title
stringlengths 1
182
| text
stringlengths 1
45.8M
| source
stringclasses 5
values | __index_level_0__
int64 0
197k
|
---|---|---|---|
ปลาแซลมอน
|
ปลาแซลมอน เป็นปลาที่กำเนิดในน้ำจืด เจริญเติบโตและใช้ชีวิตในน้ำเค็ม มีพฤติกรรม การดำรงชีวิตและการสืบพันธุ์ต่างจากปลาทั่วไป อาศัยในน้ำเค็มเป็นหลัก แต่ฤดูวางไข่ปลาจะว่ายทวนกระแสน้ำ เพื่อผสมพันธ์ในน้ำจืด หลังจากนั้นทั้งตัวผู้และตัวเมียจะตาย ลูกปลาที่ฟักออกมาจากไข่ จะว่ายน้ำออกสู่ทะเล เมื่อโตเต็มวัยและถึงเวลาวางไข่ ก็จะอพยพกลับไปวางไข่ยังซึ่งถิ่นกำเนิด
ปลาแซลมอนที่นำมาบริโภคร้อยละ 60 มาจากการเพาะเลี้ยง โดยแหล่งเพาะเลี้ยงที่สำคัญของโลกอยู่ในประเทศนอร์เวย์ และ ชิลี
ในธรรมชาติปลาแซลมอนจะกินสัตว์ทะเล เช่น กุ้งตัวเล็ก ๆ รวมทั้งพืชทะเล
การเพาะเลี้ยง
พื้นที่เพาะเลี้ยง
การเพาะเลี้ยง.
นอกจากนอร์เวย์แล้ว ประเทศชิลีก็มีสภาพทางภูมิศาสตร์เหมาะสมต่อการเพาะเลี้ยง โดยมีชายฝั่งเป็นแนวยาว ทั้งยังใกล้กับแหล่งอาหารสำคัญของปลาแซลมอน
ส่วนแหล่งเพาะเลี้ยงปลาแซลมอนในประเทศอื่นๆ เช่น แคนาดา อังกฤษ ก็จัดเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงปลาแซลมอนที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของโลก
รูปแบบการเพาะเลี้ยง
การอนุบาลตัวอ่อน
อาหาร
ดูเพิ่ม
กุ้งเรดบี
งวงตาล
ปลาแซลมอน
ปุ๋ยหมัก
ผักกาดหอม
ไม้คาบ
อ้างอิง
|
thaiwikibooks
| 195,280 |
หนี้/ดัชนี
|
กลายเป็นคนไม่สามารถชำระหนี้
กลายเป็นพ้นวิสัย
ความวินาศแห่งทรัพย์ ตกเป็นพับแก่เจ้าของ
ค่าโง่
เงินตรา
เจ้าหนี้
ชนิด (ของทรัพย์ที่ใช้ชำระหนี้)
ชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย, การ
ชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย, การ
ตกเป็นพ้นวิสัย
ตามหน้าที่ศีลธรรมหรือตามควรแก่อัธยาศัยในสมาคม
ทรัพย์เฉพาะสิ่ง
ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้
นิติเหตุ
ประเภท (ของทรัพย์ที่ใช้ชำระหนี้)
มูลหนี้
ไม่อาจจะเลือกได้ก็ดี หรือไม่เต็มใจจะเลือกก็ดี
ลูกหนี้
ลูกหนี้กลายเป็นคนไม่สามารถชำระหนี้
วัตถุแห่งหนี้
วัตถุแห่งหนี้นั้นได้ระบุไว้แต่เพียงเป็นประเภท
วัตถุแห่งหนี้เป็นเงินตรา
วัตถุแห่งหนี้เป็นทรัพย์
วัตถุแห่งหนี้มีหลายอย่าง
สิทธิเรียกร้อง
สิทธิเลือก
สุดวิสัย
เสียค่าโง่
หน้าที่จะต้องทำสิ่งอันพ้นวิสัยนั้นไม่มี
หนี้
หนี้ขาดหลักฐาน
หนี้ขาดอายุความ
หนี้โดยธรรม
หนี้ทางใจ
หนี้พ้นวิสัย
หนี้เลือกชำระได้
หนี้สิน
เหตุสุดวิสัย
impossibilium nulla obligatio est
no one is obligated beyond what he is able to do
one cannot be obliged to perform impossible tasks
res perit domino
the thing is lost to the owner
ultra posse nemo obligatur
|
thaiwikibooks
| 195,281 |
การตลาด/กลยุทธ์การตลาด
|
-ซุนวู
กลยุทธ์การตลาดขององค์กร และหน้าที่หกประการ
กลยุทธ์การตลาดขององค์กร และหน้าที่หกประการ.
มุ่งเน้นการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อลูกค้า
กลยุทธ์การตลาดโดยรวมขององค์กรควรจะมุ่งเน้นการพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อทำความเข้าใจความต้องการของพวกเขา และการพัฒนาสินค้า, บริการ และความคิดที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านั้น
รวบรวมข้อมูล: วิจัยถึงศักยภาพของลูกค้า, ความต้องการของพวกเขา และพฤติกรรมการใช้จ่าย เพื่อทำความเข้าใจถึงประเภทของผลิตภันฑ์, บริการ หรือความคิดที่พวกเขาต้องการที่จะซื้อ
การประเมินผลศักยภาพขององค์กร: ตัดสินใจเลือกสิ่งที่องค์กรของคุณสามารถผลิตได้ค่อนข้างดี และสิ่งใดที่องค์กรของคุณไม่สามารถผลิตได้ โดยอิงจากจุดแข็งและจุดอ่อนขององค์กรโดยเฉพาะ
ระบุโอกาสทางการตลาด: การวิจัยตลาดปัจจุบันสำหรับแนวความคิดด้านผลิตภัณฑ์ และมองหาโอกาส เช่น ไม่มีการแข่งขัน หรือมีความต้องการเป็นอย่างยิ่ง
กำหนดวัตถุประสงค์ของกลยุทธ์การตลาด: ตัดสินใจถึงสิ่งที่จำเป็นในการก่อให้เกิดความสำเร็จในการสั่งซื้อเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร เช่น ยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นแบบเฉพาะเจาะจง หรือกำไรสุทธิ
กำหนดแผนปฏิบัติการ: ระบุรายการขั้นตอนขององค์กรที่จะเป็นใช้ในการดำเนินแผนการตลาด และกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบให้แก่สมาชิกทีมงานแบบเฉพาะเจาะจง
ตรวจสอบและประเมิน: ศึกษาแผนการตลาดอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อไตรมาสเพื่อติดตามผลการดำเนินงานกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
การประเมินโอกาสทางการตลาด
เทคนิคในวงกว้าง
กลยุทธ์ตลาดแบบเฉพาะ: หาช่องทางเข้าถึงลูกค้าภายใต้การบริการด้วยข้อเสนอที่มีอยู่ในปัจจุบัน
กลยุทธ์การเจริญเติบโต: เพิ่มรายได้จากตลาดที่มีอยู่ตามช่องทางการตลาดที่มีอยู่และส่งมอบ เป็นการดีกว่าที่จะเสนอในตลาดเป้าหมายใหม่
กลยุทธ์การป้องกัน: รักษาตำแหน่งความเป็นผู้นำโดยการพัฒนาความจงรักภักดีที่มีต่อตราสินค้า และการกระจายมวลสินค้า
กลยุทธ์ที่น่ารังเกียจ: นำนโยบายการตัดราคามาใช้เพื่อยึดก่อนการเข้ามาของบริษัทใหม่หรือขับไล่คู่แข่งที่มีอยู่ออกไป
เทคนิคเฉพาะ
ส่วนแบ่งการตลาด: เพิ่มยอดจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันขององค์กรในตลาดปัจจุบันผ่านแคมเปญการตลาดเชิงรุกให้มากขึ้น
การพัฒนาการตลาด: เพิ่มยอดจำหน่าย โดยการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปัจจุบันในตลาดใหม่ ซึ่งอาจจะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคใหม่หรือเพื่อระบุกลุ่มตลาดใหม่ได้
การพัฒนาผลิตภัณฑ์: นำเสนอและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตลาดที่มีอยู่ในปัจจุบัน
การกระจาย: ทำการย้ายเข้าไปอยู่ในสายที่หลากหลายที่สามารถการสร้างรายได้
สารบัญ
บทนำ
เป้าหมายการตลาด
กลยุทธ์การตลาด
แผนการตลาด
การกำหนดเป้าหมายและการแบ่งกลุ่ม
พฤติกรรมผู้บริโภค
การพัฒนาผลิตภัณฑ์
การวิจัยการตลาด
จริยธรรมการตลาด
|
thaiwikibooks
| 195,282 |
Property
|
REDIRECTทรัพย์สิน
|
thaiwikibooks
| 195,283 |
Obligation
|
REDIRECTหนี้
|
thaiwikibooks
| 195,284 |
Repurchase
|
REDIRECTขายฝาก
|
thaiwikibooks
| 195,285 |
ทรัพย์สิน/บทที่ 1
|
นิยามของทรัพย์และทรัพย์สิน
นิยามของทรัพย์และทรัพย์สิน.
ในกฎหมายลักษณะทรัพย์สินปรากฏคำอยู่สองคำ คือ "ทรัพย์" และ "ทรัพย์สิน" ทั้งสองมีความหมายต่างกัน และต้องใช้อย่างระมัดระวังเช่นเดียวกับศัพท์กฎหมายศัพท์อื่น ๆ
ทรัพย์
ทรัพย์.
ทรัพย์ (thing) นั้น ป.พ.พ. ม. 137 นิยามไว้ว่า เป็นวัตถุมีรูปร่าง (res corporales, corporeal object) กล่าวคือ วัตถุที่มีรูปและมีร่างอยู่ในตัว มีตัวตน มีสัดส่วน แม้เล็กน้อยจนไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ตาม เช่น สมุด ปากกา โต๊ะ ตู้ เก้าอี้ รถยนต์ เรือ ปรสิต อะมีบา
ตามกฎหมายไทย ทรัพย์หมายความรวมถึงสัตว์ด้วย แต่ตามกฎหมายบางประเทศ ทรัพย์ไม่รวมสัตว์ เช่น กฎหมายเยอรมันระบุไว้ชัดเจนว่า สัตว์ไม่ใช่ทรัพย์ แต่ให้นำบทบัญญัติเรื่องทรัพย์มาใช้บังคับแก่สัตว์โดยอนุโลมเท่าที่ไม่ได้ว่าไว้เป็นอื่น
นักกฎหมายบางคนเห็นว่า นอกจากเป็นวัตถุมีรูปร่างแล้ว ทรัพย์ยังต้องอาจมีราคาและอาจถือเอาได้ด้วย เพราะเห็นว่า ป.พ.พ. ม. 137 ต้องใช้ประกอบ ม. 138 ที่กำหนดนิยามทรัพย์สิน นักกฎหมายฝ่ายนี้กล่าวว่า ที่มีความเห็นเช่นนี้ เพราะสิ่งมีรูปร่างบางอย่างไม่อาจมีราคาหรือถือเอาได้ ไม่สมควรจัดเป็นทรัพย์ เช่น มนุษย์มีรูปร่าง แต่มนุษย์ไม่เป็นทรัพย์ เพราะตีราคาหรือถือครองดังสินค้าไม่ได้ แต่อวัยวะมนุษย์ที่ขาดจากร่างกายมนุษย์แล้ว หรือศพมนุษย์ เป็นทรัพย์ได้ เป็นต้นว่า ดวงตาที่ขายหรืออุทิศเพื่อการแพทย์ ศพมนุษย์ที่ดองหรือบริจาคเพื่อการศึกษา หรือที่ผู้คนรักษาไว้เพื่อศาสนาประโยชน์หรือเพื่อประโยชน์ทางใจ
แต่ก็มีนักกฎหมายเห็นแย้งว่า ทรัพย์ไม่จำต้องมีราคาหรือถือเอาได้ เพราะถ้าตีความเช่นนั้น จะกลายเป็นว่า ทรัพย์ทุกอย่างสามารถเป็นทรัพย์สินได้ แล้วกฎหมายจะแยกระหว่างทรัพย์กับทรัพย์สินเพื่อเหตุอันใด อนึ่ง ป.พ.พ. ม. 143 ยังนิยาม "ทรัพย์นอกพาณิชย์" ไว้ว่าเป็น "ทรัพย์ที่ไม่สามารถถือเอาได้" ก็แสดงอยู่ว่า ทรัพย์ไม่จำต้องถือเอาได้ ทรัพย์จึงมีความหมายเพียงที่ ป.พ.พ. ม. 137 นิยามไว้ คือ เป็นวัตถุที่มีรูปร่าง
ทรัพย์สิน
ความหมายของทรัพย์สิน
ทรัพย์สิน.
ความหมายของทรัพย์สิน.
ทรัพย์สิน (property) นั้น ป.พ.พ. ม. 138 นิยามไว้ว่า เป็นวัตถุที่มีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างก็ได้ แต่อาจมีราคาและอาจถือเอาได้
วัตถุมีรูปร่าง ก็คือ ทรัพย์ ส่วนวัตถุที่ไม่มีรูปร่าง (res incorporales, incorporeal object) ก็ตรงกันข้าม กล่าวคือ เป็นวัตถุที่ไม่มีสัณฐาน ไม่มีสัดส่วน ไม่กินที่ หรือไม่มีความเต็มอยู่ในตัว เช่น ช้าง ม้า โค กระบือ บ้าน รถ เรือ เรือน ลิขสิทธิ์ สิทธิในเครื่องหมายการค้า และสิทธิเรียกร้อง ล้วนเป็นทรัพย์สิน
ส่วนที่ว่า "อาจมีราคา" (valuable) หมายความว่า มีคุณค่าอยู่ในตัว ซึ่งไม่จำต้องเป็นคุณค่าทางเศรษฐกิจ เพียงมีค่าสำหรับเจ้าของก็นับเป็นทรัพย์สินได้ เช่น จดหมายรัก หรือสลากที่ไม่ถูกรางวัลแล้วแต่เจ้าของเก็บรักษาไว้เป็นที่ระลึก และที่ว่า "อาจถือเอาได้" (susceptible of being appropriated) นั้น หมายความว่า อาจถือครองเป็นสิทธิได้ หรืออาจเข้าหวงกันไว้เพื่อตนเองได้ เช่น ลิขสิทธิ์เป็นสิ่งไม่มีรูปร่าง แต่อาจเป็นเจ้าของได้ ลิขสิทธิ์จึงเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง
คำว่า "ทรัพย์สิน" นี้ ครั้งปฏิรูปกฎหมายในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ และก่อนประกาศใช้ ป.พ.พ. เคยเรียกว่า "ทรัพย์สมบัติ"
ประเด็นเกี่ยวกับสิทธิ
ประเด็นเกี่ยวกับสิทธิ.
มีนักกฎหมายเห็นว่า สิทธิที่จะนับเป็นทรัพย์สินได้ ต้องได้รับการรับรองตามกฎหมายไทยแล้ว และศาลไทยมีความเห็นในทางนี้ เช่น เคยวินิจฉัยว่า "สิทธิเปเต้นท์" (patent right หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า "สิทธิตามสิทธิบัตร") ในขณะนี้ (ขณะที่วินิจฉัยนั้น) ยังไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายไทยก่อตั้งคุ้มครอง จึงยังไม่เป็นสิทธิตามกฎหมาย และไม่สามารถเรียกร้องให้บังคับบัญชาทางศาลได้
อนึ่ง ศาลไทยวินิจฉัยไว้ว่า สิทธิเรียกร้องเป็นทรัพย์สินที่ซื้อขายกันได้ คำวินิจฉัยนี้อาจทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับการโอนสิทธิเรียกร้องได้ เพราะปรกติแล้ว การโอนสิทธิเรียกร้องต้องทำตามวิธีในกฎหมายลักษณะหนี้ แต่เมื่อซื้อขายกัน อาจเข้าใจได้ว่า เพียงโอนกันตามกฎหมายลักษณะซื้อขายก็พอ ไม่ต้องทำตามวิธีดังกล่าวอีก ข้อนี้ นักกฎหมายเห็นว่า การซื้อขายสิทธิเรียกร้องก็เป็นการโอนสิทธิเรียกร้องรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทางกฎหมายเรียกว่า "การโอนสิทธิเรียกร้องโดยมีค่าตอบแทน" เพราะฉะนั้น ยังต้องทำตามวิธีโอนสิทธิเรียกร้องในกฎหมายลักษณะหนี้อยู่
สิ่งที่ศาลไทยเคยวินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สิน
ทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญา.
ทรัพย์สินทางปัญญา (intellectual property) หมายถึง ผลผลิตอันเกิดขึ้นจากสติปัญญาของมนุษย์ แม้มีชื่อว่าทรัพย์สิน แต่ในวงการกฎหมายก็ถกเถียงกันมายาวนานว่า ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินหรือไม่ เรื่องนี้ เดิมนักกฎหมายเห็นกันเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายแรกว่า ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สิน เพราะมีราคาและถือเอาได้ ทั้งสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญานั้นยังเกิด โอน และระงับไปได้ตามที่มีกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญารับรองไว้
ฝ่ายที่สองว่า ทรัพย์สินทางปัญญาไม่เป็นทรัพย์สิน เพราะต่างจากทรัพย์สินในหลาย ๆ ประการ เป็นต้นว่า สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาไม่ได้ตั้งอยู่บนทรัพย์สินที่มีตัวมีตนโดยแท้จริง และทรัพย์สินทางปัญญายังไม่อาจครอบครองปรปักษ์ได้ ศาลไทยเองก็อยู่ฝ่ายที่สอง
ปัจจุบัน นักกฎหมายส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินรูปแบบหนึ่ง เพราะสามารถใช้แสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้เช่นเดียวกับทรัพย์สินอื่น ๆ
เนื่องจากทรัพย์สินทางปัญญามีลักษณะพิเศษ ทั้งยังไม่อาจจัดเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ได้ เป็นต้นว่า ทรัพย์สินทั่วไปเมื่อซื้อขายกันกรรมสิทธิ์ย่อมโอนจากผู้ซื้อไปยังผู้ขายด้วย แต่ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้นว่า ซีดีเพลงหนึ่งแผ่น เมื่อซื้อขายกัน ลิขสิทธิ์ในเพลงตามซีดีแผ่นนั้นไม่ได้โอนจากผู้ซื้อไปยังผู้ขาย และเมื่อครอบครองเพลงไว้เป็นเวลานาน ผู้ครอบครองก็ไม่ได้ลิขสิทธิ์ในเพลงนั้นไปโดยอายุความเช่นเดียวกับการครอบครองปรปักษ์ซึ่งทรัพย์สินอย่างอื่น ฉะนั้น จึงนำบทกฎหมายทั่วไปที่ว่าด้วยทรัพย์สินมาใช้บังคับแก่ทรัพย์สินทางปัญญาไม่ได้ และมีกฎหมายเฉพาะกำกับอยู่แล้ว คือ กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์และทรัพย์สินในกฎหมายอาญา
สภาพปัญหา
ทรัพย์และทรัพย์สินในกฎหมายอาญา.
สภาพปัญหา.
ความหมายของทรัพย์และทรัพย์สินในกฎหมายแพ่งนั้นไม่เป็นปัญหาเท่ากับในกฎหมายอาญา
ในช่วงที่กฎหมายลักษณะอาญา ยังใช้บังคับอยู่ มีการลักกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นหลายครั้ง และเนื่องจากกฎหมายลักษณะอาญาวางนิยามคำว่า "ทรัพย์" ไว้ครอบคลุมถึงวัตถุไม่มีรูปร่าง การลักกระแสไฟฟ้าตามกฎหมายเก่าจึงเป็นการลักทรัพย์
ครั้นกฎหมายลักษณะอาญาถูกยกเลิกและแทนที่ด้วย ป.อ. เมื่อปี 2500 ก็เกิดคดีลักกระแสไฟฟ้าเมื่อปี 2501 เป็นคดีแรก และมีปัญหาเกี่ยวกับความหมายของคำว่า "ทรัพย์" และ "ทรัพย์สิน" อันเป็นคำที่ปรากฏใน ป.อ. แต่ ป.อ. มิได้นิยามไว้ดังกฎหมายลักษณะอาญา เพราะเมื่อไม่ได้นิยามไว้ ก็ต้องถือความหมายตาม ป.พ.พ. อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่และกำหนดนิยามไว้ และเมื่อถือเช่นนี้แล้ว กระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นวัตถุไม่มีรูปร่างย่อมเป็นทรัพย์สิน มิใช่ทรัพย์ และการลักกระแสไฟฟ้าย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ (ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์สิน) อย่างกรณีตามกฎหมายลักษณะอาญาอีกต่อไป
คำวินิจฉัยของศาล
คำวินิจฉัยของศาล.
ในคดีลักกระแสไฟฟ้าเมื่อปี 2501 ดังกล่าว (คดีระหว่างพนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ กับฮั่วเชียง หรือฮวดเชียง แซ่เตีย และพวก จำเลย) จำเลยเอาสายไฟฟ้าของตนต่อเข้าสายไฟฟ้าหลัก (สายเมน) ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติว่า กระแสไฟฟ้าเป็นทรัพย์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. ม. 334 หรือ 335
คำวินิจฉัยนี้ปรากฏใน ฎ. 877/2501 และศาลฎีกาไม่ได้ระบุเหตุผลในการวินิจฉัย แต่ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ หมายเหตุไว้ท้าย ฎ. นั้นว่า
ความเห็นของนักกฎหมาย
ความเห็นของนักกฎหมาย.
มีผู้วิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยข้างต้นของศาลฎีกาเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกไม่เห็นด้วย โดยมีความเห็นว่า กฎหมายอาญามีหลักอยู่ว่า ต้องตีความโดยเคร่งครัด เมื่อ ป.อ. ไม่ได้วางนิยามไว้ นิยามของ "ทรัพย์" และ "ทรัพย์สิน" ที่ใช้ใน ป.อ. ควรเป็นไปตาม ป.พ.พ. ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่และวางนิยามไว้ ฉะนั้น กระแสไฟฟ้าย่อมเป็นทรัพย์สิน เพราะโดยสภาพแล้วไม่มีรูปร่าง การที่ศาลตีความว่า กระแสไฟฟ้าเป็นทรัพย์อันหมายถึงวัตถุมีรูปร่างนั้น เป็นการขยายบทกฎหมายออกไปให้เป็นโทษแก่บุคคล ทำให้การกระทำที่กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าเป็นความผิดต้องกลายเป็นความผิดขึ้นมา ขัดกับหลักกฎหมายที่ว่า "ไม่มีโทษถ้าไม่มีกฎหมายกำหนด" (nulla poena sine lege, no penalty without law)
ส่วนฝ่ายที่สองเห็นด้วยกับศาลฎีกา โดยให้ความเห็นว่า กระแสไฟฟ้าเป็นวัตถุที่พาไปจากเจ้าของได้ วัดปริมาณที่พาไปนั้นได้ และมีราคาด้วย จึงพอถือได้ว่า กระแสไฟฟ้ามีรูปมีร่าง มีราคา และถือเอาได้ กระแสไฟฟ้าจึงเป็นทรัพย์ตาม ป.อ. แล้ว การตีความดังนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ ป.อ. มิใช่การขยายความ ป.อ. แต่ประการใด ทั้งยังชอบด้วยความยุติธรรมและสามารถธำรงความสงบเรียบร้อยได้ เพราะผู้ลักกระแสไฟฟ้าสมควรรับโทษอยู่แล้ว
ปัญหาเรื่องทรัพย์และทรัพย์สินใน ป.อ. นี้ ได้นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 ในช่วงปี 2534-2535 โดยมีประเด็นว่า ควรขยายนิยามคำว่า "ทรัพย์" ใน ป.พ.พ. ให้รวมพลังงานธรรมชาติและพลังงานอื่นที่ควบคุมได้ด้วยหรือไม่ กรรมการมีความเห็นเป็นสองฝ่าย คือ เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเช่นนั้น เพื่อให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกา กับไม่สมควรแก้ไขเพิ่มเติม เพราะตามกฎหมายปัจจุบัน พลังงานซึ่งเป็นวัตถุไม่มีรูปร่างจัดเป็นทรัพย์สินประเภทสังหาริมทรัพย์ ถ้าให้พลังงานเป็นทรัพย์ ก็จะขัดกับนิยามของทรัพย์ที่หมายถึงวัตถุมีรูปร่าง และไปซ้อนกับนิยามของทรัพย์สิน ที่สุด คณะกรรมการมีมติเห็นชอบตามฝ่ายที่สอง ส่วนเรื่องการลักกระแสไฟฟ้าในทางอาญาควรไปบัญญัติเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก นิยาม "ทรัพย์" กับ "ทรัพย์สิน" ใน ป.พ.พ. จึงคงเดิม
คดีอื่น
คดีอื่น.
หลังจากคดีลักกระแสไฟฟ้านั้นแล้ว ก็มีคดีลักวัตถุไม่มีรูปร่างทำนองเดียวกันอีกหลายคดี ซึ่งศาลไทยวินิจฉัยคละกันไป ทั้งว่าเป็นลักทรัพย์ตาม ป.อ. และไม่เป็น เช่น
ทรัพยสิทธิและบุคคลสิทธิ
ทรัพยสิทธิและบุคคลสิทธิ.
กล่าวมาแล้วว่า กองทรัพย์สินของบุคคลประกอบด้วยทรัพย์สิน สิทธิเรียกร้อง และหนี้ สิทธิเรียกร้องและหนี้นั้นปรากฏตัวอยู่ในรูปสิทธิที่เรียก "บุคคลสิทธิ" ส่วนสิทธิทางทรัพย์สินนั้นเรียกว่า "ทรัพยสิทธิ"
กฎหมายลักษณะทรัพย์สินว่าด้วยทรัพยสิทธิเป็นหลัก ส่วนบุคคลสิทธินั้นปรากฏอยู่ในกฎหมายส่วนอื่นที่ว่าด้วยนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น กฎหมายลักษณะหนี้ กับกฎหมายลักษณะนิติกรรมและสัญญา และตลอดเวลาที่ศึกษากฎหมายลักษณะทรัพย์สิน จะได้พบทั้งทรัพยสิทธิและบุคคลสิทธิ
ในโอกาสนี้ จึงสมควรเรียนรู้ว่า บุคคลสิทธิและทรัพยสิทธิคืออะไรและต่างกันเช่นไร
ความหมายของบุคคลสิทธิ
ความหมายของบุคคลสิทธิ.
บุคคลสิทธิ (ius in personam, personal right) เป็นสิทธิเหนือบุคคล กล่าวคือ บุคคลสิทธิมีสาระเป็นบุคคล ใช้อ้างเพื่อบังคับเอาประโยชน์จากตัวบุคคลได้โดยตรง ซึ่งก็คือ อ้างให้บุคคลกระทำการ งดเว้นกระทำการ หรือส่งมอบทรัพย์สิน
เช่น หม่ำจ้างเท่งเป็นนักร้องในสังกัดบริษัทจีเอ็งเอ็งแกร็มม่าของหม่ำ ตกลงกันว่า เท่งจะทำอัลบัมเพลงจำนวนสิบชุดกับบริษัทในเวลาสิบปี และระหว่างนั้นห้ามทำงานเพลงให้แก่บริษัทอื่น ภายในเวลาสิบปีดังกล่าว หม่ำมีสิทธิเรียกให้เท่งทำอัลบัมเพลงสิบชุด และมีสิทธิห้ามเท่งทำงานเพลงให้แก่บริษัทอื่น สิทธิดังกล่าวของหม่ำเป็นบุคคลสิทธิประเภทสิทธิเรียกร้อง และหม่ำก็มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่เท่งตามตกลง หน้าที่นี้ของหม่ำเรียกว่าหนี้ ในขณะเดียวกัน เท่งมีหน้าที่จะต้องอัลบัมเพลงให้แก่บริษัทจีเอ็งเอ็งแกร็มม่าและไม่ทำงานเพลงให้แก่บริษัทอื่น หน้าที่นี้ของเท่งเรียกว่าหนี้ และเท่งก็มีสิทธิเรียกให้หม่ำจ่ายค่าจ้างตามตกลง สิทธินี้ของเท่งคือสิทธิเรียกร้องซึ่งเป็นบุคคลสิทธิ
ความหมายของทรัพยสิทธิ
ความหมายของทรัพยสิทธิ.
ทรัพยสิทธิ (ius in rem, real right) เป็นสิทธิเหนือทรัพย์สิน กล่าวคือ ทรัพยสิทธิมีสาระเป็นทรัพย์สิน ใช้อ้างเพื่อบังคับเอาประโยชน์จากตัวทรัพย์สินได้โดยตรง
ตัวอย่างของทรัพยสิทธิ เช่น กรรมสิทธิ์ อันเป็นสิทธิที่เจ้าของทรัพย์สินจะใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินนั้น ได้ดอกผลจากทรัพย์สินนั้น ติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินนั้น ตลอดขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้า เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะได้ศึกษากันข้างหน้า
ความแตกต่างระหว่างบุคคลสิทธิกับทรัพยสิทธิ
เชิงอรรถ
|
thaiwikibooks
| 195,286 |
ทรัพยสิทธิ
|
REDIRECTทรัพย์สิน/บทที่ 1#ทรัพยสิทธิและบุคคลสิทธิ
|
thaiwikibooks
| 195,287 |
บุคคลสิทธิ
|
REDIRECTทรัพย์สิน/บทที่ 1#ทรัพยสิทธิและบุคคลสิทธิ
|
thaiwikibooks
| 195,288 |
ทรัพย์สิน/บทที่ 3
|
หลายกรณี ปรากฏว่ามีทรัพย์สินอย่างหนึ่งเกี่ยวเนื่องกับทรัพย์สินอีกอย่างหนึ่ง จึงก่อปัญหาว่าใครเป็นเจ้าของทรัพย์สินแต่ละอย่างได้
ในบทนี้ จะได้ศึกษาทรัพย์สินทำนองดังกล่าวตามนี้
ส่วนที่ 1 ส่วนควบ - ส่วนของทรัพย์ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของทรัพย์นั้นตามสภาพหรือตามธรรมเนียม ทั้งยังไม่สามารถแยกขาดจากทรัพย์นั้นได้ด้วย เว้นแต่ทำให้ทรัพย์นั้นแปรสภาพไป
ส่วนที่ 2 อุปกรณ์ - สังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นของประจำกับทรัพย์อีกอย่างหนึ่ง มีไว้ใช้คู่กันหรือใช้ดูแลรักษาทรัพย์อย่างหลังนั้น
ส่วนที่ 3 ดอกผล - ทรัพย์ที่งอกเงยจากทรัพย์อีกอย่างหนึ่ง
|
thaiwikibooks
| 195,289 |
Vagabond (Flyff)
|
เปลี่ยนทาง ฟลิฟออนไลน์#อาชีพ
|
thaiwikibooks
| 195,290 |
ทรัพย์สิน/บทที่ 3/ส่วนที่ 1
|
(essential part หรือ component part หรือในระบบคอมมอนลอว์เรียก fixture) นั้น ป.พ.พ. ม. 144 ว. 1 นิยามว่า เป็นทรัพย์ซึ่งเป็นส่วนประกอบของทรัพย์อีกชิ้นหนึ่ง และตามสภาพก็ดี หรือตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น (local custom) ก็ดี ถือกันว่า ทรัพย์ชิ้นแรกนั้นมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของทรัพย์ชิ้นหลัง ถึงขนาดที่แยกจากกันไม่ได้ เว้นแต่จะทำให้ทรัพย์ไม่ชิ้นใดก็ชิ้นหนึ่งต้องแปรสภาพไป เช่น ไส้เป็นส่วนควบของซาลาเปา และล้อเป็นส่วนควบของรถยนต์
ลักษณะของส่วนควบ
ลักษณะของส่วนควบ.
จากนิยามใน ป.พ.พ. ม. 144 ว. 1 อธิบายได้ว่า ส่วนควบมีลักษณะสองประการ คือ
1. ส่วนควบของทรัพย์ใดย่อมมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น เมื่อว่ากันตามสภาพของทรัพย์หรือตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นแล้ว และ
2. ส่วนควบของทรัพย์ใดย่อมไม่อาจแยกจากทรัพย์นั้นได้ เว้นแต่จะทำให้ส่วนควบก็ดี หรือทรัพย์ก็ดี ต้องแปรสภาพไป
ส่วนควบมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของทรัพย์
ส่วนควบมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของทรัพย์.
ส่วนควบต้องมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของทรัพย์อื่น หรือที่ ป.พ.พ. ม. 144 ว. 1 พรรณนาว่า "เป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์" (essential to the existence of a thing) ความสำคัญที่ว่านี้แบ่งเป็นสองกรณี คือ
1. ความสำคัญตามสภาพของทรัพย์ เช่น หน้าจอย่อมเป็นส่วนควบของคอมพิวเตอร์ เพราะตามสภาพแล้วคอมพิวเตอร์จะขาดหน้าจอมิได้
2. ความสำคัญตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น หมายความว่า ตามสภาพแล้ว ทรัพย์สองสิ่งที่มาอยู่ด้วยกันไม่ได้ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของกัน แต่เมื่อว่ากันตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นแล้ว มีความสำคัญต่อกัน ตัวอย่างที่ยกกันมากที่สุด คือ เรือกับพาย พายเป็นส่วนควบของเรือตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น
จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น หมายความว่า ให้พิจารณาจารีตประเพณีในท้องที่เกิดเหตุ เพราะแต่ละท้องที่ย่อมมีคติและสภาพแวดล้อมแตกต่างกันไป นอกจากนี้ จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลสมัย จึงต้องใช้จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่เกิดเหตุ ณ เวลาเกิดเหตุด้วย
ส่วนควบไม่อาจแยกจากทรัพย์ได้
ส่วนควบไม่อาจแยกจากทรัพย์ได้.
ส่วนควบกับทรัพย์ต้องรวมกันอยู่เป็นอันหนึ่งอันเดียว ชนิดที่แยกจากกันไม่ได้ นอกจากจะทำให้ส่วนควบหรือทรัพย์นั้นแปรสภาพไป หาไม่แล้ว แม้สำคัญต่อความเป็นอยู่ของกัน ก็ไม่เป็นส่วนควบของกัน
เช่น เครื่องชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่เป็นส่วนควบของโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพราะแม้โทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องอาศัยเครื่องดังกล่าวเติมพลังงานในแบตเตอรี่ แต่เครื่องกับตัวโทรศัพท์สามารถแยกกันได้โดยไม่ส่งผลต่อสภาพของกันและกัน
การรวมกัน
การรวมกัน.
สภาพที่ส่วนควบกับทรัพย์อยู่รวมกันนั้น อาจเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์หรือเป็นผลตามธรรมชาติก็ได้ ผลจากการกระทำของมนุษย์ เช่น มีคดีโจทก์ขายรถยนต์ให้แก่จำเลย จำเลยไม่ชำระราคาให้ครบถ้วน กรรมสิทธิ์จึงไม่โอน จำเลยต่อเติมกระบะเข้ากับรถยนต์ กระบะย่อมกลายเป็นส่วนควบของรถยนต์ เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกรถยนต์คืน โจทก์จึงขอให้พิพากษาว่า รถยนต์ทั้งคันเป็นของโจทก์ได้ เพราะเมื่อโจทก์ยังเป็นเจ้าของรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์ประธานอยู่ โจทก์ย่อมเป็นเจ้าของกระบะซึ่งเป็นส่วนควบทรัพย์ประธานตาม ป.พ.พ. ม. 144 ว. 2 ด้วย
ส่วนผลตามธรรมชาติ เช่น มีคดีจำเลยปล่อยให้มูลแร่ของตนไหลเข้าไปในเขตที่ดินของโจทก์หลายปี จนมูลแร่นั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นดินตามธรรมชาติ มูลแร่จึงกลายเป็นส่วนควบของที่ดินโจทก์ จำเลยมาขุดกลับไปไม่ได้
การแปรสภาพ
การแปรสภาพ.
เดิม ป.พ.พ. ม. 107 (ม. 144 ปัจจุบัน) บัญญัติว่า ส่วนควบต้องแยกจากทรัพย์ไม่ได้ นอกจากจะทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนรูปทรง (altering the form) แต่เนื่องจากส่วนควบนั้นมีทั้งที่เป็นไปตามสภาพและตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น จึงมีได้ที่ส่วนควบเมื่อแยกจากทรัพย์ประธานแล้ว ไม่ทำให้สิ่งใดต้องเสียรูปทรงไป เป็นต้นว่าเรือกับพายดังยกตัวอย่างมาแล้ว ในคราวแก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. ครั้งใหญ่เมื่อปี 2535 จึงมีการแก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. ม. 107 โดยให้ ว. 1 ครอบคลุมถึงการแปรสภาพ (altering the nature) ของทรัพย์หรือส่วนควบด้วย
ฉะนั้น ทรัพย์ใดจะเป็นส่วนควบของทรัพย์อื่น นอกจากต้องปรากฏว่ามีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของกันแล้ว ยังต้องอยู่รวมกันจนแยกจากกันไม่ได้ เว้นแต่ทำให้ทรัพย์ใดทรัพย์หนึ่งต้องแปรสภาพไป กล่าวคือ เสียความเป็นทรัพย์นั้น ๆ ไปโดยสิ้นเชิง เช่น ตะกั่วในแบตเตอรี่ย่อมเป็นส่วนควบของแบตเตอรี่ เพราะแม้ดึงตะกั่วออกจากแบตเตอรี่แล้วไม่ทำให้แบตเตอรี่เสียรูปทรงไป แต่แบตเตอรี่ก็จะไม่เป็นแบตเตอรี่อีก
เรื่องการรวมกันและการแปรสภาพนี้ นักกฎหมายยังมีความเห็นไม่ลงรอยกัน เช่น ในเมืองใหญ่มีอากาศร้อนชื้นอย่างกรุงเทพมหานคร นักกฎหมายบางกลุ่มเห็นว่า ครื่องปรับอากาศเป็นส่วนควบตามจารีตประเพณีในกรุงเทพมหานคร เพราะปัจจุบันมีการติดตั้งทั่วไป ถ้าขาดเสียก็อยู่ลำบากในสภาพอากาศร้อนตลอดปีเช่นนี้ แต่นักกฎหมายบางกลุ่มเห็นว่า เครื่องปรับอากาศไม่เป็นส่วนควบของอาคารโดยสภาพ เพราะไม่มีเครื่องปรับอากาศ อาคารก็ดำรงอยู่ได้โดยสภาพ และไม่ใช่ของจำเป็นตามจารีตประเพณีในกรุงเทพมหานครด้วย เพราะหลายอาคารไม่ใช้สอยเครื่องปรับอากาศ นอกจากนี้ เครื่องปรับอากาศแม้ผนึกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร แต่ก็ถอดออกไปได้โดยไม่ทำให้อาคารหรือเครื่องปรับอากาศเสื่อมสภาพไป
ทรัพย์ประธาน
ทรัพย์ประธาน.
ทรัพย์ที่มีส่วนควบประกอบนั้นเรียก ทรัพย์ประธาน (principal thing หรือ main thing) การแยกว่าทรัพย์ใดทรัพย์ประธาน ทรัพย์ใดส่วนควบ มีหลักเกณฑ์สามประการดังนี้
1. ทรัพย์ประธานมีลักษณะเด่นเป็นเอก ส่วนควบเป็นรอง กล่าวคือ เมื่อรวมทรัพย์สองสิ่งด้วยกัน และสิ่งหนึ่งถูกอีกสิ่งหนึ่งบดบังความสำคัญ ความโดดเด่น หรือเอกลักษณ์ ดังนี้ สิ่งที่ถูกบดบังเป็นส่วนควบของสิ่งที่บดบัง เช่น ขวดกับฝาขวด ขวดย่อมเป็นทรัพย์ประธาน และฝาเป็นส่วนควบ
2. ทรัพย์ประธานมีไว้ใช้สอยเป็นหลัก ส่วนควบเป็นรอง เช่น แว่นตาซึ่งประกอบด้วยเลนส์แว่น กรอบแว่น และขาแว่น เลนส์ย่อมเป็นทรัพย์ประธานเพราะเป็นเครื่องใช้หลัก ส่วนกรอบและขาเป็นส่วนควบของเลนส์
3. ทรัพย์ประธานมีราคาสูงกว่าส่วนควบ เช่น บ้านกับบานประตูในบ้าน บ้านย่อมเป็นทรัพย์ประธาน และบานประตูเป็นส่วนควบ
ทรัพย์ประธานหรือส่วนควบจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ก็ได้ แต่แรงงานไม่นับเป็นทรัพย์ จึงไม่อาจเป็นส่วนควบของทรัพย์ใด ๆ ได้ เช่น แรงงานที่ใช้ไปในการจอผักกาดหม้อหนึ่ง ไม่เป็นส่วนควบของผักกาดจอหม้อนั้น
แต่ไม่เสมอไปว่า มีส่วนควบแล้วต้องมีทรัพย์ประธาน เพราะทรัพย์หลายอย่างอาจประสมกันจนแยกไม่ได้ว่าอย่างไหนทรัพย์ประธานและอย่างไหนส่วนควบก็มี เช่น ผักกาดจอทำจากผักกาด หมู หอมแดง กระเทียม มะขามเปียก และน้ำเป็นต้น ย่อมแยกไม่ได้ว่าอะไรเป็นส่วนควบของอะไร
ผลของการเป็นส่วนควบ
กรรมสิทธิ์ในส่วนควบ
ผลของการเป็นส่วนควบ.
กรรมสิทธิ์ในส่วนควบ.
ผู้ใดเป็นเจ้าของทรัพย์ประธาน ย่อมเป็นเจ้าของส่วนควบด้วย ตาม ป.พ.พ. ม. 144 ว. 2 ซึ่งหมายความว่า ทรัพย์ประธานกับส่วนควบมีเจ้าของคนเดียวกัน เช่น เป็นเจ้าของโต๊ะตัวหนึ่ง ย่อมเป็นเจ้าของขาโต๊ะ ลิ้นชักโต๊ะ ฯลฯ ซึ่งเป็นส่วนควบของโต๊ะนั้นด้วย
ในกรณีที่ทรัพย์รวมกันอยู่เป็นหนึ่งเดียวจนแยกทรัพย์ประธานแยกส่วนควบไม่ได้ เจ้าของทรัพย์อันเป็นผลลัพธ์แห่งการที่ทรัพย์ทั้งหลายมารวมกันนั้นย่อมเป็นเจ้าของทรัพย์เหล่านั้นด้วย
เช่น บัวลอยหม้อหนึ่ง ประกอบด้วย น้ำกะทิ ลูกบัวลอย น้ำตาล เกลือ และมะพร้าวขูด ส่วนประสมดังกล่าวมานี้ย่อมแยกไม่ได้ว่าสิ่งใดเป็นทรัพย์ประธาน สิ่งใดเป็นส่วนควบ ต้องนับว่าต่างเป็นส่วนควบของกันและกัน ถ้าบัวลอยหม้อนี้วางขายอยู่ในตลาด แล้วแม่ทองประศรีไปซื้อมาทั้งหม้อ แม่ทองประศรีย่อมเป็นเจ้าของบัวลอยนั้นทั้งหม้อ ไม่ว่าจะในส่วนน้ำกะทิ ลูกบัวลอย น้ำตาล และอื่น ๆ
แต่ถ้าแม่ทองประศรีลงมือปรุงบัวลอยขึ้นหม้อหนึ่ง โดยใช้ส่วนประสมที่มีเจ้าของต่างกัน เช่น ใช้น้ำกะทิที่ตนเป็นเจ้าของเอง ใช้ลูกบัวลอยของแม่วันทองแท้ ใช้น้ำตาลของแม่พวงทองทา ใช้เกลือของแม่พิณทองชุบ และใช้มะพร้าวขูดของแม่เลี่ยมทองทัน ดังนี้ เป็นการนำทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมกันเป็นทรัพย์ใหม่ขึ้นทรัพย์หนึ่งจนไม่อาจแยกแยะทรัพย์ประธานและส่วนควบได้ บรรดาเจ้าของส่วนประสมทั้งหลาย คือ แม่ทองประศรี แม่วันทองแท้ แม่พวงทองทา แม่พิณทองชุบ และแม่เลี่ยมทองทัน ย่อมเป็นเจ้าของบัวลอยหม้อดังกล่าวร่วมกันตามหลักกรรมสิทธิ์รวมซึ่งจะได้ว่ากันต่อไปข้างหน้า
การแยกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ประธานกับส่วนควบ
การแยกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ประธานกับส่วนควบ.
เรื่องส่วนควบนี้มีปัญหาควรพิจารณาอยู่ว่า บุคคลสามารถอาศัยหลักอิสระในการทำสัญญาตกลงกันให้เจ้าของทรัพย์ประธานกับเจ้าของส่วนควบเป็นคนละคนกัน ซึ่งเป็นการแตกต่างจากที่ ป.พ.พ. ม. 144 บัญญัติไว้ได้หรือไม่
ข้อนี้ นักกฎหมายเห็นว่า ถ้าทรัพย์ประธานกับส่วนควบรวมกันอยู่เป็นอันหนึ่งอันเดียว จะตกลงกันเช่นนั้นไม่ได้ เพราะ ป.พ.พ. ม. 144 มุ่งหมายมิให้แยกทรัพย์ออกจากกันอันจะเป็นการทำให้ทรัพย์เสื่อมค่าหรือเสื่อมประโยชน์และเป็นโทษต่อระบบเศรษฐกิจตามมา ม. 144 จึงเป็นบทกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ถ้าตกลงกัน ข้อตกลงนั้นย่อมเป็นโมฆะไปตาม ป.พ.พ. ม. 151
แต่ถ้าทรัพย์ประธานกับส่วนควบแยกจากกันได้โดยไม่ทำให้สิ่งใดต้องแปรสภาพไป จะตกลงกันเช่นนั้นก็ได้ เช่น ฝาหม้อเป็นส่วนควบของหม้อ เจ้าของหม้อจะขายเฉพาะฝาหม้อให้แก่ผู้อื่น โดยที่ตนเองยังเป็นเจ้าของหม้อใบนั้นอยู่ก็ได้
ข้อยกเว้นเรื่องส่วนควบ
ข้อยกเว้นเรื่องส่วนควบ.
ทรัพย์ที่ไม่เข้าลักษณะตาม ป.พ.พ. ม. 144 ว. 1 ย่อมไม่เป็นส่วนควบ แต่ ป.พ.พ. ได้กำหนดให้ชัดเจนไว้อีกชั้นหนึ่งว่า ทรัพย์สามประเภทต่อไปนี้ไม่ใช่ส่วนควบ ได้แก่ (1) ไม้ล้มลุกและธัญชาติ, (2) ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือโรงเรือนเพียงชั่วคราว และ (3) โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกลงบนที่ดินดังกล่าว
ไม้ล้มลุกและธัญชาติ
ไม้ล้มลุกและธัญชาติ.
ไม้ยืนต้น (plant หรือ tree planted for unlimited period) โดยสภาพแล้วย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินตามนิยามใน ป.พ.พ. ม. 144 ว. 1 และ ป.พ.พ. ม. 145 ว. 1 ได้บัญญัติไว้เช่นนั้นให้ชัดเจนอีกชั้นหนึ่ง
แต่ ป.พ.พ. ม. 145 ว. 2 บัญญัติว่า ไม้ล้มลุก (tree planted for limited period) กับธัญชาติ (seed, crop หรือ harvest) ไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของบุคคลผู้เช่าที่ดินผู้อื่นทำเกษตรกรรม เพราะถ้าไม่บัญญัติไว้ดังนี้แล้ว พืชเกษตรที่ผู้เช่าปลูกย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินตาม ป.พ.พ. ม. 144 ว. 1 และเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินตาม ป.พ.พ. ม. 144 ว. 2 มิใช่ของผู้เช่าแต่ประการใด
ไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุก และธัญชาติ กฎหมายไม่ได้นิยามไว้ จึงมีความหมายตามหลักพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นนั้น คือ พืชที่มีอายุยืนนาน ในทางพฤกษศาสตร์บ่งว่า มีอายุได้มากกว่าสองปี เช่น มะม่วง มะขาม และฝรั่ง ส่วนไม้ล้มลุกก็ตรงกันข้ามกัน คือ พืชที่มีอายุได้ไม่เกินสองปี แต่ไม้ล้มลุกบางประเภทอาจอยู่ได้ถึงสามปี เช่น กล้วย อ้อย หอม ขิง ตำลึง พริกชี้ฟ้า กะเพราะ และกระเทียม
ขณะที่ธัญชาติ ในทางพฤกษศาสตร์หมายถึง พืชที่ใช้ประโยชน์จากเมล็ด เช่น ข้าวเปลือก ข้าวสาลี ลูกเดือย และถั่ว
ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือโรงเรือนเพียงชั่วคราว
ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือโรงเรือนเพียงชั่วคราว.
ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือโรงเรือนเพียงชั่วคราว (thing connected with the land or a building only for a temporary purpose) ป.พ.พ. ม. 146 ว่า ไม่เป็นส่วนควบของที่ดินหรือโรงเรือนดังกล่าว ทั้งนี้ เพราะทรัพย์นั้นทำขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่ใช่จะให้เป็นถาวรวัตถุแต่ประการใด เช่น ปลูกอาคารลงบนที่ดินเพื่อใช้จัดนิทรรศการสินค้า สิ้นนิทรรศการแล้วก็รื้อออก อาคารนั้นไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน
อนึ่ง มีนักกฎหมายเห็นว่า ป.พ.พ. ม. 146 กล่าวถึงทรัพย์ที่ติดกับ "ที่ดิน" และ "โรงเรือน" เท่านั้น จึงไม่ใช้บังคับถึงทรัพย์ที่ติดกับสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น เช่น สะพาน อนุสาวรีย์ หรือหอนาฬิกาด้วย แม้เพียงชั่วคราวก็ตาม แต่อันที่จริง คำว่า "โรงเรือน" นั้น คำแปลอย่างเป็นทางการในภาษาอังกฤษว่า "building" ซึ่งมีความหมายว่า สิ่งก่อสร้าง ถ้าว่ากันตามนัยนี้แล้ว สะพานก็ดี อนุสาวรีย์ก็ดี หรือหอนาฬิกาก็ดี ล้วนเป็นสิ่งก่อสร้างทั้งสิ้น จึงอยู่ในบังคับแห่ง ป.พ.พ. ม. 146 ด้วยเช่นเดียวกับสิ่งก่อสร้างอย่างอื่น
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินผู้อื่น
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินผู้อื่น.
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกลงบนที่ดินดังกล่าว (building or other structure connected with a plot of land belonging to another by a person exercising a right over that land) ป.พ.พ. ม. 146 ก็บัญญัติว่า ไม่เป็นส่วนควบของที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งนั้นเช่นกัน ทั้งนี้ เพราะผู้ปลูกย่อมลงแรงลงทุนของตนไปในการปลูกสร้าง หากปลูกขึ้นมาแล้ไม่อาจใช้สอยได้ เพราะกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินไปเสียอันเนื่องมาจากเป็นส่วนควบของที่ดินนั้น ก็ย่อมเป็นผลให้สิทธิที่ผู้ปลูกมีอยู่เหนือที่ดินดังกล่าวกลายเป็นไร้ประโยชน์ไป ราวกับว่ามีสิทธิแต่ในนามนั่นเอง
สิทธิในที่ดินของผู้อื่นจะเป็นทรัพยสิทธิหรือบุคคลสิทธิก็ได้ ตัวอย่างของการอาศัยทรัพยสิทธิปลูกสร้างโรงเรือนลงบนที่ดินผู้อื่น เช่น อาศัยสิทธิเหนือพื้นดินสร้างยุ้งฉางลงบนที่ดินที่มีสิทธิ ยุ้งฉางนั้นไม่เป็นส่วนควบของที่ดินและไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน ส่วนตัวอย่างของบุคคลสิทธิ เช่น เช่าที่ดินมาสร้างร้านค้า โดยตกลงกันว่า เมื่อสัญญาเช่าหมดอายุแล้วจึงให้ร้านค้านั้นเป็นของผู้ให้เช่า ดังนี้ ร้านค้าย่อมไม่เป็นส่วนควบของที่ดินซึ่งเช่า จนกว่าสัญญาเช่าจะหมดอายุลง
ปลูกสร้างบนที่ดินผู้อื่นโดยไม่มีสิทธิ แต่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดิน ก็เข้า ป.พ.พ. ม. 146 ที่สิ่งปลูกสร้างนั้นจะไม่เป็นส่วนควบของที่ดินเช่นกัน ความยินยอมดังกล่าวอาจมีขึ้นโดยแจ้งชัดหรือโดยปริยายก็ได้ เช่น มีคดีผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยากัน แล้วร่วมกันปลูกเรือนบนที่ดินพิพาท แสดงว่า ผู้ร้องยินยอมให้จำเลยใช้ที่ดินพิพาทปลูกเรือนแล้ว จึงเข้าข้อยกเว้นตาม ป.พ.พ. ม. 146 เรือนจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินผู้ร้อง
แต่ถ้าปลูกสร้างบนที่ดินผู้โดยไม่มีสิทธิ และไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินด้วย ผลจะเป็นไปตาม ป.พ.พ. ม. 131 และ 1311 ซึ่งจะได้ศึกษากันข้างหน้า
ฎ. บางฉบับ
เชิงอรรถ
|
thaiwikibooks
| 195,291 |
ทรัพย์สิน/ดัชนี
|
กระแสไฟฟ้า
จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น
ถือเอาได้
ทรัพย์
ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราว
ทรัพย์ประธาน (ส่วนควบ)
ทรัพยสิทธิ
ทรัพย์สิน
ทรัพย์สินทางปัญญา
ธัญชาติ
บุคคลสิทธิ
มีราคา
ไม้ยืนต้น
ไม้ล้มลุก
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกลงบนที่ดินดังกล่าว
ลักกระแสไฟฟ้า
ลักสัญญาณโทรศัพท์
วัตถุมีรูปร่าง
วัตถุไม่มีรูปร่าง
ส่วนควบ
สัญญาณโทรศัพท์
สาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์
อาจถือเอาได้
อาจมีราคา
ius in personam
ius in rem
no penalty without law
nulla poena sine lege
res corporales
res incorporales
|
thaiwikibooks
| 195,292 |
การค้นหากู้ภัย
|
การค้นหากู้ภัย ในบางครั้งอาจจะใช้คำว่า ค้นหาช่วยชีวิต หรือค้นหาช่วยเหลือ หมายถึง การช่วยชีวิต ผู้ที่ประสบภัย ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ, ระหว่างเกิดหรือหลังพิบัติเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ภัยบนท้องถนน เท่านั้น ซึ่งบางครั้งอาจะสับสนกับการเก็บกู้ศพ หรือ งานช่วยเหลือประชาชน
ขั้นตอนค้นหากู้ภัย
การรับแจ้งและการรายงาน (Report) - ขั้นตอนนี้เป็นขั้นที่ หน่วย รับแจ้งเหตุจาก ผู้ประสบภัยหรือหน่วยอื่น เพื่อให้หน่วยช่วยชีวิต เข้าช่วยชีวิตในพื้นที่ที่กำหนด โดย ในส่วน ผู้รับแจ้ง ต้องรับทราบข้อมูลที่จำเป็นในการช่วยชีวิตขั้นต้น และ กระจายข่าวของส่งข่าวให้หน่วยช่วยเหลือที่ ใกล้ที่สุด หรือ ผู้ที่จะเข้าช่วยเหลือ
การวางแผนขั้นต้น (Planning) - เป็นการปรับแผนที่เคยวางไว้ ( ถ้ามี ) ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหากปฏิบัติบ่อยๆจะกลายเป็นซึ่งที่ทหารเรียกว่า รปจ. หรือ ระเบียบปฏิบัติประจำ
การค้นหาและการเข้าสู่พื้นที่ (Locate) ทางบก ได้แก่ การเดินเท้า การขึ้นหรือลงจากที่สูง ทางรถยนต์ ทางอากาศ ทางน้ำ ผสม
การเข้าถึง (Access) เป็นการใช้ ทรัพยากร , เครื่องมือ , ทักษะความชำนาญ เพื่อที่จะเข้าถึง ผู้ประสบภัยอย่างปลอดภัยทั้งนี้รวมทั้ง การนำชุดช่วยเหลือกู้ภัยออกอย่างปลอดภัยดัวย ประกอบด้วย การเจาะเข้าที่เกิดเหตุ และ การช่วยเหลือ ซึ่ง ภาพที่เห็นบ่อย คือ การใช้เครื่อง ตัดถ่าง งัดแงะร่างผู้บาดเจ็บออกมา อุปกรณที่ใช้เช่น เ อุปกรณ์ลงทางดิ่ง ,เชือก แบบมีแกน ( Kernmetal Rope ) , ชุดสายรัดตัวในการกู้ภัย
การช่วยเหลือปฐมพยาบาลเตรียมการเคลื่อนย้าย (Stabilize) เป็นการให้การดูแลด้านการแพทย์ ณ พื้นที่เกิดเหตุ เพื่อที่จะ นำผู้ประสบภัย ออก โดยไม่มีการบาดเจ็บเพิ่มเติม และ ไม่มีอาการที่รุนแรงขึ้น จากที่เป็นอยู่ ในส่วนงานด้านนี้ นั้น ในพื้นที่ ประสบภัยที่สามารถเข้าถึงสะดวกด้วยรถยนต์ ก็ ไม่เป็นปัญหานัก แต่ถ้าเป็นพื้นที่ ที่ถูกตัดขาดนั้น การปฏิบัติดังกล่าว ยังไม่มีประสิทธิภาพพอ เนื่องจาก งานด้านการพยาบาลสนาม ( การรักษาพยาบาล ที่ อาจจะมากกว่าการปฐมพยาบาล ทั่วไป โดยที่ไม่ใช้นายแพทย์ เนื่องจาก ความห่างไกลของระยะทาง เวลาที่ใช้ในการเดินทาง ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่ต้องใช้ทักษะที่สูงขึ้นในการกู้ชีพ เช่น การห้ามเลือดด้วยการบีบเส้นเลือดใหญ่Clamping , การให้น้ำเกลือ , การลดความกดดันในช่องอก Decompression and Drainage of chest , การทำช่องหายใจฉุกเฉิน Emergency Airway Procedures ) ซึ่ง นายแพทย์หลายคนว่า มันอันตราย หากทำไม่ถูกต้อง ควร.ซึ่ง ในสถานการณ์ภัยพิบัติบางครั้ง หมอคงไปไม่ถึงที่เหล่านั้น หรือ นานเกินที่จะรอ
การนำส่งพื้นที่รองรับ หรือพื้นที่ รักษาพยาบาล (Transportation) เป็นการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บจากพื้นที่ที่อันตราย ไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัย เพื่อการรักษาขั้นสูงต่อไป เช่น การนำออกจากพื้นที่ป่าภูเขามายัง สนาม ฮ.ที่ใกล้ที่สุดเพื่อส่งต่อไปยัง รพ.มีขีดความสามารถเพียงพอในการรักษา เช่น การเคลื่อนย้าย ไปยังพื้นที่ รองรับ ( สถานพยาบาล ) ซึ่งการทำงานโดยทั่วไปก็จะใช้เทคนิคเดี่ยวกับการเข้าถึงพื้นที่
การค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัย
การค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัย.
ในปี ค.ศ. 1918 กองทัพบกของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ริเริ่มทำการดัดแปลงเครื่องบินรบมาเป็นโรงพยาบาลในอากาศ และในปี ค.ศ. 1938 ซึ่งเป็นต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงของสงครามชิงเกาะอังกฤษนั้นเยอรมันก็ได้ใช้เครื่องบินแบบโฮน์เคล 5 ซึ่งเป็นเครื่องบินทะเลติดเครื่องหมายกาชาดสีแดง ออกทำการช่วยเหลือนักบินของตนที่ถูกยิงตกในช่องแคบอังกฤษโดยใช้ทั้งแพยางและอุปกรณ์ที่จำเป็นอื่น ๆ ในปี
ค.ศ. 1940 ฝ่ายเยอรมันได้พัฒนาการช่วยชีวิตนักบินฝ่ายตน โดยการวางทุ่นลอยขนาดใหญ่ทาสีเหลืองสด และมีกาชาดสีแดง สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในบริเวณช่องแคบอังกฤษ ซึ่งในทุ่นลอยนี้มีทั้งอาหารและน้ำดื่ม และอุปกรณ์ในการดำรงชีพอื่น ๆ อีกหลายชนิดเพียงพอสำหรับคน 4 คน ในปี ค.ศ. 1941 จำนวผู้ปฏิบัติงานในอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตรถูกยิงตกทวีจำนวนมากขึ้นจนน่าวิตก จำเป็นต้องพัฒนาการค้นหา และช่วยชีวิตให้ดียิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อังกฤษจึงได้จัดตั้งโครงสร้างของหน่วยซึ่งมีระบบในการค้นหาและช่วยชีวิตที่การติดต่อสื่อสารมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นทำให้สามารถรักษาชีวิตนักบินของฝ่ายตนได้เพิ่มมากขึ้น จากผลของความสำเร็จดังกล่าว ใน ค.ศ. 1942 อังกฤษและสหรัฐอเมริกาจึงได้ร่วมมือกันเป็นครั้งแรกใน การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ทำงานในอากาศให้รู้จักวิธีการค้นหาและช่วยชีวิตตลอดจนเทคนิคต่างๆ ในการดำรงชีวิต โดยการนำแนวความคิดของฝ่ายเยอรมันมาใช้ทำให้โฉมหน้าของการค้นหา และช่วยชีวิตเปลี่ยนไป อย่างสิ้นเชิงดังเห็นได้จากในปี ค.ศ. 1944 ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถทำการช่วยเหลือนักบินและเจ้าหน้าที่ ประจำเครื่องบินทิ้งระเบิดของตนได้ถึง 28 - 43 เปอร์เซ็นต์ และนักบินขับไล่ของกอง u3607 กองทัพอากาศอีก 3 เปอร์เซ็นต์ ในที่สุดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1946 กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาก็ได้จัดตั้งระบบการค้นหา และช่วยชีวิตทางอากาศขึ้นมาอย่างจริงจัง ทำให้ระบบนี้มีความก้าวหน้าทางเทคนิคเพิ่มขึ้นตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
การใช้เฮลิคอปเตอร์ในภารกิจการช่วยชีวิตทางทหารเริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรก ในสงครามเกาหลีโดยสหรัฐอเมริกาใช้เฮลิคอปเตอร์แบบเอช-5 ร่วมกับเครื่องบินแบบ ซี-47 และเครื่องบินแบบแอล-5 ทำการช่วยเหลือทหารของฝ่ายสหประชาชาติไปส่งยังพื้นที่ปลอดภัยได้ จำนวนทั้งสิ้น 8,690 คน ซึ่งเป็นการปฏิบัติงานด้วยเฮลิคอปเตอร์ถึง 8,218 คน และ 86 คน จากจำนวนดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือออกมาหลังแนวรบของข้าศึก ต่อมาเมื่อเกิดสงครามเวียดนาม กองบินค้นหาและช่วยชีวิตของสหรัฐอเมริกาสามารถช่วยชีวิตผู้ ทำงานในอากาศที่ถูกยิงตกในดินแดนของเวียดนามเหนือได้ถึงหนึ่งในสามของจำนวนทั้งหมด แม้ว่าจะมีการต่อต้านอย่างรุนแรงก็ตาม เมื่อรวมถึงบริเวณอื่น ๆ ก็สามารถช่วยชีวิตได้มากกว่าครึ่ง ซึ่งครั้งนี้เป็นการ ปฏิบัติงานของเฮลิคอปเตอร์แทบทั้งสิ้น
การค้นหาและช่วยชีวิตของกองทัพอากาศไทย
การค้นหาและช่วยชีวิตของกองทัพอากาศไทย.
การค้นหาและช่วยชีวิตของกองทัพอากาศไทย ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2497 เมื่อ ได้รับโอนฮ.-1 (เอช – 51) มาจากกรมการบินพลเรือนโดยจัดเป็นภารกิจหนึ่งของกองบิน 6 ฝูง 63 ขณะนั้น และต่อมาเมื่อก่อตั้งกองบิน 3 ขึ้น ฝูงบินเฮลิคอปเตอร์ คือ ฝูงบิน 31 และ 32 ก็ได้รับมอบภารกิจนี้ต่อมาจนกระทั่งเมื่อกองบิน 3 ถูกยุบ ฝูงบินเฮลิคอปเตอร์จึงมาขึ้นตรงกับกองบิน 2 ซึ่งใช้ชื่อฝูงบิน 201 และ ฝูงบิน 203 ตามลำดับ และยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการค้นหาและช่วยชีวิตเป็นภารกิจหลักตลอดมา
สถานการณ์ในอดีตที่มีนักบินที่ประสบภัย ในสมรภูมิเขาค้อ คือ เรืออากาศเอกชวลิต ขยันกิจ และเรืออากาศโทพงษ์ณรงค์ เกสรศุกร์ เป็นนักบิน ได้เข้าทิ้งระเบิดนาปาล์ม ซึ่งอยู่ในเขตเขาค้อ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ขณะที่ เรืออากาศโท พงษ์ณรงค์ เกสรศุกร์ ซึ่งเป็นหมายเลขสอง ( หมายเลข 1333 เลข ทอ. บข.18-17/17 Sel.No.71-0264 ) เข้าโจมตีถูกฝ่ายตรงข้ามยิงอาวุธไม่ทราบชนิด ในระยะสูงประมาณ 1,000 ฟุต โดยเครื่องบินได้ทำการเลี้ยวซ้ายมุดลงระเบิดในกลางป่าห่างจากเป้าหมายประมาณ 2 กม. ซึ่งจากการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศที่เครื่องบินตรวจการณ์แบบโอวัน ได้ถ่ายภาพมาพบว่าเครื่องบินไฟไหม้ตกลงในหุบเขา เขตบ้านภูชัย เขาค้อ ห่างจากแม่น้ำเข็กราว 1 กม. และมีลักษณะคล้ายนักบินดีดตัวออกจากเครื่อง การช่วยเหลือนักบินที่คาดว่ารอดชีวิตจึงเริ่มขึ้น ทั้งทางอากาศและทางภาคพื้นดินได้ถูกปฏิบัติทันที ในขณะนั้น พลตรียุทธศิลป์ เกสรศุกร์ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการทางยุทธการ กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาของนักบินผู้ที่ถูกยิงตก ได้มาร่วมปฏิบัติการค้นหาในครั้งนี้ด้วย การค้นหา และช่วยเหลือมีการส่งเครื่องบินและทหารจำนวนมากเข้าไปค้นหาตามพิกัดที่ได้จากการแปลความภาพถ่ายทางอากาศ โดยการช่วยเหลือ ใช้ กำลังเดินเท้าของ ทหาร ตำรวจจำนวนมาก
ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย โดยมีกรมการขนส่งทางอากาศ เป็นผู้รับผิดชอบหลักโดยใช้ทรัพยากรอันได้แก่อากาศยาน/เรือ จากหน่วยราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วย ค้นหาและระวังภัย ร่วมกัน
ขั้นตอนโดยทั้วไปจะเริ่มจาก ศูนย์ความคุมการจราจราทางอากาศ รายงานเมื่อเกิดสถานการณ์ที่อากาศยานยานมีแนวโน้มจะประสบภัย โดยรายงานมายัง ศูนย์ประสานงานการค้นหาช่วยเหลือ กรมขนส่งทางอากาศ และ ศูนย์ประสานงานการค้นหาช่วยเหลือ จะแจ้งไปยัง หน่วยในระบบค้นหา ซึ่งก็คือ เหล่าทัพต่าง , สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, หน่วยบินเกษตร , หรือ แม้กระทั่ง กรมการปกครอง ในส่วนของจังหวัด โดยจะมีการตั้ง ศูนย์ประสานงานการค้นหาฯ หรือ บก.เหตุการณ์นั่นเอง
การจัดกำลังในการค้นหาและช่วยเหลือ
ส่วนควบคุม ( บก.)
การจัดกำลังในการค้นหาและช่วยเหลือ.
ส่วนควบคุม ( บก.).
โดยปกติ หลังจากที่ ทราบว่ามีอากาศยานหายไปจากจอเรดาห์ หรือมีสถานการณ์ที่มีแนวโน้มว่าอากาศยานตก ศูนย์ควบคุมการจรจรทางอากาศจะแจ้ง มายัง ศูนย์ประสานงานการช่วยเหลือแห่งชาติ ( Search and Rescue Coordination Center : SARCC) จะมีการแจ้งเตือนหน่วยในระบบการค้นหา โดยจะมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการ ณ พื้นที่เกิดเหตุ (OSC : On Scene Commander ) ในที่นี้จะมีการ ประสานการใช้ หน่วยต่าง การรวบรวมข่าวสารเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลต่างๆ โดยมี OSC หรือ ผู้บัญชาการ ณ พื้นที่เกิดเหตุ จะต้องเป็นผู้ควบคุมประสานงาน ตั้งแต่การ จัดตั้ง บก.เหตุการณ์ การวางแผน , การควบคุมอำนวยการ แก้ปัญหาระหว่างการค้นหา ,การติดตามสถานการณ์ ,การแถลงข่าวและให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนและญาติ,การบันทึกการปฏิบัติแต่ละวัน สรุปผลการค้นหาว่ามีข้อดีข้อบกพร้องอะไรที่ต้องแก้ไข , การประสานงานด้านการติดต่อสื่อสารของหน่วยที่มาร่วมค้นหา
ในส่วนนี้ดูเหมือนเป็นงานง่าย ชี้นิ้วสั่ง แต่แท้จริงแล้วเป็นงานเริ่มต้นที่ยากที่สุดที่จะทำให้สมบูรณ์และถูกใจทุกฝ่าย หากเริ่มต้นไม่ดีข้อมูลไม่ครบ สั่งการแบบไร้ทิศทาง ก็จะส่งผลถึงประสิทธิภาพการค้นหา ยกตัวอย่าง เช่น “ อากาศยานหายไปจากจอเรดาห์ที่พิกัดLat 06° 02´ 54´´Long 101° 38´ 10´´ เมื่อ ส่วนวางแผน ให้ข้อมูลเพียงแค่ อากาศยานหายไปที่พิกัด นี้ โดยไม่ได้พิจารณา ปัจจัยอื่นๆประกอบ เช่นความสูง ความเร็ว, ทิศทาง สภาพความเร็วลมภูมิอากาศบริเวนนั้น อาจจะทำให้ชุดค้นหาเข้าใจผิดว่า อากาศยานตกบริเวณพิกัดนั้น ซึ่งแท้จริงแล้ว การหายไปไม่ได้หมายความถึงเครื่องตกบริเวณนั้น เป็นต้น นอกจากนี้ พิกัด ภูมิศาสตร์ ยังไม่สะดวกในใช้การเดินในภูมิประเทศ เท่า ระบบพิกัด ทางทหาร ”
การที่ส่วนควบคุม ผบ.เหตุการณ์เข้าพื้นที่โดยไม่ได้เตรียมเรื่องเครื่องมือสื่อสาร ที่พักชั่วคราว และที่สำคัญที่สุด แผนที่มาตราส่วนที่ใช้กับการค้นหาทางพื้นดิน ซึ่ง ส่วนควบคุมการจราจรทางอากาศ หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับการบิน นั้นมักจะไม่คุ้นเคยและเชื่อว่าไม่จำเป็น โดยลืมไปว่าหากเครื่องบินตก เครื่องต้องตกลงสูงพื้นโลก ซึ่งต้องใช้แผนที่มาตรส่วนใหญ่ เช่น มาตราส่วน ๑ ต่อ ๕๐,๐๐๐ ในการใช้แผนที่ทางอากาศมาอธิบายกับหน่วยที่เดินเท้าทางพื้นดิน ย่อมใช้เวลานานในการทำความเข้าใจมากกว่า และยากในการแบ่งพื้นที่การค้นหาทางพื้นดิน
ส่วนค้นหาและช่วยเหลือ Rescue Team (ResTm)
ส่วนค้นหาและช่วยเหลือ Rescue Team (ResTm).
คือ ส่วนที่มีเครื่องมือ ทรัพยากรในการค้นหา ช่วยเหลือ ส่วนมาก ก็มักจะนึกถึงการใช้อากาศยานในการค้นหา และ ในความเป็นจริงแล้ว เครื่องมือในการค้นหามีทั้ง ทางบก ทางน้ำ รวมอยู่ด้วย ซึ่งในวงการการบิน มักจะลืม ส่วนทางบกไปสนิทในการฝึกการค้นหา ซึ่งจากเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น เรามี กำลังคนที่พร้อมอยากจะช่วยจำนวนมาก เช่น มูลนิธิต่างๆ ซึ่งท่านผู้เสียสละเหล่านั้น มักจะคุ้นเคยกับการช่วยเหลือภัยบนท้องถนนที่ราบเรียบ แต่เมื่อ ต้องเผชิญสถานการการค้นหา แล้ว จะต้องใช้ทักษะการเป็นนักกู้ภัยที่มีมาตรฐาน เช่น ความพร้อมของทักษะส่วนบุคคล ที่จำเป็น การอ่านแผนที่การใช้เข็มทิศ , การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บในพื้นที่ลาดชัน , เครื่องมือที่จำเป็นก็ไม่พร้อมเช่น เข็มทิศ,แผนที่ , การเตรียมการส่วนบุคคล เช่น การแต่งกายที่เหมาะสมสำหรับการเดินป่า,รองเท้า,เสบียงสำหรับการค้นหาที่ต้องใช้เวลามากกว่า๖ชม.เป็นต้น
ส่วนสนับสนุน เป็นส่วนที่รับผิดชอบการจัดพื้นที่สนับสนุน Mission support site (MSS)
ส่วนสนับสนุน เป็นส่วนที่รับผิดชอบการจัดพื้นที่สนับสนุน Mission support site (MSS).
จัดตั้งมาเพื่อสนับสนันกำลังในการช่วยเหลือ เช่น จัดสรรพื้นที่ในการวางอุปกรณ์,เครื่องมือ,การจัดพื้นที่จอดรถ , ส่วนงบประมาณ,ส่วนจัดอาหารสำหรับส่วนปฏิบัติการ ,จนท.ประจำรถแสงสว่าง , จนท.ควบคุมการเติมน้ำมัน ,ส่วนพัสดุ ทั้งนี้แล้วแต่ สถานการณ์ว่าจะต้องสนับสนุนเรื่องใดบ้างซึ่งก็ไม่หนีเรื่องความต้องการพื้นฐานและวัสดุสิ้นเปลืองในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ควรคำนึงถึง ระบบงบประมาณ ที่จะต้องมีการเบิกจากด้วย ระเบียบที่ซับซ้อนของทางราชการ ซึ่ง การดำเนินการควรจะมีเจ้าหน้าที่ที่เชียวชาญด้านงบประมาณมาสนับสนุนการดำเนินการเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงาน ของทุกส่วนโดยเฉพาะส่วนราชการ
ส่วนจัดพื้นที่ปลอดภัยรองรับ (Safe Area: SA)
ส่วนจัดพื้นที่ปลอดภัยรองรับ (Safe Area: SA).
เป็นส่วนที่ กำหนดขึ้นเพื่อ รองรับผู้บาดเจ็บ, ทรัพยสิน ,ร่างผู้เสียชีวิต(ควรจะแยกออกจากพื้นที่ที่รับผู้บาดเจ็บหรือไม่ให้มองเห็น) ซึ่ง ส่วนดังกล่าวจะต้องประสานข้อมูล ผู้ประสบภัยขั้นต้นกับ หน่วยบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน ( Emergency Medical Service: EMS) เพื่อเตรียมการรักษาพยาบาล ตั้งแต่ยังไม่พบผู้ประสบภัย , ประสานเตรียมรับผู้บาดเจ็บเมื่อชุดค้นหาพบผู้ประสบภัย , โดยจะแบ่งเป็นพื้นที่รองรับขั้นต้นและพื้นที่ปลายทาง โดย พื้นที่รองรับขั้นต้น มักจะอยู่ใกล้ บก.เหตุการณ์ เพื่อเตรียมการนำส่ง รพ.ที่มีขีดความสามารถสูงต่อไป พื้นที่ปลายทาง มักจะใช้พื้นที่ รพ. ซึ่งหาก อากาศยานที่ตกเป็นอากาศยานโดยสาร ก็อาจะต้องมีกาประสานการส่งผู้ป่วย ตามอาการ ความเหมาะสมของสถานพยาบาลนั้นต่อไป
ซึ่ง ส่วนนี้ ควรจะมี จนท.ตร. , จนท.พยาบาลฉุกเฉิน คอยดูแล ร่วมกับส่วนประชาสัมพันธ์เพื่อประสาน กับญาติผู้บาดเจ็บในการรับทราบการมาถึงของ ผู้ประสบภัย
|
thaiwikibooks
| 195,293 |
รหัสหว้ากอ
|
รหัสหว้ากอ (Wahkor Code) ปรากฏขึ้นครั้งแรก จากกระทู้ในห้องหว้ากอ เว็บบอร์ด PANTIP.COM เมื่อ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
คิดค้นโดย jkpanu จากกระทู้
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/05/X7827606/X7827606.html
และพัฒนาโดย Phoenix032 จากกระทู้
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/05/X7841020/X7841020.html
โดยได้รับการส่งเสริมจาก การตีความสำเร็จโดย sanagun และ อิ่มหมี
ร่วมด้วย tiger18 , TonTon1977 ฯลฯ
รูปแบบ
รูปแบบ.
Wahkor Code ดัดแปลงจาก Tap Code ซึ่งเข้ารหัสระบบคู่อันดับ มีหลักทั่วไปดังนี้
ใช้ จำนวนจุด ( . ) แทน เลข 1 - 9 และใช้ สองจุด ( : ) แทน เลข 0
ใช้ เว้นว่าง 1 ช่องไฟ คั่นระหว่างคู่อันดับหน้าและหลัง ใน 1 รหัส ยกเว้นเมื่อคู่หลังเป็น 0 เช่น
U = (2,1) = .. .
อ = (7,0) = ...:
ใช้ เว้นว่าง 2 ช่องไฟ คั่นระหว่าง แต่ละรหัส (อักษร หรือ ตัวเลข)
ใช้ เว้นว่าง 3 ช่องไฟ แทน ช่องไฟระหว่างคำ
ใช้ ขึ้นบรรทัดใหม่ หรือ เว้นว่าง 4 ช่องไฟ แทน ขึ้นประโยคใหม่ เช่น
ตัวเลขให้วางเรียงต่อกันทีละหลัก
รายการรหัส
สำหรับสดมภ์ 0 เฉพาะแถว 1-9 ให้ใส่เครื่องหมาย : ติดกับคู่หน้า ส่วนแถว 010-030 ไม่ต้องใส่
สระอือ มาก่อนสระอึ
สำหรับสระแอ ให้ใช้สระเอสองครั้ง
สำหรับสระอำ จะถูกแยกออกเป็น นิคหิตกับลากข้าง
สำหรับตัวเลข ให้เขียนคู่หลังติดกับคู่หน้า
อักษร ภาษาอังกฤษ
a . (1)
b .. (2)
c ... (3)
d ...
e ...
f ...
g ...
h ...
i ... (9)
รายการรหัส.
อักษร ภาษาอังกฤษ.
และ เข้ารหัส 3 ชั้น ให้ ._ = .:+ (ใช้เมื่อเพิ่มหลักหน่วย) ดังนั้น ._. = .:+. = 10+1 = ... = k สังเกต 1 เว้น ไม่ใช่เว้นอักษร แต่เป็นส่วนหนึ่งของอักษร ถ้าจะเว้นอักษร ใช้ 2 เว้น
j .: (10)
k . . (11)
l . .. (12)
m . ... (13)
n . ...
o . ...
p . ...
q . ...
r . ...
s . ... (19)
t ..: (20)
u .. . (21)
v .. .. (22)
w .. ... (23)
x .. ...
y .. ...
z .. ... (26)
เครื่องหมาย ชุดแรก
[.] .. ... (27)
? .. ...
พยัญชนะ ภาษาไทย
ก ... . (31)
ข ... .. (32)
ค ... ... (33)
ง ... ...
จ ... ...
ฉ ... ...
ช ... ...
ซ ... ...
ฌ ... ...
ญ ...:
ฎ ... . (41)
ฏ ... ..
ฐ ... ...
ฑ ... ...
ฒ ... ...
ณ ... ...
ด ... ...
ต ... ...
ถ ... ...
ท ...:
ธ ... . (51)
น ... ..
บ ... ...
ป ... ...
ผ ... ...
ฝ ... ...
พ ... ...
ฟ ... ...
ภ ... ...
ม ...:
ย ... . (61)
ร ... ..
ล ... ...
ว ... ...
ศ ... ...
ษ ... ...
ส ... ...
ห ... ...
ฬ ... ...
อ ...:
ฮ ... . (71)
วรรณยุกต์ สระ เครื่องหมาย ภาษาไทย
ๆ ... .. (72)
ฯ ... ... (73)
อ่ ... ... (74)
อ้ ... ...
อ๊ ... ...
อ๋ ... ...
อั ... ...
อ์ ... ...
อ็ ...:
อะ ... . (81)
อา ... ..
อิ ... ...
อี ... ...
อึ ... ...
อื ... ...
อุ ... ...
อู ... ...
เ ... ...
อํ ...:
ไ ... . (91)
ใ ... ..
โ ... ...
ฤ ... ...
ฦ ... ...
ฆ ... ... (เก็บตก)
เครื่องหมาย ชุดสอง
( ... ... (97)
$ ... ...
เครื่องหมาย ชุดสาม
, :.: (010)
+ :.: . (010+1)
- :.: .. (010+2)
* :.: ... (010+3)
^ :.: ...
~ :.: ...
& :.: ...
฿ :..: (020+0)
_ :..: . (020+1)
[ :..: ...
{ :..: ...
; :..: ...
" :..: ...
> :...: . (030+1)
ตัวเลข
0 :: (00)
1 :. (01)
2 :.. (02)
3 :... (03)
4 :...
5 :...
6 :...
7 :...
8 :...
9 :...
10 :. :: (01) + (00)
11 :. :. (01) + (01)
12 :. :.. (01) + (02)
13 :. :... (01) + (03)
20 :.. ::
21 :.. :.
100 :. :: ::
101 :. :: :.
110 :. :. ::
111 :. :. :.
ตัวอย่าง
ข้อเสียของรหัสหว้ากอ
ไม่มีรหัสแทนตัวอักษรต่อไปนี้ ฃ, ฅ, ๅ (ต้องใช้ า แทน), –ฺ, –๎, ๏, ๚, ๛ แม้รหัสที่เหลือจะสามารถใส่ได้ 8 ตัวพอดี แต่ผู้สร้างมิได้กำหนดไว้
ำ และ แ ถูกแยกออกจากกันเป็นสองรูป โดยเฉพาะสระอำกรณีที่มีวรรณยุกต์ เช่น น้ำ จะต้องแทรกวรรณยุกต์ระหว่างนิคหิตกับลากข้าง จึงจะสามารถแปลงกลับได้รูปเดิม
เมื่อใช้บนเว็บเพจ เว็บเบราว์เซอร์จะละเลยช่องว่างที่มากกว่าหนึ่งช่อง และแสดงผลเหลือเพียงช่องเดียว ซึ่งจะมีปัญหากับแถว "ว่าง"
โปรแกรมแปลงรหัส
http://www.kachasoft.com/wahkor/code.php สร้างโดย Phoenix032
http://wahkorcode.com
|
thaiwikibooks
| 195,294 |
การเลี้ยงไส้เดือน
|
การเลี้ยงไส้เดือน จัดเป็นอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวอาจทำเป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพหลักได้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้เลี้ยง อย่างไรก็ตามผู้เลี้ยงไส้เดือนต้องมีความเข้าใจในวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้องก่อนที่จะเริ่มดำเนินการเลี้ยง
การสร้างรังไส้เดือน
การสร้างรังไส้เดือน.
มีอยู่สองระบบคือแบบรังเปิดกับแบบรังปิด รังเปิดนิยมใช้กาละมัง โดยเจาะรูด้านล่างเพียงพอให้น้ำไหลออกได้ แต่รูจะต้องไม่มีขนาดใหญ่เกินไป เพราะถ้ารูมีขนาดใหญ่เกินไปไส้เดือนนั้นจะหนีออกทางรูดังกล่าว สำหรับการเลี้ยงในแบบรังปิด ผู้เลี้ยงนิยมใช้ลังพลาสติกที่สามารถทับซ้อนกันได้สนิท โดยเจาะรูที่ฐานของชั้นเพื่อให้น้ำไหลผ่านได้ รังต้องมีควาแข็งแรงพอสมควรเพราะน้ำหนักของดินเมื่อรวมกับน้ำหนักของน้ำแล้วจะมีน้ำหนักมากโดยในแต่ละลัง อาจมีน้ำหนักมากถึง 6 กิโลกรัม
สาระน่ารู้...
ถ้านำไส้เดือนดินพันธุ์ขี้ตาแร่ น้ำหนัก 1 ก.ก. (ประมาณ 1,200 ตัว) มากินมูลฝอยจะสามารถกินได้ประมาณ 120-150 กรัมต่อวัน แล้วถ้า 1 ปี จะสามารถกินมูลฝอยได้ถึง 55 ก.ก. นั่นหมายความว่าจะสามารถช่วยลดปริมาณมูลฝอยที่นำไปฝังกลบได้ถึง 55 ก.ก.ต่อปี เป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 3.38 ก.ก. (ยังมิได้รวมการขยายพันธุ์)
ข้อมูล การฝังกลบก่อให้เกิดก๊าซมีเทนประมาณ 61.5 ก.ก. ต่อปริมาณมูลฝอยที่ฝังกลบ 1 ตัน
การให้อาหาร
การให้อาหาร.
ไส้เดือนเป็นสัตว์ที่ทานง่าย สามารถย่อยสลายขยะกระดาษได้ อาหารที่ไส้เดือนชอบได้แก่ผักสดผลไม้สดซากสัตว์ต่างๆ ถ้าเลี้ยงเป็นอุตสาหกรรมนิยมใช้ปุ๋ยคอก การให้ปุ๋ยคอกต้องนำมาแช่น้ำให้ปุ๋ยคอกระบายความร้อนออกก่อนที่จะให้ไส้เดือนกิน เพราะไส้เดือนเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบความร้อนสูง การให้อาหารที่มีความชื้นสูงอย่างผักสดแล้วอาจไม่ต้องให้น้ำเพิ่มก็ได้แต่หากให้อาหารแห้งประเภทเศษใบไม้ ต้องให้น้ำทุกวัน
การป้องกันแมลง
การป้องกันแมลง.
การเลี้ยงแบบเปิดนิยมทำในโรงเรือนที่มีการป้องกันแมลงเป็นอย่างดี การเลี้ยงแบบปิดสามารถป้องกันแมลงได้ในระดับหนึ่ง ควรมีการคิดป้องกันปัญหาเรื่องมดในโรงเพาะด้วย
อาหารสำหรับเลี้ยงไส้เดือนดิน ได้แก่ มูลฝอยอินทรีย์ต่างๆ เช่น เศษผัก เศษผลไม้ หรือเศษอาหารต่างๆ เป็นต้น
วิธีการให้อาหารไส้เดือนดิน ควรให้อาหารทีละน้อยและใช้วิธีขุดหลุมฝังเศษอาหารโดยเวียนเป็นวงกลม ดังนั้น จึงต้องทำสัญลักษณ์ไว้ว่าฝังเศษอาหารลงตรงไหนไปแล้ว เพราะไส้เดือน จะปล่อยเมือกใส่อาหาร
การเก็บจำหน่าย
การเก็บจำหน่าย.
การเก็บตัวไส้เดือนใหญ่เพื่อจำหน่ายเป็นเหยื่อปลา ในราคาตัวละ 1 บาท เก็บมูลไส้เดือนเพื่อเป็นส่วนผสมของดินปลูก ควรนำมูลไส้เดือนไปผสมกับเศษใบไม้ก่อนวางจำหน่ายเพราะลำพังมูลไส้เดือนให้เนื้อดินที่แน่นเกินไปพืชจะหายใจได้ลำบาก บางแห่งนิยมนำมูลไส้เดือนไปคั้นเป็นน้ำเพื่อจำหน่ายในรูปของปุ๋ยน้ำ
มด
|
thaiwikibooks
| 195,295 |
Brokerage
|
REDIRECTนายหน้า
|
thaiwikibooks
| 195,296 |
Redemption
|
REDIRECTขายฝาก
|
thaiwikibooks
| 195,297 |
Gift
|
REDIRECTให้
|
thaiwikibooks
| 195,298 |
Donation
|
REDIRECTให้
|
thaiwikibooks
| 195,299 |
ให้/บทที่ 1
|
ลักษณะของสัญญา
ลักษณะของสัญญา.
เมื่อพิจารณา ป.พ.พ. ม. 521 แล้ว จะเห็นว่า ให้ เกิดจากการที่ผู้ให้โอนทรัพย์สินโดยเสน่หาให้แก่ผู้รับ และผู้รับก็ยอมรับทรัพย์สินนั้นด้วย ซึ่งเป็นกระบวนการปรกติของการเกิดสัญญาที่เรียก "คำเสนอสนองต้องตรงกัน" กล่าวคือ จะสำเร็จเป็นการให้ได้ ต่อเมื่อผู้ให้แสดงเจตนาโอนทรัพย์สินให้ และผู้รับก็รับการโอนนั้นแล้วด้วย ใช่แต่ว่าผู้ให้แสดงเจตนาดังกล่าวแล้วก็เป็นอันเกิดการให้ ดังที่มีผู้เข้าใจผิดกันเป็นอันมาก เพราะฉะนั้น ให้จึงเป็นสัญญา กล่าวคือ เป็นนิติกรรมหลายฝ่าย
มีนักกฎหมายหลายคนพยายามจัดประเภทสัญญาให้ บางคนเห็นว่า ให้เป็น "สัญญาฝ่ายเดียว" (unilateral contract) หรือ "สัญญาไม่ต่างตอบแทน" (irreciprocal contract) เพราะผู้ให้ให้แต่ฝ่ายเดียว และผู้รับไม่จำต้องตอบแทนแต่ประการใด แต่ก็มีผู้คัดค้านว่า สัญญาฝ่ายเดียวจึงไม่มีอยู่จริง เพราะขึ้นชื่อว่าสัญญา ย่อมอาศัยเจตนาร่วมกันของคู่สัญญาทุกฝ่าย เช่น ในสัญญาให้นี้ต้องอาศัยการที่ผู้ให้แสดงเจตนาว่าจะให้ และผู้รับแสดงเจตนาว่าจะรับการให้ นอกจากนี้ ที่กล่าวว่า ให้เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน เพราะผู้รับไม่จำต้องตอบแทนผู้ให้นั้น ยิ่งไม่ถูก เพราะที่จริง ผู้ให้ก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องให้เช่นกัน กล่าวคือ ไม่มีฝ่ายใดมีหน้าที่ต้องให้ประโยชน์แก่ฝ่ายใด เพียงแต่สัญญานี้ส่งผลให้มีผู้ได้ลาภทางทรัพย์สินอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น เหล่าผู้ที่มีความเห็นทางนี้เสนอว่า ถ้าจะจัด ก็ควรจัดว่า ให้เป็น "สัญญาไม่มีค่าตอบแทน" (contract without charge) มากกว่า
องค์ประกอบของสัญญา
คู่สัญญา
องค์ประกอบของสัญญา.
คู่สัญญา.
สัญญาให้มีคู่สัญญาสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือ ผู้ให้ และอีกฝ่ายคือ ผู้รับ
ผู้ให้ (donor) ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ต้องมีความสามารถทำนิติกรรม มิฉะนั้น การให้เป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. ม. 153 หรือถ้าเป็นนิติบุคคล การให้ต้องอยู่ในกรอบวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลนั้นตามที่ระบุไว้ในกฎหมายหรือตราสารจัดตั้งด้วย แต่ไม่ว่าในกรณีใด ผู้ให้ต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ให้ เพราะการให้มีผลเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินไปยังผู้รับ ถ้าผู้ให้ไม่มีกรรมสิทธิ์ ก็ย่อมโอนกรรมสิทธิ์มิได้
ผู้รับ (donee) ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ว่าจะหย่อนความสามารถทำนิติกรรมหรือไม่ ก็รับการให้ได้เสมอ เพราะมีแต่ประโยชน์ถ่ายเดียว แต่ในกรณีที่ผู้รับหย่อนความสามารถทำนิติกรรม และการให้นั้นก่อภาระให้แก่ผู้รับ กล่าวคือ มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพันด้วยก็ดี หรือถ้าผู้รับจะไม่รับการให้ก็ดี ผู้รับต้องขอความยินยอมหรืออนุญาตจากผู้เกี่ยวข้องก่อน มิฉะนั้น การรับหรือการไม่รับเป็นโมฆียะไปตาม ป.พ.พ. ม. 153
เช่น นางสาวปูยกดาวเทียมดวงหนึ่งให้แก่เด็กชายแม้วซึ่งเป็นผู้เยาว์ แต่มีเงื่อนไขว่า ให้กรรมสิทธิ์โอนไปต่อเมื่อเด็กชายแม้วสอบเข้าโรงเรียนสาธิตมูลเมืองได้แล้ว ถ้าเด็กชายแม้วจะตกลงรับดาวเทียมดวงนั้น ก็ต้องขออนุญาตผู้แทนโดยชอบธรรม คือ บิดามารดา หรือผู้ปกครอง ตาม ป.พ.พ. ม. 21 เสียก่อน หรือถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมจะตกลงรับดาวเทียมนั้นแทนเด็กชายแม้ว ผู้แทนก็ต้องขออนุญาตศาลตามกฎหมายลักษณะครอบครัว (ป.พ.พ. ม. 1574 (9)) เสียก่อน
อนึ่ง นิติบุคคลก็เป็นผู้รับได้ ในการนี้ มีข้อควรคำนึงอย่างเดียวกับกรณีผู้ให้ คือ การรับทรัพย์สินนั้นต้องไม่ขัดกับวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลตามที่ระบุไว้ในกฎหมายหรือตราสารจัดตั้ง
เจตนาและวัตถุประสงค์
เจตนาและวัตถุประสงค์.
ในการให้นั้น ผู้ให้จะมีเหตุผลอะไรก็ได้ เป็นความอยากส่วนตัวของผู้ให้ และเป็นเจตนาที่แสดงออกโดยอิสระ ไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ ทั้งนั้น เรียกว่า "เจตนาในการให้" (animus donandi หรือ donative intent) เช่น ให้เพราะแทนคุณ เอาบุญ หวังประโยชน์แอบแฝง สุรุ่ยสุร่าย หรือเอาหน้า
ส่วนวัตถุประสงค์ที่ให้ ก็คือ ให้เปล่า กล่าวคือ ฝ่ายผู้รับไม่ต้องตอบแทนผู้ให้แต่ประการใด ดังนั้น หากให้โดยมีผู้รับต้องตอบแทนแล้ว ก็มิใช่สัญญาให้ แต่อาจเป็นสัญญาอย่างอื่นไปแล้วแต่รายละเอียด เช่น ให้เงินแล้วบอกว่าให้มาช่วยงานที่บ้านตอบแทน อาจเป็นการจ้างแรงงาน หรือให้ของอย่างหนึ่งแล้วมีเงื่อนไขว่า ให้เอาของอีกอย่างมาแลก อาจเป็นการแลกเปลี่ยน
วัตถุประสงค์ดังกล่าวนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของการให้ เพราะคำว่า "โดยเสน่หา" หมายความว่า โดยไม่มีค่าตอบแทน ในภาษาอังกฤษใช้ว่า "gratuitous" ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกัน คือ ไม่รับของมีค่าอันใดตอบแทน (without receiving any return value) และในภาษาฝรั่งเศสใช้ว่า "à titre gratuit" ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า ไม่มีค่าตอบแทน (at no charge)
แบบ
แบบ.
สัญญาให้มีแบบ (form) สี่แบบ คือ (1) การส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ (2) การทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ (3) การส่งมอบตราสารแห่งนี้และบอกกล่าวลูกหนี้ให้ทราบ และ (4) การปลดหนี้หรือชำระหนี้แทน
แบบตาม (1) นั้นใช้สำหรับการให้ทรัพย์สินโดยทั่วไป ส่วน (2) ถึง (4) นั้นสำหรับการให้ทรัพย์สินบางประเภทหรือบางวิธี แต่ไม่ว่ากรณีใด ถ้าไม่ปฏิบัติตามแบบแล้ว การให้จะเป็นโมฆะไปตาม ป.พ.พ. ม. 152
การส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้
การส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้.
ตาม ป.พ.พ. ม. 523 การให้จะสมบูรณ์ต่อเมื่อผู้ให้ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับ การส่งมอบทรัพย์สินนี้เป็นแบบทั่วไปสำหรับการให้ กฎหมายประสงค์ให้ผู้ให้โอนการครอบครองทรัพย์สินให้แก่ผู้รับ เพื่อผู้รับจะได้สามารถจัดการทรัพย์สินนั้นได้
นักกฎหมายบางคนเห็นว่า การแสดงเจตนาว่าจะให้ทรัพย์สิน การตกลงรับทรัพย์สิน และการส่งมอบทรัพย์สิน ต้องเกิดขึ้นต่อเนื่องกันในคราวเดียวกัน เพราะเป็นเครื่องยืนยันซึ่งกันและกัน ถ้าไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินให้เสียเดี๋ยวนั้น การให้ย่อมเป็นโมฆะ และผู้รับไม่มีสิทธิฟ้องร้องบังคับให้ผู้ให้ส่งมอบทรัพย์สิน เพราะการให้เป็นอิสระของผู้ให้ดังอธิบายมาแล้ว จึงมิใช่หน้าที่ที่จะเรียกร้องให้ปฏิบัติกันได้
แต่ก็มีนักกฎหมายเห็นว่า แสดงเจตนาว่าจะให้ทรัพย์สิน แล้วค่อยส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้ภายหลังก็ได้
มีข้อต้องพิจารณาอีกประการ คือ ถ้าไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินให้เสร็จสิ้นไปในคราวเดียว การให้จะเป็นโมฆะหรือไม่ กรณีนี้ ป.พ.พ. ม. 527 ว่า ผู้ให้จะให้ทรัพย์สินแก่ผู้รับ โดยวิธีชำระหนี้แทนผู้รับเป็นคราว ๆ ไปก็ได้ แต่ปรกติแล้ว ความผูกพันดังกล่าวเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้ให้กับผู้รับ ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถึงแก่ความตาย ความผูกพันก็เป็นอันสิ้นสุดลง ไม่ตกทอดแก่ทายาทของผู้ตายต่อไป เว้นแต่จะขัดกับ "เจตนาอันปรากฏแต่มูลหนี้" (intention appearing from the obligation)
เช่น อิเหนากล่าวแก่จินตะหราว่า จะออกค่าสร้างภัตตาคารอาหารเจบนภูเขาวิลิศมาหราให้เรื่อย ๆ จนกว่าจะสร้างเสร็จ เป็นการที่อิเหนาแสดงเจตนาผูกพันตนเองว่าจะให้ทรัพย์สินโดยเสน่หาแก่จินตะหราด้วยวิธีชำระหนี้ให้เป็นคราว ๆ ซึ่งทำได้ ต่อมา จินตะหราทะเลาะกับพูนลาบ และถูกพูนลาบทำร้ายถึงแก่ความตายขณะที่ภัตตาคารยังสร้างไม่เสร็จ ปรกติแล้วอิเหนาะย่อมหมดหน้าที่ออกค่าสร้างภัตตาคารให้เพียงเท่านั้น แต่เมื่อปรากฏว่า อิเหนาะแสดงเจตนาไว้ว่า จะออกค่าสร้างให้จนกว่าจะสร้างเสร็จ ความผูกพันของอิเหนากับจินตะหราจึงไม่สิ้นสุดลงเพราะความตายของจินตะหรา และทายาทของจินตะหราได้รับสิทธิของจินตะหราต่อไป ฉะนั้น อิเหนาะจึงต้องออกค่าสร้างอยู่ โดยออกให้แก่ทายาทของจินตะหรา จนกว่าภัตตาคารจะสร้างเสร็จ
อย่างไรก็ดี ป.พ.พ. ม. 527 นี้ชวนสงสัยหลายประการดังนี้
1. ดังอธิบายมาแล้วว่า สัญญาให้ย่อมไม่ก่อหนี้แก่ทั้งผู้ให้และผู้รับ กล่าวคือ ผู้ให้ไม่มีหน้าที่ต้องให้ และผู้รับไม่มีหน้าที่ต้องตอบแทน แต่ ป.พ.พ. ม. 527 บัญญัติไว้ว่า เมื่อแสดงเจตนาว่าจะให้ทรัพย์สินเป็นคราว ๆ ไปแล้ว ก็เกิดหน้าที่จะต้องให้ตามเจตนานั้น จนกว่าหน้าที่จะสำเร็จหรือสิ้นสุดลง ดังนี้ กฎหมายจะขัดกันเองหรือไม่ ข้อนี้ นักกฎหมายเห็นว่า การให้โดยทั่วไป กับการให้ตาม ป.พ.พ. ม. 527 เป็นคนละกรณีกัน อย่างหลังนั้นเป็นการให้เป็นคราว ๆ และ ป.พ.พ. ม. 527 ไม่ได้หมายความว่า การให้โดยเสน่หาก่อหนี้ทุกกรณี
2. สำหรับการให้ทรัพย์สินเป็นคราว ๆ นั้น การส่งมอบที่ทำแล้วย่อมนับเป็นการให้ที่สมบูรณ์ แต่ที่ยังมิได้ทำนั้นจะเป็นอะไร เป็นการให้ที่สมบูรณ์เช่นกัน หรือเป็นสัญญาว่าจะให้ เพราะถ้าพิจารณาว่าเป็นสัญญาว่าจะให้แล้ว ก็ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. ม. 526 ดังจะได้อธิบายข้างหน้า
ข้อนี้ นักกฎหมายเห็นต่างกันเป็นสองทาง ทางแรกเห็นว่า ทรัพย์สินส่วนไหนถึงมือผู้รับแล้ว ก็เป็นการให้ที่สมบูรณ์เฉพาะส่วนนั้น ที่ยังไม่ถึงนับเป็นแต่คำมั่นว่าจะให้ และต้องทำเป็นหนังสือแล้วจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. ม. 526 ทางที่สองเห็นว่า ส่วนที่ยังไม่ได้ให้นั้นควรเป็นสัญญาว่าจะให้ มากกว่าจะเป็นคำมั่นว่าจะให้ แต่แม้เป็นคำมั่น ก็ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. ม. 526 เช่นกัน
3. ปรกติแล้ว การให้ในระหว่างชีวิตย่อมมีผลแต่ในระหว่างชีวิตของผู้ให้ แต่ ป.พ.พ. ม. 527 ยกเว้นว่า ในกรณีให้ทรัพย์สินเป็นคราว ๆ นั้น ถ้าผู้ให้และผู้รับถึงแก่ความตาย การให้ไม่สิ้นสุดลงด้วยถ้าขัดกับเจตนาที่ปรากฏจากมูลหนี้ ดังนี้ ผู้ให้จะแสดงเจตนาไว้ว่า แม้ตนตาย แต่การให้ทรัพย์สินเป็นคราว ๆ นั้นก็ให้ดำเนินต่อไป โดยอาศัยข้อยกเว้นดังกล่าวก็ได้ ใช่หรือไม่ ข้อนี้ นักกฎหมายเห็นว่า การให้ที่มีผลเมื่อผู้ให้ตายแล้ว ต้องทำเป็นพินัยกรรม และอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายลักษณะมรดก
การทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
การทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่.
สำหรับทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันแล้วต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กล่าวคือ ทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. ม. 456 ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ เรือมีระวางตั้งแต่ห้าตัน แพ และสัตว์พาหนะนั้น ป.พ.พ. ม. 525 บัญญัติว่า ถ้าจะให้กันโดยเสน่หา ก็ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย และเมื่อจดทะเบียนแล้ว การให้เป็นอันสมบูรณ์ทันที กล่าวคือ กรรมสิทธิ์โอนจากผู้ให้ไปยังผู้รับทันที แม้ยังไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่กันก็ตาม
ที่กฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพราะทรัพย์สินข้างต้นมีหลักฐานทางทะเบียน เมื่อมีการเปลี่ยนมือก็จำต้องเปลี่ยนแปลงข้อมูลในทะเบียนด้วย
ส่วนที่ดินมือเปล่า หรือที่ดินที่ปราศจากเอกสารรับรองกรรมสิทธิ์นั้น เจ้าของที่ดินมีเพียงสิทธิครอบครองที่ดิน ตราบที่เจตนาถือครองที่ดินไว้เพื่อตนเอง ทว่า ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่ประการใด ด้วยเหตุผลนี้ การซื้อขายที่ดินมือเปล่า โดยสภาพแล้วเป็นการซื้อขายสิทธิครอบครอง มิใช่ซื้อขายกรรมสิทธิ์ จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพราะฉะนั้น การยกที่ดินมือเปล่าให้แก่ผู้อื่นโดยเสน่หา จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นกัน แต่จะตกอยู่ในบังคับแห่งแบบทั่วไป คือ ผู้ให้ต้องส่งมอบที่ดินให้แก่ผู้รับ การส่งมอบที่ดินเช่นว่านี้ หมายถึง การโอนการครอบครองให้ในทางกายภาพ เช่น ย้ายออกไปจากที่ดินเพื่อให้ผู้รับเข้ามาอยู่แทน
การส่งมอบตราสารแห่งนี้และบอกกล่าวลูกหนี้
การส่งมอบตราสารแห่งนี้และบอกกล่าวลูกหนี้.
สิทธิเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง จึงยกให้แก่กันได้เช่นเดียวกับทรัพย์สินประเภทอื่น
สำหรับสิทธิซึ่งมีตราสาร (instrument) กล่าวคือ เอกสารแสดงสิทธิ กำกับอยู่นั้น ถ้าจะให้แก่กันโดยเสน่หาแล้ว โดยสภาพจึงเป็นการโอนสิทธิ และต้องปฏิบัติ ป.พ.พ. ม. 524 ประกอบกับ ป.พ.พ. ม. 306 อันเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้อง กล่าวคือ การให้สิทธิดังกล่าวต้องทำเป็นหนังสือ ผู้ให้ต้องส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับ และผู้ให้ต้องมีหนังสือแจ้งให้ลูกหนี้แห่งสิทธินั้นทราบถึงการให้ด้วย
เช่น หม่ำยืมเงินเท่งหนึ่งแสนบาท ทำหนังสือสัญญากู้ยืมลงลายมือชื่อหม่ำและเท่งเรียบร้อย หนังสือสัญญานี้จึงเป็นตราสารแสดงสิทธิของเท่งในอันที่จะได้รับเงินหนึ่งแสนบาทคืน ต่อมา เท่งต้องการยกสิทธิดังกล่าวให้แก่โหน่งโดยเสน่หา เพราะซาบซึ้งน้ำใจโหน่งที่มาช่วยทำคลอดสุนัขที่บ้านเป็นผลสำเร็จ ในการนี้ เท่งต้องทำหนังสือโอนสิทธิให้แก่โหน่ง พร้อมกับส่งมอบหนังสือสัญญากู้ยืมนั้นให้โหน่ง แล้วทำหนังสือแจ้งให้หม่ำทราบด้วยว่า โอนสิทธิไปให้โหน่งแล้ว ต่อไปหม่ำจะได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โหน่งแทน
ส่วนสิทธิในตราสารประเภทคำสั่งให้ใช้เงิน คือ ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และเช็คนั้น ไม่ต้องปฏิบัติตามวิธีการข้างต้น เพราะมีกฎหมายลักษณะตั๋วเงินบัญญัติไว้ต่างหาก
การปลดหนี้หรือชำระหนี้แทน
การปลดหนี้หรือชำระหนี้แทน.
ผู้ให้จะให้ทรัพย์สินแก่ผู้รับ โดยที่มิได้ให้ตัวทรัพย์สินโดยตรง แต่โดยปลดหนี้ที่ผู้รับค้างชำระต่อตนอยู่นั้นให้แก่ผู้รับ หรือโดยเข้าชำระหนี้ของผู้รับแทนผู้รับก็ได้ ดังที่ ป.พ.พ. ม. 522 อนุญาตไว้
การปลดหนี้ก็ดี หรือการเข้าชำระหนี้แทนก็ดี ย่อมอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายลักษณะหนี้ สำหรับการปลดหนี้นั้น ป.พ.พ. ม. 340 ว. 2 ว่า ถ้าหนี้มีเอกสารกำกับเป็นหลักฐานอยู่ การปลดหนี้ก็ต้องทำเป็นหนังสือ หรือต้องเวนคืนเอกสารนั้นให้ผู้รับซึ่งเป็นลูกหนี้ หรือขีดฆ่าเอกสารนั้นเสียด้วย ส่วนการชำระหนี้แทนนั้น ป.พ.พ. ม. 314 ว่า ย่อมทำได้ เว้นแต่ (1) ตามสภาพแห่งหนี้แล้ว ต้องเป็นเจ้าตัวเท่านั้นถึงจะชำระหนี้ได้, (2) ขัดกับเจตนาที่ผู้รับกับเจ้าหนี้ของเขาได้แสดงไว้ หรือ (3) ลูกหนี้ ซึ่งก็คือ ผู้รับ ไม่ยินยอม
สัญญาให้บางประเภท
สัญญาให้บางประเภท.
โดยทั่วไป สัญญาให้เกิดขึ้นเสร็จเด็ดขาด กล่าวคือ เมื่อให้แล้วก็ไม่ต้องทำอันใดต่อไปในภายหลังเพื่อก่อความผูกพันกันอีก แต่สัญญาให้เกิดขึ้นโดยที่ก่อความผูกพันกันชั้นหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยทำสัญญาให้เสร็จเด็ดขาดในภายหลัง เช่น ให้คำมั่นว่าจะให้ หรือทำสัญญาว่าจะให้ แล้วในอนาคตค่อยทำสัญญาให้ตามคำมั่นหรือสัญญาดังกล่าวนั้นอีก เช่นนี้จะได้หรือไม่
คำมั่นว่าจะให้ เป็นกรณีที่บุคคลออกปากเองว่า ในอนาคต ตนจะทำสัญญาให้ทรัพย์สินแก่ผู้อื่นโดยเสน่หา ส่วนสัญญาว่าจะให้นั้น เป็นกรณีที่บุคคลหนึ่งตกลงว่า ในอนาคต ตนจะทำสัญญาให้ทรัพย์สินแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยเสน่หา และบุคคลหลังตกลงว่าจะรับทรัพย์สินนั้น เพราะฉะนั้น คำมั่นว่าจะให้กับสัญญาว่าจะให้จึงต่างกันตรงที่คำมั่นเป็นความผูกพันฝ่ายเดียว คือ ผูกพันผู้ให้คำมั่นแต่ฝ่ายเดียว ขณะที่สัญญาว่าจะให้เป็นความผูกพันหลายฝ่าย คือ ผูกพันผู้จะให้และผู้จะรับ
โดยสภาพแล้ว ทั้งคำมั่นว่าจะให้ และสัญญาว่าจะให้ จึงส่งผลให้ผู้เกี่ยวข้องต้องมาทำสัญญาให้ เสมือนว่า สัญญาให้นั้นเกิดจากหน้าที่ มิใช่ความเสน่หาอีกต่อไป ย่อมขัดกับลักษณะของสัญญาให้ และความจริงแล้วจึงทำไม่ได้ แต่เนื่องจาก ป.พ.พ. ม. 526 รับรองให้ทำได้ ก็เป็นอันว่า ทำคำมั่นว่าจะให้หรือสัญญาว่าจะให้ได้ แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าคำมั่นหรือสัญญานั้นทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แล้วผู้ให้ไม่ปฏิบัติตาม ผู้รับมีสิทธิเรียกให้ผู้ให้ส่งมอบทรัพย์สินแก่ตน หรือเรียกให้ผู้ให้ใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ตนแทนได้ แต่ไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน เพราะค่าสินไหมทดแทนมีไว้ทดแทนความเสียหาย แต่ผู้รับไม่มีอะไรต้องเสียหายในการนี้เลย
ผลของสัญญา
ผลทางทรัพย์สิน
ผลของสัญญา.
ผลทางทรัพย์สิน.
สัญญาให้นั้น เมื่อเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะโอนจากผู้ให้ไปยังผู้รับทันที เช่น การให้ที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ได้อธิบายมาแล้วว่า จะสมบูรณ์เมื่อจดทะเบียน เพราะฉะนั้น เมื่อจดทะเบียนแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินย่อมโอนไปสู่ผู้รับทันที แม้ยังมิได้ส่งมอบทรัพย์สินให้กันก็ตาม ในกรณีนี้ ถ้าจดทะเบียนแล้ว ต่อมา ผู้ให้ไม่ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับ ผู้รับชอบจะฟ้องคดีบังคับให้ผู้ให้ส่งมอบทรัพย์สินได้ โดยเป็นการที่ผู้รับ ซึ่งที่เป็นเจ้าของทรัพย์สิน เพราะได้กรรมสิทธิ์แล้ว ใช้อำนาจแห่งกรรมสิทธิ์นั้นติดตามเอาทรัพย์สินคืน มิได้หมายความว่า สัญญาให้ก่อหน้าที่ให้ผู้ให้ต้องส่งมอบทรัพย์สินแต่ประการใด
ผลอีกประการของสัญญาให้ คือ เพิกถอนการให้มิได้ กล่าวคือ ให้แล้วให้เลย เรียกทรัพย์สินคืนมิได้ ยกเว้นกรณีที่กฎหมายกำหนด คือ กรณีถอนคืนซึ่งการให้ และกรณีเรียกทรัพย์สินคืน
ผลทางหนี้
ผลทางหนี้.
สัญญาให้นั้นไม่ก่อหนี้ (obligation) ใด ๆ ทั้งสิ้น คู่สัญญาไม่มีหนี้ต้องชำระเลย กล่าวคือ ผู้ให้ไม่มีหน้าที่ต้องให้ทรัพย์สิน และผู้รับไม่มีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดตอบแทนผู้ให้
อนึ่ง ผู้ให้ยังไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สิน หรือในการที่ผู้รับถูกรอนสิทธิด้วย เพราะผู้ให้อุตส่าห์ยกทรัพย์สินให้เปล่า ๆ อยู่แล้ว ครั้นทรัพย์สินนั้นเกิดมีปัญหาขึ้นมา จะให้เขาชดใช้อีก ก็ดูไม่สมควร ทั้งนี้ เว้นแต่กรณีที่ทรัพย์สินซึ่งให้นั้นมีค่าภาระติดพัน
ฎ. บางฉบับเกี่ยวกับการให้
เชิงอรรถ
อ้างอิง
หมายเหตุ
เชิงอรรถ.
หมายเหตุ.
ราชบัณฑิตยสถาน; 2551.02.07: ออนไลน์.
"ให้โดยเสน่หา (กฎ) ก. โอนทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งโดยไม่มีค่าตอบแทน."
Dictionary.com, 2011: Online.
"Law. given without receiving any return value."
เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส ม. 893 ว่า
"La libéralité est l'acte par lequel une personne dispose à titre gratuit de tout ou partie de ses biens ou de ses droits au profit d'une autre personne."
|
thaiwikibooks
| 195,300 |
ให้/บทที่ 3
|
ศึกษามาแล้วว่า การให้เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน เพราะเป็นการให้เปล่า คู่สัญญาไม่มีหน้าที่ต้องตอบแทนกัน แต่ก็มีการให้อยู่ประเภทหนึ่งซึ่งกฎหมายรับรองไว้ และมีลักษณะก่อภาระให้แก่คู่สัญญาฝ่ายผู้รับ ทำนองว่า รับแล้วต้องมีหน้าที่ หรือให้แต่ให้ไม่เต็มร้อย การให้เช่นนี้คือ "การให้ทรัพย์สินที่มีค่าภาระติดพัน"
ในบทสุดท้ายนี้จะได้ศึกษากันว่า อะไรคือค่าภาระติดพัน และเมื่อทรัพย์สินที่ให้นั้นมีค่าภาระติดพันจะเกิดผลอย่างไร
ค่าภาระติดพัน
ค่าภาระติดพัน.
การให้ทรัพย์สินที่มีค่าภาระติดพัน (donation subject to conditions, encumbered gift หรือ gift with burden) คือ การให้ทรัพย์สินที่มีภาระติดมาด้วย
เช่น นางสาวติ่งหูให้ที่ดินสามไร่แก่นายเกรียนโดยเสน่หา แต่ที่ดินไร่ที่หนึ่งอยู่ในบังคับแห่งสิทธิอาศัยของคุณหญิงสลิ่มเป็นเวลาสามสิบปี กล่าวคือ คุณหญิงสลิ่มมีสิทธิอาศัยอยู่ในที่ดินไร่ที่หนึ่งในจำนวนสามไร่นั้นเป็นเวลาสามสิบปี ดังนี้ เป็นการให้ที่ดินโดยมีค่าภาระติดพัน
ค่าภาระติดพันอาจชวนสับสนกับภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ (charge on immovable property) ตามกฎหมายลักษณะทรัพย์สิน และนักกฎหมายบางคนอธิบายว่าเป็นอันเดียวกัน แต่ก็มีนักกฎหมายบางคนเห็นต่างว่า ทรัพย์สินซึ่งมีค่าภาระติดพันจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้ ค่าภาระติดพันจึงเป็นคนละเรื่องกับภาระติดพันดังกล่าว
อนึ่ง ค่าภาระติดพันต้องมีอยู่แล้วในเวลาให้ และต้องเป็นประโยชน์ที่ผูกพันอยู่กับตัวทรัพย์สินซึ่งให้เท่านั้น เช่น ผู้ให้ให้ทรัพย์สิน และผู้รับตกลงจะเลี้ยงดูผู้ให้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ การเลี้ยงดูไม่เป็นค่าภาระติดพัน
ภาระของผู้รับ
การชำระค่าภาระติดพัน
ภาระของผู้รับ.
การชำระค่าภาระติดพัน.
ตาม ป.พ.พ. ม. 528 ถ้าทรัพย์สินมีค่าภาระติดพัน ผู้รับก็ต้องนำทรัพย์สินนั้นเองออกชำระค่าภาระติดพันจนเสร็จสิ้น เช่น ในกรณีนางสาวติ่งหูข้างต้น นายเกรียนต้องยอมให้คุณหญิงสลิ่มอาศัยอยู่ในที่ดินไร่ที่หนึ่งนั้นตามระยะเวลาที่เหลืออยู่ ในกรณีเช่นนี้ นายเกรียนคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสามไร่นั้นอยู่ เพียงแต่นายเกรียนยังไม่สามารถใช้กรรมสิทธิ์เหนือที่ดินไร่หนึ่งได้อย่างเต็มที่ จนกว่าค่าภาระติดพันจะหมดลง
อนึ่ง ถ้าทรัพย์สินที่ได้มานั้นไม่พอจะชำระค่าภาระติดพัน ผู้รับก็เพียงต้องชำระค่าภาระติดพันเท่าราคาทรัพย์สินนั้นตาม ป.พ.พ. ม. 529
ความที่ต้องชำระค่าภาระติดพันนี้ ไม่ทำให้สัญญาให้กลายเป็นสัญญาต่างตอบแทนไป กล่าวคือ ไม่ได้กลายเป็นว่า ผู้รับมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดตอบแทนผู้ให้ขึ้นมา เพราะผู้รับสามารถนำทรัพย์สินที่ได้มานั้นออกชำระค่าภาระติดพันอยู่แล้ว ไม่ได้ต้องควักเนื้อแต่ประการใด
การไม่ชำระค่าภาระติดพัน
การไม่ชำระค่าภาระติดพัน.
เนื่องจากการชำระค่าภาระติดพันมิใช่หน้าที่ ผู้รับจึงไม่จำต้องปฏิบัติ และผู้ให้ก็ไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้ต้องปฏิบัติด้วย แต่ผู้ให้มีสิทธิเรียกทรัพย์สินคืนได้เท่าที่จะนำไปใช้ชำระค่าภาระติดพันตาม ป.พ.พ. ม. 528 ว. 1 และการเรียกคืนนี้จะเป็นไปตามบทบัญญัติเรื่องลาภมิควรได้
เช่น คุณชายกางยกบ้านสามหลัง คือ บ้านทรายดอง บ้านทรายฟอง และบ้านทรายนอง ให้แก่พจมาร ชินในวัด โดยเสน่หา ทว่า หม่อมพวงนารายณ์มีสิทธิเช่าบ้านทรายดองชั่วชีวิตหม่อมอยู่ก่อนแล้ว พจมานจึงได้รับบ้านทั้งสามหลังมาโดยมีค่าภาระติดพัน แต่พจมารไม่ประสงค์จะให้หม่อมพวงนารายณ์เช่าต่อ จึงให้ข้าทาสบริวารขับไล่หม่อมออกไป ดังนี้ คุณชายกางมีสิทธิเรียกบ้านทรายดองคืนเพื่อนำมาให้หม่อมพวงนารายณ์เช่า แต่ที่เหลืออีกสองหลัง คือ บ้านทรายฟอง และบ้านทรายนอง จะเรียกคืนมิได้
การเรียกทรัพย์สินคืน (return of the gift) ในกรณีเช่นนี้ต่างจากการถอนคืนซึ่งการให้ ตรงที่การเรียกคืนมีผลแก่ทรัพย์สินเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการชำระค่าภาระติดพัน ขณะที่การถอนคืนมีผลล้มล้างการให้ไปโดยสิ้นเชิง ฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงตั้งอยู่บนความระมัดระวัง อย่าสับสนระหว่างกัน
ทั้งนี้ ผู้รับที่ไม่ชำระค่าภาระติดพันอาจดูเหมือนว่าไม่รู้จักบุญคุณผู้ให้ แต่ไม่ถือว่า ผู้รับประพฤติเนรคุณอันจะเป็นเหตุแห่งการถอนคืนซึ่งการให้ เพราะ "เนรคุณ" ดังกล่าวไม่ใช่ศัพท์ทั่วไป แต่เป็นศัพท์กฎหมายที่มีนิยามแน่นอนและเจาะจงดังศึกษามาแล้ว ประกอบกับการเรียกคืนกับการถอนคืนเป็นคนละกรณีกัน กฎหมายบัญญัติไว้แยกกัน อย่างไรก็ดี ถ้ามีทรัพย์สินเหลือจากการเรียกคืน การให้ทรัพย์สินส่วนนี้ก็อาจถูกถอนคืนได้อยู่ เมื่อเข้าข่ายที่จะถอนคืนได้
ความรับผิดของผู้ให้
ความรับผิดของผู้ให้.
ป.พ.พ. ม. 530 กำหนดว่า ถ้าผู้รับทรัพย์สินที่มีค่าภาระติดพันไม่ได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินอย่างเต็มที่ เพราะ (1) ทรัพย์สินนั้นชำรุดบกพร่องก็ดี หรือ (2) ผู้รับถูกรอนสิทธิในทรัพย์สินนั้นก็ดี ผู้ให้ต้องรับผิดเสมือนเป็นผู้ขายด้วย แต่ความผิดรับนี้มีขอบเขตไม่เกินจำนวนค่าภาระติดพัน
ทั้งนี้ ในการให้ตามปรกติแล้ว เมื่อทรัพย์สินบกพร่อง ผู้ให้ก็ไม่มีหน้าที่ต้องชดเชย เพราะสัญญาให้ไม่ก่อหน้าที่ใด ๆ แต่ถ้าทรัพย์สินซึ่งบกพร่องนั้นมีค่าภาระติดพัน ก็จะไม่เป็นธรรมแก่ผู้รับ เพราะผู้รับมีหน้าที่ต้องปลดเปลื้องค่าภาระติดพัน แต่ไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่เนื่องจากทรัพย์สินบกพร่องหรือถูกรอนสิทธิในทรัพย์สิน กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้ให้รับผิดต่อผู้รับในกรณีนี้
เช่น แม่ศรีประจันยกเรือนสองหลังที่จังหวัดสุพรรณบุรีให้แก่แม่วันทองแท้ แต่เรือนหลังที่สองนั้นแม่พวงทองทามีสิทธิอาศัยเป็นเวลาสามสิบปีมาแต่เดิมแล้ว แม่วันทองแท้ทราบแล้วก็ยินดีให้แม่พวงทองทาอาศัยอยู่ได้ ต่อมาไม่นาน แม่พิณทองชุบฟ้องเรียกเรือนทั้งสองหลังจากแม่วันทองแท้ เพราะปรากฏว่า แม่ศรีประจันขายเรือนให้แก่ตนก่อนแล้ว กลับมายกให้แก่แม่วันทองทาเสียได้ และศาลพิพากษาให้แม่พิณทองชุบชนะคดี ดังนี้ แม่วันทองแท้ย่อมถูกรอนสิทธิในเรือนทั้งสองหลังถึงขนาดที่หมดสิทธินั้นทีเดียว และแม่วันทองแท้สามารถเรียกค่าทดแทนจากแม่ศรีประจันได้ แต่ค่าทดแทนนี้จะไม่เกินราคาเรือนหลังที่สองซึ่งแม่วันทองแท้เคยต้องนำออกให้แม่พวงทองทาใช้อาศัย
ปัญหาบางประการ
ค่าภาระติดพันกับสภาพต่างตอบแทน
ปัญหาบางประการ.
ค่าภาระติดพันกับสภาพต่างตอบแทน.
เมื่อทรัพย์สินมีค่าภาระติดพัน การให้จะกลายเป็นสัญญาต่างตอบแทนอันขัดกับลักษณะปรกติของการให้ (ที่ไม่ก่อหนี้ให้คู่สัญญาต้องตอบแทนกัน) หรือไม่ ปัญหานี้ถกเถียงกันมายาวนานในวงการนิติศาสตร์ และมีความเห็นต่างกันเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายแรกเป็นเสียงส่วนใหญ่ เห็นว่า เป็น ฝ่ายที่สองเห็นแย้งว่า ไม่เป็น เพราะมีค่าภาระติดพัน ไม่ได้หมายความว่า ผู้รับมีหน้าที่ตอบแทนผู้ให้ เพียงแต่ผู้รับมีภาระอันเป็นเหตุให้ตนไม่ได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินอย่างเต็มที่เท่านั้น
ศาลฎีกาเองเคยวินิจฉัยไว้ทำนองเดียวกับฝ่ายที่สองว่า ในสัญญาให้ทรัพย์สินที่มีค่าภาระติดพันนี้ ผู้รับไม่ได้ต้องเสียค่าตอบแทนการให้แต่อย่างใด เพียงแต่ผู้ให้สงวนผลประโยชน์บางส่วนอันเกิดจากทรัพย์สินนั้นไว้
ค่าภาระติดพันกับเงื่อนไขบังคับหลัง
ค่าภาระติดพันกับเงื่อนไขบังคับหลัง.
ปัญหาที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ การให้ทรัพย์สินที่มีค่าภาระติดพันเป็นสัญญาที่ตกอยู่ในเงื่อนไขบังคับหลังหรือไม่ ข้อนี้ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์ รองศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่า ไม่ โดยให้เหตุผลว่า
1. ถ้ามีเงื่อนไขบังคับหลัง ก็หมายความว่า กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้นั้นโอนไปยังผู้รับแล้ว ต่อมา เกิดเหตุการณ์อันไม่แน่นอนตามเงื่อนไขนั้น เงื่อนไขจึงสำเร็จ กรรมสิทธิ์จึงโอนจากผู้รับกลับมายังผู้ให้ แต่การชำระค่าภาระติดพันเป็นเรื่องที่ต้องเกิด ไม่ใช่เหตุการณ์อันไม่แน่นอนเหมือนเงื่อนไข
2. ประกอบกับถ้าเป็นเงื่อนไข กรรมสิทธิ์ย่อมโอนกลับมาเองโดยอัตโนมัติและโดยแน่แท้ แต่กรณีให้ทรัพย์สินที่มีค่าภาระติดพัน เมื่อผู้รับไม่ชำระค่าภาระติดพัน กรรมสิทธิ์มิได้โอนกลับมาจนกว่าผู้ให้จะฟ้องเรียกทรัพย์สินคืน และการฟ้องนี้เป็นสิทธิของผู้ให้ กล่าวคือ ผู้ให้จะเรียกคืนหรือไม่ก็ได้
ค่าภาระติดพันเป็นการจำนอง
ค่าภาระติดพันเป็นการจำนอง.
กรณีที่พบบ่อยที่สุด คือ การให้อสังหาริมทรัพย์ซึ่งติดจำนอง ซึ่งส่งผลสองประการ คือ (1) ทรัพย์สินอาจถูกบังคับจำนองได้ ถ้าผู้ให้หรือผู้รับไม่ชำระหนี้ และ (2) ถ้าผู้รับอยากได้กรรมสิทธิ์ในเต็มที่ ผู้รับต้องไปปลดจำนองเอง
เช่น อนิจจา ทาทา หยัง ซาบซึ้งพี่ม้าที่ตัดสินให้ตนชนะเลิศการประกวดร้องทุกข์ในรายการเดอะสตอ จึงยกที่ดินมูลค่าสิบล้านบาทให้พี่ม้าโดยเสน่หา แต่เผอิญว่า ที่ดินนั้นอนิจจาจำนองไว้กับมอด ปากติดพาน ปัดซะหวีกาง เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้แปดล้านบาทอยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้น ถ้าอนิจจาไม่ชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าว มอดก็อาจบังคับจำนองแก่ที่ดินโดยนำที่ดินออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ได้ หรือถ้าพี่ม้าประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นเต็มทีโดยไม่ต้องรีรออนิจจาชำระหนี้อีก พี่ม้าก็อาจเข้าชำระหนี้เงินกู้แทนอนิจจา เพื่อจะได้ปลดที่ดินออกจากการจำนอง กรณีจึงเป็นการที่พี่ม้าได้รับที่ดินมาโดยมีค่าภาระติดพัน และค่าภาระติดพันของพี่ม้า คือ การปลดจำนอง
ดังนี้ จะถือว่า การให้ทรัพย์สินติดจำนองอันเป็นเหตุให้ผู้รับต้องปลดจำนองนั้น เป็นสัญญาต่างตอบแทนหรือไม่ ปัญหานี้นักกฎหมายเห็นว่า การปลดจำนองก็เช่นเดียวกับค่าภาระติดพันประเภทอื่น คือ มิใช่หน้าที่ ผู้รับจะทำหรือไม่ก็ได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นสัญญาต่างตอบแทน
ส่วนความเสี่ยงที่ว่า ถ้าผู้ให้ไม่ชำระหนี้แล้ว ผู้รับจำนองอาจมาบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สินก็ได้นั้น นักกฎหมายเห็นว่า ผู้รับไม่ได้เสียประโยชน์อันใดอยู่แล้ว เพราะเดิมก็ได้ทรัพย์สินมาเปล่า ๆ ไม่ได้หมายความว่า ผู้รับตกอยู่ในฐานะจำเป็นต้องทำ หากแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้รับเองมากกว่า เช่น ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์ รองศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า
"...เงินที่ผู้รับต้องไปปลดจำนองนี้ หากนำมาหักออกแล้ว คือ ส่วนที่ผู้ให้ไม่ได้ให้...ไม่ทำให้ผู้รับต้องควักเนื้อของตนมาตอบแทนอะไรกับผู้ให้
"...สิ่งที่ต้องเข้าใจด้วยก็คือว่า ถ้าทรัพย์สินนั้นติดจำนองแล้วเรายกให้ใคร ก็หมายความว่า ผู้ให้ได้ยกให้ตามสภาพที่ทรัพย์สินเป็นอยู่ คือ มีภาระติดอยู่ ผู้รับเองก็รับไปตามสภาพที่ทรัพย์สินเป็นอยู่ด้วยความเข้าใจและคาดหมายได้ถึงภาระนี้มาตั้งแต่รับการให้แล้ว...หากไม่ต้องการให้มีภาระติดมา ก็อาจปฏิเสธไม่รับการให้ได้อยู่แล้ว"
เชิงอรรถ
อ้างอิง
หมายเหตุ
เชิงอรรถ.
หมายเหตุ.
เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน ม. 525 ว่า
"Section 525 Donation subject to conditions
"(1) Anyone who makes a donation subject to a condition may demand that the condition is fulfilled if he himself has performed.
"(2) If fulfilment of the condition is in the public interest, then the competent public authority may also demand fulfilment after the death of the donor. "
เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งญี่ปุ่น ม. 553 ว่า
"Article 553 (Encumbered Gifts)
"With respect to gifts with burden, in addition to the provisions of this Section, the provisions regarding bilateral contracts shall apply mutatis mutandis, to the extent those provisions are not inconsistent with the nature of gifts with burden. "
เช่น พระวรภักดิ์พิบูลย์, 2511: 481.
เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน ม. 527 ว่า
"Section 527 Non-fulfilment of the condition
"(1) If fulfilment of the condition fails to occur, the donor may demand the return of the gift under the conditions determined for the right of revocation of reciprocal contracts under the provisions on return of unjust enrichment to the extent that the gift would have had to be used to fulfil the condition.
"(2) The claim is excluded if a third party is entitled to demand fulfilment of the condition."
เช่น โพยม เลขยานนท์, 2499: 101; ปรีชา สุมาวงศ์, 2532: 655.
เช่น .
|
thaiwikibooks
| 195,301 |
ให้/ดัชนี
|
ความรับผิดของผู้ให้เสมือนเป็นผู้ขาย
ค่าภาระติดพัน
คำมั่นว่าจะให้
เจตนาในการให้
เจตนาอันปรากฏแต่มูลหนี้
ชำระค่าภาระติดพัน
ชำระหนี้ซึ่งผู้รับค้างชำระอยู่
ชำระหนี้แทนผู้รับ
ชำระหนี้เป็นคราว ๆ
โดยเสน่หา
ถอนคืน (ซึ่งการให้)
ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ทรัพย์สินซึ่งให้นั้นมีค่าภาระติดพัน
ทายาทเรียกให้ถอนคืนการให้
ทายาทว่าคดีต่อ
ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เนรคุณ
บำเหน็จสินจ้างโดยแท้
แบบ (ในการให้)
ปลดหนี้ให้แก่ผู้รับ
ผู้รับ
ผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง
ผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้
ผู้รับได้ประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรง
ผู้รับหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง
ผู้ให้
ผู้ให้ได้ให้อภัยแก่ผู้รับ
มรดกความ
เรียกถอนคืน
เรียกทรัพย์สินคืน
ส่งมอบตราสารแห่งนี้และบอกกล่าวลูกหนี้
ส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้
หน้าที่ธรรมจรรยา
เหตุเนรคุณ
เหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ
ให้โดยเสน่หา
ให้โดยพินัยกรรม
ให้ตามมารยาท
ให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยา
ให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ให้ในการสมรส
ให้เป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้
ให้ในระหว่างชีวิต
ให้อันจะให้เป็นผลต่อเมื่อผู้ให้ตาย
อภัย
อายุความ
animus donandi
donatio inter vivos
donation inter vivos
donation mortis causa
donation subject to conditions
donative intent
encumbered gift
gift by will
gift causa mortis
gift with burden
inter vivos disposition
inter vivos gift
testamentary disposition
testamentary gift
testamentary transfer
|
thaiwikibooks
| 195,302 |
ให้/บทที่ 2
|
(revocation) คือ การยกเลิกการให้ เป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวของผู้มีสิทธิ และจะกระทำได้ก็เฉพาะแต่ในกรณีที่กฎหมายอนุญาตเท่านั้น คือ (1) ผู้ให้ถอนคืนเอง เนื่องจากผู้รับเนรคุณผู้ให้ และ (2) ทายาทถอนคืนแทน เนื่องจากมีเหตุที่ผู้ให้จะถอนคืนได้แล้ว แต่ผู้ให้ถึงแก่ความตายลงเสียก่อน
กรณีที่ถอนคืนได้
ผู้ให้ถอนคืนเอง
กรณีที่ถอนคืนได้.
ผู้ให้ถอนคืนเอง.
ตาม ป.พ.พ. ม. 531 ผู้ให้มีสิทธิถอนคืนซึ่งการให้ด้วยตนเองเมื่อผู้รับเนรคุณผู้ให้ การเนรคุณ (ingratitude) ดังกล่าว แบ่งเป็นสามกรณี คือ ผู้รับประทุษร้ายต่อผู้ให้ ผู้รับหมิ่นประมาทผู้ให้ และผู้รับไม่อุปการะเลี้ยงดูผู้ให้
ผู้รับประทุษร้ายต่อผู้ให้
ผู้รับประทุษร้ายต่อผู้ให้.
ถ้าผู้รับประทุษร้ายต่อผู้ให้จนเป็นความผิดอาญาร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญา ผู้ให้สามารถถอนคืนซึ่งการให้ได้ ตาม ป.พ.พ. ม. 531 (1)
โดยปรกติ "ประทุษร้าย" หมายความถึง ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ และ ป.พ.พ. บัญญัติต่อว่า การประทุษร้ายนั้นต้องเข้าข่ายเป็นความผิดอาญาร้ายแรงตาม "ประมวลกฎหมายลักษณะอาญา" ซึ่งได้แก่ กฎหมายลักษณะอาญา ม. 256 ว่าด้วยความผิดฐาน "ประทุษร้ายแก่ร่างกายอย่างสาหัส" หรือปัจจุบันถูกยกเลิกและแทนที่โดย ป.อ. ม. 297 ว่าด้วยความผิดฐาน "ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายสาหัส" นักกฎหมายจึงเห็นว่า การประทุษร้ายที่จะเป็นเหตุให้ถอนคืนซึ่งการให้ได้ ต้องก่อให้เกิดอันตรายสาหัสตาม ป.อ. ม. 297 ด้วย อนึ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า การประทุษร้ายต้องเข้าลักษณะตาม ป.อ. ม. 297 นี้ จึงมีนักกฎหมายเห็นว่า การประทุษร้ายตาม ป.พ.พ. ม. 531 หมายถึง กรณีที่ก่ออันตรายแก่ร่างกายเท่านั้น ไม่รวมที่ส่งผลต่อจิตใจหรือทรัพย์สิน
ทว่า ในทางปฏิบัติ ศาลไทยมิได้ยึดถือเช่นนั้นเคร่งครัดนัก หากแต่พิจารณาความหนักเบาทางศีลธรรมมากกว่า เช่น มีคดีมารดาให้ทรัพย์สินแก่บุตร แล้วบุตรทำร้ายร่างกายมารดา แต่ไม่ถึงสาหัสตาม ป.อ. ม. 297 ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นการเนรคุณอย่างร้ายแรงตาม ป.พ.พ. ม. 531 แล้ว มารดาจึงถอนคืนซึ่งการให้ได้
ผู้รับหมิ่นประมาทผู้ให้
ผู้รับหมิ่นประมาทผู้ให้.
ถ้าผู้รับทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง ผู้ให้ถอนคืนซึ่งการให้ได้ ตาม ป.พ.พ. ม. 531 (2)
สำหรับหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงนั้น ไม่จำต้องถึงขนาดเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. เพราะ ป.พ.พ. ไม่ได้ระบุไว้ และในทางปฏิบัติ ศาลไทยก็ไม่ได้ถืออย่างนั้นเช่นกัน แต่มักพิจารณาความร้ายแรงทางศีลธรรมมากกว่า เช่น มีคดีมารดาเลี้ยงให้ที่ดินแก่บุตรเลี้ยง แล้วบุตรนั้นด่ามารดาเลี้ยงว่า "โตไม่รู้จักโต พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย พูดหน้ามือเป็นหลังมือ เหมือนไม้หลักปักขี้เลน ตอแหลเก่ง เป็นคนไม่ดี ไม่ใช่แม่กู เชื่อถือไม่ได้" ศาลฎีกาเห็นว่า "แสดงถึงการไม่เคารพยำเกรงโจทก์ซึ่งเป็นมารดาเลี้ยง และเป็นการลบหลู่บุญคุณอีกด้วย มิใช่เป็นเพียงคำกล่าวที่ไม่สุภาพหรือไม่สมควรเท่านั้น การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ทั้งเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง" มารดาเลี้ยงจึงถอนคืนซึ่งการให้ที่ดินนั้นได้
ผู้รับไม่อุปการะเลี้ยงดูผู้ให้
ผู้รับไม่อุปการะเลี้ยงดูผู้ให้.
ตาม ป.พ.พ. ม. 531 (3) ถ้าผู้รับไม่อุปการะเลี้ยงดูผู้ให้ ผู้รับชื่อว่าเนรคุณผู้ให้ และผู้ให้สามารถถอนคืนซึ่งการให้ได้ ทั้งนี้ การไม่อุปการะเลี้ยงดูดังกล่าวต้องเข้าข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ทุกประการด้วย คือ (1) ผู้ให้ยากไร้ (2) ผู้ให้จึงมาขอความช่วยเหลืออันจำเป็นแก่การดำรงชีพของตนจากผู้รับ (3) แต่ผู้รับไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ (4) ทั้งที่ในเวลานั้น ผู้รับสามารถจะให้ได้ แต่ถ้าไม่เข้าองค์ประกอบข้อใดแม้เพียงข้อเดียว ก็ไม่อาจนับว่าผู้รับเนรคุณผู้ให้
ความสำคัญของการเนรคุณตามอนุมาตรานี้อยู่ตรงที่ การไม่ยอมช่วยเหลือ ทั้งที่สามารถช่วยเหลือได้ เช่น มีคดีบิดาให้ทรัพย์สินแก่บุตร แล้วบิดาเกิดขัดสน มาขอพึ่งบุตร แต่บุตรบอกปัดอย่างสิ้นเชิงโดยอ้างว่า ไม่พอกินพอใช้เช่นกัน ศาลฎีกาเห็นว่า การช่วยเหลือเจือจุนผู้คนนั้น ไม่จำเป็นว่าต้องให้มากมายจนตนเองเดือดร้อน ควรให้แต่ที่พอให้ได้ กรณีนี้ปรากฏว่า บุตรยังพอให้ได้ แต่กลับตัดรอนโดยสิ้นเชิง นับว่าอกตัญญู เป็นการเนรคุณต่อบิดาแล้ว บิดาจึงถอนคืนซึ่งการให้นั้นได้
ทายาทถอนคืนแทน
ทายาทถอนคืนแทน.
ตาม ป.พ.พ. ม. 532 ทายาทของผู้ให้จะถอนคืนซึ่งการให้แทนผู้ให้ได้ ก็เมื่อผู้ให้ถึงแก่ความตายในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
1. ผู้ให้ถูกผู้รับฆ่าโดยเจตนาและโดยมิชอบด้วยกฎหมาย การฆ่าโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น การประหารชีวิตตามคำสั่งศาล
2. ผู้ให้ถูกผู้รับกีดกันมิให้ใช้สิทธิถอนคืนในระหว่างมีชีวิตอยู่ เป็นกรณีที่ผู้รับประพฤติเนรคุณตาม ป.พ.พ. ม. 531 จนเป็นเหตุให้ถอนคืนซึ่งการให้ได้แล้ว แต่ผู้รับขัดขวางมิให้ผู้ให้ใช้สิทธิถอนคืน จนกระทั่งผู้ให้ถึงแก่ความตาย เช่น ผู้รับจับผู้ให้ขังไว้ในบ้านเรื่อยมา
3. ผู้รับประพฤติเนรคุณตาม ป.พ.พ. ม. 531 และผู้ให้ได้ฟ้องคดีขอถอนคืนซึ่งการให้ต่อศาลแล้ว แต่มาตายลงขณะที่คดีนั้นยังไม่ถึงที่สุด ทายาทของผู้ให้มีสิทธิดำเนินคดีต่างผู้ให้ต่อไปได้ เรียกว่าเป็นการรับมรดกความ
ปรกติแล้ว สิทธิถอนคืนซึ่งการให้เป็นเรื่องเฉพาะตัวผู้ให้ เพราะขึ้นอยู่กับผู้ให้แต่ผู้เดียวว่าจะถอนคืนหรือไม่ ฉะนั้น เมื่อผู้ให้ตาย สิทธิถอนคืนย่อมสิ้นสุดลงตามไปด้วย ไม่เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทของผู้ให้แต่ประการใด แต่ในกรณีทั้งสามข้างต้น ผู้ให้ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม กฎหมายจึงให้ทายาทของผู้ให้ใช้สิทธิแทนผู้ให้ได้เฉพาะในกรณีเหล่านั้น
กรณีที่ถอนคืนมิได้
เหตุแห่งเจตนา
กรณีที่ถอนคืนมิได้.
เหตุแห่งเจตนา.
ตาม ป.พ.พ. ม. 533 ว. 1 ถ้าผู้รับเนรคุณผู้ให้ และผู้ให้อภัยผู้รับในความเนรคุณนั้นแล้ว เป็นอันถอนคืนซึ่งการให้โดยอาศัยเหตุเนรคุณดังกล่าวมิได้อีก
การอภัยนี้ต้องเป็นของผู้ให้เท่านั้น ทายาทไม่อาจให้อภัยแทนผู้ให้ได้ อนึ่ง การอภัยต้องเป็นไปโดยแจ้งชัดด้วย แต่ในทางใดก็ได้ เช่น วาจา ลายลักษณ์อักษร หรืออากัปกิริยา
เหตุแห่งเวลา
เหตุแห่งเวลา.
ตาม ป.พ.พ. ม. 533 ว. 1 ถ้าผู้รับเนรคุณผู้ให้ การถอนคืนซึ่งการให้โดยอาศัยเหตุเนรคุณดังกล่าวต้องกระทำภายในอายุความดังต่อไปนี้
1. ผู้มีสิทธิถอนคืนต้องใช้สิทธิภายในหกเดือนนับแต่ได้ทราบถึงเหตุเนรคุณ หรือ
2. ถ้าผู้มีสิทธิถอนคืนไม่ทราบถึงเหตุเนรคุณ จนกระทั่งล่วงเลยกำหนดหกเดือนข้างต้น ก็ต้องใช้สิทธิภายในสิบปีนับแต่เกิดเหตุเนรคุณ
การเนรคุณอาจเกิดขึ้นได้หลายครั้ง บางครั้งอาจขาดอายุความแล้ว และบางครั้งอาจยังไม่ขาด ผู้มีสิทธิจะอาศัยการเนรคุณครั้งใดที่ยังไม่ขาดอายุความมาใช้สิทธิถอนคืนก็ได้ เช่น มีคดีเมื่อปี 2538 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้การบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งจำเป็นแก่การเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ที่เกิดขึ้นในครั้งก่อนจะขาดอายุความหกเดือนแล้วก็ตาม แต่ก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ประมาณหนึ่งเดือน จำเลยปฏิเสธไม่ยอมให้เงินโจทก์ไปรักษาตัวเนื่องจากเจ็บป่วยอีก คดีส่วนนี้จึงยังไม่ขาดอายุความ
เหตุแห่งสภาพของการให้
เหตุแห่งสภาพของการให้.
การให้ตามมารยาท (donation for decency) นั้นไม่อาจถอนคืนเพราะผู้รับเนรคุณผู้ให้ ป.พ.พ. ม. 535 แบ่งการให้ดังกล่าวออกเป็นสี่กรณี คือ
1. การให้เป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้ (gift purely remuneratory หรือ remunerative donation) หมายถึง การให้บำเหน็จรางวัล เช่น สินน้ำใจ หรือค่าเหนื่อย
เป็นต้นว่า พระลามใช้หนุมารนำแหวนไปมอบให้นางสีกาที่กรุงลงกลอน หนุมารบุกน้ำลุยไฟดั้นดนไปจนถึงกรุงลงกลอน และปฏิบัติภารกิจเป็นที่เรียบร้อย พระลามพอใจจึงถอดผ้านุ่งอาบน้ำให้หนุมารเป็นรางวัล หนุมารรับมาแล้วเห็นว่าน้อยค่า ก็ไปนินทาพระลามเป็นที่เสียหายร้ายแรงต่าง ๆ นานา ดังนี้ พระลามจะถอนคืนซึ่งการให้ผ้านุ่งดังกล่าวโดยอาศัยเหตุที่หนุมารเนรคุณตาม ป.พ.พ. ม. 531 (2) มิได้ เพราะเป็นการให้บำเหน็จสินจ้างโดยแท้ตาม ป.พ.พ. ม. 535 (1)
2. การให้ทรัพย์สินที่มีค่าภาระติดพัน (encumbered gift)
3. การให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยา (donation to meet a moral duty) คือ การให้เพื่อชำระหนี้ทางใจ กล่าวคือ การให้เพราะรู้สึกว่ามีหน้าที่ต้องให้ ไม่ใช่ให้เพราะมีกฎหมายกำหนดไว้ แต่ก็อาจมีได้ที่หน้าที่ธรรมจรรยาไปพ้องกับหน้าที่ตามกฎหมาย เช่น หน้าที่ของบิดามารดาในการส่งเสียเลี้ยงดูบุตร เป็นทั้งหน้าที่ในทางศีลธรรม และหน้าที่ตามกฎหมาย
เป็นต้นว่า ยายสายถูกชาวบ้านกล่าวหาว่าเป็นกระสือจนไม่มีผู้ใดคบค้าสมาคมด้วย ดีที่นางสาวรำพึงซึ่งอยู่ข้างบ้านมีความเอ็นดูยายสายจึงคอยส่งข้าวปลาอาหารให้มิได้ขาด แต่ยายสายนั้นไม่รู้คุณคน เที่ยวโพนทะนาว่านางสาวรำพึงเป็นปอบลักเป็ดไก่วัวควายชาวบ้านกิน เป็นเหตุให้รำพึงถูกชาวบ้านตั้งรังเกียจอย่างหนักไปอีกคน ดังนี้ รำพึงจะถอนคืนซึ่งการให้ข้าวปลาอาหารโดยอาศัยเหตุที่ยายสายเนรคุณตาม ป.พ.พ. ม. 531 (2) มิได้ เพราะเป็นการให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยาตาม ป.พ.พ. ม 535 (3)
4. การให้ในการสมรส (gift in favour of marriage) หมายถึง การให้ทรัพย์สินเนื่องในการสมรสตามกฎหมาย ซึ่งก็คือ การสมรสที่มีการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย
วิธีถอนคืน
วิธีถอนคืน.
กฎหมายไทยไม่ได้ระบุวิธีใช้สิทธิถอนคืนซึ่งการให้ ต่างจากกฎหมายต่างประเทศที่กำหนดวิธีไว้ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันว่า ม. 531 (1) ว่า "การถอนคืนนั้นพึงกระทำโดยแสดงเจตนาต่อผู้รับ"
เมื่อกฎหมายไทยไม่ระบุวิธีไว้ จึงควรทำตามปรกติ คือ แสดงเจตนาต่อผู้รับว่าจะถอนคืนเสียซึ่งการให้ ทำนองเดียวกับวิธีตามกฎหมายเยอรมัน
อย่างไรก็ดี เป็นไปได้ที่ผู้รับจะไม่ยอมส่งมอบทรัพย์สินคืน กรณีนี้ก็จำเป็นที่จะต้องตั้งเป็นคดีต่อศาล เพราะฉะนั้น สิทธิถอนคืนอาจใช้โดยแสดงเจตนาข้างต้น หรือจะฟ้องคดีต่อศาลเสียทีเดียวก็ได้
ผลของการถอนคืน
ผลของการถอนคืน.
การถอนคืนซึ่งการให้ไม่เป็นการบอกเลิกสัญญาให้ เพราะตามกฎหมายลักษณะสัญญาแล้ว สัญญาจะบอกเลิกได้ต่อเมื่อมีเหตุตามที่คู่สัญญาตกลงกันหรือตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมักเป็นเหตุว่าด้วยคู่สัญญาไม่ชำระหนี้ กล่าวคือ คู่สัญญาไม่ปฏิบัติตามสัญญา ทว่า ในสัญญาให้ คู่สัญญาไม่มีหนี้ใด ๆ ต้องชำระ และที่ยกเลิกการให้ได้นั้น ก็เพราะกฎหมายอนุญาตไว้เป็นพิเศษ สืบเนื่องจากเหตุผลทางศีลธรรม มิใช่เพราะคู่สัญญาไม่ชำระหนี้
เมื่อการถอนคืนซึ่งการให้มิใช่การบอกเลิกสัญญาให้ จึงไม่อยู่ในบังคับแห่ง ป.พ.พ. ม. 391 ซึ่งว่าด้วยการที่คู่สัญญาต่างกลับคืนสู่ฐานะเดิม แต่จะเกิดผลอย่างเดียวกับลาภมิควรได้ตามที่ ป.พ.พ. ม. 534 บัญญัติไว้ เช่น การคืนทรัพย์สินนั้นพิจารณาความสุจริตของผู้คืนเป็นที่ตั้ง ถ้าสุจริต และในเวลาคืน ทรัพย์สินเหลือเท่าใดหรืออยู่ในสภาพใด ก็คืนไปเช่นนั้น ถ้าไม่สุจริต ต้องคืนทั้งหมดหรือใช้ราคาแทน
เหตุที่กฎหมายให้มีผลเสมือนคืนลาภมิควรได้นั้น เพราะตามปรกติเมื่อรับทรัพย์สินมา บุคคลย่อมไม่คาดคิดว่าจะถูกเรียกทรัพย์สินกลับคืนไปอีก และย่อมใช้สอยทรัพย์สินไปเต็มที่
ฎ. บางฉบับเกี่ยวกับการถอนคืน
เชิงอรรถ
อ้างอิง
หมายเหตุ
เชิงอรรถ.
หมายเหตุ.
เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน ม. 530 ว่า
"Section 530 Revocation of donation
"(1) A donation may be revoked if the donee is guilty of gross ingratitude by doing serious wrong to the donor or a close relative of the donor.
"(2) The heir of the donor only has the right of revocation if the donee has intentionally and unlawfully killed the donor or prevented him from revoking."
และประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส ม. 955 ว่า
"Art. 955
"An inter vivos gift may be revoked on account of ingratitude only in the following cases:
"1° Where the donee has made an attempt against the life of the donor;
"2° Where he has been guilty of cruelty, serious offences or grievous insults against him;
"3° Where he refuses maintenance to him."
ฎ. 412/2528: "การที่จำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ผู้เป็นมารดาจนได้รับอันตรายแก่กาย ย่อมเป็นการแสดงว่า จำเลยขาดความกตัญญู แม้โจทก์จะได้รับบาดเจ็บไม่ถึงสาหัส ก็ถือได้ว่า จำเลยได้ประพฤติเนรคุณโจทก์โดยประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรงตาม ป.พ.พ. ม. 531 (1) แล้ว โจทก์จึงเรียกถอนคืนการให้ได้"
ฎ. 123/2541: "จำเลยด่าโจทก์ว่า 'โจทก์นิสัยไม่ดี คนโตไม่รู้จักโต พูดไม่อยู่กับร่องกับรอยพูด หน้ามือเป็นหลังมือ เหมือนไม้หลักปักขี้เลน ตอแหล เก่ง เป็นคนไม่ดี ไม่ใช่แม่กู และเชื่อถือไม่ได้' ถ้อยคำดังกล่าวแสดงถึงการไม่เคารพยำเกรงโจทก์ซึ่งเป็นมารดาเลี้ยง และเป็นการลบหลู่บุญคุณอีกด้วย มิใช่เป็นเพียงคำกล่าวที่ไม่สุภาพหรือไม่สมควรเท่านั้น การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ทั้งเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิถอนคืนการให้เพราะจำเลยประพฤติเนรคุณได้"
ฎ. 905/2527: "การให้เงินหรือสิ่งของแก่บิดาเพื่อเป็นการช่วยเหลือเจือจุนบิดาในขณะยากไร้นั้น ไม่จำเป็นต้องให้มากมายอันจะเป็นเหตุให้บุตรต้องเดือดร้อน แต่เป็นการให้ตามควรแก่ฐานะของบุตรพอสามารถจะให้ได้ ไม่ใช่เป็นการปฏิเสธการให้หรือการช่วยเหลือโดยสิ้นเชิง นอกจากจะถือว่าเป็นเหตุเนรคุณต่อบิดาผู้ให้แล้ว ยังถือได้ว่าเป็นการขาดความกตัญญูกตเวทีต่อบิดาด้วย จึงเป็นเหตุให้ผู้ให้เรียกถอนคืนการให้ได้"
ฎ. 388/2536: "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 และมาตรา 533 มิได้กำหนดว่า ในชั่วชีวิตของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้ที่จะขอสิ่งจำเป็นเพื่อการ
เลี้ยงชีวิตของโจทก์จากจำเลยได้เพียงครั้งเดียว การขาดแคลนสิ่งจำเป็นเพื่อเลี้ยงชีวิตย่อมเกิดขึ้นได้ทุกขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อโจทก์ยังมีชีวิตอยู่และยากไร้ โจทก์ย่อมขอสิ่งเหล่านั้นจากจำเลยได้เสมอตามความจำเป็นและจำเลยยังสามารถให้ได้ ดังนั้น แม้การบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งจำเป็นแก่การเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ที่เกิดขึ้นในครั้งก่อนจะขาดอายุความหกเดือนแล้วก็ตาม แต่ต่อมา ก่อนโจทก์ฟ้องประมาณหนึ่งเดือน จำเลยก็ปฏิเสธไม่ยอมให้เงินแก่โจทก์นำไปรักษาตัวเนื่องจากเจ็บป่วยอีก ในขณะที่โจทก์ยากไร้และชราภาพโดยมีอายุถึงแปดสิบสี่ปี และจำเลยอยู่ในฐานะจะให้เงินแก่โจทก์ได้ จึงเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ที่ดินจากจำเลยได้โดย คดีโจทก์ในส่วนนี้ไม่ขาดอายุความ"
เป็นศัพท์ที่ใช้ในประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน เช่น ม. 534 ว่า
"Section 534 Donations for duty and decency
"Donations to meet a moral duty or made from considerations of decency are not subject to a claim for return or to revocation."
เป็นศัพท์ที่ใช้ในคำแปลอย่างเป็นทางการของ ป.พ.พ. เช่น ม. 535 ว่า (Kamol Sandhikshetrin, 2007: 111)
"The following gifts are not revocable for ingratitude:
"(1) Gifts purely remuneratory;
"(2) Gifts encumbered with a charge;
"(3) Gifts made in compliance with a moral duty;
"(4) Gifts made in consideration of marriage."
เป็นศัพท์ที่ใช้ในประมวลกฎหมายแพ่งแห่งรัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา เช่น ม. 1527 ว่า
"Art. 1527. Remunerative donations
"The rules peculiar to donations inter vivos do not apply to a donation that is made to recompense for services rendered that are susceptible of being measured in money unless at the time of the donation the value of the services is less than two-thirds of the value of the thing donated."
เป็นศัพท์ที่ใช้ในประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส เช่น ม. 959 ว่า
"Art. 959
"Gifts in favour of marriage may not be revoked on account of ingratitude."
ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน ม. 531 ว่า
"Section 531 Declaration of revocation
"(1) Revocation is effected by declaration to the donee.
"(2) If the donation is revoked, return of the gift may be demanded under the provisions on the return of unjust enrichment."
|
thaiwikibooks
| 195,303 |
Insurance
|
REDIRECTประกันภัย
|
thaiwikibooks
| 195,304 |
เอกเทศสัญญา
|
(specific contract) หรือสัญญามีชื่อ (nominate contract) คือ สัญญาประเภทที่กฎหมายกำหนดชื่อและกฎเกณฑ์ไว้ป็นพิเศษ ดังนั้น สัญญาทั่วไปที่ไม่ปรากฏชื่อตามกฎหมายจึงเรียก "สัญญาไม่มีชื่อ" (innominate contract)
กฎหมายว่าด้วยเอกเทศสัญญาปรากฏอยู่ใน ป.พ.พ. บรรพ 3 ทั้งบรรพ ซึ่งความจริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายลักษณะหนี้ใน ป.พ.พ. บรรพ 2
หลังจากเล่าเรียนความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายและระบบกฎหมาย, กฎหมายลักษณะบุคคล, กฎหมายลักษณะหนี้: หลักทั่วไป, กฎหมายลักษณะนิติกรรมและสัญญา และกฎหมายลักษณะทรัพย์สินแล้ว คณะนิติศาสตร์ในประเทศไทยจะศึกษาเอกเทศสัญญาตามลำดับดังต่อไปนี้
อ้างอิง
|
thaiwikibooks
| 195,305 |
Specific contract
|
REDIRECTเอกเทศสัญญา
|
thaiwikibooks
| 195,306 |
กฎหมาย
|
กฎหมาย หมายถึง กฎเกณฑ์ คำสั่งหรือข้อบังคับ ที่บัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ ความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อควบคุมความประพฤติของมนุษย์ในสังคมนั้น ๆ ซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุด หรือรัฏฐาธิปัตย์เป็นผู้บัญญัติขึ้น ผู้ใดฝ่าฝืน มีสภาพบังคับ
ลักษณะของกฎหมาย
ลักษณะของกฎหมาย.
กฎหมายต้องมี 5 ประการดังนี้
1. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับ
หมายความว่า กฎหมายนั้นต้องอยู่ในรูปของคำสั่ง คำบัญชา อันเป็นการแสดงออกซึ่งความประสงค์ของผู้มีอำนาจในลักษณะเป็นการบังคับ เพื่อให้บุคคลอีกคนหนึ่งปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติ มิใช่เป็นการประกาศชวนเชิญเฉย ๆ เช่น ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลได้ประกาศเชิญชวนคนไทยให้สวมหมวก เลิกกินหมากและให้นุ่งผ้าซิ่นแทนผ้าโจงกระเบน ประกาศนี้แจ้งให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลนิยมให้ประชาชนปฏิบัติอย่างไร มิได้บังคับจึงไม่เป็นกฎหมาย
2. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่มาจากรัฏฐาธิปัตย์
รัฎฐาธิปัตย์คือ ผู้ที่ประชาชนส่วนมากยอมรับนับถือว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน โดยที่ไม่ต้องฟังอำนาจจากผู้ใดอีก ดังนี้รัฎฐาธิปัตย์จึงไม่ต้องพิจารณาถึงที่มาหรือลักษณะการได้อำนาจว่าจะได้อย่างไร แม้จะเป็นการปฏิวัติหรือรัฐประหารก็ตามถ้าหากคณะปฏิวัติหรือคณะรัฐประหารเป็นรัฎฐาธิปัตย์ที่สามารถออกคำสั่ง คำบัญชาในฐานะเป็นกฎหมายของประเทศได้
3. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป
หมายความว่า กฎหมายต้องเป็นเรื่องที่เมื่อประกาศใช้แล้วจะมีผลบังคับเป็นการทั่วไป ไม่ใช่กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของบุคคลหนึ่ง หรือให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดปฏิบัติตามเท่านั้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีอายุ เพศ หรือฐานะอย่างไรก็ตกอยู่ภายใต้ของการใช้บังคับกฎของกฎหมายอันเดียวกัน (โดยไม่เลือกปฏิบัติ) เพราะบุคคลทุกคนมีความเสมอภาคที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน แม้กฎหมายบางอย่างอาจจะมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่บุคคล หรือวางความรับผิดชอบให้แก่คนบางหมู่เหล่า แต่ก็ยังอยู่ในความหมายที่ว่าใช้บังคับทั่วไปอยู่เหมือนกัน เพราะคนทั่ว ๆ ไปที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกฎหมายนั้นก็ยังต้องปฏิบัติตามอยู่เสมอ
4. กฎหมายบัญญัติขึ้นเพื่อให้บุคคลปฏิบัติตาม
แม้การปฏิบัติบางครั้งอาจจะเกิดจากความไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติ แต่หากเป็นคำสั่ง คำบัญชาแล้ว ผู้รับคำสั่ง คำบัญชา ต้องปฏิบัติตาม หากขัดขืนไม่ปฏิบัติตามก็จะเกิดสภาพบังคับของกฎหมาย อันเป็นผลร้ายต่อผู้ฝ่าฝืนคำสั่งนั้น และเป็นที่พึงเข้าใจด้วยว่าผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะรับคำสั่งและปฏิบัติตามกฎหมายได้นั้นต้องเป็นบุคคลตามกฎหมาย
อย่างไรก็ดีแม้กฎหมายจะไม่ใช้บังคับแก่สัตว์ แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมมิให้สัตว์ก่อความเสียหายหรือความเดือดร้อนรำคาญแก่มนุษย์ ดังนี้กฎหมายจึงกำหนดความรับผิดไว้กับบุคคลผู้เป็นเจ้าของที่ปล่อยปะละเลยไม่ควบคุมดูแลสัตว์เลี้ยงของตนตามสมควร จึงมิใช่เป็นการออกคำสั่ง คำบัญชาแก่สัตว์ แต่เป็นการควบคุมโดยผ่านทางผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 433 บัญญัติว่า “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ จำต้องใช้คำเสียหายทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหาย”
5. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ
กฎหมายนั้นเป็นบรรทัดฐานทางสังคมที่เชื่อมโยงกับอำนาจบังคับฝ่ายเดียวของรัฐ กล่าวคือ กฎหมายนั้นมีสิ่งที่เรียกว่า "สภาพบังคับ" (SANCTION) สภาพบังคับของกฎหมายนั้นแบ่งเป็นสภาพบังคับในทางอาญาและทางแพ่ง สภาพบังคับให้ทางอาญาโดยทั่วไปแล้วคล้ายคลึงกัน คือ หากเป็นโทษสูงสุดจะใช้วิธีประหารชีวิต ซึ่งบางประเทศใช้วิธีการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า แขวนคอ แต่ประเทศไทยในปัจจุบันให้นำไปฉีดยาให้ตายใช้วิธีประหารด้วยวิธีอื่นไม่ได้ นอกจากนั้นก็เป็นการจำคุก เป็นการเอาตัวนักโทษควบคุมในเรือนจำ ซึ่งต่างกับกักขังเป็นการเอาตัวไปกักไว้ที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ เช่นที่อยู่ของผู้นั้นเอง หรือสถานที่อื่นที่ผู้ต้องกักขังมีสิทธิดีกว่าผู้ต้องจำคุก สำหรับกฎหมายไทยโทษกักขังจะใช้เฉพาะผู้ซึ่งกระทำผิดครั้งแรก และความผิดนั้นมีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน ศาลจึงจะลงโทษกักขังแทนจำคุกได้ ส่วนการปรับคือ ให้ชำระเงินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในคำพิพากษาต่อศาล
การริบทรัพย์สิน คือ การริบเอาทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดิน เช่น ปืนที่เตรียมไว้ยิงคน หรือเงินที่ไปปล้นเขามา นอกจากการริบแล้วอาจสั่งทำลายทรัพย์สินนั้นเสียก็ได้
สภาพบังคับในทางแพ่งก็ได้แก่ การกำหนดให้การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายตกเป็นโมฆะ ตัวอย่างเช่น การซื้อขายที่ดินโดยมิได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานตกเป็นโมฆะ การทำนิติกรรมซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายก็ดี เป็นการพ้นวิสัยก็ดี เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ดี ตกเป็นโมฆะ การให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่งจากการไม่ชำระหนี้ การให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกละเมิดเป็นต้น
กฎหมายอาญา
กฎหมายอาญา.
กฎหมายอาญา (Criminal Law)
เป็นกฎหมายที่กำหนดเรื่องความผิด และบทลงโทษไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ เพราะรัฐมีหน้าที่รักษาความสงบของบ้านเมือง กฎหมายอาญาจึงกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับราษฎรซึ่งกระทำความผิดขึ้น
กฎหมายอาญามีลักษณะที่สำคัญ 2 ส่วนคือ
ส่วนที่บัญญัติถึงความผิด หมายความว่าได้บัญญัติถึงการกระทำ และการงดเว้นกระทำการอย่างใดเป็นความผิดอาญา
ส่วนที่บัญญัติถึงโทษ หมายความว่าบทบัญญัตินั้น ๆ นอกจากจะได้ระบุว่าการกระทำหรืองดเว้นการกระทำอย่างใดเป็นความผิดแล้ว ต้องกำหนดโทษอาญาสำหรับความผิดนั้น ๆ ไว้ด้วย
ตัวอย่าง
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 บัญญัติว่า
“ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต จำคุกตั้งแต่สิบห้าถึงยี่สิบปี”
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 บัญญัติว่า
“ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลายทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”
ฉะนั้น กฎหมายอาญาจึงต้องประกอบไปด้วยส่วนที่บัญญัติถึงความผิด และส่วนที่บัญญัติถึงโทษด้วย ส่วนโทษอาญาที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา ได้แก่
ประหารชีวิต
จำคุก
กักขัง
ปรับ
ริบทรัพย์สิน
นอกจากที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ยังมีพระราชบัญญัติอื่นที่กำหนดความผิดเฉพาะเรื่อง และวางโทษไว้ด้วย เช่น พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องปืน และวัตถุระเบิด และพระราชบัญญัติการพนัน พระราชบัญญัติจราจรทางบก พระราชบัญญัติศุลกากร เป็นต้น พระราชบัญญัติพิเศษที่ระบุความผิดทางอาญา และกำหนดโทษไว้ด้วยเหล่านี้รวมเรียกว่ากฎหมายอาญาทั้งสิ้น
หลักเกณฑ์สำคัญของประมวลกฎหมายอาญา มีดังนี้
จะไม่มีความผิดโดยไม่มีกฎหมาย หมายความว่า กฎหมายอาญาจะใช้บังคับได้เฉพาะการกระทำซึ่งกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนี้ถือว่าเป็นความผิด ถ้ากฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำไม่ถือว่าเป็นความผิดแล้ว จะถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดไม่ได้ และจะลงโทษกันไม่ได้ หลักเรื่องกฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังนี้ กฎหมายไม่ให้ย้อนหลังก็เฉพาะที่จะเป็นผลร้ายแก่ผู้กระทำความผิดเท่านั้น เช่น การกระทำความผิดใดที่ล่วงเลยการลงโทษ หรือล่วงเลยอายุความฟ้องร้อง แม้จะได้มีกฎหมายใหม่บัญญัติกำหนดอายุความมากขึ้นกว่าเดิม ก็จะเอาตัวผู้กระทำมาฟ้องร้องลงโทษไม่ได้ แต่หากกฎหมายใหม่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดมากกว่ากฎหมายเก่าเช่นนี้ กฎหมายก็ให้มีผลย้อนหลังได้ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด...”
จะไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย คือบุคคลจะต้องรับโทษต่อเมื่อมีกฎหมาย ที่ใช้อยู่ในขณะกระทำบัญญัติให้ต้องรับโทษนั้น ๆ เช่น การกระทำความผิดที่มีแต่โทษปรับ ศาลก็ลงโทษได้แต่โทษปรับ ศาลจะลงโทษจำคุกซึ่งไม่ใช้โทษที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ได้
จะต้องตีความกฎหมายอาญาโดยเคร่งครัด กล่าวคือ กรณีที่ถ้อยคำของกฎหมายเป็นที่น่าสงสัย จะตีความโดยขยายความไปลงโทษหรือเพิ่มโทษผู้ต้องหาไม่ได้ แต่อาจตีความโดยขยายความให้เป็นผลดีแก่ผู้ต้องหาได้ ฉะนั้น หลักเกณฑ์ของกฎหมายอาญาจึงเกิดโดยตรงจากตัวบทเท่านั้น และการตีความบทบัญญัติทั้งหลายนั้นก็จะต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ การกระทำที่ถูกกล่าวหาเป็นความผิดนั้น และการตีความบทบัญญัติทั้งหลายนั้นก็จะต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ การกระทำที่ถูกกล่าวหาเป็นความผิดนั้น จะต้องอยู่ในความหมายตามปกติธรรมดาของถ้อยคำทั้งหลายที่ใช้ในกฎหมายนั้น จะขยายถ้อยคำเหล่านั้นออกไปไม่ได้
การอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย ในกรณีที่ประมวลกฎหมายอาญาหรือพระราชบัญญัติอื่นที่บัญญัติความผิดและโทษไม่มีบัญญัติไว้ ซึ่งเรียกว่าช่องว่างแห่งกฎหมายนั้น ศาลจะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายให้เป็นผลร้ายแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่ได้ แต่ศาลอาจอุดช่องว่างแห่งกฎหมายเพื่อให้เป็นผลดีแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยได้
อื่น ๆ
อื่น ๆ.
กฎหมายเมื่อประกาศมีผลบังคับใช้แล้วก็ใช้ได้ตลอดไป จนกว่าจะถูกแก้ไขเพิ่มเติมหรือถูกยกเลิก หากไม่มีการยกเลิกก็มีผลบังคับใช้ได้เสมอ
อ้างอิง
|
thaiwikibooks
| 195,307 |
Lease
|
REDIRECTเช่าทรัพย์
|
thaiwikibooks
| 195,308 |
Hire of property
|
REDIRECTเช่าทรัพย์
|
thaiwikibooks
| 195,309 |
เช่าทรัพย์สิน
|
REDIRECTเช่าทรัพย์
|
thaiwikibooks
| 195,310 |
สัญญาไม่มีชื่อ
|
REDIRECTเอกเทศสัญญา
|
thaiwikibooks
| 195,311 |
How to Think Like a Computer Scientist
|
เปลี่ยนทาง วิธีคิดแบบนักวิทยาการคอมพิวเตอร์
|
thaiwikibooks
| 195,312 |
สไกป์
|
สไกป์ (Skype) โปรแกรมสำหรับคุยโทรศัพท์ คุยแบบวิดีโอ หรือส่งข้อความผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP) ก่อตั้งโดย Niklas Zennström และ Janus Friis ทั้งสองเป็นชาวสวีเดนผู้สร้าง คาซา (KaZaA) สำนักงานใหญ่ของสไกป์อยู่ที่เมืองลักเซมเบิร์ก โดยมีสำนักงานอยู่ที่ลอนดอนและทาลลินน์ สไกป์เป็นที่นิยมเนื่องจากความสามารถของโปรแกรม ที่คุณภาพเสียงชัดเจนและไม่เสียค่าใช้จ่าย ถ้าใช้คุยกันผ่านทางคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สไกป์สามารถโทรเข้าโทรศัพท์อื่นได้ โดยเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมผ่านทาง สไกป์เอาต์ นอกจากนี้สไกป์สามารถใช้สำหรับรับโทรศัพท์จากโทรศัพท์ทั่วไป และรับฝากข้อความได้
การใช้งาน
คู่มือใช้งาน
อ้างอิง
|
thaiwikibooks
| 195,313 |
กิมป์/tools
|
Gimp tools วันนี้เรามาทำความรู้จักเครื่องมือต่างๆของ Gimp กันครับ ใน Gimp นั้นจะมีเครื่องมือที่ใช้สำหรับจัดการกับภาพอยู่ มากมายหลายเครื่องมือ เช่นเครื่องมือ Select, Paint, Crop และอื่นๆ อีกมากมายครับ เดี๋ยววันนี้เราลองมาทำความรู้จักกับเครื่องมือแต่ละชนิดกัน
Tab tool option
Tab tool option.
เครื่องมือต่างๆของ Gimp นั้น จะสามารถปรับแต่งค่าต่างๆก่อนการใช้งานได้ที่ Tab Tool Option ซึ่งจะอยู่ที่ด้านล่างของแถบเครื่องมือ ฉะนั้น เมื่อคุณได้ทำการศึกษาวิธีการใช้เครื่องมือต่างๆแล้ว คุณควรศึกษาให้ลึกซึ้งถึง ความสามารถเพิ่มเติมของเครื่องมือแต่ละชนิดผ่านทาง Tab Tool Option ด้วย เพื่อที่คุณจะสามารถใช้เครื่องมือเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สารบัญ
สร้างโลโก้ง่ายๆด้วย Script-fu
เครื่องมือต่างๆของ Gimp
ปรับแต่งอินเทอร์เฟส
Toggle Quick Mask
สร้างอนิเมชั่นด้วยไฟล์ gif
เพิ่มหัวแปรงใหม่
เปลี่ยนธีมให้ Gimp
Layer Mask
|
thaiwikibooks
| 195,314 |
รายการบทเรียนคณิตศาสตร์
|
เปลี่ยนทาง
|
thaiwikibooks
| 195,315 |
บทเรียนเซต
|
เปลี่ยนทาง ทฤษฎีเซต/เซต
|
thaiwikibooks
| 195,316 |
รายการแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์
|
เปลี่ยนทาง แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์
|
thaiwikibooks
| 195,317 |
แบบฝึกหัดเซต
|
เปลี่ยนทาง ทฤษฎีเซต/เซต/แบบฝึกหัด
|
thaiwikibooks
| 195,318 |
เฉลยแบบฝึกหัดเซต
|
เปลี่ยนทาง ทฤษฎีเซต/เซต/เฉลยแบบฝึกหัด
|
thaiwikibooks
| 195,319 |
แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์/เซต/เฉลย
|
เปลี่ยนทาง ทฤษฎีเซต/เซต/เฉลยแบบฝึกหัด
|
thaiwikibooks
| 195,320 |
ทฤษฎีเซต
|
/เซต
|
thaiwikibooks
| 195,321 |
คู่มือการใช้ไพวิกิพีเดีย
|
คู่มือการใช้ไพวิกิพีเดีย
รวมวิธีการใช้งานสำหรับการใช้งานเบื้องต้นสำหรับผู้ที่เขียนโปรแกรมไม่เป็นไปจนถึงการใช้งานขั้นสูง
สารบัญ
แนะนำเบื้องต้น
การติดตั้ง
การใช้งานสคริปต์
การใช้งานขั้นสูง
การเขียนสคริปต์
ช่วยพัฒนาไพวิกิพีเดีย
ภาคผนวก
แหล่งข้อมูลอื่น
|
thaiwikibooks
| 195,322 |
คู่มือการใช้ไพวิกิพีเดีย/วิธีติดตั้งเบื้องต้น
|
ขั้นตอนการติดตั้ง pywikipedia มีด้วยกันทั้งสิ้น 4 ขั้นตอน คือ
สมัครบัญชีผู้ใช้ให้กับไอดีบอต ตามกฎการตั้งชื่อบอตของเมตาแล้ว ในชื่อผู้ใช้ของบอตต้องมีคำว่า "bot" อยู่ด้วย
ดาวน์โหลดไพทอน
ดาวน์โหลด pywikipedia
ตั้งค่าเริ่มต้นให้ pywikipedia
การติดตั้ง
ลินุกซ์
การติดตั้ง.
ลินุกซ์.
ในลินุกซ์จะมีโปรแกรมไพทอนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องติดตั้งเพิ่มแต่อย่างใด สามารถดาวน์โหลดไพวิกิพีเดียได้เลย
เปิด terminal (สามารถใช้ปุ่มลัด codice_1 ในการเปิดได้)
ติดตั้งโปรแกรม svn ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จะดาวน์โหลด pywikipedia อีกทอด
พิมพ์ codice_2 และกด enter เพื่อสั่งติดตั้ง svn
พิมพ์รหัสผ่านของเครื่องคุณลงไป เมื่อพิมพ์เสร็จให้กด enter สังเกตว่าอักขระรหัสผ่านจะไม่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอเนื่องด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ดังนั้นหากพิมพ์ผิดให้กดลบ (backspace) หลาย ๆ ครั้งเพื่อลบอักขระที่พิมพ์ไปแล้วทิ้งให้หมด แล้วเริ่มต้นพิมพ์ใหม่อีกครั้ง
ไปที่ไดเรกทอรี home ด้วยการพิมพ์คำสั่ง codice_3 และกด enter
ติดตั้ง pywikipedia ด้วยการพิมพ์ codice_4 และกด enter
สมมุติขณะนี้อยู่ที่ home (ต่อจากคำสั่งที่แล้ว) ให้เข้าไปในไดเรกทดรี pywikipedia ด้วยการพิมพ์คำสั่ง codice_5
สั่งล็อกอินด้วยคำสั่ง codice_6
จากนั้น ระบบจะถามถึงข้อมูลต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ไซต์ คือไซต์ต่าง ๆ เช่น wikibooks, wikipedia, wikisource เป็นต้น หน้าต่างจะแสดงไซต์ทั้งหมดที่ระบบรู้จักออกมา พร้อมรหัสของไซต์นั้น ๆ ให้พิมพ์ตอบกลับไปเป็นตัวเลขรหัส เช่นถ้าจะทำงานบน wikisource ซึ่งมีรหัสเป็น 10 ก็ให้พิมพ์เลข 10 ลงไป และกดปุ่ม enter ในกรณีที่จะทำงานที่ wikipedia สามารถกด enter ได้เลยโดยที่ไม่ต้องพิมพ์อะไร
ภาษาของไซต์ คือภาษาของไซต์ที่จะทำงาน เช่นถ้าจะทำงานกับ th.wikipedia.org หรือ th.wikisource.org ก็ต้องพิมพ์ "th" และกด enter ในกรณีที่ทำงานกับวิกิพีเดียภาษาอังกฤษสามารถกด enter ได้เลยโดยไม่ต้องพิมพ์อะไร
ชื่อผู้ใช้ คือชื่อผู้ใช้ของบอต ให้พิมพ์ลงไป เช่น "Nullzerobot" แล้วกด enter
รูปแบบการตั้งค่า เพื่อความง่าย ให้พิมพ์ "S" แล้วกด enter
รหัสผ่าน ระบบจะถามรหัสผ่านของบอต ให้พิมพ์ตอบไปแล้วกด enter หารพิมพ์อักขระจะเหมือนกับการพิมพ์รหัสผ่านครั้งที่แล้ว ซึ่งจะไม่มีอักขระปรากฎขึ้น
วินโดวส์
วินโดวส์.
ในการทำงานเหล่านี้ คุณจะได้วิธีการติดตั้งบอต การตั้งค่าบอตและการรันบอตเท่านั้น วิธีใช้สคริปที่มีทั้งหมดที่พร้อมใช้งาน ดูที่
คุณจะต้องติดตั้งไพทอนก่อน โดยไปที่ www.python.org/download/ และกดดาวน์โหลด อย่าลืมรันตัวโปรแกรมด้วย
เปิดคอมมานด์ของวินโดว์โดยกด Window + R และพิมพ์ codice_7 กด Enter
ตรวจสอบรุ่นไพทอนโดยพิมพ์ codice_8 ถ้าเป็นเวอร์ชั่น 2.7.4 หรือสูงกว่า หรือ 3.4 หรือสูงกว่า คุณพร้อมแล้วล่ะ
คุณจำเป็นต้องติดตั้ง pip ด้วย ติดตั้ง pip โดยการพิมพ์ codice_9 รอจนกระทั่งบรรทัดล่าสุดขึ้น Success
มีสองวิธีที่จะได้ไพวิกิบอต
ติดตั้งไฟล์ pywikibot จากลิงค์เหล่านี้:.tar.gz.zipแกะไฟล์โดยการพิมพ์codice_10 หรือcodice_11
ใช้ git คุณจำเป็นต้องติดตั้ง git ก่อน โดยการไปที่ https://gitforwindows.org และติดตั้ง
พิมพ์บรรทัดต่อไปนี้เพื่อดาวน์โหลดไพวิกืบอตจาก Gerrit
ตั้งค่าไพวิกิบอต โดยพิมพ์
ปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้ ในตอนตั้งค่า
แอนดรอยด์
แอนดรอยด์.
เนื่องจากบนแอนดรอยด์ไม่มีคอนโซลเหมือนกับบนคอมพิวเตอร์ ดังนั้น เราจะใช้ความช่วยเหลือจากแอปพลิเคชั่นคอนโซลแทน ในที่นี้เราจะใช้ en:Termux โดยสามารถดาวน์โหลดได้บนกูเกิล เพลย์
ติดตั้ง python โดยพิมพ์ (ไม่รวม $)
ติดตั้ง git
ติดตั้ง pip
ติดตั้ง pywikibot
ทุกครั้ง ก่อนใช้งานไพวิกิบอต ต้องพิมพ์ ก่อนทุกครั้ง
ล็อคอินเข้าสู่วิกิพีเดีย
ปฏิบัติตามวิธีเหล่านี้เพื่อเข้าสู่ระบบวิกิพีเดีย
การอัปเดตรุ่นของไพวิกิพีเดีย
เปิด terminal ไปที่ directory pywikipedia (codice_12)
สั่ง codice_13
|
thaiwikibooks
| 195,323 |
คู่มือการใช้ไพวิกิพีเดีย/พื้นฐานการใช้งานสคริปต์
|
สมมุติตอนนี้เราเปิด terminal และอยู่ที่ directory pywikipedia แล้ว เราสามารถสั่งคำสั่งต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว (หรือที่เรียกว่าสคริปต์) ได้ด้วยคำสั่ง
python _ชื่อสคริปต์_ [_พารามิเตอร์ต่าง ๆ (ถ้ามี)_]
เช่น สคริปต์ชื่อ replace.py สามารถทำการค้นหาและแทนที่คำได้ เราก็จะสั่ง codice_2
แต่เดี๋ยวก่อน แล้วจะค้นหาคำว่าอะไร แล้วจะแทนที่ด้วยคำว่าอะไร แล้วจะดำเนินการกับหน้าไหนบ้าง! เรายังไม่ได้บอกสคริปต์เลย เพราะฉะนั้นจึงมีสิ่งที่เรียกว่า "พารามิเตอร์" ขึ้นมาเพื่อให้เราระบุข้อมูลให้ตัวสคริปต์รับทราบถึงสิ่งที่เราต้องการ เช่น
codice_3 แปลว่าให้ดำเนินการกับทุก ๆ หน้าที่อยู่ใน หมวดหมู่:catname
อัญประกาศอันแรกคือข้อความที่ต้องการค้นหา
อัญประกาศอันที่สองคือข้อความที่จะแทนที่
python replace.py -cat:ขั้นตอนวิธี "อัลกอริทึม" "ขั้นตอนวิธี"
สคริปต์ทำงาน
replace.py เอาไว้ใช้แทนที่คำ เป็นหนึ่งในสคริปต์ที่ทรงพลังมากที่สุด เนื่องจากการการค้นหาคำมาแทนที่สามารถใช้ regular expression ได้ ทำให้มีความยืดหยุ่นมาก ๆ (ไม่รู้จัก regular expression ก็ไม่ต้องกลัว! จริง ๆ ไม่ต้องใช้ก็ได้... แต่ถ้าใช้ก็ดีนะ ^^)
category.py เป็นสคริปต์ที่แทบจะจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับหมวดหมู่ได้
interwiki.py เป็นสคริปต์ที่โดยปกติจะสั่งให้ทำงานแล้วก็ทิ้งไว้เลย โดยตัวบอตจะทำงานจับคู่ลิงก์ข้ามภาษาไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันสิ้นสุด (ยกเว้นระบุเงื่อนไขเพิ่มเติม)
ระบบ
login.py เราเคยเรียกใช้มันแล้วตอนติดตั้ง จำได้ไหม! สคริปต์นี้เอาไว้ login และ logout ไอดีบอต
สนับสนุน
pagegenerators.py ทำหน้าที่คืนค่าบทความหรือหน้าต่าง ๆ ให้กับสคริปต์ต่าง ๆ parameter ของสคริปต์นี้มักจะเป็น parameter พื้นฐานของ script ทุกตัวด้วย อย่างไรก็ตามการเรียกใช้สคริปต์นี้โดยตรงจะไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้น
wikipedia.py เป็นสคริปต์พื้นฐานของ pywikipedia ข้างในมีการนิยามการอ่านหน้าและการเขียนหน้าไว้และอื่น ๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตามการสั่งเรียกสคริปต์นี้โดยตรงจะไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้น
|
thaiwikibooks
| 195,324 |
คู่มือการใช้ไพวิกิพีเดีย/ใช้งาน replace.py
|
replace.py เป็นสคริปต์ที่ใช้ในการแทนที่ข้อความ ซึ่งอาจหมายถึงการลบข้อความ (แทนที่ข้อความที่จะลบให้เป็นข้อความว่าง) หรือการเพิ่มข้อความด้วย
จากการที่ replace.py รองรับการใช้นิพจน์ปรกติ จึงทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานมาก แต่ถึงแม้จะไม่มีความรู้ด้านนิพจน์ปรกติก็สามารถใช้สคริปต์นี้อย่างง่ายได้เช่นกัน
แนะนำภาพรวม
แนะนำภาพรวม.
python replace.py -cat:ขั้นตอนวิธี "อัลกอริทึม" "ขั้นตอนวิธี"
มีพารามิเตอร์และความหมายดังนี้
ดังนั้นสมมุติหน้า ขั้นตอนวิธีการประมาณ อยู่ใน หมวดหมู่:ขั้นตอนวิธี และมีเนื้อหาดังนี้
... ดังนั้นอัลกอริทึมการประมาณจึงเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในการหาคำตอบแทนที่อัลกอริทึมอื่น ๆ ...
เนื้อหาก็จะเปลี่ยนไปเป็น
... ดังนั้นขั้นตอนวิธีการประมาณจึงเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในการหาคำตอบแทนที่ขั้นตอนวิธีอื่น ๆ ...
พารามิเตอร์
พารามิเตอร์สคริปต์
ไฟล์ที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่าง
ลบการเรียกใช้แม่แบบออกให้หมด
ตัวอย่าง.
ลบการเรียกใช้แม่แบบออกให้หมด.
แนวคิดของการลบการเรียกใช้แม่แบบก็คือพยายามหาคู่ของ และลบข้อความที่อยู่ตรงกลางทิ้งเสีย ซึ่งทำได้โดยใช้นิพจน์ปรกติ (codice_1) อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีปัญหาเพราะแม่แบบอาจมีการใช้ซ้อนกันก็ได้ เช่น ซึ่งถ้าหากใช้นิพจน์ปรกติเพียงอย่างเดียวจะให้ผลลัพธ์ผิดพลาด จากตัวอย่างที่ยกมาก็อาจจะเกิดกรณีตัดเพียง
|
thaiwikibooks
| 195,325 |
คู่มือการใช้ไพวิกิพีเดีย/พื้นฐานการเขียนสคริปต์
|
การเขียนสคริปต์ เป็นการเขียนโปรแกรมให้บอตทำหน้าที่ตามที่ต้องการ ซึ่งยืดหยุ่นกว่าการใช้สคริปต์มากนัก เพราะไม่มีข้อจำกัดด้านการติดต่อกับไลบรารี
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะทำการเขียนสคริปต์ ขอแนะนำให้อ่าน พื้นฐานการใช้งานสคริปต์ และลองใช้สคริปต์เสียก่อน เพื่อให้รู้ว่าสคริปต์ใดทำหน้าที่อะไรบ้าง เพื่อที่จะได้นำมาประยุกต์ใช้เขียนสคริปต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การอ่านและเขียนข้อมูล
การอ่านและเขียนข้อมูล.
รายละเอียดเพิ่มเติมของฟังก์ชั่น codice_1 และ codice_2 โปรดอ่านที่ /wikipedia.py
ฟังก์ชันจากโมดูลต่าง ๆ
การติดต่อกับ api เอง
ดูเพิ่ม
ไพทอน
|
thaiwikibooks
| 195,326 |
Kile
|
Kile เป็นโปรแกรมแก้ไขโค้ดของ TeX หรือ LaTeX บนระบบปฏิบัติการ Unix-like เช่น Linux หรือ Mac OS X โดยใช้ KDE เป็น Desktop environment
/วิธีติดตั้ง
/การใช้งาน
แหล่งข้อมูลอื่น
เว็บไซต์หลักของ Kile
|
thaiwikibooks
| 195,327 |
Kile/วิธีติดตั้ง
|
การติดตั้ง Kile ทำได้หลายวิธี ในที่นี้จะขอเขียนวิธีที่นิยม
สารบัญ
/วิธีติดตั้ง
/การใช้งาน
Debian-like
.deb package
apt-get
yum
tarball
|
thaiwikibooks
| 195,328 |
คู่มือการใช้ไพวิกิพีเดีย/ใช้งาน login.py
|
login.py มีไว้เพื่อนำบอตเข้าสู่ระบบ ออกจากระบบ หรือทดสอบว่าเข้าระบบอยู่หรือไม่ การดำเนินการทั้งหมดของ login.py จะใช้ข้อมูลจาก user-config.py ซึ่งเป็นไฟล์ที่นิยามบอตต่าง ๆ ที่เราจะใช้ในไซต์ต่าง ๆ
แนะนำภาพรวม
แนะนำภาพรวม.
python login.py -all -pass
มีพารามิเตอร์และความหมายดังนี้
สมมุติใน codice_1 มีนิยามบอตไว้ดังนี้
หลังเรียกใช้คำสั่งดังกล่าวก็จะทำให้บอตเข้าสู่ระบบในไซต์วิกิพีเดียภาษาไทย วิกิตำราภาษาไทย และวิกิซอร์ซภาษาไทย
|
thaiwikibooks
| 195,329 |
PHP
|
REDIRECT ภาษาพีเอชพี
|
thaiwikibooks
| 195,330 |
อัลกอริทึม
|
REDIRECT ขั้นตอนวิธี
|
thaiwikibooks
| 195,331 |
ขั้นตอนวิธี/การแบ่งแยกและเอาชนะ
|
การแบ่งแยกและเอาชนะ (Divide and conquer)
อัลกอริทึมนี้แก้ปัญหาด้วยการแตกปัญหาหลักออกเป็นปัญหาย่อย ๆ แล้วรวมคำตอบ ของปัญหาย่อยนี้เข้าด้วยกันทำให้ได้คำตอบของปัญหาหลัก โดยอัลกอริทึมนี้เราสามารถ หาคำตอบของปัญหาได้ง่ายขึ้นจากการรวมคำตอบของปัญหาหลัก
สารบัญ
/การแบ่งแยกและเอาชนะ
/กำหนดการพลวัต
/ขั้นตอนวิธีเชิงละโมบ
|
thaiwikibooks
| 195,332 |
ขั้นตอนวิธี/กำหนดการพลวัต
|
กำหนดการพลวัต (Dynamic programming)
บางครั้งเราไม่สามารถแบ่งปัญหาออกเป็นปัญหาย่อย ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกันได้ ถ้าเรา พยายามจะแบ่งปัญหานั้น ๆ ออกเป็นปัญหาย่อยที่เล็กที่สุด อัลกอริทึมของคุณอาจ จะใช้เวลาทำงานเป็นแบบ exponential ได้ แต่เวลาที่เราแก้ปัญหาต่าง ๆ เรามักจะ พบว่าเราต้องแก้ปัญหาย่อย ๆ ที่เหมือนกันแบบซ้ำไปซ้ำมา เพื่อหลีกเลี่ยงการคำนวน หาคำตอบซ้ำ ๆ ซาก ๆ dynamic programming จะแก้ปัญหาย่อย ๆ เหล่านั้นเพียง ครั้งเดียวแล้วเก็บผลลัพท์ไว้ ถ้าหากพบว่าต้องแก้ปัญหาย่อยนั้นซ้ำอีกเราก็สามารถนำ คำตอบมาจากคำตอบที่เคยคำนวณเก็บไว้ได้
สารบัญ
/การแบ่งแยกและเอาชนะ
/กำหนดการพลวัต
/ขั้นตอนวิธีเชิงละโมบ
|
thaiwikibooks
| 195,333 |
ขั้นตอนวิธี/ขั้นตอนวิธีเชิงละโมบ
|
ขั้นตอนวิธีเชิงละโมบ (Greedy Algorithm)
Greedy Algorithms หาคำตอบโดยเลือกทางที่ดีที่สุดที่พบได้ในขณะนั้นเพื่อให้ได้คำตอบ ที่ดีที่สุด Greedy Algorithms ไม่สามารถหาคำตอบของปัญหาที่ดีที่สุดได้เสมอไป แต่ใน หลาย ๆ กรณี Greedy Algorithms สามารถหาคำตอบที่ดีที่สุดของปัญหานั้น ๆ ได้
สารบัญ
/การแบ่งแยกและเอาชนะ
/กำหนดการพลวัต
/ขั้นตอนวิธีเชิงละโมบ
|
thaiwikibooks
| 195,334 |
C++
|
เปลี่ยนทาง ภาษาซีพลัสพลัส
|
thaiwikibooks
| 195,335 |
ไลบรารีแม่แบบมาตรฐานของภาษาซีพลัสพลัส
|
ไลบรารีแม่แบบมาตรฐาน (Standard Template Library; STL) เป็นส่วนหนึ่งของไลบรารีมาตรฐานของภาษาซีพลัสพลัส อำนวยความสะดวกให้ในการเขียนโปรแกรมโดยมีการนิยามคลาสและฟังก์ชันต่าง ๆ เช่นฟังก์ชันการเรียงข้อมูล คลาสของโครงสร้างข้อมูลต่าง ๆ เป็นต้น
ตำรานี้จะบอกวิธีการใช้งานของคลาสและฟังก์ชันต่าง ๆ ของไลบรารีแม่แบบมาตรฐานในภาษาซีพลัสพลัสเท่านั้น และเขียนด้วยความเข้าใจว่าผู้อ่านมีความเข้าใจในเรื่องโครงสร้างข้อมูล และขั้นตอนวิธีอย่างลึกซึ้งแล้ว จึงอาจจะมีสัญกรณ์หรือศัพท์เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ปรากฏให้เห็นโดยไม่มีการอธิบาย เช่น สัญกรณ์โอใหญ่ ต้นไม้ค้นหาทวิภาค เป็นต้น
หากผู้ใดยังไม่มีความรู้ดังกล่าวหรือสงสัยในเรื่องประสิทธิภาพ การพิสูจน์ แนวคิดต่าง ๆ ของโครงสร้างข้อมูลและขั้นตอนวิธี สามารถศึกษาได้จากโครงสร้างข้อมูลและขั้นตอนวิธี การใช้ฟังก์ชันที่นิยามมาแล้วโดยไม่รู้กลไกการทำงานจะไม่เกิดการพัฒนาความรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น และทำให้มุมมองต่อปัญหาแคบกว่ามาก
Container
Algorithm
|
thaiwikibooks
| 195,336 |
ไลบรารีแม่แบบมาตรฐานของภาษาซีพลัสพลัส/stack
|
stack เป็นโครงสร้างข้อมูล แบบ LIFO
การใช้งานและประกาศตัวแปร
การใช้งานและประกาศตัวแปร.
ต้องนำเข้า header file "stack" โดย codice_1
ให้ T คือชนิดข้อมูลใดๆ และ var คือชื่อตัวแปร มีรูปแบบการประกาศตัวแปร stack คือ codice_2
method
push
pop
top
size
empty
ตัวอย่างโค้ด
สารบัญ
|
thaiwikibooks
| 195,337 |
ไลบรารีแม่แบบมาตรฐานของภาษาซีพลัสพลัส/queue
|
queue เป็นโครงสร้างข้อมูล แบบ FIFO
การใช้งานและการประกาศตัวแปร
การใช้งานและการประกาศตัวแปร.
ต้องนำเข้า header file "queue" โดย codice_1
ให้ T คือชนิดข้อมูลใดๆ และ var คือชื่อตัวแปร มีรูปแบบการประกาศตัวแปร queue โดย codice_2
method
push
pop
front
size
empty
ตัวอย่างโค้ด
สารบัญ
|
thaiwikibooks
| 195,338 |
ทฤษฎีเซต/เซต/แบบฝึกหัด
|
ลิงค์เชื่อมโยง
บทเรียนเซต#
เฉลยแบบฝึกหัดเซต#
รายการแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์#
|
thaiwikibooks
| 195,339 |
ไลบรารีแม่แบบมาตรฐานของภาษาซีพลัสพลัส/priority queue
|
priority_queue เป็นโครงสร้างข้อมูลที่มาการเรียงลำดับข้อมูลตลอดเวลา
การใช้งานและการประกาศตัวแปร
การใช้งานและการประกาศตัวแปร.
ต้องนำเข้า header file "queue" โดย codice_1
การประกาศตัวแปรของ priority_queue มีได้หลากหลายรูปแบบ คือ
ให้ codice_2 คือ datatype ใดๆ และ codice_3 คือชื่อตัวแปร มีรูปแบบการประกาศตัวแปร priority_queue โดย codice_4
หากต้องการเขียน compare class เองก็จะใช้รูปแบบ codice_5 รายละเอียด compare class อ่านที่นี่
method
push
pop
top
size
empty
รายละเอียดเพิ่มเติม
รายละเอียดเพิ่มเติม.
สามารถแบ่งการประกาศ priority_queue ได้เป็น 2 รูปแบบ
ระบุ compare class จะเหมือนตัวอย่างที่ 2 ในหัวข้อการประกาศตัวแปร ในกรณีนี้ priority_queue จะดูว่าเกณฑ์การเปรียบเทียบค่าเป็นอย่างไรตาม compare class
ไม่ระบุ compare class จะเหมือนตัวอย่างที่ 1 ในหัวข้อการประกาศตัวแปร ในกรณีนี้ priority_queue จะใช้ less เป็น compare class โดยอัตโนมัติ
หาก datatype ที่ระบุเป็น ชนิดตัวแปรพื้นฐาน จะเป็นการเรียงแบบน้อยไปมาก
หาก datatype ที่ระบุเป็น std::string จะเป็นการเรียงแบบ lexicographic order
หาก datatype ที่ระบุเป็น struct ที่มีการ overloading operator
หาก datatype ที่ระบุเป็น datatype อื่นๆซึ่ง less ไม่รู้จัก จะเกิด compilation error ขึ้น
จนถึงข้อมูลด้านปลายมีค่ามากสุด แต่ในการใช้ top หรือ pop จะเป็นการดำเนินการกับข้อมูล**ด้านปลาย**
เมื่อมีการเรียก top หรือ pop จึงเป็นการดำเนินการกับค่ามากที่สุด ฉะนั้นหากต้องการให้ top , pop ดำเนินการกับค่าอื่นๆแทน
ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการเปรียบเทียบใหม่ (เช่นต้องการให้ top , pop ดำเนินการกับค่าน้อยสุด ก็ต้องเรียงจากมากไปน้อยแทน)
การใช้ compare class
การใช้ compare class.
compare class คือ class/struct ที่สร้างขึ้นมาเพื่อบอกให้ priority_queue รู้ว่า ข้อมูลไหนควรมาก่อน ข้อมูลไหนควรมาหลัง (จะเรียงข้อมูลอย่างไรดี) โดยทั่วไปหากไม่กำหนด compare class ให้ priority_queue จะใช้ less เป็น compare class อัตโนมัติ (นั่นคือเรียงแบบน้อยไปมาก)
หลักการเขียน compare class
หากต้องการให้ a มาก่อน b ให้ return true
หากต้องการให้ b มาก่อน a ให้ return false
ตัวอย่าง compare class โดยเรียง int
ตัวอย่าง compare class โดยเรียง int.
จากตัวอย่าง เราสร้าง struct/class ชื่อ cmpclass ภายในมีการ overloading operator โดยรับค่า a และ b มา
กรณี a < b เราจะ return ค่า true ซึ่งก็คือการเรียงลำดับจากน้อยไปมากนั่นเอง
และในกรณีนี้ หากมีการเรียกใช้ pop , top ก็จะเป็นการดำเนินการกับค่าใน priority_queue ซึ่งมากที่สุด (เหมือนใช้ less)
หากต้องการให้ pop , top ดำเนินการกับค่าน้อยสุดก็คือต้องเปลี่ยนการเรียงเป็นมากไปน้อยแทน สามารถเขียนโค้ดได้ตามนี้
เงี่ยนเลยเเหละ
การ Overloading Operator
การ Overloading Operator < ของ struct.
วิธีนี้ใช้ได้กับ datatype ที่เป็น struct เท่านั้น
แนวคิดวิธีนี้คือ เราสามารถกำหนดความหมายของ formula_1 ขึ้นมาเองให้กับ struct ใดๆได้ เช่น
ให้ struct มีจำนวนเต็ม aa กับ bb เป็นสมาชิก
เราสามารถกำหนดความหมายของ formula_1 ขึ้นมาเองให้ formula_3 return ค่า true เมื่อ a.aa formula_4 b.aa
เพราะฉะนั้นหาก a.aa = 3 และ b.aa = 5
จะได้ว่า formula_5 return ค่า true (เพราะ b.aa formula_4 a.aa)
แต่ formula_3 return ค่า false (เพราะ b.aa formula_8 a.aa)
การเขียนโค้ด เราจะ overloading operator < โดยรับ T เข้ามา
จากนั้น เราจะเขียนเปรียบเทียบค่าของ T ที่เพิ่งรับเข้ามากับสมาชิกปัจจุบัน
จากโค้ดตัวอย่างเป็นการบอกว่า หาก aa ของตัวปัจจุบัน มีค่ามากกว่า aa ของ struct อีกตัวที่รับเข้ามา จะ return true
เพราะฉะนั้น เมื่อเรากำหนด formula_1 ให้ struct เรียบร้อยแล้ว เราก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ cmpclass อีก !
การ pass by reference
การ pass by reference.
มีปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ ในกรณีที่ struct มีขนาดใหญ่มาก การส่งผ่าน struct แบบ pass by value บ่อยๆจะเสียเวลามาก
ดังนั้น สามารถแก้ไขปัญหาโดย pass by reference แทน หากนำโค้ดจากตัวอย่างที่แล้วมาแก้เพิ่มจะได้ดังนี้
กล่าวคือ เราจะเปลี่ยน codice_6 ไปเป็น codice_7 แทน
ตัวอย่างโค้ด
สารบัญ
|
thaiwikibooks
| 195,340 |
ไลบรารีแม่แบบมาตรฐานของภาษาซีพลัสพลัส/deque
|
deque เป็น data structure ที่มีความสามารถคล้าย queue แต่สามารถดำเนินการกับข้อมูลทั้งนำข้อมูลเข้าและเอาข้อมูลออก
ทั้งด้านหน้าและด้านปลายได้ทั้งคู่ (ถ้า queue จะดำเนินการนำข้อมูลเข้าได้ที่ปลาย และนำข้อมูลออกที่ด้านหน้าได้เท่านั้น)
ADT ของ deque ต้องการเพียงการจัดการกับข้อมูลส่วนด้านหน้าและปลายเท่านั้น ซึ่งอาจใช้ list ในการเขียนก็ได้
แต่ deque ของ STL ได้เพิ่มความสามารถ random access ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลตัวใดๆได้ด้วย operator []
การใช้งานและการประกาศตัวแปร
การใช้งานและการประกาศตัวแปร.
ต้องนำเข้า header file "deque" โดย codice_1
ให้ T คือชนิดข้อมูลใดๆ และ var คือชื่อตัวแปร มีรูปแบบการประกาศตัวแปร deque โดย codice_2
method
push_back
push_front
pop_back
pop_front
front
back
size
empty
operator
ตัวอย่างโค้ด
สารบัญ
|
thaiwikibooks
| 195,341 |
ไลบรารีแม่แบบมาตรฐานของภาษาซีพลัสพลัส/vector
|
vector เป็น array ที่สามารถเพิ่มขนาดได้ มีความสามารถ random access และสามารถดำเนินการกับข้อมูลด้านปลายได้ในเวลาคงที่
หากได้อ่าน deque มาแล้ว จะเห็นได้ว่า vector มีความสามารถด้อยกว่า เนื่องจาก deque มีความสามารถเหมือน vector ทุกประการ แต่สามารถเพิ่ม/ลบข้อมูลทางด้านหน้าได้ด้วย อย่างไรก็ตาม หากโปรแกรมที่จะเขียนไม่ได้มีการดำเนินการกับข้อมูลด้านหน้าก็จะนิยมใช้ vector มากกว่า เนื่องจากในทางปฏิบัติ deque จะใช้พื้นที่มากกว่า vector
การใช้งานและการประกาศตัวแปร
การใช้งานและการประกาศตัวแปร.
ต้องนำเข้า header file "vector" โดย codice_1
ให้ T คือชนิดข้อมูลใดๆ และ var คือชื่อตัวแปร มีรูปแบบการประกาศตัวแปร vector โดย codice_2
method
push_back
pop_back
front
back
size
empty
operator
ตัวอย่างโค้ด
สารบัญ
|
thaiwikibooks
| 195,342 |
การเขียนโปรแกรมภาษาซี
|
ภาษาซี เป็นภาษาโปรแกรมที่ได้รับความนิยมมาก และได้เป็นรากฐานในการพัฒนากลายเป็นภาษาอื่นอีกมากมายเช่นภาษาซีพลัสพลัส ปัจจุบันภาษาซีก็ยังเป็นที่นิยมอยู่เป็นอย่างมาก
เริ่มต้น
เริ่มต้น.
จาก โค้ดภาษา C สู่ไฟล์ .exe (รวบยอด..)
C Code(file .c) -> Compile -> Linking -> Executable File
ขั้นตอน ที่น่าสนใจคือ การ Compile คืออะไร? พูดตามภาษาชาวบ้านก็คือการแปลภาษา เพราะว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจ แต่ภาษาเครื่อง (ซึ่งเป็นภาษาระดับล่าง) จึงต้องมีการแปลภาษากันหน่อย จากภาษาซีให้กลายเป็นภาษาที่เครื่องเข้าใจ
เพราะฉะนั้นสิ่นที่เราควรจะมี คือ
Text Editor ตัวโปรด
Compiler ภาษา C เพื่อใช้แปลภาษานั่นเอง
ลองเขียน
การแสดงผล
ตัวแปร
การรับค่า
คำสั่งเงื่อนไข
คำสั่งทำซ้ำ
แถวลำดับ
สตริง
/สตริง
ไลบรารีมาตรฐาน
/stdio.h
/stdlib.h
ฟังก์ชัน
ตัวชี้
/ตัวชี้
โครงสร้าง
|
thaiwikibooks
| 195,343 |
การเขียนโปรแกรมภาษาซี/stdlib.h
|
stdlib.h เป็นหนึ่งในไลบรารีมาตรฐาน มีฟังก์ชันที่เป็นประโยชน์มากมาย
/atoi/
/qsort/
/bsearch/
/exit/
/random/
|
thaiwikibooks
| 195,344 |
การเขียนโปรแกรมภาษาซี/stdlib.h/qsort
|
qsort เป็น [function] ใน stdlib.h] ใช้ในการ [sort] ข้อมูลใน [array] ด้วย [algorithm] [Quicksort]
โดยเฉลี่ยจะใช้เวลา O]$(n \log n)$ และในกรณีเลวร้ายสุดจะใช้เวลา $ O(n^2) $ ด้วยโอกาสที่ต่ำมาก
footnoteqsort ของ compiler แต่ละตัวต่างกันออกไป อาจมีการใช้ขั้นตอนพิเศษทำให้ algorithm นี้ใช้เวลา $O(n \log n)$ เสมอ/footnote
สอวน. ค่าย 2 มีข้อสอบที่ต้อง sort ดังนั้น ควรฝึกใช้ qsort ให้เป็นเพื่อความรวดเร็วในการทำข้อสอบ
footnoteบางปีมีโจทย์ประมาณว่า จงเขียน bubble sort ซึ่งอาจารย์จะตรวจ source code ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้ qsort ได้/footnote
อย่างไรก็ตาม ควรเขียน sort ทั้งหลายให้เป็นด้วย เช่น Quicksort , [Merge sort] , [Bubble sort] ฯลฯ
เนื่องจากแนวคิดของ sort เหล่านี้ อาจสามารถนำมาประยุกต์แก้ปัญหาต่างๆได้ เช่น ปัญหา inversion] , k-th selection] เป็นต้น
+ วิธีใช้ qsort
ต้องเรียกใช้ header file "stdlib.h"
code type="Cpp"
include
qsort มี [parameter] ดังนี้
code type="Cpp"
qsort(A, n, s, cmpfunc);
/code
**A คือ array ที่จะ sort**
**n คือจำนวนข้อมูลที่จะเรียง**
**s คือขนาดของข้อมูลหนึ่งช่อง**
**cmpfunc คือ function ใช้เปรียบเทียบ**
+ ตัวอย่างการใช้ qsort
code type="Cpp"
include
return (*(int*)a < *(int*)b) ? -1 : 1;
int A[] = {20,19,17,3,3,18,1,6,5,2,4,3,7};
int main{
qsort(A, 6, sizeof(A[0]), cmpfunc);
// A[0] .. A[5] is sorted
return 0;
/code
+ parameter ตัวที่ 4 | function ใช้เปรียบเทียบ / cmpfunc
คือ function ที่เราต้องเขียนขึ้นมาเพื่อบอกให้ qsort รู้ว่า เราจะเรียงข้อมูลอย่างไร (เช่นเรียงจากน้อยไปมาก มากไปน้อย ฯลฯ)
สามารถเปลี่ยนเป็นชื่ออื่นได้ โดย function นี้จะต้องรับ Parameter เข้ามา 2 ตัว (ให้ชื่อว่า a และ b) และ [return] ออกไปเป็น int โดยมีกฎว่า
**ถ้าอยากให้ a มาก่อน b ให้ return ค่าติดลบ (เช่น -1)**
**ถ้าอยากให้ b มาก่อน a ให้ return ค่าเป็นบวก (เช่น 1)**
**ถ้า a และ b มีความสำคัญพอๆกัน ให้ return ค่า 0**
อย่างไรก็ตาม a กับ b ที่ได้มานั้น ไม่สามารถนำไปใช้ได้ตรงๆ เพราะ qsort จะให้ a, b มาเป็น [address] ซึ่งเราก็ต้องใช้ [pointer] รับ address
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะ qsort ยังให้ address นี้มาในรูปของ void pointer] ซึ่งเป็นแบบ [constant] ด้วย ดังนั้น cmpfunc จึงมี [prototype] เป็น
int cmpfunc(const void*,const void*);**
code type="Cpp"
int cmpfunc(const void* a, const void* b){
return (*(int*)a < *(int*)b) ? -1 : 1;
/code
a กับ b เป็น void pointer ไม่สามารถอ้างอิงข้อมูลโดยใช้ *] ได้โดยตรง ดังนั้นเราจึงต้องแปลง a, b เป็น pointer ชนิดอื่น เช่น
int pointer , double pointer , [struct] pointer (แล้วแต่ว่าเราประกาศ [datatype] ของ array เป็นอะไร)
แล้วค่อยใช้ * เพื่ออ้างอิงถึงข้อมูลข้างใน address ตามโค้ดข้างต้น ซึ่ง cmpfunc ดังกล่าวก็จะทำให้ qsort เรียงเลขจากน้อยไปมาก
หากต้องการเปลี่ยนเป็นเรียงจากมากไปน้อยก็อาจเปลี่ยนเป็น
code type="Cpp"
int cmpfunc(const void* a, const void* b){
return (*(int*)a > *(int*)b) ? -1 : 1;
/code
# warning ข้อควรระว.
ค่าที่ return ออกมาจาก cmpfunc นี้จะต้องเป็น int เท่านั้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการ return จำนวนจริงออกมา
(ดูหัวข้อ [#sample-error ข้อผิดพลาดจาก cmpfunc] สำหรับตัวอย่างที่ทำให้เกิดความผิดพลาด)**
ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากขนาดน.
--หัวข้อนี้ผมเขียนเอาตามความเข้าใจผมนะ (เดาใจคนออกแบบ qsort) เพราะฉะนั้นไม่รับประกันว่ามันจะเป็นแบบนี้จริงหรือเปล่า
หากเรารับข้อมูลเข้ามาเป็นข้อมูลตรงๆเลย จะเสียเวลาในการ [pass by value] โดยเฉพาะการเรียง struct ซึ่งใน struct มีสมาชิกมากๆ
ดังนั้น คนออกแบบจึงออกแบบให้ส่ง address มาแทน แต่ทีนี้ก็เกิดปัญหาขึ้นอีก ถ้าจะส่งมาเป็น address
จะส่งมาในรูปของ pointer ของอะไร เพราะอย่าลืมว่า qsort ต้องรองรับการ sort array ทุกๆ datatype
ไม่ใช่เฉพาะ int อย่างเดียว ดังนั้นเขาจึงออกแบบให้ส่งมาเป็น void pointer แล้วพอจะใช้งานจริงค่อยเอาไปแปลงกันเอาเอง
ปัญหาสุดท้ายคือเมื่อส่งมาเป็น address ก็อาจจะทำให้เราเข้าไปแก้ข้อมูลได้ ซึ่งตามความจริงแล้ว cmpfunc ไม่ควรทำได้
เขาเลยป้องกันโดยบังคับให้เป็น constant ซึ่งถ้าเราไป assign ค่าอะไรลงไปก็จะเกิด compilation error]--
chalet16 บอกว่าเพราะสมัยนั้นไม่มี C++ จึงไม่สามารถทำ overloading function] และ [pass by reference] ได้ เลยต้องส่งเป็น address มาแทน
ตัวอย่าง cmpfunc ที่ใช้ในการ sort stru.
ให้ struct ST มี สมาชิก p และ q โดยเราจะทำการเรียงตาม p ก่อน และถ้า p เท่ากันค่อยเรียงตาม q
code type="Cpp"
int cmpfunc(const void* a, const void* b){
ST *aa,*bb;
aa = (ST*)a;
bb = (ST*)b;
if(aa->p == bb->p)
return (aa->q q) ? -1 : 1;
return (aa->p p) ? -1 : 1;
/code
# sample-error ข้อผิดพลาดจาก cmpfu.
ส่วนมากมักเกิดจากการเขียน cmpfunc เช่นนี้
code type="Cpp"
int cmpfunc(const void* a, const void* b){
return *(int*)a - *(int*)b;
/code
สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า cmpfunc นี้เอาไว้ทำอะไร นี่คือ cmpfunc ที่เอาไว้เรียงเลขจากน้อยไปมาก !
*(int*)a ก็คือค่า a ที่เป็นเลข
*(int*)b ก็คือค่า b ที่เป็นเลข
ถ้า a
ถ้า a = b จะได้ว่า a - b = 0 ซึ่งเป็นค่าลบ ดังนั้น a , b สำคัญพอกัน
ถ้า a > b จะได้ว่า a - b > 0 ซึ่งเป็นค่าลบ ดังนั้น b มาก่อน a
เมื่อใช้ในการเรียง array ของ datatype จำนวนจริง เช่น float หรือ datatype ที่พิสัยเกิน int เช่น long long
และถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้ว แม้แต่เรียง int ยังมีโอกาสผิดพลาดเลย !**
include
include
return *(double*)a - *(double*)b;
double arr[] = {12.2,12.1};
int main{
printf("before sort\n");
printf("%lf %lf\n", arr[0], arr[1]); // 12.2 12.1
qsort(arr, 2, sizeof(arr[0]), cmpfunc);
printf("after sort\n");
printf("%lf %lf\n", arr[0], arr[1]); // 12.2 12.1
return 0;
/code
ปัญหาเกิดจากเมื่อนำ 12.2 - 12.1 = 0.1 แต่เมื่อโดนบังคับให้ return เป็น int จึงทำให้จาก 0.1 โดน implicit conversion] กลายเป็น 0
เลยโดนตีความว่า 12.2 = 12.1 ทำให้การ sort ผิดพลาด
code type="Cpp"
include
include
return *(int*)a - *(int*)b;
int arr[] = {2147483647,-1};
int main{
printf("before sort\n");
printf("%d %d\n", arr[0], arr[1]); // 2147483647 -1
qsort(arr, 2, sizeof(arr[0]), cmpfunc);
printf("after sort\n");
printf("%d %d\n", arr[0], arr[1]); // 2147483647 -1
return 0;
/code
ปัญหาเกิดจากเมื่อนำ 2147483647 - (-1) = 2147483648 แต่ 2147483648 เกินพิสัยของ int
จึงกลายเป็นค่าติดลบ (-2147483648 ตาม 2's Complement]) เลยโดนตีความว่า 2147483647 มาก่อน -1 ทำให้การ sort ผิดพลาด
ปัญหาที่เกิดจาก long long ก็จะคล้ายๆกับตัวอย่างนี้ คือพิสัยเกิน int เพราะฉะนั้นขอไม่กล่าวถึง
วิธีแก้ปัญหานี้ก็ง่ายๆ คือ หาวิธีอื่นมาใช้แทน เช่นตัวอย่างทั้งหลายที่เขียนไว้ในหัวข้อต่างๆ (ยกเว้นหัวข้อนี้ เพราะหัวข้อนี้มีแต่ตัวอย่างที่มีปัญหา)
+ parameter ตัวที่ 3 | ขนาดสมาชิกหนึ่งช่อง
ขนาดสมาชิกหนึ่งช่องของ array นั้น (หน่วย byte) อาจระบุเป็นตัวเลขเช่น 4 (ใช้กับ array ของ int , float , ฯลฯ)
หรืออาจใช้ [sizeof] มาเป็นตัวหาขนาดให้ เช่น sizeof(int) หรือ sizeof(A[0])
แต่แนะนำให้ใช้ sizeof(A[0]) เพราะมันแน่นอนอยู่แล้วว่า array A จะมีขนาดของช่องเป็น sizeof(A[0])
+ parameter ตัวที่ 1 และ 2 | array ที่จะ sort และ จำนวนข้อมูลที่จะเรียง
ตามความจริงแล้ว parameter ตัวแรกคือ address ของ array ช่องแรกที่จะทำการเรียง
อย่าลืมว่า ชื่อ array ที่ไม่ระบุช่อง] มีความหมายคือ address ของ array ช่องแรก => เรียงตั้งแต่ A[0]
ดังนั้นถ้าเราต้องการเรียงจาก array ในช่วง [1,n] ก็อาจเขียนโค้ดดังนี้
code type="Cpp"
qsort(A + 1, n, sizeof(A[0]), cmpfunc);
/code
หรือ
code type="Cpp"
qsort(&A[1], n, sizeof(A[0]), cmpfunc);
/code
ถ้าต้องการเรียงจาก array ในช่วง [a,b] ก็อาจเขียนโค้ดดังนี้
code type="Cpp"
qsort(A + a, b - a + 1, sizeof(A[0]), cmpfunc);
/code
หรือ
code type="Cpp"
qsort(&A[a], b - a + 1, sizeof(A[0]), cmpfunc);
/code
สารบัญ
atoi
qsort
bsearch
exit
random
อ้างอิง
การใช้ qsort บน chalet16.com
|
thaiwikibooks
| 195,345 |
การเขียนโปรแกรมภาษาซี/สตริง
|
string (**สตริง** **สายอักขระ** **ข้อความ**) เป็น [ADT] และ [datatype] ชนิดหนึ่งสำหรับเก็บข้อความ สำหรับทั้งภาษา C และ C++ นั้น ค่าคงที่] string ([const] string) จะเขียนอยู่ในคู่ของอัญประกาศ ("...") เช่น "hello world"
+ ภาษา C
ภาษา C **ไม่มี** datatype ชื่อ string จริงๆ มีแต่รูปแบบ string ซึ่งเป็น [array] ของ [char] และมีการจัดเก็บข้อมูลพิเศษกว่า array ของ char ธรรมดาเล็กน้อย
การเก็บข้อม.
array ของ char จะประกอบไปด้วยอักขระต่างๆ อักขระในช่องที่ $ i $ ใน array แทนด้วยอักขระตัวที่ $ i $ ของ string
หลังจากอักขระช่องสุดท้ายจะมี [null character] ('\0', 0) ปิดท้าย**
อาจกล่าวได้ว่า string = array of char + '\0'
const stri.
การประกาศตัวแ.
สมมุติจะสร้าง string ซึ่งเก็บข้อมูล "abcx" โดยประกาศ array 10 ช่อง
code
char str[10];
str[0] = 'a';
str[1] = 'b';
str[2] = 'c';
str[3] = 'x';
str[4] = '\0';
/code
ในกรณีที่ประกาศตัวแปร สามารถใช้ [initializer] คล้ายๆ array ได้ (อ่านเพิ่มเติมที่ [array#initializer])
code
char str[10] = {'a', 'b', 'c', 'x', '\0'};
/code
หรือ
code
char str[10] = "abcx";
/code
คล้ายๆกับ array ซึ่งอาจจะไม่ระบุจำนวนช่องก็ได้ จำนวนช่องของ array จะเป็น $ n + 1 $ ตามจำนวนการใช้ช่อง
code
char str[] = "abcx";
/code
เนื่องจาก array และ [pointer] คล้ายๆกัน (แทบจะเป็นสิ่งเดียวกัน) จากโค้ดที่แล้วจึงอาจเขียนได้ว่า
code
char* str = "abcx";
/code
พึงระวังว่าความหมายของคำสั่งนี้ หมายความว่าให้ address ของ array/string "abcx" มาใส่ใน pointer str
ซึ่ง "abcx" เป็นค่าคงที่ ถูกเก็บใน[หน่วยความจำส่วน code] ซึ่งหน่วยความจำส่วนนี้**แก้ค่าไม่ได้**
หากสั่ง
code
str[0] = 'z';
/code
โปรแกรมจะ [crash] ทันที
แต่ const string = const array = const char* ดังนั้นจึงสามารถ assign เมื่อไหร่ก็ได้ แตกต่างจาก array ที่ทำได้ตอน initialize เท่านั้น
code
char *str;
str = "abcx";
/code
จากโค้ดตัวอย่างทั้ง 2 อันที่แล้ว สำหรับภาษา C++ ซึ่งเคร่งครัดเรื่อง datatype มากกว่า C จะไม่สามารถทำได้ เพราะ "abcx" เป็น const string = const char* ดังนั้น str ก็ควรเป็น const char* ด้วย จึงสามารถ assign ค่าได้เฉพาะตอน initialize เท่านั้น นอกจากนี้ datatype ก็ควรจะเป็น const char* แทนที่ char* ด้วย
code
const char *str = "abcx";
/code
หากอยาก assign ค่าเมื่อไหร่ก็ได้ อาจใช้ [datatype conversion] เข้ามาช่วย โดยการประกาศเป็น char* เหมือนเดิม แต่การ assign ค่าต้องมีการทำ [datatype conversion] ด้วย
code
char *str;
str = (char*)"abcx";
/code
+ ฟังก์ชั่นใน string.h
อ่านเพิ่มที่ string.h
+ ภาษา C++
อาจใช้ array ของ char เหมือนภาษา C หรือใช้ std::string ก็ได้
สารบัญ
/สตริง
/stdio.h
/stdlib.h
/ตัวชี้
|
thaiwikibooks
| 195,346 |
การเขียนโปรแกรมภาษาซี/ตัวชี้
|
pointer** (**พอยน์เตอร์** **ตัวชี้**) เป็น [datatype] อย่างหนึ่งในภาษา C และ C++ ใช้เก็บ **address** (**ที่อยู่หน่วยความจำ**) ที่ใช้ในการอ้างถึงตัวแปรต่างๆในหน่วยความจำ RAM
สำหรับตัวแปรใดๆจะประกอบไปด้วย 4 ส่วนคือ
**ข้อมูลที่ตัวแปรเก็บ (value)** เช่น int a = 42; ค่าที่เก็บคือ 42
**ชื่อตัวแปร (variable name, variable)** ซึ่งเป็นชื่อเล่นของหน่วยความจำส่วนนั้น เช่น int a = 42; ชื่อตัวแปรคือ a
**ที่อยู่ของหน่วยความจำ (address)** เป็นตัวเลขระบุถึงหน่วยความจำช่องต่างๆ สมมุติ RAM มีขนาด 1GB ($ 2^{30} $, 1073741824 bytes) ก็จะมี address 1073741824 ช่อง อาจเปรียบเทียบให้ RAM เป็น [array] ขนาดยักษ์ โดยมี address เป็น index ซึ่ง address นี้จะมีค่าไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อมีการจองหน่วยความจำ ระบบปฏิบัติการจะจัดสรรหน่วยความจำ/address ใดให้ ตัวอย่าง address เช่น 41608 เป็นต้น (เลขมั่วนะครับ :P)
**ชนิดข้อมูล** (**datatype**) เป็นชนิดข้อมูลของตัวแปร ชนิดข้อมูลต่างๆกันก็อาจจะมีขนาดชนิดข้อมูลต่างกัน เช่น int 4 byte, short 2 byte เป็นต้น และอาจประมวลผลข้อมูลต่างกัน (เช่น float กับ int ต่างมีขนาด 4 byte แต่ประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลต่างกัน) ตัวอย่างชนิดข้อมูลเช่น int
สมมุติ int a = 5; และ address ของ a เป็น __41608__ (ต่อไปนี้จะเขียน address โดยมีขีดเส้นใต้ เพื่อแยกแยะความแตกต่างของ address กับ value)
**address-of / reference operator** (เครื่องหมาย **&**) เอาใช้กับ **variable** ได้ **address** คืนมา จากตัวอย่างจะได้ว่า &a => __41608__
**dereference** (เครื่องหมาย *****) เอาไว้ใช้กับ **address** ได้ **variable** คืนมา จากตัวอย่างจะได้ว่า *(__41608__) => a
array กับ addre.
การดำเนินการทางคณิตศาสตร์กับ addre.
+ pointer
+ malloc / free
สารบัญ
การเขียนโปรแกรมภาษาซี
|
thaiwikibooks
| 195,347 |
OpenOffice
|
REDIRECT โอเพนออฟฟิศดอตอ็อก
|
thaiwikibooks
| 195,348 |
OpenOffice.org
|
REDIRECT โอเพนออฟฟิศดอตอ็อก
|
thaiwikibooks
| 195,349 |
Blender 3D
|
เปลี่ยนทาง
|
thaiwikibooks
| 195,350 |
Blender
|
เปลี่ยนทาง
|
thaiwikibooks
| 195,351 |
Introduction to Obligations
|
REDIRECTหนี้
|
thaiwikibooks
| 195,352 |
VB.Net
|
เปลี่ยนทาง วิชวลเบสิกดอตเน็ต
|
thaiwikibooks
| 195,353 |
GIMP
|
REDIRECT กิมป์
|
thaiwikibooks
| 195,354 |
คู่มือการใช้ไพวิกิพีเดีย/ช่วยพัฒนาที่ sourceforge.net
|
เว็บ http://sourceforge.net เป็นเว็บให้บริการในการพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ซทั้งหลาย รวมถึงไพวิกิพีเดียด้วย อย่างไรก็ตามทีมงานไพวิกิพีเดียไม่ได้ใช้ sourceforge ในการพัฒนาทั้งหมด โดยมีเพียงเฉพาะการแจ้งข้อผิดพลาดโปรแกรม (Bug report) การส่งแพตช์ให้ผู้พัฒนา (Patch sending) การร้องขอความสามารถ (Feature requests) บริการให้คำปรึกษา (Support Request)
การแจ้งข้อผิดพลาด
การแจ้งข้อผิดพลาด.
เมื่อพบข้อผิดพลาด (บั๊ก) ในไพวิกิพีเดีย ให้ไปที่ http://sourceforge.net/tracker/?group_id=93107&atid=603138 และค้นหาว่ามีผู้เคยแจ้งเรื่องดังกล่าวแล้วหรือไม่ ถ้ายังไม่มีก็กดสร้างเรื่องใหม่และแจ้งได้เลย
การร้องขอความสามารถ
การร้องขอความสามารถ.
เมื่อคิดว่าไพวิกิพีเดีย ยังขาดความสามารถใดที่ควรจะมีอยู่ สามารถแจ้งได้ที่ http://sourceforge.net/tracker/?atid=603141&group_id=93107
การส่งแพตช์
การส่งแพตช์.
เมื่อพบข้อผิดพลาดของโปรแกรมหรือต้องการความสามารถใหม่ และไม่ต้องการรอให้นักพัฒนาคนอื่น คุณสามารถเขียนโค้ดเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดหรือเพิ่มความสามารถดังกล่าว และส่งไฟล์แพตช์ให้กับผุ้พัฒนาที่ https://sourceforge.net/tracker/?group_id=93107&atid=603140 หากผู้พัฒนาเห็นว่าไม่มีปัญหาก็จะรวมแพตช์ดังกล่าวเข้ากับโค้ดของไพวิกิพีเดียให้
|
thaiwikibooks
| 195,355 |
นิติเหตุ
|
อาจได้ศึกษามาแล้วว่า หนี้เป็นความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า "เจ้าหนี้" มีสิทธิบังคับให้อีกฝ่ายซึ่งเรียก "ลูกหนี้" ทำหรือไม่ทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ของฝ่ายเจ้าหนี้ได้ และหนี้เกิดขึ้นจากสิ่งสองสิ่ง คือ นิติกรรม และนิติเหตุ
นิติกรรม (legal transaction) คือ การที่บุคคลกระทำลงด้วยใจสมัครและโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อก่อความสัมพันธ์ทางกฎหมายขึ้น ส่วนนิติเหตุ (legal cause) นั้นตรงกันข้าม กล่าวคือ เป็นเหตุการณ์ที่ผู้เกี่ยวข้องต้องเกิดมีความสัมพันธ์ทางกฎหมายกันขึ้นเพราะกฎหมายบัญญัติไว้เช่นนั้น ไม่ว่าเขาจะสมัครใจหรือไม่ก็ตาม
นิติเหตุแบ่งเป็นสี่อย่าง คือ
ในการศึกษานิติศาสตร์ในสถาบันอุดมศึกษาไทยทั่วไป นิติเหตุเป็นวิชาที่เรียก "ละเมิด จัดการงานนอกสั่ง และลาภมิควรได้" มักเล่าเรียนกันในปีที่สอง ถัดจากวิชาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายและระบบกฎหมาย กฎหมายบุคคล และกฎหมายนิติกรรมและสัญญา ตามลำดับ
เชิงอรรถ
|
thaiwikibooks
| 195,356 |
นิติกรรมและสัญญา
|
มีความสัมพันธ์อยู่รูปแบบหนึ่งเรียกว่า หนี้ (obligation) เป็นสภาพที่บุคคลฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่า "ลูกหนี้" (obligor) ต้องทำหรือไม่ทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของบุคคลอีกฝ่ายซึ่งเรียกว่า "เจ้าหนี้" (obligee) เช่น พวงทองแท้ขอซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกจากพิณทองชุบ และพิณทองชุบตกลงขาย พวงทองแท้กับพิณทองชุบจึงเป็นหนี้ต่อกัน กล่าวคือ พวงทองแท้มีหนี้ต้องชำระราคาที่ดิน ส่วนพิณทองชุบมีหนี้ต้องส่งมอบที่ดิน
หนี้ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นได้จากเหตุสองประการ คือ นิติกรรม และนิติเหตุ เหตุทั้งสองนี้เรียกว่า "มูลหนี้" (source of obligation)
นิติเหตุ (legal cause) คือ เหตุการณ์ที่ผู้เกี่ยวข้องต้องกลายเป็นหนี้เพราะกฎหมายกำหนดไว้ ไม่ว่าเขาจะสมัครใจเป็นหนี้หรือไม่ก็ตาม เช่น นางสาวแพปลาใช้โทรจิตขณะขับรถยนต์อยู่บนทางด่วน จึงชนรถตู้โดยสารสาธารณะเข้าอย่างจัง และเป็นเหตุให้เก้าชีวิตต้องตาย ผู้คนอีกหกรายต้องบาดเจ็บ นางสาวแพปลาจึงมีหนี้ที่จะต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย เพราะกฎหมายถือว่า เธอทำละเมิดต่อผู้เสียหาย ไม่ใช่เพราะเธอสมัครใจจะเป็นหนี้
ส่วนนิติกรรม (legal transaction, juristic act หรือ juridical act) นั้นอธิบายคร่าว ๆ ก่อนว่า ต่างจากนิติเหตุตรงที่เกิดจากความสมัครใจของผู้เกี่ยวข้อง ดังตัวอย่างพวงทองแท้กับพิณทองชุบข้างต้น คู่กรณีในนิติกรรมจะมีกี่ฝ่ายก็ได้ ถ้ามีตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป นิติกรรมนั้นเรียก สัญญา (contract)
การแบ่งแยกระหว่างนิติกรรมกับสัญญาเป็นแนวคิดซึ่งพัฒนาขึ้นในวงการนิติศาสตร์เยอรมัน และแพร่หลายมาถึงประเทศที่ใช้กฎหมายเยอรมันเป็นแม่แบบกฎหมายของตัว เช่น ประเทศญี่ปุ่น และประเทศไทย ขณะที่บางท้องที่ในโลก เช่น ประเทศฝรั่งเศส แม้ใช้กฎหมายระบบซีวิลลอว์ (civil law) เหมือนประเทศเยอรมัน แต่ก็ไม่รู้จักนิติกรรม ท้องที่เหล่านี้เรียกความผูกพันทำนองนิติกรรมว่า "สัญญา" ทั้งสิ้น ไม่แบ่งแยกเป็นนิติกรรมและสัญญา รายละเอียดเกี่ยวกับนิติกรรมและสัญญานั้นจะได้ว่ากันต่อไปภายหน้า
สำหรับประเทศไทย กฎหมายนิติกรรมและสัญญา (law of legal transactions and contracts) ปรากฏอยู่ใน ป.พ.พ. บ. 1 ล. 4 และ บ. 2 ล. 2 เป็นหลัก ส่วนในสถาบันอุดมศึกษาไทยโดยทั่วไปนั้น ศึกษากฎหมายนิติกรรมและสัญญากันในปีแรก ถัดจากวิชาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายและระบบกฎหมาย และวิชากฎหมายบุคคล
เพื่อประโยชน์ในการศึกษากฎหมายนิติกรรมและสัญญา ตำรานี้จึงแบ่งส่วนดังนี้
ภาค 1 บททั่วไป: ว่าด้วยนิยาม ลักษณะ ความเป็นมา ทฤษฎี หลักการ และประเภทของนิติกรรมและสัญญา
ภาค 2 นิติกรรม: ว่าด้วยนิติกรรม ตั้งแต่การเกิด ความเป็นไป และความสิ้นสุดลง
ภาค 3 สัญญา: ว่าด้วยสัญญา ตั้งแต่การเกิด ความเป็นไป และความสิ้นสุดลง
ภาค 4 ความคุ้มครองพิเศษ: ว่าด้วยกฎหมายพิเศษซึ่งให้ความคุ้มครองแก่บุคคลในการทำนิติกรรมและสัญญาบางประเภท
อนึ่ง เพื่อประโยชน์ในการศึกษา ตำรานี้ได้แทรกศัพท์กฎหมายและศัพท์อื่นที่เป็นภาษาต่างประเทศไว้ โดยใช้ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน ญี่ปุ่น หรือฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแม่แบบ ป.พ.พ. เป็นหลัก กับทั้งยังแทรก ฎ. บางฉบับไว้ด้วย แต่พึงทราบว่า ในระบบซีวิลลอว์ซึ่งเป็นระบบกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทยนั้น คำพิพากษาไม่เป็นกฎหมาย เป็นเพียงการปรับใช้กฎหมายเป็นรายกรณีไปเท่านั้น
ภาคผนวก
รายการอ้างอิง
เชิงอรรถ
|
thaiwikibooks
| 195,357 |
นิติกรรม
|
REDIRECTนิติกรรมและสัญญา
|
thaiwikibooks
| 195,358 |
สัญญา
|
REDIRECTนิติกรรมและสัญญา
|
thaiwikibooks
| 195,359 |
กฎหมายลักษณะนิติกรรมและสัญญา
|
REDIRECTนิติกรรมและสัญญา
|
thaiwikibooks
| 195,360 |
กฎหมายลักษณะสัญญา
|
REDIRECTนิติกรรมและสัญญา
|
thaiwikibooks
| 195,361 |
Contract
|
REDIRECTนิติกรรมและสัญญา
|
thaiwikibooks
| 195,362 |
Legal transaction
|
REDIRECTนิติกรรมและสัญญา
|
thaiwikibooks
| 195,363 |
Juristic act
|
REDIRECTนิติกรรมและสัญญา
|
thaiwikibooks
| 195,364 |
กฎหมายลักษณะนิติกรรม
|
REDIRECTนิติกรรมและสัญญา
|
thaiwikibooks
| 195,365 |
Law of property
|
REDIRECTทรัพย์สิน
|
thaiwikibooks
| 195,366 |
Property law
|
REDIRECTทรัพย์สิน
|
thaiwikibooks
| 195,367 |
Law of Succession
|
REDIRECTมรดก
|
thaiwikibooks
| 195,368 |
Succession
|
REDIRECTมรดก
|
thaiwikibooks
| 195,369 |
คู่มือการใช้ไพวิกิพีเดีย/ไพวิกิพีเดียคืออะไร
|
ไพวิกิพีเดีย (pywikipedia) หรือชื่อเต็มคือ Python Wikipediabot Framework เป็นชุดเครื่องมือสำหรับพัฒนาบอต (โปรแกรมอัตโนมัติ) บนวิกิพีเดียโดยใช้ภาษาไพทอน เดิมได้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ทำงานบนวิกิพีเดียเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันสามารถนำไปใช้กับทุก ๆ โครงการของมูลนิธิวิกิมีเดีย (โครงการพี่น้องอื่น ๆ เช่น วิกิตำรา วิกิซอร์ซ) รวมถึงบางวิกิที่ใช้ซอฟต์แวร์มีเดียวิกิได้ด้วย
ไพวิกิพีเดียเปิดให้ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี (ดูสัญญาอนุญาตที่นี่) นอกจากนี้ เนื่องจากไพวิกิพีเดียใช้ภาษาไพทอนซึ่งรองรับการทำงานบนระบบปฏิบัติการมากมาย จึงทำให้ไพวิกิพีเดียทำงานบนระบบปฏิบัติการส่วนใหญ่ได้
บอตคืออะไร
บอตคืออะไร.
บอตคือโปรแกรมอัตโนมัติที่สามารถทำงานซ้ำซากจำเจโดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องมาทำเอง เช่น สมมุติอยากจะลบหมวดหมู่หนึ่งทิ้ง แต่ในหมวดหมู่นั้นมีบทความถึง 1000 บทความ! มานั่งไล่ลบด้วยมือทีละบทความคงไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่
ทางเลือกที่ดีกว่านั้นก็คือให้บอตเข้ามาช่วยลบ โดยเราเพียงพิมพ์คำสั่งบางอย่างลงไป และปล่อยทิ้งให้โปรแกรมบอตทำงาน บอตก็จะค่อย ๆ ลบหมวดหมู่ออกจากบทความไปเรื่อย ๆ โดยระหว่างการทำงานนี้คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย!
การใช้งาน
การใช้งาน.
การใช้งานไพวิกิพีเดียอาจแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือ การเรียกใช้งานสคริปต์ที่มีมาให้อยู่แล้ว และ การเขียนสคริปต์ขึ้นมาเอง
การเรียกใช้งานสคริปต์ที่มีมาให้อยู่แล้ว
การเรียกใช้งานสคริปต์ที่มีมาให้อยู่แล้ว.
การใช้งานแบบนี้แทบจะไม่ต้องใช้ความรู้ทางด้านการเขียนโปรแกรมเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเป็นเพียงการเรียกใช้สคริปต์ที่มีอยู่แล้ว (เป็นการพิมพ์คำสั่งลงไป) แต่ทั้งนี้การเรียกใช้สคริปต์ต้องดำเนินการภายใต้ Command-line interface ซึ่งอาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยเท่ากับ Graphical user interface
เช่น คำสั่ง codice_1 มีความหมายคือ
ดังนั้น เมื่อพิมพ์คำสั่ง codice_1 ลงไปก็จะเป็นการลบหมวดหมู่ ขั้นตอนวิธี ออกจากบทความที่อยู่ในหมวดหมู่ ขั้นตอนวิธี ดังกล่าว
อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น คำสั่ง codice_3 มีความหมายคือ
ดังนั้น เมื่อพิมพ์คำสั่ง codice_3 ลงไปก็จะเป็นการย้านหมวดหมู่ จาก อัลกอริทึม ไปเป็น ขั้นตอนวิธี
สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Command-line interface โปรดศึกษาจากบทถัดไป (ไม่ยากครับ!)
การเขียนสคริปต์ขึ้นมาเอง
การเขียนสคริปต์ขึ้นมาเอง.
ถึงแม้การเรียกใช้สคริปต์จะอำนวยความจะดวกให้กับเรามากแล้ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการที่ไม่สามารถทำได้ เช่น การย้อนการก่อกวนอัตโนมัติ หรือการปรับปรุงปฏิทินให้กับหน้าเหตุการณ์ปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยการคิดและวางแผนขั้นตอนวิธีในการให้ได้สิ่งที่เราต้องการ ซึ่งก็ต้องการเขียนโปรแกรมนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเริ่มต้นจากหนึ่ง เนื่องจากไพวิกิพีเดียก็ได้นิยามฟังก์ชันมากมาย (ไลบรารี) ที่อำนวยความสะดวกให้กับการเขียนบอตแล้วนั่นเอง
|
thaiwikibooks
| 195,370 |
Pywikipedia
|
เปลี่ยนทาง คู่มือการใช้ไพวิกิพีเดีย
|
thaiwikibooks
| 195,371 |
คู่มือการใช้ไพวิกิพีเดีย/ความรู้ที่ต้องใช้
|
CLI เบื้องต้น
การเขียนโปรแกรม
สารบัญ
แนะนำเบื้องต้น
การติดตั้ง
การใช้งานสคริปต์
การใช้งานขั้นสูง
การเขียนสคริปต์
ช่วยพัฒนาไพวิกิพีเดีย
ภาคผนวก
แหล่งข้อมูลอื่น
สารบัญ.
แหล่งข้อมูลอื่น.
|
thaiwikibooks
| 195,372 |
คู่มือการใช้ไพวิกิพีเดีย/วิธีติดตั้งขั้นสูง
|
เนื้อหาในหน้านี้เกี่ยวกับการติดตั้งขั้นสูง สำหรับผู้ใช้เริ่มต้นอาจข้ามส่วนนี้ไปเลยก็ได้
การใช้งานบอตหลายตัวในไซต์เดียวกัน
|
thaiwikibooks
| 195,373 |
Law of Insurance
|
REDIRECTประกันภัย
|
thaiwikibooks
| 195,374 |
Insurance law
|
REDIRECTประกันภัย
|
thaiwikibooks
| 195,375 |
Law
|
REDIRECT
|
thaiwikibooks
| 195,376 |
การใช้ถังดับเพลิง
|
การใช้ถังดับเพลิง
ดูชนิดของสารดับเพลิง เพื่อจะได้ใช้ได้ถูกชนิดในการดับเพลิงและจะได้ไม่เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นถ้าใช้ถูกชนิด
ตรวจดูปริมาณของถังในปัจจุบัน ถังที่จะใช้ต้องให้เข็มสีเหลืองอยู่ในพื้นที่สีเขียว ถ้าอยู่ในพื้นที่สีแดงไม่ควรใช้ในการดับเพลิง
ถอดสลัก
หมุนสลักเพื่อให้พลาสติกที่ยึดเอาไว้ขาด
ดึงสลักออก
ดึงสายฉีกออกจากถัง
จับสายถังดับเพลิง
ฉีดไปที่ฐานของไฟแล้วส่ายไปๆมาๆ
การจับสายถังดับเพลิง
สายของถังดับเพลิงแบบ คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 ถัง CO2 เป็นหัวขนาดใหญ่ จะปล่อยความเย็นออกมาจากถังเหมือนน้ำแข็งแห้ง ไม่ควรจับตรงที่ปลายสุด ให้จับด้านล่างของหัวขนาดใหญ่ลงมา(ในวงสีแดงที่รูป)
สายของถังดับเพลิงแบบน้ำและแบบโฟมจะมีหัวไม่พอดีกับสาย ควรจับล่างของหัวฉีด 1 เซนติเมตร
ถังดับเพลิงแบบสารเคมีแห้ง หรือ Dry Chemical และ แบบฮาโลตรอน จะเป็นหัวขนาดเท่าสายควรจับตั้งแต่ห่วงเหล็กลงมา
อ้างอิง
คู่มือดับเพลิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|
thaiwikibooks
| 195,377 |
CryptoLab
|
CryptoLab เป็นโปรแกรม cryptography ซึ่งเป็น freeware สำหรับ Microsoft Windows
โดยรวบรวมวิธีการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อความหลายๆวิธีมาใช้งาน ผ่านการใช้ plug-in cipher modules.
และมีฟังก์ชันการใช้งานที่ก้าวหน้าหลายๆฟังก์ชัน ซึ่งรวมทั้ง การสนับสนุน SMTP email , a Key Manager and pseudo-random
key generation.
รายละเอียด
ฟังก์ชันการใช้งาน :
รายละเอียด.
2.การสร้าง key โดยวิธีการ random
3.การจัดการกับ key (Key manager)
4.การป้องกันรหัสหรือ key (โดยวิธีการ SHA-1 hashing)
5.สนับสนุน SMTP email
6. การคำนวณเกียวกับข้อความที่จะเข้ารหัส (Statistics)
วิธีการเข้ารหัส
- Affine Shift
- ARCFOUR
- Blowfish
- Cipher Caesar Cipher
- Data Encryption Standard
- Modular Shift Algorithm (by EJC Cryptography)
- Rijndael (American Encryption Standard)
- Substitution Cipher
- Vigenre Cipher
ในปัจจุบันนี้สามารถ download ZIP file ของ Cryptlab โดยตรงผ่านทาง USB หรือ ไดฟ์อื่นๆ โดยไม่ต้อง
ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน จากที่ก่อนหน้านี้จะต้องติดตั้ง Cryptolab บนคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะสร้าง USB copy ได้
วิธีการใช้งานโปรแกรม เข้ารหัส ถอดรหัส CryptoLab
การเข้ารหัสและการถอดรหัสข้อความ
วิธีการใช้งานโปรแกรม เข้ารหัส ถอดรหัส CryptoLab.
2.เลือกวิธีที่จะเข้ารหัส ได้แก่ Caesar Cipher, Rijindael (AES) เป็นต้น (ช่องที่ 2 ภาพที่1)
3.ใส่ตัวอักษรที่จะใช้เป็น key ในการเข้ารหัสหรือถอดรหัส แล้วกดปุ่ม save ด้านล่างเพื่อเก็บ key นั้นเอาไว้ (ช่องที่ 3 ภาพที่1)
4.เลือกทำการเข้ารหัส โดยกดปุ่ม Encrypt (ช่องที่ 4 ภาพที่1)
หรือ เลือกทำการถอดรหัส โดยกดปุ่ม Decrypt (ช่องที่ 5 ภาพที่1)
5.เมื่อกดปุ่ม Encrypt หรือ Decrypt แล้วจะปรากฏข้อความที่ถูกเข้ารหัสแทนที่ข้อความที่นำมาเข้ารหัส
การจัดการ key
tools » key manage ที่ toolbar ด้านบน
การสร้าง key โดยการ random
1.การกดปุ่ม Random เพื่อสุ่ม key มาใช้งาน (ช่องที่1 ภาพที่3)
2.จะปรากฏ key ที่ได้จากการสุ่มของโปรแกรม (ช่องที่2 ภาพที่3)
3.กดปุ่ม Copy to Crypto Bar เป็นการ copy key ไปยังช่องที่เราพิมพ์ key ในตอนแรก (ช่องที่3 ภาพที่3)
การimport key จาก file ที่มีอยุ่แล้ว (ภาพที่4)
1.กด File บน toolbar
2.เลือก import contacts
3.เมื่อimport key มาแล้วจะปรากฏ ชื่อ file ที่เก็บ key (ช่องที่1 ภาพที่5)
และ key (ช่องที่2 ภาพที่5)
การตั้งค่าต่างๆ ในโปรแกรม
กด tools » settings ที่ toolbar ด้านบน
1.Modules คือ เป็นการบอกข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเข้ารหัส (ภาพที่6)
เมื่อกดปุ่มลูกศรท้ายชื่อวิธีการเข้ารหัส ก็สามารถเลือกดูการเข้ารหัสแต่ละวิธีที่โปรแกรมนี้มีได้
2.key Option คือ เป็นการเลือกข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับ key ที่โปรแกรม random ให้ ซึ่งได้แก่
- การเลือกความยาวของ key (เลข1 ภาพ7)
- การเลือกให้ key เป็นได้ทุกcharactor เป็นตัวพิมพ์ใหญ่อย่างเดียว ตัวพิมพ์เล็กอย่างเดียว
เป็นเฉพาะตัวAlphabet หรือ เป็นตัวเลขเลขอย่างเดียว (เลข 2 ภาพที่7)
3.Security คือ การที่เรากำหนดรหัสเพื่อปกป้องการใช้งานโปรแกรม CryptoLab นี้
เมื่อเรากด Double click ที่ icon ของโปรแกรม CryptoLab ก็จะต้องใส่รหัสก่อนถึงจะเข้าโปรแกรมได้
4.General คือ เลือกการตั้งค่าของ Cryptolab
ถ้าเลือก USB ก็จะสร้าง copy ของโปรแกรมนี้บน USB ซึ่งข้อมูลและ key flie ก็จะถูก copy ด้วยเช่นกัน
อ้างอิง
CryptoLab
|
thaiwikibooks
| 195,378 |
การเขียนโปรแกรมภาษาซี/stdlib.h/atoi
|
atoi เป็นฟังก์ชันในภาษา C การเขียนโปรแกรมที่แปลงสตริงเป็นตัวเลขแทนจำนวนเต็ม atoi ย่อมาจาก ASCII to Integer โดยรวมอยู่ในไฟล์ library header มาตรฐานของภาษาซี ต้นแบบมันเป็นดังนี้ :
int atoi(const char *str);
STR อาร์กิวเมนต์เป็นสตริงแทนโดยอาร์เรย์ของตัวอักษรที่มีตัวอักษรของเลขจำนวนเต็มได้ลงนาม สตริงจะต้องเป็นโมฆะยกเลิก เมื่อ atoi พบสตริงที่มีลำดับตัวเลขไม่ก็ส่งกลับค่าศูนย์ (0)
มีหลายตัวแปรของฟังก์ชัน atoi, Atol, atof และเกาะซึ่งเป็นที่ใช้ในการแปลงสตริงเป็นยาวชนิดยาวคู่หรือยาวตามลำดับ เกาะปะการังที่เป็นที่รู้จักเดิมเป็น atoq และถูกรวมอยู่ใน C99
สารบัญ
atoi
qsort
bsearch
exit
random
แหล่งข้อมูลอื่น
C++ reference for codice_1
|
thaiwikibooks
| 195,379 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.