title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดยุติธรรม ติดตามงานฟื้นฟูฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด
วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2559 ปลัดยุติธรรม ติดตามงานฟื้นฟูฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด นายชาญเชาว์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายชาญเชาว์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เพื่อรับทราบสถานการณ์การดําเนินงานตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ และการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขร่างระเบียบคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดว่าด้วยการตรวจพิสูจน์ การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด การควบคุมตัว และการปฏิบัติต่อผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ และผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.๒๕๔๖ ภายหลังการถ่ายโอนภารกิจ ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด แบบไม่ควบคุมตัว ให้กระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ รวมถึงเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะอนุกรรมการฟื้นฟู สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดประจําเขตพื้นที่ ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยมีพันตํารวจเอก ดร. ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราขบุรีดิเรกฤทธิ์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดยุติธรรม ติดตามงานฟื้นฟูฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2559 ปลัดยุติธรรม ติดตามงานฟื้นฟูฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด นายชาญเชาว์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายชาญเชาว์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เพื่อรับทราบสถานการณ์การดําเนินงานตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ และการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขร่างระเบียบคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดว่าด้วยการตรวจพิสูจน์ การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด การควบคุมตัว และการปฏิบัติต่อผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ และผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.๒๕๔๖ ภายหลังการถ่ายโอนภารกิจ ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด แบบไม่ควบคุมตัว ให้กระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ รวมถึงเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะอนุกรรมการฟื้นฟู สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดประจําเขตพื้นที่ ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยมีพันตํารวจเอก ดร. ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราขบุรีดิเรกฤทธิ์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/892
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. สั่งการโรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่ง ให้ความสำคัญมาตรการรักษาความปลอดภัย
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2560 ปลัด สธ. สั่งการโรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่ง ให้ความสําคัญมาตรการรักษาความปลอดภัย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการโรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่ง ให้ความสําคัญมาตรการรักษาความปลอดภัย กําชับเจ้าหน้าที่ทุกคนช่วยกันสังเกตความผิดปกติ ตรวจสอบกล้องวงจรปิดให้ใช้งานได้ และติดตั้งเพิ่มในจุดสําคัญ นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ความสําคัญกับความปลอดภัยของสถานพยาบาล ความปลอดภัยของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ กําชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนช่วยกันเป็นหู เป็นตา สอดส่องสังเกตความผิดปกติต่างๆ เช่น สิ่งของที่ตั้งทิ้งไว้โดยไม่มีเจ้าของ บุคคลที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย และต้องตรวจสอบกล้องวงจรปิดให้อยู่ในสภาพใช้การได้ หากต้องติดตั้งเพิ่มในจุดสําคัญ ดําเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนนี้ โดยทําหนังสือสั่งการไปยังทุกจังหวัดอีกครั้ง นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า สําหรับกรณีพบวัตถุต้องสงสัยที่โรงพยาบาลชลบุรีเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 มิถุนายน 2560) ขอชื่นชมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลที่ได้มีการตรวจตราอย่างละเอียด ทําให้พบวัตถุต้องสงสัยดังกล่าว ซึ่งทราบว่าที่ผ่านมาโรงพยาบาลชลบุรีได้มีการอบรมทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาล ทําให้การดําเนินงานมีประสิทธิภาพเป็นอย่างดี ************************************** 9 มิถุนายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. สั่งการโรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่ง ให้ความสำคัญมาตรการรักษาความปลอดภัย วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2560 ปลัด สธ. สั่งการโรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่ง ให้ความสําคัญมาตรการรักษาความปลอดภัย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการโรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่ง ให้ความสําคัญมาตรการรักษาความปลอดภัย กําชับเจ้าหน้าที่ทุกคนช่วยกันสังเกตความผิดปกติ ตรวจสอบกล้องวงจรปิดให้ใช้งานได้ และติดตั้งเพิ่มในจุดสําคัญ นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ความสําคัญกับความปลอดภัยของสถานพยาบาล ความปลอดภัยของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ กําชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนช่วยกันเป็นหู เป็นตา สอดส่องสังเกตความผิดปกติต่างๆ เช่น สิ่งของที่ตั้งทิ้งไว้โดยไม่มีเจ้าของ บุคคลที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย และต้องตรวจสอบกล้องวงจรปิดให้อยู่ในสภาพใช้การได้ หากต้องติดตั้งเพิ่มในจุดสําคัญ ดําเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนนี้ โดยทําหนังสือสั่งการไปยังทุกจังหวัดอีกครั้ง นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า สําหรับกรณีพบวัตถุต้องสงสัยที่โรงพยาบาลชลบุรีเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 มิถุนายน 2560) ขอชื่นชมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลที่ได้มีการตรวจตราอย่างละเอียด ทําให้พบวัตถุต้องสงสัยดังกล่าว ซึ่งทราบว่าที่ผ่านมาโรงพยาบาลชลบุรีได้มีการอบรมทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาล ทําให้การดําเนินงานมีประสิทธิภาพเป็นอย่างดี ************************************** 9 มิถุนายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4412
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พาณิชย์’ จับมือ WTO พัฒนานักเจรจาการค้าของไทย
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561 ‘พาณิชย์’ จับมือ WTO พัฒนานักเจรจาการค้าของไทย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร) หารือ รองผู้อํานวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (นายโยนอฟ เฟดเดอริก อากา) สร้างความร่วมมือด้านวิชาการและการฝึกอบรมของ WTO พัฒนาศักยภาพบุคลากรไทยให้มีความรู้และทักษะด้านนโยบายและกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ ให้เป็นนักเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่มีคุณภาพ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2561 ได้พบหารือกับนายโยนอฟ เฟดเดอริก อากา รองผู้อํานวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) ในโอกาสเดินทางเยือนไทย เพื่อเข้าร่วมพิธีปิดการอบรม และมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้จบหลักสูตรนโยบายการค้า หรือRegional Trade Policy Course(RTPC) ที่สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา(International Institute for Traded and Development. : ITD)ร่วมกับองค์การการค้าโลกจัดขึ้นระหว่างวันที่22ตุลาคม– 14ธันวาคม 2561 โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องความร่วมมือด้านวิชาการและการฝึกอบรมของWTOเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรของไทย โดยเฉพาะการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญจากWTOในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ไทยให้มีองค์ความรู้ด้านกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ และการเป็นนักเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นายบุณยฤทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา สํานักงานเลขาธิการWTOได้ให้การสนับสนุนไทยในการส่งผู้เชี่ยวชาญของWTOมาเป็นวิทยากรในหลักสูตรต่างๆ ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจัดขึ้นเป็นประจํา โดยเฉพาะหลักสูตรด้านการพัฒนานักเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่จัดให้ข้าราชการที่เข้าใหม่ และข้าราชการที่มีประสบการณ์ในการเจรจาแล้ว เพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะด้านนโยบายและกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะนักเจรจาการค้าระหว่างประเทศของไทย นายบุณยฤทธิ์ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันสมาชิกWTOเริ่มหารือเกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูปกลไกการทํางานของWTO(WTO Reform)ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งเรื่องการปรับปรุงกระบวนการระงับข้อพิพาททางการค้า และความโปร่งใสของWTOเป็นต้น กระทรวงพาณิชย์จึงมีแผนที่จะจัดสัมมนาเรื่องนี้ในช่วงต้นปี 2562 โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศโดยความร่วมมือของWTOร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนา เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญของไทย ซึ่งWTOยินดีสนับสนุนการจัดสัมมนาดังกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พาณิชย์’ จับมือ WTO พัฒนานักเจรจาการค้าของไทย วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561 ‘พาณิชย์’ จับมือ WTO พัฒนานักเจรจาการค้าของไทย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร) หารือ รองผู้อํานวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (นายโยนอฟ เฟดเดอริก อากา) สร้างความร่วมมือด้านวิชาการและการฝึกอบรมของ WTO พัฒนาศักยภาพบุคลากรไทยให้มีความรู้และทักษะด้านนโยบายและกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ ให้เป็นนักเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่มีคุณภาพ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2561 ได้พบหารือกับนายโยนอฟ เฟดเดอริก อากา รองผู้อํานวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) ในโอกาสเดินทางเยือนไทย เพื่อเข้าร่วมพิธีปิดการอบรม และมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้จบหลักสูตรนโยบายการค้า หรือRegional Trade Policy Course(RTPC) ที่สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา(International Institute for Traded and Development. : ITD)ร่วมกับองค์การการค้าโลกจัดขึ้นระหว่างวันที่22ตุลาคม– 14ธันวาคม 2561 โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องความร่วมมือด้านวิชาการและการฝึกอบรมของWTOเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรของไทย โดยเฉพาะการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญจากWTOในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ไทยให้มีองค์ความรู้ด้านกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ และการเป็นนักเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นายบุณยฤทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา สํานักงานเลขาธิการWTOได้ให้การสนับสนุนไทยในการส่งผู้เชี่ยวชาญของWTOมาเป็นวิทยากรในหลักสูตรต่างๆ ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจัดขึ้นเป็นประจํา โดยเฉพาะหลักสูตรด้านการพัฒนานักเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่จัดให้ข้าราชการที่เข้าใหม่ และข้าราชการที่มีประสบการณ์ในการเจรจาแล้ว เพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะด้านนโยบายและกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะนักเจรจาการค้าระหว่างประเทศของไทย นายบุณยฤทธิ์ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันสมาชิกWTOเริ่มหารือเกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูปกลไกการทํางานของWTO(WTO Reform)ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งเรื่องการปรับปรุงกระบวนการระงับข้อพิพาททางการค้า และความโปร่งใสของWTOเป็นต้น กระทรวงพาณิชย์จึงมีแผนที่จะจัดสัมมนาเรื่องนี้ในช่วงต้นปี 2562 โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศโดยความร่วมมือของWTOร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนา เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญของไทย ซึ่งWTOยินดีสนับสนุนการจัดสัมมนาดังกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17630
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.วิษณุฯ ชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินงานด้านกฎหมายของรัฐบาลแก่สื่อมวลชน ในกิจกรรม “สื่ออยากรู้รัฐบาลอยากเล่า” หัวข้อ “กฎหมายหลายรส อนาคตประเทศไทย”
วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2561 รอง นรม.วิษณุฯ ชี้แจงความคืบหน้าการดําเนินงานด้านกฎหมายของรัฐบาลแก่สื่อมวลชน ในกิจกรรม “สื่ออยากรู้รัฐบาลอยากเล่า” หัวข้อ “กฎหมายหลายรส อนาคตประเทศไทย” รอง นรม.วิษณุฯ กล่าวย้ําว่า การเลือกตั้งเป็นไปตามขั้นตอนของ Road map วันนี้ (25 มกราคม 2561) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงความคืบหน้าการดําเนินงานด้านกฎหมายของรัฐบาลแก่สื่อมวลชนในกิจกรรม “สื่ออยากรู้ รัฐบาลอยากเล่า” หัวข้อ “กฎหมายหลายรส อนาคตประเทศไทย” ประเด็นกฎหมายเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง สรุปสาระสําคัญว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งนั้น มีกระบวนการตามขั้นตอนขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จ ภายในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2561 จากนั้นจะเป็นขั้นตอนที่นําความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยและลงพระปรมาภิไธย โดยมีระยะเวลาตามกฎหมาย 90 วัน ก็ประมาณเดือนมิถุนายน 2561 จากนั้น คณะรัฐมนตรีจะนําไปแจ้งให้ คสช. ทราบ เพื่อนําไปสู่การประชุมร่วมกับคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และพรรคการเมืองทุกพรรค เพื่อมีมติเห็นชอบร่วมกันในการพิจารณากําหนดวันเลือกตั้งต่อไป ************************************ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.วิษณุฯ ชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินงานด้านกฎหมายของรัฐบาลแก่สื่อมวลชน ในกิจกรรม “สื่ออยากรู้รัฐบาลอยากเล่า” หัวข้อ “กฎหมายหลายรส อนาคตประเทศไทย” วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2561 รอง นรม.วิษณุฯ ชี้แจงความคืบหน้าการดําเนินงานด้านกฎหมายของรัฐบาลแก่สื่อมวลชน ในกิจกรรม “สื่ออยากรู้รัฐบาลอยากเล่า” หัวข้อ “กฎหมายหลายรส อนาคตประเทศไทย” รอง นรม.วิษณุฯ กล่าวย้ําว่า การเลือกตั้งเป็นไปตามขั้นตอนของ Road map วันนี้ (25 มกราคม 2561) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงความคืบหน้าการดําเนินงานด้านกฎหมายของรัฐบาลแก่สื่อมวลชนในกิจกรรม “สื่ออยากรู้ รัฐบาลอยากเล่า” หัวข้อ “กฎหมายหลายรส อนาคตประเทศไทย” ประเด็นกฎหมายเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง สรุปสาระสําคัญว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งนั้น มีกระบวนการตามขั้นตอนขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จ ภายในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2561 จากนั้นจะเป็นขั้นตอนที่นําความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยและลงพระปรมาภิไธย โดยมีระยะเวลาตามกฎหมาย 90 วัน ก็ประมาณเดือนมิถุนายน 2561 จากนั้น คณะรัฐมนตรีจะนําไปแจ้งให้ คสช. ทราบ เพื่อนําไปสู่การประชุมร่วมกับคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และพรรคการเมืองทุกพรรค เพื่อมีมติเห็นชอบร่วมกันในการพิจารณากําหนดวันเลือกตั้งต่อไป ************************************ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9633
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย จับมือ สปป.ลาว ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ (MOU ไทย – ลาว) เพื่อเสริมสร้างการปฏิบัติงานต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ ณ หลวงพระบาง สปป.ลาว
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560 ไทย จับมือ สปป.ลาว ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ (MOU ไทย – ลาว) เพื่อเสริมสร้างการปฏิบัติงานต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ ณ หลวงพระบาง สปป.ลาว ไทย จับมือ สปป.ลาว ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ (MOU ไทย – ลาว) เพื่อเสริมสร้างการปฏิบัติงานต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ณ หลวงพระบาง สปป.ลาว วันที่ 12 ก.ค. 60 เวลา 14.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ในฐานะผู้แทนรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และ พล.ต.ต. สมแก้ว สิลาวง (Pol Maj. Gen. Somkeo SYLAVONG) รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ในฐานะผู้แทนรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ณ หลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ฉบับแรก เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2548 ซึ่งต่อมาสถานการณ์การค้ามนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลกาภิวัฒน์ จึงเห็นพ้องให้มีการทบทวนบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ในปัจจุบัน โดยที่ผ่านมา มีการจัดประชุมหารือเพื่อทบทวนบันทึกความเข้าใจฯ จํานวน 2 ครั้ง จนแล้วเสร็จ ซึ่งได้สลับกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ดังนั้น พิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับใหม่นี้ จึงเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของทั้งสองประเทศที่จะให้มีกลไกความร่วมมือกันในการป้องกัน ปราบปราม และขจัดการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไป พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับสาระสําคัญของบันทึกความเข้าใจฯ แบ่งออกเป็น 5 ด้านหลัก คือ ด้านการป้องกัน การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ความร่วมมือในการปราบปรามการค้ามนุษย์ การส่งกลับ และการคืนสู่สังคม โดยมุ่งเน้นการปรับแก้ไข 3 ด้านสําคัญ คือ 1) ด้านการป้องกัน มุ่งเน้นการเฝ้าระวังในชุมชนและเพิ่มความเข้มงวดในการจัดทําและตรวจลงตราหนังสือเดินทาง และบัตรผ่านแดนในการเดินทางเข้าออกระหว่างสองประเทศ 2) ด้านการส่งกลับ มุ่งเน้นให้มีการประสานความร่วมมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งกลับ และ 3) ด้านการคืนสู่สังคม มุ่งเน้นให้ใช้มาตรการที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ และไม่ย้อนกลับมาเป็นผู้เสียหายฯ ซ้ําอีก “ทั้งนี้ ภายหลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างสองประเทศ จะได้กําหนดแนวทางการดําเนินงานร่วมกัน ด้วยการจัดทําแผนปฏิบัติการ (Action Plan) เพื่อเสริมสร้างแนวทางการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพในการต่อต้านการค้ามนุษย์ ซึ่งถือเป็นการยืนยันว่าทั้งสองประเทศจะร่วมมือบูรณาการทํางานร่วมกันอย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถขจัดการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปในระยะยาวต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย จับมือ สปป.ลาว ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ (MOU ไทย – ลาว) เพื่อเสริมสร้างการปฏิบัติงานต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ ณ หลวงพระบาง สปป.ลาว วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560 ไทย จับมือ สปป.ลาว ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ (MOU ไทย – ลาว) เพื่อเสริมสร้างการปฏิบัติงานต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ ณ หลวงพระบาง สปป.ลาว ไทย จับมือ สปป.ลาว ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ (MOU ไทย – ลาว) เพื่อเสริมสร้างการปฏิบัติงานต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ณ หลวงพระบาง สปป.ลาว วันที่ 12 ก.ค. 60 เวลา 14.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ในฐานะผู้แทนรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และ พล.ต.ต. สมแก้ว สิลาวง (Pol Maj. Gen. Somkeo SYLAVONG) รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ในฐานะผู้แทนรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ณ หลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ฉบับแรก เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2548 ซึ่งต่อมาสถานการณ์การค้ามนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลกาภิวัฒน์ จึงเห็นพ้องให้มีการทบทวนบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ในปัจจุบัน โดยที่ผ่านมา มีการจัดประชุมหารือเพื่อทบทวนบันทึกความเข้าใจฯ จํานวน 2 ครั้ง จนแล้วเสร็จ ซึ่งได้สลับกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ดังนั้น พิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับใหม่นี้ จึงเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของทั้งสองประเทศที่จะให้มีกลไกความร่วมมือกันในการป้องกัน ปราบปราม และขจัดการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไป พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับสาระสําคัญของบันทึกความเข้าใจฯ แบ่งออกเป็น 5 ด้านหลัก คือ ด้านการป้องกัน การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ความร่วมมือในการปราบปรามการค้ามนุษย์ การส่งกลับ และการคืนสู่สังคม โดยมุ่งเน้นการปรับแก้ไข 3 ด้านสําคัญ คือ 1) ด้านการป้องกัน มุ่งเน้นการเฝ้าระวังในชุมชนและเพิ่มความเข้มงวดในการจัดทําและตรวจลงตราหนังสือเดินทาง และบัตรผ่านแดนในการเดินทางเข้าออกระหว่างสองประเทศ 2) ด้านการส่งกลับ มุ่งเน้นให้มีการประสานความร่วมมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งกลับ และ 3) ด้านการคืนสู่สังคม มุ่งเน้นให้ใช้มาตรการที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ และไม่ย้อนกลับมาเป็นผู้เสียหายฯ ซ้ําอีก “ทั้งนี้ ภายหลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างสองประเทศ จะได้กําหนดแนวทางการดําเนินงานร่วมกัน ด้วยการจัดทําแผนปฏิบัติการ (Action Plan) เพื่อเสริมสร้างแนวทางการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพในการต่อต้านการค้ามนุษย์ ซึ่งถือเป็นการยืนยันว่าทั้งสองประเทศจะร่วมมือบูรณาการทํางานร่วมกันอย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถขจัดการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปในระยะยาวต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5162
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานแสดงกตเวทิตาจิตแด่ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงาน ประจำปี พ.ศ.2562
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562 กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานแสดงกตเวทิตาจิตแด่ข้าราชการ ลูกจ้างประจํา และพนักงาน ประจําปี พ.ศ.2562 นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานงานแสดงกตเวทิตาจิตแด่ข้าราชการ ลูกจ้างประจํา และพนักงาน ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ.2562 วันนี้ (6 กันยายน 2562) นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานงานแสดงกตเวทิตาจิตแด่ข้าราชการ ลูกจ้างประจํา และพนักงาน ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ.2562 เพื่อแสดงความขอบคุณและน้อมรําลึกถึงคุณงามความดีของข้าราชการ ลูกจ้างประจํา และพนักงานที่จะครบวาระเกษียณเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ซึ่งในปีนี้มีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ครบวาระเกษียณอายุราชการ ได้แก่ นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ นายอภิจิณ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม น.ส.สิริรัตน์ ไกรวณิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ครบวาระเกษียณอายุราชการ โดยมีนายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม น.ส.นิสากร จึงเจริญธรรม นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายประกอบ วิวิธจินดา นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานแสดงกตเวทิตาจิตแด่ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงาน ประจำปี พ.ศ.2562 วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562 กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานแสดงกตเวทิตาจิตแด่ข้าราชการ ลูกจ้างประจํา และพนักงาน ประจําปี พ.ศ.2562 นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานงานแสดงกตเวทิตาจิตแด่ข้าราชการ ลูกจ้างประจํา และพนักงาน ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ.2562 วันนี้ (6 กันยายน 2562) นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานงานแสดงกตเวทิตาจิตแด่ข้าราชการ ลูกจ้างประจํา และพนักงาน ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ.2562 เพื่อแสดงความขอบคุณและน้อมรําลึกถึงคุณงามความดีของข้าราชการ ลูกจ้างประจํา และพนักงานที่จะครบวาระเกษียณเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ซึ่งในปีนี้มีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ครบวาระเกษียณอายุราชการ ได้แก่ นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ นายอภิจิณ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม น.ส.สิริรัตน์ ไกรวณิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ครบวาระเกษียณอายุราชการ โดยมีนายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม น.ส.นิสากร จึงเจริญธรรม นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายประกอบ วิวิธจินดา นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22875
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ไทยจับมือ สธ.อิหร่าน ยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุข
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561 สธ.ไทยจับมือ สธ.อิหร่าน ยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไทย เยือนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน พร้อมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านสาธารณสุข พัฒนางานระบบสุขภาพ การประกันสุขภาพ เวชภัณฑ์และชีววัตถุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไทย เยือนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน พร้อมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านสาธารณสุข พัฒนางานระบบสุขภาพ การประกันสุขภาพเวชภัณฑ์และชีววัตถุ วันนี้ (7 มีนาคม 2561) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางเยือนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านอย่างเป็นทางการ ตามคําเชิญของกระทรวงสาธารณสุขและแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ระหว่างวันที่ 6 - 10 มีนาคม 2561 ที่กรุงเตหะราน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประเทศไทยและสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านมีความสัมพันธ์ทางการทูตมานานมากว่า63ปีและมีความร่วมมือหลายสาขาทั้งด้านเศรษฐกิจ การลงทุนและการท่องเที่ยว สําหรับด้านสุขภาพมีความร่วมมือระดับหน่วยงานในการสนับสนุนด้านวิชาการแก่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ในด้านการพัฒนาระบบสุขภาพและการประกันสุขภาพถ้วนหน้ารวมถึงการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมผ่านกระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ การเยือนครั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขในนามรัฐบาลไทย และกระทรวงสาธารณสุขและแพทยศาสตร์ศึกษาของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ร่วมกันยกระดับความร่วมมือด้านสุขภาพ โดยลงนามบันทึกความร่วมมือด้านสาธารณสุข ให้มีการศึกษาดูงานแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสองประเทศ ด้านระบบสุขภาพและการประกันสุขภาพ ด้านการพัฒนาเวชภัณฑ์และชีววัตถุ และกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมผ่านสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือด้านสุขภาพและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสอง ประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ไทยจับมือ สธ.อิหร่าน ยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุข วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561 สธ.ไทยจับมือ สธ.อิหร่าน ยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไทย เยือนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน พร้อมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านสาธารณสุข พัฒนางานระบบสุขภาพ การประกันสุขภาพ เวชภัณฑ์และชีววัตถุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไทย เยือนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน พร้อมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านสาธารณสุข พัฒนางานระบบสุขภาพ การประกันสุขภาพเวชภัณฑ์และชีววัตถุ วันนี้ (7 มีนาคม 2561) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางเยือนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านอย่างเป็นทางการ ตามคําเชิญของกระทรวงสาธารณสุขและแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ระหว่างวันที่ 6 - 10 มีนาคม 2561 ที่กรุงเตหะราน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประเทศไทยและสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านมีความสัมพันธ์ทางการทูตมานานมากว่า63ปีและมีความร่วมมือหลายสาขาทั้งด้านเศรษฐกิจ การลงทุนและการท่องเที่ยว สําหรับด้านสุขภาพมีความร่วมมือระดับหน่วยงานในการสนับสนุนด้านวิชาการแก่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ในด้านการพัฒนาระบบสุขภาพและการประกันสุขภาพถ้วนหน้ารวมถึงการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมผ่านกระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ การเยือนครั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขในนามรัฐบาลไทย และกระทรวงสาธารณสุขและแพทยศาสตร์ศึกษาของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ร่วมกันยกระดับความร่วมมือด้านสุขภาพ โดยลงนามบันทึกความร่วมมือด้านสาธารณสุข ให้มีการศึกษาดูงานแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสองประเทศ ด้านระบบสุขภาพและการประกันสุขภาพ ด้านการพัฒนาเวชภัณฑ์และชีววัตถุ และกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมผ่านสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือด้านสุขภาพและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสอง ประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10583
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอหารือร่วมกับหอการค้าจังหวัดภูเก็ต
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 บีโอไอหารือร่วมกับหอการค้าจังหวัดภูเก็ต บีโอไอหารือร่วมกับหอการค้าจังหวัดภูเก็ต บีโอไอหารือร่วมกับหอการค้าจังหวัดภูเก็ต เมื่อเร็วๆ นี้ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (กลาง) ให้การต้อนรับและหารือร่วมกับ นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต (ที่ 2 จากขวา) เกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ด้านการท่องเที่ยวและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในจังหวัดภูเก็ตยุคโควิด-19 ซึ่งจังหวัดภูเก็ตมีศักยภาพสูงในหลายด้าน เช่น ธุรกิจด้านดิจิทัล การศึกษา เมดิคัลทัวริซึ่ม รวมทั้งการส่งเสริมให้ภูเก็ตเป็นแหล่งที่ตั้งของสํานักงานธุรกิจระหว่างประเทศ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอหารือร่วมกับหอการค้าจังหวัดภูเก็ต วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 บีโอไอหารือร่วมกับหอการค้าจังหวัดภูเก็ต บีโอไอหารือร่วมกับหอการค้าจังหวัดภูเก็ต บีโอไอหารือร่วมกับหอการค้าจังหวัดภูเก็ต เมื่อเร็วๆ นี้ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (กลาง) ให้การต้อนรับและหารือร่วมกับ นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต (ที่ 2 จากขวา) เกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ด้านการท่องเที่ยวและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในจังหวัดภูเก็ตยุคโควิด-19 ซึ่งจังหวัดภูเก็ตมีศักยภาพสูงในหลายด้าน เช่น ธุรกิจด้านดิจิทัล การศึกษา เมดิคัลทัวริซึ่ม รวมทั้งการส่งเสริมให้ภูเก็ตเป็นแหล่งที่ตั้งของสํานักงานธุรกิจระหว่างประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33070
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการดำเนินงานแก่องค์การสวนสัตว์
วันพุธที่ 17 ตุลาคม 2561 รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการดําเนินงานแก่องค์การสวนสัตว์ รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการดําเนินงานแก่องค์การสวนสัตว์ รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการดําเนินงานแก่องค์การสวนสัตว์ วันที่ 16 ตุลาคม 2561 พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการดําเนินงานขององค์การสวนสัตว์ ในปีงบประมาณ ประจําปี 2562 โดยโอกาสนี้ ประธานกรรมการองค์การสวนสัตว์ และคณะกรรมการ ตลอดจนผู้อํานวยการและรองผู้อํานวยการองค์การสวนสัตว์ ได้ร่วมรับฟังแนวทางการดําเนินงานและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นร่วมกัน ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 3 อาคารสํานักงานองค์การสวนสัตว์ โดยสรุปสาระสําคัญได้ดังนี้ 1. การปรับโครงสร้างขององค์การสวนสัตว์ ยังคงให้เป็นรัฐวิสาหกิจเช่นเดิม หากมีการเปลี่ยนแปลงต้องดีกว่าเดิม 2. ให้พัฒนาสวนสัตว์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของเยาวชนในอนาคต 3. ให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรทุกระดับอย่างต่อเนื่อง 4. ให้ดูแลในเรื่องสวัสดิการต่าง ๆ แก่บุคลากรที่ต้องย้ายไปปฏิบัติงานในพื้นที่สวนสัตว์ทั้ง 6 แห่ง 5. การขนย้ายสัตว์จากสวนสัตว์ดุสิตไปยังสวนสัตว์ทั้ง 6 แห่ง ภายใต้การดูแลขององค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แก่ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา สวนสัตว์อุบลราชธานี และ สวนสัตว์ขอนแก่น ให้คํานึงถึงความปลอดภัยของสัตว์ และดําเนินการให้แล้วเสร็จตามแผน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการดำเนินงานแก่องค์การสวนสัตว์ วันพุธที่ 17 ตุลาคม 2561 รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการดําเนินงานแก่องค์การสวนสัตว์ รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการดําเนินงานแก่องค์การสวนสัตว์ รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการดําเนินงานแก่องค์การสวนสัตว์ วันที่ 16 ตุลาคม 2561 พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการดําเนินงานขององค์การสวนสัตว์ ในปีงบประมาณ ประจําปี 2562 โดยโอกาสนี้ ประธานกรรมการองค์การสวนสัตว์ และคณะกรรมการ ตลอดจนผู้อํานวยการและรองผู้อํานวยการองค์การสวนสัตว์ ได้ร่วมรับฟังแนวทางการดําเนินงานและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นร่วมกัน ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 3 อาคารสํานักงานองค์การสวนสัตว์ โดยสรุปสาระสําคัญได้ดังนี้ 1. การปรับโครงสร้างขององค์การสวนสัตว์ ยังคงให้เป็นรัฐวิสาหกิจเช่นเดิม หากมีการเปลี่ยนแปลงต้องดีกว่าเดิม 2. ให้พัฒนาสวนสัตว์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของเยาวชนในอนาคต 3. ให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรทุกระดับอย่างต่อเนื่อง 4. ให้ดูแลในเรื่องสวัสดิการต่าง ๆ แก่บุคลากรที่ต้องย้ายไปปฏิบัติงานในพื้นที่สวนสัตว์ทั้ง 6 แห่ง 5. การขนย้ายสัตว์จากสวนสัตว์ดุสิตไปยังสวนสัตว์ทั้ง 6 แห่ง ภายใต้การดูแลขององค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แก่ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา สวนสัตว์อุบลราชธานี และ สวนสัตว์ขอนแก่น ให้คํานึงถึงความปลอดภัยของสัตว์ และดําเนินการให้แล้วเสร็จตามแผน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16118
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว. รับมอบเจลล้างมือแอลกอฮอล์ 1,000 หลอด จาก วว. สนับสนุนจีน ป้องกันการระบาดไวรัส COVID -19
วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 รมว.อว. รับมอบเจลล้างมือแอลกอฮอล์ 1,000 หลอด จาก วว. สนับสนุนจีน ป้องกันการระบาดไวรัส COVID -19 รมว.อว. รับมอบเจลล้างมือแอลกอฮอล์ 1,000 หลอด จาก วว. สนับสนุนจีน ป้องกันการระบาดไวรัส COVID -19 วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2563) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) รับมอบ “เจลล้างมือแอลกอฮอล์” สูตรเพิ่มสารมือนุ่มลื่น จํานวน 1,000 หลอด จาก ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ( วว.) เพื่อสนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีอาเซียน เมืองหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซี สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดโรคติดเขื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “Covid-19” โดยมี รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวง อว. พร้อมผู้บริหาร อว. และ วว. ร่วมเป็นเกียรติด้วย ณ อาคารอุดมศึกษา 2 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ถนนศรีอยุธยา) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว. รับมอบเจลล้างมือแอลกอฮอล์ 1,000 หลอด จาก วว. สนับสนุนจีน ป้องกันการระบาดไวรัส COVID -19 วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 รมว.อว. รับมอบเจลล้างมือแอลกอฮอล์ 1,000 หลอด จาก วว. สนับสนุนจีน ป้องกันการระบาดไวรัส COVID -19 รมว.อว. รับมอบเจลล้างมือแอลกอฮอล์ 1,000 หลอด จาก วว. สนับสนุนจีน ป้องกันการระบาดไวรัส COVID -19 วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2563) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) รับมอบ “เจลล้างมือแอลกอฮอล์” สูตรเพิ่มสารมือนุ่มลื่น จํานวน 1,000 หลอด จาก ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ( วว.) เพื่อสนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีอาเซียน เมืองหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซี สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดโรคติดเขื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “Covid-19” โดยมี รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวง อว. พร้อมผู้บริหาร อว. และ วว. ร่วมเป็นเกียรติด้วย ณ อาคารอุดมศึกษา 2 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ถนนศรีอยุธยา) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26760
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กห. เร่งเพิ่มความสามารถการบริหารจัดการมาตรการกักควบคุมโรค รับคนไทยกลับจากตปท.ให้เร็วขึ้น [กระทรวงกลาโหม]
วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563 กห. เร่งเพิ่มความสามารถการบริหารจัดการมาตรการกักควบคุมโรค รับคนไทยกลับจากตปท.ให้เร็วขึ้น [กระทรวงกลาโหม] กห. เร่งเพิ่มความสามารถการบริหารจัดการมาตรการกักควบคุมโรค รับคนไทยกลับจากตปท.ให้เร็วขึ้น พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 11 พ.ค. 63 : 0900 พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้ประชุมร่วมกับ กอ.รมน. นขต.กห.และเหล่าทัพ เพื่อติดตามการบริหารจัดการมาตรการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ( State Quarantine ) และการให้การช่วยเหลือประชาชน ณ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กห. ในศาลาว่าการกลาโหม โดยหารือและสรุปร่วมกัน เตรียมพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถการบริหารจัดการมาตรการคัดกรองและการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ให้เพียงพอรองรับคนไทยในต่างประเทศจํานวนมากที่ลงทะเบียนกับ กต.แจ้งความประสงค์จะเดินทางกลับไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรับเพิ่มเติมจากเดิมวันละ 200 คน เป็นจํานวน 400 คนต่อวัน ซึ่งจําเป็นต้องจัดหาสถานที่และห้องพักรองรับถึง 7,000 ห้อง เพื่อให้คนไทยในต่างประเทศจํานวนมากสามารถกลับประเทศได้เร็วขึ้น พล.อ.ชัยชาญ’ ได้กําชับขอให้ร่วมกันเร่งประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน จัดหาสถานที่กักควบคุมโรคเพิ่มเติม โดยต้องใ้ห้มีมาตรฐานเดียวกันและเป็นไปตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด พร้อมทั้งให้เร่งวางแผนการอบรมเจ้าหน้าที่และประสานจัดเตรียมบุคลากรทางการแพทย์จากทั้งสามเหล่าทัพและสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ให้พร้อมร่วมกันทําหน้าที่ดูแลในแต่ละสถานที่ พร้อมกันนี้ ขอให้หน่วยทหารในพื้นที่ ได้เตรียมการและเข้าไปช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนที่กําลังเกิดขึ้นในหลายจังหวัดเป็นการเร่งด่วนด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กห. เร่งเพิ่มความสามารถการบริหารจัดการมาตรการกักควบคุมโรค รับคนไทยกลับจากตปท.ให้เร็วขึ้น [กระทรวงกลาโหม] วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563 กห. เร่งเพิ่มความสามารถการบริหารจัดการมาตรการกักควบคุมโรค รับคนไทยกลับจากตปท.ให้เร็วขึ้น [กระทรวงกลาโหม] กห. เร่งเพิ่มความสามารถการบริหารจัดการมาตรการกักควบคุมโรค รับคนไทยกลับจากตปท.ให้เร็วขึ้น พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 11 พ.ค. 63 : 0900 พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้ประชุมร่วมกับ กอ.รมน. นขต.กห.และเหล่าทัพ เพื่อติดตามการบริหารจัดการมาตรการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ( State Quarantine ) และการให้การช่วยเหลือประชาชน ณ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กห. ในศาลาว่าการกลาโหม โดยหารือและสรุปร่วมกัน เตรียมพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถการบริหารจัดการมาตรการคัดกรองและการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ให้เพียงพอรองรับคนไทยในต่างประเทศจํานวนมากที่ลงทะเบียนกับ กต.แจ้งความประสงค์จะเดินทางกลับไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรับเพิ่มเติมจากเดิมวันละ 200 คน เป็นจํานวน 400 คนต่อวัน ซึ่งจําเป็นต้องจัดหาสถานที่และห้องพักรองรับถึง 7,000 ห้อง เพื่อให้คนไทยในต่างประเทศจํานวนมากสามารถกลับประเทศได้เร็วขึ้น พล.อ.ชัยชาญ’ ได้กําชับขอให้ร่วมกันเร่งประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน จัดหาสถานที่กักควบคุมโรคเพิ่มเติม โดยต้องใ้ห้มีมาตรฐานเดียวกันและเป็นไปตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด พร้อมทั้งให้เร่งวางแผนการอบรมเจ้าหน้าที่และประสานจัดเตรียมบุคลากรทางการแพทย์จากทั้งสามเหล่าทัพและสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ให้พร้อมร่วมกันทําหน้าที่ดูแลในแต่ละสถานที่ พร้อมกันนี้ ขอให้หน่วยทหารในพื้นที่ ได้เตรียมการและเข้าไปช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนที่กําลังเกิดขึ้นในหลายจังหวัดเป็นการเร่งด่วนด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30656
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม.จุรินทร์ฯ ย้ำประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ให้ประชาชนรับรู้อย่างกว้างขวาง
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562 รองนรม.จุรินทร์ฯ ย้ําประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ให้ประชาชนรับรู้อย่างกว้างขวาง รองนรม.จุรินทร์ฯ ย้ําประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 2562 ให้ประชาชนรับรู้อย่างกว้างขวาง เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้มีส่วนร่วมในพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่นี้ ตามที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีหมายกําหนดการจะเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ในวันที่ 24 ตุลาคม 2562 นั้น รัฐบาลจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการอํานวยการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกโดยมีนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานกรรมการ และได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษกโดยมีรองนายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นประธานกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ และมีอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด เป็นกรรมการและเลขานุการฝ่ายประชาสัมพันธ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้มอบหมายให้ดําเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร พระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างต่อเนื่องและกว้างขวาง นั้น วันนี้ (11 ต.ค.62) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ได้เป็นประธานแถลงข่าวการประชาสัมพันธ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 โดยให้ข้อมูลข่าวสารการเสด็จพระราชดําเนินในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคในวันที่ 24 ตุลาคม 2562 โดยเน้นย้ําการประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงประชาชนอย่างแพร่หลาย และกว้างขวาง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นพี่น้องสื่อมวลชนทุกแขนงที่ได้มารวมตัวกันอย่างอบอุ่นเพื่อร่วมงานแถลงข่าวในวันนี้ ทําให้เกิดความมั่นใจว่าข้อมูลข่าวสารการเสด็จพระราชดําเนินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช 2562 ที่กําลังจะมีขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคม 2562 นี้จะได้รับการเผยแพร่ไปยังพี่น้องประชาชนอย่างแพร่หลายและกว้างขวาง ทั้งนี้เพื่อให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศได้มีส่วนร่วมในพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่ด้วยการเฝ้ารับเสด็จตลอดสองฟากฝั่งของลําน้ําเจ้าพระยาที่ขบวนเรือจะเคลื่อนผ่าน และเฝ้ารับเสด็จชื่นชมพระบารมีตลอดเส้นทางที่ขบวนจะเสด็จผ่าน จึงนับเป็นโอกาสอันดีของประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ที่จะได้ร่วมบันทึกไว้เป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ เพราะพระราชพิธีสําคัญนี้เป็นพระราชพิธีที่สืบทอดตามแบบโบราณราชประเพณีที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สําหรับการจัดการแถลงข่าวในวันนี้พี่น้องสื่อมวลชนจะได้รับข้อมูลข่าวสารการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยเฉพาะการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคได้ครบถ้วนในทุกมิติ และในฐานะประธานกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์จึงขอให้พี่น้องสื่อมวลชนทุกท่านทราบว่าภารกิจของคณะกรรมการจะดําเนินการด้านนี้ใน 3 เรื่อง คือ เรื่องแรก การให้ข้อมูลข่าวสารต้องถูกต้องครบถ้วนในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความเป็นมาของการเสด็จพระราชดําเนินเรียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี การจัดขบวนเรือ ความหมายของเรือหรือบทแห่แต่ละบท รวมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดจุดรับเสด็จ การอํานวยความสะดวกแก่ประชาชน การจัดรถรับส่ง การดูแลด้านสุขภาพ การจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน เป็นต้น การประชาสัมพันธ์จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การประชาสัมพันธ์ในประเทศและต่างประเทศ สําหรับในประเทศนั้นเน้นย้ําให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด สามารถเข้าร่วมงานได้อย่างสะดวกราบรื่น หรือพี่น้องที่อยู่ในต่างจังหวัดที่ไม่สามารถมาร่วมพิธีก็สามารถชื่นชมพระราชพิธีผ่านการถ่ายทอดสดทางวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ ส่วนการประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศจะเน้นให้คนไทยที่อยู่ในต่างประเทศและชาวต่างชาติที่อยู่ในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อได้อย่างถูกต้องและร่วมชื่นชมในพระราชพิธีไปพร้อมพร้อมกับคนไทย สําหรับช่องทางที่ใช้เป็นหลักในการประชาสัมพันธ์คือเว็บไซต์พระลาน เว็บไซต์www.phralan.in.thและ Facebook พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ รวมทั้ง OR Code (และLine@ บรมราชาภิเษก) ที่เตรียมไว้ให้สื่อมวลชนทุกท่านเพื่อให้ท่านได้นําไปขยายผลผ่านสื่อที่รับผิดชอบอยู่ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ หรือแม้กระทั่งสื่อโซเชียลมีเดีย สังคมออนไลน์ และการประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศจะเน้นช่องทางของสถานทูตไทยในต่างประเทศ ผ่านสื่อเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศ และของกรมประชาสัมพันธ์เป็นหลัก ส่วนภารกิจที่สอง คือ การบริหารจัดการสื่อมวลชน คือ การให้ข้อมูลล่วงหน้า และในครั้งนี้ไม่ได้มีการจัดตั้งศูนย์สื่อมวลชนเหมือนครั้งพระราชพิธีเบื้องต้นและเบื้องกลางเนื่องจากพระราชพิธีในครั้งนี้มีระยะเวลาเพียงวันเดียว คือวันที่ 24 ตุลาคม นี้ ซึ่งจะแตกต่างจากครั้งที่แล้วซึ่งมีภารกิจหลายวัน ดังนั้นการให้ข้อมูลผ่านสื่อมวลชนจึงเน้นผ่านสื่อออนไลน์เป็นหลัก แต่สําหรับในพระราชพิธีวันที่ 24 ตุลาคมนี้ เราจะอํานวยความสะดวกให้สื่อมวลชนในการเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ล่วงหน้าด้วยการลงทะเบียน พร้อมจัดทําแนวทางการปฏิบัติ ซึ่งได้ชี้แจงเป็นระยะในช่วงที่ผ่านมา จึงขอให้พี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน มั่นใจว่าจะสามารถอํานวยความสะดวกเพื่อให้ปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ให้สําเร็จลุล่วงไปไปได้ด้วยดี ส่วนภารกิจที่สาม คือ การถ่ายทอดสด ซึ่งจะมีแบ่งเป็นสองส่วน คือ ถ่ายทอดโทรทัศน์ โดยโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย จะเริ่มในเวลา 15.15 น. จนเสร็จสิ้นพระราชพิธี เป็นการบูรณาการร่วมกันกับสถานีโทรทัศน์หลายๆช่อง เพื่อให้ทํางานออกมาดีที่สุด ได้รับคําชื่นชม เฉกเช่นการถ่ายทอดสดในครั้งพระราชพิธีที่ผ่านมา และที่สําคัญ คือ ตระหนักในพระราชกระแสรับสั่งของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ที่ได้พระราชทานคําแนะนําไว้ว่าขอให้บรรยายมีสิ่งที่จําเป็นถูกต้อง และครบถ้วนเพื่อให้ประชาชนได้อรรถรสในการรับชมทั้งภาพ และเสียง สําหรับการถ่ายทอดสดทางวิทยุกระจายเสียง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจะเป็นแม่ข่ายในการถ่ายทอดสดให้สถานีวิทยุอื่นๆ ทั่วประเทศ จะรับสัญญาณเพื่อให้ประชาชนได้รับฟังจนเสร็จสิ้นพระราชพิธีเช่นกัน ซึ่งในการถ่ายทอดสดนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ของกรมประชาสัมพันธ์ลงไปปฏิบัติงานในเรือร่วมกับฝีพาย เพื่อนําภาพและเสียงขับบทแห่เรือส่งสัญญาณมายังศูนย์ถ่ายทอดสดให้ผู้ชมทางบ้านได้รับชม และฟังเสียงเสมือนอยู่ร่วมในขบวนเรือด้วยตนเอง สิ่งที่จะขอถือโอกาสนี้ฝากไปยังพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน คือ ประการที่หนึ่ง งานด้านการประชาสัมพันธ์จากนี้ไปจะเป็นโค้งสุดท้าย จึงขอให้คณะกรรมการทุกท่านทุกหน่วยช่วยเพิ่มความเข้มข้นของการประชาสัมพันธ์ โดยหน่วยงานใดที่สามารถให้ข้อมูลได้ขอให้ช่วยกันชี้แจงและให้ข้อมูลกับเพื่อนสื่อมวลชนโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับการอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนที่จะได้ไปเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท จึงอยากขอเน้นย้ํา สุดท้าย สิ่งที่ขอฝากพี่น้องสื่อมวลชน คือ สิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้เคยเน้นย้ําไว้ ขอนํามาถ่ายทอดตรงนี้ คือ ข้อห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ไม่ประสงค์จะให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน หรือ ผลกระทบจากการจัดงานพระราชพิธีในครั้งนี้ ดังนั้นขอให้ทุกส่วนช่วยกันให้ข้อมูลที่ชัดเจนแม่นยําโดยเฉพาะในเรื่องการวางแผนการเดินทางของประชาชน การอํานวยความสะดวกแก่ประชาชน -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม.จุรินทร์ฯ ย้ำประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ให้ประชาชนรับรู้อย่างกว้างขวาง วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562 รองนรม.จุรินทร์ฯ ย้ําประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ให้ประชาชนรับรู้อย่างกว้างขวาง รองนรม.จุรินทร์ฯ ย้ําประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 2562 ให้ประชาชนรับรู้อย่างกว้างขวาง เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้มีส่วนร่วมในพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่นี้ ตามที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีหมายกําหนดการจะเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ในวันที่ 24 ตุลาคม 2562 นั้น รัฐบาลจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการอํานวยการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกโดยมีนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานกรรมการ และได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษกโดยมีรองนายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นประธานกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ และมีอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด เป็นกรรมการและเลขานุการฝ่ายประชาสัมพันธ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้มอบหมายให้ดําเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร พระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างต่อเนื่องและกว้างขวาง นั้น วันนี้ (11 ต.ค.62) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ได้เป็นประธานแถลงข่าวการประชาสัมพันธ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 โดยให้ข้อมูลข่าวสารการเสด็จพระราชดําเนินในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคในวันที่ 24 ตุลาคม 2562 โดยเน้นย้ําการประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงประชาชนอย่างแพร่หลาย และกว้างขวาง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นพี่น้องสื่อมวลชนทุกแขนงที่ได้มารวมตัวกันอย่างอบอุ่นเพื่อร่วมงานแถลงข่าวในวันนี้ ทําให้เกิดความมั่นใจว่าข้อมูลข่าวสารการเสด็จพระราชดําเนินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช 2562 ที่กําลังจะมีขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคม 2562 นี้จะได้รับการเผยแพร่ไปยังพี่น้องประชาชนอย่างแพร่หลายและกว้างขวาง ทั้งนี้เพื่อให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศได้มีส่วนร่วมในพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่ด้วยการเฝ้ารับเสด็จตลอดสองฟากฝั่งของลําน้ําเจ้าพระยาที่ขบวนเรือจะเคลื่อนผ่าน และเฝ้ารับเสด็จชื่นชมพระบารมีตลอดเส้นทางที่ขบวนจะเสด็จผ่าน จึงนับเป็นโอกาสอันดีของประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ที่จะได้ร่วมบันทึกไว้เป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ เพราะพระราชพิธีสําคัญนี้เป็นพระราชพิธีที่สืบทอดตามแบบโบราณราชประเพณีที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สําหรับการจัดการแถลงข่าวในวันนี้พี่น้องสื่อมวลชนจะได้รับข้อมูลข่าวสารการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยเฉพาะการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคได้ครบถ้วนในทุกมิติ และในฐานะประธานกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์จึงขอให้พี่น้องสื่อมวลชนทุกท่านทราบว่าภารกิจของคณะกรรมการจะดําเนินการด้านนี้ใน 3 เรื่อง คือ เรื่องแรก การให้ข้อมูลข่าวสารต้องถูกต้องครบถ้วนในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความเป็นมาของการเสด็จพระราชดําเนินเรียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี การจัดขบวนเรือ ความหมายของเรือหรือบทแห่แต่ละบท รวมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดจุดรับเสด็จ การอํานวยความสะดวกแก่ประชาชน การจัดรถรับส่ง การดูแลด้านสุขภาพ การจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน เป็นต้น การประชาสัมพันธ์จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การประชาสัมพันธ์ในประเทศและต่างประเทศ สําหรับในประเทศนั้นเน้นย้ําให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด สามารถเข้าร่วมงานได้อย่างสะดวกราบรื่น หรือพี่น้องที่อยู่ในต่างจังหวัดที่ไม่สามารถมาร่วมพิธีก็สามารถชื่นชมพระราชพิธีผ่านการถ่ายทอดสดทางวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ ส่วนการประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศจะเน้นให้คนไทยที่อยู่ในต่างประเทศและชาวต่างชาติที่อยู่ในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อได้อย่างถูกต้องและร่วมชื่นชมในพระราชพิธีไปพร้อมพร้อมกับคนไทย สําหรับช่องทางที่ใช้เป็นหลักในการประชาสัมพันธ์คือเว็บไซต์พระลาน เว็บไซต์www.phralan.in.thและ Facebook พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ รวมทั้ง OR Code (และLine@ บรมราชาภิเษก) ที่เตรียมไว้ให้สื่อมวลชนทุกท่านเพื่อให้ท่านได้นําไปขยายผลผ่านสื่อที่รับผิดชอบอยู่ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ หรือแม้กระทั่งสื่อโซเชียลมีเดีย สังคมออนไลน์ และการประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศจะเน้นช่องทางของสถานทูตไทยในต่างประเทศ ผ่านสื่อเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศ และของกรมประชาสัมพันธ์เป็นหลัก ส่วนภารกิจที่สอง คือ การบริหารจัดการสื่อมวลชน คือ การให้ข้อมูลล่วงหน้า และในครั้งนี้ไม่ได้มีการจัดตั้งศูนย์สื่อมวลชนเหมือนครั้งพระราชพิธีเบื้องต้นและเบื้องกลางเนื่องจากพระราชพิธีในครั้งนี้มีระยะเวลาเพียงวันเดียว คือวันที่ 24 ตุลาคม นี้ ซึ่งจะแตกต่างจากครั้งที่แล้วซึ่งมีภารกิจหลายวัน ดังนั้นการให้ข้อมูลผ่านสื่อมวลชนจึงเน้นผ่านสื่อออนไลน์เป็นหลัก แต่สําหรับในพระราชพิธีวันที่ 24 ตุลาคมนี้ เราจะอํานวยความสะดวกให้สื่อมวลชนในการเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ล่วงหน้าด้วยการลงทะเบียน พร้อมจัดทําแนวทางการปฏิบัติ ซึ่งได้ชี้แจงเป็นระยะในช่วงที่ผ่านมา จึงขอให้พี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน มั่นใจว่าจะสามารถอํานวยความสะดวกเพื่อให้ปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ให้สําเร็จลุล่วงไปไปได้ด้วยดี ส่วนภารกิจที่สาม คือ การถ่ายทอดสด ซึ่งจะมีแบ่งเป็นสองส่วน คือ ถ่ายทอดโทรทัศน์ โดยโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย จะเริ่มในเวลา 15.15 น. จนเสร็จสิ้นพระราชพิธี เป็นการบูรณาการร่วมกันกับสถานีโทรทัศน์หลายๆช่อง เพื่อให้ทํางานออกมาดีที่สุด ได้รับคําชื่นชม เฉกเช่นการถ่ายทอดสดในครั้งพระราชพิธีที่ผ่านมา และที่สําคัญ คือ ตระหนักในพระราชกระแสรับสั่งของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ที่ได้พระราชทานคําแนะนําไว้ว่าขอให้บรรยายมีสิ่งที่จําเป็นถูกต้อง และครบถ้วนเพื่อให้ประชาชนได้อรรถรสในการรับชมทั้งภาพ และเสียง สําหรับการถ่ายทอดสดทางวิทยุกระจายเสียง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจะเป็นแม่ข่ายในการถ่ายทอดสดให้สถานีวิทยุอื่นๆ ทั่วประเทศ จะรับสัญญาณเพื่อให้ประชาชนได้รับฟังจนเสร็จสิ้นพระราชพิธีเช่นกัน ซึ่งในการถ่ายทอดสดนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ของกรมประชาสัมพันธ์ลงไปปฏิบัติงานในเรือร่วมกับฝีพาย เพื่อนําภาพและเสียงขับบทแห่เรือส่งสัญญาณมายังศูนย์ถ่ายทอดสดให้ผู้ชมทางบ้านได้รับชม และฟังเสียงเสมือนอยู่ร่วมในขบวนเรือด้วยตนเอง สิ่งที่จะขอถือโอกาสนี้ฝากไปยังพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน คือ ประการที่หนึ่ง งานด้านการประชาสัมพันธ์จากนี้ไปจะเป็นโค้งสุดท้าย จึงขอให้คณะกรรมการทุกท่านทุกหน่วยช่วยเพิ่มความเข้มข้นของการประชาสัมพันธ์ โดยหน่วยงานใดที่สามารถให้ข้อมูลได้ขอให้ช่วยกันชี้แจงและให้ข้อมูลกับเพื่อนสื่อมวลชนโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับการอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนที่จะได้ไปเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท จึงอยากขอเน้นย้ํา สุดท้าย สิ่งที่ขอฝากพี่น้องสื่อมวลชน คือ สิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้เคยเน้นย้ําไว้ ขอนํามาถ่ายทอดตรงนี้ คือ ข้อห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ไม่ประสงค์จะให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน หรือ ผลกระทบจากการจัดงานพระราชพิธีในครั้งนี้ ดังนั้นขอให้ทุกส่วนช่วยกันให้ข้อมูลที่ชัดเจนแม่นยําโดยเฉพาะในเรื่องการวางแผนการเดินทางของประชาชน การอํานวยความสะดวกแก่ประชาชน -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23750
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดีอีเอส ชูนโยบายความมั่นคงปลอดภัยแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม]
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 รมว.ดีอีเอส ชูนโยบายความมั่นคงปลอดภัยแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม] รมว.ดีอีเอส ชูนโยบายความมั่นคงปลอดภัยแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ศบค. ให้ความมั่นใจการบริหารข้อมูลระบบ “ไทยชนะ” เผยรมว.ดีอีเอส เน้นย้ํานโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยและมีการเฝ้าระวังดูแลความปลอดภัยของข้อมูลบนแพลตฟอร์มนี้ในทุกด้าน วอนร้านค้า/สถานบริการที่บันทึกข้อมูลการเข้าใช้บริการระบบแมนน่วล ช่วยเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการไว้ให้เข้าถึงได้ยาก สกัดกั้นผู้ไม่ประสงค์ดีขโมยข้อมูลเบอร์โทรลูกค้าไปใช้ในทางที่ไม่ดี ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) แถลงข่าวอัพเดทสถานการณ์โควิด-19 ร่วมกับกรมควบคุมโรค และกรมอนามัย วันนี้ (26 พ.ค. 63) โดยเน้นย้ําว่า ตามนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยของนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส ได้กําชับและให้ความสําคัญกับการเฝ้าระวังดูแลด้านความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล และการปกป้องคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ การบริหารข้อมูลระบบ “ไทยชนะ” เป็นการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อติดตามมาตรการผ่อนปรน เป็นตัวช่วยในการปลดล็อคดาวน์ได้เร็วขึ้น ปัจจุบันหลายประเทศมีการพัฒนาแพลตฟอร์มหรือแอพพลิเคชั่นในรูปแบบนี้เช่นกัน และนําไปใช้ในการควบคุมป้องกันโควิด-19 จากข้อมูลภาพรวมการใช้งานล่าสุดวันที่ 25 พ.ค. 63 รวบรวมเมื่อเวลา 21.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนแล้ว 111,691 ร้านค้า จํานวนผู้ใช้งานทั้งสิ้น 12,845,612 คน โดยมียอดเช็คอินเข้าใช้งาน 31,153,255 ครั้ง เช็คเอาท์ 21,481,593 ครั้ง และมีจํานวนการประเมินร้าน 12,222,685 ครั้ง “ต้องเรียนให้ทราบว่า www.ไทยชนะ .com เป็นแพลตฟอร์มที่จัดทําขึ้นมาเพื่อคนไทย เป้าหมายหลัก ของ "ไทยชนะ" คือ 1.ประเมินความหนาแน่นของสถานประกอบการ เพื่อให้ร้านค้าสามารถบริหารจัดการและช่วยผู้ใช้ในการตัดสินใจว่าจะไปใช้บริการหรือไม่ และ 2.เพื่อการสอบสวนโรค ทําให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด จากพิกัดสถานที่ที่บุคคลเข้าใช้บริการ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือที่ดีจากประชาชนชาวไทย เพื่อให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นไปด้วยดีและผ่านพ้นวิกฤตโควิดไปด้วยกัน” นพ.พลวรรธน์กล่าว สําหรับประเด็นข้อกังวลของประชาชนผู้เข้าใช้บริการนั้น ขอให้มั่นใจว่าจะไม่มีการละเมิดสิทธิใดๆ อย่างแน่นอน ซึ่งการใช้งานระบบนี้ จะช่วยให้ผู้เข้าใช้บริการทราบปริมาณคนที่เข้ามาใช้บริการในจุดนั้นๆ การติดตามและป้องกันโรคก็จะเป็นความลับเฉพาะตัว เป็นต้น การที่บางคนกังวลและกรอกหมายเลขของคนอื่น หรือหมายเลขปลอม กรณีที่พบการแพร่ระบาดจะไม่สามารถติดตามตัวได้เลย “การบันทึกข้อมูลการเช็คอิน-เช็คเอาท์ ของผู้เข้าใช้บริการ ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เพราะ ข้อมูลที่ถูกเก็บของผู้เข้าใช้บริการจะเป็นข้อมูลแบบมีรหัส ซึ่งต้องเป็นหน่วยงานและผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้นถึงจะเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลนั้นได้ อีกทั้งได้กําหนดระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูลไว้เพียง 60 วัน และปัจจุบันแพลตฟอร์มไทยชนะ www.ไทยชนะ .com เป็นเพียงระบบเดียวที่ ศบค. รับรอง ข้อมูลจะส่งต่อให้กรมควบคุมโรค มีวัตถุประสงค์ เพื่อควบคุมและป้องกันโรคโควิด-19 เท่านั้น” นพ.พลวรรธน์กล่าว ส่วนกรณีที่ประชาชนสงสัยว่า ข้อมูลเบอร์โทรศัพท์อาจรั่วไหลจากการแสกนเข้าใช้งาน แพลตฟอร์มไทยชนะ เนื่องจากประชาชนได้รับข้อความสแปมโฆษณาบ่อยครั้ง หลังแสกน QR code นั้น มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นจากบางกรณีซึ่งผู้ใช้บริการไม่มีสมาร์ทโฟนสําหรับทําการเช็คอิน-เช็คเอาท์ หรือกรณีร้านค้า/กิจการ/สถานประกอบการ ไม่มีระบบที่ใช้ เช็คอิน-เช็คเอาท์ และใช้วิธีการขอจดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ ของผู้เข้าใช้บริการเพื่อง่ายต่อการติดต่อกลับเมื่อมีปัญหาต่างๆ หรือพบความเสี่ยงเกี่ยวกับโควิด-19 ทําให้มีผู้ไม่ประสงค์ดีถ่ายภาพหน้ากระดาษที่มีการบันทึกข้อมูลติดต่อดังกล่าวไว้ และนําไปใช้ในทางที่ไม่ดี ดังนั้นจึงอยากกําชับให้แต่ละร้านค้า ช่วยเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการไว้ให้เข้าถึงได้ยาก นพ.พลวรรธน์ กล่าวเสริมว่า อยากฝากไปถึงร้านค้า/กิจการ/สถานประกอบการ ที่ยังไม่มีระบบที่ใช้เช็คอิน-เช็คเอาท์ ต้องขอความร่วมมือให้สมัคร/ลงทะเบียน โดยเร็ว เพื่อผู้ใช้บริการจะมีความเชื่อมั่นด้านสุขอนามัยของร้านค้าที่มีการลงทะเบียนและปฏิบัติตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมกันนี้ ได้ชี้แจงเกี่ยวกับตามที่มีข่าวปรากฎในสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ในประเด็นเรื่อง ส่ง SMS แจ้งลิงก์ ให้ดาวน์โหลดแอป “ไทยชนะ” โดยทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าข้อมูลที่ปรากฏดังกล่าว เป็นข้อมูลเท็จ ภาครัฐไม่ได้เป็นผู้ส่ง SMS ดังกล่าว และ “ไทยชนะ” เป็นแพลตฟอร์มไม่ใช่แอปพลิเคชันใดๆ ดังนั้นประชาชนจึงไม่ต้องดาวน์โหลดแอปตามที่กล่าวอ้าง ซึ่งการกระทําดังกล่าวนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งในวิธีการล่อลวงข้อมูลจากประชาชน ทันทีที่กดเข้าเว็บ จะมีการพยายามดาวน์โหลดแอป Thaichana.apk เข้ามาในเครื่อง หากกดติดตั้งอาจถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวได้ ที่ผ่านมา ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (ไทยเซิร์ต) ก็ได้ประกาศแจ้งเตือนว่า พบการแพร่กระจายมัลแวร์ โจมตีผู้ใช้งาน Android ในประเทศไทย โดยช่องทางการโจมตีผู้ไม่หวังดีจะส่ง SMS ที่แอบอ้างว่าเป็นการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ไทยชนะ ใน SMS ดังกล่าวจะมีลิงก์ไปยังเว็บไซต์หลอกลวง ซึ่งหน้าเว็บไซต์ดังกล่าวสร้างเลียนแบบเว็บไซต์จริงของโครงการไทยชนะ โดยจะมีปุ่มที่ให้ดาวน์โหลดไฟล์ .apk มาติดตั้ง ซึ่งไฟล์ดังกล่าวเป็นมัลแวร์ขโมยข้อมูลทางการเงิน จะขอสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลการโทร รับส่ง SMS แอบอัดเสียง และเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ภายในเครื่อง จากข้อมูลที่ตรวจสอบพบ ชื่อเว็บไซต์ปลอม ได้แก่ thaichana.pro, thai-chana.asia และ thaichana.asia หรือชื่อใกล้เคียง ซึ่ง ศคบ. จะมีการดําเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่กระทําการดังกล่าว ขณะที่ ไทยเซิร์ตได้ประสานเพื่อระงับการเข้าถึงเว็บไซต์ดังกล่าวแล้ว และแนะนําให้ผู้ใช้ควรระมัดระวังก่อนคลิกลิงก์ที่ส่งมาใน SMS รวมถึงไม่ควรดาวน์โหลดและติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ไม่สามารถยืนยันความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มา ปัจจุบัน ช่องทางการสื่อสารของไทยชนะ ประกอบด้วย เว็บไซต์ www.ไทยชนะ .com และ www.thaichana.com รวมทั้ง ไลน์ทางการ “ไทยชนะ” และโทรสายด่วน 1119 ซึ่งมีไว้สําหรับการติดตามข่าวสารที่ถูกต้อง เที่ยงตรงเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 จากรัฐบาล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดีอีเอส ชูนโยบายความมั่นคงปลอดภัยแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม] วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 รมว.ดีอีเอส ชูนโยบายความมั่นคงปลอดภัยแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม] รมว.ดีอีเอส ชูนโยบายความมั่นคงปลอดภัยแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ศบค. ให้ความมั่นใจการบริหารข้อมูลระบบ “ไทยชนะ” เผยรมว.ดีอีเอส เน้นย้ํานโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยและมีการเฝ้าระวังดูแลความปลอดภัยของข้อมูลบนแพลตฟอร์มนี้ในทุกด้าน วอนร้านค้า/สถานบริการที่บันทึกข้อมูลการเข้าใช้บริการระบบแมนน่วล ช่วยเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการไว้ให้เข้าถึงได้ยาก สกัดกั้นผู้ไม่ประสงค์ดีขโมยข้อมูลเบอร์โทรลูกค้าไปใช้ในทางที่ไม่ดี ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) แถลงข่าวอัพเดทสถานการณ์โควิด-19 ร่วมกับกรมควบคุมโรค และกรมอนามัย วันนี้ (26 พ.ค. 63) โดยเน้นย้ําว่า ตามนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยของนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส ได้กําชับและให้ความสําคัญกับการเฝ้าระวังดูแลด้านความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล และการปกป้องคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ การบริหารข้อมูลระบบ “ไทยชนะ” เป็นการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อติดตามมาตรการผ่อนปรน เป็นตัวช่วยในการปลดล็อคดาวน์ได้เร็วขึ้น ปัจจุบันหลายประเทศมีการพัฒนาแพลตฟอร์มหรือแอพพลิเคชั่นในรูปแบบนี้เช่นกัน และนําไปใช้ในการควบคุมป้องกันโควิด-19 จากข้อมูลภาพรวมการใช้งานล่าสุดวันที่ 25 พ.ค. 63 รวบรวมเมื่อเวลา 21.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนแล้ว 111,691 ร้านค้า จํานวนผู้ใช้งานทั้งสิ้น 12,845,612 คน โดยมียอดเช็คอินเข้าใช้งาน 31,153,255 ครั้ง เช็คเอาท์ 21,481,593 ครั้ง และมีจํานวนการประเมินร้าน 12,222,685 ครั้ง “ต้องเรียนให้ทราบว่า www.ไทยชนะ .com เป็นแพลตฟอร์มที่จัดทําขึ้นมาเพื่อคนไทย เป้าหมายหลัก ของ "ไทยชนะ" คือ 1.ประเมินความหนาแน่นของสถานประกอบการ เพื่อให้ร้านค้าสามารถบริหารจัดการและช่วยผู้ใช้ในการตัดสินใจว่าจะไปใช้บริการหรือไม่ และ 2.เพื่อการสอบสวนโรค ทําให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด จากพิกัดสถานที่ที่บุคคลเข้าใช้บริการ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือที่ดีจากประชาชนชาวไทย เพื่อให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นไปด้วยดีและผ่านพ้นวิกฤตโควิดไปด้วยกัน” นพ.พลวรรธน์กล่าว สําหรับประเด็นข้อกังวลของประชาชนผู้เข้าใช้บริการนั้น ขอให้มั่นใจว่าจะไม่มีการละเมิดสิทธิใดๆ อย่างแน่นอน ซึ่งการใช้งานระบบนี้ จะช่วยให้ผู้เข้าใช้บริการทราบปริมาณคนที่เข้ามาใช้บริการในจุดนั้นๆ การติดตามและป้องกันโรคก็จะเป็นความลับเฉพาะตัว เป็นต้น การที่บางคนกังวลและกรอกหมายเลขของคนอื่น หรือหมายเลขปลอม กรณีที่พบการแพร่ระบาดจะไม่สามารถติดตามตัวได้เลย “การบันทึกข้อมูลการเช็คอิน-เช็คเอาท์ ของผู้เข้าใช้บริการ ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เพราะ ข้อมูลที่ถูกเก็บของผู้เข้าใช้บริการจะเป็นข้อมูลแบบมีรหัส ซึ่งต้องเป็นหน่วยงานและผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้นถึงจะเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลนั้นได้ อีกทั้งได้กําหนดระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูลไว้เพียง 60 วัน และปัจจุบันแพลตฟอร์มไทยชนะ www.ไทยชนะ .com เป็นเพียงระบบเดียวที่ ศบค. รับรอง ข้อมูลจะส่งต่อให้กรมควบคุมโรค มีวัตถุประสงค์ เพื่อควบคุมและป้องกันโรคโควิด-19 เท่านั้น” นพ.พลวรรธน์กล่าว ส่วนกรณีที่ประชาชนสงสัยว่า ข้อมูลเบอร์โทรศัพท์อาจรั่วไหลจากการแสกนเข้าใช้งาน แพลตฟอร์มไทยชนะ เนื่องจากประชาชนได้รับข้อความสแปมโฆษณาบ่อยครั้ง หลังแสกน QR code นั้น มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นจากบางกรณีซึ่งผู้ใช้บริการไม่มีสมาร์ทโฟนสําหรับทําการเช็คอิน-เช็คเอาท์ หรือกรณีร้านค้า/กิจการ/สถานประกอบการ ไม่มีระบบที่ใช้ เช็คอิน-เช็คเอาท์ และใช้วิธีการขอจดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ ของผู้เข้าใช้บริการเพื่อง่ายต่อการติดต่อกลับเมื่อมีปัญหาต่างๆ หรือพบความเสี่ยงเกี่ยวกับโควิด-19 ทําให้มีผู้ไม่ประสงค์ดีถ่ายภาพหน้ากระดาษที่มีการบันทึกข้อมูลติดต่อดังกล่าวไว้ และนําไปใช้ในทางที่ไม่ดี ดังนั้นจึงอยากกําชับให้แต่ละร้านค้า ช่วยเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการไว้ให้เข้าถึงได้ยาก นพ.พลวรรธน์ กล่าวเสริมว่า อยากฝากไปถึงร้านค้า/กิจการ/สถานประกอบการ ที่ยังไม่มีระบบที่ใช้เช็คอิน-เช็คเอาท์ ต้องขอความร่วมมือให้สมัคร/ลงทะเบียน โดยเร็ว เพื่อผู้ใช้บริการจะมีความเชื่อมั่นด้านสุขอนามัยของร้านค้าที่มีการลงทะเบียนและปฏิบัติตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมกันนี้ ได้ชี้แจงเกี่ยวกับตามที่มีข่าวปรากฎในสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ในประเด็นเรื่อง ส่ง SMS แจ้งลิงก์ ให้ดาวน์โหลดแอป “ไทยชนะ” โดยทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าข้อมูลที่ปรากฏดังกล่าว เป็นข้อมูลเท็จ ภาครัฐไม่ได้เป็นผู้ส่ง SMS ดังกล่าว และ “ไทยชนะ” เป็นแพลตฟอร์มไม่ใช่แอปพลิเคชันใดๆ ดังนั้นประชาชนจึงไม่ต้องดาวน์โหลดแอปตามที่กล่าวอ้าง ซึ่งการกระทําดังกล่าวนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งในวิธีการล่อลวงข้อมูลจากประชาชน ทันทีที่กดเข้าเว็บ จะมีการพยายามดาวน์โหลดแอป Thaichana.apk เข้ามาในเครื่อง หากกดติดตั้งอาจถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวได้ ที่ผ่านมา ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (ไทยเซิร์ต) ก็ได้ประกาศแจ้งเตือนว่า พบการแพร่กระจายมัลแวร์ โจมตีผู้ใช้งาน Android ในประเทศไทย โดยช่องทางการโจมตีผู้ไม่หวังดีจะส่ง SMS ที่แอบอ้างว่าเป็นการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ไทยชนะ ใน SMS ดังกล่าวจะมีลิงก์ไปยังเว็บไซต์หลอกลวง ซึ่งหน้าเว็บไซต์ดังกล่าวสร้างเลียนแบบเว็บไซต์จริงของโครงการไทยชนะ โดยจะมีปุ่มที่ให้ดาวน์โหลดไฟล์ .apk มาติดตั้ง ซึ่งไฟล์ดังกล่าวเป็นมัลแวร์ขโมยข้อมูลทางการเงิน จะขอสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลการโทร รับส่ง SMS แอบอัดเสียง และเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ภายในเครื่อง จากข้อมูลที่ตรวจสอบพบ ชื่อเว็บไซต์ปลอม ได้แก่ thaichana.pro, thai-chana.asia และ thaichana.asia หรือชื่อใกล้เคียง ซึ่ง ศคบ. จะมีการดําเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับผู้ที่กระทําการดังกล่าว ขณะที่ ไทยเซิร์ตได้ประสานเพื่อระงับการเข้าถึงเว็บไซต์ดังกล่าวแล้ว และแนะนําให้ผู้ใช้ควรระมัดระวังก่อนคลิกลิงก์ที่ส่งมาใน SMS รวมถึงไม่ควรดาวน์โหลดและติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ไม่สามารถยืนยันความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มา ปัจจุบัน ช่องทางการสื่อสารของไทยชนะ ประกอบด้วย เว็บไซต์ www.ไทยชนะ .com และ www.thaichana.com รวมทั้ง ไลน์ทางการ “ไทยชนะ” และโทรสายด่วน 1119 ซึ่งมีไว้สําหรับการติดตามข่าวสารที่ถูกต้อง เที่ยงตรงเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 จากรัฐบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31597
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ 2/2560
วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม 2560 รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ 2/2560 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบโครงการนําร่องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (Government Big Data) และแนวทางการจัดทํากรอบการจัดการและกํากับดูแลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance Framework) อย่างเป็นระบบและเหมาะสม วันนี้ (7 ธันวาคม 2560) เวลา 9.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ 2/2560 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบโครงการนําร่องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (Government Big Data) โดยให้สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ไปดําเนินการตามแผนที่เสนอมา ซึ่งทุกหน่วยงานภาครัฐจะต้องให้การสนับสนุนร่วมดําเนินการ และนําข้อมูลที่พร้อมให้บริการมาดําเนินการตามแผนภายในปี พ.ศ. 2561 พร้อมให้ดําเนินโครงการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่แบบบูรณาการระหว่างกระทรวง จํานวน 7 โครงการ ได้แก่ การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย การเกษตร การศึกษาและตลาดแรงงาน การท่องเที่ยวและคมนาคม สาธารณสุข การบริหารจัดการน้ํา และการบริหารจัดการมลภาวะสิ่งแวดล้อม ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี พ.ศ. 2561 โดยให้ทุกกระทรวงจัดทําแผนปฏิบัติการพัฒนาและการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน และภารกิจเพื่อการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชน รวมถึงตั้งโจทย์ที่ต้องใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ในการขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าว ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน โดยให้สํานักงบประมาณสนับสนุนด้านงบประมาณ และนําเสนอความคืบหน้าทุก 3 เดือนต่อที่ประชุมฯ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทางการจัดทํากรอบการจัดการและกํากับดูแลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance Framework) ตามที่สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ได้ดําเนินการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ แล้วพบว่าข้อมูลที่แต่ละหน่วยงานภาครัฐครอบครองอยู่นั้น มีหลายระดับ หลายประเภท และมีข้อมูลที่มีความอ่อนไหว (sensitive data) เป็นความลับส่วนบุคคล อย่างไรก็ตามในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกรอบการจัดการและกํากับดูแลข้อมูลภาครัฐ เพื่อดูแลและบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ และมีความชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ มั่นคงปลอดภัย และสามารถคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม ดังนั้น สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) จึงจําเป็นต้องนําเสนอหลักการเกี่ยวกับการจัดการและกํากับดูแลข้อมูลภาครัฐ รวมทั้งจัดตั้งกลไกเพื่อขับเคลื่อนกระบวนการกํากับดูแลและบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐทุกขั้นตอนแต่ละหน่วยงานภาครัฐให้เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม ********************************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ 2/2560 วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม 2560 รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ 2/2560 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบโครงการนําร่องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (Government Big Data) และแนวทางการจัดทํากรอบการจัดการและกํากับดูแลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance Framework) อย่างเป็นระบบและเหมาะสม วันนี้ (7 ธันวาคม 2560) เวลา 9.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ 2/2560 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบโครงการนําร่องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (Government Big Data) โดยให้สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ไปดําเนินการตามแผนที่เสนอมา ซึ่งทุกหน่วยงานภาครัฐจะต้องให้การสนับสนุนร่วมดําเนินการ และนําข้อมูลที่พร้อมให้บริการมาดําเนินการตามแผนภายในปี พ.ศ. 2561 พร้อมให้ดําเนินโครงการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่แบบบูรณาการระหว่างกระทรวง จํานวน 7 โครงการ ได้แก่ การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย การเกษตร การศึกษาและตลาดแรงงาน การท่องเที่ยวและคมนาคม สาธารณสุข การบริหารจัดการน้ํา และการบริหารจัดการมลภาวะสิ่งแวดล้อม ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี พ.ศ. 2561 โดยให้ทุกกระทรวงจัดทําแผนปฏิบัติการพัฒนาและการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน และภารกิจเพื่อการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชน รวมถึงตั้งโจทย์ที่ต้องใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ในการขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าว ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน โดยให้สํานักงบประมาณสนับสนุนด้านงบประมาณ และนําเสนอความคืบหน้าทุก 3 เดือนต่อที่ประชุมฯ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทางการจัดทํากรอบการจัดการและกํากับดูแลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance Framework) ตามที่สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ได้ดําเนินการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ แล้วพบว่าข้อมูลที่แต่ละหน่วยงานภาครัฐครอบครองอยู่นั้น มีหลายระดับ หลายประเภท และมีข้อมูลที่มีความอ่อนไหว (sensitive data) เป็นความลับส่วนบุคคล อย่างไรก็ตามในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกรอบการจัดการและกํากับดูแลข้อมูลภาครัฐ เพื่อดูแลและบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ และมีความชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ มั่นคงปลอดภัย และสามารถคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม ดังนั้น สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) จึงจําเป็นต้องนําเสนอหลักการเกี่ยวกับการจัดการและกํากับดูแลข้อมูลภาครัฐ รวมทั้งจัดตั้งกลไกเพื่อขับเคลื่อนกระบวนการกํากับดูแลและบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐทุกขั้นตอนแต่ละหน่วยงานภาครัฐให้เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม ********************************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8597
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็น "วันปิยะมหาราช” ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่นานัปการ และทรงเป็นที่รักของพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า หน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งข้าราชการ และภาคเอกชนต่างร่วมวางพวงมาลาสักการะพระบรมราชานุสรณ์ รัชกาลที่ 5 รวมทั้งมีการจัดนิทรรศการเชิงวิชาการเกี่ยวกับพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน ในโอกาสพิเศษนี้ ผมก็ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทุกท่าน ได้ร่วมน้อมจิตอธิษฐาน และแสดงความสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการรู้รักสามัคคี มุ่งมั่นปรองดอง และร่วมสร้างอนาคตของชาติให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ด้วยการร่วมกันในการปฏิรูปประเทศ "เดินหน้าประเทศไทย” ในบทบาทและหน้าที่ของตนอย่างเหมาะสมต่อไปครับ ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน ได้มีโอกาสให้ผมในฐานะเป็นผู้นํารัฐบาลได้ถวายการต้อนรับเจ้าชายคอลิฟะห์ บิน ซัลมาน อัล คอลิฟะห์ นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน ซึ่งถือว่าเป็นมิตรเก่าแก่และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุดของไทย ในกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง โดยท่านนายกรัฐมนตรีบาห์เรนเอง ก็ทรงเล่าว่าได้มาเยือนเมืองไทยบ่อยครั้ง และเฝ้าติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ได้ทรงชื่นชมว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความปลอดภัย ทรงเห็นว่าประชาชนชาวไทยนั้นดํารงชีวิตอย่างมีความสุขเป็นปกติ ทรงให้ความเห็นว่าความปลอดภัย ความมั่นคง เป็นปัจจัยพื้นฐานสําคัญในการพัฒนาประเทศ บาห์เรนมีความต้องการที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือกับเราในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ที่บาห์เรนพร้อมจะรับซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งข้าวจากไทย โดยเห็นพ้องที่จะสร้างกลไกความร่วมมือในทุกระดับ และจะเร่งดําเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในเรื่องของอาหารและเกษตรกรรม ในโอกาสเดียวกันนี้ ผมก็ได้เน้นย้ําการให้ความสําคัญ ในการร่วมมือดูแลภาคเกษตรกรรมในภูมิภาคเอเชียให้เข้มแข็ง เพื่อใช้ในการต่อรองทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีบาห์เรนก็ทรงขานรับ ได้ทรงกล่าวว่าบาห์เรนพร้อมเป็นประเทศผู้ประสานงาน ระหว่างไทยกับประเทศอื่นๆ ในแถบตะวันออกกลาง และสนับสนุนบทบาทของไทยในเวทีโลกอีกด้วยครับ ในการประชุมผู้นําเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 10 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ห้วงวันที่ 16-17 ตุลาคม 2557 ผมและคณะผู้แทนรัฐบาลไทย ได้เดินทางไปเข้าร่วมการประชุม "ผู้นําเอเชีย-ยุโรป (ASEM)” ครั้งที่ 10 ณ นครมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี การประชุมครั้งนี้ มีผู้นําประเทศและผู้แทนองค์กรภูมิภาค เข้าร่วมการประชุม รวมทั้งสิ้น 53 คณะ โดยผมในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทย ก็ได้มีโอกาสกล่าวต่อที่ประชุมถึงความพร้อม และศักยภาพของประเทศไทย ในการที่จะเป็น "ศูนย์กลางแห่งอาเซียน” และได้ผลักดัน ประเด็นสําคัญ 3 ประการ ต่อที่ประชุม ASEM ได้แก่ หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยจะใช้โอกาสที่ไทยจะรับหน้าที่ผู้ประสานความสัมพันธ์อาเซียน – สหภาพยุโรป ปี 2558 – 2561 เพื่อจะผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไปสู่การเป็น "หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” และส่งเสริมความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการสร้างประชาคมอาเซียน ในปี 2558 บนพื้นฐานของการลดช่องว่างการพัฒนา การส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างกัน และการให้ความสําคัญกับความมั่นคงทางพลังงานและอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลภาคเกษตรกรรม และการพยุงราคาสินค้าเกษตร ซึ่งผมได้กล่าวให้ที่ประชุมรับทราบถึงความสําคัญในการจะร่วมมือกันระหว่าง สหภาพยุโรปและเอเชีย โดยให้สหภาพยุโรปได้เข้ามาช่วยเหลือดูแลภาคการเกษตรในเอเชียบ้าง และให้เอเชียช่วยผลิตสินค้าเกษตร ทั้งพืชอาหารและพลังงานทดแทนแก่สหภาพยุโรป อันจะช่วยลดปัญหาความยากจนในเอเชีย และลดความขัดแย้งจากการขาดแคลนอาหารและพลังงานที่อาจจะเป็นผลกระทบมาจากการ เปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศโลกได้อีกด้วย ข้อเสนอต่อไปคือริเริ่มให้มีการประชุม เพื่อวางทิศทางการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านเศรษฐกิจ เช่น การสนับสนุนการลดอุปสรรคทางการค้า ผ่านการจัดทําข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ตลอดจนข้อตกลงทางการค้า การลงทุน ผ่านกรอบความร่วมมือพหุภาคี ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) การระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเอเชีย เช่น โครงการรถไฟทางคู่ และการขยายช่องทางติดต่อชายแดน 5 ช่องทาง เชื่อมต่อประเทศในกลุ่มอาเซียนกับประเทศต่างๆ ในเอเชีย โดยมีประเทศไทยเป็น "ศูนย์กลาง (HUB)” และ การกระชับความร่วมมือและการสนับสนุนการถ่ายโอนองค์ความรู้ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยให้ความสําคัญในเรื่องเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในเรื่องต่อไปคือการบริหารจัดการความเสี่ยง ร่วมกัน ซึ่งวันนี้เป็นสิ่งท้าทายระดับโลก ประเทศไทย เอเชีย และอียู จะต้องร่วมกันขบคิดในประชาคมระหว่างประเทศ เช่น ในเรื่องของโรคระบาดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา ลัทธิสุดโต่งกับการก่อการร้าย ปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น นอกจากนี้ ในการเข้าร่วมการประชุม ASEM ผมได้มีโอกาสพบปะ เพื่อแนะนําตัว และทําความเข้าใจสถานการณ์ในประเทศไทย กับผู้นําหลายท่าน จากประเทศต่างๆ ซึ่งก็ได้รับสัญญาณที่ดีกลับมา ผู้นําหลายท่านได้แสดงความเข้าใจ และชื่นชมข้อเสนอเชิงรุกของเราในการพัฒนาร่วมกันอย่างยั่งยืน อีกทั้งผมได้มีโอกาสเข้าหารือระดับทวิภาคีกับผู้นําหลายประเทศด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้นําประเทศอาเซียน จีน ญี่ปุ่น อินเดีย กัมพูชา สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งผลการหารือก็จะเป็นประโยชน์ร่วมกันมากในอนาคต นอกจากนั้นจะนําไปสู่ความร่วมมือที่จะช่วยพัฒนาประเทศร่วมกัน ซึ่งผมได้เน้นย้ําถึงความตั้งใจและความจริงใจ ในการปราบปรามคอรัปชั่นของรัฐบาล ซึ่งผู้นําทุกท่านก็ได้ชื่นชม และให้กําลังใจในการทํางานของพวกเรา อีกทั้งได้มีการพูดคุยหารือกันในหลายเรื่อง เช่น ในเรื่องของการสร้างสภาวะแวดล้อมให้เอื้อต่อการค้าการลงทุน โดยการลดขั้นตอนหรือข้อจํากัดต่างๆ เช่น การจัดตั้ง Single Window หรือ One Stop Service เพื่อช่วยให้การดําเนินธุรกิจของนักลงทุนเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการดูแลนักลงทุน การบังคับใช้กฎระเบียบและสิทธิประโยชน์ของ BOI ที่เหมาะสมกับนักลงทุน ผมได้เชิญชวนนักลงทุนหลายประเทศเข้ามาลงทุนในบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมการเกษตร และการแปรรูปสินค้าการเกษตร หลายๆ ประเทศก็ตอบรับเป็นอย่างดีครับ ในเรื่องของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและ สาธารณูปโภค อันเป็นหัวใจสําคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทย กับภูมิภาคอาเซียน ซึ่งผมได้หารือถึงการลงทุนร่วมกันในโครงสร้างพื้นฐานในหลายๆ เรื่อง ทั้งระบบราง รถไฟ และการบริหารจัดการน้ํา เพื่อป้องกันน้ําท่วม และให้มีน้ําใช้อย่างเพียงพอ ในการทําการเกษตร ซึ่งทางญี่ปุ่นและจีน พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ยังได้มีการเชิญชวนอินเดียและสิงคโปร์ เข้าร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ซึ่งมีท่าทีตอบรับที่ค่อนข้างดี รวมทั้งหารือความเป็นไปได้ ในการลงทุนร่วมกันในด้านอื่นๆ อีกหลายประเทศ เช่น ด้านดาวเทียม หรืออะไรก็ตามที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้น ด้านพลังงานถ่านหินที่มีคุณภาพ พลังงานสะอาด ด้านเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาแปรรูปสินค้านวัตกรรม และที่สําคัญคือการลงทุนร่วมกันในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงการค้าการลงทุนในภูมิภาคได้เป็นอย่างดี การค้าชายแดนและการดูแลแรงงานจากประเทศ เพื่อนบ้าน ผมได้เสนอแนวความคิด คือให้ "เส้นเขตแดนนั้นเป็น เส้นแห่งความร่วมมือ” ในทุกมิติ เพื่อจะส่งเสริมการพัฒนาและแสวงประโยชน์ร่วมกัน อย่าให้เขตแดนเป็นอุปสรรค ได้มีการจัดตั้ง "เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ให้มีสถานที่อํานวยความสะดวกต่างๆ ทั้งการค้า โรงแรม สถานประกอบการ เช่น ชายแดนที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชาตรงข้ามปอยเปต ก็สามารถพัฒนาให้มีโรงงานบริเวณชายแดน เพื่อให้ชาวกัมพูชาสามารถข้ามเข้ามาทํางานได้สะดวก ใกล้บ้าน และทางการกัมพูชาอาจพิจารณาจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในลักษณะเดียวกัน แบบคู่ขนาน – เป็นเมืองคู่แฝด อันนี้ก็คงรอบๆ บ้าน ไปทั้งหมดทุกประเทศด้วย สําหรับในพื้นที่ติดกัน เช่น บริเวณชายแดนประเทศลาว ไทยกับลาวก็จะได้ร่วมมือกันพัฒนาสร้างเส้นทางคมนาคมระหว่างไทย - ลาว เชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค อันจะช่วยส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวในภูมิภาคอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ผมต้องขอขอบคุณผู้นําทุก ๆ ประเทศที่ให้เกียรติกับผม ให้เกียรติกับคนไทย ประเทศไทยได้มีโอกาสพบปะหารือและเชิญให้ผมได้ไปเยือนประเทศของท่าน ซึ่งผมคงหาเวลาที่เหมาะสมเพื่อไปเยือนในเร็ววันนี้ เพราะบางครั้งก็ไม่ตรงกัน เรื่องจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์นี้ กระทรวงคมนาคมได้เสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของ ไทย พ.ศ. 2558 – 2565 เป็นแผนยุทธศาสตร์ 8 ปี ต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อแบ่งเป็นการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทั้งหมด 5 ด้าน อันนี้ก็เป็น 8 ปี เราจะทําเมื่อไรอย่างไรก็ว่ากันอีกครั้งหนึ่ง อันนี้ ได้แก่ การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง การพัฒนาโครงข่ายขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเพื่อเชื่อมโยงฐานการผลิตที่สําคัญและเชื่อมโยงกับ ประเทศเพื่อนบ้าน การพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ํา และการพัฒนาการเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งทางอากาศ ผมขอขยายความเล็กน้อยเพื่อให้พ่อแม่พี่น้องได้เข้าใจพอสังเขป ดังนี้ เรื่องการพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง จะมีการปรับปรุงระบบอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ ที่จะแยกเป็นโครงการระยะเร่งด่วน 6 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวม 903 กิโลเมตร (กม.) คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในปี 2561 และโครงการระยะที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2560 อีก 8 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวม 1,626 กม. นอกจากนั้น จะพัฒนาทางคู่ขนาดมาตรฐาน (Standard Gauge) ขนาด 1.435 เมตร อีก 3 เส้นทาง ที่จะเน้นการขนส่งเชื่อมโยงไปยังเขตอุตสาหกรรมและประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ กรุงเทพฯ - นครราชสีมา - มาบตาพุด กรุงเทพฯ – ระยอง และ นครราชสีมา – หนองคาย คิดเป็นระยะทาง 705 กม. นอกจากนั้น กระทรวงคมนาคมจะเร่งการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพและปริมณฑล เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาจราจรในพื้นที่ ระยะแรกจะเร่งรัดการก่อสร้างใน 4 สาย ได้แก่ สายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ จะรีบดําเนินการให้เสร็จก่อนปี 2560 สายสีน้ําเงิน บางซื่อ-ท่าพระ หัวลําโพง-บางแค สายสีแดง บางซื่อ-รังสิต จะเร่งให้แล้วเสร็จในปี 2562 สายสีเขียว แบริ่ง-สมุทรปราการ จะให้เสร็จในปี 2563 ทั้งนี้ รัฐบาลจะเร่งกระบวนการประกวดราคา และศึกษารายละเอียดอีก 7 เส้นทางเพิ่มเติม โดยจะพยายามเร่งการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2564 ทั้งนี้เพื่อช่วยให้การเดินทางของพี่น้องประชาชนที่อยู่ในเขตปริมณฑลได้ สะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ ผมได้สั่งการเพิ่มเติมให้กระทรวงคมนาคมไปศึกษาในเรื่องของรถรางไฟฟ้า ในเขตปริมณฑลที่เชื่อมโยงพื้นที่ทํามาหากินของประชาชน ซึ่งไม่น่าจะใช้เงินลงทุนมาก และจะช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยมีทางเลือกในการสัญจรได้สะดวกยิ่งขึ้น สําหรับแผนการก่อสร้างและบูรณะขยายช่องการ จราจรทางถนน ทั้งในภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคอีสานตอนบน และภาคตะวันออก จะพัฒนาให้เชื่อมโยงไปทุกภูมิภาค และจะเชื่อมต่อไปยังจุดผ่านแดนต่างๆ โดยจะเร่งให้ก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2560 ในเรื่องของการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จะให้มีการรองรับเรือได้มากยิ่งขึ้น และจะพัฒนาให้เป็น "ศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ” จะเริ่มดําเนินการในปีหน้าจะให้แล้วเสร็จในปี 2560 นอกจากนี้ รัฐบาลจะเร่งดําเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางน้ํา จะพัฒนาตลิ่งท่าเทียบเรือและร่องน้ําในเขตแม่น้ําป่าสัก ให้สามารถขนส่งสินค้าทางเรือได้อย่างมีประสิทธิภาพ สําหรับการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิจะให้มี พื้นที่ Terminal ลานจอดเครื่องบิน และอุโมงค์เชื่อมต่อทางวิ่งสํารองและอาคารจอดรถที่พักผู้โดยสารเพิ่มเติม ซึ่งจะดําเนินการในปี 2558 นี้ และการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ โดยการสร้างหลุมจอดเครื่องบินเพิ่มอีก 15 หลุม ซึ่งจะให้แล้วเสร็จในปีหน้า และการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารเพิ่มเติมที่มีแผนจะเริ่มดําเนินการในปีหน้า เช่นเดียวกัน แผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้นั้น จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทย ช่วยให้การคมนาคมขนส่งสะดวกรวดเร็วขึ้น พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ก็จะเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศและเป็นการเชื่อมโยงไปสู่ เศรษฐกิจภูมิภาคด้วย ทั้งนี้ ผมได้กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การดําเนินงานนั้นต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส การจัดสรรงบประมาณประจําปีต้องทําตามแผนงานและต่อเนื่อง ในเรื่องของการช่วยเหลือเกษตรกร ในวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ( ธ.ก.ส.) เริ่มดําเนินการช่วยเหลือพี่น้องชาวนาตามมติที่ ครม.อนุมัติ ก็จะทยอยจ่ายเงินพี่น้องชาวนาให้ทั่วถึง หากท่านใดยังไม่ได้ไปลงทะเบียน ก็ขอให้ไปตรวจสอบลงทะเบียนให้เรียบร้อย หากท่านใดลงทะเบียนแล้วยังไม่ได้รับเงิน ก็ขอให้อดใจรอสักเล็กน้อย เพราะทาง ธ.ก.ส. เองจะทยอยจ่ายเงินให้ท่านให้ครบทุกคนแน่ครับ ก็ขอให้มั่นใจและก็ช่วยกันแก้ไขในเรื่องของการทุจริตต่างๆ ด้วยอย่าไปเชื่อใครทั้งสิ้นท่านต้องรับเงินด้วยมือของท่านเอง สําหรับผู้ที่ทํานาจริง สําหรับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางนั้น รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ล่าสุด ครม. ได้อนุมัติหลักการให้ความช่วยเหลือชาวสวนยางขั้นต้นตามที่คณะกรรมการนโยบาย ยางธรรมชาติ (กนย.) เสนอ ใน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยจะช่วยให้มีการรับซื้อยางในราคาเป้าหมายที่ 60 บาท ต่อกิโลกรัม ในชั้นต้น โครงการชดเชยรายได้พี่น้องชาวสวนยางไร่ละ 1,000 บาทต่อไร่ ไม่เกินครอบครัวละ 15 ไร่ โครงการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําแก่ชาวสวนยางพารารายย่อย เพื่อประกอบ รายละไม่เกิน 1 แสนบาท และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ทั้งนี้ ผมได้สั่งกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดูแล ศึกษารายละเอียดในการให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้การดําเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น และโปร่งใส คาดว่าอีกไม่นานนี้ ความช่วยเหลือต่างๆ เหล่านั้น คงจะถึงมือพี่น้องชาวสวนยางแน่ๆ นะครับ โครงการพักหนี้เกษตรกร หรือปัญหาหนี้นอกระบบนั้น เป็นปัญหาสําคัญสําหรับพี่น้องประชาชนที่มีรายได้น้อยที่มีความจําเป็นต้องกู้ ยืมเงิน แต่ก็ไม่สามารถที่จะไปกู้ยืมเงินผ่านธนาคารทั่วไปได้ ผมก็อยากให้ทุกท่านทราบว่า ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่พร้อมให้การสนับสนุนและสามารถช่วยเหลือท่านได้เป็น อย่างดีในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรการเงินชุมชน กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ในพื้นที่ ในสัปดาห์นี้ ครม. ก็ได้มีมติเห็นชอบการจ่ายดอกเบี้ยชดเชยให้กับสหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรตาม โครงการพักหนี้เกษตรกร รายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ํากว่า 500,000 บาท โครงการนี้ รัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่เป็นลูกหนี้ กับสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรในการพักชําระหนี้ในปี 2557 ทั้งนี้ก็เพื่อบรรเทาภาระหนี้ของพี่น้องประชาชน เราจะใช้งบกลางของปี 2556 จากกรอบวงเงินเดิมที่เหลืออยู่ จํานวน 610 ล้านบาท และงบประมาณปี 2558 ที่ได้รับจัดสรรเพิ่มเติมอีกประมาณ 89.8 ล้านบาท ไปชดเชยดอกเบี้ย รัฐบาลจะพยายามเต็มที่เพื่อจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ ก็อยากจะขอความร่วมมือ ขอให้ระมัดระวังการใช้จ่ายเงินอย่าได้ไปกู้ยืมเงินจากนายทุนนอกระบบไปใช้ใน สิ่งที่ไม่จําเป็นนอกจากจะเสียเงินดอกเบี้ยสูงแล้ว รัฐบาลก็ไม่สามารถที่จะเข้าช่วยบรรเทาภาระของท่านได้ ขณะนี้ รัฐบาลโดยฝ่ายเศรษฐกิจก็กําลังเร่งพิจารณารายละเอียดในการจัดตั้ง "นาโนไฟแนนซ์” ซึ่งก็ต้องพิจารณากันว่าจะได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่างไร ตรงความต้องการหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้พี่น้องประชาชนอีกทางหนึ่ง ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนั้น ก็คาดว่าจะถูกกว่าการกู้ยืมนอกระบบมาก พร้อมทั้งการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การทวงถามหนี้ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปแล้วเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วาระที่ 2 แล้ว ก็คาดว่าน่าจะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งหลังจากที่กฎหมายผ่านแล้ว ท่านที่จะทําธุรกิจทวงหนี้ ก็จะต้องมาขึ้นทะเบียนกับกระทรวงการคลัง และหากท่านมีการข่มขู่ หรือใช้ความรุนแรงกับลูกหนี้ หรือมีการทวงหนี้ยามวิกาล มีการระรานไปยังที่ทํางานหรือทวงหนี้กับญาติพี่น้อง ท่านก็อาจจะมีความผิดในทันที บทลงโทษสูงสุดก็คือการจําคุก ก็ขอเตือนนายทุนนอกระบบทั้งหลายว่ากรุณาอย่าได้ข่มขู่หรือทําการใดๆ ที่รุนแรงกับลูกหนี้ ให้ความเมตตา ให้ความเข้าใจกับผู้ที่มีรายได้น้อยด้วย อย่าเอาแต่ประโยชน์อย่างเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สําคัญ เพราะฉะนั้นในปัจจุบันเรื่องที่เกี่ยวกับหนี้สินนอกระบบนั้นมีกฎหมายอยู่ หลายฉบับ ต่อไปนี้จะใช้อย่างเข้มงวดมากขึ้นด้วย นอกจากกฎหมายใหม่แล้ว สิ่งสําคัญอีกประการหนึ่งก็คือว่า วันนี้เราต้องมีชีวิตอยู่อย่างเพียงพอตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย เพราะฉะนั้นทั้งพ่อแม่ ลูกหลาน ก็ต้องช่วยกัน วันนี้หนี้สินส่วนใหญ่เกิดมาจากลูกหลานทั้งสิ้น ไปเรียนหนังสือบ้าง ซื้อของที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์บ้าง ฉะนั้นถ้าเรามีเงินน้อยเราก็ซื้อของใช้เท่าที่จําเป็น ไม่ต้องทันสมัยมากมายนักหรือเป็นของที่มียี่ห้อ มีชื่อเสียงมากนัก เราต้องเห็นใจพ่อแม่ ถ้าเราเรียกร้องมากๆ พ่อแม่ก็ไปเป็นหนี้เป็นสินเขา ถึงเวลาเรียนหนังสือก็ต้องไปกู้เงินมาเรียนหนังสืออีก วันหน้าที่ทางต่างๆ ก็ต้องขายหมด เพราะฉะนั้นต้องนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาใช้ในการดํารงชีวิตด้วย เมื่อท่านแข็งแรงมีเงินมาก ท่านก็ใช้มากไปไม่มีใครว่าอะไร สําหรับการจัดระเบียบพื้นที่ทางการเกษตรและ อุตสาหกรรม ที่เรียกว่า Zoning นั้น ในที่ประชุม ครม. ผมได้สั่งการให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมมือกันในลักษณะของการบูรณาการ จะต้องแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนใน 2 เรื่อง คือในเรื่องของการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทางการ เกษตร พื้นที่ใด มีสภาพแวดล้อม ดิน น้ํา เหมาะสมกับพืชชนิดใด หน่วยงานของรัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือ ให้คําปรึกษา ให้ความรู้ และการฝึกอบรม อย่ารอให้เกิดปัญหา สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดขณะนี้ คือพื้นที่ที่แล้งซ้ําซาก น้ําก็น้อย ดินก็ไม่ดี แต่ก็ยังคงต้องเพาะปลูกพื้นที่ทางการเกษตร เช่น ข้าว ก็ไม่ได้ผลทุกปี ฉะนั้นต้องเร่งเข้าไปดําเนินการตั้งแต่การจัดสรรพื้นที่เพาะปลูก ไปจนถึงการดูแลตลาดให้กับเกษตรกรด้วย กรณีที่เปลี่ยนเป็นพืชอย่างอื่น และเราก็ไม่ได้บังคับใครทั้งสิ้น เราเป็นห่วง นอกจากนั้นจะมีการพัฒนาคนหรือชาวนาให้มีอาชีพเสริมแล้ว ยังเป็นการพัฒนาพื้นที่ ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า พื้นที่น้อยผลผลิตมาก การแยกพื้นที่เพาะปลูกกับนิคมอุตสาหกรรมนั้นมีความจําเป็น เพราะบางพื้นที่นั้นไม่เหมาะจะไปตั้งโรงงาน ก็เหมาะจะใช้เป็นพื้นที่ทางการเกษตรมากกว่า มีน้ํา มีดินดี ใกล้การขนส่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นก็ขัดแย้งกันมาตลอด วันนี้ต้องขอความกรุณา ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน สําหรับในส่วนของภาคการผลิตพืชผลทางการเกษตร แหล่งน้ํากินน้ําใช้ สิ่งนี้จะต้องได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะมีการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมใดๆ จะต้องไม่กระทบต่อคุณภาพชีวิตในชุมชน ต้องดูแลชุมชนด้วย โครงการพัฒนาต่างๆ ในอนาคตนั้น ต้องมองในภาพรวม ต้องพิจารณาเรื่องเส้นทางคมนาคมขนส่งด้วย ทั้งหมดนี้อย่าตื่นตระหนก ไม่ใช่เราจะไปเปลี่ยนอาชีพอะไรของท่าน เพียงแต่จะเข้าไปดูแลท่านให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และไม่ได้เป็นการบังคับ แล้วแต่ความสมัครใจเพราะฉะนั้นต้องการให้ประชาชนที่เป็นภาคเกษตรกรรมนั้น ทราบว่า พื้นที่ใดของประเทศไทยเหมาะสมจะปลูกพืชอะไร ทั้งนี้ก็แล้วแต่ท่าน เรื่องปัญหาการขาดแคลนน้ํา ผมต้องขอความร่วมมือและขอทําความเข้าใจกับ พี่น้องชาวนาในพื้นที่ภัยแล้งทุกท่าน ตามที่คาดการณ์ว่าปัจจุบันจนถึงกลางปีหน้า เราจะมีปริมาณน้ําน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ไม่เพียงพอต่อการอุปโภค – บริโภค ผลิตน้ําประปา การเกษตร และใช้สําหรับการผลักดันน้ําทะเล เพราะฉะนั้นการบริหารจัดการน้ําของรัฐบาลนั้น จําเป็นต้องสร้างสมดุลในทุกมิติ แม้ว่าการระงับการส่งน้ําเพื่อการทํานาปรัง ก็มีความจําเป็น รัฐบาลก็พยายามแก้ปัญหา มีมาตรการเสริมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นส่งเสริมการเพาะปลูกพืชชนิดอื่นที่ใช้น้ําน้อย การประมง ปศุสัตว์ รวมทั้งการจ้างแรงงานในการขุดลอกคูคลอง หรืออะไรก็ได้ที่จะเกิดผลประโยชน์กับประชาชน และการสร้างแหล่งน้ําใหม่ให้มากขึ้น ต้องใช้เวลา ฉะนั้นปีหน้าอยากจะขอความร่วมมือตรงนี้ อย่าตื่นตระหนก ปัญหาที่ผมเป็นห่วงก็คือน้ําประปาของเราจะขาด เพราะน้ําทะเลจะเข้ามา น้ําทะเลเข้ามาน้ําก็จะกร่อย การทําน้ําประปาก็มีปัญหา ก็ขอให้ทุกท่านได้เข้าไปใช้บริการ ขอข้อมูล รับคําแนะนํา และความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ได้ที่ศูนย์ดํารงธรรมได้ทุกแห่ง รวมไปถึงศูนย์อื่นๆ ด้วย ทั้งการเกษตรก็ได้มีการจัดตั้งศูนย์มา 800 กว่าศูนย์แล้ว เมื่อวันอังคารที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ประธานชมรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนตาบอดแห่งประเทศไทย และคณะได้เดินทางมาพบผมก่อนเข้าประชุม ครม. ได้มอบเข็มที่ระลึก เนื่องใน "วันไม้เท้าขาวสากล” ซึ่งตรงกับวันที่ 15 ตุลาคมของทุกปี โดยขอให้รัฐบาลส่งเสริมและพัฒนาการสร้างความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม และการเคลื่อนไหว เพื่อการดํารงชีวิตอิสระของคนพิการประเภทความพิการทางการมองเห็น ในที่ประชุม ครม. ผมก็ได้สั่งการให้ทุกกระทรวง ที่มีโครงการใดๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งมวลชน สถานที่ และสิ่งอํานวยความสะดวกสาธารณะ ต้องคํานึงถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ด้อยโอกาสทางร่างกายทุกประเภท ด้วยครับ ทั้งนี้เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ลดความเหลื่อมล้ําในสังคมของเรา สําหรับเรื่องในการกีฬา ซึ่งขอให้ทุกคนได้ร่วมกันส่งแรงใจไปกับผมด้วย ไปเชียร์กองทัพนักกีฬาไทย ขอขอบคุณที่สร้างความสุขให้กับคนไทย มีการชิงเหรียญรางวัลมากมาย ก็คงจะนํามาฝากพี่น้องชาวไทยของเราให้ชื่นใจ แต่สิ่งสําคัญที่สุดก็คือ นักกีฬาทุกท่านนั้น เป็นสัญลักษณ์ของ "ผู้ที่ไม่พ่ายแพ้” กับใครในการกีฬา ก็ขอให้รักษาแนวคิดเหล่านี้ไว้ เพื่อเราจะได้เพิ่มศักยภาพในเรื่องด้านการกีฬาของเรามากขึ้น มีอีก 2 เรื่อง ผมต้องการจะเพิ่มเติมด้วยความห่วงใย เมื่อเช้าผมติดตามเห็นข่าวออกมาทางสื่อว่า เอกอัครราชทูตหลายประเทศของ EU ได้พูดถึงประเด็นการเสนอข่าวของสื่อไทย ซึ่งบางครั้งก็เป็นการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนในเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นของผู้เสียหาย หรือผู้กระทําก็ตาม ที่ผ่านมาผมเห็นมีการพูดคุยกันระหว่างคณะทูตกับผู้แทนของสมาคมผู้สื่อข่าว ประเทศไทย ก็ขอให้ระมัดระวัง เพราะเป็นการสร้างการรับรู้ไปยังต่างประเทศ นี้ก็มีผลต่อเนื่องไปหลายๆ เรื่องด้วยกัน เช่น ในส่วนของเรื่องการสมัครสมาชิก UN ในเรื่องของสิทธิมนุษยชน ถึงแม้เราจะไม่ได้รับการคัดเลือก ขอให้ทุกคนได้ภูมิใจว่าเราไม่ได้แพ้มากมาย สูงสุดก็ 162 ก่อนหน้าเราก็ 142 ของเราก็ 136 ประเทศสนับสนุน ผมถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เข้ามาพิจารณาด้วยคือ ในส่วนของสถานการณ์ในการเดินหน้าประเทศเราตอนนี้ ก็อาจจะมีประเด็นหลักๆ อยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าสื่อสร้างความเข้าใจในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่เคยเป็นปัญหา ในสิ่งที่เราแก้ไข ผมว่าเขาก็เข้าใจได้ สิ่งนี้ผมก็ไม่ไปก้าวล่วงท่าน เพราะฉะนั้นท่านก็ไปพิจารณาว่าท่านควรจะต้องแก้ไขหรือทําอะไรอย่างไรต่อไป เพื่อช่วยประเทศไทยในการเดินหน้า และสร้างความเข้าใจกับต่างประเทศให้เราด้วย อีกเรื่องหนึ่งคือในส่วนของการดําเนินงานต่างๆ ของรัฐบาลในเวลานี้ ผมขอเรียนว่าเราก็พยายามเดินหน้าอย่างเต็มที่ในทุกๆ มิติ ก็ขอให้ทุกคนได้ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันกับการทํางานของเรา ถ้าเราไม่ร่วมมือกันวันนี้ก็เดินหน้าไปไม่ได้ และเราแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นทุกคนต้องหันหน้ามาพูดคุยกัน และให้คําแนะนําในสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งใดก็ตามที่เป็นสิ่งที่ยังไม่ดีไม่เข้าใจ ผมยินดีน้อมรับทุกเรื่อง เพื่อจะนําไปสู่การแก้ไข แต่หลายๆ อย่างก็คงต้องใช้เวลา ไม่สามารถจะแก้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว อย่างไรก็ตามก็ขอขอบพระคุณในกําลังใจที่ให้กับพวกเราเสมอมา เราก็จะทําหน้าที่ของพวกเราให้ดีที่สุด ขอบคุณ สวัสดีครับ
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็น "วันปิยะมหาราช” ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่นานัปการ และทรงเป็นที่รักของพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า หน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งข้าราชการ และภาคเอกชนต่างร่วมวางพวงมาลาสักการะพระบรมราชานุสรณ์ รัชกาลที่ 5 รวมทั้งมีการจัดนิทรรศการเชิงวิชาการเกี่ยวกับพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน ในโอกาสพิเศษนี้ ผมก็ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทุกท่าน ได้ร่วมน้อมจิตอธิษฐาน และแสดงความสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการรู้รักสามัคคี มุ่งมั่นปรองดอง และร่วมสร้างอนาคตของชาติให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ด้วยการร่วมกันในการปฏิรูปประเทศ "เดินหน้าประเทศไทย” ในบทบาทและหน้าที่ของตนอย่างเหมาะสมต่อไปครับ ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน ได้มีโอกาสให้ผมในฐานะเป็นผู้นํารัฐบาลได้ถวายการต้อนรับเจ้าชายคอลิฟะห์ บิน ซัลมาน อัล คอลิฟะห์ นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน ซึ่งถือว่าเป็นมิตรเก่าแก่และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุดของไทย ในกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง โดยท่านนายกรัฐมนตรีบาห์เรนเอง ก็ทรงเล่าว่าได้มาเยือนเมืองไทยบ่อยครั้ง และเฝ้าติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ได้ทรงชื่นชมว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความปลอดภัย ทรงเห็นว่าประชาชนชาวไทยนั้นดํารงชีวิตอย่างมีความสุขเป็นปกติ ทรงให้ความเห็นว่าความปลอดภัย ความมั่นคง เป็นปัจจัยพื้นฐานสําคัญในการพัฒนาประเทศ บาห์เรนมีความต้องการที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือกับเราในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ที่บาห์เรนพร้อมจะรับซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งข้าวจากไทย โดยเห็นพ้องที่จะสร้างกลไกความร่วมมือในทุกระดับ และจะเร่งดําเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในเรื่องของอาหารและเกษตรกรรม ในโอกาสเดียวกันนี้ ผมก็ได้เน้นย้ําการให้ความสําคัญ ในการร่วมมือดูแลภาคเกษตรกรรมในภูมิภาคเอเชียให้เข้มแข็ง เพื่อใช้ในการต่อรองทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีบาห์เรนก็ทรงขานรับ ได้ทรงกล่าวว่าบาห์เรนพร้อมเป็นประเทศผู้ประสานงาน ระหว่างไทยกับประเทศอื่นๆ ในแถบตะวันออกกลาง และสนับสนุนบทบาทของไทยในเวทีโลกอีกด้วยครับ ในการประชุมผู้นําเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 10 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ห้วงวันที่ 16-17 ตุลาคม 2557 ผมและคณะผู้แทนรัฐบาลไทย ได้เดินทางไปเข้าร่วมการประชุม "ผู้นําเอเชีย-ยุโรป (ASEM)” ครั้งที่ 10 ณ นครมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี การประชุมครั้งนี้ มีผู้นําประเทศและผู้แทนองค์กรภูมิภาค เข้าร่วมการประชุม รวมทั้งสิ้น 53 คณะ โดยผมในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทย ก็ได้มีโอกาสกล่าวต่อที่ประชุมถึงความพร้อม และศักยภาพของประเทศไทย ในการที่จะเป็น "ศูนย์กลางแห่งอาเซียน” และได้ผลักดัน ประเด็นสําคัญ 3 ประการ ต่อที่ประชุม ASEM ได้แก่ หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยจะใช้โอกาสที่ไทยจะรับหน้าที่ผู้ประสานความสัมพันธ์อาเซียน – สหภาพยุโรป ปี 2558 – 2561 เพื่อจะผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไปสู่การเป็น "หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” และส่งเสริมความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการสร้างประชาคมอาเซียน ในปี 2558 บนพื้นฐานของการลดช่องว่างการพัฒนา การส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างกัน และการให้ความสําคัญกับความมั่นคงทางพลังงานและอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลภาคเกษตรกรรม และการพยุงราคาสินค้าเกษตร ซึ่งผมได้กล่าวให้ที่ประชุมรับทราบถึงความสําคัญในการจะร่วมมือกันระหว่าง สหภาพยุโรปและเอเชีย โดยให้สหภาพยุโรปได้เข้ามาช่วยเหลือดูแลภาคการเกษตรในเอเชียบ้าง และให้เอเชียช่วยผลิตสินค้าเกษตร ทั้งพืชอาหารและพลังงานทดแทนแก่สหภาพยุโรป อันจะช่วยลดปัญหาความยากจนในเอเชีย และลดความขัดแย้งจากการขาดแคลนอาหารและพลังงานที่อาจจะเป็นผลกระทบมาจากการ เปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศโลกได้อีกด้วย ข้อเสนอต่อไปคือริเริ่มให้มีการประชุม เพื่อวางทิศทางการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านเศรษฐกิจ เช่น การสนับสนุนการลดอุปสรรคทางการค้า ผ่านการจัดทําข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ตลอดจนข้อตกลงทางการค้า การลงทุน ผ่านกรอบความร่วมมือพหุภาคี ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) การระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเอเชีย เช่น โครงการรถไฟทางคู่ และการขยายช่องทางติดต่อชายแดน 5 ช่องทาง เชื่อมต่อประเทศในกลุ่มอาเซียนกับประเทศต่างๆ ในเอเชีย โดยมีประเทศไทยเป็น "ศูนย์กลาง (HUB)” และ การกระชับความร่วมมือและการสนับสนุนการถ่ายโอนองค์ความรู้ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยให้ความสําคัญในเรื่องเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในเรื่องต่อไปคือการบริหารจัดการความเสี่ยง ร่วมกัน ซึ่งวันนี้เป็นสิ่งท้าทายระดับโลก ประเทศไทย เอเชีย และอียู จะต้องร่วมกันขบคิดในประชาคมระหว่างประเทศ เช่น ในเรื่องของโรคระบาดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา ลัทธิสุดโต่งกับการก่อการร้าย ปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น นอกจากนี้ ในการเข้าร่วมการประชุม ASEM ผมได้มีโอกาสพบปะ เพื่อแนะนําตัว และทําความเข้าใจสถานการณ์ในประเทศไทย กับผู้นําหลายท่าน จากประเทศต่างๆ ซึ่งก็ได้รับสัญญาณที่ดีกลับมา ผู้นําหลายท่านได้แสดงความเข้าใจ และชื่นชมข้อเสนอเชิงรุกของเราในการพัฒนาร่วมกันอย่างยั่งยืน อีกทั้งผมได้มีโอกาสเข้าหารือระดับทวิภาคีกับผู้นําหลายประเทศด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้นําประเทศอาเซียน จีน ญี่ปุ่น อินเดีย กัมพูชา สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งผลการหารือก็จะเป็นประโยชน์ร่วมกันมากในอนาคต นอกจากนั้นจะนําไปสู่ความร่วมมือที่จะช่วยพัฒนาประเทศร่วมกัน ซึ่งผมได้เน้นย้ําถึงความตั้งใจและความจริงใจ ในการปราบปรามคอรัปชั่นของรัฐบาล ซึ่งผู้นําทุกท่านก็ได้ชื่นชม และให้กําลังใจในการทํางานของพวกเรา อีกทั้งได้มีการพูดคุยหารือกันในหลายเรื่อง เช่น ในเรื่องของการสร้างสภาวะแวดล้อมให้เอื้อต่อการค้าการลงทุน โดยการลดขั้นตอนหรือข้อจํากัดต่างๆ เช่น การจัดตั้ง Single Window หรือ One Stop Service เพื่อช่วยให้การดําเนินธุรกิจของนักลงทุนเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการดูแลนักลงทุน การบังคับใช้กฎระเบียบและสิทธิประโยชน์ของ BOI ที่เหมาะสมกับนักลงทุน ผมได้เชิญชวนนักลงทุนหลายประเทศเข้ามาลงทุนในบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมการเกษตร และการแปรรูปสินค้าการเกษตร หลายๆ ประเทศก็ตอบรับเป็นอย่างดีครับ ในเรื่องของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและ สาธารณูปโภค อันเป็นหัวใจสําคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทย กับภูมิภาคอาเซียน ซึ่งผมได้หารือถึงการลงทุนร่วมกันในโครงสร้างพื้นฐานในหลายๆ เรื่อง ทั้งระบบราง รถไฟ และการบริหารจัดการน้ํา เพื่อป้องกันน้ําท่วม และให้มีน้ําใช้อย่างเพียงพอ ในการทําการเกษตร ซึ่งทางญี่ปุ่นและจีน พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ยังได้มีการเชิญชวนอินเดียและสิงคโปร์ เข้าร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ซึ่งมีท่าทีตอบรับที่ค่อนข้างดี รวมทั้งหารือความเป็นไปได้ ในการลงทุนร่วมกันในด้านอื่นๆ อีกหลายประเทศ เช่น ด้านดาวเทียม หรืออะไรก็ตามที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้น ด้านพลังงานถ่านหินที่มีคุณภาพ พลังงานสะอาด ด้านเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาแปรรูปสินค้านวัตกรรม และที่สําคัญคือการลงทุนร่วมกันในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงการค้าการลงทุนในภูมิภาคได้เป็นอย่างดี การค้าชายแดนและการดูแลแรงงานจากประเทศ เพื่อนบ้าน ผมได้เสนอแนวความคิด คือให้ "เส้นเขตแดนนั้นเป็น เส้นแห่งความร่วมมือ” ในทุกมิติ เพื่อจะส่งเสริมการพัฒนาและแสวงประโยชน์ร่วมกัน อย่าให้เขตแดนเป็นอุปสรรค ได้มีการจัดตั้ง "เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ให้มีสถานที่อํานวยความสะดวกต่างๆ ทั้งการค้า โรงแรม สถานประกอบการ เช่น ชายแดนที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชาตรงข้ามปอยเปต ก็สามารถพัฒนาให้มีโรงงานบริเวณชายแดน เพื่อให้ชาวกัมพูชาสามารถข้ามเข้ามาทํางานได้สะดวก ใกล้บ้าน และทางการกัมพูชาอาจพิจารณาจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในลักษณะเดียวกัน แบบคู่ขนาน – เป็นเมืองคู่แฝด อันนี้ก็คงรอบๆ บ้าน ไปทั้งหมดทุกประเทศด้วย สําหรับในพื้นที่ติดกัน เช่น บริเวณชายแดนประเทศลาว ไทยกับลาวก็จะได้ร่วมมือกันพัฒนาสร้างเส้นทางคมนาคมระหว่างไทย - ลาว เชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค อันจะช่วยส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวในภูมิภาคอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ผมต้องขอขอบคุณผู้นําทุก ๆ ประเทศที่ให้เกียรติกับผม ให้เกียรติกับคนไทย ประเทศไทยได้มีโอกาสพบปะหารือและเชิญให้ผมได้ไปเยือนประเทศของท่าน ซึ่งผมคงหาเวลาที่เหมาะสมเพื่อไปเยือนในเร็ววันนี้ เพราะบางครั้งก็ไม่ตรงกัน เรื่องจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์นี้ กระทรวงคมนาคมได้เสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของ ไทย พ.ศ. 2558 – 2565 เป็นแผนยุทธศาสตร์ 8 ปี ต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อแบ่งเป็นการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทั้งหมด 5 ด้าน อันนี้ก็เป็น 8 ปี เราจะทําเมื่อไรอย่างไรก็ว่ากันอีกครั้งหนึ่ง อันนี้ ได้แก่ การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง การพัฒนาโครงข่ายขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเพื่อเชื่อมโยงฐานการผลิตที่สําคัญและเชื่อมโยงกับ ประเทศเพื่อนบ้าน การพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทางน้ํา และการพัฒนาการเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งทางอากาศ ผมขอขยายความเล็กน้อยเพื่อให้พ่อแม่พี่น้องได้เข้าใจพอสังเขป ดังนี้ เรื่องการพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง จะมีการปรับปรุงระบบอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ ที่จะแยกเป็นโครงการระยะเร่งด่วน 6 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวม 903 กิโลเมตร (กม.) คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในปี 2561 และโครงการระยะที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2560 อีก 8 เส้นทาง คิดเป็นระยะทางรวม 1,626 กม. นอกจากนั้น จะพัฒนาทางคู่ขนาดมาตรฐาน (Standard Gauge) ขนาด 1.435 เมตร อีก 3 เส้นทาง ที่จะเน้นการขนส่งเชื่อมโยงไปยังเขตอุตสาหกรรมและประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ กรุงเทพฯ - นครราชสีมา - มาบตาพุด กรุงเทพฯ – ระยอง และ นครราชสีมา – หนองคาย คิดเป็นระยะทาง 705 กม. นอกจากนั้น กระทรวงคมนาคมจะเร่งการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพและปริมณฑล เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาจราจรในพื้นที่ ระยะแรกจะเร่งรัดการก่อสร้างใน 4 สาย ได้แก่ สายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ จะรีบดําเนินการให้เสร็จก่อนปี 2560 สายสีน้ําเงิน บางซื่อ-ท่าพระ หัวลําโพง-บางแค สายสีแดง บางซื่อ-รังสิต จะเร่งให้แล้วเสร็จในปี 2562 สายสีเขียว แบริ่ง-สมุทรปราการ จะให้เสร็จในปี 2563 ทั้งนี้ รัฐบาลจะเร่งกระบวนการประกวดราคา และศึกษารายละเอียดอีก 7 เส้นทางเพิ่มเติม โดยจะพยายามเร่งการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2564 ทั้งนี้เพื่อช่วยให้การเดินทางของพี่น้องประชาชนที่อยู่ในเขตปริมณฑลได้ สะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ ผมได้สั่งการเพิ่มเติมให้กระทรวงคมนาคมไปศึกษาในเรื่องของรถรางไฟฟ้า ในเขตปริมณฑลที่เชื่อมโยงพื้นที่ทํามาหากินของประชาชน ซึ่งไม่น่าจะใช้เงินลงทุนมาก และจะช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยมีทางเลือกในการสัญจรได้สะดวกยิ่งขึ้น สําหรับแผนการก่อสร้างและบูรณะขยายช่องการ จราจรทางถนน ทั้งในภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคอีสานตอนบน และภาคตะวันออก จะพัฒนาให้เชื่อมโยงไปทุกภูมิภาค และจะเชื่อมต่อไปยังจุดผ่านแดนต่างๆ โดยจะเร่งให้ก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2560 ในเรื่องของการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จะให้มีการรองรับเรือได้มากยิ่งขึ้น และจะพัฒนาให้เป็น "ศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ” จะเริ่มดําเนินการในปีหน้าจะให้แล้วเสร็จในปี 2560 นอกจากนี้ รัฐบาลจะเร่งดําเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางน้ํา จะพัฒนาตลิ่งท่าเทียบเรือและร่องน้ําในเขตแม่น้ําป่าสัก ให้สามารถขนส่งสินค้าทางเรือได้อย่างมีประสิทธิภาพ สําหรับการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิจะให้มี พื้นที่ Terminal ลานจอดเครื่องบิน และอุโมงค์เชื่อมต่อทางวิ่งสํารองและอาคารจอดรถที่พักผู้โดยสารเพิ่มเติม ซึ่งจะดําเนินการในปี 2558 นี้ และการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ โดยการสร้างหลุมจอดเครื่องบินเพิ่มอีก 15 หลุม ซึ่งจะให้แล้วเสร็จในปีหน้า และการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารเพิ่มเติมที่มีแผนจะเริ่มดําเนินการในปีหน้า เช่นเดียวกัน แผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้นั้น จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทย ช่วยให้การคมนาคมขนส่งสะดวกรวดเร็วขึ้น พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ก็จะเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศและเป็นการเชื่อมโยงไปสู่ เศรษฐกิจภูมิภาคด้วย ทั้งนี้ ผมได้กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การดําเนินงานนั้นต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส การจัดสรรงบประมาณประจําปีต้องทําตามแผนงานและต่อเนื่อง ในเรื่องของการช่วยเหลือเกษตรกร ในวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ( ธ.ก.ส.) เริ่มดําเนินการช่วยเหลือพี่น้องชาวนาตามมติที่ ครม.อนุมัติ ก็จะทยอยจ่ายเงินพี่น้องชาวนาให้ทั่วถึง หากท่านใดยังไม่ได้ไปลงทะเบียน ก็ขอให้ไปตรวจสอบลงทะเบียนให้เรียบร้อย หากท่านใดลงทะเบียนแล้วยังไม่ได้รับเงิน ก็ขอให้อดใจรอสักเล็กน้อย เพราะทาง ธ.ก.ส. เองจะทยอยจ่ายเงินให้ท่านให้ครบทุกคนแน่ครับ ก็ขอให้มั่นใจและก็ช่วยกันแก้ไขในเรื่องของการทุจริตต่างๆ ด้วยอย่าไปเชื่อใครทั้งสิ้นท่านต้องรับเงินด้วยมือของท่านเอง สําหรับผู้ที่ทํานาจริง สําหรับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางนั้น รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ล่าสุด ครม. ได้อนุมัติหลักการให้ความช่วยเหลือชาวสวนยางขั้นต้นตามที่คณะกรรมการนโยบาย ยางธรรมชาติ (กนย.) เสนอ ใน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยจะช่วยให้มีการรับซื้อยางในราคาเป้าหมายที่ 60 บาท ต่อกิโลกรัม ในชั้นต้น โครงการชดเชยรายได้พี่น้องชาวสวนยางไร่ละ 1,000 บาทต่อไร่ ไม่เกินครอบครัวละ 15 ไร่ โครงการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําแก่ชาวสวนยางพารารายย่อย เพื่อประกอบ รายละไม่เกิน 1 แสนบาท และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ทั้งนี้ ผมได้สั่งกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดูแล ศึกษารายละเอียดในการให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้การดําเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น และโปร่งใส คาดว่าอีกไม่นานนี้ ความช่วยเหลือต่างๆ เหล่านั้น คงจะถึงมือพี่น้องชาวสวนยางแน่ๆ นะครับ โครงการพักหนี้เกษตรกร หรือปัญหาหนี้นอกระบบนั้น เป็นปัญหาสําคัญสําหรับพี่น้องประชาชนที่มีรายได้น้อยที่มีความจําเป็นต้องกู้ ยืมเงิน แต่ก็ไม่สามารถที่จะไปกู้ยืมเงินผ่านธนาคารทั่วไปได้ ผมก็อยากให้ทุกท่านทราบว่า ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่พร้อมให้การสนับสนุนและสามารถช่วยเหลือท่านได้เป็น อย่างดีในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรการเงินชุมชน กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ในพื้นที่ ในสัปดาห์นี้ ครม. ก็ได้มีมติเห็นชอบการจ่ายดอกเบี้ยชดเชยให้กับสหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรตาม โครงการพักหนี้เกษตรกร รายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ํากว่า 500,000 บาท โครงการนี้ รัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่เป็นลูกหนี้ กับสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรในการพักชําระหนี้ในปี 2557 ทั้งนี้ก็เพื่อบรรเทาภาระหนี้ของพี่น้องประชาชน เราจะใช้งบกลางของปี 2556 จากกรอบวงเงินเดิมที่เหลืออยู่ จํานวน 610 ล้านบาท และงบประมาณปี 2558 ที่ได้รับจัดสรรเพิ่มเติมอีกประมาณ 89.8 ล้านบาท ไปชดเชยดอกเบี้ย รัฐบาลจะพยายามเต็มที่เพื่อจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ ก็อยากจะขอความร่วมมือ ขอให้ระมัดระวังการใช้จ่ายเงินอย่าได้ไปกู้ยืมเงินจากนายทุนนอกระบบไปใช้ใน สิ่งที่ไม่จําเป็นนอกจากจะเสียเงินดอกเบี้ยสูงแล้ว รัฐบาลก็ไม่สามารถที่จะเข้าช่วยบรรเทาภาระของท่านได้ ขณะนี้ รัฐบาลโดยฝ่ายเศรษฐกิจก็กําลังเร่งพิจารณารายละเอียดในการจัดตั้ง "นาโนไฟแนนซ์” ซึ่งก็ต้องพิจารณากันว่าจะได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่างไร ตรงความต้องการหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้พี่น้องประชาชนอีกทางหนึ่ง ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนั้น ก็คาดว่าจะถูกกว่าการกู้ยืมนอกระบบมาก พร้อมทั้งการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การทวงถามหนี้ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปแล้วเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วาระที่ 2 แล้ว ก็คาดว่าน่าจะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งหลังจากที่กฎหมายผ่านแล้ว ท่านที่จะทําธุรกิจทวงหนี้ ก็จะต้องมาขึ้นทะเบียนกับกระทรวงการคลัง และหากท่านมีการข่มขู่ หรือใช้ความรุนแรงกับลูกหนี้ หรือมีการทวงหนี้ยามวิกาล มีการระรานไปยังที่ทํางานหรือทวงหนี้กับญาติพี่น้อง ท่านก็อาจจะมีความผิดในทันที บทลงโทษสูงสุดก็คือการจําคุก ก็ขอเตือนนายทุนนอกระบบทั้งหลายว่ากรุณาอย่าได้ข่มขู่หรือทําการใดๆ ที่รุนแรงกับลูกหนี้ ให้ความเมตตา ให้ความเข้าใจกับผู้ที่มีรายได้น้อยด้วย อย่าเอาแต่ประโยชน์อย่างเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สําคัญ เพราะฉะนั้นในปัจจุบันเรื่องที่เกี่ยวกับหนี้สินนอกระบบนั้นมีกฎหมายอยู่ หลายฉบับ ต่อไปนี้จะใช้อย่างเข้มงวดมากขึ้นด้วย นอกจากกฎหมายใหม่แล้ว สิ่งสําคัญอีกประการหนึ่งก็คือว่า วันนี้เราต้องมีชีวิตอยู่อย่างเพียงพอตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย เพราะฉะนั้นทั้งพ่อแม่ ลูกหลาน ก็ต้องช่วยกัน วันนี้หนี้สินส่วนใหญ่เกิดมาจากลูกหลานทั้งสิ้น ไปเรียนหนังสือบ้าง ซื้อของที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์บ้าง ฉะนั้นถ้าเรามีเงินน้อยเราก็ซื้อของใช้เท่าที่จําเป็น ไม่ต้องทันสมัยมากมายนักหรือเป็นของที่มียี่ห้อ มีชื่อเสียงมากนัก เราต้องเห็นใจพ่อแม่ ถ้าเราเรียกร้องมากๆ พ่อแม่ก็ไปเป็นหนี้เป็นสินเขา ถึงเวลาเรียนหนังสือก็ต้องไปกู้เงินมาเรียนหนังสืออีก วันหน้าที่ทางต่างๆ ก็ต้องขายหมด เพราะฉะนั้นต้องนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาใช้ในการดํารงชีวิตด้วย เมื่อท่านแข็งแรงมีเงินมาก ท่านก็ใช้มากไปไม่มีใครว่าอะไร สําหรับการจัดระเบียบพื้นที่ทางการเกษตรและ อุตสาหกรรม ที่เรียกว่า Zoning นั้น ในที่ประชุม ครม. ผมได้สั่งการให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมมือกันในลักษณะของการบูรณาการ จะต้องแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนใน 2 เรื่อง คือในเรื่องของการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทางการ เกษตร พื้นที่ใด มีสภาพแวดล้อม ดิน น้ํา เหมาะสมกับพืชชนิดใด หน่วยงานของรัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือ ให้คําปรึกษา ให้ความรู้ และการฝึกอบรม อย่ารอให้เกิดปัญหา สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดขณะนี้ คือพื้นที่ที่แล้งซ้ําซาก น้ําก็น้อย ดินก็ไม่ดี แต่ก็ยังคงต้องเพาะปลูกพื้นที่ทางการเกษตร เช่น ข้าว ก็ไม่ได้ผลทุกปี ฉะนั้นต้องเร่งเข้าไปดําเนินการตั้งแต่การจัดสรรพื้นที่เพาะปลูก ไปจนถึงการดูแลตลาดให้กับเกษตรกรด้วย กรณีที่เปลี่ยนเป็นพืชอย่างอื่น และเราก็ไม่ได้บังคับใครทั้งสิ้น เราเป็นห่วง นอกจากนั้นจะมีการพัฒนาคนหรือชาวนาให้มีอาชีพเสริมแล้ว ยังเป็นการพัฒนาพื้นที่ ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า พื้นที่น้อยผลผลิตมาก การแยกพื้นที่เพาะปลูกกับนิคมอุตสาหกรรมนั้นมีความจําเป็น เพราะบางพื้นที่นั้นไม่เหมาะจะไปตั้งโรงงาน ก็เหมาะจะใช้เป็นพื้นที่ทางการเกษตรมากกว่า มีน้ํา มีดินดี ใกล้การขนส่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นก็ขัดแย้งกันมาตลอด วันนี้ต้องขอความกรุณา ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน สําหรับในส่วนของภาคการผลิตพืชผลทางการเกษตร แหล่งน้ํากินน้ําใช้ สิ่งนี้จะต้องได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะมีการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมใดๆ จะต้องไม่กระทบต่อคุณภาพชีวิตในชุมชน ต้องดูแลชุมชนด้วย โครงการพัฒนาต่างๆ ในอนาคตนั้น ต้องมองในภาพรวม ต้องพิจารณาเรื่องเส้นทางคมนาคมขนส่งด้วย ทั้งหมดนี้อย่าตื่นตระหนก ไม่ใช่เราจะไปเปลี่ยนอาชีพอะไรของท่าน เพียงแต่จะเข้าไปดูแลท่านให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และไม่ได้เป็นการบังคับ แล้วแต่ความสมัครใจเพราะฉะนั้นต้องการให้ประชาชนที่เป็นภาคเกษตรกรรมนั้น ทราบว่า พื้นที่ใดของประเทศไทยเหมาะสมจะปลูกพืชอะไร ทั้งนี้ก็แล้วแต่ท่าน เรื่องปัญหาการขาดแคลนน้ํา ผมต้องขอความร่วมมือและขอทําความเข้าใจกับ พี่น้องชาวนาในพื้นที่ภัยแล้งทุกท่าน ตามที่คาดการณ์ว่าปัจจุบันจนถึงกลางปีหน้า เราจะมีปริมาณน้ําน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ไม่เพียงพอต่อการอุปโภค – บริโภค ผลิตน้ําประปา การเกษตร และใช้สําหรับการผลักดันน้ําทะเล เพราะฉะนั้นการบริหารจัดการน้ําของรัฐบาลนั้น จําเป็นต้องสร้างสมดุลในทุกมิติ แม้ว่าการระงับการส่งน้ําเพื่อการทํานาปรัง ก็มีความจําเป็น รัฐบาลก็พยายามแก้ปัญหา มีมาตรการเสริมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นส่งเสริมการเพาะปลูกพืชชนิดอื่นที่ใช้น้ําน้อย การประมง ปศุสัตว์ รวมทั้งการจ้างแรงงานในการขุดลอกคูคลอง หรืออะไรก็ได้ที่จะเกิดผลประโยชน์กับประชาชน และการสร้างแหล่งน้ําใหม่ให้มากขึ้น ต้องใช้เวลา ฉะนั้นปีหน้าอยากจะขอความร่วมมือตรงนี้ อย่าตื่นตระหนก ปัญหาที่ผมเป็นห่วงก็คือน้ําประปาของเราจะขาด เพราะน้ําทะเลจะเข้ามา น้ําทะเลเข้ามาน้ําก็จะกร่อย การทําน้ําประปาก็มีปัญหา ก็ขอให้ทุกท่านได้เข้าไปใช้บริการ ขอข้อมูล รับคําแนะนํา และความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ได้ที่ศูนย์ดํารงธรรมได้ทุกแห่ง รวมไปถึงศูนย์อื่นๆ ด้วย ทั้งการเกษตรก็ได้มีการจัดตั้งศูนย์มา 800 กว่าศูนย์แล้ว เมื่อวันอังคารที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ประธานชมรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนตาบอดแห่งประเทศไทย และคณะได้เดินทางมาพบผมก่อนเข้าประชุม ครม. ได้มอบเข็มที่ระลึก เนื่องใน "วันไม้เท้าขาวสากล” ซึ่งตรงกับวันที่ 15 ตุลาคมของทุกปี โดยขอให้รัฐบาลส่งเสริมและพัฒนาการสร้างความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม และการเคลื่อนไหว เพื่อการดํารงชีวิตอิสระของคนพิการประเภทความพิการทางการมองเห็น ในที่ประชุม ครม. ผมก็ได้สั่งการให้ทุกกระทรวง ที่มีโครงการใดๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งมวลชน สถานที่ และสิ่งอํานวยความสะดวกสาธารณะ ต้องคํานึงถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ด้อยโอกาสทางร่างกายทุกประเภท ด้วยครับ ทั้งนี้เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ลดความเหลื่อมล้ําในสังคมของเรา สําหรับเรื่องในการกีฬา ซึ่งขอให้ทุกคนได้ร่วมกันส่งแรงใจไปกับผมด้วย ไปเชียร์กองทัพนักกีฬาไทย ขอขอบคุณที่สร้างความสุขให้กับคนไทย มีการชิงเหรียญรางวัลมากมาย ก็คงจะนํามาฝากพี่น้องชาวไทยของเราให้ชื่นใจ แต่สิ่งสําคัญที่สุดก็คือ นักกีฬาทุกท่านนั้น เป็นสัญลักษณ์ของ "ผู้ที่ไม่พ่ายแพ้” กับใครในการกีฬา ก็ขอให้รักษาแนวคิดเหล่านี้ไว้ เพื่อเราจะได้เพิ่มศักยภาพในเรื่องด้านการกีฬาของเรามากขึ้น มีอีก 2 เรื่อง ผมต้องการจะเพิ่มเติมด้วยความห่วงใย เมื่อเช้าผมติดตามเห็นข่าวออกมาทางสื่อว่า เอกอัครราชทูตหลายประเทศของ EU ได้พูดถึงประเด็นการเสนอข่าวของสื่อไทย ซึ่งบางครั้งก็เป็นการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนในเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นของผู้เสียหาย หรือผู้กระทําก็ตาม ที่ผ่านมาผมเห็นมีการพูดคุยกันระหว่างคณะทูตกับผู้แทนของสมาคมผู้สื่อข่าว ประเทศไทย ก็ขอให้ระมัดระวัง เพราะเป็นการสร้างการรับรู้ไปยังต่างประเทศ นี้ก็มีผลต่อเนื่องไปหลายๆ เรื่องด้วยกัน เช่น ในส่วนของเรื่องการสมัครสมาชิก UN ในเรื่องของสิทธิมนุษยชน ถึงแม้เราจะไม่ได้รับการคัดเลือก ขอให้ทุกคนได้ภูมิใจว่าเราไม่ได้แพ้มากมาย สูงสุดก็ 162 ก่อนหน้าเราก็ 142 ของเราก็ 136 ประเทศสนับสนุน ผมถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เข้ามาพิจารณาด้วยคือ ในส่วนของสถานการณ์ในการเดินหน้าประเทศเราตอนนี้ ก็อาจจะมีประเด็นหลักๆ อยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าสื่อสร้างความเข้าใจในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่เคยเป็นปัญหา ในสิ่งที่เราแก้ไข ผมว่าเขาก็เข้าใจได้ สิ่งนี้ผมก็ไม่ไปก้าวล่วงท่าน เพราะฉะนั้นท่านก็ไปพิจารณาว่าท่านควรจะต้องแก้ไขหรือทําอะไรอย่างไรต่อไป เพื่อช่วยประเทศไทยในการเดินหน้า และสร้างความเข้าใจกับต่างประเทศให้เราด้วย อีกเรื่องหนึ่งคือในส่วนของการดําเนินงานต่างๆ ของรัฐบาลในเวลานี้ ผมขอเรียนว่าเราก็พยายามเดินหน้าอย่างเต็มที่ในทุกๆ มิติ ก็ขอให้ทุกคนได้ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันกับการทํางานของเรา ถ้าเราไม่ร่วมมือกันวันนี้ก็เดินหน้าไปไม่ได้ และเราแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นทุกคนต้องหันหน้ามาพูดคุยกัน และให้คําแนะนําในสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งใดก็ตามที่เป็นสิ่งที่ยังไม่ดีไม่เข้าใจ ผมยินดีน้อมรับทุกเรื่อง เพื่อจะนําไปสู่การแก้ไข แต่หลายๆ อย่างก็คงต้องใช้เวลา ไม่สามารถจะแก้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว อย่างไรก็ตามก็ขอขอบพระคุณในกําลังใจที่ให้กับพวกเราเสมอมา เราก็จะทําหน้าที่ของพวกเราให้ดีที่สุด ขอบคุณ สวัสดีครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันการตรวจโควิด-19 ได้มาตรฐานและมีน้ำยาตรวจเพียงพอ [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันการตรวจโควิด-19 ได้มาตรฐานและมีน้ํายาตรวจเพียงพอ [กระทรวงสาธารณสุข] กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันการตรวจโควิด-19 ได้มาตรฐานและมีน้ํายาตรวจเพียงพอ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวว่า จากเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูลได้มอบให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ดูแลพัฒนาห้องปฏิบัติการให้สามารถตรวจวินิจฉัยโรคอย่างมีประสิทธิภาพ แม่นยํา รวดเร็ว เพื่อตอบสนองต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยและการป้องกันควบคุมโรค เนื่องจากห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นห้องปฏิบัติการแห่งชาติด้านสาธารณสุข ซึ่งองค์การอนามัยโลกให้เป็นห้องปฏิบัติการอ้างอิงและให้การรับรองในการตรวจหาเชื้ออุบัติใหม่ต่างๆ สําหรับสถานการณ์การเกิดโรคโควิด-19 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังสามารถถอดรหัสสารพันธุกรรมของเชื้อได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลกคู่กับศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ของสภากาชาดไทย พร้อมทั้งได้มีการพัฒนาวิธีการตรวจ Real-Time RT-PCR เป็นวิธีการตรวจที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกให้เป็นวิธีมาตรฐานร่วมกับประเทศจีน ญี่ปุ่น สหรัฐ และยุโรป ซึ่งวิธีการตรวจแบบ Real-Time RT-PCR เป็นการตรวจสารพันธุกรรม สามารถตรวจหาเชื้อได้ในระยะแรกของโรค ซึ่งเป็นการเก็บตัวอย่างจากการป้ายเยื่อบุในคอหรือเนื้อเยื่อหลังโพรงจมูกส่งมาตรวจที่ห้องปฏิบัติการ นอกจากนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้มีการพัฒนาและให้การรับรองห้องปฏิบัติการในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองแล้วกว่า 80 แห่งทั้งภาครัฐและเอกชน โดยตั้งเป้าหมายจะให้มีห้องปฏิบัติการ 1 แห่ง 1 จังหวัด ซึ่งคาดว่าภายในเดือนเมษายนนี้จะพัฒนาและให้การรับรองห้องปฏิบัติการอย่างน้อย110 แห่งทั่วประเทศ และรายงานผลผ่านระบบออนไลน์ให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งในกรุงเทพฯจะสามารถตรวจได้ 10,000 ตัวอย่างต่อวัน และส่วนภูมิภาค 10,000 ตัวอย่างต่อวัน ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการตรวจตัวอย่างแล้วกว่า 70,000 ตัวอย่างโดยพบผู้ติดเชื้อจํานวน 2,423 ราย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงาน นายแพทย์โอภาสกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พัฒนาวิธีการตรวจสารพันธุกรรม ของเชื้อโควิด-19 แบบ Real-Time RT-PCR แล้ว ยังได้พัฒนาน้ํายาสําหรับใช้ในการตรวจหาสารพันธุกรรม ซึ่งสามารถผลิตได้เอง ในประเทศไทยไม่ได้สั่งซื้อเป็นชุดสําเร็จจากต่างประเทศ ต่อมา บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จํากัด เป็นบริษัทผู้ผลิตยา ชีววัตถุที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยและเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถคิดค้นพัฒนาผลิตยาตั้งแต่ต้นน้ําไปจนถึงปลายน้ําโดยพึ่งวัตถุดิบจากภายนอกน้อยมากช่วยลดการนําเข้า ได้เห็นถึงศักยภาพของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้ร่วมกันนําองค์ความรู้ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มาผลิตเป็นชุดทดสอบ RT-PCR KIT หรือ DMSc-COVID-19 โดยที่บริษัทได้ผลิตให้ในเบื้องต้นและมอบให้นายกรัฐมนตรีที่ทําเนียบรัฐบาลจํานวน 2 หมื่นชุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาและจะผลิตให้อย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าสิ้นเดือนเมษายนนี้สามารถผลิตได้ครบ 1 แสนชุด แต่หากยังมีการระบาดของโรคโควิด-19 อีก บริษัทจะทําการผลิตให้ได้ถึง 1 ล้านชุดภายใน 6 เดือน ซึ่งทําให้เชื่อมั่นได้ว่าประเทศไทยมีน้ํายาในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อย่างเพียงพอ “กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยัน ยึดมั่นความเป็นมาตรฐาน โปร่งใส ตรวจสอบได้ ในการดําเนินงานขององค์กรและเป็นส่วนสําคัญส่วนหนึ่งในการปกป้องสังคมไทยจากโรคโควิด-19”นายแพทย์โอภาสกล่าว *************************** 9 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันการตรวจโควิด-19 ได้มาตรฐานและมีน้ำยาตรวจเพียงพอ [กระทรวงสาธารณสุข] วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันการตรวจโควิด-19 ได้มาตรฐานและมีน้ํายาตรวจเพียงพอ [กระทรวงสาธารณสุข] กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันการตรวจโควิด-19 ได้มาตรฐานและมีน้ํายาตรวจเพียงพอ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวว่า จากเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูลได้มอบให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ดูแลพัฒนาห้องปฏิบัติการให้สามารถตรวจวินิจฉัยโรคอย่างมีประสิทธิภาพ แม่นยํา รวดเร็ว เพื่อตอบสนองต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยและการป้องกันควบคุมโรค เนื่องจากห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นห้องปฏิบัติการแห่งชาติด้านสาธารณสุข ซึ่งองค์การอนามัยโลกให้เป็นห้องปฏิบัติการอ้างอิงและให้การรับรองในการตรวจหาเชื้ออุบัติใหม่ต่างๆ สําหรับสถานการณ์การเกิดโรคโควิด-19 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังสามารถถอดรหัสสารพันธุกรรมของเชื้อได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลกคู่กับศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ของสภากาชาดไทย พร้อมทั้งได้มีการพัฒนาวิธีการตรวจ Real-Time RT-PCR เป็นวิธีการตรวจที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกให้เป็นวิธีมาตรฐานร่วมกับประเทศจีน ญี่ปุ่น สหรัฐ และยุโรป ซึ่งวิธีการตรวจแบบ Real-Time RT-PCR เป็นการตรวจสารพันธุกรรม สามารถตรวจหาเชื้อได้ในระยะแรกของโรค ซึ่งเป็นการเก็บตัวอย่างจากการป้ายเยื่อบุในคอหรือเนื้อเยื่อหลังโพรงจมูกส่งมาตรวจที่ห้องปฏิบัติการ นอกจากนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้มีการพัฒนาและให้การรับรองห้องปฏิบัติการในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองแล้วกว่า 80 แห่งทั้งภาครัฐและเอกชน โดยตั้งเป้าหมายจะให้มีห้องปฏิบัติการ 1 แห่ง 1 จังหวัด ซึ่งคาดว่าภายในเดือนเมษายนนี้จะพัฒนาและให้การรับรองห้องปฏิบัติการอย่างน้อย110 แห่งทั่วประเทศ และรายงานผลผ่านระบบออนไลน์ให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งในกรุงเทพฯจะสามารถตรวจได้ 10,000 ตัวอย่างต่อวัน และส่วนภูมิภาค 10,000 ตัวอย่างต่อวัน ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการตรวจตัวอย่างแล้วกว่า 70,000 ตัวอย่างโดยพบผู้ติดเชื้อจํานวน 2,423 ราย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงาน นายแพทย์โอภาสกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พัฒนาวิธีการตรวจสารพันธุกรรม ของเชื้อโควิด-19 แบบ Real-Time RT-PCR แล้ว ยังได้พัฒนาน้ํายาสําหรับใช้ในการตรวจหาสารพันธุกรรม ซึ่งสามารถผลิตได้เอง ในประเทศไทยไม่ได้สั่งซื้อเป็นชุดสําเร็จจากต่างประเทศ ต่อมา บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จํากัด เป็นบริษัทผู้ผลิตยา ชีววัตถุที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยและเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถคิดค้นพัฒนาผลิตยาตั้งแต่ต้นน้ําไปจนถึงปลายน้ําโดยพึ่งวัตถุดิบจากภายนอกน้อยมากช่วยลดการนําเข้า ได้เห็นถึงศักยภาพของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้ร่วมกันนําองค์ความรู้ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มาผลิตเป็นชุดทดสอบ RT-PCR KIT หรือ DMSc-COVID-19 โดยที่บริษัทได้ผลิตให้ในเบื้องต้นและมอบให้นายกรัฐมนตรีที่ทําเนียบรัฐบาลจํานวน 2 หมื่นชุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาและจะผลิตให้อย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าสิ้นเดือนเมษายนนี้สามารถผลิตได้ครบ 1 แสนชุด แต่หากยังมีการระบาดของโรคโควิด-19 อีก บริษัทจะทําการผลิตให้ได้ถึง 1 ล้านชุดภายใน 6 เดือน ซึ่งทําให้เชื่อมั่นได้ว่าประเทศไทยมีน้ํายาในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อย่างเพียงพอ “กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยัน ยึดมั่นความเป็นมาตรฐาน โปร่งใส ตรวจสอบได้ ในการดําเนินงานขององค์กรและเป็นส่วนสําคัญส่วนหนึ่งในการปกป้องสังคมไทยจากโรคโควิด-19”นายแพทย์โอภาสกล่าว *************************** 9 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28741
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.เข้าหารือกับประธาน Tata Trusts
วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2561 รมว.ศธ.เข้าหารือกับประธาน Tata Trusts 5 ตุลาคม 2561ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย, นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าหารือกับนายราทัน นาวัล ทาทา (Mr. Ratan N. Tata) ประธานทาทา ทรัสต์ (Tata Trusts) (5ตุลาคม 2561)ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย,นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าหารือกับนายราทัน นาวัล ทาทา (Mr. Ratan N. Tata) ประธานทาทา ทรัสต์ (Tata Trusts)ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่พาธุรกิจอินเดียให้เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลก เป็นผู้ที่ช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง เป็นผู้บริหารกองทุนการกุศลหลายองค์กร รวมทั้งช่วยสนับสนุนด้านการศึกษาด้วย รมว.ศึกษาธิการได้กล่าวขอบคุณนายราทันฯ ที่ได้มาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและประสบการณ์ในโอกาสที่มาเยือนอินเดียในครั้งนี้ พร้อมทั้งได้กล่าวถึงนโยบายสําคัญของกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบันที่สําคัญ คือโครงการประชารัฐ โดยผนึกกําลังภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เข้ามาช่วยพัฒนาการศึกษา โดยมีการดําเนินโครงการโรงเรียนสานพลังประชารัฐ (Public and Private Partnerships School)รวมทั้งยังเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่มีศักยภาพสูงเข้ามาเปิดสอนในไทย ในสาขาที่เป็นความต้องการของภาคเอกชนและสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศตามนโยบาย Thailand 4.0 รมว.ศึกษาธิการ จึงทราบมุมมองจากประธานทาทา ทรัสต์ เกี่ยวกับบทบาทการสนับสนุนการศึกษา พร้อมทั้งขอทราบมุมมองด้านการพัฒนาการศึกษาในมิติต่าง ๆ ด้วย นายราทัน ทาทากล่าวว่า นโยบายประชารัฐที่ไทยกําลังดําเนินการอยู่ในเวลานี้ เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม เพราะเป็นการระดมคนจากภาคเอกชนและประชาสังคมเข้ามาช่วยเหลือการศึกษาให้มีความเข้มแข็ง ปัจจุบันบริษัททาทายังคงสนับสนุนการศึกษาในรูปแบบเดิม ๆ คือ การให้ทุน การฝึกอบรมทักษะให้แก่พนักงานของบริษัท การสนับสนุนให้เด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาสได้มีโอกาสเข้าเรียนให้มากที่สุด เพราะการศึกษาอย่างมีคุณภาพของอินเดียยังไม่ประสบความสําเร็จเท่าที่ควร โดยดูจากการประเมินผล PISA พบว่าอินเดียเป็นประเทศที่อยู่รั้งอันดับท้าย ๆ ดังนั้น จึงยังมีสิ่งท้าทายที่ต้องดําเนินการอีกมาก สําหรับแนวโน้มในอนาคตของทักษะที่จําเป็นในการประกอบอาชีพ ก็ยังคงเป็นเรื่องของความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีซึ่งทักษะเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสการมีงานทําและอาชีพที่เป็นที่นิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพทางการแพทย์ (MedicineHealthCare) เช่น หมอ พยาบาล ฯลฯ เนื่องจากยังคงเป็นสิ่งจําเป็นในชีวิต นายราทัน กล่าวด้วยว่า การดําเนินการต่าง ๆ จะประสบความสําเร็จ ต้องเปิดโอกาสให้คนเก่งเข้ามาทํางาน การศึกษาก็เช่นกันต้องให้คนเก่งเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อผลักดันให้สําเร็จตามเป้าหมาย (Open up Education is like open up economy) ทั้งนี้ ในอนาคตหากไทยและอินเดียจะร่วมมือดําเนินการเพื่อพัฒนาการศึกษา ทาทาทรัสต์ยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ อนึ่ง ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน รมว.ศึกษาธิการ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนของโรงเรียน “AmericanSchool of Bombay” ซึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติที่มีชื่อเสียงของมุมไบและเปิดหลายสาขา เป็นโรงเรียนที่มีความโดดเด่นหลายด้าน อาทิ จัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ จํานวนนักเรียนต่อห้องไม่มากเกินไป (21คน/ห้อง) เน้นให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ และช่วยเหลือตัวเองได้ เด็กนักเรียนส่งงานออนไลน์โดยฝากไว้ในระบบGoogleCloudโดยโรงเรียนจัดเตรียม notebook ให้สําหรับนักเรียนชั้น ป.1-3 ส่วนนักเรียน ป.4 ขึ้นไป ต้องเตรียม notebook มาเอง ที่สําคัญผู้ปกครองมีส่วนร่วมต่อการจัดการเรียนการสอน Written byคณะทํางานฯ Photo Creditคณะทํางานฯ Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.เข้าหารือกับประธาน Tata Trusts วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2561 รมว.ศธ.เข้าหารือกับประธาน Tata Trusts 5 ตุลาคม 2561ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย, นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าหารือกับนายราทัน นาวัล ทาทา (Mr. Ratan N. Tata) ประธานทาทา ทรัสต์ (Tata Trusts) (5ตุลาคม 2561)ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย,นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าหารือกับนายราทัน นาวัล ทาทา (Mr. Ratan N. Tata) ประธานทาทา ทรัสต์ (Tata Trusts)ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่พาธุรกิจอินเดียให้เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลก เป็นผู้ที่ช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง เป็นผู้บริหารกองทุนการกุศลหลายองค์กร รวมทั้งช่วยสนับสนุนด้านการศึกษาด้วย รมว.ศึกษาธิการได้กล่าวขอบคุณนายราทันฯ ที่ได้มาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและประสบการณ์ในโอกาสที่มาเยือนอินเดียในครั้งนี้ พร้อมทั้งได้กล่าวถึงนโยบายสําคัญของกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบันที่สําคัญ คือโครงการประชารัฐ โดยผนึกกําลังภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เข้ามาช่วยพัฒนาการศึกษา โดยมีการดําเนินโครงการโรงเรียนสานพลังประชารัฐ (Public and Private Partnerships School)รวมทั้งยังเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่มีศักยภาพสูงเข้ามาเปิดสอนในไทย ในสาขาที่เป็นความต้องการของภาคเอกชนและสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศตามนโยบาย Thailand 4.0 รมว.ศึกษาธิการ จึงทราบมุมมองจากประธานทาทา ทรัสต์ เกี่ยวกับบทบาทการสนับสนุนการศึกษา พร้อมทั้งขอทราบมุมมองด้านการพัฒนาการศึกษาในมิติต่าง ๆ ด้วย นายราทัน ทาทากล่าวว่า นโยบายประชารัฐที่ไทยกําลังดําเนินการอยู่ในเวลานี้ เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม เพราะเป็นการระดมคนจากภาคเอกชนและประชาสังคมเข้ามาช่วยเหลือการศึกษาให้มีความเข้มแข็ง ปัจจุบันบริษัททาทายังคงสนับสนุนการศึกษาในรูปแบบเดิม ๆ คือ การให้ทุน การฝึกอบรมทักษะให้แก่พนักงานของบริษัท การสนับสนุนให้เด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาสได้มีโอกาสเข้าเรียนให้มากที่สุด เพราะการศึกษาอย่างมีคุณภาพของอินเดียยังไม่ประสบความสําเร็จเท่าที่ควร โดยดูจากการประเมินผล PISA พบว่าอินเดียเป็นประเทศที่อยู่รั้งอันดับท้าย ๆ ดังนั้น จึงยังมีสิ่งท้าทายที่ต้องดําเนินการอีกมาก สําหรับแนวโน้มในอนาคตของทักษะที่จําเป็นในการประกอบอาชีพ ก็ยังคงเป็นเรื่องของความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีซึ่งทักษะเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสการมีงานทําและอาชีพที่เป็นที่นิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพทางการแพทย์ (MedicineHealthCare) เช่น หมอ พยาบาล ฯลฯ เนื่องจากยังคงเป็นสิ่งจําเป็นในชีวิต นายราทัน กล่าวด้วยว่า การดําเนินการต่าง ๆ จะประสบความสําเร็จ ต้องเปิดโอกาสให้คนเก่งเข้ามาทํางาน การศึกษาก็เช่นกันต้องให้คนเก่งเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อผลักดันให้สําเร็จตามเป้าหมาย (Open up Education is like open up economy) ทั้งนี้ ในอนาคตหากไทยและอินเดียจะร่วมมือดําเนินการเพื่อพัฒนาการศึกษา ทาทาทรัสต์ยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ อนึ่ง ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน รมว.ศึกษาธิการ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนของโรงเรียน “AmericanSchool of Bombay” ซึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติที่มีชื่อเสียงของมุมไบและเปิดหลายสาขา เป็นโรงเรียนที่มีความโดดเด่นหลายด้าน อาทิ จัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ จํานวนนักเรียนต่อห้องไม่มากเกินไป (21คน/ห้อง) เน้นให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ และช่วยเหลือตัวเองได้ เด็กนักเรียนส่งงานออนไลน์โดยฝากไว้ในระบบGoogleCloudโดยโรงเรียนจัดเตรียม notebook ให้สําหรับนักเรียนชั้น ป.1-3 ส่วนนักเรียน ป.4 ขึ้นไป ต้องเตรียม notebook มาเอง ที่สําคัญผู้ปกครองมีส่วนร่วมต่อการจัดการเรียนการสอน Written byคณะทํางานฯ Photo Creditคณะทํางานฯ Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15926
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำกลไกระดับพื้นที่ ลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน - แนะผู้ขับขี่ เคารพกฎหมาย มีวินัย ร่วมกันลดอุบัติเหตุ
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรีย้ํากลไกระดับพื้นที่ ลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน - แนะผู้ขับขี่ เคารพกฎหมาย มีวินัย ร่วมกันลดอุบัติเหตุ นายกรัฐมนตรีย้ํากลไกระดับพื้นที่ ลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน - แนะผู้ขับขี่ เคารพกฎหมาย มีวินัย ร่วมกันลดอุบัติเหตุ วันนี้ (16 ธ.ค. 62) เวลา 09.00 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดและมอบนโยบายด้านความปลอดภัยทางถนน โดยศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ร่วมกับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ตลอดจนภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจัดงานขึ้นในวันนี้ โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและประธานกรรมการและผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน พร้อมด้วย ปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคีเครือข่าย สื่อมวลชนและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงอุบัติเหตุทางถนนว่า เป็นปัญหาที่สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นที่ประเมินค่าไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งทั่วโลกได้ตระหนักถึงปัญหานี้ ซึ่งในส่วนของรัฐบาลได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยให้ความสําคัญแก่การป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุทางถนนแบบองค์รวม ทั้งระดับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น โดยทําควบคู่ไปกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือของหน่วยงานภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทยตามปฏิญญามอสโค โดยกําหนดให้ปี พ.ศ. 2554 - 2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน พร้อมกําหนดกรอบการดําเนินการภายใต้ 5 เสาหลัก ดังนี้ 1) การบริหารจัดการความปลอดภัยทางถนน 2) ถนนและการสัญจรอย่างปลอดภัย 3) ยานพาหนะปลอดภัย 4) ผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย 5) การตอบสนองหลังเกิดอุบัติเหตุ เพื่อกําหนดให้การป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนเป็นนโยบายสําคัญที่ต้องขับเคลื่อนการดําเนินงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งในช่วงปกติ และเทศกาลที่สําคัญ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2562 มีประชาชนกว่า 7 แสนคน ต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน และจากรายงานขององค์การอนามัยโลก เปิดเผยว่า เมื่อปี พ.ศ. 2559 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน กว่า 2 หมื่นราย สูงเป็นอันดับที่ 9 ของโลก สาเหตุหลักมาจากการมีพฤติกรรมเสี่ยงในการขับขี่ และไม่มีวินัยจราจร ซึ่งการเสียชีวิตมีมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยสูงถึง 5.3 ล้านบาทต่อราย หากบาดเจ็บถึงขั้นพิการมีมูลค่าความสูญเสียเฉลี่ยประมาณ 6.2 ล้านบาทต่อราย โดยกลุ่มที่เสียชีวิตสูงสุด คือกลุ่มคนเดินถนน คนขี่จักรยาน และคนขี่ หรือซ้อนรถจักรยานยนต์ และส่วนใหญ่อุบัติเหตุจะเกิดขึ้นในพื้นที่ตําบลและหมู่บ้าน ดังนั้น การแก้ปัญหาจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้นําในชุมชน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ํากลไกด้านความปลอดภัยทางถนนไว้ทั้งในระดับนโยบายและในระดับจังหวัด ดังนี้ 1) ให้ถือว่าความปลอดภัยทางถนน เป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาล ทุกชีวิตของประชาชนและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในภาพรวมของประเทศให้ดีขึ้น 2) ให้ทุกจังหวัดกํากับ ดูแล ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอําเภอ ให้มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยการสร้างความตื่นตัวให้กับประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมที่เสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งมี Best Practice ในหลายประเทศ พร้อมขอให้ทุกภาคส่วนไปศึกษา และให้ความรู้กับประชาชน 3) ให้ทุกจังหวัดจัดทําแผนปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนน พร้อมกําหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัดให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของจังหวัด และอําเภอ ให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งผลลัพธ์ต้องดีขึ้นทุกปี และ 4) ให้ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนทุกระดับ บูรณาการการทํางานกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร มูลนิธิ จิตอาสา และประชาชนในพื้นที่ โดยการร่วมคิด ร่วมวางแผน และร่วมลงมือปฏิบัติงาน เพื่อให้สามารถลดอุบัติเหตุในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม และสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่อย่างจริงจัง เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชน ลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือน้อยที่สุด พร้อมแนะให้ประชาชนรัก 3 อย่างให้เท่าเทียมกัน คือรักตนเอง รักครอบครัวและรักคนอื่น เพื่อร่วมกันสร้างความปลอดภัย ทําให้สังคมมีความสุข รักษาทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าสูงสุดของประเทศ และหวังว่าอุบัติเหตุและการสูญเสียจะลดน้อยลงในปี 63 ที่จะมาถึงนี้ *************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำกลไกระดับพื้นที่ ลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน - แนะผู้ขับขี่ เคารพกฎหมาย มีวินัย ร่วมกันลดอุบัติเหตุ วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรีย้ํากลไกระดับพื้นที่ ลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน - แนะผู้ขับขี่ เคารพกฎหมาย มีวินัย ร่วมกันลดอุบัติเหตุ นายกรัฐมนตรีย้ํากลไกระดับพื้นที่ ลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน - แนะผู้ขับขี่ เคารพกฎหมาย มีวินัย ร่วมกันลดอุบัติเหตุ วันนี้ (16 ธ.ค. 62) เวลา 09.00 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดและมอบนโยบายด้านความปลอดภัยทางถนน โดยศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ร่วมกับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ตลอดจนภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจัดงานขึ้นในวันนี้ โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและประธานกรรมการและผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน พร้อมด้วย ปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคีเครือข่าย สื่อมวลชนและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงอุบัติเหตุทางถนนว่า เป็นปัญหาที่สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นที่ประเมินค่าไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งทั่วโลกได้ตระหนักถึงปัญหานี้ ซึ่งในส่วนของรัฐบาลได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยให้ความสําคัญแก่การป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุทางถนนแบบองค์รวม ทั้งระดับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น โดยทําควบคู่ไปกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือของหน่วยงานภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทยตามปฏิญญามอสโค โดยกําหนดให้ปี พ.ศ. 2554 - 2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน พร้อมกําหนดกรอบการดําเนินการภายใต้ 5 เสาหลัก ดังนี้ 1) การบริหารจัดการความปลอดภัยทางถนน 2) ถนนและการสัญจรอย่างปลอดภัย 3) ยานพาหนะปลอดภัย 4) ผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย 5) การตอบสนองหลังเกิดอุบัติเหตุ เพื่อกําหนดให้การป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนเป็นนโยบายสําคัญที่ต้องขับเคลื่อนการดําเนินงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งในช่วงปกติ และเทศกาลที่สําคัญ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2562 มีประชาชนกว่า 7 แสนคน ต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน และจากรายงานขององค์การอนามัยโลก เปิดเผยว่า เมื่อปี พ.ศ. 2559 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน กว่า 2 หมื่นราย สูงเป็นอันดับที่ 9 ของโลก สาเหตุหลักมาจากการมีพฤติกรรมเสี่ยงในการขับขี่ และไม่มีวินัยจราจร ซึ่งการเสียชีวิตมีมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยสูงถึง 5.3 ล้านบาทต่อราย หากบาดเจ็บถึงขั้นพิการมีมูลค่าความสูญเสียเฉลี่ยประมาณ 6.2 ล้านบาทต่อราย โดยกลุ่มที่เสียชีวิตสูงสุด คือกลุ่มคนเดินถนน คนขี่จักรยาน และคนขี่ หรือซ้อนรถจักรยานยนต์ และส่วนใหญ่อุบัติเหตุจะเกิดขึ้นในพื้นที่ตําบลและหมู่บ้าน ดังนั้น การแก้ปัญหาจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้นําในชุมชน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ํากลไกด้านความปลอดภัยทางถนนไว้ทั้งในระดับนโยบายและในระดับจังหวัด ดังนี้ 1) ให้ถือว่าความปลอดภัยทางถนน เป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาล ทุกชีวิตของประชาชนและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในภาพรวมของประเทศให้ดีขึ้น 2) ให้ทุกจังหวัดกํากับ ดูแล ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอําเภอ ให้มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยการสร้างความตื่นตัวให้กับประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมที่เสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งมี Best Practice ในหลายประเทศ พร้อมขอให้ทุกภาคส่วนไปศึกษา และให้ความรู้กับประชาชน 3) ให้ทุกจังหวัดจัดทําแผนปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนน พร้อมกําหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัดให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของจังหวัด และอําเภอ ให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งผลลัพธ์ต้องดีขึ้นทุกปี และ 4) ให้ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนทุกระดับ บูรณาการการทํางานกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร มูลนิธิ จิตอาสา และประชาชนในพื้นที่ โดยการร่วมคิด ร่วมวางแผน และร่วมลงมือปฏิบัติงาน เพื่อให้สามารถลดอุบัติเหตุในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม และสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่อย่างจริงจัง เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชน ลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือน้อยที่สุด พร้อมแนะให้ประชาชนรัก 3 อย่างให้เท่าเทียมกัน คือรักตนเอง รักครอบครัวและรักคนอื่น เพื่อร่วมกันสร้างความปลอดภัย ทําให้สังคมมีความสุข รักษาทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าสูงสุดของประเทศ และหวังว่าอุบัติเหตุและการสูญเสียจะลดน้อยลงในปี 63 ที่จะมาถึงนี้ *************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25238
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. รุดสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานเครื่องสำอาง นนทบุรี
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561 กสร. รุดสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานเครื่องสําอาง นนทบุรี กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สั่งพนักงานตรวจความปลอดภัยลงพื้นที่เร่งสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานเครื่องสําอาง จังหวัดนนทบุรี พร้อมชี้แจงสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างจะได้รับตามกฎหมาย นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตเครื่องสําอางที่จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมาว่า กสร. ได้สั่งการให้พนักงานตรวจความปลอดภัยลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที ในเบื้องต้นพบว่าสถานที่เกิดเหตุเป็นบริษัท มินเทค แล็ปบอราทอรี่ จํากัด ตั้งอยู่เลขที่ 15/4 หมู่ 1 ตําบลบ้านใหม่ อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งประกอบกิจการผลิตน้ําหอมและเครื่องสําอาง มีลูกจ้าง 35 คน ขณะเกิดเหตุมีลูกจ้างบาดเจ็บ 3 ราย เสียชีวิต 1 ราย ทั้งนี้ พนักงานตรวจความปลอดภัยจะเรียกนายจ้างมาพบหลังจากนี้ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงในวันที่ 4 ธันวาคม 2561 และจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ต่อไป นายทศพล กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานได้เดินทางไปเยี่ยมลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาล และชี้แจงสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างจะได้รับตามกฎหมายให้กับญาติของลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บทราบในเบื้องต้นแล้ว และขอย้ําเตือนไปยังสถานประกอบกิจการอื่น ๆ ให้ตระหนักและให้ความสําคัญกับการดูแลเรื่องความปลอดภัยในการทํางาน เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. รุดสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานเครื่องสำอาง นนทบุรี วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561 กสร. รุดสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานเครื่องสําอาง นนทบุรี กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สั่งพนักงานตรวจความปลอดภัยลงพื้นที่เร่งสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานเครื่องสําอาง จังหวัดนนทบุรี พร้อมชี้แจงสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างจะได้รับตามกฎหมาย นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตเครื่องสําอางที่จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมาว่า กสร. ได้สั่งการให้พนักงานตรวจความปลอดภัยลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที ในเบื้องต้นพบว่าสถานที่เกิดเหตุเป็นบริษัท มินเทค แล็ปบอราทอรี่ จํากัด ตั้งอยู่เลขที่ 15/4 หมู่ 1 ตําบลบ้านใหม่ อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งประกอบกิจการผลิตน้ําหอมและเครื่องสําอาง มีลูกจ้าง 35 คน ขณะเกิดเหตุมีลูกจ้างบาดเจ็บ 3 ราย เสียชีวิต 1 ราย ทั้งนี้ พนักงานตรวจความปลอดภัยจะเรียกนายจ้างมาพบหลังจากนี้ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงในวันที่ 4 ธันวาคม 2561 และจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ต่อไป นายทศพล กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานได้เดินทางไปเยี่ยมลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาล และชี้แจงสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างจะได้รับตามกฎหมายให้กับญาติของลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บทราบในเบื้องต้นแล้ว และขอย้ําเตือนไปยังสถานประกอบกิจการอื่น ๆ ให้ตระหนักและให้ความสําคัญกับการดูแลเรื่องความปลอดภัยในการทํางาน เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17212
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตแถลงผลการปราบปรามผู้ผลิตสุรากลั่นชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560 สรรพสามิตแถลงผลการปราบปรามผู้ผลิตสุรากลั่นชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี กรมสรรพสามิตแถลงผลการปราบปรามผู้ผลิตสุรากลั่นชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้เร่งตรวจสอบผลการดําเนินงานให้เป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่มอบหมายให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการเร่งรัดการตรวจสอบบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และบังคับใช้กฎหมายควบคุมการผลิตสุรากลั่นชุมชนให้เป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยยิ่งขึ้น เนื่องจากยังมีผู้ผลิตสุรากลั่นชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตและดําเนินการอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ และก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและผู้ดื่ม ก่อให้เกิดปัญหาน้ําเสียและสุขภาพอื่นๆ กรมสรรพสามิตจึงได้สั่งการให้สํานักงานสรรพสามิตภาคและสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศเร่งรัดปฏิบัติงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการตรวจโรงงานสุรากลั่นชุมชน และดําเนินการกับโรงงานสุรากลั่นชุมชนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายสรรพสามิตอย่างเคร่งครัด พร้อมกําชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตขายสุรา เข้มงวดและใช้ความรอบคอบในการออกใบอนุญาตขายสุราให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งกรมสรรพสามิตถือเป็นนโยบายสําคัญในการปฏิบัติงานของผู้อํานวยการสํานักงานสรรพสามิตภาคและสรรพสามิตพื้นที่ อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2560 ได้รับแจ้งจากสายสืบว่ามีการกระทําผิดตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 จึงได้มอบหมายให้ นายธรรมศักดิ์ ลออเอี่ยม ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ผู้อํานวยการสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และฝ่ายป้องกันและปราบปราม 3 เข้าตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ณ โกดังไม่มีเลขที่ แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร พบของกลาง คือ สุรากลั่นผสม (ยาดอง) จํานวน 54 ถัง (ถังละ 30 ลิตร) 10 แกลอน (แกลอนละ 5 ลิตร) รวมจํานวนน้ําสุรา 1,670 ลิตร และผู้ต้องหา จํานวน 1 ราย สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – พฤษภาคม 2560) พบว่ามีการกระทําผิดตาม พ.ร.บ. สุรา จํานวน 21,386 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 67,318,909.23 บาท โดยมีของกลางแยกเป็น สุราในประเทศ จํานวน 174,258.135 ลิตร สุราต่างประเทศ จํานวน 93,052.095 ลิตร เชื้อสุรา จํานวน 517.925 กิโลกรัม และเครื่องกลั่น จํานวน 54 ชุด ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ประเภทสุรายาดอง ปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – เมษายน 2560) จํานวน 6,912 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 29,794,666.30 บาท ของกลางสุรายาดองซึ่งทํามาจากสุราเถื่อน จํานวน 228,119.901 ลิตร “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th หรือแจ้งที่ตู้ ป.ณ. 10 เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตแถลงผลการปราบปรามผู้ผลิตสุรากลั่นชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560 สรรพสามิตแถลงผลการปราบปรามผู้ผลิตสุรากลั่นชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี กรมสรรพสามิตแถลงผลการปราบปรามผู้ผลิตสุรากลั่นชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้เร่งตรวจสอบผลการดําเนินงานให้เป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่มอบหมายให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการเร่งรัดการตรวจสอบบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และบังคับใช้กฎหมายควบคุมการผลิตสุรากลั่นชุมชนให้เป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยยิ่งขึ้น เนื่องจากยังมีผู้ผลิตสุรากลั่นชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตและดําเนินการอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ และก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและผู้ดื่ม ก่อให้เกิดปัญหาน้ําเสียและสุขภาพอื่นๆ กรมสรรพสามิตจึงได้สั่งการให้สํานักงานสรรพสามิตภาคและสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศเร่งรัดปฏิบัติงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการตรวจโรงงานสุรากลั่นชุมชน และดําเนินการกับโรงงานสุรากลั่นชุมชนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายสรรพสามิตอย่างเคร่งครัด พร้อมกําชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตขายสุรา เข้มงวดและใช้ความรอบคอบในการออกใบอนุญาตขายสุราให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งกรมสรรพสามิตถือเป็นนโยบายสําคัญในการปฏิบัติงานของผู้อํานวยการสํานักงานสรรพสามิตภาคและสรรพสามิตพื้นที่ อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2560 ได้รับแจ้งจากสายสืบว่ามีการกระทําผิดตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 จึงได้มอบหมายให้ นายธรรมศักดิ์ ลออเอี่ยม ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ผู้อํานวยการสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และฝ่ายป้องกันและปราบปราม 3 เข้าตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ณ โกดังไม่มีเลขที่ แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร พบของกลาง คือ สุรากลั่นผสม (ยาดอง) จํานวน 54 ถัง (ถังละ 30 ลิตร) 10 แกลอน (แกลอนละ 5 ลิตร) รวมจํานวนน้ําสุรา 1,670 ลิตร และผู้ต้องหา จํานวน 1 ราย สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – พฤษภาคม 2560) พบว่ามีการกระทําผิดตาม พ.ร.บ. สุรา จํานวน 21,386 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 67,318,909.23 บาท โดยมีของกลางแยกเป็น สุราในประเทศ จํานวน 174,258.135 ลิตร สุราต่างประเทศ จํานวน 93,052.095 ลิตร เชื้อสุรา จํานวน 517.925 กิโลกรัม และเครื่องกลั่น จํานวน 54 ชุด ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ประเภทสุรายาดอง ปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – เมษายน 2560) จํานวน 6,912 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 29,794,666.30 บาท ของกลางสุรายาดองซึ่งทํามาจากสุราเถื่อน จํานวน 228,119.901 ลิตร “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th หรือแจ้งที่ตู้ ป.ณ. 10 เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4266
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเรียกร้องเครือข่ายประชาชนและนักวิชาการ วอนอย่ากระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง ชี้ให้ความสำคัญกับทุกปัญหา ย้ำหลายเรื่องดีขึ้นกว่าในอดีตมาก
วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561 รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเรียกร้องเครือข่ายประชาชนและนักวิชาการ วอนอย่ากระทําการฝ่าฝืนกฎหมาย ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง ชี้ให้ความสําคัญกับทุกปัญหา ย้ําหลายเรื่องดีขึ้นกว่าในอดีตมาก รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเรียกร้องเครือข่ายประชาชนและนักวิชาการ วอนอย่ากระทําการฝ่าฝืนกฎหมาย ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง ชี้ให้ความสําคัญกับทุกปัญหา ย้ําหลายเรื่องดีขึ้นกว่าในอดีตมาก วันนี้ (20 มกราคม 2561) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่เครือข่ายประชาชนและนักวิชาการ People Go Network Forum จัดกิจกรรม We Walk เดินมิตรภาพ จากม.ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตไปยังจ.ขอนแก่น เพื่อให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายรัฐ 4 ประเด็นหลัก คือ ปัญหาทรัพยากรสิ่งแวดล้อม เกษตรทางเลือก หลักประกันสุขภาพ และการใช้สิทธิเสรีภาพ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตํารวจได้เข้าควบคุมสถานการณ์ตามกฎหมายแล้ว ว่า “พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยในสวัสดิภาพของผู้ชุมนุม จึงได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ใช้ความระมัดระวังในการดําเนินการ และย้ําว่ารัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอ โดยขอให้รวบรวมข้อมูลและส่งมายังรัฐบาล น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะอาจลุกลามเป็นความขัดแย้ง ขึ้นมาอีก” นอกจากนี้ รัฐบาลมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ชุมนุม เนื่องจากเป็นการเดินทางระยะไกลหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งเจ้าหน้าที่ตํารวจไม่สามารถจะดูแลรักษาความปลอดภัยได้ตลอดเส้นทางอย่างแน่นอน หากเกิดเหตุการณ์แทรกซ้อนขึ้นมา จะทําให้เกิดปัญหาได้ ทั้งนี้ ยืนยันว่าข้อเรียกร้องทุกประการของผู้ชุมนุม เป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสําคัญมาโดยตลอด ซึ่งหลายเรื่องดีขึ้นกว่าในอดีตมาก โดยรัฐบาลได้ดําเนินการอย่างจริงจังหลายด้าน เช่น ด้านทรัพยากรธรรมชาติ มีการปราบปรามและหยุดยั้งการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ ฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมในพื้นที่สูงชัน จัดทําแนวเขตที่ดินป่าไม้ จัดสรรที่ดินทํากินให้แก่ผู้ยากไร้เพื่อให้คนอยู่ร่วมกับป่า จัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ลดปัญหาสภาวะโลกร้อนและก๊าซเรือนกระจก แก้ไขกฎหมายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ด้านการเกษตร ส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ แจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต สร้างรายได้ ให้เกษตรกร ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์และเกษตรทางเลือกตามแนวทางศาสตร์พระราชา สนับสนุนให้เกษตรกรลดการปลูกพืชเชิงเดี่ยวทําเกษตรแบบผสมผสาน และส่งเสริมการรวมกลุ่มเพื่อสร้างความเข้มแข็ง ผลักดันให้เกษตรกรเป็น Smart farmer ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิต ฯลฯ ด้านหลักประกันสุขภาพ สนับสนุนค่าใช้จ่ายรายหัวให้กับโรงพยาบาลของรัฐเพื่อให้สอดคล้องกับจํานวนประชาชนที่เข้ารับบริการสาธารณสุขเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้รับการจัดสรรงบประมาณ เป็นจํานวนเงิน 128,533 ลบ. เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ๆ โดยประชาชนยังคงได้รับสิทธิเช่นเดิม และได้รับเพิ่มขึ้นอีก คือ ค่าบริการวัคซีนมะเร็งปากมดลูก ค่าบริการคัดกรองมะเร็งลําไส้ใหญ่ และค่าบริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน เป็นต้น ด้านการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ประชาชนและสื่อมวลชนมีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดํารงชีวิตได้อย่างปกติ ไม่มีการบังคับหรือจํากัดสิทธิเสรีภาพ นอกจากมีการกระทําที่ฝ่าฝืนกฎหมายจึงต้องเข้าดําเนินการ มีการเปิดช่องทางรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย ผ่านศูนย์ดํารงธรรม ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ หน่วยทหาร ฯลฯ ปรับปรุงกฎหมายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ ***********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเรียกร้องเครือข่ายประชาชนและนักวิชาการ วอนอย่ากระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง ชี้ให้ความสำคัญกับทุกปัญหา ย้ำหลายเรื่องดีขึ้นกว่าในอดีตมาก วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561 รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเรียกร้องเครือข่ายประชาชนและนักวิชาการ วอนอย่ากระทําการฝ่าฝืนกฎหมาย ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง ชี้ให้ความสําคัญกับทุกปัญหา ย้ําหลายเรื่องดีขึ้นกว่าในอดีตมาก รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเรียกร้องเครือข่ายประชาชนและนักวิชาการ วอนอย่ากระทําการฝ่าฝืนกฎหมาย ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง ชี้ให้ความสําคัญกับทุกปัญหา ย้ําหลายเรื่องดีขึ้นกว่าในอดีตมาก วันนี้ (20 มกราคม 2561) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่เครือข่ายประชาชนและนักวิชาการ People Go Network Forum จัดกิจกรรม We Walk เดินมิตรภาพ จากม.ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตไปยังจ.ขอนแก่น เพื่อให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายรัฐ 4 ประเด็นหลัก คือ ปัญหาทรัพยากรสิ่งแวดล้อม เกษตรทางเลือก หลักประกันสุขภาพ และการใช้สิทธิเสรีภาพ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตํารวจได้เข้าควบคุมสถานการณ์ตามกฎหมายแล้ว ว่า “พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยในสวัสดิภาพของผู้ชุมนุม จึงได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ใช้ความระมัดระวังในการดําเนินการ และย้ําว่ารัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอ โดยขอให้รวบรวมข้อมูลและส่งมายังรัฐบาล น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะอาจลุกลามเป็นความขัดแย้ง ขึ้นมาอีก” นอกจากนี้ รัฐบาลมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ชุมนุม เนื่องจากเป็นการเดินทางระยะไกลหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งเจ้าหน้าที่ตํารวจไม่สามารถจะดูแลรักษาความปลอดภัยได้ตลอดเส้นทางอย่างแน่นอน หากเกิดเหตุการณ์แทรกซ้อนขึ้นมา จะทําให้เกิดปัญหาได้ ทั้งนี้ ยืนยันว่าข้อเรียกร้องทุกประการของผู้ชุมนุม เป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสําคัญมาโดยตลอด ซึ่งหลายเรื่องดีขึ้นกว่าในอดีตมาก โดยรัฐบาลได้ดําเนินการอย่างจริงจังหลายด้าน เช่น ด้านทรัพยากรธรรมชาติ มีการปราบปรามและหยุดยั้งการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ ฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมในพื้นที่สูงชัน จัดทําแนวเขตที่ดินป่าไม้ จัดสรรที่ดินทํากินให้แก่ผู้ยากไร้เพื่อให้คนอยู่ร่วมกับป่า จัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ลดปัญหาสภาวะโลกร้อนและก๊าซเรือนกระจก แก้ไขกฎหมายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ด้านการเกษตร ส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ แจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต สร้างรายได้ ให้เกษตรกร ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์และเกษตรทางเลือกตามแนวทางศาสตร์พระราชา สนับสนุนให้เกษตรกรลดการปลูกพืชเชิงเดี่ยวทําเกษตรแบบผสมผสาน และส่งเสริมการรวมกลุ่มเพื่อสร้างความเข้มแข็ง ผลักดันให้เกษตรกรเป็น Smart farmer ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิต ฯลฯ ด้านหลักประกันสุขภาพ สนับสนุนค่าใช้จ่ายรายหัวให้กับโรงพยาบาลของรัฐเพื่อให้สอดคล้องกับจํานวนประชาชนที่เข้ารับบริการสาธารณสุขเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้รับการจัดสรรงบประมาณ เป็นจํานวนเงิน 128,533 ลบ. เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ๆ โดยประชาชนยังคงได้รับสิทธิเช่นเดิม และได้รับเพิ่มขึ้นอีก คือ ค่าบริการวัคซีนมะเร็งปากมดลูก ค่าบริการคัดกรองมะเร็งลําไส้ใหญ่ และค่าบริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน เป็นต้น ด้านการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ประชาชนและสื่อมวลชนมีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดํารงชีวิตได้อย่างปกติ ไม่มีการบังคับหรือจํากัดสิทธิเสรีภาพ นอกจากมีการกระทําที่ฝ่าฝืนกฎหมายจึงต้องเข้าดําเนินการ มีการเปิดช่องทางรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย ผ่านศูนย์ดํารงธรรม ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ หน่วยทหาร ฯลฯ ปรับปรุงกฎหมายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ ***********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9514
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ทบทวนแผนปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานนอกระบบ ใช้ “ประชารัฐ” ลดความเหลื่อมล้ำ มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2563 กสร. ทบทวนแผนปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานนอกระบบ ใช้ “ประชารัฐ” ลดความเหลื่อมล้ํา มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ กสร ทบทวนแผนปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานนอกระบบ เพื่อเป็นกรอบทิศทางในการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบอย่างเป็นรูปธรรม ก้าวสู่ภาพลักษณ์ใหม่นําแนวคิด“ประชารัฐ”เป็นกลไกความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ลดความเหลื่อมล้ําด้านแรงงาน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า แรงงานนอกระบบ เป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่มีจํานวนมากถึง 20.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 54.30 ของผู้มีงานทําทั้งประเทศ ที่ผ่านมากรมขับเคลื่อนภารกิจด้านแรงงานนอกระบบโดยการส่งเสริมการทํางานแบบบูรณาการในเชิงยุทธศาสตร์ ตั้งแต่ระดับวางแผนไปถึงการปฏิบัติการที่มุ่งพัฒนาการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ ให้ได้รับสิทธิตามกฎหมายและเข้าถึงบริการของรัฐ โดยการกําหนดแนวทาง มาตรการ และวิธีปฏิบัติด้านการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ ยึดหลักความเสมอภาค เท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งได้จัดทําแผนยุทธศาสตร์แรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2561 – 2565 เป็นกรอบเพื่อใช้ดําเนินการมาระยะหนึ่ง และด้วยประเด็นความท้าทายทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทําให้กรมต้องมีการทบทวนยุทธศาสตร์ และการดําเนินงานเพื่อให้มีทิศทางการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับบริบทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป อธิบดี กสร. กล่าวต่อว่า เพื่อให้การวางแผนการคุ้มครอง ส่งเสริม และพัฒนาแรงงานนอกระบบไปสู่ภาพลักษณ์ใหม่ ก้าวสู่วิสัยทัศน์ที่ต้องการในอนาคต จึงได้เชิญผู้บริหาร คณะทํางาน เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานด้านการคุ้มครองแรงงานนอกระบบในส่วนกลาง ผู้แทนจากหน่วยงานราชการภายนอก หน่วยงานเอกชน เครือข่ายแรงงานนอกระบบ คณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทําที่บ้าน และผู้ที่เกี่ยวข้องจํานวน 50 คน มาร่วมกันประชุมเชิงปฏิบัติการเสนอความคิดเห็น วิเคราะห์ทบทวนแผนปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานนอกระบบของกรม เพื่อนํามาปรับปรุงแก้ไขให้ครบถ้วน ครอบคลุมภารกิจด้านแรงงานนอกระบบในทุกมิติ และสามารถนําแผนสู่การปฏิบัติได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยนํากรอบแนวคิด “ประชารัฐ” มาใช้เป็นกลไกความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อแก้ไขปัญหาในการลดความเหลื่อมล้ําการสร้างรายได้ และสร้างความเข็มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ทบทวนแผนปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานนอกระบบ ใช้ “ประชารัฐ” ลดความเหลื่อมล้ำ มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2563 กสร. ทบทวนแผนปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานนอกระบบ ใช้ “ประชารัฐ” ลดความเหลื่อมล้ํา มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ กสร ทบทวนแผนปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานนอกระบบ เพื่อเป็นกรอบทิศทางในการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบอย่างเป็นรูปธรรม ก้าวสู่ภาพลักษณ์ใหม่นําแนวคิด“ประชารัฐ”เป็นกลไกความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ลดความเหลื่อมล้ําด้านแรงงาน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า แรงงานนอกระบบ เป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่มีจํานวนมากถึง 20.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 54.30 ของผู้มีงานทําทั้งประเทศ ที่ผ่านมากรมขับเคลื่อนภารกิจด้านแรงงานนอกระบบโดยการส่งเสริมการทํางานแบบบูรณาการในเชิงยุทธศาสตร์ ตั้งแต่ระดับวางแผนไปถึงการปฏิบัติการที่มุ่งพัฒนาการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ ให้ได้รับสิทธิตามกฎหมายและเข้าถึงบริการของรัฐ โดยการกําหนดแนวทาง มาตรการ และวิธีปฏิบัติด้านการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ ยึดหลักความเสมอภาค เท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งได้จัดทําแผนยุทธศาสตร์แรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2561 – 2565 เป็นกรอบเพื่อใช้ดําเนินการมาระยะหนึ่ง และด้วยประเด็นความท้าทายทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทําให้กรมต้องมีการทบทวนยุทธศาสตร์ และการดําเนินงานเพื่อให้มีทิศทางการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับบริบทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป อธิบดี กสร. กล่าวต่อว่า เพื่อให้การวางแผนการคุ้มครอง ส่งเสริม และพัฒนาแรงงานนอกระบบไปสู่ภาพลักษณ์ใหม่ ก้าวสู่วิสัยทัศน์ที่ต้องการในอนาคต จึงได้เชิญผู้บริหาร คณะทํางาน เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานด้านการคุ้มครองแรงงานนอกระบบในส่วนกลาง ผู้แทนจากหน่วยงานราชการภายนอก หน่วยงานเอกชน เครือข่ายแรงงานนอกระบบ คณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทําที่บ้าน และผู้ที่เกี่ยวข้องจํานวน 50 คน มาร่วมกันประชุมเชิงปฏิบัติการเสนอความคิดเห็น วิเคราะห์ทบทวนแผนปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานนอกระบบของกรม เพื่อนํามาปรับปรุงแก้ไขให้ครบถ้วน ครอบคลุมภารกิจด้านแรงงานนอกระบบในทุกมิติ และสามารถนําแผนสู่การปฏิบัติได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยนํากรอบแนวคิด “ประชารัฐ” มาใช้เป็นกลไกความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อแก้ไขปัญหาในการลดความเหลื่อมล้ําการสร้างรายได้ และสร้างความเข็มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26174
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ติดตามการก่อสร้างอาคารพักอาศัยแปลง G โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง คืบหน้ากว่าร้อยละ 40
วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2560 รมว.พม. ติดตามการก่อสร้างอาคารพักอาศัยแปลง G โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง คืบหน้ากว่าร้อยละ 40 รมว.พม. ติดตามการก่อสร้างอาคารพักอาศัยแปลง G โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง คืบหน้ากว่าร้อยละ 40 วันนี้ (20 ธ.ค. 60) เวลา 09.30 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมด้วยนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง เพื่อติดตามความก้าวหน้าการก่อสร้างอาคารพักอาศัยแปลง G พร้อมทั้งมอบนโยบายการขับเคลื่อนโครงการฯ โดยมี นายไมตรี อินทุสุต ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ พร้อมด้วย ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ คณะผู้บริหารการเคหะแห่งชาติ และชาวชุมชนดินแดง ให้การต้อนรับ ณ ที่ตั้งอาคารพักอาศัยแปลง G บริเวณหัวมุม ถนนวิภาวดีรังสิตติดกับถนนดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ พลเอก อนันตพรกล่าวว่า โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง เป็นโครงการหนึ่งที่อยู่ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 - 2579) ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญกับคุณภาพชีวิตของชาวชุมชนดินแดง เนื่องจากสภาพอาคารมีความทรุดโทรมและสภาพแวดล้อมชุมชนที่แออัด จึงมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) หน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง และผู้อยู่อาศัยในชุมชนดินแดง ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวจนประสบผลสําเร็จในรัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมระยะเวลากว่า 16 ปี โดยจัดสร้างที่อยู่อาศัยที่มีความมั่นคงและปลอดภัย ด้วยรูปแบบอาคารสูง ที่ทันสมัย พร้อมระบบป้องกันอัคคีภัยและแผ่นดินไหว โดยเฉพาะการชําระค่าเช่าในราคาเดิม เพียงเพิ่มค่าบริหารสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ตลอดจนคํานึงถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยเป็นสําคัญ ภายหลังจาก กคช. ได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง อาคารพักอาศัยแปลง G เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา ปัจจุบัน ใช้ระยะเวลาก่อสร้างครบระยะเวลา 1 ปี จึงถือโอกาสนี้ลงพื้นที่ชุมชนดินแดง เพื่อรับฟังภาพรวมของแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 - 2567) ซึ่งแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 4 ระยะ ใช้เวลารวม 8 ปี โดยเฉพาะรายละเอียดความก้าวหน้าของการก่อสร้างโครงการระยะแรกคือ อาคารพักอาศัยแปลง G จํานวน 334 หน่วย ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนวิภาวดีรังสิตติดกับถนนดินแดง ขณะนี้ มีความก้าวหน้า การก่อสร้างประมาณร้อยละ 40 โดยงานโครงสร้างอยู่ที่ชั้น 21 (ข้อมูล ณ 18 ธันวาคม 2560) นอกจากนี้ ได้เยี่ยมชม ห้องตัวอย่างขนาดพื้นที่ 33 ตารางเมตร บริเวณชั้น 9 ซึ่งได้รับการออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัว ประกอบด้วย ห้องนอน ห้องอเนกประสงค์ พื้นที่ทําอาหาร ห้องน้ํา และระเบียง การดําเนินงานในระยะต่อไป โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงระยะ 2- 4 จะรองรับผู้อยู่อาศัยเดิม 6,212 หน่วย โดยมีการนําเสนอแบบก่อสร้างละเอียดและรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ต่อสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว เพื่อขอความเห็นชอบก่อนนําเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนเมษายน 2561 ส่วนโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงระยะ 3 - 4 จะรองรับผู้อยู่อาศัยใหม่ จํานวน 13,746 หน่วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) ภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชน ร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ด้านกระบวนการมีส่วนร่วม กคช. ร่วมกับผู้อยู่อาศัยในชุมชนดินแดงวางแผนการดําเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมชุมชนดินแดง รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพของผู้นําและผู้อยู่อาศัยในชุมชน เพื่อให้ชุมชนดินแดงเป็นชุมชนต้นแบบของการฟื้นฟูและพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน โดยผลสํารวจข้อมูล และมวลชนล่าสุด พบว่า ร้อยละ 98.17 เห็นด้วย "อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาด้านที่อยู่อาศัยนั้น รัฐบาล โดยกระทรวง พม. ดําเนินการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) โดยยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย และรายได้ปานกลางอย่างต่อเนื่องจนบรรลุเป้าหมาย เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพภาพชีวิตที่ดี มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างถ้วนทั่วต่อไป”พลเอก อนันตพรกล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ติดตามการก่อสร้างอาคารพักอาศัยแปลง G โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง คืบหน้ากว่าร้อยละ 40 วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2560 รมว.พม. ติดตามการก่อสร้างอาคารพักอาศัยแปลง G โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง คืบหน้ากว่าร้อยละ 40 รมว.พม. ติดตามการก่อสร้างอาคารพักอาศัยแปลง G โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง คืบหน้ากว่าร้อยละ 40 วันนี้ (20 ธ.ค. 60) เวลา 09.30 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมด้วยนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง เพื่อติดตามความก้าวหน้าการก่อสร้างอาคารพักอาศัยแปลง G พร้อมทั้งมอบนโยบายการขับเคลื่อนโครงการฯ โดยมี นายไมตรี อินทุสุต ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ พร้อมด้วย ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ คณะผู้บริหารการเคหะแห่งชาติ และชาวชุมชนดินแดง ให้การต้อนรับ ณ ที่ตั้งอาคารพักอาศัยแปลง G บริเวณหัวมุม ถนนวิภาวดีรังสิตติดกับถนนดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ พลเอก อนันตพรกล่าวว่า โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง เป็นโครงการหนึ่งที่อยู่ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 - 2579) ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญกับคุณภาพชีวิตของชาวชุมชนดินแดง เนื่องจากสภาพอาคารมีความทรุดโทรมและสภาพแวดล้อมชุมชนที่แออัด จึงมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) หน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง และผู้อยู่อาศัยในชุมชนดินแดง ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวจนประสบผลสําเร็จในรัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมระยะเวลากว่า 16 ปี โดยจัดสร้างที่อยู่อาศัยที่มีความมั่นคงและปลอดภัย ด้วยรูปแบบอาคารสูง ที่ทันสมัย พร้อมระบบป้องกันอัคคีภัยและแผ่นดินไหว โดยเฉพาะการชําระค่าเช่าในราคาเดิม เพียงเพิ่มค่าบริหารสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ตลอดจนคํานึงถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยเป็นสําคัญ ภายหลังจาก กคช. ได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง อาคารพักอาศัยแปลง G เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา ปัจจุบัน ใช้ระยะเวลาก่อสร้างครบระยะเวลา 1 ปี จึงถือโอกาสนี้ลงพื้นที่ชุมชนดินแดง เพื่อรับฟังภาพรวมของแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 - 2567) ซึ่งแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 4 ระยะ ใช้เวลารวม 8 ปี โดยเฉพาะรายละเอียดความก้าวหน้าของการก่อสร้างโครงการระยะแรกคือ อาคารพักอาศัยแปลง G จํานวน 334 หน่วย ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนวิภาวดีรังสิตติดกับถนนดินแดง ขณะนี้ มีความก้าวหน้า การก่อสร้างประมาณร้อยละ 40 โดยงานโครงสร้างอยู่ที่ชั้น 21 (ข้อมูล ณ 18 ธันวาคม 2560) นอกจากนี้ ได้เยี่ยมชม ห้องตัวอย่างขนาดพื้นที่ 33 ตารางเมตร บริเวณชั้น 9 ซึ่งได้รับการออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัว ประกอบด้วย ห้องนอน ห้องอเนกประสงค์ พื้นที่ทําอาหาร ห้องน้ํา และระเบียง การดําเนินงานในระยะต่อไป โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงระยะ 2- 4 จะรองรับผู้อยู่อาศัยเดิม 6,212 หน่วย โดยมีการนําเสนอแบบก่อสร้างละเอียดและรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ต่อสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว เพื่อขอความเห็นชอบก่อนนําเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนเมษายน 2561 ส่วนโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงระยะ 3 - 4 จะรองรับผู้อยู่อาศัยใหม่ จํานวน 13,746 หน่วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) ภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชน ร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ด้านกระบวนการมีส่วนร่วม กคช. ร่วมกับผู้อยู่อาศัยในชุมชนดินแดงวางแผนการดําเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมชุมชนดินแดง รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพของผู้นําและผู้อยู่อาศัยในชุมชน เพื่อให้ชุมชนดินแดงเป็นชุมชนต้นแบบของการฟื้นฟูและพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน โดยผลสํารวจข้อมูล และมวลชนล่าสุด พบว่า ร้อยละ 98.17 เห็นด้วย "อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาด้านที่อยู่อาศัยนั้น รัฐบาล โดยกระทรวง พม. ดําเนินการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) โดยยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย และรายได้ปานกลางอย่างต่อเนื่องจนบรรลุเป้าหมาย เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพภาพชีวิตที่ดี มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างถ้วนทั่วต่อไป”พลเอก อนันตพรกล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8884
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอนามัย แนะ ท้องถิ่นคุมเข้มน้ำประปาช่วง COVID-19 ตามคำแนะนำ WHO [กระทรวงสาธารณสุข]
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563 กรมอนามัย แนะ ท้องถิ่นคุมเข้มน้ําประปาช่วง COVID-19 ตามคําแนะนํา WHO [กระทรวงสาธารณสุข] กรมอนามัย แนะ ท้องถิ่นคุมเข้มน้ําประปาช่วง COVID-19 ตามคําแนะนํา WHO กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควบคุม กํากับ ดูแลและเฝ้าระวังคุณภาพน้ําประปาให้สะอาด ปลอดภัยตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนํา เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ยังไม่พบหลักฐานยืนยันว่าพบเชื้อไวรัสโคโรน่าในน้ําผิวดิน น้ําบาดาล น้ําประปาหรือน้ําบริโภค เนื่องจากไวรัสชนิดนี้มีเยื่อหุ้มที่มีความทนทานต่อสภาวะแวดล้อมได้ต่ําและถูกทําลายได้ง่ายจากสารเคมีที่ใช้ในการฆ่าเชื้อ เช่น คลอรีน ดังนั้น ความเสี่ยงที่จะพบเชื้อไวรัสโคโรน่าในน้ําประปาจึงค่อนข้างต่ํา แต่องค์การอนามัยโลก ก็ได้ให้คําแนะนําในการจัดการน้ําสะอาดเพื่อป้องกันการปนเปื้อน โดยเฉพาะระบบการผลิตน้ําประปาให้มีการควบคุม กํากับ ดูแลและเฝ้าระวังตามปกติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระบบกําจัดเชื้อโรคในกระบวนการผลิตน้ําประปาต้องเพิ่มความเข้มงวดให้มากกว่าเดิม กรมอนามัยจึงได้จัดทําคําแนะนําในการดูแลคุณภาพน้ําประปา เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้เป็นแนวทางในการควบคุม กํากับ ดูแลและเฝ้าระวังคุณภาพน้ําประปา ในช่วงการเกิดโรคติดเชื้อ COVID–19 ดังนี้1) แหล่งน้ําดิบดูแลรักษาความสะอาดของแหล่งน้ําดิบตามปกติ เพิ่มความเข้มงวดไม่ให้มีขยะโดยเฉพาะหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้ว บริเวณใกล้เคียงกับแหล่งน้ําดิบ หากพบต้องดําเนินการกําจัดอย่างถูกหลักสุขาภิบาลทันที2) ระบบผลิตน้ําประปาควบคุมกระบวนการผลิตตามแนวทางปกติ เพื่อให้ได้คุณภาพน้ําประปาตามเกณฑ์มาตรฐานที่กําหนด และเข้มงวดในการควบคุมค่าความขุ่นให้น้อยกว่า 1 NTU และค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ให้ได้ตามมาตรฐานแต่ไม่เกิน 8.0 เพื่อประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค ที่สําคัญเพิ่มปริมาณความเข้มข้นของคลอรีนในกระบวนการฆ่าเชื้อโรคให้มีคลอรีนอิสระคงเหลือไม่ต่ํากว่า 1 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm.) ที่ต้นทางของน้ําประปา “3) ระบบการจ่ายน้ําดูแลระบบท่อจ่ายน้ําไม่ให้แตก รั่ว หากพบให้ดําเนินการซ่อมแซมทันที เข้มงวดการระบายน้ําทิ้งหลังจากการซ่อมแซม เพื่อรักษาคุณภาพน้ําในระบบจ่ายให้มีคุณภาพคงที่อยู่เสมอ และเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังปริมาณคลอรีนอิสระคงเหลือในระบบจ่ายน้ําจนถึงบ้านผู้ใช้น้ํา ให้มีไม่ต่ํากว่า 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm.)4) เจ้าหน้าที่ดูแลกระบวนการผลิตน้ําประปาต้องปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข เช่น กินอาหารร้อน ใช้ช้อนส่วนตัว หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างในการติดต่อประสานงานกัน อย่างน้อย 1-2 เมตร คัดกรองและเฝ้าระวังอาการป่วยของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตน้ําประปา โดยการวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเวลาปฏิบัติงานและสังเกตอาการ หากมีอุณหภูมิร่างกาย 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือพบอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ หายใจลําบาก ครั่นเนื้อตัว ให้หยุดปฏิบัติงาน แจ้งหน่วยงานและไปพบแพทย์ และ5) อาคารสถานที่ผลิตน้ําประปาต้องดูแลรักษาความสะอาดของอาคารสถานที่ผลิตน้ําประปาให้สะอาดอยู่เสมอ ตามมาตรการ 5 ส. และเข้มงวดการทําความสะอาดตามจุดเสี่ยงที่ใช้ร่วมกัน ได้แก่ ลูกบิดประตู ราวบันได ห้องน้ํา โต๊ะ เก้าอี้ ในอาคารสถานที่ดังกล่าว ทั้งนี้ ในการตรวจหาปริมาณคลอรีนอิสระในน้ําประปานั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถใช้ชุดทดสอบปริมาณคลอรีนอิสระในน้ํา (อ 31) ของกรมอนามัย ดําเนินการได้ ซึ่งใช้งานง่าย สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว *** ศูนย์สื่อสารสาธารณะ/ 3 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอนามัย แนะ ท้องถิ่นคุมเข้มน้ำประปาช่วง COVID-19 ตามคำแนะนำ WHO [กระทรวงสาธารณสุข] วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563 กรมอนามัย แนะ ท้องถิ่นคุมเข้มน้ําประปาช่วง COVID-19 ตามคําแนะนํา WHO [กระทรวงสาธารณสุข] กรมอนามัย แนะ ท้องถิ่นคุมเข้มน้ําประปาช่วง COVID-19 ตามคําแนะนํา WHO กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควบคุม กํากับ ดูแลและเฝ้าระวังคุณภาพน้ําประปาให้สะอาด ปลอดภัยตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนํา เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ยังไม่พบหลักฐานยืนยันว่าพบเชื้อไวรัสโคโรน่าในน้ําผิวดิน น้ําบาดาล น้ําประปาหรือน้ําบริโภค เนื่องจากไวรัสชนิดนี้มีเยื่อหุ้มที่มีความทนทานต่อสภาวะแวดล้อมได้ต่ําและถูกทําลายได้ง่ายจากสารเคมีที่ใช้ในการฆ่าเชื้อ เช่น คลอรีน ดังนั้น ความเสี่ยงที่จะพบเชื้อไวรัสโคโรน่าในน้ําประปาจึงค่อนข้างต่ํา แต่องค์การอนามัยโลก ก็ได้ให้คําแนะนําในการจัดการน้ําสะอาดเพื่อป้องกันการปนเปื้อน โดยเฉพาะระบบการผลิตน้ําประปาให้มีการควบคุม กํากับ ดูแลและเฝ้าระวังตามปกติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระบบกําจัดเชื้อโรคในกระบวนการผลิตน้ําประปาต้องเพิ่มความเข้มงวดให้มากกว่าเดิม กรมอนามัยจึงได้จัดทําคําแนะนําในการดูแลคุณภาพน้ําประปา เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้เป็นแนวทางในการควบคุม กํากับ ดูแลและเฝ้าระวังคุณภาพน้ําประปา ในช่วงการเกิดโรคติดเชื้อ COVID–19 ดังนี้1) แหล่งน้ําดิบดูแลรักษาความสะอาดของแหล่งน้ําดิบตามปกติ เพิ่มความเข้มงวดไม่ให้มีขยะโดยเฉพาะหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้ว บริเวณใกล้เคียงกับแหล่งน้ําดิบ หากพบต้องดําเนินการกําจัดอย่างถูกหลักสุขาภิบาลทันที2) ระบบผลิตน้ําประปาควบคุมกระบวนการผลิตตามแนวทางปกติ เพื่อให้ได้คุณภาพน้ําประปาตามเกณฑ์มาตรฐานที่กําหนด และเข้มงวดในการควบคุมค่าความขุ่นให้น้อยกว่า 1 NTU และค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ให้ได้ตามมาตรฐานแต่ไม่เกิน 8.0 เพื่อประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค ที่สําคัญเพิ่มปริมาณความเข้มข้นของคลอรีนในกระบวนการฆ่าเชื้อโรคให้มีคลอรีนอิสระคงเหลือไม่ต่ํากว่า 1 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm.) ที่ต้นทางของน้ําประปา “3) ระบบการจ่ายน้ําดูแลระบบท่อจ่ายน้ําไม่ให้แตก รั่ว หากพบให้ดําเนินการซ่อมแซมทันที เข้มงวดการระบายน้ําทิ้งหลังจากการซ่อมแซม เพื่อรักษาคุณภาพน้ําในระบบจ่ายให้มีคุณภาพคงที่อยู่เสมอ และเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังปริมาณคลอรีนอิสระคงเหลือในระบบจ่ายน้ําจนถึงบ้านผู้ใช้น้ํา ให้มีไม่ต่ํากว่า 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm.)4) เจ้าหน้าที่ดูแลกระบวนการผลิตน้ําประปาต้องปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข เช่น กินอาหารร้อน ใช้ช้อนส่วนตัว หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างในการติดต่อประสานงานกัน อย่างน้อย 1-2 เมตร คัดกรองและเฝ้าระวังอาการป่วยของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตน้ําประปา โดยการวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเวลาปฏิบัติงานและสังเกตอาการ หากมีอุณหภูมิร่างกาย 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป หรือพบอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ หายใจลําบาก ครั่นเนื้อตัว ให้หยุดปฏิบัติงาน แจ้งหน่วยงานและไปพบแพทย์ และ5) อาคารสถานที่ผลิตน้ําประปาต้องดูแลรักษาความสะอาดของอาคารสถานที่ผลิตน้ําประปาให้สะอาดอยู่เสมอ ตามมาตรการ 5 ส. และเข้มงวดการทําความสะอาดตามจุดเสี่ยงที่ใช้ร่วมกัน ได้แก่ ลูกบิดประตู ราวบันได ห้องน้ํา โต๊ะ เก้าอี้ ในอาคารสถานที่ดังกล่าว ทั้งนี้ ในการตรวจหาปริมาณคลอรีนอิสระในน้ําประปานั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถใช้ชุดทดสอบปริมาณคลอรีนอิสระในน้ํา (อ 31) ของกรมอนามัย ดําเนินการได้ ซึ่งใช้งานง่าย สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว *** ศูนย์สื่อสารสาธารณะ/ 3 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28425
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปกท.วท. เยี่ยมชมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2559 ปกท.วท. เยี่ยมชมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย 2 ธันวาคม 2559 / ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ภายใต้การบริหารจัดการของสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) 2 ธันวาคม 2559 / ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ภายใต้การบริหารจัดการของสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมคณะผู้บริหาร และพนักงานร่วมทําบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งแด่พระภิกษุสงฆ์จํานวน 10 รูป เนื่องในพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวาร (50วัน) การเสด็จสรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อน้อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศล และเยี่ยมชมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park : TSP) ซึ่งเป็นนิคมวิจัยแห่งแรกของเมืองไทยอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ดําเนินการโดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ ติดกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยเป็นที่ตั้งของ สวทช. รวมถึงศูนย์วิจัยแห่งชาติ 4 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งทําให้อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เป็นทําเลที่มีความพร้อมสูงสุดสําหรับกิจกรรมวิจัยและพัฒนา ซึ่งมีนักวิจัยอยู่รวมกันมากกว่า 3,700 คนและเป็นแหล่งรวมบุคลากรที่มีความสามารถขนาดใหญ่ นอกจากนี้ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปกท.วท. ได้เยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางด้านนาโนเทค บริเวณโถงนิทรรศการ ชั้น 1 อาคาร INC2 Tower B เยี่ยมชมศูนย์วัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ (BIOTEC) เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการพลังงานและเคมีชีวภาพ (BIOTEC) เยี่ยมชมศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย (BIOTEC) เยี่ยมชมโรงงานผลิตเครื่องสําอางต้นแบบ (NANOTEC) เยี่ยมชมศูนย์บริการวิเคาระห์ทดลอง (NCTC) และเยี่ยมชมศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปกท.วท. เยี่ยมชมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2559 ปกท.วท. เยี่ยมชมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย 2 ธันวาคม 2559 / ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ภายใต้การบริหารจัดการของสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) 2 ธันวาคม 2559 / ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ภายใต้การบริหารจัดการของสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมคณะผู้บริหาร และพนักงานร่วมทําบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งแด่พระภิกษุสงฆ์จํานวน 10 รูป เนื่องในพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวาร (50วัน) การเสด็จสรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อน้อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศล และเยี่ยมชมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park : TSP) ซึ่งเป็นนิคมวิจัยแห่งแรกของเมืองไทยอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ดําเนินการโดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ ติดกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยเป็นที่ตั้งของ สวทช. รวมถึงศูนย์วิจัยแห่งชาติ 4 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งทําให้อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เป็นทําเลที่มีความพร้อมสูงสุดสําหรับกิจกรรมวิจัยและพัฒนา ซึ่งมีนักวิจัยอยู่รวมกันมากกว่า 3,700 คนและเป็นแหล่งรวมบุคลากรที่มีความสามารถขนาดใหญ่ นอกจากนี้ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปกท.วท. ได้เยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางด้านนาโนเทค บริเวณโถงนิทรรศการ ชั้น 1 อาคาร INC2 Tower B เยี่ยมชมศูนย์วัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ (BIOTEC) เยี่ยมชมห้องปฏิบัติการพลังงานและเคมีชีวภาพ (BIOTEC) เยี่ยมชมศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย (BIOTEC) เยี่ยมชมโรงงานผลิตเครื่องสําอางต้นแบบ (NANOTEC) เยี่ยมชมศูนย์บริการวิเคาระห์ทดลอง (NCTC) และเยี่ยมชมศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/979
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการที่ผู้ประกอบและผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวควรปฏิบัติ ในยุค New Normal มีอะไรบ้าง ??
วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2563 มาตรการที่ผู้ประกอบและผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวควรปฏิบัติ ในยุค New Normal มีอะไรบ้าง ?? มาตรการด้านการท่องเที่ยวในยุค New Normal มีอะไรบ้าง ?? Q : มาตรการที่ผู้ประกอบและผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวควรปฏิบัติ ในยุค New Normal มีอะไรบ้าง ?? A : 1.สวมหน้ากากอนามัย/ถุงมือ ตลอดเวลา 2.มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายทุกคน 3.มีมาตรการเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร 4.บันทึกประวัติ ของผู้ให้บริการ / ผู้รับบริการ / นักท่องเที่ยว 5.หมั่นทําความสะอาดสถานที่บ่อยครั้ง 6.มีการกําจัดของเสีย/ขยะ อย่างถูกสุขอนามัย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการที่ผู้ประกอบและผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวควรปฏิบัติ ในยุค New Normal มีอะไรบ้าง ?? วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2563 มาตรการที่ผู้ประกอบและผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวควรปฏิบัติ ในยุค New Normal มีอะไรบ้าง ?? มาตรการด้านการท่องเที่ยวในยุค New Normal มีอะไรบ้าง ?? Q : มาตรการที่ผู้ประกอบและผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวควรปฏิบัติ ในยุค New Normal มีอะไรบ้าง ?? A : 1.สวมหน้ากากอนามัย/ถุงมือ ตลอดเวลา 2.มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายทุกคน 3.มีมาตรการเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร 4.บันทึกประวัติ ของผู้ให้บริการ / ผู้รับบริการ / นักท่องเที่ยว 5.หมั่นทําความสะอาดสถานที่บ่อยครั้ง 6.มีการกําจัดของเสีย/ขยะ อย่างถูกสุขอนามัย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33144
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เปิดตัวป่าในเมือง สวนป่าประชารัฐ สุราษฎร์ธานี 3 แห่งพร้อมกัน
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561 ทส. เปิดตัวป่าในเมือง สวนป่าประชารัฐ สุราษฎร์ธานี 3 แห่งพร้อมกัน ทส. เปิดตัวป่าในเมือง สวนป่าประชารัฐ สุราษฎร์ธานี 3 แห่งพร้อมกัน วันที่ 30 มีนาคม 61กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดตัวโครงการป่าในเมือง "สวนป่าประชารัฐเพื่อความสุขของคนไทย" จังหวัดสุราษฎร์ธานีพร้อมกัน จํานวน 3 แห่ง เนื้อที่กว่า 1.3 พันไร่ ได้แก่ ป่าในเมืองบ้านปากกะแดะ ตําบลกะแดะ อําเภอกาญจนดิษฐ ์เนื้อที่ 320 ไร่ ป่าในเมืองบ้านแหลมโพธิ์ แหลมทราย ตําบลพุมเรียง อําเภอไชยา เนื้อที่ 400 ไร่ และ ป่าในเมืองบ้านห้วยทรัพย ์ตําบลลีเล็ด อําเภอพุนพิน เนื้อที่ 600 ไร่ โดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ ณ ป่าในเมืองบ้านห้วยทรัพย ์ตําบลลีเล็ด อําเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมมอบเอกสารสิทธิทํากินในพื้นที่อนุรักษ์ จํานวน 2 แห่ง โครงการป่าในเมืองทั้ง 3 แห่งอยู่ใกล้ชุมชนของสุราษฎร์ธานีมีเนื้อที่ป่าชายเลนกว่าพันสามร้อยไร่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ป่าชายเลนหลากหลายชนิด รวมทั้งมีสัตว์ป่าชายเลนที่สําคัญอีกหลายชนิด โดยป่าในเมืองบ้านห้วยทรัพย์เป็นผืนป่าชายเลนที่รุกคืบทะเลจนได้รับสมญานามว่าดินแดนผืนป่าชายเลนเดินได้ฝั่งอ่าวไทย และยังเป็นแหล่งดูนกที่สําคัญและหลากหลาย โครงการป่าในเมือง สวนป่าประชารัฐเพื่อความสุขของคนไทย ดําเนินการโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ จัดกิจกรรมนันทนาการ พื้นที่ออกกําลังกาย เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศ และท่องเที่ยวเชิงนิเวศทรัพยากรป่าชายเลน เพื่อการอนุรักษ์ผืนป่าชายเลนในเขตเมืองและบริเวณใกล้เคียงชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่นทั้งทางตรงและทางอ้อม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เปิดตัวป่าในเมือง สวนป่าประชารัฐ สุราษฎร์ธานี 3 แห่งพร้อมกัน วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561 ทส. เปิดตัวป่าในเมือง สวนป่าประชารัฐ สุราษฎร์ธานี 3 แห่งพร้อมกัน ทส. เปิดตัวป่าในเมือง สวนป่าประชารัฐ สุราษฎร์ธานี 3 แห่งพร้อมกัน วันที่ 30 มีนาคม 61กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดตัวโครงการป่าในเมือง "สวนป่าประชารัฐเพื่อความสุขของคนไทย" จังหวัดสุราษฎร์ธานีพร้อมกัน จํานวน 3 แห่ง เนื้อที่กว่า 1.3 พันไร่ ได้แก่ ป่าในเมืองบ้านปากกะแดะ ตําบลกะแดะ อําเภอกาญจนดิษฐ ์เนื้อที่ 320 ไร่ ป่าในเมืองบ้านแหลมโพธิ์ แหลมทราย ตําบลพุมเรียง อําเภอไชยา เนื้อที่ 400 ไร่ และ ป่าในเมืองบ้านห้วยทรัพย ์ตําบลลีเล็ด อําเภอพุนพิน เนื้อที่ 600 ไร่ โดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ ณ ป่าในเมืองบ้านห้วยทรัพย ์ตําบลลีเล็ด อําเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมมอบเอกสารสิทธิทํากินในพื้นที่อนุรักษ์ จํานวน 2 แห่ง โครงการป่าในเมืองทั้ง 3 แห่งอยู่ใกล้ชุมชนของสุราษฎร์ธานีมีเนื้อที่ป่าชายเลนกว่าพันสามร้อยไร่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ป่าชายเลนหลากหลายชนิด รวมทั้งมีสัตว์ป่าชายเลนที่สําคัญอีกหลายชนิด โดยป่าในเมืองบ้านห้วยทรัพย์เป็นผืนป่าชายเลนที่รุกคืบทะเลจนได้รับสมญานามว่าดินแดนผืนป่าชายเลนเดินได้ฝั่งอ่าวไทย และยังเป็นแหล่งดูนกที่สําคัญและหลากหลาย โครงการป่าในเมือง สวนป่าประชารัฐเพื่อความสุขของคนไทย ดําเนินการโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ จัดกิจกรรมนันทนาการ พื้นที่ออกกําลังกาย เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศ และท่องเที่ยวเชิงนิเวศทรัพยากรป่าชายเลน เพื่อการอนุรักษ์ผืนป่าชายเลนในเขตเมืองและบริเวณใกล้เคียงชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่นทั้งทางตรงและทางอ้อม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11293
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมผลงานเด่นของมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี
วันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมผลงานเด่นของมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณี นายกรัฐมนตรีย้ําให้เผยแพร่ผลงานวิจัยและพัฒนาให้สังคมรับรู้อย่างกว้างขวาง พัฒนาไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและตลาดต่อไป วันนี้(6ก.พ.61)เวลา07.54น.ณมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณีตําบลท่าช้างอําเภอเมืองจังหวัดจันทบุรีบรรยากาศก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่1/2561 พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีได้สักการะพระบรมราชินยานุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าร้าไพพรรณีพระบรมราชินีในรัชกาลที่7เพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้พบปะทักทายนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณีณบริเวณโถงชั้น1อาคารคณะวิทยาการจัดการโดยได้กล่าวว่านักศึกษาทุกคนคือรากฐานที่สําคัญของประเทศในการที่จะร่วมกันพัฒนาขับเคลื่อนประเทศชาติไปสู่อนาคต โดยให้คํานึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสําคัญ ช่วยกันลดความขัดแย้ง อันจะทําให้สามารถเดินหน้าประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนดพร้อมแนะนําให้นักศึกษาทุกคนศึกษาเรียนรู้ในสาขาที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและตรงกับความต้องการของตลาดเพื่อจบออกมาแล้วจะได้มีอาชีพและงานทําที่มั่นคงสามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้รวมทั้งเน้นย้ํากับนักศึกษาคณะครุศาสตร์ที่มาให้การต้อนรับว่า“ครู”วันนี้ต้องมีการเรียนรู้ไปพร้อมกับนักเรียนและต้องพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้สอดคล้องและทันกับเทคโนโลยีและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานเด่นของมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณีเช่นโครงการฟื้นฟูปะการังและสร้างแหล่งเรียนรู้โดยคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งได้ใช้หลักวิชาการมาพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรแนวปะการังรวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ชุมชนเกิดเป็นห้องเรียนธรรมชาติของชุมชนตระหนักถึงคุณค่าและการอนุรักษ์ปะการังและสิ่งแวดล้อมในแต่ละพื้นที่เพื่อความร่วมมือที่จะใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โครงการยกระดับมาตรฐานนการแปรรูปอาหารภาคตะวันออกโดยคณะเทคโนโลยีการเกษตรได้เข้าไปดูแลกลุ่มผู้แปรรูปอาหารในภาคตะวันออกให้สามารถผลิตและแปรรูปอาหารได้ถูกต้องตามกฎหมายและเกิดความปลอดภัยตั้งแต่ปี2546จนถึงปัจจุบัน โครงการเพิ่มมูลค่าพลอยตกเกรดด้วยกระบวนการทางด้านการออกแบบสําหรับเครื่องประดับซึ่งเป็นการนําพลอยตกเกรดมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องประดับที่ตอบสนองความต้องการของตลาดและเพิ่มมูลค่าได้ก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจสําหรับผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยหรือวิสาหกิจชุมชนด้านอัญมณีและเครื่องประดับและเป็นแนวทางในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบประเภทอื่นๆต่อไป โครงการส่งเสริมการใช้ภาษาเขมรโดยสํานักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชนได้จัดโครงการส่งเสริมการใช้ภาษาเขมรซึ่งเป็นภาษาประจําชาติของประเทศกัมพูชาและเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพื้นที่ชายแดนติดต่อกับจังหวัดจันทบุรีมีการแลกเปลี่ยนทางด้านเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมมีการใช้แรงงานจากชาวกัมพูชาเป็นจํานวนมากและมีความเกี่ยวข้องในด้านต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนการสื่อสารภาษาเขมรจึงเป็นสิ่งจําเป็นที่ทุกหน่วยงานทุกภาคส่วนต่างให้ความสําคัญอีกทั้งชุมชนในจังหวัดจันทบุรีหลายภาคส่วนมีความต้องการที่จะเรียนรู้ภาษาเขมรเพื่อการใช้ประโยชน์ในการทําธุรกิจและการประกอบอาชีพอื่นๆเป็นต้น ศูนย์ผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นแห่งเดียวในภาคตะวันออก โดยคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณีร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจัดโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นประจําปีการศึกษา2561ตามระบบThai University Central Admission System (TCAS)เพื่อเข้าร่วมเป็นสถาบันผลิตครูของโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นของสถาบันผลิตครูปีการศึกษา2561 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่า ผลงานวิจัยและพัฒนาต่าง ๆ ต้องผลักดันเผยแพร่ให้สังคมภายนอกได้รับรู้อย่างกว้างขวางเพื่อเป็นการพัฒนาไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและตลาดต่อไป ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมผลงานเด่นของมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี วันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมผลงานเด่นของมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณี นายกรัฐมนตรีย้ําให้เผยแพร่ผลงานวิจัยและพัฒนาให้สังคมรับรู้อย่างกว้างขวาง พัฒนาไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและตลาดต่อไป วันนี้(6ก.พ.61)เวลา07.54น.ณมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณีตําบลท่าช้างอําเภอเมืองจังหวัดจันทบุรีบรรยากาศก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่1/2561 พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีได้สักการะพระบรมราชินยานุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าร้าไพพรรณีพระบรมราชินีในรัชกาลที่7เพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้พบปะทักทายนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณีณบริเวณโถงชั้น1อาคารคณะวิทยาการจัดการโดยได้กล่าวว่านักศึกษาทุกคนคือรากฐานที่สําคัญของประเทศในการที่จะร่วมกันพัฒนาขับเคลื่อนประเทศชาติไปสู่อนาคต โดยให้คํานึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสําคัญ ช่วยกันลดความขัดแย้ง อันจะทําให้สามารถเดินหน้าประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนดพร้อมแนะนําให้นักศึกษาทุกคนศึกษาเรียนรู้ในสาขาที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและตรงกับความต้องการของตลาดเพื่อจบออกมาแล้วจะได้มีอาชีพและงานทําที่มั่นคงสามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้รวมทั้งเน้นย้ํากับนักศึกษาคณะครุศาสตร์ที่มาให้การต้อนรับว่า“ครู”วันนี้ต้องมีการเรียนรู้ไปพร้อมกับนักเรียนและต้องพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้สอดคล้องและทันกับเทคโนโลยีและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานเด่นของมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณีเช่นโครงการฟื้นฟูปะการังและสร้างแหล่งเรียนรู้โดยคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งได้ใช้หลักวิชาการมาพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรแนวปะการังรวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ชุมชนเกิดเป็นห้องเรียนธรรมชาติของชุมชนตระหนักถึงคุณค่าและการอนุรักษ์ปะการังและสิ่งแวดล้อมในแต่ละพื้นที่เพื่อความร่วมมือที่จะใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โครงการยกระดับมาตรฐานนการแปรรูปอาหารภาคตะวันออกโดยคณะเทคโนโลยีการเกษตรได้เข้าไปดูแลกลุ่มผู้แปรรูปอาหารในภาคตะวันออกให้สามารถผลิตและแปรรูปอาหารได้ถูกต้องตามกฎหมายและเกิดความปลอดภัยตั้งแต่ปี2546จนถึงปัจจุบัน โครงการเพิ่มมูลค่าพลอยตกเกรดด้วยกระบวนการทางด้านการออกแบบสําหรับเครื่องประดับซึ่งเป็นการนําพลอยตกเกรดมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องประดับที่ตอบสนองความต้องการของตลาดและเพิ่มมูลค่าได้ก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจสําหรับผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยหรือวิสาหกิจชุมชนด้านอัญมณีและเครื่องประดับและเป็นแนวทางในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบประเภทอื่นๆต่อไป โครงการส่งเสริมการใช้ภาษาเขมรโดยสํานักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชนได้จัดโครงการส่งเสริมการใช้ภาษาเขมรซึ่งเป็นภาษาประจําชาติของประเทศกัมพูชาและเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพื้นที่ชายแดนติดต่อกับจังหวัดจันทบุรีมีการแลกเปลี่ยนทางด้านเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมมีการใช้แรงงานจากชาวกัมพูชาเป็นจํานวนมากและมีความเกี่ยวข้องในด้านต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนการสื่อสารภาษาเขมรจึงเป็นสิ่งจําเป็นที่ทุกหน่วยงานทุกภาคส่วนต่างให้ความสําคัญอีกทั้งชุมชนในจังหวัดจันทบุรีหลายภาคส่วนมีความต้องการที่จะเรียนรู้ภาษาเขมรเพื่อการใช้ประโยชน์ในการทําธุรกิจและการประกอบอาชีพอื่นๆเป็นต้น ศูนย์ผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นแห่งเดียวในภาคตะวันออก โดยคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณีร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจัดโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นประจําปีการศึกษา2561ตามระบบThai University Central Admission System (TCAS)เพื่อเข้าร่วมเป็นสถาบันผลิตครูของโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นของสถาบันผลิตครูปีการศึกษา2561 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่า ผลงานวิจัยและพัฒนาต่าง ๆ ต้องผลักดันเผยแพร่ให้สังคมภายนอกได้รับรู้อย่างกว้างขวางเพื่อเป็นการพัฒนาไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและตลาดต่อไป ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9878
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการที่อยู่อาศัยแห่งชาติ
วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561 ผลการประชุมคณะกรรมการที่อยู่อาศัยแห่งชาติ รอง นรม ฉัตรชัยฯ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการที่อยู่อาศัยแห่งชาติ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้ได้มีที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน วันนี้ (21 มีนาคม 2561) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการที่อยู่อาศัยแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ นโยบายและแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระดับจังหวัด ดังนี้ 1)การแต่งตั้งคณะทํางานการขับเคลื่อน ประกอบด้วยผู้แทนจากทุกภาคส่วนซึ่งมีการบูรณาการทํางานในพื้นที่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถตอบสนองต่อบริบทและความต้องการของแต่ละพื้นที่ รวมไปถึงการจัดการข้อมูลที่อยู่อาศัยระดับจังหวัดและระดับท้องถิ่น พร้อมจัดทําแผนที่อยู่อาศัยและขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับจังหวัดให้บรรลุเป้าหมาย 2)การเคหะแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมจัดทําข้อมูลเพื่อการจัดตั้งศูนย์ข้อมูล โดยบูรณาการร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ สํานักงานสถิติแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง เพื่อจัดทําข้อมูลที่อยู่อาศัย หรือ Big data ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน รวมทั้งเป็นการยกระดับประสิทธิภาพของการจัดสวัสดิการสังคมและการช่วยเหลือของภาครัฐเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้ที่มีรายได้น้อยภายใต้การเคหะแห่งชาติ ตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2575) ตามนโยบายรัฐบาลเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างโอกาสให้แก่ผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยตามแนวทางประชารัฐเพื่อสังคมต่อไป ....................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการที่อยู่อาศัยแห่งชาติ วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561 ผลการประชุมคณะกรรมการที่อยู่อาศัยแห่งชาติ รอง นรม ฉัตรชัยฯ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการที่อยู่อาศัยแห่งชาติ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้ได้มีที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน วันนี้ (21 มีนาคม 2561) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการที่อยู่อาศัยแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ นโยบายและแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระดับจังหวัด ดังนี้ 1)การแต่งตั้งคณะทํางานการขับเคลื่อน ประกอบด้วยผู้แทนจากทุกภาคส่วนซึ่งมีการบูรณาการทํางานในพื้นที่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถตอบสนองต่อบริบทและความต้องการของแต่ละพื้นที่ รวมไปถึงการจัดการข้อมูลที่อยู่อาศัยระดับจังหวัดและระดับท้องถิ่น พร้อมจัดทําแผนที่อยู่อาศัยและขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับจังหวัดให้บรรลุเป้าหมาย 2)การเคหะแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมจัดทําข้อมูลเพื่อการจัดตั้งศูนย์ข้อมูล โดยบูรณาการร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ สํานักงานสถิติแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง เพื่อจัดทําข้อมูลที่อยู่อาศัย หรือ Big data ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน รวมทั้งเป็นการยกระดับประสิทธิภาพของการจัดสวัสดิการสังคมและการช่วยเหลือของภาครัฐเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้ที่มีรายได้น้อยภายใต้การเคหะแห่งชาติ ตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2575) ตามนโยบายรัฐบาลเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างโอกาสให้แก่ผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยตามแนวทางประชารัฐเพื่อสังคมต่อไป ....................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10923
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าว “งานวันไข่โลก 2562
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าว “งานวันไข่โลก 2562 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าว “งานวันไข่โลก 2562”เดินสายจัดกิจกรรมกระตุ้นคนไทยบริโภคไข่ไก่ ใน 3 โรงพยาบาลใหญ่ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีแถลงข่าว การจัดงาน “วันไข่โลก” โดยมี น.สพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นพ.ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย และนายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ประธานคณะทํางานโครงการรณรงค์บริโภคไข่ไก่ 300 ฟอง ร่วมแถลง ณ ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า วันไข่โลก (World Egg Day) ริเริ่มโดย “คณะกรรมาธิการไข่นานาชาติ” หรือ “International Egg Commission” มีสมาชิกทั่วโลกกว่า 80 ประเทศ โดยเริ่มจัดงานวันไข่โลกขึ้นเป็นครั้งแรกที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อปี 2539 พร้อมกําหนดให้ทุกวันศุกร์ที่สองของเดือนตุลาคมเป็นวันไข่โลก ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 11 ตุลาคม 2562 วัตถุประสงค์ เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสําคัญและคุณประโยชน์ทางด้านโภชนาการของไข่ไก่ สําหรับไข่ไก่เป็นอาหารโปรตีนที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของคนทุกเพศทุกวัย ขณะเดียวกันการเลี้ยงไก่ไข่เพื่อผลิตไข่ไก่นั้นยังเป็นอาชีพหลักอาชีพหนึ่งของเกษตรกรไทย ซึ่งสามารถผลิตไข่ไก่ได้เฉลี่ยปีละ 15,000 ล้านฟอง เป็นความมั่นคงทางอาหารของประเทศ และสามารถตอบสนองความต้องการการบริโภคของคนไทยได้อย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม พบว่าอัตราการบริโภคของคนไทยยังอยู่เพียง 247 ฟองต่อคนต่อปี ซึ่งต่ํากว่าเป้าหมายปี 2561 ที่ 300 ฟองต่อคนต่อปี “คนไทยยังคงบริโภคไข่ไก่ต่ํากว่าหลายๆประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งๆที่ไข่ไก่เป็นอาหารโปรตีนมากคุณค่าและให้ประโยชน์มากมายต่อร่างกาย จึงเป็นภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) และคณะทํางานโครงการรณรงค์บริโภคไข่ไก่ 300 ฟอง ตลอดจนกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ที่จะต้องร่วมกันรณรงค์ส่งเสริมสุขภาพที่ดีของประชาชนผ่านการบริโภคไข่ไก่ ซึ่งนอกจากจะได้ผลลัพธ์ในด้านสุขภาพแล้ว ยังส่งผลไปถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ทั่วประเทศได้ประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืนด้วย” นายประภัตรกล่าว น.สพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า เอ้กบอร์ดและคณะทํางานโครงการรณรงค์บริโภคไข่ไก่ 300 ฟอง จะใช้โอกาส “วันไข่โลก (World Egg Day)” ในการรณรงค์บริโภคไข่ไก่เป็นประจําทุกปี ในปี 2562 นี้ก็เช่นกัน โดยยุทธศาสตร์ไก่ไข่ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2562-2566 ยังคงตั้งเป้าการบริโภคไข่ไก่ของคนไทยไว้ที่ 300 ฟองต่อคนต่อปี ภายใต้แนวคิด “กินไข่ทุกวัน กินได้ทุกวัย” ทั้งนี้เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ในวงกว้าง ให้คนไทยเห็นคุณประโยชน์ในการบริโภคไข่ซึ่งมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง ม.ฮาร์เวิร์ดรองรับ ขณะที่กรมปศุสัตว์จะกํากับดูแลกระบวนการเลี้ยงไก่ไข่ของประเทศไทยซึ่งมาตรฐานการผลิตในระดับสูง ให้ผลผลิตไข่ที่สะอาด ปลอดภัยต่อผู้บริโภค สําหรับงานสัปดาห์วันไข่โลก 2562 ของประเทศไทย กําหนดจัดขึ้น 3 วันใน 3 โรงพยาบาลใหญ่ ตั้งแต่ 07:00-16.00 น. ได้แก่ 1.) ร.พ.ศิริราช วันที่ 7 ต.ค. 62 ณ ชั้น 1 อาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ 2.) ร.พ.จุฬาลงกรณ์ วันที่ 9 ต.ค.62 ณ ชั้น 1 อาคาร 14 ชั้น เชื่อมต่อชั้น 1 อาคารคัคณางค์ และ 3.) ร.พ.รามาธิบดี วันที่ 11 ตุลาคม 62 ณ โถงชั้น 1 อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ และ อาคารหลัก (อาคาร 1) ภายในงานเน้นการจัดรายการ Guru Talk โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งมาบอกเล่าเรื่องราวของไข่ไก่ พร้อมกิจกรรมมากมาย อาทิ ร่วมเล่นเกมส์รับรางวัล กิจกรรมแจกไข่ฟรีเพียงแค่สแกนคิวอาร์โค้ดเข้าร่วมงาน กิจกรรมยาเก่าแลกไข่ใหม่ จําหน่ายไข่สดและไข่แปรรูปคุณภาพราคาพิเศษนํารายได้ช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้แต่ละโรงพยาบาล สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าว “งานวันไข่โลก 2562 วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าว “งานวันไข่โลก 2562 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าว “งานวันไข่โลก 2562”เดินสายจัดกิจกรรมกระตุ้นคนไทยบริโภคไข่ไก่ ใน 3 โรงพยาบาลใหญ่ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีแถลงข่าว การจัดงาน “วันไข่โลก” โดยมี น.สพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นพ.ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย และนายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ประธานคณะทํางานโครงการรณรงค์บริโภคไข่ไก่ 300 ฟอง ร่วมแถลง ณ ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า วันไข่โลก (World Egg Day) ริเริ่มโดย “คณะกรรมาธิการไข่นานาชาติ” หรือ “International Egg Commission” มีสมาชิกทั่วโลกกว่า 80 ประเทศ โดยเริ่มจัดงานวันไข่โลกขึ้นเป็นครั้งแรกที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อปี 2539 พร้อมกําหนดให้ทุกวันศุกร์ที่สองของเดือนตุลาคมเป็นวันไข่โลก ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 11 ตุลาคม 2562 วัตถุประสงค์ เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสําคัญและคุณประโยชน์ทางด้านโภชนาการของไข่ไก่ สําหรับไข่ไก่เป็นอาหารโปรตีนที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของคนทุกเพศทุกวัย ขณะเดียวกันการเลี้ยงไก่ไข่เพื่อผลิตไข่ไก่นั้นยังเป็นอาชีพหลักอาชีพหนึ่งของเกษตรกรไทย ซึ่งสามารถผลิตไข่ไก่ได้เฉลี่ยปีละ 15,000 ล้านฟอง เป็นความมั่นคงทางอาหารของประเทศ และสามารถตอบสนองความต้องการการบริโภคของคนไทยได้อย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม พบว่าอัตราการบริโภคของคนไทยยังอยู่เพียง 247 ฟองต่อคนต่อปี ซึ่งต่ํากว่าเป้าหมายปี 2561 ที่ 300 ฟองต่อคนต่อปี “คนไทยยังคงบริโภคไข่ไก่ต่ํากว่าหลายๆประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งๆที่ไข่ไก่เป็นอาหารโปรตีนมากคุณค่าและให้ประโยชน์มากมายต่อร่างกาย จึงเป็นภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) และคณะทํางานโครงการรณรงค์บริโภคไข่ไก่ 300 ฟอง ตลอดจนกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ที่จะต้องร่วมกันรณรงค์ส่งเสริมสุขภาพที่ดีของประชาชนผ่านการบริโภคไข่ไก่ ซึ่งนอกจากจะได้ผลลัพธ์ในด้านสุขภาพแล้ว ยังส่งผลไปถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ทั่วประเทศได้ประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืนด้วย” นายประภัตรกล่าว น.สพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า เอ้กบอร์ดและคณะทํางานโครงการรณรงค์บริโภคไข่ไก่ 300 ฟอง จะใช้โอกาส “วันไข่โลก (World Egg Day)” ในการรณรงค์บริโภคไข่ไก่เป็นประจําทุกปี ในปี 2562 นี้ก็เช่นกัน โดยยุทธศาสตร์ไก่ไข่ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2562-2566 ยังคงตั้งเป้าการบริโภคไข่ไก่ของคนไทยไว้ที่ 300 ฟองต่อคนต่อปี ภายใต้แนวคิด “กินไข่ทุกวัน กินได้ทุกวัย” ทั้งนี้เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ในวงกว้าง ให้คนไทยเห็นคุณประโยชน์ในการบริโภคไข่ซึ่งมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง ม.ฮาร์เวิร์ดรองรับ ขณะที่กรมปศุสัตว์จะกํากับดูแลกระบวนการเลี้ยงไก่ไข่ของประเทศไทยซึ่งมาตรฐานการผลิตในระดับสูง ให้ผลผลิตไข่ที่สะอาด ปลอดภัยต่อผู้บริโภค สําหรับงานสัปดาห์วันไข่โลก 2562 ของประเทศไทย กําหนดจัดขึ้น 3 วันใน 3 โรงพยาบาลใหญ่ ตั้งแต่ 07:00-16.00 น. ได้แก่ 1.) ร.พ.ศิริราช วันที่ 7 ต.ค. 62 ณ ชั้น 1 อาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ 2.) ร.พ.จุฬาลงกรณ์ วันที่ 9 ต.ค.62 ณ ชั้น 1 อาคาร 14 ชั้น เชื่อมต่อชั้น 1 อาคารคัคณางค์ และ 3.) ร.พ.รามาธิบดี วันที่ 11 ตุลาคม 62 ณ โถงชั้น 1 อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ และ อาคารหลัก (อาคาร 1) ภายในงานเน้นการจัดรายการ Guru Talk โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งมาบอกเล่าเรื่องราวของไข่ไก่ พร้อมกิจกรรมมากมาย อาทิ ร่วมเล่นเกมส์รับรางวัล กิจกรรมแจกไข่ฟรีเพียงแค่สแกนคิวอาร์โค้ดเข้าร่วมงาน กิจกรรมยาเก่าแลกไข่ใหม่ จําหน่ายไข่สดและไข่แปรรูปคุณภาพราคาพิเศษนํารายได้ช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้แต่ละโรงพยาบาล สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23497
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงการณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง “วิธีการทำงานแบบ New Normal ของนายกรัฐมนตรี” วันที่ 17 มิถุนายน 2563
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563 แถลงการณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง “วิธีการทํางานแบบ New Normal ของนายกรัฐมนตรี” วันที่ 17 มิถุนายน 2563 แถลงการณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง “วิธีการทํางานแบบ New Normal ของนายกรัฐมนตรี” วันที่ 17 มิถุนายน 2563 สวัสดีครับพี่น้องประชาชนทุกท่าน วันนี้ เป็นครั้งแรกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ที่ผมรู้สึกเบาใจในระดับหนึ่ง และคิดว่า สามารถพูดกับพี่น้องประชาชนได้ว่า ตอนนี้เราเริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้วนะครับ หลังจากที่วิกฤตโควิดได้สร้างความเสียหายมากมายมหาศาลไปทั่วโลก พร้อมกับสร้างความเดือดร้อน แสนสาหัสกับชีวิตความเป็นอยู่ และการทํามาหากินของพี่น้องหลายสิบล้านคนในประเทศไทย ตอนนี้ แม้จะยังประกาศชัยชนะที่เรามีต่อโควิดได้ไม่เต็มที่นัก แต่อย่างน้อยเรารู้ว่า การระบาดของโควิด ลดลงไปอยู่ในระดับที่เราสามารถควบคุมได้ และได้รับการยอมรับว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่รับมือกับโควิดได้ดีที่สุดในโลก อะไรที่ผ่อนปรนได้ ก็ได้ดําเนินการผ่อนปรนให้ตามลําดับ อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาแบบนี้ พวกเราทุกคนยังต้อง “การ์ดไม่ตก” เรายังต้องระมัดระวังให้มาก ต้องใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ และยังคงต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ตลอดจนหลีกเลี่ยงกิจกรรมการรวมตัวกันในที่คนเยอะ เพราะเราได้เห็นตัวอย่าง ที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น ๆ แล้วว่า โควิดสามารถกลับมาระบาดรอบ 2 ได้ตลอดเวลา หากเราประมาท วันนี้ เรายังต้องเตรียมรับมือกับอีกหนึ่งความท้าทายที่หนักหนาสาหัสกว่า ที่รอเราอยู่ข้างหน้าด้วย นั่นคือ การทําให้คนไทยสามารถกลับมาทํามาหากินกันได้ดังเดิมอีกครั้ง หลังจากที่วิกฤต โควิดได้ทําลายความสามารถในการหาเลี้ยงปากท้องของคนนับล้าน ๆ ทําลายธุรกิจทุกขนาด และบังคับให้หลายล้านครัวเรือนต้องนําเงินออมที่เคยเก็บไว้ ออกมาใช้จนหมด ที่แย่ไปกว่านั้น คือทั่วโลกยังคงวิตกกังวล และไม่มีใครรู้ว่า เราจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตกันเหมือนเดิมได้อีกเมื่อใด สิ่งที่ผมต้องการคือ ทําให้ประเทศไทยของเรา กลายเป็นตัวอย่างการบริหารที่ดี ในเรื่องการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เหมือนกับที่เราเป็นตัวอย่างที่ดีที่ทั่วโลกยอมรับ ในเรื่องการจัดการด้านสาธารณสุขได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นวันนี้ ผมอยากจะพูดถึงสิ่งที่เราต้องทํา เพื่อจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาให้ได้โดยเร็ว ผมขอพูดอีกครั้งว่า วิกฤตโควิดครั้งนี้ ทําให้ผมได้ตระหนักชัดว่า ประเทศไทยของเรามีความแข็งแกร่งที่เป็นสุดยอดไม่แพ้ประเทศใดในโลก อยู่ 2 เรื่อง ซึ่งมันเกี่ยวกับ “ความเป็นไทย” ของพวกเราทุกคน ความพิเศษของความเป็นไทย 2 เรื่อง ที่ทําให้ผมทึ่ง และรู้สึกมีความหวัง ว่าเราจะสามารถขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว และน่าภาคภูมิใจ คือ หนึ่ง ผมได้เห็นความพร้อมใจกันของคนไทย ที่จะร่วมมือกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวิ ทํางานด้วยกัน และช่วยเหลือกันในยามวิกฤต อย่างที่เราได้เห็นในข่าวต่าง ๆ แม้กระทั่งคนที่มีกําลังน้อยหรือแทบจะไม่มี ก็ยังเอาส่วนของตัวเองมาแบ่งปันให้คนอื่นได้มีกินด้วย หรือ คนที่พร้อมยอมเอาสุขภาพของตัวเองไปเสี่ยง เพื่อช่วยเหลือดูแลรักษาสุขภาพของคนอื่น นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกพื้นที่ ทั่วประเทศไทยของเรา และเป็นสิ่งที่ผมประทับใจอย่างที่สุด ความพิเศษของความเป็นไทยเรื่องที่ 2 คือ ประเทศของเรามีคนเก่งที่มีความสามารถอยู่เยอะมาก และอยู่ในทุกระดับของสังคม เป็นคนที่มีความคิดดี ๆ มีพละกําลัง และมีความพร้อมใจ ต้องการที่จะช่วยประเทศชาติ โดยไม่มีข้อแม้ นั่นทําให้ผมกลับมาถามตัวเองว่า ในเมื่อประเทศเรามีคนเก่งเยอะขนาดนี้ เรามีคนที่พร้อมใจ ที่จะจับมือกันช่วยเหลือประเทศชาติเยอะมาก แล้วทําไมเราถึงไม่จับมือ ร่วมแรงร่วมใจกันทั้งประเทศแบบนี้ไปตลอด ทํางานขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกัน ให้เหมือนกับตอนที่เราจับมือกันฟันฝ่าวิกฤต ดังนั้น เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น เร็วขึ้น และก้าวไปข้างหน้าได้ไกลมากขึ้น ผมคิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่รัฐบาลและทั้งประเทศควรจะทํางานในทุกวัน ให้เหมือนกับว่าเราอยู่ในวิกฤต เราต้องก้าวข้ามเกมการเมือง และลงมือทํางานกันอย่างจริงจัง ให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ในฐานะที่พวกเราคือคนที่ประชาชนเลือกให้มาเป็นตัวแทนทํางานบริหารประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทุกคนพูดกันว่า หลังวิกฤตโควิดครั้งนี้ โลกของเราจะเปลี่ยนไป เป็นเหมือนโลกใบใหม่ ที่ไม่เหมือนเดิม และเราจะต้องใช้ชีวิตกันในรูปแบบใหม่ แบบที่เรียกว่า New Normal เพื่อที่จะอยู่รอดและก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ซึ่งหมายความรวมถึงการทํางานของรัฐบาลด้วย วันนี้ ผมจึงขอประกาศให้ทุกท่านทราบว่า เมื่อเราเข้าสู่โลกใหม่ จากนี้เป็นต้นไป การทํางานของรัฐบาล จะต้อง New Normal ปรับเปลี่ยนเป็นวิธีการทํางานแบบใหม่ด้วย หนึ่ง - “ผนึกทุกภาคส่วนร่วมวางอนาคตประเทศไทย” ต่อไปนี้รัฐบาลจะต้องทํางาน โดยดึงทุกภาคส่วน และทุกระดับในสังคม เข้ามามีส่วนร่วม และมีบทบาทมากขึ้น ในการช่วยกันกําหนดอนาคตของประเทศ หลังโควิด ผมจะปรับวิธีการวางแผน และกําหนดนโยบายหรือมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้ที่จะได้รับผลจากนโยบายต่าง ๆ เหล่านั้น ได้มีส่วนร่วมมากขึ้น ไม่ใช่แค่รับรู้นโยบายต่าง ๆ จากการอ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์หรือสื่อออนไลน์เหมือนที่ผ่าน ๆ มา ต่อไปนี้ประชาชนต้องมีโอกาสมีส่วนร่วม รัฐบาลต้องได้ยินเสียงของประชาชน และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ให้มากขึ้น แนวความคิดนี้เกิดจาก ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของวิกฤตโควิด ผมได้เดินทางไปพบปะกับสมาคมภาคธุรกิจต่าง ๆ ด้วยตัวของผมเอง ได้รับฟังและหารือกับผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ความเดือดร้อนโดยตรง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก ผมจึงอยากจะต่อยอดวิธีการทํางานแบบนี้ สิ่งที่ผมต้องทํา ในฐานะผู้นําประเทศ คือ เปิดโอกาสให้คนมากมายที่มีความปรารถนาดี และอยากจะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ แต่ไม่เคยมีโอกาสมาก่อน ได้มีโอกาสและมีส่วนร่วมมากขึ้น ผมต้องทําให้ฟันเฟืองที่สําคัญตัวนี้ นั่นคือความสามารถของคนในประเทศ ได้ถูกนํามาใช้ ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยของเราให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า ผมจะขอให้แต่ละภาคส่วนเตรียมการเข้ามานําเสนอวิสัยทัศน์ และความคิด ในการเปลี่ยนโฉมและขับเคลื่อนภาคส่วนของท่าน ไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยนําพาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าให้ได้ไกลขึ้น และรวดเร็วขึ้นด้วย โดยหลังจากได้รับความคิดเห็นต่าง ๆ มาแล้ว รัฐบาลจะพิจารณาความเป็นไปได้ ศึกษาข้อดี ข้อเสีย ของข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในวิธีการที่โปร่งใส และเปิดกว้าง ทําความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อหาหนทางที่ดีที่สุด ที่จะดําเนินการโครงการนั้น ๆ ให้เกิดขึ้นจริง อย่างมีประสิทธิภาพ และบูรณาการกับภาคส่วนอื่น ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง ผมเชื่อว่า คนไทยทุกคนมีความสามารถและมีบทบาทที่จะช่วยกันนําพาประเทศไทยก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นรัฐมนตรี ข้าราชการ เจ้าของธุรกิจ พนักงานบริษัท คนประกอบอาชีพต่าง ๆ เกษตรกร ครู หรือตัวแทนจากภาคประชาสังคม ทุกคนมีบทบาทที่จะช่วยประเทศได้ เพราะเมื่อทุกคนสามารถยกระดับชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น สังคมโดยรวมก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ในเมื่อประเทศไทยเป็นของเราทุกคน ถ้าเราจับมือกันให้แน่น เราจะเจอวิธีแก้ไขปัญหาบางอย่าง ที่เราเคยคิดว่าเป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก อย่างที่สอง ที่ต้องเปลี่ยน คือ “การประเมินผลงานภาครัฐ โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตัวจริง” ผมได้ตัดสินใจแล้วว่า เมื่อเราเลือกที่จะปรับวิธีการทํางานของรัฐบาล โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมมากขึ้น เราก็ควรต้องเปลี่ยนระบบประเมินผลการทํางานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เพื่อประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทํางานของรัฐ ว่ามันได้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนตามที่เราคาดหวังไว้หรือไม่ เราต้องทํางานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเราต้องกําจัดสิ่งที่ทําแล้วเสียเปล่า ไม่มีประโยชน์ ต่อประชาชน ออกไปให้ได้มากที่สุด ดังนั้น สิ่งที่ผมจะทําให้เกิดขึ้นเป็นอันดับต่อไปก็คือ ผมจะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีบทบาทในการประเมินผล และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ให้ผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลได้รับทราบโดยตรงได้ด้วย อย่างที่สาม ที่ต้องทํา คือ “การทํางานเชิงรุก” ในโลกที่กําลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง เราต้องทํางานให้บูรณาการมากขึ้น และผมจะทํางานเชิงรุกมากขึ้น โดยจะกําหนดนโยบายสําคัญเร่งด่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม ให้กับกระทรวงต่าง ๆ ทําขึ้นมาขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยผมจะติดตามกํากับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นจริง อย่างมีประสิทธิภาพ ผมรู้ว่า เมื่อเราเริ่มทํางานในวิธีการแบบใหม่ อาจจะมีเสียงคัดค้าน ไม่เห็นด้วย หรือมีการวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น ซึ่งผมพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ และหากเป็นข้อเสนอแนะที่ดี ผมก็พร้อมที่จะทําตามข้อเสนอแนะนั้นด้วย เพราะประชาชนคนไทยรอไม่ได้อีกต่อไปแล้วครับ คนไทยควรจะได้ก้าวไปสู่การมีชีวิตที่ดีขึ้น มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ดังนั้น เราต้องไม่เสียเวลาไปกับการถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแล้วปล่อยให้คนไทย ต้องอดทนรอต่อไปอีกเป็นเดือน ๆ ปี ๆ หยุดอยู่กับที่ แทนที่จะได้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เราต้องหยุดเสียเวลาไปกับการคุยเรื่องไม่สร้างสรรค์ เราต้องหยุด ไม่ปล่อยให้เกมการเมือง ที่ไม่สุจริต บิดเบือนข้อเท็จจริง มาดึงรั้งการก้าวเดินไปข้างหน้าของประเทศโดยไม่จําเป็น เป้าหมายข้างหน้าที่มีความเจริญรุ่งเรืองของประเทศรอเราอยู่ เส้นทางนี้ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกลจนเกินไป ถ้าเราทุกคนร่วมมือกัน เพราะฉะนั้น ผมจึงอยากเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ได้ตัดสินใจร่วมกันวันนี้ ว่า เราจะเดินหน้าภารกิจที่สําคัญนี้ไปด้วยกัน นั่นคือภารกิจ “รวมไทยสร้างชาติ” โดยคนไทยทุกคน ผมได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ตามที่กล่าวมาข้างต้น และผมหวังว่าวิกฤตครั้งนี้จะช่วยให้เราเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศ ให้ประเทศไทยก้าวเดินออกจากหายนะโควิด ไปเป็นประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศมากขึ้น และมีความแน่นแฟ้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยรากเหง้าของความเป็นไทย ด้วยความเสียสละร่วมกันของพวกเราคนไทยทุกคน และด้วยความรักที่เราพี่น้องคนไทยมีให้แก่กัน วันนี้ เราต้องเริ่มวางรากฐานสําหรับความรุ่งเรืองงอกงามที่ยั่งยืนของประเทศ และเปิดทางให้คนไทยได้มีโอกาสค้นพบตัวตนที่ดี และมีความแข็งแกร่งของตัวเองอีกครั้ง นี่คือเวลาที่โลกเปลี่ยน และเราจะต้องเปลี่ยนด้วย ที่สําคัญ นี่คือเวลาแห่งโอกาส ที่จะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ขอบคุณมากครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงการณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง “วิธีการทำงานแบบ New Normal ของนายกรัฐมนตรี” วันที่ 17 มิถุนายน 2563 วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563 แถลงการณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง “วิธีการทํางานแบบ New Normal ของนายกรัฐมนตรี” วันที่ 17 มิถุนายน 2563 แถลงการณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง “วิธีการทํางานแบบ New Normal ของนายกรัฐมนตรี” วันที่ 17 มิถุนายน 2563 สวัสดีครับพี่น้องประชาชนทุกท่าน วันนี้ เป็นครั้งแรกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ที่ผมรู้สึกเบาใจในระดับหนึ่ง และคิดว่า สามารถพูดกับพี่น้องประชาชนได้ว่า ตอนนี้เราเริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้วนะครับ หลังจากที่วิกฤตโควิดได้สร้างความเสียหายมากมายมหาศาลไปทั่วโลก พร้อมกับสร้างความเดือดร้อน แสนสาหัสกับชีวิตความเป็นอยู่ และการทํามาหากินของพี่น้องหลายสิบล้านคนในประเทศไทย ตอนนี้ แม้จะยังประกาศชัยชนะที่เรามีต่อโควิดได้ไม่เต็มที่นัก แต่อย่างน้อยเรารู้ว่า การระบาดของโควิด ลดลงไปอยู่ในระดับที่เราสามารถควบคุมได้ และได้รับการยอมรับว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่รับมือกับโควิดได้ดีที่สุดในโลก อะไรที่ผ่อนปรนได้ ก็ได้ดําเนินการผ่อนปรนให้ตามลําดับ อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาแบบนี้ พวกเราทุกคนยังต้อง “การ์ดไม่ตก” เรายังต้องระมัดระวังให้มาก ต้องใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ และยังคงต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ตลอดจนหลีกเลี่ยงกิจกรรมการรวมตัวกันในที่คนเยอะ เพราะเราได้เห็นตัวอย่าง ที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น ๆ แล้วว่า โควิดสามารถกลับมาระบาดรอบ 2 ได้ตลอดเวลา หากเราประมาท วันนี้ เรายังต้องเตรียมรับมือกับอีกหนึ่งความท้าทายที่หนักหนาสาหัสกว่า ที่รอเราอยู่ข้างหน้าด้วย นั่นคือ การทําให้คนไทยสามารถกลับมาทํามาหากินกันได้ดังเดิมอีกครั้ง หลังจากที่วิกฤต โควิดได้ทําลายความสามารถในการหาเลี้ยงปากท้องของคนนับล้าน ๆ ทําลายธุรกิจทุกขนาด และบังคับให้หลายล้านครัวเรือนต้องนําเงินออมที่เคยเก็บไว้ ออกมาใช้จนหมด ที่แย่ไปกว่านั้น คือทั่วโลกยังคงวิตกกังวล และไม่มีใครรู้ว่า เราจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตกันเหมือนเดิมได้อีกเมื่อใด สิ่งที่ผมต้องการคือ ทําให้ประเทศไทยของเรา กลายเป็นตัวอย่างการบริหารที่ดี ในเรื่องการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เหมือนกับที่เราเป็นตัวอย่างที่ดีที่ทั่วโลกยอมรับ ในเรื่องการจัดการด้านสาธารณสุขได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นวันนี้ ผมอยากจะพูดถึงสิ่งที่เราต้องทํา เพื่อจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาให้ได้โดยเร็ว ผมขอพูดอีกครั้งว่า วิกฤตโควิดครั้งนี้ ทําให้ผมได้ตระหนักชัดว่า ประเทศไทยของเรามีความแข็งแกร่งที่เป็นสุดยอดไม่แพ้ประเทศใดในโลก อยู่ 2 เรื่อง ซึ่งมันเกี่ยวกับ “ความเป็นไทย” ของพวกเราทุกคน ความพิเศษของความเป็นไทย 2 เรื่อง ที่ทําให้ผมทึ่ง และรู้สึกมีความหวัง ว่าเราจะสามารถขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว และน่าภาคภูมิใจ คือ หนึ่ง ผมได้เห็นความพร้อมใจกันของคนไทย ที่จะร่วมมือกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวิ ทํางานด้วยกัน และช่วยเหลือกันในยามวิกฤต อย่างที่เราได้เห็นในข่าวต่าง ๆ แม้กระทั่งคนที่มีกําลังน้อยหรือแทบจะไม่มี ก็ยังเอาส่วนของตัวเองมาแบ่งปันให้คนอื่นได้มีกินด้วย หรือ คนที่พร้อมยอมเอาสุขภาพของตัวเองไปเสี่ยง เพื่อช่วยเหลือดูแลรักษาสุขภาพของคนอื่น นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกพื้นที่ ทั่วประเทศไทยของเรา และเป็นสิ่งที่ผมประทับใจอย่างที่สุด ความพิเศษของความเป็นไทยเรื่องที่ 2 คือ ประเทศของเรามีคนเก่งที่มีความสามารถอยู่เยอะมาก และอยู่ในทุกระดับของสังคม เป็นคนที่มีความคิดดี ๆ มีพละกําลัง และมีความพร้อมใจ ต้องการที่จะช่วยประเทศชาติ โดยไม่มีข้อแม้ นั่นทําให้ผมกลับมาถามตัวเองว่า ในเมื่อประเทศเรามีคนเก่งเยอะขนาดนี้ เรามีคนที่พร้อมใจ ที่จะจับมือกันช่วยเหลือประเทศชาติเยอะมาก แล้วทําไมเราถึงไม่จับมือ ร่วมแรงร่วมใจกันทั้งประเทศแบบนี้ไปตลอด ทํางานขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกัน ให้เหมือนกับตอนที่เราจับมือกันฟันฝ่าวิกฤต ดังนั้น เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น เร็วขึ้น และก้าวไปข้างหน้าได้ไกลมากขึ้น ผมคิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่รัฐบาลและทั้งประเทศควรจะทํางานในทุกวัน ให้เหมือนกับว่าเราอยู่ในวิกฤต เราต้องก้าวข้ามเกมการเมือง และลงมือทํางานกันอย่างจริงจัง ให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ในฐานะที่พวกเราคือคนที่ประชาชนเลือกให้มาเป็นตัวแทนทํางานบริหารประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทุกคนพูดกันว่า หลังวิกฤตโควิดครั้งนี้ โลกของเราจะเปลี่ยนไป เป็นเหมือนโลกใบใหม่ ที่ไม่เหมือนเดิม และเราจะต้องใช้ชีวิตกันในรูปแบบใหม่ แบบที่เรียกว่า New Normal เพื่อที่จะอยู่รอดและก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ซึ่งหมายความรวมถึงการทํางานของรัฐบาลด้วย วันนี้ ผมจึงขอประกาศให้ทุกท่านทราบว่า เมื่อเราเข้าสู่โลกใหม่ จากนี้เป็นต้นไป การทํางานของรัฐบาล จะต้อง New Normal ปรับเปลี่ยนเป็นวิธีการทํางานแบบใหม่ด้วย หนึ่ง - “ผนึกทุกภาคส่วนร่วมวางอนาคตประเทศไทย” ต่อไปนี้รัฐบาลจะต้องทํางาน โดยดึงทุกภาคส่วน และทุกระดับในสังคม เข้ามามีส่วนร่วม และมีบทบาทมากขึ้น ในการช่วยกันกําหนดอนาคตของประเทศ หลังโควิด ผมจะปรับวิธีการวางแผน และกําหนดนโยบายหรือมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้ที่จะได้รับผลจากนโยบายต่าง ๆ เหล่านั้น ได้มีส่วนร่วมมากขึ้น ไม่ใช่แค่รับรู้นโยบายต่าง ๆ จากการอ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์หรือสื่อออนไลน์เหมือนที่ผ่าน ๆ มา ต่อไปนี้ประชาชนต้องมีโอกาสมีส่วนร่วม รัฐบาลต้องได้ยินเสียงของประชาชน และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ให้มากขึ้น แนวความคิดนี้เกิดจาก ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของวิกฤตโควิด ผมได้เดินทางไปพบปะกับสมาคมภาคธุรกิจต่าง ๆ ด้วยตัวของผมเอง ได้รับฟังและหารือกับผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ความเดือดร้อนโดยตรง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก ผมจึงอยากจะต่อยอดวิธีการทํางานแบบนี้ สิ่งที่ผมต้องทํา ในฐานะผู้นําประเทศ คือ เปิดโอกาสให้คนมากมายที่มีความปรารถนาดี และอยากจะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ แต่ไม่เคยมีโอกาสมาก่อน ได้มีโอกาสและมีส่วนร่วมมากขึ้น ผมต้องทําให้ฟันเฟืองที่สําคัญตัวนี้ นั่นคือความสามารถของคนในประเทศ ได้ถูกนํามาใช้ ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยของเราให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า ผมจะขอให้แต่ละภาคส่วนเตรียมการเข้ามานําเสนอวิสัยทัศน์ และความคิด ในการเปลี่ยนโฉมและขับเคลื่อนภาคส่วนของท่าน ไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยนําพาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าให้ได้ไกลขึ้น และรวดเร็วขึ้นด้วย โดยหลังจากได้รับความคิดเห็นต่าง ๆ มาแล้ว รัฐบาลจะพิจารณาความเป็นไปได้ ศึกษาข้อดี ข้อเสีย ของข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในวิธีการที่โปร่งใส และเปิดกว้าง ทําความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อหาหนทางที่ดีที่สุด ที่จะดําเนินการโครงการนั้น ๆ ให้เกิดขึ้นจริง อย่างมีประสิทธิภาพ และบูรณาการกับภาคส่วนอื่น ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง ผมเชื่อว่า คนไทยทุกคนมีความสามารถและมีบทบาทที่จะช่วยกันนําพาประเทศไทยก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นรัฐมนตรี ข้าราชการ เจ้าของธุรกิจ พนักงานบริษัท คนประกอบอาชีพต่าง ๆ เกษตรกร ครู หรือตัวแทนจากภาคประชาสังคม ทุกคนมีบทบาทที่จะช่วยประเทศได้ เพราะเมื่อทุกคนสามารถยกระดับชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น สังคมโดยรวมก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ในเมื่อประเทศไทยเป็นของเราทุกคน ถ้าเราจับมือกันให้แน่น เราจะเจอวิธีแก้ไขปัญหาบางอย่าง ที่เราเคยคิดว่าเป็นปัญหาที่ไม่มีทางออก อย่างที่สอง ที่ต้องเปลี่ยน คือ “การประเมินผลงานภาครัฐ โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตัวจริง” ผมได้ตัดสินใจแล้วว่า เมื่อเราเลือกที่จะปรับวิธีการทํางานของรัฐบาล โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมมากขึ้น เราก็ควรต้องเปลี่ยนระบบประเมินผลการทํางานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เพื่อประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทํางานของรัฐ ว่ามันได้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนตามที่เราคาดหวังไว้หรือไม่ เราต้องทํางานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเราต้องกําจัดสิ่งที่ทําแล้วเสียเปล่า ไม่มีประโยชน์ ต่อประชาชน ออกไปให้ได้มากที่สุด ดังนั้น สิ่งที่ผมจะทําให้เกิดขึ้นเป็นอันดับต่อไปก็คือ ผมจะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีบทบาทในการประเมินผล และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ให้ผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลได้รับทราบโดยตรงได้ด้วย อย่างที่สาม ที่ต้องทํา คือ “การทํางานเชิงรุก” ในโลกที่กําลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง เราต้องทํางานให้บูรณาการมากขึ้น และผมจะทํางานเชิงรุกมากขึ้น โดยจะกําหนดนโยบายสําคัญเร่งด่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม ให้กับกระทรวงต่าง ๆ ทําขึ้นมาขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยผมจะติดตามกํากับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นจริง อย่างมีประสิทธิภาพ ผมรู้ว่า เมื่อเราเริ่มทํางานในวิธีการแบบใหม่ อาจจะมีเสียงคัดค้าน ไม่เห็นด้วย หรือมีการวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น ซึ่งผมพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ และหากเป็นข้อเสนอแนะที่ดี ผมก็พร้อมที่จะทําตามข้อเสนอแนะนั้นด้วย เพราะประชาชนคนไทยรอไม่ได้อีกต่อไปแล้วครับ คนไทยควรจะได้ก้าวไปสู่การมีชีวิตที่ดีขึ้น มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ดังนั้น เราต้องไม่เสียเวลาไปกับการถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแล้วปล่อยให้คนไทย ต้องอดทนรอต่อไปอีกเป็นเดือน ๆ ปี ๆ หยุดอยู่กับที่ แทนที่จะได้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เราต้องหยุดเสียเวลาไปกับการคุยเรื่องไม่สร้างสรรค์ เราต้องหยุด ไม่ปล่อยให้เกมการเมือง ที่ไม่สุจริต บิดเบือนข้อเท็จจริง มาดึงรั้งการก้าวเดินไปข้างหน้าของประเทศโดยไม่จําเป็น เป้าหมายข้างหน้าที่มีความเจริญรุ่งเรืองของประเทศรอเราอยู่ เส้นทางนี้ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกลจนเกินไป ถ้าเราทุกคนร่วมมือกัน เพราะฉะนั้น ผมจึงอยากเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ได้ตัดสินใจร่วมกันวันนี้ ว่า เราจะเดินหน้าภารกิจที่สําคัญนี้ไปด้วยกัน นั่นคือภารกิจ “รวมไทยสร้างชาติ” โดยคนไทยทุกคน ผมได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ตามที่กล่าวมาข้างต้น และผมหวังว่าวิกฤตครั้งนี้จะช่วยให้เราเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศ ให้ประเทศไทยก้าวเดินออกจากหายนะโควิด ไปเป็นประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศมากขึ้น และมีความแน่นแฟ้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยรากเหง้าของความเป็นไทย ด้วยความเสียสละร่วมกันของพวกเราคนไทยทุกคน และด้วยความรักที่เราพี่น้องคนไทยมีให้แก่กัน วันนี้ เราต้องเริ่มวางรากฐานสําหรับความรุ่งเรืองงอกงามที่ยั่งยืนของประเทศ และเปิดทางให้คนไทยได้มีโอกาสค้นพบตัวตนที่ดี และมีความแข็งแกร่งของตัวเองอีกครั้ง นี่คือเวลาที่โลกเปลี่ยน และเราจะต้องเปลี่ยนด้วย ที่สําคัญ นี่คือเวลาแห่งโอกาส ที่จะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ขอบคุณมากครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32447
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดงานการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัล “กุญแจสำคัญในการยกระดับทักษะดิจิทัลข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ”
วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดงานการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัล “กุญแจสําคัญในการยกระดับทักษะดิจิทัลข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงานการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัล “กุญแจสําคัญในการยกระดับทักษะดิจิทัลข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ” พร้อมมอบประกาศนียบัตรให้แก่หน่วยงานที่เข้าร่วมอบรมโปรแกรมการเปลี่ยนผ่านบริการภาครัฐสู่ยุคดิจิทัล โดยสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ จัดขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ส่วนราชการมีกรอบการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพกําลังคนภาครัฐให้มีทักษะด้านดิจิทัลที่เหมาะสม สามารถนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลภาครัฐ (TDGA) เป็นแกนหลักในการบริหารจัดการฝึกอบรมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลสําหรับข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ เพื่อให้ผู้ที่ผ่านการอบรมเป็นผู้นําด้านดิจิทัลของหน่วยงานภาครัฐที่สามารถนํานวัตกรรมมาปรับปรุงการให้บริการหรือพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และประชาชนอย่างเป็นระบบ รวมถึงการสร้างคุณค่าจากข้อมูล เพื่อนําไปสู่การเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้องบอลรูม 1 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ราชประสงค์ ถนนเพลินจิต เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ******************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดงานการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัล “กุญแจสำคัญในการยกระดับทักษะดิจิทัลข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ” วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดงานการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัล “กุญแจสําคัญในการยกระดับทักษะดิจิทัลข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงานการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัล “กุญแจสําคัญในการยกระดับทักษะดิจิทัลข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ” พร้อมมอบประกาศนียบัตรให้แก่หน่วยงานที่เข้าร่วมอบรมโปรแกรมการเปลี่ยนผ่านบริการภาครัฐสู่ยุคดิจิทัล โดยสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ จัดขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ส่วนราชการมีกรอบการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพกําลังคนภาครัฐให้มีทักษะด้านดิจิทัลที่เหมาะสม สามารถนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลภาครัฐ (TDGA) เป็นแกนหลักในการบริหารจัดการฝึกอบรมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลสําหรับข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ เพื่อให้ผู้ที่ผ่านการอบรมเป็นผู้นําด้านดิจิทัลของหน่วยงานภาครัฐที่สามารถนํานวัตกรรมมาปรับปรุงการให้บริการหรือพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และประชาชนอย่างเป็นระบบ รวมถึงการสร้างคุณค่าจากข้อมูล เพื่อนําไปสู่การเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้องบอลรูม 1 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ราชประสงค์ ถนนเพลินจิต เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ******************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10439
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ในช่วงปิดเทอม พร้อมเป็นห่วงสุขภาพของเยาวชนและผู้ปกครองทุกคน
วันอังคารที่ 3 มีนาคม 2563 นายกรัฐมนตรีส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ในช่วงปิดเทอม พร้อมเป็นห่วงสุขภาพของเยาวชนและผู้ปกครองทุกคน นายกรัฐมนตรีส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ในช่วงปิดเทอม เช่น กิจกรรมจิตอาสาการทําหน้ากากอนามัย พร้อมเป็นห่วงสุขภาพของเยาวชนและผู้ปกครองทุกคน วันนี้ (3 มี.ค. 2563) เวลา 8.30 ณ บริเวณหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ร่วมกิจกรรมรณรงค์ “ปิดเทอมสร้างสรรค์...อัศจรรย์วันว่าง ประจําปี 2563” ที่จัดขึ้นโดย สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้เยาวชนได้ใช้เวลาว่างในช่วงปิดเทอมให้เกิดประโยชน์ โดยได้มีการเปิดแพลตฟอร์มในชื่อ www.ปิดเทอมสร้างสรรค์.com เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูล กิจกรรมจากทุกหน่วยงาน สนับสนุนกิจกรรมสร้างสรรค์สําหรับเด็กโต และพื้นที่ “เล่นอิสระ” สําหรับเด็กปฐมวัย รวมทั้งยังร่วมสนับสนุนกิจกรรม จากภาคีเครือข่ายต่าง ๆ อีกด้วย โดยในวันนี้ กิจกรรมที่นํามาประชาสัมพันธ์ได้แก่ กิจกรรมจิตอาสา การทําหน้ากากอนามัยผ้า ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงความชื่นชมและเสนอแนะให้ประชาชนหันมาสวมใส่หน้ากากอนามัยผ้า เพื่อเป็นอีกหนึ่งแนวทางป้องกันไม่ให้มีการแพร่เชื้อ โควิด – 19 พร้อมยืนยันว่า ขณะนี้รัฐบาลเองได้ติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัยขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง และจะกระจายหน้ากากอนามัยให้ทั่วถึง อีกหนึ่งกิจกรรมเป็นการใช้วัสดุเหลือในบ้านนํามาแต่งเติมเป็นชุดหุ่นยนต์สวมใส่เล่น เพื่อเป็นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และยังลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด – 19 อีกด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังฝากถึงเยาวชนทุกคน ให้ใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอมให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การเข้าร่วมกิจกรรมของสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพของตนเอง พร้อมแนะนําให้ผู้ปกครองคอยให้คําแนะนํา ปรึกษา เป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อเป็นกําลังในการพัฒนาประเทศต่อไป นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ําให้เยาวชนทุกคน รวมทั้งผู้ปกครอง ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงในช่วงนี้ด้วย .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ในช่วงปิดเทอม พร้อมเป็นห่วงสุขภาพของเยาวชนและผู้ปกครองทุกคน วันอังคารที่ 3 มีนาคม 2563 นายกรัฐมนตรีส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ในช่วงปิดเทอม พร้อมเป็นห่วงสุขภาพของเยาวชนและผู้ปกครองทุกคน นายกรัฐมนตรีส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ในช่วงปิดเทอม เช่น กิจกรรมจิตอาสาการทําหน้ากากอนามัย พร้อมเป็นห่วงสุขภาพของเยาวชนและผู้ปกครองทุกคน วันนี้ (3 มี.ค. 2563) เวลา 8.30 ณ บริเวณหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ร่วมกิจกรรมรณรงค์ “ปิดเทอมสร้างสรรค์...อัศจรรย์วันว่าง ประจําปี 2563” ที่จัดขึ้นโดย สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้เยาวชนได้ใช้เวลาว่างในช่วงปิดเทอมให้เกิดประโยชน์ โดยได้มีการเปิดแพลตฟอร์มในชื่อ www.ปิดเทอมสร้างสรรค์.com เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูล กิจกรรมจากทุกหน่วยงาน สนับสนุนกิจกรรมสร้างสรรค์สําหรับเด็กโต และพื้นที่ “เล่นอิสระ” สําหรับเด็กปฐมวัย รวมทั้งยังร่วมสนับสนุนกิจกรรม จากภาคีเครือข่ายต่าง ๆ อีกด้วย โดยในวันนี้ กิจกรรมที่นํามาประชาสัมพันธ์ได้แก่ กิจกรรมจิตอาสา การทําหน้ากากอนามัยผ้า ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงความชื่นชมและเสนอแนะให้ประชาชนหันมาสวมใส่หน้ากากอนามัยผ้า เพื่อเป็นอีกหนึ่งแนวทางป้องกันไม่ให้มีการแพร่เชื้อ โควิด – 19 พร้อมยืนยันว่า ขณะนี้รัฐบาลเองได้ติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัยขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง และจะกระจายหน้ากากอนามัยให้ทั่วถึง อีกหนึ่งกิจกรรมเป็นการใช้วัสดุเหลือในบ้านนํามาแต่งเติมเป็นชุดหุ่นยนต์สวมใส่เล่น เพื่อเป็นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และยังลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด – 19 อีกด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังฝากถึงเยาวชนทุกคน ให้ใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอมให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การเข้าร่วมกิจกรรมของสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพของตนเอง พร้อมแนะนําให้ผู้ปกครองคอยให้คําแนะนํา ปรึกษา เป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อเป็นกําลังในการพัฒนาประเทศต่อไป นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ําให้เยาวชนทุกคน รวมทั้งผู้ปกครอง ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงในช่วงนี้ด้วย .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26864
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานพิจารณาให้ความช่วยประชาชน ที่ขอรับความช่วยเหลือผ่านกองทุนยุติธรรม
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานพิจารณาให้ความช่วยประชาชน ที่ขอรับความช่วยเหลือผ่านกองทุนยุติธรรม นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจํากรุงเทพมหานคร และที่เกินอํานาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจําจังหวัด คณะที่ ๑ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมสํานักงานกองทุนยุติธรรม อาคารซอฟแวร์ปาร์ค ชั้น ๒๒ ถนนแจ้งวัฒนะ ตําบลคลองเกลือ อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจํากรุงเทพมหานคร และที่เกินอํานาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจําจังหวัด คณะที่ ๑ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เพื่อพิจารณาคําขอและทบทวนผลการพิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือประจํากรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ มีคําขอทั้งหมดจํานวน ๑๙ ราย ๓๖ เรื่อง ประกอบด้วย กรณีช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี จํานวน ๑๓ ราย ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบอนุมัติ ๕ ราย ไม่อนุมัติ ๓ ราย และยุติเรื่อง ๕ ราย กรณีช่วยเหลือประชาชนในการขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจําเลย จํานวน ๓ ราย มีมติเห็นชอบอนุมัติ ๑ ราย ไม่อนุมัติ ๒ ราย และกรณีขอให้ทบทวนผลการพิจารณาคําขอรับช่วยเหลือประชาชนในการขอปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาหรือจําเลย ที่ประชุมมีมติเห็นชอบไม่อนุมัติทั้ง ๓ ราย ทั้งนี้ ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ สํานักงานกองทุนยุติธรรมได้รับคําขอความช่วยเหลือจากประชาชน กรณีช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี กรณีช่วยเหลือในการขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจําเลยจํานวน ๑๑๓ ราย ยกสํานวนค้างมา จํานวน ๔๒ ราย รวมทั้งสิ้น ๑๕๕ ราย ดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จํานวน ๑๓๘ ราย และอยู่ระหว่างดําเนินการในระยะเวลาไม่เกิน ๒๑ วัน อีก ๑๗ ราย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานพิจารณาให้ความช่วยประชาชน ที่ขอรับความช่วยเหลือผ่านกองทุนยุติธรรม วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานพิจารณาให้ความช่วยประชาชน ที่ขอรับความช่วยเหลือผ่านกองทุนยุติธรรม นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจํากรุงเทพมหานคร และที่เกินอํานาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจําจังหวัด คณะที่ ๑ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมสํานักงานกองทุนยุติธรรม อาคารซอฟแวร์ปาร์ค ชั้น ๒๒ ถนนแจ้งวัฒนะ ตําบลคลองเกลือ อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจํากรุงเทพมหานคร และที่เกินอํานาจของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจําจังหวัด คณะที่ ๑ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เพื่อพิจารณาคําขอและทบทวนผลการพิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือประจํากรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ มีคําขอทั้งหมดจํานวน ๑๙ ราย ๓๖ เรื่อง ประกอบด้วย กรณีช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี จํานวน ๑๓ ราย ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบอนุมัติ ๕ ราย ไม่อนุมัติ ๓ ราย และยุติเรื่อง ๕ ราย กรณีช่วยเหลือประชาชนในการขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจําเลย จํานวน ๓ ราย มีมติเห็นชอบอนุมัติ ๑ ราย ไม่อนุมัติ ๒ ราย และกรณีขอให้ทบทวนผลการพิจารณาคําขอรับช่วยเหลือประชาชนในการขอปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาหรือจําเลย ที่ประชุมมีมติเห็นชอบไม่อนุมัติทั้ง ๓ ราย ทั้งนี้ ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ สํานักงานกองทุนยุติธรรมได้รับคําขอความช่วยเหลือจากประชาชน กรณีช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี กรณีช่วยเหลือในการขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจําเลยจํานวน ๑๑๓ ราย ยกสํานวนค้างมา จํานวน ๔๒ ราย รวมทั้งสิ้น ๑๕๕ ราย ดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จํานวน ๑๓๘ ราย และอยู่ระหว่างดําเนินการในระยะเวลาไม่เกิน ๒๑ วัน อีก ๑๗ ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17015
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” จ.กำแพงเพชร
วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560 รัฐมนตรีเกษตรฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” จ.กําแพงเพชร รัฐมนตรีเกษตรฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” จ.กําแพงเพชร น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนเกษตรทฤษฎีใหม่ 70,000 ราย พร้อมโชว์ผลสําเร็จ เกษตรกรสามารถบริหารจัดการดิน-น้ําให้เกิดประโยชน์สูงสุด พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ ตําบลเกาะตาล อําเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกําแพงเพชร โอกาสนี้ ได้ตรวจเยี่ยมแปลงเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ "5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” ของนายสวิง บุญปั่น และนางทองคํา กุลมาลา (cell ต้นกําเนิด) จากนั้นเดินทางไปยังสหกรณ์การเกษตรขาณุวรลักษบุรี ตําบลสลกบาตร อําเภอขาณุวรลักษบุรี โดยได้รับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากเกษตรและสหกรณ์จังหวัดกําแพงเพชร ก่อนพบปะเกษตรกรในพื้นที่ พลเอกฉัตรชัย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทําโครงการ "5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” เพื่อรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเผยแพร่พระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตลอดทั้งเป็นการเผยแพร่แนวพระราชดําริเกษตรทฤษฎีใหม่ไปสู่สาธารณชน โดยส่งเสริมให้เกษตรกรที่มีความสมัครใจจาก 882 อําเภอ รวม 70,000 ราย ได้น้อมนําหลักเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้ในพื้นที่ของตนเองอย่างเหมาะสม ให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ของเกษตรกร โดยมุ่งหวังจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ อันเกิดจากการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชน โดยการสร้างอาชีพอย่างเหมาะสมกับทรัพยากรและปัจจัยการผลิตที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ซึ่งแนวทางการดําเนินงานได้กําหนดกลุ่มเป้าหมายเกษตรกรแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ เกษตรกรกลุ่มพร้อมมาก (Cell ต้นกําเนิด) 21,000 ราย ดําเนินการช่วงเดือน ก.พ. - เม.ย. 60 เกษตรกรกลุ่มพร้อมปานกลาง (Cell แตกตัว ครั้งที่ 1) 42,000 ราย ดําเนินการช่วงเดือน พ.ค. - ก.ย. 60 และเกษตรกรกลุ่มพร้อม (Cell แตกตัว ครั้งที่ 2) 7,000 ราย ดําเนินการช่วงเดือน ต.ค. – ธ.ค. 60 ปัจจุบันมีเกษตรกรที่มีความพร้อมและเข้าร่วมโครงการแล้ว 70,000 ราย (ข้อมูล ณ พ.ค. 60) แบ่งเป็น 1. ส่งเสริมองค์ความรู้เชิงปฏิบัติการแล้ว 70,000 ราย 2. สนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อการพึ่งพาตนเองเบื้องต้นแล้ว 70,000 ราย 3. จัดพบปะ 5 ประสาน ประกอบด้วย เกษตรกร ปราชญ์เกษตร หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ 77 จังหวัด 4. ปรับแนวคิด สร้างแรงบันดาลใจ รวม 62,296 ราย 5. เกษตรกรจัดทําแผนการผลิตอย่างง่าย รวม 44,918 ราย และ 6. การติดตามเยี่ยมเยียนเกษตรกร โดยหน่วยงานภาครัฐ ปราชญ์เกษตร ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา รวม 39,961 ราย สําหรับการดําเนินโครงการฯ ใน จ.กําแพงเพชร มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 758 ราย โดยแบ่งเป็น กลุ่มพร้อมมาก 227 ราย กลุ่มพร้อมปานกลาง 455 ราย และกลุ่มพร้อม 76 ราย ซึ่งมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบ อีกทั้งร่วมมือกับภาคประชารัฐ ได้แก่ ไทยเบฟเวอเรจเบทาโกร และสยามคูโบต้า ตลอดจนภาคสถาบันการศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฎกําแพงเพชร วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกําแพงเพชร และสํานักงาน กศน. รวมทั้งมีปราชญ์เกษตรและเกษตรกรต้นแบบรวม 41 ราย โดยดําเนินการติดตามเยี่ยมเยียนเกษตรกร 2 ช่วง คือ กลุ่มพร้อมมาก 227 ราย ระหว่างวันที่ 9 - 29 มี.ค. 60 และกลุ่มพร้อมปานกลาง 455 ราย ระหว่างวันที่ 24 เม.ย. – 23 พ.ค. 60 “ผลจากการติดตามเยี่ยมเยียนเกษตรกรพบว่า เกษตรกรนําเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้ และเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน เช่น การบริหารจัดการดินและน้ําเพื่อประโยชน์สูงสุดในการผลิตที่พออยู่พอกิน สามารถพึ่งตนเองได้ โดยวิเคราะห์ปรับปรุงบํารุงดินให้เหมาะสมกับการผลิต วิเคราะห์ปริมาณน้ําให้เหมาะสมกับพืชที่ปลูก วางแผนการผลิตพืช ปศุสัตว์ เพื่อบริโภคในครัวเรือนและประหยัดค่าใช้จ่ายด้านอาหาร รวมถึงวางแผนรายรับและรายจ่ายเพื่อให้เกิดความสมดุล พอเพียง และมีเงิน ตลอดจนการรวมพลังในรูปแบบกลุ่มหรือสหกรณ์ โดยสร้างความเข้มแข็งส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่ม เพื่อรวบรวมผลผลิตประเภทต่าง ๆ มาจําหน่าย และภาคเอกชนจะเข้ามาประสานต่อยอดนําผลผลิตไปกระจายสู่ท้องตลาดอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าการนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ มาปรับใช้ในการดํารงชีวิตจะเป็นต้นทางของการพัฒนาประเทศที่เกิดความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมต่อไป” พลเอกฉัตรชัย กล่าว ทั้งนี้ กลไกการทํางานของ 5 ประสาน ประกอบด้วย 1) เกษตรกร (Cell ต้นกําเนิด) พบปะปราชญ์/เกษตรกรต้นแบบ/ประธานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เพื่อสร้างแรงบันดาลใจจากภายในและวางแผนการผลิต เกษตรกรลงมือทําในพื้นที่ของตน เก็บเกี่ยวผลผลิตกิน เหลือจําหน่าย เก็บรายได้ พร้อมทําบัญชีฟาร์ม ขยายผลสู่เกษตรทฤษฎีใหม่เต็มรูปแบบ 2) ปราชญ์เกษตรหรือเกษตรกรต้นแบบหรือประธาน ศพก. สร้างแรงบันดาลใจ แนะนํา ช่วยเหลือ สร้างเกษตรกรต้นกําเนิด และสร้างทายาทเกษตรกร 3) เจ้าหน้าที่เกษตร จัดกลุ่มเกษตรกรตามความพร้อม คัดเลือกปราชญ์เกษตรหรือเกษตรกรต้นแบบ เพื่อเป็นเพื่อนช่วยเพื่อน เพิ่มพูนองค์ความรู้แก่เกษตรกร แนะนําเกษตรกรทําบัญชีครัวเรือน/บัญชีฟาร์ม ประสานขอรับการสนับสนุนตามแผนการผลิตของเกษตรกรติดตาม ประมวลผล และรายงานความก้าวหน้าจัดหาตลาด 4) ภาคเอกชน สนับสนุนให้เทคนิค/วิชาการ ปัจจัยการผลิต ทุนทรัพย์สําหรับตอบแทนปราชญ์/ทุนเริ่มต้นสําหรับเกษตรกรตามความจําเป็นจัดหาตลาดเพื่อเกษตรกร และ 5) ภาคการศึกษา สนับสนุนให้เทคนิค/วิชาการ นักศึกษาเป็นลูกมือปราชญ์ฝึกงานในแปลงเกษตรกร กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@opsmoac.go.th moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” จ.กำแพงเพชร วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560 รัฐมนตรีเกษตรฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” จ.กําแพงเพชร รัฐมนตรีเกษตรฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” จ.กําแพงเพชร น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนเกษตรทฤษฎีใหม่ 70,000 ราย พร้อมโชว์ผลสําเร็จ เกษตรกรสามารถบริหารจัดการดิน-น้ําให้เกิดประโยชน์สูงสุด พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ ตําบลเกาะตาล อําเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกําแพงเพชร โอกาสนี้ ได้ตรวจเยี่ยมแปลงเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ "5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” ของนายสวิง บุญปั่น และนางทองคํา กุลมาลา (cell ต้นกําเนิด) จากนั้นเดินทางไปยังสหกรณ์การเกษตรขาณุวรลักษบุรี ตําบลสลกบาตร อําเภอขาณุวรลักษบุรี โดยได้รับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากเกษตรและสหกรณ์จังหวัดกําแพงเพชร ก่อนพบปะเกษตรกรในพื้นที่ พลเอกฉัตรชัย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทําโครงการ "5 ประสาน สืบสานเกษตรทฤษฎีใหม่ ถวายในหลวง” เพื่อรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเผยแพร่พระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตลอดทั้งเป็นการเผยแพร่แนวพระราชดําริเกษตรทฤษฎีใหม่ไปสู่สาธารณชน โดยส่งเสริมให้เกษตรกรที่มีความสมัครใจจาก 882 อําเภอ รวม 70,000 ราย ได้น้อมนําหลักเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้ในพื้นที่ของตนเองอย่างเหมาะสม ให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ของเกษตรกร โดยมุ่งหวังจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ อันเกิดจากการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชน โดยการสร้างอาชีพอย่างเหมาะสมกับทรัพยากรและปัจจัยการผลิตที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ซึ่งแนวทางการดําเนินงานได้กําหนดกลุ่มเป้าหมายเกษตรกรแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ เกษตรกรกลุ่มพร้อมมาก (Cell ต้นกําเนิด) 21,000 ราย ดําเนินการช่วงเดือน ก.พ. - เม.ย. 60 เกษตรกรกลุ่มพร้อมปานกลาง (Cell แตกตัว ครั้งที่ 1) 42,000 ราย ดําเนินการช่วงเดือน พ.ค. - ก.ย. 60 และเกษตรกรกลุ่มพร้อม (Cell แตกตัว ครั้งที่ 2) 7,000 ราย ดําเนินการช่วงเดือน ต.ค. – ธ.ค. 60 ปัจจุบันมีเกษตรกรที่มีความพร้อมและเข้าร่วมโครงการแล้ว 70,000 ราย (ข้อมูล ณ พ.ค. 60) แบ่งเป็น 1. ส่งเสริมองค์ความรู้เชิงปฏิบัติการแล้ว 70,000 ราย 2. สนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อการพึ่งพาตนเองเบื้องต้นแล้ว 70,000 ราย 3. จัดพบปะ 5 ประสาน ประกอบด้วย เกษตรกร ปราชญ์เกษตร หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ 77 จังหวัด 4. ปรับแนวคิด สร้างแรงบันดาลใจ รวม 62,296 ราย 5. เกษตรกรจัดทําแผนการผลิตอย่างง่าย รวม 44,918 ราย และ 6. การติดตามเยี่ยมเยียนเกษตรกร โดยหน่วยงานภาครัฐ ปราชญ์เกษตร ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา รวม 39,961 ราย สําหรับการดําเนินโครงการฯ ใน จ.กําแพงเพชร มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 758 ราย โดยแบ่งเป็น กลุ่มพร้อมมาก 227 ราย กลุ่มพร้อมปานกลาง 455 ราย และกลุ่มพร้อม 76 ราย ซึ่งมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบ อีกทั้งร่วมมือกับภาคประชารัฐ ได้แก่ ไทยเบฟเวอเรจเบทาโกร และสยามคูโบต้า ตลอดจนภาคสถาบันการศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฎกําแพงเพชร วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกําแพงเพชร และสํานักงาน กศน. รวมทั้งมีปราชญ์เกษตรและเกษตรกรต้นแบบรวม 41 ราย โดยดําเนินการติดตามเยี่ยมเยียนเกษตรกร 2 ช่วง คือ กลุ่มพร้อมมาก 227 ราย ระหว่างวันที่ 9 - 29 มี.ค. 60 และกลุ่มพร้อมปานกลาง 455 ราย ระหว่างวันที่ 24 เม.ย. – 23 พ.ค. 60 “ผลจากการติดตามเยี่ยมเยียนเกษตรกรพบว่า เกษตรกรนําเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้ และเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน เช่น การบริหารจัดการดินและน้ําเพื่อประโยชน์สูงสุดในการผลิตที่พออยู่พอกิน สามารถพึ่งตนเองได้ โดยวิเคราะห์ปรับปรุงบํารุงดินให้เหมาะสมกับการผลิต วิเคราะห์ปริมาณน้ําให้เหมาะสมกับพืชที่ปลูก วางแผนการผลิตพืช ปศุสัตว์ เพื่อบริโภคในครัวเรือนและประหยัดค่าใช้จ่ายด้านอาหาร รวมถึงวางแผนรายรับและรายจ่ายเพื่อให้เกิดความสมดุล พอเพียง และมีเงิน ตลอดจนการรวมพลังในรูปแบบกลุ่มหรือสหกรณ์ โดยสร้างความเข้มแข็งส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่ม เพื่อรวบรวมผลผลิตประเภทต่าง ๆ มาจําหน่าย และภาคเอกชนจะเข้ามาประสานต่อยอดนําผลผลิตไปกระจายสู่ท้องตลาดอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าการนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ มาปรับใช้ในการดํารงชีวิตจะเป็นต้นทางของการพัฒนาประเทศที่เกิดความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมต่อไป” พลเอกฉัตรชัย กล่าว ทั้งนี้ กลไกการทํางานของ 5 ประสาน ประกอบด้วย 1) เกษตรกร (Cell ต้นกําเนิด) พบปะปราชญ์/เกษตรกรต้นแบบ/ประธานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เพื่อสร้างแรงบันดาลใจจากภายในและวางแผนการผลิต เกษตรกรลงมือทําในพื้นที่ของตน เก็บเกี่ยวผลผลิตกิน เหลือจําหน่าย เก็บรายได้ พร้อมทําบัญชีฟาร์ม ขยายผลสู่เกษตรทฤษฎีใหม่เต็มรูปแบบ 2) ปราชญ์เกษตรหรือเกษตรกรต้นแบบหรือประธาน ศพก. สร้างแรงบันดาลใจ แนะนํา ช่วยเหลือ สร้างเกษตรกรต้นกําเนิด และสร้างทายาทเกษตรกร 3) เจ้าหน้าที่เกษตร จัดกลุ่มเกษตรกรตามความพร้อม คัดเลือกปราชญ์เกษตรหรือเกษตรกรต้นแบบ เพื่อเป็นเพื่อนช่วยเพื่อน เพิ่มพูนองค์ความรู้แก่เกษตรกร แนะนําเกษตรกรทําบัญชีครัวเรือน/บัญชีฟาร์ม ประสานขอรับการสนับสนุนตามแผนการผลิตของเกษตรกรติดตาม ประมวลผล และรายงานความก้าวหน้าจัดหาตลาด 4) ภาคเอกชน สนับสนุนให้เทคนิค/วิชาการ ปัจจัยการผลิต ทุนทรัพย์สําหรับตอบแทนปราชญ์/ทุนเริ่มต้นสําหรับเกษตรกรตามความจําเป็นจัดหาตลาดเพื่อเกษตรกร และ 5) ภาคการศึกษา สนับสนุนให้เทคนิค/วิชาการ นักศึกษาเป็นลูกมือปราชญ์ฝึกงานในแปลงเกษตรกร กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@opsmoac.go.th moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4914
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เตือน !! การใช้ใบรับรองแพทย์ปลอม เพื่อเคลมเงินประกันภัยโควิด-19 อาจเข้าข่ายฉ้อฉลประกันภัย มีโทษตามกฎหมายทั้งจำทั้งปรับ [กระทรวงการคลัง]
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 คปภ. เตือน !! การใช้ใบรับรองแพทย์ปลอม เพื่อเคลมเงินประกันภัยโควิด-19 อาจเข้าข่ายฉ้อฉลประกันภัย มีโทษตามกฎหมายทั้งจําทั้งปรับ [กระทรวงการคลัง] ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 กรณีที่เจ้าหน้าที่ตํารวจ กองบัญชาการตํารวจท่องเที่ยว เข้าจับกุมชายไทย พร้อมของกลาง ตราประทับของโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 17 อัน ใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลต่าง ๆ 95 ฉบับ คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 กรณีที่เจ้าหน้าที่ตํารวจ กองบัญชาการตํารวจท่องเที่ยว เข้าจับกุมชายไทย พร้อมของกลาง ตราประทับของโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 17 อัน ใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลต่าง ๆ 95 ฉบับ คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ภายในมีไฟล์แบบฟอร์มใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลต่าง ๆ 65 แห่ง ทั่วประเทศ เครื่องปริ๊นเตอร์ 1 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และสติ๊กเกอร์ EMS ไปรษณีย์ไทย 2 เล่ม เพื่อจัดทําใบรับรองแพทย์ปลอม นําไปใช้ทําธุรกรรมทางราชการต่าง ๆ ในราคาใบละ 1,000 บาท และใบรับรองแพทย์ปลอม ในกรณีลูกค้าต้องการลางาน รวมถึงใบรับรองแพทย์ปลอมเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ราคาใบละ 800 บาท ทั้งนี้ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตํารวจตรวจสอบพบว่ามีการทําใบรับรองแพทย์เกี่ยวกับโรคโควิด-19 โดยได้ส่งไปให้ลูกค้าแล้วจํานวน 4 ใบ และอยู่ระหว่างการส่งให้ลูกค้าอีก 6 ใบ นั้น เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทีมเฉพาะกิจ เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้แก่ประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เร่งตรวจสอบข้อมูลและบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการกระทําของบุคคลดังกล่าว นอกจากอาจเข้าข่ายกระทําความผิดฐานปลอมเอกสารแล้ว ยังอาจเกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัย ตามมาตรา 114/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2562 และมาตรา 108/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2562 ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ใดเรียกร้องผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยทุจริตหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการเรียกร้อง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ โดยหากพิสูจน์ได้ว่า ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ หรือบุคคลใด เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยโดยทุจริต มีการนําใบรับรองแพทย์ปลอมไปใช้เรียกร้องให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ อันเข้าลักษณะเป็นการฉ้อฉลการประกันภัย จะมีความผิดต้องรับโทษตามบทบัญญัติดังกล่าว นอกจากนี้หากปรากฏว่า ผู้ทําใบรับรองแพทย์ปลอมเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ส่งใบรับรองแพทย์ดังกล่าวให้ผู้อื่นนําไปเคลมเงินเอาประกันภัยก็จะมีความผิดฐานช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยทุจริต ซึ่งต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับเช่นกัน ทั้งนี้ สํานักงาน คปภ.ได้กําชับให้บริษัทประกันภัยตรวจสอบกรณีดังกล่าว โดยเฉพาะความถูกต้องของใบรับรองแพทย์ตามข่าว รวมถึงได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์บูรณาการร่วมกับสายกฎหมายและคดี ติดตามและตรวจสอบขบวนการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องตามสัญญาประกันภัย “การเจตนา จงใจ ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพื่อหวังเงินประกันภัยโควิด-19 ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะนอกจากบริษัทประกันภัยจะอ้างเหตุไม่จ่ายเงินเอาประกันภัยแล้ว หากการกระทําดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลการประกันภัย ผู้กระทําความผิดต้องรับโทษทางอาญาทั้งจําคุกและ/หรือปรับอีกด้วย จึงขอเตือนไม่ให้มีการกระทําผิดดังกล่าว แต่สําหรับผู้ที่ใช้สิทธิโดยสุจริตไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะสํานักงาน คปภ.จะคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยของท่านอย่างเต็มที่” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เตือน !! การใช้ใบรับรองแพทย์ปลอม เพื่อเคลมเงินประกันภัยโควิด-19 อาจเข้าข่ายฉ้อฉลประกันภัย มีโทษตามกฎหมายทั้งจำทั้งปรับ [กระทรวงการคลัง] วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 คปภ. เตือน !! การใช้ใบรับรองแพทย์ปลอม เพื่อเคลมเงินประกันภัยโควิด-19 อาจเข้าข่ายฉ้อฉลประกันภัย มีโทษตามกฎหมายทั้งจําทั้งปรับ [กระทรวงการคลัง] ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 กรณีที่เจ้าหน้าที่ตํารวจ กองบัญชาการตํารวจท่องเที่ยว เข้าจับกุมชายไทย พร้อมของกลาง ตราประทับของโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 17 อัน ใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลต่าง ๆ 95 ฉบับ คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 กรณีที่เจ้าหน้าที่ตํารวจ กองบัญชาการตํารวจท่องเที่ยว เข้าจับกุมชายไทย พร้อมของกลาง ตราประทับของโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 17 อัน ใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลต่าง ๆ 95 ฉบับ คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ภายในมีไฟล์แบบฟอร์มใบรับรองแพทย์โรงพยาบาลต่าง ๆ 65 แห่ง ทั่วประเทศ เครื่องปริ๊นเตอร์ 1 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และสติ๊กเกอร์ EMS ไปรษณีย์ไทย 2 เล่ม เพื่อจัดทําใบรับรองแพทย์ปลอม นําไปใช้ทําธุรกรรมทางราชการต่าง ๆ ในราคาใบละ 1,000 บาท และใบรับรองแพทย์ปลอม ในกรณีลูกค้าต้องการลางาน รวมถึงใบรับรองแพทย์ปลอมเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ราคาใบละ 800 บาท ทั้งนี้ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตํารวจตรวจสอบพบว่ามีการทําใบรับรองแพทย์เกี่ยวกับโรคโควิด-19 โดยได้ส่งไปให้ลูกค้าแล้วจํานวน 4 ใบ และอยู่ระหว่างการส่งให้ลูกค้าอีก 6 ใบ นั้น เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทีมเฉพาะกิจ เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้แก่ประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เร่งตรวจสอบข้อมูลและบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการกระทําของบุคคลดังกล่าว นอกจากอาจเข้าข่ายกระทําความผิดฐานปลอมเอกสารแล้ว ยังอาจเกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดฐานฉ้อฉลประกันภัย ตามมาตรา 114/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2562 และมาตรา 108/4 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2562 ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ใดเรียกร้องผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยทุจริตหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการเรียกร้อง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ โดยหากพิสูจน์ได้ว่า ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ หรือบุคคลใด เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยโดยทุจริต มีการนําใบรับรองแพทย์ปลอมไปใช้เรียกร้องให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ อันเข้าลักษณะเป็นการฉ้อฉลการประกันภัย จะมีความผิดต้องรับโทษตามบทบัญญัติดังกล่าว นอกจากนี้หากปรากฏว่า ผู้ทําใบรับรองแพทย์ปลอมเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ส่งใบรับรองแพทย์ดังกล่าวให้ผู้อื่นนําไปเคลมเงินเอาประกันภัยก็จะมีความผิดฐานช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยทุจริต ซึ่งต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับเช่นกัน ทั้งนี้ สํานักงาน คปภ.ได้กําชับให้บริษัทประกันภัยตรวจสอบกรณีดังกล่าว โดยเฉพาะความถูกต้องของใบรับรองแพทย์ตามข่าว รวมถึงได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์บูรณาการร่วมกับสายกฎหมายและคดี ติดตามและตรวจสอบขบวนการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องตามสัญญาประกันภัย “การเจตนา จงใจ ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพื่อหวังเงินประกันภัยโควิด-19 ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะนอกจากบริษัทประกันภัยจะอ้างเหตุไม่จ่ายเงินเอาประกันภัยแล้ว หากการกระทําดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลการประกันภัย ผู้กระทําความผิดต้องรับโทษทางอาญาทั้งจําคุกและ/หรือปรับอีกด้วย จึงขอเตือนไม่ให้มีการกระทําผิดดังกล่าว แต่สําหรับผู้ที่ใช้สิทธิโดยสุจริตไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะสํานักงาน คปภ.จะคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยของท่านอย่างเต็มที่” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Department of mineral Resources launch “GeotourismFestival 3rd”
วันอังคารที่ 23 มกราคม 2561 Department of mineral Resources launch “GeotourismFestival 3rd” Department of mineral Resources launch “GeotourismFestival 3rd” “The 3rd time GeotourismFestival is being held on January 17th –21st 2018, from 12.00 until 22.00 at LumphiniPark.” “GeotourismFestival 3rd” is located on 1 acre area at Gate 1 Sarasin rd., LumpiniPark which is the massive geology and paleontology exhibition. The event is comprised 5 zones 1.Thailand GeoparkTour exhibition that you can experience by virtual reality goggles (VR) 2.Thai Dino Trail exhibition with 8 real-size Thai dinosaur models 3.Department of Mineral Resources museums and you can experience all 7 venues in this event 4.The massive dinosaur fossils excavation site 5.The Creative Zone, activities include rock painting. There will be prize distribution activities everyday and no admission fee!!.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Department of mineral Resources launch “GeotourismFestival 3rd” วันอังคารที่ 23 มกราคม 2561 Department of mineral Resources launch “GeotourismFestival 3rd” Department of mineral Resources launch “GeotourismFestival 3rd” “The 3rd time GeotourismFestival is being held on January 17th –21st 2018, from 12.00 until 22.00 at LumphiniPark.” “GeotourismFestival 3rd” is located on 1 acre area at Gate 1 Sarasin rd., LumpiniPark which is the massive geology and paleontology exhibition. The event is comprised 5 zones 1.Thailand GeoparkTour exhibition that you can experience by virtual reality goggles (VR) 2.Thai Dino Trail exhibition with 8 real-size Thai dinosaur models 3.Department of Mineral Resources museums and you can experience all 7 venues in this event 4.The massive dinosaur fossils excavation site 5.The Creative Zone, activities include rock painting. There will be prize distribution activities everyday and no admission fee!!.
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9551
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีย้ำการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ความโปร่งใสในการบริหารงานของรัฐ และธรรมภิบาล คือรากฐานของการเป็นประชาธิปไตย
วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2562 รองนายกรัฐมนตรีย้ําการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ความโปร่งใสในการบริหารงานของรัฐ และธรรมภิบาล คือรากฐานของการเป็นประชาธิปไตย รองนายกรัฐมนตรีย้ําการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ความโปร่งใสในการบริหารงานของรัฐ และธรรมภิบาล คือรากฐานของการเป็นประชาธิปไตย วันนี้ (20 ก.ย. 62) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ และมอบรางวัลโล่ประกาศเกียรติคุณศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการโดดเด่นปี 2562 ในการสัมมนาทางวิชาการประจําปีของการประกาศใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ปี 2561-2562 พร้อมด้วย ผู้บริหารของหน่วยงาน กรรมการข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล กรรมการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสารของราชการ เข้าร่วมโดยมี นายเทวัญ ลิปพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวรายงาน วัตถุประสงค์ในการจัดโครงการสัมมนาวิชาการประจําปีของการประกาศใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ปี 2561-2562 ภายใต้ชื่องาน “ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารยุคดิจิทัลกับความโปร่งใสในการบริหารงานของรัฐ” เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่น ด้านความโปร่งใสและข้อมูลข่าวสารของราชการให้แก่ประชาชน เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีความรู้ ความเข้าใจ ตระหนักถึงความสําคัญของกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการเพื่อตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐและมีส่วนร่วมในการดําเนินงานของหน่วยงานของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ จํานวน 9 หน่วยงานได้แก่ สํานักปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าต่างประเทศ กรมอนามัย กรมควบคุมโรค สํานักงานคลังจังหวัดนนทบุรี สํางานวานเขตราษฎร์บูรณะ องค์การบริการส่วนจังหวัดนครนายก การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การประชานครหลวง พร้อมกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ ความตอนหนึ่งว่า การบริหารภาครัฐให้บรรลุเป้าหมายตามรัฐธรรมนูญยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและแผนปฏิรูปประเทศ ทําให้สังคมไทยโปร่งใสไร้ทุจริตการยึดมั่นในหลักธรรมาธิบาล (Good Government) เป็นหลักสําคัญในการอยู่ร่วมกันมีองค์ประกอบสําคัญ6 ประการ 1) หลักยุติธรรมหรือ ความยุติธรรม 2) ความโปร่งใส 3) ความมีส่วนร่วม 4) ความรับผิดชอบ 5) การมีคุณธรรม ซื่อสัตย์ สุจริต 6) ความคุมค่า คุ้มทุน ประหยัด ซึ่งองค์ประกอบดังกล่าวเป็นการทําให้สังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา สามารถตรวจสอบถูกต้องได้ มีการเปิดเผยอย่างเป็นระบบ มีกระบวนการตรวจสอบและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ อันจะมีส่วนช่วยให้การทํางานของภาครัฐและภาคเอกชนปลอดจากการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากยุคAnalog ไปสู่ยุค Digitalทําให้เทคโนโลยีดิจิทัลมีอิทธิพลต่อการดํารงชีวิต เจ้าหน้าที่รัฐต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีพระราชบัญญัติการบริหารและให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ.2562 ประกาศใช้ โดยมีสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิตอล (องค์การมหาชน)เป็นหน่วยงานสนับสนุนการดําเนินงานตามกฎหมาย มีกลไกที่สําคัญคือให้หน่วยงานของรัฐจัดทําข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ให้หน่วยงานรัฐเปิดเผยข้อมูลและแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงระหว่างกันซึ่งกฎหมายจะต้องตอบสนองความโปร่งใสของหลักธรรมาภิบาล ในตอนท้ายรองนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําถึงข้อสั่งการของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า 2560 เป็นปีแห่งข้อมูลข่าวสารของราชการ เพื่อรณรงค์ให้หน่วยงานรัฐทุกแห่งมีศูนย์ข้อมูลข่าวสาร ตามสิทธิที่ประชาชนพึงได้บนหลักสิทธิเสรีภาพบนหลักของความเป็นประชาธิปไตย จากนั้นได้เยี่ยมชมนิทรรศการของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กรมการค้าต่างประเทศ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ........................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีย้ำการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ความโปร่งใสในการบริหารงานของรัฐ และธรรมภิบาล คือรากฐานของการเป็นประชาธิปไตย วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2562 รองนายกรัฐมนตรีย้ําการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ความโปร่งใสในการบริหารงานของรัฐ และธรรมภิบาล คือรากฐานของการเป็นประชาธิปไตย รองนายกรัฐมนตรีย้ําการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ความโปร่งใสในการบริหารงานของรัฐ และธรรมภิบาล คือรากฐานของการเป็นประชาธิปไตย วันนี้ (20 ก.ย. 62) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ และมอบรางวัลโล่ประกาศเกียรติคุณศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการโดดเด่นปี 2562 ในการสัมมนาทางวิชาการประจําปีของการประกาศใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ปี 2561-2562 พร้อมด้วย ผู้บริหารของหน่วยงาน กรรมการข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล กรรมการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสารของราชการ เข้าร่วมโดยมี นายเทวัญ ลิปพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวรายงาน วัตถุประสงค์ในการจัดโครงการสัมมนาวิชาการประจําปีของการประกาศใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ปี 2561-2562 ภายใต้ชื่องาน “ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารยุคดิจิทัลกับความโปร่งใสในการบริหารงานของรัฐ” เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่น ด้านความโปร่งใสและข้อมูลข่าวสารของราชการให้แก่ประชาชน เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีความรู้ ความเข้าใจ ตระหนักถึงความสําคัญของกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการเพื่อตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐและมีส่วนร่วมในการดําเนินงานของหน่วยงานของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ จํานวน 9 หน่วยงานได้แก่ สํานักปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าต่างประเทศ กรมอนามัย กรมควบคุมโรค สํานักงานคลังจังหวัดนนทบุรี สํางานวานเขตราษฎร์บูรณะ องค์การบริการส่วนจังหวัดนครนายก การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การประชานครหลวง พร้อมกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ ความตอนหนึ่งว่า การบริหารภาครัฐให้บรรลุเป้าหมายตามรัฐธรรมนูญยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและแผนปฏิรูปประเทศ ทําให้สังคมไทยโปร่งใสไร้ทุจริตการยึดมั่นในหลักธรรมาธิบาล (Good Government) เป็นหลักสําคัญในการอยู่ร่วมกันมีองค์ประกอบสําคัญ6 ประการ 1) หลักยุติธรรมหรือ ความยุติธรรม 2) ความโปร่งใส 3) ความมีส่วนร่วม 4) ความรับผิดชอบ 5) การมีคุณธรรม ซื่อสัตย์ สุจริต 6) ความคุมค่า คุ้มทุน ประหยัด ซึ่งองค์ประกอบดังกล่าวเป็นการทําให้สังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา สามารถตรวจสอบถูกต้องได้ มีการเปิดเผยอย่างเป็นระบบ มีกระบวนการตรวจสอบและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ อันจะมีส่วนช่วยให้การทํางานของภาครัฐและภาคเอกชนปลอดจากการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากยุคAnalog ไปสู่ยุค Digitalทําให้เทคโนโลยีดิจิทัลมีอิทธิพลต่อการดํารงชีวิต เจ้าหน้าที่รัฐต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีพระราชบัญญัติการบริหารและให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ.2562 ประกาศใช้ โดยมีสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิตอล (องค์การมหาชน)เป็นหน่วยงานสนับสนุนการดําเนินงานตามกฎหมาย มีกลไกที่สําคัญคือให้หน่วยงานของรัฐจัดทําข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล ให้หน่วยงานรัฐเปิดเผยข้อมูลและแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงระหว่างกันซึ่งกฎหมายจะต้องตอบสนองความโปร่งใสของหลักธรรมาภิบาล ในตอนท้ายรองนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําถึงข้อสั่งการของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า 2560 เป็นปีแห่งข้อมูลข่าวสารของราชการ เพื่อรณรงค์ให้หน่วยงานรัฐทุกแห่งมีศูนย์ข้อมูลข่าวสาร ตามสิทธิที่ประชาชนพึงได้บนหลักสิทธิเสรีภาพบนหลักของความเป็นประชาธิปไตย จากนั้นได้เยี่ยมชมนิทรรศการของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กรมการค้าต่างประเทศ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ........................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23249
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank ขอเชิญชวนผู้ประกอบการอีสานร่วมงานสัมมนา “เปิดตัวสินเชื่อ SMART SMEs 4.0” ณ จังหวัดอุบลราชธานี
วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 SME Development Bank ขอเชิญชวนผู้ประกอบการอีสานร่วมงานสัมมนา “เปิดตัวสินเชื่อ SMART SMEs 4.0” ณ จังหวัดอุบลราชธานี ธพว. เรียนเชิญผู้ประกอบการ SMEs ในจังหวัดอุบลราชธานีและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าร่วมฟังสัมมนาเรื่อง “เปิดตัวสินเชื่อ SMART SMEs 4.0” ในวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย( ธพว.หรือ SME Development Bank) ขอเรียนเชิญผู้ประกอบการ SMEs ในจังหวัดอุบลราชธานีและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าร่วมฟังสัมมนาเรื่อง “เปิดตัวสินเชื่อ SMART SMEs 4.0”ในวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560 เวลา 10.30–13.30 น. ณ ลานกิจกรรมชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า จังหวัดอุบลราชธานี โดยภายในงานจะพบกับโปรแกรมภาษีสําเร็จรูป, ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ 5% ต่อปี, ตรวจเครดิตบูโร ฟรี!, ข้อมูลข่าวสารการส่งเสริม SMEs จากภาครัฐ รวมถึงรายละเอียดกองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ 20,000 ล้านบาท สิทธิประโยชน์ที่ SMEs ไม่ควรพลาด ผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังสามารถลงทะเบียนสมัครสํารองที่นั่งได้ที่ https://goo.gl/iX5xL4 หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม Call Center 1357 ฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่าย ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank ขอเชิญชวนผู้ประกอบการอีสานร่วมงานสัมมนา “เปิดตัวสินเชื่อ SMART SMEs 4.0” ณ จังหวัดอุบลราชธานี วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 SME Development Bank ขอเชิญชวนผู้ประกอบการอีสานร่วมงานสัมมนา “เปิดตัวสินเชื่อ SMART SMEs 4.0” ณ จังหวัดอุบลราชธานี ธพว. เรียนเชิญผู้ประกอบการ SMEs ในจังหวัดอุบลราชธานีและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าร่วมฟังสัมมนาเรื่อง “เปิดตัวสินเชื่อ SMART SMEs 4.0” ในวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย( ธพว.หรือ SME Development Bank) ขอเรียนเชิญผู้ประกอบการ SMEs ในจังหวัดอุบลราชธานีและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าร่วมฟังสัมมนาเรื่อง “เปิดตัวสินเชื่อ SMART SMEs 4.0”ในวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560 เวลา 10.30–13.30 น. ณ ลานกิจกรรมชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า จังหวัดอุบลราชธานี โดยภายในงานจะพบกับโปรแกรมภาษีสําเร็จรูป, ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ 5% ต่อปี, ตรวจเครดิตบูโร ฟรี!, ข้อมูลข่าวสารการส่งเสริม SMEs จากภาครัฐ รวมถึงรายละเอียดกองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ 20,000 ล้านบาท สิทธิประโยชน์ที่ SMEs ไม่ควรพลาด ผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังสามารถลงทะเบียนสมัครสํารองที่นั่งได้ที่ https://goo.gl/iX5xL4 หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม Call Center 1357 ฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่าย ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2655
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร.10 ทรงห่วงใยสถานการณ์น้ำท่วม ขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด รัฐบาลรับใส่เกล้าฯทำงานเต็มที่ ยึดแนวทางแก้ไขปัญหา ร.9
วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม 2561 ร.10 ทรงห่วงใยสถานการณ์น้ําท่วม ขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด รัฐบาลรับใส่เกล้าฯทํางานเต็มที่ ยึดแนวทางแก้ไขปัญหา ร.9 ร.10 ทรงห่วงใยสถานการณ์น้ําท่วม ขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด รัฐบาลรับใส่เกล้าฯทํางานเต็มที่ ยึดแนวทางแก้ไขปัญหา ร.9 วันที่ 25 สิงหาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยสถานการณ์น้ําท่วมในหลายพื้นที่ โดยทรงขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด ในส่วนของรัฐบาล รับใส่เกล้าฯ ทํางานอย่างเต็มที่และยึดแนวทางการบริหารจัดการน้ําตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร เป็นหลักในการดําเนินงาน หน่วยงานภาครัฐได้บูรณาการและประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ทั้งสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย และจังหวัดที่ประสบภัยทุกพื้นที่ ภายใต้การกํากับของรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รายงานล่าสุดจากศูนย์ปฏิบัติการน้ําอัจฉริยะพบว่า ยังมีจังหวัดที่ประสบภัยน้ําท่วม 3 จังหวัด คือ จ. สกลนคร นครพนม และเพชรบุรี จากพื้นที่เฝ้าระวังทั้งหมด 8 จังหวัด ปัจจุบันยังคงเฝ้าระวังในลําน้ําสายหลักต่าง ๆ เนื่องจากประเทศไทยยังมีฝนตกเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง สําหรับพื้นที่เพชรบุรีระดับน้ําเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มลดลงคาดว่าจะคลี่คลายลงภายใน 5 วัน ส่วนพื้นที่ลุ่มน้ํายมได้วางแผนรับมือสถานการณ์น้ําโดยใช้บางระกําโมเดลเพื่อแก้ไขปัญหาน้ําท่วมซ้ําซากใน จ.สุโขทัยและพิษณุโลก ด้วยการปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าวนาปีในพื้นที่ลุ่มต่ํา และใช้พื้นที่เป็นแก้มลิงรองรับน้ําหลากในช่วงวิกฤติราว 382,000 ไร่ ซึ่งปีที่แล้วประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก "นายกฯ กําชับให้ทุกหน่วยออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับปริมาณฝนและระดับน้ําอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคนได้เตรียมการล่วงหน้า ช่วยลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร.10 ทรงห่วงใยสถานการณ์น้ำท่วม ขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด รัฐบาลรับใส่เกล้าฯทำงานเต็มที่ ยึดแนวทางแก้ไขปัญหา ร.9 วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม 2561 ร.10 ทรงห่วงใยสถานการณ์น้ําท่วม ขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด รัฐบาลรับใส่เกล้าฯทํางานเต็มที่ ยึดแนวทางแก้ไขปัญหา ร.9 ร.10 ทรงห่วงใยสถานการณ์น้ําท่วม ขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด รัฐบาลรับใส่เกล้าฯทํางานเต็มที่ ยึดแนวทางแก้ไขปัญหา ร.9 วันที่ 25 สิงหาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยสถานการณ์น้ําท่วมในหลายพื้นที่ โดยทรงขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด ในส่วนของรัฐบาล รับใส่เกล้าฯ ทํางานอย่างเต็มที่และยึดแนวทางการบริหารจัดการน้ําตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร เป็นหลักในการดําเนินงาน หน่วยงานภาครัฐได้บูรณาการและประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ทั้งสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย และจังหวัดที่ประสบภัยทุกพื้นที่ ภายใต้การกํากับของรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รายงานล่าสุดจากศูนย์ปฏิบัติการน้ําอัจฉริยะพบว่า ยังมีจังหวัดที่ประสบภัยน้ําท่วม 3 จังหวัด คือ จ. สกลนคร นครพนม และเพชรบุรี จากพื้นที่เฝ้าระวังทั้งหมด 8 จังหวัด ปัจจุบันยังคงเฝ้าระวังในลําน้ําสายหลักต่าง ๆ เนื่องจากประเทศไทยยังมีฝนตกเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง สําหรับพื้นที่เพชรบุรีระดับน้ําเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มลดลงคาดว่าจะคลี่คลายลงภายใน 5 วัน ส่วนพื้นที่ลุ่มน้ํายมได้วางแผนรับมือสถานการณ์น้ําโดยใช้บางระกําโมเดลเพื่อแก้ไขปัญหาน้ําท่วมซ้ําซากใน จ.สุโขทัยและพิษณุโลก ด้วยการปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าวนาปีในพื้นที่ลุ่มต่ํา และใช้พื้นที่เป็นแก้มลิงรองรับน้ําหลากในช่วงวิกฤติราว 382,000 ไร่ ซึ่งปีที่แล้วประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก "นายกฯ กําชับให้ทุกหน่วยออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับปริมาณฝนและระดับน้ําอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคนได้เตรียมการล่วงหน้า ช่วยลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที"
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14901
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562
วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจในปี 2562 มีการเจริญเติบโตและขยายผลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประชาชน เกษตรกรรายย่อย ผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ประกอบด้วย 3 โครงการย่อย ได้แก่ 1.1 โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระดับหมู่บ้าน โดยจัดสรรเงินให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ได้รับการประเมินอยู่ในระดับ A B และ C จํานวน 71,742 แห่ง แห่งละไม่เกิน 200,000 บาท ผ่านสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติภายใต้วงเงินรวม 14,348.4 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กในชุมชน สนับสนุนผู้ประกอบการ และส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ เช่น ยุ้งฉางชุมชน โรงตากพืชผลทางการเกษตร โรงสีชุมชน โรงงานผลิตปุ๋ยประจําชุมชน การจัดทําแหล่งเก็บน้ําชุมชน เครื่องจักรสําหรับแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น หรือกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่ชุมชนเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ในชุมชนให้ดีขึ้น 1.2 โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สถาบันการเงินประชาชน สถาบันการเงินชุมชน สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม และผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร เพื่อเป็นค่าลงทุนในการดําเนินกิจการและเป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในการดําเนินกิจการ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 0.01 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยตามปกติของ ธ.ก.ส. ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 1.3 โครงการพักชําระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตามความสมัครใจ โดยกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองพักชําระหนี้หรือลดภาระหนี้เงินกู้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้กับสมาชิกที่มีความเดือดร้อนตามแนวทางที่คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติกําหนด เพื่อให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองได้ผ่อนคลายภาระการชําระหนี้ที่มีกับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และสามารถนําเงินส่วนดังกล่าวมาประกอบอาชีพสร้างรายได้ เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนและหนี้นอกระบบ 2. มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ผ่านโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร โดยการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น โดยเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตรจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้อนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมในโครงการโดยสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 พร้อมทั้งขยายระยะเวลาการจ่ายเงินให้เกษตรกรจากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2563 เนื่องจากมีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตรมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 3. มาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ภายใต้โครงการ “บ้านดีมีดาวน์” เพื่อเป็นการลดภาระและสนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยภาครัฐสนับสนุนเงินเพื่อลดภาระการผ่อนดาวน์ (Cash Back) จํานวน 50,000 บาท ต่อราย ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมมาตรการต้องเป็นผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อเดือน หรือไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี ผู้ที่อยู่ในระบบฐานภาษีอากรของกรมสรรพากร จํานวน 100,000 ราย และผ่านเกณฑ์ตามแนวทางที่กระทรวงการคลังกําหนด ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. 62 – 31 มีนาคม 2563 กระทรวงการคลังคาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 จะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศทําให้เศรษฐกิจในไตรมาส 4 เติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างแรงส่ง (Momentum) ให้เศรษฐกิจในปี 2563 ขยายตัวอย่างมีศักยภาพ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม • โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระดับหมู่บ้านและโครงการพักชําระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ตามความสมัครใจ โทร 0 2273 9020 ต่อ 3294, 3328 • โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทยและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว โทร 0 2273 9020 ต่อ 3235, 3229 • มาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย โทร 0 2739020 ต่อ 3234
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจในปี 2562 มีการเจริญเติบโตและขยายผลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประชาชน เกษตรกรรายย่อย ผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ประกอบด้วย 3 โครงการย่อย ได้แก่ 1.1 โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระดับหมู่บ้าน โดยจัดสรรเงินให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ได้รับการประเมินอยู่ในระดับ A B และ C จํานวน 71,742 แห่ง แห่งละไม่เกิน 200,000 บาท ผ่านสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติภายใต้วงเงินรวม 14,348.4 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กในชุมชน สนับสนุนผู้ประกอบการ และส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ เช่น ยุ้งฉางชุมชน โรงตากพืชผลทางการเกษตร โรงสีชุมชน โรงงานผลิตปุ๋ยประจําชุมชน การจัดทําแหล่งเก็บน้ําชุมชน เครื่องจักรสําหรับแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น หรือกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่ชุมชนเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ในชุมชนให้ดีขึ้น 1.2 โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สถาบันการเงินประชาชน สถาบันการเงินชุมชน สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม และผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร เพื่อเป็นค่าลงทุนในการดําเนินกิจการและเป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในการดําเนินกิจการ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 0.01 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยตามปกติของ ธ.ก.ส. ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 1.3 โครงการพักชําระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตามความสมัครใจ โดยกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองพักชําระหนี้หรือลดภาระหนี้เงินกู้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้กับสมาชิกที่มีความเดือดร้อนตามแนวทางที่คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติกําหนด เพื่อให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองได้ผ่อนคลายภาระการชําระหนี้ที่มีกับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และสามารถนําเงินส่วนดังกล่าวมาประกอบอาชีพสร้างรายได้ เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนและหนี้นอกระบบ 2. มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ผ่านโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร โดยการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น โดยเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตรจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้อนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมในโครงการโดยสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 พร้อมทั้งขยายระยะเวลาการจ่ายเงินให้เกษตรกรจากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2563 เนื่องจากมีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตรมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 3. มาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ภายใต้โครงการ “บ้านดีมีดาวน์” เพื่อเป็นการลดภาระและสนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยภาครัฐสนับสนุนเงินเพื่อลดภาระการผ่อนดาวน์ (Cash Back) จํานวน 50,000 บาท ต่อราย ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมมาตรการต้องเป็นผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อเดือน หรือไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี ผู้ที่อยู่ในระบบฐานภาษีอากรของกรมสรรพากร จํานวน 100,000 ราย และผ่านเกณฑ์ตามแนวทางที่กระทรวงการคลังกําหนด ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. 62 – 31 มีนาคม 2563 กระทรวงการคลังคาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 จะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศทําให้เศรษฐกิจในไตรมาส 4 เติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างแรงส่ง (Momentum) ให้เศรษฐกิจในปี 2563 ขยายตัวอย่างมีศักยภาพ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม • โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระดับหมู่บ้านและโครงการพักชําระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ตามความสมัครใจ โทร 0 2273 9020 ต่อ 3294, 3328 • โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทยและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว โทร 0 2273 9020 ต่อ 3235, 3229 • มาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย โทร 0 2739020 ต่อ 3234
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24837
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงรับสั่งให้สืบสานต่อยอด ยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
วันอังคารที่ 23 มกราคม 2561 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงรับสั่งให้สืบสานต่อยอด ยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงรับสั่งให้สืบสานต่อยอด ยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วันนี้ (23 มกราคม 2560) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงความคืบหน้าโครงการจิตอาสาพระราชทานว่า โครงการดังกล่าวเป็นพระบรมราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ที่ทรงจัดตั้งขึ้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งกับรัฐบาลและประชาชนคนไทยทั้งประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์คือ 1. ช่วยสนับสนุนการดําเนินงานภาครัฐในรูปแบบของคณะกรรมการ ผู้ประสานงานโครงการ การจัดทําแผนงาน เรื่องการพัฒนา การช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติ และกิจกรรมพิเศษอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย และ 2. เพื่อบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น การลอกคูคลอง เป็นต้น นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงรับสั่งให้สืบสานต่อยอด โดยเฉพาะยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้สํานักงานปลัด สํานักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานที่ทําหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานส่วนพระองค์อยู่อย่างต่อเนื่อง -----------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงรับสั่งให้สืบสานต่อยอด ยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วันอังคารที่ 23 มกราคม 2561 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงรับสั่งให้สืบสานต่อยอด ยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงรับสั่งให้สืบสานต่อยอด ยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วันนี้ (23 มกราคม 2560) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงความคืบหน้าโครงการจิตอาสาพระราชทานว่า โครงการดังกล่าวเป็นพระบรมราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ที่ทรงจัดตั้งขึ้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งกับรัฐบาลและประชาชนคนไทยทั้งประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์คือ 1. ช่วยสนับสนุนการดําเนินงานภาครัฐในรูปแบบของคณะกรรมการ ผู้ประสานงานโครงการ การจัดทําแผนงาน เรื่องการพัฒนา การช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติ และกิจกรรมพิเศษอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย และ 2. เพื่อบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น การลอกคูคลอง เป็นต้น นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงรับสั่งให้สืบสานต่อยอด โดยเฉพาะยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้สํานักงานปลัด สํานักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานที่ทําหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานส่วนพระองค์อยู่อย่างต่อเนื่อง -----------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ไอแบงก์ออกมาตรการพักชำระเงินต้น โดยให้ลูกค้าชำระเฉพาะกำไร ระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560 “ไอแบงก์ออกมาตรการพักชําระเงินต้น โดยให้ลูกค้าชําระเฉพาะกําไร ระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” จากเหตุการณ์อุทกภัยรุนแรงในหลายพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไอแบงก์ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ พักชําระหนี้เงินต้น โดยชําระเฉพาะกําไร ระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน หลังจากนั้นให้ชําระเงินต้นและกําไร ตามสัญญาเดิม สําหรับลูกค้าธนาคารที่อยู่ในประกาศเขตอุทกภัย นางสาววีณา เตชาชัยนิรันดร์ กรรมการและรักษาการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) กล่าวว่า จากเหตุการณ์อุทกภัยรุนแรงในหลายพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทําให้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนในวงกว้าง ไอแบงก์ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ สังกัดกระทรวงการคลัง และได้ตระหนักมาโดยตลอดถึงการให้ความสําคัญในการเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน ด้วยการพักชําระหนี้เงินต้น โดยชําระเฉพาะกําไร ระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน หลังจากนั้นให้ชําระเงินต้นและกําไร ตามสัญญาเดิม สําหรับลูกค้าธนาคารที่อยู่ในประกาศเขตพื้นที่ประสบอุทกภัยในจังหวัดสกลนคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด นครพนม และพื้นที่ประสบภัยตามประกาศของทางราชการ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560 ทั้งนี้ ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ดังกล่าว สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ไอแบงก์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ Call Center โทร 1302 นางสาววีณา กล่าวทิ้งท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ไอแบงก์ออกมาตรการพักชำระเงินต้น โดยให้ลูกค้าชำระเฉพาะกำไร ระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560 “ไอแบงก์ออกมาตรการพักชําระเงินต้น โดยให้ลูกค้าชําระเฉพาะกําไร ระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” จากเหตุการณ์อุทกภัยรุนแรงในหลายพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไอแบงก์ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ พักชําระหนี้เงินต้น โดยชําระเฉพาะกําไร ระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน หลังจากนั้นให้ชําระเงินต้นและกําไร ตามสัญญาเดิม สําหรับลูกค้าธนาคารที่อยู่ในประกาศเขตอุทกภัย นางสาววีณา เตชาชัยนิรันดร์ กรรมการและรักษาการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) กล่าวว่า จากเหตุการณ์อุทกภัยรุนแรงในหลายพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทําให้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนในวงกว้าง ไอแบงก์ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ สังกัดกระทรวงการคลัง และได้ตระหนักมาโดยตลอดถึงการให้ความสําคัญในการเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน ด้วยการพักชําระหนี้เงินต้น โดยชําระเฉพาะกําไร ระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน หลังจากนั้นให้ชําระเงินต้นและกําไร ตามสัญญาเดิม สําหรับลูกค้าธนาคารที่อยู่ในประกาศเขตพื้นที่ประสบอุทกภัยในจังหวัดสกลนคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด นครพนม และพื้นที่ประสบภัยตามประกาศของทางราชการ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560 ทั้งนี้ ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ดังกล่าว สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ไอแบงก์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ Call Center โทร 1302 นางสาววีณา กล่าวทิ้งท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5605
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.สร้างความเข้มแข็งการศึกษาทุกพื้นที่ ขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษา 6 ภาค
วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 ศธ.สร้างความเข้มแข็งการศึกษาทุกพื้นที่ ขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษา 6 ภาค กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เผยแพร่บทความ "ศธ.สร้างความเข้มแข็งการศึกษาทุกพื้นที่ ขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษา 6 ภาค" ในหนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 5 ฉบับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 ศธ.สร้างความเข้มแข็งการศึกษาทุกพื้นที่ ขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษา 6 ภาค กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ความสําคัญกับการทํางานระดับพื้นที่ เพื่อให้การศึกษาเป็นรากฐานพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยวางแนวทางบูรณาการการบริหารจัดการระดับภาคทั้ง 6 ภาค เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความเชื่อมโยง-บูรณาการ-การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน พร้อมทั้งอนุมัติแผนงาน/โครงการ ให้รองรับเป้าหมายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการที่มีความแตกต่างกันในแต่ละภาค เมื่อเร็วๆ นี้พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงพื้นที่ไปประชุมมอบนโยบายและแนวทางการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค ของ ศธ. ทั้ง 6 ภาค เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ทิศทางนโยบายและแนวทางการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อนําแนวทางการบูรณาการการพัฒนาการศึกษาไปสู่การปฏิบัติในระดับภาค ที่เน้นการขับเคลื่อนให้เกิดความเชื่อมโยง มีการบูรณาการ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ศธ.กําหนดแนวทางทํางานบูรณาการบริหารจัดการระดับภาค พล.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ในการประชุมแต่ละภาค ได้เชิญศึกษาธิการภาค 6 ราย ที่ ครม.แต่งตั้ง เพื่อกําหนดทิศทางการทํางานในพื้นที่ระดับภูมิภาคให้เกิดการเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดยมี 5 องค์กรหลักทํางานร่วมกันคือ สป.-สพฐ.-สอศ.-สกอ.-สกศ. รวมถึงหน่วยงานใน สป. เช่น สํานักงาน ก.ค.ศ.-กศน.-สช. และสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดในพื้นที่ โดยส่วนกลางจะเป็นผู้กําหนดนโยบายและให้การสนับสนุนข้อระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องส่วนในพื้นที่การบริหารราชการที่รัฐบาลกําหนดให้เป็น 6 ภูมิภาค ได้แก่​ ภาคเหนือ​ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ​ ภาคกลาง​ ภาคตะวันออก​ ภาคใต้​ และภาคใต้ชายแดน แต่ละภาคจะมีสํานักงานศึกษาธิการภาค/จังหวัด ตลอดจนส่วนราชการในระดับจังหวัด ร่วมกันทํางานเชื่อมโยงกันหมด มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการด้านศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดความยั่งยืน สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศในบริบทและมิติต่างๆ​ เพื่อให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ประเทศไทยในปี​ พ.ศ.2580 เน้นพัฒนาผู้เรียนทุกกลุ่มวัย ตอบสนองบริบทพื้นที่แต่ละภาค นายอํานาจ วิชยานุวัติกล่าวว่า ศธ.ได้กําหนดแนวทางการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาคเพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยได้รับการศึกษาในระบบต่าง ๆ​ และเรียนรู้ตลอดชีวิต​ เด็กและเยาวชน​ ผู้เรียน​ มีทัศนคติที่ถูกต้อง​ มีพื้นฐานชีวิตที่เข้มแข็ง​ โดยที่การจัดการศึกษาต้องสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ​ ที่เป็นการบูรณาการแผนงาน/โครงการให้มีความสอดคล้อง​เชื่อมโยงกัน รวมทั้งการจัดทํางบประมาณ​เชิงบูรณาการ​ สามารถตอบสนองต่อการพัฒนาพื้นที่ในแต่ละภาค โดยกําหนดการทํางานเป็น 3 ส่วน 1)สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการโดยมีสํานักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) ทั้ง 6 ภาค ดูแลรับผิดชอบแต่ละพื้นที่ ตามแผนงาน/โครงการ/งบประมาณของทุกหน่วยงานที่ ศธ.ได้อนุมัติแล้ว ดังนี้ •ภาคเหนือ 17 จังหวัดกําหนดให้ ศธภ.ภาคเหนือ (เชียงใหม่) รับผิดชอบ เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาพื้นที่ให้เป็น“ฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูงเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้าโขง”มีโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ดําเนินการแล้ว 94 โครงการ มีหลายโครงการที่สําคัญ เช่น โครงการสนับสนุนให้ผู้สูงอายุเกิดการสร้างรายได้และมีงานทําในรูปแบบกลุ่มอาชีพและกลุ่มวิสาหกิจ โดยทํางานร่วมกับชุมชน (Digital Ageing Society) เป็นต้น • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัดโดย ศธภ.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อุดรธานี) รับผิดชอบ เพื่อตอบโจทย์การเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง”มีโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว 331 โครงการ มีโครงการสําคัญ เช่น โครงการพัฒนาทักษะอาชีพงานกระจกและอลูมิเนียมแบบบูรณาการเพื่อสร้างโอกาสการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน โครงการพัฒนาโรงเรียนและเกษตรกรสู่ Startup Smart Farmer เป็นต้น • ภาคกลาง 17 จังหวัด และกรุงเทพมหานครโดย ศธภ.ภาคกลาง (ปทุมธานี) รับผิดชอบ เพื่อ“พัฒนากรุงเทพฯ สู่มหานครทันสมัยและภาคกลางเป็นฐานการผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง”จํานวน 256 โครงการ มีโครงการสําคัญ เช่นการวางโครงสร้างพื้นฐานและยกระดับศักยภาพความสามารถสําหรับผู้สูงอายุในเขตเมือง โครงการเสริมสร้างศักยภาพคนรองรับการท่องเที่ยวตามแบบวิถีชุมชน เป็นต้น • ภาคตะวันออก 8 จังหวัดโดย ศธภ.ภาคตะวันออก (ชลบุรี) รับผิดชอบ เพื่อมุ่งสู่การเป็น“ฐานเศรษฐกิจชั้นนําของอาเซียน”จํานวน 134 โครงการ มีโครงการสําคัญ เช่น โครงการผลิตและพัฒนาอาชีพกําลังคนสู่อุตสาหกรรม First S-Curve และ New S-Curve การยกระดับความสามารถภาษาอังกฤษบุคลากรใน 10 อุตสาหกรรมรองรับพื้นที่ EEC เป็นต้น • ภาคใต้ 11 จังหวัดโดยศธภ.ภาคใต้ (นครศรีธรรมราช) รับผิดชอบ เพื่อพัฒนาพื้นที่ให้“เป็นเมืองท่องเที่ยวพักผ่อนตากอากาศระดับโลก เป็นศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ยางพาราและปาล์มน้ํามันของประเทศ และเมืองเศรษฐกิจ​เชื่อมโยง​การค้า​การลงทุน​กับภูมิภาค​อื่นของโลก”มี 202 โครงการ โครงการสําคัญ เช่นโครงการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการรักษาโรคมะเร็งสําหรับการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ “Medical Hub”โครงการพัฒนากระบวนการผลิตต้นแบบผลิตภัณฑ์ Oleochemical เป็นต้น • ภาคใต้ชายแดน 3 จังหวัดโดย ศธภ.ภาคใต้ชายแดน (ยะลา) และศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) ร่วมขับเคลื่อนการดําเนินงาน เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาพื้นที่ให้เป็น “แหล่งผลิตภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปที่สําคัญของประเทศ และเป็นเมืองชายแดนเชื่อมโยงการค้าและการท่องเที่ยวกับพื้นที่ภาคใต้และการพัฒนาเศรษฐกิจของมาเลเซียและสิงคโปร์”จํานวน 79 โครงการ โครงการสําคัญ เช่น โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนภาคใต้ชายแดน โครงการจัดตั้งห้องแล็บเพื่อยกระดับคุณภาพมาตรฐานการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมยางพาราของประเทศ เป็นต้น 2)สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษานายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า ได้เชื่อมโยงทุกหน่วยงานในการเร่งจัดทํา Big Data โดยมีศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษาทั้ง 18 ศูนย์กลุ่มจังหวัดใน 6 ภาคร่วมรับผิดชอบ โดยมีภารกิจเร่งดวนคือ จัดเก็บข้อมูลสถานประกอบการที่ลงทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม ชี้แจงแนวทางการปฏิบัติงานไปยังสถานศึกษา ที่สําคัญคือการนําสถานประกอบการที่จดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม มาลงทะเบียนในระบบ Big Data System ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 นอกจากนี้ ได้ปรับหลักสูตรอาชีวศึกษาให้เชื่อมโยงกับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา, การจัดการศึกษาของผู้พิการ, โครงการทุนการศึกษาเฉลิมราชกุมารี, การจัดการศึกษาเรียนร่วมหลักสูตรอาชีวศึกษาและมัธยมฯ ตอนปลาย (ทวิศึกษา) ซึ่งปีที่ผ่านมาจัดงบไปกว่า 237 ล้านบาท มีผู้เรียน 40,000 คน รวมทั้งดําเนินโครงการโรงเรียนประชารัฐร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการบูรณาการที่เป็นรูปธรรมชัดเจน 3)สํานักงาน กศน.นายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า ได้ชูบทบาทของสถาบัน กศน.ภาค เพื่อบูรณาการร่วมกับศึกษาธิการภาค/จังหวัด ตามโครงสร้างการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของ ศธ. เช่น สนับสนุนการขยายผล "ชุมชนต้นแบบ" ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน, การแก้ไขปัญหาประชากรวัยเรียนนอกระบบการศึกษาเพื่อนํากลับเข้าสู่ระบบการศึกษาให้มากที่สุด, ขยายผลการอบรมหลักสูตรการค้าออนไลน์, ส่งเสริมให้ประชากรอ่านออกเขียนได้ ตลอดจนส่งเสริมการเรียนภาษาที่ 2 และ 3 เพื่อขานรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีอีกด้วย นอกจากนี้ กศน.จะขอเสนอเปิดสถาบัน กศน.ภาคใต้ชายแดนเพิ่ม เนื่องจากเดิม กศน.มี 5 ภาค เพื่อให้จัดการศึกษาเชิงบูรณาการไปสู่นโยบายสําคัญ "กศน.เข้มแข็ง" ในปี 2562 ชูศึกษาธิการภาตจะต้องเป็นนักเชื่อมโยงในพื้นที่ พล.อ.สุรเชษฐ์ย้ําถึงความสําคัญของ "ศึกษาธิการภาค" ด้วยว่า จะต้องมีลักษณะประจําตัว คือ เป็นนักเชื่อมโยง ไม่ว่าจะเป็นในระดับภาคหรือในระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดการบูรณาการอย่างแท้จริง โดยเฉพาะจัดทําข้อมูลสารสนเทศของภาคให้เป็นระบบ โดยใช้งบประมาณ ฐานข้อมูล และบุคลากรที่มีอยู่แล้วมาดําเนินการ เพราะเมื่อฐานข้อมูลมีความสมบูรณ์ ก็จะนําไปสู่การทํางาน กํากับดูแล ติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในการทํางานทุกขั้นตอนต้องสร้างการรับรู้ควบคู่ไปด้วย ทั้งหมดนี้ เป็นการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาในระดับพื้นที่ของ ศธ. ทั้ง 6 ภาค เพื่อมุ่งหวังให้ “การศึกษา” เป็นรากฐานสําคัญ ต่อการวางแผนพัฒนาประเทศ มีความสามารถในการแข่งขันกับนานาชาติ ก้าวสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.สร้างความเข้มแข็งการศึกษาทุกพื้นที่ ขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษา 6 ภาค วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 ศธ.สร้างความเข้มแข็งการศึกษาทุกพื้นที่ ขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษา 6 ภาค กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เผยแพร่บทความ "ศธ.สร้างความเข้มแข็งการศึกษาทุกพื้นที่ ขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษา 6 ภาค" ในหนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 5 ฉบับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 ศธ.สร้างความเข้มแข็งการศึกษาทุกพื้นที่ ขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษา 6 ภาค กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ความสําคัญกับการทํางานระดับพื้นที่ เพื่อให้การศึกษาเป็นรากฐานพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยวางแนวทางบูรณาการการบริหารจัดการระดับภาคทั้ง 6 ภาค เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความเชื่อมโยง-บูรณาการ-การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน พร้อมทั้งอนุมัติแผนงาน/โครงการ ให้รองรับเป้าหมายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการที่มีความแตกต่างกันในแต่ละภาค เมื่อเร็วๆ นี้พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงพื้นที่ไปประชุมมอบนโยบายและแนวทางการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค ของ ศธ. ทั้ง 6 ภาค เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ทิศทางนโยบายและแนวทางการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อนําแนวทางการบูรณาการการพัฒนาการศึกษาไปสู่การปฏิบัติในระดับภาค ที่เน้นการขับเคลื่อนให้เกิดความเชื่อมโยง มีการบูรณาการ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ศธ.กําหนดแนวทางทํางานบูรณาการบริหารจัดการระดับภาค พล.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ในการประชุมแต่ละภาค ได้เชิญศึกษาธิการภาค 6 ราย ที่ ครม.แต่งตั้ง เพื่อกําหนดทิศทางการทํางานในพื้นที่ระดับภูมิภาคให้เกิดการเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดยมี 5 องค์กรหลักทํางานร่วมกันคือ สป.-สพฐ.-สอศ.-สกอ.-สกศ. รวมถึงหน่วยงานใน สป. เช่น สํานักงาน ก.ค.ศ.-กศน.-สช. และสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดในพื้นที่ โดยส่วนกลางจะเป็นผู้กําหนดนโยบายและให้การสนับสนุนข้อระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องส่วนในพื้นที่การบริหารราชการที่รัฐบาลกําหนดให้เป็น 6 ภูมิภาค ได้แก่​ ภาคเหนือ​ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ​ ภาคกลาง​ ภาคตะวันออก​ ภาคใต้​ และภาคใต้ชายแดน แต่ละภาคจะมีสํานักงานศึกษาธิการภาค/จังหวัด ตลอดจนส่วนราชการในระดับจังหวัด ร่วมกันทํางานเชื่อมโยงกันหมด มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการด้านศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดความยั่งยืน สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศในบริบทและมิติต่างๆ​ เพื่อให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ประเทศไทยในปี​ พ.ศ.2580 เน้นพัฒนาผู้เรียนทุกกลุ่มวัย ตอบสนองบริบทพื้นที่แต่ละภาค นายอํานาจ วิชยานุวัติกล่าวว่า ศธ.ได้กําหนดแนวทางการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาคเพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยได้รับการศึกษาในระบบต่าง ๆ​ และเรียนรู้ตลอดชีวิต​ เด็กและเยาวชน​ ผู้เรียน​ มีทัศนคติที่ถูกต้อง​ มีพื้นฐานชีวิตที่เข้มแข็ง​ โดยที่การจัดการศึกษาต้องสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ​ ที่เป็นการบูรณาการแผนงาน/โครงการให้มีความสอดคล้อง​เชื่อมโยงกัน รวมทั้งการจัดทํางบประมาณ​เชิงบูรณาการ​ สามารถตอบสนองต่อการพัฒนาพื้นที่ในแต่ละภาค โดยกําหนดการทํางานเป็น 3 ส่วน 1)สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการโดยมีสํานักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) ทั้ง 6 ภาค ดูแลรับผิดชอบแต่ละพื้นที่ ตามแผนงาน/โครงการ/งบประมาณของทุกหน่วยงานที่ ศธ.ได้อนุมัติแล้ว ดังนี้ •ภาคเหนือ 17 จังหวัดกําหนดให้ ศธภ.ภาคเหนือ (เชียงใหม่) รับผิดชอบ เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาพื้นที่ให้เป็น“ฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูงเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้าโขง”มีโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ดําเนินการแล้ว 94 โครงการ มีหลายโครงการที่สําคัญ เช่น โครงการสนับสนุนให้ผู้สูงอายุเกิดการสร้างรายได้และมีงานทําในรูปแบบกลุ่มอาชีพและกลุ่มวิสาหกิจ โดยทํางานร่วมกับชุมชน (Digital Ageing Society) เป็นต้น • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัดโดย ศธภ.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อุดรธานี) รับผิดชอบ เพื่อตอบโจทย์การเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง”มีโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว 331 โครงการ มีโครงการสําคัญ เช่น โครงการพัฒนาทักษะอาชีพงานกระจกและอลูมิเนียมแบบบูรณาการเพื่อสร้างโอกาสการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน โครงการพัฒนาโรงเรียนและเกษตรกรสู่ Startup Smart Farmer เป็นต้น • ภาคกลาง 17 จังหวัด และกรุงเทพมหานครโดย ศธภ.ภาคกลาง (ปทุมธานี) รับผิดชอบ เพื่อ“พัฒนากรุงเทพฯ สู่มหานครทันสมัยและภาคกลางเป็นฐานการผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง”จํานวน 256 โครงการ มีโครงการสําคัญ เช่นการวางโครงสร้างพื้นฐานและยกระดับศักยภาพความสามารถสําหรับผู้สูงอายุในเขตเมือง โครงการเสริมสร้างศักยภาพคนรองรับการท่องเที่ยวตามแบบวิถีชุมชน เป็นต้น • ภาคตะวันออก 8 จังหวัดโดย ศธภ.ภาคตะวันออก (ชลบุรี) รับผิดชอบ เพื่อมุ่งสู่การเป็น“ฐานเศรษฐกิจชั้นนําของอาเซียน”จํานวน 134 โครงการ มีโครงการสําคัญ เช่น โครงการผลิตและพัฒนาอาชีพกําลังคนสู่อุตสาหกรรม First S-Curve และ New S-Curve การยกระดับความสามารถภาษาอังกฤษบุคลากรใน 10 อุตสาหกรรมรองรับพื้นที่ EEC เป็นต้น • ภาคใต้ 11 จังหวัดโดยศธภ.ภาคใต้ (นครศรีธรรมราช) รับผิดชอบ เพื่อพัฒนาพื้นที่ให้“เป็นเมืองท่องเที่ยวพักผ่อนตากอากาศระดับโลก เป็นศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ยางพาราและปาล์มน้ํามันของประเทศ และเมืองเศรษฐกิจ​เชื่อมโยง​การค้า​การลงทุน​กับภูมิภาค​อื่นของโลก”มี 202 โครงการ โครงการสําคัญ เช่นโครงการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการรักษาโรคมะเร็งสําหรับการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ “Medical Hub”โครงการพัฒนากระบวนการผลิตต้นแบบผลิตภัณฑ์ Oleochemical เป็นต้น • ภาคใต้ชายแดน 3 จังหวัดโดย ศธภ.ภาคใต้ชายแดน (ยะลา) และศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) ร่วมขับเคลื่อนการดําเนินงาน เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาพื้นที่ให้เป็น “แหล่งผลิตภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปที่สําคัญของประเทศ และเป็นเมืองชายแดนเชื่อมโยงการค้าและการท่องเที่ยวกับพื้นที่ภาคใต้และการพัฒนาเศรษฐกิจของมาเลเซียและสิงคโปร์”จํานวน 79 โครงการ โครงการสําคัญ เช่น โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนภาคใต้ชายแดน โครงการจัดตั้งห้องแล็บเพื่อยกระดับคุณภาพมาตรฐานการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมยางพาราของประเทศ เป็นต้น 2)สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษานายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า ได้เชื่อมโยงทุกหน่วยงานในการเร่งจัดทํา Big Data โดยมีศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษาทั้ง 18 ศูนย์กลุ่มจังหวัดใน 6 ภาคร่วมรับผิดชอบ โดยมีภารกิจเร่งดวนคือ จัดเก็บข้อมูลสถานประกอบการที่ลงทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม ชี้แจงแนวทางการปฏิบัติงานไปยังสถานศึกษา ที่สําคัญคือการนําสถานประกอบการที่จดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม มาลงทะเบียนในระบบ Big Data System ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 นอกจากนี้ ได้ปรับหลักสูตรอาชีวศึกษาให้เชื่อมโยงกับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา, การจัดการศึกษาของผู้พิการ, โครงการทุนการศึกษาเฉลิมราชกุมารี, การจัดการศึกษาเรียนร่วมหลักสูตรอาชีวศึกษาและมัธยมฯ ตอนปลาย (ทวิศึกษา) ซึ่งปีที่ผ่านมาจัดงบไปกว่า 237 ล้านบาท มีผู้เรียน 40,000 คน รวมทั้งดําเนินโครงการโรงเรียนประชารัฐร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการบูรณาการที่เป็นรูปธรรมชัดเจน 3)สํานักงาน กศน.นายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า ได้ชูบทบาทของสถาบัน กศน.ภาค เพื่อบูรณาการร่วมกับศึกษาธิการภาค/จังหวัด ตามโครงสร้างการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของ ศธ. เช่น สนับสนุนการขยายผล "ชุมชนต้นแบบ" ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน, การแก้ไขปัญหาประชากรวัยเรียนนอกระบบการศึกษาเพื่อนํากลับเข้าสู่ระบบการศึกษาให้มากที่สุด, ขยายผลการอบรมหลักสูตรการค้าออนไลน์, ส่งเสริมให้ประชากรอ่านออกเขียนได้ ตลอดจนส่งเสริมการเรียนภาษาที่ 2 และ 3 เพื่อขานรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีอีกด้วย นอกจากนี้ กศน.จะขอเสนอเปิดสถาบัน กศน.ภาคใต้ชายแดนเพิ่ม เนื่องจากเดิม กศน.มี 5 ภาค เพื่อให้จัดการศึกษาเชิงบูรณาการไปสู่นโยบายสําคัญ "กศน.เข้มแข็ง" ในปี 2562 ชูศึกษาธิการภาตจะต้องเป็นนักเชื่อมโยงในพื้นที่ พล.อ.สุรเชษฐ์ย้ําถึงความสําคัญของ "ศึกษาธิการภาค" ด้วยว่า จะต้องมีลักษณะประจําตัว คือ เป็นนักเชื่อมโยง ไม่ว่าจะเป็นในระดับภาคหรือในระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดการบูรณาการอย่างแท้จริง โดยเฉพาะจัดทําข้อมูลสารสนเทศของภาคให้เป็นระบบ โดยใช้งบประมาณ ฐานข้อมูล และบุคลากรที่มีอยู่แล้วมาดําเนินการ เพราะเมื่อฐานข้อมูลมีความสมบูรณ์ ก็จะนําไปสู่การทํางาน กํากับดูแล ติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในการทํางานทุกขั้นตอนต้องสร้างการรับรู้ควบคู่ไปด้วย ทั้งหมดนี้ เป็นการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาในระดับพื้นที่ของ ศธ. ทั้ง 6 ภาค เพื่อมุ่งหวังให้ “การศึกษา” เป็นรากฐานสําคัญ ต่อการวางแผนพัฒนาประเทศ มีความสามารถในการแข่งขันกับนานาชาติ ก้าวสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18938
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีชี้แจ้งกรณีการไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ ที่มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ของ รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีชี้แจ้งกรณีการไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ ที่มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ของ รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีชี้แจ้งกรณีการไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ ที่มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ของ รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ วันนี้ (6 ตุลาคม 2559) เวลา 17.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าว ตึกนารีสโมสร พล.ท.สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บมจ.การบินไทยจํากัด (มหาชน) พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ร่วมกันแถลงข่าวเพื่อชี้แจงทําความเข้าใจกรณีการเช่าเหมาลําเครื่องบิน ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและคณะกรณีเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ ที่มลรัฐฮาวาย เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา โอกาสนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า การเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐบาลได้ยึดระเบียบหลักเกณฑ์ของสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเรื่องพัสดุการจัดซื้อจัดจ้าง ปี พ.ศ. 2556 ซึ่งหากมีวงเงินเกิน 1 แสนบาทต้องมีการประกาศราคากลาง และเผยแพร่ทางทางกรมบัญชีกลางและหน่วยงานนั้น ๆ และการเดินทางไปต่างประเทศ มี 3 รูปแบบคือ 1.แบบสายการบินพาณิชย์ 2.แบบสายการบินทหาร ที่ส่วนใหญ่จะได้เดินทางในประเทศเพื่อนบ้าน ระยะใกล้ เนื่องจากพิสัยของเครื่องบินไม่สามารถเดินทางในระยะไกลได้ เพราะต้องดําเนินการขออนุญาต การบินเข้าน่านฟ้า การเติมเชื้อเพลิง เป็นต้น จึงอาจจะไม่สะดวกในการเดินทาง และ แบบที่ 3.แบบเช่าเหมาลํา ซึ่งรัฐบาลนี้ ได้มีการใช้บริการไป 3 ครั้ง 2 ครั้งแรก เป็นกรณีนายกรัฐมนตรี เดินทางจากรุงเทพไปอิตาลี เพื่อร่วมประชุมอาเซียนยุโรป และเดินทางจากกรุงเทพไปรัสเซีย เพื่อร่วมประชุมอาเซียน รัสเซีย และอีก 1 ครั้ง คือ กรณีการเดินทางไปราชการต่างประเทศดังกล่าวของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ครั้งล่าสุด ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ได้มีการชี้แจงรายละเอียดตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเริ่มดําเนินการเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2556 พร้อมกันนี้กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บมจ.การบินไทยจํากัด (มหาชน) ชี้แจงเพิ่มเติมเรื่องการให้บริการเช่าเหมาลําของการบินไทยว่า มีสูตรคํานวณการคิดค่าใช้จ่ายเป็นสูตรเดียวกันเหมือนทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้รับผิดชอบในการคํานวณราคา ก่อนที่จะส่งเอกสารไปยังอีก 10 หน่วยงาน เพื่อประเมินราคา ในส่วนเรื่องการจัดหาเครื่องบิน จัดหานักบิน อาหาร เชื้อเพลิง การขออนุญาตผ่านน่านฟ้า และเจ้าหน้าที่ประจําปฏิบัติในเมืองนั้น ๆ เมื่อคิดคํานวณราคาเสร็จสิ้นจะส่งมายังหน่วยงานกลางของการบินไทยรับทราบก่อนที่จะเสนอราคาให้ลูกค้าได้รับทราบในภายหลัง ถือว่าเป็นธุรกิจในรูปแบบหนึ่งที่ให้บริการเหมือนสายการบินปกติทั่วไป ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายอาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวแปรต่าง ๆ เช่น ค่าเชื้อเพลิง ค่าอาหาร จํานวนผู้โดยสาร เมืองที่เดินทางไป โดยการเดินทางไปฮาวายของคณะดังกล่าวในครั้งนี้ ถือว่าเป็นแบบวอร์คอินขากลับ ที่ไม่มีสายการบินจากฮาวายถึงกรุงเทพโดยตรง ในส่วนค่าใช้จ่ายในการบินครั้งนี้ ยังต้องรอทางฮาวาย สรุปตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนในอีก 2 เดือนข้างหน้าจะทราบผลค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ทางการบินไทยได้ไปแจ้งความดําเนินคดีกับผู้ที่ปล่อยเอกสารรายชื่อลูกค้า เพราะถือว่าเป็นข้อมูลเท็จ และผิดระเบียบของการบินไทยในการเปิดเผยข้อมูลลูกค้าอีกด้วย ******************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีชี้แจ้งกรณีการไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ ที่มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ของ รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีชี้แจ้งกรณีการไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ ที่มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ของ รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีชี้แจ้งกรณีการไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ ที่มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ของ รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ วันนี้ (6 ตุลาคม 2559) เวลา 17.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าว ตึกนารีสโมสร พล.ท.สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บมจ.การบินไทยจํากัด (มหาชน) พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ร่วมกันแถลงข่าวเพื่อชี้แจงทําความเข้าใจกรณีการเช่าเหมาลําเครื่องบิน ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและคณะกรณีเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ ที่มลรัฐฮาวาย เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา โอกาสนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า การเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐบาลได้ยึดระเบียบหลักเกณฑ์ของสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเรื่องพัสดุการจัดซื้อจัดจ้าง ปี พ.ศ. 2556 ซึ่งหากมีวงเงินเกิน 1 แสนบาทต้องมีการประกาศราคากลาง และเผยแพร่ทางทางกรมบัญชีกลางและหน่วยงานนั้น ๆ และการเดินทางไปต่างประเทศ มี 3 รูปแบบคือ 1.แบบสายการบินพาณิชย์ 2.แบบสายการบินทหาร ที่ส่วนใหญ่จะได้เดินทางในประเทศเพื่อนบ้าน ระยะใกล้ เนื่องจากพิสัยของเครื่องบินไม่สามารถเดินทางในระยะไกลได้ เพราะต้องดําเนินการขออนุญาต การบินเข้าน่านฟ้า การเติมเชื้อเพลิง เป็นต้น จึงอาจจะไม่สะดวกในการเดินทาง และ แบบที่ 3.แบบเช่าเหมาลํา ซึ่งรัฐบาลนี้ ได้มีการใช้บริการไป 3 ครั้ง 2 ครั้งแรก เป็นกรณีนายกรัฐมนตรี เดินทางจากรุงเทพไปอิตาลี เพื่อร่วมประชุมอาเซียนยุโรป และเดินทางจากกรุงเทพไปรัสเซีย เพื่อร่วมประชุมอาเซียน รัสเซีย และอีก 1 ครั้ง คือ กรณีการเดินทางไปราชการต่างประเทศดังกล่าวของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ครั้งล่าสุด ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ได้มีการชี้แจงรายละเอียดตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเริ่มดําเนินการเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2556 พร้อมกันนี้กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บมจ.การบินไทยจํากัด (มหาชน) ชี้แจงเพิ่มเติมเรื่องการให้บริการเช่าเหมาลําของการบินไทยว่า มีสูตรคํานวณการคิดค่าใช้จ่ายเป็นสูตรเดียวกันเหมือนทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้รับผิดชอบในการคํานวณราคา ก่อนที่จะส่งเอกสารไปยังอีก 10 หน่วยงาน เพื่อประเมินราคา ในส่วนเรื่องการจัดหาเครื่องบิน จัดหานักบิน อาหาร เชื้อเพลิง การขออนุญาตผ่านน่านฟ้า และเจ้าหน้าที่ประจําปฏิบัติในเมืองนั้น ๆ เมื่อคิดคํานวณราคาเสร็จสิ้นจะส่งมายังหน่วยงานกลางของการบินไทยรับทราบก่อนที่จะเสนอราคาให้ลูกค้าได้รับทราบในภายหลัง ถือว่าเป็นธุรกิจในรูปแบบหนึ่งที่ให้บริการเหมือนสายการบินปกติทั่วไป ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายอาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวแปรต่าง ๆ เช่น ค่าเชื้อเพลิง ค่าอาหาร จํานวนผู้โดยสาร เมืองที่เดินทางไป โดยการเดินทางไปฮาวายของคณะดังกล่าวในครั้งนี้ ถือว่าเป็นแบบวอร์คอินขากลับ ที่ไม่มีสายการบินจากฮาวายถึงกรุงเทพโดยตรง ในส่วนค่าใช้จ่ายในการบินครั้งนี้ ยังต้องรอทางฮาวาย สรุปตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนในอีก 2 เดือนข้างหน้าจะทราบผลค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ทางการบินไทยได้ไปแจ้งความดําเนินคดีกับผู้ที่ปล่อยเอกสารรายชื่อลูกค้า เพราะถือว่าเป็นข้อมูลเท็จ และผิดระเบียบของการบินไทยในการเปิดเผยข้อมูลลูกค้าอีกด้วย ******************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/536
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะรัฐมนตรีปลาบปลื้ม น้อมรับพระราชดำรัสเป็นเครื่องกำกับสติ พร้อมนำไปปฏิบัติเพื่อประเทศชาติ
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2562 คณะรัฐมนตรีปลาบปลื้ม น้อมรับพระราชดํารัสเป็นเครื่องกํากับสติ พร้อมนําไปปฏิบัติเพื่อประเทศชาติ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนําคณะรัฐมนตรี รับพระราชดํารัสพร้อมลายพระราชหัตถ์ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้ (27 ส.ค. 62) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวถึงเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนําคณะรัฐมนตรี รับพระราชดํารัสพร้อมลายพระราชหัตถ์ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพัน และน้อมรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้เป็นสิริมงคล และเป็นเครื่องกํากับสติเตือนใจ นําไปปฏิบัติเพื่อประเทศชาติต่อไป ......................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะรัฐมนตรีปลาบปลื้ม น้อมรับพระราชดำรัสเป็นเครื่องกำกับสติ พร้อมนำไปปฏิบัติเพื่อประเทศชาติ วันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2562 คณะรัฐมนตรีปลาบปลื้ม น้อมรับพระราชดํารัสเป็นเครื่องกํากับสติ พร้อมนําไปปฏิบัติเพื่อประเทศชาติ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนําคณะรัฐมนตรี รับพระราชดํารัสพร้อมลายพระราชหัตถ์ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้ (27 ส.ค. 62) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวถึงเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนําคณะรัฐมนตรี รับพระราชดํารัสพร้อมลายพระราชหัตถ์ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพัน และน้อมรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้เป็นสิริมงคล และเป็นเครื่องกํากับสติเตือนใจ นําไปปฏิบัติเพื่อประเทศชาติต่อไป ......................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22556
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พาณิชย์’ เผยผลการประชุม HLTF เตรียมชง 13 ประเด็นเศรษฐกิจ ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเมษายนนี้
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562 ‘พาณิชย์’ เผยผลการประชุม HLTF เตรียมชง 13 ประเด็นเศรษฐกิจ ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเมษายนนี้ กระทรวงพาณิชย์ แจงบทสรุปการประชุมระดับปลัดกระทรวงเศรษฐกิจของอาเซียน (HLTF-EI) ครั้งที่ 35 ชี้อาเซียนเห็นชอบประเด็นเศรษฐกิจ 3 ด้าน 13 ประเด็น ตามที่ไทยเสนอ พร้อมสวมบทประธานจี้อาเซียนกางแผนรับมือยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 ตลอดจนเร่งคณะทํางานศึกษาผลกระทบจากประเด็นที่ประเทศคู่ค้าอาเซียนเสนอ และตอกย้ําจุดยืนให้อาเซียนร่วมแสดงบทบาทกระตุ้นให้ WTO ตระหนักถึงการเป็นองค์กรที่รักษาความเป็นธรรม และส่งเสริมการค้าเสรี นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการประชุมคณะทํางานระดับสูงว่าด้วยการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน (High Level Task Force on ASEAN Economic Integration : HLTF-EI) ครั้งที่ 35 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม 2562 ณ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการประชุมระดับปลัดกระทรวงเศรษฐกิจของอาเซียน ได้ข้อสรุปในประเด็นสําคัญที่จะช่วยส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพ ดังนี้ 1) เห็นชอบประเด็นเศรษฐกิจ 3 ด้าน 13 ประเด็น ที่ไทยเสนอให้อาเซียนร่วมกันดําเนินการให้สําเร็จในปี 2562 เนื่องจากเห็นว่าเป็นประเด็นที่มีความสําคัญและสอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจการค้าโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องการรับมือกับอนาคต ความเชื่อมโยง และความยั่งยืน และเห็นชอบให้เสนอประเด็นที่ไทยผลักดัน 3 ด้าน 13 ประเด็น ต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ที่จะจัดขึ้นในเดือนเมษายนนี้ ณ จังหวัดภูเก็ต 2) เตรียมความพร้อมอาเซียนในการรับมือกับยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 (4IR) เนื่องจาก 4IR จะสร้างโอกาสและความท้าทายแก่สมาชิกอาเซียน จึงจําเป็นที่อาเซียนต้องเตรียมการรับมือ โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรรองรับ 4IR โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการรายสาขาด้านเศรษฐกิจของอาเซียนในเดือนกรกฎาคม 2562 เพื่อเตรียมแนวทางการรับมือของอาเซียนในเรื่องนี้ต่อไป 3) พัฒนาการบริหารจัดการกฎระเบียบของอาเซียนโดยเฉพาะกฎระเบียบที่มิใช่ภาษีเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างอาเซียน เช่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ความโปร่งใสของข้อมูลการใช้กฎระเบียบ 4) ให้ปรับปรุงกลไกการทํางานภายในอาเซียนให้สอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และสามารถรับมือกับประเด็นใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เช่น ขยายขอบเขตอํานาจหน้าที่ขององค์กรรายสาขาให้ครอบคลุมถึงการดําเนินงานในเรื่องที่เป็นประเด็นคาบเกี่ยว และ 5) ให้คณะทํางานที่เกี่ยวข้องของอาเซียนหารือกันและศึกษาถึงประโยชน์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการที่ประเทศคู่ค้าของอาเซียนเสนอประเด็นใหม่ๆ เข้ามาเจรจาในเอฟทีเอ เพื่อใช้กําหนดท่าทีร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการเจรจาจัดทําเอฟทีเอ กับประเทศนอกภูมิภาคในอนาคต ซึ่งอาจมีประเด็นใหม่ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และการค้าดิจิทัล แรงงาน สิ่งแวดล้อม เป็นต้น นายบุณยฤทธิ์ เสริมว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้เห็นพ้องกันว่าบรรยากาศการค้าระหว่างประเทศขณะนี้ และการทํางานขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่ผ่านมา จําเป็นอย่างยิ่งที่อาเซียนจะต้องร่วมแสดงบทบาทเพื่อให้ WTO ยังคงเป็นองค์กรที่ธํารงไว้ซึ่งการเสริมสร้างระบบการค้าพหุภาคีที่ไม่เลือกปฏิบัติ รักษาความเป็นธรรม และการค้าเสรี ซึ่งที่ประชุมขอบคุณไทยในฐานะประธานอาเซียนที่ได้ร่วมมือกับ WTO จัดการสัมมนาเรื่อง “การปฏิรูปองค์การการค้าโลก: มุมมองของอาเซียน (WTO Reform: Perspectives for ASEAN Countries)” ในวันที่ 14-15 มีนาคม 2562 โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากทั้ง WTO และประเทศต่างๆ อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น จีน และแคนาดาเข้าร่วม เพื่อเป็นก้าวสําคัญที่จะนําไปสู่การจัดทําท่าทีร่วมของอาเซียนภายใต้เรื่อง WTO Reform ต่อไป สําหรับประเด็นเศรษฐกิจ 3 ด้าน 13 ประเด็น ได้แก่ (1) การเตรียมอาเซียนรับมืออนาคต เช่น การจัดทําแผนการดําเนินงานด้านดิจิทัล การจัดทําแผนงานด้านนวัตกรรม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับ 4IR การส่งเสริมการใช้ดิจิทัลในผู้ประกอบการรายย่อย (2) ความเชื่อมโยง เช่น การเชื่อมโยงระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window) ให้ครบทั้ง 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร และ (3) การสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ เช่น การส่งเสริมการประมงที่ยั่งยืน การจัดตั้งศูนย์เครือข่ายวิจัย และการพัฒนาพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพและพลังงานชีวภาพในอาเซียน เป็นต้น ทั้งนี้ การค้าระหว่างไทยกับอาเซียนปี 2561 มีมูลค่าการค้ารวม 113,934 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 13 โดยไทยส่งออกไปอาเซียนในปี 2561 มูลค่า 68,437 ล้านเหรียญสหรัฐ และนําเข้าจากอาเซียน มูลค่า 45,497 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยเกินดุล 22,940 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปัจจุบันการส่งออกของไทยไปอาเซียนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 27 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พาณิชย์’ เผยผลการประชุม HLTF เตรียมชง 13 ประเด็นเศรษฐกิจ ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเมษายนนี้ วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562 ‘พาณิชย์’ เผยผลการประชุม HLTF เตรียมชง 13 ประเด็นเศรษฐกิจ ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเมษายนนี้ กระทรวงพาณิชย์ แจงบทสรุปการประชุมระดับปลัดกระทรวงเศรษฐกิจของอาเซียน (HLTF-EI) ครั้งที่ 35 ชี้อาเซียนเห็นชอบประเด็นเศรษฐกิจ 3 ด้าน 13 ประเด็น ตามที่ไทยเสนอ พร้อมสวมบทประธานจี้อาเซียนกางแผนรับมือยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 ตลอดจนเร่งคณะทํางานศึกษาผลกระทบจากประเด็นที่ประเทศคู่ค้าอาเซียนเสนอ และตอกย้ําจุดยืนให้อาเซียนร่วมแสดงบทบาทกระตุ้นให้ WTO ตระหนักถึงการเป็นองค์กรที่รักษาความเป็นธรรม และส่งเสริมการค้าเสรี นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการประชุมคณะทํางานระดับสูงว่าด้วยการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน (High Level Task Force on ASEAN Economic Integration : HLTF-EI) ครั้งที่ 35 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม 2562 ณ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการประชุมระดับปลัดกระทรวงเศรษฐกิจของอาเซียน ได้ข้อสรุปในประเด็นสําคัญที่จะช่วยส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพ ดังนี้ 1) เห็นชอบประเด็นเศรษฐกิจ 3 ด้าน 13 ประเด็น ที่ไทยเสนอให้อาเซียนร่วมกันดําเนินการให้สําเร็จในปี 2562 เนื่องจากเห็นว่าเป็นประเด็นที่มีความสําคัญและสอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจการค้าโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องการรับมือกับอนาคต ความเชื่อมโยง และความยั่งยืน และเห็นชอบให้เสนอประเด็นที่ไทยผลักดัน 3 ด้าน 13 ประเด็น ต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ที่จะจัดขึ้นในเดือนเมษายนนี้ ณ จังหวัดภูเก็ต 2) เตรียมความพร้อมอาเซียนในการรับมือกับยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 (4IR) เนื่องจาก 4IR จะสร้างโอกาสและความท้าทายแก่สมาชิกอาเซียน จึงจําเป็นที่อาเซียนต้องเตรียมการรับมือ โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรรองรับ 4IR โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการรายสาขาด้านเศรษฐกิจของอาเซียนในเดือนกรกฎาคม 2562 เพื่อเตรียมแนวทางการรับมือของอาเซียนในเรื่องนี้ต่อไป 3) พัฒนาการบริหารจัดการกฎระเบียบของอาเซียนโดยเฉพาะกฎระเบียบที่มิใช่ภาษีเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างอาเซียน เช่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ความโปร่งใสของข้อมูลการใช้กฎระเบียบ 4) ให้ปรับปรุงกลไกการทํางานภายในอาเซียนให้สอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และสามารถรับมือกับประเด็นใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เช่น ขยายขอบเขตอํานาจหน้าที่ขององค์กรรายสาขาให้ครอบคลุมถึงการดําเนินงานในเรื่องที่เป็นประเด็นคาบเกี่ยว และ 5) ให้คณะทํางานที่เกี่ยวข้องของอาเซียนหารือกันและศึกษาถึงประโยชน์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการที่ประเทศคู่ค้าของอาเซียนเสนอประเด็นใหม่ๆ เข้ามาเจรจาในเอฟทีเอ เพื่อใช้กําหนดท่าทีร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการเจรจาจัดทําเอฟทีเอ กับประเทศนอกภูมิภาคในอนาคต ซึ่งอาจมีประเด็นใหม่ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และการค้าดิจิทัล แรงงาน สิ่งแวดล้อม เป็นต้น นายบุณยฤทธิ์ เสริมว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้เห็นพ้องกันว่าบรรยากาศการค้าระหว่างประเทศขณะนี้ และการทํางานขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่ผ่านมา จําเป็นอย่างยิ่งที่อาเซียนจะต้องร่วมแสดงบทบาทเพื่อให้ WTO ยังคงเป็นองค์กรที่ธํารงไว้ซึ่งการเสริมสร้างระบบการค้าพหุภาคีที่ไม่เลือกปฏิบัติ รักษาความเป็นธรรม และการค้าเสรี ซึ่งที่ประชุมขอบคุณไทยในฐานะประธานอาเซียนที่ได้ร่วมมือกับ WTO จัดการสัมมนาเรื่อง “การปฏิรูปองค์การการค้าโลก: มุมมองของอาเซียน (WTO Reform: Perspectives for ASEAN Countries)” ในวันที่ 14-15 มีนาคม 2562 โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากทั้ง WTO และประเทศต่างๆ อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น จีน และแคนาดาเข้าร่วม เพื่อเป็นก้าวสําคัญที่จะนําไปสู่การจัดทําท่าทีร่วมของอาเซียนภายใต้เรื่อง WTO Reform ต่อไป สําหรับประเด็นเศรษฐกิจ 3 ด้าน 13 ประเด็น ได้แก่ (1) การเตรียมอาเซียนรับมืออนาคต เช่น การจัดทําแผนการดําเนินงานด้านดิจิทัล การจัดทําแผนงานด้านนวัตกรรม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับ 4IR การส่งเสริมการใช้ดิจิทัลในผู้ประกอบการรายย่อย (2) ความเชื่อมโยง เช่น การเชื่อมโยงระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window) ให้ครบทั้ง 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร และ (3) การสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ เช่น การส่งเสริมการประมงที่ยั่งยืน การจัดตั้งศูนย์เครือข่ายวิจัย และการพัฒนาพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพและพลังงานชีวภาพในอาเซียน เป็นต้น ทั้งนี้ การค้าระหว่างไทยกับอาเซียนปี 2561 มีมูลค่าการค้ารวม 113,934 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 13 โดยไทยส่งออกไปอาเซียนในปี 2561 มูลค่า 68,437 ล้านเหรียญสหรัฐ และนําเข้าจากอาเซียน มูลค่า 45,497 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยเกินดุล 22,940 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปัจจุบันการส่งออกของไทยไปอาเซียนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 27 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19328
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำหอการค้าทั่วประเทศเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ พร้อมขอให้ร่วมมือกันนำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2561 นายกรัฐมนตรี ย้ําหอการค้าทั่วประเทศเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศ พร้อมขอให้ร่วมมือกันนําพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน นายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเอกชน ผ่านมาตรการทั้งระยะสั้นระยะยาว ย้ําหอการค้าทั่วประเทศเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศ พร้อมขอให้ร่วมมือกันนําพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน วันนี้(2ธ.ค.61)เวลา09.30น. ณห้องEH 105ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค(BITEC)กรุงเทพฯพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง“การปฏิรูปประเทศสู่ไทยมั่งคั่งไทยมั่นคงไทยยั่งยืน”ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้ง36จัดขึ้นระหว่างวันที่1 - 2ธันวาคม2561ภายใต้แนวคิด “ 85ปีแห่งความทุ่มเทให้ไทยเท่ไทยเท่าเทียมไทยยั้งยืน”เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลอง85ปีหอการค้าไทยในปีพ.ศ. 2561เพื่อให้ผู้ร่วมสัมมนาฯได้รับทราบนโยบายและนําไปใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันซึ่งในงานสัมมนาฯมีการระดมความคิดและข้อเสนอแนะแนวทางการขับเคลื่อนทางด้านการค้าและการลงทุนด้านเกษตรและอาหารและด้านท่องเที่ยวและบริการโดยมีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยคณะกรรมการห้อการค้าไทยผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดผู้แทนหอการค้าไทยประจําจังหวัดทุกจังหวัดภาคีเครือข่ายหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลขนจํานวนประมาณ2,000คน โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวตอนหนึ่งของการปาฐกถาพิเศษเรื่อง“การปฏิรูปประเทศสู่ไทยมั่งคั่งไทยมั่นคงไทยยั่งยืน”ว่า หอการค้าไทยทั่วประเทศถือเป็นกลไกและมีบทบาทที่สําคัญยิ่งในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะการมีส่วนสําคัญในการทําให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งเกิดจากการดําเนินงานที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ไปจนถึงปลายทาง คือ ผู้ผลิต การแปรรูป การใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และสินค้า การบริหารจัดการด้านการตลาดและจําหน่ายยังผู้บริโภค เป็นต้น ซึ่งวันนี้หอการค้าฯ มีบทบาทสําคัญในการที่จะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ “ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ตามวิสัยทัศน์ประเทศไทยที่กําหนดไว้ในการที่จะทําให้ประเทศไทยหลุดพ้นกับดักความยากจนและประเทศรายได้ปานกลางให้ได้ ภายใน 20 ปี ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่รัฐบาลได้กําหนดและวางแผนไว้สําหรับเด็ก เยาวชนและประชาชนรุ่นต่อไปในอนาคต พร้อมกล่าวว่าประเทศไทยได้มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยเป็นประเทศมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและแรงงานที่หลากหลายทําให้มีเกษตรกรรม การท่องเที่ยวและการบริการเป็นพื้นฐานสําคัญ ในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางไปให้ได้ โดยขอให้ทุกคนช่วยกันรักษาศักยภาพในเรื่องเหล่านี้ให้คงอยู่ตลอดไป โดยเฉพาะการบริการที่ดี และมีอัธยาศัยไมตรีรอยยิ้มที่แสดงถึงความจริงใจของคนไทย รวมถึงอาหารที่มีรสชาติอร่อย มีคุณภาพและราคาถูก และขอให้นําศักยภาพดังกล่าวไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทางด้านการค้าและการลงทุนด้วย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวฝากให้ทุกคนมีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องของการค้า เทคโนโลยีดิจิทัล ภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร โดยเฉพาะภาคการเกษตรซึ่งปัจจุบันแรงงานภาคการเกษตรได้มีการลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยบุคลากรและคนรุ่นใหม่หันไปประกอบอาชีพอื่นแทนที่มีรายได้สูงกว่า จึงฝากให้ทุกคนช่วยกันคิดหาวิธีหรือแนวทางในการพัฒนาเพื่อรักษาเกษตรกรรมให้คงอยู่เป็นพื้นฐานสําคัญของประเทศและให้มีผลผลิตที่มีคุณภาพสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยเฉพาะการทําเกษตรไบโอ หรือ BCG ซึ่งรัฐบาลกําลังดําเนินการอยู่ รวมไปถึงการทําให้ประชาชนหรือเกษตรกรซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของประเทศให้มีรายได้ที่ดีขึ้น อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการปฏิรูปว่าจะเกิดขึ้นอย่างบูรณาการทุกมิติ นอกจากการดําเนินการของรัฐบาลแล้ว ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วม โดยรัฐบาลเป็นผู้อํานวยความสะดวกในเรื่องต่าง ๆ เช่น การแก้ไขกฎระเบียบ ข้อบังคับ เพื่อให้การทํางานเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลได้มีการดําเนินการปลดล็อคในหลายเรื่อง ทั้งการค้าในประเทศและต่างประเทศ การดําเนินการในเรื่องการอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ให้มีความสะดวกรวดเร็วขึ้น รวมถึงการพัฒนาและเตรียมความพร้อมคนทุกกลุ่มในประเทศทั้ง 1.0 2.0 และ 3.0 ให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หรือ การไปสู่ 4.0 ตลอดจนการเตรียมพร้อมประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอนาคต ขณะเดียวกันทุกภาคส่วนต้องสร้างการมีส่วนร่วมให้มากขึ้น เพื่อรองรับการสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้านการผลิตพื้นฐานของประเทศ และสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้มากขึ้น มั่นคงและยั่งยืน โดยให้ “ทําน้อยได้มากขึ้น” จากเดิมที่ทํามากแต่ได้น้อย เป็นต้น นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่าการปฏิรูปเพื่อสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนและมีรายได้ที่มั่นคงต้องดําเนินการให้ครอบคลุมในทุกขั้นตอนตั้งแต่การวางแผนการลงทุนการผลิตการแปรรูปการตลาดและการจําหน่ายที่รวมถึงการค้าขายกับต่างประเทศซึ่งในห่วงโซ่เหล่านี้การค้าการลงทุนและการตลาดถือเป็นข้อต่อและช่องทางสําคัญในการสร้างและกระจายรายได้ให้กับประชาชนและประเทศในภาพรวมหอการค้าทั่วประเทศจึงมีความสําคัญที่จะเป็นกลไกในการเชื่อมต่อระหว่างการปฏิรูปจากภาครัฐและการพัฒนาพื้นที่ต่างๆให้สอดรับกัน ขณะที่ภาครัฐก็พร้อมที่จะสนับสนุนเอกชนผ่านมาตรการทั้งระยะสั้นระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาเชิงโครงสร้างสะท้อนจากการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ20ปีและแผนปฏิรูปประเทศที่ให้ความสําคัญกับการสร้างรากฐานการพัฒนาในระยะยาวเพื่อขับเคลื่อนประเทศทั้งนี้ในส่วนของภาครัฐได้เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากผ่านนโยบายการช่วยเหลือสินค้าเกษตรทั้งการช่วยเหลือระยะสั้นและการปรับตัวระยะยาวบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มุ่งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโครงสร้างพื้นฐานต่างๆที่ช่วยลดต้นทุนและการเข้าถึงตลาดโดยมีโครงการสําคัญประกอบด้วยโครงการรถไฟความเร็วสูงโครงการขยายท่าเรือน้ําลึกโครงการสนามบินและเมืองการบินรวมถึงศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยานเป็นต้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พร้อมกล่าวขอบคุณหอการค้าทั่วประเทศที่เข้ามาเป็นส่วนสําคัญที่จะช่วยภาครัฐในการขับเคลื่อนประเทศให้ได้อย่างตรงความต้องการของพื้นที่และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะร่วมมือกันเพื่อพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคงมั่งคั่งยั่งยืน จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้รับมอบสมุดปกขาวรายงานสรุปผลเกี่ยวกับการจัดงานสัมมนาหอการค้าฯ ซึ่งประกอบด้วยประเด็นต่าง ๆ อาทิ ด้านการค้าการลงทุน ด้านการเกษตรและอาหาร ด้านการท่องเที่ยวและบริการ การร่วมมือกับภาครัฐในการจัดทําแผนงานต่าง ๆ เช่น การทํายุทธศาสตร์จังหวัดร่วมกับกระทรวงมหาดไทยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคมEEC, SEZ, Big Rock Projects การอํานวยความสะดวกในการดําเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) เป็นต้น พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับการจัดงานฯ ก่อนเดินทางกลับ _____________ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำหอการค้าทั่วประเทศเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ พร้อมขอให้ร่วมมือกันนำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2561 นายกรัฐมนตรี ย้ําหอการค้าทั่วประเทศเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศ พร้อมขอให้ร่วมมือกันนําพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน นายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเอกชน ผ่านมาตรการทั้งระยะสั้นระยะยาว ย้ําหอการค้าทั่วประเทศเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศ พร้อมขอให้ร่วมมือกันนําพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน วันนี้(2ธ.ค.61)เวลา09.30น. ณห้องEH 105ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค(BITEC)กรุงเทพฯพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง“การปฏิรูปประเทศสู่ไทยมั่งคั่งไทยมั่นคงไทยยั่งยืน”ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้ง36จัดขึ้นระหว่างวันที่1 - 2ธันวาคม2561ภายใต้แนวคิด “ 85ปีแห่งความทุ่มเทให้ไทยเท่ไทยเท่าเทียมไทยยั้งยืน”เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลอง85ปีหอการค้าไทยในปีพ.ศ. 2561เพื่อให้ผู้ร่วมสัมมนาฯได้รับทราบนโยบายและนําไปใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันซึ่งในงานสัมมนาฯมีการระดมความคิดและข้อเสนอแนะแนวทางการขับเคลื่อนทางด้านการค้าและการลงทุนด้านเกษตรและอาหารและด้านท่องเที่ยวและบริการโดยมีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยคณะกรรมการห้อการค้าไทยผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดผู้แทนหอการค้าไทยประจําจังหวัดทุกจังหวัดภาคีเครือข่ายหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลขนจํานวนประมาณ2,000คน โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวตอนหนึ่งของการปาฐกถาพิเศษเรื่อง“การปฏิรูปประเทศสู่ไทยมั่งคั่งไทยมั่นคงไทยยั่งยืน”ว่า หอการค้าไทยทั่วประเทศถือเป็นกลไกและมีบทบาทที่สําคัญยิ่งในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะการมีส่วนสําคัญในการทําให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งเกิดจากการดําเนินงานที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ไปจนถึงปลายทาง คือ ผู้ผลิต การแปรรูป การใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และสินค้า การบริหารจัดการด้านการตลาดและจําหน่ายยังผู้บริโภค เป็นต้น ซึ่งวันนี้หอการค้าฯ มีบทบาทสําคัญในการที่จะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ “ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ตามวิสัยทัศน์ประเทศไทยที่กําหนดไว้ในการที่จะทําให้ประเทศไทยหลุดพ้นกับดักความยากจนและประเทศรายได้ปานกลางให้ได้ ภายใน 20 ปี ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่รัฐบาลได้กําหนดและวางแผนไว้สําหรับเด็ก เยาวชนและประชาชนรุ่นต่อไปในอนาคต พร้อมกล่าวว่าประเทศไทยได้มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยเป็นประเทศมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและแรงงานที่หลากหลายทําให้มีเกษตรกรรม การท่องเที่ยวและการบริการเป็นพื้นฐานสําคัญ ในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางไปให้ได้ โดยขอให้ทุกคนช่วยกันรักษาศักยภาพในเรื่องเหล่านี้ให้คงอยู่ตลอดไป โดยเฉพาะการบริการที่ดี และมีอัธยาศัยไมตรีรอยยิ้มที่แสดงถึงความจริงใจของคนไทย รวมถึงอาหารที่มีรสชาติอร่อย มีคุณภาพและราคาถูก และขอให้นําศักยภาพดังกล่าวไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทางด้านการค้าและการลงทุนด้วย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวฝากให้ทุกคนมีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องของการค้า เทคโนโลยีดิจิทัล ภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร โดยเฉพาะภาคการเกษตรซึ่งปัจจุบันแรงงานภาคการเกษตรได้มีการลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยบุคลากรและคนรุ่นใหม่หันไปประกอบอาชีพอื่นแทนที่มีรายได้สูงกว่า จึงฝากให้ทุกคนช่วยกันคิดหาวิธีหรือแนวทางในการพัฒนาเพื่อรักษาเกษตรกรรมให้คงอยู่เป็นพื้นฐานสําคัญของประเทศและให้มีผลผลิตที่มีคุณภาพสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยเฉพาะการทําเกษตรไบโอ หรือ BCG ซึ่งรัฐบาลกําลังดําเนินการอยู่ รวมไปถึงการทําให้ประชาชนหรือเกษตรกรซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของประเทศให้มีรายได้ที่ดีขึ้น อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการปฏิรูปว่าจะเกิดขึ้นอย่างบูรณาการทุกมิติ นอกจากการดําเนินการของรัฐบาลแล้ว ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วม โดยรัฐบาลเป็นผู้อํานวยความสะดวกในเรื่องต่าง ๆ เช่น การแก้ไขกฎระเบียบ ข้อบังคับ เพื่อให้การทํางานเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลได้มีการดําเนินการปลดล็อคในหลายเรื่อง ทั้งการค้าในประเทศและต่างประเทศ การดําเนินการในเรื่องการอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ให้มีความสะดวกรวดเร็วขึ้น รวมถึงการพัฒนาและเตรียมความพร้อมคนทุกกลุ่มในประเทศทั้ง 1.0 2.0 และ 3.0 ให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หรือ การไปสู่ 4.0 ตลอดจนการเตรียมพร้อมประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอนาคต ขณะเดียวกันทุกภาคส่วนต้องสร้างการมีส่วนร่วมให้มากขึ้น เพื่อรองรับการสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้านการผลิตพื้นฐานของประเทศ และสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้มากขึ้น มั่นคงและยั่งยืน โดยให้ “ทําน้อยได้มากขึ้น” จากเดิมที่ทํามากแต่ได้น้อย เป็นต้น นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่าการปฏิรูปเพื่อสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนและมีรายได้ที่มั่นคงต้องดําเนินการให้ครอบคลุมในทุกขั้นตอนตั้งแต่การวางแผนการลงทุนการผลิตการแปรรูปการตลาดและการจําหน่ายที่รวมถึงการค้าขายกับต่างประเทศซึ่งในห่วงโซ่เหล่านี้การค้าการลงทุนและการตลาดถือเป็นข้อต่อและช่องทางสําคัญในการสร้างและกระจายรายได้ให้กับประชาชนและประเทศในภาพรวมหอการค้าทั่วประเทศจึงมีความสําคัญที่จะเป็นกลไกในการเชื่อมต่อระหว่างการปฏิรูปจากภาครัฐและการพัฒนาพื้นที่ต่างๆให้สอดรับกัน ขณะที่ภาครัฐก็พร้อมที่จะสนับสนุนเอกชนผ่านมาตรการทั้งระยะสั้นระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาเชิงโครงสร้างสะท้อนจากการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ20ปีและแผนปฏิรูปประเทศที่ให้ความสําคัญกับการสร้างรากฐานการพัฒนาในระยะยาวเพื่อขับเคลื่อนประเทศทั้งนี้ในส่วนของภาครัฐได้เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากผ่านนโยบายการช่วยเหลือสินค้าเกษตรทั้งการช่วยเหลือระยะสั้นและการปรับตัวระยะยาวบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มุ่งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโครงสร้างพื้นฐานต่างๆที่ช่วยลดต้นทุนและการเข้าถึงตลาดโดยมีโครงการสําคัญประกอบด้วยโครงการรถไฟความเร็วสูงโครงการขยายท่าเรือน้ําลึกโครงการสนามบินและเมืองการบินรวมถึงศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยานเป็นต้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พร้อมกล่าวขอบคุณหอการค้าทั่วประเทศที่เข้ามาเป็นส่วนสําคัญที่จะช่วยภาครัฐในการขับเคลื่อนประเทศให้ได้อย่างตรงความต้องการของพื้นที่และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะร่วมมือกันเพื่อพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคงมั่งคั่งยั่งยืน จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้รับมอบสมุดปกขาวรายงานสรุปผลเกี่ยวกับการจัดงานสัมมนาหอการค้าฯ ซึ่งประกอบด้วยประเด็นต่าง ๆ อาทิ ด้านการค้าการลงทุน ด้านการเกษตรและอาหาร ด้านการท่องเที่ยวและบริการ การร่วมมือกับภาครัฐในการจัดทําแผนงานต่าง ๆ เช่น การทํายุทธศาสตร์จังหวัดร่วมกับกระทรวงมหาดไทยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคมEEC, SEZ, Big Rock Projects การอํานวยความสะดวกในการดําเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) เป็นต้น พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับการจัดงานฯ ก่อนเดินทางกลับ _____________ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17256
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ หนุน แคท ทีโอที ร่วมประมูล 5G เร่งสร้างโครงข่ายเทคโนโลยี 5G เป็นกลไกรองรับการลงทุน
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ หนุน แคท ทีโอที ร่วมประมูล 5G เร่งสร้างโครงข่ายเทคโนโลยี 5G เป็นกลไกรองรับการลงทุน กระทรวงดิจิทัลฯ หนุน แคท ทีโอที ร่วมประมูล 5G เร่งสร้างโครงข่ายเทคโนโลยี 5G เป็นกลไกรองรับการลงทุน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส มีนโยบายที่มุ่งเน้นให้สองหน่วยงานภายใต้สังกัด คือ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด(มหาชน) ต้องเข้าร่วมประมูลโครงข่าย 5G ที่สํานักงาน กสทช. จะนําออกประมูล ส่งเสริมการใช้ประโยชน์คลื่นความถี่อันเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประโยชน์สาธารณะ สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ก่อให้เกิดผลดีต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับวิวัฒนาการของโลก โดยรัฐวิสาหกิจเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีบทบาทในการสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ เจตนารมณ์ในการที่จะให้ทั้ง ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม เข้าร่วมประมูล 5G ด้วยนั้น เพราะการสื่อสารผ่านโครงข่ายดิจิทัล ถือว่าเป็นสิ่งที่จําเป็นอย่างมากสําหรับประชาชนในทุกวันนี้ จึงต้องมีกลไกในการแข่งขันทางธุรกิจ สร้างสมดุลไม่ให้มีราคาแพงเกินไป โดยต้องเป็นการมุ่งเน้นเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก การประมูลโครงข่ายเทคโนโลยี 5G คือประตูสู่การมีเทคโนโลยี 5G ของประเทศไทย ยิ่งประมูลได้เร็ว ก็เท่ากับว่าสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ เป็นปัจจัยสําคัญที่ช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และเพิ่มการจ้างงาน ให้ทันกับผลจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งจะทําให้บริษัทยักษ์ใหญ่ 190 บริษัทย้ายฐานออกจากประเทศจีนไปยังประเทศใหม่ ประเทศไทยจึงต้องพร้อมมีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีอย่าง 5G รองรับการลงทุนนี้ ไม่ให้ฐานการลงทุนย้ายไปเป็นประเทศอื่น *****************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ หนุน แคท ทีโอที ร่วมประมูล 5G เร่งสร้างโครงข่ายเทคโนโลยี 5G เป็นกลไกรองรับการลงทุน วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ หนุน แคท ทีโอที ร่วมประมูล 5G เร่งสร้างโครงข่ายเทคโนโลยี 5G เป็นกลไกรองรับการลงทุน กระทรวงดิจิทัลฯ หนุน แคท ทีโอที ร่วมประมูล 5G เร่งสร้างโครงข่ายเทคโนโลยี 5G เป็นกลไกรองรับการลงทุน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส มีนโยบายที่มุ่งเน้นให้สองหน่วยงานภายใต้สังกัด คือ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด(มหาชน) ต้องเข้าร่วมประมูลโครงข่าย 5G ที่สํานักงาน กสทช. จะนําออกประมูล ส่งเสริมการใช้ประโยชน์คลื่นความถี่อันเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประโยชน์สาธารณะ สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ก่อให้เกิดผลดีต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับวิวัฒนาการของโลก โดยรัฐวิสาหกิจเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีบทบาทในการสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ เจตนารมณ์ในการที่จะให้ทั้ง ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม เข้าร่วมประมูล 5G ด้วยนั้น เพราะการสื่อสารผ่านโครงข่ายดิจิทัล ถือว่าเป็นสิ่งที่จําเป็นอย่างมากสําหรับประชาชนในทุกวันนี้ จึงต้องมีกลไกในการแข่งขันทางธุรกิจ สร้างสมดุลไม่ให้มีราคาแพงเกินไป โดยต้องเป็นการมุ่งเน้นเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก การประมูลโครงข่ายเทคโนโลยี 5G คือประตูสู่การมีเทคโนโลยี 5G ของประเทศไทย ยิ่งประมูลได้เร็ว ก็เท่ากับว่าสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ เป็นปัจจัยสําคัญที่ช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และเพิ่มการจ้างงาน ให้ทันกับผลจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งจะทําให้บริษัทยักษ์ใหญ่ 190 บริษัทย้ายฐานออกจากประเทศจีนไปยังประเทศใหม่ ประเทศไทยจึงต้องพร้อมมีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีอย่าง 5G รองรับการลงทุนนี้ ไม่ให้ฐานการลงทุนย้ายไปเป็นประเทศอื่น *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25886
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานและมอบนโยบายในการอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับโครงการได้รับทุนเชิงยุทธศาสตร์
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2562 นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานและมอบนโยบายในการอบรมเชิงปฏิบัติการสําหรับโครงการได้รับทุนเชิงยุทธศาสตร์ นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานและมอบนโยบายในการอบรมเชิงปฏิบัติการสําหรับโครงการได้รับทุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Grants ) ประจําปี ๒๕๖๒ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานและมอบนโยบายในการอบรมเชิงปฏิบัติการสําหรับโครงการได้รับทุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Grants )ประจําปี ๒๕๖๒ โดยมีนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ผู้อํานวยการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้บริหาร และผู้ได้รับทุนเข้าร่วม ณ โรงแรมปริ๊นท์พาเลซ (โบ๊เบ๊ทาวเวอร์) กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานและมอบนโยบายในการอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับโครงการได้รับทุนเชิงยุทธศาสตร์ วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2562 นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานและมอบนโยบายในการอบรมเชิงปฏิบัติการสําหรับโครงการได้รับทุนเชิงยุทธศาสตร์ นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานและมอบนโยบายในการอบรมเชิงปฏิบัติการสําหรับโครงการได้รับทุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Grants ) ประจําปี ๒๕๖๒ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงานและมอบนโยบายในการอบรมเชิงปฏิบัติการสําหรับโครงการได้รับทุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Grants )ประจําปี ๒๕๖๒ โดยมีนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ผู้อํานวยการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้บริหาร และผู้ได้รับทุนเข้าร่วม ณ โรงแรมปริ๊นท์พาเลซ (โบ๊เบ๊ทาวเวอร์) กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24851
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ นำทีม พม. เยี่ยมเยือนประชาชนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานกระทรวง พม. ในพื้นที่ จ.ยะลา
วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2561 พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ นําทีม พม. เยี่ยมเยือนประชาชนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมติดตามการดําเนินงานของหน่วยงานกระทรวง พม. ในพื้นที่ จ.ยะลา พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ นําทีม พม. เยี่ยมเยือนประชาชนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมติดตามการดําเนินงานของตําบลต้นแบบบูรณาการไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง และชมต้นแบบเมืองแห่งความเป็นมิตรกับผู้สูงอายุและคนทุกช่วงวัย ณ จังหวัดลําพูน วันนี้ (20 มิ.ย.61) เวลา 09.00 น.พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วย พลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ผช.รมว.พม.) นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่พบปะเยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของตําบลต้นแบบบูรณาการ ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนงานเพื่อคนทุกกลุ่มวัยของตําบลศรีเตี้ย โรงเรียนผู้สูงอายุตําบลศรีเตี้ย ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ สภาเด็กและเยาวชน ศูนย์พัฒนาครอบครัว สตรี และคนพิการ ณ เทศบาลตําบลศรีเตี้ย อําเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลําพูน และเดินทางไปเยี่ยมชมต้นแบบเมืองแห่งความเป็นมิตรกับผู้สูงอายุและคนทุกช่วงวัย ณ วัดดอยหลังถ้ํา อําเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลําพูน นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่เทศบาลตําบลอุโมงค์ อําเภอเมือง จังหวัดลําพูน เพื่อเยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนพิการ ซึ่งสนับสนุนการจัดการดูแลผู้สูงอายุ และคนพิการระยะยาว : long term care รวมทั้งชมนวัตกรรมจัดระบบสวัสดิการสังคมและสุขภาพการรองรับสังคมผู้สูงอายุ อาสาปันสุข โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลําพูน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ ประเทศไทยกําลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในปี 2564 จะเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสมบูรณ์ (มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินร้อยละ 20) และคาดว่าในปี 2574 จะเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 28) ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญกับการดําเนินงานรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยมีแผนการขับเคลื่อนงานรองรับสังคมผู้สูงอายุ มีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฯ และแผนผู้สูงอายุแห่งชาติเป็นแผนระยะยาวในการกําหนดทิศทางการทํางานด้านผู้สูงอายุของประเทศ รวมถึงการดําเนินงานภายใต้กรอบแนวคิดขององค์การอนามัยโลก (WHO) เรื่องเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุที่มุ่งเน้นให้ผู้สูงอายุเข้าถึงระบบบริการ การมีส่วนร่วมในสังคมและการได้รับความปลอดภัย เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สําหรับจังหวัดลําพูน มีประชากรจํานวนทั้งสิ้น 403,566 คน แบ่งเป็นชาย จํานวน 194,859 คน และหญิง จํานวน 208,707 คน จากจํานวนประชากรทั้งหมดพบว่าเป็นผู้สูงอายุจํานวน 87,451 คน และในจํานวนนี้เป็นผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ 35,289 คน ซึ่งนับเป็นจังหวัดที่มีผู้สูงอายุจํานวนมากเป็นลําดับที่ 2 ของประเทศ ทําให้จังหวัดลําพูนเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ จังหวัดลําพูนมีการดําเนินงานเพื่อการรองรับสังคมผู้สูงอายุอย่างครอบคลุมในทุกมิติ โดยบูรณาการงานด้านผู้สูงอายุร่วมกับหน่วยงานเครือข่าย เพื่อให้เกิดเมืองที่เป็นมิตรสําหรับผู้สูงอายุ คือ มีการนําข้อมูลมาวางแผนงาน เพื่อการจัดบริการสวัสดิการชุมชน ส่งเสริมการรวมกลุ่มในการทํากิจกรรมการสร้างอาชีพสร้างรายได้ในศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) รวมถึงพัฒนาสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมปลอดภัยสําหรับผู้สูงอายุและทุกกลุ่มวัยในชุมชน การลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการพบปะเยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งเยี่ยมชมต้นแบบการทํางาน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกช่วงวัย ภายใต้วิสัยทัศน์ของจังหวัดลําพูน ที่ว่า "เมืองแห่งความสุข บนความพอเพียง” โดยในช่วงเช้าเป็นการลงพื้นที่เทศบาลตําบลศรีเตี้ย อําเภอบ้านโฮ่ง ซึ่งจากข้อมูลความจําเป็นพื้นฐานของจังหวัดลําพูน พ.ศ. 2561 อําเภอบ้านโฮ่งเป็นอําเภอที่มีระดับของความสุขเฉลี่ยของคนในครัวเรือนมากที่สุดในจังหวัดลําพูน ซึ่งมีการดําเนินงาน "ตําบลต้นแบบบูรณาการไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ของเทศบาลตําบลศรีเตี้ย จากนั้นได้เยี่ยมชม"ต้นแบบเมืองแห่งความเป็นมิตรกับผู้สูงอายุและคนทุกช่วงวัย” ณ วัดดอยหลังถ้ํา นอกจากนี้ ยังได้ไปเยี่ยมบ้านของผู้สูงอายุและคนพิการที่เป็นต้นแบบบ้านปรับสภาพที่อยู่อาศัยในชุมชน ซึ่งเป็นครอบครัวผู้สูงอายุที่มีความพิการ ประกอบด้วยสามีอายุ 81 ปี พิการทางการมองเห็น และภรรยาอายุ 78 ปี พิการทางการเคลื่อนไหว มีรายได้เลี้ยงดูตนเองจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ครอบครัวมีฐานะยากจน โดยกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จึงร่วมกันปรับสภาพที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจําวันของผู้สูงอายุและคนพิการ ในโอกาสนี้ ได้ให้กําลังใจครอบครัวดังกล่าว พร้อมทั้งมอบชุดนวัตกรรมอาหารสําหรับผู้สูงอายุ สําหรับช่วงบ่าย ได้ลงพื้นที่ตําบลอุโมงค์ อําเภอเมืองลําพูน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการดําเนินการตามวิสัยทัศน์การพัฒนาเทศบาลตําบลอุโมงค์ที่ว่า "อุโมงค์เมืองของคนสุขภาพดี ทุกภาคีมีส่วนร่วม ศูนย์รวมแห่งภูมิปัญญา” โดยได้เยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนพิการ ซึ่งสนับสนุนการจัดการดูแลผู้สูงอายุ และคนพิการระยะยาว : long term care รวมทั้งชมนวัตกรรมจัดระบบสวัสดิการสังคมและสุขภาพการรองรับสังคมผู้สูงอายุอาสาปันสุข และการถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญา (คลังปัญญาผู้สูงอายุ) และการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุแบบบูรณาการ อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่ครั้งนี้ ขอขอบคุณและชื่นชมหน่วยงานทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อนงาน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุให้สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ นำทีม พม. เยี่ยมเยือนประชาชนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานกระทรวง พม. ในพื้นที่ จ.ยะลา วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2561 พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ นําทีม พม. เยี่ยมเยือนประชาชนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมติดตามการดําเนินงานของหน่วยงานกระทรวง พม. ในพื้นที่ จ.ยะลา พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ นําทีม พม. เยี่ยมเยือนประชาชนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมติดตามการดําเนินงานของตําบลต้นแบบบูรณาการไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง และชมต้นแบบเมืองแห่งความเป็นมิตรกับผู้สูงอายุและคนทุกช่วงวัย ณ จังหวัดลําพูน วันนี้ (20 มิ.ย.61) เวลา 09.00 น.พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วย พลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ผช.รมว.พม.) นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่พบปะเยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของตําบลต้นแบบบูรณาการ ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนงานเพื่อคนทุกกลุ่มวัยของตําบลศรีเตี้ย โรงเรียนผู้สูงอายุตําบลศรีเตี้ย ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ สภาเด็กและเยาวชน ศูนย์พัฒนาครอบครัว สตรี และคนพิการ ณ เทศบาลตําบลศรีเตี้ย อําเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลําพูน และเดินทางไปเยี่ยมชมต้นแบบเมืองแห่งความเป็นมิตรกับผู้สูงอายุและคนทุกช่วงวัย ณ วัดดอยหลังถ้ํา อําเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลําพูน นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่เทศบาลตําบลอุโมงค์ อําเภอเมือง จังหวัดลําพูน เพื่อเยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนพิการ ซึ่งสนับสนุนการจัดการดูแลผู้สูงอายุ และคนพิการระยะยาว : long term care รวมทั้งชมนวัตกรรมจัดระบบสวัสดิการสังคมและสุขภาพการรองรับสังคมผู้สูงอายุ อาสาปันสุข โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลําพูน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ ประเทศไทยกําลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในปี 2564 จะเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสมบูรณ์ (มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินร้อยละ 20) และคาดว่าในปี 2574 จะเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 28) ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญกับการดําเนินงานรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยมีแผนการขับเคลื่อนงานรองรับสังคมผู้สูงอายุ มีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฯ และแผนผู้สูงอายุแห่งชาติเป็นแผนระยะยาวในการกําหนดทิศทางการทํางานด้านผู้สูงอายุของประเทศ รวมถึงการดําเนินงานภายใต้กรอบแนวคิดขององค์การอนามัยโลก (WHO) เรื่องเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุที่มุ่งเน้นให้ผู้สูงอายุเข้าถึงระบบบริการ การมีส่วนร่วมในสังคมและการได้รับความปลอดภัย เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สําหรับจังหวัดลําพูน มีประชากรจํานวนทั้งสิ้น 403,566 คน แบ่งเป็นชาย จํานวน 194,859 คน และหญิง จํานวน 208,707 คน จากจํานวนประชากรทั้งหมดพบว่าเป็นผู้สูงอายุจํานวน 87,451 คน และในจํานวนนี้เป็นผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ 35,289 คน ซึ่งนับเป็นจังหวัดที่มีผู้สูงอายุจํานวนมากเป็นลําดับที่ 2 ของประเทศ ทําให้จังหวัดลําพูนเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ จังหวัดลําพูนมีการดําเนินงานเพื่อการรองรับสังคมผู้สูงอายุอย่างครอบคลุมในทุกมิติ โดยบูรณาการงานด้านผู้สูงอายุร่วมกับหน่วยงานเครือข่าย เพื่อให้เกิดเมืองที่เป็นมิตรสําหรับผู้สูงอายุ คือ มีการนําข้อมูลมาวางแผนงาน เพื่อการจัดบริการสวัสดิการชุมชน ส่งเสริมการรวมกลุ่มในการทํากิจกรรมการสร้างอาชีพสร้างรายได้ในศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) รวมถึงพัฒนาสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมปลอดภัยสําหรับผู้สูงอายุและทุกกลุ่มวัยในชุมชน การลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการพบปะเยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งเยี่ยมชมต้นแบบการทํางาน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกช่วงวัย ภายใต้วิสัยทัศน์ของจังหวัดลําพูน ที่ว่า "เมืองแห่งความสุข บนความพอเพียง” โดยในช่วงเช้าเป็นการลงพื้นที่เทศบาลตําบลศรีเตี้ย อําเภอบ้านโฮ่ง ซึ่งจากข้อมูลความจําเป็นพื้นฐานของจังหวัดลําพูน พ.ศ. 2561 อําเภอบ้านโฮ่งเป็นอําเภอที่มีระดับของความสุขเฉลี่ยของคนในครัวเรือนมากที่สุดในจังหวัดลําพูน ซึ่งมีการดําเนินงาน "ตําบลต้นแบบบูรณาการไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ของเทศบาลตําบลศรีเตี้ย จากนั้นได้เยี่ยมชม"ต้นแบบเมืองแห่งความเป็นมิตรกับผู้สูงอายุและคนทุกช่วงวัย” ณ วัดดอยหลังถ้ํา นอกจากนี้ ยังได้ไปเยี่ยมบ้านของผู้สูงอายุและคนพิการที่เป็นต้นแบบบ้านปรับสภาพที่อยู่อาศัยในชุมชน ซึ่งเป็นครอบครัวผู้สูงอายุที่มีความพิการ ประกอบด้วยสามีอายุ 81 ปี พิการทางการมองเห็น และภรรยาอายุ 78 ปี พิการทางการเคลื่อนไหว มีรายได้เลี้ยงดูตนเองจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ครอบครัวมีฐานะยากจน โดยกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จึงร่วมกันปรับสภาพที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจําวันของผู้สูงอายุและคนพิการ ในโอกาสนี้ ได้ให้กําลังใจครอบครัวดังกล่าว พร้อมทั้งมอบชุดนวัตกรรมอาหารสําหรับผู้สูงอายุ สําหรับช่วงบ่าย ได้ลงพื้นที่ตําบลอุโมงค์ อําเภอเมืองลําพูน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการดําเนินการตามวิสัยทัศน์การพัฒนาเทศบาลตําบลอุโมงค์ที่ว่า "อุโมงค์เมืองของคนสุขภาพดี ทุกภาคีมีส่วนร่วม ศูนย์รวมแห่งภูมิปัญญา” โดยได้เยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนพิการ ซึ่งสนับสนุนการจัดการดูแลผู้สูงอายุ และคนพิการระยะยาว : long term care รวมทั้งชมนวัตกรรมจัดระบบสวัสดิการสังคมและสุขภาพการรองรับสังคมผู้สูงอายุอาสาปันสุข และการถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญา (คลังปัญญาผู้สูงอายุ) และการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุแบบบูรณาการ อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่ครั้งนี้ ขอขอบคุณและชื่นชมหน่วยงานทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อนงาน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุให้สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13209
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หารือกับสภา กศ.เอกชน
วันพุธที่ 28 มีนาคม 2561 หารือกับสภา กศ.เอกชน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังให้การต้อนรับและหารือการจัดการศึกษาเอกชนร่วมกับ ดร.จิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ ประธานสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย และคณะ ที่ห้องประชุมจันทรเกษม รมว.ศธ.ฝากทุกฝ่ายช่วยเรื่อง “การข่าว” เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นตรวจสอบทุจริต หวังสร้างความโปร่งใสให้ประเทศ เมื่อวันจันทร์ที่ 26 มีนาคม 2561 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังให้การต้อนรับและหารือการจัดการศึกษาเอกชนร่วมกับ ดร.จิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ ประธานสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย และคณะ ที่ห้องประชุมจันทรเกษม รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการทุจริตมาก พร้อมมีบทลงโทษทางวินัยกรณีเกิดการกระทําผิด เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดขึ้นอีก สิ่งสําคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นของการตรวจสอบต่าง ๆ ก็คือ “การข่าว” ที่จะขอให้หลาย ๆ ฝ่ายช่วยกันแจ้งเข้ามา เช่นเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีให้ประชาชนช่วยแจ้งข่าวมายังส่วนกลาง เพราะประเทศเราจะโปร่งใสได้ทุกคนต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่งานของกระทรวงที่จะปราบได้หมดจดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีขั้นตอนการปรามและการนําเหตุการณ์ต่าง ๆ มาเป็นบทเรียนด้วย ดังเช่นการหารือกับสภาการศึกษาเอกชนฯ ในครั้งนี้ ทําให้ได้การข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานในหลายเรื่อง อาทิ กรณีการแจ้งรายชื่อนักเรียนล่องหนหรือนักเรียนผี เพื่อขอรับเงินอุดหนุนรายหัวจากสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เป็นต้น นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หารือกับสภา กศ.เอกชน วันพุธที่ 28 มีนาคม 2561 หารือกับสภา กศ.เอกชน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังให้การต้อนรับและหารือการจัดการศึกษาเอกชนร่วมกับ ดร.จิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ ประธานสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย และคณะ ที่ห้องประชุมจันทรเกษม รมว.ศธ.ฝากทุกฝ่ายช่วยเรื่อง “การข่าว” เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นตรวจสอบทุจริต หวังสร้างความโปร่งใสให้ประเทศ เมื่อวันจันทร์ที่ 26 มีนาคม 2561 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังให้การต้อนรับและหารือการจัดการศึกษาเอกชนร่วมกับ ดร.จิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ ประธานสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย และคณะ ที่ห้องประชุมจันทรเกษม รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการทุจริตมาก พร้อมมีบทลงโทษทางวินัยกรณีเกิดการกระทําผิด เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดขึ้นอีก สิ่งสําคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นของการตรวจสอบต่าง ๆ ก็คือ “การข่าว” ที่จะขอให้หลาย ๆ ฝ่ายช่วยกันแจ้งเข้ามา เช่นเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีให้ประชาชนช่วยแจ้งข่าวมายังส่วนกลาง เพราะประเทศเราจะโปร่งใสได้ทุกคนต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่งานของกระทรวงที่จะปราบได้หมดจดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีขั้นตอนการปรามและการนําเหตุการณ์ต่าง ๆ มาเป็นบทเรียนด้วย ดังเช่นการหารือกับสภาการศึกษาเอกชนฯ ในครั้งนี้ ทําให้ได้การข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อการดําเนินงานในหลายเรื่อง อาทิ กรณีการแจ้งรายชื่อนักเรียนล่องหนหรือนักเรียนผี เพื่อขอรับเงินอุดหนุนรายหัวจากสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เป็นต้น นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11117
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.สั่งปรับแผนงบกระทรวง เรียนออนไลน์ งดเก็บค่าเทอม ปวส. [กระทรวงศึกษาธิการ]
วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 ศธ.สั่งปรับแผนงบกระทรวง เรียนออนไลน์ งดเก็บค่าเทอม ปวส. [กระทรวงศึกษาธิการ] ศธ.สั่งปรับแผนงบกระทรวง เรียนออนไลน์ งดเก็บค่าเทอม ปวส. (29 มีนาคม 2563 : ข่าวเช้าวันหยุด ช่อง 33HD) กระทรวงศึกษาธิการ สั่งปรับแผนงบกระทรวง เตรียมแผนการเรียนออนไลน์ พร้อมเตรียมเสนอ ครม. งดเก็บค่าเทอมระดับ ปวส. ทั้งของรัฐและเอกชน นายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายให้ทุกหน่วยงานปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณปี 2563 เพื่อนําไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทั่วไปที่กําลังตกงาน ผู้ที่เป็นแรงงานอิสระ หรือแรงงานที่กําลังเข้าสู่ระบบหรือเด็กอาชีวะจบใหม่และจัดหาครูเสริมความรู้ ฝึกอาชีพ ด้วยการเรียน Digital Skill เพิ่มทักษะออนไลน์ และ การใช้ภาษาอังกฤษ ตามแนวทางที่ ศธ.กําหนดไว้ ตั้งแต่ต้น เพื่อใช้ได้จริง พร้อมทั้งศึกษาแนวทางการเรียนออนไลน์ให้กับนักเรียนก่อนเปิดภาคเรียน รวมทั้งนโยบาย Work From Home เน้น Social Distancing หรือระยะห่างทางสังคม และเตรียมเสนอ ครม.ให้งดเว้นไม่เก็บค่าหน่วยกิตการเรียนระดับ ปวส. ทั้งของรัฐและเอกชนกว่า 350,000 คน เริ่มตั้งแต่ปีการศึกษานี้ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดประชุมทีมหารือการสอนออนไลน์แบบ Unplugged Coding ด้วยการเปลี่ยนบ้าน เป็นสถานศึกษาภายในครอบครัวที่เด็กทุกช่วงวัยจะมีความสุขและสาระ ในช่วงวิกฤติโควิด-19 และร่วมจัดรายการเรียนรู้ทักษะด้วย Coding ผ่านทาง Facebook Live ใน “รายการ @จันทรเกษม” เมื่อวันอังคารนี้ที่ผ่านมา นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต้องการให้นักเรียนเอกชนทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาออนไลน์ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นักเรียนสามารถเรียนฟรีที่บ้าน ปลอดภัย และได้ความรู้ โดยจะมีสถาบันการศึกษาเอกชนชั้นนํา 5 แห่งเข้ามาช่วย ตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทั้งการสอนแบบไลฟ์สด และบันทึกเทปการสอน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.สั่งปรับแผนงบกระทรวง เรียนออนไลน์ งดเก็บค่าเทอม ปวส. [กระทรวงศึกษาธิการ] วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 ศธ.สั่งปรับแผนงบกระทรวง เรียนออนไลน์ งดเก็บค่าเทอม ปวส. [กระทรวงศึกษาธิการ] ศธ.สั่งปรับแผนงบกระทรวง เรียนออนไลน์ งดเก็บค่าเทอม ปวส. (29 มีนาคม 2563 : ข่าวเช้าวันหยุด ช่อง 33HD) กระทรวงศึกษาธิการ สั่งปรับแผนงบกระทรวง เตรียมแผนการเรียนออนไลน์ พร้อมเตรียมเสนอ ครม. งดเก็บค่าเทอมระดับ ปวส. ทั้งของรัฐและเอกชน นายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายให้ทุกหน่วยงานปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณปี 2563 เพื่อนําไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทั่วไปที่กําลังตกงาน ผู้ที่เป็นแรงงานอิสระ หรือแรงงานที่กําลังเข้าสู่ระบบหรือเด็กอาชีวะจบใหม่และจัดหาครูเสริมความรู้ ฝึกอาชีพ ด้วยการเรียน Digital Skill เพิ่มทักษะออนไลน์ และ การใช้ภาษาอังกฤษ ตามแนวทางที่ ศธ.กําหนดไว้ ตั้งแต่ต้น เพื่อใช้ได้จริง พร้อมทั้งศึกษาแนวทางการเรียนออนไลน์ให้กับนักเรียนก่อนเปิดภาคเรียน รวมทั้งนโยบาย Work From Home เน้น Social Distancing หรือระยะห่างทางสังคม และเตรียมเสนอ ครม.ให้งดเว้นไม่เก็บค่าหน่วยกิตการเรียนระดับ ปวส. ทั้งของรัฐและเอกชนกว่า 350,000 คน เริ่มตั้งแต่ปีการศึกษานี้ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดประชุมทีมหารือการสอนออนไลน์แบบ Unplugged Coding ด้วยการเปลี่ยนบ้าน เป็นสถานศึกษาภายในครอบครัวที่เด็กทุกช่วงวัยจะมีความสุขและสาระ ในช่วงวิกฤติโควิด-19 และร่วมจัดรายการเรียนรู้ทักษะด้วย Coding ผ่านทาง Facebook Live ใน “รายการ @จันทรเกษม” เมื่อวันอังคารนี้ที่ผ่านมา นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต้องการให้นักเรียนเอกชนทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาออนไลน์ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นักเรียนสามารถเรียนฟรีที่บ้าน ปลอดภัย และได้ความรู้ โดยจะมีสถาบันการศึกษาเอกชนชั้นนํา 5 แห่งเข้ามาช่วย ตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทั้งการสอนแบบไลฟ์สด และบันทึกเทปการสอน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28085
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2561 สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (25 มกราคม 2561) เวลา 16.00 น. ประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและคณะตัวแทนสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียน เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับตัวแทนสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียน (Confederation of ASEAN Journalists - CAJ) ในโอกาสที่เดินทางเยือนประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมการประชุมใหญ่ประจําปีที่จะจัดขึ้น ในวันที่ 26 มกราคม 2561 ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมดังกล่าวจะประสบความสําเร็จตามที่หวังไว้ โดยฝ่ายสมาคมนักข่าวเวียดนาม ในฐานะประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียน ในวาระปี พ.ศ. 2558 – 2560 กล่าวขอบคุณที่รองนายกรัฐมนตรีได้สละเวลาให้เข้าพบในวันนี้ และระบุถึงบทบาทของสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียนที่เป็นกลไกหลักในการผลักดันความร่วมมือของสื่อในภูมิภาค พร้อมทั้งกล่าวถึงความสําคัญของการประชุมใหญ่ที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ว่า จะเป็นเวทีสําคัญสําหรับสมาชิกของสมาพันธ์ฯ ในการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ระหว่างกัน โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีระบุว่า นายกรัฐมนตรีฝากความความปรารถนาดีมายังสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียน และขอให้สมาพันธ์ฯ ทําหน้าที่เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันอย่างเต็มที่เช่นนี้ต่อไป อีกทั้งยังชื่นชมการทํางานของสมาคมนักข่าวเวียดนามตลอดช่วงที่ทําหน้าที่ประธานสมาพันธ์ฯ พร้อมกล่าวยินดีกับสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยที่จะเข้ารับตําแหน่งประธานสมาพันธ์ฯ ในวาระต่อไป นอกจากนี้ ยังเน้นย้ําว่ารัฐบาลไทยยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับสมาพันธ์ฯ อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียน ประกอบด้วย สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าวอินโดนีเซีย สหภาพแรงงานสื่อมวลชนมาเลเซีย สมาคมนักข่าวฟิลิปปินส์ สหภาพแรงงานสื่อมวลชนสิงคโปร์ สมาคมนักข่าวเวียดนาม และสมาคมนักหนังสือพิมพ์ลาว โดยในปีนี้ สมาคมนักข่าวกัมพูชาจะเข้าร่วมเป็นมาชิกของสมาพันธ์ฯ รายล่าสุด โดยเป็นเวทีที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการรับรู้และความเข้าใจระหว่างประชาชนในอาเซียน และเป็นสะพานเชื่อมสังคมและวัมนธรรมที่แตกต่างในภูมิภาค พร้อมทั้งยังส่งเสริมสื่อในภูมิภาคให้มีเสรีภาพละความรับผิดชอบ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2561 สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (25 มกราคม 2561) เวลา 16.00 น. ประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและคณะตัวแทนสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียน เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับตัวแทนสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียน (Confederation of ASEAN Journalists - CAJ) ในโอกาสที่เดินทางเยือนประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมการประชุมใหญ่ประจําปีที่จะจัดขึ้น ในวันที่ 26 มกราคม 2561 ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมดังกล่าวจะประสบความสําเร็จตามที่หวังไว้ โดยฝ่ายสมาคมนักข่าวเวียดนาม ในฐานะประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียน ในวาระปี พ.ศ. 2558 – 2560 กล่าวขอบคุณที่รองนายกรัฐมนตรีได้สละเวลาให้เข้าพบในวันนี้ และระบุถึงบทบาทของสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียนที่เป็นกลไกหลักในการผลักดันความร่วมมือของสื่อในภูมิภาค พร้อมทั้งกล่าวถึงความสําคัญของการประชุมใหญ่ที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ว่า จะเป็นเวทีสําคัญสําหรับสมาชิกของสมาพันธ์ฯ ในการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ระหว่างกัน โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีระบุว่า นายกรัฐมนตรีฝากความความปรารถนาดีมายังสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียน และขอให้สมาพันธ์ฯ ทําหน้าที่เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันอย่างเต็มที่เช่นนี้ต่อไป อีกทั้งยังชื่นชมการทํางานของสมาคมนักข่าวเวียดนามตลอดช่วงที่ทําหน้าที่ประธานสมาพันธ์ฯ พร้อมกล่าวยินดีกับสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยที่จะเข้ารับตําแหน่งประธานสมาพันธ์ฯ ในวาระต่อไป นอกจากนี้ ยังเน้นย้ําว่ารัฐบาลไทยยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับสมาพันธ์ฯ อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์อาเซียน ประกอบด้วย สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าวอินโดนีเซีย สหภาพแรงงานสื่อมวลชนมาเลเซีย สมาคมนักข่าวฟิลิปปินส์ สหภาพแรงงานสื่อมวลชนสิงคโปร์ สมาคมนักข่าวเวียดนาม และสมาคมนักหนังสือพิมพ์ลาว โดยในปีนี้ สมาคมนักข่าวกัมพูชาจะเข้าร่วมเป็นมาชิกของสมาพันธ์ฯ รายล่าสุด โดยเป็นเวทีที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการรับรู้และความเข้าใจระหว่างประชาชนในอาเซียน และเป็นสะพานเชื่อมสังคมและวัมนธรรมที่แตกต่างในภูมิภาค พร้อมทั้งยังส่งเสริมสื่อในภูมิภาคให้มีเสรีภาพละความรับผิดชอบ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9628
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ สอดรับนโยบายการให้บริการ ภายใต้การประกาศขยายเวลาพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั่วราชอาณาจักร [กระทรวงการคลัง]
วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2563 ไอแบงก์ สอดรับนโยบายการให้บริการ ภายใต้การประกาศขยายเวลาพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั่วราชอาณาจักร [กระทรวงการคลัง] ไอแบงก์ สอดรับนโยบายการให้บริการ ภายใต้การประกาศขยายเวลาพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั่วราชอาณาจักร ! ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลัง สอดรับนโยบายการให้บริการ พร้อมปฏิบัติงานตามแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) อย่างต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคม หลังจากที่รัฐบาลมีการประกาศขยายเวลาพรก.ฉุกเฉิน ทั่วราชอาณาจักร มีผลตั้งแต่วันที่ 1 -31 พฤษภาคม 2563 ซึ่งธนาคารยังคํานึงถึงความปลอดภัยต่อการให้บริการของลูกค้าธนาคารและพนักงานอย่างต่อเนื่อง นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัยกรรมการและผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดเผยว่า เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของภาครัฐในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคไวรัส โควิด-19 คณะอนุกรรมการบริหารจัดการภาวะวิกฤต (Crisis Management Committee : CMC) มีมติให้มีการปฏิบัติงานเพื่อรองรับการดําเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีมาตรการเพิ่มเติมดังนี้ 1. ให้พนักงานสํานักงานใหญ่ปฏิบัติงานตามเวลาปกติ คือ ตั้งแต่เวลา 08.30 -16.30 น. 2. การปฏิบัติงานจากสถานที่อยู่อาศัย (WFH –Work From Home) ดําเนินการต่อไปเฉพาะหน่วยงานที่ไม่มีผลกระทบต่อการให้บริการลูกค้า 3. เนื่องจากในเดือนพฤษภาคม มีวันหยุดยาวต่อเนื่อง เนื่องจากในเดือนพฤษภาคม มีวันหยุดยาวต่อเนื่อง ขอความร่วมมือพนักงานงดหรือชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด หากไม่มีความจําเป็น เพื่อป้องการติดเชื้อและแพร่ระบาดโรคไวรัสโควิด-19 4. การรักษาความสะอาดและปลอดภัยของผู้ใช้บริการในสาขา ยังให้ความสําคัญต่อเนื่องดังนี้ 4.1 กําชับให้ลูกค้าใส่หน้ากากก่อนเข้าใช้บริการ 4.2 ทุก 30 นาที ต้องทําความสะอาด 4.3 พนักงานรักษาความปลอดภัยประจําสาขาของธนาคาร กดเจลล้างมือทําความสะอาดให้ลูกค้าก่อนเข้าใช้บริการ 4.4 สําหรับสาขาที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่น พนักงานต้อนรับจะจัดคิวในการให้บริการ 4.5 จัดให้มีฉากกั้นเพื่อการเว้นระยะห่างทางสังคมระหว่างลูกค้ากับพนักงาน 4.6 หลีกเลี่ยงการทานอาหารเป็นกลุ่ม และหลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะร่วมกัน ด้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ สอดรับนโยบายการให้บริการ ภายใต้การประกาศขยายเวลาพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั่วราชอาณาจักร [กระทรวงการคลัง] วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2563 ไอแบงก์ สอดรับนโยบายการให้บริการ ภายใต้การประกาศขยายเวลาพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั่วราชอาณาจักร [กระทรวงการคลัง] ไอแบงก์ สอดรับนโยบายการให้บริการ ภายใต้การประกาศขยายเวลาพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั่วราชอาณาจักร ! ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลัง สอดรับนโยบายการให้บริการ พร้อมปฏิบัติงานตามแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) อย่างต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคม หลังจากที่รัฐบาลมีการประกาศขยายเวลาพรก.ฉุกเฉิน ทั่วราชอาณาจักร มีผลตั้งแต่วันที่ 1 -31 พฤษภาคม 2563 ซึ่งธนาคารยังคํานึงถึงความปลอดภัยต่อการให้บริการของลูกค้าธนาคารและพนักงานอย่างต่อเนื่อง นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัยกรรมการและผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดเผยว่า เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของภาครัฐในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคไวรัส โควิด-19 คณะอนุกรรมการบริหารจัดการภาวะวิกฤต (Crisis Management Committee : CMC) มีมติให้มีการปฏิบัติงานเพื่อรองรับการดําเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีมาตรการเพิ่มเติมดังนี้ 1. ให้พนักงานสํานักงานใหญ่ปฏิบัติงานตามเวลาปกติ คือ ตั้งแต่เวลา 08.30 -16.30 น. 2. การปฏิบัติงานจากสถานที่อยู่อาศัย (WFH –Work From Home) ดําเนินการต่อไปเฉพาะหน่วยงานที่ไม่มีผลกระทบต่อการให้บริการลูกค้า 3. เนื่องจากในเดือนพฤษภาคม มีวันหยุดยาวต่อเนื่อง เนื่องจากในเดือนพฤษภาคม มีวันหยุดยาวต่อเนื่อง ขอความร่วมมือพนักงานงดหรือชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด หากไม่มีความจําเป็น เพื่อป้องการติดเชื้อและแพร่ระบาดโรคไวรัสโควิด-19 4. การรักษาความสะอาดและปลอดภัยของผู้ใช้บริการในสาขา ยังให้ความสําคัญต่อเนื่องดังนี้ 4.1 กําชับให้ลูกค้าใส่หน้ากากก่อนเข้าใช้บริการ 4.2 ทุก 30 นาที ต้องทําความสะอาด 4.3 พนักงานรักษาความปลอดภัยประจําสาขาของธนาคาร กดเจลล้างมือทําความสะอาดให้ลูกค้าก่อนเข้าใช้บริการ 4.4 สําหรับสาขาที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่น พนักงานต้อนรับจะจัดคิวในการให้บริการ 4.5 จัดให้มีฉากกั้นเพื่อการเว้นระยะห่างทางสังคมระหว่างลูกค้ากับพนักงาน 4.6 หลีกเลี่ยงการทานอาหารเป็นกลุ่ม และหลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะร่วมกัน ด้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30133
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งช่วยเหลือเด็กชายที่ถูกผู้เป็นแม่แท้ๆ ทำร้ายร่างกายที่จังหวัดระยอง พร้อมทั้งช่วยเหลือครอบครัวเด็กหญิงที่ก่อเหตุลักทรัพย์แล้วถูกทำร้ายร่างกาย ที่จังหวัดปัตตานี
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 พม. เร่งช่วยเหลือเด็กชายที่ถูกผู้เป็นแม่แท้ๆ ทําร้ายร่างกายที่จังหวัดระยอง พร้อมทั้งช่วยเหลือครอบครัวเด็กหญิงที่ก่อเหตุลักทรัพย์แล้วถูกทําร้ายร่างกาย ที่จังหวัดปัตตานี พม. เร่งช่วยเหลือเด็กชายที่ถูกผู้เป็นแม่แท้ๆ ทําร้ายร่างกายที่จังหวัดระยอง พร้อมทั้งช่วยเหลือครอบครัวเด็กหญิงที่ก่อเหตุลักทรัพย์แล้วถูกทําร้ายร่างกาย ที่จังหวัดปัตตานี วันนี้ (19 ต.ค. 61) เวลา 08.30 น.นายอภิชาติ อภิชาตบุตร รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 131/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายอภิชาติกล่าวว่า จากกรณีเด็กชายวัย 5 ขวบ ถูกผู้เป็นแม่แท้ๆ ทําร้ายร่างกาย ได้รับบาดเจ็บฟกช้ําทั่วทั้งลําตัว สาเหตุเกิดจากทะเลาะกับสามีใหม่ แล้วเกิดอาการเครียด ที่จังหวัดระยอง นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดระยอง (พมจ.ระยอง) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. โดยให้คําปรึกษาแนะนําเพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมทั้งนําเด็กไปตรวจรักษาจากการถูกทําร้ายร่างกาย และเร่งเยียวยาสภาพจิตใจอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้การคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ส่วนกรณีเด็กทารกเพศชาย วัยแรกคลอด ยังมีคราบเลือดและสายสะดือติดอยู่ ถูกห่อด้วยผ้าและนํามาทิ้งไว้บริเวณหน้าบ้านพักคนงานก่อสร้าง ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และกรณีหญิงชราวัย 64 ปี ต้องรับภาระดูแลเด็กชายวัย 10 เดือน เนื่องจากแม่ของเด็กได้จ้างให้เลี้ยงดู แต่ขาดการติดต่อหายไป ที่จังหวัดยะลา นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (พมจ.พระนครศรีอยุธยา) และพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดยะลา (พมจ.ยะลา) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามหาผู้ปกครองหรือญาติของเด็กเพื่อให้รับเด็กไปดูแล หากประเมินทางสังคมแล้วไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้จะประสานทางสถานสงเคราะห์ เพื่อรับเด็กดูแลต่อไป นายอภิชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ กรณีเด็กหญิงวัย 14 ปี ก่อเหตุลักขโมยเงินจํานวน 12,000 บาท ภายหลังถูกจับได้ เจ้าของเงินจึงบันดาลโทสะใช้สายยางฟาดเด็กหญิงอย่างรุนแรง จนได้รับบาดเจ็บทั่วร่างกาย ที่จังหวัดปัตตานีนั้น ทางทีม One Home พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าเด็กหญิงดังกล่าวได้รักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ภายหลังถูกญาติเจ้าของเงินทําร้ายร่างกายเพราะบันดาลโทสะ ส่วนกรณีการก่อเหตุลักทรัพย์อยู่ในระหว่างการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตํารวจ และจากการตรวจสอบครอบครัวของเด็กหญิง พบว่า พ่ออายุ 44 ปี ประกอบอาชีพรับจ้าง แม่อายุ 31 ปี ป่วยเป็นโรคนิ่วในไต ไม่ได้ประกอบอาชีพ น้องชาย อายุ 8 ปี และน้องสาว อายุ 4 ปี ที่กําลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งทางทีม One Home ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนช่วยเหลือครอบครัวเด็กหญิงดังนี้ ส่งเสริมให้แม่เด็กได้ประกอบอาชีพ เพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว พร้อมทั้งประสานช่วยเหลือรับส่งไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาล รวมทั้งช่วยเหลือด้านการศึกษาของเด็กทั้ง 3 คน ในระยะยาวต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งช่วยเหลือเด็กชายที่ถูกผู้เป็นแม่แท้ๆ ทำร้ายร่างกายที่จังหวัดระยอง พร้อมทั้งช่วยเหลือครอบครัวเด็กหญิงที่ก่อเหตุลักทรัพย์แล้วถูกทำร้ายร่างกาย ที่จังหวัดปัตตานี วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 พม. เร่งช่วยเหลือเด็กชายที่ถูกผู้เป็นแม่แท้ๆ ทําร้ายร่างกายที่จังหวัดระยอง พร้อมทั้งช่วยเหลือครอบครัวเด็กหญิงที่ก่อเหตุลักทรัพย์แล้วถูกทําร้ายร่างกาย ที่จังหวัดปัตตานี พม. เร่งช่วยเหลือเด็กชายที่ถูกผู้เป็นแม่แท้ๆ ทําร้ายร่างกายที่จังหวัดระยอง พร้อมทั้งช่วยเหลือครอบครัวเด็กหญิงที่ก่อเหตุลักทรัพย์แล้วถูกทําร้ายร่างกาย ที่จังหวัดปัตตานี วันนี้ (19 ต.ค. 61) เวลา 08.30 น.นายอภิชาติ อภิชาตบุตร รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 131/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายอภิชาติกล่าวว่า จากกรณีเด็กชายวัย 5 ขวบ ถูกผู้เป็นแม่แท้ๆ ทําร้ายร่างกาย ได้รับบาดเจ็บฟกช้ําทั่วทั้งลําตัว สาเหตุเกิดจากทะเลาะกับสามีใหม่ แล้วเกิดอาการเครียด ที่จังหวัดระยอง นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดระยอง (พมจ.ระยอง) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. โดยให้คําปรึกษาแนะนําเพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมทั้งนําเด็กไปตรวจรักษาจากการถูกทําร้ายร่างกาย และเร่งเยียวยาสภาพจิตใจอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้การคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ส่วนกรณีเด็กทารกเพศชาย วัยแรกคลอด ยังมีคราบเลือดและสายสะดือติดอยู่ ถูกห่อด้วยผ้าและนํามาทิ้งไว้บริเวณหน้าบ้านพักคนงานก่อสร้าง ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และกรณีหญิงชราวัย 64 ปี ต้องรับภาระดูแลเด็กชายวัย 10 เดือน เนื่องจากแม่ของเด็กได้จ้างให้เลี้ยงดู แต่ขาดการติดต่อหายไป ที่จังหวัดยะลา นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (พมจ.พระนครศรีอยุธยา) และพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดยะลา (พมจ.ยะลา) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามหาผู้ปกครองหรือญาติของเด็กเพื่อให้รับเด็กไปดูแล หากประเมินทางสังคมแล้วไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้จะประสานทางสถานสงเคราะห์ เพื่อรับเด็กดูแลต่อไป นายอภิชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ กรณีเด็กหญิงวัย 14 ปี ก่อเหตุลักขโมยเงินจํานวน 12,000 บาท ภายหลังถูกจับได้ เจ้าของเงินจึงบันดาลโทสะใช้สายยางฟาดเด็กหญิงอย่างรุนแรง จนได้รับบาดเจ็บทั่วร่างกาย ที่จังหวัดปัตตานีนั้น ทางทีม One Home พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าเด็กหญิงดังกล่าวได้รักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ภายหลังถูกญาติเจ้าของเงินทําร้ายร่างกายเพราะบันดาลโทสะ ส่วนกรณีการก่อเหตุลักทรัพย์อยู่ในระหว่างการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตํารวจ และจากการตรวจสอบครอบครัวของเด็กหญิง พบว่า พ่ออายุ 44 ปี ประกอบอาชีพรับจ้าง แม่อายุ 31 ปี ป่วยเป็นโรคนิ่วในไต ไม่ได้ประกอบอาชีพ น้องชาย อายุ 8 ปี และน้องสาว อายุ 4 ปี ที่กําลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งทางทีม One Home ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนช่วยเหลือครอบครัวเด็กหญิงดังนี้ ส่งเสริมให้แม่เด็กได้ประกอบอาชีพ เพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว พร้อมทั้งประสานช่วยเหลือรับส่งไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาล รวมทั้งช่วยเหลือด้านการศึกษาของเด็กทั้ง 3 คน ในระยะยาวต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562/2563
วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562 โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามัน ปี 2562/2563 วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2562 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลพร้อมจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามัน ปี 2562/2563 ราคาประกันผลปาล์มทะลาย กิโลกรัมละ 4 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 25 ไร่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาผลผลิตปาล์มล้นตลาดและราคาตกต่ํา โดยล่าสุดราคาตลาดอ้างอิงผลปาล์มทะลาย กิโลกรัมละ 2.68 บาท เกษตรกรจะได้รับชดเชยส่วนต่างกิโลกรัมละ 1.32 บาท ซึ่งจะมีเกษตรกรที่มีคุณสมบัติถูกต้องได้รับเงินทั้งสิ้น 254,730 ราย รวมเป็นเงิน 1,351 ล้านบาท ทั้งนี้ ธ.ก.ส.จะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรโดยตรง กําหนดเป็นงวด ๆ ละไม่น้อยกว่า 45 วัน เริ่มจ่ายเงินงวดแรกตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 62 งวดต่อไปจ่ายในวันที่ 1 หรือ 16 ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอน และดํารงชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสม ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562/2563 วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562 โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามัน ปี 2562/2563 วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2562 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลพร้อมจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามัน ปี 2562/2563 ราคาประกันผลปาล์มทะลาย กิโลกรัมละ 4 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 25 ไร่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาผลผลิตปาล์มล้นตลาดและราคาตกต่ํา โดยล่าสุดราคาตลาดอ้างอิงผลปาล์มทะลาย กิโลกรัมละ 2.68 บาท เกษตรกรจะได้รับชดเชยส่วนต่างกิโลกรัมละ 1.32 บาท ซึ่งจะมีเกษตรกรที่มีคุณสมบัติถูกต้องได้รับเงินทั้งสิ้น 254,730 ราย รวมเป็นเงิน 1,351 ล้านบาท ทั้งนี้ ธ.ก.ส.จะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรโดยตรง กําหนดเป็นงวด ๆ ละไม่น้อยกว่า 45 วัน เริ่มจ่ายเงินงวดแรกตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 62 งวดต่อไปจ่ายในวันที่ 1 หรือ 16 ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอน และดํารงชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสม ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23661
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไว้วางใจ 272 ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 นายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไว้วางใจ 272 ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล นายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไว้วางใจ 272 ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล วันนี้ (28 ก.พ.63) เวลา 09.30 น. ณ อาคารรัฐสภา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมรัฐสภาในการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นรายบุคคลประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยผลการลงมติฯ ดังนี้ (1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้เข้าประชุม 323 เห็นด้วย 49 และไม่เห็นด้วย 272 งดออกเสียง 2 (2) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้เข้าประชุม 329 ท่าน เห็นด้วย 50 และไม่เห็นด้วย 277 งดออกเสียง 2 (3) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ผู้เข้าประชุม 328 ท่าน เห็นด้วย 54 และไม่เห็น 272 งดออกเสียง 2 (4) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้เข้าประชุม 328 เห็นด้วย 54 และไม่เห็นด้วย 272 งดออกเสียง 2 (5) นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้เข้าประชุม 329 เห็นด้วย 55 และไม่เห็นด้วย 272 งดออกเสียง 2 (6) ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้เข้าประชุม 331 เห็นด้วย 55 และไม่เห็นด้วย 269 งดออกเสียง 7 ทั้งนี้ ที่ประชุมสภา ฯ มีมติไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี จากนั้น เลขาธิการสภาฯ อ่านพระบรมราชโองการปิดสมัยประชุมรัฐสภา ............
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไว้วางใจ 272 ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 นายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไว้วางใจ 272 ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล นายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไว้วางใจ 272 ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล วันนี้ (28 ก.พ.63) เวลา 09.30 น. ณ อาคารรัฐสภา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมรัฐสภาในการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นรายบุคคลประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยผลการลงมติฯ ดังนี้ (1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้เข้าประชุม 323 เห็นด้วย 49 และไม่เห็นด้วย 272 งดออกเสียง 2 (2) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้เข้าประชุม 329 ท่าน เห็นด้วย 50 และไม่เห็นด้วย 277 งดออกเสียง 2 (3) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ผู้เข้าประชุม 328 ท่าน เห็นด้วย 54 และไม่เห็น 272 งดออกเสียง 2 (4) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้เข้าประชุม 328 เห็นด้วย 54 และไม่เห็นด้วย 272 งดออกเสียง 2 (5) นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้เข้าประชุม 329 เห็นด้วย 55 และไม่เห็นด้วย 272 งดออกเสียง 2 (6) ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้เข้าประชุม 331 เห็นด้วย 55 และไม่เห็นด้วย 269 งดออกเสียง 7 ทั้งนี้ ที่ประชุมสภา ฯ มีมติไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี จากนั้น เลขาธิการสภาฯ อ่านพระบรมราชโองการปิดสมัยประชุมรัฐสภา ............
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26811
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Public School
วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม 2561 Public School กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เตรียมเปิดโรงเรียน “Public School” ใน 76 จังหวัดและกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีความเป็นอิสระ มีความคล่องตัวจากกฎระเบียบต่าง ๆ ของรัฐ สามารถออกแบบหลักสูตร สรรหาครู ผู้บริหารที่ดีมาบริหารจัดการเองได้ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เตรียมเปิดโรงเรียน “Public School”ใน 76 จังหวัดและกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีความเป็นอิสระมีความคล่องตัวจากกฎระเบียบต่าง ๆ ของรัฐสามารถออกแบบหลักสูตร สรรหาครู ผู้บริหารที่ดีมาบริหารจัดการเองได้เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย THAILAND 4.0 เริ่มต้นปีการศึกษา 2561 วันนี้ (8 มีนาคม 2561) ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบ Public School ครั้งที่ 1/2561 โดยมีนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนผู้แทนภาคเอกชนเข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. นพ.อุดม คชินทรกล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการให้ความสําคัญกับการปฏิรูปการศึกษาทุกระดับ เช่น การตั้งกระทรวงการอุดมศึกษาเพื่อการปฏิรูปอุดมศึกษามีความก้าวหน้าไปมาก ส่วนการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน หากยังพัฒนาในรูปแบบเดิมก็จะก้าวหน้าได้ยาก ประกอบกับคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย THAILAND 4.0 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มอบหมายให้มีการจัดตั้งโรงเรียนที่มีสถานะเป็นโรงเรียนของรัฐ แต่ให้นําการบริหารจัดการของเอกชนมาใช้ ในเบื้องต้นใช้ชื่อว่า “Public School” เพื่อให้โรงเรียนมีความเป็นอิสระมีความคล่องตัวจากกฎระเบียบต่าง ๆ ของรัฐสามารถออกแบบหลักสูตร สรรหาครูและผู้บริหารที่ดี มาบริหารจัดการเองได้ ศธ.จึงได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบ Public School เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบาย THAILAND 4.0มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นที่ปรึกษา, โดย รมช.ศึกษาธิการ (นพ.อุดม คชินทร) เป็นประธาน, กรรมการประกอบด้วยบุคคลหลายภาคส่วน เช่น ผู้แทนจากภาคเอกชน, ผู้บริหารองค์กรหลัก ศธ., เลขาธิการ ก.พ.ร. โดยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการกําหนดแนวทาง ยุทธศาสตร์ และรูปแบบการขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมบริหารสถานศึกษา ในรูปแบบ Public School ตลอดจนเกณฑ์เพื่อคัดเลือกโรงเรียนจับคู่กับผู้ให้การสนับสนุนตามความสมัครใจ และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในการประชุมคณะกรรมการครั้งนี้ ได้มีมติเห็นชอบร่วมกันที่จะมีโรงเรียนในรูปแบบ Public School ใน 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานครพร้อมแต่งตั้ง “คณะกรรมการดําเนินงานพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษา ในรูปแบบ Public School เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบาย THAILAND 4.0" โดยมีนายมีชัย วีระไวทยะ เป็นประธานเพื่อทําหน้าที่วางกรอบมาตรฐานกลาง เกณฑ์การคัดเลือก ตลอดจนคัดเลือกโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง นําเสนอให้คณะกรรมการชุดนี้พิจารณา เพื่อพัฒนาเป็นต้นแบบโรงเรียน Public School ของ ศธ.ต่อไป สําหรับโรงเรียน Public School จะบริหารจัดการโดยคณะกรรมการสถานศึกษาประกอบด้วยตัวแทนจาก 4 ฝ่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และมหาวิทยาลัย ไม่เฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีคณะครุศาสตร์เท่านั้น แต่เปิดโอกาสให้คณะอื่น ๆ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย นอกจากนี้ คณะกรรมการสถานศึกษายังมีอํานาจในการคัดเลือกผู้อํานวยการโรงเรียนหรือเปลี่ยนแปลงได้หากเห็นว่าไม่เหมาะสม โดยสามารถสรรหาผู้มีคุณสมบัติ มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์จากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนอาจารย์คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ มาเป็นผู้อํานวยการโรงเรียน และในส่วนของครูก็เช่นกัน คณะกรรมการสถานศึกษาสามารถคัดเลือกครูได้ ทั้งที่จากข้าราชการครู และการจ้างผู้มีความรู้ในสาขาวิชาที่ขาดแคลนหรือต้องการ (ครูอัตราจ้าง) โดยกําหนดเงินเดือนได้เอง และสามารถจัดสรรเงินพิเศษเพิ่มเติม (ท็อปอัพ) แก่ครูที่เป็นข้าราชการด้วย ทั้งนี้ โรงเรียนในรูปแบบ Public School จะเริ่มดําเนินการตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 ในเดือนพฤษภาคมนี้เพื่อเป็นโรงเรียนต้นแบบขยายไปยังโรงเรียนอื่น ๆ ต่อไป ส่วนข้อคําถามว่าจะซ้ําซ้อนกับการพัฒนาโรงเรียนในกํากับของรัฐหรือโรงเรียนนิติบุคคล ของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) ที่อยู่ระหว่างดําเนินการหรือไม่นั้น ถือว่าไม่ซ้ําซ้อน เพราะโรงเรียนในกํากับของรัฐต้องรอการแก้ไขกฎหมายอีกหลายฉบับ ส่วนโรงเรียนในรูปแบบ Public School สามารถทําได้ทันทีภายกรอบกฎหมายที่มีอยู่ ทั้งในเรื่องของผู้อํานวยการโรงเรียนและครู ได้รับการยืนยันจากสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สํานักงาน ก.ค.ศ.) ว่า กฎหมายเปิดช่องให้สามารถทําได้ เหลือเพียงเรื่องงบประมาณเท่านั้น ที่จะต้องพิจารณาในรายละเอียดการกําหนดอัตราเงินเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในอนาคตโรงเรียนทั้งสองรูปแบบจะมารวมเป็นแบบเดียวกันได้ เพราะเป็นโรงเรียนที่มีการบริหารจัดการแบบอิสระเหมือนกัน Written byนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Graphicบัลลังก์ โรหิตเสถียร Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Public School วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม 2561 Public School กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เตรียมเปิดโรงเรียน “Public School” ใน 76 จังหวัดและกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีความเป็นอิสระ มีความคล่องตัวจากกฎระเบียบต่าง ๆ ของรัฐ สามารถออกแบบหลักสูตร สรรหาครู ผู้บริหารที่ดีมาบริหารจัดการเองได้ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เตรียมเปิดโรงเรียน “Public School”ใน 76 จังหวัดและกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีความเป็นอิสระมีความคล่องตัวจากกฎระเบียบต่าง ๆ ของรัฐสามารถออกแบบหลักสูตร สรรหาครู ผู้บริหารที่ดีมาบริหารจัดการเองได้เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย THAILAND 4.0 เริ่มต้นปีการศึกษา 2561 วันนี้ (8 มีนาคม 2561) ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบ Public School ครั้งที่ 1/2561 โดยมีนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนผู้แทนภาคเอกชนเข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. นพ.อุดม คชินทรกล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการให้ความสําคัญกับการปฏิรูปการศึกษาทุกระดับ เช่น การตั้งกระทรวงการอุดมศึกษาเพื่อการปฏิรูปอุดมศึกษามีความก้าวหน้าไปมาก ส่วนการปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน หากยังพัฒนาในรูปแบบเดิมก็จะก้าวหน้าได้ยาก ประกอบกับคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย THAILAND 4.0 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มอบหมายให้มีการจัดตั้งโรงเรียนที่มีสถานะเป็นโรงเรียนของรัฐ แต่ให้นําการบริหารจัดการของเอกชนมาใช้ ในเบื้องต้นใช้ชื่อว่า “Public School” เพื่อให้โรงเรียนมีความเป็นอิสระมีความคล่องตัวจากกฎระเบียบต่าง ๆ ของรัฐสามารถออกแบบหลักสูตร สรรหาครูและผู้บริหารที่ดี มาบริหารจัดการเองได้ ศธ.จึงได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบ Public School เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบาย THAILAND 4.0มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นที่ปรึกษา, โดย รมช.ศึกษาธิการ (นพ.อุดม คชินทร) เป็นประธาน, กรรมการประกอบด้วยบุคคลหลายภาคส่วน เช่น ผู้แทนจากภาคเอกชน, ผู้บริหารองค์กรหลัก ศธ., เลขาธิการ ก.พ.ร. โดยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการกําหนดแนวทาง ยุทธศาสตร์ และรูปแบบการขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมบริหารสถานศึกษา ในรูปแบบ Public School ตลอดจนเกณฑ์เพื่อคัดเลือกโรงเรียนจับคู่กับผู้ให้การสนับสนุนตามความสมัครใจ และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในการประชุมคณะกรรมการครั้งนี้ ได้มีมติเห็นชอบร่วมกันที่จะมีโรงเรียนในรูปแบบ Public School ใน 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานครพร้อมแต่งตั้ง “คณะกรรมการดําเนินงานพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษา ในรูปแบบ Public School เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบาย THAILAND 4.0" โดยมีนายมีชัย วีระไวทยะ เป็นประธานเพื่อทําหน้าที่วางกรอบมาตรฐานกลาง เกณฑ์การคัดเลือก ตลอดจนคัดเลือกโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง นําเสนอให้คณะกรรมการชุดนี้พิจารณา เพื่อพัฒนาเป็นต้นแบบโรงเรียน Public School ของ ศธ.ต่อไป สําหรับโรงเรียน Public School จะบริหารจัดการโดยคณะกรรมการสถานศึกษาประกอบด้วยตัวแทนจาก 4 ฝ่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และมหาวิทยาลัย ไม่เฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีคณะครุศาสตร์เท่านั้น แต่เปิดโอกาสให้คณะอื่น ๆ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย นอกจากนี้ คณะกรรมการสถานศึกษายังมีอํานาจในการคัดเลือกผู้อํานวยการโรงเรียนหรือเปลี่ยนแปลงได้หากเห็นว่าไม่เหมาะสม โดยสามารถสรรหาผู้มีคุณสมบัติ มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์จากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนอาจารย์คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ มาเป็นผู้อํานวยการโรงเรียน และในส่วนของครูก็เช่นกัน คณะกรรมการสถานศึกษาสามารถคัดเลือกครูได้ ทั้งที่จากข้าราชการครู และการจ้างผู้มีความรู้ในสาขาวิชาที่ขาดแคลนหรือต้องการ (ครูอัตราจ้าง) โดยกําหนดเงินเดือนได้เอง และสามารถจัดสรรเงินพิเศษเพิ่มเติม (ท็อปอัพ) แก่ครูที่เป็นข้าราชการด้วย ทั้งนี้ โรงเรียนในรูปแบบ Public School จะเริ่มดําเนินการตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 ในเดือนพฤษภาคมนี้เพื่อเป็นโรงเรียนต้นแบบขยายไปยังโรงเรียนอื่น ๆ ต่อไป ส่วนข้อคําถามว่าจะซ้ําซ้อนกับการพัฒนาโรงเรียนในกํากับของรัฐหรือโรงเรียนนิติบุคคล ของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) ที่อยู่ระหว่างดําเนินการหรือไม่นั้น ถือว่าไม่ซ้ําซ้อน เพราะโรงเรียนในกํากับของรัฐต้องรอการแก้ไขกฎหมายอีกหลายฉบับ ส่วนโรงเรียนในรูปแบบ Public School สามารถทําได้ทันทีภายกรอบกฎหมายที่มีอยู่ ทั้งในเรื่องของผู้อํานวยการโรงเรียนและครู ได้รับการยืนยันจากสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สํานักงาน ก.ค.ศ.) ว่า กฎหมายเปิดช่องให้สามารถทําได้ เหลือเพียงเรื่องงบประมาณเท่านั้น ที่จะต้องพิจารณาในรายละเอียดการกําหนดอัตราเงินเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในอนาคตโรงเรียนทั้งสองรูปแบบจะมารวมเป็นแบบเดียวกันได้ เพราะเป็นโรงเรียนที่มีการบริหารจัดการแบบอิสระเหมือนกัน Written byนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Graphicบัลลังก์ โรหิตเสถียร Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10698
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เพื่อตรวจสอบความหนาแน่นการใช้บริการ และติดต่อผู้ใช้บริการ ยืนยันไม่กระทบข้อมูลส่วนบุคคล
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 โฆษก ศบค. เตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เพื่อตรวจสอบความหนาแน่นการใช้บริการ และติดต่อผู้ใช้บริการ ยืนยันไม่กระทบข้อมูลส่วนบุคคล โฆษก ศบค. เตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เพื่อตรวจสอบความหนาแน่นการใช้บริการ และติดต่อผู้ใช้บริการ ยืนยันไม่กระทบข้อมูลส่วนบุคคล วันนี้ (14 พ.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนผ่านโซเซียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษก ศบค. ย้ําทุกคนจะต้องปรับตัวสู่ “ความปกติใหม่” หรือ New Normal เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษาที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ศบค. ได้เตรียมแพลตฟอร์มสําหรับผู้ประกอบกิจการ สําหรับการผ่อนปรนมาตรการระยะที่ 2 วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบกิจการ จากรูปเดิมที่ใช้วิธีการจดบันทึกลงสมุดเมื่อมีผู้เข้าใช้บริการ โดยแพลตฟอร์มชื่อว่า “ไทยชนะ” จะใช้วิธีการ Check – In ซึ่งผู้ประกอบการลงทะเบียนออนไลน์ สร้าง QR Code นํามาติดไว้หน้าร้าน ประชาชนแสกน QR Code ก่อนและหลังการใช้บริการ บางกิจการที่อาจมีความแออัดหรือมีผู้เข้าใช้บริการเยอะ เช่น ร้านตัดผม ก็จะสามารถดูจากแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ได้เพื่อหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดได้ โฆษก ศบค. ยังเผยว่า หากห้างสรรพสินค้าเปิดให้บริการเพิ่มเติมนอกเหนือจากซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านบริการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก็สามารถใช้แพลตฟอร์มนี้ได้เช่นกัน เพื่อประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการตรวจสอบจํานวนผู้ใช้บริการภายในห้างสรรพสินค้า รวมถึงให้คะแนนกิจการต่าง ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าสําหรับผู้ประกอบการที่ให้บริการดี ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” จะใช้เพียงเบอร์โทรศัพท์เพื่อแสกนการใช้งาน สําหรับผู้ที่ไม่มีโทรศัพท์ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ อาจต้องใช้วิธีการจดบันทึกควบคู่กันไป ยืนยันว่าการใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เป็นการป้องกันแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกสองและชุดข้อมูลเหล่านี้จะถูกรวบรวมไว้ที่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนเท่านั้น จึงขอความร่วมมือให้ทุกคนร่วมกันเพื่อปรับเข้าสู่ “ความปกติใหม่” ไปด้วยกัน โฆษก ศบค. ชี้แจงว่า ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ถ้ามีศักยภาพเพียงพอ เนื่องจากวัคซีนดังกล่าวมีหลายระดับและมีราคาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคจะให้บริการกับผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เช่นกัน ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้จํานวนตัวเลขของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในประเทศลดลง เนื่องจากโรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเช่นเดียวกันกับโรคโควิด-19 เมื่อประชาชนดูแลป้องกันตนเอง ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือเมื่อสัมผัสสิ่งต่าง ๆ จึงส่งผลให้จํานวนตัวเลขผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่นั้นลดลงด้วย ในตอนท้าย โฆษก ศบค. ยังได้ย้ําการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมหลัก 5 ข้อ ได้แก่ 1. ล้างมือบ่อย ๆ 2. ใส่หน้ากากอนามัย 3. การเว้นระยะห่าง 4. ทําความสะอาดพื้นผิวสัมผัส และ 5. ไม่ให้เกิดความแออัด ว่า มีความสําคัญต่อชีวิต “ความปกติใหม่” ทั้งในส่วนของผู้ใช้บริการและผู้ประกอบการ ทั้งนี้ ต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนให้ได้ร้อยละ 100 เพื่อจะสามารถผ่านเข้าสู่ระยะต่อไปอย่างปลอดภัยได้ด้วยกัน ................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เพื่อตรวจสอบความหนาแน่นการใช้บริการ และติดต่อผู้ใช้บริการ ยืนยันไม่กระทบข้อมูลส่วนบุคคล วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 โฆษก ศบค. เตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เพื่อตรวจสอบความหนาแน่นการใช้บริการ และติดต่อผู้ใช้บริการ ยืนยันไม่กระทบข้อมูลส่วนบุคคล โฆษก ศบค. เตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เพื่อตรวจสอบความหนาแน่นการใช้บริการ และติดต่อผู้ใช้บริการ ยืนยันไม่กระทบข้อมูลส่วนบุคคล วันนี้ (14 พ.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนผ่านโซเซียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษก ศบค. ย้ําทุกคนจะต้องปรับตัวสู่ “ความปกติใหม่” หรือ New Normal เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษาที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ศบค. ได้เตรียมแพลตฟอร์มสําหรับผู้ประกอบกิจการ สําหรับการผ่อนปรนมาตรการระยะที่ 2 วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบกิจการ จากรูปเดิมที่ใช้วิธีการจดบันทึกลงสมุดเมื่อมีผู้เข้าใช้บริการ โดยแพลตฟอร์มชื่อว่า “ไทยชนะ” จะใช้วิธีการ Check – In ซึ่งผู้ประกอบการลงทะเบียนออนไลน์ สร้าง QR Code นํามาติดไว้หน้าร้าน ประชาชนแสกน QR Code ก่อนและหลังการใช้บริการ บางกิจการที่อาจมีความแออัดหรือมีผู้เข้าใช้บริการเยอะ เช่น ร้านตัดผม ก็จะสามารถดูจากแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ได้เพื่อหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดได้ โฆษก ศบค. ยังเผยว่า หากห้างสรรพสินค้าเปิดให้บริการเพิ่มเติมนอกเหนือจากซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านบริการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก็สามารถใช้แพลตฟอร์มนี้ได้เช่นกัน เพื่อประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการตรวจสอบจํานวนผู้ใช้บริการภายในห้างสรรพสินค้า รวมถึงให้คะแนนกิจการต่าง ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าสําหรับผู้ประกอบการที่ให้บริการดี ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” จะใช้เพียงเบอร์โทรศัพท์เพื่อแสกนการใช้งาน สําหรับผู้ที่ไม่มีโทรศัพท์ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ อาจต้องใช้วิธีการจดบันทึกควบคู่กันไป ยืนยันว่าการใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เป็นการป้องกันแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกสองและชุดข้อมูลเหล่านี้จะถูกรวบรวมไว้ที่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนเท่านั้น จึงขอความร่วมมือให้ทุกคนร่วมกันเพื่อปรับเข้าสู่ “ความปกติใหม่” ไปด้วยกัน โฆษก ศบค. ชี้แจงว่า ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ถ้ามีศักยภาพเพียงพอ เนื่องจากวัคซีนดังกล่าวมีหลายระดับและมีราคาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคจะให้บริการกับผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เช่นกัน ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้จํานวนตัวเลขของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในประเทศลดลง เนื่องจากโรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเช่นเดียวกันกับโรคโควิด-19 เมื่อประชาชนดูแลป้องกันตนเอง ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือเมื่อสัมผัสสิ่งต่าง ๆ จึงส่งผลให้จํานวนตัวเลขผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่นั้นลดลงด้วย ในตอนท้าย โฆษก ศบค. ยังได้ย้ําการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมหลัก 5 ข้อ ได้แก่ 1. ล้างมือบ่อย ๆ 2. ใส่หน้ากากอนามัย 3. การเว้นระยะห่าง 4. ทําความสะอาดพื้นผิวสัมผัส และ 5. ไม่ให้เกิดความแออัด ว่า มีความสําคัญต่อชีวิต “ความปกติใหม่” ทั้งในส่วนของผู้ใช้บริการและผู้ประกอบการ ทั้งนี้ ต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนให้ได้ร้อยละ 100 เพื่อจะสามารถผ่านเข้าสู่ระยะต่อไปอย่างปลอดภัยได้ด้วยกัน ................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30807
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง รายงานการดำเนินการตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉิน ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพ
วันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2560 กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง รายงานการดําเนินการตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉิน ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และสํานักงานหลักประกันสุขภาพ รองปลัด สธ.และโฆษก สธ. ชี้แจงกรณีรายงานการดําเนินการตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และสปสช. วันที่ 24 ตุลาคม 2560 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงกรณี สํานักข่าวอิศราตั้งข้อสังเกตถึงรายงานการดําเนินการตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และสํานักงานหลักประกันสุขภาพ ว่า นโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (UCEP) ในระยะแรกใช้ชื่อนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิต ไม่ถามสิทธิ ใกล้ที่ไหน ไปที่นั่น”เป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกันระหว่าง สปสช. กรมบัญชีกลาง สํานักงานประกันสังคม โดย มอบหมายให้ สปสช.ทําหน้าที่เป็นผู้ชําระบัญชี (Clearing House) เริ่มดําเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นมา ซึ่งในระยะแรกพบข้อจํากัดที่สําคัญคือ ประชาชนถูกเรียกเก็บเงิน กฎหมายสถานพยาบาลไม่สามารถบังคับโรงพยาบาลเอกชนได้ รวมทั้งอัตราการจ่ายค่าบริการตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไม่สะท้อนต้นทุน โดยในปีนี้ปัญหาต่าง ๆ ได้ถูกแก้ไขเพื่อให้ผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉินได้รับการรักษาทันที ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ปัญหาเหล่านี้ได้ถูกแก้ไขโดยพรบ.สถานพยาบาลฉบับปรับปรุงใหม่ที่บังคับใชักับโรงพยาบาลเอกชนได้ ร่วมกับมติคณะรัฐมนตรีที่กําหนดราคาที่เหมาะสมสอดคล้องกับต้นทุน สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้รับมอบหมายให้เป็นศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (UCEP Coordinating Center) และบริหารจัดการการดําเนินงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินทั้งระบบ ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 28 มีนาคม 2560 เริ่มดําเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นมา โดยมีโรงพยาบาลเอกชน 364 แห่งทั่วประเทศ ดําเนินการตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยสถานพยาบาล และยึดถือแนวทางการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตตามที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติกําหนด ด้วยโปรแกรม Pre Authorization (PA) เป็นเครื่องมือหลัก ในการช่วยแพทย์วินิจฉัยผู้ป่วย โดยมีเจ้าหน้าที่ของศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ สพฉ. ทําหน้าที่เฝ้าติดตามผล การวินิจฉัยของแพทย์ทุกราย และมีการตั้งคณะทํางานรับเรื่องร้องเรียนเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยผ่านเบอร์ 02 872 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนที่มีรายงานผู้ป่วย ในโปรแกรม PA 255 แห่ง จากทั้งหมด 364 แห่ง จํานวนผู้รับบริการที่ลงข้อมูลในโปรแกรม PA ในรอบ 6 เดือนที่มา 15,243 ราย มีประชาชนที่ร้องเรียน เพียง 47 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.31 อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการแก้ไขปัญหาและพัฒนาโปรแกรม PA ให้มีความเที่ยงตรงยิ่งขึ้น และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่องต่อไป ---------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง รายงานการดำเนินการตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉิน ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพ วันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2560 กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง รายงานการดําเนินการตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉิน ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และสํานักงานหลักประกันสุขภาพ รองปลัด สธ.และโฆษก สธ. ชี้แจงกรณีรายงานการดําเนินการตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และสปสช. วันที่ 24 ตุลาคม 2560 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงกรณี สํานักข่าวอิศราตั้งข้อสังเกตถึงรายงานการดําเนินการตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และสํานักงานหลักประกันสุขภาพ ว่า นโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (UCEP) ในระยะแรกใช้ชื่อนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิต ไม่ถามสิทธิ ใกล้ที่ไหน ไปที่นั่น”เป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกันระหว่าง สปสช. กรมบัญชีกลาง สํานักงานประกันสังคม โดย มอบหมายให้ สปสช.ทําหน้าที่เป็นผู้ชําระบัญชี (Clearing House) เริ่มดําเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นมา ซึ่งในระยะแรกพบข้อจํากัดที่สําคัญคือ ประชาชนถูกเรียกเก็บเงิน กฎหมายสถานพยาบาลไม่สามารถบังคับโรงพยาบาลเอกชนได้ รวมทั้งอัตราการจ่ายค่าบริการตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไม่สะท้อนต้นทุน โดยในปีนี้ปัญหาต่าง ๆ ได้ถูกแก้ไขเพื่อให้ผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉินได้รับการรักษาทันที ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ปัญหาเหล่านี้ได้ถูกแก้ไขโดยพรบ.สถานพยาบาลฉบับปรับปรุงใหม่ที่บังคับใชักับโรงพยาบาลเอกชนได้ ร่วมกับมติคณะรัฐมนตรีที่กําหนดราคาที่เหมาะสมสอดคล้องกับต้นทุน สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้รับมอบหมายให้เป็นศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (UCEP Coordinating Center) และบริหารจัดการการดําเนินงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินทั้งระบบ ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 28 มีนาคม 2560 เริ่มดําเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นมา โดยมีโรงพยาบาลเอกชน 364 แห่งทั่วประเทศ ดําเนินการตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยสถานพยาบาล และยึดถือแนวทางการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตตามที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติกําหนด ด้วยโปรแกรม Pre Authorization (PA) เป็นเครื่องมือหลัก ในการช่วยแพทย์วินิจฉัยผู้ป่วย โดยมีเจ้าหน้าที่ของศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ สพฉ. ทําหน้าที่เฝ้าติดตามผล การวินิจฉัยของแพทย์ทุกราย และมีการตั้งคณะทํางานรับเรื่องร้องเรียนเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยผ่านเบอร์ 02 872 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนที่มีรายงานผู้ป่วย ในโปรแกรม PA 255 แห่ง จากทั้งหมด 364 แห่ง จํานวนผู้รับบริการที่ลงข้อมูลในโปรแกรม PA ในรอบ 6 เดือนที่มา 15,243 ราย มีประชาชนที่ร้องเรียน เพียง 47 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.31 อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการแก้ไขปัญหาและพัฒนาโปรแกรม PA ให้มีความเที่ยงตรงยิ่งขึ้น และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่องต่อไป ---------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7588
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ ตรวจเยี่ยม ติดตามความก้าวหน้าโครงการของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 รองนายกฯ ตรวจเยี่ยม ติดตามความก้าวหน้าโครงการของกระทรวงอุตสาหกรรม รองนายกฯ ตรวจเยี่ยม ติดตามความก้าวหน้าโครงการของกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (4 ก.พ. 62) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยม ติดตามความก้าวหน้าโครงการต่างๆ ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสันติ กีระนันท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สําหรับโครงการที่นําเสนอในวันนี้ ได้แก่ ความก้าวหน้าการจัดตั้งศูนย์ Innospace / Connected Industries เพื่อปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมให้เข้าสู่ยุค 4.0 และ การสนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs ในด้านต่างๆ โดยเน้นให้ช่วยเหลืออุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปอย่างครบวงจร โดยใช้ต้นแบบจากจังหวัดวาคายามะ ประเทศญี่ปุ่น สําหรับศูนย์ Innospace อาจมีการทบทวนชื่อเป็น Thailand Cyberport โดยใช้ต้นแบบจาก Hong Kong Cyberport และในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์จะมีการลงนามความร่วมมือเรื่องไซเบอร์พอร์ตในเมืองไทยกับผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ ตรวจเยี่ยม ติดตามความก้าวหน้าโครงการของกระทรวงอุตสาหกรรม วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 รองนายกฯ ตรวจเยี่ยม ติดตามความก้าวหน้าโครงการของกระทรวงอุตสาหกรรม รองนายกฯ ตรวจเยี่ยม ติดตามความก้าวหน้าโครงการของกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (4 ก.พ. 62) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยม ติดตามความก้าวหน้าโครงการต่างๆ ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสันติ กีระนันท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สําหรับโครงการที่นําเสนอในวันนี้ ได้แก่ ความก้าวหน้าการจัดตั้งศูนย์ Innospace / Connected Industries เพื่อปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมให้เข้าสู่ยุค 4.0 และ การสนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs ในด้านต่างๆ โดยเน้นให้ช่วยเหลืออุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปอย่างครบวงจร โดยใช้ต้นแบบจากจังหวัดวาคายามะ ประเทศญี่ปุ่น สําหรับศูนย์ Innospace อาจมีการทบทวนชื่อเป็น Thailand Cyberport โดยใช้ต้นแบบจาก Hong Kong Cyberport และในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์จะมีการลงนามความร่วมมือเรื่องไซเบอร์พอร์ตในเมืองไทยกับผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18577
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ-พาณิชย์ ร่วมเจรจาขายยาง มีปริมาณการซื้อขาย 260,480 ตัน พร้อมชู กยท. ให้เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเพิ่มอำนาจการต่อรองในเวทีโลก
วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562 เกษตรฯ-พาณิชย์ ร่วมเจรจาขายยาง มีปริมาณการซื้อขาย 260,480 ตัน พร้อมชู กยท. ให้เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเพิ่มอํานาจการต่อรองในเวทีโลก เกษตรฯ-พาณิชย์ ร่วมเจรจาขายยาง มีปริมาณการซื้อขาย 260,480 ตัน พร้อมชู กยท. ให้เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเพิ่มอํานาจการต่อรองในเวทีโลก หวังช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยางพารา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายในการรักษาเสถียรภาพและผลักดันราคายางให้สูงขึ้น ซึ่งนอกจากนโยบายประกันรายได้เกษตรกรแล้ว กระทรวงเกษตรฯ โดยการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ยังได้มีการเจรจาขายสินค้ายางพาราเพื่อเพิ่มศักยภาพในการส่งออก และให้บูรณาการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์เดินหน้าทํางานเชิงรุกตามนโยบายอย่างเข้มข้น โดยปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถเจรจาซื้อขายยางพาราระหว่างประเทศกับผู้ซื้อเบื้องต้นจํานวน 2 ราย คือ 1) บริษัทเอกชนจากจีน ซึ่งมีการลงนาม MOU รองรับแล้ว เพื่อซื้อยาง STR 20 ปริมาณ 60,480 ตัน และ 2) ปริษัทเอกชนจากฮ่องกง ซึ่งมีการลงนาม MOU รองรับแล้ว เพื่อซื้อยาง STR 20 100,000 ตัน และยางแผ่นรมควันชั้น 3 อัดก้อน 100,000 ตัน รวมเป็นล็อตนี้ 200,000 ตัน รวมปริมาณการซื้อขายรอบนี้ ทั้งสิ้น 260,480 ตัน โดยยางที่นํามาขายเป็นยางที่รับซื้อผลผลิตยางจากเกษตรกร สถาบันเกษตรกรมาแปรรูป และบางส่วนเป็นยางแปรรูปจากเกษตรกร สถาบันเกษตรกรชาวสวนยางที่มีมาตรฐานการผลิต เช่น GMP หรือ ISO “การดําเนินการดังกล่าว ส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อวงการยางพาราไทยได้ขยายช่องทางการจําหน่ายไปต่างประเทศ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการตลาดของ กยท.และเพิ่มอํานาจการต่อรองในเวทีโลกเกิดการส่งออกภายใต้แบรนด์ กยท. ซึ่งเป็นที่ยอมรับในกลุ่มธุรกิจยางทั่วโลก นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยางพารา ที่กําลังประสบปัญหาราคายางตกต่ํา ช่วยให้มีช่องทางในการขยายตลาดจําหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ยางพารา อีกทั้งยังทําให้เกิดการเชื่อมโยง ส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยางพารา เพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้า/ผลผลิต/ผู้ประกอบกิจการยางพารา ให้ครอบคลุมและทั่วถึงทั้งประเทศด้วย” นายจุรินทร์ กล่าว ด้าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า สําหรับโครงการการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางพารา ระยะที่ 1 กําลังอยู่ในภาคปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยกยท.กับธ.ก.ส. ทําหน้าที่โอนเงินให้กับเกษตรกรหลังจากตรวจสอบบัญชีและการปลูกยางจริงในพื้นที่ เป็นการช่วยสร้างหลักประกันให้เกษตรกรชาวสวนยาง ทั้งเจ้าของสวน ผู้เช่า ผู้ทํา และคนกรีดยาง ให้มีรายได้ที่แน่นอนมั่นคงและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ซึ่งขณะนี้มีเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนและแจ้งข้อมูลพื้นที่ปลูกยางกับ กยท. จํานวน 1,711,252 ราย เป็นยางแผ่นดิบ 150,803 ราย น้ํายางสด 470,767 ราย และยางก้อนถ้วย 790,447 ราย โครงการนี้ kick off จ่ายเงินงวดแรกพร้อมกันทั่วประเทศไปแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังได้บูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดําเนินมาตรการแก้ไขปัญหา โดยใช้มาตรการเสริมหรือมาตรการคู่ขนาน ได้แก่1) โครงการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้ในการรวบรวมยาง (วงเงิน 10,000 ล้านบาท) 2) โครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรเพื่อแปรรูปยางพารา (วงเงิน 5,000 ล้านบาท) ระยะเวลาดําเนินงาน 1 ก.ย. 57 - 31 ธ.ค. 673) โครงการสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (น้ํายางข้น) (วงเงิน 10,000 ล้านบาท) ระยะเวลาดําเนินงาน พ.ค. 60 - เม.ย. 624) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) (20,000 ล้านบาท) เพื่อดูดซับยางออกจากระบบประมาณร้อยละ 11 ของผลผลิตยางแห้ง หรือ 350,000 ตัน จากผลผลิตยางแห้งทั้งปีที่มีประมาณ 3,200,000 ตัน 5) โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง (วงเงินสินเชื่อ 25,000 ล้านบาท) ระยะเวลาดําเนินงาน ปี 2559 – 2569 โดยมีเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลายน้ํา ทั้งผลิตภัณฑ์ยางจากน้ํายางข้นและผลิตภัณฑ์ยางจากยางแห้ง ที่ใช้ยางพาราในประเทศ เน้นแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางที่มีมูลค่าสูง เช่น ถุงมือยาง ยางยืด ยางล้อ ยางที่ใช้ในงานวิศวกรรม และอื่นๆ 6) โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง 7) โครงการสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางพารารายย่อย เพื่อประกอบอาชีพเสริม (พ.ย. 57–พ.ย. 62) (งบประมาณ 15,000 ล้านบาท) 8) โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางไร่ละ 1,800 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ (แบ่งเป็นชาวสวน 1,100 บาท/คนกรีด 700 บาท) ระหว่าง ธ.ค. 61- ก.ย. 62 (งบประมาณ 17,007 ล้านบาท) 9) โครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร โดยให้ใช้สินเชื่อจากสภาพคล่อง ธ.ก.ส. ในวงเงิน 5,000 ล้านบาทอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2561- 28 ก.พ. 256310) โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร สร้างถนนพาราซอยด์ซีเมนต์ (para soil-cement) ทั่วประเทศจํานวน 75,032 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 กม. รวมระยะทาง 75,032 กม.(ระยะเวลาดําเนินงาน เดือน ธ.ค.61 – ก.ย.62 เงินงบประมาณ 92,327 ล้านบาท)11) โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อมุ่งผลักดันนโยบายการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศกําหนดให้หน่วยงานภาครัฐใช้วัตถุดิบยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรชาวสวนยาง ซึ่ง ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2562 มีหน่วยงานภาครัฐ 10 แห่ง เข้าร่วมโครงการฯ ดําเนินการใช้ยางพารา รวมปริมาณความต้องการใช้ยาง คิดเป็นน้ํายางสดเกือบ 170,000 ตัน วงเงินงบประมาณรวมกว่า 43,000 ล้านบาท และ 12. คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กําหนดให้ผู้ประกอบกิจการยางที่มีปริมาณการรับซื้อตั้งแต่เดือนละ 5,000 กก.ขึ้นไป แจ้งปริมาณการซื้อ ปริมาณการจําหน่าย ปริมาณการใช้ไป ปริมาณคงเหลือ และสถานที่เก็บสินค้ายางพารา ตลอดจนให้จัดทําบัญชีคุมรายวัน เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ทุกเวลาโดยทั้งหมดลําดับที่ 1-11 ดําเนินการโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนลําดับที่ 12 นั้นดําเนินการโดยกระทรวงพาณิชย์ โดยยืนยันว่ารัฐบาลบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วนเพื่อเดินหน้าทั้งมาตรการหลักและมาตรการคู่ขนานเพื่อยกระดับราคาช่วยเหลือเกษตรกรด้วยความจริงใจและ "ทําได้ไว ทําได้จริง" นายสุนันท์ นวลพรหมสกุลรักษาการผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับมูลค่าการส่งออกในปี 2562 ระหว่างมกราคม - กันยายน 2562อยู่ที่ 128,696 ล้านบาท ตลาดส่งออกที่สําคัญคือ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น อเมริกา เกาหลีใต้ ส่วนคู่แข่งที่สําคัญคือประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม โดยในปี 2561 ปริมาณการส่งออกรวม 4.15 ล้านตัน และในจํานวนนี้ส่งออกไปยังประเทศจีนรวม 2.48 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 59.7 ของปริมาณส่งออกทั้งหมด ส่วนสถานการณ์ปี 2562 กําลังอยู่ระหว่างการเร่งผักดันการส่งออกนอกโควต้า ข้อตกลงหรือ MOU เดิม ทั้งนี้เพื่อผลักดันราคายางพาราเพื่อรองรับการช่วยเหลือเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ-พาณิชย์ ร่วมเจรจาขายยาง มีปริมาณการซื้อขาย 260,480 ตัน พร้อมชู กยท. ให้เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเพิ่มอำนาจการต่อรองในเวทีโลก วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562 เกษตรฯ-พาณิชย์ ร่วมเจรจาขายยาง มีปริมาณการซื้อขาย 260,480 ตัน พร้อมชู กยท. ให้เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเพิ่มอํานาจการต่อรองในเวทีโลก เกษตรฯ-พาณิชย์ ร่วมเจรจาขายยาง มีปริมาณการซื้อขาย 260,480 ตัน พร้อมชู กยท. ให้เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเพิ่มอํานาจการต่อรองในเวทีโลก หวังช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยางพารา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายในการรักษาเสถียรภาพและผลักดันราคายางให้สูงขึ้น ซึ่งนอกจากนโยบายประกันรายได้เกษตรกรแล้ว กระทรวงเกษตรฯ โดยการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ยังได้มีการเจรจาขายสินค้ายางพาราเพื่อเพิ่มศักยภาพในการส่งออก และให้บูรณาการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์เดินหน้าทํางานเชิงรุกตามนโยบายอย่างเข้มข้น โดยปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถเจรจาซื้อขายยางพาราระหว่างประเทศกับผู้ซื้อเบื้องต้นจํานวน 2 ราย คือ 1) บริษัทเอกชนจากจีน ซึ่งมีการลงนาม MOU รองรับแล้ว เพื่อซื้อยาง STR 20 ปริมาณ 60,480 ตัน และ 2) ปริษัทเอกชนจากฮ่องกง ซึ่งมีการลงนาม MOU รองรับแล้ว เพื่อซื้อยาง STR 20 100,000 ตัน และยางแผ่นรมควันชั้น 3 อัดก้อน 100,000 ตัน รวมเป็นล็อตนี้ 200,000 ตัน รวมปริมาณการซื้อขายรอบนี้ ทั้งสิ้น 260,480 ตัน โดยยางที่นํามาขายเป็นยางที่รับซื้อผลผลิตยางจากเกษตรกร สถาบันเกษตรกรมาแปรรูป และบางส่วนเป็นยางแปรรูปจากเกษตรกร สถาบันเกษตรกรชาวสวนยางที่มีมาตรฐานการผลิต เช่น GMP หรือ ISO “การดําเนินการดังกล่าว ส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อวงการยางพาราไทยได้ขยายช่องทางการจําหน่ายไปต่างประเทศ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการตลาดของ กยท.และเพิ่มอํานาจการต่อรองในเวทีโลกเกิดการส่งออกภายใต้แบรนด์ กยท. ซึ่งเป็นที่ยอมรับในกลุ่มธุรกิจยางทั่วโลก นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยางพารา ที่กําลังประสบปัญหาราคายางตกต่ํา ช่วยให้มีช่องทางในการขยายตลาดจําหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ยางพารา อีกทั้งยังทําให้เกิดการเชื่อมโยง ส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยางพารา เพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้า/ผลผลิต/ผู้ประกอบกิจการยางพารา ให้ครอบคลุมและทั่วถึงทั้งประเทศด้วย” นายจุรินทร์ กล่าว ด้าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า สําหรับโครงการการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางพารา ระยะที่ 1 กําลังอยู่ในภาคปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยกยท.กับธ.ก.ส. ทําหน้าที่โอนเงินให้กับเกษตรกรหลังจากตรวจสอบบัญชีและการปลูกยางจริงในพื้นที่ เป็นการช่วยสร้างหลักประกันให้เกษตรกรชาวสวนยาง ทั้งเจ้าของสวน ผู้เช่า ผู้ทํา และคนกรีดยาง ให้มีรายได้ที่แน่นอนมั่นคงและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ซึ่งขณะนี้มีเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนและแจ้งข้อมูลพื้นที่ปลูกยางกับ กยท. จํานวน 1,711,252 ราย เป็นยางแผ่นดิบ 150,803 ราย น้ํายางสด 470,767 ราย และยางก้อนถ้วย 790,447 ราย โครงการนี้ kick off จ่ายเงินงวดแรกพร้อมกันทั่วประเทศไปแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังได้บูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดําเนินมาตรการแก้ไขปัญหา โดยใช้มาตรการเสริมหรือมาตรการคู่ขนาน ได้แก่1) โครงการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้ในการรวบรวมยาง (วงเงิน 10,000 ล้านบาท) 2) โครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรเพื่อแปรรูปยางพารา (วงเงิน 5,000 ล้านบาท) ระยะเวลาดําเนินงาน 1 ก.ย. 57 - 31 ธ.ค. 673) โครงการสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (น้ํายางข้น) (วงเงิน 10,000 ล้านบาท) ระยะเวลาดําเนินงาน พ.ค. 60 - เม.ย. 624) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) (20,000 ล้านบาท) เพื่อดูดซับยางออกจากระบบประมาณร้อยละ 11 ของผลผลิตยางแห้ง หรือ 350,000 ตัน จากผลผลิตยางแห้งทั้งปีที่มีประมาณ 3,200,000 ตัน 5) โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง (วงเงินสินเชื่อ 25,000 ล้านบาท) ระยะเวลาดําเนินงาน ปี 2559 – 2569 โดยมีเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลายน้ํา ทั้งผลิตภัณฑ์ยางจากน้ํายางข้นและผลิตภัณฑ์ยางจากยางแห้ง ที่ใช้ยางพาราในประเทศ เน้นแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางที่มีมูลค่าสูง เช่น ถุงมือยาง ยางยืด ยางล้อ ยางที่ใช้ในงานวิศวกรรม และอื่นๆ 6) โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง 7) โครงการสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางพารารายย่อย เพื่อประกอบอาชีพเสริม (พ.ย. 57–พ.ย. 62) (งบประมาณ 15,000 ล้านบาท) 8) โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางไร่ละ 1,800 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ (แบ่งเป็นชาวสวน 1,100 บาท/คนกรีด 700 บาท) ระหว่าง ธ.ค. 61- ก.ย. 62 (งบประมาณ 17,007 ล้านบาท) 9) โครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร โดยให้ใช้สินเชื่อจากสภาพคล่อง ธ.ก.ส. ในวงเงิน 5,000 ล้านบาทอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2561- 28 ก.พ. 256310) โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร สร้างถนนพาราซอยด์ซีเมนต์ (para soil-cement) ทั่วประเทศจํานวน 75,032 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 กม. รวมระยะทาง 75,032 กม.(ระยะเวลาดําเนินงาน เดือน ธ.ค.61 – ก.ย.62 เงินงบประมาณ 92,327 ล้านบาท)11) โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อมุ่งผลักดันนโยบายการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศกําหนดให้หน่วยงานภาครัฐใช้วัตถุดิบยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรชาวสวนยาง ซึ่ง ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2562 มีหน่วยงานภาครัฐ 10 แห่ง เข้าร่วมโครงการฯ ดําเนินการใช้ยางพารา รวมปริมาณความต้องการใช้ยาง คิดเป็นน้ํายางสดเกือบ 170,000 ตัน วงเงินงบประมาณรวมกว่า 43,000 ล้านบาท และ 12. คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กําหนดให้ผู้ประกอบกิจการยางที่มีปริมาณการรับซื้อตั้งแต่เดือนละ 5,000 กก.ขึ้นไป แจ้งปริมาณการซื้อ ปริมาณการจําหน่าย ปริมาณการใช้ไป ปริมาณคงเหลือ และสถานที่เก็บสินค้ายางพารา ตลอดจนให้จัดทําบัญชีคุมรายวัน เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ทุกเวลาโดยทั้งหมดลําดับที่ 1-11 ดําเนินการโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนลําดับที่ 12 นั้นดําเนินการโดยกระทรวงพาณิชย์ โดยยืนยันว่ารัฐบาลบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วนเพื่อเดินหน้าทั้งมาตรการหลักและมาตรการคู่ขนานเพื่อยกระดับราคาช่วยเหลือเกษตรกรด้วยความจริงใจและ "ทําได้ไว ทําได้จริง" นายสุนันท์ นวลพรหมสกุลรักษาการผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับมูลค่าการส่งออกในปี 2562 ระหว่างมกราคม - กันยายน 2562อยู่ที่ 128,696 ล้านบาท ตลาดส่งออกที่สําคัญคือ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น อเมริกา เกาหลีใต้ ส่วนคู่แข่งที่สําคัญคือประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม โดยในปี 2561 ปริมาณการส่งออกรวม 4.15 ล้านตัน และในจํานวนนี้ส่งออกไปยังประเทศจีนรวม 2.48 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 59.7 ของปริมาณส่งออกทั้งหมด ส่วนสถานการณ์ปี 2562 กําลังอยู่ระหว่างการเร่งผักดันการส่งออกนอกโควต้า ข้อตกลงหรือ MOU เดิม ทั้งนี้เพื่อผลักดันราคายางพาราเพื่อรองรับการช่วยเหลือเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24528
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เผยเตรียมโครงการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรทั้ง อ้อย ข้าวโพด ประมง ไว้แล้ว
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรี เผยเตรียมโครงการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรทั้ง อ้อย ข้าวโพด ประมง ไว้แล้ว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เผยเตรียมโครงการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรทั้ง อ้อย ข้าวโพด ประมง ไว้แล้ว วันนี้ (3 ธันวาคม 2562) เวลา 13.30 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงแก่สื่อมวลชน ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี รัฐบาลยืนยันเดินหน้าโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เช่นโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย สนับสนุนปัจจัยการผลิต โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง โครงการการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด โดยทั้งหมดได้มีการศึกษาในรายละเอียด แต่จําเป็นต้องรอระยะเวลา เพราะขณะนี้งบประมาณที่ใช้ไปพลางก่อนมีจํานวนจํากัด ซึ่งขณะนี้ ร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2563 ยังอยู่ในชั้นพิจารณาวาระ 2 และ 3 ของกรรมาธิการงบประมาณของรัฐสภา ตามขั้นตอนคาดว่าเร็วที่สุดน่าจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 63 ทั้งนี้ การช่วยเหลือรัฐบาลจําเป็นต้องใช้จ่ายผ่านธนาคารรัฐจึงต้องยึดพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังและรอร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2563 มีผลใช้บังคับด้วย โดยรัฐบาลพร้อมทยอยดําเนินมาตรการช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้แล้ว นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและค่าเงินบาทว่าจําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ 2 ทาง ทั้งรัฐในฐานะผู้กําหนดนโยบายและทําหน้าที่ขจัดอุปสรรค เอกชนก็ต้องร่วมลงทุน การใช้จ่ายเงินตราต่างประเทศก็มีส่วนช่วยเรื่องค่าเงินบาท หลายอย่างมีการคืบหน้าแต่บางอย่างก็ยังคงอยู่ในกระบวนการซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังมีเรื่องดีๆ อาทิ วันนี้ มีการรายงานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ไทยเป็นประเทศที่ราคายาถูกที่สุดในโลก ทําให้คนสามารถเข้าถึงยาได้ ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เผยเตรียมโครงการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรทั้ง อ้อย ข้าวโพด ประมง ไว้แล้ว วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรี เผยเตรียมโครงการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรทั้ง อ้อย ข้าวโพด ประมง ไว้แล้ว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เผยเตรียมโครงการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรทั้ง อ้อย ข้าวโพด ประมง ไว้แล้ว วันนี้ (3 ธันวาคม 2562) เวลา 13.30 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงแก่สื่อมวลชน ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี รัฐบาลยืนยันเดินหน้าโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เช่นโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย สนับสนุนปัจจัยการผลิต โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง โครงการการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด โดยทั้งหมดได้มีการศึกษาในรายละเอียด แต่จําเป็นต้องรอระยะเวลา เพราะขณะนี้งบประมาณที่ใช้ไปพลางก่อนมีจํานวนจํากัด ซึ่งขณะนี้ ร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2563 ยังอยู่ในชั้นพิจารณาวาระ 2 และ 3 ของกรรมาธิการงบประมาณของรัฐสภา ตามขั้นตอนคาดว่าเร็วที่สุดน่าจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 63 ทั้งนี้ การช่วยเหลือรัฐบาลจําเป็นต้องใช้จ่ายผ่านธนาคารรัฐจึงต้องยึดพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังและรอร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2563 มีผลใช้บังคับด้วย โดยรัฐบาลพร้อมทยอยดําเนินมาตรการช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้แล้ว นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและค่าเงินบาทว่าจําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ 2 ทาง ทั้งรัฐในฐานะผู้กําหนดนโยบายและทําหน้าที่ขจัดอุปสรรค เอกชนก็ต้องร่วมลงทุน การใช้จ่ายเงินตราต่างประเทศก็มีส่วนช่วยเรื่องค่าเงินบาท หลายอย่างมีการคืบหน้าแต่บางอย่างก็ยังคงอยู่ในกระบวนการซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังมีเรื่องดีๆ อาทิ วันนี้ มีการรายงานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ไทยเป็นประเทศที่ราคายาถูกที่สุดในโลก ทําให้คนสามารถเข้าถึงยาได้ ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24997
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำคณะผู้บริหารติดริบบิ้นสีขาว แก่นายกรัฐมนตรี เพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว
วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2562 รมว.พม. นําคณะผู้บริหารติดริบบิ้นสีขาว แก่นายกรัฐมนตรี เพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว รมว.พม. นําคณะผู้บริหารติดริบบิ้นสีขาว แก่นายกรัฐมนตรี เพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว วันนี้ (19 พ.ย. 62) เวลา 08.30 น. ที่หน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นําคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ติดเข็มกลัดริบบิ้นสีขาว ให้แก่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อแสดงเจตจํานงในการร่วมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว เนื่องในเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี นายจุติ กล่าวว่า ด้วยคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542 เห็นชอบให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็น “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี” โดยบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงความสําคัญของปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกสังคมและทุกประเทศทั่วโลก จนเกิดเป็นกระแสสากลที่มีการตื่นตัวและตระหนักในการให้ความสําคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว นับเป็นปัญหาที่พบทั้งในครอบครัวและสังคม โดยปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงจํานวนมาก ทั้งเด็ก สตรี รวมไปถึงผู้สูงอายุและคนพิการ ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกทําร้ายและทารุณกรรม ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และทางเพศ ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวจึงส่งผลกระทบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสังคม และประเทศชาติ นายจุติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.)ได้กําหนดจัดงานรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ประจําปี 2562 ภายใต้แนวคิด Safety Home...Safety Society “บ้านปลอดภัย...สังคมไทยไร้ความรุนแรง” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกระแสสังคมด้วยการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไป และทุกภาคส่วนในสังคม มีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว โดยมีกิจกรรมที่สําคัญในเดือนพฤศจิกายน ประกอบด้วย กิจกรรมการติดเข็มกลัดริบบิ้นสีขาวแก่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ อันเป็นแบบอย่างในการไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย และไม่กระทําความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว อีกทั้งกระทรวง พม. พร้อมภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ได้กําหนดจัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงในภาพรวมทั่วประเทศ ทั้งในพื้นที่ส่วนกลางและภูมิภาคตลอดปี 2563 เพื่อสร้างกระแสสังคมได้ตระหนักต่อประเด็นปัญหาความรุนแรงที่มีต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว และกระตุ้นให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนเห็นความสําคัญและมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง ป้องกันให้สมาชิกในครอบครัวรู้เท่าทันอบายมุขที่เข้ามาสู่ครอบครัวในหลากหลายรูปแบบและหลายช่องทาง ลดการทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว สมาชิกในบ้านไม่กระทําความรุนแรงต่อกันทั้งทางร่างกาย วาจา และจิตใจ ส่งผลให้ครอบครัวเกิดความร่มเย็น และสังคมเกิดความสงบสุขต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำคณะผู้บริหารติดริบบิ้นสีขาว แก่นายกรัฐมนตรี เพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2562 รมว.พม. นําคณะผู้บริหารติดริบบิ้นสีขาว แก่นายกรัฐมนตรี เพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว รมว.พม. นําคณะผู้บริหารติดริบบิ้นสีขาว แก่นายกรัฐมนตรี เพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว วันนี้ (19 พ.ย. 62) เวลา 08.30 น. ที่หน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นําคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ติดเข็มกลัดริบบิ้นสีขาว ให้แก่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อแสดงเจตจํานงในการร่วมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว เนื่องในเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี นายจุติ กล่าวว่า ด้วยคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542 เห็นชอบให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็น “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี” โดยบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงความสําคัญของปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกสังคมและทุกประเทศทั่วโลก จนเกิดเป็นกระแสสากลที่มีการตื่นตัวและตระหนักในการให้ความสําคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว นับเป็นปัญหาที่พบทั้งในครอบครัวและสังคม โดยปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงจํานวนมาก ทั้งเด็ก สตรี รวมไปถึงผู้สูงอายุและคนพิการ ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกทําร้ายและทารุณกรรม ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และทางเพศ ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวจึงส่งผลกระทบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสังคม และประเทศชาติ นายจุติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.)ได้กําหนดจัดงานรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ประจําปี 2562 ภายใต้แนวคิด Safety Home...Safety Society “บ้านปลอดภัย...สังคมไทยไร้ความรุนแรง” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกระแสสังคมด้วยการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไป และทุกภาคส่วนในสังคม มีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว โดยมีกิจกรรมที่สําคัญในเดือนพฤศจิกายน ประกอบด้วย กิจกรรมการติดเข็มกลัดริบบิ้นสีขาวแก่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ อันเป็นแบบอย่างในการไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย และไม่กระทําความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว อีกทั้งกระทรวง พม. พร้อมภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ได้กําหนดจัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงในภาพรวมทั่วประเทศ ทั้งในพื้นที่ส่วนกลางและภูมิภาคตลอดปี 2563 เพื่อสร้างกระแสสังคมได้ตระหนักต่อประเด็นปัญหาความรุนแรงที่มีต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว และกระตุ้นให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนเห็นความสําคัญและมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง ป้องกันให้สมาชิกในครอบครัวรู้เท่าทันอบายมุขที่เข้ามาสู่ครอบครัวในหลากหลายรูปแบบและหลายช่องทาง ลดการทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว สมาชิกในบ้านไม่กระทําความรุนแรงต่อกันทั้งทางร่างกาย วาจา และจิตใจ ส่งผลให้ครอบครัวเกิดความร่มเย็น และสังคมเกิดความสงบสุขต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24677
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เป็นประธานการประชุมผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ครั้งที่ 6/2561
วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม 2561 รองหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เป็นประธานการประชุมผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ครั้งที่ 6/2561 พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รองหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ครั้งที่ 6/2561 วันที่ 9 กรกฎาคม 2561 เวลา 09.30 น. ที่ ศาลาว่าการกลาโหม กรุงเทพฯ พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รองหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ครั้งที่ 6/2561 ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบรายงานการดําเนินงานของผู้แทนพิเศษ และคณะทํางานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการประสานงานกับทุกส่วนราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ พร้อมเร่งรัดการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด โดยเรื่องสาธารณสุขหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ร่วมกับผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงผู้นําศาสนา และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันกําหนดแนวทางพัฒนาและแก้ปัญหาสาธารณสุขที่จะให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด เนื่องจากข้อมูลทางด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในเกณฑ์ต่ํากว่าค่ามาตรฐานของประเทศไทยที่สําคัญ อาทิ การตั้งครรภ์ของหญิงที่ไม่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ อัตราการตายของมารดาและทารกที่สูง ภาวะโลหิตจางของมารดาและบุตร ทารกแรกเกิดมีน้ําหนักต่ํากว่าเกณฑ์ และพบโรคต่างๆ มาก เช่น เด็กฟันผุ โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน มะเร็งลําไส้ ตลอดจนปัญหายาเสพติดหรือการสูบบุหรี่ หรือบางโรคที่หายไปกลับพบเจอ เช่น โรคเรื้อน โรคเท้าช้าง โรคมาลาเรีย ไข้เลือดออก ในเรื่องนี้ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้หารือแลกเปลี่ยนรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะประเด็นปัญหาสุขภาวะอนามัยของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากตัวแทนภาคส่วนต่าง ๆ ทุกภาคส่วน รวมถึงผู้นําศาสนาและผู้นําชุมชนในพื้นที่ ต่างพร้อมที่จะร่วมกันแก้ปัญหาสุขภาพให้กับประชาชนและเยาวชน ทั้งในสถานศึกษา สถาบันศึกษาปอเนาะ ศูนย์การศึกษาอิสลามประจํามัสยิด (ตาดีกา) การเสนอให้ครูช่วยแนะนําเรื่องสุขภาวะอนามัยให้กับประชาชนและการอาสาพาไปโรงพยาบาล การให้ความรู้ด้านสุขภาวะอนามัยกับผู้นําศาสนาและให้ผู้นําศาสนาช่วยนําข้อมูลไปสร้างการรับรู้ ช่วยเหลือแก้ปัญหาฯ ข้อเสนอให้แก้ไขกรณีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจําตําบลไม่มีนายแพทย์ เสนอให้มีการจัดทําหลักสูตรเกี่ยวกับการบริการสาธารณสุขเพื่อให้ครูนําไปใช้สอนนักเรียน นักศึกษา และเสนอเรื่องการให้ความรู้กับกลุ่มสุภาพสตรีที่เลี้ยงดูบุตร ให้เห็นถึงความสําคัญของการเลี้ยงดูบุตรเพื่อการพัฒนาทางสมองของเด็ก ขณะที่การดําเนินการตามโครงการ “กระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่” สัปดาห์ที่ผ่านมา พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมกิจกรรมของนักเรียนที่ อ.สุไหงโก-ลก, อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เพื่อเดินหน้าพัฒนาการศึกษา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้สํานักงานกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้า เป็นหน่วยงานถาวร โดยจะจัดเตรียมบุคลากรให้แล้วเสร็จภายใน 2-3 เดือนนี้ พร้อมกันนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เดินหน้าแก้ไขปัญหาการทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขปัญหาและส่งเสริมด้านการศึกษาให้กับเยาวชนในสถานศึกษาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างเป็นรูปธรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เป็นประธานการประชุมผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ครั้งที่ 6/2561 วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม 2561 รองหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เป็นประธานการประชุมผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ครั้งที่ 6/2561 พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รองหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ครั้งที่ 6/2561 วันที่ 9 กรกฎาคม 2561 เวลา 09.30 น. ที่ ศาลาว่าการกลาโหม กรุงเทพฯ พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รองหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ครั้งที่ 6/2561 ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบรายงานการดําเนินงานของผู้แทนพิเศษ และคณะทํางานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการประสานงานกับทุกส่วนราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ พร้อมเร่งรัดการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด โดยเรื่องสาธารณสุขหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ร่วมกับผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงผู้นําศาสนา และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันกําหนดแนวทางพัฒนาและแก้ปัญหาสาธารณสุขที่จะให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด เนื่องจากข้อมูลทางด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในเกณฑ์ต่ํากว่าค่ามาตรฐานของประเทศไทยที่สําคัญ อาทิ การตั้งครรภ์ของหญิงที่ไม่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ อัตราการตายของมารดาและทารกที่สูง ภาวะโลหิตจางของมารดาและบุตร ทารกแรกเกิดมีน้ําหนักต่ํากว่าเกณฑ์ และพบโรคต่างๆ มาก เช่น เด็กฟันผุ โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน มะเร็งลําไส้ ตลอดจนปัญหายาเสพติดหรือการสูบบุหรี่ หรือบางโรคที่หายไปกลับพบเจอ เช่น โรคเรื้อน โรคเท้าช้าง โรคมาลาเรีย ไข้เลือดออก ในเรื่องนี้ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้หารือแลกเปลี่ยนรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะประเด็นปัญหาสุขภาวะอนามัยของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากตัวแทนภาคส่วนต่าง ๆ ทุกภาคส่วน รวมถึงผู้นําศาสนาและผู้นําชุมชนในพื้นที่ ต่างพร้อมที่จะร่วมกันแก้ปัญหาสุขภาพให้กับประชาชนและเยาวชน ทั้งในสถานศึกษา สถาบันศึกษาปอเนาะ ศูนย์การศึกษาอิสลามประจํามัสยิด (ตาดีกา) การเสนอให้ครูช่วยแนะนําเรื่องสุขภาวะอนามัยให้กับประชาชนและการอาสาพาไปโรงพยาบาล การให้ความรู้ด้านสุขภาวะอนามัยกับผู้นําศาสนาและให้ผู้นําศาสนาช่วยนําข้อมูลไปสร้างการรับรู้ ช่วยเหลือแก้ปัญหาฯ ข้อเสนอให้แก้ไขกรณีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจําตําบลไม่มีนายแพทย์ เสนอให้มีการจัดทําหลักสูตรเกี่ยวกับการบริการสาธารณสุขเพื่อให้ครูนําไปใช้สอนนักเรียน นักศึกษา และเสนอเรื่องการให้ความรู้กับกลุ่มสุภาพสตรีที่เลี้ยงดูบุตร ให้เห็นถึงความสําคัญของการเลี้ยงดูบุตรเพื่อการพัฒนาทางสมองของเด็ก ขณะที่การดําเนินการตามโครงการ “กระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่” สัปดาห์ที่ผ่านมา พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมกิจกรรมของนักเรียนที่ อ.สุไหงโก-ลก, อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เพื่อเดินหน้าพัฒนาการศึกษา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้สํานักงานกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้า เป็นหน่วยงานถาวร โดยจะจัดเตรียมบุคลากรให้แล้วเสร็จภายใน 2-3 เดือนนี้ พร้อมกันนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เดินหน้าแก้ไขปัญหาการทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขปัญหาและส่งเสริมด้านการศึกษาให้กับเยาวชนในสถานศึกษาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างเป็นรูปธรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13720
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิธีปล่อยขบวนรถอำนวยความสะดวกและปลอดภัยเทศกาลสงกรานต์ 2560
วันพุธที่ 12 เมษายน 2560 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิธีปล่อยขบวนรถอํานวยความสะดวกและปลอดภัยเทศกาลสงกรานต์ 2560 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิธีปล่อยขบวนรถรณรงค์อํานวยความสะดวกและปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางให้กับประชาชน ภายใต้หัวข้อ “ขับขี่ปลอดภัยบนทางหลวงชนบท” ในวันที่ 12 เมษายน 2560 โดยมี นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กรมทางหลวงชนบท และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ กรมทางหลวงชนบท บางเขน กรุงเทพฯ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 โดยมีเป้าหมายลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ลดจํานวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เพื่อการเดินทางอย่างมี “ความสุข สะดวก และปลอดภัย” สําหรับในส่วนของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้ตรวจสอบและแก้ไขพื้นที่จุดเสี่ยง ทางร่วม ทางแยก จุดกลับรถ ทางเลี่ยงทางลัด ป้ายบอกทาง/แนะนําเส้นทาง รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานงานและจุดให้บริการ รายงานสภาพการจราจร Online แบบ Real Time จัดรถบริการให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสีย ตลอดจนตรวจสอบเครื่องหมายป้ายจราจร และไฟฟ้าแสงสว่างให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน กล่าวว่า ทช. ได้จัดทําแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 ภายใต้หัวข้อ “ขับขี่ปลอดภัยบนทางหลวงชนบท” เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะการอํานวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทาง และการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน การติดตั้งเครื่องหมายเตือน ป้ายแนะนําเส้นทางเลี่ยง และไฟสัญญาณจราจรเป็นระยะ ๆ ให้ชัดเจนทั่วประเทศ โดยช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 11 - 18 เมษายน 2560 ทช. ได้ขอความร่วมมือให้ผู้รับจ้างหยุดดําเนินการก่อสร้าง เพื่อคืนผิวจราจรให้ประชาชนเดินทางได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมากที่สุด รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ความปลอดภัยกรมทางหลวงชนบท และบริการสายด่วน 1146 ศูนย์ความปลอดภัยระดับสํานัก จํานวน 18 ศูนย์ ระดับจังหวัด จํานวน 76 ศูนย์ และจัดตั้งหน่วยบริการประชาชนทางหลวงชนบททั้ง 76 จังหวัด ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ทช. ได้รณรงค์ขับขี่ปลอดภัยบนสายทางหลวงชนบท โดยจัดทําคลิปเสียงสปอต เพื่อเปิดบนรถ Mobile Unit ของ ทช. จํานวน 94 คัน ทั่วประเทศ รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนใส่ใจเพื่อนร่วมทางด้วยการ “ขับรถช้า เปิดไฟหน้า คาดเข็มขัดนิรภัย” ตามนโยบายของกระทรวงฯ ศึกษาเส้นทางและเช็คสภาพรถก่อนออกเดินทาง ใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ ไม่ประมาท เมาไม่ขับ และสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งก่อนใช้รถ โดยสามารถสอบถามเส้นทางเลี่ยงของ ทช. ได้ที่ สายด่วน 1146 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ www.drr.go.th สํานักอํานวยความปลอดภัย ทช.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิธีปล่อยขบวนรถอำนวยความสะดวกและปลอดภัยเทศกาลสงกรานต์ 2560 วันพุธที่ 12 เมษายน 2560 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิธีปล่อยขบวนรถอํานวยความสะดวกและปลอดภัยเทศกาลสงกรานต์ 2560 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิธีปล่อยขบวนรถรณรงค์อํานวยความสะดวกและปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางให้กับประชาชน ภายใต้หัวข้อ “ขับขี่ปลอดภัยบนทางหลวงชนบท” ในวันที่ 12 เมษายน 2560 โดยมี นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กรมทางหลวงชนบท และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ กรมทางหลวงชนบท บางเขน กรุงเทพฯ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 โดยมีเป้าหมายลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ลดจํานวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เพื่อการเดินทางอย่างมี “ความสุข สะดวก และปลอดภัย” สําหรับในส่วนของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้ตรวจสอบและแก้ไขพื้นที่จุดเสี่ยง ทางร่วม ทางแยก จุดกลับรถ ทางเลี่ยงทางลัด ป้ายบอกทาง/แนะนําเส้นทาง รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานงานและจุดให้บริการ รายงานสภาพการจราจร Online แบบ Real Time จัดรถบริการให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสีย ตลอดจนตรวจสอบเครื่องหมายป้ายจราจร และไฟฟ้าแสงสว่างให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน กล่าวว่า ทช. ได้จัดทําแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 ภายใต้หัวข้อ “ขับขี่ปลอดภัยบนทางหลวงชนบท” เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะการอํานวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทาง และการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน การติดตั้งเครื่องหมายเตือน ป้ายแนะนําเส้นทางเลี่ยง และไฟสัญญาณจราจรเป็นระยะ ๆ ให้ชัดเจนทั่วประเทศ โดยช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 11 - 18 เมษายน 2560 ทช. ได้ขอความร่วมมือให้ผู้รับจ้างหยุดดําเนินการก่อสร้าง เพื่อคืนผิวจราจรให้ประชาชนเดินทางได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมากที่สุด รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ความปลอดภัยกรมทางหลวงชนบท และบริการสายด่วน 1146 ศูนย์ความปลอดภัยระดับสํานัก จํานวน 18 ศูนย์ ระดับจังหวัด จํานวน 76 ศูนย์ และจัดตั้งหน่วยบริการประชาชนทางหลวงชนบททั้ง 76 จังหวัด ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ทช. ได้รณรงค์ขับขี่ปลอดภัยบนสายทางหลวงชนบท โดยจัดทําคลิปเสียงสปอต เพื่อเปิดบนรถ Mobile Unit ของ ทช. จํานวน 94 คัน ทั่วประเทศ รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนใส่ใจเพื่อนร่วมทางด้วยการ “ขับรถช้า เปิดไฟหน้า คาดเข็มขัดนิรภัย” ตามนโยบายของกระทรวงฯ ศึกษาเส้นทางและเช็คสภาพรถก่อนออกเดินทาง ใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ ไม่ประมาท เมาไม่ขับ และสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งก่อนใช้รถ โดยสามารถสอบถามเส้นทางเลี่ยงของ ทช. ได้ที่ สายด่วน 1146 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ www.drr.go.th สํานักอํานวยความปลอดภัย ทช.
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3056
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เยี่ยมชมโครงการเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศ AAE-1 ที่จังหวัดสตูล
วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560 รมว.ดิจิทัลฯ เยี่ยมชมโครงการเคเบิลใต้น้ําระหว่างประเทศ AAE-1 ที่จังหวัดสตูล รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นําคณะผู้บริหารและสื่อมวลชนเยี่ยมชมโครงการเคเบิลใต้น้ําระหว่างประเทศ AAE-1 (Asia-Africa-Europe1) โดยบริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ร่วมกับกลุ่มลงทุนจากบริษัทโทรคมนาคมชั้นนําระหว่างประเทศ ดําเนินการก่อสร้างเคเบิลใต้น้ําความจุสูงระบบแรกที่มีเส้นทางหลักผ่านประเทศไทย เพื่อเชื่อมโยงไปยัง 17 ประเทศ และเพิ่มวงจรระหว่างประเทศรองรับบรอดแบนด์ของประเทศไทย ให้มีความหลากหลายและเพียงพอต่อการใช้งานในปัจจุบันและอนาคตระยะยาว สําหรับระบบ AAE-1 ถือเป็นเคเบิลใต้น้ําระหว่างประเทศ 1 ใน 3 ระบบ ที่ ทีโอที ได้รับอนุมัติจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2557 ปัจจุบันมีความคืบหน้าโดยรวมมากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ กําหนดเปิดใช้งานในส่วนของเส้นทางประเทศไทย-สิงคโปร์ และไทย - ฝรั่งเศส ในไตรมาสสองของปี 2560 นอกจากจะนํามาใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตของลูกค้าแล้ว ยังมีแผนให้บริการวงจรระหว่างประเทศแก่ผู้ให้บริการรายอื่นๆ เพื่อสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล และเป็นช่องทางให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงข้อมูลด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย เช่น สถานที่ท่องเที่ยว สินค้าตามหมู่บ้านชนบทต่าง ๆ ของไทย ฯลฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งประเทศให้ดีขึ้นอีกด้วย ณ สถานีเคเบิล ใต้น้ําปากบารา ตําบลปากน้ํา อําเภอละงู จังหวัดสตูล เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 *********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เยี่ยมชมโครงการเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศ AAE-1 ที่จังหวัดสตูล วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560 รมว.ดิจิทัลฯ เยี่ยมชมโครงการเคเบิลใต้น้ําระหว่างประเทศ AAE-1 ที่จังหวัดสตูล รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นําคณะผู้บริหารและสื่อมวลชนเยี่ยมชมโครงการเคเบิลใต้น้ําระหว่างประเทศ AAE-1 (Asia-Africa-Europe1) โดยบริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ร่วมกับกลุ่มลงทุนจากบริษัทโทรคมนาคมชั้นนําระหว่างประเทศ ดําเนินการก่อสร้างเคเบิลใต้น้ําความจุสูงระบบแรกที่มีเส้นทางหลักผ่านประเทศไทย เพื่อเชื่อมโยงไปยัง 17 ประเทศ และเพิ่มวงจรระหว่างประเทศรองรับบรอดแบนด์ของประเทศไทย ให้มีความหลากหลายและเพียงพอต่อการใช้งานในปัจจุบันและอนาคตระยะยาว สําหรับระบบ AAE-1 ถือเป็นเคเบิลใต้น้ําระหว่างประเทศ 1 ใน 3 ระบบ ที่ ทีโอที ได้รับอนุมัติจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2557 ปัจจุบันมีความคืบหน้าโดยรวมมากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ กําหนดเปิดใช้งานในส่วนของเส้นทางประเทศไทย-สิงคโปร์ และไทย - ฝรั่งเศส ในไตรมาสสองของปี 2560 นอกจากจะนํามาใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตของลูกค้าแล้ว ยังมีแผนให้บริการวงจรระหว่างประเทศแก่ผู้ให้บริการรายอื่นๆ เพื่อสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล และเป็นช่องทางให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงข้อมูลด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย เช่น สถานที่ท่องเที่ยว สินค้าตามหมู่บ้านชนบทต่าง ๆ ของไทย ฯลฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งประเทศให้ดีขึ้นอีกด้วย ณ สถานีเคเบิล ใต้น้ําปากบารา ตําบลปากน้ํา อําเภอละงู จังหวัดสตูล เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 *********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3365
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กทม. ชี้แจงข้อวิจารณ์การสร้างทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาของ กทม.
วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2561 กทม. ชี้แจงข้อวิจารณ์การสร้างทางเลียบแม่น้ําเจ้าพระยาของ กทม. กทม.ชี้แจงข้อวิจารณ์การสร้างทางเลียบแม่น้ําเจ้าพระยาของ กทม. ระบุงบประมาณโครงการเป็นไปตามราคาวัสดุ-ราคาค่าแรงงานตามหลักเกณฑ์ของราชการ ไม่ได้มีมูลค่าสูงถึง 14,000 ล้านบาท ยืนยันโครงการมีความคุ้มค่าเหมาะสมกับการลงทุน วันที่ 5 มิถุนายน 2561 นายภัทรุตม์ ทรรทรานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร และนายณัฏฐ์ ศรีสุคนธนันท์ ผู้อํานวยการสํานักการโยธา กรุงเทพมหานคร ชี้แจงข้อวิจารณ์การสร้างทางเลียบแม่น้ําเจ้าพระยาของ กทม. ตามที่สมัชชารักษ์แม่น้ําลําคลอง จัดเสวนาเรื่อง “ทางเลียบแม่น้ําเจ้าพระยา พัฒนาหรือทําลาย” มีประเด็นดังนี้ 1. กรุงเทพมหานครนําเสนอโครงการที่เป็นสะพานยกสูงเหนือระดับน้ําท่วม งบประมาณ 14,000 ล้านบาท ซึ่งผลการศึกษาของที่ปรึกษาออกแบบเป็นการสร้างสะพาน ถนนลงไปในแม่น้ําเจ้าพระยา มีความกว้างประมาณ 10 เมตร ยาว 7 กิโลเมตร ในแต่ละฝั่งของแม่น้ําเจ้าพระยาจากสะพานพระราม 7 ถึงสะพานปิ่นเกล้า ความยาว 14 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการออกแบบที่ไม่สอดคล้องกับหลักการและเจตนารมณ์ของการพัฒนา เชื่อว่าจะส่งผลกระทบในหลาย ๆ มิติ ทั้งด้านภูมิสถาปัตย์ ประเพณีวัฒนธรรมริมน้ํา การท่องเที่ยว การคมนาคมขนส่งทางน้ํา และการระบายน้ําเพื่อป้องกันน้ําท่วม 2. ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับแผนและรูปแบบโครงสร้างมากนัก และมีการออกแบบเสาทางเดินเป็นลักษณะเสาเดียว ซึ่งอาจเป็นอันตราย 3. สงสัยว่าการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว ใครได้ประโยชน์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าโครงการจะเป็นเช่นไร สํานักการโยธา กรุงเทพมหานคร ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ 1. กรุงเทพมหานครนําเสนอโครงการที่เป็นสะพานยกสูงเหนือระดับน้ําท่วม งบประมาณ 14,000 ล้านบาท ซึ่งผลการศึกษาของที่ปรึกษาออกแบบเป็นการสร้างสะพาน ถนนลงไปในแม่น้ําเจ้าพระยา มีความกว้างประมาณ 10 เมตร ยาว 7 กิโลเมตร ในแต่ละฝั่งของแม่น้ําเจ้าพระยาจากสะพานพระราม 7 ถึงสะพานปิ่นเกล้า ความยาว 14 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการออกแบบที่ไม่สอดคล้องกับหลักการและเจตนารมณ์ของการพัฒนา เชื่อว่าจะส่งผลกระทบในหลาย ๆ มิติ ทั้งด้านภูมิสถาปัตย์ ประเพณีวัฒนธรรมริมน้ํา การท่องเที่ยว การคมนาคมขนส่งทางน้ํา และการระบายน้ําเพื่อป้องกันน้ําท่วม กรุงเทพมหานครขอชี้แจงว่า กรุงเทพมหานครได้ดําเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 และวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 ที่มอบหมายให้ศึกษาความเหมาะสมและจัดทําแบบรายละเอียดเพื่อการก่อสร้างโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา จากสะพานพระราม 7 ถึงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า โดยมีคณะทํางานด้านต่าง ๆ ได้แก่ คณะอนุกรรมการด้านการบริหารโครงการ คณะอนุกรรมการด้านการออกแบบและภูมิสถาปัตย์ คณะอนุกรรมการด้านกฎหมาย และคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์ โดยองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการชุดต่าง ๆ ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาในแต่ละด้าน ซึ่งในการศึกษาความเหมาะสมและรูปแบบของโครงการฯ ได้คํานึงถึงปัจจัยที่จะส่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ ครอบคลุมทั้งด้านสถาปัตยกรรม ภูมิสถาปัตยกรรม วิศวกรรม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การคมนาคมขนส่งทางน้ํา และการระบายน้ําเพื่อป้องกันน้ําท่วม โดยนําข้อคิดเห็นของประชาชนมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาดําเนินการโครงการ ผลการศึกษาปรากฏว่าการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาที่จะเกิดขึ้น จะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อวิถีชีวิต การประกอบธุรกิจ การประกอบอาชีพ การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม รูปแบบโครงการในภาพรวม ประกอบด้วย การก่อสร้างทางเดิน ทางจักรยานริมแม่น้ําเจ้าพระยาจากสะพานพระราม 7 ถึงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า มีความกว้างประมาณ 6-10 เมตร พร้อมกับปรับปรุงภูมิทัศน์เขื่อน ท่าเรือ ศาลาท่าน้ํา พื้นที่บริการสาธารณะ เส้นทางการเข้าถึง ระบบไฟฟ้า ระบบระบายน้ํา และส่วนประกอบอื่น ๆ โดยงบประมาณโครงการเป็นไปตามราคาวัสดุและราคาค่าแรงงานตามหลักเกณฑ์ของทางราชการ ไม่ได้มีมูลค่าสูงถึง 14,000 ล้านบาท สําหรับรูปแบบทางเดินริมแม่น้ําจะมีทั้งการพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ําเจ้าพระยาและจัดทําทางเดินริมแม่น้ําบนฝั่ง เช่น บริเวณใต้สะพานพระราม 8 แต่เนื่องจากไม่มีนโยบายในการเวนคืนพื้นที่ริมน้ําที่เป็นของเอกชน จึงจําเป็นต้องมีการออกแบบทางเดินริมน้ําแบบสะพานยื่นไปในแม่น้ําเจ้าพระยา ส่วนระดับของทางเดิน ทางจักรยาน อยู่สูงกว่าระดับน้ําทะเลปานกลาง 2.25 เมตร ต่ํากว่าระดับเขื่อนป้องกันน้ําท่วมในปัจจุบัน ประมาณ 1 เมตร ดังนั้น จะไม่บดบังทัศนียภาพสิ่งก่อสร้างเดิมริมน้ํา ไม่บดบังภูมิทัศน์และวัฒนธรรมริมสองฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา และจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือทุกประเภทที่ใช้แม่น้ําเจ้าพระยาในการสัญจร 2. ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับแผนและรูปแบบโครงสร้างมากนัก และมีการออกแบบเสาทางเดินเป็นลักษณะเสาเดียว ซึ่งอาจเป็นอันตราย ขอชี้แจงว่า ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบโครงการผ่านทุกช่องทางการสื่อสารทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สื่อออนไลน์ ตลอดจนเว็บไซต์โครงการ www.chaophrayaforall.com และ Facebook Fanpage : Chao Phraya for All ซึ่งเป็นช่องทางที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังได้จัดรับฟังความคิดเห็นและเผยแพร่ข้อมูลโครงการฯ มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้มีการลงพื้นที่ให้ข้อมูล รับฟังความคิดเห็น และข้อห่วงกังวลจากประชาชนมากกว่า 400 ครั้ง ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนทั่วไป ชุมชนริมน้ํา และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาร่วมให้ข้อมูล ข้อคิดเห็นต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนปัจจุบันที่โครงการออกแบบแล้วเสร็จก็ยังได้รับความร่วมมือจากประชาชนในการให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อโครงการ สําหรับข้อกังวลเรื่องการออกแบบเสาทางเดินเป็นลักษณะเสาเดียว ซึ่งอาจเป็นอันตรายนั้น โดยข้อเท็จจริงแล้ว รูปแบบโครงสร้างของทางเดินริมน้ําจะมีลักษณะแตกต่างกันตามขนาดความกว้างทางเดินของแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีขนาดแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของและบริบทแต่ละบริเวณ โดยเสาเข็มที่ใช้จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.80 เมตร จํานวน 1 – 4 ต้น ไม่ได้เป็นเสาต้นเดียวตลอดแนวโครงการแต่อย่างใด การออกแบบคํานึงถึงความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย ความทนทานต่อการเกิดแผ่นดินไหว การกัดเซาะของคลื่น การกัดกร่อนของน้ํากร่อย และผลกระทบต่อการไหลของน้ําอย่างครบถ้วน 3. สงสัยว่าการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว ใครได้ประโยชน์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าโครงการจะเป็นเช่นไร ขอชี้แจงว่า โครงการพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา เป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการและอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนทุกคน รวมถึงนักท่องเที่ยว ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นในบริเวณโครงการ สร้างการกระจายตัวของรายได้ และส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งเกิดเป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐศาสตร์ทั้งที่ได้รับเป็นตัวเงิน (cash) และที่ไม่ได้รับเป็นตัวเงิน (Non – Cash) ดังนี้ 1. ผลประโยชน์ที่ได้รับจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น การพัฒนาโครงการทางเดินริมแม่น้ําจะทําให้เกิดการเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่สําคัญทางวัฒนธรรมริมฝั่งแม่น้ํา ทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี เช่น วัด และสถานที่สําคัญต่าง ๆ รวมประมาณ 35 แห่ง เมื่อมีการเชื่อมต่อสถานที่ท่องเที่ยวก็จะทําให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ของชาวบ้านบริเวณริมแม่น้ําเจ้าพระยาให้เป็นพื้นที่พาณิชย์ เกิดรายได้จากการท่องเที่ยว ส่งผลให้ชาวบ้านได้รับประโยชน์จากการมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 2. ผลประโยชน์ที่ได้รับจากมูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้น การพัฒนาโครงการพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา จะทําให้ที่ดินตลอดแนวโครงการ มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น จากการที่มีจํานวนผู้ใช้บริการมากขึ้น การเข้า-ออกในพื้นที่ริมแม่น้ําง่ายขึ้น และการเดินทางที่สะดวกสบายและรวดเร็วมากขึ้น 3. ผลประโยชน์ด้านอื่น ๆ ที่เป็นผลพลอยได้จากการพัฒนา ซึ่งประชาชน ผู้ใช้บริการ ชุมชนโดยรอบ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับผลประโยชน์ แต่ไม่สามารถวัดเป็นมูลค่าได้ อาทิ 1) ประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์และเวลาเดินทาง กรณีที่ผู้เดินทางเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์มาเป็นการเดินหรือปั่นจักรยานแทน ทําให้สามารถลดต้นทุนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเดินทางแบบเดิมนอกจากการลดต้นทุนต่าง ๆ ในการเดินทาง ยังสามารถลดเวลาในการเดินทางในบางเส้นทาง ทําให้สามารถนําเวลาการเดินทางที่ประหยัดได้ ไปดําเนินกิจกรรมอื่น ๆ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจและสังคมได้ 2) ประชาชนมีสุขภาพที่แข็งแรง เนื่องจากพื้นที่ริมน้ําที่พัฒนาเป็นทางเดินมีลักษณะเป็นพื้นที่สาธารณะ มีสวนสาธารณะ สวนหย่อมสําหรับการพักผ่อน และมีพื้นที่สําหรับการออกกําลังกาย หรือทํากิจกรรมอื่น ๆ สําหรับประชาชนผู้ใช้บริการ ส่งผลดีต่อการสร้างเสริมสุขภาพที่ดีให้กับประชาชน สนับสนุนให้เกิดการออกกําลังกาย หรือผ่อนคลายความเครียด ทําให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น ลดการเจ็บป่วย ส่งผลให้รัฐบาลสามารถประหยัดเงินสนับสนุนค่ารักษาพยาบาลที่จะต้องจ่ายในแต่ละปี 3) เกิดการพัฒนาเมืองและการจ้างงาน การพัฒนาทางเดินริมน้ําจะทําให้การเดินทางสะดวกขึ้น ประหยัดต้นทุนและเวลาในการเดินทาง ทําให้มีประชาชนเปลี่ยนจากการเดินทางรูปแบบเดิมมาใช้บริการมากขึ้น ทําให้พื้นที่บริเวณโดยรอบตลอดริมทางเดินกลายเป็นพื้นที่ธุรกิจแห่งใหม่ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ดินบริเวณตลอดแนวทางเดินที่รกร้างว่างเปล่า หรือไม่มีการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสม ให้มีการใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นในเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้ ทําให้มีการใช้จ่ายเงินและการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการ 4) สร้างการเข้าถึงพื้นที่ชุมชนทําให้ชุมชนเป็นพื้นที่เปิด เนื่องจากในอดีตที่ดิน หรือชุมชนบริเวณริมแม่น้ําเจ้าพระยามีทางเข้า-ออกโดยใช้ถนนหลักเส้นทางเดียว ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่านทางริมน้ํา ทําให้การเข้าถึงค่อนข้างยากลําบาก ทั้งที่เป็นชุมชนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สําคัญต่าง ๆ รวมถึงเมื่อเกิดปัญหากรณีฉุกเฉินต่าง ๆ ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน อาจจะไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างทันเวลาทําให้เกิดการสูญเสียมหาศาล ดังนั้น การพัฒนาทางเดินริมแม่น้ําจะสร้างการเข้าถึงชุมชนท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สําคัญต่าง ๆ บริเวณริมแม่น้ํา และลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน จากการให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉินหรือกรณีที่เกิดภัยร้ายแรงต่างๆ ได้อย่างทันเวลา รวมถึงลดปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติดในชุมชน จากการเป็นพื้นที่เปิด โดยสรุปแล้ว จากการผลการวิเคราะห์ด้านความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของโครงการปรากฏว่ามีความคุ้มค่าและเหมาะสมกับการลงทุน เนื่องจากมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีค่าเป็นบวก โดยให้ผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยประมาณร้อยละ 11.89 ต่อปี และมีระยะเวลาคืนทุนที่ 10 ปี 8 เดือน ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับมูลค่าการลงทุน --------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กทม. ชี้แจงข้อวิจารณ์การสร้างทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาของ กทม. วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2561 กทม. ชี้แจงข้อวิจารณ์การสร้างทางเลียบแม่น้ําเจ้าพระยาของ กทม. กทม.ชี้แจงข้อวิจารณ์การสร้างทางเลียบแม่น้ําเจ้าพระยาของ กทม. ระบุงบประมาณโครงการเป็นไปตามราคาวัสดุ-ราคาค่าแรงงานตามหลักเกณฑ์ของราชการ ไม่ได้มีมูลค่าสูงถึง 14,000 ล้านบาท ยืนยันโครงการมีความคุ้มค่าเหมาะสมกับการลงทุน วันที่ 5 มิถุนายน 2561 นายภัทรุตม์ ทรรทรานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร และนายณัฏฐ์ ศรีสุคนธนันท์ ผู้อํานวยการสํานักการโยธา กรุงเทพมหานคร ชี้แจงข้อวิจารณ์การสร้างทางเลียบแม่น้ําเจ้าพระยาของ กทม. ตามที่สมัชชารักษ์แม่น้ําลําคลอง จัดเสวนาเรื่อง “ทางเลียบแม่น้ําเจ้าพระยา พัฒนาหรือทําลาย” มีประเด็นดังนี้ 1. กรุงเทพมหานครนําเสนอโครงการที่เป็นสะพานยกสูงเหนือระดับน้ําท่วม งบประมาณ 14,000 ล้านบาท ซึ่งผลการศึกษาของที่ปรึกษาออกแบบเป็นการสร้างสะพาน ถนนลงไปในแม่น้ําเจ้าพระยา มีความกว้างประมาณ 10 เมตร ยาว 7 กิโลเมตร ในแต่ละฝั่งของแม่น้ําเจ้าพระยาจากสะพานพระราม 7 ถึงสะพานปิ่นเกล้า ความยาว 14 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการออกแบบที่ไม่สอดคล้องกับหลักการและเจตนารมณ์ของการพัฒนา เชื่อว่าจะส่งผลกระทบในหลาย ๆ มิติ ทั้งด้านภูมิสถาปัตย์ ประเพณีวัฒนธรรมริมน้ํา การท่องเที่ยว การคมนาคมขนส่งทางน้ํา และการระบายน้ําเพื่อป้องกันน้ําท่วม 2. ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับแผนและรูปแบบโครงสร้างมากนัก และมีการออกแบบเสาทางเดินเป็นลักษณะเสาเดียว ซึ่งอาจเป็นอันตราย 3. สงสัยว่าการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว ใครได้ประโยชน์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าโครงการจะเป็นเช่นไร สํานักการโยธา กรุงเทพมหานคร ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ 1. กรุงเทพมหานครนําเสนอโครงการที่เป็นสะพานยกสูงเหนือระดับน้ําท่วม งบประมาณ 14,000 ล้านบาท ซึ่งผลการศึกษาของที่ปรึกษาออกแบบเป็นการสร้างสะพาน ถนนลงไปในแม่น้ําเจ้าพระยา มีความกว้างประมาณ 10 เมตร ยาว 7 กิโลเมตร ในแต่ละฝั่งของแม่น้ําเจ้าพระยาจากสะพานพระราม 7 ถึงสะพานปิ่นเกล้า ความยาว 14 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการออกแบบที่ไม่สอดคล้องกับหลักการและเจตนารมณ์ของการพัฒนา เชื่อว่าจะส่งผลกระทบในหลาย ๆ มิติ ทั้งด้านภูมิสถาปัตย์ ประเพณีวัฒนธรรมริมน้ํา การท่องเที่ยว การคมนาคมขนส่งทางน้ํา และการระบายน้ําเพื่อป้องกันน้ําท่วม กรุงเทพมหานครขอชี้แจงว่า กรุงเทพมหานครได้ดําเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 และวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 ที่มอบหมายให้ศึกษาความเหมาะสมและจัดทําแบบรายละเอียดเพื่อการก่อสร้างโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา จากสะพานพระราม 7 ถึงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า โดยมีคณะทํางานด้านต่าง ๆ ได้แก่ คณะอนุกรรมการด้านการบริหารโครงการ คณะอนุกรรมการด้านการออกแบบและภูมิสถาปัตย์ คณะอนุกรรมการด้านกฎหมาย และคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์ โดยองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการชุดต่าง ๆ ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาในแต่ละด้าน ซึ่งในการศึกษาความเหมาะสมและรูปแบบของโครงการฯ ได้คํานึงถึงปัจจัยที่จะส่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ ครอบคลุมทั้งด้านสถาปัตยกรรม ภูมิสถาปัตยกรรม วิศวกรรม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การคมนาคมขนส่งทางน้ํา และการระบายน้ําเพื่อป้องกันน้ําท่วม โดยนําข้อคิดเห็นของประชาชนมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาดําเนินการโครงการ ผลการศึกษาปรากฏว่าการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาที่จะเกิดขึ้น จะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อวิถีชีวิต การประกอบธุรกิจ การประกอบอาชีพ การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม รูปแบบโครงการในภาพรวม ประกอบด้วย การก่อสร้างทางเดิน ทางจักรยานริมแม่น้ําเจ้าพระยาจากสะพานพระราม 7 ถึงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า มีความกว้างประมาณ 6-10 เมตร พร้อมกับปรับปรุงภูมิทัศน์เขื่อน ท่าเรือ ศาลาท่าน้ํา พื้นที่บริการสาธารณะ เส้นทางการเข้าถึง ระบบไฟฟ้า ระบบระบายน้ํา และส่วนประกอบอื่น ๆ โดยงบประมาณโครงการเป็นไปตามราคาวัสดุและราคาค่าแรงงานตามหลักเกณฑ์ของทางราชการ ไม่ได้มีมูลค่าสูงถึง 14,000 ล้านบาท สําหรับรูปแบบทางเดินริมแม่น้ําจะมีทั้งการพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ําเจ้าพระยาและจัดทําทางเดินริมแม่น้ําบนฝั่ง เช่น บริเวณใต้สะพานพระราม 8 แต่เนื่องจากไม่มีนโยบายในการเวนคืนพื้นที่ริมน้ําที่เป็นของเอกชน จึงจําเป็นต้องมีการออกแบบทางเดินริมน้ําแบบสะพานยื่นไปในแม่น้ําเจ้าพระยา ส่วนระดับของทางเดิน ทางจักรยาน อยู่สูงกว่าระดับน้ําทะเลปานกลาง 2.25 เมตร ต่ํากว่าระดับเขื่อนป้องกันน้ําท่วมในปัจจุบัน ประมาณ 1 เมตร ดังนั้น จะไม่บดบังทัศนียภาพสิ่งก่อสร้างเดิมริมน้ํา ไม่บดบังภูมิทัศน์และวัฒนธรรมริมสองฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา และจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือทุกประเภทที่ใช้แม่น้ําเจ้าพระยาในการสัญจร 2. ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับแผนและรูปแบบโครงสร้างมากนัก และมีการออกแบบเสาทางเดินเป็นลักษณะเสาเดียว ซึ่งอาจเป็นอันตราย ขอชี้แจงว่า ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบโครงการผ่านทุกช่องทางการสื่อสารทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สื่อออนไลน์ ตลอดจนเว็บไซต์โครงการ www.chaophrayaforall.com และ Facebook Fanpage : Chao Phraya for All ซึ่งเป็นช่องทางที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังได้จัดรับฟังความคิดเห็นและเผยแพร่ข้อมูลโครงการฯ มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้มีการลงพื้นที่ให้ข้อมูล รับฟังความคิดเห็น และข้อห่วงกังวลจากประชาชนมากกว่า 400 ครั้ง ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนทั่วไป ชุมชนริมน้ํา และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาร่วมให้ข้อมูล ข้อคิดเห็นต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนปัจจุบันที่โครงการออกแบบแล้วเสร็จก็ยังได้รับความร่วมมือจากประชาชนในการให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อโครงการ สําหรับข้อกังวลเรื่องการออกแบบเสาทางเดินเป็นลักษณะเสาเดียว ซึ่งอาจเป็นอันตรายนั้น โดยข้อเท็จจริงแล้ว รูปแบบโครงสร้างของทางเดินริมน้ําจะมีลักษณะแตกต่างกันตามขนาดความกว้างทางเดินของแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีขนาดแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของและบริบทแต่ละบริเวณ โดยเสาเข็มที่ใช้จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.80 เมตร จํานวน 1 – 4 ต้น ไม่ได้เป็นเสาต้นเดียวตลอดแนวโครงการแต่อย่างใด การออกแบบคํานึงถึงความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย ความทนทานต่อการเกิดแผ่นดินไหว การกัดเซาะของคลื่น การกัดกร่อนของน้ํากร่อย และผลกระทบต่อการไหลของน้ําอย่างครบถ้วน 3. สงสัยว่าการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว ใครได้ประโยชน์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าโครงการจะเป็นเช่นไร ขอชี้แจงว่า โครงการพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา เป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการและอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนทุกคน รวมถึงนักท่องเที่ยว ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นในบริเวณโครงการ สร้างการกระจายตัวของรายได้ และส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งเกิดเป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐศาสตร์ทั้งที่ได้รับเป็นตัวเงิน (cash) และที่ไม่ได้รับเป็นตัวเงิน (Non – Cash) ดังนี้ 1. ผลประโยชน์ที่ได้รับจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น การพัฒนาโครงการทางเดินริมแม่น้ําจะทําให้เกิดการเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่สําคัญทางวัฒนธรรมริมฝั่งแม่น้ํา ทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี เช่น วัด และสถานที่สําคัญต่าง ๆ รวมประมาณ 35 แห่ง เมื่อมีการเชื่อมต่อสถานที่ท่องเที่ยวก็จะทําให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ของชาวบ้านบริเวณริมแม่น้ําเจ้าพระยาให้เป็นพื้นที่พาณิชย์ เกิดรายได้จากการท่องเที่ยว ส่งผลให้ชาวบ้านได้รับประโยชน์จากการมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 2. ผลประโยชน์ที่ได้รับจากมูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้น การพัฒนาโครงการพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา จะทําให้ที่ดินตลอดแนวโครงการ มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น จากการที่มีจํานวนผู้ใช้บริการมากขึ้น การเข้า-ออกในพื้นที่ริมแม่น้ําง่ายขึ้น และการเดินทางที่สะดวกสบายและรวดเร็วมากขึ้น 3. ผลประโยชน์ด้านอื่น ๆ ที่เป็นผลพลอยได้จากการพัฒนา ซึ่งประชาชน ผู้ใช้บริการ ชุมชนโดยรอบ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับผลประโยชน์ แต่ไม่สามารถวัดเป็นมูลค่าได้ อาทิ 1) ประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์และเวลาเดินทาง กรณีที่ผู้เดินทางเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์มาเป็นการเดินหรือปั่นจักรยานแทน ทําให้สามารถลดต้นทุนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเดินทางแบบเดิมนอกจากการลดต้นทุนต่าง ๆ ในการเดินทาง ยังสามารถลดเวลาในการเดินทางในบางเส้นทาง ทําให้สามารถนําเวลาการเดินทางที่ประหยัดได้ ไปดําเนินกิจกรรมอื่น ๆ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจและสังคมได้ 2) ประชาชนมีสุขภาพที่แข็งแรง เนื่องจากพื้นที่ริมน้ําที่พัฒนาเป็นทางเดินมีลักษณะเป็นพื้นที่สาธารณะ มีสวนสาธารณะ สวนหย่อมสําหรับการพักผ่อน และมีพื้นที่สําหรับการออกกําลังกาย หรือทํากิจกรรมอื่น ๆ สําหรับประชาชนผู้ใช้บริการ ส่งผลดีต่อการสร้างเสริมสุขภาพที่ดีให้กับประชาชน สนับสนุนให้เกิดการออกกําลังกาย หรือผ่อนคลายความเครียด ทําให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น ลดการเจ็บป่วย ส่งผลให้รัฐบาลสามารถประหยัดเงินสนับสนุนค่ารักษาพยาบาลที่จะต้องจ่ายในแต่ละปี 3) เกิดการพัฒนาเมืองและการจ้างงาน การพัฒนาทางเดินริมน้ําจะทําให้การเดินทางสะดวกขึ้น ประหยัดต้นทุนและเวลาในการเดินทาง ทําให้มีประชาชนเปลี่ยนจากการเดินทางรูปแบบเดิมมาใช้บริการมากขึ้น ทําให้พื้นที่บริเวณโดยรอบตลอดริมทางเดินกลายเป็นพื้นที่ธุรกิจแห่งใหม่ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ดินบริเวณตลอดแนวทางเดินที่รกร้างว่างเปล่า หรือไม่มีการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสม ให้มีการใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นในเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้ ทําให้มีการใช้จ่ายเงินและการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการ 4) สร้างการเข้าถึงพื้นที่ชุมชนทําให้ชุมชนเป็นพื้นที่เปิด เนื่องจากในอดีตที่ดิน หรือชุมชนบริเวณริมแม่น้ําเจ้าพระยามีทางเข้า-ออกโดยใช้ถนนหลักเส้นทางเดียว ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่านทางริมน้ํา ทําให้การเข้าถึงค่อนข้างยากลําบาก ทั้งที่เป็นชุมชนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สําคัญต่าง ๆ รวมถึงเมื่อเกิดปัญหากรณีฉุกเฉินต่าง ๆ ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน อาจจะไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างทันเวลาทําให้เกิดการสูญเสียมหาศาล ดังนั้น การพัฒนาทางเดินริมแม่น้ําจะสร้างการเข้าถึงชุมชนท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สําคัญต่าง ๆ บริเวณริมแม่น้ํา และลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน จากการให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉินหรือกรณีที่เกิดภัยร้ายแรงต่างๆ ได้อย่างทันเวลา รวมถึงลดปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติดในชุมชน จากการเป็นพื้นที่เปิด โดยสรุปแล้ว จากการผลการวิเคราะห์ด้านความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของโครงการปรากฏว่ามีความคุ้มค่าและเหมาะสมกับการลงทุน เนื่องจากมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีค่าเป็นบวก โดยให้ผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยประมาณร้อยละ 11.89 ต่อปี และมีระยะเวลาคืนทุนที่ 10 ปี 8 เดือน ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับมูลค่าการลงทุน --------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12904
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กระตุ้นภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยร่วมขับเคลื่อนประเทศด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม แนะก้าวข้าม Comfort zone เปลี่ยนประเทศไทยให้ก้าวหน้า ชี้รัฐพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่
วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม 2560 นายกฯ กระตุ้นภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยร่วมขับเคลื่อนประเทศด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม แนะก้าวข้าม Comfort zone เปลี่ยนประเทศไทยให้ก้าวหน้า ชี้รัฐพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ นายกฯ กระตุ้นภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยร่วมขับเคลื่อนประเทศด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม แนะก้าวข้าม Comfort zone เปลี่ยนประเทศไทยให้ก้าวหน้า ชี้รัฐพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ วันนี้ (5 สิงหาคม 2560) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงอุปสรรคในการพัฒนาประเทศอย่างหนึ่งโดยระบุว่า แม้ประเทศไทยจะโชคดีเพราะตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ แต่ก็เป็นข้อจํากัดที่ทําให้คนไทยติดอยู่กับความสุขสบาย (Comfort zone) ไม่กล้าเสี่ยง หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใหม่ ๆ เช่น เกษตรกรนิยมปลูกพืชชนิดเดิมซ้ํา ๆ ภาคเอกชนไม่กล้าที่จะลงทุนเพื่ออนาคต โดยมักคํานึงถึงผลกําไรระยะสั้นเพื่อให้อยู่รอดเท่านั้น เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยที่มักมุ่งเน้นผลิตงานวิจัยที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน” “นายกฯ ต้องการให้มหาวิทยาลัยวิจัยของไทยแสดงตัวออกมาร่วมสร้างชาติด้วยการสร้างงานวิจัยที่ตอบโจทย์ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ส่วนภาคธุรกิจเอกชนหรือภาคอุตสาหกรรมก็จะต้องลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้น และใช้ประโยชน์จากนักวิจัยในมหาวิทยาลัยไปร่วมคิดและปฏิบัติงาน (Talent mobility) ในองค์กร เพื่อต่อยอดสร้างนวัตกรรม ผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้” ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า รัฐบาลพยายามอย่างมากที่จะผลักดันให้ประเทศก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง เป็นประเทศที่มีรายได้สูง ด้วยการวางกลไกและออกมาตรการต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการนํางานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง เช่น การใช้อํานาจตาม ม.44 ปฏิรูประบบวิจัยของประเทศทั้งระบบ ตั้งสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อบูรณาการการทํางานของหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ให้ประสานสอดคล้องและไม่ซ้ําซ้อนกัน นอกจากนี้ ยังออกมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 300 ให้ผู้ประกอบการสามารถนําค่าใช้จ่ายจากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปขอยกเว้นภาษีได้สูงสุด 3 เท่าของที่จ่ายจริง การจัดทําบัญชีนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ไทยให้ภาคเอกชนนําไปใช้ประโยชน์ การส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ โครงการเน็ตประชารัฐที่ช่วยสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีให้กับชุมชน การจัดตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ (Competitiveness Fund) ช่วยสนับสนุนทุนให้ภาคเอกชน กระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น เป็นต้น “นายกฯ ยังมีแนวคิดด้วยว่า การพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจมากนั้น ทุกภาคส่วนควรใช้โอกาสนี้สร้างการลงทุน โดยเฉพาะด้านการเกษตร อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ คอมพิวเตอร์ ที่ประเทศไทยมีจุดแข็ง อย่างไรก็ตาม การทํางานของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียวอาจไม่ประสบความสําเร็จ จึงขอความร่วมมือจากสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัย และภาคธุรกิจเอกชนในการปรับวิธีคิด เปลี่ยนรูปแบบการทํางาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน ********************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กระตุ้นภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยร่วมขับเคลื่อนประเทศด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม แนะก้าวข้าม Comfort zone เปลี่ยนประเทศไทยให้ก้าวหน้า ชี้รัฐพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม 2560 นายกฯ กระตุ้นภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยร่วมขับเคลื่อนประเทศด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม แนะก้าวข้าม Comfort zone เปลี่ยนประเทศไทยให้ก้าวหน้า ชี้รัฐพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ นายกฯ กระตุ้นภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยร่วมขับเคลื่อนประเทศด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม แนะก้าวข้าม Comfort zone เปลี่ยนประเทศไทยให้ก้าวหน้า ชี้รัฐพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ วันนี้ (5 สิงหาคม 2560) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงอุปสรรคในการพัฒนาประเทศอย่างหนึ่งโดยระบุว่า แม้ประเทศไทยจะโชคดีเพราะตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ แต่ก็เป็นข้อจํากัดที่ทําให้คนไทยติดอยู่กับความสุขสบาย (Comfort zone) ไม่กล้าเสี่ยง หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใหม่ ๆ เช่น เกษตรกรนิยมปลูกพืชชนิดเดิมซ้ํา ๆ ภาคเอกชนไม่กล้าที่จะลงทุนเพื่ออนาคต โดยมักคํานึงถึงผลกําไรระยะสั้นเพื่อให้อยู่รอดเท่านั้น เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยที่มักมุ่งเน้นผลิตงานวิจัยที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน” “นายกฯ ต้องการให้มหาวิทยาลัยวิจัยของไทยแสดงตัวออกมาร่วมสร้างชาติด้วยการสร้างงานวิจัยที่ตอบโจทย์ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ส่วนภาคธุรกิจเอกชนหรือภาคอุตสาหกรรมก็จะต้องลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้น และใช้ประโยชน์จากนักวิจัยในมหาวิทยาลัยไปร่วมคิดและปฏิบัติงาน (Talent mobility) ในองค์กร เพื่อต่อยอดสร้างนวัตกรรม ผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้” ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า รัฐบาลพยายามอย่างมากที่จะผลักดันให้ประเทศก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง เป็นประเทศที่มีรายได้สูง ด้วยการวางกลไกและออกมาตรการต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการนํางานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง เช่น การใช้อํานาจตาม ม.44 ปฏิรูประบบวิจัยของประเทศทั้งระบบ ตั้งสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อบูรณาการการทํางานของหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ให้ประสานสอดคล้องและไม่ซ้ําซ้อนกัน นอกจากนี้ ยังออกมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 300 ให้ผู้ประกอบการสามารถนําค่าใช้จ่ายจากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปขอยกเว้นภาษีได้สูงสุด 3 เท่าของที่จ่ายจริง การจัดทําบัญชีนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ไทยให้ภาคเอกชนนําไปใช้ประโยชน์ การส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ โครงการเน็ตประชารัฐที่ช่วยสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีให้กับชุมชน การจัดตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ (Competitiveness Fund) ช่วยสนับสนุนทุนให้ภาคเอกชน กระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น เป็นต้น “นายกฯ ยังมีแนวคิดด้วยว่า การพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจมากนั้น ทุกภาคส่วนควรใช้โอกาสนี้สร้างการลงทุน โดยเฉพาะด้านการเกษตร อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ คอมพิวเตอร์ ที่ประเทศไทยมีจุดแข็ง อย่างไรก็ตาม การทํางานของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียวอาจไม่ประสบความสําเร็จ จึงขอความร่วมมือจากสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัย และภาคธุรกิจเอกชนในการปรับวิธีคิด เปลี่ยนรูปแบบการทํางาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน ********************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5738
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งผลักดันการเข้าร่วมเป็นภาคี “สนธิสัญญามาร์ราเคช” พร้อมกำหนดแนวทางการเตรียมความพร้อม เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนพิการทางการเห็น
วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2560 พม. เร่งผลักดันการเข้าร่วมเป็นภาคี “สนธิสัญญามาร์ราเคช” พร้อมกําหนดแนวทางการเตรียมความพร้อม เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนพิการทางการเห็น พม. เร่งผลักดันการเข้าร่วมเป็นภาคี “สนธิสัญญามาร์ราเคช” พร้อมกําหนดแนวทางการเตรียมความพร้อม เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนพิการทางการเห็น วันนี้ (19 พ.ค. 60) เวลา 13.30 น.พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)มีมติให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญามาร์ราเคช เพื่ออํานวยความสะดวกในการเข้าถึงงานที่มีการโฆษณาแล้ว สําหรับคนพิการทางการเห็นทางสื่อสิ่งพิมพ์ ด้วยคะแนนเห็นด้วย 198 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง (ประธานและรองประธาน) หรือคิดเป็นร้อยละ 100 ของมติที่ประชุมที่เห็นด้วย โดยมี นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม โดยตนได้เป็นผู้กล่าวแถลงต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติในประเด็นดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2560 พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่าต่อไปว่า "สนธิสัญญามาร์ราเคช” มีวัตถุประสงค์เพื่ออํานวยความสะดวกในการเข้าถึงสิ่งพิมพ์สําหรับคนตาบอด ผู้มีความบกพร่องทางการเห็น หรือคนพิการทางสื่อสิ่งพิมพ์ (Marrakesh Treaty to Facilitate Access to Published Works for Persons Who Are Blind, Visually Impaired, or Otherwise Print Disabled : MVT) โดยได้รับการรับรองจากองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization : WIPO)เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2556โดยสนธิสัญญาดังกล่าว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2559 ซึ่งปัจจุบัน มีรัฐภาคีจํานวน 26 ประเทศ เช่น สิงคโปร์ กัมพูชา จีน และออสเตรเลีย เป็นต้น และมีประเทศที่ร่วมลงนามแล้วอีก 63 ประเทศ สําหรับสิทธิของรัฐภาคีจะสามารถทําซ้ํา แจกจ่าย หรือจําหน่าย รวมถึงเผยแพร่งานที่มีโฆษณาแล้ว ซึ่งเป็นในรูปแบบที่เอื้อต่อทุกคนรวมถึงคนพิการ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์แก่คนพิการทางการเห็น และผู้ที่มีความบกพร่องในการอ่าน โดยรัฐภาคีสามารถแลกเปลี่ยนงานดังกล่าว ข้ามพรมแดนกันได้ ผ่านทางองค์กรที่ได้รับการรับรอง ภายใต้เงื่อนไขการนําเข้า ทําซ้ํา หรือดัดแปลง ซึ่งต้องกระทําโดยหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และไม่สามารถนํามาแปลเป็นภาษาของตนเองได้ต้องใช้ภาษาต้นฉบับเท่านั้น รวมถึงสามารถส่งต่อเอกสารงานที่ทําซ้ําหรือดัดแปลง อันมีลิขสิทธิ์ให้แก่ รัฐภาคีอื่นได้เพียงครั้งเดียว พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ(พก.) ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ดําเนินการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พร้อมบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ตนได้ให้ความสําคัญในเรื่องสนธิสัญญามาร์ราเคช ซึ่งนับเป็นเรื่องใกล้ตัวที่จะเอื้อประโยชน์ต่อคนพิการทางการเห็น โดยข้อดีของการเป็นภาคีเครือข่ายในอนุสัญญาดังกล่าวจะทําให้คนพิการทางการเห็นสามารถหาความรู้ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ทั้งหนังสือ เอกสารสิ่งพิมพ์ ในประเทศและที่เป็นภาษาต่างประเทศ รวมทั้งครอบคลุมไปถึงงานศิลปกรรม เช่น งานจิตกรรม งานประติมากรรม งานสถาปัตยกรรม งานภาพถ่าย และภาพพิมพ์ เป็นต้น โดยได้กําชับให้ พก. ดําเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งกําหนดแนวทางการเตรียมความพร้อม ด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสนธิสัญญามาร์ราเคช เพื่อให้สอดคล้องกับการดําเนินภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนพิการทางการเห็นอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยยังมีคนพิการทางการเห็นที่มีปัญหาอุปสรรคในหลายเรื่อง และต้องการโอกาสเพื่อเข้าถึงการอ่านหนังสืออันมีลิขสิทธิ์เฉพาะ ซึ่งสนธิสัญญามาร์ราเคช จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว และส่งผลให้คนพิการทางการเห็นได้สามารถเข้าถึงหนังสือ เอกสาร และงานศิลปกรรม อีกจํานวนมาก ทั้งนี้ ความคืบหน้าล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ อยู่ระหว่างดําเนินการปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ฉบับที่ .... พ.ศ. .... ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่สิ่งพิมพ์ที่มีลิขสิทธิ์ต่างๆ เพื่อรองรับการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญามาร์ราเคช ก่อนเสนอ สนช. พิจารณาเห็นชอบต่อพระราชบัญญัติดังกล่าว หากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้แล้วกระทรวงการต่างประเทศจะได้ดําเนินการทําหนังสือถึงองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก เพื่อขอเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญานี้ได้ทันที
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งผลักดันการเข้าร่วมเป็นภาคี “สนธิสัญญามาร์ราเคช” พร้อมกำหนดแนวทางการเตรียมความพร้อม เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนพิการทางการเห็น วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2560 พม. เร่งผลักดันการเข้าร่วมเป็นภาคี “สนธิสัญญามาร์ราเคช” พร้อมกําหนดแนวทางการเตรียมความพร้อม เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนพิการทางการเห็น พม. เร่งผลักดันการเข้าร่วมเป็นภาคี “สนธิสัญญามาร์ราเคช” พร้อมกําหนดแนวทางการเตรียมความพร้อม เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนพิการทางการเห็น วันนี้ (19 พ.ค. 60) เวลา 13.30 น.พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)มีมติให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญามาร์ราเคช เพื่ออํานวยความสะดวกในการเข้าถึงงานที่มีการโฆษณาแล้ว สําหรับคนพิการทางการเห็นทางสื่อสิ่งพิมพ์ ด้วยคะแนนเห็นด้วย 198 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง (ประธานและรองประธาน) หรือคิดเป็นร้อยละ 100 ของมติที่ประชุมที่เห็นด้วย โดยมี นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม โดยตนได้เป็นผู้กล่าวแถลงต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติในประเด็นดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2560 พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่าต่อไปว่า "สนธิสัญญามาร์ราเคช” มีวัตถุประสงค์เพื่ออํานวยความสะดวกในการเข้าถึงสิ่งพิมพ์สําหรับคนตาบอด ผู้มีความบกพร่องทางการเห็น หรือคนพิการทางสื่อสิ่งพิมพ์ (Marrakesh Treaty to Facilitate Access to Published Works for Persons Who Are Blind, Visually Impaired, or Otherwise Print Disabled : MVT) โดยได้รับการรับรองจากองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization : WIPO)เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2556โดยสนธิสัญญาดังกล่าว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2559 ซึ่งปัจจุบัน มีรัฐภาคีจํานวน 26 ประเทศ เช่น สิงคโปร์ กัมพูชา จีน และออสเตรเลีย เป็นต้น และมีประเทศที่ร่วมลงนามแล้วอีก 63 ประเทศ สําหรับสิทธิของรัฐภาคีจะสามารถทําซ้ํา แจกจ่าย หรือจําหน่าย รวมถึงเผยแพร่งานที่มีโฆษณาแล้ว ซึ่งเป็นในรูปแบบที่เอื้อต่อทุกคนรวมถึงคนพิการ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์แก่คนพิการทางการเห็น และผู้ที่มีความบกพร่องในการอ่าน โดยรัฐภาคีสามารถแลกเปลี่ยนงานดังกล่าว ข้ามพรมแดนกันได้ ผ่านทางองค์กรที่ได้รับการรับรอง ภายใต้เงื่อนไขการนําเข้า ทําซ้ํา หรือดัดแปลง ซึ่งต้องกระทําโดยหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และไม่สามารถนํามาแปลเป็นภาษาของตนเองได้ต้องใช้ภาษาต้นฉบับเท่านั้น รวมถึงสามารถส่งต่อเอกสารงานที่ทําซ้ําหรือดัดแปลง อันมีลิขสิทธิ์ให้แก่ รัฐภาคีอื่นได้เพียงครั้งเดียว พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ(พก.) ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ดําเนินการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พร้อมบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ตนได้ให้ความสําคัญในเรื่องสนธิสัญญามาร์ราเคช ซึ่งนับเป็นเรื่องใกล้ตัวที่จะเอื้อประโยชน์ต่อคนพิการทางการเห็น โดยข้อดีของการเป็นภาคีเครือข่ายในอนุสัญญาดังกล่าวจะทําให้คนพิการทางการเห็นสามารถหาความรู้ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ทั้งหนังสือ เอกสารสิ่งพิมพ์ ในประเทศและที่เป็นภาษาต่างประเทศ รวมทั้งครอบคลุมไปถึงงานศิลปกรรม เช่น งานจิตกรรม งานประติมากรรม งานสถาปัตยกรรม งานภาพถ่าย และภาพพิมพ์ เป็นต้น โดยได้กําชับให้ พก. ดําเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งกําหนดแนวทางการเตรียมความพร้อม ด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสนธิสัญญามาร์ราเคช เพื่อให้สอดคล้องกับการดําเนินภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนพิการทางการเห็นอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยยังมีคนพิการทางการเห็นที่มีปัญหาอุปสรรคในหลายเรื่อง และต้องการโอกาสเพื่อเข้าถึงการอ่านหนังสืออันมีลิขสิทธิ์เฉพาะ ซึ่งสนธิสัญญามาร์ราเคช จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว และส่งผลให้คนพิการทางการเห็นได้สามารถเข้าถึงหนังสือ เอกสาร และงานศิลปกรรม อีกจํานวนมาก ทั้งนี้ ความคืบหน้าล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ อยู่ระหว่างดําเนินการปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ฉบับที่ .... พ.ศ. .... ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่สิ่งพิมพ์ที่มีลิขสิทธิ์ต่างๆ เพื่อรองรับการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญามาร์ราเคช ก่อนเสนอ สนช. พิจารณาเห็นชอบต่อพระราชบัญญัติดังกล่าว หากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้แล้วกระทรวงการต่างประเทศจะได้ดําเนินการทําหนังสือถึงองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก เพื่อขอเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญานี้ได้ทันที
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3868
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.รง.เดินหน้า ช่วยเหลือผู้ประกันตนสุดๆ ทุกรูปแบบ [กระทรวงแรงงาน]
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 รมว.รง.เดินหน้า ช่วยเหลือผู้ประกันตนสุดๆ ทุกรูปแบบ [กระทรวงแรงงาน] หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เดินหน้าช่วยเหลือแรงงาน ผู้ประกันตน สั่งการสํานักงานประกันสังคมออกมาตรการเยียวยาเร่งด่วน และปรับปรุงมาตรการเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคลฯ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดภาวะพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย จนกระทั่งยกระดับสถานการณ์เป็นภาวะวิกฤต ตนได้สั่งการทุกหน่วยงานในกระทรวงแรงงาน ให้วางมาตรการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน ซึ่งในส่วนของสํานักงานประกันสังคมมาตรการที่ออกมา และผ่านคณะรัฐมนตรีไปแล้วคือ 1. การลดอัตราเงินสมทบนายจ้าง และลูกจ้างมาตรา 33, 39 - ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์รวมทั้งสิ้น 13,346,143 ราย 2. การขยายระยะเวลาการนําส่งเงินสมทบให้แก่นายจ้าง และผู้ประกันตนมาตรา 33, 39 - นายจ้างได้รับประโยชน์ 488,226 ราย - ผู้ประกันตนมาตรา 39 ได้รับประโยชน์ 1,653,714 ราย 3. การเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย ทั้งยังเพิ่มสิทธิไปถึง กรณีว่างงานเนื่องมาจากกรณีถูกเลิกจ้าง และลาออกเอง 4. การส่งเสริมให้มีการจ้างงาน โดยขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน วงเงิน 30,000 ล้านบาท 5. การดูแลรักษา ให้สํานักงานประกันสังคมดําเนินการ เพิ่มสิทธิการรักษาแก่ผู้ประกันตนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และผู้ประกันตนที่ป่วยด้วยโรคติดเชื้อ โควิด-19 เท่าเทียมกับการรักษาทั้ง 3 กองทุน หม่อมราชวงศ์จัตุมงคลฯ กล่าวต่อว่า มาตรการดังกล่าวได้ดําเนินการแล้ว เหลือเพียงกระบวนการบังคับใช้แต่จากการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พบว่าสถานการณ์แพร่กระจายของไวรัส ยังคงต่อเนื่อง ตนยังได้ปรับเพิ่มมาตรการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน และผู้ประกันตนเพิ่มมากขึ้น ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 ตนได้ประชุมวางหลักการแก้กฎกระทรวงเพื่อเยียวยาลูกจ้าง ผู้ประกันตน กําหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยไม่ต่ํากว่าเดือนละ 5,000 บาท ซึ่งในเรื่องนี้จะนําเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็วที่สุด ในการนี้ ผู้สื่อข่าวยังสอบถาม นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม กรณีการนําส่งเงินสมทบของสถานประกอบการ และผู้ประกันตน รวมทั้งการยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ ในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างไรให้ปลอดภัย นายทศพลฯ ได้ชี้แจงว่า สํานักงานประกันสังคมมีช่องทางให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการที่สถานประกอบการ และผู้ประกันตน สามารถเข้าไปใช้บริการได้ รายละเอียดปรากฏอยู่ใน www.sso.go.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.รง.เดินหน้า ช่วยเหลือผู้ประกันตนสุดๆ ทุกรูปแบบ [กระทรวงแรงงาน] วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 รมว.รง.เดินหน้า ช่วยเหลือผู้ประกันตนสุดๆ ทุกรูปแบบ [กระทรวงแรงงาน] หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เดินหน้าช่วยเหลือแรงงาน ผู้ประกันตน สั่งการสํานักงานประกันสังคมออกมาตรการเยียวยาเร่งด่วน และปรับปรุงมาตรการเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคลฯ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดภาวะพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย จนกระทั่งยกระดับสถานการณ์เป็นภาวะวิกฤต ตนได้สั่งการทุกหน่วยงานในกระทรวงแรงงาน ให้วางมาตรการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน ซึ่งในส่วนของสํานักงานประกันสังคมมาตรการที่ออกมา และผ่านคณะรัฐมนตรีไปแล้วคือ 1. การลดอัตราเงินสมทบนายจ้าง และลูกจ้างมาตรา 33, 39 - ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์รวมทั้งสิ้น 13,346,143 ราย 2. การขยายระยะเวลาการนําส่งเงินสมทบให้แก่นายจ้าง และผู้ประกันตนมาตรา 33, 39 - นายจ้างได้รับประโยชน์ 488,226 ราย - ผู้ประกันตนมาตรา 39 ได้รับประโยชน์ 1,653,714 ราย 3. การเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย ทั้งยังเพิ่มสิทธิไปถึง กรณีว่างงานเนื่องมาจากกรณีถูกเลิกจ้าง และลาออกเอง 4. การส่งเสริมให้มีการจ้างงาน โดยขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน วงเงิน 30,000 ล้านบาท 5. การดูแลรักษา ให้สํานักงานประกันสังคมดําเนินการ เพิ่มสิทธิการรักษาแก่ผู้ประกันตนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และผู้ประกันตนที่ป่วยด้วยโรคติดเชื้อ โควิด-19 เท่าเทียมกับการรักษาทั้ง 3 กองทุน หม่อมราชวงศ์จัตุมงคลฯ กล่าวต่อว่า มาตรการดังกล่าวได้ดําเนินการแล้ว เหลือเพียงกระบวนการบังคับใช้แต่จากการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พบว่าสถานการณ์แพร่กระจายของไวรัส ยังคงต่อเนื่อง ตนยังได้ปรับเพิ่มมาตรการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน และผู้ประกันตนเพิ่มมากขึ้น ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 ตนได้ประชุมวางหลักการแก้กฎกระทรวงเพื่อเยียวยาลูกจ้าง ผู้ประกันตน กําหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยไม่ต่ํากว่าเดือนละ 5,000 บาท ซึ่งในเรื่องนี้จะนําเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็วที่สุด ในการนี้ ผู้สื่อข่าวยังสอบถาม นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม กรณีการนําส่งเงินสมทบของสถานประกอบการ และผู้ประกันตน รวมทั้งการยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ ในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างไรให้ปลอดภัย นายทศพลฯ ได้ชี้แจงว่า สํานักงานประกันสังคมมีช่องทางให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการที่สถานประกอบการ และผู้ประกันตน สามารถเข้าไปใช้บริการได้ รายละเอียดปรากฏอยู่ใน www.sso.go.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28163
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'ม.ล.ปนัดดา' เป็นครูพิเศษ วิชา 'สังคมคุณธรรม' ณ สถานพินิจฯ จ.พิษณุโลก
วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2561 'ม.ล.ปนัดดา' เป็นครูพิเศษ วิชา 'สังคมคุณธรรม' ณ สถานพินิจฯ จ.พิษณุโลก 'ม.ล.ปนัดดา' เป็นครูพิเศษ วิชา 'สังคมคุณธรรม' ณ สถานพินิจฯ จ.พิษณุโลก ในวันพฤหัสบดีที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๓๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและพบปะกับผู้บริหาร ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ ฝ่ายปกครอง รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่ครูพิเศษ วิชา 'สังคมคุณธรรม : ในความเป็นชาติ' แก่เยาวชน ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดพิษณุโลก อ.เมือง จ.พิษณุโลก ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวตอนหนึ่งในการบรรยาย ว่า "ลูกหลานเยาวชนทุกคนล้วนเป็นอนาคตของชาติ เป็นพลังของแผ่นดิน หากเราไม่ดูแลรักษาประเทศชาติบ้านเมืองไทยของเรา แล้วใครกันจะดูแล จะให้ต่างชาติเขามาลบหลู่ดูหมิ่นเราได้อย่างไร หากเราทุกคนปล่อยปละละเลย อย่างไรเสียเราต้องมุ่งมั่นอดทน ขวนขวาย สุจริต ยุติธรรม มีความกตัญญู ประการสําคัญ คือ ความรักของคนไทยที่มีต่อกัน ใครเขาทําไม่ดี เวรกรรม เป็นของเขา มิใช่ของเรา เราทําดี ภูมิใจในชาติของเรา มีความสัตย์ซื่อสุจริต นี่ต่างหากที่ใครต่อใครอยากแลเห็นเกิดขึ้น ลูกหลานเยาวชนต้องเชื่อในหลักปรัชญาแห่งความดี คือ 'ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว' สิ่งเหล่านี้เราสามารถกล่าวโดยรวมเพื่อให้ง่ายต่อการจดจําและนําสู่การปฏิบัติ เรียกว่า 'เป็นคุณธรรมพื้นฐานนําความดีสู่ชีวิต' ความขยันหมั่นเพียร มีความเพียรพยายาม ทําหน้าที่ในความรับผิดชอบของตนอย่างดีที่สุด ไม่ท้อถอย ไม่หมดกําลังใจ เพียงจําไว้ว่า 'ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยาชูกําลัง' ผู้ใดถูกอิจฉาริษยาแสดงว่าต้องมีอะไรดี ความประหยัดมัธยัสถ์ ดําเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย (a simple life) รู้จักค่าของเงิน มีความพอเพียง ไม่โลภโมโทสัน มีวิธีคิดและปฏิบัติอย่างวิถีออมสิน ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ทําบัญชีรายรับ-รายจ่าย ของตนเองให้เป็นอุปนิสัยที่ติดตัวไปตลอด ความซื่อสัตย์สุจริต มีความซื่อตรงทั้งต่อตนเองและผู้อื่น รู้จักการบริหารเวลาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อครอบครัวและองค์กร ซื่อตรงต่อหน้าที่และวิชาชีพ มีความจริงใจในการทําหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขต่อองค์กรและสังคม ไม่มีอคติกับใครและไม่เชื่ออะไรง่ายๆ คือ การไม่หูเบา ที่จะทําให้เราขาดความเป็นตัวตนที่มั่นคง ไม่ทุจริตคดโกงหรือเอารัดเอาเปรียบ แต่จะมุ่งมั่นรักษาองค์กรและสังคมสุจริตธรรม ความมีระเบียบวินัย ปฏิบัติตนเคร่งครัดในกฎระเบียบของโรงเรียน สถาบัน องค์กร สังคม และประเทศชาติ โดยมีข้อควรคํานึงอยู่เสมอว่า การรักษาวินัยและระเบียบแบบแผน ข้อบังคับและข้อปฏิบัติ ย่อมยังผลให้องค์กรและสังคม เกิดความเจริญก้าวหน้า ไม่เป็นองค์กรและสังคมที่ปราศจากความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งกลับกลายเป็นความบกพร่องและล้าหลังในระบบ ความเป็นสุภาพชน บุคคลในทุกชาติและทุกสังคมต้องมีมารยาทจรรยา รู้ว่าอะไรควรกระทําหรือไม่ควรกระทํา อะไรคือบุญอะไรคือบาป มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ สุภาพเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว หรือวางอํานาจบาตรใหญ่กับผู้อื่นทั้งโดยกิริยาและวาจา ประพฤติปฏิบัติตนเหมาะสมตามขนบธรรมเนียมประเพณี อย่าลืมสุภาษิตคําสอนที่ว่า 'ความสุภาพอ่อนน้อมยิ่งทําให้ตนเองนั้นสูงในสายตาของผู้อื่น นอกจากคนโง่เขลาเท่านั้นที่ดูไม่ออก' ความมีไมตรีจิต รู้จักการเป็นผู้ให้และมีน้ําใจอาสาช่วยเหลือสังคมในสายงานที่ตนมีความชํานาญ เพื่อทําประโยชน์ ให้กับผู้อื่น แลเห็นคุณค่าและน้ําใจในเพื่อนมนุษย์ มีความเมตตากรุณา ช่วยเหลือสังคมด้วยสติปัญญา ที่มีความสุขุมรอบคอบ ไม่ผลีผลามกระทํา ความกตัญญูกตเวที มีความเข้าใจและเห็นคุณค่าแห่งการกระทําความดี มีศีลธรรม ถือความสัตย์ ยึดหลักความซื่อตรง ในการครองตน การไม่เนรคุณผู้มีพระคุณและประเทศชาติ ไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร ดํารงชีวิตบนพื้นฐานแห่งคุณธรรมจริยธรรม พฤติกรรมในเชิงบวกดังกล่าวข้างต้นทั้งสิ้น เมื่อลูกหลานเยาวชนสามารถปฏิบัติได้อย่างครบถ้วน ตามตัวชี้วัดอธิบายไว้ว่า ย่อมยังประโยชน์และสร้างสรรค์สังคมที่น่าอยู่ พร้อมกับการเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่า ต่อองค์กรและสังคมโดยรวม ภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ของความเป็นชนชาติไทย มีความรับผิดชอบต่อสังคม และประเทศชาติ บ้านเมืองไทยเป็นสังคมธรรมาภิบาล มีความร่มเย็นเป็นสุข มีความสง่างามทัดเทียม นานาอารยประเทศดั่งใจปรารถนา กล่าวมาวันนี้ ประสงค์ที่จะเป็นกําลังใจแก่กัน ไม่เพียงเฉพาะลูกๆ เยาวชน ผู้ใหญ่วันนี้ก็ต้องการกําลังใจแก่กัน ไม่ต่างกัน อยากให้ลูกหลานเยาวชนตั้งขึ้นเป็นกรณีศึกษา ขอมอบให้เป็นการบ้านทางความคิด และช่วยกันจดจํา ทบทวน กับอีกพยายามปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม ชั่วโมงหน้าจะได้นํามาพูดจากัน"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'ม.ล.ปนัดดา' เป็นครูพิเศษ วิชา 'สังคมคุณธรรม' ณ สถานพินิจฯ จ.พิษณุโลก วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2561 'ม.ล.ปนัดดา' เป็นครูพิเศษ วิชา 'สังคมคุณธรรม' ณ สถานพินิจฯ จ.พิษณุโลก 'ม.ล.ปนัดดา' เป็นครูพิเศษ วิชา 'สังคมคุณธรรม' ณ สถานพินิจฯ จ.พิษณุโลก ในวันพฤหัสบดีที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๓๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและพบปะกับผู้บริหาร ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ ฝ่ายปกครอง รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่ครูพิเศษ วิชา 'สังคมคุณธรรม : ในความเป็นชาติ' แก่เยาวชน ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดพิษณุโลก อ.เมือง จ.พิษณุโลก ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวตอนหนึ่งในการบรรยาย ว่า "ลูกหลานเยาวชนทุกคนล้วนเป็นอนาคตของชาติ เป็นพลังของแผ่นดิน หากเราไม่ดูแลรักษาประเทศชาติบ้านเมืองไทยของเรา แล้วใครกันจะดูแล จะให้ต่างชาติเขามาลบหลู่ดูหมิ่นเราได้อย่างไร หากเราทุกคนปล่อยปละละเลย อย่างไรเสียเราต้องมุ่งมั่นอดทน ขวนขวาย สุจริต ยุติธรรม มีความกตัญญู ประการสําคัญ คือ ความรักของคนไทยที่มีต่อกัน ใครเขาทําไม่ดี เวรกรรม เป็นของเขา มิใช่ของเรา เราทําดี ภูมิใจในชาติของเรา มีความสัตย์ซื่อสุจริต นี่ต่างหากที่ใครต่อใครอยากแลเห็นเกิดขึ้น ลูกหลานเยาวชนต้องเชื่อในหลักปรัชญาแห่งความดี คือ 'ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว' สิ่งเหล่านี้เราสามารถกล่าวโดยรวมเพื่อให้ง่ายต่อการจดจําและนําสู่การปฏิบัติ เรียกว่า 'เป็นคุณธรรมพื้นฐานนําความดีสู่ชีวิต' ความขยันหมั่นเพียร มีความเพียรพยายาม ทําหน้าที่ในความรับผิดชอบของตนอย่างดีที่สุด ไม่ท้อถอย ไม่หมดกําลังใจ เพียงจําไว้ว่า 'ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยาชูกําลัง' ผู้ใดถูกอิจฉาริษยาแสดงว่าต้องมีอะไรดี ความประหยัดมัธยัสถ์ ดําเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย (a simple life) รู้จักค่าของเงิน มีความพอเพียง ไม่โลภโมโทสัน มีวิธีคิดและปฏิบัติอย่างวิถีออมสิน ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ทําบัญชีรายรับ-รายจ่าย ของตนเองให้เป็นอุปนิสัยที่ติดตัวไปตลอด ความซื่อสัตย์สุจริต มีความซื่อตรงทั้งต่อตนเองและผู้อื่น รู้จักการบริหารเวลาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อครอบครัวและองค์กร ซื่อตรงต่อหน้าที่และวิชาชีพ มีความจริงใจในการทําหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขต่อองค์กรและสังคม ไม่มีอคติกับใครและไม่เชื่ออะไรง่ายๆ คือ การไม่หูเบา ที่จะทําให้เราขาดความเป็นตัวตนที่มั่นคง ไม่ทุจริตคดโกงหรือเอารัดเอาเปรียบ แต่จะมุ่งมั่นรักษาองค์กรและสังคมสุจริตธรรม ความมีระเบียบวินัย ปฏิบัติตนเคร่งครัดในกฎระเบียบของโรงเรียน สถาบัน องค์กร สังคม และประเทศชาติ โดยมีข้อควรคํานึงอยู่เสมอว่า การรักษาวินัยและระเบียบแบบแผน ข้อบังคับและข้อปฏิบัติ ย่อมยังผลให้องค์กรและสังคม เกิดความเจริญก้าวหน้า ไม่เป็นองค์กรและสังคมที่ปราศจากความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งกลับกลายเป็นความบกพร่องและล้าหลังในระบบ ความเป็นสุภาพชน บุคคลในทุกชาติและทุกสังคมต้องมีมารยาทจรรยา รู้ว่าอะไรควรกระทําหรือไม่ควรกระทํา อะไรคือบุญอะไรคือบาป มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ สุภาพเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว หรือวางอํานาจบาตรใหญ่กับผู้อื่นทั้งโดยกิริยาและวาจา ประพฤติปฏิบัติตนเหมาะสมตามขนบธรรมเนียมประเพณี อย่าลืมสุภาษิตคําสอนที่ว่า 'ความสุภาพอ่อนน้อมยิ่งทําให้ตนเองนั้นสูงในสายตาของผู้อื่น นอกจากคนโง่เขลาเท่านั้นที่ดูไม่ออก' ความมีไมตรีจิต รู้จักการเป็นผู้ให้และมีน้ําใจอาสาช่วยเหลือสังคมในสายงานที่ตนมีความชํานาญ เพื่อทําประโยชน์ ให้กับผู้อื่น แลเห็นคุณค่าและน้ําใจในเพื่อนมนุษย์ มีความเมตตากรุณา ช่วยเหลือสังคมด้วยสติปัญญา ที่มีความสุขุมรอบคอบ ไม่ผลีผลามกระทํา ความกตัญญูกตเวที มีความเข้าใจและเห็นคุณค่าแห่งการกระทําความดี มีศีลธรรม ถือความสัตย์ ยึดหลักความซื่อตรง ในการครองตน การไม่เนรคุณผู้มีพระคุณและประเทศชาติ ไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร ดํารงชีวิตบนพื้นฐานแห่งคุณธรรมจริยธรรม พฤติกรรมในเชิงบวกดังกล่าวข้างต้นทั้งสิ้น เมื่อลูกหลานเยาวชนสามารถปฏิบัติได้อย่างครบถ้วน ตามตัวชี้วัดอธิบายไว้ว่า ย่อมยังประโยชน์และสร้างสรรค์สังคมที่น่าอยู่ พร้อมกับการเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่า ต่อองค์กรและสังคมโดยรวม ภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ของความเป็นชนชาติไทย มีความรับผิดชอบต่อสังคม และประเทศชาติ บ้านเมืองไทยเป็นสังคมธรรมาภิบาล มีความร่มเย็นเป็นสุข มีความสง่างามทัดเทียม นานาอารยประเทศดั่งใจปรารถนา กล่าวมาวันนี้ ประสงค์ที่จะเป็นกําลังใจแก่กัน ไม่เพียงเฉพาะลูกๆ เยาวชน ผู้ใหญ่วันนี้ก็ต้องการกําลังใจแก่กัน ไม่ต่างกัน อยากให้ลูกหลานเยาวชนตั้งขึ้นเป็นกรณีศึกษา ขอมอบให้เป็นการบ้านทางความคิด และช่วยกันจดจํา ทบทวน กับอีกพยายามปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม ชั่วโมงหน้าจะได้นํามาพูดจากัน"
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12684
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘มนัญญา’ เดินหน้าลุยต่อ สุ่มตรวจ 3 สารเคมีนำเข้า
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562 ‘มนัญญา’ เดินหน้าลุยต่อ สุ่มตรวจ 3 สารเคมีนําเข้า ‘มนัญญา’ เดินหน้าลุยต่อ สุ่มตรวจ 3 สารเคมีนําเข้า เตรียมรวบรวมข้อมูลแน่น สู่แนวทางแบนสารพิษในปี 62 ให้เห็นผล นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาสารเคมีเกษตร 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลฟอเซต หลังมีการระงับใบอนุญาต และไม่มีการต่ออายุใบอนุญาตนําเข้าสารทั้ง 3 ชนิด ตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อแบนสารดังกล่าวให้หมดไปภายในปี 2562 โดยสุ่มตรวจบริษัทผู้ผลิต นําเข้า และจําหน่าย ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ จากนั้นเดินทางไปยังบริษัทเดียวกันอีกแห่งในพื้นที่ เขตบางพลัด จ.กรุงเทพฯ ว่า วันนี้ได้เดินทางเพื่อมาตรวจสอบการนําเข้าสินค้าและวัตถุอันตรายทางการเกษตร จากการตรวจสอบเบื้องต้น ได้ขอตรวจใบอนุญาตทั้ง 3 สาร ซึ่งบริษัทให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จากข้อมูลของบริษัทในนิคมอุตสาหกรรม ระบุว่าปี 2561 มีการนําเข้าพาราควอต 580,000 กก. ส่วนปี 2562 ไม่มีตัวเลขแจ้งการนําเข้า แต่มีสตอกสารพาราควอตอยู่300,000 กก. โดยรับซื้อมาจากบริษัทภายในประเทศ ขณะที่ปี 2562 มีการนําเข้าไกลโฟเซต 500,000 กิโลกรัม เหลือสตอก 270,000 กิโลกรัม ส่วนบริษัทที่ 2 เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน ไม่มีสตอกสารเคมีคงค้าง โดยที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรจะเป็นคนกําหนดโควต้าสารเคมีดังกล่าว “การลงพื้นที่วันนี้ เป็นการติดตามต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว จุดประสงค์หลักคือต้องการตรวจสอบตัวเลขสตอกสารเคมีที่แท้จริง เพื่อไม่ให้ข้อมูลซ้ําซ้อนกัน อีกทั้งจากการสอบถามข้อมูลของผู้ประกอบการพบว่า การส่งออก 3 สารเคมีไปต่างประเทศ ได้รับการยกเว้นภาษีนําเข้า เพราะเป็นการให้เกษตรกรนํามาใช้ประโยชน์ และช่วยลดต้นทุนการผลิต ขณะที่การส่งออกก็ไม่เสียภาษี ดังนั้นตนจึงมองว่าเกษตรกรไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ จึงอาจเสนอแนวทางเก็บภาษีแก่ผู้ส่งออกสารเคมีดังกล่าว และนําเงินภาษีมาใช้ส่งเสริมโครงการที่เป็นประโยชน์กับเกษตรกร อาทิ โครงการเกษตรอินทรีย์” นางสาวมนัญญา กล่าว ทั้งนี้ จะรวบรวมข้อมูลจากการลงพื้นที่ทั้งหมด โดยต้องตรวจสอบให้ชัดเจนอีกครั้ง ก่อนจะนําไปเสนอพิจารณาในการประชุมวันจันทร์นี้ เพื่อดําเนินการหาแนวทางในการยกเลิกสารเคมีดังกล่าวต่อไป สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘มนัญญา’ เดินหน้าลุยต่อ สุ่มตรวจ 3 สารเคมีนำเข้า วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562 ‘มนัญญา’ เดินหน้าลุยต่อ สุ่มตรวจ 3 สารเคมีนําเข้า ‘มนัญญา’ เดินหน้าลุยต่อ สุ่มตรวจ 3 สารเคมีนําเข้า เตรียมรวบรวมข้อมูลแน่น สู่แนวทางแบนสารพิษในปี 62 ให้เห็นผล นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาสารเคมีเกษตร 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลฟอเซต หลังมีการระงับใบอนุญาต และไม่มีการต่ออายุใบอนุญาตนําเข้าสารทั้ง 3 ชนิด ตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อแบนสารดังกล่าวให้หมดไปภายในปี 2562 โดยสุ่มตรวจบริษัทผู้ผลิต นําเข้า และจําหน่าย ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ จากนั้นเดินทางไปยังบริษัทเดียวกันอีกแห่งในพื้นที่ เขตบางพลัด จ.กรุงเทพฯ ว่า วันนี้ได้เดินทางเพื่อมาตรวจสอบการนําเข้าสินค้าและวัตถุอันตรายทางการเกษตร จากการตรวจสอบเบื้องต้น ได้ขอตรวจใบอนุญาตทั้ง 3 สาร ซึ่งบริษัทให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จากข้อมูลของบริษัทในนิคมอุตสาหกรรม ระบุว่าปี 2561 มีการนําเข้าพาราควอต 580,000 กก. ส่วนปี 2562 ไม่มีตัวเลขแจ้งการนําเข้า แต่มีสตอกสารพาราควอตอยู่300,000 กก. โดยรับซื้อมาจากบริษัทภายในประเทศ ขณะที่ปี 2562 มีการนําเข้าไกลโฟเซต 500,000 กิโลกรัม เหลือสตอก 270,000 กิโลกรัม ส่วนบริษัทที่ 2 เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน ไม่มีสตอกสารเคมีคงค้าง โดยที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรจะเป็นคนกําหนดโควต้าสารเคมีดังกล่าว “การลงพื้นที่วันนี้ เป็นการติดตามต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว จุดประสงค์หลักคือต้องการตรวจสอบตัวเลขสตอกสารเคมีที่แท้จริง เพื่อไม่ให้ข้อมูลซ้ําซ้อนกัน อีกทั้งจากการสอบถามข้อมูลของผู้ประกอบการพบว่า การส่งออก 3 สารเคมีไปต่างประเทศ ได้รับการยกเว้นภาษีนําเข้า เพราะเป็นการให้เกษตรกรนํามาใช้ประโยชน์ และช่วยลดต้นทุนการผลิต ขณะที่การส่งออกก็ไม่เสียภาษี ดังนั้นตนจึงมองว่าเกษตรกรไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ จึงอาจเสนอแนวทางเก็บภาษีแก่ผู้ส่งออกสารเคมีดังกล่าว และนําเงินภาษีมาใช้ส่งเสริมโครงการที่เป็นประโยชน์กับเกษตรกร อาทิ โครงการเกษตรอินทรีย์” นางสาวมนัญญา กล่าว ทั้งนี้ จะรวบรวมข้อมูลจากการลงพื้นที่ทั้งหมด โดยต้องตรวจสอบให้ชัดเจนอีกครั้ง ก่อนจะนําไปเสนอพิจารณาในการประชุมวันจันทร์นี้ เพื่อดําเนินการหาแนวทางในการยกเลิกสารเคมีดังกล่าวต่อไป สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23584
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบปี 62 ของทุกหน่วยงานให้เป็นไปตามเป้า
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562 กรมบัญชีกลางติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบปี 62 ของทุกหน่วยงานให้เป็นไปตามเป้า กรมบัญชีกลางกระตุ้นให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และผู้ว่าราชการจังหวัด เร่งรัดใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยให้ทีมงานส่วนกลางและส่วนภูมิภาค (คลังเขต+คลังจังหวัด) ติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2562 อย่างใกล้ชิด กรมบัญชีกลางกระตุ้นให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และผู้ว่าราชการจังหวัด เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยให้ทีมงานส่วนกลางและส่วนภูมิภาค (คลังเขตและคลังจังหวัด) ติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ 2562 อย่างใกล้ชิด นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ติดตามข้อมูลผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยใช้ข้อมูลมูลค่าใบสั่งซื้อสั่งจ้าง (Purchasing Order : PO) รวมกับผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากระบบ GFMIS ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 – 8 มีนาคม 2562 ปรากฏว่า งบประมาณทั้งสิ้น 3,000,000 ล้านบาท มีการใช้จ่ายแล้ว จํานวนทั้งสิ้น 1,591,763 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53.06 ซึ่งต่ํากว่าเป้าหมายร้อยละ 0.94 (เป้าหมายไตรมาส 2 ร้อยละ 54.00) โดยมีรายจ่ายลงทุน จํานวน 646,433 ล้านบาท มีการใช้จ่ายแล้ว จํานวนทั้งสิ้น 316,493 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.96 สูงกว่าเป้าหมาย 3.96 (เป้าหมายไตรมาส 2 ร้อยละ 45.00) และรายจ่ายประจํา จํานวน 2,353,567 ล้านบาท มีการใช้จ่ายแล้ว จํานวน 1,275,270 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 54.18 ต่ํากว่าเป้าหมายร้อยละ 2.82 (เป้าหมายไตรมาส 2 ร้อยละ 57.00) อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มีหนังสือถึงหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการดําเนินการ รวมทั้งบริหารจัดการให้การดําเนินการเป็นไปตามแผนปฏิบัติการ และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยได้จัดเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางเพื่อเป็นผู้ประสานงานระหว่างกรมบัญชีกลาง กับส่วนราชการ โดยจะประสานงานและเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการหรือคณะทํางานในการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ สําหรับในส่วนภูมิภาคได้สั่งการให้คลังเขต 1 – 9 และคลังจังหวัด 76 จังหวัด กํากับติดตามการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานในพื้นที่รับผิดชอบ รวมทั้งให้คําปรึกษาแนะนํา สนับสนุนข้อมูล และช่วยแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่จะมีผลกระทบให้การใช้จ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า กรมบัญชีกลางยังคงเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่องภายใต้มาตรการดังกล่าว เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายในประเทศมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบปี 62 ของทุกหน่วยงานให้เป็นไปตามเป้า วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562 กรมบัญชีกลางติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบปี 62 ของทุกหน่วยงานให้เป็นไปตามเป้า กรมบัญชีกลางกระตุ้นให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และผู้ว่าราชการจังหวัด เร่งรัดใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยให้ทีมงานส่วนกลางและส่วนภูมิภาค (คลังเขต+คลังจังหวัด) ติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2562 อย่างใกล้ชิด กรมบัญชีกลางกระตุ้นให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และผู้ว่าราชการจังหวัด เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยให้ทีมงานส่วนกลางและส่วนภูมิภาค (คลังเขตและคลังจังหวัด) ติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ 2562 อย่างใกล้ชิด นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ติดตามข้อมูลผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยใช้ข้อมูลมูลค่าใบสั่งซื้อสั่งจ้าง (Purchasing Order : PO) รวมกับผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากระบบ GFMIS ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 – 8 มีนาคม 2562 ปรากฏว่า งบประมาณทั้งสิ้น 3,000,000 ล้านบาท มีการใช้จ่ายแล้ว จํานวนทั้งสิ้น 1,591,763 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53.06 ซึ่งต่ํากว่าเป้าหมายร้อยละ 0.94 (เป้าหมายไตรมาส 2 ร้อยละ 54.00) โดยมีรายจ่ายลงทุน จํานวน 646,433 ล้านบาท มีการใช้จ่ายแล้ว จํานวนทั้งสิ้น 316,493 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.96 สูงกว่าเป้าหมาย 3.96 (เป้าหมายไตรมาส 2 ร้อยละ 45.00) และรายจ่ายประจํา จํานวน 2,353,567 ล้านบาท มีการใช้จ่ายแล้ว จํานวน 1,275,270 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 54.18 ต่ํากว่าเป้าหมายร้อยละ 2.82 (เป้าหมายไตรมาส 2 ร้อยละ 57.00) อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มีหนังสือถึงหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการดําเนินการ รวมทั้งบริหารจัดการให้การดําเนินการเป็นไปตามแผนปฏิบัติการ และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยได้จัดเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางเพื่อเป็นผู้ประสานงานระหว่างกรมบัญชีกลาง กับส่วนราชการ โดยจะประสานงานและเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการหรือคณะทํางานในการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ สําหรับในส่วนภูมิภาคได้สั่งการให้คลังเขต 1 – 9 และคลังจังหวัด 76 จังหวัด กํากับติดตามการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานในพื้นที่รับผิดชอบ รวมทั้งให้คําปรึกษาแนะนํา สนับสนุนข้อมูล และช่วยแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่จะมีผลกระทบให้การใช้จ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า กรมบัญชีกลางยังคงเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่องภายใต้มาตรการดังกล่าว เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายในประเทศมากยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19394
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยี Big Data
วันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2561 กระทรวงยุติธรรม เพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยี Big Data กระทรวงยุติธรรม เพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยี Big Data ในวันเสาร์ที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องสัมมนา ๐๑ วิทยาลัยกิจการยุติธรรม สถาบันพัฒนาบุคลากรในกระทรวงยุติธรรม อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “การบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยี Big Data มาประยุกต์ใช้กับกระทรวงยุติธรรม” หลักสูตรเทคโนโลยี Big Data สําหรับผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าหน่วยเทคโนโลยีสารสนเทศในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ ซึ่งมีอาจารย์ธีรณี อจลากุล พร้อมทีมงานจากศูนย์ Big Data Experience มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นผู้บรรยาย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี Big Data สําหรับการนําไปใช้ในการบริหารจัดการ และประยุกต์ใช้ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เช่น การสืบสวน การฟ้องร้อง การพิจารณาคดี และการลงโทษ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในโอกาสนี้ พลอากาศเอกประจินฯ กล่าวว่า การจัดทํา Data Center ให้มีมาตรฐานเดียวกัน จะต้องมีความพร้อมทางด้าน Software Hardware และด้านความปลอดภัย แม้ว่าหน่วยงานต่างๆ จะมีเนื้องานเฉพาะด้านที่แตกต่างกัน แต่จําเป็นที่จะต้องมีมาตรฐานกลาง เพื่อเชื่อมโยงการทํางานกันให้ได้อย่างรอบด้านและครอบคลุม และเชื่อมั่นว่าภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เราจะสามารถผลักดันให้ทุกหน่วยงานเป็น E-Government ได้จริง นอกจากนี้ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การดําเนินงานด้วยเทคโนโลยี Big Data ในหน่วยงานกระทรวงยุติธรรมนั้น เร่งผลักดันในงานด้านกลุ่มภารกิจพัฒนาพฤตินิสัย โดยนําฐานข้อมูลที่มีมาวิเคราะห์ เพื่อทํานายโอกาสในการกลับมากระทําความผิดซ้ําของบุคคล โดยคาดว่าหากมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Big Data อย่างเต็มศักยภาพ จะสามารถลดอัตราบุคคลที่กลับมากระทําผิดซ้ําได้มากขึ้น รวมทั้ง การใช้งานในด้านการซื้อขายที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ เมื่อนําเทคโนโลยี Big Data มาใช้จะสามารถทํานายระบุวันที่ควรขายอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นให้ได้ผลดีมากขึ้นอีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยี Big Data วันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2561 กระทรวงยุติธรรม เพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยี Big Data กระทรวงยุติธรรม เพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยี Big Data ในวันเสาร์ที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องสัมมนา ๐๑ วิทยาลัยกิจการยุติธรรม สถาบันพัฒนาบุคลากรในกระทรวงยุติธรรม อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “การบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยี Big Data มาประยุกต์ใช้กับกระทรวงยุติธรรม” หลักสูตรเทคโนโลยี Big Data สําหรับผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าหน่วยเทคโนโลยีสารสนเทศในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ ซึ่งมีอาจารย์ธีรณี อจลากุล พร้อมทีมงานจากศูนย์ Big Data Experience มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นผู้บรรยาย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี Big Data สําหรับการนําไปใช้ในการบริหารจัดการ และประยุกต์ใช้ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เช่น การสืบสวน การฟ้องร้อง การพิจารณาคดี และการลงโทษ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในโอกาสนี้ พลอากาศเอกประจินฯ กล่าวว่า การจัดทํา Data Center ให้มีมาตรฐานเดียวกัน จะต้องมีความพร้อมทางด้าน Software Hardware และด้านความปลอดภัย แม้ว่าหน่วยงานต่างๆ จะมีเนื้องานเฉพาะด้านที่แตกต่างกัน แต่จําเป็นที่จะต้องมีมาตรฐานกลาง เพื่อเชื่อมโยงการทํางานกันให้ได้อย่างรอบด้านและครอบคลุม และเชื่อมั่นว่าภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เราจะสามารถผลักดันให้ทุกหน่วยงานเป็น E-Government ได้จริง นอกจากนี้ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การดําเนินงานด้วยเทคโนโลยี Big Data ในหน่วยงานกระทรวงยุติธรรมนั้น เร่งผลักดันในงานด้านกลุ่มภารกิจพัฒนาพฤตินิสัย โดยนําฐานข้อมูลที่มีมาวิเคราะห์ เพื่อทํานายโอกาสในการกลับมากระทําความผิดซ้ําของบุคคล โดยคาดว่าหากมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Big Data อย่างเต็มศักยภาพ จะสามารถลดอัตราบุคคลที่กลับมากระทําผิดซ้ําได้มากขึ้น รวมทั้ง การใช้งานในด้านการซื้อขายที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ เมื่อนําเทคโนโลยี Big Data มาใช้จะสามารถทํานายระบุวันที่ควรขายอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นให้ได้ผลดีมากขึ้นอีกด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15589
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการพัฒนาชุมชนชี้แจง ข่าว บมจ.ประชารัฐหลายจังหวัดทั่วประเทศ อยู่ในสภาพขาดการขับเคลื่อน เป็นข่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561 กรมการพัฒนาชุมชนชี้แจง ข่าว บมจ.ประชารัฐหลายจังหวัดทั่วประเทศ อยู่ในสภาพขาดการขับเคลื่อน เป็นข่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนชี้แจง ประเด็นข้อกล่าวหาผลประกอบการ บมจ.ประชารัฐขาดทุน เป็นข่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ยืนยัน บมจ.ประชารัฐมีการทํางานต่อเนื่อง วันที่ 7 พฤษภาคม 2561 นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงประเด็นข้อกล่าวหาผลประกอบการ บมจ.ประชารัฐขาดทุน จากกรณีกลุ่มเพจต่อต้านรัฐบาลเผยแพร่รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ประจําวันที่ 5 พฤษภาคม 2561 ที่รายงานว่า แหล่งข่าวจากบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จํากัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) ได้เปิดเผยว่า บมจ.ประชารัฐหลายจังหวัดทั่วประเทศ ขณะนี้กําลังอยู่ในสภาพขาดการขับเคลื่อน บางจังหวัดเพียงรอจ่ายเงินให้หมดแล้วยุติกิจกรรม และบางจังหวัดกว่า 80% ได้ทําเรื่องถึงผู้ลงทุนเพื่อคืนเงินหุ้นแล้วยุติกิจการ ขณะเดียวกันมี บมจ.ประชารัฐ เพียง 20% ที่มีการขับเคลื่อนกิจกรรมงานในกรอบที่ต่อเนื่อง เนื่องจากขาดเงินทุน ขาดการสนับสนุนอย่างจริงจัง ค่าใช้จ่ายในการดําเนินกิจกรรมทั้งหมดต้องออกเอง รวมถึงขาดบุคลากรในการทํางานต่าง ๆ นั้น กรมการพัฒนาชุมชน ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ การจัดตั้งบริษัทประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด รัฐบาลกําหนดนโยบายสําคัญเร่งด่วน “ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมให้สังคม” นโยบาย “สานพลังประชารัฐ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก” ใช้พลัง “ประชารัฐ” เป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อน โดยมีหลักสําคัญ คือ ชุมชนลงมือทํา > เอกชนขับเคลื่อน > รัฐบาลสนับสนุน ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนวิสาหกิจเพื่อสังคม ประกอบด้วย 1 เป้าหมาย ดําเนินงานโดยมุ่งสู่เป้าหมายเดียว คือ สร้างรายได้ให้กับชุมชน เพื่อประชาชนมีความสุข 3 กลุ่มงาน มีกิจการใน 3 เรื่อง คือ การเกษตร การแปรรูป และการท่องเที่ยวโดยชุมชน 5 กระบวนการ คือ การเข้าถึงปัจจัยการผลิต การบริหารจัดการ การสร้างองค์ความรู้ การตลาดและการสื่อสารสร้างการรับรู้ การจัดตั้งบริษัทประชารัฐรักสามัคคี (จังหวัด) ครบทั้ง 76 จังหวัด ในรูปบริษัทที่เป็นไปตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ต้องมีคณะกรรมการซึ่งมาจากภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ ร่วมรับผิดชอบบริหารจัดการบริษัท และบริษัทประชารัฐรักสามัคคี (จังหวัด) จะทําหน้าที่ค้นหาชุมชนที่มีศักยภาพและมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมดําเนินการ และอีก 1 ส่วนกลาง คือ มีบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จํากัด เป็นบริษัทแม่ ถือเป็นบริษัท Holding กลาง ทําหน้าที่สนับสนุนช่วยเหลือเรื่องการบริหารจัดการและการตลาด ประเด็นที่ 1 บริษัท ประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด ขอยุติกิจการ และคืนเงินหุ้น กรมการพัฒนาชุมชนขอชี้แจง : ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ทุกจังหวัด บริษัทประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด ทั้ง 77 บริษัท ยังมีการดําเนินการอยู่อย่างต่อเนื่องไม่เป็นไปตามข่าวที่มีการขอยุติและคืนหุ้นแม้แต่แห่งเดียว ไม่มีจังหวัดใดแจ้งยุติการดําเนินงาน ซึ่งการยกเลิกกิจการบริษัทต้องปฏิบัติตามระเบียบของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังได้มีการดําเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยมีข้อมูลผลการดําเนินงานถึงเดือนเมษายน 2561 ทุกจังหวัด (77 บริษัท) โดยมีการพัฒนากลุ่มเป้าหมาย จํานวน 3,685 กลุ่ม สร้างรายได้รวม 1,653,130,058 บาท ผู้ได้รับประโยชน์ จํานวน 614,180 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มงาน ดังนี้ - เกษตร 955 กลุ่ม เกิดรายได้ 656,628,008 บาท - แปรรูป 1,898 กลุ่ม เกิดรายได้ 752,510,153 บาท - ท่องเที่ยวโดยชุมชน 832 กลุ่ม เกิดรายได้ 243,991,897 บาท หากพื้นที่ต้องการรับการสนับสนุนสามารถเสนอกลุ่มเป้าหมายให้คณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐ ประจําจังหวัด (คสป.) พิจารณาสนับสนุน ประเด็นที่ 2 บริษัทประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด ขาดเงินทุน ขาดการสนับสนุนอย่างจริงจัง ค่าใช้จ่ายในการดําเนินกิจกรรมทั้งหมดต้องออกเอง รวมถึงขาดบุคลากรในการทํางานต่าง ๆ กรมการพัฒนาชุมชนขอชี้แจง : บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทุกบริษัทฯ มีงบประมาณที่เป็นหุ้นที่ระดมทุนจากภาคเอกชน และคนในจังหวัด สามารถระดมทุนได้เฉลี่ยจังหวัดละ 4 ล้านบาท บริษัทฯ สามารถกําหนดแนวทางการบริหารงาน การบริหารค่าใช้จ่าย ดําเนินงานได้เองโดยอิสระ ซึ่งแนวทางการบริหารทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อตกลงและมติจากที่ประชุมของผู้ถือหุ้น ด้านบุคลากร บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) มีคณะกรรมการบริษัท 5 - 10 คน มาจากหลายภาคส่วนทําหน้าที่บริหารงาน และมีเจ้าหน้าที่ทํางานประจําที่เรียกว่า นักพัฒนาธุรกิจทุกจังหวัด ๆ ละ 2 คน รวมทั้งมีคณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐประจําจังหวัด (คสป.) เป็นที่ปรึกษา ซี่งในปัจจุบันยังคงมีการดําเนินงานอยู่อย่างปกติ และมีการประชุมเพื่อติดตามผลการดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง ประเด็นที่ 3 การสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ กรมการพัฒนาชุมชนขอชี้แจง : กรมการพัฒนาชุมชน ให้การสนับสนุน โดยได้จัดทําโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับ 3 กลุ่มงานหลัก เพื่อช่วยหาและสร้างช่องทางการตลาดให้แก่ชุมชนเป้าหมาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน ในกรณีที่ชุมชนเป้าหมายการพัฒนายังมีความต้องการได้รับการสนับสนุน สามารถที่จะเสนอความต้องการเข้าสู่แผนพัฒนาจังหวัดและแผนในระดับต่าง ๆ ได้ ซึ่งมีงบประมาณรองรับอยู่แล้ว กรมการพัฒนาชุมชนได้ให้สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มหาวิทยาลัยรังสิต Yunus Center AIT สถาบันไทยพัฒน์ และมูลนิธิสัมมาชีพ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ทําการศึกษาโครงการค้นหาต้นแบบการต่อยอด และขยายผลความสําเร็จการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ โดยรายงานการวิจัย พบว่า การดําเนินงานโดยบริษัทประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) และบริษัทประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จํากัด สามารถสร้างและเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน เป็นแนวทางในการพัฒนาต่อยอดสินค้าให้เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจ และเป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่เหมาะสม แนวทางการพัฒนาต่อไปในอนาคต 1. รัฐบาลอยู่ระหว่างการออกกฎหมายพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. .... เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการดําเนินงานของบริษัทฯ 2. ภาครัฐมีการสนับสนุนให้บริษัทฯ พัฒนาแผนธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ แล้วนํารายได้ไปขยายผลในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สรุป บริษัท ประชารัฐ รักสามัคคี เป็นการร่วมมือกันทุกภาคส่วนของคนในพื้นที่ที่มีความพร้อมและต้องการช่วยคนในจังหวัดที่ยังต้องการความช่วยเหลือ ผู้ที่ด้อยโอกาสและยากจน เป็นการจัดโครงการที่มีกฎหมายรองรับและมีความต่อเนื่องการทํางาน ข่าวที่ปรากฏว่า มีการขาดสภาพการขับเคลื่อน รอจ่ายเงินให้หมดแล้วยุติกิจกรรม จึงเป็นข่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงแต่อย่างใด -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการพัฒนาชุมชนชี้แจง ข่าว บมจ.ประชารัฐหลายจังหวัดทั่วประเทศ อยู่ในสภาพขาดการขับเคลื่อน เป็นข่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561 กรมการพัฒนาชุมชนชี้แจง ข่าว บมจ.ประชารัฐหลายจังหวัดทั่วประเทศ อยู่ในสภาพขาดการขับเคลื่อน เป็นข่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนชี้แจง ประเด็นข้อกล่าวหาผลประกอบการ บมจ.ประชารัฐขาดทุน เป็นข่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ยืนยัน บมจ.ประชารัฐมีการทํางานต่อเนื่อง วันที่ 7 พฤษภาคม 2561 นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงประเด็นข้อกล่าวหาผลประกอบการ บมจ.ประชารัฐขาดทุน จากกรณีกลุ่มเพจต่อต้านรัฐบาลเผยแพร่รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ประจําวันที่ 5 พฤษภาคม 2561 ที่รายงานว่า แหล่งข่าวจากบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จํากัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) ได้เปิดเผยว่า บมจ.ประชารัฐหลายจังหวัดทั่วประเทศ ขณะนี้กําลังอยู่ในสภาพขาดการขับเคลื่อน บางจังหวัดเพียงรอจ่ายเงินให้หมดแล้วยุติกิจกรรม และบางจังหวัดกว่า 80% ได้ทําเรื่องถึงผู้ลงทุนเพื่อคืนเงินหุ้นแล้วยุติกิจการ ขณะเดียวกันมี บมจ.ประชารัฐ เพียง 20% ที่มีการขับเคลื่อนกิจกรรมงานในกรอบที่ต่อเนื่อง เนื่องจากขาดเงินทุน ขาดการสนับสนุนอย่างจริงจัง ค่าใช้จ่ายในการดําเนินกิจกรรมทั้งหมดต้องออกเอง รวมถึงขาดบุคลากรในการทํางานต่าง ๆ นั้น กรมการพัฒนาชุมชน ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ การจัดตั้งบริษัทประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด รัฐบาลกําหนดนโยบายสําคัญเร่งด่วน “ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมให้สังคม” นโยบาย “สานพลังประชารัฐ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก” ใช้พลัง “ประชารัฐ” เป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อน โดยมีหลักสําคัญ คือ ชุมชนลงมือทํา > เอกชนขับเคลื่อน > รัฐบาลสนับสนุน ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนวิสาหกิจเพื่อสังคม ประกอบด้วย 1 เป้าหมาย ดําเนินงานโดยมุ่งสู่เป้าหมายเดียว คือ สร้างรายได้ให้กับชุมชน เพื่อประชาชนมีความสุข 3 กลุ่มงาน มีกิจการใน 3 เรื่อง คือ การเกษตร การแปรรูป และการท่องเที่ยวโดยชุมชน 5 กระบวนการ คือ การเข้าถึงปัจจัยการผลิต การบริหารจัดการ การสร้างองค์ความรู้ การตลาดและการสื่อสารสร้างการรับรู้ การจัดตั้งบริษัทประชารัฐรักสามัคคี (จังหวัด) ครบทั้ง 76 จังหวัด ในรูปบริษัทที่เป็นไปตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ต้องมีคณะกรรมการซึ่งมาจากภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ ร่วมรับผิดชอบบริหารจัดการบริษัท และบริษัทประชารัฐรักสามัคคี (จังหวัด) จะทําหน้าที่ค้นหาชุมชนที่มีศักยภาพและมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมดําเนินการ และอีก 1 ส่วนกลาง คือ มีบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จํากัด เป็นบริษัทแม่ ถือเป็นบริษัท Holding กลาง ทําหน้าที่สนับสนุนช่วยเหลือเรื่องการบริหารจัดการและการตลาด ประเด็นที่ 1 บริษัท ประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด ขอยุติกิจการ และคืนเงินหุ้น กรมการพัฒนาชุมชนขอชี้แจง : ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ทุกจังหวัด บริษัทประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด ทั้ง 77 บริษัท ยังมีการดําเนินการอยู่อย่างต่อเนื่องไม่เป็นไปตามข่าวที่มีการขอยุติและคืนหุ้นแม้แต่แห่งเดียว ไม่มีจังหวัดใดแจ้งยุติการดําเนินงาน ซึ่งการยกเลิกกิจการบริษัทต้องปฏิบัติตามระเบียบของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังได้มีการดําเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยมีข้อมูลผลการดําเนินงานถึงเดือนเมษายน 2561 ทุกจังหวัด (77 บริษัท) โดยมีการพัฒนากลุ่มเป้าหมาย จํานวน 3,685 กลุ่ม สร้างรายได้รวม 1,653,130,058 บาท ผู้ได้รับประโยชน์ จํานวน 614,180 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มงาน ดังนี้ - เกษตร 955 กลุ่ม เกิดรายได้ 656,628,008 บาท - แปรรูป 1,898 กลุ่ม เกิดรายได้ 752,510,153 บาท - ท่องเที่ยวโดยชุมชน 832 กลุ่ม เกิดรายได้ 243,991,897 บาท หากพื้นที่ต้องการรับการสนับสนุนสามารถเสนอกลุ่มเป้าหมายให้คณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐ ประจําจังหวัด (คสป.) พิจารณาสนับสนุน ประเด็นที่ 2 บริษัทประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด ขาดเงินทุน ขาดการสนับสนุนอย่างจริงจัง ค่าใช้จ่ายในการดําเนินกิจกรรมทั้งหมดต้องออกเอง รวมถึงขาดบุคลากรในการทํางานต่าง ๆ กรมการพัฒนาชุมชนขอชี้แจง : บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทุกบริษัทฯ มีงบประมาณที่เป็นหุ้นที่ระดมทุนจากภาคเอกชน และคนในจังหวัด สามารถระดมทุนได้เฉลี่ยจังหวัดละ 4 ล้านบาท บริษัทฯ สามารถกําหนดแนวทางการบริหารงาน การบริหารค่าใช้จ่าย ดําเนินงานได้เองโดยอิสระ ซึ่งแนวทางการบริหารทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อตกลงและมติจากที่ประชุมของผู้ถือหุ้น ด้านบุคลากร บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) มีคณะกรรมการบริษัท 5 - 10 คน มาจากหลายภาคส่วนทําหน้าที่บริหารงาน และมีเจ้าหน้าที่ทํางานประจําที่เรียกว่า นักพัฒนาธุรกิจทุกจังหวัด ๆ ละ 2 คน รวมทั้งมีคณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐประจําจังหวัด (คสป.) เป็นที่ปรึกษา ซี่งในปัจจุบันยังคงมีการดําเนินงานอยู่อย่างปกติ และมีการประชุมเพื่อติดตามผลการดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง ประเด็นที่ 3 การสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ กรมการพัฒนาชุมชนขอชี้แจง : กรมการพัฒนาชุมชน ให้การสนับสนุน โดยได้จัดทําโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับ 3 กลุ่มงานหลัก เพื่อช่วยหาและสร้างช่องทางการตลาดให้แก่ชุมชนเป้าหมาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน ในกรณีที่ชุมชนเป้าหมายการพัฒนายังมีความต้องการได้รับการสนับสนุน สามารถที่จะเสนอความต้องการเข้าสู่แผนพัฒนาจังหวัดและแผนในระดับต่าง ๆ ได้ ซึ่งมีงบประมาณรองรับอยู่แล้ว กรมการพัฒนาชุมชนได้ให้สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มหาวิทยาลัยรังสิต Yunus Center AIT สถาบันไทยพัฒน์ และมูลนิธิสัมมาชีพ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ทําการศึกษาโครงการค้นหาต้นแบบการต่อยอด และขยายผลความสําเร็จการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ โดยรายงานการวิจัย พบว่า การดําเนินงานโดยบริษัทประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) และบริษัทประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จํากัด สามารถสร้างและเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน เป็นแนวทางในการพัฒนาต่อยอดสินค้าให้เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจ และเป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่เหมาะสม แนวทางการพัฒนาต่อไปในอนาคต 1. รัฐบาลอยู่ระหว่างการออกกฎหมายพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. .... เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการดําเนินงานของบริษัทฯ 2. ภาครัฐมีการสนับสนุนให้บริษัทฯ พัฒนาแผนธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ แล้วนํารายได้ไปขยายผลในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สรุป บริษัท ประชารัฐ รักสามัคคี เป็นการร่วมมือกันทุกภาคส่วนของคนในพื้นที่ที่มีความพร้อมและต้องการช่วยคนในจังหวัดที่ยังต้องการความช่วยเหลือ ผู้ที่ด้อยโอกาสและยากจน เป็นการจัดโครงการที่มีกฎหมายรองรับและมีความต่อเนื่องการทํางาน ข่าวที่ปรากฏว่า มีการขาดสภาพการขับเคลื่อน รอจ่ายเงินให้หมดแล้วยุติกิจกรรม จึงเป็นข่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงแต่อย่างใด -------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12169
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางให้บริการสัญจรทั่วกรุง อำนวยความยุติธรรมแก่แรงงานที่กระทบโควิด-19 [กระทรวงแรงงาน]
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563 กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางให้บริการสัญจรทั่วกรุง อํานวยความยุติธรรมแก่แรงงานที่กระทบโควิด-19 [กระทรวงแรงงาน] กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางให้บริการสัญจรทั่วกรุง อํานวยความยุติธรรมแก่แรงงานที่กระทบโควิด-19 นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า โครงการ “ศาลแรงงานเคลื่อนที่” เป็นโครงการที่ กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางจัดขึ้น เพื่อให้บริการสร้างการรับรู้และเข้าใจถึงสิทธิหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้างตามกฎหมายแรงงาน ในรูปแบบของศูนย์บริการด้านกฎหมายเคลื่อนที่ โดยจะให้บริการให้คําปรึกษา ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง การรับคําฟ้องแก่นายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ภายใต้ชื่อ “คลินิกศาลแรงงานร่วมใจ วิถีใหม่-สู้ภัย โควิด” เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และลดการเดินทางมายังศาลของประชาชน ซึ่งจะเปิดให้บริการครั้งแรก ณ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 เขตดินแดง (สรพ. 5) ในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ครั้งที่ 2 วันที่ 22 มิถุนายน ณ สรพ.3 (เขตประเวศ) ครั้งที่ 3 วันที่ 3 กรกฎาคม ณ สรพ.10 (เขตมีนบุรี) ครั้งที่ 4 วันที่ 13 กรกฎาคม ณ สรพ.7 (เขตตลิ่งชัน) ครั้งที่ 5 วันที่ 3 สิงหาคม ณ สรพ.3 (เขตประเวศ) ครั้งที่ 6 วันที่ 11 สิงหาคม ณ สรพ.10 (เขตมีนบุรี) ครั้งที่ 7 วันที่ 1 กันยายน ณ สรพ.8 (เขตพระนคร) และครั้งสุดท้ายในวันที่ 15 กันยายน ณ สรพ.5 (เขตดินแดง) อธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า โครงการดังกล่าวเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนที่มีข้อสงสัยหรือต้องการความชัดเจนในการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน รวมทั้งเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน ของนายจ้าง ลูกจ้างจากสถานการณ์โควิด-19 นํามาซึ่งความร่วมมือ ร่วมใจให้ผ่านพ้นวิกฤติดังกล่าวไปได้ด้วยดี จึงขอเชิญชวนผู้สนใจใช้บริการ “คลินิกศาลแรงงานร่วมใจ วิถีใหม่-สู้ภัยโควิด” ได้ตามวันและสถานที่ข้างต้น ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองนิติการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2246 7589 หรือสายด่วน 1506 กด 3
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางให้บริการสัญจรทั่วกรุง อำนวยความยุติธรรมแก่แรงงานที่กระทบโควิด-19 [กระทรวงแรงงาน] วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563 กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางให้บริการสัญจรทั่วกรุง อํานวยความยุติธรรมแก่แรงงานที่กระทบโควิด-19 [กระทรวงแรงงาน] กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางให้บริการสัญจรทั่วกรุง อํานวยความยุติธรรมแก่แรงงานที่กระทบโควิด-19 นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า โครงการ “ศาลแรงงานเคลื่อนที่” เป็นโครงการที่ กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางจัดขึ้น เพื่อให้บริการสร้างการรับรู้และเข้าใจถึงสิทธิหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้างตามกฎหมายแรงงาน ในรูปแบบของศูนย์บริการด้านกฎหมายเคลื่อนที่ โดยจะให้บริการให้คําปรึกษา ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง การรับคําฟ้องแก่นายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ภายใต้ชื่อ “คลินิกศาลแรงงานร่วมใจ วิถีใหม่-สู้ภัย โควิด” เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และลดการเดินทางมายังศาลของประชาชน ซึ่งจะเปิดให้บริการครั้งแรก ณ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 เขตดินแดง (สรพ. 5) ในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ครั้งที่ 2 วันที่ 22 มิถุนายน ณ สรพ.3 (เขตประเวศ) ครั้งที่ 3 วันที่ 3 กรกฎาคม ณ สรพ.10 (เขตมีนบุรี) ครั้งที่ 4 วันที่ 13 กรกฎาคม ณ สรพ.7 (เขตตลิ่งชัน) ครั้งที่ 5 วันที่ 3 สิงหาคม ณ สรพ.3 (เขตประเวศ) ครั้งที่ 6 วันที่ 11 สิงหาคม ณ สรพ.10 (เขตมีนบุรี) ครั้งที่ 7 วันที่ 1 กันยายน ณ สรพ.8 (เขตพระนคร) และครั้งสุดท้ายในวันที่ 15 กันยายน ณ สรพ.5 (เขตดินแดง) อธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า โครงการดังกล่าวเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนที่มีข้อสงสัยหรือต้องการความชัดเจนในการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน รวมทั้งเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน ของนายจ้าง ลูกจ้างจากสถานการณ์โควิด-19 นํามาซึ่งความร่วมมือ ร่วมใจให้ผ่านพ้นวิกฤติดังกล่าวไปได้ด้วยดี จึงขอเชิญชวนผู้สนใจใช้บริการ “คลินิกศาลแรงงานร่วมใจ วิถีใหม่-สู้ภัยโควิด” ได้ตามวันและสถานที่ข้างต้น ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองนิติการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2246 7589 หรือสายด่วน 1506 กด 3
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32424
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พลเอกฉัตรชัย” สั่งตั้งคณะทำงานภายใต้พรบ.ควบคุมยาง 2542 หวังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและตรวจสอบปริมาณยางในตลาดจริง
วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560 “พลเอกฉัตรชัย” สั่งตั้งคณะทํางานภายใต้พรบ.ควบคุมยาง 2542 หวังเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานและตรวจสอบปริมาณยางในตลาดจริง “พลเอกฉัตรชัย” สั่งตั้งคณะทํางานภายใต้พรบ.ควบคุมยาง 2542 หวังเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานและตรวจสอบปริมาณยางในตลาดจริง สกัดข่าวบิดเบือนทําราคายางป่วน พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่านอกจากมาตรการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560 ในการอนุมัติและขยายระยะเวลา 4 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรชาวสวนยางครัวเรือนละ 1,500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 15 ไร่ต่อครัวเรือน 2. โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพาราภายใต้แนวทางยางพาราทั้งระบบ 3. โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกร เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และ โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง และ4.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่สถานการณ์ราคายางมีความผันผวน ส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกรสามารถรวบรวมยางพารา และเพิ่มสภาพคล่องในการทําธุรกิจให้มีความเข้มแข็งแล้ว กระทรวงเกษตรฯ โดยการยางแห่งประเทศไทย ยังได้เร่งดําเนินมาตรการด้านการผลิต ในการส่งเสริมให้โค่นยางพาราปีละ 4 แสนไร่ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานให้เกิดขึ้นกับตลาดโลก พร้อมทั้งการสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการในการเพิ่มประสิทธิภาพการแปรรูปยาง และยกระดับมาตรฐานองค์กรด้านอุตสาหกรรมยางให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน GMP/GAP โดยมีเป้าหมายจะผลักดันสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางจํานวน 32 กลุ่มทั่วประเทศ เพื่อให้ขาย ผลผลิตได้ราคาสูงขึ้น เพิ่มช่องทางการจําหน่ายผลผลิตยางพารา และเพิ่มอํานาจต่อรองทางการค้ากับผู้ซื้อ ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบตลาดยางพาราประเภทต่างๆ ได้แก่ ตลาดน้ํายางสดในพื้นที่ชายแดนใต้ 452 กลุ่ม ตลาดยางพาราระดับท้องถิ่นของ กยท. จํานวน 108 แห่งทั่วประเทศ และตลาดกลางยางพาราอีก 6 แห่ง ซึ่งกําลังเร่งดําเนินการเชื่อมโยงของตลาดต่างๆ ตั้งแต่ตลาดระดับท้องถิ่น กยท. ทั่วประเทศ สู่ตลาดกลางยางพารา ไปจนถึงตลาดยางระดับประเทศ อย่างเช่นตลาดกลางยางพาราระดับภูมิภาค (RRM) ซึ่งเป็นตลาด 3 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่จะช่วยเพิ่มช่องทางการจําหน่ายผลผลิตยางพาราของชาวสวนยางซึ่งจะเป็นการซื้อขายยางแท้จริง นอกจากการซื้อขายบนกระดาษในตลาดซื้อขายยางล่วงหน้าด้วย สําหรับการส่งเสริมการใช้ยางในประเทศนั้น ในวันนี้ได้เรียกประชุม 8 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงท่องเที่ยวฯ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กรุงเทพมหานคร และกระทรวงเกษตรฯ เพื่อหารือถึงแนวทางส่งเสริมการนํายางประเภทต่างๆ ไปใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์และพัฒนาระบบสาธารณูปโภคภายในประเทศรวมทั้งสิ้น 28,692.12 ตัน ซึ่งคาดว่าในปีต่อไป หน่วยงานต่างๆ ในประเทศ สามารถนํายางพาราไปใช้เพื่อทําถนน ปูพื้น หรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ตามที่ผ่านการรับรองมาตรฐานแล้ว จะเป็นโอกาสในการเพิ่มปริมาณการใช้ยาง และส่งเสริมการนํายางพาราไปใช้ให้เกิดประโยชน์ภายในประเทศให้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม นอกจากมาตรการข้างต้นที่กระทรวงเกษตรฯ กําลังเร่งดําเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางแล้ว ล่าสุดยังได้ลงนามในคําสั่งแต่งตั้งคณะทํางานภายใต้ พรบ.ควบคุมยาง พ.ศ.2542 โดยมอบหมายให้ กยท.เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พรบ.ควบคุมยาง 2542 ซึ่งจะทํางานร่วมกับกรมวิชาการเกษตรในการตรวจสอบปริมาณยางในสต็อค การนําเข้าและส่งออกยาง หรือที่เกี่ยวข้องกับพรบ.ฉบับนี้ ที่จะเป็นกลไกสําคัญในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของปริมาณยางในตลาดที่มีอยู่จริง ป้องกันปัญหาการบิดเบือนข่าว การกักตุนสินค้าหรือทุบราคายางได้ ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า กยท. ได้วางมาตรการระหว่างประเทศในการร่วมประชุมกับคณะกรรมการด้านกลยุทธ์การตลาดครั้งพิเศษ (CSMO) เพื่อเร่งกําหนดมาตรการทางการตลาดที่มีต่อสถานการณ์ราคายางในปัจจุบัน ในวันที่ 17-18 มิ.ย.นี้ ณ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมาตรการที่แก้ไขปัญหาเป็นความร่วมมือของประเทศผู้ส่งออกระดับโลก เช่น ข้อตกลงเรื่องการจํากัดการส่งออก แต่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้ง 3 ประเทศร่วมกัน เป็นต้น เพื่อหาแนวทางการสร้างเสถียรภาพราคายาง และแก้ไขสถานการณ์ราคายางในปัจจุบันอย่างไรก็ตาม มุมมองของต่างชาติมองว่าดีมานต์และซัพพลายในตลาดปัจจุบันค่อนข้างสมดุลกันแต่ประเด็นราคา อาจเกิดจากการให้ข่าว ที่ส่งผลต่อสภาวการณ์ของตลาดล่วงหน้าอย่างมาก นอกจากนี้กยท. ได้ผลักดันสินค้ายางพาราไทยเกรดพรีเมี่ยมมาตรฐาน GMP สู่ตลาดยุโรป โดยจัดทําแผนบริหารจัดการผลผลิตยางในประเทศ เตรียมเปิดตลาดยาง GMP ไปยังกลุ่มประเทศยุโรปปลายปีนี้มุ่งเน้นสร้างตลาดใหม่ให้แก่เกษตรกร และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางที่ได้รับรองผลผลิตตามมาตรฐาน GMP ในเวที ISO/TC 45 Rubber and Rubber Products เป็นการยกระดับมาตรฐานการผลิตยางของเกษตรกร และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง รวมทั้ง เพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าที่มีมาตรฐานสู่ระดับสากล กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@opsmoac.go.th moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พลเอกฉัตรชัย” สั่งตั้งคณะทำงานภายใต้พรบ.ควบคุมยาง 2542 หวังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและตรวจสอบปริมาณยางในตลาดจริง วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560 “พลเอกฉัตรชัย” สั่งตั้งคณะทํางานภายใต้พรบ.ควบคุมยาง 2542 หวังเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานและตรวจสอบปริมาณยางในตลาดจริง “พลเอกฉัตรชัย” สั่งตั้งคณะทํางานภายใต้พรบ.ควบคุมยาง 2542 หวังเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานและตรวจสอบปริมาณยางในตลาดจริง สกัดข่าวบิดเบือนทําราคายางป่วน พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่านอกจากมาตรการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560 ในการอนุมัติและขยายระยะเวลา 4 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรชาวสวนยางครัวเรือนละ 1,500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 15 ไร่ต่อครัวเรือน 2. โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพาราภายใต้แนวทางยางพาราทั้งระบบ 3. โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกร เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และ โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง และ4.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่สถานการณ์ราคายางมีความผันผวน ส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกรสามารถรวบรวมยางพารา และเพิ่มสภาพคล่องในการทําธุรกิจให้มีความเข้มแข็งแล้ว กระทรวงเกษตรฯ โดยการยางแห่งประเทศไทย ยังได้เร่งดําเนินมาตรการด้านการผลิต ในการส่งเสริมให้โค่นยางพาราปีละ 4 แสนไร่ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานให้เกิดขึ้นกับตลาดโลก พร้อมทั้งการสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการในการเพิ่มประสิทธิภาพการแปรรูปยาง และยกระดับมาตรฐานองค์กรด้านอุตสาหกรรมยางให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน GMP/GAP โดยมีเป้าหมายจะผลักดันสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางจํานวน 32 กลุ่มทั่วประเทศ เพื่อให้ขาย ผลผลิตได้ราคาสูงขึ้น เพิ่มช่องทางการจําหน่ายผลผลิตยางพารา และเพิ่มอํานาจต่อรองทางการค้ากับผู้ซื้อ ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบตลาดยางพาราประเภทต่างๆ ได้แก่ ตลาดน้ํายางสดในพื้นที่ชายแดนใต้ 452 กลุ่ม ตลาดยางพาราระดับท้องถิ่นของ กยท. จํานวน 108 แห่งทั่วประเทศ และตลาดกลางยางพาราอีก 6 แห่ง ซึ่งกําลังเร่งดําเนินการเชื่อมโยงของตลาดต่างๆ ตั้งแต่ตลาดระดับท้องถิ่น กยท. ทั่วประเทศ สู่ตลาดกลางยางพารา ไปจนถึงตลาดยางระดับประเทศ อย่างเช่นตลาดกลางยางพาราระดับภูมิภาค (RRM) ซึ่งเป็นตลาด 3 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่จะช่วยเพิ่มช่องทางการจําหน่ายผลผลิตยางพาราของชาวสวนยางซึ่งจะเป็นการซื้อขายยางแท้จริง นอกจากการซื้อขายบนกระดาษในตลาดซื้อขายยางล่วงหน้าด้วย สําหรับการส่งเสริมการใช้ยางในประเทศนั้น ในวันนี้ได้เรียกประชุม 8 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงท่องเที่ยวฯ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กรุงเทพมหานคร และกระทรวงเกษตรฯ เพื่อหารือถึงแนวทางส่งเสริมการนํายางประเภทต่างๆ ไปใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์และพัฒนาระบบสาธารณูปโภคภายในประเทศรวมทั้งสิ้น 28,692.12 ตัน ซึ่งคาดว่าในปีต่อไป หน่วยงานต่างๆ ในประเทศ สามารถนํายางพาราไปใช้เพื่อทําถนน ปูพื้น หรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ตามที่ผ่านการรับรองมาตรฐานแล้ว จะเป็นโอกาสในการเพิ่มปริมาณการใช้ยาง และส่งเสริมการนํายางพาราไปใช้ให้เกิดประโยชน์ภายในประเทศให้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม นอกจากมาตรการข้างต้นที่กระทรวงเกษตรฯ กําลังเร่งดําเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางแล้ว ล่าสุดยังได้ลงนามในคําสั่งแต่งตั้งคณะทํางานภายใต้ พรบ.ควบคุมยาง พ.ศ.2542 โดยมอบหมายให้ กยท.เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พรบ.ควบคุมยาง 2542 ซึ่งจะทํางานร่วมกับกรมวิชาการเกษตรในการตรวจสอบปริมาณยางในสต็อค การนําเข้าและส่งออกยาง หรือที่เกี่ยวข้องกับพรบ.ฉบับนี้ ที่จะเป็นกลไกสําคัญในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของปริมาณยางในตลาดที่มีอยู่จริง ป้องกันปัญหาการบิดเบือนข่าว การกักตุนสินค้าหรือทุบราคายางได้ ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า กยท. ได้วางมาตรการระหว่างประเทศในการร่วมประชุมกับคณะกรรมการด้านกลยุทธ์การตลาดครั้งพิเศษ (CSMO) เพื่อเร่งกําหนดมาตรการทางการตลาดที่มีต่อสถานการณ์ราคายางในปัจจุบัน ในวันที่ 17-18 มิ.ย.นี้ ณ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมาตรการที่แก้ไขปัญหาเป็นความร่วมมือของประเทศผู้ส่งออกระดับโลก เช่น ข้อตกลงเรื่องการจํากัดการส่งออก แต่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้ง 3 ประเทศร่วมกัน เป็นต้น เพื่อหาแนวทางการสร้างเสถียรภาพราคายาง และแก้ไขสถานการณ์ราคายางในปัจจุบันอย่างไรก็ตาม มุมมองของต่างชาติมองว่าดีมานต์และซัพพลายในตลาดปัจจุบันค่อนข้างสมดุลกันแต่ประเด็นราคา อาจเกิดจากการให้ข่าว ที่ส่งผลต่อสภาวการณ์ของตลาดล่วงหน้าอย่างมาก นอกจากนี้กยท. ได้ผลักดันสินค้ายางพาราไทยเกรดพรีเมี่ยมมาตรฐาน GMP สู่ตลาดยุโรป โดยจัดทําแผนบริหารจัดการผลผลิตยางในประเทศ เตรียมเปิดตลาดยาง GMP ไปยังกลุ่มประเทศยุโรปปลายปีนี้มุ่งเน้นสร้างตลาดใหม่ให้แก่เกษตรกร และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางที่ได้รับรองผลผลิตตามมาตรฐาน GMP ในเวที ISO/TC 45 Rubber and Rubber Products เป็นการยกระดับมาตรฐานการผลิตยางของเกษตรกร และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง รวมทั้ง เพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าที่มีมาตรฐานสู่ระดับสากล กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@opsmoac.go.th moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4558
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจติดตามความก้าวหน้า การดำเนินงานของสถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ณ พื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 นายกรัฐมนตรีตรวจติดตามความก้าวหน้า การดําเนินงานของสถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกําเนิดวิทย์ ณ พื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง นายกรัฐมนตรีตรวจติดตามความก้าวหน้า การดําเนินงานของสถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกําเนิดวิทย์ ณ พื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง วันนี้ (27 ก.พ.62) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ อาทิ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ฯลฯ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ ตาบลป่ายุบใน อําเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นเขตพัฒนาด้านการศึกษานวัตกรรม และเทคโนโลยีของกลุ่ม ปตท. พร้อมทั้งติดตามความก้าวหน้าการดําเนินโครงการพัฒนาพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์เพื่อเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวนัออก (EECi) โครงการภายใต้เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก โดย ปตท. จะเริ่มงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค และ สวทช. จะเริ่มก่อสร้างอาคารวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2563 พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยี่ยมชมทัศนียภาพพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์เพื่อเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ณ หอชมวิว ซึ่งปัจจุบันพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ถูกบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาเมืองนวัตกรรมของรัฐบาลในฐานะ “เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” EECi โดย EECi มีพื้นที่รวมประมาณ 3,455 ไร่ ทําเลที่ตั้งรายล้อมด้วยธรรมชาติ เป็นพื้นที่เป้าหมายสําคัญของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการวิจัยและพัฒนาที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ เพื่อต่อยอดไปสู่การใช้งานจริงและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ด้วยนวัตกรรม ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญในเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินทางมายังอาคารเรียนรวมวิทยสิริเมธี ตําบลป่ายุบใน อําเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง เพื่อตรวจติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานของสถาบันวิทยสิริเมธี พร้อมรับฟังรายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานสถาบันวิทยสิริเมธี ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษามุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับชั้นนํา โดย ศ.ดร. จํารัส ลิ้มตระกูล อธิการบดีสถาบันวิทยสิริเมธี และรับฟังรายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานโรงเรียนกําเนิดวิทย์ ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายมุ่งเน้นด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เพื่อบ่มเพาะนักวิทยาศาสตร์ของประเทศ โดย ดร.ราเชนทร์ โกศัลวิตร ผู้อํานวยการโรงเรียนกําเนิดวิทย์ ซึ่งมีนายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) คณะผู้บริหารกลุ่ม ปตท. คณะผู้บริหารของสถาบันวิทยสิริเมธีและโรงเรียนกําเนิดวิทย์ ครู อาจารย์ นิสิต นักเรียน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาตรวจติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานของโรงเรียนกําเนิดวิทย์ และสถาบันวิทยสิริเมธี อีกครั้ง ซึ่งทรัพยากรของทั้งสองสถาบันถือเป็นบุคคลที่เป็นหัวกะทิของประเทศ คือบุคคลที่มีความรู้ความสามารถอย่างมากที่ผ่านการคัดกรองมาเป็นอย่างดี เพื่อสานต่อวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของประเทศ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีการพัฒนาให้คนเป็นทั้งคนดีและคนเก่ง ของสังคม และเป็นคนที่มีจิตอาสาช่วยสังคมด้วย เพื่อขับเคลื่อนประเทศก้าวไปสู่วิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามนโยบายยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลที่มีการดําเนินการครอบคลุมในทุกมิติ และมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง โดยคํานึงถึงการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด สิ่งสําคัญคือการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ําทางการศึกษาให้ได้ พร้อมกล่าวชื่มชมนิสิตของสถาบันวิทยสิริเมธีและนักเรียนโรงเรียนกําเนิดวิทย์ถือเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของประเทศ ที่จะนําความรู้และความสามารถขยายการทํางานไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนดตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําถึงการดําเนินการศึกษาว่า ต้องดําเนินการโดยสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพทั้งโรงเรียนขนาดใหญ่และขนาดเล็ก และมีการพัฒนาในเรื่องครูผู้สอน และดําเนินการให้เป็น 1 โรงเรียน 1 ตําบล เพื่อทําให้เด็กในพื้นที่ต่าง ๆ ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมและครอบคลุมมากขึ้น ลดความเหลื่อมล้ําด้านการศึกษาและสร้างความอบอุ่นในครอบครัว ลดการเดินทางเข้ามาศึกษาและทํางานในเมืองใหญ่ ขณะเดียวกันการศึกษาต้องคํานึงถึงการทําเพื่อส่วนรวม แทนการคิดถึงแต่ตัวเองแต่เพียงฝ่ายเดียว รวมทั้งให้มีการผลิตกําลังคนในสาขาที่ขาดแคลน การเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้กับการทํางาน และการส่งเสริมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อเสริมสร้างฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศให้เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม อันจะช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศก้าวไปสู่เศรษฐกิจสังคมฐานความรู้ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกได้อย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่จะเรียนให้มีประสิทธิภาพสิ่งสําคัญคืออยู่ที่เด็กผู้เรียนที่จะมีความสนใจศึกษาเล่าเรียนด้วย โดยเฉพาะการเรียนวิทยาศาสตร์ จะสามารถต่อยอดขยายไปสู่นวัตกรรมให้มีคุณค่ามากขึ้น ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังขาดแคลนในเรื่องดังกล่าวอยู่ จึงขอความร่วมมือนิสิตและนักเรียนที่นี่ซึ่งเป็นศูนย์รวมของผู้ที่มีความรู้ความสามารถร่วมมือกับทุกภาคส่วนขับเคลื่อนและดําเนินการในการใช้วิทยาศาสตร์พัฒนาขยายไปสู่นวัตกรรมที่มีคุณค่าในอนาคต รวมถึงฝากให้ใช้ความรู้มาพัฒนาการลดต้นทุนปัจจัยการผลิตในเรื่องของภาคการเกษตร เช่น ค่าเช่าที่ดิน ราคาค่าปุ๋ย โดยเฉพาะการผลิตปุ๋ยอย่างไรให้สอดคล้องกับพื้นที่เพาะปลูกการผลิตพืชภาคการเกษตร การทําเกษตรแปลงใหญ่ และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้รับรู้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจและพร้อมให้ความร่วมมือในการดําเนินการต่าง ๆ ต่อไป พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแนะนําว่าควรมีการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ทํากิจกรรมต่าง ๆ ที่เหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อตนเองและประเทศ ขณะเดียวกันการวิจัยและผลิตคนออกมาต้องสอดคล้องกับความต้องการและการพัฒนาประเทศ รวมถึงพัฒนาการศึกษาของประเทศให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ พร้อมกับย้ําว่า การวิจัยและพัฒนาต้องสามารถนําไปสู่การผลิตให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ตรงกับความต้องของผู้บริโภคและตลาด เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ การศึกษา เทคโนโลยี นวัตกรรม และวิทยาศาสตร์มีความสําคัญ โดยต้องดําเนินการครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ และทําให้ประเทศไทยหลุดพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้ โดยทุกคนและทุกภาคส่วนของประเทศต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่กําหนดไว้ และขอให้ทุกคนน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติด้วย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่า การที่ ปตท. ซึ่งเป็นองค์กรที่มีศักยภาพมีความพร้อม ได้เข้ามามีบทบาท จุดประกาย และตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในเรื่องของการสร้างนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ จึงเป็นการสร้างประโยชน์ สร้างคุณค่าต่อสังคมและประเทศชาติอย่างมาก และที่สําคัญการที่ ปตท. ดําเนินการจัดตั้งโรงเรียนด้านวิทยาศาสตร์ในพื้นที่จังหวัดระยองซึ่งมี GDP ต่อหัวในระดับสูงเท่ากับโตเกียว นิวยอร์ก ก็จะช่วยสร้างงานและเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น เพราะการสร้างคน สร้างองค์ความรู้ เป็นเรื่องที่ทําให้เกิดความยั่งยืนและมั่นคงในระบบการศึกษาในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาส่งเสริมการใช้ประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อให้ประเทศมีขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศ นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่าโรงเรียนกําเนิดวิทย์ และสถาบันวิทยสิริเมธี จะเป็นต้นแบบการจัดการการศึกษาในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับสากล ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้องค์กรอื่น ๆ ซึ่งมีความพร้อมและมีศักยภาพ มาช่วยกันทําเรื่องนี้อย่างจริงจัง อันจะมีส่วนช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินไปยังอาคารสํานักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชีวโมเลกุล (BSE) เพื่อเยี่ยมชมงานวิจัยของนิสิตระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ได้แก่ (1) Synthetic Biology ซึ่งเป็นงานวิจัยการสร้างสารมูลค่าเพิ่มจากขยะอินทรีย์ครัวเรือน โดยกระบวนการชีววิทยาสังเคราะห์ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น (2) Liquid Handling Automation (Robot for Enzyme Screening) ซึ่งเป็นเครื่องมือ พัฒนาเอนไซม์ที่เหมาะสมต่อการใช้งานในอุตสาหกรรมมากกว่าเอนไซม์ตามธรรมชาติ เพื่อประยุกต์ใช้สังเคราะห์สารเคมีที่มีมูลค่าสูง และเดินไปยังอาคารสํานักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IST) เพื่อเยี่ยมชมงานวิจัยของนิสิตระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เช่น Robotic Studio ซึ่งเป็นงานวิจัยจากการศึกษาพฤติกรรมการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต เพื่อนํามาพัฒนาหุ่นยนต์สู่นวัตกรรมหุ่นยนต์ด้านอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์ ก่อนเดินทางไปยังอาคารสํานักวิชาวิทยาการพลังงาน (ESE) เพื่อเยี่ยมชมงานวิจัยของนิสิตระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ได้แก่ (1) การออกแบบ สังเคราะห์ ศึกษาสมบัติ และการประยุกต์ใช้ของวัสดุอินทรีย์ชนิดใหม่สําหรับอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ OLED (ไดโอดเรืองแสงอินทรีย์) และ DSSC (เซลล์แสงอาทิตย์อินทรีย์) ผลงานวิจัยของสํานักวิชาวิทยาการโมเลกุล (MSE) (2) งานวิจัยด้านอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้า ต้นแบบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ถือเป็นเทคโนโลยีของคนไทยที่มีคุณภาพสูง เพื่อต่อยอดไปสู่เชิงพาณิชย์และประยุกต์ใช้เป็นแหล่งพลังงานสํารอง (3) ห้องปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุปกรณ์กักเก็บพลังงาน ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อสนับสนุนงานวิจัยชั้นสูง และเดินไปยังอาคารศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน สําหรับ “โครงการพัฒนาอุปกรณ์กักเก็บพลังงานต้นแบบสําหรับรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า” ก่อนออกเดินทางไปยังโรงเรียนกําเนิดวิทย์ต่อไป สําหรับสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) และโรงเรียนกําเนิดวิทย์ (KVIS) ในกลุ่มบริษัท ปตท. ได้ก่อตั้งขึ้นในบริเวณ EECi เพื่อเป็นสถาบันที่ผลิตบุคลากรชั้นนําด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเทียบเท่าสถาบันชั้นนําของโลก ขณะเดียวกันได้ให้ความสําคัญกับการปลูกฝังจริยธรรมให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดี และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุด เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานชื่อแด่โรงเรียนวิทยาศาสตร์ระยองและสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระยองว่า “โรงเรียนกําเนิดวิทย์” และ “สถาบันวิทยสิริเมธี” ตามลําดับ โดยสถาบันทั้งสองแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 900 ไร่ โรงเรียนกําเนิดวิทย์ (Kamnoetvidya Science Academy; KVIS) เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 โดยมุ่งหวังบ่มเพาะและสร้างเด็กที่มีความพร้อมที่จะเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ และสามารถต่อยอดและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่ประเทศ เน้นการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ โดยกลุ่ม ปตท. สนับสนุนทุนการศึกษาทั้งหมด ปัจจุบันนักเรียนรุ่นแรกของโรงเรียนกําเนิดวิทย์ได้สําเร็จการศึกษาและได้ไปศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาชั้นนําทั้งในและต่างประเทศ สถาบันวิทยสิริเมธี (Vidyasirimedhi Institute; VISTEC) เปิดสอนในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก โดยดําเนินการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด และเข้าใจถึงบริบทความต้องการทางภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย โดยหัวข้องานวิจัยมุ่งเน้นการคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมในกลุ่ม New S-curve ทางด้าน Digital, Robotics และ Bio-Industry ซึ่งจะมีศูนย์กลางการบ่มเพาะนวัตกรรมที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) โดยกลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมายบนพื้นที่นี้ คือศูนย์กลางการวิจัยและนวัตกรรมด้านระบบอัตโนมัติหุ่นยนต์และระบบอัจฉริยะ (ARIPOLIS) และศูนยก์ลางการวิจัยและนวัตกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ (BIOPOLIS) โดยมุ่งหวังให้พื้นที่วังจันทร์วัลเลยเ์ป็นศูนย์กลางชั้นนําและสร้าง Startup Ecosystem สําหรับนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ และเป็น Silicon Valley ของไทยที่จะสร้างและผลักดันให้เกิดนวัตกรรมและเชื่อมโยงภาคการศึกษากับภาคธุรกิจเข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายผลิตบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดย VISTEC มีเป้าหมายที่จะเป็น “มหาวิทยาลัยวิจัย” และมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนํา ติดอันดับ 1 ใน 50 ของโลก และเป็น World Research University ภายในปี 2035 หรือ พ.ศ. 2578 เช่นเดียวกับโรงเรียนกําเนิดวิทย์ กลุ่ม ปตท.ได้สนับสนุนทุนการศึกษาทั้งหมด ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจติดตามความก้าวหน้า การดำเนินงานของสถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ณ พื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 นายกรัฐมนตรีตรวจติดตามความก้าวหน้า การดําเนินงานของสถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกําเนิดวิทย์ ณ พื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง นายกรัฐมนตรีตรวจติดตามความก้าวหน้า การดําเนินงานของสถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกําเนิดวิทย์ ณ พื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง วันนี้ (27 ก.พ.62) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ อาทิ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ฯลฯ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ ตาบลป่ายุบใน อําเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นเขตพัฒนาด้านการศึกษานวัตกรรม และเทคโนโลยีของกลุ่ม ปตท. พร้อมทั้งติดตามความก้าวหน้าการดําเนินโครงการพัฒนาพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์เพื่อเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวนัออก (EECi) โครงการภายใต้เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก โดย ปตท. จะเริ่มงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค และ สวทช. จะเริ่มก่อสร้างอาคารวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2563 พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยี่ยมชมทัศนียภาพพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์เพื่อเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ณ หอชมวิว ซึ่งปัจจุบันพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ถูกบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาเมืองนวัตกรรมของรัฐบาลในฐานะ “เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” EECi โดย EECi มีพื้นที่รวมประมาณ 3,455 ไร่ ทําเลที่ตั้งรายล้อมด้วยธรรมชาติ เป็นพื้นที่เป้าหมายสําคัญของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการวิจัยและพัฒนาที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ เพื่อต่อยอดไปสู่การใช้งานจริงและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ด้วยนวัตกรรม ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญในเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินทางมายังอาคารเรียนรวมวิทยสิริเมธี ตําบลป่ายุบใน อําเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง เพื่อตรวจติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานของสถาบันวิทยสิริเมธี พร้อมรับฟังรายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานสถาบันวิทยสิริเมธี ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษามุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับชั้นนํา โดย ศ.ดร. จํารัส ลิ้มตระกูล อธิการบดีสถาบันวิทยสิริเมธี และรับฟังรายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานโรงเรียนกําเนิดวิทย์ ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายมุ่งเน้นด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เพื่อบ่มเพาะนักวิทยาศาสตร์ของประเทศ โดย ดร.ราเชนทร์ โกศัลวิตร ผู้อํานวยการโรงเรียนกําเนิดวิทย์ ซึ่งมีนายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) คณะผู้บริหารกลุ่ม ปตท. คณะผู้บริหารของสถาบันวิทยสิริเมธีและโรงเรียนกําเนิดวิทย์ ครู อาจารย์ นิสิต นักเรียน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาตรวจติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานของโรงเรียนกําเนิดวิทย์ และสถาบันวิทยสิริเมธี อีกครั้ง ซึ่งทรัพยากรของทั้งสองสถาบันถือเป็นบุคคลที่เป็นหัวกะทิของประเทศ คือบุคคลที่มีความรู้ความสามารถอย่างมากที่ผ่านการคัดกรองมาเป็นอย่างดี เพื่อสานต่อวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของประเทศ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีการพัฒนาให้คนเป็นทั้งคนดีและคนเก่ง ของสังคม และเป็นคนที่มีจิตอาสาช่วยสังคมด้วย เพื่อขับเคลื่อนประเทศก้าวไปสู่วิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามนโยบายยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลที่มีการดําเนินการครอบคลุมในทุกมิติ และมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง โดยคํานึงถึงการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด สิ่งสําคัญคือการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ําทางการศึกษาให้ได้ พร้อมกล่าวชื่มชมนิสิตของสถาบันวิทยสิริเมธีและนักเรียนโรงเรียนกําเนิดวิทย์ถือเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของประเทศ ที่จะนําความรู้และความสามารถขยายการทํางานไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนดตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําถึงการดําเนินการศึกษาว่า ต้องดําเนินการโดยสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพทั้งโรงเรียนขนาดใหญ่และขนาดเล็ก และมีการพัฒนาในเรื่องครูผู้สอน และดําเนินการให้เป็น 1 โรงเรียน 1 ตําบล เพื่อทําให้เด็กในพื้นที่ต่าง ๆ ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมและครอบคลุมมากขึ้น ลดความเหลื่อมล้ําด้านการศึกษาและสร้างความอบอุ่นในครอบครัว ลดการเดินทางเข้ามาศึกษาและทํางานในเมืองใหญ่ ขณะเดียวกันการศึกษาต้องคํานึงถึงการทําเพื่อส่วนรวม แทนการคิดถึงแต่ตัวเองแต่เพียงฝ่ายเดียว รวมทั้งให้มีการผลิตกําลังคนในสาขาที่ขาดแคลน การเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้กับการทํางาน และการส่งเสริมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อเสริมสร้างฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศให้เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม อันจะช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศก้าวไปสู่เศรษฐกิจสังคมฐานความรู้ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกได้อย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่จะเรียนให้มีประสิทธิภาพสิ่งสําคัญคืออยู่ที่เด็กผู้เรียนที่จะมีความสนใจศึกษาเล่าเรียนด้วย โดยเฉพาะการเรียนวิทยาศาสตร์ จะสามารถต่อยอดขยายไปสู่นวัตกรรมให้มีคุณค่ามากขึ้น ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังขาดแคลนในเรื่องดังกล่าวอยู่ จึงขอความร่วมมือนิสิตและนักเรียนที่นี่ซึ่งเป็นศูนย์รวมของผู้ที่มีความรู้ความสามารถร่วมมือกับทุกภาคส่วนขับเคลื่อนและดําเนินการในการใช้วิทยาศาสตร์พัฒนาขยายไปสู่นวัตกรรมที่มีคุณค่าในอนาคต รวมถึงฝากให้ใช้ความรู้มาพัฒนาการลดต้นทุนปัจจัยการผลิตในเรื่องของภาคการเกษตร เช่น ค่าเช่าที่ดิน ราคาค่าปุ๋ย โดยเฉพาะการผลิตปุ๋ยอย่างไรให้สอดคล้องกับพื้นที่เพาะปลูกการผลิตพืชภาคการเกษตร การทําเกษตรแปลงใหญ่ และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้รับรู้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจและพร้อมให้ความร่วมมือในการดําเนินการต่าง ๆ ต่อไป พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแนะนําว่าควรมีการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ทํากิจกรรมต่าง ๆ ที่เหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อตนเองและประเทศ ขณะเดียวกันการวิจัยและผลิตคนออกมาต้องสอดคล้องกับความต้องการและการพัฒนาประเทศ รวมถึงพัฒนาการศึกษาของประเทศให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ พร้อมกับย้ําว่า การวิจัยและพัฒนาต้องสามารถนําไปสู่การผลิตให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ตรงกับความต้องของผู้บริโภคและตลาด เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ การศึกษา เทคโนโลยี นวัตกรรม และวิทยาศาสตร์มีความสําคัญ โดยต้องดําเนินการครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ และทําให้ประเทศไทยหลุดพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้ โดยทุกคนและทุกภาคส่วนของประเทศต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่กําหนดไว้ และขอให้ทุกคนน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติด้วย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่า การที่ ปตท. ซึ่งเป็นองค์กรที่มีศักยภาพมีความพร้อม ได้เข้ามามีบทบาท จุดประกาย และตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในเรื่องของการสร้างนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ จึงเป็นการสร้างประโยชน์ สร้างคุณค่าต่อสังคมและประเทศชาติอย่างมาก และที่สําคัญการที่ ปตท. ดําเนินการจัดตั้งโรงเรียนด้านวิทยาศาสตร์ในพื้นที่จังหวัดระยองซึ่งมี GDP ต่อหัวในระดับสูงเท่ากับโตเกียว นิวยอร์ก ก็จะช่วยสร้างงานและเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น เพราะการสร้างคน สร้างองค์ความรู้ เป็นเรื่องที่ทําให้เกิดความยั่งยืนและมั่นคงในระบบการศึกษาในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาส่งเสริมการใช้ประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อให้ประเทศมีขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศ นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่าโรงเรียนกําเนิดวิทย์ และสถาบันวิทยสิริเมธี จะเป็นต้นแบบการจัดการการศึกษาในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับสากล ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้องค์กรอื่น ๆ ซึ่งมีความพร้อมและมีศักยภาพ มาช่วยกันทําเรื่องนี้อย่างจริงจัง อันจะมีส่วนช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินไปยังอาคารสํานักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชีวโมเลกุล (BSE) เพื่อเยี่ยมชมงานวิจัยของนิสิตระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ได้แก่ (1) Synthetic Biology ซึ่งเป็นงานวิจัยการสร้างสารมูลค่าเพิ่มจากขยะอินทรีย์ครัวเรือน โดยกระบวนการชีววิทยาสังเคราะห์ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น (2) Liquid Handling Automation (Robot for Enzyme Screening) ซึ่งเป็นเครื่องมือ พัฒนาเอนไซม์ที่เหมาะสมต่อการใช้งานในอุตสาหกรรมมากกว่าเอนไซม์ตามธรรมชาติ เพื่อประยุกต์ใช้สังเคราะห์สารเคมีที่มีมูลค่าสูง และเดินไปยังอาคารสํานักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IST) เพื่อเยี่ยมชมงานวิจัยของนิสิตระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เช่น Robotic Studio ซึ่งเป็นงานวิจัยจากการศึกษาพฤติกรรมการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต เพื่อนํามาพัฒนาหุ่นยนต์สู่นวัตกรรมหุ่นยนต์ด้านอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์ ก่อนเดินทางไปยังอาคารสํานักวิชาวิทยาการพลังงาน (ESE) เพื่อเยี่ยมชมงานวิจัยของนิสิตระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ได้แก่ (1) การออกแบบ สังเคราะห์ ศึกษาสมบัติ และการประยุกต์ใช้ของวัสดุอินทรีย์ชนิดใหม่สําหรับอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ OLED (ไดโอดเรืองแสงอินทรีย์) และ DSSC (เซลล์แสงอาทิตย์อินทรีย์) ผลงานวิจัยของสํานักวิชาวิทยาการโมเลกุล (MSE) (2) งานวิจัยด้านอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้า ต้นแบบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ถือเป็นเทคโนโลยีของคนไทยที่มีคุณภาพสูง เพื่อต่อยอดไปสู่เชิงพาณิชย์และประยุกต์ใช้เป็นแหล่งพลังงานสํารอง (3) ห้องปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุปกรณ์กักเก็บพลังงาน ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อสนับสนุนงานวิจัยชั้นสูง และเดินไปยังอาคารศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน สําหรับ “โครงการพัฒนาอุปกรณ์กักเก็บพลังงานต้นแบบสําหรับรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า” ก่อนออกเดินทางไปยังโรงเรียนกําเนิดวิทย์ต่อไป สําหรับสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) และโรงเรียนกําเนิดวิทย์ (KVIS) ในกลุ่มบริษัท ปตท. ได้ก่อตั้งขึ้นในบริเวณ EECi เพื่อเป็นสถาบันที่ผลิตบุคลากรชั้นนําด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเทียบเท่าสถาบันชั้นนําของโลก ขณะเดียวกันได้ให้ความสําคัญกับการปลูกฝังจริยธรรมให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดี และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุด เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานชื่อแด่โรงเรียนวิทยาศาสตร์ระยองและสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระยองว่า “โรงเรียนกําเนิดวิทย์” และ “สถาบันวิทยสิริเมธี” ตามลําดับ โดยสถาบันทั้งสองแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 900 ไร่ โรงเรียนกําเนิดวิทย์ (Kamnoetvidya Science Academy; KVIS) เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 โดยมุ่งหวังบ่มเพาะและสร้างเด็กที่มีความพร้อมที่จะเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ และสามารถต่อยอดและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่ประเทศ เน้นการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ โดยกลุ่ม ปตท. สนับสนุนทุนการศึกษาทั้งหมด ปัจจุบันนักเรียนรุ่นแรกของโรงเรียนกําเนิดวิทย์ได้สําเร็จการศึกษาและได้ไปศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาชั้นนําทั้งในและต่างประเทศ สถาบันวิทยสิริเมธี (Vidyasirimedhi Institute; VISTEC) เปิดสอนในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก โดยดําเนินการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด และเข้าใจถึงบริบทความต้องการทางภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย โดยหัวข้องานวิจัยมุ่งเน้นการคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมในกลุ่ม New S-curve ทางด้าน Digital, Robotics และ Bio-Industry ซึ่งจะมีศูนย์กลางการบ่มเพาะนวัตกรรมที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) โดยกลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมายบนพื้นที่นี้ คือศูนย์กลางการวิจัยและนวัตกรรมด้านระบบอัตโนมัติหุ่นยนต์และระบบอัจฉริยะ (ARIPOLIS) และศูนยก์ลางการวิจัยและนวัตกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ (BIOPOLIS) โดยมุ่งหวังให้พื้นที่วังจันทร์วัลเลยเ์ป็นศูนย์กลางชั้นนําและสร้าง Startup Ecosystem สําหรับนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ และเป็น Silicon Valley ของไทยที่จะสร้างและผลักดันให้เกิดนวัตกรรมและเชื่อมโยงภาคการศึกษากับภาคธุรกิจเข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายผลิตบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดย VISTEC มีเป้าหมายที่จะเป็น “มหาวิทยาลัยวิจัย” และมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนํา ติดอันดับ 1 ใน 50 ของโลก และเป็น World Research University ภายในปี 2035 หรือ พ.ศ. 2578 เช่นเดียวกับโรงเรียนกําเนิดวิทย์ กลุ่ม ปตท.ได้สนับสนุนทุนการศึกษาทั้งหมด ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18998
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการต่างประเทศส่งมอบชุดตรวจสอบเชื้อไวรัส COVID-19 จากประเทศจีนให้แก่ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข และหน้ากากอนามัยชนิด N95 ให้แก่ผู้แทนมูลนิธิชัยพัฒนา [กระทรวงการต่างประเทศ]
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563 กระทรวงการต่างประเทศส่งมอบชุดตรวจสอบเชื้อไวรัส COVID-19 จากประเทศจีนให้แก่ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข และหน้ากากอนามัยชนิด N95 ให้แก่ผู้แทนมูลนิธิชัยพัฒนา [กระทรวงการต่างประเทศ] กระทรวงการต่างประเทศส่งมอบชุดตรวจสอบเชื้อไวรัส COVID-19 จากประเทศจีนให้แก่ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข และหน้ากากอนามัยชนิด N95 ให้แก่ผู้แทนมูลนิธิชัยพัฒนา เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2563 กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้ส่งมอบชุดตรวจสอบเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 42 กล่อง (ตรวจได้ 2,016 คน) ซึ่งได้รับบริจาคจากบริษัท Beijing Applied Biological Technologies จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ในกรุงปักกิ่ง ให้แก่ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข และในวันเดียวกันนั้น กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้ส่งมอบหน้ากากอนามัยชนิด N95 จํานวน 20,001 ชิ้น ให้แก่ผู้แทนมูลนิธิชัยพัฒนา ทั้งนี้ ผู้บริจาคทั้งสองรายการได้ส่งมอบเวชภัณฑ์ดังกล่าวผ่านสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการต่างประเทศส่งมอบชุดตรวจสอบเชื้อไวรัส COVID-19 จากประเทศจีนให้แก่ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข และหน้ากากอนามัยชนิด N95 ให้แก่ผู้แทนมูลนิธิชัยพัฒนา [กระทรวงการต่างประเทศ] วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563 กระทรวงการต่างประเทศส่งมอบชุดตรวจสอบเชื้อไวรัส COVID-19 จากประเทศจีนให้แก่ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข และหน้ากากอนามัยชนิด N95 ให้แก่ผู้แทนมูลนิธิชัยพัฒนา [กระทรวงการต่างประเทศ] กระทรวงการต่างประเทศส่งมอบชุดตรวจสอบเชื้อไวรัส COVID-19 จากประเทศจีนให้แก่ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข และหน้ากากอนามัยชนิด N95 ให้แก่ผู้แทนมูลนิธิชัยพัฒนา เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2563 กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้ส่งมอบชุดตรวจสอบเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 42 กล่อง (ตรวจได้ 2,016 คน) ซึ่งได้รับบริจาคจากบริษัท Beijing Applied Biological Technologies จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ในกรุงปักกิ่ง ให้แก่ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข และในวันเดียวกันนั้น กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้ส่งมอบหน้ากากอนามัยชนิด N95 จํานวน 20,001 ชิ้น ให้แก่ผู้แทนมูลนิธิชัยพัฒนา ทั้งนี้ ผู้บริจาคทั้งสองรายการได้ส่งมอบเวชภัณฑ์ดังกล่าวผ่านสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30085
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ผลักดันนโยบายรัฐด้วยแผน 8 ด้าน หลุดพ้นความยากจน ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมคุณภาพชีวิต
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562 ออมสิน ผลักดันนโยบายรัฐด้วยแผน 8 ด้าน หลุดพ้นความยากจน ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมคุณภาพชีวิต ผลการดําเนินงานของธนาคารออมสินในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ตามที่รัฐบาลกําหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่ถ่ายทอดมาเป็นแผนยุทธศาสตร์กระทรวงการคลัง และแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจสาขาสถาบันการเงิน นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผย ผลการดําเนินงานของธนาคารออมสินในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ตามที่รัฐบาลได้กําหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่ถ่ายทอดมาเป็นแผนยุทธศาสตร์กระทรวงการคลัง และแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจสาขาสถาบันการเงิน โดยมีแผนงานโครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาตร์ดังกล่าว 8 ด้านที่สําคัญ คือ National e-Payment, ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก, พัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ, ยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มผู้ใช้แรงงาน, ธนาคารเพื่อเด็กและเยาวชน, ธนาคารเพื่อผู้สูงวัย และส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs/Startup เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ทั้งนี้ นโยบายสําคัญ National e-payment ที่รัฐบาลมุ่งให้ระบบการชําระเงินของประเทศเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ธนาคารออมสิน ได้ดําเนินการผ่าน GSB PromptPay มีผู้ลงทะเบียน 2.75 ล้านราย สร้างจุดรับชําระเงินทั่วประเทศกว่า 195,000 จุด ขณะที่มีผู้ใช้บริการ Mobile Banking และ Internet Banking แล้วกว่า 5.4 ล้านราย มีผู้ถือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตรเดบิตและบัตรเครดิต) กว่า 6.6 ล้านราย พร้อมกับส่งเสริมการใช้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ช่องทางบริการอื่นๆ ตลอดจนส่งเสริมการออมที่ให้ความสะดวกและรวดเร็ว ผ่านช่องทาง โครงการ “เด็กดี ออมฟรี ที่ตู้เติมเงินทั่วไทย” และ “เด็กดีออมฟรี 24 ชั่วโมง” ฝากเงินผ่านร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น โดย 2 ช่องทางนี้มีจํานวนรวมกว่า 224,000 จุด ส่งผลให้มีผู้ใช้ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์กับธนาคารออมสินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 57% เมื่อปี 2558 เพิ่มเป็น 80% ในปัจจุบัน สําหรับในด้านการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสินได้ยกระดับประชาชนผู้มีรายได้น้อยหลุดพ้นจากความยากจนอย่างยั่งยืนด้วยกลไก 3 สร้าง คือ สร้างความรู้/สร้างอาชีพ ด้วยการสนับสนุนเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพกว่า 10,000 ล้านบาท ผ่านสินเชื่อสตรีทฟู้ด สินเชื่อโฮมสเตย์ สินเชื่อผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไชส์ และสินเชื่อวินมอเตอร์ไซค์ รวมแล้วกว่า 100,000 ราย พัฒนาความรู้และอาชีพร่วมกับมหาวิทยาลัย 69 แห่ง ผ่านโครงการออมสินยุวพัฒน์รักษ์ถิ่น และโครงการมหาวิทยาลัยประชาชน และยกระดับการท่องเที่ยวชุมชนผ่านโครงการ “GSB Smart Home Stay” กลไกที่ 2 สร้างตลาด/สร้างรายได้ ด้วยการเพิ่มจุดค้าขายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยร่วมกับกรุงเทพมหานครและเทศบาลสร้างตลาด ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน ตลาดประชารัฐออมสินทั่วถิ่นไทย และ e-Market Place “O2O Village Grocery Sponsored by GSB” ที่สนับสนุนโชห่วยชุมชนร่วมกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และ กลไกที่ 3 สร้างประวัติทางการเงิน ผ่านธุรกรรมทางการเงินด้วยการส่งเสริมร้านค้ารับชําระเงินผ่าน QR Payment ผ่านช่องทาง MyMo Pay GSB Pay และ GSB Payment Gateway กว่า 1.95 แสนจุดทั่วประเทศ ธนาคารฯ ได้ร่วมดําเนินโครงการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ภายใต้เป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยได้ปีละไม่ต่ํากว่า 300,000 ราย หรือ 1 ล้านรายภายในปี 2563 ซึ่งขณะนี้ได้พัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปแล้วกว่า 500,000 ราย จากจํานวนผู้ที่ต้องการพัฒนาจํานวน 1.47 ล้านราย โดยผู้ได้รับการพัฒนาแล้วมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จํานวน 271,638 ราย หรือคิดเป็น 54.05% มีผู้หลุดพ้นความยากจน 196,001 ราย และหลุดพ้นจากผู้มีรายได้น้อย 47,459 ราย จากผลการวิจัยพบว่า ดัชนีคุณภาพชีวิตของบุคคลฐานราก (GSB Quality of Grassroots Life Index หรือ GLI) ปี 2561 ของธนาคารออมสิน มีแนวโน้มดีขึ้นอยู่ในระดับ 0.7180 จาก 0.6285 ในปี 2559 โดยกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ลงทะเบียนกับธนาคารออมสินมีดัชนีอยู่ในระดับ 0.6385 ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวต่อไปว่า สําหรับโครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบนั้น ธนาคารสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ โดยช่วยเหลือผู้ลงทะเบียน จํานวน 519,087 ราย ธนาคารฯ ได้อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 258,725 ราย เป็นจํานวนเงิน 10,658 ล้านบาท มีผู้ลงทะเบียนไม่ประสงค์ขอรับความช่วยเหลือและไม่มาติดต่อจํานวน 234,366 ราย โดยอยู่ระหว่างพิจารณาและเข้ากระบวนการไกล่เกลี่ยฟื้นฟู จํานวน 25,996 ราย นอกจากนื้ ธนาคารมีแผนการยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยร่วมกับนิคมอุตสาหกรรม 53 แห่งทั่วประเทศ มีเป้าหมายช่วยเหลือผู้ใช้แรงงาน จํานวน 1 ล้านราย วงเงิน 55,000 ล้านบาท ด้วยแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) และการสร้างวินัยทางการเงินควบคู่กัน ภายใต้กระบวนการครบวงจรตั้งแต่แก้ไขหนี้ไปจนถึงการให้สินเชื่อผ่อนปรนเงื่อนไขผ่อนชําระ พักเงินต้น 1-3 ปี หรือจะเป็นการให้สินเชื่อเพื่อสร้างอาชีพเสริม ดอกเบี้ย 0% ในปีแรก โดยได้นําร่องจัดทํา MOU กับนิคมอุตสาหกรรมอมตะ (อมตะซิตี้) ในการสร้างและพัฒนาให้เกิดเมืองที่สมบูรณ์แบบ (Smart City) ยกระดับประชาชนและชุมชนในบริเวณนิคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย สําหรับการเป็นธนาคารเพื่อเด็กและเยาวชน ธนาคารออมสิน ได้ดําเนินการภายใต้ภารกิจส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน ซึ่งเป็นภารกิจหลักในความเป็นสถาบันเพื่อการออม ซึ่งมีทั้งผลิตภัณฑ์ โครงการ และกิจกรรม มากมายตลอดทั้งปี ทั้งที่ดําเนินการเองและดําเนินการร่วมกับพันธมิตร โดยในช่วงกว่า 4 ปีที่ผ่านมาได้ส่งเสริมการออมให้เยาวชนในยุคดิจิทัลเข้าถึงการออมที่สะดวกพร้อมทั้งมีสิ่งจูงใจนอกเหนือจาก “กระปุกออมสิน” ยังมีเว็บไซต์ GSB Generation ที่มุ่งพัฒนาการใช้ความคิด ทักษะ และความสามารถ โดยปัจจุบันมีสมาชิกถึง 1.2 ล้านราย ตลอดจนการใช้ความคิดผ่านนวัตกรรมของธนาคารโรงเรียน และพัฒนาโรงเรียนเสมือนจริงหรือ GSB virtual School Bank มีสมาชิกรวมกว่า 2.2 ล้านคน มีกิจกรรมโครงการประกวดความสามารถพิเศษผ่านโครงการต่างๆ อาทิ GSB Campus Star, GSB GEN Live Genius, รายการเกรียนอัจฉริยะ เป็นต้น ขณะที่ผลิตภัณฑ์เงินออมเฉพาะเด็ก “GSB Youth Savings” อัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อปี มีจํานวนเพิ่มขึ้นเกินกว่า 1 ล้านบัญชี ซึ่งจากกิจกรรมและผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ทําให้ลูกค้าเป้าหมายกลุ่มวัยเด็กที่จะเข้าสู่วัยนักศึกษา (อายุ 18-22 ปี) เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 41% จากปี 2557 สําหรับการเป็น ธนาคารเพื่อผู้สูงวัย เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยและลดภาระทางสังคมของกลุ่มผู้สูงอายุเป็นการเฉพาะ ด้วยบริการทางการเงินที่เหมาะกับผู้สูงวัย ทั้งเงินฝาก สินเชื่อ ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิต มีกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุให้ยังคงสามารถดําเนินชีวิตโดยมีสถานะการเงินที่มีความมั่นคงในช่วงวัย พร้อมๆ กับการสร้างรายได้/อาชีพ ส่งเสริมการออม ดูแลสุขภาพและใจ และสร้างความมั่นคงในชีวิต มีผลิตภัณฑ์เงินฝากอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ได้แก่ เงินฝากเผื่อเรียกประชารัฐผู้สูงวัย และเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษผู้สูงวัย ปัจจุบันมียอดผู้ฝากจํานวน 57,842 ราย คิดเป็นยอดเงินฝาก 27,053 ล้านบาท และมีการให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ 2 ผลิตภัณฑ์ คือ สินเชื่อ Reverse Mortgage และสินเชื่อเคหะกตัญญูดูแลบุพการี รวมทั้ง สินเชื่อประชารัฐเพื่อผู้สูงวัย มีจํานวนผู้กู้ 2,491 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 829 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังได้จัดกิจกรรมเพื่อดูแลกลุ่มผู้สุงอายุ “ออมสินขอดูแลรุ่นพี่” ขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมีผู้เข้ากิจกรรมมากมาย ด้านโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs และ Startup ธนาคารฯ มุ่งเน้นการส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมแก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่และสนับสนุนการขยายธุรกิจ SMEs นําไปสู่การพัฒนาประเทศ ตั้งแต่หากลุ่มผู้มุ่งหวังเพื่อจัดโปรแกรมอบรมและพัฒนา ไปจนถึงการให้สินเชื่อและการร่วมลงทุน โดยได้ดําเนินการส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ผ่านโครงการ GSB Innovation Club & Startup Academy พร้อมทั้งสนับสนุนการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยการประกวดผลงานด้าน Startup ผ่านโครงการ Smart Start Idea ซึ่งมีผลงานที่น่าสนใจแล้วกว่า 1,300 ผลงาน จาก 28 มหาวิทยาลัย โครงการ GSB สุดยอด SMEs Start Up ตัวจริง เปิดให้ใช้ความคิดสู่การปฏิบัติจริงและนํามาประกวด โดยดําเนินการอย่างต่อเนื่อง มีผู้เข้าร่วมประกวดกว่า 7,700 ทีม นอกจากนี้ ในการให้สินเชื่อ ธนาคารมีการอนุมัติสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs และ Start Up ไปแล้ว 47,697 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 194,375 ล้านบาท และให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (Soft Loan) รวมกว่า 28,283 ราย เป็นเงิน 225,000 ล้านบาท มีการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) โดยอนุมัติร่วมทุนแล้ว 18 ราย เป็นเงิน 448 ล้านบาท สําหรับในด้านการให้บริการกลุ่ม SMEs ธนาคารฯ ได้ขยายศูนย์ธุรกิจลูกค้า SMEs ทั่วประเทศเพิ่มจาก 18 ศูนย์เมื่อปี 2560 เป็น 82 ศูนย์ ในปี 2561 นี้ ซึ่งทําให้เกิดความคล่องตัวในการอนุมัติสินเชื่อและดูแลลูกค้ากลุ่มนี้ได้อย่างทั่วถึง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ผลักดันนโยบายรัฐด้วยแผน 8 ด้าน หลุดพ้นความยากจน ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมคุณภาพชีวิต วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562 ออมสิน ผลักดันนโยบายรัฐด้วยแผน 8 ด้าน หลุดพ้นความยากจน ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมคุณภาพชีวิต ผลการดําเนินงานของธนาคารออมสินในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ตามที่รัฐบาลกําหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่ถ่ายทอดมาเป็นแผนยุทธศาสตร์กระทรวงการคลัง และแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจสาขาสถาบันการเงิน นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผย ผลการดําเนินงานของธนาคารออมสินในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ตามที่รัฐบาลได้กําหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่ถ่ายทอดมาเป็นแผนยุทธศาสตร์กระทรวงการคลัง และแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจสาขาสถาบันการเงิน โดยมีแผนงานโครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาตร์ดังกล่าว 8 ด้านที่สําคัญ คือ National e-Payment, ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก, พัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ, ยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มผู้ใช้แรงงาน, ธนาคารเพื่อเด็กและเยาวชน, ธนาคารเพื่อผู้สูงวัย และส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs/Startup เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ทั้งนี้ นโยบายสําคัญ National e-payment ที่รัฐบาลมุ่งให้ระบบการชําระเงินของประเทศเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ธนาคารออมสิน ได้ดําเนินการผ่าน GSB PromptPay มีผู้ลงทะเบียน 2.75 ล้านราย สร้างจุดรับชําระเงินทั่วประเทศกว่า 195,000 จุด ขณะที่มีผู้ใช้บริการ Mobile Banking และ Internet Banking แล้วกว่า 5.4 ล้านราย มีผู้ถือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตรเดบิตและบัตรเครดิต) กว่า 6.6 ล้านราย พร้อมกับส่งเสริมการใช้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ช่องทางบริการอื่นๆ ตลอดจนส่งเสริมการออมที่ให้ความสะดวกและรวดเร็ว ผ่านช่องทาง โครงการ “เด็กดี ออมฟรี ที่ตู้เติมเงินทั่วไทย” และ “เด็กดีออมฟรี 24 ชั่วโมง” ฝากเงินผ่านร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น โดย 2 ช่องทางนี้มีจํานวนรวมกว่า 224,000 จุด ส่งผลให้มีผู้ใช้ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์กับธนาคารออมสินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 57% เมื่อปี 2558 เพิ่มเป็น 80% ในปัจจุบัน สําหรับในด้านการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสินได้ยกระดับประชาชนผู้มีรายได้น้อยหลุดพ้นจากความยากจนอย่างยั่งยืนด้วยกลไก 3 สร้าง คือ สร้างความรู้/สร้างอาชีพ ด้วยการสนับสนุนเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพกว่า 10,000 ล้านบาท ผ่านสินเชื่อสตรีทฟู้ด สินเชื่อโฮมสเตย์ สินเชื่อผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไชส์ และสินเชื่อวินมอเตอร์ไซค์ รวมแล้วกว่า 100,000 ราย พัฒนาความรู้และอาชีพร่วมกับมหาวิทยาลัย 69 แห่ง ผ่านโครงการออมสินยุวพัฒน์รักษ์ถิ่น และโครงการมหาวิทยาลัยประชาชน และยกระดับการท่องเที่ยวชุมชนผ่านโครงการ “GSB Smart Home Stay” กลไกที่ 2 สร้างตลาด/สร้างรายได้ ด้วยการเพิ่มจุดค้าขายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยร่วมกับกรุงเทพมหานครและเทศบาลสร้างตลาด ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน ตลาดประชารัฐออมสินทั่วถิ่นไทย และ e-Market Place “O2O Village Grocery Sponsored by GSB” ที่สนับสนุนโชห่วยชุมชนร่วมกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และ กลไกที่ 3 สร้างประวัติทางการเงิน ผ่านธุรกรรมทางการเงินด้วยการส่งเสริมร้านค้ารับชําระเงินผ่าน QR Payment ผ่านช่องทาง MyMo Pay GSB Pay และ GSB Payment Gateway กว่า 1.95 แสนจุดทั่วประเทศ ธนาคารฯ ได้ร่วมดําเนินโครงการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ภายใต้เป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยได้ปีละไม่ต่ํากว่า 300,000 ราย หรือ 1 ล้านรายภายในปี 2563 ซึ่งขณะนี้ได้พัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปแล้วกว่า 500,000 ราย จากจํานวนผู้ที่ต้องการพัฒนาจํานวน 1.47 ล้านราย โดยผู้ได้รับการพัฒนาแล้วมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จํานวน 271,638 ราย หรือคิดเป็น 54.05% มีผู้หลุดพ้นความยากจน 196,001 ราย และหลุดพ้นจากผู้มีรายได้น้อย 47,459 ราย จากผลการวิจัยพบว่า ดัชนีคุณภาพชีวิตของบุคคลฐานราก (GSB Quality of Grassroots Life Index หรือ GLI) ปี 2561 ของธนาคารออมสิน มีแนวโน้มดีขึ้นอยู่ในระดับ 0.7180 จาก 0.6285 ในปี 2559 โดยกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ลงทะเบียนกับธนาคารออมสินมีดัชนีอยู่ในระดับ 0.6385 ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวต่อไปว่า สําหรับโครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบนั้น ธนาคารสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ โดยช่วยเหลือผู้ลงทะเบียน จํานวน 519,087 ราย ธนาคารฯ ได้อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 258,725 ราย เป็นจํานวนเงิน 10,658 ล้านบาท มีผู้ลงทะเบียนไม่ประสงค์ขอรับความช่วยเหลือและไม่มาติดต่อจํานวน 234,366 ราย โดยอยู่ระหว่างพิจารณาและเข้ากระบวนการไกล่เกลี่ยฟื้นฟู จํานวน 25,996 ราย นอกจากนื้ ธนาคารมีแผนการยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยร่วมกับนิคมอุตสาหกรรม 53 แห่งทั่วประเทศ มีเป้าหมายช่วยเหลือผู้ใช้แรงงาน จํานวน 1 ล้านราย วงเงิน 55,000 ล้านบาท ด้วยแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) และการสร้างวินัยทางการเงินควบคู่กัน ภายใต้กระบวนการครบวงจรตั้งแต่แก้ไขหนี้ไปจนถึงการให้สินเชื่อผ่อนปรนเงื่อนไขผ่อนชําระ พักเงินต้น 1-3 ปี หรือจะเป็นการให้สินเชื่อเพื่อสร้างอาชีพเสริม ดอกเบี้ย 0% ในปีแรก โดยได้นําร่องจัดทํา MOU กับนิคมอุตสาหกรรมอมตะ (อมตะซิตี้) ในการสร้างและพัฒนาให้เกิดเมืองที่สมบูรณ์แบบ (Smart City) ยกระดับประชาชนและชุมชนในบริเวณนิคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย สําหรับการเป็นธนาคารเพื่อเด็กและเยาวชน ธนาคารออมสิน ได้ดําเนินการภายใต้ภารกิจส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน ซึ่งเป็นภารกิจหลักในความเป็นสถาบันเพื่อการออม ซึ่งมีทั้งผลิตภัณฑ์ โครงการ และกิจกรรม มากมายตลอดทั้งปี ทั้งที่ดําเนินการเองและดําเนินการร่วมกับพันธมิตร โดยในช่วงกว่า 4 ปีที่ผ่านมาได้ส่งเสริมการออมให้เยาวชนในยุคดิจิทัลเข้าถึงการออมที่สะดวกพร้อมทั้งมีสิ่งจูงใจนอกเหนือจาก “กระปุกออมสิน” ยังมีเว็บไซต์ GSB Generation ที่มุ่งพัฒนาการใช้ความคิด ทักษะ และความสามารถ โดยปัจจุบันมีสมาชิกถึง 1.2 ล้านราย ตลอดจนการใช้ความคิดผ่านนวัตกรรมของธนาคารโรงเรียน และพัฒนาโรงเรียนเสมือนจริงหรือ GSB virtual School Bank มีสมาชิกรวมกว่า 2.2 ล้านคน มีกิจกรรมโครงการประกวดความสามารถพิเศษผ่านโครงการต่างๆ อาทิ GSB Campus Star, GSB GEN Live Genius, รายการเกรียนอัจฉริยะ เป็นต้น ขณะที่ผลิตภัณฑ์เงินออมเฉพาะเด็ก “GSB Youth Savings” อัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อปี มีจํานวนเพิ่มขึ้นเกินกว่า 1 ล้านบัญชี ซึ่งจากกิจกรรมและผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ทําให้ลูกค้าเป้าหมายกลุ่มวัยเด็กที่จะเข้าสู่วัยนักศึกษา (อายุ 18-22 ปี) เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 41% จากปี 2557 สําหรับการเป็น ธนาคารเพื่อผู้สูงวัย เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยและลดภาระทางสังคมของกลุ่มผู้สูงอายุเป็นการเฉพาะ ด้วยบริการทางการเงินที่เหมาะกับผู้สูงวัย ทั้งเงินฝาก สินเชื่อ ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิต มีกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุให้ยังคงสามารถดําเนินชีวิตโดยมีสถานะการเงินที่มีความมั่นคงในช่วงวัย พร้อมๆ กับการสร้างรายได้/อาชีพ ส่งเสริมการออม ดูแลสุขภาพและใจ และสร้างความมั่นคงในชีวิต มีผลิตภัณฑ์เงินฝากอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ได้แก่ เงินฝากเผื่อเรียกประชารัฐผู้สูงวัย และเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษผู้สูงวัย ปัจจุบันมียอดผู้ฝากจํานวน 57,842 ราย คิดเป็นยอดเงินฝาก 27,053 ล้านบาท และมีการให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ 2 ผลิตภัณฑ์ คือ สินเชื่อ Reverse Mortgage และสินเชื่อเคหะกตัญญูดูแลบุพการี รวมทั้ง สินเชื่อประชารัฐเพื่อผู้สูงวัย มีจํานวนผู้กู้ 2,491 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 829 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังได้จัดกิจกรรมเพื่อดูแลกลุ่มผู้สุงอายุ “ออมสินขอดูแลรุ่นพี่” ขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมีผู้เข้ากิจกรรมมากมาย ด้านโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs และ Startup ธนาคารฯ มุ่งเน้นการส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมแก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่และสนับสนุนการขยายธุรกิจ SMEs นําไปสู่การพัฒนาประเทศ ตั้งแต่หากลุ่มผู้มุ่งหวังเพื่อจัดโปรแกรมอบรมและพัฒนา ไปจนถึงการให้สินเชื่อและการร่วมลงทุน โดยได้ดําเนินการส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ผ่านโครงการ GSB Innovation Club & Startup Academy พร้อมทั้งสนับสนุนการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยการประกวดผลงานด้าน Startup ผ่านโครงการ Smart Start Idea ซึ่งมีผลงานที่น่าสนใจแล้วกว่า 1,300 ผลงาน จาก 28 มหาวิทยาลัย โครงการ GSB สุดยอด SMEs Start Up ตัวจริง เปิดให้ใช้ความคิดสู่การปฏิบัติจริงและนํามาประกวด โดยดําเนินการอย่างต่อเนื่อง มีผู้เข้าร่วมประกวดกว่า 7,700 ทีม นอกจากนี้ ในการให้สินเชื่อ ธนาคารมีการอนุมัติสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs และ Start Up ไปแล้ว 47,697 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 194,375 ล้านบาท และให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (Soft Loan) รวมกว่า 28,283 ราย เป็นเงิน 225,000 ล้านบาท มีการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) โดยอนุมัติร่วมทุนแล้ว 18 ราย เป็นเงิน 448 ล้านบาท สําหรับในด้านการให้บริการกลุ่ม SMEs ธนาคารฯ ได้ขยายศูนย์ธุรกิจลูกค้า SMEs ทั่วประเทศเพิ่มจาก 18 ศูนย์เมื่อปี 2560 เป็น 82 ศูนย์ ในปี 2561 นี้ ซึ่งทําให้เกิดความคล่องตัวในการอนุมัติสินเชื่อและดูแลลูกค้ากลุ่มนี้ได้อย่างทั่วถึง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19410
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ไทย - มาเลเซีย พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ
วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2562 ​ไทย - มาเลเซีย พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ ​ไทย - มาเลเซีย พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ วันนี้ (24 มกราคม 2562) เวลา 15.30 น. ดาโตะ เซอรี ดร.วัน อาซีซะฮ์ บินติ ดร.วัน อิซมาอิล (Dato’ Seri Dr. Wan Azizah binti Dr. Wan Ismail) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสตรี ครอบครัว และชุมชนมาเลเซีย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรองนายกรัฐมนตรี โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียฯ พร้อมแสดงความยินดีที่ท่านได้เข้ามาดํารงตําแหน่งนี้และเป็นรองนายกรัฐมนตรีสตรีคนแรกของมาเลเซีย เชื่อมั่นว่ารองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียฯ จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือไทย - มาเลเซีย ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนความร่วมมือระหว่างกันตลอดมา หวังว่าทั้งสองประเทศจะสามารถขับเคลื่อนความสัมพันธ์ให้มีพัฒนาการคืบหน้าต่อไป ทั้งสองฝ่ายเน้นย้ําถึงความสําคัญของประเด็นทางสังคม เห็นพ้องการส่งเสริมสถานภาพสตรีและความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียฯ ชื่นชมการทํางานของรัฐบาลไทยในประเด็นดังกล่าว เห็นได้จากการสตรีในสังคมไทยมีบทบาทมากขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เยาวชน และสังคมผู้สูงอายุ ก็เป็นประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสนใจอย่างมาก โดยรองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนโยบายด้านการพัฒนาและเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยผู้สูงอายุ โดยมุ่งเน้นให้คนไทยมีความเข้มแข็งสมบูรณ์ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญาเหมาะสมกับวัย ตลอดช่วงชีวิต รวมถึงส่งเสริมโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของคนทุกกลุ่มวัยให้พร้อมสําหรับวิถีชีวิตในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียฯ เน้นย้ําว่า ประเด็นเหล่านี้เป็นปัญหาสําคัญที่ประเทศสมาชิกอาเซียนกําลังเผชิญอยู่ ประเทศสมาชิกควรเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีย้ําเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยที่จะทํางานร่วมกับรัฐบาลมาเลเซียอย่างใกล้ชิด ยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือไทย - มาเลเซีย ในทุกมิติ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศรวมถึงภูมิภาคอาเซียนด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ไทย - มาเลเซีย พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2562 ​ไทย - มาเลเซีย พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ ​ไทย - มาเลเซีย พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ วันนี้ (24 มกราคม 2562) เวลา 15.30 น. ดาโตะ เซอรี ดร.วัน อาซีซะฮ์ บินติ ดร.วัน อิซมาอิล (Dato’ Seri Dr. Wan Azizah binti Dr. Wan Ismail) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสตรี ครอบครัว และชุมชนมาเลเซีย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรองนายกรัฐมนตรี โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียฯ พร้อมแสดงความยินดีที่ท่านได้เข้ามาดํารงตําแหน่งนี้และเป็นรองนายกรัฐมนตรีสตรีคนแรกของมาเลเซีย เชื่อมั่นว่ารองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียฯ จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือไทย - มาเลเซีย ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนความร่วมมือระหว่างกันตลอดมา หวังว่าทั้งสองประเทศจะสามารถขับเคลื่อนความสัมพันธ์ให้มีพัฒนาการคืบหน้าต่อไป ทั้งสองฝ่ายเน้นย้ําถึงความสําคัญของประเด็นทางสังคม เห็นพ้องการส่งเสริมสถานภาพสตรีและความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียฯ ชื่นชมการทํางานของรัฐบาลไทยในประเด็นดังกล่าว เห็นได้จากการสตรีในสังคมไทยมีบทบาทมากขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เยาวชน และสังคมผู้สูงอายุ ก็เป็นประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสนใจอย่างมาก โดยรองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนโยบายด้านการพัฒนาและเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยผู้สูงอายุ โดยมุ่งเน้นให้คนไทยมีความเข้มแข็งสมบูรณ์ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญาเหมาะสมกับวัย ตลอดช่วงชีวิต รวมถึงส่งเสริมโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของคนทุกกลุ่มวัยให้พร้อมสําหรับวิถีชีวิตในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียฯ เน้นย้ําว่า ประเด็นเหล่านี้เป็นปัญหาสําคัญที่ประเทศสมาชิกอาเซียนกําลังเผชิญอยู่ ประเทศสมาชิกควรเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีย้ําเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยที่จะทํางานร่วมกับรัฐบาลมาเลเซียอย่างใกล้ชิด ยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือไทย - มาเลเซีย ในทุกมิติ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศรวมถึงภูมิภาคอาเซียนด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18345
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ ร่วมงาน Expo จีน นำผู้ประกอบการจัดแสดงสินค้า พร้อมนำสินค้าเอสเอ็มอีขึ้นห้างออนไลน์ใหญ่ คาดการณ์ยอดสั่งซื้อรวมกัน 4,200 ล้านบาท
วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2562 จุรินทร์ ร่วมงาน Expo จีน นําผู้ประกอบการจัดแสดงสินค้า พร้อมนําสินค้าเอสเอ็มอีขึ้นห้างออนไลน์ใหญ่ คาดการณ์ยอดสั่งซื้อรวมกัน 4,200 ล้านบาท นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และ คณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ เยือนนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในระหว่างวันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2562 เพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดงาน CIIE 2019 หรือ China International Import Expo 2019 ตามคําเชิญของทางการประเทศจีน โดยกําหนดการนายจุรินทร์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนประเทศไทยในนามคณะผู้แทนนานาชาติร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิด CIIE 2019 โดยมีประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง เป็นประธานในพิธี นายจุรินทร์ เปิดเผยว่า งานนี้เพื่อส่งเสริมการนําเข้าสินค้าตาม นโยบายเปิดกว้างทางเศรษฐกิจของจีน ผลการจัดงานปีแรกงานนี้ของประเทศจีนนั้นมีการจัดแสดงสินค้า 3,617 ราย บนพื้นที่จัดงาน 2.7 แสนตารางเมตร ผู้เข้าชมงานกว่า 8 แสนคน ยอดขาย 5,783 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ1.73 แสนล้านบาท ในส่วนของผลการเข้าร่วมงานนี้ในปีที่ผ่านมาของไทยเรามีการออกบูธ Exhibitor 63 ราย ยอดการซื้อขาย 64 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 1,921 ล้านบาท และปีนี้ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประสานงานร่วมจัดแสดงสินค้าเช่นกัน กําหนดการจากนั้นจะเข้าเยี่ยมชมซูเปอร์มาเก็ตเหอหม่า Hema Fresh ที่ เป็นซูเปอร์มาเก็ตซึ่งได้รับเงินลงทุนจากอาลีบาบาเพื่อทดลองการเข้าสู่ตลาดค้าปลีก จุดเด่นของเหอหม่าคือ การให้บริการทั้งรูปแบบ Offline และ Online เน้นจําหน่ายสินค้าอาหารสด ซึ่งสินค้าสดคิดเป็นสัดส่วนราว 20% ของสินค้าทั้งหมด การจัดส่งสินค้าภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ระบบบริหารจัดการทั้งหมดเป็นระบบดิจิทัล สินค้ากว่า 20,000 ชนิด จากกว่า 2,000 แบรนด์ มีระบบ Traceability สืบค้นหาสินค้าได้ละเอียด ประเด็นการเข้าเยี่ยมชมก็เพื่อการผลักดันให้สินค้าไทยเข้าไปวางจําหน่ายในห้างฯให้มากขึ้นโดยเชิญฝ่ายจัดซื้อมาร่วมงานแสดงสินค้าในไทยของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (THAIFEX STYLE) หรืองานจับคู่เจรจาการค้า จัดกิจกรรมส่งเสริมการจําหน่ายสินค้าไทยทั้ง Offline และ Online ศึกษาแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นตัวขับเคลื่อน ในการจัดวางกลยุทธ์ธุรกิจค้าปลีก อาทิ การเลือกสถานที่ในการจัดตั้ง ร้านค้าปลีก ออฟไลน์ของ Hema กับจํานวนผู้ซื้อสินค้าออนไลน์การ จัดการคลังสินค้าเพื่อลดต้นทุนและรักษาความสดใหม่ของคุณภาพ สินค้า เป็นต้น ซึ่งจะเป็นโอกาสอย่างมากของสินค้าไทย รายงานข่าวกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า สําหรับวันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2562 รองนายกฯ และคณะ เข้าร่วมหารือกับผู้บริหารระดับสูง Alibaba โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ และอาลีบาบา Letter of Intend เพื่อพัฒนา SMEs ไทยให้เข้าสู่แพลตฟอร์ม การค้าออนไลน์ระดับนานาชาติ MOU ข้อตกลง เพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีไทย และบุคลากรด้านดิจิทัล การตั้ง TOPTHAI Flagship Store บน Tmall Global จําหน่ายสินค้าแฟชั่น Personal Care อาหาร ซึ่งทราบว่าเป้าหมายผู้ประกอบการ ไทยที่เข้าร่วม 100 บริษัท คาดการณ์มูลค่าสั่งซื้อ 1,200 ล้านบาท ใน 3 ปี ส่วนประเด็นหารือ คือ ร่วมมือการส่งเสริมการตลาดและส่งออกสินค้าเกษตร ได้แก่ ยางพารา มันสําปะหลัง ปาล์มน้ํามัน ข้าว ผลไม้ และสินค้าศักยภาพ อื่นๆ ของไทย ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ การจัดกิจกรรมมหกรรมออนไลน์วันประเทศไทย(Thailand Day) เพื่อส่งเสริมภาพ ลักษณ์ กิจกรรมทางการตลาด และการท่องเที่ยวของ ประเทศไปสู่ผู้บริโภคชาวจีน ถ่ายทอดเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่และความรู้ที่สามารถช่วย อํานวยความสะดวกในการทําธุรกิจและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร จากนั้น รองนายกฯ และคณะจะเข้าเยี่ยมชมงาน CIIE 2019 โดยประเทศไทยเข้าร่วม 2 ส่วน คือ Thailand Pavilion ที่เป็น 1 ใน 15 ประเทศ Country of Honor พื้นที่ 256 ตารางเมตร จัดแสดงศักยภาพด้านการค้าการลงทุนการท่องเที่ยวนวัตกรรม และ Enterprise & Business Exhibition มี ผู้ประกอบการไทยเข้าร่วม 46 รายโดยมีหน่วยงาน GIT การท่องเที่ยว และ การยาง ฯ เข้าร่วมด้วยโดยการคาดการณ์ยอดการซื้อขายของผู้ประกอบการ ไทยในงาน CIIE 2019 เท่ากับ 2,000 ล้านบาท ดังนั้นสรุปยอดรวมรวมประมาณการสั่งซื้อสินค้าในการเดินทางครั้งนี้ ร่วม 4,200 ล้านบาท
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ ร่วมงาน Expo จีน นำผู้ประกอบการจัดแสดงสินค้า พร้อมนำสินค้าเอสเอ็มอีขึ้นห้างออนไลน์ใหญ่ คาดการณ์ยอดสั่งซื้อรวมกัน 4,200 ล้านบาท วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2562 จุรินทร์ ร่วมงาน Expo จีน นําผู้ประกอบการจัดแสดงสินค้า พร้อมนําสินค้าเอสเอ็มอีขึ้นห้างออนไลน์ใหญ่ คาดการณ์ยอดสั่งซื้อรวมกัน 4,200 ล้านบาท นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และ คณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ เยือนนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในระหว่างวันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2562 เพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดงาน CIIE 2019 หรือ China International Import Expo 2019 ตามคําเชิญของทางการประเทศจีน โดยกําหนดการนายจุรินทร์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนประเทศไทยในนามคณะผู้แทนนานาชาติร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิด CIIE 2019 โดยมีประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง เป็นประธานในพิธี นายจุรินทร์ เปิดเผยว่า งานนี้เพื่อส่งเสริมการนําเข้าสินค้าตาม นโยบายเปิดกว้างทางเศรษฐกิจของจีน ผลการจัดงานปีแรกงานนี้ของประเทศจีนนั้นมีการจัดแสดงสินค้า 3,617 ราย บนพื้นที่จัดงาน 2.7 แสนตารางเมตร ผู้เข้าชมงานกว่า 8 แสนคน ยอดขาย 5,783 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ1.73 แสนล้านบาท ในส่วนของผลการเข้าร่วมงานนี้ในปีที่ผ่านมาของไทยเรามีการออกบูธ Exhibitor 63 ราย ยอดการซื้อขาย 64 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 1,921 ล้านบาท และปีนี้ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประสานงานร่วมจัดแสดงสินค้าเช่นกัน กําหนดการจากนั้นจะเข้าเยี่ยมชมซูเปอร์มาเก็ตเหอหม่า Hema Fresh ที่ เป็นซูเปอร์มาเก็ตซึ่งได้รับเงินลงทุนจากอาลีบาบาเพื่อทดลองการเข้าสู่ตลาดค้าปลีก จุดเด่นของเหอหม่าคือ การให้บริการทั้งรูปแบบ Offline และ Online เน้นจําหน่ายสินค้าอาหารสด ซึ่งสินค้าสดคิดเป็นสัดส่วนราว 20% ของสินค้าทั้งหมด การจัดส่งสินค้าภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ระบบบริหารจัดการทั้งหมดเป็นระบบดิจิทัล สินค้ากว่า 20,000 ชนิด จากกว่า 2,000 แบรนด์ มีระบบ Traceability สืบค้นหาสินค้าได้ละเอียด ประเด็นการเข้าเยี่ยมชมก็เพื่อการผลักดันให้สินค้าไทยเข้าไปวางจําหน่ายในห้างฯให้มากขึ้นโดยเชิญฝ่ายจัดซื้อมาร่วมงานแสดงสินค้าในไทยของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (THAIFEX STYLE) หรืองานจับคู่เจรจาการค้า จัดกิจกรรมส่งเสริมการจําหน่ายสินค้าไทยทั้ง Offline และ Online ศึกษาแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นตัวขับเคลื่อน ในการจัดวางกลยุทธ์ธุรกิจค้าปลีก อาทิ การเลือกสถานที่ในการจัดตั้ง ร้านค้าปลีก ออฟไลน์ของ Hema กับจํานวนผู้ซื้อสินค้าออนไลน์การ จัดการคลังสินค้าเพื่อลดต้นทุนและรักษาความสดใหม่ของคุณภาพ สินค้า เป็นต้น ซึ่งจะเป็นโอกาสอย่างมากของสินค้าไทย รายงานข่าวกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า สําหรับวันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2562 รองนายกฯ และคณะ เข้าร่วมหารือกับผู้บริหารระดับสูง Alibaba โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ และอาลีบาบา Letter of Intend เพื่อพัฒนา SMEs ไทยให้เข้าสู่แพลตฟอร์ม การค้าออนไลน์ระดับนานาชาติ MOU ข้อตกลง เพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีไทย และบุคลากรด้านดิจิทัล การตั้ง TOPTHAI Flagship Store บน Tmall Global จําหน่ายสินค้าแฟชั่น Personal Care อาหาร ซึ่งทราบว่าเป้าหมายผู้ประกอบการ ไทยที่เข้าร่วม 100 บริษัท คาดการณ์มูลค่าสั่งซื้อ 1,200 ล้านบาท ใน 3 ปี ส่วนประเด็นหารือ คือ ร่วมมือการส่งเสริมการตลาดและส่งออกสินค้าเกษตร ได้แก่ ยางพารา มันสําปะหลัง ปาล์มน้ํามัน ข้าว ผลไม้ และสินค้าศักยภาพ อื่นๆ ของไทย ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ การจัดกิจกรรมมหกรรมออนไลน์วันประเทศไทย(Thailand Day) เพื่อส่งเสริมภาพ ลักษณ์ กิจกรรมทางการตลาด และการท่องเที่ยวของ ประเทศไปสู่ผู้บริโภคชาวจีน ถ่ายทอดเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่และความรู้ที่สามารถช่วย อํานวยความสะดวกในการทําธุรกิจและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร จากนั้น รองนายกฯ และคณะจะเข้าเยี่ยมชมงาน CIIE 2019 โดยประเทศไทยเข้าร่วม 2 ส่วน คือ Thailand Pavilion ที่เป็น 1 ใน 15 ประเทศ Country of Honor พื้นที่ 256 ตารางเมตร จัดแสดงศักยภาพด้านการค้าการลงทุนการท่องเที่ยวนวัตกรรม และ Enterprise & Business Exhibition มี ผู้ประกอบการไทยเข้าร่วม 46 รายโดยมีหน่วยงาน GIT การท่องเที่ยว และ การยาง ฯ เข้าร่วมด้วยโดยการคาดการณ์ยอดการซื้อขายของผู้ประกอบการ ไทยในงาน CIIE 2019 เท่ากับ 2,000 ล้านบาท ดังนั้นสรุปยอดรวมรวมประมาณการสั่งซื้อสินค้าในการเดินทางครั้งนี้ ร่วม 4,200 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24355
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 กุมภาพันธ์ 2562
วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 กุมภาพันธ์ 2562 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 กุมภาพันธ์ 2562 วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 กุมภาพันธ์ 2562 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18590
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (7 พฤศจิกายน 2561) เวลา 10.30 น. ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน นายพีเทอร์ ดัตตัน (The Honourable Peter Dutton MP) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับนายดัตตันสู่ประเทศไทย หวังว่าการเดินทางเยือนในครั้งนี้จะประสบผลสําเร็จและเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย โดยไทยมุ่งมั่นที่จะรักษาและส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและความเป็นหุ้นส่วนที่สําคัญระหว่างกัน ไทยพร้อมร่วมมือกับออสเตรเลียเพื่อกระชับความสัมพันธ์อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในด้านการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ การต่อต้านการก่อการร้าย แนวคิดสุดโต่งหัวรุนแรง และความมั่นคงไซเบอร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสําคัญอย่างมาก และอยู่ภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย นอกจากนี้ ในด้านการบรรเทาสาธารณภัย การกู้ภัยและค้นหาซึ่งออสเตรเลียมีความเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงระดับโลก ไทยจึงหวังที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้จากออสเตรเลีย โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวขอบคุณออสเตรเลียที่ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาปฏิบัติภารกิจกู้ภัยที่ถ้ําหลวงด้วย ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลียกล่าวขอบคุณที่ให้เข้าพบในครั้งนี้ โดยออสเตรเลียรู้สึกเป็นเกียรติและพร้อมกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความมั่นคงกับไทยอย่างเป็นรูปธรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (7 พฤศจิกายน 2561) เวลา 10.30 น. ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน นายพีเทอร์ ดัตตัน (The Honourable Peter Dutton MP) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับนายดัตตันสู่ประเทศไทย หวังว่าการเดินทางเยือนในครั้งนี้จะประสบผลสําเร็จและเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย โดยไทยมุ่งมั่นที่จะรักษาและส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและความเป็นหุ้นส่วนที่สําคัญระหว่างกัน ไทยพร้อมร่วมมือกับออสเตรเลียเพื่อกระชับความสัมพันธ์อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในด้านการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ การต่อต้านการก่อการร้าย แนวคิดสุดโต่งหัวรุนแรง และความมั่นคงไซเบอร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสําคัญอย่างมาก และอยู่ภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย นอกจากนี้ ในด้านการบรรเทาสาธารณภัย การกู้ภัยและค้นหาซึ่งออสเตรเลียมีความเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงระดับโลก ไทยจึงหวังที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้จากออสเตรเลีย โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวขอบคุณออสเตรเลียที่ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาปฏิบัติภารกิจกู้ภัยที่ถ้ําหลวงด้วย ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลียกล่าวขอบคุณที่ให้เข้าพบในครั้งนี้ โดยออสเตรเลียรู้สึกเป็นเกียรติและพร้อมกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความมั่นคงกับไทยอย่างเป็นรูปธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16615
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทูตฯ เมียนมา หารือ‘หม่อมเต่า’กรณีปิดศูนย์เรียนรู้เด็กเมียนมา จ.ระนอง พร้อมขอลดค่าธรรมเนียมวีซ่าของคนต่างด้าวที่ขออยู่ต่อเป็นการชั่วคราว
วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562 ทูตฯ เมียนมา หารือ‘หม่อมเต่า’กรณีปิดศูนย์เรียนรู้เด็กเมียนมา จ.ระนอง พร้อมขอลดค่าธรรมเนียมวีซ่าของคนต่างด้าวที่ขออยู่ต่อเป็นการชั่วคราว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทย โอกาสเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อแนะนําตัวและหารือข้อราชการด้านแรงงาน ในประเด็นการปิดศูนย์การเรียนรู้เด็กเมียนมาที่จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2562 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทย โอกาสเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อแนะนําตัวและหารือข้อราชการด้านแรงงาน ในประเด็นการปิดศูนย์การเรียนรู้เด็กเมียนมาที่จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2562 และขอให้พิจารณาปรับลดค่าธรรมเนียมวีซ่าสําหรับแรงงานต่างด้าวที่ยื่นคําร้องขออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป จากเดิม 1,900 บาท/ปี เป็น 500 บาท/2 ปี เพื่อประโยชน์ของนายจ้างและแรงงานต่างด้าว เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2562 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายมโย มิยิน ตาน (H.E. U Myo Myint Than) เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อแนะนําตัวและหารือข้อราชการด้านแรงงาน ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยเอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทยได้หารือในประเด็นการปิดศูนย์การเรียนรู้เด็กเมียนมาที่จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2562 เนื่องจากตรวจสอบการทํางานของคนต่างด้าว ณ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตชายแดนไทย - เมียนมาจังหวัดระนอง พบว่า คนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทํางานในตําแหน่งครูผู้สอนจํานวน 32 คน โดยถือหนังสือผ่านแดนชั่วคราว จํานวน 31 คน และหนังสือเดินทาง 1 คน ทั้งหมดได้รับการตรวจลงตราถูกต้อง แต่ไม่มีใบอนุญาตทํางาน สถานีตํารวจภูธรเมืองระนองได้ดําเนินคดีกับคนต่างด้าวทั้ง 32 คน โดยปรับเป็นเงินคนละ 5,000 บาท และส่งตัวให้สํานักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนอง ดําเนินการส่งกลับออกนอกราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2562 ทั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการจ้างครูผู้สอนได้ถูกต้องตามกฎหมาย และบรรเทาความเดือดร้อนให้กับนักเรียนชาวเมียนมาในศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตชายแดนไทย - เมียนมา จังหวัดระนอง เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทยยังได้หารือกับ รมว.แรงงาน ในประเด็นการเสนอขอให้พิจารณาปรับลดค่าธรรมเนียมวีซ่าสําหรับแรงงานต่างด้าวที่ยื่นคําร้องขออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป เป็นเวลาไม่เกิน 2 ปี จากเดิมที่กําหนดไว้ 1,900 บาท/ปี ตามที่ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าวเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2562 โดยขอให้ปรับลดลงเหลือ 500 บาท/2 ปี เพื่อประโยชน์ของนายจ้างและแรงงานต่างด้าว ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ได้รับทราบและจะมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานดําเนินการและหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการต่อไป ----------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/ 10 กันยายน 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทูตฯ เมียนมา หารือ‘หม่อมเต่า’กรณีปิดศูนย์เรียนรู้เด็กเมียนมา จ.ระนอง พร้อมขอลดค่าธรรมเนียมวีซ่าของคนต่างด้าวที่ขออยู่ต่อเป็นการชั่วคราว วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562 ทูตฯ เมียนมา หารือ‘หม่อมเต่า’กรณีปิดศูนย์เรียนรู้เด็กเมียนมา จ.ระนอง พร้อมขอลดค่าธรรมเนียมวีซ่าของคนต่างด้าวที่ขออยู่ต่อเป็นการชั่วคราว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทย โอกาสเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อแนะนําตัวและหารือข้อราชการด้านแรงงาน ในประเด็นการปิดศูนย์การเรียนรู้เด็กเมียนมาที่จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2562 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทย โอกาสเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อแนะนําตัวและหารือข้อราชการด้านแรงงาน ในประเด็นการปิดศูนย์การเรียนรู้เด็กเมียนมาที่จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2562 และขอให้พิจารณาปรับลดค่าธรรมเนียมวีซ่าสําหรับแรงงานต่างด้าวที่ยื่นคําร้องขออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป จากเดิม 1,900 บาท/ปี เป็น 500 บาท/2 ปี เพื่อประโยชน์ของนายจ้างและแรงงานต่างด้าว เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2562 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายมโย มิยิน ตาน (H.E. U Myo Myint Than) เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อแนะนําตัวและหารือข้อราชการด้านแรงงาน ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยเอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทยได้หารือในประเด็นการปิดศูนย์การเรียนรู้เด็กเมียนมาที่จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2562 เนื่องจากตรวจสอบการทํางานของคนต่างด้าว ณ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตชายแดนไทย - เมียนมาจังหวัดระนอง พบว่า คนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทํางานในตําแหน่งครูผู้สอนจํานวน 32 คน โดยถือหนังสือผ่านแดนชั่วคราว จํานวน 31 คน และหนังสือเดินทาง 1 คน ทั้งหมดได้รับการตรวจลงตราถูกต้อง แต่ไม่มีใบอนุญาตทํางาน สถานีตํารวจภูธรเมืองระนองได้ดําเนินคดีกับคนต่างด้าวทั้ง 32 คน โดยปรับเป็นเงินคนละ 5,000 บาท และส่งตัวให้สํานักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนอง ดําเนินการส่งกลับออกนอกราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2562 ทั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการจ้างครูผู้สอนได้ถูกต้องตามกฎหมาย และบรรเทาความเดือดร้อนให้กับนักเรียนชาวเมียนมาในศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตชายแดนไทย - เมียนมา จังหวัดระนอง เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทยยังได้หารือกับ รมว.แรงงาน ในประเด็นการเสนอขอให้พิจารณาปรับลดค่าธรรมเนียมวีซ่าสําหรับแรงงานต่างด้าวที่ยื่นคําร้องขออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป เป็นเวลาไม่เกิน 2 ปี จากเดิมที่กําหนดไว้ 1,900 บาท/ปี ตามที่ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าวเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2562 โดยขอให้ปรับลดลงเหลือ 500 บาท/2 ปี เพื่อประโยชน์ของนายจ้างและแรงงานต่างด้าว ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ได้รับทราบและจะมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานดําเนินการและหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการต่อไป ----------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/ 10 กันยายน 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22971
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเปรูประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในโอกาสเข้ารับหน้าที่
วันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560 เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเปรูประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในโอกาสเข้ารับหน้าที่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเปรูประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในโอกาสเข้ารับหน้าที่ วันนี้(วันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560) เวลา 13.30 น. นายเฟอร์นันโด ฆูลิโอ อันโตนิโอ กีโรส กัมโปส (H.E. Mr. Fernando Julio Antonio Quirós Campos) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเปรูประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเปรูฯ ในนามของนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทย และแสดงความขอบคุณประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู ที่ได้มีสาส์นถวายความอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสที่ขึ้นทรงราชย์ ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้กล่าวว่าประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรูได้ฝากความปรารถนาดีมายังนายกรัฐมนตรี ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ จะเป็นผู้แทนจากรัฐบาลเปรูในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยและเปรูเป็นไปอย่างราบรื่นและใกล้ชิด แม้จะเป็นประเทศที่มีความห่างไกลด้านภูมิศาสตร์ นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณเปรูที่ได้ยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) เมื่อปี 2556 พร้อมยืนยันที่จะสนับสนุนความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนกับเปรู เพื่อให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจระหว่างกันเพิ่มขึ้น โดยไทยยินดีจะเป็นประตูสู่ภูมิภาคอาเซียน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเอกอัครราชทูตกล่าวว่าเปรูก็ยินดีจะเป็นประตูสู่ภูมิภาคลาตินอเมริกาของไทยเช่นกัน นายกรัฐมนตรีแสดงความประสงค์ที่จะมีความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับเปรูเพื่อสนับสนุนการติดต่อกันของประชาชนทั้งสองประเทศ (People to People Connection) อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่าจํานวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยมีจํานวนสูง จึงประสงค์ที่จะเรียนรู้ด้านการท่องเที่ยวจากไทย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ายินดีที่จะสนับสนุนการศึกษาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริกับเปรู พร้อมขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ และภริยาที่ได้ร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศในการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาสเปนที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในตอนท้ายเอกอัครราชทูตฯ กล่าวอวยพรให้รัฐบาลไทยประสบความสําเร็จในนโยบายการปฏิรูป ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม Thailand 4.0 โดยเชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีจะปฏิรูปประเทศตาม Roadmap ที่วางไว้ได้อย่างสําเร็จ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเปรูประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในโอกาสเข้ารับหน้าที่ วันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560 เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเปรูประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในโอกาสเข้ารับหน้าที่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเปรูประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในโอกาสเข้ารับหน้าที่ วันนี้(วันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560) เวลา 13.30 น. นายเฟอร์นันโด ฆูลิโอ อันโตนิโอ กีโรส กัมโปส (H.E. Mr. Fernando Julio Antonio Quirós Campos) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเปรูประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเปรูฯ ในนามของนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทย และแสดงความขอบคุณประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู ที่ได้มีสาส์นถวายความอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสที่ขึ้นทรงราชย์ ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้กล่าวว่าประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรูได้ฝากความปรารถนาดีมายังนายกรัฐมนตรี ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ จะเป็นผู้แทนจากรัฐบาลเปรูในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยและเปรูเป็นไปอย่างราบรื่นและใกล้ชิด แม้จะเป็นประเทศที่มีความห่างไกลด้านภูมิศาสตร์ นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณเปรูที่ได้ยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) เมื่อปี 2556 พร้อมยืนยันที่จะสนับสนุนความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนกับเปรู เพื่อให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจระหว่างกันเพิ่มขึ้น โดยไทยยินดีจะเป็นประตูสู่ภูมิภาคอาเซียน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเอกอัครราชทูตกล่าวว่าเปรูก็ยินดีจะเป็นประตูสู่ภูมิภาคลาตินอเมริกาของไทยเช่นกัน นายกรัฐมนตรีแสดงความประสงค์ที่จะมีความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับเปรูเพื่อสนับสนุนการติดต่อกันของประชาชนทั้งสองประเทศ (People to People Connection) อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่าจํานวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยมีจํานวนสูง จึงประสงค์ที่จะเรียนรู้ด้านการท่องเที่ยวจากไทย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ายินดีที่จะสนับสนุนการศึกษาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริกับเปรู พร้อมขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ และภริยาที่ได้ร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศในการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาสเปนที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในตอนท้ายเอกอัครราชทูตฯ กล่าวอวยพรให้รัฐบาลไทยประสบความสําเร็จในนโยบายการปฏิรูป ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม Thailand 4.0 โดยเชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีจะปฏิรูปประเทศตาม Roadmap ที่วางไว้ได้อย่างสําเร็จ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7482
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.​ ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี​ "พลเอก​ ประวิตร" ​ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ​และการแก้ปัญหาภัยแล้งจังหวัดพิษณุโลก
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 รมว.ทส.​ ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี​ "พลเอก​ ประวิตร" ​ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ํา​และการแก้ปัญหาภัยแล้งจังหวัดพิษณุโลก พลเอก​ ประวิตร​ วงษ์สุวรรณ​ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อํานวยการกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ และคณะ​ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมติดตาม​สถานการณ์น้ําและการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง​ ตามมาตรการของกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ​ (กอนช.) โครงการเติมน้ําใต้ดิน​ พร้อมมอบนโยบายการดําเนินงาน​ รมว.ทส.​ ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี​ "พลเอก​ ประวิตร" ​ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ํา​และการแก้ปัญหาภัยแล้งจังหวัดพิษณุโลก พลเอก​ ประวิตร​ วงษ์สุวรรณ​ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อํานวยการกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ และคณะ​ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมติดตาม​สถานการณ์น้ําและการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง​ ตามมาตรการของกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ​ (กอนช.) โครงการเติมน้ําใต้ดิน​ พร้อมมอบนโยบายการดําเนินงาน​ เน้นย้ํา​ จังหวัดร่วมผู้นําท้องถิ่น​ เร่งขยายพื้นที่ทําบ่อเติมน้ําใต้ดินช่วยชาวบ้านแก้ภัยแล้ง-น้ําท่วม​ พร้อมกํากับ​ ควบคุม​การเติมน้ําใต้ดินให้เป็นไปตามหลักวิชาการ​ วันนี้ (15 กรกฎาคม 2563) เวลา 09.00 น. นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ พร้อมด้วย​ นายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ และผู้บริหารระดับสูง​ ร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการกับ​ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะ​ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ําและการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง พร้อมเยี่ยมชมการสาธิตการขุดเจาะบ่อเติมน้ําใต้ดินแบบบ่อวงคอนกรีต​ และส่งมอบคู่มือการเติมน้ําใต้ดินแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด​ รวมทั้งได้พบปะพูดคุยกับเกษตรกร​และประชาชนในพื้นที่ โดยมี​ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ําบาดาล บรรยายสรุป​ และผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก กล่าวต้อนรับ​ ณ​ องค์การบริหารส่วนตําบลหนองกุลา อําเภอบางระกํา จังหวัดพิษณุโลก นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งของประเทศไทยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นับว่าเป็นปัญหาใหญ่และส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง รัฐบาลได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการบริหารจัดการน้ําของประเทศ ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งและการขาดแคลนน้ําอุปโภคบริโภค และน้ําเพื่อการเกษตรให้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่าง​ ๆ ทั่วประเทศ แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนแล้วก็ตาม รัฐบาลก็ยังต้องคิดค้นเพื่อหาวิธีกักเก็บน้ําฝนให้ได้มากที่สุด เพื่อรองรับกับฤดูแล้งหน้าที่จะมาเยือนในปีต่อไป ดังนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ําบาดาล ได้รับมอบหมายร่วมกับสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการ ขับเคลื่อนภารกิจด้านการเติมน้ําใต้ดิน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนํารูปแบบและวิธีการเติมน้ําใต้ดินที่ถูกต้องตามหลักวิชาการไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ หลักการเติมน้ําใต้ดินเป็นการนําน้ําที่เหลือใช้ในช่วงน้ําท่วมหลากหรือจากน้ําฝนที่ตกลงมาเติมลงสู่ชั้นน้ําบาดาลด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และนํากลับมาใช้ใหม่ในช่วงเวลาที่ต้องการ เป็นการช่วยธรรมชาติฟื้นฟูชั้นน้ําบาดาล แก้ไขปัญหาการลดระดับลงของชั้นน้ําบาดาลให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ช่วยระบายน้ําและลดภาวะน้ําท่วมขัง ที่สําคัญพื้นที่ที่มีชั้นใต้ดินที่เหมาะสมจะเพิ่มความคุ้มค่าและประหยัดงบประมาณ ซึ่งปัจจุบันกรมทรัพยากรน้ําบาดาล​ มีหลักการก่อสร้างระบบเติมน้ําใต้ดิน​ 4​ ขั้นตอน​ คือ​ การคัดเลือกพื้นที่​ การคัดเลือกวิธีการเติมน้ําใต้ดิน​ การก่อสร้างระบบเติมน้ําใต้ดิน​ และการติดตามและประเมินผล​ สําหรับแผนงานโครงการเติมน้ําใต้ดินในปีงบประมาณ 2563 ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ําบาดาล อยู่ระหว่างดําเนินการมีจํานวนทั้งสิ้น 530 แห่ง ขณะนี้ดําเนินการเสร็จแล้ว จํานวน 300 แห่ง และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในเดือนสิงหาคม 2563 นี้ พลเอก​ ประวิตรฯ​ เปิดเผยว่า มีความยินดีที่ได้มาติดตามสถานการณ์น้ําและการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง​และขอบคุณพี่น้องประชาชน​ และเกษตรกร ที่มาร่วมงานฯ​ เนื่องจากพื้นที่ทุ่งบางระกํา เป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ําท่วมขังเป็นประจําทุกปี รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ําบาดาล เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดทําโครงการเติมน้ําใต้ดิน ซึ่งการเติมน้ําใต้ดินสามารถทําได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะพื้นที่ที่จะทําการเติมน้ํา ดังนั้น จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานท้องถิ่น และผู้ที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันดูแลและกําชับควบคุมการเติมน้ําใต้ดินให้ทําอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ​ รวมทั้งให้ระวังสารเจือปน​ ปุ๋ย​ สารเคมีต่างๆ​ และจะต้องทําให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะนอกจากการเติมน้ําใต้ดินแล้ว รัฐบาลยังมีความเป็นห่วงในเรื่องของการขาดแคลนน้ําทั้งด้านการอุปโภคบริโภค และการเกษตร โดยรัฐบาล จะเร่งรัดจัดหาแหล่งน้ําเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และขอฝากให้ชาวอําเภอบางระกําช่วยกันดูแลทรัพย์สินส่วนรวม และทรัพย์สินของทางราชการ​ รวมทั้งให้ความร่วมมือกับทางราชการในการขุดบ่อ​ เติมน้ําใต้ดิน และช่วยกันใช้ทรัพยากรน้ํา ไม่ว่าจะเป็นน้ําผิวดิน หรือน้ําบาดาล ต้องใช้อย่างรู้คุณค่า ใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด​ เพื่อให้ทุกคนมีน้ําอุปโภค​ บริโภค​ น้ําเพื่อการเกษตร​ ในฤดูแล้งทุกปีต่อไป หลังจากนั้น​เวลาประมาณ​ 10.00​ น.​รองนายกรัฐมนตรี​ และคณะ​ ได้เดินทางไปยัง ท่อระบายน้ําคลองแยงมุม​ ตําบลท่าช้าง​ อําเภอพรหมพิราม​ เพื่อรับฟังบรรยายสรุปการดําเนินงาน​ จากอธิบดีกรมชลประทาน​ ปล่อยพันธ์ุปลา​ และพบปะผู้นําท้องถิ่นและประชาชน​ในพื้นที่​
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.​ ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี​ "พลเอก​ ประวิตร" ​ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ​และการแก้ปัญหาภัยแล้งจังหวัดพิษณุโลก วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 รมว.ทส.​ ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี​ "พลเอก​ ประวิตร" ​ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ํา​และการแก้ปัญหาภัยแล้งจังหวัดพิษณุโลก พลเอก​ ประวิตร​ วงษ์สุวรรณ​ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อํานวยการกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ และคณะ​ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมติดตาม​สถานการณ์น้ําและการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง​ ตามมาตรการของกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ​ (กอนช.) โครงการเติมน้ําใต้ดิน​ พร้อมมอบนโยบายการดําเนินงาน​ รมว.ทส.​ ร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรี​ "พลเอก​ ประวิตร" ​ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ํา​และการแก้ปัญหาภัยแล้งจังหวัดพิษณุโลก พลเอก​ ประวิตร​ วงษ์สุวรรณ​ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อํานวยการกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ และคณะ​ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมติดตาม​สถานการณ์น้ําและการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง​ ตามมาตรการของกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ​ (กอนช.) โครงการเติมน้ําใต้ดิน​ พร้อมมอบนโยบายการดําเนินงาน​ เน้นย้ํา​ จังหวัดร่วมผู้นําท้องถิ่น​ เร่งขยายพื้นที่ทําบ่อเติมน้ําใต้ดินช่วยชาวบ้านแก้ภัยแล้ง-น้ําท่วม​ พร้อมกํากับ​ ควบคุม​การเติมน้ําใต้ดินให้เป็นไปตามหลักวิชาการ​ วันนี้ (15 กรกฎาคม 2563) เวลา 09.00 น. นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ พร้อมด้วย​ นายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ และผู้บริหารระดับสูง​ ร่วมลงพื้นที่ตรวจราชการกับ​ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะ​ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ําและการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง พร้อมเยี่ยมชมการสาธิตการขุดเจาะบ่อเติมน้ําใต้ดินแบบบ่อวงคอนกรีต​ และส่งมอบคู่มือการเติมน้ําใต้ดินแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด​ รวมทั้งได้พบปะพูดคุยกับเกษตรกร​และประชาชนในพื้นที่ โดยมี​ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ําบาดาล บรรยายสรุป​ และผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก กล่าวต้อนรับ​ ณ​ องค์การบริหารส่วนตําบลหนองกุลา อําเภอบางระกํา จังหวัดพิษณุโลก นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งของประเทศไทยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นับว่าเป็นปัญหาใหญ่และส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง รัฐบาลได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการบริหารจัดการน้ําของประเทศ ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งและการขาดแคลนน้ําอุปโภคบริโภค และน้ําเพื่อการเกษตรให้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่าง​ ๆ ทั่วประเทศ แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูฝนแล้วก็ตาม รัฐบาลก็ยังต้องคิดค้นเพื่อหาวิธีกักเก็บน้ําฝนให้ได้มากที่สุด เพื่อรองรับกับฤดูแล้งหน้าที่จะมาเยือนในปีต่อไป ดังนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ําบาดาล ได้รับมอบหมายร่วมกับสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการ ขับเคลื่อนภารกิจด้านการเติมน้ําใต้ดิน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนํารูปแบบและวิธีการเติมน้ําใต้ดินที่ถูกต้องตามหลักวิชาการไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ หลักการเติมน้ําใต้ดินเป็นการนําน้ําที่เหลือใช้ในช่วงน้ําท่วมหลากหรือจากน้ําฝนที่ตกลงมาเติมลงสู่ชั้นน้ําบาดาลด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และนํากลับมาใช้ใหม่ในช่วงเวลาที่ต้องการ เป็นการช่วยธรรมชาติฟื้นฟูชั้นน้ําบาดาล แก้ไขปัญหาการลดระดับลงของชั้นน้ําบาดาลให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ช่วยระบายน้ําและลดภาวะน้ําท่วมขัง ที่สําคัญพื้นที่ที่มีชั้นใต้ดินที่เหมาะสมจะเพิ่มความคุ้มค่าและประหยัดงบประมาณ ซึ่งปัจจุบันกรมทรัพยากรน้ําบาดาล​ มีหลักการก่อสร้างระบบเติมน้ําใต้ดิน​ 4​ ขั้นตอน​ คือ​ การคัดเลือกพื้นที่​ การคัดเลือกวิธีการเติมน้ําใต้ดิน​ การก่อสร้างระบบเติมน้ําใต้ดิน​ และการติดตามและประเมินผล​ สําหรับแผนงานโครงการเติมน้ําใต้ดินในปีงบประมาณ 2563 ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ําบาดาล อยู่ระหว่างดําเนินการมีจํานวนทั้งสิ้น 530 แห่ง ขณะนี้ดําเนินการเสร็จแล้ว จํานวน 300 แห่ง และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในเดือนสิงหาคม 2563 นี้ พลเอก​ ประวิตรฯ​ เปิดเผยว่า มีความยินดีที่ได้มาติดตามสถานการณ์น้ําและการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง​และขอบคุณพี่น้องประชาชน​ และเกษตรกร ที่มาร่วมงานฯ​ เนื่องจากพื้นที่ทุ่งบางระกํา เป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ําท่วมขังเป็นประจําทุกปี รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ําบาดาล เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดทําโครงการเติมน้ําใต้ดิน ซึ่งการเติมน้ําใต้ดินสามารถทําได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะพื้นที่ที่จะทําการเติมน้ํา ดังนั้น จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานท้องถิ่น และผู้ที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันดูแลและกําชับควบคุมการเติมน้ําใต้ดินให้ทําอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ​ รวมทั้งให้ระวังสารเจือปน​ ปุ๋ย​ สารเคมีต่างๆ​ และจะต้องทําให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะนอกจากการเติมน้ําใต้ดินแล้ว รัฐบาลยังมีความเป็นห่วงในเรื่องของการขาดแคลนน้ําทั้งด้านการอุปโภคบริโภค และการเกษตร โดยรัฐบาล จะเร่งรัดจัดหาแหล่งน้ําเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และขอฝากให้ชาวอําเภอบางระกําช่วยกันดูแลทรัพย์สินส่วนรวม และทรัพย์สินของทางราชการ​ รวมทั้งให้ความร่วมมือกับทางราชการในการขุดบ่อ​ เติมน้ําใต้ดิน และช่วยกันใช้ทรัพยากรน้ํา ไม่ว่าจะเป็นน้ําผิวดิน หรือน้ําบาดาล ต้องใช้อย่างรู้คุณค่า ใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด​ เพื่อให้ทุกคนมีน้ําอุปโภค​ บริโภค​ น้ําเพื่อการเกษตร​ ในฤดูแล้งทุกปีต่อไป หลังจากนั้น​เวลาประมาณ​ 10.00​ น.​รองนายกรัฐมนตรี​ และคณะ​ ได้เดินทางไปยัง ท่อระบายน้ําคลองแยงมุม​ ตําบลท่าช้าง​ อําเภอพรหมพิราม​ เพื่อรับฟังบรรยายสรุปการดําเนินงาน​ จากอธิบดีกรมชลประทาน​ ปล่อยพันธ์ุปลา​ และพบปะผู้นําท้องถิ่นและประชาชน​ในพื้นที่​
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33389
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวอวยพร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2563
วันพุธที่ 1 มกราคม 2563 คํากล่าวอวยพร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2563 คํากล่าวอวยพร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2563 พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รัก เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2563 ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยร่วมกันตั้งจิตอธิษฐานอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดอภิบาลประทานพรให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสําราญ มีพระราชประสงค์จํานงหมายสิ่งใด ขอจงสัมฤทธิ์ดังพระราชหฤทัยปรารถนา สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้าเหล่าพสกนิกรชาวไทยตราบกาลนิรันดร์ ในปีพุทธศักราช 2562 ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นปีมหามงคล และปีแห่งความปลื้มปีติยินดีของคนไทยทั้งชาติ ที่ได้พร้อมใจกันถวายความจงรักภักดี เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามพระราชประเพณี นับเป็นสวัสดิมงคลของประเทศชาติและประชาชน แสดงให้เห็นถึงความรัก ความผูกพันและความจงรักภักดีของประชาชนชาวไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างยาวนาน ห้วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่นี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องประชาชนทุกท่าน จะได้ใช้ช่วงเวลาในเทศกาลแห่งความสุขร่วมกับครอบครัว ญาติมิตรและพี่น้อง ด้วยความรัก ความสามัคคี มีความเอื้ออาทรต่อกัน สําหรับผู้ที่เดินทางสัญจรเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ ขอให้มีสติ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และคํานึงถึงความปลอดภัยทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เพื่อทําให้เทศกาลแห่งความสุขนี้ เต็มไปด้วยความทรงจําที่ดี และเป็นพลังในการก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ด้วยความสุข ความสดชื่น สมหวังและประสบความสําเร็จในทุก ๆ ด้านตลอดไป พร้อมกันนี้ ผมขอขอบคุณและเป็นกําลังใจให้เจ้าหน้าที่ ตํารวจ ทหาร พลเรือน อาสาสมัคร ที่ปฏิบัติราชการอยู่ตามแนวชายแดน และที่คอยอํานวยความสะดวกดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ที่เดินทางกลับภูมิลําเนาในช่วงเทศกาลนี้ด้วย เนื่องในวาระวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2563 ผมขออัญเชิญอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ทุกท่านเคารพนับถือ อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี โปรดดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกท่าน ประสบแต่สิ่งอันเป็นมงคล ปราศจากภยันตรายทั้งปวง มีพลังกาย พลังใจที่เข้มแข็ง และสัมฤทธิ์ผลในสิ่งพึงปรารถนาทุกประการโดยทั่วกัน สวัสดีปีใหม่ 2563 ครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวอวยพร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2563 วันพุธที่ 1 มกราคม 2563 คํากล่าวอวยพร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2563 คํากล่าวอวยพร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2563 พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รัก เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2563 ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยร่วมกันตั้งจิตอธิษฐานอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดอภิบาลประทานพรให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสําราญ มีพระราชประสงค์จํานงหมายสิ่งใด ขอจงสัมฤทธิ์ดังพระราชหฤทัยปรารถนา สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้าเหล่าพสกนิกรชาวไทยตราบกาลนิรันดร์ ในปีพุทธศักราช 2562 ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นปีมหามงคล และปีแห่งความปลื้มปีติยินดีของคนไทยทั้งชาติ ที่ได้พร้อมใจกันถวายความจงรักภักดี เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามพระราชประเพณี นับเป็นสวัสดิมงคลของประเทศชาติและประชาชน แสดงให้เห็นถึงความรัก ความผูกพันและความจงรักภักดีของประชาชนชาวไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างยาวนาน ห้วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่นี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องประชาชนทุกท่าน จะได้ใช้ช่วงเวลาในเทศกาลแห่งความสุขร่วมกับครอบครัว ญาติมิตรและพี่น้อง ด้วยความรัก ความสามัคคี มีความเอื้ออาทรต่อกัน สําหรับผู้ที่เดินทางสัญจรเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ ขอให้มีสติ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และคํานึงถึงความปลอดภัยทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เพื่อทําให้เทศกาลแห่งความสุขนี้ เต็มไปด้วยความทรงจําที่ดี และเป็นพลังในการก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ด้วยความสุข ความสดชื่น สมหวังและประสบความสําเร็จในทุก ๆ ด้านตลอดไป พร้อมกันนี้ ผมขอขอบคุณและเป็นกําลังใจให้เจ้าหน้าที่ ตํารวจ ทหาร พลเรือน อาสาสมัคร ที่ปฏิบัติราชการอยู่ตามแนวชายแดน และที่คอยอํานวยความสะดวกดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ที่เดินทางกลับภูมิลําเนาในช่วงเทศกาลนี้ด้วย เนื่องในวาระวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2563 ผมขออัญเชิญอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ทุกท่านเคารพนับถือ อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี โปรดดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกท่าน ประสบแต่สิ่งอันเป็นมงคล ปราศจากภยันตรายทั้งปวง มีพลังกาย พลังใจที่เข้มแข็ง และสัมฤทธิ์ผลในสิ่งพึงปรารถนาทุกประการโดยทั่วกัน สวัสดีปีใหม่ 2563 ครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25554
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Social Distancing มีแนวทางอย่างไร ??
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 Social Distancing มีแนวทางอย่างไร ?? แนวทางมีอย่างไรบ้างนะ อยู่ห่างกันอย่างน้อย 2 เมตร ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Social Distancing มีแนวทางอย่างไร ?? วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 Social Distancing มีแนวทางอย่างไร ?? แนวทางมีอย่างไรบ้างนะ อยู่ห่างกันอย่างน้อย 2 เมตร ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27976
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ประชุมรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559 กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ประชุมรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี เป็นประธานเปิดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี ในวันศุกร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ เวลา ๐๙.๓๐ น. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี เป็นประธานเปิดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี ตามที่กรมบังคับคดีได้เสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ซึ่งมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องดังกล่าว โดยเชิญภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐและเอกชน สถาบันการเงิน สํานักงานทนายความ ตัวแทนเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพื่อนําข้อมูลที่ได้รับไปประกอบการจัดทําร่างประมวลกฎหมายให้ครบถ้วน สมบูรณ์ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง อันจะช่วยให้การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นภายหลังกฎหมายบังคับใช้ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุมคชสาร ๒ ชั้น ๓ อาคารกรมบังคับคดี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ประชุมรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559 กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ประชุมรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี เป็นประธานเปิดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี ในวันศุกร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ เวลา ๐๙.๓๐ น. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี เป็นประธานเปิดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี ตามที่กรมบังคับคดีได้เสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ซึ่งมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องดังกล่าว โดยเชิญภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐและเอกชน สถาบันการเงิน สํานักงานทนายความ ตัวแทนเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพื่อนําข้อมูลที่ได้รับไปประกอบการจัดทําร่างประมวลกฎหมายให้ครบถ้วน สมบูรณ์ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง อันจะช่วยให้การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นภายหลังกฎหมายบังคับใช้ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุมคชสาร ๒ ชั้น ๓ อาคารกรมบังคับคดี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1051
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล ต่อยอด “โครงการหลวง” สนองพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 10 "สืบสาน รักษา ต่อยอด"
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 รัฐบาล ต่อยอด “โครงการหลวง” สนองพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 10 "สืบสาน รักษา ต่อยอด" รัฐบาล ต่อยอด “โครงการหลวง” สนองพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 10 "สืบสาน รักษา ต่อยอด" วันนี้ (15 ก.ค. 63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2563 โดยมี นายจรัลธาดา กรรณสูต องคมนตรี ประธานกรรมการมูลนิธิโครงการหลวง พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง นายอําพน กิตติอําพน องคมนตรีที่ปรึกษาพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และกรรมการ ร่วมประชุม ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมรับทราบผลการดําเนินงานประจําปีงบประมาณ 2562-2563 ของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. โดยโครงการหลวงได้รับการรับรองทะเบียนพันธุ์พืชใหม่กับกรมวิชาการเกษตรแล้ว 15 พันธุ์ และกําลังขอขึ้นทะเบียนพันธุ์ไม้ดอกมาลีรัตน์ วงศ์ขิง รวมทั้ง ฟักทองญี่ปุ่น คะน้าฮ่องกง และมะเขือเทศผลเล็ก ผลงานวิจัยที่นําไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บํารุงผิวจากสารสกัดถั่งเช่า โยเกิร์ตนมกระบือ และผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด คือ กาแฟอราบิกาเฉพาะถิ่น กาแฟแคบซูลซิงเกิลออริจิน น้ํามันลินินสกัดเย็น ผลิตภัณฑ์คีนัวกรอบ คีนัวบาร์ และขนมปังคีนัวผสมสตรอว์เบอร์รี โดยเกษตรกรในพื้นที่โครงการหลวง 13,645 ครัวเรือน ได้รับการส่งเสริมให้ปลูกพืชเขตหนาวและกึ่งหนาว 381 ชนิด ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐานอาหารปลอดภัย จําหน่ายภายใต้ตรา “โครงการหลวง” ในปีงบประมาณ พ.ศ.2562 มูลค่ารวม 1,328 ล้านบาท ที่ประชุมยังได้พิจารณาอนุมัติงบประมาณสนับสนุนการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวง ณ ตําบลแม่เหียะ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นศูนย์รวมการปฏิบัติงานวิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูง เกิดประโยชน์โดยรวมแก่ประเทศ พร้อมรับทราบผลการดําเนินงานแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่สูงตามแนวทางของโครงการหลวง โดยขณะนี้กรมป่าไม้ได้รับการอนุมัติขอบเขตการใช้พื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่รวม 2,508,958 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวา เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆเข้าปฏิบัติงานในขอบเขตพื้นที่อย่างคล่องตัว และเตรียมดําเนินการขอใช้ประโยชน์พื้นที่ตั้งศูนย์/สถานีฯ และพื้นที่เกษตร รวมทั้งพื้นที่ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสําหรับการแก้ปัญหาในพื้นที่นําร่อง คือ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ได้ฟื้นฟูพื้นที่กลับคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยความร่วมมือทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และประชาชนในพื้นที่ เป็นแบบอย่างของการดําเนินการต่อไปบนพื้นที่สูงอื่นในจังหวัดเชียงใหม่ และตาก รวมทั้งต่อยอดไปในพื้นที่สูงของจังหวัดเชียงราย ลําพูน พะเยา และแม่ฮ่องสอน จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้รับฟังผลการประชุมวิชาการนานาชาติด้านการพัฒนาเกษตรที่สูงอย่างยั่งยืน ตามพระราชปณิธานสืบสาน รักษา ต่อยอดงานโครงการหลวง จัดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2562 ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ มีผู้เข้าร่วมประชุมจาก 17 ประเทศ 675 คน ความสําเร็จของโครงการหลวง ถือเป็นต้นแบบการพัฒนาทางเลือกที่เป็นแนวปฏิบัติบนพื้นฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยหลักการทํางาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เน้นการบูรณาการของทุกภาคส่วน และเตรียมต่อยอดสู่การจัดตั้งสถาบันเรียนรู้การพัฒนาที่สูงอย่างยั่งยืน เพื่อขยายแนวทางและองค์ความรู้ ให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวางต่อไป ในตอนท้ายสุด นายกรัฐมนตรีได้พิจารณาอนุมัติกรอบงบประมาณของหน่วยงาน บูรณาการและสนับสนุนการดําเนินงานตามแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง และแผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ระยะ 6 ปี (พ.ศ. 2560-2565) โดยให้ความสําคัญกับการจัดการปัจจัยพื้นฐาน น้ํา พื้นที่ป่าต้นน้ํา และสร้างคุณภาพชีวิตชุมชนบนพื้นที่สูง เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป ............................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล ต่อยอด “โครงการหลวง” สนองพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 10 "สืบสาน รักษา ต่อยอด" วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 รัฐบาล ต่อยอด “โครงการหลวง” สนองพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 10 "สืบสาน รักษา ต่อยอด" รัฐบาล ต่อยอด “โครงการหลวง” สนองพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 10 "สืบสาน รักษา ต่อยอด" วันนี้ (15 ก.ค. 63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2563 โดยมี นายจรัลธาดา กรรณสูต องคมนตรี ประธานกรรมการมูลนิธิโครงการหลวง พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง นายอําพน กิตติอําพน องคมนตรีที่ปรึกษาพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และกรรมการ ร่วมประชุม ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมรับทราบผลการดําเนินงานประจําปีงบประมาณ 2562-2563 ของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. โดยโครงการหลวงได้รับการรับรองทะเบียนพันธุ์พืชใหม่กับกรมวิชาการเกษตรแล้ว 15 พันธุ์ และกําลังขอขึ้นทะเบียนพันธุ์ไม้ดอกมาลีรัตน์ วงศ์ขิง รวมทั้ง ฟักทองญี่ปุ่น คะน้าฮ่องกง และมะเขือเทศผลเล็ก ผลงานวิจัยที่นําไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บํารุงผิวจากสารสกัดถั่งเช่า โยเกิร์ตนมกระบือ และผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด คือ กาแฟอราบิกาเฉพาะถิ่น กาแฟแคบซูลซิงเกิลออริจิน น้ํามันลินินสกัดเย็น ผลิตภัณฑ์คีนัวกรอบ คีนัวบาร์ และขนมปังคีนัวผสมสตรอว์เบอร์รี โดยเกษตรกรในพื้นที่โครงการหลวง 13,645 ครัวเรือน ได้รับการส่งเสริมให้ปลูกพืชเขตหนาวและกึ่งหนาว 381 ชนิด ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐานอาหารปลอดภัย จําหน่ายภายใต้ตรา “โครงการหลวง” ในปีงบประมาณ พ.ศ.2562 มูลค่ารวม 1,328 ล้านบาท ที่ประชุมยังได้พิจารณาอนุมัติงบประมาณสนับสนุนการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวง ณ ตําบลแม่เหียะ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นศูนย์รวมการปฏิบัติงานวิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูง เกิดประโยชน์โดยรวมแก่ประเทศ พร้อมรับทราบผลการดําเนินงานแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่สูงตามแนวทางของโครงการหลวง โดยขณะนี้กรมป่าไม้ได้รับการอนุมัติขอบเขตการใช้พื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่รวม 2,508,958 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวา เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆเข้าปฏิบัติงานในขอบเขตพื้นที่อย่างคล่องตัว และเตรียมดําเนินการขอใช้ประโยชน์พื้นที่ตั้งศูนย์/สถานีฯ และพื้นที่เกษตร รวมทั้งพื้นที่ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสําหรับการแก้ปัญหาในพื้นที่นําร่อง คือ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ได้ฟื้นฟูพื้นที่กลับคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยความร่วมมือทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และประชาชนในพื้นที่ เป็นแบบอย่างของการดําเนินการต่อไปบนพื้นที่สูงอื่นในจังหวัดเชียงใหม่ และตาก รวมทั้งต่อยอดไปในพื้นที่สูงของจังหวัดเชียงราย ลําพูน พะเยา และแม่ฮ่องสอน จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้รับฟังผลการประชุมวิชาการนานาชาติด้านการพัฒนาเกษตรที่สูงอย่างยั่งยืน ตามพระราชปณิธานสืบสาน รักษา ต่อยอดงานโครงการหลวง จัดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2562 ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ มีผู้เข้าร่วมประชุมจาก 17 ประเทศ 675 คน ความสําเร็จของโครงการหลวง ถือเป็นต้นแบบการพัฒนาทางเลือกที่เป็นแนวปฏิบัติบนพื้นฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยหลักการทํางาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เน้นการบูรณาการของทุกภาคส่วน และเตรียมต่อยอดสู่การจัดตั้งสถาบันเรียนรู้การพัฒนาที่สูงอย่างยั่งยืน เพื่อขยายแนวทางและองค์ความรู้ ให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวางต่อไป ในตอนท้ายสุด นายกรัฐมนตรีได้พิจารณาอนุมัติกรอบงบประมาณของหน่วยงาน บูรณาการและสนับสนุนการดําเนินงานตามแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง และแผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ระยะ 6 ปี (พ.ศ. 2560-2565) โดยให้ความสําคัญกับการจัดการปัจจัยพื้นฐาน น้ํา พื้นที่ป่าต้นน้ํา และสร้างคุณภาพชีวิตชุมชนบนพื้นที่สูง เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป ............................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33403
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยานพร้อมให้บริการผู้โดยสารภายหลังการประกาศมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 [กระทรวงคมนาคม]
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563 กรมท่าอากาศยานพร้อมให้บริการผู้โดยสารภายหลังการประกาศมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 [กระทรวงคมนาคม] กรมท่าอากาศยานพร้อมให้บริการผู้โดยสารภายหลังการประกาศมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 นายทวีเกศิสําอางอธิบดีกรมท่าอากาศยานกระทรวงคมนาคมกล่าวว่าตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.)ประกาศมาตรการผ่อนปรนระยะที่3ตั้งแต่วันที่1มิถุนายน2563ทําให้สายการบินจํานวน5สายการบินได้แก่สายการบินนกแอร์ไทยแอร์เอเชียไทยไลอ้อนแอร์ไทยสมายล์และบางกอกแอร์เวย์สขอเพิ่มเส้นทางบินเพื่อให้บริการแก่ผู้โดยสารที่มีความจําเป็นและอํานวยความสะดวกในการเดินทางและตามประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.)กําหนดเงื่อนไขและเงื่อนเวลาในการใช้ท่าอากาศยานเพื่อการขึ้นลงของอากาศยาน(ฉบับที่4) โดยท่าอากาศยานที่เปิดให้บริการเฉพาะเส้นทางภายในประเทศได้แก่ท่าอากาศยานขอนแก่นชุมพรตรังนครพนมนครราชสีมานครศรีธรรมราชน่านนครนราธิวาสบุรีรัมย์ปายพิษณุโลกเพชรบูรณ์แพร่แม่สอดแม่ฮ่องสอนระนองร้อยเอ็ดเลยลําปางสกลนครอุดรธานีและอุบลราชธานีเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา06.00 - 20.00น.หรือปรับลดเวลาให้สั้นกว่าระยะเวลาที่กําหนดตามความจําเป็นและเหมาะสมและท่าอากาศยานที่สามารถให้บริการการบินภายในและต่างประเทศได้แก่ท่าอากาศกระบี่สุราษฎร์ธานีและหัวหินเปิดให้อากาศยานขึ้นลงได้ตามระยะเวลาที่กําหนดโดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่6มิถุนายน2563เป็นต้นไป จากประกาศกพท.ฉบับดังกล่าวทําให้ท่าอากาศยานทุกแห่งสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะมีมาตรการผ่อนปรนกรมท่าอากาศยาน(ทย.)ยังคงมีมาตรการที่เข้มงวดดังนี้ 1.คัดกรองบุคคลที่เข้ามาใช้บริการท่าอากาศยานต้องสวมหน้ากากอนามัยและผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายซึ่งจะต้องไม่สูงกว่า37.3องศาเซลเซียสสําหรับผู้โดยสารขาเข้าทุกคนจะต้องกรอกแบบสํารวจการเดินทางต.8-คค.เพื่อบันทึกประวัติการเดินทางของผู้โดยสาร 2.ปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม(Social Distancing)บริเวณจุดรับรอรับกระเป๋าสัมภาระจุดตรวจบัตรโดยสาร(Check in counter)ที่นั่งรอก่อนการเดินทางโดยจัดให้มีระยะห่างอย่างน้อย1เมตร สําหรับการรักษาความสะอาดเพื่อความปลอดภัยท่าอากาศยานทุกแห่งดําเนินการพ่นน้ํายาฆ่าเชื้อกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารก่อนจุดรับกระเป๋าทุกเที่ยวบินพร้อมตั้งจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือตามจุดต่างๆและทําความสะอาดโดยใช้แอลกอฮอล์และน้ํายาฆ่าเชื้อบริเวณพื้นอาคารห้องน้ํารถเข็นเก้าอี้ที่พักผู้โดยสารราวบันไดลิฟต์โดยสารอุปกรณ์สําหรับให้บริการและอุปกรณ์ของเจ้าหน้าที่ตามจุดต่างๆทุกชั่วโมงหรือหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทุกเที่ยวบินรวมถึงฉีดพ่นน้ํายาฆ่าเชื้อภายในอาคารที่พักผู้โดยสารทุกสัปดาห์ นอกจากนี้ทุกท่าอากาศยานได้จัดจุดลงทะเบียนสแกนคิวอาร์โค้ด“ไทยชนะ”เพื่อบันทึกข้อมูลการเข้าออกของผู้โดยสารตามนโยบายกระทรวงคมนาคมสําหรับผู้โดยสารที่มีความจําเป็นต้องเดินทางขอให้ศึกษาประกาศ/เงื่อนไขคําสั่งของจังหวัดปลายทางซึ่งมีแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างกันเพื่อเตรียมความพร้อมในการเดินทางได้ถูกต้องตามประกาศดังกล่าวซึ่งผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านFacebook Department of Airports :กรมท่าอากาศยานเพจกรมท่าอากาศยาน“ข่าวและภาพกิจกรรมกรมท่าอากาศยาน”และเพจของท่าอากาศยานในสังกัดทย.และขอให้มั่นใจในการให้บริการผู้โดยสารของทย.และสายการบินณท่าอากาศยานในสังกัดทย.ให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัสCOVID-19ควบคู่มาตรฐานการบิน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยานพร้อมให้บริการผู้โดยสารภายหลังการประกาศมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 [กระทรวงคมนาคม] วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563 กรมท่าอากาศยานพร้อมให้บริการผู้โดยสารภายหลังการประกาศมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 [กระทรวงคมนาคม] กรมท่าอากาศยานพร้อมให้บริการผู้โดยสารภายหลังการประกาศมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 นายทวีเกศิสําอางอธิบดีกรมท่าอากาศยานกระทรวงคมนาคมกล่าวว่าตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.)ประกาศมาตรการผ่อนปรนระยะที่3ตั้งแต่วันที่1มิถุนายน2563ทําให้สายการบินจํานวน5สายการบินได้แก่สายการบินนกแอร์ไทยแอร์เอเชียไทยไลอ้อนแอร์ไทยสมายล์และบางกอกแอร์เวย์สขอเพิ่มเส้นทางบินเพื่อให้บริการแก่ผู้โดยสารที่มีความจําเป็นและอํานวยความสะดวกในการเดินทางและตามประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.)กําหนดเงื่อนไขและเงื่อนเวลาในการใช้ท่าอากาศยานเพื่อการขึ้นลงของอากาศยาน(ฉบับที่4) โดยท่าอากาศยานที่เปิดให้บริการเฉพาะเส้นทางภายในประเทศได้แก่ท่าอากาศยานขอนแก่นชุมพรตรังนครพนมนครราชสีมานครศรีธรรมราชน่านนครนราธิวาสบุรีรัมย์ปายพิษณุโลกเพชรบูรณ์แพร่แม่สอดแม่ฮ่องสอนระนองร้อยเอ็ดเลยลําปางสกลนครอุดรธานีและอุบลราชธานีเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา06.00 - 20.00น.หรือปรับลดเวลาให้สั้นกว่าระยะเวลาที่กําหนดตามความจําเป็นและเหมาะสมและท่าอากาศยานที่สามารถให้บริการการบินภายในและต่างประเทศได้แก่ท่าอากาศกระบี่สุราษฎร์ธานีและหัวหินเปิดให้อากาศยานขึ้นลงได้ตามระยะเวลาที่กําหนดโดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่6มิถุนายน2563เป็นต้นไป จากประกาศกพท.ฉบับดังกล่าวทําให้ท่าอากาศยานทุกแห่งสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะมีมาตรการผ่อนปรนกรมท่าอากาศยาน(ทย.)ยังคงมีมาตรการที่เข้มงวดดังนี้ 1.คัดกรองบุคคลที่เข้ามาใช้บริการท่าอากาศยานต้องสวมหน้ากากอนามัยและผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายซึ่งจะต้องไม่สูงกว่า37.3องศาเซลเซียสสําหรับผู้โดยสารขาเข้าทุกคนจะต้องกรอกแบบสํารวจการเดินทางต.8-คค.เพื่อบันทึกประวัติการเดินทางของผู้โดยสาร 2.ปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม(Social Distancing)บริเวณจุดรับรอรับกระเป๋าสัมภาระจุดตรวจบัตรโดยสาร(Check in counter)ที่นั่งรอก่อนการเดินทางโดยจัดให้มีระยะห่างอย่างน้อย1เมตร สําหรับการรักษาความสะอาดเพื่อความปลอดภัยท่าอากาศยานทุกแห่งดําเนินการพ่นน้ํายาฆ่าเชื้อกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารก่อนจุดรับกระเป๋าทุกเที่ยวบินพร้อมตั้งจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือตามจุดต่างๆและทําความสะอาดโดยใช้แอลกอฮอล์และน้ํายาฆ่าเชื้อบริเวณพื้นอาคารห้องน้ํารถเข็นเก้าอี้ที่พักผู้โดยสารราวบันไดลิฟต์โดยสารอุปกรณ์สําหรับให้บริการและอุปกรณ์ของเจ้าหน้าที่ตามจุดต่างๆทุกชั่วโมงหรือหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทุกเที่ยวบินรวมถึงฉีดพ่นน้ํายาฆ่าเชื้อภายในอาคารที่พักผู้โดยสารทุกสัปดาห์ นอกจากนี้ทุกท่าอากาศยานได้จัดจุดลงทะเบียนสแกนคิวอาร์โค้ด“ไทยชนะ”เพื่อบันทึกข้อมูลการเข้าออกของผู้โดยสารตามนโยบายกระทรวงคมนาคมสําหรับผู้โดยสารที่มีความจําเป็นต้องเดินทางขอให้ศึกษาประกาศ/เงื่อนไขคําสั่งของจังหวัดปลายทางซึ่งมีแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างกันเพื่อเตรียมความพร้อมในการเดินทางได้ถูกต้องตามประกาศดังกล่าวซึ่งผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านFacebook Department of Airports :กรมท่าอากาศยานเพจกรมท่าอากาศยาน“ข่าวและภาพกิจกรรมกรมท่าอากาศยาน”และเพจของท่าอากาศยานในสังกัดทย.และขอให้มั่นใจในการให้บริการผู้โดยสารของทย.และสายการบินณท่าอากาศยานในสังกัดทย.ให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัสCOVID-19ควบคู่มาตรฐานการบิน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32025
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อุตตม ร่วมยินดีโตโยต้า ฉลองความสำเร็จผลิตรถยนต์ครบ 10 ล้านคัน
วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 รมต.อุตตม ร่วมยินดีโตโยต้า ฉลองความสําเร็จผลิตรถยนต์ครบ 10 ล้านคัน รมต.อุตตม ร่วมยินดีโตโยต้า ฉลองความสําเร็จผลิตรถยนต์ครบ 10 ล้านคัน วันนี้ (11 กรกฎาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานฉลองการผลิตรถยนต์โตโยต้า ครบ 10 ล้านคัน โดยมีนายมิจิโนบุ ซึงาตะ เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ให้การต้อนรับ และมีนายชิโร ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย ร่วมเปิดงาน ณ โรงงานโตโยต้า สําโรง จ.สมุทรปราการ โดยบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด เริ่มดําเนินธุรกิจในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2505 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลากว่า 56 ปี ได้ผลิตรถยนต์โตโยต้าภายในประเทศไทยไปแล้ว 10 ล้านคัน ซึ่งเกิดจากโรงงานประกอบรถยนต์โตโยต้า 3 แห่ง ได้แก่ โรงงานประกอบรถยนต์สําโรง จ.สมุทรปราการ โรงงานประกอบรถยนต์เกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา และโรงงานประกอบรถยนต์บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา โดยมีโครงการผลิตรถยนต์หลายโครงการที่สนับสนุนนโยบายอุตสาหกรรมภาครัฐ เช่น โครงการผลิตรถ Pick –up การลงทุนรถยนต์ Eco car การลงทุนรถยนต์ไฮบริด เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อุตตม ร่วมยินดีโตโยต้า ฉลองความสำเร็จผลิตรถยนต์ครบ 10 ล้านคัน วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 รมต.อุตตม ร่วมยินดีโตโยต้า ฉลองความสําเร็จผลิตรถยนต์ครบ 10 ล้านคัน รมต.อุตตม ร่วมยินดีโตโยต้า ฉลองความสําเร็จผลิตรถยนต์ครบ 10 ล้านคัน วันนี้ (11 กรกฎาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานฉลองการผลิตรถยนต์โตโยต้า ครบ 10 ล้านคัน โดยมีนายมิจิโนบุ ซึงาตะ เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ให้การต้อนรับ และมีนายชิโร ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย ร่วมเปิดงาน ณ โรงงานโตโยต้า สําโรง จ.สมุทรปราการ โดยบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด เริ่มดําเนินธุรกิจในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2505 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลากว่า 56 ปี ได้ผลิตรถยนต์โตโยต้าภายในประเทศไทยไปแล้ว 10 ล้านคัน ซึ่งเกิดจากโรงงานประกอบรถยนต์โตโยต้า 3 แห่ง ได้แก่ โรงงานประกอบรถยนต์สําโรง จ.สมุทรปราการ โรงงานประกอบรถยนต์เกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา และโรงงานประกอบรถยนต์บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา โดยมีโครงการผลิตรถยนต์หลายโครงการที่สนับสนุนนโยบายอุตสาหกรรมภาครัฐ เช่น โครงการผลิตรถ Pick –up การลงทุนรถยนต์ Eco car การลงทุนรถยนต์ไฮบริด เป็นต้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13787
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับทีม One Home ภาคใต้ เร่งระดมช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย หลังประสบภัยจากพายุโซนร้อน “ปาบึก”
วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562 รมว.พม. กําชับทีม One Home ภาคใต้ เร่งระดมช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย หลังประสบภัยจากพายุโซนร้อน “ปาบึก” รมว.พม. กําชับทีม One Home ภาคใต้ เร่งระดมช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย หลังประสบภัยจากพายุโซนร้อน “ปาบึก” วันนี้ (7 ม.ค. 62) เวลา 09.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมทางไกลผ่านระบบ VDO Conference ร่วมกับหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อติดตามสถานการณ์และรับฟังการรายงานการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็กและเยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส ที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน "ปาบึก” ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ พร้อมร่วมหาแนวทางการช่วยเหลือในระยะต่อไป โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลเอก อนันตพรกล่าวว่า ด้วยหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน "ปาบึก” ก่อให้เกิดฝนตกหนัก น้ําท่วมฉับพลัน และอุทกภัยในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความเสียหายและความเดือดร้อนแก่ประชาชนจํานวนมาก โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีความห่วงใยประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตูการณ์ดังกล่าว โดยได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ดังกล่าวได้เร่งลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและประเมินทางสังคมของครอบครัวกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากพายุดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นอย่างเร่งด่วน พลเอก อนันตพรกล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยการบูรณาการทีม พม. One Home ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดังกล่าว ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย ตามภารกิจของกระทรวง พม.ตั้งแต่การสํารวจความเสียหายและการประเมินทางสังคม เพื่อให้การช่วยเหลือต่อไป การมอบถุงยังชีพ และการมอบเงินสงเคราะห์ให้กับผู้ประสบภัยตามระเบียบของทางราชการ ซึ่งต้องเป็นไปด้วยความถูกต้อง โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ อีกทั้งมีการส่งเจ้าหน้าที่หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ลงพื้นที่ประจําทุกจุดอพยพเพื่อเยี่ยมเยียนและให้กําลังใจในการฟื้นฟูสภาพจิตใจ พลเอก อนันตพรกล่าวต่อไปอีกว่า สําหรับการช่วยเหลือผู้สูงอายุและคนพิการในระยะฟื้นฟูหลังจากประสบภัย ทางกระทรวง พม. ได้เตรียมการพักชําระหนี้เงินกู้จากกองทุนผู้สูงอายุ และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเป็นเวลา 6 เดือน โดยทางจังหวัดจะทําการสํารวจรายชื่อผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ดูแลที่กู้ยืมจากเงินกองทุนฯ อีกทั้งเร่งซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ปรับสภาพแวดล้อม และฟื้นฟูอาชีพผู้สูงอายุและคนพิการ รวมทั้งการเสริมสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้สูงอายุ คนพิการ และครอบครัวที่ประสบภัยให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว พลเอก อนันตพรกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ การดูแลผู้เข้ารับบริการของสถานสงเคราะห์ในพื้นที่สังกัดกระทรวง พม. ทางเจ้าหน้าที่ยังคงให้การดูแลอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน "ปาบึก” ซึ่งต่อไปจะมีการสํารวจและประเมินความเสียหายของสถานสงเคราะห์ เช่น อาคาร ถนน ระบบไฟฟ้า และท่อระบายน้ํา เป็นต้น เพื่อเร่งดําเนินการซ่อมแซมให้สามารถกลับมาใช้ประโยชน์ได้ตามปกติต่อไป "ทั้งนี้ ได้กําชับให้หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ มีการสรุปและส่งรายงานการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่ ประสบภัยจากพายุโซนร้อน "ปาบึก” มายังกระทรวง พม. ส่วนกลางเป็นประจําทุกวัน เพื่อกําหนดแผนการช่วยเหลือร่วมกันต่อไป ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นหรือประสบภัยจากพายุดังกล่าว สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อดําเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ต่อไป”พลเอก อนันตพรกล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับทีม One Home ภาคใต้ เร่งระดมช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย หลังประสบภัยจากพายุโซนร้อน “ปาบึก” วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562 รมว.พม. กําชับทีม One Home ภาคใต้ เร่งระดมช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย หลังประสบภัยจากพายุโซนร้อน “ปาบึก” รมว.พม. กําชับทีม One Home ภาคใต้ เร่งระดมช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย หลังประสบภัยจากพายุโซนร้อน “ปาบึก” วันนี้ (7 ม.ค. 62) เวลา 09.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมทางไกลผ่านระบบ VDO Conference ร่วมกับหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อติดตามสถานการณ์และรับฟังการรายงานการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็กและเยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส ที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน "ปาบึก” ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ พร้อมร่วมหาแนวทางการช่วยเหลือในระยะต่อไป โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลเอก อนันตพรกล่าวว่า ด้วยหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน "ปาบึก” ก่อให้เกิดฝนตกหนัก น้ําท่วมฉับพลัน และอุทกภัยในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความเสียหายและความเดือดร้อนแก่ประชาชนจํานวนมาก โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีความห่วงใยประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตูการณ์ดังกล่าว โดยได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ดังกล่าวได้เร่งลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและประเมินทางสังคมของครอบครัวกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากพายุดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นอย่างเร่งด่วน พลเอก อนันตพรกล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยการบูรณาการทีม พม. One Home ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดังกล่าว ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย ตามภารกิจของกระทรวง พม.ตั้งแต่การสํารวจความเสียหายและการประเมินทางสังคม เพื่อให้การช่วยเหลือต่อไป การมอบถุงยังชีพ และการมอบเงินสงเคราะห์ให้กับผู้ประสบภัยตามระเบียบของทางราชการ ซึ่งต้องเป็นไปด้วยความถูกต้อง โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ อีกทั้งมีการส่งเจ้าหน้าที่หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ลงพื้นที่ประจําทุกจุดอพยพเพื่อเยี่ยมเยียนและให้กําลังใจในการฟื้นฟูสภาพจิตใจ พลเอก อนันตพรกล่าวต่อไปอีกว่า สําหรับการช่วยเหลือผู้สูงอายุและคนพิการในระยะฟื้นฟูหลังจากประสบภัย ทางกระทรวง พม. ได้เตรียมการพักชําระหนี้เงินกู้จากกองทุนผู้สูงอายุ และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเป็นเวลา 6 เดือน โดยทางจังหวัดจะทําการสํารวจรายชื่อผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ดูแลที่กู้ยืมจากเงินกองทุนฯ อีกทั้งเร่งซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ปรับสภาพแวดล้อม และฟื้นฟูอาชีพผู้สูงอายุและคนพิการ รวมทั้งการเสริมสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้สูงอายุ คนพิการ และครอบครัวที่ประสบภัยให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว พลเอก อนันตพรกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ การดูแลผู้เข้ารับบริการของสถานสงเคราะห์ในพื้นที่สังกัดกระทรวง พม. ทางเจ้าหน้าที่ยังคงให้การดูแลอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน "ปาบึก” ซึ่งต่อไปจะมีการสํารวจและประเมินความเสียหายของสถานสงเคราะห์ เช่น อาคาร ถนน ระบบไฟฟ้า และท่อระบายน้ํา เป็นต้น เพื่อเร่งดําเนินการซ่อมแซมให้สามารถกลับมาใช้ประโยชน์ได้ตามปกติต่อไป "ทั้งนี้ ได้กําชับให้หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ มีการสรุปและส่งรายงานการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่ ประสบภัยจากพายุโซนร้อน "ปาบึก” มายังกระทรวง พม. ส่วนกลางเป็นประจําทุกวัน เพื่อกําหนดแผนการช่วยเหลือร่วมกันต่อไป ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นหรือประสบภัยจากพายุดังกล่าว สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อดําเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ต่อไป”พลเอก อนันตพรกล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17974
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. พิจารณาช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 ยธ. พิจารณาช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงยุติธรรมประชุมคณะทํางานกลั่นกรองการปรับปรุงระบบการให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันอังคารที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ค.ต.ป. ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานกลั่นกรองการปรับปรุงระบบการให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อพิจารณาระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยา ผู้ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันจะนําไปสู่การปรับปรุง แก้ไขระเบียบฯ หลักเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยา แนวทางการช่วยเหลือเยียวยาด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งในด้านการศึกษา การประกอบอาชีพ การฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. พิจารณาช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 ยธ. พิจารณาช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงยุติธรรมประชุมคณะทํางานกลั่นกรองการปรับปรุงระบบการให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันอังคารที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ค.ต.ป. ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานกลั่นกรองการปรับปรุงระบบการให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อพิจารณาระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยา ผู้ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันจะนําไปสู่การปรับปรุง แก้ไขระเบียบฯ หลักเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยา แนวทางการช่วยเหลือเยียวยาด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งในด้านการศึกษา การประกอบอาชีพ การฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6621
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณภาคธุรกิจเอกชน ลดการจ้างงานน้อยและให้มีอาชีพเสริม พร้อมเตือนทุกกระทรวงติดตามข้อมูลที่ไม่เป็นจริง หวั่นส่งผลกระทบกับการทำงาน และละเมิด พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ
วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีขอบคุณภาคธุรกิจเอกชน ลดการจ้างงานน้อยและให้มีอาชีพเสริม พร้อมเตือนทุกกระทรวงติดตามข้อมูลที่ไม่เป็นจริง หวั่นส่งผลกระทบกับการทํางาน และละเมิด พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ นายกรัฐมนตรีขอบคุณภาคธุรกิจเอกชนที่ ลดการจ้างงานน้อยและให้มีอาชีพเสริม พร้อมเตือนทุกกระทรวงติดตามข่้อมูลที่ไม่เป็นจริง หวั่นส่งผลกระทบกับการทํางาน และละเมิด พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ วันนี้ (28 เม.ย. 63) เวลา 13.00 น. ณ โถงบัญชาการ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยขอบคุณคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในการดําเนินงาน นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความคืบหน้าในการรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจเอกชน 20 ราย ซึ่งทําหน้าที่ดูแลลูกจ้างในห่วงโซ่ของตนเอง ทั้งลดการจ้างงานให้น้อยที่สุด หาอาชีพเสริมให้แก่ลูกจ้าง รวมทั้งยังเสนอแนะด้านเศรษฐกิจ อาทิ การบริการจัดการน้ํา เพื่อให้มีแหล่งน้ําสําหรับอุปโภค บริโภค รวมทั้งจะทํางานร่วมกับรัฐบาลในการดูแลประชาชนให้มากขึ้น เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ํา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าทุกภาคส่วนมีความสําคัญในการช่วยเหลือรัฐบาลดูแลประชาชน เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาแบบนี้อยากให้ทุกฝ่าย เผื่อแผ่แบ่งปันซึ่งกันและกัน ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ซึ่งภาคธุรกิจเอกชนเห็นเช่นเดียวกับรัฐบาลว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 การดํารงชีวิต ทั้งด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม จะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งรัฐบาลจะดําเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อพัฒนาประเทศให้เต็มรูปแบบ โดยต้องอาศัยภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาชน เพื่อให้การทํางานสําเร็จ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไม่มีผลประโยชน์กับภาคเอกชน และภาคเอกชนก็ไม่มีการเรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้น ขอประชาชนอย่ารับข่าวบิดเบือน ทั้งนี้ มอบหมายให้ทุกกระทรวงติดตามการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นข้อเท็จจริงและส่งผลกระทบกับการทํางาน และอยากให้ระมัดระวังในการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อไม่ให้เป็นการละเมิด พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ สุดท้ายนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนเข้าใจการทํางานของรัฐบาล ลดความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศไทยพัฒนาการดูแลประชาชนได้เทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยหวังว่าในอนาคตประเทศไทยจะสามารถเพิ่มศักยภาพในการตรวจหาผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณภาคธุรกิจเอกชน ลดการจ้างงานน้อยและให้มีอาชีพเสริม พร้อมเตือนทุกกระทรวงติดตามข้อมูลที่ไม่เป็นจริง หวั่นส่งผลกระทบกับการทำงาน และละเมิด พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีขอบคุณภาคธุรกิจเอกชน ลดการจ้างงานน้อยและให้มีอาชีพเสริม พร้อมเตือนทุกกระทรวงติดตามข้อมูลที่ไม่เป็นจริง หวั่นส่งผลกระทบกับการทํางาน และละเมิด พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ นายกรัฐมนตรีขอบคุณภาคธุรกิจเอกชนที่ ลดการจ้างงานน้อยและให้มีอาชีพเสริม พร้อมเตือนทุกกระทรวงติดตามข่้อมูลที่ไม่เป็นจริง หวั่นส่งผลกระทบกับการทํางาน และละเมิด พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ วันนี้ (28 เม.ย. 63) เวลา 13.00 น. ณ โถงบัญชาการ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยขอบคุณคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในการดําเนินงาน นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความคืบหน้าในการรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจเอกชน 20 ราย ซึ่งทําหน้าที่ดูแลลูกจ้างในห่วงโซ่ของตนเอง ทั้งลดการจ้างงานให้น้อยที่สุด หาอาชีพเสริมให้แก่ลูกจ้าง รวมทั้งยังเสนอแนะด้านเศรษฐกิจ อาทิ การบริการจัดการน้ํา เพื่อให้มีแหล่งน้ําสําหรับอุปโภค บริโภค รวมทั้งจะทํางานร่วมกับรัฐบาลในการดูแลประชาชนให้มากขึ้น เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ํา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าทุกภาคส่วนมีความสําคัญในการช่วยเหลือรัฐบาลดูแลประชาชน เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาแบบนี้อยากให้ทุกฝ่าย เผื่อแผ่แบ่งปันซึ่งกันและกัน ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ซึ่งภาคธุรกิจเอกชนเห็นเช่นเดียวกับรัฐบาลว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 การดํารงชีวิต ทั้งด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม จะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งรัฐบาลจะดําเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อพัฒนาประเทศให้เต็มรูปแบบ โดยต้องอาศัยภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาชน เพื่อให้การทํางานสําเร็จ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไม่มีผลประโยชน์กับภาคเอกชน และภาคเอกชนก็ไม่มีการเรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้น ขอประชาชนอย่ารับข่าวบิดเบือน ทั้งนี้ มอบหมายให้ทุกกระทรวงติดตามการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นข้อเท็จจริงและส่งผลกระทบกับการทํางาน และอยากให้ระมัดระวังในการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อไม่ให้เป็นการละเมิด พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ สุดท้ายนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนเข้าใจการทํางานของรัฐบาล ลดความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศไทยพัฒนาการดูแลประชาชนได้เทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยหวังว่าในอนาคตประเทศไทยจะสามารถเพิ่มศักยภาพในการตรวจหาผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29932
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอผนึกกำลัง 5 หน่วยงานรัฐ เปิดศูนย์บุคลากรทักษะสูง
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560 บีโอไอผนึกกําลัง 5 หน่วยงานรัฐ เปิดศูนย์บุคลากรทักษะสูง บีโอไอเปิดศูนย์บุคลากรทักษะสูง หรือ STC จับมือหน่วยงานรัฐลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อร่วมกันเชื่อมโยงฐานข้อมูล หวังดึงบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเข้าทํางานในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ภายใต้การขับเคลื่อน “ประเทศไทย 4.0” นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยภายในงานเปิด “ศูนย์บุคลากรทักษะสูง”หรือStrategic Talent Center(STC)โดยมีนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุนอาคารจัตรัสจามจุรี ชั้น 18ว่า การจัดตั้งศูนย์บุคลากรทักษะสูง เป็นความร่วมมือระหว่างบีโอไอและ5หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนยีแห่งชาติ (สวทช.) สํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)โดยได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู)ร่วมกัน เพื่อสนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์ดังกล่าว ซึ่งจะมีบทบาทในการช่วยขับเคลื่อนให้มีผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าสู่ภาคเอกชนมากขึ้น เพื่อรองรับนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ศูนย์STCจะเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาคเอกชน บุคลากรที่มีทักษะสูง สถาบันวิจัย/ สถาบันการศึกษา ตลอดจนประสานงานเรื่องการอํานวยความสะดวกเรื่องวีซ่า และใบอนุญาตทํางานให้แก่บุคคลที่มีทักษะสูงจากต่างประเทศ โดยจะช่วยให้บริษัททั้งไทยและต่างประเทศที่ดําเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทย สามารถเข้าถึงบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อดําเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การให้บริการของศูนย์STCจะครอบคลุม 3 ด้าน คือ 1.การแนะนําผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างชาติในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับภาคเอกชน โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลของหน่วยงานต่างๆในเครือข่ายซึ่งครอบคลุมนักวิจัยในภาครัฐ ผู้ได้รับทุนวิจัย นักเรียนทุนระดับปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2.การให้บริการรับรองผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ (Expertise Recognition) ในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่ออํานวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทํางาน โดยศูนย์STCจะส่งต่อข้อมูลและหลักฐานต่างๆ ของผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติที่บริษัทประสงค์จะนําเข้ามาทํางานในประเทศไทยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณารับรอง และ 3.การอํานวยความสะดวกวีซ่าและใบอนุญาตทํางาน โดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานในเครือของศูนย์STCจะได้รับการอํานวยความสะดวกเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทํางาน ทั้งในกรณีที่ทํางานในบริษัทที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน โดยศูนย์STCจะทํางานเชื่อมต่อกับระบบe-Expertของศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทํางาน (One Stop Service Center for Visa and Work Permit) ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน ตั้งอยู่ที่ ชั้น 18 อาคารจัตุรัสจามจุรี “ศูนย์STCนับเป็นบริการใหม่ของบีโอไอที่จะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่จําเป็นสําหรับการก้าวไปสู่เศรษฐกิจฐานความรู้” นางหิรัญญากล่าว ++++++++++++++++++++++++++
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอผนึกกำลัง 5 หน่วยงานรัฐ เปิดศูนย์บุคลากรทักษะสูง วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560 บีโอไอผนึกกําลัง 5 หน่วยงานรัฐ เปิดศูนย์บุคลากรทักษะสูง บีโอไอเปิดศูนย์บุคลากรทักษะสูง หรือ STC จับมือหน่วยงานรัฐลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อร่วมกันเชื่อมโยงฐานข้อมูล หวังดึงบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเข้าทํางานในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ภายใต้การขับเคลื่อน “ประเทศไทย 4.0” นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยภายในงานเปิด “ศูนย์บุคลากรทักษะสูง”หรือStrategic Talent Center(STC)โดยมีนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุนอาคารจัตรัสจามจุรี ชั้น 18ว่า การจัดตั้งศูนย์บุคลากรทักษะสูง เป็นความร่วมมือระหว่างบีโอไอและ5หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนยีแห่งชาติ (สวทช.) สํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)โดยได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู)ร่วมกัน เพื่อสนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์ดังกล่าว ซึ่งจะมีบทบาทในการช่วยขับเคลื่อนให้มีผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าสู่ภาคเอกชนมากขึ้น เพื่อรองรับนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ศูนย์STCจะเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาคเอกชน บุคลากรที่มีทักษะสูง สถาบันวิจัย/ สถาบันการศึกษา ตลอดจนประสานงานเรื่องการอํานวยความสะดวกเรื่องวีซ่า และใบอนุญาตทํางานให้แก่บุคคลที่มีทักษะสูงจากต่างประเทศ โดยจะช่วยให้บริษัททั้งไทยและต่างประเทศที่ดําเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทย สามารถเข้าถึงบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อดําเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การให้บริการของศูนย์STCจะครอบคลุม 3 ด้าน คือ 1.การแนะนําผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างชาติในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับภาคเอกชน โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลของหน่วยงานต่างๆในเครือข่ายซึ่งครอบคลุมนักวิจัยในภาครัฐ ผู้ได้รับทุนวิจัย นักเรียนทุนระดับปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2.การให้บริการรับรองผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ (Expertise Recognition) ในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่ออํานวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทํางาน โดยศูนย์STCจะส่งต่อข้อมูลและหลักฐานต่างๆ ของผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติที่บริษัทประสงค์จะนําเข้ามาทํางานในประเทศไทยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณารับรอง และ 3.การอํานวยความสะดวกวีซ่าและใบอนุญาตทํางาน โดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานในเครือของศูนย์STCจะได้รับการอํานวยความสะดวกเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทํางาน ทั้งในกรณีที่ทํางานในบริษัทที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน โดยศูนย์STCจะทํางานเชื่อมต่อกับระบบe-Expertของศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทํางาน (One Stop Service Center for Visa and Work Permit) ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน ตั้งอยู่ที่ ชั้น 18 อาคารจัตุรัสจามจุรี “ศูนย์STCนับเป็นบริการใหม่ของบีโอไอที่จะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่จําเป็นสําหรับการก้าวไปสู่เศรษฐกิจฐานความรู้” นางหิรัญญากล่าว ++++++++++++++++++++++++++
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4980
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“พาณิชย์”เผยการค้าชายแดน-ผ่านแดน 3 เดือนปี 63 เจอพิษโควิด-19 ฉุดยอดวูบ [กระทรวงพาณิชย์]
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2563 ​“พาณิชย์”เผยการค้าชายแดน-ผ่านแดน 3 เดือนปี 63 เจอพิษโควิด-19 ฉุดยอดวูบ [กระทรวงพาณิชย์] ​“พาณิชย์”เผยการค้าชายแดน-ผ่านแดน 3 เดือนปี 63 เจอพิษโควิด-19 ฉุดยอดวูบ กรมการค้าต่างประเทศเผยการค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยในช่วง 36 เดือนปี 63 มีมูลค่า 264,969 ล้านบาท ลดลง 7.64% เหตุได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําการค้าและการท่องเที่ยวชะงัก แถมไทยกับเพื่อนบ้านยังมีการปิดด่าน เปิดแค่ 25 จุดจาก 42 จุด ทําให้การค้าลดลง ระบุได้เดินหน้าแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่อเนื่อง ทั้งเจรจามาเลเซีย กัมพูชา เปิดด่านเพิ่ม และร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้เรื่องขนส่งผลไม้ไปจีน นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า สถิติการค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยในช่วง 3 เดือนของปี 2563 (ม.ค.–มี.ค.) มีมูลค่ารวม 264,969 ล้านบาท ลดลง 7.64% เป็นการส่งออก 187,564 ล้านบาท ลดลง 5.42% และการนําเข้า 77,405 ล้านบาท ลดลง 12.61% เกินดุลการค้า 110,159 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขยายวงกว้างไปในหลายๆ ประเทศ ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงไทยและเพื่อนบ้านที่ได้รับผลกระทบ ทั้งด้านการค้าและการท่องเที่ยว จากการปิดจุดผ่านแดนถาวรของไทยที่เดิมมี 42 จุดทั่วประเทศ เปิดเพียง 25 จุด ทําให้เหลือช่องทางในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านน้อยมาก มูลค่าการส่งออกเลยลดลงอย่างชัดเจน โดยในด้านการค้าชายแดน พบว่า มาเลเซียเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่ง มูลค่า 56,475 ล้านบาท ลดลง 27.78% เป็นการส่งออก 25,731 ล้านบาท ลดลง 27.17% นําเข้า 30,744 ล้านบาท ลดลง 28.28% รองลงมา คือ สปป.ลาว มูลค่า 42,680 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.43% กัมพูชา มูลค่า 48,339 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.01% และเมียนมา มูลค่า 48,167 ล้านบาท ลดลง 2.90% และด้านการค้าผ่านแดนไปยังจีนตอนใต้ หลังจากจีนเปิดประเทศจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 มีมูลค่าการค้าเพิ่มสูงถึง 28,626 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.88% เป็นการส่งออก 11,300ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.88% นําเข้า 17,327 ล้านบาท ลดลง 1.23% รองลงมา คือ สิงคโปร์ มูลค่า 19,701 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 14.41% และเวียดนาม มูลค่า 13,538 ล้านบาท ลดลง 27.86% นายกีรติกล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาการค้าชายแดนของไทยมาโดยตลอด โดยกับมาเลเซีย ได้ขอเจรจาเพื่อผลักดันให้มาเลเซียเปิดด่านเพิ่มเติม (ทุกสินค้า) ได้แก่ ด่านบ้านประกอบ จ.สงขลา และด่านปาดังเบซาร์ จ.สงขลา เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทยไปมาเลเซีย ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ด่านสะเดา มีความแออัดบริเวณหน้าด่านเป็นอย่างมาก ส่วนกับกัมพูชา ได้ผลักดันให้เปิดด่านบ้านผักกาด จ.จันทบุรี เพื่อใช้เป็นช่องทางในการนําเข้าและส่งออกสินค้าเกษตรระหว่างไทยกับกัมพูชา สําหรับสปป.ลาว ได้ประชาสัมพันธ์ระเบียบและแนวทางปฏิบัติระบบการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและผ่านแดนของ สปป.ลาว ให้ผู้ประกอบการไทยได้รับทราบข้อมูลในช่วงนี้ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเจรจาแก้ไขปัญหาและอํานวยความสะดวกขนส่งผ่านแดนไปจีนตอนใต้ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยได้เจรจากับกระทรวงศุลกากรจีน (GACC)โดยทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกําหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสําหรับการส่งออกและนําเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามเข้าสู่สาธารณประชาชนจีนแล้วอยู่ระหว่างรอการลงนามอย่างเป็นทางการ ซึ่งในทางปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.2563 ได้อนุญาตให้มีการนําเข้า-ส่งออกผลไม้สดในด่านฝั่งไทย เพิ่มจาก 2 ด่าน เป็น 5 ด่าน คือ ด่านเชียงของ ด่านมุกดาหาร ด่านนครพนม(เส้นทางR12) ด่านบึงกาฬ (เส้นทางR8) และด่านบ้านผักกาด (จันทบุรี เส้นทางR1) ส่วนด่านฝั่งจีนเพิ่มจาก 2 ด่านเป็น 4 ด่าน คือ ด่านโม่หาน ด่านโหย่วอี้กวน ด่านตงซิง และด่านรถไฟผิงเสียง ซึ่งคาดว่าจะทําให้การส่งออกผลไม้สดของไทยไปจีนตอนใต้น่าจะมีความสะดวกมากขึ้น >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“พาณิชย์”เผยการค้าชายแดน-ผ่านแดน 3 เดือนปี 63 เจอพิษโควิด-19 ฉุดยอดวูบ [กระทรวงพาณิชย์] วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2563 ​“พาณิชย์”เผยการค้าชายแดน-ผ่านแดน 3 เดือนปี 63 เจอพิษโควิด-19 ฉุดยอดวูบ [กระทรวงพาณิชย์] ​“พาณิชย์”เผยการค้าชายแดน-ผ่านแดน 3 เดือนปี 63 เจอพิษโควิด-19 ฉุดยอดวูบ กรมการค้าต่างประเทศเผยการค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยในช่วง 36 เดือนปี 63 มีมูลค่า 264,969 ล้านบาท ลดลง 7.64% เหตุได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําการค้าและการท่องเที่ยวชะงัก แถมไทยกับเพื่อนบ้านยังมีการปิดด่าน เปิดแค่ 25 จุดจาก 42 จุด ทําให้การค้าลดลง ระบุได้เดินหน้าแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่อเนื่อง ทั้งเจรจามาเลเซีย กัมพูชา เปิดด่านเพิ่ม และร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้เรื่องขนส่งผลไม้ไปจีน นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า สถิติการค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยในช่วง 3 เดือนของปี 2563 (ม.ค.–มี.ค.) มีมูลค่ารวม 264,969 ล้านบาท ลดลง 7.64% เป็นการส่งออก 187,564 ล้านบาท ลดลง 5.42% และการนําเข้า 77,405 ล้านบาท ลดลง 12.61% เกินดุลการค้า 110,159 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขยายวงกว้างไปในหลายๆ ประเทศ ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงไทยและเพื่อนบ้านที่ได้รับผลกระทบ ทั้งด้านการค้าและการท่องเที่ยว จากการปิดจุดผ่านแดนถาวรของไทยที่เดิมมี 42 จุดทั่วประเทศ เปิดเพียง 25 จุด ทําให้เหลือช่องทางในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านน้อยมาก มูลค่าการส่งออกเลยลดลงอย่างชัดเจน โดยในด้านการค้าชายแดน พบว่า มาเลเซียเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่ง มูลค่า 56,475 ล้านบาท ลดลง 27.78% เป็นการส่งออก 25,731 ล้านบาท ลดลง 27.17% นําเข้า 30,744 ล้านบาท ลดลง 28.28% รองลงมา คือ สปป.ลาว มูลค่า 42,680 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.43% กัมพูชา มูลค่า 48,339 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.01% และเมียนมา มูลค่า 48,167 ล้านบาท ลดลง 2.90% และด้านการค้าผ่านแดนไปยังจีนตอนใต้ หลังจากจีนเปิดประเทศจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 มีมูลค่าการค้าเพิ่มสูงถึง 28,626 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.88% เป็นการส่งออก 11,300ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.88% นําเข้า 17,327 ล้านบาท ลดลง 1.23% รองลงมา คือ สิงคโปร์ มูลค่า 19,701 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 14.41% และเวียดนาม มูลค่า 13,538 ล้านบาท ลดลง 27.86% นายกีรติกล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาการค้าชายแดนของไทยมาโดยตลอด โดยกับมาเลเซีย ได้ขอเจรจาเพื่อผลักดันให้มาเลเซียเปิดด่านเพิ่มเติม (ทุกสินค้า) ได้แก่ ด่านบ้านประกอบ จ.สงขลา และด่านปาดังเบซาร์ จ.สงขลา เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทยไปมาเลเซีย ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ด่านสะเดา มีความแออัดบริเวณหน้าด่านเป็นอย่างมาก ส่วนกับกัมพูชา ได้ผลักดันให้เปิดด่านบ้านผักกาด จ.จันทบุรี เพื่อใช้เป็นช่องทางในการนําเข้าและส่งออกสินค้าเกษตรระหว่างไทยกับกัมพูชา สําหรับสปป.ลาว ได้ประชาสัมพันธ์ระเบียบและแนวทางปฏิบัติระบบการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและผ่านแดนของ สปป.ลาว ให้ผู้ประกอบการไทยได้รับทราบข้อมูลในช่วงนี้ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเจรจาแก้ไขปัญหาและอํานวยความสะดวกขนส่งผ่านแดนไปจีนตอนใต้ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยได้เจรจากับกระทรวงศุลกากรจีน (GACC)โดยทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกําหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสําหรับการส่งออกและนําเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามเข้าสู่สาธารณประชาชนจีนแล้วอยู่ระหว่างรอการลงนามอย่างเป็นทางการ ซึ่งในทางปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.2563 ได้อนุญาตให้มีการนําเข้า-ส่งออกผลไม้สดในด่านฝั่งไทย เพิ่มจาก 2 ด่าน เป็น 5 ด่าน คือ ด่านเชียงของ ด่านมุกดาหาร ด่านนครพนม(เส้นทางR12) ด่านบึงกาฬ (เส้นทางR8) และด่านบ้านผักกาด (จันทบุรี เส้นทางR1) ส่วนด่านฝั่งจีนเพิ่มจาก 2 ด่านเป็น 4 ด่าน คือ ด่านโม่หาน ด่านโหย่วอี้กวน ด่านตงซิง และด่านรถไฟผิงเสียง ซึ่งคาดว่าจะทําให้การส่งออกผลไม้สดของไทยไปจีนตอนใต้น่าจะมีความสะดวกมากขึ้น >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30300