธิ์ทำให้ต้องพิมพ์และวางจำหน่ายหนังสือจากญี่ปุ่น โดยวิธีการอ่านแบบญี่ปุ่นเท่านั้น ในปัจจุบันนั้น ทางวิบูลย์กิจได้ยุติการผลิตนิตยสารการ์ตูนในเครือลงทั้งหมดคงเหลือแต่ฉบับรวมเล่ม และเน้นไปที่การจัดทำในรูปแบบของ เเพลตฟอรม์ อี-บุ้ค ควบคู่กับตัวหนังสือการ์ตูนที่เป็นรูปเล่มดั้งเดิม == นิตยสารในเครือ == === KC.Weekly=== นิตยสารการ์ตูนญี่ปุ่นรายสัปดาห์ โดยต้นฉบับส่วนใหญ่มาจากนิตยสาร โชเน็นแม็กกาซีนรายสัปดาห์ ของสำนักพิมพ์ โคดันฉะเปิดตัวในปี พ.ศ. 2536 โดยมีการ์ตูนเด่น ๆ ในฉบับเช่น คินดะอิจิกับคดีฆาตกรรมปริศนา,ข้าชื่อโคทาโร่, ก้าวแรกสู่สังเวียน ฯลฯ ในช่วงต้น ๆ ยุคหลัง ๆ จะมีเรื่องยาวเช่น โรงเรียนนักสืบ Q, คุณครูพันธุ์หายาก, เรฟ ผจญภัยเหนือโลก, GetBackers, คุโรมาตี้, คุณครูจอมเวทย์ เนกิมะ ฯลฯ ไปจนถึง Fairy tail,UQ Holder! ในช่วงท้าย ๆ ของนิตยสาร ก่อนจะยุติตัวเองแบบเล่มในปี 2559 และปรับไปเป็นนิตยสารออนไลน์ KC.Digimag แทน === Viva Friday=== นิตยสารการ์ตูนญี่ปุ่นรายสัปดาห์ โดยต้นฉบับเป็นของสำนักพิมพ์ อาคิตะโชเต็น ปัจจุบันปิดตัวแล้ว === Neoz=== นิตยสารการ์ตูนไทยและญี่ปุ่นรายสัปดาห์ โดยต้นฉบับคือนิตยสาร โชเนนซันเดย์ ของสำนักพิมพ์ โชงะกุกัง และสำนักพิมพ์ ฮาคุเซ็นฉะ มีเรื่องยาวเช่น Berserk, ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ส่วนงานการ์ตูนไทยจะมาจากทางนักเขียนที่มีผลงานในเครือ Thai Comics มีเรื่องยาว เช่น เตะระเบิดไม่ต้องเปิดตำรา, ซุปเปอร์หน่อไม้ แสบนี้ไม่มีเบรค, ป่าผี เปิดตัว พ.ศ. 2543 ปิดตัวในปี 2558 ===KC.Trio=== นิตยสารการ์ตูนญี่ปุ่นรายปักษ์ โดยต้นฉบับเป็นของสำนักพิมพ์ โคดันฉะ ปัจจุบันปิดตัวแล้ว === Young Friday=== นิตยสารการ์ตูนญี่ปุ่นรายเดือน โดยต้นฉบับเป็นของสำนักพิมพ์ อาคิตะโชเต็น ปัจจุบันปิดตัวแล้ว ===RINA=== นิตยสารการ์ตูนญี่ปุ่นรายเดือน แนวผู้หญิง โดยต้นฉบับเป็นของสำนักพิมพ์ อาคิตะโชเต็น ปัจจุบันปิดตัวไปในปี 2556 === Mr. Monthly=== นิตยสารการ์ตูนญี่ปุ่นรายเดือน โดยต้นฉบับเป็นของสำนักพิมพ์ โคดันฉะ ===NEXT=== (หรือ Thai Comic Next Generation) เป็นนิตยสารการ์ตูนรายสองเดือนที่แตกตัวจาก ไทยคอมมิค โดยได้ลิขสิทธ์จากทางญี่ปุ่นลงตีพิมพ์การ์ตูนญี่ปุ่นควบการ์ตูนไทย ในช่วงแรกลงการ์ตูนไทย 5 เรื่องต่อการ์ตูนญี่ปุ่น 1 เรื่อง การ์ตูนไทยมีเรื่อง มยุราตร์, เทวราชันย์, Bad Vision, สายฟ้า และการ์ตูนสมัครเล่นจากทางบ้าน โดยมังงะเป็นลิขสิทธ์ของสำนักพิมพ์ โคดันฉะ เรื่อง มังกรอหังการหมาป่าคะนองศึก ภายหลังจะมีการ์ตูนไทยทั้งเรื่องสั้นเรื่องยาวมาลงตีพิมพ์สลับสับเปลี่ยนกับการ์ตูนญี่ปุ่นที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ เปิดตัว ปี พ.ศ. 2538 ปิดตัวในปี 2554 ===Thai Comics=== นิตยสารการ์ตูนไทยรายเดือน ที่เริ่มต้นจากการรวบรวมผลงานจากนักเขียนสมัครเล่นทางบ้านมาลงตีพิมพ์ ก่อนจะพัฒนานักเขียนประจำขึ้นมาและออกการ์ตูนคนไทยทั้งเรื่องยาวเรื่องสั้นหลากหลายมีนักเขียนที่สร้างชื่อกับหนังสือการ์ตูนหัวนี้หลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์, วรา เตมียพันธ์ุ, สำราญ จารุกุลวนิชย์, อเบศ ลิ้มละมัย, วิรัตน์ ยืนยงพัฒนากิจ, รัตนะ สาทิส, อดิศักดิ์ พงษ์สัมพันธ์, ทวีศักดิ์ วิริยะวรานนท์, จักรพันธ์ ห้วยเพชร ฯลฯ ตีพิมพ์เป็นเวลากว่า 21 ปี มีงานเด่น ๆ ในเครือ เช่น รวมเรื่องสั้นจิตหลุดที่ได้มีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ จัดพิมพ์ช่วงปี 2535 ปิดตัวในปี 2556 ===MEGA=== นิตยสารเกมรายสัปดาห์ที่จัดทำมาตั้งแต่ช่วงยุคที่ยังไม่มีการขอลิขสิทธ์ เน้นเนื้อหาไปทางเกมที่มาจากเครื่องเล่นวีดีโอเกม (Console Game) ที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงนั้น ๆ เช่น Famicom, Sega Genesis, SNES,PlayStation เป็นต้น ก่อนจะมีเล่มแยกและปรับเปลี่ยนรูปแบบของตัวหนังสือมาตลอด จัดพิมพ์เมื่อปี.พ.ศ.2533 ปิดตัวในปี 2559 === MegaMONTH=== นิตยสารเกมรายเดือน เน้นการเจาะลึกเกมเด่น รวมถึงวิธีพิชิตเกม นั้น ๆ ===ZIRIUS=== นิตยสารการ์ตูนญี่ปุ่นรายเดือนเน้นงานไปยังแนวไซไฟเป็นหลัก เช่น กายเวอร์ อมนุษย์เกราะชีวะ, ยอดหญิง Hyper Doll, คาเซ่ สายลมทลายฟ้า ออกวางตลาดครั้งแรก ในปี 1993 (2536) เลิกออกไปในปี 1997 เนื่องจากต้นฉบับที่ญี่ปุ่น นิตยสาร Shounen Captain (โทคุมะโชเต็น) ปิดตัวลง == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ วิบูลย์กิจ
thaiwikipedia
1,728
สำนักพิมพ์เพื่อนดี
สำนักพิมพ์เพื่อนดี เป็นสำนักพิมพ์ในประเทศไทย เน้นหนังสือนวนิยายเป็นหลัก นวนิยายที่ตีพิมพ์มักเคยลงในนิตยสารผู้หญิง อย่างเช่น สกุลไทย ผลงานนักเขียนส่วนใหญ่ที่ตีพิมพ์ เช่น ว.วินิจฉัยกุล , ชูวงศ์ ฉายะจินดา , กฤษณา อโศกสิน , ศรีฟ้า ลดาวัลย์ , พงศกร , ม.มธุการี , แพรณัฐ และ กนกวลี พจนปกรณ์ ปัจจุบัน สำนักพิมพ์ได้ปิดกิจการ เมื่อ พ.ศ. 2565 == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ พสำนักพิมพ์เพื่อนดี
thaiwikipedia
1,729
โปรวิชั่น
สำนักพิมพ์โปรวิชั่น เป็นสำนักพิมพ์ในประเทศไทย เน้นหนังสือคอมพิวเตอร์ และนิยายวิทยาศาสตร์ == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ สำนักพิมพ์ไทย
thaiwikipedia
1,730
เอกลักษณ์องค์กร
ในด้านการตลาด อัตลักษณ์องค์กร หรือ อัตลักษณ์กลุ่มบริษัท (corporate identity) เป็นรูปแบบที่เป็นอัตลักษณ์ของหน่วยงานหรือองค์กรซึ่งถูกออกแบบ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ ซึ่งแสดงออกมาทางในรูปแบบของแบรนด์และการใช้งานเครื่องหมายการค้า แม้ว่าเรื่องของอัตลักษณ์ จะไม่ใช่สิ่งเดียวที่เกี่ยวกับแบรนด์ (เพราะแบรนด์ประกอบด้วยหลายองค์ประกอบ) แต่เรื่องของ แบรนด์กับอัตลักษณ์ เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นควบคู่กันอยู่เสมอ เราสามารถสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นได้ด้วยกานสร้างอัตลักษณ์ให้กับแบรนด์ ซึ่งสามารถสื่อสารออกมาได้ 3 ส่วนด้วยกัน คือ การสร้างอัตลักษณ์ผ่านทางภาพ (Visual Identity) การสร้างอัตลักษณ์ผ่านทางพฤติกรรม (Behavioral Identity) และการสร้างอัตลักษณ์ผ่านการพูด (Verbal Identity เช่น การใช้สโลแกน จิงเกิ้ล เป็นต้น) การออกแบบสร้าง “อัตลักษณ์” ให้กับองค์กรหรือแบรนด์เป็นงานที่ยากยิ่ง เพราะไม่ใช่เป็นเพียงการออกแบบ “โลโก้” ให้สวยงามแล้วจบ แต่สิ่งที่เราต้องการคือ อัตลักษณ์ด้นภาพที่จะสื่อสารถึงจุดยืน + บุคลิกภาพ รวมถึงวิสัยทัศน์ของแบรนด์ จากนั้นค่อยพัฒนาต่อในเรื่องระบบการใช้โลโก้+การใช้ตัวอักษร + การใช้สี + การใช้ภาพ +++ อื่น ๆ อีกมากมาย ที่จะทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กร มีอัตลักษณ์ตามที่ต้องการ == การออกแบบกับความสัมพันธ์กับอัตลักษณ์กลุ่มบริษัท == งาน อัตลักษณ์กลุ่มบริษัท เกี่ยวข้องกับการออกแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกแบบกราฟิก การออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กรในปัจจุบัน นับเป็นยุคของอิเลคทรอนิคส์ที่มีการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเป็นเครี่องมือ เครื่องใช้และเป็นวัสดุอุปกรณ์ช่วยในการออกแบบเกิดมีวัสดุสำเร็จรูปและเครื่องมืออิเลคทรอนิคส์ที่ช่วยในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังเช่น การใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกมาช่วยในการทำ Word Processing การเรียงพิมพ์ การจัดวางรูปแบบของหน้ากระดาษ การสร้างภาพประกอบ การเขียนกราฟแผนภูมิ แผนที่ ตลอดจนงานเขียนแบบต่างๆ และที่สำคัญคือ ช่วยในการสร้างภาพ (Visualize) เพื่อหาแนวทางความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ความหมายของการออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กร (Definition Of Graphic Design) มีผู้ให้คำนิยามของอัตลักษณ์ขององค์กร ไว้ว่า การออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กร - ผลงานออกแบบลักษณะต่างๆ เพื่อให้ผู้คนได้อ่าน เช่น หนังสือนิตยสาร การ โฆษณา ภาพยนตร์ โทรทัศน์ นิทรรศการ (Berryman, 1979) การถ่ายทอดความคิดและมโนทัศน์ (Ideas And Concepts) ออกมาเป็น โครงสร้างระเบียบแบบแผนต่างๆ ทางทัศนสัญลักษณ์ (Visual Form) , (Laing, 1984) การออกแบบที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเครื่องหมายและการออกแบบเกี่ยวกับการ พิมพ์ต่างๆ ที่ใช้ในวงการอุตสาหกรรม (อารี สุทธิพันธุ์, 2521) จัดว่าเป็นงานออกแบบเพื่อการเผยแพร่ คือ งานออกแบบที่มุ่งชักชวน เรียกร้อง หรือเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ บริการและความคิดต่างๆ ซึ่งเป็นงานในลักษณะสิ่งพิมพ์ งานออกแบบหีบห่อ งานโฆษณา (วิรุณ ตั้งเจริญ, 2527) จากความหมายของการออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กรที่อ้างมา จะเห็นว่าเป็นการออกแบบที่มีขอบข่ายงานกว้างขวางมากและมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการออกแบบนิเทศศิลป์ (Visual Communication Design) ในอันที่จะต้องเตรียมการและนำเสนอข่าวสาร (Message) ต่อผู้ดูแล-ผู้อ่านให้สามารถรับรู้ความหมายและแปลความได้ทางสายตาโดยการจัดสื่อกลางต่างๆ เช่น ตัวอักษร เครื่องหมายสัญลักษณ์ รูปภาพและอื่นๆ รวมกัน ด้วยกรรมวิธีของการขีด เขียน การพิมพ์ การบันทึกภาพ ตลอดจนเทคนิคการสร้างภาพต่างๆ ทางเครื่องมือ เครื่องจักรกลให้เกิดเป็นรูปร่างที่ประณีต เรียบร้อยสวยงามเพื่อการติดต่อสื่อสารและโน้มน้าวจิตใจของกลุ่มเป้าหมาย (Target Group) ที่ต้องการได้ Gregg Berryman ได้กล่าวว่า นักออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กรมักจะทำงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่อไปนี้ คือ สัญลักษณ์ (Symbols) เครื่องหมาย (Sign System) หนังสือ (Books) นิตยสาร (Magazines) หนังสือพิมพ์ (Newspapers) โฆษณา (Ads) นิทรรศการ (Exhibits) แคทตาล็อก (Catalogues) บรรจุภัณฑ์ (Packages) แผ่นพับ (Brochures) โปสเตอร์ (Posters) แผนที่ (Maps) ป้ายโฆษณา (Billboards) การประชาสัมพันธ์ (Promotions) หัวจดหมาย (Letter Heads) == วัตถุประสงค์ทางอัตลักษณ์ขององค์กร == วัตถุประสงค์ทางอัตลักษณ์ขององค์กร (อัตลักษณ์กลุ่มบริษัท Objective) วัตถุประสงค์ทางด้านจิตวิทยา (Psychology Objective) วัตถุประสงค์ทางด้านจิตวิทยาคือ การต้องการให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึก ความเชื่อมั่น เกิดความเข้าใจในตัวสินค้าและยอมรับในตัวสินค้า และในอัตลักษณ์ขององค์กรปัจจุบันวัตถุประสงค์ทางจิตวิทยาที่สำคัญคือความต้องการที่จะสร้างให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกประทับใจในร้านที่เข้า วัตถุประสงค์ทางด้านพฤติกรรม (Action Objective) วัตถุประสงค์ทางด้านพฤติกรรมคือ การที่ต้องการให้ผู้บริโภคแสดงพฤติกรรมตอบสนองการจูงใจของอัตลักษณ์ขององค์กรเช่น กระตุ้นให้เกิดการเข้าร้านตลอดจนการกระตุ้นให้ผู้บริโภคแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดในตัวร้าน เป็นต้น วัตถุประสงค์ทางด้านภาพพจน์ (Corporate Objective) วัตถุประสงค์ทางด้านภาพพจน์ของร้านเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดทัศนคติที่ดี มีความนิยมชมชอบต่อร้านอาหาร เช่น ให้ผู้บริโภคเห็นว่าร้านมีความห่วงใยต่อสังคม มีความรับผิดชอบต่อลูกค้า เป็นต้น ซึ่งเมื่อผู้บริโภคเกิดทัศนคติที่ดี มีภาพพจน์ที่ดีต่อร้านอาหารแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็จะมีผลต่อยอดขายของร้านนั้น เป็นต้น จุดจับใจ (Appeal) คือวิธีการกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความปรารถนา หรือมีความต้องการสามารถดึงดูดผู้บริโภคเป้าหมายให้เกิดความต้องการบริโภคสินค้านั้นได้ จุดจับใจเป็นแนวหลัก (Theme) ของโฆษณาชิ้นนั้นว่าจะใช้สิ่งใดจับใจผู้บริโภคเป้าหมาย เราจึงต้องดูว่าผู้บริโภคต้องการ อะไร เช่นต้องการความสะดวกสบาย ต้องการความภาคภูมิใจ เป็นต้น ซึ่งเมื่อเราทราบลักษณะความต้องการของผู้บริโภคแล้วก็เป็นการง่ายที่จะหาจุดจับใจ (Appeal) มาจับใจผู้บริโภค ซึ่งการหาจุดจับใจ (Appeal) สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกันเช่น ตรวจสอบ (Inspection) คือวิธีการตรวจสอบดูว่าบริษัทที่ผลิตสินค้านั้นหรือบริการนั้นมีอะไรเด่นบ้าง และตัดสินใจว่าน่าเอาจุดเด่นนี้มาใช้ในการโฆษณาสินค้า วิธีการเป็นวิธีที่ต้องอาศัยการตัดสินใจโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเป็นบรรทัดฐาน วิธีที่ใช้การวิจัยทางจิตวิทยาเข้ามาช่วย (Consulting Lists of Inspective Tendency) เป็นวิธีการค่อนข้างมีระเบียบ ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ถูกกระตุ้นด้วยแรงผลักดันทางจิตวิทยาและสรีระวิทยา สิ่งเหล่านี้ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการโฆษณาสินค้าดังที่เราจะเห็นว่า เมื่อต้องการโฆษณาเกี่ยวกับอาหาร โฆษณานี้จะต้องเป็นไปในลักษณะที่เสนอความพอใจทางด้านจิตวิทยาที่เกี่ยวกับความหิวเกิดความอยากรับประทานอาหารที่โฆษณานั้น การจดบันทึกความคิดเห็นต่างๆ เกี่ยวกับสินค้านั้นๆ (Conventional Source of Ideas) ความชอบความไม่ชอบของลูกค้า ความสามารถในการซื้อของลูกค้าตลอดจนความประทับใจของลูกค้า การวิจัยที่มีจุดประสงค์ที่จะได้ความคิดเห็นและข่าวสารที่เป็นประโยชน์จากบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative Research) จะได้ทราบว่าควรจะเลือกใช้จุดจับใจ (Appeal) ได้ในสถานการณ์หนึ่งๆ มีข้อสังเกตว่าการเลือกใช้จุดจับใจ (Appeal) ในการโฆษณาเพื่อให้มีประสิทธิภาพนั้นย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ความเหมาะสมในหลายๆ ด้านประกอบกัน นอกจากนั้นยังขั้นอยู่กับสังคมในแต่ละสมัยด้วยกล่าวคือในการโฆษณาสินค้าแบบหนึ่งแล้วประสบความสำเร็จ แต่ในอีกสมัยหนึ่งการใช้จุดจับใจ (Appeal) แบบเดิมอาจล้มเหลวก็ได้ คำขวัญ (Slogan) เป็นข่าวสารที่ผนึกรวมความคิดที่สำคัญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ หรือเหตุผลในการซื้อผลิต ภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคพัฒนาความนึกคิดที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และจดจำตรายี่ห้อได้ คำขวัญเป็นเครื่องมือทำให้แผนการรณรงค์โฆษณารวมกันเป็นเอกภาพ และดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องกันไป (continuity and Unity to Advertising) กล่าวคือ โฆษณาสินค้าตัวเดียวในโฆษณาชุดต่างๆ กันมีเนื้อเรื่องที่เปลี่ยนไป แต่คำขวัญยังคงเดิม นอกจากนี้คำขวัญจะทำหน้าที่ก่อให้เกิดบุคลิกภาพที่แน่นอนและจำได้ง่ายสำหรับผลิตภัณฑ์อีกด้วย คำขวัญมี 2 ประเภท คือ พูดพาดพิงถึงสินค้า (Product Personality) เช่น “ที่สหธนาคารคุณสำคัญเสมอ” , “ธนาคารทหารไทย รับใช้ประชาชน” เป็นต้น พูดพาดพิงถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย (Target Personality) เช่น “คู่เศรษฐกิจไทย คู่ใจประชา” , “บริการทุกระดับประทับใจ” เป็นต้น ลักษณะการเขียนสำคัญ (Slogan) ดังนี้ คือ ควรรวมตรายี่ห้อ หรือตราบริษัทเข้าไปในผลิตภัณฑ์ด้วย เพื่อป้องกันความสับสนสำหรับผู้บริโภค “ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารที่คุณวางใจ” ควรรวมความคิดและเรื่องราวสำคัญส่วนมากไว้เช่น คุณภาพสินค้า เพื่อจะได้เห็นความแตกต่างจากยี่ห้ออื่นได้ชัดเจน ควรจะสั้นและจดจำได้ง่าย เพื่อผู้บริโภคจะสามารถจดจำได้ทุกๆ คำ และระลึกถึงความสำคัญที่เกี่ยวข้องได้ ควรสร้างให้เกิดความเฉพาะตัวและมีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ ไม่ให้เกิดการลอกเลียนแบบจากผลิตภัณฑ์ยี่ห้ออื่น ขณะเดียวกันก็ต้องสามารถประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์หลายชนิดภายใต้ยี่ห้อเดียวกันได้ มีสัมผัสและจังหวะ เพราะจะทำให้ผู้บริโภคสามารถจดจำคำขวัญได้ง่าย โดยควรใช้ภาษาธรรมดาที่ไม่ล้าสมัยง่าย เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ (Logo) เป็นผลของการออกแบบกราฟิกที่เกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ (Symbolism) อันได้แก่ ภาพสัญลักษณ์และเครื่องหมายต่างๆ ที่ช่วยสร้างอัตลักษณ์ ได้แก่สินค้าและบริษัทผู้ผลิตเช่นการออกแบบตราสัญลักษณ์ของสินค้า และบริษัทให้มีเอกลักษณ์แบบเฉพาะตนเอง เพื่อความจำจำ ความเชื่อถือ และตราตรึงผู้บริโภคตลอดไป ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันดังนี้ สัญลักษณ์ (Symbol) มีลักษณะเป็นเครื่องมือที่ไม่ใช้ตัวอักษรประกอบ ใช้สำหรับแสดงบอกถึงการร่วมกัน เช่น บริษัท องค์กร สถาบันที่ก่อตั้งขึ้นโดยกฎหมาย ภาษาภาพ (Pictograph) ไม่ใช้ภาษาทางตัวอักษรประกอบ แต่ใช้ภาพบอกแทน หรือสื่อความหมายด้วยภาพให้ทราบถึงทิศทาง กิจกรรม หรือแทนสิ่งเฉพาะเช่น เครื่องหมายบอกทิศทางความปลอดภัย การคมนาคม เครื่องหมายตัวอักษร (Letter Marks) มักอยู่ในรูปตัวอักษรที่เกิดจากการย่อเอาตัวอักษรออกมาจากคำเต็ม หรือชื่อเต็มขององค์กร บริษัท สถาบันต่างๆ ออกมาใช้เป็นเครื่องหมายแสดงแทน ชื่อหรือคำเต็มที่เป็นตัวอักษร (Logo) และอ่านออกเสียงได้ตามหลักไวยากรณ์ของภาษาโดยใช้ตัวอักษรเพียงเท่านั้น เป็นการผสมผสานระหว่างภาพและตัวอักษร (Combination Marks) เข้ามาใช้ร่วมกัน และสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสม เครื่องหมายการค้า (Trademarks) ซึ่งอาจจะมิได้หลายลักษณะที่ได้กล่าวไว้ทั้ง 5 ประการ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของกิจการต้องการให้เครื่องหมายของตนเองอยู่ในลักษณะใด ก็เลือกใช้ตามความเหมาะสม(ประชิด ทิณบุตร ,2530:125-126) == แนวคิดการสร้างสรรค์งานเอกลักษณ์ขององค์กร == โดยทั่วไปแล้วการเอ่ยถึงการสร้างอัตลักษณ์ขององค์กร (อัตลักษณ์กลุ่มบริษัท) เป็นโฆษณาในเชิงกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่จุดมุ่งหมายที่บริษัทต้องการ นั่นคือโฆษณาสถาบันสามารถเป็นเครื่องมือที่จะสร้างอิทธิพลต่อการรับรู้เกี่ยวกับบริษัทในหมู่มหาชนได้ตามความต้องการของบริษัท หรือสถาบันนั้นๆ ดังนั้นเมื่อการสร้างอัตลักษณ์ขององค์กรเป็นกลยุทธ์การสร้างภาพพจน์สถาบันที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้เกี่ยวกับบริษัทในหมู่มหาชนแล้วจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ผู้บริหารระดับสูง (Chief Executive Officer) จะเป็นผู้มีบทบาทในการรับผิดชอบของส่วนองค์กร ซึ่งจะต้องมีการระบุจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ในการสร้างภาพพจน์โดยสืบเนื่อมาจากจุดประสงค์หลักขององค์กร (Coperate’s purpose/goal) ที่ตั้งขึ้นมารวมทั้งภาระหน้าที่ที่องค์กรต้องทำต่อไปยาวไกลถึงอนาคต แต่โดยวัตถุประสงค์เบื้องต้นของการทำอัตลักษณ์ขององค์กรแล้วคือการขยายภาพพจน์ขององค์กรให้กว้างออกไปเป็นการประกาศถึงชื่อบริษัท (Coporate name) สัญลักษณ์ (Logo) ไปสู่กลุ่มเป้าหมายอันได้แก่กลุ่มลูกค้า (Consumers) ผู้จะมาเป็นลูกค้า (Prospects) ได้ทราบถึงความสามารถและศักยภาพในการไปสู่ความสำเร็จของบริษัท เพื่อเป็นการกำหนดการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับบริษัทในหมู่มหาชน (Publics) ในกรณีที่ร้านเพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่และต้องการสร้างความรู้จัก, การจดจำชื่อใหม่ (New Name) สัญลักษณ์ (Logo) โดยการสร้างเอกลักษณ์ (Identity) ที่ใหม่และเหมาะสมไปสู่มหาชนโดยความสำเร็จของการรณรงค์โฆษณาสถาบันจะมาจากการที่ผู้บริหารระดับสูงนิยามจุดประสงค์หลักขององค์กรได้เหมาะสมและถูกรับ (percepted) ในเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่าง (Separate Identity) ซึ่งจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ตามมามากมาย โฆษณาสถาบันกับการวางตำแหน่งทางการตลาด เป็นการสร้างความตระหนักรู้ (Awareness) และการยอมรับ (Acceptance) ให้เกิดขึ้น มีการใช้การโฆษณาสถาบันเพื่อเปลี่ยนการรับรู้ (Perception) ของมหาชนและสร้างการตระหนักรู้ที่เป็นจริง (Realistics Awareness) ของสถาบันในการตลาดธุรกิจขึ้นมาแทนอาจมีผลที่ต่างไปจากนี้แต่ผลที่ต้องการได้รับคล้ายคลึงกันคือ การให้ความรู้กับกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) เกี่ยวกับบริษัทที่ดีเพื่อจะนำไปสู่ความเข้าใจที่ยังผลทันยิ่งใหม่คือ การยอมรับในบริษัทสินค้าและนโยบายของบริษัทด้วย ในการสร้างตำแหน่งทางการตลาดของสถาบันก็เหมือนการสร้างบุคลิกพิเศษเฉพาะตัว (Unique Personality) ของสถาบันขึ้นมาเป็นการสร้างอัตลักษณ์ที่มั่นคง (Strong Identity) แล้วทำการสื่อสารไปสู่กลุ่มเป้าหมาย โดยต้องคำนึงว่าเป็นบุคลิกที่เป็นหนึ่งเดียว (A Single Personality) ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เลือกสรรแล้ว และบุคลิกนั้นต้องเป็นบุคลิกที่เป็นจริงสามารถสร้างความเชื่อถือ โดยที่การยอมรับในตลาดธุรกิจของสถาบันที่สร้างขึ้นมา ต้องสามารถสื่อสารได้อย่างชัดแจ้งว่าองค์กรถูกจัดสร้างขึ้นมาเพื่อภารกิจหน้าที่ใด อะไรคือวัตถุประสงค์ที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายและมีนโยบายในการทำงานอย่างไร ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการรณรงค์โฆษณาสถาบันที่บ่งบอกคุณลักษณะ (Character) ของบริษัทจะประกอบด้วย ไม่ซับซ้อน (Simplicity) ไม่ซับซ้อนเน้นแนวคิดเพียงบางแนวคิดเดียว ซึ่งสามารถจะพัฒนาเป็นแนวคิดสร้างสรรค์ได้หลากหลายในเวลาต่อไป การมีลักษณะเฉพาะตัว (Uniqueness) การมีลักษณะเฉพาะตัวโดยแนวคิดหลักที่เลือกมาต้องมีความแตกต่างไปจากคู่แข่งขันเช่น ถ้าเสนอลักษณะเฉพาะตัวในเรื่องของเทคโนโลยี ก็ต้องพูดถึงความชำนาญและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ความเหมาะสม (Appropriateness) ความเหมาะสมที่โฆษณาสถาบันจะต้องดึงความสนใจของคนมาสู่คุณลักษณะของตัวบริษัท โฆษณาสถาบันที่ประสบความสำเร็จต้องสอดคล้องกับคุณลักษณะ หรือวัตถุประสงค์ของบริษัท การมีความสัมพันธ์กัน (Relevance) การมีความสัมพันธ์กัน โฆษณาสถาบันที่ดีจะต้องเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่คัดสรรไว้แต่แรก การมีสายตายาวไกล (Foresight) การมีสายตายาวไกลโดยวัตถุประสงค์หลักของโฆษณาเพื่อสร้างภาพพจน์คือการเข้าถึงผู้รับก่อนที่เขาจะมีทัศนคติกับบริษัทในเชิงลบเพราะฉะนั้นการโฆษณาประเภทนี้จะเข้าไปปรับมุมมองของผู้รับที่มีกับบริษัทในทางที่ถูกต้อง ความต่อเนื่อง (Continuity) ความต่อเนื่องเป็นปัจจัยของการโฆษณาสถาบันที่ประสบผลสำเร็จเพราะการโฆษณาประเภทนี้ต้องการให้การพบเห็นติดตาอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่ง ความน่าเชื่อถือ (Credibility) ความน่าเชื่อถือ การโฆษณาสถาบันแม้จะวางแผนอย่างดีหรือเงินทุนดี แต่จะไม่ประสบความสำเร็จถ้าไม่อ้างอิงเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นจริง (กัลยาณี พูลผล,2523:32) อย่างไรก็ตามเครื่องหมายบริษัท (Corporate Marks) ที่ดีจะต้องประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ดังนี้ เป็นต้นฉบับคือไม่ลอกเลียนแบบใคร และโดดเด่น อ่านง่าย ชัดเจน เข้าใจง่าย จดจำได้ง่าย เกี่ยวเนื่องกันดีกับบริษัท สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อใช้กับงานกราฟิกอี่นๆ ได้ง่าย (วัชรินทร์ อนันตคุปกรณ์,2536:34) == ความสำคัญของการออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กร == การออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กร มีส่วนสร้างสรรค์สัญลักษณ์และข้อตกลงร่วมกันของคนในสังคมโดยเข้ามามีส่วนช่วยเสริมการรับรู้ทางการมองเห็น เป็นลู่ทางหรือสื่อกลาง ช่วยการรับรู้แห่งข้อตกลงต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ มีความชัดเจน มีผลกระทบทางด้านจิตวิทยาในอันที่จะระลึกถึง และเป็นเครื่องหมายแห่งความทรงจำข้อเตือนใจ ข้อควรระวังในระบบระเบียบของกฎเกณฑ์และความเชื่อที่จะปฏิบัติต่อกันไปเพื่อความคงอยู่ของสังคมที่สงบร่มเย็นดังเช่นที่ปรากฏอยู่เป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์และข้อตกลงต่างๆ เช่น สัญลักษณ์แทนศาสนา ลัทธิ เครื่องหมายจราจร เป็นต้น ซึ่งเครื่องหมาย สัญลักษณ์ต่างๆ ทางอัตลักษณ์ขององค์กรนี้จำเป็นต้องอาศัยการออกแบบให้มีขนาดรูปทรงที่ชัดเจน เรียบร้อย สวยงาม และเหมาะสมกับอำนาจทางการมอง (Visual Percertion) ของมนุษย์ การออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กรเป็นสื่อแสดงแห่งพลังการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการทั้งหลายที่คิดค้นขึ้นล้วนแต่เกิดจากการถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ก็ออกมาผ่านการขีดเขียนหรือการสร้างภาพ (Image) ทางลักษณะของงานอัตลักษณ์ขององค์กรด้วยกันทั้งนั้นเพราะเป็นลู่ทางที่สามารถรองรับความคิดฉับพลันและการกระทำของมนุษย์ได้รวดเร็วที่สุด แม้กระทั่งมีการขัดเกลาแก้ไขดัดแปลงและนำเสนอ (Presentation) รูปร่างของความคิดหรือการประกอบเพื่อสร้างต้นแบบและคำอธิบายที่เป็นสื่อแสดงให้ผู้ดูได้รู้ได้เห็นเกิดความสนใจเข้าใจและคล้อยตามในความคิดสร้างสรรค์ที่ได้เพียรพยายามขึ้นมา ดังเช่น การเขียนแบบทางวิศวกรรม สถาปัตยกรรม เครื่องจักรกลต่างๆ ตลอดจนงานสร้างสรรค์ศิลปกรรมแขนงอื่นๆ การออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กรเป็นการเสริมสร้าง แต่งข่าวสารให้ดึงดูดสายตาและน่าสนใจขึ้นโดยการปรับปรุงเพิ่มเติมเสริมแต่งด้วยทักษะทางศิลปะและให้หลักจิตวิทยาการรับรู้เข้าช่วย เช่น การจัดวางรูปแบบของข้อความ รูปภาพ เปลี่ยนขนาด การเสนอข้อความที่กระทัดรัดได้ใจความ เป็นต้น การออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กร ช่วยส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าทางธุรกิจการค้าและวงการอุตสาหกรรม == การสร้างอัตลักษณ์ให้กับสถาบัน/บริษัทโดยวิธีการวางบุคลิกของบริษัท == การสร้างอัตลักษณ์ให้กับสถาบัน/บริษัทโดยวิธีการวางบุคลิกของบริษัท (Personality Projection) กล่าวโดยสรุปข้างต้นจะเห็นว่าการวางตำแหน่งสินค้า (Product Positioning) มาจากวิเคราะห์ตลาดและการสร้างบุคลิกตราสินค้า (Broad Personality) มาจากการวิเคราะห์ผู้บริโภคเป้าหมายและอีกวิธีการสร้างอัตลักษณ์ให้กับสถาบันที่สำคัญคือ วิธีโปรเจกต์ทีฟ (Personality Projection) เป็นการสร้างบุคลิกของสถาบันให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยผลมาจากวิธีการโปรเจกต์ทีฟ (Projection Method) ซึ่งเป็นการศึกษาความคิดเห็นทัศนคติ ค่านิยม ความต้องการของกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคที่ไม่อาจถามได้ด้วยคำถามตามแบบสอบถามตามปกติ เพราะอาจไม่ได้คำตอบที่ตรงกับความรู้สึกจริงๆ วิธีการนี้อาศัยหลักการเสนอสิ่งเร้าที่คลุมเครือแก่กลุ่มตัวอย่างเช่น ภาพประโยค ข้อความที่ไม่สมบูรณ์หรือคำที่มีลักษณะที่เป็นนามธรรม เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างอธิบายสิ่งเร้าต่างๆ นั้นตามความรู้สึก ความเห็นของตัวเอง เทคนิควิธีการโปรเจกต์ทีฟที่ใช้กันได้แก่ เทคนิคการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคำ (Word Association) และเทคนิคการเติมคำในประโยคที่ไม่สมบูรณ์ (Sentence Completion) โดยจะใช้สิ่งเร้าที่คลุมเครือ เช่น การใช้คำ หรือ ประโยคที่ไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับสินค้า/บริการ หรือสิ่งที่ต้องการศึกษาแนวคิด แล้วให้กลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคเติมคำในประโยคให้สมบูรณ์ ซึ่งที่เติมเข้ามาก็คือแนวคิดที่ผู้บริโภคมีต่อสิ่งเร้าที่เราต้องการที่จะศึกษานั่นเอง วิธีนี้นอกจากจะใช้ทดสอบเพื่อกำหนดแนวคิดทางการโฆษณาแล้วยังทำให้รู้ถึงทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้า และหากผู้บริโภคส่วนใหญ่มีแนวคิดด้านลบกับสินค้าบริการแล้วการกำหนดแนวคิดทางโฆษณาเพื่อลบล้างแนวคิดดดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการโฆษณาเป็นอย่างมาก ตัวอย่างบริษัทปูนซีเมนต์ไทยได้เคยจ้าง Depstick Research ทำให้การวิจัยเพื่อหาบุคลิกภาพของบริษัทโดยวิธีโปรเจกต์ทีฟ (Personality Projection) เป็นการวิจัยสุ่มทดลองเพื่อสร้างบุคลิกภาพของบริษัทให้สอดคล้องกัน โดยจะฉายภาพลักษณ์จากบริษัทให้เป็นคนๆ หนึ่งที่จะเป็นตัวแทนบริษัทนั้น และจากผลของการวิจัยนั้นทำให้ได้ภาพของคนขึ้นมาคนหนึ่งที่ค่อนข้างละเอียดมาก แสดงให้เห็นทั้งบุคลิกลักษณะนิสัย ความเป็นอยู่ และที่สำคัญมีความเป็นไทยตามแบบปูนซีเมนต์ที่เน้นความเป็นไทยดังนี้ เป็นชายอายุประมาณ 45-60 ปี แต่ไม่แก่ มีอาวุโส เป็นคนไทย มาจากครอบครัวขนาดใหญ่ฐานะมั่นคง เป็นคนอ้วน ขาว หัวล้าน ลงพุง สูงปานกลาง แต่งงานแล้ว มีเมียเยอะ มีลูกมาก มีความสุขในครอบครัว ชอบแต่งตัวแบบไทยๆ แต่งตัวตามสบาย สะอาดสะอ้าน แต่ภูมิฐาน ใส่ชุดเสื้อแขนยาวก็จะไม่พับแขน หรือถ้าอยู่บ้านก็จะใสเสื้อแขนสั้น กางเกงแพร ใช้น้ำหอมน้ำอบแบบไทยๆ เป็นคนพูดเสียงดัง แต่ไม่พูดมาก เข้มแข็ง แข็งแรง เป็นคนยิ้มแย้มไม่ยกยอตัวเอง สุขุม ใจกว้าง ฉลาด มีจิตวิทยาสูง มองการณ์ไกล มีประสบการณ์มาก มีความมั่นใจในตัวเอง น่าเคารพน่าคบ น่าพึ่งพาอาศัย เหมือนร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นคนใจดีมีการศึกษาดีพอสมควร เป็นคนที่สังคมยอมรับนับถือ ทำงานในระดับผู้บริหาร ผู้อำนวยการ อย่างไรก็ตามบริษัทอื่นๆ สามารถนำแนวคิดนี้มาใช้ในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาสถาบันของตนได้โดยจะต้องเริ่มต้นจากการวิจัย โดยวิธีดังกล่าวข้างต้นซึ่งเมื่อได้บุคลิกที่ชัดเจนของบริษัทและทราบผลการวิจัยแล้วจะได้วางแนวคิด (Concept) ว่าจะสื่ออะไรออกไปในงานโฆษณาสถาบัน (Corporate Advertising) ซึ่งจะต้องเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ทันต่อเหตุการณ์และต้องสอดคล้องกับบุคลิกภาพของบริษัทตนเองต่อไป หลักการดำเนินงานออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กร John Laing (1984) ได้เสนอแนะหลักการดำเนินงานและการวางแผนขั้นต้นของการออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กรไว้ดังนี้ (ประชิด ทิณบุตร,2530:27-28) เป้าหมายของการออกแบบคืออะไร (What Is Your Objective?) ในการออกแบบ ผู้ออกแบบต้องรู้เป็นเบื้องแรกว่าจะบอกกล่าว (Inform) เรื่องราวข่าวสารอะไรแก่ผู้รับสารบ้าง ผู้ออกแบบต้องรู้วิธีการนำเสนอที่เหมาะสมกับเรื่องราวต่างๆ ว่ามีการออกแบบเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ใด เช่น เพื่อส่งเสริมการขาย เพื่อให้ความรู้หรือความบันเทิง เป็นต้น กลุ่มเป้าหมายที่รับข่าวสารเป็นใคร (Who Is The Message Aimed At?) กลุ่มเป้าหมายอาจเฉพาะเจาะจงเป็นผู้ชาย ผู้หญิง บุคคลทั่วไป มีช่วยอายุเท่าไร ข่าวสารที่ให้มีระดับความยาก-ง่าย หรือเป็นสากลอย่างไร ซึ่งผู้ออกแบบจำเป็นต้องรู้และเข้าใจ เพื่อวางแผนจัดการกับข่าวสารและการนำเสนอให้ตรงสุดกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ สิ่งที่ต้องการจะพูดคืออะไร (What Needs To Be Said?) ในที่นี้หมายถึง วิธีการที่จะสื่อความหมายกับผู้รับสาร และจากการที่มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายไว้แล้ก็จะทำให้ผู้ออกแบบมีความสะดวกในการที่จะพูดหรือสื่อความหมายได้ง่ายขึ้น เช่น การใช้ศัพท์ข้อความ และสื่อที่เป็นนามธรรมหรือสัญลักษณ์และเครื่องหมาย ภาพประกอบต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมตามระดับความสามารถในการรับรู้ของผู้รับ ที่จะก่อให้เกิดการจดจำ ความเข้าใจในความหมายของข่าวสารนั้นจะใช้สื่อนำพาข่าวสารผ่านรูปแบบและกรรมวิธีใด (How Are You Going To Convey The Message?) หมายถึงว่าผู้ออกแบบต้องคำนึงถึงการเลือกสื่อในการนำเสนอข่าวสารเป็นรูปแบบใดจึงจะได้ผลดีมีความเหมาะสมกับข่าวสารและผู้ออกแบบควรจะใช้วิธีการจัดการ (Organize) กับข่าวสารนั้นอย่างไรจึงจะสามารถโน้มน้าวจิตใจและสื่อความหมายต่อผู้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เป็นป้ายโฆษณา (Billboard) โปสเตอร์ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ ฯลฯ ซึ่งสื่อต่างๆ เหล่านี้มีรูปแบบกรรมวิธีและให้ผลต่อการรับรู้ของคนที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นผู้ออกแบบควรคำนึงถึงการเลือกสื่อว่าจะสามารถจัดนำเสนอเป็นรูปแบบใด จึงจะเหมาะสมกับปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จากหลักการและพื้นฐานการดำเนินการต่างๆ ที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระเบียบวินัย (Discipline) ของการออกแบบเอกลักษณ์ขององค์กรในขั้นของการเริ่มต้นเพื่อนำสู่การจัดการกับส่วนประกอบของการออกแบบในลำดับต่อไป ดังที่กล่าวไว้แล้วว่าการออกแบบเอกลักษณ์ขององค์กรส่วนใหญ่เป็นระเบียบวิธีการที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกซึ่งสื่อความหมายในลักษณะของตัวอักษรและแผนภาพของรูปแบบต่างๆทางการสื่อสารที่เป็นทัศนสัญลักษณ์ (Visual Form) ดังนั้นในการออกแบบจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีการเรียนรู้ถึงส่วนประกอบสำคัญเพื่อการนำมาใช้เป็นพื้นฐานและการคำนึงถึงเช่นเดียวกัน การตลาด การจัดการตราสินค้า การจัดการผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมและการสื่อสารการตลาด
thaiwikipedia
1,731
วัฏจักรของน้ำ
น้ำ (water cycle)หรือชื่อในทางวิทยาศาสตร์ว่า หมายถึงการเปลี่ยนแปลงสถานะของน้ำระหว่าง ของเหลว ของแข็ง และแก๊ส ในวัฏจักรของน้ำนี้ น้ำจะมีการเปลี่ยนแปลงสถานะไป-กลับ จากสถานะหนึ่งไปยังอีกสถานะหนึ่งอย่างต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุดภายในอุทกภาค (hydrosphere) เช่น การเปลี่ยนแปลงระหว่างชั้นบรรยากาศ น้ำพื้นผิวดิน ผิวน้ำ น้ำใต้ดิน และพืช กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้สามารถแยกได้เป็น 4 ประเภทคือ การระเหยเป็นไอ (evaporation), หยาดน้ำฟ้า (precipitation), การซึม (infiltration) และการเกิดน้ำท่า (runoff) การระเหยเป็นไอ (evaporation) เป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะของน้ำบนพื้นผิวไปสู่บรรยากาศ ทั้งการระเหยเป็นไอ (evaporation) โดยตรงจากการคายน้ำของพืช (transpiration) ซึ่งเรียกว่า การระเหยคายน้ำ (evapotranspiration) หยาดน้ำฟ้า (precipitation) เป็นการตกลงมาของน้ำในบรรยากาศสู่พื้นผิวโลก โดยละอองน้ำในบรรยากาศจะรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ และในที่สุดกลั่นตัวเป็นฝนตกลงสู่ผิวโลก รวมถึงหิมะและลูกเห็บ การซึม (infiltration) จากน้ำบนพื้นผิวลงสู่ดินเป็นน้ำใต้ดิน อัตราการซึมจะขึ้นอยู่กับประเภทของดิน หิน และปัจจัยประกอบอื่นๆ น้ำใต้ดินนั้นจะเคลื่อนตัวช้า และอาจไหลกลับขึ้นบนผิวดิน หรือ อาจถูกกักอยู่ภายใต้ชั้นหินเป็นเวลาหลายพันปี โดยปกติแล้วน้ำใต้ดินจะกลับเป็นน้ำที่ผิวดินบนพื้นที่ที่อยู่ระดับต่ำกว่า ยกเว้นในกรณีของบ่อน้ำบาดาล น้ำท่า (runoff) หรือน้ำไหลผ่าน เป็นการไหลของน้ำบนผิวดินไปสู่มหาสมุทร น้ำไหลลงสู่แม่น้ำและไหลไปสู่มหาสมุทร ซึ่งอาจจะถูกกักชั่วคราวตามบึงหรือทะเลสาบ ก่อนไหลลงสู่มหาสมุทร น้ำบางส่วนกลับกลายเป็นไอก่อนจะไหลกลับลงสู่มหาสมุทร == อ้างอิง == สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่ม ๑๕ == แหล่งข้อมูลอื่น == คลังข้อมูลสภาพน้ำของประเทศไทย รูปแบบของน้ำ น้ำ อุทกวิทยา
thaiwikipedia
1,732
ฝน
ฝน เป็นการตกของน้ำจากฟ้าแบบหนึ่ง นอกจากฝนแล้ว น้ำยังตกในรูปหิมะ เกล็ดน้ำแข็ง ลูกเห็บ น้ำค้าง ฝนอยู่ในรูปหยดน้ำซึ่งตกมายังพื้นผิวโลกจากเมฆ ฝนบางส่วนระเหยเป็นไอก่อนตกลงถึงผิวโลก ฝนชนิดนี้เรียกว่า "virga" ฝนที่ตกเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของวัฏจักรของน้ำ ซึ่งน้ำจากผิวน้ำในมหาสมุทรระเหยกลายเป็นไอ ควบแน่นเป็นละอองน้ำในอากาศ ซึ่งรวมตัวกันเป็นเมฆ และในที่สุดตกเป็นฝน ไหลลงแม่น้ำ ลำคลอง ไปทะเล มหาสมุทร ปริมาณน้ำฝนนั้นวัดโดยใช้มาตรวัดน้ำฝน โดยวัดความลึกของน้ำที่ตกสะสมบนพื้นผิวเรียบ สามารถวัดได้ละเอียดถึง 0.25 มิลลิเมตร บางครั้งใช้หน่วย ลิตรต่อตารางเมตร (1 L/m² = 1 mm) ฝนเม็ดเล็กจะมีรูปเกือบเป็นทรงกลม ส่วนเม็ดฝนที่ใหญ่ขึ้นจะมีรูปร่างที่ค่อนข้างแบนคล้ายแฮมเบอร์เกอร์ ส่วนเม็ดที่ใหญ่มาก ๆ นั้นจะมีรูปร่างคล้ายร่มชูชีพ เม็ดฝนเฉลี่ยมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ถึง 2 มิลลิเมตร เม็ดฝนใหญ่ที่สุดที่ตกลงถึงผิวโลก ตกที่ประเทศบราซิล และหมู่เกาะมาร์แชลล์ ใน ค.ศ. 2004 โดยมีขนาดใหญ่ถึง 10 มิลลิเมตร เม็ดฝนมีขนาดใหญ่เนื่องจากละอองน้ำในอากาศมีขนาดใหญ่ หรือเกิดการรวมตัวกันของเม็ดฝนหลายเม็ด จากความหนาแน่นฝนที่ตกลงมา ปกติฝนมีค่า pH ต่ำกว่า 6 เล็กน้อย เพราะรับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเข้ามาซึ่งเกิดเป็นกรดคาร์บอนิก ในพื้นที่ทะเลทราย ฝุ่นในอากาศมีปริมาณแคลเซียมคาร์บอเนตสูง ซึ่งส่งผลต่อต้านความเป็นกรด ทำให้ฝนนั้นมีค่าเป็นกลางหรือเบส ฝนที่ค่า pH ต่ำกว่า 5.6 ถือเป็น ฝนกรด == วัฒนธรรมกับฝน == สังคมมนุษย์พัฒนาเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับฝนหลายอย่าง เช่น ร่ม เสื้อกันฝน ที่เก็บน้ำฝน ฯลฯ ปัจจุบันการเก็บน้ำฝนเพื่อบริโภคไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากมีสิ่งสกปรกมากมาย อยู่ในอากาศ ทำให้น้ำฝนนั้นมีฝุ่นละอองต่าง ๆ ด้วย == ผลกระทบต่อเกษตรกรรม == ฝนเป็นปัจจัยส่งผลต่อเกษตรกรรมมากทั้งด้านบวกและลบ ฝนตกมากเกินไปอาจทำให้เกิดน้ำท่วมและส่งผลให้พืชบางชนิดล้มตายจากการเน่าเปื่อยอันเกิดจากเชื้อราได้ นอกจากนี้ หากฝนไม่ตกตามฤดูกาลและเกิดภัยแล้งตามธรรมชาติยังสามารถทำลายพืชผลการเกษตรได้ด้วย == อ้างอิง ==
thaiwikipedia
1,733
สรยุทธ สุทัศนะจินดา
สรยุทธ สุทัศนะจินดา (เกิด 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2509) ชื่อเล่น ยุทธ เป็นผู้ประกาศข่าวและผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ชาวไทย ที่มีชื่อเสียงในการสัมภาษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ และการนำข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์มาอ่านในรายการโทรทัศน์พร้อมขยายความให้ผู้ชมเข้าใจเนื้อหาข่าวง่ายขึ้น หรือที่เรียกว่าเล่าข่าว (News Talk) ซึ่งถือเป็นต้นแบบของการนำเสนอข่าวในประเทศไทยในปัจจุบัน และจากการทำงานที่สรยุทธทุ่มเทเวลาให้กับข่าวอย่างเต็มที่เหมือนแรงงานหรือกรรมกร ทำให้มีอีกฉายาคือ กรรมกรข่าว มีผลงานที่เป็นที่รู้จักหลายรายการ เช่น เรื่องเล่าเช้านี้, เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์, คุยคุ้ยข่าว และ ถึงลูกถึงคน == ประวัติ == สรยุทธเกิดวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 เป็นบุตรคนที่ 2 จากทั้งหมด 3 คนของสมศักดิ์ และวิชชุดา สุทัศนะจินดา (แซ่โล้) มีพี่สาวชื่อ สุกัญญา น้องสาวชื่อ สุภาวดี สรยุทธเข้าศึกษาในโรงเรียนอำนวยศิลป์ เป็นรุ่นที่ 57 เคยไปทะเลาะวิวาทจนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ส่งผลให้ต้องไปใช้ชีวิตในบ้านเมตตา 15 วัน ก่อนจะกลับตัวกลับใจในการตั้งใจเรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษา และสำเร็จการศึกษานิเทศศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (เกียรตินิยมอันดับ 1) เมื่อปี พ.ศ. 2530 สรยุทธเริ่มทำงานด้านสื่อครั้งแรกในสังกัดหนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 โดยทำข่าวสายรัฐสภาเป็นเวลาสองปี และทำข่าวสายทำเนียบรัฐบาลอีกสองปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2535 ได้ประจำในกองบรรณาธิการ ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าข่าวการเมือง และในปี พ.ศ. 2537 ได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นหัวหน้าข่าวการเมือง ในปี พ.ศ. 2540 ได้มาเป็นบรรณาธิการข่าว และจัดรายการวิเคราะห์ข่าวให้สถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ รวมถึงช่องไอทีวีที่เนชั่นไปร่วมผลิตรายการข่าวให้ในขณะนั้น สุดท้ายเป็นรองบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น นอกจากการเป็นผู้ดำเนินรายการแล้ว สรยุทธยังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด (ผลิตรายการโทรทัศน์) และบริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด (รับจัดงานและกิจกรรม) ชีวิตส่วนตัว สรยุทธสมรสกับเพียงจันทร์ ว่องวิชชุเวทย์ พนักงานอิสระ (Freelance) ของสำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์ หลังออกจากเรือนจำ ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2564 สรยุทธได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาฝ่ายข่าวให้แก่ผู้อำนวยการช่อง 3 เอชดี == คดีไร่ส้ม == เมื่อปลายปี พ.ศ. 2550 บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เข้าร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวางให้ดำเนินคดีกับพนักงาน บมจ.อสมท จำนวน 2 คน ในข้อหากระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502, บริษัท ไร่ส้ม จำกัด รวมถึงสรยุทธในฐานะกรรมการผู้จัดการ ในฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐกระทำผิดด้วยการยักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการ "คุยคุ้ยข่าว" ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ทำให้ บมจ.อสมท ได้รับความเสียหายจากค่าโฆษณาเป็นเงิน 138,790,000 บาท และ สน.ห้วยขวาง ส่งสำนวนทั้งหมดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 ก่อนที่ ป.ป.ช. จะชี้มูลความผิดสรยุทธ ในวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555 พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกสรยุทธ 13 ปี 4 เดือนไม่รอลงอาญา และปรับเงินไร่ส้มอีก 80,000 บาท โดยสรยุทธได้อุทธรณ์สู้คดีต่อ จนกระทั่งในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2563 ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกสรยุทธเป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา อย่างไรก็ตาม จากความหวาดวิตกกังวลของผู้ต้องขังในเรือนจำต่อสถานการณ์การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศไทย จนเกิดเหตุการณ์ผู้ต้องขังหนีออกและเผาเรือนจำที่จังหวัดบุรีรัมย์ กรมราชทัณฑ์จึงต้องกอบกู้ความน่าเชื่อถือ โดยนำสรยุทธมาจัดรายการ "เรื่องเล่าชาวเรือนจำ" เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ต้องขัง จนสถานการณ์ที่เรือนจำในเวลาต่อมาค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ ทำให้ในเวลาต่อมา สรยุทธได้เลื่อนชั้นเป็นผู้ต้องขังชั้นเยี่ยม ได้รับการลดวันต้องโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ 2 ครั้ง และได้รับการพักโทษเป็นกรณีพิเศษเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2564 โดยติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวไว้ที่ข้อเท้าซ้าย จนกระทั่งได้รับการพระราชทานอภัยโทษอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 28 กรกฎาคม ปีเดียวกัน == ผลงาน == === รายการโทรทัศน์ === ==== ปัจจุบัน ==== เรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 เอชดี (2 มิถุนายน พ.ศ. 2546 - 3 มีนาคม พ.ศ. 2559 / 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 - ปัจจุบัน) เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ ทางช่อง 3 เอชดี (6 มกราคม พ.ศ. 2550 - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 / 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 - ปัจจุบัน) กรรมกรข่าวคุยนอกจอ ทางช่องยูทูบ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว (7, 11, 12, 18 - 20 และ 24 เมษายน พ.ศ. 2566 - ปัจจุบัน) ==== อดีต ==== วีซีดีสารคดี บันทึกเมืองไทย (พ.ศ. 2544) วิเคราะห์ข่าว (พ.ศ. 2539 - 2543) เวทีไอทีวี ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี (พ.ศ. 2539 - 2543) ฟังความรอบข้าง (พ.ศ. 2539 - 2543) ไอทีวี ทอล์ก (พ.ศ. 2539 - 2543) เก็บตกจากเนชั่น ทางเนชั่น แชนแนล (1 มิถุนายน พ.ศ. 2543 - พฤษภาคม พ.ศ. 2546) รายการคมชัดลึก ทางเนชั่น แชนแนล (พ.ศ. 2543 - 2546) ก๊วนกวนข่าว ทางเนชั่น แชนแนล กล่องวิเศษ ทางช่อง 3 (2 มกราคม - 25 กันยายน พ.ศ. 2546) ถึงลูกถึงคน ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี (3 มิถุนายน พ.ศ. 2546 - 29 ธันวาคม พ.ศ. 2549) คุยคุ้ยข่าว ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี (3 เมษายน พ.ศ. 2547 - 31 ธันวาคม พ.ศ. 2549) จับเข่าคุย ทางช่อง 3 (4 ตุลาคม พ.ศ. 2546 - พ.ศ. 2547 / 14 เมษายน - 24 ธันวาคม พ.ศ. 2550 / 14 มกราคม พ.ศ. 2551 - 27 เมษายน พ.ศ. 2552) เรื่องเด่นเย็นนี้ ช่วง เจาะข่าวเด่น ทางช่อง 3 เอชดี (29 มกราคม พ.ศ. 2550 - 2 มีนาคม พ.ศ. 2559 / 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2564) เรื่องเล่าชาวเรือนจำ ออกอากาศในเรือนจำ 143 แห่งทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์ของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม (21 มีนาคม พ.ศ. 2563 - 23 ตุลาคม พ.ศ. 2564) === งานเขียน === ==== คอลัมน์ ==== คอลัมน์ คุยนอกสนาม ในนิตยสารแพรว (ปัจจุบันเลิกเขียนแล้ว) คอลัมน์ พูดจาประสาข่าว ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก (ปัจจุบันเลิกเขียนแล้ว) คอลัมน์ คุยคุ้ยข่าว ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก (ปัจจุบันเลิกเขียนแล้ว) ==== หนังสือเล่ม ==== คมชัดลึก (เนชั่นบุ๊กส์) กรรมกรข่าว (อมรินทร์) กรรมกรข่าว 2 งานรับเหมา (อมรินทร์) คุยนอกสนาม (อมรินทร์) กรรมกรข่าว 3 (อมรินทร์) == ฉายา == กรรมกรข่าว - จากชื่อหนังสือที่สรยุทธเขียน และถูกเปรียบเทียบจากสื่อมวลชนด้วยกันว่าขยันทำงานดั่งแรงงานหรือกรรมกร ป๋าเสี้ยม - โดยสมาคมนักข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย จากกรณีผู้ร่วมรายการถึงลูกถึงคน ทำร้ายกันในรายการ บ่าง - โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากข่าวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงนักบินที่เครื่องบินตกเสียชีวิตที่จังหวัดสุพรรณบุรี สรยวย, สรย้วย - โดยสื่อในเครือผู้จัดการ == รางวัลที่ได้รับ == รางวัลเทพทองพระราชทาน ท็อปอวอร์ดส 2003, 2004, 2010 สตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์อวอร์ดส 2003, 2004 รางวัลโทรทัศน์ทองคำ เกิดอวอร์ด 2012 สาขา เกิดมาให้ รางวัลนิตยสารเปรียว == ข้อวิพากษ์วิจารณ์ == ถูกวิจารณ์ว่านำเสนอข่าวที่ไม่เป็นสาระโดยให้เวลาและความสำคัญเป็นพิเศษ ไม่ให้ความสำคัญและน้ำหนักเทียบเท่ากับเรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญกว่า การเล่าข่าวในรายการเรื่องเล่าเช้านี้และคุยคุ้ยข่าว ซึ่งนำข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์มาอ่านในรายการโทรทัศน์ โดยมีการนำเสนอเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อมวลชนด้วยกันถึงความเหมาะสมที่สื่อโทรทัศน์ซึ่งมีทรัพยากรและบุคลากรเพียงพอที่จะทำข่าวอย่างมีคุณภาพ กลับนำข่าวจากสื่อหนังสือพิมพ์มานำเสนอโดยสอดแทรกความเห็นของตัวเอง โดยไม่มีการหาข้อมูลในเชิงลึกเพิ่มเติม จนถูกบางคนเรียกชื่อรายการว่า "คุยคุ้ยเขี่ย" กรณีการนำสินค้าเข้ามาประกอบในรายการ และเก็บรายได้จากเจ้าของสินค้า โดยไม่นำส่งส่วนแบ่งรายได้ของ บมจ.อสมท ตามสัดส่วน เป็นเงินถึง 98 ล้านบาท กรณีเปิดให้มีการส่งข้อความสั้นเข้ามาแสดงความคิดเห็นในรายการ โดยอ้างว่าเพื่อการเปิดกว้างแสดงความเห็น โดยมีของรางวัลสมนาคุณ แต่มีการแสวงหาประโยชน์จากการแบ่งรายได้กับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์ หลังจากข้อเท็จจริงเรื่องนี้ถูกเปิดเผย และเป็นข่าวทางหนังสือพิมพ์ และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง สรยุทธกลับเก็บตัวเงียบ ปฏิเสธว่าไม่ได้รับรู้ด้วย และปิดปรับปรุงส่วนบอร์ดรับความคิดเห็นในเว็บไซต์ส่วนตัวอย่างไม่มีกำหนด ราวเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.อสมท ตรวจพบว่า บริษัท ไร่ส้มฯ ของสรยุทธค้างรายได้จากการโฆษณาเป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท โดยที่มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท อาจรู้เห็นด้วย ซึ่งต่อมาการแถลงของผู้บริหาร บมจ.อสมท ต่อกรณีนี้ก็ไม่มีความชัดเจน ต่อมาคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชของ บมจ.อสมท โดยมี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธาน เปิดเผยผลสอบว่า บริษัทไร่ส้มโฆษณาเกินกว่าสัญญาจริง สร้างความเสียหายให้ อสมท. เป็นเงิน 138 ล้านบาท กรณีเงินรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิในเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 ซึ่งเปิดรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านหมู่บ้านน้ำเค็ม ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ผ่านทางรายการ ได้ยอดเงินประมาณ 9 ล้านบาท แต่ไม่มีการนำเงินไปมอบให้ผู้ประสบภัยจริง ต่อมาสรยุทธได้นำชาวบ้านที่เป็นผู้ดูแล กองทุนถึงลูกถึงคนฟื้นฟูบ้านน้ำเค็ม ออกชี้แจงความเป็นมาของโครงการและข้อพิพาทนี้แล้ว เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ว่าโครงการนี้ในที่สุดได้ถึงมือชาวบ้านและบริหารงานอย่างมีระบบและชาวบ้านยังคาดว่าจะสามารถเป็นตัวอย่างให้กับพื้นที่อื่น ๆ ด้วย หลังเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 กนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรร่วมรายการคุยคุ้ยข่าวและเพื่อนสนิทของสรยุทธได้ยุติการทำรายการร่วมไป โดยลือกันว่า เป็นเพราะกนกไม่อาจทำงานร่วมกับสรยุทธต่อไปได้ เนื่องจากเป็นสื่อที่รายงานข่าวไม่ตรงไปตรงมาและมีผลประโยชน์แอบแฝง โดยตอนหนึ่งกนกได้เขียนลงในนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ว่า "ผมทำงานกับคนโกงไม่ได้" โดยสื่อให้เข้าใจว่าหมายถึงสรยุทธ หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล พิธีกรร่วมในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ หลังจากที่ทำหน้าที่พิธีกรร่วมมาในระยะเวลาไม่นาน ก็ยุติการทำรายการร่วมไป โดย ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ได้เปิดเผยว่าเพราะสรยุทธไม่เคยให้เกียรติตน อีกทั้งไม่เห็นด้วยกับแนวทางการนำเสนอข่าวของสรยุทธ ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกรณีนำบิดาของผู้ต้องหาจากเหตุการณ์ขับรถเบนซ์ชนพนักงานองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จนเสียชีวิต มาให้สัมภาษณ์แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยพาดพิงถึงฝ่ายพนักงาน ขสมก. เป็นเหตุให้พนักงาน ขสมก. ไม่พอใจและได้ร่วมกันยื่นหนังสือประท้วงช่อง 3 ต้นสังกัดของสรยุทธ ถึงความเป็นกลางในการนำเสนอข่าวสาร ถูก บมจ.อสมท ฟ้องดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง และปลอมแปลงเอกสาร จากกรณีความผิดปกติในรายได้ค่าโฆษณา วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552 นำเสนอข่าวในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ว่าสนธิ ลิ้มทองกุล กำลังจะไปปลีกวิเวกที่ประเทศอินเดีย ต่อมา สนธิแถลงข่าวปฏิเสธ ในรายการเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ ประจำวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ได้เหน็บแนมราชบัณฑิตยสถานเกี่ยวกับศัพท์บัญญัติของคำว่า "ซอฟต์แวร์" และ "ฮาร์ดแวร์" หลังจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีความผิดปกติในรายได้โฆษณาแล้ว สรยุทธกลับใช้เวลาของรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งเป็นรายการที่ตนเป็นพิธีกร ชี้แจงที่เสมือนการแก้ตัวในกรณีนี้ และยังไม่ยุติการทำหน้าที่ ซึ่งทางสภาการหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้มีมติให้สรยุทธยุติการทำหน้าที่ แต่สรยุทธกลับยื่นหนังสือลาออกแทน แต่ต่อมาสภาฯ ได้ชี้แจงว่า สรยุทธได้พ้นสมาชิกภาพไปแล้วกว่า 3 ปี เนื่องจากไม่ได้จ่ายค่าสมาชิก อีกทั้งภาคีเครือข่ายต้านคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นองค์กรภาคธุรกิจเอกชนที่ต่อต้านการคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบในสังคม ได้ทำหนังสืออย่างเป็นทางการไปยังช่อง 3 ซึ่งเป็นต้นสังกัดให้พิจารณาการทำหน้าที่ของสรยุทธ หากไม่เช่นนั้นแล้วจะถอนโฆษณาที่สนับสนุนในช่วงรายการของสรยุทธ กรณีประชาสัมพันธ์กิจกรรมของตัน ภาสกรนที ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงิน ของตัน โรงงานของตันถูกน้ำท่วม แลกกับค่าโฆษณา == อ้างอิง == บุคคลจากกรุงเทพมหานคร ชาวไทยเชื้อสายจีน พุทธศาสนิกชนชาวไทย บุคคลจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ บุคคลจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เครือเนชั่น นักหนังสือพิมพ์ชาวไทย คอลัมนิสต์ พิธีกรชาวไทย ผู้ประกาศข่าวช่อง 3 นักโทษของประเทศไทย ผู้มีชื่อเสียงทางโทรทัศน์ชาวไทย
thaiwikipedia
1,734
บ่อน้ำบาดาล
บ่อน้ำบาดาล (Artesian aquifer) เกิดจากน้ำที่กักเก็บอยู่ในชั้นเห็นเก็บน้ำใต้ดินภายใต้แรงกดดัน เมื่อมีการขุดบ่อลงไปที่ชั้นกับเก็บน้ำนี้ น้ำจะถูกแรงดันไหลออกมาโดยไม่ต้องใช้แรงสูบ == หลักการทำงานของบ่อน้ำบาดาล == เนื่องมาจากระดับน้ำบาดาล (water table) ที่บริเวณน้ำเข้า (recharge zone) นั้นอยู่ที่ระดับความสูงกว่าปากบ่อ จึงทำให้ความดันน้ำที่ปากบ่อนั้นสูง ตามกฎของปาสกาลจะคำนวณแรงดันน้ำได้: P = \rho \cdot g \cdot (z_{recharge}-z_{wellhead}) โดยที่ \rho นั้นคือความหนาแน่นของของเหลว g คือความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วง และ z คือ ระดับความสูง สิ่งก่อสร้าง
thaiwikipedia
1,735
11 พฤษภาคม
วันที่ 11 พฤษภาคม เป็นวันที่ 131 ของปี (วันที่ 132 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 234 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 873 (ค.ศ. 330) - บิแซนเทียมเปลี่ยนชื่อเป็นคอนสแตนติโนเปิล เมืองหลวงแห่งใหม่ของจักรวรรดิโรมัน โดยมีจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 เป็นประมุข พ.ศ. 2354 (ค.ศ. 1811) - ฝาแฝดอิน-จัน ต้นกำเนิดของคำเรียกฝาแฝดตัวติดกันว่า แฝดสยาม เกิดที่ จ.สมุทรสงคราม พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812) - จอห์น เบลลิงแฮม ลอบสังหาร สเปนเซอร์ เพอร์ซีวอล นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ภายในห้องพักผ่อนของสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) - มอสซาด หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล จับกุม อาด็อล์ฟ ไอช์มัน ผู้นำระดับสูงของนาซีและอาชญากรสงคราม ที่หลบหนีไปลี้ภัยในอาร์เจนตินา พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) - เกิดเหตุระเบิดที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย == วันเกิด == พ.ศ. 2336 (ค.ศ. 1793) - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร (สิ้นพระชนม์ 4 กันยายน พ.ศ. 2402) พ.ศ. 2354 (ค.ศ. 1811) - ฝาแฝดอิน-จัน แฝดสยามที่มีชื่อเสียงคู่แรกของโลก (ถึงแก่กรรม 17 มกราคม พ.ศ. 2417) พ.ศ. 2395 (ค.ศ. 1852) - ชาลส์ แฟร์แบงส์ รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 26 (ถึงแก่กรรม 4 มิถุนายน พ.ศ. 2461) พ.ศ. 2397 (ค.ศ. 1854) - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภัศร (สิ้นพระชนม์ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2469) พ.ศ. 2422 (ค.ศ. 1879) - เจ้าหญิงยาซุ พระราชธิดาองค์ที่ 11 ในสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) - เออร์วิง เบอร์ลิน คีตกวีชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 22 กันยายน พ.ศ. 2532) พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) - ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีไทย (ถึงแก่อนิจกรรม 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) - ซัลวาดอร์ ดาลี จิตรกรชาวสเปน (ถึงแก่กรรม 23 มกราคม พ.ศ. 2532) พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) - พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) พระภิกษุชาวไทย (มรณภาพ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2550) พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) - ริชาร์ด ไฟน์แมน นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531) พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) - ประสงค์ หวลประไพ (ถึงแก่อนิจกรรม 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552) พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) - เจ้าหญิงไอรีนแห่งกรีซและเดนมาร์ก พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - เทวัญ ทรัพย์แสนยากร นักแซกโซโฟนแจ๊สชาวไทย พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) - ชุง ฟูจิโมโตะ นักยิมนาสติกทีมชาติญี่ปุ่น พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) - โชห์เรห์ แอกห์ดัชลู นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - ทิม เบลก เนลสัน นักแสดง, นักเขียน และผู้กำกับชาวอเมริกัน พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) - สรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรและผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ชาวไทย พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - สุนิสา สุขบุญสังข์ นักจัดรายการวิทยุ, พิธีกร, นักร้อง, นักแสดง ชาวไทย พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - * วาเนสซ่า บีเวอร์ นักร้อง/นักแสดง/และนางแบบชาวไทย * อัน จื่อเจี๋ย นักแสดงชาวฮ่องกง สัญชาติอเมริกัน พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) - * กวินพนธ์ พาณิชย์พงส์ นักร้อง, นักแสดง และนายแบบชาวไทย * อภิสรา เกิดชูชื่น พิธีกรรายการ แจ๋ว , เก็บตก และ ทันโลกกีฬา ทาง สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 *แลทิเทีย คาสตา นักแสดงและนางแบบชาวฝรั่งเศส พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - โครี มอนทีท นักแสดงชาวแคนาดา (ถึงแก่กรรม 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556) พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - อันเดรส อินิเอสตา นักฟุตบอลชาวสเปน พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - เอกศักดิ์ บัวเบา นักฟุตบอลชาวไทย พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - อาบู ดียาบี นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - โทมาอากิ มากิโนะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - * โคกิ อิโนอูเอะ นักมวยสากลชาวญี่ปุ่น * น้ำหนึ่ง สุทธิเดชานัย นักแสดงชาวไทย * ปาโบล ซาราเบีย นักฟุตบอลอาชีพชาวสเปน พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - จิระพงศ์ มีนาพระ นักวิ่งระยะสั้นชาวไทย พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - แฌลซัน มาร์ติงช์ นักฟุตบอลอาชีพชาวโปรตุเกส == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812) - สเปนเซอร์ เพอร์ซีวอล นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร (ถูกลอบสังหาร) (เกิด 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2305) พ.ศ. 2414 (ค.ศ. 1871) - จอห์น เฮอร์เชล นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ (เกิด 7 มีนาคม พ.ศ. 2334) พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - บ็อบ มาร์เลย์ นักร้องและนักดนตรีเร็กเก้ชาวจาไมก้า (เกิด 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488) พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) - พระประมุขมาลีเอตัว ตานุมาฟิลิที่ 2 พระประมุขแห่งรัฐเอกราชซามัว (พระราชสมภพ 4 มกราคม พ.ศ. 2456) พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) - ประจวบ ฤกษ์ยามดี นักแสดงชาวไทย (เกิด 15 มิถุนายน พ.ศ. 2476) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961), พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978), พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983), พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988), พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989), พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990), พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994), พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005), พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006), พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009), พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) - วันพืชมงคล วันปรีดี พนมยงค์ == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day พฤษภาคม 11 พฤษภาคม
thaiwikipedia
1,736
ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ
ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency, IAEA; Agence internationale de l'énergie atomique, AIEA) เป็นองค์การระหว่างประเทศซึ่งมุ่งส่งเสริมการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ และห้ามการใช้สำหรับความมุ่งหมายทางทหารทั้งปวง ซึ่งรวมถึงอาวุธนิวเคลียร์ IAEA ตั้งขึ้นเป็นองค์การที่เป็นอิสระเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2500 แม้ทบวงการฯ จะสถาปนาขึ้นเป็นเอกเทศจากสหประชาชาติผ่านสนธิสัญญาระหว่างประเทศขององค์การเอง คือ บทกฎหมาย IAEA แต่ IAEA รายงานต่อทั้งสมัชชาใหญ่และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ IAEA มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเวียนนา IAEA มี "สำนักงานพิทักษ์ภูมิภาค" สองแห่งซึ่งตั้งอยู่ในโทรอนโต ประเทศแคนาดาและในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น IAEA ยังมีสำนักงานติดต่อประสานงานสองแห่งตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก สหรัฐ และในเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นอกจากนี้ IAEA มีห้องปฏิบัติการสามแห่งตั้งอยู่ในกรุงเวียนนาและไชเบอร์ซดอร์ฟ ประเทศออสเตรียและในโมนาโก IAEA เป็นสมัชชาระหว่างรัฐบาลเพื่อความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคนิคในการใช้เทคโนโลยีนิวเคียร์และพลังงานนิวเคลียร์อย่างสันติทั่วโลก โครงการของ IAEA สนับสนุนการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในทางสันติ การจัดหาการพิทักษ์ระหว่างประเทศต่อการใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์และวัสดุนิวเคลียร์ในทางที่ผิดและส่งเสริมความปลอดภัยนิวเคลียร์ (รวมการป้องกันรังสี) และมาตรฐานแความปลอดภัยนิวเคลียร์และการนำไปปฏิบัติ IAEA และอดีตผู้อำนวยการใหญ่ มุฮัมมัด อัลบะรอดะอี เคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกันเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2548 == ประวัติ == ไอเออีเอก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เวียนนา ประเทศออสเตรีย และมีสมาชิกทั้งหมด 146 ประเทศ ผู้แทนจากแต่ละประเทศจะประชุมกันปีละครั้งเพื่อคัดเลือกคณะกรรมการปกครองจำนวน 35 คน ซึ่งจะประชุมกันปีละ 5 ครั้ง นอกจากนี้ไอเออีเอยังมีสำนักงานอยู่ในแคนาดา เจนีวา นิวยอร์ก และโตเกียว อีกทั้งยังมีห้องทดลองอยู่ในออสเตรียและโมนาโก ขณะเดียวกันก็ให้การสนับสนุนศูนย์วิจัยในอิตาลี ที่อยู่ภายใต้การรับผิดชอบขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) == ดูเพิ่ม == พลังงานนิวเคลียร์ อาวุธนิวเคลียร์ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ องค์การระหว่างประเทศ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ สหประชาชาติ องค์การที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2500 เวียนนา องค์การที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
thaiwikipedia
1,737
วอลต์ ดิสนีย์
วอลเตอร์ อีเลียส ดิสนีย์ (Walter Elias Disney; 5 ธันวาคม ค.ศ. 1901 - 15 ธันวาคม ค.ศ. 1966) เป็นนักสร้างแอนิเมชัน ผู้ผลิตภาพยนตร์ และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ในฐานะผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมแอนิเมชันในอเมริกา เขาแนะนำการพัฒนาหลายอย่างในการผลิตการ์ตูน ในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์นั้น ได้รับรางวัลออสการ์เป็นส่วนใหญ่ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงโดยบุคคล เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาพิเศษสองรางวัลและรางวัลเอมมี ท่ามกลางรางวัลเกียรติยศอื่น ๆ ภาพยนตร์ของเขาหลายเรื่องได้รับการขึ้นทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติโดยหอสมุดรัฐสภา และบางเรื่องยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาโดยสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน ดิสนีย์เกิดที่ชิคาโกในปี ค.ศ. 1901 โดยเริ่มมีความสนใจในการวาดภาพตั้งแต่แรกเริ่ม เขาเข้าเรียนวิชาศิลปะตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และได้งานเป็นนักวาดภาพประกอบเชิงการค้าตั้งแต่อายุ 18 ปี เขาย้ายไปรัฐแคลิฟอร์เนียในช่วงต้นทศวรรษ 1920 และก่อตั้งดิสนีย์บราเธอส์สตูดิโอ (ปัจจุบันคือบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์) ร่วมกับรอยพี่ชายของเขา เขาได้พัฒนาตัวละครมิกกี้ เมาส์ ร่วมกับอับบ์ ไอเวิร์กส ในปี ค.ศ. 1928 ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ได้รับความนิยมอย่างสูงเป็นครั้งแรกของเขา เขายังเป็นผู้ให้เสียงในผลงานการสร้างสรรค์ของเขาในช่วงแรก ๆ เมื่อสตูดิโอได้เติบโตขึ้น เขาก็ชอบผจญภัยมากขึ้น โดยนำเสนอเสียงที่ซิงโครไนซ์ เทคนิคคัลเลอร์สามแถบสี การ์ตูนขนาดยาว และการพัฒนาด้านเทคนิคในกล้อง ผลลัพธ์ที่เห็นในภาพยนตร์เช่น สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด (1937), พินอคคิโอ, แฟนเทเชีย (ทั้งสองในปี 1940), ดัมโบ้ (1941) และกวางน้อย...แบมบี้ (1942) ทำให้การพัฒนาภาพยนตร์แอนิเมชันได้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ภาพยนตร์แอนิเมชันและภาพยนตร์ฉบับคนแสดงเรื่องใหม่ตามมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รวมถึงภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามอย่าง ซินเดอเรลล่า (1950), เจ้าหญิงนิทรา (1959) และแมรี่ ป๊อปปินส์ (1964) ซึ่งเรื่องสุดท้ายที่กล่าวมานั้นได้รับรางวัลออสการ์ถึงห้ารางวัล ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 ดิสนีย์ได้ทำการขยายเข้าสู่อุตสาหกรรมสวนสนุก และในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1955 เขาได้เปิดสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ในเมืองแอนะไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อให้ทุนแก่โครงการนี้ เขาจึงกระจายการลงทุนไปเป็นรายการโทรทัศน์ เช่น วอลต์ดิสนีย์ดิสนีย์แลนด์ และเดอะมิกกีเมาส์คลับ เขายังมีส่วนร่วมในการวางแผนงานมอสโกแฟร์ ค.ศ. 1959, โอลิมปิกฤดูหนาว ค.ศ. 1960 และงานนิวยอร์กเวิลด์แฟร์ ค.ศ. 1964 ในปี ค.ศ. 1965 เขาได้เริ่มพัฒนาสวนสนุกอีกแห่งในชื่อดิสนีย์เวิลด์ ซึ่งมีหัวใจสำคัญของการเป็นเมืองรูปแบบใหม่ นั่นคือ "ชุมชนต้นแบบทดลองแห่งอนาคต" (เอ็ปคอต) ดิสนีย์เป็นนักสูบบุหรี่จัดในตลอดชีวิตของเขา และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1966 ก่อนที่สวนสนุกหรือโครงการเอ็ปคอตจะแล้วเสร็จ ดิสนีย์มีนิสัยเป็นคนขี้อาย ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง และไม่มั่นคงในที่ส่วนตัว แต่กลับรับเอาบุคลิกที่อบอุ่นและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย เขามีมาตรฐานสูงและความคาดหวังสูงจากคนที่เขาทำงานด้วย แม้ว่าจะมีข้อกล่าวหาว่าเขาเหยียดเชื้อชาติหรือต่อต้านชาวยิว แต่ก็มีข้อโต้แย้งจากหลายคนที่รู้จักเขา ประวัติศาสตร์ของดิสนีย์มีมุมมองที่หลากหลาย ตั้งแต่มุมมองของเขาในฐานะผู้ส่งมอบคุณค่าความรักชาติที่อบอุ่น ไปจนถึงการเป็นตัวแทนของลัทธิจักรวรรดินิยมอเมริกา ดิสนีย์ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 โดยยังคงมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์แอนิเมชันและประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของสหรัฐ ซึ่งเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมประจำชาติ ผลงานภาพยนตร์ของเขายังคงได้รับการฉายและดัดแปลงอย่างต่อเนื่อง สวนสนุกดิสนีย์มีขนาดและจำนวนเพิ่มขึ้นเพื่อดึงดูดผู้เข้าชมในหลายประเทศ และบริษัทของเขาได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทสื่อและความบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก == ชื่อเสียง == มุมมองของดิสนีย์และผลงานของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดหลายทศวรรษ และมีความคิดเห็นที่แตกขั้วกัน มาร์ก แลงเกอร์ ในอเมริกันดิกชินนารีออฟเนชันแนลไบโอกราฟี เขียนว่า "การประเมินก่อนหน้านี้ของดิสนีย์ยกย่องเขาว่าเป็นผู้รักชาติ ศิลปินพื้นบ้าน และผู้เผยแพร่วัฒนธรรม ไม่นานมานี้ ดิสนีย์ได้รับการยกย่องว่าเป็นกระบวนทัศน์ของลัทธิจักรวรรดินิยมและโมหาคติ ตลอดจนเป็นผู้ที่ละทิ้งวัฒนธรรม" สตีเวน วัตต์สเขียนว่าบางคนประณามดิสนีย์ "ในฐานะผู้บิดเบือนสูตรทางวัฒนธรรมและการค้าอย่างเหยียดหยาม" ในขณะที่พีบีเอสบันทึกว่านักวิจารณ์ได้กล่าวถึงงานของเขาเพราะ "เบื้องหน้าอันเรียบเนียนของความรู้สึกนึกคิดและการมองโลกในแง่ดีที่ดื้อรั้น เป็นการเขียนประวัติศาสตร์อเมริกาขึ้นมาใหม่ด้วยความรู้สึกที่ดี" ดิสนีย์ได้มีการนำเสนอหลายครั้งในผลงานสมมติ เอช. จี. เวลส์ อ้างอิงถึงดิสนีย์ในนวนิยายเรื่อง เดอะโฮลีเตอร์เรอร์ ของเขาในปี ค.ศ. 1938 ซึ่งผู้เผด็จการโลกรุดกลัวว่าโดนัลด์ ดั๊ก จะมีเจตนาจะล้อเลียนเผด็จการ ดิสนีย์แสดงโดยเลน คาริโอในภาพยนตร์ที่สร้างสำหรับโทรทัศน์ในปี ค.ศ. 1995 เรื่อง อะดรีมอิสอะวิสยัวร์ฮาร์ตเมกส์: ดิแอนเน็ตต์ฟูนิเซลโลสตอรี และโดยทอม แฮงส์ในภาพยนตร์ปี ค.ศ. 2013 เรื่อง สุภาพบุรุษนักฝัน โดยในปี ค.ศ. 2001 นักเขียนชาวเยอรมันปีเตอร์ สเตฟาน จังก์ ได้ตีพิมพ์หนังสือ Der König von Amerika (แปล: ราชาแห่งอเมริกา) ซึ่งเป็นผลงานสมมติในช่วงหลายปีต่อมาของดิสนีย์ที่จินตนาการว่าเขาเป็นผู้เหยียดเชื้อชาติที่หิวโหยอำนาจ ในเวลาต่อมานักแต่งเพลงฟิลิป กลาส ได้ดัดแปลงหนังสือเป็นโอเปร่า เดอะเพอร์เฟ็กต์อเมริกา (2013) นักวิจารณ์หลายคนอธิบายว่าดิสนีย์เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม การเสียชีวิตของดิสนีย์ ศาสตราจารย์ด้านวารสารศาสตร์ ราล์ฟ เอส. อิซาร์ด ให้ความเห็นว่าคุณค่าในภาพยนตร์ของดิสนีย์คือสิ่งที่ "ถือว่ามีคุณค่าในสังคมคริสเตียนอเมริกัน" ซึ่งรวมถึง "ความเป็นปัจเจกบุคคล ความเหมาะสม ... ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ การเล่นที่ยุติธรรม และความอดทน" ข่าวมรณกรรมของดิสนีย์ในเดอะไทมส์เรียกภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "มีประโยชน์ อบอุ่น และสนุกสนาน ... มีศิลปะที่หาที่เปรียบมิได้และงดงามน่าสัมผัส" นักข่าวบอสลีย์ โครว์เธอร์ ให้เหตุผลว่า "ความสำเร็จของดิสนีย์ในฐานะผู้สร้างความบันเทิงสำหรับสาธารณชนโดยแทบไม่จำกัด และในฐานะผู้ขายสินค้าที่ชาญฉลาดอย่างสูงสามารถนำมาเปรียบเทียบได้กับนักอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์" ผู้สื่อข่าวอลิสแตร์ คุก เรียกดิสนีย์ว่า " โฟล์กพื้นบ้าน ... ปิ๊ด ไพเพอร์แห่งฮอลลีวูด" ในขณะที่เกเบลอร์มองว่าดิสนีย์ "ได้เปลี่ยนโฉมวัฒนธรรมและจิตสำนึกของชาวอเมริกัน" ในอเมริกันดิกชินนารีออฟเนชันแนลไบโอกราฟี แลงเกอร์ได้เขียนไว้ว่า: ดิสนีย์ยังคงเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของแอนิเมชัน ด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลและบริษัทต่าง ๆ เขาได้เปลี่ยนสตูดิโอเล็ก ๆ ในรูปแบบการสื่อสารเพียงเล็กน้อยให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมสันทนาการข้ามชาติ แม้ว่าเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่วิสัยทัศน์ของเขาเกี่ยวกับยูโทเปียขององค์กรสมัยใหม่ในฐานะส่วนขยายของค่านิยมดั้งเดิมของอเมริกาอาจได้รับความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นในช่วงหลายปีหลังจากการเสียชีวิตของเขา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2021 พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทันในนิวยอร์กได้เปิดนิทรรศการพิเศษเป็นระยะเวลา 3 เดือนเพื่อเป็นเกียรติแก่ดิสนีย์ในหัวข้อ "สร้างแรงบันดาลใจให้กับวอลต์ ดิสนีย์" == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย == == หมายเหตุ == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == The Walt Disney Family Museum The Walt Disney Birthplace FBI Records: The Vault – Walter Elias Disney from the Federal Bureau of Investigation ดิสนีย์ บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2444 บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2509 นักแสดงชายชาวอเมริกันในศตวรรษที่ 20 นักสร้างการ์ตูน ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอเมริกัน ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชาวอเมริกัน ชาวอเมริกันเชื้อสายแคนาดา ชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน ชาวอเมริกันเชื้อสายไอริช ผู้ได้รับอิสริยาภรณ์เหรียญแห่งอิสรภาพของประธานาธิบดี ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต.ม.
thaiwikipedia
1,738
อนุมูลอิสระ
อนุมูลอิสระ (radical หรือมักใช้ว่า free radical) คือ อะตอม โมเลกุลหรือไอออนซึ่งมีอิเล็กตรอนเดี่ยวในวงนอกสุด (unpaired valence electron) หรือการมีจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็นแบบเชลล์เปิด (open-shell electronic configuration) อนุมูลอิสระอาจมีประจุเป็นบวก ลบหรือเป็นศูนย์ก็ได้ ด้วยข้อยกเว้นบางประการ อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวเหล่านี้ทำให้อนุมูลอิสระว่องไวต่อปฏิกิริยาสูง อนุมูลอิสระมีบทบาทสำคัญในการสันดาป เคมีบรรยากาศ พอลิเมอไรเซชัน เคมีพลาสมา ชีวเคมี และกระบวนการทางเคมีอีกหลายอย่าง ในสิ่งมีชีวิต ซูเปอร์ออกไซด์ ไนตริกออกไซด์และผลิตภัณฑ์จากปฏิกิริยาของมันควบคุมหลายกระบวนการ เช่น ควบคุมการบีบตัวของหลอดเลือด ซึ่งควบคุมความดันโลหิตอีกต่อหนึ่ง นอกจากนี้ อนุมูลอิสระยังมีบทบาทสำคัญในเมแทบอลิซึมตัวกลางของสารประกอบทางชีวภาพหลายชนิด อนุมูลอิสระเกิดขึ้นเป็นปกติจากปฏิกิริยาในร่างกายอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีธาตุเหล็ก ทองแดง แมงกานีส โคบอลต์ โครเมียม นิเกิลน้อย มักเกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ โดยร่างกายจะมีระบบกำจัดอนุมูลอิสระ แต่หากร่างกายได้รับสารอนุมูลอิสระจากภายนอก เช่น ได้รับจากอาหารบางชนิด จากขบวนการประกอบอาหาร เช่น การย่างเนื้อสัตว์ที่มีไขมันประกอบสูง การนำน้ำมันที่ใช้ทอดอาหารที่อุณหภูมิสูง ๆ มาใช้อีก หรือจากสิ่งแวดล้อม เช่น แสงอาทิตย์ซึ่งมีรังสีอัลตราไวโอเลต การแผ่รังสี รังสีเอกซ์ หรือจากมลพิษ เช่น ควันบุหรี่ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จากไอเสียรถยนต์ มากเกินไป หรือในภาวะที่ร่างกายสามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ลดลง ก็จะทำให้มีอนุมูลอิสระมากเกินไป เป็นสาเหตุของโรคภัยได้ อนุมูลอิสระที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อไขมัน (โดยเฉพาะไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ) โปรตีน หน่วยพันธุกรรม และคาร์โบไฮเดรต ซึ่งจะไม่กล่าวถึงรายละเอียดในที่นี้ ทำให้เพิ่มอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลายชนิด โรคที่สำคัญและมีการศึกษากันมาก ได้แก่ โรคหลอดเลือดตีบและแข็งตัว โรคมะเร็งบางชนิด โรคอัลไซเมอร์ โรคไขข้ออักเสบ โรคความแก่ เป็นต้น == อ้างอิง == G. Herzberg (1971), "The spectra and structures of simple free radicals" ISBN 048665821X == ดูเพิ่ม == สารต้านอนุมูลอิสระ == แหล่งข้อมูลอื่น == อนุมูลอิสระคืออะไร เกร็ดความรู้จากโรงพยาบาลวิภาวดี ชราภาพ เคมีสิ่งแวดล้อม ชีวเคมี พันธะเคมี กระบวนการทางชีวภาพ โมเลกุลชีวภาพ
thaiwikipedia
1,739
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council; UNSC) เป็นหนึ่งใน 6 เสาหลักของสหประชาชาติ และเป็นองค์กรในสหประชาชาติที่มีอิทธิพลรองลงมาจากสมัชชาใหญ่ เป็นองค์กรที่มีอำนาจในการเรียกระดมพลจากรัฐสมาชิกในสหประชาชาติเพื่อจัดตั้งเป็นกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปปฏิบัติหน้าที่รักษาสันติภาพในประเทศและสงครามต่าง ๆ และยังมีอำนาจในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อประเทศต่าง ๆ == สมาชิก == คณะมนตรีนี้ประกอบด้วยสมาชิกถาวร (Permanent members) 5 ประเทศ คือ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐ และสมาชิกไม่ถาวร (Non-permanent members) 10 ประเทศ ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 2 ปี และไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งซ้ำได้ในทันทีเมื่อหมดวาระ === สมาชิกถาวร === ไฟล์:UNSC P5.PNG|ประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ไฟล์:1945 UNSC P5 + colonies.png|ประเทศสมาชิกถาวรดั้งเดิมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1945 (น้ำเงินเข้ม) รวมอาณานิคม (น้ำเงินอ่อน) === สมาชิกไม่ถาวร === การเลือกตั้งสมาชิกไม่ถาวรของ UNSC จะแบ่งตามกลุ่มภูมิภาค 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก กลุ่มแอฟริกา กลุ่มลาตินอเมริกาและแคริบเบียน (GRULAC) กลุ่มยุโรปตะวันออก (EES) และ กลุ่มยุโรปตะวันตกและประเทศอื่น (WEOG) โดยกลุ่มเอเชีย-แปซิฟิกได้รับการจัดสรรที่นั่ง 2 ที่ กลุ่มแอฟริกา 3 ที่ กลุ่ม GRULAC 2 ที่ กลุ่มยุโรปตะวันออก 1 ที่ และกลุ่ม WEOG 2 ที่ โดยการเลือกตั้งสมาชิกไม่ถาวร UNSC จะมีขึ้นในช่วงสมัยการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ซึ่งมีการประชุมหลัก ๆ ในช่วงเดือนกันยายน ถึงธันวาคมของทุกปี โดยประเทศที่จะได้รับการเลือกตั้งจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของสมาชิกที่เข้าร่วมการประชุม UNGA โดยเป็น การลงคะแนนลับ ทั้งนี้ สมาชิก UNSC ที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 1 มกราคม ของปีถัดไป == ประเทศที่สมัครเป็นสมาชิกถาวร == กลุ่มจี4 ได้เสนอให้มีการเพิ่มจำนวนสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจากปัจจุบัน 15 ประเทศ เป็น 25 ประเทศ โดยให้เพิ่มสมาชิกถาวรหกประเทศ และสมาชิกไม่ถาวรสี่ประเทศ รวมทั้งจากเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา ซึ่งทางด้านสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสได้ให้การสนับสนุนข้อเสนอของกลุ่มจี4 ส่วนด้านสหรัฐอเมริกาก็เห็นด้วยกับการเพิ่มจำนวนสมาชิกทั้งประเภทถาวรและไม่ถาวรในปริมาณจำกัด และต้องการให้มีการคัดเลือกสมาชิกถาวรใหม่โดยพิจารณาจากการเข้ามีส่วนร่วมในการรักษา สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และทางด้านรัสเซียและจีนก็ได้แสดงการสนับสนุนการเพิ่มจำนวนสมาชิกในคณะมนตรีความมั่นคง แต่ต้องการให้เพิ่มจำนวนเพียงจำกัดและอย่างค่อยเป็นค่อยไป และขึ้นอยู่กับความเห็นชอบในวงกว้างที่สุดในหมู่บรรดาสมาชิกสหประชาชาติ == การลงคะแนนเสียง == ข้อ 27 ของกฎบัตรสหประชาชาติกำหนดวิธีการลงคะแนนเสียงข้อมติ คือ แต่ละประเทศสมาชิกฯ มีคะแนนเสียงหนึ่งคะแนนเท่ากัน โดยคำวินิจฉัยของ UNSC ในทุกเรื่องจะต้องกระทำด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบของสมาชิกอย่างน้อย 9 ประเทศ โดยต้องรวมคะแนนเสียงเห็นพ้องของประเทศสมาชิกถาวรทั้ง 5 ประเทศ ด้วย (เป็นที่มาของคำว่า “สิทธิยับยั้ง” (veto) อย่างไรก็ดี ไม่มีคำว่า veto ปรากฏในกฎบัตรฯ) ยกเว้นในกรณีพิจารณาความ (procedural matters) ต้องการเสียงเห็นชอบจากสมาชิกประเภทใดก็ได้จำนวนอย่างน้อย 9 ประเทศ == บทบาทและหน้าที่ == ธำรงรักษาสันติภาพ และความมั่นคงระหว่างประเทศตามวัตถุประสงค์และหลักการของสหประชาชาติ สอบสวนเกี่ยวกับกรณีพิพาทหรือสถานการณ์ใด ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การกระทบกระทั่งระหว่างประเทศ เสนอแนะวิธีที่จะใช้กรณีพิพาทเช่นว่านั้น หรือ เงื่อนไขที่ให้มีการตกลงปรองดองกัน วางแผนเพื่อสถาปนาระบบการควบคุมกำลังอาวุธ ค้นหาและวินิจฉัยว่ามีภัยคุกคามต่อสันติภาพ หรือ เป็นการกระทำที่รุกรานหรือไม่ แล้วเสนอแนะว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร เรียกร้องให้สมาชิกประเทศทำการลงโทษในทางเศรษฐกิจ และใช้มาตรการอื่น ๆ ที่ไม่ถึงขั้นทำสงคราม เพื่อป้องกันมิให้เกิดหรือหยุดยั้งการรุกราน ดำเนินการทางทหารตอบโต้ฝ่ายที่รุกราน เสนอให้รับประเทศสมาชิกใหม่ รวมทั้งเงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์ ในการที่จะเข้าเป็นภาคีตามกฎหมายของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ทำหน้าที่ให้ภาวะทรัสตีของสหประชาชาติ ในเขตที่ถือว่ามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เสนอแนะให้สมัชชาสหประชาชาติ แต่งตั้งตัวเลขาธิการและร่วมกับสมัชชาในการเลือกตั้งผู้พิพากษาศาลโลก ส่งรายงานประจำปีและรายงานพิเศษต่อสมัชชาสหประชาชาติบรรดาประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ ต่างตกลงยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อมติใด ๆ ของคณะมนตรีความมั่นคง ทั้งยังรับรองที่จะจัดกำลังกองทัพของตนให้แก่คณะมนตรีความมั่นคงหากขอร้อง รวมทั้งความช่วยเหลือและและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการธำรงรักษาไว้ซึ่งสันติภาพ และความมั่นคงระหว่างประเทศ == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == รายชื่อสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ == แหล่งข้อมูลอื่น == คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ความมั่นคงระหว่างประเทศ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ องค์การระหว่างรัฐบาล
thaiwikipedia
1,740
จังหวัดสมุทรสาคร
สมุทรสาคร เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้รับการจัดตั้งขึ้นครั้งล่าสุดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนครนายก พุทธศักราช 2489 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 == ประวัติศาสตร์ == สมุทรสาครเป็นจังหวัดชายทะเล ตั้งอยู่ปากแม่น้ำท่าจีน หลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมุทรสาครเดิมเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีชาวจีนนำเรือสำเภาเข้ามาจอดเทียบท่าค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าและได้พักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเรียกว่า บ้านท่าจีน ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวไทย ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2099) ได้โปรดให้ยกฐานะบ้านท่าจีนขึ้นเป็น เมืองสาครบุรี เพื่อเป็นหัวเมืองสำหรับเรียกระดมพลในช่วงสงคราม และเป็นเมืองด่านหน้าป้องกันผู้รุกรานทางทะเล ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงโปรดให้เปลี่ยนชื่อเมืองสาครบุรีเป็น เมืองสมุทรสาคร ต่อมาในปี พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้มีพระราชดำริที่จะทรงปฏิรูปการปกครองบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นมณฑลเทศาภิบาล และมีพระราชดำริที่จะสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่น โดยใช้รูปแบบการปกครองแบบสุขาภิบาล และเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2448 มีพระบรมราชโองการให้ยกฐานะตำบลท่าฉลอมเป็นสุขาภิบาล โดยเรียกว่า สุขาภิบาลท่าฉลอม ถือได้ว่าเป็นสุขาภิบาลที่ตั้งขึ้นในหัวเมืองเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) (พ.ศ. 2459) โปรดเกล้าให้ทางราชการเปลี่ยนคำว่า “เมือง” เป็น “จังหวัด” ทั่วทุกแห่งในพระราชอาณาจักร “เมืองสมุทรสาคร” จึงได้เปลี่ยนเป็น จังหวัดสมุทรสาคร มาจวบจนปัจจุบัน ส่วนคำว่า มหาชัย ที่เรียกกันโดยทั่วไปนั้น เป็นชื่อคลองที่สมเด็จพระสรรเพชญที่ 8 แห่งกรุงศรีอยุธยาโปรดให้ขุดคลองลัดจากเมืองธนบุรี เป็นแนวตรงไปออกปากน้ำเมืองสาครบุรีแทนคลองโคกขามที่คดเคี้ยว แต่ยังไม่ทันเสร็จทรงสวรรคตเสียก่อน จนถึงรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญที่ 9 ได้โปรดให้ขุดคลองต่อจนแล้วเสร็จ และได้พระราชทานนามว่าคลองมหาชัย ซึ่งต่อมา ณ บริเวณฝั่งซ้ายปากคลองได้เกิดชุมชนขนาดใหญ่ขึ้นชื่อว่า “มหาชัย” และเป็นที่นิยมเรียกขานแต่นั้นเป็นต้นมา == ภูมิศาสตร์ == === ที่ตั้งและอาณาเขตติดต่อ === จังหวัดสมุทรสาครเป็นจังหวัดชายทะเลอ่าวไทย มีแม่น้ำท่าจีนไหลผ่ากลางจังหวัด เป็นจังหวัดในเขตพื้นที่ภาคกลางตอนล่างของประเทศไทยประมาณเส้นรุ้งที่ 13 องศาเหนือ และเส้นแวงที่ 100 องศาตะวันออก เป็นจังหวัดปริมณฑล มีพื้นที่ติดกับเขตหนองแขม เขตบางบอน และเขตบางขุนเทียนของกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 872.347 ตารางกิโลเมตร ทิศเหนือ ติดกับอำเภอสามพราน (จังหวัดนครปฐม) ทิศตะวันออก ติดกับเขตหนองแขม เขตบางบอน และเขตบางขุนเทียน (กรุงเทพมหานคร) ทิศใต้ ติดกับอ่าวไทย ทิศตะวันตก ติดกับอำเภอบางแพ อำเภอดำเนินสะดวก (จังหวัดราชบุรี) และอำเภอเมืองสมุทรสงคราม (จังหวัดสมุทรสงคราม) === ภูมิประเทศ === จังหวัดสมุทรสาครมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเล สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1.00 - 2.00 เมตร มีแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านตอนกลางจังหวัด ไหลคดเคี้ยวจากแนวเหนือลงใต้สู่อ่าวไทยที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ระยะทางยาวประมาณ 70 กิโลเมตร พื้นที่ตอนบนในเขตอำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน มีความอุดมสมบูรณ์ของดินและมีโครงข่ายแม่น้ำลำคลองเชื่อมโยงถึงกันกระจายอยู่ทั่วพื้นที่กว่า 170 สาย จึงเหมาะที่จะทำการเพาะปลูกพืชนานาชนิด และบางส่วนเป็นย่านธุรกิจ อุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย พื้นที่ตอนล่างของจังหวัดในเขตอำเภอเมืองสมุทรสาครอยู่ติดชายฝั่งทะเลยาว 41.8 กิโลเมตร จึงเหมาะที่จะประกอบอาชีพประมงทะเล เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งและทำนาเกลือ ในช่วงฤดูฝนบางพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเสียหายอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการเกษตร === ภูมิอากาศ === จังหวัดสมุทรสาคร มีลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบฝนเมืองร้อน เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากลมบก ลมทะเล และมีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดผ่านในช่วงฤดูร้อน จึงทำให้มีความชื้นในอากาศสูง มีฝนตกปานกลาง ปริมาณเฉลี่ย 1,120 มิลลิเมตรต่อปี อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 28°C - 34°C มีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำสุด 50% สูงสุด 95% == การปกครอง == === การปกครองส่วนภูมิภาค === จังหวัดสมุทรสาครแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 3 อำเภอ, 40 ตำบล, และ 290 หมู่บ้าน อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอกระทุ่มแบน อำเภอบ้านแพ้ว === การปกครองส่วนท้องถิ่น === จังหวัดสมุทรสาครมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แบ่งตามประเภทและอำนาจบริหารจัดการภายในท้องที่ได้คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร เทศบาลนคร 2 แห่ง ได้แก่ เทศบาลนครสมุทรสาครและเทศบาลนครอ้อมน้อย เทศบาลเมือง 2 แห่ง ได้แก่ เทศบาลเมืองกระทุ่มแบนและเทศบาลเมืองคลองมะเดื่อ เทศบาลตำบล 11 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล 23 แห่ง {|class="wikitable" style="line-height:137%" |+ข้อมูลเทศบาลในจังหวัดสมุทรสาคร |- ! rowspan=2 | ลำดับ !! rowspan=2|ชื่อเทศบาล !! rowspan=2 |พื้นที่ (ตร.กม.) !! rowspan=2 |ตั้งเมื่อ (พ.ศ.) !! rowspan=2 |อำเภอ !! colspan=3 |ครอบคลุมตำบล !! rowspan=2|ประชากร (คน) (ณ สิ้นปี 2561) |-align="center" ! width="9%"|ทั้งตำบล !! width="9%"|บางส่วน !! width="9%"|รวม |-align="center" |- ! colspan="9" | เทศบาลนคร |-align="center" | 1 ||  เทศบาลนครสมุทรสาคร|| 10.33|| 2542|| เมืองสมุทรสาคร || 3 || – || 3 ||68,579 |-align="center" | 2 ||  เทศบาลนครอ้อมน้อย|| 30.58|| 2553 || กระทุ่มแบน || 1 || – || 1 || 53,918 |-align="center" ! colspan="9" | เทศบาลเมือง |-align="center" | 3 (1) ||  เทศบาลเมืองกระทุ่มแบน||2.18 || 2538 || กระทุ่มแบน || 1 || – || 1 || 27,785 |-align="center" | 4 (2) ||  เทศบาลเมืองคลองมะเดื่อ||14.74 || 2562 || กระทุ่มแบน || 1 || – || 1 || 21,896 |-align="center" ! colspan="9" | เทศบาลตำบล |-align="center" | 5 (1) ||  เทศบาลตำบลบางปลา|| 5.63|| 2542 || เมืองสมุทรสาคร || – || 1 || 1 || 6,543 |-align="center" | 6 (2) ||  เทศบาลตำบลบ้านแพ้ว|| 0.76|| 2542 || บ้านแพ้ว || – || 2 || 2 || 3,241 |-align="center" | 7 (3) ||  เทศบาลตำบลเกษตรพัฒนา|| 18.40|| 2542 || บ้านแพ้ว || 1 || 1 || 2 || 5,121 |-align="center" | 8 (4) ||  เทศบาลตำบลหลักห้า||125.57 || 2542 || บ้านแพ้ว || 4 || – || 4 || 41,643 |-align="center" | 9 (5) ||  เทศบาลตำบลนาดี|| 23.817|| 2551 || เมืองสมุทรสาคร || 1 || – || 1 || 27,280 |-align="center" | 10 (6) ||  เทศบาลตำบลท่าจีน|| 12.67|| 2551 || เมืองสมุทรสาคร|| 1 || – || 1 || 12,417 |-align="center" | 11 (7) ||  เทศบาลตำบลบางหญ้าแพรก|| 30.58|| 2551 || เมืองสมุทรสาคร || 1 || – || 1 || 24,807 |-align="center" | 12 (8) ||  เทศบาลตำบลสวนหลวง||16.95 || 2551 || กระทุ่มแบน || 1 || – || 1 || 33,408 |-align="center" | 13 (9) ||  เทศบาลตำบลดอนไก่ดี|| 8.28|| 2554 || กระทุ่มแบน || 1 || – || 1 || 7,726 |-align="center" | 14 (10) ||  เทศบาลตำบลแคราย|| 9.70|| 2562 || กระทุ่มแบน || 1 || – || 1 || 8,369 |-align="center" | 15 (11) ||  เทศบาลตำบลคอกกระบือ|| || 2563 || เมืองสมุทรสาคร || 1 || – || 1 || |-align="center" |} == สัญลักษณ์ประจำจังหวัด == ตราประจำจังหวัด ตราประจำจังหวัดสมุทรสาคร เป็นรูปเรือสำเภาจีนแล่นในทะเล ด้านหลังเป็นโรงงานและปล่องไฟ ซึ่งหมายถึงความรุ่งเรืองที่มีมาจากอดีตถึงปัจจุบัน ตราประจำจังหวัดสมุทรสาคร เริ่มใช้เมื่อพุทธศักราช 2483 ในสมัยที่หลวงวิเศษภักดี (ชื้น วิเศษภักดี) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ต้นไม้ประจำจังหวัด: พญาสัตบรรณ (Alstonia scholaris) เนื่องจากเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พุทธศักราช 2537 ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ได้รับพระราชทานพันธุ์ไม้ดังกล่าวจากสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิดวันรณรงค์โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ ปีที่ 50 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และเพื่อความเป็นศิริมงคลของชาวจังหวัดสมุทรสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครจึงได้นำพันธุ์ไม้สัตบรรณพระราชทานมาปลูก เป็นปฐมฤกษ์ในกิจกรรมวันปลูกต้นไม้ตามโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2537 ที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร จึงถือว่าต้นสัตบรรณเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสมุทรสาคร == เศรษฐกิจ == จังหวัดสมุทรสาครเป็นเมืองแห่งเศรษฐกิจที่มีศักยภาพทั้งทางด้านการอุตสาหกรรม การประมง และการเกษตรกรรม จากข้อมูลสถิติผลิตภัณฑ์ภาคและจังหวัด (GPP) ประจำปี ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดสมุทรสาครชะลอตัวจากปีก่อน เนื่องจากวิกฤตการณ์การเงินโลกที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าและบริการภายในประเทศและต่างประเทศที่ลดลง แต่อย่างไรก็ดี จังหวัดสมุทรสาครยังเป็นจังหวัด 1 ใน 10 ของจังหวัดที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงตลอดมา ในปี 2555 จังหวัดสมุทรสาครมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด เท่ากับ 319,406 ล้านบาท เป็นอันดับที่ 7 ของประเทศ และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว เท่ากับ 351,516 บาท เป็นอันดับที่ 8 ของประเทศ === การเกษตร === สภาพทั่วไปของจังหวัดสมุทรสาครเป็นพื้นที่ราบลุ่มสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1-2 เมตร มีแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านตอนกลางของพื้นที่จากทางด้านเหนือไหลลงสู่อ่าวไทยที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร มีคลองชลประทานจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ เพื่อการคมนาคมและเพื่อการชลประทาน ทำให้การใช้ที่ดินครึ่งหนึ่งของจังหวัดเป็นไปเพื่อการเกษตรกรรม ทางด้านทิศเหนือของจังหวัดจะเป็นพื้นที่การเกษตร ซึ่งประกอบด้วย นาข้าว และสวนผลไม้ โดยสวนผลไม้ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่อำเภอบ้านแพ้ว และอำเภอกระทุ่มแบน โดยเฉพาะพื้นที่ดินที่อยู่ใกล้คลองดำเนินสะดวก และคลองภาษีเจริญ จะมีการปลูกไม้ยืนต้น ผักผลไม้เป็นจำนวนมาก เช่น มะพร้าว ปาล์ม ทางทิศใต้ เป็นบริเวณที่ราบและน้ำทะเลท่วมถึง มีสภาพเป็นป่าชายเลนและมีการทำนาเกลือ ซึ่งในเวลาต่อมาป่าชายเลนได้ถูกทำลายลงจนเหลือพื้นที่ป่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และการทำนาเกลือได้เปลี่ยนมาทำการเลี้ยงกุ้งเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของพื้นที่บริเวณที่น้ำท่วมไม่ถึงมีการทำสวนมะพร้าวเป็นจำนวนมาก จังหวัดสมุทรสาครมีพื้นที่ทำการเกษตร 90,061 ไร่ จำนวนเกษตรกร 11,333 ราย แยกเป็นพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร 942 ราย 5,595 ไร่ อำเภอกระทุ่มแบน 2,798 ราย 19,183 ไร่ อำเภอบ้านแพ้ว 7,593 ราย 65,282 ไร่ พื้นเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ กล้วยไม้ มีพื้นเพาะปลูก 4,198 ไร่ มะนาวมีพื้นที่เพาะปลูก 18,211 ไร่ ไม้ผลมีพื้นที่เพาะปลูก 63,279 ไร่ พืชผักมีพื้นที่เพาะปลูก 5,697 ไร่ ไม้ดอกไม้ประดับมีพื้นที่เพาะปลูก 6,391 ไร่ === การอุตสาหกรรม === ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 – 2553 จังหวัดสมุทรสาครมีโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 4,965 แห่ง เงินลงทุน 446,870 ล้านบาท จำนวนการจ้างแรงงาน 381,476 คน เป็นโรงงานจำพวกที่ 2 (โรงงานที่มีแรงม้าไม่เกิน 50 แรงม้า คนงานไม่เกิน 7 คน และจะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ทราบก่อนประกอบกิจการ) จำนวน 324 โรงงาน เงินลงทุน 1,933 ล้านบาท จำนวนการจ้างแรงงาน 4,901 คน และโรงงานจำพวกที่ 3 (โรงงานที่มีแรงม้าตั้งแต่ 50 แรงม้าขึ้นไปคนงานตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป และจะต้องได้รับอนุญาตก่อนถึงจะประกอบกิจการโรงงานได้) จำนวน 4,641 โรงงาน เงินลงทุน 444,938 ล้านบาท จำนวนการจ้างงาน 376,575 คน ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็กจำนวน 3,919 โรงงาน และโรงงานขนาดกลางจำนวน 758 โรงงาน ในจังหวัดสมุทรสาครมีโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 277 โรงงาน ประเภทของโรงงานอุตสาหกรรมที่ขออนุญาตประกอบการมาก ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ (18.32%) อุตสาหกรรมพลาสติก (14.52%) อุตสาหกรรมอาหารและแปรรูปอาหาร (10.09%) อุตสาหกรรมสิ่งทอ (9.55%) === การประมง === จังหวัดสมุทรสาครมีชายฝั่งทะเลยาว 41.8 กิโลเมตร จึงมีการประกอบอาชีพ ทำการประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นอาชีพหลัก ผลผลิตจากการประมงทะเลส่วนใหญ่ได้รับจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ได้แก่ บริเวณอ่าวไทย ทะเลอันดามัน และมหาสมุทรอินเดีย รวมทั้งทะเลด้านประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ ชาวประมงจังหวัดสมุทรสาคร ยังได้ทำการประมงนอกน่านน้ำไทย โดยมีเรือประมงทะเล ที่เป็นเรือบรรทุกห้องเย็นขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำ ที่ไปร่วมทำการประมง ในน่านน้ำต่างประเทศ เช่น พม่า อินโดนีเซีย เวียดนามไปจนถึงประเทศในทวีปแอฟริกา เช่น โซมาเลีย เยเมน ซึ่งวัตถุดิบที่จับได้จะเป็นปลาชนิดต่างๆ เช่น ปลาเก๋า ปลากะพง ปลาหมึก โดยเรือบรรทุกขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำ (เรือแม่) จะนำสินค้าสัตว์น้ำกลับขึ้นฝั่ง โดยมีท่าเทียบเรือและรถตู้คอนเทนเนอร์ ตลอดจนแพปลาจำนวนมากรองรับ === แรงงาน === ในปี 2552 จังหวัดสมุทรสาครมีประชากรที่อยู่ในกำลังแรงงาน จำนวน 366,896 คน จำแนกเป็นผู้มีงานทำ จำนวน 363,407 คน และผู้ว่างงานหรือไม่มีงานทำ จำนวน3,489 คน ในส่วนของผู้มีงานทำเป็นผู้ที่ทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรม ร้อยละ 5.10 (18,557 คน) และผู้ที่ทำงานอยู่นอกภาคเกษตรกรรมร้อยละ 94.89 (344,850 คน) โดยกลุ่มผู้ทำงานนอกภาคเกษตรกรรมจะทำงานในสาขาการผลิตมากที่สุดร้อยละ 57.57 (198,522คน) == การขนส่ง == จังหวัดสมุทรสาครมีการขนส่งทั้งทางถนน ทางราง และทางน้ำ ถนนสายสำคัญในจังหวัด เช่น ถนนพระรามที่ 2 (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35), ถนนเศรษฐกิจ 1 (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3091), ถนนเอกชัย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3242), ถนนบ้านแพ้ว–พระประโทน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 375), ถนนเพชรเกษม (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4), ถนนพุทธสาคร เป็นต้น รถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ได้แก่ สาย 7 เอกชัย–หัวลำโพง, สาย 68 สมุทรสาคร–บางลำภู, สาย 120 สมุทรสาคร-แยกบ้านแขก, และสาย 4-18 (105 เดิม) สมุทรสาคร–คลองสาน นอกจากนี้ ยังมีรถสองแถวสีส้ม ปิ่นทอง–มหาชัย, รถสองแถวสีเหลือง เคหะชุมชนธนบุรี–มหาชัย, รถเมล์สีส้ม สาย 402 นครปฐม–กระทุ่มแบน–มหาชัย, และรถเมล์สีแดง 481 สมุทรสงคราม–สมุทรสาคร ส่วนการขนส่งทางรางมีทางรถไฟสายแม่กลอง เริ่มต้นจากวงเวียนใหญ่ ผ่านจังหวัดสมุทรสาคร สิ้นสุดที่สถานีรถไฟมหาชัย และเริ่มต้นอีกช่วงหนึ่งที่สถานีรถไฟบ้านแหลม ต่อไปยังจังหวัดสมุทรสงคราม ส่วนรถโดยสารประจำทางในพื้นที่เทศบาลนครอ้อมน้อย ได้แก่ รถเมล์สาย 80ก หมู่บ้าน วปอ.11-เขตบางกอกใหญ่,สาย 81 พุทธมณฑลสาย 5–ท่าราชวรดิฐ, สาย 84 อ้อมใหญ่/วัดไร่ขิง–คลองสาน, สาย 84ก หมู่บ้านเอื้ออาทรศาลายา-วงเวียนใหญ่, สาย 123 อ้อมใหญ่–สนามหลวง, สาย 157 อ้อมใหญ่–อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ,สาย 189 กระทุ่มแบน–สนามหลวง, สาย 539 อ้อมน้อย–อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, สาย 4-44 (80A) หมู่บ้าน วปอ.11-สวนหลวงพระราม 8, สาย 4-55 (163เดิม) ศาลายา-สนามกีฬาแห่งชาติ, และสาย 4-63 (547เดิม) ศาลายา-ถนนตก == สถานที่สำคัญ == ศาลพันท้ายนรสิงห์ ตลาดมหาชัย มหาชัยเมืองใหม่ คลองโคกขาม วัดโคกขาม วัดใหญ่จอมปราสาท วัดโกรกกราก วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร วัดสุทธิวาตวราราม วัดป่าชัยรังสี วัดบางปลา วัดบางปิ้ง วัดนางสาว วัดท่าไม้ วัดเกตุมดีศรีวราราม วัดโรงเข้ ป้อมวิเชียรโชฎก ศาลหลักเมืองจังหวัดสมุทรสาคร ปล่องเหลี่ยม พื้นที่ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวมหาชัย ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาจังหวัดสมุทรสาคร สถานีรถไฟมหาชัย ท่าฉลอม ตลาดกุ้ง หมู่บ้านเบญจรงค์ดอนไก่ดี ตลาดน้ำหลักห้า วัดหนองนกไข่ == บุคคลที่มีชื่อเสียง == ด้านศาสนา พระสุนทรศีลสมาจาร (ผล คุตฺตจิตฺโต) – เจ้าอาวาสวัดหนังราชวรวิหาร พระพรหมกวี (ประกอบ ธมฺมเสฏฺโฐ) – พระราชาคณะเจ้าคณะรอง เจ้าคณะภาค 13 เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร พระพรหมเสนาบดี (พิมพ์ ญาณวีโร) – พระราชาคณะเจ้าคณะรอง เจ้าคณะภาค 7 เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร พระเทพวิมลมุนี (กฤช กิตฺติวํโส) – เจ้าอาวาสวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร การเมือง-ภาครัฐ พงศ์เทพ เทพกาญจนา – รองนายกรัฐมนตรี (ครม. 60) พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ – อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สื่อมวลชน กำพล วัชรพล – ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ พงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ – ผู้ประกาศข่าว ศิลปิน ชาติ กอบจิตติ – ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ชาลี อินทรวิจิตร – ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง กีฬา นิยม ประเสริฐสม – นักกีฬามวยสากล ธงชัย เทพธานี – นักกีฬามวยสากล วงการบันเทิง พศุตม์ บานแย้ม – นักแสดง วิโรจน์ ทองชิว – ผู้กำกับ บุตรศรัณย์ ทองชิว – นักแสดง นักร้อง มนัญญา เกาะจู (นิ้ง) – อดีตไอดอลวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == วิทยาลัยชุมชนสมุทรสาคร รายชื่อวัดในจังหวัดสมุทรสาคร รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดสมุทรสาคร รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดสมุทรสาคร == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด จังหวัดริมฝั่งอ่าวไทย
thaiwikipedia
1,741
จังหวัดนครปฐม
นครปฐม เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย เป็นหนึ่งในห้าจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ปริมณฑลของกรุงเทพมหานคร จังหวัดนี้มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน เชื่อว่าเป็นที่ตั้งเก่าแก่ของเมืองในสมัยทวารวดี โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเป็นจำนวนมาก == ประวัติ == ===ก่อนประวัติศาสตร์=== มีการพบหลักฐานโบราณคดีที่อาจมีอายุอยู่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เช่น ชิ้นส่วนขวานหินขัด ชิ้นส่วนกำไรหิน เศษภาชนะสำริดลักษณะคล้ายขัน และชิ้นส่วนเศษกระดูกมนุษย์ ที่แหล่งโบราณคดีไร่นายจิ๋ว บุญรักษา ที่ตำบลบ้านยาง อำเภอเมืองนครปฐม และที่แหล่งโบราณคดีไร่จรัลเพ็ญ บ้านหนองกบ ตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสน แหล่งโบราณคดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หมายเลข 1 ได้พบกะโหลกศีรษะมนุษย์โบราณ ลูกปัดหิน และกำไรสำริดจำนวนหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าบริเวณดังกล่าวเคยเป็นสถานที่ฝังศพของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ยุคเหล็ก กำหนดอายุราว 2,000 ปีมาแล้ว ส่วนแหล่งโบราณคดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หมายเลข 2 พบโครงกระดูกมนุษย์ซึ่งมีการนำภาชนะเครื่องดินเผาวางอุทิศ สันนิษฐานว่าแหล่งโบราณคดีนี้เป็นสถานที่ฝังศพของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย มีลักษณะเป็นสังคมแบบเกษตรกรรม ===สมัยทวารวดี=== เมืองนครปฐมโบราณเริ่มมีชุมชนมาตั้งถิ่นฐานมาแล้วอย่างน้อยตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 8–11 โดยมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13–14 และเสื่อมความสำคัญลงในพุทธศตวรรษที่ 17 บริเวณที่ตั้งของเมืองนครปฐมโบราณในราวพุทธศตวรรษที่ 11–16 ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเล เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก จากหลักฐานทางโบราณคดีพบสมอเรือขนาดใหญ่ที่วัดธรรมศาลา นอกจากนั้นยังมีชื่อหมู่บ้านในเขตเมืองนครปฐมที่แสดงถึงพื้นที่ที่เคยอยู่ริมทะเล เช่น แหลมบัว แหลมกระเจา แหลมมะเกลือ แหลมชะอุย หรือบ้านอ่าว เป็นต้น เมืองนครปฐมโบราณที่สำคัญในสมัยทวารวดี คือ เมืองนครชัยศรี หรือเรียกว่า นครไชยลิน หรือ เมืองพระประโทณ เมืองตั้งอยู่ห่างจากพระปฐมเจดีย์ออกไปทางทิศตะวันออกราว 2 กิโลเมตร มีศูนย์กลางอยู่ที่วัดพระประโทณเจดีย์วรวิหาร เป็นเมืองใหญ่ขนาด 3,600 × 2,000 เมตร ภายในเมืองนี้พบร่องรอยโบราณสถานจำนวนมาก อาทิ พระประโทณเจดีย์ซึ่งตั้งอยู่กลางเมือง กับเจดีย์จุลประโทน ส่วนโบราณสถานที่อยู่นอกเมืองคือ วัดพระเมรุ พระปฐมเจดีย์ วัดพระงามอยู่ทางทิศตะวันตก ทิศตะวันออกคือ วัดธรรมศาลา ทางทิศใต้คือ วัดดอนยายหอม ยังมีเมืองโบราณอีกแห่ง คือ เมืองกำแพงแสน อยู่ห่างจากตัวจังหวัดนครปฐมไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 20 กิโลเมตร มีรูปร่างเกือบกลมล้อมรอบด้วยคูน้ำคันดิน มีเนื้อที่ประมาณ 315 ไร่ คูเมืองมีความกว้าง 30 เมตร พบโบราณวัตถุเช่น ธรรมจักรศิลา พระพุทธรูปสำริด ระฆังหิน ลายปูนปั้นประดับศาสนาสถาน หินบดยา แหวนโลหะ และเนื่องจากเมืองกำแพงแสนตั้งอยู่ระหว่างเมืองอู่ทองและเมืองนครชัยศรี จึงสันนิษฐานว่าเมืองกำแพงแสนเป็นเมืองเศรษฐกิจทั้งทางน้ำและทางบก เป็นสถานที่พักและเปลี่ยนสินค้า จากหลักฐานทางโบราณคดีทั้งเมืองนครชัยศรีและเมืองกำแพงแสน แสดงให้เห็นว่าประชาชนนับถือทั้งศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู ===สมัยสุโขทัย=== ในสมัยสุโขทัยยังไม่ปรากฏชื่อนครปฐม เมืองนครปฐมโบราณในสมัยสุโขทัยมีฐานะอยู่ใต้การปกครองของสุโขทัย และยังให้ความสำคัญกับเมือง มีการบูรณะมหาเจดีย์และซ่อมแซมพระพุทธรูป ดังปรากฏว่าในศิลาจารึกวัดศรีชุม โดยเรียกเมืองนครปฐมโบราณว่า นครพระกฤษณ์ ===สมัยอยุธยา=== ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เป็นช่วงเวลาที่พม่ายกทัพมาโจมตีอยุธยาหลายครั้ง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดให้รวมพื้นที่เมือง 3 เมืองขึ้นเป็นเมือง และตั้งชื่อตามเมืองโบราณว่า เมืองนครชัยศรี เป็นเมืองที่ตั้งขึ้นเพื่อเตรียมการระดมไพร่พลเพื่อรับศึกและควบคุมไพร่ไม่ให้หลบหนี ยังเป็นเมืองที่มีย่านการค้าและรับสินค้าจากภายนอกเข้ามาขาย เมืองนครชัยศรีที่ตั้งใหม่เป็นเมืองขนาดเล็กอยู่ห่างจากเมืองนครชัยศรีเดิมไปทางทิศตะวันออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร ปรากฏฐานะในกฎหมายตราสามดวงระบุถึงตำแหน่งผู้ปกครอง คือ "ออกพระสุนธรบุรียศรีพิไชยสงคราม" เมืองนครชัยศรีอยู่ในฐานะเมืองจัตวา เป็นเมืองในเขตการปกครองชั้นในและเมืองในวงราชธานี เช่นเดียวกับเมืองราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และสมุทรสาคร จากหลักฐานทางโบราณคดีในยุคนี้ สันนิษฐานว่าวัดกลางบางแก้วน่าจะเป็นวัดประจำเมืองนครชัยศรีสมัยอยุธยา วัดในสมัยอยุธยา ได้แก่ วัดศรีมหาโพธิ์ วัดห้วยพลู วัดตุ๊กตา และวัดบางพระ ===สมัยธนบุรี=== เมืองนครชัยศรีในสมัยธนบุรีมีความสำคัญด้านสงคราม เป็นเส้นทางเดินทัพของพม่า ผู้ครองเมืองนครชัยศรีเป็นผู้มีความสามารถในการรบ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้ยกฐานะเจ้าเมืองเป็นพระยานครชัยศรี ในภาวะขาดแคลนข้าว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้ขุนนางควบคุมไพร่ออกบุกเบิกพื้นที่โดยรอบ รวมถึงเมืองนครชัยศรี เมืองในสมัยนี้เป็นเมืองขนาดเล็กและเป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญ ===สมัยรัตนโกสินทร์=== จากบันทึกของสังฆราชปาเลอกัว บริเวณเมืองนครชัยศรีมีการตั้งโรงงานน้ำตาลทรายมากขึ้น อันเป็นผลมาจากการเจรจาในสนธิสัญญาเบอร์นี มีชาวจีนมาเป็นกรรมกรในโรงงานและประกอบอาชีพอื่น เช่น เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ชาวจีนได้รวมตัวกันมากขึ้นจนได้ตั้งสมาคมลับหรืออั้งยี่ที่เมืองนครชัยศรี จน พ.ศ. 2390 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) (ต่อมาคือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค)) เข้ามาปราบปรามอั้งยี่ จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ทรงยังผนวชได้ธุดงค์ไปพบพระปฐมเจดีย์ และทรงเห็นว่าเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ไม่มีที่ใดเทียบเท่า ครั้นเมื่อได้ครองราชย์ จึงโปรดฯ ให้ก่อเจดีย์แบบลังกาครอบองค์เดิมไว้ โดยให้ชื่อว่า “พระปฐมเจดีย์” ทรงปฏิสังขรณ์สิ่งต่าง ๆ ในบริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ให้มีสภาพดี และโปรดฯ ให้ขุดคลองเจดีย์บูชาเพื่อให้การเสด็จมานมัสการสะดวกขึ้น ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เปลี่ยนแปลงการปกครองส่วนภูมิภาคจาก "กินเมือง" มาเป็น "เทศาภิบาล" โดยรวมเอาหัวเมืองเข้าเป็นกลุ่มเรียกว่า "มณฑล" ให้รวมอำนาจขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย โดยมณฑลนครชัยศรีก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2438 ประกอบด้วยเมืองนครชัยศรี เมืองสุพรรณบุรี และเมืองสมุทรสาคร ตั้งที่ว่าการมณฑลที่เมืองนครชัยศรี และได้เริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายใต้ผ่านเมืองนครปฐม ซึ่งขณะนั้นยังเป็นป่ารก พระองค์จึงโปรดฯ ให้ย้ายเมืองจากตำบลท่านา อำเภอนครชัยศรี มาตั้งที่บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์เหมือนเช่นครั้งสมัยโบราณ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างพระราชวังสนามจันทร์ เป็นที่เสด็จแปรพระราชฐานและฝึกซ้อมรบแบบเสือป่า โดยโปรดฯ ให้ตัดถนนเพิ่มขึ้นอีกหลายสาย รวมทั้ง สร้างสะพานเจริญศรัทธาข้ามคลองเจดีย์บูชาเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟกับองค์พระปฐมเจดีย์ ตลอดจนสร้างพระร่วงโรจนฤทธิ์ทางด้านทิศเหนือขององค์พระปฐมเจดีย์และบูรณะองค์พระปฐมเจดีย์ให้สมบูรณ์สวยงามดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน พระองค์โปรดให้เรียกชื่อเมืองนครปฐม ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานนามพระราชวังว่า "ปฐมนคร" และได้เปลี่ยนชื่อ จากเมือง "นครไชยศรี" เป็น "นครปฐม" เมื่อ พ.ศ. 2459 == ภูมิศาสตร์ == จังหวัดนครปฐมตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำท่าจีน ซึ่งเป็นพื้นที่บริเวณที่ราบลุ่มภาคกลาง โดยหน่วยงานบางแห่ง เช่น คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กำหนดให้จังหวัดนครปฐมอยู่ภาคตะวันตก จังหวัดนี้ตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 13 องศา 45 ลิปดา 10 พิลิปดา เส้นลองจิจูดที่ 100 องศา 4 ลิปดา 28 พิลิปดา มีพื้นที่ 2,168.327 ตารางกิโลเมตร หรือ 1,355,204 ไร่ เท่ากับ ร้อยละ 0.42 ของประเทศ และมีพื้นที่เป็นอันดับที่ 62 ของประเทศ อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครไปตามเส้นทางถนนเพชรเกษม 56 กิโลเมตร หรือตามเส้นทางถนนบรมราชชนนี 51 กิโลเมตร และตามเส้นทางรถไฟ 62 กิโลเมตร จังหวัดที่ติดต่อกับจังหวัดนครปฐม วนตามเข็มนาฬิกาจากทิศเหนือ ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดนนทบุรี กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี == สัญลักษณ์ประจำจังหวัด == ไฟล์:Seal Nakhon Pathom.svg|ตราประจำจังหวัด ไฟล์:Flag Nakhon Pathom Province.png|ธงประจำจังหวัด ตัวอักษรย่อ: นฐ ตราประจำจังหวัด: รูปพระปฐมเจดีย์ ประดับด้วยเครื่องหมายเลข 4 ไทยในพระมหาพิชัยมงกุฎ คำขวัญประจำจังหวัด: ส้มโอหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวงาม ข้าวหลามหวานมัน สนามจันทร์งามล้น พุทธมณฑลคู่ธานี พระปฐมเจดีย์เสียดฟ้า สวยงามตาแม่น้ำท่าจีน พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด: จันทน์ชะมดชนิด Mansonia gagei หรือจันทน์หอม ต้นไม้ประจำจังหวัด: จัน (Diospyros decandra) ดอกไม้ประจำจังหวัด: แก้ว (Murraya paniculata) สัตว์น้ำประจำจังหวัด: กุ้งก้ามกราม (Macrobrachium rosenbergii) == การเมืองการปกครอง == === หน่วยการปกครอง === ==== การปกครองส่วนภูมิภาค ==== การปกครองส่วนภูมิภาคในจังหวัดนครปฐม แบ่งออกเป็น 7 อำเภอ ประกอบด้วย 106 ตำบล และ 930 หมู่บ้าน โดยอำเภอต่าง ๆ มีดังนี้ ==== การปกครองส่วนท้องถิ่น ==== พื้นที่จังหวัดนครปฐมประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 117 แห่ง แบ่งตามประเภทและอำนาจบริหารจัดการภายในท้องที่ได้เป็น องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาลนคร 1 แห่ง เทศบาลเมือง 5 แห่ง เทศบาลตำบล 20 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 90 แห่ง === รายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม === {| | width = "50%" valign="top" | | width = "50%" valign="top" | |} == สถานศึกษา == ระดับอุดมศึกษา {| | width = "50%" valign="top" | มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา วิทยาเขตนครปฐม มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ | width = "50%" valign="top" | โรงเรียนนายร้อยตำรวจ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน สถาบันกันตนา |} ระดับอาชีวศึกษา {| | width = "50%" valign="top" | วิทยาลัยอาชีวศึกษานครปฐม วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทศบาลนครปฐม วิทยาลัยสารพัดช่างนครปฐม วิทยาลัยการอาชีพนครปฐม วิทยาลัยการอาชีพบางแก้วฟ้า | width = "50%" valign="top" | วิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล วิทยาลัยเทคนิคนครปฐม วิทยาลัยเทคโนโลยีนครปฐม กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวง |} โรงเรียน ดูที่ รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดนครปฐม == สถานที่ท่องเที่ยว == {| | width = "50%" valign="top" | พระปฐมเจดีย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ (ด้านพระศิลาขาว) พระราชวังสนามจันทร์ อุทยานแมลงเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พุทธมณฑล แหล่งดูนกธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ตลาดน้ำดอนหวาย ตลาดน้ำลำพญา พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง สวนสามพราน ลานแสดงช้างและฟาร์มจระเข้สามพราน | width = "50%" valign="top" | วัดไร่ขิง วัดพระประโทน วัดดอนยายหอม วัดไร่แตงทอง วัดหนองพงนก วัดกลางบางพระ ถนนชมพูพันธุ์ทิพย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก เจษฎา เทคนิค มิวเซียม (Jesada Technik Museum) วู้ดแลนด์ เมืองไม้ (Woodland Museum & Resort) เมืองรติยา หอภาพยนตร์ |} ไฟล์:Ento king park.gif|อุทยานแมลงเฉลิมพระเกียรติ ไฟล์:Siamese Crocodiles at Samphran Elephant Ground & Zoo (I).jpg|ลานแสดงช้างและฟาร์มจระเข้สามพราน ไฟล์:Utthayan Road (24091313).jpeg|ถนนอุทยาน (อักษะ) ไฟล์:WATRAIKHING Nakhonprathom.jpg|วัดไร่ขิง == บุคคลที่มีชื่อเสียง == ศาสนา สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย) – สมเด็จพระราชาคณะ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค ๑-๒-๓,๑๒-๑๓ (ธรรมยุต) รองแม่กองธรรมสนามหลวงรูปที่ ๑ ฝ่ายนักธรรม เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร พระจำนงค์ ธมฺมจารี – อดีตพระราชาคณะเจ้าคณะรอง อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม อดีตเจ้าคณะภาค ๔-๕-๖-๗ (ธรรมยุต) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร พระธรรมบัณฑิต (อภิพล อภิพโล) – พระราชาคณะชั้นธรรม กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก และรักษาการเจ้าอาวาสวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร พระราชวรเมธี (ประสิทธิ์ พฺรหฺมรังสี) – ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร บันเทิง ภาวนา ชนะจิต – นักแสดงภาพยนตร์ วรนุช ภิรมย์ภักดี (นุ่น) – นักแสดง มนตรี เจนอักษร – นักแสดง พิธีกร นักพาทย์ ภัสรนันท์ อัษฎมงคล (เบียร์ เดอะวอยซ์) – นักร้อง วีรยุทธ จันทร์สุข – นักร้อง/นักแสดง อิสราภา ธวัชภักดี (ตาหวาน BNK48) – นักร้อง ศุภกร ศรีโพธิ์ทอง – นักร้อง/นักแสดง นารา เทพนุภา – นักแสดง วชิรวิชญ์ ชีวอารี – นักแสดง จิดาภา แช่มช้อย (แพนด้า BNK48) – นักร้อง นภัสนันท์ ธรรมบัวชา (แองเจิ้ล CGM48) – นักร้อง ชยานันท์ เจ็ดพี่น้องร่วมใจ (มิลค์ CGM48) – นักร้อง ศุภิสรา วุฒิศาสตร์ (จีจี้ Last Idol) – นักร้อง กีฬา ชนาธิป สรงกระสินธ์ – นักฟุตบอล นางงาม บุญญาณี สังข์ภิรมย์ – มิสอินเตอร์คอนติเนนตัลไทยแลนด์ 2015, มิสยูไนเต็ดคอนติเนนท์ 2016, ท็อปโมเดลออฟเดอะเวิลด์ 2017 ณัฐพัชร พงษ์ประพันธ์ – นางสาวไทย 2563 ข้าราชการ ประทีป เพ็งตะโก - อธิบดีกรมศิลปากร == ดูเพิ่ม == ย่าเหล สโมสรฟุตบอลนครปฐม รายชื่อวัดในจังหวัดนครปฐม รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดนครปฐม รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดนครปฐม == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด
thaiwikipedia
1,742
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ในแขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดวรมหาวิหาร อยู่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์มหานิกายภาค 1 วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าสร้างในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางหว้าใหญ่ ในสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางหว้าใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้ยกเป็นพระอารามหลวงและเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดบางหว้าใหญ่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของเจ้านายวังหลัง คือสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี (สา) พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ขุดพบระฆังลูกหนึ่ง ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางว้าใหญ่ 5 ลูก จากนั้นได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดระฆังโฆสิตาราม” นอกจากเป็นเพราะขุดพบระฆังที่วัดนี้และเพื่อฟื้นฟูแบบแผนครั้งกรุงศรีอยุธยาที่มีวัดชื่อวัดระฆังเช่นกัน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ “วัดระฆังโฆสิตาราม” เป็น “วัดราชคัณฑิยาราม” (คัณฑิ แปลว่าระฆัง) แต่ไม่มีคนนิยมเรียกชื่อนี้ ยังคงเรียกว่าวัดระฆังต่อมา วัดระฆังโฆสิตารามมีหอพระไตรปิฎกซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามมาก เคยเป็นพระตำหนักและหอประทับนั่งของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขณะทรงรับราชการในสมัยธนบุรี และโปรดเกล้าฯ ให้รื้อมาถวายวัด เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว มีพระราชประสงค์จะบูรณปฏิสังขรณ์ให้สวยงามเพื่อเป็นหอพระพระไตรปิฎก == ประวัติ == เดิมเป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางว้าใหญ่ (หรือบางหว้าใหญ่) ในสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางว้าใหญ่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ และขึ้นยกเป็นพระอารามหลวง และเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชในสมัยรัตนโกสินทร์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ประชุมสังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งอัญเชิญมาจากนครศรีธรรมราชขึ้นที่วัดนี้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดบางว้าใหญ่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของเจ้านายวังหลัง คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี (สา) พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ขุดพบระฆังลูกหนึ่ง ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางว้าใหญ่ 5 ลูกไก่ == อาณาเขตที่ตั้งวัด == === เขตติจีวราวิปวาส === === เขตวิสุงคามสีมา === === ที่ธรณีสงฆ์ === == ปูชนียวัตถุสำคัญ == === พระประธานยิ้มรับฟ้า === พระประธานยิ้มรับฟ้า เป็นพระพุทธรูปเนื้อทองสำริด ปางสมาธิ หน้าตักกว้างประมาณ 4 ศอกเศษ เบื้องพระพักตร์มีรูปพระสาวก 3 องค์ นั่งประนมมือดุจรับพระพุทธโอวาท พระประธานองค์นี้ได้รับการยกย่องว่างดงามมาก จนปรากฏว่าครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ได้มีพระราชดำรัสแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิดว่า ไปวัดไหนไม่เหมือนมา วัดระฆังพอเข้าประตูโบสถ์พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที ด้วยเหตุนี้จึงทรงถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์ และมหาปรมาภรณ์ช้างเผือกแด่พระประธานองค์นี้เป็นพิเศษ และพระประธานองค์นี้ก็ได้นามว่า พระประธานยิ้มรับฟ้า ตั้งแต่นั้นมา == โบราณสถานสำคัญ == === พระอุโบสถ === เป็นทรงแบบรัชกาลที่ 1 หลังคาลด 3 ชั้น มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และคันทวยสลักเสลาอย่างสวยงาม บริเวณมุขด้านหน้าและหลังทำปีกนกคลุมมุขอยู่ในระยะไขราหน้าจั่ว ตอนใต้จั่วหรือหน้าบัน ที่จำหลักลายพระนารายณ์ทรงครุฑ ประดับลายกนกปิดทองอย่างประณีต เจาะเป็นช่องหน้าต่าง 2 ช่อง แทนแผงแรคอสองเหนือประตูหน้าต่างรอบพระอุโบสถติดกระจังปูนปั้นปิดทองทำเป็นรูปซุ้มบนบานประตูหน้าต่างด้านนอกเขียนลายรดน้ำปิดทองมีรูประฆังเป็นเครื่องหมาย ด้านในเขียนภาพทวารบาลยืนแท่นระบายสีงดงาม บริเวณฝาผนังภายในพระอุโบสถโดยรอบเขียนภาพจิตรกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าฝีมืองดงามมาก โดยผนังด้านหน้าพระประธานเขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์ก่อนเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้านหลังพระประธานเขียนภาพพระมาลัยขณะขึ้นไปนมัสการพระมหาจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เบื้องล่างเขียนภาพสัตว์นรกในอาการต่างๆ ภาพฝาผนังส่วนที่เหลือ เบื้องบนเขียนเป็นเทพชุมนุม ตอนล่างเขียนภาพทศชาติ ซึ่งเขียนได้อย่างมีชีวิตชีวาอ่อนช้อยและแสงสีเหมาะสมกับเรื่องราว ภาพเหล่านี้เขียนโดย พระวรรณวาดวิจิตร (ทอง จารุวิจิตร) จิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อราว พ.ศ. 2465 ครั้งมีการบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถในรัชกาลนั้น === พระวิหาร (พระอุโบสถหลังเก่า) === เป็นทรงแบบรัชกาลที่ 1 หลังคาลด 3 ชั้น มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และคันทวยสลักเสลาอย่างสวยงาม บริเวณมุขด้านหน้าและหลังทำปีกนกคลุมมุขอยู่ในระยะไขราหน้าจั่ว ตอนใต้จั่วหรือหน้าบัน ที่จำหลักลายพระนารายณ์ทรงครุฑ ประดับลายกนกปิดทองอย่างประณีต เจาะเป็นช่องหน้าต่าง 2 ช่อง แทนแผงแรคอสองเหนือประตูหน้าต่างรอบพระอุโบสถติดกระจังปูนปั้นปิดทองทำเป็นรูปซุ้มบนบานประตูหน้าต่างด้านนอกเขียนลายรดน้ำปิดทองมีรูประฆังเป็นเครื่องหมาย ด้านในเขียนภาพทวารบาลยืนแท่นระบายสีงดงาม บริเวณฝาผนังภายในพระอุโบสถโดยรอบเขียนภาพจิตรกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าฝีมืองดงามมาก โดยผนังด้านหน้าพระประธานเขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์ก่อนเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้านหลังพระประธานเขียนภาพพระมาลัยขณะขึ้นไปนมัสการพระมหาจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เบื้องล่างเขียนภาพสัตว์นรกในอาการต่างๆ ภาพฝาผนังส่วนที่เหลือ เบื้องบนเขียนเป็นเทพชุมนุม ตอนล่างเขียนภาพทศชาติ ซึ่งเขียนได้อย่างมีชีวิตชีวาอ่อนช้อยและแสงสีเหมาะสมกับเรื่องราว ภาพเหล่านี้เขียนโดย พระวรรณวาดวิจิตร (ทอง จารุวิจิตร) จิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อราว พ.ศ. 2465 ครั้งมีการบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถในรัชกาลนั้น === พระปรางค์ === รัชกาลที่ 1 มีพระราชศรัทธาสร้างพระปรางค์ พระราชทานร่วมกุศลกับสมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่ (สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระเทพสุดาวดี พระนามเดิม สา) ตั้งอยู่หน้าพระวิหาร ได้รับการยกย่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ว่า เป็นพระปรางค์ที่ทำถูกแบบที่สุดในประเทศไทย พระปรางค์องค์นี้จัดเป็นพระปรางค์แบบ สถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์ยุคต้น ที่มีทรวดทรงงดงามมาก จนยึดถือเป็นแบบฉบับของพระปรางค์ที่สร้างในยุคต่อมา === หอระฆัง === พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้สืบถามเรื่องระฆังของวัดบางหว้าใหญ่ซึ่งเป็นระฆังที่มีเสียงไพเราะยิ่งนัก ที่ขุดได้ในวัดนั้นว่าขุดได้ ณ ที่ใด ทรงขอระฆังเสียงดีลูกนั้นไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงสร้างหอระฆังจตุรมุขพร้อมทั้งระฆังอีก 5 ลูก พระราชทานไว้แทน เพราะเหตุแห่งการขุดระฆังได้ จึงได้ชื่อตามที่ประชาชนเรียกว่า วัดระฆัง ตั้งแต่นั้นมา === หอพระไตรปิฎก === เป็นรูปเรือน 3 หลังแฝด หอด้านใต้ลักษณะเป็นหอนอน หอ กลางเป็นห้องโถง หอด้านเหนือเข้าใจว่าเป็นห้องรับแขก ของเดิมเป็นหลังคามุงจาก ได้เปลี่ยนเป็นมุงกระเบื้อง ชายคาเป็นรูปเทพพนมเรียงรายเป็นระยะๆ เปลี่ยนฝาสำหรวดไม้ขัดแตะเสียบกระแชงเป็นขัดด้วยหน้ากระดานไม้สักระหว่างลูกสกล ใช้แผ่นกระดานไม้สักเลียบฝาภายในแล้วเขียนรูปภาพต่าง ๆ บานประตูด้านใต้เขียนลายรดน้ำ บานประตูหอกลางด้านตะวันออกแกะเป็นลายกนกวายุภักษ์ ประกอบด้วยกนกเครือเถา บานซุ้มประตูนอกชานแกะเป็นมังกรลายกนกดอกไม้ภายนอกติดคันทวยสวยงาม ภายในมีตู้พระไตรปิฎกขนาดใหญ่เขียนลายรดน้ำ 2 ตู้ ประดิษฐานไว้ในหอด้านเหนือ 1 ตู้ หอด้านใต้ 1 ตู้ หอพระไตรปิฎกนี้ตั้งอยู่ภายในเขตพุทธาวาส ทิศใต้ของพระอุโบสถ === ศาลาการเปรียญ === === หอพระไตรปิฎก (คณะ 2) === อยู่หน้าตำหนักแดง ในคณะ 2 เป็นเรือนไม้ฝาปะกน ปิดทอง ทาสีเขียวสด ประตูหน้าต่างเขียนลายรดน้ำสวยงามมาก === พระเจดีย์สามองค์ === สร้างโดยเจ้านายวังหลัง 3 องค์ คือ กรมหมื่นนราเทเวศร์ (พระองค์เจ้าชายปาล ต้นสกุล ปาลกะวงศ์) กรมหมื่นนเรศร์โยธี (พระองค์เจ้าชายบัว) และกรมหมื่นเสนีย์บริรักษ์ (พระองค์เจ้าชายแดง ต้นสกุล เสนีวงศ์) สร้างโดยเสด็จพระราชกุศลในรัชกาลที่ 3 เมื่อคราวสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ เป็นเจดีย์ย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบ ทรงจอมแห ทรวดทรงงดงามมาก แต่เป็นเจดีย์ขนาดย่อม ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของพระอุโบสถหลังปัจจุบัน == สถานที่น่าสนใจภายในวัด == === พระวิหารสมเด็จพระพุฒาจารย์โต === เป็นพระวิหารทรงเดียวกับ พระวิหารสมเด็จพระสังฆราช (สี) ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน มีเครื่องหมายสำคัญที่หน้าบันทั้งสองข้าง เป็นรูปพัดยศจารึกอักษรไว้ว่า “พระวิหารสมเด็จ ๒๕๐๓” เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จพระราชาคณะของวัดนี้ 3 องค์ ได้แก่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งรู้จักกันดีในนาม “สมเด็จโต” หรือ “หลวงพ่อโต” พระเถระผู้แตกฉานในพระไตรปิฎก และทรงคุณทางวิปัสสนาธุระ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ม.จ.ทัด เสรีวงศ์) เป็นพระเถระที่มีพระเกียรติคุณปรากฏอีกองค์หนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงได้รับการถวายเจ้านายโดยเฉพาะ เป็นเหตุให้พระเครื่องที่ทรงทำร่วมกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ผู้เป็นอาจารย์ ได้รับขนานนามว่า “สมเด็จปิลันทน์” และมีชื่อเสียงควบคู่กันมา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว. เจริญ อิศรางกูร) ผู้มีชื่อเสียงในทางเทศนาวิธีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชี่ยวชาญการเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์ ได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยคตั้งแต่ยังเป็นสามเณร หรือมีอายุได้ 14 ปี เท่านั้น และสำเร็จเป็นเปรียญ 8 ประโยค ในเวลาต่อมา เมื่อครั้งเป็นที่พระพิมลธรรม ท่านได้รับพระราชทานสุพรรณบัฏเป็นพิเศษกว่าสมเด็จพระราชาคณะองค์อื่น ๆ และเมื่อมรณภาพ ในรัชกาลที่ 6 ก็ได้รับการพระราชทานเพลิงที่พระเมรุสนามหลวงเป็นเกียรติด้วย === พระวิหารสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) === ตั้งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ หลังคามุงกระเบื้องเคลือบติดคันทวยตามเสาสวยงาม หน้าบันทั้งสองด้าน จำหลักรูปฉัตร 3 ชั้นอันเป็นเครื่องหมายพระยศสมเด็จพระสังฆราช วิหารหลังนี้เดิมหลังคาเป้นทรงปั้นหยา เรียกว่าศาลาเปลื้องเครื่อง พระราชธรรมภาณี (ละมูล) ได้เปลี่ยนเป็นหลังคาทรงไทยมีช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ เมื่อ พ.ศ. 2504 เพื่อประดิษฐานพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราช (สี) ซึ่งเดิมบรรจุอยู่ในรูปพระศรีอาริยเมตไตรย ประดิษฐานในซุ้มพระปรางค์ของวัดระฆัง ต่อมาได้ย้ายมาประดิษฐานที่พระวิหารที่ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เพื่อยกย่องพระเกียรติของพระองค์ === พิพิธภัณฑ์วัดระฆังโฆสิตาราม (อาคารเฉลิมพระเกียรติริมแม่น้ำเจ้าพระยา)=== == ลำดับเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม == วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ มีอธิบดีสงฆ์ปกครองวัดมาแล้ว 12 รูปด้วยกัน ดังนี้ {|class="wikitable" |- ! ลำดับ !! เจ้าอาวาส !! วาระ (พ.ศ.) |- | 1. || สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) || 2312 — 2337 |- | 2. || พระพนรัตน (นาค) || 2337 — ? |- | 3. || พระพุฒาจารย์ (อยู่) || ? — ? |- | 4. || สมเด็จพระพนรัตน (ทองดี) || ? — ? |- | 5 || สมเด็จพระพนรัตน (ฤกษ์) || ? — ? |- | 6. || สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) || 2395 — 2415 |- | 7. || หม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด) || 2415 — 2437 |- | 8. || สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (หม่อมราชวงศ์เจริญ ญาณฉนฺโท) || 2437 — 2470 |- | 9. || พระเทพสิทธินายก (นาค โสภโณ) || 2470 — 2514 |- | 10. || พระเทพญาณเวที (ละมูล สุตาคโม) || 2515 — 2530 |- | 11. || พระเทพประสิทธิคุณ (ผัน ติสฺสโร) || 2532 — 2550 |- | 12. || พระธรรมธีรราชมหามุนี (เที่ยง อคฺคธมฺโม) || 2550 — 2564 |- | 13. || พระเทพประสิทธิคุณ (ประจวบ ขนฺติธโร) || 19 กุมภาพันธ์ 2565 - ปัจจุบัน |} == อื่น ๆ == === พระเครื่องที่จัดสร้างโดยวัดระฆังโฆสิตาราม === === โครงการไหว้พระ ๙ วัด === ไฟล์:Watrakhangbot0609.jpg|พระประธานยิ้มรับฟ้า ภายในพระอุโบสถ ไฟล์:Watrakhangdoorpano0609.jpg|บานประตูพระอุโบสถลงรักปิดทอง ไฟล์:Ho Trai Wat Rakhang.jpg|หอพระไตรปิฎก ไฟล์:Watrakhanghortrai052000b.jpg|ตู้พระธรรมลายรดน้ำภายในหอพระไตรปิฎก == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) โรงเรียนสตรีวัดระฆัง == แหล่งข้อมูลอื่น == เกศทิพย์ อิศรางกูร ณ อยุธยา.วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร วัดประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์.นิตยสารสกุลไทย 2545 ระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร โบราณสถานในเขตบางกอกน้อย สิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำเจ้าพระยา
thaiwikipedia
1,743
กนก รัตน์วงศ์สกุล
กนก รัตน์วงศ์สกุล เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแล็กซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด มีชื่อเสียงจากการเป็นผู้ประกาศข่าว ทางสถานีโทรทัศน์หลายแห่ง ตั้งแต่เอ็นบีที 2 เอชดี,ช่อง 7 HD,ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี,เนชั่นทีวี,ททบ.5 เอชดี,ท็อปนิวส์ และ เจเคเอ็น 18 จนถึงช่องในปัจจุบัน == ประวัติ == เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 (นามสกุลเดิม แซ่ตั้ง) ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน ฐานะยากจนมาก ที่ย่านยศเส หลังวัดเทพศิรินทร์ เรียนชั้นประถมต้นที่โรงเรียนสตรีศรีบำรุง อยู่เชิงสะพานกษัตริย์ศึก ย้ายมาเรียน ป.3 ที่โรงเรียนวัดพระพิเรนทร์ ย่านวรจักร ในปี พ.ศ. 2516 เพราะบ้านเก่าที่ยศเสถูกไล่ที่ จบ มศ.3 จาก โรงเรียนวัดราชโอรส เรียนต่อ มศ.4 ที่ โรงเรียนวัดรางบัว เขตภาษีเจริญ โดยเป็นนักเรียน มศ.5 รุ่นสุดท้าย จบการศึกษาจากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน วิชาเอกหนังสือพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในยุคที่มี รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา เป็นคณบดี พ.ศ. 2526 - 2529 ก่อนมาทำงานโทรทัศน์เคยเป็นผู้จัดรายการวิทยุมาก่อน เป็นดีเจฟรีแลนซ์ในหลายคลื่นและหลายปี จนมาสมัครสอบอ่านข่าวภาคค่ำที่ช่อง 11 พร้อมกับก้าวเข้ามาจัดรายการวิทยุคุยข่าว Nation News Talk กับสุทธิชัย หยุ่น ก่อนจัดรายการโทรทัศน์ประเภทคุยข่าว เป็นรายการแรกชื่อ เก็บตกจากเนชั่น, ก๊วนกวนข่าว ทางช่องเนชั่นทีวี จนถึง คุยคุ้ยข่าว ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี และรายการทางช่อง 7 สี เช่น จมูกมด ในช่วงคุยข่าว และ มหานคร ปัจจุบันดำเนินรายการ เช้าข่าวเข้ม, เล่าข่าวข้น, ลายกนก ยกสยาม ทางช่องเจเคเอ็น 18 บาย ท็อปนิวส์ และเป็นคอลัมน์นิสต์ อยู่นิตยสารลิปส์ กนกและนางลักขณายังเป็นผู้ถือหุ้นใน บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิทัล มีเดีย จำกัด == ผลงานข่าวและพิธีกรข่าว == === ผลงานข่าวในปัจจุบัน === ผู้ประกาศข่าวรายการ เช้าข่าวเข้ม คู่กับ ธีระ ธัญไพบูลย์ วันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 08:10 - 10:00 น. ทางช่องเจเคเอ็น 18 ผู้ประกาศข่าวรายการ เล่าข่าวข้น คู่กับ ธีระ ธัญไพบูลย์ วันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 20:15 - 22:10 น. ทางช่องเจเคเอ็น 18 พิธีกรรายการ ณ ครับ คู่กับ ธีระ ธัญไพบูลย์ และ สันติสุข มะโรงศรี วันอาทิตย์ (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) 10:55 - 11:50 น. ทางช่องเจเคเอ็น 18 พิธีกรรายการ เสน่ห์ไทย คู่กับ ธีระ ธัญไพบูลย์ และ สันติสุข มะโรงศรี วันอาทิตย์ (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) 10:55 - 11:50 น. ทางช่องเจเคเอ็น 18 พิธีกรรายการ ลายกนกยกสยาม คู่กับ อุบลรัตน์ เถาว์น้อย, รุ่งราตรี สุหงษา และ นิธิตรา เชาว์พยัคฆ์ วันอาทิตย์ เวลา 20:10 - 21:10 น. ทางช่องเจเคเอ็น 18 === ผลงานข่าวในอดีต === ผู้ประกาศข่าวทางช่องเอ็นบีที 2 เอชดี ผู้ประกาศข่าวรายการ ก๊วนกวนข่าว ทางช่องเนชั่นทีวี ผู้ประกาศข่าวรายการ เนชั่น ทันสถานการณ์ ทางช่องเนชั่นทีวี ผู้ประกาศข่าวรายการ คุยคุ้ยข่าว ทางช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ในนามสำนักข่าวไทย พิธีกรรายการ มหานคร ทางช่อง 7 HD พิธีกรรายการ จมูกมด ทางช่อง 7 HD ผู้ประกาศข่าวรายการ คอข่าว ทางช่อง 7 HD ผู้ประกาศข่าวรายการ เช้าข่าวข้น คนข่าวเช้า ทางช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ในนามสำนักข่าวไทย ผู้ประกาศข่าวรายการ ข่าวข้นคนข่าว ทางช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ในนามสำนักข่าวไทย พิธีกรรายการ ยิ่งถก กนกซัก ทางช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี ในนามไนน์เอ็นเตอร์เทน ผู้ประกาศข่าวรายการ เก็บตกจากเนชั่น ทางช่องเนชั่นทีวี พิธีกรรายการ Talkative ทางช่องเนชั่นทีวี พิธีกรรายการ เล่าให้รู้เรื่อง ทางช่องเนชั่นทีวี ผู้ประกาศข่าวรายการ เนชั่น คนข่าวเข้ม ทางช่องเนชั่นทีวี ผู้ประกาศข่าวรายการ เนชั่น ข่าวข้นกีฬาเข้ม ทางช่องเนชั่นทีวี ผู้ประกาศข่าวรายการ ข่าวข้นคนเนชั่น ทางช่องเนชั่นทีวี พิธีกรรายการ ข่าวมีระดับ Nation Top News ทางช่องเนชั่นทีวี พิธีกรรายการ Line กนก ทางช่องเนชั่นทีวี ผู้ประกาศข่าวรายการ ช่อง 5 เล่าข่าวข้น ทางช่องททบ.5 เอชดี === หนังสือเล่ม === ชีวิตรื่นรมย์ กนกบาทเดียว กนกยามเย็น กนก กด Like Talkative ทอล์คกะถีบ กนกตกข่าว ป๊อปปูล่าร์ Line กนก ทอล์ควาไรตี้ คอลัมนิสต์ ขอพูดด้วยคน นิตยสารลิปส์ == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บบล็อกส่วนตัว บุคคลจากกรุงเทพมหานคร บุคคลจากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พุทธศาสนิกชนชาวไทย ชาวไทยเชื้อสายแต้จิ๋ว เครือเนชั่น พิธีกรชาวไทย ผู้ประกาศข่าวช่อง 5 ผู้ประกาศข่าวช่อง 7 ผู้ประกาศข่าวช่อง 9-โมเดิร์นไนน์ทีวี ผู้ประกาศข่าวช่อง 11-เอ็นบีที-สทท. ผู้ประกาศข่าวเนชั่นทีวี ผู้ประกาศข่าวช่องท็อปนิวส์ นักจัดรายการวิทยุชาวไทย ดีเจชาวไทย นักเขียนชาวไทย ยูทูบเบอร์ชาวไทย นักสื่อสารมวลชนที่เป็นแนวร่วมกปปส.‎
thaiwikipedia
1,744
หิมะ
หิมะ เป็นรูปหนึ่งของการตกลงมาของน้ำจากบรรยากาศ อยู่ในรูปของผลึกน้ำแข็งจำนวนมากเรียก เกล็ดหิมะ จับตัวรวมกันเป็นก้อน ดังนั้นหิมะจึงมีเนื้อที่หยาบเป็นเกล็ด และมีโครงสร้างที่กลวงจึงมีความนุ่มเมื่อสัมผัส หิมะนั้นเกิดจากละอองน้ำเกิดการเกาะรวมตัวกันในชั้นบรรยากาศที่อุณหภูมิต่ำกว่า 0 °C (32 °F) ทำให้เกิดการแข็งตัวเป็นผลึกน้ำแข็ง และตกลงมา นอกจากนี้หิมะยังสามารถผลิตได้จากเครื่องสร้างหิมะเทียม (snow cannon) == รูปทรงของเกล็ดหิมะ == ความสมมาตรของส่วนที่ยื่นออกมาของเกล็ดหิมะนั้น จะเป็นสมมาตรแบบหกด้านเสมอ เนื่องมาจากเกล็ดน้ำแข็งปกตินั้นมีโครงสร้างผลึกหกเหลี่ยม (หรือที่รู้จักกันในชื่อ ice Ih) บนระนาบฐาน (basal plane) คำอธิบายถึงความสมมาตรของเกล็ดหิมะนั้นโดยทั่วไป มีอยู่ 2 คำอธิบาย คือ อาจเป็นไปได้ที่จะมีการสื่อสารหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างส่วนที่ยื่นออกของเกล็ดหิมะ ซึ่งส่งผลให้การงอกออกของแต่ละก้านนั้นส่งผลถึงกัน ตัวอย่างของรูปแบบที่ใช้ในการสื่อสารนั้นอาจเป็น ความตึงผิว หรือ โฟนอน (phonon) คำอธิบายที่สองนี้จะค่อนข้างแพร่หลายกว่า คือ แต่ละก้านของเกล็ดหิมะนั้นจะงอกออกโดยไม่ขึ้นแก่กัน ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิ ความชื้น และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบกับขนาดของเกล็ดหิมะแล้วเชื่อว่าสภาพแวดล้อมจะมีสภาพที่เหมือนกันในช่วงขนาดสเกลของเกล็ดหิมะ ซึ่งส่งผลให้การงอกออกของก้านในแต่ละด้านนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขเหมือนกัน จึงทำให้ลักษณะการงอกออกนั้นเหมือนกัน ในลักษณะเดียวกับที่รูปแบบการเติบโตของวงแหวนอายุในแกนของต้นไม้ในสภาพแวดล้อมเดียวกันจะมีรูปร่างเหมือน ๆ กัน ความแตกต่างของสภาพแวดล้อมที่ระดับสเกลใหญ่กว่าเกล็ดหิมะนั้นส่งผลให้รูปของเกล็ดหิมะแต่ละเกล็ดนั้นมีรูปร่างที่แตกต่างกัน และหิมะเกิดจากการละอองน้ำในอากาศที่แปรสภาพเป็นของแข็งเพราะอุณหภูมิต่ำ อย่างไรก็ตาม แนวความคิดที่ไม่มีเกล็ดหิมะใดที่มีรูปร่างเหมือนกันนั้นไม่ถูกต้อง เกล็ดหิมะสองเกล็ดนั้นมีโอกาสเหมือนกันได้ เพียงแต่โอกาสนั้นน้อยมาก American Meteorological Societyได้บันทึกการค้นพบเกล็ดหิมะที่มีรูปร่างเหมือนกันโดย แนนซี่ ไนท์ (Nancy Knight) ซึ่งทำงานที่National Center for Atmospheric Research ผลึกที่ค้นพบนั้นไม่เชิงเป็นเกล็ดหิมะซะทีเดียวที่เป็นรูป ปริซึมหกเหลี่ยมกลวง (hollow hexagonal pris) == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == หิมะ รูปแบบของน้ำ หยาดน้ำฟ้า
thaiwikipedia
1,745
ลูกเห็บ
ลูกเห็บ (Hail) เป็นก้อนน้ำลักษณะเหมือนน้ำแข็ง เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรของน้ำ โดยตกลงมาจากบรรยากาศในรูปของแข็ง โดยจะมีรูปร่างเป็นก้อนน้ำแข็งรูปร่างไม่แน่นอน เกิดจากละอองหยาดฝนซึ่งเย็นแบบยิ่งยวด (ยังอยู่ในสภาพของเหลวที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง) ในเมฆฝน ปะทะกับวัตถุแข็ง เช่น ผงฝุ่น หรือ ก้อนลูกเห็บที่เกาะตัวอยู่ก่อนแล้ว และแข็งตัวเกาะรอบวัตถุนั้น ๆ เป็นก้อนลูกเห็บ ก้อนลูกเห็บนี้อาจลอยตัวก่อเป็นก้อนอยู่เบื้องบนเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนจะตกลงมา เนื่องจากลมที่พัดพาอยู่เบื้องบน ดังนั้นลูกเห็บอาจเกาะตัวจนเป็นก้อนใหญ่มีน้ำหนักเกินกว่าที่ลมจะพัดให้ลอยอยู่ได้และตกลงมา ฝนลูกเห็บมักจะมากับ พายุฝนที่รุนแรง และมักจะมีอากาศเย็น โดยที่อุณหภูมิของชั้นอากาศที่อยู่สูงนั้นเย็นกว่าอากาศที่อยู่ต่ำมาก ลูกเห็บขนาดเล็กจะถูกพัดพาสะท้อนขึ้นลงอยุ่ระหว่างชั้นบรรยากาศที่อากาศเย็นและร้อน เนื่องจากการลอยตัวขึ้นของอากาศร้อนและแรงดึงดูดของโลก ลูกเห็บที่ลอยตัวอยู่นานก็จะมีขนาดใหญ่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ลูกเห็บขนาดใหญ่ก็อาจเกิดขึ้นได้ในเขตที่มีอากาศร้อน เนื่องมาจากการลอยตัวขึ้นที่รุนแรงของอากาศร้อน และยังสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงฤดูร้อนอีกด้วย ลูกเห็บส่วนใหญ่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-3 มิลลิเมตร แต่บางทีอาจมีขนาดใหญ่ถึงหลายเซนติเมตรหรือใหญ่กว่านั้น ลูกเห็บขนาดเมล็ดถั่วจนถึงขนาดลูกกอล์ฟนั้นเป็นขนาดที่พบเห็นได้ทั่วไป เมื่อผ่าลูกเห็บออกจะเห็นชั้นหลายๆ ชั้นซ้อนกันอยู่ จำนวนชั้นบอกได้ว่าลูกเห็บนี้ถูกพัดขึ้นไปสูงขึ้นกี่ครั้ง โดยชั้นข้างในจะมีสีน้ำเงิน แล้วชั้นต่อไปสีจะจางลงเรื่อยๆ จนถึงสีขาว สถิติของลูกเห็บที่หนักที่สุดในโลกนั้น ตกที่ เมืองคอฟฟีย์วิลล์ (Coffeyville) รัฐแคนซัส ในวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2513 โดยหนักถึง 770 กรัม (หรือ 1.7 ปอนด์) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 14.5 เซนติเมตร (5.7 นิ้ว) ส่วนลูกเห็บที่ขนาดใหญ่ที่สุดนั้นตกที่ ออโรรา (Aurora) รัฐเนแบรสกา ในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2546 ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 17.8 เซนติเมตร (7 นิ้ว) แต่มีน้ำหนักน้อยกว่า อาจเนื่องมาจากมีบางส่วนแตกหลุดไปในระหว่างตกกระทบบ้าน การตกลงมาของน้ำแข็งอีกประเภทที่มีขนาดใหญ่กว่าลูกเห็บเรียกว่า megacryometeors == ดูเพิ่ม == หิมะ ฝน == แหล่งข้อมูลอื่น == เมฆ หมอก และหยาดน้ำฟ้า ข้อมูลเพิ่มเติมจาก โครงการ การเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ น้ำ สภาพอากาศ หยาดน้ำฟ้า
thaiwikipedia
1,746
เมฆ
เมฆ เกิดจากการรวมตัวหรือเกาะกลุ่มของไอน้ำ ลอยตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศที่เราสามารถมองเห็นได้ เมฆจะเกิดการควบแน่นและตกลงมาเป็นฝน ละอองน้ำ และเกล็ดน้ำแข็ง ไอน้ำที่ควบแน่นเป็นละอองน้ำ (โดยปกติแล้วจะมีขนาด 0.01 มิลลิเมตร) หรือเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งเมื่อเกาะตัวกันเป็นกลุ่มจะเห็นเป็นก้อนเมฆ ก้อนเมฆนี้สะท้อนคลื่นแสงในแต่ละความยาวคลื่นในช่วงที่ตามองเห็นได้ ในระดับที่เท่า ๆ กัน จึงทำให้เรามองเห็นก้อนเมฆนั้นเป็นสีขาว แต่ ถ้าหากเมฆนั้นมีความหนาแน่นสูงมากจนแสงผ่านไม่ได้ ก็สามารถมองเห็นเป็นสีเทาหรือสีดำได้เช่นกัน เมฆบนดาวดวงอื่นนั้นประกอบด้วยสารอื่นนอกจากน้ำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพบรรยากาศของดาวนั้น == เมฆชั้นโทรโพสเฟียร์ == === แบ่งตามรูปร่างของเมฆ === เมฆนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ แบบเป็นชั้น (layered) ในแนวนอน และแบบลอยตัวสูงขึ้น (convective) ในแนวตั้ง โดยจะมีชื่อเรียกว่า สเตรตัส (stratus ซึ่งหมายถึงลักษณะเป็นชั้น) และ คิวมูลัส (cumulus ซึ่งหมายถึงทับถมกันเป็นกอง) ตามลำดับ นอกจากนี้แล้วยังมีคำที่ใช้ในการบอกลักษณะของเมฆ สเตรตัส (stratus) หรือ สเตรโต (strato-) หมายถึง ลักษณะเป็นชั้น คิวมูลัส (cumulus) หรือ คิวมูโล (cumulo-) หมายถึง ลักษณะเป็นก้อนสุมกัน เซอร์รัส (cirrus) หรือ เซอร์โร (cirro-) หมายถึง เมฆชั้นสูง อัลโต (alto-) หมายถึง เมฆชั้นกลาง นิมบัส (nimbus) หรือ นิมโบ (nimbo-) หมายถึง ฝน === แบ่งตามระดับความสูง === เมฆยังอาจแบ่งเป็น 4 กลุ่มตามระดับความสูงของเมฆ โดยระดับความสูงของเมฆนี้จะวัดจากฐานของก้อนเมฆ ไม่ได้วัดจากยอด โดยลู้ก ฮาวเวิร์ด เป็นผู้นำเสนอวิธีการแบ่งกลุ่มแบบนี้แก่ Askesian Society ใน ค.ศ. 1802 ==== เมฆระดับสูง ==== ก่อตัวที่ความสูงมากกว่า 16,500 ฟุต (5,000 เมตร) ในบริเวณที่อุณหภูมิต่ำในชั้นบรรยากาศโทรโพสเฟียร์ ที่ความสูงระดับนี้น้ำส่วนใหญ่นั้นจะแข็งตัว ดังนั้นเมฆจะประกอบด้วยผลึกน้ำแข็ง เมฆในชั้นนี้ส่วนใหญ่มักจะมีลักษณะเป็นก้อนเล็ก ๆ และมักจะค่อนข้างโปร่งใส เมฆในกลุ่มนี้จะมีชื่อนำหน้าด้วย เซอร์- (cirr-) ชนิดของเมฆ: เซอร์รัส (cirrus - Ci) : Cirrus, Cirrus uncinus, Cirrus Kelvin-Helmholtz เป็นเมฆที่ก่อตัวอยู่ในระดับสูงที่สุด มีลักษณะเป็นเส้น ๆ คล้ายใยไหมหรือเป็นริ้วบาง ๆ หยิกหยองเป็นปอยเหมือนขนนก หรือบางครั้งมองเห็นเป็นริ้วโค้ง ๆ ยาวพาดกลางท้องฟ้า ลอยตัวอยู่ในบรรยากาศระดับสูงมากบนท้องฟ้า อุณหภูมิของอากาศบนนั้นหนาวจัดจนเมฆชนิดนี้ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็งขนาดจิ๋วแทนที่จะเป็นหยดน้ำ บางครั้งอาจเรียกว่าเมฆหางม้า เพราะกระแสลมแรงจัดเบื้องบนพัดจนกลุ่มเมฆกระจายออกเป็นริ้วโค้ง ๆ เหมือนกับหางของม้า เมฆเซอร์รัสเป็นที่ปรากฏอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า บ่งบอกว่าอากาศดีไม่มีฝนตก เซอร์โรคิวมูลัส (cirrocumulus - Cc) เกิดจากผลึกน้ำแข็งเป็นเมฆ สีขาวโปร่งแสง บางครั้งจะปรากฏวงแหวนสีสวยงามขึ้นในเมฆเซอร์โรสเตรตัสหรือเมฆอัลโทรสเตรตัสที่อยู่สูง ๆ มีฐานสูงเฉลี่ย 7,000 เมตร มีลักษณะเป็นเกล็ดบาง ๆ หรือเป็นละอองคลื่นเล็ก ๆ อยู่ติดกัน บางตอนอาจแยกจากกัน แต่จะอยู่เรียงรายกันอย่างมีระเบียบ โปร่งแสงอาจมองเห็นดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ได้ เซอร์โรสเตรตัส (cirrostratus - Cs) เกิดจากผลึกน้ำแข็งเป็นเมฆ สีขาวโปร่งแสง บางครั้งจะปรากฏวงแหวนสีสวยงามขึ้นในเมฆเซอร์โรสเตรตัสหรือเมฆอัลโทรสเตรตัสที่อยู่สูง ๆ มีฐานสูงเฉลี่ย 8,500 เมตร มีลักษณะเป็นแผ่นเยื่อบาง ๆ โปร่งแสงเหมือนม่านติดต่อกันเป็นแผ่นในระดับสูง มีสีขาวหรือน้ำเงินจาง ปกคลุมเต็มท้องฟ้าหรือเพียงบางส่วน เป็นเมฆที่ทำให้เกิดวงแสงสีขาวหรือมีสี (Halo) รอบดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ได้ บ่งบอกว่า ฝนกำลังจะตกในไม่ช้า คอนเทรล (Contrail) เป็นเมฆที่เกิดจากความร้อนของเครื่องบินไอพ่น มีลักษณะเป็นเส้นพาดท้องฟ้าตามวิถีการบินของเครื่องบินไอพ่น ==== เมฆระดับกลาง ==== ก่อตัวที่ความสูงระหว่าง 6,500 และ 16,500 ฟุต (ระหว่าง 2,000 และ 5,000 เมตร) เมฆจะประกอบด้วยละอองน้ำ และละอองน้ำเย็นยิ่งยวด ชื่อของเมฆในชั้นนี้จะนำหน้าด้วย อัลโต- (alto-) ชนิดของเมฆ: อัลโตคิวมูลัส (altocumulus - Ac) : Altocumulus, Altocumulus undulatus, Altocumulus mackerel sky, Altocumulus castellanus, Altocumulus lenticularis มีลักษณะอยู่เป็นกลุ่ม ๆ คล้ายฝูงแกะ มีสีขาว บางครั้งสีเทา มีการจัดตัวเป็นแถว ๆ หรือเป็นคลื่น เป็นชั้น ๆ มีเงาเมฆมีลักษณะเป็นเกล็ด เป็นก้อนม้วนตัว (roll) อาจมี 2 ชั้นหรือมากกว่าขึ้นไป อาจเกิดพระอาทิตย์ทรงกลด (corona) อัลโตสเตรตัส (altostratus - As) : Altostratus, Altostratus undulatus มีลักษณะเป็นแผ่นหนาบางสม่ำเสมอในชั้นกลางของบรรยากาศ มองดูเรียบเป็นปุยหรือฝอยละเอียดแผ่ออกเป็นพืด เป็นลูกคลื่น ปกคลุมเต็มท้องฟ้า มีสีขาว สีเทาอ่อนหรือน้ำเงินอ่อน และอาจมีบางส่วนที่ บางพอที่แสงอาทิตย์จะส่องผ่านลงมายังพื้นดินได้ อาจมีแสงทรงกลด ==== เมฆระดับต่ำ ==== ก่อตัวที่ความสูงต่ำกว่า 6,500 ฟุต (2,000 เมตร) และ รวมถึงสเตรตัส (stratus) เมฆสเตรตัสที่ลอยตัวอยู่ระดับพื้นดินเรียก หมอก ชนิดของเมฆ: สเตรตัส (stratus - St) มีลักษณะเป็นแผ่นหนา ๆ สม่ำเสมอในชั้นต่ำของบรรยากาศ ใกล้ผิวโลกเหมือนหมอก มีสีเทา มองไม่เห็นดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ ไม่ทำให้เกิดวงแสง (halo) เว้นแต่เมื่อมีอุณหภูมิต่ำมากก็อาจเกิดได้ สเตรโตคิวมูลัส (stratocumulus - Sc) มีสีเทา ลักษณะอ่อนนุ่ม เป็นก้อนกลมเรียงติด ๆ กันทั้งทางแนวตั้ง และทางแนวนอนทำให้มองเห็นเป็นลอนเชื่อมติดต่อกันไป นิมโบสเตรตัส (nimbostratus - Ns) มีลักษณะเป็นแผ่นหนาสีเทาดำ เป็นแนวยาวติดต่อกัน แผ่กว้างออกไป ไม่เป็นรูปร่าง เป็นเมฆที่ทำให้เกิดฝนตก จึงเรียกกันว่า "เมฆฝน" เมฆชนิดนี้จะไม่มีฟ้าแลบฟ้าร้อง เกิดเฉพาะในเขตอบอุ่นเท่านั้น ==== เมฆแนวตั้ง ==== เป็นเมฆที่มีแนวก่อตัวในแนวตั้ง ซึ่งทำให้เมฆมีความสูงจากฐาน คิวมูโลนิมบัส (cumulonimbus - Cb) : Cumulonimbus, Cumulonimbus incus, Cumulonimbus calvus, Cumulonimbus with mammatus ลักษณะเป็นเมฆก้อนใหญ่รูปร่างคล้ายภูเขาใหญ่ มียอดเมฆแผ่ออกเป็นรูปร่างคล้ายทั่ง (anvil) ฐานเมฆต่ำมีสีดำมืด เป็นเมฆหนา มืดทึบ มีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง อาจอยู่กระจัดกระจายหรือรวมกันอยู่ มักมีฝนตกลงมา เรียกเมฆชนิดนี้ว่า "เมฆฟ้าคะนอง" คิวมูลัส (cumulus) ลักษณะเป็นเมฆก้อนหนามียอดมนกลมคล้ายกะหล่ำดอก เห็นขอบนอกได้ชัดเจน ส่วนฐานมีสีค่อนข้างดำ ก่อตัวในทางตั้ง กระจัดกระจายเหมือนสำลี ถ้าเกิดขึ้นเป็นหย่อม ๆ หรือลอยอยู่โดดเดี่ยว แสดงถึงสภาวะอากาศดี แดดจัด ถ้ามีขนาดก้อนเมฆใหญ่ ก็อาจมีฝนตกภายใต้ก้อนเมฆ ลักษณะเป็นฝนเฉพาะแห่งและยังเป็นเมฆที่สามารถทำฝนเทียมได้ == เมฆชั้นมีโซสเฟียร์แถบขั้วโลก == เมฆชั้นมีโซสเฟียร์แถบขั้วโลกจะก่อตัวในระดับความสูงมาก ๆ ที่ประมาณ 80-85 กิโลเมตร นักอุตนิยมวิทยามักเรียกว่า น็อกติลูเซนต์ หรือเมฆเรืองแสงกลางคืน เนื่องจากแสงประกายของมันที่ระยิบระยับก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และหลังพระอาทิตย์ตก เมฆชั้นมีโซสเฟียร์แถบขั้วโลกนั้นจะอยู่สูงที่สุดในบรรยากาศและก่อตัวใกล้ ๆ ขอบชั้นมีโซสเฟียร์ประมาณ 10 เท่าของความสูงเมฆชั้นโทรโพสเฟียร์ == สีของเมฆ == สีของเมฆใช้ในการบอกสภาพอากาศได้ เมฆสีเขียวจาง ๆ นั้นเกิดจากการกระเจิงของแสงอาทิตย์เมื่อตกกระทบน้ำแข็ง เมฆคิวมูโลนิมบัสที่มีสีเขียวนั้นบ่งบอกถึงการก่อตัวของพายุฝน พายุลูกเห็บหรือพายุทอร์นาโด เมฆสีเหลืองไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยครั้ง แต่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วงในช่วงที่เกิดไฟป่าได้ง่าย สีเหลืองนั้นเกิดจากฝุ่นควันในอากาศ เมฆสีแดง สีส้มหรือสีชมพูนั้นโดยปกติเกิดในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก เกิดจากการกระเจิงของแสงในชั้นบรรยากาศไม่ได้เกิดจากเมฆโดยตรง เมฆเพียงเป็นตัวสะท้อนแสงนี้เท่านั้น ในกรณีที่มีพายุฝนขนาดใหญ่ในช่วงเดียวกันจะทำให้เห็นเมฆเป็นสีแดงเข้มเหมือนสีเลือด เมฆเกิดจากการรวมตัวหรือเกาะกลุ่มของไอน้ำในที่สุดก็จะเกิดการควบแน่นและตกลงมาเป็นฝน == การพยากรณ์เมฆ == ในวันที่อากาศแจ่มใส จะเห็นเมฆเป็นสีขาว เนื่องจากเกิดการกระเจิงของแสงในทุกช่วงความยาวเมฆ แต่ในวันที่ฝนตก จะเห็นเมฆเป็นสีดำเพราะเมฆลอยต่ำ ทำให้ความสว่างของเมฆข้างล่างไม่เท่ากับข้างบน == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เมฆ รูปแบบของน้ำ
thaiwikipedia
1,747
ซอสามสาย
ซอสามสาย เป็นเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่ง จำพวกเครื่องสาย มีขนาดใหญ่กว่าซอด้วงหรือซออู้ และมีลักษณะพิเศษ คือมีสามสาย มีคันชักอิสระ กะโหลกซอมีขนาดใหญ่ นับเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสง่างามชิ้นหนึ่งในวงเครื่องสาย ผู้เล่นจะอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าของวง == ประวัติ == ปรากฏหลักฐานจากจดหมายเหตุ ลาลูแบร์ (หน้า 30) ที่บันทึกไว้ว่า ชาวสยามมีเครื่องดุริยางค์เล็กๆ มีสามสายเรียกว่า “ซอ” ….''” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือก่อนนั้น มีซอสามสายและนิยมเล่นกัน และลักษณะรูปร่างของซอสามสายก็คงจะยังไม่สวยงามมากอย่างในปัจจุบันนี้ จนมาถึงยุคต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 สืบเนื่องมาจากที่พระองค์ท่านมีอัจฉริยภาพในทางศิลปะด้านต่างๆ เช่น ทรงแกะสลักบานประตูพระวิหารวัดสุทัศน์เทพวรารามด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง อีกประการหนึ่ง พระองค์ท่านยังโปรดทรงซอสามสายเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้พระองค์ท่านได้ประดิษฐ์คิดสร้างซอสามสายได้ด้วยความประณีต งดงาม และเป็นแบบอย่างมาจนถึงปัจจุบันนี้ == ลักษณะของซอสามสาย == ซอสามสาย แบ่งตามขนาดออกเป็น 2 ประเภท คือ ซอสามสาย เป็นซอสามสายขนาดดั้งเดิม ซอสามสายหลีบ มีขนาดเล็กกว่าซอสามสาย === ส่วนต่าง ๆ ของซอสามสาย === ทวนบน เป็นส่วนบนสุดของคันซอ คว้านด้านในให้เป็นโพรงโดยตลอด ด้านบนสุดมีรูปร่างเป็นทรงเทริด ทวนบนนี้ เจาะรูด้านข้างสำหรับใส่ลูกบิด 3 ลูก ด้านหน้าตรงปลายทวนตอนล่าง เจาะรูสำหรับร้อยสายซอ ที่สอดออกมาจากรัดอก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อกซอ ทวนบนนี้ทำหน้าที่คล้าย ๆ กับท่ออากาศ (Air column) ให้เสียงที่เกิดจากกะโหลกเป็นความถี่ของเสียง แล้วลอดผ่านออกมาทางทวนบนนี้ได้ ทวนล่าง คือส่วนของซอที่ต่อลงมาจากทวนบน ทำเป็นรูปทรงกระบอก และประดิษฐ์ลวดลายสวยงาม เช่นลงยาตะทอง ลงถมปัด ประดับมุก หรืออย่างอื่น เป็นการเพิ่มความวิจิตรงดงาม และเรียกทวนล่างนี้ว่า ทวนเงิน ทวนทอง ทวนมุก ทวนลงยา เป็นต้น ทวนล่างนี้สวมยึดไว้กับทวนบน และเป็นที่สำหรับผูก รัดอก เพื่อบังคับให้สายซอทั้ง 3 เส้นติดอยู่กับทวน นอกจากนั้นทวนล่าง ยังทำหน้าที่เป็นตำแหน่งสำหรับกดนิ้ว ลงบนสายในตำแหน่งต่างๆ พรมบน คือส่วนที่ต่อจากทวนล่างลงมา ส่วนบนกลึงเป็นลูกแก้ว ส่วนตอนล่างทำเป็นรูปปากช้างเพื่อประกบกับกะโหลกซอ พรมล่าง คือส่วนที่ต่อจากกะโหลกซอลงมาข้างล่าง ส่วนที่ประกบกับกะโหลกซอทำเป็นรูปปากช้าง เช่นเดียวกับส่วนล่างของพรมบน ตรงกลางของพรมล่างเจาะรูด้านบนเพื่อใช้สำหรับเป็นที่ร้อยหนวดพราหมณ์ เพื่อคล้องกับสายซอทั้งสามสายและเหนี่ยวรั้งให้ตึง ตรงส่วนปลายสุดของพรมล่างกลึงเป็น เกลียวเจดีย์ และตอนปลายสุดเลี่ยมด้วย ทองคำ หรือ ทองเหลืองเป็นยอดแหลม เพื่อที่จะปักกับพื้นได้ สะดวกยิ่งขึ้น คันซอสามสายทั้ง 4 ท่อนนี้จะมีลักษณะกลวงตลอด ยกเว้นพรมล่างตอนที่เป็นเกลียวเจดีย์เท่านั้นที่เป็นส่วนที่ตัน เพราะต้องการ ความแข็งแรง ในขณะปักสีเวลาบรรเลง และคันซอทั้ง 4 ท่อนนี้ จะสวมไว้กับแกนที่สอดไว้กับ กะโหลกซอ ถ่วงหน้า ถ่วงหน้าของซอสามสาย เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญ ติดอยู่ตรงหน้าซอที่ตำแหน่งมุมบนซ้ายมือของผู้สี เพื่อควบคุมความถี่ของเสียง ทำให้มีเสียงนุ่มนวลไพเราะน่าฟังยิ่งขึ้น ทั้งนี้ตำแหน่งที่ติดอาจจะขยับแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการสะท้อนของเสียงภายในของกะโหลกซอและตำแหน่งการวางหย่องของซอด้วย หย่อง ทำด้วยไม้ไผ่หรือไม้โมก แกะให้เป็นลักษณะคู้ ปลายทั้งสองของหย่องคว้านเป็นเบ้าขนมครกเพื่อทำให้เสียง ที่เกิดขึ้นส่งผ่านไปยังหน้าซอมีความกังวานมากยิ่งขึ้น คันสี (คันชัก) คันสีของซอสามสาย ประกอบด้วยไม้และหางม้า คันสีนั้นเหลาเป็นรูปคันศร ส่วนใหญ่ทำจากไม้ชิงชันเพราะเป็นไม้เนื้อแข็งมีความคงทนและไม่แตกหักง่าย(ราคาไม่แพง) หรือบางครั้งอาจจะใช้ไม้แก้วเพราะเป็นไม้เนื้ออ่อนสีเหลืองนวล(นิยมใช้คู่กับซองาช้างหรือซอไม้แก้ว)เป็นไม้ที่มีน้ำหนักเบากว่าไม้ชิงชันช่วยผ่อนแรงมือที่ถือคันชักได้ == เสียงของซอสามสาย == สายเอก ถ้าปล่อยไม่จับสายจะเป็นเสียง ซอล และใช้ปลายนิ้วแตะที่ข้างสายโดยใฃ้นิ้วชี้ จะเป็นเสียง ลา, ใช้นิ้วกลางแตะที่ข้างสายจะเป็นเสียง ที, ใช้นิ้วนางแตะที่ข้างสายจะเป็นเสียงโด, ใช้นิ้วก้อยแตะที่ข้างสายจะเป็นเสียง เร (เสียงสูง) , ใช้นิ้วก้อยรูดที่สายจะเป็นเสียง มี (เสียงสูง) สายกลาง ถ้าปล่อยไม่จับสายจะเป็นเสียง เร และใช้นิ้วชี้กดลงบนสายจะเป็นเสียง มี, ใช้นิ้วกลางกดลงบนสายจะเป็นเสียง ฟา, ใช้นิ้วนางกดลงบนสายเป็นเสียง ซอล สายทุ้ม ถ้าปล่อยไม่จับสายจะเป็นเสียง ลา และใช้นิ้วชี้กดลงที่สายจะเป็นเสียง ที, ใช้นิ้วกลางกดลงที่สายจะเป็นเสียง โด, ใช้นิ้วนางกดลงที่สายจะเป็นเสียง เร == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เทคนิคการเล่นซอสามสาย เครื่องดนตรีไทย เครื่องสาย
thaiwikipedia
1,748
ซออู้
ซออู้ เป็นซอสองสาย ตัวกะโหลกทำด้วยกะลามะพร้าว โดยตัดปาดกะลาออกเสียด้านหนึ่ง และใช้หนังลูกวัวขึงขึ้นหน้าซอ กว้างประมาณ 13 – 14 ซม เจาะกะโหลกให้ทะลุตรงกลาง เพื่อใส่คันทวนที่ทำด้วยไม้จริง ผ่านกะโหลกลงไป ออกทะลุรูตอนล่างใกล้กะโหลก คันทวนซออู้นี้ ยาวประมาณ 85 ซม ใช้สายซอสองสายผูกปลายทวนใต้กะโหลก แล้วพาดผ่านหน้าซอ ขึ้นไปผูกไว้กับ ลูกบิดสองอัน ลูกบิดซออู้นี้ยาวประมาณ 17 –18 ซม โดยเจาะรูคันทวนด้านบน แล้วสอดลูกบิดให้ทะลุผ่านคันทวนออกมา และใช้เชือกผูกรั้งกับทวนตรงกลางเป็นรัดอก เพื่อให้สายซอตึง และสำหรับเป็นที่กดสายใต้รัดอกเวลาสี ส่วนคันสีของซออู้นั้นทำด้วย ไม้จริงยาวประมาณ 70 ซม ใช้ขนหางม้าประมาณ 160 - 200 เส้น ตรงหน้าซอใช้ผ้าม้วนกลมๆ เพื่อทำหน้าที่เป็นหมอนหนุน สายให้พ้นหน้าซอ ด้านหลังของกะโหลกซอ แกะสลักเป็นรูปลวดลายสวยงาม และเป็นช่องทางให้เสียงออกด้านนี้ด้วย ซออู้มีรูปร่างคล้ายๆกับซอของจีนที่เรียกว่า ฮู – ฮู้ ( Hu-hu ) เหตุที่เรียกว่าซออู้ก็เพราะ เรียกตามเสียงที่ได้ยินนั่นเอง ซอด้วงและซออู้ ได้เข้ามามีบทบาทในวงดนตรีเครื่องสายตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 4 นี่เอง โดยได้ดัดแปลงมาจาก วงกลองแขกเครื่องใหญ่ ซึ่งมีเครื่องดนตรีที่ทำลำนำประกอบด้วย ซอด้วง ซออู้ จะเข้ และ ปี่อ้อ ต่อมาได้เอากลองแขก ปี่อ้อ ออก และเอา ทับกับรำมะนา และขลุ่ยเข้ามาแทน เรียกวงดนตรีชนิดนี้ว่า วงมโหรีเครื่องสาย มีคนเล่นทั้งหมด 6 คน รวมทั้ง ฉิ่งด้วย == อ้างอิง == แนะนำเครื่องดนตรีไทย == แหล่งข้อมูลอื่น == แนะนำการสีซออู้ เครื่องดนตรีไทย เครื่องสาย
thaiwikipedia
1,749
ซอด้วง
ซอด้วงเป็นซอสองสาย มีเสียงแหลม ก้องกังวาน คันทวนยาวประมาณ 72 ซม. คันชักยาวประมาณ 68 ซม. ใช้ขนหางม้าประมาณ 120–150 เส้น กะโหลกของ ซอด้วงนั้น แต่เดิมใช้กระบอกไม้ไผ่มาทำ ปากกระบอกของซอด้วงกว้างประมาณ 7 ซม. ตัวกระบอกยาวประมาณ 13 ซม. กะโหลกของซอด้วงนี้ ในปัจจุบันใช้ไม้จริง หรือ งาช้างทำก็ได้ แต่ที่นิยมว่าเสียงดีนั้น กะโหลกซอด้วงต้องทำด้วยไม้ไม้เนื้อแข็ง ส่วนหน้าซอนิยมใช้หนังงูเหลือมขึง เพราะทำให้เกิดเสียงแก้วเกิดความไพเราะอย่างยิ่ง ลักษณะของซอด้วง มีรูปร่างเหมือนกับซอของจีนที่เรียกว่า "หูฉิน" ทุกอย่าง เหตุที่เรียกว่า ซอด้วง ก็เพราะมีรูปร่างคล้ายเครื่องดักสัตว์ เพราะตัวด้วงดักสัตว์ ทำด้วยกระบอกไม้ไผ่เหมือนกัน จึงได้เรียกชื่อไปตามลักษณะนั้นนั่นเอง สายซอด้วงนั้น มีเพียงสองสาย คือ สายเอก เสียงเปล่าเป็นเสียง "เร" นิ้วชี้กดเป็นเสียง "มี" ไล่ไปจนถึงนิ้วก้อยเป็นเสียง "ลา"สูง สายทุ้ม เสียงเปล่าเป็นเสียง "ซอล"ต่ำ นิ้วชี้กดเป็นเสียง "ลา"ต่ำ ไล่ไปจนถึงนิ้วนางเป็นเสียง "โด" ซอด้วงใช้ในวงเครื่องสาย วงมโหรี โดยทำหน้าที่เป็นผู้นำวงและเป็นหลักในการดำเนินทำนองอ้างอิง == อ้างอิง == แนะนำเครื่องดนตรีไทย == แหล่งข้อมูลอื่น == ส่วนประกอบของซอด้วง แนะนำการฝึกซอด้วง เครื่องดนตรีไทย เครื่องสาย
thaiwikipedia
1,750
ระนาดเอก
ระนาดเอกเป็นเครื่องตีชนิดหนึ่ง ที่วิวัฒนาการมาจากกรับ แต่เดิมคงใช้กรับสองอันตีเป็นจังหวะ ต่อมาก็เกิดความคิดว่า ถ้าเอากรับหลาย ๆ อันวางเรียงราดลงไป แล้วแก้ไขประดิษฐ์ให้มีขนาดลดหลั่นกัน แล้วทำรางรองอุ้มเสียง และใช้เชือกร้อยไม้กรับขนาดต่าง ๆ กันนั้นให้ติดกัน และขึงไว้บนรางใช้ไม้ตีให้เกิดเสียง นำตะกั่วผสมกับขี้ผึ้งมาถ่วงเสียงโดยนำมาติดหัวท้ายของไม้กรับนั้น ให้เกิดเสียงไพเราะยิ่งขึ้น เรียกไม้กรับที่ประดิษฐ์เป็นขนาดต่างๆกันนั้นว่า ลูกระนาด เรียกลูกระนาดที่ผูกติดกันเป็นแผ่นเดียวกันว่า ผืน ระนาดเอกใช้ในงานมงคล เป็นเครื่องดนตรีที่เป็นมงคลในบ้าน บรรเลงในวงปี่พาทย์และวงมโหรี โดยระนาดเอกนี้ทำหน้าที่เป็นผู้นำวงดนตรี ==ลักษณะทั่วไป== ส่วนประกอบของระนาดเอก มี 3 ส่วน ได้แก่ ผืน ราง และไม้ตี ผืน ประกอบด้วยลูกระนาด ซึ่งทำด้วย ไม้ชิงชัน หรือไม้แก่น เช่น ไม้ไผ่บง ไม้มะหาด ไม้พะยูงก็ได้ ผืนระนาดไม้เนื้อแข็ง เสียงจะแกร่ง และดังคมชัดเหมาะสำหรับบรรเลงในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง ส่วนผืนระนาดที่ทำจากไม้ไผ่จะให้เสียงที่นุ่มนวล เหมาะสำหรับวงปี่พาทย์ไม้นวมและวงปี่พาทย์ผสมเครื่องสาย ลูกระนาดมีทั้งหมด 21-22 ลูก โดยลูกที่ 22 มีชื่อเรียกว่า ลูกหลีก หรือ ลูกหลิบ ที่ท้องของลูกระนาดจะคว้านและใช้ขี้ผึ้งผสมกับตะกั่วถ่วงเพื่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างเสียง โดยเสียงจากผืนระนาดขึ้นอยู่กับส่วนประกอบ 3 ส่วนด้วยกันคือ ส่วนแรก ขึ้นอยู่กับขนาดใหญ่-เล็ก ของไม้ที่ใช้ทำ ส่วนที่สอง ขึ้นอยู่กับการคว้านท้องไม้ลูกระนาดว่ามาก-น้อยเพียงใด ส่วนที่สามขึ้นกับปริมาณมาก-น้อยของตะกั่วที่ถ่วงใต้ลูกระนาดแต่ละลูก ลูกระนาดทั้งหมดจะถูกเจาะรูเพื่อร้อยเชือก และแขวนบนรางระนาด ราง เป็นส่วนที่เป็นกล่องเสียงของระนาด ทำให้หน้าที่อุ้มเสียง นิยมทำด้วยไม้สักและทาด้วยน้ำมันขัดเงา ปัจจุบันการใช้ระนาดที่ทำด้วยไม้และทาด้วยน้ำมันลดความนิยมลง นักดนตรีนิยมใช้รางระนาดที่แกะสลักลวดลายไทยและลงรักปิดทองเพื่อความสวยงาม บางโอกาส อาจมีการฝังมุก ประกอบงา ซึ่งราคาก็จะสูงตามไปด้วย จากการรณรงค์พิทักษ์สัตว์ป่าที่มีอยู่ทั่วไป รางประกอบงาจึงไม่ได้รับความนิยม รูปร่างระนาดเอกคล้ายเรือบดแต่โค้งเรียวกว่า ตรงกลางของส่วนโค้งมีเท้าที่ใช้สำหรับตั้ง เป็นเท้าเดียวคล้ายพานแว่นฟ้า ปลายทั้งสองข้างของส่วนโค้งเรียกว่า โขน จะมีขอสำหรับห้อยผืนระนาดข้างละ 2 อัน ไม้ระนาด เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้เกิดเสียงโดยตรง มี 2 ชนิด คือ ไม้แข็ง และไม้นวม ไม้แข็งพันด้วยผ้าอย่างแน่น และชุมด้วยรักจนเกิดความแข็งเวลาตีจะมีเสียงดัง และคมชัด เหมาะกับวงปี่พาทย์ไม้แข็ง วงปี่พาทย์มอญ และวงปี่พาทย์นางหงส์ ส่วนไม้นวม เป็นไม้ตีระนาดที่พันจากผ้า และใช้ด้ายรัดหลาย ๆ รอบเพื่อความสวยงาม มีเสียงนุ่มนวล บรรเลงในวงปี่พาทย์ไม้นวม วงมโหรี วงปี่พาทย์ผสมเครื่องสาย และวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ขนาดของระนาดเอก ลูกต้นมีขนาด 39 ซม กว้างราว 5 ซม และหนา 1.5 ซม มีขนาดลดหลั่นลงไปจนถึงลูกที่ 21 หรือลูกยอดที่มีขนาด 29 ซม เมื่อนำผืนระนาด มาแขวนบนรางแล้ว หากวัดจากโขนหัวรางข้างหนึ่งไปยังโขนหัวรางอีกข้างหนึ่ง จะมีความยาวประมาณ 120 ซม ==การฝึกหัดบรรเลง== ===ท่านั่ง=== ท่านั่งที่นิยมในการบรรเลงระนาดเอกมี 2 ลักษณะ คือ การนั่งขัดสมาธิ และนั่งพับเพียบ โดยท่านั่งแบบขัดสมาธิถือเป็นท่านั่งที่เหมาะสมสำหรับการบรรเลงระนาดเอกมากที่สุด เพราะเป็นท่านั่งที่มีความเป็นธรรมชาติ มีความสะดวก ผ่อนคลาย ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบรรเลงได้ดีที่สุด ===การจับไม้=== ให้ก้านของไม้ระนาดอยู่ในร่องของอุ้งมือ นิ้วทุกนิ้วช่วยควบคุมการจับไม้ มือทั้งสองคว่ำลง ข้อศอกทำมุมฉาก ตำแหน่งแขนซ้ายและขวาขนานกัน ตำแหน่งของนิ้วอาจแตกต่างกันบ้าง แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ ====การจับแบบปากกา==== ตำแหน่งของนิ้วชี้อยู่บนไม้ระนาด การเริ่มฝึกหัดระนาดเอกควรฝึกหัดโดยลักษณะนี้ ซึ่งนอกจากมีความงดงามแล้วยังมีความสะดวกและมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างเสียง ====การจับแบบปากไก่==== ตำแหน่งของนิ้วชี้จะตกไปอยู่ด้านตรงข้ามกับนิ้วหัวแม่มือ ก้านของไม้ระนาดอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางระหว่างปลายนิ้วกับข้อบนของนิ้ว ====การจับแบบปากนกแก้ว==== ตำแหน่งของก้านไม้ระนาดอยู่ในตำแหน่งเส้นข้อนิ้วของข้อบน ==ตำแหน่งของเสียง== เมื่อเปรียบเทียบระนาดเอกกับเครื่องดนตรีไทยชนิดอื่น ระนาดเอกเป็นเครื่องดนตรีที่มีระดับเสียงมากที่สุด โดยมีจำนวน 21-22 ระดับเสียง ความที่มีจำนวนระดับเสียงถึง 22 เสียง ทำให้มีความกว้างของระดับเสียงครอบคลุมถึง 3 ช่วงทบเสียง ส่งผลให้การเดินทำนองของเสียงเป็นไปอย่างไม่ซ้ำซากจำเจอยู่ที่ช่วงระดับเสียงใดเสียงหนึ่ง ==หลักการตีระนาด == ===หลักปฏิบัติทั่วไป=== 1. ตีตรงกลางลูกระนาด 2. การเคลื่อนของมือ โดยที่มือซ้ายและมือขวาต้องอยู่ในแนวขนานกัน ตำแหน่งของหัวไม้อยู่กึ่งกลางลูกระนาด และเอียงตามทิศทางของผืนระนาด 3. การยกไม้ เสียงของระนาดเอกจะดังมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับพลังในการตี ควรยกไม้ระนาดให้สูงจากผืนระนาดประมาณ 6 นิ้วสำหรับตีฉาก และ 2 นิ้วสำหรับตีสิม 4. น้ำหนักมือ ต้องลงน้ำหนักของมือซ้ายและมือขวาให้เท่ากัน ===ลักษณะการตีระนาด=== 1.ตีฉาก 2.ตีสิม 3.ตีครึ่งข้อครึ่งแขน 4.ตีข้อ ===วิธีการตีระนาด=== 1.การเก็บ 2.ตีกรอ 3.ตีสะบัด 4.ตีรัว 5.ตีกวาด 6.ตีขยี้ ==นักระนาดเอกที่มีชื่อเสียง== 1. พระเสนาะดุริยางค์ (ขุนเณร) 2. ครูช้อย สุนทรวาทิน 3. ครูสิน สินธุสาคร 4. ครูสิน ศิลปบรรเลง 5. พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) 6. พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) 7. หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) 8. พระเพลงไพเราะ (โสม สุวาทิต) 9. หลวงชาญเชิงระนาด (เงิน ผลารักษ์) 10. จางวางสวน ชิดท้วม == อ้างอิง == แนะนำเครื่องดนตรีไทย จากเว็บดนตรีไทย.คอม [http://www.culture.go.th/knowledge/story/ranad/direct6.htm] จากเว็บสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เครื่องดนตรีไทย เครื่องเพอร์คัชชัน
thaiwikipedia
1,751
ระนาดทุ้ม
ระนาดทุ้ม เป็นเครื่องดนตรีที่สร้างขึ้นมาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นการสร้างเลียนแบบระนาดเอก ใช้ไม้ชนิดเดียวกันกับระนาดเอก ลูกระนาดทุ้มมีจำนวน 17 ลูก ลูกต้นยาวประมาณ 42 ซม กว้าง 6 ซม และลดหลั่นลงมาจนถึงลูกยอด ที่มีขนาดยาว 34 ซม กว้าง 5 ซม รางระนาดทุ้มนั้นประดิษฐ์ให้มีรูปร่างคล้ายหีบไม้ แต่เว้าตรงกลางให้โค้ง โขนปิดหัวท้ายเพื่อ เป็นที่แขวนผืนระนาดนั้น ถ้าหากวัดจากโขนด้านหนึ่งไปยังโขนอีกด้านหนึ่ง รางระนาดทุ้มจะมีขนาดยาวประมาณ 124 ซม ปาก รางกว้างประมาณ 22 ซม มีเท้าเตี้ย รองไว้ 4 มุมราง หน้าที่ในวงของระนาดทุ้มนั้น ทำหน้าที่เดินทำนองรอง ในทางของตนเองซึ่งจะมีจังหวะโยน ล้อ ขัด ที่ทำให้เกิดความไพเราะสนุกสนานและเติมเต็มช่องว่างของเสียง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของระนาดทุ้ม ส่วนมากในการเดี่ยวเครื่องดนตรีระนาดทุ้ม นิยมเล่นคู่กับฆ้องวงเล็กและฉาบเสียมากกว่า == อ้างอิง == แนะนำเครื่องดนตรีไทย จากเว็บดนตรีไทย.คอม == แหล่งข้อมูลอื่น == รายละเอียดระนาดทุ้ม เครื่องดนตรีไทย เครื่องเพอร์คัชชัน
thaiwikipedia
1,752
ตะโพน
ตะโพน เป็นเครื่องดนตรีที่ขึงด้วยหนัง ตัวตะโพนทำด้วยไม้สักหรือไม้ขนุน เรียกว่า หุ่น ขุดแต่งให้เป็นโพรงภายใน ขึ้นหนัง 2 หน้า ดึงด้วยสายหนังโยงเร่งเสียงเรียกว่า หนังเรียด หน้าใหญ่มีความกว้างประมาณ 25 ซม เรียกว่า หน้าเท่ง ติดหน้าด้วยข้าวสุกบดผสมกับขี้เถ้าเพื่อถ่วงเสียง อีกหน้าหนึ่งเล็กกว่ามีขนาดประมาณ 22 ซม เรียกว่า หน้ามัด ตัวกลองยาวประมาณ 48 ซม รอบ ๆ ขอบหนังที่ขึ้นหน้า ถักด้วยหนังที่ตีเกลียวเป็นเส้นเล็กๆ เรียกว่า ไส้ละมาน แล้วจึงเอาหนังเรียดร้อยในช่วงของไส้ละมานทั้งสองข้าง โยงเรียงไปโดยรอบจนมองไม่เห็นไม้หุ่น มีหนังพันตรงกลางเรียกว่า รัดอก ข้างบนรัดอกทำเป็นหูหิ้วและมีเท้ารองให้ ตัวตะโพนวางนอนอยู่บนเท้า ใช้ฝ่ามือซ้ายขวาตีได้ทั้งสองหน้า ใช้สำหรับประกอบจังหวะผสมอยู่ในวงปี่พาทย์ ทำหน้าที่กำกับจังหวะหน้าทับต่าง ๆ ตะโพนนี้ ถือเป็นบรมครูทางดุริยางคศิลป์ นับว่าพระประโคนธรรพ เป็นครูตะโพน เมื่อจะเริ่มการบรรเลง จะต้องนำดอกไม้ธูปเทียน บูชาตะโพนก่อนทุกครั้ง และถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมา เหตุที่ต้องกราบใหว้บูชาก็เพราะ ตะโพนเป็นเครื่องดนตรีที่บรรเลงร่วมกับ สังข์ บัณเฑาะว์ และ มโหระทึก ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประจำองค์ของเทพเจ้า และสมมุติเทพ ดังนี้คือ สังข์ประจำพระองค์พระนารายณ์ และพระอินทร์ บัณเฑาะว์ ประจำองค์พระอิศวร มโหระทึก เป็นเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบพระอิศริยยศองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นสมมุติเทพส่วนตะโพนนั้นเป็นกลองที่พระคเณศได้เป็นผู้ตีเป็นคนแรก ดังนั้น ตะโพนเมื่อนำมาร่วมบรรเลงในวงปี่พาทย์ จึงถือเป็นบรมครู และทำหน้าที่กำกับหน้าทับต่างๆทั้งหมด == อ้างอิง == แนะนำเครื่องดนตรีไทย จากเว็บดนตรีไทย.คอม กลอง เครื่องดนตรีไทย
thaiwikipedia
1,753
ปี่
ปี่ เป็นเครื่องดนตรีไทย ทำด้วยไม้จริงเช่นไม้ชิงชันหรือไม้พยุง กลึงให้เป็นรูปบานหัวบานท้าย ตรงกลางป่อง เจาะภายในให้กลวงตลอดเลา ทางหัวของปี่เป็นช่องรูเล็กส่วนทาง ปลายของปี่ ปากรูใหญ่ใช้ชันหรือวัสดุอย่างอื่นมาหล่อเสริมขึ้นอีกราวข้างละ ครึ่งซม ส่วนหัวเรียก ทวนบน ส่วนท้ายเรียก ทวนล่าง ตอนกลางของปี่ เจาะรูนิ้วสำหรับเปลี่ยนเสียงลงมาจำนวน 6 รู แต่สามารถเป่าได้เสียงตรง 24 เสียง กับเสียงควงหรือเสียงแทนอีก 8 เสียง รวมเป็น 32 เสียง รูตอนบนเจาะเรียงลงมา 4 รู เว้นระยะห่างเล็กน้อย เจาะรูล่างอีก 2 รู ตรงกลางของเลาปี่ กลึงขวั้นเป็นเกลียวคู่ไว้เป็นจำนวน 14 คู่ เพื่อความสวยงามและกันลื่นอีกด้วย ตรงทวนบนนั้นใส่ลิ้นปี่ที่ทำด้วยใบตาลซ้อนกัน 4 ชั้น ตัดให้กลมแล้วนำไปผูกติดกับท่อลมเล็กๆที่ เรียกว่า กำพวด เรียวยาวประมาณ 5 ซม. กำพวดนี้ทำด้วยทองเหลือง เงิน นาก หรือโลหะอย่างอื่นวิธีผูกเชือกเพื่อ ให้ใบตาลติดกับกำพวดนั้น ใช้วิธีผูกที่เรียกว่า ผูกตะกรุดเบ็ด ส่วนของกำพวดที่จะต้องสอดเข้าไปเลาปี่นั้นเขาใช้ถักหรือเคียน ด้วยเส้นด้าย สอดเข้าไปในเลาปี่ให้พอมิดที่พันด้ายจะทำให้เกิดความแน่นกระชับยิ่งขึ้น ปี่ของไทยจัดได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่ ปี่นอก มีขนาดเล็ก ยาวประมาณ 31 ซม. กว้าง 3.5 ซม. เป็นปี่ที่ใช้กันมาแต่เดิม เสียงของปี่นอกจะมีเสียงที่เล็กแหลม ปี่กลาง มีขนาดกลาง ยาวประมาณ 37 ซม. กว้างประมาณ 4 ซม. สำหรับเล่นประกอบการแสดงหนังใหญ่ มีสำเนียงเสียงอยู่ระหว่าง ปี่นอก กับปี่ใน เสียงของปี่กลางจะ ไม่แหลมหรือว่าต่ำเกินไปแต่จะอยู่ในระดับปานกลาง ปี่ใน มีขนาดใหญ่ มีความยาวประมาณ 41 – 42 ซม. กว้างประมาณ 4.5 ซม. เป็นปี่ที่พระอภัยมณีใช้สำหรับเป่าให้นางผีเสื้อสมุทร (ในวรรณกรรมของสุนทรภู่) ขาดใจตายนั่นเอง โดยเสียงของปีในจะเป็นเสียงที่ต่ำ และเสียงใหญ่ == คำว่าปี่ที่ใช้ในความหมายอื่นๆ == คลาริเน็ต โอโบ บาสซูน แซกโซโฟน == อ้างอิง == แนะนำเครื่องดนตรีไทย จากเว็บดนตรีไทย.คอม == แหล่งข้อมูลอื่น == ปี่เครื่องดนตรีไทยประเภทเป่า เครื่องดนตรีไทย เครื่องลม ปี่
thaiwikipedia
1,754
ขลุ่ย
ขลุ่ย เป็นเครื่องดนตรีโบราณของไทยชนิดหนึ่ง สันนิษฐานว่า อาจจะเกิดขึ้นก่อนหรือในสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ร่วมสมัยกับเครื่องดนตรีประเภท กลอง ฆ้อง กรับ พิณเพียะ แคน ขลุ่ย ปี่ ซอ และกระจับปี่ แต่มีหลักฐานชัดเจนปรากฏ ในกฎมนเฑียรบาลสมัยพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) แห่งกรุงศรีอยุธยาว่าห้ามร้องเพลงหรือเป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีตะโพนในเขตพระราชฐานก่อนที่จะมาเป็นขลุ่ยอย่างที่ปรากฏรูปร่างในปัจจุบัน ขลุ่ยได้ผ่านการวิวัฒนาการมาเป็นระยะเวลายาวนาน มาจากปี่อ้อซึ่งตัวปี่หรือเลาทำจากไม้รวกท่อนเดียวไม่มีข้อ และมีลิ้นซึ่งทำด้วยไม้อ้อลำเล็กสำหรับเป่าให้เกิดเสียง หลังจากนั้นจึงปรับเปลี่ยนรูปร่าง และวิธีเป่าจนกลายมาเป็นขลุ่ยอย่างที่เรียกกันในปัจจุบันนี้ว่าเป็นขลุ่ยเพียงออนั่นเอง == ประเภทของขลุ่ย== คนไทยเป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะ จะเห็นได้ว่างานหัตถกรรมของไทยงดงามไม่แพ้ของชนชาติใดในโลก ประกอบกับความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมจึงทำให้เรามีมรดกทางด้านศิลปวัฒนธรรมอยู่เป็นจำนวนมาก ขลุ่ยก็เช่นเดียวกัน นอกจากขลุ่ยเพียงออ ซึ่งสืบทอดคุณลักษณะและรูปร่างมาแต่โบราณแล้ว ต่อมาบรรพบุรุษของเรายังได้คิดค้น "ขลุ่ยหลีบ" ไว้สำหรับเล่นคู่กับขลุ่ยเพียงออ "ขลุ่ยอู้" ซึ่งคิดค้นขึ้นในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้ประกอบการละเล่นละครดึกดำบรรพ์ นอกจากนั้น ก็ยังมีขลุ่ยที่เรียกชื่ออย่างอื่นอีก เช่น ขลุ่ยกรวด ขลุ่ยเคียงออ ขลุ่ยรองออ ขลุ่ยออร์แกน เพื่อให้เหมาะกับการที่จะไปเล่นผสมกับวงดนตรีประเภทต่างๆ ปัจจุบันขลุ่ยที่ยังมีผู้นิยมเล่นมากที่สุด มี 3 ประเภท คือ ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยหลิบ ขลุ่ยอู้ === ขลุ่ยเพียงออ === เป็นเครื่องดนตรีไทย ประเภทเครื่องเป่าชนิดไม่มีลิ้น ทำจากไม้รวกปล้องยาวๆ ด้านหน้าเจาะรูเรียงกัน สำหรับปิดเปิดเพื่อเปลี่ยนเสียง ตรงที่เป่าไม่มีลิ้นแต่มีดาก ซึ่งทำด้วยไม้อุดเหลาเป็นท่อนกลมๆยาวประมาณ 2 นิ้ว สอดลงไปอุดที่ปากของขลุ่ย แล้วบากด้านหนึ่งของดากเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เราเรียกว่า ปากนกแก้ว เพื่อให้ลมส่วนหนึ่งผ่านเข้าออกทำให้เกิดเสียงขลุ่ยลมอีกส่วนจะวิ่งเข้าไปปลายขลุ่ยประกอบกับนิ้วที่ปิดเปิดบังคับเสียงเกิดเป็นเสียงสูงต่ำตามต้องการใตปากนกแก้วลงมาเจาะ 1 รู เรียกว่า รูนิ้วค้ำ เวลาเป่าต้องใช้หัวแม่มือค้ำปิดเปิดที่รูนี้ บางเลาด้านขวาเจาะเป็นรูเยื่อ ปลายเลาขลุ่ยมีรู 4 รู เจาะตรงกันข้ามแต่เหลื่อมกันเล็กน้อย ใช้สำหรับร้อยเชือกแขวนเก็บหรือคล้องมือจึงเรียกว่า รูร้อยเชือก รวมขลุ่ยเลาหนึ่งมี 14 รูด้วยกัน รูปร่างของขลุ่ยเมือพิจารณาแล้วจะเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่ง จากหลักฐานที่พบขลุ่ยในหีบศพภรรยาเจ้าเมืองไทยที่ริมฝั่งแม่น้ำฮวงโหซึ่งมีหลักฐานจารึกศักราชไว้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี ปัจจุบันขลุ่ยมีราคาสูง เนื่องจากไม้รวกชนิดที่ทำขลุ่ยมีน้อยลงและใช้เวลาทำมากจึงใช้วัตถุอื่นมาเจาะรูซึ่งรวดเร็วกว่า เช่น ไม้เนื้อแข็ง ไม้ไผ่ ไม้ชิงชัน ไม้พยุง บางครั้งอาจทำจากท่อพลาสติกแต่คุณภาพเสียงไม่ดีเท่าขลุ่ยไม้ ขลุ่ยที่มีเสียงไพเราะมากส่วนใหญ่จะเป็นขลุ่ยผิวไม้แห้งสนิทขลุ่ยใช้เป่าในวงเครื่องสายไทย วงมโหรี และในวงปี่พาทย์ไม้นวม วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ การเทียบเสียงขลุ่ยเพียงออกับระดับเสียงดนตรีสากล เสียงโดของขลุ่ยเพียงออ เทียบได้เท่ากับ เสียง ทีแฟล็ต ในระดับเสียงทางสากล ปัจจุบันได้มีการทำขลุ่ยเพียงออที่มีระดับเสียงเท่ากับระดับเสียงสากล เรียกว่าขลุ่ยเพียงออ ออร์แกนบ้าง หรือขลุ่ยกรวดบ้าง แต่ในทางดนตรีสากลจะเรียกเป็นขลุ่ยไทยหมด จะเอาระดับเสียงมาเป็นตัวแยกขนาดเช่น ขลุ่ยคีย์ C, ขลุ่ยคีย์ D, ขลุ่ยคีย์Bb, ขลุ่ยคีย์ G เป็นต้น เป็นขลุ่ยที่มีขนาดปานกลาง ความยาวประมาณ 16 นิ้วระดับเสียงกลางๆ ไม่สูงไม่ต่ำเกินไป เป็นขลุ่ยที่มีผู้นิยมเล่นมากที่สุด นอกจากจะเป่าเพื่อความบันเทิงและความรื่นรมย์เฉพาะตัวแล้ว ขลุ่ยเพียงออยังเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตาม (เช่นเดียวกับระนาดทุ้ม และ ซออู้) ตามประเพณีนิยมในวงเครื่องสาย และ วงมโหรี === ขลุ่ยหลีบ === จัดเป็นขลุ่ยที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาขลุ่ยไทยทั้งหมด มีความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร มีเสียงสูง ใช้ในการบรรเลงในวงมโหรีเครื่องคู่ เครื่องใหญ่ และวงเครื่องสายเครื่องคู่ โดยเป็นเครื่องนำในวงเช่นเดียวกับระนาด หรือซอด้วง นอกจากนี้ยังใช้บรรเลงในวงเครื่องสายปี่ชวา โดยบรรเลงเป็นพวกหลังเช่นเดียวกับซออู้ เป็นขลุ่ยที่มีขนาดเล็กที่สุด ความยาวประมาณ 12 นิ้ว เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องนำ (เช่นเดียวกับระนาดเอก และ ซอด้วง) ในวงมโหรีและวงเครื่องสายเครื่องคู่ และใช้เป็นเครื่อง ตามในวงเครื่องสายปี่ชวาเมื่อปิดนิ้วหมดทุกนิ้ว เป่าแล้วจะได้เสียง "ฟา" สูงกว่าขลุ่ยเพียงออ 4 เสียง === ขลุ่ยอู้ === เป็นขลุ่ยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ความยาวประมาณ 23 นิ้ว มีระดับเสียงต่ำสุดและเป็นขลุ่ยที่มีเสียงต่ำที่สุดคือต่ำกว่าเสียงโดต่ำของขลุ่ยเพียงออ 2-3 เสียง และมีลักษณะพิเศษที่ต่างจากขลุ่ยเพียงออ และขลุ่ยหลีบ คือมีรูที่ทำให้เกิดเสียง 6 รู เมื่อปิดนิ้วทุกนิ้ว เป่าแล้วจะได้เสียง "ซอล" ต่ำกว่าขลุ่ยเพียงออ 3 เสียงนิยมใช้ในวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ เครื่องดนตรีไทย
thaiwikipedia
1,755
จะเข้
จะเข้ (ကျာံ, ; ออกเสียง "จยาม") เป็นเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องดีด มี 3 สาย ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากมอญ และได้ปรับปรุงแก้ไขมาจากกระจับปี่ซึ่งมี 4 สาย นำมาวางดีดกับพื้นเพื่อความสะดวก มีประวัติและมีหลักฐานครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา จะเข้ได้นำเข้าร่วมบรรเลงเป็นเครื่องนำอยู่ในวงมโหรีคู่กับกระจับปี่ในสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีผู้นิยมเล่นจะเข้กันมาก ทำให้กระจับปี่ค่อย ๆ หายไปในปัจจุบัน เนื่องจากหาผู้เล่นเป็นน้อย ตัวจะเข้ทำเป็นสองตอน คือตอนหัวและตอนหาง โดยลักษณะทางตอนหัวเป็นกระพุ้งใหญ่ ทำด้วยไม้แก่นขนุน หนาประมาณ 12 ซม. ยาวประมาณ 52 ซม. และกว้างประมาณ 11.5 ซม. ท่อนหัวและท่อนหางขุดเป็นโพรงตลอด รวมทั้งสิ้นมีความยาวประมาณ 130 – 132 ซม. ปิดใต้ทองด้วยแผ่นไม้ มีเท้ารองตอนหัว 4 เท้า และตอนปลายปางอีก 1 เท้า วัดจากปลายเท้าถึงตอนบนของตัวจะเข้ สูงประมาณ 19 ซม. ทำหลังนูนตรงกลางให้สองข้างลาดลง โยงสายจากตอนหัวไปทางตอนหางเป็น 3 สาย มีลูกบิดประจำสายละ 1 อัน สาย 1 ใช้เส้นลวดทองเหลือง อีก 2 สายใช้เส้นเอ็น มีหย่องรับสายอยู่ตรงปลายหางก่อนจะถึงลูกบิด ระหว่างตัวจะเข้มีแป้นไม้เรียกว่า นม รองรับสายติดไว้บนหลังจะเข้ รวมทั้งสิ้น 11 อัน เพื่อไว้เป็นที่สำหรับนิ้วกดนมแต่ละอันสูง เรียงลำดับขึ้นไป ตั้งแต่ 2 ซม. จนสูง 3.5 ซม. เวลาบรรเลงใช้ดีดด้วยไม้ดีดกลมปลายแหลมทำด้วยงาช้างหรือกระดูกสัตว์ เคียนด้วยเส้นด้ายสำหรับพันติดกับปลายนิ้วชี้ข้างขวาของผู้ดีด และใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วกลางช่วยจับให้มีกำลัง เวลาแกว่งมือส่ายไปมา ให้สัมพันธ์ กับมือข้างซ้ายขณะกดสายด้วย ไม้ดีดควรยาวประมาณ 7-8เซนติเมตร มีสายยาวประมาณ 45 เซนติเมตร จะเข้ส่วนมากทำหน้าที่เป็นเครื่องนำในวงเครื่องสาย วงมโหรี เดินทำนองหลักคล้ายระนาดเอก แต่ไม่เล่นเก็บถี่เท่าระนาดเอก == สายของจะเข้ == สายของจะเข้นั้นจะมีอยู่ 3 สาย ส่วนใหญ่ทำมาจากไหมหรือเอ็น สามารถแบ่งได้ดังนี้ สายที่อยู่ทางด้านนอกสุดของจะเข้ มีชื่อเรียกว่า สายเอก ทำมาจากไหมหรือเอ็น สายเปล่าเป็นเสียงโด ไล่ไปจนถึงนมที่ 11 เป็นเสียงซอลสูง สายที่อยู่ตรงกลาง มีชื่อเรียกว่า สายทุ้ม ทำมาจากไหมหรือเอ็น สายเปล่าเป็นเสียงซอลต่ำ ไล่ไปจนถึงนมที่ 11 เป็นเสียงเรสูง สายที่อยู่ติดกับตัวผู้เล่นจะเข้ มีชื่อเรียกว่า สายลวด เป็นสายที่ทำมาจากลวดทองเหลือง สายเปล่าเป็นเสียงโดต่ำ ไล่ไปจนถึงนมที่ 11 เป็นเสียงซอล == ครูจะเข้ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน == ดนตรีไทยนั้นมีการสืบทอดมา เป็นรุ่นสู่รุ่น และก็เช่นเดียวกับวิชาการด้านอื่นๆ นั่นคือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเครื่องดนตรีชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ จะเรียกว่า "คน" เครื่องดนตรีนั้นๆ เช่น สมชายเป็นคนซอด้วง ก็หมายความว่า นายสมชาย เป็นคนที่มีความถนัด หรือมีความเชี่ยวชาญในการเล่นเครื่องดนตรี ซอด้วงมากกว่าเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ ซึ่งในสมชายอาจจะสามารถเล่นเครื่องดนตรีอื่นๆ ได้ เช่น เล่นซออู้, เล่นจะเข้ เป็นต้น ครูจะเข้ ก็ย่อมหมายถึง ครูที่เป็นคนจะเข้ คือเป็นผู้ที่มีความถนัด มีความรู้ความชำนาญในการเล่นจะเข้โดยเฉพาะ ซึ่งตั้งแต่อดีต อาจกล่าวย้อนไปถึงสมัยรัชกาลที่ 6 คือ "หลวงว่องจะเข้รับ" (โต กมลวาทิน) == อ้างอิง == เครื่องดนตรีไทย เครื่องสาย
thaiwikipedia
1,756
กระจับปี่
กระจับปี่ เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด หรือพิณ 4 สายชนิดหนึ่ง ตัวกะโหลกเป็นรูปกลมรีแบนทั้งหน้าหลัง มีความหนาประมาณ 7 ซม. ด้านหน้ายาวประมาณ 44 ซม. กว้างประมาณ 40 ซม. ทำคันทวนเรียวยาวประมาณ 138 ซม. ตอนปลายคันทวนมีลักษณะ แบน และบานปลายผายโค้งออกไป ถ้าวัดรวมทั้งคันทวนและตัว กะโหลก จะมีความยาวประมาณ 180 ซม. มีลูกบิดสำหรับขึ้นสาย 4 อัน มีนมรับนิ้ว 11 นมเท่ากับจะเข้ ตรงด้านหน้ากะโหลกมีแผ่นไม้บางๆ ทำเป็นหย่องค้ำสายให้ตุงขึ้น เวลาบรรเลงใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ จับไม้ดีด เขี่ยสายให้เกิดเสียง ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีกล่าวไว้ในกฎมณเฑียรบาลว่า “ร้องเพลงเรือ เป่าปี่เป่าขลุ่ย สีซอดีดจะเข้ กระจับปี่ตีโทนทับ โห่ร้องนี่นั่น” ต่อมาก็นำมาใช้เป็นเครื่องดีดประกอบการขับไม้ สำหรับบรรเลงในพระราชพิธี แต่เนื่องจากกระจับปี่มีเสียงเบา และมีน้ำหนักมาก ผู้ดีดกระจับปี่จะต้องนั่งพับเพียบขวาแล้วเอาตัวกระจับปี่ วางบนหน้าขาข้างขวาของตน เพื่อทานน้ำหนัก มือซ้ายถือคันทวนมือ ขวาจับไม้ดีด เป็นที่ลำบากมาก อาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ไม่ค่อยมีผู้นิยมเล่นกระจับปี่ ในปัจจุบันจึงหาผู้เล่นได้ยาก กระจับปี่ สันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจาก ภาษาชวา คำว่า กัจฉปิ ซึ่งคำว่า กัจฉปิ นั้นมีรากฐานของคำศัพท์ ในบาลีสันสกฤต คำว่า กัจฉปะ ที่แปลว่า เต่า เนื่องจากลักษณะของ กระจับปี่นั้น จะมีกะโหลกเป็นรูปกลมรีแบนทั้งหน้าหลัง ซึ่งมองแล้วคล้ายกับกระดองของเต่า ปัจจุบันจัดอยู่ในวง"มโหรีเครื่องใหญ่" == แหล่งข้อมูลอื่น == ประวัติความเป็นมาของกระจับปี่ เครื่องดนตรีไทย เครื่องสาย
thaiwikipedia
1,757
ซึง
ซึง เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด มี 4 สาย แต่แบ่งออกเป็น 2 เส้น เส้นละ 2 สาย มีลักษณะคล้าย กระจับปี่ แต่มีขนาดเล็กกว่า ความยาวทั้งคันทวนและกะโหลกรวมกันประมาณ 81 ซม. กะโหลกมีรูปร่างกลมวัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ 21 ซม. ทั้งกะโหลกและคันทวนใช้ไม้เนื้อแข็งชิ้นเดียวคว้านตอนที่เป็นกะโหลกให้เป็นโพรง ตัดแผ่นไม้ให้กลม แล้วเจาะรูตรงกลางทำเป็นฝาปิดด้านหน้า เพื่ออุ้มเสียงให้กังวาน คันทวนเป็นเหลี่ยมแบนตอนหน้า เพื่อติดตะพานหรือนมรับนิ้ว จำนวน 9 อัน ตอนปลายคันทวนทำเป็นรูปโค้ง และขุดให้เป็นร่อง เจาะรูสอดลูกบิดข้างละ 2 อัน รวมเป็น 4 อันสอดเข้าไปในร่อง สำหรับขึ้นสาย 4 สาย สายของซึงใช้สายลวดขนาดเล็ก 2 สาย และ สายใหญ่ 2 สาย ซึงเป็นเครื่องดีดที่ชาวไทยทางภาคเหนือนิยมนำมาเล่นร่วมกับ ปี่ซอ หรือ ปี่จุม และ สะล้อ แบ่งตามลักษณะได้ 3 ประเภท คือ ซึงเล็ก ซึ่งกลาง และซึงหลวง (ซึงที่มีขนาดใหญ่) แบ่งตามประเภทได้ 2 ชนิด คือ ซึงลูก 3 และซึงลูก 4 (แตกต่างกันที่เสียง ลูก 3 เสียงซอลจะอยู่ด้านล่าง ส่วนซึงลูก 4 เสียงซอลจะอยู่ด้านบน) อธิบายคำว่า สะล้อ ซอ ซึง ที่มักจะพูดกันติดปาก ว่าเป็นเครื่องดนตรีของชาวล้านนา แต่ที่จริงแล้ว มีแค่ ซึง และสะล้อ เท่านั้นที่เป็นเครื่องดนตรีของชาวล้านนา ส่วนคำว่า ซอในที่นี้ หมายถึง การขับซอ ซึ่งเป็นการร้อง การบรรยาย พรรณณาเป็นเรื่องราว ประกอบกับวงปี่จุ่ม เครื่องสาย เครื่องดนตรีไทยภาคเหนือ
thaiwikipedia
1,758
สะล้อ
สะล้อ (27px) เป็นเครื่องดนตรีเครื่องสีพื้นเมืองล้านนา ซึ่งสะล้อมีทั้ง 2 สายและ 3 สาย และเป็นตัวหลักมักนิยมใช้ขึ้นนำเพลงในวงกับเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ เช่น สะล้อ ซอ ซึง สะล้อนั้นมีขนาด 3 ขนาดด้วยกัน ได้แก่ เล็ก กลาง ใหญ่ ซึ่งแต่ละไซต์มีหน้าที่ในการเล่นในวงไม่เหมือนกัน ส่วนมากมักนิยมนิยมเล่นกับ ขลุ่ยล้านนา เพราะ สามารถสื่อเล่าถึงอารมณ์ที่ผู้เล่นต้องสื่อได้ หรือการสีเลียนเสียงมนุษย์ก็สามารถทำได้ สะล้อเป็นเครื่องดนตรีที่ละเอียดอ่อน เพราะชนิดของพื้นผิวที่วางสะล้อเมื่อเล่นก็มีผลต่อเสียงที่ออกมาทั้งหมด ==  ประวัติ == ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่า สะล้อมีต้นกำเนิดมาจากที่ใด และในสมัยก่อนการเล่นสะล้อไม่นิยมผสมวงกันเหมือนในปัจจุบัน หากแต่เล่นเดี่ยวไว้ยามว่าง หรือเมื่อไปจีบเกี้ยวสาวตามบ้านต่างๆตามวิถีของล้านนาสมัยก่อน พัฒนาการของสะล้อตั้งแต่อดีต มีการประดิษฐ์ที่ไม่ปราณีตเท่ากับในปัจจุบัน เพราะเครื่องไม้เครื่องมือยังไม่สะดวก ในสมัยก่อนจึงมีการขึ้นรูปเพื่อให้สามารถผลิตเสียงได้เท่านั้น แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาท ช่าง(ภาษาล้านนาเรียก "สล่า") ผู้ผลิตสะล้อได้นำเทคโนโลยีมาช่วยในการผลิต มีการคำนึงถึงองค์ประกอบเพื่อให้ได้เสียงที่มีคุณภาพ กังวาล เช่น ชนิดของไม้ ขนาดของกะลา หรือแม้แต่อายุของไม้ เป็นต้น == โครงสร้างสะล้อ == โครงสร้างของสะล้อ เรียงจากบนไปล่าง หัวสะล้อ มีการกลึงเป็นรูปทรงต่าง ๆ เช่น ทรงน้ำต้น ทรงดาบสะหรีกัญไชย ฯลฯ ช่วงลูกบิด เป็นช่วงที่ยึดลูกบิดเข้ากับตัวสะล้อ ลูกบิด มีหน้าที่ปรับเสียงของสะล้อ รัดอก ไว้รวบสายสะล้อจากลูกบิดให้ใกล้กัน เพื่อให้อำนวยต่อการเล่น ลำตัว ช่วงที่มีไว้ให้มือซ้ายสำหรับกดลงบนสาย เพื่อเล่นเป็นโน้ตต่างๆ สายสะล้อ เป็นสายชนิดเดียวกับสายกีตาร์ มี 2 สายหรือ 3 สาย กะโหลกสะล้อ(กะโหล้ง) เพื่อเป็นทางออกของเสียง หย่อง(ก๊อบสะล้อ) อยู่ชิดกับตาดสะล้อ(อาศัยแรงฝึดและแรงกดจากสายที่ขึงผ่าน)เป็นตัวพาดสายผ่านเพื่อรับการสั่นสะเทือนของสายให้มีเสียง ตาดสะล้อ เป็นไม้แผ่นบางๆ ที่ปิดกะโหลกซอ เป็นตัวรับการสั่นสะเทือนจากสายที่ผ่านหย่อง ทำให้เกิดเป็นเสียงขึ้น ขาสะล้อ เป็นตัวรับน้ำหนักสะล้อและน้ำหนักมือของผู้เล่น คันชัก(ก๋งสะล้อ) เป็นตัวสีทำให้สายสั่นสะเทือนเพื่อให้เกิดเสียงได้ สายหางม้า(สายก๋ง) สมัยก่อนใช้หางม้า แต่ปัจจุบันใช้นิยมไนลอน สัมผัสกับสายสะล้อเวลาสีเพื่อให้เกิดเสียง ต้องใช้ยางสนถูเพื่อให้เกิดความฝึดก่อน ขนาดของสะล้อ คือ สะล้อใหญ่ สะล้อกลาง สะล้อเล็ก == การทำสะล้อ == การทำสะล้อ นับตั้งแต่การเลือกไม้ไปจนถึงผลิตเป็นสะล้อ มีความสำคัญ เพราะให้คุณภาพเสียงที่แตกต่างกัน นิยมใช้ไม้ประดู่ ไม้ชิงชัน ไม้พญางิ้วดำ เป็นต้น กระโหลกเสียงสะล้อ การเลือกใช้กะลามะพร้าว หากเลือกกะลาที่ยังไม่ค่อยแก่นัก เสียงจะออกทุ้ม ๆ หากเลือกกะลาที่แก่ จะให้คุณภาพเสียงที่แกร่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับช่างผู้ผลิต ส่วนตาดสะล้อเป็นส่วนที่สำคัญมากเพราะการเลือกใช้ไม้ที่มาทำมีผลต่อการสั่นสะเทือนของไม้ส่งผลให้ ความกังวาล ความลึกของเสียง ความดัง ฯลฯ ของตัวเครื่องดนตรี การทำสะล้อ ไม่ปรากฏสูตรตายตัว ส่วนใหญ่ทำขึ้นโดยอาศัยเลียนแบบจากของเก่าและประสบการณ์ทางเสียงและรูปลักษณะ แต่พอจะอนุมานขนาดของสะล้อได้จากที่ปรากฏโดยทั่วไปดังนี้ - สะล้อใหญ่ หน้ากะโหลกกว้าง ประมาณ 5.5 นิ้ว คันสะล้อวัดจากกะโหลกถึงหลักสะล้อยาว ประมาณ 15 นิ้ว - สะล้อกลาง หน้ากะโหลกกว้าง ประมาณ 4.5 นิ้ว คันสะล้อวัดจากกะโหลกถึงหลักสะล้อยาว ประมาณ 13.5 นิ้ว - สะล้อเล็ก หน้ากะโหลกกว้าง ประมาณ 3.5 นิ้ว คันสะล้อวัดจากกะโหลกถึงหลักสะล้อยาว ประมาณ 12 นิ้ว == บทบาทและลีลา == - สะล้อใหญ่ มีลักษณะร่วมทางเสียงระหว่างสะล้อเล็ก และสะล้อกลางแต่เสียงทุ้มต่ำบทบาทคล้ายคนมีอายุมากไม่ค่อยมีลีลาและลูกเล่นมากนัก - สะล้อกลาง บทบาทคล้ายคนวัยกลางคน มีลีลาสอดรับกับสะล้อใหญ่และสะล้อเล็ก - สะล้อเล็ก บทบาทคล้ายคนวัยคะนอง มีเสียงแหลมเล็ก ลีลาโลดโผน สอดรับกับเสียงซึงและขลุ่ย == การเล่น == === การจับและการถือ === การเล่นสะล้อจะใช้มือซ้ายจับที่ ตัวสะล้อโดยใช้ช่วงนิ้วระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้รับไว้ การจับต้องผ่อนคลายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หากจับแบบเกร็งมีผลเสียต่อกล้ามเนื้อได้ในระยะยาวและคุณภาพเสียงที่ผลิตออกมา ดังนั้นการผ่อนคลายนิ้วและบริหารนิ้วก่อเล่นจึงเป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึงด้วย ตั้งสะล้อในด้านหน้าของตัวเองในท่าที่สะดวกที่สุด อาจเอียงซ้ายหรือขวาได้เล็กน้อย แต่ถ้ามากเกิดไปอาจดูไม่เหมาะสม มือขวาจะถือคันชักสะล้อที่ช่วงนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ โดยลักษณะแบบวางลงไป ใช้นิ้วกลางประคองน้ำหนักช่วยนิ้วชี้ นิ้วนางกึ่งดันกึ่งแตะสายสายหางม้า ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อเพราะอาจเกิดอันตรายได้และนิ้วก้อยคีบสายหางม้าไว้ร่วมกับนิ้วนาง หรืออีกวิธีหนึ่งคือเก็บนิ้วก้อยไว้ไม่ใช้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสรีระร่างกายของผู้เล่น การลากคันชักสะล้อผ่านสายสะล้อ โดยนำมาวางไว้ที่ด้านบนกะโหลกเสียงให้สายหางม้าสัมผัสกับสายสะล้อ ควรกดน้ำหนักให้พอดี ไม่กดจนเสียงดังครวด เอี๊ยด ๆ (ยกเว้นในเทคนิคพิเศษ) ตรงปลายคันชักและต้นคันชักสะล้อ เวลาสีพยามยามอย่าให้ขึ้นสูงต่ำจนเกินไป ลากให้พอดีเสมอกัน === การกดนิ้วลงบนสายสะล้อ === ==== ในสะล้อลูก 3 ==== ====== สายทุ้ม ====== สายเปล่าเป็นโน้ต โด กดนิ้วชี้ลงไปเป็นโน้ต เร กดนิ้วกลางลงไปเป็นโน้ต มี กดนิ้วนางลงไปเป็นโน้ต ฟา กดนิ้วก้อยลงไปเป็นโน้ต ซอล ===== สายเอก ===== สายเปล่าเป็นโน้ต ซอล กดนิ้วชี้ลงไปเป็นโน้ต ลา กดนิ้วกลางลงไปเป็นโน้ต ที กดนิ้วนางลงไปเป็นโน้ต โด(สูง) กดนิ้วก้อยลงไปเป็นโน้ต เร(สูง) ==== ในสะล้อลูก 4 ==== ====== สายทุ้ม ====== สายเปล่าเป็นโน้ต ซอล กดนิ้วชี้ลงไปเป็นโน้ต ลา กดนิ้วกลางลงไปเป็นโน้ต ที กดนิ้วนางลงไปเป็นโน้ต โด กดนิ้วก้อยลงไปเป็นโน้ต เร ===== สายเอก ===== สายเปล่าเป็นโน้ต โด(สูง) กดนิ้วชี้ลงไปเป็นโน้ต เร(สูง) กดนิ้วกลางลงไปเป็นโน้ต มี(สูง) กดนิ้วนางลงไปเป็นโน้ต ฟา(สูง) กดนิ้วก้อยลงไปเป็นโน้ต ซอล(สูง) === เทคนิคการเล่น === การพรมนิ้ว คือการใช้นิ้วของโน้ตถัดไปแตะถี่ ๆ ลงบนสาย เพื่อให้เกิดความไพเราะยิ่งขึ้น ในกรณีสายเปล่านิยมใช้นิ้วกลางพรมนิ้ว(โน้ตตัว ที) การพรมนิ้วเป็นเอกลักษณ์ของสะล้อ การรูดสาย โดยใช้นิ้วที่กดในโน้ตนั้น ๆ รูดขึ้น หรือรูดลงไปโน้ตที่สูงหรือต่ำกว่า เพื่อให้ได้เสียงตามต้องการที่ผู้เล่นต้องการ การเกี่ยวสาย โดยใช้นิ้วถัดไปของนิ้วที่กดโน้ตนั้น รูดสายข้างล่างขึ้นมาจนถึงโน้ตปัจจุบันที่กด การขยี้สาย ใช้นิ้วทั้งหมดกดไล่ตั้งแต่นิ้วก้อยขึ้นมาถึงนิ้วชี้ อย่างรวดเร็ว การสะบัดนิ้ว ใช้นิ้วทั้งหมด(หรือนิ้วกลางและนิ้วชี้)กดและไล่นิ้วสะบัดปล่อยทีละนิ้วขี้นมาอย่างรวดเร็วจนเป็นโน้ตสายเปล่าหรือโน้ตที่ต้องการ การขยี้คันชัก โดยใช้หนึ่งคันชักกับโน้ตหนึ่งตัว หลาย ๆ โน้ต ติดกันเร็ว ๆ ใช้ในทำนองเพลงที่เร็ว การส่ายรัวคันชัก คือการเล่นโน้ตหนึ่งตัวโดยสีเข้าออกสั้น ๆ เร็วมากจนเป็นการส่ายรัว เช่น ท่อนแรกของเพลง หมอกมุงเมือง หรือการเล่นสะล้อประยุกต์ดนตรีสากล เป็นต้น การเล่นเปลี่ยนตัวโน้ต คือการเล่นโดยการใช้ตัวโน้ตอื่นแทนตัวโน้ตจริง ที่ผู้เล่นเห็นว่าเข้ากันและกลืนไปกับทำนองของเพลงนั้น ๆ เช่น จากโน้ต ฟซทดํ... เปลี่ยนเป็น ดํซทดํ... มฟซ มฟฟฟ... เปลี่ยนเป็น มฟซ ทซฟฟ... เป็นต้น ขึ้นอยู่กับทักษะและความชำนาญของผู้เล่นที่จะสร้างสรรค์ออกมา การเพิ่มโน้ตในทำนอง นิยมเพิ่มในช่วงของตัวโน้ตที่ยาวผู้เล่นจะเพิ่มโน้ตในช่วงนั้นเพื่อเพิ่มความไพเราะให้บทเพลงมากยิ่งขึ้น เช่น ...ลฟลซ ลซ รม...รดรม ซลซม รด... เป็น ...ลฟลซ ลซ รม ซลดํล ซม รดรม ซลซม รด... ...ซดรม รม ซม รดร...ซดรม รม ซม รดร... เป็น ...ซดรม รม ซม รดร ซลซล ดํรํ...ซดรม รม ซม รดร... เป็นต้น การสีแบบอ่อนหวาน คือการเล่นโดยใช้เทคนิคของคันชัก ในการกดคันชักลากแบบผ่อนเบาหรือหนัก ในทำนองเพลงที่มีความอ่อนหวาน เพื่อเพิ่มอรรถรสในเพลง การสีแบบมีการยกจังหวะและดุดัน ในทำนองเพลงที่เร็ว เพลงประกอบการฟ้อนผีในความเชื่อสังคมล้านนา หรือเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน เช่น เพลงมอญลำปาง เพลงมวย(ท่อนเร็ว) คือการสีแบบลากยาวปกติสลับกับการสีแบบหยุด รวมไปถึงการลากคันชักที่หนัก(กดสายหางม้าแรงขึ้น)ตามจังหวะเพลงและกลอง การเลื่อนตำแหน่งนิ้วมือซ้าย การเลื่อนตำแหน่งไปในที่สูงขึ้น หรือต่ำลง จะใช้ทักษะการเล่นสูงพอสมควร โดยจะใช้แรงจากแขนและมือเป็นตัวนำนิ้วไป เพื่อป้องกันการเพื้ยน เช่น เลื่อนสูงขึ้นโดยใช้นิ้วเดิม ใช้นิ้วใหม่นิ้วถัดไปของนิ้วเดิม การเลื่อนต่ำลงด้วยนิ้วเก่า นิ้วใหม่ อาทิเช่น หากต้องการเลื่อนตำแหน่งลงไปในตำแหน่งใหม่ที่ระดับเสียงสูงขึ้น โดยขณะนั้นใช้นิ้วกลางกดอยู่ ให้ใช้นิ้วชี้เลื่อนลงมา โดยใช้แรงจากมือและแขนเป็นตัวนำ หากต้องการเลือนตำแหน่งขึ้นไปในตำแหน่งใหม่ที่ระดับเสียงต่ำลง โดยขณะนั้นใช้นิ้วชี้กดอยู่ ให้ใช้นิ้วกลางเลื่อนขึ้นไป โดยใช้แรงจากมือและแขนเป็นตัวนำ เป็นต้น ทั้งนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเบื้องต้น ผู้เล่นสามารถคิดสร้างสรรค์ได้เพื่อให้เสียงออกมาตามที่ต้องการ == การตั้งสาย == ในปัจจุบันนิยมเล่นแบบ 2 สาย หลักการตั้งสายจะใช้การนับตัวโน้ตให้ได้หนึ่งห้องเต็มกล่าวคือ หากกดไป 3 ตัวโน้ตบนสายเอกแล้วให้เสียงตัวโน้ตเดียวกัน ก็เป็นลูกสาม หากกดไป 4 ตัวโน้ตบนสายเอกแล้วให้เสียงตัวโน้ตเดียวกัน ก็เป็นลูกสี่ จึงตั้งสายได้ดังนี้ - สะล้อลูก 3 คือ สายเอกเป็น ซอล สายทุ้มเป็น โด(นิยมตั้งกับสะล้อกลาง) - สะล้อลูก 4 คือ สายเอกเป็น โด สายทุ้มเป็น ซอล(นิยมตั้งกับสะล้อใหญ่และเล็ก) เพื่อไม่ให้เกิดการชน หรือการแย่งหน้าที่กันเล่นในวง จึงมีระบบการตั้งสายนี้ขึ้นมา และสามารถปรับเปลี่ยนได้หากผู้เล่นต้องการปรับโดยปรับเสียงสลับกันของสะล้อแต่ละขนาด แต่ไม่สามารถปรับเหมือนกันได้เนื่องจากจะไม่เกิดความไพเราะในการเล่นรวมเป็นวง == สะล้อเมืองน่าน == สะล้ออีกประเภทหนึ่งได้แก่ สะล้อที่นิยมเล่นในจังหวัดน่านและแพร่ สะล้อดังกล่าวมีลักษณะต่าง ออกไปคือ มีลูก (นม) บังคับเสียงใช้บรรเลงร่วมกับซึงเรียกว่า “พิณ” (อ่านว่า “ปิน”) ประกอบการขับซอ น่าน ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะ สะล้อที่กล่าวมาทั้งหมดนิยมบรรเลงร่วมในวงสะล้อ-ซึง หรือเรียกกันว่าวง “สะล้อ ซอ ซึง” ซึ่งมีอยู่ ทั่วไปในภาคเหนือตอนบน == การดูแลรักษาสะล้อ == === ความชื้น === ไม้ไม่สามารถรักษาสภาพของตัวเองได้ดีนักเมื่อถูกความชื้น แม้ว่าไม้จะคงรูปได้ดีขึ้นหลังจากที่ผ่านกระบวนการกลึงและตัด แต่ไม้ยังคงพองหรือบวมเมื่อถูกความชื้น หากมีน้ำซึมออกมาจากผิวไม้ ซึ่งส่งผลเสียต่อคุณภาพเสียงมากและทำให้อายุเครื่องดนตรีน้อยลง และหดตัวเมื่ออากาศแห้ง ไม้ที่ใช้ทำชิ้นส่วนบางอย่างของสะล้อจะคงรูปดีกว่าไม้ที่ใช้ทำส่วนอื่น ๆ นอกจากนั้น ไม้ทุกชนิดจะหดตัวในแนวขวางของลายไม้มากกว่าการหดตัวตามยาว === อุณหภูมิ === การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม้เกิดการขยายตัวและหดตัวเช่นเดียวกับวัตถุอื่นๆ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของอุณหภูมิและ ความชื้นในไม้ ควรจะเก็บสะล้ออย่างดี และอย่าวางไว้ไกล้รังสีความร้อนหรือวางถูกแสงแดดโดยตรง === การขนเคลื่อนย้าย === ถ้าเดินทางโดยรถยนต์ อย่าวางเครื่องสะล้อไว้ในกระโปรงท้ายรถ เพราะได้รับความร้อนมาก ทำให้ได้รับความเสียหาย กระบอกเสียงอาจแตกหัก ควรมีอุปกรณ์ป้องกันเพื่อกันรอยขีดข่วนต่างๆ รวมไปถึงชิ้นส่วนบางอันอาจหักได้ เมื่อต้องส่งเครื่องดนตรีไปทางพัสดุภัณฑ์ ให้คลายลูกบิดออกเล็กน้อยและใช้วัสดุนุ่มๆห่อหุ้มไว้เพื่อป้องกันการกระแทก === การบิดตัวของไม้ === ธรรมชาติของไม้มีความยืดหยุ่นในตัวเอง อาจจะค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างไปตามแรงที่มากระทำ ห้ามเก็บสะล้อโดยมีแรงบีบอัดหรือแรงกดจากภายนอก เพราะอาจทำให้เสียงรูปร่าง ความตรงของเครื่องดนตรีได้ การเก็บควรจะเก็บไว้ในที่ ๆ มีความชื้นน้อย และอุณหภูมิเหมาะสม โดยไม่ควรเก็บไว้ในกล่องหรือวัสดุใดที่ไม่มีอากาศถ่ายเท เพราะจะส่งผลต่อเนื้อไม้ ความสมบูรณ์ได้ในระยะยาว === การทำความสะอาด === การเช็ดทำความสะอาดตัวเครื่องและคันชักสะล้อด้วยผ้านุ่ม สะอาด หลังการเล่นทุกครั้งเป็นสิ่งที่ควรทำให้เป็นกิจวัตร อย่าให้มีคราบยางสนบนตัวสะล้อ ควรเช็ดออก เพราะว่าผงยางสนมีฤทธิ์ไปทำลายเนื้อไม้ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรให้มีคราบยางสนเกาะ === คันชัก === เมื่อเล่นเสร็จแล้วควรเช็ดส่วนที่เป็นไม้ให้สะอาด ระวังอย่าสัมผัสกับส่วนที่เป็นหางม้า เพราะอาจจะไปลบยางสน ทำให้มีความฝึดน้อยลง เมื่อเวลาสีเสียงจะไม่สม่ำเสมอ == อ้างอิง == เครื่องดนตรีไทยภาคเหนือ เครื่องสาย
thaiwikipedia
1,759
ฉิ่ง
ฉิ่ง เป็นเครื่องดนตรีไทยประเภทตี ทำด้วยทองเหลือง หล่อหนา ปากผายกลม 1 ชุด มี 2 ฝา ฉิ่งมี 2 ชนิดคือ ฉิ่งสำหรับวงปี่พาทย์ และ ฉิ่งที่ใช้สำหรับวงเครื่องสายและวงมโหรี ฉิ่งสำหรับวงปี่พาทย์มีขนาดที่วัดผ่านศูนย์กลาง จากขอบข้างหนึ่งไปสุดขอบอีกข้างหนึ่ง กว้างประมาณ 6 – 6.5 ซม เจาะรูตรงกลางสำหรับร้อยเชือก เพื่อให้จับสะดวกขณะตี ส่วนฉิ่งสำหรับวงเครื่องสายและวงมโหรีนั้น มีขนาดเล็กกว่า วัดผ่านศูนย์กลางได้ขนาดประมาณ 5.5 ซม เนื่องจากการตีฉิ่ง ต้องเอาขอบของฝาข้างหนึ่งกระทบกับอีกฝากหนึ่ง แล้วยกขึ้น ก็จะมีเสียงดังกังวานยาวดัง ฉิ่ง แต่ถ้าเอาทั้ง 2 ฝานั้นกระทบและประกบกันไว้ จะได้ยินเสียงดังสั้นๆดัง ฉับ ดังนั้นการเรียกชื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า ฉิ่ง ก็เพราะเรียกตามเสียงที่เกิดขึ้นนั่นเอง เครื่องดนตรีไทย เครื่องเพอร์คัชชัน
thaiwikipedia
1,760
ฉาบ
ฉาบ (อังกฤษ: cymbals) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเพอร์คัชชัน มีลักษณะเป็นแผ่นโลหะบาง ๆ รูปร่างคล้ายจาน โดยส่วนมากจะเป็นเครื่องดนตรีไม่มีระดับเสียง == ฉาบในดนตรีสากล == เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ในดนตรีหลายชนิด เช่นวงออร์เคสตราสมัยใหม่ วงมาร์ช วงคอนเสิร์ต ดนตรีทหาร รวมถึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลองชุดในปัจจุบันด้วย ในวงโยธวาทิต สามารถแบ่งฉาบที่ใช้ออกได้เป็นสองชนิด คือ ฉาบคู่ และฉาบแขวนหรือฉาบรัว ฉาบคู่เป็นฉาบสองใบ แต่ละใบจะมีสายเป็นวงสำหรับถือ การเล่นใช้มือแต่ละข้างถือฉาบแล้วนำเข้ามากระทบกัน ส่วนฉาบแขวน เป็นฉาบใบเดียวแขวนกับขาตั้ง นิยมตีด้วยไม้แบบหัวมัลเล็ตหุ้ม ในกลองชุดก็ใช้ฉาบแบบนี้เช่นเดียวกัน == ฉาบในดนตรีไทย == ฉาบเป็นเครื่องดนตรีประเภทตี ทำด้วยโลหะคล้ายฉิ่ง แต่หล่อให้บางกว่า ฉาบมี 2 ชนิดคือฉาบเล็ก และ ฉาบใหญ่ ฉาบเล็กมีขนาด ที่วัดผ่านศูนย์กลางประมาณ 12 –14 ซม ส่วนฉาบใหญ่มีขนาดที่วัดผ่าน ศูนย์กลางประมาณ 24 –26 ซม เวลาบรรเลงใช้ 2 ฝามาตีกระทบกันให้เกิดเสียงตามจังหวะ เมื่อฉาบทั้งสองข้างกระทบกันขณะตีประกบกันก็ จะเกิดเสียง ฉาบ แต่ถ้าตีแล้วเปิดเสียงก็จะได้ยินเป็น แฉ่ง แฉ่ง แฉ่ง เป็นต้น เครื่องดนตรีไทย เครื่องเพอร์คัชชัน เครื่องดนตรีออร์เคสตรา
thaiwikipedia
1,761
กรับ
กรับ เป็นเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่ง ซึ่งกรับนั้นมีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ กรับคู่ กรับพวง และกรับเสภา == ประเภทของกรับ == กรับคู่ กรับคู่ ทำด้วยไม้ไผ่ซีก 2 อันเหลาให้เรียบและเกลี้ยง  หนาตามขนาดของเนื้อไม้  หัวและท้ายกว่าใหญ่ลดหลั่นกันเล็กน้อย  ตีด้วยมือทั้งสองข้าง  โดยจับข้างละอัน ให้ด้านที่เป็นผิวไม้กระทบกัน ตีลงบริเวณใกล้กับตอนหัว   มีเสียงดัง กรับ กรับ  โดยมากจะใช้ตีกำกับจังหวะในวง ปี่พาทย์ชาตรี ประกอบการแสดงละครชาตรี โดยเฉพาะ   ในเพลงร่ายต่างๆ   ในวงกลางยาวก็นิยมใช้กรับคู่ไปตีกำกับจังหวะหนัก ที่เรียกว่ากรับคู่คงเป็นเพราะมีเป็นคู่ 2 อัน บางทีก็เรียกว่า ” กรับไม้ “ กรับพวง เป็นกรับชนิดหนึ่งตอนกลางทำด้วยไม้บางๆหรือแผ่นทองเหลือง หรืองาหลายๆอันและทำไม้แก่น 2 อันเจาะรูตอนหัวร้อยเชือกประกบไว้ 2 ข้างเหมือนด้ามพัด เวลาตีใช้มือหนึ่งถือตรงหัวทางเชือกร้อย แล้วฟาดลงไปบนอีกฝ่ามือหนึ่ง เกิดเป็นเสียงกรับขึ้นหลายเสียง จึงเรียกว่ากรับพวงใช้เป็นอานัตสัญญาณ เช่นในการเสด็จออกในพระราชพิธีของพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าพนักงานจะรัวกรับ และใช้กรับพวงตีเป็นจังหวะ ในการขับร้อง เพลงเรือ ดอกสร้อยและใช้บรรเลงขับร้องในการแสดง นาฏกรรมด้วย กรับเสภา ทำด้วยไม้แก่น เช่นไม้ชิงชัน ยาวประมาณ 20 ซม หนาประมาณ 5 ซม เหลาเป็นรูป 4 เหลี่ยมแต่ลบเหลี่ยม ออกเพื่อมิให้บาดมือและให้สามารถกลิ้งตัวของมันเองกลอก กระทบกันได้โดยสะดวก ใช้บรรเลงประกอบในการขับเสภา เวลาบรรเลงผู้ขับเสภาจะใช้กรับเสภา 2 คู่ รวม 4 อัน ถือเรียงกันไว้บนฝ่ามือของตนข้างละคู่ กล่าวขับเสภาไปพลาง มือทั้ง 2 ข้างก็ขยับกรับแต่ละข้างให้กลอกกระทบกันเข้าจังหวะ กับเสียงขับเสภา จึงเรียกกรับชนิดนี้ว่า กรับเสภา == อ้างอิง == แนะนำเครื่องดนตรีไทย จากเว็บดนตรีไทย.คอม เครื่องดนตรีไทย เครื่องเพอร์คัชชัน
thaiwikipedia
1,762
หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
รองเสวกเอก หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) (6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 – 8 มีนาคม พ.ศ. 2497) เป็นนักดนตรีไทยผู้มีชื่อเสียงในด้านการเล่นระนาดเอกและประพันธ์เพลงไทยเดิมประมาณ 300 เพลง == ชีวิตส่วนบุคคล == หลวงประดิษฐไพเราะ นามเดิม ศร เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ตำบลดาวดึงส์ อำเภออัมพวา สมุทรสงคราม เป็นบุตรของ นายสิน นางยิ้ม ศิลปบรรเลง บิดาของท่านคือครูสินเป็นเจ้าของวงปี่พาทย์ และเป็นศิษย์ของพระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร) หลวงประดิษฐไพเราะถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 รวมอายุ 73 ปี === ครอบครัว === รองเสวกเอก หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) สมรสครั้งแรกกับนางโชติ ประดิษฐ์ไพเราะ (สกุลเดิม: หุราพันธ์) ธิดาของนายพันโท พระประมวญประมาณพล มีบุตรธิดาด้วยกัน 7 คน ต่อมาเมื่อนางโชติถึงแก่กรรมแล้วจึงได้สมรสครั้งที่ 2 กับนางฟู ศิลปบรรเลง (สกุลเดิม: หุราพันธ์) ซึ่งเป็นน้องสาวของนางโชติ มีบุตรธิดาด้วยกัน 5 คน รวมจำนวนบุตรธิดาทั้งหมด 12 คน ซึ่งได้แก่ เด็กหญิงสร้อยไข่มุกด์ ศิลปบรรเลง - ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก เด็กหญิงศุกร์ดารา ศิลปบรรเลง - ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก นางชิ้น ไชยพรรค (คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง) นางมหาเทพกษัตรสมุห (บรรเลง สาคริก) เด็กชายศิลปสราวุธ ศิลปบรรเลง - ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก นายประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง นางภัลลิกา ศิลปบรรเลง นางชัชวาลย์ จันทร์เรือง เด็กชายแดง ศิลปบรรเลง - ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก นายขวัญชัย ศิลปบรรเลง นาวาเอกสมชัย ศิลปบรรเลง นายสนั่น ศิลปบรรเลง == ทักษะทางด้านดนตรี == ศร สามารถตีฆ้องวงใหญ่ได้เองตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เริ่มเรียนปี่พาทย์เมื่ออายุ 11 ปี ตีระนาดได้รวดเร็ว มาตั้งแต่เด็ก โดยมีบิดาเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาปี่พาทย์ให้จนกระทั่งมีความสามารถในการประชันวงถึงขั้นมีชื่อเสียงไปทั่วลุ่มแม่น้ำแม่กลอง จากการได้ออกแสดงฝีมือนี้เองทำให้ชื่อเสียงของนายศร เป็นที่เลื่องลือในหมู่นักดนตรีมากขึ้น โดยเฉพาะในงานใหญ่ครั้งแรก คือ "งานโกนจุกเจ้าจอมเอิบ" และ เจ้าจอมอาบ ธิดาเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ จังหวัดเพชรบุรี ในปี พ.ศ. 2443 ขณะเมื่ออายุ 19 ปี ท่านได้แสดงฝีมือเดี่ยวระนาดเอกถวายสมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นที่ต้องพระทัยมาก จึงทรงรับตัวเข้ามาไว้ที่วังบูรพาภิรมย์ ทำหน้าที่คนระนาดเอกประจำ ต่อมาวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นายศร ศิลปบรรเลง ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงประดิษฐไพเราะ มีราชการในกรมมหรสพ ถือศักดินา 400 เข้ารับพระราชทานสัญญาบัตรเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ณ พระที่นั่งบรมพิมาน แล้วได้รับพระราชทานยศเป็น หุ้มแพร ในวันที่ 13 กรกฎาคม ศกเดียวกัน ทั้งนี้ท่านไม่เคยรับราชการอยู่ในกรมกองใดมาก่อน แต่เพราะฝีมือและความสามารถของท่านเป็นที่ต้องพระหฤทัย ในปี พ.ศ. 2469 ท่านได้เข้ารับราชการในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง กระทรวงวัง ท่านได้มีส่วนถวายการสอนดนตรีให้กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี รวมทั้งมีส่วนช่วยงานพระราชนิพนธ์เพลงสามเพลง คือ เพลงราตรีประดับดาวเถา เพลงเขมรละออองค์เถา และ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง สามชั้น == ยศและบรรดาศักดิ์ == 27 มิถุนายน 2468 – หลวงประดิษฐ์ไพเราะ 11 กรกฎาคม 2468 – เข้ารับพระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ 13 กรกฎาคม 2468 – หุ้มแพร == ในสื่อ == ชีวประวัติของท่านเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องโหมโรง ออกฉายในปีพ.ศ. 2547 และได้รับการดัดแปลงซ้ำเป็นละครโทรทัศน์ ออกฉายทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เมื่อ พ.ศ. 2555 == ผลงาน == หลวงประดิษฐไพเราะ ท่านได้แต่งเพลงไว้มากกว่าร้อยเพลง ดังนี้: เพลงโหมโรง : โหมโรงกระแตไต่ไม้ โหมโรงปฐมดุสิต โหมโรงศรทอง โหมโรงประชุมเทวราช โหมโรงบางขุนนท์ โหมโรงนางเยื้อง โหมโรงม้าสะบัดกีบ โหมโรงบูเซ็นซ๊อค ฯลฯ เพลงเถา : กระต่ายชมเดือนเถา ขอมทองเถา เขมรเถา เขมรปากท่อเถา เขมรราชบุรีเถา แขกขาวเถา แขกสาหร่ายเถา แขกโอดเถา จีนลั่นถันเถา ชมแสงจันทร์เถา ครวญหาเถา เต่าเห่เถา นกเขาขแมร์เถา พราหมณ์ดีดน้ำเต้าเถา มุล่งเถา แมลงภู่ทองเถา ยวนเคล้าเถา ช้างกินใบไผ่เถา ระหกระเหินเถา ระส่ำระสายเถา ไส้พระจันทร์เถา ลาวเสี่ยงเทียนเถา แสนคำนึงเถา สาวเวียงเหนือเถา สาริกาเขมรเถา โอ้ลาวเถา ครุ่นคิดเถา กำสรวลสุรางค์เถา แขกไทรเถา สุรินทราหูเถา เขมรภูมิประสาทเถา แขไขดวงเถา พระอาทิตย์ชิงดวงเถา กราวรำเถา ฯลฯ == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == หนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ บนฐานข้อมูล ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร บรรดาศักดิ์ชั้นหลวง นักดนตรีไทย ผู้ได้รับเหรียญ ร.ด.ม.(ศ)‎ บุคคลจากอำเภออัมพวา
thaiwikipedia
1,763
พระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร)
พระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางค์กูร) หรือ ครูมีแขก เกิดตอนปลายรัชกาลที่ 1 แห่งพระราชวงศ์จักรี ท่านเป็นครูดนตรีมาตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาล พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 นั้น ครูมีแขกได้เป็นครูปี่พาทย์ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงประดิษฐไพเราะ" เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2396 ตำแหน่งปลัดจางวางมหาดเล็กว่าราชการกรมปี่พาทย์ ฝ่ายพระบวรราชวัง ในปีเดียวกันนั้นเองท่านได้แต่งเพลงเชิดจีน แล้วนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นที่สมพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งจึงโปรดให้เลื่อนบรรดาศักดิ์จากหลวงเป็นพระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางค์กูร) ได้รับสมญาว่าเป็นเจ้าแห่งเพลงทยอยเพราะผลงานเพลงลูกล้อลูกขัด เช่น ทยอยนอก ทยอยเขมร ล้วนเป็นผลงานของท่านทั้งนั้น ==ผลงาน== ผลงานของพระประดิษฐไพเราะ (ครูมีแขก) เท่าที่รวบรวมและปรากฏไว้ มีดังนี้; โหมโรงขวัญเมือง การเวกเล็กสามชั้น กำสรวลสุรางค์ สามชั้น แขกบรเทศ สามชั้น แขกมอญ สามชั้น แขกมอญบางช้าง สามชั้น ทะแยสามชั้น สารถี สามชั้น พญาโศก สามชั้น พระอาทิตย์ชิงดวง สองชั้น จีนขิมใหญ่ สองชั้น [http://library.car.chula.ac.th/search?/Y{u0E27}{u0E23}{u0E32}{u0E20}{u0E23}{u0E13}{u0E4C}+{u0E40}{u0E0A}{u0E34}{u0E14}{u0E0A}{u0E39}&SORT=D/Y{u0E27}{u0E23}{u0E32}{u0E20}{u0E23}{u0E13}{u0E4C}+{u0E40}{u0E0A}{u0E34}{u0E14}{u0E0A}{u0E39}&SORT=D&search={u0E27}{u0E23}{u0E32}{u0E20}{u0E23}{u0E13}{u0E4C}+{u0E40}{u0E0A}{u0E34}{u0E14}{u0E0A}{u0E39}&SUBKEY=%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C+%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B9/1%2C4%2C4%2CB/frameset&FF=Y{u0E27}{u0E23}{u0E32}{u0E20}{u0E23}{u0E13}{u0E4C}+{u0E40}{u0E0A}{u0E34}{u0E14}{u0E0A}{u0E39}&SORT=D&1%2C1%2C] เชิดจีน ทยอยนอก [http://library.car.chula.ac.th/search?/Y{u0E27}{u0E23}{u0E32}{u0E20}{u0E23}{u0E13}{u0E4C}+{u0E40}{u0E0A}{u0E34}{u0E14}{u0E0A}{u0E39}&SORT=D/Y{u0E27}{u0E23}{u0E32}{u0E20}{u0E23}{u0E13}{u0E4C}+{u0E40}{u0E0A}{u0E34}{u0E14}{u0E0A}{u0E39}&SORT=D&search={u0E27}] ทยอยเดี่ยว ทยอยเขมร เทพรัญจวน หกบท สามชั้น อาเฮีย สามชั้น ท่านถึงแก่กรรม ประมาณรัชกาลที่ 5 ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๗ - ๒๔๒๑ ไม่ทราบวันที่ == อ้างอิง == พระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร)จากดนตรีไทย.คอม ประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร) ประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร)
thaiwikipedia
1,764
พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์)
พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เป็นบุตรคนโตของขุนกนกเรขา (ทองดี) กับนางนิ่ม เกิดเมื่อวันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2403 ณ บ้านเลขที่ 81 ตรอกไข่ ถนนบำรุงเมือง ตำบลหลังวัดเทพธิดา กรุงเทพมหานคร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก 4 คน คือ ชาย ชื่อ เปลี่ยน ชาย ชื่อ แย้ม ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระพิณบรรเลงราช หญิง ชื่อ สุ่น หญิง ชื่อ นวล ต่อมารับราชการ ตั้งแต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทูลขอพระราชทานบรรดาศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้นายแปลกเป็นที่ “ขุนประสานดุริยศัพท์" นับจากนั้นก็ได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์มาเป็นลำดับ จนเป็นพระประสานดุริยศัพท์ สังกัดกรมมหาดเล็กแลกรมขึ้น และท้ายที่สุดได้เป็นที่ “พระยาประสานดุริยศัพท์” เจ้ากรมปี่พาทย์หลวงในสมัยรัชกาลที่ 6 ในวัยเยาว์ท่านได้เรียนหนังสือที่บ้านตนเองจนกระทั่งโตเป็นหนุ่มตามกระแสข่าวกล่าวว่าท่านได้เรียนดนตรีไทยกับ "ครูถึก ดุริยางกูร" บุตรชายของพระประดิษฐไพเราะหรือครูมีแขก ต่อมาท่านได้เรียนปี่ชวากับครูชื่อ “หนูดำ” ซึ่งต่อมาได้สละการเป็นครูโดยถือศีลในถ้ำภูเขาทอง ลูกศิษย์เอกของครูหนูดำคือ ครูแปลกและนายทอง ส่วนวิชาดนตรีปี่พาทย์อย่างอื่น ได้ศึกษาอย่างจริงจังกับครูช้อย สุนทรวาทิน (บิดาของพระยาเสนาะดุริยางค์) ครั้งแรกนายแปลกรับราชการเมื่ออายุ 14 ปีเศษในตำแหน่งหมื่นทรงนรินทร์ ในกระทรวงนครบาล ต่อมาจึงลาออกจากงานที่กระทรวงนครบาล ในปี พ.ศ. 2419 ท่านมีอายุ 17 ปีจึงสมรสกับ นางสาว พยอม คนราชบุรี มีบุตรทั้งหมด 11 คน ถึงแก่กรรมแต่เล็ก 6 คน จึงเหลือบุตรเพียง 5 คน คือ หญิง ชื่อ มณี ประสานศัพท์ หญิง ชื่อ เสงี่ยม ประสานศัพท์ หญิง ชื่อ ประยูร ประสานศัพท์ ชาย ชื่อ ปลั่ง ประสานศัพท์ ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "ขุนบรรจงทุ้มเลิศ" หญิง ชื่อ ทองอยู่ ประสานศัพท์ ==การศึกษาวิชาดนตรี== อาจารย์ มนตรี ตราโมทลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิด กล่าวว่า ท่านมิได้เล่าว่าเริ่มเรียนดนตรีไทยมาจากที่ใด แต่ในการเป่าปี่ท่านบอกเรียนมาจากครูช้อย สุนทรวาทิน ครั้งหนึ่งเมื่อคุยกันถึงพระประดิษฐไพเราะท่านเล่าว่าครูช้อยเคยพาท่านไปหาครูมีแขกและท่านให้เป่าปี่ให้ครูมีแขกฟังสองเพลงซึ่งจำไม่ได้ว่าเพลงอะไร ครูมีแขกฟังแล้วบอกว่า เป่าดีใช้ได้ซึ่งแสดงว่าครูมีแขกเป็นคนผู้น้อย ต่อมาท่านก็สนใจในเครื่องสายจึงได้เป็นลูกศิษย์ครูถึก ดุริยางกูรส่วนปี่พาทย์นั้นเรียนกับใครไม่ปรากฏแต่ครูคนสุดท้ายคือ ครูช้อย สุนทรวาทิน ซึ่งครูเลื่องลือในทางระนาดและทางฆ้องมีใจรักในพระยาประสานดุริยศัพท์ดังลูกมีวิชาเท่าไรก็ถ่ายทอดให้หมดและความสามารถนี้เองทำให้ครูมีแขกซึ่งในขณะนั้นอายุ 80 ปีเศษ ราวรัชกาลที่ 5 ปรารภว่าทำอย่างไรจึงจะได้ยินนายแปลกเป่าปี่ ครั้นท่านเจ้าคุณได้ยินดังนั้นก็รีบนำปี่ไปเป่าเพลงทยอยเดี่ยวให้ครูมีแขกฟังทันทีครูมีแขกกล่าวว่า เก่ง ไม่มีใครสู้ แล้วสอนเพลงทยอยเดี่ยวให้อีกนิ้วหนึ่ง ท่านเจ้าคุณประสานเป็นผู้เสาะหาครูดีเสมอ ครูมนตรี ตราโมท กล่าวว่าส่วนเรื่องในการเป่าปี่ชวานั้นท่านเรียนกับครูช้อย ต่อมาต้องการเรียนเพลงเรื่องชมสมุทรอันเป็นเพลงเรื่องปี่ชวาในวงเครื่องสายปี่ชวาเลยได้เรียนกับครูหนูดำ ครูหนูดำผู้นี้ชอบย้ายที่อยู่ไปเรื่อยเห็นจะหนีผู้รบกวนเนืองจากเป็นผู้มีฝีมือทางดนตรีมากท่านเล่าว่าเมื่อจะเรียนเพลงเรื่องชมสมุทรต้องไปขอเรียนในถ้ำภูเขาทองต้องพยายามเข้าไปเรียนวันกว่าจะต่อจบ ==ยอดฝีมือดนตรีไทยไปอังกฤษ== ความรู้ความสามารถของพระยาประสานดุริยศัพท์นั้น เป็นที่กล่าวขวัญเลื่องลือว่า ท่านเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยฝีมือ ความรู้ ปฏิภาณ ไหวพริบ ท่านเป็นครู และเป็นศิลปินที่หาได้ยากยิ่งโดยเฉพาะขลุ่ย ปี่ ระนาดจนเมื่อปี พ.ศ. 2428 ท่านได้รับเลือกให้ไปร่วมงานมหกรรรมสินค้าและดนตรีนานาชาติ กรุงลอนดอนที่ประเทศอังกฤษครั้งนั้นประเทศไทยได้ส่งนักดนตรีไป 19 คนโดยครั้งนั้นนายแปลกยังอายุ 25 ปี อาจารย์มนตรี ตราโมท เล่าว่า รัฐบาลอังกฤษได้จัดงานมหกรรมสินค้าและดนตรีนานาชาติจึงได้เชิญประเทศสยามให้ส่งดนตรีไปแสดงในครั้งนั้นได้ส่งนักดนตรีไทยไปส่วนใหญ่เป็นดนตรีของวังบูรพาภิรมย์แทบทั้งหมดซึ่งในการแสดงครั้งนั้นนำซอสามสายไปด้วยและเป็นเคราะห์นี้ที่มีมือดีได้บันทึกเรื่องราวคือนายคร้ามเป็นคนซอสามสายโดยนักดนตรีทั้ง 19 คนคือ จางวางทองดี นายตาด นายยิ้ม นายเปีย นายนวล นายเนตร นายต่อง นายฉ่าง นายคร้าม นายชุ่ม นายสิน นายสาย นายแปลก นายเหม นายเปลี่ยน นายอ๋อย นายเผื่อน นายปลั่ง นายสังจีน แต่เมื่อถึงอังกฤษมีคนเสียชีวิตคนหนึ่งคือนายสังจีนบรรเลงครั้งแรกเมื่อ 8 มิถุนายน 2428 เป็นเวลาสามเดือนซึ่งผลของการบรรเลงขลุ่ยของนายแปลกเป็นที่พอพระราชหฤทัยของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเป็นอย่างยิ่งถึง กับรับสั่งขอฟังเพลงขลุ่ยเป็นการส่วนพระองค์ใน"พระราชวังบัคกิ้งแฮม"อีกครั้ง การบรรเลงครั้งหลังนี้สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงลุกจากที่ประทับและใช้พระหัตถ์ลูบคอพระยาประสานฯ พร้อมทั้งรับสั่งถามว่า เวลาเป่านั้นหายใจบ้างหรือไม่ เพราะเสียงขลุ่ยดังกังวานอยู่ตลอดเวลา == ผลงาน == พระยาประสานดุริยศัพท์ได้แต่งเพลงไว้ดังนี้; เพลงเชิดจีน 3 ชั้น พม่าห้าท่อน สามชั้น เขมรราชบุรี สามชั้น ช้อนแท่น สามชั้น บรรทมไพร สามชั้น ลาวคำหอม ลาวดำเนินทราย เขมรทรงดำเนิน (เขมรกล่อมพระบรรทม) เขมรปากท่อ เขมรใหญ่ ดอกไม้ไทร ถอนสมอ ทองย่อน เทพรัญจวน นารายณ์แปลงรูป แมลงภู่ทอง สามไม้ใน อาถรรพ์ คุณลุงคุณป้า พราหมณ์เข้าโบสถ์ ธรณีร้องไห้ มอญร้องไห้ แขกเห่ อนงค์สุดา วิเวกเวหา แขกเชิญเจ้า ย่องหงิด 3 ชั้น แขกสาหร่าย สองชั้น == ลูกศิษย์ == ความสามารถทางดนตรีของท่านนั้น ทำให้ท่านมีลูกศิษย์ที่มีความสามารถเป็นทวีคูณขึ้นไป และศิษย์ของท่านเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคือ; พระประดับดุริยกิจ (แหยม วิณิณ) พระเพลงไพเราะ (โสม สุวาทิต) หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) หลวงบรรเลงเลิศเลอ(กร กรวาทิน) พระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี) อาจารย์ มนตรี ตราโมท ครูเฉลิม บัวทั่ง หลวงชาญเชิงระนาด (เงิน ผลารักษ์) หลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูรยะชีวิน) จางวางทั่ว พาทยโกศล ครูเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล เป็นต้น == ยศ == – รองหัวหมื่น 14 มีนาคม 2458 – หัวหมื่น == ถึงแก่กรรม == พระยาประสานดุริยศัพท์ ป่วยโดยโรคชรา และถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 64 ปี เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2467 == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == (ฝ่ายหน้า) == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูล == พระยาประสานดุริยศัพท์ จากเว็บดนตรีไทย.คอม นิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 33 ฉบับที่ 9 กรกฎาคม 2555 หน้าที่ 138-153 นักดนตรีไทย ป บุคคลจากเขตพระนคร
thaiwikipedia
1,765
พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน)
พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) เป็นนักดนตรีไทย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว == ประวัติ == พระยาเสนาะดุริยางค์เป็นบุตรคนโตของครูช้อย และนางไผ่ สุนทรวาทินได้ฝึกฝนวิชาดนตรีจากครูช้อยผู้เป็นบิดา จนมีความแตกฉาน ครูช้อยฯเป็นคนตาบอดตั้งแต่เด็ก แต่มีความสามารถในทางดนตรีในระดับบรมครู บ้านครูช้อยเกิดไฟไหม้ สมภารแสง พรหมโชติ วัดน้อยทองอยู่(มรณภาพปี 2455)ได้อุปการะครูช้อยฯและครอบครัวโดยให้สร้างบ้านหลังวัดน้อยทองอยู่ และสมภารแสงฯก็สนับสนุนดนตรีไทยของครูช้อยมาโดยตลอด ต่อมาเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชร) ได้ขอตัวมาเป็นนักดนตรีในวงปี่พาทย์ของท่าน ท่านเข้ารับราชการ เมื่อ พ.ศ. 2422 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนเสนาะดุริยางค์” ในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2446 ตำแหน่งเจ้ากรมพิณพาทย์มหาดเล็ก ถือศักดินา ๘๐๐โปรดให้เลื่อนเป็น “หลวงเสนาะดุริยางค์” ถือศักดินา ๘๐๐ เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2452 ในตำแหน่งเดิม และได้กราบถวายบังคมลาอุปสมบทเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2457 จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลื่อนเป็น “พระเสนาะดุริยางค์” รับราชการในกรมมหรสพหลวง และได้รับพระราชทาน เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา ด้วยความซื่อสัตย์ และมีความจงรักภักดีเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2450 และท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาเสนาะดุริยางค์” ในปี พ.ศ. 2468 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้รับมอบหมายให้ควบคุมวงพิณพาทย์ของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวัง วงพิณพาทย์วงนี้ นับได้ว่าเป็นการรวบรวมผู้มีฝีมือ ซึ่งต่อมาได้เป็นครูผู้ใหญ่ เป็นที่รู้จักนับถือโดยทั่วไป เช่น ครูเทียบ คงลายทอง ครูพริ้ง ดนตรีรส ครูสอน วงฆ้อง ครูมิ ทรัพย์เย็น ครูแสวง โสภา ครูผิว ใบไม้ ครูทรัพย์ นุตสถิตย์ ครูอรุณ กอนกุล ครูเชื้อ นักร้อง และครูทองสุข คำศิริ ==ด้านครอบครัว== ท่านสมรสกับคุณหญิง เรือน เสนาะดุริยางค์ ซึ่งมาจากตระกูล"มอญบางไส้ไก่" มีบุตร-ธิดา 4 คน คือ; คุณเลียบ บุณยรัตพันธุ์ คุณเลื่อน ผลาสินธุ์ คุณเชื้อ สุนทรวาทิน คุณ เจริญใจ สุนทรวาทิน ศิลปินแห่งชาติ และมีบุตร-ธิดา กับภรรยาท่านก่อนอีก 2 คน คือ คุณช้า สุนทรวาทิน คุณเชื่อง สุนทรวาทิน พระยาเสนาะดุริยางค์ ถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. 2492 เมื่อมีอายุได้ 83 ปี == ยศ == – หุ้มแพร 13 มีนาคม 2458 – จ่า == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == == อ้างอิง == พระยาเสนาะดุริยางค์จากเว็บดนตรีไทย.คอม เสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) ส
thaiwikipedia
1,766
บุญยงค์ เกตุคง
ครูบุญยงค์ เกตุคง (28 มีนาคม พ.ศ. 2463 - 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2539) คีตกวี นักดนตรีที่มีชื่อเสียงชาวไทย ได้รับยกย่องสรรเสริญว่าเป็นระนาดเทวดา เพราะมีฝีมือบรรเลงระนาดเอกได้ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยเดียวกัน และเป็นผู้ก่อตั้งวงฟองน้ำ มีบทบาทที่สำคัญในการทลายกรอบของจังหวะที่ใช้ลูกตกเป็นจังหวะหนักหรือจังหวะที่ถูกเน้น ให้เกิดการเล่นแบบเน้นที่จังหวะยกแทน (Syncopation) และนำเทคนิคดังกล่าวมาประพันธ์ดนตรีที่สำคัญ ๆ หลายต่อหลายชิ้น ชิ้นที่โด่งดังมากมีชื่อว่า "ชเวดากอง" ==ประวัติ== ครูบุญยงค์ เกตุคง เป็นบุตรชายคนใหญ่ของนายเที่ยงและนางเขียน เกตุคง. เกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2463 ที่ตำบลวันสิงห์ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร บิดามารดามีอาชีพเป็นนักแสดง ซึ่งต้องย้ายสถานที่ประกอบอาชีพบ่อย ๆ เมื่อยังเยาว์จึงอาศัยอยู่กับตาและยายที่จังหวัดสมุทรสาคร ได้รับการศึกษาชั้นต้นที่วัดช่องลม และเริ่มหัดเรียนดนตรีไทยกับครูละม้าย (หรือทองหล่อ) ซึ่งเป็นครูสอนดนตรี อยู่บ้านข้างวัดหัวแหลม จังหวัดสมุทรสาคร เมื่ออายุได้ 10 ปี ก็สามารถบรรเลงฆ้องวงทำเพลงโหมโรงเช้าและโหมโรงเย็นได้ ซึ่งถือว่าได้ผลการศึกษาดนตรีขั้นต้น ครั้นอายุได้ 11 ปี บิดาได้นำไปฝากให้เป็นศิษย์ของครูหรั่ง พุ่มทองสุข ซึ่งเป็นครูดนตรีมีชื่ออยู่ที่ปากน้ำภาษีเจริญ โดยมีน้องชายชื่อบุญยัง เกตุคง ไปร่วมเรียนด้วย และได้เป็นเพื่อนร่วมเรียนดนตรีพร้อมกับนายสมาน ทองสุโชติ ได้เรียนอยู่ที่บ้านครูหรั่งนี้ประมาณ 2 ปี จนสามารถบรรเลงเดี่ยวฆ้องวงเล็กได้ ก็ย้ายไปเรียนดนตรีกับพระอาจารย์เทิ้ม วัดช่องลม จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นสถานที่เรียนดนตรี ที่มีชื่อเสียงมากอีกแห่งหนึ่งในยุคนั้น เมื่อครูอายุได้ 16 ปี บิดาเห็นว่ามีความรู้เพลงการดีพอสมควรจะช่วยครอบครัวได้ จึงช่วยให้ไปทำหน้าที่นักดนตรีประจำคณะนาฎดนตรีของบิดา ซึ่งแสดงเป็นประจำอยู่ที่วิกบางลำภู กรุงเทพมหานคร โดยเริ่มจากคนตีฆ้องวงใหญ่ แล้วจึงได้เป็นคนตีระนาดเอก ทั้งนี้ได้รับการฝึกสอนเป็นพิเศษจากอาชื่อนายประสิทธิ์ เกตุคง ให้มีความรู้เรื่องเพลงสองชั้นที่ลิเกให้ร้องเป็นประจำ จึงมีความรู้และไหวพริบดีมากขึ้นในเรื่องเพลงประกอบการแสดง เป็นที่ทราบกันว่าย่านบางลำภูนั้นเป็นที่ใกล้ชิดกับบ้านนักดนตรีไทยหลายบ้าน โดยเฉพาะบ้านของสกุล ดุริยประณีต ซึ่งมีนายชื้นและนายชั้น ดุริยประณีต บุตรชายของครูสุข ดุริยประณีต มาช่วยบิดาครูบุญยงค์ตีระนาดประกอบการแสดงลิเกเป็นครั้งคราว จึงได้สนิทสนมไปมาหาสู่กันจนเกิดความคุ้นเคยเป็นอันมาก ได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ทางเพลงกันมากขึ้นเป็นลำดับ ต่อจากนั้นครูบุญยงค์ได้เดินทางไปเรียนดนตรีจากครูเพชร จรรย์นาฎย์ ครูดนตรีไทยฝีมือดีและเป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงของท่านครูหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2485 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในกรุงเทพมหานคร การแสดงดนตรีซบเซาลง จึงให้เวลาว่างประกอบอาชีพแจวเรือจ้างอยู่ระยะหนึ่ง แล้วไปสมัครเป็นศิษย์ท่านครูจางวางทั่ว พาทยโกศล ณ บ้านดนตรี วัดกัลยาณมิตร ธนบุรี จึงได้เรียนรู้ทางเพลงทั้งทางฝั่งพระนครและทางฝั่งธนเป็นอย่างดี เมื่อน้ำลดแล้ว จึงได้เรียนดนตรีเพิ่มเติมอีกจากครูสอน วงฆ้อง ซึ่งช่วยสอนดนตรีอยู่ที่บ้านดุริยประณีตนั้น สมัยที่พลโทหม่อมหลวงขาบ กุญชร เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ครูบุญยงค์ เกตุคง ได้สมัครเข้าเป็นนักดนตรีประจำวงดนตรีไทยของกรมประชาสัมพันธ์ ทำให้ได้ใกล้ชิดกับนักดนตรีอีกหลายคน อาทิ ครูประสงค์ พิณพาทย์ และครูพุ่ม บาปุยะวาทย์ ซึ่งเป็นหัวหน้าวงดนตรีไทยอยู่ในขณะนั้น ในระหว่างที่ใกล้จะเกษียณอายุราชการ ครูบุญยงค์ได้ร่วมมือกับอาจารย์บรูซ แกสตัน ก่อตั้งวงดนตรีไทยร่วมสมัยชื่อ “วงฟองน้ำ” ขึ้น ครูบุญยงค์ เกตุคง ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2539 สิริรวมอายุได้ 76 ปี ได้รับยกย่องสรรเสริญว่าเป็นระนาดเทวดา เพราะมีฝีมือบรรเลงระนาดเอกได้ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัยเดียวกัน และท่านยังได้รับคำยกย่องอีกว่าเสียงระนาดของท่านเปรียบได้กับเสียงของไข่มุกร่วงบนจานหยก นอกจากนั้นท่านยังได้รับการยอมรับนับถือจากเซอร์ ไซมอน แรตเทิล วาทยากรชาวอังกฤษ ในฐานะครูผู้ใหญ่อีกด้วย == ผลงานประพันธ์เพลง == ประเภทเพลงโหมโรง มีอยู่ด้วยกันหลายเพลงอาทิ เพลงโหมโรงสามสถาบัน โหมโรงสามจีน และโหมโรงจุฬามณี เป็นต้น ประเภทเพลงเถา ได้แก่เพลงเงี้ยวรำลึกเถา เพลงทยอยเถา ชเวดากองเถา เริงเพลงเถา กัลยาเยี่ยมห้อง เป็นต้น เพลงประกอบการแสดง ตระนาฏราชและ เพลงระบำต่างๆที่ประกอบในละคร เพลงเดี่ยวทางต่างๆ ได้แก่ ทางเดี่ยวระนาดเอก 3 ราง เพลงอาหนู และเพลงอาเฮีย ฯลฯ เดี่ยวระนาดเอกเพลงม้าย่อง ม้ารำ เพลงประกอบภาพยนตร์และโทรทัศน์ เงาะป่า ของนาย จริญญา โกงเหลง เพลงร่วมสมัย เจ้าพระยา คอนแชร์โต้ เพลงผสมต่างๆ ของวงฟองน้ำ == ผลงานการแสดง == เป็นเจ้าของและหัวหน้าคณะนาฏดนตรีแสดงทางวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ชื่อ คณะเกตุคงดำรงศิลป์ == ผลงานบันทึกเสียง == แผ่นเสียงของวังสวนผักกาด อำนวยการโดย ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร เพลงชุด Drum of Thailand ทำหน้าที่เป็นผู้บรรเลงระนาดเอก เพลงมุล่ง เดี่ยวระนาดเอก แผ่นเสียงตรามงกุฏ บันทึกผลงานเพลงโหมโรงและเพลงเถา (ในหัวข้องานประพันธ์เพลง 1, 2 ข้างต้น) ในโครงการ "สังคีตภิรมย์" ของธนาคารกรุงเทพ และเก็บผลงานไว้ที่ศูนย์สังคีตศิลป์และผลงานของวงดนตรีฟองน้ำ == งานเผยแพร่ต่างประเทศ == ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน สหรัฐอเมริกา และแคนาดา 2529, Exposition เยอรมัน 2525, ฮ่องกง 2525 (ฟองน้ำ) มโหรีราชสำนัก อังกฤษ 2529-2530 == รางวัล == ถ้วยทองคำ นาฏดนตรี โล่เกียรตินิยม พระราชทาน ร.9 ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ดนตรีไทย พ.ศ. 2531 ==== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ==== พ.ศ. 2500 – 80px เหรียญงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ == อ้างอิง == บุญยงค์ เกตุคงจากเว็บดนตรีไทย.คอม นักดนตรีไทย ศิลปินแห่งชาติ บุคคลจากเขตบางขุนเทียน ข้าราชการพลเรือนชาวไทย
thaiwikipedia
1,767
มนตรี ตราโมท
มนตรี ตราโมท (17 มิถุนายน พ.ศ. 2443 – 6 สิงหาคม พ.ศ. 2538) เป็นนักดนตรีไทย และเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง(ดนตรีไทย) พ.ศ. 2528 == ประวัติ == มนตรี ตราโมท เดิมชื่อ "บุญธรรม" เกิดเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2443 ที่บ้านท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรนายยิ้ม นางทองอยู่ และเป็นหลานชายในพระครูสัทธานุสารีมุนีวินยานุโยคสังฆวาหะ หรือหลวงพ่อลี่ ปุริสพันธ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดสุวรรณภูมิ และเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุนการดนตรีไทยของจังหวัดสุพรรณบุรีในสมัยนั้น ในสมัยที่มีการประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการตั้งชื่อบุคคล มนตรีจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "มนตรี" เมื่อ 15 เมษายน พ.ศ. 2485 นามสกุล "ตราโมท" เป็นนามสกุลที่หม่อมเจ้าคำรบ ปราโมช ประทานให้ มีสำเนียงล้อนามสกุล "ปราโมช" ขององค์ มนตรีศึกษาที่โรงเรียนปรีชาพิทยากร สอบได้ชั้นมัธยมปีที่ 3 เหตุที่มนตรีมีโอกาสได้เป็นนักดนตรีไทยก็เพราะว่าบ้านของมนตรีอยู่ใกล้วัดสุวรรณภูมิ ซึ่งมีวงปี่พาทย์ฝึกซ้อมกันอยู่เป็นประจำ มนตรีจึงได้ยินเสียงเพลงปี่พาทย์อยู่เสมอจนจำทำนองเพลงได้เป็นตอน ๆ เมื่อเรียนจบ ม.3 แล้ว จึงคิดที่จะเรียนต่อที่กรุงเทพฯ แต่มนตรีมีโรคภัยไข้เจ็บรบกวนตลอดเวลา เรียนไม่ทันเพื่อนฝูง เลยหมดกำลังใจที่จะเรียนต่อ ในเวลานั้น สมบุญ สมสุวรรณ ซึ่งเป็นนักฆ้องจึงชวนให้หัดปี่พาทย์ ซึ่งมนตรีก็มีใจรักอยู่แล้วจึงฝึกฝนด้วยความมานะพยายาม จนมีความคล่องแคล่วพอควร มนตรีได้เป็น นักดนตรีปี่พาทย์ อยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ประมาณ 2 ปี ต่อมาราวปี พ.ศ. 2456 มนตรีได้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดสมุทรสงคราม ที่บ้านสมบุญ สมสุวรรณ ซึ่งมีทั้งปี่พาทย์และ แตรวง มนตรีจึงได้มีโอกาสฝึกหัดทั้งสองอย่าง เมื่ออายุได้ 17 ปี ได้สมัครเข้ารับราชการในกรมพิณพาทย์ทอง กรมมหรสพ กรมมหาดเล็ก ที่กรมพิณพาทย์หลวง มนตรีได้เรียนฆ้องวงใหญ่จากหลวงบำรุงจิตเจริญ (ธูป สาตนะวิลัย) และเรียนกลองแขก จากพระพิณบรรเลงราช (แย้ม ประสานศัพท์) มนตรีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดสุวรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ พ.ศ. 2476 มนตรีมีฝีมือทางการบรรเลงฆ้องวง แต่เพื่อให้มีฝีมือในเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เจ้ากรมพิณพาทย์หลวง จึงให้มนตรีเปลี่ยนเป็นครูตีระนาดทุ้ม มนตรีได้รับเลือกให้เข้าประจำอยู่ในวงข้าหลวงเดิม ซึ่งเป็นวงที่จะต้องตามเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานทุกแห่ง ทำให้มนตรีเป็นผู้กว้างขวางในวงสังคมสมัยนั้น มนตรีรับราชการอยู่ที่แผนกปี่พาทย์หลวงได้ไม่นาน ก็เกิดการโอนวงปี่พาทย์และโขนละครไปสังกัดอยู่กับกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2478 มนตรีจึงย้ายไปประจำโรงเรียนศิลปากร แผนกนาฏดุริยางค์ (ปัจจุบันคือวิทยาลัยนาฏศิลป์) หน้าที่การงานของมนตรี เจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับจนเลื่อนเป็นชั้นเอก ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้มนตรีดำรงตำแหน่งศิลปินพิเศษ เมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 นับเป็นศิลปินคนแรกของกรมศิลปากรที่ได้รับชั้นพิเศษ เมื่อมนตรีเกษียณอายุ กรมศิลปากรพิจารณาเห็นว่ามนตรีมีความรู้ความสามารถในด้านวิชาการศิลปดุริยางค์ไทย จึงจ้างไว้ช่วยราชการต่อมาอีก 5 ปี จากนั้นก็จ้างในฐานะลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยกับคีตศิลป์ไทย ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในวิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร นอกจากการทำงานประจำในหน้าที่ที่กรมศิลปากรแล้ว มนตรียังเป็นอาจารย์พิเศษสอนตามมหาวิทยาลัยอีกหลายแห่ง มนตรีได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นราชบัณฑิตในประเภทวิจิตรศิลป์ สำนักศิลปกรรม ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2524 ด้านชีวิตครอบครัว ได้สมรสครั้งแรก กับนางสาวลิ้นจี่ บุรานนท์ เมื่อ พ.ศ. 2475 แต่ได้อยู่ร่วมกันเพียง 2 ปี นางลิ้นจี่ ก็ถึงแก่กรรม มนตรีจึงได้สมรสอีกครั้งกับนางสาวพูนทรัพย์ นาฎประเสริฐ (นางพูนทรัพย์ ตราโมท) เมื่อ พ.ศ. 2478 มีบุตรธิดารวม 4 คน คือ นายฤทธี ตราโมท นายศิลปี ตราโมท นางดนตรี ตราโมท นายญาณี ตราโมท มนตรี ตราโมท ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2538 ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ณ โรงพยาบาลนนทเวช สิริอายุ 95 ปี 1 เดือน 19 วัน มีพิธีพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2538 ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส == ผลงาน == นอกจากครูมนตรีจะมีฝีมือในการบรรเลงดนตรีแล้ว ครูมนตรียังมีความสามารถในการแต่งเพลงอีกด้วย ครูมนตรีแต่งเพลงมาแล้วมากมาย มากกว่า 200 เพลง ตั้งแต่ พ.ศ. 2463 เป็นต้นมา มีทั้งเพลง 3 ชั้น เพลงเถา เพลงประวัติศาสตร์ เพลงระบำและเพลงเบ็ดเตล็ด เคยมีผู้รวบรวมไว้ได้ถึง 200 กว่าเพลง นอกจากครูมนตรีจะแต่งเพลงดังกล่าวมาแล้ว ครูมนตรียังเคยแต่งเพลงประกวดทั้งบทร้องและทำนองเพลงและได้รับรางวัลที่ 1 เพลงนั้นชื่อว่า "เพลงวันชาติ 24 มิถุนา" เมื่อ พ.ศ. 2483 เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า ครูมนตรี ตราโมทเป็นครูผู้ประกอบพิธีไหว้ครู และครอบประสิทธิ์ประสาทวิชาวิชาดนตรีไทยของกรมศิลปากร นอกจากครูมนตรีจะกระทำพิธีให้แก่กองการสังคีตและวิทยาลัยนาฏศิลป์ ทั้งในส่วนกลางและต่างจังหวัดแล้ว ครูมนตรียังทำพิธีไหว้ครูดนตรีไทยให้แก่หน่วยราชการ สถานศึกษาและเอกชนทั่วไป ครูมนตรีนอกจากจะมีความรู้และความสามารถในการแต่งเพลงและการบรรเลงดนตรีไทยแล้ว ครูมนตรียังมีความรู้ทางด้านโน้ตสากลและดนตรีสากลอีกด้วย ซึ่งยิ่งช่วยเพิ่มความรู้ทางดนตรีไทยและการแต่งเพลงมากขึ้น ครูมนตรีรักการอ่านหนังสือทำให้ครูมนตรีมีความรู้กว้างขวาง ครูมนตรีชอบโคลงมาก ครูมนตรีจึงแต่งโคลงไว้มากมาย นอกจากนี้ หนังสือประเภทสารคดีที่เกี่ยวกับวิชาการทางด้านศิลปะ ครูมนตรีก็ได้แต่งไว้หลายเรื่อง เช่น "ดุริยางค์ศาสตร์ไทยภาควิชาการ" "การละเล่นของไทย" "ศัพท์สังคีต" นอกจากนี้ก็มีเรื่องสั้น ๆ ที่ครูมนตรีเขียนไว้ในหนังสือต่าง ๆ เช่น เรื่องปี่พาทย์ไทย ปี่พาทย์มอญ ปี่พาทย์ชวา เครื่องสายไทย ดุริยเทพดนตรีกับชีวิต วงดนตรีประกอบการแสดงโขน ฯลฯ ครูมนตรียังได้เขียนอธิบายความหมายของคำต่าง ๆ ในหนังสือสารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถานและเขียนเรื่องดนตรีไทยในหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่ม 1 ในพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสฉลอง 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ กรมศิลปากรจัดพิมพ์ หนังสือหลายเล่ม ครูมนตรีก็ได้มีส่วนเขียนเรื่องดนตรีไทย ภาพกลางลงพิมพ์ในหนังสือชุดศิลปกรรมไทย หมวด "นาฏดุริยางคศิลป์ยุคกรุงรัตนโกสินทร์" ด้วย ผลงานทางด้านข้อเขียนของครูมนตรี ที่ครูมนตรีภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อทางราชการสร้างพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่จังหวัดสุพรรณบุรีแล้วเสร็จ ได้จัดให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเรียบเรียงข้อความที่จะจารึกเทิดทูนพระวีรเกียรติประวัติของพระองค์ โดยใช้ถ้อยคำแต่น้อยกินความมาก เพื่อให้พอเหมาะกับขนาดแผ่นจารึกที่ฐานพระราชานุสาวรีย์ ผลการคัดเลือกปรากฏว่า ข้อความของครูมนตรีได้รับการพิจารณาให้จารึกในแผ่นศิลาดังกล่าว ครูมนตรีเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ครูมนตรีเคยได้รับเกียรติให้เป็นกรรมการมากมายหลายคณะ เช่น กรรมการตัดสินเพลงชาติ กรรมการศิลปะของสภาวัฒนธรรม ประธานกรรมการการรับรองมาตรฐานวิทยาลัยเอกชน สาขาดุริยางคศิลปะของทบวงมหาวิทยาลัย รองประธานกรรมการตัดสิน การอ่านทำนองเสนาะ กรรมการตัดสินคำประพันธ์เรื่องเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ปรึกษาคณะกรรมการจัดทำแบบเรียนวิชาดนตรีศึกษา ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ฯลฯ == ยศ == – นายหมู่ตรี 2 มีนาคม 2467 – นายหมู่โท == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == == เกียรติประวัติ == === เกียรติคุณในฐานะบัณฑิต === ได้รับพระราชทานปริญญาอักษรศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2523 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นราชบัณฑิตในประเภทวิจิตรศิลป์ สำนักศิลปกรรม ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2524 ได้รับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 ได้รับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2526 === รางวัล === ศิลปินแห่งชาติ สาขาดนตรีไทย พ.ศ. 2528 (มนตรี ตราโมท เป็นผู้ที่มีความสามารถในด้านดนตรีและเพลงไทยเป็นเยี่ยมหาผู้ใดเทียบมิได้ สมควรที่จะได้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาดนตรีไทยอย่างแท้จริง) นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ พ.ศ. 2529 == ดูเพิ่ม == ศิลปินแห่งชาติ มนตรี ตราโมท ทำเนียบศิลปินแห่งชาติ เรื่อง“ครูมนตรี ตราโมท” เรื่อง”เพลงชื่นชุมนุมกลุ่มดนตรี” บ้านครูมนตรี ตราโมท ดุริยางคศิลปิน (บ้านโสมส่องแสง) เพลงวันชาติ 24 มิถุนา == อ้างอิง == บุคคลจากอำเภอเมืองสุพรรณบุรี นักดนตรีไทย ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง ราชบัณฑิต ผู้ได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งประเทศไทย ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช. ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม. ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.จ.ว. (ฝ่ายหน้า) ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.ภ. ผู้ได้รับเหรียญรัตนาภรณ์ ภ.ป.ร.3 เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว บุคคลจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
thaiwikipedia
1,768
คาตากานะ
คาตากานะ เป็นตัวอักษรสำหรับแทนเสียงในภาษาญี่ปุ่นประเภทหนึ่ง และสามารถนำไปเขียนแทนเสียงภาษาต่างประเทศได้เช่นกัน คาตากานะได้รับการนำไปเขียนภาษาไอนุซึ่งเป็นภาษาของชนกลุ่มน้อยอยู่ทางภาคเหนือของเกาะฮกไกโด == การใช้ == คาตากานะมีสัญลักษณ์ 48 ตัว ในยุคแรกรู้จักในนาม การเขียนของผู้ชาย คาตากานะใช้กับคำยืมที่ไม่ได้มาจากภาษาจีนเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งการเลียนเสียง ชื่อจากภาษาอื่น การเขียนโทรเลข และการเน้นคำ (แบบเดียวกับการใช้อักษรตัวใหญ่ในภาษาอังกฤษ) ก่อนหน้านั้นคำยืมทั้งหมดเขียนด้วยคันจิ ใช้ในหลายกรณี ได้แก่ ใช้เขียนคำที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศ ชื่อชาวต่างประเทศ และชื่อสถานที่ในต่างประเทศซึ่งเป็นวิสามานยนาม เช่น ホテル (โฮเตรุ หรือ Hotel (โรงแรม)) ใช้เขียนคำซึ่งเลียนเสียงในธรรมชาติ เช่น ワン ワン (วังวัง เสียงเห่าของสุนัข) ใช้เขียนชื่อญี่ปุ่น (和名) ของสัตว์และแร่ธาตุ เช่น カルシウム (คารูชิอุมุ หรือ แคลเซียม) ใช้ในเอกสารใช้ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง (ใช้ร่วมกับตัวอักษรคันจิ) ใช้ในโทรเลข และระบบคอมพิวเตอร์ในช่วงก่อนเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2531 ซึ่งยังไม่มีการใช้ระบบตัวอักษรหลายไบต์ (เช่น ยูนิโคด) == ที่มา == ตัวอักษรคาตากานะนั้นสร้างขึ้นในยุคเฮอัง (平安時代) โดยนำมาจากส่วนหนึ่งของตัวคันจิพัฒนามาจาก อักษรจีนที่ใช้โดยพระภิกษุเพื่อแสดงการออกเสียงอักษรจีนที่ถูกต้องเมื่อประมาณ พ.ศ. 1400 ในช่วงแรกมีสัญลักษณ์หลายตัวที่แสดงเสียงเดียวกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป อักษรถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น ราว พ.ศ. 1900 มีสัญลักษณ์ 1 ตัว ต่อ 1 พยางค์เท่านั้น คำว่า คาตากานะ หมายถึงอักษรพยางค์ที่เป็นส่วน (ของคันจิ) == ตารางคาตากานะ == {| border="0" cellspacing="2px" cellpadding="2px" width = "100%" |- | bgcolor="#BECFEB" valign = top align = "center" colspan = 5 | สระและพยัญชนะ | bgcolor="#D4D4D4" colspan = 3 align = "center"|yōon |- bgcolor="#BECFEB" valign = top align = "center" ! ア อะ ! イ อิ ! ウ อุ ! エ เอะ ! オ โอะ ! bgcolor="#D4D4D4" | ャ ยะ ! bgcolor="#D4D4D4" | ュ ยุ ! bgcolor="#D4D4D4" | ョ โยะ |- | colspan = "8"| |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | カ คะ | キ คิ | ク คุ | ケ เคะ | コ โคะ | bgcolor = "#F3F5DE"|キャ เคียะ (คฺยะ) | bgcolor = "#F3F5DE"|キュ คิว (คฺยุ) | bgcolor = "#F3F5DE"|キョ เคียว (โคฺยะ) |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | サ ซะ | シ ชิ | ス ซุ | セ เซะ | ソ โซะ | bgcolor = "#F3F5DE"|シャ ชะ | bgcolor = "#F3F5DE"|シュ ชุ | bgcolor = "#F3F5DE"|ショ โชะ |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | タ ทะ | チ ท๎ชิ | ツ ท๎สึ | テ เทะ | ト โทะ | bgcolor = "#F3F5DE"|チャ ท๎ชะ | bgcolor = "#F3F5DE"|チュ ท๎ชุ | bgcolor = "#F3F5DE"|チョ โท๎ชะ |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | ナ นะ | ニ นิ | ヌ นุ | ネ เนะ | ノ โนะ | bgcolor = "#F3F5DE"|ニャ เนียะ (นฺยะ) | bgcolor = "#F3F5DE"|ニュ นิว (นฺยุ) | bgcolor = "#F3F5DE"|ニョ เนียว (โนฺยะ) |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | ハ ฮะ | ヒ ฮิ | フ ฟุ, ฮุ | ヘ เฮะ | ホ โฮะ | bgcolor = "#F3F5DE"|ヒャ เฮียะ (ฮฺยะ) | bgcolor = "#F3F5DE"|ヒュ ฮิว (ฮฺยุ) | bgcolor = "#F3F5DE"|ヒョ เฮียว (โฮฺยะ) |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | マ มะ | ミ มิ | ム มุ | メ เมะ | モ โมะ | bgcolor = "#F3F5DE"|ミャ เมียะ (มฺยะ) | bgcolor = "#F3F5DE"|ミュ มิว (มฺยุ) | bgcolor = "#F3F5DE"|ミョ เมียว (โมฺยะ) |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | ヤ ยะ | 20px ยิ1 | ユ ยุ | 20px เยะ1 | ヨ โยะ | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | ラ ระ | リ ริ | ル รุ | レ เระ | ロ โระ | bgcolor = "#F3F5DE"|リャ เรียะ (รฺยะ) | bgcolor = "#F3F5DE"|リュ ริว (รฺยุ) | bgcolor = "#F3F5DE"|リョ เรียว (โรฺยะ) |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | ワ วะ | (ヰ) ウィ วิ | 20px วุ1 | (ヱ) ウェ เวะ | (ヲ) ウォ โวะ | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| | ン อึง | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | ガ กะ | ギ กิ | グ กุ | ゲ เกะ | ゴ โกะ | bgcolor = "#F3F5DE"|ギャ เกียะ (กฺยะ) | bgcolor = "#F3F5DE"|ギュ กิว (กฺยุ) | bgcolor = "#F3F5DE"|ギョ เกียว (โกฺยะ) |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | ザ ด๎สะ | ジ ด๎ชิ | ズ ด๎สุ | ゼ เด๎สะ | ゾ โด๎สะ | bgcolor = "#F3F5DE"|ジャ ด๎ชะ | bgcolor = "#F3F5DE"|ジュ ด๎ชุ | bgcolor = "#F3F5DE"|ジョ โด๎ชะ |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | ダ ดะ | ヂ ด๎ชิ | ヅ ด๎สึ | デ เดะ | ド โดะ | bgcolor = "#F3F5DE"|ヂャ ด๎ชะ | bgcolor = "#F3F5DE"|ヂュ ด๎ชุ | bgcolor = "#F3F5DE"|ヂョ โด๎ชะ |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | バ บะ | ビ บิ | ブ บุ | ベ เบะ | ボ โบะ | bgcolor = "#F3F5DE"|ビャ เบียะ (บฺยะ) | bgcolor = "#F3F5DE"|ビュ บิว (บฺยุ) | bgcolor = "#F3F5DE"|ビョ เบียว (โบฺยะ) |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | パ พะ | ピ พิ | プ พุ | ペ เพะ | ポ โพะ | bgcolor = "#F3F5DE"|ピャ เพียะ (พฺยะ) | bgcolor = "#F3F5DE"|ピュ พิว (พฺยุ) | bgcolor = "#F3F5DE"|ピョ เพียว (โพฺยะ) |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | (ヷ) ヴァ va “bwa” บ๎วะ | (ヸ) ヴィ vi “bwi” บ๎วิ | ヴ vu “bwu” บ๎วุ | (ヹ) ヴェ ve “bwe” เบ๎วะ | (ヺ) ヴォ vo “bwo” โบ๎วะ | bgcolor = "#F3F5DE"|ヴャ vya “bwya” บ๎วฺฺยะ | bgcolor = "#F3F5DE"|ヴュ vyu “bwyu” บ๎วฺยุ | bgcolor = "#F3F5DE"|ヴョ vyo “Bwyo” โบ๎วฺยะ |- bgcolor="#E7F5DE" valign="top" align="center" | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | | ジェ เด๎ชะ | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | |- bgcolor="#E7F5DE" valign = top align = "center" | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| | シェ เชะ | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| | bgcolor = "#E9E9E9"| |- bgcolor="#E7F5DE" valign="top" align="center" | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | | チェ เท๎ชะ | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | |- bgcolor="#E7F5DE" valign="top" align="center" | bgcolor="#E9E9E9" | | ティ ทิ | トゥ ทุ | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#F3F5DE" |テュ ทิว (ทฺยุ) | bgcolor="#E9E9E9" | |- bgcolor="#E7F5DE" valign="top" align="center" | bgcolor="#E9E9E9" | | ディ ดิ | ドゥ ดุ | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#F3F5DE" |デュ ดิว (ดฺยุ) | bgcolor="#E9E9E9" | |- bgcolor="#E7F5DE" valign="top" align="center" | ツァ ท๎สะ | ツィ ท๎สิ | bgcolor="#E9E9E9" | | ツェ เท๎สะ | ツォ โท๎สะ | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#E9E9E9" | |- bgcolor="#E7F5DE" valign="top" align="center" | ファ ฟะ | フィ ฟิ | bgcolor="#E9E9E9" | | フェ เฟะ | フォ โฟะ | bgcolor="#E9E9E9" | | bgcolor="#F3F5DE" |フュ ฟิว (ฟฺยุ) | bgcolor="#E9E9E9" | |} 1 ยุคเมจิตอนต้นมีการเสนอให้ใช้คาตากานะ 20px 20px 20px แต่การเสนอก็ตกไป == ยูนิโคด == == อ้างอิง == Kana (skriftsystem)#Katakana
thaiwikipedia
1,769
12 พฤษภาคม
วันที่ 12 พฤษภาคม เป็นวันที่ 132 ของปี (วันที่ 133 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 233 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2424 (ค.ศ. 1881) - ตูนิเซีย กลายเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) - กษัตริย์จอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) - สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ก่อตั้งศูนย์บัญชาการนอแร็ด เพื่อป้องกันการโจมตีทวีปอเมริกาเหนือทางอากาศและอวกาศ พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - ภราดร ศรีชาพันธุ์ นักเทนนิสมืออาชีพ ขึ้นสูงสุดอันดับที่ 9 ของโลก พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) - เหตุการณ์แผ่นดินไหวในมณฑลเสฉวน พ.ศ. 2551 วัดขนาดได้ 7.8 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 68,516 คน และบาดเจ็บจำนวนมาก == วันเกิด == พ.ศ. 2363 (ค.ศ. 1820) - ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล พยาบาล (ถึงแก่กรรม 13 สิงหาคม พ.ศ. 2453) พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) - สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา (ทิวงคต 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2467) พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) - พระราชมงคลวัชราจารย์ (พัฒน์ ปุญฺญกาโม) พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) - เบิร์ต แบแคแร็ก นักเปียโน นักแต่งเพลง นักร้อง คีตกวีชาวอเมริกัน พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) - สุเทพ วงศ์กำแหง ศิลปินแห่งชาติ (เสียชีวิต 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563) พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) - จอร์จ คาร์ลิน นักประพันธ์ นักแสดง และนักแสดงตลกชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551) พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) - คริส แพตเตน สมาชิกสภาขุนนางแห่งสหราชอาณาจักรและข้าหลวงแห่งฮ่องกงของบริเตนคนสุดท้าย พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - ภาวิช ทองโรจน์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) - สดใส รุ่งโพธิ์ทอง นักร้องลูกทุ่งชาวไทย พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) - จุง ฟุบุกิ นักแสดงหญิงชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) - ปิยะ ตระกูลราษฎร์ นักแสดง นักแต่งเพลง และนักพากย์มวยชาวไทย พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) - วิง ราเมส นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) - เอมิลิโอ เอสเตเวซ นักแสด1 พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) - จารุวัฒน์ วิเศษสมบัติ นักร้องนำวงอินคา พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - หน่อย เชิญยิ้ม นักแสดงตลกชาวไทย พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) - บรูนู ลาฌึ ผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวโปรตุเกส พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - รามี มาเลก นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - เจมี่ บูเฮอร์ นักแสดงหญิงลูกครึ่งไทย-อเมริกัน พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - * แมงปอ ชลธิชา นักร้องลูกทุ่งหญิงชาวไทย * สรวงสุดา ศรีธัญญรัตน์ นักแสดงหญิงชาวไทย พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - * คาเรน พิตต์แมน นักแสดงหญิงชาวอเมริกัน * เจมี วอร์ด นักฟุตบอลชาวอังกฤษ-ไอร์แลนด์เหนือ * มาซาอากิ ฮิงาชิงูจิ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น * เอมิลี แวนแคมป์ นักแสดงหญิงชาวแคนาดา พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - แดร์เรน แรนดอล์ฟ นักฟุตบอลชาวไอริช พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - * มาร์เซลู วีเอรา นักฟุตบอลชาวบราซิล * สิริมา ไชยปรีชาวิทย์ นักแสดงและช่างภาพ ชาวไทย พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - กิติพัฒน์ รัตนเศรณี นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - เอริค ดูร์ม พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - * มัลโคล์ม เดวิด เคลลีย์ นักแสดงวัยรุ่นชาวอเมริกัน * เอริค ดูร์ม นักฟุตบอลชาวเยอรมัน พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - * ทีโม ฮอร์น นักฟุตบอลชาวเยอรมัน * สายลับ เลิศรัตนชัย กีฬาขี่ม้าทีมชาติไทย พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - กอสตัส ซีมีกัส นักฟุตบอลชาวกรีก พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - แฟร็งกี เดอ โยง นักฟุตบอลชาวดัตช์ == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) - พูนศุข พนมยงค์ ภริยานายปรีดี พนมยงค์ (เกิด 2 มกราคม พ.ศ. 2455) พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) - อดุลย์ ดุลยรัตน์ นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทย (เกิด 5 เมษายน พ.ศ. 2475) พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) - สีสะหวาด แก้วบุนพัน อดีตรองประธานประเทศแห่ง สปป.ลาว (เกิด 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2471) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) - วันวิสาขบูชา พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977), พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) - วันพืชมงคล วันพยาบาลสากล == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Today in History: May 12 พฤษภาคม 12 พฤษภาคม
thaiwikipedia
1,770
ประเทศตองงา
ตองงา (อังกฤษและTonga) มีชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรตองงา (Kingdom of Tonga; Puleʻanga Fakatuʻi ʻo Tonga ปูเลอางา ฟากาตูอีโอโตงา) เป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคพอลินีเชีย ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างประเทศนิวซีแลนด์กับรัฐฮาวายของสหรัฐ โดยทะเลอาณาเขตทางตะวันตกติดกับประเทศฟีจี ส่วนทางตะวันออกติดกับหมู่เกาะคุก นีวเว และอเมริกันซามัว ในขณะที่ทางทิศเหนือติดกับหมู่เกาะวาลิสและฟูตูนา ประเทศซามัว และอเมริกันซามัว ชื่อประเทศในภาษาตองงาแปลว่าทิศใต้ นอกจากนี้ประเทศนี้ได้รับฉายาว่า หมู่เกาะมิตรภาพ จากกัปตันเจมส์ คุก ประเทศตองงาเป็นประเทศขนาดเล็กมีเนื้อที่เพียง 747 ตารางกิโลเมตร นับเป็นอันดับที่ 189 ของโลก หมู่เกาะตองงาประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ประมาณ 169 เกาะ โดยมีเพียง 36 เกาะเท่านั้นที่มีผู้อยู่อาศัย เกาะที่ใหญ่ที่สุดคือเกาะโตงาตาปู ซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์กลางการปกครองคือนูกูอาโลฟา เกาะส่วนใหญ่ของตองงาเป็นเกาะที่เกิดจากการทับถมของปะการัง ประชากรของตองงามีทั้งสิ้น 103,036 คน นับเป็นอันดับที่ 193 ของโลก สันนิษฐานว่ามนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยในตองงาครั้งแรกเมื่อ 826 ± 8 ปีก่อนคริสตกาล ตองงาเริ่มก่อตั้งอาณาจักรเป็นของตนเองใน ค.ศ. 950 ชื่อว่าจักรวรรดิตูอีโตงา ซึ่งปกครองโดยราชวงศ์ตูอีโตงา ตูอิฮาอะตากาลาอัว และตูอิกาโนกูโปลู ต่อมาได้เกิดสงครามกลางเมือง ในท้ายที่สุดตูอิกาโนกูโปลูเตาฟาอาเฮาได้รับชัยชนะจึงรวบรวมดินแดนทั้งหมดก่อตั้ง อาณาจักรพอลินีเชีย ตองงาเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่สามารถปกป้องตนเองจากการตกเป็นดินแดนอาณานิคมของชาติตะวันตก ใน ค.ศ. 2010 ประเทศตองงาจัดการเลือกตั้งทั่วไป การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน == ชื่อประเทศ == ภาษาหลายภาษาของกลุ่มพอลินีเชียและภาษาตองงาได้ให้ความหมายคำว่า โตงา (Tonga) ไว้ว่า "ใต้" ซึ่งสัมพันธ์กับตำแหน่งที่ตั้งของประเทศตองงาที่เป็นหมู่เกาะตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของภูมิภาคพอลินีเชียตอนกลาง ในภาษาตองงาชื่อประเทศถอดเสียงเป็นสัทอักษรได้ว่า ส่วนในภาษาอังกฤษจะออกเสียงชื่อประเทศนี้ว่า หรือ นอกจากนี้ชื่อประเทศตองงายังมีความหมายคล้ายคลึงกับคำว่า โกนา (Kona) ในภาษาฮาวายอีกด้วย นอกจากนี้ในอดีตประเทศตองงาเป็นที่รู้จักในโลกตะวันตกในชื่อ หมู่เกาะมิตรภาพ เนื่องจากกัปตันเจมส์ คุกได้รับการต้อนรับอย่างดีเมื่อมาเยือนครั้งแรกใน ค.ศ. 1773 และมีโอกาศได้เข้าร่วมเทศกาล อีนาซี ซึ่งเป็นเทศกาลถวาย ผลไม้แรก แด่ตูอีโตงา ทว่าในความเป็นจริงเหล่าชนชั้นนำต่างต้องการสังหารกัปตันเจมส์ คุกระหว่างงานเทศกาล แต่ไม่สามารถตกลงร่วมกันเกี่ยวกับแผนการได้ == ประวัติศาสตร์ == === วัฒนธรรมแลพีตา === ชาวแลพีตา กลุ่มคนที่พูดภาษาในตระกูลภาษาออสโตรนีเชียนเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่อาศัยในตองงา มีความเกี่ยวเนื่องกับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ทางตะวันออกของประเทศปาปัวนิวกินีและหมู่เกาะโซโลมอนในปัจจุบัน ช่วงเวลาที่ชาวแลพีตาเข้ามาอาศัยในหมู่เกาะตองงาเป็นครั้งแรกยังเป็นข้อถกเถียงในปัจจุบัน โดยในระยะแรกนั้นมีการสันนิษฐานว่ากลุ่มคนที่เชื่อว่าเข้ามาอยู่อาศัยในดินแดนประเทศตองงาปัจจุบันเดินทางถึงหมู่เกาะตองงาในช่วงเวลาประมาณ 1,500 - 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ในระยะเวลาต่อมา ได้มีการนำเครื่องมือในสมัยนั้นผ่านการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี ซึ่งช่วยกำหนดได้ว่าชาวแลพีตาเดินทางเข้ามาอยู่ในตองงาในปี 826 ± 8 ก่อนคริสตกาล เมื่อชาวแลพีตาเดินทางมาถึงหมู่เกาะตองงาแล้ว ได้ลงหลักปักฐานในนูกูเลกา บนเกาะโตงาตาปูเป็นที่แรก และได้ลงหลักปักฐานในฮาอะไปเป็นที่ต่อมา ชาวแลพีตาใช้ชีวิตโดยพึ่งพาทะเลเป็นส่วนใหญ่ อาหารของชาวแลพีตาจึงเน้นอาหารทะเลเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น ปลานกแก้ว ปลานกขุนทอง เต่า ปลาไหล เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการทำเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์อีกด้วย หลักฐานที่สำคัญทางโบราณคดีในช่วงเวลานี้คือเครื่องปั้นดินเผาแลพีตา ซึ่งเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่ทำมาจากเปลือกหอยและหิน โดยพบมากในบริเวณเขตการปกครองฮาอะไปในปัจจุบัน === จักรวรรดิตูอีโตงา === ประมาณ ค.ศ. 950 อะโฮเออิตูได้สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นตูอีโตงาแห่งจักรวรรดิตูอีโตงาพระองค์แรก จักรวรรดิตูอีโตงาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในรัชสมัยพระเจ้าโมโม พระเจ้าตูอิตาตูอิ และพระเจ้าตาลาตามา ซึ่งพระมหากษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์ได้ขยายอาณาเขตของจักรวรรดิจนมีอาณาเขตครอบคลุมบางส่วนของฟีจี ซามัว โทเคอเลา นีวเว และหมู่เกาะคุก บรรดาดินแดนในการปกครองเหล่านี้จะส่งบรรณาการที่เรียกว่า อีนาซี ซึ่งต้องส่งมาถวายตูอีโตงาที่เมืองมูอาอันเป็นนครหลวงของจักรวรรดิทุกปีในฤดูเก็บเกี่ยว อำนาจของจักรวรรดิตูอีโตงาเริ่มตกต่ำลงหลังจากเกิดเหตุลอบปลงพระชนม์ตูอีโตงาหลายพระองค์ ส่งผลให้ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 พระเจ้าเกาอูลูโฟนูอาตูอีโตงาพระองค์ที่ 24 ตั้งพระอนุชาของพระองค์คือเจ้าชายโมอูงาโมตูอาขึ้นเป็นตูอิฮาอะตากาลาอัวพระองค์แรก เพื่อช่วยเหลือตูอีโตงาในการปกครองจักรวรรดิ และอีก 2 ศตวรรษต่อมาได้มีการตั้งราชวงศ์ตูอิกาโนกูโปลูขึ้นเพื่อช่วยเหลืออีก 2 ราชวงศ์ในการปกครองจักรวรรดิ ซึ่งต่อมาตูอิกาโนกูโปลูสามารถก้าวขึ้นมาเป็นราชวงศ์ที่มีอิทธิพลแทนที่ตูอิฮาอะตากาลาอัวได้ ในยุคจักรวรรดิตูอีโตงานี้ มีนักสำรวจชาวยุโรปเดินทางเข้ามาหลายกลุ่ม โดยนักสำรวจที่เดินทางเข้ามาเป็นกลุ่มแรกนั้นเป็นนักสำรวจชาวดัตช์ชื่อว่ายาโกบ เลอ แมเรอ และวิลเลิม สเคาเติน ซึ่งเดินทางมาถึงจักรวรรดิตูอีโตงาใน ค.ศ. 1616 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จักรวรรดิเกิดสงครามกลางเมือง โดยเข้ามาสำรวจในบริเวณเกาะนีอูอาโตปูตาปู ใน ค.ศ. 1643 อาเบิล ตัสมัน ได้เดินทางเข้ามาในตองงาในบริเวณเกาะโตงาตาปูและฮาอะไป แต่การเดินทางเข้ามาทั้ง 2 ครั้งของชาวยุโรปนี้ ยังไม่มีการติดต่อกับชาวพื้นเมืองอย่างเป็นทางการมากเท่าใดนัก การติดต่อกับชาวพื้นเมืองอย่างเป็นทางการของชาวยุโรปและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในจักรวรรดิคือการเดินทางเข้ามาสำรวจของกัปตันเจมส์ คุก ใน ค.ศ. 1773 1774 และ 1777 ซึ่งเจมส์ คุกได้ตั้งชื่อหมู่เกาะนี้ว่า "หมู่เกาะมิตรภาพ" (Friendly Islands) โดยชื่อนี้มาจากความประทับใจของเจมส์ คุก ต่อลักษณะนิสัยของชาวพื้นเมือง หลังจากนั้นอเลสซานโดร มาลาสปินาเข้ามาสำรวจตองงาใน ค.ศ. 1793 ค.ศ. 1797 พระเจ้ามูมูอี ตูอิกาโนกูโปลูพระองค์ที่ 13 สวรรคต พระโอรสองค์โตคือพระเจ้าตูกูอาโฮได้ขึ้นครองราชย์แทน จากบันทึกของมิชชันนารีพบว่าพระเจ้าตูกูอาโฮทรงดำรงพระองค์อย่างทรราชย์ มักลงโทษประชาชนของพระองค์อย่างรุนแรง นำไปสู่การลอบปลงพระชนม์พระเจ้าตูกูอาโฮในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1799 โดยกลุ่มขุนนางผู้ปกครองท้องถิ่นที่มาเข้าร่วมงานฝังพระบรมศพพระเจ้าโตอาฟูนากี ตูอิฮาอะตากาลาอัวพระองค์ที่ 18 การกระทำครั้งนี้นำไปสู่สงครามกลางเมืองในเวลาต่อมา พระญาติสายรองอย่างพระเจ้ามาอาฟูโอลีมูโลอาได้สืบพระอิสริยยศตูอิกาโนกูโปลูต่อ แต่ไม่นานก็ถูกลอบปลงพระชนม์ เจ้าชายตูโปอูมาโลฮีเสด็จกลับโตงาตาปูจากการเข้าร่วมการสงครามในฟีจี ทราบข่าวว่าตูอิกาโนกูโปลูสวรรคตจึงสถาปนาพระองค์เองขึ้นเป็นตูอิกาโนกูโปลู ย้ายศูนย์กลางอำนาจจากฮีฮีโฟมาอยู่ที่นูกูอาโลฟา พร้อมทั้งสร้างป้อมปราการขึ้น อย่างไรก็ตามป้อมปราการแห่งนี้ถูกทำลายลงโดยปืนใหญ่ เมื่อฟีเนา อูลูกาลาลา ผู้ปกครองวาวาอูและฮาอะไปเข้าล้อมป้อมปราการและใช้การระดมยิงด้วยปืนใหญ่ ท้ายที่สุดสามารถยึดครองป้อมนูกูอาโลฟาได้สำเร็จ พระเจ้าตูโปอูมาโลฮีเสด็จลี้ภัยไปยังฮาอะไป ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ผู้นำพื้นที่ต่าง ๆ ในจักรวรรดิตูอีโตงามีความขัดแย้งกัน พร้อม ๆ ไปกับความเสื่อมถอยของอำนาจการปกครองจากส่วนกลาง ทว่าหลายพื้นที่มีมิชชันนารีเข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ให้แก่ชาวพื้นเมือง คณะแรกที่เข้ามานั้นคือสมาคมมิชชันนารีลอนดอน โดยใน ค.ศ. 1826 สมาคมมิชชันนารีลอนดอนได้ส่งมิชชันนารีจากตาฮีตีเดินทางไปยังฟีจี และมีจุดแวะพักระหว่างทางที่นูกูอาโลฟา เมื่อคณะเดินทางมาถึงนูกูอาโลฟา พระเจ้าอาเลอาโมตูอาได้กักตัวมิชชันนารีชาวตาฮีติ 2 คนไว้กับพระองค์ เพื่อให้ทั้งสองคนสอนศาสนาให้แก่พระองค์ นำไปสู่การสร้างโบสถ์และโรงเรียนสอนศาสนา แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก อย่างไรก็ตามมิชชันนารีคณะเวสเลยันที่เข้ามาใน ค.ศ. 1822 ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเผยแพร่ศาสนา พระเจ้าอาเลอาโมตูอาในฐานะผู้ที่สนับสนุนการเผยแพร่ศาสนาตัดสินพระทัยเปลี่ยนศาสนาในวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1830 การเข้ามาของมิชชันนารีสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ปกครองท้องถิ่นในตองงาเป็นอย่างมาก เนื่องจากมองว่าการเป็นมิตรกับคนผิวขาว เป็นภัยต่อความมั่นคงในอำนาจของตน ความขัดแย้งที่เดิมเคยเกิดขึ้น พัฒนาเป็นความขัดแย้งทางศาสนา นำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนคริสต์ศาสนากับกลุ่มความเชื่อดั้งเดิม จนกระทั่งเตาฟาอาเฮา กษัตริย์แห่งฮาอะไปและวาวาอู ผู้นำฝ่ายสนับสนุนคริสต์ศาสนาซึ่งเป็นพระภาติยะของพระเจ้าอาเลอาโมตูอา ได้รับชัยชนะและรวมหมู่เกาะตองงาเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จใน ค.ศ. 1852 === หลังการรวมชาติตองงา === หลังจากที่พระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 ได้รับชัยชนะจากสงครามกลางเมืองตองงาแล้ว พระองค์ได้ตั้งเมืองปาไงในฮาอะไป ซึ่งเป็นเขตอำนาจเดิมของพระองค์เป็นเมืองหลวงใน ค.ศ. 1845 หลังจากนั้นได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ลีฟูกา ในท้ายที่สุดได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เมืองนูกูอาโลฟาซึ่งเป็นเมืองหลวงปัจจุบันใน ค.ศ. 1851 ในรัชสมัยของพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวาวาอู ใน ค.ศ. 1839 ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและลดบทบาทเจ้านายในท้องถิ่นต่าง ๆ โดยประมวลกฎหมายฉบับนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญของรัฐธรรมนูญตองงาที่ประกาศใช้ใน ค.ศ. 1875 การประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกก็เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ โดยเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1862 นอกจากนี้มีการประกาศความสัมพันธ์กับสหราชอาณาจักร เยอรมนีและสหรัฐ ประเทศเหล่านี้ต่างรับรองความเป็นเอกราชของตองงา การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 นั้นเหล่ามิชชันนารีล้วนมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองการปกครองและในรัชสมัยนี้ศาสนาคริสต์ก็แผ่ได้มากขึ้นจากการอุปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์ ในรัชกาลของพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 2 ได้ขึ้นครองราชบัลลังก์สิบต่อจากพระปัยกา พระองค์ต้องประสบปัญหาทั้งในเชิงการเมืองและเศรษฐกิจ ความขัดแย้งในการเลือกพระมเหสี รวมถึงความพยายามขยายอิทธิพลของเยอรมนีจากปัญหาหนี้สินของรัฐบาล นำไปสู่การตัดสินพระทัยลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพกับสหราชอาณาจักร เป็นรัฐอารักขา ในวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1900 ขณะที่ยังสามารถบริหารกิจการภายในเองได้ โดยสหราชอาณาจักรจะควบคุมทางด้านการต่างประเทศ และสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเท่านั้น อย่างไรก็ตามพบว่ารัฐบาลอังกฤษพยายามที่จะแทรกแซงกิจการภายในของตองงาอยู่เสมอ และใช้วิธีการข่มขู่ให้พระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 2 ปฏิรูปการปกครอง ในช่วงปลายรัชกาล แม้พระองค์จะไม่เต็มใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 มากนัก แต่ด้วยสถานะความเป็นรัฐในอารักขา ทำให้พระองค์ต้องเข้าร่วมสงครามอย่างไม่เป็นทางการ มีทหารชาวตองงาบางส่วนเข้าร่วมรบในฐานะส่วนหนึ่งของกองกำลังจากนิวซีแลนด์ ช่วงต้นรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถซาโลเต ตูโปอูที่ 3 ประเทศตองงาประสบปัญหาของการระบาดทั่วไข้หวัดใหญ่สเปน ซึ่งก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชากรร้อยละ 8 ของประเทศ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์อนุญาตให้กองกำลังสหรัฐตั้งฐานทัพและสนามบินในประเทศ ส่งผลให้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองสูงสุดในประเทศ ตองงาเริ่มได้อำนาจการปกครองส่วนใหญ่คืนใน ค.ศ. 1958 และได้เอกราชโดยสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1970 === การเรียกร้องประชาธิปไตย === หลังจากตองงาพ้นจากการอารักขาของสหราชอาณาจักรแล้ว ตองงาได้ปกครองตนเองโดยสมบูรณ์ภายใต้การนำของสมเด็จพระราชาธิบดีเตาฟาอาเฮา ตูโปอูที่ 4 ใน ค.ศ. 1992 มีการก่อตั้งกลุ่มนิยมประชาธิปไตยขึ้นในตองงา โดยกลุ่มนิยมประชาธิปไตยได้พยายามเรียกร้องให้มีตัวแทนของประชาชนในรัฐสภามากขึ้น ซึ่งมีเพียง 9 คนเท่านั้น ส่วนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมักมาจากขุนนางและชนชั้นสูงที่มีความสนิทสนมกับราชวงศ์ ความไม่พอใจในการปกครองมีมากขึ้นจากการที่รัฐบาลเชื้อพระวงศ์และขุนนางดำเนินการผิดพลาดหลายประการ ทั้งการลงทุนที่ผิดพลาดจนสูญเสียงบประมาณ 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การพิจารณาให้ตองงาเป็นสถานที่กำจัดกากนิวเคลียร์ การขายหนังสือเดินทางตองงาแก่ชาวต่างประเทศ การอนุญาตขึ้นทะเบียนเรือต่างประเทศ การถือสัญญาเช่าเครื่องบินโบอิง 757 ระยะยาวโดยไม่ได้ใช้งาน ซึ่งนำไปสู่การล้มละลายของสายการบินรอยัลตองงาแอร์ไลน์ รวมไปถึงการเพิ่มพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์และการจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชน จากความไม่พอใจในการบริหารงานของรัฐบาลจึงเกิดการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยทั่วกรุงนูกูอาโลฟาใน ค.ศ. 2005 เพื่อเรียกร้องการปฏิรูปการปกครองให้เป็นระบอบประชาธิปไตย การประท้วงในครั้งนี้นำไปสู่การลาออกของเจ้าชายอูลูกาลาลา ลาวากา อาตานายกรัฐมนตรี และ ดร. เฟเลติ เซเวเล ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งถือได้ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีพลเรือนคนแรกของตองงา อย่างไรก็ตามการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายตูอิเปเลหะเก ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการปฏิรูปการปกครองจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้กระบวนการปฏิรูปล่าช้ายิ่งขึ้น ความล่าช้าในการปฏิรูปการปกครองก่อให้เกิดการจลาจลทั่วกรุงนูกูอาโลฟาใน ค.ศ. 2006 ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตและเศรษฐกิจ ใน ค.ศ. 2008 สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จ ตูโปอูที่ 5 ทรงสละพระราชอำนาจของพระองค์ส่วนใหญ่และเริ่มการปฏิรูปการปกครอง โดย ค.ศ. 2010 เป็นปีแรกที่มีการเลือกตั้งทั่วไปที่สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน == การเมืองการปกครอง == ตองงามีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน มีรัฐสภา พระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ มีพระราชอำนาจทางพิธีการ ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา และมีพระราชอำนาจอื่นตามรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล === รัฐธรรมนูญ === รัฐธรรมนูญตองงาฉบับแรกใช้บังคับในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1875 รัฐธรรมนูญตองงาประกอบไปด้วยเนื้อหา 3 ส่วน คือ สิทธิขั้นพื้นฐาน รูปแบบของรัฐบาล และที่ดิน มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายครั้ง การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งล่าสุดเกิดขึ้นใน ค.ศ. 2010 สาระสำคัญของการแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งนี้ คือ ยกเลิกสมาชิกรัฐสภาที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ผู้แทนราษฎรเป็นสมาชิกส่วนใหญ่ของรัฐสภา การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของตองงาสามารถทำได้โดยการผ่านการพิจารณาของรัฐสภา 3 วาระ หลังจากนั้นถวายให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน การสืบราชบัลลังก์ และที่ดินมรดกของชนชั้นขุนนาง === สถาบันพระมหากษัตริย์ === พระมหากษัตริย์มีสถานะเป็นประมุขแห่งรัฐ และฮาอูโอเอ โฟนูอา (ประมุขสูงสุดของหัวหน้าชนเผ่าพื้นเมืองของตองงา) พระมหากษัตริย์ตองงาสืบราชสมบัติผ่านทางสายพระโลหิต พระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระราชาธิบดีอะโฮเออิตู อูนูอากีโอโตงา ตูกูอาโฮ ตูโปอูที่ 6 ส่วนมกุฎราชกุมารพระองค์ปัจจุบันคือ เจ้าชายซีอาโอซี มานูมาตาโอโง อาลาอีวาฮามามาโอ อาโฮเออีตู กอนสตันติน ตูกูอาโฮ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่สำคัญซึ่งพระองค์ใช้ได้เองนั้นได้แก่ การดำรงสถานะเป็นจอมทัพของประเทศ การเรียกประชุมรัฐสภา การยุบสภาผู้แทนราษฎร การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี (จากการเลือกของรัฐสภา) การแต่งตั้งประธานรัฐสภา (ตามคำแนะนำของรัฐสภา) การแต่งตั้งผู้ว่าการเขตการปกครองฮาอะไปและวาวาอู (ตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี) รวมถึงการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ === ฝ่ายนิติบัญญัติ === สภานิติบัญญัติตองงา (Fale Alea) เป็นสภาเดี่ยว ประกอบด้วยสมาชิก 26 คน มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 17 คน และมาจากขุนนางเลือกกันเองอีก 9 คน หน้าที่ของสภานิติบัญญัติตองงาหรือฟาเลอาเลอาคือการตรากฎหมาย ร่างกฎหมายจะพิจารณากันทั้งสิ้น 3 วาระ หากผ่านการลงคะแนนทั้งสามวาระ จึงจะนำถวายพระมหากษัตริย์เพื่อลงพระปรมาภิไธย เมื่อผ่านทุกกระบวนการแล้วจึงประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่กำหนดมูลค่าการเก็บภาษีของประชาชน กำหนดงบประมาณ แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และถอดถอนคณะองคมนตรี รัฐมนตรี ผู้ว่าการเขตการปกครอง (ฮาอะไปและวาวาอู) และผู้พิพากษา สมาชิกสภานิติบัญญัติมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี การเลือกตั้งในตองงาจะแบ่งเขตการเลือกตั้งออกเป็น 17 เขตเลือกตั้งสำหรับตัวแทนของประชาชน และอีก 5 เขตเลือกตั้งสำหรับขุนนาง ในแต่ละเขตการปกครองมีเขตการเลือกตั้งดังนี้ โตงาตาปู เขตการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร 10 เขต เขตละ 1 คน สำหรับผู้แทนขุนนางมี 1 เขต เขตละ 3 คน เออัว เขตการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร 1 เขต เขตละ 1 คน สำหรับผู้แทนขุนนางมี 1 เขต เขตละ 1 คน ฮาอะไป เขตการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร 2 เขต เขตละ 1 คน สำหรับผู้แทนขุนนางมี 1 เขต เขตละ 2 คน วาวาอู เขตการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร 3 เขต เขตละ 1 คน สำหรับผู้แทนขุนนางมี 1 เขต เขตละ 2 คน นีอูอาส เขตการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร 1 เขต เขตละ 1 คน สำหรับผู้แทนขุนนางมี 1 เขต เขตละ 1 คน === ฝ่ายบริหาร === อำนาจของฝ่ายบริหารในตองงาอยู่ที่นายกรัฐมนตรี พระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามคำแนะนำของรัฐสภา นายกรัฐมนตรีมีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ถวายคำแนะนำแด่พระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากสมาชิกในรัฐสภาและสมาชิกนอกรัฐสภาได้ไม่เกิน 4 คน ปัจจุบันประเทศตองงามีกระทรวง 15 กระทรวง นายกรัฐมนตรีตองงามีหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ประธานสภาผู้แทนราษฎร เสนอแนะการแต่งตั้งผู้ว่าการเขตต่อพระมหากษัตริย์ และบริหารราชการแผ่นดิน === ฝ่ายตุลาการ === ฝ่ายตุลาการในประเทศตองงาเป็นอิสระจากอำนาจอื่น ศาลในตองงามี 4 ประเภท คือ ศาลอุทธรณ์ (Court of Appeal) ศาลสูงสุด (Supreme Court) ศาลที่ดิน (Land Court) และศาลแขวง (Magistrates' Court) พระมหากษัตริย๋แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์และศาลสูงสุดตามคำแนะนำของคณะองคมนตรี นอกจากนี้ ศาลสูงสุดมีอำนาจไต่สวนคดีที่เกี่ยวข้องกับคณะรัฐมนตรีหรือข้าราชการ รวมถึงวินิจฉัยว่ากฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ด้วย === พรรคการเมือง === พรรคการเมืองในประเทศตองงาพรรคแรกก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1994 กลุ่มนิยมประชาธิปไตยคือพรรคประชาชน (People's Party) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นขบวนการสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย (Human Rights and Democracy Movement - HRDM) พรรคการเมืองเข้าร่วมเลือกตั้งในตองงาเป็นครั้งแรกในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1996 ใน ค.ศ. 2005 สมาชิกพรรคบางส่วนของพรรค HRDM ได้ร่วมกันก่อตั้งพรรคประชาธิปไตยประชาชน หลังจาก ค.ศ. 2005 เป็นต้นมา มีการก่อตั้งพรรคการเมืองเพิ่มขึ้นอีก 3 พรรค คือ พรรคการสร้างชาติอย่างยั่งยืน (Paati Langafonua Tu'uloa) ที่ก่อตั้งใน ค.ศ. 2007 พรรคแรงงานประชาธิปไตยตองงา (Tongan Democratic Labor Party) ซึ่งกลุ่มข้าราชการก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 2010 และพรรคประชาธิปไตยแห่งหมู่เกาะมิตรภาพ (Democratic Party of the Friendly Islands) ซึ่งก่อตั้งใน ค.ศ. 2010 ปัจจุบันตองงามีพรรคการเมืองรวมทั้งสิ้น 5 พรรค จากการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2017 พรรคการเมืองทุกพรรคได้ที่นั่งในรัฐสภารวมกัน 14 ที่นั่ง จากทั้งหมด 17 ที่นั่ง ที่เหลือเป็นผู้สมัครอิสระ === การแบ่งเขตการปกครอง === ประเทศตองงาแบ่งเขตการปกครองระดับบนสุดออกเป็น 5 เขตการปกครอง โดยแต่ละเขตการปกครองมีเมืองหลักดังต่อไปนี้ โตงาตาปู เมืองหลักคือ นูกูอาโลฟา ฮาอะไป เมืองหลัก คือ ปาไง วาวาอู เมืองหลัก คือ เนอิอาฟู นีอูอาส เมืองหลัก คือ ฮีฮีโฟ เออัว เมืองหลัก คือ โอโฮนูอา แต่ละเขตการปกครองมีการแบ่งเขตย่อยลงไปเป็นเขตและหมู่บ้าน โดยใน ค.ศ. 2013 ประเทศตองงามีเขตการปกครองระดับเขต 23 แห่ง และมีหมู่บ้าน 167 แห่ง ในระดับเขตการปกครองนั้นมีเพียง 2 เขตการปกครองเท่านั้นที่มีผู้ว่าการเขตการปกครองคือฮาอะไปและวาวาอู ส่วนในระดับย่อยลงไปนั้นจะมีเจ้าพนักงานประจำเขต (district Officer) ดูแลการปกครอง การบริหารจัดการในระดับเขตและทำรายงานการปกครองต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือผู้ว่าการเขตการปกครอง (ในกรณีของฮาอะไปและวาวาอู) ส่วนในระดับหมู่บ้านจะมีเจ้าพนักงานประจำหมู่บ้าน (town Officer) เป็นผู้ดูแลหลัก เจ้าพนักงานประจำเขตและเจ้าพนักงานประจำหมู่บ้านมาจากการเลือกตั้งโดยมีวาระคราวละ 3 ปี {| width="80%" bgcolor="#fff" border="0" cellpadding="3px" cellspacing="2px" style="margin:auto;" |- align="center" bgcolor="lightcoral" ! width="20%" | โตงาตาปู ! width="20%" | วาวาอู ! width="20%" | ฮาอะไป ! width="20%" | เออัว ! width="20%" | นีอูอาส |- valign="top" align="left" style="background: Lavenderblush; font-size: 92%;" | 1.  โกโลโฟโออู 2.  โกโลโมตูอา 3.  ไวนี 4.  ตาตากาโมโตงา 5.  ลาปาหา 6.  นูกูนูกู 7.  โกโลไว | 8.  เนอิอาฟู 9.  ปาไงโมตู 10.  ฮาฮาเค 11.  เลอิมาตูอา 12.  ฮีฮีโฟ 13.  โมตู | 14.  ปาไง 15.  โฟอา 16.  ลูลูงา 17.  มูโอมูอา 18.  ฮาอะโน 19.  อุยฮา | 20.  เออัวโมตูอา 21.  เออัวโฟโออู | 22.  นีอูอาโตปูตาปู 23.  นีอูอาโฟโออู |} === อาชญากรรม === ประเทศตองงามีรายงานการเกิดอาชญากรรมส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินเป็นหลัก โดยพบว่าใน ค.ศ. 2007 เกิดอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน 1,400 ครั้งจากอาชญากรรมที่มีการรายงานทั้งหมด 2,316 ครั้ง ประเทศตองงายังคงโทษประหารชีวิตไว้อยู่ แต่องค์การนิรโทษกรรมสากลจัดให้ตองงาเป็นประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ การประหารชีวิตครั้งล่าสุดเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1982 == ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ == ประเทศตองงาเน้นสร้างสัมพันธ์อันดีกับทุกประเทศ โดยให้ความร่วมมือในภารกิจระหว่างประเทศต่าง ๆ กับหลาย ๆ ประเทศ เช่น การส่งกองกำลังเข้าร่วมรบในอัฟกานิสถาน เป็นต้น สำหรับนโยบายการต่างประเทศในปัจจุบันของตองงาคือนโยบายมองตะวันออก (Look East Policy) (ถึงแม้ว่าทวีปเอเชียจะตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศตองงาก็ตาม) ซึ่งเป็นนโยบายที่เน้นความร่วมมือทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจกับทวีปเอเชีย ประเทศตองงายึดถือนโยบายจีนเดียว โดยตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระดับเอกอัครราชทูตกับสาธารณรัฐจีนใน ค.ศ. 1998 สำหรับประเทศอื่น ๆ นั้นตองงามีความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ส่วนสหราชอาณาจักรซึ่งประเทศตองงามีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเหมือนในอดีต เห็นได้จากกรณีการปิดสำนักงานข้าหลวงใหญ่ในกรุงนูกูอาโลฟาเมื่อ ค.ศ. 2006 ประเทศตองงามีความขัดแย้งระหว่างประเทศครั้งสำคัญเมื่อครั้งที่ตองงาประกาศยึดครองแนวปะการังมิเนอร์วา (สาธารณรัฐมิเนอร์วา) โดยฟีจีไม่ยอมรับการประกาศยึดครองในครั้งนี้ ก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศ อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ประเทศยังคงเจรจาในเรื่องเกี่ยวกับแนวปะการังแห่งนี้อยู่ == กองทัพ == กองกำลังป้องกันตองงา (Tonga Defense Services) เป็นกองทัพของประเทศตองงา ปัจจุบันมี 2 เหล่าทัพหลักคือกองทัพบกและกองทัพเรือ สำหรับกองกำลังทางอากาศนั้นสังกัดกองทัพเรือ หน้าที่หลักของกองกำลังป้องกันตองงาคือปกป้องอำนาจอธิปไตยของประเทศ การช่วยเหลือหน่วยงานพลเรือนในกิจการต่าง ๆ และการสนองพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์เป็นครั้งคราว ประเทศตองงาไม่มีการเกณฑ์ทหาร ผู้ที่ประสงค์เข้ารับราชการทหารในตองงาต้องมีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป โดยได้รับคำยินยอมของผู้ปกครอง อย่างไรก็ตาม ในสภาวะสงคราม พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจเรียกระดมพล ส่วนความร่วมมือทางการทหาร ตองงามีข้อตกลงความร่วมมือกับสหรัฐ ประเทศจีน สหราชอาณาจักร อินเดีย และนิวซีแลนด์ โดยเป็นความร่วมมือด้านการฝึกกำลังพลและโครงสร้างพื้นฐานของกองทัพเป็นหลัก สำหรับปฏิบัติการทางทหารของประเทศตองงาเกิดขึ้นครั้งแรกในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพนิวซีแลนด์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการก่อตั้งกองกำลังป้องกันตองงาขึ้น จนกระทั่งสงครามยุติจึงประกาศยกเลิกหน่วยงานนี้ อย่างไรก็ตามกองกำลังป้องกันตองงาได้เริ่มดำเนินการอีกครั้งใน ค.ศ. 1946 นับแต่นั้น กองกำลังป้องกันตองงามีโอกาสทำหน้าที่รักษาสันติภาพในหลายดินแดน ที่สำคัญคือการรักษาสันติภาพในบูเกนวิลล์ ประเทศปาปัวนิวกินี การรักษาสันติภาพในหมู่เกาะโซโลมอน การเข้าร่วมกองกำลังผสมนานาชาติเพื่อรักษาสันติภาพในอิรัก รวมไปถึงการร่วมรบในอัฟกานิสถาน ซึ่งตองงาส่งกองกำลังครึ่งหนึ่งของทั้งกองทัพเข้าร่วมรบในครั้งนี้ == ภูมิศาสตร์ == ประเทศตองงาตั้งอยู่ในภูมิภาคพอลินีเชีย เหนือเส้นทรอปิกออฟแคปริคอร์นเล็กน้อย เมืองหลวงของประเทศคือนูกูอาโลฟา ห่างจากออกแลนด์ เมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศนิวซีแลนด์ ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 1,770 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากกรุงซูวา เมืองหลวงของฟีจี ประมาณ 690 กิโลเมตร ตองงามีพื้นที่ 747 ตารางกิโลเมตร โดยที่ 30 ตารางกิโลเมตรเป็นพื้นน้ำ ประเทศตองงาประกอบด้วยเกาะ 169 เกาะ แต่มี 36 เกาะเท่านั้นที่มีประชากรอยู่อาศัย ตองงาประกอบด้วย 3 กลุ่มเกาะหลัก คือ โตงาตาปูซึ่งประชากรเกินครึ่งหนึ่งของประเทศอาศัยอยู่ วาวาอูซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือ และฮาอะไปซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ภูมิอากาศของประเทศมีลักษณะแบบเขตร้อน ดินของตองงามีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก จุดสูงสุดของประเทศมีความสูง 1,033 เมตรตั้งอยู่บนเกาะเกา === ภูมิประเทศและธรณีสัณฐาน === หมู่เกาะตองงาเป็นหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในแผ่นเปลือกโลกแปซิฟิกและอยู่ใกล้แผ่นเปลือกโลกออสเตรเลีย ทางตะวันตกของหมู่เกาะมีร่องลึกตองงา หมู่เกาะตองงามีทั้งเกาะที่เกิดจากภูเขาไฟและเกาะที่เกิดจากปะการัง หมู่เกาะตองงากำเนิดขึ้นเมื่อใดนั้นไม่สามารถกำหนดเวลาได้ชัดเจน อย่างไรก็ตามมีการคาดการณ์ว่าหมู่เกาะตองงาถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 5 ล้านปีก่อนในสมัยไพลโอซีน ผู้เชี่ยวชาญบางคนคาดว่าเกาะแรกของหมู่เกาะตองงาอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ปลายสมัยไมโอซีนแล้ว เกาะที่สำคัญของตองงาหลายเกาะเกิดจากภูเขาไฟ เช่น อาตา, ฮาอะไป, เกา, โอโงนีอูอา เป็นต้น เกาะภูเขาไฟเหล่านี้เกิดจากแนวภูเขาไฟที่วางตัวในแนวตะวันออกเฉียงใต้-ตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะอาตา แนวภูเขาไฟดังกล่าวมีส่วนสำคัญทำให้ตองงามีเกาะใหม่เพิ่มขึ้นมา ทว่าเกาะที่เกิดขึ้นมานั้นมักจะจมลงทะเลในปีถัดไป ปัจจุบันมีเกาะเกิดจากแนวภูเขาไฟแห่งนี้เพียงเกาะเดียวที่ยังคงอยู่ เกาะในเขตการปกครองวาวาอูจะพบว่ายังพบภูเขาไฟที่มีพลังอยู่ ส่วนพื้นดินเกิดจากหินปูน รอบ ๆ เกาะนั้นมักมีปะการังล้อมรอบ ส่วนในเขตการปกครองฮาอะไปพบว่ายังมีภูเขาไฟที่มีพลังอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเกาะเกาและโตฟูอา ในขณะที่สภาพดินของเกาะคล้ายกับที่วาวาอูคือเป็นดินที่เกิดจากหินปูน ส่วนในเขตการปกครองโตงาตาปูและเออัวนั้นเป็นเกาะที่กำเนิดจากปะการัง ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบที่มีความสูงไม่เกิน 30 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง และมีเถ้าจากภูเขาไฟปกคลุมบริเวณเกาะ ทำให้ดินในบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์ ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการระเบิดของภูเขาไฟในบริเวณหมู่เกาะนี้หลายครั้ง ภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดของตองงามีความสูง 515 เมตร มีความกว้าง 5 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนเกาะโตฟูอา ซึ่งเกิดการระเบิดของภูเขาไฟแห่งนี้ครั้งล่าสุดใน ค.ศ. 2013 ส่วนภูเขาไฟที่สูงที่สุดของประเทศนี้ตั้งอยู่บนเกาะเกา มีความสูง 1,030 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง === ภูมิอากาศ === ประเทศตองงาเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตร้อน โดยได้รับอิทธิพลจากลมค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศตองงามี 2 ฤดูกาลคือฤดูฝนและฤดูแล้ง ฤดูฝนในประเทศตองงายังเป็นฤดูของพายุหมุนด้วย ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายนของทุกปี ส่วนฤดูแล้งอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมของทุกปี เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคมเป็นเดือนที่มีปริมาณน้ำฝนมากที่สุด ซึ่งอาจมีปริมาณน้ำฝนต่อเดือนสูงได้ถึง 250 มิลลิเมตร อุณหภูมิเฉลี่ยในประเทศตองงาจะอยู่ระหว่าง 23-26 องศาเซลเซียสตามแต่ละท้องถิ่น ในฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูที่อากาศร้อนมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 25-26 องศาเซลเซียส ในขณะที่ฤดูแล้งซึ่งอากาศเย็นมีอุณหภูมิระหว่าง 21-24 องศาเซลเซียส จากสถิติที่มีการบันทึกพบว่าบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงสุดในประวัติศาสตร์ตองงาอยู่ที่บริเวณหมู่เกาะวาวาอูในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1979 โดยมีอุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส ขณะที่บริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำสุดในประวัติศาสตร์ตองงาอยู่ที่ฟูอาอะโมตู โดยมีอุณหภูมิ 8.7 องศาเซลเซียส ซึ่งวัดในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1994 === ทรัพยากรดิน === ทรัพยากรดินในหมู่เกาะของประเทศตองงามีความอุดมสมบูรณ์สูงมาก ยกเว้นบริเวณที่มีภูเขาไฟเกิดใหม่ ดินส่วนใหญ่ในตองงาเกิดจากการทับถมของเถ้าภูเขาไฟและหินแอนดีไซต์บนหินปูนซึ่งเกิดจากปะการัง ดินในตองงาเป็นดินที่มีคุณสมบัติที่ดี เนื่องจากเป็นดินที่การระบายน้ำดีและมีความสามารถในการเก็บกักน้ำปานกลาง ดินในเกาะโตงาตาปูเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงมาก เหมาะแก่การปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ในขณะที่บริเวณชายฝั่งดินส่วนใหญ่เป็นดินเค็ม เพราะอยู่ติดทะเล ขณะที่ดินของเกาะเออัวมีความอุดมสมบูรณ์ ยกเว้นทางตอนใต้ของเกาะที่เป็นหินปะการัง ส่วนในฮาอะไป เกาะส่วนใหญ่เกิดจากการทับถมของปะการัง โดยในฮาอะไปกำลังเผชิญปัญหาการพังทลายของหน้าดิน ซึ่งทำให้ดินในฮาอะไปลดความอุดมสมบูรณ์ === ทรัพยากรน้ำ === หมู่เกาะตองงามีทรัพยากรน้ำจืดที่ค่อนข้างจำกัด ชาวตองงานิยมเก็บน้ำจืดไว้ในถังคอนกรีตซึ่งมาจากการเก็บกักน้ำฝนและสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ในชีวิตประจำวัน แหล่งน้ำหรือทะเลสาบสำคัญมักตั้งอยู่ในเกาะภูเขาไฟ โดยแหล่งน้ำที่สำคัญและมีขนาดใหญ่ของประเทศตั้งอยู่ในเกาะวาวาอู นีอูอาโฟโออู โนมูกา และนีอูอาโตปูตาปู === พืชและสัตว์ === พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศตองงาปกคลุมไปด้วยป่าฝนเขตร้อน อย่างไรก็ตามจากการสนับสนุนเกษตรกรรมตามเกาะต่าง ๆ ทำให้พื้นที่ป่าลดลงไปมาก หญ้าและพืชขนาดเล็กหลายชนิดเข้าปกคลุมพื้นที่ป่าเดิม ขณะที่พื้นที่ชายฝั่งและบริเวณปากปล่องภูเขาไฟมักพบไม้ล้มลุกเป็นหลัก ประเทศตองงาเป็นประเทศแรกในภูมิภาคแปซิฟิกใต้ที่มีการประกาศพื้นที่เป็นเขตสงวนของชาติ ปัจจุบันในหมู่เกาะตองงามีการประกาศพื้นที่ให้เป็นอุทยานแห่งชาติแล้ว 2 แห่ง (ในเขตการปกครองเออัวและวาวาอู เขตละ 1 แห่ง) และประกาศให้เป็นเขตสงวน 6 แห่ง สำหรับพืชที่ค้นพบในประเทศตองงานั้น พบว่ามีพืชที่มีท่อน้ำเลี้ยง 770 สปีชีส์ ซึ่งรวมไปถึงเฟิร์นที่มี 70 สปีชีส์ (3 สปีชีส์เป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น) พืชเมล็ดเปลือย 3 ชนิด (Podocarpus pallidus เป็นพืชเมล็ดเปลือยที่พบเฉพาะถิ่น) และมีพืชดอก 698 สปีชีส์ ซึ่งมี 9 สปีชีส์ที่เป็นไม้ดอกท้องถิ่น เกาะต่าง ๆ ของประเทศตองงาต่างมีสปีชีส์ของพืชที่มีความหลากหลายแตกต่างกัน เช่น เกาะโตงาตาปูมีพืช 340 สปีชีส์ ในขณะที่วาวาอูมีพืช 7 สปีชีส์ แม้จะพบพืชหลากหลายสปีชีส์ในหมู่เกาะของประเทศตองงา แต่สัตว์ที่อาศัยอยู่กลับไม่มีความหลากหลายมากนัก พบว่ามีสัตว์เลื้อยคลาน 12 สปีชีส์โดยหนึ่งในนั้นเป็นสัตว์เฉพาะถิ่น ค้างคาว 2 สปีชีส์ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงชนิดเดียวที่เป็นสัตว์ท้องถิ่น ในบริเวณชายฝั่งทะเลพบสิ่งมีชีวิตประเภทเต่า มอลลัสกาและปลาหลากหลายชนิด นอกจากนี้ในบริเวณหมู่เกาะตองงายังพบนกเป็นจำนวนมาก ซึ่งมี 75 สปีชีส์ โดยมีนก 2 สปีชีส์เป็นนกท้องถิ่นคือ Pachycephala jacquinoti ซึ่งอาศัยอยู่ในวาวาอูและ Megapodius pritchardii ซึ่งอาศัยอยู่ในนีอูอาโฟโออู การเข้ามาอยู่อาศัยของมนุษย์ในดินแดนตองงาส่งผลให้นก 23 สปีชีส์สูญพันธุ์ไปจากตองงา == เศรษฐกิจ == ประเทศตองงามีเศรษฐกิจขนาดเล็ก อันเนื่องมาจากทรัพยากรมีจำกัดและอยู่ห่างไกลจากแหล่งตลาดโลก ซึ่งเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจเดียวกับที่กลุ่มประเทศในทวีปโอเชียเนียประสบอยู่ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของตองงาขึ้นอยู่กับปัจจัยทางธรรมชาติเป็นสำคัญ เนื่องจากผลผลิตส่วนใหญ่ของประเทศที่ส่งออกเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและการประมง การที่ประเทศตองงาอยู่ห่างไกลจากตลาดโลกไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยที่ทำให้ค่าขนส่งสินค้าแพงเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ประเทศตองงาขาดปัจจัยการผลิตอีกด้วย สำนักข่าวกรองกลาง รายงานว่า ใน ค.ศ. 2013 ตองงามีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 1 === เกษตรกรรม === ภาคเกษตรกรรมเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญมากของตองงา อย่างไรก็ตามในปัจจุบันส่วนแบ่งรายได้ของผลิตภัณฑ์ภาคการเกษตรในผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติลดลง โดยระหว่าง ค.ศ. 1994 - 1995 ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมีส่วนแบ่งในผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติร้อยละ 34 ขณะที่ช่วง ค.ศ. 2005 - 2006 ส่วนแบ่งดังกล่าวลดเหลือร้อยละ 25 เท่านั้น สาเหตุหลักเกิดจากการที่รัฐสนับสนุนภาคบริการ จนกลายเป็นภาคที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งรัฐบาลมองว่าจะช่วยสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจที่ดีให้แก่ประเทศและสามารถยืนหยัดอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์ได้ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่สำคัญของตองงาคือมะพร้าว ซึ่งรวมไปถึงต้นกล้ามะพร้าว นอกจากนี้ยังส่งออกกล้วย วานิลลา ฟักทอง โกโก้ กาแฟ ขิง พืชหัวชนิดต่าง ๆ และพริกไทย === ประมง === ประเทศตองงามีเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 700,000 ตารางกิโลเมตร โดยรัฐบาลตองงาอนุญาตให้กองเรือต่างชาติที่ใบอนุญาตจับปลาได้รับการอนุมัติแล้วเข้ามาทำประมงในเขตดังกล่าวได้ ซึ่งการทำประมงในเขตดังกล่าว กองเรือส่วนใหญ่นิยมจับปลาทูน่าซึ่งมีปริมาณค่อนข้างมากในบริเวณนี้ อย่างไรก็ตามด้วยการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศและอิทธิพลของเอลนิโญและลานีญาส่งผลให้ปริมาณการจับปลาลดลงจากในอดีต ปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 เริ่มมีการจับล็อบสเตอร์เพื่อการค้ามากขึ้น โดยนิยมจับบริเวณทางตอนเหนือของฮาอะไปและทางใต้ของแนวปะการังมิเนอร์วา ซึ่งสามารถจับได้ถึง 36 ตันต่อปี อย่างไรก็ตามปริมาณของลอบสเตอร์ที่จับได้ในปัจจุบันลดลงเหลือ 12 ตันต่อปี นอกจากนี้ยังพบการจับหอยสองฝาเพื่อใช้บริโภคตามครัวเรือน รวมไปถึงขายเป็นของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยวด้วย ปัจจุบันรัฐบาลตองงาส่งเสริมให้ประชาชนเลี้ยงหอยนางรมเพื่อนำไข่มุกมาสร้างรายได้แก่ตน การริเริ่มเลี้ยงหอยนางรมในตองงาเกิดขึ้นในวาวาอู โดยพันธุ์ที่เลี้ยงในระยะแรกเป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 === การท่องเที่ยว === ในช่วงหลังยุคอาณานิคมช่วงแรก ธุรกิจการท่องเที่ยวในตองงาซบเซาและไม่มีการพัฒนามากนัก อย่างไรก็ตามใน ค.ศ. 1966 รัฐบาลตองงาตัดสินใจสร้างโรงแรมแห่งแรกในประเทศคือโรงแรมอินเตอร์แนชนัลเดตไลน์ขึ้น การสร้างโรงแรมอินเตอร์แนชนัลเดตไลน์ในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการท่องเที่ยว ปัจจุบันการท่องเที่ยวถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจตองงาและเป็นภาคสำคัญที่ทำให้เงินตราต่างประเทศไหลเข้าประเทศ ใน ค.ศ. 2011 มีนักเดินทางและนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศตองงา 94,960 คน เพิ่มขึ้นจาก 66,639 คน ใน ค.ศ. 2004 นักท่องเที่ยวกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดมาจากประเทศนิวซีแลนด์และประเทศออสเตรเลีย จุดประสงค์หลักของการเดินทางเข้าประเทศตองงาคือการพักผ่อนในวันหยุดและการเยี่ยมญาติเป็นหลัก กิจกรรมการท่องเที่ยวในตองงามีอยู่หลายกิจกรรม ยกตัวอย่างเช่น การพายเรือคายัก การดำน้ำ การชมวาฬใต้ทะเล การตกปลา การดูนก การเลือกซื้องานหัตถกรรมพื้นเมือง เป็นต้น === การส่งออกและการนำเข้า === ประเทศตองงาส่งออกสินค้าไปยังประเทศเกาหลีใต้ สหรัฐ และนิวซีแลนด์เป็นหลัก โดยผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้คิดเป็นร้อยละ 18.5, 17 และ 15.6 ตามลำดับ ประเทศอื่น เช่น ฟีจี (ร้อยละ 10.2) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 9.5) ซามัว (ร้อยละ 8.6) อเมริกันซามัว (ร้อยละ 5.4) และออสเตรเลีย (ร้อยละ 5.1) สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ตองงาส่งออกนอกประเทศคือ สควอช ปลาทะเล วานิลลา และพืชหัว สำหรับการนำเข้าสินค้า ประเทศตองงานำเข้าสินค้าเกินครึ่งหนึ่งจากประเทศฟีจีและประเทศนิวซีแลนด์ โดยคิดเป็นร้อยละ 35.7 และ 24.4 ตามลำดับ นอกจากนี้ตองงายังนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ (ร้อยละ 10.5) และประเทศจีน (ร้อยละ 10.2) ส่วนที่เหลือเป็นการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น ๆ สินค้าที่ตองงานำเข้ามาในประเทศคือ อาหาร เครื่องจักร เชื้อเพลิง และเคมีภัณฑ์ == โครงสร้างพื้นฐาน == สำมะโนตองงาใน ค.ศ. 2011 ได้รายงานสภาพโครงสร้างพื้นฐานของตองงาในหลาย ๆ ด้าน โดยจากผลสำรวจพบว่ามีเพียง 567 ครัวเรือนจาก 18,033 ครัวเรือนทั่วประเทศที่เข้าถึงน้ำประปา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครัวเรือนบนเกาะโตงาตาปู ในส่วนของการเข้าถึงไฟฟ้านั้นพบว่าครัวเรือนร้อยละ 88.51 มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้กระแสไฟฟ้าที่จ่ายมาตามเสาไฟฟ้า นอกจากนี้การใช้น้ำมันและพลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งพลังงานที่นิยมใช้กัน โครงสร้างพื้นฐานที่ดีของประเทศส่วนใหญ่พัฒนาอยู่แต่บนเกาะโตงาตาปู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองนูกูอาโลฟา อันถือได้ว่าเป็นเขตเมืองแท้จริงเพียงแห่งเดียวของประเทศ === การคมนาคม === ถนนส่วนมากในประเทศตองงาสร้างโดยใช้เงินบริจาคจากรัฐบาลต่างประเทศ ประเทศตองงามีความยาวถนนรวมกัน 680 กิโลเมตร โดย 496 กิโลเมตรยังไม่ได้ลาดยาง เนื่องจากตองงาเป็นประเทศเกาะขนาดเล็กและการจัดการที่ดินยังไม่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นปัญหาในการพัฒนาระบบถนน ประชาชนนิยมใช้การขนส่งทางเรือในการเดินทางระหว่างเกาะ โดยท่าเรือที่สำคัญของประเทศอยู่ที่นูกูอาโลฟา ปาไง และเนอิอาฟู ประเทศตองงามีท่าอากาศยาน 6 แห่ง โดยมีเพียง 1 แห่งเท่านั้นที่มีพื้นลาดยาง (ท่าอากาศยานนานาชาติฟูอาอะโมตู) สายการบินแห่งชาติของตองงาคือรอยัลตองงาแอร์ไลน์ โดยก่อตั้งใน ค.ศ. 1985 ซึ่งต่อมาประสบภาวะล้มละลายและเลิกกิจการใน ค.ศ. 2004 จากการบริหารกิจการที่ล้มเหลวของรัฐบาลในขณะนั้น หลังจากนั้นได้มีการจัดตั้งสายการบินเปเอา วาวาอู ขึ้นเพื่อรองรับการเดินทางภายในประเทศ อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้เพิกถอนใบอนุญาตสายการบินนี้หลังจากเหตุการณ์เพลิงไหม้สำนักงานแห่งหนึ่งของสายการบิน สายการบินของต่างประเทศ ได้แก่ แอร์นิวซีแลนด์ เวอร์จินออสเตรเลีย และฟีจีแอร์เวย์ เป็นผู้ดำเนินการการเดินทางระหว่างประเทศในตองงา ส่วนสายการบินเรียลตองงาดำเนินการการเดินทางในประเทศ === การสื่อสาร === ในประเทศตองงามีสื่อพิมพ์เผยแพร่รายสัปดาห์อยู่ 2 ฉบับ คือ นิตยสารมาตางีโตงาซึ่งเป็นของเอกชนและหนังสือพิมพ์ "Tonga Chronicle" ซึ่งเป็นของรัฐบาล โดยตีพิมพ์ในวันศุกร์ของทุกสัปดาห์เป็นภาษาตองงาและภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีหนังสือพิมพ์เอกชน "the Times of Tonga" ซึ่งตีพิมพ์ในเมืองออกแลนด์ นิวซีแลนด์ โดยรายงานข่าวจากหมู่เกาะตองงา 2 อาทิตย์ต่อครั้ง ประเทศตองงามีสถานีวิทยุ 4 สถานี ดังนี้ "Kool 90FM" (รัฐบาลเป็นเจ้าของ), "Tonga Radio "Magic" 89.1 FM", "Nuku'alofa Radio" และ "93FM" ซึ่งทั้งสามสถานีหลังเป็นของเอกชน สถานีโทรทัศน์มีผู้ดำเนินการ 2 รายคือรัฐบาลและดิจิทีวีซึ่งเป็นเอกชน ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเกาะนั้นปรากฏการใช้โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต โดยพบว่ามีโทรศัพท์พื้นฐานใช้งาน 30,000 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 56,000 เครื่อง ขณะที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 8,400 คน === การศึกษา === ระบบการศึกษาแบบสมัยใหม่ในตองงาเริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1826 โดยคณะมิชชันนารีเวสเลยัน หลังจากนั้นไม่นานมิชชันนารีกลุ่มอื่น ๆ ทั้งโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ได้เข้ามาจัดการศึกษา จึงอาจกล่าวได้ว่ารากฐานทางการศึกษาของประเทศตองงามาจากกลุ่มมิชชันนารีเหล่านี้ ซึ่งมีการสอดแทรกหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ในการจัดการเรียนการสอนอีกด้วย การศึกษาภาคบังคับของประเทศตองงากำหนดให้ประชาชนจบการศึกษาไม่ต่ำกว่าชั้นประถมศึกษา ซึ่งข้อกำหนดนี้บังคับใช้มาตั้งแต่ ค.ศ. 1876 การจัดการศึกษาในประเทศตองงาอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะมิชชันนารีกลุ่มต่าง ๆ จนกระทั่ง ค.ศ. 1882 เมื่อรัฐบาลเข้าบริหารระบบการจัดการศึกษาเอง อย่างไรก็ตามคณะมิชชันนารีกลุ่มต่าง ๆ ได้รับอนุญาตให้เปิดโรงเรียนอีกครั้งใน ค.ศ. 1906 ประเทศตองงาถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีระบบการจัดการศึกษาดีเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศโอเชียเนียด้วยกัน เนื่องจากประชาชนชาวตองงาส่วนมากรู้หนังสือ โดยรายงานสำมะโนตองงา ค.ศ. 2011 พบว่าประชาชนชาวตองงารู้หนังสือถึงร้อยละ 98.2 นอกจากนี้ร้อยละ 86 ของประชากรสามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาตองงา ประเทศตองงาจัดการศึกษาภาคบังคับให้แก่เด็กอายุตั้งแต่ 6 ถึง 14 ปี แบบให้เปล่า ซึ่งต่างจากหลายประเทศในเขตโอเชียเนีย ระบบการศึกษาตองงาแบ่งระดับชั้นออกเป็นประถมศึกษา 6 ชั้น มัธยมศึกษา 7 ชั้น และระดับอุดมศึกษา โดยในระดับอุดมศึกษาจะมีทุนให้นักศึกษาชาวตองงาเรียนต่อต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น ซึ่งมีโครงการให้ความช่วยเหลือตองงาในด้านการศึกษา === สาธารณสุข === การสาธารณสุขของประเทศตองงาอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศในโอเชียเนียด้วยกัน อย่างไรก็ตามประชาชนในตองงายังนิยมการรักษาพยาบาลแบบดั้งเดิมอยู่ ประชาชนจะเข้ารับการรักษาตามแผนปัจจุบันก็เมื่อเห็นว่าเป็นวิธีที่เป็นประโยชน์กับการรักษาพยาบาลของตน ประชาชนชาวตองงาได้รับสวัสดิการจากรัฐในการรักษาพยาบาลแบบให้เปล่า แต่ต้องชำระค่ายาด้วยตนเอง การสาธารณสุขภาคเอกชนนั้นยังอยู่ในวงแคบและเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ผู้ดำเนินกิจการส่วนใหญ่เป็นแพทย์แผนโบราณและแพทย์แผนปัจจุบันที่ดำเนินกิจการหลังเสร็จสิ้นการทำงาน นอกจากนี้ในประเทศตองงายังมีระบบการประกันสุขภาพ แต่ระบบการประกันสุขภาพนี้ครอบคลุมเฉพาะข้าราชการ รัฐบาลตองงาแบ่งเกาะต่าง ๆ ของประเทศออกเป็น 4 ส่วนในการบริหารงานด้านสาธารณสุข ตองงามีโรงพยาบาล 4 แห่ง โดยโรงพยาบาลไวโอลาในกรุงนูกูอาโลฟา เมืองหลวงของประเทศ เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ (199 เตียง) โดยเป็นโรงพยาบาลที่รองรับการรักษาพยาบาลขั้นสูง อย่างไรก็ตามการรักษาพยาบาลที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีระดับสูงมากนิยมส่งไปรักษาต่อในประเทศนิวซีแลนด์โดย Medical Transfer Board เป็นผู้อนุมัติ สำหรับโรงพยาบาลอีก 3 แห่งตั้งอยู่ที่เออัว ฮาอะไปและวาวาอู ส่วนในนีอูอาสไม่มีโรงพยาบาล แต่มีศูนย์การแพทย์ของรัฐบาลรองรับการรักษาพยาบาลในบริเวณนี้ ใน ค.ศ. 2010 ประเทศตองงามีแพทย์ 58 คน พยาบาล 379 คนและทันตแพทย์ 10 คน == ประชากร == จากสำมะโนประชากรและเคหะ ค.ศ. 2016 ตองงามีประชากร 100,651 คน และมีความหนาแน่นของประชากรประมาณ 155 คนต่อตารางกิโลเมตร ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตการปกครองโตงาตาปู ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 74 ของประชากรทั้งประเทศ ในจำนวนนี้ส่วนมากอาศัยอยู่ในกรุงนูกูอาโลฟา อันเป็นเขตเมืองเพียงแห่งเดียวของประเทศ ขณะที่เขตการปกครองวาวาอู ฮาอะไป เออัวและนีอูอาสมีประชากรอยู่อาศัยร้อยละ 14, 6, 5 และ 1 ตามลำดับ นับตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประชากรตองงามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทว่าจากการสำมะโนในครั้งนี้กลับพบว่าประชากรโดยรวมทั้งประเทศลดลงร้อยละ 0.51 โครงสร้างประชากรของตองงาระหว่างเพศชายและเพศหญิงไม่แตกต่างกันมาก โดยพบว่ามีประชากรชาย 99.7 คนต่อประชากรหญิง 100 คน แต่หากพิจารณาตามเขตการปกครองอย่างฮาอะไป เออัวและนีอูอาส อัตราส่วนของประชากรชายจะสูงกว่าประชากรหญิงมาก แต่อัตราส่วนของประชากรชายในพื้นที่เหล่านั้นมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากต้องการแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจที่เกาะโตงาตาปูและในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนิวซีแลนด์ ออสเตรเลียและสหรัฐ หากพิจารณาจากเชื้อชาติของประชากร พบว่าประชากรตองงาในประเทศส่วนมากเป็นชาวตองงา มีจำนวน 97,662 คน (ร้อยละ 97) ส่วนร้อยละ 3 ที่เหลือเป็นประชากรกลุ่มอื่น โดยกลุ่มใหญ่ที่สุดได้แก่ ลูกครึ่งตองงา ชาวจีน ชาวยุโรปและชาวฟีจี เป็นต้น ประชากรที่มีเชื้อสายอื่นส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนเกาะโตงาตาปู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงนูกูอาโลฟา ส่วนนีอูอาสและเออัวมีประชากรเชื้อสายอื่นน้อยมาก ซึ่งทั้งสองพื้นที่มีประชากรเชื้อสายอื่นรวมกันเพียง 48 คน เท่านั้น ด้วยประชากรเกือบทั้งประเทศเป็นชาวตองงาหรือมีเชื้อสายตองงา ดังนั้นจึงใช้ภาษาตองงาเป็นภาษาหลักประจำชาติ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับภาษานีวเวอย่างมาก ประชากรของตองงาทางตอนเหนือจะพูดภาษาตองงาต่างสำเนียงกับประชากรทางตอนใต้ นอกจากนี้ประชากรตองงาส่วนใหญ่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ดี ทั้งนี้เนื่องจากระบบการศึกษาและสื่อสารมวลชนที่ใช้ภาษาอังกฤษอย่างแพร่หลาย โดยเอกสารราชการส่วนใหญ่ตีพิมพ์เป็นภาษาตองงาและภาษาอังกฤษ เมื่อพิจารณาการนับถือศาสนาของประชากรตองงาพบว่าส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ร้อยละ 64.1 ในจำนวนนี้ส่วนมากนับถือฟรีเวสเลยันเชิร์ชคิดเป็นร้อยละ 35.05 ขณะที่มีการนับถือนิกายมอร์มอนรองลงมา คิดเป็นร้อยละ 18.6 ขณะที่นิกายโรมันคาทอลิก มีผู้นับถือร้อยละ 14.2 ที่เหลือนับถือศาสนาอื่น ๆ โดยกลุ่มใหญ่สุดเป็นผู้นับถือศาสนาบาไฮ นอกจากนี้จำนวนประชากรที่ไม่นับถือศาสนาใดยังมีจำนวนน้อย แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ประชากรตองงามีอายุคาดหมายเฉลี่ยประมาณ 76.40 ปี นับเป็นประเทศที่มีประชากรอายุยืนยาวในระดับปานกลาง คิดเป็นอันดับที่ 87 ของโลก มีอัตราการเกิดที่ 22.20 คนต่อประชากรหนึ่งพันคน มีอัตราการตาย 4.90 คนต่อประชากรหนึ่งพันคน ประชากรตองงาเผชิญกับปัญหาโรคอ้วน โดยพบว่ากว่าร้อยละ 90 ของประชากรมีน้ำหนักเกินกว่าค่ามาตรฐานตามการคำนวณดัชนีมวลกาย และมีประชากรร้อยละ 60 ของประเทศเป็นโรคอ้วน เมื่อพิจารณาเฉพาะประชากรผู้หญิง พบว่าประชากรหญิงชาวตองงาช่วงอายุระหว่าง 15-85 ปีเป็นโรคอ้วนถึงร้อยละ 70 ประเทศตองงาและประเทศนาอูรูเป็นประเทศที่มีประชากรน้ำหนักเกินและโรคอ้วนมากที่สุดในโลก == วัฒนธรรม == สังคมตองงามีการแบ่งชนชั้นตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการแบ่งชนชั้นในสังคมตองงาเริ่มลดลงหลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปัจจุบัน ในสังคมตองงาแบ่งผู้คนออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงซึ่งเป็นชนชั้นนำของสังคม กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มของนักบวชและชนชั้นนำอื่น ๆ ส่วนกลุ่มที่สามเป็นกลุ่มสามัญชน สถานภาพของบุคลในตองงาตามโครงสร้างทางสังคมและครอบครัวนั้นขึ้นอยู่กับสถานะและอำนาจของบุคคลนั้น เพศและอายุมีส่วนในการจัดโครงสร้างชนชั้นด้วย โดยทั่วไปเพศหญิงมีสถานภาพสูงกว่าผู้ชาย อย่างไรก็ตาม ชายเป็นเจ้าของที่ดินและสามารถส่งต่อบรรดาศักดิ์ของตนแก่บุตรหลานที่เป็นชายได้ === ดนตรี === ข้อมูลเกี่ยวกับดนตรีและเครื่องดนตรีพื้นเมืองของตองงาช่วงก่อนมีการติดต่อกับชาวตะวันตกนั้นมีอยู่น้อยมาก อย่างไรก็ตามกัปตันเจมส์ คุก และวิลเลียม มาริเนอร์ ได้บันทึกเกี่ยวกับดนตรีและเพลงของตองงาไว้ เครื่องดนตรีตองงาส่วนใหญ่เป็นประเภทเครื่องกระทบ เครื่องดนตรีในกลุ่มเครื่องกระทบที่สำคัญของตองงา เช่น กลองนาฟาซึ่งทำจากไม้ ตาฟูอาซึ่งทำจากไม้ไผ่และอูเตเตซึ่งมีลักษณะคล้ายกับพิณ เป็นต้น นอกจากกลุ่มนี้แล้ว เครื่องดนตรีพื้นเมืองของตองงายังมีทั้งกลุ่มเครื่องสายและกลุ่มเครื่องลม อย่างไรก็ตาม เครื่องดนตรีในกลุ่มเครื่องหนังนั้นเพิ่งเข้ามาแพร่หลายในตองงาเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยนำเข้าจากซามัว พร้อมกับการเต้นมาอูลูอูลู ปัจจุบันดนตรีและบทเพลงของตองงาได้รับอิทธิพลจากดนตรีของยุโรปและแคริบเบียน โดยนำดนตรีที่ได้รับอิทธิพลจากภูมิภาคอื่นเหล่านี้มาใช้ร่วมกับดนตรีพื้นเมืองและบทเพลงพื้นเมือง === การเต้นรำ === การเต้นรำของตองงาได้รับการอนุรักษ์และสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน การเต้นรำที่ขึ้นชื่อที่สุดของตองงาในปัจจุบันคือการเต้นเมเอตูอูปากี ซึ่งเป็นการเต้นรำที่ใช้ผู้ชายแสดงเท่านั้น โดยใช้เครื่องดนตรีประกอบการแสดง 3 ชิ้น คือ กลอง อูเตเตและ Ratchet โดยมีผู้ชายและผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านหน้าผู้เต้นเป็นผู้ร้องสนับสนุน ในอดีตการเต้นเมเอตูอูปากีจะเต้นในโอกาสการเฉลิมฉลองระดับชาติเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีการจัดแสดงเมเอตูอูปากีตามหมู่บ้านต่าง ๆ บ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังมีการเต้นรำอีกแบบหนึ่งซึ่งเรียกว่าโอตูฮากา ที่ใช้นักแสดงทั้งชายและหญิง การแสดงประเภทนี้เป็นการแสดงที่ใช้มือประกอบการแสดงบ่อยมาก เครื่องดนตรีที่นิยมใช้ประกอบการแสดงคือเครื่องดนตรีตะวันตกผสมผสานกับเครื่องดนตรีพื้นเมือง โดยเครื่องดนตรีตะวันตกที่นำมาใช้คือกีตาร์ ในขณะที่ตาฟูอาเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองที่ใช้ประกอบการแสดง การเต้นรำอีกประเภทหนึ่งของตองงาที่มีชื่อเสียงมากและได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ใน ค.ศ. 2013 คือลากาลากา โดยการเต้นรำประเภทนี้ถือได้ว่าเป็นนาฏศิลป์ประจำชาติของประเทศตองงา การเต้นรำลากาลากาเป็นการเต้นรำที่ใช้ทั้งการเต้น การพูด การใช้เสียงและเครื่องดนตรี การเต้นลากาลากาจะใช้ผู้แสดงประมาณ 100 คน ผสมผสานกันทั้งชายและหญิง ชายจะแสดงท่าทางที่มีพลัง ขณะที่หญิงจะแสดงท่าทางที่สวยงาม === อาหารและเครื่องดื่ม === ชาวตองงาสมัยก่อนนิยมรับประทานผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเป็นอาหารหลัก อันได้แก่ มันเทศ กล้วย มะพร้าว และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่น ๆ ผลิตภัณฑ์จากทะเลก็สำคัญเนื่องจากสามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่น ชาวตองงาสมัยโบราณนิยมบริโภคปลาและสัตว์จำพวกหอย โดยที่ปลาต้องผ่านกรรมวิธีการอบความร้อนก่อน ขณะที่สัตว์จำพวกหอยชาวตองงาสมัยโบราณนิยมบริโภคแบบดิบ นิยมบริโภคน้ำกะทิเป็นเครื่องดื่ม นอกจากนี้ยังพบหลักฐานการเลี้ยงสุกรในครัวเรือนชาวตองงาสมัยโบราณอีกด้วย หลังชาวยุโรปเข้ามา ชาวยุโรปได้นำพืชต่างถิ่นเข้ามาในตองงาส่งผลให้อาหารและเครื่องดื่มของตองงาในยุคหลังได้รับอิทธิพลมาจากพืชเหล่านั้น โดยพืชที่ชาวยุโรปนำเข้ามาในตองงาคือ หัวหอม กะหล่ำปลี แคร์รอต มะเขือเทศ ส้ม มะนาว ยักกา รวมไปถึงแตงโม แตงโมกลายเป็นหนึ่งในพืชที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศตองงา เนื่องจากแตงโมเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำเครื่องดื่มของตองงาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอย่างหนึ่งคือโอไต ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีแตงโมและมะพร้าวเป็นส่วนประกอบ บางครั้งมีการนำมะม่วงหรือสับปะรดเป็นวัตถุดิบด้วย ชาวตองงานอกจากจะนำพืชที่ชาวยุโรปนำเข้ามาทำเป็นเครื่องดื่มแล้ว ยังนำพืชนั้นมาปรุงเป็นอาหารพื้นเมืองด้วย ยกตัวอย่างเช่น ลูปูลู ซึ่งนำมะเขือเทศและหัวหอมมาปรุงพืชพื้นเมืองตองงาและเนื้อจนได้เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในตองงาอย่างหนึ่ง นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ประเทศตองงายังมีเครื่องดื่มยอดนิยมอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คาวา โดยคาวานั้นทำมาจากต้นคาวา นิยมใช้ในพิธีการรวมทั้งพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ชาวตองงานิยมนำคาวามาใช้รักษาโรคและบรรเทาอาการหลากหลาย ซึ่งคาวามีสรรพคุณในการรักษาอาการปวดข้อ วัณโรค หนองในและอาการไข้ === กีฬา === กีฬาประจำชาติและได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศตองงา คือ รักบี้ ประเทศตองงาเข้าร่วมการแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลกตั้งแต่ ค.ศ. 1987 ซึ่งเป็นการจัดชิงแชมป์โลกครั้งแรก การแข่งขันที่ตองงาประสบความสำเร็จมากที่สุดคือการแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลกใน ค.ศ. 2007 และ ค.ศ. 2011 ซึ่งสามารถจบในอันดับที่ดีพอที่จะเข้าแข่งขันในครั้งต่อไปโดยอัตโนมัติ ด้านกีฬาฟุตบอล ประเทศตองงาเป็นสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศและสมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนียตั้งแต่ ค.ศ. 1994 ฟุตบอลทีมชาติตองงาเข้าแข่งขันระดับนานาชาติครั้งแรกในเซาธ์แปซิฟิกเกมส์ โดยการแข่งขั้นในครั้งแรกนั้นพบกับฟุตบอลทีมชาติตาฮีตี ซึ่งฟุตบอลทีมชาติตองงาแพ้ 8–0 ผลการแข่งขันที่แย่ที่สุดของฟุตบอลทีมชาติตองงาคือการแพ้ต่อฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลีย 22–0 ใน ค.ศ. 2001 ส่วนผลการแข่งขันที่ดีที่สุดของฟุตบอลทีมชาติตองงาคือการชนะฟุตบอลทีมชาติไมโครนีเซีย 7 –0 ใน ค.ศ. 2003 คณะกรรมการโอลิมปิกของประเทศตองงานั้นก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1963 และได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากลใน ค.ศ. 1984 ประเทศตองงาเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งแรกใน ค.ศ. 1984 ประเทศตองงาเคยได้รับ 1 เหรียญรางวัลจากการแข่งขันโอลิมปิกใน ค.ศ. 1996 ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐ โดยในครั้งนั้น ปาเออา วอฟแฟรม นักกีฬามวยสากลสมัครเล่น ได้เหรียญเงิน ส่วนการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวนั้น ตองงาจะเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว 2014 ที่เมืองโซชิ ประเทศรัสเซีย เป็นครั้งแรก === วันหยุดราชการ === ประเทศตองงาประกาศให้มีวันหยุดราชการ 10 วัน โดยมีวันหยุดราชการที่มีความเกี่ยวข้องกับประเทศ 6 วันและมีวันหยุดราชการที่เป็นสากลอีก 4 วัน เช่น วันอีสเตอร์และวันคริสต์มาส {|class="wikitable sortable" style="margin: 1em auto 1em auto;" ! scope=col class="unsortable" |วันที่ ! ชื่อ ! ชื่อวันในภาษาอังกฤษ |- | 1 มกราคม | วันขึ้นปีใหม่ | New Year’s Day |- | - | วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรตองงา | Birthday of the reigning Sovereign of Tonga |- | - | วันเฉลิมพระชนมพรรษามกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรตองงา | Birthday of the Heir to the Crown of Tonga |- | - | วันศุกร์ประเสริฐ | Good Friday |- | - | วันจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ | Easter Monday |- | 4 มิถุนายน | วันเอกราช | Emancipation Day |- | - | วันเฉลิมฉลองการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรตองงา | the Anniversary of the Coronation Day of the reigning Sovereign of Tonga |- | 4 ตุลาคม | วันรัฐธรรมนูญ | Constitution Day |- | 4 ธันวาคม | วันเฉลิมฉลองการครองราชย์ของพระเจ้าจอร์จ ตูโปอูที่ 1 | The Anniversary of the Coronation of H.M. King George Tupou I |- | 25 ธันวาคม | วันคริสต์มาส | Christmas Day and the day immediately succeeding Christmas Day |- |} == อ้างอิง == == อ่านเพิ่ม == === ชาติพันธุ์วรรณนา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ === On the Edge of the Global: Modern Anxieties in a Pacific Island Nation (2011) by Niko Besnier. Stanford, CA: Stanford University Press, Islanders of the South: Production, Kinship and Ideology in the Polynesian Kingdom of Tonga (1993) by Paul van der Grijp. Leiden: KITLV Press. Identity and Development: Tongan Culture, Agriculture, and the Perenniality of the Gift (2004) by Paul van der Grijp. Leiden: KITLV Press. Manifestations of Mana: Political Power and Divine Inspiration in Polynesia (2014) by Paul van der Grijp. Vienna and Berlin: LIT Verlag. Becoming Tongan: An Ethnography of Childhood by Helen Morton Queen Salote of Tonga: The Story of an Era, 1900–65 by Elizabeth Wood-Ellem Tradition Versus Democracy in the South Pacific: Fiji, Tonga and Western Samoa by Stephanie Lawson Voyages: From Tongan Villages to American Suburbs Cathy A. Small Friendly Islands: A History of Tonga (1977). Noel Rutherford. Melbourne: Oxford University Press. Tonga and the Tongans: Heritage and Identity (2007) Elizabeth Wood-Ellem. Alphington, Vic.: Tonga Research Association, Early Tonga: As the Explorers Saw it 1616–1810. (1987). Edwin N Ferdon. Tucson: University of Arizona Press; The Art of Tonga (Ko e ngaahi'aati'o Tonga) by Keith St Cartmail. (1997) Honolulu : University of Hawai`i Press. The Tonga Book by Paul. W. Dale Tonga by James Siers === สัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อม === Birds of Fiji, Tonga and Samoa by Dick Watling A Guide to the Birds of Fiji and Western Polynesia: Including American Samoa, Niue, Samoa, Tokelau, Tonga, Tuvalu and Wallis and Futuna by Dick Watling Guide to the Birds of the Kingdom of Tonga by Dick Watling === หนังสือท่องเที่ยว === Lonely Planet Guide: Samoan Islands and Tonga by Susannah Farfor and Paul Smitz Moon Travel Guide: Samoa-Tonga by David Stanley === บรรณานุกรม === === บันเทิงคดี === == แหล่งข้อมูลอื่น == Tonga. The World Factbook. Central Intelligence Agency. Tonga from UCB Libraries GovPubs ต ต ตองงา ตองงา รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2513 อดีตรัฐในอารักขาของอังกฤษ กลุ่มเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ต
thaiwikipedia
1,771
เค-วัน
เค-วัน (K-1) คือ กีฬาต่อสู้ที่นำศิลปะการต่อสู้แขนงต่าง ๆ มาสู้กัน เช่น มวยไทย คาราเต้ คิกบ็อกซิ่ง กังฟู เทควันโด มวยสากล และอื่น ๆ โดยใช้กติกาเดียวกันคือ ห้ามศอกและโน้มคอตีเข่า กีฬานี้เริ่มในปี พ.ศ. 2537 โดยอาจารย์คาซูโยชิ อิชิอิ (Kazuyoshi Ishii) เจ้าสำนักเซโดไคคังคาราเต้ ในประเทศญี่ปุ่น มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2539 โดยฟูจิทีวี == ปัญหาทางการเงิน == เริ่มต้นใน พ.ศ. 2553 มีหลายประเด็นเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินของเค-วัน รวมถึงเอฟอีจี ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของรายการดังกล่าว ไซมอน รัตซ์ ซึ่งเป็นเจ้าของรายการคิกบ็อกซิ่งอิสโชว์ไทม์ชาวดัตช์ ได้อ้างในเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 ว่านักสู้บางรายของอิสโชว์ไทม์ไม่ได้รับเงินจากทางเค-วัน ในช่วงต้น พ.ศ. 2554 ทางบริษัทได้ประกาศทางสาธารณะว่าพวกเขากำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงิน และจะหยุดดำเนินการในบางเดือนเพื่อปรับโครงสร้างขององค์กร นี่จึงได้รับการสันนิษฐานว่าอาจเกิดปัญหาทางการเงินที่รุนแรง ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าทางเอฟอีจีสามารถที่จะสูญเสียกรรมสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของรายการเค-วัน == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == K-1 Official Website K-1FANS ศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น
thaiwikipedia
1,772
จังหวัดนนทบุรี
นนทบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นครั้งล่าสุดโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนครนายก พุทธศักราช 2489 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ปัจจุบัน จังหวัดนนทบุรีจัดเป็นพื้นที่ในเขตปริมณฑลของกรุงเทพมหานคร มีขนาดเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 75 ของประเทศ (รวมกรุงเทพมหานคร) แต่มีประชากรหนาแน่นที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากกรุงเทพมหานคร == ประวัติศาสตร์ == สภาพทั่วไปของจังหวัดนนทบุรีเป็นที่ราบลุ่มมีความอุดมสมบูรณ์ จึงมีผู้คนมาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนหนาแน่นตามริมแม่น้ำเจ้าพระยามาตั้งแต่อดีต เช่น บ้านวัดชลอ บ้านวัดเขมา บ้านบางม่วง บ้านตลาดขวัญ บ้านบางขนุน เป็นต้น === สมัยอยุธยา === หลักฐานการตั้งถิ่นฐานที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดนนทบุรีปรากฏที่วัดปรางค์หลวง ตั้งอยู่ในตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ เป็นวัดที่มีพระปรางค์ลักษณะย่อมุมไม้ยี่สิบขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นหลักแก่ชุมชนชาวเมืองอู่ทองที่อพยพหนีโรคระบาดมาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณนี้ก่อนจะมีการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ชุมชนแห่งนี้ได้ขยายตัวและกระจัดกระจายออกไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ในบริเวณนี้ โดยมีชุมชนสำคัญอีกแห่งหนึ่งคือ บ้านตลาดขวัญ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ท้องที่จังหวัดนนทบุรีทั้งหมดในสมัยนี้ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งปี พ.ศ. 2091 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยา จากเหนือวัดชลอไปทะลุใกล้วัดมูลเหล็ก (ปัจจุบันคือวัดสุวรรณคีรี เขตบางกอกน้อย) เพื่อใช้เป็นเส้นทางลัดในการเดินทางและเพื่อเพิ่มปริมาณแหล่งน้ำสำหรับการเกษตรในพื้นที่ ในปีเดียวกันนั้น พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ กษัตริย์พม่าได้ยกกองทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ผลจากสงครามทำให้สมเด็จพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์บนคอช้าง เมื่อพม่ายกทัพกลับไป และกรุงศรีอยุธยาได้จัดการพระศพสมเด็จพระสุริโยทัยเรียบร้อยแล้ว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงทรงปรับปรุงกิจการทหารให้มั่นคงกว่าเดิม พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองใหม่ขึ้นอีกหลายเมือง รวมทั้งให้ยกฐานะหมู่บ้านตลาดขวัญขึ้นเป็น เมืองนนทบุรี ในปี พ.ศ. 2092 เนื่องจากมีราษฎรจำนวนมากหนีภัยสงครามครั้งนั้นไปอยู่ตามป่าเขาและไม่ยอมกลับพระนคร หากตั้งเมืองใหม่ขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อการเกณฑ์ไพร่พลเมื่อเกิดสงคราม นอกจากนี้ยังสามารถเป็นเมืองท่าและเมืองหน้าด่านของกรุงศรีอยุธยาได้อีกด้วย ที่ตั้งของเมืองนนทบุรีในครั้งแรกนี้ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีวัดเทพอุรุมภังค์ (วัดหัวเมือง) เป็นเขตเหนือ (ปัจจุบันคือโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า) และมีวัดท้ายเมืองเป็นเขตใต้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2179 รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองลัดตัดส่วนโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ใต้วัดท้ายเมืองไปทะลุออกหน้าวัดเขมา (เดิมแม่น้ำเจ้าพระยาไหลวกเข้าไปทางบางกรวยและบางใหญ่) ซึ่งทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทางเดินไหลเข้าคลองที่ขุดใหม่ กลายเป็นแนวแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าศาลากลางจังหวัดหลังเก่าในปัจจุบัน ส่วนแม่น้ำเดิมก็ตื้นเขินลงเป็นคลองอ้อม คลองบางกอกน้อย และคลองบางกรวยตามที่ปรากฏในปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2208 สมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีพระราชดำริว่า แนวแม่น้ำเจ้าพระยาที่สั้นลงจะทำให้ข้าศึกเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาได้ง่ายขึ้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองนนทบุรีจากบ้านตลาดขวัญไปตั้งบริเวณปากคลองอ้อม บ้านบางศรีเมือง (ที่ตั้งเมืองอยู่บริเวณนี้จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) และให้สร้างกำแพงเมืองรวมทั้งป้อมปราการขึ้น 2 ป้อม คือ "ป้อมแก้ว" ตั้งอยู่ที่บ้านตลาดแก้ว (สันนิษฐานว่าอยู่ที่วัดปากน้ำในปัจจุบัน) และ "ป้อมทับทิม" ตั้งอยู่บริเวณวัดเฉลิมพระเกียรติในปัจจุบัน (ปัจจุบันกำแพงและป้อมถูกรื้อไปหมดแล้ว) ในช่วงนี้สภาพเศรษฐกิจของเมืองนนทบุรีมีความมั่นคงมาก ทั้งการค้าขายและการทำสวนผลไม้ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2264 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองลัดเกร็ดขึ้นตัดความโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงที่ไหลวกอ้อมไปทางบางบัวทอง ต่อมากระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางการไหล ชายฝั่งทั้งสองข้างของคลองลัดเกร็ดถูกกัดเซาะให้ห่างออกจากกันมากขึ้น พื้นที่ตรงกลางที่มีน้ำล้อมรอบจึงกลายเป็นเกาะ เรียกว่า "เกาะเกร็ด" ปี พ.ศ. 2307 ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเล็กน้อย พระเจ้ามังระ กษัตริย์พม่า โปรดเกล้าฯ ให้มังมหานรธาเป็นแม่ทัพเข้าตีเข้ากรุงศรีอยุธยาจากทางทิศใต้ ตีหัวเมืองรายทางเรื่อยมาจนถึงเมืองธนบุรีและเมืองนนทบุรี ก็เข้ายึดเมืองทั้งสองได้เช่นกัน พม่าแบ่งกำลังบางส่วนขึ้นมาตั้งค่ายอยู่บริเวณวัดเขมา ขณะนั้นมีเรือกำปั่นอังกฤษซึ่งมาค้าขายอยู่ที่เมืองธนบุรีได้อาสาช่วยรบโดยยิงปืนเข้าใส่ค่ายพม่าในเวลากลางคืน แต่ในที่สุดก็สู้กองทัพพม่าไม่ได้ จึงล่องเรือหนีไป จากนั้นกองทัพพม่าจึงบุกขึ้นไปทางทิศเหนือ เข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2309 และเข้ายึดได้ในปี พ.ศ. 2310 ตลอดการสู้รบได้ส่งผลให้บ้านเมือง วัดวาอารามต่าง ๆ ถูกทำลายและทิ้งร้าง ชาวเมืองนนทบุรีต้องอพยพจากถิ่นที่อยู่เดิม ข้ามแม่น้ำไปหลบซ่อนในสวนบางกรวยและบางใหญ่เพื่อหนีภัยสงคราม === สมัยธนบุรี === ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน ได้โปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงไปรับครอบครัวชาวมอญมาตั้งบ้านเรือนอยู่ในแขวงเมืองนนท์ ในท้องที่ปากเกร็ด หลังจากที่มอญพ่ายพม่า ในภาวะสงครามคืนสู่ปกติ ชาวนนทบุรีเริ่มเพาะปลูก ค้าขายและติดต่อกับเมืองหลวง นนทบุรีขณะนั้นมีสถานะเป็นชานพระนคร ยังเป็นแหล่งรองรับชาวกรุงเก่า === สมัยรัตนโกสินทร์ === ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้ผู้คนต่างถิ่นตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองนนทบุรี เมืองปทุมธานี และเมืองนครเขื่อนขันธ์ นอกจากนี้ยังมีชาวไทยมุสลิมเมืองปัตตานีที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และชาวไทยมุสลิมเมืองไทรบุรีที่เข้ามาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งสองพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ชาวไทยมุสลิมเหล่านี้ตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าอิฐ (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอปากเกร็ด) และบ้านบางบัวทอง ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนสร้อยชื่อเมืองจากเดิมคือ เมืองนนทบุรีศรีมหาสมุทร เป็น เมืองนนทบุรีศรีมหาอุทยาน และต่อมาเปลี่ยนเป็น เมืองนนทบุรีศรีเกษตราราม ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนี้ เมืองนนทบุรีมีฐานะเป็นหัวเมืองชายทะเล สังกัดกรมท่า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงปฏิรูปการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ เป็นการปกครองส่วนภูมิภาค เมืองนนทบุรี จึงจัดอยู่ในมณฑลกรุงเทพ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอตลาดขวัญ อำเภอบางใหญ่ อำเภอบางบัวทอง และอำเภอปากเกร็ด ส่วนศาลากลางเมืองนนทบุรีนั้นโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายจากปากคลองอ้อม บ้านบางศรีเมือง มาตั้งอยู่ที่ปากคลองบางซื่อใกล้วัดท้ายเมือง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่าเมืองเป็น "จังหวัด" เมืองนนทบุรีจึงเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น จังหวัดนนทบุรี นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2471 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายศาลากลางจังหวัดนนทบุรีมาตั้งที่โรงเรียนราชวิทยาลัย ศาลากลางจังหวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากที่ทำการเมืองและศาลากลางจังหวัดนนทบุรีในอดีตลงมาทางทิศใต้ ปัจจุบันก็คือศาลากลางจังหวัดหลังเก่าบริเวณท่าน้ำนนทบุรีนั่นเอง === สมัยปัจจุบัน === ในปี พ.ศ. 2474 ทางราชการได้ตัดถนนประชาราษฎร์ ขึ้นเป็นเส้นทางเชื่อมการคมนาคมระหว่างจังหวัดนนทบุรีกับจังหวัดพระนครสายแรก และต่อมาจึงตัดถนนพิบูลสงครามเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเป็นสายที่สอง ในท้องที่ตำบลสวนใหญ่ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2485 เกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางราชการจึงยุบจังหวัดนนทบุรีลงเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ โดยโอนอำเภอเมืองนนทบุรีและอำเภอปากเกร็ดไปขึ้นกับจังหวัดพระนคร และโอนอำเภอบางกรวย อำเภอบางใหญ่ และอำเภอบางบัวทองไปขึ้นกับจังหวัดธนบุรี จนกระทั่งนนทบุรีได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2489 อำเภอต่าง ๆ จึงกลับมาอยู่ในเขตการปกครองของทางจังหวัดตามเดิม ปี พ.ศ. 2499 กระทรวงมหาดไทยได้ยกกิ่งอำเภอไทรน้อยซึ่งแยกพื้นที่ปกครองจากอำเภอบางบัวทองมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 ให้มีฐานะเป็นอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรีจึงมีเขตการปกครองรวม 6 อำเภอจนถึงปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2535 กระทรวงมหาดไทยย้ายศาลากลางจังหวัดนนทบุรีและหน่วยงานราชการอื่น ๆ ไปตั้งอยู่ที่ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี ถนนรัตนาธิเบศร์ ตำบลบางกระสอ และใช้เป็นที่ทำการมาจนถึงทุกวันนี้ === ทำเนียบผู้ว่าราชการ === รายนามผู้ว่าราชการเมืองนนทบุรีและผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี {|class="toccolours" |- ! width="50" style="background: #c0c0c0;text-align: center;"| ลำดับ ! width="200" style="background: #c0c0c0;text-align: center;"| ชื่อผู้ว่าราชการ ! width="150" style="background: #c0c0c0;text-align: center;"| ระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ! width="50" style="background: #c0c0c0;text-align: center;"| ลำดับ ! width="200" style="background: #c0c0c0;text-align: center;"| ชื่อผู้ว่าราชการ ! width="150" style="background: #c0c0c0;text-align: center;"| ระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง |- |1 | มหาอำมาตย์ตรี นายพันตรีพระยาไกรโกษา (ทัด สิงหเสนี) |ไม่ทราบข้อมูล |2 | หม่อมเจ้าขจรศุภสวัสดิ์ |ไม่ทราบข้อมูล |- |3 | พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง (ทองย้อย เศวตศิลา) |พ.ศ. 2457–2465 |4 | พระยานนทบุรีศรีเกษตราราม (เล็ก บูรณฤกษ์) |พ.ศ. 2465–2469 |- |5 | พระยาศิริชัยบุรินทร์ (เปี่ยม หงสเดช) |พ.ศ. 2469–2476 |6 | พระยาบริหารเทพธานี (เฉลิม กาญจนาคม) |พ.ศ. 2476–2478 |- |7 | หลวงภูวนารถนราภิบาล (สนิท มหามุสิต) |พ.ศ. 2478–2480 |8 | หลวงวิโรจน์รัฐกิจ (เปรื่อง โรจนกุล) |พ.ศ. 2480–2482 |- |9 | หลวงอรรถเกษมภาษา (สวิง ถาวรพันธ์) |พ.ศ. 2482–2483 |10 | หลวงโยธีพิทักษ์ (โปร่ง สาทิศกุล) |พ.ศ. 2483–2484 |- |11 | นายสุทิน วิวัฒนะ |พ.ศ. 2484–2485 |12 | หลวงนรกิจบริหาร (แดง กนิษฐสุต) |พ.ศ. 2485–2489 |- |13 | นายลิขิต สัตยายุทธ์ |พ.ศ. 2489–2491 |14 | ขุนบุรีภิรมย์กิจ (พริ้ม จารุมาศ) |พ.ศ. 2491–2499 |- |15 | นายประกอบ ทรัพย์มณี |พ.ศ. 2499–2503 |16 | นายสอาด ปายะนันทน์ |พ.ศ. 2503–2510 |- |17 | นายแสวง ศรีมาเสริม |พ.ศ. 2510–2514 |18 | นายวิจิตร แจ่มใส |พ.ศ. 2514–2519 |- |19 | นายสุชาติ พัววิไล |พ.ศ. 2519–2521 |20 | นายศรีพงศ์ สระวาลี |พ.ศ. 2521–2524 |- |21 | นายฉลอง วงษา |พ.ศ. 2524–2526 |22 | ดร.สุกิจ จุลละนันท์ |พ.ศ. 2526–2530 |- |23 | นายปริญญา นาคฉัตรีย์ |พ.ศ. 2530–2534 |24 | นายทวีป ทวีพาณิชย์ |พ.ศ. 2534–2536 |- |25 | นายชัยจิตร รัฐขจร |พ.ศ. 2536–2537 |26 | นายสุจริต ปัจฉิมนันท์ |พ.ศ. 2537–2539 |- |27 | นายวีระชัย แนวบุญเนียร |พ.ศ. 2539–2542 |28 | นายขวัญชัย วศวงศ์ |พ.ศ. 2542–2544 |- |29 | นายสาโรช คัชมาตย์ |พ.ศ. 2544–2545 |30 | นายชาญชัย สุนทรมัฎฐ์ |พ.ศ. 2545–2547 |- |31 | นายพระนาย สุวรรณรัฐ |พ.ศ. 2547–2549 |32 | นายเชิดวิทย์ ฤทธิประศาสน์ |พ.ศ. 2549–2552 |- |33 | นายวิเชียร พุฒิวิญญู |พ.ศ. 2552–2556 |34 | นายธนน เวชกรกานนท์ |พ.ศ. 2556–2557 |- |35 | นายชนม์ชื่น บุญญานุสาสน์ |พ.ศ. 2557–2558 |36 | นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ |พ.ศ. 2558–2560 |- |37 | นายภานุ แย้มศรี |พ.ศ. 2560–2562 |38 | นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ |พ.ศ. 2562–2565 |- |39 | นายสุธี ทองแย้ม |พ.ศ. 2565–ปัจจุบัน | | | |} == ภูมิศาสตร์ == === ที่ตั้งและอาณาเขตติดต่อ === จังหวัดนนทบุรีตั้งอยู่ในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือค่อนทางเหนือ 20 กิโลเมตร มีพื้นที่ปกครองทั้งหมด 622.303 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 388,939.375 ไร่ โดยมีพิกัดภูมิศาสตร์อยู่ละติจูดที่ 13 องศา 47 ลิปดาเหนือ ถึงละติจูดที่ 14 องศา 04 ลิปดาเหนือ และลองจิจูดที่ 100 องศา 15 ลิปดาตะวันออก ถึงลองจิจูดที่ 100 องศา 34 ลิปดาตะวันออก และมีอาณาเขตจรดอำเภอและจังหวัดข้างเคียงเรียงตามเข็มนาฬิกา ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อำเภอลาดหลุมแก้ว และอำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ทิศตะวันออก ติดต่อกับเขตดอนเมือง เขตหลักสี่ และเขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร (ฝั่งพระนคร) ทิศใต้ ติดต่อกับเขตบางพลัด เขตตลิ่งชัน และเขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร (ฝั่งธนบุรี) ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอพุทธมณฑลและอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม === ลักษณะภูมิประเทศ === จังหวัดนนทบุรีเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีแม่น้ำไหลผ่าน จึงแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งตะวันตก มีพื้นที่ 3 ใน 4 ของจังหวัด พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มมีน้ำท่วมถึง มีคูคลองขนาดต่าง ๆ เชื่อมโยงกันหลายสายเหมือนใยแมงมุม มีการทำเรือกสวนไร่นา และฝั่งตะวันออกมีพื้นที่ 1 ใน 3 ของจังหวัด ได้แก่พื้นที่ในเขตเทศบาลนครนนทบุรีและเทศบาลนครปากเกร็ด เป็นเขตเมืองมีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น อาจถือได้ว่าส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวง เพราะเขตแดนระหว่างนนทบุรีกับกรุงเทพมหานครนั้นแทบจะไม่เป็นที่รู้จัก === ลักษณะภูมิอากาศ === สภาพภูมิอากาศของจังหวัดนนทบุรีเป็นแบบร้อนชื้นเช่นเดียวกับจังหวัดอื่น ๆ ในภาคกลางของประเทศ == สัญลักษณ์ประจำจังหวัด == ตัวอักษรย่อ จังหวัดนนทบุรีใช้อักษรย่อ "นบ" คำขวัญประจำจังหวัด พระตำหนักสง่างาม ลือนามสวนสมเด็จ เกาะเกร็ดแหล่งดินเผา วัดเก่านามระบือ เลื่องลือทุเรียนนนท์ งามน่ายลศูนย์ราชการ ตราประจำจังหวัด รูปหม้อน้ำลายวิจิตร หมายถึง ชาวจังหวัดนนทบุรีมีอาชีพทำเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งยึดถือเป็นอาชีพและมีชื่อเสียงมาช้านาน ต้นไม้ประจำจังหวัด ต้นนนทรี (Peltophorum pterocarpum) ดอกไม้ประจำจังหวัด ดอกนนทรี สัตว์น้ำประจำจังหวัด ปลาเทพา (Pangasius sanitwongsei) ไฟล์:Seal Nonthaburi.png|ตราประจำจังหวัดนนทบุรี ไฟล์:Starr 030514-0025 Peltophorum pterocarpum.jpg|ต้นนนทรี ต้นไม้ประจำจังหวัด ไฟล์:Yellow flame flowers.jpg|ดอกนนทรี ดอกไม้ประจำจังหวัด ไฟล์:Pangasius sanitwongsei.jpg|ปลาเทพา สัตว์น้ำประจำจังหวัด == การแบ่งเขตการปกครอง == === การปกครองส่วนภูมิภาค === จังหวัดนนทบุรีแบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาค (ตามกฎหมายลักษณะปกครองท้องที่) ออกเป็น 6 อำเภอ 52 ตำบล 424 หมู่บ้าน แต่หากไม่นับรวมหน่วยการปกครองในเขตเทศบาลเมืองและเทศบาลนครซึ่งยุบเลิกตำแหน่งกำนันและผู้ใหญ่บ้านแล้ว จะมีทั้งหมด 34 ตำบล 328 หมู่บ้าน โดยอำเภอทั้ง 6 อำเภอของจังหวัดนนทบุรี มีรายชื่อและข้อมูลทั่วไปดังนี้ {|class="wikitable sortable" |+ข้อมูลอำเภอในจังหวัดนนทบุรี (31 ธันวาคม พ.ศ. 2564) |- ! width="3%" |ลำดับ !! width="18%"|ชื่ออำเภอ !!width="6%"| ชั้น !! width="11%"|พื้นที่ (ตร.กม.) !! width="11%"|ห่างจากตัวจังหวัด (ก.ม.) !! width="10%"|ตั้งเมื่อ (พ.ศ.) !! width="7%"|ตำบล !! width="7%"|หมู่บ้าน !! width="10%"|ประชากร (คน) !! class="unsortable" |แผนที่ |-align="center" | 1 ||  เมืองนนทบุรี|| พิเศษ ||77.018 || – || ไม่ปรากฏข้อมูล || 10 || 26 || 364,073 || rowspan=6 | |-align="center" | 2 ||  บางกรวย|| 2 ||57.408 ||16.86  || 2447 || 9 || 41 || 147,181  |-align="center" | 3 ||  บางใหญ่|| 2 ||96.398 ||8.11  || 2464 || 6 || 69 || 163,791  |-align="center" | 4 ||  บางบัวทอง|| 1 ||116.439 ||15.96  || 2445 || 8 || 73 || 288,587  |-align="center" | 5 ||  ไทรน้อย|| 2 ||186.017 ||29.01  || 2499 || 7 || 68 || 72,821  |-align="center" | 6 ||  ปากเกร็ด|| 1 ||89.023 ||7.45  || 2427 || 12 || 51 || 252,151  |} === การปกครองส่วนท้องถิ่น === พื้นที่จังหวัดนนทบุรีประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 46 แห่ง แบ่งตามประเภทและอำนาจบริหารจัดการภายในท้องที่ได้เป็น องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาล 22 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 23 แห่ง {|class="wikitable" style="line-height:137%" |+ข้อมูลเทศบาลในจังหวัดนนทบุรี |- ! rowspan=2 | ลำดับ ! rowspan=2 | ชื่อเทศบาล ! rowspan=2 | พื้นที่ (ตร.กม.) ! rowspan=2 | ตั้งเมื่อ (พ.ศ.) ! rowspan=2 | อำเภอ ! colspan=3 | ครอบคลุมตำบล ! rowspan=2 | ประชากร สิ้นปี 2563 (คน) |- ! width="7%"| ทั้งตำบล ! width="7%"| บางส่วน ! width="7%"| รวม |-align="center" |- ! colspan="9" | เทศบาลนคร |-align="center" | 1 | align = "left" |   เทศบาลนครนนทบุรี | align = "right" | 38.90 | 2538 | align = "left" |   เมืองนนทบุรี |5||–||5 | align = "right" | 251,026  |-align="center" | 2 | align = "left" |   เทศบาลนครปากเกร็ด | align = "right" | 36.04 | 2543 | align = "left" |   ปากเกร็ด |5||–||5 | align = "right" | 189,458  |-align="center" ! colspan="9" | เทศบาลเมือง |-align="center" | 1 | align = "left" |   เทศบาลเมืองบางบัวทอง | align = "right" | 13.50 | 2480 | align = "left" |   บางบัวทอง |1||4||5 | align = "right" | 51,441  |-align="center" | 2 | align = "left" |   เทศบาลเมืองบางกรวย | align = "right" | 8.40 | 2545 | align = "left" |   บางกรวย |2||–||2 | align = "right" | 44,527  |-align="center" | 3 | align = "left" |   เทศบาลเมืองบางศรีเมือง | align = "right" | 6.36 | 2549 | align = "left" |   เมืองนนทบุรี |1||1||2 | align = "right" | 33,005  |-align="center" | 4 | align = "left" |   เทศบาลเมืองพิมลราช | align = "right" | 15.08 | 2557 | align = "left" |   บางบัวทอง |–||1||1 | align = "right" | 47,874  |-align="center" | 5 | align = "left" |   เทศบาลเมืองบางคูรัด | align = "right" | 19.70 | 2562 | align = "left" |   บางบัวทอง |1||–||1 | align = "right" | 40,360  |-align="center" | 6 | align = "left" |   เทศบาลเมืองบางรักพัฒนา | align = "right" | 11.48 | 2562 | align = "left" |   บางบัวทอง |–||1||1 | align = "right" | 46,986  |-align="center" | 7 | align = "left" |   เทศบาลเมืองบางแม่นาง | align = "right" | 14.40 | 2563 | align = "left" |   บางใหญ่ |–||1||1 | align = "right" | 47,395  |-align="center" | 8 | align = "left" |   เทศบาลเมืองบางกร่าง | align = "right" | 6.55 | 2563 | align = "left" |   เมืองนนทบุรี |–||1||1 | align = "right" | 23,667  |-align="center" | 9 | align = "left" |   เทศบาลเมืองไทรม้า | align = "right" | 8.14 | 2563 | align = "left" |   เมืองนนทบุรี |1||–||1 | align = "right" | 23,742  |-align="center" | 10 | align = "left" |   เทศบาลเมืองใหม่บางบัวทอง | align = "right" | 29.70 | 2563 | align = "left" |   บางบัวทอง |–||1||1 | align = "right" | 55,181  |-align="center" ! colspan="9" | เทศบาลตำบล |-align="center" | 1 | align = "left" |   เทศบาลตำบลปลายบาง | align = "right" | 15.68 | 2542 | align = "left" |   บางกรวย |2||1||3 | align = "right" | 46,355  |-align="center" | 2 | align = "left" |   เทศบาลตำบลบางม่วง | align = "right" | 1.67 | 2542 | align = "left" |   บางใหญ่ |–||3||3 | align = "right" | 6,101  |-align="center" | 3 | align = "left" |   เทศบาลตำบลบางใหญ่ | align = "right" | 7.23 | 2542 | align = "left" |   บางใหญ่ |–||3||3 | align = "right" | 12,083  |-align="center" | 4 | align = "left" |   เทศบาลตำบลไทรน้อย | align = "right" | 2.30 | 2542 | align = "left" |   ไทรน้อย |–||2||2 | align = "right" | 2,511  |-align="center" | 5 | align = "left" |   เทศบาลตำบลศาลากลาง | align = "right" | 14.78 | 2551 | align = "left" |   บางกรวย |1||–||1 | align = "right" | 20,057  |-align="center" | 6 | align = "left" |   เทศบาลตำบลเสาธงหิน | align = "right" | 10.50 | 2554 | align = "left" |   บางใหญ่ |–||1||1 | align = "right" | 39,574  |-align="center" | 7 | align = "left" |   เทศบาลตำบลบางเลน | align = "right" | 7.60 | 2554 | align = "left" |   บางใหญ่ |–||1||1 | align = "right" | 16,376  |-align="center" | 8 | align = "left" |   เทศบาลตำบลบ้านบางม่วง | align = "right" | 11.21 | 2554  | align = "left" |   บางใหญ่ |–||1||1 | align = "right" | 17,599  |-align="center" | 9 | align = "left" |   เทศบาลตำบลบางสีทอง | align = "right" | 5.80 | 2556  | align = "left" |   บางกรวย |1||–||1 | align = "right" | 11,426  |-align="center" | 10 | align = "left" |   เทศบาลตำบลบางพลับ | align = "right" | 8.31 | 2556 | align = "left" |   ปากเกร็ด |1||–||1 | align = "right" | 10,899  |} == ประชากร == ตามข้อมูลจำนวนประชากรของสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564 จังหวัดนนทบุรีมีประชากร 1,288,637 คน คิดเป็นอันดับที่ 15 ของประเทศ โดยแบ่งเป็นประชากรเพศชาย 599,167 คน และประชากรเพศหญิง 689,470 คน นอกจากนี้ยังมีความหนาแน่นประชากรโดยเฉลี่ยถึง 2,070.76 คนต่อตารางกิโลเมตร ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศรองจากกรุงเทพมหานคร ประชากรในจังหวัดนนทบุรีประกอบด้วยหลายเชื้อชาติทั้งไทย (มีจำนวนมากที่สุด มีอยู่ทั่วไปในจังหวัด) จีน มอญ (อพยพมาในสมัยกรุงธนบุรีและสมัยรัชกาลที่ 2) และมลายู (อพยพมาจากเมืองปัตตานีและไทรบุรี) โดยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา รองลงไปเป็นศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาอื่น ๆ จากการจัดเก็บข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน พ.ศ. 2561 ด้านศาสนา พบว่าประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 93.64 รองลงมานับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 6.02 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 0.30 นอกนั้นนับถือศาสนาซิกข์ ฮินดู และอื่น ๆ รวมกันร้อยละ 0.04 เนื่องจากในปัจจุบัน นนทบุรีเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีทำเลที่ตั้งอยู่ในเขตปริมณฑลของเมืองหลวง มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง และมีความพร้อมด้านระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ส่งผลให้ชาวไทยจำนวนมากจากทุกภูมิภาคของประเทศพิจารณาย้ายถิ่นเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่เพื่อความสะดวกในการเดินทางเข้าไปทำงานหรือศึกษาในกรุงเทพมหานคร ดังนั้น ความพลุกพล่านและความหนาแน่นของประชากรในจังหวัดนนทบุรีจึงไม่แตกต่างกับกรุงเทพมหานครมากนัก โดยเฉพาะทางด้านตะวันออกของอำเภอบางกรวย อำเภอเมืองนนทบุรี และอำเภอปากเกร็ดซึ่งอยู่ติดกับเขตเมืองชั้นในและเขตเมืองชั้นกลางของกรุงเทพมหานคร == สถานที่สำคัญและสถานที่ท่องเที่ยว == อำเภอเมืองนนทบุรี ศาลากลางจังหวัดนนทบุรีหลังเก่า ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้ท่าน้ำนนทบุรี ตำบลสวนใหญ่ สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและเป็นที่ตั้งโรงเรียนราชวิทยาลัย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โรงเรียนนี้ถูกยุบเลิกเนื่องจากประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ อาคารโรงเรียนจึงได้ใช้เป็นศาลากลางจังหวัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2471 เป็นอาคารตึกไม้ 2 ชั้น ทรงไทยประยุกต์ ประดับด้วยงานไม้ลายวิจิตร ทำด้วยไม้สักทั้งหลัง เมื่อส่วนราชการจังหวัดทั้งหมดได้ย้ายออกไปตั้งที่ศูนย์ราชการแห่งใหม่ริมถนนรัตนาธิเบศร์ กรมศิลปากรจึงได้ขึ้นทะเบียนศาลากลางแห่งนี้เป็นโบราณสถาน ปัจจุบันพื้นที่บางส่วนเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมและจัดแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชาวนนทบุรี วัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ในซอยพิบูลสงคราม 3 ถนนพิบูลสงคราม ตำบลสวนใหญ่ มีตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสถาปนาวัดนี้เป็นพระอารามหลวงชั้นโท สิ่งที่น่าสนใจในได้แก่ พระมหาเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปะอยุธยา พระตำหนักแดงซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และพระที่นั่งมูลมณเฑียรซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้รื้อจากพระบรมมหาราชวังมาปลูกเป็นตึกไว้ที่นี่ วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซอยบางศรีเมือง-วัดโบสถ์ฯ 4 ถนนบางศรีเมือง-วัดโบสถ์ฯ ตำบลบางศรีเมือง เป็นพระอารามหลวงชั้นโทที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2390 เพื่ออุทิศถวายแด่พระอัยกา พระอัยกี และสมเด็จพระราชชนนี (แต่มาแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) มีการผสมผสานศิลปะจีนตามพระราชนิยมไว้ในการก่อสร้างด้วย เช่น พระอุโบสถหลังคามุงกระเบื้องแบบจีน โดยมีจิตรกรรมฝาผนัง บานประตูและหน้าต่างเขียนลายทองรดน้ำ ส่วนพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วยทองแดงทั้งองค์ มีพระนามว่า "พระพุทธมหาโลกาภินันทปฏิมา" นอกจากนี้ยังมีอาคารที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น พระวิหารหลวง (วิหารพระศิลาขาว) พระเจดีย์ทรงกลม (แบบลังกา) ศาลาการเปรียญหลวง กำแพงใบเสมาและป้อมปราการทั้งสี่มุมรอบวัด อุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ติดกับวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร ซอยบางศรีเมือง-วัดโบสถ์ฯ 4 ถนนบางศรีเมือง-วัดโบสถ์ฯ ตำบลบางศรีเมือง มีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี อุทยานแห่งนี้นอกจากจะเป็นสวนสาธารณะที่มีทั้งร่มเงาและความเงียบสงบให้ผู้ที่ต้องการพักผ่อนแล้ว ยังมีศูนย์ศึกษาธรรมชาติ พืชพรรณ สัตว์ปีก และสัตว์น้ำนานาชนิดอีกด้วย อาคารที่โดดเด่นที่สุดคือ "วิมานสราญนวมินทร์" เป็นอาคารพลับพลาทรงไทยตั้งอยู่กลางสระน้ำของอุทยาน วัดปราสาท ตั้งอยู่ในซอยบางกร่าง 57 ถนนบางกรวย-ไทรน้อย ตำบลบางกร่าง สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จุดเด่นอยู่ที่ผนังพระอุโบสถที่มีลักษณะโค้งตกท้องช้าง สร้างแบบมหาอุด กล่าวคือ ผนังด้านข้างไม่มีหน้าต่าง มีเพียงช่องระบายลมเล็ก ๆ ตรงผนังด้านหลังเท่านั้น ผนังภายในตกแต่งด้วยจิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายโดยฝีมือของสกุลช่างศิลปะนนทบุรี ปัจจุบันถือว่าเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดซึ่งแม้จะเลือนหายไปมากแต่ก็ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างถูกวิธี นอกจากนี้ ที่ศาลาการเปรียญยังมีธรรมาสน์ที่มีลวดลายสวยงาม มีอายุตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายเช่นเดียวกัน ดังนั้น วัดแห่งนี้จึงคุ้มค่าต่อการเข้าเยี่ยมชมและการศึกษาทางโบราณคดีอย่างยิ่ง วัดตำหนักใต้ ตี่งอยู่ที่ซอยนนทบุรี 27 ถนนนนทบุรี 1 ตำบลท่าทราย ตามตำนานเล่าว่าก่อนที่จะมีการสร้างวัด พื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นพลับพลาที่ประทับชั่วคราวของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาก่อน สันนิษฐานว่าพระวิหารและหอระฆังสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. 2367 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย วัดชมภูเวก ตั้งอยู่ที่ซอยนนทบุรี 33 ถนนนนทบุรี 1 ตำบลท่าทราย มีชื่อเดิมว่า "วัดชมภูวิเวก" เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีความเงียบสงบมาก ชาวมอญเป็นผู้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2300 (สมัยอยุธยาตอนปลาย) ปัจจุบันยังคงมีจิตรกรรมฝาผนังพระวิหารและพระอุโบสถที่งดงามหลงเหลืออยู่ รวมทั้งซึ่งเป็นหมู่เจดีย์แบบมอญ (เรียกว่า "พระมุเตา") ที่สร้างโดยพระสงฆ์มอญเมื่อปี พ.ศ. 2460 วัดโชติการาม ตั้งอยู่ที่ซอยบางไผ่ ซอย 4 ถนนบางไผ่พัฒนา-แยกวัดรวก ตำบลบางไผ่ มีชื่อเดิมว่า "วัดสามจีน" สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2350 สิ่งที่สวยงามที่สุดในวัดนี้คือ พระวิหารทรงโรงที่มีจิตรกรรมฝาผนังทั้งสี่ด้าน โดยเขียนภาพตั้งแต่พื้นขึ้นไปจรดเพดาน นอกจากนี้ยังมีพระอุโบสถทรงเรือสำเภาแบบอยุธยาตอนปลายอีกด้วย อำเภอบางกรวย วัดบางไกรใน ตั้งอยู่ที่ถนนวัดโพธิ์เอน-วัดบางไกรใน ตำบลบางขุนกอง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย ตามประวัติกล่าวว่า ลูกหลานของนายไกร (ไกรทอง) ได้สร้างวัดขึ้นในบริเวณนี้เพื่ออุทิศแก่นายไกร ชาวสวนเมืองนนทบุรีผู้ปราบจระเข้ชาละวันแห่งเมืองพิจิตรลงได้ จุดเด่นของวัดอยู่ที่อุโบสถเก่าซึ่งมีอายุกว่า 300 ปี โครงหลังคาสร้างด้วยไม้สักทอง หน้าบันเป็นไม้สักฉลุลวดลาย บานประตูด้านหน้ามีภาพเขียนสีรูปทวารบาลถืออาวุธด้ามยาว ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไกรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) มีศาลนายไกรทองตั้งอยู่ข้างอุโบสถเก่า วัดชลอ วัดโพธิ์บางโอ ตลาดน้ำบางคูเวียง ตลาดน้ำวัดตะเคียน อำเภอบางใหญ่ วัดปรางค์หลวง วัดอัมพวัน วัดสวนแก้ว อำเภอบางบัวทอง วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ คณะสงฆ์จีนนิกายรังสรรค์ เป็นวัดในความอุปถัมภ์ของคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ถนนเทศบาล 9 ตำบลโสนลอย สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเนื่องในวโรกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี 9 มิถุนายน พ.ศ. 2539 ในบริเวณวัดประกอบด้วยวิหารต่าง ๆ ที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมตามแนวปรัชญาและคติธรรมทางศาสนาพุทธจีนนิกายฝ่ายมหายาน เช่น วิหารพระกวนอิมโพธิสัตว์ วิหารหมื่นพุทธเจ้า เป็นต้น อำเภอไทรน้อย ตลาดน้ำไทรน้อย วัดไทรใหญ่ วัดเสนีวงศ์ วัดคลองขวาง หมู่บ้านบอนสีเฉลิมพระเกียรติ โรงเรียนวัดมะสงมิตรภาพที่ 55 อำเภอปากเกร็ด สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ นนทบุรี เป็นสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 80 พรรษา ลำดับที่ 11 ตั้งอยู่ที่หนองปรือ หมู่ที่ 3 ซอยศรีสมาน 4 ถนนศรีสมาน ตำบลบ้านใหม่ มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นน้ำ มีจักรยานน้ำให้เช่าถีบ สวนโดยรอบจัดปลูกพรรณไม้ยืนต้นเพื่อให้ความร่มรื่น รวมทั้งมีการจัดปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ไม้ล้มลุก และไม้ตัดพุ่มสลับสีเพื่อความสวยงาม นอกจากนี้ยังได้รวบรวมไม้ผลที่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณของเมืองนนทบุรีมาจัดปลูกไว้ด้วย เช่น ทุเรียน กระท้อน มะปราง เป็นต้น เกาะเกร็ด คลองขนมหวาน ตลาดน้ำวัดแสงสิริธรรม วัดกู้ วัดปรมัยยิกาวาส วัดเสาธงทอง วัดฉิมพลีสุทธาวาส วัดบางจาก วัดโปรดเกษ วัดท้องคุ้ง วัดสะพานสูง == การขนส่ง == === ระบบราง === รถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม รถไฟฟ้าสายสีชมพู (กำลังก่อสร้าง) ทางรถไฟสายใต้ (สถานีบางบำหรุ) รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดงอ่อน (สถานีบางบำหรุ) รถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล (โครงการ) ทางรถไฟสายบางบัวทอง (ยกเลิกการเดินรถ) === ท่าเรือ === {| | width = "250" valign="top" | ท่าปากเกร็ด ท่าเกาะเกร็ด ท่าวัดกลางเกร็ด ท่ากระทรวงพาณิชย์ | width = "250" valign="top" | ท่าสะพานพระนั่งเกล้า ท่าน้ำนนทบุรี ท่าบางศรีเมือง ท่าสะพานพระราม 5 | width = "250" valign="top" | ท่านครอินทร์ ท่าวัดเขียน ท่าวัดตึก ท่าวัดเขมาภิรตาราม | width = "250" valign="top" | ท่าวัดปากน้ำ ท่าบางกรวย ท่าสะพานพระราม 7 |} == บุคคลที่มีชื่อเสียง == พระสงฆ์ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) – สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เสด็จสถิต ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร พระราชธรรมนิเทศ (พยอม กลฺยาโณ) – เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จังหวัดนนทบุรี นักแสดง / นักร้อง / ผู้กำกับละคร {| | width = "500" valign="top" | ทัศนียา การสมนุช – นักแสดง วรรณรท สนธิไชย – นักแสดง มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ – นักแสดง สุคนธวา เกิดนิมิตร – นักแสดง นางแบบ หนึ่งธิดา โสภณ – นักร้อง นักแสดง ชินารดี อนุพงษ์ภิชาติ – นักร้อง นักแสดง อานัส ฬาพานิช – นักแสดง สุนทร สุจริตฉันท์ – นักแสดง ผู้ประกาศข่าว อภิษฎา เครือคงคา – นักแสดง นักออกแบบเสื้อผ้า อัมราภัสร์ จุลกะเศียน – นางงาม นักแสดง อิศริยา สายสนั่น – นักแสดง พิธีกร ทนาย อนุวัฒน์ นิวาตวงศ์ – นักแสดง ศิริลักษณ์ ผ่องโชค – นักแสดง นักร้อง ธนกฤต พานิชวิทย์ – นักแสดง นักร้อง | width = "500" valign="top" | ขวัญฤดี กลมกล่อม – นักแสดง มนัส ปิติสานต์ – นักแสดงดนตรี นักเขียนเพลง ประยูร ยมเยี่ยม – นักร้อง แม่เพลง ศิลปินแห่งชาติ รัชย์ณมนทร์ รัชย์จิราธรรม (เกรซ เดอะสตาร์ 6) – นักร้อง นักแสดง วทัญญู จิตติเสถียรพร (โฟนลิ้ง เคพีเอ็น 21) – นักร้อง สาวิตรี สุทธิชานนท์ – นักร้อง อนุวรรตน์ ทับวัง – นักร้อง ชาญ บัวบังศร – ศิลปินแห่งชาติ นนทรีย์ นิมิบุตร – ผู้กำกับละคร ศรีอาภา เรือนนาค – นักพากย์การ์ตูน ธัญญวีร์ ชุณหสวัสดิกุล – นักแสดง พรน้ำมนต์ รัชดาพร – นักแสดง จิราพร มณีสา – นักแสดง ชรินพร เงินเจริญ - นักแสดง ญาณิกา ทองประยูร - นักแสดง กมนธิดา โรจน์ทวีนิธิ - นักร้อง รุ่งรดา รุ่งลิขิตเจริญ - นักแสดง |} นักการเมือง {| | width = "500" valign="top" | ฉลอง เรี่ยวแรง – นักการเมือง ชวลิต ยงใจยุทธ – อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 22 อดีตผู้บัญชาการทหารบกและอดีตรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด นิทัศน์ ศรีนนท์ – นักการเมือง แปลก พิบูลสงคราม – อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 | width = "500" valign="top" | วิจิตร เกตุแก้ว – อดีตนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย อภิรักษ์ โกษะโยธิน – อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อภิวันท์ วิริยะชัย – นักการเมือง อุดมเดช รัตนเสถียร – อดีต สส. จังหวัดนนทบุรี |} ผู้สื่อข่าว วาสนา นาน่วม – ผู้สื่อข่าวสายทหาร ยุคล วิเศษสังข์ – ผู้สื่อข่าวช่องเนชั่นทีวี และสื่อออนไลน์ภายใต้ชื่อ "EasyYukhon" นักกีฬา {| | width = "500" valign="top" | ธีราทร บุญมาทัน – นักฟุตบอลทีมชาติไทย | width = "500" valign="top" | วิชาญน้อย พรทวี – นักมวย สุรชาติ พิสิฐวุฒินันท์ – นักมวย |} == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อำเภอเมืองนนทบุรี เทศบาลนครนนทบุรี รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดนนทบุรี รายชื่อสาขาของธนาคารในจังหวัดนนทบุรี รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดนนทบุรี == บรรณานุกรม == คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดนนทบุรี. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2543. รัตนา ศิริพูล. นนทบุรี. กรุงเทพฯ : บริษัท ต้นอ้อ ๑๙๙๙ จำกัด, 2543. == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์ทางการจังหวัดนนทบุรี ฐานข้อมูลสารสนเทศ ศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดนนทบุรี ตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี สำนักงานท้องถิ่นจังหวัดนนทบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานนทบุรี เขต 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานนทบุรี เขต 2 สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี เว็บไซต์สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จังหวัดนนทบุรี โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนนทบุรี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย: ข้อมูลท่องเที่ยวจังหวัดนนทบุรี สมาคมผู้ประกอบวิชาชีพบริหารการศึกษาเอกชนนนทบุรี
thaiwikipedia
1,773
อ่างทอง (แก้ความกำกวม)
อ่างทอง อาจหมายถึง: จังหวัดอ่างทอง อำเภอเมืองอ่างทอง เทศบาลเมืองอ่างทอง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง น้ำตกอ่างทอง (อ.สิเกา จังหวัดตรัง) ตำบลอ่างทอง: * ตำบลอ่างทอง (อ.ศรีนครินทร์, จังหวัดพัทลุง) * ตำบลอ่างทอง (อ.เชียงคำ, จังหวัดพะเยา) * ตำบลอ่างทอง (อ.บรรพตพิสัย, จังหวัดนครสวรรค์) * ตำบลอ่างทอง (อ.เมืองกำแพงเพชร, จังหวัดกำแพงเพชร) * ตำบลอ่างทอง (อ.เมืองราชบุรี, จังหวัดราชบุรี) * ตำบลอ่างทอง (อ.ทับสะแก, จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) * ตำบลอ่างทอง (อ.เกาะสมุย, จังหวัดสุราษฎร์ธานี) หน้าแก้ความกำกวมชื่อสถานที่
thaiwikipedia
1,774
จังหวัดสระแก้ว
สระแก้ว เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกของประเทศไทย แยกออกมาจากจังหวัดปราจีนบุรีเมื่อ พ.ศ. 2536 โดยในปัจจุบันถือเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดในภาคตะวันออก และเป็นอีกหนึ่งจังหวัดพรมแดนที่มีการติดต่อค้าขายเป็นอย่างมาก == ชื่อ == สระแก้ว เป็นชื่อที่มาจากชื่อสระน้ำโบราณซึ่งอยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองสระแก้ว มีอยู่จำนวน 2 สระ ในสมัยกรุงธนบุรีราว พ.ศ. 2323 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นแม่ทัพยกทัพไปตีกัมพูชา (เขมร) ได้แวะพักกองทัพที่บริเวณสระน้ำทั้งสองแห่งนี้ กองทัพได้อาศัยน้ำจากสระใช้สอยและได้ขนานนามสระทั้งสองว่า "สระแก้ว-สระขวัญ" และได้นำน้ำจากสระทั้งสองแห่งนี้ใช้ในการประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา โดยถือว่าเป็นน้ำบริสุทธิ์ == ประวัติศาสตร์ == === การเกิดชุมชนและการตั้งถิ่นฐาน === ประมาณ 4,000 ปีก่อน บริเวณอ่าวไทยยังเป็นทะเลโคลนตมเว้าลึกเข้ามาในแผ่นดินมากกว่าปัจจุบัน พื้นที่ที่เป็นจังหวัดสระแก้วยังไม่มีผู้คนอยู่อาศัย เป็นเพียงแค่ทางผ่าน ต่อมาเริ่มมีคนมาตั้งถิ่นฐานจนขยายใหญ่ขึ้นเป็นหมู่บ้าน ผู้คนพากันตั้งหลักแหล่งบริเวณเชิงเขา ซึ่งปัจจุบันคือ อำเภอตาพระยา อำเภอโคกสูง อำเภอวัฒนานคร อำเภออรัญประเทศ อำเภอเมืองสระแก้ว และอำเภอเขาฉกรรจ์ โดยเฉพาะบนสองฝั่งลำน้ำพระปรงและพระสะทึง จากนั้นผู้คนได้กระจายออกไปอยู่บริเวณที่ดอนกลางทะเลโคลนตม ที่ปัจจุบันคือ อำเภอบ้านสร้าง อำเภอเมืองปราจีนบุรี อำเภอประจันตคาม ในจังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. 1000 ชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานบริเวณเมืองสระแก้วได้พัฒนาเป็นชุมชนที่หนาแน่นขึ้น โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มลำน้ำพระปรง-พระสะทึง มีวัฒนธรรมแบบสุวรรณภูมิสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และแบบทวาราวดี มีศูนย์กลางอยู่ที่เขาฉกรรจ์ และกลุ่มลำห้วยพรมโหด มีวัฒนธรรมแบบขอม ศูนย์กลางอยู่ที่ปราสาทเขาน้อย-เขารังและบ้านเมืองไผ่ (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภออรัญประเทศ) สมัยโบราณ สระแก้วมีความสำคัญในด้านเป็นเส้นทางคมนาคมทางตะวันตก-ตะวันออก (ระหว่างเมืองชายฝั่งทะเลอ่าวไทยกับกัมพูชา) และทางเหนือ-ใต้ (ระหว่างเมืองในลุ่มน้ำโขง ชี มูล กับเมืองชายฝั่งทางจันทบุรี) กระทั่งหลัง พ.ศ. 1500 รัฐพื้นเมืองต่าง ๆ ในสุวรรณภูมิมีการปรับตัวเนื่องจากการทำการค้ากับจีน ประกอบกับภูมิประเทศบริเวณอ่าวไทยเปลี่ยนแปลงกลายเป็นแผ่นดินตื้นเขินขึ้น เส้นทางคมนาคมทางน้ำเปลี่ยนแปลง ผู้คนจึงอพยพย้ายถิ่นออกจากสระแก้ว บริเวณลุ่มน้ำบางปะกงมีกลุ่มบ้านเมืองเกิดขึ้นราว พ.ศ. 1900 เป็นชุมชนขนาดเล็ก ผู้คนเสาะหาของป่าเพื่อส่งส่วยให้แก่ราชธานีต่าง ๆ ต่อมาพัฒนาเป็นเมืองชายแดน เป็นเส้นทางเดินทัพผ่านไปยังกัมพูชา ในสมัยอาณาจักรสุวรรณภูมิและอาณาจักรทวารวดี สระแก้วเป็นชุมชนที่มีความสำคัญแห่งหนึ่ง มีฐานะเป็นเมืองขึ้นของเมืองปราจีนบุรี (เมืองประจิมในสมัยโบราณ) === สมัยอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ === สระแก้วเป็นเมืองชายแดน จึงเป็นทางผ่านของกองทัพในการทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านอยู่บ่อยครั้ง โดยในสมัยอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครั้งยังเป็นสมเด็จพระมหาอุปราช ได้ยกทัพมาปราบปรามอริราชศัตรูที่ลักลอบเข้าโจมตี กวาดต้อนผู้คนบริเวณชายแดน มีการตั้งค่ายคูเมืองและปลูกยุ้งฉางไว้ที่ท่าพระทำนบ ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งอำเภอวัฒนานครในปัจจุบัน ต่อมาในช่วงก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก พระเจ้าตากทรงหนีพม่าไปเมืองจันทบุรี โดยพาไพร่คนสนิทหนีฝ่ากองทัพพม่าไปทางทิศตะวันออก ผ่านบริเวณ ดงศรีมหาโพธิ์ อันเป็นเขตป่าต่อเนื่องจากที่ราบลุ่ม ขึ้นไปถึงที่ลุ่มดอนของเมืองสระแก้ว แล้วไปยังชลบุรี ระยอง และจันทบุรี ในสมัยกรุงธนบุรี เจ้าพระยาจักรี พร้อมบุตรชาย ยกทัพไปเสียมราฐและได้แวะพักแรมในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่า สระแก้ว สระขวัญ อันเป็นที่มาของชื่อจังหวัด และในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ขุนพลแก้วในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พักทัพก่อนยกไปปราบญวน โดยเมื่อเสร็จศึกญวนแล้ว ได้สร้างบริเวณที่พักนั้นเป็นวัดตาพระยา ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอตาพระยาในปัจจุบัน === สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง === สระแก้วเคยมีฐานะเป็นตำบลขึ้นอยู่ในการปกครองของอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดกบินทร์บุรี ซึ่งทางราชการได้ตั้งเป็นด่านสำหรับตรวจคนและสินค้าเข้า-ออก มีข้าราชการตำแหน่งนายกองทำหน้าที่เป็นนายด่าน จนถึง พ.ศ. 2452 ทางราชการจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ ชื่อว่า กิ่งอำเภอสระแก้ว โดยใช้ชื่อสระน้ำเป็นชื่อกิ่งอำเภอ ขึ้นกับอำเภอกบินทร์บุรี (ในตอนนั้นจังหวัดกบินทร์บุรีถูกยุบรวมกับจังหวัดปราจีนบุรีเรียบร้อยแล้ว) ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 ได้มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะขึ้นเป็นอำเภอชื่อว่า อำเภอสระแก้ว ขึ้นอยู่ในการปกครองของจังหวัดปราจีนบุรี และในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ได้รับการยกฐานะเป็นจังหวัด เป็นจังหวัดลำดับที่ 74 ของประเทศไทย โดยเป็นหนึ่งในสามจังหวัดที่ได้รับจัดตั้งยกฐานะเป็นจังหวัดขึ้นในปีนั้น พร้อมกับจังหวัดหนองบัวลำภูและจังหวัดอำนาจเจริญ == ภูมิศาสตร์ == === ที่ตั้งและอาณาเขต === สระแก้ว เป็นจังหวัดชายแดนด้านตะวันออกตอนบนของประเทศ ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 13 องศา 15 ลิปดา ถึง 14 องศา 15 ลิปดาเหนือ กับประมาณเส้นแวงที่ 101 องศา 45 ลิปดา ถึง 103 องศาตะวันออก โดยมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียงดังนี้ ทิศเหนือ ติดกับจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดนครราชสีมา ทิศตะวันออก ติดกับปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย ประเทศกัมพูชา ทิศใต้ ติดกับจังหวัดจันทบุรี ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดฉะเชิงเทรา === ภูมิประเทศ === สภาพทั่วไป พื้นที่จังหวัดสระแก้วโดยรวมเป็นพื้นที่ราบถึงที่ราบสูงและมีภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีระดับความสูงจากน้ำทะเล 74 เมตร โดยทางด้านทิศเหนือ มีทิวเขาบรรทัดซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำบางปะกง มีลักษณะเป็นป่าเขาทึบได้แก่ บริเวณอุทยานแห่งชาติปางสีดาเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ทางด้านทิศใต้ มีลักษณะเป็นที่ราบเชิงเขา มีสภาพเป็นป่าโปร่ง ส่วนใหญ่ถูกบุกรุกแผ้วถางป่าเพื่อทำการเกษตร ทำให้เกิดสภาพป่าเสื่อมโทรม ตอนกลางมีลักษณะเป็นที่ราบ ได้แก่ อำเภอวังน้ำเย็น อำเภอวังสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเขตติดต่อจังหวัดจันทบุรี ทางด้านทิศตะวันตก มีลักษณะเป็นที่ราบถึงที่ราบสูง และมีสภาพเป็นป่าโปร่ง ทำไร่ ทำนา และทางด้านทิศตะวันออก นับตั้งแต่อำเภอวัฒนานคร มีลักษณะเป็นสันปันน้ำและพื้นที่ลาดไปทางอำเภอเมืองสระแก้วและอำเภออรัญประเทศ เข้าเขตประเทศกัมพูชา ลำคลองสายสำคัญมีดังนี้ คลองพระปรง มีต้นกำเนิดจากเขาในอำเภอวัฒนานคร แล้วไหลไปรวมกับแม่น้ำหนุมานในเขตอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี กลายเป็นแม่น้ำปราจีนบุรี ความยาว 180 กิโลเมตร คลองพระสะทึง มีต้นกำเนิดจากเขาทึ่งลึ่งในอำเภอมะขาม และเขาตะกวดในอำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ไหลไปลงแม่น้ำพระปรงที่บ้านปากร่วม ตรงแนวแบ่งเขตระหว่างอำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว กับอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ความยาว 164 กิโลเมตร คลองน้ำใส มีต้นกำเนิดจากเขาตาเลาะและเขาตาง็อกในอำเภอวัฒนานคร และภูเขาในประเทศกัมพูชา ความยาว 74 กิโลเมตร ใช้เป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา คลองพรมโหด มีต้นกำเนิดจากเขาในตำบลช่องกลุ่ม อำเภอวัฒนานคร ไหลไปลงคลองลึก อำเภออรัญประเทศ ที่หลักเขตแดนที่ 50 ความยาว 62 กิโลเมตร ถือเป็นแนวเขตอนุรักษ์ของไทยและกัมพูชา จังหวัดสระแก้วมีอุทยานแห่งชาติทั้งหมด 2 แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติปางสีดา และอุทยานแห่งชาติตาพระยา ซึ่งทั้งคู่ได้รับการจดทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก === ภูมิอากาศ === สภาพภูมิอากาศแบ่งออกได้เป็น 3 ฤดูกาล ฤดูร้อน เริ่มต้นแต่เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,296-1,539 มิลลิเมตร ฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-มกราคม อากาศเย็นและมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 27.5-28.78 องศาเซลเซียส == การเมืองการปกครอง == การปกครองแบ่งออกเป็น 9 อำเภอ 59 ตำบล 731 หมู่บ้าน {| |--- valign=top || อำเภอเมืองสระแก้ว อำเภอคลองหาด อำเภอตาพระยา อำเภอวังน้ำเย็น อำเภอวัฒนานคร อำเภออรัญประเทศ อำเภอเขาฉกรรจ์ อำเภอโคกสูง อำเภอวังสมบูรณ์ ||  |} == ประชากร == === กลุ่มชาติพันธุ์ === จังหวัดสระแก้วเป็นศูนย์รวมของคนหลายเชื้อชาติซึ่งอพยพเข้ามาพำนักอาศัยในจังหวัด ชาวเขมรอพยพเข้ามาในสระแก้ว เนื่องจากเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง อพยพชาวเขมรให้เข้ามาในฝั่งไทยภายหลังเหตุการณ์ที่ไทยเข้าปกครองกัมพูชาและจัดตั้งมณฑลบูรพาขึ้น แล้วถูกฝรั่งเศสยึดกัมพูชารวมทั้งมณฑลบูรพาคืนไปได้ นอกจากนี้เมื่อเกิดสงครามเวียดนามและสงครามกัมพูชาขึ้น ก็มีการอพยพชาวกัมพูชาเข้ามาในบริเวณชายแดนฝั่งไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเขตอำเภออรัญประเทศ ชาวเวียดนามหรือญวนอพยพมายังจังหวัดสระแก้ว เพื่อหนีภัยสงครามเวียดนามในยุคที่เวียดนามใต้แตก โดยเดินทางผ่านประเทศกัมพูชาเข้ามา ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในอำเภออรัญประเทศ ชาวลาวมีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มไทยโยนกหรือลาวพุงดำ เป็นกลุ่มล้านนาเดิม อาศัยอยู่ที่อำเภอวังน้ำเย็น รวมทั้งชาวญ้อที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่สิบสองปันนา แล้วไปตั้งรกรากที่แขวงไชยบุรีของลาว ต่อมาถูกทัพไทยกวาดต้อนลงมาที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม โดยบางส่วนได้อพยพต่อมายังอำเภออรัญประเทศ นอกจากนี้ยังมีชาวอีสานอพยพเข้ามาประกอบอาชีพในเกือบทุกอำเภอของจังหวัดสระแก้ว == การศึกษา == อุดมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ วิทยาเขตสระแก้ว (อำเภอเมืองสระแก้ว) วิทยาลัยชุมชนสระแก้ว อำเภอเมืองสระแก้ว มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว (ตั้งอยู่ที่อำเภอวัฒนานคร) วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จังหวัดสระแก้ว (ตั้งอยู่ที่อำเภอวัฒนานคร) ระดับอาชีวศึกษา วิทยาลัยเทคนิคสระแก้ว อำเภอวัฒนานคร วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้ว ตำบลผ่านศึก อำเภออรัญประเทศ วิทยาลัยเทคโนโลยีอรัญประเทศ (สถาบันเอกชน) ตำบลบ้านด่าน อำเภออรัญประเทศ วิทยาลัยเทคนิควังน้ำเย็น อำเภอวังน้ำเย็น วิทยาลัยเทคโนโลยี ไฮเทค สระแก้ว (สถาบันเอกชน) ตำบลท่าเกษม อำเภอเมืองสระแก้ว วิทยาลัยเทคโนโลยีสระแก้ว (สถาบันเอกชน) ตำบลศาลาลำดวน อำเภอเมืองสระแก้ว == การสาธารณสุข == ด้านการสาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว ประกอบไปด้วย โรงพยาบาลรัฐบาล 10 แห่ง,โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหม 1 แห่ง และโรงพยาบาลเอกชน 1 แห่ง โรงพยาบาลรัฐบาล 10 แห่ง # โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สระแก้ว (โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชแห่งแรก) อำเภอเมืองสระแก้ว # โรงพยาบาลคลองหาด # โรงพยาบาลตาพระยา # โรงพยาบาลวังน้ำเย็น # โรงพยาบาลวัฒนานคร # โรงพยาบาลจิตเวชสระแก้วราชนครินทร์ อำเภอวัฒนานคร # โรงพยาบาลอรัญประเทศ # โรงพยาบาลเขาฉกรรจ์ # โรงพยาบาลวังสมบูรณ์ # # โรงพยาบาลหนองนกแสก โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหม 1 แห่ง # โรงพยาบาลค่ายสุรสิงหนาท อำเภออรัญประเทศ โรงพยาบาลเอกชน 1 แห่ง # โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 1 แห่ง และสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ 9 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 107 แห่ง สถานีกาชาดที่ 6 อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ไฟล์:โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว.jpg|โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว ไฟล์:รพร.สระแก้ว.jpg|ภาพมุมสูงโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว == การขนส่ง == การขนส่งทางถนน จังหวัดสระแก้วมีถนนสำคัญหลายสาย ซึ่งเชื่อมต่อไปยังจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ ถนนสุวรรณศร เชื่อมต่อกับจังหวัดปราจีนบุรี, ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 348 เชื่อมต่อกับจังหวัดบุรีรัมย์ และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 317 เชื่อมต่อกับจังหวัดจันทบุรี นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารให้บริการในหลายเส้นทาง โดยเส้นทางส่วนใหญ่จะผ่านอำเภออรัญประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่การค้าที่สำคัญ การขนส่งทางราง มีทางรถไฟสายตะวันออกพาดผ่าน โดยขบวนรถที่ให้บริการมีเฉพาะรถธรรมดาเท่านั้น เส้นทางสายนี้ไปเชื่อมต่อกับสายปอยเปตของกัมพูชาที่สถานีรถไฟด่านพรมแดนบ้านคลองลึก โดยได้มีพิธีเปิดเดินรถระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2562 == การท่องเที่ยว == สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในจังหวัดสระแก้วเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ มีร่องรอยอารยธรรมโบราณปรากฏอยู่ในรูปของปราสาทหิน แหล่งหินตัด และซากสิ่งก่อสร้าง กรมศิลปากรสำรวจพบปราสาทขอมในจังหวัดสระแก้วมากถึง 40 แห่ง ตั้งเรียงรายอยู่บนเส้นทางผ่านช่องเขา หันไปทางทิศตะวันออก (หันหน้าเข้าหานครวัด) จากหลักฐาน พบว่าปราสาทเหล่านี้มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 12-18 แสดงถึงความสัมพันธ์ของผู้คนจากสองฝั่งภูเขาที่ไร้เส้นเขตแดนในอดีต และตัวปราสาทยังเป็นศูนย์กลางของชุมชนโบราณอีกด้วย ปราสาทหินที่สำคัญในจังหวัดสระแก้ว ได้แก่ อุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม ปราสาทหินสด๊กก๊อกธม ตั้งอยู่ที่อำเภอโคกสูง เป็นปราสาทอารยธรรมเขมรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก โดยสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี ได้ดำเนินงานและประสานงานกับจังหวัดสระแก้ว เพื่อบริหารจัดการและปรับภูมิทัศน์เป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งใหม่ แห่งที่ 11 ของประเทศไทย ปราสาทเขาน้อยสีชมพู ตั้งอยู่ที่อำเภออรัญประเทศ มีการค้นพบจารึกเขาน้อยและทับหลังศิลปะสมโบร์ไพกุก อุทยานแห่งชาติที่สำคัญในจังหวัดสระแก้ว ได้แก่ อุทยานแห่งชาติปางสีดา ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอตาพระยา อำเภอวัฒนานคร อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว และอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นพื้นที่มรดกโลกของประเทศไทย กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติตาพระยา ตั้งอยู่ในท้องที่ของอำเภอโนนดินแดง อำเภอละหานทราย อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์และ อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว เป็นพื้นที่มรดกโลกของประเทศไทย กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ การท่องเที่ยวชายแดนไทย-กัมพูชา ตลาดชายแดนบ้านคลองลึก หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ตลาดโรงเกลือ อำเภออรัญประเทศ ตลาดการค้าชายแดนบ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด โครงการในมูลนิธิชัยพัฒนา โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ อำเภอเมืองสระแก้ว สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาจัดตั้งขึ้น เพื่อให้เป็นสถานที่ฝึกกระบือ และเป็นแหล่งเรียนให้แก่ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้วัฒนธรรมเกษตรท้องถิ่น และภูมิปัญญาชาวบ้าน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 (พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร) อ่างเก็บน้ำ/สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เขื่อนพระปรง อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดสระแก้ว มีความจุถึง 97 ล้านลูกบาศก์เมตร จนเกือบจะเรียกว่าเขื่อน เป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตั้งอยู่ที่ตำบลช่องกุ่ม อำเภอวัฒนานคร อ่างเก็บน้ำห้วยยาง อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่ ตำบลทัพราช อำเภอตาพระยา เป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 อ่างเก็บน้ำท่ากระบาก ตั้งอยู่ระหว่างเขตติดต่อ ตำบลท่าแยก อำเภอเมืองสระแก้ว กับตำบลหนองตะเคียนบอน อำเภอวัฒนานคร อยู่เลยอุทยานแห่งชาติปางสีดา ประมาณ 8 กิโลเมตร เป็นอ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 สวนรุกขชาติเขาฉกรรจ์ ตั้งอยู่ที่ตำบลเขาฉกรรจ์ อำเภอเขาฉกรรจ์ เป็นภูเขาหินปูนที่มีความโดดเด่นตระหง่านอย่างเห็นได้ชัด และยังเป็นที่ตั้งของวัดถ้ำเขาฉกรรจ์ บริเวณวัดยังมีลิงป่าอาศัยอยู่นับพันเป็นจำนวนมาก นักท่องเที่ยวสามารถให้อาหารลิงได้ มีบันไดประมาณ 300 ขั้น เพื่อขึ้นยอดเขาไปดูจุดชมวิว การท่องเที่ยววัด/การกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วัดรีนิมิตร ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านแก้ง อำเภอเมืองสระแก้ว มีพระรูปเหมือน สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) องค์ขนาดใหญ่ มีรูปปั้นพญานาคขนาดใหญ่ ให้ประชาชนสักการะ เหมาะแก่การพักผ่อน และเหมาะแก่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการถ่ายรูปเชิงธรรมะ ศาลหลักเมืองสระแก้ว ตั้งอยู่ภายในสวนกาญจนาภิเษก ตำบลท่าเกษม อำเภอเมืองสระแก้ว วัดแม่ย่าซอม ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองหาด อำเภอคลองหาด เป็นวัดที่ใหญ่และสวยงาม มีพระราหูองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีพระพิฆเนศองค์ขนาดใหญ่ มีหลวงพ่อทันใจ ที่หลายๆ คนมักจะไปขอโชคลาภอยู่เสมอ และจะต้องกลับมาแก้บนอีกครั้งเพราะต่างก็สมหวังในสิ่งที่ขอ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ริมเส้นทางหลวงหมายเลข 33 ตรงข้ามที่ว่าการอำเภอวัฒนานคร มีพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประดิษฐานบริเวณสวนเฉลิมพระเกียรติ การจัดสร้างอนุสาวรีย์ฯ นี้ เนื่องมาจากในอดีตกาลอำเภอวัฒนานคร เป็นพื้นที่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เคยเสด็จมาประทับในการสงครามแถบดินแดนบูรพา เมื่อปี พ.ศ.2136 พระบรมรูปประทับยืน มีความสูง 280 เมตร ชูดาบเหนือศิรเศียร แสดงพระราชอำนาจในการปกครอง ปกป้องรักษาพสกนิกรของพระองค์ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชอำเภออรัญประเทศ ประดิษฐาน อยู่ด้านข้างใกล้กับสนามไดร์ฟกอล์ฟ ค่ายสุรสิงหนาท อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดดเด่นด้วยหลังคารูปทรงมาลา (หลังคารูปหมวก) เพื่อเชิดชูพระเกียรติยศพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านการรบ การปกครอง และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นต่อปวงชนาวไทย และเพื่อน้อมระลึกเหตุการณ์ครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติไทยและร่วมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำสงครามกอบกู้เอกราช ทรงแผ่อำนาจของราชอาณาจักรไทยและขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ตกทอดมาจนถึงพวกเราชาวไทยจวบจนปัจจุบัน พระสยามเทวาธิราช องค์จำลอง ขนาดสูงประมาณ 1.29 เมตร ประดิษฐานอยู่บนช้างสามเศียร มีบุษบกครอบเป็นที่ประทับ อยู่บริเวณหน้าสถานีตำรวจอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2518 โดยพระครูอุทัย ธรรมธารี เจ้าอาวาสวัดป่ามะไฟ จังหวัดปราจีนบุรี ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาต (สมัย ร.9) สร้างเหรียญจำลองในปี พ.ศ.2508 และได้หล่อพระสยามเทวาธิราชจำลอง ซึ่งในขณะนั้นมีเหตุการณ์สู้รบกันตามแนวชายแดนด้านอำเภออรัญประเทศการศึกสงครามมีเวลานานกว่า 7 ปี พระครูอุทัย ธรรมธารี จึงมอบองค์พระสยามเทวาธิราชจำลองให้แก่อำเภออรัญประเทศ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ทหาร ตำรวจ พลเรือนและประชาชน พระสยามเทวาธิราช จึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแก่ชาวอำเภออรัญประเทศและจังหวัดใกล้เคียงมาจวบจนปัจจุบัน วัดพุทธิสาร ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองหมากฝ้าย อำเภอวัฒนานคร วัดนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านหนองหมากฝ้าย ซึ่งค่อนข้างไกลจากอำเภอวัฒนานคร แม้จะเป็นวัดขนาดเล็ก แต่เป็นวัดเก่าแก่เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพโบราณสถานเนื่องจากวัดนี้มีโบสถ์ไม้โบราณ อายุกว่า 120 ปี เป็นโบสถ์ไม้ที่ใช้การสลักในการสร้าง ไม่ใช้ตะปูในการก่อสร้างโบสถ์ทั้งหลัง ภายในวัดมีรูปเหมือนพระครูศีลคุณวัฒนาทร หรือหลวงปู่โห สำหรับให้พุทธศาสนิกชนกราบไว้เพื่อความเป็นสิริมงคล (หลวงปู่โห ท่านเป็นเกจิดังแห่งปราจีนบุรีในอดีต) (ครั้งเมื่อตั้งแต่ที่จังหวัดสระแก้วยังเป็นอำเภอหนึ่งที่ขึ้นกับจังหวัดปราจีนบุรี)อีกด้วย นอกจากนี้ทุกวันพฤหัส และวันอาทิตย์ ราวๆ เวลา 16.00 น. ชมนวัตวิถีชีวิตชาวบ้านมีการนำสินค้าพื้นบ้านมาขายเป็นตลาดนัดชุมชนเล็กๆภายในวัดอีกด้วย การท่องเที่ยวแนวผจญภัย (Adventure) ถ้ำน้ำเขาศิวะ ตั้งอยู่ที่ ต.คลองไก่เถื่อน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว ถ้ำน้ำเขาศิวะ ปี 2566 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการโหวตจากคนไทยทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม - 18 มิถุนายน 2566 ผ่านเว็บไซต์ unseennewchapters.com โดยมีผู้เข้าร่วมโหวต กว่า 325,000 คน จนได้เป็นแหล่งท่องเที่ยว 25 แห่งจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ ภายในถ้ำน้ำเขาศิวะมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม รูปทรงแปลกตา มีน้ำไหลตลอดทั้งปี บางบริเวณมีลักษณะคล้ายม่านและยังมีน้ำตกเล็กๆ อยู่ภายในถ้ำอีกด้วย เหมาะสำหรับผู้รักการผจญภัยที่ว่ายน้ำ เป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจ ให้กับนักท่องเที่ยว และยังมีตำนานพญานาคสีแดง ที่ชาวบ้านเคยพบเห็นแหวกว่ายอยู่ภายในถ้ำ จึงเป็นที่มาของศาลพ่อปู่นาคาที่ตั้งอยู่บริเวณปากถ้ำ เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวได้สักการะบูชาเพื่อความเป็นศิริมงคล == ดูเพิ่ม == รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดสระแก้ว รายชื่อวัดในจังหวัดสระแก้ว รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดสระแก้ว รายชื่อโรงภาพยนตร์ในจังหวัดสระแก้ว == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด หนังสือ สระแก้ว-เมืองชายแดนเบื้องบูรพา สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสระแก้ว รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2536
thaiwikipedia
1,775
หน่วยมวลอะตอม
หน่วยมวลอะตอม (unified atomic mass unit u) หรือ ดัลตัน (dalton Da) เป็นหน่วยที่ใช้ในการวัดมวลของอะตอม และ โมเลกุล โดยคำจำกัดความแล้วกำหนดให้เท่า 1 หน่วยมวลอะตอม เท่ากับ 1/12 ของมวลของ อะตอม 1 อะตอมของคาร์บอน-12 1 u = 1/NA กรัม = 1/ (1000 NA) กิโลกรัม    (โดยที่ NA คือ เลขอาโวกาโดร (Avogadro's number) 1 u ≈ 1.66053886 x 10-24 g สัญลักษณ์ของหน่วยนี้คือ amu ย่อมาจาก atomic mass unit ยังมีใช้ในงานตีพิมพ์เก่า ๆ โดยทั่วไปหน่วยมวลอะตอมนี้จะเขียนโดยไม่มีหน่วยกำกับ ในบทความวิชาการทาง biochemistry และ molecular biology นั้นจะใช้หน่วย ดัลตัน ย่อ "Da" เนื่องจากโปรตีน นั้นเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ โดยทั่วไปจึงมีการใช้หน่วย กิโลดัลตัน หรือ "kDa" เท่ากับ 1000 ดัลตัน == ประวัติ == นักเคมีชื่อ จอห์น ดัลตัน (John Dalton) เป็นบุคคลแรกที่นำเสนอการใช้หน่วยสัมพัทธ์ โดยเปรียบเทียบกับ 1 อะตอมของH ต่อมาฟรานซิส แอสตัน (Francis Aston) ผู้คิดค้นเครื่อง mass spectrometer ได้เปลี่ยนมาใช้ 1/16 ของมวลของอะตอมของ ออกซิเจน-16 ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1961 นั้น 1 หน่วยมวลอะตอมในทางฟิสิกส์นั้นจะใช้หมายถึง 1/16 ของมวลอะตอมของ ออกซิเจน-16 1 อะตอม ในขณะที่ 1 หน่วยมวลอะตอมในทางเคมีนั้นจะหมายถึง 1/16 ของค่าเฉลี่ยมวลของอะตอมออกซิเจน (คิดเฉลี่ยจากปริมาณของทุก ไอโซโทป ในธรรมชาติ) ซึ่งค่าทั่งสองดังกล่าวข้างต้นจะมีค่าต่ำกว่าค่า 1 หน่วยมวลอะตอมมาตรฐานในปัจจุบันเล็กน้อย ค่าในปัจจุบันนี้เป็นค่าที่ยอมรับเป็นค่ามาตรฐานโดย International Union of Pure and Applied Physics ในปี ค.ศ. 1960 และโดย the International Union of Pure and Applied Chemistry ในปี ค.ศ. 1961 นิวเคลียร์เคมี ฟิสิกส์
thaiwikipedia
1,776
13 พฤษภาคม
วันที่ 13 พฤษภาคม เป็นวันที่ 133 ของปี (วันที่ 134 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 232 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2389 (ค.ศ. 1846) - สงครามเม็กซิโก-อเมริกา: สหรัฐอเมริกา ประกาศสงครามกับเม็กซิโก พ.ศ. 2417 (ค.ศ. 1874) - ตั้งโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ปัจจุบันคือโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - เนเธอร์แลนด์ประกาศยอมแพ้ต่อเยอรมัน พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - เหตุการณ์ 13 พฤษภาคม: ความขัดแย้งทางเชื้อชาติระหว่างชาวมลายูกับชนกลุ่มน้อยชาวจีน ทำให้เกิดการจลาจลจนทำให้มีผู้เสียชีวิต 184 คน ในกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - เมห์เมต อาลี แอกคา ชาวตุรกี ยิงสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ณ จัตุรัสนักบุญเปโตร นครรัฐวาติกัน ท่ามกลางฝูงชนกว่า 20,000 คน พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - กองทัพประชาชนใหม่ลอบวางระเบิดฐานทัพอากาศคลาร์กในประเทศฟิลิปปินส์ มีทหารสหรัฐเสียชีวิต 2 นาย พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - ช็อต ชาร์จ ช็อก ร็อก คอนเสิร์ต ครั้งที่ 3 คอนเสิร์ตครั้งนี้ไม่อาจแสดงได้จนจบตามคิว เนื่องจากมีเหตุวิวาทกันระหว่างแฟนเพลง ถึงขนาดมีการยิงปืนขึ้นฟ้าขู่ จนโป่ง - ปฐมพงศ์ สมบัติพิบูลย์ ในฐานะนักร้องนำวง หิน เหล็ก ไฟ ได้ขอให้แฟนเพลงยุติการตีกัน แต่ไม่เป็นผล จึงต้องยุติการแสดงไปก่อน พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - ตลาดธนบุรี หรือ สนามหลวง 2 เขตทวีวัฒนา เปิดให้บริการวันแรก พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - อันดับโลกเทนนิสดับเบิลยูทีเอทัวร์ของแทมมารีน ธนสุกาญจน์ สูงสุดที่อันดับ 19 ของโลก พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) - การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน พ.ศ. 2553: พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ถูกลอบสังหารด้วยกระสุนเข้าที่ศีรษะ 2 นัด ขณะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่แยกศาลาแดง == วันเกิด == พ.ศ. 2198 (ค.ศ. 1655) - สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 13 (สิ้นพระชนม์ 7 มีนาคม พ.ศ. 2266) พ.ศ. 2335 (ค.ศ. 1792) - สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 9 (สิ้นพระชนม์ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2420) พ.ศ. 2407 (ค.ศ. 1864) - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี (สิ้นพระชนม์ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2501) พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) - สตีวี วันเดอร์ นักร้อง นักแต่งเพลง นักเปียโน และโปรดิวเซอร์ชาวอเมริกัน พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) - เฟรด เมลาเมด นักแสดง, นักแสดงตลก, และนักเขียนชาวอเมริกัน พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - สกอตต์ มอร์ริซัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียคนที่ 30 พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - บักเก็ตเฮด ดนตรี นักแต่เพลงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - * เจ้าชายคาร์ล ฟิลิป ดยุกแห่งแวร์มลันด์ * มิกกี แมดเดน มือเบสชาวอเมริกัน พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - เจเรมี บ็อบบ์ นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - * ดอนนี่ เนียเตส แชมป์โลกมวยสากลชาวฟิลิปปินส์ พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - ยาย่า ตูเร นักเตะทีมชาติโกตดิวัวร์ พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - อิวาน โรน นักแสดง, นักร้อง, ผู้บรรยาย และนักดนตรีชาวเวลส์ พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - โรเบิร์ต แพตตินสัน นักแสดงชายชาวอังกฤษ พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - * แคนไดซ์ แอกโคลา นักร้อง-นักแสดงชาวอเมริกัน * อันโตนิโอ อาดัน นักฟุตบอลชาวสเปน พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - * ฟร็องซิส กอเกอแล็ง นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส * ฟรานซิสโก ลาโชวสกี้ นายแบบชาวบราซิล * สการ์เลตต์ บอร์โด นักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - โรเมลู ลูกากู นักฟุตบอลชาวเบลเยี่ยม พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - คาเมรอน แมคอีวอย นักว่ายน้ำชาวออสเตรเลีย พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - ลูกา ซีดาน นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - โอสการ์ มิงเกซา นักฟุตบอลชาวสเปน == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 1719 (ค.ศ. 1176) - แมทเทียสที่ 1 ดยุกแห่งลอแรน (เกิด พ.ศ. 1662) พ.ศ. 1855 (ค.ศ. 1312) - ทีโอบัลด์ที่ 2 ดยุกแห่งลอแรน (เกิด พ.ศ. 1806) พ.ศ. 2116 (ค.ศ. 1573) - ทาเกดะ ชิงเง็ง (เกิด 1 ธันวาคม พ.ศ. 2064) พ.ศ. 2162 (ค.ศ. 1619) - โยฮัน ฟอน โอลเดินบาร์นเฟลท์ รัฐบุรษชาวดัตช์ (เกิด พ.ศ. 2090) พ.ศ. 2247 (ค.ศ. 1704) - หลุยส์ บัวร์ดาลู (เกิด พ.ศ. 2175) พ.ศ. 2285 (ค.ศ. 1742) - หลุยส์ที่ 9 แลนด์เกรฟแห่งเฮสส์ - ดาร์มชตัดท์ (เกิด พ.ศ. 2262) พ.ศ. 2425 (ค.ศ. 1882) - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนขัตติยกัลยา (ประสูติ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2398) พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) - ดอริส เดย์ นักแสดง นักร้องนักเคลื่อนไหวสิทธิสัตว์ (เกิด 3 เมษายน พ.ศ. 2465) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == โรมันคาทอลิก - วันระลึกถึงแม่พระประจักษ์ที่ฟาตีมา พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965), พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966), พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010), พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011), พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013), พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015), พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) - วันพืชมงคล พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) - วันวิสาขบูชา == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day NY Times: On This Day พฤษภาคม 13 พฤษภาคม
thaiwikipedia
1,777
เวียงกุมกาม
เวียงกุมกาม (80px เวียงกุ๋มก๋าม) เป็นอดีตเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนา ที่พญามังรายโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1829 โดยโปรดให้ขุดคูเวียงทั้ง 4 ด้าน ไขน้ำแม่ปิงให้ขังไว้ ในคูเมืองโบราณสถานที่ปรากฏอยู่ในเวียงกุมกามและใกล้เคียง เป็นเวียง (เมือง) ทดลองที่สร้างขึ้น ก่อนที่จะมาเป็นเมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีระยะห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร == ประวัติ == === การสถาปนา === หลังจากที่พญามังรายได้ปกครองและพำนักอยู่ในนครหริภุญชัย (ลำพูน) อยู่ 2 ปี พระองค์ทรงศึกษาสิ่งหลาย ๆ อย่าง และมีพระราชดำริที่จะลองสร้างเมืองขึ้น เมืองนั้นก็คือ เวียงกุมกาม แต่พระองค์ก็ทรงสร้างไม่สำเร็จ เพราะเวียงนั้นมีน้ำท่วมอยู่ทุกปี จนพญามังรายจึงทรงต้องไปปรึกษาพระสหาย คือพ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัย และพญางำเมืองแห่งอาณาจักรพะเยา หลังจากทรงปรึกษากันแล้วจึงทรงตัดสินใจไปหาที่สร้างเมืองใหม่ ในที่สุดจึงได้พื้นที่นครพิงค์เชียงใหม่เป็นเมืองใหม่ และ เป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านนาต่อมา จึงสรุปได้ว่าเวียงกุมกามนั้น เป็นเมืองที่ทดลองสร้าง === การล่มสลาย === เวียงกุมกามล่มสลายลงเพราะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ โดยช่วงเวลานี้อยู่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2101 - 2317 ซึ่งตรงกับสมัยพม่าปกครองล้านนา พม่าปกครองล้านนาเป็นเวลาสองร้อยกว่าปี แต่ไม่ปรากฏหลักฐานที่กล่าวถึงเวียงกุมกามทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่นี้เป็นเรื่องร้ายแรงมากและสมควรที่จะบันทึกไว้ แต่ก็ไม่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ใดเลย ผลของการเกิดน้ำท่วมนี้ทำให้เวียงกุมกามถูกฝังจมลงอยู่ใต้ตะกอนดินจนยากที่จะฟื้นฟูกลับมา สภาพวัดต่าง ๆ และโบราณสถานที่สำคัญเหลือเพียงซากวิหารและเจดีย์ร้างที่จมอยู่ดินในระดับความลึกจากพื้นดินลงไปประมาณ 1.50 -2.00 เมตร โดยวัดที่จมดินลึกที่สุดคือวัดอีค่าง รองลงมาคือ วัดปู่เปี้ย และวัดกู่ป่าด้อม === การขุดค้นพบ === ใน พ.ศ. 2527 เรื่องราวของเวียงกุมกามก็เริ่มเป็นที่สนใจของนักวิชาการ และประชาชนทั่วไป ทำให้หน่วยศิลปากรที่ 4 ขุดแต่งบูรณะวัดร้าง (ขุดแต่งวิหารกานโถม ณ วัดช้างค้ำ) และบริเวณโดยรอบเวียงกุมกามอย่างต่อเนื่องจนถึง พ.ศ. 2545 ปัจจุบันเวียงกุมกามก็ได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ เพราะเห็นว่าเวียงกุมกามมีความสมบูรณ์ และเป็นแหล่งความรู้การศึกษาในแบบของเรื่องราวทางสถาปัตยกรรมและ ศิลปกรรมตลอดจนวัฒนธรรมล้านนาต่าง ๆ โดยศูนย์กลางของการนำเที่ยวชมโบราณสถานต่าง ๆ ในเขตเวียงกุมกามอยู่ที่วัดช้างค้ำ == ที่ตั้ง และ ลักษณะ == เวียงกุมกามมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีความยาวประมาณ 850 เมตร ไปตามแนวทิศตะวันออกเฉียงใต้สู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และกว้างประมาณ 600 เมตร ตัวเมืองยาวไปตามลำน้ำปิงสายเดิมที่เคยไหลไปทางด้านทิศตะวันออกของเมือง ดังนั้นในสมัยโบราณตัวเวียงกุมกามจะตั้งอยู่บนฝั่งทิศตะวันตกหรือฝั่งเดียวกับเมืองเชียงใหม่ แต่เชื่อกันว่าเนื่องจากกระแสของแม่น้ำปิงเปลี่ยนทิศทาง จึงทำให้เวียงกุมกามเปลี่ยนมาตั้งอยู่ทางฝั่งด้านตะวันออกของแม่น้ำดั่งเช่นปัจจุบัน ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงกระแสน้ำดังกล่าวคาดว่าน่าจะอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 23 การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำครั้งนั้น ทำให้เกิดน้ำท่วมเวียงกุมกามครั้งใหญ่จนเวียงกุมกามล่มสลาย และวัดวาอารามจมอยู่ใต้ดินทราย จนกลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่า อีกหนึ่งสมมติฐานที่เวียงกุมกามถูกทิ้งร้างนั้นอาจเป็นได้ว่าเกิดสงครามระหว่างไทยกับพม่าทำให้ผู้คนหลบหนีออกจากเมืองไปก็เป็นได้ ปัจจุบันเวียงกุมกามอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเชียงใหม่ ประมาณ ก.ม. 3-4 ถนนเชียงใหม่-ลำพูน ด้านขวามือ ในเขตตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี และอยู่ใกล้ฝั่งด้านทิศตะวันออกของแม่น้ำปิง สภาพทั่วไปทางภูมิศาสตร์ของเวียงกุมกามตั้งอยู่บริเวณแอ่งที่ราบเชียงใหม่-ลำพูน มีแม่น้ำปิงเป็นแม่น้ำสายสำคัญ โดยมีต้นน้ำอยู่ที่ดอยถ้วย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ บริเวณแอ่งที่ราบแห่งนี้ซึ่งเป็นที่ราบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือตอนบน เป็นที่ราบระหว่างภูเขา มีอาณาบริเวณครอบคลุมเขตจังหวัดเชียงใหม่ และลำพูนรวม 13 อำเภอ (โดย 10 อำเภออยู่ในจังหวัดเชียงใหม่คือ แม่แตง แม่ริม สันทราย ดอยสะเก็ด สันกำแพง เมือง สารภี หางดง สันป่าตอง และจอมทอง และอีก 3 อำเภออยู่ในจังหวัดลำพูนคือ เมือง (ลำพูน) ป่าซาง และบ้านโฮ่ง) โดยมีพื้นที่รวมทั้งหมดประมาณ 940,000 ไร่ == สถานที่สำคัญ == จากการสำรวจพบว่ามีอยู่มากกว่า 40 แห่ง ทั้งที่เป็น ซากโบราณสถาน และเป็นวัดที่มีพระสงฆ์โบราณสถานที่สำคัญ ได้ แก่วัดเจดีย์เหลี่ยม วัดช้างค้ำและซากเจดีย์วัดกุมกาม วัดน้อย วัดปู่เปี้ย วัดธาตุขาว วัดอีค่างซึ่งรูปแบบทางศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมนี้ มีทั้งแบบรุ่นเก่าและสมัยเชียงใหม่ รุ่งเรืองปะปนกันไป โดยเฉพาะที่วัดธาตุขาวนั้น มีเรื่องเล่าของว่าพระมเหสีของพญามังรายได้มาบวชชีและสิ้นพระชนม์ที่นี่ด้วย สาเหตุก็คือพญามังรายได้มีพระมเหสีพระองค์ใหม่ เมื่อครั้งยกทัพไปตีพม่า พม่ายอมสวามิภักดิ์และถวายพระนางพายโคมาเป็นมเหสี แต่สิ่งนี้ทำให้พระนางทรงเสียพระทัยมาก เนื่องจากพระนาง และพญามังรายได้เคยสาบานกันในขณะที่พำนักอยู่ในเมืองเชียงแสนว่าจะมีมเหสีเพียงแค่พระองค์เดียว พระนางจึงเสียพระทัยมาก จึงตัดสินใจไปบวชชี และ ยังมีเรื่องอีกว่า สาเหตุที่พญามังรายสวรรคตอสนีบาตในระหว่างที่เสด็จไปตลาดนั้น ก็เพราะสาเหตุนี้ === โบราณสถาน === หลังจากที่หน่วยกรมศิลปากรที่ 4 เชียงใหม่ได้ไปทำการขุดค้นหาซากเมืองและโบราณสถานเพิ่มเติม ก็ได้ค้นพบเจอวัดต่าง ๆ ที่จมอยู่ใต้พื้นดินเป็นจำนวนหลายวัดอีกดังต่อไปนี้ วัดกานโถม (ช้างค้ำ) พญามังรายได้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1833 ประกอบด้วยฐานเจดีย์ฐานกว้าง 12 เมตร สูง 18 เมตร มีซุ้มคูหาสี่ทิศ มีการใช้พระพุทธรูปซ้อนเป็น 2 ชั้น (ชั้นล่าง-มีพระพุทธรูปนั่ง 4 องค์ ชั้นบน-มีพระพุทธรูปยืน 2 องค์) วิหารและเจดีย์ทรงมณฑปบนฐานลานประทักษิณเตี้ย บริเวณฐานวิหารพบพระพิมพ์ดินเผาแบบหริภุญไชยฝังไว้โดยรอบ นอกจากนี้ยังมีเจดีย์อีก 1 องค์ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงมณฑปยอดระฆัง ในบริเวณวัดกานโถมยังมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ได้อัญเชิญเมล็ดจากเมืองลังกามาไว้ด้วย วัดปู่เปี้ย ถือเป็นวัดที่มีความงดงามแห่งหนึ่งในเวียงกุมกาม รูปแบบผังการสร้างวัด และ รูปแบบเจดีย์ประธานมณฑปมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ โบราณสถานประกอบด้วยวิหารสร้างยกพื้นสูง เจดีย์ อุโบสถ ศาลผีเสื้อ และแท่นบูชา พร้อมทั้งมีลวดลายปูนปั้นประดับเจดีย์ที่สวยงามมาก วัดเจดีย์เหลี่ยม (วัดกู่คำ) แต่เดิมวัดนี้ชื่อวัดกู่คำ กู่ หมายถึง พระเจดีย์ คำ หมายถึง ทองคำ พญามังรายโปรดให้ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1831 โบราณวัตถุที่สำคัญของวัดคือ องค์พระเจดีย์ประธานรูปทรงมณฑปปลด 5 ชั้น วัดนี้มีความโดดเด่นคือ เป็นวัดที่กษัตริย์สร้าง และมีรูปแบบเจดีย์ที่แสดงถึงอิทธิพลรูปแบบของรัฐหริภุญไชย โดยที่พญามังรายโปรดให้เอามาก่อสร้างไว้ในเวียงกุมกามระยะแรก ๆ วัดอีก้าง (วัดอีค่าง) ที่เรียกว่าวัดอีค่างหรืออีก้างนั้นเพราะเดิมบริเวณวัดเป็นป่ารกร้างและมีฝูงลิงฝูงค่างใช้ซากวัดแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งค่างในภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “อีก้าง” โบราณสถานประกอบด้วยวิหารและเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน วิหารมีขนาดใหญ่ 20 × 13.50 เมตร เจดีย์เป็นแบบองค์ระฆังทรงกลม วัดพระธาตุขาว (วัดธาตุขาว) ที่เรียกกันว่าวัดธาตุขาวเนื่องมาจากแต่เดิมนั้นตัวเจดีย์ยังคงปรากฏผิวฉาบปูนสีขาวนั่นเอง โบราณสถานประกอบด้วยวิหาร เจดีย์ อุโบสถ และมณฑป โดยมีการก่อสร้างขึ้นมา 2 ระยะคือ ระยะแรกก่อสร้างเพียงเจดีย์ วิหาร อุโบสถ แต่ต่อมาเกิดการชำรุดจึงต่อเติมฐานเจดีย์ให้ใหญ่ขึ้น ระยะที่สองมีการก่อสร้างมณฑปสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป วัดพระเจ้าองค์ดำ ตั้งอยู่ภายในเวียงกุมกาม โดยอยู่ใกล้กับกำแพงเมืองทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ก่อนมีการขุดแต่งนั้นเป็นสวนลำไย มีพื้นที่เป็นเนินดิน 2 แห่ง ชาวบ้านเรียกว่า เนินพญามังราย และเนินพระเจ้าดำ และสันนิษฐานว่าที่เรียกวัดพระเจ้าองค์ดำนี้ เพราะวัดแห่งนี้เคยมีพระพุทธรูปสีดำประดิษฐานอยู่ โบราณสถานที่พบส่วนใหญ่เป็นวิหารหลายหลัง มีซุ้มประตูโขงและแนวกำแพง ถัดจากซุ้มโขงเข้ามามีวิหารและเจดีย์ วัดพญามังราย ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับวัดพระเจ้าองค์ดำทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ชื่อวัดพญามังรายนี้เป็นชื่อเรียกที่ตั้งขึ้นมาใหม่โดยกรมศิลปากร เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของวัดนี้ แต่เมื่อพิจารณาจากการที่เห็นว่าตั้งอยู่ใกล้วัดพระเจ้าองค์ดำมากที่สุดจนดูเหมือนเป็นวัดเดียวกัน เอกลักษณ์ของวัดนี้อยู่ที่การสร้างพระวิหารที่ไม่มีทางขึ้นลงหลักไว้ที่ด้านหน้า แต่สร้างไว้ที่ด้านซ้าย (กรณีที่หันหน้าไปทางหน้าวัด) ในส่วนพระเจดีย์พบร่องรอยการตกแต่งปูนปั้นลายช่องกระจกสอดไส้ วัดหัวหนอง ตั้งอยู่ภายในเวียงกุมกามใกล้กับกำแพงเมืองทางด้านเหนือ ภายในประกอบด้วยซุ้มโขงประตูใหญ่ อุโบสถ มณฑป วิหารและเจดีย์ มีลวดลายปูนปั้นประดับซุ้มประตูวัดเป็นรูปกิเลน สิงห์ หงส์ที่มีความงดงาม วัดกุมกาม ตั้งอยู่ภายในเวียงกุมกามด้านทิศเหนือของวัดกานโถม สิ่งก่อสร้างภายในวัดประกอบด้วยวิหารพร้อมห้องมูลคันธกุฏี และเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม วัดน้อย (วัดธาตุน้อย) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของวัดกานโถม ก่อนการขุดแต่งเป็นเนินดินสองแห่ง มีชาวบ้านเข้ามาปลูกบ้านอาศัยบนโบราณสถานแห่งนี้ และยังพบร่องรอยกสารขุดหาทรัพย์สินด้วย โบราณสถานประกอบด้วยวิหารและเจดีย์ วิหารตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีบันไดทางขึ้นด้านหน้าและด้านข้าง 1 แห่ง พื้นวิหารปูอิฐ ด้านหลังวิหารเป็นซุ้มประดิษฐานพระประธานปูนปั้น เจดีย์มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 13.35 × 13.35 เมตร สูง 1.64 เมตร ต่อขึ้นไปเป็นองค์เจดีย์ เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 6.20 × 6.20 เมตร ลักษณะเจดีย์มีฐานใหญ่แต่องค์เจดีย์เล็ก วัดไม้ซ้ง ตั้งอยู่มุมตะวันออกเฉียงใต้ภายในเวียงกุมกาม บริเวณรอบวัดเป็นทุ่งนา สถาพก่อนการขุดแต่งเป็นเนินดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีต้นไม้ใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกว่าไม้ซ้งอยู่ (เป็นที่มาของชื่อวัด) โบราณสถาน ประกอบด้วยวิหารเจดีย์แปดเหลี่ยม และฐานซุ้มประตูโขงพร้อมกำแพง วัดกู่ขาว ตั้งอยู่ริมถนนเชียงใหม่-ลำพูน ตำบลหนองหอย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สภาพรอบ ๆ วัดก่อนการขุดแต่งพบเจดีย์มีความสูงประมาณ 5 เมตร และรอบ ๆ องค์เจดีย์เป็นเนินดิน หลังจากขุดลอกดินที่ทับถมอยู่ได้พบโบราณสถาน 3 แห่งคือ กำแพงแก้วและซุ้มประตูอยู่หลังเจดีย์, เจดีย์ประธานเป็นศิลปะล้านนา เรือนธาตุมีลักษณะสูงก่อทึบตันทั้ง 4 ด้าน (ไม่ทำซุ้มพระ) ส่วนยอดเจดีย์เป็นฐานบัวแปดเหลี่ยมรองรับองค์ระฆัง และวิหารที่มีมุมฐานบัวลูกแก้ว ฐานชุกชีเดิม และลายกลีบบัว วัดกู่ป่าด้อม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้นอกเวียงกุมกาม ชื่อของวัดนี้ได้ตั้งชื่อตามเจ้าของที่ดิน โบราณสถานของวัดมีขนาดใหญ่ประกอบด้วย วิหารฐานใหญ่ มีบันไดทางขึ้นวิหาร มีราวบันไดด้านปลายเป็นรูปตัวเหงา ส่วนเจดีย์เหลือเพียงฐานเท่านั้น มีกำแพงแก้วก่อล้อมรอบโบราณสถาน กำแพงแก้วด้านหน้าทางเข้าวิหารมีซุ้มโขง วัดแห่งนี้มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 21-22 วัดโบสถ์ ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกนอกเวียงกุมกาม โบราณสถานประกอบด้วยวิหารซึ่งเหลือเพียงฐาน และเจดีย์มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส วัดกู่อ้ายหลาน เป็นวัดขนาดเล็กตั้งอยู่ทางด้านเหนือของเวียงกุมกาม ชื่อวัดเรียกตามเจ้าของที่ที่ชื่ออ้ายหลาน โบราณาสถานประกอบด้วยวิหารที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เจดีย์ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แท่นบูชา กำแพงแก้ว และซุ้มประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออก วัดกู่อ้ายสี เป็นวัดขนาดเล็ก โบราณสถานประกอบด้วย วิหาร เจดีย์ ซึ่งเหลือเพียงฐาน และแท่นบูชา วัดกู่มะเกลือ ตั้งอยู่ภายในเวียงกุมกามด้านทิศตะวันออก เรียกชื่อวัดตามชื่อต้นไม้ที่ขึ้นบนโบราณสถาน หลังจากทำการขุดลอกดินออกแล้ว พบเจดีย์และวิหารตั้งอยู่บนฐานเดียวกันและหันหน้าไปทางทิศตะวันออก วัดกู่ลิดไม้ ตั้งอยู่ภายในเวียงกุมกามด้านใต้ วัดนี้เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรีกกันเนื่องจากมีต้นเพกา (ต้นลิดไม้) ขึ้นอยู่บนเนินวัด โบราณสถานประกอบด้วยวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เจดีย์ด้านหลังวิหารเหลือเพียงฐาน และเจดีย์รูปแปดเหลี่ยม มีซุ้มประตูโขงและกำแพงแก้ว วัดกู่จ๊อกป๊อก ตั้งอยู่นอกกำแพงเวียงกุมกามทางทิศตะวันออกฉียงใต้ โบราณสถานประกอบด้วยวิหารและเจดีย์ ซึ่งเหลือเพียงฐาน วัดหนานช้าง ตั้งตามชื่อเจ้าของที่ดิน ด้านหน้าของวัดอยู่ใกล้แม่น้ำปิง ซุ้มโขงมีลายปูนปั้นประดับเล็กน้อย ถัดจากซุ้มโขงลงไปมีทางเดินและมีวิหาร ซึ่งที่ฐานพระประธานมีลายปูนปั้น ด้านหลังวิหารมีเจดีย์ฐานทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกันสองชั้น เรือนธาตุได้พังเสียหายไปแล้ว เยื้องกับเจดีย์เป็นมณฑป ถัดไปเป็นอุโบสถ วัดเสาหิน ตั้งอยู่เขตท้องที่ตำบลหนองหอย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานที่บันทึกทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงเรื่องราวของวัดนี้ในอดีต วัดหนองผึ้ง ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกถนนเชียงใหม่-ลำพูน ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เดิมเป็นวัดในสมัยเวียงกุมกาม-เชียงใหม่ หรือบางทีอาจจะมีสภาพเป็นวัดดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่สมัยหริภุญไชย มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณวัตถุประเภทพิมพ์แบบลำพูน สิ่งก่อสร้างที่สำคัญของวัดนี้คือ วิหารพระนอน เป็นองค์พระนอนหรือพระพุทธไสยาสน์ขนาดยาว 38 ศอก (39 เมตร) วัดศรีบุญเรือง ตั้งอยู่เขตตำบลหนองหอย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดที่ได้รับการฟื้นฟูบูรณะขึ้นมาใหม่ในสมัยหลัง ปัจจุบันวัดนี้มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ วัดข่อยสามต้น อยู่ในบริเวณด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเขตเวียงกุมกาม ชื่อวัดนี้ตั้งตามจุดสังเกตที่เป็นต้นข่อยจำนวน 3 ต้น ที่ขึ้นเจริญเติบโตในพื้นที่บริเวณวัด และไม่ปรากฏความเป็นมาในเอกสารและตัวแทนทางประวัติศาสตร์ วัดพันเลา อยู่ในท้องที่ตำบลหนองหอย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดร้างขื่อดั้งเดิมที่ชุมชนเรียกสืบทอดต่อกันมา คาดว่ามาจากชื่อวัดที่มีคำนำหน้าว่า “พัน” นำหน้านั้น น่าจะหมายถึง ยศทางทหาร หรือขุนนาง ที่เดิมวัดนี้อาจเป็นวัดอุปถัมภ์ของนายทหารหรือขุนนางชื่อ “เลา” ตั้งอยู่ริมถนนท่าวังตาลซึ่งอยู่นอกเวียงกุมกามทางด้านทิศเหนือ สภาพโบราณสถานมีการก่ออิฐกระจายหลายแห่ง พบชิ้นส่วนของพระพุทธรูป และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นอะไร และยังคงคาดว่ามีอีกหลายวัดที่จมอยู่ใต้พื้นดิน และบ้านเรือนของชาวบ้านที่กำลังรอการบูรณะขึ้นมา == อ้างอิง == ท่องเที่ยวทั่วเชียงใหม่ เวียงกุมกาม เวียงกุมกาม สรัสวดี อ๋องสกุล, เวียงกุมกาม : การศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนโบราณในล้านนา, WITHIN DESIGN CO., LTD, 2548 นพคุณ ตันติกุล, เวียงกุมกาม ,Lanna computer , 2547 จักรกริช พิสูจน์, เวียงกุมกาม ,Jakkrit Publishing , 2548 ชาญณรงค์ ศรีสุวรรณ, สถาปัตยกรรมในพื้นที่ประวัติศาสตร์เวียงกุมกาม : กรณีศึกษา วัดกานโถม, 2545, งานวิจัย == แหล่งข้อมูลอื่น == ประวัติศาสตร์เชียงใหม่ เมืองหลวงเก่าของไทย เมืองหลวงของรัฐสิ้นสภาพ กุมกาม โบราณสถานในจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอสารภี
thaiwikipedia
1,778
กระทรวงการต่างประเทศ (ประเทศไทย)
กระทรวงการต่างประเทศ (Ministry of Foreign Affairs) เป็นหน่วยงานราชการส่วนกลางประเภทกระทรวงของไทย มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการต่างประเทศและราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ หรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ==ประวัติ== กระทรวงการต่างประเทศมีปลัดกระทรวงคนแรก ได้แก่ พระยาอภิบาลราชไมตรี (ต่อม บุนนาค) ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ถึง 1 กันยายน พ.ศ. 2476 หม่อมเจ้า นิกรเทวัญ เทวกุล ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2482 หลวงสิทธิสยามการ (เทียนฮ็อก ฮุนตระกูล) ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 นาย วิสูตร อรรถยุกติ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2491 หม่อมเจ้าวงศานุวัตร เทวกุล ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ มีเสนาบดีคนแรก ไดแก่ เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี ใน เดือนเมษายน พ.ศ. 2563 ได้มีการแต่งตั้งให้ บุษยา มาทแล็ง เป็น หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการมาตรการเดินทางเข้าออกประเทศและการดูแลคนไทยในต่างประเทศ คนแรกของกระทรวง === รายนามปลัดกระทรวง === {| border="1" cellpadding="5" cellspacing="1" style="margin: 1em 1em 1em 0; background: #f9f9f9; border: 1px #aaa solid; text-align:center; border-collapse: collapse; font-size: 95%;" |- style="background:#cccccc" | ลำดับ || รูป || รายนาม || เริ่มวาระ || สิ้นสุดวาระ |- | 1 | 100px | หม่อมหลวงปีกทิพย์ มาลากุล | พ.ศ. 2500 | พ.ศ. 2505 |- | 2 | 100px | ศาสตราจารย์ ไพโรจน์ ชัยนาม | 2 มกราคม พ.ศ. 2505 | พ.ศ. 2510 |- | 3 | 100px | จิตติ สุจริตกุล | พ.ศ. 2511 | พ.ศ. 2512 |- | 4 | 100px | พลตำรวจจัตวา ปราโมทย์ จงเจริญ | 13 มกราคม พ.ศ. 2512 | 12 มีนาคม พ.ศ. 2513 |- | 5 | 100px | สมบูรณ์ ปาลเสถียร | 16 มีนาคม พ.ศ. 2513 | พ.ศ. 2514 |- | 6 | 100px | จรูญพันธ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา | 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 | พ.ศ. 2515 |- | - | 100px | สุนธร คงศักดิ์ (รักษาราชการแทนปลัดกระทรวง) | 30 มีนาคม พ.ศ. 2516 | พ.ศ. 2516 |- | 7 | 100px | แผน วรรณเมธี | 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2516 | 11 สิงหาคม พ.ศ. 2518 |- | 8 | 100px | อานันท์ ปันยารชุน | 12 สิงหาคม พ.ศ. 2518 | 11 มีนาคม พ.ศ. 2520 |- | 9 | 100px | วงศ์ พลนิกร | 12 มีนาคม พ.ศ. 2520 | 16 มกราคม พ.ศ. 2521 |- | 10 | 100px | อรุณ ภาณุพงศ์ | 16 มกราคม พ.ศ. 2521 | พ.ศ. 2523 |- | 11 | 100px | หม่อมราชวงศ์เกษมสโมสร เกษมศรี | พ.ศ. 2523 | พ.ศ. 2525 |- | 12 | 100px | อาสา สารสิน | พ.ศ. 2525 | พ.ศ. 2529 |- | 13 | 100px | หม่อมราชวงศ์เกษมสโมสร เกษมศรี | พ.ศ. 2529 | พ.ศ. 2533 |- | 14 | 100px | วิทยา เวชชาชีวะ | 22 มีนาคม พ.ศ. 2534 | พ.ศ. 2535 |- | 15 | 100px | ประชา คุณะเกษม | พ.ศ. 2535 | พ.ศ. 2538 |- | 16 | 100px | หม่อมราชวงศ์เทพกมล เทวกุล | 20 มิถุนายน พ.ศ. 2538 | พ.ศ. 2539 |- | 17 | 100px | สาโรจน์ ชวนะวิรัช | 1 ตุลาคม พ.ศ. 2539 | พ.ศ. 2543 |- | 18 | 100px | นิตย์ พิบูลสงคราม | 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 | พ.ศ. 2544 |- | 19 | 100px | เตช บุนนาค | 1 ตุลาคม พ.ศ. 2544 | พ.ศ. 2547 |- | 20 | 100px | กฤษณ์ กาญจนกุญชร | พ.ศ. 2547 | พ.ศ. 2550 |- | 21 | 100px | วีระศักดิ์ ฟูตระกูล | พ.ศ. 2550 | พ.ศ. 2552 |- | 22 | 100px | ธีรกุล นิยม | พ.ศ. 2552 | พ.ศ. 2554 |- | 23 | 100px | สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว | พ.ศ. 2554 | พ.ศ. 2557 |- | 24 | 100px | นรชิต สิงหเสนี | พ.ศ. 2557 | พ.ศ. 2557 |- | 25 | 100px | อภิชาติ ชินวรรโณ | พ.ศ. 2557 | พ.ศ. 2558 |- | 26 | 100px | บุษยา มาทแล็ง | 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559 | 30 กันยายน พ.ศ. 2563 |- | 27 | 100px | ธานี ทองภักดี | 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563 | 30 กันยายน 2565 |- | 28 | 100px | ศรัณย์ เจริญสุวรรณ | 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 | ปัจจุบัน |} == ที่ตั้ง == กระทรวงการต่างประเทศ เคยมีสำนักงานตั้งอยู่ที่พระราชวังสราญรมย์ ถนนสนามไชย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2418 จนถึงปี พ.ศ. 2535 ต่อจากนั้นจึงได้ย้ายที่ทำการมายังเลขที่ 443 ถนนศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ในบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งสำนักงาน องค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO ซีโต้ หรือ สปอ.) นอกจากนั้นยังมีอาคารสำนักงานในสังกัด คือ กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ และสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว 19 แห่ง ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดทั่วประเทศ == ตราสัญลักษณ์ประจำกระทรวง == ตราบัวแก้ว ซึ่งเป็นรูปเทพยดานั่งในดอกบัว ถือดอกบัวข้างขวา ถือวชิระข้างซ้ายนั้น เป็นตราของกระทรวงการต่างประเทศ ตรานี้มีปรากฏใช้มาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตราบัวแก้วเป็นตราซึ่งเจ้าพระยาพระคลังใช้ประทับในเอกสารของกรมท่า (ซึ่งต่อมาในสมัยปัจจุบันได้ปรับรูปมาเป็น กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม) และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงานด้านการต่างประเทศ เช่น สนธิสัญญาต่าง ๆ ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ตราสำคัญในราชการไทยมีสามดวง คือตราพระคชสีห์สำหรับสมุหพระกลาโหม ซึ่งใช้ในราชการด้านการทหารทั่วไป ตราพระราชสีห์สำหรับสมุหนายก ใช้ในราชการด้านมหาดไทย และตราบัวแก้วประจำตำแหน่งพระคลัง (ซึ่งดูแลกิจการกรมท่า และการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศด้วย) กฎหมายไทยที่เรียกว่า "กฎหมายตราสามดวง" ก็เป็นเพราะมีการประทับตราทั้งสามดวงนี้ ซึ่งมีตราบัวแก้วรวมอยู่ด้วยดวงหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2418 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกราชการด้านการคลัง (กรมพระคลังมหาสมบัติ) ออกจากกรมท่า ตราบัวแก้วจึงเป็นตราประจำตำแหน่งเสนาบดีจตุสดมภ์ กรมท่า และต่อมาเมื่อได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จัดระบบราชการใหม่โดยแบ่งเป็น 12 กระทรวง ตราบัวแก้ว จึงเป็นตราประจำเสนาบดีว่าการต่างประเทศ และกลายมาเป็นตราของกระทรวงการต่างประเทศจนปัจจุบัน การใช้ตราบัวแก้วในปัจจุบันนี้ไม่ได้ใช้ประทับในเอกสารทางราชการเหมือนเช่นในสมัยโบราณแล้ว (ตราสำหรับเอกสารราชการไทยทั้งหมด รวมทั้งที่ใช้ในเอกสารราชการของกระทรวงการต่างประเทศด้วย คือตราครุฑ) แต่ถือเป็นตราประจำกระทรวง เป็นเครื่องหมายสังกัดในเครื่องแบบของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ และยังเป็นตราประจำสโมสรสราญรมย์ อันเป็นสโมสรของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศด้วย ในปี พ.ศ. 2418 ถึง ปี พ.ศ. 2474 ใช้นามกระทรวงว่ากระทรวงต่างประเทศ และในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476 จึงเปลี่ยนเป็นกระทรวงการต่างประเทศ จนถึงปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศมีเพลงประจำกระทรวง คือเพลง "บัวแก้ว" ประพันธ์คำร้องและทำนองโดย หลวงวิจิตรวาทการ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ === สีประจำกระทรวง === สีประจำกระทรวง คือสี "กรมท่า" (หรือสีน้ำเงินเข้ม) เป็นอนุสรณ์ถึงประวัติของกระทรวงการต่างประเทศที่สืบมาตั้งแต่กรมท่า ในสมัยจตุสดมภ์ อนึ่ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2470 เป็นต้นมา มีการกำหนดให้มีธงประจำตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยและกงสุลใหญ่ไทยในต่างประเทศด้วย และต่อมาได้รับการรับรองไว้ในพระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2522 โดยกำหนดให้มีลักษณะเป็นธงชาติ (ธงไตรรงค์) มีวงกลมสีน้ำเงินหรือสีกรมท่าอยู่ตรงกลางธงชาติ กลางวงนั้นมีรูปช้างเผือกยืนอยู่ หันหน้าเข้าหาเสาธง หากเป็นธงประจำตำแหน่งเอกอัครราชทูต (ซึ่งพระราชบัญญัติธงเรียกว่า ธงราชทูต) ให้ใช้รูปช้างเผือกทรงเครื่องพร้อมยืนบนแท่น หากเป็นธงประจำตำแหน่งกงสุลใหญ่ (ซึ่งพระราชบัญญัติธงเรียกว่า ธงกงสุล) ให้ใช้รูปช้างเผือกไม่ทรงเครื่องและไม่ยืนบนแท่น (ธงราชทูตนี้มีลักษณะคล้ายธงราชนาวีไทย ซึ่งเป็นธงชาติไทยและมีช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่นอยู่ในวงกลมกลางธงเช่นเดียวกัน แต่ธงราชนาวีใช้วงกลมสีแดงกลางธง) == หน่วยงานในสังกัด == หน่วยงานด้านการบริหาร สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานด้านความสัมพันธ์ทวิภาคีกับภูมิภาคต่างๆ กรมยุโรป กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ กรมเอเชียตะวันออก กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา หน่วยงานด้านความสัมพันธ์พหุภาคี กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กรมองค์การระหว่างประเทศ กรมอาเซียน กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (เดิมคือ กรมวิเทศสหการ และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ) หน่วยงานด้านความเชี่ยวชาญ หรือการบริการเฉพาะทาง กรมการกงสุล กรมพิธีการทูต กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรมสารนิเทศ == หน่วยงานในสังกัด (นอกประเทศไทย) == กระทรวงการต่างประเทศ มีหน่วยงานในสังกัดอยู่นอกประเทศไทย คือ สำนักงานตัวแทนทางการทูตและการกงสุลของไทยในต่างประเทศ (ซึ่งถือว่าอยู่ภายใต้สังกัดของสำนักงานปลัดกระทรวง) ประกอบไปด้วย สถานเอกอัครราชทูตไทย สถานกงสุลใหญ่ไทย สำนักงานคณะผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำองค์การระหว่างประเทศต่างๆ และสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย(ไทเป)ประจำไต้หวัน ซึ่งรัฐบาลไทยใช้เป็นจุดติดต่อกับไต้หวัน รวมทั้งสิ้นประมาณ 93 แห่งใน 70 กว่าประเทศทั่วโลก มีข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งที่เป็นนักการทูตและที่ทำงานฝ่ายกงสุล รวมทั้งที่ปฏิบัติงานด้านอื่นๆ ประมาณ 700 คน นอกประเทศไทย ในทางกลับกัน รัฐบาลมิตรประเทศได้มาเปิดสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศอยู่ในประเทศไทย 74 แห่ง สถานกงสุลต่างประเทศ 13 แห่ง และสำนักงานขององค์การระหว่างประเทศมาตั้งอยู่ในประเทศไทย 32 องค์การ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศไทยเป็นจุดติดต่อระหว่างรัฐบาลไทยกับหน่วยงานต่างประเทศเหล่านี้ด้วย สำนักงานตัวแทนทางการทูตของประเทศไทย มีฐานะเป็นสถานเอกอัครราชทูต (Embassy) และในหลักการ ประเทศไทยเช่นเดียวกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก สามารถส่งผู้แทนทางการทูตระดับเอกอัครราชทูต (Ambassador) ไปประจำการในต่างประเทศและรับผู้แทนระดับเอกอัครราชทูตของรัฐต่างประเทศมาประจำในประเทศของตนได้ แต่ในประวัติศาสตร์การทูตก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ตามธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศในยุคนั้น การส่งผู้แทนทางการทูตไปประจำในต่างประเทศในระดับเอกอัครราชทูต เป็นสิทธิพิเศษที่มหาประเทศในยุคนั้น เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส สงวนไว้สำหรับพวกตนด้วยกันเองเท่านั้น สยามในฐานะประเทศเล็กจึงไม่มีสิทธิส่งผู้แทนในระดับเอกอัครราชทูตไปประจำในต่างประเทศ สามารถส่งได้เพียงอัครราชทูต (Envoy) และตั้งได้เพียงสถานอัครราชทูต (Legation) ประจำต่างประเทศ ประเทศไทยได้แลกเปลี่ยนผู้แทนทางการทูตในระดับเอกอัครราชทูตกับต่างประเทศครั้งแรกกับประเทศญี่ปุ่น ในฐานะมิตรร่วมรบในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ต่อมา หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศได้เปลี่ยนเป็นถือว่า ประเทศต่างๆ ไม่ว่าเล็กใหญ่ มีความเสมอภาคกันและสามารถส่งผู้แทนทางการทูตในระดับเอกอัครราชทูตได้ด้วยกันทุกประเทศ สำนักงานตัวแทนทางกงสุลของรัฐบาลไทย มีฐานะเป็นสถานกงสุลใหญ่หรือสถานกงสุล (Consulate-General หรือ Consulate) ในระบบของกระทรวงการต่างประเทศไทย ราชการฝ่ายการทูตและราชการฝ่ายกงสุลไม่ได้แยกออกจากกันโดยเด็ดขาดเหมือนเช่นในระบบของบางประเทศ และเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศไทยเมื่อออกไปประจำการในต่างประเทศสามารถมีโอกาสเป็นได้ทั้งนักการทูตหรือเจ้าพนักงานกงสุล กงสุลมีหน้าที่ช่วยเหลือและคุ้มครองพลเมืองของประเทศผู้แต่งตั้งกงสุลในดินแดนของประเทศผู้รับ และเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและไมตรีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ กงสุลแตกต่างจากเอกอัครราชทูตตรงที่เอกอัครราชทูตเป็นผู้แทนจากประมุขแห่งรัฐหนึ่งไปประจำประมุขของอีกรัฐหนึ่ง เอกอัครราชทูตไทยประจำอีกประเทศหนึ่งมีได้เพียงคนเดียว และโดยปกติจะประจำการอยู่ที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในเมืองหลวงของประเทศผู้รับ ขณะที่กงสุลไทยในแต่ละประเทศอาจมีได้หลายคน ประจำอยู่ในเมืองสำคัญต่าง ๆ ของประเทศผู้รับ (ที่มิใช่เมืองหลวง) เพื่อให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองผลประโยชน์ของคนไทยในท้องถิ่นนั้น ๆ ของประเทศผู้รับ ทั้งคนไทยที่พำนักอยู่เป็นประจำและที่เดินทางไปเยือน (เช่น การให้บริการต่ออายุหนังสือเดินทางและออกเอกสารเดินทางชั่วคราวให้หากทำหาย การช่วยเหลือคนไทยตกทุกข์ได้ยาก เจ็บป่วย หรือต้องคดีในต่างประเทศ และการอำนวยความสะดวกด้านทะเบียนราษฎร เช่นการจดทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า ออกสูติบัตรและมรณบัตร ผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร และจัดการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร) และอำนวยความสะดวกในส่วนที่เกี่ยวกับทางราชการไทยแก่พลเมืองของประเทศนั้นในภูมิภาคที่กงสุลประจำอยู่ด้วย (เช่น การตรวจลงตราหนังสือเดินทางต่างชาติเพื่ออนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรหรือที่เรียกกันว่า "การให้วีซ่า" และการรับรองเอกสารต่างๆ) ทั้งนี้ ภายในสถานเอกอัครราชทูตไทยเองที่เมืองหลวงก็จะมีฝ่ายกงสุลสังกัดอยู่ด้วยเช่นกัน และตามระบบ เอกอัครราชทูตไทยจะเป็นหัวหน้าผู้บังคับบัญชาของกงสุลไทยในเมืองอื่นๆ ในประเทศนั้นๆ (ถ้ามี)ด้วย ตามกฎหมายระหว่างประเทศ กิจการด้านการทูตและกิจการด้านการกงสุลอยู่ภายใต้บังคับของสัญญาระหว่างประเทศสองฉบับ คือ อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางทูต ค.ศ. 1961 (Vienna Convention on Diplomatic Relations of 1961) และอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงสุล ค.ศ. 1963 (Vienna Convention on Consular Relations of 1963) อนึ่ง รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศยังได้แต่งตั้งบุคคลสัญชาติต่างประเทศเป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ของไทยประจำเมืองต่างๆ บางแห่งที่ไม่มีสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยประจำอยู่ด้วย == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ปลัดกระทรวงการต่างประเทศของไทย คณะผู้แทนทางทูตของประเทศไทย คณะผู้แทนทางทูตในประเทศไทย == แหล่งข้อมูลอื่น == กระทรวงการต่างประเทศ สถานทูตและสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หน่วยงานของรัฐบาลไทยในเขตราชเทวี
thaiwikipedia
1,779
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่วาง และ อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ประมาณ 482.4 ตารางกิโลเมตร หรือ 301,500 ไร่ ประกอบไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขาอินทนนท์ (ทิวเขาถนนธงชัยตะวันออก) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย สภาพภูมิประเทศทั่วไปประกอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุด สูงจากระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร ยอดเขาที่มีระดับสูงรองลงมาคือ ดอยหัวมดหลวง สูงจากระดับน้ำทะเล 2,330 เมตร ป่าอินทนนท์นี้เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำแม่กลาง แม่ป่าก่อ แม่ปอน แม่หอย แม่ยะ แม่แจ่ม แม่ขาน และเป็นส่วนหนึ่งของต้นน้ำแม่ปิงที่ ให้พลังงานไฟฟ้าที่เขื่อนภูมิพล มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น น้ำตกต่างๆ โดยเฉพาะน้ำตกแม่ยะ ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดของประเทศ ดอยอินทนนท์ เดิมมีชื่อว่า "ดอยหลวงอ่างกา" ต่อมาได้ตั้งชื่อตามพระนามของพระเจ้าอินทวิชยนนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 7 == ลักษณะภูมิอากาศ == มีลักษณะอากาศแบบอบอุ่นจนถึงหนาวจัด == พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า == ในอุทยานนั้นมีสภาพป่าเป็น ป่าดิบเขา ป่าสน ป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ไม้สัก ตะเคียน สนเขา เต็ง เหียง มะเกลือ ไม้แดง ประดู่ รกฟ้า มะค่า ไม้เก็ดแดง ไม้จำปีป่า ตะแบก ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีดอกไม้ป่าให้พบเห็นอีกด้วย เช่น ฟ้ามุ่ย ช้างแดง รองเท้านารี และกุหลาบป่า สำหรับมอส ข้าวตอกฤๅษี ออสมันด้า มีอยู่ทั่วไปในระดับสูง แต่สัตว์ป่าในเขตอุทยานนั้นมีจำนวนน้อย เนื่องด้วยถูกชาวเขา ล่าไปเป็นอาหาร ปัจจุบันสัตว์ที่หลงเหลือก็มี เลียงผา กวางผา กวาง เสือ หมูป่า หมี ชะนี กระต่ายป่า และ ไก่ป่า ปลาค้างคาวดอยอินทนนท์ เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กในอันดับปลาหนังชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาแค้ ที่พบได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้นในโลก ที่ลำธารน้ำไหลแรงบนทิวเขาอินทนนท์ และอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,200 เมตร ปัจจุบันมีสถานะใกล้สูญพันธุ์แล้ว == รูปภาพ == ไฟล์:Place PPBankhunklang.jpg|โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำตกบ้านขุนกลาง ตามแนวพระราชดำริ โครงการหลวงดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ไฟล์:Place WFVajiradhara.jpg|น้ำตกวชิรธาร อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ไฟล์:Waterfallss.jpg|น้ำตกอีกแห่งหนึ่งในอุทยาน อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ไฟล์:Stupa of Inthawichayanon (I).jpg|กู่พระเจ้าอินทวิชยานนท์ บริเวณจุดสูงสุดของยอดดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ไฟล์:Place MostHighestofThailand.jpg|สูงสุดแดนสยาม ยอดดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ไฟล์:InthanonChedi1.jpg|พระมหาธาตุเจดีย์ธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริบนยอดดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ไฟล์:Solo tree.jpg|อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ไฟล์:Intanon 03.jpg|อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ไฟล์:Mae Ya Waterfall 01.jpg|น้ำตกแม่ยะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ไฟล์:Siritarn Waterfall.jpg|น้ำตกสิริธาร อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ด ดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่วาง อำเภอดอยหล่อ สถานที่ที่ตั้งชื่อตามพระนามของเจ้านายฝ่ายเหนือ
thaiwikipedia
1,780
จังหวัดอ่างทอง
อ่างทอง เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นจังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตหัตถกรรมพื้นบ้าน เช่น ตุ๊กตาชาววัง กลอง และงานจักสาน เป็นต้น == ภูมิศาสตร์ == === ที่ตั้งและอาณาเขต === จังหวัดอ่างทองเป็นพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง พิกัดภูมิศาสตร์เส้นรุ้งที่ 14 องศา 35 ลิปดา 12 พิลิปดาเหนือ เส้นแวงที่ 100 องศา 27 ลิปดา ห่างจากกรุงเทพมหานครมาตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 (บางปะอิน-พยุหะคีรี) ระยะทางประมาณ 108 กิโลเมตร และเส้นทางเรือตามแม่น้ำเจ้าพระยาถึงตลาดท่าเตียน ระยะทางประมาณ 120 กิโลเมตร มีรูปร่างลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีส่วนกว้างตามแนวทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก และส่วนยาวตามแนวทิศเหนือถึงทิศใต้ใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 968.372 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 605,232.5 ไร่ และมีอาณาเขตดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอค่ายบางระจัน อำเภอพรหมบุรี อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี และอำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอผักไห่และอำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอบางปะหัน อำเภอมหาราช และอำเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเมืองสุพรรณบุรี อำเภอศรีประจันต์ อำเภอสามชุก และอำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี === ภูมิประเทศ === จังหวัดอ่างทอง มีลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบลุ่ม ลักษณะคล้ายอ่าง ไม่มีภูเขา ดินเป็นดินเหนียวปนทราย พื้นที่ส่วนใหญ่เหมาะแก่การปลูกข้าว ทำไร่ ทำนา และทำสวน และมีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่าน 2 สาย คือแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแม่น้ำสายแขนงที่ไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดชัยนาท จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง ซึ่งไหลผ่านอำเภอไชโย อำเภอเมืองอ่างทอง อำเภอป่าโมก รวมระยะทางที่ไหลผ่านจังหวัดอ่างทองประมาณ 40 กิโลเมตร === ภูมิอากาศ === ลักษณะภูมิอากาศจัดอยู่ในโซนร้อนและชุ่มชื้น เป็นแบบฝนเมืองร้อนเฉพาะฤดู โดยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้อากาศหนาวเย็น และแห้งแล้งในช่วงนี้ และได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน ทำให้มีเมฆมากและฝนตกชุกในช่วงนี้ == ประวัติศาสตร์ == อ่างทองในอดีตนั้นมีผู้คนอาศัยอยู่มานานหลายพันปี พื้นที่ทางตอนบนของจังหวัดค่อนข้างเป็นที่ดอน และค่อย ๆ ลาดลงจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ ไม่มีภูเขา ป่า หรือแร่ธาตุ จังหวัดอ่างทองได้รับการหล่อเลี้ยงจากแม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ได้อาศัยทำการเพาะปลูก อุปโภคบริโภค และคมนาคมตลอดมา จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบทำให้ทราบว่าในเขตพื้นที่จังหวัดอ่างทอง มีลำดับพัฒนาการจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ไปสู่ยุคประวัติศาสตร์ ดังนี้ 1.ยุคหินใหม่ ซึ่งเป็นสังคมเกษตรกรรมยุคแรกเริ่ม พบ 2 แห่ง คือ แหล่งโบราณคดีบ้านสีบัวทอง ต.สีบัวทอง อ.แสวงหา อายุประมาณ 3,000 ปี และแหล่งโบราณคดีบ้านคลองสำโรง ต.หลักแก้ว อ.วิเศษชัยชาญ อายุประมาณ 4,000 ปี โดยมากพบเศษขวานหินขัด และกระดูกสัตว์ 2.ยุคสำริด ได้ขุดพบเครื่องมือที่ทำจากสำริดในแหล่งโบราณคดีบ้านสีบัวทอง อ.แสวงหา 3.ยุคเหล็ก พบ 3 แห่ง คือ 1.แหล่งโบราณคดีบ้านยางช้าย อ.โพธิ์ทอง 2.แหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาวง และ 3.แหล่งโบราณคดีบ้านหัวกระบัง อ.สามโก้ ซึ่งพบลูกปัดหินอาเกต และหินคาร์เนเลียน 4.ยุคทวารวดี สันนิษฐานว่ามีผู้คนอาศัยเป็นชุมชนขนาดกลางแล้ว เช่นที่บ้านคูเมือง อ.แสวงหา และบ้านทางพระ อ.โพธิ์ทอง 5.ยุคก่อนอยุธยา - อยุธยาตอนต้น ในพื้นที่วัดเขาแก้ว อ.โพธิ์ทอง ขุดพบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวนจากเตาหลงฉวน และผู่เถียน เครื่องถ้วยเชลียง เครื่องถ้วยจากบ้านบางปูน(สุพรรณบุรี) และเครื่องถ้วยจากเตาเผาแม่น้ำน้อย(สิงห์บุรี) 6.สมัยอยุธยาตอนกลาง - ปลาย ขุดพบได้ทั่วไปในจังหวัดอ่างทอง === ที่มาของชื่อ === เมืองอ่างทอง ได้ชื่อนี้มาจากไหน มีการสันนิษฐานเป็น 3 นัย นัยแรกเชื่อว่า คำว่า “อ่างทอง” น่าจะมาจากลักษณะทางกายภาพของพั้นที่นี้ คือเป็นที่ราบลุ่มเป็นแอ่งคล้ายอ่าง ซึ่งเต็มไปด้วยทุ่งนาที่ออกรวงเหลืองอร่ามเหมือนทอง จึงเป็นที่มาของชื่อจังหวัดอ่างทอง และดวงตราของจังหวัด เป็นรูปรวงข้าวสีทองอยู่ในอ่างน้ำ ซึ่งมีความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารและเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ นัยที่สองเชื่อว่า อ่างทองน่าจะมาจากชื่อของหมู่บ้านเดิมที่เรียกว่า “บางคำทอง” ตามคำสันนิษฐานของพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาล มณฑลอยุธยา เมื่อครั้งที่กราบทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวเสด็จประพาสลำแม่น้ำน้อยและลำแม่น้ำใหญ่ใน พ.ศ. 2459 ว่า ชื่อของเมืองอ่างทองก็จะมาจากชื่อ บางคำทอง ซึ่งแต่งตั้งครั้งกรุงเก่า ว่าด้วยตามเสด็จพระราชดำเนินเมืองนครสวรรค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจากกรุงเก่า “ลุถึงบางน้ำชื่อ คำทอง น้ำป่วนเป็นฟอง คว่างคว้าง” และบางกระแสก็ว่า อาจเพี้ยนมาจากชื่อของแม่น้ำลำคลองในย่านนั้น ที่เคยมีชื่อว่า “ปากน้ำประคำทอง” ซึ่งเป็นทางแยกแม่น้ำหลังศาลากลางจังหวัด และส่วนในเข้าไปเรียกว่า “แม่น้ำสายทอง” ซึ่งปัจจุบันตื้นเขินใช้ไม่ได้แล้ว นัยที่สามเชื่อว่า ชื่ออ่างทองน่าจะมาจากชื่อ บ้านอ่างทอง ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในหนังสือชุมนุมพระนิพนธ์เรื่องสร้างเมืองไว้ตอนหนึ่งว่า “เมืองอ่างทองดูเหมือนจะตั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวร เดิมชื่อเมืองว่า วิเศษไชยชาญ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อย ที่ลงมาจากนครสวรรค์ อยู่มาแม่น้ำน้อยตื้นเขิน ฤดูแล้งใช้เรือไม่สะดวก ย้ายเมืองออกมาตั้งริมแม่น้ำพระยาที่บ้านอ่างทองจึงเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองอ่างทอง” ถึงแม้ว่าชื่อของจังหวัดอ่างทอง จะได้มาตามนัยใดก็ตาม ชื่ออ่างทองนี้เป็นชื่อที่เริ่มมาในสมัยกรุงธนบุรีหรือสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือ เมื่อประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา ย้อนกลับไปในอดีต สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนั้น อ่างทองเป็นที่รู้จักในนามของเมืองวิเศษไชยชาญ ดังนั้นการศึกษาความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของเมืองอ่างทองนั้น หมายถึงการศึกษาความเป็นมาของดินแดนแถบนี้ย้อนกลับไปกว่า 1 พันปี เป็นสมัยที่ชื่อเสียงของเมืองอ่างทองยังไม่ปรากฏ แต่มีหลักฐานแน่ชัดว่า มีดินแดนแถบนี้มานานแล้ว และอาจจะสรุปได้ว่าดินแดนนี้มีลักษณะเด่นชัดอย่างน้อย 2 ประการ คือ ความอุดมสมบูรณ์ที่เหมาะแก่การทำเกษตรกรรม ทำให้มีมนุษย์ตั้งหลักฐานอยู่กันมานานนับพัน ๆ ปี และเป็นดินแดนที่มีความสำคัญในแง่การเป็นยุทธศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา === การก่อตั้งเมือง === จังหวัดอ่างทองในสมัยทวารวดีได้มีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นเมืองแล้ว แต่เป็นเมืองไม่ใหญ่โตนัก หลักฐานที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบันก็คือ คูเมืองที่บ้านคูเมือง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอแสวงหา ซึ่งนายบาเซอลีเย นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส และเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรได้สำรวจพบ สันนิษฐานว่าเป็นเมืองโบราณสมัยทวาราวดี ปัจจุบันนี้บ้านคูเมืองอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอแสวงหาไปทางทิศเหนือ 4 กิโลเมตร ในสมัยสุโขทัย ก็เข้าใจว่าผู้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยเช่นกัน และดินแดนอ่างทองได้รับอิทธิพลจากสุโขทัยด้วย โดยการสังเกตจากลักษณะของพระพุทธรูปสำคัญในท้องถิ่นที่อ่างทองมีลักษณะเป็นแบบสุโขทัยหลายองค์ เช่น พระพุทธไสยาสน์วัดขุนอินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง และพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกวรวิหาร อำเภอป่าโมก เป็นต้น ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาระยะต้น ๆ สันนิษฐานว่าอ่างทองคงเป็นชานเมืองของกรุงศรีอยุธยา เพิ่งจะยกฐานะเป็นเมืองมีชื่อว่า “แขวงเมืองวิเศษไชยชาญ” เมื่อประมาณ พ.ศ. 2127 โดยในพระราชพงศาวดารได้กล่าวถึงชื่อเมืองวิเศษไชยชาญเป็นครั้งแรกว่า สมเด็จพระนเรศวรเมื่อครั้งยังทรงเป็นมหาอุปราชและสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้เสด็จยกกองทับไปรบกับพระยาพะสิมที่เมืองสุพรรณบุรี พระองค์ได้เสด็จโดยทางเรือจากกรุงศรีอยุธยา ไปทำพิธีเหยียบชิงชัยภูมิตัดไม้ข่มนาม ที่ตำบลลุมพลี พระองค์ได้เสด็จไปประทับที่แขวงเมืองวิเศษไชยชาญอันเป็นที่ชุมพล จึงสันนิษฐานว่า เมืองวิเศษไชยชาญได้ตั้งเมืองในแผ่นดินพระมหาธรรมราชา ตัวเมืองวิเศษไชยชาญสมัยนั้นตั้งอยู่ทางลำแม่น้ำน้อย ฝั่งตะวันออก หมู่บ้านตรงนั้นปัจจุบันยังเรียกว่า “บ้านจวน” แสดงว่าเป็นที่ตั้งจวนเจ้าเมืองเดิม ต่อมา สภาพพื้นที่และกระแสน้ำในแควน้ำน้อยเปลี่ยนแปลงไป การคมนาคมไปมาระหว่างแม่น้ำน้อยกับแม่น้ำใหญ่ (คือแม่น้ำเจ้าพระยา) เดินทางติดต่อไม่สะดวก จึงย้ายที่ตั้งเมืองไปอยู่ที่ตำบลบ้านแห ตรงวัดไชยสงคราม (วัดกระเจา) ฝั่งขวาหรือฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมกับขนานนามให้เป็นสิริมงคลแก่เมืองใหม่ว่า “เมืองอ่างทอง” ส่วนเมืองวิเศษไชยชาญยังคงเป็นเมืองอยู่ตลอดมาจนถึง พ.ศ. 2439 จึงลดลงเป็นอำเภอ เรียกว่า อำเภอไผ่จำศีล ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอวิเศษไชยชาญ และราชการก็ใช้ชื่อ อำเภอวิเศษไชยชาญ มาจนถึงอย่างน้อยวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2509 หลังจากนั้น ก็พบว่า เมื่อ 12 มกราคม พ.ศ. 2509 ราชการก็ใช้ชื่อเป็น อำเภอวิเศษชัยชาญ (ไม่พบหลักฐานคำสั่งให้เปลี่ยนชื่ออำเภอ ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา) กาลล่วงมาถึง พ.ศ. 2356 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาภูธร สมุหนายกไปเป็นแม่กองทำการเปิดทำนบกั้นน้ำที่หน้าเมืองอ่างทอง เพื่อให้น้ำไหลไปทางคลองบางแก้วแต่ไม่สำเร็จ จึงย้ายเมืองอ่างทองไปตั้งที่ปากคลองบางแก้ว ตำบลบางแก้ว ท้องที่อำเภอเมืองอ่างทองฝั่งซ้ายของแม่น้ำพระยาจนถึงปัจจุบันนี้ === สมัยอยุธยา === เมืองอ่างทองมีท้องที่ต่อเนื่องกับกรุงศรีอยุธยา เสมือนเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ชานเมืองหลวง จึงมีประวัติศาสตร์เกี่ยวเนื่องกันหลายตอน เฉพาะที่สำคัญ ๆ มีดังนี้ ราว พ.ศ. 2122 ญาณพิเชียรมาซ่อมสุมคนในตำบลยี่ล้น ขุนศรีมงคลแขวง ส่งข่าวกบฏนั้นมาถวาย สมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้พระยาจักรียกกำลังไปปราบปราม ตั้งทัพในตำบลมหาดไทย ญาณพิเชียรและพรรคพวกก็เข้าสู้รบกับพระยาจักรี เจ้าพระยาจักรีเสียชีวิตในการสู้รบ พวกชาวบ้านก็เข้าเป็นพวกญาณพิเชียร ญาณพิเชียรติดเอาเมืองลพบุรี ก็ยกกำลังไปปล้นเมืองลพบุรี จึงเกิดรบกับพระยาสีหราชเดโช ญาณพิเชียรถูกยิงตาย พรรคพวกกบฏก็หนีกระจัดกระจายไป กบฏญาณพิเชียรนับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญมากเหตุการณ์หนึ่ง ที่ชาวบ้านยี่ล้นและชาวบ้านมหาดไทย แขวงเมืองวิเศษไชยชาญเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พ.ศ. 2128 พระเจ้าเชียงใหม่ยกกองทัพมาตั้งที่บ้านสระเกศ ท้องที่ตำบลไชยภูมิ อำเภอไชโย สมเด็จพระนเรศวรกับพระเอกาทศรถยกกองทัพไปถึงตำบลป่าโมก ก็พบทหารพม่าซึ่งลงมาเที่ยวรังแกราษฎรทางเมืองวิเศษไชยชาญ จึงได้เข้าโจมตีทหารพม่าล่าถอยไป พระเจ้าเชียงใหม่จึงได้จัดกองทัพยกลงมา สมเด็จพระนเรศวรจึงดำรัสสั่งให้พระราชมนูคุมกองทัพขึ้นตระเวนดูก่อน กองทัพระราชมนูไปปะทะกับกองทัพพม่าที่บ้านบางแก้ว สมเด็จพระนเรศวรเสด็จขึ้นไปถึงบ้านแห จึงมีดำรสให้ข้าหลวงขึ้นไปสั่งพระราชมนูให้ทำเป็นถอยทัพกลับมา แล้วพระองค์ก็โอบล้อมรุกไล่ตีทัพพม่าแตกทั้งทัพหน้าและทัพหลวง จนถึงที่ตั้งทัพพระเจ้าเชียงใหม่ที่บ้านสระเกศ กองทัพของพระเจ้าเชียงใหม่จึงแตกพ่ายกลับไป พ.ศ. 2130 พระเจ้ากรุงหงสาวดียกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ทหารไทยได้เอาปืนลงเรือสำเภาขึ้นไประดมยิงค่ายหลวงพระเจ้าหงสาวดี จนพระเจ้าหงสาวดีทนไม่ไหวต้องถอยทัพหลวงกลับขึ้นไปตั้งป่าโมก สมเด็จพระนเรศวรเสด็จโดยขบวนทัพเรือตามตีกองทัพหลวงของพระเจ้าหงสาวดีไปจนถึงป่าโมก จนพม่าแตกพ่ายถอยทัพกลับไป พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรกับพระเอกาทศรถยกทัพจากรุงศรีอยุธยาไปตั้งที่ทุ่งป่าโมก แล้วยกทัพหลวงไปเมืองสุพรรณบุรีทางบ้านสามโก้ และทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาที่ตำบลตระพังตรุ หนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ เมืองสุพรรณบุรี จนมีชัยชนะยุทธหัตถีในครั้งนั้น พ.ศ. 2147 สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถยกกองทัพไปตีกรุงอังวะ เสด็จเข้าพักพลที่ตำบลป่าโมก แล้วเสด็จไปทางชลมารค ขึ้นเหยียบชัยภูมิตำบลเอกราช อำเภอป่าโมก ตัดไม้ข่มนามตามพระราชพิธีของพราหมณ์แล้วยกทัพไป แต่สวรรคตเสียที่เมืองหางหรือเมืองห้างหลวง สมเด็จพระเอกาทศรถนำพระบรมศพกลับกรุงพร้อมด้วยพระเกียรติและในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ) พระองค์ได้ปลอมพระองค์เป็นสามัญชนไปในงานฉลองพระอาราม ได้ทรงชกมวยได้ชัยชนะถึง 2 ครั้ง สถานที่เสด็จไปก็คือ บ้านพระจันตชนบท แขวงเมืองวิเศษไชยชาญ เชื่อกันว่างานฉลองวัดที่เสร็จไปนั้นอาจเป็นวัดโพธิ์ถนนหรือวัดถนน ซึ่งเป็นวัดร้างอยู่ในตำบลตลาดกรวด (อำเภอเมืองอ่างทอง) นั่นเอง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าดินแดนของอ่างทองยังคงความสำคัญต่อเมืองหลวง คือ กรุงศรีอยุธยา เมื่อมีงานนักขัตฤกษ์ของสามัญชนที่เลื่องลือเข้าไปถึงพระราชวังในเมืองหลวง แม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงสนพระทัยที่จะทอดพระเนตรและทรงเข้าร่วมด้วยกันอย่างสามัญ พ.ศ. 2269 ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พระองค์ได้เสด็จไปควบคุมชลอพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก เพราะปรากฏว่าแม่น้ำเจ้าพระยาตรงหน้าวัดป่าโมก น้ำเซาะกัดตลิ่งจนทำให้พระวิหารพระพุทธไสยาสน์อาจพังลงได้ จึงมีรับสั่งให้ทำการชลอพระพุทธไสยาสน์เข้าไปประดิษฐานห่างฝั่งออกไป 150 เมตร กินเวลาทั้งหมดกว่า 5 เดือน เนื่องจากเมืองอ่างทองเคยเป็นยุทธภูมิระหว่างทหารไทยกับทหารพม่าหลายครั้ง จึงมีบรรพบุรุษของเมืองอ่างทองได้สร้างวีรกรรมอันกล้าหาญในการรบกับพม่าหลายท่าน เช่น นายแท่น นายโชติ นายอิน และนายเมือง ทั้งสี่ท่านเป็นชาวบ้านสีบัวทอง (ตำบลสีบัวทอง อำเภอแสวงหาในปัจจุบัน) และมีนายดอก ชาวบ้านกรับ และนายทองแก้ว ชาวบ้านโพธิ์ทะเล ทั้งสองท่านเป็นชาวเมืองวิเศษไชยชาญ ได้ร่วมกับชาวบ้านของเมืองวิเศษไชยชาญสู้รบกับพม่าอยู่ที่ค่ายบางระจัน ซึ่งสมัยนั้นอยู่ในแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ และสนามรบส่วนใหญ่อยู่ในท้องที่อำเภอแสวงหา วีรกรรมอันกล้าหาญชาญชัยของนักรบไทยค่ายบางระจันสมัยนั้น เป็นที่ภาคภูมิใจและประทับอยู่ในความทรงจำของคนไทยทุกคนตลอดมา ประชาชนชาวเมืองอ่างทองจึงพร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่นายดอ และนายทองแก้วไว้ที่บริเวณวัดวิเศษไชยชาญ อำเภอวิเศษชัยชาญ โดยที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินมาทรงกระทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2520 ดังนั้นในวันที่ 25 มีนาคมของทุกปี ชาวเมืองอ่างทองจึงได้กระทำพิธีวางมาลาสักการะอนุสาวรีย์นายดอก นายทองแก้ว เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณความดีในวีรกรรมความกล้าหาญของท่านเป็นประจำทุกปี อีกครั้งของวีรกรรมของนับรบแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ คือ ขุนรองปลัดชูกับกองอาทมาต คือเมื่อปี พ.ศ. 2302 ตรงกับรัชกาลของสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) ขึ้นครองราชสมบัติกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา ในครั้งนั้น พระเจ้าอลองพญาครองราชสมบัติกรุงอังวะรัตนสิงห์ ปกครองพม่ารามัญทั้งปวง พระองค์ให้เกณฑ์ไพร่พล 8000 ให้มังฆ้องนรธาเป็นนายทัพยกมา ตีเมืองทวาย มะริด และตะนาวศรี พระเจ้าเอกทัศทรงเกณฑ์พล 5000 แบ่งเป็นสองทัพ โดยให้พระราชรองเมืองว่าที่ออกญายมราชคุมทัพใหญ่พล 3000 แลให้ออกญารัตนาธิเบศร์คุมทัพหนุนพล 2000 ในครั้งนั้นมีครูฝึกเพลงอาวุธอยู่ในเมืองวิเศษไชยชาญอยู่ผู้หนึ่ง ชื่อ ครูดาบชู ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศให้เป็นปลัดเมือง กรมการเมืองวิเศษไชยชาญ ชาวบ้านจึงเรียนว่าขุนรองปลัดชู นำกองอาทมาต 400 มาอาสาศึก แลได้ติดตามไปกับกองทัพออกญารัตนาธิเบศร์ เมื่อเดินทางข้ามพ้นเขาบรรทัดก็ได้ทราบว่า เมืองมะริดและตะนาวศรีเสียแก่ข้าศึกแล้ว จึงตั้งทัพรออยู่เฉย ๆ โดยทัพพระราชรองเมืองตั้งอยู่ที่แก่งตุ่มตอนปลายแม่น้ำตะนาวศรี ส่วนออกญารัตนาธิเบศร์ตั้งทัพอยู่ที่เมืองกุยบุรี แต่ให้กองอาทมาตมาขัดตาทัพรอที่อ่าวหว้าขาว จากนั้นสามวันทัพพม่าเข้าตีทัพไทยที่แก่งตุ่มแตกพ่าย และยกมาเพื่อเข้าตีทัพหนุน กองอาทมาตของขุนรองปลัดชู ได้รับคำสั่งให้ตั้งรับพม่าที่ตำบลหว้าขาวริมทะเล ครั้นพอเพลาเช้า ทัพพม่า 8000 ก็ปะทะกับกองอาทมาต 400 นาย ทัพทั้งสองปะทะกันดุเดือดจนถึงเที่ยง มิแพ้ชนะ แต่ทัพไทยพลน้อยกว่าก็เริ่มอ่อนแรง ขุนรองปลัดชูรบจนสิ้นกำลังถูกทหารพม่ารุมจับตัวไป จากนั้นพม่าให้ช้างศึกเข้าเหยียบย่ำทัพไทยล้มตายเป็นอันมาก กองอาทมาต 400 คนตายแทบจะสิ้นทั้งทัพ เพื่อระลึกถึงวีรกรรมของกองอาสาวิเศษไชยชาญในครั้งนั้น จึงได้มีการสร้างวัดขึ้นเป็นที่ระลึกแก่นักรบกล้าทั้ง 400 คนโดยเรียกกันว่า "วัดสี่ร้อย" == สัญลักษณ์ประจำจังหวัด == คำขวัญประจำจังหวัด คือ พระสมเด็จเกษไชโย หลวงพ่อโตองค์ใหญ่ วีรไทยใจกล้า ตุ๊กตาชาววัง โด่งดังจักสาน ถิ่นฐานทำกลอง เมืองสองพระนอน ตราประจำจังหวัด คือ รูปอ่างทอง ในอ่างมีรวงข้าวและใบข้าว จังหวัดอ่างทองเป็นที่ราบลุ่ม มีลักษณะเป็นแอ่งรับน้ำภูมิประเทศเหมาะแก่การเพาะปลูก ดวงตราของจังหวัดจึงเป็นรูปอ่างสีทองซึ่งหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของจังหวัด และในอ่างมีรวงข้าวและใบข้าวซึ่งหมายถึงการทำนา อาชีพหลักของคนในภูมิภาคนี้ ต้นไม้ประจำจังหวัด คือ มะพลับ (Diospyros malabarica) สัตว์น้ำประจำจังหวัด คือ ปลาตะเพียนทอง (Barbonymus altus) ไฟล์:Seal Ang Thong.png|ตราประจำจังหวัดอ่างทอง ไฟล์:Malabar Ebony.jpg|มะพลับ ต้นไม้ประจำจังหวัด ไฟล์:Barbonymus schwanenfeldii by OpenCage.jpg|ปลาตะเพียนทอง สัตว์น้ำประจำจังหวัด == การเมืองการปกครอง == === หน่วยการปกครอง === การปกครองส่วนภูมิภาคของจังหวัดอ่างทองแบ่งออกเป็น 7 อำเภอ 73 ตำบล 513 หมู่บ้าน โดยอำเภอทั้ง 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองอ่างทอง อำเภอไชโย อำเภอป่าโมก อำเภอโพธิ์ทอง อำเภอแสวงหา อำเภอวิเศษชัยชาญ อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทองมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวม 65 แห่ง ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดอ่างทอง, เทศบาลเมือง 1 แห่ง คือ เทศบาลเมืองอ่างทอง, เทศบาลตำบล 20 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 43 แห่ง โดยรายชื่อเทศบาลทั้งหมดในจังหวัดอ่างทองแบ่งตามอำเภอมีดังนี้ อำเภอเมืองอ่างทอง เทศบาลเมืองอ่างทอง เทศบาลตำบลศาลาแดง เทศบาลตำบลโพสะ อำเภอไชโย เทศบาลตำบลเกษไชโย เทศบาลตำบลไชโย อำเภอป่าโมก เทศบาลตำบลป่าโมก อำเภอโพธิ์ทอง เทศบาลตำบลโพธิ์ทอง เทศบาลตำบลรำมะสัก เทศบาลตำบลโคกพุทรา เทศบาลตำบลทางพระ เทศบาลตำบลม่วงคัน อำเภอแสวงหา เทศบาลตำบลแสวงหา เทศบาลตำบลเพชรเมืองทอง อำเภอวิเศษชัยชาญ เทศบาลตำบลบางจัก เทศบาลตำบลวิเศษไชยชาญ เทศบาลตำบลห้วยคันแหลน เทศบาลตำบลท่าช้าง เทศบาลตำบลไผ่ดำพัฒนา เทศบาลตำบลสาวร้องไห้ เทศบาลตำบลม่วงเตี้ย อำเภอสามโก้ เทศบาลตำบลสามโก้ === เจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัด === นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปการปกครองโดยนำระบบเทศาภิบาลมาใช้ในประเทศไทย เมืองอ่างทองยังคงมีสภาพเป็นเมืองตามรูปการปกครองแบบเดิมก่อนการปฏิรูป ปรากฏพระนามและรายนามผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทองดังนี้ {|class="wikitable" ! colspan="10" style="background: #ffdead;" | รายพระนามและชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง |- ! rowspan="1"|พระนาม/ชื่อ ! rowspan="1"|เริ่มดำรงตำแหน่ง ! rowspan="1"|ออกจากตำแหน่ง |- | 1. พระยาวิเศษไชยชาญ ปรีชาญาณยุติธรรมโกศลสกลเกษตรวิไสย | พ.ศ. 2438 | พ.ศ. 2438 |- | 2. พระพิทักษ์เทพธานี | พ.ศ. 2438 | พ.ศ. 2439 |- | 3. พระวิเศษไชยชาญ | 28 กันยายน 2439 | พ.ศ. 2444 |- | 4. พระยาอินทรวิชิต (อวบ เปาโรหิต) | พ.ศ. 2444 | พ.ศ. 2446 |- | 5. พระศรีณรงค์ (คำ) | พ.ศ. 2446 | พ.ศ. 2447 |- | 6. หม่อมอมรวงษ์วิจิตร (หม่อมราชวงศ์ปฐม คเนจร) | พ.ศ. 2448 | พ.ศ. 2450 |- | 7. พระยาอินทรวิชิต (รัตน์ อาวุธ) | พ.ศ. 2450 | พ.ศ. 2456 |- | 8. พระยาวิเศษไชยชาญ (ชอุ่ม อมัติรัตน์) | พ.ศ. 2456 | พ.ศ. 2462 |- | 9. พระยาวิเศษภักดี (หม่อมราชวงศ์กมล นพวงศ์) | พ.ศ. 2462 | พ.ศ. 2465 |- | 10. หม่อมเจ้าธงชัยสิริพันธ์ ศรีธวัช | พ.ศ. 2465 | พ.ศ. 2470 |- | 11. พระกำแพงพราหมณ์ (ทองสุก รตางศุ) | พ.ศ. 2470 | พ.ศ. 2473 |- | 12. พระยาวิชิตรสรไกร (เอี่ยม อัมพานนท์) | พ.ศ. 2473 | พ.ศ. 2474 |- | 13. หลวงวิโรจน์รัฐกิจ (เปรื่อง โรจนกุล) | พ.ศ. 2474 | พ.ศ. 2478 |- | 14. พระประชากรบริรักษ์ (แอร่ม สุนทรศารทูล) | พ.ศ. 2478 | พ.ศ. 2483 |- | 15. หลวงอรรถเกษมภาษา (สวิง ถาวรพันธ์) | พ.ศ. 2483 | พ.ศ. 2484 |- | 16. หลวงอังคณานุรักษ์ (สมถวิล เทพาคำ) | พ.ศ. 2484 | พ.ศ. 2486 |- | 17. หลวงบรรณสารประสิทธิ์ (สิทธิ โรจนวิภาต) | พ.ศ. 2486 | พ.ศ. 2487 |- | 18. ขุนพำนักนิคมคาม (สนธิ พำนักนิคมคาม) | พ.ศ. 2487 | พ.ศ. 2490 |- | 19. นายประกอบ ทรัพย์มณี | พ.ศ. 2490 | พ.ศ. 2492 |- | 20. หลวงธุระนัยพินิจ (นพ นัยพินิจ) | พ.ศ. 2492 | พ.ศ. 2495 |- | 21. นายพรหม สูตรสุคนธ์ | พ.ศ. 2495 | พ.ศ. 2500 |- | 22. นายแสวง ทิมทอง | พ.ศ. 2500 | พ.ศ. 2501 |- | 23. นายยรรยง ศุนาลัย | พ.ศ. 2502 | พ.ศ. 2503 |} {|class="wikitable" ! colspan="10" style="background: #ffdead;" | รายพระนามและชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง (ต่อ) |- ! rowspan="1"|ชื่อ ! rowspan="1"|เริ่มดำรงตำแหน่ง ! rowspan="1"|ออกจากตำแหน่ง |- | 24. นายพล จุฑากร | พ.ศ. 2503 | พ.ศ. 2508 |- | 25. ร.ต.ท. เรือง สถานานนท์ | พ.ศ. 2508 | พ.ศ. 2510 |- | 26. นายวิชาญ บรรณโศภิษฐ์ | พ.ศ. 2510 | พ.ศ. 2517 |- | 27. นายสงวน สาริตานนท์ | พ.ศ. 2517 | พ.ศ. 2519 |- | 28. นายเสถียร จันทรจำนงค์ | พ.ศ. 2519 | พ.ศ. 2521 |- | 29. นายวิเชียร วิมลศาสตร์ | พ.ศ. 2521 | พ.ศ. 2526 |- | 30. นายสมหวัง จูตะกานนท์ | พ.ศ. 2526 | พ.ศ. 2530 |- | 31. นายคงศักดิ์ ลิ่วมโนมนต์ | พ.ศ. 2530 | พ.ศ. 2532 |- | 32. นายทวีป ทวีพาณิชย์ | พ.ศ. 2532 | พ.ศ. 2534 |- | 33. นายประสาน สุขรังสรรค์ | พ.ศ. 2534 | พ.ศ. 2535 |- | 34. นายนิธิศักดิ์ ราชพิตร | พ.ศ. 2535 | พ.ศ. 2537 |- | 35. นายประเสริฐ เปลี่ยนรังษี | พ.ศ. 2537 | พ.ศ. 2538 |- | 36. นายสุชาติ สหัสโชติ | พ.ศ. 2538 | พ.ศ. 2542 |- | 37. นายพิสิฐ เกตุผาสุข | พ.ศ. 2542 | พ.ศ. 2544 |- | 38. นายเชนทร์ วิพัฒน์บวรวงศ์ | พ.ศ. 2544 | พ.ศ. 2547 |- | 39. นายกมล จิตระวัง | พ.ศ. 2547 | พ.ศ. 2548 |- | 40. นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ | พ.ศ. 2548 | 1 ตุลาคม 2550 |- | 41. นายศุทธนะ ธีวีระปัญญา | 1 ตุลาคม 2550 | 30 กันยายน 2552 |- | 42. นายวิศว ศะศิสมิต | 1 ตุลาคม 2552 | 30 กันยายน 2556 |- | 43. นายเสรี ศรีหะไตร | 1 ตุลาคม 2556 | 1 ตุลาคม 2556 |- | 44. นายปวิณ ชำนิประศาสน์ | 2 ตุลาคม 2556 | 30 กันยายน 2558 |- | 45. นายวีร์รวุทธ์ ปุตระเศรณี | 1 ตุลาคม 2558 | 30 กันยายน 2561 |- | 46. นายเรวัต ประสงค์ | 1 ตุลาคม 2561 | 30 กันยายน 2563 |- | 47. นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี | 1 ตุลาคม 2563 | 12 กันยายน 2564 |- | 48. นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี | 12 กันยายน 2564 | 30 กันยายน 2565 |- | 49. นายรังสรรค์ ตันเจริญ | 1 ตุลาคม 2565 | 30 กันยายน 2566 |- | 50. นายพิริยะ ฉันทดิลก | 1 ตุลาคม 2566 | ปัจจุบัน |} == ประชากร == เมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2556 จังหวัดอ่างทองมีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 283,732 คน จำแนกเป็นชาย 136,237 คน เป็นหญิง 147,495 คน (อันดับที่ 69 ของประเทศ) จำนวนบ้าน 92,520 หลัง ความหนาแน่นของประชากร 292.99 ตร.กม (อันดับที่ 11 ของประเทศ) == ศาลหลักเมือง == หลักเมืองมีความหมายว่า เป็นประธานของเมือง เป็นศูนย์รวมความมั่นคงของเมือง เป็นนิมิตมงคลของเมือง เป็นหลักชัย หลักใจ และศูนย์รวมความสามัคคีของประชาชน หลักเมืองจะเป็นเสาหลักโดดเด่น ไม่มีภาพ รูป หรือพระพุทธรูป การสร้างหลักเมืองต้องขอพระบรมราชานุญาตจากพระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของประเทศก่อน เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือเจ้าเมืองจึงจะดำเนินการสร้างต่อไปได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่าเสาหลักเมืองและศาลหลักเมือง จังหวัดอ่างทอง ได้มีปรากฏอยู่ที่ใด คณะสงฆ์ ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนจังหวัดอ่างทองจึงได้ร่วมใจกันจัดหาทุนสร้างศาลหลักเมืองขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจและความสามัคคีของประชาชนในจังหวัด จังหวัดอ่างทอง ได้มอบให้นายกำจัด คงมีสุข ข้าราชการครูบำนาญผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมไทยเป็นผู้ออกแบบสร้างศาลหลักเมือง และมีพระครูวิเศษชัยวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดชัยมงคลเป็นที่ปรึกษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ได้เสด็จไปเป็นประธานวางศิลาฤกษ์ ศาลหลักเมืองจังหวัดอ่างทอง เมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2533 การก่อสร้างสำเร็จเรียบร้อย เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2534 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้ว่าราชการจังหวัด (นายทวีป ทวีพาณิชย์) เข้าเฝ้าน้อมเกล้า ฯ ถวายยอดเสาหลักเมืองเพื่อทรงเจิม ทรงพระสุหร่าย และทรงบรรจุ แผ่นยันต์เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2534 เวลา 16.30 นาฬิกา ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามบรมราชกุมารเสด็จแทนพระองค์ไปทรงประกอบพิธียกเสาหลัก เมืองและเปิดศาลหลักเมืองเมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2534 เวลา 15.30 นาฬิกา ศาลหลักเมืองจังหวัดอ่างทอง อยู่ตรงข้ามศาลากลางจังหวัด เป็นอาคารจตุรมุข (4 หน้า) ยอดปรางค์หลังคาเป็นปูนซีเมนต์ฉาบสีแดงตัวศาลสูงจากพื้นประมาณ 1.5 เมตร ภายในศาลเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังภา พุ่มข้าวบิณฑก้านแยกสวยงามมาก ศาลหลักเมืองจังหวัดอ่างทอง เป็นศาลหลักเมืองแห่งที่ 2 ที่มีการเขียนภาพ จิตรกรรมฝาผนังทั้ง 4 ด้าน เสาหลักเมืองซึ่งประดิษฐ์อยู่ในศาลหลักเมืองบนแท่นแปดเหลี่ยมพื้นปูด้วยหินอ่อนทำจากไม้ชัยพฤกษ์ซึ่ง ถือเป็นไม้มงคล คัดจาก 1 ในจำนวน 5 ต้น ที่นิคมสร้างตนเองพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี มีลักษณะที่เรียกว่า ไม้ขานาง คือลำต้นตรงขึ้นไปแล้วแยกเป็น 2 กิ่ง แบบง่ามหนังสติ๊กโบราณถือว่าเป็นไม้ที่เหมาะจะเป็นเสาโบสถ์ หรือเสาวิการ ไม้มงคลซึ่งนำมาทำเป็นเสาหลักเมืองของจังหวัดอ่างทองนั้นได้ผ่านพิธีคัดเลือก ต้นไม้ พิธีตัด พิธีอัญเชิญ พิธีกลึงเสาและฉลองรับขวัญอย่างถูกต้อง ตามพิธีหลวงของสำนักพระราชวังทุกประการ เสาหลักเมืองนี้ได้รับการตกแต่งแกะสลักลงรักปิดทองจากพระครูวิเศษชัยวัฒน์และนายกำจัด คงมีสุข ซึ่งเป็น ชาวอ่างทอง และมีความชำนาญในการสร้างเมืองมาหลายจังหวัดแล้ว ด้านทิศเหนือของศาลหลักเมืองมีศาลาตรีมุข ซึ่งใช้เป็นที่ประทับหรือที่นั่งขององค์ประธานหรือประธาน ในการประกอบพิธีต่าง ๆ ด้านทิศใต้มีศาลาทรงไทย 2 หลัง ใช้เป็นสถานที่ให้บริจาคบูชาวัตถุมงคล และดอกไม้ ธูป เทียน ด้านทิศใต้มีศาลาเรือนไทย เป็นที่รวบรวมของดีเมืองอ่างทองมาจำหน่ายระหว่างตัวศาลหลักเมือง คือ ศาลาตรีมุขซึ่งห่างกันประมาณ 30 เมตร เป็นลานกว้างใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมและการแสดงต่าง ๆ บริเวณศาลหลักเมืองมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1.5 ไร่ จึงสามารถจัดทำสวนดอกไม้ สวนหย่อม และปลูกหญ้าได้สวยงาม ศาลหลักเมืองของจังหวัดอ่างทอง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สวยงามสมกับเป็นหลักชัยและหลักใจของประชาชน ชาวอ่างทองอย่างยิ่ง ผู้มีโอกาสไปเยือนจังหวัดอ่างทองไม่ควรละเว้นที่จะไปเคารพสักการะศาลหลักเมืองและหาของดีเมืองอ่างทองบริเวณศาลนั้น เพื่อเป็นสมบัติประจำตนและเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต == การขนส่ง == ใช้เส้นทางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) จากกรุงเทพมหานคร แยกเข้าเส้นทางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 (บางปะอิน-พยุหะคีรี) ผ่านอำเภอบางปะอิน-บางปะหัน-อยุธยา-อ่างทอง รวมระยะทาง 105 กิโลเมตร เป็นระยะทางที่ใกล้ที่สุด ใช้เส้นทางตัดใหม่ข้ามสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า-ตลิ่งชัน เข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 340 (บางบัวทอง-ชัยนาท) ผ่านจังหวัดนนทบุรี-ปทุมธานี-อยุธยา-สุพรรณบุรี-อ่างทอง รวมระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร ใช้เส้นทางกรุงเทพมหานคร-ปทุมธานี ผ่านอำเภอปากเกร็ด เข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3111 ผ่านอำเภอบางไทร-อำเภอเสนา-อยุธยา จากนั้นใช้เส้นทางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 309 (วังน้อย-สิงห์บุรี) เข้าอำเภอป่าโมก-อ่างทอง รวมระยะทาง 140 กิโลเมตร บริษัท ขนส่ง จำกัด มีบริการรถโดยสารธรรมดาและรถปรับอากาศทุกวัน วันละหลายเที่ยว สามารถขึ้นรถได้ที่สถานีขนส่งสายเหนือ ถนนกำแพงเพชร 2 (จตุจักร) === ระยะทางจากตัวเมืองไปยังอำเภอต่างๆ === อำเภอไชโย 10 กิโลเมตร อำเภอป่าโมก 13 กิโลเมตร อำเภอโพธิ์ทอง 13 กิโลเมตร อำเภอวิเศษชัยชาญ 15 กิโลเมตร อำเภอแสวงหา 27 กิโลเมตร อำเภอสามโก้ 29 กิโลเมตร == บุคคลที่มีชื่อเสียง == บัวผัน จันทร์ศรี-ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปการแสดงเพลงพื้นบ้านภาคกลาง บุญมา สุดสุวรรณ-ศิลปินเพลงพื้นบ้าน สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ภราดร ปริศนานันทกุล กรวีร์ ปริศนานันทกุล เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง พลตำรวจโทวิโรจน์ เปาอินทร์ สุภา ศิริมานนท์ บำเรอ ผ่องอินทรกุล (โน้ต เชิญยิ้ม) โรจน์ เมืองลพ – นักร้องเพลงลูกทุ่งชื่อดัง ไชยา มิตรชัย แอน มิตรชัย ผศ.ดร.อนันต์ เมฆสวรรค์ ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตอ่างทอง ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองอธิการบดีสถาบันการพลศึกษา ประจำวิทยาเขตชัยภูมิ ไปรยา สวนดอกไม้ - นักแสดง วีรยุทธ รสโอชา ลิขิต เอกมงคล สิวะ แตรสังข์ เจริญพร อ่อนละม้าย (โก๊ะตี๋) อนุสรณ์ มณีเทศ (โย่ง อาร์มแชร์) - นักร้อง,นักแสดง นงผณี มหาดไทย (จ๊ะ อาร์สยาม) อิสริยะ อภิชัย – มิสไทยแลนด์เวิลด์ ในปี พ.ศ. 2534 พลเอกปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ วิบูลย์ ลี้สุวรรณ – ราชบัณฑิต ปลื้มจิตร์ ถินขาว – นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย มลิกา กันทอง – นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย รัชเดช เครือทิวา - นักบาสเกตบอลทีมชาติไทย บุญเลิศ นาจพินิจ – ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ลิเก) ปักษิณ ลูกวิเศษ – นักร้องลูกทุ่งรุ่นเก่า เสกศักดิ์ พู่กันทอง – นักร้องลูกทุ่งรุ่นเก่า เจ้าของเพลง ทหารอากาศขาดรัก-ขันหมากเศรษฐี สร้อยเพชร พรสุพรรณ – นักร้องลูกทุ่งรุ่นเก่า ฉลอง วุฒิวัย – ครูเพลงลูกทุ่งรุ่นเก่า จิ๋ว พิจิตร – ครูเพลงลูกทุ่งรุ่นเก่า ออย อามีนา - นักร้อง ปิยพล ม่วงมี (ยืนหรือจีโน่ The Snack) - เน็ตไอดอล The Snack สังกัดเดอะสกาฟิล์ม วิโอเลต วอเทียร์ นักร้อง นักแสดง ชาวไทย == อ้างอิง == http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2451/029/817_2.PDF (ราชกิจจานุเบกษา เรื่อง แจ้งความกระทรวงมหาดไทย) http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2460/A/40.PDF (ราชกิจจานุเบกษา เรื่อง การเปลี่ยนชื่ออำเภอ) http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2508/D/103/2958.PDF (ราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2508) == ดูเพิ่ม == รายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอ่างทอง รายชื่อวัดในจังหวัดอ่างทอง รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดอ่างทอง รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดอ่างทอง == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด เว็บไซต์อย่างไม่เป็นทางการของจังหวัด เว็บไซต์แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดอ่างทอง
thaiwikipedia
1,781
จังหวัดตรัง
ตรัง เป็นจังหวัดในภาคใต้ของประเทศไทย ตรังหรือเมืองทับเที่ยงเป็นจังหวัดท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของภาคใต้ == ประวัติ == จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดีที่ปรากฏในจังหวัดตรังมีอยู่ทั่วไป เช่น โครงกระดูกมนุษย์โบราณที่ถ้ำซาไก อำเภอปะเหลียน ขวานหินกะเทาะ ขวานหินขัด เศษภาชนะดินเผา ลูกปัดแก้ว  เครื่องประดับ ตามถ้ำต่าง ๆ เช่น เขาสามบาตร ถ้ำเขาไม้แก้ว ถ้ำเขาเทียมป่า ภาพเขียนสีที่เขาแบนะ ถ้ำตรา ล้วนเป็นหลักฐานบอกความเป็นชุมชนก่อนประวัติศาสตร์จนถึงแรกเริ่มประวัติศาสตร์ ต่อมาจึงมีหลักฐานที่แสดงถึงความสัมพันธ์กับอาณาจักรโบราณทางภาคใต้ในลักษณะที่เป็นเมืองท่าทางผ่าน และมีพัฒนาการมาตามลำดับ จังหวัดตรังในอดีตเคยเป็นเมืองท่าค้าขายกับต่างประเทศ เป็นศูนย์กลางการคมนาคมไปสู่จังหวัดนครศรีธรรมราช เจมส์ โลว์ หัวหน้าคณะทูตของผู้ว่าเกาะปีนัง ผู้รับหน้าที่เจรจาปัญหากับเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร) ได้บันทึกไว้ใน จดหมายเหตุเจมส์ โลว์ ว่า เจมส์ โลว์ กล่าวถึงการค้าของเมืองตรังว่า ตรังเป็นจังหวัดแรกที่มีต้นยางพารามาปลูก โดยพระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) นำพันธุ์ยางพารามาจากมาเลเซีย และในตรังยังมีต้นยางพาราต้นแรกอีกด้วย ==ทำเนียบเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัด== == อาณาเขตติดต่อ == ทิศเหนือ จรดจังหวัดกระบี่และจังหวัดนครศรีธรรมราช ทิศตะวันออก จรดจังหวัดพัทลุง ทิศใต้ จรดจังหวัดสตูลและทะเลอันดามัน ทิศตะวันตก จรดทะเลอันดามันและจังหวัดกระบี่ == การปกครอง == แบ่งออกเป็น 10 อำเภอ 87 ตำบล 723 หมู่บ้าน {| |--- valign=top || || อำเภอเมืองตรัง อำเภอกันตัง อำเภอย่านตาขาว อำเภอปะเหลียน อำเภอสิเกา อำเภอห้วยยอด อำเภอวังวิเศษ อำเภอนาโยง อำเภอรัษฎา อำเภอหาดสำราญ |} ==การปกครองส่วนท้องถิ่น== มีการแบ่งการปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนี้ ===เทศบาลนคร=== เทศบาลนครตรัง ===เทศบาลเมือง=== เทศบาลเมืองกันตัง == ประชากร == จังหวัดตรังมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมเป็นอย่างมากซึ่งประกอบด้วย ชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม ชาวไทยเชื้อสายจีน ชาวเปอรานากันหรือชาวบาบ๋า ย่าหยา และชาวเล แต่ละกลุ่มก็มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและอัตลักษณ์ของตนเอง เช่น การแต่งกาย การกิน ประเพณีต่าง ๆ สัดส่วนประชากรในจังหวัดตรังส่วนใหญ่ นับถือศาสนาพุทธ รองลงมาเป็นชาวมุสลิมร้อยละ 18.5 และศาสนาคริสต์ร้อยละ 1.5 มีวัด 129 แห่ง สำนักสงฆ์ 65 แห่ง มัสยิด 87 แห่ง โบสถ์คริสต์ 10 แห่ง ศาลเจ้า และโรงเจ 19 แห่ง == สัญลักษณ์ประจำจังหวัด == ตราประจำจังหวัด: ภาพกระโจมไฟและภาพลูกคลื่น ภาพกระโจมไฟหมายถึง จังหวัดตรังเคยเป็นเมืองท่าค้าขายกับต่างประเทศ ภาพลูกคลื่นหมายถึง ลักษณะพื้นที่ของจังหวัดตรัง เป็นเนินเล็ก ๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ คล้ายลูกคลื่น ต้นไม้ประจำจังหวัด: ต้นศรีตรังชนิด Jacaranda filicifolia ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกศรีตรังชนิด Jacaranda obtusifolia คำขวัญประจำจังหวัด: ชาวตรังใจกว้าง สร้างแต่ความดี คำขวัญส่งเสริมการท่องเที่ยว: เมืองพระยารัษฎา ชาวประชาใจกว้าง หมูย่างรสเลิศ ถิ่นกำเนิดยางพารา เด่นสง่าดอกศรีตรัง ปะการังใต้ทะเล เสน่ห์หาดทรายงาม น้ำตกสวยตระการตา == สภาพอากาศ == แหล่งข้อมูล: Weatherbase == การศึกษา == ระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง (อำเภอเมืองตรัง) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง (อำเภอสิเกา) มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดตรัง (อำเภอเมืองตรังและอำเภอห้วยยอด) มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษาตรัง วิทยาคารห้วยยอด (อำเภอห้วยยอด) มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ศูนย์การศึกษาตรัง (อำเภอเมืองตรัง) มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ศูนย์การศึกษาตรัง ณ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง (อำเภอเมืองตรัง) มหาวิทยาลัยปทุมธานี ศูนย์การศึกษาตรัง ณ โรงเรียนห้วยยอด อำเภอห้วยยอด สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตตรัง (อำเภอย่านตาขาว) วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดตรัง (อำเภอกันตัง) วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ตรัง (อำเภอเมืองตรัง) วิทยาลัยเทคนิคตรัง (อำเภอเมืองตรัง) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ตรัง วิทยาลัยสารพัดช่างตรัง โรงเรียน ดูที่ รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดตรัง == ศาสนสถาน == ก. วัด อาทิ วัดกะพังสุรินทร์ วัดตันตยาภิรม วัดตรังคภูมิพุทธาวาส วัดน้ำพราย เป็นวัดที่มีพระเกจิที่นิพพานแล้วแต่เผาไม่ติดไฟ จึงบรรจุไว้ในโลงแก้ว วัดพระพุทธสิหิงค์ เป็นวัดที่ประดิษฐานพระคู่บ้านคู่เมืองตรัง วัดแจ้ง ตำบลบางรัก วัดนิโคธาราม วัดนิกรรังสฤษฎ์ วัดโคกยาง อำเภอกันตัง วัดกมลศรี อำเภอสิเกา เป็นวัดที่มีพระเกจิที่นิพพานแล้วแต่เผาไม่ติดไฟ จึงบรรจุไว้ในโลงแก้ว เช่นกัน ข. มัสยิด ในจังหวัดตรัง มีมัสยิด 152 แห่งอยู่ทั่วทั้งจังหวัด อาทิ มัสยิดบ้านคลองลุ คลองลุ มัสยิดมะดีนะตุลอิสลาม ทับเที่ยง มัสยิดนูรุลอินซาน นาปอ มัสยิดมะลีกียะฮฺ นาปอ มัสยิดไซนุนอิสลาม นาปอ มัสยิดวังเป้า บ้านวังเปา มัสยิดปากีสถาน ยานตาขาว มัสยิดบ้านท่าบันได ยานตาขาว มัสยิดคลองปะเหลียน ยานตาขาว มัสยิดบ้านแตะหรำ มัสยิดมุญาฮีดีนบ้านเกาะเคียม == การขนส่ง == === ระยะทางจากตัวจังหวัดไปอำเภอต่างๆ === อำเภอนาโยง 11 กิโลเมตร อำเภอย่านตาขาว 22 กิโลเมตร อำเภอกันตัง 24 กิโลเมตร อำเภอห้วยยอด 30 กิโลเมตร อำเภอสิเกา 34 กิโลเมตร อำเภอวังวิเศษ 44 กิโลเมตร อำเภอหาดสำราญ 45 กิโลเมตร อำเภอปะเหลียน 46 กิโลเมตร อำเภอรัษฎา 55 กิโลเมตร == สถานที่ท่องเที่ยว == สวนพฤกษศาสตร์แห่งชาติ (ทุ่งค่าย) อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ควนตำหนักจันทร์ วนอุทยานบ่อน้ำร้อนกันตัง(บ่อน้ำร้อนควนแคง) หาดและพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหาดราชมงคล หาดปากเมง เกาะไหง เกาะรอก เกาะกระดาน เกาะเหลาเหลียงเหนือ-ใต้ เกาะมุก-ถ้ำมรกต ถ้ำเลเขากอบ ถ้ำเขาช้างหาย ถ้ำเขาปินะ สันหลังมังกร ตรังอันดามันเกตเวย์ สวนน้ำอันดามัน ลานวัฒนธรรม == ชาวจังหวัดตรังที่มีชื่อเสียง == สมเด็จพระมหาวชิรมังคลาจารย์ (สงัด ปญฺญาวุโธ) สมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ เจ้าคณะใหญ่หนใต้ เจ้าอาวาส พระอารามหลวง วัดกะพังสุรินทร์ จังหวัดตรัง พระบริสุทธศีลาจารย์ (วัน มนโส) พระคณาจารย์ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาไทย ประธานสภาผู้แทนราษฎรไทยดำรงตำแหน่ง 2 สมัย นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 20 ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปัจจุบันเป็นประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 16 สมัย นายทวี บุณยเกตุ อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 5 อดีต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ จรัส สุวรรณเวลา อดีตนายกสภา และอดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย พุฒ ล้อเหล็ก นักมวยไทย จิระนันท์ พิตรปรีชา กวี วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล พิธีกร นักเขียน วีเจ อาคม เฉ่งไล่ นักมวยสากลสมัครเล่น เหรียญทองแดงโอลิมปิค อัยยูบ ยอมใหญ่ นักแปล นักเขียน หลวงไก่ นักร้อง บ่าววี นักร้อง ทหารอากาศ สุรินทร์ โตทับเที่ยง นักธุรกิจ ไก่ วงกางเกง นักร้อง ปวีณา ตันฑ์ศรีสุโรจน์ นักแสดง พิธีกร เป็ด เชิญยิ้ม นักแสดงตลกชื่อดัง คณะเชิญยิ้ม และผู้ผลิตรายการ ก่อนบ่ายครายเครียด และรายการ เดอะ คอมเมเดียน ไทยแลนด์ ศรีสุภางค์ ธรรมาวุธ ผู้ประกาศข่าว สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เจษฎาภรณ์ ณ พัทลุง นักฟุตบอลทีมชาติไทย ชัยวัฒน์ สุนทรนนท์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย ชยาพร น้อยหนู หรือ ตาล ชยาพร อาร์สยาม เดอะอาร์สยาม คนแรกของ ประเทศไทย วันดี ศรีตรัง ดารานักแสดง สุวิทย์ ญัตติมิต นักแข่งรถ สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตรังนายกสมาคมกีฬาปีนหน้าผาแห่งประเทศไทย ณัฐพงษ์ หยังหลัง (อานัส ต้นกล้าฅนเพลง) นักร้อง เจณิสตา พรหมผดุงชีพ ดารานักแสดง == อ้างอิง == == แหล่งค้นคว้าเพิ่มเติม == ลลิดา เกิดเรือง. (2549). บทบาทของชาวจีนต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของเมืองตรัง พ.ศ. 2458-ทศวรรษที่ 2520. วิทยานิพนธ์ ศศ.ม. (ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้). นครปฐม: ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. มอนเตซาโน, ไมเคิล เจ. (2560). ทุน รัฐ และสังคม ในประวัติศาสตร์ของสมาคมบำรุงการศึกษาตรัง. แปลโดย อำนวยวิชญ์ ธิติบดินทร์ และชนิดา พรหมพยัคฆ์ เผือกสม. ใน ไทยใต้ มลายูเหนือ: ปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์บนคาบสมุทรแห่งความหลากหลาย. บรรณาธิการโดย จิรวัฒน์ แสงทอง และทวีศักดิ์ เผือกสม. น. 262-313. นครศรีธรรมราช: หลักสูตรอาเซียนศึกษา สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. == ดูเพิ่ม == ท่าอากาศยานตรัง รายชื่อวัดในจังหวัดตรัง รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดตรัง รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดตรัง == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด ทะเลอันดามัน ช่องแคบมะละกา
thaiwikipedia
1,782
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่มีลักษณะเป็นหมู่เกาะในอ่าวไทยประกอบด้วยเกาะต่าง ๆ 42 เกาะ ได้แก่ เกาะพะลวย เกาะวัวตาหลับ เกาะแม่เกาะ เกาะสามเส้า เกาะหินดับ เกาะนายพุด และเกาะไผ่ลวก เป็นต้น ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครอบคลุมพื้นที่ 102 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นน้ำประมาณ 84 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 82 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด ได้รับการประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองได้รับรางวัลอุทยานแห่งชาติสีเขียว (Green National Parks) ระดับทอง (ดีเยี่ยม) ประจำปี 2563 == ลักษณะภูมิประเทศ == หมู่เกาะอ่างทองเป็นอุทยานแห่งชาติซึ่งตั้งอยู่ในเขตน้ำตื้นใกล้ฝั่ง ความลึกเฉลี่ยของน้ำประมาณ 10 เมตร น้ำทะเลบริเวณอุทยานฯ มีความโปร่งใสน้อยเนื่องจากได้รับอิทธิพลของตะกอนจากแม่น้ำตาปี ลักษณะชายฝั่งโดยทั่วไปมีความสูงชัน ส่งผลให้ปะการังในบริเวณนี้ก่อตัวในแนวแคบๆเฉพาะชายฝั่งด้านตะวันตกเฉียงใต้และบริเวณที่มีที่กำบังจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ปะกังรังที่พบส่วนใหญ่ได้แก่ ปะการังหินลูกช้าง ปะการังสมอง ปะการังเขากวางกิ่งสั้น ปะการังพวกนี้จะอยู่ด้านบนของแนว ส่วนที่อยู่ในระดับลึกลงไปและได้รับแสงน้อยจะเป็นพวกปะการังแผ่น (ในสกุล pavona) และปะการังดอกไม้ (Goniopora sp.) สำหรับสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ได้แก่ ปลาผีเสื้อลายแปดเส้น ปลาผีเสื้อปากยาว ปลาสินสมุทร ปลานกแก้ว ปลากระเบนทอง ปลาฉลามหูดำ ปลาเก๋า หอยเม่นลายเสือ. ส่วนบริเวณด้านในของแนวปะการังซึ่งการไหลเวียนของน้ำไม่ดีพอนั้นจะเป็นที่อาศัยของ ปลิงทะเล ปูม้า และสาหร่ายสีน้ำตาลกลุ่มสาหร่ายทุ่น (Sargassum sp.) และสาหร่ายจอก (Turbinaria sp.) บริเวณด้านข้างของเกาะเป็นหินที่ชัน และมีความลึกมากจนแสงส่องลงไปได้น้อย ทำให้ปะการังไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ในบริเวณนี้จึงเป็นที่อยู่ของสัตว์จำพวก กัลปังหา กัลปังหาหวี แส้ทะเล หอยนางรม หอยมือเสือ หอยมือหมี ที่สำคัญคือเป็นแหล่งอาศัยของแพลงตอนซึ่งเป็นธาตุอาหารของสัตว์ทะเล ในบริเวณนี้จึงเต็มไปด้วยสัตว์น้ำหลายชนิด อาทิเช่น กลุ่มหอยสองฝาชนิดต่าง ๆ ปะการังอ่อน หอยจอบ ฟองน้ำครก ฟองน้ำท่อ สาหร่ายคัน เพรียงหัวหอม เป็นต้น และทั้งยังเป็นแหล่งเลี้ยงตัวอ่อนของ ปลาทู ปลากะตัก และหมึกทะเล == ความหลากหลายทางชีวภาพ == พื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะขนาดใหญ่ในเขตอุทยาน จะเป็นป่าไม่ผลัดใบ มีพรรณไม้สำคัญคือ พลองใบมน รักป่า อบเชย เต่าร้าง หวาย และรองเท้านารีช่องอ่างทอง ตามชายฝั่งแคบๆจะมีป่าชายทะเลกระจายอยู่ พรรณไม้สำคัญคือ หูกวาง โพทะเล กระทิง ปอทะเล ลำเจียก และพลับพลึงทอง บริเวณภูเขาหินปูน จะมีป่าที่มีลักษณะเฉพาะขึ้นอยู่บนหน้าดินบางๆ พืชส่วนใหญ่ในป่าแถบนี้จะมีขนาดเล็ก เช่น จันทน์ผา สลัดได ยอป่า และอาจพบป่าชายเลนได้บ้างบริเวณชายหาดและสันดอน บริเวณอุทยานพบนกอย่างน้อย 53 ชนิด โดยเป็นจำพวกนกเป็ดน้ำและนกชายฝั่งประมาณ 10 ชนิด มีนกประจำถิ่น 32 ชนิด เช่น นกยางเขียว เหยี่ยวแดง และนกอพยพ 9 ชนิด เช่น นกยางดำ นกปากซ่อมดง นกเด้าดิน มีนกที่ใกล้สูญพันธุ์อยู่ 1 ชนิด คือ นกเงือกดำ และนกที่ถูกคุกคาม ได้แก่ นกออก นกลุมพูขาว นกลุมพูเขียว นกแอ่นกินรัง และเหยี่ยวแดง ปลาที่พบในทะเลบริเวณอุทยานมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ เช่น ปลาทู ปลาลัง ปลาเก๋าแดง ปลาปากคม ปลาสีกุน กระเบนจุดขาว กระเบนจุดฟ้า ปลาทรายแดง ปลาหลังเขียว ปลาตะเพียนน้ำเค็ม ปลากะตักใหญ่ ปลาจวด ปลาตาหวานจุด ปลาอินทรี ปลาดาบเงินใหญ่ ปลาสาก อันดับปลาซีกเดียวปลาลิ้นหมา ส่วนปลาที่พบตามแนวปะการัง เช่น ปลาสลิดหินดำ ปลาสลิดหินเขียว ปลาสลิดทะเล ปลาข้าวเม่าน้ำลึก ปลาผีเสื้อลายแปดเส้น ปลาผีเสื้อปากยาว ปลาสินสมุทรลายน้ำเงิน ปลากระทุงเหว ปลานกแก้ว ปลาสร้อยนกเขา ปลาการ์ตูนอินเดียนแดง ปลาพยาบาล ในอุทยานพบสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเพียง 5 ชนิด ขณะที่พบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างน้อย 16 ชนิด เช่น ค่างแว่นถิ่นใต้ นากใหญ่จมูกขน วาฬชนิดต่างๆ == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง - กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช Trekthailand.net หมู่เกาะอ่างทอง อ่างทอง อ่างทอง พื้นที่แรมซาร์ในประเทศไทย อำเภอเกาะสมุย
thaiwikipedia
1,783
ศุภชัย พานิชภักดิ์
ศาสตราจารย์พิเศษ ศุภชัย พานิชภักดิ์ นักการเมืองและนักวิชาการชาวไทย ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษหลายสถาบัน ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กรรมการที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ อดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังก์ถัด (UNCTAD) อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 8/2560 ศุภชัยมีชื่อเรียกย่อ ๆ ที่รู้จักกันทั่วไปว่า ดร.ซุป == ครอบครัว == ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ เกิดวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ที่ กรุงเทพมหานคร ลูกหลานชาวจีนแคะ เป็นบุตรของนายพร และนางเพ็ญผล พานิชภักดิ์ สมรสกับนางศสัย พานิชภักดิ์ มีบุตรธิดา 2 คน ได้แก่นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ น.ส.นฤน พานิชภักดิ์ ดีไซน์เนอร์ == การศึกษา == ประถม-มัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล มัธยมศึกษาปีที่ 7 และ 8 จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ปริญญาตรี สาขา Econometrics, Development Planning จาก Netherlands School of Economics, Rotterdam ปริญญาโท สาขา Econometrics, Development Planning จาก Netherlands School of Economics, Rotterdam ปริญญาเอก สาขา Economic Planning and Development จาก Erasmus University, Netherlands == การทำงาน == เริ่มทำงานกับ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ CAMBRIDGE ตำแหน่ง VISITING FELLOW ปี 2516 === ธนาคารแห่งประเทศไทย === พ.ศ. 2517 - พ.ศ. 2519 - ผู้ค้นคว้าการศึกษาพิเศษฝ่ายวิชาการ พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2521 - ผู้ค้นคว้าประจำสำนักผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2521 - พ.ศ. 2522 - ผู้ช่วยหัวหน้าส่วนธุรกิจต่างประเทศ ฝ่ายการต่างประเทศ พ.ศ. 2522 - พ.ศ. 2525 - หัวหน้าส่วนตรวจสอบและวิเคราะห์การปริวรรตฝ่ายต่างประเทศ พ.ศ. 2525 - พ.ศ. 2527 - ผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2527 - พ.ศ. 2529 - ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน === งานการเมือง === พ.ศ. 2529 - เข้าสู่เส้นทางการเมือง โดยลงสมัคร ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.สมัยแรก พ.ศ. 2529 - พ.ศ. 2531 - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2532 - พ.ศ. 2534 - ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2534 - พ.ศ. 2535 - สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2535 - พ.ศ. 2538 - รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 - พ.ศ. 2543 - รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ === อื่นๆ === ศาสตราจารย์มูลนิธิโสภณพนิช คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2532 คณบดีบัณฑิตศึกษา วิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ กรรมการสภาสถาบันผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ศาสตราภิชาน คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นายกสภา มหาวิทยาลัยโยนก ประธานกรรมการและกรรมการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ นวธนกิจ ลาออกเมื่อ 30 ก.ย.2535 กรรมการ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรรมการที่ปรึกษา บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันชีวิต จำกัด กรรมการบริษัท บางกอกอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลล์ จำกัด ประธานกรรมการบริษัท นิวอิมพีเรียลโฮเต็ล ลาออกเมื่อ 30 ก.ย.2535 กรรมการบริษัทกฤษดานคร ลาออกเมื่อ 30 ก.ย.2535 เพื่อเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล นายชวน หลีกภัย พ.ศ. 2534 - พ.ศ. 2535 - กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารทหารไทย พ.ศ. 2543 - พ.ศ. 2546 - ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ ; WTO) โดยแบ่งกันดำรงตำแหน่งคนละ 3 ปี กับนายไมค์ มัวร์ เนื่องจากไม่สามารถหาข้อยุติด้วยการลงมติเป็นเอกฉันท์ได้ โดยขึ้นดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2545 พ.ศ. 2544 - ได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์อาคันตุกะแห่ง The International Institute for Management Development เมือง Lausanne ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ พ.ศ. 2548- เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) โดย นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้เสนอชื่อให้ขึ้นดำรงตำแหน่งหลังจากหมดวาระใน องค์การการค้าโลก และได้รับการรับรองจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 พ.ศ. 2559 - ปัจจุบัน ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) == เครื่องราชอิสริยาภรณ์ == == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == ชีวประวัติที่องค์การการค้าโลก ชาวไทยเชื้อสายแคะ นักการเมืองไทย รองนายกรัฐมนตรีไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทย พรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร นักเศรษฐศาสตร์ชาวไทย บุคคลจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ศาสตราจารย์ คริสต์ศาสนิกชนชาวไทย ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก เลขาธิการ บุคคลจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล บุคคลจากมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช. ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม. สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผู้ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
thaiwikipedia
1,784
วอลต์ดิสนีย์อิเมจจิเนียร์ริง
จินตวิศวกรรรมของดิสนีย์ หรือ วอลต์ดิสนีย์อิเมจจิเนียร์ริง (Walt Disney Imagineering หรือ WDI) ตั้งอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นผู้ออกแบบสร้างสรรค์ทุก ๆ อย่างภายในสวนสนุกเครือดิสนีย์ ทั้ง 12 แห่งทั่วโลก == ประวัติองค์กร == WDI เดิมใช้ชื่อว่า WED Enterprises คำว่า WED ย่อมาจาก วอลเตอร์ อีเลียส ดิสนีย์ (Walter Elias Disney) ก่อตั้งเมื่อ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1952 สำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเกรนเดล รัฐแคลิฟอเนีย สหรัฐอเมริกา. มีศูนย์ค้นคว้าวิจัยและพัฒนาอยู่ 3 แห่ง คือที่ ลองไอแลนด์, รัฐนิวยอร์ก และ รัฐแมตซาชูเซ็ตส์ ซึ่งศูนย์ทั้งสามจะมีการเชื่อมการติดต่อโดยใช้เทคโนโลยีดาวเทียม ตลอด 24 ชั่วโมง แต่เดิมนั้น WDI เป็นบริษัทอิสระไม่ขึ้นตรงกับใคร และยังเป็นบริษัทส่วนตัวของนายวอลเตอร์ อีเลียส ดิสนีย์ (Walter Elias Disney) หรือที่รู้จักในนาม วอล์ต ดิสนีย์ (Walt Disney) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการออกแบบ พัฒนาและวางแผนส่วนของสวนสนุกดิสนีย์ รวมถึงมีหน้าที่บริหารสินทรัพย์ส่วนตัวของเขา แต่เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1965 บริษัทได้มีการโอนกิจการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งภายใต้ Walt Disney Productions ในเครือบริษัท Walt Disney Company และในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1986 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็น WDI ที่รู้จักในปัจจุบัน สาเหตุเนื่องจากคนในสหรัฐฯ จำนวนมาก คิดว่าเป็นบริษัทที่รับจัดทำและวางแผนเกี่ยวกับงานแต่งงาน จึงทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อบริษัทเพื่อง่ายต่อการเข้าใจ ประธานบริษัท WDI คนปัจจุบัน คือ นาย Marty Sklar โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะรู้จัก WDI ใน 3 ชื่อ ได้แก่ Walt Disney Imagineering (WDI) , Disney Imagineering หรือในนาม Imagineering ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน === ผลงาน === ผลงานที่สร้างชื่อแก่ WDI อาทิ หุ่น Audio-Animatronics เป็นหุ่นยนต์ที่เคลื่อนไหวแสดงกริยาต่างๆ ที่คล้ายมนุษย์ ที่จัดแสดงประกอบอยู่ในเครื่องเล่นต่าง ๆ ภายในสวนสนุกดิสนีย์ Matterhorn Bobsleds รถไฟเหาะแห่งแรกของโลกที่ใช้รางและโครงสร้างเป็นท่อเหล็ก แทนที่เป็นไม้แบบสมัยก่อน Disneyland Monorail รถไฟลอยฟ้ารางเดียวแห่งแรกในทวีปอเมริกา Space Mountain รถไฟเหาะในร่มแห่งแรกในทวีปอเมริกา ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ในการสร้างบรรยากาศเหมือนท่องไปในอวกาศ == สถานที่ตั้ง == สวนสนุกเครือดิสนีย์ ทั้ง 12 แห่งทั่วโลก ได้แก่ ดิสนีย์แลนด์ (Disneyland) รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ดิสนีย์ แคลิฟอร์เนีย แอดเวนเจอร์ (Disney's California Adventure) รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แมจิกคิงดอม (Magic Kingdom) รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เอ็ปคอต เซ็นเตอร์ (Epcot Center) รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ดิสนีย์-เอ็มจีเอ็ม สตูดิโอ (Disney-MGM Studios) รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ดิสนีย์ แอนนิมอล คิงดอม (Disney's Animal Kingdom) รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) จังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo Disneysea) จังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ดิสนีย์แลนด์ปารีส (Disneyland Paris) เมือง Marne-la-Vallée ประเทศฝรั่งเศส วอล์ต ดิสนีย์ สตูดิโอ ปารีส (Walt Disney Studios Paris) เมือง Marne-la-Vallée ประเทศฝรั่งเศส ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) เขตการปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์พาร์ก (Shanghai Disneyland Park) เซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน == คำและความหมาย == === จินตวิศวกรรมศาสตร์ === คำว่า จินตวิศวกรรมศาสตร์ (Imagineering) เป็นคำผสมระหว่างคำว่า จินตนาการ (Imagination) + วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) หมายถึง กระบวนการการคิด แนวคิด การออกแบบ สร้างสรรค์จากจินตนาการที่เป็นภาพนามธรรม ความเพ้อฝันให้สามารถกลายเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้จริง โดยมีความใกล้เคียงหรือตรงกับจินตนาการนั้น ๆ ให้ได้มากที่สุด ซึ่งใช้เทคนิคทางวิศวกรรม ความสนุก และเทคนิคอื่น ๆ มาผสมผสานกันให้กลายเป็นจริง โดย WDI จะคัดเลือกเฉพาะแนวคิดและเทคนิคที่ดีที่สุดเท่านั้นเพื่อนำมาสร้างเป็นสถานที่จริง ซึ่งใช้หลักการเริ่มต้นใน "การสร้างเรื่องราว (Theme Story) " ก่อนที่จะดำเนินงานออกแบบสร้างสรรค์โครงการต่าง ๆ === จินตวิศวกร === เจ้าหน้าที่ จินตวิศวกรของดิสนีย์ (ชื่ออย่างเป็นทางการในภาษาอังกฤษคือ Walt Disney Imagineer) มีหน้าที่ทำงานออกแบบ คิดค้น พัฒนาและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับรูปแบบ เทคโนโลยี เครื่องเล่นและสถานที่ต่าง ๆ ของดิสนีย์ทั่วโลก ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ได้แก่ ช่างศิลป์ (Artists) นักเขียนและประพันธ์ (Writers) สถาปนิก (Architects) วิศวกร (Engineers) ช่างสร้างแบบจำลอง (Model Builders) ช่างก่อสร้าง (Construction Builders) ช่างเทคนิค (Technicians) นักออกแบบ (Designers) == สถานที่ที่ WDI ได้ออกแบบและจัดสร้าง == นอกจากสวนสนุกดิสนีย์ทั้ง 12 แห่งแล้ว WDI ยังได้ออกแบบสร้างสรรค์สถานที่พักผ่อนที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ อีกมากมาย ซึ่งทางบริษัท Walt Disney Company ได้ทำการออกแบบและจัดสร้างขึ้น โดยมีทั้งโรงแรม รีสอร์ต ร้านค้า สถานที่พักตากอากาศ เรือสำราญ และแหล่งบันเทิงอื่น ๆ อาทิ === ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ต === ประกอบด้วย ดิสนีย์แลนด์ (Disneyland) ดิสนีย์ แคลิฟอร์เนีย แอดเวนเจอร์ (Disney's California Adventure) ดาวน์ทาวน์ ดิสนีย์ ดิสทริค (Downtown Disney District) ดิสนีย์แลนด์ โฮเต็ล (Disneyland Hotel) ดิสนีย์ พาราไดซ์ เพียร์ โฮเต็ล (Disney's Paradise Pier Hotel) ดิสนีย์ แกรนด์ แคลิฟอเนียน โฮเต็ล (Disney's Grand Californian Hotel) === วอล์ต ดิสนีย์ เวิลด์ รีสอร์ต (Walt Disney World Resort) === ==== ภายในเขตเมจิก คิงด้อม (Magic Kingdom Area) : ==== เมจิก คิงด้อม (Magic Kingdom) สวนน้ำ ริเวอร์ คันทรี (River Country Water Park) ดิสนีย์ แกรนด์ ฟอริเดียน รีสอร์ต แอนด์ สปา (Disney's Grand Floridian Resort & Spa) ดิสนีย์ คอนเท็มโพรารี่ รีสอร์ต ( Disney's Contemporary Resort ) ดิสนีย์ โพลีนีเซียน รีสอร์ต ( Disney's Polynesian Resort ) ดิสนีย์ วิวเดอเนส ลอดจ์ แอนด์ เดอะ วิวล่า ( Disney's Wilderness Lodge & The Villas ) ดิสนีย์ ฟอร์ต วิวเดอเนส รีสอร์ต แอนด์ แคมป์กราวน์ ( Disney's Fort Wilderness Resort & Campground ) แม็กโนเลีย กอล์ฟ คอร์ส ( Magnolia Golf Course ) ปาล์ม กอล์ฟ คอร์ส ( Palm Golf Course ) ออสพริวย์ ริสจ์ กอล์ฟ คอร์ส ( Osprey Ridge Golf Course ) อีเกิลไพน์ กอล์ฟ คลับ ( Eagle Pines Golf Club ) ==== ภายในเขตเอปค็อด เซ็นเตอร์ (Epcot Center Area) : ==== เอปค็อด เซ็นเตอร์ (Epcot Center) ดิสนีย์-เอ็มจีเอ็ม สตูดิโอ (Disney-MGM Studios) สวนน้ำ บลิสซาร์ด บีช (Blizzard Beach Water Park) ดิสนีย์ บอร์ดวอค์ก (Disney's Boardwalk) ดิสนีย์ บอร์ดวอค์ก รีสอร์ต แอนด์ วิวล่า ( Disney's Boardwalk Resort & Villas ) ดิสนีย์ บีช คลับ รีสอร์ต แอนด์ วิวล่า ( Disney's Beach Club Resort & Villas ) ดิสนีย์ ยอชต์ คลับ รีสอร์ต ( Disney's Yacht Club Resort ) ดิสนีย์ อินสทริวท์ ( Disney Institute ) วอล์ต ดิสนีย์ เวิลด์ ดอลฟิน โฮเต็ล ( Walt Disney World Dolphin Hotel ) วอล์ต ดิสนีย์ เวิลด์ สวอน โฮเต็ล ( Walt Disney World Swan Hotel ) ดิสนีย์ คาริบเบียน บีช รีสอร์ต ( Disney's Caribbean Beach Resort ) แฟนตาเซีย การ์เด้นท์ มิเนียเจอร์ กอล์ฟ ( Fantasia Gardens Miniature Golf ) ==== ภายในเขตดิสนีย์ แอนนิมอล คิงด้อม (Disney's Animal Kingdom Area) : ==== ดิสนีย์ แอนนิมอล คิงด้อม ( Disney's Animal Kingdom ) ดิสนีย์ แอนนิมอล คิงด้อม ลอดจ์ ( Disney's Animal Kingdom Lodge ) ดิสนีย์ โคโรนาโด สปริงส์ รีสอร์ต ( Disney's Coronado Springs Resort ) ดิสนีย์ ออล-สตาร์ มูฟวี่ รีสอร์ต ( Disney's All-Star Movies Resort ) ดิสนีย์ ออล-สตาร์ มิวสิก รีสอร์ต ( Disney's All-Star Music Resort ) ดิสนีย์ ออล-สตาร์ สปอร์ต รีสอร์ต ( Disney's All-Star Sports Resort ) ดิสนีย์ วินเตอร์ ซัมเมอร์แลนด์ มิเนียเจอร์ กอล์ฟ ( Disney's Winter Summerland Miniature Golf ) ==== ภายในเขตดิสนีย์ ไวด์ เวิลด์ ออฟ สปอร์ต (Disney's Wide World of Sports Area) : ==== ดิสนีย์ ไวด์ เวิลด์ ออฟ สปอร์ต คอมเพล็กซ์ ( Disney's Wide World of Sports Complex ) ดิสนีย์ ป๊อป เซ็นจูรี่ รีสอร์ต ( Disney's Pop Century Resort ) ==== ภายในเขตดาวน์ทาวน์ ดิสนีย์ (Downtown Disney Area) : ==== ดาวน์ทาวน์ ดิสนีย์ ( Downtown Disney ) * เวสท์ไซด์ ( West Side ) * มาเก็ตเพลส ( Marketplace ) * เพลชเชอร์ ไอส์แลนด์ (Pleasure Island) สวนน้ำ ไต้ฝุ่น ลากูน ( Typhoon Lagoon Water Park ) ดิสนีย์ พอร์ต ออลลีน รีสอร์ต (Disney's Port Orleans Resort) * ริเวอร์ไซด์ (Riverside) * แฟรนช์ควอร์เตอร์ (French Quarter) ดิสนีย์ โอวด์ คีย์เวสท์ รีสอร์ต (Disney's Old Key West Resort) ดิสนีย์ ซาราโทกา สปริงส์ รีสอร์ต แอนด์ สปา (Disney's Saratoga Springs Resort & Spa) เลค บัวนา วิสต้า กอล์ฟ คอร์ส (Lake Buena Vista Golf Course) === โตเกียวดิสนีย์ รีสอร์ต ( Tokyo Disney Resort ) === ประกอบด้วย: โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo Disneysea) อิคสะไพอะริ (Ikspiari) บอน วอยยาจ์ด (Bon Voyage) ดิสนีย์แอมบาสเดอร์ โฮเต็ล (Disney Ambassador Hotel) โตเกียวดิสนีย์แลนด์โฮเต็ล (Tokyo Disneyland Hotel) โตเกียวดิสนีย์ซี โฮเต็ล ไมราคอสต้า (Tokyo Disneysea Hotel MiraCosta) === ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ต ปารีส (Disneyland Resort Paris) === ประกอบด้วย: ดิสนีย์แลนด์ ปารีส (Disneyland Paris) หรือชื่อเดิมคือ ยูโรดิสนีย์แลนด์ (EuroDisneyland) วอล์ต ดิสนีย์ สตูดิโอ ปารีส (Walt Disney Studios Paris) ดิสนีย์วิลเลจ (Disney Village) ดิสนีย์แลนด์ โฮเต็ล ปารีส (Disneyland Hotel Paris) ดิสนีย์ โฮเต็ล นิวยอร์ก (Disney's Hotel New York) ดิสนีย์ นิวพอร์ต เบย์ คลับ (Disney's Newport Bay Club) ดิสนีย์ ซีควายอ์ ลอดจ์ (Disney's Sequoia Lodge) ดิสนีย์ โฮเต็ล ไชน์เอนน์ (Disney's Hotel Cheyenne) ดิสนีย์ โฮเต็ล ซานต้า เฟ่ (Disney's Hotel Santa Fe) ดิสนีย์ เดวี่ คร็อกเก็ต แรนช์ (Disney's Davy Crockett Ranch) กอล์ฟ ดิสนีย์แลนด์ ปารีส (Golf Disneyland Paris) === ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ต ( Hong Kong Disneyland Resort ) === ประกอบด้วย: ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland) ฮ่องกงดิสนีย์ทาวน์ (Hong Kong Disneytown) โรงแรมฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland Hotel) โรงแรมดิสนีย์ฮอลลีวู้ด (Disney's Hollywood Hotel) === เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์ รีสอร์ต ( Shanghai Disney Resort ) === ประกอบด้วย: เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์ (Shanghai Disneyland) ดิสนีย์ทาวน์ (Disneytown) เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์โฮเต็ล (Shanghai Disneyland Hotel) ทอยสตอรี่โฮเต็ล (Toy Story Hotel) === ดิสนีย์ ครูซไลน์ (Disney Cruise Line) === ประกอบด้วย: ดิสนีย์วันเดอร์ (Disney Wonder) ดิสนีย์เมจิก (Disney Magic) แคสทะเว เค (Castaway Cay) === ดิสนีย์ วาเคชั่น คลับ ( Disney Vacation Club ) === ประกอบด้วย: ดิสนีย์ ซาราโทกา สปริงส์ รีสอร์ต แอนด์ สปา ( Disney's Saratoga Springs Resort & Spa ) ดิสนีย์ เวอโร บีช รีสอร์ต ( Disney's Vero Beach Resort ) === อื่น ๆ : === ดิสนีย์สโตร์ (Disney Store) ดิสนีย์อเมริกา (Disney's America) ดิสนีย์ไทยแลนด์ (Disney's Thailand) == อ้างอิง == Imagineering.org เว็บไซต์อย่างไม่เป็นทางการของจินตวิศวกรรม Disney Imagineering careers page on disney.com Rebuilding Tomorrowland, Scott Kirsner, Wired Magazine vol 10.12, September 2002. ดิสนีย์ ผู้สร้างเครื่องเล่น ผู้สร้างสวนสนุก
thaiwikipedia
1,785
ภาษาศาสตร์จิตวิทยา
ภาษาศาสตร์จิตวิทยา (psycholinguistics หรือ psychology of language) เป็นสาขาวิชาที่รวมวิธีทางจิตวิทยาและทางภาษาศาสตร์เข้าด้วยกัน เพื่อใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับการแสดงออกของภาษาทางด้านจิตวิทยา ความเคยชินทางภาษา วิธีการใช้ภาษาในทางด้านจิตวิทยาและการติดต่อสื่อสารกัน จิตวิทยา
thaiwikipedia
1,786
โอเพนด็อกคิวเมนต์
โอเพนด็อกคิวเมนต์ (OpenDocument) หรือ โอดีเอฟ (ODF: Open Document Format for Office Applications รูปแบบเอกสารเปิดสำหรับโปรแกรมสำนักงาน) เป็นชื่อของรูปแบบแฟ้มสำหรับจัดเก็บเอกสารสำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง ตารางคำนวณ, แผนภูมิ, เอกสารนำเสนอ ฐานข้อมูล และเอกสารข้อความ (เช่น บันทึกข้อความ รายงาน จดหมาย) มาตรฐานนี้ถูกพัฒนาโดยคณะกรรมการเทคนิคของสมาคม Organization for the Advancement of Structured Information Standards (OASIS - เป็นหน่วยงานมาตรฐานกลางที่ไม่หวังผลกำไร มีหน้าที่ในการออกมาตรฐานสำหรับธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์) โดยออกแบบอยู่บนพื้นฐานของรูปแบบ XML ที่เดิมทีออกแบบและสร้างใช้จริงโดยชุดโปรแกรมสำนักงานโอเพ่นออฟฟิศดอทอ็อก (OpenOffice.org) OpenDocument นอกจากจะเป็นเป็นมาตรฐาน OASIS แล้ว ยังเป็นมาตรฐานนานาชาติ ISO และ IEC อีกด้วย (ISO/IEC 26300:2006) มาตรฐานโอเพนด็อกคิวเมนต์ตรงกับคำจำกัดความพื้นฐานของมาตรฐานเปิด ซึ่งหมายความว่าข้อกำหนดดังกล่าวนั้นเปิดให้ดูได้โดยอิสระและไม่มีค่าใช้จ่าย รวมถึงสามารถนำไปสร้างผลิตภัณฑ์ได้โดยอิสระและไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน == รูปแบบ == นามสกุลของไฟล์ที่พบบ่อยสุด สำหรับเอกสารโอเพนด็อกคิวเมนต์ ได้แก่ .odt สำหรับเอกสารข้อความ (ประมวลผลคำ) .ods สำหรับตารางคำนวณ .odp สำหรับการนำเสนอ .odg สำหรับรูปกราฟิก .odf สำหรับสูตรและสมการคณิตศาสตร์ แฟ้มโอเพนด็อกคิวเมนต์แบบพื้นฐานประกอบด้วยเอกสาร XML หนึ่งฉบับที่ใช้ เป็น root element แฟ้มโอเพนด็อกคิวเมนต์ยังสามารถจะจัดเก็บในรูปแบบ ZIP ซึ่งสามารถรวมรวมแฟ้มและไดเรกทอรีต่าง ๆ รวมถึงแฟ้มที่มีเนื้อหาแบบไบนารีด้วย เข้ามาเก็บไว้ในแฟ้มเดียว และบีบอัดเพื่อให้ได้ขนาดแฟ้มที่เล็กลง รูปแบบโอเพนด็อกคิวเมนต์ได้ประโยชน์จากการแยกหน้าที่รับผิดชอบ โดยแยก เนื้อหา รูปแบบหน้าตา เมทาเดตา และค่าปรับแต่งโปรแกรม ออกจากกันเป็นแฟ้ม XML สี่แฟ้ม มีการจัดทำตัวอย่างเอกสารในรูปแบบ OpenDocument ให้ทดสอบ ชุดทดสอบนี้ทั้งหมดให้ใช้ได้ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution 2.5 == สถานะและการยอมรับ == สถานะของมาตรฐานตอนนี้ โอเพนด็อกคิวเมนต์ได้รับการรับรองว่าเป็นมาตรฐาน OASIS และ ISO/IEC อย่างเป็นทางการแล้ว คณะกรรมการของสหภาพยุโรป ได้แนะนำให้รูปแบบเอกสารของ OpenOffice.org (ซึ่งตอนนี้หมายถึงโอเพนด็อกคิวเมนต์) เป็นมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเอกสาร == โปรแกรมที่สนับสนุน == โอเพ่นออฟฟิศดอทอ็อก 2.0 ขึ้นไป(ปัจจุบันเป็นรุ่น 3.1) NEO Office KOffice 1.4 ขึ้นไป IBM Workplace Abiword Softmaker Textmaker 2005 Microsoft Office 2007 Service Pack 2 ขึ้นไป WordPad(Windows 7 Edition) == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == โอโอเอกซ์เอ็มแอล รูปแบบไฟล์ที่มีจุดประสงค์คล้ายคลึงกัน จากไมโครซอฟท์ == แหล่งข้อมูลอื่น == OpenDocument เผยแพร่และสนับสนุนการใช้มาตรฐานโอเพนด็อกคิวเมนต์ OpenDocument Fellowship กลุ่มอาสาสมัครผู้สนับสนุนโอเพนด็อกคิวเมนต์ OpenDocument Format Alliance พันธมิตรเพื่อให้ความรู้แก่ผู้วางนโยบาย ผู้ดูแลระบบไอที และสาธารณะ เกี่ยวกับประโยชน์และโอกาสจากโอเพนด็อกคิวเมนต์ OpenDocument XML ชุมชนและแหล่งทรัพยากรอย่างเป็นทางการสำหรับแลกเปลี่ยนเรื่องมาตรฐานโอเพนด็อกคิวเมนต์ OASIS Open Document Format for Office Applications (OpenDocument) Technical Committee Tim Bray of Sun on Open Office XML ISO Certification The Future Is Open: What OpenDocument Is And Why You Should Care ~ by Daniel Carrera รูปแบบโอเพน ภาษามาร์กอัป มาตรฐานที่พัฒนาจากเอกซ์เอ็มแอล รูปแบบไฟล์คอมพิวเตอร์ มาตรฐานไอเอสโอ มาตรฐานไออีซี
thaiwikipedia
1,787
มหาวิทยาลัยทักษิณ
มหาวิทยาลัยทักษิณ (Thaksin University; อักษรย่อ: มทษ. – TSU) เป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ มีพื้นที่ตั้ง 2 วิทยาเขตในจังหวัดสงขลา และจังหวัดพัทลุง ถือกำเนิดมาจากวิทยาลัยวิชาการศึกษาที่ก่อตั้งเมือปี พ.ศ. 2511 และพัฒนาเรื่อยมาจนเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตสงขลาเมื่อปี 2517 และแยกตัวเป็นเอกเทศเมื่อปี พ.ศ. 2539 มาเป็น "มหาวิทยาลัยทักษิณ" โดยพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยทักษิณได้ผ่านกระบวนการตามกฎหมายครบทุกขั้นตอน และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2539 มีผลบังคับใช้ในวันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ซึ่งถือเป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัยทักษิณ โดยชื่อ มหาวิทยาลัยทักษิณ สื่อถึง "มหาวิทยาลัยแห่งภาคใต้" (ทักษิณ แปลว่า ทิศใต้) มหาวิทยาลัยทักษิณ จัดอยู่ในกลุ่มสถาบันอุดมศึกษาที่เน้นการผลิตบัณฑิต พร้อมพัฒนาศิลปะและวัฒนธรรม ได้รับการประเมินจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาในระดับดี โดยเฉพาะในด้านการบริการแก่สังคม ด้านการทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม และด้านการประกันคุณภาพภายในที่ได้รับการประเมินในระดับดีมาก ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยทักษิณประกอบด้วย 2 วิทยาเขต ได้แก่ วิทยาเขตสงขลา และวิทยาเขตพัทลุง รวมทั้งมีสำนักงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร 1 แห่ง จัดการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ครอบคลุมสาขาวิชาการทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ใน 11 คณะ 3 วิทยาลัย 1 บัณฑิตวิทยาลัย == ประวัติมหาวิทยาลัย== มหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกๆ ในพื้นที่ภาคใต้ ถือกำเนิดขึ้นภายหลังจากการสถาปนาวิทยาลัยวิชาการศึกษา (College of Education) ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ขึ้นแทนโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูง ณ ถนนประสานมิตร อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร ในปีพุทธศักราช 2497 เพื่อพัฒนาปรัชญาและแนวคิดทางด้านการศึกษาสมัยใหม่ให้สอดคล้องผสานสัมพันธ์กับสังคมประชาธิปไตย รวมทั้งการพัฒนาการศึกษาศาสตร์ให้เป็นวิชาชีพที่มีระบบแบบแผน และมีความลุ่มลึกในสังคมไทย พร้อมกับการประสาทปริญญาทางด้านศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยวิชาการศึกษาได้พัฒนาและเจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับ พร้อมกับการขยายการจัดการศึกษาไปยังภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ และมีการบริหารงานแบบหลายวิทยาเขต ประกอบด้วย วิทยาเขตปทุมวัน (ปีพุทธศักราช 2498) วิทยาเขตบางแสน จังหวัดชลบุรี (ปีพุทธศักราช 2498) วิทยาเขตพิษณุโลก (ปีพุทธศักราช 2510) วิทยาเขตมหาสารคาม (ปีพุทธศักราช 2511) วิทยาเขตสงขลา (ปีพุทธศักราช 2511) วิทยาเขตพระนคร (ปีพุทธศักราช 2512) และวิทยาเขตพลศึกษา (ปีพุทธศักราช 2513) โดยมีวิทยาเขตประสานมิตรเป็นศูนย์กลางการบริหาร ===วิทยาลัยวิชาการศึกษา สงขลา=== วิทยาลัยวิชาการศึกษา วิทยาเขตสงขลา ได้รับการสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2511 ณ ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา (ที่ตั้งปัจจุบันของมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา) ตามมติสภาวิทยาลัยวิชาการศึกษา ในการขยายการศึกษาระดับอุดมศึกษาไปยังพื้นที่ภาคใต้ วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2511 จึงถือเป็นวันสถาปนาวิทยาลัยวิชาการศึกษา วิทยาเขตสงขลา ได้เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรกในปีการศึกษา 2512 หลักสูตรปริญญาการศึกษาบัณฑิต เฉพาะหลักสูตร 2 ปี และในปีการศึกษา 2517 จึงเริ่มรับนิสิตเข้าเรียนในหลักสูตรปริญญาการศึกษาบัณฑิต หลักสูตร 4 ปี ได้ดำเนินการจัดการศึกษาและผลิตบัณฑิตให้มีความเจริญก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง เมื่อวิทยาลัยวิชาการศึกษาได้รับการยกวิทยฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ในปีพุทธศักราช 2517 วิทยาลัยวิชาการศึกษา วิทยาเขตสงขลา จึงเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภายใต้ชื่อ “มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตสงขลา” ===มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตสงขลา=== ในระหว่างปีพุทธศักราช 2532 – 2533 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตสงขลา ได้เริ่มวางแผนขยายงานไปยังพื้นที่จังหวัดพัทลุง เนื่องด้วยพื้นที่เดิม ณ ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัดไม่เพียงพอต่อการรองรับการจัดตั้งคณะใหม่ ๆ และการขยายงานในอนาคต โดยคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ได้มีมติอนุมัติในหลักการให้มหาวิทยาลัยขยายงานไปยังพื้นที่จังหวัดพัทลุง และให้บรรจุโครงการดังกล่าวไว้ในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535 - 2539) ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2535 สภามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จึงได้มีมติกำหนดชื่อมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตสงขลาใหม่เป็น “มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตภาคใต้” ทั้งนี้โดยคำนึงถึงภารกิจของมหาวิทยาลัยอันเกี่ยวเนื่องกับภาคใต้โดยรวม ไม่จำเพาะแต่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ===มหาวิทยาลัยทักษิณ=== และเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาคใต้ ได้รับการยกวิทยฐานะเป็นมหาวิทยาลัยทักษิณ ซึ่งเป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นกรม ในทบวงมหาวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยทักษิณ พ.ศ. 2539 มหาวิทยาลัยทักษิณได้พัฒนาเจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับ ในปีการศึกษา 2547 เริ่มเปิดการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการของมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ที่ตำบลบ้านพร้าว อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 สภามหาวิทยาลัยทักษิณ ได้มีมติให้มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา และวิทยาเขตพัทลุง มีการบริหารงานแบบ 2 วิทยาเขต ประกอบด้วย วิทยาเขตสงขลา (วิทยาเขต 1) บ้านอ่าวทราย ตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา (เป็นส่วนของสถาบันคดีศึกษา) (วิทยาเขต 2) ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา วิทยาเขตพัทลุง (วิทยาเขต 1) ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง (วิทยาเขต 2) ตำบลบ้านพร้าว อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 - ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยทักษิณได้พัฒนาไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการแต่อยู่ในกำกับของรัฐด้วยการบริหารจัดการที่เป็นอิสระและมีความคล่องตัวสามารถจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยทักษิณ พ.ศ. 2551 และภายใต้ปรัชญาของมหาวิทยาลัย “ปัญญา จริยธรรม นำการพัฒนา” == สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย == ตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยทักษิณมีตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยเป็นรูปตำราการศึกษา 3 เล่ม สีเทา (สีประจำมหาวิทยาลัย) สะท้อนปรัชญาของมหาวิทยาลัย “ปัญญา จริยธรรม และการพัฒนา” ล้อมรอบด้วยอักษรสีฟ้า (สีประจำมหาวิทยาลัย) เป็นภาษาไทย “มหาวิทยาลัยทักษิณ” และภาษาอังกฤษ “THAKSIN UNIVERSITY” ซึ่งหมายถึงมหาวิทยาลัยแห่งภาคใต้ ด้านบนเหนือรูปตำราการศึกษาเป็นมงกุฎเปล่งรัศมีสีฟ้า ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นเลิศและเกียรติยศ ด้วยในปีพุทธศักราช 2539 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตภาคใต้ ได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยทักษิณ ตรงกับวโรกาสอันเป็นมหามงคลสมัยปีกาญจนาภิเษก ในศุภวาระที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 50 ปี ต้นไม้และดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยทักษิณมีต้นไม้และดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยคือ ต้นปาริชาต หรือทองหลาง (ชื่อสามัญ: Tiger’s Claw หรือ Indian Coral Tree ชื่อวิทยาศาสตร์:Erythrina variegata L.) เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ อยู่ในวงศ์ถั่ว (LEGUMINOSAE หรือ FABACEAE) ดอกมีลักษณะเป็นช่อสีแดงเข้ม เป็นต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในพระไตรปิฎก คนไทยโบราณเชื่อว่าเป็นไม้มงคล หรือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ปลูกบนสวรรค์ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ต้นประวาลพฤกษ์ ซึ่งประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์จะเริ่มออกช่อดอกแล้วบานสะพรั่งเมื่อถึงปลายเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่นิสิตมหาวิทยาลัยทักษิณสำเร็จการศึกษา สีประจำมหาวิทยาลัย สีประจำมหาวิทยาลัยทักษิณ สืบเนื่องมาจากสีประจำวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา คือสีเทา-ฟ้า สีเทา เป็นสีของสมอง หมายถึง ความคิดหรือปัญญา (นอกจากนี้ สีเทา ยังเป็นสีร่วมกันของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒและอดีตวิทยาเขตทั้ง 4 แห่งด้วย) สีฟ้า เป็นสีของทะเล และท้องฟ้า หมายถึง ความกว้างไกล สีเทา - ฟ้า จึงหมายถึง ความคิดที่กว้างไกล หรือคิดอย่างมีวิสัยทัศน์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัย พระพุทธศรีศากยมุนินทร์ศรีนครินทรวิโรฒมงคล สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธศรีศากยมุนินทร์ ศรีนครินทรวิโรฒมงคล” ซึ่งมีความหมายว่า “องค์พระพุทธเจ้า ที่เป็นมิ่งมหามงคล แห่งมหาวิทยาลัย” และมหาวิทยาลัยได้กระทำพิธัอัญเชิญพระพุทธศรีศากยมุนินทร์ศรีนครินทรวิโรฒมงคลมาประดิษฐาน ณ มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 == เพลงประจำมหาวิทยาลัย == เพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยทักษิณ เพลงร่มปาริชาต (1 ใน 2 เพลงประจำมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา) เพลงขวัญตาฟ้าเทา เพลงตะลุงรับขวัญ เพลงทักษิณ ถิ่นรัก เพลงอยากรำด้วย เพลงอาลัยปาริชาต (1 ใน 2 เพลงประจำมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา) เพลงลาเพื่อน เพลงทักษิณถวายชัยจอมราชัน == การศึกษา == มหาวิทยาลัยทักษิณ ได้เปิดหลักสูตรการเรียนการสอนครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ การบริหารการศึกษาดำเนินการโดย 11 คณะ 3 วิทยาลัย 1 บัณฑิตวิทยาลัย และ 1 สถาบันวิจัย ประกอบไปด้วย === กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี === คณะวิทยาศาสตร์ คณะเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะอุตสาหกรรมเกษตรและชีวภาพ === กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ === คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ คณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน วิทยาลัยการจัดการเพื่อการพัฒนา วิทยาลัยนานาชาติ === กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ === คณะวิทยาการสุขภาพและการกีฬา คณะพยาบาลศาสตร์ === ส่วนที่จัดการสอนและงานวิจัยเฉพาะระดับบัณฑิตศึกษา === บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันวิจัยและพัฒนา สถาบันทักษิณคดีศึกษา สถาบันปฏิบัติการชุมชนเพื่อการศึกษาแบบบูรณาการ สถาบันพัฒนาทุนมนุษย์ === โครงการจัดตั้งคณะ === โครงการจัดตั้ง คณะแพทยศาสตร์ โครงการจัดตั้ง คณะทันตแพทยศาสตร์ โครงการจัดตั้ง คณะเภสัชศาสตร์ โครงการจัดตั้ง คณะรัฐศาสตร์ โครงการจัดตั้ง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ === สำนัก/สถาบัน/ศูนย์ === สำนักคอมพิวเตอร์ (Computer Center) สำนักหอสมุด (University’s Library) สำนักบ่มเพาะวิชาการเพื่อวิสาหกิจในชุมชน (Business Incubation Center) ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (Creative Lab Center) ศูนย์ภาษา มหาวิทยาลัยทักษิณ ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยทักษิณ สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยทักษิณ === โรงเรียน === โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยทักษิณ โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (วมว.) -มหาวิทยาลัยทักษิณ โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนป่าพะยอมพิทยาคม โดยความร่วมมือของคณะวิทยาศาสตร์ ภายใต้การกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยทักษิณ (วมว.-ม.ทักษิณ) == พื้นที่มหาวิทยาลัย == === วิทยาเขตสงขลา === มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา เป็นวิทยาเขตแรกก่อตั้งของมหาวิทยาลัยทักษิณ มีพันธกิจหลักในการผลิตบัณฑิตที่เน้นทางด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ โดยมีพื้นที่ปฏิบัติการการเรียนการสอน ณ บริเวณตำบลเขารูปช้าง และพื้นที่ของสถาบันทักษิณคดีศึกษา ณ บริเวณตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา และยังเป็นที่ตั้งของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ ==== คณะ/วิทยาลัย ==== คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ คณะนิติศาสตร์ โครงการจัดตั้งคณะรัฐศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย วิทยาลัยนานาชาติ วิทยาลัยการจัดการเพื่อการพัฒนา ==== โรงเรียน ==== โครงการจัดตั้งโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยทักษิณ ==== สำนัก/สถาบัน/ศูนย์ ==== สำนักคอมพิวเตอร์ สำนักหอสมุด สถาบันทักษิณคดีศึกษา สถาบันวิจัยและพัฒนา สถาบันปฏิบัติการชุมชนเพื่อการศึกษาแบบบูรณาการ(ICOFIS) ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยทักษิณ หอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยทักษิณ === วิทยาเขตพัทลุง === มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง เป็นวิทยาเขตแห่งที่สองของมหาวิทยาลัยทักษิณ ภายหลังจากการจัดตั้งวิทยาเขตสงขลา มีพันธกิจหลักในการผลิตบัณฑิตที่เน้นทางด้านวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ และการเกษตร โดยมีพื้นที่ปฏิบัติการการเรียนการสอน ณ บริเวณตำบลบ้านพร้าว อำเภอป่าพะยอม และพื้นที่ของวิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน ณ บริเวณตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง และยังเป็นที่ตั้งของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ ==== คณะ/วิทยาลัย ==== คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาการสุขภาพและการกีฬา คณะเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน คณะนิติศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะอุตสาหกรรมเกษตรและชีวภาพ คณะศึกษาศาสตร์ โครงการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ โครงการจัดตั้งคณะทันตแพทยศาสตร์ โครงการจัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์ วิทยาลัยภูมิปัญญาชุมชน ==== โรงเรียน ==== โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (วมว.) -มหาวิทยาลัยทักษิณ โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนป่าพะยอมพิทยาคม โดยความร่วมมือของคณะวิทยาศาสตร์ ภายใต้การกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยทักษิณ (วมว.-ม.ทักษิณ) โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยทักษิณ ==== สำนัก/สถาบัน/ศูนย์ ==== สำนักคอมพิวเตอร์ สำนักหอสมุด สถาบันวิจัยและพัฒนา ==กิจกรรมสำคัญ== === พิธีพระราชทานปริญญาบัตร === ปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในการประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ในกิจการของมหาวิทยาลัยทักษิณ และพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยทักษิณเป็นประจำทุกปีนับแต่แรกเริ่มก่อตั้งจวบจนกาลปัจจุบัน โดยพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยจัดขึ้นในช่วงเดือนกันยายน โดยในอดีตได้ประกอบพิธี ณ หอประชุมปาริชาติ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา ปัจจุบันพิธีพระราชทานปริญญาบัตรได้ย้ายมาจัด ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2559 เป็นต้นมา === งานเทางามสัมพันธ์ === กิจกรรมเทางามสัมพันธ์ เกิดขึ้นหลังจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒวิทยาเขตต่าง ๆ ได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยใหม่ ซึ่งประกอบด้วย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยทักษิณ แม้ว่าวิทยาเขตต่าง ๆ จะได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศ แต่ด้วยความตระหนักถึงความผูกพันทั้ง 5 มหาวิทยาลัย จึงมีปณิธานที่จะร่วมมือกันในภารกิจอันควรแก่มหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงได้ร่วมมือกันจัดงานเทา-งามสัมพันธ์ ขึ้น โดยใช้สี “เทา” ซึ่งเป็นสีประจำโดยรวมของทุกวิทยาเขตเป็นพื้นฐาน และเพิ่มคำว่า “งาม” ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายและมีคุณค่ายิ่ง มีความหมายรวมเป็น “เทา-งามสัมพันธ์” ในปี 2538 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตสงขลา หรือมหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นเจ้าภาพโดยมีรูปแบบกิจกรรมที่เน้นด้านกีฬาและด้านศิลปวัฒนธรรมเป็นหลัก ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 ทั้ง 5 มหาวิทยาลัย โดยอธิการบดีร่วมเล็งเห็นความสำคัญต่อภารกิจของมหาวิทยาลัยและประเทศชาติ จึงได้ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือมหาวิทยาลัยในเครือเทา-งามสัมพันธ์ เป็นต้นมา ซึ่งมีข้อตกลงชัดเจนใน 4 ด้าน คือ ด้านการวิจัย ด้านการบริหารวิชาการแก่สังคม ด้านการสร้างความสามัคคีระหว่างมหาวิทยาลัยในเครือเทา-งาม ตลอดจนถึงการทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและการกีฬา และด้านการพัฒนาองค์กรบริหาร การจัดการและวิชาการ ในปี พ.ศ. 2565 มหาวิทยาลัยพะเยา เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือเทางามอย่างเป็นทางการ เป็นมหาวิทยาลัยที่ 6 ของกลุ่ม และปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยในเครือทั้งสิ้น 6 แห่งด้วยกัน คือ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, มหาวิทยาลัยบูรพา, มหาวิทยาลัยนเรศวร, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยทักษิณ และมหาวิทยาลัยพะเยา (อนึ่ง มหาวิทยาลัยพะเยา เป็นมหาวิทยาลัยเดียวที่ไม่ได้ใช้สีเทาเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย และเป็นมหาวิทยาลัยเดียวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องในการเป็นวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒโดยตรงเหมือนอีก 4 แห่ง แต่แยกตัวมาจากวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยนเรศวร) ==สถานที่สำคัญ== === หอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัย === เป็นแหล่งรวบรวม ประเมิน คุณค่า จัดเก็บและจัดทำฐานข้อมูลเพื่อการสืบค้นและให้บริการ แก่ผู้ที่สนใจศึกษาค้นคว้า รวมทั้งได้ทราบถึงพัฒนาการของ มหาวิทยาลัยทักษิณ === สำนักคอมพิวเตอร์ === เป็นหน่วยงานบริการทางวิชาการมีฐานะเทียบเท่าคณะ มีประวัติการก่อตั้งสำนักคอมพิวเตอร์ ก่อตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2528 เริ่มต้นจากการเป็น “ศูนย์บริการการศึกษาและประมวลผลไมโครคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา” ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒสงขลา โดยคณะกรรมการบริหารวิทยาเขต ได้อนุมัติให้ใช้เงินสำรองของมหาวิทยาลัย จัดตั้งขึ้น เป็นโครงการเงินทุนหมุนเวียน ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์คอมพิวเตอร์มศว สงขลา” และ “ศูนย์คอมพิวเตอร์ มศว ภาคใต้” ตามลำดับการดำเนินงานใช้รูปแบบคณะกรรมการดำเนินการประจำศูนย์คอมพิวเตอร์และดำเนินงานด้วยค่าใช้จ่ายจาก เงินงบประมาณรายได้ของมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2529 มหาวิทยาลัยได้อนุมัติงบประมาณเงินรายได้ จำนวน 736,000 บาท ( เจ็ดแสนสามหมื่นหกพันบาทถ้วน) ให้ก่อสร้างอาคารที่ทำการหลังแรก ซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียวมีพื้นที่ปฏิบัติการ 220 ตารางเมตร การก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2530 พ.ศ. 2532 เริ่มได้รับอนุมัติให้บรรจุข้าราชการคือ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระบบงานคอมพิวเตอร์ระดับ 3 และต่อมาก็บรรจุตำแหน่ง พนักงานเครื่องคอมพิวเตอร์ ระดับ 2 เพื่อเป็นบุคลากรช่วยใน การพัฒนาด้านคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2536 ได้รับงบประมาณแผ่นดิน จำนวน 24,668,000 บาท (ยี่สิบสี่ล้านหกแสนหกหมื่น-แปดพันบาทถ้วน) เป็นงบประมาณผูกพันระยะเวลา 3 ปี เพื่อทำการก่อสร้างอาคารที่ทำการหลังใหม่ (อาคารปัจจุบัน) เป็นอาคาร 2 ชั้น มีพื้นที่ 2,793 ตารางเมตร การก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม 2538 และ เปิดให้ใช้การได้ในปีเดียวกัน พ.ศ. 2539 เมื่อมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาคใต้ ได้รับการยกวิทยฐานะเป็นมหาวิทยาลัยทักษิณ ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยทักษิณ พ.ศ. 2539 ได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง ส่วนราชการ ในมหาวิทยาลัยทักษิณ ทบวงมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2541 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 115 ตอนที่ 89ก ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2541 หน้า 4-5 กำหนดให้สำนักคอมพิวเตอร์เป็นส่วนราชการหนึ่งในมหาวิทยาลัยทักษิณ ได้เริ่มดำเนินงานมาจนถึงปัจจุบัน === สำนักหอสมุด === เดิมเป็นอาคาร 2 ชั้นเริ่มเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2512 ต่อมาเนื่องจากอาคารเสื่อมสภาพ ประกอบกับวัสดุห้องสมุดและผู้ใช้บริการเพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงได้สร้างอาคารใหม่ขึ้นเป็นอาคาร 5 ชั้น มีเนื้อที่ 9,660 ตารางเมตร ที่นั่งอ่านประมาณ 1,200 ที่นั่ง เปิดให้บริการ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2538 เป็นหน่วยงานบริการทางวิชาการ ของมหาวิทยาลัย ดำเนิน งานโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความสนับสนุนความเป็นเลิศ ของมหาวิทยาลัย ทั้งในด้าน การสอน การวิจัย การให้บริการทางวิชาการแก่ชุมชน และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มีภารกิจ ที่สำคัญคือ ทำหน้าที่เป็นศูนย์วิชาการที่รวบรวม วัสดุสารสนเทศ สำหรับให้บริการด้าน การเรียน การสอน และ การศึกษาค้นคว้าวิจัยแก่นิสิต อาจารย์ ข้าราชการ และบุคลากรอื่น ๆ ของ มหาวิทยาลัย ตลอดจนบุคคลภายนอก ปรัชญา แหล่งความรู้ สู่ปัญญา พัฒนาสังคม สร้างสมคุณธรรม เลิศล้ำบริการ ปณิธาน หอสมุดมุ่งสู่ความเป็นเลิศในการบริการสารสนเทศด้วยจิตสำนึกที่ดีและเทคโนโลยีที่เหมาะสม วิสัยทัศน์ สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นห้องสมุดมีชีวิตที่ให้ความพึงพอใจสูงสุดในด้านการให้บริการและทรัพยากรสารสนเทศทุกรูปแบบ ทั้งที่เป็นสากลและภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีการประสานความร่วมมือในการใช้ทรัพยากรร่วมกัน และเชื่อมโยงเครือข่ายทางการศึกษาเพื่อผู้ใช้บริการสามารถ เข้าถึงข้อมูลได้โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ อันเป็นประโยชน์ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมที่ดี พันธกิจ สำนักหอสมุดเป็นองค์กรที่มีการจัดหา รวบรวม สร้างสรรค์ และพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศ ทุกรูปแบบ ทั้งภูมิปัญญา ท้องถิ่นและสากล มีระบบการให้บริการอ่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความ พึงพอใจแก่ผู้ใช้บริการด้วยเทคโนโลยี่ทันสมัย ดยมีการบริหารและจัดการที่ === สถาบันวิจัยและพัฒนา === องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนจะขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้ต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนาเป็นเครื่องมือที่สำคัญ มหาวิทยาลัยก็เช่นเดียวกันจำเป็นต้องกำหนดให้งานวิจัยเป็นภารกิจหลัก ภารกิจหนึ่งที่ทุกคนในองค์กรต้องมีส่วนในการรับผิดชอบ ทั้งนี้เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่สำหรับพัฒนาการเรียน การสอน และนำไปพัฒนาแก้ไขปัญหาท้องถิ่น ซึ่งจะส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจและสังคมของชาติโดยรวม มหาวิทยาลัยจึงต้องเป็นแหล่งผลิตนักวิจัยและสร้างผลงานวิจัยที่สำคัญยิ่งให้แก่ประเทศเพื่อ สร้างวิทยาการหรือภูมิปัญญาในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศในอนาคตได้ ภาพรวมของภารกิจวิจัยของมหาวิทยาลัยทักษิณในอดีตจนถึงปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่ามหาวิทยาลัยได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง อาจอ่อนล้าและเข้มแข็งบ้างในบางช่วงเวลา ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการขาดแคลนบุคลากร งบประมาณ และครุภัณฑ์ ที่เสริมสร้างแรงจูงใจให้กับบุคลากรซึ่งต้องทำงานหนักอยู่แล้วมีกำลังมากพอที่จะต้องทำงานหนักขึ้นไปอีก มหาวิทยาลัยเองมีส่วนเป็นอย่างมากที่จะสร้างแรงจูงใจขั้นพื้นฐานให้กับบุคลากรแต่ก็ไม่ได้ทำอย่าง ต่อเนื่องซึ่งดูได้จากการให้ความสำคัญกับภารกิจนี้ค่อนข้างน้อยในอดีตที่ผ่านมา กล่าวคือบางสมัยกำหนดภารกิจวิจัยให้อยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มงานส่งเสริมและประกันคุณภาพการศึกษา ในบางสมัยก็ให้อยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มงานบริการการศึกษา บุคลากรที่จะรองรับก็ไม่มีเนื่องจากเป็นงานฝาก เริ่มจะมีอัตรากำลัง เพื่อรับผิดชอบงานจริง ๆ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 จำนวน 1 คน และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 อีก 1 คน จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าทำไมงบประมาณวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับเพียง 700,000-800,000 บาท ต่อปีเท่านั้น และเริ่มกระเตื้องขึ้นบ้างในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 3,000,000 บาท การขับเคลื่อนการวิจัยของมหาวิทยาลัยดำเนินการอย่างเชื่องช้ามาตลอดเวลานั้นเพราะในระยะที่ผ่านมายังขาดการส่งเสริมและสนับสนุนจากมหาวิทยาลัย จึงเป็นผลทำให้เกิดจุดอ่อนของงานวิจัย เช่น ขาดนักวิจัยที่มีคุณภาพ งานวิจัยส่วนมากเป็นการวิจัยเฉพาะเรื่องขาดการบูรณาการร่วมกัน และสิ่งที่สำคัญคือ ความอ่อนแอของหน่วยประสานงานที่จะไปช่วยส่งเสริมและสนับสนุนนักวิจัย ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากขาดแคลนบุคลากรในด้านการดำเนินงาน และไม่มีนโยบายสนับสนุนการวิจัยของมหาวิทยาลัยอย่างชัดเจน ดังนั้นในปี 2548 ภารกิจส่งเสริมการวิจัย ภายใต้กลุ่มงานบริการการศึกษา ซึ่งมีบุคลากรในการดำเนินงานเพียง 2 คน ได้เริ่มต้นกำหนดเป้าหมายการวิจัยของมหาวิทยาลัยชัดเจนขึ้น ภายหลังการกำหนดกลยุทธ์ร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และภารกิจส่งเสริมการวิจัย และดำเนินการในหลายกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้นักวิจัยเริ่มพัฒนาชุดโครงการวิจัย ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างสูงจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ โดยมี ศ.ดร.เกษม จันทร์แก้ว เป็นประธานกรรมการพัฒนาชุดโครงการวิจัย จากผลการดำเนินงานดังกล่าวทำให้สามารถพัฒนาชุดโครงการวิจัยที่มีคุณภาพและผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงบประมาณ จำนวน 8 ชุดโครงการ และโครงการเดี่ยว 4 โครงการ โดยได้รับการจัดสรรงบประมาณในปี 2549 เป็นเงิน 13,687,800 บาท เป็นโครงการต่อเนื่องผูกพันงบประมาณ เป็นเวลา 3 ปี (2549-2551) รวมงบประมาณทั้งสิ้นเป็นวงเงินประมาณ 26 ล้านบาท การพัฒนาที่ทำให้เกิดผลสำเร็จอย่างสูงนี้เป็นผลมาจากทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งของนักวิจัย หน่วยประสานงานและหน่วยสนับสนุนงบประมาณ การพัฒนางานวิจัยให้บรรลุผลสำเร็จได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ประสาน ส่งเสริมและสนับสนุนการการวิจัยทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย การพัฒนาศักยภาพนักวิจัยเพื่อนำไปสู่งานวิจัยที่มีคุณภาพ การแสวงหาแหล่งทุนการสนับสนุนทรัพยากรด้านการวิจัย การสร้างบรรยากาศการวิจัยเพื่อจูงใจให้บุคลากรทำวิจัยมากขึ้นและการส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานวิจัยในรูปแบบการบริการวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยี และเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2548 สภามหาวิทยาลัยทักษิณได้ประกาศจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนา ขึ้น == ทำเนียบอธิการบดีมหาวิทยาลัย == นับแต่ปี พ.ศ. 2511 เป็นต้นมา วิทยาลัยวิชาการศึกษาสงขลา,มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตสงขลา,มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตภาคใต้,มหาวิทยาลัยทักษิณ มีผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารมาแล้ว ดังนี้ หมายเหตุ''' คำนำหน้านามของผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัย เป็นคำนำหน้านามตามตำแหน่งทางวิชาการในขณะนั้น == นิสิตเก่าและบุคคลสำคัญของมหาวิทยาลัย == ศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ เครืองาม (อาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์) อดีตรองนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัยทักษิณ และศาสตราภิชานคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อุไรวรรณ ศิวะกุล (อ.อุ๊) เจ้าของสถาบันกวดวิชา เคมี อ.อุ๊ ชื่อดัง วิบูลย์ ลีรัตนขจร (นิสิตเก่าคณะศึกษาศาสตร์) ผู้อำนวยการ บริษัท เซิร์ซ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด,ดารานักแสดง และพิธีกร รายการ 168 ชั่วโมง ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ชินวรณ์ บุณยเกียรติ (นิสิตเก่าคณะศึกษาศาสตร์) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล อดีตประธานวิปรัฐบาล ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ วันมูหะมัดนอร์ มะทา (อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์) อดีตประธานรัฐสภา, อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร, อดีตรองนายกรัฐมนตรี, อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปัจจุบันเป็นแกนนำกลุ่มวาดะห์ มุขตาร์ มะทา (นิสิตเก่าคณะสังคมศาสตร์ ปัจจุบันคือคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดยะลา ผู้ช่วยเลขานุการคณะทำงานผู้แทนฮัจย์ -ทางการไทย (อมีรุ้ลฮัจย์) และปัจจุบันนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา(อบจ.) ศาสตราจารย์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ (ที่ปรึกษาคณะนิติศาสตร์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์) ผู้ก่อตั้งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณและคณบดีคนแรกของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ และเป็นอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และเป็นเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ศาสตราจารย์(พิเศษ) จรัญ ภักดีธนากุล (อาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์) อดีตผู้พิพากษา,อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รองศาสตราจารย์ ดร.สุกรี เจริญสุข (นิสิตเก่าคณะศึกษาศาสตร์) ผู้ก่อตั้ง วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และผู้อำนวยการ คณบดี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล คนแรกและ ผู้ก่อตั้งวงดนตรีคลาสสิกเยาวชน ดร.แซ็ก เชมเบอร์ ออร์เคสตรา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ไพฑูรย์ ธัญญา (นิสิตเก่าคณะศึกษาศาสตร์) รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน ศิลปินรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (รางวัลซีไรต์) ประยงค์ รณรงค์ (นิสิตเก่าคณะสังคมศาสตร์ ปัจจุบันคือคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขา ผู้นำเศรษฐกิจชุมชน ศาสตราจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต อดีตนายกสภามหาวิทยาลัยทักษิณ == การจัดอันดับมหาวิทยาลัย == การจัดอันดับโดย เว็บโอเมตริกซ์ (Webometrics) ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจของสถาบันต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บไซต์ และเป็นความริเริ่มเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง (Open Access) ทั่วโลก โดยบ่งบอกถึงปริมาณและคุณภาพของสิ่งตีพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ของสถาบัน เพื่อใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ ในการประเมินผลงานวิจัยของสถาบัน ซึ่งทางเว็บโอเมตริกซ์ได้จัดอันดับปีละ 2 ครั้งในเดือนมกราคม และกรกฎาคม ล่าสุดเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 มหาวิทยาลัยทักษิณ อยู่ในอันดับที่ 2,772 ของโลก อันดับที่ 99 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันดับที่ 35 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย == ดูเพิ่ม == มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยพะเยา == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ข้อมูลการรับสมัครเพื่อเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยทักษิณ ทักษิณ ทักษิณ ทักษิณ ทักษิณ สถานศึกษาในอำเภอเมืองสงขลา อำเภอป่าพะยอม
thaiwikipedia
1,788
จังหวัดปัตตานี
ปัตตานี (มลายูปัตตานี: ڤطاني / Patani / 'ตานิง) เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทย ติดต่อกับจังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา และจังหวัดสงขลา == สัญลักษณ์ประจำจังหวัด == ตราประจำจังหวัด: ปืนใหญ่นางพญาตานี ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกชบา (Hibiscus sp.) ต้นไม้ประจำจังหวัด: ตะเคียนทอง (Hopes odorata) คำขวัญประจำจังหวัด: เมืองงามสามวัฒนธรรม ศูนย์ฮาลาลเลิศล้ำ ชนน้อมนำศรัทธา ถิ่นธรรมชาติงามตา ปัตตานีสันติสุขแดนใต้ คำขวัญประจำจังหวัดเดิม: บูดูสะอาด หาดทรายสวย รวยน้ำตก นกเขาดี ลูกหยีอร่อย หอยแครงสด == ที่มาของชื่อ == คำว่า ปัตตานี มาจากคำภาษามลายูปัตตานี ڤطاني ซึ่งมาจากคำว่า Pata Ini ("ชายหาดแห่งนี้") อีกทีหนึ่ง ==ประวัติศาสตร์== จากหลักฐานทางโบราณคดีเบื้องต้น ได้พบร่องรอยของชุมชนโบราณในปัตตานีที่อำเภอยะรัง คือเมืองโบราณยะรัง เป็นเมืองพุทธศาสนถานมหายานเป็นเมืองที่มีความเจริญ ในช่วง พ.ศ. 700-1400 เป็นเมืองโบราณซ้อนทับกัน 3 เมือง ตั้งแต่บ้านวัดที่เก่าแก่ที่สุด บ้านจาเละ และบ้านประแว ในนี้มีโบราณสถานกว่า 40 แห่ง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 มีความเจริญรุ่งเรือง มีศูนย์กลางการปกครองที่โกตามะลิฆา (Kota Malikha) ใน ตำนานมะโรงมหาวงศ์ มีชื่อ "ลังกาสุกะ" ซึ่งเจริญขึ้นมาร่วมสมัยกับยุคสหพันธรัฐเมืองท่าศรีวิชัย โดยมีพื้นฐานบ้านเมืองแรกเริ่มเก่าไปถึงพุทธศตวรรษที่ 12 ที่บริเวณเมืองโบราณบ้านวัด ต่อมาพุทธศตวรรษที่ 18–20 เปลี่ยนไปรับอิทธิพลของอิสลาม และย้ายเมืองไปที่บ้านกรือเซะหรือหมู่บ้านปะตะนี เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ชายทะเลและปากแม่น้ำปัตตานีมากกว่าเมืองโกตามะลิฆา เมืองท่านี้มึความโดดเด่นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 23 เมืองมีความเข้มแข็งพอที่จะต้านการรุกรานของรัฐที่ใหญ่โตกว่าอย่างกรุงศรีอยุธยา เมืองในยุคนี้มีประชากรต่างชาติต่างภาษาอพยพเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจีน ที่กลายมาเป็นชุมชนใหญ่ชุมชนหนึ่งในปัตตานี มีเหตุการณ์สำคัญอย่างกลุ่มโจรสลัดจากฝูเจียน นําโดยหลิน เต้า-เฉียน ได้อพยพหนีการปราบปรามของราชวงศ์หมิง ไปยึดเมืองปัตตานีไว้ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ประมาณ พ.ศ. 2116–2163 ชาวปัตตานีรู้จักในฐานะตํานานเรื่อง เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และการสร้างปืนใหญ่นางพญาตานี อาณาจักรปัตตานีอยู่ในฐานะประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา ลักษณะความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของไทย คราวใดไทยอ่อนแอหรือเกิดความวุ่นวายในราชธานี ปัตตานีก็จะถือเป็นอิสระ เมื่อเริ่มสมัยรัตนโกสินทร์ฝ่ายไทยก็ยกทัพไปปราบ จึงได้ปัตตานีมาเป็นส่วนหนึ่งของไทยอีกครั้ง จากนั้นมาไทยเริ่มปรับปรุงระบบควบคุมปัตตานีให้รัดกุมขึ้นเป็นลำดับ จนในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการตั้งมณฑลปัตตานี ==ภูมิศาสตร์== === ที่ตั้ง === ปัตตานีเป็นหนึ่งในห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลตะวันออกของภาคใต้สุด ติดกับทะเลจีนใต้ อยู่ห่างจากกรุงเทพโดยทางรถยนต์ประมาณ 1,055 กิโลเมตร หรือ 1,025 กิโลเมตรโดยทางรถไฟ (สถานีรถไฟโคกโพธิ์) === ภูเขาที่สำคัญ === ได้แก่ ภูเขาทรายขาว ซึ่งอยู่ในทิวเขาสันกาลาคีรี มีแม่น้ำที่สำคัญ 2 สาย คือ แม่น้ำปัตตานีและแม่น้ำสายบุรี ภูมิอากาศอบอุ่นตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ย 27.5 องศาเซลเซียส ฝนตกชุกในระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคม ฝนตกเฉลี่ย 1,750.9 มิลลิเมตร/ปี (เฉลี่ยในรอบ 30 ปี) == ประชากร == === ศาสนา === ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม รองลงมาคือศาสนาพุทธและอื่น ๆ จากการสำรวจเมื่อ พ.ศ. 2555 พบว่า ประชากรนับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 87.25 นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 12.72 และศาสนาอื่น ๆ ร้อยละ 0.03 แต่การสำรวจใน พ.ศ. 2556-2558 พบว่าประชากรนับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 86.25 นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 13.70 และศาสนาอื่น ๆ ร้อยละ 0.05 ใน พ.ศ. 2555 หลังการก่อวินาศกรรมด้วยการวางระเบิดถนนสายหลักในปัตตานี ส่งผลให้ชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวไทยพุทธจำนวนมากอพยพออกจากปัตตานี ประชากรที่นับถือศาสนาพุทธจึงหดตัวอย่างเฉียบพลัน จากการสำรวจของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานีเมื่อ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2562 พบว่า ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 87.57, ศาสนาพุทธ ร้อยละ 12.41 และศาสนาอื่น ๆ ร้อยละ 0.03 ชาวปัตตานีมีอาชีพหลักคือการทำนา สวนยาง นอกจากนี้ประชาชนที่อาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด เช่น อำเภอเมืองปัตตานี อำเภอปะนาเระ และอำเภอสายบุรี ยังประกอบอาชีพประมง ซึ่งส่งผลให้เกิดผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างมาก == หน่วยการปกครอง == การปกครองแบ่งออกเป็น 12 อำเภอ 115 ตำบล 642 หมู่บ้าน {| |--- valign=top || อำเภอเมืองปัตตานี อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอหนองจิก อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอสายบุรี อำเภอไม้แก่น อำเภอยะหริ่ง อำเภอยะรัง อำเภอกะพ้อ อำเภอแม่ลาน ||  |} == การปกครองส่วนท้องถิ่น == จังหวัดปัตตานี มีการแบ่งการปกครองส่วนท้องถิ่นดังนี้ === เทศบาลเมือง === มีเทศบาลเมือง 2 แห่ง เทศบาลเมืองปัตตานี เทศบาลเมืองตะลุบัน == อุทยาน == อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว == สถานที่ท่องเที่ยว == มัสยิดกรือเซะ เป็นมัสยิดที่สร้างโดยสุลต่านมุสัฟฟาร์ ชาร์ พระองค์ได้สร้างมัสยิดแห่งนี้พร้อมกับมัสยิดบ้านดาโตะ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี มัสยิดกรือเซะเป็นมัสยิดที่สุลต่านใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติศาสนกิจและะพบปะพูดคุยกับประชาชน มัสยิดกรือเซะเป็นมัสยิดแห่งแรกในคาบสมุทรมลายู หาดตะโละกาโปร์ เมืองโบราณยะรัง ศาลหลักเมืองปัตตานี ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวหรือศาลเจ้าเล่งจูเกียง สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ปัตตานี หอนาฬิกาสามวัฒนธรรม มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี มัสยิดรายอ ปัตตานี มัสยิดกรือเซะ ปัตตานี วังยะหริ่ง ปัตตานี วังสายบุรี ปัตตานี ย่านเมืองเก่าปัตตานี (กือดาจีนอ) วัดช้างให้ราษฎร์บูรณาราม หาดตะโละสะมิแล สะพานไม้บานา ปัตตานีบาซาร์ หอดูนก blue lake ปัตตานี == การขนส่ง == === ระยะทางจากตัวจังหวัดไปอำเภอต่าง ๆ === อำเภอหนองจิก 8 กิโลเมตร อำเภอยะหริ่ง 15 กิโลเมตร อำเภอยะรัง 16 กิโลเมตร อำเภอโคกโพธิ์ 26 กิโลเมตร อำเภอแม่ลาน 27 กิโลเมตร อำเภอมายอ 30 กิโลเมตร อำเภอปะนาเระ 42 กิโลเมตร อำเภอทุ่งยางแดง 44 กิโลเมตร อำเภอสายบุรี 50 กิโลเมตร อำเภอกะพ้อ 65 กิโลเมตร อำเภอไม้แก่น 68 กิโลเมตร == การศึกษา == === ระดับอุดมศึกษา === มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยฟาฏอนี วิทยาเขตปัตตานี วิทยาลัยชุมชนปัตตานี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี === โรงเรียน === ดูที่ รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดปัตตานี == ชาวจังหวัดปัตตานีที่มีชื่อเสียง == สวัสดิ์ วัฒนายากร อดีตองคมนตรีในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อดีตตุลาการศาลปกครองสูงสุด อดีตอธิบดีกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พนมเทียน ศิลปินแห่งชาติ กังสดาล พิพิธภักดี อดีตพระชายาในสมเด็จพระราชาธิบดีมูฮัมมัดที่ 5 ประเทศมาเลเซีย == เทศกาล == งานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว งานประเพณีชักพระ งานแข่งขันกีฬาตกปลาสายบุรี อีดิลฟิฏร์ อีดิลอัฎฮา == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == พระราชวังไพลิน สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ปัตตานี สวนสมเด็จเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สวนแม่-สวนลูก) ปัตตานี สโมสรฟุตบอลปัตตานี ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ศาลหลักเมืองปัตตานี รายชื่อวัดในจังหวัดปัตตานี รายชื่อมัสยิดในจังหวัดปัตตานี รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดปัตตานี สภาเด็กและเยาวชนจังหวัดปัตตานี รายชื่อสาขาของธนาคารในจังหวัดปัตตานี รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดปัตตานี == แหล่งข้อมูลอื่น == === เว็บไซต์ === เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด === แผนที่และภาพถ่าย === แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดปัตตานี === หนังสือและบทความ === ชุลีพร วิรุณหะ. (2551). บุหงารายา: ประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าของชาวมลายู. กรุงเทพฯ: ศักดิโสภาการพิมพ์. ชุลีพร วิรุณหะ. (2556, ม.ค.-มิ.ย.). สยามกับปัตตานีในสมัยรัชกาลที่ 1-2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์: การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสงครามและการแบ่งแยกปัตตานีออกเป็นเจ็ดหัวเมือง. วารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 35(1), 11-53. ชุลีพร วิรุณหะ. (2558). สยาม-ปาตานีใน ‘พื้นที่สีเทา’: บทวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ก่อน ค.ศ. 1909 (ฉบับร่าง). กรุงเทพฯ: ศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ. (2549). ความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ไทย. กรุงเทพฯ: โครงการเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ยงยุทธ ชูแว่น. (2549). รัฐปัตตานีในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สมัยจารีต คริสต์ศตวรรษที่ 16-18. นครปฐม: โครงการศึกษาประวัติศาสตร์ภาคใต้ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. อรอนงค์ ทิพย์พิมล. (2564). ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับปัต (ปา) ตานีก่อนรัฐสมัยใหม่จนถึงสนธิสัญญาแองโกลสยาม พ.ศ. 2452 (ค.ศ. 1909): มุมมองที่แตกต่างหลากหลาย. ใน ความมั่นคงบนรอยร้าว: ประวัติศาสตร์ กฎหมาย และผู้คนในพลวัตความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนใต้. บรรณาธิการโดย อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์. หน้า 3-39. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.). จังหวัดริมฝั่งอ่าวไทย
thaiwikipedia
1,789
จังหวัดเลย
เลย เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย ตั้งอยู่ในแอ่งสกลนครและอยู่ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (กลุ่มจังหวัดสบายดี) ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 540 กิโลเมตร มีสภาพภูมิประเทศที่งดงาม อากาศหนาวเย็น เป็นแหล่งเพาะปลูกไม้ดอกไม้ประดับที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ และยังเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญหลายแห่ง ==สัญลักษณ์ประจำจังหวัด== ตราประจำจังหวัด: เป็นภาพพระธาตุศรีสองรัก ลักษณะอุเทสิกเจดีย์ สร้างเป็นอนุสรณ์การปักปันเขตแดนในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยากับพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2103 เสร็จเมื่อ พ.ศ. 2106 ตั้งอยู่วัดพระธาตุศรีสองรัก ซึ่งเป็นวัดที่ไม่มีพระภิกษุสงฆ์พำนัก ริมแม่น้ำหมัน บ้านหัวนายูง ตำบลด่านซ้าย อำเภอด่านซ้าย องค์พระธาตุก่ออิฐก่อปูน มีฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละ 10.47 เมตร สูง 19.19 เมตร บนยอดพระธาตุมีแก้วครอบเป็นโคม มีกระดิ่งลูกเล็กๆ แขวนอยู่เหนือโคมกรมศิลปากรประกาศให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2478 ธงประจำจังหวัด: ลักษณะสีเหลี่ยมผืนผ้าสีฟ้า มีตราประจำจังหวัดเลย เป็นรูปพระธาตุศรีสองรักอยู่ในวงกลมบนพื้นผ้าทั้งสองด้าน เพลงประจำจังหวัด: มาร์ชเมืองเลย เนื้อร้อง: ครูพร พิรุณ ทำนอง: ครูเอื้อ สุนทรสนาน ต้นไม้: สนสามใบ (Pinus kesiya) เป็นต้นไม้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงปลูกตามคำกราบบังคมทูลของนายเทียม คมกฤช อธิบดีกรมป่าไม้ เพื่อเป็นสิริมงคลและเป็นอนุสรณ์ในการเสด็จพระราชดำเนินขึ้นยอดภูกระดึง เมื่อเวลาเช้าของวันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2498 (จากหนังสือรอยเสด็จมหาวิทยาลัยขอนแก่น 2540) และ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานกล้าไม้มงคลให้กับ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ในงานวันรณรงค์โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่ครองราชย์ปีที่ 50 เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2537 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ให้เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเลย ดอกไม้: รองเท้านารีเหลืองเลย (Paphiopedilum hirsutissimum) สัตว์น้ำ: ปลาเพ้า (Bangana lippus) คำขวัญ: "เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู ถิ่นที่อยู่อริยสงฆ์ มั่นคงความสะอาด" ลักษณะรูปร่าง: มีรูปร่างคล้ายกับ ศีรษะของลูกไดโนเสาร์พันธุ์ไทรเซอราทอปส์ที่ไม่มีเขา == ความเป็นมา == === ยุคก่อนประวัติศาสตร์ === ดินแดนที่เป็นที่ตั้งจังหวัดเลยในปัจจุบัน เป็นชุมชนมาแต่โบราณ โดยมีหลักฐานทางโบราณคดี อาทิเช่น เครื่องมือหินซึ่งเป็นโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีขวานหินขัด กําไลหินขัด แถบอําเภอเชียงคาน ซึ่งเชื่อกันว่ากลุ่มชนแถบนี้ดํารงชีวิตภายใต้สังคมเกษตรกรรม มีการกําหนดอายุไว้ประมาณ 9,000 ปี 4,000 – 2,000 ปี ยุคสัมฤทธิ์ พบหลักฐานที่ทําให้สันนิษฐานได้ว่า มีการขุดแร่เหล็กและทองแดงใน บริเวณอําเภอปากชม และอําเภอเมืองเลย ขึ้นมาใช้ === ยุคประวัติศาสตร์ === พบหลักฐานใบเสมาในพื้นที่อําเภอวังสะพุง อายุประมาณ 1,000-1,200 ปี ซึ่งเป็นยุคทวารวดี และแหล่งโบราณคดีในพื้นที่อําเภอภูหลวง คาดว่ามีอายุใกล้เคียงกัน และในพื้นที่นี้มีชุมชนซึ่งมีความเจริญ จนมีสภาพเป็นเมือง อาทิ เมืองด่านซ้าย เมืองเชียงคาน เมืองท่าลี่ ส่วนเมืองเลย ได้ยกฐานะจากชุมชนบ้านแฮ่ ที่ตั้งอยู่ริมห้วยน้ําหมานซึ่งไหลจากภูเขาชื่อภูผาหมาน เป็นเมือง ในปี พ.ศ. 2396 โดยตั้งชื่อเมืองตามแม่น้ําใหญ่ ว่า“ เมืองเลย ” ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยให้ขึ้นกับเมืองหล่มสัก พร้อมทั้งแต่งตั้งหลวงศรีสงคราม (ท้าวคําแสน) เป็นเจ้าเมืองคนแรก นักสํารวจชาวฝรั่งเศส ชื่อ เอเจียน แอมอนิเย ได้เดินทางมาค้นหาศิลาจารึกและมาถึงเมืองเลย เมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2426 บรรยายสภาพเมืองเลยและอ้างบันทึกของมูโฮร์ (Mouhot) นักสํารวจชาวฝรั่งเศส ซึ่งเดินทางมาถึงเมืองเลย ปี 2404 ว่า“ ...สภาพบ้านแฮ่ ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งห้วยน้ําหมาน ประกอบด้วยกระท่อมประมาณ 200 หลัง บนพื้นที่สูง น้ําไม่ท่วมถึง หมู่บ้านตั้งเรียงรายอยู่ใต้ร่มไม้ผล ใกล้กับทุ่งนา แม่น้ําเลยสามารถเดินเรือได้ในฤดูน้ําหลาก...” “...ประชาชนครึ่งหนึ่งเป็นเกษตรกร และอีกครึ่งหนึ่งเป็นกรรมกรทํางานอุตสาหกรรม ผลิตอุปกรณ์การไถนา และมีดอีโต้ เพื่อจําหน่ายไปทั่วจังหวัดข้างเคียง จนถึงจังหวัดที่อยู่เลยโคราชขึ้นไปอีก แต่ว่าไม่มีโรงงาน ไม่มีเครื่องจักรไอน้ํา แล้วก็เป็นที่น่าสนใจ เมื่อเห็นว่าการตั้งเตาที่จะตีเหล็กนั้นมีราคาต่ำที่สุด คือ จะมีการขุดหลุมกว้าง 1 เมตรครึ่ง ที่ตีนเขา แล้วช่างเหล็กจะเอาก้อนแร่ใส่เข้าไปในหลุมนั้น แล้วเผาด้วยถ่านไฟ ที่มีความร้อนสูง เมื่อร้อนได้ที่แล้ว เหล็กก็จะไหลลงไปในหลุมที่พื้นดิน หลังจากนั้นก็จะนําเอาเหล็กเป็นก้อนออกจากหลุมดังกล่าวไปทําการตีเป็นเครื่องมือที่โรงตีเหล็ก ...” “...ที่นี่ก็จะมีหลุมในดินอีก และมีไฟเผา ซึ่งจะมีเด็กคอยสูบลมด้วยท่อลมแฝด 2 ท่อ ซึ่งทําด้วยท่อนไม้กลวง โดยเอาปลายด้านหนึ่งฝังลงในดิน ภายในท่อสูบลมนี้จะมีลูกสูบทําด้วยสําลีจากตัวท่อสูบลมนี้จะมีหลอดไม้ไผ่ 2 หลอด ต่อไปที่เตาเผาเหล็ก เพื่อนําอากาศเข้าไปในเตาเผาซึ่งจะทําให้ไฟลุกกล้าเป็น...” “...คนเมืองเลยไปคล้องช้างป่าแถบภาคใต้ของจังหวัดในเขตภูหลวงและภูเขียว เวลาออกเดินทางพวกเขาจะทําการบวงสรวงวิญญาณด้วยเชือกยาวซึ่งมีบ่วงคล้องเอาช้างด้วยข้าว เหล้า เป็ด และไก่เสียก่อน นอกจากนั้นนายพรานจะให้คําแนะนําว่า ห้ามภรรยาทําการตัดผม หรือรับแขกต่างบ้านให้พักค้างคืนในบ้านเด็ดขาด ถ้าหากไม่ปฏิบัติตามข้อห้ามเหล่านี้ จะทําให้ช้างที่คล้องมาได้นั้นหลุดมือไป...”ปี 2434 (รศ.110) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสังเกตเห็นว่าฝรั่งตั้งท่าจะรุกรานพระราชอาณาเขต จึงได้จัดการปกครองพระราชอาณาเขตเป็นมลฑล และ ปี 2435 กรมพระยาดํารงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้จัดระบบการปกครองใหม่ เมืองเลยจึงแยกจากเมืองหล่มสัก ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองโดยให้ขึ้นกับ มลฑลลาวพวน ที่ตั้งบัญชาการที่เมืองหนองคาย ก่อนที่จะย้ายมาตั้งที่บ้านหมากแข้งใน ปี 2436 (รศ.116) และเปลี่ยนชื่อเป็นมลฑลอุดรภายหลัง และยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2476 มีอําเภอ ดังนี้ 1. อําเภอกุดป่อง ( อําเภอเมืองเลย ในปัจจุบัน ) 2. อําเภอท่าลี่ 3. อําเภอด่านซ้าย ( โอนมาจากเมืองพิษณุโลก ) 4. อําเภอวังสะพุง ( โอนมาจากเมืองหล่มสัก ) 5. อําเภอเชียงคาน ( โอนมาจากเมืองพิชัย ) == ประวัติศาสตร์ == ก่อตั้งโดยชนเผ่าไทยที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่ก่อตั้งอาณาจักรโยนกเชียงแสน โดยพ่อขุนบางกลางหาวและพ่อขุนผาเมือง (เชื่อถือกันว่าเป็นเชื้อสายราชวงศ์สิงหนวัติ) ได้มีผู้คนอพยพจากอาณาจักรโยนกเชียงแสนที่ล่มสลายแล้ว ผ่านดินแดนล้านช้าง ข้ามลำน้ำเหืองขึ้นไปทางฝั่งขวาของลำน้ำหมันถึงบริเวณที่ราบ พ่อขุนผาเมืองได้ตั้งบ้านด่านขวา (ปัจจุบันอยู่ในบริเวณชายเนินนาด่านขวา ซึ่งมีซากวัดเก่าอยู่ในแปลงนาของเอกชน ระหว่างหมู่บ้านหัวแหลมกับหมู่บ้านนาเบี้ย อำเภอด่านซ้าย) ส่วนพ่อขุนบางกลางหาวได้แบ่งไพร่พลข้ามลำน้ำหมันไปทางฝั่งซ้าย สร้างบ้านด่านซ้าย ต่อมาจึงได้อพยพเลื่อนขึ้นไปตามลำน้ำไปสร้างบ้านหนองคู และได้นำนามหมู่บ้านด่านซ้าย มาขนานนามหมู่บ้านหนองคูใหม่ เป็น "เมืองด่านซ้าย" อพยพไปอยู่ที่เมืองบางยางในที่สุด โดยมีพ่อขุนผาเมืองอพยพผู้คนติดตามไปตั้งเมืองราด (เชื่อว่าเป็นเมืองศรีเทพ อยู่ในท้องที่อำเภอศรีเทพและอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์) และตั้งเมืองด่านซ้าย เป็นเมืองหน้าด่านทางตะวันออกของเมืองบางยาง นอกจากนี้แล้ว ยังมีชาวโยนกอีกกลุ่มหนึ่งได้อพยพมาตั้งบ้านเรือนระหว่างชายแดนตอนใต้ของอาณาเขต ล้านนา ต่อแดนล้านช้างอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะอพยพหนีภัยสงครามข้ามลำน้ำเหืองมาตั้งเมืองเซไลขึ้น (สันนิษฐานว่าอยู่ในท้องที่หมู่บ้านทรายขาว ตำบลทรายขาว อำเภอวังสะพุง) จากหลักฐานในสมุดข่อยที่มีการค้นพบ เมืองเซไลอยู่ด้วยความสงบร่มเย็นมาจนกระทั่งถึงสมัยเจ้าเมืองคนที่ 5 เกิดทุพภิกขภัย ข้าวยากหมากแพง ฝนฟ้าไม่ตก จึงได้พาผู้คนอพยพไปตามลำแม่น้ำเซไลถึงบริเวณที่ราบระหว่างปากลำห้วยไหลตกแม่เซไล จึงได้ตั้งบ้านเรือนขึ้นขนานนามว่า "บ้านแห่" (บ้านแฮ่) ส่วนลำห้วยให้ชื่อว่า "ห้วยหมาน" ในปี พ.ศ. 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพิจารณาเห็นว่า หมู่บ้านแฮ่ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งห้วยน้ำหมาน และอยู่ใกล้กับแม่น้ำเลย มีผู้คนเพิ่มมากขึ้น สมควรจะได้ตั้งเป็นเมือง เพื่อประโยชน์ในการปกครองอย่างใกล้ชิด จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งเป็นเมืองเรียกชื่อตามนามของแม่น้ำเลยว่า เมืองเลย ขึ้นต่อเมืองเพชรบูรณ์อีกทีหนึ่ง ต่อมา พ.ศ. 2440 ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองพื้นที่ ร.ศ. 116 แบ่งการปกครองเมืองเลยออกเป็น 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอกุดป่อง อำเภอท่าลี่ (เดิมตำบลอาฮีเป็นอำเภอ แต่ถูกลดบทบาทลงเป็นตำบลเพราะอยู่ใกล้กับแม่น้ำเหือง เป็นผลมาจากการเสียดินแดนให้ลาวโดยประเทศฝรั่งเศส) อำเภอนากอก (ปัจจุบันอยู่ในประเทศลาว) อำเภอที่ตั้งเมืองคือ อำเภอกุดป่อง ต่อมา พ.ศ. 2442-2449 ได้เปลี่ยนชื่อเมืองเลยเป็น บริเวณลำน้ำเลย พ.ศ. 2449-2450 เปลี่ยนชื่อบริเวณลำน้ำเลยเป็นบริเวณลำน้ำเหือง และใน พ.ศ. 2450 ได้มีประกาศของกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2450 ยกเลิกบริเวณลำน้ำเหือง ให้คงเหลือไว้เฉพาะ "เมืองเลย" โดยให้เปลี่ยนชื่ออำเภอกุดป่อง เป็น "อำเภอเมืองเลย" ในปี พ.ศ. 2445 กรมมหาดไทย นำใบบอกพระยาสุริยวงษา เจ้าเมืองหล่มศัก กราบบังคมทูลว่ามีตราพระราชสีห์โปรดเกล้าฯ ขึ้นไปว่า เมืองเลย เมืองแก่นท้าว เมืองขึ้นเมืองเพชรบูรณ ร้องกล่าวโทษเมืองเพชรบูรณ จึงโปรดให้เมืองหล่มศักดูแลเมืองเลย เมืองแก่นท้าว ไปจนกว่าคดีจะแล้วเสร็จ ในกรณีนี้พระยาสุริยวงษา เห็นว่าพระศรีสงคราม เจ้าเมืองเลย ชราภาพ อายุ 80 ปี เกรงจะรับราชการต่อไปไม่ได้ จึงได้ขอพระราชทานเลื่อนขึ้นเป็นจางวางกำกับดูแลราชการ และได้ขอพระราชทานท้าววรบุตร ว่าที่อุปฮาด เป็นพระศรีสงครามเจ้าเมืองเลย รับราชการฉลองพระเดชพระคุณต่อไป == ภูมิศาสตร์ == === ที่ตั้งและอาณาเขต === { "type": "FeatureCollection", "features": [ { "type": "Feature", "properties": {}, "geometry": { "type": "Polygon", "coordinates": [ [ [ 101.175842, 17.524892 ], [ 101.183395, 17.497389 ], [ 101.162109, 17.491495 ], [ 101.165543, 17.469228 ], [ 101.150436, 17.465953 ], [ 101.147003, 17.477087 ], [ 101.133957, 17.476432 ], [ 101.121597, 17.483637 ], [ 101.109924, 17.483637 ], [ 101.094131, 17.494115 ], [ 101.103058, 17.506557 ], [ 101.077652, 17.503283 ], [ 101.061859, 17.51507 ], [ 101.061172, 17.524892 ], [ 101.046753, 17.528821 ], [ 101.044693, 17.546498 ], [ 101.019287, 17.5537 ], [ 101.000748, 17.556973 ], [ 100.976715, 17.57203 ], [ 100.966415, 17.573994 ], [ 100.940323, 17.571375 ], [ 100.923843, 17.571375 ], [ 100.91629, 17.57923 ], [ 100.899811, 17.591012 ], [ 100.875092, 17.576612 ], [ 100.864105, 17.547808 ], [ 100.868912, 17.53144 ], [ 100.851746, 17.503283 ], [ 100.833206, 17.482982 ], [ 100.848999, 17.456128 ], [ 100.873032, 17.451542 ], [ 100.895691, 17.463988 ], [ 100.914917, 17.452197 ], [ 100.91835, 17.432545 ], [ 100.91423, 17.362435 ], [ 100.913544, 17.340807 ], [ 100.935516, 17.334253 ], [ 100.949936, 17.33753 ], [ 100.961609, 17.336219 ], [ 100.974655, 17.339496 ], [ 100.990448, 17.339496 ], [ 101.005554, 17.333597 ], [ 101.008987, 17.317865 ], [ 101.02272, 17.311966 ], [ 101.055679, 17.281153 ], [ 101.079712, 17.282464 ], [ 101.092758, 17.236563 ], [ 101.096191, 17.220823 ], [ 101.086578, 17.189995 ], [ 101.068726, 17.171627 ], [ 101.062546, 17.129636 ], [ 101.057053, 17.079102 ], [ 101.058426, 17.030525 ], [ 101.033707, 17.009515 ], [ 101.03096, 17.000979 ], [ 101.04744, 16.958949 ], [ 101.026154, 16.941872 ], [ 101.04538, 16.927421 ], [ 101.065292, 16.926764 ], [ 101.073532, 16.915596 ], [ 101.069412, 16.9018 ], [ 101.103745, 16.898515 ], [ 101.104431, 16.911654 ], [ 101.107864, 16.922165 ], [ 101.126404, 16.928734 ], [ 101.122971, 16.958292 ], [ 101.125031, 16.977338 ], [ 101.13121, 16.995725 ], [ 101.122284, 17.01805 ], [ 101.127777, 17.035777 ], [ 101.14151, 17.038403 ], [ 101.159363, 17.03906 ], [ 101.191635, 17.079759 ], [ 101.190948, 17.109949 ], [ 101.221848, 17.120449 ], [ 101.265793, 17.088948 ], [ 101.306992, 17.117824 ], [ 101.327591, 17.142759 ], [ 101.365356, 17.173595 ], [ 101.385956, 17.170315 ], [ 101.399002, 17.176219 ], [ 101.433334, 17.159162 ], [ 101.451187, 17.144071 ], [ 101.45668, 17.110605 ], [ 101.459427, 17.094198 ], [ 101.475906, 17.081728 ], [ 101.487579, 17.0686 ], [ 101.499252, 17.067944 ], [ 101.514359, 17.055472 ], [ 101.530151, 17.056128 ], [ 101.536331, 17.042999 ], [ 101.531525, 17.031182 ], [ 101.541824, 17.000979 ], [ 101.56311, 16.993755 ], [ 101.591263, 16.999009 ], [ 101.604996, 17.008858 ], [ 101.624908, 17.041686 ], [ 101.645508, 17.040373 ], [ 101.649628, 17.016081 ], [ 101.664734, 16.991785 ], [ 101.675034, 16.974054 ], [ 101.67572, 16.951724 ], [ 101.691513, 16.942529 ], [ 101.686707, 16.922822 ], [ 101.686707, 16.894573 ], [ 101.682587, 16.873547 ], [ 101.685333, 16.849234 ], [ 101.699066, 16.832147 ], [ 101.712799, 16.819002 ], [ 101.721725, 16.79994 ], [ 101.69838, 16.807828 ], [ 101.688766, 16.79994 ], [ 101.707306, 16.779561 ], [ 101.727905, 16.753263 ], [ 101.761551, 16.757865 ], [ 101.79039, 16.768385 ], [ 101.820602, 16.776274 ], [ 101.846008, 16.788765 ], [ 101.872101, 16.796653 ], [ 101.883774, 16.811114 ], [ 101.925659, 16.830175 ], [ 101.948318, 16.839376 ], [ 101.944885, 16.850548 ], [ 101.957932, 16.849234 ], [ 101.970978, 16.845291 ], [ 101.982651, 16.843976 ], [ 101.997757, 16.843319 ], [ 102.00737, 16.856463 ], [ 102.010803, 16.869605 ], [ 102.029343, 16.865005 ], [ 102.046509, 16.863034 ], [ 102.061615, 16.87289 ], [ 102.063675, 16.888003 ], [ 102.065735, 16.897858 ], [ 102.032089, 16.951067 ], [ 102.080841, 16.977338 ], [ 102.1138, 17.006888 ], [ 102.154312, 17.019364 ], [ 102.133713, 17.036434 ], [ 102.111053, 17.058097 ], [ 102.106247, 17.078446 ], [ 102.073975, 17.109949 ], [ 102.025223, 17.124386 ], [ 101.983337, 17.144727 ], [ 101.949005, 17.180155 ], [ 101.946945, 17.211641 ], [ 101.982651, 17.250335 ], [ 101.982651, 17.279186 ], [ 102.023849, 17.322454 ], [ 102.019043, 17.346051 ], [ 102.01973, 17.374887 ], [ 101.984711, 17.413546 ], [ 101.990204, 17.452197 ], [ 102.070541, 17.450232 ], [ 102.128906, 17.486256 ], [ 102.136459, 17.506557 ], [ 102.144699, 17.517689 ], [ 102.089081, 17.625699 ], [ 102.078094, 17.685241 ], [ 102.065735, 17.692437 ], [ 102.053375, 17.652528 ], [ 102.043076, 17.66038 ], [ 102.024536, 17.733645 ], [ 102.031403, 17.775497 ], [ 102.048569, 17.785305 ], [ 102.040329, 17.802304 ], [ 102.052689, 17.827799 ], [ 102.052002, 17.868975 ], [ 102.038269, 17.884006 ], [ 102.020416, 17.984611 ], [ 102.038956, 17.987223 ], [ 102.038269, 18.019222 ], [ 102.054749, 18.044686 ], [ 102.060928, 18.096255 ], [ 102.073288, 18.145199 ], [ 102.091141, 18.160859 ], [ 102.106247, 18.173907 ], [ 102.104187, 18.215003 ], [ 102.083588, 18.220873 ], [ 102.059555, 18.206523 ], [ 102.045135, 18.198696 ], [ 102.034836, 18.158249 ], [ 102.01149, 18.147157 ], [ 101.99501, 18.120403 ], [ 101.973724, 18.113877 ], [ 101.918106, 18.051867 ], [ 101.910553, 18.036198 ], [ 101.876907, 18.02771 ], [ 101.852875, 18.04338 ], [ 101.811676, 18.062312 ], [ 101.785583, 18.066882 ], [ 101.771164, 18.056437 ], [ 101.754684, 18.029016 ], [ 101.749878, 17.998979 ], [ 101.738892, 17.973508 ], [ 101.729965, 17.946727 ], [ 101.729965, 17.929089 ], [ 101.710739, 17.904915 ], [ 101.6922, 17.913409 ], [ 101.614609, 17.889233 ], [ 101.594696, 17.846754 ], [ 101.57753, 17.865708 ], [ 101.56929, 17.856558 ], [ 101.551437, 17.820608 ], [ 101.554184, 17.810802 ], [ 101.56929, 17.802304 ], [ 101.576157, 17.786612 ], [ 101.548004, 17.789882 ], [ 101.541824, 17.77942 ], [ 101.521912, 17.775497 ], [ 101.497879, 17.755226 ], [ 101.491699, 17.726451 ], [ 101.484833, 17.738223 ], [ 101.47728, 17.750649 ], [ 101.482086, 17.762419 ], [ 101.46286, 17.753264 ], [ 101.458054, 17.744109 ], [ 101.445007, 17.728413 ], [ 101.420975, 17.734299 ], [ 101.400375, 17.735607 ], [ 101.414108, 17.725142 ], [ 101.431274, 17.717948 ], [ 101.414108, 17.70879 ], [ 101.405182, 17.701595 ], [ 101.400375, 17.683278 ], [ 101.383896, 17.69767 ], [ 101.379776, 17.682624 ], [ 101.361237, 17.68197 ], [ 101.345444, 17.657763 ], [ 101.315231, 17.651874 ], [ 101.304932, 17.650565 ], [ 101.311111, 17.636824 ], [ 101.293259, 17.63028 ], [ 101.278839, 17.610647 ], [ 101.26236, 17.603448 ], [ 101.252747, 17.577267 ], [ 101.242447, 17.551736 ], [ 101.232147, 17.555009 ], [ 101.226654, 17.530785 ], [ 101.195755, 17.53144 ], [ 101.175842, 17.524892 ] ] ] } } ] } จังหวัดเลย ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน บนพื้นที่ราบสูงโคราช หรือที่เรียกกันว่า แอ่งสกลนคร มีเนื้อที่ประมาณ 11,424 ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ 7,140,382 ไร่ หรือประมาณร้อยละ 6.77 ของพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทิวเขาในแนวทางทิศเหนือใต้ และจะมีพื้นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขาที่ไม่ใหญ่มากนัก สลับกันอยู่ในแนวเทือกเขา มีภูเขาสูงกระจัดกระจาย โดยเฉพาะทางตะวันตกและทางด้านใต้ของจังหวัด มีแหล่งน้ำสำคัญคือ แม่น้ำเลยที่ไหลผ่านตัวจังหวัด และแม่น้ำโขงในบริเวณตอนบนของจังหวัด มีระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานคร ประมาณ 520 กม. มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดอื่น ๆ ในแต่ละทิศดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ แขวงไชยบุรี และแขวงเวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีแม่น้ำเหือง และแม่น้ำโขงไหลกั้นพรมแดนระหว่างกัน ทิศตะวันตก ติดต่อกับ เทือกเขาเพชรบูรณ์ อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ อำเภอนครไทย และอำเภอชาติตระการจังหวัดพิษณุโลก ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี อำเภอศรีบุญเรือง อำเภอสุวรรณคูหา อำเภอนากลาง และอำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู ทิศใต้ ติดต่อกับ อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ อำเภอภูผาม่าน และอำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเลย มีพื้นที่ชายแดนติดต่อกับแขวงไซยะบูลี และแขวงเวียงจันทร์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ความยาว 197 กิโลเมตร มีแม่น้ำโขง แม่น้ำเหือง และแนวสันเขาเป็นพรมแดน แม่น้ำโขง ระยะทางยาว 71 กิโลเมตร อยู่ในเขตอำเภอปากชม และอำเภอเชียงคาน แม่น้ำเหือง ระยะทางยาว 123 กิโลเมตร อยู่ในเขตอำเภอท่าลี่ อำเภอด่านซ้าย และอำเภอนาแห้ว แนวสันเขาในอำเภอนาแห้ว ยาว 33 กิโลเมตร === ลักษณะภูมิประเทศ === สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไป ของจังหวัดเลย มีภูเขาล้อมรอบตัวเมือง ลักษณะเป็นแอ่งกระทะ สูงจากระดับน้ําทะเล เฉลี่ยประมาณ 250 เมตร ณ สถานีอุตุนิยมวิทยา ซึ่งสามารถแบ่งลักษณะภูมิประเทศออกเป็น 3 เขต ดังนี้คือ เขตภูเขาสูง ทางด้านทิศตะวันตกทั้งหมด เริ่มตั้งแต่อําเภอภูกระดึง ขึ้นไปอําเภอภูหลวง อําเภอภูเรือ อําเภอท่าลี่ และ เขตอําเภอด่านซ้าย อําเภอนาแห้ว ทั้งหมด มีความสูงตั้งแต่เฉลี่ย 600 เมตร จากระดับน้ําทะเล เขตที่ราบเชิงเขา ได้แก่ บริเวณตอนใต้และตะวันออกของจังหวัด ได้แก่ อําเภอนาด้วง อําเภอปากชม และพื้นที่บางส่วนในเขตอําเภอภูกระดึงและอําเภอภูหลวง เป็นเขตที่ไม่ค่อยมีภูเขาสูงนัก มีที่ราบเชิงเขาพอที่จะทําการเพาะปลูกได้ มีประชาชนหนาแน่นปานกลาง เขตที่ราบลุ่ม มีพื้นที่น้อยมากในตอนกลางของจังหวัดคือ ลุ่มน้ําเลย ลุ่มน้ําโขง ได้แก่ บริเวณอําเภอวังสะพุง อําเภอเมือง อําเภอเชียงคาน เป็นเขตที่ทําการเกษตรได้ดี มีประชากรหนาแน่นมากกว่าเขตอื่น ภูมิประเทศส่วนใหญ่ เป็นเทือกเขาในแนวทิศเหนือใต้ โดยมีที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขา ขนาดไม่ใหญ่มากนัก สลับอยู่แนวเทือกเขาเหล่านั้น หินที่พบในบริเวณนี้ส่วนใหญ่มีอายุมาก เช่นหินแปร ยุคไซลูเรียน - ดีโวเนียน อายุ 438-378 ล้านปี หินปูน ยุคดีโอเนียนตอนกลาง อายุ 385 ล้านปี หินตะกอนและหินแปรชั้นต่ำ อายุ 360-280 ล้านปี หินยุคคาร์บอนิเฟอรัส หินปูนและหินดินดาน ยุคเพอร์เมียน อายุ 286-248 ล้านปี หินตะกอน ยุคไตรแอสซิก อายุ 220 ล้านปี และพบหินยุคโคราช บริเวณเขายอดราบอยู่บนหินเหล่านี้เช่น ภูผาจิต ภูกระดึง ภูหลวง ภูหอ ภูขัด ภูเมี่ยง (อําเภอนาแห้ว) เนื่องจากชั้นหินเกือบทั้งหมดวางอยู่แนวเหนือ - ใต้ จึงควบคุมให้เกิดที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขาและทิศทางแนวเหนือใต้ด้วย แม่น้ําเลยจึงไหลจากใต้ขึ้นเหนือ === ลักษณะภูมิอากาศ === จังหวัดเลย อยู่ใต้อิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม จะมีลมมรสุมหรือแนวปะทะโซนร้อน (Inter Tropical Convergence Zone : ITCZ) พาดผ่านทำให้มีฝนตกติดต่อกันหลายวัน และบางครั้งจะมีพายุหมุนเขนร้อน (Tropical Cycloen) เคลื่อนเข้ามาผ่านเป็นครั้งคราวซึ่งจะมีฝนตกหนัก จังหวัดเลย เคยมีอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ -1.3 องศาเซลเซียส (2 มกราคม พ.ศ. 2517) อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 43.5 องศาเซลเซียส (25 เมษายน พ.ศ. 2517) อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 25.5-26.5 องศาเซลเซียส และจะมีอุณหภูมิที่หนาวจัดในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคม โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 5.5 องศาเซลเซียส (พ.ศ. 2557) == หน่วยการปกครอง == === การปกครองส่วนภูมิภาคและการปกครองส่วนท้องถิ่น === จังหวัดเลย แบ่งการปกครองออกเป็น 14 อำเภอ 89 ตำบล (ไม่รวมตำบลกุดป่องซึ่งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองเลย) 918 หมู่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเลยมีทั้งหมด 101 แห่ง ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย, เทศบาลเมือง 2 แห่ง คือ เทศบาลเมืองเลย และเทศบาลเมืองวังสะพุง, เทศบาลตำบล 27 แห่ง, และองค์การบริหารส่วนตำบล 71 แห่ง == รายนามผู้ว่าราชการจังหวัดเลย == == ประชากรศาสตร์ == === ลักษณะทางสังคม === จังหวัดเลยมีโครงสร้างทางสังคมแบบจารีตประเพณี คนพื้นเมืองส่วนใหญ่จะต่างจากคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั่ว ๆ ไปซึ่งมีเชื้อสายชาวลาวเวียงจันทน์และชาวลาวจำปาศักดิ์ แต่เป็นเชื้อสายชาวลาวหลวงพระบาง จึงมีประเพณี ศิลปะ และวัฒนธรรมหลายอย่างที่มีลักษณะเฉพาะ แตกต่างจากจังหวัดอื่น ๆ ในภาคอีสานของประเทศไทย === กลุ่มเชื้อชาติประชากร === ชาวไทเลย เป็นชื่อเรียกคนเมืองเลย ในประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า คนเมืองเลยคือกลุ่มชนที่อพยพจากชายแดนตอนเหนืออาณาจักรสุโขทัย ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากไทหลวงพระบาง เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองเซไล (บ้านทรายขาว อำเภอวังสะพุง ปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2396 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านแห่ (บ้านแฮ่ปัจจุบัน) ได้ตั้งบ้านเรือนเรียกว่าเมืองเลย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองเลยก็รวมตัวกันเป็นเมืองใหญ่ โดยการรวมตัวของ อำเภอกุดป่อง อำเภอท่าลี่ ซึ่งขึ้นกับมณฑลอุดร อำเภอด่านซ้าย ซึ่งขึ้นกับมณฑลพิษณุโลก เมืองเชียงคาน ซึ่งขึ้นกับเมืองพิชัย อำเภอต่าง ๆ เหล่านี้จึงโอนขึ้นกับเมืองเลยทั้งหมดตั้งแต่ พ.ศ. 2450 เป็นต้นมา ชาวไทเลยจะมีนิสัยใจคอเหมือนกับชนเชื้อชาติโบราณซึ่งไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปจากดั้งเดิม มีสำเนียงพูดที่แปลกและนิ่มนวล พูดสุภาพและไม่ค่อยพูดเสียงดัง กิริยามารยาทดีงาม อารมณ์เยือกเย็นไม่วู่วาม มีนิสัยรักความสงบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักถิ่นที่อยู่ไม่ค่อยอพยพไปอยู่ที่อื่น ส่วนทางด้านวัฒนธรรมประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา ได้แก่ “ฮีตสิบสอง–คองสิบสี่” คือการทำบุญตามประเพณีทั้งสิบสองเดือนของแต่ละปี บ้านชาวไทเลยเป็นเรือนหลังใหญ่ ยกพื้นสูงมีระเบียงหรือชานยื่นออกมาหน้าเรือน มีเรือนครัวซึ่งส่วนใหญ่จะสร้างแยกต่างหากโดยมีชานต่อเชื่อมติดกัน สำหรับหลังคาของเรือนนอนมุงด้วยหญ้าคาหรือไม้แป้นเก็ด ฝาเรือน พื้นเรือนนิยมทำด้วยไม้แผ่นเรียกว่า ไม้แป้น ส่วนเสาจะใช้ไม้เนื้อแข็งเป็นต้นๆ หรืออิฐก่อเป็นเสาใหญ่ มีบันไดไม้พาดไว้สำหรับขึ้นลง ส่วนเรือนครัวมุงด้วยหญ้าคา ฝาและพื้น จะนิยมทำด้วยฟากไม้ไผ่สับแผ่ออกเป็นแผ่น และเสาจะทำด้วยไม้เนื้อแข็งเช่นกัน ชาวไทดำ หรือไทยทรงดำ อพยพมาจากแคว้นพวน ในประเทศลาวปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านั้นอยู่ที่แคว้นสิบสองจุไท ซึ่งเป็นบ้านเกิดเดิมของชาวไทดำ ในอดีตแคว้นสิบสองจุไทเป็นเขตอาณาจักรสยาม ปัจจุบันอยู่ในประเทศเวียดนาม เมื่อปี พ.ศ. 2417 เมื่อพวกฮ่อยกกำลังมาตีเมืองเชียงขวาง ซึ่งเป็นหัวเมืองสำคัญในแคว้นพวน จึงได้เริ่มอพยพลงมาตามเส้นทางเรื่อยๆ จนได้มาพักที่บ้านน้ำก้อใหญ่ ตำบลน้ำก้อ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมามีชาวไทยดำกลุ่มหนึ่ง ได้เดินทางข้ามแม่น้ำโขง ไปยังบ้านน้ำกุ่ม แขวงเวียงจันทน์ แต่ในขณะนั้นเขตเวียงจันทน์มีปัญหาการเจรจากับฝรั่งเศส ไทดำจึงข้ามแม่น้ำโขงกลับมาตั้งหมู่บ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน ซึ่งเป็นถิ่นฐานดั้งเดิม และถาวรจนถึงปัจจุบัน ที่หมู่บ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน เมื่อปี พ.ศ. 2438 มี 15 ครัวเรือน ปัจจุบันชาวไทดำ มีจำนวน 825 ครัวเรือน มีอาชีพส่วนใหญ่ทางการเกษตรกรรม ชาวไทพวน ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่บ้านบุฮมและบ้านกลาง อำเภอเชียงคาน จากถิ่นฐานเดิมที่เมืองเตาไห หลวงพระบาง ประเทศลาว เมื่อครั้งพวกจีนฮ่อ กลา เวียง รุกรานเมืองเตาไห ชาวไทใต้ อพยพมาจากภาคอีสานเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดเลย ส่วนใหญ่มาจากจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดยโสธร เมื่อ พ.ศ. 2506 จะพบชาวไทใต้จำนวนมากที่อำเภอเอราวัณ และอำเภอนาด้วง ภาษาพูด แตกต่างจากภาษาไทเลย เพราะได้สืบทอดมาจากถิ่นเดิมของตน เช่น ภาษาไทยอีสาน ภาษาถิ่นอุบล ภาษาไทยโคราช === ภาษาของคนจังหวัดเลย === มีสำเนียงภาษาแตกต่างจากภาษาพูดของคนในจังหวัดภาคอีสานอื่น ๆ เพราะกลุ่มคนที่อาศัยปัจจุบันนี้มีประวัติการอพยพเคลื่อนย้ายจากเมืองหลวงพระบางแห่งอาณาจักรล้านช้าง ต่อมาต้นพุทธศตวรรษที่ 23 ชาวหลวงพระบางและชาวเมืองบริเวณใกล้เคียงที่อพยพมาเมืองเลยได้นำวัฒนธรรมด้านภาษาอีสานถิ่นอื่นเข้ามาด้วย โดยภาษาเลยนั้นจัดอยู่ในกลุ่มหลวงพระบางอันประกอบด้วยภาษาเมืองแก่นท้าว ภาษาอำเภอด่านซ้าย และภาษาอำเภอเมืองเลย ดังนั้นสำเนียงพูดของชาวไทเลยจึงมีลักษณะการพูดเหมือนชาวหลวงพระบาง แต่บางพยางค์ออกเป็นเสียงสูงคล้ายสำเนียงพูดของชาวปักษ์ใต้ ฟังดูไพเราะนุ่มนวลจึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะคนเมือง ส่วนคนในวังสะพุงจะพูดเสียงห้วนกว่าชาวเลยถิ่นอื่น == การขนส่ง == จังหวัดเลยอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 540 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสู่จังหวัดเลยได้ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัวและรถประจำทาง การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพมหานคร สามารถไปได้ 2 เส้นทาง คือ # ใช้ถนนพหลโยธิน ผ่านจังหวัดสระบุรี แล้วแยกใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 21 ผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์ จนถึงอำเภอหล่มสัก ต่อด้วยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 21 (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 203 เดิม) ผ่านอำเภอหล่มเก่า อำเภอภูเรือ เข้าสู่จังหวัดเลย # ใช้ถนนพหลโยธิน จนถึงจังหวัดสระบุรี แล้วแยกใช้ถนนมิตรภาพ จนถึงอำเภอสีคิ้ว แยกซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 201 ผ่านอำเภอด่านขุนทด อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ อำเภอแก้งคร้อ อำเภอภูเขียว อำเภอชุมแพ อำเภอภูกระดึง อำเภอหนองหิน อำเภอวังสะพุง จนถึงจังหวัดเลย การเดินทางโดยทางเครื่องบิน โดยลงที่ท่าอากาศยานเลย มีสายการบิน นกแอร์ และไทยแอร์เอเชีย จาก ท่าอากาศยานดอนเมือง - ท่าอากาศยานเลย และ ท่าอากาศยานเลย - ท่าอากาศยานดอนเมือง สายการบินไทยสมายล์ จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - ท่าอากาศยานเลย และท่าอากาศเลย - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้บริการทุกวัน การเดินทางโดยรถโดยสาร รถโดยสารจากกรุงเทพมหานคร สายกรุงเทพฯ-เมืองเลย (สาย 29 และ 938) มีผู้ประกอบการหลายราย เช่น บริษัท ขนส่ง จำกัด(สาย 29) แอร์เมืองเลย (สาย29),ขอนแก่นทัวร์ (สาย 938),ชุมแพทัวร์(สาย 29),ภูกระดึงทัวร์,ศิขรินทร์ทัวร์ และสาย 14 กรุงเทพ - ภูเรือ ของ บริษัท เพชรประเสริฐ จำกัด และมีรถโดยสารระหว่างภาค สาย 808 นครราชสีมา-เชียงคาน และสาย 824 เลย-พัทยา-ระยอง ของบริษัทนครชัยขนส่ง สาย 636 เชียงใหม่-อุดรธานี ของบริษัทจักรพงษ์ทัวร์และอ.ศึกษาทัวร์ สาย 661 เชียงราย-นครพนม ของบริษัทสมบัติทัวร์ และจักรพงษ์ทัวร์ และมีสายอุดรธานี-พิษณุโลก ของนครไทยแอร์ การเดินทางโดยรถไฟ จังหวัดเลยไม่มีเส้นทางรถไฟ ต้องเดินทางมาลงที่อุดรธานีแล้วต่อรถโดยสารมาจังหวัดเลย === ทางหลวงแผ่นดิน === ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 21 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 (ถนนสีคิ้ว–เชียงคาน, ถนนมลิวรรณ) ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 210 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 211 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2195 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2014 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2113 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2114 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2138 (ถนนเลย–นาด้วง) === ทางถนน === (จังหวัดเลยไปกรุงเทพฯ) จังหวัดเลยอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 543 กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 21 (ถนนสระบุรี-หล่มสัก ) ถึงจังหวัดสระบุรี ตรงแยกพุแค แยกซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ผ่านจังหวัดอยุธยา(วังน้อย)มาถึงกรุงเทพมหานคร == ดัชนีความก้าวหน้าของคน == ดัชนีความก้าวหน้าของคน (หรือ HAI) เป็นดัชนีติดตามความก้าวหน้าในการพัฒนามนุษย์ในระดับจังหวัดของไทย เริ่มจัดทำตั้งแต่ปี 2546 โดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (หรือ UNDP) ต่อมาสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้ามาทำหน้าที่นี้แทนตั้งแต่ปี 2560 ต่อไปนี้ คือ ขอบเขตทั้งหมด 8 ด้าน ของการพัฒนามนุษย์ และลำดับดัชนีความก้าวหน้าของคนในแต่ละด้าน ของจังหวัดเลย ในปี 2564 ด้านสุขภาพ (ลำดับที่ 74 ของประเทศ) ด้านการศึกษา (ลำดับที่ 67 ของประเทศ) ด้านชีวิตการงาน (ลำดับที่ 28 ของประเทศ) ด้านเศรษฐกิจ (ลำดับที่ 4 ของประเทศ) ด้านที่อยู่อาศัยและชุมชนสภาพแวดล้อม (ลำดับที่ 16 ของประเทศ) ด้านชีวิตครอบครัวและชุมชน (ลำดับที่ 18 ของประเทศ) ด้านการคมนาคมและการสื่อสาร (ลำดับที่ 57 ของประเทศ) ด้านการมีส่วนร่วม (ลำดับที่ 29 ของประเทศ) == เศรษฐกิจ == ในปี 2563 จังหวัดเลยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด 51,809 ล้านบาท โครงสร้างเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับ สาขาเกษตรกรรม รองลงมา คือ สาขาการขายส่ง ขายปลีก สาขาการศึกษา และสาขาอุตสาหกรรม ตามลําดับ รายละเอียด ดังนี้ สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง มีมูลค่า 13,182 ล้านบาท สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 25.4 โดยมีพืชเศรษฐกิจหลักที่สําคัญของจังหวัด ได้แก่ ยางพารา มันสําปะหลัง ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และอ้อยโรงงาน สาขาการขายส่ง ขายปลีกฯ มีมูลค่า 7,130 ล้านบาท สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 13.8 สาขาการศึกษา มีมูลค่า 7,000 ล้านบาท สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 13.5 สาขาอุตสาหกรรม มีมูลค่า 5,271 ล้านบาท สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 10.2 สาขาการเงินและการประกันภัย มีมูลค่า 3,869 ล้านบาท สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 7.5 สาขาอื่น ๆ มีมูลค่ารวม 15,357 ล้านบาท สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 29.6 == ทรัพยากรธรรมชาติ == === ป่าไม้ === === แหล่งน้ำ === จังหวัดเลย มีพื้นที่การเกษตร 2,601,573 ไร่ ได้รับการพัฒนาเป็นพื้นที่ชลประทานแล้วในเขตพื้นที่ส่งน้ำของโครงการชลประทานกลางแลละะขนาดเล็ก รวมพื้นที่ชลประทาน จำนวน 256,746 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 9.87 ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด เป็นแหล่งน้ำที่สร้างขึ้นและแหล่งน้ำที่เกิดเองตามธรรมชาติ โดยมีการปรับปรุงเพื่อใช้ในการเกษตรกรรม รวมจำนวน 3,110 แห่ง และเป็นงานที่กรมชลประทานดำเนินการ 306 แห่ง และเป็นพื้นที่นอกเขตชลประทาน จำนวน 2,344,827 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 89.82 ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด === สัตว์ป่า === === เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า === เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง ที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ตั้งอยู่ที่ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ ทรัพยากรสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง มีความหลากหลายของชนิดและความชุกชุม เนื่องจากสภาพป่าดงดิบทึบเป็นที่หลบซ่อนของสัตว์ป่าได้อย่างดี และหลังจากได้ประกาศเป็นพื้นที่เขตรักษาพันธุ์ป่าแล้วมีเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการป้องกันและปราบปรามการล่าสัตว์ป่า จึงขยายพันธุ์ได้เร็วขึ้น งานสำรวจสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง พบว่ามีสัตว์ป่ามากมายหลายชนิด เช่น ช้างป่า กวาง เก้ง เลียงผา หมี ค่าง ชะนี กระจง อีเห็น ชะมด ไก่ป่า ไก่ฟ้า และนกที่สวยงามหลายชนิด รวมทั้งเต่าปูลูซึ่งเป็นเต่าพันธุ์ประหลาดที่หายากชนิดหนึงของไทย ตลอดระยะทางเดินป่าจะมีรอยเท้าและร่องรอยของสัตว์ป่าเหล่านี้ปรากฎให้เห็นอยู่เสมอ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูค้อ-ภูกระแต ที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ตั้งอยู่ที่อำเภอวังสะพุง === อุทยานแห่งชาติ === อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ที่ทำการอุทยานฯตั้งอยู่ที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง อุทยานแห่งชาติภูเรือ ที่ทำการอุทยานฯตั้งอยูที่ตำบลหนองบัว อำเภอภูเรือ อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย (ชื่อเดิมคืออุทยานแห่งชาตินาแห้ว) ที่ทำการอุทยานฯตั้งอยู่ที่อำเภอนาแห้ว อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ที่ทำการอุทยานฯตั้งอยุ่ที่อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก (พิษณุโลก-เพชรบูรณ์-เลย) อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน ที่ทำการอุทยานฯตั้งอยู่ที่ตำบลนาหนองทุ่ม อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น (ขอนแก่น-เลย) อุทยานแห่งชาตินายูง-น้ำโสม ที่ทำการอุทยานฯตั้งอยู่ที่ตำบลนายูง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี (อุดรธานี-เลย-หนองคาย) === วนอุทยาน === วนอุทยานถ้ำแสงธรรมพรหมมาวาส ที่ทำการวนอุทยานฯ ตั้งอยู่ที่ตำบลเจริญ อำเภอปากชม วนอุทยานน้ำตกห้วยเลา ที่ทำการวนอุทยานฯ ตั้งอยู่ที่ตำบลแก่งศรีภูมิ อำเภอภูหลวง วนอุทยานผางาม ที่ทำการวนอุทยานฯ ตั้งอยู่ที่อำเภอหนองหิน วนอุทยานภูบ่อบิด ที่ทำการวนอุทยานฯ ตั้งอยู่ที่ตำบลนาอาน อำเภอเมืองเลย วนอุทยานภูผาล้อม ที่ทำการวนอุทยานฯ ตั้งอยู่ที่ตำบลน้ำสวย อำเภอเมืองเลย วนอุทยานหริรักษ์ ที่ทำการวนอุทยานฯ ตั้งอยูที่ตำบลกกทอง อำเภอเมืองเลย === สวนพฤกษศาสตร์ === สวนรุกขชาติ 100 ปี กรมป่าไม้ ปากปวน อำเภอวังสะพุง สวนรุกขชาติภูข้าว อำเภอนาด้วง == แหล่งท่องเที่ยว == จังหวัดเลย เมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยภูเขาสลับซับซ้อน อุดมไปด้วยพืชพรรณป่าไม้นานาชนิด ภูมิประเทศที่งดงาม อากาศอันเย็นสบายตลอดทั้งปี มีประเพณีวัฒนธรรมอันแตกต่างไปจากถิ่นอื่น ซึ่งได้แก่ การละเล่นผีตาโขน และวัฒนธรรม ให้ได้มาสัมผัสและเรียนรู้วิถีชีวิตชาวจังหวัดเลย ด้วยจังหวัดเลยมีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้กําหนดให้ปี 2561 เป็น “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” เพื่อส่งเสริมเน้นการท่องเที่ยวให้เป็นอุตสาหกรรมเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยาและการต่างประเทศ มีการบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อมุ่งสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพระดับชั้นนําของโลก มีการเจริญเติบโตบนพื้นฐานของความเป็นไทย และกระจายรายได้สู่ชุมชน จังหวัดเลยเป็น 1 ใน 12 เมืองต้องห้าม...พลาด ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากศักยภาพวามหนาวเย็นของอากาศและความมีเสน่ห์ของจังหวัด จึงเหมาะสําหรับผู้ที่ต้องการการเดินทางมาท่องเที่ยว ในทุกรูปแบบ ทุกฤดูกาล โดยมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ๆ ดังนี้ ถนนคนเดินเชียงคาน (ถนนชายโขง) อำเภอเชียงคาน Sky walk พระใหญ่ภูคกงิ้ว อำเภอเชียงคาน อุทยานแห่งชาติภูกระดึง อำเภอภูกระดึง อุทยานแห่งชาติภูเรือ อำเภอภูเรือ ภูป่าเปาะ อำเภอหนองหิน ภูทอก อำเภอเชียงคาน ภูลมโล อำเภอด่านซ้าย สวนหินผางาม อำเภอหนองหิน ภูลำดวน อำเภอปากชม เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง อำเภอภูเรือ ภูบ่อบิด อำเภอเมืองเลย ภูอิเลิศ อำเภอด่านซ้าย อ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง อำเภอเมืองเลย อ่างเก็บน้ำฝายโพนเลา อำเภอเอราวัณ อ่างเก็บน้ำผานาง-ผาเกิ้ง อำเภอเอราวัณ วัดศรีโพธิ์ชัย อำเภอนาแห้ว วัดป่าห้วยลาด อำเภอภูเรือ วัดสมเด็จภูเรือมิ่งเมือง อำเภอภูเรือ วัดเนรมิตรวิปัสสนา อำเภอด่านซ้าย พระธาตุศรีสองรัก อำเภอด่านซ้าย พระธาตุสัจจะ อำเภอท่าลี่ วัดถ้ำผาปู่ อำเภอเมืองเลย แก่งคุดคู้ อำเภอเชียงคาน แก่งโตน อำเภอท่าลี่ ภูชมลาว อำเภอท่าลี่ ภูพระ อำเภอด่านซ้าย == ประเพณีและเทศกาลรื่นเริง == งานฤดูหนาววังสะพุง อำเภอวังสะพุง งานประเพณีผีตาโขน อำเภอด่านซ้าย งานนมัสการพระธาตุศรีสองรัก อำเภอด่านซ้าย งานดอกฝ้ายบาน สืบสานวัฒนธรรมไทเลย และงานกาชาดจังหวัด อำเภอเมืองเลย งานแสดงไม้ดอกเมืองหนาว อำเภอภูเรือ งานออกพรรษาเชียงคาน อำเภอเชียงคาน งานแห่ผีขนน้ำ อำเภอเชียงคาน งานบุญบั้งไฟล้าน อำเภอเอราวัณ งานประเพณีสงกรานต์ไทยลาว อำเภอท่าลี่ งานแห่ต้นดอกไม้บุญเดือนหกบ้านอาฮี อำเภอท่าลี่ งานแก้วมังกร อำเภอภูเรือ งานประเพณีพญาช้างนางผมหอม อำเภอภูหลวง == กีฬา == === สนามกีฬา === สนามกีฬากลางจังหวัดเลย อำเภอเมืองเลย ศูนย์กีฬาเทศบาลเมืองเลย อำเภอเมืองเลย ศูนย์กีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏเลย อำเภอเมืองเลย === ฟุตบอล === เมืองเลย ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลอาชีพในไทยลีก 3 == การศึกษา == === ระดับมัธยมศึกษา === โรงเรียนเลยพิทยาคม อำเภอเมืองเลย (โรงเรียนสหศึกษาประจำจังหวัด) โรงเรียนเลยอนุกูลวิทยา อำเภอเมืองเลย โรงเรียนศรีสงครามวิทยา อำเภอวังสะพุง โรงเรียนเชียงคาน อำเภอเชียงคาน โรงเรียนภูกระดึงวิทยา อำเภอภูกระดึง โรงเรียนนาด้วงวิทยา อำเภอนาด้วง โรงเรียนภูเรือวิทยา อำเภอภูเรือ โรงเรียนสันติวิทยาสรรพ์ อำเภอผาขาว โรงเรียนศรีสองรักษ์วิทยา อำเภอด่านซ้าย โรงเรียนหนองหินวิทยาคม อำเภอหนองหิน โรงเรียนผาอินทร์แปลงวิทยา อำเภอเอราวัณ โรงเรียนภูหลวงวิทยา อำเภอภูหลวง โรงเรียนปากชมวิทยา อำเภอปากชม โรงเรียนท่าลี่วิทยา อำเภอท่าลี่ โรงเรียนนาแห้ววิทยา อำเภอนาแห้ว === ระดับอุดมศึกษา === มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย อำเภอเมืองเลย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์เลย อำเภอเมืองเลย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีล้านช้าง อำเภอเมืองเลย === โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา === โรงเรียนศรีจันทร์วิทยา วัดศรีสุทธาวาส ตำบลกุดป่อง อำเภอเมืองเลย โรงเรียนวัดศรีภูเรือ วัดศรีภูเรือ ตำบลหนองบัว อำเภอภูเรือ โรงเรียนโกวิทวิทยา วัดจันทรังษี ตำบลวังสะพุง อำเภอวังสะพุง โรงเรียนวัดวังสะพุงพัฒนาราม วัดวังสพุงพัฒนาราม ตำบลวังสะพุง อำเภอวังสะพุง โรงเรียนธรรมนิเทศก์วิทยา วัดเอราวัณพัฒนาราม ตำบลผาอินทร์แปลง อำเภอเอราวัณ โรงเรียนวัดศรีวิชัยวนาราม วัดศรีวิชัยวนาราม ตำบลกุดป่อง อำเภอเมืองเลย โรงเรียนวัดศรีสุวรรณวนารามวิทยา วัดศรีสุวรรณวนาราม ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง โรงเรียนวัดศรีภูกระดึง วัดศรีภูกระดึงพัฒนาราม ตำบลภูกระดึง อำเภอภูกระดึง โรงเรียนวัดสันติวนารามวิทยา วัดสันติวนาราม ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน โรงเรียนวัดศรีบุญเรืองปริยัติศึกษา วัดศรีบุญเรือง ตำบลกุดป่อง อำเภอเมืองเลย โรงเรียนวัดลาดปู่ทรงธรรมวิทยา วัดลาดปู่ทรงธรรม ตำบลท่าลี่ อำเภอท่าลี่ โรงเรียนปริยัติสามัญวัดโพนชัย วัดโพนชัย ตำบลด่านซ้าย อำเภอด่านซ้าย โรงเรียนวัดศรีบุญเรืองวิทยา วัดศรีบุญเรือง ตำบลวังสะพุง อำเภอวังสะพุง โรงเรียนวัดถิ่นฐานรังสิตวิทยา วัดถิ่นฐานรังสิต ตำบลภูกระดึง อำเภอภูกระดึง โรงเรียนวัดขามชุมวิทยาสรรพ์ วัดขามชุม ตำบลหนองหิน อำเภอหนองหิน == บุคคลที่มีชื่อเสียง == === พระเถระ/ภิกษุสามเณร === พระครูวารีศรีสวัสดิ์อินทร (หลวงปู่ถิน) พระอริยสงฆ์ หลวงปู่ญาท่านบุดดา สุธมฺมา พระอริยสงฆ์ พระครูสันทัดคณานุการ (หลวงปู่จัน)พระอริยสงฆ์ พระครูโอภาสสิริคุณ เกจิอาจารย์ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอริยสงฆ์ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ พระอริยสงฆ์ พระธรรมวราลังการ พระอริยสงฆ์ หลวงปู่คำดี ปภาโส พระอริยสงฆ์ หลวงปู่หลุย จนทสาโร พระอริยสงฆ์ พระราชญาณวิสุทธิโสภณ พระอริยสงฆ์ หลวงพ่อขันตี ญาณวโร พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ พระครูวิสุทธิ์โพธิสาร มหาเถระชั้นผู้ใหญ่ หลวงปู่ดาด สิริปุญโญ พระอริยสงฆ์ ศิษย์เอกหลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระสิริรัตนเมธี,ดร. (บุญเพ็ง ป.ธ.6) พระศรีวชิราภรณ์ (เกรียงไกร กิตฺติเมธี ป.ธ.9 ,ดร.) รองเจ้าคณะภาค8 พระอาจารย์พิชัยภูษิต ธมฺมวิชโย นักเทศน์นักบรรยาย === นักแสดง/บุคคลที่มีชื่อเสียง === ชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย อัสนี โชติกุล นักร้อง, นักดนตรี วสันต์ โชติกุล นักร้อง, นักดนตรี ครูสังคม ทองมี ครูสอนศิลปะ มีศักดิ์ ปักษ์ชัยภูมิ อดีตนักจักรยานทีมไทย รุ้งลาวัลย์ โทนะหงษา (หนูหิ่น) นักแสดง ยุทธเลิศ สิปปภาค (ต้อม) ผู้กำกับภาพยนตร์ ประจวบ บัวระภา อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย ศาสตราจารย์ ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิยะดา หาชัยภูมิ (หมอเอิ้น) นักแต่งเพลง เชิดชัย สุวรรณนัง อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย กิตติพงษ์ เสนานุช ดีเจโน๊ต นักจัดรายการวิทยุ อภิวัฒน์ ชินอักษร (ป๊อบ) นักร้อง-แร็ปเปอร์ เบนซ์ เมืองเลย นักร้อง กระต่าย พรรณิภา นักร้องเพลงลูกทุ่ง ดุจดาริกา ปัญญะ (อิงดาว) อดีตนักร้องเพลงลูกทุ่งหมอลำ วรรณปิยะ ออมสินนพกุล นักแสดง ธนัตถ์ศรันย์ ซำทองไหล นักแสดง == อ้างอิง == == ดูเพิ่ม == รายชื่อวัดในจังหวัดเลย รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดเลย รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดเลย == แหล่งข้อมูลอื่น == เว็บไซต์กลางของทุกธุรกิจในจังหวัดเลย เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด เว็บไซต์ข้อมูลที่พักร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเลย ท่าอากาศยานเลย สายการบิน นกแอร์ สายการบิน Solar Air สายการบิน Happy Air หมอเอิ้น พิยะดา จังหวัดเลย - อีสานร้อยแปด
thaiwikipedia
1,790
14 พฤษภาคม
วันที่ 14 พฤษภาคม เป็นวันที่ 134 ของปี (วันที่ 135 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 231 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 2339 (ค.ศ. 1796) - เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ เริ่มทดลองใช้ฝีดาษวัวเป็นวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - *สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 8 แห่งเดนมาร์ก เสด็จสวรรคต *พระเจ้าคริสเตียนที่ 10 แห่งเดนมาร์ก เสด็จขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - *สงครามโลกครั้งที่สอง: เมืองร็อตเตอร์ดัมถูกโจมตีด้วยระเบิดโดยหน่วยโจมตีทางอากาศของประเทศเยอรมนี ที่มีชื่อว่า "ลุฟวัฟเฟอร์" (Luftwaffe) *สงครามโลกครั้งที่ 2: ประเทศเนเธอร์แลนด์ประกาศยอมจำนนแก่ประเทศเยอรมนี. พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) - ประเทศอิสราเอลประกาศตนเป็นรัฐอิสระและได้จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - สงครามเย็น: สหภาพโซเวียตและประเทศคอมมิวนิสต์รวม 8 ประเทศ ลงนามในสนธิสัญญาวอร์ซอ พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - สถานีอวกาศสกายแล็บขององค์การนาซา ขึ้นสู่อวกาศจากแหลมแคนาเวอรัล พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - วิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย: ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยลงมติให้ดำเนินการแทรกแซงค่าเงินบาทโดยไม่จำกัดวงเงิน และใช้เงินมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 250,000 ล้านบาท เพื่อปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีของนักเก็งกำไร พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - ศาลรัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้ล้มการถอดถอนประธานาธิบดีโน มูฮยอน พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) - การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 == วันเกิด == พ.ศ. 1856 (ค.ศ. 1316) - จักรพรรดิคาร์ลที่ 4 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (สวรรคต 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 1921) พ.ศ. 2096 (ค.ศ. 1553) - พระนางมาร์เกอริตแห่งวาลัว สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส (สิ้นพระชนม์ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2158) พ.ศ. 2209 (ค.ศ. 1666) - พระเจ้าวิตโตรีโอ อาเมเดโอที่ 2 แห่งซาร์ดิเนีย (สวรรคต 31 ตุลาคม พ.ศ. 2275) พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) - บ็อบบี ดาริน นักร้องชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 20 ธันวาคม พ.ศ. 2516) พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) - จอร์จ ลูคัส ผู้กำกับและผู้ผลิตภาพยนตร์ ชาวอเมริกัน พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) - เปียทิพย์ คุ้มวงศ์ นักแสดงหญิงชาวไทย พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) - พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์กัมพูชา พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - ทิม รอท นักแสดงและผู้กำกับชาวอังกฤษ พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - เคท บลางเชตต์ นักแสดง, ผู้กำกับละครเวทีและโปรดิวเซอร์หญิงชาวออสเตรเลีย พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - ชุมพล จุลใส อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร 3 สมัย สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) - โซเฟีย คอปโปลา นักเขียนบท ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชาวอเมริกัน พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) - ณัฐนันท์ คุณวัฒน์ นักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - จิม ฮอวิก นักแสดงและนักเขียนชาวอังกฤษ พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - ภานุวัฒน์ วัฒนนุกูล นักเขียนการ์ตูนชาวไทย พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - * ไนเจล เรโอ-โคเกอร์ นักฟุตบอลชาวอังกฤษ * พาทริค อ็อคส์ นักฟุตบอลชาวเยอรมัน * มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก นักธุรกิจชาวอเมริกัน *อดัม แอนเดอร์สัน นักกีตาร์ชาวอังกฤษ พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - ไมเคิล เบิร์น นักฟุตบอลชาวเวลส์ พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - คำรณ ชินสี นักฟุตบอลมืออาชีพ ชาวไทย พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - ร็อบ กรอนคอวสกี อดีตนักอเมริกันฟุตบอล พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ธรรมชาติ นาคะพันธ์ นักฟุตบอลชาวไทย พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - เมอรานดา คอสโกรฟ นักแสดง นักร้องชาวอเมริกัน พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - มาร์กิญญุส นักฟุตบอลชาวบราซิล พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - เอกวัฒน์ นิรัตน์วรปัญญา นักแสดง นายแบบชาวไทย พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - รูแบน ดียัช นักฟุตบอลชาวโปรตุเกส พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - แอรอน แรมส์เดล นักฟุตบอลชาวอังกฤษ พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - มายู อิชิกาวะ นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติญี่ปุ่น พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - เลดีมาร์การีตา อาร์มสตรอง-โจนส์ ธิดาคนเดียวและคนสุดท้องใน เดวิด อาร์มสตรอง-โจนส์, เอิร์ลที่ 2 แห่งสโนว์ดอน == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 1507 (ค.ศ. 964) - สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 12 พ.ศ. 2153 (ค.ศ. 1610) - พระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส พ.ศ. 2186 (ค.ศ. 1643) - พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส พ.ศ. 2406 (ค.ศ. 1863) - กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ (ประสูติ 24 เมษายน พ.ศ. 2398) พ.ศ. 2421 (ค.ศ. 1878) - โอกุโบะ โทะชิมิชิ นักการเมืองชาวญี่ปุ่น พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) - สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 8 แห่งเดนมาร์ก (พระราชสมภพ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2386) พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) - เอช. ไรเดอร์ แฮ็กการ์ด นักเขียนนวนิยายแนวผจญภัยชาวอังกฤษ (เกิด 22 มิถุนายน พ.ศ. 2399) พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - ริตา เฮย์เวิร์ท นักแสดงและนักเต้นชาวอเมริกัน (เกิด 17 ตุลาคม พ.ศ. 2461) พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - กั้น ทองหล่อ ศิลปินแห่งชาติ บรมครูแห่งหนังตะลุง (เกิด 17 ธันวาคม พ.ศ. 2453) พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - แฟรงก์ ซินาตรา นักร้องและนักแสดงชาวอเมริกัน (เกิด พ.ศ. 2458) พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) - เพ็ญศรี พุ่มชูศรี นักร้องและศิลปินแห่งชาติ (เกิด 11 มิถุนายน พ.ศ. 2472) พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) - บี.บี. คิง นักแต่งเพลง นักกีตาร์ชาวอเมริกัน (เกิด 16 กันยายน พ.ศ. 2468) พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) - อำนาจ พุกศรีสุข ผู้ฝึกสอนมวยไทย (เกิด 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2502) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980), พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999), พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) - วันพืชมงคล คริสตจักรโรมันคาทอลิก - วันฉลองนักบุญมัทธีอัส วันอนุรักษ์ควายไทย == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Today in History: May 14 พฤษภาคม 14 พฤษภาคม
thaiwikipedia
1,791
15 พฤษภาคม
วันที่ 15 พฤษภาคม เป็นวันที่ 135 ของปี (วันที่ 136 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 230 วันในปีนั้น == เหตุการณ์ == พ.ศ. 764 (ค.ศ. 221) - เล่าปี่ ขุนศึกชาวจีนประกาศตนเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 1 ของจ๊กก๊ก ซึ่งเป็นผู้สืบทอดของราชวงศ์ฮั่น พ.ศ. 2161 (ค.ศ. 1618) - โยฮันเนส เคปเลอร์ได้ยืนยันความถูกต้องของกฎข้อที่สามของการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ของเขา (เขาได้ค้นพบกฎข้อนี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มี.ค. แต่ได้โยนความคิดนี้ทิ้งไปเมื่อได้ทดลองคำนวณความถูกต้องเบื้องต้น) พ.ศ. 2299 (ค.ศ. 1756) - สงครามเจ็ดปี: ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ประกาศสงครามกับฝรั่งเศส พ.ศ. 2379 (ค.ศ. 1836) - ฟรานซิส เบลีย์ สังเกตปรากฏการณ์ลูกปัดของเบลีย์ ขณะเกิดสุริยุปราคาวงแหวน พ.ศ. 2394 (ค.ศ. 1851) - พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกโดยในวันนั้นเป็นวันวิสาขบูชาด้วย พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) - สงครามกลางเมืองในฟินแลนด์ยุติ พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) - มิกกี้ เมาส์ และ มินนี่ เมาส์ ปรากฏตัวครั้งแรกในภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง เพลนเครซี พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) - ทหาร 9 นาย บุกเข้าสังหารอินูไก สึโยชิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในขณะนั้น พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - สงครามโลกครั้งที่ 2: กองทัพของประเทศเยอรมนีเข้ายึดครองเมืองอัมส์เตอร์ดัม และบุกเข้าโจมตีภาคเหนือของประเทศฝรั่งเศส พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) - อียิปต์ ทรานสจอร์แดน เลบานอน ซีเรีย อิรัก และซาอุดีอาระเบีย โจมตี อิสราเอล พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) - สหภาพโซเวียตส่งยานสปุตนิก 3 ขึ้นสู่อวกาศ พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) - สหภาพโซเวียตส่งยานสปุตนิก 4 ขึ้นสู่อวกาศ พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - การแข่งขัน Fia Formula 1 World Championship ที่สนาม เซอร์กิต เดอ โมนาโค พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - ภาพเหมือนของนายแพทย์กาแช โดยฟินเซนต์ ฟัน โคค ถูกจำหน่ายด้วยมูลค่า 82.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เริ่มนำรถปรับอากาศยูโรทู (รุ่น 797 คัน) วิ่งให้บริการประชาชนเป็นวันแรก พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - จำนวนเฉพาะที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เราทราบ, 224036583 − 1, ถูกค้นพบโดย จอช ฟินด์ลีย์โดยได้ความร่วมมือจาก GIMPS พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) - * พลเอกจารุภัทร เรืองสุวรรณ ลาออกจากตำแหน่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) * วัตถุลึกลับคล้ายวุ้นใสตกลงมาจากท้องฟ้าในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานครหลังฝนตก ในตอนแรกไม่มีใครทราบว่าเป็นอะไร ชาวบ้านบางคนได้กราบไหว้ ภายหลังได้มีการเปิดเผยว่าเป็นเจลลดไข้ของเด็ก พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) - วันเปิดวิ่งรถไฟฟ้าบีทีเอสข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาจากสถานีสะพานตากสินถึงสถานีวงเวียนใหญ่ เป็นครั้งแรกที่รถไฟฟ้าวิ่งข้ามจากฝั่งพระนครไปฝั่งธนบุรี == วันเกิด == พ.ศ. 1940 (ค.ศ. 1397) - พระเจ้าเซจงมหาราช (สวรรคต 8 เมษายน พ.ศ. 1993) พ.ศ. 2253 (ค.ศ. 1710) - พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส (สวรรคต 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2317) พ.ศ. 2402 (ค.ศ. 1859) - ปีแอร์ กูรี นักฟิสิกส์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ (ถึงแก่กรรม 19 เมษายน พ.ศ. 2449) พ.ศ. 2458 (ค.ศ. 1915) - แก้ว อัจฉริยะกุล นักประพันธ์เนื้อร้องเพลง (เสียชีวิต 8 ตุลาคม พ.ศ. 2524) พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) - สมเดช ยนตรกิจ แชมป์ OPBF คนที่ 2 ของไทย (เสียชีวิต 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554) พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) - ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) - วรนาถ อภิจารี อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศและอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (อนิจกรรม 27 กันยายน พ.ศ. 2558) พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) - แมเดลิน อาลไบรต์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนที่ 64 ของสหรัฐอเมริกา (ถึงแก่กรรม 23 มีนาคม พ.ศ. 2565) พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) - มุฮ์ยิดดิน ยัซซิน นักการเมืองชาวมาเลเซีย อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) - มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช นักแสดง ผู้จัดละครชาวไทย พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) - พิเชียร อำนาจวรประเสริฐ พิธีกรรายการโทรทัศน์ และนักจัดรายการวิทยุ พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) - เขาทราย แกแล็คซี่-เขาค้อ แกแล็คซี่ นักมวยอดีตแชมป์โลกของไทย พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) - พรพรรณ วนา นักร้องลูกทุ่งหญิงชาวไทย พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) * ฟรังก์ เดอ บูร์ ผู้จัดการทีมฟุตบอลและอดีตนักฟุตบอลชาวดัตช์ * โรนัลด์ เดอ บูร์ นักฟุตบอลชาวดัตช์ พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) - แซม แทรมเมล นักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) * นาธาน โอร์มาน นักร้อง นักแสดงชาวไทย (ถึงแก่กรรม 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2563) * สายฟ้า เศรษฐบุตร นักแสดง พิธีกรชาวไทย พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - * ซารา ฟิลลิปส์ พระธิดาในเจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี * ปาทริส เอวรา นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส * พอล คอนเชสกี นักฟุตบอลชาวอังกฤษ พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - เจสสิก้า ซัตทา นักร้อง นักเต้น และนักแสดงชาวอเมริกัน พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - มณฑิราภา รัตตะกุญชร นักร้องและนักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - กุลชนาถ จารุวดีรัตนา นักร้องและพิธีกร ชาวไทย พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) * ซันนี (นักร้อง) นักร้องชาวเกาหลีใต้ สมาชิกวงเกิลส์เจเนอเรชัน * สเตฟาน ปัลลา นักฟุตบอลชาวฟิลิปปินส์ พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) * สเตลลา แม็กซ์เวลล์ นางแบบชาวไอริช * อี จง-ฮย็อน นักดนตรี นักร้อง นักแต่งเพลง และนักแสดงชาวเกาหลีใต้ พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) * โซยุล นักร้องชาวเกาหลีใต้ สมาชิกวงเครยอนป๊อป * รัตนาภรณ์ กลิ่นกุหลาบหิรัญ นางงามและนักแสดงชาวไทย พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - เกว๊ หง็อก หาย ฟุตบอลทีมชาติเวียดนาม พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - อารยะ ศุภฤกษ์ มิสแกรนด์นครพนม 2019 พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - นรินทร์โชติ วชิรธรนิยมกุล นักแสดงและผู้กำกับชาวไทย พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - อุสมาน แดมเบเล นักฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) *คาเนะโมโตะ โยชิโนริ นักร้องชาวเกาหลีใต้ วงTreasure *โนอาห์ วิลเลียมส์ นักกีฬากระโดดน้ำชาวอังกฤษ == วันถึงแก่กรรม == พ.ศ. 2013 (ค.ศ. 1470) - กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 8 แห่งสวีเดน (เกิด พ.ศ. 1952) พ.ศ. 2421 (ค.ศ. 1878) - เจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์) แม่ทัพสงครามปราบฮ่อครั้งที่ 1 พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920) - เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) - ซุโยชิ อินูคาอิ อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) - ส. ธรรมยศ ครู นักเขียน นักปรัชญาและนักเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - ฟุจิวะระ โนะ คุมิโกะ พระนัดดาในจักรพรรดิโชวะ และพระญาติชั้นที่ 1 ในจักรพรรดิอะกิฮิโตะ พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - ธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร (เกิด 20 ตุลาคม พ.ศ. 2450) พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - ศักดิ์ศรี ศรีอักษร นักร้องลูกทุ่งหญิงชาวไทย เจ้าของผลงานเพลง "ผู้ใหญ่ลี" (เกิด 12 มิถุนายน พ.ศ. 2480) พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) - ดอกดิน กัญญามาลย์ นักแสดงชาวไทย (เกิด 25 ตุลาคม พ.ศ. 2467) == วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล == พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - วันพืชมงคล พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003), พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) - วันวิสาขบูชา ปารากวัย - วันประกาศเอกราช วันสากลแห่งครอบครัว วันสากลแห่งการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ วันสากลแห่งผู้คัดค้านโดยอ้างมโนธรรม วันคล้ายวันประสูติของพระพุทธเจ้า ในฮ่องกง, มาเก๊า, และเกาหลีใต้ (พ.ศ. 2548) วันรณรงค์ความโลหิตสูงโลก (17 พฤษภาคม วันความดันโลหิตสูงโลก) == แหล่งข้อมูลอื่น == BBC: On This Day Today in History: May 15 พฤษภาคม 15 พฤษภาคม
thaiwikipedia
1,792
พ.ศ. 2339
พุทธศักราช 2339 ตรงกับปีคริสต์ศักราช 1796 เป็นปีอธิกสุรทินที่วันแรกเป็นวันศุกร์ ตามปฏิทินเกรกอเรียน == ผู้นำ == พระมหากษัตริย์: พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (6 เมษายน พ.ศ. 2325 - 7 กันยายน พ.ศ. 2352) *กรมพระราชวังบวรสถานมงคล: สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท **เจ้าประเทศราช: ***เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่: พระเจ้ากาวิละ ***เจ้าผู้ครองนครลำปาง: พระเจ้าดวงทิพย์ ***เจ้าผู้ครองนครน่าน: เจ้าฟ้าหลวงอัตถวรปัญโญ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ: จอร์จ วอชิงตัน (30 เมษายน พ.ศ. 2332 - 4 มีนาคม พ.ศ. 2340) พระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร: สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร (บริเตนใหญ่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2303 - 31 ธันวาคม พ.ศ. 2343, สหราชอาณาจักร 1 มกราคม พ.ศ. 2344 - 29 มกราคม พ.ศ. 2363) จักรพรรดิฝรั่งเศส: ดู การปฏิวัติฝรั่งเศส พระมหากษัตริย์สเปน: พระเจ้าการ์โลสที่ 4 แห่งสเปน (14 ธันวาคม พ.ศ. 2331 - 19 มีนาคม พ.ศ. 2351) == เหตุการณ์ == 1 กุมภาพันธ์: แคนาดาบนย้ายเมืองหลวงจากนูวัก (ปัจจุบันคือไนแอกะราออนเดอะเลค) ไปยังเมืองยอร์ค (ปัจจุบันคือโทรอนโต) เพื่อลดความเสี่ยงจากการโจมตีของสหรัฐอเมริกา 14 พฤษภาคม: เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ เริ่มทดลองใช้ฝีดาษวัวเป็นวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ 15 พฤษภาคม: กองทัพนโปเลียนเข้ายึดเมืองมิลาน 1 มิถุนายน: เทนเนสซีเป็นรัฐที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา == วันถึงแก่กรรม == สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 32 แห่งกรุงศรีอยุธยา (พระราชสมภพ พ.ศ. 2265) === เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ === การปฏิวัติฝรั่งเศส - พ.ศ. 2332-2342 (ค.ศ. 1789-1799) พ.ศ. 2339
thaiwikipedia
1,793
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ( King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang; อักษรย่อ: สจล. – KMITL) เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ก่อตั้งด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลญี่ปุ่น (มหาวิทยาลัยโตไก) โดยเน้นการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งอยู่เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร == ประวัติ == สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ตามพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พ.ศ. 2551 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้การศึกษา การค้นคว้าวิจัย และการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีเพื่อความก้าวหน้า ทางอุตสาหกรรม และ เศรษฐกิจของประเทศเดิมที สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พ.ศ. 2514 ด้วยการรวม วิทยาลัยโทรคมนาคมนนทบุรี วิทยาลัยเทคนิคพระนครเหนือ และวิทยาลัยเทคนิคธนบุรี เข้าด้วยกัน โดยแต่ละแห่งมีฐานะเป็นวิทยาเขต วิทยาลัยโทรคมนาคมนนทบุรี เป็นสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าวิทยาเขตนนทบุรี และในปีเดียวกันนั้นได้ย้ายไปที่ อำเภอลาดกระบัง เป็นวิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ประกอบด้วยพระนาม "พระจอมเกล้า" ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานตามพระบรมนามาภิไธย แห่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีพระบรมราชานุญาต ให้อัญเชิญตรา "พระมหามงกุฎ" มาเป็นสัญลักษณ์แห่งสถาบันฯ ด้วย นับเป็นสิ่งอันศักดิ์สิทธิ์ และเป็นมหามงคลยิ่งส่วนคำว่า "เจ้าคุณทหาร" นั้น มีไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ท่านเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "เจ้าคุณทหาร" ตามที่ ท่านเลี่ยม พรตพิทยพยัต ทายาทของท่านได้แจ้งความประสงค์ไว้ในการบริจาคที่ดิน อันเป็นที่ตั้งของสถาบันฯ ในปัจจุบัน การบริจาคที่ดิน 1,041 ไร่ ให้กระทรวงศึกษาธิการ ในสมัยที่หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เป็นปลัดกระทรวง เพื่อจัดตั้งวิทยาลัยเจ้าคุณทหารเป็นอนุสรณ์แด่ท่านเจ้าคุณทหาร และเพื่อสร้างสถาบันฯ นั้น มี เขียน ขำปัญญา ครูใหญ่คนแรกของโรงเรียนพรตพิทยพยัต เป็นผู้ประสานงาน === ลำดับเหตุการณ์ === สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า "พระจอมเกล้าลาดกระบัง" มีประวัติความเป็นมาและเหตุการณ์สำคัญ ดังนี้ พ.ศ. 2503 - ก่อตั้ง ศูนย์ฝึกโทรคมนาคมนนทบุรี สังกัด กองโรงเรียนพาณิชย์ กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2507 - ศูนย์ฝึกโทรคมนนทบุรี ได้ยกฐานะเป็น วิทยาลัยโทรคมนาคมนนทบุรี พ.ศ. 2510 - วิทยาลัยโทรคมนาคมนนทบุรี รับนักศึกษาจาก การสอบคัดเลือกร่วมกับ สภาการศึกษาแห่งชาติ วิธีสอบคัดเลือกรวมเพื่อรับนักศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ (การสอบเอนทรานซ์) เป็นครั้งแรก พ.ศ. 2513 - โรงเรียนเกษตรกรรมนครปฐม ได้ย้ายมาดำเนินการที่โรงเรียนเกษตรกรรมเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พระนคร พ.ศ. 2514 - วิทยาลัยโทรคมนาคมนนทบุรี ได้มีสถานะเป็น วิทยาเขตนนทบุรี ของ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า และย้ายที่ตั้งจาก นนทบุรี มาอยู่ ลาดกระบัง พ.ศ. 2515 - วิทยาลัยโทรคมนาคมนนทบุรี ยกฐานะเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ สังกัดสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ::- วิทยาลัยวิชาการก่อสร้าง โอนมาสังกัดสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และยกฐานะเป็น คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ พ.ศ. 2517 - โรงเรียนเกษตรกรรมเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้รับการสถาปนาเป็น วิทยาลัยเกษตรกรรมเจ้าคุณทหาร พ.ศ. 2517 - สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ได้โอนสังกัดจากกระทรวงศึกษาธิการมาสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2518 - ก่อสร้างอาคารหอประชุมใหญ่ อาคารอนุสรณ์ อาคารห้องสมุด อาคารปฏิบัติการโทรคมนาคม และอาคารยิมเนเซี่ยม ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลญี่ปุ่น พ.ศ. 2520 - สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้จัดตั้งคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม และวิทยาศาสตร์ขึ้น เพื่อผลิตบัญฑิตทางด้านครูอาชีวศึกษา สำหรับวิทยาลัยเทคนิคและอาชีวศึกษาต่างๆ และให้การศึกษา การค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2522 - วิทยาลัยเกษตรกรรมเจ้าคุณทหาร ได้โอนจากกระทรวงศึกษาธิการ มาสังกัดสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบังและยกฐานะเป็น คณะเทคโนโลยีการเกษตร พ.ศ. 2524 - ได้จัดตั้งสำนักวิจัยและบริการคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2527 - ก่อสร้างศูนย์เรียน "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ" อันประกอบด้วยอาคารบรรยายรวม อาคารเรียนและ ปฏิบัติการ อาคารศูนย์สารสนเทศ อาคารสันทนาการ อาคารสำนักอธิการบดี หอพักนักศึกษา ชาย-หญิง และสระว่ายน้ำ ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลญี่ปุ่น มูลค่า 480 ล้านบาท และเปิดใช้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2529 พ.ศ. 2528 - สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบังได้มีฐานะเป็นมหาวิทยาลัยอิสระ ตามพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พ.ศ. 2528 และมีชื่อเต็มว่า "สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง" หรือเรียกสั้นๆ ว่า "พระจอมเกล้าลาดกระบัง" ::- ได้จัดตั้งบัณฑิตวิทยาลัย พ.ศ. 2530 - 16 มิถุนายน พ.ศ. 2530 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มาทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ อุทยานพระจอมเกล้า และทรงเปิดงานแสดงทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี "พระจอมเกล้าลาดกระบังนิทรรศการปี '3๐" พ.ศ. 2532 - ได้จัดตั้งคณะวิทยาศาสตร์โดยแยกออกจาก คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2539 - 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 สถาปนาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ พ.ศ. 2563 - ครบรอบ 60 ปี การสถาปนาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ภายใต้แนวคิด “KMITL GO BEYOND THE LIMIT” === รายชื่ออธิการบดี === == สัญลักษณ์ประจำสถาบัน == พระมหามงกุฎ มีพระบรมราชานุญาต ให้อัญเชิญตรา "พระมหามงกุฎ" มาเป็นสัญลักษณ์แห่งสถาบันฯ ตามนาม "พระจอมเกล้า" ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิ คุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานตามพระบรมนามาภิไธย แห่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดอกไม้ประจำสถาบัน คือ ดอกแคแสด สีประจำสถาบัน คือ สีแสด (ซึ่งเป็นสีประจำรัชกาลที่ 4) === อัตลักษณ์สถาบัน === สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังได้สร้างอัตลักษณ์ประจำสถาบันขึ้นมา เพื่อเป็นแนวปฏิบัติที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันขององค์กรและนักศึกษาภายในสถาบัน โดยมีไฟล์สำหรับดาวน์โหลดอยู่ในเว็บไซต์สถาบัน ประกอบไปด้วย ==== โลโก้และตราสถาบัน ==== สำหรับการใช้งานโลโก้และตราสถาบัน ได้กำหนดไว้ 3 รูปแบบด้วยกัน คือ โลโก้หลัก ประกอบไปด้วยตราประจำสถาบันท้างด้านซ้าย โลโก้สถาบันและชื่อสถาบันทางด้านขวาที่มีการตัดคำอย่างสวยงาม มีทั้งรูปแบบของภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โลโก้แนวนอน ประกอบด้วยตราประจำสถาบันทางด้านซ้าย และชื่อของสถาบันทางด้านขวา บรรทัดบนเป็นภาษาไทย และบรรทัดล่างเป็นภาษาอังกฤษ โลโก้ย่อย เป็นโลโก้ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในโอกาสพิเศษต่าง ๆ อาทิ โลโก้ KMITL โลโก้ I Love KMITL ==== ฟอนต์สถาบัน ==== สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กำหนดใช้ใช้ฟอนต์ของสถาบันในการประกอบการใช้งานต่าง ๆ เพื่อแสดงถึงอัตลักษณ์ของหน่วยงาน โดยฟอนต์ชื่อว่า KMITL GO และ KMITL 2020 ==== โค้ดสีประจำสถาบัน ==== สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มีสีประจำสถาบันคือสีแสดขาว โดยได้กำหนดโค้ดสีสำหรับใช้งาน ประกอบไปด้วยค่า ดังนี้ ==== แม่แบบของการนำเสนอ ==== สจล. ได้กำหนดแม่แบบของการนำเสนอด้วยโปรแกรมไมโครซอฟท์ พาวเวอร์พอยต์ == ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง == == การศึกษา == ปัจจุบัน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเปิดสอนในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก มีทั้งหลักสูตรทั่วไป หลักสูตรภาคสมทบ และหลักสูตรนานาชาติ ประกอบด้วยคณะทั้งหมด 8 คณะ 4 วิทยาลัย ได้แก่ ===วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์=== ในปี พ.ศ. 2526 ทางสถาบันฯ ได้มีความเห็นว่าควรจะได้มีการขยายงานการศึกษา การวิจัย และบริการสังคมของสถาบันไป สู่ภูมิภาค จึงจัดตั้งวิทยาเขตชุมพรขึ้นในปี พ.ศ. 2533 และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์อาคารเรียนรวม พร้อมเปิดป้ายสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพร เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2541 วิทยาเขตชุมพรเปิดการเรียนการสอนครั้งแรกในปีการศึกษา 2539 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ตั้งอยู่ที่ ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร มีพื้นที่ 3,500 ไร่ ประกอบไปด้วย 4 ภาควิชา 15 สาขาวิชาดังนี้ == พื้นที่มหาวิทยาลัย == สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน แบ่งโดยถนนฉลองกรุงและทางรถไฟสายตะวันออก ส่วนที่หนึ่ง อยู่ทางทิศเหนือ ประกอบไปด้วยคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะการบริหารและจัดการ คณะศิลปศาสตร์ สำนักวิจัยและบริการคอมพิวเตอร์ พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 อุทยานพระจอมเกล้า อาคารกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ศูนย์เรียนรวมสมเด็จพระเทพฯ วิทยาลัยนาโนเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง วิทยาลัยนานานาชาติ วิทยาลัยนวัตกรรมการผลิตขั้นสูง อาคารเรียนรวมและปฏิบัติการวิศวกรรมศาสตร์2 รวมถึงบางส่วนของภาควิชาในคณะวิศวกรรมศาสตร์ หอพักสถาบัน สมาคมศิษย์เก่าสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และศูนย์กีฬาพระจอมเกล้าลาดกระบัง ส่วนที่สอง อยู่ทางทิศตะวันออก ประกอบไปด้วย อาคารบุนนาคของคณะเทคโนโลยีการเกษตร อาคารเรียนและปฏิบัติการพิเศษจอมไตรของคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม และอาคารพระจอมเกล้า หอประชุมจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อาคารจุฬาภรณวลัยลักษณ์1 อาคารจุฬาภรณวลัยลักษณ์2 อาคารวิทยาศาสตร์ ของคณะวิทยาศาสตร์ รวมถึงอาคารกิจกรรมนักศึกษา ส่วนที่สาม อยู่ทางทิศตะวันตก ประกอบไปด้วยคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และหอประชุมใหญ่สถาบัน ส่วนที่สี่ อยู่ทางทิศใต้ ประกอบไปด้วย สำนักหอสมุดกลาง โรงเรียนสาธิตนานาชาติพระจอมเกล้า หอประชุมเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) แปลงเกษตรสาธิตของคณะเทคโนโลยีการเกษตร อาคารเจ้าคุณทหารซึ่งเป็นอาคารเรียนของคณะเทคโนโลยีการเกษตรและคณะอุตสาหกรรมเกษตร และอาคารเรียนรวมและปฏิบัติการคณะอุตสาหกรรมเกษตร =====พิธีพระราชทานปริญญาบัตร===== ปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตของสถาบัน โดยพิธีพระราชทานปริญญาบัตรนั้น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดที่ KMITL Convention Hall หอประชุมเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) == การเดินทาง == 1. รถไฟสายตะวันออก จากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ผ่านป้ายหยุดรถยมราช ป้ายหยุดรถอุรุพงษ์ ป้ายหยุดรถพญาไท สถานีรถไฟมักกะสัน ป้ายหยุดรถอโศก สถานีรถไฟคลองตัน ป้ายหยุดรถสุขุมวิท 71 สถานีรถไฟหัวหมาก สถานีรถไฟบ้านทับช้าง สถานีรถไฟลาดกระบัง และป้ายหยุดรถไฟพระจอมเกล้า (ตั้งอยู่ภายในบริเวณสถาบันฯ) 2. รถโดยสารประจำทาง รถโดยสารประจำทางสาย 143 (ของ ขสมก. / ไทยสมายล์บัส) ต้นทางจากตลาดแฮปปี้แลนด์ (The Mall บางกะปิ) ปลายทางสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง รถโดยสารประจำทางสาย 517 (ของไทยสมายล์บัส) ต้นทางสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ปลายทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 3. รถสองแถว รถสองแถวสาย 1013 (555) ต้นทางวัดราชโกษา ปลายทางเคหะร่มเกล้า รถสองแถวสาย 1013 (777) (วงกลม) ต้นทาง ARL ลาดกระบัง ปลายทางสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง รถสองแถวสาย 1269 ต้นทางหัวตะเข้ ปลายทางลำผักชี รถสองแถวสาย 1269 ต้นทางหัวตะเข้ ปลายทางวัดทิพพาวาส รถสองแถวสาย 1517 ต้นทางหัวตะเข้ ปลายทางบึงบัว 4. รถยนต์ส่วนตัว ใช้ทางด่วนพิเศษมอเตอร์เวย์ (กรุงเทพ-ชลบุรี) ออกจากทางด่วนที่ถนนร่มเกล้า เลี้ยวขวาเข้าถนนร่มเกล้า เลี้ยวซ้ายเข้าถนนอ่อนนุชและเลี้ยวซ้ายเข้าถนนฉลองกรุง จากถนนศรีนครินทร์ เข้าถนนอ่อนนุช (สุขุมวิท 77) ระยะทางประมาณ 16 กม. และเลี้ยวซ้ายเข้าถนนฉลองกรุง 5. รถตู้ปรับอากาศ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ - สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เดอะมอลล์บางกะปิ - หัวตะเข้ มีนบุรี - ลาดกระบัง (ตลาดหัวตะเข้) มีนบุรี - บึงบัว - หัวตะเข้ ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต - สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง แฟชั่นไอส์แลนด์ - ลาดกระบัง เมกาบางนา - สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 6. อากาศยาน อยู่ห่างสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 5 กิโลเมตร == ชื่อเสียงและการจัดอันดับสถาบัน == สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เป็นมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย และหนังสือพิมพ์ชั้นนำของอเมริกายกย่องให้เป็น 1 ใน 5 มหาวิทยาลัยที่เติบโตเร็วที่สุดในอาเซียน สจล. มีศักยภาพสูงเป็นที่ยอมรับทางด้านสาขาวิชา วิศวกรรมศาสตร์ (อันดับ 2 (ร่วม)) วิทยาศาสตร์ (อันดับ 2 (ร่วม)) คอมพิวเตอร์ (อันดับ 1 (ร่วม)) เทคโนโลยี (อันดับ 2 (ร่วม)) และนวัตกรรม มาอย่างยาวนานทั้งในประเทศและนานาชาติ ได้รับการจัดอันดับจากองค์กรจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกมากมาย เช่น Times Higher Education (THE) , QS University Rankings , Webometrics Ranking เป็นต้น ซึ่งสถาบันได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพสูง และมีผลงานด้านการวิจัย ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ จนทำให้ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก อาทิ เช่น === การจัดอันดับมหาวิทยาลัย === ==== ประจำปี 2016 ==== อันดับที่ 9 ของประเทศ จากการจัดอันดับของ QS University Rankings: Asia 2016 ==== ประจำปี 2017 ==== อันดับที่ 5 ของประเทศไทย (อันดับที่ 181-190 ของเอเชีย) จาก Times Higher Education (THE) ได้ทำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2017 (Times Higher Education Asia University Rankings 2017) อันดับที่ 11 ของประเทศ จากการจัดอันดับ Webometrics Ranking January 2017 รอบที่ 1 ==== ประจำปี 2016-2017 ==== อันดับที่ 8 ของไทย ติด อันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ประจำปี 2016-2017 (Times Higher Education World University Rankings 2016-2017) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) ติดเข้ามาใน อันดับ 801+ นับเป็นครั้งแรก ที่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ติดอันดับเข้ามาใน อันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (Times Higher Education World University Rankings) นับตั้งแต่ปี 2004 ที่ได้มีการจัดอันดับ โดยใน 2016 นี้ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) ยังติดอันดับ 67 ในด้าน Industry income รายได้ทางอุตสาหกรรม โดยวัดจาก นวัตกรรมที่เป็นสิ่งใหม่ในวงวิชาการที่มหาวิทยาลัยได้คิดค้นขึ้น ==== ประจำปี 2019-2020 ==== ===== โดย Times Higher Education (THE) ===== อันดับที่ 1 ของประเทศไทย ด้านงานวิจัย ประจำปี 2019 (อันดับที่ 251–300 ของโลก) จาก Times Higher Education (THE) ได้ทำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีระบบการศึกษาดีที่สุด ด้านงานวิจัย (World University Rankings 2019 : Research) อันดับที่ 1 ของประเทศไทย ด้านรายได้จากภาคอุตสาหกรรม ประจำปี 2019 และ 2020 จาก Times Higher Education (THE) ได้ทำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีระบบการศึกษาดีที่สุด (World University Rankings 2019 And 2020 : Industry Income) อันดับที่ 1 (ร่วม) ของประเทศไทย ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ประจำปี 2020 จาก Times Higher Education (THE) ด้วยช่วงคะแนน 11.2-23.4 ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีระบบการศึกษาดีที่สุด (World University Rankings 2020 by subject: Computer Science) อันดับที่ 2 (ร่วม) ของประเทศไทย ด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2019 และ 2020 (อันดับที่ 601-800 ของโลก) จาก Times Higher Education (THE) ได้ทำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีระบบการศึกษาดีที่สุด ด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี (World University Rankings 2019 and 2020 by Subject : Engineering and Technology) อันดับที่ 2 (ร่วม) ของประเทศไทย ด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ ประจำปี 2020 จาก Times Higher Education (THE) ได้ทำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีระบบการศึกษาดีที่สุด ด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ (World University Rankings 2020 by Subject : Physical Sciences อันดับที่ 4 ของประเทศไทย ประจำปี 2019 จาก Times Higher Education (THE) ได้ทำการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในประเทศไทย (World University Rankings 2019) ===== โดย QS World University Rankings ===== ระดับประเทศ อันดับที่ 2 ของประเทศไทย ด้านวิศวกรรมศาสตร์ สาขาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (QS World University Rankings 2019 by Subject Engineering - Electrical & Electronic) ระดับนานาชาติและระดับโลก อันดับที่ 271 - 280 ของภูมิภาคเอเชีย (Asian University Rankings 2020) อันดับที่ 301 - 350 ของโลก ด้านวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเกี่ยวกับไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (World University Rankings 2019 by Subject Engineering - Electrical & Electronic) อันดับที่ 451 - 500 ของโลก ด้านวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเกี่ยวกับเครื่องกล การบินและการผลิต (World University Rankings 2019 by Subject Engineering - Mechanical, Aeronautical & Manufacturing) == อ้างอิง == == แหล่งข้อมูลอื่น == สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง,สถาบันเทคโนโลยี พ สถานศึกษาในเขตลาดกระบัง สถานที่ที่ตั้งชื่อตามพระนามของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดชุมพร
thaiwikipedia
1,794
ภาษาเนปาล
ภาษาเนปาล เป็นภาษากลุ่มอินโด-อารยันที่พูดในประเทศเนปาล ประเทศอินเดีย ประเทศภูฏาน และบางส่วนของประเทศพม่า เป็นภาษาราชการของประเทศเนปาล ประชากรประมาณครึ่งหนึ่งของเนปาลพูดภาษาเนปาลเป็นภาษาแม่ และชาวเนปาลอื่น ๆ หลายคนพูดเป็นภาษาที่สอง ภาษาเนปาลมีวรรณกรรมขนาดเล็กในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งรวมถึง "อัธยาตมะ รามายณะ" (Adhyatma Ramayana) ประพันธ์โดย สุนทรานันทะ พร (Sundarananda Bara) (1833) ซึ่งเป็นการรวมนิทานพื้นเมืองที่ไม่ปรากฏผู้แต่ง และรามายณะ โดย ภานุภักตะ (Bhanubhakta) นอกจากนี้ยังมีผลงานแปลจากภาษาสันสกฤต รวมถึงไบเบิลด้วย == การจัดจำแนก == ภาษาเนปาล ตั้งแต่แรกเรียกว่า ขสภาษา (खस भाषा) หมายถึงภาษาของ ชาวขัส/ชาวคัส (खस) ชื่อของภาษาเนปาลในภาษาเนปาลคือ ขสกุรา/คัสกุรา (खस कुरा) ปัจจุบันเรียกอย่างเป็นทางการว่า เนปาลีภาษา (नेपाली भाषा) ชื่ออื่น ๆ ของภาษานี้มีมากมาย คนที่พูดภาษาอังกฤษเรียกว่า เนปาลี (Nepali) หรือ เนปาลีส (Nepalese) นอกจากนี้มีชื่ออื่น เช่น โกร์ขลีภาษา (गोर्खाली भाषा) หรือ โกรขาภาษา (गोरखा भाषा) แปลว่าภาษาของชาวกุรข่า และ ปรรวเตกุรา (पर्वते कुरा) แปลว่าภาษาของภูเขา ภาษาเนปาลเป็นภาษาในภาษากลุ่มปาหารีที่อยู่ทางตะวันออกสุด ซึ่งเป็นกลุ่มของภาษาที่มีความสัมพันธ์กันภาษาที่พูดทั่วทั้งระดับต่ำของเทือกเขาหิมาลัยระหว่างเนปาลตะวันออกไปถึงรัฐอุตตรจัลประเทศและรัฐหิมาจัลประเทศของอินเดีย ภาษาเนปาลพัฒนาในพื้นที่ใกล้เคียงกับตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่าจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะภาษาเนวารี และแสดงถึงอิทธิพลของตระกูลภาษาย่อยทิเบต-พม่าที่มีต่อภาษานี้ ภาษาเนปาลมีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกับภาษาฮินดี แต่เป็นภาษาที่มีความอนุรักษนิยมมากกว่า เนื่องจากยืมคำจากภาษาเปอร์เซีย และภาษาอังกฤษน้อยกว่า และใช้คำที่มาจากภาษาสันสกฤตมากกว่า ในปัจจุบัน ภาษาเนปาลเขียนโดยใช้อักษรเทวนาครี (Devanagari script) ส่วนภูชิโมล (Bhujimol) เป็นอักษรโบราณพื้นเมืองของเนปาล == จำนวนผู้พูด == ประชากรของเนปาลมากกว่า 2 ใน 3 ใช้ภาษาเนปาลเป็นภาษาแม่ มีผู้พูดภาษานี้ทั่วโลกมากกว่า 17 ล้านคน อยู่ในเนปาล 11 ล้านคน) จุดกำเนิดของภาษาเนปาลอยู่ที่หุบเขาทางตะวันตกของเนปาล เคยเป็นภาษากลางในเทือกเขากาฐมาณฑุ ปัจจุบันเป็นภาษาราชการและภาษาในชีวิตประจำวัน ในภูฏาน มีผู้พูดภาษาเนปาล 40 - 50% ของประชากรทั้งหมด รวมแล้วประมาณ 1 ล้านคน ส่วนหนึ่งกลายเป็นผู้อพยพในเนปาลตะวันออก ในอินเดีย มีผู้พูดภาษาเนปาลในรัฐสิกขิมและบริเวณใกล้เคียงในรัฐเบงกอลตะวันตก มีผู้พูดภาษาเนปาล 300,000 คนในสิกขิม รวมแล้วมีผู้พูดภาษาเนปาลในอินเดียราว 1 ล้านคน == ประวัติ == เมื่อ 500 ปีที่ผ่านมาชาวข่าจากที่ราบการ์นาลี-เภรี-เซตีอพยพไปทางตะวันออกเข้าสู่ที่ราบสูงคาม แล้วไปสู่ที่ราบคันทาลีที่เหมาะสมกับการปลูกข้าวกลุ่มหนึ่งที่แพร่ขยายไปคือชาวกุรข่าซึ่งเป็นกลุ่มที่อยู่ระหว่างโปขราแลกาฐมาณฑุ ใน พ.ศ. 2243 ผู้นำของชาวกุรข่าคือปริฐวี นารายัณ ชาห์ นำกองทหารเข้ายึดครองกุรุง มาคัร และชาวเผ่าตามหุบเขาอื่นๆ และจัดตั้งอาณาจักรในแถบเทือกเขาหิมาลัย เมื่อชาวกุรข่าเข้ามามีอำนาจเหนือราชวงศ์ดั้งเดิมที่เป็นชาวคาส ภาษาของชาวกุรข่าจึงมีชื่อว่าภาษาคาสกุรา กองทหารปริฐวี นารายัณยึดครองได้ตั้งแต่หุบเขากาฐมาณฑุไปจนถึงที่ราบคันทาลี บริเวณนี้มีชื่อว่าเนปาลในสมัยนั้น เมืองกาฐมาณฑุกลายเป็นเมืองหลวง และได้ขยายอำนาจออกไปทุกทิศ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับอังกฤษและจีน จึงมีการตกลงกำหนดเขตของบริเวณที่จะเป็น "เนปาล" และทั้งจีนและอังกฤษรับรองความเป็นรัฐของเนปาล เมื่อหุบเขากาฐมาณฑุกลายเป็นศูนย์กลางของเนปาล ภาษาของชาวกุรข่าจึงเป็นที่รู้จักในชื่อภาษาเนปาลไปด้วย == ตัวอย่างข้อความภาษาเนปาล == นมัสเต -- नमस्ते -- ใช้ทุกโอกาส ในการทักทายแบบฮินดู มักจะแปลว่า "ขอนมัสการพระเจ้าในตัวคุณ" (นมัสเต ยังใช้เป็นคำทักทาย และบอกลาได้ด้วย) เมโร นาม อาโลก โห -- मेरो नाम आलोक हो -- ฉันชื่อ อาโลก ขานา ขาเน ฐาเอาง กหาง ฉะ? -- खाना खाने ठाउँ कहाँ छ ? -- ที่รับประทานอาหารอยู่ที่ไหน? กาฐมาเฑาง ชาเน พาโฏ เธไร ลาโม ฉะ -- काठमाडौँ जाने बाटो धेरै लामो छ -- ถนนไปกาฐมาณฑุไกลมาก เนปาลมา พเนโก -- नेपालमा बनेको -- ทำในเนปาล (Made in Nepal) ม เนปาลี หูน -- म नेपाली हुँ -- ฉันเป็นชาวเนปาล ปุคโย -- पुग्यो — พอแล้ว == อ้างอิง == ภาษาในประเทศเนปาล ภาษาในประเทศอินเดีย ภาษาในประเทศภูฏาน
thaiwikipedia
1,795
หนังสือพิมพ์
หนังสือพิมพ์ คือสิ่งพิมพ์ที่เสนอข่าว การเคลื่อนไหวใหม่ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีกำหนดการออกที่แน่นอนตายตัว โดยส่วนใหญ่จะออกเป็นรายวัน นอกจากนี้แล้วยังมีหนังสือพิมพ์รายสามวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ และรายเดือน หนังสือพิมพ์มักจะพิมพ์ลงในกระดาษสำหรับพิมพ์หนังสือพิมพ์โดยเฉพาะ ซึ่งมีราคาถูก เนื้อหาหลักของหนังสือพิมพ์คือข่าวสารบ้านเมืองและเหตุการณ์ปัจจุบันในด้านต่างๆ อาทิ ข่าวการเมือง ข่าวอาชญากรรม ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวกีฬา และข่าวบันเทิง มีการใช้รูปภาพประกอบเนื้อหา ทำให้เนื้อหาชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้แล้วอาจมีส่วนต่างๆ เพิ่มเติมเป็นพิเศษ เช่น พยากรณ์อากาศ == ประวัติ == ประมาณ 60 ปีก่อนคริสต์ศักราช ยุคอาณาจักรโรมันที่อารยธรรมเจริญยิ่ง จักรพรรดิจูเลียส ซีซาร์บัญชาให้อาลักษณ์คัดลอกแถลงการณ์ของพระองค์ รวมถึงข่าวประจำวันของราชการ แล้วนำไปปิดไว้ตามกำแพงในที่ชุมชนเพื่อประชาชนได้อ่านทั่วถึง ใบประกาศนั้นเรียก "แอ็กตา ดิอูนา" (Acta diuna) นับว่าเป็นต้นแบบหนังสือพิมพ์ ขณะที่ทางตะวันออก ในประเทศจีนก็ได้กำเนิดหนังสือพิมพ์ ซิงเป้า (Tsing Pao) ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับราชการสำนักมาตั้งแต่ พ.ศ. 1043 จากแผ่นประกาศข่าว วิวัฒนาการเป็นจดหมายข่าว และหนังสือข่าว รายงานข่าวสารทางการค้า การเมือง แล้วพัฒนาเป็นหนังสือพิมพ์ซึ่งเกิดขึ้นหลังจาก พ.ศ. 1997 ที่ โจฮัน กูเต็นเบิร์ก ชาวเยอรมัน ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์และตัวพิมพ์ขึ้น และวิลเลียมส์ แซกส์ตัน นำเครื่องพิมพ์ไปใช้ในประเทศอังกฤษ การพัฒนาแท่นพิมพ์ดีขึ้นเป็นลำดับ ที่สุดหนังสือพิมพ์ฉบับแรกก็เกิดขึ้น คือ Avisa Relation Order Zeitung พิมพ์ขึ้นในประเทศเยอรมนีเมื่อ พ.ศ. 2152 แต่ไม่ใช่หนังสือพิมพ์รายวัน กระทั่ง พ.ศ. 2165 อังกฤษรวบรวมข่าวรายวันมาพิมพ์ออกจำหน่ายเป็นรายสัปดาห์ ในชื่อ A Weekly News London ถือเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของโลก โดยเสนอข่าวที่เกิดขึ้นในภูมิภาคยุโรป เป็นของใหม่ที่ได้รับความสนใจมากพอควร แต่ออกเป็นรายสัปดาห์ ต่อมา ได้มีผู้ริเริ่มออกหนังสือพิมพ์เป็นรายวันคนแรกของโลกคือ เอ็ดวาร์ด มอลเลต หนังสือชื่อ The Daily Courant ฉบับแรกออกเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2245 เปิดโลกใหม่ด้วยการเสนอบทความ บทวิจารณ์สังคม คอลัมนิสต์ชื่อดังคือ ดาเนียล เดอโฟ บทวิจารณ์เขาโจมตีรัฐบาลและวิธีการปฏิบัติศาสนกิจของคริสต์ ถูกใจประชาชน แต่เป็นที่ขัดใจของกษัตริย์และพระสันตะปาปา เขาถูกจับตัวคุมขัง แต่มีเพื่อนดีจัดหาอุปกรณ์เครื่องเขียนให้ เดอโฟจึงคิดออกหนังสือพิมพ์ วิธีการคือเขาเป็นผู้เขียนข่าวหรือบทความจากข้อเท็จจริงที่เพื่อนส่งมาให้จากภายนอก เสร็จแล้วส่งออกไปพิมพ์ นั่นเป็นจุดกำเนิดของหลักการ "เขียนข่าวใหม่" หรือเรียบเรียงข่าว หรือ Rewriting ส่วนในสหรัฐอเมริกาหนังสือพิมพ์รายวันฉบับแรก ออกที่ในรัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อ พ.ศ. 2326 มีชื่อว่า เพนซิลเวเนียอีฟนิงโพสต์แอนด์เดลีแอดเวอร์ไทเซอร์ (Pennsylvania Evening post and Daily Advertiser) == หนังสือพิมพ์ในประเทศไทย == วิวัฒนาการของหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 โดยมีกลุ่มมิชชันนารีชาวอเมริกัน เป็นเจ้าของ และบรรณาธิการ ซึ่งหมอบรัดเลย์ได้ออก หนังสือพิมพ์ข่าวรายปักษ์ฉบับแรกในประเทศไทย ชื่อ หนังสือจดหมายเหตุ (บางกอกรีคอเดอ - The Bangkok Recorder) พิมพ์ด้วยภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แต่มีอายุได้ไม่ถึง 2 ปี ก็ต้องปิดกิจการลง หลังจากนั้น ก็มีหนังสือพิมพ์ออกมาอีกหลายฉบับ ทั้งรายสัปดาห์ รายปักษ์ และรายปี อาทิ บางกอกคาเลนดาร์ ต่อมาพัฒนาเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน เช่น บางกอก เดลี่ แอดเวอไทเซอ (Bangkok Daily Advertiser) และ สยาม เดลี่ แอดเวอไทเซอ (Siam Daily Advertiser) ต่อมา สมัยรัชกาลที่ 4 ทรงเป็นผู้จัดทำ หนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทย ชื่อ ราชกิจจานุเบกษา เพื่อชี้แจงข่าวคลาดเคลื่อน ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ และเพื่อแจ้งข่าวการบริหารพระราชภารกิจทางการเมือง ในสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มมีหนังสือพิมพ์ภาษาไทยฉบับแรก ที่เผยแพร่สู่ประชาชน ชื่อ ดรุโณวาท และมีหนังสือพิมพ์ที่ยอดจำหน่ายสูงมาก จนกระทั่งต้องมีระบบจัดส่งหนังสือ ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของกิจการไปรษณีย์ไทย คือ ข่าวราชการ (Court - ค็อต) ในยุคนี้ วงการหนังสือพิมพ์ตื่นตัวมาก โดยมีการออกหนังสือพิมพ์ถึง 59 ฉบับ สมัยรัชกาลที่ 6 กิจการหนังสือพิมพ์ก้าวหน้ามาก หนังสือพิมพ์สามารถวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและเสนอแนะความคิดเห็นได้อย่างเสรีในเรื่องการบริหารประเทศด้านต่าง ๆ มีทั้งหนังสือพิมพ์ภาษาไทยเช่น จีนโนสยามวารศัพท์ กรุงเทพเดลิเมล์ หนังสือพิมพ์ไทย ฯลฯ หรือหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเช่น The Bangkok Times ต่อเนื่องมาถึงรัชกาลที่ 7 มีหนังสือพิมพ์ 55 ฉบับ โดยฉบับที่มีชื่อเสียง และน่าเชื่อถือที่สุดคือ ประชาชาติรายวัน ซึ่งมีอิทธิพลต่อผู้อ่านอย่างสูง โดยเฉพาะปัญญาชน ที่ตื่นตัวทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม สมัยรัชกาลที่ 8 ต่อเนื่องถึงรัชกาลที่ 9 หนังสือพิมพ์เริ่มถูกควบคุมโดยรัฐบาล และเมื่อปี พ.ศ. 2501 เกิดรัฐประหาร นำโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หนังสือพิมพ์ตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของประกาศคณะปฏิวัติ ในยุคนี้มีหนังสือพิมพ์ 33 ฉบับ เช่น เกียรติศักดิ์ (2495-2513), เดลินิวส์ (2507-ปัจจุบัน),เดลิเมล์ (2493-2501), ไทยรัฐ (2492-ปัจจุบัน), เสียงอ่างทอง (2500-2507), ไทยเดลี่ (2512-), แนวหน้า (2495-ปัจจุบัน), ประชาธิปไตย (2502-2519), พิมพ์ไทย (2489-2561), สยามนิกร (2481-2512), สารเสรี (2497-2508), สยามรัฐ (2493-ปัจจุบัน), อาณาจักรไทย (2501-2504), ผู้จัดการรายวัน 360 องศา (2551-ปัจจุบัน), ผู้จัดการรายวัน (2533-2551), มติชน (2521-ปัจจุบัน), คมชัดลึก (2544-2563) เป็นต้น == ดูเพิ่ม == รายชื่อหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย == อ้างอิง == กำเนิดหนังสือพิมพ์ คอลัมน์รู้ไปโม้ด โดยน้าชาติ ประชาชื่น บันทึก...ความทรงจำ ผ่าน 2 ตำนานวงการสื่อ คมชัดลึก ผลิตภัณฑ์กระดาษ วารสารศาสตร์
thaiwikipedia
1,796
ตัวเลขมายา
ตัวเลขมายา ในอารยธรรมมายาก่อนยุคการค้นพบของโคลัมบัส ใช้ระบบเลขฐานยี่สิบ ระบบเลขมายานี้ใช้สัญลักษณ์สามแบบ คือ ศูนย์ (สัญลักษณ์รูปร่างเปลือกหอย) , หนึ่ง (จุด) และห้า (เส้นขีดยาว) สำหรับตัวอย่าง ตัวเลข 19 จะเขียนจุดสี่จุดเป็นแนวนอนอยู่เหนือเส้นขีดยาวสามเส้นซ้อนทับกัน (รูปซ้าย เลข 19) {|class="wikitable" | เลขมายา || เลขอาหรับ |- | .|| 1 |- | ..|| 2 |- | ...|| 3 |- | ....|| 4 |- | _|| 5 |- | .|| 6 |- | ..|| 7 |- | ...|| 8 |- | ....|| 9 |- | _ _|| 10 |- | ._ _|| 11 |- | .._ _|| 12 |- | ..._ _|| 13 |- | ...._ _|| 14 |- | _ _ _|| 15 |- | ._ _ _|| 16 |- | .._ _ _|| 17 |- | ..._ _ _|| 18 |- | ...._ _ _|| 19 |} ระบบเลข
thaiwikipedia
1,797
เลขฐานสิบ
เลขฐานสิบ หรือ ทศนิยม (Decimal) หมายถึง ระบบตัวเลขที่มีตัวเลข 10 ตัว คือ 0 – 9 == สัญลักษณ์แทนเลขฐานสิบ == การเขียนจำนวนในรูปทศนิยมคือการเขียนจำนวนให้อยู่ในรูปเลขฐานสิบ ซึ่งมีสัญลักษณ์อยู่ 10 ตัว (0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 และ 9) และอาจมีการใช้ร่วมกับจุดทศนิยม สำหรับจำนวนที่ไม่ใช่จำนวนเต็ม และใช้สัญลักษณ์ + และ − เพื่อบอกค่าบวกและค่าลบ เลขฐานสิบนี้เป็นเลขฐานปกติที่คนทั่วไปใช้ เนื่องจากมนุษย์มีสิบนิ้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในอดีตก็มีผู้ที่ใช้เลขฐานที่ไม่ใช่ฐานสิบ เช่น ชาวไนจีเรียใช้เลขฐานสิบสอง และชาวบาบิโลเนียนใช้เลขฐานหกสิบ และชาวเผ่ายูกิใช้เลขฐานแปด สัญลักษณ์แทนเลขแต่ละหลักนั้น โดยทั่วไปจะใช้เลขอารบิก และเลขอินเดีย ซึ่งมาจากระบบเดียวกัน แต่มีรูปแบบการใช้ที่แตกต่างกัน == การเขียนจำนวนจริงในรูปทศนิยม == === เศษส่วนและทศนิยม === ==== เลขทศนิยม ==== การเขียนเศษส่วนให้เป็นทศนิยม ทำได้โดยให้ตัวส่วนเป็นกำลังของสิบ การเขียนทศนิยมนั้นไม่จำเป็นต้องเขียนตัวส่วนเหมือนเศษส่วน แต่ใช้เครื่องหมายจุดทศนิยม (อาจต้องเพิ่ม 0 ด้านหน้า ถ้าจำเป็น) และตำแหน่งของตัวเลขจะเกี่ยวข้องกับส่วน ที่เป็นกำลังของสิบ เช่น \frac{8}{10}, \frac{833}{100}, \frac{83}{1000}, \frac{8}{10000}และ \frac{80}{10000} สามารถเขียนได้เป็น 0.8, 8.33, 0.083, 0.0008 และ 0.008 ตามลำดับ จำนวนที่เขียนได้ในลักษณะนี้ เป็น เลขทศนิยม ส่วนที่เป็นจำนวนเต็มและเศษส่วน จะถูกแยกกันด้วยเครื่องหมายจุดทศนิยม ซึ่งเราใช้เครื่องหมาย มหัพภาค (.) แทนจุดทศนิยม ถ้าจำนวนนั้นเป็นเศษส่วนที่น้อยกว่าหนึ่ง เราจำเป็นต้องใส่ 0 นำหน้า (กล่าวคือ เรานิยมเขียน 0.5 มากกว่า .5) เลขศูนย์ตามท้ายทศนิยมถือว่าไม่จำเป็นในทางคณิตศาสตร์ นั่นคือ 0.080 และ 0.08 มีความหมายเหมือนกันในทางคณิตศาสตร์ แต่ในทางวิศวกรรม 0.080 บอกว่า อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ไม่เกินหนึ่งในพัน แต่ 0.08 อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ไม่เกินหนึ่งในร้อย ==== การเขียนเลขอื่น ๆ ในรูปทศนิยม ==== จำนวนอื่น ๆ ที่ไม่อาจเขียนได้อยู่ในรูปทศนิยมที่มีจุดสิ้นสุด เราจะเขียนจำนวนเหล่านี้ได้ในรูปทศนิยมซ้ำ เนื่องจาก 10 เป็นผลคูณของจำนวนเฉพาะจำนวนแรกและจำนวนที่สาม (นั่นคือ 2 และ 5) ซึ่งมากกว่ากำลังสองของจำนวนเฉพาะจำนวนที่สองอยู่หนึ่ง (กำลังสองของ 3 คือ 9 และน้อยกว่าจำนวนเฉพาะจำนวนที่ห้าอยู่หนึ่ง (11) ทำให้มีรูปแบบของทศนิยมบางรูปแบบ ดังนี้ \frac{1}{2} = 0.5 \frac{1}{3} = 0.333333\cdots (3 ซ้ำ) \frac{1}{4} = 0.25 \frac{1}{5} = 0.2 \frac{1}{6} = 0.166666\cdots (6 ซ้ำ) \frac{1}{7} = 0.142857142857\cdots(142857 ซ้ำ) \frac{1}{8} = 0.125 \frac{1}{9} = 0.111111\cdots (1 ซ้ำ) \frac{1}{10} = 0.1 \frac{1}{11} = 0.090909\cdots (09 ซ้ำ) \frac{1}{12} = 0.083333\cdots (3 ซ้ำ) \frac{1}{81} = 0.012345679012\cdots (012345679 ซ้ำ) สำหรับจำนวนที่มีจำนวนเฉพาะอื่น ๆ เป็นตัวส่วนนั้นจะทำให้มีรูปแบบที่ซ้ำยาวขึ้น เช่น 7 และ 13 การหาชุดของทศนิยมซ้ำนั้นทำได้โดยการตั้งหารยาว เราจะมีเศษไม่ใช่ศูนย์เพียง q-1 แบบเท่านั้นจากการหารด้วย q ดังนั้น ช่วงของทศนิยมซ้ำจะยาวไม่เกิน q-1 อย่างแน่นอน ลองดูตัวอย่างของการหา 3/7 ในรูปทศนิยม 0.4 2 8 5 7 1 4 ... 7 ) 3.0 0 0 0 0 0 0 0 2 8 \frac{30}{7} = 4 เศษ 2 2 0 1 4 \frac{20}{7} = 2 เศษ 6 6 0 5 6 \frac{60}{7} = 8 เศษ 4 4 0 3 5 \frac{40}{7} = 5 เศษ 5 5 0 4 9 \frac{50}{7} = 7 เศษ 1 1 0 7 \frac{10}{7} = 1 เศษ 3 3 0 2 8 \frac{30}{7} = 4 เศษ 2 (ซ้ำ) 2 0 ฯลฯ ในทางตรงกันข้าม เราสามารถเขียนทศนิยมซ้ำให้อยู่ในรูปเศษส่วน \frac{p}{q} ได้ โดยใช้รูปแบบทางเรขาคณิต เพื่อหาผลรวมของชุดทศนิยม เช่น 0.0123123123\cdots = \frac{123}{10000} \sum_{k=0}^\infty 0.001^k = \frac{123}{10000}\ \frac{1}{1-0.001} = \frac{123}{9990} = \frac{41}{3330} == ดูเพิ่ม == ทศนิยม ระบบทศนิยมดิวอี้ เลขฐานสิบเข้ารหัสฐานสอง (BCD) == แหล่งข้อมูลอื่น == คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับทศนิยม แบบทดสอบ: ค่าประจำตำแหน่งของทศนิยม สิบ ลเลขฐานสิบ เศษส่วน
thaiwikipedia
1,798
พ.ศ. 2498
พุทธศักราช 2498 ตรงกับปีคริสต์ศักราช 1955 เป็นปีปกติสุรทินที่วันแรกเป็นวันเสาร์ ตามปฏิทินเกรกอเรียน และเป็น ปีมะแม สัปตศก จุลศักราช 1317 (วันที่ 16 เมษายน เป็นวันเถลิงศก) == ผู้นำประเทศไทย == พระมหากษัตริย์: พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) นายกรัฐมนตรี: จอมพล ป. พิบูลสงคราม (8 เมษายน พ.ศ. 2491 – 16 กันยายน พ.ศ. 2500) == เหตุการณ์ == 17 กุมภาพันธ์ - ประหารชีวิตนักโทษในคดีการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ได้แก่ นายเฉลียว ปทุมรส, นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศรินที่เรือนจำกลางบางขวาง 23 กุมภาพันธ์ - ประเทศในองค์การสนธิสัญญาป้องกันเอเชียอาคเนย์ (SEATO) ร่วมประชุมกันครั้งแรก 13 มีนาคม - ฝรั่งเศสส่งทหารเข้าเดียนเบียนฟู ของเวียดนาม 30 มีนาคม - ทีมฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินาชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอเมริกาใต้ ครั้งที่ 23 ณ ประเทศชิลี 5 เมษายน - วินสตัน เชอร์ชิลล์ ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร 5 พฤษภาคม - สงครามเย็น: เยอรมนีตะวันตกกลายเป็นชาติเอกราช 9 พฤษภาคม - สงครามเย็น: เยอรมนีตะวันตกเข้าร่วมกับองค์การนาโต 14 พฤษภาคม - สงครามเย็น: สหภาพโซเวียตและประเทศคอมมิวนิสต์รวม 8 ประเทศ ลงนามในสนธิสัญญาวอร์ซอ 12 มิถุนายน - สถาปนา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร 20 มิถุนายน - เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่นานที่สุดในคริสต์สหัสวรรษที่ 2 (นาน 7 นาที 8 วินาที) มองเห็นได้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร มีสุริยุปราคาเต็มดวงเพียง 7 ครั้งเท่านั้น ที่ยาวนานกว่า 7 นาที 24 มิถุนายน -มีพิธีเปิดการแพร่ภาพและเสียงสถานีโทรทัศน์แห่งแรกของประเทศไทยที่วังบางขุนพรหม ซึ่งบริหารโดยบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด โดยใช้ชื่อสถานีโทรทัศน์ว่า "สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม" โดยมี จอมพล ป.พิบูลสงคราม (นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) มาเป็นประธานในพิธี 16 กันยายน - เกิดรัฐประหารขับไล่ ฮวน เปรอง ในอาร์เจนตินา 30 กันยายน - เจมส์ ดีน เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย 22 พฤศจิกายน - สหภาพโซเวียตทดลองระเบิดนิวเคลียร์ในไซบีเรีย === ไม่ทราบวัน === ค้นพบ ธาตุเมนเดลีเวียม การ์ตูนไทยเรื่องแรก "เหตุมหัศจรรย์" ออกฉาย == วันเกิด == === มกราคม === 2 มกราคม - อักษรา เกิดผล ทหารบกชาวไทย 5 มกราคม * วิทยา แก้วภราดัย นักการเมืองไทย * วิสุทธิ์ วานิชบุตร ตำรวจชาวไทย 6 มกราคม - โรวัน แอตคินสัน นักแสดงบทตลกชายชาวอังกฤษ 7 มกราคม - คมเดช ไชยศิวามงคล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ เขต 3 8 มกราคม - คิม ด็อก-กู นักมวยสากลชาวเกาหลีใต้ (ถึงแก่กรรม 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2525) 9 มกราคม - เจ. เค. ซิมมอนส์ นักแสดงชาวอเมริกัน 10 มกราคม - * ไมเคิล เชงเกอร์ นักดนตรีชาวเยอรมัน * สุชาติ ตันติวณิชชานนท์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี 3 สมัย 11 มกราคม - ปานหทัย เสรีรักษ์ นักการเมืองสตรีชาวไทย 13 มกราคม * รัน อิโต นักแสดงหญิงชาวญี่ปุ่น * สมศักดิ์ เทพสุทิน นักการเมืองไทย 15 มกราคม - สตีฟ ดาร์บี นักฟุตบอลชาวอังกฤษ 16 มกราคม * วรายุฑ มิลินทจินดา นักแสดง ผู้จัดละครชาวไทย * วิชัย สังข์ประไพ ตำรวจชาวไทย 17 มกราคม * เคทลิน คาริโก นักชีวเคมีชาวฮังการี * สมัย เจริญช่าง มุสลิมชาวไทย 18 มกราคม * คิม ซางฮุน นักมวยสากลชาวเกาหลีใต้ * เควิน คอสต์เนอร์ นักแสดงชายชาวอเมริกัน * แฟรงกี นักเคิลส์ นักดนตรีชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 31 มีนาคม พ.ศ. 2557) 19 มกราคม * ไซมอน แรตเทิล วาทยกรชาวอังกฤษ * วิยะดา อุมารินทร์ นักแสดงไทย 22 มกราคม - วีเซงตือ กูแตรึช นักการเมืองชาวติมอร์-เลสเต 27 มกราคม - จอห์น รอเบิตส์ ประธานศาลสูงสุดสหรัฐ 28 มกราคม - นีกอลา ซาร์กอซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส 29 มกราคม * มานิต นพอมรบดี นักการเมืองไทย * สีดา พัวพิมล นักแสดงไทย 30 มกราคม - * เฉลิมสวรรค์ ไพบูลย์พันธ์ นักมายากลชาวไทย * อิทธิ พลางกูร นักร้องชาวไทย (ถึงแก่กรรม 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547) === กุมภาพันธ์ === 1 กุมภาพันธ์ - *คริสทีอัน ดยุกแห่งอ็อลเดินบวร์ค *สุชัย เจริญรัตนกุล ศาสตราจารย์ 3 กุมภาพันธ์ * ศิริชัย ดิษฐกุล ทหารบกชาวไทย * เสรีย์ รุ่งสว่าง นักร้องลูกทุ่งชายชาวไทย 4 กุมภาพันธ์ - ทะกะยุกิ มิยะอุชิ นักร้องญี่ปุ่น 5 กุมภาพันธ์ - อำนวย นิ่มมะโน ตำรวจชาวไทย 6 กุมภาพันธ์ * อัฟราม แกรนท์ ผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวอิสราเอล * อังคนางค์ คุณไชย นักร้องลูกทุ่งหมอลำหญิงชาวไทย 7 กุมภาพันธ์ - มิเกล เฟร์เรร์ นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 19 มกราคม พ.ศ. 2560) 8 กุมภาพันธ์ * จอห์น กริแชม นักเขียนชาวอเมริกัน * จิม ไนด์ฮาร์ต นักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 13 สิงหาคม พ.ศ. 2561) * บ๊อบ บีมเมอร์ 9 กุมภาพันธ์ - สุวัจน์ ลิปตพัลลภ นักการเมืองไทย 10 กุมภาพันธ์ - คริส อดัมส์ นักมวยปล้ำชาวอังกฤษ (ถึงแก่กรรม 7 ตุลาคม พ.ศ. 2544) 12 กุมภาพันธ์ * ดานีเอเล มาซาลา นักปัญจกีฬาสมัยใหม่ * พล พลาพร นักแสดงชายชาวไทย 15 กุมภาพันธ์ * เจนิซ ดิกคินสัน ชาวอเมริกันเชื้อสายโปแลนด์ * เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ * วรพงษ์ สง่าเนตร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดไทย 16 กุมภาพันธ์ - สตีฟ โรช นักดนตรีชาวอเมริกัน 17 กุมภาพันธ์ - โม่เหยียน นักเขียนชาวจีน 18 กุมภาพันธ์ - ฉลอง เรี่ยวแรง นักการเมืองไทย 22 กุมภาพันธ์ - กู้ กวานจง นักแสดงไต้หวัน 23 กุมภาพันธ์ - สเตฟาโน อับบาติ นักแสดงชาวอิตาลี 24 กุมภาพันธ์ * สตีฟ จอบส์ ผู้บริหารบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์และพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ (ถึงแก่กรรม 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554) * อาแล็ง พร็อสต์ นักแข่งรถสูตรหนึ่ง 25 กุมภาพันธ์ - จิระนันท์ พิตรปรีชา นักเขียนชาวไทย 26 กุมภาพันธ์ - ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ นักการเมืองไทย 27 กุมภาพันธ์ - พีระเพชร ศิริกุล นักการเมืองไทย === มีนาคม === 1 มีนาคม - จามรี อาระยานิมิตสกุล รองศาสตราจารย์ 2 มีนาคม - โชโก อาซาฮาระ อดีตผู้นำลัทธิโอมชินริเกียวและอาชญากร (ถึงแก่กรรม 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2561) 8 มีนาคม - ทศพร เสรีรักษ์ อดีตแพทย์ชาวไทย 9 มีนาคม - นิรันดร์ บุณยรัตพันธุ์ นักพากย์ชาวไทย 13 มีนาคม - อายะ อิมามูระ นักเขียนนวนิยายชาวญี่ปุ่น (ถึงแก่กรรม กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556) 16 มีนาคม - จิโร วะตะนะเบะ นักมวยสากลชาวญี่ปุ่น 17 มีนาคม * แกรี ซินิส นักแสดงชาวอเมริกัน * สรจักร ศิริบริรักษ์ นักเขียนชาวไทย (ถึงแก่กรรม 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556) 19 มีนาคม * บรูซ วิลลิส นักแสดงชาวอเมริกัน * เลดี้ซาราห์ แมคคอร์ควอเดล ตระกูลสเปนเซอร์-เชอร์ชิล * สมชาย พุทธภิบาล นักมวยสากลสมัครเล่นชาวไทยชุดโอลิมปิก 1976 * เหริน ต๋าหัว นักแสดงจีน นักแสดงฮ่องกง 20 มีนาคม - มาริยะ ทาเกอูจิ นักร้องหญิงชาวญี่ปุ่น 21 มีนาคม - เจริ บอลซอนาโร นักการเมืองสัญชาติบราซิล 27 มีนาคม - มาเรียโน ราฆอย นักการเมืองสเปน 30 มีนาคม - ยู อิล-โฮ นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ 31 มีนาคม * มานะ มหาสุวีระชัย วิศวกรชาวไทย * แอน แด-ฮี ประธานาธิบดี === เมษายน === เมษายน - เจ้า ลี่ ประธานของสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี 2 เมษายน - สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 4 เมษายน - อาร์มิน โรเด นักแสดงเยอรมัน 5 เมษายน * ลาซารัส ชาเควรา นักเทววิทยาและนักการเมืองชาวมาลาวี * โอฬาร พรหมใจ นักดนตรีและมือกีตาร์ 6 เมษายน - ไมเคิล รูกเกอร์ นักแสดงชาวอเมริกัน 9 เมษายน * เจ้าหญิงโนบูโกะ พระชายาในเจ้าชายโทโมฮิโตะ * อัสนี โชติกุล นักร้อง นักแสดงชาวไทย 13 เมษายน * ลูเป ปินตอร์ นักมวยสากลชาวเม็กซิโก * พระเจ้าคาบาคาโรนัลด์ มูเวนดา มูเตบิที่ 2 16 เมษายน - แกรนด์ดยุกอ็องรีแห่งลักเซมเบิร์ก 18 เมษายน - ปรีชา ชนะภัย นักดนตรีวงคาราบาว 21 เมษายน * เจนภพ จบกระบวนวรรณ นักแต่งเพลงชาวไทย/นักแต่งเพลงลูกทุ่ง * ไพโรจน์ เฉลียวศักดิ์ นักการเมืองไทย * สมเด็จพระราชาธิบดีตูเฮอิเตีย ปากี 22 เมษายน * เทพชัย หย่อง สื่อมวลชนชาวไทย * ตู้ ฉีฟง ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวฮ่องกง * วิชัย ชัยจิตวณิชกุล แพทย์ชาวไทย 23 เมษายน - จูดี เดวิส นักแสดงออสเตรเลีย 27 เมษายน - เอริก ชมิดต์ นักธุรกิจชาวอเมริกัน 28 เมษายน - เจ้าหญิงอันโทเนีย ดัชเชสแห่งเวลลิงตัน 29 เมษายน - ยูโกะ ทานากะ นักแสดงหญิงชาวญี่ปุ่น 30 เมษายน *ปรีชา บัววิรัตน์เลิศ ครูชาวไทย *เครือนาค เกิดขำ อดีตทหารบกชาวไทย === พฤษภาคม === 1 พฤษภาคม - วีระยุทธ ดิษยะศริน ทหารอากาศชาวไทย 6 พฤษภาคม - คำนูณ สิทธิสมาน เครือผู้จัดการ 8 พฤษภาคม - เมเลส เซนาวี นักการเมืองชาวเอธิโอเปีย (ถึงแก่กรรม 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555) 10 พฤษภาคม - มาร์ก เดวิด แชปแมน ผู้สังหารชาวอเมริกัน 14 พฤษภาคม - บิ๊ก แวน เวเดอร์ นักแสดงภาพยนตร์อเมริกัน 15 พฤษภาคม - เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ นักธุรกิจชาวไทย 16 พฤษภาคม *ฉัฐวัสส์ มุตตามระ นักการเมืองไทย *ออลกา คอร์บุต นักยิมนาสติก *อีเรอเนอ คลาริน นักแสดงเยอรมัน 17 พฤษภาคม - บิล แพกซ์ตัน นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560) 18 พฤษภาคม *โจว เหวินฟะ นักแสดงชายชาวฮ่องกง *ประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย 19 พฤษภาคม - เจมส์ กอสลิง นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ 21 พฤษภาคม *เซียร์เกย์ ชอยกู ทหารชาวรัสเซีย *พระพรหมกวี (ประกอบ ธมฺมเสฏฺโฐ) 24 พฤษภาคม - ฉัตรชัย เอียสกุล นักการเมืองไทย 27 พฤษภาคม - เอริก บิสชอฟฟ์ นักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน 29 พฤษภาคม - การ์มา ฟูร์กาเด็ลย์ นักภาษากาตาลา นักเคลื่อนไหว และนักการเมืองจากแคว้นกาตาลุญญา 30 พฤษภาคม - เจก โรเบิตส์ นักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน === มิถุนายน === 1 มิถุนายน - กาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2 มิถุนายน - พลเดช ปิ่นประทีป ข้าราชการพลเรือนชาวไทย 6 มิถุนายน - ลี สโมลิน นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน 8 มิถุนายน *โฆเซ อันโตนิโอ กามาโช นักฟุตบอลชาวสเปน *ทิม เบอร์เนิร์ส-ลี นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ *ธงทอง จันทรางศุ ศาสตราจารย์พิเศษ *นริศ ชัยสูตร ข้าราชการพลเรือนชาวไทย 9 มิถุนายน *ชุง ซางอิล นักมวยสากลชาวเกาหลีใต้ *บรูซ เฮส (นักภาษาศาสตร์) นักภาษาศาสตร์ 10 มิถุนายน - ฮั่ว เย้าหลิง ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวฮ่องกง 12 มิถุนายน *เรนัน เดเมียร์คัน นักเขียนชาวตุรกี *อดิเรก วัฏลีลา ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทย 13 มิถุนายน - ชัคกี้ ธัญญรัตน์ นักดนตรีชาวไทย (ถึงแก่กรรม 10 มิถุนายน พ.ศ. 2540) 15 มิถุนายน - เฟรดิ กัสติโย นักมวยสากลชาวเม็กซิโก 18 มิถุนายน - สุรสิทธิ์ นิธิวุฒิวรรักษ์ นักการเมืองชาวไทย 21 มิถุนายน *ไพบูลย์ คุ้มฉายา นักการเมืองไทย *มีแชล ปลาตีนี นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส 23 มิถุนายน - สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ ทหารบกชาวไทย 24 มิถุนายน * สุชาติ หนองบัว สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ * สตีเวน บาร์ นักแสดงชาวอเมริกัน 26 มิถุนายน - โยโก กุชิเก็ง นักมวยสากลชาวญี่ปุ่น 27 มิถุนายน *พระเทพศาสนาภิบาล (แย้ม กิตฺตินฺธโร) *อีซาแบล อาจานี นักแสดงฝรั่งเศส นักร้องฝรั่งเศส === กรกฎาคม === 1 กรกฎาคม - หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน 4 กรกฎาคม - คิม ไชยแสนสุข อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง 5 กรกฎาคม - เศก ศักดิ์สิทธิ์ นักร้องไทย 7 กรกฎาคม - ฮวาง บอกซู นักมวยสากลชาวเกาหลีใต้ 7 กรกฎาคม - วสันต์ อุตตมะโยธิน นักแสดงไทย 11 กรกฎาคม - ไตรภพ ลิมปพัทธ์ นักแสดง พิธีกร นักธุรกิจชาวไทย 14 กรกฎาคม - อรรชกา สีบุญเรือง ข้าราชการพลเรือนชาวไทย 15 กรกฎาคม - สุลตานะห์ ฮัจญะห์ ฮามีนะห์ ฮามีดุน 17 กรกฎาคม - คู ย็อง-โจ นักมวยสากลสมัครเล่นชาวเกาหลีเหนือ (ถึงแก่กรรม มีนาคม พ.ศ. 2544) 21 กรกฎาคม - มาร์เซโล เบียลซา นักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา 22 กรกฎาคม - วิลเลม เดโฟ นักแสดงภาพยนตร์ชายชาวอเมริกัน 25 กรกฎาคม *พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ นักการเมืองสตรีชาวไทย *อีมาน (นางแบบ) นางแบบอเมริกัน 31 กรกฎาคม - ศรีสกุล พร้อมพันธุ์ นักการเมืองสตรีชาวไทย === สิงหาคม === สิงหาคม - หวาง หนิง นายพลในกองทัพปลดปล่อยประชาชน 2 สิงหาคม *ชาญวิทย์ ผลชีวิน นักฟุตบอลชาวไทย *ชินชัย แก้วเรือน นักร้องไทย 3 สิงหาคม - ศรีเรศ โกฎคำลือ นักการเมืองไทย 5 สิงหาคม - ฉัตรชัย สาริกัลยะ นักการเมืองไทย 7 สิงหาคม *ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข ทหารบกชาวไทย *เวย์น ไนต์ นักแสดงอเมริกัน 11 สิงหาคม *เจ้าหญิงคริสตินแห่งออร์เลอ็อง-บรากังซา *สุชาติ บรรดาศักดิ์ นักการเมืองไทย 15 สิงหาคม *อนันตพร กาญจนรัตน์ นักการเมืองไทย *อุดมเดช สีตบุตร ทหารบกชาวไทย 19 สิงหาคม - บุญมาก ศิริเนาวกุล นักการเมืองไทย กัลยาณี เดชธนู ทายาทเดชธนูคนแรก 20 สิงหาคม - แอกเนส ชาน นักร้องฮ่องกง 26 สิงหาคม - ฮันส์-อูเว เบาเออร์ นักแสดงเยอรมัน 28 สิงหาคม - สรรพภัญญู ศิริไปล์ นักการเมืองไทย 29 สิงหาคม - เดียมานด้า กาลาส นักร้องอเมริกัน === กันยายน === 1 กันยายน - วรชาติ สิรวราภรณ์ ศาสตราจารย์ 2 กันยายน - หมี เสว่ นักแสดงหญิงชาวฮ่องกง 4 กันยายน - ซันดุก รูอิต จักษุแพทย์และศัลยแพทย์จักษุชาวเนปาล 5 กันยายน - วิรัช ร่มเย็น นักกฎหมายชาวไทย 7 กันยายน * พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ ข้าราชการพลเรือนชาวไทย * ฟรานซิสโก กูเตร์เรส นักการเมืองชาวติมอร์-เลสเต * มิรา ฟูร์ลัน นักแสดงโครเอเชีย * อดุลย์ วันไชยธนวงศ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแม่ฮ่องสอน 1 สมัย * อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 8 กันยายน - วาเลรี เกราซีมอฟ นักการเมืองรัสเซีย 9 กันยายน - เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ข้าราชการพลเรือนชาวไทย 14 กันยายน * ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือไทย * เจอราลดีน บรุคส์ (นักเขียน) นักเขียนชาวอเมริกัน 17 กันยายน * ชาลส์ มาร์ทิเน นักแสดงและนักพากย์ชาวอเมริกัน * พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) 25 กันยายน - นันทนา เงากระจ่าง นักแสดงไทย 29 กันยายน - อุ่นเรือน อารีเอื้อ ทนายความชาวไทย === ตุลาคม === 2 ตุลาคม - สมเด็จพระอนุชนโรดม อรุณรัศมี 3 ตุลาคม - วีระ อาภรณ์รัตน์ บาทหลวงชาวไทย 6 ตุลาคม - ภัทรพล รักษนคร ทหารบกชาวไทย 9 ตุลาคม - ลักษณ์ อภิชาติ นักแสดงไทย (ถึงแก่กรรม 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547) 10 ตุลาคม - อำพน กิตติอำพน ข้าราชการพลเรือนชาวไทย 11 ตุลาคม - * พงศกร รอดชมภู อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ * วงเดือน อินทราวุธ นักแสดงไทย นักร้องไทย 12 ตุลาคม - วิกเตอร์ เทอร์ชิน ผู้ฝึกสอนกีฬาว่ายน้ำ 13 ตุลาคม - ยูรี เกลแมน ฟันดาบโอลิมปิก 14 ตุลาคม *นิพัทธ์ ทองเล็ก ทหารบกชาวไทย *สมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ข้าราชการพลเรือนชาวไทย 15 ตุลาคม - ทันย่า โรเบิตส์ นักแสดงอเมริกัน 18 ตุลาคม - เจ้าชายอาเดรียนแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (สิ้นพระชนม์ 30 สิงหาคม 2554) 20 ตุลาคม - วรศุลี สุวรรณปริสุทธิ์ นักการเมืองสตรีชาวไทย 21 ตุลาคม - อารยะ ชุมดวง นักการเมืองไทย 25 ตุลาคม *แมทเทียส จาบส์ นักดนตรีชาวเยอรมัน *เกล แอนน์ เฮิร์ด ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชาวอเมริกัน 27 ตุลาคม - ปราการ ชลยุทธ ทหารบกชาวไทย 28 ตุลาคม - บิลล์ เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ 29 ตุลาคม - วิทยา ทรงคำ นักการเมืองไทย === พฤศจิกายน === 1 พฤศจิกายน - ระพินทร์ พุฒิชาติ นักร้องไทย 3 พฤศจิกายน - อภิชาติ สุภาแพ่ง ครูชาวไทย นักการเมืองไทย 4 พฤศจิกายน - เดวิด จูเลียส นักสรีรวิทยาชาวอเมริกัน 6 พฤศจิกายน - ภูมิ สาระผล ทนายความชาวไทย 7 พฤศจิกายน - วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ นักสิทธิมนุษยชน 9 พฤศจิกายน - พินิจ จันทร์สมบูรณ์ นักการเมืองไทย (ถึงแก่กรรม 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557) 10 พฤศจิกายน - โรแลนด์ เอมเมอริค ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวเยอรมัน 11 พฤศจิกายน *สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก แห่งภูฏาน *สมเด็จพระราชินีเชอริง เพม วังชุก แห่งภูฏาน 13 พฤศจิกายน - วูปี โกลด์เบิร์ก นักแสดง นักร้องชาวอเมริกัน 15 พฤศจิกายน *จ้าว หย่าจือ นักแสดงหญิงชาวฮ่องกง *อัญชลี จงคดีกิจ นักแสดงไทย นักร้องไทย 16 พฤศจิกายน - ธีรชัย นาควานิช ทหารบกชาวไทย 19 พฤศจิกายน *พรชัย อรรถปรียางกูร นักการเมืองไทย *มนตรี เจนอักษร นักแสดง นักพากย์ พิธีกรชาวไทย 20 พฤศจิกายน - วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม 25 พฤศจิกายน - สุนทรี เวชานนท์ นักร้องไทย 27 พฤศจิกายน - แอนเดรียส เจ้าชายแห่งไลนิงเงิน 28 พฤศจิกายน *นิลุบล คล่องเวสสะ รองศาสตราจารย์ *วิฑูรย์ กรุณา นักแสดงไทย 29 พฤศจิกายน *ลาสโล โชโยม (นักฮอกกี้น้ำแข็ง) *ฮัสซัน ชีค โมฮามุด ประธานาธิบดีโซมาเลีย === ธันวาคม === 3 ธันวาคม * พิชัย เกียรติวินัยสกุล นักการเมืองไทย * เมทินี ชโลธร อดีตประธานศาลฎีกา 5 ธันวาคม - นิกร จำนง นักการเมืองไทย 8 ธันวาคม *ชูเกียรติ รัตนชัยชาญ ข้าราชการพลเรือนชาวไทย (ถึงแก่กรรม 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560) *เนธาน อีสต์ นักดนตรีชาวอเมริกัน 9 ธันวาคม *จำรัส เศวตาภรณ์ นักดนตรีชาวไทย/นักแต่งเพลงชาวไทย *พงศพัศ พงษ์เจริญ ตำรวจชาวไทย *พิเชษฐ์ ตันเจริญ นักธุรกิจชาวไทย 10 ธันวาคม - น้อย โพธิ์งาม นักแสดงตลกหญิงไทย 13 ธันวาคม - เกล็น โรเดอร์ อดีตผู้จัดการทีมเวสต์แฮมยูไนเต็ด 16 ธันวาคม - เจ้าชายลอเรนซ์แห่งเบลเยียม อาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย-เอสเต 20 ธันวาคม - สมเด็จพระราชินีดอร์จิ วังโม วังชุก 21 ธันวาคม - อูเตอ คริสเทินเซิน นักแสดงเยอรมัน 25 ธันวาคม *ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ นักการเมืองไทย *พรเพ็ญ บุญศิริวัฒนกุล นักการเมืองสตรีชาวไทย 27 ธันวาคม - เทียบจุฑา ขาวขำ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขต เขต 8 28 ธันวาคม - หลิว เสี่ยวโป นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและผู้ได้รับรางวัลโนเบลชาวจีน (ถึงแก่กรรม 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560) ? - จอห์น อิสรัมย์ นักแสดงไทย/นักแข่งรถชาวไทย (ถึงแก่กรรม 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552) ? - ใหม่ ธนบุรีฟาร์ม นักมวยสากลชาวไทยรุ่นมินิมัมเวท ? - มัทนี เกษกมล นักเขียนชาวไทย (ถึงแก่กรรม มีนาคม พ.ศ. 2548) ? - มีนอองไลง์ ทหารชาวพม่า ? - ยมนา ชาตรี นักแสดงไทย ? - รักชาติ ศิริชัย นักร้องลูกทุ่งไทย ? - วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนชาวไทย ? - สุมาลี บำรุงสุข นักเขียนชาวไทย ? - อโนชา ปันจ้อย เหยื่ออาชญากรรมชาวไทย ? - อุดม ตันติประสงค์ชัย นักธุรกิจชาวไทย == วันถึงแก่กรรม == 18 เมษายน - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ทฤษฎี (เกิด พ.ศ. 2422) 30 กันยายน - เจมส์ ดีน นักแสดงชาวอเมริกา (เกิด พ.ศ. 2474) 4 พฤศจิกายน - หม่อมเจ้าสฤษดิเดช ชยางกูร (ประสูติ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2424) 17 ธันวาคม - สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (พระราชสมภพ 10 กันยายน พ.ศ. 2405) == รางวัล == === รางวัลโนเบล === สาขาเคมี – Vincent du Vigneaud สาขาวรรณกรรม – ฮัลล์ดอร์ คิลยัน ลักซ์เนส สาขาสันติภาพ – ไม่มีการมอบรางวัล สาขาฟิสิกส์ – วิลลิส ยูจีน แลมบ์ สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ – แอกเซล ฮูโก ธีโอดอร์ ธีโอเรลล์
thaiwikipedia
1,799
พ.ศ. 2516
พุทธศักราช 2516 ตรงกับปีคริสต์ศักราช 1973 เป็นปีปกติสุรทินที่วันแรกเป็นวันจันทร์ตามปฏิทินเกรกอเรียน และเป็น ปีฉลู เบญจศก จุลศักราช 1335 (วันที่ 15 เมษายน เป็นวันเถลิงศก) == ผู้นำประเทศไทย == พระมหากษัตริย์: พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) นายกรัฐมนตรี * จอมพล ถนอม กิตติขจร (18 ธันวาคม พ.ศ. 2515 – 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516) * นายสัญญา ธรรมศักดิ์ (14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 – 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2517) == เหตุการณ์ == === มกราคม-มิถุนายน === 13 มกราคม – พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์ เสด็จในการพระราชทานเพลิงศพ เจ้าราชบุตร (วงษ์ตะวัน ณ เชียงใหม่) เจ้าราชบุตรพระองค์สุดท้ายแห่งนครเชียงใหม่ และเป็นการพระราชทานเพลิงศพเจ้าประเทศราชครั้งสุดท้ายของประเทศไทย 27 มกราคม – การเข้าร่วมในสงครามเวียดนามของสหรัฐอเมริกาสิ้นสุดลง ด้วยการลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส 24 กุมภาพันธ์ – ทีมฟุตบอลทีมชาตินิวซีแลนด์ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติโอเซียเนีย ครั้งที่ 1 ณ ประเทศนิวซีแลนด์ 29 มีนาคม – ทหารสหรัฐฯ คนสุดท้ายเดินทางออกจากเวียดนาม 6 เมษายน – ยานไพโอเนียร์ 11 ขึ้นสู่อวกาศ 24 เมษายน – พรรคคอมมิวนิสต์ฟิลิปปินส์จัดตั้งแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (ฟิลิปปินส์) เพื่อรวบรวมกลุ่มฝ่ายซ้ายต่อต้านรัฐบาล 5 พฤษภาคม – สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์ ซึ่งขณะนั้นเป็นทีมจากดิวิชั่น 2 ของอังกฤษ พลิกล็อกชนะ สโมสรฟุตบอลลีดส์ยูไนเต็ด ทีมจากดิวิชั่น 1 และแชมป์เก่า ในการแข่งขันฟุตบอลถ้วยเอฟเอคัพนัดชิงชนะเลิศ ด้วยสกอร์ 1-0 ที่สนามฟุตบอลเวมบลีย์ ประเทศอังกฤษ 10 พฤษภาคม – การบินไทย เที่ยวบินที่ 311 ตกขณะอยู่บนทางวิ่งมีผู้เสียชีวิต 1 ราย 14 พฤษภาคม – สถานีอวกาศสกายแล็บขององค์การนาซา ขึ้นสู่อวกาศจากแหลมคานาเวอรัล 17 พฤษภาคม – การพิจารณาคดีวอเตอร์เกตในวุฒิสภาสหรัฐฯ เริ่มขึ้น 31 พฤษภาคม – อินโดนีเซียจัดให้มีการลงมติเกี่ยวกับเอกราช ผลปรากฏว่าติมอร์ตะวันออกเลือกอยู่กับอินโดนีเซียแต่สหประชาชาติไม่ยอมรับผลการลงประชามตินี้ 30 มิถุนายน – เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงนาน 7 นาที 4 วินาที มองเห็นได้ในทวีปอเมริกาใต้ และมหาสมุทรแอตแลนติก มีสุริยุปราคาเต็มดวงเพียง 7 ครั้งเท่านั้นในคริสต์สหัสวรรษที่ 2 ที่ยาวนานกว่า 7 นาที โดยครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่มีผู้สังเกตการณ์จากเครื่องบินคองคอร์ด ไล่ตามเงามืดของดวงจันทร์จนมองเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงนานถึง 74 นาที === กรกฎาคม-กันยายน === 17 กรกฎาคม – โมฮัมหมัด ซาร์ดาร ดาอูดข่าน ปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลของกษัตริย์ซาฮีร ชาห์ ประกาศตั้งสาธารณรัฐ ซาฮีร ชาห์ลี้ภัยไปอิตาลี 25 กรกฎาคม – สหภาพโซเวียต ส่งยานมาร์ส 5 ขึ้นสู่อวกาศ 11 กันยายน – พลเอก ออกุสโต ปิโนเชต์ ก่อรัฐประหารและก้าวขึ้นเป็นผู้นำรัฐบาลทหารในชิลี 15 กันยายน – เจ้าฟ้าชายคาร์ล กุสตาฟ มกุฎราชกุมารแห่งสวีเดน เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรสวีเดน 24 กันยายน – เปิดการจราจรบนสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า === ตุลาคม === 14 ตุลาคม – วันมหาวิปโยค: นักเรียน นิสิต นักศึกษา รวมทั้งประชาชน รวมตัวประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย เนื่องจากจอมพลถนอม กิตติขจร ใช้อำนาจเผด็จการ ก่อการปฏิวัติยึดอำนาจเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 จัดตั้งรัฐบาลคณะปฏิวัติขึ้นปกครองประเทศ ทำให้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงจนกลายเป็นการจลาจลนองเลือด 15 ตุลาคม – จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร และ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร (3 ทรราช) ออกเดินทางไปนอกประเทศ จากนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่ 17 ตุลาคม – เกิดภาวะขาดแคลนพลังงานอย่างรุนแรงทั่วโลก หลังมีการกักตุนน้ำมันในอาหรับ เพื่อต่อต้านหลายประเทศที่ให้การสนับสนุนอิสราเอล 20 ตุลาคม – สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงอุปรากรซิดนีย์ (Sydney Opera House) ณ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย === พฤศจิกายน === 3 พฤศจิกายน – องค์การนาซาส่งยานมาริเนอร์ 10 ไปยังดาวพุธ (วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2517 กลายเป็นยานอวกาศลำแรกที่เดินทางไปสำรวจดาวพุธ) 16 พฤศจิกายน – โครงการสกายแล็บ: องค์การนาซาส่งสถานีอวกาศสกายแล็บ 4 ขึ้นจากแหลมคานาเวอรัล ฟลอริดา พร้อมนักบิน 3 คน ในภารกิจนาน 84 วัน 17 พฤศจิกายน – นักศึกษาในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ก่อการจลาจลต่อต้านเผด็จการทหาร === ธันวาคม === 3 ธันวาคม – โครงการไพโอเนียร์: ยานไพโอเนียร์ 10 ส่งภาพถ่ายระยะใกล้ภาพแรกของดาวพฤหัสบดีมาถึงโลก 15 ธันวาคม – สิทธิกลุ่มคนรักร่วมเพศ: สมาคมจิตเวชอเมริกัน นำการรักร่วมเพศออกจากคู่มือวินิจฉัยโรคจิต DSM-II == วันเกิด == ===มกราคม=== 4 มกราคม – ภาธร ศรีกรานนท์ นักดนตรีชาวไทย 9 มกราคม – ฌอน พอล นักร้องชาวจาเมกา 16 มกราคม – สมรักษ์ คำสิงห์ นักมวยสากลสมัครเล่นชาวไทย 20 มกราคม – สมเด็จพระราชินีมาตีลด์แห่งเบลเยียม 26 มกราคม – เบรนดัน ร็อดเจอส์ ผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวไอร์แลนด์เหนือ ===กุมภาพันธ์=== 3 กุมภาพันธ์ – แหวนเพชร ชูวัฒนะ นักมวยสากลชาวไทย 4 กุมภาพันธ์ – ออสการ์ เดอ ลา โฮยา นักมวยชาวอเมริกัน 12 กุมภาพันธ์ – ทารา สตรอง นักพากย์ชาวอเมริกัน-แคนาดา 16 กุมภาพันธ์ – คาธี ฟรีแมน นักกรีฑาชาวออสเตรเลีย 18 กุมภาพันธ์ – โกลด มาเกเลเล นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส 26 กุมภาพันธ์ * เอทีบี ดีเจและโปรดิวเซอร์ชาวเยอรมัน * อูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์ นักฟุตบอลชาวนอร์เวย์ ===มีนาคม=== 1 มีนาคม - คัฑลียา มารศรี นักร้องลูกทุ่งชาวไทย 13 มีนาคม – เอ็ดการ์ ดาวิดส์ นักฟุตบอลชาวเนเธอร์แลนด์ 16 มีนาคม – ฮิเดกิ โทดากะ นักมวยสากลชาวญี่ปุ่น 23 มีนาคม – ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ นักร้อง นักแสดง และพิธีกรชาวไทย 24 มีนาคม * ซากุระ ทันเกะ นักพากย์ชาวญี่ปุ่น * จิม พาร์สันส์ นักแสดงและนักแสดงตลกชาวอเมริกัน 26 มีนาคม – แลร์รี เพจ ผู้ประกอบการชาวอเมริกัน 28 มีนาคม – เอ็ดเวิร์ด ฟาตู นักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552) 29 มีนาคม – มาร์ก โอเฟอร์มาร์ส นักฟุตบอลชาวเนเธอร์แลนด์ ===เมษายน=== 5 เมษายน – ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ นักดนตรีและโปรดิวเซอร์ชาวอเมริกัน 10 เมษายน – โรแบร์ตู การ์ลุส นักฟุตบอลชาวบราซิล 14 เมษายน – เอเดรียน โบรดี นักแสดงชาวอเมริกัน 16 เมษายน – เอคอน แร็ปเปอรฺ์ นักร้อง นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์ชาวเซเนกัล-อเมริกัน 20 เมษายน – ชาติชาย งามสรรพ์ นักแสดงชาวไทย 21 เมษายน – คะสึยุกิ โคะนิชิ นักพากย์ชาวญี่ปุ่น 23 เมษายน – ธนะยศ จิวานนท์ นักร้องชายชาวไทย 25 เมษายน – โจมา แกมบัว นักมวยสากลชาวฟิลิปปินส์ ===พฤษภาคม=== 1 พฤษภาคม – โอลิเวอร์ นอยวิลล์ นักฟุตบอลชาวเยอรมัน 8 พฤษภาคม – ฮิโระมุ อะระกะวะ ศิลปินมังงะชาวญี่ปุ่น 10 พฤษภาคม – รึชทือ เรชแบร์ นักฟุตบอลชาวตุรกี 18 พฤษภาคม – แคซ ฮะยะชิ นักมวยปล้ำอาชีพชาวญี่ปุ่น 20 พฤษภาคม – ณัฐิยา ศิรกรวิไล นักเขียนบทละครโทรทัศน์ชาวไทย 29 พฤษภาคม * ธนัท ฉิมท้วม นักร้องและนักแสดงชาวไทย (ถึงแก่กรรม 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560) * สมมาส ราชสีมา นักร้องลูกทุ่งชาวไทย 30 พฤษภาคม — แคท รัตกาล นักร้องลูกทุ่งชาวไทย ===มิถุนายน=== 1 มิถุนายน * อดัม การ์เซีย นักแสดงและนักร้องชาวออสเตรเลีย * ไฮดี คลูม นางแบบชาวเยอรมัน 4 มิถุนายน – ขวัญฤดี กลมกล่อม นักแสดงชาวไทย 5 มิถุนายน – พัน พลุแตก นักแสดงตลก 7 มิถุนายน – นุสบา วานิชอังกูร นักแสดงชาวไทย 7 มิถุนายน – โหน่ง ชะชะช่า นักแสดงตลก 18 มิถุนายน – ยุมิ คะกะซุ นักร้องชาวญี่ปุ่น 19 มิถุนายน – ยูโกะ นะกะซะวะ นักร้องและนักแสดงชาวญี่ปุ่น 26 มิถุนายน – บุญพิทักษ์ จิตต์กระจ่าง นักแสดงชาวไทย (ถึงแก่กรรม 27 ตุลาคม พ.ศ. 2538) ===กรกฎาคม=== 1 กรกฎาคม – เสาหิน ส. ธนิกุล นักมวยสากลชาวไทย 4 กรกฎาคม – แก๊กต์ นักร้อง นักแต่งเพลง และนักแสดงชาวญี่ปุ่น 12 กรกฎาคม – กริสเตียน วีเอรี นักฟุตบอลชาวอิตาลี 13 กรกฎาคม – โรเบร์โต มาร์ตีเนซ ผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวสเปน 15 กรกฎาคม – ไบรอัน ออสติน กรีน นักแสดงชาวอเมริกัน 20 กรกฎาคม * เจ้าชายโฮกุน มกุฎราชกุมารแห่งนอร์เวย์ * มนต์แคน แก่นคูน — นักร้องลูกทุ่งชาวไทย 22 กรกฎาคม — ธีรภัทร์ สัจจกุล นักร้องและนักแสดงชาวไทย 23 กรกฎาคม – โมนิกา ลูวินสกี อดีตเจ้าหน้าที่ฝึกงานประจำทำเนียบขาวชาวอเมริกัน 25 กรกฎาคม – เควิน ฟิลลิปส์ นักฟุตบอลชาวอังกฤษ 26 กรกฎาคม – เคต เบ็กคินเซล นักแสดงชาวอเมริกัน 27 กรกฎาคม – โชคชัย เจริญสุข นักร้องและนักแสดงชาวไทย ===สิงหาคม=== 2 สิงหาคม * กุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดา นักแสดง นักร้อง และนางแบบชาวไทย * ปราบดา หยุ่น นักเขียนชาวไทย 6 สิงหาคม – วีรา ฟาร์มิกา นักแสดงชาวอเมริกัน 9 สิงหาคม – ฟีลิปโป อินซากี นักฟุตบอลชาวอิตาลี 10 สิงหาคม – ณวัฒน์ อิสรไกรศีล พีธีกรชาวไทย 11 สิงหาคม – เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง นักฟุตบอลชายชาวไทย 16 สิงหาคม - ไธรา ฟอน เวสเทิร์นฮาเกน 19 สิงหาคม – เจ้าหญิงเมตเต-มาริต มกุฎราชกุมารีแห่งนอร์เวย์ 20 สิงหาคม * ทรงยศ สุขมากอนันต์ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทย * ปฏิวัติ เรืองศรี นักร้องและนักแสดงชาวไทย 21 สิงหาคม – * เซอร์เกย์ บริน ผู้ประกอบการชาวอเมริกันเชื้อสายรัสเซีย * นีโคไล วาลูเอฟ นักมวยสากลและนักการเมืองชาวรัสเซีย 22 สิงหาคม – ศรราม เทพพิทักษ์ นักร้องและนักแสดงชาวไทย 24 สิงหาคม – เกรย์ ดีไลล์ นักพากย์ชาวอเมริกัน ===กันยายน=== 3 กันยายน – อัษฎา พานิชกุล นักแสดงชาวไทย 4 กันยายน – เจสัน เดวิด แฟรงก์ นักแสดงและนักศิลปะป้องกันตัวชาวอเมริกัน 6 กันยายน * เกร็ก รูเชดสกี นักเทนนิสชาวอังกฤษ * การ์โล กูดีชีนี นักฟุตบอลชาวอิตาลี 11 กันยายน – ซู โหย่วเผิง นักร้องและนักแสดงชาวไต้หวัน 12 กันยายน – พอล วอล์กเกอร์ นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556) 13 กันยายน * เศกพล อุ่นสำราญ นักร้องและนักดนตรีชาวไทย * ฟาบีโอ กันนาวาโร นักฟุตบอลชาวอิตาลี 14 กันยายน * แอนดรูว์ ลินคอล์น นักแสดงชาวอังกฤษ * นาส แร็ปเปอร์ชาวแอฟริกัน-อเมริกัน 15 กันยายน – เจ้าชายดาเนียล ดยุกแห่งเวสเตร์เยิตลันด์ 18 กันยายน * เจมส์ มาร์สเดน นักแสดงชาวอเมริกัน * มาร์ก ชัทเทิลเวิร์ธ ผู้ประกอบการชาวแอฟริกาใต้ 19 กันยายน * พสิษฐ์ ธนชัยบุญยรัตน์ – นักร้องชาวไทย ===ตุลาคม=== 3 ตุลาคม – เนฟ แคมป์เบิล นักแสดงชาวแคนาดา 4 ตุลาคม – คริส พาร์กส์ นักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน 10 ตุลาคม * วีระศักดิ์ ขอบเขต ผู้ประกาศข่าวชาวไทย * มาริโอ โลเปซ นักแสดงชาวอเมริกัน 11 ตุลาคม – ทะเกะชิ คะเนะชิโระ นักแสดงชาวไต้หวัน-ญี่ปุ่น 13 ตุลาคม – นะนะโกะ มะสึชิมะ นักแสดงชาวญี่ปุ่น 22 ตุลาคม * ดีโล บราวน์ นักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน * อิจิโร ซุซุกิ นักเบสบอลชาวญี่ปุ่น 26 ตุลาคม – ทะกะโอะ โยะชิดะ นักมวยปล้ำอาชีพชาวญี่ปุ่น 28 ตุลาคม – มอนเทล วอนเทเวียส พอร์เตอร์ นักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน 29 ตุลาคม – รอแบร์ ปีแร็ส นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส 30 ตุลาคม – อดัม โคปแลนด์ นักมวยปล้ำอาชีพชาวแคนาดา ===พฤศจิกายน=== 1 พฤศจิกายน * วิชชุดา สวนสุวรรณ นักแสดงชาวไทย (ถึงแก่กรรม 7 มกราคม พ.ศ. 2536) * ไอศวรรยา ราย นักแสดงชาวอินเดีย 3 พฤศจิกายน – มิก ทอมสัน นักดนตรีชาวอเมริกัน 5 พฤศจิกายน – จอห์นนี เดมอน นักเบสบอลชาวอเมริกัน 9 พฤศจิกายน – นิก ลาเชย์ นักร้องชาวอเมริกัน 21 พฤศจิกายน – นพชัย ชัยนาม นักแสดงชาวไทย 23 พฤศจิกายน – เจ้าหญิงโซเฟีย ดัชเชสแห่งกาลาเบรีย 25 พฤศจิกายน – วินรวีร์ ใหญ่เสมอ นักร้องและนักแสดงชาวไทย 29 พฤศจิกายน – ไรอัน กิกส์ นักฟุตบอลชาวเวลส์ 30 พฤศจิกายน – เจสัน เรโซ นักมวยปล้ำอาชีพชาวแคนาดา ===ธันวาคม=== 2 ธันวาคม *โมนิกา เซเลส นักเทนนิสชาวฮังการี-ยูโกสลาเวีย *อุเทน พรหมมินทร์ นักร้องชาวไทย 4 ธันวาคม – ไทรา แบงส์ นางแบบและพิธีกรชาวอเมริกัน 8 ธันวาคม * โกะโร อินะงะกิ นักร้องและนักแสดงชาวญี่ปุ่น * เฉลิม ปานเกิด นักแสดงตลกชาวไทย * คอรีย์ เทย์เลอร์ นักร้องชาวอเมริกัน 10 ธันวาคม – อรรถพร ธีมากร นักร้องและนักแสดงชาวไทย 15 ธันวาคม – มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานี นักการเมืองชาวไทย 16 ธันวาคม – กุมารทอง ป.ปลื้มกมล นักมวยสากลชาวไทย 24 ธันวาคม – สเตเฟนี เมเยอร์ นักเขียนชาวอเมริกัน == วันถึงแก่กรรม == === มกราคม === 22 มกราคม – ลินดอน บี. จอห์นสัน ประธานาธิบดีคนที่ 36 แห่งสหรัฐอเมริกา (เกิด 27 สิงหาคม พ.ศ. 2451) 24 มกราคม – มะซะโอะ โอะบะ นักมวยสากลชาวญี่ปุ่น (เกิด 21 ตุลาคม พ.ศ. 2492) 26 มกราคม – เอดเวิร์ด จี. โรบินสัน นักแสดงชาวอเมริกัน (เกิด 12 ธันวาคม พ.ศ. 2436) === มีนาคม === 6 มีนาคม – เพิร์ล เอส. บัค นักเขียนชาวอเมริกัน (เกิด 26 มิถุนายน พ.ศ. 2435) === เมษายน === 8 เมษายน – ปาโบล ปีกัสโซ ศิลปินชาวสเปน (เกิด 25 ตุลาคม พ.ศ. 2424) === พฤษภาคม === 21 พฤษภาคม – จารุพัตรา ศุภชลาศัย (ประสูติ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2447) === มิถุนายน === 9 มิถุนายน – เอริช ฟอน มันชไตน์ ผู้บังคับบัญชากองทหารชาวเยอรมัน (เกิด 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2430) === กรกฎาคม === 20 กรกฎาคม * บรูซ ลี นักแสดงและผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวชาวจีน-อเมริกัน (เกิด 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483) * โรเบิร์ต สมิธสัน ศิลปินชาวอเมริกัน (2 มกราคม พ.ศ. 2481) === สิงหาคม === 6 สิงหาคม – ฟุลเคนเซียว บาติสตา ประธานาธิบดีคนที่ 9 และ 12 ของประเทศคิวบา (เกิด 16 มกราคม พ.ศ. 2444) 16 สิงหาคม – เซลมัน แวกส์มัน นักชีวเคมีชาวอเมริกันเชื้อสายยูเครน (เกิด 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2431) 31 สิงหาคม – จอห์น ฟอร์ด ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอเมริกัน (เกิด 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437) === กันยายน === 2 กันยายน – เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน นักเขียนชาวอังกฤษ (เกิด 3 มกราคม พ.ศ. 2435) 15 กันยายน – สมเด็จพระเจ้ากุสตาฟที่ 6 อดอล์ฟแห่งสวีเดน (พระราชสมภพ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2425) 23 กันยายน – ปาโบล เนรูดา กวีชาวชิลี (เกิด 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2447) 29 กันยายน – ดับเบิลยู. เอช. ออเดน กวีชาวอังกฤษ (เกิด 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2450) === ธันวาคม === 3 ธันวาคม – หม่อมเจ้าพัฒนายุคุณวรรณ ดิศกุล (ประสูติ 8 มกราคม พ.ศ. 2441) 18 ธันวาคม – เดวิด เบนกูเรียน นายักรัฐมนตรีคนที่ 1 และ 3 ของประเทศอิสราเอล (เกิด 16 ตุลาคม พ.ศ. 2429) 20 ธันวาคม – บ็อบบี ดาริน นักร้อง นักแต่งเพลง และนักแสดงชาวอเมริกัน (เกิด 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2479) 23 ธันวาคม – เจอราร์ด ปีเตอร์ ไคเปอร์ นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายเนเธอร์แลนด์ (เกิด 7 ธันวาคม พ.ศ. 2448) == ปีนี้ในบันเทิงคดี == 14 มีนาคม - วันเกิด โมริ ชิน ตัวละครจากเรื่องซามูไรทรูปเปอร์ 9 มิถุนายน - วันเกิด ดาเตะ เซจิ ตัวละครจากเรื่องซามูไรทรูปเปอร์ 15 สิงหาคม - วันเกิด ซานาดะ เรียว ตัวละครจากเรื่องซามูไรทรูปเปอร์ 1 กันยายน - วันเกิด ชู เร ฟาน ตัวละครจากเรื่องซามูไรทรูปเปอร์ 10 ตุลาคม - วันเกิด ฮาชิบะ โทมะ ตัวละครจากเรื่องซามูไรทรูปเปอร์ == รางวัล == === รางวัลโนเบล === สาขาเคมี – Ernst Otto Fischer, Geoffrey Wilkinson สาขาวรรณกรรม – แพทริค วิคเตอร์ มาร์ตินเดล ไวท์ สาขาสันติภาพ – เฮนรี เอ. คิสซิงเกอร์, Lê Ðức Thọ สาขาฟิสิกส์ – Leo Esaki, Ivar Giaever, Brian David Josephson สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ – คาร์ล ฟอน ฟริสช์, คอนราด โลเรนซ์, นิโกลาส์ ทินเบอร์เกน สาขาเศรษฐศาสตร์ – Wassily Leontief
thaiwikipedia
1,800
สครีมแทร็คเกอร์
ScreamTracker (สครีมแทร็คเกอร์) คือเครื่องเรียงลำดับเสียงอเนกประสงค์แบบดิจิตอลซึ่งถูกผลิตขึ้นโดยคณะฟิวเจอร์ ครูว์ของประเทศฟินแลนด์, ซึ่งเชี่ยวชาญการทำตัวอย่างโปรแกรมในพีซี มันถูกสร้างโดยรหัสภาษา Assembly โดยในเวอร์ชัน 3.0 ของโปรแกรมถูกสร้างให้เป็นไฟล์แบบ STM, และเวอร์ชันล่าสุดใช้ไฟล์แบบ D3M เวอร์ชันล่าสุดของ ScreamTracker คือเวอร์ชัน 3.21 สร้างเสร็จและปล่อยให้ดาวน์โหลดในปี พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) มันเป็นคือโปรแกรมรุ่นแรกๆ ในบรรดาโปรแกรมเรียงลำดับเสียงทั้งหลายที่ถูกใช้ในพีซี และเป็นต้นแบบหน้าต่างการใช้ของโปรแกรมรุ่นใหม่อย่างเช่น Impulse Tracker Scream Tracker สามารถรองรับการใช้งานของตัวอย่างเสียงแบบ 8-บิต ได้ 100 ตัวอย่าง, 32 ช่องเสียง, 100 ลักษณะ และ คำสั่งลำดับเสียงได้ 256 คำสั่ง == หัวข้อเพิ่มเติม == - Impulse Tracker - ไฟล์ต้นแบบ เครื่องเรียงลำดับเสียง ซอฟต์แวร์บนดอส
thaiwikipedia
1,801