title
stringlengths 1
182
| text
stringlengths 1
45.8M
| source
stringclasses 5
values | __index_level_0__
int64 0
197k
|
---|---|---|---|
การบริหารราชการแผ่นดิน/การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
|
ความหมายของการจัดระเบียบบริหาราชการแผ่นดิน
ความหมายของการจัดระเบียบบริหาราชการแผ่นดิน.
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินคือการจัดโครงสร้างหน่วยงานราชการและองค์กรภาครัฐ รวมถึงการจัดสรรอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ เพื่อให้หน่วยงานดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของรัฐ
แนวคิดรูปแบบการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
แนวคิดรูปแบบการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน.
แนวคิดรูปแบบการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินมีอยู่ 3 หลักใหญ่คือ
1.หลักการรวมอำนาจการปกครอง (Centralization) หมายถึงการรวมอำนาจปกครองทั้งหมดไว้ที่รัฐส่วนกลาง คือการบริหารราชการส่วนกลาง อันได้แก่กระทรวง ทบวง กรม เป็นผู้ดำเนินการปกครอง มีลักษณะสำคัญดังนี้
1) มีการรวมอำนาจในการบังคับหน่วยการปกครองต่างๆไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อให้ส่วนกลางสามารถใช้อำนาจในการบังคับบัญชาได้อย่างเด็ดขาดและทันต่อสถานการณ์
2) มีการรวมอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการไว้ที่ส่วนกลาง เมื่อเกิดปัญหาต้องมีการตัดสินใจ อำนาจในการตัดสินใจวินิจฉัยสั่งการขั้นสุดท้ายจะอยู่ที่ส่วนกลาง หน่วยการปกครองส่วนกลางจะมีอำนาจในการสั่งการครอบคลุมพื้นที่ทั้งประเทศ
3) มีการรวมอำนาจในการบังคับบัญชาไว้ที่ส่วนกลาง
2.หลักการแบ่งอำนาจการปกครอง (Deconcentralization) คือการที่ราชการบริหารส่วนกลางแบ่งอำนาจหน้าที่ที่เป็นของราชการบริหารส่วนกลางบางส่วนให้กับราชการบริหารส่วนภูมิภาค แต่เจ้าหน้าที่ การแต่งตั้งโยกย้าย การบังคับบัญชายังเป็นของราชการบริหารส่วนกลางอยู่ โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้
1) มีการแบ่งอำนาจที่เป็นของราชการบริหารส่วนกลางบางส่วน
2) อำนาจในการสั่งการ ควบคุมบังคับบัญชา ยังเป็นของราชการบริหารส่วนกลาง
3.หลักการกระจายอำนาจการปกครอง (Decentralization) คือการมอบอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมอบอำนาจทั้งในด้านการเมืองและบริหารให้กับราชการบริหารส่วนท้องถิ่น โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้
1) มีการแยกหน่วยการปกครองเป็นนิติบุคคลต่างหากจากราชการบริหารส่วนกลาง มีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบาย การบริหารงาน การจัดทำบริการสาธารณะและจัดทำงบประมาณ มีเจ้าหน้าที่ของตนเอง
2) ผู้บริหารมาจากการเลือกตั้ง
3) มีความเป็นอิสระในการดำเนินงาน ราชการบริหารส่วนกลางมีเพียงอำนาจในการกำกับมิให้มีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534.
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทยเป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มีสาระสำคัญดังนี้คือ
1.มาตรา 4 ให้จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้
1)ระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง
2)ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค
3) ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
2. การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง ได้บัญญัติในมาตรา 7 โดยให้แบ่งส่วนราชการ ดังนี้
1)สำนักนายกรัฐมนตรี
2)กระทรวง หรือทบวงซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากระทรวง
3) ทบวง ซึ่งสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวง
4) กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ซึ่งสังกัดหรือไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง โดยให้สำนักนายกรัฐมนตรีมีฐานะเป็นกระทรวงและส่วนราชการทั้งสี่มีฐานะเป็นนิติบุคคล
3.การบริหารราชการส่วนกลางให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 11 ดังนี้
1) กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อการนี้จะสั่งให้ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และส่วนราชการซึ่งมีหน้าที่ควบคุมราชการส่วนท้องถิ่น ชี้แจง แสดงความคิดเห็น ทำรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ ในกรณีจำเป็นจะยับยั้งการปฏิบัติราชการใด ๆ ที่ขัดต่อนโยบายหรือมติของคณะรัฐมนตรีก็ได้และมีอำนาจสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น
2) มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับการบริหารราชการของกระทรวง หรือทบวงหนึ่งหรือหลายกระทรวงหรือทบวง
3) บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่งซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นกรม
4) สั่งให้ข้าราชการซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมหนึ่งมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยจะให้ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิมหรือไม่ก็ได้ ในกรณีที่ให้ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิม ให้ได้รับเงินเดือนในสำนักนายกรัฐมนตรีในระดับ และขั้นที่ไม่สูงกว่าเดิม
5) แต่งตั้งข้าราชการซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมหนึ่งไปดำรงตำแหน่งของอีกกระทรวง ทบวง กรมหนึ่ง โดยให้ได้รับเงินเดือนจากกระทรวง ทบวง กรมเดิม ในกรณีเช่นว่านี้ให้ข้าราชการซึ่งได้รับแต่งตั้งมีฐานะเสมือนเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งตนมาดำรง ตำแหน่งนั้นทุกประการ แต่ถ้าเป็นการแต่งตั้งข้าราชการตั้งแต่ตำแหน่งอธิบดีหรือเทียบเท่าขึ้นไป ต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
6) แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานที่ปรึกษา ที่ปรึกษาหรือคณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี หรือเป็นคณะกรรมการเพื่อปฏิบัติราชการใด ๆ และกำหนดอัตราเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนให้แก่ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้ง
7) แต่งตั้งข้าราชการการเมืองให้ปฏิบัติราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี
8) วางระเบียบปฏิบัติราชการ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น
9) ดำเนินการอื่น ๆ ในการปฏิบัติตามนโยบาย
นอกจากนี้ มาตรา 12 ได้บัญญัติ ให้ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม แต่มิได้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือทบวง นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนก็ได้
4.ให้การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค มาตรา 51 ดังนี้
1)จังหวัด
2)อำเภอ
ในระดับจังหวัด มาตรา 54 ได้บัญญัติให้มีผู้ว่าราชการจังหวัดคนเป็นผู้รับนโยบายและคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องที่และประชาชน และเป็นหัวหน้าบังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหาร ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในราชการส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัด และรับผิดชอบในราชการจังหวัดและอำเภอ
มาตรา 55 ได้บัญญัติให้มีปลัดจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดซึ่งกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ส่งมาประจำทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือผู้ว่าราชการจังหวัด และมีอำนาจบังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารส่วนภูมิภาคซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมนั้น ในจังหวัดนั้น
มาตรา 62 ให้มีนายอำเภอเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาบรรดาข้าราชการในอำเภอ และรับผิดชอบงานบริหารราชการของอำเภอ
5.การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นตามมาตรา 70 ให้มีการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ดังนี้
1)องค์การบริหารส่วนจังหวัด
2)เทศบาล
3)องค์การบริหารส่วนตำบล
4) ราชการส่วนท้องถิ่นอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนด ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ 2 รูปแบบคือ กรุงเทพมหานคร ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528และเมืองพัทยาตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542
ข้อมูลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ข้อมูลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น.
ที่มา: ส่วนวิจัยและพัฒนาระบบ รูปแบบและโครงสร้าง, สำนักพัฒนาระบบ รูปแบบและโครงสร้าง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (9 มิถุนายน 2557)
หนังสืออ่านประกอบ
หนังสืออ่านประกอบ.
ธันยวัฒน์ รัตนสัค, (2555), การบริหารราชการไทย,เชียงใหม่ : คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
มานิตย์ จุมปา, (2548), คำอธิบายกฎหมายปกครองว่าด้วยการจัดระเบียบราชการบริหาร,กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
|
thaiwikibooks
| 195,480 |
การบริหารราชการแผ่นดิน/การบริหารงานภาครัฐแนวใหม่
|
ความหมายของการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่
ความหมายของการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่.
การบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) คือ การปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการภาครัฐโดยนำหลักการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบราชการและการแสวงหาประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศ โดยการนำเอาแนวทางหรือวิธีการบริหารงานของภาคเอกชนมาปรับใช้กับการบริหารงานภาครัฐ เช่น การบริหารงานแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ การบริหารงานแบบมืออาชีพ การคำนึงถึงหลักความคุ้มค่า การจัดการโครงสร้างที่กะทัดรัดและแนวราบ การเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาแข่งขันการให้บริการสาธารณะ การให้ความสำคัญต่อค่านิยม จรรยาบรรณวิชาชีพ คุณธรรมและจริยธรรม ตลอดทั้งการมุ่งเน้นการให้บริการแก่ประชาชนโดยคำนึงถึงคุณภาพเป็นสำคัญ
เหตุผลที่ต้องนำแนวคิดการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่มาใช้
เหตุผลที่ต้องนำแนวคิดการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่มาใช้.
1.กระแสโลกาภิวัตน์ ส่งผลให้สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ต้องเพิ่มศักยภาพและความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองความต้องการของระบบที่เปลี่ยนแปลงไป
2.ระบบราชการไทยมีปัญหาที่สำคัญคือ ความเสื่อมถอยของระบบราชการ และขาดธรรมาภิบาล ถ้าภาครัฐไม่ปรับเปลี่ยนและพัฒนาการบริหารจัดการของภาครัฐเพื่อไปสู่องค์กรสมัยใหม่ โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ก็จะส่งผลบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตด้วย
ดังนั้นการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่( New Public Management) จึงเป็นแนวคิดพื้นฐานของการบริหารจัดการภาครัฐซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบต่าง ๆ ของภาครัฐและยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรม มีแนวทางในการบริหารจัดการดังนี้
1.การให้บริการที่มีคุณภาพแก่ประชาชน
2.ลดการควบคุมจากส่วนกลางและเพิ่มอิสระในการบริหารให้แก่หน่วยงาน
3.การกำหนด การวัด และการให้รางวัลแก่ผลการดำเนินงานทั้งในระดับองค์กร และระดับบุคคล
4.การสร้างระบบสนับสนุนทั้งในด้านบุคลากร (เช่น การฝึกอบรม ระบบค่าตอบแทนและระบบคุณธรรม) เทคโนโลยี เพื่อช่วยให้หน่วยงานสามารถทำงานได้อย่างบรรลุวัตถุประสงค์
5.การเปิดกว้างต่อแนวคิดในเรื่องของการแข่งขัน ทั้งการแข่งขันระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกัน และระหว่างหน่วยงานของรัฐกับหน่วยงานของภาคเอกชน ในขณะเดียวกันภาครัฐก็หันมาทบทวนตัวเองว่าสิ่งใดควรทำเองและสิ่งใดควรปล่อยให้เอกชนทำ
แนวคิดการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่
แนวคิดการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่.
หลักใหญ่ของการจัดการภาครัฐแนวใหม่ คือ การเปลี่ยนระบบราชการที่เน้นระเบียบและขั้นตอนไปสู่การบริหารแบบใหม่ซึ่งเน้นผลสำเร็จและความรับผิดชอบ รวมทั้งใช้เทคนิคและวิธีการของเอกชนมาปรับปรุงการทำงาน
Hood เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่า “การจัดการภาครัฐแนวใหม่” มีหลักสำคัญ 7 ประการ คือ
1.จัดการโดยนักวิชาชีพที่ชำนาญการ (Hands-on professional management) หมายถึง ให้ผู้จัดการมืออาชีพได้จัดการด้วยตัวเอง ด้วยความชำนาญ โปร่งใส และมีความสามารถในการใช้ดุลพินิจ เหตุผลก็เพราะเมื่อผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแล้ว ก็จะเกิดความรับผิดชอบต่อการตรวจสอบจากภายนอก
2.มีมาตรฐานและการวัดผลงานที่ชัดเจน (Explicit standards and measures of performance) ภาครัฐจึงต้องมีจุดมุ่งหมายและเป้าหมายของผลงาน และการตรวจสอบจะมีได้ก็ต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน
3.เน้นการควบคุมผลผลิตที่มากขึ้น (Greater emphasis on output controls) การใช้ทรัพยากรต้องเป็นไปตามผลงานที่วัดได้ เพราะเน้นผลสำเร็จมากกว่าระเบียบวิธี
4.แยกหน่วยงานภาครัฐออกเป็นหน่วยย่อยๆ (Shift to disaggregation of units in the public sector) การแยกหน่วยงานใหญ่ออกเป็นหน่วยงานย่อยๆ ตามลักษณะสินค้าและบริการที่ผลิต ให้เงินสนับสนุนแยกกัน และติดต่อกันอย่างเป็นอิสระ
5.เปลี่ยนภาครัฐให้แข่งขันกันมากขึ้น (Shift to greater competition in the public sector) เป็นการเปลี่ยนวิธีทำงานไปเป็นการจ้างเหมาและประมูล เหตุผลก็เพื่อให้ฝ่ายที่เป็นปรปักษ์กัน (rivalry) เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ต้นทุนต่ำและมาตรฐานสูงขึ้น
6.เน้นการจัดการตามแบบภาคเอกชน (Stress on private sector styles of management practice) เปลี่ยนวิธีการแบบข้าราชการไปเป็นการยืดหยุ่นในการจ้างและให้รางวัล
7.เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีวินัยและประหยัด (Stress on greater discipline and parsimony in resource use) วิธีนี้อาจทำได้ เช่น การตัดค่าใช้จ่าย เพิ่มวินัยการทำงาน หยุดยั้งการเรียกร้องของสหภาพแรงงาน จำกัดต้นทุนการปฏิบัติ เหตุผลก็เพราะต้องการตรวจสอบความต้องการใช้ทรัพยากรของภาครัฐ และ “ทำงานมากขึ้นโดยใช้ทรัพยากรน้อยลง” (do more with less)
รูปแบบการนำการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่มาใช้ในระบบราชการไทย
รูปแบบการนำการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่มาใช้ในระบบราชการไทย.
1.พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 เหตุผลในการตราพระราชบัญญัตินี้คือ เพื่อเป็นการปรับปรุงระบบบริหารราชการเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศและการให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยกําหนดให้การบริหารราชการแนวทางใหม่ต้องมีการ กําหนดนโยบาย เป้าหมาย และแผนการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถประเมินผลการปฏิบัติราชการในแต่ละระดับได้อย่างชัดเจน มีกรอบการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเป็นแนวทางในการกํากับการกําหนดนโยบายและการปฏิบัติราชการ และเพื่อให้กระทรวงสามารถจัดการบริหารงานให้เป็นไป ตามเป้าหมายได้ จึงกําหนดให้มีรูปแบบการบริหารใหม่ โดยกระทรวงสามารถแยกส่วนราชการจัดตั้งเป็นหน่วยงานตามภาระหน้าที่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและสอดคล้องกับเป้าหมายของงานที่จะต้องปฏิบัติและกําหนดให้มีกลุ่มภารกิจของส่วนราชการต่าง ๆ ที่มีงานสัมพันธ์กัน เพื่อที่จะสามารถกําหนดเป้าหมายการทํางานร่วมกันได้ และมีผู้รับผิดชอบกํากับการบริหารงานของกลุ่มภารกิจนั้นโดยตรงเพื่อให้งานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว รวมทั้งให้มีการประสานการปฏิบัติงาน และการใช้งบประมาณเพื่อที่จะให้การบริหารงานของทุกส่วนราชการบรรลุเป้าหมาย ของกระทรวงได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความซ้ำซ้อน มีการมอบหมายงานเพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติราชการ และสมควรกําหนดการบริหารราชการในต่างประเทศให้เหมาะสมกับลักษณะการปฏิบัติหน้าที่และสามารถปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็วและมีเอกภาพ โดยมีหัวหน้าคณะผู้แทนเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารราชการ นอกจากนี้ สมควรให้มีคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเพื่อเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการดูแลการจัดส่วนราชการและการปรับปรุงระบบการทํางานของภาคราชการให้มีการจัดระบบราชการอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ใน มาตรา 3/1 ได้กำหนดให้การพัฒนาระบบราชการต้องสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ความต้องการของประชาชนและทันต่อการบริหารราชการตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การลดภารกิจและยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จําเป็น การกระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น การกระจายอํานาจตัดสินใจ การอํานวยความสะดวกและการตอบสนองความต้องการของประชาชน ทั้งนี้ โดยมีผู้รับผิดชอบต่อผลของงาน
การจัดสรรงบประมาณ และการบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้าดํารงตําแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่ต้องคํานึงถึงหลักการตามวรรคหนึ่ง
ในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ ต้องใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คำนึงถึงความับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมของประชาชน การเปิดเผยข้อมูล การติดตามตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงาน
2.พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ได้กำหนด ขอบเขต แบบแผน วิธีปฏิบัติราชการ เพื่อเป็นไปตามหลักการบริหารภาครัฐแนวใหม่ ดังนี้
1) เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
2) เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
3) มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
4) ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น
5) มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อเหตุการณ์
6) ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวก และได้รับการตอบสนองความ
7) มีการประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งได้แก่ การตรวจสอบและวัดผลการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดระบบการควบคุมตนเอง
3.แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ พ.ศ.2546 - 2550 ได้กำหนดเป้าประสงค์หลักของการพัฒนาระบบราชการไทย 4 ประการ
1) พัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนที่ดีขึ้น
2) ปรับบทบาท ภารกิจ และขนาดให้มีความเหมาะสม
3) ยกระดับขีดความสามารถและมาตรฐานการทำงานให้อยู่ในระดับสูงเทียบเท่าเกณฑ์สากล
4) ตอบสนองต่อการบริหารปกครองในระบอบประชาธิปไตย
โดยกำหนดยุทธศาสตร์ 7 ด้านเพื่อให้การบริหารราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ 1 การปรับเปลี่ยนกระบวนการและวิธีการทำงาน ประกอบด้วย 9 มาตรการ
ยุทธศาสตร์ 2 การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย 4 มาตรการ
ยุทธศาสตร์ 3 การรื้อปรับระบบการเงินและการงบประมาณ ประกอบด้วย 8 มาตรการ
ยุทธศาสตร์ 4 การสร้างระบบบริหารงานบุคคลและค่าตอบแทนใหม่ ประกอบด้วย 7 มาตรการ
ยุทธศาสตร์ 5 การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ วัฒนธรรม และค่านิยม ประกอบด้วย 4 มาตราการ
ยุทธศาสตร์ 6 การเสริมสร้างระบบราชการให้ทันสมัย ประกอบด้วย 4 มาตรการ
ยุทธศาสตร์ 7 การเปิดระบบราชการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ประกอบด้วย 6 มาตรการ
4.การประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ: KPI (Key Performance Indicators) โดยให้มีการประเมินการปฏิบัติราชการ ใน 2 องค์ประกอบ ตามหนังสือสำนักงานก.พ. ที่ นร 1012/ว 20 ลงวันที่ 3 กันยายน 2552 เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญ และหนังสือสํานักงาน ก.พ. ที่ นร 100/ว 27 ลงวันที่ 29 กันยายน 2552 เรื่อง มาตรฐานและแนวทางกำหนดความรู้ความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะที่จําเป็นสําหรับตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ คือ
1) ผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติราชการ
2) พฤติกรรมการปฏิบัติราชการหรือสมรรถนะ
5. การบริหารราชการแบบบูรณาการ (CEO) ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือ
1) เป็นระบบบริหารจัดการในแนวราบ (Horizontal Management) ที่ใช้การบูรณาการการทำงานของทุกภาคส่วนในพื้นที่ในลักษณะ “พื้นที่ – พันธกิจ – การมีส่วนร่วม” (Area – Functional – Participation: A–F–P) ในทุกขั้นตอนของการทำงาน เพื่อสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางการพัฒนา (Partnership) ในระดับจังหวัด ตลอดจนเพื่อสร้างการทำงานในลักษณะเครือข่าย (Networking)
2) เป็นระบบบริหารจัดการที่มีเป้าหมายที่การตอบสนองความต้องการของประชาชนผู้ใช้บริการ (Customer Driven) ด้วยระบบงานที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ของงาน (Result – based) ด้วยมาตรฐานผลงานขั้นสูง (High Performance Output)
3) เป็นระบบบริหารจัดการที่อยู่ภายใต้กรอบของบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และโครงสร้างการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน รวมทั้งหลักการการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (Good Governance) แต่ได้รับการสนับสนุนทรัพยากรทางการบริหาร ที่จำเป็นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
การบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ.2556 - พ.ศ.2561)
การบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ.2556 - พ.ศ.2561).
แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ.2556 - พ.ศ.2561) ได้กำหนดประเด็นยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ โดยกำหนดประเด็นยุทธศาสตร์ 7 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1: การสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน
มีเป้าหมายเพื่อพัฒนางานบริการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสู่ความเป็นเลิศ เพื่อให้ประชาชนมีความพึงพอใจ ต่อคุณภาพการให้บริการ โดยออกแบบการบริการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เหมาะสมมาใช้เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้บริการได้ง่ายและหลากหลายรูปแบบ เน้นการบริการเชิงรุกที่มี ปฏิสัมพันธ์โดยตรงระหว่างภาครัฐและประชาชน การให้บริการแบบเบ็ดเสร็จอย่างแท้จริง พัฒนาระบบการจัดการ ข้อร้องเรียนให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเสริมสร้างวัฒนธรรมการบริการที่เป็นเลิศ เช่น
1.ส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐพัฒนาระบบการเชื่อมโยงงานบริการซึ่งกันและกัน และวางรูปแบบ การให้บริการประชาชนที่สามารถขอรับบริการจากภาครัฐได้ทุกเรื่อง โดยไม่คำนึงว่าผู้รับบริการ จะมาขอรับบริการ ณ ที่ใด (No Wrong Door)
2.ยกระดับการดำเนินงานของศูนย์บริการร่วม (One Stop Service) ด้วยการเชื่อมโยงและ บูรณาการกระบวนงานบริการที่หลากหลายจากส่วนราชการต่าง ๆ มาไว้ ณ สถานที่เดียวกัน เพื่อให้ประชาชนสามารถรับบริการได้สะดวก รวดเร็ว ณ จุดเดียว เช่น ศูนย์รับคำขออนุญาต ศูนย์ช่วยเหลือเด็กและสตรีในภาวะวิกฤต (One Stop Crisis Center: OSCC) เป็นต้น
3. ส่งเสริมให้ส่วนราชการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ในการให้บริการ ประชาชน (e-Service) เพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้ง่ายขึ้น รวมทั้งพัฒนารูปแบบ การบริการที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นผู้เลือกรูปแบบการรับบริการที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง (Government You Design) โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ เช่น m - Government ซึ่งให้บริการผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile G2C Service) ที่ส่งข้อมูลข่าวสารและบริการถึง ประชาชน แจ้งข่าวภัยธรรมชาติ ข้อมูลการเกษตร ราคาพืชผล หรือการติดต่อและแจ้งข้อมูล ข่าวสารผ่านสังคมเครือข่ายออนไลน์ (Social Network) เป็นต้น
4.ส่งเสริมให้มีเว็บกลางของภาครัฐ (Web Portal) เพื่อเป็นช่องทางของบริการภาครัฐทุกประเภท โดยให้เชื่อมโยงกับบริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ทุกหน่วยงานของภาครัฐ รวมถึงข้อมูล ข่าวสาร องค์ความรู้ ซึ่งประชาชนสามารถเข้าถึงได้
5.ยกระดับคุณภาพมาตรฐานการให้บริการประชาชนที่มีความเชื่อมโยงกันระหว่างหลาย ส่วนราชการ นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศและการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยทบทวนขั้นตอน ปรับปรุงกระบวนงาน หรือแก้ไข กฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ที่เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการประชาชนของหน่วยงาน ของรัฐ เพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดความคล่องตัวและเอื้อต่อการแข่งขันของประเทศ
6.ส่งเสริมให้มีการนำระบบการรับประกันคุณภาพมาตรฐานการให้บริการ (Service Level Agreement) มาใช้ในภาครัฐ ซึ่งเป็นการกำหนดเงื่อนไขในการให้บริการของหน่วยงานของรัฐ ที่มีต่อประชาชน โดยการกำหนดระดับการให้บริการ ซึ่งครอบคลุมการกำหนดลักษณะ ความสำคัญ ระยะเวลา รวมถึงการชดเชยกรณีที่การให้บริการไม่เป็นไปตามที่กำหนด
7.ส่งเสริมให้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริการภาครัฐโดยใช้ประโยชน์จากบัตรประจำตัว ประชาชน ในการเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ ประชาชนตามวงจรชีวิต โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากบัตรสมาร์ทการ์ด (Smart Card) หรือ เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
8.ส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐมีการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ค่านิยม และหล่อหลอมการสร้าง วัฒนธรรมองค์การให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐมีจิตใจที่เอื้อต่อการให้บริการที่ดี รวมถึง เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปรับปรุงคุณภาพการบริการโดยตรงมากขึ้น
9.ส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐยกระดับระบบการบริการประชาชนโดยการจำแนกกลุ่มผู้รับบริการ การสำรวจความพึงพอใจของประชาชนที่ใช้บริการเพื่อให้สามารถนำมาปรับปรุง และพัฒนา คุณภาพการบริการได้อย่างจริงจัง เน้นการสำรวจความพึงพอใจของประชาชน ณ จุดบริการ หลังจากได้รับการบริการ และนำผลสำรวจความพึงพอใจมาวิเคราะห์ ศึกษาเปรียบเทียบ เพื่อ ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน และเผยแพร่ผลการสำรวจให้ประชาชนทราบ โดยอาจจัดตั้ง สถาบันการส่งเสริมการให้บริการประชาชนที่เป็นเลิศ (Institute for Citizen - Centered Service Excellence) เพื่อทำหน้าที่ในการสำรวจความคิดเห็น วิเคราะห์ ติดตาม เสนอแนะ การปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการบริการประชาชนแก่ส่วนราชการต่าง ๆ
10.ส่งเสริมให้ส่วนราชการมีการพัฒนาระบบการจัดการข้อร้องเรียนและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ของประชาชนอย่างจริงจัง โดยเน้นการจัดการเชิงรุก มีการรวบรวมหลักเกณฑ์และกระบวนการ จัดการข้อร้องเรียนให้มีประสิทธิภาพ เป็นมาตรฐาน ตอบสนองทันท่วงที สามารถติดตาม เรื่องร้องเรียนได้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของการให้บริการ รวมไปถึงการมีฐานข้อมูลและ ระบบสารสนเทศในการเชื่อมโยงข้อมูลกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ
11.วางหลักเกณฑ์ แนวทาง และกลไกการช่วยเหลือเยียวยาเมื่อประชาชนได้รับความไม่เป็นธรรม หรือได้รับความเสียหายที่เกิดจากความผิดพลาดของการดำเนินการของภาครัฐและปัญหา ที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือปัญหาอื่น ๆ ที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้อง
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2: การพัฒนาองค์การให้มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย บุคลากรมีความเป็นมืออาชีพ
มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสู่องค์การแห่งความเป็นเลิศ โดยเน้นการจัดโครงสร้าง องค์การที่มีความทันสมัย กะทัดรัด มีรูปแบบเรียบง่าย (Simplicity) มีระบบการทำงานที่คล่องตัว รวดเร็ว ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการทำงาน เน้นการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creativity) พัฒนาขีดสมรรถนะของบุคลาลากรในองค์การ เน้นการทำงานที่มีประสิทธิภาพ สร้างคุณค่าในการปฏิบัติภารกิจของรัฐ ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการดำเนินงานต่าง ๆ และสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน เช่น
1.ปรับปรุงหน่วยงานราชการให้มีความเหมาะสมกับภารกิจที่รับผิดชอบ ลดความซ้ำซ้อน มีความ ยืดหยุ่น คล่องตัวสูง สามารถปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตอบสนองต่อบทบาทภารกิจหรือบริบท ในสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
2.ส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และจัดการความรู้อย่างเป็นระบบ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้
3.ยกระดับการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการสู่ความเป็นเลิศตามมาตรฐานสากล โดยมุ่งเน้น ให้การนำองค์การเป็นไปอย่างมีวิสัยทัศน์ มีความรับผิดชอบต่อสังคม การวางแผนยุทธศาสตร์ และผลักดันสู่การปฏิบัติ การให้ความสำคัญกับประชาชนผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การปรับปรุงระบบการบริหารจัดการให้มีความยืดหยุ่นคล่องตัว การส่งเสริมให้บุคลากรพัฒนา ตนเอง มีความคิดริเริ่มและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลสารสนเทศอย่างแท้จริง และทำงานโดยมุ่งเน้นผลลัพธ์เป็นสำคัญ
4.ส่งเสริมและพัฒนาหน่วยงานของรัฐไปสู่การเป็นรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government)
5.นำเทคโนโลยีมาใช้ภายในองค์การ เพื่อปรับปรุงระบบการบริหารจัดการภาครัฐ การบริหารงานของภาครัฐมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น ยกระดับคุณภาพ การให้บริการประชาชน สร้างความโปร่งใสในการดำเนินงานและให้บริการ รวมทั้ง ส่งเสริมให้มีการปฏิบัติงานแบบเวอร์ช่วล (Virtual Office) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การปฏิบัติราชการ และประหยัดค่าใช้จ่าย
6.ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ของหน่วยงานให้เป็นไปตามมาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ (Government Website Standard) และสามารถบูรณาการเชื่อมโยงหน่วยงานของรฐั (Connected Government) ที่สมบูรณ์แบบเพื่อก้าวไปสู่ระดับมาตรฐานสากล
7.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลักโดยการจัดระบบงานอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการให้บริการ ภาครัฐ และพัฒนาระบบสารสนเทศบนโครงสร้างพื้นฐานหลักที่ทางภาครัฐพัฒนาขึ้น ได้แก่ ระบบเครือข่ายสารสนเทศภาครัฐ (Government Information Network: GIN) และเครื่องแม่ข่าย (Government Cloud Service: G – Cloud) เพื่อ ลดค่าใช้จ่าย ทรัพยากร และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ
8.นำกรอบแนวทางมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลแห่งชาติ (Thailand e-Government Interoperability Framework: TH e-GIF) มาใช้ในการพัฒนาระบบสารสนเทศ ภาครัฐ เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยน และเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
9.พัฒนาระบบบริหารจัดการองค์การภาครัฐ ให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง ส่วนราชการด้วยกัน ในลักษณะโครงข่ายข้อมูลที่เชื่อมต่อถึงกัน เพื่อให้กระบวนการ ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการในระดับต่าง ๆ เพื่อสามารถเชื่อมโยงข้อมูลที่สำคัญต่อการบริหารราชการแผ่นดินและการตัดสินใจ ไปยังศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) เพื่อให้เกิดการตัดสินใจบนพื้นฐานของ ข้อมูลที่มีความเป็นปัจจุบันและถูกต้อง
10.ส่งเสริมให้ส่วนราชการมีแผนการบริหารความต่อเนื่องในการดำเนินงาน (Business Continuity Plan) เพื่อให้สามารถเตรียมความพร้อมรับมือต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้ทันท่วงที โดยกำหนดแนวทาง ขั้นตอนการช่วยเหลือ การซักซ้อม และ การประชาสัมพันธ์ รวมทั้งกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลัก และสนับสนุนให้มี การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน (Crisis Management Center) ในการบริหาร จัดการสภาวะวิกฤตแต่ละประเภท ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
11.วางแผนกำลังคนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Workforce Plan) ให้มีความเหมาะสม ไม่เป็น ภาระต่องบประมาณของประเทศ พัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อเพิ่มขีดสมรรถนะของบุคลากร และประสิทธิภาพของระบบราชการ สร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Path) สามารถ รองรับต่อการเปลี่ยนแปลงและสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาระบบราชการ รวมทั้งการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ประเทศไปสู่การปฏิบัติ
12.ส่งเสริมให้มีการวางระบบเตรียมความพร้อมเพื่อทดแทนบุคลากร เช่น แผนการสืบทอดตำแหน่ง (Succession Plan) เป็นต้น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และเปิดโอกาสให้ บุคคลภายนอกสามารถเข้าสู่ระบบราชการได้โดยง่ายมากขึ้นในทุกระดับ รวมทั้งสนับสนุนให้มี การแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Talent mobility) ซึ่งสามารถเชื่อมโยง ได้ทั้งสองทางจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชนและจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐ
13.ส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญต่อการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ในการปฏิบัติ ราชการ โดยเฉพาะการวัดผลการปฏิบัติงานในเชิงเปรียบเทียบอ้างอิงกับเกณฑ์มาตรฐานและ/ หรือแนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศ รวมถึงปรับปรุงการทำงาน โดยนำเทคนิคต่าง ๆ เกี่ยวกับ การเพิ่มผลิตภาพมาใช้ มุ่งขจัดความสูญเปล่าของการดำเนินงานในทุกกระบวนการ ตัดกิจกรรม ที่ไม่มีประโยชน์หรือไม่มีการเพิ่มคุณค่าในกระบวนการออกไป เพิ่มความยึดหยุ่นขององค์การ ด้วยการออกแบบกระบวนการใหม่และปรับปรุงกระบวนการเพื่อสร้างคุณค่าในการปฏิบัติงาน เช่น Lean Management เป็นต้น
14.ส่งเสริมให้มีการนำรูปแบบการใช้บริการร่วมกัน (Shared Services) เพื่อประหยัดทรัพยากร ลดค่าใช้จ่าย ยกระดับคุณภาพมาตรฐานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานของรัฐ โดยรวมกิจกรรมหรือกระบวนงานลักษณะ/ประเภทเดียวกัน (Common Process) ซึ่งเดิม ต่างหน่วยงานต่างดำเนินงานเองเข้ามาไว้ในศูนย์บริการร่วมโดยเฉพาะงานสนับสนุน (Back Office) ได้แก่ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบการเงินการคลัง และระบบบุคลากร เป็นต้น
15.ส่งเสริมให้การปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐ จะต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) เกิดความผาสุกและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ความสงบ และปลอดภัยของสังคมส่วนรวม รวมทั้งสนับสนุน เสริมสร้าง พัฒนาและสร้างความเข้มแข็ง ให้แก่สังคมและชุมชน เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 3 : การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด
มีเป้าหมายเพื่อวางระบบการบริหารจัดการสินทรัพย์ของราชการอย่างครบวงจร โดยคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่ผูกมัด/ ผูกพันติดตามมา (Ownership Cost) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดหรือสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างโอกาส และ สร้างความมั่นคงตามฐานะเศรษฐกิจของประเทศ ลดความสูญเสียสิ้นเปลืองและเปล่าประโยชน์ รวมทั้ง วางระบบและมาตรการที่จะมุ่งเน้นการบริหารสินทรัพย์เพื่อให้เกิดผลตอบแทนคุ้มค่า สามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่าย โดยรวม มีต้นทุนที่ต่ำลงและลดความต้องการของสินทรัพย์ใหม่ที่ไม่จำเป็น เช่น
ส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารสินทรัพย์และบูรณาการเข้ากับระบบ บริหารจัดการทรัพยากรขององค์การ (Enterprise Resource Planning: ERP) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์และการบริหารจัดการองค์การโดยรวม และ การลดต้นทุน โดยจัดให้มีระบบและข้อมูลเพื่อให้หน่วยราชการใช้ประกอบการวัดและวิเคราะห์ การใช้สินทรัพย์เพื่อให้เกิดผลิตภาพ (Asset Productivity) และเกิดประโยชน์สูงสุด (Asset Utilization) เป็นต้น
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 4 : การวางระบบการบริหารงานราชการแบบบูรณาการ
มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกันภายในระบบราชการด้วยกันเองเพื่อแก้ปัญหาการแยกส่วนในการปฏิบัติงาน ระหว่างหน่วยงาน รวมถึงการวางระบบความสัมพันธ์และประสานความร่วมมือระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ในรูปแบบของการประสานความร่วมมือที่หลากหลาย ภายใต้วัตถุประสงค์ เดียวกัน คือ นำศักยภาพเฉพาะของแต่ละหน่วยงานมาสร้างคุณค่าให้กับงานตามเป้าหมายที่กำหนด เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย/ยุทธศาสตร์ของประเทศและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เช่น
1.วางระบบการบริหารงานแบบบูรณาการในยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ (Cross Functional Management System) ตามห่วงโซ่แห่งคุณค่า (Value Chains) ครอบคลุมกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนกระทั่งปลายน้ำ รวมทั้งกำหนดบทบาทภารกิจให้มีความชัดเจนว่าใคร มีความรับผิดชอบในเรื่องหรือกิจกรรมใด รวมทั้งการจัดทำตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมาย ร่วมกัน (Joint KPIs)
2.การออกแบบโครงสร้างและระบบบริหารงานราชการใหม่ในรูปแบบของหน่วยงานรูปแบบพิเศษ เพื่อให้สามารถรองรับการขับเคลื่อนประเด็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศที่ต้องอาศัย การดำเนินงานที่มีความยืดหยุ่น คล่องตัว ไม่ยึดติดกับโครงสร้างองค์การและระบบราชการแบบเดิม
3.ปรับปรุงการจัดสรรงบประมาณให้มีลักษณะแบบยึดยุทธศาสตร์และเป้าหมายร่วมเป็นหลัก เพื่อให้เอื้อต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศและการบริหารงานแบบบูรณาการ
4.พัฒนารูปแบบและวิธีการทำงานของภาครัฐในระดับต่าง ๆ (Multi-Level Governance) ระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยเน้นการยึดพื้นที่เป็นหลัก เพื่อให้เกิดความร่วมมือ ประสานสัมพันธ์กันในการปฏิบัติงานและการใช้ทรัพยากรให้เป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความคุ้มค่าและไม่เกิดความซ้ำซ้อน และปรับปรุงการจัดสรรงบประมาณ ให้เป็นแบบยึดพื้นที่เป็นตัวตั้ง (Area-based Approach) รวมทั้งวางเงื่อนไขการจัดสรร งบประมาณให้กระทรวง/กรม ต้องสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ในสัดส่วนวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 5 : การส่งเสริมระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองแบบร่วมมือกันระหว่างภาครัฐภาคเอกชนและภาคประชาชน
มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานราชการทบทวนบทบาทและภารกิจของตนให้มีความเหมาะสม โดยให้ ความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน มุ่งเน้นการพัฒนารูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐกับ ภาคส่วนอื่น การถ่ายโอนภารกิจบางอย่างที่ภาครัฐไม่จำเป็นต้องดำเนินงานเองให้ภาคส่วนอื่น รวมทั้ง การสร้างความร่วมมือหรือความเป็นภาคีหุ้นส่วน (Partnership) ระหว่างภาครัฐและภาคส่วนอื่น เช่น
1.ส่งเสริมการสร้างความร่วมมือในรูปภาคีหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐกับเอกชน (Public-Private- Partnership : PPP) เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะในด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นของประเทศที่ต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก และภาครัฐยังไม่สามารถดำเนินการ ได้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน ได้รับการสนับสนุนกลไกการดำเนินการแบบ ร่วมลงทุนกับภาคเอกชนด้วยความชัดเจน โปร่งใส และเกิดการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ให้มีการลงทุนที่ซ้ำซ้อน มีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด สนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการลงทุนของเอกชนร่วมในกิจการของรัฐ ตลอดจนให้มีหน่วยงาน รับผิดชอบกำหนดมาตรฐาน ส่งเสริม สนับสนุนการร่วมลงทุนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อ ความมั่นคงทางการเงินและการคลังของประเทศในระยะยาว
2.เปิดให้ภาคเอกชนสามารถเข้ามาแข่งขันกันเพื่อจัดทำบริการสาธารณะแทนภาครัฐ(Contestability) ในภารกิจของภาครัฐที่ภาครัฐไม่จำเป็นต้องดำเนินการเองและภาคเอกชน สามารถดำเนินการแทนได้ โดยสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีผ่านกลไกตลาด เพื่อให้ ภาคเอกชนสามารถเข้ามาแข่งขันได้โดยง่าย รวมทั้งป้องกันและลดปัญหาการผูกขาดในระยะยาว ตลอดจนทำให้ภาครัฐสามารถปรับเปลี่ยนบทบาทของตนให้เป็นผู้กำหนดมาตรฐานและ ระดับการให้บริการ รวมทั้งติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของภาคเอกชนให้เป็นไปตาม เงื่อนไขที่วางไว้ได้อย่างแท้จริง
3.เปิดให้องค์กรภาคประชาสังคมและชุมชนสามารถเข้ามาเป็นผู้จัดบริการสาธารณะแทนภาครัฐ โดยอาศัยการจัดทำข้อตกลงร่วม (Compact) ในรูปแบบการดำเนินงานในลักษณะหุ้นส่วน ระหว่างภาครัฐกับภาคประชาสังคมและชุมชน ซึ่งมีเป้าหมายของข้อตกลงอยู่ที่การร่วมกัน ดำเนินภารกิจจัดบริการสาธารณะแก่ประชาชนให้บรรลุผลสัมฤทธิ์
4.พัฒนารูปแบบและแนวทางการบริหารงานแบบเครือข่าย (Networked Governance) โดยการ ปรับเปลี่ยนบทบาท โครงสร้าง และกระบวนการทำงานขององค์กรภาครัฐให้สามารถเชื่อมโยง การทำงานและทรัพยากรต่าง ๆ ของหน่วยงาน ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ให้เกิดการพึ่งพากันในรูปแบบพันธมิตร มีการบริหารงานแบบยืดหยุ่น เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ มีการตัดสินใจที่รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ เชื่อมโยงระบบการทำงานระหว่างองค์กรได้ ด้วยความสะดวกและรวดเร็ว
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 6 : การยกระดับความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดิน
มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและวางกลไกให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเปิดเผยข้อมูลข่าวสารและสร้าง ความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ รวมทั้งส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ การทำงานของทางราชการ ตลอดจนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และมาตรการในการต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชั่นให้บรรลุผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม เช่น
1.เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยการพัฒนาระบบการตรวจสอบสาธารณะ (Public Scrutiny) และผู้ตรวจสอบอิสระจากภายนอก (Independent Assessor) ที่ผ่านการฝึกอบรมและได้รับการรับรองเข้ามาดำเนินการสอดส่องดูแลและสอบทานกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ รวมทั้งวางกลไกสนับสนุนให้ดำเนินการจัดทำราคากลางและข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้
2.พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการเฝ้าระวังและติดตามตรวจสอบในเรื่องการทุจริต คอร์รัปชั่นในเชิงรุก รวมทั้งพัฒนาเครื่องมือวัดระดับความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 7 : การสร้างความพร้อมของระบบราชการไทยเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน
มีเป้าหมายเพื่อเตรียมความพร้อมของระบบราชการไทยเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รวมทั้งประสาน พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกันในการส่งเสริมและยกระดับธรรมาภิบาลในภาครัฐของประเทศสมาชิก อาเซียน อันจะนำไปสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางการเมือง และความเจริญผาสุกของสังคม ร่วมกัน
อ้างอิง
หนังสืออ่านประกอบ
หนังสืออ่านประกอบ.
ธันยวัฒน์ รัตนสัค, การบริหารราชการไทย, (เชียงใหม่ : คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2555).
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546
แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ พ.ศ.2556-2561
|
thaiwikibooks
| 195,481 |
ระบบการเลือกตั้ง/การเลือกตั้งเสียงข้างมากอย่างง่าย
|
การเลือกตั้งเสียงข้างมากอย่างง่าย
การเลือกตั้งเสียงข้างมากอย่างง่าย.
ระบบการลงคะแนนเสียงที่ใช้ในการเลือกตั้งผู้นำฝ่ายบริหาร หรือสมาชิกรัฐสภาในเขตเลือกตั้งหนึ่ง บางคนเรียกระบบการลงคะแนนเสียงแบบนี้ว่า ระบบที่ผู้ชนะได้ทั้งหมด (winner-takes-all) หรือระบบเสียงข้างมากโดยสัมพัทธ์ (relative majority) เนื่องจากผู้สมัครที่ได้คะแนนเสียงสูงสุดจะเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะและได้ที่นั่ง/ตำแหน่งนั้นไป โดยที่ผู้ชนะอาจได้คะแนนเสียงข้างมากสมบูรณ์ (absolute majority) หรือไม่ก็ได้ ระบบนี้เป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา ญี่ปุ่น และอินเดีย
การเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากอย่างง่ายนี้ กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งนั้น โดยไม่พิจารณาว่าผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดนั้นจะได้จำนวนคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ชนะในการเลือกตั้งอาจชนะคู่แข่งขันด้วยคะแนนเสียงไม่มากนักในกรณีที่มีผู้สมัครจำนวนมากและคะแนนเสียงในการเลือกตั้งนั้นกระจายไปอย่างใกล้เคียงกันระหว่างผู้สมัครแต่ละคน ดังนั้นระบบแบบนี้จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นระบบที่ดูเหมือนกับว่าคะแนนเสียงของผู้ลงคะแนนให้กับผู้สมัครที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาหรือไม่มีความหมาย ถูกละเลย และถือว่าสูญเปล่าแม้ว่าคะแนนเสียงรวมระหว่างผู้ที่ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งซึ่งเป็นผู้ชนะกับผู้ที่ได้คะแนนเสียงรวมเป็นอันดับสองอาจมีความแตกต่างกันไม่มากนัก ภายใต้ระบบการเลือกตั้งแบบนี้ ผู้ชนะจะทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนของผู้ลงคะแนนเสียงทั้งหมดในการเลือกตั้งนั้นหรือในเขตเลือกตั้งนั้น
ผู้ที่สนับสนุนการเลือกตั้งระบบเสียงข้างมากอย่างง่ายอธิบายว่า ระบบดังกล่าวนี้มีเป็นการดำเนินการตามหลักการ “หนึ่งคนหนึ่งคะแนนเสียง” (one person, one vote) นั่นคือ ผู้ลงคะแนนมีสิทธิในการลงคะแนนให้กับผู้สมัครอย่างเท่าเทียมกัน โดยผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมสูงสุดและเป็นผู้ชนะ
แต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับระบบเสียงข้างมากอย่างง่ายมีทัศนะว่า ระบบดังกล่าวนี้ทำให้คะแนนที่ผู้สมัครที่มิได้รับเลือกตั้งสูญเปล่า และส่งผลให้จำนวนที่นั่งของพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งไม่ได้เป็นสัดส่วนกับจำนวนคะแนนเสียงที่ได้รับตามจริง นั่นคือ พรรคการเมืองที่ได้จำนวนที่นั่งมากที่สุด หรือในกรณีที่ได้จำนวนที่นั่งเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนที่นั่งทั้งหมด อาจได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งไม่ถึงร้อยละ 50 หรืออาจน้อยกว่านั้นมากในกรณีที่คะแนนเสียงมีการกระจายไปสู่พรรคการเมืองจำนวนหลายพรรคในการเลือกตั้งนั้น พรรคการเมืองขนาดเล็กที่ระดมคะแนนเสียงได้น้อยกว่าจะเสียเปรียบและได้รับจำนวนที่นั่งในการเลือกตั้งน้อยเกินจริงเมื่อเทียบสัดส่วนกับคะแนนทั้งหมดที่ได้รับในการเลือกตั้ง ดังนั้น ภายใต้ระบบเสียงข้างมากอย่างง่ายที่ถูกปรับใช้กับเขตเลือกตั้งขนาดเล็กแบบเขตเดียวคนเดียว (single-member district) จะเป็นไปตามกฏของดูเวอร์เจอร์ (Duverger’s Law) นั่นคือ มีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคใหญ่ เนื่องจากความจำเป็นในการอยู่รอดของพรรคการเมืองส่งผลให้พรรคการเมืองขนาดเล็กที่มีความแตกต่างในเชิงอุดมการณ์หรือจุดยืนไม่มากนักมองเห็นความจำเป็นในเชิงยุทธศาสตร์ที่จะต้องรวมเข้าด้วยกันเพื่อโอกาสในการแข่งขันในการเลือกตั้ง มิฉะนั้นอาจจะถูกกำจัดออกไปจากระบบการเมือง
ในกรณีที่มีการปรับเอาระบบเสียงข้างมากอย่างง่ายไปใช้กับเขตเลือกตั้งที่มิใช่แบบเขตเดียวคนเดียว ตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นก่อนการปฏิรูปการเมือง ค.ศ. 1993 ใช้ระบบเสียงข้างมากอย่างง่ายกับระบบเขตเลือกตั้งขนาดกลาง (medium-sized district) ที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 3-5 คน โดยที่ผู้ลงคะแนนเสียงสามารถลงคะแนนให้กับผู้สมัครเพียงแค่คนเดียวและคะแนนดังกล่าวโอนให้กันไม่ได้ หรือที่เรียกกันว่า Single Non-transferable Voting System แต่ละพรรคการเมืองจะส่งผู้สมัครจำนวนมากกว่า 1 คนในแต่ละเขต โดยส่วนใหญ่จะส่งจำนวนเท่ากับจำนวนของผู้ชนะที่มีได้ในเขตเลือกตั้งนั้น และผู้สมัครแต่ละคนจะแข่งขันกันอย่างรุนแรง แม้แต่ผู้สมัครที่มาจากพรรคการเมืองเดียวกันก็จะต่อสู้กันอย่างดุเดือด ผลที่ตามมาก็คือ ผู้ที่ได้รับชัยชนะในแต่ละเขตเลือกตั้งจะได้รับสัดส่วนของคะแนนไม่สูงนัก หรือในบางเขตเลือกตั้ง ผู้ชนะอาจได้คะแนนเสียงเพียงร้อยละ 20 เศษๆ เท่านั้น
หากพิจารณาในเชิงตัวผู้ลงคะแนนเสียงแล้ว ระบบเสียงข้างมากอย่างง่ายในเขตเลือกตั้งแบบเขตเดียวคนเดียวอาจส่งผลให้ผู้ลงคะแนนเสียงตัดสินใจลงคะแนนเสียงในเชิงยุทธศาสตร์ นั่นคือ เมื่อเล็งเห็นว่าผู้สมัครที่ตนจะลงคะแนนเสียงให้อาจไม่ได้เป็นผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุด ซึ่งจะส่งผลให้คะแนนเสียงของตนสูญเปล่า ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้คะแนนเสียงของตนเองสูญเปล่า ผู้ลงคะแนนอาจตัดสินใจเลือกลงคะแนนให้กับผู้สมัครที่ตนเองชอบเป็นอันดับรองลงมา หรือเป็นผู้สมัครที่มีโอกาสในการชนะสูงกว่าผู้สมัครที่ตนเองชื่นชอบเป็นอันดับหนึ่ง หรือลงคะแนนให้กับผู้สมัครที่มีโอกาสในการชนะสูงและเป็นคู่แข่งกับผู้สมัครที่ตนเองไม่ชอบเพื่อเป็นการลดโอกาสชัยชนะของผู้สมัครที่ตนไม่ชอบ ภายใต้การลงคะแนนเชิงยุทธศาสตร์ การลงคะแนนเลือกของผู้ลงคะแนนจึงไม่ได้เป็นการเลือกผู้สมัครตามเจตจำนงที่แท้จริงของผู้ลงคะแนน แต่เป็นการลงคะแนนโดยพิจารณาตามสถานการณ์และโอกาสของชัยชนะของผู้สมัครในเขตเลือกตั้งมากกว่า
|
thaiwikibooks
| 195,482 |
พระมหากษัตริย์ไทย/ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
|
ตามอนุสัญญามอนเตวิเดโอว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของรัฐ (The Montevideo Convention on the Rights and Duties of State) ค.ศ. 1393 มาตรา 1 ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของรัฐเพื่อวัตถุประสงค์ในกฎหมายระหว่างประเทศว่า รัฐประกอบด้วย ประชากรที่อยู่รวมกันอย่างถาวร ดินแดนที่กำหนดได้อย่างแน่ชัด ความสามารถที่สถาปนาความสัมพันธ์กับต่างรัฐได้ (อำนาจอธิปไตย) และมีรัฐบาล ซึ่งในการปกครองประเทศไม่ว่าจะเป็นระบอบใดก็ตาม เพื่อให้การปกครองเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย จะต้องมีผู้นำเป็นผู้บริหารปกครองประเทศ โดยที่ผู้นำหรือประมุขสูงสุดในการปกครองประเทศของนานาอารยประเทศนั้นจะมีความแตกต่างกันไป ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับระบบการปกครอง ประเพณีนิยมและธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมา หรือบางประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบการปกครองของประเทศนั้น ๆ เช่น มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสูงสุด หรือมีประธานาธิบดีเป็นผู้ปกครองประเทศหรือรัฐ สำหรับประเทศไทยเรานั้นมีพระมหากษัตรยิ์เป็นประมุขสูงสุดในการปกครองประเทศมาตั้งแต่อดีตกาล
ความหมายของคำว่า พระมหากษัตริย์
ความหมายของคำว่า พระมหากษัตริย์.
พระมหากษัตริย์ คือ ประมุขหรือผู้ปกครองสูงสุดของประเทศ จะเห็นได้ว่าประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขปกครองประเทศ อันเกิดจากแนวความคิดที่ว่า แต่เดิมมนุษย์ยังมีน้อยดำรงชีพแบบเรียบง่ายอยู่กับธรรมชาติ และเมื่อมนุษย์ขยายพันธุ์มากขึ้น ธรรมชาติต่าง ๆ เริ่มหมดไป เกิดการแก่งแย่งกันทำมาหากิน เกิดปัญหาสังคมขึ้น จึงต้องหาทางแก้ไข คนในสังคมจึงคิดว่าต้องพิจารณาคัดเลือกให้บุคคลที่เหมาะสมและมีความเฉลียวฉลาด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิจารณาตัดสิน เมื่อเกิดกรณีปัญหาต่าง ๆ ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ทำให้คนในสังคมพอใจ และยินดี ประชาชนทั้งหลายจึงเปล่งอุทานว่า “ระชะ” หรือ “รัชชะ” หรือราชา แปลว่า ผู้เป็นที่พอใจประชาชนยินดี ต่อมาเลยเรียกว่า พระราชา ด้วยเหตุที่ว่าการกระทำหน้าที่ดังกล่าวไม่มีเวลาไปประกอบอาชีพ ประชาชนทั้งหลายพากันบริจาคยกที่ดินให้ จึงเป็นผู้มีที่ดินมากขึ้นตามลำดับ คนทั้งหลายจึงเรียกว่า เขตตะ แปลว่า ผู้มีที่ดินมาก และเขียนในรูปภาษาสันสกฤษว่า เกษตตะ หรือ เกษตร ในที่สุดเขียนเป็นพระมหากษัตริย์ แปลว่า ผู้ที่มีที่ดินมาก
ดังนั้น คำว่า พระมหากษัตริย์ ความหมายโดยรวม ก็คือ ผู้ที่ยึดครอง หวงแหนและขยายผืนแผ่นดินไว้ให้แก่ประชาชนหรืออาณาประชาราษฎร์ ที่พระองค์ทรงเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตกอบกู้เอกราชบ้านเมืองไว้ให้ชนรุ่นหลัง อย่างเช่นประเทศไทยของเรานี้ ถ้าไม่มีพระมหากษัตริย์ทรงยึดถือครอบครองผืนแผ่นดินไทยไว้ คนไทยทุกคนจะมีผืนแผ่นดินไทยอยู่ทุกวันนี้ได้อย่างไร
อนึ่ง พระมหากษัตริย์ในนานาอารยประเทศที่เป็นประมุขของรัฐที่ได้รับตำแหน่งโดยการสืบสันตติวงศ์นั้นอาจจำแนกประเภทโดยอาศัยพระราชอำนาจและพระราชสถานะเป็น 3 ประการ คือ
1. พระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ มีพระราชอำนาจและพระบรมเดชานุภาพเด็ดขาดและล้นพ้นแต่พระองค์เดียว และในอดีตประเทศไทยเคยใช้อยู่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
2. พระมหากษัตริย์ในระบอบปรมิตาญาสิทธิราชย์ (Limited Monarchy) คือ พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจทุกประการ เว้นแต่จะถูกจำกัดโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เช่น ประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น
3. พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) คือในระบอบนี้มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ในการใช้พระราชอำนาจด้านการปกครองนั้น ถูกโอนมาเป็นของรัฐบาล พลเรือน และทหาร พระมหากษัตริย์จึงทรงใช้พระราชอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่าย
ตุลาการ พระองค์มิได้ใช้พระราชอำนาจ แต่มีองค์กรหรือหน่วยงานรับผิดชอบต่าง ๆ กันไป เช่น ประเทศไทย อังกฤษ และญี่ปุ่นในปัจจุบัน เป็นต้น
พระมหากษัตริย์ของไทย
พระมหากษัตริย์ของไทย.
หากนับย้อนอดีตประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่สมัยโบราณ คำว่า ”กษัตริย์” หรือนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ศึกษาได้จากในสมัยกรุงสุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก จะมีความใกล้ชิดกับประชาชนมาก เช่นในสมัยราชวงศ์พระร่วง กษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า “พ่อขุน” เรียกว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนรามคำแหง ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้รับคติพราหมณ์มาจากขอมเรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึง พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักร และห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมาก ในสมัยราชวงศ์อู่ทอง จึงมีพระนามขึ้นต้นว่า “สมเด็จ” เรียกว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) สมเด็จพระราเมศวร หรือในสมัยรัตนโกสินทร์ แห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ เริ่มด้วยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลปัจจุบันคือรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นการยกย่องเทิดทูลสถาบันองค์พระมหากษัตริย์ จึงมีพระนามขึ้นต้นว่า พระบาทสมเด็จ เช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9 )
ดังนั้นคำว่า “พระมหากษัตริย์ของไทย” อาจมีคำเรียกที่แตกต่างกันตามประเพณีนิยม หรือธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติสืบต่อกันมา เช่นเรียกว่า พระราชา เจ้ามหาชีวิต เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน พ่อเมือง พระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าอยู่หัว หรือในหลวง ฯลฯ และพระมหากษัตริย์เป็นได้ด้วยการสืบสันตติวงศ์ หรือโดยการยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์พระองค์เดิมแล้วปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ในการสืบสันตติวงศ์ต่อกันมาโดยเชื้อพระวงศ์ เรียกว่า พระราชวงศ์ เมื่อสิ้นสุดการสืบทอดโดยเชื้อพระวงศ์ ด้วยเหตุอื่นใดก็ตาม พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ จะเป็นต้นพระราชวงศ์ใหม่หรือเป็นผู้สถาปนาพระราชวงศ์
พระมหากษัตริย์ไทยกับรัฐธรรมนูญ
พระมหากษัตริย์ไทยกับรัฐธรรมนูญ.
ในอดีตพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของชีวิตและเจ้าแผ่นดิน กล่าวคือ ทรงพระบรมเดชานุภาพเป็นล้นพ้น โดยหลักแล้วจะโปรดเกล้าฯ ให้ผู้ใดสิ้นชีวิตก็ย่อมกระทำได้ และทรงเป็นเจ้าชีวิตของที่ดินตลอดทั่วราชอาณาจักร แต่เมื่อภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ระบบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้พระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยคือ ทรงเปลี่ยนฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแม่บทในการใช้พระราชอำนาจทั้งปวง
พระราชสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
พระราชสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์.
รูปแบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับอันเป็นกฎหมายแม่บทสูงสุดในการปกครองประเทศ จะต้องกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ในรัฐธรรมนูญ เพราะรูปแบบประมุขของประเทศไทย คือ พระมหากษัตริย์ที่สืบเนื่องกันมาอย่างยาวนาน ตามประเพณีการปกครองไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และตามรัฐธรรมนูญพระมหากษัตริย์จะมีพระราชสถานะและตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ มี 2 ประการ คือ
1. พระราชสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
เป็นการกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ เช่นพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข หรือพระมหากษัตริย์เป็นอัครศาสนูปถัมภก รวมทั้งทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย ดังปรากฎในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว) หมวด 2 กษัตริย์ มาตรา 3 กล่าวว่า “กษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ พระราชบัญญัติก็ดี คำวินิจฉัยของศาลก็ดี การอื่น ๆ ซึ่งจะมีบางกฎหมายระบุไว้โดยเฉพาะก็ดี จะต้องกระทำในนามของกษัตริย์” และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 (สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร) หมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์ มาตรา 8 กล่าวว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” ซึ่งบทบัญญัติเรื่องนี้ได้รับอิทธิพลมาจากรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น ที่สอดคล้องกับความคิดความเชื่อของคนไทย ทั้งนี้ด้วยมีความประสงค์ที่จะสำแดงพระราชสถานะอันสูงสุดของพระมหากษัตริย์ให้ประจักษ์ คติการปกครองประชาธิปไตยพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือความรับผิดชอบทางการเมือง จนเป็นเหตุให้เกิดหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ว่า “พระมหากษัตริย์ไม่ทรงกระทำผิด” (The King can do no wrong) ซึ่งหมายถึงผู้ใดจะฟ้องร้องหรือกล่าวหาพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นในทางคดีแพ่งหรือคดีอาญาก็ตาม
2. พระราชสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามประเพณีการปกครอง
ตามหลักทั่วไป พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น คือแต่เดิมพระมหากษัตริย์มีอำนาจสิทธิขาดในทุก ๆ เรื่อง และทุก ๆ กรณีแต่ผู้เดียว ต่อมาเมื่อมีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ถ้ากรณีใดไม่มีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายกำหนดขอบเขตหรือเงื่อนไขของการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไว้ พระมหากษัตริย์ก็จะยังคงมีพระราชอำนาจเช่นนั้นอยู่โดยผลของธรรมเนียมปฏิบัติ (Convention) ซึ่งมีค่าบังคับเป็นรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน เช่น พระราชอำนาจในภาวะวิกฤต กล่าวคือ เมื่อเกิดวิกฤตร้ายแรงทางการเมืองถึงการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือ 17-20 พฤษภาคม 2535 ก็ดี จะเห็นว่าพระมหากษัตริย์ทรงเข้ามาระงับเหตุร้อนให้สงบเย็นลงได้อย่างอัศจรรย์ เป็นต้น หรือกรณีพระราชอำนาจในการยับยั้งร่างกฎหมาย กรณีของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยหลักแล้ว ร่างกฎหมายไม่ว่าจะร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องนำทูลเกล้าทูลกระหม่อม ภายใน 20 วัน เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ และในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้น 90 วันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาจะต้องปรึกษาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องนำร่างกฎหมายนั้นขึ้นทูลเกล้าถวายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานคืนมาภายใน 30 วัน นายกรัฐมนตรีต้องนำรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หรือพระราชบัญญัติ หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว (มาตรา 94) เป็นต้น
พระมหากษัตริย์ไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ
พระมหากษัตริย์ไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ.
เป็นที่น่ายินดีกับคนไทยทั้งประเทศ เนื่องด้วยในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่ผ่านมา เป็นวันครบ 60 ปี ของกษัตริย์ไทยในการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โดยรัฐบาลใช้ชื่อว่า “การจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี” ชื่อพระราชพิธี คือ “พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี” และมีชื่อพระราชพิธีภาษาอังกฤษคือ “The Sixtieth Anniversary Celebration of His Majesty’s Accession to the Throne” และประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจากสิบสามประเทศเสด็จพระราชดำเนินมาด้วยพระองค์เอง และสิบสองประเทศทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้แทนพระองค์ให้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทน นับเป็นการชุมนุมของประมุขจากประเทศต่าง ๆ มากที่สุดในโลก จึงขอกล่าวได้ว่า “สำหรับประเทศไทยถือว่าเป็นปีแห่งศุภวาระมงคล ที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติมา ณ บัดนี้ ถึงมหามงคลสมัยที่จะฉลองเฉลิมพระเกียรติในการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี อันยาวนานที่สุดยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในพระราชพงศาวดารในสยามประเทศ”
อ้างอิง
หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ
หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ.
ประเสริฐ ณ นคร. “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 26. 2549.
บรรณานุกรม
บรรณานุกรม.
ธงทอง จันทรางศุ, (2516) “พระมหากษัตริย์” รวมสาระรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน, กรุงเทพมหานคร : สำนักการพิมพ์มติชน.
ธงทอง จันทรางศุ, (2551) “รวมสาระรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน”. กรุงเทพมหานคร :สำนักพิมพ์มติชน.
พรรณิภา เสริมศรี และคณะ, (2550) “เปรียบเทียบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475-2549 (เล่ม 2).” กรุงเทพมหานคร : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.
มานิตย์ จุมปา, (2543) “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540” (ความรู้เบื้องต้น) : กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์นิติธรรม.
วิษณุ เครืองาม และบวรศักดิ์ อุวรรณโณ,(2530) “พระราชฐานะของพระมหากษัตริย์ตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร” วารสารกฎหมาย คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2520.
อมร จันทรสมบูรณ์,(2517) “พระมหากษัตริย์” ในกฎหมายไทย. พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพมหานคร : มงคลการพิมพ์.
|
thaiwikibooks
| 195,483 |
พระมหากษัตริย์ไทย/พระมหากษัตริย์ในสมัยต่างๆ
|
พระมหากษัตริย์/พระมหากษัตริย์ในสมัยต่างๆ/พระมหากษัตริย์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์
พระมหากษัตริย์/พระมหากษัตริย์ในสมัยต่างๆ/พระมหากษัตริย์ไทยสมัยสุโขทัย
พระมหากษัตริย์/พระมหากษัตริย์ในสมัยต่างๆ/พระมหากษัตริย์ไทยสมัยอยุธยา
|
thaiwikibooks
| 195,484 |
พระมหากษัตริย์ไทย/พระมหากษัตริย์ในสมัยต่างๆ/พระมหากษัตริย์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์
|
พระมหากษัตริย์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์
ในสมัยรัตนโกสินทร์พระมหากษัตริย์จะต้องเป็นบุคคลที่ประชาชนยอมรับมากกว่าการที่จะปล่อยให้การเปลี่ยนแผ่นดินเป็นผลของการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างเชื้อสายของพระมหากษัตริย์เช่นในสมัยอยุธยา แนวความคิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ เชื่อมั่นว่าพระมหากษัตริย์ทรงตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรม จึงทรงเป็นที่พึ่งของราษฎรมาโดยตลอด ทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขสืบมาทุกยุคสมัย พระมหากษัตริย์ได้รับการยอมรับจากอาณาประชาราษฎร์ ซึ่งมีผลให้พระองค์ทรงใช้พระราชอำนาจอย่างสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งกว่าที่จะทรงใช้กำลังทหารหรืออาวุธบังคับเอาตามที่ทรงมีพระราชประสงค์
ดูเพิ่ม
พระมหากษัตริย์
|
thaiwikibooks
| 195,485 |
พระมหากษัตริย์ไทย/พระมหากษัตริย์ในสมัยต่างๆ/พระมหากษัตริย์ไทยสมัยสุโขทัย
|
พระมหากษัตริย์ไทยสมัยสุโขทัย
สุโขทัยเป็นนครหลวงแห่งแรกของประชาชนเชื้อสายไทย สังคมไทยในยุคนี้มีลักษณะเป็นสังคมเผ่า มีความเกี่ยวพันและผูกพันกันอย่างหนาแน่นในสายโลหิต อาณาเขตของสุโขทัยในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ประกอบด้วยเมืองสุโขทัยและศรีสัชชนาลัยเท่านั้น ต่อมาได้ขยายกว้างขวางขึ้นในสมัย พ่อขุนรามคำแหง ความสัมพันธ์ของประชาชนก็มีลักษณะเป็นความสัมพันธ์ทางใจอันเกิดจากความรู้สึกว่าเป็นคนสายเลือดเดียวกัน และอยู่ภายใต้การปกครองโดย “พ่อขุน” องค์เดียวกัน ตามหลักฐานศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
แนวคิดเกี่ยวกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในสมัยสุโขทัยนี้ทรงเป็นผู้ครองนคร ซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิเหนืออาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง สิทธิการเป็นพระมหากษัตริย์สืบทอดโดยการสืบสันตติวงศ์ ประชาชนมีสิทธิเข้าถึงตัวผู้ปกครองแผ่นดิน พระมหากษัตริย์ยังคงเป็นพระมหากษัตริย์ของชาวพุทธแท้ๆ ไม่มีคตินิยมแบบพราหมณ์เข้ามาปะปน พอสิ้นรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงจนถึงรัชกาลกษัตริย์องค์ต่อๆ มา เช่น พระมหาธรรมราชาลิไทย อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์เริ่มเข้ามา กษัตริย์เริ่มเป็นเทพยดา แต่ก็ยังยึดศาสนาพุทธอยู่ จึงเป็นแค่ “ธรรมราชา” ซึ่งเป็นคำในศาสนาพุทธ เหมือนที่ใช้เรียกพระเจ้าอโศก แต่หลังจากนั้นมาเริ่มเป็น “รามาธิบดี”
ดูเพิ่ม
พระมหากษัตริย์
|
thaiwikibooks
| 195,486 |
พระมหากษัตริย์ไทย/พระมหากษัตริย์ในสมัยต่างๆ/พระมหากษัตริย์ไทยสมัยอยุธยา
|
พระมหากษัตริย์ไทยสมัยอยุธยา
เมื่อสิ้นกรุงสุโขทัย พระเจ้าอู่ทองได้สร้างกรุงศรีอยุธยา ศาสนาพราหมณ์เข้ามามีบทบาทอย่างมากโดยอิทธิพลของขอมและละโว้ ซึ่งถือว่ากษัตริย์คือพระผู้เป็นเจ้าอวตารมาเกิด พระเจ้าอู่ทองก็กลายเป็นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ รูปแบบของสถาบันพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาแตกต่างจากสมัยสุโขทัยอย่างมากระบอบการปกครองของอยุธยาเป็นระบอบการปกครองซึ่งพระมหากษัตริย์มีอำนาจเป็นล้นพ้น
สังคมในสมัยอยุธยาขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์โดยตรง ซึ่งต่างกับสมัยสุโขทัยที่พระมหากษัตริย์ทรงปกครองราษฎรเยี่ยงบิดาปกครองบุตร แต่ในสมัยอยุธยาเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าโดยแท้ ตำแหน่งพระมหากษัตริย์เป็นตำแหน่งที่ช่วงชิงกันด้วยอำนาจทางทหาร แนวความคิดเกี่ยวกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทวราชและทรงใช้พระราชอำนาจในฐานะที่ทรงเป็นสมมติเทพ กฎเกณฑ์ตลอดจนขนบประเพณีต่างๆ ได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อรักษาฐานะเทวราชของพระมหากษัตริย์ ทำให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอาจเป็นล้นพ้น
ดูเพิ่ม
พระมหากษัตริย์
|
thaiwikibooks
| 195,487 |
พระมหากษัตริย์ไทย/กฎหมายเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์/พระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ
|
พระราชสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ได้บัญญัติรองรับพระราชสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไว้ในหลายๆ เรื่องดังนี้
พระราชสถานะของพระมหากษัตริย์
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติถึงพระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ไว้ดังนี้
1 พระราชสถานะที่ทรงเป็นองค์พระประมุขของราชอาณาจักรไทย และของปวงชนชาวไทย ตาม มาตรา 2
“มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
2 พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ตามมาตรา 8
“มาตรา 8 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”
3 พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก ตามมาตรา 9
“มาตรา 9 พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก”
เมื่อได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศทุกฉบับรวมทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติรับรองไว้ในหมวดพระมหากษัตริย์ มาตรา 9 ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธ มามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก” ซึ่ง บทบัญญัติดังกล่าวนี้มีความหมายว่า เนื่องจากประเทศไทยมีประชากรส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชน พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขของรัฐจึงต้องทรงเป็นพุทธมามกะ คือ เป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ และในขณะเดียวกันก็ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก คือ ทรงทำนุบำรุงอุปถัมภ์ศาสนาทั้งปวงในขอบขัณฑสีมา โดยไม่ทรงแบ่งแยกว่าเป็นศาสนาใดด้วย
บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่กำหนดว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะนี้ บัญญัติขึ้นเพื่อสะท้อนความจริงในประวัติศาสตร์ที่ว่าพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา ทุกพระองค์ล้วนมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง พระมหากษัตริย์บางพระองค์ถึงกับทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุในระหว่างเวลาที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว ได้แก่ สมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น
ส่วนบทบัญญัติที่กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกนั้น ได้บัญญัติขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นมาในประวัติศาสตร์ด้วยเช่นเดียวกัน พระมหากษัตริย์ของไทยได้ทรงเป็นตัวแทนของชาติประกาศความมีน้ำใจกว้างขวาง ไม่รังเกียจกีดกันผุ้ที่ศรัทธาเลื่อมใสศาสนาต่างกัน ทุกคนล้วนแต่เป็นข้าแผ่นดินผู้อยู่ในข่ายแห่งพระมหากรุณาเสมอกัน
|
thaiwikibooks
| 195,488 |
พระมหากษัตริย์ไทย/กฎหมายเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์/กฎหมายที่เกี่ยวกับพระราชวงศ์
|
กฎหมายที่เกี่ยวกับพระราชวงศ์ พระราชฐานหรือระเบียบการปกครองในพระราชสำนัก
กฎมณเฑียรบาล
กฎมณเฑียรบาลเป็นกฎหมายประเภทหนึ่งซึ่งในอดีตมีความสำคัญอย่างมากในระบบกฎหมายของไทย ซึ่งแสดงถึงรูปแบบ (กฎ) และเนื้อหาสาระเป็นพิเศษแตกต่างไปจากฎหมายอื่น กฎมณเฑียรบาลนี้ตราขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น แม้ต่อมาจะมีการยกเลิกไปก็มีการตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยเรื่องอื่นๆ ขึ้นใหม่อีกหลายฉบับ บางฉบับใช้ชื่อว่ากฎมณเฑียรบาล บางฉบับก็มิได้ใช้ชื่อรูปแบบเช่นนั้น แต่เลี่ยงไปออกเป็นรูปแบบอื่น เช่น ประกาศพระบรมราชโองการบ้าง พระราชกฤษฎีกาบ้าง แต่ด้วยเหตุที่เนื้อความเป็นเรื่องที่ปกติแล้วจะพึงตราเป็นกฎมณเฑียรบาล จึงนิยมถือว่าเป็นกฎมณเฑียรบางด้วยเช่นกัน
กฎมณเฑียรบาล มีหลายฉบับ บางฉบับยังคงใช้มาจนทุกวันนี้ แต่ที่มีความสำคัญที่สุดก็คือ กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่กล่าวถึงกฎเกณฑ์การสืบราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขของประเทศ ซึ่งแยกออกมาบัญญัติไว้ในกฎมณเฑียรบาลตั้งแต่ก่อนมีรัฐธรรมนูญ เมื่อมีรัฐธรรมนูญแล้วก็มิได้นำมาบัญญัติซ้ำหากแต่รัฐธรรมนูญทุกฉบับยอมรับตลอดมาว่าให้นำกฎมณเฑียรบาลมาใช้ได้ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง ดังที่เคยนำมาใช้แล้วเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๗ และ พ.ศ.๒๔๘๙ เป็นเหตุให้ได้อัญเชิญพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๘ และอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๙ ข้อนี้เท่ากับว่ารัฐธรรมนูญยอรับสถานะทางกฎหมายของกฎมณเฑียรบาล และยอมรับรูปแบบของกฎหมายชนิดนี้ว่ามีได้ในระบบกฎหมายไทย
ความหมาย
กฎมณเฑียรบาล ตามความหมายที่ปรากฏในพจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน หมายถึง ข้อบัญญัติพิเศษเกี่ยวกับพระราชฐาน พระราชวงศ์ และระเบียบการปกครองในราชสำนัก
นอกจากนี้ยังมีผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายที่ได้ให้ความหมายของกฎมณเฑียรบาล ซึ่งพอจะประมวลได้ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงอธิบายว่า “ชื่อกฎมณเฑียรบาลนี้แปลว่าสำหรับรักษาเรือนเจ้าแผ่นดิน”
ศาสตราจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อธิบายว่า กฎมณเฑียรบาลเป็นกฎหมายรักษาวินัย ความสงบ ตลอดจนความปลอดภัยในพระบรมมหาราชวังและองค์พระมหากษัตริย์”
ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ อธิบายไว้ว่า กฎมณเฑียรบาลตามที่เข้าใจกันโดยทั่วๆ ไปว่าเป็นกฎหมายส่วนพระองค์พระมหากษัตริย์ หรือระเบียบข้อบังคับในราชสำนัก”
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความหมายข้างต้นก็คงพอจะเห็นได้ว่า กฎมณเฑียรบาลนั้นมิได้มุ่งหมายที่จะดูแลรักษาพระราชวังและพระราชฐานเท่านั้น แต่ยังมุ่งหมายที่จะอภิบาลดูแล ถวายอารักขาและความปลอดภัย ตลอดจนการรักษาพระบรมเดชานุภาพและการผดุงพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร หรือบุคคลอื่นๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพระราชวัง พระราชฐานนั้นด้วย
ขอบเขต
กฎหมายทั้งหลายย่อมมีขอบเขตในตัวเองว่าจะด้วยเรื่องอันใด ใช้กับใคร ในสถานการณ์ใด กฎมณเฑียรบาลก็เช่นกัน จะมีขอบเขตโดยเฉพาะซึ่งกำหนดไว้ ดังนี้
๑.ขอบเขตด้านสถานที่ (Place) ข้อกำหนดของกฎมณเฑียรบาลมุ่งหมายที่จะดูแลรักษาพระราชวังและพระราชฐานอันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ แต่โดยธรรมเนียมที่ถือกันมาแล้ว ไม่ว่าพระมหากษัตริย์จะประทับ ณ ที่ใด แม้นอกพระบรมมหาราชวังก็ถือว่าสถานที่นั้นเป็นพระราชวังหรือพระราชฐานด้วย การกระทำผิดในสถานที่ดังกล่าวย่อมเป็นการละเมิดพระราชอาชญาพระผู้เป็นเจ้า อันถือว่าขัดต่อกฎมณเฑียรบาล
๒.ขอบเขตด้านตัวบุคคล (Person) กฎมณเฑียรบาลมีความมุ่งหมายจะกำหนดขอบเขตในเรื่องของการอภิบาลดูแลรักษา การถวายอารักขาและความปลอดภัย ตลอดจนการรักษาพระบรมเดชานุภาพและการผดุงพระเกียรติยศของบุคคล อันได้แก่พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการในพระองค์ แม้ว่าพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะทรงพระราชอำนาจเด็ดขาดเป็นล้นพ้น
แต่กฎมณเฑียรบาลก็อาจกำหนด “แนวทาง” เพื่อพระราชจรรยานุวัตรว่าพระมหากษัตริย์ในอดีตทรงปฏิบัติมาเช่นไร พระมหากษัตริย์ในรัชกาลต่อๆ ไปก็พึงทรงปฏิบัติตาม ซึ่งกฎมณเฑียรบาลเหล่านี้มักจะนำโบราณราชนิติประเพณีมากำหนดไว้ พระบรมวงศานุวงศ์เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระมหากษัตริย์ การประพฤติปฏิบัติตนของพระบรมวงศานุวงศ์อาจจะกระทบต่อพระราชฐานะและพระบารมีของพระมหากษัตริย์ได้ กฎมณเฑียรบาลจึงได้บังคับครอบคลุมไปถึงการประพฤติปฏิบัติพระองค์ของพระบรมวงศานุวงศ์ด้ว ไม่ว่าพระบรมวงศานุวงษ์พระองค์นั้นจะประทับอยู่ในเขตพระราชฐานหรือไม่ก็ตาม
ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ข้าราชการในพระองค์ก็ย่อมต้องผูกพันให้ปฏิบัติตามกฎมณเฑียรบาลด้วย อย่างไรก็ตาม กฎมณเฑียรบาลย่อมไม่ใช้บังคับกับประชาชนทั่วไป เว้นเสียแต่ว่าบุคคลนั้นจะได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์หรือพระราชฐาน เช่น การเข้าไปในเขตที่ประทับ การเข้าเฝ้าทูลละอองธุรีพระบาท การถวายฎีการ้องทุกข์ เป็นต้น”๗
ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการ
กฎมณเฑียรบาลของไทยนั้นน่าจะมีที่มาจากพราหมณ์ โดยเฉพาะคณะพราหมณ์พิธีต่างๆ ซึ่งรอบรู้โบราณราชประเพณีและมีหน้าที่รักษาโบราณราชประเพณี “เพื่อบูชาองค์พระมหากษัตริย์ที่เป็นเทวราช” ซึ่งศาสตราจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อธิบายว่า “ที่ประทับของพระมหากษัตริย์คือพระราชวังนั้น เจตนาให้มีกฎเกณฑ์และพิธีการต่างๆ เหมือนกับว่าเป็นเทวสถาน คือ เป็น
เทวสถานของพระผู้เป็นเจ้าในลัทธิพราหมณ์” เมื่อคตินี้มาถึงเมืองไทย เราก็สมมุติให้พระราชวังเป็นเทวสถาน สมมุติว่าพระมหากษัตริย์เป็นพระผู้เป็นเจ้า และมีสถานที่ต่างๆ ซึ่งสร้างไว้สำหรับพืธีกรรมเพื่อจะปฏิบัติบูชาแด่องค์พระมหากษัตริย์ และที่สำคัญต้องมีพราหมณ์ประจำราชสำนัก๘
ส่วนกฎระเบียบและวิธีปฏิบัติที่พึงกระทำภายในพระราชสำนักและที่บุคคลอื่นพึงกระทำต่อพระมหากษัตริย์นั้น พวกพราหมณ์คงจะได้เล่าเรียนสะสมความรู้กันต่อๆ มาจากพราหมณ์ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์จนย้นไปได้ถึงคัมภีร์มนูธรรมศาสตร์ของอินเดีย การกล่าวถึงความรู้ด้านนี้จึงเรียกว่า โบราณราชประเพณีบ้าง นิติศาสตร์ราชประเพณีบ้าง และเมื่อประยุกต์เข้ากับหลักธรรมในทางพุทธศาสนาว่าด้วยทศพิธราชธรรม ข้อที่ ๑๐ ว่าด้วยอวิโรธนธรรม คือ การประพฤติปฏิบัติมิให้ผิดเพี้ยนไปจากระเบียบวิธีปฏิบัติแต่เดิม กฎและธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้จึงใช้สืบต่อกันมาด้วยวาจาและความทรงจำในฐานะที่เป็นโบราณราชบัญญัติ ซึ่งก็คงจะมีการดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสมกับภูมิประเทศและธรรมเนียมอื่นๆ ของไทย
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีการประมวลความรู้ของพราหมณ์เป็นลายลักษณ์อักษรและใช้เป็นหลักราชการ เรียกชื่อว่า “กฎมณเฑียรบาล” เป็นครั้งแรก สืบเนื่องจากเมื่อตั้งบ้านเมืองขึ้นใหม่จำเป็นต้องมีกฎระเบียบให้เป็นหลักฐานมั่งคง ป้องกันพราหมณ์ต่างๆ ถกเถียงแปลความผิดเพี้ยนไปตามความทรงจำของแต่ละคน และเพื่อให้พระมหากษัตริย์และบรรดาผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติตนได้ถูกต้อง จึงได้มีการประชุมปรึกษาพราหมณ์และบัญญัติกฎมณเฑียรบาลขึ้น โดยถือกันว่า เป็นการนำเอาความที่มีมาแต่โบราณมาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรมิใช่การสร้างสรรค์ขึ้นใหม่แต่อย่างใด
การตรากฎมณเฑียรบาลขึ้นใช้บังคับนี้สันนิษฐานว่า ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถตามที่ระบบุพระนามไว้ในคำปรารภกฎมณเฑียรบาลซึ่งเป็นฉบับเก่าแก่ที่สุดตามที่เหลือร่องรอยให้ตรวจบำระใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ๓ แผนก คือ แนกแรกจะเป็นแบบแผนกพระราชพิธีและพระราชานุกิจทั้งในทางปกครองและส่วนพระองค์ แผนกที่สองจะเป็นแบบแผนว่าด้วยตำแหน่งหน้าที่ราชการ และแผนกสุดท้ายจะเป็นแบบแผนว่าด้วยวิธีปฏิบัติในราชสำนัก
ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ในรัชกาลที่ ๑ ได้มีการตรวจชำระกฎหมายตราสามดวง ซึ่งรวมถึงกฎมณเฑียรบาลที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาด้วย โดยได้ปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับภูมิประเทศและธรรมเนียมประเพณีดังปรากฎหลักฐานในคำปรารภ “กฎมณเฑียรบาลเล่มที่ ๑” ของกฎหมายตราสามดวงความว่า “ตราขึ้นเมื่อศักราช ๗๒๐ วันเสาเดือนห้าขึ้นหกค่ำ ชวดนักสัตวศก สมเดจพระเจ้ารามาธิบดีบรมไตรโลกนารถมหามงกุฎเทพมนุษวิสุทธิ สุริยวงษองคพุทรางกูรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว” ภายหลังจากนี้ก็ไม่ปรากฎว่ามีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลฉบับนี้แต่ประการใด จนกระทั่งกฎมณเฑียรบาลฉบับนี้ ค่อยๆ ถูกยกเลิกเพิกถอนไปโดยตัวบทกฎหมายใหม่เป็นเรื่องๆ ไป ซึ่งก็มิใช่ว่าจะเลิกเสียทีเดียวทั้งฉบับ บางเรื่องก็หมดความจำเป็นหรือไม่อาจปฏิบัติได้โดยอัตโนมัติตามสภาพเศรษฐกิจสังคมและการเมืองการปกครอง ที่นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงอันสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.๒๔๗๕ ซึ่งมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ขึ้น เป็นเหตุให้ข้อกำหนดส่วนใหญ่ในกฎมณเฑียรบาลฉบับกรุงศรีอยุธยาไม่อาจใช้บังคับได้ต่อไป
วิวัฒนาการ
ภายหลังจากที่กฎมณเฑียรบาลฉบับกรุงศรีอยุธยาสิ้นผลใช้บังคับแล้วในรัชกาลต่อๆ มาก็มีการตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยเรื่องอื่นๆ ขึ้นใหม่อีกหลายฉบับ บางฉบับใช้ชื่อว่ากฎมณเฑียรบาล บางฉบับก็มิได้ใช้ชื่อเช่นนั้น แต่เลี่ยงไปออกเป็นกฎหมายรูปแบบอื่น เช่น ประกาศพระบรมราชโองการบ้าง พระราชบัญญัติบ้าง พระราชกฤษฎีกาบ้าง พระราชกำหนดบ้าง แต่ด้วยเหตุที่เนื้อหาสาระเป็นเรื่องปกติแล้วจะพึงตราเป็นกฎมณเฑียรบาล จึงถือว่าเป็นกฎมณเฑียรบาลด้วยเช่นกัน
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีการออกประกาศว่าด้วยพระราชนิยมในเรื่องต่างๆ อันมีพระราชประสงค์ให้ประชาชนปฏิบัติ ประกาศบางเรื่องว่าด้วยความประพฤติของข้าราชการในราชนสำนัก เช่น ประกาศ จ.ศ.๑๒๑๖ ว่าด้วยเวลากราบทูลข้อราชการและกิจธุระ ประกาศ จ.ศ. ๑๒๑๗ ว่าด้วยห้ามมิให้เรือที่โดยเสด็จตัดกระบวน ประกาศ จ.ศ. ๑๒๑๙ ว่าด้วยการยิงกระสุนทางเสด็จพระราชดำเนิน เป็นต้น ซึ่งประกาศเหล่านี้บางฉบับถือว่าเป็นกฎมณเฑียรบาลได้
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงมีพระบรมราชดองการโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกธรรมเนียมหมอบกราบเวลาเข้าเฝ้า เรียกกันโดยทั่วไปว่ากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมใหม่๑๑ นกจากนี้ยังมีประกาศพระบรมราชดองการห้ามคนแต่งกายไม่สมควรมิให้เข้ามาในพระราชฐานที่เสด็จออก ซึ่งนับว่าเป็นกฎมณเฑียรบาลอีกฉบับหนึ่ง
ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงกำหนดเขตพระราชฐานว่าที่ใดเป็นที่รโหฐานอันข้าราชการจะเข้าไปมิได้ โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยท่รโหฐานในพระราชสำนัก ซึ่งถือว่าเป็นกฎมณเฑียรบาลฉบับหนึ่งด้วย และหลังจากนั้นก็ได้มีการตรากฎมณเฑียรบาลขึ้นอีกหลายฉบับ เช่น กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยครอบครัวแห่งข้าราชการในพระราชสำนัก พระพุทธศักราช ๒๕๔๗ กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการค้าขายและการสมาคมแห่งข้าราชการในพระราชสำนัก กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเสกสมรสแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์ และที่สำคัญก็คือ กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ เป็นต้น
ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ภายหลังที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็ได้มีการตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเสกสมรสพระราชวงศ์แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๗๕ โดยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร มีประธานคณะกรรมการราษฎรเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สถานะทางกฎหมาย สภาพบังคับและการตรากฎมณเฑียรบาล
ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ การตรากฎมณเฑียรบาลจะเป็นการประมวลดบราณนิติประเพณีลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งแรกเริ่มคงจะมุ่งหมายเพียงว่าให้เป็นรูปแบบของกฎหรือกฎหมายที่ว่าด้วยมณเฑียรบาล ซึ่งหมายถึงเพียงการบันทึกคำฟ้องในคดีความไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น ภายหลังจึงมาเข้าใจว่าระเบียบหรือกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ อย่างไรก็ตามเมื่อใช้คำว่ากฎมณเฑียรบาล ในสมัยอยุธยานั้นคงมิได้มุ่งหมายจะให้เป็นรูปแบบกฎหมายอย่างพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา คงจะมุ่งหมายเพียงจะแสดงเนื้อหาของรูปแบบที่เป็นกฎเท่านั้น
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อเกิดความจำเป็นต้องตรากฎว่าด้วยเนื้อหาใหม่ๆ ในการเกี่ยวด้วยพระราชสำนักเพิ่มขึ้น จึงใช้คำว่า “กฎมณเฑียรบาล” ในรูปแบบของกฎหมายทำนองเดียวกับพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา แต่ละฉบับมีสถานะแตกต่างกันออกไป ซึ่งต้องพิจารณาจากความประสงค์ของผู้ตราและเนื้อหาของกฎมณเฑียรบาลนั้นๆ บางฉบับเท่ากับพระราชบัญญัติ บางฉบับอาจมีสถานะต่ำกว่านั้น แต่ส่วนใหญ่จะมีสถานะเท่ากับพระราชบัญญัติ ยกเว้นกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ เท่านั้น
ซึ่งเดิมมีสถานะสูงกว่าพระราชบัญญัติ เพราะรัฐธรรมนูญบางฉบับกำหนดให้กระบวนการนิติบัญญัติในการแก้ไขกฎมณเฑียรบาลให้กระทำได้อย่างเดียวกันกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนแปลงการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลดังกล่าวไว้ในมาตรา ๒๒๑๓ ว่าให้เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้สถานะที่เดิมสูงกว่าพระราชบัญญัติอาจเปลี่ยนไปด้วย
อนึ่ง ในปัจจุบันแม้ว่ารัฐธรรมนูญจะรับรองสถานะของกฎมณเฑียรบาลเพียงเรื่องเดียว คือ กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ และมิได้บัญญัติรับรองสถานะของกฎมณเฑียรบาลในเรื่องอื่นๆ ไว้เลยก็ตามแต่ก็ยึดถือเป็นหลักกฎหมายทั่วไปว่า กฎมณเฑียรบาลซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับมาตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ย่อมมีผลใช้บังคับต่อไปได้เท่าที่ยังไม่มีกฎหมายที่ตราขึ้นในภายหลังมายกเลิกหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลง
สภาพบังคับของกฎมณเฑียรบาล
กฎมณเฑียรบาลอาจมีส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหรือพระราชจรรยานุวัตรของพระมหากษัตริย์อยู่บ้าง แต่ก็มิได้กำหนดสภาพบังคับ (Sanction) เอาแก่พระมหากษัตริย์ หากเลี่ยงไปถือเอาว่าพระราชจรรยานุวัตรดังกล่าวมีเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกร หากไม่ทรงปฏิบัติตามผลร้ายก็จะตกแก่ราษฎร เช่น ข้าวยากหมากแพง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล กฎมณเฑียรบาล ไม่ว่าในสมัยใดย่อมมีสภาพบังคับหรือโทษกำหนดไว้ด้วยเสมอ เช่น กฎมณเฑียรบาลสมัยอยุธยากล่าวถึง “โทษ ประการ ทีหนึ่งให้ภากธรรม สองทีส่งมหาดไทยจำ สามส่งอครักษจำ” บางความผิดก็ระบุทาว่า “โทษเจ้าพนักงานถึงตาย” “โทษทวีคูนตายทังโคต” บางความผิดโทษมีลักษณะทางแพ่งอยู่บ้าง เช่น “ลงพระราชอาญาตี ๓๐ ที แล้วให้ไมทวีคูณตามบันดาศักดิ์ แลอย่าให้เฝ้าพระบาทพระเจ้าอยู่หัว” “ถ้าผู้ใดไปสู้สองคนรอดตัวออกมา ได้ทั้งอาวุธข้าศึกมาด้วย บำเหนจ์ขันทองเสื้อผ้าตั้งให้เปนขุน”
เมื่อมีการตราพระราชกฤษฎีกา ประกาศพระบรมราชโองการ และกฎมณเฑียรบาลอื่นๆ ในเวลาต่อมา เช่น ในสมัยรัตนโกสินทร์ กรณีใดที่มีพระราชประสงค์เป็นคำสั่งห้ามก็กำหนดโทษไว้ด้วยเสมอ เช่น ประกาศพระราชกระแสรัชกาลที่ ๕ ตอนหนึ่งว่า ถ้ามีคนแต่งตัวไม่เรียบร้อยผ่านเข้าออกเขตพระราชฐาน ให้นายประตูขับไล่ห้ามปราม ถ้าไม่ฟังให้จับส่งศาลกระทรวงวัง ตัดสินลงโทษปรับไม่เกินคราวละ ๒๐ บาท เป็นต้น กฎมณเฑียรบาลในสมัยรัชกาลที่ ๖ ก็มีโทษต่างๆ เช่นกัน ตั้งแต่สถานเบา เช่น ภาคทัณฑ์จนถึงคัดออกจากราชการ ถอดจากยศบันดาศักดิ์ เป็นต้น
แต่ที่นับว่าแปลกจากหลักเกณฑ์ข้างต้นก็คือ กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ เท่านั้น ซึ่งกล่าวถึงกฎเกณฑ์การสืบราชสมบัติแต่มิได้กำหนดโทษหรือสภาพบังคับเอาไว้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะลักษณะพิเศษบางประการของกฎมณเฑียรบาลฉบับนั้นเอง เช่นเดียวกับบทบัญญัติอื่นๆ ในรัฐธรรมนูญ การฝ่าฝืนกฎมณเฑียรบาลฉบับดังกล่าวย่อมตกเป็นอันไร้ผล เช่น การอัญเชิญผู้ขาดคุณสมบัติตามกฎมณเฑียรบาลขึ้นครองราชย์ เป็นต้น
การตรากฎมณเฑียรบาล
กฎมณเฑียรบาลมิใช่สิ่งที่จะต้อง “ตรา” ขึ้นใช้บังคับเสมอไป เพราะอาจมีพระบรมราชโองการตรัสสั่งด้วยพระโอษฐ์ก็ได้ ซึ่งในสมัยอยุธยา ก็มีการ “ตรา” กฎมณเฑียรบาลขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร และมีการตรวจชำระใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ดังปรากฏในคำปรารภของกฎมณเฑียรบาล
มาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีการตรากฎมณเฑียรบาลในรูปแบบอื่นๆ อยู่หลายครั้งโดยไม่ใช้คำว่ากฎมณเฑียรบาล เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่ากฎมณเฑียรบาลที่มีอยู่แล้วเป็นบทพระอัยการที่ไม่อาจต่อเติมเสริมแต่งได้ จึงต้องเลี่ยงไปออกกฎมณเฑียรบาลในชื่ออื่น และความคิดนี้ยังเคารพยึดถือกันอย่างเคร่งครัดจนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๖ ก็ได้มีการตรากฎมณเฑียรบาลไว้ในฐานะเป็นรูปแบบกฎหมายชนิดหนึ่งโดยใช้คำว่ากฎมณเฑียรบาลเป็นครั้งแรกในทำนองเดียวกับคำว่า พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา โดยเมื่อจะกล่าวถึงเรื่องใดก็จะเติมคำว่า “ว่าด้วย” เรื่องนั้นๆ ต่อท้ายคำว่ากฎมณเฑียรบาล แต่เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้วก็มิได้ยอมรับรูปแบบกฎหมายชื่อนี้สำหรับการออกกฎหมายอีกต่อไป เว้นแต่จะเป็นการตรากฎมณเฑียรบาลเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ดังนั้น กฎมณเฑียรบาลที่ตราขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรจึงมี ๒ รูปแบบ คือ กฎมณเฑียรบาลที่ตราขึ้นในรูปแบบของกฎมณเฑียรบาล และกฎมณเฑียรบาลที่ตราขึ้นในรูปแบบอื่น เช่น เป็นประกาศพระบรมราชโองการ พระราชกฤษฎีกา พระราชบัญญัติ
กรณีมีปัญหาว่า ถ้าจะมีการตรากฎมณเฑียรบาลขึ้นใหม่ในปัจจุบันจะสามารถกระทำได้หรือไม่ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากรัฐธรรมนูญแล้วจะเห็นได้ว่า รูปแบบของกฎหมายย่อมเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ส่วนการตรากฎกระทรวง เทศบัญญัติหรือกฎหมายอนุบัญญัติอื่นๆ ก็เป็นไปตามที่กฎหมายแม่บทกำหนดไว้ การตรากฎมณเฑียรบาลขึ้นใหม่จึงไม่อาจทำได้เพราะขาดกระบวนการที่รัฐธรรมานูญกำหนดไว้ และไม่ปรากฏรูปแบบของกฎหมายนี้ในรัฐธรรมนูญ เว้นแต่จะเป็นการตรากฎมณเฑียรบาลแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗ แต่หากมีความจำเป็นจะต้องตรากฎมณเฑียรบาลในเรื่องอื่นๆ ให้มีผลเป็นกฎหมายก็อาจทำได้โดยตราเป็นระเบียบประเพณีแห่งราชสำนัก ซึ่งไม่ถือว่าเป็นกฎหมาย ถ้าจะให้เป็นกฎหมายก็ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ หรือถ้าจะรักษาคำว่า “กฎมณเฑียรบาล” ไว้ ก็อาจตราเป็นพระราชบัญญัติให้ใช้กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยเรื่องนั้นๆ ทำนองเดียวกับการตราพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายและพระธรรมนูญศาลยุติธรรม อันเป็นรูปแบบของกฎหมายโดยปกติในระบบกฎหมายไทย
|
thaiwikibooks
| 195,489 |
พระมหากษัตริย์ไทย/การสืบราชสันตติวงศ์
|
สารบัญ
พระมหากษัตริย์/การสืบราชสันตติวงศ์/การสืบราชสันตติวงศ์
พระมหากษัตริย์/การสืบราชสันตติวงศ์/การสืบราชสันตติวงศ์ของร.7
|
thaiwikibooks
| 195,490 |
รัฐธรรมนูญ/ความรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ
|
สารบัญ
36 อรหันต์ทองคำ
เขาร่างรัฐธรรมนูญกันอย่างไร
|
thaiwikibooks
| 195,491 |
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/ชนิดของคำ/คำคุณศัพท์
|
คำวิเศษณ์ คือคำที่ทำหน้าที่ประกอบคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ด้วยกัน เพื่อให้ได้ความชัดเจนยิ่งขึ้น
ชนิด
ชนิด.
คำวิเศษณ์ในภาษาไทยมี 10 ชนิดดังนี้ เช่น
ลักษณวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกลักษณะต่างๆ เช่น บอกชนิด สี ขนาด สัณฐาน กลิ่น รส บอกความรู้สึก เช่น ดี ชั่ว ใหญ่ ขาว ร้อน เย็น หอม หวาน กลม แบน เป็นต้น เช่น น้ำร้อนอยูในกระติกสีขาว หรือ จานใบใหญ่ราคาแพงกว่าจานใบเล็ก
กาลวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกเวลา เช่น เช้า สาย บ่าย เย็น อดีต อนาคต เป็นต้น เช่น พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคุณแม่ หรือ เขามาโรงเรียนสาย
สถานวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกสถานที่ เช่น ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนือ ใต้ ซ้าย ขวา เป็นต้น เช่น ชั้นนั่งเรียนอยู่แถวหน้า
ประมาณวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกจำนวน หรือปริมาณ เช่น หนึ่ง สอง สาม มาก น้อย บ่อย หลาย บรรดา ต่าง บ้าง เป็นต้น เช่น เขามีเงินห้าบาท หรือ เขามาหาฉันบ่อยๆ
ปฏิเสธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่แสดงความปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับ เช่น ไม่ ไม่ใช่ มิ มิใช่ ไม่ได้ หามิได้ เป็นต้น เช่น เขามิได้มาคนเดียว หรือ ของนี้ไม่ใช่ของฉัน ฉันจึงรับไว้ไม่ได้
ประติชญาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่ใช้แสดงการขานรับหรือโต้ตอบ เช่น ครับ ขอรับ ค่ะ เป็นต้น เช่น คุณครับมีคนมาหาขอรับ หรือ คุณครูขา สวัสดีค่ะ
นิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความชี้เฉพาะ เช่น นี้ นั่น โน่น ทั้งนี้ ทั้งนั้น แน่นอน เป็นต้น เช่น บ้านนั้นไม่มีใครอยู่ หรือ เขาเป็นคนขยันแน่ๆ
อนิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความไม่ชี้เฉพาะ เช่น ใด อื่น ไหน อะไร ใคร ฉันใด เป็นต้น เช่น เธอจะมาเวลาใดก็ได้ หรือ คุณจะนั่งเก้าอื้ตัวไหนก็ได้
ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์แสดงคำถาม หรือแสดงความสงสัย เช่น ใด ไร ไหน อะไร สิ่งใด ทำไม เป็นต้น เช่น เสื้อตัวนี้ราคาเท่าไร หรือ เขาจะมาเมื่อไร
ประพันธ์วิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมคำหรือประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน เช่นคำว่า ที่ ซึ่ง อัน
สารบัญ
คำนาม
คำสรรพนาม
คำกริยา
คำวิเศษณ์
คำคุณศัพท์
คำบุพบท
คำสันธาน
คำอุทาน
|
thaiwikibooks
| 195,492 |
ภาษาจีน/ภาคผนวก/ตัวเลข
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,493 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/การเมือง
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,494 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/กีฬา
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,495 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ภูมิประเทศ
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,496 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ไฟฟ้า
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,497 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/จังหวัดในไทย
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,498 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ห้องเรียน
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,499 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ทิศทาง
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,500 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/วิชา
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,501 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/อารมณ์ความรู้สึก
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,502 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ธนาคาร
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,503 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ความปรารถนา
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,504 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ห้องน้ำ
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,505 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/รถยนต์ยานพาหนะ
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,506 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ยี่ห้อรถยนต์
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,507 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ตัวเลขภาษาจีน
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,508 |
ภาษาเยอรมัน/ภาคผนวก/คำศัพท์/ความรู้สึก
|
die Zuneigung
der Ärger
die Langeweile
das Vertrauen
die Kreativität
die Krise, n
วิกฤต
die Neugier
die Niederlage, n
die Depression, en
die Verzweiflung
die Enttäuschung, en
das Misstrauen
der Zweifel, -
der Traum, "e
die Müdigkeit
die Angst, "e
der Streit
die Freundschaft, en
der Spaß, "e
die Trauer
die Grimasse, n
das Glück
die Hoffnung, en
der Hunger
das Interesse, n
die Freude, n
der Kuss, "e
die Einsamkeit
die Liebe
die Melancholie
die Stimmung, en
der Optimismus
die Panik
ความหวาดกลัว
die Ratlosigkeit
die Wut
die Ablehnung
die Beziehung, en
die Aufforderung, en
der Schrei, e
die Geborgenheit
der Schreck, en
das Lächeln
die Zärtlichkeit, en
der Gedanke, n
die Nachdenklichkeit
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,509 |
ภาษาเยอรมัน/ภาคผนวก/คำศัพท์/วามรู้สึก
|
เปลี่ยนทาง ภาษาเยอรมัน/ภาคผนวก/คำศัพท์/ความรู้สึก
|
thaiwikibooks
| 195,510 |
ภาษาเยอรมัน/ภาคผนวก/คำศัพท์/กีฬา
|
กีฬา - Sport
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,511 |
ภาษาเยอรมัน/ภาคผนวก/คำศัพท์/เพลง
|
เพลง - Musik
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,512 |
ภาษาเยอรมัน/ภาคผนวก/คำศัพท์/สำนักงาน
|
สำนักงาน - Büro
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,513 |
ภาษาเยอรมัน/ภาคผนวก/คำศัพท์/เครื่องดื่ม
|
เครื่องดื่ม - Getränke
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,514 |
ภาษาเยอรมัน/ภาคผนวก/คำศัพท์/คน
|
คน - Menschen
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,515 |
ภาษาเยอรมัน/ภาคผนวก/คำศัพท์/เวลา
|
เวลา - Zeit
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,516 |
ภาษาเยอรมัน/ภาคผนวก/คำศัพท์/สิ่งแวดล้อม
|
สิ่งแวดล้อม - Umwelt
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,517 |
ภาษาเกาหลี/ภาคผนวก/คำศัพท์/ผลไม้
|
과일(ผลไม้)
바나나 บานานา กล้วย
사과 ซากวา แอปเปิ้ล
포도 โพโด องุ่น
귤 คยูล ส้ม
파인애플 พานแอพึล สัปปะรด
딸기 ตัลกี สตอเบอร์รี่
참외 ชั่มเว แคตาลูป
밤 พับ เกาลัด
옥수수 โอกซูซู ข้าวโพด
배 แพ สาลี่
수박 ซูบัก แตงโม
파파야 พาพายา มะละกอ
코코넛 โคโคนัส มะพร้าว
오렌지 โอเรนจี ส้มซันคริส
사탕수수 ซาทังซูซู อ้อย
멜론 เมลโลน เมลล่อน
복숭아 พกซุงอา ลูกท้อ
망고 มังโก มะม่วง
두리안 ทุรีอัน ทุเรียน
람브탄 ลัมพือทัน มังคุด
감 คัม ลูกพลับ
토마 토 โทมาโท มะเขือเทศ
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,518 |
ภาษาเยอรมัน/ภาคผนวก/คำศัพท์/สี
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,519 |
ภาษาเกาหลี/ภาคผนวก/คำศัพท์/สัตว์
|
สิงโต 사자 ซา-จา
เสือ 호랑이 โฮ-รัง-งี
หมาจิ้งจอก 여우 ยอ-อู
ลิง 원숭이 วอน-ซุง-งี
กวาง 사슴 ซา-ซึม
ชิมแปนซี 침팬지 ชิม-เพน-จี
หมีโคล่า 코알라 โค-อัล-ลา
อูรังอูตัง 오랑우탄 โอ-รัง-งู-ทัน
แพะ 염소 ยอม-โซ
กอริลล่า 고릴라 โค-ริล-ลา
แกะ 양 ยัง
สุนัข 개 เก
กระรอก 다람쥐 ทา-รัม-จวี
แมว 고양이 โค-ยัง-งี
หมึ 곰 โคม
ม้า 말 มัล
ลูกม้า 조랑말 โช-รัง-มัล
ม้าลาย 얼룩말 ออล-รุก-มัล
เสือชีต้าห์ 치타 ชี-ทา
ไก่ 닭 ทวัล
หมู 돼지 ทเว-จี
วัว 소 โซ
แรด 코뿔소 คป-ปุล-โซ
แรคคูน 너구리 นอ-กู-ริ
แพนด้า 팬더오 เพน-เด-โอ
ฮิปโป 하마 ฮา-มา
ยีราฟ 기린 คี-ริน
ไฮยีน่า 하이에나 ฮา-อี-เย-นา
อูฐ 낙타 นาค-ทา
กระต่าย 토끼 โท-กี
หนู 쥐 ชวี
หมาป่า 늑대 นึค-เด
งู 뱀 เพม
นกแก้ว 앵무새 เอง-มู-เซ
จิ้งจก 도마뱀 โท-มา-เบม
นกกา 까마귀 กา-มา-กวี
จระเข้ 악어 อา-กอ
นกยูง 공작 คง-จั๊ค
กบ 개구리 เค-กู-รี
นกกระจอกเทศ 타조 ทา-โจ
เต่า 거북이 คยอ-บู-กี
นกเพนกวิน 펭귄 เพง-กวิน
อีกัวน่า 이구아나 อี-กุ-อา-นา
หงส์ 백조 เพค-โจ
นกอินทรี 독수리 โทค-ซู-รี
เป็ด 오리 โอ-รี
ปลาโลมา 돌고래 ทอล-โก-เร
ปลาฉลาม 상어 ซัง-กยอ
ปลาวาฬ 고래 โค-เร
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,520 |
ระบบเศรษฐกิจ/ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยม
|
ระบบเศรษฐกิจนี้เป็นระบบเศรษฐกิจที่ให้เสรีภาพแก่เอกชนในการเลือกดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจแต่ทว่าเสรีภาพดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม.
1.เอกชนมีเสรีภาพในการเลือกตั้ง เลือกตัดสินใจในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
2.กำไรและระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นแรงจูงใจในการทำงานทำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3.สินค้ามีคุณภาพและมีมาตรฐาน
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม.
1.ก่อให้เกิดปัญหาการเหลื่อมล้ำอันเนื่องมาจากความสามารถที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลโดยพื้นฐานทำให้การหารายได้ไม่เท่ากัน
2.ในหลายๆกรณีกลไกทางการตลาดยังไม่ใช่เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการจัดสรรทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจ
3.การใช้ระบบการแข่งขันหรือกลไกราคาอาจทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจอย่างสิ้นเปลือง
สารบัญ
ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยม ( Laissez-faire or capitalism)
ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ( communism )
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ( socialism )
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม ( mixed economy )
หน้าที่และเป้าหมายของบุคคลในระบบเศรษฐกิจ
|
thaiwikibooks
| 195,521 |
ระบบเศรษฐกิจ/ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์
|
ระบบเศรษฐกิจนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทั้งทรัพยากรต่างๆและปัจจัยการผลิตทุกชนิด เอกชนไม่มีกรรมสิทธิ์ในการเลือกใช้ปัจจัยการผลิตได้ กลไกราคาไม่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การตัดสินใจมักจะทำอยู่ในรูปของการวางแผนแบบบังคับ จากส่วนกลาง (central planning) โดยคำนึงถึงสวัสดิการของสังคมเป็นสำคัญ
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์.
1. เป็นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดปัญหาการเหลื่อมล้ำทางฐานะ
2. ภายใต้ระบบเศรษฐกิจนี้เอกชนจะทำการผลิตและปริโภคตามคำสั่งของรัฐ
ข้อเสียระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์
ข้อเสียระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์.
1. ประชาชนไม่มีเสรีภาพในการผลิตหรือบริโภคอะไรได้ตามใจ
2. สินค้ามีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควรเนื่องจากผู้ผลิตขาดแรงทุนทรัพย์ในการผลิต
3. การใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจอาจเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
สารบัญ
ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยม ( Laissez-faire or capitalism)
ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ( communism )
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ( socialism )
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม ( mixed economy )
หน้าที่และเป้าหมายของบุคคลในระบบเศรษฐกิจ
|
thaiwikibooks
| 195,522 |
ระบบเศรษฐกิจ/ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
|
ระบบเศรษฐกิจนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทั้งทรัพยากรต่างๆและปัจจัยการผลิตทุกชนิด เอกชนไม่มีกรรมสิทธิ์ในการเลือกใช้ปัจจัยการผลิตได้ กลไกราคาไม่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การตัดสินใจมักจะทำอยู่ในรูปของการวางแผนแบบบังคับ จากส่วนกลาง (central planning) โดยคำนึงถึงสวัสดิการของสังคมเป็นสำคัญ
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม.
1.เป็นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดปัญหาการเหลื่อมล้ำทางฐานะและรายได้ของบุคคลในสังคม
2.ภายใต้ระบบเศรษฐกิจนี้เอกชนจะทำการผลิตและบริโภคตามคำสั่งของรัฐ
ข้อเสียระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
ข้อเสียระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม.
1.ประชาชนไม่มีเสรีภาพในการผลิตหรือบริโภคอะไรได้ตามใจ
2.สินค้ามีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควรเนื่องจากผู้ผลิตขาดแรงทุนทรัพย์ในการผลิต
3.การใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจอาจเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
สารบัญ
ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยม ( Laissez-faire or capitalism)
ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ( communism )
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ( socialism )
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม ( mixed economy )
หน้าที่และเป้าหมายของบุคคลในระบบเศรษฐกิจ
|
thaiwikibooks
| 195,523 |
ระบบเศรษฐกิจ/ระบบเศรษฐกิจแบบผสม
|
ระบบเศรษฐกิจแบบผสมเป็นระบบเศรษกิจที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างแบบทุนนิยมและสังคมนิยม กล่าวคือ ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบผสมทั้งรัฐและเอกชนต่างมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ปัจจัยการผลิตมีทั้งส่วนที่เป็นของรัฐและเอกชน
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบผสม
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบผสม.
1.เป็นระบบเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมีความคล่องตัว
2.มีความหลากหลายทางด้านของสินค้าและบริการ
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบผสม
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบผสม.
1.การมีกำไรและระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพสินอาจทำให้เกิดการเหลื่อมล้ำทางฐานะและรายได้
2.การที่รัฐสามารถเข้าแทรกแซงตลาดโดยใช้กลไกรัฐอาจก่อให้เกิด
2.1 ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง
2.2ปัญหาเอกชนไม่กล้าลงทุนอย่างเต็มที่ เนื่องจากไม่แน่ใจในสถานการณ์ทางการเมืองและนโยบายของรัฐบาลซึ่งมีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
สารบัญ
ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยม ( Laissez-faire or capitalism)
ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ( communism )
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ( socialism )
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม ( mixed economy )
หน้าที่และเป้าหมายของบุคคลในระบบเศรษฐกิจ
|
thaiwikibooks
| 195,524 |
ระบบเศรษฐกิจ/หน้าที่และเป้าหมายของบุคคลในระบบเศรษฐกิจ
|
1.ผู้บริโภค มีหน้าที่ในการตัดสินใจเลือกบริโภคสินค้าและบริการที่ทำให้ตนได้รับความพอใจมากที่สุด ( maximum satisfaction ) ภายใต้ราย ได้จำกัดจำนวนหนึ่ง
2.ผู้ผลิต มีหน้าที่รวบรวมปัจจัยการผลิตเพื่อนำมาผลิตเป็นสินค้าและบริการ เพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายเพื่อการแสวงหากำไรสูงสุด (maximum profit)
3.เจ้าของปัจจัยการผลิต มีหน้าที่เสนอขายปัจจัยการผลิตไปให้ผู้ผลิตเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการ ผลตอบแทนที่เจ้าของปัจจัยการผลิตจะได้รับก็แล้วแต่ชนิดของปัจจัยการผลิตนั้น
สารบัญ
ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยม ( Laissez-faire or capitalism)
ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ( communism )
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ( socialism )
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม ( mixed economy )
หน้าที่และเป้าหมายของบุคคลในระบบเศรษฐกิจ
|
thaiwikibooks
| 195,525 |
กลไกราคาในระบบเศรษฐกิจ
|
ตลาดในระบบเศรษฐกิจนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก
เนื่องจากตลาดทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค
ซึ่งจะช่วยทำให้สินค้าจากแหล่งผลิตไปสู่ผู้บริโภค และยังช่วยให้ผู้บริโภคมีสินค้าและบริการมาบำบัดความต้องการได้อย่างทั่วถึง
ซึ่งในบทนี้ จะศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดในทางเศรษฐศาสตร์
ความหมายของตลาดในทางเศรษฐศาสตร์
ความหมายของตลาดในทางเศรษฐศาสตร์.
ตลาด หมายถึง การซื้อขายสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งหรือภาวะการณ์ในการซื้อขายสินค้านั้นๆ
ซึ่งก็หมายถึงว่า
การซื้อขายไม่จำเป็นต้องมีตลาดเป็นตัวตน ผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องมาพบกัน เพียงแต่ใช้เครื่องมือสื่อสารตกลงกันในการขายของสิ่งต่างๆ
หน้าที่ของการตลาด
หน้าที่ของการตลาด.
การตลาด
ซึ่งรวมถึงการรับเสี่ยงภัยและการขนส่ง ย่อมมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตในฐานะเป็นขั้นหนึ่งของกระบวนการผลิต
ทั้งนี้ก็เพราะ การผลิต ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นถือว่าจะมีผลผลิต ก็ต่อเมื่อสินค้าได้ถึงมือผู้บริโภคแล้ว
เท่านั้น จึงพอสรุปหน้าที่ได้ ดังนี้
แสวงหาอุปสงค์และคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับอุปสงค์
เสริมสร้างให้เกิดอุปสงค์
สนองความต้องการอุปสงค์
ประเภทและลักษณะของตลาด
ประเภทและลักษณะของตลาด.
ประเภทของตลาด ลักษณะของตลาด ตัวอย่างสินค้า
ตลาดแข่งขันสมบูรณ์
ตลาดแข่งขันสมบูรณ์.
มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากแต่สินค้าจะมีน้อย
โดยที่สินค้าจะมีลักษณะเดียวกัน
ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องรู้ถึงสภาวะของตลาด
โดยที่จะมีการขนส่งโดยสมบูรณ์ หน่วยธุรกิจสามารถเข้าออกจากธุรกิจโดยเสรี เช่น ข้าว
ข้าวโพด ข้าวกล้อง
ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด
ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด.
มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีอิสระในการเลือกซื้อ
แต่ชนิดสินค้าที่ผลิตจะต่างมาตรฐานและลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
ผู้ขายสามารถกำหนดราคาได้ตามต้องการทั้งๆที่ต้องแข่งขันกับคู่ค้ารายอื่น เช่น ร้านขายเสื้อผ้า
ร้านขายรองเท้า ร้านขายสบู่ยาสระผม
และร้านขายยาสีฟัน แปรงสีฟัน
ประเภทของตลาด ลักษณะของตลาด ตัวอย่างสินค้า
ประเภทของตลาด ลักษณะของตลาด ตัวอย่างสินค้า.
ตลาดผู้ขายน้อยราย มีผู้ขายไม่กี่รายแต่จะมีสินค้าจำนวนมาก
เมื่อเทียบกับปริมาณทั้งหมดในตลาด
หากผู้ขายรายใดเปลี่ยนแปลงราคาหรือนโยบายการขายแล้วจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรายอื่น
น้ำมัน
หนังสือพิมพ์ น้ำอัดลม ตลาดแบบผูกขาด มีผู้ขายเพียงรายเดียว
ทำให้ผู้ขายมีสิทธิเหนือราคาและปริมาณขายสินค้า
โดยจะเพิ่มหรือลดราคาและควบคุมจำนวนขายได้ทั้งหมดไฟฟ้า
ประปา รถไฟ โรงงาน ยาสูบ
กลไกราคากับระบบเศรษฐกิจ
1. กลไกราคา
กลไกราคากับระบบเศรษฐกิจ.
1. กลไกราคา.
กลไกราคา
หมายถึง ภาวะการณ์เปลี่ยนแปลงในระดับราคาสินค้าและบริการอันเกิดจากแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน
เมื่อผู้ผลิตพยายามปรับปรุงการผลิตและบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าราคาสินค้าและบริการเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดอุปสงค์และอุปทาน
ตลอดจนเป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนราคาให้เข้าสู่จุดดุลยภาพ เช่น เมื่อราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
โดยทั่วไปแล้วความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ก็จะลดลง แต่อุปทานของสินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้นกลไกราคาจะพบได้ในทุกตลาด
ยกเว้น ตลาดแบบผูกขาด เพราะกลไกราคาจะเกิดได้เฉพาะตลาดที่มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะของตลาดเสรีหรือประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม
หรือระบบเศรษฐกิจแบบผสมเท่านั้น โดยระบบเศรษฐกิจเหล่านี้จะมีกลไกราคาเป็นตัวกำหนดว่าจะผลิตสินค้าปริมาณเท่าใดและราคาเท่าใด
2. การกำหนดราคาสินค้าและบริการในทางเศรษฐกิจ กำหนดไว้ 2 วิธี คือ
2. การกำหนดราคาสินค้าและบริการในทางเศรษฐกิจ กำหนดไว้ 2 วิธี คือ.
1. ให้กลไกราคาเป็นเครื่องมือในการกำหนดราคาสินค้าและบริการ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน
2. รัฐบาลกำหนดราคาสินค้าและบริการด้วยการควบคุมและแทรกแซงราคาสินค้าและบริการด้วยวิธีกำหนดราคาเมื่อสินค้าที่จำเป็นขาดตลาด
เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค การประกันราคาขั้นต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิต
การพยุงราคาสินค้าไม่ให้ตกต่ำมากเกินไป เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตหรือผู้ขายไม่ให้ขาดทุน
3. อุปสงค์ (Demand)
3. อุปสงค์ (Demand).
อุปสงค์ หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งของผู้บริโภคที่เต็มใจจะซื้อและซื้อหามาได้
ณ ระดับราคาต่างๆที่ตลาดกำหนดให้ กล่าวคือ เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการที่จะซื้อสินค้าและบริการนั้นแล้ว
ก็จะสามารถมีกำลังซื้อสินค้านั้นได้ แต่ถ้าผู้บริโภคไม่สามารถที่จะซื้อหรือไม่มีกำลังซื้อ
ก็จะไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์ตามความหมายในทางเศรษฐศาสตร์
3.1 กฎของอุปสงค์ (Law of Demand) หมายถึง ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าและบริการในราคาต่ำ(ราคาถูก) ในปริมาณมากกว่าซื้อสินค้าในราคาสูง(ราคาแพง)
3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์การที่ผู้บริโภคจะทำการซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่งเป็นจำนวนเท่าใดนั้น
ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. ราคาสินค้าและบริการ (ตามกฎของอุปสงค์)
2. รายได้ของผู้บริโภค
3. รสนิยมของผู้บริโภค
4. สมัยนิยม
5. การโฆษณาและเทคนิคการตลาด
6. ราคาสินค้าหรือบริการอื่นๆที่ต้องใช้ร่วมกันหรือแทนกันได้
7. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาของผู้บริโภค
8. พฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น ฤดูกาล การศึกษา
9. ภาวะเศรษฐกิจขณะนั้นๆ
4. อุปทาน (Supply)
4. อุปทาน (Supply).
อุปทาน หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ขายหรือผู้ผลิตยินดีขายหรือผลิตให้แก่ผู้ซื้อ ณ ระดับราคาต่างๆตามที่ตลาดกำหนดให้
กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพิ่มสูงขึ้น ผู้ผลิตก็ยินดีที่จะเสนอขายมากขึ้น
แต่ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นลดลงปริมาณของอุปทานก็จะลดลงตามไปด้วย
4.1 กฎของอุปทาน (Law of Supply)
หมายถึง ผู้ผลิตมีความต้องการเสนอขายสินค้าและบริการในราคาสินค้าและบริการที่สูง(ราคาแพง) ในปริมาณมากกว่าราคาสินค้าและบริการที่ต่ำ(ราคาถูก)
4.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปทานการที่ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้ซื้อมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ
ดังนี้
1. ราคาสินค้าและบริการในขณะนั้นๆ (กฎของอุปทาน)
2. ต้นทุนการผลิตที่เปลี่ยนแปลง (วัตถุดิบ)
3. เทคโนโลยีการผลิตที่นำมาใช้
4. ฤดูกาล
5. สภาวะของตลาดและภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น
6. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาสินค้าและบริการของผู้ผลิต (การเกิดกำไร)
7. จำนวนผู้ผลิตที่เป็นคู่แข่ง (ราคาสินค้าและบริการชนิดเดียวกันที่มีการแข่งขันกัน)
5. ดุลยภาพ (Equilibrium)
5. ดุลยภาพ (Equilibrium).
กลไกราคาทำงานโดยได้รับอิทธิพลจากทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้ว่า ณเวลาใด
เวลาหนึ่ง ถ้าปริมาณความต้องการหรือปริมาณอุปสงค์ต่อสินค้าในตลาดมีมากเกินกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตจะยินดีขายให้
ราคาสินค้าก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการขาดแคลนของสินค้า แต่ถ้าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตประสงค์จะขายให้ผู้บริโภค
หรือปริมาณอุปทานของสินค้ามีมากกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคประสงค์จะซื้อ
ราคาสินค้านั้นก็จะมีแนวโน้มลดต่ำลง เมื่อปริมาณอุปสงค์และปริมาณอุปทานเท่ากันราคาสินค้าจึงจะอยู่นิ่ง
หรือที่เรียกว่า มีเสถียรภาพไม่ปรับขึ้นลงอีก ยกเว้นว่า จะมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ตลาดต้องเปลี่ยนแปลงไป
สรุป การทำงานของกลไกราคาจะทำให้การจัดสรรทรัพยากรสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ตัดสินใจแทนผู้อื่น เพราะการแข่งขันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
จะทำให้สินค้ามีราคาที่สะท้อนความขาดแคลนของสินค้าหรือ
ทรัพยากรนั้นๆ ผู้ซื้อย่อมทราบดีถึงความต้องการที่แท้จริงของตน
เช่นเดียวกับผู้ผลิตก็ย่อมทราบดีกว่าผู้อื่นว่าต้นทุนการผลิตของตนเองเป็นอย่างไร และสมควรตอบสนองความต้องการสินค้าในท้องตลาดอย่างไร
6. อุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนเกิน
6. อุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนเกิน.
6.1 ภาวะอุปสงค์ส่วนเกินหรืออุปทานส่วนขาด คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการมาก จะทำให้ราคาสินค้าและบริการสูง
ส่งผลให้สินค้าและบริการขาดตลาด อุปสงค์ส่วนเกินจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อราคาสินค้าต่ำกว่าจุดดุลยภาพ
ซึ่งหมายถึง ความต้องการซื้อมีมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตทำการผลิตออกมาขาย
6.2 ภาวะอุปทานส่วนเกินหรืออุปสงค์ส่วนขาด คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการน้อยจะทำให้การบริโภคสินค้าและบริการต่ำ
ส่งผลให้สินค้าและบริการล้นตลาด อุปทานส่วนเกินจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อราคาสินค้าอยู่เหนือจุดดุลยภาพ
ซึ่งหมายถึงความต้องการซื้อสินค้าและบริการมีน้อยกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตผลิตออกมาขาย
ปัญหาทางเศรษฐกิจ
1. เงินเฟ้อ (Inflation)
ปัญหาทางเศรษฐกิจ.
1. เงินเฟ้อ (Inflation).
คือ ภาวะที่ราคาของแพง ค่าของเงินลดลง
ผลกระทบของเงินเฟ้อ
ผลกระทบของเงินเฟ้อ.
1. อำนาจการซื้อลดลง
2. การออมและการลงทุนลดลง (High consumption in the current period)
3. การกระจายรายได้เหลื่อมล้ำมากขึ้น
บุคคลที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อ : เจ้าของกิจการ
ผู้ผลิต นักเก็งกำไร ลูกหนี้
บุคคลที่เสียประโยชน์ : ผู้ที่มีรายได้ประจำ
เจ้าหนี้
4. การส่งออกของประเทศลดลง การนำเข้าเพิ่มขึ้น
2. เงินฝืด (Deflation)
2. เงินฝืด (Deflation).
คือ ภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ ราคาสินค้าและบริการทั่วไปลดลงเรื่อยๆ
เนื่องจากอุปสงค์มีน้อยกว่าปริมาณสินค้าทำให้สินค้าเหลือ
ราคาสินค้าลดลง การผลิตลดลง การจ้างงาน
ลดลง
รายได้ลดลงค่าของเงินสูง
ผลของเงินฝืด : อำนาจซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
ผู้ที่ได้ประโยชน์ : เจ้าหนี้
, ผู้มีรายได้ประจำ
ผู้ที่เสียประโยชน์ : ผู้ที่มีรายได้จากกำไร
, ลูกหนี้
การแก้ปัญหาเงินฝืด : ใช้นโยบายการเงิน
การคลัง เพื่อกระตุ้นให้ อุปสงค์รวมสูงขึ้น
3. การว่างงาน
3. การว่างงาน.
การว่างงาน
คือ ภาวการณ์ที่บุคคลในวัยแรงงาน (ผู้ที่มีอายุ
13 ปีขึ้นไป) มีความสามารถที่จะ
ทำงานและสมัครใจที่จะทำงาน
แต่ไม่สามารถหางานทำได้ จึงทำให้ไม่มีงานทำ เราถือว่าบุคคลเหล่านี้
ว่างงานโดยไม่สมัครใจ
ประเภทของการว่างงาน
ประเภทของการว่างงาน.
1. การว่างงานโดยเปิดเผย (in survey period): temporary, seasonal
2. การว่างงานแอบแฝง หรือ การทำงานต่ำกว่าระดับ
ผลกระทบของการว่างงาน
ผลกระทบของการว่างงาน.
1. การใช้ประโยชน์จากแรงงานไม่เต็มที่
2. การออมและการลงทุนของประเทศลดลง
3. การกระจายรายได้เหลื่อมล้ำมากขึ้น
4. การคลังของรัฐบาลแย่ลง
ผลกระทบของการว่างงาน
สังคมศาสตร์
|
thaiwikibooks
| 195,526 |
คู่มือการใช้งาน Windows 10
|
เริ่มต้นใช้งาน Windows 10
มีอะไรใหม่
ค้นหาและช่วยเหลือ
การตั้งค่าต่างๆ
รับการเชื่อมต่อ
ปุ่มเริ่ม
Windows Hello
Microsoft Edge
แอป Xbox
ความบันเทิง
Office
การตั้งค่าส่วนบุคคลและการตั้งค่า
การบันทึกและการซิงค์
เนื้อหาแอปและการแจ้งเตือน
Continuum และการสัมผัส
การเข้าถึงได้ง่าย
|
thaiwikibooks
| 195,527 |
คู่มือการใช้งาน windows 10
|
เปลี่ยนทาง คู่มือการใช้งาน Windows 10
|
thaiwikibooks
| 195,528 |
ภาษาไทย/ภาคผนวก/คำราชาศัพท์
|
คําราชาศัพท์ ตามรูปศัพท์ หมายถึง ถ้อยคำที่ใช้กับพระมหากษัตริย์แต่ในปัจจุบัน คำราชาศัพท์ หมายถึง ถ้อยคำสุภาพ ไพเราะที่ใช้ให้เหมาะกับฐานะของบุคคลในสภาพสังคมไทย ซึ่งผู้ที่ต้องใช้คำราชาศัพท์ด้วยมี ดังนี้
พระมหากษัตริย์
พระบรมวงศานุวงศ์
พระภิกษุ
ขุนนางข้าราชการ
สุภาพชน
ที่มาของคำราชาศัพท์
รับมาจากภาษาอื่น ภาษาเขมร เช่น โปรด เขนย เสวย เสด็จ เป็นต้น ภาษาบาลี-สันสกฤต เช่น อาพาธ เนตร หัตถ์ โอรส เป็นต้น
การสร้างคำขึ้นใหม่ โดยการประสมคำ เช่น ลูกหลวงซับพระพักตร์ ตั้งเครื่อง เป็นต้น
คำราชาศัพท์หมวดเครื่องใช้
คําราชาศัพท์หมวดร่างกาย
คําราชาศัพท์หมวดเครือญาติ ราชตระกูล
คําราชาศัพท์หมวดสรรพนาม
คําราชาศัพท์หมวดสรรพนาม.
คําราชาศัพท์หมวดพระสงฆ์
การใช้คําราชาศัพท์ที่ควรสังเกต
การใช้คําราชาศัพท์ที่ควรสังเกต.
การใช้คำว่า “พระ” “พระบรม” “พระราช”
“พระ” ใช้นำหน้าคำนามที่เป็นอวัยวะ ของใช้ เช่นพระชานุ พระนลาฏ พระขนง เป็นต้น
“พระบรม”ใช้เฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่น พระบรมราโชวาท พระบรมราชานุเคราะห์ พระปรมาภิไธย เป็นต้น
“พระราช” ใช้นำหน้าคำนาม แสดงว่าคำนามนั้นเป็นของ พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เช่นพระราชประวัติ พระราชานุญาต พระราชวโรกาส เป็นต้น
การใช้คำว่า “ทรง” มีหลัก 3 ประการ คือ
นำหน้าคำนามสามัญบางคำทำให้เป็นกริยาราชาศัพท์ได้ เช่นทรงรถ ทรงดนตรี ทรงช้าง ทรงเครื่อง เป็นต้น
นำหน้าคำกริยาสามัญทำให้เป็นกริยาราชาศัพท์ เช่นทรงวิ่ง ทรงเจิม ทรงออกกำลังกาย ทรงใช้ เป็นต้น
นำหน้าคำนามราชาศัพท์ทำให้เป็นกริยาราชาศัพท์ได้ เช่นทรงพระราชดำริ ทรงพระอักษร ทรงพระดำเนิน ทรงพระราชนิพนธ์ เป็นต้นคำกริยาที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้วไม่ใช้ “ทรง” นำหน้า เช่นเสวย เสด็จ โปรด เป็นต้น
การใช้ราชาศัพท์ให้ถูกต้องตามสำนวนไทย ไม่นิยมเลียนแบบสำนวนต่างประเทศ
ถ้ามาต้อนรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องใช้ว่า ประชาชนมาเฝ้า ฯ รับเสด็จ คำว่า”เฝ้าฯรับเสด็จ” ย่อมาจาก”เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ”ไม่ใช้คำว่า”ถวายการต้อนรับ”
คำว่า”คนไทยมีความจงรักภักดี” หรือ”แสดงความจงรักภักดี” ใช้ได้ แต่ไม่ควรใช่คำว่า “ถวายความจงรักภักดี”
การใช้คำราชาศัพท์ให้ถูกต้องตามเหตุผล
คำว่า “อาคันตุกะ” “ราชอาคันตุกะ” และ”พระราชอาคันตุกะ” ใช้ดังนี้ คือให้ดูเจ้าของบ้านเป็นสำคัญ เช่นแขกของพระมหากษัตริย์ ใช้คำว่า”ราช”นำหน้า ถ้าไม่ใช่แขกของพระมหากษัตริย์ก็ไม่ต้องมี”ราช”นำหน้า
ในการถวายสิ่งของแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถ้าเป็นของเล็กยกได้ก็ใช้ “ทูลเกล้าฯ ถวาย”ถ้าเป็นของใหญ่ยกไม่ได้ใช้ “น้อมเกล้า ฯ ถวาย”
|
thaiwikibooks
| 195,529 |
จรรยาบรรณข้าราชการ
|
จรรยาบรรณต่อตนเอง
ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมคุณธรรมและจริยธรรมอันดีงาม ละเว้นจากอบายมุข ความชั่วทั้งปวง
มีความอดทนขยันหมั่นเพียรที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกาลังความสามารถด้วย ความเสียสละ ทุ่มเทสติปัญญา ความรู้ ความคิด ให้บรรลุผลสาเร็จตามภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
ปฏิบัติตนอยู่ในระเบียบวินัยตรงต่อเวลารวมทั้งสารวจแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองเพื่อพัฒนาการทางานให้ดีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ละเว้นการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบให้กับตนเอง และ/หรือพวกพ้องหมู่คณะ จากหน่วยงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ในวิทยาการใหม่ๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ทักษะในการทางาน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล พร้อมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
จรรยาบรรณต่อหน่วยงาน
ยึดมั่นรักษาในเกียรติภูมิของสานักงบประมาณ ไม่ประพฤติปฏิบัติในทางที่ให้สานักงบประมาณเสื่อมเสียชื่อเสียง
รักษา เสริมสร้างความสามัคคีระหว่างผู้ร่วมงานในหน่วยงานและหมู่คณะ พร้อมกับให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในทางที่ชอบ
หลีกเลี่ยงการนาข้อมูลหรือเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ทั้งในเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานเรื่องส่วนตัว และ/หรือเรื่องความเป็นไป ในสานักงบประมาณออกไปเปิดเผยหรือวิจารณ์ในลักษณะที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหน้าที่และ ภาพลักษณ์โดยรวมของสานักงบประมาณ
ดูแลทรัพย์สินและการใช้ทรัพย์สินของหน่วยงาน ให้เป็นไปอย่างประหยัด คุ้มค่าและด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้เกิดความเสียหายหรือ สิ้นเปลือง
จรรยาบรรณต่อผู้บังคับบัญชา-ผู้ใต้บังคับบัญชา-ผู้ร่วมงาน
ร่วมมือในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย ตลอดจนร่วมกันคิดศึกษากับเพื่อนร่วมงาน เพื่อวิเคราะห์หาแนวทางในการแก้ไข และพัฒนาปรับปรุงงานให้มีคุณภาพมากขึ้น
ปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความเมตตาและยุติธรรม ดูแลเอาใจใส่และพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาให้มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน โดยสนับสนุนให้ได้รับการอบรมและเพิ่มพูนความรู้ ประสบการณ์อยู่เสมอ
รับฟังความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะของผู้ใต้บังคับบัญชาเกี่ยวกับงานในหน้าที่และพิจารณานาไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อราชการ
รับฟังคาแนะนาและยอมรับในการสั่งการของผู้บังคับบัญชาในสิ่งที่ถูกที่ควร หลีกเลี่ยงการปฏิบัติงานที่ข้ามขั้นตอนการบังคับบัญชา
ปรับตนให้สามารถทางานร่วมกับบุคคลอื่นด้วยความสุภาพ มีน้าใจและมีมนุษยสัมพันธ์อันดี ไม่ปิดบังข้อมูลที่จาเป็นในการปฏิบัติงานของ ผู้ร่วมงาน และไม่นาผลงานของผูอื่นมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน
จรรยาบรรณต่อหน่วยงานอื่น ประชาชนและสังคม
ปฏิบัติงานในหน้าที่ความรับผิดชอบให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ด้วยความเสมอภาค โปร่งใส่และเป็นธรรม
รักษาไว้ซึ่งความเป็นอิสระเที่ยงธรรมและความเที่ยงตรงในการปฏิบัติงาน โดยปราศจากอคติและไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลใดๆ
ไม่แสดงอาการใช้อานาจหรือดูถูกหน่วยงานอื่น ในลักษณะที่สานักงบประมาณมีอานาจเหนือกว่า
ให้เกียรติข้าราชการหน่วยงานอื่น โดยใช้ถ้อยคาที่สุภาพเรียบร้อย ชี้แจง อธิบายให้ข้าราชการหน่วยงานอื่นซึ่งต้องประสานงานด้วยให้เข้าใจเหตุผล
ไม่ใช้อำนาจหน้าที่ของตนในการหาประโยชน์จากข้าราชการของหน่วยงานอื่นในลักษณะของการต้อนรับหรือการให้บริการจนเกินขอบเขต
อ้างอิง
http://www.bb.go.th/bbweb/?page_id=6259
|
thaiwikibooks
| 195,530 |
เทคนิคการนำเสนอพาวเวอร์พอยต์
|
ปัญหา
เรามักจะทำ “การนำเสนอ” ที่ไม่สามารถสื่อให้ผู้ฟังได้เข้าถึงประเด็น
เราคิดว่าที่เราทำมาดีอยู่แล้ว
เราไม่รู้ว่ามันไม่ดีอย่างไร
สารบัญ
ฟอนต์และสี
กราฟแบบต่างๆ
Graphical Excellence
ข้อควรคำนึงในการนำเสนอ
|
thaiwikibooks
| 195,531 |
เทคนิคการนำเสนอพาวเวอร์พอยต์/ฟอนต์และสี
|
ฟอนต์ (เปรียบเทียบขนาด)
Angsana UPC 24: ตัวหนังสือควรจะอ่านง่าย (Readable) และชัดเจน (Clear) ไม่บางเกินไป (Not Too Thin) และ ภาษาไทยกับ English ควรจะตัวเท่ากัน
Angsana New 24: ตัวหนังสือควรจะอ่านง่าย (Readable) และชัดเจน (Clear) ไม่บางเกินไป (Not Too Thin) และ ภาษาไทยกับ English ควรจะตัวเท่ากัน
Browallia New 24: ตัวหนังสือควรจะอ่านง่าย (Readable) และชัดเจน (Clear) ไม่บางเกินไป (Not Too Thin) และ ภาษาไทยกับ English ควรจะตัวเท่ากัน
Cordia New 24: ตัวหนังสือควรจะอ่านง่าย (Readable) และชัดเจน (Clear) ไม่บางเกินไป (Not Too Thin) และ ภาษาไทยกับ English ควรจะตัวเท่ากัน
Tahoma 18: ตัวหนังสือควรจะอ่านง่าย (Readable) และชัดเจน (Clear) ไม่บางเกินไป (Not Too Thin) และ ภาษาไทยกับ English ควรจะตัวเท่ากัน
ข้อแนะนำ
อย่าใช้ฟอนต์หลายแบบ อย่างมากสองต่อ slide
ขนาดของ bullet แรกไม่ควรเล็กกว่า ๒๘
ขนาดของ bullet ที่สองไม่ควรเล็กกว่า ๒๔
ไม่ควรใช้ bullet ขนาดเล็กกว่า ๑๖ ในทุกกรณี
การใช้ตัวอักษร
การใช้ตัวพิมพ์ใหญ่
การใช้ตัวเอียง
ใช้สำหรับคำพูดที่อ้างจากผู้อื่น “quotes”
ใช้สำหรับ highlight แนวคิดหรือคำสำคัญ
ใช้สำหรับชื่อเอกสารอ้างอิง titles
Bullets
การทำ bullet ไม่จำเป็นต้องใส่ประโยคเต็มอย่างละเอียด
ใส่เฉพาะคำสั้นๆ กระชับ
ใช้เป็นแนวบอกผู้ฟังว่าจะพูดอะไรเท่านั้น
ควรอยู่ภายในบรรทัดเดียวหรือสองบรรทัดอย่างมาก
ในหนึ่งหน้า
ไม่ควรมีเกิน 6 bullets
ถ้ามีรูปหรือคำยาวๆ ก็ไม่ควรมีเกิน 5 bullets
ถ้ามีข้อความมาก จะไม่มีใครอ่าน
เพราะผู้ฟังจะคาดเดาว่า “สิ่งที่คุณกำลังพูดไม่ต่างจากที่คุณเขียน”
สีในเชิงจิตวิทยา
สีน้ำเงินเข้ม
สีแดง
สีในเชิงจิตวิทยา.
สีแดง.
ความโชคดี กระตือรือร้น แต่ขาดความยับยั้ง
สีขาว
สีขาว.
ความสะอาด แต่ขาดเรื่องการปฏิบัติ
สีดำ
สีดำ.
ความลึกลับ ความเชื่อ แต่อาจเติมเรื่องความกลัว
สีฟ้า
สีฟ้า.
สดใส แต่ขาดความหนักแน่น
สีเขียว
สีเขียว.
เรียบง่าย สบาย แต่ขาดอารมณ์การทำงาน
สีชมพู
สีชมพู.
ออกเชิงผู้หญิง หวาน
สีส้ม
สีส้ม.
กระตือรือร้น น่าสนใจ แต่อ่านยาก
การให้สีพื้นและสีตัวอักขระ
ตัวหนังสือขาวบนพื้นดำ จะไม่ดีสำหรับห้องขนาดผู้ฟังหลังห้องไกลกว่า ๖ เมตร
อย่าใช้ฟอนต์สีเข้มบนพื้นเข้ม
อย่าใช้ฟอนต์สีอ่อนบนพื้นสีอ่อน
อย่าใส่สีพื้นเข้มในห้องมืด
แสงจากฉากหลังสีขาวมีพลังงานมากกว่าแสงจากตัวหนังสือสีขาว
สารบัญ
ฟอนต์และสี
กราฟแบบต่างๆ
Graphical Excellence
ข้อควรคำนึงในการนำเสนอ
|
thaiwikibooks
| 195,532 |
เทคนิคการนำเสนอพาวเวอร์พอยต์/กราฟแบบต่างๆ
|
Tabulating and Graphing Categorical Data
Univariate data:
Tabulate using a summary table.
Graph using a bar chart or a pie chart
Bivariate Data:
Tabulate using a contingency table.
Graph using a compound bar chart.
Summary Table
Summary Table.
2. Count by Tallying
3. Show Frequencies (Counts) or Percentages
กราฟวงกลม
ลักษณะ
เน้นที่ส่วนแบ่งของแต่ละชิ้น
มักไม่เน้นที่ปริมาณ
มักแสดงเป็นเปอร์เซนต์
คำแนะนำ
หลีกเลี่ยงกราฟสามมิติ
เรียงจากมากมาน้อย
ถ้าไม่มีสีควรใส่ ลวดลาย
ไม่ควรมีจำนวนชิ้นมากเกินไป
กราฟเรดาร์
ลักษณะ
เพื่อแสดงความสมดุลย์ของตัวแปรต่างๆ ในทิศทางต่างๆ
คำแนะนำ
จำนวนตัวแปรทั้ง (หลักและรอง) ควรจะต้องจำกัด
กราฟพื้นที่ผิวสามมิติ
ลักษณะ
ใช้กับสามตัวแปร
ใช้แสดงการความสัมพันธ์ในทุกกรณี
คำแนะนำ
สารบัญ
ฟอนต์และสี
กราฟแบบต่างๆ
Graphical Excellence
ข้อควรคำนึงในการนำเสนอ
|
thaiwikibooks
| 195,533 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ร้านค้า
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,534 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/คำตรงกันข้าม
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,535 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/หน่วยวัด
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,536 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ร่างกายมนุษย์
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,537 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ห้องนอน
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,538 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ขนาดและปริมาณ
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,539 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ครอบครัว
|
== ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,540 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/สัตว์เล็กและแมลง
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,541 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ผลไม้
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,542 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/สี
|
สีดำ
hēi sè 黑色
สีฟ้า
lán sè 蓝色
สีน้ำตาล
zōng sè 棕色
สีเขียว
lǜ sè 绿色
สีส้ม
jú hóng sè 橘红色
สีม่วง
zĭ sè 紫色
สีแดง
hóng sè 红色
สีขาว
bái sè 白色
สีเหลือง
huáng sè 黄色
สีเทา
huī sè 灰色
สีทอง
jīn sè 金色
สีเงิน
yín sè 银色
|
thaiwikibooks
| 195,543 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/เครื่องใช้ไฟฟ้า
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,544 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ผัก
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,545 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ศาสนา
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,546 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/อุปนิสัย
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,547 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/นก
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,548 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/เขตปกครอง
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,549 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/โรค
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,550 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/อินเตอร์เน็ต
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,551 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ประกอบอาหาร
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,552 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ประเทศ
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,553 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/ธาตุ
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,554 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/เสื้อผ้า
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,555 |
ภาษาจีน/คำศัพท์/อาชีพ
|
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,556 |
อาชีพ
|
เปลี่ยนทาง ภาษาจีน/คำศัพท์/อาชีพ
|
thaiwikibooks
| 195,557 |
ภาษาฟินแลนด์/ตัวอักษร
|
ตัวอักษร Aakkoset
สารบัญ
ตัวอักษร
คำนาม
คำกริยา
คำสรรพนาม
คำคุณศัพท์
บทสนทนา
|
thaiwikibooks
| 195,558 |
ภาษาฟินแลนด์/บทสนทนา
|
สวัสดี Hyvää päivää
สวัสดี Hyvää päivää.
สิ่งแรกเวลาพบปะผู้คนเราจะทักทายด้วยคำว่าสวัสดี และใช้คำเรียกคุณด้วยความสุภาพ คำเรียกในภาษาฟินแลนด์คือ
herra (เฮระ) นาย
rouva (รอว์วะ) นาง
neiti (เนย์ติ) นางสาว
Hei (เฮย์), Moi (มอย), Terve (เตรเวะ)
Hei เป็นใช้กึ่งทางการและเป็นทางการมากกว่า Moi หรือ Terve และ 3 คำนี้สามารถใช้เป็นคำลาจากแบบไม่เป็นทางการได้
Hyvää huomenta (ฮึแว ฮัวเมนตะ) หรือ Huomenta (ฮัวเมนตะ) หมายถึง อรุณสวัสดิ์ แต่คำหลังเป็นทางการน้อยกว่า
Hyvää aamupäivää (ฮึแว อามุแปย์แว) เป็นคำทักทายอีกคำที่ใช้สำหรับตอนเช้า
Hyvää päivää (ฮึแว แปย์แว) หรือ Päivää (แปย์แว) หมายถึง สวัสดีในตอนกลางวัน
Hyvää iltapäivää (ฮึแว อีลตะแปย์แว) หมายถึง สวัสดีตอนบ่าย
Hyvää iltaa (ฮึแว อีลตา) หรือ Iltaa (อีลตา) หมายถึง สวัสดีตอนเย็น
Näkemiin (แนะเกะมีน) หรือแบบไม่เป็นทางการ nähdään (แนดแดน) หมายถึง ลาก่อน พบกันใหม่
Mitä kuuluu? (มิแตะ กูลู) หรือ Kuinka voit / voitte? (มิแตะ วอยต์/วอยเตะ) สุภาพกว่า หมายถึง สบายดีหรือ
Kiitos, hyvää. (กีตอส ฮึแว) สบายดี ขอบคุณ
Ei niin hyvää, kiitos. (เอย์ นีน ฮึแว กีตอส) ไม่ค่อยดีเลย ขอบคุณ
คุณมาจากไหน ?
คุณมาจากไหน ?
Mistä olet(te) kotoisin? (มิสแตะ ออลเลตเตะ กอตตอยซิน) คุณมาจากไหน
Olen (kotoisin)... -sta/-stä, -lta/-ltä (ออลเลน กอตตอยซิน...-สตะ/-สแตะ -ลตะ/-ลแตะ) ผมมาจาก...
ตัวอย่าง: Olen (kotoisin) Italiasta (ออลเลน กอตตอยซิน อิตัลลิอัสตะ) ผมมาจากอิตาลี
Asun... -ssa/-ssä, -lla/-llä (อะซุน...-สะ/-แสะ -ละ/-และ) ผมอาศัยอยู่ที่...
ตัวอย่าง: Asun Espoossa (อะซุน เอสปอสสะ) ผมอาศัยอยู่ในเมืองเอสปอ(ทางตะวันตกของกรุงเฮลซิงกิ)
บทสนทนาที่ 1
Pekka: Hei, Jussi.
Jussi: Terve, Pekka.
บทสนทนาที่ 2
Herra Virtanen: Hyvää huomenta, rouva Mäkelä.
Rouva Mäkelä: Hyvää päivää, herra Virtanen.
Herra Virtanen: Mitä kuuluu?
Rouva Mäkelä: Kiitos, hyvää
สารบัญ
ตัวอักษร
คำนาม
คำกริยา
คำสรรพนาม
คำคุณศัพท์
บทสนทนา
|
thaiwikibooks
| 195,559 |
ภาษาฟินแลนด์/บทนำ
|
ภาษาฟินแลนด์ เป็นภาษาที่พูดโดยประชากรส่วนใหญ่ของฟินแลนด์ (เป็นภาษาแม่ถึง 92%) รวมถึงชาวฟินน์ที่อาศัยนอกฟินแลนด์ด้วย เป็นภาษาทางการในฟินแลนด์และภาษาชนกลุ่มน้อยในสวีเดน ทั้งในรูปแบบมาตรฐานและ ภาษาเมแอนเคียลิ (Meänkieli) และในนอร์เวย์ในรูปของภาษาคเวน
ภาษาฟินแลนด์เป็นภาษากลุ่มฟินโน-ยูกริก และจัดเป็นภาษาติดต่อคำ (agglutinative language) ภาษาฟินแลนด์แปลงรูปของคำนาม คำวิเศษณ์, คำสรรพนาม, คำเลข, คำกริยา ตามบทบาทในประโยค
ภาษาฟินแลนด์เป็นภาษาที่แตกจากภาษาอื่น ๆ โดยทั่วไปในยุโรปมาก จุดเด่นของภาษาตระกูลฟินโน-อูกริกคือ เป็นภาษาที่ไม่มีคำบุพบท แต่จะใช้วิธีการผันคำแทน
การเขียนภาษาฟินแลนด์ ใช้ตัวอักษรละตินซึ่งประกอบด้วย29ดังนี้ A-อา B-เบ C-เซ D-เด E-เอ F-แอฟ G-เก H-โฮ I-อี J-ยี K-โก L-แอล M-แอม N-แอน O-โอ P-เป Q-กู R-แอรฺ S-แอส T-เต U-อู V-เว W-กักโชยส์-เว (Kaksois-Vee) X-แอกซ์ Y-อวี Z-เซตตา Å-โอของสวีเดน (Ruotsin-Oo) Ä-แอ Ö-เออวฺ
โดยที่ตัว C Q W X Z และ Å ใช้ในคำที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศเท่านั้น การสะกดคำของภาษาฟินแลนด์เป็นลักษณะการเขียนตามเสียงที่อ่านเหมือนภาษามาเลเซีย ภาษาอินโดนีเซียและภาษาเวียดนาม
สารบัญ
ตัวอักษร
คำนาม
คำกริยา
คำสรรพนาม
คำคุณศัพท์
บทสนทนา
|
thaiwikibooks
| 195,560 |
ภาษาฟินแลนด์/คำกริยา
|
คำกริยาของภาษาฟินแลนด์มีกฎของการผันเช่นเดียวกับภาษาฝรั่งเศส คือการกระจายรูปของคำกริยาตามประธานของประโยค นอกจากนี้ยังต้องผันตามกาล แต่ผันเฉพาะอดีตกาล และปัจจุบันกาลเท่านั้น เราสามารถแบ่งกลุ่มของกริยาตามรูปแบบการผันในภาษาฟินแลนด์ได้เป็น5แบบ (ไม่รวมกริยายกเว้น) โดยจะยกตัวอย่างของV.Asua แปลว่า อยู่ อาศัย (ผันตามกฎรูปแบบที่1) Preesens ปัจจุบันกาล Minä asun (-n) Sinä asut (-t) Hän asuu (-Vokaali) Me asumme (-mme) Te asutte (-tte) He asuvat (-vat,vät)
Imperfekti อดีตกาล Minä asuin Sinä asuit Hän asui Me asuimme Te asuitte He asuivat จะสังเกตได้ว่าการผันกริยาไม่ว่าในกาลไหนก็ตามจะมีการเปลี่ยนรูปเฉพาะด้านหลังเท่านั้น ซึ่งเปลี่ยนไปตามประธานแต่ละตัว
สารบัญ
ตัวอักษร
คำนาม
คำกริยา
คำสรรพนาม
คำคุณศัพท์
บทสนทนา
|
thaiwikibooks
| 195,561 |
ภาษาฟินแลนด์/คำนาม
|
คำนามในภาษาฟินแลนด์มีลักษณะทต่างจากภาษายุโรปอื่นๆมาก โดยรากศัพท์ส่วนใหญ่มาจากภาษาซามิ(ชนเผ่าทางเหนือของสแกนดิเนเวียและรัสเซียตะวันตก) ภาษาเอสโตเนีย นอกจากนี้ ปัจจุบันคำที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษ ภาษาสวีเดนและภาษาเยอรมันก็เป็นที่นิยมอยู่ไม่น้อย แต่นอกจากคำนามเหล่านี้จะมีรูปเอกพจน์และพหูพจน์แล้ว ยังต้องผันคำตามรูปแบบของคำที่ถูกใช้ในประโยคด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะภาษาฟินแลนด์ไม่มีคำบุพบท ในที่นี้ขอยกตัวอย่างคำว่าTaloซึ่งแปลว่าบ้าน
สารบัญ
ตัวอักษร
คำนาม
คำกริยา
คำสรรพนาม
คำคุณศัพท์
บทสนทนา
|
thaiwikibooks
| 195,562 |
ภาษาฟินแลนด์/คำคุณศัพท์
|
คำคุณศัพท์เมื่อขยายคำนามก็ต้องผันตามคำนามที่ขยายด้วย เช่น iso talo บ้านใหญ่ isot talot บ้านใหญ่ (หลายหลัง) isossa talossa ในบ้านหลังใหญ่ (หลังเดียว) isoissa taloissa ในบ้านหลังใหญ่ (หลายหลัง)
สารบัญ
ตัวอักษร
คำนาม
คำกริยา
คำสรรพนาม
คำคุณศัพท์
บทสนทนา
|
thaiwikibooks
| 195,563 |
ภาษาฟินแลนด์/คำสรรพนาม
|
สรรพนามของภาษาฟินแลนด์ไม่มีลักษณะการแบ่งเพศ แต่มีการแบ่งพจน์เหมือนภาษาอังกฤษ
บางครั้งTeอาจใช้แทนSinäในภาษาทางการหรือสุภาพมาก ๆ
สารบัญ
ตัวอักษร
คำนาม
คำกริยา
คำสรรพนาม
คำคุณศัพท์
บทสนทนา
|
thaiwikibooks
| 195,564 |
คันจิ
|
เปลี่ยนทาง ภาษาญี่ปุ่น/คันจิ
|
thaiwikibooks
| 195,565 |
ภาษาญี่ปุ่น/ตัวอักษร
|
ตัวอักษรที่ใช้ในภาษาญี่ปุ่นปัจจุบันมี 3 กลุ่ม คือ
ฮิรางานะ (ひらがな)
คาตากานะ (かたかな)
คันจิ (漢字)
ฮิรางานะ (ひらがな)
คาตากานะ (かたかな)(カタガナ)
คาตากานะ (かたかな)(カタガナ).
ใช้เขียนคำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ และ ใช้เมื่อต้องการเน้นคำพูด
คันจิ (漢字)
คันจิ (漢字).
เป็นอักษรจีนที่ญี่ปุ่นนำเข้ามาใช้ โดยคำที่ใช้ในชีวิตประจำวันมีประมาณ 2,000 คำ
สารบัญ
ตัวอักษร
การออกเสียง
บทเรียน 1
คันจิ
|
thaiwikibooks
| 195,566 |
ภาษาญี่ปุ่น/การออกเสียง
|
การออกเสียงในภาษาญี่ปุ่นแม้จะมีความหมายและเขียนเหมือนกันแต่การออกเสียงมีลักษณะที่แตกต่างกันออกขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่างๆ
อักษรในกลุ่ม か
สารบัญ
ตัวอักษร
การออกเสียง
บทเรียน 1
คันจิ
|
thaiwikibooks
| 195,567 |
ภาษาญี่ปุ่น/ไวยากรณ์
|
ประโยคภาษาญี่ปุ่นจะเรียงลำดับเป็น ประธาน-กรรม-กริยา
สารบัญ
ตัวอักษร
การออกเสียง
|
thaiwikibooks
| 195,568 |
ภาษาญี่ปุ่น/บทเรียน/1
|
บทเรียนนี้จะเป็นการแนะนำให้เห็นภาพกว้างๆของประโยคในภาษาญี่ปุ่น โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นมาก่อน
ก่อนจะเข้าสู่บทเรียน คุณควรจดจำศัพท์ 3 คำในตารางข้างล่างนี้ ซึ่งคุณจะได้พบเจอบ่อยในบทเรียนต่อๆไป คุณไม่จำเป็นต้องรู้วิธีอ่านอักษรญี่ปุ่นในตอนนี้ แต่ขอให้จดจำ"คำอ่าน"และ"ความหมาย"ให้ขึ้นใจ
ตารางข้างล่างนี้เป็นชื่อคน คุณไม่จำเป็นต้องจำ ขอให้รู้ว่าคำเหล่านี้เป็นเพียงชื่อเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายใดๆ
โครงประโยคพื้นฐาน
โครงประโยคพื้นฐาน.
รูปประโยคพื้นฐานในภาษาญี่ปุ่นประกอบด้วย "ส่วนหัวเรื่อง" และ "ส่วนแสดง"
ส่วนหัวเรื่อง จะต้องลงท้ายด้วยคำว่า は (wa อ่านว่า วะ) เสมอ
ส่วนแสดง จะต้องวาง คำกริยา ไว้ท้ายประโยค
ตัวอย่าง 1
ส่วนหัวเรื่องของประโยคนี้ก็คือ "ฉัน" ดังนั้น จึงเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ว่า watashi wa (วะตะชิ + วะ)
ส่วนแสดงของประโยคนี้ก็คือ "คือ + ทะนะกะ" ดังนั้น จึงเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ว่า tanaka desu (ทะนะกะ + เดะสึ)
ตัวอย่าง 2
ส่วนหัวเรื่อง คือ "คุณ" เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ว่า anata wa (อะนะตะ + วะ)
ส่วนแสดง คือ "คือ + นะกะมุระ" เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ว่า nakamura desu (นะกามูระ + เดสึ)
ตัวอย่าง 3
ส่วนหัวเรื่อง คือ นากามูระ เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ว่า nakamura wa (นากามูระ + วะ)
ส่วนแสดง คือ สวย เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ว่า kirei desu (คิเร + เดสึ)
คำช่วย
คำช่วย.
ตัวอย่างเช่น คำว่า は (wa อ่านว่า วะ) ที่เราได้เรียนไปนั้น ถือเป็นคำช่วยที่ใช้บอกหัวเรื่อง ดังนั้น คำใดๆที่อยู่หน้าคำว่า wa จะเป็นหัวเรื่องเสมอ
นอกจากนี้ ภาษาญี่ปุ่นยังมีคำช่วยอื่นๆอีก เช่น を (o อ่านว่า โอะ) เป็นคำช่วยที่ใช้บอกกรรม ดังนั้น คำที่อยู่หน้าคำว่า o จะเป็นกรรมของประโยคเสมอ
ตัวอย่าง 4
ตัวอย่าง 4.
กรุณาจำคำศัพท์ต่อไปนี้ก่อนอ่านตัวอย่าง
ส่วนหัวเรื่องคือ ฉัน = watashi wa (วะตะชิ วะ).
เราใช้คำช่วย "วะ" วางหลังคำว่า "วะตะชิ" เพื่อบอกว่า วะตะชิ เป็นหัวเรื่อง
ส่วนแสดงคือ อ่านหนังสือ = hon o yomimasu (ฮง โอะ โยมิมัส)
เราใช้คำช่วย "โอะ" วางหลังคำว่า"ฮง" เพื่อบอกว่า ฮง เป็นกรรม
ตัวอย่าง 5
ตัวอย่าง 6
ตัวอย่าง 6.
มาดูตัวอย่างของคำช่วยอีกคำหนึ่ง
กรุณาจำคำศัพท์ต่อไปนี้ก่อนอ่านตัวอย่าง
เราใช้ คำช่วย"เอะ" วางหลังคำว่า"โตเกียว" เพื่อบอกว่า โตเกียว เป็นจุดหมายปลายทาง
ตัวอย่าง 7
ตัวอย่าง 7.
私は東京で本を読みます
คำช่วย "เดะ" ระบุว่า"โตเกียว" เป็นสถานที่ที่เกิดการกระทำขึ้น (การอ่าน)
คำช่วย "โอะ" ระบุว่า"ฮง" เป็นกรรม
สารบัญ
ตัวอักษร
การออกเสียง
บทเรียน 1
คันจิ
|
thaiwikibooks
| 195,569 |
ภาษาญีปุ่น/บทเรียน/1
|
เปลี่ยนทาง ภาษาญี่ปุ่น/บทเรียน/1
|
thaiwikibooks
| 195,570 |
คำคุณศัพท์
|
เปลี่ยนทาง ภาษาอังกฤษ/ไวยากรณ์/หน้าที่ของคำ/คำคุณศัพท์
|
thaiwikibooks
| 195,571 |
กีตาร์/คอร์ด
|
ไมเนอร์
E Major
A Major
D Major
G Major
C Major
F Major
ไมเนอร์คอร์ด
E Minor
A Minor
D Minor
คอร์ดอื่นๆ
คอร์ดอื่นๆ.
D7
E7
A7
G7
B7
|
thaiwikibooks
| 195,572 |
ภาษาไทย/เสียง
|
ภาษาไทยมีทั้งหมด 5 เสียง ได้แก่
เสียงสูง
เสียงกลาง
เสียงต่ำ
เสียงที่เพิ่มขึ้น
เสียงลดลง
โทนเสียง
|
thaiwikibooks
| 195,573 |
วิธีแก้และลบ Virus ซ่อน Folder ซ่อน File อย่างง่าย
|
อันดับแรกต้องมาดูว่าไวรัสซ่อนโฟรเดอร์มันมีลักษณะแบบใด
อธิบายเพิ่มเติม
โฟลเดอร์สีจางๆจะเป็นโฟลเดอร์จริงที่ถูกซ่อนเอาใว้ แต่โปรเดอร์ที่สีเข้ม และเป็นแบบShortcut และมีรูปลูกศรตรงมุมซ้าย
วิธีการกำจัดไวรัสซ่อนไฟล์
วิธีการกำจัดไวรัสซ่อนไฟล์.
1.กด start พิมพ์ในช่องค้นหาว่า cmd หรือคลิกที่ run
2.จะได้หน้าต่างสีดำๆแบบนี้มา ให้ทำการดูว่า แฟรชไดส์เราเป็นไดส์อะไร(ไดส์ที่เราจะทำการกำจัดไวรัสซ่อนไฟล์) เช่น ถ้าเป็นไดส์ G ก็ให้พิมพ์ g: ไดส์ D = d: เป็นต้น แล้วกดEnter
3.จากนั้นให้ทำการพิมพ์ว่า attrib -r -s -a -h /d /s แล้วกด Enter
4. รอสักครู่ จนกว่าจะขึ้นแบบ ในกรอบสี่เหลี่ยมสีแดง พอขึ้นแบบนี้แล้วให้ทำการ ปิด แล้วให้เปิดไดส์ ของแฟรชไดส์ของเรา
5.จะเป็นว่าโฟลเดอร์ของเราที่ถูกไวรัสซ่อนใว้โผล่ขึ้นมาแล้ว(โฟลเดอร์จริงที่ไม่เป็น short cut)
6. ตัวไวรัสยังไม่หายไปให้เราทำการลบ โฟลเดอร์ไวรัส ที่เป็น short cut (มีรูปลูกศรมุมซ้าย) เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ
|
thaiwikibooks
| 195,574 |
ครอสเวิร์ดเกม/เล่นด้วย J
|
ตัว J ใน ครอสเวิร์ดเกม มีแต้ม 8 คะแนน
TWL 3 ตัวอักษรที่ใช้ตัว J
AJI, HAJ, JAB, JAG, JAM, JAR, JAW, JAY, JEE, JET, JEU, JEW, JIB, JIG, JIN, JOB, JOE, JOG, JOT, JOW, JOY, JUG, JUN, JUS, JUT, RAJ, TAJ
CSW 3 ตัวอักษร ที่ประกอบ J
GJU#, JAI#, JAK#, JAP#, JIZ#, JOL#, JOR#, JUD#
คำที่ใช่ลงบ่อย
GENIE[S]
JIN[S]
JINN[S]
JINNI[S]
JINNEE (does not take the S)
DJIN[S]
DJINN[S]
DJINNI
ตัวอย่างการลง J ในกระดาน
|
thaiwikibooks
| 195,575 |
ภาษาไทย/ศัพท์ต่างประเทศที่ใช้คำไทยแทนได้
|
ศัพท์ต่างประเทศที่ใช้คำไทยแทนได้ คือ ศัพท์ภาษาต่างประเทศ(ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ)ที่มักใช้กันในสังคมไทยในรูปทับศัพท์ไม่ว่าในการเขียนหรือการพูด ทั้งๆที่มีคำศัพท์ภาษาไทยที่เหมาะสมซึ่งสามารถใช้แทนกันได้ การเลือกใช้ควรจะพิจารณาความเหมาะสมและบริบท เปรียบเทียบกับการใช้คำทับศัพท์ ในส่วนต่อไปนี้ จะยกตัวอย่างที่ใช้กันทั่วไป
ภาษาอังกฤษ
อักษร A
อักษร B
อักษร C
อักษร D
อักษร F
อักษร M
อ้างอิง
ศัพท์ต่างประเทศที่ใช้คำไทยแทนได้ ราชบัณฑิตยสถาน
ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร
|
thaiwikibooks
| 195,576 |
โซ่อาหาร
|
ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงาน ของทุกระบบนิเวศบนโลก พลังงานแสงจะมีการเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานศักย์ ทำให้พืชเกิดกระบวนการสังเคราะห์แสงและมีการสะสมสารอาหารไว้ เพื่อที่จะถ่ายทอดไปยังผู้บริโภคลำดับต่อไป การถ่ายทอดพลังงานเป็นลำดับแบบเส้นตรงหรือวงกลมจะเรียกว่า โซ่อาหาร (Food chain) จะมีความสัมพันธ์กันแบบไม่ซับซ้อน และยังเป็นเส้นตรงส่วนหนึ่งในสายใยอาหาร การที่พลังงานถูกถ่ายทอดจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งไปสู้อีกชีวิตหนึ่ง โดยเริ่มจากพืชได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ทำให้เกิดกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงและสะสมสารอาหารพืชถือเป็นผู้ผลิต (Producers) ในลำดับโซ่อาหาร หลังจากนั้นจะมีผู้บริโภคปฐมภูมิหรืออันดับแรก (Primary consumers) กินพืชเป็นอาหารโดยตรง ดังนั้นจะเรียกสัตว์พวกนี้ว่าสัตว์กินพืช (Herbivores) เช่น กวาง ม้า วัว และยีราฟ และต่อมาก็จะมีผู้บริโภคทุติยภูมิหรือสัตว์ที่กินผู้บริโภคอันดับแรกเป็นอาหาร (Secondary consumer) จะมีได้ทั้งสัตว์ที่กินเนื้ออย่างเดียว(Carnivores) และสัตว์ที่กินทั้งเนื้อและพืช (Omnivores) จะได้รับการถ่ายทอดพลังงานเป็นทอดๆอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เกิดเป็นโซ่อาหารในระบบนิเวศและการถ่ายทอดพลังงานในรูปของสารอาหารตามขั้นของผู้บริโภค หน้า 71
ห่วงโซ่อาหาร เป็นการกินต่อกันเป็นทอดๆของสิ่งมีชีวิต พืชและสัตว์จำเป็นต้องได้รับพลังงานเพื่อใช้ในการดำรงชีวิต โดยพืชจะได้รับพลังงานจากแสงของดวงอาทิตย์โดยใช้รงควัตถุสีเขียวที่เรียกว่า คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) เป็นตัวดูดกลืนพลังงานแสงเพื่อนำมาใช้ในการสร้างอาหาร เช่น กลูโคส แป้ง ไขมัน โปรตีน สำหรับสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ จำเป็นต้องได้รับพลังงานจากการบริโภคสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหารในกลุ่มสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ ห่วงโซ่อาหารไม่ได้ดำเนินไปอย่างอิสระแต่ละห่วงโซ่อาหาร อาจมีความสัมพันธ์กับห่วงโซ่อื่นอีก โดยเป็นความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อน เช่น สิ่งมีชีวิตหนึ่ง ในห่วงโซ่อาหารหนึ่ง อาจเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งในห่วงโซ่อาหารอื่นก็ได้ มีผลทำให้กลุ่มสิ่งมีชีวิตนั้นมีความมั่นคงในการดำรงชีวิตมากตามไปด้วย
องค์ประกอบภายในโซ่อาหาร
องค์ประกอบภายในโซ่อาหาร.
ภายในโซ่อาหาร ประกอบด้วย
Producer
Producer.
ผู้ผลิต เป็นส่วนแรกของการถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศหรือห่วงโซ่อาหารต่างๆ ซึ่งเกิดจากแสงอาทิตย์จะมีการเปลี่ยนเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานศักย์ ทำให้เกิดการสังเคราะห์แสงของพืช และพืชเหล่านี้สร้างอาหารได้จากพลังแสงอาทิตย์และอนินทรีสารต่างๆ เช่น ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน คาร์บอน เกลือแร่จากดิน และน้ำ นำไปสร้างอาหารทำให้เกิดเนื้อเยื่อต่างๆ นอกจากพืชแล้วยังมีพวกแพลงค์ตอนพืช และ แบคทีเรียบางชนิด ยังสามารถสร้างอาหารจากแสงอาทิตย์ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าพืชเป็นผู้ผลิตอาหารของโลก
Consumer
Consumer.
ผู้บริโภค คือ สิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารเองไม่ได้ แต่มีการได้รับพลังงานมาจากการกินสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ผู้บริโภคอาจมีทั้งผู้บริโภคลำดับหนึ่ง และผู้บริโภคลำดับสอง ซึ่งสามารถแบ่งได้ 3 ประเภท คือ
Herbivore เป็นสิ่งมีชีวิตที่กินพืชเป็นอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามาถนำเนื้อเยื่อของพืชมาสร้างเป็นเนื้อเยื่อของตัวเองได้ เช่น วัว ควาย ตั๊กแตน เต่า เป็นต้น รวมถึงปลาเล็กๆที่กินพืชเป็นอาหาร
Carnivore เป็นสิ่งมีชีวิตที่กินสัตว์เป็นอาหาร ซึ้งสิ่งมีชีวิตพวกนี้จะมีระบบประสาท มีกล้ามเนื้อ และมีรูปร่างใหญ่ และแข็งแรงกว่าสัตว์กินพืช เช่น เหนี่ยว งู สุนัขจิ้งจอก ปลากินเนื้อบางชนิด เป็นต้น
Omnivore เป็นสิ่งมีชีวิตที่กินทั้งพืชและสัตว์ เช่น หนู ไก่ และนอกจากนี้ยังได้แก่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ไม่ถูกกินโดยสัตว์อื่นๆต่อไป เป็นสัตว์ที่อยู่ในอันดับสุดท้ายของการถูกกินเป็นอาหาร เช่น มนุษย์ เป็นต้น
Decomposer
ประเภทของโซ่อาหาร
ประเภทของโซ่อาหาร.
โซ่อาหารมี 2 ประเภท ได้แก่
Grazing food chain
Detritus food chain หรือ Saprophytic food chain
ชนิดของโซ่อาหาร
ชนิดของโซ่อาหาร.
ลักษณะการกินต่อกันของสิ่งมีชีวิตนั้น สามารถจำแนกได้ ดังนี้
Parasitism food chain
Predation food chain
Decomposition food chain
กระบวนการที่จะย่อยสลายซากพืชและสัตว์ให้กลับคืนสู่สภาพที่ผู้ผลิตจะใช้ได้เกิดได้จากทั้งจาก abiotic (เช่น ไฟป่า) และ biotic เช่น แบคทีเรียและราต่างๆ ขันตอนของการย่อยสลายมี 3 ขั้นตอนคือ
การย่อยสลายเพื่อให้เกิดสารอินทรีย์เดไตรตัส (formation of particulate detritus)
การย่อยสลายเพื่อให้เกิดฮิวมัส (formation of humus)
การย่อยสลายฮิวมัสเป็นแร่ธาตุ (mineralization of humus)
Mix food chain
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
|
thaiwikibooks
| 195,577 |
เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น
|
สารบัญ
|
thaiwikibooks
| 195,578 |
ภาษาจีน/ภาคผนวก/ท่าทางในการแสดงตัวเลข
|
= ท่าทาง =
|
thaiwikibooks
| 195,579 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.