title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.ร่วมสร้างศิลปะมงคลเทิดคุณพระแม่โพสพ มิ่งขวัญแห่งภาคเกษตรกรรม สร้างขวัญกำลังใจแก่ชาวนา
|
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2561
ธ.ก.ส.ร่วมสร้างศิลปะมงคลเทิดคุณพระแม่โพสพ มิ่งขวัญแห่งภาคเกษตรกรรม สร้างขวัญกําลังใจแก่ชาวนา
ธ.ก.ส.ร่วมกับไร่เชิญตะวันและเรือนศิลป์แสนขัติยรัตน์ เทิดคุณพระแม่โพสพ ผ่านผลงานศิลปะอันล้ําค่า “โพสพาญชลี” เทวนารีแห่งภาคเกษตรกรรม โดยนํารายได้สมทบทุนสร้างโรงเรียนชาวนาและการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดาร
ธ.ก.ส.ร่วมกับไร่เชิญตะวันและเรือนศิลป์แสนขัติยรัตน์ เทิดคุณพระแม่โพสพ ผ่านผลงานศิลปะอันล้ําค่า “โพสพาญชลี” เทวนารีแห่งภาคเกษตรกรรม ที่เป็นศูนย์รวมแห่งพลังศรัทธาและผู้สร้างอาหารหล่อเลี้ยงผู้คน สร้างขวัญกําลังใจให้กับชาวนาไทย โดยนํารายได้สมทบทุนสร้างโรงเรียนชาวนาและการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดาร
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่าในโอกาสครบรอบ 52 ปี ธ.ก.ส. ร่วมกับไร่เชิญตะวันและเรือนศิลป์แสนขัติยรัตน์ จัดทําเหรียญศิลปะมงคล เพื่อเป็นการเทิดคุณพระแม่โพสพ และสร้างขวัญกําลังใจแก่ชาวนาซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารหล่อเลี้ยงผู้คน โดยได้รับความอนุเคราะห์จากรองศาสตราจารย์ ดร.สุวัฒน์ แสนขัติยรัตน์ เป็นผู้รังสรรค์ผลงานศิลปะอันงดงามล้ําค่า เพื่อถ่ายทอดให้เห็นถึงพลังแห่งความเชื่อ ความศรัทธา ของประชาชนชาวไทยรวมถึงชาวอุษาคเนย์ ที่มีต่อพระแม่โพสพ เทพผู้ดลบันดาลความอุดมสมบูรณ์ ผู้ผลิตธัญญาหารหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนทั้งโลก ถือเป็นมิ่งขวัญและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนาและผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมาช้านาน โดยจัดทําเป็นผลงานจิตกรรมและประติมากรรมต้นแบบ “เมล็ดข้าว” สร้างด้วยวัสดุทองแดงสูง 3.5 เมตร เพื่อนําไปจัดแสดง ณ ศูนย์เรียนรู้การเกษตรในพระดําริพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ “ซแรย์ อทิตยา” ต.เทนมีย์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ รวมถึงการจัดทําเหรียญที่ระลึกพระแม่โพสพ ทั้งประเภทเหรียญทองคํา เหรียญเงิน เหรียญทองแดงรมดํา เหรียญเงินพร้อมเข็มกลัดเงิน และเหรียญทองแดงพร้อมเข็มกลัดทองแดง โดยท่านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ได้กรุณาตั้งชื่อว่า “โพสพาญชลี” อันเป็นการน้อมกราบสักการะพระแม่โพสพผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่
เหรียญดังกล่าวนอกจากมีความงดงามและมีคุณค่าทางศิลปะแล้ว ทุกเหรียญยังผ่านพิธีพุทธาภิเษกและเทวาภิเษกเพื่อความเป็นสิริมงคล และเป็นการสร้างขวัญกําลังใจแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของ โดยรายได้จากการจําหน่ายเหรียญ จะนําไปเป็นทุนสนับสนุนการดําเนินงานโรงเรียนชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์ เพื่อต่อยอดและพัฒนาความรู้แก่ชาวนาในการผลิตอาหารแบบเกษตรอินทรีย์ และการจัดสร้างที่พักผู้มาปฏิบัติธรรม ณ ไร่เชิญตะวัน จ.เชียงราย ตลอดจนนําไปจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์มอบให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดาร รวมถึงผู้ป่วยติดเตียงที่ยากไร้ในชนบท ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสั่งจองเหรียญได้ที่ สมาคมสโมสรพนักงาน ธ.ก.ส. ชั้น 6 อาคารโพเดียม ธ.ก.ส.สํานักงานใหญ่ บางเขน โทร. 0-2558-6555 ต่อ 8950 – 8953 หรือทาง www.baacclub.me ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 พฤศจิกายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.ร่วมสร้างศิลปะมงคลเทิดคุณพระแม่โพสพ มิ่งขวัญแห่งภาคเกษตรกรรม สร้างขวัญกำลังใจแก่ชาวนา
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2561
ธ.ก.ส.ร่วมสร้างศิลปะมงคลเทิดคุณพระแม่โพสพ มิ่งขวัญแห่งภาคเกษตรกรรม สร้างขวัญกําลังใจแก่ชาวนา
ธ.ก.ส.ร่วมกับไร่เชิญตะวันและเรือนศิลป์แสนขัติยรัตน์ เทิดคุณพระแม่โพสพ ผ่านผลงานศิลปะอันล้ําค่า “โพสพาญชลี” เทวนารีแห่งภาคเกษตรกรรม โดยนํารายได้สมทบทุนสร้างโรงเรียนชาวนาและการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดาร
ธ.ก.ส.ร่วมกับไร่เชิญตะวันและเรือนศิลป์แสนขัติยรัตน์ เทิดคุณพระแม่โพสพ ผ่านผลงานศิลปะอันล้ําค่า “โพสพาญชลี” เทวนารีแห่งภาคเกษตรกรรม ที่เป็นศูนย์รวมแห่งพลังศรัทธาและผู้สร้างอาหารหล่อเลี้ยงผู้คน สร้างขวัญกําลังใจให้กับชาวนาไทย โดยนํารายได้สมทบทุนสร้างโรงเรียนชาวนาและการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดาร
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่าในโอกาสครบรอบ 52 ปี ธ.ก.ส. ร่วมกับไร่เชิญตะวันและเรือนศิลป์แสนขัติยรัตน์ จัดทําเหรียญศิลปะมงคล เพื่อเป็นการเทิดคุณพระแม่โพสพ และสร้างขวัญกําลังใจแก่ชาวนาซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารหล่อเลี้ยงผู้คน โดยได้รับความอนุเคราะห์จากรองศาสตราจารย์ ดร.สุวัฒน์ แสนขัติยรัตน์ เป็นผู้รังสรรค์ผลงานศิลปะอันงดงามล้ําค่า เพื่อถ่ายทอดให้เห็นถึงพลังแห่งความเชื่อ ความศรัทธา ของประชาชนชาวไทยรวมถึงชาวอุษาคเนย์ ที่มีต่อพระแม่โพสพ เทพผู้ดลบันดาลความอุดมสมบูรณ์ ผู้ผลิตธัญญาหารหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนทั้งโลก ถือเป็นมิ่งขวัญและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนาและผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมาช้านาน โดยจัดทําเป็นผลงานจิตกรรมและประติมากรรมต้นแบบ “เมล็ดข้าว” สร้างด้วยวัสดุทองแดงสูง 3.5 เมตร เพื่อนําไปจัดแสดง ณ ศูนย์เรียนรู้การเกษตรในพระดําริพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ “ซแรย์ อทิตยา” ต.เทนมีย์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ รวมถึงการจัดทําเหรียญที่ระลึกพระแม่โพสพ ทั้งประเภทเหรียญทองคํา เหรียญเงิน เหรียญทองแดงรมดํา เหรียญเงินพร้อมเข็มกลัดเงิน และเหรียญทองแดงพร้อมเข็มกลัดทองแดง โดยท่านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ได้กรุณาตั้งชื่อว่า “โพสพาญชลี” อันเป็นการน้อมกราบสักการะพระแม่โพสพผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่
เหรียญดังกล่าวนอกจากมีความงดงามและมีคุณค่าทางศิลปะแล้ว ทุกเหรียญยังผ่านพิธีพุทธาภิเษกและเทวาภิเษกเพื่อความเป็นสิริมงคล และเป็นการสร้างขวัญกําลังใจแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของ โดยรายได้จากการจําหน่ายเหรียญ จะนําไปเป็นทุนสนับสนุนการดําเนินงานโรงเรียนชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์ เพื่อต่อยอดและพัฒนาความรู้แก่ชาวนาในการผลิตอาหารแบบเกษตรอินทรีย์ และการจัดสร้างที่พักผู้มาปฏิบัติธรรม ณ ไร่เชิญตะวัน จ.เชียงราย ตลอดจนนําไปจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์มอบให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดาร รวมถึงผู้ป่วยติดเตียงที่ยากไร้ในชนบท ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสั่งจองเหรียญได้ที่ สมาคมสโมสรพนักงาน ธ.ก.ส. ชั้น 6 อาคารโพเดียม ธ.ก.ส.สํานักงานใหญ่ บางเขน โทร. 0-2558-6555 ต่อ 8950 – 8953 หรือทาง www.baacclub.me ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 พฤศจิกายน 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17070
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเห็นชอบลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
|
วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562
รัฐบาลเห็นชอบลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
วันอังคารที่ 10 ธันวาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบร่างกฎหมายลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยลดภาษีร้อยละ 50 สําหรับเจ้าของที่ดินที่เป็นบุคคลธรรมดาได้มาจากมรดก ใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ที่จดทะเบียนสิทธิ/นิติกรรมก่อน 13 มี.ค. 62 หรือเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าหรือใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้า และลดภาษีร้อยละ 90 สําหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างบางประเภท เช่น ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นอสังหาริมทรัพย์รอการขายของสถาบันการเงิน ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ที่ใช้ในกิจการของสถาบันอุดมศึกษา เป็นต้น โดยการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวนี้ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2563 เป็นต้นไป
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเห็นชอบลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562
รัฐบาลเห็นชอบลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
วันอังคารที่ 10 ธันวาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบร่างกฎหมายลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยลดภาษีร้อยละ 50 สําหรับเจ้าของที่ดินที่เป็นบุคคลธรรมดาได้มาจากมรดก ใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ที่จดทะเบียนสิทธิ/นิติกรรมก่อน 13 มี.ค. 62 หรือเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าหรือใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้า และลดภาษีร้อยละ 90 สําหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างบางประเภท เช่น ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นอสังหาริมทรัพย์รอการขายของสถาบันการเงิน ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ที่ใช้ในกิจการของสถาบันอุดมศึกษา เป็นต้น โดยการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวนี้ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2563 เป็นต้นไป
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25135
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย จะต้องมีใบรับรองแพทย์ จริงหรือไม่ ??
|
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563
ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย จะต้องมีใบรับรองแพทย์ จริงหรือไม่ ??
จะเข้าประเทศไทยต้องใช้ใบรับรองแพทย์จริงหรือ ?
Q: ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย จะต้องมีใบรับรองแพทย์ จริงหรือไม่ ??
A: จริง โดยสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศแนวทางปฏิบัติของผู้ที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทย ดังนี้
ชาวต่างชาติ ต้องมีเอกสารไปแสดงที่จุดเช็คอิน ดังนี้
- ใบรับรองแพทย์ ที่ออกให้ก่อนการเดินทางไม่เกิน 72 ชม. โดยแพทย์ยืนยันว่าตรวจแล้วไม่พบเชื้อโควิด-19
- มีการทําประกันคุ้มครองการรักษาในประเทศไทย ที่ครอบคลุมไวรัสโควิด-19 เป็นจํานวนไม่น้อยกว่า 1 แสนเหรียญสหรัฐฯ
ชาวไทย ต้องมีเอกสารไปแสดงที่จุดเช็คอิน ดังนี้
- ใบรับรองแพทย์ ที่ยืนยันว่ามีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทาง
- หนังสือรับรองการเดินทางกลับประเทศไทย ที่ออกให้โดยสถานทูต สถานกงสุลใหญ่ หรือกระทรวงการต่างประเทศ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย จะต้องมีใบรับรองแพทย์ จริงหรือไม่ ??
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563
ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย จะต้องมีใบรับรองแพทย์ จริงหรือไม่ ??
จะเข้าประเทศไทยต้องใช้ใบรับรองแพทย์จริงหรือ ?
Q: ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย จะต้องมีใบรับรองแพทย์ จริงหรือไม่ ??
A: จริง โดยสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศแนวทางปฏิบัติของผู้ที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทย ดังนี้
ชาวต่างชาติ ต้องมีเอกสารไปแสดงที่จุดเช็คอิน ดังนี้
- ใบรับรองแพทย์ ที่ออกให้ก่อนการเดินทางไม่เกิน 72 ชม. โดยแพทย์ยืนยันว่าตรวจแล้วไม่พบเชื้อโควิด-19
- มีการทําประกันคุ้มครองการรักษาในประเทศไทย ที่ครอบคลุมไวรัสโควิด-19 เป็นจํานวนไม่น้อยกว่า 1 แสนเหรียญสหรัฐฯ
ชาวไทย ต้องมีเอกสารไปแสดงที่จุดเช็คอิน ดังนี้
- ใบรับรองแพทย์ ที่ยืนยันว่ามีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทาง
- หนังสือรับรองการเดินทางกลับประเทศไทย ที่ออกให้โดยสถานทูต สถานกงสุลใหญ่ หรือกระทรวงการต่างประเทศ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27608
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมเพื่อพิจารณาร่างรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ปี 2562
|
วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562
พม. จัดประชุมเพื่อพิจารณาร่างรายงานผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ปี 2562
พม. จัดประชุมเพื่อพิจารณาร่างรายงานผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ปี 2562
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 62 เวลา 14.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการกํากับและติดตามการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 2/2562 เพื่อพิจารณาร่างรายงานผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจําปี 2562 โดยมี นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ อาทิ กระทรวงยุติธรรม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานอัยการสูงสุด สํานักงานศาลยุติธรรม กระทรวงแรงงาน และผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน 60 คน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายจุติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบร่างรายงานผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจําปี 2562 เรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนของกระทรวง พม. มีผลการดําเนินงานที่สําคัญในการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ เช่น ผู้เสียหาย จํานวน 1,537 ราย เลือกเข้ารับการคุ้มครองในสถานคุ้มครองของกระทรวง พม. จํานวน 1,463 ราย และอยู่ในสถานคุ้มครองเอกชน จํานวน 74 ราย การเพิ่มช่องทางเข้าถึงบริการและสร้างรายได้ของผู้เสียหายผ่าน Mobile Application "Protect-U" การสร้างทางเลือกให้ผู้เสียหายได้รับการคุ้มครองในสถานคุ้มครองเอกชนการจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้ผู้เสียหายเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ จากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จํานวน 9.2 ล้านบาท และการพัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานในการดูแลผู้เสียหายที่มีบาดแผลทางจิตใจ เป็นต้น
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. จะนําร่างรายงานดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ให้ความเห็นชอบ ก่อนนํากราบเรียนนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) เพื่อโปรดพิจารณาต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมเพื่อพิจารณาร่างรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ปี 2562
วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562
พม. จัดประชุมเพื่อพิจารณาร่างรายงานผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ปี 2562
พม. จัดประชุมเพื่อพิจารณาร่างรายงานผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ปี 2562
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 62 เวลา 14.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการกํากับและติดตามการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 2/2562 เพื่อพิจารณาร่างรายงานผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจําปี 2562 โดยมี นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ อาทิ กระทรวงยุติธรรม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานอัยการสูงสุด สํานักงานศาลยุติธรรม กระทรวงแรงงาน และผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน 60 คน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายจุติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบร่างรายงานผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจําปี 2562 เรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนของกระทรวง พม. มีผลการดําเนินงานที่สําคัญในการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ เช่น ผู้เสียหาย จํานวน 1,537 ราย เลือกเข้ารับการคุ้มครองในสถานคุ้มครองของกระทรวง พม. จํานวน 1,463 ราย และอยู่ในสถานคุ้มครองเอกชน จํานวน 74 ราย การเพิ่มช่องทางเข้าถึงบริการและสร้างรายได้ของผู้เสียหายผ่าน Mobile Application "Protect-U" การสร้างทางเลือกให้ผู้เสียหายได้รับการคุ้มครองในสถานคุ้มครองเอกชนการจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้ผู้เสียหายเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ จากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จํานวน 9.2 ล้านบาท และการพัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานในการดูแลผู้เสียหายที่มีบาดแผลทางจิตใจ เป็นต้น
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. จะนําร่างรายงานดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ให้ความเห็นชอบ ก่อนนํากราบเรียนนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) เพื่อโปรดพิจารณาต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25055
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การพบปะนักลงทุน (Roadshow) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561
การพบปะนักลงทุน (Roadshow) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมกิจกรรมพบปะนักลงทุนต่างชาติ ที่จัดโดยบริษัท CLSA Pte Ltd. ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 เพื่อนําเสนอข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยและการลงทุน
นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมกิจกรรมพบปะนักลงทุนต่างชาติ ที่จัดโดยบริษัท CLSA Pte Ltd. ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 เพื่อนําเสนอข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยและการลงทุน พร้อมตอบข้อซักถามของนักลงทุนต่างชาติ อันจะเป็นการส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและสิงคโปร์ รวมถึงดึงดูดการลงทุนของนักธุรกิจสิงคโปร์มาสู่ไทย
กิจกรรมพบปะนักลงทุนดังกล่าวแบ่งออกเป็น 5 ช่วง สําหรับการพบปะนักลงทุนทั้งหมด 5 กลุ่ม รวม 20 ราย โดยเป็นนักลงทุนจาก 1) บริษัท Daiwa Asset Management 2) บริษัท UBS 3) บริษัท Saga Tree Capital 4) บริษัท Franklin Templeton Investments 5) บริษัท Amundi 6) บริษัท Daiwa SB Investment Singapore 7) บริษัท CLSA และ 8) บริษัท Credit Suisse
นายสุวิชญฯ ได้นําเสนอถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเศรษฐกิจสามารถขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2561 เศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ร้อยละ 4.9 และ 4.6 ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ตามลําดับ โดยมีแรงสนับสนุนสําคัญจากการส่งออกทั้งสินค้าและบริการ รวมทั้งเริ่มมีสัญญาณการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนและรายได้เกษตรกรขยายตัวได้ดี พร้อมทั้งมีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมสูง ในขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง มีอัตราการว่างงานต่ํา หนี้สาธารณะอยู่ในกรอบที่กําหนด และมีเงินทุนสํารองระหว่างประเทศที่เพียงพอ จึงทําให้สํานักงานเศรษฐกิจการคลังคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2561 จะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 4.5 (ประมาณการ ณ เดือนกรกฎาคม 2561)
นอกจากนี้ ยังได้มีการนําเสนอนโยบายสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สําคัญของรัฐบาล เช่น 1) ยุทธศาสตร์ National e-Payment เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของไทยให้สอดรับกับเศรษฐกิจยุคดิจิทัล 2) แผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญ เพื่อยกระดับศักยภาพการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทย 3) นโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) เพื่อกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตซึ่งจะช่วยจุดประกายการเติบโตเศรษฐกิจรอบใหม่ 4) มาตรการส่งเสริมการร่วมลงทุนที่สําคัญ เช่น PPP Fast Track และ Thailand Future Fund รวมถึง 5) โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและลดความเหลื่อมล้ําในสังคม 6) การประมูลพันธบัตรรัฐบาลในช่วงเดือนกันยายน และ 7) พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งช่วยรักษาเสถียรภาพและความยั่งยืนทางการคลัง
นักลงทุนได้ให้ความสนใจในหลายประเด็น ทั้งสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ ได้แก่ การฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน ระดับหนี้ครัวเรือนกับผลกระทบต่อการบริโภค ภาคการท่องเที่ยวและการพึ่งพานักท่องเที่ยวจากจีน ราคาอสังหาริมทรัพย์ และสภาวะเศรษฐกิจภายนอกซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย ได้แก่ ผลกระทบจากสงครามการค้า และผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ นอกจากนี้ นักลงทุนยังให้ความสนใจต่อนโยบายของรัฐบาลโดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคายที่จะเชื่อมโยงไทยเข้ากับยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI) ของจีน ความต่อเนื่องของการพัฒนา EEC ในอนาคต ความถี่ของการทําธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ และรูปแบบการเก็บภาษีธุรกิจ e-Commerce ที่มีลักษณะข้ามพรมแดนมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมาตรการรับมือสังคมผู้สูงอายุของไทยก็เป็นประเด็นด้านความท้าทายที่นักลงทุนให้ความสําคัญเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมองว่า ไทยควรหามาตรการสร้างกระจายรายได้เข้าไปในพื้นที่ชนบทขณะเดียวกันไทยควรปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความหลากหลายเพื่อลดการพึ่งพาบางภาคส่วนมากจนเกินไป ได้แก่ การท่องเที่ยว โดยได้ยกตัวอย่างกรณีของสาธาณรัฐสิงคโปร์ว่าสามารถหันมาพึ่งพาความต้องการภายในประเทศให้มากขึ้น โดยพัฒนาอุตสาหกรรมด้านชีวเคมี หุ่นยนต์ และ FinTech เพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่าสถานการณ์การย้ายฐานการผลิตของจีนมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นโอกาสทางธุรกิจของไทยเนื่องจากไทยมีโครงสร้างพื้นฐานและระบบ โลจิสติกส์ที่พร้อมกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร 0 2273 9020 ต่อ 3253
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การพบปะนักลงทุน (Roadshow) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561
การพบปะนักลงทุน (Roadshow) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมกิจกรรมพบปะนักลงทุนต่างชาติ ที่จัดโดยบริษัท CLSA Pte Ltd. ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 เพื่อนําเสนอข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยและการลงทุน
นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมกิจกรรมพบปะนักลงทุนต่างชาติ ที่จัดโดยบริษัท CLSA Pte Ltd. ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 เพื่อนําเสนอข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยและการลงทุน พร้อมตอบข้อซักถามของนักลงทุนต่างชาติ อันจะเป็นการส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและสิงคโปร์ รวมถึงดึงดูดการลงทุนของนักธุรกิจสิงคโปร์มาสู่ไทย
กิจกรรมพบปะนักลงทุนดังกล่าวแบ่งออกเป็น 5 ช่วง สําหรับการพบปะนักลงทุนทั้งหมด 5 กลุ่ม รวม 20 ราย โดยเป็นนักลงทุนจาก 1) บริษัท Daiwa Asset Management 2) บริษัท UBS 3) บริษัท Saga Tree Capital 4) บริษัท Franklin Templeton Investments 5) บริษัท Amundi 6) บริษัท Daiwa SB Investment Singapore 7) บริษัท CLSA และ 8) บริษัท Credit Suisse
นายสุวิชญฯ ได้นําเสนอถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเศรษฐกิจสามารถขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2561 เศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ร้อยละ 4.9 และ 4.6 ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ตามลําดับ โดยมีแรงสนับสนุนสําคัญจากการส่งออกทั้งสินค้าและบริการ รวมทั้งเริ่มมีสัญญาณการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนและรายได้เกษตรกรขยายตัวได้ดี พร้อมทั้งมีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมสูง ในขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง มีอัตราการว่างงานต่ํา หนี้สาธารณะอยู่ในกรอบที่กําหนด และมีเงินทุนสํารองระหว่างประเทศที่เพียงพอ จึงทําให้สํานักงานเศรษฐกิจการคลังคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2561 จะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 4.5 (ประมาณการ ณ เดือนกรกฎาคม 2561)
นอกจากนี้ ยังได้มีการนําเสนอนโยบายสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สําคัญของรัฐบาล เช่น 1) ยุทธศาสตร์ National e-Payment เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของไทยให้สอดรับกับเศรษฐกิจยุคดิจิทัล 2) แผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญ เพื่อยกระดับศักยภาพการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทย 3) นโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) เพื่อกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตซึ่งจะช่วยจุดประกายการเติบโตเศรษฐกิจรอบใหม่ 4) มาตรการส่งเสริมการร่วมลงทุนที่สําคัญ เช่น PPP Fast Track และ Thailand Future Fund รวมถึง 5) โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและลดความเหลื่อมล้ําในสังคม 6) การประมูลพันธบัตรรัฐบาลในช่วงเดือนกันยายน และ 7) พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งช่วยรักษาเสถียรภาพและความยั่งยืนทางการคลัง
นักลงทุนได้ให้ความสนใจในหลายประเด็น ทั้งสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ ได้แก่ การฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน ระดับหนี้ครัวเรือนกับผลกระทบต่อการบริโภค ภาคการท่องเที่ยวและการพึ่งพานักท่องเที่ยวจากจีน ราคาอสังหาริมทรัพย์ และสภาวะเศรษฐกิจภายนอกซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย ได้แก่ ผลกระทบจากสงครามการค้า และผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ นอกจากนี้ นักลงทุนยังให้ความสนใจต่อนโยบายของรัฐบาลโดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคายที่จะเชื่อมโยงไทยเข้ากับยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI) ของจีน ความต่อเนื่องของการพัฒนา EEC ในอนาคต ความถี่ของการทําธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ และรูปแบบการเก็บภาษีธุรกิจ e-Commerce ที่มีลักษณะข้ามพรมแดนมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมาตรการรับมือสังคมผู้สูงอายุของไทยก็เป็นประเด็นด้านความท้าทายที่นักลงทุนให้ความสําคัญเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมองว่า ไทยควรหามาตรการสร้างกระจายรายได้เข้าไปในพื้นที่ชนบทขณะเดียวกันไทยควรปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความหลากหลายเพื่อลดการพึ่งพาบางภาคส่วนมากจนเกินไป ได้แก่ การท่องเที่ยว โดยได้ยกตัวอย่างกรณีของสาธาณรัฐสิงคโปร์ว่าสามารถหันมาพึ่งพาความต้องการภายในประเทศให้มากขึ้น โดยพัฒนาอุตสาหกรรมด้านชีวเคมี หุ่นยนต์ และ FinTech เพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่าสถานการณ์การย้ายฐานการผลิตของจีนมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นโอกาสทางธุรกิจของไทยเนื่องจากไทยมีโครงสร้างพื้นฐานและระบบ โลจิสติกส์ที่พร้อมกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร 0 2273 9020 ต่อ 3253
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15203
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ ประชุมหารือกับสมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ดำเนินงานขับเคลื่อนนโยบายของประเทศและกระทรวง อว.
|
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563
ดร.สุวิทย์ ประชุมหารือกับสมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ดําเนินงานขับเคลื่อนนโยบายของประเทศและกระทรวง อว.
ดร.สุวิทย์ ประชุมหารือกับสมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ดําเนินงานขับเคลื่อนนโยบายของประเทศและกระทรวง อว.
(4 มิถุนายน 2563) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) เป็นประธานการประชุมหารือกับสมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ (สคทส.) โดยมี นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ, นายปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองปลัดกระทรวงกระทรวงการอุดมศึกษาฯ, ดร.อรสา ภาววิมล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา และผู้บริหารสมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้าร่วมประชุมและร่วมงานผ่านทางระบบออนไลน์ ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร ชั้น 3 อาคารอุดมศึกษา 1 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) (ศรีอยุธยา)
รศ.พีระพงศ์ ทีฆสกุลกล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์การจัดประชุมในครั้งนี้ว่า สมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นการรวมตัวกันเพื่อดําเนินงานขับเคลื่อนนโยบายของประเทศและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประเด็นแรกทางสมาคมฯ คิดเห็นว่าจะร่วมดึงบริษัทที่ดีที่สุดของโลกในด้านไอทีให้มาร่วมลงทุนเพิ่มขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทําก็คือเรื่องของคนที่ต้องเตรียมความพร้อมโดยเฉพาะเรื่องของการ Re-skill, Up-Skill, และ New-skill เรื่องที่สองก็คือ Big Data ซึ่งตอนนี้กําลังดําเนินการอยู่ ในส่วนที่สามเรื่องของนโยบายทางด้าน ววน. เรื่องที่สี่เป็นเรื่องของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และเรื่องสุดท้ายคือ บัณฑิตศึกษาที่เน้นการพัฒนาบุคลากรทางด้านอุสาหกรรม
ดร.สุวิทย์ รมว.อว.กล่าวว่า ในครั้งนี้ถือว่าเรื่องของ ICT, Digital หรือเรื่องของ Data Economy นั้นเป็นเรื่องที่มีความสําคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกหลังโควิด เพราะฉะนั้นวันนี้จึงอยากหารือกับทางสมาคมฯ ว่ามีความคิดอ่านในเรื่องเหล่านี้อย่างไร พร้อมกันนั้นโจทย์ของรัฐบาลหรือประเทศ อยากจะให้พวกเราผนึกกําลังกันดําเนินงานให้เกิดเป็นรูปธรรมมากขึ้น และเมื่อโลกเข้าสู่ 5G จะเกิดการ Reinvention ของแต่ละส่วน เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นพลังของพวกเราที่มีความสําคัญที่จะช่วยเปลี่ยนผ่านในเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและในเวลาที่รวดเร็วได้อย่างไร
ซึ่งโจทย์มีทั้งในด้านยุทธศาสตร์และโจทย์ในระยะสั้นด้วย อย่างที่ทราบกันดีว่าโลกในอนาคตเรื่องของ IT, Digital เป็นเรื่องที่มีความสําคัญและเรื่องต่าง ๆ ที่เรากําลังจะดําเนินการขับเคลื่อนอยู่ต้องใช้งบประมาณซึ่งมีอยู่จํากัด และจะมีการพิจารณาในเรื่องการใช้งบประมาณเงินกู้ 4 แสนล้าน บางส่วนจะเป็นเรื่องของยุวชนสร้างชาติ และเป็นเรื่องของสมาคมฯ ที่ต้องมาร่วมกันตั้งโจทย์ Re-skill, Up-Skill, และ New-skill ให้กับนักศึกษา บัณฑิต หรือคนไทยอย่างรวดเร็ว เป็นรูปธรรมภายใต้ concept ที่เรียกว่า Job Creation, Transformation นั้นได้อย่างไร
ด้านรศ.ดร.รัตติกร วรากูลศิริพันธุ์ นายกสมาคมฯกล่าวว่า สมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศมีสมาชิกทั้งหมด 21 สถาบัน เป็นสถาบันของรัฐ 13 แห่ง และเอกชน 8 แห่ง ซึ่งทางสมาคมฯ พยายามดูว่ามีโจทย์อะไรบ้างที่สามารถร่วมมือกัน ให้การสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ที่ทางกระทรวง อว. มีนโยบายที่จะให้เกิดขึ้น อาทิ Job Creation, Re-skill, Up-skill, New-skill เรื่องของ Smart Health หรือการใช้ AI ในเรื่องของอุตสาหกรรม การต่อยอด Innovation ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นเรื่องที่ทางสมาคมฯ ICT สามารถเข้าไปผลิตบัณฑิต หรือทํางานวิจัยทางด้านนวัตกรรม สร้างเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมที่เป็นการรองรับในภาคต่าง ๆ ได้
โดยจะเสนอโครงการทั้งหมด 3 วาระ ดังนี้
1. สคทส. เสนอหลักสูตรพัฒนาบุคลากรเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
1.1 โครการ Up-Skill, Re-skill ให้กับครูสอนหมวดวิชา ด้าน Computing Science ระดับมัธยมปลาย ทั่วประเทศ
ปัญหาการเรียนการสอน ด้าน Computing Science เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการกําหนดให้มีการเรียนการสอน ในด้านวิทยาการคํานวณ (Computing Science) ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6 ซึ่งเป็นแนวคิดให้นักเรียน มีทักษะในการคิดเชิงตรรกะ และสมารถเขียนโปรแกรม (Coding) อย่างไรก็ตาม การเขียนโปรแกรมนั้นต้องอาศัยผู้ที่ต้องมีประสบการณ์ในการปฏิบัติจริง และมีความเชี่ยวชาญ จึงจะทําให้การเรียนการสอนบรรลุเป้าหมาย แต่เนื่องจากครูโรงเรียนไม่ได้มีประสบการณ์ด้านนี้โดยตรง จึงทําให้การเรียนการสอนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขาดแคลนครูผู้ที่จะสามารถสอนในวิชาเหล่านี้ได้
1.2 โครงการหลักสูตร Cooperative and Work Integration Education (CWIE) ร่วมกับภาคอุตสาหกรรม
จากการประชุมอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง EEC Model (ครั้งที่ 1/2563) ความร่วมมือระหว่าง สกพอ. กับ สป.อว. (1) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรตามแนวทาง Demand Driven โดยบูรณาการ EEC Model และ CWIE ให้ได้ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ (2) กําหนดแนวทางเพื่อสนับสนุนสถานศึกษา และให้สิทธิประโยชน์แก่เอกชนที่ร่วมผลิตบัณฑิตเพื่อเป็นการจูงใจเป็นพิเศษ (3) เร่งขยายจํานวนหลักสูตร CWIE ตามแนวทาง EEC Model Type A เพื่อรองรับความต้องการ EEC ให้ได้ 100,000 คน ภายในระยะเวลา 5 ปีี
ซึ่งสมาชิก สคทส. ที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาและบริหารหลักสูตรรูปแบบ CWIE และที่สอดคล้องกับ EEC model ยินดีให้แลกเปลี่ยนและให้คําแนะนํา โดยเฉพาะกับสถาบันการศึกษาที่ต้องการพัฒนาหลักสูตรเพื่ออุตสาหกรรมดิจิทัล
แนวทางเบื้องต้นในการสนับสนุนสถานศึกษา
- สิทธิในการกู้กองทุน กยศ. เฉพาะสําหรับกลุ่มนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรรูปแบบนี้
- โครงการบัณฑิตพันธ์ใหม่ ที่ให้เฉพาะกับหลักสูตรเรียนในหลักสูตรรูปแบบนี้
1.3 โครงการ Up-Skill, Re-skill ในรูปของ Non-degree program ด้าน Data Science and Analytics
การพัฒนาทักษะทางด้าน Data Analytics และ Big Data ในยุคดิจิทัล แนวคิดและจุดประสงค์ในการออกแบบหลักสูตรประกาศนียบัตร
- แนวคิดของหลักสูตรเกิดจากแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยมีวิสัยทัศน์ต้องการปฏิรูปประเทศไทยสู่ดิจิทัลไทยแลนด์ (Digital Thailand) เพื่อให้ประเทศใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มศักยภาพ
- เตรียมความพร้อมด้านบุคลากรให้มีความรู้และทักษะทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูล และ Big Data ในยุคดิจิทัลเพื่อสามารถประกอบอาชีพในยุคดิจิทัล 4.0 นี้ได้
- หลักสูตรระยะสั้นนี้ออกแบบขึ้นเพื่อผู้ที่กําลังทํางานในองค์กรต่าง ๆ หรือนิสิต/ นักศึกษา ที่สนใจเพิ่มพูนสมรรถนะในการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) วิศวกรรมข้อมูล (Data Engineering) การเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) และการแสดงข้อมูลเชิงภาพ (Data Visualization)
1.4 โครงการหลักสูตรบูรณาการ แพทย์ศาสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ
1. ยอมรับวิชาที่สอน Online จากมหาวิทยาลัยชั้นนําของโลก เรียนได้ทุกเวลาไม่ต้องสอนเองทั้งหมด
2. สามารถใช้ Competency base evaluations and assessments โดยไม่ต้องเรียนเป็นเทอม
3. ยอมรับ Medical application or project ที่ใช้งานได้จริงแทนการตีพิมพ์
4. รับรองการเรียนการสอนแบบผสมผสานระหว่างอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรรัฐและเอกชน
5. นโยบายกระทรวง อว. ทันสมัย ทางบัณฑิตวิทยาลัยก็พยายามปรับแต่กฎระเบียบต่าง ๆ โดยเฉพาะ CHECO ยังเป็นปัญหา
6. สนับสนุนค่ใช้จ่ายหลักสูตร หรือช่วยเหลือนักศึกษาแพทย์
2. สคทส. เสนอโครงการวิจัยพัฒนานวัตกรรม ที่ประยุกต์ AI เพื่ออุตสาหกรรมนําร่อง
2.1 โครงการวิจัยพัฒนานวัตกรรม ประยุกต์ AI และ Digital Technology) เพื่อเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ
- โครงการยกระดับยกระดับการท่องเที่ยวและโรงแรม ด้วย Digital Service
- โครงการยกระดับการท่องเที่ยวชุมชน (Smart Community Based Tourism)
การท่องเที่ยวชุมชนมีความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ศิลปะวัฒนธรรม ประเพณี และความเป็นอยู่ของคนในชุมชน เป็นการบริหารจัดการและดําเนินกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน เป้าหมาย (1) ยกระดับและสนับสนุนการบริหารจัดการและการบริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเท่าตัว (2) ยกระดับการบริหารจัดการและคุณภาพการท่องเที่ยวชุมชนให้มีมาตรฐาน (3) การเพิ่มจํานวนผู้ท่องเที่ยวอีกหนึ่งเท่าตัว
2.2 โครงการวิจัยพัฒนานวัตกรรม ประยุกต์ AI และ IoT เพื่อเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรรมรังนกนางแอ่นของประเทศ
- RDI : AI for Food ลักษณะรูปร่างภายนอกนกแอ่นกินรัง (Edible-nest Swiftlet : Aerodramus fuciphagus Thunberg, 1812)
- รูปร่างโดยทั่วไปของนกแอ่นกินรังเต็มวัย
- สภาพการรวมกลุ่มของนกแอ่น กินรังเต็มวัย (roosting)
- รังและใข่ของนกแอ่นกินรัง
- ลูกนกที่เพิ่งฟักออกจากไข่
ผลผลิตรังนก เกรด A ส่งออก 200 ตัน 10,000 ล้านบาท
3. สคทส. ขอการสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาหลักสูตรด้านเทคโนลียีสารสนเทศ เพื่อผลิตบัณฑิตเป็น Digital Manpower และ Human Capital รองรับ 10 อุตสาหกรรม เป้าหมาย และ 3 โครงสร้างพื้นฐาน
การหารือครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีงานอีกมากที่ต้องทํา เพื่อที่เราจะก้าวเข้าสู่ประเทศที่อยู่บนฐานดิจิทัล (Digital Nation) ได้อย่างแท้จริงดร.สุวิทย์ กล่าวสรุป
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ ประชุมหารือกับสมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ดำเนินงานขับเคลื่อนนโยบายของประเทศและกระทรวง อว.
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563
ดร.สุวิทย์ ประชุมหารือกับสมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ดําเนินงานขับเคลื่อนนโยบายของประเทศและกระทรวง อว.
ดร.สุวิทย์ ประชุมหารือกับสมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ดําเนินงานขับเคลื่อนนโยบายของประเทศและกระทรวง อว.
(4 มิถุนายน 2563) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) เป็นประธานการประชุมหารือกับสมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ (สคทส.) โดยมี นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ, นายปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองปลัดกระทรวงกระทรวงการอุดมศึกษาฯ, ดร.อรสา ภาววิมล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา และผู้บริหารสมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้าร่วมประชุมและร่วมงานผ่านทางระบบออนไลน์ ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร ชั้น 3 อาคารอุดมศึกษา 1 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) (ศรีอยุธยา)
รศ.พีระพงศ์ ทีฆสกุลกล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์การจัดประชุมในครั้งนี้ว่า สมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นการรวมตัวกันเพื่อดําเนินงานขับเคลื่อนนโยบายของประเทศและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประเด็นแรกทางสมาคมฯ คิดเห็นว่าจะร่วมดึงบริษัทที่ดีที่สุดของโลกในด้านไอทีให้มาร่วมลงทุนเพิ่มขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทําก็คือเรื่องของคนที่ต้องเตรียมความพร้อมโดยเฉพาะเรื่องของการ Re-skill, Up-Skill, และ New-skill เรื่องที่สองก็คือ Big Data ซึ่งตอนนี้กําลังดําเนินการอยู่ ในส่วนที่สามเรื่องของนโยบายทางด้าน ววน. เรื่องที่สี่เป็นเรื่องของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และเรื่องสุดท้ายคือ บัณฑิตศึกษาที่เน้นการพัฒนาบุคลากรทางด้านอุสาหกรรม
ดร.สุวิทย์ รมว.อว.กล่าวว่า ในครั้งนี้ถือว่าเรื่องของ ICT, Digital หรือเรื่องของ Data Economy นั้นเป็นเรื่องที่มีความสําคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกหลังโควิด เพราะฉะนั้นวันนี้จึงอยากหารือกับทางสมาคมฯ ว่ามีความคิดอ่านในเรื่องเหล่านี้อย่างไร พร้อมกันนั้นโจทย์ของรัฐบาลหรือประเทศ อยากจะให้พวกเราผนึกกําลังกันดําเนินงานให้เกิดเป็นรูปธรรมมากขึ้น และเมื่อโลกเข้าสู่ 5G จะเกิดการ Reinvention ของแต่ละส่วน เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นพลังของพวกเราที่มีความสําคัญที่จะช่วยเปลี่ยนผ่านในเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและในเวลาที่รวดเร็วได้อย่างไร
ซึ่งโจทย์มีทั้งในด้านยุทธศาสตร์และโจทย์ในระยะสั้นด้วย อย่างที่ทราบกันดีว่าโลกในอนาคตเรื่องของ IT, Digital เป็นเรื่องที่มีความสําคัญและเรื่องต่าง ๆ ที่เรากําลังจะดําเนินการขับเคลื่อนอยู่ต้องใช้งบประมาณซึ่งมีอยู่จํากัด และจะมีการพิจารณาในเรื่องการใช้งบประมาณเงินกู้ 4 แสนล้าน บางส่วนจะเป็นเรื่องของยุวชนสร้างชาติ และเป็นเรื่องของสมาคมฯ ที่ต้องมาร่วมกันตั้งโจทย์ Re-skill, Up-Skill, และ New-skill ให้กับนักศึกษา บัณฑิต หรือคนไทยอย่างรวดเร็ว เป็นรูปธรรมภายใต้ concept ที่เรียกว่า Job Creation, Transformation นั้นได้อย่างไร
ด้านรศ.ดร.รัตติกร วรากูลศิริพันธุ์ นายกสมาคมฯกล่าวว่า สมาคมสภาคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศมีสมาชิกทั้งหมด 21 สถาบัน เป็นสถาบันของรัฐ 13 แห่ง และเอกชน 8 แห่ง ซึ่งทางสมาคมฯ พยายามดูว่ามีโจทย์อะไรบ้างที่สามารถร่วมมือกัน ให้การสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ที่ทางกระทรวง อว. มีนโยบายที่จะให้เกิดขึ้น อาทิ Job Creation, Re-skill, Up-skill, New-skill เรื่องของ Smart Health หรือการใช้ AI ในเรื่องของอุตสาหกรรม การต่อยอด Innovation ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นเรื่องที่ทางสมาคมฯ ICT สามารถเข้าไปผลิตบัณฑิต หรือทํางานวิจัยทางด้านนวัตกรรม สร้างเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมที่เป็นการรองรับในภาคต่าง ๆ ได้
โดยจะเสนอโครงการทั้งหมด 3 วาระ ดังนี้
1. สคทส. เสนอหลักสูตรพัฒนาบุคลากรเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
1.1 โครการ Up-Skill, Re-skill ให้กับครูสอนหมวดวิชา ด้าน Computing Science ระดับมัธยมปลาย ทั่วประเทศ
ปัญหาการเรียนการสอน ด้าน Computing Science เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการกําหนดให้มีการเรียนการสอน ในด้านวิทยาการคํานวณ (Computing Science) ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6 ซึ่งเป็นแนวคิดให้นักเรียน มีทักษะในการคิดเชิงตรรกะ และสมารถเขียนโปรแกรม (Coding) อย่างไรก็ตาม การเขียนโปรแกรมนั้นต้องอาศัยผู้ที่ต้องมีประสบการณ์ในการปฏิบัติจริง และมีความเชี่ยวชาญ จึงจะทําให้การเรียนการสอนบรรลุเป้าหมาย แต่เนื่องจากครูโรงเรียนไม่ได้มีประสบการณ์ด้านนี้โดยตรง จึงทําให้การเรียนการสอนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขาดแคลนครูผู้ที่จะสามารถสอนในวิชาเหล่านี้ได้
1.2 โครงการหลักสูตร Cooperative and Work Integration Education (CWIE) ร่วมกับภาคอุตสาหกรรม
จากการประชุมอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรตามแนวทาง EEC Model (ครั้งที่ 1/2563) ความร่วมมือระหว่าง สกพอ. กับ สป.อว. (1) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรตามแนวทาง Demand Driven โดยบูรณาการ EEC Model และ CWIE ให้ได้ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ (2) กําหนดแนวทางเพื่อสนับสนุนสถานศึกษา และให้สิทธิประโยชน์แก่เอกชนที่ร่วมผลิตบัณฑิตเพื่อเป็นการจูงใจเป็นพิเศษ (3) เร่งขยายจํานวนหลักสูตร CWIE ตามแนวทาง EEC Model Type A เพื่อรองรับความต้องการ EEC ให้ได้ 100,000 คน ภายในระยะเวลา 5 ปีี
ซึ่งสมาชิก สคทส. ที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาและบริหารหลักสูตรรูปแบบ CWIE และที่สอดคล้องกับ EEC model ยินดีให้แลกเปลี่ยนและให้คําแนะนํา โดยเฉพาะกับสถาบันการศึกษาที่ต้องการพัฒนาหลักสูตรเพื่ออุตสาหกรรมดิจิทัล
แนวทางเบื้องต้นในการสนับสนุนสถานศึกษา
- สิทธิในการกู้กองทุน กยศ. เฉพาะสําหรับกลุ่มนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรรูปแบบนี้
- โครงการบัณฑิตพันธ์ใหม่ ที่ให้เฉพาะกับหลักสูตรเรียนในหลักสูตรรูปแบบนี้
1.3 โครงการ Up-Skill, Re-skill ในรูปของ Non-degree program ด้าน Data Science and Analytics
การพัฒนาทักษะทางด้าน Data Analytics และ Big Data ในยุคดิจิทัล แนวคิดและจุดประสงค์ในการออกแบบหลักสูตรประกาศนียบัตร
- แนวคิดของหลักสูตรเกิดจากแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโดยมีวิสัยทัศน์ต้องการปฏิรูปประเทศไทยสู่ดิจิทัลไทยแลนด์ (Digital Thailand) เพื่อให้ประเทศใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มศักยภาพ
- เตรียมความพร้อมด้านบุคลากรให้มีความรู้และทักษะทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูล และ Big Data ในยุคดิจิทัลเพื่อสามารถประกอบอาชีพในยุคดิจิทัล 4.0 นี้ได้
- หลักสูตรระยะสั้นนี้ออกแบบขึ้นเพื่อผู้ที่กําลังทํางานในองค์กรต่าง ๆ หรือนิสิต/ นักศึกษา ที่สนใจเพิ่มพูนสมรรถนะในการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) วิศวกรรมข้อมูล (Data Engineering) การเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) และการแสดงข้อมูลเชิงภาพ (Data Visualization)
1.4 โครงการหลักสูตรบูรณาการ แพทย์ศาสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ
1. ยอมรับวิชาที่สอน Online จากมหาวิทยาลัยชั้นนําของโลก เรียนได้ทุกเวลาไม่ต้องสอนเองทั้งหมด
2. สามารถใช้ Competency base evaluations and assessments โดยไม่ต้องเรียนเป็นเทอม
3. ยอมรับ Medical application or project ที่ใช้งานได้จริงแทนการตีพิมพ์
4. รับรองการเรียนการสอนแบบผสมผสานระหว่างอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรรัฐและเอกชน
5. นโยบายกระทรวง อว. ทันสมัย ทางบัณฑิตวิทยาลัยก็พยายามปรับแต่กฎระเบียบต่าง ๆ โดยเฉพาะ CHECO ยังเป็นปัญหา
6. สนับสนุนค่ใช้จ่ายหลักสูตร หรือช่วยเหลือนักศึกษาแพทย์
2. สคทส. เสนอโครงการวิจัยพัฒนานวัตกรรม ที่ประยุกต์ AI เพื่ออุตสาหกรรมนําร่อง
2.1 โครงการวิจัยพัฒนานวัตกรรม ประยุกต์ AI และ Digital Technology) เพื่อเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ
- โครงการยกระดับยกระดับการท่องเที่ยวและโรงแรม ด้วย Digital Service
- โครงการยกระดับการท่องเที่ยวชุมชน (Smart Community Based Tourism)
การท่องเที่ยวชุมชนมีความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ศิลปะวัฒนธรรม ประเพณี และความเป็นอยู่ของคนในชุมชน เป็นการบริหารจัดการและดําเนินกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน เป้าหมาย (1) ยกระดับและสนับสนุนการบริหารจัดการและการบริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเท่าตัว (2) ยกระดับการบริหารจัดการและคุณภาพการท่องเที่ยวชุมชนให้มีมาตรฐาน (3) การเพิ่มจํานวนผู้ท่องเที่ยวอีกหนึ่งเท่าตัว
2.2 โครงการวิจัยพัฒนานวัตกรรม ประยุกต์ AI และ IoT เพื่อเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรรมรังนกนางแอ่นของประเทศ
- RDI : AI for Food ลักษณะรูปร่างภายนอกนกแอ่นกินรัง (Edible-nest Swiftlet : Aerodramus fuciphagus Thunberg, 1812)
- รูปร่างโดยทั่วไปของนกแอ่นกินรังเต็มวัย
- สภาพการรวมกลุ่มของนกแอ่น กินรังเต็มวัย (roosting)
- รังและใข่ของนกแอ่นกินรัง
- ลูกนกที่เพิ่งฟักออกจากไข่
ผลผลิตรังนก เกรด A ส่งออก 200 ตัน 10,000 ล้านบาท
3. สคทส. ขอการสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาหลักสูตรด้านเทคโนลียีสารสนเทศ เพื่อผลิตบัณฑิตเป็น Digital Manpower และ Human Capital รองรับ 10 อุตสาหกรรม เป้าหมาย และ 3 โครงสร้างพื้นฐาน
การหารือครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีงานอีกมากที่ต้องทํา เพื่อที่เราจะก้าวเข้าสู่ประเทศที่อยู่บนฐานดิจิทัล (Digital Nation) ได้อย่างแท้จริงดร.สุวิทย์ กล่าวสรุป
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32528
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว.คิกออฟ! แพลตฟอร์ม ‘SME D Bank’ มิติใหม่ดิจิทัลแบงก์กิ้ง ตอบครบเพื่อ‘เอสเอ็มอีคนตัวเล็ก’เติมทุนเสิร์ฟความรู้อยู่รอดยั่งยืน
|
วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม 2561
ธพว.คิกออฟ! แพลตฟอร์ม ‘SME D Bank’ มิติใหม่ดิจิทัลแบงก์กิ้ง ตอบครบเพื่อ‘เอสเอ็มอีคนตัวเล็ก’เติมทุนเสิร์ฟความรู้อยู่รอดยั่งยืน
SME Development Bank เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘SME D Bank’ มิติใหม่บริการยุคดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันตอบโจทย์ทุกความต้องการเอสเอ็มอีคนตัวเล็กทั้งการเงิน เครื่องมือดิจิทัล และความรู้ชูอุ้มถึงแหล่งทุน เสริมภูมิคุ้มกันธุรกิจ ปั้นเติบโตอยู่รอดยั่งยืน
SME Development Bank เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘SME D Bank’ มิติใหม่บริการยุคดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันตอบโจทย์ทุกความต้องการเอสเอ็มอีคนตัวเล็กทั้งการเงิน เครื่องมือดิจิทัล และความรู้ชูอุ้มถึงแหล่งทุน เสริมภูมิคุ้มกันธุรกิจ ปั้นเติบโตอยู่รอดยั่งยืน
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank)หรือ ธพว.เปิดเผยว่า ธนาคารเปิดบริการ ‘SME D Bank’ แพลตฟอร์ม (Platform) มุ่งมอบความสะดวกสบายในการเข้าถึงแหล่งทุนและยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะรายย่อย หรือคนตัวเล็ก ให้สามารถปรับตัวสู่ยุค 4.0ในรูปแบบแอปพลิเคชัน (Application) บนสมาร์ทโฟน (Smart Phone) เนื่องจากการทําวิจัยระหว่าง ธพว.กับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า เอสเอ็มอีคนตัวเล็กส่วนใหญ่จะไม่กล้าเดินเข้ามาหาสถาบันการเงิน เพราะขาดความพร้อมด้านคุณสมบัติ ดังนั้น ระบบบริการผ่าน‘SME D Bank’ จะช่วยให้ธนาคารรู้ตัวตนและสถานประกอบการของเอสเอ็มอีคนตัวเล็ก สามารถทําหน้าที่เป็นฝ่ายเดินเข้าไปสนับสนุนเอสเอ็มอีด้วยตัวเองอย่างฉับไว และถึงถิ่น โดยมีบริการหลักสําคัญ 3 ด้านประกอบด้วย
1.ระบบยื่นขอสินเชื่อออนไลน์ให้บริการได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ โดยผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบอัตราการผ่อนชําระต่อวงเงินยื่นกู้ รวมถึง ยื่นขอกู้ได้ทันที เพียงกรอกข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งข้อมูลจะส่งต่อไปยังสาขาธนาคารในพื้นที่ตั้งสถานประกอบการของผู้ยื่นกู้ จากนั้น หน่วยบริการเคลื่อนที่“รถม้าเติมทุน” จะวิ่งเข้าไปหาพบ ภายใน 7 วัน เพื่อตรวจสภาพกิจการจริงช่วยให้คนตัวเล็กเพิ่มความสะดวกเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูกของธนาคารได้ง่ายยิ่งขึ้น
2. Tools Boxบริการเครื่องมือด้านดิจิทัล เพื่อยกระดับธุรกิจสู่ยุค 4.0รวบรวมแอปพลิเคชัน และซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้เอสเอ็มอียกระดับและลดต้นทุนทางธุรกิจ เช่น ระบบงานขายหน้าร้าน ระบบการเขียนแผนธุรกิจ ระบบบริหารงานบุคคล ระบบคลังสินค้า ระบบจัดการขนส่งระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ดูฮวงจุ้ยร้านค้า เป็นต้น โดยเบื้องต้นเปิดให้ทดลองใช้ฟรีกว่า 50 แอปพลิเคชัน และจะเพิ่มเติมเครื่องมือใหม่ถึง 100 แอปพลิเคชันภายในสิ้นปีนี้ (2561)
และ 3. e-Library บริการข้อมูลความรู้ ข่าวสาร และ How to ในการประกอบธุรกิจ รวบรวมความรู้ที่จําเป็นสําหรับเอสเอ็มอี ไม่ว่าจะเป็นด้านบริหารจัดการ การตลาด มาตรฐานคุณภาพ ฯลฯ นําเสนอในรูปแบบบทความประกอบภาพ คลิปวิดีโอ อินโฟกราฟิก เป็นต้น ช่วยให้ผู้ประกอบการมีภูมิคุ้มกันทางธุรกิจสูงขึ้น โดยจะอัพเดทข้อมูลให้ทันสมัยเสมอ เหมาะแก่การนําไปประยุกต์ใช้งานจริง
นายมงคล กล่าวต่อว่า บริการดิจิทัลแบงก์กิ้งของธนาคารทั่วไป จะเน้นให้บริการธุรกรรมทางการเงิน แต่สําหรับแพลตฟอร์ม ‘SME D Bank’มุ่งให้ความสําคัญในการอํานวยความสะดวกพาเอสเอ็มอีคนตัวเล็กเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูก ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 ดอกเบี้ย 1% และสินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว ดอกเบี้ย 3% เป็นต้นพร้อมต่อยอดด้วยความรู้ และเครื่องมือด้านดิจิทัลเพื่อให้สามารถอยู่รอด และเติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนั้น ยังเสริมบริการพิเศษSME Privilege มอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ผู้ใช้งาน โดยทุกกิจกรรมที่ผู้ใช้งานปฏิบัติในระบบ ‘SME D Bank’ จะถูกเก็บสะสมเป็นแต้ม ตัวอย่างเช่น เพียงแค่ลงทะเบียนเข้าใช้งาน รับทันที50 แต้ม , เข้าระบบทุกวัน รับวันละ 1 แต้ม , อ่านบทความ รับ 10 แต้มและดูคลิปวิดีโอจนจบ รับ 10 แต้ม เป็นต้น สามารถนําแต้มไปใช้แลกสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้จากเครือข่ายพันธมิตร และลูกค้าของธนาคาร เช่น 30 แต้ม รับฟรี โค้ดแลก 25 LINE Point , 10 แต้ม รับฟรี โดนัท 2 ชิ้นจาก Mister Donut , 75 แต้ม รับส่วนลดแทนเงินสด 50 บาท จาก Tesco Lotus และ 100 แต้ม รับฟรี Starbucks eCoupon มูลค่า 100 บาทจากร้าน Starbucksเป็นต้น นอกจากนั้น บางรายการเพียงแค่แสดงว่า โหลดใช้แพลตฟอร์ม ‘SME D Bank’ แล้ว รับสิทธิประโยชน์ได้เลย เช่น ส่วนลด 20% พัก “แพ 500 ไร่”และส่วนลดเครื่องเล่นทุกชนิด 20% จากทองสมบูรณ์คลับ เป็นต้น สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น ‘SME D Bank’ เพื่อเข้าใช้งานได้ที่Play Storeและเร็วๆ นี้ที่ App Store ด้วย เบื้องต้นคาดจะมีผู้ดาวน์โหลดและลงทะเบียนใช้งานประมาณ 10,000 คน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว.คิกออฟ! แพลตฟอร์ม ‘SME D Bank’ มิติใหม่ดิจิทัลแบงก์กิ้ง ตอบครบเพื่อ‘เอสเอ็มอีคนตัวเล็ก’เติมทุนเสิร์ฟความรู้อยู่รอดยั่งยืน
วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม 2561
ธพว.คิกออฟ! แพลตฟอร์ม ‘SME D Bank’ มิติใหม่ดิจิทัลแบงก์กิ้ง ตอบครบเพื่อ‘เอสเอ็มอีคนตัวเล็ก’เติมทุนเสิร์ฟความรู้อยู่รอดยั่งยืน
SME Development Bank เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘SME D Bank’ มิติใหม่บริการยุคดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันตอบโจทย์ทุกความต้องการเอสเอ็มอีคนตัวเล็กทั้งการเงิน เครื่องมือดิจิทัล และความรู้ชูอุ้มถึงแหล่งทุน เสริมภูมิคุ้มกันธุรกิจ ปั้นเติบโตอยู่รอดยั่งยืน
SME Development Bank เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘SME D Bank’ มิติใหม่บริการยุคดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันตอบโจทย์ทุกความต้องการเอสเอ็มอีคนตัวเล็กทั้งการเงิน เครื่องมือดิจิทัล และความรู้ชูอุ้มถึงแหล่งทุน เสริมภูมิคุ้มกันธุรกิจ ปั้นเติบโตอยู่รอดยั่งยืน
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank)หรือ ธพว.เปิดเผยว่า ธนาคารเปิดบริการ ‘SME D Bank’ แพลตฟอร์ม (Platform) มุ่งมอบความสะดวกสบายในการเข้าถึงแหล่งทุนและยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะรายย่อย หรือคนตัวเล็ก ให้สามารถปรับตัวสู่ยุค 4.0ในรูปแบบแอปพลิเคชัน (Application) บนสมาร์ทโฟน (Smart Phone) เนื่องจากการทําวิจัยระหว่าง ธพว.กับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า เอสเอ็มอีคนตัวเล็กส่วนใหญ่จะไม่กล้าเดินเข้ามาหาสถาบันการเงิน เพราะขาดความพร้อมด้านคุณสมบัติ ดังนั้น ระบบบริการผ่าน‘SME D Bank’ จะช่วยให้ธนาคารรู้ตัวตนและสถานประกอบการของเอสเอ็มอีคนตัวเล็ก สามารถทําหน้าที่เป็นฝ่ายเดินเข้าไปสนับสนุนเอสเอ็มอีด้วยตัวเองอย่างฉับไว และถึงถิ่น โดยมีบริการหลักสําคัญ 3 ด้านประกอบด้วย
1.ระบบยื่นขอสินเชื่อออนไลน์ให้บริการได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ โดยผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบอัตราการผ่อนชําระต่อวงเงินยื่นกู้ รวมถึง ยื่นขอกู้ได้ทันที เพียงกรอกข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งข้อมูลจะส่งต่อไปยังสาขาธนาคารในพื้นที่ตั้งสถานประกอบการของผู้ยื่นกู้ จากนั้น หน่วยบริการเคลื่อนที่“รถม้าเติมทุน” จะวิ่งเข้าไปหาพบ ภายใน 7 วัน เพื่อตรวจสภาพกิจการจริงช่วยให้คนตัวเล็กเพิ่มความสะดวกเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูกของธนาคารได้ง่ายยิ่งขึ้น
2. Tools Boxบริการเครื่องมือด้านดิจิทัล เพื่อยกระดับธุรกิจสู่ยุค 4.0รวบรวมแอปพลิเคชัน และซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้เอสเอ็มอียกระดับและลดต้นทุนทางธุรกิจ เช่น ระบบงานขายหน้าร้าน ระบบการเขียนแผนธุรกิจ ระบบบริหารงานบุคคล ระบบคลังสินค้า ระบบจัดการขนส่งระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ดูฮวงจุ้ยร้านค้า เป็นต้น โดยเบื้องต้นเปิดให้ทดลองใช้ฟรีกว่า 50 แอปพลิเคชัน และจะเพิ่มเติมเครื่องมือใหม่ถึง 100 แอปพลิเคชันภายในสิ้นปีนี้ (2561)
และ 3. e-Library บริการข้อมูลความรู้ ข่าวสาร และ How to ในการประกอบธุรกิจ รวบรวมความรู้ที่จําเป็นสําหรับเอสเอ็มอี ไม่ว่าจะเป็นด้านบริหารจัดการ การตลาด มาตรฐานคุณภาพ ฯลฯ นําเสนอในรูปแบบบทความประกอบภาพ คลิปวิดีโอ อินโฟกราฟิก เป็นต้น ช่วยให้ผู้ประกอบการมีภูมิคุ้มกันทางธุรกิจสูงขึ้น โดยจะอัพเดทข้อมูลให้ทันสมัยเสมอ เหมาะแก่การนําไปประยุกต์ใช้งานจริง
นายมงคล กล่าวต่อว่า บริการดิจิทัลแบงก์กิ้งของธนาคารทั่วไป จะเน้นให้บริการธุรกรรมทางการเงิน แต่สําหรับแพลตฟอร์ม ‘SME D Bank’มุ่งให้ความสําคัญในการอํานวยความสะดวกพาเอสเอ็มอีคนตัวเล็กเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูก ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 ดอกเบี้ย 1% และสินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว ดอกเบี้ย 3% เป็นต้นพร้อมต่อยอดด้วยความรู้ และเครื่องมือด้านดิจิทัลเพื่อให้สามารถอยู่รอด และเติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนั้น ยังเสริมบริการพิเศษSME Privilege มอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ผู้ใช้งาน โดยทุกกิจกรรมที่ผู้ใช้งานปฏิบัติในระบบ ‘SME D Bank’ จะถูกเก็บสะสมเป็นแต้ม ตัวอย่างเช่น เพียงแค่ลงทะเบียนเข้าใช้งาน รับทันที50 แต้ม , เข้าระบบทุกวัน รับวันละ 1 แต้ม , อ่านบทความ รับ 10 แต้มและดูคลิปวิดีโอจนจบ รับ 10 แต้ม เป็นต้น สามารถนําแต้มไปใช้แลกสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้จากเครือข่ายพันธมิตร และลูกค้าของธนาคาร เช่น 30 แต้ม รับฟรี โค้ดแลก 25 LINE Point , 10 แต้ม รับฟรี โดนัท 2 ชิ้นจาก Mister Donut , 75 แต้ม รับส่วนลดแทนเงินสด 50 บาท จาก Tesco Lotus และ 100 แต้ม รับฟรี Starbucks eCoupon มูลค่า 100 บาทจากร้าน Starbucksเป็นต้น นอกจากนั้น บางรายการเพียงแค่แสดงว่า โหลดใช้แพลตฟอร์ม ‘SME D Bank’ แล้ว รับสิทธิประโยชน์ได้เลย เช่น ส่วนลด 20% พัก “แพ 500 ไร่”และส่วนลดเครื่องเล่นทุกชนิด 20% จากทองสมบูรณ์คลับ เป็นต้น สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น ‘SME D Bank’ เพื่อเข้าใช้งานได้ที่Play Storeและเร็วๆ นี้ที่ App Store ด้วย เบื้องต้นคาดจะมีผู้ดาวน์โหลดและลงทะเบียนใช้งานประมาณ 10,000 คน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13919
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการจัดเตรียมอาหารเพื่อบริการประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพฯ
|
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560
ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ในการจัดเตรียมอาหารเพื่อบริการประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพฯ
ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ในการจัดเตรียมอาหารเพื่อบริการประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพฯ ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง
วันนี้ (11 สิงหาคม 2560) รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม นําโดยนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอตุสาหกรรม ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในการจัดเตรียมอาหารเพื่อบริการประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการจัดเตรียมอาหารเพื่อบริการประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพฯ
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560
ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ในการจัดเตรียมอาหารเพื่อบริการประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพฯ
ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ในการจัดเตรียมอาหารเพื่อบริการประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพฯ ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง
วันนี้ (11 สิงหาคม 2560) รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม นําโดยนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอตุสาหกรรม ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในการจัดเตรียมอาหารเพื่อบริการประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5884
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ.เผยนายกรัฐมนตรีห่วงใยและเข้าใจปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง อนุมัติงบ 5,000 ล้านบาท ช่วยเหลือ
|
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
รมว.สธ.เผยนายกรัฐมนตรีห่วงใยและเข้าใจปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง อนุมัติงบ 5,000 ล้านบาท ช่วยเหลือ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยและเข้าใจปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง
อนุมัติงบกลางปี 2560 จํานวน 5,000 ล้านบาท ช่วยเหลือเร่งด่วน ส่วนในระยะยาวจะมีการปฏิรูประบบสุขภาพของประเทศเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
วันนี้ (7 เมษายน 2560) ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยเรื่องโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขขาดสภาพคล่อง เช้าวันนี้จึงได้เดินทางไปเข้าพบเพื่อหารือ พร้อมผู้แทนสํานักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดูแลสุขภาพประชาชนทั้งประเทศ กระทรวงสาธารณสุขได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการทํางานมาโดยตลอด และกระทรวงสาธารณสุขได้พยายามปรับประสิทธิภาพของตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
อย่างไรก็ตาม เรื่องปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่องไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในปีนี้ มีปัญหาตั้งแต่เริ่มมีโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ผ่านมา ได้ใช้เงินบํารุงโรงพยาบาลมาช่วยตลอด ประคับประคองกันมาเรื่อยๆ พอมาถึงจุดนี้ต้องยอมรับว่า เนื่องจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป จํานวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น จํานวนผู้ป่วยก็มีมากขึ้น แต่ขณะที่งบค่าใช้จ่ายรายหัวเพิ่มขึ้นไม่เป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ส่งผลให้เกิดสภาวะการณ์เรื่องรายจ่ายคล่องตัวลดลง ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้รับทราบและเข้าใจ โดยได้มีการพูดคุยกับผู้แทนสํานักงบประมาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะมีการดําเนินการ ดังนี้
ในระยะสั้น รัฐบาลจะอนุมัติงบกลางปี 2560 จํานวน 5,000 ล้านบาท ช่วยเหลือเพื่อให้เกิดสภาพคล่อง ส่วนในระยะยาว จะมีการปฏิรูประบบสุขภาพของประเทศ มีโครงการชัดเจนหลายเรื่อง มีการตั้งคณะกรรมการไปแล้วหลายชุด เช่น ชุดหนึ่งอยู่ระหว่างปรับพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งสําคัญมากเป็นแม่บท ในส่วนของการเงินการคลัง และเรื่องอื่นๆ มีหลายภาคส่วนให้คําแนะนํา พร้อมที่จะรับฟังและจะนําสิ่งที่ดีที่สุดมาปฏิรูป ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ทุ่มเททรัพยากรทุกอย่าง ทั้งคน เงิน เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยตรง ไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดกําไร และการที่ทุกฝ่ายช่วยกันเต็มที่จะทําให้ระบบสุขภาพยังยืนอยู่ได้ โดยในอนาคตต้องมีการปฏิรูปเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
***************************** 7 เมษายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ.เผยนายกรัฐมนตรีห่วงใยและเข้าใจปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง อนุมัติงบ 5,000 ล้านบาท ช่วยเหลือ
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
รมว.สธ.เผยนายกรัฐมนตรีห่วงใยและเข้าใจปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง อนุมัติงบ 5,000 ล้านบาท ช่วยเหลือ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยและเข้าใจปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง
อนุมัติงบกลางปี 2560 จํานวน 5,000 ล้านบาท ช่วยเหลือเร่งด่วน ส่วนในระยะยาวจะมีการปฏิรูประบบสุขภาพของประเทศเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
วันนี้ (7 เมษายน 2560) ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยเรื่องโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขขาดสภาพคล่อง เช้าวันนี้จึงได้เดินทางไปเข้าพบเพื่อหารือ พร้อมผู้แทนสํานักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดูแลสุขภาพประชาชนทั้งประเทศ กระทรวงสาธารณสุขได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการทํางานมาโดยตลอด และกระทรวงสาธารณสุขได้พยายามปรับประสิทธิภาพของตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
อย่างไรก็ตาม เรื่องปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่องไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในปีนี้ มีปัญหาตั้งแต่เริ่มมีโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ผ่านมา ได้ใช้เงินบํารุงโรงพยาบาลมาช่วยตลอด ประคับประคองกันมาเรื่อยๆ พอมาถึงจุดนี้ต้องยอมรับว่า เนื่องจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป จํานวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น จํานวนผู้ป่วยก็มีมากขึ้น แต่ขณะที่งบค่าใช้จ่ายรายหัวเพิ่มขึ้นไม่เป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ส่งผลให้เกิดสภาวะการณ์เรื่องรายจ่ายคล่องตัวลดลง ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้รับทราบและเข้าใจ โดยได้มีการพูดคุยกับผู้แทนสํานักงบประมาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะมีการดําเนินการ ดังนี้
ในระยะสั้น รัฐบาลจะอนุมัติงบกลางปี 2560 จํานวน 5,000 ล้านบาท ช่วยเหลือเพื่อให้เกิดสภาพคล่อง ส่วนในระยะยาว จะมีการปฏิรูประบบสุขภาพของประเทศ มีโครงการชัดเจนหลายเรื่อง มีการตั้งคณะกรรมการไปแล้วหลายชุด เช่น ชุดหนึ่งอยู่ระหว่างปรับพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งสําคัญมากเป็นแม่บท ในส่วนของการเงินการคลัง และเรื่องอื่นๆ มีหลายภาคส่วนให้คําแนะนํา พร้อมที่จะรับฟังและจะนําสิ่งที่ดีที่สุดมาปฏิรูป ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ทุ่มเททรัพยากรทุกอย่าง ทั้งคน เงิน เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยตรง ไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดกําไร และการที่ทุกฝ่ายช่วยกันเต็มที่จะทําให้ระบบสุขภาพยังยืนอยู่ได้ โดยในอนาคตต้องมีการปฏิรูปเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
***************************** 7 เมษายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2952
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการบริหารจัดการขยะ ขอให้พัฒนาต่อยอดให้คนในชุมชนมีส่วนร่วม และแปรรูปเพิ่มมูลค่าสร้างรายได้ให้กับชุมชน
|
วันอังคารที่ 21 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการบริหารจัดการขยะ ขอให้พัฒนาต่อยอดให้คนในชุมชนมีส่วนร่วม และแปรรูปเพิ่มมูลค่าสร้างรายได้ให้กับชุมชน
นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการบริหารจัดการขยะนักศึกษามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ขอให้พัฒนาต่อยอดให้คนในชุมชนมีส่วนร่วม และแปรรูปเพิ่มมูลค่าสร้างรายได้ให้กับชุมชน
วันนี้ (21 มกราคม 2563) เวลา 08.30 น. ณ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พบนักเรียน นักศึกษา และเยี่ยมชมการแสดงผลงาน ประกอบด้วย การบริหารจัดการแลกขยะเป็นภาษีโรงเรียน งานฝีมือปักผ้าของกลุ่มศิลปาชีพ นวดแผนไทย และผลงานนักศึกษามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครนิทร์
ทั้งนี้ ระหว่างการเยี่ยมชมนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมแนวคิดการบริหารจัดการขยะ ขอให้พัฒนาต่อยอด ให้ท้องถิ่น และคนในชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการ รวมถึงนําขยะมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า สร้างรายได้ให้กับชุมชน ส่วนงานฝีมือปักผ้าขอให้พัฒนาฝีมือให้สวยงามยิ่งๆ ขึ้น นําเอกลักษณ์ของท้องถิ่นมานําเสนอบนผ้าปักเพื่อดึงดูด สร้างจุดขาย เพิ่มรายได้ พร้อมกับขอให้ขยายตลาดออกไปยังพื้นที่ต่างๆ
จากนั้น นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ และเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน (นราธิวาส ปัตตานี และยะลา)
---------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการบริหารจัดการขยะ ขอให้พัฒนาต่อยอดให้คนในชุมชนมีส่วนร่วม และแปรรูปเพิ่มมูลค่าสร้างรายได้ให้กับชุมชน
วันอังคารที่ 21 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการบริหารจัดการขยะ ขอให้พัฒนาต่อยอดให้คนในชุมชนมีส่วนร่วม และแปรรูปเพิ่มมูลค่าสร้างรายได้ให้กับชุมชน
นายกรัฐมนตรี ชื่นชมการบริหารจัดการขยะนักศึกษามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ขอให้พัฒนาต่อยอดให้คนในชุมชนมีส่วนร่วม และแปรรูปเพิ่มมูลค่าสร้างรายได้ให้กับชุมชน
วันนี้ (21 มกราคม 2563) เวลา 08.30 น. ณ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พบนักเรียน นักศึกษา และเยี่ยมชมการแสดงผลงาน ประกอบด้วย การบริหารจัดการแลกขยะเป็นภาษีโรงเรียน งานฝีมือปักผ้าของกลุ่มศิลปาชีพ นวดแผนไทย และผลงานนักศึกษามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครนิทร์
ทั้งนี้ ระหว่างการเยี่ยมชมนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมแนวคิดการบริหารจัดการขยะ ขอให้พัฒนาต่อยอด ให้ท้องถิ่น และคนในชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการ รวมถึงนําขยะมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า สร้างรายได้ให้กับชุมชน ส่วนงานฝีมือปักผ้าขอให้พัฒนาฝีมือให้สวยงามยิ่งๆ ขึ้น นําเอกลักษณ์ของท้องถิ่นมานําเสนอบนผ้าปักเพื่อดึงดูด สร้างจุดขาย เพิ่มรายได้ พร้อมกับขอให้ขยายตลาดออกไปยังพื้นที่ต่างๆ
จากนั้น นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ และเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน (นราธิวาส ปัตตานี และยะลา)
---------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25937
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในงานเลี้ยงรับรองการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่ม 77 ครั้งที่ 40
|
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในงานเลี้ยงรับรองการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่ม 77 ครั้งที่ 40
นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในงานเลี้ยงรับรองการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่ม 77 ครั้งที่ 40
วันนี้ (23 กันยายน 2559)เวลา 19.00 น. ห้อง Delegates Dining Room พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมงานเลี้ยงรับรอง (Reception) ในการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่ม 77 ครั้งที่ 40ระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71ณ สํานักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีกับความสําเร็จของการประชุมฯ ในวันนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นในอีกวาระว่า กลุ่ม 77 มีความสําคัญต่อการขับเคลื่อนงานของสหประชาชาติ ซึ่งต้องร่วมมือกันแสดงพลังอย่างเป็นเอกภาพและสร้างสรรค์ เพื่อรักษาและผลักดันผลประโยชน์ของกลุ่ม รวมทั้งสานความเป็นหุ้นส่วนด้านการพัฒนาให้แน่นแฟ้นขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลอดการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 71 นี้
ประเทศไทยได้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกลุ่ม 77 ในปี ค.ศ. 2016 โดยมุ่งมั่นที่จะนําวิสัยทัศน์ ซึ่งก็คือวาระ 2030 ไปสู่การปฏิบัติ โดยปีนี้เป็นปีแรกของพวกเราในการเริ่มอนุวัติวาระ 2030 จึงจําเป็นต้องเริ่มวางรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อให้เราเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง
นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมการอภิปรายภายใต้หัวข้อ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืน” ในวันนี้ ที่มีเสียงตอบรับเชิงบวกและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง หัวใจของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน เพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน สามารถนํามาประยุกต์ใช้กับ
การทํางานของกลุ่ม 77 โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ ที่เผชิญกับสิ่งท้าทายในหลายรูปแบบและหลากมิติ
ปีนี้ ไทยได้มีบทบาทและนําเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์สําคัญของกลุ่มอย่างเป็นรูปธรรมอย่างน้อย 3 เรื่อง ได้แก่
(1)การส่งเสริมการสร้างความเป็นหุ้นส่วนในระดับโลกเพื่ออนุวัติวาระ ค.ศ. 2030ซึ่งไทยได้พยายามทําหน้าที่ผู้สร้างสะพานเชื่อม และยินดีที่ในปีนี้เป็นปีแรกที่ประธานกลุ่ม 77 ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมผู้นํา G20 ซึ่งเป็นโอกาสที่ได้สะท้อนเสียงของประเทศกําลังพัฒนาให้ดังมากยิ่งขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ
(๒)การส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับความร่วมมือใต้-ใต้ไทยให้ความสําคัญกับการสร้างศักยภาพของประเทศกําลังพัฒนา จึงได้บริจาคเงินสนับสนุนเป็นกรณีพิเศษให้แก่กองทุน PGTF จํานวน 520,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นทุนสําหรับโครงการความร่วมมือใต้-ใต้ ของประเทศต่าง ๆ ที่จะช่วยให้บรรลุ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และพร้อมที่จะร่วมสนับสนุน (co-finance) โครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งส่งเสริมมิติใหม่ของความร่วมมือใต้-ใต้ อาทิ การใช้ ICT เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
(3)การแบ่งปันแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยไม่มีสูตรสําเร็จรูปเรื่องแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่ละประเทศต้องแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมกับเงื่อนไขภายในประเทศของตัวเอง ซึ่งสามารถที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแบ่งปันแนวทางตลอดจนประสบการณ์และบทเรียนของแต่ละประเทศเพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ ไทยพร้อมที่จะแบ่งปันและริเริ่มความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในการสร้าง SEP for SDGs Partnership รวมถึง SEP for SDGs Youth Partnership ทั้งในรูปแบบโครงการพัฒนา การฝึกอบรม หรือการให้ทุนการศึกษา
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนผู้ร่วมงานเลี้ยง ชมนิทรรศการ SEP ที่เป็นความตั้งใจของไทยที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับประเทศสมาชิก เชื่อว่าสามารถสร้างความเข้าใจ แรงบันดาลใจ และจุดประกายความคิดที่จะนําไปสู่ความร่วมมือ เพื่อนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ตามสภาพภูมิสังคมของประเทศที่สนใจ พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับเอกวาดอร์ ที่จะรับหน้าที่ประธานกลุ่ม 77 สําหรับปี ค.ศ. 2017 ไทยพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทํางานในฐานะประธานฯ เพื่อสนับสนุนเอกวาดอร์ในการขับเคลื่อนงานของกลุ่มเราในปีต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในงานเลี้ยงรับรองการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่ม 77 ครั้งที่ 40
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในงานเลี้ยงรับรองการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่ม 77 ครั้งที่ 40
นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในงานเลี้ยงรับรองการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่ม 77 ครั้งที่ 40
วันนี้ (23 กันยายน 2559)เวลา 19.00 น. ห้อง Delegates Dining Room พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมงานเลี้ยงรับรอง (Reception) ในการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่ม 77 ครั้งที่ 40ระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71ณ สํานักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีกับความสําเร็จของการประชุมฯ ในวันนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นในอีกวาระว่า กลุ่ม 77 มีความสําคัญต่อการขับเคลื่อนงานของสหประชาชาติ ซึ่งต้องร่วมมือกันแสดงพลังอย่างเป็นเอกภาพและสร้างสรรค์ เพื่อรักษาและผลักดันผลประโยชน์ของกลุ่ม รวมทั้งสานความเป็นหุ้นส่วนด้านการพัฒนาให้แน่นแฟ้นขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลอดการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 71 นี้
ประเทศไทยได้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกลุ่ม 77 ในปี ค.ศ. 2016 โดยมุ่งมั่นที่จะนําวิสัยทัศน์ ซึ่งก็คือวาระ 2030 ไปสู่การปฏิบัติ โดยปีนี้เป็นปีแรกของพวกเราในการเริ่มอนุวัติวาระ 2030 จึงจําเป็นต้องเริ่มวางรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อให้เราเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง
นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมการอภิปรายภายใต้หัวข้อ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืน” ในวันนี้ ที่มีเสียงตอบรับเชิงบวกและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง หัวใจของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน เพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน สามารถนํามาประยุกต์ใช้กับ
การทํางานของกลุ่ม 77 โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ ที่เผชิญกับสิ่งท้าทายในหลายรูปแบบและหลากมิติ
ปีนี้ ไทยได้มีบทบาทและนําเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์สําคัญของกลุ่มอย่างเป็นรูปธรรมอย่างน้อย 3 เรื่อง ได้แก่
(1)การส่งเสริมการสร้างความเป็นหุ้นส่วนในระดับโลกเพื่ออนุวัติวาระ ค.ศ. 2030ซึ่งไทยได้พยายามทําหน้าที่ผู้สร้างสะพานเชื่อม และยินดีที่ในปีนี้เป็นปีแรกที่ประธานกลุ่ม 77 ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมผู้นํา G20 ซึ่งเป็นโอกาสที่ได้สะท้อนเสียงของประเทศกําลังพัฒนาให้ดังมากยิ่งขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ
(๒)การส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับความร่วมมือใต้-ใต้ไทยให้ความสําคัญกับการสร้างศักยภาพของประเทศกําลังพัฒนา จึงได้บริจาคเงินสนับสนุนเป็นกรณีพิเศษให้แก่กองทุน PGTF จํานวน 520,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นทุนสําหรับโครงการความร่วมมือใต้-ใต้ ของประเทศต่าง ๆ ที่จะช่วยให้บรรลุ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และพร้อมที่จะร่วมสนับสนุน (co-finance) โครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งส่งเสริมมิติใหม่ของความร่วมมือใต้-ใต้ อาทิ การใช้ ICT เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
(3)การแบ่งปันแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยไม่มีสูตรสําเร็จรูปเรื่องแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่ละประเทศต้องแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมกับเงื่อนไขภายในประเทศของตัวเอง ซึ่งสามารถที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแบ่งปันแนวทางตลอดจนประสบการณ์และบทเรียนของแต่ละประเทศเพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ ไทยพร้อมที่จะแบ่งปันและริเริ่มความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในการสร้าง SEP for SDGs Partnership รวมถึง SEP for SDGs Youth Partnership ทั้งในรูปแบบโครงการพัฒนา การฝึกอบรม หรือการให้ทุนการศึกษา
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนผู้ร่วมงานเลี้ยง ชมนิทรรศการ SEP ที่เป็นความตั้งใจของไทยที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับประเทศสมาชิก เชื่อว่าสามารถสร้างความเข้าใจ แรงบันดาลใจ และจุดประกายความคิดที่จะนําไปสู่ความร่วมมือ เพื่อนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ตามสภาพภูมิสังคมของประเทศที่สนใจ พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับเอกวาดอร์ ที่จะรับหน้าที่ประธานกลุ่ม 77 สําหรับปี ค.ศ. 2017 ไทยพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทํางานในฐานะประธานฯ เพื่อสนับสนุนเอกวาดอร์ในการขับเคลื่อนงานของกลุ่มเราในปีต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/504
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ปลื้มเกษตรกรตื่นตัวโหลด App “เกษตรดิจิตอล”
|
วันพุธที่ 22 มกราคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้มเกษตรกรตื่นตัวโหลด App “เกษตรดิจิตอล”
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้มเกษตรกรตื่นตัวโหลด App “เกษตรดิจิตอล” เกือบหมื่นรายในระยะเวลาไม่ถึงเดือนทั้ง android และ iosฟุ้งตอบโจทย์เกษตรกรยุคใหม่
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายในการยกระดับการปฏิบัติงานสู่การเป็นกระทรวงที่ก้าวหน้า ทันสมัย โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องในการพลิกโฉมภาคเกษตรกรรม ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา จนถึงปลายน้ํา เกษตรกรจะต้องได้รับการพัฒนาให้เป็น Smart Farmer ซึ่งจะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการประกอบอาชีพด้านการเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่าการผลิต ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและลักษณะการประกอบการของแต่ละบุคคล ให้ความสําคัญในการใช้องค์ความรู้และข้อมูลประกอบการตัดสินใจ มีการตระหนักถึงคุณภาพมาตรฐานและปริมาณตามความต้องการของตลาด รวมถึงความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมเป็นสําคัญกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้พัฒนาโมบายแอปพลิเคชันที่รวบรวมงานบริการด้านการเกษตร องค์ความรู้ด้านการเกษตร และเชื่อมโยงบริการโมบายแอปพลิเคชันของทุกหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงและสหกรณ์กว่า 50 แอปพลิเคชันมาไว้ ณ ที่เดียว ในชื่อ “เกษตรดิจิทัล” ซึ่งเปิดให้บริการไปแล้วเมื่อ1 มกราคม 2563นั้น
“โครงการดังกล่าวได้รับความสนใจจากเกษตรกรเกิดความคาดหมาย โดยมีการดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นแล้วจํานวน 8,374 รายแบ่งเป็นระบบ Android 5,111 ราย และ ios 3,263 รายภายในเวลาเพียงไม่ถึงเดือน ซึ่งแอปพลิเคชันเกษตรดิจิตอลจะให้ความสําคัญในการใช้องค์ความรู้และข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการทําเกษตรกรรมโดยตระหนักถึงคุณภาพมาตรฐานและปริมาณตามความต้องการของตลาด รวมถึงความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม”
โดยภายในแอปพลิเคชัน“เกษตรดิจิทัล” มีข้อมูลจาก 22 หน่วยงาน 52แอปพลิเคชันในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ รวมไว้ในแอปพลิเคชันเดียว ซึ่งให้บริการข้อมูลที่สําคัญ 5 หมวดหมู่ ประกอบด้วย 1) บริการด้านการเกษตร ให้บริการข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ ในการวางแผนและบริหารจัดด้านการผลิตสินค้าเกษตร เช่น ข้อมูลด้านเศรษฐกิจการเกษตร ข้อมูลด้านชลประทาน ข้อมูลสนับสนุนการเพาะปลูก เป็นต้น 2) ความรู้ด้านการเกษตร ให้บริการความรู้ด้านการเกษตรในรูปแบบของ Clip VDO ด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ และนโยบายการเกษตร 3) ข่าวสารด้านการเกษตร ให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านการเกษตร ในรูปแบบ Info Graphic ที่เข้าใจง่าย 4) ราคาสินค้าเกษตร ให้บริการข้อมูลราคาสินค้าเกษตรรายวัน และ5) รวม Application ด้านการเกษตร เชื่อมโยงบริการโมบายแอปพลิเคชันของทุกหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯรวมทั้งการบริการรับฟังข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่างๆอีกด้วย
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ปลื้มเกษตรกรตื่นตัวโหลด App “เกษตรดิจิตอล”
วันพุธที่ 22 มกราคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้มเกษตรกรตื่นตัวโหลด App “เกษตรดิจิตอล”
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้มเกษตรกรตื่นตัวโหลด App “เกษตรดิจิตอล” เกือบหมื่นรายในระยะเวลาไม่ถึงเดือนทั้ง android และ iosฟุ้งตอบโจทย์เกษตรกรยุคใหม่
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายในการยกระดับการปฏิบัติงานสู่การเป็นกระทรวงที่ก้าวหน้า ทันสมัย โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องในการพลิกโฉมภาคเกษตรกรรม ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา จนถึงปลายน้ํา เกษตรกรจะต้องได้รับการพัฒนาให้เป็น Smart Farmer ซึ่งจะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการประกอบอาชีพด้านการเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่าการผลิต ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและลักษณะการประกอบการของแต่ละบุคคล ให้ความสําคัญในการใช้องค์ความรู้และข้อมูลประกอบการตัดสินใจ มีการตระหนักถึงคุณภาพมาตรฐานและปริมาณตามความต้องการของตลาด รวมถึงความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมเป็นสําคัญกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้พัฒนาโมบายแอปพลิเคชันที่รวบรวมงานบริการด้านการเกษตร องค์ความรู้ด้านการเกษตร และเชื่อมโยงบริการโมบายแอปพลิเคชันของทุกหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงและสหกรณ์กว่า 50 แอปพลิเคชันมาไว้ ณ ที่เดียว ในชื่อ “เกษตรดิจิทัล” ซึ่งเปิดให้บริการไปแล้วเมื่อ1 มกราคม 2563นั้น
“โครงการดังกล่าวได้รับความสนใจจากเกษตรกรเกิดความคาดหมาย โดยมีการดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นแล้วจํานวน 8,374 รายแบ่งเป็นระบบ Android 5,111 ราย และ ios 3,263 รายภายในเวลาเพียงไม่ถึงเดือน ซึ่งแอปพลิเคชันเกษตรดิจิตอลจะให้ความสําคัญในการใช้องค์ความรู้และข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการทําเกษตรกรรมโดยตระหนักถึงคุณภาพมาตรฐานและปริมาณตามความต้องการของตลาด รวมถึงความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม”
โดยภายในแอปพลิเคชัน“เกษตรดิจิทัล” มีข้อมูลจาก 22 หน่วยงาน 52แอปพลิเคชันในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ รวมไว้ในแอปพลิเคชันเดียว ซึ่งให้บริการข้อมูลที่สําคัญ 5 หมวดหมู่ ประกอบด้วย 1) บริการด้านการเกษตร ให้บริการข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ ในการวางแผนและบริหารจัดด้านการผลิตสินค้าเกษตร เช่น ข้อมูลด้านเศรษฐกิจการเกษตร ข้อมูลด้านชลประทาน ข้อมูลสนับสนุนการเพาะปลูก เป็นต้น 2) ความรู้ด้านการเกษตร ให้บริการความรู้ด้านการเกษตรในรูปแบบของ Clip VDO ด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ และนโยบายการเกษตร 3) ข่าวสารด้านการเกษตร ให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านการเกษตร ในรูปแบบ Info Graphic ที่เข้าใจง่าย 4) ราคาสินค้าเกษตร ให้บริการข้อมูลราคาสินค้าเกษตรรายวัน และ5) รวม Application ด้านการเกษตร เชื่อมโยงบริการโมบายแอปพลิเคชันของทุกหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯรวมทั้งการบริการรับฟังข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่างๆอีกด้วย
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25981
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เสริมสร้างความรู้ผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังและการพัสดุ เน้นถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้
|
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563
กสร. เสริมสร้างความรู้ผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังและการพัสดุ เน้นถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดอบรมเจ้าหน้าผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินการคลัง และการพัสดุ
ทั่วประเทศ เน้นสร้างความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานที่รวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเกิดประโยชน์สูงสุด
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวในโอกาส
เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตรการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังและการพัสดุ
ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รุ่นที่ 2 วันที่ 18 มีนาคม 2563 ณ โรงแรม ดิเอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ ว่า
ปัจจุบันกระทรวงการคลังได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ด้านการเงินการคลังให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (Nation e-Payment Plan) โดยมุ่งเน้นให้หน่วยงานภาครัฐให้การบริการด้านการเงินการคลังได้ถูกต้อง รวดเร็ว โปร่งใส คุ้มค่า
และสามารถตรวจสอบได้ ดังนั้น กสร.จึงต้องพัฒนาทักษะความสามารถของบุคลกรที่ปฏิบัติงานด้านการเงิน
การคลัง และการพัสดุ ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกฎหมายและระเบียบที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าว
เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องและทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง สําหรับการอบรมในครั้งนี้
ได้จัดขึ้นเป็นรุ่นที่ 2 โดยมีผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังและ
การพัสดุของสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเจ้าหน้าที่
จากส่วนกลาง
“กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มุ่งหวังว่าผู้ผ่านการอบรมจะสามารถนําความรู้ที่ได้รับไปใช้
ในการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลัง และการพัสดุได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด
แก่ภาครัฐและประชาชนต่อไป” นายอภิญญากล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เสริมสร้างความรู้ผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังและการพัสดุ เน้นถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563
กสร. เสริมสร้างความรู้ผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังและการพัสดุ เน้นถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดอบรมเจ้าหน้าผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินการคลัง และการพัสดุ
ทั่วประเทศ เน้นสร้างความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานที่รวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเกิดประโยชน์สูงสุด
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวในโอกาส
เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตรการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังและการพัสดุ
ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รุ่นที่ 2 วันที่ 18 มีนาคม 2563 ณ โรงแรม ดิเอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ ว่า
ปัจจุบันกระทรวงการคลังได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ด้านการเงินการคลังให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (Nation e-Payment Plan) โดยมุ่งเน้นให้หน่วยงานภาครัฐให้การบริการด้านการเงินการคลังได้ถูกต้อง รวดเร็ว โปร่งใส คุ้มค่า
และสามารถตรวจสอบได้ ดังนั้น กสร.จึงต้องพัฒนาทักษะความสามารถของบุคลกรที่ปฏิบัติงานด้านการเงิน
การคลัง และการพัสดุ ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกฎหมายและระเบียบที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าว
เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องและทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง สําหรับการอบรมในครั้งนี้
ได้จัดขึ้นเป็นรุ่นที่ 2 โดยมีผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการเงินการคลังและ
การพัสดุของสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเจ้าหน้าที่
จากส่วนกลาง
“กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มุ่งหวังว่าผู้ผ่านการอบรมจะสามารถนําความรู้ที่ได้รับไปใช้
ในการปฏิบัติงานด้านการเงินการคลัง และการพัสดุได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด
แก่ภาครัฐและประชาชนต่อไป” นายอภิญญากล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27463
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญฯ ลงพื้นที่เยี่ยมพระสงฆ์ สามเณร หลังพบว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563
รมต.นร. นายเทวัญฯ ลงพื้นที่เยี่ยมพระสงฆ์ สามเณร หลังพบว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เยี่ยมพระสงฆ์ สามเณร หลังพบว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19
วันนี้ (9 เมษายน 2563) เวลา 15.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นําคณะลงพื้นที่วัดโมลีโลกยาราม แขวงอรุณอมรินทร์ กรุงเทพฯ เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนพระสงฆ์และสามเณร หลังสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติตรวจสอบพบว่าพระสงฆ์และสามเณร ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ปัจจุบันพบว่าประชาชนเดินทางเข้ามาทําบุญน้อย และแม้ทางวัดจะได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรือและมูลนิธิพุทธรักษา แต่ก็ไม่เพียงพอต่อปริมาณพระสงฆ์และสามเณรที่มาศึกษาในโรงเรียนปริยัติธรรมของทางวัดประมาณ 400 รูป
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้หารือกับเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม ทางวัดมีการยกเลิกจัดงานวันสําคัญทางศาสนาต่าง ๆ ตามที่รัฐบาลขอความร่วมมือเพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับการออกบิณฑบาตของพระสงฆ์สามเณร และผู้มีจิตศรัทธาที่มาทําบุญน้อยลง จึงเป็นปัญหาต่อพระสงฆ์สามเณร และพุทธศาสนิกชนในบริเวณนี้ ซึ่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สํานักงานพระพุทธศาสนาหารือกับวัดหลายแห่งที่ประสบปัญหารวมถึงวัดโมลีโลกยามรามแห่งนี้ด้วย ซึ่งทางรัฐบาลจะหารือเรื่องนี้ในการประชุม ครม. และร่วมหามาตรการที่เหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือพระสงฆ์สามเณรต่อไป
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญฯ ลงพื้นที่เยี่ยมพระสงฆ์ สามเณร หลังพบว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563
รมต.นร. นายเทวัญฯ ลงพื้นที่เยี่ยมพระสงฆ์ สามเณร หลังพบว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เยี่ยมพระสงฆ์ สามเณร หลังพบว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19
วันนี้ (9 เมษายน 2563) เวลา 15.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นําคณะลงพื้นที่วัดโมลีโลกยาราม แขวงอรุณอมรินทร์ กรุงเทพฯ เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนพระสงฆ์และสามเณร หลังสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติตรวจสอบพบว่าพระสงฆ์และสามเณร ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ปัจจุบันพบว่าประชาชนเดินทางเข้ามาทําบุญน้อย และแม้ทางวัดจะได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรือและมูลนิธิพุทธรักษา แต่ก็ไม่เพียงพอต่อปริมาณพระสงฆ์และสามเณรที่มาศึกษาในโรงเรียนปริยัติธรรมของทางวัดประมาณ 400 รูป
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้หารือกับเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม ทางวัดมีการยกเลิกจัดงานวันสําคัญทางศาสนาต่าง ๆ ตามที่รัฐบาลขอความร่วมมือเพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับการออกบิณฑบาตของพระสงฆ์สามเณร และผู้มีจิตศรัทธาที่มาทําบุญน้อยลง จึงเป็นปัญหาต่อพระสงฆ์สามเณร และพุทธศาสนิกชนในบริเวณนี้ ซึ่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สํานักงานพระพุทธศาสนาหารือกับวัดหลายแห่งที่ประสบปัญหารวมถึงวัดโมลีโลกยามรามแห่งนี้ด้วย ซึ่งทางรัฐบาลจะหารือเรื่องนี้ในการประชุม ครม. และร่วมหามาตรการที่เหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือพระสงฆ์สามเณรต่อไป
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28724
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีประกาศเกียรติคุณ "เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล)" บุคคลสำคัญของโลก
|
วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2560
พิธีประกาศเกียรติคุณ "เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล)" บุคคลสําคัญของโลก
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุเคราะห์ผ้าไตร จํานวน 10 ไตร ไปในการบําเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน ในโอกาส 150 ปีชาตกาล และเนื่องในพิธีประกาศเกียรติคุณ"เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล)
บุคคลสําคัญของโลกด้านการศึกษา สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) พร้อมทั้งเสด็จพระราชดําเนินในพิธีประกาศเกียรติคุณเมื่อวันอาทิตย์ที่11มิถุนายน2560ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
●พิธีบําเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน
เมื่อเวลา14.15น.ณ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานในพิธี พร้อมด้วย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา, ราชสกุลมาลากุล ทายาทเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดีและแขกผู้มีเกียรติ ร่วมในพิธีบําเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน ในโอกาส 150 ปีชาตกาลฯ และทอดผ้าไตรพระราชทานซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุเคราะห์ผ้าไตร จํานวน10ไตร ไปในการบําเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานในครั้งนี้
●พิธีประกาศเกียรติคุณเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) บุคคลสําคัญของโลกด้านการศึกษาสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
เมื่อเวลา17.00น. หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดําเนินถึงหอประชุมจากนั้น นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รมว.ศึกษาธิการ ได้กราบบังคมทูลถวายรายงานความเป็นมาแล้วเบิกMr Gwang Jo Kimผู้อํานวยการยูเนสโก กรุงเทพฯและม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย อ่านประกาศเกียรติคุณบุคคลสําคัญของโลก และฉายวีดิทัศน์ "รอยรฦก เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี"
จากนั้น ดร.กมล รอดคล้ายเลขาธิการสภาการศึกษา กราบบังคมทูลเบิกผู้มีอุปการคุณ31ราย เข้ารับพระราชทานของที่ระลึก เมื่อเสร็จสิ้นศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุประธานกรรมการฝ่ายวิชาการ กราบบังคมทูลเบิก ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต แสดงปาฐกถา โดยมีนักศึกษาและนักเรียนจากสถาบันการศึกษาเครือข่ายเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี สวดบทปูชนียสดุดี150ปี เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี วงดุริยางค์ปี่สก็อต วชิราวุธวิทยาลัย บรรเลงเพลง "สามัคคีชุมนุม" ซึ่งเป็นเพลงที่เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เป็นผู้ประพันธ์คําร้องภาษาไทย โดยใช้ทํานองเพลงออลด์แลงไซน์ (Auld Lang Syne)
"เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี" นามเดิม ม.ร.ว.เปีย มาลากุล เกิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2410 เป็นโอรสในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าขจรจรัสวงษ์ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ กับหม่อมเปี่ยม ได้สร้างคุณประโยชน์แก่วงการศึกษาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยเฉพาะการกราบบังคลทูลพระกรุณาต่อรัชกาลที่ 5 ให้แบ่งระดับการศึกษาสยามให้สอดคล้องกับอารยะประเทศ เป็นที่มาของจัดทํา “โครงแผนการศึกษาในกรุงสยามของกรมศึกษาธิการ พ.ศ.2441” ซึ่งเป็นแผนการศึกษาฉบับแรกของประเทศ นอกจากนี้ เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ได้มีส่วนก่อรากฐานการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะการก่อตั้งวิทยาลัยเพาะช่าง และจุฬาฯ ในรัชกาลที่ 6
ด้วยเหตุนี้ สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา จึงเสนอชื่อ "เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี" ต่อยูเนสโก โดยในการประชุมสมัยสามัญยูเนสโก ครั้งที่ 38 พ.ศ.2558 ได้มีมติประกาศยกย่องเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เป็นบุคคลสําคัญของโลกด้านการศึกษา สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ พ.ศ.2559-2560 กอปรกับในโอกาสที่ พ.ศ.2559 เป็นวาระครบ 100 ปีแห่งการอสัญกรรม และ พ.ศ.2560 เป็นวาระครบ 150 ปีชาตกาล โดยเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เป็นคนไทยคนที่ 27 ที่ได้รับเกียรติยศนี้"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีประกาศเกียรติคุณ "เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล)" บุคคลสำคัญของโลก
วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2560
พิธีประกาศเกียรติคุณ "เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล)" บุคคลสําคัญของโลก
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุเคราะห์ผ้าไตร จํานวน 10 ไตร ไปในการบําเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน ในโอกาส 150 ปีชาตกาล และเนื่องในพิธีประกาศเกียรติคุณ"เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล)
บุคคลสําคัญของโลกด้านการศึกษา สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) พร้อมทั้งเสด็จพระราชดําเนินในพิธีประกาศเกียรติคุณเมื่อวันอาทิตย์ที่11มิถุนายน2560ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
●พิธีบําเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน
เมื่อเวลา14.15น.ณ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานในพิธี พร้อมด้วย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา, ราชสกุลมาลากุล ทายาทเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดีและแขกผู้มีเกียรติ ร่วมในพิธีบําเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน ในโอกาส 150 ปีชาตกาลฯ และทอดผ้าไตรพระราชทานซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุเคราะห์ผ้าไตร จํานวน10ไตร ไปในการบําเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานในครั้งนี้
●พิธีประกาศเกียรติคุณเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) บุคคลสําคัญของโลกด้านการศึกษาสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
เมื่อเวลา17.00น. หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดําเนินถึงหอประชุมจากนั้น นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รมว.ศึกษาธิการ ได้กราบบังคมทูลถวายรายงานความเป็นมาแล้วเบิกMr Gwang Jo Kimผู้อํานวยการยูเนสโก กรุงเทพฯและม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย อ่านประกาศเกียรติคุณบุคคลสําคัญของโลก และฉายวีดิทัศน์ "รอยรฦก เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี"
จากนั้น ดร.กมล รอดคล้ายเลขาธิการสภาการศึกษา กราบบังคมทูลเบิกผู้มีอุปการคุณ31ราย เข้ารับพระราชทานของที่ระลึก เมื่อเสร็จสิ้นศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุประธานกรรมการฝ่ายวิชาการ กราบบังคมทูลเบิก ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต แสดงปาฐกถา โดยมีนักศึกษาและนักเรียนจากสถาบันการศึกษาเครือข่ายเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี สวดบทปูชนียสดุดี150ปี เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี วงดุริยางค์ปี่สก็อต วชิราวุธวิทยาลัย บรรเลงเพลง "สามัคคีชุมนุม" ซึ่งเป็นเพลงที่เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เป็นผู้ประพันธ์คําร้องภาษาไทย โดยใช้ทํานองเพลงออลด์แลงไซน์ (Auld Lang Syne)
"เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี" นามเดิม ม.ร.ว.เปีย มาลากุล เกิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2410 เป็นโอรสในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าขจรจรัสวงษ์ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ กับหม่อมเปี่ยม ได้สร้างคุณประโยชน์แก่วงการศึกษาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยเฉพาะการกราบบังคลทูลพระกรุณาต่อรัชกาลที่ 5 ให้แบ่งระดับการศึกษาสยามให้สอดคล้องกับอารยะประเทศ เป็นที่มาของจัดทํา “โครงแผนการศึกษาในกรุงสยามของกรมศึกษาธิการ พ.ศ.2441” ซึ่งเป็นแผนการศึกษาฉบับแรกของประเทศ นอกจากนี้ เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ได้มีส่วนก่อรากฐานการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะการก่อตั้งวิทยาลัยเพาะช่าง และจุฬาฯ ในรัชกาลที่ 6
ด้วยเหตุนี้ สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา จึงเสนอชื่อ "เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี" ต่อยูเนสโก โดยในการประชุมสมัยสามัญยูเนสโก ครั้งที่ 38 พ.ศ.2558 ได้มีมติประกาศยกย่องเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เป็นบุคคลสําคัญของโลกด้านการศึกษา สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ พ.ศ.2559-2560 กอปรกับในโอกาสที่ พ.ศ.2559 เป็นวาระครบ 100 ปีแห่งการอสัญกรรม และ พ.ศ.2560 เป็นวาระครบ 150 ปีชาตกาล โดยเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เป็นคนไทยคนที่ 27 ที่ได้รับเกียรติยศนี้"
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4440
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ชื่นชม 25 จังหวัด คุมเข้มเต็มที่ทำให้ไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อใหม่ในรอบ 14 วัน
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563
โฆษก ศบค. ชื่นชม 25 จังหวัด คุมเข้มเต็มที่ทําให้ไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อใหม่ในรอบ 14 วัน
โฆษก ศบค. ชื่นชม 25 จังหวัด คุมเข้มเต็มที่ทําให้ไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อใหม่ในรอบ 14 วัน
วันนี้ (16 เม.ย. 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้
1. นายกรัฐมนตรีติดตามการใช้งาน AI ช่วยวินิจฉัยโควิ-19 ณ ร.พ. ศิริราช
นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ศบค. ตรวจดูการใช้งานเครื่องมือ AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ โดยจากบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี ประเทศไทย (จํากัด) ได้มอบให้โรงพยาบาลศิริราช เพื่อใช้วิเคราะห์โรคเชื้อ COVID-19 ด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) นับเป็นวิธีหนึ่งในการตรวจวินิจฉัยและติดตามการรักษาในผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งในผู้ป่วยบางรายอาจต้องตรวจซ้ําและเปรียบเทียบอ่านผลภาพการตรวจหลายครั้ง เทคโนโลยี AI จะช่วยให้แพทย์นํามาใช้วินิจฉัยผลตรวจ CT ของผู้ป่วยที่ติดเชื้อได้อย่างแม่นยําและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมทั้งตรวจดูการทํางานเครื่องอบหน้ากากอนามัย N95 โดยใช้วิธีฉายแสง UV เพื่อฆ่าเชื้อทําให้สามารถนําหน้ากากอนามัยกลับมาใช้ซ้ําได้ถึง 4 ครั้ง จากผลการวิจัยพบว่า เครื่องอบร้อนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการฆ่าเชื้อโรคเพื่อนําหน้ากาก N95 และหน้ากากอนามัยกลับมาใช้ซ้ํา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวผ่าน Tele Conference สอบถามการปฏิบัติงานของบุคลากร ให้กําลังใจบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้การดูแลผู้ป่วยขณะนี้ พร้อมยกย่องโรงพยาบาลศิริราชในการพัฒนาระบบการทํางานให้ดีขึ้นเพื่อการดูแลผู้ป่วย
2. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย
รายงานสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ 29 ราย กลับบ้านได้ 1,593 ราย รักษาอยู่ 1,033 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,672 ราย 68 จังหวัดทั่วประเทศ เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รวม 46 ราย หลังจากการเริ่มประกาศเคอร์ฟิว เมื่อ 3 เม.ย. 63 วันนี้ครบ 14 วัน จึงเป็นผลที่ทําให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ไม่อยากให้ชะล่าใจและผ่อนปรนเร็วเกินไป พบผู้ป่วยกลุ่มอายุที่ติดเชื้อมากที่สุดคือกลุ่ม 20 - 29 ปี ประกอบด้วย ชาย 380 คน หญิง 252 คน
ผู้เสียชีวิต 3 ราย รายที่ 44 เป็นชาย สัญชาติมาเลเซีย อายุ 55 ปี อาชีพไกด์ทัวร์ ไม่มีโรคประจําตัว มีประวัติเสี่ยงไปประเทศจอร์เจียเมื่อวันที่ 13 – 19 มี.ค. มีลูกทัวร์ป่วยเป็นโควิด-19 เริ่มป่วยวันที่ 21 มี.ค. ด้วยอาการ ไอ เหนื่อย ออกซิเจนในเลือดลดลง ปอดอักเสบ ตรวจพบเชื้อโควิด-19 รักษาตัวได้ 2 สัปดาห์ อาการแย่ลงเรื่อย ๆ และเสียชีวิตในวันที่ 14 เม.ย. รายที่ 45 เป็นหญิงไทย อายุ 35 ปี อาชีพพนักงานบริษัท มีโรคประจําตัวคือโรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง เริ่มป่วยวันที่ 20 มี.ค. ด้วยอาการไอ เหนื่อย กลับมาเข้ารับการรักษาอีกครั้ง ด้วยอาการไอมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้น ปอดอักเสบรุนแรง ตรวจพบเชื้อโควิด-19 อาการแย่ลงเรื่อย ๆ และเสียชีวิตในวันที่ 15 เม.ย. รายที่ 46 เป็นชายไทย อายุ 37 ปี อาชีพรับจ้าง มีโรคประจําตัวความดันโลหิตสูงและโรคอ้วน มีประวัติเสี่ยงภรรยาทํางานเป็นพนักงานร้านอาหารย่านสุขุมวิท หลังจากปิดร้านเดินทางกลับจังหวัดปราจีนบุรี เริ่มป่วยวันที่ 22 มี.ค. ด้วยอาการไข้สูง ทอนซิลอักเสบ วันที่ 6 เม.ย. มีไข้สูง หน้ามืด ตรวจพบเชื้อโควิด-19 อาการแย่ลงเรื่อย ๆ และเสียชีวิตในวันที่ 15 เม.ย. กลุ่มผู้เสียชีวิตเหล่านี้เป็นผู้ป่วยที่สะสมมาตั้งแต่เดือนมีนาคม โฆษก ศบค. กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า อัตราการเสียชีวิตก็จะค่อยๆลดลงในอีก14วันข้างหน้า หากยังคงมาตรการเช่นนี้ไว้
สําหรับรายงานผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 29 รายวันนี้ มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 14 ราย คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ 2 ราย ผู้ที่ติดเชื้อจากการไปสถานที่ชุมชน/ห้าง/ร้าน 1 ราย ปัจจัยอาชีพเสี่ยง 2 ราย และอยู่ในระหว่างการสอบสวนโรค 10 ราย เมื่อจากดูแผนที่แสดงจังหวัดที่รับรักษาพบผู้ป่วยยืนยันสะสมพบว่า ผู้ติดเชื้อในกรุงเทพมหานครจํานวน 1,349 ราย ภูเก็ต 191 ราย นนทบุรี 148 ราย สมุทรปราการ 108 ราย ยะลา 96 ราย และอยู่ระหว่างการสอบสวน 70 ราย โดยอัตราผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ต่อประชากรแสนคน จําแนกตามจังหวัดที่รับการรักษา อันดับ 1 คือจังหวัดภูเก็ต รองลงมาคือ กรุงเทพฯ ยะลา ปัตตานี นนทบุรี ตามลําดับ
โฆษก ศบค. ได้กล่าวชื่นชมจังหวัดที่เคยรับการรักษาผู้ป่วยยืนยันแต่ไม่มีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ในช่วง 14 วัน ที่ผ่านมา (ตั้งแต่วันที่ 2-15 เมษายน) ทั้งสิ้น 25 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี จันทบุรี นครนายก บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ราชบุรี ลพบุรี ลําพูน ศรีสะเกษ สมุทรสงคราม สระบุรี สุโขทัย หนองบัวลําภู อํานาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี และจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยมาก่อน 9 จังหวัด ได้แก่ กําแพงเพชร ชัยนาถ ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี และอ่างทอง ซึ่งต้องขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัด ฝ่ายปกครอง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ข้าราชการ ทุกฝ่ายที่ทํางานอย่างเต็มที่รวมทั้งประชาชนที่ให้ความร่วมมือ ทําให้ไม่มีจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในจังหวัดดังกล่าว ขณะเดียวกัน ขอฝากพี่น้องประชาชนในกรุงเทพและนนทบุรีให้ร่วมมือในมาตรการต่างๆ อย่างเต็มที่ เนื่องจากแนวโน้มผู้ติดเชื้อไวรัสในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี ยังคงสูงขึ้น
3. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลกว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,080,000 คน เสียชีวิต 130,000 กว่าคน สหรัฐอเมริกา เสียชีวิต 28,000 รายการเพิ่มขึ้นในวันเดียวถึง 2,482 ศพ สเปน มีผู้เสียชีวิต 18,000 กว่าราย อิตาลี 21,000 ราย ฝรั่งเศส 17,000 รายและอังกฤษ เสียชีวิต 12,800 ราย
สถานการณ์ในกลุ่มอาเซียนและเอเชียนั้น ประเทศเกาหลีใต้ อยู่อันดับที่ 23 มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้น 22 ราย ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสม 10,613 ราย เสียชีวิต 200 กว่าราย ญี่ปุ่น อันดับที่ 24 ผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 741 ราย ผู้ติดเชื้อสะสม 8,000 กว่าราย ฟิลิปปินส์ อันดับที่ 36 ผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 230 ราย อินโดนีเซีย อันดับที่ 38 ผู้ป่วยรายใหม่ 297 ราย มาเลเซีย อันดับที่ 39 ผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 85 ราย สิงคโปร์ อันดับที่ 45 ผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 447 ราย ภายในวันเดียว ประเทศไทย อยู่อันดับที่ 50 ผู้ป่วยรายใหม่ 29 ราย
โฆษก ศบค. เผยเกาหลีใต้ ใช้ 4 นโยบายหลักในการป้องกันและควบคุม COVID-19 ทําให้สถานการณ์ของเกาหลีใต้ดีขึ้น ดังนี้ (1) เปิดเผยข้อมูลความเป็นจริงทั้งหมด โปร่งใส ซึ่งไทยก็ดําเนินการเช่นกัน (2) การกักกันเชื้อ (Containment) และการชะลอการแพร่ระบาด (Mitigation) ซึ่งไทยใช้ State Quarantine หรือ Home Quarantine หรือ Local Quarantine ร่วมกับการใช้ Social Distancing (3) ระบบการตรวจโรคและรักษา เช่นเดียวกับไทย รวมทั้งไทยยังมีโรงพยาบาล และเตียงผู้ป่วยเพียงพอรองรับผู้ป่วยเต็มที่ และ(4) รับการคัดกรองอย่างกว้างขวาง (Massive Screening) และระบบการติดตามผู้ป่วยสงสัย (Fast Tracking Suspect Cases) ซึ่งไทยใช้ Active Cases Finding เป็นการตรวจแบบเจาะกลุ่ม ซึ่งไม่ได้แตกต่างกับของเกาหลี นอกจากนี้ เกาหลีใต้ยังมีนโยบายเสริมคือ ให้ประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่โบสถ์ออนไลน์ โดยแปลงจากที่ต้องเดินทางไปโบสถ์จริงเป็นโบสถ์ออนไลน์ คือ ตนเองอยู่บ้านและการปฏิบัติพิธีทางศาสนาไม่หายไป
อย่างไรก็ตาม ไทยยังขาดการติดตามตัวบุคคลอย่างเคร่งครัด ขณะที่เกาหลีใต้ใช้แอพพลิเคชั่น Corona 100m ดึงข้อมูลจากหลายแหล่งรวมทั้งโลเคชั่นจากมือถือของประชาชนเกาหลีใต้ รวบรวมเป็นประวัติติดเชื้อ และเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวโดยทําเป็นแผนที่เรียกว่า Coronamap Site พร้อมระบบแจ้งเตือนประชาชนผ่าน SMS ถ้าพื้นที่เสี่ยง 3 ระดับคือเขียว เหลือง แดง มีผู้ติดเชื้อควรหลีกเลี่ยงที่จะเดินเข้าไป ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงให้ความสําคัญเรื่องสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งต้องมีการพูดคุยกัน หากการระบาดมากขึ้นเพื่อควบคุมคนที่ติดเชื้อให้ได้
ประเทศจีน มีการคาดการว่ามีผู้ป่วยโควิด -19 ไม่แสดงอาการซ่อนอยู่เป็นจํานวนมาก โดยล่าสุดผลตรวจผู้ต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสโควิด -19 จํานวน 6,764 คน พบ 1,297 คนเท่านั้นที่มีอาการป่วย หมายความว่า 19.1% หรือประมาณ 20% คือ 5 คนที่ป่วยมี 1 คนเท่านั้นที่มีอาการ นอกนั้นอีก 4 คนมีเชื้ออยู่แต่ไม่แสดงอาการ ซึ่งเป็นความท้าทายสําหรับการควบคุมสถานการณ์
โฆษก ศบค. ได้กล่าวย้ําถึงอาการสงสัยที่อาจแสดงว่าพบเชื้อโควิด -19 เช่น อาการไอแห้งๆ และมีไข้ เพียงแค่อาการ 2 อย่างนี้ ถือว่ามีอาการ รวมทั้งมีอาการสูญเสียการได้กลิ่นและรับรส โดยหากเกิดอาการเหล่านี้หลายวันให้มาตรวจหาเชื้อได้ ตรงนี้เป็นตัวบ่งชี้และเชื่อว่าคนที่ติดเชื้อไวรัสจะมีอาการแสดงลักษณะแบบนี้เกิดขึ้น
ประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้สถานการณ์โควิด -19 ในญี่ปุ่นทรุดหนัก ทางการเตือนอาจมีผู้ติดเชื้อเพิ่มหลายแสนคน พร้อมเตือนว่า หากคนญี่ปุ่นไม่ปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่ง อาจจะมีผู้ติดเชื้อสูงถึง 850,000 กว่าคนทั่วประเทศ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจจะมีผู้เสียชีวิตครึ่งหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ผู้ป่วยติดเชื้อของญี่ปุ่นมีมากกว่า 8,000 คนแล้ว เสียชีวิตไปแล้ว 170 กว่าคน และ 1 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อ อยู่ในกรุงโตเกียว ทั้งนี้ ญี่ปุ่นมีความกังวลใจมากเพราะมีประชากรผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก เพราะคนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือผู้สูงอายุ ที่จะต้องมากลายเป็นผู้ที่จะต้องป่วยหนักและเสียชีวิตมากที่สุด ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงต้องมีการประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
4. รายงานผลการปฏิบัติการตามมาตรการ
การปฏิบัติการจากการประกาศเคอร์ฟิว
รายงานผลประจําวันที่ 16 เมษายน 63 พบประชาชนกระทําความผิด ออกนอกเคหะสถาน 161 ราย ดําเนินคดี 671 คน ชุมนุมมั่วสุม 168 คดี แม้ประชาชนจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ยังมีกลุ่มคนที่กระทําความผิดอยู่ ทั้ง เล่นการพนัน ดื่มสุราอยู่ โดยพบการกระทําความผิดสูงสุด ได้แก่ นนทบุรี 101 ราย กรุงเทพมหานคร 49 ราย ระยอง 37 ราย สมุทรปราการ 32 ราย ปทุมธานี 32 ราย แสดงให้เห็นว่าแต่ละพื้นที่มีความเข้มข้นในการกวดขันประชาชนที่ออกมากระทําความผิด ขอส่งกําลังใจให้ฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหาร ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่มีการป้องปราม รวมทั้งขอวอนประชาชนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
กรณีนักเรียนทุน AFS ที่จะเดินทางกลับมาในวันที่ 17 เม.ย. 63 จํานวน 129 ราย รวมกับกลุ่มคนทํางานจากบังคลาเทศวันที่ 18 เม.ย. 63 จํานวน 123 ราย และวันที่ 19 เม.ย .63จํานวน 160 ราย และ มีเที่ยวบิน 2 เที่ยวบินที่จะมีคนไทยเดินทางกลับวันนี้ จากอาหรับเอมิเรตส์และมัลดีฟส์ ซึ่งเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย ฝ่ายความมั่นคงจะดูแลพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศให้ดีที่สุด ซึ่งได้เตรียมพื้นที่ดูแล State Quarantine ด้วย ทั้งนี้ จากนโยบาย คนไทยไม่ทิ้งกัน กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุล ในต่างประเทศ ได้ติดต่อประสานงานดูแลคนไทยที่ยังตกค้างอยู่ต่างประเทศ รวมทั้งนําอาหารและสิ่งของยังชีพแจกจ่ายให้ประชาชนคนไทยในต่างแดนด้วย
มาตรการหน้ากากอนามัย
รายงานการจัดส่งหน้ากากอนามัย ของกระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 16 เมษายน 2563 มีจํานวนรับเข้า 21,497,500 ชิ้น ระหว่างจัดส่ง 3,107,400 ชิ้น จัดส่งแล้วทั้งหมด 18,390,100 ชิ้น สะสมไปแล้ว 18 ล้านชิ้น สําหรับกระทรวงมหาดไทย รายงานสถานะจัดส่งหน้ากากอนามัย มี จํานวนรับเข้า 12,478,300 ชิ้น ระหว่างจัดส่ง 843,000 ชิ้น จัดส่งแล้วทั้งหมด 11,635,300 ชิ้น สะสมไปแล้ว 11 ล้านชิ้น
โฆษก ศบค. กล่าวย้ําว่า การเสนอตัวเลขและข้อมูลของประเทศต่าง ๆ เพื่อให้ทุกคนเรียนรู้ และศึกษาผลลัพธ์ของแต่ละประเทศ เพื่อนํามาประกอบการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ของประเทศไทยต่อไป
-------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ชื่นชม 25 จังหวัด คุมเข้มเต็มที่ทำให้ไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อใหม่ในรอบ 14 วัน
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563
โฆษก ศบค. ชื่นชม 25 จังหวัด คุมเข้มเต็มที่ทําให้ไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อใหม่ในรอบ 14 วัน
โฆษก ศบค. ชื่นชม 25 จังหวัด คุมเข้มเต็มที่ทําให้ไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อใหม่ในรอบ 14 วัน
วันนี้ (16 เม.ย. 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้
1. นายกรัฐมนตรีติดตามการใช้งาน AI ช่วยวินิจฉัยโควิ-19 ณ ร.พ. ศิริราช
นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ศบค. ตรวจดูการใช้งานเครื่องมือ AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ โดยจากบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี ประเทศไทย (จํากัด) ได้มอบให้โรงพยาบาลศิริราช เพื่อใช้วิเคราะห์โรคเชื้อ COVID-19 ด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) นับเป็นวิธีหนึ่งในการตรวจวินิจฉัยและติดตามการรักษาในผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งในผู้ป่วยบางรายอาจต้องตรวจซ้ําและเปรียบเทียบอ่านผลภาพการตรวจหลายครั้ง เทคโนโลยี AI จะช่วยให้แพทย์นํามาใช้วินิจฉัยผลตรวจ CT ของผู้ป่วยที่ติดเชื้อได้อย่างแม่นยําและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมทั้งตรวจดูการทํางานเครื่องอบหน้ากากอนามัย N95 โดยใช้วิธีฉายแสง UV เพื่อฆ่าเชื้อทําให้สามารถนําหน้ากากอนามัยกลับมาใช้ซ้ําได้ถึง 4 ครั้ง จากผลการวิจัยพบว่า เครื่องอบร้อนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการฆ่าเชื้อโรคเพื่อนําหน้ากาก N95 และหน้ากากอนามัยกลับมาใช้ซ้ํา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวผ่าน Tele Conference สอบถามการปฏิบัติงานของบุคลากร ให้กําลังใจบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้การดูแลผู้ป่วยขณะนี้ พร้อมยกย่องโรงพยาบาลศิริราชในการพัฒนาระบบการทํางานให้ดีขึ้นเพื่อการดูแลผู้ป่วย
2. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย
รายงานสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ 29 ราย กลับบ้านได้ 1,593 ราย รักษาอยู่ 1,033 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,672 ราย 68 จังหวัดทั่วประเทศ เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รวม 46 ราย หลังจากการเริ่มประกาศเคอร์ฟิว เมื่อ 3 เม.ย. 63 วันนี้ครบ 14 วัน จึงเป็นผลที่ทําให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ไม่อยากให้ชะล่าใจและผ่อนปรนเร็วเกินไป พบผู้ป่วยกลุ่มอายุที่ติดเชื้อมากที่สุดคือกลุ่ม 20 - 29 ปี ประกอบด้วย ชาย 380 คน หญิง 252 คน
ผู้เสียชีวิต 3 ราย รายที่ 44 เป็นชาย สัญชาติมาเลเซีย อายุ 55 ปี อาชีพไกด์ทัวร์ ไม่มีโรคประจําตัว มีประวัติเสี่ยงไปประเทศจอร์เจียเมื่อวันที่ 13 – 19 มี.ค. มีลูกทัวร์ป่วยเป็นโควิด-19 เริ่มป่วยวันที่ 21 มี.ค. ด้วยอาการ ไอ เหนื่อย ออกซิเจนในเลือดลดลง ปอดอักเสบ ตรวจพบเชื้อโควิด-19 รักษาตัวได้ 2 สัปดาห์ อาการแย่ลงเรื่อย ๆ และเสียชีวิตในวันที่ 14 เม.ย. รายที่ 45 เป็นหญิงไทย อายุ 35 ปี อาชีพพนักงานบริษัท มีโรคประจําตัวคือโรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง เริ่มป่วยวันที่ 20 มี.ค. ด้วยอาการไอ เหนื่อย กลับมาเข้ารับการรักษาอีกครั้ง ด้วยอาการไอมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้น ปอดอักเสบรุนแรง ตรวจพบเชื้อโควิด-19 อาการแย่ลงเรื่อย ๆ และเสียชีวิตในวันที่ 15 เม.ย. รายที่ 46 เป็นชายไทย อายุ 37 ปี อาชีพรับจ้าง มีโรคประจําตัวความดันโลหิตสูงและโรคอ้วน มีประวัติเสี่ยงภรรยาทํางานเป็นพนักงานร้านอาหารย่านสุขุมวิท หลังจากปิดร้านเดินทางกลับจังหวัดปราจีนบุรี เริ่มป่วยวันที่ 22 มี.ค. ด้วยอาการไข้สูง ทอนซิลอักเสบ วันที่ 6 เม.ย. มีไข้สูง หน้ามืด ตรวจพบเชื้อโควิด-19 อาการแย่ลงเรื่อย ๆ และเสียชีวิตในวันที่ 15 เม.ย. กลุ่มผู้เสียชีวิตเหล่านี้เป็นผู้ป่วยที่สะสมมาตั้งแต่เดือนมีนาคม โฆษก ศบค. กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า อัตราการเสียชีวิตก็จะค่อยๆลดลงในอีก14วันข้างหน้า หากยังคงมาตรการเช่นนี้ไว้
สําหรับรายงานผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 29 รายวันนี้ มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 14 ราย คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ 2 ราย ผู้ที่ติดเชื้อจากการไปสถานที่ชุมชน/ห้าง/ร้าน 1 ราย ปัจจัยอาชีพเสี่ยง 2 ราย และอยู่ในระหว่างการสอบสวนโรค 10 ราย เมื่อจากดูแผนที่แสดงจังหวัดที่รับรักษาพบผู้ป่วยยืนยันสะสมพบว่า ผู้ติดเชื้อในกรุงเทพมหานครจํานวน 1,349 ราย ภูเก็ต 191 ราย นนทบุรี 148 ราย สมุทรปราการ 108 ราย ยะลา 96 ราย และอยู่ระหว่างการสอบสวน 70 ราย โดยอัตราผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ต่อประชากรแสนคน จําแนกตามจังหวัดที่รับการรักษา อันดับ 1 คือจังหวัดภูเก็ต รองลงมาคือ กรุงเทพฯ ยะลา ปัตตานี นนทบุรี ตามลําดับ
โฆษก ศบค. ได้กล่าวชื่นชมจังหวัดที่เคยรับการรักษาผู้ป่วยยืนยันแต่ไม่มีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ในช่วง 14 วัน ที่ผ่านมา (ตั้งแต่วันที่ 2-15 เมษายน) ทั้งสิ้น 25 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี จันทบุรี นครนายก บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ราชบุรี ลพบุรี ลําพูน ศรีสะเกษ สมุทรสงคราม สระบุรี สุโขทัย หนองบัวลําภู อํานาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี และจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยมาก่อน 9 จังหวัด ได้แก่ กําแพงเพชร ชัยนาถ ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี และอ่างทอง ซึ่งต้องขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัด ฝ่ายปกครอง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ข้าราชการ ทุกฝ่ายที่ทํางานอย่างเต็มที่รวมทั้งประชาชนที่ให้ความร่วมมือ ทําให้ไม่มีจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในจังหวัดดังกล่าว ขณะเดียวกัน ขอฝากพี่น้องประชาชนในกรุงเทพและนนทบุรีให้ร่วมมือในมาตรการต่างๆ อย่างเต็มที่ เนื่องจากแนวโน้มผู้ติดเชื้อไวรัสในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี ยังคงสูงขึ้น
3. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลกว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,080,000 คน เสียชีวิต 130,000 กว่าคน สหรัฐอเมริกา เสียชีวิต 28,000 รายการเพิ่มขึ้นในวันเดียวถึง 2,482 ศพ สเปน มีผู้เสียชีวิต 18,000 กว่าราย อิตาลี 21,000 ราย ฝรั่งเศส 17,000 รายและอังกฤษ เสียชีวิต 12,800 ราย
สถานการณ์ในกลุ่มอาเซียนและเอเชียนั้น ประเทศเกาหลีใต้ อยู่อันดับที่ 23 มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้น 22 ราย ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสม 10,613 ราย เสียชีวิต 200 กว่าราย ญี่ปุ่น อันดับที่ 24 ผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 741 ราย ผู้ติดเชื้อสะสม 8,000 กว่าราย ฟิลิปปินส์ อันดับที่ 36 ผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 230 ราย อินโดนีเซีย อันดับที่ 38 ผู้ป่วยรายใหม่ 297 ราย มาเลเซีย อันดับที่ 39 ผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 85 ราย สิงคโปร์ อันดับที่ 45 ผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 447 ราย ภายในวันเดียว ประเทศไทย อยู่อันดับที่ 50 ผู้ป่วยรายใหม่ 29 ราย
โฆษก ศบค. เผยเกาหลีใต้ ใช้ 4 นโยบายหลักในการป้องกันและควบคุม COVID-19 ทําให้สถานการณ์ของเกาหลีใต้ดีขึ้น ดังนี้ (1) เปิดเผยข้อมูลความเป็นจริงทั้งหมด โปร่งใส ซึ่งไทยก็ดําเนินการเช่นกัน (2) การกักกันเชื้อ (Containment) และการชะลอการแพร่ระบาด (Mitigation) ซึ่งไทยใช้ State Quarantine หรือ Home Quarantine หรือ Local Quarantine ร่วมกับการใช้ Social Distancing (3) ระบบการตรวจโรคและรักษา เช่นเดียวกับไทย รวมทั้งไทยยังมีโรงพยาบาล และเตียงผู้ป่วยเพียงพอรองรับผู้ป่วยเต็มที่ และ(4) รับการคัดกรองอย่างกว้างขวาง (Massive Screening) และระบบการติดตามผู้ป่วยสงสัย (Fast Tracking Suspect Cases) ซึ่งไทยใช้ Active Cases Finding เป็นการตรวจแบบเจาะกลุ่ม ซึ่งไม่ได้แตกต่างกับของเกาหลี นอกจากนี้ เกาหลีใต้ยังมีนโยบายเสริมคือ ให้ประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่โบสถ์ออนไลน์ โดยแปลงจากที่ต้องเดินทางไปโบสถ์จริงเป็นโบสถ์ออนไลน์ คือ ตนเองอยู่บ้านและการปฏิบัติพิธีทางศาสนาไม่หายไป
อย่างไรก็ตาม ไทยยังขาดการติดตามตัวบุคคลอย่างเคร่งครัด ขณะที่เกาหลีใต้ใช้แอพพลิเคชั่น Corona 100m ดึงข้อมูลจากหลายแหล่งรวมทั้งโลเคชั่นจากมือถือของประชาชนเกาหลีใต้ รวบรวมเป็นประวัติติดเชื้อ และเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวโดยทําเป็นแผนที่เรียกว่า Coronamap Site พร้อมระบบแจ้งเตือนประชาชนผ่าน SMS ถ้าพื้นที่เสี่ยง 3 ระดับคือเขียว เหลือง แดง มีผู้ติดเชื้อควรหลีกเลี่ยงที่จะเดินเข้าไป ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงให้ความสําคัญเรื่องสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งต้องมีการพูดคุยกัน หากการระบาดมากขึ้นเพื่อควบคุมคนที่ติดเชื้อให้ได้
ประเทศจีน มีการคาดการว่ามีผู้ป่วยโควิด -19 ไม่แสดงอาการซ่อนอยู่เป็นจํานวนมาก โดยล่าสุดผลตรวจผู้ต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสโควิด -19 จํานวน 6,764 คน พบ 1,297 คนเท่านั้นที่มีอาการป่วย หมายความว่า 19.1% หรือประมาณ 20% คือ 5 คนที่ป่วยมี 1 คนเท่านั้นที่มีอาการ นอกนั้นอีก 4 คนมีเชื้ออยู่แต่ไม่แสดงอาการ ซึ่งเป็นความท้าทายสําหรับการควบคุมสถานการณ์
โฆษก ศบค. ได้กล่าวย้ําถึงอาการสงสัยที่อาจแสดงว่าพบเชื้อโควิด -19 เช่น อาการไอแห้งๆ และมีไข้ เพียงแค่อาการ 2 อย่างนี้ ถือว่ามีอาการ รวมทั้งมีอาการสูญเสียการได้กลิ่นและรับรส โดยหากเกิดอาการเหล่านี้หลายวันให้มาตรวจหาเชื้อได้ ตรงนี้เป็นตัวบ่งชี้และเชื่อว่าคนที่ติดเชื้อไวรัสจะมีอาการแสดงลักษณะแบบนี้เกิดขึ้น
ประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้สถานการณ์โควิด -19 ในญี่ปุ่นทรุดหนัก ทางการเตือนอาจมีผู้ติดเชื้อเพิ่มหลายแสนคน พร้อมเตือนว่า หากคนญี่ปุ่นไม่ปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่ง อาจจะมีผู้ติดเชื้อสูงถึง 850,000 กว่าคนทั่วประเทศ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจจะมีผู้เสียชีวิตครึ่งหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ผู้ป่วยติดเชื้อของญี่ปุ่นมีมากกว่า 8,000 คนแล้ว เสียชีวิตไปแล้ว 170 กว่าคน และ 1 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อ อยู่ในกรุงโตเกียว ทั้งนี้ ญี่ปุ่นมีความกังวลใจมากเพราะมีประชากรผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก เพราะคนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือผู้สูงอายุ ที่จะต้องมากลายเป็นผู้ที่จะต้องป่วยหนักและเสียชีวิตมากที่สุด ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงต้องมีการประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
4. รายงานผลการปฏิบัติการตามมาตรการ
การปฏิบัติการจากการประกาศเคอร์ฟิว
รายงานผลประจําวันที่ 16 เมษายน 63 พบประชาชนกระทําความผิด ออกนอกเคหะสถาน 161 ราย ดําเนินคดี 671 คน ชุมนุมมั่วสุม 168 คดี แม้ประชาชนจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ยังมีกลุ่มคนที่กระทําความผิดอยู่ ทั้ง เล่นการพนัน ดื่มสุราอยู่ โดยพบการกระทําความผิดสูงสุด ได้แก่ นนทบุรี 101 ราย กรุงเทพมหานคร 49 ราย ระยอง 37 ราย สมุทรปราการ 32 ราย ปทุมธานี 32 ราย แสดงให้เห็นว่าแต่ละพื้นที่มีความเข้มข้นในการกวดขันประชาชนที่ออกมากระทําความผิด ขอส่งกําลังใจให้ฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหาร ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่มีการป้องปราม รวมทั้งขอวอนประชาชนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
กรณีนักเรียนทุน AFS ที่จะเดินทางกลับมาในวันที่ 17 เม.ย. 63 จํานวน 129 ราย รวมกับกลุ่มคนทํางานจากบังคลาเทศวันที่ 18 เม.ย. 63 จํานวน 123 ราย และวันที่ 19 เม.ย .63จํานวน 160 ราย และ มีเที่ยวบิน 2 เที่ยวบินที่จะมีคนไทยเดินทางกลับวันนี้ จากอาหรับเอมิเรตส์และมัลดีฟส์ ซึ่งเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย ฝ่ายความมั่นคงจะดูแลพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศให้ดีที่สุด ซึ่งได้เตรียมพื้นที่ดูแล State Quarantine ด้วย ทั้งนี้ จากนโยบาย คนไทยไม่ทิ้งกัน กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุล ในต่างประเทศ ได้ติดต่อประสานงานดูแลคนไทยที่ยังตกค้างอยู่ต่างประเทศ รวมทั้งนําอาหารและสิ่งของยังชีพแจกจ่ายให้ประชาชนคนไทยในต่างแดนด้วย
มาตรการหน้ากากอนามัย
รายงานการจัดส่งหน้ากากอนามัย ของกระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 16 เมษายน 2563 มีจํานวนรับเข้า 21,497,500 ชิ้น ระหว่างจัดส่ง 3,107,400 ชิ้น จัดส่งแล้วทั้งหมด 18,390,100 ชิ้น สะสมไปแล้ว 18 ล้านชิ้น สําหรับกระทรวงมหาดไทย รายงานสถานะจัดส่งหน้ากากอนามัย มี จํานวนรับเข้า 12,478,300 ชิ้น ระหว่างจัดส่ง 843,000 ชิ้น จัดส่งแล้วทั้งหมด 11,635,300 ชิ้น สะสมไปแล้ว 11 ล้านชิ้น
โฆษก ศบค. กล่าวย้ําว่า การเสนอตัวเลขและข้อมูลของประเทศต่าง ๆ เพื่อให้ทุกคนเรียนรู้ และศึกษาผลลัพธ์ของแต่ละประเทศ เพื่อนํามาประกอบการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ของประเทศไทยต่อไป
-------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29197
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญาเปิดตัวซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์แห่งแรกในกรุงเทพฯ
|
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562
รมช.มนัญญาเปิดตัวซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์แห่งแรกในกรุงเทพฯ
รมช.มนัญญาเปิดตัวซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์แห่งแรกในกรุงเทพฯ นําร่องที่ร้านสหกรณ์พระนครใกล้สถานีรถไฟฟ้าอารีย์เป็นศูนย์กลางจําหน่ายผักผลไม้และสินค้าเกษตรปลอดภัย
รมช.มนัญญาเปิดตัวซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์แห่งแรกในกรุงเทพฯ นําร่องที่ร้านสหกรณ์พระนครใกล้สถานีรถไฟฟ้าอารีย์เป็นศูนย์กลางจําหน่ายผักผลไม้และสินค้าเกษตรปลอดภัย
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์แห่งแรกในกรุงเทพฯ ร่วมกับร้านสหกรณ์พระนคร จํากัด ถ.พหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้าอารีย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่จะพัฒนาร้านสหกรณ์ ให้เป็นศูนย์รวบรวมและจําหน่ายพืชผักและผลิตผลการเกษตรจากสหกรณ์ทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้าทั้งของสดและของแห้ง จะเน้นจําหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และปลอดภัยในราคายุติธรรม ซึ่งผู้บริโภคสามารถตรวจสอบถึงที่มาของแหล่งผลิตสินค้าแต่ละชนิด เพื่อสร้างความมั่นใจเมื่อเลือกซื้อสินค้าที่ “ซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์” อีกทั้งยังตั้งอยู่ในย่านชุมชน และอยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS อารีย์ เป็นจุดที่ประชาชนสามารถเดินทางมาซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก
สําหรับ “ซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์” เป็นแหล่งรวบรวมจําหน่ายสินค้าสหกรณ์ที่มีคุณภาพจากจังหวัดต่างๆ มาวางจําหน่ายให้ผู้บริโภคโดยตรง และจากการลงพื้นที่เยี่ยมสหกรณ์หลายจังหวัด ทําให้ทราบว่าสินค้าสหกรณ์ เป็นสินค้าที่ดีมีคุณภาพ แต่ขาดการส่งเสริมหรือการทําตลาดที่ดี จึงให้นโยบายกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ ไปทําการเชื่อมโยงสหกรณ์การเกษตร ที่ผลิตสินค้ากับสหกรณ์ร้านค้าในกรุงเทพฯ เพื่อผลักดันให้เกิดซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ และให้ปรับปรุงรูปแบบร้านค้าของสหกรณ์ให้มีความทันสมัย ดูสวยงาม สะอาด และในอนาคตจะสนับสนุนให้มีซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อขยายช่องทางจําหน่ายผัก ผลไม้ เนื้อ นม ไข่ไก่ และสินค้าแปรรูป ให้เข้าถึงผู้บริโภคทุกพื้นที่ต่อไป
“จากการมาเปิดซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ในวันนี้ทางกระทรวงเกษตรฯ มีเป้าหมายที่จะขยายให้ได้ในทุกๆจังหวัด
ถ้าสหกรณ์ไหนที่มีความพร้อม ทางกระทรวงเกษตรฯก็จะช่วยเหลือสนับสนุนต่อไป ส่วนสินค้าที่นํามาจําหน่ายที่นี่จะเจาะกลุ่มเป้าหมายคนที่รักสุขภาพ บริโภคพืชผักและสินค้าที่คุณภาพดี ผ่านการรับรองจาก GAP ว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ ปลอดสารพิษอย่างแน่นอน ดังนั้นการที่ประชาชนมาช่วยอุดหนุนสินค้าสหกรณ์ นอกจากได้สินค้าดีแล้ว อีกทางหนึ่ง
คือเรากําลังช่วยกันเกื้อกูลพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ต่างจังหวัด ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทําให้มีกําลังใจผลิตสินค้าดี สินค้าปลอดภัยมาจําหน่าย” นางสาวมนัญญา กล่าว
ด้านนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า การดําเนินธุรกิจจะเป็นลักษณะการฝากขาย โดยให้สหกรณ์ผู้ผลิตแจ้งราคาทุน ราคาตลาด ทางร้านสหกรณ์พระนคร จํากัด จะกําหนดราคาขายให้สามารถแข่งขันกับตลาดได้ รวมถึงตกลงร่วมกันในรายละเอียด เช่น ขนาดสินค้า ราคา และช่วงเวลาการจัดจําหน่าย สําหรับสินค้านําร่องที่ร้านสหกรณ์พระนคร จํากัด ซอยอารีย์ กรุงเทพฯ จะมีสินค้า 4 ชนิดหลัก คือ ข้าวหอมมะลิ จากสหกรณ์การเกษตรเกษตรวิสัย จํากัด จ.ร้อยเอ็ด สหกรณ์การเกษตรพิมาย จํากัด จ.นครราชสีมา และชุมนุมสหกรณ์การเกษตรบุรีรัมย์ จํากัด เนื้อโคขุนจากสหกรณ์โคเนื้อกําแพงแสน จํากัด จ.นครปฐม “KU Beef” เนื้อโคขุนแปรรูป เช่น เนื้อกระจกและเนื้อแผ่น จากสหกรณ์การเกษตรหนองสูง จํากัด จังหวัดมุกดาหาร ไข่ไก่ จากสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่แปดริ้ว จํากัด จ.ฉะเชิงเทรา และผักผลไม้เมืองหนาว เช่น ฟักทองญี่ปุ่น แตงกวาญี่ปุ่น กะหล่ําปลีสีม่วง มะเขือเทศ อะโวคาโด้ จากชุมนุมสหกรณ์การเกษตรภาคเหนือ จํากัด จังหวัดเชียงใหม่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญาเปิดตัวซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์แห่งแรกในกรุงเทพฯ
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562
รมช.มนัญญาเปิดตัวซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์แห่งแรกในกรุงเทพฯ
รมช.มนัญญาเปิดตัวซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์แห่งแรกในกรุงเทพฯ นําร่องที่ร้านสหกรณ์พระนครใกล้สถานีรถไฟฟ้าอารีย์เป็นศูนย์กลางจําหน่ายผักผลไม้และสินค้าเกษตรปลอดภัย
รมช.มนัญญาเปิดตัวซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์แห่งแรกในกรุงเทพฯ นําร่องที่ร้านสหกรณ์พระนครใกล้สถานีรถไฟฟ้าอารีย์เป็นศูนย์กลางจําหน่ายผักผลไม้และสินค้าเกษตรปลอดภัย
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์แห่งแรกในกรุงเทพฯ ร่วมกับร้านสหกรณ์พระนคร จํากัด ถ.พหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้าอารีย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่จะพัฒนาร้านสหกรณ์ ให้เป็นศูนย์รวบรวมและจําหน่ายพืชผักและผลิตผลการเกษตรจากสหกรณ์ทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้าทั้งของสดและของแห้ง จะเน้นจําหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และปลอดภัยในราคายุติธรรม ซึ่งผู้บริโภคสามารถตรวจสอบถึงที่มาของแหล่งผลิตสินค้าแต่ละชนิด เพื่อสร้างความมั่นใจเมื่อเลือกซื้อสินค้าที่ “ซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์” อีกทั้งยังตั้งอยู่ในย่านชุมชน และอยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS อารีย์ เป็นจุดที่ประชาชนสามารถเดินทางมาซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก
สําหรับ “ซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์” เป็นแหล่งรวบรวมจําหน่ายสินค้าสหกรณ์ที่มีคุณภาพจากจังหวัดต่างๆ มาวางจําหน่ายให้ผู้บริโภคโดยตรง และจากการลงพื้นที่เยี่ยมสหกรณ์หลายจังหวัด ทําให้ทราบว่าสินค้าสหกรณ์ เป็นสินค้าที่ดีมีคุณภาพ แต่ขาดการส่งเสริมหรือการทําตลาดที่ดี จึงให้นโยบายกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ ไปทําการเชื่อมโยงสหกรณ์การเกษตร ที่ผลิตสินค้ากับสหกรณ์ร้านค้าในกรุงเทพฯ เพื่อผลักดันให้เกิดซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ และให้ปรับปรุงรูปแบบร้านค้าของสหกรณ์ให้มีความทันสมัย ดูสวยงาม สะอาด และในอนาคตจะสนับสนุนให้มีซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อขยายช่องทางจําหน่ายผัก ผลไม้ เนื้อ นม ไข่ไก่ และสินค้าแปรรูป ให้เข้าถึงผู้บริโภคทุกพื้นที่ต่อไป
“จากการมาเปิดซุปเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ในวันนี้ทางกระทรวงเกษตรฯ มีเป้าหมายที่จะขยายให้ได้ในทุกๆจังหวัด
ถ้าสหกรณ์ไหนที่มีความพร้อม ทางกระทรวงเกษตรฯก็จะช่วยเหลือสนับสนุนต่อไป ส่วนสินค้าที่นํามาจําหน่ายที่นี่จะเจาะกลุ่มเป้าหมายคนที่รักสุขภาพ บริโภคพืชผักและสินค้าที่คุณภาพดี ผ่านการรับรองจาก GAP ว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ ปลอดสารพิษอย่างแน่นอน ดังนั้นการที่ประชาชนมาช่วยอุดหนุนสินค้าสหกรณ์ นอกจากได้สินค้าดีแล้ว อีกทางหนึ่ง
คือเรากําลังช่วยกันเกื้อกูลพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ต่างจังหวัด ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทําให้มีกําลังใจผลิตสินค้าดี สินค้าปลอดภัยมาจําหน่าย” นางสาวมนัญญา กล่าว
ด้านนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า การดําเนินธุรกิจจะเป็นลักษณะการฝากขาย โดยให้สหกรณ์ผู้ผลิตแจ้งราคาทุน ราคาตลาด ทางร้านสหกรณ์พระนคร จํากัด จะกําหนดราคาขายให้สามารถแข่งขันกับตลาดได้ รวมถึงตกลงร่วมกันในรายละเอียด เช่น ขนาดสินค้า ราคา และช่วงเวลาการจัดจําหน่าย สําหรับสินค้านําร่องที่ร้านสหกรณ์พระนคร จํากัด ซอยอารีย์ กรุงเทพฯ จะมีสินค้า 4 ชนิดหลัก คือ ข้าวหอมมะลิ จากสหกรณ์การเกษตรเกษตรวิสัย จํากัด จ.ร้อยเอ็ด สหกรณ์การเกษตรพิมาย จํากัด จ.นครราชสีมา และชุมนุมสหกรณ์การเกษตรบุรีรัมย์ จํากัด เนื้อโคขุนจากสหกรณ์โคเนื้อกําแพงแสน จํากัด จ.นครปฐม “KU Beef” เนื้อโคขุนแปรรูป เช่น เนื้อกระจกและเนื้อแผ่น จากสหกรณ์การเกษตรหนองสูง จํากัด จังหวัดมุกดาหาร ไข่ไก่ จากสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่แปดริ้ว จํากัด จ.ฉะเชิงเทรา และผักผลไม้เมืองหนาว เช่น ฟักทองญี่ปุ่น แตงกวาญี่ปุ่น กะหล่ําปลีสีม่วง มะเขือเทศ อะโวคาโด้ จากชุมนุมสหกรณ์การเกษตรภาคเหนือ จํากัด จังหวัดเชียงใหม่
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24180
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก สธ. เตือนระวังการใช้เครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊สอาบน้ำหน้าหนาว
|
วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม 2562
โฆษก สธ. เตือนระวังการใช้เครื่องทําน้ําอุ่นระบบแก๊สอาบน้ําหน้าหนาว
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนระวังการใช้เครื่องทําน้ําอุ่นระบบแก๊สอาบน้ําหน้าหนาว ต้องมีช่องระบายอากาศ หากมีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง หายใจลําบาก ได้กลิ่นแก๊สมากผิดปกติให้รีบออกจากห้องน้ําทันที
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนระวังการใช้เครื่องทําน้ําอุ่นระบบแก๊สอาบน้ําหน้าหนาว ต้องมีช่องระบายอากาศ หากมีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง หายใจลําบาก ได้กลิ่นแก๊สมากผิดปกติให้รีบออกจากห้องน้ําทันที
วันนี้ (14 ธันวาคม 2562) นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงหน้าหนาวนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวภูเขา ดอยสูงทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามรีสอร์ทที่พักมักใช้เครื่องทําน้ําอุ่นระบบแก๊ส ซึ่งทําให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และคาร์บอนมอนนอกไซด์ เมื่อสูดดมเข้าไปในปริมาณมากและเป็นเวลานาน จะมีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง หน้ามืด หายใจลําบาก คลื่นไส้ อาเจียน ซึม หมดสติ และเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคโลหิตจาง หอบหืด ถุงลมโป่งพอง ความดันโลหิตสูง เป็นกลุ่มเสี่ยงมีโอกาสเสียชีวิตสูง จึงควรเปิดช่องหรือพัดลมระบายอากาศในระหว่างอาบน้ําทุกครั้ง และเปิดประตูห้องน้ําทิ้งไว้อย่างน้อย 20 นาทีก่อนที่คนต่อไปจะใช้ห้องน้ํา
นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า กรณีไม่มีพัดลมดูดอากาศให้สํารวจว่าประตูห้องน้ํามีช่องระบายอากาศกว้างพอที่อากาศภายนอกจะเข้ามาได้ แต่หากไม่มีทั้งพัดลมดูดอากาศและประตูห้องน้ําปิดทึบ ควรแง้มประตูห้องน้ําระหว่างอาบน้ํา และไม่ควรอาบน้ํานานเกินไป หากถ้ามีอาการผิดปกติหรือได้กลิ่นแก๊สมากผิดปกติ ควรรีบออกจากห้องน้ําทันที นอกจากนี้ จะต้องใช้เฉพาะการอาบน้ํา ไม่นําไปใช้ทําความร้อนภายในห้องพัก ดังกรณีข่าวนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเครื่องทําน้ําอุ่นระบบแก๊สทิ้งไว้เพื่อให้ความร้อนเข้ามาในห้องนอน จนทําให้หมดสติ
สําหรับผู้ที่นอนเต็นท์ขอย้ําว่าห้ามจุดเตาผิงไฟในเต็นท์ ซึ่งจะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์จากการเผาไหม้ขังอยู่ภายในเต็นท์ เมื่อหายใจเข้าไปจะทําให้สมองขาดออกซิเจนไปเลี้ยง ง่วงหลับโดยไม่รู้ตัวและเสียชีวิตได้
“ขอให้ประชาชนรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ําสะอาดวันละ 6-8 แก้ว ออกกําลังกายสม่ําเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เตรียมร่างกายให้แข็งแรงพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ สวมเสื้อผ้า เครื่องกันหนาวให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ สวมถุงมือถุงเท้า และสวมหมวก ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก้หนาว ผู้ที่มีโรคประจําตัวต้องนํายาที่แพทย์ติดตัวไปด้วย เพื่อให้เดินทางท่องเที่ยวอย่างมีความสุข ช่วยเศรษฐกิจของประเทศ” นายแพทย์ณรงค์กล่าว
************************************** 14 ธันวาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก สธ. เตือนระวังการใช้เครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊สอาบน้ำหน้าหนาว
วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม 2562
โฆษก สธ. เตือนระวังการใช้เครื่องทําน้ําอุ่นระบบแก๊สอาบน้ําหน้าหนาว
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนระวังการใช้เครื่องทําน้ําอุ่นระบบแก๊สอาบน้ําหน้าหนาว ต้องมีช่องระบายอากาศ หากมีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง หายใจลําบาก ได้กลิ่นแก๊สมากผิดปกติให้รีบออกจากห้องน้ําทันที
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เตือนระวังการใช้เครื่องทําน้ําอุ่นระบบแก๊สอาบน้ําหน้าหนาว ต้องมีช่องระบายอากาศ หากมีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง หายใจลําบาก ได้กลิ่นแก๊สมากผิดปกติให้รีบออกจากห้องน้ําทันที
วันนี้ (14 ธันวาคม 2562) นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงหน้าหนาวนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวภูเขา ดอยสูงทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามรีสอร์ทที่พักมักใช้เครื่องทําน้ําอุ่นระบบแก๊ส ซึ่งทําให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และคาร์บอนมอนนอกไซด์ เมื่อสูดดมเข้าไปในปริมาณมากและเป็นเวลานาน จะมีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง หน้ามืด หายใจลําบาก คลื่นไส้ อาเจียน ซึม หมดสติ และเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคโลหิตจาง หอบหืด ถุงลมโป่งพอง ความดันโลหิตสูง เป็นกลุ่มเสี่ยงมีโอกาสเสียชีวิตสูง จึงควรเปิดช่องหรือพัดลมระบายอากาศในระหว่างอาบน้ําทุกครั้ง และเปิดประตูห้องน้ําทิ้งไว้อย่างน้อย 20 นาทีก่อนที่คนต่อไปจะใช้ห้องน้ํา
นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า กรณีไม่มีพัดลมดูดอากาศให้สํารวจว่าประตูห้องน้ํามีช่องระบายอากาศกว้างพอที่อากาศภายนอกจะเข้ามาได้ แต่หากไม่มีทั้งพัดลมดูดอากาศและประตูห้องน้ําปิดทึบ ควรแง้มประตูห้องน้ําระหว่างอาบน้ํา และไม่ควรอาบน้ํานานเกินไป หากถ้ามีอาการผิดปกติหรือได้กลิ่นแก๊สมากผิดปกติ ควรรีบออกจากห้องน้ําทันที นอกจากนี้ จะต้องใช้เฉพาะการอาบน้ํา ไม่นําไปใช้ทําความร้อนภายในห้องพัก ดังกรณีข่าวนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเครื่องทําน้ําอุ่นระบบแก๊สทิ้งไว้เพื่อให้ความร้อนเข้ามาในห้องนอน จนทําให้หมดสติ
สําหรับผู้ที่นอนเต็นท์ขอย้ําว่าห้ามจุดเตาผิงไฟในเต็นท์ ซึ่งจะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์จากการเผาไหม้ขังอยู่ภายในเต็นท์ เมื่อหายใจเข้าไปจะทําให้สมองขาดออกซิเจนไปเลี้ยง ง่วงหลับโดยไม่รู้ตัวและเสียชีวิตได้
“ขอให้ประชาชนรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ําสะอาดวันละ 6-8 แก้ว ออกกําลังกายสม่ําเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เตรียมร่างกายให้แข็งแรงพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ สวมเสื้อผ้า เครื่องกันหนาวให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ สวมถุงมือถุงเท้า และสวมหมวก ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก้หนาว ผู้ที่มีโรคประจําตัวต้องนํายาที่แพทย์ติดตัวไปด้วย เพื่อให้เดินทางท่องเที่ยวอย่างมีความสุข ช่วยเศรษฐกิจของประเทศ” นายแพทย์ณรงค์กล่าว
************************************** 14 ธันวาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25216
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สมชาย ร่วมยินดีในงานฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ระหว่างไทย-UNIDO
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
รมช.สมชาย ร่วมยินดีในงานฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ระหว่างไทย-UNIDO
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกล่าวแสดงความยินดีในงานฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ระหว่างไทย-UNIDO ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ ถนนราชดําเนิน
เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 61 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกล่าวแสดงความยินดีในงานฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ระหว่างไทย-UNIDO โดยมี นายลี ยง ผู้อํานวยการใหญ่องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) และ นางอีวา แฮเกอร์ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐออสเตรียประจําประเทศไทย ร่วมกล่าวแสดงความยินดี พร้อมด้วยนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บริหารของ UNIDO ร่วมเป็นเกียรติ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ ถนนราชดําเนิน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สมชาย ร่วมยินดีในงานฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ระหว่างไทย-UNIDO
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
รมช.สมชาย ร่วมยินดีในงานฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ระหว่างไทย-UNIDO
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกล่าวแสดงความยินดีในงานฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ระหว่างไทย-UNIDO ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ ถนนราชดําเนิน
เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 61 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกล่าวแสดงความยินดีในงานฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ระหว่างไทย-UNIDO โดยมี นายลี ยง ผู้อํานวยการใหญ่องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) และ นางอีวา แฮเกอร์ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐออสเตรียประจําประเทศไทย ร่วมกล่าวแสดงความยินดี พร้อมด้วยนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บริหารของ UNIDO ร่วมเป็นเกียรติ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ ถนนราชดําเนิน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15858
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”หารือหน่วยเกี่ยวข้อง กำหนดแนวทางที่เหมาะสม ตอบข้อเรียกร้องสมาคมประมง
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม 2561
“บิ๊กอู๋”หารือหน่วยเกี่ยวข้อง กําหนดแนวทางที่เหมาะสม ตอบข้อเรียกร้องสมาคมประมง
รมว.แรงงาน หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กําหนดแนวทางที่เหมาะสมตามข้อเรียกร้องสมาคมประมง ยืนยันรับฟังทุกฝ่าย นําข้อคิดเห็นมาปรับปรุงให้สอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชนและยึดแนวปฏิบัติตามมาตรฐานสากล
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
เป็นประธานการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมประมง กรมเจ้าท่า สมาคมการประมง
แห่งประเทศไทย สมาคมการประมงนอกน่านน้ําไทย และสมาคมการประมงจังหวัดปัตตานี เป็นต้น เพื่อชี้แจงประเด็นกรณีการผลักดันประเทศไทยเข้าเป็นภาคีสัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทํางานภาคการประมง ค.ศ.2007 ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของสมาคมประมงแห่งประเทศไทยที่จะให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาจาก IUU Fishing ณ ห้องประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยกล่าวว่า สาระสําคัญของอนุสัญญาฯ (ILO) ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทํางานภาคการประมง ค.ศ. 2007 จะทําให้คนงานประมง มีสภาพการทํางานที่มีคุณค่าตามข้อกําหนดขั้นต่ําในการทํางานบนเรือประมง อาทิ มีข้อกําหนดขั้นต่ําในการทํางานที่ชัดเจน ทั้งในเรื่องอายุขั้นต่ํา มีใบรับรองแพทย์ก่อนลงเรือ มีเวลาพักขั้นต่ํา 10 ชั่วโมงจาก 24 ชั่วโมง และ 77 ชั่วโมงใน 1 สัปดาห์มีทะเบียนลูกจ้าง สัญญาจ้าง การจ่ายค่าตอบแทนผ่านระบบบัญชีธนาคาร มีที่พัก อาหาร น้ําดื่มที่เพียงพอเหมาะสม มียารักษาโรคเบื้องต้นกรณีเจ็บป่วย มีช่องทางการติดต่อสื่อสารกับบนฝั่ง มีอุปกรณ์ป้องกันเพื่อความปลอดภัยในการทํางาน ได้รับสิทธิความคุ้มครองด้านการประกันสังคม และเข้าถึงการดูแลรักษาทางการแพทย์ เป็นต้น ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองแรงงานประมง ให้มีสภาพการทํางานและสภาพความเป็นอยู่ในเรือประมงที่เหมาะสม มีความปลอดภัย สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งจะบังคับใช้กับแรงงานประมงทุกคน เรือประมงทุกลํา
ทุกขนาดที่ทําการประมงเพื่อการค้าเท่านั้น ยกเว้นการทําประมงเพื่อยังชีพ หรือการทําประมงในครัวเรือน
เพื่อค้าขายในชุมชนและการทําประมงเพื่อสันทนาการและสามารถขอยกเว้นการบังคับใช้การทําประมงน้ําจืดในแม่น้ําลําคลองได้
พล.ต.อ.อดุลย์ ฯ กล่าวต่อว่า ส่วนข้อเรียกร้องของสมาคมประมงที่ต้องการให้แก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานนั้น กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานมีแนวทางเร่งรัดการนําเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติ
เมียนมา กัมพูชา และเวียดนามตาม MOU ซึ่งเบื้องต้นประเทศต้นทางมีตําแหน่งให้แล้ว 2,000 คน และข้อเรียกร้องที่ต้องการให้แก้ไขปัญหากฎระเบียบที่ออกมาบังคับใช้กับผู้ประกอบการเรือประมงและไม่สอดคล้องกับการประกอบอาชีพ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะออกกฎกระทรวงเพื่อกําหนดอายุขั้นต่ําในการทํางานบนเรือประมง มีเวลาพักขั้นต่ํา มีการจ่ายค่าตอบแทนผ่านระบบบัญชีธนาคาร และการตรวจแรงงาน และข้อเรียกร้องที่ไม่ต้องการเข้าประกันสังคม เนื่องจากไม่สอดคล้องกับวิถีการทําประมง สํานักงานประกันสังคม มีแนวทางให้ลูกจ้างประมงซื้อประกันจากเอกชน เพื่อคุ้มครองกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพและเสียชีวิตได้ โดยกําหนดให้แรงงานต่างด้าวซื้อประกันสุขภาพ และแรงงานไทยใช้สิทธิบัตรทอง
---------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
สํานักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ-ข้อมูล/
2 สิงหาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”หารือหน่วยเกี่ยวข้อง กำหนดแนวทางที่เหมาะสม ตอบข้อเรียกร้องสมาคมประมง
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม 2561
“บิ๊กอู๋”หารือหน่วยเกี่ยวข้อง กําหนดแนวทางที่เหมาะสม ตอบข้อเรียกร้องสมาคมประมง
รมว.แรงงาน หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กําหนดแนวทางที่เหมาะสมตามข้อเรียกร้องสมาคมประมง ยืนยันรับฟังทุกฝ่าย นําข้อคิดเห็นมาปรับปรุงให้สอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชนและยึดแนวปฏิบัติตามมาตรฐานสากล
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
เป็นประธานการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมประมง กรมเจ้าท่า สมาคมการประมง
แห่งประเทศไทย สมาคมการประมงนอกน่านน้ําไทย และสมาคมการประมงจังหวัดปัตตานี เป็นต้น เพื่อชี้แจงประเด็นกรณีการผลักดันประเทศไทยเข้าเป็นภาคีสัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทํางานภาคการประมง ค.ศ.2007 ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของสมาคมประมงแห่งประเทศไทยที่จะให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาจาก IUU Fishing ณ ห้องประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยกล่าวว่า สาระสําคัญของอนุสัญญาฯ (ILO) ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทํางานภาคการประมง ค.ศ. 2007 จะทําให้คนงานประมง มีสภาพการทํางานที่มีคุณค่าตามข้อกําหนดขั้นต่ําในการทํางานบนเรือประมง อาทิ มีข้อกําหนดขั้นต่ําในการทํางานที่ชัดเจน ทั้งในเรื่องอายุขั้นต่ํา มีใบรับรองแพทย์ก่อนลงเรือ มีเวลาพักขั้นต่ํา 10 ชั่วโมงจาก 24 ชั่วโมง และ 77 ชั่วโมงใน 1 สัปดาห์มีทะเบียนลูกจ้าง สัญญาจ้าง การจ่ายค่าตอบแทนผ่านระบบบัญชีธนาคาร มีที่พัก อาหาร น้ําดื่มที่เพียงพอเหมาะสม มียารักษาโรคเบื้องต้นกรณีเจ็บป่วย มีช่องทางการติดต่อสื่อสารกับบนฝั่ง มีอุปกรณ์ป้องกันเพื่อความปลอดภัยในการทํางาน ได้รับสิทธิความคุ้มครองด้านการประกันสังคม และเข้าถึงการดูแลรักษาทางการแพทย์ เป็นต้น ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองแรงงานประมง ให้มีสภาพการทํางานและสภาพความเป็นอยู่ในเรือประมงที่เหมาะสม มีความปลอดภัย สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งจะบังคับใช้กับแรงงานประมงทุกคน เรือประมงทุกลํา
ทุกขนาดที่ทําการประมงเพื่อการค้าเท่านั้น ยกเว้นการทําประมงเพื่อยังชีพ หรือการทําประมงในครัวเรือน
เพื่อค้าขายในชุมชนและการทําประมงเพื่อสันทนาการและสามารถขอยกเว้นการบังคับใช้การทําประมงน้ําจืดในแม่น้ําลําคลองได้
พล.ต.อ.อดุลย์ ฯ กล่าวต่อว่า ส่วนข้อเรียกร้องของสมาคมประมงที่ต้องการให้แก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานนั้น กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานมีแนวทางเร่งรัดการนําเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติ
เมียนมา กัมพูชา และเวียดนามตาม MOU ซึ่งเบื้องต้นประเทศต้นทางมีตําแหน่งให้แล้ว 2,000 คน และข้อเรียกร้องที่ต้องการให้แก้ไขปัญหากฎระเบียบที่ออกมาบังคับใช้กับผู้ประกอบการเรือประมงและไม่สอดคล้องกับการประกอบอาชีพ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะออกกฎกระทรวงเพื่อกําหนดอายุขั้นต่ําในการทํางานบนเรือประมง มีเวลาพักขั้นต่ํา มีการจ่ายค่าตอบแทนผ่านระบบบัญชีธนาคาร และการตรวจแรงงาน และข้อเรียกร้องที่ไม่ต้องการเข้าประกันสังคม เนื่องจากไม่สอดคล้องกับวิถีการทําประมง สํานักงานประกันสังคม มีแนวทางให้ลูกจ้างประมงซื้อประกันจากเอกชน เพื่อคุ้มครองกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพและเสียชีวิตได้ โดยกําหนดให้แรงงานต่างด้าวซื้อประกันสุขภาพ และแรงงานไทยใช้สิทธิบัตรทอง
---------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
สํานักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ-ข้อมูล/
2 สิงหาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14299
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียประจำประเทศไทย
|
วันพุธที่ 19 กันยายน 2561
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียประจําประเทศไทย
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียประจําประเทศไทย
ในวันพุธที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๑.๓๐ น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
ให้การต้อนรับและหารือข้อราชการกับ
นายอาห์เมด นูฮู บามัลลี เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียประจําประเทศไทย พร้อมคณะ
โดยมีสาระสําคัญเรื่องความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่างทั้งสองประเทศ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียประจำประเทศไทย
วันพุธที่ 19 กันยายน 2561
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียประจําประเทศไทย
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียประจําประเทศไทย
ในวันพุธที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๑.๓๐ น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
ให้การต้อนรับและหารือข้อราชการกับ
นายอาห์เมด นูฮู บามัลลี เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรียประจําประเทศไทย พร้อมคณะ
โดยมีสาระสําคัญเรื่องความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่างทั้งสองประเทศ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15533
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคบ. บุกเชิงรุก บูรณาการร่วมตำรวจพื้นที่ จับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายบารากู่และบุหรี่ไฟฟ้า รวมมูลค่าของกลางกว่า 12 ล้านบาท
|
วันพุธที่ 9 ตุลาคม 2562
สคบ. บุกเชิงรุก บูรณาการร่วมตํารวจพื้นที่ จับกุมผู้ลักลอบจําหน่ายบารากู่และบุหรี่ไฟฟ้า รวมมูลค่าของกลางกว่า 12 ล้านบาท
สคบ. บุกเชิงรุก บูรณาการร่วมตํารวจพื้นที่ จับกุมผู้ลักลอบจําหน่ายบารากู่และบุหรี่ไฟฟ้า รวมมูลค่าของกลางกว่า 12 ล้านบาท
วันนี้ (9 ตค.62) เวลา 09.30 น. ณ ชั้น 1 ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ 1166 สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พลตํารวจตรี ประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค พลตํารวจตรีญาณพงศ์ โสมาภา ผู้บังคับการกองสารนิเทศ หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษ สคบ. และพันตํารวจเอก ประทีป เจริญกัลป์ รองหัวหน้าชุดปฏิบัติการฯ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ลักลอบจําหน่ายบารากู่และบุหรี่ไฟฟ้า โดยชุดปฏิบัติการพิเศษ สคบ. บูรณาการร่วมกับ สน.พลับพลาไชย 1 และ สน.เพชรเกษม ซึ่งเป็นไปตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานของรัฐเร่งรัดและกวดขันการลักลอบจําหน่ายบารากู่และบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นสินค้าอันตรายต่อผู้บริโภค
โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่าน (5 ต.ค.62) ชุดปฏิบัติการพิเศษ สคบ. นําโดย พลตํารวจตรีญาณพงศ์ โสมาภา ผู้บังคับการกองสารนิเทศ หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษ สคบ. พันตํารวจเอก ประทีป เจริญกัลป์ รองหัวหน้าชุดปฏิบัติการฯ พันตํารวจเอก ชัชวาล ทิพย์พิชัย ผู้ช่วยหัวหน้าชุดปฏิบัติการฯ พันตํารวจโท วัชรพัฒน์ เรืองอัครนนท์ ชุดปฏิบัติการฯ
และนายฐิตินันท์ สิงหา ผู้อํานวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านฉลาก ร่วมกับ พันตํารวจเอกวิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สน.พลับพลาไชย 1 นํากําลังเจ้าหน้าที่กว่า 50 นาย ลงพื้นที่
ตรวจยึดจับกุมผู้ลักลอบจําหน่ายสินค้าผิดกฎหมาย ณ ย่านคลองถมเซ็นเตอร์ จากการ เข้าตรวจ 15 ร้าน พบผู้ต้องหาคนไทย 7 คน คนต่างด้าว 3 คน และพบของกลางจํานวนมากอาทิ (1) บุหรี่ไฟฟ้า 566 ตัว (2) น้ํายาสําหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า 5,158 ขวด (3) อุปกรณ์ 1,362 ชิ้น (4) หัวบุหรี่ไฟฟ้า 402 หัว (5) กล่องพัสดุพร้อมส่ง รวมมูลค่าของกลางกว่า 12 ล้านบาท จึงนําตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางมอบให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดี ในฐานะเป็นผู้ขายหรือเสนอหรือชักชวนให้มีการขาย ซึ่งสินค้าบุหรี่ไฟฟ้าหรือน้ํายาสําหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า อันเป็นการฝ่าฝืนคําสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับและดําเนินคดีความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป
การดําเนินการจับกุมผู้ลักลอบจําหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในหลายๆ ครั้ง ที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ สคบ. ร่วมบูรณาการกับเจ้าหน้าที่ตํารวจในท้องที่ลงพื้นที่สืบสวนจับกุมผู้กระทําความผิด ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด รวมทั้งการลักลอบจําหน่ายสินค้าอันตรายดังกล่าวผ่านระบบออนไลน์อย่างเข้มข้น จริงจัง เพื่อให้ผู้ลักลอบจําหน่ายหลาบจําและเกรงกลัวต่อกฎหมาย นอกจากนี้ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาชุดปฏิบัติการฯ ได้นํากําลังเจ้าหน้าที่ เข้าตรวจจับหลายจุด โดยได้วางแผนการจับกุมและล่อซื้อทั้งจากการจําหน่ายในช่องทางปกติและจากเว็บไซต์ ดังนี้
1. การตรวจจับบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2562 บริเวณย่านการค้าคลองถมเซ็นเตอร์ กทม.
2. การตรวจจับบุหรี่ไฟฟ้าและลวดดัดฟัน จํานวน 3 ร้านค้า เมื่อวันที่ 3ตุลาคม 2562 บริเวณตลาดเปิดท้ายหน้าห้างบิ๊กซีอ้อมใหญ่ จังหวัดนครปฐม
3. การตรวจจับบุหรี่ไฟฟ้าโดยการวางแผนล่อซื้อ (เนื่องจากมีการลงขาย
ในเว็บไซต์) เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 บริเวณเขตมีนบุรี กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคบ. บุกเชิงรุก บูรณาการร่วมตำรวจพื้นที่ จับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายบารากู่และบุหรี่ไฟฟ้า รวมมูลค่าของกลางกว่า 12 ล้านบาท
วันพุธที่ 9 ตุลาคม 2562
สคบ. บุกเชิงรุก บูรณาการร่วมตํารวจพื้นที่ จับกุมผู้ลักลอบจําหน่ายบารากู่และบุหรี่ไฟฟ้า รวมมูลค่าของกลางกว่า 12 ล้านบาท
สคบ. บุกเชิงรุก บูรณาการร่วมตํารวจพื้นที่ จับกุมผู้ลักลอบจําหน่ายบารากู่และบุหรี่ไฟฟ้า รวมมูลค่าของกลางกว่า 12 ล้านบาท
วันนี้ (9 ตค.62) เวลา 09.30 น. ณ ชั้น 1 ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ 1166 สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พลตํารวจตรี ประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค พลตํารวจตรีญาณพงศ์ โสมาภา ผู้บังคับการกองสารนิเทศ หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษ สคบ. และพันตํารวจเอก ประทีป เจริญกัลป์ รองหัวหน้าชุดปฏิบัติการฯ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ลักลอบจําหน่ายบารากู่และบุหรี่ไฟฟ้า โดยชุดปฏิบัติการพิเศษ สคบ. บูรณาการร่วมกับ สน.พลับพลาไชย 1 และ สน.เพชรเกษม ซึ่งเป็นไปตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานของรัฐเร่งรัดและกวดขันการลักลอบจําหน่ายบารากู่และบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นสินค้าอันตรายต่อผู้บริโภค
โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่าน (5 ต.ค.62) ชุดปฏิบัติการพิเศษ สคบ. นําโดย พลตํารวจตรีญาณพงศ์ โสมาภา ผู้บังคับการกองสารนิเทศ หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษ สคบ. พันตํารวจเอก ประทีป เจริญกัลป์ รองหัวหน้าชุดปฏิบัติการฯ พันตํารวจเอก ชัชวาล ทิพย์พิชัย ผู้ช่วยหัวหน้าชุดปฏิบัติการฯ พันตํารวจโท วัชรพัฒน์ เรืองอัครนนท์ ชุดปฏิบัติการฯ
และนายฐิตินันท์ สิงหา ผู้อํานวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านฉลาก ร่วมกับ พันตํารวจเอกวิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สน.พลับพลาไชย 1 นํากําลังเจ้าหน้าที่กว่า 50 นาย ลงพื้นที่
ตรวจยึดจับกุมผู้ลักลอบจําหน่ายสินค้าผิดกฎหมาย ณ ย่านคลองถมเซ็นเตอร์ จากการ เข้าตรวจ 15 ร้าน พบผู้ต้องหาคนไทย 7 คน คนต่างด้าว 3 คน และพบของกลางจํานวนมากอาทิ (1) บุหรี่ไฟฟ้า 566 ตัว (2) น้ํายาสําหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า 5,158 ขวด (3) อุปกรณ์ 1,362 ชิ้น (4) หัวบุหรี่ไฟฟ้า 402 หัว (5) กล่องพัสดุพร้อมส่ง รวมมูลค่าของกลางกว่า 12 ล้านบาท จึงนําตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางมอบให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดี ในฐานะเป็นผู้ขายหรือเสนอหรือชักชวนให้มีการขาย ซึ่งสินค้าบุหรี่ไฟฟ้าหรือน้ํายาสําหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า อันเป็นการฝ่าฝืนคําสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับและดําเนินคดีความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป
การดําเนินการจับกุมผู้ลักลอบจําหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในหลายๆ ครั้ง ที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ สคบ. ร่วมบูรณาการกับเจ้าหน้าที่ตํารวจในท้องที่ลงพื้นที่สืบสวนจับกุมผู้กระทําความผิด ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด รวมทั้งการลักลอบจําหน่ายสินค้าอันตรายดังกล่าวผ่านระบบออนไลน์อย่างเข้มข้น จริงจัง เพื่อให้ผู้ลักลอบจําหน่ายหลาบจําและเกรงกลัวต่อกฎหมาย นอกจากนี้ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาชุดปฏิบัติการฯ ได้นํากําลังเจ้าหน้าที่ เข้าตรวจจับหลายจุด โดยได้วางแผนการจับกุมและล่อซื้อทั้งจากการจําหน่ายในช่องทางปกติและจากเว็บไซต์ ดังนี้
1. การตรวจจับบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2562 บริเวณย่านการค้าคลองถมเซ็นเตอร์ กทม.
2. การตรวจจับบุหรี่ไฟฟ้าและลวดดัดฟัน จํานวน 3 ร้านค้า เมื่อวันที่ 3ตุลาคม 2562 บริเวณตลาดเปิดท้ายหน้าห้างบิ๊กซีอ้อมใหญ่ จังหวัดนครปฐม
3. การตรวจจับบุหรี่ไฟฟ้าโดยการวางแผนล่อซื้อ (เนื่องจากมีการลงขาย
ในเว็บไซต์) เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 บริเวณเขตมีนบุรี กรุงเทพฯ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23710
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยหนุนผู้ประกอบการ SME ลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR และ MRR ลง 0.25% ต่อปี
|
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
กรุงไทยหนุนผู้ประกอบการ SME ลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR และ MRR ลง 0.25% ต่อปี
ธนาคารกรุงไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ MOR และ MRR ลง 0.25% ต่อปี เพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระให้กับผู้ประกอบการ SME รวมทั้งลูกค้ารายย่อย ให้ประคองตัวและฟื้นตัวจากผลกระทบของสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ธนาคารตระหนักถึงความสําคัญของธุรกิจ SME ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสําคัญของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่กําลังเผชิญกับภาวะความผันผวนของค่าเงินและสงครามการค้า พร้อมทั้งตอบสนองทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย จึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ MOR และ MRR ลง 0.25% ต่อปี เพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระให้กับผู้ประกอบการ SME รวมทั้งลูกค้ารายย่อย ให้ประคองตัวและฟื้นตัวจากผลกระทบของสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย MOR และ MRR ของธนาคารเหลือ 6.87% ต่อปี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยหนุนผู้ประกอบการ SME ลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR และ MRR ลง 0.25% ต่อปี
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
กรุงไทยหนุนผู้ประกอบการ SME ลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR และ MRR ลง 0.25% ต่อปี
ธนาคารกรุงไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ MOR และ MRR ลง 0.25% ต่อปี เพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระให้กับผู้ประกอบการ SME รวมทั้งลูกค้ารายย่อย ให้ประคองตัวและฟื้นตัวจากผลกระทบของสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ธนาคารตระหนักถึงความสําคัญของธุรกิจ SME ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสําคัญของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่กําลังเผชิญกับภาวะความผันผวนของค่าเงินและสงครามการค้า พร้อมทั้งตอบสนองทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย จึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ MOR และ MRR ลง 0.25% ต่อปี เพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระให้กับผู้ประกอบการ SME รวมทั้งลูกค้ารายย่อย ให้ประคองตัวและฟื้นตัวจากผลกระทบของสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย MOR และ MRR ของธนาคารเหลือ 6.87% ต่อปี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22225
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายให้กับ สมอ.
|
วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายให้กับ สมอ.
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายให้กับ สมอ.
วันนี้ (23 สิงหาคม 2562) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานให้แก่สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและหัวหน้าภารกิจด้านส่งเสริมอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการ นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการ สมอ. พร้อมคณะผู้บริหารให้การต้อนรับพร้อมบรรยายสรุปการดําเนินงาน
นายสุริยะฯ กล่าวว่า ปัจจุบันบทบาทของ สมอ.มีความสําคัญอย่างมาก โดยเฉพาะการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้ประกอบการ ที่จะต้องได้รับการดูแลความปลอดภัยที่มีมาตรฐานอย่างถูกต้องครอบคลุม โดยภารกิจของสมอ.เกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัยของสินค้า ดังนั้น จึงต้องขอให้เข้มงวดเป็นพิเศษซึ่งหากสินค้ามีมาตรฐานก็จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการเองที่จะสามารถขายสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ขอให้เร่งในด้านการอํานวยความสะดวกเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตมาตรฐานต่างๆ เพื่อให้การประกอบธุรกิจสะดวกรวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนด้วย #กระทรวงอุตสาหกรรม #สมอ.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายให้กับ สมอ.
วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายให้กับ สมอ.
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายให้กับ สมอ.
วันนี้ (23 สิงหาคม 2562) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานให้แก่สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและหัวหน้าภารกิจด้านส่งเสริมอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการ นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการ สมอ. พร้อมคณะผู้บริหารให้การต้อนรับพร้อมบรรยายสรุปการดําเนินงาน
นายสุริยะฯ กล่าวว่า ปัจจุบันบทบาทของ สมอ.มีความสําคัญอย่างมาก โดยเฉพาะการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้ประกอบการ ที่จะต้องได้รับการดูแลความปลอดภัยที่มีมาตรฐานอย่างถูกต้องครอบคลุม โดยภารกิจของสมอ.เกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัยของสินค้า ดังนั้น จึงต้องขอให้เข้มงวดเป็นพิเศษซึ่งหากสินค้ามีมาตรฐานก็จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการเองที่จะสามารถขายสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ขอให้เร่งในด้านการอํานวยความสะดวกเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตมาตรฐานต่างๆ เพื่อให้การประกอบธุรกิจสะดวกรวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนด้วย #กระทรวงอุตสาหกรรม #สมอ.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22476
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อก.จับมือ SMRJ และ สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น ฉลองความสัมพันธ์สองประเทศ ครบ 130 ปี พร้อมดึงผู้ประกอบการญี่ปุ่นลงทุนใน EEC
|
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560
อก.จับมือ SMRJ และ สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น ฉลองความสัมพันธ์สองประเทศ ครบ 130 ปี พร้อมดึงผู้ประกอบการญี่ปุ่นลงทุนใน EEC
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น/(6 มิ.ย.60) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้ประชุมหารือร่วมกับ Mr.Hiroshi Takada ประธานและ CEO ขององค์การสนับสนุน SMEs แห่งประเทศญี่ปุ่น
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น/(6 มิ.ย.60) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้ประชุมหารือร่วมกับ Mr.Hiroshi Takada ประธานและ CEO ขององค์การสนับสนุน SMEs แห่งประเทศญี่ปุ่น (Organization for SME and Regional Innovation of Japan - SMRJ) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เพื่อเจรจาแนวทางเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางความสัมพันธ์ทางการค้าและอุตสาหกรรมระหว่าง 2 ประเทศให้พัฒนามากยิ่งขึ้น เน้นเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทุกระดับ โดยเฉพาะในระดับ SMEs ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญต่อการผลักดันให้ธุรกิจมีการเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง เพื่อให้มีสมรรถนะและขีดความสามารถในการประกอบการที่เป็นเลิศและมีความยั่งยืนสู่สากล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กสอ.และSMRJ ได้ร่วมมือและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการพัฒนา SMEs ของทั้งสองประเทศ ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ โครงการ Shindan หรือโครงการพัฒนานักวินิจฉัยสถานประกอบการ โดยนําเอาระบบวินิจฉัยสถานประกอบการของประเทศญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย พัฒนาต่อมาจนเกิดมีเครือข่ายของผู้เชี่ยวชาญด้านการวินิจฉัยสถานประกอบการในประเทศไทย สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการวางแผนการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือ การนํารูปแบบการดําเนินงานของ SMRJ มาปรับใช้ในการจัดตั้งศูนย์สนับสนุนการบริการ SMEs รวมถึงการส่งผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นมาวิเคราะห์พร้อมให้คําแนะนําการให้บริการในรูปแบบศูนย์บริการและช่วยเหลือ SMEs (SMEs Support and Rescue Center) ซึ่งขณะนี้ได้จัดตั้งขึ้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค และสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศแล้ว นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือผ่านเว็บไซต์ J-GoodTech ของญี่ปุ่นในการการจับคู่ธุรกิจออนไลน์ ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลที่เป็นมาตรฐานเดียวกันของผู้ประกอบการญี่ปุ่นและผู้ประกอบการไทย อีกทั้งเป็นเครื่องมือค้นหาข้อมูลทางธุรกิจที่ตรงกับความต้องการได้ เป็นต้น
นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กสอ. และ SMRJ จะยังคงความร่วมมือที่มีอยู่และเดินหน้าขยายความร่วมมือในอนาคต ทั้งในแง่การดําเนินกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง SMEs ไทยและญี่ปุ่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การติดต่อเชื่อมโยงและการประสานการเจรจาทางธุรกิจ การศึกษาดูงาน ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญ โดยในระหว่างการหารือกันได้มีการระบุสาขากลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เครื่องมือแพทย์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ชิ้นส่วนอากาศยาน ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายร่วมกันของทั้งสองประเทศด้วย
สําหรับการหารือครั้งนี้เป็นการตอกย้ําความสัมพันธ์เพื่อต่อยอดความร่วมมือในการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ผ่านความร่วมมือในปัจจุบันและความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งยังมีแผนที่จะนําผู้ประกอบการญี่ปุ่นกว่า 30 ราย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ (New S-Curve) มาร่วมแสดงนวัตกรรมและเจรจาธุรกิจในเวทีงาน Thailand Industry Expo 2017 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-30 กรกฎาคม 2560 ด้วย
และในโอกาสครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นครบรอบ 130 ปีในปีนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้เชิญให้ SMRJ และสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (Keidanren) นําผู้ประกอบการทั้งที่เป็นนักลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และ SMEs ของญี่ปุ่น เดินทางมาศึกษาลู่ทางการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในช่วงก่อนสิ้นปีงบประมาณนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ SMEs ของทั้งสองประเทศสืบไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อก.จับมือ SMRJ และ สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น ฉลองความสัมพันธ์สองประเทศ ครบ 130 ปี พร้อมดึงผู้ประกอบการญี่ปุ่นลงทุนใน EEC
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560
อก.จับมือ SMRJ และ สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น ฉลองความสัมพันธ์สองประเทศ ครบ 130 ปี พร้อมดึงผู้ประกอบการญี่ปุ่นลงทุนใน EEC
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น/(6 มิ.ย.60) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้ประชุมหารือร่วมกับ Mr.Hiroshi Takada ประธานและ CEO ขององค์การสนับสนุน SMEs แห่งประเทศญี่ปุ่น
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น/(6 มิ.ย.60) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้ประชุมหารือร่วมกับ Mr.Hiroshi Takada ประธานและ CEO ขององค์การสนับสนุน SMEs แห่งประเทศญี่ปุ่น (Organization for SME and Regional Innovation of Japan - SMRJ) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เพื่อเจรจาแนวทางเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางความสัมพันธ์ทางการค้าและอุตสาหกรรมระหว่าง 2 ประเทศให้พัฒนามากยิ่งขึ้น เน้นเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทุกระดับ โดยเฉพาะในระดับ SMEs ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญต่อการผลักดันให้ธุรกิจมีการเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง เพื่อให้มีสมรรถนะและขีดความสามารถในการประกอบการที่เป็นเลิศและมีความยั่งยืนสู่สากล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กสอ.และSMRJ ได้ร่วมมือและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการพัฒนา SMEs ของทั้งสองประเทศ ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ โครงการ Shindan หรือโครงการพัฒนานักวินิจฉัยสถานประกอบการ โดยนําเอาระบบวินิจฉัยสถานประกอบการของประเทศญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย พัฒนาต่อมาจนเกิดมีเครือข่ายของผู้เชี่ยวชาญด้านการวินิจฉัยสถานประกอบการในประเทศไทย สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการวางแผนการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือ การนํารูปแบบการดําเนินงานของ SMRJ มาปรับใช้ในการจัดตั้งศูนย์สนับสนุนการบริการ SMEs รวมถึงการส่งผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นมาวิเคราะห์พร้อมให้คําแนะนําการให้บริการในรูปแบบศูนย์บริการและช่วยเหลือ SMEs (SMEs Support and Rescue Center) ซึ่งขณะนี้ได้จัดตั้งขึ้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค และสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศแล้ว นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือผ่านเว็บไซต์ J-GoodTech ของญี่ปุ่นในการการจับคู่ธุรกิจออนไลน์ ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลที่เป็นมาตรฐานเดียวกันของผู้ประกอบการญี่ปุ่นและผู้ประกอบการไทย อีกทั้งเป็นเครื่องมือค้นหาข้อมูลทางธุรกิจที่ตรงกับความต้องการได้ เป็นต้น
นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กสอ. และ SMRJ จะยังคงความร่วมมือที่มีอยู่และเดินหน้าขยายความร่วมมือในอนาคต ทั้งในแง่การดําเนินกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง SMEs ไทยและญี่ปุ่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การติดต่อเชื่อมโยงและการประสานการเจรจาทางธุรกิจ การศึกษาดูงาน ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญ โดยในระหว่างการหารือกันได้มีการระบุสาขากลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เครื่องมือแพทย์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ชิ้นส่วนอากาศยาน ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายร่วมกันของทั้งสองประเทศด้วย
สําหรับการหารือครั้งนี้เป็นการตอกย้ําความสัมพันธ์เพื่อต่อยอดความร่วมมือในการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ผ่านความร่วมมือในปัจจุบันและความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งยังมีแผนที่จะนําผู้ประกอบการญี่ปุ่นกว่า 30 ราย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ (New S-Curve) มาร่วมแสดงนวัตกรรมและเจรจาธุรกิจในเวทีงาน Thailand Industry Expo 2017 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-30 กรกฎาคม 2560 ด้วย
และในโอกาสครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นครบรอบ 130 ปีในปีนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้เชิญให้ SMRJ และสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (Keidanren) นําผู้ประกอบการทั้งที่เป็นนักลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และ SMEs ของญี่ปุ่น เดินทางมาศึกษาลู่ทางการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในช่วงก่อนสิ้นปีงบประมาณนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ SMEs ของทั้งสองประเทศสืบไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4351
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก แนะนำประชาชนที่เข้าร่วมงานพระราชพิธีฯ เดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ ให้บริการที่จอดรถฟรี โดยมีรถเฉพาะกิจ Shuttle Bus จากสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทยรับส่ง ณ จุดจอด
|
วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2560
กรมการขนส่งทางบก แนะนําประชาชนที่เข้าร่วมงานพระราชพิธีฯ เดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ ให้บริการที่จอดรถฟรี โดยมีรถเฉพาะกิจ Shuttle Bus จากสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทยรับส่ง ณ จุดจอด
กรมการขนส่งทางบกขอเชิญชวนผู้ประกอบการและผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท ทั้งรถแท็กซี่, รถจักรยานยนต์รับจ้าง, รถโดยสารร่วมทําความดีให้บริการด้วยมิตรไมตรีใจเอื้ออาทร อํานวยความสะดวกประชาชนที่จะเดินทางเข้าร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
ซึ่งขณะนี้ได้รับความร่วมมือจากสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย “BUS THAI FOR KING” จัดรถเฉพาะกิจ Shuttle Bus จํานวนประมาณ 150 คัน ให้บริการรับ-ส่งฟรี ระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2560 ตั้งแต่เวลา 05.00-24.00 น. และในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 11 เส้นทาง ได้แก่ 1)กรมการขนส่งทางบก-สนามม้านางเลิ้ง 2)เมืองทองธานี-สนามม้านางเลิ้ง 3)ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต-สนามม้านางเลิ้ง 4)เซ็นทรัล ศาลายา-แยกอรุณอมรินทร์ 5)พุทธมณฑลสาย 4-แยกอรุณอมรินทร์ 6)หมอชิต 2-แยกวิสุทธิกษัตริย์ 7)เมกา บางนา/อิเกีย-บ้านมนังคศิลา 8)ห้างสรรพสินค้า Show DC พระราม 9-บ้านมนังคศิลา 9)เอกมัย-แยกเมอร์รี่คิงส์ 10)เซ็นทรัลพระราม 2-แยกเมอร์รี่คิงส์ 11)สถานีสวนเลียบ-แยกเมอร์รี่คิงส์
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับประชาชนที่เดินทางเป็นหมู่คณะโดยเช่าเหมารถโดยสารไม่ประจําทาง (รถ 30) เมื่อเดินทางเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ ในส่วนของรถบัสเช่าเหมาสามารถเข้าไปส่งประชาชนได้ที่จุดจอดรับ-ส่งรถ shuttle bus ทั้ง 5 จุดได้ (แยกอรุณอมรินทร์ แยกวิสุทธิกษัตริย์ สนามม้านางเลิ้ง บ้านมนังคศิลา แยกเมอร์รี่คิงส์) แต่ต้องนํารถออกจากพื้นที่ทันที โดยให้นํารถไปจอดที่จุดจอดรถบัสเช่าเหมา 7 แห่ง ได้แก่ ถนนพุทธมณฑลสาย 1, ถนนพุทธมณฑลสาย 2, ถนนพุทธมณฑลสาย 3, ถนนพุทธมณฑลสาย 4, ถนนกาญจนาภิเษก, ถนนราชพฤกษ์, แยกไฟฉาย-กาญจนาภิเษก ในส่วนของรถตู้เช่าเหมา ให้ส่งผู้โดยสารที่จุดจอดรถยนต์ส่วนบุคคล 11 จุด ได้แก่ เซ็นทรัลพระราม 2, ลานพุทธมณฑลสาย 4, เซ็นทรัลเวสต์เกต บางใหญ่, เซ็นทรัลศาลายา, แอร์พอร์ตลิ้ง มักกะสัน, เมกา บางนา/อิเกีย, ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา, ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต, เมืองทองธานี, ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ, สโมสรตํารวจ โดยจะมีรถเฉพาะกิจ Shuttle Bus ให้บริการรับส่งฟรีไปยังจุดจอดรับ-ส่งรถ shuttle bus เพื่อเข้าสู่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง สอบถามเส้นทางการเดินทาง หรือพบปัญหาจากการใช้บริการรถสาธารณะ Call Center 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก แนะนำประชาชนที่เข้าร่วมงานพระราชพิธีฯ เดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ ให้บริการที่จอดรถฟรี โดยมีรถเฉพาะกิจ Shuttle Bus จากสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทยรับส่ง ณ จุดจอด
วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2560
กรมการขนส่งทางบก แนะนําประชาชนที่เข้าร่วมงานพระราชพิธีฯ เดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ ให้บริการที่จอดรถฟรี โดยมีรถเฉพาะกิจ Shuttle Bus จากสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทยรับส่ง ณ จุดจอด
กรมการขนส่งทางบกขอเชิญชวนผู้ประกอบการและผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท ทั้งรถแท็กซี่, รถจักรยานยนต์รับจ้าง, รถโดยสารร่วมทําความดีให้บริการด้วยมิตรไมตรีใจเอื้ออาทร อํานวยความสะดวกประชาชนที่จะเดินทางเข้าร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
ซึ่งขณะนี้ได้รับความร่วมมือจากสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย “BUS THAI FOR KING” จัดรถเฉพาะกิจ Shuttle Bus จํานวนประมาณ 150 คัน ให้บริการรับ-ส่งฟรี ระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2560 ตั้งแต่เวลา 05.00-24.00 น. และในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 11 เส้นทาง ได้แก่ 1)กรมการขนส่งทางบก-สนามม้านางเลิ้ง 2)เมืองทองธานี-สนามม้านางเลิ้ง 3)ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต-สนามม้านางเลิ้ง 4)เซ็นทรัล ศาลายา-แยกอรุณอมรินทร์ 5)พุทธมณฑลสาย 4-แยกอรุณอมรินทร์ 6)หมอชิต 2-แยกวิสุทธิกษัตริย์ 7)เมกา บางนา/อิเกีย-บ้านมนังคศิลา 8)ห้างสรรพสินค้า Show DC พระราม 9-บ้านมนังคศิลา 9)เอกมัย-แยกเมอร์รี่คิงส์ 10)เซ็นทรัลพระราม 2-แยกเมอร์รี่คิงส์ 11)สถานีสวนเลียบ-แยกเมอร์รี่คิงส์
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับประชาชนที่เดินทางเป็นหมู่คณะโดยเช่าเหมารถโดยสารไม่ประจําทาง (รถ 30) เมื่อเดินทางเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ ในส่วนของรถบัสเช่าเหมาสามารถเข้าไปส่งประชาชนได้ที่จุดจอดรับ-ส่งรถ shuttle bus ทั้ง 5 จุดได้ (แยกอรุณอมรินทร์ แยกวิสุทธิกษัตริย์ สนามม้านางเลิ้ง บ้านมนังคศิลา แยกเมอร์รี่คิงส์) แต่ต้องนํารถออกจากพื้นที่ทันที โดยให้นํารถไปจอดที่จุดจอดรถบัสเช่าเหมา 7 แห่ง ได้แก่ ถนนพุทธมณฑลสาย 1, ถนนพุทธมณฑลสาย 2, ถนนพุทธมณฑลสาย 3, ถนนพุทธมณฑลสาย 4, ถนนกาญจนาภิเษก, ถนนราชพฤกษ์, แยกไฟฉาย-กาญจนาภิเษก ในส่วนของรถตู้เช่าเหมา ให้ส่งผู้โดยสารที่จุดจอดรถยนต์ส่วนบุคคล 11 จุด ได้แก่ เซ็นทรัลพระราม 2, ลานพุทธมณฑลสาย 4, เซ็นทรัลเวสต์เกต บางใหญ่, เซ็นทรัลศาลายา, แอร์พอร์ตลิ้ง มักกะสัน, เมกา บางนา/อิเกีย, ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา, ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต, เมืองทองธานี, ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ, สโมสรตํารวจ โดยจะมีรถเฉพาะกิจ Shuttle Bus ให้บริการรับส่งฟรีไปยังจุดจอดรับ-ส่งรถ shuttle bus เพื่อเข้าสู่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง สอบถามเส้นทางการเดินทาง หรือพบปัญหาจากการใช้บริการรถสาธารณะ Call Center 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7614
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกำหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
|
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกําหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เพื่อรับทราบความคืบหน้าผลการดําเนินงานของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศด้านการจัดการข้อมูลลูกค้า (CRM)
รวมทั้งรับทราบผลการบริหารทรัพยากรบุคคล งบประมาณ
และการบริหารจัดการคดีประนอมข้อพิพาทตามภารกิจหลักในไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๐
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๑
ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑) แผนพัฒนาระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนทั่วไป
ในด้านการระงับข้อพิพาททางเลือก เพื่อให้มีการใช้การอนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาท
ในการระงับข้อพิพาทเพิ่มมากขึ้น และ ๒) แผนพัฒนาการให้บริการ โดยมีเป้าหมาย
เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะให้จัดทํารายละเอียดของโครงการภายใต้แผนงานต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน
โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานตามภารกิจหลัก และให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ในการสร้างการรับรู้
และสร้างความเชื่อมั่นในสถาบันอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายใช้การอนุญาโตตุลาการ
และการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งเพื่อให้การบริการระงับข้อพิพาททางเลือกแก่ประชาชนทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกำหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกําหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เพื่อรับทราบความคืบหน้าผลการดําเนินงานของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศด้านการจัดการข้อมูลลูกค้า (CRM)
รวมทั้งรับทราบผลการบริหารทรัพยากรบุคคล งบประมาณ
และการบริหารจัดการคดีประนอมข้อพิพาทตามภารกิจหลักในไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๐
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๑
ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑) แผนพัฒนาระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนทั่วไป
ในด้านการระงับข้อพิพาททางเลือก เพื่อให้มีการใช้การอนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาท
ในการระงับข้อพิพาทเพิ่มมากขึ้น และ ๒) แผนพัฒนาการให้บริการ โดยมีเป้าหมาย
เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะให้จัดทํารายละเอียดของโครงการภายใต้แผนงานต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน
โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานตามภารกิจหลัก และให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ในการสร้างการรับรู้
และสร้างความเชื่อมั่นในสถาบันอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายใช้การอนุญาโตตุลาการ
และการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งเพื่อให้การบริการระงับข้อพิพาททางเลือกแก่ประชาชนทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7300
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีการค้าเอเปกแถลงการณ์ ลดอุปสรรคการค้า เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ สู้วิกฤตโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์]
|
วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563
รัฐมนตรีการค้าเอเปกแถลงการณ์ ลดอุปสรรคการค้า เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ สู้วิกฤตโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์]
รัฐมนตรีการค้าเอเปกแถลงการณ์ ลดอุปสรรคการค้า เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ สู้วิกฤตโควิด-19
รัฐมนตรีการค้าเอเปกออกแถลงการณ์ รับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ย้ําให้ความสําคัญกับการเปิดตลาด อํานวยความสะดวกและลดอุปสรรคทางการค้าสําหรับสินค้าที่จําเป็นต้องใช้สู้ ทั้งยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ เกษตร อาหาร พร้อมขอให้ใช้มาตรการฉุกเฉินที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้า เน้นการช่วยเหลือธุรกิจและแรงงานที่ได้รับผลกระทบ
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ค.2563 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีการค้าเอเปกได้ออกแถลงการณ์เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 โดยได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน ซึ่งให้ความสําคัญกับการเปิดตลาดด้านการค้าและการลงทุนที่เสรี เป็นธรรม โปร่งใส และมีเสถียรภาพ เน้นสนับสนุนการอํานวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนของสินค้าและบริการที่จําเป็น เพื่อต่อสู้กับโควิด-19 โดยเฉพาะยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ สินค้าเกษตร สินค้าอาหาร และอุปกรณ์ที่จําเป็น รวมทั้งการรักษาความเชื่อมโยงทางการค้า และอํานวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายบุคลากรข้ามพรมแดน พร้อมทั้งใช้มาตรการฉุกเฉินชั่วคราวที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้า และต้องสอดคล้องกับกฎเกณฑ์องค์การการค้าโลก (WTO)
โดยแถลงการณ์ดังกล่าว ยังสนับสนุนให้มีมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมทั้งสนับสนุนให้สมาชิกเอเปกเร่งจัดทําแนวทางความร่วมมือ เพื่อรวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลมาตรการต่างๆ ที่สมาชิกใช้ในการรับมือกับโควิด-19 เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวโดยเร็ว รวมถึงสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งในเวทีระหว่างประเทศ กับภาคเอกชน และภาควิชาการ และให้ความสําคัญกับการเชื่อมโยงในภูมิภาค เพื่อให้ห่วงโซ่การผลิตโลกมีความยืดหยุ่นและไม่ได้รับผลกระทบที่รุนแรง เน้นใช้ประโยชน์จากดิจิทัลและเทคโนโลยี และการแก้ปัญหาแบบอัจฉริยะในการบรรเทาผลกระทบ
“การที่สมาชิกเอเปกออกแถลงการณ์ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันฟื้นฟูเศรษฐกิจการค้าของภูมิภาค ซึ่งนําไปสู่แนวปฏิบัติที่ดีในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในการรับมือโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการทํางานของเอเปก เน้นการสร้างความร่วมมือ เพื่ออํานวยความสะดวกและลดอุปสรรคทางการค้า รวมถึงการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งส่งเสริมให้วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม รายย่อย และสตรี เข้ามามีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิตโลก เพื่อก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่แล้ว”นายวีรศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ เอเปกเป็นกรอบความร่วมมือของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ประกอบด้วยสมาชิก 21 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไนดารุสซาลาม แคนาดา ชิลี จีน จีนฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี เปรู ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สิงคโปร์ จีนไทเป ไทย สหรัฐฯ และเวียดนาม โดยสมาชิกเอเปกเป็นคู่ค้าที่สําคัญของไทย ในปี 2562 การค้าของไทยกับเอเปกมีมูลค่า 338,242 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนถึง 70.5% ของการค้ารวมของไทย เป็นการส่งออกจากไทยไปเอเปก 171,320 ล้านเหรียญสหรัฐ และนําเข้าจากเอเปก 166,921 ล้านเหรียญสหรัฐ
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีการค้าเอเปกแถลงการณ์ ลดอุปสรรคการค้า เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ สู้วิกฤตโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์]
วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563
รัฐมนตรีการค้าเอเปกแถลงการณ์ ลดอุปสรรคการค้า เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ สู้วิกฤตโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์]
รัฐมนตรีการค้าเอเปกแถลงการณ์ ลดอุปสรรคการค้า เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ สู้วิกฤตโควิด-19
รัฐมนตรีการค้าเอเปกออกแถลงการณ์ รับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ย้ําให้ความสําคัญกับการเปิดตลาด อํานวยความสะดวกและลดอุปสรรคทางการค้าสําหรับสินค้าที่จําเป็นต้องใช้สู้ ทั้งยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ เกษตร อาหาร พร้อมขอให้ใช้มาตรการฉุกเฉินที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้า เน้นการช่วยเหลือธุรกิจและแรงงานที่ได้รับผลกระทบ
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ค.2563 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีการค้าเอเปกได้ออกแถลงการณ์เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 โดยได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน ซึ่งให้ความสําคัญกับการเปิดตลาดด้านการค้าและการลงทุนที่เสรี เป็นธรรม โปร่งใส และมีเสถียรภาพ เน้นสนับสนุนการอํานวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนของสินค้าและบริการที่จําเป็น เพื่อต่อสู้กับโควิด-19 โดยเฉพาะยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ สินค้าเกษตร สินค้าอาหาร และอุปกรณ์ที่จําเป็น รวมทั้งการรักษาความเชื่อมโยงทางการค้า และอํานวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายบุคลากรข้ามพรมแดน พร้อมทั้งใช้มาตรการฉุกเฉินชั่วคราวที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้า และต้องสอดคล้องกับกฎเกณฑ์องค์การการค้าโลก (WTO)
โดยแถลงการณ์ดังกล่าว ยังสนับสนุนให้มีมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมทั้งสนับสนุนให้สมาชิกเอเปกเร่งจัดทําแนวทางความร่วมมือ เพื่อรวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลมาตรการต่างๆ ที่สมาชิกใช้ในการรับมือกับโควิด-19 เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวโดยเร็ว รวมถึงสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งในเวทีระหว่างประเทศ กับภาคเอกชน และภาควิชาการ และให้ความสําคัญกับการเชื่อมโยงในภูมิภาค เพื่อให้ห่วงโซ่การผลิตโลกมีความยืดหยุ่นและไม่ได้รับผลกระทบที่รุนแรง เน้นใช้ประโยชน์จากดิจิทัลและเทคโนโลยี และการแก้ปัญหาแบบอัจฉริยะในการบรรเทาผลกระทบ
“การที่สมาชิกเอเปกออกแถลงการณ์ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันฟื้นฟูเศรษฐกิจการค้าของภูมิภาค ซึ่งนําไปสู่แนวปฏิบัติที่ดีในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในการรับมือโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการทํางานของเอเปก เน้นการสร้างความร่วมมือ เพื่ออํานวยความสะดวกและลดอุปสรรคทางการค้า รวมถึงการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งส่งเสริมให้วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม รายย่อย และสตรี เข้ามามีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิตโลก เพื่อก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่แล้ว”นายวีรศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ เอเปกเป็นกรอบความร่วมมือของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ประกอบด้วยสมาชิก 21 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไนดารุสซาลาม แคนาดา ชิลี จีน จีนฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี เปรู ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สิงคโปร์ จีนไทเป ไทย สหรัฐฯ และเวียดนาม โดยสมาชิกเอเปกเป็นคู่ค้าที่สําคัญของไทย ในปี 2562 การค้าของไทยกับเอเปกมีมูลค่า 338,242 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนถึง 70.5% ของการค้ารวมของไทย เป็นการส่งออกจากไทยไปเอเปก 171,320 ล้านเหรียญสหรัฐ และนําเข้าจากเอเปก 166,921 ล้านเหรียญสหรัฐ
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30633
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยขายพันธบัตรวอลเล็ตสบม.ครั้งที่ 2 ผ่านแอปเป๋าตัง เริ่ม 25 ส.ค.นี้ ส่วนพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นก้าวไปด้วยกัน ขายผ่าน Krungthai NEXT Internet Banking และสาขา เริ่ม 26 ส.ค.
|
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563
กรุงไทยขายพันธบัตรวอลเล็ตสบม.ครั้งที่ 2 ผ่านแอปเป๋าตัง เริ่ม 25 ส.ค.นี้ ส่วนพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นก้าวไปด้วยกัน ขายผ่าน Krungthai NEXT Internet Banking และสาขา เริ่ม 26 ส.ค.
ธ.กรุงไทยจําหน่ายพันธบัตรวอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 2 วงเงิน 5,000 ลบ. อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.70% ต่อปี และพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นก้าวไปด้วยกันของกระทรวงการคลัง วงเงิน 45,000 ลบ. อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.22 % ต่อปี
ธนาคารกรุงไทยจําหน่ายพันธบัตรวอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 2 วงเงิน 5,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.70% ต่อปี ระหว่าง 25 สิงหาคม - 11 กันยายนนี้ ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง โดยเติมเงินเข้าวอลเล็ตสบม.เพื่อซื้อพันธบัตร ผ่าน Mobile Banking ได้ทุกธนาคาร และจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นก้าวไปด้วยกันของกระทรวงการคลัง วงเงิน 45,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.22 % ต่อปี ระหว่าง 26 สิงหาคม - 11 กันยายน 2563
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลัง โดยสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กําหนดออกพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม.ครั้งที่ 2 วงเงิน 5,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.70% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง จําหน่ายระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม 2563 เวลา 8.30 น. ถึงวันที่ 11 กันยายน 2563 เวลา 15.00 น. หลังสร้างประวัติศาสตร์ขายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม.ครั้งที่ 1 ผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง หมดภายใน 99 วินาที นั้น
“ธนาคารกรุงไทย ได้รับความไว้วางใจ เป็นผู้จําหน่ายพันธบัตรผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งเป็นระบบการเงินแบบเปิด รองรับวอลเล็ตได้หลายตัวพร้อมกัน และเป็นการซื้อแบบ Real Time ซึ่งผู้ขายมีผลลัพธ์การขายเป็นรายนาที ส่วนผู้ซื้อเห็นข้อมูลของเงินและพันธบัตร รวมทั้งข้อมูลการถือครองจะแสดงให้เห็นในวอลเล็ตทันที ไม่ต้องรอ 15 วัน ตลอดจนดูข้อมูล ตรวจสอบประวัติการซื้อ และดาวน์โหลดเอกสารต่างๆ ผู้สนใจซื้อพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. ซึ่งลงทุนขั้นต่ํา 100 บาท และเพิ่มขึ้นครั้งละ 100 บาท แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย ไม่จํากัดจํานวนครั้งที่เข้าซื้อต่อราย เพียงสมัครวอลเล็ต สบม. และลงทะเบียนยอมรับเงื่อนไข สามารถใช้บริการได้ทันที”
นายผยง ศรีวณิช กล่าวถึงขั้นตอนการซื้อพันธบัตรว่า เพียงโอนเงินเข้าวอลเล็ต สบม. ด้วย Wallet ID หรือ QR PromptPay ผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร ตามวงเงินที่แต่ละธนาคารกําหนด จากนั้นเลือกพันธบัตรที่ต้องการซื้อ ระบุจํานวนเงิน และกดยืนยันการชําระเงิน ด้วย PIN โดยจะได้รับหลักฐานการชําระเงินเป็น E-Slip Payment ที่จัดเก็บในมือถือโดยอัตโนมัติ สําหรับลูกค้า Krungthai NEXT ที่ต้องการปรับวงเงิน เพื่อโอนเข้าวอลเล็ต สบม. สําหรับซื้อพันธบัตรนั้น สามารถทําได้ง่ายๆ ด้วยตนเอง บน Krungthai NEXT โดยไม่ต้องไปสาขา ทั้งนี้ ลูกค้าที่มีบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารกรุงไทย สามารถผูกบัญชีกับวอลเล็ตสบม. โดยระบบจะตัดยอดเงินบัญชีอัตโนมัติ เพื่อซื้อพันธบัตรโดยที่ไม่ต้องเติมเงินเข้าวอลเล็ต และสําหรับผู้ที่ยังไม่มีแอปพลิเคชันเป๋าตัง สามารถดาวน์โหลดผ่านแอปสโตร์และเพลย์สโตร์ เลือกสมัครวอลเล็ต สบม. ยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า กรอกข้อมูลส่วนบุคคล จากนั้นใช้งานได้ทันที
นอกจากนี้ สบน. ยังได้ออกพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นก้าวไปด้วยกันของกระทรวงการคลัง วงเงิน 45,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.22 % ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยปีละสองครั้ง โดยธนาคารจะจําหน่ายผ่าน Krungthai NEXT Internet Banking และสาขาทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม 2563 เวลา 8.30 น. ถึงวันที่ 11 กันยายน 2563 เวลา 15.00 น. สามารถซื้อพันธบัตรขั้นต่ํา 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อราย รายละเอียดเพิ่มเติม https://krungthai.com/th/krungthai-update/promotion-detail/468
ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด
โทร. 0 2208 4174-8
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยขายพันธบัตรวอลเล็ตสบม.ครั้งที่ 2 ผ่านแอปเป๋าตัง เริ่ม 25 ส.ค.นี้ ส่วนพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นก้าวไปด้วยกัน ขายผ่าน Krungthai NEXT Internet Banking และสาขา เริ่ม 26 ส.ค.
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563
กรุงไทยขายพันธบัตรวอลเล็ตสบม.ครั้งที่ 2 ผ่านแอปเป๋าตัง เริ่ม 25 ส.ค.นี้ ส่วนพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นก้าวไปด้วยกัน ขายผ่าน Krungthai NEXT Internet Banking และสาขา เริ่ม 26 ส.ค.
ธ.กรุงไทยจําหน่ายพันธบัตรวอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 2 วงเงิน 5,000 ลบ. อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.70% ต่อปี และพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นก้าวไปด้วยกันของกระทรวงการคลัง วงเงิน 45,000 ลบ. อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.22 % ต่อปี
ธนาคารกรุงไทยจําหน่ายพันธบัตรวอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 2 วงเงิน 5,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.70% ต่อปี ระหว่าง 25 สิงหาคม - 11 กันยายนนี้ ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง โดยเติมเงินเข้าวอลเล็ตสบม.เพื่อซื้อพันธบัตร ผ่าน Mobile Banking ได้ทุกธนาคาร และจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นก้าวไปด้วยกันของกระทรวงการคลัง วงเงิน 45,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.22 % ต่อปี ระหว่าง 26 สิงหาคม - 11 กันยายน 2563
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลัง โดยสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กําหนดออกพันธบัตรออมทรัพย์วอลเล็ต สบม.ครั้งที่ 2 วงเงิน 5,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.70% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง จําหน่ายระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม 2563 เวลา 8.30 น. ถึงวันที่ 11 กันยายน 2563 เวลา 15.00 น. หลังสร้างประวัติศาสตร์ขายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม.ครั้งที่ 1 ผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง หมดภายใน 99 วินาที นั้น
“ธนาคารกรุงไทย ได้รับความไว้วางใจ เป็นผู้จําหน่ายพันธบัตรผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งเป็นระบบการเงินแบบเปิด รองรับวอลเล็ตได้หลายตัวพร้อมกัน และเป็นการซื้อแบบ Real Time ซึ่งผู้ขายมีผลลัพธ์การขายเป็นรายนาที ส่วนผู้ซื้อเห็นข้อมูลของเงินและพันธบัตร รวมทั้งข้อมูลการถือครองจะแสดงให้เห็นในวอลเล็ตทันที ไม่ต้องรอ 15 วัน ตลอดจนดูข้อมูล ตรวจสอบประวัติการซื้อ และดาวน์โหลดเอกสารต่างๆ ผู้สนใจซื้อพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นวอลเล็ต สบม. ซึ่งลงทุนขั้นต่ํา 100 บาท และเพิ่มขึ้นครั้งละ 100 บาท แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย ไม่จํากัดจํานวนครั้งที่เข้าซื้อต่อราย เพียงสมัครวอลเล็ต สบม. และลงทะเบียนยอมรับเงื่อนไข สามารถใช้บริการได้ทันที”
นายผยง ศรีวณิช กล่าวถึงขั้นตอนการซื้อพันธบัตรว่า เพียงโอนเงินเข้าวอลเล็ต สบม. ด้วย Wallet ID หรือ QR PromptPay ผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร ตามวงเงินที่แต่ละธนาคารกําหนด จากนั้นเลือกพันธบัตรที่ต้องการซื้อ ระบุจํานวนเงิน และกดยืนยันการชําระเงิน ด้วย PIN โดยจะได้รับหลักฐานการชําระเงินเป็น E-Slip Payment ที่จัดเก็บในมือถือโดยอัตโนมัติ สําหรับลูกค้า Krungthai NEXT ที่ต้องการปรับวงเงิน เพื่อโอนเข้าวอลเล็ต สบม. สําหรับซื้อพันธบัตรนั้น สามารถทําได้ง่ายๆ ด้วยตนเอง บน Krungthai NEXT โดยไม่ต้องไปสาขา ทั้งนี้ ลูกค้าที่มีบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารกรุงไทย สามารถผูกบัญชีกับวอลเล็ตสบม. โดยระบบจะตัดยอดเงินบัญชีอัตโนมัติ เพื่อซื้อพันธบัตรโดยที่ไม่ต้องเติมเงินเข้าวอลเล็ต และสําหรับผู้ที่ยังไม่มีแอปพลิเคชันเป๋าตัง สามารถดาวน์โหลดผ่านแอปสโตร์และเพลย์สโตร์ เลือกสมัครวอลเล็ต สบม. ยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า กรอกข้อมูลส่วนบุคคล จากนั้นใช้งานได้ทันที
นอกจากนี้ สบน. ยังได้ออกพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่นก้าวไปด้วยกันของกระทรวงการคลัง วงเงิน 45,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.22 % ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยปีละสองครั้ง โดยธนาคารจะจําหน่ายผ่าน Krungthai NEXT Internet Banking และสาขาทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม 2563 เวลา 8.30 น. ถึงวันที่ 11 กันยายน 2563 เวลา 15.00 น. สามารถซื้อพันธบัตรขั้นต่ํา 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อราย รายละเอียดเพิ่มเติม https://krungthai.com/th/krungthai-update/promotion-detail/468
ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด
โทร. 0 2208 4174-8
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34397
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ระบุ การแก้ปัญหาอุทกภัยจะต้องแก้ทั้งระบบ พร้อมดูแลเยียวยาประชาชนที่มีผลกระทบ
|
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรี ระบุ การแก้ปัญหาอุทกภัยจะต้องแก้ทั้งระบบ พร้อมดูแลเยียวยาประชาชนที่มีผลกระทบ
นายกรัฐมนตรี ระบุ การแก้ปัญหาอุทกภัยจะต้องแก้ทั้งระบบ พร้อมดูแลเยียวยาประชาชนที่มีผลกระทบ
วันนี้ (27 กันยายน 2559) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องสถานการณ์อุกภัยว่า วันนี้ระบบการบริหารจัดการน้ําที่ผ่านยังไม่ดีพอ เป็นเหตุทําให้เกิดภัยพิบัติ จําเป็นต้องมีการบริหารจัดการน้ําใหม่ทั้งระบบ โดยได้มอบหมายให้ทางกรมชลประทานชี้แจงถึงปัญหา รวมทั้งวางนโยบายและร่วมกํากับดูแลการจัดการน้ําที่ไหลมาจากเขื่อนสําคัญๆ ในประเทศ พร้อมทั้งดูแลพื้นที่ 14 จังหวัดที่มีความเสี่ยงสูงต่อสถานการณ์น้ําท่วม
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลได้มีการสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย กรมชลประทาน และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ร่วมกันดําเนินการวางนโยบาย แก้ไขปัญหาระบบการบริหารจัดการน้ําใหม่ พร้อมมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ดูแลในแต่ละท้องที่อย่างทั่วถึง และที่สําคัญต้องคํานึงถึงเกษตรกรทุกภาคส่วน ทั้งในเรื่องของการกักเก็บน้ําเพื่อการเกษตร และพื้นที่ทางการเกษตรที่ถูกภัยพิบัติน้ําท่วม ซึ่งรัฐบาลได้มีมาตรการรองรับและเยียวยาแก่ผู้เสียหายตามระเบียบขั้นตอนอย่างต่อเนื่องอีกแล้ว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องปัญหาการจราจรในเขตพื้นที่ชุมชนเมืองที่มีมาอย่างยาวนานว่า การแก้ไขระบบจราจรนั้น จําเป็นต้องแก้ พฤติกรรมของผู้ใช้รถใช้ถนนเสียก่อน โดยสร้างจิตสํานึกถึงการขับขี่ยานยนต์ พาหนะโดยสารถึงผลที่ตามมาถ้าการไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร และจะทําให้ผู้อื่นเกิดความเดือดร้อนเพียงใด รวมไปถึงการจัดระเบียบการใช้เส้นทางจราจรในการจอดรถ พร้อมกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติควบคู่กันไปด้วย ขณะนี้ได้มีการสั่งการให้นําระบบเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการควบคุมดูแลพฤติกรรมของผู้ขับขี่ในระบบจราจร ของเจ้าหน้าที่เพื่อให้ดูแลอย่างทั่วถึง ผ่านกล้องวรจรปิด และสามารถเสียค่าปรับผ่านทางระบบเทคโนโลยีได้อีกด้วย
--------------------------------------------------
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ระบุ การแก้ปัญหาอุทกภัยจะต้องแก้ทั้งระบบ พร้อมดูแลเยียวยาประชาชนที่มีผลกระทบ
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรี ระบุ การแก้ปัญหาอุทกภัยจะต้องแก้ทั้งระบบ พร้อมดูแลเยียวยาประชาชนที่มีผลกระทบ
นายกรัฐมนตรี ระบุ การแก้ปัญหาอุทกภัยจะต้องแก้ทั้งระบบ พร้อมดูแลเยียวยาประชาชนที่มีผลกระทบ
วันนี้ (27 กันยายน 2559) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องสถานการณ์อุกภัยว่า วันนี้ระบบการบริหารจัดการน้ําที่ผ่านยังไม่ดีพอ เป็นเหตุทําให้เกิดภัยพิบัติ จําเป็นต้องมีการบริหารจัดการน้ําใหม่ทั้งระบบ โดยได้มอบหมายให้ทางกรมชลประทานชี้แจงถึงปัญหา รวมทั้งวางนโยบายและร่วมกํากับดูแลการจัดการน้ําที่ไหลมาจากเขื่อนสําคัญๆ ในประเทศ พร้อมทั้งดูแลพื้นที่ 14 จังหวัดที่มีความเสี่ยงสูงต่อสถานการณ์น้ําท่วม
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลได้มีการสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย กรมชลประทาน และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ร่วมกันดําเนินการวางนโยบาย แก้ไขปัญหาระบบการบริหารจัดการน้ําใหม่ พร้อมมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ดูแลในแต่ละท้องที่อย่างทั่วถึง และที่สําคัญต้องคํานึงถึงเกษตรกรทุกภาคส่วน ทั้งในเรื่องของการกักเก็บน้ําเพื่อการเกษตร และพื้นที่ทางการเกษตรที่ถูกภัยพิบัติน้ําท่วม ซึ่งรัฐบาลได้มีมาตรการรองรับและเยียวยาแก่ผู้เสียหายตามระเบียบขั้นตอนอย่างต่อเนื่องอีกแล้ว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องปัญหาการจราจรในเขตพื้นที่ชุมชนเมืองที่มีมาอย่างยาวนานว่า การแก้ไขระบบจราจรนั้น จําเป็นต้องแก้ พฤติกรรมของผู้ใช้รถใช้ถนนเสียก่อน โดยสร้างจิตสํานึกถึงการขับขี่ยานยนต์ พาหนะโดยสารถึงผลที่ตามมาถ้าการไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร และจะทําให้ผู้อื่นเกิดความเดือดร้อนเพียงใด รวมไปถึงการจัดระเบียบการใช้เส้นทางจราจรในการจอดรถ พร้อมกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติควบคู่กันไปด้วย ขณะนี้ได้มีการสั่งการให้นําระบบเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการควบคุมดูแลพฤติกรรมของผู้ขับขี่ในระบบจราจร ของเจ้าหน้าที่เพื่อให้ดูแลอย่างทั่วถึง ผ่านกล้องวรจรปิด และสามารถเสียค่าปรับผ่านทางระบบเทคโนโลยีได้อีกด้วย
--------------------------------------------------
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/514
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอหารือ “หอการค้าต่างประเทศในไทย” ชวนลงทุนใน “อีอีซี” – ชู “สมาร์ทวีซ่า” จูงใจนักธุรกิจชั้นนำ
|
วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561
บีโอไอหารือ “หอการค้าต่างประเทศในไทย” ชวนลงทุนใน “อีอีซี” – ชู “สมาร์ทวีซ่า” จูงใจนักธุรกิจชั้นนํา
บีโอไอ พร้อมรัฐมนตรีฯ “กอบศักดิ์” และหน่วยงานภาครัฐ ร่วมประชุมหารือกับหอการค้าต่างประเทศในไทยรวม 60 ราย จากกว่า 30 ประเทศ เพื่อชี้ให้เห็นถึงโอกาสและความพร้อมรองรับการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ อีอีซี
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า วันนี้ (31 มกราคม 2561) บีโอไอได้จัดการประชุมหารือกับหอการค้าต่างประเทศในไทยโดยมีนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกํากับดูแลบีโอไอเป็นประธานและมีหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย อาทิ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการจัดหางาน และสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจแก่นักธุรกิจต่างชาติต่อการส่งเสริมการลงทุนของไทย และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับกิจกรรมทางธุรกิจ
นอกจากนี้ ยังให้ความสําคัญกับการพัฒนาบุคลากรมารองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ และที่สําคัญคือ ความพยายามในการปรับปรุงการอํานวยความสะดวกแก่นักธุรกิจในประเทศไทย
“บีโอไอมั่นใจว่า การหารือในวันนี้จะช่วยให้ผู้แทนหอการค้าต่างประเทศในไทยเกิดความเข้าใจนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะช่วยให้หอการค้าต่างประเทศมีความมั่นใจนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล และนําไปสู่การขยายธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้การให้บริการสมาร์ทวีซ่า ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการในวันที่ 1 ก.พ. นี้ จะเป็นการอํานวยความสะดวกในการทําธุรกิจในไทย และจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนได้เป็นอย่างดี” เลขาธิการ บีโอไอกล่าว
ทั้งนี้ บีโอไอจะใช้โอกาสนี้รับฟังข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากผู้แทนหอการค้าต่างประเทศ เพื่อนําไปพิจารณาและดําเนินการต่อไป รวมทั้งรับฟังแนวทางการลดอุปสรรคในการดําเนินธุรกิจของนักลงทุนต่างชาติด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐให้ความสําคัญและดําเนินการมาตลอด จนมีส่วนทําให้วันนี้ ประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่อันดับที่ 26 จากเดิมอันดับที่ 46 จากการจัดอันดับความยากง่ายในการดําเนินธุรกิจโดยธนาคารโลก โดยขยับจากอันดับเดิมถึง 20 อันดับ
ด้านนายสแตนลี่ย์ คัง ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในไทย (Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand: JFCCT) กล่าวว่าหอการค้าร่วมต่างประเทศในไทยมีความชื่นชมต่อการปรับปรุงมาตรการเพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้บริการสมาร์ทวีซ่า ซึ่งจะช่วยทําให้การนําผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาปฏิบัติงานในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น
โดยที่ประชุมมีความเห็นตามข้อเสนอของนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในการจัดตั้งคณะทํางานร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและร่วมกันหาแนวทางที่จะปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆในการทําธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น และให้ไทยเป็นประเทศเป้าหมายของการลงทุนในภูมิภาค
การประชุมหารือระหว่างบีโอไอและหอการค้าต่างประเทศในไทยอย่างไม่เป็นทางการนี้ จัดขึ้นเป็นประจําทุกปี เพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น อันจะนําไปสู่การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออํานวยความสะดวกในการทําธุรกิจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่บีโอไอให้ความสําคัญมาโดยตลอด
-----------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอหารือ “หอการค้าต่างประเทศในไทย” ชวนลงทุนใน “อีอีซี” – ชู “สมาร์ทวีซ่า” จูงใจนักธุรกิจชั้นนำ
วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561
บีโอไอหารือ “หอการค้าต่างประเทศในไทย” ชวนลงทุนใน “อีอีซี” – ชู “สมาร์ทวีซ่า” จูงใจนักธุรกิจชั้นนํา
บีโอไอ พร้อมรัฐมนตรีฯ “กอบศักดิ์” และหน่วยงานภาครัฐ ร่วมประชุมหารือกับหอการค้าต่างประเทศในไทยรวม 60 ราย จากกว่า 30 ประเทศ เพื่อชี้ให้เห็นถึงโอกาสและความพร้อมรองรับการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ อีอีซี
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า วันนี้ (31 มกราคม 2561) บีโอไอได้จัดการประชุมหารือกับหอการค้าต่างประเทศในไทยโดยมีนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกํากับดูแลบีโอไอเป็นประธานและมีหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย อาทิ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการจัดหางาน และสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจแก่นักธุรกิจต่างชาติต่อการส่งเสริมการลงทุนของไทย และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับกิจกรรมทางธุรกิจ
นอกจากนี้ ยังให้ความสําคัญกับการพัฒนาบุคลากรมารองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ และที่สําคัญคือ ความพยายามในการปรับปรุงการอํานวยความสะดวกแก่นักธุรกิจในประเทศไทย
“บีโอไอมั่นใจว่า การหารือในวันนี้จะช่วยให้ผู้แทนหอการค้าต่างประเทศในไทยเกิดความเข้าใจนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะช่วยให้หอการค้าต่างประเทศมีความมั่นใจนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล และนําไปสู่การขยายธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้การให้บริการสมาร์ทวีซ่า ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการในวันที่ 1 ก.พ. นี้ จะเป็นการอํานวยความสะดวกในการทําธุรกิจในไทย และจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนได้เป็นอย่างดี” เลขาธิการ บีโอไอกล่าว
ทั้งนี้ บีโอไอจะใช้โอกาสนี้รับฟังข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากผู้แทนหอการค้าต่างประเทศ เพื่อนําไปพิจารณาและดําเนินการต่อไป รวมทั้งรับฟังแนวทางการลดอุปสรรคในการดําเนินธุรกิจของนักลงทุนต่างชาติด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐให้ความสําคัญและดําเนินการมาตลอด จนมีส่วนทําให้วันนี้ ประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่อันดับที่ 26 จากเดิมอันดับที่ 46 จากการจัดอันดับความยากง่ายในการดําเนินธุรกิจโดยธนาคารโลก โดยขยับจากอันดับเดิมถึง 20 อันดับ
ด้านนายสแตนลี่ย์ คัง ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในไทย (Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand: JFCCT) กล่าวว่าหอการค้าร่วมต่างประเทศในไทยมีความชื่นชมต่อการปรับปรุงมาตรการเพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้บริการสมาร์ทวีซ่า ซึ่งจะช่วยทําให้การนําผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาปฏิบัติงานในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น
โดยที่ประชุมมีความเห็นตามข้อเสนอของนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในการจัดตั้งคณะทํางานร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและร่วมกันหาแนวทางที่จะปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆในการทําธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น และให้ไทยเป็นประเทศเป้าหมายของการลงทุนในภูมิภาค
การประชุมหารือระหว่างบีโอไอและหอการค้าต่างประเทศในไทยอย่างไม่เป็นทางการนี้ จัดขึ้นเป็นประจําทุกปี เพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น อันจะนําไปสู่การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออํานวยความสะดวกในการทําธุรกิจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่บีโอไอให้ความสําคัญมาโดยตลอด
-----------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9765
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.ประชุมคณะกรรมการฯ โรงเรียนร่วมพัฒนา ที่จังหวัดเชียงราย
|
วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2562
รมช.ศธ.ประชุมคณะกรรมการฯ โรงเรียนร่วมพัฒนา ที่จังหวัดเชียงราย
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการศึกษาในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบาย Thailand 4.0
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการศึกษาในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบาย Thailand 4.0 ครั้งที่ 1/2562 พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท) ซึ่งเป็นโรงเรียนต้นแบบการเตรียมอาชีพให้กับนักเรียน โดยมี ผศ.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, ผู้บริหารภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุน, ผู้บริหารสถานศึกษา, ผู้แทนชุมชน ตลอดจนคณะครู และนักเรียน ให้การต้อนรับและเข้าร่วมงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562 ณ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท) อําเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
ประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการศึกษาในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School)
รมช.ศึกษาธิการกล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายในการยกระดับและพัฒนาคุณภาพการศึกษาในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) โดยสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมจัดการศึกษา มุ่งหวังให้การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาประสบผลสําเร็จ รวมทั้งเป็นการสร้างโรงเรียนที่มีคุณภาพเทียบเท่าโรงเรียนในเมืองให้กับประชาชนในพื้นที่ บุตรหลานได้เรียนใกล้บ้านมีความอบอุ่นปลอดภัย เตรียมทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ ตลอดจนเป็นศูนย์กลางพัฒนาคนทุกช่วงวัยเชื่อมโยงสู่ชุมชน
สําหรับโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15ได้มีแนวทางในการพัฒนาทักษะอาชีพโดยใช้แนวคิดในรูปแบบเดียวกับโรงเรียนร่วมพัฒนา กระทรวงศึกษาธิการจึงได้นําผู้อํานวยการโรงเรียนในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา รุ่นที่ 1 จํานวน 50 แห่ง มาศึกษาดูงานเพื่อนําความรู้ได้รับกลับไปวางแผนขับเคลื่อนโรงเรียนร่วมพัฒนาให้มีความเข้มแข็งและประสบผลสําเร็จต่อไป
ผศ.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า ขณะนี้โรงเรียนร่วมพัฒนามีเป้าหมายและกรอบการดําเนินงานที่ชัดเจน อีกทั้งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และคนในชุมชน ซึ่งหลายท่านก็ได้เปลี่ยนวิธีการทํางานและเปลี่ยนวิธีคิด ก้าวข้ามปัญหาและอุปสรรคมุ่งไปสู่ความสําเร็จ ทั้งนี้ โรงเรียนร่วมพัฒนารุ่นแรกถือเป็นโครงการนําร่อง และในอนาคตควรมีโรงเรียนในรูปแบบดังกล่าวประมาณ 5,000 แห่ง เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกกับนักเรียน ประชาชน และประเทศชาติ โดยจะเป็นการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานรูปแบบใหม่ และคาดหวังว่าโรงเรียนร่วมพัฒนา รุ่นที่ 1 จะเป็นรุ่นพี่และเป็นต้นแบบนําระบบการศึกษาที่ทํางานร่วมกันทุกภาคส่วนไปสู่ความเป็นสากลได้
ผู้แทนภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนโรงเรียนร่วมพัฒนากล่าวว่า การได้มาร่วมประชุมและศึกษาดูงานในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้มารับทราบความชัดเจนและกรอบการทํางานของโรงเรียนร่วมพัฒนา พร้อมทั้งได้พบปะกับผู้อํานวยการโรงเรียนในโครงการฯ ที่ภาคเอกชนให้การสนับสนุน ซึ่งการศึกษาดูงานโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 ที่เป็นต้นแบบด้านการเตรียมอาชีพและสามารถพัฒนาสถานศึกษาให้มีความยั่งยืน ทําให้สามารถนําความรู้กลับไปปรับใช้ในการพัฒนาโรงเรียนร่วมพัฒนาร่วมกับผู้อํานวยการโรงเรียนได้
ผู้แทนผู้อํานวยการโรงเรียนในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา รุ่นที่ 1กล่าวว่า ผู้บริหารสถานศึกษาตามโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการฯ มากขึ้น อันจะนําไปสู่แนวทางการปฏิบัติตามแผนและกรอบการดําเนินงานที่ได้กําหนดไว้ในระยะเวลา 5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์สําคัญ 4 ด้าน คือ การบริหารจัดการ การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา การสร้างทักษะชีวิตและอาชีพ และการสร้างคนดีสู่การพัฒนาชุมชน อีกทั้ง ถือเป็นโอกาสสําคัญที่สถานศึกษาได้ทํางานร่วมกับภาคเอกชนและมีผลการดําเนินงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจน
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดําเนินงานโรงเรียนร่วมพัฒนาซึ่งได้รายงานต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2562 โดยโรงเรียนร่วมพัฒนา รุ่นที่ 1 ได้เริ่มดําเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ จํานวน 50 โรงเรียนใน 34 จังหวัด เป็นสถานศึกษาในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จํานวน 47 แห่ง, สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จํานวน 2 แห่ง และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จํานวน 1 แห่ง ซึ่งมีผู้สนับสนุนภาคเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ จํานวน 12 แห่ง
สําหรับโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา รุ่นที่ 2 จะเริ่มดําเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562โดยมีสถานศึกษาแสดงความจํานงเข้าร่วมโครงการ จํานวน 71 แห่ง เป็นสถานศึกษาสังกัด สพฐ. จํานวน 65 แห่ง และ สอศ. จํานวน 6 แห่ง ในขณะที่มีภาคเอกชนให้ความสนใจเป็นผู้สนับสนุนรายใหม่ จํานวน 11 แห่ง รวมสถานศึกษารุ่นที่ 1 และ 2 จํานวน 121 แห่งใน 54 จังหวัด โดยจะมีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ "โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา" (Partnership School Project) ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กับหน่วยงานผู้ให้การสนับสนุนภาคเอกชน โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการตั้งเป้าหมายให้มีโรงเรียนร่วมพัฒนาครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร ภายในปี 2562
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าของคณะกรรมการสถานศึกษาโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาซึ่งราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2562 ได้เผยแพร่ระเบียบคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่าด้วยการกําหนดองค์ประกอบ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา และจํานวนกรรมการสถานศึกษา สําหรับสถานศึกษารูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา พ.ศ. 2561 ซึ่งลงนามโดยประธานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์) โดยกําหนดให้แต่ละสถานศึกษามี "คณะกรรมการสถานศึกษา" จํานวน 15 คน มาจากบุคคลหลายฝ่ายในชุมชน พร้อมกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการ เพื่อเสนอผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาแต่งตั้ง
อีกทั้งได้รับทราบแนวทางการติดตาม ประเมินผล และวิจัย โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาซึ่งคณะกรรมการติดตาม ประเมินผลและวิจัย ได้กําหนดปฏิทินการดําเนินการติดตาม ประเมินผลและวิจัย โรงเรียนร่วมพัฒนารุ่นที่ 1 ในช่วงภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 โดยจะเป็นการติดตามและประเมินผลเชิงบวก เมื่อพบเจอปัญหาจะให้คําแนะนําและร่วมกันหาทางแก้ไข โดยคาดว่าจะรายงานผลการติดตามและประเมินให้คณะกรรมการฯ ทราบในช่วงเดือนมิถุนายน 2562
ตรวจเยี่ยมโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15
ดร.กัมพล ไชยนันท์ ผู้อํานวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท)กล่าวว่า ปัจจุบันโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท) จัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล 1 - มัธยมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียน จํานวน 1,978 คน ครูและบุคลากรทางการศึกษา จํานวน 193 คน โดยมีวิสัยทัศน์ในการมุ่งสร้างเด็กดีตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร คือ มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง, มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง-มีคุณธรรม, มีงานทํา-มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดี
นอกจากนี้ โรงเรียนได้มีแนวทางในการมุ่งสร้างคุณภาพการศึกษาเพื่อให้ผู้ปกครองและเด็กมีความเชื่อมั่นและสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 โดยรับนักเรียนที่สมัครเข้าศึกษาทุกคนไม่มีการสอบเข้า ถือเป็นการลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา อีกทั้งยังเน้นการสอนทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ รวมทั้งจัดการเรียนการสอนแบบทวิศึกษาร่วมกับวิทยาลัยการอาชีพเวียงเชียงรุ้ง เพื่อให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายได้เรียนสายอาชีพ เมื่อจบการศึกษาแล้วได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพเพิ่มอีก 1 วุฒิการศึกษาด้วย ซึ่งเป็นการเตรียมคนเข้าสู่ตลาดแรงงานและสถานประกอบการในอนาคต ตลอดจนจัดการเรียนการสอนตามบริบทของชุมชนในพื้นที่ ที่เน้นการค้าการลงทุน การขนส่ง และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
โอกาสนี้ ผู้อํานวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท) ได้นํา รมช.ศึกษาธิการ และคณะ เยี่ยมชมการจัดการศึกษาของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท) โดยแบ่งเป็นฐานต่าง ๆ จํานวน 10 ฐาน ประกอบด้วย ศูนย์บ่มเพาะนักธุรกิจน้อยร้านกาแฟเวียงเก่า, Digital Classroom/e-Learning Zone/Knowledge Street/Smartcard RFID, โรงเรียนเตรียมอาชีพ 53 อาชีพ สอดคล้องบริบทเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอําเภอเชียงแสน, หลักสูตรสถานศึกษารองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนอําเภอเชียงแสน, ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า/ศูนย์ Peer Center/อุทยานการเรียนรู้อู้กําเมือง, ห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติ/Digital Book/One Stop Service/Big Data Center, ร้านเสริมสวย ร้านซักอบรีด สวนผักแนวตั้ง ส้วมสุขสันต์หรรษา โรงเรียนธนาคาร, โรงฝึกงานช่างอุตสาหกรรม ค่ายมวยราชประชาฯ 15 ยิม ห้องเรียนศิลปะและดนตรี+นาฏศิลป์, ห้องเรียนอนุบาลเชิงวิจัยและพัฒนา/ห้อง STEM & Art และแหล่งเรียนรู้ศาสตร์พระราชา วิทยาเขตกู่เต้า
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editor/Graphicบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.ประชุมคณะกรรมการฯ โรงเรียนร่วมพัฒนา ที่จังหวัดเชียงราย
วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2562
รมช.ศธ.ประชุมคณะกรรมการฯ โรงเรียนร่วมพัฒนา ที่จังหวัดเชียงราย
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการศึกษาในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบาย Thailand 4.0
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการศึกษาในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบาย Thailand 4.0 ครั้งที่ 1/2562 พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท) ซึ่งเป็นโรงเรียนต้นแบบการเตรียมอาชีพให้กับนักเรียน โดยมี ผศ.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, ผู้บริหารภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุน, ผู้บริหารสถานศึกษา, ผู้แทนชุมชน ตลอดจนคณะครู และนักเรียน ให้การต้อนรับและเข้าร่วมงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562 ณ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท) อําเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
ประชุมคณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการศึกษาในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School)
รมช.ศึกษาธิการกล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายในการยกระดับและพัฒนาคุณภาพการศึกษาในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) โดยสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมจัดการศึกษา มุ่งหวังให้การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาประสบผลสําเร็จ รวมทั้งเป็นการสร้างโรงเรียนที่มีคุณภาพเทียบเท่าโรงเรียนในเมืองให้กับประชาชนในพื้นที่ บุตรหลานได้เรียนใกล้บ้านมีความอบอุ่นปลอดภัย เตรียมทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ ตลอดจนเป็นศูนย์กลางพัฒนาคนทุกช่วงวัยเชื่อมโยงสู่ชุมชน
สําหรับโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15ได้มีแนวทางในการพัฒนาทักษะอาชีพโดยใช้แนวคิดในรูปแบบเดียวกับโรงเรียนร่วมพัฒนา กระทรวงศึกษาธิการจึงได้นําผู้อํานวยการโรงเรียนในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา รุ่นที่ 1 จํานวน 50 แห่ง มาศึกษาดูงานเพื่อนําความรู้ได้รับกลับไปวางแผนขับเคลื่อนโรงเรียนร่วมพัฒนาให้มีความเข้มแข็งและประสบผลสําเร็จต่อไป
ผศ.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า ขณะนี้โรงเรียนร่วมพัฒนามีเป้าหมายและกรอบการดําเนินงานที่ชัดเจน อีกทั้งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และคนในชุมชน ซึ่งหลายท่านก็ได้เปลี่ยนวิธีการทํางานและเปลี่ยนวิธีคิด ก้าวข้ามปัญหาและอุปสรรคมุ่งไปสู่ความสําเร็จ ทั้งนี้ โรงเรียนร่วมพัฒนารุ่นแรกถือเป็นโครงการนําร่อง และในอนาคตควรมีโรงเรียนในรูปแบบดังกล่าวประมาณ 5,000 แห่ง เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกกับนักเรียน ประชาชน และประเทศชาติ โดยจะเป็นการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานรูปแบบใหม่ และคาดหวังว่าโรงเรียนร่วมพัฒนา รุ่นที่ 1 จะเป็นรุ่นพี่และเป็นต้นแบบนําระบบการศึกษาที่ทํางานร่วมกันทุกภาคส่วนไปสู่ความเป็นสากลได้
ผู้แทนภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนโรงเรียนร่วมพัฒนากล่าวว่า การได้มาร่วมประชุมและศึกษาดูงานในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้มารับทราบความชัดเจนและกรอบการทํางานของโรงเรียนร่วมพัฒนา พร้อมทั้งได้พบปะกับผู้อํานวยการโรงเรียนในโครงการฯ ที่ภาคเอกชนให้การสนับสนุน ซึ่งการศึกษาดูงานโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 ที่เป็นต้นแบบด้านการเตรียมอาชีพและสามารถพัฒนาสถานศึกษาให้มีความยั่งยืน ทําให้สามารถนําความรู้กลับไปปรับใช้ในการพัฒนาโรงเรียนร่วมพัฒนาร่วมกับผู้อํานวยการโรงเรียนได้
ผู้แทนผู้อํานวยการโรงเรียนในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา รุ่นที่ 1กล่าวว่า ผู้บริหารสถานศึกษาตามโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการฯ มากขึ้น อันจะนําไปสู่แนวทางการปฏิบัติตามแผนและกรอบการดําเนินงานที่ได้กําหนดไว้ในระยะเวลา 5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์สําคัญ 4 ด้าน คือ การบริหารจัดการ การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา การสร้างทักษะชีวิตและอาชีพ และการสร้างคนดีสู่การพัฒนาชุมชน อีกทั้ง ถือเป็นโอกาสสําคัญที่สถานศึกษาได้ทํางานร่วมกับภาคเอกชนและมีผลการดําเนินงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจน
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดําเนินงานโรงเรียนร่วมพัฒนาซึ่งได้รายงานต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2562 โดยโรงเรียนร่วมพัฒนา รุ่นที่ 1 ได้เริ่มดําเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ จํานวน 50 โรงเรียนใน 34 จังหวัด เป็นสถานศึกษาในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จํานวน 47 แห่ง, สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จํานวน 2 แห่ง และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จํานวน 1 แห่ง ซึ่งมีผู้สนับสนุนภาคเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ จํานวน 12 แห่ง
สําหรับโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา รุ่นที่ 2 จะเริ่มดําเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562โดยมีสถานศึกษาแสดงความจํานงเข้าร่วมโครงการ จํานวน 71 แห่ง เป็นสถานศึกษาสังกัด สพฐ. จํานวน 65 แห่ง และ สอศ. จํานวน 6 แห่ง ในขณะที่มีภาคเอกชนให้ความสนใจเป็นผู้สนับสนุนรายใหม่ จํานวน 11 แห่ง รวมสถานศึกษารุ่นที่ 1 และ 2 จํานวน 121 แห่งใน 54 จังหวัด โดยจะมีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ "โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา" (Partnership School Project) ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กับหน่วยงานผู้ให้การสนับสนุนภาคเอกชน โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการตั้งเป้าหมายให้มีโรงเรียนร่วมพัฒนาครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร ภายในปี 2562
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าของคณะกรรมการสถานศึกษาโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาซึ่งราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2562 ได้เผยแพร่ระเบียบคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่าด้วยการกําหนดองค์ประกอบ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา และจํานวนกรรมการสถานศึกษา สําหรับสถานศึกษารูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา พ.ศ. 2561 ซึ่งลงนามโดยประธานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์) โดยกําหนดให้แต่ละสถานศึกษามี "คณะกรรมการสถานศึกษา" จํานวน 15 คน มาจากบุคคลหลายฝ่ายในชุมชน พร้อมกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการ เพื่อเสนอผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาแต่งตั้ง
อีกทั้งได้รับทราบแนวทางการติดตาม ประเมินผล และวิจัย โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาซึ่งคณะกรรมการติดตาม ประเมินผลและวิจัย ได้กําหนดปฏิทินการดําเนินการติดตาม ประเมินผลและวิจัย โรงเรียนร่วมพัฒนารุ่นที่ 1 ในช่วงภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 โดยจะเป็นการติดตามและประเมินผลเชิงบวก เมื่อพบเจอปัญหาจะให้คําแนะนําและร่วมกันหาทางแก้ไข โดยคาดว่าจะรายงานผลการติดตามและประเมินให้คณะกรรมการฯ ทราบในช่วงเดือนมิถุนายน 2562
ตรวจเยี่ยมโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15
ดร.กัมพล ไชยนันท์ ผู้อํานวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท)กล่าวว่า ปัจจุบันโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท) จัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล 1 - มัธยมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียน จํานวน 1,978 คน ครูและบุคลากรทางการศึกษา จํานวน 193 คน โดยมีวิสัยทัศน์ในการมุ่งสร้างเด็กดีตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร คือ มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง, มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง-มีคุณธรรม, มีงานทํา-มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดี
นอกจากนี้ โรงเรียนได้มีแนวทางในการมุ่งสร้างคุณภาพการศึกษาเพื่อให้ผู้ปกครองและเด็กมีความเชื่อมั่นและสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 โดยรับนักเรียนที่สมัครเข้าศึกษาทุกคนไม่มีการสอบเข้า ถือเป็นการลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา อีกทั้งยังเน้นการสอนทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ รวมทั้งจัดการเรียนการสอนแบบทวิศึกษาร่วมกับวิทยาลัยการอาชีพเวียงเชียงรุ้ง เพื่อให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายได้เรียนสายอาชีพ เมื่อจบการศึกษาแล้วได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพเพิ่มอีก 1 วุฒิการศึกษาด้วย ซึ่งเป็นการเตรียมคนเข้าสู่ตลาดแรงงานและสถานประกอบการในอนาคต ตลอดจนจัดการเรียนการสอนตามบริบทของชุมชนในพื้นที่ ที่เน้นการค้าการลงทุน การขนส่ง และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
โอกาสนี้ ผู้อํานวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท) ได้นํา รมช.ศึกษาธิการ และคณะ เยี่ยมชมการจัดการศึกษาของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท) โดยแบ่งเป็นฐานต่าง ๆ จํานวน 10 ฐาน ประกอบด้วย ศูนย์บ่มเพาะนักธุรกิจน้อยร้านกาแฟเวียงเก่า, Digital Classroom/e-Learning Zone/Knowledge Street/Smartcard RFID, โรงเรียนเตรียมอาชีพ 53 อาชีพ สอดคล้องบริบทเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอําเภอเชียงแสน, หลักสูตรสถานศึกษารองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนอําเภอเชียงแสน, ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า/ศูนย์ Peer Center/อุทยานการเรียนรู้อู้กําเมือง, ห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติ/Digital Book/One Stop Service/Big Data Center, ร้านเสริมสวย ร้านซักอบรีด สวนผักแนวตั้ง ส้วมสุขสันต์หรรษา โรงเรียนธนาคาร, โรงฝึกงานช่างอุตสาหกรรม ค่ายมวยราชประชาฯ 15 ยิม ห้องเรียนศิลปะและดนตรี+นาฏศิลป์, ห้องเรียนอนุบาลเชิงวิจัยและพัฒนา/ห้อง STEM & Art และแหล่งเรียนรู้ศาสตร์พระราชา วิทยาเขตกู่เต้า
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editor/Graphicบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18323
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมระหว่างประเทศระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 8
|
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
พม. จัดประชุมระหว่างประเทศระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ครั้งที่ 8
พม. จัดประชุมระหว่างประเทศระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ครั้งที่ 8 ภายใต้หัวข้อ “การช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เพื่อสร้างชีวิตใหม่ : สํารวจการส่งผู้เสียหายคืนสู่สังคมที่ประสบความสําเร็จ และหาวิธีที่ดีเพื่อส่งเสริมกรณีตัวอย่าง”
วันนี้ (7 มี.ค. 61) เวลา 09.15 น.นางสุวรีย์ ใจหาญ รักษาการที่ปรึกษาวิชาการพัฒนาสังคมเป็นประธานเปิด "การประชุมระหว่างประเทศระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ครั้งที่ 8 หัวข้อเรื่อง การช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เพื่อสร้างชีวิตใหม่ : สํารวจการส่งผู้เสียหายคืนสู่สังคมที่ประสบความสําเร็จ และหาวิธีที่ดีเพื่อส่งเสริมกรณีตัวอย่าง” โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมฯ จํานวนกว่า 120 คนประกอบด้วย ผู้ปฏิบัติงาน ด้านการค้ามนุษย์จากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนจาก 5 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย รวมทั้ง ผู้สังเกตการณ์จากองค์การระหว่างประเทศของประเทศจีนและญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 - 9 มีนาคม 2561 ณ โรงแรมเดอะ ทวินทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
การประชุมระหว่างประเทศระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ครั้งที่ 8 อยู่ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง (Project on Capacity Development on Assisting Victims of Trafficking in the Greater Mekong Sub - Regional Countries) ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือทางวิชาการไทย - ญี่ปุ่น ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency - JICA) ระยะเวลา 4 ปี (เมษายน 2558 - เมษายน 2562) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของทีมสหวิชาชีพในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ พัฒนาระบบการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนการทํางานของกลไกการส่งกลับและคืนสู่สังคมของผู้เสียหายฯ
การประชุมครั้งนี้ นับเป็นเวทีในการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสถานการณ์การค้ามนุษย์ ระบบการช่วยเหลือส่งกลับ และการคืนสู่สังคมของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง รวมทั้ง เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายการดําเนินงานร่วมกันระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคดังกล่าว อันจะนําไปสู่การดําเนินงาน เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ที่เข้มแข็งต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมระหว่างประเทศระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 8
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
พม. จัดประชุมระหว่างประเทศระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ครั้งที่ 8
พม. จัดประชุมระหว่างประเทศระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ครั้งที่ 8 ภายใต้หัวข้อ “การช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เพื่อสร้างชีวิตใหม่ : สํารวจการส่งผู้เสียหายคืนสู่สังคมที่ประสบความสําเร็จ และหาวิธีที่ดีเพื่อส่งเสริมกรณีตัวอย่าง”
วันนี้ (7 มี.ค. 61) เวลา 09.15 น.นางสุวรีย์ ใจหาญ รักษาการที่ปรึกษาวิชาการพัฒนาสังคมเป็นประธานเปิด "การประชุมระหว่างประเทศระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ครั้งที่ 8 หัวข้อเรื่อง การช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เพื่อสร้างชีวิตใหม่ : สํารวจการส่งผู้เสียหายคืนสู่สังคมที่ประสบความสําเร็จ และหาวิธีที่ดีเพื่อส่งเสริมกรณีตัวอย่าง” โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมฯ จํานวนกว่า 120 คนประกอบด้วย ผู้ปฏิบัติงาน ด้านการค้ามนุษย์จากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนจาก 5 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย รวมทั้ง ผู้สังเกตการณ์จากองค์การระหว่างประเทศของประเทศจีนและญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 - 9 มีนาคม 2561 ณ โรงแรมเดอะ ทวินทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
การประชุมระหว่างประเทศระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ครั้งที่ 8 อยู่ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง (Project on Capacity Development on Assisting Victims of Trafficking in the Greater Mekong Sub - Regional Countries) ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือทางวิชาการไทย - ญี่ปุ่น ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency - JICA) ระยะเวลา 4 ปี (เมษายน 2558 - เมษายน 2562) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของทีมสหวิชาชีพในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ พัฒนาระบบการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนการทํางานของกลไกการส่งกลับและคืนสู่สังคมของผู้เสียหายฯ
การประชุมครั้งนี้ นับเป็นเวทีในการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสถานการณ์การค้ามนุษย์ ระบบการช่วยเหลือส่งกลับ และการคืนสู่สังคมของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง รวมทั้ง เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายการดําเนินงานร่วมกันระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคดังกล่าว อันจะนําไปสู่การดําเนินงาน เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ที่เข้มแข็งต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10602
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช. เกษตรฯ ลงพื้นที่ จ.ปทุมธานี ติดตามแผนผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร
|
วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560
รมช. เกษตรฯ ลงพื้นที่ จ.ปทุมธานี ติดตามแผนผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร
รมช. เกษตรฯ ลงพื้นที่ จ.ปทุมธานี ติดตามการดําเนินงานตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร และแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรและแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์ พร้อมพบปะเกษตรกรในพื้นที่แปลงใหญ่ จ.ปทุมธานี ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามการดําเนินงานในเรื่องข้าวครบวงจรและนาแปลงใหญ่และเกษตรอินทรีย์ โดยได้ร่วมประชุมติดตามร่วมกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และรับทราบรายงานการปฏิบัติการผลิตข้าวครบวงจรและนาแปลงใหญ่ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสําคัญในการทําเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่ ซึ่งจะทําให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็งและผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิต) โดยทางรัฐบาลจะมีหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาให้ความรู้และช่วยเหลือทั้งในเรื่องปัจจัยการผลิตที่จําเป็น รวมทั้งในเรื่องของแหล่งน้ํา และหากเกษตรมีปัญหาอุปสรรคในการทํานาแปลงใหญ่ ได้เน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าดําเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ รวมทั้งมีการติดตามผลการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
การดําเนินโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) ในปีงบประมาณ 2560 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การพิจารณาเข้าร่วมเพื่อเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรสามารถเข้าร่วมโครงการได้เพิ่มขึ้น โดยปรับแก้เกณฑ์การเข้าร่วมจากการรวมกลุ่มเกษตรกรอย่างน้อย 50 รายและพื้นที่ไม่น้อยกว่า 1,000 ไร่ เป็นการรวมกลุ่มเกษตรกรอย่างน้อย 30 ราย และพื้นที่รวมกันตั้งแต่ 300 ไร่ขึ้นไป โดยเกณฑ์การพิจารณาในส่วนของการรวมกลุ่มให้เน้นการรวมกลุ่มที่มีการแบ่งหน้าที่ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ศัตรูพืช (อารักขาพืช) และด้านเครื่องจักรกลการเกษตร หากพื้นที่ไม่เหมาะสมตาม Agri Map ให้พิจารณาว่าสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับการปลูกข้าวได้หรือไม่ มีน้ําเหมาะสมต่อการปลูกข้าวหรือสามารถจัดหาแหล่งน้ําที่เพียงพอได้ และให้กลุ่มเกษตรกรที่สนใจสามารถสมัครได้เอง โดยมีวิธีการรับสมัคร คือ จัดทําใบสมัครเข้าร่วมแปลงใหญ่ที่มีข้อมูลพื้นฐานกลุ่มเกษตรกรและพื้นที่เพาะปลูก เพิ่มสถานที่รับสมัครที่สํานักส่งเสริมการผลิตข้าว ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว ศูนย์วิจัยข้าว และสํานักงานเกษตรอําเภอ โดยมีขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติที่สะดวกและรวดเร็วจึงให้เป็นอํานาจของคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แบบเบ็ดเสร็จ (Single Command : SC) และแจ้งคณะอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทราบ ซึ่งการดําเนินการส่วนนี้แล้วเสร็จตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ด้าน นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับผลการดําเนินโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) ในปี 2560 ขณะนี้มีจํานวน 1,175 แปลง พื้นที่ 1,791,632 ไร่ แบ่งเป็นแปลงต่อเนื่องจํานวน 425 แปลง พื้นที่ 1,046,895 ไร่ และแปลงใหม่ จํานวน 750 แปลง พื้นที่ 744,737 ไร่ โดยในส่วนของจังหวัดปทุมธานีมีการดําเนินการนาแปลงใหญ่ 10 แปลง โดยเป็นแปลงต่อเนื่อง จํานวน 6 แปลง พื้นที่ 20,848.50 ไร่ เกษตรกร 933 ราย และมีแปลงใหญ่ตามหลักเกณฑ์ใหม่จํานวน 4 แปลง พื้นที่ 3,881 ไร่ เกษตรกร 147 ราย โดยมีการส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว โดยการลดต้นทุนการผลิตในการผลิตปัจจัยการผลิตใช้เอง เพิ่มผลผลิตจากการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเฉพาะพื้นที่ เพิ่มสมรรถนะในการบริหารจัดการการผลิตแบบครบวงจร และการจัดการด้านการตลาด
ทั้งนี้ จ.ปทุมธานี มีพื้นที่ปลูกข้าวนาปี 251,429.04 ไร่ เกษตรกรปลูกข้าวนาปี 10,763 ครัวเรือน พันธุ์ข้าวที่ปลูกในฤดูนาปี ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ พื้นที่ 143 ไร่ เกษตรกร 11 ครัวเรือน ข้าวหอมปทุม พื้นที่ 23,428.12 ไร่ เกษตรกร 840 ครัวเรือน ข้าวเจ้า 227,607.66 ไร่ เกษตรกร 9,912 ครัวเรือน ข้าวเหนียว พื้นที่ 3 ไร่ เกษตรกร 1 ครัวเรือน ข้าวสี พื้นที่ 242.25 ไร่ เกษตรกร 17 ครัวเรือน และข้าวอินทรีย์ พื้นที่ 5 ไร่ เกษตรกร 1 ครัวเรือน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช. เกษตรฯ ลงพื้นที่ จ.ปทุมธานี ติดตามแผนผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร
วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560
รมช. เกษตรฯ ลงพื้นที่ จ.ปทุมธานี ติดตามแผนผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร
รมช. เกษตรฯ ลงพื้นที่ จ.ปทุมธานี ติดตามการดําเนินงานตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร และแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรและแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์ พร้อมพบปะเกษตรกรในพื้นที่แปลงใหญ่ จ.ปทุมธานี ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามการดําเนินงานในเรื่องข้าวครบวงจรและนาแปลงใหญ่และเกษตรอินทรีย์ โดยได้ร่วมประชุมติดตามร่วมกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และรับทราบรายงานการปฏิบัติการผลิตข้าวครบวงจรและนาแปลงใหญ่ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสําคัญในการทําเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่ ซึ่งจะทําให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็งและผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิต) โดยทางรัฐบาลจะมีหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาให้ความรู้และช่วยเหลือทั้งในเรื่องปัจจัยการผลิตที่จําเป็น รวมทั้งในเรื่องของแหล่งน้ํา และหากเกษตรมีปัญหาอุปสรรคในการทํานาแปลงใหญ่ ได้เน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าดําเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ รวมทั้งมีการติดตามผลการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
การดําเนินโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) ในปีงบประมาณ 2560 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การพิจารณาเข้าร่วมเพื่อเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรสามารถเข้าร่วมโครงการได้เพิ่มขึ้น โดยปรับแก้เกณฑ์การเข้าร่วมจากการรวมกลุ่มเกษตรกรอย่างน้อย 50 รายและพื้นที่ไม่น้อยกว่า 1,000 ไร่ เป็นการรวมกลุ่มเกษตรกรอย่างน้อย 30 ราย และพื้นที่รวมกันตั้งแต่ 300 ไร่ขึ้นไป โดยเกณฑ์การพิจารณาในส่วนของการรวมกลุ่มให้เน้นการรวมกลุ่มที่มีการแบ่งหน้าที่ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ศัตรูพืช (อารักขาพืช) และด้านเครื่องจักรกลการเกษตร หากพื้นที่ไม่เหมาะสมตาม Agri Map ให้พิจารณาว่าสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับการปลูกข้าวได้หรือไม่ มีน้ําเหมาะสมต่อการปลูกข้าวหรือสามารถจัดหาแหล่งน้ําที่เพียงพอได้ และให้กลุ่มเกษตรกรที่สนใจสามารถสมัครได้เอง โดยมีวิธีการรับสมัคร คือ จัดทําใบสมัครเข้าร่วมแปลงใหญ่ที่มีข้อมูลพื้นฐานกลุ่มเกษตรกรและพื้นที่เพาะปลูก เพิ่มสถานที่รับสมัครที่สํานักส่งเสริมการผลิตข้าว ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว ศูนย์วิจัยข้าว และสํานักงานเกษตรอําเภอ โดยมีขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติที่สะดวกและรวดเร็วจึงให้เป็นอํานาจของคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แบบเบ็ดเสร็จ (Single Command : SC) และแจ้งคณะอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทราบ ซึ่งการดําเนินการส่วนนี้แล้วเสร็จตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ด้าน นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับผลการดําเนินโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) ในปี 2560 ขณะนี้มีจํานวน 1,175 แปลง พื้นที่ 1,791,632 ไร่ แบ่งเป็นแปลงต่อเนื่องจํานวน 425 แปลง พื้นที่ 1,046,895 ไร่ และแปลงใหม่ จํานวน 750 แปลง พื้นที่ 744,737 ไร่ โดยในส่วนของจังหวัดปทุมธานีมีการดําเนินการนาแปลงใหญ่ 10 แปลง โดยเป็นแปลงต่อเนื่อง จํานวน 6 แปลง พื้นที่ 20,848.50 ไร่ เกษตรกร 933 ราย และมีแปลงใหญ่ตามหลักเกณฑ์ใหม่จํานวน 4 แปลง พื้นที่ 3,881 ไร่ เกษตรกร 147 ราย โดยมีการส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว โดยการลดต้นทุนการผลิตในการผลิตปัจจัยการผลิตใช้เอง เพิ่มผลผลิตจากการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเฉพาะพื้นที่ เพิ่มสมรรถนะในการบริหารจัดการการผลิตแบบครบวงจร และการจัดการด้านการตลาด
ทั้งนี้ จ.ปทุมธานี มีพื้นที่ปลูกข้าวนาปี 251,429.04 ไร่ เกษตรกรปลูกข้าวนาปี 10,763 ครัวเรือน พันธุ์ข้าวที่ปลูกในฤดูนาปี ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ พื้นที่ 143 ไร่ เกษตรกร 11 ครัวเรือน ข้าวหอมปทุม พื้นที่ 23,428.12 ไร่ เกษตรกร 840 ครัวเรือน ข้าวเจ้า 227,607.66 ไร่ เกษตรกร 9,912 ครัวเรือน ข้าวเหนียว พื้นที่ 3 ไร่ เกษตรกร 1 ครัวเรือน ข้าวสี พื้นที่ 242.25 ไร่ เกษตรกร 17 ครัวเรือน และข้าวอินทรีย์ พื้นที่ 5 ไร่ เกษตรกร 1 ครัวเรือน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3359
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Kevin Cheok เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทย
|
วันพุธที่ 4 กันยายน 2562
รมว.ทส. ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Kevin Cheok เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจําประเทศไทย
รมว.ทส. ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Kevin Cheok เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจําประเทศไทย
วานนี้ (3กันยายน 2562) เวลา 15.30 น. นายวราวุธศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้การต้อนรับ H.E. mr. Kevin Cheok เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Kevin Cheok เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทย
วันพุธที่ 4 กันยายน 2562
รมว.ทส. ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Kevin Cheok เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจําประเทศไทย
รมว.ทส. ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Kevin Cheok เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจําประเทศไทย
วานนี้ (3กันยายน 2562) เวลา 15.30 น. นายวราวุธศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้การต้อนรับ H.E. mr. Kevin Cheok เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22790
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ เป็นประธานปลูกป่า และป้องกันไฟป่า เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน
|
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563
รมช.เกษตรฯ เป็นประธานปลูกป่า และป้องกันไฟป่า เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน
นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรฯ เป็นประธานปลูกป่า และป้องกันไฟป่า เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า พร้อมด้วย ผู้บริหารในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ข้าราชการ ทหาร ตํารวจ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และประชาชนจิตอาสาพระราชทาน เข้าร่วม ณ ต.ป่าแลวหลวง อ.สันติสุข จ.น่าน ว่า โครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า จัดขึ้นเพื่อร่วมแสดงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงให้ความสําคัญและห่วงใยในเรื่องน้ํา และป่า ซึ่งการสูญเสียพื้นที่ป่าต้นน้ํานั้น เป็นสาเหตุหลักของปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น เพื่อให้การดําเนินการแก้ไขปัญหามีความยั่งยืน สามารถบูรณาการทุกภาคส่วนร่วมแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว จึงมีพระมหากรุณาธิคุณมอบหมายให้ศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน เป็นหน่วยงานหลักในการประสานเพื่อร่วมดําเนินการ สร้างความเข้าใจในการขับเคลื่อนภารกิจงานฟื้นฟูป่า รักษาต้นน้ํา และควบคุมไฟป่า
“จ.น่าน มีพื้นที่ปลูกป่า 7.5 ล้านไร่ ซึ่งมีพื้นที่ป่าเพียง 4 ล้านไร่ เนื่องจากถูกบุกรุกทําลาย พื้นที่ป่า จ.น่าน ถือเป็นป่าต้นน้ําของแม่น้ําเจ้าพระยา ซึ่งหล่อเลี้ยงคนภาคกลาง ดังนั้นการช่วยกันรณรงค์ปลูกป่าในป่าต้นน้ํา จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น ได้สนับสนุนและส่งเสริมในการพัฒนาพื้นที่จ.น่าน โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน จึงนําโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคขุนในพื้นที่สูงเข้ามาสนับสนุนให้เกษตรกรได้มีรายได้ โดยการปลูกหญ้าเนเปียร์และเลี้ยงสัตว์ควบคู่กันไป จึงขอเชิญชวนพี่น้องชาว จ.น่าน มาร่วมกันฟื้นฟูอนุรักษ์ผืนป่าเพื่อให้เป็นพื้นที่ต้นน้ํา เพื่อให้อยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน” นายประภัตร กล่าว
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่าไม่ต่ํากว่า 2.68 ล้านไร่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ภายในปี 2563 – 2570 สําหรับระยะเร่งด่วน จะดําเนินการใน 6 จังหวัด คือ เชียงใหม่ ตาก น่าน นครราชสีมา ชัยภูมิ และนครศรีธรรมราช ปลูกป่าไม่ต่ํากว่า 1,010 ไร่ และทําฝายเพิ่มความชุ่มชื้นของระบบนิเวศน์ พื้นที่ละไม่ต่ํากว่า 10 แห่ง รวมจํานวนไม่ต่ํากว่า 70 แห่ง โดยกําหนดจัดพิธีเปิดโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ในวันที่ 24 ก.ค. 2563 พร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ เป็นประธานปลูกป่า และป้องกันไฟป่า เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563
รมช.เกษตรฯ เป็นประธานปลูกป่า และป้องกันไฟป่า เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน
นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรฯ เป็นประธานปลูกป่า และป้องกันไฟป่า เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า พร้อมด้วย ผู้บริหารในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ข้าราชการ ทหาร ตํารวจ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และประชาชนจิตอาสาพระราชทาน เข้าร่วม ณ ต.ป่าแลวหลวง อ.สันติสุข จ.น่าน ว่า โครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า จัดขึ้นเพื่อร่วมแสดงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงให้ความสําคัญและห่วงใยในเรื่องน้ํา และป่า ซึ่งการสูญเสียพื้นที่ป่าต้นน้ํานั้น เป็นสาเหตุหลักของปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น เพื่อให้การดําเนินการแก้ไขปัญหามีความยั่งยืน สามารถบูรณาการทุกภาคส่วนร่วมแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว จึงมีพระมหากรุณาธิคุณมอบหมายให้ศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน เป็นหน่วยงานหลักในการประสานเพื่อร่วมดําเนินการ สร้างความเข้าใจในการขับเคลื่อนภารกิจงานฟื้นฟูป่า รักษาต้นน้ํา และควบคุมไฟป่า
“จ.น่าน มีพื้นที่ปลูกป่า 7.5 ล้านไร่ ซึ่งมีพื้นที่ป่าเพียง 4 ล้านไร่ เนื่องจากถูกบุกรุกทําลาย พื้นที่ป่า จ.น่าน ถือเป็นป่าต้นน้ําของแม่น้ําเจ้าพระยา ซึ่งหล่อเลี้ยงคนภาคกลาง ดังนั้นการช่วยกันรณรงค์ปลูกป่าในป่าต้นน้ํา จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น ได้สนับสนุนและส่งเสริมในการพัฒนาพื้นที่จ.น่าน โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน จึงนําโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคขุนในพื้นที่สูงเข้ามาสนับสนุนให้เกษตรกรได้มีรายได้ โดยการปลูกหญ้าเนเปียร์และเลี้ยงสัตว์ควบคู่กันไป จึงขอเชิญชวนพี่น้องชาว จ.น่าน มาร่วมกันฟื้นฟูอนุรักษ์ผืนป่าเพื่อให้เป็นพื้นที่ต้นน้ํา เพื่อให้อยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน” นายประภัตร กล่าว
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่าไม่ต่ํากว่า 2.68 ล้านไร่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ภายในปี 2563 – 2570 สําหรับระยะเร่งด่วน จะดําเนินการใน 6 จังหวัด คือ เชียงใหม่ ตาก น่าน นครราชสีมา ชัยภูมิ และนครศรีธรรมราช ปลูกป่าไม่ต่ํากว่า 1,010 ไร่ และทําฝายเพิ่มความชุ่มชื้นของระบบนิเวศน์ พื้นที่ละไม่ต่ํากว่า 10 แห่ง รวมจํานวนไม่ต่ํากว่า 70 แห่ง โดยกําหนดจัดพิธีเปิดโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ในวันที่ 24 ก.ค. 2563 พร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33645
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ร่วมกับ มูลนิธิถันยรักษ์ฯ สานต่อพระราชปณิธานสมเด็จย่า ต้านภัยมะเร็งเต้านม
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน 2560
สธ. ร่วมกับ มูลนิธิถันยรักษ์ฯ สานต่อพระราชปณิธานสมเด็จย่า ต้านภัยมะเร็งเต้านม
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับมูลนิธิถันยรักษ์ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) สานต่อปณิธาน “ต้านภัยมะเร็งเต้านม “ช่วยชีวิตรผู้ป่วยแล้ว ร้อยละ 95.5 ภายใน 5 ปี
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2560 ) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. ศ.คลินิกเกียรติคุณนพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และรองศาสตราจารย์ ดร.จิรายุ อิศรากูร ณ อยุธยา รองประธานกรรมการมูลนิธิถันยรักษ์ฯ ร่วมเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการ “สืบสานพระราชปณิธานสมเด็จย่า ต้านภัยมะเร็งเต้านม” เพื่อสรุปผลความก้าวหน้าของโครงการฯ ระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา พร้อมมอบเข็มและโล่เกียรติยศแก่ 21 จังหวัดเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการฯ
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับมูลนิธิถันยรักษ์ฯ สืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จย่าในการต้านภัยมะเร็งเต้านม ระยะ10 ปี (2555-2565) ตามพระราชประสงค์ของสมเด็จย่า คือ “ให้นําเทคโนโลยี ที่ทันสมัย และเหมาะสมมาใช้ เพื่อดูแลคนรวยและคนจนให้เท่าเทียมกัน” ผลการดําเนินงานโครงการฯ ในระยะ 5 ปี ที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2555 - กันยายน 2560 พบว่า มีสตรีอายุระหว่าง 30–70 ปี เข้าร่วมโครงการฯ ถึง 1.9 ล้านคน ใน 21 จังหวัด มีจังหวัดปฏิบัติงานเต็มพื้นที่ครบทุกอําเภอ ทั้งหมด 5 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงราย จันทบุรี นครราชสีมา สกลนคร และสุราษฎร์ธานี และอีก 16 จังหวัด ทําจังหวัดละ 1 อําเภอ โดยร้อยละ 70.8 มีการตรวจเต้านมสม่ําเสมอ และลงบันทึกในสมุด ทําให้พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จํานวน 2,619 ราย ในจํานวนนี้ร้อยละ 43.7 เป็นมะเร็งขนาดเล็กไม่เกิน 2 ซ.ม. และร้อยละ 69.9 อยู่ในระยะแรก ทําให้อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยสูงขึ้น ถึงร้อยละ 95.5 โดยในระยะ 5 ปี ต่อจากนี้ไป จะขยายการดําเนินการให้ครอบคลุมทุกจังหวัด
ตามโครงการฯ นี้ จะส่งเสริมให้ประชาชนตรวจคัดกรองโรคด้วยตนเองอย่างถูกต้องและสม่ําเสมอตรวจและจดบันทึกผลการตรวจลงใน “สมุดบันทึกการตรวจเต้านมด้วยตนเอง” เดือนละครั้ง เพื่อเก็บข้อมูลและใช้สังเกตความเปลี่ยนแปลง มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ที่ผ่านการอบรมเป็นพี่เลี้ยง หากพบผิดปกติจะส่งต่อเพื่อรับการตรวจผลยืนยันด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ ซึ่งสิ่งที่สําคัญที่สุด คือ การตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างถูกวิธี โดยตรวจหลังประจําเดือนหมดแล้ว 3-7วัน ตรวจทุกเดือน ใช้เพียง3นิ้วสัมผัส คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางคลําเต้านม2ข้าง ตามเข็มนาฬิกา หากพบว่า มีก้อนผิดปกติให้รีบไปพบ อสม.หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลทุกแห่ง เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยต่อที่โรงพยาบาลจะได้รักษาได้ทันทีโอกาสการหายขาดมีสูง และสามารถยับยั้งและตัดโอกาสไม่ให้ก้อนเนื้อมะเร็งลุกลามไปอวัยวะอื่นๆได้อีกด้วย
ทั้งนี้ โรคมะเร็งเป็นปัญหาสําคัญคุกคามต่อสุขภาพของประชาชนคนไทย “มากเป็นอันดับหนึ่ง” ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 112,392 ราย พบมากที่สุดในผู้หญิง คือ “มะเร็งเต้านม” ใน 1 ปี มีผู้เสียชีวิตประมาณ 8,000 คน และมีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้น ปีละประมาณ 12,000 คน กระทรวงสาธารณสุขได้เล็งเห็นถึงความสําคัญ และบรรจุให้ โรคมะเร็ง เป็นสาขาหนึ่งของระบบบริการสุขภาพ เพื่อต่อสู้กับโรคมะเร็ง ได้ครอบคลุมตั้งแต่คนปกติ ถึงผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย โดยมีเป้าหมาย ลดอัตราการตาย ลดระยะเวลารอคอย และสถานบริการมีคุณภาพได้มาตรฐาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ร่วมกับ มูลนิธิถันยรักษ์ฯ สานต่อพระราชปณิธานสมเด็จย่า ต้านภัยมะเร็งเต้านม
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน 2560
สธ. ร่วมกับ มูลนิธิถันยรักษ์ฯ สานต่อพระราชปณิธานสมเด็จย่า ต้านภัยมะเร็งเต้านม
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับมูลนิธิถันยรักษ์ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) สานต่อปณิธาน “ต้านภัยมะเร็งเต้านม “ช่วยชีวิตรผู้ป่วยแล้ว ร้อยละ 95.5 ภายใน 5 ปี
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2560 ) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. ศ.คลินิกเกียรติคุณนพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และรองศาสตราจารย์ ดร.จิรายุ อิศรากูร ณ อยุธยา รองประธานกรรมการมูลนิธิถันยรักษ์ฯ ร่วมเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการ “สืบสานพระราชปณิธานสมเด็จย่า ต้านภัยมะเร็งเต้านม” เพื่อสรุปผลความก้าวหน้าของโครงการฯ ระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา พร้อมมอบเข็มและโล่เกียรติยศแก่ 21 จังหวัดเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการฯ
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับมูลนิธิถันยรักษ์ฯ สืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จย่าในการต้านภัยมะเร็งเต้านม ระยะ10 ปี (2555-2565) ตามพระราชประสงค์ของสมเด็จย่า คือ “ให้นําเทคโนโลยี ที่ทันสมัย และเหมาะสมมาใช้ เพื่อดูแลคนรวยและคนจนให้เท่าเทียมกัน” ผลการดําเนินงานโครงการฯ ในระยะ 5 ปี ที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2555 - กันยายน 2560 พบว่า มีสตรีอายุระหว่าง 30–70 ปี เข้าร่วมโครงการฯ ถึง 1.9 ล้านคน ใน 21 จังหวัด มีจังหวัดปฏิบัติงานเต็มพื้นที่ครบทุกอําเภอ ทั้งหมด 5 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงราย จันทบุรี นครราชสีมา สกลนคร และสุราษฎร์ธานี และอีก 16 จังหวัด ทําจังหวัดละ 1 อําเภอ โดยร้อยละ 70.8 มีการตรวจเต้านมสม่ําเสมอ และลงบันทึกในสมุด ทําให้พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จํานวน 2,619 ราย ในจํานวนนี้ร้อยละ 43.7 เป็นมะเร็งขนาดเล็กไม่เกิน 2 ซ.ม. และร้อยละ 69.9 อยู่ในระยะแรก ทําให้อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยสูงขึ้น ถึงร้อยละ 95.5 โดยในระยะ 5 ปี ต่อจากนี้ไป จะขยายการดําเนินการให้ครอบคลุมทุกจังหวัด
ตามโครงการฯ นี้ จะส่งเสริมให้ประชาชนตรวจคัดกรองโรคด้วยตนเองอย่างถูกต้องและสม่ําเสมอตรวจและจดบันทึกผลการตรวจลงใน “สมุดบันทึกการตรวจเต้านมด้วยตนเอง” เดือนละครั้ง เพื่อเก็บข้อมูลและใช้สังเกตความเปลี่ยนแปลง มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ที่ผ่านการอบรมเป็นพี่เลี้ยง หากพบผิดปกติจะส่งต่อเพื่อรับการตรวจผลยืนยันด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ ซึ่งสิ่งที่สําคัญที่สุด คือ การตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างถูกวิธี โดยตรวจหลังประจําเดือนหมดแล้ว 3-7วัน ตรวจทุกเดือน ใช้เพียง3นิ้วสัมผัส คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางคลําเต้านม2ข้าง ตามเข็มนาฬิกา หากพบว่า มีก้อนผิดปกติให้รีบไปพบ อสม.หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลทุกแห่ง เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยต่อที่โรงพยาบาลจะได้รักษาได้ทันทีโอกาสการหายขาดมีสูง และสามารถยับยั้งและตัดโอกาสไม่ให้ก้อนเนื้อมะเร็งลุกลามไปอวัยวะอื่นๆได้อีกด้วย
ทั้งนี้ โรคมะเร็งเป็นปัญหาสําคัญคุกคามต่อสุขภาพของประชาชนคนไทย “มากเป็นอันดับหนึ่ง” ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 112,392 ราย พบมากที่สุดในผู้หญิง คือ “มะเร็งเต้านม” ใน 1 ปี มีผู้เสียชีวิตประมาณ 8,000 คน และมีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้น ปีละประมาณ 12,000 คน กระทรวงสาธารณสุขได้เล็งเห็นถึงความสําคัญ และบรรจุให้ โรคมะเร็ง เป็นสาขาหนึ่งของระบบบริการสุขภาพ เพื่อต่อสู้กับโรคมะเร็ง ได้ครอบคลุมตั้งแต่คนปกติ ถึงผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย โดยมีเป้าหมาย ลดอัตราการตาย ลดระยะเวลารอคอย และสถานบริการมีคุณภาพได้มาตรฐาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8461
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ร่วมประชุมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ 3
|
วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ ร่วมประชุมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ 3
กระทรวงเกษตรฯ ร่วมประชุมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ 3 สานสัมพันธ์ครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว พร้อมสนับสนุนความร่วมมือด้านเกษตรระหว่างกัน
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่13 - 14 ธันวาคม 2561 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยในวันที่ 13 ธันวาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายบุนยัง วอละจิด ประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ ทําเนียบประธานประเทศ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างกัน และยินดีที่จะร่วมกันเฉลิมฉลองการครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว ในปี 2563 และในโอกาสนี้ ฝ่าย สปป. ลาว ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ําเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและคณะ
ด้าน นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 14 ธันวาคม 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้าร่วมการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ 3 ซึ่งในความร่วมมือด้านการเกษตร ทั้งสองฝ่ายยินดีสนับสนุนการดําเนินโครงการความร่วมมือด้านการเกษตร ตามมติที่ประชุมคณะทํางานร่วมด้านการเกษตร ไทย-ลาว ภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้ แห่งสาธารณรัฐประชาชนลาว ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้ สปป.ลาว ได้หารือสองฝ่ายร่วมกันเกี่ยวกับการกระชับความร่วมมือด้านการเกษตร โดยฝ่าย สสป.ลาว ได้ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดเจ้าหน้าที่เดินทางมาฝึกอบรมและบรรยายเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตร ในช่วงต้นปี 2562 ณ สปป.ลาว ด้วย
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้เข้าร่วมพิธีมอบความช่วยเหลือเหตุอุทกภัยในแขวงอัตตะปือเพิ่มเติมในระยะฟื้นฟู และพิธีมอบโครงการพัฒนาวิทยาลัยพลศึกษานครหลวงเวียงจันทน์ รวมทั้งร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาล สปป. ลาว จํานวน 7 ฉบับ อีกด้วย.
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ร่วมประชุมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ 3
วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ ร่วมประชุมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ 3
กระทรวงเกษตรฯ ร่วมประชุมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ 3 สานสัมพันธ์ครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว พร้อมสนับสนุนความร่วมมือด้านเกษตรระหว่างกัน
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่13 - 14 ธันวาคม 2561 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยในวันที่ 13 ธันวาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายบุนยัง วอละจิด ประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ ทําเนียบประธานประเทศ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างกัน และยินดีที่จะร่วมกันเฉลิมฉลองการครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว ในปี 2563 และในโอกาสนี้ ฝ่าย สปป. ลาว ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ําเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและคณะ
ด้าน นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 14 ธันวาคม 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้าร่วมการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ 3 ซึ่งในความร่วมมือด้านการเกษตร ทั้งสองฝ่ายยินดีสนับสนุนการดําเนินโครงการความร่วมมือด้านการเกษตร ตามมติที่ประชุมคณะทํางานร่วมด้านการเกษตร ไทย-ลาว ภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้ แห่งสาธารณรัฐประชาชนลาว ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้ สปป.ลาว ได้หารือสองฝ่ายร่วมกันเกี่ยวกับการกระชับความร่วมมือด้านการเกษตร โดยฝ่าย สสป.ลาว ได้ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดเจ้าหน้าที่เดินทางมาฝึกอบรมและบรรยายเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตร ในช่วงต้นปี 2562 ณ สปป.ลาว ด้วย
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้เข้าร่วมพิธีมอบความช่วยเหลือเหตุอุทกภัยในแขวงอัตตะปือเพิ่มเติมในระยะฟื้นฟู และพิธีมอบโครงการพัฒนาวิทยาลัยพลศึกษานครหลวงเวียงจันทน์ รวมทั้งร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาล สปป. ลาว จํานวน 7 ฉบับ อีกด้วย.
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17532
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเผยสามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐแบบบัตรแมงมุม และบัตร EMV เวอร์ชั่น 4.0 กับรถโดยสาร ขสมก. ได้ทุกคัน ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 62
|
วันอังคารที่ 12 มีนาคม 2562
กรมบัญชีกลางเผยสามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐแบบบัตรแมงมุม และบัตร EMV เวอร์ชั่น 4.0 กับรถโดยสาร ขสมก. ได้ทุกคัน ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 62
กรมบัญชีกลางเปิดเผย ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแบบบัตรแมงมุม และบัตร Contactless สามารถชําระค่าโดยสารรถเมล์ของ ขสมก. ทุกคัน ได้ทั้งรถโดยสารธรรมดา และรถโดยสารปรับอากาศ จํานวน 3,000 คัน ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า การใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐชําระค่าโดยสารรถเมล์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สามารถใช้กับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้งแบบบัตรแมงมุม (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเวอร์ชั่น 2.0 และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ลงทะเบียนกับรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เวอร์ชั่น 2.5) และบัตร Contactless (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้ที่ลงทะเบียนรอบตกหล่น ซึ่งเป็นบัตร EMV เวอร์ชั่น 4.0) ของผู้ที่ลงทะเบียนในเขต กทม. นนทบุรี อยุธยา ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ซึ่งเดิมจะใช้ชําระค่าโดยสารรถเมล์ของ ขสมก. ได้เฉพาะบัตร Contactless เท่านั้น โดยบัตรทั้ง 2 แบบดังกล่าว สามารถใช้ชําระค่าโดยสารรถเมล์ของ ขสมก. ทั้งรถโดยสารธรรมดา และรถโดยสารปรับอากาศ จํานวน 3,000 คัน ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้รับบัตรแมงมุม และบัตร Contactless จะได้รับวงเงินค่าโดยสารรถ ขสมก./รถไฟฟ้า จํานวนเงิน 500 บาท/คน/เดือน ซึ่งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้แก่ผู้มีสิทธิ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีสิทธิได้อย่างยั่งยืน หากผู้ใช้บัตรมีข้อสงสัยสามารถติดต่อ Call Center บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-2345 หรือ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลขโทรศัพท์ 02-270-6400 กด 3 ในวันและเวลาราชการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเผยสามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐแบบบัตรแมงมุม และบัตร EMV เวอร์ชั่น 4.0 กับรถโดยสาร ขสมก. ได้ทุกคัน ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 62
วันอังคารที่ 12 มีนาคม 2562
กรมบัญชีกลางเผยสามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐแบบบัตรแมงมุม และบัตร EMV เวอร์ชั่น 4.0 กับรถโดยสาร ขสมก. ได้ทุกคัน ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 62
กรมบัญชีกลางเปิดเผย ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแบบบัตรแมงมุม และบัตร Contactless สามารถชําระค่าโดยสารรถเมล์ของ ขสมก. ทุกคัน ได้ทั้งรถโดยสารธรรมดา และรถโดยสารปรับอากาศ จํานวน 3,000 คัน ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า การใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐชําระค่าโดยสารรถเมล์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สามารถใช้กับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้งแบบบัตรแมงมุม (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเวอร์ชั่น 2.0 และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ลงทะเบียนกับรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เวอร์ชั่น 2.5) และบัตร Contactless (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้ที่ลงทะเบียนรอบตกหล่น ซึ่งเป็นบัตร EMV เวอร์ชั่น 4.0) ของผู้ที่ลงทะเบียนในเขต กทม. นนทบุรี อยุธยา ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ซึ่งเดิมจะใช้ชําระค่าโดยสารรถเมล์ของ ขสมก. ได้เฉพาะบัตร Contactless เท่านั้น โดยบัตรทั้ง 2 แบบดังกล่าว สามารถใช้ชําระค่าโดยสารรถเมล์ของ ขสมก. ทั้งรถโดยสารธรรมดา และรถโดยสารปรับอากาศ จํานวน 3,000 คัน ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้รับบัตรแมงมุม และบัตร Contactless จะได้รับวงเงินค่าโดยสารรถ ขสมก./รถไฟฟ้า จํานวนเงิน 500 บาท/คน/เดือน ซึ่งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้แก่ผู้มีสิทธิ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีสิทธิได้อย่างยั่งยืน หากผู้ใช้บัตรมีข้อสงสัยสามารถติดต่อ Call Center บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หมายเลขโทรศัพท์ 02-109-2345 หรือ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลขโทรศัพท์ 02-270-6400 กด 3 ในวันและเวลาราชการ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19261
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม 2559 เวลา 20.15 น.
|
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
วันที่ 2 มีนาคม ของทุกปี เป็น “วันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ” โดยประชาชนชาวไทย ร่วมใจถวายพระราชสมัญญานามแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย” ทั้งนี้เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ได้ทรงมีพระปรีชาสามารถ ทางการช่าง ทรงเป็นแบบอย่างของ “นักประดิษฐ์” โดยทรงประดิษฐ์ของเล่นด้วยพระองค์เอง ครั้งทรงพระเยาว์ เช่น เครื่องร่อน เรือรบจําลอง และรถลากไม้ ทั้งนี้ทรงเป็น “นักการช่าง” ที่เป็นมิ่งขวัญและเป็นกําลังใจ สําหรับแรงงานไทยทุกคน ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจมากมาย จนมีผลงานฝีมือและงานประดิษฐ์ เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับไปทั่วโลก เช่น กังหันน้ําชัยพัฒนา และฝนหลวง เหล่านี้ถือเป็นผลงานที่ทรงสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อพสกนิกรของพระองค์อย่างแท้จริง
ในการนี้ ผมขอเป็นกําลังใจให้กับแรงงานที่ต้องใช้ทักษะทางการช่าง รวมทั้งช่างฝีมือของไทย ที่มีมาแต่โบราณกาล สืบทอดกันมายาวนาน และช่างยุคใหม่ ที่ต้องก้าวทันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลกในยุคปัจจุบัน โดยขอได้น้อมนําแนวทางทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อส่วนรวม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคม และเพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศ ด้วยความทุ่มเทและด้วยใจรักในวิชาชีพ พร้อมกันนี้ ผมขอให้นักศึกษาสายอาชีพ เทคนิค อาชีวศึกษาทุกคน ได้มีความภาคภูมิใจในสาขาวิชาชีพของตน รวมทั้งนักเรียนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ที่เรียกว่าการศึกษา STEM ที่ต่อไปนั้นจะเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศ จากสังคมเกษตรกรรม ให้มีมูลค่าเพิ่มเป็นเศรษฐกิจเกษตรอุตสาหกรรม และเป็นประเทศอุตสาหกรรมในที่สุด แต่ต้องเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว ไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม
ในส่วนของรัฐบาล ได้จัดทําระบบมาตรฐานแรงงานไทย (Thai Labour Standard : TLS) ซึ่งเป็นมาตรฐานในการบริหารจัดการแรงงานทั้งระบบ ที่ยึดหลักการ ปฏิบัติตามกฎหมาย ยอมรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ปฏิบัติอย่างมีจริยธรรม ไม่มีการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ไม่ใช้แรงงานบังคับ ต้องโปร่งใสและมีความรับผิดชอบ รวมทั้งมีข้อกําหนดและระบบการจัดการเพื่อประกันคุณภาพ ที่สร้างความเข้มแข็งและยั่งยืน เช่น ข้อกําหนดของมาตรฐานแรงงานที่มีความสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางาน รวมทั้งอนุสัญญา หรือปฏิญญาสากลที่เกี่ยวข้องกับด้านแรงงาน ทั้งนี้ เพื่อให้สถานประกอบกิจการของไทยเรา เป็นที่ยอมรับ ผ่านการรับรอง ทั้งจากสถาบันตรวจสอบมาตรฐานภายใน ประเทศและที่เป็นสากล ให้เป็นที่ไว้วางใจแก่ลูกค้า หรือประเทศคู่ค้า และเชื่อมั่นในแหล่งผลิตสินค้า กระบวนการผลิต และการบริการของไทย สู่สายตาโลกให้ได้
วันนี้ผมมีเรื่องที่ต้องการจะแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังต่อไปนี้
เรื่องแรก เรื่องสถานการณ์ทางการเมือง ยังคงมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ที่มีความผิดตามกฎหมาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งกฎหมายปกติ – คําสั่ง คสช. – มาตรา 44 ที่ยังคงไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ซึ่งเราได้ใช้กฎหมายนี้กับทุกคดี ทุกข้อกล่าวหา กับผู้ต้องหาทุกคน ในทุกคดีเช่นกัน แต่คนบางกลุ่มไม่ยอมรับเลย ในห้วงที่ผ่านมา บางคน บางกลุ่ม ไม่ยอมเข้าด้วย ต่อต้านทุกอย่าง ต่อต้านกฎหมาย ไม่ยอมรับการตรวจสอบ หรือต่อสู้คดีตามครรลองของกฎหมาย มีการหลบหนี แล้วไปอ้างต่างประเทศว่าถูกรังแกทางการเมือง ทั้งที่มีข้อมูล มีหลักฐานชัดเจน หากไม่มีความผิด หรือไม่มีมูลเลย คงไม่มีใครไปแกล้งท่านได้อยู่แล้ว ขอให้ประชาชนคนไทยทุกคน ตลอดจนคนต่างประเทศที่พํานักในประเทศไทย อย่าได้หลงเชื่ออีกต่อไป เราควรให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหาอื่น คดีอื่นๆ เขาบ้าง นับพันนับหมื่นราย ที่ถูกดําเนินคดีอยู่ หรือต่อสู้ทางกฎหมายอยู่ภายใต้กฎหมายอันเดียวกันนี้ เราจะต้องบังคับใช้กฎหมายเดียวกัน ในลักษณะเดียวกัน กับทุกคดี แล้วใครเห็นว่าไม่เป็นธรรม ก็ควรกลับมาสู้คดี หรือมีตั้งหลายศาล ก็มาแก้กันไป แต่ละพวกก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ก็ถ้ามีหลักฐานที่เพียงพอก็มาต่อสู่คดี ก็จบ เท่านั้นเอง ยอมรับในกติกาบ้าง
สําหรับผู้ที่ใช้องค์กรระหว่างประเทศ – ต่างประเทศ มากดดันประเทศไทย ซึ่งอาจจะเป็นการละเมิดอธิปไตยของชาติไทยนั้น ต้องการเพียงเพื่อปกปิด ลบล้างความผิดของตน ยิ่งไม่ควรกระทํานะครับ ท่านต้องสํานึกว่าท่านได้ทําลายแผ่นดินแม่ของท่าน บ้านเกิดเมืองนอนที่ท่านเคยกล่าวเสมอว่ารัก อยากกลับมา อยากมีความสุข กับพ่อแม่ลูกเมีย พี่น้องอะไรก็แล้วแต่ แต่ท่านไม่ยอมรับความผิด ไม่รับกฎหมาย ไม่ต่อสู้ทางคดี ผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ คงรับไม่ได้ รัฐบาลก็รับไม่ได้เหมือนกัน
ในส่วนของกรณีการทําประชามติร่างรัฐธรรมนูญ อาจจะมีการสร้างความเข้าใจผิด หรือเข้าใจไม่ตรงกัน จากทั้งมีเจตนาอันบริสุทธิ์ และไม่บริสุทธิ์ มีการบิดเบือนมากมาย เช่น ในกรณีที่ ด่าว่า คสช. ต้องการสืบทอดอํานาจ อันที่จริงแล้วเป็นการ เป็นวิธีการในการที่จะมีกลไกต่าง ๆ ที่จะทําให้สิ่งที่เราเริ่มไว้ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดระเบียบ การสร้างความเข้มแข็ง การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การปฏิรูป (11 ด้าน) ระยะที่ 1 ก่อนการเลือกตั้งให้ดําเนินการต่อไปได้ในระยะต่อไปจนเกิดผลดี มีผลสัมฤทธิ์ต่อประเทศชาติ ไม่ใช่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือว่าทําเฉพาะบางพื้นที่ ก็เหมือนเดิม
ผมอยากให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว รัฐบาล คสช. ก็เพียงแต่กําหนดกรอบการทํางานในรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้หวังทําเพื่อผม เพื่อ คสช. เพื่อใครทั้งสิ้น หวังแต่เพียงว่าให้รัฐบาลต่อไปได้ได้ดําเนินการทําในสิ่งที่ประชาชนต้องการอย่างแท้จริง ทั่วถึง เพื่อเป็นการลดความเหลื่อมล้ํา ประชาชนจะได้มีความสุข มีประโยชน์ที่ได้จากการทํางานของรัฐบาลนั้นอย่างเท่าเทียมกันนะครับ เพราะว่ารัฐบาลจําเป็นต้องมีการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ถูกต้อง ที่มีธรรมาภิบาล ที่มาจาก สส. ซึ่งทุกท่านก็เป็นผู้ ได้รับการรับเลือกจากประชาชนให้เป็นผู้แทน
เพราะฉะนั้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นต้องมีธรรมภิบาล โปร่งใส ไม่ทุจริต ใช้จ่ายงบประมาณอย่างถูกต้องไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยจะวางยุทธศาสตร์ ที่เราเรียกว่ายุทธศาสตร์ชาติให้ครอบคลุม หลายประเทศเขามีหมดแล้ว รอบบ้านเราก็มี ไปศึกษาดู เราจะสะเปะสะปะต่อไปอีกไม่ได้ ในเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม การต่างประเทศ ทุกอย่างต้องเป็นยุทธศาสตร์ทั้งหมด ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว เพราะฉะนั้นจะต้องมีพื้นฐานในการบริหารราชการแผ่นดิน ให้กับทุกรัฐบาล เพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชน และท่านก็สามารถทําควบคู่ไปกับการดําเนินการตามนโยบายพรรคที่ได้หาเสียงไว้ ผมก็ยังไม่เห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่เขาร่างมาแล้วนี่ ผมศึกษาในฐานะผมเป็นประชาชนคนหนึ่งนะครับว่าจะเป็นการสืบทอดอํานาจตรงไหน ผมมองรวม ๆ
ในส่วนของรัฐธรรมนูญที่ กรธ. ร่างมานั้น ผมเห็นใจ กรธ. แรงกดดันมากพอสมควร ทุกคณะที่ผ่านมาก็ถูกกดดันมาตามลําดับ หวังดีบ้าง ไม่หวังดีบ้าง จากคนภายนอก ส่วนตัวผมนั้นผมเรียนไปแล้วว่า หลัก ๆ แล้วไม่มีความแตกต่างมากนัก กับรัฐธรรมนูญฉบับอื่น ๆ อาจจะมีการเน้นหนักในเรื่องการป้องกันการทุจริต ป้องกันการใช้อํานาจทั้ง 2 สภา ที่อาจจะมาจากคนกลุ่มเดียวกัน ทั้ง สว. สส. ประเด็นสําคัญคือการปฏิรูปประเทศ ถ้าสามารถทําได้ ระยะยาวต่อไป ก็อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลายประเทศที่เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ที่เรียกว่าสากลนั้นก็ได้ผ่านช่วงเวลานี้ มาเกือบทั้งสิ้น
วันนี้ผมอยากให้ประชาชนเข้าใจว่า เราในฐานะประชาชนคนไทย ผมเองก็ใช่ ทหาร ตํารวจ ข้าราชการทุกคนก็ใช่ ประชาชนก็ใช่ หากพวกเราไม่เข้าใจกันและไปหลงเชื่อคําบิดเบือน สร้างความเสียหายให้กับประเทศอีกต่อไป โดยการอ้างคําว่า “ประชาธิปไตย” แล้วก็อ้างว่ามาจากประชาชน ความต้องการประชาชน ผมอยากจะถามกลับไปว่าแล้วเพราะเหตุใด ประชาชน กว่า 40% ยังยากจน เหลื่อมล้ํา รายได้ไม่เพียงพอ ไม่เป็นธรรม มีหนี้สินมากมาย ประเทศล้าหลังด้วยความขัดแย้ง พัฒนาไม่ได้ ติดล็อตทุกอย่าง หรือการพัฒนาที่เป็นเฉพาะพื้นที่ที่เป็นพื้นที่หาเสียงเท่านั้น
เราในฐานะประชาชนนะครับ ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทํา ทําอย่างไรจะได้สส.ทุกพื้นที่ ที่ได้นําความต้องการ ความเดือดร้อน ของแต่ละพื้นที่ ของตัวเองนั้น มาให้รัฐบาล ซึ่งจะต้องมีธรรมาภิบาลได้มีการพิจารณา ในการจัดทําแผนงาน โครงการ ให้สอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่นะครับ ต้องนึกถึงคนอื่นเขาด้วย เผื่อแผ่ แบ่งปัน และลงทั่วทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะของพรรคการเมืองใด ๆ ก็แล้วแต่ หรือ สส. คนใดก็แล้วแต่ โดยต้องมีการวางยุทธศาสตร์โดยรวม ในทุกภูมิภาค ทุกกลุ่มจังหวัด ทุกจังหวัด และทุกตําบล – อําเภอ – หมู่บ้าน ให้มีการประสานสอดคล้องกัน อย่างแน่นหนา โดยมีการจัด ลําดับความเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ระบบบริหารจัดการน้ํา การเกษตร การเกษตรอุตสาหกรรม อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมสีเขียว –เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปศุสัตว์ หรืออาชีพอื่นๆ ที่ต้องประสานสอดคล้องกัน ทั้งต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง ทําให้เกิดความเชื่อมโยง ทั้งการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ไปสู่การแปรรูป เพิ่มมูลค่า โดยภาคประชาชน อาจจะโดยสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรทําเอง เพื่อเป็นทางเลือกกับการขายให้พ่อค้าคนกลาง แล้วก็ไปเชื่อมต่อกับ ธุรกิจเอกชนให้ได้ อีกทางหนึ่งด้วย เราจะได้ใช้เป็นการยกระดับราคาผลผลิตให้สูงขึ้น หมายความว่าดึงราคาตลาด สร้างความเชื่อมโยงภาคประชาชนกับภาคธุรกิจให้ได้
วันนี้เรามีตั้งหลายคณะมาช่วยเรา ให้เกิด “ห่วงโซ่คุณค่า” ให้ได้ และเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้าน – อาเซียน – ประชาคมโลก อื่นๆ เราต้องใช้การเป็นประชาคมให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทย แล้วทุกประเทศในอาเซียนเป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น เราต้องเริ่มพิจารณาจากความต้องการของนอกประเทศนะครับ การทําอะไรก็แล้วแต่ต้องมองปลายทางด้วย ย้อนกลับเข้ามา แล้วมองจากข้างในอกไปข้างนอก จะเห็นวิธีการในการทํางาน ผมยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามองจากความต้องการของนอกประเทศหรือปัจจัยภายนอกประเทศ มองกลับมาที่อาเซียน อาเซียน +3 อาเซียน +6 มาดู CLMV แล้วมาดูภูมิภาคของเรา คือภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ตะวันตก ภาคกลางอะไรนี่นะครับ แล้วไปดู 18 กลุ่มจังหวัด แล้วก็ไปดู 77 จังหวัด ย้อนกลับมาถึงท้องถิ่น ในระดับหมู่บ้าน ชุมชน แล้วดูว่าเราจะจัดระเบียบเรื่องเหล่านี้อย่างไรในทุกมิติ ทํายังไงจะประสานสอดคล้อง เกื้อกูลกัน
ประเด็นสําคัญคือ ผมอยากทําความเข้าใจว่า วันนี้เราต้องยอมรับว่าแต่ละภูมิภาคของประเทศเรานั้นมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะคน ไม่ว่าจะพื้นที่ ไม่ว่าจะปัญหาคุณภาพดิน ความสูงต่ํา ลมฟ้าอากาศ วัสดุต้นทุนที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในแต่ละภาค อาจจะคล้าย ๆ กัน หรือไม่เหมือนกัน ทํายังไงเราจะทําให้ทุกภูมิภาค ที่ผมกล่าวมาแล้ว เหนือ-ใต้-กลาง-ออก-ตก นั้น มีความเข้มแข็งในภูมิภาคของตนเองให้ได้ ทั้งคน ทั้งการประกอบอาชีพ ทั้งในส่วนของการศึกษา การพัฒนาอะไรก็แล้วแต่ เราต้องส่งเสริมกิจกรรมทั้งหมด ในลักษณะเป็นการส่งเสริมทั้งต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง ในภูมิภาค ต้องมาดัดแปลง มาประยุกต์ให้ใช้ให้ได้ เพราะจะได้เอาความแตกต่างกัน ที่มีเหล่านั้นมาทําให้เกิดนวัตกรรม เพิ่มมูลค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแต่ละพื้นที่เมื่อไม่เหมือนกัน คนไม่เหมือน วิธีการไม่เหมือน ประเพณีวัฒนธรรมไม่เหมือน ความคิดก็แตกต่างกัน ทําไมไม่เอาความแตกต่างนั้นมาทําให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือสร้างผลผลิต ซึ่งอาจจะต้องทําสองอย่างด้วยกัน ก็คือ 1. เพื่อใช้บริโภคภายใน อาจจะไม่มากนัก แต่ส่วนหนึ่ง ที่ไหนทําได้ผลมากก็ส่งออกตลาดต่างประเทศ คือต้องอยู่กินได้ก่อน ที่เหลือก็ขาย มีมากขายมาก มีน้อยขายน้อย แลกเปลี่ยนกันเอง เพราะเช่นนั้นเราก็ต้องให้ความสําคัญกับการเกษตรที่ครบวงจร ตั้งแต่ปลูก – ผลิต – แปรรูป อาจขั้นที่ 1 หรือ ขั้นที่ 2. แล้วก็ส่งออกไปตลาดใน – นอกภูมิภาค นั่นคือปลายทาง ทั้งนี้ มุ่งหวังเพื่อเพิ่มมูลค่า เกษตรกรต้องมีความรู้ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่บ้าง Smart Farmer เหล่านี้ พูดทุกวัน ก็พยายามพัฒนาด้วย ก็ขอให้เข้าใจข้อเท็จ จริงว่า ถ้าเราปรับตนเองบ้างจากอดีต เราน่าจะมีรายได้สูงขึ้นบ้าง เพียงพอต่อการดํารงชีวิตในระยะต่อไป ไม่อยากให้มีหนี้สินอีกต่อไป
ผมอยากฝากให้ช่วยกันคิด เรื่องน้ํา ถ้าเราจะเรียกร้องน้ํามากกว่านี้ เพื่อปลูกข้าว เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว การปลูกพืชใช้น้ํามาก คงต้องทบทวนนะว่าคงทําไม่ได้อีกต่อไปทั้งหมดเหมือน เดิม เพราะปริมาณน้ําน้อยลง ภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงอีก เราต้องปรับการบริหารจัดการน้ําให้ตรงกับพื้นที่ ที่ต้องการใช้น้ําได้จริง ตามปริมาณน้ําต้นทุนที่มีอยู่ ตามลักษณะภูมิประเทศ สูง ต่ํา แล้วก็ลักษณะดินต่าง ๆ เหล่านี้ต้องมาพิจารณาทั้งหมด การเพาะปลูกจะต้องไม่ปลูกส่วนใดส่วนหนึ่งที่มากเกินไป เกินความต้องการ แล้วก็มีการสูญเสีย เสียหายจากภัยแล้งอีก อะไรเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่เราต้องปลูกในพื้นที่ที่เป็นไปได้ มีน้ํามีดินเพียงพอ การทําเกษตรแปลงใหญ่ มีทั้งหลายลักษณะด้วยกัน อันที่ 1 อาจจะเป็นทําการเกษตรในเรื่องข้าว นาข้าว ขนาดใหญ่ แปลงรวมในเขตชลประทาน ถ้านอกเขต นาน้ําฝนอะไรต่างๆ เหล่านี้ก็ปลูกไว้กิน ไว้ใช้ ที่เหลือก็ไปปลูกพืชอย่างอื่นที่ใช้น้ําน้อยไป ผมห้ามไม่ได้ แต่ผมก็เตือนไว้เท่านั้นเองว่า การที่จะปลูกข้าวไว้ขายทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ เพราะข้าวคุณภาพต่ํา พื้นที่ไม่สมบูรณ์ ข้าวก็มีคุณภาพไม่ดี ราคาก็ตกต่ํา แล้วต้นทุนการผลิตเราก็สูงอีก
เพราะฉะนั้น อยากให้คําแนะนํา ถ้าเราไปเรียนรู้ว่าเราจะปลูกอย่างอื่นขายแทนเราจะทําได้อย่างไร การทําเกษตร ไร่นาสวนผสมในพื้นที่ที่สูงกว่าพื้นที่ที่ทํานาได้ผลมาก ๆ จะทํายังไง จะปลูกพืชอะไรแทน พืชน้ําน้อยหรือไม่ อันนี้ต้องอาศัยความร่วมมือ จากประชาชน รัฐบาลต่อไปด้วย ทั้งนี้ เพื่อจะมุ่งหวังให้ประเทศเราหลุดพ้นจากการที่เป็นประเทศที่มีติดดักรายได้ปานกลางให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อพี่น้องประชาชนทุกคน
เรื่องที่ 2 คือในการประชุมกลุ่มประเทศกําลังพัฒนา ที่เรียกว่า G77 นั้น ซึ่งปัจจุบันมีประเทศสมาชิกจํานวน 134 ประเทศ ในสหประชาชาติ สิ่งที่ผมได้นําเสนอในที่ประชุมคือการน้อมนําหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทยมากว่า 40 ปีแล้ว แล้วเป็นหนทางที่นําไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตรงกับของสหประชาชาติในระยะ 15 ปีข้างหน้า รัฐบาลก็ได้ยึดเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาและบริหารประเทศ รวมทั้งได้มีการส่งเสริมให้กับประชาชนได้ใช้เป็นแนวทางในการดํารงชีวิตประจําวันด้วย อันนี้ก็เล่าให้เขาฟัง ว่าเราดําเนินการมาได้อย่างไร ในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีปัญหาบ้าง แต่เราก็มีความสําเร็จอยู่นะครับ ด้วยสิ่งที่พระองค์ท่านได้ทรงทําไว้ให้
ความท้าทายของโลกปัจจุบันนี้ มีหลายอย่างด้วยกันไม่ว่าจะเป็นปัจจัย ภายใน ภายนอก ภายในก็ได้แก่ ความยากจน ความเหลื่อมล้ํา การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ความขัดแย้ง ความรุนแรงทางการเมือง สังคม และวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ก็จะเป็นเสมือน“วัคซีน” ที่ช่วยคุ้มกัน สร้างความเข้มแข็งในตัวเอง ป้องกันผลกระทบจากภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้ ความเข้าใจ เป็นภูมิคุ้มกันสําหรับทุกคน เป็นความพอดีและพอประมาณ มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย บนพื้นฐานของเหตุผลของแต่ละบุคคล ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปตามสถานะ เพียงแต่เราต้องรู้เท่าทันและข้อสําคัญต้องมีคุณธรรมนะครับ ที่กล่าวไว้ว่า “ต้องมีความรู้ คู่คุณธรรม”
เรื่องหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มิใช่รูปแบบการพัฒนาที่สําเร็จรูป เราต้องรู้จักการประยุกต์นํามาใช้ ตามความแตกต่างของสภาพแวดล้อมของแต่ละภูมิประเทศ ของแต่ละประเทศ ซึ่งไทยพร้อมที่จะแนะนํา ให้ความช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนแนวคิด แนวปฏิบัติ ที่ผ่านมานั้น หลายประเทศนําไปใช้แล้ว ประเทศเลโซโท ติมอร์-เลสเต กัมพูชา เมียนมา ลาว อินโดนิเซีย อัฟกานิสถาน จอร์แดน เซเนกัล และโมซัมบิกนะครับ เป็นตัวอย่างเท่านั้น อีกหลายประเทศ แล้วเราก็ได้ให้ทหารที่ไปปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ ได้มีทหารพัฒนาไปช่วยด้วย หลายประเทศ เขาปลูกพืชอะไรได้แล้วในพื้นที่น้ําน้อย แล้วในเขตทะเลทราย เขาก็ลดความยากลําบากในเรื่องของอาหารการกินไปได้บ้างพอสมควรนะครับ เราได้รับการถ่ายทอด สร้างวิทยากรในการแนะนําต่อไป ให้กับทุกประเทศที่เราไป หรือร่วมมือกับเราในทุกกระทรวงในขณะนี้ ได้นําไปใช้แล้ว และหลาย ๆ ประเทศก็ส่งคนมาดูงานนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการเกษตร การพัฒนา
อย่างเช่นโครงการหลวง 4 พันกว่าโครงการ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ให้กับเกษตรกรไทย บนพื้นฐานแนวทางการพัฒนา อาทิเช่น
(1) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ ภาคเหนือ เกี่ยวกับเรื่องพื้นที่ที่เป็นภูเขา ที่ราบสูง แนวทางบริหารจัดการป่าไม้ การอนุรักษ์ดินและน้ํา
(2) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ
(3) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง ภาคใต้ เกี่ยวกับเรื่องการชะล้างหน้าดิน ความเสื่อมโทรมของดิน ดินเค็ม ดินเปรี้ยว
(4) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน ภาคตะวันออก เป็นในเรื่องของการพัฒนาหมู่เกาะหรือติดชายฝั่งทะเล ให้มีการบริหารจัดการทรัพยากรชายฝั่ง การประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา
(5) ศูนย์การศึกษาห้วยทราย ภาคกลางตอนล่าง เป็นการเปลี่ยนสภาพพื้นดินที่เป็นทะเลทราย ค่อนข้างจะแห้งแล้งมาก เป็นการฟื้นฟูระบบนิเวศที่แห้งแล้ง เหล่านี้เป็นต้น ผมก็เห็นว่าประเทศสมาชิกหลายประเทศด้วยกัน ก็อยู่ในประเภทที่มีความแตกต่างกัน อย่างที่ผมกล่าวไปเมื่อสักครู่ สามารถจะเลือกไปใช้ ไม่ใช่เอาไปใช้ได้ทั้งหมด บางอันก็ต้องไปประยุกต์บ้างอะไรบ้าง เหมือนกับที่เราประยุกต์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ของแต่ละภูมิภาคของเรา
ผมได้จุดประกายให้ทุกประเทศว่า ถ้าหากว่าเราไปส่งเสริมให้ทุกประเทศ ให้ประชาชนทุกประเทศมีความอยู่ดีกินดีนั้น รัฐบาลทุกรัฐบาลก็มีหน้าที่ในการสนับสนุนและส่งเสริมให้ชุมชนได้เกิดความเข้มแข็ง ผมยกตัวอย่าง แนวทางการทํางานแบบ “ประชารัฐ” ของเรา จะดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่ประเทศจะไปปรับประยุกต์ ของเราก็เริ่มได้ผลมากขึ้น ตามหลัก ซึ่งก็ชี้แจงกับเขาว่าเป็นเรื่องของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ประชาชน และเอกชน ประชาสังคม ให้สามารถยืนได้ด้วยตนเอง เพื่อจะทําให้เกิดการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ ผมได้แสดงให้กลุ่ม G77 ที่ประชุมได้มองเห็นว่าประเทศไทยเรานั้นได้มีการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แล้วสอดคล้องกับหลักคิดของการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 คือ 15 ปีต่อไป สหัสวรรษ ต่อไปนี้ ก็อาจจะสามารถเป็นแนวทางหนึ่งที่สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ เป็นการพัฒนาที่สร้างความเจริญ มีรายได้ คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น แล้วทําอย่างไรจะไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม มุ่งประโยชน์ส่วนรวมอย่างยั่งยืน ให้ความสําคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกกลุ่ม เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในประเทศเราก็ทิ้งใครไม่ได้ ในประเทศรอบบ้านก็ทิ้งกันไม่ได้อีก เราจะจะต้องเจริญเติบโตแข็งแกร่งไปด้วยกัน ทั้งประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือกําลังพัฒนาอยู่ก็แล้วแต่ ต้องช่วยกัน ในกรอบของความร่วมมือเหนือ-ใต้ ต้องร่วมกัน โดยประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นสามารถสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาของประเทศกําลังพัฒนาได้ พยายามหากิจกรรมให้ตรงกันเป็นกลุ่ม ถ้าเรารวมกลุ่มกันได้ก็ส่งเสริมสนับสนุนได้เหมือนที่รัฐบาลนี้กําลังทําในประเทศนี่แหละ ถ้าท่านไม่รวมกลุ่มกัน แตกแยกเป็นพวก เป็นกลุ่มเป็นหมู่ ผมเห็นมากมายไปหมด สนับสนุนอะไรไม่ได้เลย ท่านต้องรวมกันให้ได้ ในกิจกรรมเดียวกัน ต้องรักกัน แล้วก็สามัคคีกัน เราจะได้เสริมสร้างขีดความสามารถให้ได้ ในเรื่องของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้แก่กัน ในประเทศที่กําลังพัฒนาทั้งหมด ใครเก่งก็ให้ประเทศที่กําลังพัฒนาเขาเรียนรู้ เราต้องให้เขาดีขึ้นมาพร้อม ๆ กัน เป็นหน้าที่ของทุกรัฐบาล ทุกประเทศที่มีต่อประชาคมโลก เราต้องแสวงหา “ความเหมือนในความต่าง” ซึ่งจะเป็นพื้นฐานและโอกาสที่สําคัญในการสนับสนุนกันและกันในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เรามีตั้ง 167 เป้าหมาย ใน 15 ปีข้างหน้า แล้วก็มุ่งสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ทําให้ทุกคนมีความสุขร่วมกัน บนโลกใบนี้
เรื่องต่อไปเรื่องการลงทุนโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ทางบก น้ํา อากาศ การเชื่อมโยงกับโลกภายนอกนะครับ จําเป็นต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กัน ทั้งในประเทศ แล้วก็นอกประเทศด้วย อะไรที่เชื่อมโยงก็ต้องทํา เพราะเป็นการเตรียมการเพื่ออนาคต เป็นการสร้างแรงจูงใจ เป็นการส่งเสริมการ ลงทุน เราต้องดําเนินการเชิงรุกบ้าน การค้าขายจําเป็นต้องมีการเปิดตลาดใหม่ การเชื่อมโยงกับประชาคมโลกให้ได้ จะด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่ ต้องดําเนินการใหม่ทั้งสิ้นในปัจจุบัน รัฐบาลพยายามอย่างที่สุด ด้วยความระมัดระวัง ไม่ว่าจะเป็นโครงการตามนโยบาย หรือว่าการเมือง การต่างประเทศ เราจะต้องดําเนินการอย่างเป็นอิสระ กับมิตรประเทศ ทุกประเทศทีเป็นเพื่อนเรา ด้วยความสมดุล บนพื้นฐานความไว้เนื้อเชื่อใจ ลดความหวาดระแวง และผลประโยชน์ที่เท่าเทียม และทรัพยากรธรรมชาติที่เรามีอยู่อย่างจํากัด ให้เกิดความสมดุลนะครับ กับพ่อแม่พี่น้องด้วย
อย่าลืม อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสําคัญคือการศึกษา เป็นบ่อเกิดทุกอย่าง ความรู้ ความเข้าใจ ความคิดที่เป็นระบบนะครับ เพราะฉะนั้นทุกคนในประเทศนี้ ทั้ง 70 ล้านคน ถ้าเรายกระดับการศึกษาเหล่านี้ขึ้นมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นฐานขึ้นมา ทุกคนจะคิด มีหลักการ มีเหตุผล สามารถคิดขบวนการเชิงวิเคราะห์ได้ อะไรได้ เหล่านี้ ไม่ใช่ฟังมา แล้วก็เชื่อไปตามโน้น ตามนี้ ก็ทะเลาะกันอยู่แบบนี้ นี่แหละคือสิ่งที่จะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน แต่ก็ยากนะ ต้องใช้ทั้งเวลา ทั้งงบประมาณ ผมก็คาดหวังว่า 20 ปีข้างหน้า เราจะมีทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทยใหม่ที่ทันสมัย เพราะฉะนั้นก็อยู่ในการปฏิรูป 20 ปี ของเราตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งจบปริญญานะ ที่ทํางานได้ เราจะได้คนรุ่นใหม่ที่สามารถทํางานได้ ดํารงชีวิตอยู่ได้นะครับ ต่อไปในโลกใบนี้ในอนาคต 20 ปีข้างหน้า ไม่เช่นนั้นเราไม่พร้อมนะ ไม่เข้มแข็งเพียงพอ เพราะฉะนั้นเราต้องมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างทั่วถึง
ผมย้อนกลับไปว่า ทุกอย่างนี้ ในภูมิภาค ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวันออก ตะวันตก ต้องมีความสมบูรณ์ในตัวเอง ทั้งคน ทั้งพื้นที่ ทั้งอาชีพนะ การสาธารณูปโภค เรื่องอื่นๆ ทั้งหมด ต้องเข้มแข็งเป็นภูมิภาค เสร็จแล้วก็จะเชื่อมโยงภูมิภาคนี้ ต่อภูมิภาคโน้น ไม่ว่าจะการตลาด ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง เชื่อมต่อไปนอกประเทศ ถ้าคิดแบบนี้ก็เป็นยุทธศาสตร์ที่เดินไปข้างหน้าของทุกกระทรวง แล้วจะมีการพูดคุยถึงเรื่องงบประมาณว่าจะมาอย่างไร ทําไงจะใช้งบประมาณอย่างประหยัด ต้องบูรณาการร่วมกันในกิจกรรม หรืองานที่เป็นกลุ่มงานเดียวกันนะครับ ไม่เช่นนั้นทุกกระทรวงก็คิดงบประมาณมาแล้วไม่ต่อกัน ทุกคนก็ต่างคนต่างทําไป นี่ผมเจอปัญหานี้มาเกือบทั้งหมด
ผมอยากให้ช่วยกันพิจารณา ให้ความสําคัญด้วยกับการร่างรัฐธรรมนูญ การทําประชามติ การเลือกตั้ง ไม่มีใครเขาเจตนาที่จะทําให้เกิดความขัดแย้งหรือปัญหาถ้าไม่จําเป็น เขาก็ไม่อยากจะเขียนให้มันวุ่นวายไปหมด เราต้องดูปัญหาของเรา การที่จะผ่าน หรือไม่ผ่าน จะเกิดปัญหาต่อไป ก็ต้องช่วยกันแก้ไป ไม่อยากให้ทุกคนให้ขึ้นอยู่กับผมแต่เพียงคนเดียว ผมพยายามฟังท่านทั้งหมดอยู่แล้ว วันนี้เอาทุกท่านเข้ามา มาอยู่ในกระบวนการ รับฟัง อะไรทําได้ทํา อะไรทํายังไม่ได้ก็พอก่อน อยู่ในแผนปฏิรูป อะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้สามารถทําได้ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่ว่าช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี แล้วผมจะไปควบคุมใครเขาได้ 5 ปี ก็ผมไม่มีอํานาจแล้ว จะไปคุมอะไรเขาตรงไหนได้ หรือผมจะไปอยู่ตรงไหนที่จะคุมได้ ไม่มี เพราะเป็นประชาธิปไตย ที่มาจาการเลือกตั้ง ก็ต้องอยู่ในกลไก สภา อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ทําหน้าที่ของตัวเองไป เพียงแต่ว่า เราต้องได้ทุกคนที่มาช่วยกันคิด ช่วยกันทํา เข้าใจสถานการณ์วันนี้ก่อน แล้วปัจจุบัน อนาคตของโลกใบนี้ ทั้งอาเซียนด้วย อะไรด้วยจะทํายังไง
บทเฉพาะกาลที่ว่าทุกคนก็พยายามจะหาว่าสืบทอดอํานาจ ก็เขาเขียนไว้เพื่ออะไร กฎหมายลูกเขาเขียนไว้เพื่ออะไร เขาเขียนไว้เพื่อให้ทําได้ไง ถ้าทําไม่ได้ไม่มีประโยชน์ ทุกอย่างที่ผ่านมา 2 ปีกว่า ๆ ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้นเลย ล้มทั้งหมด แล้วผมถามว่า แล้วไม่สงสารคนจน คนที่ยากไร้ ผู้ประกอบการที่เขาถูกรังแก เขาพิจารณาในการแข่งขันโดยเสรี หมดเดือดร้อนหมด วันนี้พยายามทําให้ได้มากที่สุดยังมีปัญหาเลย หลายคนก็ได้บ้าง หลายคนก็ไม่ได้ แต่ผมถามว่าที่ผ่านมาไม่ได้เลยใช่ไหมเล่า วันนี้ผมทําให้บางส่วนได้ บางส่วนต้องคอยก่อน อะไรอย่างนี้ ก็ว่ากันไป รัฐบาลหน้าก็ต้องทําแบบนี้ จะได้นําไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง อย่าให้เขาบอกว่ารัฐบาลคิดดี แต่การนําสู่การปฏิบัติไม่ได้ ข้าราชการทําไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้ ผมให้กําลังใจข้าราชการทุกกระทรวง
ถ้าเราจะมองเรื่องประชาธิปไตยอย่างเดียว สิทธิเสรีภาพอย่างเดียว หรือเรื่องอํานาจการเข้าสู่อํานาจ การบังคับใช้กฎหมาย อะไรก็แล้วแต่ หลายคนพยายามจะพูดแบบนี้ แต่ผมไม่เห็นใครพูดออกมาเลยว่า เราจะทําให้ประชาชนทุกคนมีความสุขได้อย่างไร ลดความเหลื่อมล้ํา ให้ความเป็นธรรม เกิดความเท่าเทียมได้อย่างไร ผมไม่เห็นใครพูดแบบนี้เลย มีแต่ผมนี่พูด แล้วผมก็โดนตําหนิทุกวัน ผมถามว่าผิดหรือไม่ ผมพูดแล้วผมทําด้วย เพราะฉะนั้นทหาร พูดอะไรไปแล้วต้องทํา แต่มีช่องทางกลไกต่าง ๆ ก็ต้องไปหาช่องทางทํา เรื่องกฎหมาย ฝ่ายกฎหมายก็ทําไป เรื่องการที่จะบริหารประเทศ ก็มี สว. สส. ว่าไป เรื่องของอะไรที่มีปัญหาที่จะต้องไปสู่การขัดแย้งมาก ๆ ก็ต้องหยุดตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่ทุกอย่างปล่อยให้จนบานปลายไปหมด แล้วก็กลับมาแก้ไข แล้วท่านก็มาบอกว่าทําไมต้องปฏิวัติ ท่านย้อนกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นมาบ้างในช่วงที่ผ่านมา 80 กว่าปี ของประชาธิปไตยไทย
ผมอยากบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถ้าจะผ่านประชามติ ก็ต้องผ่านประชามติ เพราะความแตกต่าง เพราะทุกคนอยากมีการปฏิรูปทํานองนี้นะ ถ้าแบบเดิมก็ไม่ต้องไปเขียนให้เสียเวลา มีการเลือกตั้งที่สุจริต ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลมาบริหารประเทศ ระยะแรกเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันนะครับ มีการป้องกันและมีมาตรการแก้ไข ไม่ให้เกิดปัญหาทับซ้อนอย่างเดิมขึ้นมาอีก หรือปัญหาที่ทําให้เกิดมีวันนี้ ผมก็ไม่อยากให้มีอยู่แล้ว ทํายังไงจะให้เกิดการปฏิรูปอย่างแท้จริง
อย่าไปฟังคนที่สูญเสียอํานาจหรือคนที่มีความผิด ก็จะกล่าวอ้างเสมอ ผมอยากให้ผ่านด้วยประเด็นเหล่านี้ แต่ถ้าไม่ผ่านผมก็ไม่รู้จะทํายังไงเหมือนกัน เพราะทุกคนก็อยากเลือกตั้ง ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมไปบังคับท่านอีก หรือขู่ท่าน ไม่ใช่ จะผ่านหรือไม่ผ่านผมอยากให้ทุกคนใช้วิจารณญาณ ใช้เหตุใช้ผล ในการตัดสิน เพราะท่านเป็นคนลงคะแนน ลงประชามติหรือเลือกตั้งก็แล้วแต่ ท่าน 1 เสียง 1 คน นี่เขาเรียกว่าหลักการประชาธิปไตยขั้นต้น ทุกคนมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ มีสิทธิ์ในเรื่องประชาธิปไตย ออกไปทําประชามติ ออกไปเลือกตั้ง ไม่ใช่ออกไปเลือกครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งไม่ออก ให้กลุ่มนี้ กลุ่มนั้น ขัดแย้งกันไปทั้งหมด
ผมอยากให้ทุกคนออกไปทําประชามติ เลือกตั้ง จะออกผลมายังไง ก็ต้องช่วยกัน ผมว่าอย่ามาทะเลาะกันอีกต่อไปเลย เรื่องที่เราบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญนั้น ก็อยู่ในรัฐธรรมนูญของทุกประเทศอยู่แล้ว มีบางอย่างที่มีความแตกต่างก็พัฒนา และปฏิรูปอย่างยั่งยืนไง เพราะเรายังไม่เกิดตรงนั้น ซึ่งก็ต้องมีบ้าง เราไม่ได้ทําสิ่งที่เกิดในประเทศต่าง ๆ ที่มีการพัฒนาแล้วมาคิดดู แล้วอะไรที่เรายังแย่อยู่ อะไรที่เราต้องพัฒนา อะไรต้องปฏิรูป อะไรที่ต้องเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว นั่นคือสิ่งที่ต้องมารใส่ในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนขึ้น แล้วทํายังไงรัฐบาลจะทํา เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวกําหนดชี้วัดอนาคตให้กับประเทศไทย ลูกหลานไทยทุกคน ไม่ใช่ว่าตามนโยบายพรรค หาเสียงอย่าเดียว แล้วเป็นไงบ้างล่ะครับ วันนี้คนจนมีมากหรือไม่ เดือดร้อนมากหรือไม่ เข้มแข็งหรือไม่ ประเทศชาติ เศรษฐกิจเป็นยังไง รายได้ประเทศ ไม่ใช่เป็นเพราะผมเข้ามาบริหารแล้วถึงแย่ แย่มานานแล้วด้วยเผอิญโชคดีอยู่บ้าง ต่างประเทศหรือเศรษฐกิจโลกยังไม่ตกต่ําขนาดนี้
วันนี้ทุกประเทศตกหมด ไปดูได้ ผมไม่อยากจะบอกว่าเราตกน้อยกว่าเขา ยังไงก็ตก ก็ไม่ดี ผมพยายามทําให้ดี อย่างน้อยก็คงสภาพให้ได้ ก็ไปชดเชยตรงที่ตกด้วยอย่างอื่นเข้าไปแทน เช่น ราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา ก็ต้องแปรรูป ไปสู่การผลิต ไปจ้างงาน ไปหางานให้เขาทํา ต้องใช้มาตรการการเงินเข้าไปอีก ผมถามว่าใครคิดทําแบบนี้มาบ้าง ที่ผ่านมาไม่ได้คิด มาเป็นชิ้นหมด นี่สามารถจัดกลุ่มได้เลย อันไหนคือบรรเทาความเดือดร้อน อันไหนคือชั่วคราว อันนี้ระยะกลาง อันนี้ระยะยาว งบประมาณต้องใช้แบบนี้ ต้องไปด้วยกันทั้งหมด ไม่ใช่ใช้โครม ๆ หมดไป แล้วอนาคตอยู่ไหน ลงทุนอยู่ไหน ไม่เกิดสักอัน ติดไปหมด เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนเอาสิ่งที่ผมพูดนี่ ถ้าคิดว่าถูก เอาไปเป็นหลักในการพิจารณา แล้วตัดสินใจว่าท่านจะใช้คะแนนเสียงท่านอย่างไร
ให้มองใกล้ก่อนว่าการใช้สิทธิในระบอบประชาธิปไตย ก็คือทุกคนมีสิทธิเท่ากันทั้งหมด ผมก็มีสิทธิเท่ากับท่าน 1 เสียงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่ว่านี่ ไม่ใช่การเปลี่ยนผ่านเพื่อผมอยู่ในอํานาจ เป็นการเปลี่ยนผ่านสิ่งที่รัฐบาลนี้ คสช. กําลังทําไว้ให้ท่าน เขาเรียกว่าเปลี่ยนผ่าน นั่นคือรัฐบาลเป็นผู้ใช้อํานาจทางการบริหาร คนละเรื่องกัน เพราะฉะนั้นก็จะได้ต่อไป ถ้าเป็นไปได้ก็ไปเลือกตั้งผู้แทน ผมบอกแล้ว ตาม Road Map ของผมก็ตามนั้น ไม่ได้แล้วทําไง ทุกคนต้องช่วยกัน พิจารณาให้ถ่องแท้ แล้วเข้าใจกันบ้าง เหตุผล ความเป็นมา แล้วก็มาตรการลดความเสี่ยง เหล่านี้เป็นความท้าทายของคนไทยทุกคน ทําได้หรือไม่ได้ สําเร็จหรือไม่สําเร็จ ไม่ใช่ผมคนเดียว เป็นผลประโยชน์ของคนทั้งชาติ
อย่าให้มีการชี้นํา บิดเบือนในทางที่ผิด มีหลักการ เหตุผลที่ดีพอ ขจัดการซื้อเสียง ให้ได้โดยเด็ดขาด ให้ได้โดยเด็ดขาดจําไว้ และรังเกียจคนที่ซื้อสิทธิขายเสียง หรือทุจริต อย่าให้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการแผ่นดิน ในรัฐบาลอีกต่อไป ด้วยวิธีการทางกฎหมายด้วย ตามสากลเขาว่ายังไงก็ตามนั้น แล้วให้ทุกคนรังเกียจหัวคะแนน ที่ไม่แก้ไข ไม่ปรับปรุงตัวเองยังคงเป็นหัวคะแนนอีกต่อไป ผมว่าใช้ไม่ได้ ทุกคนมีหน้าที่มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ครู อสม. ทั้งหมดทุกกระทรวง มีมวลชนจํานวนมาก ไม่ใช่หัวคะแนน ให้ไปดูแลประชาชน เข้าใจด้วย
จุดมุ่งหมายสุดท้ายของเรา ถ้าเราบริหาร ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี่ จะ 5 ปี อาจจะดีขึ้น ใน 1 ปีก็ดีแล้ว 2 ปีก็ดีแล้ว 3 ปี ก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น ถ้าเราตั้งไข่ไว้ได้แล้วนี่ พอรัฐบาลต่อไป ก็เป็น 5 ปีต่อไป ไม่มีใครเขามายุ่งกับท่านอยู่แล้ว ท่านทําให้ได้แล้วกัน เราก็จะได้เป็นประเทศไทยที่มีประชาธิปไตย ที่สง่างาม มีศักดิ์ศรี ประชาชนทุกคนมีความสุข ไม่มีความขัดแย้ง กลับสู่สังคมไทย ที่มีวัฒนธรรมอันดีงาม รักสามัคคีงดงาม เราจะปล่อยให้ประเทศชาติ ไปตกอยู่ในมือของผู้ที่ไม่หวังดี ไม่เคารพกฎหมายอีกต่อไป เราปล่อยปละละเลยกันมานานเกินพอแล้ว
สําหรับตลาดคลองผดุงกรุงเกษม วันที่ 5 – 27 มีนาคม นี้ เป็นเรื่องของการจัดงานในหัวข้อ เรื่อง “งานวิจัยขายได้” ภายใต้แนวคิดว่าเราจะ “ร้อยงานวิจัย สร้างไทยยั่งยืน” ได้อย่างไร เป็นการนําผลิตภัณฑ์ จากองค์ความรู้ การวิจัย และสิ่งประดิษฐ์ ที่รัฐบาลนี้กําลังขับเคลื่อนอยู่ทั้งหมด เก็บตกต่าง ๆ ทั้งหมด แล้วมาขับเคลื่อนสู่ภาคการผลิตให้ได้ มาจําหน่ายให้ได้ มาจัดการแสดงในงานนี้ มีอีกหลายอย่างมาก เพื่อยกระดับสินค้าในชุมชนให้สามารถทัดเทียมกับนานาประเทศ ไม่เก็บงานวิจัยขึ้นหิ้งไว้เฉย ๆ ไม่มีการต่อยอด เราจะต้องส่งเสริมให้มีการขยายผลในเชิงพาณิชย์ เช่น นักประดิษฐ์ – นักวิจัย – นักออกแบบ ไม่เช่นนั้นทุกคนก็ไม่มีกําลังใจหมด ไม่มีรายได้จากาการวิจัยเลย ประดิษฐ์ก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ แล้วเราก็ขาดแคลนคนเหล่านี้ เพราะว่าไม่มีรายได้ที่มากเพียงพอ ก็แค่ขอทุนไป ผลิตเสร็จก็เพิ่มวิทยฐานะเสร็จ จบแล้ว รัฐบาลจะเอาไปทําอะไรก็ไปทํา วันนี้ผมไปควักมาทุกวัน หลายพันรายการ หลายอย่างที่เรามีอะไรดี ๆ อยู่ ไม่ใช่ว่าจะต้องไปสร้างอะไรที่ไปแข่งกับประเทศอื่น ๆ ที่แพง ๆ ใหญ่ ๆ โตๆ ทันสมัยมากเกินไป สิ่งที่เราใช้ในประเทศทุกวัน ๆ ไปซื้อเขามาได้ยังไง เราต้องผลิตเอง ไม่ได้ยากอะไรเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมือทางการเกษตร ผมเห็นทําได้ตั้งมากมาย วันนี้ก็แก้ไขกฎระเบียบการใช้งบประมาณให้อุดหนุนได้แล้ว แต่ต้องผ่านมาตรฐานเท่านั้นเอง เร่งดําเนินการ เราได้มีการจัดให้ได้พบปะกับผู้ประกอบการ นักลงทุน ที่เรียกว่า การ “จับคู่” (Matching) สิ่งประดิษฐ์กับอุตสาหกรรม การถ่ายทอดองค์ความรู้ในกระบวนการวิจัย การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า – การแปรรูปผลิตภัณฑ์ การเพิ่มช่องทางการนําผลงานวิจัยไปสู่กระบวนการผลิตเชิงสังคม เชิงพาณิชย์ รวมไปถึงการพัฒนาวิชาชีพนักประดิษฐ์ไทย เป็นต้น รวมทั้งมีการแสดงผลงานวิจัยกลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม หัตถกรรม-งานฝีมือ เครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม รวมทั้งผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมและพลังงานทางเลือก ด้วยนะครับ เราผลิตเอง ใช้เองได้ก็ดีนะครับ แล้ววันหน้าจะได้ขยายไปต่างประเทศ จะได้มีรายได้เข้าประเทศ เราขายของ ขายพืชจากเกษตรกรรมอย่างเดียวคงไม่ไหว
ขอเชิญชวนพี่น้อง ประชาชนทุกคนมาช้อปปิ้ง ไม่ช้อปปิ้งก็ได้มาดูเฉยๆ จะได้รู้ ภูมิใจที่ประเทศไทยผลิตเอง แล้วเราจะได้ไม่ไปซื้อที่อื่นไงนะ ราคาก็ถูกกว่า อะไรถูกกว่า แล้วก็มีการรับประกัน มีการซ่อมอะไร ผมอยากให้ทกคนภูมิใจ ผมเห็นแล้วผมก็ภูมิใจว่านี่เป็นสิ่งที่ทุกคนได้ทําเอาไว้ แล้ววันนี้เราก็ส่งเสริมใหม่ให้มากขึ้น
ผมไปอเมริกาก็ไปเจอนักวิทยาศาสตร์ไทยที่นั่นทําบ้านอยู่เกี่ยวกับในเรื่องของสนับสนุนองค์การนาซ่าด้วย ได้ผลิตคิดค้นเสาอากาศไปที่ดาวอังคาร เขาก็ยินดีที่จะส่งเสริมการวิจัยในประเทศไทย พร้อมที่จะให้ความรู้ เอาวิชาความรู้ที่เขากําลังใช้อยู่ในต่างประเทศ เป็นอาชีพ รายได้ กลับมาพัฒนาสู่ประเทศไทย ผมได้ให้มีการเชื่อมต่อคณะกรรมการเราไปแล้วธุรกิจจากต่างประเทศ ก็ขอให้นักเรียน-นักศึกษา ช่วยมาดูด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาชีวะด้วยนะ เทคนิค เทคโน อะไรต่าง ๆ มาดูเพื่อจะได้เกิดแรงบันดาลใจ ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เราน่าจะทําได้ ทําไมเราต้องไปคิดเรื่องอื่น ๆ อยู่ไม่รู้ เสียเวลา จะได้เลิกใช้สมองไร้สาระ เพราะฉะนั้นจะต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง ทําประโยชน์ให้กับประเทศชาติ เกิดความภาคภูมิใจทุกคนเขาก็รักเรา ไม่ใช่เขาก็กลัวเรา กลัวนั่น กลัวนี่ กลัวทะเลาะกัน กลัวใช้อาวุธ กลัวอะไร ไม่ใช่แล้ว ก็เขารักเรา อาชีวะทุกโรงเรียนต้องให้คนรัก ทุกโรงเรียน รักทุกคน ท่านทะเลาะกันไปไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้นเลย ประเทศชาติเสียหาย พ่อแม่พี่น้องเสียใจ แล้วคนก็ไม่รักท่าน แล้วจะไปยังไงท่านเป็นพระเอกหรือไง สู้กัน ยิงกัน ตีกันแล้วชนะ แล้วได้อะไรขึ้นมา ไม่เห็นได้สักอย่าง วันหน้าท่านก็ต้องหนีต่อไป แล้วเขาก็แก้แค้น ผมบังคับใช้กฎหมายเต็มที่ ต่อไปนี้ อยากให้ท่านมาร่วมรับผิดชอบ ร่วมกันเดินหน้าขับเคลื่อน “ประชารัฐ” ของรัฐบาล
สุดท้ายนี้ช่วงปิดเทอมของลูก ๆ หลานๆ ผมอยากแนะนํากิจกรรมยามว่าง ให้กับลูกหลาน สําหรับพ่อแม่ – ผู้ปกครอง ได้พิจารณาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ จากประสบการณ์ ต่าง ๆ ที่เราจัดหาไว้ให้ ใช้สําหรับการศึกษานอกห้องเรียน จากพิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ โดยได้นําสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในคลังความรู้ประวัติศาสตร์ของชาตินั้น มาเป็นสิ่งที่ทําให้ทุกคนทําความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เราต้อง เรียนรู้อดีต เพื่อจะสร้างอนาคต เพราะอดีตคือปัจจุบัน แล้วก็คืออนาคต ผมเคยพูดหลายครั้งแล้ว เรามีการจัดค่ายกิจกรรม เยาวชนต่าง ๆ ก็ขอให้เสริม “ความรู้” โดยเฉพาะเรื่อง “สเต็มศึกษา” ไม่ใช่สเต็มเซลนะ สเต็มศึกษา ซึ่งจะเป็นกลไกการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต และ “คู่คุณธรรม” ได้แก่ ค่านิยมหลัก 12 ประการ และความรัก – ความศรัทธาความเชื่อมั่นในสถาบันหลักของประเทศ ได้แก่ ชาติ – ศาสนา – พระมหากษัตริย์นะครับ ให้กับลูกหลานของเราด้วย ขอให้ทุกคนภูมิใจ ช่วยกันปฏิรูปประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถึง 20 ปีข้างหน้า ผมก็จะมีส่วนร่วมกับท่านด้วยในฐานะเป็นประชาชนคนหนึ่งเท่านั้นเอง 1 เสียง ในการเป็นประชาธิปไตยไทย ในอนาคต
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม 2559 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
วันที่ 2 มีนาคม ของทุกปี เป็น “วันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ” โดยประชาชนชาวไทย ร่วมใจถวายพระราชสมัญญานามแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย” ทั้งนี้เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ได้ทรงมีพระปรีชาสามารถ ทางการช่าง ทรงเป็นแบบอย่างของ “นักประดิษฐ์” โดยทรงประดิษฐ์ของเล่นด้วยพระองค์เอง ครั้งทรงพระเยาว์ เช่น เครื่องร่อน เรือรบจําลอง และรถลากไม้ ทั้งนี้ทรงเป็น “นักการช่าง” ที่เป็นมิ่งขวัญและเป็นกําลังใจ สําหรับแรงงานไทยทุกคน ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจมากมาย จนมีผลงานฝีมือและงานประดิษฐ์ เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับไปทั่วโลก เช่น กังหันน้ําชัยพัฒนา และฝนหลวง เหล่านี้ถือเป็นผลงานที่ทรงสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อพสกนิกรของพระองค์อย่างแท้จริง
ในการนี้ ผมขอเป็นกําลังใจให้กับแรงงานที่ต้องใช้ทักษะทางการช่าง รวมทั้งช่างฝีมือของไทย ที่มีมาแต่โบราณกาล สืบทอดกันมายาวนาน และช่างยุคใหม่ ที่ต้องก้าวทันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลกในยุคปัจจุบัน โดยขอได้น้อมนําแนวทางทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อส่วนรวม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคม และเพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศ ด้วยความทุ่มเทและด้วยใจรักในวิชาชีพ พร้อมกันนี้ ผมขอให้นักศึกษาสายอาชีพ เทคนิค อาชีวศึกษาทุกคน ได้มีความภาคภูมิใจในสาขาวิชาชีพของตน รวมทั้งนักเรียนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ที่เรียกว่าการศึกษา STEM ที่ต่อไปนั้นจะเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศ จากสังคมเกษตรกรรม ให้มีมูลค่าเพิ่มเป็นเศรษฐกิจเกษตรอุตสาหกรรม และเป็นประเทศอุตสาหกรรมในที่สุด แต่ต้องเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว ไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม
ในส่วนของรัฐบาล ได้จัดทําระบบมาตรฐานแรงงานไทย (Thai Labour Standard : TLS) ซึ่งเป็นมาตรฐานในการบริหารจัดการแรงงานทั้งระบบ ที่ยึดหลักการ ปฏิบัติตามกฎหมาย ยอมรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ปฏิบัติอย่างมีจริยธรรม ไม่มีการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ไม่ใช้แรงงานบังคับ ต้องโปร่งใสและมีความรับผิดชอบ รวมทั้งมีข้อกําหนดและระบบการจัดการเพื่อประกันคุณภาพ ที่สร้างความเข้มแข็งและยั่งยืน เช่น ข้อกําหนดของมาตรฐานแรงงานที่มีความสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางาน รวมทั้งอนุสัญญา หรือปฏิญญาสากลที่เกี่ยวข้องกับด้านแรงงาน ทั้งนี้ เพื่อให้สถานประกอบกิจการของไทยเรา เป็นที่ยอมรับ ผ่านการรับรอง ทั้งจากสถาบันตรวจสอบมาตรฐานภายใน ประเทศและที่เป็นสากล ให้เป็นที่ไว้วางใจแก่ลูกค้า หรือประเทศคู่ค้า และเชื่อมั่นในแหล่งผลิตสินค้า กระบวนการผลิต และการบริการของไทย สู่สายตาโลกให้ได้
วันนี้ผมมีเรื่องที่ต้องการจะแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังต่อไปนี้
เรื่องแรก เรื่องสถานการณ์ทางการเมือง ยังคงมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ที่มีความผิดตามกฎหมาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งกฎหมายปกติ – คําสั่ง คสช. – มาตรา 44 ที่ยังคงไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ซึ่งเราได้ใช้กฎหมายนี้กับทุกคดี ทุกข้อกล่าวหา กับผู้ต้องหาทุกคน ในทุกคดีเช่นกัน แต่คนบางกลุ่มไม่ยอมรับเลย ในห้วงที่ผ่านมา บางคน บางกลุ่ม ไม่ยอมเข้าด้วย ต่อต้านทุกอย่าง ต่อต้านกฎหมาย ไม่ยอมรับการตรวจสอบ หรือต่อสู้คดีตามครรลองของกฎหมาย มีการหลบหนี แล้วไปอ้างต่างประเทศว่าถูกรังแกทางการเมือง ทั้งที่มีข้อมูล มีหลักฐานชัดเจน หากไม่มีความผิด หรือไม่มีมูลเลย คงไม่มีใครไปแกล้งท่านได้อยู่แล้ว ขอให้ประชาชนคนไทยทุกคน ตลอดจนคนต่างประเทศที่พํานักในประเทศไทย อย่าได้หลงเชื่ออีกต่อไป เราควรให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหาอื่น คดีอื่นๆ เขาบ้าง นับพันนับหมื่นราย ที่ถูกดําเนินคดีอยู่ หรือต่อสู้ทางกฎหมายอยู่ภายใต้กฎหมายอันเดียวกันนี้ เราจะต้องบังคับใช้กฎหมายเดียวกัน ในลักษณะเดียวกัน กับทุกคดี แล้วใครเห็นว่าไม่เป็นธรรม ก็ควรกลับมาสู้คดี หรือมีตั้งหลายศาล ก็มาแก้กันไป แต่ละพวกก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ก็ถ้ามีหลักฐานที่เพียงพอก็มาต่อสู่คดี ก็จบ เท่านั้นเอง ยอมรับในกติกาบ้าง
สําหรับผู้ที่ใช้องค์กรระหว่างประเทศ – ต่างประเทศ มากดดันประเทศไทย ซึ่งอาจจะเป็นการละเมิดอธิปไตยของชาติไทยนั้น ต้องการเพียงเพื่อปกปิด ลบล้างความผิดของตน ยิ่งไม่ควรกระทํานะครับ ท่านต้องสํานึกว่าท่านได้ทําลายแผ่นดินแม่ของท่าน บ้านเกิดเมืองนอนที่ท่านเคยกล่าวเสมอว่ารัก อยากกลับมา อยากมีความสุข กับพ่อแม่ลูกเมีย พี่น้องอะไรก็แล้วแต่ แต่ท่านไม่ยอมรับความผิด ไม่รับกฎหมาย ไม่ต่อสู้ทางคดี ผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ คงรับไม่ได้ รัฐบาลก็รับไม่ได้เหมือนกัน
ในส่วนของกรณีการทําประชามติร่างรัฐธรรมนูญ อาจจะมีการสร้างความเข้าใจผิด หรือเข้าใจไม่ตรงกัน จากทั้งมีเจตนาอันบริสุทธิ์ และไม่บริสุทธิ์ มีการบิดเบือนมากมาย เช่น ในกรณีที่ ด่าว่า คสช. ต้องการสืบทอดอํานาจ อันที่จริงแล้วเป็นการ เป็นวิธีการในการที่จะมีกลไกต่าง ๆ ที่จะทําให้สิ่งที่เราเริ่มไว้ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดระเบียบ การสร้างความเข้มแข็ง การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การปฏิรูป (11 ด้าน) ระยะที่ 1 ก่อนการเลือกตั้งให้ดําเนินการต่อไปได้ในระยะต่อไปจนเกิดผลดี มีผลสัมฤทธิ์ต่อประเทศชาติ ไม่ใช่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือว่าทําเฉพาะบางพื้นที่ ก็เหมือนเดิม
ผมอยากให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว รัฐบาล คสช. ก็เพียงแต่กําหนดกรอบการทํางานในรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้หวังทําเพื่อผม เพื่อ คสช. เพื่อใครทั้งสิ้น หวังแต่เพียงว่าให้รัฐบาลต่อไปได้ได้ดําเนินการทําในสิ่งที่ประชาชนต้องการอย่างแท้จริง ทั่วถึง เพื่อเป็นการลดความเหลื่อมล้ํา ประชาชนจะได้มีความสุข มีประโยชน์ที่ได้จากการทํางานของรัฐบาลนั้นอย่างเท่าเทียมกันนะครับ เพราะว่ารัฐบาลจําเป็นต้องมีการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ถูกต้อง ที่มีธรรมาภิบาล ที่มาจาก สส. ซึ่งทุกท่านก็เป็นผู้ ได้รับการรับเลือกจากประชาชนให้เป็นผู้แทน
เพราะฉะนั้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นต้องมีธรรมภิบาล โปร่งใส ไม่ทุจริต ใช้จ่ายงบประมาณอย่างถูกต้องไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยจะวางยุทธศาสตร์ ที่เราเรียกว่ายุทธศาสตร์ชาติให้ครอบคลุม หลายประเทศเขามีหมดแล้ว รอบบ้านเราก็มี ไปศึกษาดู เราจะสะเปะสะปะต่อไปอีกไม่ได้ ในเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม การต่างประเทศ ทุกอย่างต้องเป็นยุทธศาสตร์ทั้งหมด ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว เพราะฉะนั้นจะต้องมีพื้นฐานในการบริหารราชการแผ่นดิน ให้กับทุกรัฐบาล เพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชน และท่านก็สามารถทําควบคู่ไปกับการดําเนินการตามนโยบายพรรคที่ได้หาเสียงไว้ ผมก็ยังไม่เห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่เขาร่างมาแล้วนี่ ผมศึกษาในฐานะผมเป็นประชาชนคนหนึ่งนะครับว่าจะเป็นการสืบทอดอํานาจตรงไหน ผมมองรวม ๆ
ในส่วนของรัฐธรรมนูญที่ กรธ. ร่างมานั้น ผมเห็นใจ กรธ. แรงกดดันมากพอสมควร ทุกคณะที่ผ่านมาก็ถูกกดดันมาตามลําดับ หวังดีบ้าง ไม่หวังดีบ้าง จากคนภายนอก ส่วนตัวผมนั้นผมเรียนไปแล้วว่า หลัก ๆ แล้วไม่มีความแตกต่างมากนัก กับรัฐธรรมนูญฉบับอื่น ๆ อาจจะมีการเน้นหนักในเรื่องการป้องกันการทุจริต ป้องกันการใช้อํานาจทั้ง 2 สภา ที่อาจจะมาจากคนกลุ่มเดียวกัน ทั้ง สว. สส. ประเด็นสําคัญคือการปฏิรูปประเทศ ถ้าสามารถทําได้ ระยะยาวต่อไป ก็อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลายประเทศที่เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ที่เรียกว่าสากลนั้นก็ได้ผ่านช่วงเวลานี้ มาเกือบทั้งสิ้น
วันนี้ผมอยากให้ประชาชนเข้าใจว่า เราในฐานะประชาชนคนไทย ผมเองก็ใช่ ทหาร ตํารวจ ข้าราชการทุกคนก็ใช่ ประชาชนก็ใช่ หากพวกเราไม่เข้าใจกันและไปหลงเชื่อคําบิดเบือน สร้างความเสียหายให้กับประเทศอีกต่อไป โดยการอ้างคําว่า “ประชาธิปไตย” แล้วก็อ้างว่ามาจากประชาชน ความต้องการประชาชน ผมอยากจะถามกลับไปว่าแล้วเพราะเหตุใด ประชาชน กว่า 40% ยังยากจน เหลื่อมล้ํา รายได้ไม่เพียงพอ ไม่เป็นธรรม มีหนี้สินมากมาย ประเทศล้าหลังด้วยความขัดแย้ง พัฒนาไม่ได้ ติดล็อตทุกอย่าง หรือการพัฒนาที่เป็นเฉพาะพื้นที่ที่เป็นพื้นที่หาเสียงเท่านั้น
เราในฐานะประชาชนนะครับ ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทํา ทําอย่างไรจะได้สส.ทุกพื้นที่ ที่ได้นําความต้องการ ความเดือดร้อน ของแต่ละพื้นที่ ของตัวเองนั้น มาให้รัฐบาล ซึ่งจะต้องมีธรรมาภิบาลได้มีการพิจารณา ในการจัดทําแผนงาน โครงการ ให้สอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่นะครับ ต้องนึกถึงคนอื่นเขาด้วย เผื่อแผ่ แบ่งปัน และลงทั่วทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะของพรรคการเมืองใด ๆ ก็แล้วแต่ หรือ สส. คนใดก็แล้วแต่ โดยต้องมีการวางยุทธศาสตร์โดยรวม ในทุกภูมิภาค ทุกกลุ่มจังหวัด ทุกจังหวัด และทุกตําบล – อําเภอ – หมู่บ้าน ให้มีการประสานสอดคล้องกัน อย่างแน่นหนา โดยมีการจัด ลําดับความเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ระบบบริหารจัดการน้ํา การเกษตร การเกษตรอุตสาหกรรม อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมสีเขียว –เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปศุสัตว์ หรืออาชีพอื่นๆ ที่ต้องประสานสอดคล้องกัน ทั้งต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง ทําให้เกิดความเชื่อมโยง ทั้งการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ไปสู่การแปรรูป เพิ่มมูลค่า โดยภาคประชาชน อาจจะโดยสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรทําเอง เพื่อเป็นทางเลือกกับการขายให้พ่อค้าคนกลาง แล้วก็ไปเชื่อมต่อกับ ธุรกิจเอกชนให้ได้ อีกทางหนึ่งด้วย เราจะได้ใช้เป็นการยกระดับราคาผลผลิตให้สูงขึ้น หมายความว่าดึงราคาตลาด สร้างความเชื่อมโยงภาคประชาชนกับภาคธุรกิจให้ได้
วันนี้เรามีตั้งหลายคณะมาช่วยเรา ให้เกิด “ห่วงโซ่คุณค่า” ให้ได้ และเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้าน – อาเซียน – ประชาคมโลก อื่นๆ เราต้องใช้การเป็นประชาคมให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทย แล้วทุกประเทศในอาเซียนเป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น เราต้องเริ่มพิจารณาจากความต้องการของนอกประเทศนะครับ การทําอะไรก็แล้วแต่ต้องมองปลายทางด้วย ย้อนกลับเข้ามา แล้วมองจากข้างในอกไปข้างนอก จะเห็นวิธีการในการทํางาน ผมยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามองจากความต้องการของนอกประเทศหรือปัจจัยภายนอกประเทศ มองกลับมาที่อาเซียน อาเซียน +3 อาเซียน +6 มาดู CLMV แล้วมาดูภูมิภาคของเรา คือภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ตะวันตก ภาคกลางอะไรนี่นะครับ แล้วไปดู 18 กลุ่มจังหวัด แล้วก็ไปดู 77 จังหวัด ย้อนกลับมาถึงท้องถิ่น ในระดับหมู่บ้าน ชุมชน แล้วดูว่าเราจะจัดระเบียบเรื่องเหล่านี้อย่างไรในทุกมิติ ทํายังไงจะประสานสอดคล้อง เกื้อกูลกัน
ประเด็นสําคัญคือ ผมอยากทําความเข้าใจว่า วันนี้เราต้องยอมรับว่าแต่ละภูมิภาคของประเทศเรานั้นมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะคน ไม่ว่าจะพื้นที่ ไม่ว่าจะปัญหาคุณภาพดิน ความสูงต่ํา ลมฟ้าอากาศ วัสดุต้นทุนที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในแต่ละภาค อาจจะคล้าย ๆ กัน หรือไม่เหมือนกัน ทํายังไงเราจะทําให้ทุกภูมิภาค ที่ผมกล่าวมาแล้ว เหนือ-ใต้-กลาง-ออก-ตก นั้น มีความเข้มแข็งในภูมิภาคของตนเองให้ได้ ทั้งคน ทั้งการประกอบอาชีพ ทั้งในส่วนของการศึกษา การพัฒนาอะไรก็แล้วแต่ เราต้องส่งเสริมกิจกรรมทั้งหมด ในลักษณะเป็นการส่งเสริมทั้งต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง ในภูมิภาค ต้องมาดัดแปลง มาประยุกต์ให้ใช้ให้ได้ เพราะจะได้เอาความแตกต่างกัน ที่มีเหล่านั้นมาทําให้เกิดนวัตกรรม เพิ่มมูลค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแต่ละพื้นที่เมื่อไม่เหมือนกัน คนไม่เหมือน วิธีการไม่เหมือน ประเพณีวัฒนธรรมไม่เหมือน ความคิดก็แตกต่างกัน ทําไมไม่เอาความแตกต่างนั้นมาทําให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือสร้างผลผลิต ซึ่งอาจจะต้องทําสองอย่างด้วยกัน ก็คือ 1. เพื่อใช้บริโภคภายใน อาจจะไม่มากนัก แต่ส่วนหนึ่ง ที่ไหนทําได้ผลมากก็ส่งออกตลาดต่างประเทศ คือต้องอยู่กินได้ก่อน ที่เหลือก็ขาย มีมากขายมาก มีน้อยขายน้อย แลกเปลี่ยนกันเอง เพราะเช่นนั้นเราก็ต้องให้ความสําคัญกับการเกษตรที่ครบวงจร ตั้งแต่ปลูก – ผลิต – แปรรูป อาจขั้นที่ 1 หรือ ขั้นที่ 2. แล้วก็ส่งออกไปตลาดใน – นอกภูมิภาค นั่นคือปลายทาง ทั้งนี้ มุ่งหวังเพื่อเพิ่มมูลค่า เกษตรกรต้องมีความรู้ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่บ้าง Smart Farmer เหล่านี้ พูดทุกวัน ก็พยายามพัฒนาด้วย ก็ขอให้เข้าใจข้อเท็จ จริงว่า ถ้าเราปรับตนเองบ้างจากอดีต เราน่าจะมีรายได้สูงขึ้นบ้าง เพียงพอต่อการดํารงชีวิตในระยะต่อไป ไม่อยากให้มีหนี้สินอีกต่อไป
ผมอยากฝากให้ช่วยกันคิด เรื่องน้ํา ถ้าเราจะเรียกร้องน้ํามากกว่านี้ เพื่อปลูกข้าว เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว การปลูกพืชใช้น้ํามาก คงต้องทบทวนนะว่าคงทําไม่ได้อีกต่อไปทั้งหมดเหมือน เดิม เพราะปริมาณน้ําน้อยลง ภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงอีก เราต้องปรับการบริหารจัดการน้ําให้ตรงกับพื้นที่ ที่ต้องการใช้น้ําได้จริง ตามปริมาณน้ําต้นทุนที่มีอยู่ ตามลักษณะภูมิประเทศ สูง ต่ํา แล้วก็ลักษณะดินต่าง ๆ เหล่านี้ต้องมาพิจารณาทั้งหมด การเพาะปลูกจะต้องไม่ปลูกส่วนใดส่วนหนึ่งที่มากเกินไป เกินความต้องการ แล้วก็มีการสูญเสีย เสียหายจากภัยแล้งอีก อะไรเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่เราต้องปลูกในพื้นที่ที่เป็นไปได้ มีน้ํามีดินเพียงพอ การทําเกษตรแปลงใหญ่ มีทั้งหลายลักษณะด้วยกัน อันที่ 1 อาจจะเป็นทําการเกษตรในเรื่องข้าว นาข้าว ขนาดใหญ่ แปลงรวมในเขตชลประทาน ถ้านอกเขต นาน้ําฝนอะไรต่างๆ เหล่านี้ก็ปลูกไว้กิน ไว้ใช้ ที่เหลือก็ไปปลูกพืชอย่างอื่นที่ใช้น้ําน้อยไป ผมห้ามไม่ได้ แต่ผมก็เตือนไว้เท่านั้นเองว่า การที่จะปลูกข้าวไว้ขายทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ เพราะข้าวคุณภาพต่ํา พื้นที่ไม่สมบูรณ์ ข้าวก็มีคุณภาพไม่ดี ราคาก็ตกต่ํา แล้วต้นทุนการผลิตเราก็สูงอีก
เพราะฉะนั้น อยากให้คําแนะนํา ถ้าเราไปเรียนรู้ว่าเราจะปลูกอย่างอื่นขายแทนเราจะทําได้อย่างไร การทําเกษตร ไร่นาสวนผสมในพื้นที่ที่สูงกว่าพื้นที่ที่ทํานาได้ผลมาก ๆ จะทํายังไง จะปลูกพืชอะไรแทน พืชน้ําน้อยหรือไม่ อันนี้ต้องอาศัยความร่วมมือ จากประชาชน รัฐบาลต่อไปด้วย ทั้งนี้ เพื่อจะมุ่งหวังให้ประเทศเราหลุดพ้นจากการที่เป็นประเทศที่มีติดดักรายได้ปานกลางให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อพี่น้องประชาชนทุกคน
เรื่องที่ 2 คือในการประชุมกลุ่มประเทศกําลังพัฒนา ที่เรียกว่า G77 นั้น ซึ่งปัจจุบันมีประเทศสมาชิกจํานวน 134 ประเทศ ในสหประชาชาติ สิ่งที่ผมได้นําเสนอในที่ประชุมคือการน้อมนําหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทยมากว่า 40 ปีแล้ว แล้วเป็นหนทางที่นําไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตรงกับของสหประชาชาติในระยะ 15 ปีข้างหน้า รัฐบาลก็ได้ยึดเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาและบริหารประเทศ รวมทั้งได้มีการส่งเสริมให้กับประชาชนได้ใช้เป็นแนวทางในการดํารงชีวิตประจําวันด้วย อันนี้ก็เล่าให้เขาฟัง ว่าเราดําเนินการมาได้อย่างไร ในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีปัญหาบ้าง แต่เราก็มีความสําเร็จอยู่นะครับ ด้วยสิ่งที่พระองค์ท่านได้ทรงทําไว้ให้
ความท้าทายของโลกปัจจุบันนี้ มีหลายอย่างด้วยกันไม่ว่าจะเป็นปัจจัย ภายใน ภายนอก ภายในก็ได้แก่ ความยากจน ความเหลื่อมล้ํา การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ความขัดแย้ง ความรุนแรงทางการเมือง สังคม และวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ก็จะเป็นเสมือน“วัคซีน” ที่ช่วยคุ้มกัน สร้างความเข้มแข็งในตัวเอง ป้องกันผลกระทบจากภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้ ความเข้าใจ เป็นภูมิคุ้มกันสําหรับทุกคน เป็นความพอดีและพอประมาณ มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย บนพื้นฐานของเหตุผลของแต่ละบุคคล ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปตามสถานะ เพียงแต่เราต้องรู้เท่าทันและข้อสําคัญต้องมีคุณธรรมนะครับ ที่กล่าวไว้ว่า “ต้องมีความรู้ คู่คุณธรรม”
เรื่องหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มิใช่รูปแบบการพัฒนาที่สําเร็จรูป เราต้องรู้จักการประยุกต์นํามาใช้ ตามความแตกต่างของสภาพแวดล้อมของแต่ละภูมิประเทศ ของแต่ละประเทศ ซึ่งไทยพร้อมที่จะแนะนํา ให้ความช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนแนวคิด แนวปฏิบัติ ที่ผ่านมานั้น หลายประเทศนําไปใช้แล้ว ประเทศเลโซโท ติมอร์-เลสเต กัมพูชา เมียนมา ลาว อินโดนิเซีย อัฟกานิสถาน จอร์แดน เซเนกัล และโมซัมบิกนะครับ เป็นตัวอย่างเท่านั้น อีกหลายประเทศ แล้วเราก็ได้ให้ทหารที่ไปปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ ได้มีทหารพัฒนาไปช่วยด้วย หลายประเทศ เขาปลูกพืชอะไรได้แล้วในพื้นที่น้ําน้อย แล้วในเขตทะเลทราย เขาก็ลดความยากลําบากในเรื่องของอาหารการกินไปได้บ้างพอสมควรนะครับ เราได้รับการถ่ายทอด สร้างวิทยากรในการแนะนําต่อไป ให้กับทุกประเทศที่เราไป หรือร่วมมือกับเราในทุกกระทรวงในขณะนี้ ได้นําไปใช้แล้ว และหลาย ๆ ประเทศก็ส่งคนมาดูงานนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการเกษตร การพัฒนา
อย่างเช่นโครงการหลวง 4 พันกว่าโครงการ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ให้กับเกษตรกรไทย บนพื้นฐานแนวทางการพัฒนา อาทิเช่น
(1) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ ภาคเหนือ เกี่ยวกับเรื่องพื้นที่ที่เป็นภูเขา ที่ราบสูง แนวทางบริหารจัดการป่าไม้ การอนุรักษ์ดินและน้ํา
(2) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ
(3) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง ภาคใต้ เกี่ยวกับเรื่องการชะล้างหน้าดิน ความเสื่อมโทรมของดิน ดินเค็ม ดินเปรี้ยว
(4) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน ภาคตะวันออก เป็นในเรื่องของการพัฒนาหมู่เกาะหรือติดชายฝั่งทะเล ให้มีการบริหารจัดการทรัพยากรชายฝั่ง การประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา
(5) ศูนย์การศึกษาห้วยทราย ภาคกลางตอนล่าง เป็นการเปลี่ยนสภาพพื้นดินที่เป็นทะเลทราย ค่อนข้างจะแห้งแล้งมาก เป็นการฟื้นฟูระบบนิเวศที่แห้งแล้ง เหล่านี้เป็นต้น ผมก็เห็นว่าประเทศสมาชิกหลายประเทศด้วยกัน ก็อยู่ในประเภทที่มีความแตกต่างกัน อย่างที่ผมกล่าวไปเมื่อสักครู่ สามารถจะเลือกไปใช้ ไม่ใช่เอาไปใช้ได้ทั้งหมด บางอันก็ต้องไปประยุกต์บ้างอะไรบ้าง เหมือนกับที่เราประยุกต์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ของแต่ละภูมิภาคของเรา
ผมได้จุดประกายให้ทุกประเทศว่า ถ้าหากว่าเราไปส่งเสริมให้ทุกประเทศ ให้ประชาชนทุกประเทศมีความอยู่ดีกินดีนั้น รัฐบาลทุกรัฐบาลก็มีหน้าที่ในการสนับสนุนและส่งเสริมให้ชุมชนได้เกิดความเข้มแข็ง ผมยกตัวอย่าง แนวทางการทํางานแบบ “ประชารัฐ” ของเรา จะดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่ประเทศจะไปปรับประยุกต์ ของเราก็เริ่มได้ผลมากขึ้น ตามหลัก ซึ่งก็ชี้แจงกับเขาว่าเป็นเรื่องของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ประชาชน และเอกชน ประชาสังคม ให้สามารถยืนได้ด้วยตนเอง เพื่อจะทําให้เกิดการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ ผมได้แสดงให้กลุ่ม G77 ที่ประชุมได้มองเห็นว่าประเทศไทยเรานั้นได้มีการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แล้วสอดคล้องกับหลักคิดของการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 คือ 15 ปีต่อไป สหัสวรรษ ต่อไปนี้ ก็อาจจะสามารถเป็นแนวทางหนึ่งที่สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ เป็นการพัฒนาที่สร้างความเจริญ มีรายได้ คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น แล้วทําอย่างไรจะไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม มุ่งประโยชน์ส่วนรวมอย่างยั่งยืน ให้ความสําคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกกลุ่ม เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในประเทศเราก็ทิ้งใครไม่ได้ ในประเทศรอบบ้านก็ทิ้งกันไม่ได้อีก เราจะจะต้องเจริญเติบโตแข็งแกร่งไปด้วยกัน ทั้งประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือกําลังพัฒนาอยู่ก็แล้วแต่ ต้องช่วยกัน ในกรอบของความร่วมมือเหนือ-ใต้ ต้องร่วมกัน โดยประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นสามารถสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาของประเทศกําลังพัฒนาได้ พยายามหากิจกรรมให้ตรงกันเป็นกลุ่ม ถ้าเรารวมกลุ่มกันได้ก็ส่งเสริมสนับสนุนได้เหมือนที่รัฐบาลนี้กําลังทําในประเทศนี่แหละ ถ้าท่านไม่รวมกลุ่มกัน แตกแยกเป็นพวก เป็นกลุ่มเป็นหมู่ ผมเห็นมากมายไปหมด สนับสนุนอะไรไม่ได้เลย ท่านต้องรวมกันให้ได้ ในกิจกรรมเดียวกัน ต้องรักกัน แล้วก็สามัคคีกัน เราจะได้เสริมสร้างขีดความสามารถให้ได้ ในเรื่องของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้แก่กัน ในประเทศที่กําลังพัฒนาทั้งหมด ใครเก่งก็ให้ประเทศที่กําลังพัฒนาเขาเรียนรู้ เราต้องให้เขาดีขึ้นมาพร้อม ๆ กัน เป็นหน้าที่ของทุกรัฐบาล ทุกประเทศที่มีต่อประชาคมโลก เราต้องแสวงหา “ความเหมือนในความต่าง” ซึ่งจะเป็นพื้นฐานและโอกาสที่สําคัญในการสนับสนุนกันและกันในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เรามีตั้ง 167 เป้าหมาย ใน 15 ปีข้างหน้า แล้วก็มุ่งสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ทําให้ทุกคนมีความสุขร่วมกัน บนโลกใบนี้
เรื่องต่อไปเรื่องการลงทุนโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ทางบก น้ํา อากาศ การเชื่อมโยงกับโลกภายนอกนะครับ จําเป็นต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กัน ทั้งในประเทศ แล้วก็นอกประเทศด้วย อะไรที่เชื่อมโยงก็ต้องทํา เพราะเป็นการเตรียมการเพื่ออนาคต เป็นการสร้างแรงจูงใจ เป็นการส่งเสริมการ ลงทุน เราต้องดําเนินการเชิงรุกบ้าน การค้าขายจําเป็นต้องมีการเปิดตลาดใหม่ การเชื่อมโยงกับประชาคมโลกให้ได้ จะด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่ ต้องดําเนินการใหม่ทั้งสิ้นในปัจจุบัน รัฐบาลพยายามอย่างที่สุด ด้วยความระมัดระวัง ไม่ว่าจะเป็นโครงการตามนโยบาย หรือว่าการเมือง การต่างประเทศ เราจะต้องดําเนินการอย่างเป็นอิสระ กับมิตรประเทศ ทุกประเทศทีเป็นเพื่อนเรา ด้วยความสมดุล บนพื้นฐานความไว้เนื้อเชื่อใจ ลดความหวาดระแวง และผลประโยชน์ที่เท่าเทียม และทรัพยากรธรรมชาติที่เรามีอยู่อย่างจํากัด ให้เกิดความสมดุลนะครับ กับพ่อแม่พี่น้องด้วย
อย่าลืม อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสําคัญคือการศึกษา เป็นบ่อเกิดทุกอย่าง ความรู้ ความเข้าใจ ความคิดที่เป็นระบบนะครับ เพราะฉะนั้นทุกคนในประเทศนี้ ทั้ง 70 ล้านคน ถ้าเรายกระดับการศึกษาเหล่านี้ขึ้นมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นฐานขึ้นมา ทุกคนจะคิด มีหลักการ มีเหตุผล สามารถคิดขบวนการเชิงวิเคราะห์ได้ อะไรได้ เหล่านี้ ไม่ใช่ฟังมา แล้วก็เชื่อไปตามโน้น ตามนี้ ก็ทะเลาะกันอยู่แบบนี้ นี่แหละคือสิ่งที่จะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน แต่ก็ยากนะ ต้องใช้ทั้งเวลา ทั้งงบประมาณ ผมก็คาดหวังว่า 20 ปีข้างหน้า เราจะมีทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทยใหม่ที่ทันสมัย เพราะฉะนั้นก็อยู่ในการปฏิรูป 20 ปี ของเราตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งจบปริญญานะ ที่ทํางานได้ เราจะได้คนรุ่นใหม่ที่สามารถทํางานได้ ดํารงชีวิตอยู่ได้นะครับ ต่อไปในโลกใบนี้ในอนาคต 20 ปีข้างหน้า ไม่เช่นนั้นเราไม่พร้อมนะ ไม่เข้มแข็งเพียงพอ เพราะฉะนั้นเราต้องมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างทั่วถึง
ผมย้อนกลับไปว่า ทุกอย่างนี้ ในภูมิภาค ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวันออก ตะวันตก ต้องมีความสมบูรณ์ในตัวเอง ทั้งคน ทั้งพื้นที่ ทั้งอาชีพนะ การสาธารณูปโภค เรื่องอื่นๆ ทั้งหมด ต้องเข้มแข็งเป็นภูมิภาค เสร็จแล้วก็จะเชื่อมโยงภูมิภาคนี้ ต่อภูมิภาคโน้น ไม่ว่าจะการตลาด ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง เชื่อมต่อไปนอกประเทศ ถ้าคิดแบบนี้ก็เป็นยุทธศาสตร์ที่เดินไปข้างหน้าของทุกกระทรวง แล้วจะมีการพูดคุยถึงเรื่องงบประมาณว่าจะมาอย่างไร ทําไงจะใช้งบประมาณอย่างประหยัด ต้องบูรณาการร่วมกันในกิจกรรม หรืองานที่เป็นกลุ่มงานเดียวกันนะครับ ไม่เช่นนั้นทุกกระทรวงก็คิดงบประมาณมาแล้วไม่ต่อกัน ทุกคนก็ต่างคนต่างทําไป นี่ผมเจอปัญหานี้มาเกือบทั้งหมด
ผมอยากให้ช่วยกันพิจารณา ให้ความสําคัญด้วยกับการร่างรัฐธรรมนูญ การทําประชามติ การเลือกตั้ง ไม่มีใครเขาเจตนาที่จะทําให้เกิดความขัดแย้งหรือปัญหาถ้าไม่จําเป็น เขาก็ไม่อยากจะเขียนให้มันวุ่นวายไปหมด เราต้องดูปัญหาของเรา การที่จะผ่าน หรือไม่ผ่าน จะเกิดปัญหาต่อไป ก็ต้องช่วยกันแก้ไป ไม่อยากให้ทุกคนให้ขึ้นอยู่กับผมแต่เพียงคนเดียว ผมพยายามฟังท่านทั้งหมดอยู่แล้ว วันนี้เอาทุกท่านเข้ามา มาอยู่ในกระบวนการ รับฟัง อะไรทําได้ทํา อะไรทํายังไม่ได้ก็พอก่อน อยู่ในแผนปฏิรูป อะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้สามารถทําได้ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่ว่าช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี แล้วผมจะไปควบคุมใครเขาได้ 5 ปี ก็ผมไม่มีอํานาจแล้ว จะไปคุมอะไรเขาตรงไหนได้ หรือผมจะไปอยู่ตรงไหนที่จะคุมได้ ไม่มี เพราะเป็นประชาธิปไตย ที่มาจาการเลือกตั้ง ก็ต้องอยู่ในกลไก สภา อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ทําหน้าที่ของตัวเองไป เพียงแต่ว่า เราต้องได้ทุกคนที่มาช่วยกันคิด ช่วยกันทํา เข้าใจสถานการณ์วันนี้ก่อน แล้วปัจจุบัน อนาคตของโลกใบนี้ ทั้งอาเซียนด้วย อะไรด้วยจะทํายังไง
บทเฉพาะกาลที่ว่าทุกคนก็พยายามจะหาว่าสืบทอดอํานาจ ก็เขาเขียนไว้เพื่ออะไร กฎหมายลูกเขาเขียนไว้เพื่ออะไร เขาเขียนไว้เพื่อให้ทําได้ไง ถ้าทําไม่ได้ไม่มีประโยชน์ ทุกอย่างที่ผ่านมา 2 ปีกว่า ๆ ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้นเลย ล้มทั้งหมด แล้วผมถามว่า แล้วไม่สงสารคนจน คนที่ยากไร้ ผู้ประกอบการที่เขาถูกรังแก เขาพิจารณาในการแข่งขันโดยเสรี หมดเดือดร้อนหมด วันนี้พยายามทําให้ได้มากที่สุดยังมีปัญหาเลย หลายคนก็ได้บ้าง หลายคนก็ไม่ได้ แต่ผมถามว่าที่ผ่านมาไม่ได้เลยใช่ไหมเล่า วันนี้ผมทําให้บางส่วนได้ บางส่วนต้องคอยก่อน อะไรอย่างนี้ ก็ว่ากันไป รัฐบาลหน้าก็ต้องทําแบบนี้ จะได้นําไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง อย่าให้เขาบอกว่ารัฐบาลคิดดี แต่การนําสู่การปฏิบัติไม่ได้ ข้าราชการทําไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้ ผมให้กําลังใจข้าราชการทุกกระทรวง
ถ้าเราจะมองเรื่องประชาธิปไตยอย่างเดียว สิทธิเสรีภาพอย่างเดียว หรือเรื่องอํานาจการเข้าสู่อํานาจ การบังคับใช้กฎหมาย อะไรก็แล้วแต่ หลายคนพยายามจะพูดแบบนี้ แต่ผมไม่เห็นใครพูดออกมาเลยว่า เราจะทําให้ประชาชนทุกคนมีความสุขได้อย่างไร ลดความเหลื่อมล้ํา ให้ความเป็นธรรม เกิดความเท่าเทียมได้อย่างไร ผมไม่เห็นใครพูดแบบนี้เลย มีแต่ผมนี่พูด แล้วผมก็โดนตําหนิทุกวัน ผมถามว่าผิดหรือไม่ ผมพูดแล้วผมทําด้วย เพราะฉะนั้นทหาร พูดอะไรไปแล้วต้องทํา แต่มีช่องทางกลไกต่าง ๆ ก็ต้องไปหาช่องทางทํา เรื่องกฎหมาย ฝ่ายกฎหมายก็ทําไป เรื่องการที่จะบริหารประเทศ ก็มี สว. สส. ว่าไป เรื่องของอะไรที่มีปัญหาที่จะต้องไปสู่การขัดแย้งมาก ๆ ก็ต้องหยุดตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่ทุกอย่างปล่อยให้จนบานปลายไปหมด แล้วก็กลับมาแก้ไข แล้วท่านก็มาบอกว่าทําไมต้องปฏิวัติ ท่านย้อนกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นมาบ้างในช่วงที่ผ่านมา 80 กว่าปี ของประชาธิปไตยไทย
ผมอยากบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถ้าจะผ่านประชามติ ก็ต้องผ่านประชามติ เพราะความแตกต่าง เพราะทุกคนอยากมีการปฏิรูปทํานองนี้นะ ถ้าแบบเดิมก็ไม่ต้องไปเขียนให้เสียเวลา มีการเลือกตั้งที่สุจริต ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลมาบริหารประเทศ ระยะแรกเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันนะครับ มีการป้องกันและมีมาตรการแก้ไข ไม่ให้เกิดปัญหาทับซ้อนอย่างเดิมขึ้นมาอีก หรือปัญหาที่ทําให้เกิดมีวันนี้ ผมก็ไม่อยากให้มีอยู่แล้ว ทํายังไงจะให้เกิดการปฏิรูปอย่างแท้จริง
อย่าไปฟังคนที่สูญเสียอํานาจหรือคนที่มีความผิด ก็จะกล่าวอ้างเสมอ ผมอยากให้ผ่านด้วยประเด็นเหล่านี้ แต่ถ้าไม่ผ่านผมก็ไม่รู้จะทํายังไงเหมือนกัน เพราะทุกคนก็อยากเลือกตั้ง ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมไปบังคับท่านอีก หรือขู่ท่าน ไม่ใช่ จะผ่านหรือไม่ผ่านผมอยากให้ทุกคนใช้วิจารณญาณ ใช้เหตุใช้ผล ในการตัดสิน เพราะท่านเป็นคนลงคะแนน ลงประชามติหรือเลือกตั้งก็แล้วแต่ ท่าน 1 เสียง 1 คน นี่เขาเรียกว่าหลักการประชาธิปไตยขั้นต้น ทุกคนมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ มีสิทธิ์ในเรื่องประชาธิปไตย ออกไปทําประชามติ ออกไปเลือกตั้ง ไม่ใช่ออกไปเลือกครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งไม่ออก ให้กลุ่มนี้ กลุ่มนั้น ขัดแย้งกันไปทั้งหมด
ผมอยากให้ทุกคนออกไปทําประชามติ เลือกตั้ง จะออกผลมายังไง ก็ต้องช่วยกัน ผมว่าอย่ามาทะเลาะกันอีกต่อไปเลย เรื่องที่เราบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญนั้น ก็อยู่ในรัฐธรรมนูญของทุกประเทศอยู่แล้ว มีบางอย่างที่มีความแตกต่างก็พัฒนา และปฏิรูปอย่างยั่งยืนไง เพราะเรายังไม่เกิดตรงนั้น ซึ่งก็ต้องมีบ้าง เราไม่ได้ทําสิ่งที่เกิดในประเทศต่าง ๆ ที่มีการพัฒนาแล้วมาคิดดู แล้วอะไรที่เรายังแย่อยู่ อะไรที่เราต้องพัฒนา อะไรต้องปฏิรูป อะไรที่ต้องเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว นั่นคือสิ่งที่ต้องมารใส่ในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนขึ้น แล้วทํายังไงรัฐบาลจะทํา เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวกําหนดชี้วัดอนาคตให้กับประเทศไทย ลูกหลานไทยทุกคน ไม่ใช่ว่าตามนโยบายพรรค หาเสียงอย่าเดียว แล้วเป็นไงบ้างล่ะครับ วันนี้คนจนมีมากหรือไม่ เดือดร้อนมากหรือไม่ เข้มแข็งหรือไม่ ประเทศชาติ เศรษฐกิจเป็นยังไง รายได้ประเทศ ไม่ใช่เป็นเพราะผมเข้ามาบริหารแล้วถึงแย่ แย่มานานแล้วด้วยเผอิญโชคดีอยู่บ้าง ต่างประเทศหรือเศรษฐกิจโลกยังไม่ตกต่ําขนาดนี้
วันนี้ทุกประเทศตกหมด ไปดูได้ ผมไม่อยากจะบอกว่าเราตกน้อยกว่าเขา ยังไงก็ตก ก็ไม่ดี ผมพยายามทําให้ดี อย่างน้อยก็คงสภาพให้ได้ ก็ไปชดเชยตรงที่ตกด้วยอย่างอื่นเข้าไปแทน เช่น ราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา ก็ต้องแปรรูป ไปสู่การผลิต ไปจ้างงาน ไปหางานให้เขาทํา ต้องใช้มาตรการการเงินเข้าไปอีก ผมถามว่าใครคิดทําแบบนี้มาบ้าง ที่ผ่านมาไม่ได้คิด มาเป็นชิ้นหมด นี่สามารถจัดกลุ่มได้เลย อันไหนคือบรรเทาความเดือดร้อน อันไหนคือชั่วคราว อันนี้ระยะกลาง อันนี้ระยะยาว งบประมาณต้องใช้แบบนี้ ต้องไปด้วยกันทั้งหมด ไม่ใช่ใช้โครม ๆ หมดไป แล้วอนาคตอยู่ไหน ลงทุนอยู่ไหน ไม่เกิดสักอัน ติดไปหมด เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนเอาสิ่งที่ผมพูดนี่ ถ้าคิดว่าถูก เอาไปเป็นหลักในการพิจารณา แล้วตัดสินใจว่าท่านจะใช้คะแนนเสียงท่านอย่างไร
ให้มองใกล้ก่อนว่าการใช้สิทธิในระบอบประชาธิปไตย ก็คือทุกคนมีสิทธิเท่ากันทั้งหมด ผมก็มีสิทธิเท่ากับท่าน 1 เสียงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่ว่านี่ ไม่ใช่การเปลี่ยนผ่านเพื่อผมอยู่ในอํานาจ เป็นการเปลี่ยนผ่านสิ่งที่รัฐบาลนี้ คสช. กําลังทําไว้ให้ท่าน เขาเรียกว่าเปลี่ยนผ่าน นั่นคือรัฐบาลเป็นผู้ใช้อํานาจทางการบริหาร คนละเรื่องกัน เพราะฉะนั้นก็จะได้ต่อไป ถ้าเป็นไปได้ก็ไปเลือกตั้งผู้แทน ผมบอกแล้ว ตาม Road Map ของผมก็ตามนั้น ไม่ได้แล้วทําไง ทุกคนต้องช่วยกัน พิจารณาให้ถ่องแท้ แล้วเข้าใจกันบ้าง เหตุผล ความเป็นมา แล้วก็มาตรการลดความเสี่ยง เหล่านี้เป็นความท้าทายของคนไทยทุกคน ทําได้หรือไม่ได้ สําเร็จหรือไม่สําเร็จ ไม่ใช่ผมคนเดียว เป็นผลประโยชน์ของคนทั้งชาติ
อย่าให้มีการชี้นํา บิดเบือนในทางที่ผิด มีหลักการ เหตุผลที่ดีพอ ขจัดการซื้อเสียง ให้ได้โดยเด็ดขาด ให้ได้โดยเด็ดขาดจําไว้ และรังเกียจคนที่ซื้อสิทธิขายเสียง หรือทุจริต อย่าให้มีส่วนร่วมในการบริหารราชการแผ่นดิน ในรัฐบาลอีกต่อไป ด้วยวิธีการทางกฎหมายด้วย ตามสากลเขาว่ายังไงก็ตามนั้น แล้วให้ทุกคนรังเกียจหัวคะแนน ที่ไม่แก้ไข ไม่ปรับปรุงตัวเองยังคงเป็นหัวคะแนนอีกต่อไป ผมว่าใช้ไม่ได้ ทุกคนมีหน้าที่มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ครู อสม. ทั้งหมดทุกกระทรวง มีมวลชนจํานวนมาก ไม่ใช่หัวคะแนน ให้ไปดูแลประชาชน เข้าใจด้วย
จุดมุ่งหมายสุดท้ายของเรา ถ้าเราบริหาร ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี่ จะ 5 ปี อาจจะดีขึ้น ใน 1 ปีก็ดีแล้ว 2 ปีก็ดีแล้ว 3 ปี ก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น ถ้าเราตั้งไข่ไว้ได้แล้วนี่ พอรัฐบาลต่อไป ก็เป็น 5 ปีต่อไป ไม่มีใครเขามายุ่งกับท่านอยู่แล้ว ท่านทําให้ได้แล้วกัน เราก็จะได้เป็นประเทศไทยที่มีประชาธิปไตย ที่สง่างาม มีศักดิ์ศรี ประชาชนทุกคนมีความสุข ไม่มีความขัดแย้ง กลับสู่สังคมไทย ที่มีวัฒนธรรมอันดีงาม รักสามัคคีงดงาม เราจะปล่อยให้ประเทศชาติ ไปตกอยู่ในมือของผู้ที่ไม่หวังดี ไม่เคารพกฎหมายอีกต่อไป เราปล่อยปละละเลยกันมานานเกินพอแล้ว
สําหรับตลาดคลองผดุงกรุงเกษม วันที่ 5 – 27 มีนาคม นี้ เป็นเรื่องของการจัดงานในหัวข้อ เรื่อง “งานวิจัยขายได้” ภายใต้แนวคิดว่าเราจะ “ร้อยงานวิจัย สร้างไทยยั่งยืน” ได้อย่างไร เป็นการนําผลิตภัณฑ์ จากองค์ความรู้ การวิจัย และสิ่งประดิษฐ์ ที่รัฐบาลนี้กําลังขับเคลื่อนอยู่ทั้งหมด เก็บตกต่าง ๆ ทั้งหมด แล้วมาขับเคลื่อนสู่ภาคการผลิตให้ได้ มาจําหน่ายให้ได้ มาจัดการแสดงในงานนี้ มีอีกหลายอย่างมาก เพื่อยกระดับสินค้าในชุมชนให้สามารถทัดเทียมกับนานาประเทศ ไม่เก็บงานวิจัยขึ้นหิ้งไว้เฉย ๆ ไม่มีการต่อยอด เราจะต้องส่งเสริมให้มีการขยายผลในเชิงพาณิชย์ เช่น นักประดิษฐ์ – นักวิจัย – นักออกแบบ ไม่เช่นนั้นทุกคนก็ไม่มีกําลังใจหมด ไม่มีรายได้จากาการวิจัยเลย ประดิษฐ์ก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ แล้วเราก็ขาดแคลนคนเหล่านี้ เพราะว่าไม่มีรายได้ที่มากเพียงพอ ก็แค่ขอทุนไป ผลิตเสร็จก็เพิ่มวิทยฐานะเสร็จ จบแล้ว รัฐบาลจะเอาไปทําอะไรก็ไปทํา วันนี้ผมไปควักมาทุกวัน หลายพันรายการ หลายอย่างที่เรามีอะไรดี ๆ อยู่ ไม่ใช่ว่าจะต้องไปสร้างอะไรที่ไปแข่งกับประเทศอื่น ๆ ที่แพง ๆ ใหญ่ ๆ โตๆ ทันสมัยมากเกินไป สิ่งที่เราใช้ในประเทศทุกวัน ๆ ไปซื้อเขามาได้ยังไง เราต้องผลิตเอง ไม่ได้ยากอะไรเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมือทางการเกษตร ผมเห็นทําได้ตั้งมากมาย วันนี้ก็แก้ไขกฎระเบียบการใช้งบประมาณให้อุดหนุนได้แล้ว แต่ต้องผ่านมาตรฐานเท่านั้นเอง เร่งดําเนินการ เราได้มีการจัดให้ได้พบปะกับผู้ประกอบการ นักลงทุน ที่เรียกว่า การ “จับคู่” (Matching) สิ่งประดิษฐ์กับอุตสาหกรรม การถ่ายทอดองค์ความรู้ในกระบวนการวิจัย การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า – การแปรรูปผลิตภัณฑ์ การเพิ่มช่องทางการนําผลงานวิจัยไปสู่กระบวนการผลิตเชิงสังคม เชิงพาณิชย์ รวมไปถึงการพัฒนาวิชาชีพนักประดิษฐ์ไทย เป็นต้น รวมทั้งมีการแสดงผลงานวิจัยกลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม หัตถกรรม-งานฝีมือ เครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม รวมทั้งผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมและพลังงานทางเลือก ด้วยนะครับ เราผลิตเอง ใช้เองได้ก็ดีนะครับ แล้ววันหน้าจะได้ขยายไปต่างประเทศ จะได้มีรายได้เข้าประเทศ เราขายของ ขายพืชจากเกษตรกรรมอย่างเดียวคงไม่ไหว
ขอเชิญชวนพี่น้อง ประชาชนทุกคนมาช้อปปิ้ง ไม่ช้อปปิ้งก็ได้มาดูเฉยๆ จะได้รู้ ภูมิใจที่ประเทศไทยผลิตเอง แล้วเราจะได้ไม่ไปซื้อที่อื่นไงนะ ราคาก็ถูกกว่า อะไรถูกกว่า แล้วก็มีการรับประกัน มีการซ่อมอะไร ผมอยากให้ทกคนภูมิใจ ผมเห็นแล้วผมก็ภูมิใจว่านี่เป็นสิ่งที่ทุกคนได้ทําเอาไว้ แล้ววันนี้เราก็ส่งเสริมใหม่ให้มากขึ้น
ผมไปอเมริกาก็ไปเจอนักวิทยาศาสตร์ไทยที่นั่นทําบ้านอยู่เกี่ยวกับในเรื่องของสนับสนุนองค์การนาซ่าด้วย ได้ผลิตคิดค้นเสาอากาศไปที่ดาวอังคาร เขาก็ยินดีที่จะส่งเสริมการวิจัยในประเทศไทย พร้อมที่จะให้ความรู้ เอาวิชาความรู้ที่เขากําลังใช้อยู่ในต่างประเทศ เป็นอาชีพ รายได้ กลับมาพัฒนาสู่ประเทศไทย ผมได้ให้มีการเชื่อมต่อคณะกรรมการเราไปแล้วธุรกิจจากต่างประเทศ ก็ขอให้นักเรียน-นักศึกษา ช่วยมาดูด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาชีวะด้วยนะ เทคนิค เทคโน อะไรต่าง ๆ มาดูเพื่อจะได้เกิดแรงบันดาลใจ ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เราน่าจะทําได้ ทําไมเราต้องไปคิดเรื่องอื่น ๆ อยู่ไม่รู้ เสียเวลา จะได้เลิกใช้สมองไร้สาระ เพราะฉะนั้นจะต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง ทําประโยชน์ให้กับประเทศชาติ เกิดความภาคภูมิใจทุกคนเขาก็รักเรา ไม่ใช่เขาก็กลัวเรา กลัวนั่น กลัวนี่ กลัวทะเลาะกัน กลัวใช้อาวุธ กลัวอะไร ไม่ใช่แล้ว ก็เขารักเรา อาชีวะทุกโรงเรียนต้องให้คนรัก ทุกโรงเรียน รักทุกคน ท่านทะเลาะกันไปไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้นเลย ประเทศชาติเสียหาย พ่อแม่พี่น้องเสียใจ แล้วคนก็ไม่รักท่าน แล้วจะไปยังไงท่านเป็นพระเอกหรือไง สู้กัน ยิงกัน ตีกันแล้วชนะ แล้วได้อะไรขึ้นมา ไม่เห็นได้สักอย่าง วันหน้าท่านก็ต้องหนีต่อไป แล้วเขาก็แก้แค้น ผมบังคับใช้กฎหมายเต็มที่ ต่อไปนี้ อยากให้ท่านมาร่วมรับผิดชอบ ร่วมกันเดินหน้าขับเคลื่อน “ประชารัฐ” ของรัฐบาล
สุดท้ายนี้ช่วงปิดเทอมของลูก ๆ หลานๆ ผมอยากแนะนํากิจกรรมยามว่าง ให้กับลูกหลาน สําหรับพ่อแม่ – ผู้ปกครอง ได้พิจารณาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ จากประสบการณ์ ต่าง ๆ ที่เราจัดหาไว้ให้ ใช้สําหรับการศึกษานอกห้องเรียน จากพิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ โดยได้นําสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในคลังความรู้ประวัติศาสตร์ของชาตินั้น มาเป็นสิ่งที่ทําให้ทุกคนทําความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เราต้อง เรียนรู้อดีต เพื่อจะสร้างอนาคต เพราะอดีตคือปัจจุบัน แล้วก็คืออนาคต ผมเคยพูดหลายครั้งแล้ว เรามีการจัดค่ายกิจกรรม เยาวชนต่าง ๆ ก็ขอให้เสริม “ความรู้” โดยเฉพาะเรื่อง “สเต็มศึกษา” ไม่ใช่สเต็มเซลนะ สเต็มศึกษา ซึ่งจะเป็นกลไกการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต และ “คู่คุณธรรม” ได้แก่ ค่านิยมหลัก 12 ประการ และความรัก – ความศรัทธาความเชื่อมั่นในสถาบันหลักของประเทศ ได้แก่ ชาติ – ศาสนา – พระมหากษัตริย์นะครับ ให้กับลูกหลานของเราด้วย ขอให้ทุกคนภูมิใจ ช่วยกันปฏิรูปประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถึง 20 ปีข้างหน้า ผมก็จะมีส่วนร่วมกับท่านด้วยในฐานะเป็นประชาชนคนหนึ่งเท่านั้นเอง 1 เสียง ในการเป็นประชาธิปไตยไทย ในอนาคต
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความโปร่งใสการบริหารงานของสหกรณ์ชุมชนชายคลองบางบัว เขตบางเขน กทม. และให้รายงานผลภายใน 7 วัน
|
วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2560
รมว.พม. ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความโปร่งใสการบริหารงานของสหกรณ์ชุมชนชายคลองบางบัว เขตบางเขน กทม. และให้รายงานผลภายใน 7 วัน
รมว.พม. ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความโปร่งใสการบริหารงานของสหกรณ์ชุมชนชายคลองบางบัว เขตบางเขน กทม. และให้รายงานผลภายใน 7 วัน
วันนี้ (4 ก.ย. 60) เวลา 11.30 น. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯนายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เปิดเผยว่า จากกรณีชาวบ้านชุมชนชายคลองบางบัว เขตบางเขน กรุงเทพฯ เรียกร้องให้ประธานสหกรณ์ชุมชนชายคลองบางบัว ชี้แจงบัญชีเงินออมและค่าใช้จ่ายของชุมชนทั้งหมด ภายหลังพบข้อสงสัยว่า มีการทุจริตเงินออมสมทบของชาวชุมชน ที่จะนําไปค้ําประกันเงินกู้สร้างบ้านประชารัฐ ทําให้การดําเนินการสร้างบ้านล่าช้ากว่าปกติ โดยชาวชุมชนจะต้องออมเงินสมทบครอบครัวละ 19,000 บาท จึงจะสามารถกู้ได้ 370,000 บาท เนื่องจากกรมธนารักษ์ระบุว่า ชุมชนค้างค่าสาธารณูปโภคเป็นเงินกว่า 3,500,000 บาท และเงินในส่วนที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ สําหรับชาวชุมชน แต่ยังไม่ได้มีการนํามาใช้ อีกทั้งชาวชุมชนได้ตรวจสอบพบอีกว่า บัญชีเงินออมของชุมชนยังไม่อยู่ในระบบของธนาคาร แต่เป็นบัญชีขององค์กรการเงินชุมชน ซึ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีเงินอยู่จริง ทั้งนี้ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความเป็นธรรมและเร่งให้ความช่วยเหลือ นั้น พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้สั่งการให้ประธานบอร์ดสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความโปร่งใสการบริหารงานของคณะกรรมการสหกรณ์ชุมชนชายคลองบางบัว และรายงานผลภายใน 7 วัน
นายณรงค์กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ พอช. มีการรายงานข้อมูลเบื้องต้น ให้ รมว.พม. ทราบว่า สํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เข้าตรวจสอบกรณีดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทาง พอช. อยู่ระหว่างขอข้อมูลจาก สตง. เพื่อจะได้ตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง อีกทั้งอยู่ระหว่างตรวจสอบงบประมาณที่ พอช. ให้การสนับสนุนสหกรณ์ชุมชนดังกล่าว ซึ่งจะทราบผลภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ขอให้ชาวชุมชนชายคลองบางบัว ทราบว่า กระทรวง พม. โดย รมว.พม. ได้รับทราบข้อมูลเรื่องดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งการบริหารโครงการทุกโครงการของรัฐบาลได้ยึดหลักการมีส่วนร่วมตามหลักธรรมาภิบาลด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความโปร่งใสการบริหารงานของสหกรณ์ชุมชนชายคลองบางบัว เขตบางเขน กทม. และให้รายงานผลภายใน 7 วัน
วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2560
รมว.พม. ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความโปร่งใสการบริหารงานของสหกรณ์ชุมชนชายคลองบางบัว เขตบางเขน กทม. และให้รายงานผลภายใน 7 วัน
รมว.พม. ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความโปร่งใสการบริหารงานของสหกรณ์ชุมชนชายคลองบางบัว เขตบางเขน กทม. และให้รายงานผลภายใน 7 วัน
วันนี้ (4 ก.ย. 60) เวลา 11.30 น. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯนายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เปิดเผยว่า จากกรณีชาวบ้านชุมชนชายคลองบางบัว เขตบางเขน กรุงเทพฯ เรียกร้องให้ประธานสหกรณ์ชุมชนชายคลองบางบัว ชี้แจงบัญชีเงินออมและค่าใช้จ่ายของชุมชนทั้งหมด ภายหลังพบข้อสงสัยว่า มีการทุจริตเงินออมสมทบของชาวชุมชน ที่จะนําไปค้ําประกันเงินกู้สร้างบ้านประชารัฐ ทําให้การดําเนินการสร้างบ้านล่าช้ากว่าปกติ โดยชาวชุมชนจะต้องออมเงินสมทบครอบครัวละ 19,000 บาท จึงจะสามารถกู้ได้ 370,000 บาท เนื่องจากกรมธนารักษ์ระบุว่า ชุมชนค้างค่าสาธารณูปโภคเป็นเงินกว่า 3,500,000 บาท และเงินในส่วนที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ สําหรับชาวชุมชน แต่ยังไม่ได้มีการนํามาใช้ อีกทั้งชาวชุมชนได้ตรวจสอบพบอีกว่า บัญชีเงินออมของชุมชนยังไม่อยู่ในระบบของธนาคาร แต่เป็นบัญชีขององค์กรการเงินชุมชน ซึ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีเงินอยู่จริง ทั้งนี้ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความเป็นธรรมและเร่งให้ความช่วยเหลือ นั้น พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้สั่งการให้ประธานบอร์ดสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความโปร่งใสการบริหารงานของคณะกรรมการสหกรณ์ชุมชนชายคลองบางบัว และรายงานผลภายใน 7 วัน
นายณรงค์กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ พอช. มีการรายงานข้อมูลเบื้องต้น ให้ รมว.พม. ทราบว่า สํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เข้าตรวจสอบกรณีดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทาง พอช. อยู่ระหว่างขอข้อมูลจาก สตง. เพื่อจะได้ตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง อีกทั้งอยู่ระหว่างตรวจสอบงบประมาณที่ พอช. ให้การสนับสนุนสหกรณ์ชุมชนดังกล่าว ซึ่งจะทราบผลภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ขอให้ชาวชุมชนชายคลองบางบัว ทราบว่า กระทรวง พม. โดย รมว.พม. ได้รับทราบข้อมูลเรื่องดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งการบริหารโครงการทุกโครงการของรัฐบาลได้ยึดหลักการมีส่วนร่วมตามหลักธรรมาภิบาลด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6402
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาลปกครองกลางตัดสินให้สำนักงานสลากฯ จ่าย LGT น้อยกว่าที่ยื่นฟ้องหลายพันล้าน
|
วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน 2561
ศาลปกครองกลางตัดสินให้สํานักงานสลากฯ จ่าย LGT น้อยกว่าที่ยื่นฟ้องหลายพันล้าน
กรณีที่บริษัท ล็อกซ์เลย์ จีเทค เทคโนโลยี จํากัด ยื่นฟ้องสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2554 ข้อหาผิดสัญญา เรียกค่าเสียหาย โดยขอให้ศาลปกครองกลางชดใช้ค่าเสียหายจํานวน 3,167,387,768 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
วันนี้ (28 มิถุนายน 2561) เวลา 17.00 น. ที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นางตุ้มทอง มุสิกรัตน์ รองผู้อํานวยการรักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการ เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าว กรณีที่บริษัท ล็อกซ์เลย์ จีเทค เทคโนโลยี จํากัด ยื่นฟ้องสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2554 ข้อหาผิดสัญญา เรียกค่าเสียหาย โดยขอให้ศาลปกครองกลางชดใช้ค่าเสียหายจํานวน 3,167,387,768 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 6,204,627,642 บาท ต่อมา คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดปัจจุบัน และสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้นําเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงต่อศาลปกครองกลาง เพื่อปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของหน่วยงานภาครัฐและเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าว จะไม่ได้เกิดขึ้นในห้วงของคณะกรรมการสลากกินแบ่งฯ ชุดปัจจุบันก็ตาม จนกระทั่ง ศาลปกครองกลาง ได้มีคําพิพากษา ให้สํานักงานสลากฯ ชําระค่าเสียหายให้กับบริษัท ล็อกซ์เลย์ฯ จํานวนเงิน 945,649,656 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,442,115,725 บาท ซึ่งน้อยกว่าค่าเสียหายที่ทางบริษัทฯได้ยื่นฟ้องให้สํานักงานฯ ชดใช้
รองผู้อํานวยการ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อไปอีกว่า ในเบื้องต้น สํานักงานฯ รับทราบและขอขอบคุณคณะตุลาการศาลปกครองที่ได้พิพากษาในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบางประเด็น ซึ่งสํานักงานฯ จะอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ สัญญาจ้างบริการระบบเกมสลาก จัดทําขึ้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2548 ในสมัยรัฐบาลนายก ทักษิณ ต่อมา บริษัท ล็อกซ์เลย์ จีเทค เทคโนโลยี จํากัด ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2554 และศาลปกครองกลางได้มีคําพิพากษาดังกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาลปกครองกลางตัดสินให้สำนักงานสลากฯ จ่าย LGT น้อยกว่าที่ยื่นฟ้องหลายพันล้าน
วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน 2561
ศาลปกครองกลางตัดสินให้สํานักงานสลากฯ จ่าย LGT น้อยกว่าที่ยื่นฟ้องหลายพันล้าน
กรณีที่บริษัท ล็อกซ์เลย์ จีเทค เทคโนโลยี จํากัด ยื่นฟ้องสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2554 ข้อหาผิดสัญญา เรียกค่าเสียหาย โดยขอให้ศาลปกครองกลางชดใช้ค่าเสียหายจํานวน 3,167,387,768 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
วันนี้ (28 มิถุนายน 2561) เวลา 17.00 น. ที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นางตุ้มทอง มุสิกรัตน์ รองผู้อํานวยการรักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการ เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าว กรณีที่บริษัท ล็อกซ์เลย์ จีเทค เทคโนโลยี จํากัด ยื่นฟ้องสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2554 ข้อหาผิดสัญญา เรียกค่าเสียหาย โดยขอให้ศาลปกครองกลางชดใช้ค่าเสียหายจํานวน 3,167,387,768 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 6,204,627,642 บาท ต่อมา คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดปัจจุบัน และสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้นําเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงต่อศาลปกครองกลาง เพื่อปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของหน่วยงานภาครัฐและเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าว จะไม่ได้เกิดขึ้นในห้วงของคณะกรรมการสลากกินแบ่งฯ ชุดปัจจุบันก็ตาม จนกระทั่ง ศาลปกครองกลาง ได้มีคําพิพากษา ให้สํานักงานสลากฯ ชําระค่าเสียหายให้กับบริษัท ล็อกซ์เลย์ฯ จํานวนเงิน 945,649,656 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,442,115,725 บาท ซึ่งน้อยกว่าค่าเสียหายที่ทางบริษัทฯได้ยื่นฟ้องให้สํานักงานฯ ชดใช้
รองผู้อํานวยการ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อไปอีกว่า ในเบื้องต้น สํานักงานฯ รับทราบและขอขอบคุณคณะตุลาการศาลปกครองที่ได้พิพากษาในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบางประเด็น ซึ่งสํานักงานฯ จะอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ สัญญาจ้างบริการระบบเกมสลาก จัดทําขึ้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2548 ในสมัยรัฐบาลนายก ทักษิณ ต่อมา บริษัท ล็อกซ์เลย์ จีเทค เทคโนโลยี จํากัด ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2554 และศาลปกครองกลางได้มีคําพิพากษาดังกล่าว
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13485
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. เปิดตลาดนัดจตุจักร ร่วมมือ ธพว. ปั้นผู้ค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน ติดปีกเศรษฐีเงินล้าน เชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากต้นน้ำสร้างงานสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนทั่วประเทศ
|
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561
รฟท. เปิดตลาดนัดจตุจักร ร่วมมือ ธพว. ปั้นผู้ค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน ติดปีกเศรษฐีเงินล้าน เชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากต้นน้ําสร้างงานสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนทั่วประเทศ
SME Development Bank ร่วมกับ รฟท. จัดเปิดตัวกิจกรรม SME-D Scaleup เถ้าแก่ 4.0 ต่อยอดติดปีกธุรกิจเงินล้าน เพื่อสร้างโอกาสผู้ประกอบการเข้าสู่แหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ํานําไปต่อยอดธุรกิจเติบโต
วันนี้ (4 สิงหาคม 2561) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.หรือ SME Development Bank) ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดเปิดตัวกิจกรรม SME-D Scaleup เถ้าแก่ 4.0 ต่อยอดติดปีกธุรกิจเงินล้าน เพื่อสร้างโอกาสผู้ประกอบการเข้าสู่แหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ํานําไปต่อยอดธุรกิจเติบโต และส่งเสริมการตลาดพัฒนาศักยภาพรอบด้านปั้นยอดขายจากหลักล้านบาทสู่ล้านดอลล่าร์ต่อไป เป็นการต่อยอดทันทีจากพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ 18 หน่วยงานผนึกพลังขับเคลื่อนเอสเอ็มอีสู่ความเป็นเลิศ ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นประธานสักขีพยาน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า ตลาดนัดจตุจักรเป็นตลาดนัดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก และติดอันดับ1ใน7ตลาดที่ดีที่สุดของโลกที่มีเอกลักษณ์เรื่องราวในประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ เป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายที่ทั่วโลกปรารถนาจะมาเยือนและถูกยกให้เป็นสวรรค์ของนักช้อป ปัจจุบันตลาดนัดจตุจักร มีพื้นที่ครอบคลุม 70 ไร่ จํานวน 30 โครงการ ซึ่งมีร้านค้าประมาณ 10,000 ร้านค้าทั้ง สินค้าแฟชั่นเสื้อผ้ารองเท้า งานวินเทจ ของขวัญ ของฝาก ของตกแต่งบ้าน งานแฮนด์เมด งานแกะสลักไม้ อาหารคาวหวานที่สุดของรสชาติ ที่ต่างชาตินิยมมาช้อปปิ้ง เป็นต้น ดังนั้น ธพว. จึงเห็นเป็นโอกาสที่จะพัฒนาผู้ประกอบการผู้ค้าเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ ในพื้นที่จตุจักรยกระดับมาตรฐาน ทั้งด้านการตลาด การจัดการ ด้านการออกแบบดีไซน์ ให้มีความทันสมัยมีเรื่องราวและใช้เครื่องมือต่างๆ ยกระดับก้าวสู่ยุค 4.0 ให้มีการพัฒนาต่อยอดเติบโตยิ่งขึ้น ปั้นต้นแบบ(Model) ผู้ประกอบการจากยอดขายระดับหลักล้านบาท และก้าวเข้าสู่ระดับอินเตอร์หนึ่งล้านดอลล่าร์ด้วยเครื่องมือการพัฒนาหลากหลายรูปแบบ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ นําไปสู่การเติบโตที่ก้าวไกล
ทั้งนี้กิจกรรม SME-D Scaleup เถ้าแก่ 4.0 ธนาคารจะมีผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการศึกษา เช่น ศูนย์ Knowledge Exchange for Innovation (KX) ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรีที่เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนํา ระดับประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์ Ecosystem ให้ความรู้และสนับสนุนเครือข่ายช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและยกระดับสตาร์ทอัพเชื่อมโยงเครือข่ายภาครัฐภาคอุตสาหกรรมและพันธมิตร นําความรู้นวัตกรรมและเทคโนโลยีมาก่อเกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยรวบรวมคณาจารย์ที่รอบรู้ทั้งด้านการออกแบบงานดีไซน์และเครื่องมือปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ที่จะมาให้คําปรึกษาแนะนําผู้ประกอบการแบบโค้ชชิ่งต่อธุรกิจ นอกจากนี้ ธพว.จะช่วยส่งเสริมการตลาดให้ผู้ค้าขายเข้าสู่โลกอีคอมเมิร์ช ผ่านแอพพิเคชั่นชั้นนํา เช่น Shopee และ HKTDC ของฮ่องกง ที่จะทําให้พบผู้ค้าจากทั่วโลกสามารถจับคู่ธุรกิจ ขยายตลาดเติบโตต่อไป รวมถึงธนาคารยังมีแพลตฟอร์ม SME-D Bank ที่รวบรวมแอพพลิเคชั่นด้านจัดการบัญชี ด้านการตลาด ด้านการบริหารสินค้าคงคลัง ระบบขนส่ง และการบริหารบุคคล การเขียนแผนธุรกิจ ให้บริการแก่ผู้ประกอบการผู้ค้าในตลาดนัดจตุจักรสามารถเลือกทดลองใช้ได้ฟรีตามความต้องการของแต่ละกิจการด้วย
กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวอีกว่า นอกจากการพัฒนาผู้ประกอบการผู้ค้าตลาดนัดจตุจักรให้เติบโตแล้ว ธนาคารยังให้เงินลงทุนเพื่อใช้ในการขยายปรับปรุงกิจการหรือหมุนเวียนในธุรกิจอีกด้วย โดยมีสินเชื่อถูกพิเศษ สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 7 ปีสําหรับนิติบุคคล เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยผู้ค้าในตลาดนัดจตุจักรเข้าถึงแหล่งเงินทุนเอื้อประโยชน์ในการทําธุรกิจโดยเป็นสินเชื่อปลอดการชําระเงินต้นเป็นเวลานานถึง 3 ปี ชําระแค่ดอกเบี้ยอย่างเดียวเท่านั้น คิดเฉลี่ยผ่อนเพียงละ 410 บาทต่อวัน นอกจากนี้ยังมีสินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว สําหรับกลุ่มบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรแปรรูป ธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนและเชื่อมโยงต่อเนื่อง รวมทั้งผู้ประกอบการใหม่มีนวัตกรรม คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 3% คงที่ 3 ปีแรก ผ่อนนาน 7 ปี โดยกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนเพียง 460 บาทต่อวัน เป็นต้น
“ผมเชื่อมั่นว่าโครงการนี้นอกจากจะช่วยผู้ค้าในจตุจักร ติดอาวุธทางปัญญาพร้อมเงินลงทุนผลักธุรกิจเติบโตยิ่งขึ้นแล้ว ยังส่งผลดีเชื่อมโยงไปถึงเศรษฐกิจฐานรากที่เป็นต้นน้ําในการผลิตผลิตภัณฑ์ชุมชนของผู้ค้าในจตุจักรแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศช่วยสร้างงานสร้างรายได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยภาพรวมต่อไปด้วย”
นอกจากนี้ภายในงาน ธนาคารมีกิจกรรมส่งเสริมผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ําอัตราพิเศษ โดยมอบป้ายสินเชื่อผู้ประกอบการที่ได้รับการสนับสนุนรวมทั้งสิ้นถึง 14 ราย ในกลุ่มสินค้าเซรามิก ผลิตภัณฑ์และของตกแต่งบ้าน กระเป๋าผลิตภัณฑ์ผ้า ผ้ามัดย้อม สินค้าแฟชั่น เครื่องประดับ สินค้าพื้นเมือง ตลอดจนผลิตภัณฑ์ของตกแต่งจากไม้ เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. เปิดตลาดนัดจตุจักร ร่วมมือ ธพว. ปั้นผู้ค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน ติดปีกเศรษฐีเงินล้าน เชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากต้นน้ำสร้างงานสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561
รฟท. เปิดตลาดนัดจตุจักร ร่วมมือ ธพว. ปั้นผู้ค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน ติดปีกเศรษฐีเงินล้าน เชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากต้นน้ําสร้างงานสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนทั่วประเทศ
SME Development Bank ร่วมกับ รฟท. จัดเปิดตัวกิจกรรม SME-D Scaleup เถ้าแก่ 4.0 ต่อยอดติดปีกธุรกิจเงินล้าน เพื่อสร้างโอกาสผู้ประกอบการเข้าสู่แหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ํานําไปต่อยอดธุรกิจเติบโต
วันนี้ (4 สิงหาคม 2561) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.หรือ SME Development Bank) ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดเปิดตัวกิจกรรม SME-D Scaleup เถ้าแก่ 4.0 ต่อยอดติดปีกธุรกิจเงินล้าน เพื่อสร้างโอกาสผู้ประกอบการเข้าสู่แหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ํานําไปต่อยอดธุรกิจเติบโต และส่งเสริมการตลาดพัฒนาศักยภาพรอบด้านปั้นยอดขายจากหลักล้านบาทสู่ล้านดอลล่าร์ต่อไป เป็นการต่อยอดทันทีจากพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ 18 หน่วยงานผนึกพลังขับเคลื่อนเอสเอ็มอีสู่ความเป็นเลิศ ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นประธานสักขีพยาน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า ตลาดนัดจตุจักรเป็นตลาดนัดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก และติดอันดับ1ใน7ตลาดที่ดีที่สุดของโลกที่มีเอกลักษณ์เรื่องราวในประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ เป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายที่ทั่วโลกปรารถนาจะมาเยือนและถูกยกให้เป็นสวรรค์ของนักช้อป ปัจจุบันตลาดนัดจตุจักร มีพื้นที่ครอบคลุม 70 ไร่ จํานวน 30 โครงการ ซึ่งมีร้านค้าประมาณ 10,000 ร้านค้าทั้ง สินค้าแฟชั่นเสื้อผ้ารองเท้า งานวินเทจ ของขวัญ ของฝาก ของตกแต่งบ้าน งานแฮนด์เมด งานแกะสลักไม้ อาหารคาวหวานที่สุดของรสชาติ ที่ต่างชาตินิยมมาช้อปปิ้ง เป็นต้น ดังนั้น ธพว. จึงเห็นเป็นโอกาสที่จะพัฒนาผู้ประกอบการผู้ค้าเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ ในพื้นที่จตุจักรยกระดับมาตรฐาน ทั้งด้านการตลาด การจัดการ ด้านการออกแบบดีไซน์ ให้มีความทันสมัยมีเรื่องราวและใช้เครื่องมือต่างๆ ยกระดับก้าวสู่ยุค 4.0 ให้มีการพัฒนาต่อยอดเติบโตยิ่งขึ้น ปั้นต้นแบบ(Model) ผู้ประกอบการจากยอดขายระดับหลักล้านบาท และก้าวเข้าสู่ระดับอินเตอร์หนึ่งล้านดอลล่าร์ด้วยเครื่องมือการพัฒนาหลากหลายรูปแบบ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ นําไปสู่การเติบโตที่ก้าวไกล
ทั้งนี้กิจกรรม SME-D Scaleup เถ้าแก่ 4.0 ธนาคารจะมีผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการศึกษา เช่น ศูนย์ Knowledge Exchange for Innovation (KX) ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรีที่เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนํา ระดับประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์ Ecosystem ให้ความรู้และสนับสนุนเครือข่ายช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและยกระดับสตาร์ทอัพเชื่อมโยงเครือข่ายภาครัฐภาคอุตสาหกรรมและพันธมิตร นําความรู้นวัตกรรมและเทคโนโลยีมาก่อเกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยรวบรวมคณาจารย์ที่รอบรู้ทั้งด้านการออกแบบงานดีไซน์และเครื่องมือปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ที่จะมาให้คําปรึกษาแนะนําผู้ประกอบการแบบโค้ชชิ่งต่อธุรกิจ นอกจากนี้ ธพว.จะช่วยส่งเสริมการตลาดให้ผู้ค้าขายเข้าสู่โลกอีคอมเมิร์ช ผ่านแอพพิเคชั่นชั้นนํา เช่น Shopee และ HKTDC ของฮ่องกง ที่จะทําให้พบผู้ค้าจากทั่วโลกสามารถจับคู่ธุรกิจ ขยายตลาดเติบโตต่อไป รวมถึงธนาคารยังมีแพลตฟอร์ม SME-D Bank ที่รวบรวมแอพพลิเคชั่นด้านจัดการบัญชี ด้านการตลาด ด้านการบริหารสินค้าคงคลัง ระบบขนส่ง และการบริหารบุคคล การเขียนแผนธุรกิจ ให้บริการแก่ผู้ประกอบการผู้ค้าในตลาดนัดจตุจักรสามารถเลือกทดลองใช้ได้ฟรีตามความต้องการของแต่ละกิจการด้วย
กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวอีกว่า นอกจากการพัฒนาผู้ประกอบการผู้ค้าตลาดนัดจตุจักรให้เติบโตแล้ว ธนาคารยังให้เงินลงทุนเพื่อใช้ในการขยายปรับปรุงกิจการหรือหมุนเวียนในธุรกิจอีกด้วย โดยมีสินเชื่อถูกพิเศษ สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 7 ปีสําหรับนิติบุคคล เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยผู้ค้าในตลาดนัดจตุจักรเข้าถึงแหล่งเงินทุนเอื้อประโยชน์ในการทําธุรกิจโดยเป็นสินเชื่อปลอดการชําระเงินต้นเป็นเวลานานถึง 3 ปี ชําระแค่ดอกเบี้ยอย่างเดียวเท่านั้น คิดเฉลี่ยผ่อนเพียงละ 410 บาทต่อวัน นอกจากนี้ยังมีสินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว สําหรับกลุ่มบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรแปรรูป ธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนและเชื่อมโยงต่อเนื่อง รวมทั้งผู้ประกอบการใหม่มีนวัตกรรม คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 3% คงที่ 3 ปีแรก ผ่อนนาน 7 ปี โดยกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนเพียง 460 บาทต่อวัน เป็นต้น
“ผมเชื่อมั่นว่าโครงการนี้นอกจากจะช่วยผู้ค้าในจตุจักร ติดอาวุธทางปัญญาพร้อมเงินลงทุนผลักธุรกิจเติบโตยิ่งขึ้นแล้ว ยังส่งผลดีเชื่อมโยงไปถึงเศรษฐกิจฐานรากที่เป็นต้นน้ําในการผลิตผลิตภัณฑ์ชุมชนของผู้ค้าในจตุจักรแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศช่วยสร้างงานสร้างรายได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยภาพรวมต่อไปด้วย”
นอกจากนี้ภายในงาน ธนาคารมีกิจกรรมส่งเสริมผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ําอัตราพิเศษ โดยมอบป้ายสินเชื่อผู้ประกอบการที่ได้รับการสนับสนุนรวมทั้งสิ้นถึง 14 ราย ในกลุ่มสินค้าเซรามิก ผลิตภัณฑ์และของตกแต่งบ้าน กระเป๋าผลิตภัณฑ์ผ้า ผ้ามัดย้อม สินค้าแฟชั่น เครื่องประดับ สินค้าพื้นเมือง ตลอดจนผลิตภัณฑ์ของตกแต่งจากไม้ เป็นต้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14367
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่ายเตรียมความพร้อมคนทุกวัย ร่วมขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ สังคมผู้สูงอายุ
|
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
พม. จับมือภาคีเครือข่ายเตรียมความพร้อมคนทุกวัย ร่วมขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ สังคมผู้สูงอายุ
พม. จับมือภาคีเครือข่ายเตรียมความพร้อมคนทุกวัย ร่วมขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ สังคมผู้สูงอายุ
วันนี้ (10 ส.ค. 63) เวลา 11.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน เตรียมความพร้อมคนทุกวัย ร่วมสร้างสังคมไทย สูงวัยอย่างมีพฤฒิพลัง ภายใต้วิสัยทัศน์ ก้าวสู่วิถีปรกติใหม่ในสังคมสูงวัย : Step Forward to New Normal Life for Aged Society โดยมีวัตถุประสงค์เพี่อเป็นการสร้างความรับรู้ให้กับคนทุกวัยได้ตระหนักถึงความสําคัญในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และเป็นการแสดงพลังความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการบูรณาการขับเคลื่อนงานผู้สูงอายุตามระเบียบวาระแห่งชาติ ณ ห้องราชาบอลรูม โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพมหานคร
นายจุติ กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการเตรียมความพร้อมการเข้าสู่สังคมสูงอายุของประเทศไทย โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2561 ประกาศให้ประเด็นเรื่อง สังคมสูงอายุ เป็นระเบียบวาระแห่งชาติ พร้อมมอบหมาย 6 กระทรวงร่วมกันขับเคลื่อนงาน ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ภายใต้มาตรการหลัก การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนทุกวัย (6 Sustainable) ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 สร้างระบบคุ้มครองและสวัสดิการผู้สูงอายุ มาตรการที่ 2 ส่งเสริมการมีงานทําและมีรายได้ของผู้สูงอายุ มาตรการที่ 3 ระบบสุขภาพเพื่อรองรับสังคมสูงอายุ มาตรการที่ 4 ปรับสภาพแวดล้อมชุมชนและบ้านให้ปลอดภัยกับผู้สูงอายุ มาตรการที่ 5 ธนาคารเวลา สําหรับการดูแลผู้สูงอายุของประเทศไทย และมาตรการที่ 6 การสร้างความรอบรู้ให้คนรุ่นใหม่เตรียมความพร้อมในทุกมิติ และมาตรการหลัก การยกระดับขีดความสามารถ สู่การบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 (4 Change) ประกอบด้วย 1) การยกระดับความร่วมมือเสริมพลังสังคมสูงอายุ 2) การปรับเปลี่ยนกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติ ข้อบังคับให้เอื้อต่อการทํางานด้านผู้สูงอายุ 3) การปฏิรูประบบข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพ และ 4) การพลิกโฉมนวัตกรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคมสูงอายุ
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า การจัดงานวันนี้ เป็นการสร้างความรับรู้ให้กับคนทุกวัยได้ตระหนักถึงความสําคัญในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และเป็นการแสดงพลังความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการบูรณาการขับเคลื่อนงานผู้สูงอายุ ตลอดจนเพื่อเป็นการนําเสนอความก้าวหน้าในการดําเนินงานและทิศทางการขับเคลื่อนตามประเด็นระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุในอนาคต เพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างมีคุณภาพ และให้ผู้สูงอายุไทยคงความเป็น พฤฒิพลัง หรือ Active Ageing ในยุค New Normal โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย การบรรยายพิเศษในหัวข้อ ประเด็นท้าทาย การเตรียมความพร้อมของคนไทย สู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ โดย รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง การเสวนาเรื่อง เตรียมตัวอย่างไรเป็นผู้สูงวัยมีคุณภาพ การแสดงชุดพิเศษจาก นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจําปี 2563 และศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ปี 2536 และนายธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล) ประจําปี 2539 รวมถึงการนําแสดงผลงานภาพรวมการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ และนิทรรศการให้ความรู้ในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุจากภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมจํานวนกว่า 21 บูธ
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเตรียมความพร้อมของคนไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุ ทั้งมิติด้านคุณภาพ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมนั้น เราต้องให้ผู้สูงอายุ ในทุกภาคส่วนของสังคมมีความสุขและทํางานเป็นประโยชน์ได้ ซึ่งวันนี้โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยไม่เอื้ออํานวยให้คนสูงวัย เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะยากจนก่อนสูงวัย ฉะนั้น จึงจําเป็นต้องมีการปรับหลายเรื่อง เพื่อไม่ให้มีปัญหาในอนาคต ประกอบกับผลกระทบที่เกิดจากโรคโควิด-19 ได้ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของโครงสร้างเศรษฐกิจ และความวิกฤติของโครงสร้างของหลักประกันสังคมที่ต้องระมัดระวังและเตรียมการอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ เรามีพันธมิตรร่วมกันทั้ง 6 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวง พม. กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุดมศึกษา และกระทรวงมหาดไทย รวมถึงกระทรวงการคลังและสํานักนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีได้บูรณาการทรัพยากรทั้งหมด เพื่อรองรับสังคมสูงอายุ ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เข้าสู่สังคมสูงอายุ และได้เริ่มเห็นปัญหาว่า ผู้สูงอายุที่ไม่มีความพร้อมและประสบปัญหาทางเศรษฐกิจจะถูกทอดทิ้ง โดยกระทรวง พม.ได้เดินเข้าหาและเยียวยากลุ่มเป้าหมาย แต่เราได้วางแผนไว้ทั้งหมด แต่จําเป็นต้องออกกฎหมายเป็นพระราชบัญญัติให้ปฏิบัติตามแผน เพื่อดูแลสังคมสูงอายุให้มีความพร้อม ขณะนี้ เรื่องดังกล่าวกําลังเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อรับเป็นหลักการ ในขณะเดียวกัน ทุกองค์กรและทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วยกัน ซึ่ง ตนเชื่อว่าการที่มีกฎหมายจะเป็นหลักการที่ดีที่สุดของสังคมสูงอายุที่จะสามารถเข้าถึงความเท่าเทียมและเป็นธรรมของสังคม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่ายเตรียมความพร้อมคนทุกวัย ร่วมขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ สังคมผู้สูงอายุ
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
พม. จับมือภาคีเครือข่ายเตรียมความพร้อมคนทุกวัย ร่วมขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ สังคมผู้สูงอายุ
พม. จับมือภาคีเครือข่ายเตรียมความพร้อมคนทุกวัย ร่วมขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ สังคมผู้สูงอายุ
วันนี้ (10 ส.ค. 63) เวลา 11.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน เตรียมความพร้อมคนทุกวัย ร่วมสร้างสังคมไทย สูงวัยอย่างมีพฤฒิพลัง ภายใต้วิสัยทัศน์ ก้าวสู่วิถีปรกติใหม่ในสังคมสูงวัย : Step Forward to New Normal Life for Aged Society โดยมีวัตถุประสงค์เพี่อเป็นการสร้างความรับรู้ให้กับคนทุกวัยได้ตระหนักถึงความสําคัญในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และเป็นการแสดงพลังความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการบูรณาการขับเคลื่อนงานผู้สูงอายุตามระเบียบวาระแห่งชาติ ณ ห้องราชาบอลรูม โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพมหานคร
นายจุติ กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการเตรียมความพร้อมการเข้าสู่สังคมสูงอายุของประเทศไทย โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2561 ประกาศให้ประเด็นเรื่อง สังคมสูงอายุ เป็นระเบียบวาระแห่งชาติ พร้อมมอบหมาย 6 กระทรวงร่วมกันขับเคลื่อนงาน ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ภายใต้มาตรการหลัก การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนทุกวัย (6 Sustainable) ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 สร้างระบบคุ้มครองและสวัสดิการผู้สูงอายุ มาตรการที่ 2 ส่งเสริมการมีงานทําและมีรายได้ของผู้สูงอายุ มาตรการที่ 3 ระบบสุขภาพเพื่อรองรับสังคมสูงอายุ มาตรการที่ 4 ปรับสภาพแวดล้อมชุมชนและบ้านให้ปลอดภัยกับผู้สูงอายุ มาตรการที่ 5 ธนาคารเวลา สําหรับการดูแลผู้สูงอายุของประเทศไทย และมาตรการที่ 6 การสร้างความรอบรู้ให้คนรุ่นใหม่เตรียมความพร้อมในทุกมิติ และมาตรการหลัก การยกระดับขีดความสามารถ สู่การบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 (4 Change) ประกอบด้วย 1) การยกระดับความร่วมมือเสริมพลังสังคมสูงอายุ 2) การปรับเปลี่ยนกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติ ข้อบังคับให้เอื้อต่อการทํางานด้านผู้สูงอายุ 3) การปฏิรูประบบข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพ และ 4) การพลิกโฉมนวัตกรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคมสูงอายุ
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า การจัดงานวันนี้ เป็นการสร้างความรับรู้ให้กับคนทุกวัยได้ตระหนักถึงความสําคัญในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และเป็นการแสดงพลังความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการบูรณาการขับเคลื่อนงานผู้สูงอายุ ตลอดจนเพื่อเป็นการนําเสนอความก้าวหน้าในการดําเนินงานและทิศทางการขับเคลื่อนตามประเด็นระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุในอนาคต เพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างมีคุณภาพ และให้ผู้สูงอายุไทยคงความเป็น พฤฒิพลัง หรือ Active Ageing ในยุค New Normal โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย การบรรยายพิเศษในหัวข้อ ประเด็นท้าทาย การเตรียมความพร้อมของคนไทย สู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ โดย รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง การเสวนาเรื่อง เตรียมตัวอย่างไรเป็นผู้สูงวัยมีคุณภาพ การแสดงชุดพิเศษจาก นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจําปี 2563 และศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ปี 2536 และนายธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล) ประจําปี 2539 รวมถึงการนําแสดงผลงานภาพรวมการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ และนิทรรศการให้ความรู้ในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุจากภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมจํานวนกว่า 21 บูธ
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเตรียมความพร้อมของคนไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุ ทั้งมิติด้านคุณภาพ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมนั้น เราต้องให้ผู้สูงอายุ ในทุกภาคส่วนของสังคมมีความสุขและทํางานเป็นประโยชน์ได้ ซึ่งวันนี้โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยไม่เอื้ออํานวยให้คนสูงวัย เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะยากจนก่อนสูงวัย ฉะนั้น จึงจําเป็นต้องมีการปรับหลายเรื่อง เพื่อไม่ให้มีปัญหาในอนาคต ประกอบกับผลกระทบที่เกิดจากโรคโควิด-19 ได้ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของโครงสร้างเศรษฐกิจ และความวิกฤติของโครงสร้างของหลักประกันสังคมที่ต้องระมัดระวังและเตรียมการอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ เรามีพันธมิตรร่วมกันทั้ง 6 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวง พม. กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุดมศึกษา และกระทรวงมหาดไทย รวมถึงกระทรวงการคลังและสํานักนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีได้บูรณาการทรัพยากรทั้งหมด เพื่อรองรับสังคมสูงอายุ ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เข้าสู่สังคมสูงอายุ และได้เริ่มเห็นปัญหาว่า ผู้สูงอายุที่ไม่มีความพร้อมและประสบปัญหาทางเศรษฐกิจจะถูกทอดทิ้ง โดยกระทรวง พม.ได้เดินเข้าหาและเยียวยากลุ่มเป้าหมาย แต่เราได้วางแผนไว้ทั้งหมด แต่จําเป็นต้องออกกฎหมายเป็นพระราชบัญญัติให้ปฏิบัติตามแผน เพื่อดูแลสังคมสูงอายุให้มีความพร้อม ขณะนี้ เรื่องดังกล่าวกําลังเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อรับเป็นหลักการ ในขณะเดียวกัน ทุกองค์กรและทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วยกัน ซึ่ง ตนเชื่อว่าการที่มีกฎหมายจะเป็นหลักการที่ดีที่สุดของสังคมสูงอายุที่จะสามารถเข้าถึงความเท่าเทียมและเป็นธรรมของสังคม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34109
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย จัดกิจกรรมทำบุญตักบาตรต้อนรับปีพุทธศักราช 2562
|
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
กระทรวงมหาดไทย จัดกิจกรรมทําบุญตักบาตรต้อนรับปีพุทธศักราช 2562
กระทรวงมหาดไทย จัดกิจกรรมทําบุญตักบาตรต้อนรับปีพุทธศักราช 2562
เมื่อวันที่่ 1 ม.ค. 62 เวลา 06.00 น. ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นําคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ข้าราชการ และบุคลากร ร่วมถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์และสามเณรวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม จํานวน 55 รูป
จากนั้น ในเวลา 07.00 น. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นําคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ บุคลากร และพุทธศาสนิกชนกว่า 500 คน ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จํานวน 55 รูป โดยมี พระพรหมมุนี เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช นําคณะสงฆ์และสามเณรรับบิณฑบาต เนื่องในกิจกรรม
“ทําบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วโลก” ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พุทธศักราช 2562 เพื่อความเป็นสิริมงคลในโอกาสต้อนรับปีพุทธศักราช 2562 และเป็นการส่งเสริมให้ ประชาชนลด ละ เลิก อบายมุข รวมทั้งเป็นการทํากิจกรรมร่วมกันของสมาชิกในครอบครัว
การทําบุญตักบาตร เป็นกิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยยึดถือปฏิบัติกันในวันขึ้นปีใหม่เป็นประจําทุกปี
โดยมีความเชื่อกันว่า เป็นการทําบุญเริ่มต้นชีวิตในปีใหม่ อันจะนํามาซึ่งความเป็นสิริมงคลต่อตนเองและครอบครัว และในวันขึ้นปีใหม่ จะเป็นวันที่มีการคิดถึงสิ่งดีๆ ทําสิ่งดีๆ หรือแม้แต่ห้ามพูดจาหยาบคาย หรือด่าทอกันในวันนี้ด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย จัดกิจกรรมทำบุญตักบาตรต้อนรับปีพุทธศักราช 2562
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
กระทรวงมหาดไทย จัดกิจกรรมทําบุญตักบาตรต้อนรับปีพุทธศักราช 2562
กระทรวงมหาดไทย จัดกิจกรรมทําบุญตักบาตรต้อนรับปีพุทธศักราช 2562
เมื่อวันที่่ 1 ม.ค. 62 เวลา 06.00 น. ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นําคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ข้าราชการ และบุคลากร ร่วมถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์และสามเณรวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม จํานวน 55 รูป
จากนั้น ในเวลา 07.00 น. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นําคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ บุคลากร และพุทธศาสนิกชนกว่า 500 คน ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จํานวน 55 รูป โดยมี พระพรหมมุนี เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช นําคณะสงฆ์และสามเณรรับบิณฑบาต เนื่องในกิจกรรม
“ทําบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วโลก” ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พุทธศักราช 2562 เพื่อความเป็นสิริมงคลในโอกาสต้อนรับปีพุทธศักราช 2562 และเป็นการส่งเสริมให้ ประชาชนลด ละ เลิก อบายมุข รวมทั้งเป็นการทํากิจกรรมร่วมกันของสมาชิกในครอบครัว
การทําบุญตักบาตร เป็นกิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยยึดถือปฏิบัติกันในวันขึ้นปีใหม่เป็นประจําทุกปี
โดยมีความเชื่อกันว่า เป็นการทําบุญเริ่มต้นชีวิตในปีใหม่ อันจะนํามาซึ่งความเป็นสิริมงคลต่อตนเองและครอบครัว และในวันขึ้นปีใหม่ จะเป็นวันที่มีการคิดถึงสิ่งดีๆ ทําสิ่งดีๆ หรือแม้แต่ห้ามพูดจาหยาบคาย หรือด่าทอกันในวันนี้ด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17870
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทาง กรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
|
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทาง กรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุสําหรับป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยหน่วยงานของรัฐสามารถใช้วงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้งเป็นราคากลาง เพื่อให้ได้พัสดุนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด
กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุสําหรับป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยหน่วยงานของรัฐสามารถใช้วงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้งเป็นราคากลาง เพื่อให้ได้พัสดุนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด ทันต่อการใช้ประโยชน์เป็นสําคัญ โดยให้หน่วยงานของรัฐประกาศเผยแพร่เอกสารต่าง ๆ ตามวิธีการที่กรมบัญชีกลางกําหนดให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน นับถัดจากวันที่มีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้ออกแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดหาพัสดุ สําหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง ในแต่ละครั้งทุกวงเงิน ถือเป็นกรณีจําเป็นเร่งด่วน จึงสามารถดําเนินการซื้อหรือจ้างไปก่อนได้ แล้วรีบรายงานขอความเห็นชอบต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว
“เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ สําหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในส่วนของการอ้างอิงราคากลาง หน่วยงานของรัฐสามารถใช้วงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้งเป็นราคากลาง ทั้งนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์ตามนัยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เพื่อให้ได้พัสดุนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด ทันต่อการใช้ประโยชน์เป็นสําคัญ และอาศัยอํานาจตามมาตรา 63 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง และมาตรา 98 จึงกําหนดแนวทางให้หน่วยงานของรัฐประกาศเผยแพร่การดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ตามที่กรมบัญชีกลางกําหนด และการประกาศดังกล่าว ให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับถัดจากวันที่มีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน และอัพโหลดข้อมูลทางระบบ e-GP ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0405.2/ว 62 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 โดยอนุโลม” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทาง กรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทาง กรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุสําหรับป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยหน่วยงานของรัฐสามารถใช้วงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้งเป็นราคากลาง เพื่อให้ได้พัสดุนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด
กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุสําหรับป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยหน่วยงานของรัฐสามารถใช้วงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้งเป็นราคากลาง เพื่อให้ได้พัสดุนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด ทันต่อการใช้ประโยชน์เป็นสําคัญ โดยให้หน่วยงานของรัฐประกาศเผยแพร่เอกสารต่าง ๆ ตามวิธีการที่กรมบัญชีกลางกําหนดให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน นับถัดจากวันที่มีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้ออกแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดหาพัสดุ สําหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง ในแต่ละครั้งทุกวงเงิน ถือเป็นกรณีจําเป็นเร่งด่วน จึงสามารถดําเนินการซื้อหรือจ้างไปก่อนได้ แล้วรีบรายงานขอความเห็นชอบต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว
“เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ สําหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในส่วนของการอ้างอิงราคากลาง หน่วยงานของรัฐสามารถใช้วงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้งเป็นราคากลาง ทั้งนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์ตามนัยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เพื่อให้ได้พัสดุนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด ทันต่อการใช้ประโยชน์เป็นสําคัญ และอาศัยอํานาจตามมาตรา 63 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง และมาตรา 98 จึงกําหนดแนวทางให้หน่วยงานของรัฐประกาศเผยแพร่การดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ตามที่กรมบัญชีกลางกําหนด และการประกาศดังกล่าว ให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับถัดจากวันที่มีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน และอัพโหลดข้อมูลทางระบบ e-GP ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0405.2/ว 62 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 โดยอนุโลม” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28209
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชวนเลิกบุหรี่โดยใช้ฤกษ์ดี วันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม ร่วมถวายเป็นพระราชกุศล
|
วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม 2560
สธ.ชวนเลิกบุหรี่โดยใช้ฤกษ์ดี วันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม ร่วมถวายเป็นพระราชกุศล
กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนใช้ฤกษ์ดีวันที่ 31 พฤษภาคม วันงดสูบบุหรี่โลก เลิกสูบบุหรี่เพื่อร่วมถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนใช้ฤกษ์ดีวันที่ 31 พฤษภาคม วันงดสูบบุหรี่โลก เลิกสูบบุหรี่เพื่อร่วมถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พบมีคนไทยเสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ปีละกว่า 50,000 คน
วันนี้(30 พฤษภาคม 2560) ที่โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์โสภณเมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุเทพ เพชรมาก รองอธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์บัณฑิต ศรไพศาล รองผู้จัดการ สสส. มอบรางวัลหน่วยงานดีเด่น โครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า บุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญอันดับดับต้นๆของการเสียชีวิต องค์การอนามัยโลกได้ให้ความสําคัญเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่เนื่องจากทั่วโลกจะมีผู้เสียชีวิตจากบุหรี่ปีละกว่า 6 ล้านคนต่อปี และจะเพิ่มเป็น 8 ล้านคนต่อปีในปี 2573 กระทรวงสาธารณสุขต้องการสร้างเสริมสุขภาพ ของคนในชาติ ลดปัญหาการเจ็บป่วยและการสูญเสียจากการสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่เป็นภัยสุขภาพที่สามารถป้องกันได้ จึงร่วมกับ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ เครือข่ายหมออนามัย ชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งประเทศไทย รวมทั้ง ภาคีเครือข่ายทั่วประเทศได้ร่วมกันดําเนินการโครงการ “3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน เพื่อรณรงค์ให้คนไทยเลิกสูบบุหรี่ จํานวน 3 ล้านคน ในระยะเวลา 3 ปี เพื่อร่วมถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า ผลสํารวจสํานักงานสถิติแห่งชาติปี 2557 มีคนไทยสูบบุหรี่กว่า 11.4 ล้านคนในแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ปีละกว่า 50,000 คน อาทิ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง โรคถุงลมปอดโป่งพอง ผู้สูบบุหรี่แต่ละคนอายุสั้นลงเฉลี่ย 12 ปี และจะป่วยหนัก ทรมาน สูญเสียคุณภาพชีวิตก่อนเสียชีวิตเฉลี่ย 2 ปี กระทรวงสาธารณสุข อยากเห็นคนไทยมีสุขภาวะที่ดี ห่างไกลโรค ห่างไกลบุหรี่ ขอความร่วมมือ ภาคีเครือข่าย ภาคประชาสังคม หน่วยงานภาครัฐ และ อสม. ร่วมกันช่วยคนให้เลิกบุหรี่ โดยขอให้ใช้วันที่ 31 พฤษภาคมนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการเลิกบุหรี่ ที่สําคัญคือต้องปลูกฝังเด็กรุ่นใหม่ให้ตระหนักถึงโทษพิษภัยของบุหรี่ ตั้งแต่ปฐมวัยและวัยประถมศึกษาจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่สูบบุหรี่
ด้านนายแพทย์สุเทพ เพชรมาก รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การดําเนินโครงการฯในปีแรก 2559 ที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมโครงการ 503,779 คน โดยเลิกบุหรี่ 1 เดือนจํานวน 191,534 คน เลิกบุหรี่ 3 เดือนจํานวน 104,314 คน เลิกบุหรี่ 6 เดือนจํานวน 70,956 คน ข้อมูลจากสํานักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าคนสูบบุหรี่มีค่าใช้จ่ายซื้อบุหรี่เฉลี่ยเดือนละ 423 บาท โครงการนี้ทําให้ประชาชนที่ร่วมกันเลิกบุหรี่ประหยัดเงินได้กว่า 393 ล้านบาท โดยในปี 2560 เข้าสู่ปีที่ 2 ของโครงการ ตั้งเป้าชักชวนให้คนเลิกสูบบุหรี่ให้ได้ 2 ล้านคน และในปีที่ 3 ให้ได้ตามเป้าหมาย 3 ล้านคน
ทั้งนี้มีหน่วยงานได้รับรางวัลดีเด่นระดับชาติ เชิญชวนผู้เลิกสูบบุหรี่ในโครงการ ฯ สูงสุด ได้แก่ 1.ประเภทสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดดีเด่น สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ 2.ประเภทสํานักงานสาธารณสุขอําเภอดีเด่น สํานักงานสาธารณสุขอําเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา 3.ประเภทหน่วยบริการสาธารณสุขดีเด่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลไม้งาม อําเภอเมือง จังหวัดตาก
*********************************** 30 พฤษภาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชวนเลิกบุหรี่โดยใช้ฤกษ์ดี วันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม ร่วมถวายเป็นพระราชกุศล
วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม 2560
สธ.ชวนเลิกบุหรี่โดยใช้ฤกษ์ดี วันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม ร่วมถวายเป็นพระราชกุศล
กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนใช้ฤกษ์ดีวันที่ 31 พฤษภาคม วันงดสูบบุหรี่โลก เลิกสูบบุหรี่เพื่อร่วมถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนใช้ฤกษ์ดีวันที่ 31 พฤษภาคม วันงดสูบบุหรี่โลก เลิกสูบบุหรี่เพื่อร่วมถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พบมีคนไทยเสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ปีละกว่า 50,000 คน
วันนี้(30 พฤษภาคม 2560) ที่โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์โสภณเมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุเทพ เพชรมาก รองอธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์บัณฑิต ศรไพศาล รองผู้จัดการ สสส. มอบรางวัลหน่วยงานดีเด่น โครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า บุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญอันดับดับต้นๆของการเสียชีวิต องค์การอนามัยโลกได้ให้ความสําคัญเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่เนื่องจากทั่วโลกจะมีผู้เสียชีวิตจากบุหรี่ปีละกว่า 6 ล้านคนต่อปี และจะเพิ่มเป็น 8 ล้านคนต่อปีในปี 2573 กระทรวงสาธารณสุขต้องการสร้างเสริมสุขภาพ ของคนในชาติ ลดปัญหาการเจ็บป่วยและการสูญเสียจากการสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่เป็นภัยสุขภาพที่สามารถป้องกันได้ จึงร่วมกับ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ เครือข่ายหมออนามัย ชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งประเทศไทย รวมทั้ง ภาคีเครือข่ายทั่วประเทศได้ร่วมกันดําเนินการโครงการ “3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน เพื่อรณรงค์ให้คนไทยเลิกสูบบุหรี่ จํานวน 3 ล้านคน ในระยะเวลา 3 ปี เพื่อร่วมถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า ผลสํารวจสํานักงานสถิติแห่งชาติปี 2557 มีคนไทยสูบบุหรี่กว่า 11.4 ล้านคนในแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ปีละกว่า 50,000 คน อาทิ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง โรคถุงลมปอดโป่งพอง ผู้สูบบุหรี่แต่ละคนอายุสั้นลงเฉลี่ย 12 ปี และจะป่วยหนัก ทรมาน สูญเสียคุณภาพชีวิตก่อนเสียชีวิตเฉลี่ย 2 ปี กระทรวงสาธารณสุข อยากเห็นคนไทยมีสุขภาวะที่ดี ห่างไกลโรค ห่างไกลบุหรี่ ขอความร่วมมือ ภาคีเครือข่าย ภาคประชาสังคม หน่วยงานภาครัฐ และ อสม. ร่วมกันช่วยคนให้เลิกบุหรี่ โดยขอให้ใช้วันที่ 31 พฤษภาคมนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการเลิกบุหรี่ ที่สําคัญคือต้องปลูกฝังเด็กรุ่นใหม่ให้ตระหนักถึงโทษพิษภัยของบุหรี่ ตั้งแต่ปฐมวัยและวัยประถมศึกษาจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่สูบบุหรี่
ด้านนายแพทย์สุเทพ เพชรมาก รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การดําเนินโครงการฯในปีแรก 2559 ที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมโครงการ 503,779 คน โดยเลิกบุหรี่ 1 เดือนจํานวน 191,534 คน เลิกบุหรี่ 3 เดือนจํานวน 104,314 คน เลิกบุหรี่ 6 เดือนจํานวน 70,956 คน ข้อมูลจากสํานักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าคนสูบบุหรี่มีค่าใช้จ่ายซื้อบุหรี่เฉลี่ยเดือนละ 423 บาท โครงการนี้ทําให้ประชาชนที่ร่วมกันเลิกบุหรี่ประหยัดเงินได้กว่า 393 ล้านบาท โดยในปี 2560 เข้าสู่ปีที่ 2 ของโครงการ ตั้งเป้าชักชวนให้คนเลิกสูบบุหรี่ให้ได้ 2 ล้านคน และในปีที่ 3 ให้ได้ตามเป้าหมาย 3 ล้านคน
ทั้งนี้มีหน่วยงานได้รับรางวัลดีเด่นระดับชาติ เชิญชวนผู้เลิกสูบบุหรี่ในโครงการ ฯ สูงสุด ได้แก่ 1.ประเภทสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดดีเด่น สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ 2.ประเภทสํานักงานสาธารณสุขอําเภอดีเด่น สํานักงานสาธารณสุขอําเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา 3.ประเภทหน่วยบริการสาธารณสุขดีเด่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลไม้งาม อําเภอเมือง จังหวัดตาก
*********************************** 30 พฤษภาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4149
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับมือ ยุติธรรม ประกาศเจตนารมณ์ ยุติวัณโรคในเรือนจำ ตามแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน 2560
สธ.จับมือ ยุติธรรม ประกาศเจตนารมณ์ ยุติวัณโรคในเรือนจํา ตามแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ
กระทรวงสาธารณสุข จับมือกระทรวงยุติธรรม ประกาศเจตนารมณ์ยุติวัณโรคในเรือนจํา ตามแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ เน้นคัดกรองด้วยการถ่ายภาพรังสีทรวงอกและส่งตรวจห้องปฏิบัติการ
ด้วยขั้นตอนและวิธีการตรวจที่เป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลกให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายยุติวัณโรคให้ได้ภายในพ.ศ. 2578
วันนี้ (14กันยายน2560) ที่ เรือนจํากลางสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน “คืนคนสุขภาพดี สู่สังคม”โดยมี นายสมชาย เสียงหลาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค, นายเรืองศักดิ์ สุวารี รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้บริหารระดับสูง ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ยุติวัณโรคในเรือนจํา
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกจัดให้ประเทศไทยเป็น1ใน14ประเทศที่มีปัญหาวัณโรครุนแรง แต่ละปีพบผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ120,000คนเสียชีวิตกว่า13,800คนที่สําคัญมีผู้ป่วย วัณโรคดื้อยาหลายขนานประมาณ4,500คน ต้องใช้งบประมาณในการรักษาสูงถึง1.2ล้านบาทต่อคนหากดื้อยารุนแรง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการวินิจฉัยและรักษาเพียงร้อยละ60 เท่านั้น และรักษาหายยังต่ํา เพียงร้อยละ 80 ซึ่งไม่สูงพอที่นําไปสู่การลดโรค ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทําแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ พ.ศ.2560–2564ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการตามเสนอ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560ที่ผ่านมาตั้งเป้ายุติวัณโรคให้ได้ภายใน 20 ปี หรือภายใน พ.ศ. 2578 ด้วย5ยุทธศาสตร์สําคัญ ได้แก่1.เร่งค้นหาผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยวัณโรคให้ครอบคลุม2.ลดการเสียชีวิตผู้ป่วยวัณโรค3.พัฒนาศักยภาพบุคลากร4.สร้างกลไกการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์อย่างยั่งยืน และ5.ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการป้องกัน ดูแลรักษา และควบคุมวัณโรค
ทั้งนี้ ผู้ต้องขังในเรือนจําเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงสําคัญมีโอกาสป่วยเป็นวัณโรคสูงกว่าคนทั่วไป 10 เท่า กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงยุติธรรม จึงได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ยุติวัณโรคในเรือนจําถือเป็นนโยบายระดับชาติที่จะยุติวัณโรคตามแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ ซึ่งเริ่มในปีงบประมาณ2560ความสําเร็จในการเร่งรัดคัดกรองวัณโรคในเรือนจํา ในปีแรกนี้นับว่าเป็นความสําเร็จที่เกิดรูปธรรมที่สุด สามารถคัดกรองวัณโรคด้วยการถ่ายภาพรังสีทรวงอกและส่งตรวจห้องปฏิบัติการด้วยขั้นตอนและวิธีการตรวจที่เป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก เน้นการป้องกันและดูแลรักษาผู้ป่วยวัณโรคในเรือนจําในระดับพื้นที่ สามารถยุติวัณโรคในเรือนจําอย่างยั่งยืน
ด้าน นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า แต่ละปีจะพบผู้ป่วยวัณโรคในเรือนจําปีละประมาณ 1,500 ราย สําหรับในปีงบประมาณ 2560 กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรค ร่วมกับกระทรวงยุติธรรมโดยกรมราชทัณฑ์ ได้ร่วมมือกันเร่งรัดค้นหาผู้ป่วยวัณโรคในเรือนจํา 143 แห่งทั่วประเทศ โดยจัดบริการคัดกรองด้วยการถ่ายภาพรังสีทรวงอก เพื่อค้นหาผู้ป่วยวัณโรคในผู้ต้องขังทั้งหมด 282,816 ราย พบผลภาพรังสีผิดปกติและส่งเสมหะตรวจทางห้องปฏิบัติการชันสูตร 24,436 ราย พบผู้ป่วยวัณโรค 1,934 ราย ตั้งแต่ตุลาคม 2559 ถึง มิถุนายน 2560 พบผู้ป่วยวัณโรค 1,434 ราย แต่จากการเร่งรัดดําเนินงานในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม เพียง2เดือน พบผู้ป่วยวัณโรคเพิ่มขึ้นอีกจํานวน 1,934 ราย รวมพบผู้ป่วยวัณโรคในปี 2560 เป็น 3,368ราย จะเห็นว่าสามารถนําผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาได้มากขึ้นกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าถึงสิ้นปี พ.ศ.2560 อาจพบผู้ป่วยวัณโรคสูงถึง 5,000 ราย ซึ่งหมายถึงการนําผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษา เพื่อตัดวงจรแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นความสําเร็จที่เป็นรูปธรรม
************************** 14 กันยายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับมือ ยุติธรรม ประกาศเจตนารมณ์ ยุติวัณโรคในเรือนจำ ตามแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน 2560
สธ.จับมือ ยุติธรรม ประกาศเจตนารมณ์ ยุติวัณโรคในเรือนจํา ตามแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ
กระทรวงสาธารณสุข จับมือกระทรวงยุติธรรม ประกาศเจตนารมณ์ยุติวัณโรคในเรือนจํา ตามแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ เน้นคัดกรองด้วยการถ่ายภาพรังสีทรวงอกและส่งตรวจห้องปฏิบัติการ
ด้วยขั้นตอนและวิธีการตรวจที่เป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลกให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายยุติวัณโรคให้ได้ภายในพ.ศ. 2578
วันนี้ (14กันยายน2560) ที่ เรือนจํากลางสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน “คืนคนสุขภาพดี สู่สังคม”โดยมี นายสมชาย เสียงหลาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค, นายเรืองศักดิ์ สุวารี รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้บริหารระดับสูง ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ยุติวัณโรคในเรือนจํา
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกจัดให้ประเทศไทยเป็น1ใน14ประเทศที่มีปัญหาวัณโรครุนแรง แต่ละปีพบผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ120,000คนเสียชีวิตกว่า13,800คนที่สําคัญมีผู้ป่วย วัณโรคดื้อยาหลายขนานประมาณ4,500คน ต้องใช้งบประมาณในการรักษาสูงถึง1.2ล้านบาทต่อคนหากดื้อยารุนแรง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการวินิจฉัยและรักษาเพียงร้อยละ60 เท่านั้น และรักษาหายยังต่ํา เพียงร้อยละ 80 ซึ่งไม่สูงพอที่นําไปสู่การลดโรค ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทําแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ พ.ศ.2560–2564ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการตามเสนอ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560ที่ผ่านมาตั้งเป้ายุติวัณโรคให้ได้ภายใน 20 ปี หรือภายใน พ.ศ. 2578 ด้วย5ยุทธศาสตร์สําคัญ ได้แก่1.เร่งค้นหาผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยวัณโรคให้ครอบคลุม2.ลดการเสียชีวิตผู้ป่วยวัณโรค3.พัฒนาศักยภาพบุคลากร4.สร้างกลไกการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์อย่างยั่งยืน และ5.ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการป้องกัน ดูแลรักษา และควบคุมวัณโรค
ทั้งนี้ ผู้ต้องขังในเรือนจําเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงสําคัญมีโอกาสป่วยเป็นวัณโรคสูงกว่าคนทั่วไป 10 เท่า กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงยุติธรรม จึงได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ยุติวัณโรคในเรือนจําถือเป็นนโยบายระดับชาติที่จะยุติวัณโรคตามแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ ซึ่งเริ่มในปีงบประมาณ2560ความสําเร็จในการเร่งรัดคัดกรองวัณโรคในเรือนจํา ในปีแรกนี้นับว่าเป็นความสําเร็จที่เกิดรูปธรรมที่สุด สามารถคัดกรองวัณโรคด้วยการถ่ายภาพรังสีทรวงอกและส่งตรวจห้องปฏิบัติการด้วยขั้นตอนและวิธีการตรวจที่เป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก เน้นการป้องกันและดูแลรักษาผู้ป่วยวัณโรคในเรือนจําในระดับพื้นที่ สามารถยุติวัณโรคในเรือนจําอย่างยั่งยืน
ด้าน นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า แต่ละปีจะพบผู้ป่วยวัณโรคในเรือนจําปีละประมาณ 1,500 ราย สําหรับในปีงบประมาณ 2560 กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรค ร่วมกับกระทรวงยุติธรรมโดยกรมราชทัณฑ์ ได้ร่วมมือกันเร่งรัดค้นหาผู้ป่วยวัณโรคในเรือนจํา 143 แห่งทั่วประเทศ โดยจัดบริการคัดกรองด้วยการถ่ายภาพรังสีทรวงอก เพื่อค้นหาผู้ป่วยวัณโรคในผู้ต้องขังทั้งหมด 282,816 ราย พบผลภาพรังสีผิดปกติและส่งเสมหะตรวจทางห้องปฏิบัติการชันสูตร 24,436 ราย พบผู้ป่วยวัณโรค 1,934 ราย ตั้งแต่ตุลาคม 2559 ถึง มิถุนายน 2560 พบผู้ป่วยวัณโรค 1,434 ราย แต่จากการเร่งรัดดําเนินงานในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม เพียง2เดือน พบผู้ป่วยวัณโรคเพิ่มขึ้นอีกจํานวน 1,934 ราย รวมพบผู้ป่วยวัณโรคในปี 2560 เป็น 3,368ราย จะเห็นว่าสามารถนําผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาได้มากขึ้นกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าถึงสิ้นปี พ.ศ.2560 อาจพบผู้ป่วยวัณโรคสูงถึง 5,000 ราย ซึ่งหมายถึงการนําผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษา เพื่อตัดวงจรแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นความสําเร็จที่เป็นรูปธรรม
************************** 14 กันยายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6678
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการสาธารณสุขเขตพิเศษชุดแรกของประเทศไทย เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯสุขภาพพิเศษ 4 คณะ ร่วมทำงานสาธารณสุข
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2561
คณะกรรมการสาธารณสุขเขตพิเศษชุดแรกของประเทศไทย เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯสุขภาพพิเศษ 4 คณะ ร่วมทํางานสาธารณสุข
รอง นรม.พล.อ.ฉัตรชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสาธารณสุขเขตพิเศษ ครั้งที่ 1/2561
วันนี้ ( 11 ตุลาคม 2561 ) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสาธารณสุขเขตพิเศษ ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สําหรับ การแต่งตั้งคณะกรรมการคณะกรรมการสาธารณสุขเขตพิเศษ กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลสุขภาพจัดบริการสาธารณสุขให้กับประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งมีบริบทแตกต่างกับพื้นที่ทั่วไป ต้องอาศัยกลไกการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรรม (Productivity Growth Engine) ในการกําหนดนโยบาย แผนปฏิบัตการระดับชาติและการบริหารรองรับที่เหมาะสมกับบริบทเฉพาะพื้นที่สําหรับเขตสุขภาพพิเศษ เพื่อบรรลุเป้าหมายการปฏิรูปสาธารณสุข (MOPH 4.0) และมีกรอบแนวทางการบริการที่ชัดเจน มีส่วนร่วม สามารถเชื่อมโยงและบูรณาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2560 แต่งตั้งคณะกรรมการสาธารณสุขเขตพิเศษขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
โดยที่ประชุมได้ พิจารณาแผนปฏิบัติการในการพัฒนาและบริหารจัดการด้านสาธารณสุขพื้นที่เขตสุขภาพพิเศษให้มีกรอบแนวทางการบริหารจัดการที่ชัดเจนและมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษ 4 คณะ ประกอบด้วย 1) ด้านสาธารณสุขทางทะเล 2) ด้านเขตพิเศษตะวันออก 3) ด้านสาธารณสุขชายแดน และ 4) ด้านเขตพื้นที่เฉพาะ (ประชากรต่างด้าว) เพื่อพิจารณากรอบการดําเนินงานและแผนปฏิบัติการระดับชาติการสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษ ระยะ 4 ปี (พ.ศ.2562-2565)
ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินการแก้ไขสภาพปัญหาในพื้นที่ด้วยระบบปกติ ต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพัฒนาระบบต่าง ๆ ดังนี้ 1) การสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษด้านสาธารณสุขทางทะเล เป้าหมาย 5 จังหวัดที่ได้รับความนิยมท่องเที่ยว ได้แก่ ภูเก็ต ชลบุรี กระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานีโดยเน้นบูรณาการเครือข่ายการช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวในภาวะวิกฤติฉุกเฉินทางทะเล 2) การสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษด้านเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 3 จังหวัดได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และ ระยอง พัฒนางานอาชีพเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมธุรกิจบริการสุขภาพ 3) การสาธารณสุขเขตพิเศษด้านสาธารณสุขชายแดน เป้าหมาย 4 จังหวัดได้แก่ น่าน ตาก สระแก้ว และระนอง ซึ่งมีการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว มีภาระค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล ปัญหาบุคคลไร้รัฐตามชายแดน พื้นที่ทุรกันดาร ซึ่งจําเป็นต้องพัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ จัดระบบกองทุนสุขภาพพิเศษตามแนวชายแดน 4) การสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษด้านเขตพื้นที่เฉพาะ (ประชากรต่างด้าว)เป้าหมาย 7 จังหวัดได้แก่ ตาก ระนอง สมุทรสาคร สมุทรปราการ กรุงเทพคริสเตียน ปทุมธานี และระยอง ซึ่งต้องมีการพัฒนารูปแบบหลักประกันสุขภาพประชากรต่างด้าว เพิ่มการเข้าถึงบริการสาธารณสุข
.....................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการสาธารณสุขเขตพิเศษชุดแรกของประเทศไทย เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯสุขภาพพิเศษ 4 คณะ ร่วมทำงานสาธารณสุข
วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2561
คณะกรรมการสาธารณสุขเขตพิเศษชุดแรกของประเทศไทย เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯสุขภาพพิเศษ 4 คณะ ร่วมทํางานสาธารณสุข
รอง นรม.พล.อ.ฉัตรชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสาธารณสุขเขตพิเศษ ครั้งที่ 1/2561
วันนี้ ( 11 ตุลาคม 2561 ) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสาธารณสุขเขตพิเศษ ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สําหรับ การแต่งตั้งคณะกรรมการคณะกรรมการสาธารณสุขเขตพิเศษ กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลสุขภาพจัดบริการสาธารณสุขให้กับประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งมีบริบทแตกต่างกับพื้นที่ทั่วไป ต้องอาศัยกลไกการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรรม (Productivity Growth Engine) ในการกําหนดนโยบาย แผนปฏิบัตการระดับชาติและการบริหารรองรับที่เหมาะสมกับบริบทเฉพาะพื้นที่สําหรับเขตสุขภาพพิเศษ เพื่อบรรลุเป้าหมายการปฏิรูปสาธารณสุข (MOPH 4.0) และมีกรอบแนวทางการบริการที่ชัดเจน มีส่วนร่วม สามารถเชื่อมโยงและบูรณาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2560 แต่งตั้งคณะกรรมการสาธารณสุขเขตพิเศษขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
โดยที่ประชุมได้ พิจารณาแผนปฏิบัติการในการพัฒนาและบริหารจัดการด้านสาธารณสุขพื้นที่เขตสุขภาพพิเศษให้มีกรอบแนวทางการบริหารจัดการที่ชัดเจนและมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษ 4 คณะ ประกอบด้วย 1) ด้านสาธารณสุขทางทะเล 2) ด้านเขตพิเศษตะวันออก 3) ด้านสาธารณสุขชายแดน และ 4) ด้านเขตพื้นที่เฉพาะ (ประชากรต่างด้าว) เพื่อพิจารณากรอบการดําเนินงานและแผนปฏิบัติการระดับชาติการสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษ ระยะ 4 ปี (พ.ศ.2562-2565)
ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินการแก้ไขสภาพปัญหาในพื้นที่ด้วยระบบปกติ ต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพัฒนาระบบต่าง ๆ ดังนี้ 1) การสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษด้านสาธารณสุขทางทะเล เป้าหมาย 5 จังหวัดที่ได้รับความนิยมท่องเที่ยว ได้แก่ ภูเก็ต ชลบุรี กระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานีโดยเน้นบูรณาการเครือข่ายการช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวในภาวะวิกฤติฉุกเฉินทางทะเล 2) การสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษด้านเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 3 จังหวัดได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และ ระยอง พัฒนางานอาชีพเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมธุรกิจบริการสุขภาพ 3) การสาธารณสุขเขตพิเศษด้านสาธารณสุขชายแดน เป้าหมาย 4 จังหวัดได้แก่ น่าน ตาก สระแก้ว และระนอง ซึ่งมีการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว มีภาระค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล ปัญหาบุคคลไร้รัฐตามชายแดน พื้นที่ทุรกันดาร ซึ่งจําเป็นต้องพัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ จัดระบบกองทุนสุขภาพพิเศษตามแนวชายแดน 4) การสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษด้านเขตพื้นที่เฉพาะ (ประชากรต่างด้าว)เป้าหมาย 7 จังหวัดได้แก่ ตาก ระนอง สมุทรสาคร สมุทรปราการ กรุงเทพคริสเตียน ปทุมธานี และระยอง ซึ่งต้องมีการพัฒนารูปแบบหลักประกันสุขภาพประชากรต่างด้าว เพิ่มการเข้าถึงบริการสาธารณสุข
.....................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16023
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ติวเข้มข้าราชการบรรจุใหม่ เน้นย้ำข้าราชการที่ดี ต้องรู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ใจเรียนรู้ ควบคู่คุณธรรม และยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
|
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562
มหาดไทย ติวเข้มข้าราชการบรรจุใหม่ เน้นย้ําข้าราชการที่ดี ต้องรู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ใจเรียนรู้ ควบคู่คุณธรรม และยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสําคัญ
มหาดไทย ติวเข้มข้าราชการบรรจุใหม่ เน้นย้ําข้าราชการที่ดี ต้องรู้หน้าที่
มีวินัย ใฝ่ใจเรียนรู้ ควบคู่คุณธรรม และยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสําคัญ
วันนี้ (11 ก.พ. 62) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุม 5501 ชั้น 5 อาคาร 5 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
นายอังกูร สุ่นกุล ผู้อํานวยการสถาบันดํารงราชานุภาพ ได้รับมอบหมายจาก นายพรพจน์ เพ็ญพาส
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตร “การเป็นข้าราชการที่ดี” รุ่นที่ 62 จัดโดย สถาบันดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย เพื่ออบรมให้ข้าราชการบรรจุใหม่ได้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของระบบราชการและเป็นข้าราชการที่ดี โดยมีผู้เข้ารับการอบรม จํานวน 100 คน ประกอบด้วย ข้าราชการบรรจุใหม่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ระยะเวลาการอบรม จํานวน 10 วัน ในระหว่างวันที่ 11 – 20 กุมภาพันธ์ 2562 ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยมี นายบุญธรรม ถาวรทัศนกิจ ผู้อํานวยการวิทยาลัยมหาดไทย กล่าวรายงาน
โอกาสนี้ ผู้อํานวยการสถาบันดํารงราชานุภาพ ได้แสดงความยินดีกับข้าราชการบรรจุใหม่ พร้อมทั้งบรรยายพิเศษในหัวข้อ “การเป็นข้าราชการที่ดี” โดยกล่าวว่า การอบรมครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่ผู้เข้ารับการอบรมทุกคน จะได้เรียนรู้ “วิถีชีวิตข้าราชการ” ซึ่งถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีความมั่นคง ขอทุกคนจงภาคภูมิใจ และตั้งใจที่จะเป็นข้าราชการที่ดีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งการเป็นข้าราชการที่ดีนั้น มีหลักปฏิบัติสําคัญ 4 ประการ คือ 1. ต้องมีสมรรถนะ (Competency) ที่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของงาน 2.มีความรู้ (Knowledge) มีความเข้าใจในงานและหน้าที่ที่รับผิดชอบ 3.ทักษะ (Skill) มีความรู้ความชํานาญในงานที่ได้รับมอบหมาย โดยรู้จักการเรียนรู้และหาประสบการณ์ที่ดีในการทํางาน และ 4.ทัศนคติ (Attitude) รู้จักคิดดี ทําดี มีจิตใจโอบอ้อมอารี รู้จักการเสียสละ และยึดมั่นในการกระทําความดี ซึ่งเมื่อได้ชื่อว่าเป็นข้าราชการจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และเข้าใจบทบาทหน้าที่และความสําคัญของงานราชการที่มีต่อแผ่นดิน ขอทุกคนจงมุ่งมั่นตั้งใจในการทํางาน รู้จักเรียนรู้ และนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ให้เท่าทันปัจจุบัน และหมั่นพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง มีความซื่อสัตย์สุจริต รู้จักคิดและปฎิบัติตาม โดยยึดหลักกฎหมาย กฎ ระเบียบในการปฏิบัติงานราชการ พร้อมทั้งยึดมั่นประโยชน์ของประชาขนและส่วนรวมเป็นสิ่งสําคัญ ดังพระบรมราโชวาท รัชกาลที่ 9 พระราชทานเนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน ปี 2539 ความว่า “การยึดมั่นในผลประโยชน์ของแผ่นดิน และความถูกต้อง เป็นธรรม เป็นสิ่งสําคัญยิ่งในการปฏิบัติหน้าที่ของราชการ..” จึงขอให้ข้าราชการใหม่ทุกคนได้น้อมนําพระบรมราโชวาท ยึดเป็นหลักในการคิดและปฏิบัติ เพื่อให้งานสําเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย และพร้อมเป็นแบบอย่างที่ดี
จากนั้น ผู้อํานวยการสถาบันดํารงราชานุภาพ ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และมอบแนวทางในการปฏิบัติงานราชการ โดยเน้นย้ําถึงหลักการทํางานโดยเฉพาะงานด้านการให้บริการ 6S คือ 1) Smart การมีบุคลิกภาพที่ดี สง่างาม
ทั้งในด้านการแต่งกายและการประพฤติปฏิบัติตน ให้รู้จักกาลเทศะ และเหมาะสม 2) Smile รู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส และยินดีให้บริการ 3) Speak การพูดจาที่น่าฟังและน่าเชื่อถือ 4) Satisfy การตอบสนองความต้องการของประชาชน
5) Service การมีจิตสํานึกในงานบริการ และ 6) Satisfaction ความพึงพอใจของประชาชน นอกจากนี้ ได้ฝาก
สิ่งสําคัญที่รัฐบาลได้ให้หลักคิด 5 ประการ เพื่อให้ข้าราชการรุ่นใหม่ได้ยึดปฏิบัติและดํารงตน ตามหลักความพอเพียง วินัย สุจริต จิตสาธารณะ และรับผิดชอบ พร้อมทั้งยังได้ย้ําว่า ในช่วงของการเข้าอบรมร่วมกันนี้ นับเป็นโอกาสดีที่ทุกคนจะได้สร้างสัมพันธ์และถักทอสายใยแห่งมิตรภาพและความเป็นเพื่อน เพื่อสร้างเครือข่ายในการทํางาน และรู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และพร้อมเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนงานนโยบายสําคัญต่างๆ เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายและเกิดผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ติวเข้มข้าราชการบรรจุใหม่ เน้นย้ำข้าราชการที่ดี ต้องรู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ใจเรียนรู้ ควบคู่คุณธรรม และยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562
มหาดไทย ติวเข้มข้าราชการบรรจุใหม่ เน้นย้ําข้าราชการที่ดี ต้องรู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ใจเรียนรู้ ควบคู่คุณธรรม และยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสําคัญ
มหาดไทย ติวเข้มข้าราชการบรรจุใหม่ เน้นย้ําข้าราชการที่ดี ต้องรู้หน้าที่
มีวินัย ใฝ่ใจเรียนรู้ ควบคู่คุณธรรม และยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสําคัญ
วันนี้ (11 ก.พ. 62) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุม 5501 ชั้น 5 อาคาร 5 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
นายอังกูร สุ่นกุล ผู้อํานวยการสถาบันดํารงราชานุภาพ ได้รับมอบหมายจาก นายพรพจน์ เพ็ญพาส
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตร “การเป็นข้าราชการที่ดี” รุ่นที่ 62 จัดโดย สถาบันดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย เพื่ออบรมให้ข้าราชการบรรจุใหม่ได้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของระบบราชการและเป็นข้าราชการที่ดี โดยมีผู้เข้ารับการอบรม จํานวน 100 คน ประกอบด้วย ข้าราชการบรรจุใหม่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ระยะเวลาการอบรม จํานวน 10 วัน ในระหว่างวันที่ 11 – 20 กุมภาพันธ์ 2562 ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยมี นายบุญธรรม ถาวรทัศนกิจ ผู้อํานวยการวิทยาลัยมหาดไทย กล่าวรายงาน
โอกาสนี้ ผู้อํานวยการสถาบันดํารงราชานุภาพ ได้แสดงความยินดีกับข้าราชการบรรจุใหม่ พร้อมทั้งบรรยายพิเศษในหัวข้อ “การเป็นข้าราชการที่ดี” โดยกล่าวว่า การอบรมครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่ผู้เข้ารับการอบรมทุกคน จะได้เรียนรู้ “วิถีชีวิตข้าราชการ” ซึ่งถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีความมั่นคง ขอทุกคนจงภาคภูมิใจ และตั้งใจที่จะเป็นข้าราชการที่ดีในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งการเป็นข้าราชการที่ดีนั้น มีหลักปฏิบัติสําคัญ 4 ประการ คือ 1. ต้องมีสมรรถนะ (Competency) ที่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของงาน 2.มีความรู้ (Knowledge) มีความเข้าใจในงานและหน้าที่ที่รับผิดชอบ 3.ทักษะ (Skill) มีความรู้ความชํานาญในงานที่ได้รับมอบหมาย โดยรู้จักการเรียนรู้และหาประสบการณ์ที่ดีในการทํางาน และ 4.ทัศนคติ (Attitude) รู้จักคิดดี ทําดี มีจิตใจโอบอ้อมอารี รู้จักการเสียสละ และยึดมั่นในการกระทําความดี ซึ่งเมื่อได้ชื่อว่าเป็นข้าราชการจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และเข้าใจบทบาทหน้าที่และความสําคัญของงานราชการที่มีต่อแผ่นดิน ขอทุกคนจงมุ่งมั่นตั้งใจในการทํางาน รู้จักเรียนรู้ และนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ให้เท่าทันปัจจุบัน และหมั่นพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง มีความซื่อสัตย์สุจริต รู้จักคิดและปฎิบัติตาม โดยยึดหลักกฎหมาย กฎ ระเบียบในการปฏิบัติงานราชการ พร้อมทั้งยึดมั่นประโยชน์ของประชาขนและส่วนรวมเป็นสิ่งสําคัญ ดังพระบรมราโชวาท รัชกาลที่ 9 พระราชทานเนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน ปี 2539 ความว่า “การยึดมั่นในผลประโยชน์ของแผ่นดิน และความถูกต้อง เป็นธรรม เป็นสิ่งสําคัญยิ่งในการปฏิบัติหน้าที่ของราชการ..” จึงขอให้ข้าราชการใหม่ทุกคนได้น้อมนําพระบรมราโชวาท ยึดเป็นหลักในการคิดและปฏิบัติ เพื่อให้งานสําเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย และพร้อมเป็นแบบอย่างที่ดี
จากนั้น ผู้อํานวยการสถาบันดํารงราชานุภาพ ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และมอบแนวทางในการปฏิบัติงานราชการ โดยเน้นย้ําถึงหลักการทํางานโดยเฉพาะงานด้านการให้บริการ 6S คือ 1) Smart การมีบุคลิกภาพที่ดี สง่างาม
ทั้งในด้านการแต่งกายและการประพฤติปฏิบัติตน ให้รู้จักกาลเทศะ และเหมาะสม 2) Smile รู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส และยินดีให้บริการ 3) Speak การพูดจาที่น่าฟังและน่าเชื่อถือ 4) Satisfy การตอบสนองความต้องการของประชาชน
5) Service การมีจิตสํานึกในงานบริการ และ 6) Satisfaction ความพึงพอใจของประชาชน นอกจากนี้ ได้ฝาก
สิ่งสําคัญที่รัฐบาลได้ให้หลักคิด 5 ประการ เพื่อให้ข้าราชการรุ่นใหม่ได้ยึดปฏิบัติและดํารงตน ตามหลักความพอเพียง วินัย สุจริต จิตสาธารณะ และรับผิดชอบ พร้อมทั้งยังได้ย้ําว่า ในช่วงของการเข้าอบรมร่วมกันนี้ นับเป็นโอกาสดีที่ทุกคนจะได้สร้างสัมพันธ์และถักทอสายใยแห่งมิตรภาพและความเป็นเพื่อน เพื่อสร้างเครือข่ายในการทํางาน และรู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และพร้อมเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนงานนโยบายสําคัญต่างๆ เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายและเกิดผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18705
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ต่อยอดเศรษฐกิจชุมชน สู่การค้าชายแดน
|
วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2560
พาณิชย์ต่อยอดเศรษฐกิจชุมชน สู่การค้าชายแดน
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ให้ความสําคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย มีช่องทางในการจําหน่ายสินค้ามากขึ้น โดยการเชื่อมโยงตลาดสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ชุมชน
และให้บริการด้านการท่องเที่ยว ขณะนี้พาณิชย์ภาคและพาณิชย์จังหวัดได้ดําเนินการตามนโยบายเห็นผลเป็นรูปธรรมในหลายพื้นที่ เช่น
กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดนร่วมกับภาคเอกชนซึ่งเป็นกลุ่มนักธุรกิจ (Biz Club) ของจังหวัดต่างๆ จัดประชุม Biz Thailand สัญจรครั้งที่ 1 ขึ้น ณ อําเภอเบตง จังหวัดยะลา ในช่วงที่มีการจัดงานเทศกาลอาหาร “111 ปี เล่าขานตํานานเบตง” จังหวัดยะลา ในระหว่างวันที่ 11 - 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา นอกจากจะมีอาหารที่มีชื่อเสียงของเมืองเบตงมาให้ได้ชิมและเลือกซื้อหาแล้ว ผู้ประกอบการของจังหวัดชายแดนใต้อื่นๆ ทั้งสงขลา สตูล ปัตตานี และนราธิวาส ก็ได้มาร่วมงานแสดงและจําหน่ายสินค้าเด่นของพื้นที่ มีการเชื่อมโยงตลาดระหว่างภาค โดยนักธุรกิจยะลา และจันทบุรีได้จัดทําข้อตกลงในการซื้อขายทุเรียนระหว่างกันมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ในโอกาสเดียวกันนี้พาณิชย์จังหวัดยะลาและประธาน Biz Club ยะลาได้ประสานให้คณะนักธุรกิจไทย (Biz Thai) เดินทางไปปีนังเพื่อสร้างความสัมพันธ์และเจรจาธุรกิจกับสมาชิกหอการค้าปีนังและนักธุรกิจมาเลเซียด้วย
ขณะที่จังหวัดสตูลได้ดําเนินโครงการประชาสัมพันธ์เส้นทางการค้า-การท่องเที่ยว ไทย-มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-19 พฤษภาคม 2560 โดยได้เชิญสภาหอการค้าและนักธุรกิจมาเลเซียในรัฐเคดาห์มาเยือนสตูล เพื่อเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กําหนดการประชุมและเจรจาธุรกิจในวันที่ 18 พฤษภาคม 2560 ณ โรงแรมสินเกียรติบุรี อําเภอเมือง จังหวัดสตูล ภายหลังการเจรจาธุรกิจและเยี่ยมชมงานแสดงสินค้าบริเวณงานแล้ว คณะนักธุรกิจมาเลเซียและนักธุรกิจ 5 จังหวัดชายแดนใต้ จะไปเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญของจังหวัดสตูล อาทิ เจดีย์พันยอด เกาะเขาใหญ่ อําเภอละงู จังหวัดสตูล
ด่านวังประจัน อําเภอควนโดน จังหวัดสตูล ติดกับรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงอาคารและขยายถนนบริเวณหน้าด่านเพื่อให้การสัญจรไปมาและการขนส่งสินค้าสะดวกยิ่งขึ้น ส่งผลให้สตูลมีศักยภาพด้านการค้าและการท่องเที่ยวมากขึ้น
“รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการดูแลความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชนชายแดนใต้ โดยกระทรวงพาณิชย์กําหนดจัดกิจกรรม โครงการในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทําให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทั้งผู้ซื้อ ในพื้นที่และนักท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนให้คึกคัก” นางอภิรดี กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ต่อยอดเศรษฐกิจชุมชน สู่การค้าชายแดน
วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2560
พาณิชย์ต่อยอดเศรษฐกิจชุมชน สู่การค้าชายแดน
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ให้ความสําคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย มีช่องทางในการจําหน่ายสินค้ามากขึ้น โดยการเชื่อมโยงตลาดสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ชุมชน
และให้บริการด้านการท่องเที่ยว ขณะนี้พาณิชย์ภาคและพาณิชย์จังหวัดได้ดําเนินการตามนโยบายเห็นผลเป็นรูปธรรมในหลายพื้นที่ เช่น
กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดนร่วมกับภาคเอกชนซึ่งเป็นกลุ่มนักธุรกิจ (Biz Club) ของจังหวัดต่างๆ จัดประชุม Biz Thailand สัญจรครั้งที่ 1 ขึ้น ณ อําเภอเบตง จังหวัดยะลา ในช่วงที่มีการจัดงานเทศกาลอาหาร “111 ปี เล่าขานตํานานเบตง” จังหวัดยะลา ในระหว่างวันที่ 11 - 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา นอกจากจะมีอาหารที่มีชื่อเสียงของเมืองเบตงมาให้ได้ชิมและเลือกซื้อหาแล้ว ผู้ประกอบการของจังหวัดชายแดนใต้อื่นๆ ทั้งสงขลา สตูล ปัตตานี และนราธิวาส ก็ได้มาร่วมงานแสดงและจําหน่ายสินค้าเด่นของพื้นที่ มีการเชื่อมโยงตลาดระหว่างภาค โดยนักธุรกิจยะลา และจันทบุรีได้จัดทําข้อตกลงในการซื้อขายทุเรียนระหว่างกันมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ในโอกาสเดียวกันนี้พาณิชย์จังหวัดยะลาและประธาน Biz Club ยะลาได้ประสานให้คณะนักธุรกิจไทย (Biz Thai) เดินทางไปปีนังเพื่อสร้างความสัมพันธ์และเจรจาธุรกิจกับสมาชิกหอการค้าปีนังและนักธุรกิจมาเลเซียด้วย
ขณะที่จังหวัดสตูลได้ดําเนินโครงการประชาสัมพันธ์เส้นทางการค้า-การท่องเที่ยว ไทย-มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-19 พฤษภาคม 2560 โดยได้เชิญสภาหอการค้าและนักธุรกิจมาเลเซียในรัฐเคดาห์มาเยือนสตูล เพื่อเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กําหนดการประชุมและเจรจาธุรกิจในวันที่ 18 พฤษภาคม 2560 ณ โรงแรมสินเกียรติบุรี อําเภอเมือง จังหวัดสตูล ภายหลังการเจรจาธุรกิจและเยี่ยมชมงานแสดงสินค้าบริเวณงานแล้ว คณะนักธุรกิจมาเลเซียและนักธุรกิจ 5 จังหวัดชายแดนใต้ จะไปเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญของจังหวัดสตูล อาทิ เจดีย์พันยอด เกาะเขาใหญ่ อําเภอละงู จังหวัดสตูล
ด่านวังประจัน อําเภอควนโดน จังหวัดสตูล ติดกับรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงอาคารและขยายถนนบริเวณหน้าด่านเพื่อให้การสัญจรไปมาและการขนส่งสินค้าสะดวกยิ่งขึ้น ส่งผลให้สตูลมีศักยภาพด้านการค้าและการท่องเที่ยวมากขึ้น
“รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการดูแลความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชนชายแดนใต้ โดยกระทรวงพาณิชย์กําหนดจัดกิจกรรม โครงการในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทําให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทั้งผู้ซื้อ ในพื้นที่และนักท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนให้คึกคัก” นางอภิรดี กล่าว
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3912
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต มอบถุงยังชีพให้แก่พี่น้องชาวไทยจำนวนกว่า 300 คน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 [กระทรวงการต่างประเทศ]
|
วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563
สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต มอบถุงยังชีพให้แก่พี่น้องชาวไทยจํานวนกว่า 300 คน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต มอบถุงยังชีพให้แก่พี่น้องชาวไทยจํานวนกว่า 300 คน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต ได้มอบถุงยังชีพ ซึ่งประกอบด้วยข้าวสาร อาหารแห้ง และน้ําดื่มรวมทั้งหน้ากากอนามัย ให้แก่พี่น้องชาวไทยในคูเวตที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 กว่า 300 ราย โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ส่งความห่วงใยและความปรารถนาดีไปยังชุมชนชาวไทยในคูเวต อาทิ นักศึกษาไทย และแรงงานไทยที่ประกอบอาชีพในภาคบริการต่าง ๆ รวมทั้งขอให้ชาวไทยในคูเวตหมั่นดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ และกล่าวย้ําให้ปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ของทางการคูเวตอย่างเคร่งครัดและติดตามข่าวสารจากทางการคูเวตและสถานเอกอัครราชทูตฯ อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ยังได้นําถุงยังชีพไปมอบให้แก่พี่น้องชาวไทยที่อาศัยอยู่ในเขตต่าง ๆ ที่ห่างไกล รวมถึงเขตที่ห้ามไม่ให้ประชาชนเดินทางเข้า-ออก (lockdown) ด้วย
สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอขอบคุณพี่น้องชาวไทยและชาวต่างชาติที่พํานักอยู่ในคูเวตในสถานการณ์ยากลําบากในขณะนี้ ที่ได้ร่วมกันสมทบบริจาคอาหารและสิ่งของที่จําเป็นต่าง ๆ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องชาวไทยในคูเวตด้วย
ทั้งนี้ สําหรับพี่น้องชาวไทยที่ต้องการรับถุงยังชีพ สามารถลงทะเบียนได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ +๙๖๕ ๖๐๗๑ ๙๘๘๘ หรือ +๙๖๕ ๕๐๘๓ ๓๘๘๔ โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ จะจัดส่งถุงยังชีพให้แก่ท่านในโอกาสแรก
#น้ําใจคนไทยไม่ทิ้งกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต มอบถุงยังชีพให้แก่พี่น้องชาวไทยจำนวนกว่า 300 คน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 [กระทรวงการต่างประเทศ]
วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563
สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต มอบถุงยังชีพให้แก่พี่น้องชาวไทยจํานวนกว่า 300 คน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต มอบถุงยังชีพให้แก่พี่น้องชาวไทยจํานวนกว่า 300 คน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต ได้มอบถุงยังชีพ ซึ่งประกอบด้วยข้าวสาร อาหารแห้ง และน้ําดื่มรวมทั้งหน้ากากอนามัย ให้แก่พี่น้องชาวไทยในคูเวตที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 กว่า 300 ราย โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ส่งความห่วงใยและความปรารถนาดีไปยังชุมชนชาวไทยในคูเวต อาทิ นักศึกษาไทย และแรงงานไทยที่ประกอบอาชีพในภาคบริการต่าง ๆ รวมทั้งขอให้ชาวไทยในคูเวตหมั่นดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ และกล่าวย้ําให้ปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ของทางการคูเวตอย่างเคร่งครัดและติดตามข่าวสารจากทางการคูเวตและสถานเอกอัครราชทูตฯ อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ยังได้นําถุงยังชีพไปมอบให้แก่พี่น้องชาวไทยที่อาศัยอยู่ในเขตต่าง ๆ ที่ห่างไกล รวมถึงเขตที่ห้ามไม่ให้ประชาชนเดินทางเข้า-ออก (lockdown) ด้วย
สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอขอบคุณพี่น้องชาวไทยและชาวต่างชาติที่พํานักอยู่ในคูเวตในสถานการณ์ยากลําบากในขณะนี้ ที่ได้ร่วมกันสมทบบริจาคอาหารและสิ่งของที่จําเป็นต่าง ๆ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องชาวไทยในคูเวตด้วย
ทั้งนี้ สําหรับพี่น้องชาวไทยที่ต้องการรับถุงยังชีพ สามารถลงทะเบียนได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ +๙๖๕ ๖๐๗๑ ๙๘๘๘ หรือ +๙๖๕ ๕๐๘๓ ๓๘๘๔ โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ จะจัดส่งถุงยังชีพให้แก่ท่านในโอกาสแรก
#น้ําใจคนไทยไม่ทิ้งกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29924
|
รัฐบาลไทย-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 4 สิงหาคม 2563
|
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 4 สิงหาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากสหพันธรัฐรัสเซียและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่ภาครัฐกําหนด (Alternative State Quarantine) ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม จึงมีผู้ป่วยกลับบ้า
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจําวันที่4 สิงหาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากสหพันธรัฐรัสเซียและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่ภาครัฐกําหนด (Alternative State Quarantine) ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม จึงมีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,142 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.61 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 121 ราย หรือร้อยละ 3.64 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,321 ราย
สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นเพศหญิง อายุ 33 ปี สัญชาติรัสเซีย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่20 กรกฎาคม 2563 เข้ากักตัวในโรงแรมทางเลือกที่ภาครัฐกําหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจในครั้งที่ 2 วันที่ 2 สิงหาคม 2563 (วันที่ 13 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร โดยก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 1 ราย
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า จากรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ในระยะหลังซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ พบว่ากว่าร้อยละ 50 ไม่แสดงอาการป่วย เนื่องจากเป็นนักเรียน คนวัยทํางาน ส่วนใหญ่มีร่างกายแข็งแรง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้เมื่อป่วยอาจเป็นผู้ที่นําเชื้อไปแพร่สู่ผู้อื่นในสังคมและคนในครอบครัวได้โดยไม่รู้ตัว ที่สําคัญคือคนกลุ่มนี้ต้องออกนอกบ้านเพื่อ เรียน ทํางาน และกิจกรรมต่างๆ มีโอกาสที่จะรับและแพร่เชื้อโควิด 19 สูง ดังนั้นขอให้ทุกคนตระหนักในการป้องกันตัวเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้านและตลอดเวลาขณะอยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลบ่อยๆ เว้นระยะห่างลดการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดมีการรวมตัวของคนจํานวนมากอาทิ งานมหรสพ คอนเสิร์ต หากเข้าร่วมกิจกรรมเครื่องมือป้องกันตัวเองที่ดีที่สุดคือการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า
สําหรับคอนเสิร์ตเจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ที่จัดขึ้นบริเวณหน้าสํานักงานเทศบาลตําบลชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2563 ผ่านมา พบว่าได้หย่อนมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่อาจเกิดการแพร่เชื้อได้ จึงขอให้ผู้ที่เข้าชมคอนเสิร์ตดังกล่าว เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ฟรี ณ หน้าที่ว่าการอําเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 4-5 สิงหาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 9.00 - 15.00 น. โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่จัดเตรียมรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน 5 คันไว้ให้บริการ
|
รัฐบาลไทย-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 4 สิงหาคม 2563
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 4 สิงหาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากสหพันธรัฐรัสเซียและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่ภาครัฐกําหนด (Alternative State Quarantine) ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม จึงมีผู้ป่วยกลับบ้า
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจําวันที่4 สิงหาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากสหพันธรัฐรัสเซียและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่ภาครัฐกําหนด (Alternative State Quarantine) ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม จึงมีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,142 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.61 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 121 ราย หรือร้อยละ 3.64 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,321 ราย
สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นเพศหญิง อายุ 33 ปี สัญชาติรัสเซีย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่20 กรกฎาคม 2563 เข้ากักตัวในโรงแรมทางเลือกที่ภาครัฐกําหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจในครั้งที่ 2 วันที่ 2 สิงหาคม 2563 (วันที่ 13 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร โดยก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 1 ราย
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า จากรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ในระยะหลังซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ พบว่ากว่าร้อยละ 50 ไม่แสดงอาการป่วย เนื่องจากเป็นนักเรียน คนวัยทํางาน ส่วนใหญ่มีร่างกายแข็งแรง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้เมื่อป่วยอาจเป็นผู้ที่นําเชื้อไปแพร่สู่ผู้อื่นในสังคมและคนในครอบครัวได้โดยไม่รู้ตัว ที่สําคัญคือคนกลุ่มนี้ต้องออกนอกบ้านเพื่อ เรียน ทํางาน และกิจกรรมต่างๆ มีโอกาสที่จะรับและแพร่เชื้อโควิด 19 สูง ดังนั้นขอให้ทุกคนตระหนักในการป้องกันตัวเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้านและตลอดเวลาขณะอยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลบ่อยๆ เว้นระยะห่างลดการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดมีการรวมตัวของคนจํานวนมากอาทิ งานมหรสพ คอนเสิร์ต หากเข้าร่วมกิจกรรมเครื่องมือป้องกันตัวเองที่ดีที่สุดคือการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า
สําหรับคอนเสิร์ตเจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ที่จัดขึ้นบริเวณหน้าสํานักงานเทศบาลตําบลชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2563 ผ่านมา พบว่าได้หย่อนมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่อาจเกิดการแพร่เชื้อได้ จึงขอให้ผู้ที่เข้าชมคอนเสิร์ตดังกล่าว เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ฟรี ณ หน้าที่ว่าการอําเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 4-5 สิงหาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 9.00 - 15.00 น. โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่จัดเตรียมรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน 5 คันไว้ให้บริการ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33928
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เฝ้าระวังโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ ช่วงหน้าร้อน
|
วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561
สธ. เฝ้าระวังโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ํา ช่วงหน้าร้อน
กระทรวงสาธารณสุข ให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด ดูแลมาตรฐานความสะอาดตลาดสด โรงผลิตน้ําแข็ง เฝ้าระวังโรคติดต่อที่มาจากอาหารและน้ํา หากพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน มากผิดปกติ ให้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ดําเนินการป้องกันควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข ให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด ดูแลมาตรฐานความสะอาดตลาดสด โรงผลิตน้ําแข็ง เฝ้าระวังโรคติดต่อที่มาจากอาหารและน้ํา หากพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน มากผิดปกติ ให้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ดําเนินการป้องกันควบคุมโรค
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศที่ร้อนเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคอย่างมาก โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุการเกิดโรคระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงโรคอาหารเป็นพิษโรคบิด อหิวาตกโรค ไข้รากสาดน้อยหรือไข้ไทฟอยด์ข้อมูลสํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานในปี 2560 พบผู้ป่วย 5 โรคนี้รวม 1,120,372 ราย เสียชีวิต 7 ราย ในรอบ 2 เดือนปี 2561 พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงโรคอาหารเป็นพิษแล้ว 262,572 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใย ได้กําชับให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันโรคดูแลตรวจมาตรฐานความสะอาดตลาดสด โรงผลิตน้ําแข็ง และติดตามเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา หากพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน จํานวนมากผิดปกติ ให้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ดําเนินการป้องกันควบคุมโรคโดยเร็ว
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า อากาศที่ร้อนจัดทําให้อาหารบูดเสียได้เร็วขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากเชื้อโรคเจริญเติบโตเร็ว จึงขอให้ประชาชนสังเกตอาหารก่อนรับประทานทุกครั้งว่ายังมีลักษณะ กลิ่น รสเหมือนเดิมหรือไม่หากผิดปกติไม่ควรรับประทาน โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนประกอบของกะทิหากบูดจะมีฟอง และน้ําแกงเป็นยางเหนียวข้น อย่าเสียดาย ห้ามนําไปอุ่นรับประทานต่ออาหารที่เก็บไว้นาน 2-4 ชม.ให้อุ่นใหม่อาหารประเภทยําควรเลือกซื้อจากร้านที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ รับประทานทันทีอาหารที่ค้างมื้อต้องนํามาอุ่นให้เดือดก่อนรับประทาน แยกอาหารดิบและอาหารสุก ให้ระมัดระวังการปนเปื้อน ล้างมือก่อนจับต้องอาหารเข้าสู่ปาก ดูแลความสะอาดของห้องครัว เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่น ๆ ใช้น้ําสะอาดในการล้างวัตถุดิบและภาชนะใส่อาหาร รวมทั้งดื่มน้ําที่สะอาด และน้ําแข็งอนามัย
ทั้งนี้ ผู้ป่วยจากโรคติดต่อระบบทางเดินอาหาร จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการปวดท้องเกร็ง และถ่ายเหลวหรือเป็นน้ํา การรักษาเบื้องต้น โดยกินน้ําละลายผงน้ําตาลเกลือแร่ ห้ามกินยาหยุดถ่าย หากอาการไม่ดีขึ้น คลื่นไส้อาเจียนมาก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีโรคประจําตัว ให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน
**************************************** 6 มีนาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เฝ้าระวังโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ ช่วงหน้าร้อน
วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561
สธ. เฝ้าระวังโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ํา ช่วงหน้าร้อน
กระทรวงสาธารณสุข ให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด ดูแลมาตรฐานความสะอาดตลาดสด โรงผลิตน้ําแข็ง เฝ้าระวังโรคติดต่อที่มาจากอาหารและน้ํา หากพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน มากผิดปกติ ให้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ดําเนินการป้องกันควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข ให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด ดูแลมาตรฐานความสะอาดตลาดสด โรงผลิตน้ําแข็ง เฝ้าระวังโรคติดต่อที่มาจากอาหารและน้ํา หากพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน มากผิดปกติ ให้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ดําเนินการป้องกันควบคุมโรค
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศที่ร้อนเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคอย่างมาก โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุการเกิดโรคระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงโรคอาหารเป็นพิษโรคบิด อหิวาตกโรค ไข้รากสาดน้อยหรือไข้ไทฟอยด์ข้อมูลสํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานในปี 2560 พบผู้ป่วย 5 โรคนี้รวม 1,120,372 ราย เสียชีวิต 7 ราย ในรอบ 2 เดือนปี 2561 พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงโรคอาหารเป็นพิษแล้ว 262,572 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใย ได้กําชับให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันโรคดูแลตรวจมาตรฐานความสะอาดตลาดสด โรงผลิตน้ําแข็ง และติดตามเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา หากพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน จํานวนมากผิดปกติ ให้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ดําเนินการป้องกันควบคุมโรคโดยเร็ว
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า อากาศที่ร้อนจัดทําให้อาหารบูดเสียได้เร็วขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากเชื้อโรคเจริญเติบโตเร็ว จึงขอให้ประชาชนสังเกตอาหารก่อนรับประทานทุกครั้งว่ายังมีลักษณะ กลิ่น รสเหมือนเดิมหรือไม่หากผิดปกติไม่ควรรับประทาน โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนประกอบของกะทิหากบูดจะมีฟอง และน้ําแกงเป็นยางเหนียวข้น อย่าเสียดาย ห้ามนําไปอุ่นรับประทานต่ออาหารที่เก็บไว้นาน 2-4 ชม.ให้อุ่นใหม่อาหารประเภทยําควรเลือกซื้อจากร้านที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ รับประทานทันทีอาหารที่ค้างมื้อต้องนํามาอุ่นให้เดือดก่อนรับประทาน แยกอาหารดิบและอาหารสุก ให้ระมัดระวังการปนเปื้อน ล้างมือก่อนจับต้องอาหารเข้าสู่ปาก ดูแลความสะอาดของห้องครัว เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่น ๆ ใช้น้ําสะอาดในการล้างวัตถุดิบและภาชนะใส่อาหาร รวมทั้งดื่มน้ําที่สะอาด และน้ําแข็งอนามัย
ทั้งนี้ ผู้ป่วยจากโรคติดต่อระบบทางเดินอาหาร จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการปวดท้องเกร็ง และถ่ายเหลวหรือเป็นน้ํา การรักษาเบื้องต้น โดยกินน้ําละลายผงน้ําตาลเกลือแร่ ห้ามกินยาหยุดถ่าย หากอาการไม่ดีขึ้น คลื่นไส้อาเจียนมาก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีโรคประจําตัว ให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน
**************************************** 6 มีนาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10540
|
สวัสดีพ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยที่เคารพรักทุกท่าน พบกันอีกครั้งนะครับ สำหรับในห้วงนี้ระหว่างวันที่ 24 กันยายน – 2 ตุลาคม เป็นห้วงเทศกาลที่พี่น้องประชาชนชาวไทยจำนวนมากถือศีลกินเจ ด้วยการละเว้นบริโภคเนื้อสัตว์ ละเว้นการเบียดเบียนชีวิต และมุ่งมั่นทำจิตใจให้ผ่องใส ผมขอส่งแรงใจให้ทุกท่าน ปฏิบัติได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ทุกประการทุกคน และขอให้กุศลผลบุญแห่งการทำความดีได้ปกปักรักษาให้ทุกท่านและครอบครัว ให้เจริญรุ่งเรืองตลอดไป
|
สําหรับสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลก็ยังคงเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ทั้งที่เป็นปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้า และความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องแก้ไขให้บรรลุผลโดยเร็ว และต้องการจะวางการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้เป็นรากฐานในการดําเนินการต่อไปใน
ระยะหรืออนาคต ปัญหานั้นมีอยู่มากบางเรื่องแก้ได้ทันที บางเรื่องต้องอาศัยเวลา บางเรื่องรัฐบาลสามารถดําเนินการได้โดยลําพัง และบางเรื่องต้องการความร่วมแรงร่วมใจจากทุกภาคส่วน ขอให้พ่อแม่พี่น้องได้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ลุล่วงโดยเร็วที่สุด พวกเรายังคงยืนยันเรื่องผลประโยชน์เราไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่มีวาระส่วนตัวหรือซ่อนเร้น มีแต่ความจริงใจ และตั้งใจที่จะแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนและประเทศชาติ ทั้งนี้การแก้ปัญหานั้น ๆ จะต้องเป็นไปตามหลักการความมีเหตุมีผล ไม่แก้ปัญหาชนิดที่เรียกว่าแก้ที่ปลายเหตุ ไม่ยั่งยืน นํามาซึ่งปัญหาอื่น ๆ ตามมาในภายหลัง
เรื่องที่อยู่ในความสนใจ
ประเด็นเรื่องกฎหมายภาษีมรดกที่อยู่ในความสนใจของสังคม มีการสร้างข่าวลือต่าง ๆ ทั้งในโซเชียลมีเดียและจากปากต่อปาก ว่ารัฐบาลจะเก็บภาษีมรดกในอัตราร้อยละ 40 และให้มีการเก็บย้อนหลังจากวันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ 5 ปีนั้น ผมขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่ประการใด ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการหารือในที่ประชุมของคณะรัฐมนตรี ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า กฎหมายภาษีมรดกเป็นเครื่องมือที่จะสร้างความเท่าเทียมและความเป็นธรรมใน สังคม เป็นหลักสากลที่หลาย ๆ ประเทศก็มีการดําเนินการอยู่แล้ว โดยรัฐสามารถจะนําเงินภาษีดังกล่าว มาใช้ในการพัฒนาประเทศ ซึ่งสําหรับประเทศของเรานั้นคงไม่มากมายนัก เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่ทําให้เกิดความเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นเราจะได้นํามาดูแลยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนส่วนอื่น ๆ ด้วย รายละเอียดของเนื้อหาของกฎหมายขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ กฤษฎีกา เบื้องต้นร่างกฎหมายที่จะนําเสนอเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อจะพิจารณาออกมาเป็นกฎหมาย ขั้นต้นก็พิจารณากันว่าจะเรียกเก็บภาษีสําหรับมรดกทรัพย์สินที่มีมูลค่ารวม เกินกว่า 50 ล้านบาท โดยจัดเก็บเฉพาะส่วนเกินจาก 50 ล้านบาท ในอัตราคงที่ร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม ยังมีรายละเอียดข้อยกเว้นต่าง ๆ มากมาย มีมาตรการสําหรับผู้ที่มีทรัพย์สินจํานวนน้อย มรดกมีทั้งผู้ให้หรือผู้รับอย่างไร มีรายละเอียดปีกย่อยมากมาย อย่าเพิ่งมาวิพากษ์วิจารณ์กันเวลานี้เลย ผมคิดว่าในส่วนนี้คณะกรรมธิการก็ดําเนินการอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกคน เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาเพิ่มเติม ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีรายได้น้อย ผู้ที่มีที่ดินหรือทรัพย์สินต่าง ๆ เป็นจํานวนไม่มากนัก อันนี้คงไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว
ในเรื่องของการดูแลควบคุมราคาสินค้าและค่าใช้จ่ายของประชาชน วันนี้ผมทราบดีมีความเดือดร้อน ปัญหาสินค้าราคาแพง ผมเคยขอร้องกันไปแล้วในส่วนของพ่อค้าคนกลาง ในส่วนของรายใหญ่ จะต้องช่วยกัน พยายามรักษาระดับราคาของสินค้าให้เกิดความเป็นธรรมกับคนมีรายได้น้อย อย่าเพิ่งไปเอากําไรมากมาย ในขณะนี้เลยเพราะทุกคนเดือดร้อนกันไปหมดในขณะนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ตาม ถ้าเราคิดว่าเราลดกําไรเราลงสักเล็กน้อยให้ขายปริมาณสินค้าได้มากขึ้น เงินที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยก็จะได้ออกมาจับจ่ายใช้สอยได้ และทําให้เกิดการเคลื่อนไหวของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ขอความร่วมมืออีกครั้ง
เพราะฉะนั้นรัฐบาล ก็พยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะกํากับดูแลราคาสินค้า ให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม และเน้นในเรื่องของค่าโดยสาร ค่าขนส่ง ที่มีผู้ประกอบการขอให้ปรับขึ้นราคานั้น ได้สั่งการให้ไปดูในรายละเอียดให้กระทรวงคมนาคมไปดูแลอย่างเร่งด่วน ว่าจะต้องคํานึงถึงความเหมาะสมอย่างไรบ้าง ในต้นทุนที่ดําเนินการทั้งหมด กําไรต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจของในประเทศด้วย ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเขาเดือดร้อนอย่างไร ต้องมาช่วยกัน และหารือกัน หาหนทางปฏิบัติที่เหมาะสม ก็ไม่มีใคร อย่างที่เคยเรียนไปแล้ว ไม่มีใครได้ทั้งหมด หรือเสียทั้งหมด เห็นใจคนจนหน่อย และพยายามจะให้ความเป็นธรรม ราคาต้องอยู่ในระดับที่รับได้ทั้งผู้ประกอบการและประชาชนผู้ใช้บริการ
สําหรับสินค้าอุปโภคบริโภค อันนี้ได้สั่งการกระทรวงพาณิชย์ และหลาย ๆ หน่วยงาน ก็มีหลายหน่วยงานที่จะต้องเข้าไปดูแล กรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือเทศกิจ หรืออะไรต่าง ๆ ต้องไปดูทั้งหมด และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องไปตรวจ ในพื้นที่การค้าขาย ในชุมชนต่าง ๆ ทั้งใน กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดด้วย ระดับราคาสินค้าตั้งแต่ต้นทางเราพอทราบอยู่แล้ว พอกลางทางไปแล้วเพิ่มด้วยค่าขนส่ง เพิ่มด้วยการบริหารจัดการ ไปถึงปลายทางราคาก็สูงขึ้น มากเกินกว่าความจําเป็น อันคงต้องไปดูแลกันตั้งแต่เริ่มต้น วัตถุดิบเป็นอย่างไร ที่ต้องใช้ในการผลิตเป็นอย่างไร การดูแลราคาจําหน่ายของตัวแทนจําหน่ายและผู้ค้าส่ง ให้สอดคล้องกับราคาโรงงาน ไม่ให้มีการฉวยโอกาส ถูกเอารัดเอาเปรียบ รวมไปถึงการดูแลราคาสินค้าปลีก ปลายทางให้มีความสอดคล้องกัน และจะใช้มาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดและรัดกุมด้วย เพื่อไม่ให้มีการกักตุนสินค้า และให้มีสินค้าเพียงพอกับความต้องการของพี่น้องประชาชน โดยรัฐบาลจะมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการเพื่อขยาย ระยะเวลาในการตรึงราคาสินค้าต่อไปอีก 2-3 เดือน หลังจากที่มาตรการตรึงราคาสินค้าที่ดําเนินการอยู่จะสิ้นสุดในเดือนพฤศจิกายน นี้
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดําเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อลดภาระค่าครองชีพ เช่น ศูนย์จําหน่ายสินค้าเกษตรชุมชน หรือ Farm Outlet เพื่อเป็นแหล่งกระจายสินค้าและจําหน่ายสินค้าการเกษตรที่เป็นระบบ ซึ่งได้มีการเปิดตัวศูนย์ที่ 20 ไปแล้ว ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ร้านจําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จ เพื่อคืนความสุขทุกจานให้ประชาชนภายใต้สัญลักษณ์ "หนูณิชย์ พาชิม" ที่เน้นร้านค้าที่ถูก สะอาด ดี และอร่อย ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวโครงการฯ ไปแล้วเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ ได้มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเกินกว่าเป้าหมาย 1,000 แห่งไปแล้ว ก็ยังต้องการอีกเพิ่มเติม และโครงการนี้จะทยอยลงสู่ทั่วทุกภูมิภาค ขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน ทุกร้านค้าทั้งของรัฐทั้งเอกชน โดยจะเริ่มที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในเดือนหน้า เชื่อว่าหากมีการเปิดตัวครบทั่วทุกภูมิภาคแล้ว จะมีร้านเข้าร่วมโครงการไม่ต่ํากว่า 5,000 ร้าน ซึ่งถ้านับกับสัดส่วนแล้วยังมีจํานวนน้อย ผมอยากให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ไปช่วยกัน ทั้ง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทั้งในส่วนของสมาคม พ่อค้า เอกชนอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ที่มีโครงการหรือมีร้านอาหารประเภทนี้ ขอให้ช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนในการซื้ออาหารปรุงสําเร็จได้ประมาณ ร้อยละ 10-35 ของค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารในแต่ละวัน เป็นกุศลกับท่านด้วย
สําหรับการลดภาระต้นทุนให้แก่พี่น้องชาวนานั้น รัฐบาลได้เริ่มดําเนินโครงการ "ลดต้นทุนการผลิตเพื่อความสุขของชาวนาไทย” ได้ มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ประสานงานกับผู้ประกอบการปัจจัยการผลิตต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการลดต้นทุนปัจจัยการผลิตสําหรับการปลูกข้าว โดยจะดําเนินการเป็นแพ็กเกจใหญ่ ๆ ในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทํานาทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อเป็นการดูแลเกษตรกรอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ก็เพื่อจะให้การปลูกข้าวของไทยได้พัฒนาได้อย่างยั่งยืน รัฐบาลก็กําลังพิจารณาดําเนินการจัดตั้งสถาบันพัฒนาการพาณิชย์ข้าวไทย เพื่อทําหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาข้าวไทยอย่างบูรณาการด้วย ในเรื่องของข้าวผมถือว่าเกษตรกรชาวนาเป็นบุคลากร หรือเป็นประชาชนที่น่าเป็นห่วง และเป็นหลักให้กับประเทศไทย เพราะเราเป็นประเทศที่มีการผลิตข้าว และกว่าจะได้ข้าวมาแต่ละเมล็ดผมว่าใช้แรง ใช้ความตั้งใจ ใช้ความเอาใจใส่มหาศาล กว่าจะได้ข้าวมาให้เรารับประทานกัน ผมถือว่าเป็นผู้ที่มีคุณค่ากับประเทศไทย เราจะดูแลให้ดีที่สุดสําหรับชาวนา และวันนี้ท่านก็ยังมีรายได้ที่น้อยมากอยู่ เราต้องแก้ไขทั้งระบบชาวนา ต่อไปก็เป็นเรื่องของชาวสวน ชาวไร่ต่าง ๆ อีก ซึ่งมีปัญหามากพอสมควรในขณะนี้ ก็จะเร่งดําเนินการทั้งมาตรการเร่งด่วน และมาตรการที่เป็นระยะยาวด้วย
ในเรื่องของการทะเลาะวิวาทของนักเรียนอาชีวะ ผมก็ไม่ได้ไปว่าทุกโรงเรียนทุกคน เพราะว่าที่ดีเขาก็มีมาก มากเกินกว่า 90% ขึ้นไป มีอยู่ไม่กี่ที่ กี่แห่ง กี่คน ผมไม่ได้ไปตําหนิสถานศึกษา ผมตําหนิตัวบุคคล ผู้เข้ารับการศึกษา และผู้ที่ให้การอบรม ทําอย่างไรที่จะทําให้คนเหล่านี้กลายเป็นคนที่ดีต่อสังคมได้ ทําประโยชน์ไม่ไปตีรันฟันแทงกัน เพราะฉะนั้นหลังจากที่ผมได้มีการกําหนดมาตรการลงไป หรือพูดเป็นการป้องปรามไปแล้ว ก็ได้มีสถานศึกษาเอกชนได้มีมาตรการป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวหลายอย่างด้วย กัน อาทิเช่น ถ้าหากว่ามีการก่อเหตุจะถูกปิดการเรียนการสอนทันที 3-7 วัน ก็เดือดร้อนอยู่ดี ยังไงก็เดือนร้อน เพราะฉะนั้นคนส่วนน้อยอย่าไปทําให้คนส่วนใหญ่เขาเดือดร้อน ระหว่างการสอบสวน หากสถาบันฯ ไม่สามารถทําแผนป้องกันเหตุให้ผ่านการพิจารณาของสํานักงานคณะกรรมการการส่ง เสริมการศึกษาเอกชนได้ ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดอีก
ขณะเดียวกัน ถ้าสถาบันฯใดเป็นฝ่ายก่อเหตุครบ 3 ครั้งต่อปี อาจจะต้องงดรับนักศึกษาในปีการศึกษาถัดไป แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่าอันนี้เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ต้องสร้างค่านิยมให้กับคนในชาติ ค่านิยมให้กับนิสิตนักศึกษาด้วย ว่าทําอย่างไรจะไม่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น ดีกว่าที่เราจะไปแก้ที่ปลายเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นทั้งผู้ปกครอง เพื่อนฝูงที่มีการสูญเสียบาดเจ็บกันไปแล้วก็เกิดความโกรธแค้นชิงชังกันต่อไป และจะอยู่กันได้อย่างไรในอนาคต เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนนั้น ผมว่าพ่อแม่ผู้ปกครองก็มีส่วน สังคม รวมทั้งสื่อมวลชนก็ต้องช่วยกันตักเตือน ช่วยกันปรับเปลี่ยนทัศนคติและให้โอกาสนักเรียนกลุ่มดังกล่าวเหล่านั้น และนักเรียนสายอาชีวะเป็นแรงงาน ซึ่งผมคิดว่ามีคุณค่าและยังมีขีดความสามารถและมีทักษะสําคัญต่อการพัฒนาชาติ ตลอดจนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากผลการวิจัยพบว่ามีภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ยังคงประสบปัญหาจากการขาดแรงงานที่มีคุณภาพ โดยความต้องการแรงงานมากที่สุด ถ้าจําแนกออกมาตามรายภาค 5 อันดับแรก ได้แก่ เกี่ยวกับธุรกิจสิ่งทอ เครื่องแต่งกาย และเครื่องหนัง ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก และธุรกิจก่อสร้าง
ดังนั้น เราควรยกระดับให้การศึกษาสายอาชีวะเป็นการศึกษาที่เป็นรากฐานสําคัญของประเทศ ให้มีภาพลักษณ์ว่านักเรียนสายอาชีวะเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าของประเทศและ เศรษฐกิจไทย ให้โอกาสนักเรียนอาชีวะในการทําประโยชน์ให้กับสังคม การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การนําความรู้ไปช่วยฝึกอบรมแก่แรงงานระดับล่าง เป็นต้น หรือจ้างงานอะไรต่าง ๆ ในแผนงานโครงการของรัฐให้เขาไปช่วยทํางานให้เกิดประโยชน์กับสังคม ก็ขอให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ช่วยกันขับเคลื่อนด้วย ในส่วนของมหาวิทยาลัยของราชภัฏ ต่าง ๆ อยากให้เน้นในเรื่องของการศึกษา ภาษาอังกฤษ ภาษาเพื่อนบ้าน หรือต่อยอดจากผู้ที่จบการศึกษาให้สามารถที่จะไปทํางานทางด้านที่เป็นฝ่าย บริหารได้ ผมเคยเรียนไปแล้วว่าทําอย่างไรเราจะเตรียมคนไปสู่ AEC ได้ เพราะฉะนั้นต้องสอนคนให้สามารถไปประกอบอาชีพได้เลย ถ้าสอนไปเฉพาะภาควิชาการ จบปริญญามาแล้วทํางานไม่ได้เลย ก็ตกงาน กว่าจะเรียนรู้ใหม่อีกทีก็ใช้เวลามากพอสมควร ผมอยากทางสภาบันต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ให้ช่วยกันอาชีวะด้วย ช่างกลต่าง ๆ เหล่านี้ เราขาดแรงงานประเภทนี้เป็นจํานวนมากตามโรงงานต่าง ๆ วันนี้เรามีการจัดตั้งสนับสนุนของ BOI ขึ้นมา ให้มีมาตรการเพิ่มเติมในเรื่องของการเปิดโรงงานที่มีการเพิ่มพูนเทคโนโลยี เปิดโรงงานเกี่ยวกับเรื่องพลังงานทดแทน เกี่ยวกับเรื่องการผลิตไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าเราไม่เตรียมคนที่จะไปทํางานในแหล่งเหล่านี้ ในโรงงานเหล่านี้ ก็ขาดแรงงาน เรามีแต่แรงงานที่ใช้กําลังทั้งหมด เป็นแรงงานที่ไม่มีความรู้ ทางการประกอบอาชีพมากมายนักในขณะนี้ เป็นจํานวนมาก ฉะนั้นเราต้องเพิ่มคุณวุฒิของแรงงานเหล่านี้ ให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ เดี๋ยวสู้เขาไม่ได้ใน AEC ในอนาคต เพราะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานกันได้อีกต่อไป จะพูดในตอนสุดท้ายด้วย
ในส่วนของการปลูกฝังระเบียบวินัยไม่แบ่งแยกสถาบันฯ สถาบันฯ มีไว้ให้ภูมิใจ มีไว้ให้เป็นประวัติศาสตร์ อะไรที่ดีก็ทํา อะไรที่ไม่ดีก็อย่าไปทําอีก ขณะเดียวกันครูก็ต้องสอดแทรกการปลูกฝังระเบียบวินัยที่เข้มแข็ง ให้มีศักยภาพในการที่จะทํางาน ด้วยทั้งกําลังทั้งสติปัญญาด้วย เฉพาะอย่างยิ่งในหลักสูตรอาชีวศึกษา ขอร้องน้อง ๆ ทุกคน หลาน ๆ ทุกคน ช่วยกันอย่าตีอะไรกันต่อไปอีกเลย เสียเวลา เสียโอกาสเปล่า ๆ
การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ขอชื่นชมหลายกระทรวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้รับรายงานว่าได้ดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในเรื่องการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นซึ่งเรากําหนดเป็นวาระแห่งชาติ ได้นําสัญญาคุณธรรมขององค์การต่อต้านคอร์รัปชั่นแห่งประเทศไทยที่กําหนดให้ ประชาชนและผู้มีความรู้ ผู้ทรงคุณวุฒิที่อยู่นอกระบบราชการเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบในกระบวนการ จัดซื้อ จัดจ้าง หรือการลงทุนของภาครัฐ และได้นําสัญญาคุณธรรมนี้ มาใช้ในการจัดซื้อยาและเครื่องมือแพทย์ชุดใหญ่ที่มีราคาสูง ก็เป็นตัวอย่างขอชมเชยทุกกระทรวงก็ทําในลักษณะเดียวกันก็จะดี
การวางรากฐานในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ คสช. ได้ดําเนินการมาตั้งแต่ก่อนการจัดตั้งรัฐบาล โดยการดําเนินงานของซุปเปอร์บอร์ด ดําเนินการโดยสํานักงานนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง คณะกรรมการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และองค์การต่อต้านคอร์รัปชั่นแห่งประเทศไทย ได้รับการยืนยันจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือ COST ที่ตกลงแล้วว่าจะทําความร่วมมือกับเราและรับไทยเป็นสมาชิก ที่จะนํากระบวนการตรวจสอบความโปร่งใสในโครงการก่อสร้าง ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ จัดทําทีโออาร์ จัดซื้อจัดจ้าง ตรวจรับงาน มาใช้ในการจัดซื้อ จัดจ้าง สําหรับโครงการขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจเพื่อให้แน่ใจว่ามีความโปร่งใส ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ทั้งนี้จะเริ่มนํามาตรวจสอบ หรือทดสอบใช้ในโครงการก่อสร้างของบริษัทการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยระยะที่ 2 เป็นแห่งแรก ทั้งนี้ อย่ากังวลว่าจะทําให้เกิดความล่าช้า เพราะหากเราดําเนินโครงการไปแบบผิด ๆ แล้วต้องหยุดชะงักเพราะความไม่โปร่งใสก็ทําให้รัฐสูญเสียงบประมาณที่มาจาก ภาษีของประชาชนเป็นจํานวนมากเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามให้สามารถดําเนินการได้อย่างต่อเนื่องด้วยความถูก ต้อง ไม่ต้องเกิดการสะดุด หรือล่าช้า หรือต้องล้มลงไปในที่สุดเหมือนที่ผ่านมา
การขับเคลื่อนงานด้านต่าง ๆ
แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชน ซึ่งอันนี้รัฐบาลตระหนักดีว่าวันนี้ ขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจมีความซบเซาต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนานตั้งแต่ปลายปี ที่ผ่านมา ทั้งภาวะการเมืองในประเทศ และผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาทั่วโลก อีกทั้งเราก็รู้กันดีว่าในปีนี้เศรษฐกิจอาจจะไม่เติบโตเท่าที่ควร ได้มีการประมาณการ GDP ในปีนี้ อาจจะไม่ถึงระดับร้อยละ 2 ก็พยายามต้องพยายาม รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจเลย ทําอย่างไรพี่น้องประชาชนคนไทยจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา ทั้งในประเทศ นอกประเทศ ให้น้อยที่สุด รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจเรื่องเหล่านี้ มีการประชุม มีการพูดคุย มีการหารือ มีการกําหนดมาตรการต่าง ๆ มากมาย แต่ทุกอย่างทําทันทีไม่ได้เว้นแต่เรื่องที่เป็นเรื่องที่แก้ไขได้ง่าย ๆ ได้มีการวางแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชน ให้ทั่วถึงทุกภูมิภาคของประเทศ และเน้นการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคเสริมสร้างความเข้มแข็งในแต่ละชุมชน สร้างอาชีพและรายได้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น ยกระดับการศึกษาในชุมชน
ขณะนี้รัฐบาลได้สั่งการเร่งด่วนให้แต่ละกระทรวงไปตรวจสอบว่า มีโครงการใดบ้างที่ยังไม่ได้ดําเนินการและจะต้องมีการปรับแผน หรือยังไม่ได้ทําสัญญาจ้างงาน เพื่อจะได้เร่งใช้งบลงทุนในปี 2557 ที่ยังมีเหลืออยู่กว่าแสนล้านบาทไปกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและจ้างงานได้ ทันทีภายใน 3 เดือนนี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจใน 3 เดือนที่เหลืออยู่ และส่งเสริมให้เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนอีกทางหนึ่งด้วย ก็ได้กําหนดไปแล้วว่าจะให้ทําอะไรบ้าง เพื่อจะเป็นการจ้างงาน เป็นการขับเคลื่อนและมีเม็ดเงินออกมาสู่พื้นที่
นอกนั้นแล้วรัฐบาลจะเร่งทําสัญญาจ้างงานกับโครงการขนาดเล็กต่าง ๆ ให้ได้ภายในสิ้นปีและก็จะนํางบลงทุนในปีงบประมาณ 2558 ระยะแรกก็เตรียมไว้ประมาณ 50,000 ล้านบาท มาใช้อีกเพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่นและเป็นการสร้างรายได้ อย่างทั่วถึง รายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้ท่านต้องไปติดตามรายละเอียดในส่วนของ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ทุกจังหวัดจะมีงบประมาณเหล่านี้ซึ่งจะยังคงประกาศให้ทราบต่อไป ว่าจะทําอะไรกันบ้าง ท่านก็ไปร่วมมือกัน ตรวจสอบ ร่วมมือกันในการทําให้งบประมาณนั้นมีประโยชน์และคุ้มค่า
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะเร่งตรวจสอบงบประมาณและวงเงินกู้ต่าง ๆ ที่ กันไว้ อีกส่วนหนึ่งอีกที่ยังไม่ได้นํามาใช้ประโยชน์ในช่วงที่ผ่านมามีจํานวนอีก ประมาณ 20,000 ล้านบาท ก็จะนํามาลงทุนเช่นกัน ในโครงการสาธารณูปโภคที่อยู่ในความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการซ่อมแซมอาคารเรียน ระบบชลประทาน และสาธารณูปโภค ซ่อมถนนหนทาง สถานีอนามัย โรงเรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชน ก่อให้เกิดการจ้างงานในภูมิภาค รวมทั้งสนับสนุนการใช้จ่ายภายในท้องถิ่น อันจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นได้อีกทางหนึ่ง
แนวทางที่วางไว้นี้จะดูจากความต้องการของแต่ละท้องถิ่นด้วยอย่างแท้จริง ให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร พี่น้องแรงงาน และประชาชนในทุกภูมิภาค ขณะนี้กําลังเตรียมความพร้อมอยู่จะเร่งรัดให้เร็วที่สุด ได้ให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) สํานักงบประมาณ เข้ามาร่วมกันดูแล ถ้าทุกคนทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และทุกภาคส่วนนั้นร่วมมือกัน เชื่อได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขับเคลื่อนไปได้ด้วยดีภายในสิ้นปีนี้และก็ไป ขับเคลื่อนต่อในปีหน้าอีกต่อไป
การแก้ปัญหาราคายางพารา ก็มีคําพูด คํากล่าวกันมากมายหลายกลุ่มหลายสมาคมเกิดจากปัญหาราคายางพาราตกต่ํา ก็ได้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ หรือ กนย. ไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ และก็มีผู้แทนจากส่วนราชการต่าง ๆ และภาคเอกชนเข้าร่วมหารือ หาแนวทางการแก้ไขปัญหายางพารา โดยเฉพาะแนวทางการพัฒนายางพาราทั้งระบบ ซึ่งก็มีข้อเสนอมามากมายจากสมาคม จากภาคเอกชนด้วยต้องฟังหลาย ๆ ทางซึ่งทั้งหมดนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รวบรวมเสนอมาถึงการบริหารจัดการคลังยางของรัฐบาล ด้วย ซึ่งจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อกลไกการตลาดในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอต่อที่ประชุมใน 4 แนวทางด้วยกันก็คือ เร่งรัดการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้น โดยนํายางมาใช้ในการสร้างถนน ทําอิฐบล็อก ทําพื้น ฝาย ผลิตภัณฑ์แปรรูป ที่นอนอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า สถาบันวิจัยยางเพื่อไปเพิ่มมูลค่าการผลิตเรายังไม่สมบูรณ์
ผมก็เร่งรัดไปให้มีการเร่งรัดในเรื่องของการจัดตั้งสถาบันวิจัยยางเพื่อ ไปทําผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในประเทศเราถ้าเราไม่มีตรงนี้การรับรองคุณภาพก็ไม่เกิด เมื่อไม่เกิดไปทําอะไร เขาก็รับไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้แก้ไขมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ระยะเวลาที่ผ่านมา ถ้าเรามีสถาบันอันนี้ขึ้นมาเราก็สามารถนําไปใช้โน่น ใช้นี่ได้ ไม่อย่างนั้นต่างชาติเขาก็ไม่นําไปใช้หรอกครับ ไม่มีใครรับรองให้เขา เรามีปริมาณแต่คุณภาพต้องดูให้ดี การตัดต้นยางเก่าอะไรนี่เป็นแนวทางเดิมอยู่แล้ว ประเด็นสําคัญก็คือต้นยางถ้าอายุเกิน 25 ปี เขาก็ต้องตัดทิ้ง นําไปทําเฟอร์นิเจอร์อะไรก็ว่าไป อันไหนที่ยังอายุน้อยกว่า เดิมที่ผ่านมาก็ได้น้ํายางน้อยวันนี้ก็นําไปปรับปรุงกันเอาเอง ไปอัดแก๊สเข้าไปให้ได้น้ํายางเร็ว ๆ ก็เหมือนไปเร่งให้มีน้ํายางมาก ๆ วันหน้าก็อันตราย ต้นยางก็ไม่แข็งแรง
เพราะฉะนั้น เราต้องช่วยกันลดทั้งอุปทาน รักษาระดับปริมาณยางทั้งในประเทศและการค้าขายกับต่างประเทศให้ได้ กําหนดราคาให้ได้ เพราะฉะนั้น ต้องไปสู่การโซนนิ่งในอนาคต ที่มีการพูดว่าจะมีการจ้างให้เลิกปลูกยาง ผมไม่เคยพูดอย่างนั้นเลย เดี๋ยวจะเข้าใจกันผิด ก็เพียงแต่ว่าใครอยากจะเปลี่ยนไปเป็นอาชีพอื่น ๆ รัฐบาลก็จะหาทางสนับสนุนให้ว่า อยากทําอะไรไปหาช่องทางที่เหมาะสม ราคาไม่ตกและก็เหมาะสมกับพื้นที่ก็เป็นทํานองนั้นมากกว่า ใครจะนําเงินไปจ้างใครให้เลิกทําอาชีพ เป็นไปไม่ได้ อย่างมากก็เยียวยาให้หรือสนับสนุนให้ไปทําใหม่ ทําอย่างอื่นแทน อะไรทํานองนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับท่าน บังคับท่านได้ที่ไหน เวลาบังคับก็มีเรื่องทุกที เพราะฉะนั้นถ้าท่านสมัครใจทํานี้ก็จะเกิดขึ้น ๆ และอนาคตก็จะยั่งยืน
ในเรื่องของการผลักดันและเร่งรัดโครงการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ํา เพื่อให้สถาบันเกษตรกรรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้น วันนี้มีนายทุนหรือพ่อค้าคนกลางไปซื้อไว้ วันนี้เราก็หาเงินมาอีกก้อนหนึ่งเพื่อสหกรณ์เกษตรกรนี้ มีเงินเพื่อจะไปซื้อในราคาที่สูงกว่าที่พ่อค้าคนกลางเขาซื้อ อย่างน้อยยังเป็นการยกระดับ ยกระดับให้ราคายางสูงขึ้นโดยทันที อันนี้ก็ดําเนินการอยู่แล้ว
ในขณะนี้ ก็จะเร่งรัดเม็ดเงินต่าง ๆ ออกให้ได้โดยเร็ว เรื่องการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ เพื่อไปเปลี่ยนเครื่องจักร เพื่อใช้ในการแปรรูปยางหรือผลิตภัณฑ์ยางอะไรก็แล้วแต่ หรือการจัดตั้งโรงงานที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ยางให้มากขึ้นจากในประเทศนี้ก็ไปร่วม มือกันทั้ง BOI ด้วย กระทรวงอุตสาหกรรมด้วยรวมทั้งหมดต้องทําให้เกิดให้ได้ ตั้งแต่การผลิตยางออกมาและการปรับปรุงคุณภาพ เพิ่มมูลค่า จากนั้นก็ไปสู่ในเรื่องการวิจัยยาง นําไปสู่การผลิตเป็นวัสดุต้นทุนอย่างอื่นและนําไปขายในราคาที่สูงกว่าเดิมและ ไปขายทั้งในประเทศและนอกประเทศถึงจะเกิด เหมือนประเทศอื่น ๆ เขาเกิด ประเทศเราก็แก้ปัญหามา พอขาดราคาตกนําเงินอุดหนุน ๆ ตลอด มันเกิดอะไรขึ้นมาได้หรือยัง ก็ไม่เกิดซักที ก็เป็นอย่างนี้เป็นสิบ ๆ ปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปบิดเบือนราคา ทําอย่างไรเราจะทําให้ราคายางสูงขึ้น เราก็ต้องไปคุย เช่น ในเรื่องของการสร้างตลาดการซื้อยาง ขายยางธรรมชาติ เชื่อมโยงมีการทําสัญญาเมื่อซื้อขายแล้วจะต้องส่งมอบสินค้าจริง ไม่ใช่สัญญาในกระดาษอย่างเดียวและก็เก็บสต็อกลมเอาไว้ อะไรแบบนี้เป็นเรื่องซับซ้อน เพราะฉะนั้นเกษตรกรชาวสวนยางผู้รับซื้อต้องคุยกัน รัฐบาลก็จะเข้าไปดูแลในส่วนนี้ให้
ในด้านร่วมมือกับต่างประเทศ จะต้องกําหนดแนวทางจัดการเก็บสต็อกยางร่วมกัน ประเทศที่ผลิตยางใหญ่ ๆ ของโลกก็มีอยู่ไม่กี่ประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าเราบริหารจัดการกันได้ ร่วมมือกันได้ราคายางก็สูงขึ้น เพราะอย่างไรก็ตามการใช้ยางยังคงต้องใช้อยู่ ในโลกนี้มีหลายอย่าง เพียงแต่ประเทศอื่น ๆ เขาผลิตยางออกมาและเขาทําไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูง เรายังไปไม่ได้ตรงนั้นมากนักก็ต้องเร่งรัดตรงนั้นให้ได้
นอกจากนั้น ในเรื่องของการหารือกัน เมื่อ 2 วันนี้ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ขออนุมัติเดินทางไปต่าง ประเทศเพื่อจะไปพูดคุยกับ 3 ประเทศใหญ่ ๆ ในการผลิตยาง เดินทางไปแล้วนะครับว่าจะทําอย่างไรกันต่อไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหายางค้างสต็อก และขณะเดียวกันภายในของเรา เราก็จะเร่งจ่ายเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรจํานวน 2,520 บาทต่อไร่ ซึ่งค้างอยู่ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วก็คงต้องจ่ายให้ เพราะเป็นการอนุมัติผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) มาเรียบร้อยจะดําเนินการควบคู่ไปกับการปล่อยเงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส.จํานวน 10,000 ล้านบาท เพื่อให้สถาบันเกษตรกรซื้อยางไว้เพื่อเก็บเป็นสต็อก และอีก 5,000 ล้านบาทให้กู้เพื่อเป็นทุนในการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากยางให้ทันสมัย อีก 15,000 ล้านบาท ให้กู้จาก ธนาคารออมสิน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราจะเห็นว่ารัฐบาลแก้ในทุกมิติ ทุกเรื่อง หลาย ๆ เรื่องด้วยกันเกษตรกรก็กรุณาใจเย็นเล็กน้อย
ท่านต้องไปพูดคุยให้รู้เรื่องและรวมกลุ่มให้ได้อย่างแท้จริงอย่าแยกเป็น หลายกลุ่มหลายฝ่ายพอพรุ่งนี้มาอีกพวกไม่มาเสร็จแล้วก็กลับไปก็บอกไม่เข้าใจ กัน ไม่ได้ ท่านต้องรวมกันให้ได้ เพราะรัฐบาลมีรัฐบาลเดียว ท่านก็ต้องมีสมาคมที่พูดคุยกันให้เหมือนกับสมาคมเดียวได้ไหม ผมไม่รู้ ท่านต้องไปดําเนินการมา จะได้แก้ปัญหาได้ทีเดียวไม่อย่างนั้นก็พูดกันไปกันมาหลายเรื่อง หลายกลุ่มด้วยกัน
เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีการประชุมในชั้นต้นแล้วกับกลุ่มพ่อค้า สมาคมต่าง ๆ บางคนอาจจะบอกว่ามาไม่ครบ ก็ไปให้ครบสิครับ เวลาเขาเชิญก็บอก ๆ กันไปถ้าท่านรวมกันไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะทําอย่างไร แต่ส่วนใหญ่ที่เราประกาศไปแล้ว ที่พูดคุยอย่างที่ผมเรียนไว้เมื่อสักครู่ เขาก็มีความพึงพอใจ แต่อย่างไรก็ตาม ผมยังรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มอื่น ๆ ด้วย เพียงแต่ขอร้องให้ท่านไปรวมกันมาให้ได้โดยเร็ว อย่างไร ผมก็ฟังท่านอยู่ดี เพราะท่านเป็นคนไทย ท่านเป็นเกษตรกรไทย
การแก้ปัญหาราคาข้าวสําหรับผลผลิตฤดูกาลล่าสุด ในอีกไม่กี่เดือน ก็จะถึงหน้าการเก็บเกี่ยวข้าว รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจอีกเหมือนกัน ที่ผ่านมาก็แก้ไปแล้วขั้นตอนหนึ่ง พอลงทุนใหม่กรอบใหม่ก็ต้องเตรียมการใหม่อีก เพราะเป็นปัญหาที่ทับซ้อนมาเป็นเวลานานแล้ว วันนี้ก็เลยให้มีการลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องชาวนาในจังหวัดต่าง ๆ พี่น้องชาวนาส่วนใหญ่มีความกังวลในเรื่องของปัญหาราคาข้าว รัฐบาลเองมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาก็พยายามผลักดันให้ราคาข้าวเปลือกสูง ขึ้น กระทรวงพาณิชย์ก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าราคาข้าวเปลือกเจ้า5% น่าจะต้องมีราคา ให้ใกล้เคียงตันละ 8,500 บาท และจะจัดการระบายข้าวในสต็อก เน้นการส่งออกไปต่างประเทศ และขอให้พี่น้องชาวนามั่นใจว่า รัฐบาลจะมีการวางแผนการระบายข้าว ไม่ให้กระทบต่อราคาข้าวที่ควรจะเป็น
นอกเหนือจากลงพื้นที่เพื่อพบกับพี่น้องชาวนาไทยโดยตรงแล้ว รัฐบาลจะนัด หารือเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันกับตัวแทนผู้นําเกษตรชาวนาจาก 5 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมชาวนาไทย สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย สมาคมส่งเสริมชาวนาไทย สมาคมเครือข่ายชาวนาไทย และเครือข่ายศูนย์ข้าวชุมชน โดยจะเป็นการระดมสมอง กําหนดแนวทางในการรักษาเสถียรภาพของราคาข้าว ซึ่งจะมีการนัดหารือติดตามผลการดําเนินงานทุก 15 วัน จะมีการเรียกประชุมกับผู้ส่งออกและโรงสีเพื่อกําหนดแนวทางในการดูแลข้าวทั้ง ระบบ
ทั้งนี้ ก็เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน รัฐบาลจะส่งเสริมในเรื่องของการ ปรับปรุงคุณภาพข้าว ลดต้นทุนการเพาะปลูก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปลูกข้าว เพื่อจะทําให้สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้ ใช้พื้นที่ให้น้อยลง ใช้น้ําให้น้อยลงและจะมีการเข้มงวดในการใช้กฎหมายในการตรวจสอบสต็อกข้าว ที่กฎหมายระบุไว้ให้ผู้ส่งออกต้องมีสต็อกข้าวตลอดเวลา 500 ตัน และรัฐบาลเองจะช่วยในเรื่องแหล่งเงินทุน โดยจะจัดหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ให้กับชาวนาที่มียุ้งฉางในภาคอีสานและภาคเหนือตอนบน เพื่อจูงใจให้มีการเก็บข้าวและนําออกขายในราคาที่เหมาะสม และจัดหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําให้โรงสี เพื่อจูงใจการซื้อข้าวจากชาวนาและทยอยขายเมื่อราคาเหมาะสม นอกจากนี้นั้น รัฐบาลกําลังพิจารณาดําเนินการจัดตั้งสถาบันพัฒนาการพาณิชย์ข้าวไทย เพื่อสนับสนุนการพัฒนาข้าวไทยอย่างบูรณาการ ทําให้เป็นระบบ
สําหรับเรื่องการประกันภัยข้าวนาปี การผลิต 2557 ที่ทาง คสช. ได้มีมติอนุมัติ และทาง ธ.ก.ส. ได้เริ่มดําเนินการไปแล้ว ก็อยากให้พี่น้องชาวนาได้มาเข้าร่วมโครงการกันให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ลดความเสี่ยงลงจากภัยธรรมชาติและภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งค่าเบี้ยประกันที่เกษตรกรต้องจ่ายนั้น อยู่ในอัตราเพียง 60 – 100 บาท ต่อไร่ รัฐช่วยอุดหนุนเบี้ยประกันภัยให้เพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ หากเกิดภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติขึ้น พี่น้องชาวนาจะได้รับเงินชดเชยรวมถึงไร่ละ 2,224 บาท ซึ่งก็มาจากเงินช่วยเหลือของรัฐบาลตามปกติ และจากการประกันภัยตามโครงการเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
เรื่องแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีความเป็นเอกภาพ บูรณาการ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รัฐบาลก็ใช้แนวทางคือ การดําเนินการใด ๆ ของทุกกระทรวง หากต้องเป็นเรื่องของการแต่งตั้งบุคลากรระดับสูง การใช้จ่ายเงินงบประมาณ นโยบายหลักของรัฐบาลนั้น จะต้องนําเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. เพื่อขออนุมัติจึงจะดําเนินการได้ โดยนายกรัฐมนตรี (นรม.) จะเป็นผู้อนุมัติให้นําเข้าที่ประชุม ครม. เอกสารทางราชการของทุกกระทรวงที่มีถึง นรม. จะต้องผ่านความเห็นชอบของ รอง นรม.ด้วย แต่ละฝ่ายควรจะระมัดระวังการให้ข่าวสาร ประชาสัมพันธ์
ถ้าให้ไปก่อนเร็วเกินไปยังไม่ได้ผ่าน ครม. เดี๋ยวเกิดความเข้าใจผิด ประชาชนก็สับสน เพราะฉะนั้นผมได้
ย้ําเตือนท่านรัฐมนตรี ท่านปลัดกระทรวงไปแล้ว เรื่องใดก็ตามที่ผ่าน ครม. แล้วจึงจะมีการประชาสัมพันธ์ได้ เรื่องอื่น ๆ ก็ประชาสัมพันธ์ให้รับทราบว่ากําลังทําอะไรกันอยู่ได้ แต่รายละเอียดอย่าเพิ่งลงไปมากนัก วันนี้ก็ให้มีการตรวจสอบในเรื่องของนโยบายจากสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก่อน เพื่อป้องกันความสับสนของประชาชนวันนี้ก็ให้กระทรวงดําเนินการตามนี้
เรื่องการปฏิรูปปรองดอง ก็พูดกันมากมายในเรื่องของการ ประชุมของคณะกรรมการสรรหาสมาชิก ได้คัดเลือกรายชื่อมาแล้วด้านละ 50 คน รวมทั้ง 11 ด้าน ได้ส่งรายชื่อให้กับ คสช. แล้วจํานวน 550 คน คสช. จะคัดเลือกให้เหลือ 173 คน ในส่วนของจังหวัดซึ่งได้ครบวันนี้ ทั้งหมด 77 จังหวัด จังหวัดละ 5 คน 385 คน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 30(6) 2557 ฉบับชั่วคราว ได้กําหนดให้ คสช. เป็นผู้คัดเลือก วันนี้เราก็ได้นํารายชื่อเหล่านั้นมาดู มาตรวจสอบรายละเอียด ดูคุณสมบัติ ดูที่อยู่ ที่ทํางานอะไรต่าง ๆ เพื่อสรรหาคนที่มีคุณภาพเหมาะสม
ผมก็อยากจะเรียนว่า ผมก็ไม่เห็นประโยชน์ว่าผมจะไปล็อกใคร เข้ามาทํางานตรงนี้ เพราะในเมื่อเราไม่ต้องการอะไรแล้วเราจะไปล็อกเขามาทําไม มีแต่ล็อกอย่างเดียวก็คือ ล็อกด้วยความรู้ความสามารถของเขา เขามีความรู้ความสามารถก็นําเขาเข้ามา จะได้ปฏิรูปได้จริง ๆ ถ้านําคนที่ไม่มีความรู้มาเลยก็ไม่ได้ แต่ต้องนําคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาด้วย ก็พยายามทําอย่างเต็มที่ คนทั้งหมด 7,000 กว่าคนคัดเลือกไม่ใช่ง่าย ๆ ผมคิดว่าเรื่องที่ร่ําลือกันอยู่ในสื่ออะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ก็ตรวจสอบกันทีหลังได้ ใครเข้ามาแล้ว ไม่ดีหรือถูกร้องเรียนก็ตรวจสอบกันก็ปรับออก ก็ดําเนินการใหม่ เพราะว่าการคัดเลือกคน 7,000 กว่าคนให้เหลือ 250 ท่านคิดแล้วกันว่ายากง่ายขนาดไหน โดยที่เราไม่ได้ต้องการอะไรตรงนี้ เพราะฉะนั้นก็ให้เกียรติเขาหน่อย ให้เกียรติกับคนคัดสรรเขาหน่อย แล้วถ้าเราได้มาเรียบร้อยแล้ว เราก็จะนําทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่ง ชาติ (สปช.) ต่อไป
ในกรณีที่ว่าเรียกร้องว่าไม่โปร่งใสก็ร้องเรียนมาทีหลังได้ เมื่อประกาศรายชื่อแล้วรอบสุดท้าย ต้องประกาศ 250 ไม่มีไปปิดไว้อะไรไม่ได้ เพราะว่าต้องเปิดเผยอยู่แล้วไม่ต้องกลัว เพราะฉะนั้นสังคมอย่าเพิ่งไปตัดสินเลยว่าจะไปล็อกสเป็กหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมขอร้องไม่อย่างนั้นจะวุ่นวายไปหมด ทํางานก็ไม่ได้ ทั้งหมด 250 นี้ก็หลังจากสมัครมาเป็นฝ่าย ๆ เป็นพวก ๆ แล้ว ใน 250 ก็จะตีรายชื่อยาวไปเลย 250 คน แล้วเดี๋ยวเขาต้องไปประชุมจัดกลุ่มกันใหม่อีกเพราะที่มาไม่เท่าเทียมกันแต่ ละกลุ่มแต่ละฝ่าย จํานวนมากบ้าง น้อยบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการคนเหล่านี้เข้ามาก็ทั้งหมดก็มารวมกันอยู่ในสภา ปฏิรูปทั้ง 250 คน แล้วไปจัดกลุ่ม 11 กลุ่มใหม่ตามความสมัครใจของตัวเองในนั้น เพราะทั้งหมดนี้ไม่ใช่กลุ่มใครกลุ่มมันทําแล้วสําเร็จเอง ไม่ใช่ ทุกกลุ่มต้องไปศึกษาในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็นําเสนอในสภาปฏิรูป และให้สภาฯ ทั้งสภาฯ ให้ความเห็นชอบ ถึงจะไปทําต่อได้ ก็ใช้หลักการเดียวคล้าย ๆ กับ สนช. ในการทํางาน อย่ากังวลเลย เพราะฉะนั้นถ้าจะเลือกใครไปสักคนหรือจะล็อกสเป็กแต่ละคน มันไม่เกิดประโยชน์หรอกครับ อย่างที่ผมว่า จะเกิดได้อย่างไร ทําในรูปสภาฯ ฉะนั้นก็ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการตรวจพบในเรื่องของการทุจริตอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ไปหาหลักฐานกันมา
ในส่วนของสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น ได้มีคําสั่งนัดประชุมเมื่อวันที่ 25 , 26 ก็จะมีวาระการประชุมที่สําคัญคือ การพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่คณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาเสร็จแล้ว รวมถึงเรื่องที่ค้างจากการพิจารณา เพื่อตรากฎหมาย โดยมีกฎหมายที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนผู้ใช้แรงงานและผู้ด้อยโอกาส เช่น ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่าง พ.ร.บ. การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กล่าวคือ ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานนั้น วัตถุประสงค์ก็เพื่อสร้างแรงขับในตัวลูกจ้างหรือตัวแรงงานให้มีการพัฒนาตน เองอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งในปลายปี 2558 ไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปรากฎว่าทุกประเทศมีระบบออกใบรับรองให้กับการทํางานแต่ละสาขาแล้ว ของเรา ประเทศไทยยังมีเพียง 7 สาขาอาชีพที่หน่วยงานออกใบรับรองให้ มีอีกมากมายหลายอาชีพ ออกได้เพียง 7 อาชีพเท่านั้นเอง ฉะนั้นต้องรีบดําเนินการให้ได้โดยเร็ว สาขาอาชีพอื่น ๆ ยังไม่มีการออกให้เลย ถ้าหากว่าใบรับรองการทํางานเรายังไม่เรียบร้อย กฎหมายใหม่ยังไม่พร้อมในการสร้างกติกาขึ้นมา เพื่อเตรียมพร้อมรับการขับเคลื่อนหรือการเคลื่อนย้ายแรงงาน แรงงานฝีมือต่างชาติก็จะไหลเข้ามาสู่ประเทศไทยอีก เพราะเราส่งไปไม่ได้ เรารับรองคนของเราไม่ได้ ก็ไปทํางานที่อื่นไม่ได้ ขณะเดียวกัน ต่างชาติได้รับรองมาแล้วเขาก็เข้ามาทํางานในประเทศไทย งานเราก็ลดลงอีก ฉะนั้นต้องขอความร่วมมือ กระบวนการต่าง ๆ จะต้องเร่งดําเนินการโดยเร็ว แล้วก็เพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นแรงงานฝีมือจริง จึงจะสามารถทํางานทั้งในประเทศได้ ต่างประเทศก็ได้ นี้เป็นกติกาของอาเซียน จะเห็นว่ากฎหมายเหล่านี้มีประโยชน์ทั้งต่อแรงงานเอง รวมถึงนายจ้างด้วย จะได้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทํางาน ทั้งคนไทยคนต่างชาติอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราทําให้เกิดสมดุลกันได้ของคนไทยของคนต่างชาติก็จะดีกับบ้านเมืองด้วย
นอกจากนั้นยังมีร่าง พ.ร.บ. การค้างาช้าง ซึ่งมีสาระสําคัญในการกําหนดกลไกควบคุมการค้าและการครอบครองงาช้าง หรือผลิตภัณฑ์ที่ทําจากงาช้างตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะ เพื่อมิให้มีการนํางาช้างที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมายปะปนกับงาช้างตามกฎหมาย ว่าด้วยสัตว์พาหนะ ทั้งนี้กําหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะประกอบกิจการค้างาช้าง หรือผู้ที่จะนําเข้าหรือส่งออกงาช้างต้องขออนุญาตต่ออธิบดี รวมทั้งจะมีการกําหนดหลักเกณฑ์การควบคุมผู้ครอบครองงาช้างด้วย รวมทั้งร่าง พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ซึ่งจะมีสาระสําคัญในการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การนําเข้า ส่งออก หรือผ่านซึ่งสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง เพื่อให้ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทําจากซากของสัตว์ป่าดังกล่าว รวมทั้งมีการแก้ไขบทกําหนดโทษในกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้มีความครอบคลุมและเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถดําเนินการกับผู้กระทําความผิดได้อย่างครอบคลุม การตรากฎหมายทั้ง 2 ฉบับนั้น เป็นการดําเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศตาม "อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญ พันธุ์ หรือที่เรียกว่า CITES เราจะถูกมาตรการสกัดกั้นหรือกดดันในเรื่องของการค้าอื่น ๆ ด้วย ถ้าเรายังมีการค้างาช้างอยู่ ที่ผิดกฎหมาย ทั้งงาช้างที่นําเข้าจากแอฟริกา และงาช้างในประเทศด้วย ต้องเลิกให้หมดเรื่องเหล่านี้ จะดูกันอย่างไรว่า ผู้ประกอบการธุรกิจเหล่านี้จะทําอย่างไรกันต่อไป
เรื่องการขอความร่วมมือ / เรื่องอื่น ๆ
เช่น การปฏิบัติตนเอง สื่อ ขององค์กรต่าง ๆ ทุกภาคส่วน ขอ ร้องช่วยกันปลูกฝังค่านิยม 12 ประการ บางคนบอกว่า ปลูกฝังแล้วจะเกิดอะไร จะเกิดขึ้นได้ไหม ประเทศชาติสงบไหม ท่านถามอย่างนี้ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร ถ้าพูดอย่างนี้ แล้วทําอย่างนี้ และท่องไว้ เตือนใจตัวเองไว้ มันก็น่าจะได้ประโยชน์กว่าไม่มีอะไรอยู่ในหัวสมองเลย ผมไม่เข้าใจคิดอะไรกัน บางคนขอให้ได้ต่อต้านทุกอย่าง ผมไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร คนดี ๆ ก็มี คนที่เขาต้องการจะทําก็มีมากมาย ทําอย่างไรจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน สามัคคีกัน ให้มีความรู้ความสามารถ แข่งขันการประกอบอาชีพ มีความทัดเทียมอารยประเทศ ไม่ละเมิดสถาบัน จะสอนเรื่องการเมืองอะไรต่าง ๆ ก็ตาม ก็อย่าให้เกิดความวุ่นวาย คัดค้าน เลือกข้าง โต้แย้งกับรัฐบาลในทํานองนี้ เรากําลังปฏิรูปประเทศอยู่ เพื่อไม่ให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น โกงกิน เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ทั่วถึง และเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ใช่เลือกตั้งอย่างเดียว แล้วได้นักการเมืองที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาบริหารประเทศ อย่างนี้ไม่ใช่ เราถึงต้องทําวันนี้
สําหรับท่านอาจารย์ กี่ท่านไม่ทราบ หลายสิบท่าน ผมคิดว่าท่านน่าจะเข้าใจที่ผมพูด ถ้าท่านไม่มีอคติเป็นอย่างอื่น ท่านก็จะอ้างเรื่องความเป็นประชาธิปไตยบ้าง ท่านต้องการสอนการเมืองบ้าง ท่านบอกว่าไม่สอนบ้านเมืองแล้วคนจะเรียนการเมืองอย่างไร ก็มีวิธีการสอนตั้งหลายหมื่น หลายแสนวิธี ที่จะเข้าใจเรื่องการเมืองที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ทําไมท่านไม่สอนว่า การเมือง นักการเมือง ต้องทําตัวอย่างไร ผู้เลือก ประชาชนต้องเลือกอย่างไร การเป็นประชานิยมที่สร้างปัญหาเป็นอย่างไร ท่านสอนอย่างนั้นกันบ้างหรือเปล่า ผมถามหน่อย ผมไม่เคยเห็นท่านพูดเรื่องเหล่านี้ ท่านพูดแต่เพียงว่า นี้จะต้องเลือกตั้ง จะต้องเป็นประชาธิปไตย แล้วที่ขัดแย้งที่ผ่านมา ท่านก็ไม่ได้แก้ปัญหาให้เราเลย ไม่ได้แก้ปัญหาให้คนทั้งประเทศเลย เพราะฉะนั้นท่านหยุดสักที ไปหาวิธีการสอนอย่างอื่น ไปสอนลูกศิษย์มาอีกวิธีหนึ่ง ไม่ใช่ว่าสถาบันนี้ต้องสอนเรื่องการเมือง ก็ต้องเด่นดังการเมืองอย่างเดียว ไม่ใช่ ผมว่าสอนอย่างไรให้คนประกอบอาชีพได้ สอนอย่างไรให้เป็นคนดี สอนอย่างไรให้มีงานทํา ไปหาวิธีการอย่างโน้น ถ้าสอนให้เป็นการเมืองอย่างเดียวแล้วตีกัน ผมว่าเหนื่อยเปล่า ไม่รู้จะสอนไปทําไม
สื่อก็ต้องระมัดระวังการขยายความขัดแย้ง ขยายคําพูดที่ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายไปสู่เจตนาร้าย และบางครั้งท่านไม่เข้าใจ บางทีท่านก็ลืมไป สื่อต่างประเทศเขาก็นําคําพูดของท่านไปเขียนว่าพวกเรากันเอง คนไทยเขียนว่าคนไทย คนต่างชาติก็นําสิ่งที่คนไทยว่าคนไทย ไปว่าต่อ ก็เท่ากับเหมือนกับเราไปชี้โพรงให้กระรอก อะไรสักอย่างทํานองนั้น ถ้าผิดจริง ถ้าไม่ดีจริง ผมไม่ได้ปิดกั้นท่านเลย แต่ถ้าไม่ใช่แล้วท่านพูด มันเสียหาย เสียหายกับองค์กร เสียหายกับประเทศชาติ ความเชื่อมั่นเขาก็ลดลง ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ไม่ได้เจตนา ผมรู้ว่าท่านเป็นห่วงประเทศชาติเหมือนกัน ท่านเตือนผม ผมก็รับฟัง แต่ผมเตือนท่าน ท่านไม่ฟังผม อย่างนี้ไม่ใช่ ต้องช่วยกัน ผมโกรธท่านไม่ได้ ท่านก็โกรธผมไม่ได้เหมือนกัน วันนี้เราเข้ามาด้วยวิถีทางของเราแบบนี้ ท่านก็จะจี้เราตรงนี้ ตรงโน้นอยู่ตลอดเวลา แล้วมันได้อะไรขึ้นมา มีอะไรดีขึ้นมาไหม ถ้าเป็นอย่างที่ท่านต้องการ จะเป็นไปได้ไหม คนส่วนใหญ่เขาก็เข้าใจ เพราะฉะนั้นผมว่าต้องขอร้องอีกครั้ง ฉะนั้นให้เสนอข่าวให้ตรงตามข้อเท็จจริง อะไรที่เสียหายกับประเทศก็เพลา ๆ บ้าง หยุด พอเสนอเสร็จแล้วก็จบ เรื่องอื่น ๆ ก็เป็นเรื่องของการสอบสวนสืบสวน พอสืบสวนสอบสวน ท่านก็ไปว่าเจ้าหน้าที่ไม่ดี ทุจริต ทําไม่เรียบร้อย ไม่มีฝีมือ พูดอย่างนี้ มันขยายความขัดแย้งนะผมว่า ต่างชาติเขาบอกในประเทศยังไม่รักกันเลย แล้วต่างประเทศจะรักทําไม เพราะฉะนั้นต่างประเทศอย่ามาเลย อย่ามาเที่ยวประเทศไทย แล้วท่านก็มาโทษผมว่า รัฐบาลทําให้การท่องเที่ยวลดลง ต้องร่วมมือกันทั้งสองส่วน ที่ผมพยายามทําสร้างความเข้าใจกับเขา ส่งคนไปประชุมกับเขา ส่งรองนายกรัฐมนตรี ส่งรัฐมนตรี ส่งใครไปประชุม เขาก็ให้เกียรติอยู่ทุกประเทศตอนนี้ ก็กลายเป็นเราไม่ให้เกียรติกันเอง ผมว่าไม่ใช่ เป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่ดีอยู่แล้ว ผมชมเชย มีส่วนน้อยบางสื่อ บางสํานัก เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นอย่างไรมาโดยตลอด ท่านสนับสนุนฝ่ายใดอยู่ ผมว่าวันนี้เราอย่ามีฝ่ายเลยได้ไหม วันนี้เอาประเทศไทย เอาคนไทย เอาประชาชนคนไทยที่ยากจน ที่มีรายได้น้อยไม่ดีกว่าหรือ เราจะได้แก้ปัญหาให้ได้
เรื่องการเยือนต่างประเทศ ของผมเอง หรือของรัฐมนตรีอะไรก็แล้วแต่ หลายท่านให้ความสนใจ จับตามองดูอยู่ว่า เราจะไปไหน ประเทศไหนก่อนประเทศไหนหลัง วันนี้เราก็อยู่ในการพิจารณา ผมยังไม่ตัดสินใจอะไรเลย อย่าพึ่งไปพูดจาอะไรต่าง ๆ ก่อน ผมต้องใช้วิจารณญาณที่เหมาะสม มีข้อมูลจากกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องว่าไปเยือนใครก่อน – หลัง จะมีผลดีผลเสียอย่างไร เกิดประโยชน์กับประเทศอย่างไร กระทรวงการต่างประเทศก็ไปเตรียมข้อมูลต่าง ๆ มา กระทรวงอื่น ๆ ก็จะมีข้อพิจารณาเพิ่มเติมเข้ามา ถ้าไปแล้วเกิดผลดีตรงนั้น ตรงนี้ เราก็ตัดสินใจอีกครั้งหนึ่งว่าจะไปที่ไหน ให้เกียรติทุกประเทศ ทุกประเทศคือมิตรประเทศเราทั้งหมด ไม่ว่าเขาจะไม่เห็นชอบกับเราหรืออะไรต่าง ๆ เพราะเราเป็นโลกใบเดียวกัน ผมยังทําใจได้เลย เพราะฉะนั้นทุกคนก็น่าจะทําใจได้แบบผม แบ่งกลุ่มประเทศ วันนี้เราแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มมิตรประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านของเรารอบ ๆ บ้านในเอเชีย ใกล้ ๆ กันก่อน 5 – 6 ประเทศ กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 ก็เอเชียที่ไกลออกไป กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มมิตรประเทศยุโรป และประชาคมตะวันตก ทั้ง 3 กลุ่มนี้ ผมต้องไปลําดับว่า ใน 3 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะไปอันไหนก่อน - หลัง ไม่ใช่ไม่ให้ความสําคัญ แต่เป็นไปด้วยกติกา เป็นไปด้วยการประชุมที่มีอยู่แล้ว อะไรทํานองนี้ เราต้องให้เกียรติทุกประเทศ แต่ผมไม่สามารถจะไปหลายประเทศในเวลาเดียวกันได้ ทุกประเทศก็ต้องการให้นายกรัฐมนตรีไป บางทีก็ไปไม่ได้ ผมได้ย้ําให้ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานได้พิจารณามาให้ชัดเจน ทั้งสถานการณ์ความมั่นคงด้วย สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ ความร่วมมือระหว่างกัน ต้องช่วยกันหารือกันว่า เราควรจะไปที่ไหนก่อน – หลัง ค่อยมาว่ากันอีกที เดือนหน้าเป็นต้นไปคงต้องคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งหนึ่งให้เร็วที่สุด เพราะใกล้ระยะเวลาการประชุม ทั้งในอาเซียน แล้วก็มีในต่างประเทศที่ไกล ๆ ด้วย ก็ให้ความสําคัญทุกประเทศ เพราะว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ร่วมกันของไทย ของเขาด้วย ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า เราไปแล้วคนไทยจะได้อะไรขึ้นมา เพราะว่าเราเป็นรัฐบาลที่ต้องการปฏิรูป เพราะฉะนั้นตระหนักดีว่า เราเข้ามารับหน้าที่ที่สําคัญ ในช่วงสถานการณ์พิเศษ เราอาจจะมีเวลาในการที่จะไปเดินสายเยี่ยมเยียนทุกประเทศบ่อย ๆ คงเป็นไปไม่ได้มากนัก ผมไม่ได้เป็นห่วงเพราะอย่างอื่น การไปก็ดี แต่ถ้าไปเวลาก็น้อยลง ก็อยู่ในประเทศให้มาก เยี่ยมเยียนคนในทุกจังหวัดให้ได้ ทุกภาคให้ได้ก่อน ฉะนั้นไปต้องได้ประโยชน์ แล้วต้องคุ้มค่ากับเงินภาษีของพี่น้องประชาชน
ขณะนี้ได้มีหลายประเทศที่ได้ส่งคําเชิญให้ผมเดินทางไปเยี่ยมเยือน ขอขอบคุณ ณ ที่นี้ไว้ก่อน การที่เขาเชิญเรามาไม่ใช่เพราะผม เขาเชิญมาเพราะเขาให้ความสําคัญกับประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นมิตรประเทศ บางประเทศก็ยาวนานที่สุด บางประเทศก็หลาย 10 ปี เกือบ 100 ปีมาแล้ว อะไรทํานองนี้ บางประเทศก็กําลังเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมที่สําคัญ เช่น การประชุมผู้นําเอเปค การประชุมผู้นําอาเซียน ผมจะต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะหารือในการดําเนินการ และก็จะถือโอกาสแนะนําตัว กับประเทศอื่น ๆ ที่มาร่วมประชุม มีผู้นําหลายประเทศมีร่วมกัน ผมคิดว่าเขาเข้าใจเรา ในขณะนี้เข้าใจเรามากขึ้นกว่าเดิมมากนัก มากกว่าที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นผมและคณะรัฐมนตรีชุดนี้ จะพยายามเดินทางไปเยือนประเทศให้น้อยที่สุด เพราะว่า ไปตามความจําเป็นเท่านั้น เราพยายามจะใช้จ่ายงบประมาณให้น้อยที่สุด ไม่สิ้นเปลือง ให้ได้ประโยชน์ ไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่ไป ฉะนั้นจะทําอย่างไรก็เดี๋ยวว่ากันอีกครั้งหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่ง ในขณะนี้มีการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ก็ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทย ร่วมกันส่งแรงใจให้นักกีฬาทุกคนทุกชาติด้วย ได้แสดงศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ตามได้ตั้งใจฝึกซ้อมมา ทั้งเหรียญรางวัลก็ถือว่าเป็นเครื่องหมายของชัยชนะ แต่หากว่าเราได้แสดงความมีน้ําใจของนักกีฬา แสดงความรักความสามัคคี ความมุ่งมั่น มีระเบียบวินัย เคารพระเบียบกติกา จะเป็นเครื่องหมายของความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าชนะมาอีก เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนมีจิตใจเป็นนักกีฬา ใครแพ้ใครชนะก็เป็นเพื่อนกัน เป็นมิตรกัน แต่เราก็ต้องการให้ของเราชนะเหมือนกัน นั้นเป็นเรื่องของกีฬา ทางรัฐบาลได้เตรียมการไว้อยู่แล้ว จัดตั้งงบประมาณไว้ 300 กว่าล้านบาท เพื่อจะเป็นรางวัล รางวัลนักกีฬา เดี๋ยวจะดูว่าพอไม่พออย่างไร ขึ้นอยู่กับจํานวนเหรียญที่ได้มาด้วย บอกนักกีฬาไปเลยว่า อย่างน้อยเราก็มีไม่ต่ําไปกว่าในช่วงที่ผ่านมา ที่จะให้กับนักกีฬาเป็นรางวัลต่าง ๆ ทั้งผู้ฝึกซ้อม – ฝึกสอน มีอยู่แล้วระเบียบ มีอยู่แล้ว อย่างกังวล วันนี้มีเรื่องพูดคุยเพียงเท่านี้ ต้องขอบคุณอีกครั้งหนึ่งในการที่รับฟัง รับชม ผมพูดมาตลอดระยะเวลา 4 เดือนเต็ม ๆ ก็มีเรื่องหนักใจมากมายหลายประการ หนักนิดเบาหน่อยต้องให้อภัยกัน คืออย่าคิดว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อย เป็นเรื่องที่ไม่สําคัญ ผมทําไมต้องมาพูดบ่อยอยู่เรื่อย ๆ ก็พูดเพราะความห่วงใย แล้วก็คํานึงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ จะแก้ปัญหากันอย่างไร จะเดินหน้าปฏิรูปกันได้ไหม และความกระทบกระทั่งกัน ความขัดแย้งซึ่งมีอยู่จะทํากันอย่างไร กฎหมายที่ยังไม่เรียบร้อย ยังดําเนินการไม่ได้ ที่ยังออกไม่ได้ บังคับใช้เป็นกฎหมายไม่ได้ ทําให้บ้านเมืองเราหยุดชะงักมาเป็นเวลานานมาก ผมว่าอยากให้ลดลงหน่อย ต่างฝ่ายต่างลดกัน ผมก็ยอม จะให้ผมลดอะไรลง ผมก็ลดลง อะไรที่ยังลดไม่ได้ ก็ลดไม่ได้ ก็คงเข้าใจ ผมคิดว่าผมอยากได้แรงใจจากคนทั้งประเทศ ในการที่จะนําพาประเทศชาติให้มีความสุขอย่างถาวร เหมือนอดีตที่ผ่านมานานแล้ว เคยมีความสุขกันมาก ๆ ฉะนั้นต่อไปก็ต้องมีความสุขมาก ๆ กว่าอดีต ประวัติศาสตร์คือปัจจุบันและอนาคต เพราะฉะนั้นประวัติศาสตร์อะไรที่ไม่ดี อย่าให้เกิดขึ้นอีก นําสิ่งที่ดี ๆ มา แล้วทําให้ดีขึ้นไปอีก ก็จะเป็นประวัติศาสตร์ที่ดีวันนี้ต่อไปวันข้างหน้า ขอบคุณทุกคน ขอบคุณพ่อแม่พี่น้องอีกครั้งหนึ่ง สวัสดี
|
สวัสดีพ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยที่เคารพรักทุกท่าน พบกันอีกครั้งนะครับ สำหรับในห้วงนี้ระหว่างวันที่ 24 กันยายน – 2 ตุลาคม เป็นห้วงเทศกาลที่พี่น้องประชาชนชาวไทยจำนวนมากถือศีลกินเจ ด้วยการละเว้นบริโภคเนื้อสัตว์ ละเว้นการเบียดเบียนชีวิต และมุ่งมั่นทำจิตใจให้ผ่องใส ผมขอส่งแรงใจให้ทุกท่าน ปฏิบัติได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ทุกประการทุกคน และขอให้กุศลผลบุญแห่งการทำความดีได้ปกปักรักษาให้ทุกท่านและครอบครัว ให้เจริญรุ่งเรืองตลอดไป
สําหรับสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลก็ยังคงเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ทั้งที่เป็นปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้า และความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องแก้ไขให้บรรลุผลโดยเร็ว และต้องการจะวางการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้เป็นรากฐานในการดําเนินการต่อไปใน
ระยะหรืออนาคต ปัญหานั้นมีอยู่มากบางเรื่องแก้ได้ทันที บางเรื่องต้องอาศัยเวลา บางเรื่องรัฐบาลสามารถดําเนินการได้โดยลําพัง และบางเรื่องต้องการความร่วมแรงร่วมใจจากทุกภาคส่วน ขอให้พ่อแม่พี่น้องได้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ลุล่วงโดยเร็วที่สุด พวกเรายังคงยืนยันเรื่องผลประโยชน์เราไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่มีวาระส่วนตัวหรือซ่อนเร้น มีแต่ความจริงใจ และตั้งใจที่จะแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนและประเทศชาติ ทั้งนี้การแก้ปัญหานั้น ๆ จะต้องเป็นไปตามหลักการความมีเหตุมีผล ไม่แก้ปัญหาชนิดที่เรียกว่าแก้ที่ปลายเหตุ ไม่ยั่งยืน นํามาซึ่งปัญหาอื่น ๆ ตามมาในภายหลัง
เรื่องที่อยู่ในความสนใจ
ประเด็นเรื่องกฎหมายภาษีมรดกที่อยู่ในความสนใจของสังคม มีการสร้างข่าวลือต่าง ๆ ทั้งในโซเชียลมีเดียและจากปากต่อปาก ว่ารัฐบาลจะเก็บภาษีมรดกในอัตราร้อยละ 40 และให้มีการเก็บย้อนหลังจากวันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ 5 ปีนั้น ผมขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่ประการใด ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการหารือในที่ประชุมของคณะรัฐมนตรี ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า กฎหมายภาษีมรดกเป็นเครื่องมือที่จะสร้างความเท่าเทียมและความเป็นธรรมใน สังคม เป็นหลักสากลที่หลาย ๆ ประเทศก็มีการดําเนินการอยู่แล้ว โดยรัฐสามารถจะนําเงินภาษีดังกล่าว มาใช้ในการพัฒนาประเทศ ซึ่งสําหรับประเทศของเรานั้นคงไม่มากมายนัก เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่ทําให้เกิดความเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นเราจะได้นํามาดูแลยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนส่วนอื่น ๆ ด้วย รายละเอียดของเนื้อหาของกฎหมายขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ กฤษฎีกา เบื้องต้นร่างกฎหมายที่จะนําเสนอเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อจะพิจารณาออกมาเป็นกฎหมาย ขั้นต้นก็พิจารณากันว่าจะเรียกเก็บภาษีสําหรับมรดกทรัพย์สินที่มีมูลค่ารวม เกินกว่า 50 ล้านบาท โดยจัดเก็บเฉพาะส่วนเกินจาก 50 ล้านบาท ในอัตราคงที่ร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม ยังมีรายละเอียดข้อยกเว้นต่าง ๆ มากมาย มีมาตรการสําหรับผู้ที่มีทรัพย์สินจํานวนน้อย มรดกมีทั้งผู้ให้หรือผู้รับอย่างไร มีรายละเอียดปีกย่อยมากมาย อย่าเพิ่งมาวิพากษ์วิจารณ์กันเวลานี้เลย ผมคิดว่าในส่วนนี้คณะกรรมธิการก็ดําเนินการอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกคน เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาเพิ่มเติม ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีรายได้น้อย ผู้ที่มีที่ดินหรือทรัพย์สินต่าง ๆ เป็นจํานวนไม่มากนัก อันนี้คงไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว
ในเรื่องของการดูแลควบคุมราคาสินค้าและค่าใช้จ่ายของประชาชน วันนี้ผมทราบดีมีความเดือดร้อน ปัญหาสินค้าราคาแพง ผมเคยขอร้องกันไปแล้วในส่วนของพ่อค้าคนกลาง ในส่วนของรายใหญ่ จะต้องช่วยกัน พยายามรักษาระดับราคาของสินค้าให้เกิดความเป็นธรรมกับคนมีรายได้น้อย อย่าเพิ่งไปเอากําไรมากมาย ในขณะนี้เลยเพราะทุกคนเดือดร้อนกันไปหมดในขณะนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ตาม ถ้าเราคิดว่าเราลดกําไรเราลงสักเล็กน้อยให้ขายปริมาณสินค้าได้มากขึ้น เงินที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยก็จะได้ออกมาจับจ่ายใช้สอยได้ และทําให้เกิดการเคลื่อนไหวของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ขอความร่วมมืออีกครั้ง
เพราะฉะนั้นรัฐบาล ก็พยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะกํากับดูแลราคาสินค้า ให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม และเน้นในเรื่องของค่าโดยสาร ค่าขนส่ง ที่มีผู้ประกอบการขอให้ปรับขึ้นราคานั้น ได้สั่งการให้ไปดูในรายละเอียดให้กระทรวงคมนาคมไปดูแลอย่างเร่งด่วน ว่าจะต้องคํานึงถึงความเหมาะสมอย่างไรบ้าง ในต้นทุนที่ดําเนินการทั้งหมด กําไรต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจของในประเทศด้วย ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเขาเดือดร้อนอย่างไร ต้องมาช่วยกัน และหารือกัน หาหนทางปฏิบัติที่เหมาะสม ก็ไม่มีใคร อย่างที่เคยเรียนไปแล้ว ไม่มีใครได้ทั้งหมด หรือเสียทั้งหมด เห็นใจคนจนหน่อย และพยายามจะให้ความเป็นธรรม ราคาต้องอยู่ในระดับที่รับได้ทั้งผู้ประกอบการและประชาชนผู้ใช้บริการ
สําหรับสินค้าอุปโภคบริโภค อันนี้ได้สั่งการกระทรวงพาณิชย์ และหลาย ๆ หน่วยงาน ก็มีหลายหน่วยงานที่จะต้องเข้าไปดูแล กรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือเทศกิจ หรืออะไรต่าง ๆ ต้องไปดูทั้งหมด และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องไปตรวจ ในพื้นที่การค้าขาย ในชุมชนต่าง ๆ ทั้งใน กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดด้วย ระดับราคาสินค้าตั้งแต่ต้นทางเราพอทราบอยู่แล้ว พอกลางทางไปแล้วเพิ่มด้วยค่าขนส่ง เพิ่มด้วยการบริหารจัดการ ไปถึงปลายทางราคาก็สูงขึ้น มากเกินกว่าความจําเป็น อันคงต้องไปดูแลกันตั้งแต่เริ่มต้น วัตถุดิบเป็นอย่างไร ที่ต้องใช้ในการผลิตเป็นอย่างไร การดูแลราคาจําหน่ายของตัวแทนจําหน่ายและผู้ค้าส่ง ให้สอดคล้องกับราคาโรงงาน ไม่ให้มีการฉวยโอกาส ถูกเอารัดเอาเปรียบ รวมไปถึงการดูแลราคาสินค้าปลีก ปลายทางให้มีความสอดคล้องกัน และจะใช้มาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดและรัดกุมด้วย เพื่อไม่ให้มีการกักตุนสินค้า และให้มีสินค้าเพียงพอกับความต้องการของพี่น้องประชาชน โดยรัฐบาลจะมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการเพื่อขยาย ระยะเวลาในการตรึงราคาสินค้าต่อไปอีก 2-3 เดือน หลังจากที่มาตรการตรึงราคาสินค้าที่ดําเนินการอยู่จะสิ้นสุดในเดือนพฤศจิกายน นี้
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดําเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อลดภาระค่าครองชีพ เช่น ศูนย์จําหน่ายสินค้าเกษตรชุมชน หรือ Farm Outlet เพื่อเป็นแหล่งกระจายสินค้าและจําหน่ายสินค้าการเกษตรที่เป็นระบบ ซึ่งได้มีการเปิดตัวศูนย์ที่ 20 ไปแล้ว ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ร้านจําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จ เพื่อคืนความสุขทุกจานให้ประชาชนภายใต้สัญลักษณ์ "หนูณิชย์ พาชิม" ที่เน้นร้านค้าที่ถูก สะอาด ดี และอร่อย ซึ่งตั้งแต่เปิดตัวโครงการฯ ไปแล้วเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ ได้มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเกินกว่าเป้าหมาย 1,000 แห่งไปแล้ว ก็ยังต้องการอีกเพิ่มเติม และโครงการนี้จะทยอยลงสู่ทั่วทุกภูมิภาค ขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน ทุกร้านค้าทั้งของรัฐทั้งเอกชน โดยจะเริ่มที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในเดือนหน้า เชื่อว่าหากมีการเปิดตัวครบทั่วทุกภูมิภาคแล้ว จะมีร้านเข้าร่วมโครงการไม่ต่ํากว่า 5,000 ร้าน ซึ่งถ้านับกับสัดส่วนแล้วยังมีจํานวนน้อย ผมอยากให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ไปช่วยกัน ทั้ง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทั้งในส่วนของสมาคม พ่อค้า เอกชนอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ที่มีโครงการหรือมีร้านอาหารประเภทนี้ ขอให้ช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนในการซื้ออาหารปรุงสําเร็จได้ประมาณ ร้อยละ 10-35 ของค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารในแต่ละวัน เป็นกุศลกับท่านด้วย
สําหรับการลดภาระต้นทุนให้แก่พี่น้องชาวนานั้น รัฐบาลได้เริ่มดําเนินโครงการ "ลดต้นทุนการผลิตเพื่อความสุขของชาวนาไทย” ได้ มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ประสานงานกับผู้ประกอบการปัจจัยการผลิตต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการลดต้นทุนปัจจัยการผลิตสําหรับการปลูกข้าว โดยจะดําเนินการเป็นแพ็กเกจใหญ่ ๆ ในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทํานาทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อเป็นการดูแลเกษตรกรอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ก็เพื่อจะให้การปลูกข้าวของไทยได้พัฒนาได้อย่างยั่งยืน รัฐบาลก็กําลังพิจารณาดําเนินการจัดตั้งสถาบันพัฒนาการพาณิชย์ข้าวไทย เพื่อทําหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาข้าวไทยอย่างบูรณาการด้วย ในเรื่องของข้าวผมถือว่าเกษตรกรชาวนาเป็นบุคลากร หรือเป็นประชาชนที่น่าเป็นห่วง และเป็นหลักให้กับประเทศไทย เพราะเราเป็นประเทศที่มีการผลิตข้าว และกว่าจะได้ข้าวมาแต่ละเมล็ดผมว่าใช้แรง ใช้ความตั้งใจ ใช้ความเอาใจใส่มหาศาล กว่าจะได้ข้าวมาให้เรารับประทานกัน ผมถือว่าเป็นผู้ที่มีคุณค่ากับประเทศไทย เราจะดูแลให้ดีที่สุดสําหรับชาวนา และวันนี้ท่านก็ยังมีรายได้ที่น้อยมากอยู่ เราต้องแก้ไขทั้งระบบชาวนา ต่อไปก็เป็นเรื่องของชาวสวน ชาวไร่ต่าง ๆ อีก ซึ่งมีปัญหามากพอสมควรในขณะนี้ ก็จะเร่งดําเนินการทั้งมาตรการเร่งด่วน และมาตรการที่เป็นระยะยาวด้วย
ในเรื่องของการทะเลาะวิวาทของนักเรียนอาชีวะ ผมก็ไม่ได้ไปว่าทุกโรงเรียนทุกคน เพราะว่าที่ดีเขาก็มีมาก มากเกินกว่า 90% ขึ้นไป มีอยู่ไม่กี่ที่ กี่แห่ง กี่คน ผมไม่ได้ไปตําหนิสถานศึกษา ผมตําหนิตัวบุคคล ผู้เข้ารับการศึกษา และผู้ที่ให้การอบรม ทําอย่างไรที่จะทําให้คนเหล่านี้กลายเป็นคนที่ดีต่อสังคมได้ ทําประโยชน์ไม่ไปตีรันฟันแทงกัน เพราะฉะนั้นหลังจากที่ผมได้มีการกําหนดมาตรการลงไป หรือพูดเป็นการป้องปรามไปแล้ว ก็ได้มีสถานศึกษาเอกชนได้มีมาตรการป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวหลายอย่างด้วย กัน อาทิเช่น ถ้าหากว่ามีการก่อเหตุจะถูกปิดการเรียนการสอนทันที 3-7 วัน ก็เดือดร้อนอยู่ดี ยังไงก็เดือนร้อน เพราะฉะนั้นคนส่วนน้อยอย่าไปทําให้คนส่วนใหญ่เขาเดือดร้อน ระหว่างการสอบสวน หากสถาบันฯ ไม่สามารถทําแผนป้องกันเหตุให้ผ่านการพิจารณาของสํานักงานคณะกรรมการการส่ง เสริมการศึกษาเอกชนได้ ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดอีก
ขณะเดียวกัน ถ้าสถาบันฯใดเป็นฝ่ายก่อเหตุครบ 3 ครั้งต่อปี อาจจะต้องงดรับนักศึกษาในปีการศึกษาถัดไป แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่าอันนี้เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ต้องสร้างค่านิยมให้กับคนในชาติ ค่านิยมให้กับนิสิตนักศึกษาด้วย ว่าทําอย่างไรจะไม่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น ดีกว่าที่เราจะไปแก้ที่ปลายเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นทั้งผู้ปกครอง เพื่อนฝูงที่มีการสูญเสียบาดเจ็บกันไปแล้วก็เกิดความโกรธแค้นชิงชังกันต่อไป และจะอยู่กันได้อย่างไรในอนาคต เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนนั้น ผมว่าพ่อแม่ผู้ปกครองก็มีส่วน สังคม รวมทั้งสื่อมวลชนก็ต้องช่วยกันตักเตือน ช่วยกันปรับเปลี่ยนทัศนคติและให้โอกาสนักเรียนกลุ่มดังกล่าวเหล่านั้น และนักเรียนสายอาชีวะเป็นแรงงาน ซึ่งผมคิดว่ามีคุณค่าและยังมีขีดความสามารถและมีทักษะสําคัญต่อการพัฒนาชาติ ตลอดจนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากผลการวิจัยพบว่ามีภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ยังคงประสบปัญหาจากการขาดแรงงานที่มีคุณภาพ โดยความต้องการแรงงานมากที่สุด ถ้าจําแนกออกมาตามรายภาค 5 อันดับแรก ได้แก่ เกี่ยวกับธุรกิจสิ่งทอ เครื่องแต่งกาย และเครื่องหนัง ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก และธุรกิจก่อสร้าง
ดังนั้น เราควรยกระดับให้การศึกษาสายอาชีวะเป็นการศึกษาที่เป็นรากฐานสําคัญของประเทศ ให้มีภาพลักษณ์ว่านักเรียนสายอาชีวะเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าของประเทศและ เศรษฐกิจไทย ให้โอกาสนักเรียนอาชีวะในการทําประโยชน์ให้กับสังคม การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การนําความรู้ไปช่วยฝึกอบรมแก่แรงงานระดับล่าง เป็นต้น หรือจ้างงานอะไรต่าง ๆ ในแผนงานโครงการของรัฐให้เขาไปช่วยทํางานให้เกิดประโยชน์กับสังคม ก็ขอให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ช่วยกันขับเคลื่อนด้วย ในส่วนของมหาวิทยาลัยของราชภัฏ ต่าง ๆ อยากให้เน้นในเรื่องของการศึกษา ภาษาอังกฤษ ภาษาเพื่อนบ้าน หรือต่อยอดจากผู้ที่จบการศึกษาให้สามารถที่จะไปทํางานทางด้านที่เป็นฝ่าย บริหารได้ ผมเคยเรียนไปแล้วว่าทําอย่างไรเราจะเตรียมคนไปสู่ AEC ได้ เพราะฉะนั้นต้องสอนคนให้สามารถไปประกอบอาชีพได้เลย ถ้าสอนไปเฉพาะภาควิชาการ จบปริญญามาแล้วทํางานไม่ได้เลย ก็ตกงาน กว่าจะเรียนรู้ใหม่อีกทีก็ใช้เวลามากพอสมควร ผมอยากทางสภาบันต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ให้ช่วยกันอาชีวะด้วย ช่างกลต่าง ๆ เหล่านี้ เราขาดแรงงานประเภทนี้เป็นจํานวนมากตามโรงงานต่าง ๆ วันนี้เรามีการจัดตั้งสนับสนุนของ BOI ขึ้นมา ให้มีมาตรการเพิ่มเติมในเรื่องของการเปิดโรงงานที่มีการเพิ่มพูนเทคโนโลยี เปิดโรงงานเกี่ยวกับเรื่องพลังงานทดแทน เกี่ยวกับเรื่องการผลิตไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าเราไม่เตรียมคนที่จะไปทํางานในแหล่งเหล่านี้ ในโรงงานเหล่านี้ ก็ขาดแรงงาน เรามีแต่แรงงานที่ใช้กําลังทั้งหมด เป็นแรงงานที่ไม่มีความรู้ ทางการประกอบอาชีพมากมายนักในขณะนี้ เป็นจํานวนมาก ฉะนั้นเราต้องเพิ่มคุณวุฒิของแรงงานเหล่านี้ ให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ เดี๋ยวสู้เขาไม่ได้ใน AEC ในอนาคต เพราะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานกันได้อีกต่อไป จะพูดในตอนสุดท้ายด้วย
ในส่วนของการปลูกฝังระเบียบวินัยไม่แบ่งแยกสถาบันฯ สถาบันฯ มีไว้ให้ภูมิใจ มีไว้ให้เป็นประวัติศาสตร์ อะไรที่ดีก็ทํา อะไรที่ไม่ดีก็อย่าไปทําอีก ขณะเดียวกันครูก็ต้องสอดแทรกการปลูกฝังระเบียบวินัยที่เข้มแข็ง ให้มีศักยภาพในการที่จะทํางาน ด้วยทั้งกําลังทั้งสติปัญญาด้วย เฉพาะอย่างยิ่งในหลักสูตรอาชีวศึกษา ขอร้องน้อง ๆ ทุกคน หลาน ๆ ทุกคน ช่วยกันอย่าตีอะไรกันต่อไปอีกเลย เสียเวลา เสียโอกาสเปล่า ๆ
การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ขอชื่นชมหลายกระทรวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้รับรายงานว่าได้ดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในเรื่องการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นซึ่งเรากําหนดเป็นวาระแห่งชาติ ได้นําสัญญาคุณธรรมขององค์การต่อต้านคอร์รัปชั่นแห่งประเทศไทยที่กําหนดให้ ประชาชนและผู้มีความรู้ ผู้ทรงคุณวุฒิที่อยู่นอกระบบราชการเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบในกระบวนการ จัดซื้อ จัดจ้าง หรือการลงทุนของภาครัฐ และได้นําสัญญาคุณธรรมนี้ มาใช้ในการจัดซื้อยาและเครื่องมือแพทย์ชุดใหญ่ที่มีราคาสูง ก็เป็นตัวอย่างขอชมเชยทุกกระทรวงก็ทําในลักษณะเดียวกันก็จะดี
การวางรากฐานในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ คสช. ได้ดําเนินการมาตั้งแต่ก่อนการจัดตั้งรัฐบาล โดยการดําเนินงานของซุปเปอร์บอร์ด ดําเนินการโดยสํานักงานนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง คณะกรรมการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และองค์การต่อต้านคอร์รัปชั่นแห่งประเทศไทย ได้รับการยืนยันจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือ COST ที่ตกลงแล้วว่าจะทําความร่วมมือกับเราและรับไทยเป็นสมาชิก ที่จะนํากระบวนการตรวจสอบความโปร่งใสในโครงการก่อสร้าง ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ จัดทําทีโออาร์ จัดซื้อจัดจ้าง ตรวจรับงาน มาใช้ในการจัดซื้อ จัดจ้าง สําหรับโครงการขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจเพื่อให้แน่ใจว่ามีความโปร่งใส ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ทั้งนี้จะเริ่มนํามาตรวจสอบ หรือทดสอบใช้ในโครงการก่อสร้างของบริษัทการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยระยะที่ 2 เป็นแห่งแรก ทั้งนี้ อย่ากังวลว่าจะทําให้เกิดความล่าช้า เพราะหากเราดําเนินโครงการไปแบบผิด ๆ แล้วต้องหยุดชะงักเพราะความไม่โปร่งใสก็ทําให้รัฐสูญเสียงบประมาณที่มาจาก ภาษีของประชาชนเป็นจํานวนมากเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามให้สามารถดําเนินการได้อย่างต่อเนื่องด้วยความถูก ต้อง ไม่ต้องเกิดการสะดุด หรือล่าช้า หรือต้องล้มลงไปในที่สุดเหมือนที่ผ่านมา
การขับเคลื่อนงานด้านต่าง ๆ
แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชน ซึ่งอันนี้รัฐบาลตระหนักดีว่าวันนี้ ขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจมีความซบเซาต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนานตั้งแต่ปลายปี ที่ผ่านมา ทั้งภาวะการเมืองในประเทศ และผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาทั่วโลก อีกทั้งเราก็รู้กันดีว่าในปีนี้เศรษฐกิจอาจจะไม่เติบโตเท่าที่ควร ได้มีการประมาณการ GDP ในปีนี้ อาจจะไม่ถึงระดับร้อยละ 2 ก็พยายามต้องพยายาม รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจเลย ทําอย่างไรพี่น้องประชาชนคนไทยจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา ทั้งในประเทศ นอกประเทศ ให้น้อยที่สุด รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจเรื่องเหล่านี้ มีการประชุม มีการพูดคุย มีการหารือ มีการกําหนดมาตรการต่าง ๆ มากมาย แต่ทุกอย่างทําทันทีไม่ได้เว้นแต่เรื่องที่เป็นเรื่องที่แก้ไขได้ง่าย ๆ ได้มีการวางแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชน ให้ทั่วถึงทุกภูมิภาคของประเทศ และเน้นการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคเสริมสร้างความเข้มแข็งในแต่ละชุมชน สร้างอาชีพและรายได้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น ยกระดับการศึกษาในชุมชน
ขณะนี้รัฐบาลได้สั่งการเร่งด่วนให้แต่ละกระทรวงไปตรวจสอบว่า มีโครงการใดบ้างที่ยังไม่ได้ดําเนินการและจะต้องมีการปรับแผน หรือยังไม่ได้ทําสัญญาจ้างงาน เพื่อจะได้เร่งใช้งบลงทุนในปี 2557 ที่ยังมีเหลืออยู่กว่าแสนล้านบาทไปกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและจ้างงานได้ ทันทีภายใน 3 เดือนนี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจใน 3 เดือนที่เหลืออยู่ และส่งเสริมให้เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนอีกทางหนึ่งด้วย ก็ได้กําหนดไปแล้วว่าจะให้ทําอะไรบ้าง เพื่อจะเป็นการจ้างงาน เป็นการขับเคลื่อนและมีเม็ดเงินออกมาสู่พื้นที่
นอกนั้นแล้วรัฐบาลจะเร่งทําสัญญาจ้างงานกับโครงการขนาดเล็กต่าง ๆ ให้ได้ภายในสิ้นปีและก็จะนํางบลงทุนในปีงบประมาณ 2558 ระยะแรกก็เตรียมไว้ประมาณ 50,000 ล้านบาท มาใช้อีกเพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่นและเป็นการสร้างรายได้ อย่างทั่วถึง รายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้ท่านต้องไปติดตามรายละเอียดในส่วนของ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ทุกจังหวัดจะมีงบประมาณเหล่านี้ซึ่งจะยังคงประกาศให้ทราบต่อไป ว่าจะทําอะไรกันบ้าง ท่านก็ไปร่วมมือกัน ตรวจสอบ ร่วมมือกันในการทําให้งบประมาณนั้นมีประโยชน์และคุ้มค่า
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะเร่งตรวจสอบงบประมาณและวงเงินกู้ต่าง ๆ ที่ กันไว้ อีกส่วนหนึ่งอีกที่ยังไม่ได้นํามาใช้ประโยชน์ในช่วงที่ผ่านมามีจํานวนอีก ประมาณ 20,000 ล้านบาท ก็จะนํามาลงทุนเช่นกัน ในโครงการสาธารณูปโภคที่อยู่ในความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการซ่อมแซมอาคารเรียน ระบบชลประทาน และสาธารณูปโภค ซ่อมถนนหนทาง สถานีอนามัย โรงเรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชน ก่อให้เกิดการจ้างงานในภูมิภาค รวมทั้งสนับสนุนการใช้จ่ายภายในท้องถิ่น อันจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นได้อีกทางหนึ่ง
แนวทางที่วางไว้นี้จะดูจากความต้องการของแต่ละท้องถิ่นด้วยอย่างแท้จริง ให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร พี่น้องแรงงาน และประชาชนในทุกภูมิภาค ขณะนี้กําลังเตรียมความพร้อมอยู่จะเร่งรัดให้เร็วที่สุด ได้ให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) สํานักงบประมาณ เข้ามาร่วมกันดูแล ถ้าทุกคนทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และทุกภาคส่วนนั้นร่วมมือกัน เชื่อได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขับเคลื่อนไปได้ด้วยดีภายในสิ้นปีนี้และก็ไป ขับเคลื่อนต่อในปีหน้าอีกต่อไป
การแก้ปัญหาราคายางพารา ก็มีคําพูด คํากล่าวกันมากมายหลายกลุ่มหลายสมาคมเกิดจากปัญหาราคายางพาราตกต่ํา ก็ได้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ หรือ กนย. ไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ และก็มีผู้แทนจากส่วนราชการต่าง ๆ และภาคเอกชนเข้าร่วมหารือ หาแนวทางการแก้ไขปัญหายางพารา โดยเฉพาะแนวทางการพัฒนายางพาราทั้งระบบ ซึ่งก็มีข้อเสนอมามากมายจากสมาคม จากภาคเอกชนด้วยต้องฟังหลาย ๆ ทางซึ่งทั้งหมดนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รวบรวมเสนอมาถึงการบริหารจัดการคลังยางของรัฐบาล ด้วย ซึ่งจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อกลไกการตลาดในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอต่อที่ประชุมใน 4 แนวทางด้วยกันก็คือ เร่งรัดการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้น โดยนํายางมาใช้ในการสร้างถนน ทําอิฐบล็อก ทําพื้น ฝาย ผลิตภัณฑ์แปรรูป ที่นอนอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า สถาบันวิจัยยางเพื่อไปเพิ่มมูลค่าการผลิตเรายังไม่สมบูรณ์
ผมก็เร่งรัดไปให้มีการเร่งรัดในเรื่องของการจัดตั้งสถาบันวิจัยยางเพื่อ ไปทําผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในประเทศเราถ้าเราไม่มีตรงนี้การรับรองคุณภาพก็ไม่เกิด เมื่อไม่เกิดไปทําอะไร เขาก็รับไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้แก้ไขมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ระยะเวลาที่ผ่านมา ถ้าเรามีสถาบันอันนี้ขึ้นมาเราก็สามารถนําไปใช้โน่น ใช้นี่ได้ ไม่อย่างนั้นต่างชาติเขาก็ไม่นําไปใช้หรอกครับ ไม่มีใครรับรองให้เขา เรามีปริมาณแต่คุณภาพต้องดูให้ดี การตัดต้นยางเก่าอะไรนี่เป็นแนวทางเดิมอยู่แล้ว ประเด็นสําคัญก็คือต้นยางถ้าอายุเกิน 25 ปี เขาก็ต้องตัดทิ้ง นําไปทําเฟอร์นิเจอร์อะไรก็ว่าไป อันไหนที่ยังอายุน้อยกว่า เดิมที่ผ่านมาก็ได้น้ํายางน้อยวันนี้ก็นําไปปรับปรุงกันเอาเอง ไปอัดแก๊สเข้าไปให้ได้น้ํายางเร็ว ๆ ก็เหมือนไปเร่งให้มีน้ํายางมาก ๆ วันหน้าก็อันตราย ต้นยางก็ไม่แข็งแรง
เพราะฉะนั้น เราต้องช่วยกันลดทั้งอุปทาน รักษาระดับปริมาณยางทั้งในประเทศและการค้าขายกับต่างประเทศให้ได้ กําหนดราคาให้ได้ เพราะฉะนั้น ต้องไปสู่การโซนนิ่งในอนาคต ที่มีการพูดว่าจะมีการจ้างให้เลิกปลูกยาง ผมไม่เคยพูดอย่างนั้นเลย เดี๋ยวจะเข้าใจกันผิด ก็เพียงแต่ว่าใครอยากจะเปลี่ยนไปเป็นอาชีพอื่น ๆ รัฐบาลก็จะหาทางสนับสนุนให้ว่า อยากทําอะไรไปหาช่องทางที่เหมาะสม ราคาไม่ตกและก็เหมาะสมกับพื้นที่ก็เป็นทํานองนั้นมากกว่า ใครจะนําเงินไปจ้างใครให้เลิกทําอาชีพ เป็นไปไม่ได้ อย่างมากก็เยียวยาให้หรือสนับสนุนให้ไปทําใหม่ ทําอย่างอื่นแทน อะไรทํานองนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับท่าน บังคับท่านได้ที่ไหน เวลาบังคับก็มีเรื่องทุกที เพราะฉะนั้นถ้าท่านสมัครใจทํานี้ก็จะเกิดขึ้น ๆ และอนาคตก็จะยั่งยืน
ในเรื่องของการผลักดันและเร่งรัดโครงการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ํา เพื่อให้สถาบันเกษตรกรรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้น วันนี้มีนายทุนหรือพ่อค้าคนกลางไปซื้อไว้ วันนี้เราก็หาเงินมาอีกก้อนหนึ่งเพื่อสหกรณ์เกษตรกรนี้ มีเงินเพื่อจะไปซื้อในราคาที่สูงกว่าที่พ่อค้าคนกลางเขาซื้อ อย่างน้อยยังเป็นการยกระดับ ยกระดับให้ราคายางสูงขึ้นโดยทันที อันนี้ก็ดําเนินการอยู่แล้ว
ในขณะนี้ ก็จะเร่งรัดเม็ดเงินต่าง ๆ ออกให้ได้โดยเร็ว เรื่องการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ เพื่อไปเปลี่ยนเครื่องจักร เพื่อใช้ในการแปรรูปยางหรือผลิตภัณฑ์ยางอะไรก็แล้วแต่ หรือการจัดตั้งโรงงานที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ยางให้มากขึ้นจากในประเทศนี้ก็ไปร่วม มือกันทั้ง BOI ด้วย กระทรวงอุตสาหกรรมด้วยรวมทั้งหมดต้องทําให้เกิดให้ได้ ตั้งแต่การผลิตยางออกมาและการปรับปรุงคุณภาพ เพิ่มมูลค่า จากนั้นก็ไปสู่ในเรื่องการวิจัยยาง นําไปสู่การผลิตเป็นวัสดุต้นทุนอย่างอื่นและนําไปขายในราคาที่สูงกว่าเดิมและ ไปขายทั้งในประเทศและนอกประเทศถึงจะเกิด เหมือนประเทศอื่น ๆ เขาเกิด ประเทศเราก็แก้ปัญหามา พอขาดราคาตกนําเงินอุดหนุน ๆ ตลอด มันเกิดอะไรขึ้นมาได้หรือยัง ก็ไม่เกิดซักที ก็เป็นอย่างนี้เป็นสิบ ๆ ปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปบิดเบือนราคา ทําอย่างไรเราจะทําให้ราคายางสูงขึ้น เราก็ต้องไปคุย เช่น ในเรื่องของการสร้างตลาดการซื้อยาง ขายยางธรรมชาติ เชื่อมโยงมีการทําสัญญาเมื่อซื้อขายแล้วจะต้องส่งมอบสินค้าจริง ไม่ใช่สัญญาในกระดาษอย่างเดียวและก็เก็บสต็อกลมเอาไว้ อะไรแบบนี้เป็นเรื่องซับซ้อน เพราะฉะนั้นเกษตรกรชาวสวนยางผู้รับซื้อต้องคุยกัน รัฐบาลก็จะเข้าไปดูแลในส่วนนี้ให้
ในด้านร่วมมือกับต่างประเทศ จะต้องกําหนดแนวทางจัดการเก็บสต็อกยางร่วมกัน ประเทศที่ผลิตยางใหญ่ ๆ ของโลกก็มีอยู่ไม่กี่ประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าเราบริหารจัดการกันได้ ร่วมมือกันได้ราคายางก็สูงขึ้น เพราะอย่างไรก็ตามการใช้ยางยังคงต้องใช้อยู่ ในโลกนี้มีหลายอย่าง เพียงแต่ประเทศอื่น ๆ เขาผลิตยางออกมาและเขาทําไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูง เรายังไปไม่ได้ตรงนั้นมากนักก็ต้องเร่งรัดตรงนั้นให้ได้
นอกจากนั้น ในเรื่องของการหารือกัน เมื่อ 2 วันนี้ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ขออนุมัติเดินทางไปต่าง ประเทศเพื่อจะไปพูดคุยกับ 3 ประเทศใหญ่ ๆ ในการผลิตยาง เดินทางไปแล้วนะครับว่าจะทําอย่างไรกันต่อไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหายางค้างสต็อก และขณะเดียวกันภายในของเรา เราก็จะเร่งจ่ายเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรจํานวน 2,520 บาทต่อไร่ ซึ่งค้างอยู่ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วก็คงต้องจ่ายให้ เพราะเป็นการอนุมัติผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) มาเรียบร้อยจะดําเนินการควบคู่ไปกับการปล่อยเงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส.จํานวน 10,000 ล้านบาท เพื่อให้สถาบันเกษตรกรซื้อยางไว้เพื่อเก็บเป็นสต็อก และอีก 5,000 ล้านบาทให้กู้เพื่อเป็นทุนในการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากยางให้ทันสมัย อีก 15,000 ล้านบาท ให้กู้จาก ธนาคารออมสิน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราจะเห็นว่ารัฐบาลแก้ในทุกมิติ ทุกเรื่อง หลาย ๆ เรื่องด้วยกันเกษตรกรก็กรุณาใจเย็นเล็กน้อย
ท่านต้องไปพูดคุยให้รู้เรื่องและรวมกลุ่มให้ได้อย่างแท้จริงอย่าแยกเป็น หลายกลุ่มหลายฝ่ายพอพรุ่งนี้มาอีกพวกไม่มาเสร็จแล้วก็กลับไปก็บอกไม่เข้าใจ กัน ไม่ได้ ท่านต้องรวมกันให้ได้ เพราะรัฐบาลมีรัฐบาลเดียว ท่านก็ต้องมีสมาคมที่พูดคุยกันให้เหมือนกับสมาคมเดียวได้ไหม ผมไม่รู้ ท่านต้องไปดําเนินการมา จะได้แก้ปัญหาได้ทีเดียวไม่อย่างนั้นก็พูดกันไปกันมาหลายเรื่อง หลายกลุ่มด้วยกัน
เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีการประชุมในชั้นต้นแล้วกับกลุ่มพ่อค้า สมาคมต่าง ๆ บางคนอาจจะบอกว่ามาไม่ครบ ก็ไปให้ครบสิครับ เวลาเขาเชิญก็บอก ๆ กันไปถ้าท่านรวมกันไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะทําอย่างไร แต่ส่วนใหญ่ที่เราประกาศไปแล้ว ที่พูดคุยอย่างที่ผมเรียนไว้เมื่อสักครู่ เขาก็มีความพึงพอใจ แต่อย่างไรก็ตาม ผมยังรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มอื่น ๆ ด้วย เพียงแต่ขอร้องให้ท่านไปรวมกันมาให้ได้โดยเร็ว อย่างไร ผมก็ฟังท่านอยู่ดี เพราะท่านเป็นคนไทย ท่านเป็นเกษตรกรไทย
การแก้ปัญหาราคาข้าวสําหรับผลผลิตฤดูกาลล่าสุด ในอีกไม่กี่เดือน ก็จะถึงหน้าการเก็บเกี่ยวข้าว รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจอีกเหมือนกัน ที่ผ่านมาก็แก้ไปแล้วขั้นตอนหนึ่ง พอลงทุนใหม่กรอบใหม่ก็ต้องเตรียมการใหม่อีก เพราะเป็นปัญหาที่ทับซ้อนมาเป็นเวลานานแล้ว วันนี้ก็เลยให้มีการลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องชาวนาในจังหวัดต่าง ๆ พี่น้องชาวนาส่วนใหญ่มีความกังวลในเรื่องของปัญหาราคาข้าว รัฐบาลเองมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาก็พยายามผลักดันให้ราคาข้าวเปลือกสูง ขึ้น กระทรวงพาณิชย์ก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าราคาข้าวเปลือกเจ้า5% น่าจะต้องมีราคา ให้ใกล้เคียงตันละ 8,500 บาท และจะจัดการระบายข้าวในสต็อก เน้นการส่งออกไปต่างประเทศ และขอให้พี่น้องชาวนามั่นใจว่า รัฐบาลจะมีการวางแผนการระบายข้าว ไม่ให้กระทบต่อราคาข้าวที่ควรจะเป็น
นอกเหนือจากลงพื้นที่เพื่อพบกับพี่น้องชาวนาไทยโดยตรงแล้ว รัฐบาลจะนัด หารือเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันกับตัวแทนผู้นําเกษตรชาวนาจาก 5 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมชาวนาไทย สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย สมาคมส่งเสริมชาวนาไทย สมาคมเครือข่ายชาวนาไทย และเครือข่ายศูนย์ข้าวชุมชน โดยจะเป็นการระดมสมอง กําหนดแนวทางในการรักษาเสถียรภาพของราคาข้าว ซึ่งจะมีการนัดหารือติดตามผลการดําเนินงานทุก 15 วัน จะมีการเรียกประชุมกับผู้ส่งออกและโรงสีเพื่อกําหนดแนวทางในการดูแลข้าวทั้ง ระบบ
ทั้งนี้ ก็เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน รัฐบาลจะส่งเสริมในเรื่องของการ ปรับปรุงคุณภาพข้าว ลดต้นทุนการเพาะปลูก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปลูกข้าว เพื่อจะทําให้สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้ ใช้พื้นที่ให้น้อยลง ใช้น้ําให้น้อยลงและจะมีการเข้มงวดในการใช้กฎหมายในการตรวจสอบสต็อกข้าว ที่กฎหมายระบุไว้ให้ผู้ส่งออกต้องมีสต็อกข้าวตลอดเวลา 500 ตัน และรัฐบาลเองจะช่วยในเรื่องแหล่งเงินทุน โดยจะจัดหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ให้กับชาวนาที่มียุ้งฉางในภาคอีสานและภาคเหนือตอนบน เพื่อจูงใจให้มีการเก็บข้าวและนําออกขายในราคาที่เหมาะสม และจัดหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําให้โรงสี เพื่อจูงใจการซื้อข้าวจากชาวนาและทยอยขายเมื่อราคาเหมาะสม นอกจากนี้นั้น รัฐบาลกําลังพิจารณาดําเนินการจัดตั้งสถาบันพัฒนาการพาณิชย์ข้าวไทย เพื่อสนับสนุนการพัฒนาข้าวไทยอย่างบูรณาการ ทําให้เป็นระบบ
สําหรับเรื่องการประกันภัยข้าวนาปี การผลิต 2557 ที่ทาง คสช. ได้มีมติอนุมัติ และทาง ธ.ก.ส. ได้เริ่มดําเนินการไปแล้ว ก็อยากให้พี่น้องชาวนาได้มาเข้าร่วมโครงการกันให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ลดความเสี่ยงลงจากภัยธรรมชาติและภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งค่าเบี้ยประกันที่เกษตรกรต้องจ่ายนั้น อยู่ในอัตราเพียง 60 – 100 บาท ต่อไร่ รัฐช่วยอุดหนุนเบี้ยประกันภัยให้เพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ หากเกิดภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติขึ้น พี่น้องชาวนาจะได้รับเงินชดเชยรวมถึงไร่ละ 2,224 บาท ซึ่งก็มาจากเงินช่วยเหลือของรัฐบาลตามปกติ และจากการประกันภัยตามโครงการเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
เรื่องแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีความเป็นเอกภาพ บูรณาการ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน รัฐบาลก็ใช้แนวทางคือ การดําเนินการใด ๆ ของทุกกระทรวง หากต้องเป็นเรื่องของการแต่งตั้งบุคลากรระดับสูง การใช้จ่ายเงินงบประมาณ นโยบายหลักของรัฐบาลนั้น จะต้องนําเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. เพื่อขออนุมัติจึงจะดําเนินการได้ โดยนายกรัฐมนตรี (นรม.) จะเป็นผู้อนุมัติให้นําเข้าที่ประชุม ครม. เอกสารทางราชการของทุกกระทรวงที่มีถึง นรม. จะต้องผ่านความเห็นชอบของ รอง นรม.ด้วย แต่ละฝ่ายควรจะระมัดระวังการให้ข่าวสาร ประชาสัมพันธ์
ถ้าให้ไปก่อนเร็วเกินไปยังไม่ได้ผ่าน ครม. เดี๋ยวเกิดความเข้าใจผิด ประชาชนก็สับสน เพราะฉะนั้นผมได้
ย้ําเตือนท่านรัฐมนตรี ท่านปลัดกระทรวงไปแล้ว เรื่องใดก็ตามที่ผ่าน ครม. แล้วจึงจะมีการประชาสัมพันธ์ได้ เรื่องอื่น ๆ ก็ประชาสัมพันธ์ให้รับทราบว่ากําลังทําอะไรกันอยู่ได้ แต่รายละเอียดอย่าเพิ่งลงไปมากนัก วันนี้ก็ให้มีการตรวจสอบในเรื่องของนโยบายจากสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก่อน เพื่อป้องกันความสับสนของประชาชนวันนี้ก็ให้กระทรวงดําเนินการตามนี้
เรื่องการปฏิรูปปรองดอง ก็พูดกันมากมายในเรื่องของการ ประชุมของคณะกรรมการสรรหาสมาชิก ได้คัดเลือกรายชื่อมาแล้วด้านละ 50 คน รวมทั้ง 11 ด้าน ได้ส่งรายชื่อให้กับ คสช. แล้วจํานวน 550 คน คสช. จะคัดเลือกให้เหลือ 173 คน ในส่วนของจังหวัดซึ่งได้ครบวันนี้ ทั้งหมด 77 จังหวัด จังหวัดละ 5 คน 385 คน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 30(6) 2557 ฉบับชั่วคราว ได้กําหนดให้ คสช. เป็นผู้คัดเลือก วันนี้เราก็ได้นํารายชื่อเหล่านั้นมาดู มาตรวจสอบรายละเอียด ดูคุณสมบัติ ดูที่อยู่ ที่ทํางานอะไรต่าง ๆ เพื่อสรรหาคนที่มีคุณภาพเหมาะสม
ผมก็อยากจะเรียนว่า ผมก็ไม่เห็นประโยชน์ว่าผมจะไปล็อกใคร เข้ามาทํางานตรงนี้ เพราะในเมื่อเราไม่ต้องการอะไรแล้วเราจะไปล็อกเขามาทําไม มีแต่ล็อกอย่างเดียวก็คือ ล็อกด้วยความรู้ความสามารถของเขา เขามีความรู้ความสามารถก็นําเขาเข้ามา จะได้ปฏิรูปได้จริง ๆ ถ้านําคนที่ไม่มีความรู้มาเลยก็ไม่ได้ แต่ต้องนําคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาด้วย ก็พยายามทําอย่างเต็มที่ คนทั้งหมด 7,000 กว่าคนคัดเลือกไม่ใช่ง่าย ๆ ผมคิดว่าเรื่องที่ร่ําลือกันอยู่ในสื่ออะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ก็ตรวจสอบกันทีหลังได้ ใครเข้ามาแล้ว ไม่ดีหรือถูกร้องเรียนก็ตรวจสอบกันก็ปรับออก ก็ดําเนินการใหม่ เพราะว่าการคัดเลือกคน 7,000 กว่าคนให้เหลือ 250 ท่านคิดแล้วกันว่ายากง่ายขนาดไหน โดยที่เราไม่ได้ต้องการอะไรตรงนี้ เพราะฉะนั้นก็ให้เกียรติเขาหน่อย ให้เกียรติกับคนคัดสรรเขาหน่อย แล้วถ้าเราได้มาเรียบร้อยแล้ว เราก็จะนําทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่ง ชาติ (สปช.) ต่อไป
ในกรณีที่ว่าเรียกร้องว่าไม่โปร่งใสก็ร้องเรียนมาทีหลังได้ เมื่อประกาศรายชื่อแล้วรอบสุดท้าย ต้องประกาศ 250 ไม่มีไปปิดไว้อะไรไม่ได้ เพราะว่าต้องเปิดเผยอยู่แล้วไม่ต้องกลัว เพราะฉะนั้นสังคมอย่าเพิ่งไปตัดสินเลยว่าจะไปล็อกสเป็กหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมขอร้องไม่อย่างนั้นจะวุ่นวายไปหมด ทํางานก็ไม่ได้ ทั้งหมด 250 นี้ก็หลังจากสมัครมาเป็นฝ่าย ๆ เป็นพวก ๆ แล้ว ใน 250 ก็จะตีรายชื่อยาวไปเลย 250 คน แล้วเดี๋ยวเขาต้องไปประชุมจัดกลุ่มกันใหม่อีกเพราะที่มาไม่เท่าเทียมกันแต่ ละกลุ่มแต่ละฝ่าย จํานวนมากบ้าง น้อยบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการคนเหล่านี้เข้ามาก็ทั้งหมดก็มารวมกันอยู่ในสภา ปฏิรูปทั้ง 250 คน แล้วไปจัดกลุ่ม 11 กลุ่มใหม่ตามความสมัครใจของตัวเองในนั้น เพราะทั้งหมดนี้ไม่ใช่กลุ่มใครกลุ่มมันทําแล้วสําเร็จเอง ไม่ใช่ ทุกกลุ่มต้องไปศึกษาในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็นําเสนอในสภาปฏิรูป และให้สภาฯ ทั้งสภาฯ ให้ความเห็นชอบ ถึงจะไปทําต่อได้ ก็ใช้หลักการเดียวคล้าย ๆ กับ สนช. ในการทํางาน อย่ากังวลเลย เพราะฉะนั้นถ้าจะเลือกใครไปสักคนหรือจะล็อกสเป็กแต่ละคน มันไม่เกิดประโยชน์หรอกครับ อย่างที่ผมว่า จะเกิดได้อย่างไร ทําในรูปสภาฯ ฉะนั้นก็ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการตรวจพบในเรื่องของการทุจริตอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ไปหาหลักฐานกันมา
ในส่วนของสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น ได้มีคําสั่งนัดประชุมเมื่อวันที่ 25 , 26 ก็จะมีวาระการประชุมที่สําคัญคือ การพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่คณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาเสร็จแล้ว รวมถึงเรื่องที่ค้างจากการพิจารณา เพื่อตรากฎหมาย โดยมีกฎหมายที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนผู้ใช้แรงงานและผู้ด้อยโอกาส เช่น ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่าง พ.ร.บ. การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กล่าวคือ ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานนั้น วัตถุประสงค์ก็เพื่อสร้างแรงขับในตัวลูกจ้างหรือตัวแรงงานให้มีการพัฒนาตน เองอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งในปลายปี 2558 ไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปรากฎว่าทุกประเทศมีระบบออกใบรับรองให้กับการทํางานแต่ละสาขาแล้ว ของเรา ประเทศไทยยังมีเพียง 7 สาขาอาชีพที่หน่วยงานออกใบรับรองให้ มีอีกมากมายหลายอาชีพ ออกได้เพียง 7 อาชีพเท่านั้นเอง ฉะนั้นต้องรีบดําเนินการให้ได้โดยเร็ว สาขาอาชีพอื่น ๆ ยังไม่มีการออกให้เลย ถ้าหากว่าใบรับรองการทํางานเรายังไม่เรียบร้อย กฎหมายใหม่ยังไม่พร้อมในการสร้างกติกาขึ้นมา เพื่อเตรียมพร้อมรับการขับเคลื่อนหรือการเคลื่อนย้ายแรงงาน แรงงานฝีมือต่างชาติก็จะไหลเข้ามาสู่ประเทศไทยอีก เพราะเราส่งไปไม่ได้ เรารับรองคนของเราไม่ได้ ก็ไปทํางานที่อื่นไม่ได้ ขณะเดียวกัน ต่างชาติได้รับรองมาแล้วเขาก็เข้ามาทํางานในประเทศไทย งานเราก็ลดลงอีก ฉะนั้นต้องขอความร่วมมือ กระบวนการต่าง ๆ จะต้องเร่งดําเนินการโดยเร็ว แล้วก็เพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นแรงงานฝีมือจริง จึงจะสามารถทํางานทั้งในประเทศได้ ต่างประเทศก็ได้ นี้เป็นกติกาของอาเซียน จะเห็นว่ากฎหมายเหล่านี้มีประโยชน์ทั้งต่อแรงงานเอง รวมถึงนายจ้างด้วย จะได้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทํางาน ทั้งคนไทยคนต่างชาติอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราทําให้เกิดสมดุลกันได้ของคนไทยของคนต่างชาติก็จะดีกับบ้านเมืองด้วย
นอกจากนั้นยังมีร่าง พ.ร.บ. การค้างาช้าง ซึ่งมีสาระสําคัญในการกําหนดกลไกควบคุมการค้าและการครอบครองงาช้าง หรือผลิตภัณฑ์ที่ทําจากงาช้างตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะ เพื่อมิให้มีการนํางาช้างที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมายปะปนกับงาช้างตามกฎหมาย ว่าด้วยสัตว์พาหนะ ทั้งนี้กําหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะประกอบกิจการค้างาช้าง หรือผู้ที่จะนําเข้าหรือส่งออกงาช้างต้องขออนุญาตต่ออธิบดี รวมทั้งจะมีการกําหนดหลักเกณฑ์การควบคุมผู้ครอบครองงาช้างด้วย รวมทั้งร่าง พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ซึ่งจะมีสาระสําคัญในการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การนําเข้า ส่งออก หรือผ่านซึ่งสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง เพื่อให้ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทําจากซากของสัตว์ป่าดังกล่าว รวมทั้งมีการแก้ไขบทกําหนดโทษในกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้มีความครอบคลุมและเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถดําเนินการกับผู้กระทําความผิดได้อย่างครอบคลุม การตรากฎหมายทั้ง 2 ฉบับนั้น เป็นการดําเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศตาม "อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญ พันธุ์ หรือที่เรียกว่า CITES เราจะถูกมาตรการสกัดกั้นหรือกดดันในเรื่องของการค้าอื่น ๆ ด้วย ถ้าเรายังมีการค้างาช้างอยู่ ที่ผิดกฎหมาย ทั้งงาช้างที่นําเข้าจากแอฟริกา และงาช้างในประเทศด้วย ต้องเลิกให้หมดเรื่องเหล่านี้ จะดูกันอย่างไรว่า ผู้ประกอบการธุรกิจเหล่านี้จะทําอย่างไรกันต่อไป
เรื่องการขอความร่วมมือ / เรื่องอื่น ๆ
เช่น การปฏิบัติตนเอง สื่อ ขององค์กรต่าง ๆ ทุกภาคส่วน ขอ ร้องช่วยกันปลูกฝังค่านิยม 12 ประการ บางคนบอกว่า ปลูกฝังแล้วจะเกิดอะไร จะเกิดขึ้นได้ไหม ประเทศชาติสงบไหม ท่านถามอย่างนี้ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร ถ้าพูดอย่างนี้ แล้วทําอย่างนี้ และท่องไว้ เตือนใจตัวเองไว้ มันก็น่าจะได้ประโยชน์กว่าไม่มีอะไรอยู่ในหัวสมองเลย ผมไม่เข้าใจคิดอะไรกัน บางคนขอให้ได้ต่อต้านทุกอย่าง ผมไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร คนดี ๆ ก็มี คนที่เขาต้องการจะทําก็มีมากมาย ทําอย่างไรจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน สามัคคีกัน ให้มีความรู้ความสามารถ แข่งขันการประกอบอาชีพ มีความทัดเทียมอารยประเทศ ไม่ละเมิดสถาบัน จะสอนเรื่องการเมืองอะไรต่าง ๆ ก็ตาม ก็อย่าให้เกิดความวุ่นวาย คัดค้าน เลือกข้าง โต้แย้งกับรัฐบาลในทํานองนี้ เรากําลังปฏิรูปประเทศอยู่ เพื่อไม่ให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น โกงกิน เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ทั่วถึง และเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ใช่เลือกตั้งอย่างเดียว แล้วได้นักการเมืองที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาบริหารประเทศ อย่างนี้ไม่ใช่ เราถึงต้องทําวันนี้
สําหรับท่านอาจารย์ กี่ท่านไม่ทราบ หลายสิบท่าน ผมคิดว่าท่านน่าจะเข้าใจที่ผมพูด ถ้าท่านไม่มีอคติเป็นอย่างอื่น ท่านก็จะอ้างเรื่องความเป็นประชาธิปไตยบ้าง ท่านต้องการสอนการเมืองบ้าง ท่านบอกว่าไม่สอนบ้านเมืองแล้วคนจะเรียนการเมืองอย่างไร ก็มีวิธีการสอนตั้งหลายหมื่น หลายแสนวิธี ที่จะเข้าใจเรื่องการเมืองที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ทําไมท่านไม่สอนว่า การเมือง นักการเมือง ต้องทําตัวอย่างไร ผู้เลือก ประชาชนต้องเลือกอย่างไร การเป็นประชานิยมที่สร้างปัญหาเป็นอย่างไร ท่านสอนอย่างนั้นกันบ้างหรือเปล่า ผมถามหน่อย ผมไม่เคยเห็นท่านพูดเรื่องเหล่านี้ ท่านพูดแต่เพียงว่า นี้จะต้องเลือกตั้ง จะต้องเป็นประชาธิปไตย แล้วที่ขัดแย้งที่ผ่านมา ท่านก็ไม่ได้แก้ปัญหาให้เราเลย ไม่ได้แก้ปัญหาให้คนทั้งประเทศเลย เพราะฉะนั้นท่านหยุดสักที ไปหาวิธีการสอนอย่างอื่น ไปสอนลูกศิษย์มาอีกวิธีหนึ่ง ไม่ใช่ว่าสถาบันนี้ต้องสอนเรื่องการเมือง ก็ต้องเด่นดังการเมืองอย่างเดียว ไม่ใช่ ผมว่าสอนอย่างไรให้คนประกอบอาชีพได้ สอนอย่างไรให้เป็นคนดี สอนอย่างไรให้มีงานทํา ไปหาวิธีการอย่างโน้น ถ้าสอนให้เป็นการเมืองอย่างเดียวแล้วตีกัน ผมว่าเหนื่อยเปล่า ไม่รู้จะสอนไปทําไม
สื่อก็ต้องระมัดระวังการขยายความขัดแย้ง ขยายคําพูดที่ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายไปสู่เจตนาร้าย และบางครั้งท่านไม่เข้าใจ บางทีท่านก็ลืมไป สื่อต่างประเทศเขาก็นําคําพูดของท่านไปเขียนว่าพวกเรากันเอง คนไทยเขียนว่าคนไทย คนต่างชาติก็นําสิ่งที่คนไทยว่าคนไทย ไปว่าต่อ ก็เท่ากับเหมือนกับเราไปชี้โพรงให้กระรอก อะไรสักอย่างทํานองนั้น ถ้าผิดจริง ถ้าไม่ดีจริง ผมไม่ได้ปิดกั้นท่านเลย แต่ถ้าไม่ใช่แล้วท่านพูด มันเสียหาย เสียหายกับองค์กร เสียหายกับประเทศชาติ ความเชื่อมั่นเขาก็ลดลง ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ไม่ได้เจตนา ผมรู้ว่าท่านเป็นห่วงประเทศชาติเหมือนกัน ท่านเตือนผม ผมก็รับฟัง แต่ผมเตือนท่าน ท่านไม่ฟังผม อย่างนี้ไม่ใช่ ต้องช่วยกัน ผมโกรธท่านไม่ได้ ท่านก็โกรธผมไม่ได้เหมือนกัน วันนี้เราเข้ามาด้วยวิถีทางของเราแบบนี้ ท่านก็จะจี้เราตรงนี้ ตรงโน้นอยู่ตลอดเวลา แล้วมันได้อะไรขึ้นมา มีอะไรดีขึ้นมาไหม ถ้าเป็นอย่างที่ท่านต้องการ จะเป็นไปได้ไหม คนส่วนใหญ่เขาก็เข้าใจ เพราะฉะนั้นผมว่าต้องขอร้องอีกครั้ง ฉะนั้นให้เสนอข่าวให้ตรงตามข้อเท็จจริง อะไรที่เสียหายกับประเทศก็เพลา ๆ บ้าง หยุด พอเสนอเสร็จแล้วก็จบ เรื่องอื่น ๆ ก็เป็นเรื่องของการสอบสวนสืบสวน พอสืบสวนสอบสวน ท่านก็ไปว่าเจ้าหน้าที่ไม่ดี ทุจริต ทําไม่เรียบร้อย ไม่มีฝีมือ พูดอย่างนี้ มันขยายความขัดแย้งนะผมว่า ต่างชาติเขาบอกในประเทศยังไม่รักกันเลย แล้วต่างประเทศจะรักทําไม เพราะฉะนั้นต่างประเทศอย่ามาเลย อย่ามาเที่ยวประเทศไทย แล้วท่านก็มาโทษผมว่า รัฐบาลทําให้การท่องเที่ยวลดลง ต้องร่วมมือกันทั้งสองส่วน ที่ผมพยายามทําสร้างความเข้าใจกับเขา ส่งคนไปประชุมกับเขา ส่งรองนายกรัฐมนตรี ส่งรัฐมนตรี ส่งใครไปประชุม เขาก็ให้เกียรติอยู่ทุกประเทศตอนนี้ ก็กลายเป็นเราไม่ให้เกียรติกันเอง ผมว่าไม่ใช่ เป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่ดีอยู่แล้ว ผมชมเชย มีส่วนน้อยบางสื่อ บางสํานัก เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นอย่างไรมาโดยตลอด ท่านสนับสนุนฝ่ายใดอยู่ ผมว่าวันนี้เราอย่ามีฝ่ายเลยได้ไหม วันนี้เอาประเทศไทย เอาคนไทย เอาประชาชนคนไทยที่ยากจน ที่มีรายได้น้อยไม่ดีกว่าหรือ เราจะได้แก้ปัญหาให้ได้
เรื่องการเยือนต่างประเทศ ของผมเอง หรือของรัฐมนตรีอะไรก็แล้วแต่ หลายท่านให้ความสนใจ จับตามองดูอยู่ว่า เราจะไปไหน ประเทศไหนก่อนประเทศไหนหลัง วันนี้เราก็อยู่ในการพิจารณา ผมยังไม่ตัดสินใจอะไรเลย อย่าพึ่งไปพูดจาอะไรต่าง ๆ ก่อน ผมต้องใช้วิจารณญาณที่เหมาะสม มีข้อมูลจากกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องว่าไปเยือนใครก่อน – หลัง จะมีผลดีผลเสียอย่างไร เกิดประโยชน์กับประเทศอย่างไร กระทรวงการต่างประเทศก็ไปเตรียมข้อมูลต่าง ๆ มา กระทรวงอื่น ๆ ก็จะมีข้อพิจารณาเพิ่มเติมเข้ามา ถ้าไปแล้วเกิดผลดีตรงนั้น ตรงนี้ เราก็ตัดสินใจอีกครั้งหนึ่งว่าจะไปที่ไหน ให้เกียรติทุกประเทศ ทุกประเทศคือมิตรประเทศเราทั้งหมด ไม่ว่าเขาจะไม่เห็นชอบกับเราหรืออะไรต่าง ๆ เพราะเราเป็นโลกใบเดียวกัน ผมยังทําใจได้เลย เพราะฉะนั้นทุกคนก็น่าจะทําใจได้แบบผม แบ่งกลุ่มประเทศ วันนี้เราแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มมิตรประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านของเรารอบ ๆ บ้านในเอเชีย ใกล้ ๆ กันก่อน 5 – 6 ประเทศ กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 ก็เอเชียที่ไกลออกไป กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มมิตรประเทศยุโรป และประชาคมตะวันตก ทั้ง 3 กลุ่มนี้ ผมต้องไปลําดับว่า ใน 3 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะไปอันไหนก่อน - หลัง ไม่ใช่ไม่ให้ความสําคัญ แต่เป็นไปด้วยกติกา เป็นไปด้วยการประชุมที่มีอยู่แล้ว อะไรทํานองนี้ เราต้องให้เกียรติทุกประเทศ แต่ผมไม่สามารถจะไปหลายประเทศในเวลาเดียวกันได้ ทุกประเทศก็ต้องการให้นายกรัฐมนตรีไป บางทีก็ไปไม่ได้ ผมได้ย้ําให้ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานได้พิจารณามาให้ชัดเจน ทั้งสถานการณ์ความมั่นคงด้วย สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ ความร่วมมือระหว่างกัน ต้องช่วยกันหารือกันว่า เราควรจะไปที่ไหนก่อน – หลัง ค่อยมาว่ากันอีกที เดือนหน้าเป็นต้นไปคงต้องคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งหนึ่งให้เร็วที่สุด เพราะใกล้ระยะเวลาการประชุม ทั้งในอาเซียน แล้วก็มีในต่างประเทศที่ไกล ๆ ด้วย ก็ให้ความสําคัญทุกประเทศ เพราะว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ร่วมกันของไทย ของเขาด้วย ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า เราไปแล้วคนไทยจะได้อะไรขึ้นมา เพราะว่าเราเป็นรัฐบาลที่ต้องการปฏิรูป เพราะฉะนั้นตระหนักดีว่า เราเข้ามารับหน้าที่ที่สําคัญ ในช่วงสถานการณ์พิเศษ เราอาจจะมีเวลาในการที่จะไปเดินสายเยี่ยมเยียนทุกประเทศบ่อย ๆ คงเป็นไปไม่ได้มากนัก ผมไม่ได้เป็นห่วงเพราะอย่างอื่น การไปก็ดี แต่ถ้าไปเวลาก็น้อยลง ก็อยู่ในประเทศให้มาก เยี่ยมเยียนคนในทุกจังหวัดให้ได้ ทุกภาคให้ได้ก่อน ฉะนั้นไปต้องได้ประโยชน์ แล้วต้องคุ้มค่ากับเงินภาษีของพี่น้องประชาชน
ขณะนี้ได้มีหลายประเทศที่ได้ส่งคําเชิญให้ผมเดินทางไปเยี่ยมเยือน ขอขอบคุณ ณ ที่นี้ไว้ก่อน การที่เขาเชิญเรามาไม่ใช่เพราะผม เขาเชิญมาเพราะเขาให้ความสําคัญกับประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นมิตรประเทศ บางประเทศก็ยาวนานที่สุด บางประเทศก็หลาย 10 ปี เกือบ 100 ปีมาแล้ว อะไรทํานองนี้ บางประเทศก็กําลังเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมที่สําคัญ เช่น การประชุมผู้นําเอเปค การประชุมผู้นําอาเซียน ผมจะต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะหารือในการดําเนินการ และก็จะถือโอกาสแนะนําตัว กับประเทศอื่น ๆ ที่มาร่วมประชุม มีผู้นําหลายประเทศมีร่วมกัน ผมคิดว่าเขาเข้าใจเรา ในขณะนี้เข้าใจเรามากขึ้นกว่าเดิมมากนัก มากกว่าที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นผมและคณะรัฐมนตรีชุดนี้ จะพยายามเดินทางไปเยือนประเทศให้น้อยที่สุด เพราะว่า ไปตามความจําเป็นเท่านั้น เราพยายามจะใช้จ่ายงบประมาณให้น้อยที่สุด ไม่สิ้นเปลือง ให้ได้ประโยชน์ ไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่ไป ฉะนั้นจะทําอย่างไรก็เดี๋ยวว่ากันอีกครั้งหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่ง ในขณะนี้มีการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ก็ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทย ร่วมกันส่งแรงใจให้นักกีฬาทุกคนทุกชาติด้วย ได้แสดงศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ตามได้ตั้งใจฝึกซ้อมมา ทั้งเหรียญรางวัลก็ถือว่าเป็นเครื่องหมายของชัยชนะ แต่หากว่าเราได้แสดงความมีน้ําใจของนักกีฬา แสดงความรักความสามัคคี ความมุ่งมั่น มีระเบียบวินัย เคารพระเบียบกติกา จะเป็นเครื่องหมายของความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าชนะมาอีก เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนมีจิตใจเป็นนักกีฬา ใครแพ้ใครชนะก็เป็นเพื่อนกัน เป็นมิตรกัน แต่เราก็ต้องการให้ของเราชนะเหมือนกัน นั้นเป็นเรื่องของกีฬา ทางรัฐบาลได้เตรียมการไว้อยู่แล้ว จัดตั้งงบประมาณไว้ 300 กว่าล้านบาท เพื่อจะเป็นรางวัล รางวัลนักกีฬา เดี๋ยวจะดูว่าพอไม่พออย่างไร ขึ้นอยู่กับจํานวนเหรียญที่ได้มาด้วย บอกนักกีฬาไปเลยว่า อย่างน้อยเราก็มีไม่ต่ําไปกว่าในช่วงที่ผ่านมา ที่จะให้กับนักกีฬาเป็นรางวัลต่าง ๆ ทั้งผู้ฝึกซ้อม – ฝึกสอน มีอยู่แล้วระเบียบ มีอยู่แล้ว อย่างกังวล วันนี้มีเรื่องพูดคุยเพียงเท่านี้ ต้องขอบคุณอีกครั้งหนึ่งในการที่รับฟัง รับชม ผมพูดมาตลอดระยะเวลา 4 เดือนเต็ม ๆ ก็มีเรื่องหนักใจมากมายหลายประการ หนักนิดเบาหน่อยต้องให้อภัยกัน คืออย่าคิดว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อย เป็นเรื่องที่ไม่สําคัญ ผมทําไมต้องมาพูดบ่อยอยู่เรื่อย ๆ ก็พูดเพราะความห่วงใย แล้วก็คํานึงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ จะแก้ปัญหากันอย่างไร จะเดินหน้าปฏิรูปกันได้ไหม และความกระทบกระทั่งกัน ความขัดแย้งซึ่งมีอยู่จะทํากันอย่างไร กฎหมายที่ยังไม่เรียบร้อย ยังดําเนินการไม่ได้ ที่ยังออกไม่ได้ บังคับใช้เป็นกฎหมายไม่ได้ ทําให้บ้านเมืองเราหยุดชะงักมาเป็นเวลานานมาก ผมว่าอยากให้ลดลงหน่อย ต่างฝ่ายต่างลดกัน ผมก็ยอม จะให้ผมลดอะไรลง ผมก็ลดลง อะไรที่ยังลดไม่ได้ ก็ลดไม่ได้ ก็คงเข้าใจ ผมคิดว่าผมอยากได้แรงใจจากคนทั้งประเทศ ในการที่จะนําพาประเทศชาติให้มีความสุขอย่างถาวร เหมือนอดีตที่ผ่านมานานแล้ว เคยมีความสุขกันมาก ๆ ฉะนั้นต่อไปก็ต้องมีความสุขมาก ๆ กว่าอดีต ประวัติศาสตร์คือปัจจุบันและอนาคต เพราะฉะนั้นประวัติศาสตร์อะไรที่ไม่ดี อย่าให้เกิดขึ้นอีก นําสิ่งที่ดี ๆ มา แล้วทําให้ดีขึ้นไปอีก ก็จะเป็นประวัติศาสตร์ที่ดีวันนี้ต่อไปวันข้างหน้า ขอบคุณทุกคน ขอบคุณพ่อแม่พี่น้องอีกครั้งหนึ่ง สวัสดี
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชิมช้อปใช้” คึกคักตามเป้า กระจายสู่ร้านค้าขนาดเล็กเกิน 80% และใช้จ่ายในกรุงเทพฯ เพียง 13%
|
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562
“ชิมช้อปใช้” คึกคักตามเป้า กระจายสู่ร้านค้าขนาดเล็กเกิน 80% และใช้จ่ายในกรุงเทพฯ เพียง 13%
การตรวจสอบสิทธิ์ผู้ลงทะเบียน 16 วันแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์ 9,998,518 ราย ได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์แล้วจํานวน 9,990,275 ราย ทั้งนี้ มีผู้เข้ายืนยันตัวตนในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” แล้ว 9,361,729 ราย โดยยืนยันตัวตนสําเร็จ 8,755,873 ราย
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มีผู้ที่ได้รับสิทธิ์จากการลงทะเบียนวันแรก (วันที่ 23 กันยายน 2562) จํานวน 807,321 ราย ไปเริ่มต้นใช้สิทธิ์ 710,013 รายถูกตัดสิทธิ์ 97,308 ราย เนื่องจากไม่เริ่มใช้สิทธิ์ภายใน 14 วันที่กําหนด โดยสิทธิ์ดังกล่าวจะนํามาพิจารณาให้ลงทะเบียนในมาตรการฯ ระยะที่ 2
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า การตรวจสอบสิทธิ์ผู้ลงทะเบียน 16 วันแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์ 9,998,518 ราย ได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์แล้วจํานวน 9,990,275 ราย ทั้งนี้ มีผู้เข้ายืนยันตัวตนในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” แล้ว 9,361,729 ราย โดยยืนยันตัวตนสําเร็จ 8,755,873 ราย และมีผู้ที่ยังไม่ได้ติดตั้งแอปพลิเคชัน 628,546 ราย
ในการใช้จ่าย 14 วันแรก มีผู้ใช้สิทธิ์จํานวน 5,910,924 ราย มีการใช้จ่ายรวม 5,635 ล้านบาทจากการตรวจสอบพบว่า เป็นการใช้จ่ายในร้านค้าขนาดเล็กตามวัตถุประสงค์ของมาตรการฯ ประมาณ 4,601 ล้านบาท หรือมากกว่าร้อยละ 80 และมีการใช้จ่ายในร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขาประมาณ 1,034 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 22 ในช่วงเริ่มต้น เหลือร้อยละ 18 ของยอดใช้จ่ายทั้งหมด เป็นการใช้จ่าย g-Wallet ช่อง 1 ประมาณ 5,578 ล้านบาท โดยเป็นการใช้จ่ายที่ร้าน “ช้อป” ซึ่งเป็นร้านในกลุ่ม OTOP ร้านวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งร้านธงฟ้าประชารัฐ และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว 3,205 ล้านบาท ส่วนร้าน “ชิม” หรือร้านอาหารและเครื่องดื่มมียอดใช้จ่าย 729 ล้านบาท ร้าน “ใช้” เช่น โรงแรม โฮมสเตย์ เป็นต้น มียอดใช้จ่าย 66 ล้านบาท และร้านค้าทั่วไปมียอดใช้จ่าย 1,578 ล้านบาท
สําหรับการใช้จ่าย g-Wallet ช่อง 2 มีการใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ใช้สิทธิ์แล้ว 19,436 ราย มียอดใช้จ่ายประมาณ 57 ล้านบาทหรือเฉลี่ยรายละ 2,948 บาท เป็นการใช้จ่ายที่ร้าน “ช้อป” 38 ล้านบาท ส่วนร้าน “ชิม” และร้าน “ใช้” มียอดใช้จ่าย 12 ล้านบาท และ 7 ล้านบาท ตามลําดับ
มีการใช้จ่ายกระจายครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศ ไม่ได้กระจุกตัวอยู่เฉพาะในเมืองใหญ่ โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ (1) กรุงเทพฯ 713 ล้านบาท หรือร้อยละ 13 (2) ชลบุรี 368 ล้านบาท หรือร้อยละ 7 (3) สมุทรปราการ 236 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 (4) ปทุมธานี 173 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 (5) พระนครศรีอยุธยา 162 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 (6) นครปฐม 140 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 (7) ระยอง 140 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 (8) ลําพูน 135 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 (9) นนทบุรี 132 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 และ (10) เชียงใหม่ 129 ล้านบาท หรือร้อยละ 2
โฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ําว่า ผู้ที่ลงทะเบียนสําเร็จและได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์แล้ว ขอให้รีบติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และเริ่มต้นการใช้จ่ายภายใน 14 วัน ทั้งนี้ ไม่จําเป็นต้องใช้ให้หมด 1,000 บาท ภายในคราวเดียว ขอให้มีการเริ่มต้นใช้จ่ายแล้ววงเงินส่วนที่เหลือสามารถใช้ได้จนถึงวันสุดท้ายของมาตรการนี้คือ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2562
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: กรมบัญชีกลาง โทร 02 2706400 กด 7 / App “เป๋าตัง” ติดต่อธนาคารกรุงไทย โทร 02 1111144 / ข้อมูลเที่ยวชิมช้อปใช้ติดต่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร 1672
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชิมช้อปใช้” คึกคักตามเป้า กระจายสู่ร้านค้าขนาดเล็กเกิน 80% และใช้จ่ายในกรุงเทพฯ เพียง 13%
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562
“ชิมช้อปใช้” คึกคักตามเป้า กระจายสู่ร้านค้าขนาดเล็กเกิน 80% และใช้จ่ายในกรุงเทพฯ เพียง 13%
การตรวจสอบสิทธิ์ผู้ลงทะเบียน 16 วันแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์ 9,998,518 ราย ได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์แล้วจํานวน 9,990,275 ราย ทั้งนี้ มีผู้เข้ายืนยันตัวตนในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” แล้ว 9,361,729 ราย โดยยืนยันตัวตนสําเร็จ 8,755,873 ราย
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มีผู้ที่ได้รับสิทธิ์จากการลงทะเบียนวันแรก (วันที่ 23 กันยายน 2562) จํานวน 807,321 ราย ไปเริ่มต้นใช้สิทธิ์ 710,013 รายถูกตัดสิทธิ์ 97,308 ราย เนื่องจากไม่เริ่มใช้สิทธิ์ภายใน 14 วันที่กําหนด โดยสิทธิ์ดังกล่าวจะนํามาพิจารณาให้ลงทะเบียนในมาตรการฯ ระยะที่ 2
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า การตรวจสอบสิทธิ์ผู้ลงทะเบียน 16 วันแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์ 9,998,518 ราย ได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์แล้วจํานวน 9,990,275 ราย ทั้งนี้ มีผู้เข้ายืนยันตัวตนในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” แล้ว 9,361,729 ราย โดยยืนยันตัวตนสําเร็จ 8,755,873 ราย และมีผู้ที่ยังไม่ได้ติดตั้งแอปพลิเคชัน 628,546 ราย
ในการใช้จ่าย 14 วันแรก มีผู้ใช้สิทธิ์จํานวน 5,910,924 ราย มีการใช้จ่ายรวม 5,635 ล้านบาทจากการตรวจสอบพบว่า เป็นการใช้จ่ายในร้านค้าขนาดเล็กตามวัตถุประสงค์ของมาตรการฯ ประมาณ 4,601 ล้านบาท หรือมากกว่าร้อยละ 80 และมีการใช้จ่ายในร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขาประมาณ 1,034 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 22 ในช่วงเริ่มต้น เหลือร้อยละ 18 ของยอดใช้จ่ายทั้งหมด เป็นการใช้จ่าย g-Wallet ช่อง 1 ประมาณ 5,578 ล้านบาท โดยเป็นการใช้จ่ายที่ร้าน “ช้อป” ซึ่งเป็นร้านในกลุ่ม OTOP ร้านวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งร้านธงฟ้าประชารัฐ และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว 3,205 ล้านบาท ส่วนร้าน “ชิม” หรือร้านอาหารและเครื่องดื่มมียอดใช้จ่าย 729 ล้านบาท ร้าน “ใช้” เช่น โรงแรม โฮมสเตย์ เป็นต้น มียอดใช้จ่าย 66 ล้านบาท และร้านค้าทั่วไปมียอดใช้จ่าย 1,578 ล้านบาท
สําหรับการใช้จ่าย g-Wallet ช่อง 2 มีการใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ใช้สิทธิ์แล้ว 19,436 ราย มียอดใช้จ่ายประมาณ 57 ล้านบาทหรือเฉลี่ยรายละ 2,948 บาท เป็นการใช้จ่ายที่ร้าน “ช้อป” 38 ล้านบาท ส่วนร้าน “ชิม” และร้าน “ใช้” มียอดใช้จ่าย 12 ล้านบาท และ 7 ล้านบาท ตามลําดับ
มีการใช้จ่ายกระจายครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศ ไม่ได้กระจุกตัวอยู่เฉพาะในเมืองใหญ่ โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ (1) กรุงเทพฯ 713 ล้านบาท หรือร้อยละ 13 (2) ชลบุรี 368 ล้านบาท หรือร้อยละ 7 (3) สมุทรปราการ 236 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 (4) ปทุมธานี 173 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 (5) พระนครศรีอยุธยา 162 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 (6) นครปฐม 140 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 (7) ระยอง 140 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 (8) ลําพูน 135 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 (9) นนทบุรี 132 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 และ (10) เชียงใหม่ 129 ล้านบาท หรือร้อยละ 2
โฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ําว่า ผู้ที่ลงทะเบียนสําเร็จและได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์แล้ว ขอให้รีบติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และเริ่มต้นการใช้จ่ายภายใน 14 วัน ทั้งนี้ ไม่จําเป็นต้องใช้ให้หมด 1,000 บาท ภายในคราวเดียว ขอให้มีการเริ่มต้นใช้จ่ายแล้ววงเงินส่วนที่เหลือสามารถใช้ได้จนถึงวันสุดท้ายของมาตรการนี้คือ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2562
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: กรมบัญชีกลาง โทร 02 2706400 กด 7 / App “เป๋าตัง” ติดต่อธนาคารกรุงไทย โทร 02 1111144 / ข้อมูลเที่ยวชิมช้อปใช้ติดต่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร 1672
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23783
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-REIC รายงานดัชนีราคาที่อยู่อาศัยระหว่างการขาย ไตรมาส 4/2562 ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล เพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัว
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2563
REIC รายงานดัชนีราคาที่อยู่อาศัยระหว่างการขาย ไตรมาส 4/2562 ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล เพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัว
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนีราคาที่อยู่อาศัย ประจําไตรมาส 4/2562 โดยพบว่าดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.8 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนีราคาที่อยู่อาศัย ประจําไตรมาส 4/2562 โดยพบว่าดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.8 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงติดต่อกัน 3 ไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2562 ขณะที่ ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 127.6 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย
ดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.8 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงติดต่อกัน 3 ไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2562 โดยการชะลอตัวของราคาคาดว่าเป็นผลจากการที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่มีการปรับราคาขึ้นและยังคงใช้มาตรการส่งเสริมการขายในแนวทางเดิม ที่มุ่งเน้นการให้ของแถม ส่วนลดเงินสดและการออกค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องจากช่วงไตรมาสก่อนหน้า ทําให้ดัชนีราคาใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้าด้วยเช่นกัน (ดูตารางที่ 1 และแผนภูมิที่ 1 – 2
• กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 155.4 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
• ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 145.9 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
2 อัตราขยายตัวของดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) รายการส่งเสริมการขายในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 58.2 จะเร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อด้วยของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ รองลงมาร้อยละ 23.9 เป็นส่วนลดเงินสด และร้อยละ 17.9 จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่มีต้นทุนในการโอนลดลงจากมาตรการของรัฐ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับรายการส่งเสริมการขายในไตรมาสก่อน
2.ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ (บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์)
ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 127.6 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เมื่อจําแนกตามพื้นที่แล้ว พบว่า
กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.6 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.3 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน(YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) (ดูตารางที่ 1 และแผนภูมิที่ 1 - 2)
ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า ในไตรมาสนี้ผู้ประกอบการที่ส่งเสริมการขายโดยการช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าใช้จ่ายในวันโอนฯ และให้ส่วนลดเงินสดมีสัดส่วนมากกว่าในไตรมาส 3 ปี 2562
1) ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว
ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีค่าดัชนีเท่ากับ 125.8 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 125.2 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.0 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) (ดูตารางที่ 2 และแผนภูมิที่ 1 - 2)
2) ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์
ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.5 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 127.8 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 131.2 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน(YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) (ดูตารางที่ 3 และแผนภูมิที่ 1 - 2)
รายการส่งเสริมการขายโครงการบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 41.0 จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง รองลงมาร้อยละ 39.1 เสนอของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ํา แท้งก์น้ํา ฯลฯ และร้อยละ 19.9 จะให้เป็นส่วนลดเงินสด ในขณะที่ไตรมาส 3 ปี 2562 รายการส่งเสริมการขาย ส่วนใหญ่ร้อยละ 45.4 จะจูงใจผู้ซื้อโดยการเสนอด้วยของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ํา แท้งก์น้ํา ฯลฯ รองลงมา ร้อยละ 37.1 จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง และร้อยละ 17.5 จะให้เป็นส่วนลดเงินสด
วิธีการจัดทําข้อมูล
ดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย หมายถึง ราคาห้องชุดในโครงการอาคารชุด ที่มีหน่วยเหลือขายตั้งแต่ 6 หน่วยขึ้นไป โดยในการจัดทําดัชนีราคานี้จะไม่นับรวมห้องชุดมือสอง โดยพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลรวบรวมข้อมูลในส่วนของโครงการอาคารชุด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ เพียง 3 จังหวัด การสุ่มตัวอย่างเพื่อการจัดทําดัชนีราคานี้ จะใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) จํานวน 150 ตัวอย่าง ราคาขายที่นํามาจัดทําเป็นดัชนีนี้ เป็นราคาขายที่แท้จริง ซึ่งได้หักลบมูลค่ารายการส่งเสริมการขายออกจากราคาที่ประกาศขายแล้ว โดยใช้ราคาปี 2555 เป็นปีฐาน
สําหรับดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ประกอบด้วย ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว และดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ในโครงการบ้านจัดสรรสร้างใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างการขาย ซึ่งโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย หมายถึง โครงการที่มีหน่วยเหลือขายตั้งแต่ 6 หน่วยขึ้นไป โดยในการจัดทําดัชนีราคานี้จะไม่นับรวมบ้านมือสอง พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ เพียง 4 จังหวัด
การสุ่มตัวอย่างเพื่อการจัดทําดัชนีราคานี้ จะใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จํานวน 245 ตัวอย่าง โดยราคาขายที่นํามาจัดทําดัชนีราคานี้ เป็นราคาขายที่แท้จริง ซึ่งได้หักมูลค่ารายการส่งเสริมการขายออกจากราคาที่ประกาศขายแล้ว โดยใช้ราคาปี 2555 เป็นปีฐาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-REIC รายงานดัชนีราคาที่อยู่อาศัยระหว่างการขาย ไตรมาส 4/2562 ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล เพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัว
วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2563
REIC รายงานดัชนีราคาที่อยู่อาศัยระหว่างการขาย ไตรมาส 4/2562 ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล เพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัว
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนีราคาที่อยู่อาศัย ประจําไตรมาส 4/2562 โดยพบว่าดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.8 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานดัชนีราคาที่อยู่อาศัย ประจําไตรมาส 4/2562 โดยพบว่าดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.8 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงติดต่อกัน 3 ไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2562 ขณะที่ ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 127.6 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย
ดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.8 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงติดต่อกัน 3 ไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2562 โดยการชะลอตัวของราคาคาดว่าเป็นผลจากการที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่มีการปรับราคาขึ้นและยังคงใช้มาตรการส่งเสริมการขายในแนวทางเดิม ที่มุ่งเน้นการให้ของแถม ส่วนลดเงินสดและการออกค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องจากช่วงไตรมาสก่อนหน้า ทําให้ดัชนีราคาใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้าด้วยเช่นกัน (ดูตารางที่ 1 และแผนภูมิที่ 1 – 2
• กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 155.4 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
• ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 145.9 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
2 อัตราขยายตัวของดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) รายการส่งเสริมการขายในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 58.2 จะเร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อด้วยของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ รองลงมาร้อยละ 23.9 เป็นส่วนลดเงินสด และร้อยละ 17.9 จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่มีต้นทุนในการโอนลดลงจากมาตรการของรัฐ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับรายการส่งเสริมการขายในไตรมาสก่อน
2.ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ (บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์)
ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 127.6 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เมื่อจําแนกตามพื้นที่แล้ว พบว่า
กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.6 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.3 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน(YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) (ดูตารางที่ 1 และแผนภูมิที่ 1 - 2)
ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า ในไตรมาสนี้ผู้ประกอบการที่ส่งเสริมการขายโดยการช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าใช้จ่ายในวันโอนฯ และให้ส่วนลดเงินสดมีสัดส่วนมากกว่าในไตรมาส 3 ปี 2562
1) ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว
ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2562 มีค่าดัชนีเท่ากับ 125.8 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 125.2 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.0 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) (ดูตารางที่ 2 และแผนภูมิที่ 1 - 2)
2) ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์
ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.5 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 127.8 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 131.2 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน(YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) (ดูตารางที่ 3 และแผนภูมิที่ 1 - 2)
รายการส่งเสริมการขายโครงการบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 41.0 จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง รองลงมาร้อยละ 39.1 เสนอของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ํา แท้งก์น้ํา ฯลฯ และร้อยละ 19.9 จะให้เป็นส่วนลดเงินสด ในขณะที่ไตรมาส 3 ปี 2562 รายการส่งเสริมการขาย ส่วนใหญ่ร้อยละ 45.4 จะจูงใจผู้ซื้อโดยการเสนอด้วยของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ํา แท้งก์น้ํา ฯลฯ รองลงมา ร้อยละ 37.1 จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง และร้อยละ 17.5 จะให้เป็นส่วนลดเงินสด
วิธีการจัดทําข้อมูล
ดัชนีราคาห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย หมายถึง ราคาห้องชุดในโครงการอาคารชุด ที่มีหน่วยเหลือขายตั้งแต่ 6 หน่วยขึ้นไป โดยในการจัดทําดัชนีราคานี้จะไม่นับรวมห้องชุดมือสอง โดยพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลรวบรวมข้อมูลในส่วนของโครงการอาคารชุด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ เพียง 3 จังหวัด การสุ่มตัวอย่างเพื่อการจัดทําดัชนีราคานี้ จะใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) จํานวน 150 ตัวอย่าง ราคาขายที่นํามาจัดทําเป็นดัชนีนี้ เป็นราคาขายที่แท้จริง ซึ่งได้หักลบมูลค่ารายการส่งเสริมการขายออกจากราคาที่ประกาศขายแล้ว โดยใช้ราคาปี 2555 เป็นปีฐาน
สําหรับดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ประกอบด้วย ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว และดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ในโครงการบ้านจัดสรรสร้างใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างการขาย ซึ่งโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย หมายถึง โครงการที่มีหน่วยเหลือขายตั้งแต่ 6 หน่วยขึ้นไป โดยในการจัดทําดัชนีราคานี้จะไม่นับรวมบ้านมือสอง พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ เพียง 4 จังหวัด
การสุ่มตัวอย่างเพื่อการจัดทําดัชนีราคานี้ จะใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จํานวน 245 ตัวอย่าง โดยราคาขายที่นํามาจัดทําดัชนีราคานี้ เป็นราคาขายที่แท้จริง ซึ่งได้หักมูลค่ารายการส่งเสริมการขายออกจากราคาที่ประกาศขายแล้ว โดยใช้ราคาปี 2555 เป็นปีฐาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25687
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ประเด็นความคิดเห็นที่มีต่อการปฏิรูประบบประกันตัวและการดำเนินงานของกองทุนยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
|
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ประเด็นความคิดเห็นที่มีต่อการปฏิรูประบบประกันตัวและการดําเนินงานของกองทุนยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม
ให้สัมภาษณ์ในประเด็น ความคิดเห็นที่มีต่อการปฏิรูประบบประกันตัว
และการดําเนินงานของกองทุนยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
เพื่อนําไปประกอบในรายงานพิเศษ “การปฏิรูประบบประกันตัว”
ในวันอังคารที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม
ให้สัมภาษณ์ในประเด็น ความคิดเห็นที่มีต่อการปฏิรูประบบประกันตัว
และการดําเนินงานของกองทุนยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
เพื่อนําไปประกอบในรายงานพิเศษ “การปฏิรูประบบประกันตัว”
ซึ่งกําหนดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ VOICE TV
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ประเด็นความคิดเห็นที่มีต่อการปฏิรูประบบประกันตัวและการดำเนินงานของกองทุนยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ประเด็นความคิดเห็นที่มีต่อการปฏิรูประบบประกันตัวและการดําเนินงานของกองทุนยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม
ให้สัมภาษณ์ในประเด็น ความคิดเห็นที่มีต่อการปฏิรูประบบประกันตัว
และการดําเนินงานของกองทุนยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
เพื่อนําไปประกอบในรายงานพิเศษ “การปฏิรูประบบประกันตัว”
ในวันอังคารที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม
ให้สัมภาษณ์ในประเด็น ความคิดเห็นที่มีต่อการปฏิรูประบบประกันตัว
และการดําเนินงานของกองทุนยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
เพื่อนําไปประกอบในรายงานพิเศษ “การปฏิรูประบบประกันตัว”
ซึ่งกําหนดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ VOICE TV
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7881
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พบกับ 3 โครงการใหญ่หลังปีใหม่ สร้างคนไทยแข็งแรงออกกำลังกายตามไลฟ์สไตล์
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562
พบกับ 3 โครงการใหญ่หลังปีใหม่ สร้างคนไทยแข็งแรงออกกําลังกายตามไลฟ์สไตล์
กระทรวงสาธารณสุข จับมือภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนโยบายส่งเสริมการออกกําลังกาย เปิดตัว 3 โครงการใหญ่ “1 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ” “ท้าไทย...ก้าวไกลโรค” และ “ส่งเสริมการออกกําลังกายอย่างยั่งยืนระดับประเทศ” Kick Off หลังปีใหม่
กระทรวงสาธารณสุข จับมือภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนโยบายส่งเสริมการออกกําลังกาย เปิดตัว 3 โครงการใหญ่ “1 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ” “ท้าไทย...ก้าวไกลโรค” และ “ส่งเสริมการออกกําลังกายอย่างยั่งยืนระดับประเทศ” Kick Off หลังปีใหม่ ตั้งเป้าคนไทย 1 ล้านครอบครัวออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ ห่างไกลโรคอย่างยั่งยืน
วันนี้ (19 ธันวาคม 2562) ที่สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการออกกําลังกาย ภายใต้โครงการ 1 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ โดยมี แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ผู้แทนจาก กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
ดร.สาธิต กล่าวว่า นโยบายหลักของกระทรวงสาธารณสุขคือการส่งเสริมและรณรงค์ให้คนไทยออกกําลังกาย โดยให้ชุมชนเป็นฐานในการสร้างสุขภาวะที่ดี มีความรอบรู้ด้านสุขภาพที่ถูกต้อง และส่งเสริมให้บุคลากรสาธารณสุขเป็นต้นแบบด้านสุขภาพ สอดคล้องกับนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ร่างกายแข็งแรง เศรษฐกิจประเทศแข็งแรง” ซึ่งในปี 2563 ได้จัดทํา 3 โครงการใหญ่ คือ “โครงการ 1 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ” “โครงการท้าไทย...ก้าวไกลโรค” และ “โครงการส่งเสริมการออกกําลังกายอย่างยั่งยืนระดับประเทศ” ถ้าประชาชนแข็งแรงประเทศไทยจะเข็มแข็ง ช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาล จึงมีการณรงค์ทั้งปี กระตุ้นให้คนไทยทั้งประเทศลุกขึ้นมาออกกําลังกายด้วยกลยุทธ์สร้างแรงจูงใจให้ทุกจังหวัด หรือหน่วยงานต่างๆ ลุกขึ้นมาท้าทายแข่งขันการออกกําลังกายหรือมีกิจกรรมทางกาย โดยใช้เทคโนโลยีบันทึกข้อมูลทางสุขภาพให้กับผู้ที่แข่งขันหลังลงทะเบียนเข้าร่วม มีการตั้งกองทุนทุกจังหวัด เพื่อให้เกิดการออกกําลังกายอย่างยั่งยืน โดยจะเชิญชวนรับสมัครตั้งแต่วันที่16 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า ความคืบหน้าในการรณรงค์ออกกําลังกายในระยะที่ 1 (พฤษภาคม – กันยายน 2562) เป็นการรณรงค์ออกกําลังกายเพื่อสุขภาพทั่วประเทศด้วยคีตะมวยไทย 10 ท่า มีผู้ร่วมออกกําลังกาย 133,765 ครอบครัว 5,572 ชมรม องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น 622 แห่ง ขณะนี้ อยู่ในการดําเนินงานระยะที่ 2 (ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คือการขับเคลื่อนการออกกําลังกายโดยมีชุมชนเป็นฐานโดยผ่าน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล 9,826 แห่ง อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน 1.05 ล้านคน และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น 7,852 แห่ง และ ระยะที่ 3 (ตุลาคม 2563 – กันยายน 2565) จะเป็นการติดตามการขับเคลื่อนการออกกําลังกายในชุมชน และสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการออกกําลังกาย รวมถึงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการออกกําลังกาย
********************************** 19 ธันวาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พบกับ 3 โครงการใหญ่หลังปีใหม่ สร้างคนไทยแข็งแรงออกกำลังกายตามไลฟ์สไตล์
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562
พบกับ 3 โครงการใหญ่หลังปีใหม่ สร้างคนไทยแข็งแรงออกกําลังกายตามไลฟ์สไตล์
กระทรวงสาธารณสุข จับมือภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนโยบายส่งเสริมการออกกําลังกาย เปิดตัว 3 โครงการใหญ่ “1 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ” “ท้าไทย...ก้าวไกลโรค” และ “ส่งเสริมการออกกําลังกายอย่างยั่งยืนระดับประเทศ” Kick Off หลังปีใหม่
กระทรวงสาธารณสุข จับมือภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนโยบายส่งเสริมการออกกําลังกาย เปิดตัว 3 โครงการใหญ่ “1 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ” “ท้าไทย...ก้าวไกลโรค” และ “ส่งเสริมการออกกําลังกายอย่างยั่งยืนระดับประเทศ” Kick Off หลังปีใหม่ ตั้งเป้าคนไทย 1 ล้านครอบครัวออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ ห่างไกลโรคอย่างยั่งยืน
วันนี้ (19 ธันวาคม 2562) ที่สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการออกกําลังกาย ภายใต้โครงการ 1 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ โดยมี แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ผู้แทนจาก กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
ดร.สาธิต กล่าวว่า นโยบายหลักของกระทรวงสาธารณสุขคือการส่งเสริมและรณรงค์ให้คนไทยออกกําลังกาย โดยให้ชุมชนเป็นฐานในการสร้างสุขภาวะที่ดี มีความรอบรู้ด้านสุขภาพที่ถูกต้อง และส่งเสริมให้บุคลากรสาธารณสุขเป็นต้นแบบด้านสุขภาพ สอดคล้องกับนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ร่างกายแข็งแรง เศรษฐกิจประเทศแข็งแรง” ซึ่งในปี 2563 ได้จัดทํา 3 โครงการใหญ่ คือ “โครงการ 1 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ” “โครงการท้าไทย...ก้าวไกลโรค” และ “โครงการส่งเสริมการออกกําลังกายอย่างยั่งยืนระดับประเทศ” ถ้าประชาชนแข็งแรงประเทศไทยจะเข็มแข็ง ช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาล จึงมีการณรงค์ทั้งปี กระตุ้นให้คนไทยทั้งประเทศลุกขึ้นมาออกกําลังกายด้วยกลยุทธ์สร้างแรงจูงใจให้ทุกจังหวัด หรือหน่วยงานต่างๆ ลุกขึ้นมาท้าทายแข่งขันการออกกําลังกายหรือมีกิจกรรมทางกาย โดยใช้เทคโนโลยีบันทึกข้อมูลทางสุขภาพให้กับผู้ที่แข่งขันหลังลงทะเบียนเข้าร่วม มีการตั้งกองทุนทุกจังหวัด เพื่อให้เกิดการออกกําลังกายอย่างยั่งยืน โดยจะเชิญชวนรับสมัครตั้งแต่วันที่16 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า ความคืบหน้าในการรณรงค์ออกกําลังกายในระยะที่ 1 (พฤษภาคม – กันยายน 2562) เป็นการรณรงค์ออกกําลังกายเพื่อสุขภาพทั่วประเทศด้วยคีตะมวยไทย 10 ท่า มีผู้ร่วมออกกําลังกาย 133,765 ครอบครัว 5,572 ชมรม องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น 622 แห่ง ขณะนี้ อยู่ในการดําเนินงานระยะที่ 2 (ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คือการขับเคลื่อนการออกกําลังกายโดยมีชุมชนเป็นฐานโดยผ่าน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล 9,826 แห่ง อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน 1.05 ล้านคน และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น 7,852 แห่ง และ ระยะที่ 3 (ตุลาคม 2563 – กันยายน 2565) จะเป็นการติดตามการขับเคลื่อนการออกกําลังกายในชุมชน และสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการออกกําลังกาย รวมถึงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการออกกําลังกาย
********************************** 19 ธันวาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25344
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK เปิดคลินิกให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์แก่ผู้ส่งออก พร้อมรับเรื่องพักชำระหนี้ 6 เดือน หรือขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ บรรเทาผลกระทบโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
|
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
EXIM BANK เปิดคลินิกให้คําปรึกษาทางโทรศัพท์แก่ผู้ส่งออก พร้อมรับเรื่องพักชําระหนี้ 6 เดือน หรือขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา บรรเทาผลกระทบโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
EXIM BANK เปิดคลินิกให้คําปรึกษาปัญหาด้านการเงินทางโทรศัพท์ เพื่อประคับประคองธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและลงทุนให้มีสภาพคล่องเพียงพอและรักษาการจ้างงานต่อไปได้ รวมทั้งจัดโครงการอบรมออนไลน์เป็นกลุ่มเฉพาะให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ
EXIM BANK เปิดคลินิกให้คําปรึกษาทางโทรศัพท์แก่ผู้ส่งออก พร้อมรับเรื่องพักชําระหนี้ 6 เดือน หรือขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา บรรเทาผลกระทบโควิด-19
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นฟันเฟืองสําคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ขณะที่ SMEs อาจมีฐานทุนน้อยและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างมาก EXIM BANK จึงเปิดคลินิกให้คําปรึกษาปัญหาด้านการเงินทางโทรศัพท์ เพื่อประคับประคองธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและลงทุนให้มีสภาพคล่องเพียงพอและรักษาการจ้างงานต่อไปได้ รวมทั้งจัดโครงการอบรมออนไลน์เป็นกลุ่มเฉพาะให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคตต่อไป
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า มาตรการของ EXIM BANK เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและลงทุนจากผลกระทบโควิด-19 ประกอบด้วย
มาตรการที่ 1พักชําระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นเวลา 6 เดือนสําหรับลูกค้า EXIM BANKที่มีวงเงินสินเชื่อทั้งระยะยาวและระยะสั้น
มาตรการที่ 2 ขยายเงื่อนไขบริการประกันการส่งออกโดยขยายระยะเวลาการชําระเงินที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด 270 วัน แก่ผู้ส่งออกที่มีประกันการส่งออกของ EXIM BANK และส่งออกไปประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก(World Health Organization : WHO)ฟรี! คุ้มครองการส่งออกสินค้าเน่าเสียง่ายไปจีน สูงสุด 50% ของมูลค่าใบกํากับสินค้าและลดระยะเวลาพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีผู้ซื้อไม่รับมอบสินค้า
มาตรการที่ 3 สนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ
• สินเชื่อระยะยาว 7 ปี สําหรับลูกค้าและผู้ประกอบการทั่วไป วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2% ต่อปีในปีที่ 1-2นําไปใช้หมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและลงทุน ซึ่งได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากโควิด-19
• สินเชื่อระยะสั้น 2 ปี สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท วงเงินสูงสุด 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ 31 ธันวาคม 2562 อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2% ต่อปีฟรี! ดอกเบี้ย 6 เดือนนําไปใช้หมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและลงทุน ซึ่งได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากโควิด-19
• สินเชื่อระยะยาว 7 ปีสําหรับลูกค้าและผู้ประกอบการทั่วไปในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมวงเงินสูงสุด 100 ล้านบาทต่อรายอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2% ต่อปีในปีที่ 1-2นําไปใช้ซื้อหรือปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์หรือต่อเติมปรับปรุงโรงงาน
• สินเชื่อส่งเสริมการจ้างงาน วงเงินสูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยต่ําสุด3% ต่อปี ระยะเวลากู้สูงสุด7 ปี
มาตรการที่ 4 คลินิกให้คําปรึกษาแก่ผู้ส่งออกทางโทรศัพท์เพื่อให้คําปรึกษาและข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน จัดแพ็กเกจและมาตรการช่วยเหลือทางการเงินที่เหมาะสมกับธุรกิจของผู้ติดต่อเข้ามา โดยเฉพาะ SMEs รวมทั้งให้คําปรึกษาด้านการเงินทางโทรศัพท์และจัดโครงการฝึกอบรมออนไลน์ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและขยายเครือข่ายธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โทร. 0 2617 2111 ต่อ 3510-2
“EXIM BANKขานรับนโยบายกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะยืนเคียงข้างให้ความช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน และแบ่งเบาภาระของลูกค้าและผู้ประกอบธุรกิจส่งออกและลงทุน โดยเฉพาะ SMEs ที่ได้รับผลกระทบของโควิด-19 โดยผ่อนปรนกําหนดการชําระหนี้และสนับสนุนเงินทุนต้นทุนต่ําเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจอยู่รอดและรักษาการจ้างงานต่อไปได้จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายเป็นปกติ” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand Opens Phone-in Export Advisory Clinic and asTouchpoint for Clients’ Application for Suspension of Debt for 6 Months or Soft Loan to Relieve Impact from COVID-19
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that small and medium enterprises (SMEs) are a main engine in driving Thai economic growth. However, due to SMEs’ small capital base and severe economic impact felt by them from the COVID-19 outbreak, EXIM Thailand has opened a phone-infinancial advisory clinic to help sustain export- and investment-related businesses with adequate liquidity and maintain labor employment in conjunction with provision of online training program specifically for entrepreneurs interested in exploring and accessing future business opportunities.
EXIM Thailand President further said that the Bank’s assistance schemes for entrepreneurs relating to export and investment affected by the COVID-19 pandemic at present comprised:
Scheme1: Suspension of principal and interest debt payment for 6 monthsfor the clients having long-term and short-term credit lines with the Bank.
Scheme 2: Extension of payment term under insurance coveragefor a total period of up to 270 days for export credit insurance clients with export to the countries affected by the COVID-19 outbreak according to the report of World Health Organization (WHO), free! coverage for perishable exported goods shipped to China at a rate of 50% of the value of invoice, and shortening of the period for considering payment of insurance claims compensation in case of delivered goods rejection by buyers.
Scheme3: Special Interest Rate Credit Facility
• 7-year term credit facilityfor clients and general entrepreneurs each with a maximum credit line of 20 million baht at a special interest rate of 2% per annumin the 1st and 2ndyearsto use as revolving fund in export- and investment-related businesses hit directly or indirectly by COVID-19.
• 2-year short-term credit facility for clients having group’s credit line of 500 million bahtor below with the Bank, each with a maximum credit line of 20% of outstanding debt as at December 31, 2019 at a special interest rate of 2% per annum and free! interest for 6 months to use as revolving fund in export- and investment-related businesses hit directly or indirectly by COVID-19.
• 7-year term credit facilityfor clients and general entrepreneursin all industrial sectorseach with a maximum credit line of 100 million baht at a special interest rate of 2% per annumin the 1st and 2nd yearsfor use to purchase or modify machinery and equipment or renovation of factories.
• Loan for employment credit,upto 7-year term credit facility with a maximum credit line of 15 million baht ata minimuminterest rate of 3% per annum.
Scheme4: Phone-in Export Advisory Clinicto provide beneficial financial advice and relevant news and information for entrepreneurs to cope with the current economic circumstances, arrange financial assistance schemes and packages suitable to businesses of the contacting entrepreneurs, particularly SMEs. The Bank also provide phone-in financial advice and organize online training program to enhance their business knowledge and understanding, in parallel to expansion of business networks, via Tel.0 2617 2111 ext.3510-2.
“EXIM Thailand has responded to the policies of the Ministry of Finance and the Bank of Thailand in working alongsidethe Bank’s clients, export- and investment-related entrepreneurs, SMEs in particular, to assist them in tackling their business problems and relieve their burden amid the COVID-19 economic disruption. We carry out this mission through relaxation on debt payment and financial support to boost their liquidity so that they can survive and maintain employment of labor force until the situation returns to normalcy,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK เปิดคลินิกให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์แก่ผู้ส่งออก พร้อมรับเรื่องพักชำระหนี้ 6 เดือน หรือขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ บรรเทาผลกระทบโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
EXIM BANK เปิดคลินิกให้คําปรึกษาทางโทรศัพท์แก่ผู้ส่งออก พร้อมรับเรื่องพักชําระหนี้ 6 เดือน หรือขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา บรรเทาผลกระทบโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
EXIM BANK เปิดคลินิกให้คําปรึกษาปัญหาด้านการเงินทางโทรศัพท์ เพื่อประคับประคองธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและลงทุนให้มีสภาพคล่องเพียงพอและรักษาการจ้างงานต่อไปได้ รวมทั้งจัดโครงการอบรมออนไลน์เป็นกลุ่มเฉพาะให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ
EXIM BANK เปิดคลินิกให้คําปรึกษาทางโทรศัพท์แก่ผู้ส่งออก พร้อมรับเรื่องพักชําระหนี้ 6 เดือน หรือขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา บรรเทาผลกระทบโควิด-19
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นฟันเฟืองสําคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ขณะที่ SMEs อาจมีฐานทุนน้อยและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างมาก EXIM BANK จึงเปิดคลินิกให้คําปรึกษาปัญหาด้านการเงินทางโทรศัพท์ เพื่อประคับประคองธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและลงทุนให้มีสภาพคล่องเพียงพอและรักษาการจ้างงานต่อไปได้ รวมทั้งจัดโครงการอบรมออนไลน์เป็นกลุ่มเฉพาะให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคตต่อไป
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า มาตรการของ EXIM BANK เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและลงทุนจากผลกระทบโควิด-19 ประกอบด้วย
มาตรการที่ 1พักชําระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นเวลา 6 เดือนสําหรับลูกค้า EXIM BANKที่มีวงเงินสินเชื่อทั้งระยะยาวและระยะสั้น
มาตรการที่ 2 ขยายเงื่อนไขบริการประกันการส่งออกโดยขยายระยะเวลาการชําระเงินที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด 270 วัน แก่ผู้ส่งออกที่มีประกันการส่งออกของ EXIM BANK และส่งออกไปประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก(World Health Organization : WHO)ฟรี! คุ้มครองการส่งออกสินค้าเน่าเสียง่ายไปจีน สูงสุด 50% ของมูลค่าใบกํากับสินค้าและลดระยะเวลาพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีผู้ซื้อไม่รับมอบสินค้า
มาตรการที่ 3 สนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ
• สินเชื่อระยะยาว 7 ปี สําหรับลูกค้าและผู้ประกอบการทั่วไป วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2% ต่อปีในปีที่ 1-2นําไปใช้หมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและลงทุน ซึ่งได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากโควิด-19
• สินเชื่อระยะสั้น 2 ปี สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท วงเงินสูงสุด 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ 31 ธันวาคม 2562 อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2% ต่อปีฟรี! ดอกเบี้ย 6 เดือนนําไปใช้หมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและลงทุน ซึ่งได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากโควิด-19
• สินเชื่อระยะยาว 7 ปีสําหรับลูกค้าและผู้ประกอบการทั่วไปในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมวงเงินสูงสุด 100 ล้านบาทต่อรายอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2% ต่อปีในปีที่ 1-2นําไปใช้ซื้อหรือปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์หรือต่อเติมปรับปรุงโรงงาน
• สินเชื่อส่งเสริมการจ้างงาน วงเงินสูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยต่ําสุด3% ต่อปี ระยะเวลากู้สูงสุด7 ปี
มาตรการที่ 4 คลินิกให้คําปรึกษาแก่ผู้ส่งออกทางโทรศัพท์เพื่อให้คําปรึกษาและข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน จัดแพ็กเกจและมาตรการช่วยเหลือทางการเงินที่เหมาะสมกับธุรกิจของผู้ติดต่อเข้ามา โดยเฉพาะ SMEs รวมทั้งให้คําปรึกษาด้านการเงินทางโทรศัพท์และจัดโครงการฝึกอบรมออนไลน์ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและขยายเครือข่ายธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โทร. 0 2617 2111 ต่อ 3510-2
“EXIM BANKขานรับนโยบายกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะยืนเคียงข้างให้ความช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน และแบ่งเบาภาระของลูกค้าและผู้ประกอบธุรกิจส่งออกและลงทุน โดยเฉพาะ SMEs ที่ได้รับผลกระทบของโควิด-19 โดยผ่อนปรนกําหนดการชําระหนี้และสนับสนุนเงินทุนต้นทุนต่ําเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจอยู่รอดและรักษาการจ้างงานต่อไปได้จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายเป็นปกติ” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand Opens Phone-in Export Advisory Clinic and asTouchpoint for Clients’ Application for Suspension of Debt for 6 Months or Soft Loan to Relieve Impact from COVID-19
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that small and medium enterprises (SMEs) are a main engine in driving Thai economic growth. However, due to SMEs’ small capital base and severe economic impact felt by them from the COVID-19 outbreak, EXIM Thailand has opened a phone-infinancial advisory clinic to help sustain export- and investment-related businesses with adequate liquidity and maintain labor employment in conjunction with provision of online training program specifically for entrepreneurs interested in exploring and accessing future business opportunities.
EXIM Thailand President further said that the Bank’s assistance schemes for entrepreneurs relating to export and investment affected by the COVID-19 pandemic at present comprised:
Scheme1: Suspension of principal and interest debt payment for 6 monthsfor the clients having long-term and short-term credit lines with the Bank.
Scheme 2: Extension of payment term under insurance coveragefor a total period of up to 270 days for export credit insurance clients with export to the countries affected by the COVID-19 outbreak according to the report of World Health Organization (WHO), free! coverage for perishable exported goods shipped to China at a rate of 50% of the value of invoice, and shortening of the period for considering payment of insurance claims compensation in case of delivered goods rejection by buyers.
Scheme3: Special Interest Rate Credit Facility
• 7-year term credit facilityfor clients and general entrepreneurs each with a maximum credit line of 20 million baht at a special interest rate of 2% per annumin the 1st and 2ndyearsto use as revolving fund in export- and investment-related businesses hit directly or indirectly by COVID-19.
• 2-year short-term credit facility for clients having group’s credit line of 500 million bahtor below with the Bank, each with a maximum credit line of 20% of outstanding debt as at December 31, 2019 at a special interest rate of 2% per annum and free! interest for 6 months to use as revolving fund in export- and investment-related businesses hit directly or indirectly by COVID-19.
• 7-year term credit facilityfor clients and general entrepreneursin all industrial sectorseach with a maximum credit line of 100 million baht at a special interest rate of 2% per annumin the 1st and 2nd yearsfor use to purchase or modify machinery and equipment or renovation of factories.
• Loan for employment credit,upto 7-year term credit facility with a maximum credit line of 15 million baht ata minimuminterest rate of 3% per annum.
Scheme4: Phone-in Export Advisory Clinicto provide beneficial financial advice and relevant news and information for entrepreneurs to cope with the current economic circumstances, arrange financial assistance schemes and packages suitable to businesses of the contacting entrepreneurs, particularly SMEs. The Bank also provide phone-in financial advice and organize online training program to enhance their business knowledge and understanding, in parallel to expansion of business networks, via Tel.0 2617 2111 ext.3510-2.
“EXIM Thailand has responded to the policies of the Ministry of Finance and the Bank of Thailand in working alongsidethe Bank’s clients, export- and investment-related entrepreneurs, SMEs in particular, to assist them in tackling their business problems and relieve their burden amid the COVID-19 economic disruption. We carry out this mission through relaxation on debt payment and financial support to boost their liquidity so that they can survive and maintain employment of labor force until the situation returns to normalcy,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28947
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับรายงานสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันภาคเหนือ ล่าสุดภาพรวมคุณภาพอากาศดีขึ้น ย้ำบังคับใช้กฎหมายหาตัวผู้กระทำความผิด
|
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
นายกฯ รับรายงานสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันภาคเหนือ ล่าสุดภาพรวมคุณภาพอากาศดีขึ้น ย้ําบังคับใช้กฎหมายหาตัวผู้กระทําความผิด
นายกฯ รับรายงานสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันภาคเหนือ ล่าสุดภาพรวมคุณภาพอากาศดีขึ้น ย้ําบังคับใช้กฎหมายหาตัวผู้กระทําความผิด
วันที่ 5 เม.ย.63 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบรายงานและติดตามสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบว่าใน จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ ยังคงมีการสะสมของฝุ่นละอองสูงอยู่ แต่บริเวณภาคเหนือตอนล่าง สถานการณ์ฝุ่นละอองดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการคาดการณ์สภาพอุตุนิยมวิทยา บริเวณภาคเหนือ มีอากาศร้อน และอาจเกิดฝนฟ้าคะนองบางแห่ง โดยทิศทางลมตะวันตกเฉียงใต้ กําลังปานกลาง จะทําให้ช่วงบ่ายอากาศยกตัว และทําให้การระบายฝุ่นละอองในอากาศดีขึ้น
และเพื่อเป็นการป้องกันและแก้ปัญหาไฟป่าหมอกควันในพื้นที่ นายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ งดการเผาเศษกิ่งไม้ - ใบไม้ เศษวัสดุการเกษตร และงดเผาป่าในช่วงประกาศห้ามเผาของจังหวัด ร่วมเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ ควบคู่กับให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดจากการเผาด้วย
นายกฯ ย้ําบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เร่งหาตัวผู้กระทําผิด และให้ดําเนินคดีอย่างเด็ดขาด เพื่อเป็นตัวอย่างและป้องปรามไม่ให้มีการกระทําผิดในลักษณะเดียวกันอีก นอกจากนี้ยังต้องการระดมสรรพกําลังเข้าระงับเหตุและเฝ้าระวังในระดับหมู่บ้าน ร่วมกับการสนับสนุนอากาศยาน โดรน และ UAV ในการชี้จุด ชี้เบาะแสผู้กระทําความผิด และดับไฟในพื้นที่สูงชันและเข้าถึงยาก
ขณะที่การดูแลสุขภาพของประชาชนหากต้องออกนอกอาคาร ควรปิดปาก และจมูกด้วยหน้ากากอนามัย และถ้ามีอาการจาม น้ํามูกไหล คอแห้ง และไอ ควรดื่มน้ําอุ่นมาก ๆ และหากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ติดตามรับฟังข่าวสารและข้อมูลจากทางราชการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และมีการปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับรายงานสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันภาคเหนือ ล่าสุดภาพรวมคุณภาพอากาศดีขึ้น ย้ำบังคับใช้กฎหมายหาตัวผู้กระทำความผิด
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
นายกฯ รับรายงานสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันภาคเหนือ ล่าสุดภาพรวมคุณภาพอากาศดีขึ้น ย้ําบังคับใช้กฎหมายหาตัวผู้กระทําความผิด
นายกฯ รับรายงานสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันภาคเหนือ ล่าสุดภาพรวมคุณภาพอากาศดีขึ้น ย้ําบังคับใช้กฎหมายหาตัวผู้กระทําความผิด
วันที่ 5 เม.ย.63 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบรายงานและติดตามสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบว่าใน จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ ยังคงมีการสะสมของฝุ่นละอองสูงอยู่ แต่บริเวณภาคเหนือตอนล่าง สถานการณ์ฝุ่นละอองดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการคาดการณ์สภาพอุตุนิยมวิทยา บริเวณภาคเหนือ มีอากาศร้อน และอาจเกิดฝนฟ้าคะนองบางแห่ง โดยทิศทางลมตะวันตกเฉียงใต้ กําลังปานกลาง จะทําให้ช่วงบ่ายอากาศยกตัว และทําให้การระบายฝุ่นละอองในอากาศดีขึ้น
และเพื่อเป็นการป้องกันและแก้ปัญหาไฟป่าหมอกควันในพื้นที่ นายกรัฐมนตรี ขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ งดการเผาเศษกิ่งไม้ - ใบไม้ เศษวัสดุการเกษตร และงดเผาป่าในช่วงประกาศห้ามเผาของจังหวัด ร่วมเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ ควบคู่กับให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดจากการเผาด้วย
นายกฯ ย้ําบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เร่งหาตัวผู้กระทําผิด และให้ดําเนินคดีอย่างเด็ดขาด เพื่อเป็นตัวอย่างและป้องปรามไม่ให้มีการกระทําผิดในลักษณะเดียวกันอีก นอกจากนี้ยังต้องการระดมสรรพกําลังเข้าระงับเหตุและเฝ้าระวังในระดับหมู่บ้าน ร่วมกับการสนับสนุนอากาศยาน โดรน และ UAV ในการชี้จุด ชี้เบาะแสผู้กระทําความผิด และดับไฟในพื้นที่สูงชันและเข้าถึงยาก
ขณะที่การดูแลสุขภาพของประชาชนหากต้องออกนอกอาคาร ควรปิดปาก และจมูกด้วยหน้ากากอนามัย และถ้ามีอาการจาม น้ํามูกไหล คอแห้ง และไอ ควรดื่มน้ําอุ่นมาก ๆ และหากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ติดตามรับฟังข่าวสารและข้อมูลจากทางราชการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และมีการปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28468
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์รุกคืบ หารือผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทย มุ่งลดต้นทุน SMEs ขนส่งสินค้าผ่าน e-Commerce พร้อมส่งเสริมขนส่งไทยปรับตัวแข่งขันกับต่างชาติได้
|
วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561
พาณิชย์รุกคืบ หารือผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทย มุ่งลดต้นทุน SMEs ขนส่งสินค้าผ่าน e-Commerce พร้อมส่งเสริมขนส่งไทยปรับตัวแข่งขันกับต่างชาติได้
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันอังคารที่ 23 มกราคม 2561 ได้เชิญผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ไทย และสมาคม สมาพันธ์ที่เกี่ยวข้อง มาหารือร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรวมตัวกันเพื่อให้บริการขนส่งและโลจิสติกส์กับระบบอีคอมเมิร์ซ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของ SMEs พร้อมทั้งเสนอให้มีการรวมตัวของผู้ประกอบการโลจิสติกส์เพื่อเชื่อมโยงสินค้า OTOP และสินค้าเกษตร เข้าสู่ร้านธงฟ้าประชารัฐระดับพื้นที่ให้เป็นไปโดยสะดวกรวดเร็ว โดยอาจพิจารณาค่าขนส่งอัตราพิเศษเข้าสู่ร้านประชารัฐที่ขณะนี้ มีจํานวน 20,000 แห่ง สําหรับประโยชน์ที่จะได้รับจากการเชื่อมโยงผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยและ SMEs ที่ทําการค้าผ่าน e-Commerce ก็คือ ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ รวมทั้ง เป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการขนส่งไทยปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจโลจิสติกส์รองรับยุคดิจิทัลให้มากขึ้น เพื่อรองรับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากผู้ประกอบการจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ ภาคเอกชนต่างเห็นพ้องกับกระทรวงพาณิชย์ว่า ภาคธุรกิจจําเป็นต้องปรับการให้บริการให้ตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคในโลกยุคดิจิทัล ที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์และให้ความสําคัญกับความรวดเร็วในการขนส่งเป็นสําคัญ อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันผู้ให้บริการขนส่งรองรับการค้าออนไลน์อย่างครบวงจรในประเทศมีเพียงไม่กี่ราย และส่วนใหญ่เป็นบริษัทต่างชาติ โดยภาคเอกชนมีความเห็นว่า บริษัทขนส่งไทยมีศักยภาพที่จะให้บริการในต้นทุนที่ถูกกว่า และมีจุดแข็งหลายประการที่เปรียบเทียบกับบริษัทต่างชาติ อาทิ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะจังหวัดหรือเฉพาะภูมิภาค มีเครือข่ายที่มากกว่า สามารถส่งสินค้าได้หลากหลาย รวมทั้งสินค้าเกษตรหรือสินค้าอื่นที่ต้องใช้บรรจุภัณฑ์พิเศษ แต่มีจุดอ่อน คือ การขาดระบบและซอฟต์แวร์ที่จะบริหารจัดการระบบการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขาดการร่วมกันเป็นเครือข่าย ทั้งนี้ ภาคเอกชนได้เสนอให้ภาครัฐเร่งดําเนินการด้านต่างๆ ดังนี้ 1. การบูรณาการด้านข้อมูลระหว่างผู้ใช้ (Users) และผู้ให้บริการ เพื่อสามารถนําข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการข้อมูลแบบเบ็ดเสร็จ 2. การมีโครงสร้างราคาและต้นทุนการขนส่งสินค้าที่เป็นมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ 3. การจัดทํา Platform กลางที่เป็นมาตรฐาน เพื่อเชื่อมโยงองค์ประกอบการสําคัญในการทําการค้าออนไลน์ทั้ง 3 ด้านคือ e-Marketplace e-Payment และ e-Logistics โดยสมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทยยินดีรับหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักในส่วน e-Logistics และขอให้ภาครัฐเป็นผู้สนับสนุน
ปลัดกระทรวงพาณิชย์กล่าวเพิ่มเติมว่า หากภาคเอกชนผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยสามารถบูรณาการการบริการ พัฒนาระบบที่ดี ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย กระทรวงพาณิชย์ก็จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เอื้อประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEs ไทยได้ ใน 4 ด้าน ได้แก่ 1. การผลักดันมาตรฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ไทย 2. การสร้างความตระหนักรู้ในหมู่ผู้บริโภคและ SMEs ที่ต้องใช้บริการ 3. การพัฒนาศักยภาพ SMEs ที่จะใช้บริการขนส่งแบบ e-Logistics และ 4. การส่งเสริมบริการขนส่งไทยให้เป็นที่ยอมรับ แข่งขันกับต่างชาติได้
นอกจากนั้น ปลัดกระทรวงพาณิชย์ยังเสนอให้ภาคเอกชนที่ให้บริการด้านโลจิสติกส์และสมาคมที่เกี่ยวข้อง จัดการหารือเพื่อเสนอแนวทางความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐเกี่ยวกับการเชื่อมโยงการให้บริการด้านโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการขยายตัวของการค้า e-Commerce ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศโดยอาจพิจารณาเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการ start up ไทยที่ให้บริการ software ด้าน logistics ซึ่งจะส่งผลให้การค้าและการขนส่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถวางแผนเส้นทางให้เกิดประโยชน์สูงสุดและช่วยลดต้นทุนได้อย่างมาก พร้อมมอบหมายให้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมหารือและติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์รุกคืบ หารือผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทย มุ่งลดต้นทุน SMEs ขนส่งสินค้าผ่าน e-Commerce พร้อมส่งเสริมขนส่งไทยปรับตัวแข่งขันกับต่างชาติได้
วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561
พาณิชย์รุกคืบ หารือผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทย มุ่งลดต้นทุน SMEs ขนส่งสินค้าผ่าน e-Commerce พร้อมส่งเสริมขนส่งไทยปรับตัวแข่งขันกับต่างชาติได้
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันอังคารที่ 23 มกราคม 2561 ได้เชิญผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ไทย และสมาคม สมาพันธ์ที่เกี่ยวข้อง มาหารือร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรวมตัวกันเพื่อให้บริการขนส่งและโลจิสติกส์กับระบบอีคอมเมิร์ซ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของ SMEs พร้อมทั้งเสนอให้มีการรวมตัวของผู้ประกอบการโลจิสติกส์เพื่อเชื่อมโยงสินค้า OTOP และสินค้าเกษตร เข้าสู่ร้านธงฟ้าประชารัฐระดับพื้นที่ให้เป็นไปโดยสะดวกรวดเร็ว โดยอาจพิจารณาค่าขนส่งอัตราพิเศษเข้าสู่ร้านประชารัฐที่ขณะนี้ มีจํานวน 20,000 แห่ง สําหรับประโยชน์ที่จะได้รับจากการเชื่อมโยงผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยและ SMEs ที่ทําการค้าผ่าน e-Commerce ก็คือ ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ รวมทั้ง เป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการขนส่งไทยปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจโลจิสติกส์รองรับยุคดิจิทัลให้มากขึ้น เพื่อรองรับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากผู้ประกอบการจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ ภาคเอกชนต่างเห็นพ้องกับกระทรวงพาณิชย์ว่า ภาคธุรกิจจําเป็นต้องปรับการให้บริการให้ตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคในโลกยุคดิจิทัล ที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์และให้ความสําคัญกับความรวดเร็วในการขนส่งเป็นสําคัญ อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันผู้ให้บริการขนส่งรองรับการค้าออนไลน์อย่างครบวงจรในประเทศมีเพียงไม่กี่ราย และส่วนใหญ่เป็นบริษัทต่างชาติ โดยภาคเอกชนมีความเห็นว่า บริษัทขนส่งไทยมีศักยภาพที่จะให้บริการในต้นทุนที่ถูกกว่า และมีจุดแข็งหลายประการที่เปรียบเทียบกับบริษัทต่างชาติ อาทิ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะจังหวัดหรือเฉพาะภูมิภาค มีเครือข่ายที่มากกว่า สามารถส่งสินค้าได้หลากหลาย รวมทั้งสินค้าเกษตรหรือสินค้าอื่นที่ต้องใช้บรรจุภัณฑ์พิเศษ แต่มีจุดอ่อน คือ การขาดระบบและซอฟต์แวร์ที่จะบริหารจัดการระบบการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขาดการร่วมกันเป็นเครือข่าย ทั้งนี้ ภาคเอกชนได้เสนอให้ภาครัฐเร่งดําเนินการด้านต่างๆ ดังนี้ 1. การบูรณาการด้านข้อมูลระหว่างผู้ใช้ (Users) และผู้ให้บริการ เพื่อสามารถนําข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการข้อมูลแบบเบ็ดเสร็จ 2. การมีโครงสร้างราคาและต้นทุนการขนส่งสินค้าที่เป็นมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ 3. การจัดทํา Platform กลางที่เป็นมาตรฐาน เพื่อเชื่อมโยงองค์ประกอบการสําคัญในการทําการค้าออนไลน์ทั้ง 3 ด้านคือ e-Marketplace e-Payment และ e-Logistics โดยสมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทยยินดีรับหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักในส่วน e-Logistics และขอให้ภาครัฐเป็นผู้สนับสนุน
ปลัดกระทรวงพาณิชย์กล่าวเพิ่มเติมว่า หากภาคเอกชนผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยสามารถบูรณาการการบริการ พัฒนาระบบที่ดี ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย กระทรวงพาณิชย์ก็จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เอื้อประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEs ไทยได้ ใน 4 ด้าน ได้แก่ 1. การผลักดันมาตรฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ไทย 2. การสร้างความตระหนักรู้ในหมู่ผู้บริโภคและ SMEs ที่ต้องใช้บริการ 3. การพัฒนาศักยภาพ SMEs ที่จะใช้บริการขนส่งแบบ e-Logistics และ 4. การส่งเสริมบริการขนส่งไทยให้เป็นที่ยอมรับ แข่งขันกับต่างชาติได้
นอกจากนั้น ปลัดกระทรวงพาณิชย์ยังเสนอให้ภาคเอกชนที่ให้บริการด้านโลจิสติกส์และสมาคมที่เกี่ยวข้อง จัดการหารือเพื่อเสนอแนวทางความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐเกี่ยวกับการเชื่อมโยงการให้บริการด้านโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการขยายตัวของการค้า e-Commerce ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศโดยอาจพิจารณาเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการ start up ไทยที่ให้บริการ software ด้าน logistics ซึ่งจะส่งผลให้การค้าและการขนส่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถวางแผนเส้นทางให้เกิดประโยชน์สูงสุดและช่วยลดต้นทุนได้อย่างมาก พร้อมมอบหมายให้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมหารือและติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9760
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ พร้อมหนุนอุตฯไทยสู่ Thailand 4.0 เชื่อศักยภาพผู้ประกอบการไทย สามารถแข็งขันได้ในตลาดโลก
|
วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2560
ก.อุตฯ พร้อมหนุนอุตฯไทยสู่ Thailand 4.0 เชื่อศักยภาพผู้ประกอบการไทย สามารถแข็งขันได้ในตลาดโลก
วันนี้ (20 มีนาคม 2560) กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมหนุนอุตสาหกรรมไทยสู่ Thailand 4.0 เชื่อศักยภาพผู้ประกอบการไทย สามารถแข็งขันได้ในตลาดโลก
วันนี้ 20 มี.ค. 60 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวบรรยายพิเศษ “การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่ยุค Thailand 4.0" ในการประชุมสามัญประจําปี 2560 ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยระบุตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยกําลังขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ 20 ปี โดยในปี 2560-2561 จะเป็นปีแห่งการปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมสนับสนุนเต็มที่ โดยยืนยันทุกโครงการจะสามารถทําให้เห็นผลได้จริง
“ ผมเชื่อว่าผู้ประกอบการไทย มีศักยภาพสูง สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เพียงแต่ต้องมีการขับเคลื่อนและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้มีมูลค่าสูงได้ ซึ่งนั่นจะสามารถนําพาประเทศให้หลุดพ้นจากประเทศรายได้ปานกลาง ไปสู่รายได้สูงได้ในอนาคต” นายอุตตม กล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวย้ําถึงการพัฒนาใน 4 ด้านหลักที่จะก้าวสู่Thailand 4.0 ได้ คือ 1.การพัฒนาคน 2. การพัฒนาวิสาหกิจ 3.การพัฒนาเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 4.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
สําหรับการประชุมสามัญประจําปี 2560 ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยครั้งนี้ จัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีสมาชิกจากทั่วประเทศเข้าร่วมประชุมกว่า 500 คน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ พร้อมหนุนอุตฯไทยสู่ Thailand 4.0 เชื่อศักยภาพผู้ประกอบการไทย สามารถแข็งขันได้ในตลาดโลก
วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2560
ก.อุตฯ พร้อมหนุนอุตฯไทยสู่ Thailand 4.0 เชื่อศักยภาพผู้ประกอบการไทย สามารถแข็งขันได้ในตลาดโลก
วันนี้ (20 มีนาคม 2560) กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมหนุนอุตสาหกรรมไทยสู่ Thailand 4.0 เชื่อศักยภาพผู้ประกอบการไทย สามารถแข็งขันได้ในตลาดโลก
วันนี้ 20 มี.ค. 60 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวบรรยายพิเศษ “การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่ยุค Thailand 4.0" ในการประชุมสามัญประจําปี 2560 ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยระบุตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยกําลังขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ 20 ปี โดยในปี 2560-2561 จะเป็นปีแห่งการปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมสนับสนุนเต็มที่ โดยยืนยันทุกโครงการจะสามารถทําให้เห็นผลได้จริง
“ ผมเชื่อว่าผู้ประกอบการไทย มีศักยภาพสูง สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เพียงแต่ต้องมีการขับเคลื่อนและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้มีมูลค่าสูงได้ ซึ่งนั่นจะสามารถนําพาประเทศให้หลุดพ้นจากประเทศรายได้ปานกลาง ไปสู่รายได้สูงได้ในอนาคต” นายอุตตม กล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวย้ําถึงการพัฒนาใน 4 ด้านหลักที่จะก้าวสู่Thailand 4.0 ได้ คือ 1.การพัฒนาคน 2. การพัฒนาวิสาหกิจ 3.การพัฒนาเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 4.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
สําหรับการประชุมสามัญประจําปี 2560 ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยครั้งนี้ จัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีสมาชิกจากทั่วประเทศเข้าร่วมประชุมกว่า 500 คน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2503
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบประชาชนจังหวัดพะเยา ขอให้ช่วยกันพัฒนากว๊านพะเยา นำศักยภาพของกว๊านฯ มาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
|
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561
นายกรัฐมนตรีพบประชาชนจังหวัดพะเยา ขอให้ช่วยกันพัฒนากว๊านพะเยา นําศักยภาพของกว๊านฯ มาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
นายกฯ พบประชาชน จ.พะเยา ขอให้ช่วยกันพัฒนากว๊านพะเยา นําศักยภาพของกว๊านฯ มาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในประเทศ ลดเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม พร้อมชื่นชมการดําเนินงานศูนย์ฮอมฮักชุมชน
วันนี้ (29 ตุลาคม 2561) เวลา 10.30 น. ณ ลานอเนกประสงค์ เทศบาลเมืองพะเยา ตําบลเวียง อําเภอเมือง จังหวัดพะเยา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบสมุดประจําตัวผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทํากินในลักษณะแปลงรวมของจังหวัดพะเยา ภายใต้โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ให้แก่ผู้แทนประชาชนจํานวน 5 ราย โดยพื้นที่จัดสรรอยู่ในเขตอําเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา เนื้อที่รวมทั้งหมด 14,926-2-00 ไร่ มีราษฎรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินจํานวนทั้งสิ้น 2,171 คน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวพบปะกับประชาชนจังหวัดพะเยาที่มาให้การต้อนรับตอนหนึ่งว่า มีความ "ม่วนใจ๋" เป็นอย่างยิ่งที่ได้มาพบปะกับพี่น้องประชาชนชาวพะเยาในวันนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีและคณะได้มาตรวจเยี่ยมผลการทํางานของรัฐบาลว่า 4 ปีที่ผ่านมาได้ดําเนินการอะไรไปบ้าง พร้อมทั้งมาเน้นย้ําถึงจุดมุ่งหมาย และความตั้งใจของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ซึ่งอาจจะช้าไปบ้าง แต่จะเกิดความมั่นคงในอนาคต ถ้าหากประชาชนร่วมมือกับภาครัฐ โดยการดําเนินการทุกโครงการ จะต้องบรรจุอยู่ในแผนแม่บทแห่งชาติ จะต้องสร้างความเท่าเทียมของโอกาสอย่างเป็นธรรม พร้อมกับเร่งรัดการพัฒนาให้มากกว่าเดิม สู่ความเชื่อมโยง สร้างมูลค่าในทุกมิติ ซึ่งรัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างยังยืน ไม่ใช่เพียงแค่การทําอะไรง่าย ๆ แล้วจบไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน รายได้ และการประกอบอาชีพ ว่าจะทําอย่างไรจึงจะทําให้พี่น้องประชาชนสามารถดํารงชีวิตที่ดีได้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการออกนโยบาย มาตรการ และโครงการต่าง ๆ เพื่อที่จะสนับสนุนและพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ให้กับพี่น้องประชาชน เช่น โครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โครงการสวัสดิการผู้สูงอายุ เป็นต้น
พร้อมกับขอให้พี่น้องจังหวัดพะเยาช่วยกันรักษาเอกลักษณ์ความเป็นมาของจังหวัดพะเยา โดยเฉพาะกว๊านพะเยาที่เปรียบเสมือนแหล่งชีวิตของชาวพะเยา เป็นแหล่งน้ํา และแหล่งอาหารที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิต รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญของจังหวัด สร้างรายได้แก่พี่น้องประชาชน พร้อมฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลกว๊านพะเยาให้ได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งการแก้ปัญหาวัชพืช ผักตบชวาและการตื้นเขินเนื่องจากการสะสมของตะกอนดิน การจัดการประมง และการบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงขอให้พี่น้องชาวพะเยาช่วยกันรักษากว๊านพะเยาให้มีความสะอาด อนุรักษ์พันธุ์ปลาท้องถิ่น การรักษาระบบนิเวศให้คงความสมบูรณ์ ซึ่งหากทุกฝ่ายช่วยกันก็จะเป็นการพัฒนากว๊านพะเยาอย่างยั่งยืนแท้จริง
เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมตลาดประชารัฐ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการขยายตลาดที่มีอยู่เดิมและพัฒนาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ให้เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้ามาเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ นําไปสู่การยกระดับรายได้และเศรษฐกิจเพื่อการดํารงชีวิต พร้อมเยี่ยมศูนย์ฮอมฮักเพื่อดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยเรื้อรัง ซึ่งเป็นต้นแบบของการขับเคลื่อนการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุและผู้พิการในพื้นที่อย่างครบวงจรต่อเนื่อง โดยศูนย์ฮอมฮัก เป็นศูนย์ในระดับตําบล มีภารกิจในการดูแลช่วยเหลือกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ที่อยู่ในระยะที่จําเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ ด้วยความร่วมมือของชุมชน ทั้งนี้ ศูนย์ดังกล่าวเป็นการทํางานร่วมกันของภาคีต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชน เน้นหลักการจิตอาสา โดยจะมีการขับเคลื่อนการจัดตั้งศูนย์ฮอมฮักให้ครบถ้วนทั้ง 68 ตําบล ในทั้งหมด 9 อําเภอของจังหวัดพะเยา
โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมการดําเนินงานของ “ศูนย์ฮอมฮักชุมชน” ซึ่งเป็นการยกระดับการให้บริการสุขภาพของผู้สูงอายุในชุมชน จึงอยากให้เป็นต้นแบบขยายการดําเนินงานไปในทุกพื้นที่ พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างการดําเนินการส่งเสริม “การพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น หมอเมืองล้านนา” ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติการพัฒนาภูมิปัญญาไทย โดยให้ความสําคัญกับการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ ซึ่งจะต้องมีความสอดคล้องกับวิถีชุมชน วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเชื่อ นําไปสู่การพึ่งตนเองด้านสุขภาพ ให้การส่งเสริมการแพทย์ทุกระบบอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพ เกิดการรวมกลุ่มของหมอพื้นบ้าน เกิดการจัดทําองค์ความรู้ของหมอเมืองล้านนา ทั้งการรักษา ข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรต่าง ๆ ด้วย
---------------------------------
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบประชาชนจังหวัดพะเยา ขอให้ช่วยกันพัฒนากว๊านพะเยา นำศักยภาพของกว๊านฯ มาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561
นายกรัฐมนตรีพบประชาชนจังหวัดพะเยา ขอให้ช่วยกันพัฒนากว๊านพะเยา นําศักยภาพของกว๊านฯ มาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
นายกฯ พบประชาชน จ.พะเยา ขอให้ช่วยกันพัฒนากว๊านพะเยา นําศักยภาพของกว๊านฯ มาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในประเทศ ลดเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม พร้อมชื่นชมการดําเนินงานศูนย์ฮอมฮักชุมชน
วันนี้ (29 ตุลาคม 2561) เวลา 10.30 น. ณ ลานอเนกประสงค์ เทศบาลเมืองพะเยา ตําบลเวียง อําเภอเมือง จังหวัดพะเยา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบสมุดประจําตัวผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทํากินในลักษณะแปลงรวมของจังหวัดพะเยา ภายใต้โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ให้แก่ผู้แทนประชาชนจํานวน 5 ราย โดยพื้นที่จัดสรรอยู่ในเขตอําเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา เนื้อที่รวมทั้งหมด 14,926-2-00 ไร่ มีราษฎรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินจํานวนทั้งสิ้น 2,171 คน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวพบปะกับประชาชนจังหวัดพะเยาที่มาให้การต้อนรับตอนหนึ่งว่า มีความ "ม่วนใจ๋" เป็นอย่างยิ่งที่ได้มาพบปะกับพี่น้องประชาชนชาวพะเยาในวันนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีและคณะได้มาตรวจเยี่ยมผลการทํางานของรัฐบาลว่า 4 ปีที่ผ่านมาได้ดําเนินการอะไรไปบ้าง พร้อมทั้งมาเน้นย้ําถึงจุดมุ่งหมาย และความตั้งใจของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ซึ่งอาจจะช้าไปบ้าง แต่จะเกิดความมั่นคงในอนาคต ถ้าหากประชาชนร่วมมือกับภาครัฐ โดยการดําเนินการทุกโครงการ จะต้องบรรจุอยู่ในแผนแม่บทแห่งชาติ จะต้องสร้างความเท่าเทียมของโอกาสอย่างเป็นธรรม พร้อมกับเร่งรัดการพัฒนาให้มากกว่าเดิม สู่ความเชื่อมโยง สร้างมูลค่าในทุกมิติ ซึ่งรัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างยังยืน ไม่ใช่เพียงแค่การทําอะไรง่าย ๆ แล้วจบไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน รายได้ และการประกอบอาชีพ ว่าจะทําอย่างไรจึงจะทําให้พี่น้องประชาชนสามารถดํารงชีวิตที่ดีได้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการออกนโยบาย มาตรการ และโครงการต่าง ๆ เพื่อที่จะสนับสนุนและพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ให้กับพี่น้องประชาชน เช่น โครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โครงการสวัสดิการผู้สูงอายุ เป็นต้น
พร้อมกับขอให้พี่น้องจังหวัดพะเยาช่วยกันรักษาเอกลักษณ์ความเป็นมาของจังหวัดพะเยา โดยเฉพาะกว๊านพะเยาที่เปรียบเสมือนแหล่งชีวิตของชาวพะเยา เป็นแหล่งน้ํา และแหล่งอาหารที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิต รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญของจังหวัด สร้างรายได้แก่พี่น้องประชาชน พร้อมฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลกว๊านพะเยาให้ได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งการแก้ปัญหาวัชพืช ผักตบชวาและการตื้นเขินเนื่องจากการสะสมของตะกอนดิน การจัดการประมง และการบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงขอให้พี่น้องชาวพะเยาช่วยกันรักษากว๊านพะเยาให้มีความสะอาด อนุรักษ์พันธุ์ปลาท้องถิ่น การรักษาระบบนิเวศให้คงความสมบูรณ์ ซึ่งหากทุกฝ่ายช่วยกันก็จะเป็นการพัฒนากว๊านพะเยาอย่างยั่งยืนแท้จริง
เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมตลาดประชารัฐ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการขยายตลาดที่มีอยู่เดิมและพัฒนาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ให้เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้ามาเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ นําไปสู่การยกระดับรายได้และเศรษฐกิจเพื่อการดํารงชีวิต พร้อมเยี่ยมศูนย์ฮอมฮักเพื่อดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยเรื้อรัง ซึ่งเป็นต้นแบบของการขับเคลื่อนการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุและผู้พิการในพื้นที่อย่างครบวงจรต่อเนื่อง โดยศูนย์ฮอมฮัก เป็นศูนย์ในระดับตําบล มีภารกิจในการดูแลช่วยเหลือกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ที่อยู่ในระยะที่จําเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ ด้วยความร่วมมือของชุมชน ทั้งนี้ ศูนย์ดังกล่าวเป็นการทํางานร่วมกันของภาคีต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชน เน้นหลักการจิตอาสา โดยจะมีการขับเคลื่อนการจัดตั้งศูนย์ฮอมฮักให้ครบถ้วนทั้ง 68 ตําบล ในทั้งหมด 9 อําเภอของจังหวัดพะเยา
โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมการดําเนินงานของ “ศูนย์ฮอมฮักชุมชน” ซึ่งเป็นการยกระดับการให้บริการสุขภาพของผู้สูงอายุในชุมชน จึงอยากให้เป็นต้นแบบขยายการดําเนินงานไปในทุกพื้นที่ พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างการดําเนินการส่งเสริม “การพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น หมอเมืองล้านนา” ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติการพัฒนาภูมิปัญญาไทย โดยให้ความสําคัญกับการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ ซึ่งจะต้องมีความสอดคล้องกับวิถีชุมชน วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเชื่อ นําไปสู่การพึ่งตนเองด้านสุขภาพ ให้การส่งเสริมการแพทย์ทุกระบบอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพ เกิดการรวมกลุ่มของหมอพื้นบ้าน เกิดการจัดทําองค์ความรู้ของหมอเมืองล้านนา ทั้งการรักษา ข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรต่าง ๆ ด้วย
---------------------------------
สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16394
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 9
|
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน 2559
การประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 9
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยายพิเศษในการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 9 (The 9th National Alcohol Conference) หัวข้อ "สานพลังพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชน ให้พ้นภัยจากสุรา"
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) โดยการสนับสนุนของสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย ร่วมจัดการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 9(The 9th National Alcohol Conference)หัวข้อ "สานพลังพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชน ให้พ้นภัยจากสุรา" ระหว่างวันที่ 24-25 พฤศจิกายน 2559 โดยมีศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิด และนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการบรรยายพิเศษในการประชุมวิชาการครั้งนี้
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวในพิธีเปิดว่า สถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสําคัญ เพราะผลกระทบที่เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และกลายเป็นกลุ่มที่ต้องตกเป็นเหยื่อของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่าย จึงจําเป็นต้องมีการปกป้องและพิทักษ์สิทธิของเด็กและเยาวชนให้อยู่ในสังคมที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ ปลอดสิ่งเสพติด ซึ่งพบว่าบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนําไปสู่สิ่งเสพติดอื่น ๆ ได้อีกด้วย
การสร้างสังคมให้ปลอดภัย ถือเป็นบทบาทของภาคส่วนที่มีหน้าที่กําหนดนโยบาย โดยในการประชุมวิชาการครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสที่ทุกหน่วยงานจะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อนําไปสู่การดําเนินงานเพื่อสร้างนโยบายและวิธีป้องกันปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบทบาทที่กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความสําคัญและพร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายการจํากัดและการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งทางกายภาพและเศรษฐศาสตร์ การโฆษณาและการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเข้มข้นตามมาตรฐานสากล การปกป้องผลกระทบจากข้อตกลงทางการค้าเสรีระหว่างประเทศ รวมทั้งการป้องกันปัญหาพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรที่สัมพันธ์กับการดื่มสุรา และการดูแลและบําบัดรักษาผู้ที่มีปัญหาจากการดื่มสุรา
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการบรรยายพิเศษ เรื่อง"สานพลังพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชน ให้พ้นภัยจากสุรา"ตอนหนึ่งว่าการลงทุนแก้ปัญหาหรือพัฒนาด้านต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐให้เกิดความคุ้มค่าควรให้ความสําคัญตั้งแต่เด็กแรกเกิด (อายุ 0 ขวบขึ้นไป) หรือก่อนเข้าโรงเรียน (Preschool)หรือยิ่งเล็กเท่าไรยิ่งดีเพราะเป็นเรื่องของการส่งเสริมและพัฒนาการทางสมอง การเลี้ยงดู โภชนาการ จิตวิทยาพัฒนาการ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นการแก้ไขปัญหาปลายเหตุเช่นในเวลานี้ กระทรวงศึกษาธิการจะทําอะไรไม่ได้มากนักหากดูแลเด็กเมื่อสายไป จึงเป็นหน้าที่ของหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงศึกษาธิการกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ต้องมาวางแผนร่วมกันเพื่อป้องกันสิ่งไม่ดีทั้งหลายให้เกิดน้อยลง โดยเรื่องของสุราก็เป็นหนึ่งในปัญหาที่ต้องร่วมมือดําเนินการร่วมกันอย่างเป็นระบบ
อย่างไรก็ตาม เด็กในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานกว่า 7 ล้านคน กว่าร้อยละ 70 ถูกจัดให้เป็นเด็กด้อยโอกาส ดังนั้น ก็ต้องพิจารณาให้ความสําคัญในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ําของเด็ก ๆ กลุ่มนี้ด้วยและเมื่อกล่าวในแง่ของการดูแลเด็ก ก็ต้องเข้าใจจิตวิทยาของเด็กหรือมนุษย์ด้วย เช่น คนอายุเกิน 25 ปี จะสั่งให้ไปฝืนทําอะไรที่เคยทํามาตลอดชีวิตจะเป็นเรื่องที่ยากมาก หรือนิสัย (Character) ในช่วงที่เป็นเด็ก ๆ หากเป็นเพียงแค่แกะเล็บ ปัสสาวะรดที่นอน ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ไม่น่าห่วง เพราะจะหายไปเองเมื่อโตขึ้น สิ่งที่ต้องให้ความสําคัญมากกว่าคือ นิสัยเกเร เถียงพ่อแม่ ซึ่งนิสัยเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเป็นนิสัยในอนาคตที่จะคุมยากกว่า
สิ่งสําคัญอีกประการที่มีผลต่อนิสัยของเด็ก ๆ ก็คือ ครอบครัวและครูควรจะเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะมีงานวิจัยหนึ่งพบว่าครอบครัวที่มีการยัดเยียดเรื่องคุณธรรมให้ตั้งแต่เด็ก เมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้นมีแนวโน้มจะเห็นแก่ตัวมากกว่า ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองและครูจึงควรให้ความสําคัญกับการสร้างนิสัยที่ดีให้แก่เด็ก ซึ่งสิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือ ทํานิสัยที่ดีเป็นตัวอย่างให้เด็กเห็น เช่น การตรงต่อเวลา การไม่ดื่มเหล้าเบียร์ เป็นต้น
นายนพดล กรรณิกา ผู้อํานวยการสํานักวิจัยซูเปอร์ โพล (Super Poll)ได้เปิดเผยถึงผลวิจัย เรื่อง "เกาะรั้วประเมินมาตรการคุมร้านเหล้ารอบมหาวิทยาลัย" ซึ่งได้ทําการสํารวจพิกัดจุดจําหน่ายร้านเหล้าด้วยระบบ GIS และความคิดเห็นของนักศึกษา อาจารย์ เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป รอบรั้ว 15 มหาวิทยาลัยทั่วกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียง ระหว่างวันที่ 1 กันยายน - 23 พฤศจิกายน 2559 พบว่าพื้นที่ในรัศมี 300 เมตรรอบมหาวิทยาลัยทั้ง 15 แห่งมีจุดจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น้อยที่สุดคือ 3.4 ร้าน/ตร.กม. และมากที่สุด คือ 114.3 ร้าน/ตร.กม.
สําหรับพื้นที่ที่มหาวิทยาลัยมีการบังคับใช้มาตรการคุมร้านเหล้าและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มงวดต่อเนื่อง ส่งผลให้มีจุดจําหน่ายเหล้าเบียร์น้อยลง ยอดขายลดลง ก่อความเดือดร้อนรําคาญน้อยลง การทะเลาะวิวาทลดลงและร้านค้าเหล่านี้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมและกฎหมายมากกว่าพื้นที่ในมหาวิทยาลัยที่ไม่มีการบังคับใช้ที่เข้มข้น ซึ่งผลเหล่านี้ยืนยันได้จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ตํารวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ผู้ประกอบการร้านเหล้าทั้งในพื้นที่หนาแน่นมากและเบาบาง รวมทั้งประชาชนและนิสิตนักศึกษาในทั้ง 2 พื้นที่
ผลการศึกษาสะท้อนว่า คณาจารย์ เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย และเจ้าหน้าที่ตํารวจร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ เห็นด้วยกับมาตรการคุมร้านเหล้าฯ รอบรั้วมหาวิทยาลัยและเห็นว่าเป็นเรื่องจําเป็น ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อเนื่องนั้น จะทําให้มีจุดจําหน่ายร้านเหล้าลดลง ปัญหาทะเลาะวิวาทลดลง ความเดือดร้อนรําคาญลดลง เป็นผลดีต่อการปกป้องรักษาคุณภาพนักศึกษามหาวิทยาลัยต่าง ๆ ดังนั้นหากมาตรการมีความชัดเจน ย่อมเกิดผลดีมากยิ่งขึ้นต่อการลดปัญหาการดื่มของเยาวชน และถือเป็นการจัดสภาพแวดล้อมเชิงสุขภาวะที่ดีให้กับนักศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาของประเทศไทยตามกรอบกฎบัตร "ออตตาวา (OttawaCharter)" ด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 9
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน 2559
การประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 9
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยายพิเศษในการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 9 (The 9th National Alcohol Conference) หัวข้อ "สานพลังพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชน ให้พ้นภัยจากสุรา"
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) โดยการสนับสนุนของสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย ร่วมจัดการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 9(The 9th National Alcohol Conference)หัวข้อ "สานพลังพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชน ให้พ้นภัยจากสุรา" ระหว่างวันที่ 24-25 พฤศจิกายน 2559 โดยมีศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิด และนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการบรรยายพิเศษในการประชุมวิชาการครั้งนี้
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวในพิธีเปิดว่า สถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสําคัญ เพราะผลกระทบที่เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และกลายเป็นกลุ่มที่ต้องตกเป็นเหยื่อของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่าย จึงจําเป็นต้องมีการปกป้องและพิทักษ์สิทธิของเด็กและเยาวชนให้อยู่ในสังคมที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ ปลอดสิ่งเสพติด ซึ่งพบว่าบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนําไปสู่สิ่งเสพติดอื่น ๆ ได้อีกด้วย
การสร้างสังคมให้ปลอดภัย ถือเป็นบทบาทของภาคส่วนที่มีหน้าที่กําหนดนโยบาย โดยในการประชุมวิชาการครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสที่ทุกหน่วยงานจะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อนําไปสู่การดําเนินงานเพื่อสร้างนโยบายและวิธีป้องกันปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบทบาทที่กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความสําคัญและพร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายการจํากัดและการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งทางกายภาพและเศรษฐศาสตร์ การโฆษณาและการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเข้มข้นตามมาตรฐานสากล การปกป้องผลกระทบจากข้อตกลงทางการค้าเสรีระหว่างประเทศ รวมทั้งการป้องกันปัญหาพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรที่สัมพันธ์กับการดื่มสุรา และการดูแลและบําบัดรักษาผู้ที่มีปัญหาจากการดื่มสุรา
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการบรรยายพิเศษ เรื่อง"สานพลังพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชน ให้พ้นภัยจากสุรา"ตอนหนึ่งว่าการลงทุนแก้ปัญหาหรือพัฒนาด้านต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐให้เกิดความคุ้มค่าควรให้ความสําคัญตั้งแต่เด็กแรกเกิด (อายุ 0 ขวบขึ้นไป) หรือก่อนเข้าโรงเรียน (Preschool)หรือยิ่งเล็กเท่าไรยิ่งดีเพราะเป็นเรื่องของการส่งเสริมและพัฒนาการทางสมอง การเลี้ยงดู โภชนาการ จิตวิทยาพัฒนาการ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นการแก้ไขปัญหาปลายเหตุเช่นในเวลานี้ กระทรวงศึกษาธิการจะทําอะไรไม่ได้มากนักหากดูแลเด็กเมื่อสายไป จึงเป็นหน้าที่ของหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงศึกษาธิการกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ต้องมาวางแผนร่วมกันเพื่อป้องกันสิ่งไม่ดีทั้งหลายให้เกิดน้อยลง โดยเรื่องของสุราก็เป็นหนึ่งในปัญหาที่ต้องร่วมมือดําเนินการร่วมกันอย่างเป็นระบบ
อย่างไรก็ตาม เด็กในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานกว่า 7 ล้านคน กว่าร้อยละ 70 ถูกจัดให้เป็นเด็กด้อยโอกาส ดังนั้น ก็ต้องพิจารณาให้ความสําคัญในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ําของเด็ก ๆ กลุ่มนี้ด้วยและเมื่อกล่าวในแง่ของการดูแลเด็ก ก็ต้องเข้าใจจิตวิทยาของเด็กหรือมนุษย์ด้วย เช่น คนอายุเกิน 25 ปี จะสั่งให้ไปฝืนทําอะไรที่เคยทํามาตลอดชีวิตจะเป็นเรื่องที่ยากมาก หรือนิสัย (Character) ในช่วงที่เป็นเด็ก ๆ หากเป็นเพียงแค่แกะเล็บ ปัสสาวะรดที่นอน ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ไม่น่าห่วง เพราะจะหายไปเองเมื่อโตขึ้น สิ่งที่ต้องให้ความสําคัญมากกว่าคือ นิสัยเกเร เถียงพ่อแม่ ซึ่งนิสัยเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเป็นนิสัยในอนาคตที่จะคุมยากกว่า
สิ่งสําคัญอีกประการที่มีผลต่อนิสัยของเด็ก ๆ ก็คือ ครอบครัวและครูควรจะเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะมีงานวิจัยหนึ่งพบว่าครอบครัวที่มีการยัดเยียดเรื่องคุณธรรมให้ตั้งแต่เด็ก เมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้นมีแนวโน้มจะเห็นแก่ตัวมากกว่า ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองและครูจึงควรให้ความสําคัญกับการสร้างนิสัยที่ดีให้แก่เด็ก ซึ่งสิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือ ทํานิสัยที่ดีเป็นตัวอย่างให้เด็กเห็น เช่น การตรงต่อเวลา การไม่ดื่มเหล้าเบียร์ เป็นต้น
นายนพดล กรรณิกา ผู้อํานวยการสํานักวิจัยซูเปอร์ โพล (Super Poll)ได้เปิดเผยถึงผลวิจัย เรื่อง "เกาะรั้วประเมินมาตรการคุมร้านเหล้ารอบมหาวิทยาลัย" ซึ่งได้ทําการสํารวจพิกัดจุดจําหน่ายร้านเหล้าด้วยระบบ GIS และความคิดเห็นของนักศึกษา อาจารย์ เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป รอบรั้ว 15 มหาวิทยาลัยทั่วกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียง ระหว่างวันที่ 1 กันยายน - 23 พฤศจิกายน 2559 พบว่าพื้นที่ในรัศมี 300 เมตรรอบมหาวิทยาลัยทั้ง 15 แห่งมีจุดจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น้อยที่สุดคือ 3.4 ร้าน/ตร.กม. และมากที่สุด คือ 114.3 ร้าน/ตร.กม.
สําหรับพื้นที่ที่มหาวิทยาลัยมีการบังคับใช้มาตรการคุมร้านเหล้าและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มงวดต่อเนื่อง ส่งผลให้มีจุดจําหน่ายเหล้าเบียร์น้อยลง ยอดขายลดลง ก่อความเดือดร้อนรําคาญน้อยลง การทะเลาะวิวาทลดลงและร้านค้าเหล่านี้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมและกฎหมายมากกว่าพื้นที่ในมหาวิทยาลัยที่ไม่มีการบังคับใช้ที่เข้มข้น ซึ่งผลเหล่านี้ยืนยันได้จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ตํารวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ผู้ประกอบการร้านเหล้าทั้งในพื้นที่หนาแน่นมากและเบาบาง รวมทั้งประชาชนและนิสิตนักศึกษาในทั้ง 2 พื้นที่
ผลการศึกษาสะท้อนว่า คณาจารย์ เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย และเจ้าหน้าที่ตํารวจร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ เห็นด้วยกับมาตรการคุมร้านเหล้าฯ รอบรั้วมหาวิทยาลัยและเห็นว่าเป็นเรื่องจําเป็น ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อเนื่องนั้น จะทําให้มีจุดจําหน่ายร้านเหล้าลดลง ปัญหาทะเลาะวิวาทลดลง ความเดือดร้อนรําคาญลดลง เป็นผลดีต่อการปกป้องรักษาคุณภาพนักศึกษามหาวิทยาลัยต่าง ๆ ดังนั้นหากมาตรการมีความชัดเจน ย่อมเกิดผลดีมากยิ่งขึ้นต่อการลดปัญหาการดื่มของเยาวชน และถือเป็นการจัดสภาพแวดล้อมเชิงสุขภาวะที่ดีให้กับนักศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาของประเทศไทยตามกรอบกฎบัตร "ออตตาวา (OttawaCharter)" ด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/881
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.พลังงาน จับมือ ก.พาณิชย์ เดินหน้าดูดซับสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ สร้างสมดุลย์ราคาช่วยเหลือเกษตรกรปาล์มน้ำมันต่อเนื่อง
|
วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562
ก.พลังงาน จับมือ ก.พาณิชย์ เดินหน้าดูดซับสต๊อกน้ํามันปาล์มดิบ สร้างสมดุลย์ราคาช่วยเหลือเกษตรกรปาล์มน้ํามันต่อเนื่อง
ในวันนี้ (1 มี.ค. 2562) ณ ห้องประชุมชั้น 15 กระทรวงพลังงาน ดร. ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ร่วมกับ นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประชุมกับหน่วยราชการของทั้ง 2 กระทรวง
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และผู้ค้าน้ํามันตามมาตรา 7 เพื่อติดตามผลการดําเนินงานตามมาตรการปรับสมดุลน้ํามันปาล์มของรัฐบาลในการกระตุ้นให้ราคาทลายปาล์มสดอยู่ในระดับไม่ต่ํากว่า 3 บาท/กก อย่างต่อเนื่อง โดยมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้
เพื่อรณรงค์เพิ่มการใช้น้ํามัน B20 ให้มากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในการประชุมเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 ได้มีมติขยายระยะเวลาการใช้เงินกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงสร้างส่วนลดราคาน้ํามันดีเซล B20 ให้ต่ํากว่าน้ํามันดีเซลเกรดทั่วไป ลิตรละ 5 บาท ต่อไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 62 ถึง 31 พฤษภาคม 62
ให้ผู้ค้าน้ํามันตามมาตรา 7 เร่งขยายเครือข่ายสถานีบริการ (ปั๊มน้ํามัน) ที่มีหัวจ่ายน้ํามันดีเซล B20 เพิ่มเติม จากปัจจุบันที่มีจําหน่ายแล้ว รวม 42 แห่ง (ประกอบด้วย บมจ. ปตท.น้ํามันและค้าปลีก 5 แห่ง บมจ.บางจาก 21 แห่ง บจ.ซัสโก้ ดิลเลอร์ 1 แห่ง และบมจ.ซัสโก้ 15 แห่ง) นอกจากนี้ ยังได้รับแจ้งจาก บจ.เชลล์แห่งประเทศไทย และ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอร์ยี่ ที่มีแผนงานจะเริ่มจําหน่ายน้ํามัน B20 ในสถานีบริการ ภายในเดือนมีนาคม 62 นี้
รับทราบรายงานสถิติยอดจําหน่ายน้ํามันดีเซล B20 ในเดือนกุมภาพันธ์ 62 ที่กว่า 15 ล้านลิตร ซึ่งเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากยอดจําหน่ายประมาณ 8 ล้านลิตรในเดือนมกราคม โดยกระทรวงพลังงานได้ตั้งเป้าหมายการจําหน่ายน้ํามัน B20 ในเดือนมีนาคมที่ 30 ล้านลิตร และจะเพิ่มเป็น 90 ล้านลิตร/เดือน ภายในเดือนพฤษภาคม 2562 นี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มการดูดซับน้ํามันปาล์มดิบได้สูงถึงประมาณ 1.6 ล้านตัน/ปี
รับทราบความคืบหน้าในการจัดหาน้ํามันปาล์มดิบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง ซึ่งปัจจุบันได้ทําสัญญาซื้อน้ํามันปาล์มดิบกับโรงสกัดน้ํามันปาล์มผู้ขาย 23 ราย รวมปริมาณน้ํามันปาล์มดิบตามสัญญาเท่ากับ 118,000 ตัน โดยมีกําหนดการจัดส่งอย่างต่อเนื่องในอัตรา 30,000 ตัน/เดือน และได้จัดส่งจากโรงสกัดน้ํามันปาล์มผู้ขายถึงโรงไฟฟ้าบางปะกงแล้ว 24,000 ตัน และใช้เป็นเชื้อเพลิงแล้ว 16,000 ตัน ทั้งนี้ได้ร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จัดหาน้ํามันปาล์มดิบครบ แล้ว 160,000 ตัน ในวันที่ 1 มีนาคม 62 รวมทั้งติดตามให้มั่นใจว่าโรงสกัดน้ํามันปาล์มผู้ขายจะรับซื้อทลายปาล์มสดจากเกษตรกรสวนปาล์ม ในราคา 3.20-3.24 บาท/กก ตามสัญญา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.พลังงาน จับมือ ก.พาณิชย์ เดินหน้าดูดซับสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ สร้างสมดุลย์ราคาช่วยเหลือเกษตรกรปาล์มน้ำมันต่อเนื่อง
วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562
ก.พลังงาน จับมือ ก.พาณิชย์ เดินหน้าดูดซับสต๊อกน้ํามันปาล์มดิบ สร้างสมดุลย์ราคาช่วยเหลือเกษตรกรปาล์มน้ํามันต่อเนื่อง
ในวันนี้ (1 มี.ค. 2562) ณ ห้องประชุมชั้น 15 กระทรวงพลังงาน ดร. ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ร่วมกับ นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประชุมกับหน่วยราชการของทั้ง 2 กระทรวง
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และผู้ค้าน้ํามันตามมาตรา 7 เพื่อติดตามผลการดําเนินงานตามมาตรการปรับสมดุลน้ํามันปาล์มของรัฐบาลในการกระตุ้นให้ราคาทลายปาล์มสดอยู่ในระดับไม่ต่ํากว่า 3 บาท/กก อย่างต่อเนื่อง โดยมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้
เพื่อรณรงค์เพิ่มการใช้น้ํามัน B20 ให้มากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในการประชุมเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 ได้มีมติขยายระยะเวลาการใช้เงินกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงสร้างส่วนลดราคาน้ํามันดีเซล B20 ให้ต่ํากว่าน้ํามันดีเซลเกรดทั่วไป ลิตรละ 5 บาท ต่อไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 62 ถึง 31 พฤษภาคม 62
ให้ผู้ค้าน้ํามันตามมาตรา 7 เร่งขยายเครือข่ายสถานีบริการ (ปั๊มน้ํามัน) ที่มีหัวจ่ายน้ํามันดีเซล B20 เพิ่มเติม จากปัจจุบันที่มีจําหน่ายแล้ว รวม 42 แห่ง (ประกอบด้วย บมจ. ปตท.น้ํามันและค้าปลีก 5 แห่ง บมจ.บางจาก 21 แห่ง บจ.ซัสโก้ ดิลเลอร์ 1 แห่ง และบมจ.ซัสโก้ 15 แห่ง) นอกจากนี้ ยังได้รับแจ้งจาก บจ.เชลล์แห่งประเทศไทย และ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอร์ยี่ ที่มีแผนงานจะเริ่มจําหน่ายน้ํามัน B20 ในสถานีบริการ ภายในเดือนมีนาคม 62 นี้
รับทราบรายงานสถิติยอดจําหน่ายน้ํามันดีเซล B20 ในเดือนกุมภาพันธ์ 62 ที่กว่า 15 ล้านลิตร ซึ่งเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากยอดจําหน่ายประมาณ 8 ล้านลิตรในเดือนมกราคม โดยกระทรวงพลังงานได้ตั้งเป้าหมายการจําหน่ายน้ํามัน B20 ในเดือนมีนาคมที่ 30 ล้านลิตร และจะเพิ่มเป็น 90 ล้านลิตร/เดือน ภายในเดือนพฤษภาคม 2562 นี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มการดูดซับน้ํามันปาล์มดิบได้สูงถึงประมาณ 1.6 ล้านตัน/ปี
รับทราบความคืบหน้าในการจัดหาน้ํามันปาล์มดิบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง ซึ่งปัจจุบันได้ทําสัญญาซื้อน้ํามันปาล์มดิบกับโรงสกัดน้ํามันปาล์มผู้ขาย 23 ราย รวมปริมาณน้ํามันปาล์มดิบตามสัญญาเท่ากับ 118,000 ตัน โดยมีกําหนดการจัดส่งอย่างต่อเนื่องในอัตรา 30,000 ตัน/เดือน และได้จัดส่งจากโรงสกัดน้ํามันปาล์มผู้ขายถึงโรงไฟฟ้าบางปะกงแล้ว 24,000 ตัน และใช้เป็นเชื้อเพลิงแล้ว 16,000 ตัน ทั้งนี้ได้ร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จัดหาน้ํามันปาล์มดิบครบ แล้ว 160,000 ตัน ในวันที่ 1 มีนาคม 62 รวมทั้งติดตามให้มั่นใจว่าโรงสกัดน้ํามันปาล์มผู้ขายจะรับซื้อทลายปาล์มสดจากเกษตรกรสวนปาล์ม ในราคา 3.20-3.24 บาท/กก ตามสัญญา
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19066
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับปรุงวิธีปฏิบัติเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกเพิ่มเติม
|
วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561
กรมบัญชีกลางปรับปรุงวิธีปฏิบัติเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกเพิ่มเติม
กรมบัญชีกลางปรับปรุงวิธีปฏิบัติการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกเพิ่มเติม เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ภายหลังจากกรมบัญชีกลางได้ปรับเปลี่ยนระบบการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก โดยใช้บัตรประชาชนแสดงสิทธิเพื่อประกอบการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลทุกครั้งที่เข้ารับการรักษา ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2561 ในภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีบางกรณีที่ต้องปรับปรุงเพื่อให้เกิดความคล่องตัวของผู้ปฏิบัติงานและผู้มีสิทธิให้มากขึ้น กรมบัญชีกลางจึงได้กําหนดวิธีปฏิบัติเพิ่มเติม ดังนี้
1. หลังจากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาและทําธุรกรรมแล้ว จะได้รับใบแสดงรายการค่าใช้จ่าย (Sale Slip) เพียง 1 ใบ และไม่ต้องลงนามใน Sale Slip ซึ่งเดิมสถานพยาบาลต้องพิมพ์ Sale Slip จํานวน 2 ใบ ให้ผู้ป่วย 1 ใบ และสําหรับสถานพยาบาลเก็บไว้เอง 1 ใบ
2. ผู้ป่วยบางกรณีไม่ต้องแสดงตน ณ สถานพยาบาล ประกอบด้วย (1) ผู้ป่วยโรคจิตเวช (2) ผู้ป่วยที่ป่วยระยะสุดท้ายของโรค (Palliative Care) และ (3) ผู้ป่วยที่มีกําหนดนัดเข้ารับการรักษาประเภทผู้ป่วยนอก ณ สถานพยาบาลแห่งอื่น ในขณะที่ตนเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยใน ณ สถานพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ผู้ดูแลสามารถนําบัตรประชาชนของผู้ป่วยมาแสดงเพื่อเข้ารับการรักษาแทนได้ เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถดูแลผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวได้สะดวกยิ่งขึ้น
3. กําหนดหัวข้อการใช้งานระบบ KTB Corporate Online ให้โรงพยาบาลรับทราบว่าจะสามารถใช้งานได้ในกรณีใดบ้าง ดังนี้ (1) ผู้ป่วยฉุกเฉินและไม่ได้นําบัตรประชาชนมาด้วย (2) ผู้ป่วยที่ถูกพิพากษาให้ลงโทษจําคุก และ (3) ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษานอกเวลาราชการ และไม่มีเจ้าหน้าที่การเงินปฏิบัติงานในช่วงเวลาดังกล่าว โดยผู้ป่วยต้องลงชื่อในคําขอใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ณ สถานพยาบาลที่เข้ารับการรักษาเพื่อใช้ในการตรวจสอบ จากเดิมสามารถทําได้ในกรณีที่เครื่อง EDC (Electronic Data Capture) ไม่สามารถใช้งานได้ และกรณีที่มีการยกเลิกรายการที่ผิดพลาดภายหลังจากวันที่ทําการเบิกจ่ายตรงเท่านั้น
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า การกําหนดแนวปฏิบัติการเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกเพิ่มเติมในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้มีสิทธิ ส่วนราชการ และสถานพยาบาล เข้าใจวิธีการปฏิบัติในกรณีต่าง ๆ เป็นไปในแนวทางเดียวกัน สามารถใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับปรุงวิธีปฏิบัติเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกเพิ่มเติม
วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561
กรมบัญชีกลางปรับปรุงวิธีปฏิบัติเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกเพิ่มเติม
กรมบัญชีกลางปรับปรุงวิธีปฏิบัติการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกเพิ่มเติม เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ภายหลังจากกรมบัญชีกลางได้ปรับเปลี่ยนระบบการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก โดยใช้บัตรประชาชนแสดงสิทธิเพื่อประกอบการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลทุกครั้งที่เข้ารับการรักษา ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2561 ในภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีบางกรณีที่ต้องปรับปรุงเพื่อให้เกิดความคล่องตัวของผู้ปฏิบัติงานและผู้มีสิทธิให้มากขึ้น กรมบัญชีกลางจึงได้กําหนดวิธีปฏิบัติเพิ่มเติม ดังนี้
1. หลังจากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาและทําธุรกรรมแล้ว จะได้รับใบแสดงรายการค่าใช้จ่าย (Sale Slip) เพียง 1 ใบ และไม่ต้องลงนามใน Sale Slip ซึ่งเดิมสถานพยาบาลต้องพิมพ์ Sale Slip จํานวน 2 ใบ ให้ผู้ป่วย 1 ใบ และสําหรับสถานพยาบาลเก็บไว้เอง 1 ใบ
2. ผู้ป่วยบางกรณีไม่ต้องแสดงตน ณ สถานพยาบาล ประกอบด้วย (1) ผู้ป่วยโรคจิตเวช (2) ผู้ป่วยที่ป่วยระยะสุดท้ายของโรค (Palliative Care) และ (3) ผู้ป่วยที่มีกําหนดนัดเข้ารับการรักษาประเภทผู้ป่วยนอก ณ สถานพยาบาลแห่งอื่น ในขณะที่ตนเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยใน ณ สถานพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ผู้ดูแลสามารถนําบัตรประชาชนของผู้ป่วยมาแสดงเพื่อเข้ารับการรักษาแทนได้ เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถดูแลผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวได้สะดวกยิ่งขึ้น
3. กําหนดหัวข้อการใช้งานระบบ KTB Corporate Online ให้โรงพยาบาลรับทราบว่าจะสามารถใช้งานได้ในกรณีใดบ้าง ดังนี้ (1) ผู้ป่วยฉุกเฉินและไม่ได้นําบัตรประชาชนมาด้วย (2) ผู้ป่วยที่ถูกพิพากษาให้ลงโทษจําคุก และ (3) ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษานอกเวลาราชการ และไม่มีเจ้าหน้าที่การเงินปฏิบัติงานในช่วงเวลาดังกล่าว โดยผู้ป่วยต้องลงชื่อในคําขอใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ณ สถานพยาบาลที่เข้ารับการรักษาเพื่อใช้ในการตรวจสอบ จากเดิมสามารถทําได้ในกรณีที่เครื่อง EDC (Electronic Data Capture) ไม่สามารถใช้งานได้ และกรณีที่มีการยกเลิกรายการที่ผิดพลาดภายหลังจากวันที่ทําการเบิกจ่ายตรงเท่านั้น
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า การกําหนดแนวปฏิบัติการเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกเพิ่มเติมในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้มีสิทธิ ส่วนราชการ และสถานพยาบาล เข้าใจวิธีการปฏิบัติในกรณีต่าง ๆ เป็นไปในแนวทางเดียวกัน สามารถใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14508
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคเหนือ
|
วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2560
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคเหนือ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดําเนินในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สําเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคเหนือ 8 แห่ง ประจําปีการศึกษา 2557-2558
พิธีพระราชทานปริญญาบัตรมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคเหนือ
วันที่สอง:วันเสาร์ที่7มกราคม2560
ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่สอง (วันเสาร์ที่ 7 มกราคม 2560) ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จํานวน 2,851 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ จํานวน 2,632 คน รวมทั้งสิ้น 5,483 คน โดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, ดร.สมบูรณ์ เสงี่ยมบุตร นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, ดร.สาคร สร้อยสังวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, ศาสตราจารย์ เกษม จันทร์แก้ว นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์, ผศ.เรืองเดช วงศ์หล้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
พิธีพระราชทานปริญญาบัตรมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคเหนือ
วันแรก:วันศุกร์ที่6มกราคม2560
ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันแรก ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จํานวน 5,547 คน โดยมีม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, ดร.ถนอม อินทรกําเนิด นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, รศ.ประพันธ์ ธรรมไชย อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคเหนือ
วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2560
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคเหนือ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดําเนินในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สําเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคเหนือ 8 แห่ง ประจําปีการศึกษา 2557-2558
พิธีพระราชทานปริญญาบัตรมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคเหนือ
วันที่สอง:วันเสาร์ที่7มกราคม2560
ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่สอง (วันเสาร์ที่ 7 มกราคม 2560) ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จํานวน 2,851 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ จํานวน 2,632 คน รวมทั้งสิ้น 5,483 คน โดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, ดร.สมบูรณ์ เสงี่ยมบุตร นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, ดร.สาคร สร้อยสังวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, ศาสตราจารย์ เกษม จันทร์แก้ว นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์, ผศ.เรืองเดช วงศ์หล้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
พิธีพระราชทานปริญญาบัตรมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคเหนือ
วันแรก:วันศุกร์ที่6มกราคม2560
ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันแรก ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จํานวน 5,547 คน โดยมีม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, ดร.ถนอม อินทรกําเนิด นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, รศ.ประพันธ์ ธรรมไชย อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1241
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” สร้างการรับรู้กรณีการช่วยเหลือจำเลยในคดีอาญา ผ่านรายการ “แพะเดอะซีรีย์”
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2561
“ยุติธรรม” สร้างการรับรู้กรณีการช่วยเหลือจําเลยในคดีอาญา ผ่านรายการ “แพะเดอะซีรีย์”
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ในประเด็น “การช่วยเหลือจําเลยในคดีอาญา”
ในวันพุธที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ในประเด็น “การช่วยเหลือจําเลยในคดีอาญา” กรณี จ่าอากาศเอก อภิชาต ขําศรี ซึ่งถูกจับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่ายในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้เข้าร้องทุกข์ต่อกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอความเป็นธรรมและตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งต่อมาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้พิพากษายกฟ้อง รวมทั้งนําเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม สะดวก และรวดเร็ว
ทั้งนี้ กําหนดออกอากาศผ่านทางรายการ "แพะ เดอะซีรีส์" ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๒๐.๓๐ - ๒๑.๑๐ น. ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” สร้างการรับรู้กรณีการช่วยเหลือจำเลยในคดีอาญา ผ่านรายการ “แพะเดอะซีรีย์”
วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2561
“ยุติธรรม” สร้างการรับรู้กรณีการช่วยเหลือจําเลยในคดีอาญา ผ่านรายการ “แพะเดอะซีรีย์”
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ในประเด็น “การช่วยเหลือจําเลยในคดีอาญา”
ในวันพุธที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ในประเด็น “การช่วยเหลือจําเลยในคดีอาญา” กรณี จ่าอากาศเอก อภิชาต ขําศรี ซึ่งถูกจับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่ายในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้เข้าร้องทุกข์ต่อกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอความเป็นธรรมและตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งต่อมาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้พิพากษายกฟ้อง รวมทั้งนําเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม สะดวก และรวดเร็ว
ทั้งนี้ กําหนดออกอากาศผ่านทางรายการ "แพะ เดอะซีรีส์" ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๒๐.๓๐ - ๒๑.๑๐ น. ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11767
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ เผยข้อมูลหลักเกณฑ์กำกับสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนใหม่ 4 หลักเกณฑ์ หลังหารือร่วม 4 หน่วยงานภาครัฐ
|
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560
ก.เกษตรฯ เผยข้อมูลหลักเกณฑ์กํากับสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนใหม่ 4 หลักเกณฑ์ หลังหารือร่วม 4 หน่วยงานภาครัฐ
ก.เกษตรฯ เผยข้อมูลหลักเกณฑ์กํากับสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนใหม่ 4 หลักเกณฑ์ หลังหารือร่วมกับ 4 หน่วยงานภาครัฐ พร้อมวางแนวทางการปฏิรูป การบริหารจัดการและการกํากับดูแลกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตยูเนี่ยน ให้ครอบคลุมความเสี่ยงทุกด้าน
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีการประชุม เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 โดยมีมติเห็นชอบแนวทางการปฏิรูปการบริหารจัดการและการกํากับดูแลกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ตามที่สํานักงานเศรษฐกิจการคลังกระทรวงการคลังเสนอ ให้มีการออกหลักเกณฑ์ให้ครอบคลุมความเสี่ยงสําคัญ ที่เกิดจากการประกอบกิจการทางการเงินของสหกรณ์ เช่นเดียวกับแนวทางปฏิบัติของสถาบันการเงิน 4 ด้านคือ ด้านธรรมาภิบาล ด้านสภาพคล่องด้านเครดิตและด้านการปฏิบัติการ โดยนําหลักการกํากับดูแลสถาบันการเงินของ Basel I มาใช้ และให้มีการพัฒนาบุคลากรของหน่วยงานกํากับดูแล รวมทั้งพัฒนาระบบสารสนเทศระบบการเงินของสหกรณ์ให้ทันสมัย
โดยให้ 4 หน่วยงาน ได้แก่ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ร่วมกันหารือเพื่อวางแนวทางการปฏิรูป การบริหารจัดการและการกํากับดูแลกิจการทางการเงิน ให้ครอบคลุมความเสี่ยงทั้ง 4 ด้าน ซึ่งขณะนี้ได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์ใหม่เพื่อนํามาใช้กํากับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตยูเนี่ยนแล้ว 4 เกณฑ์ ได้แก่ หลักเกณฑ์ที่ 1.การกําหนดอัตราจ่ายเงินปันผลตามหุ้นที่ชําระแล้ว สําหรับสหกรณ์ประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เนื่องจากเห็นควรแก้ไขอัตราจ่ายเงินปันผลตามหุ้นที่ชําระแล้วของสหกรณ์ประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมกับให้สอดคล้องกับหลักการสหกรณ์ ที่ระบุว่าสมาชิกพึงได้รับผลตอบแทนจากเงินทุนอย่างจํากัด และเป็นการช่วย ลดแรงกดดัน ในการแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนเพื่อนํามาแบ่งกัน โดยเห็นควรออกกฎกระทรวงกําหนดอัตราจ่ายเงินปันผลตามหุ้นที่ชําระแล้ว สําหรับสหกรณ์ประเภทออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน อีกทั้งร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับนี้กําหนดให้จ่ายเงินปันผล ตามหุ้นที่ชําระแล้วของสหกรณ์ประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ไม่เกินอัตราร้อยละ 10 ต่อปี แต่เมื่อคํานวณรวมกับเงินปันผล ที่จ่ายทั้งหมดแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 80 ของกําไรสุทธิที่เหลือ จากการจัดสรรเป็นทุนสํารองและค่าบํารุงสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย
หลักเกณฑ์ที่ 2 กําหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากของสหกรณ์ โดยเห็นชอบให้มีการทบทวนอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และดําเนินการให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ธนาคารพาณิชย์ ได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากประจํา โดยเฉลี่ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 1.5 ต่อปี แต่ยังมีหลายสหกรณ์ได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากไว้สูงกว่านี้มาก อันเป็นผลให้สหกรณ์มีต้นทุนทางการเงินที่สูงและไม่เป็นผลดีต่อการบริหารการเงินของสหกรณ์ จึงให้สหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนและชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์และชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน กําหนดอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากในระเบียบว่าด้วยการรับฝากเงินทุกประเภทไม่เกินร้อยละ 4.5 ต่อปี และให้ถือว่าระเบียบดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนสหกรณ์ และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากแต่ละคราว ให้แจ้งนายทะเบียนสหกรณ์ทราบด้วย ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ได้ให้เวลาสหกรณ์ปรับตัว
เพื่อถือใช้และปฏิบัติตามเกณฑ์กํากับนี้เป็นเวลา 60 วัน
หลักเกณฑ์ที่ 3 เห็นชอบให้สหกรณ์ถือใช้ระเบียบว่าด้วยการรับฝากเงินจากสหกรณ์อื่น โดยกําหนดให้สหกรณ์ผู้รับฝาก จะรับฝากเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์หรือสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนใด ที่มีสินทรัพย์มากกว่า 5,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินกู้จากสหกรณ์ดังกล่าว (หากมี) ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของทุนเรือนหุ้น รวมกับทุนสํารองของสหกรณ์ผู้ฝากเงิน ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ได้ให้เวลาสหกรณ์ปรับตัว เพื่อถือใช้และปฏิบัติตามเกณฑ์กํากับนี้เป็นเวลา 120 วัน หลักเกณฑ์ที่ 4 เห็นชอบให้สหกรณ์ถือใช้ระเบียบว่าด้วยการให้สหกรณ์อื่นกู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นเกณฑ์การกํากับความเสี่ยงด้านเครดิตในการกํากับดูแลลูกหนี้รายใหญ่ โดยกําหนดให้สหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนขนาดใหญ่ ที่มีสินทรัพย์มากกว่า 5,000 ล้านบาท จะให้เงินกู้แก่สหกรณ์ใดสหกรณ์หนึ่ง ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสํารองของสหกรณ์ผู้ให้กู้ และเมื่อรวมหนี้ทุกรายของสหกรณ์ผู้ขอกู้แล้ว ต้องไม่เกินวงเงินกู้ยืมหรือค้ําประกันประจําปี ที่สหกรณ์ผู้ขอกู้ได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนสหกรณ์ ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ได้ให้เวลาสหกรณ์ปรับตัว เพื่อถือใช้และปฏิบัติตามเกณฑ์กํากับนี้เป็นเวลา 120 วัน
เกณฑ์กํากับสหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตยูเนี่ยน จะนํามาถือใช้โดยจะออกมาในรูปของคําสั่งนายทะเบียนสหกรณ์ ระเบียบนายทะเบียนสหกรณ์ ประกาศนายทะเบียนสหกรณ์ คําแนะนํานายทะเบียนสหกรณ์และกฎกระทรวง และจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมกํากับดูแลการดําเนินงานของสหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตยูเนี่ยน ประกอบด้วยผู้แทนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง ในการเข้ามาให้คําแนะนําแก่สหกรณ์และติดตามการดําเนินงานของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในช่วงเปลี่ยนผ่านระยะแรก ซึ่งคาดหวังว่าการดําเนินงานตามเกณฑ์กํากับสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนนี้ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของสหกรณ์ และจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเงินและความมั่นคงให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนได้ในที่สุด
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@opsmoac.go.th
moac58@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ เผยข้อมูลหลักเกณฑ์กำกับสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนใหม่ 4 หลักเกณฑ์ หลังหารือร่วม 4 หน่วยงานภาครัฐ
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560
ก.เกษตรฯ เผยข้อมูลหลักเกณฑ์กํากับสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนใหม่ 4 หลักเกณฑ์ หลังหารือร่วม 4 หน่วยงานภาครัฐ
ก.เกษตรฯ เผยข้อมูลหลักเกณฑ์กํากับสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนใหม่ 4 หลักเกณฑ์ หลังหารือร่วมกับ 4 หน่วยงานภาครัฐ พร้อมวางแนวทางการปฏิรูป การบริหารจัดการและการกํากับดูแลกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตยูเนี่ยน ให้ครอบคลุมความเสี่ยงทุกด้าน
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีการประชุม เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 โดยมีมติเห็นชอบแนวทางการปฏิรูปการบริหารจัดการและการกํากับดูแลกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ตามที่สํานักงานเศรษฐกิจการคลังกระทรวงการคลังเสนอ ให้มีการออกหลักเกณฑ์ให้ครอบคลุมความเสี่ยงสําคัญ ที่เกิดจากการประกอบกิจการทางการเงินของสหกรณ์ เช่นเดียวกับแนวทางปฏิบัติของสถาบันการเงิน 4 ด้านคือ ด้านธรรมาภิบาล ด้านสภาพคล่องด้านเครดิตและด้านการปฏิบัติการ โดยนําหลักการกํากับดูแลสถาบันการเงินของ Basel I มาใช้ และให้มีการพัฒนาบุคลากรของหน่วยงานกํากับดูแล รวมทั้งพัฒนาระบบสารสนเทศระบบการเงินของสหกรณ์ให้ทันสมัย
โดยให้ 4 หน่วยงาน ได้แก่ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ร่วมกันหารือเพื่อวางแนวทางการปฏิรูป การบริหารจัดการและการกํากับดูแลกิจการทางการเงิน ให้ครอบคลุมความเสี่ยงทั้ง 4 ด้าน ซึ่งขณะนี้ได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์ใหม่เพื่อนํามาใช้กํากับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตยูเนี่ยนแล้ว 4 เกณฑ์ ได้แก่ หลักเกณฑ์ที่ 1.การกําหนดอัตราจ่ายเงินปันผลตามหุ้นที่ชําระแล้ว สําหรับสหกรณ์ประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เนื่องจากเห็นควรแก้ไขอัตราจ่ายเงินปันผลตามหุ้นที่ชําระแล้วของสหกรณ์ประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมกับให้สอดคล้องกับหลักการสหกรณ์ ที่ระบุว่าสมาชิกพึงได้รับผลตอบแทนจากเงินทุนอย่างจํากัด และเป็นการช่วย ลดแรงกดดัน ในการแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนเพื่อนํามาแบ่งกัน โดยเห็นควรออกกฎกระทรวงกําหนดอัตราจ่ายเงินปันผลตามหุ้นที่ชําระแล้ว สําหรับสหกรณ์ประเภทออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน อีกทั้งร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับนี้กําหนดให้จ่ายเงินปันผล ตามหุ้นที่ชําระแล้วของสหกรณ์ประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ไม่เกินอัตราร้อยละ 10 ต่อปี แต่เมื่อคํานวณรวมกับเงินปันผล ที่จ่ายทั้งหมดแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 80 ของกําไรสุทธิที่เหลือ จากการจัดสรรเป็นทุนสํารองและค่าบํารุงสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย
หลักเกณฑ์ที่ 2 กําหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากของสหกรณ์ โดยเห็นชอบให้มีการทบทวนอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และดําเนินการให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ธนาคารพาณิชย์ ได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากประจํา โดยเฉลี่ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 1.5 ต่อปี แต่ยังมีหลายสหกรณ์ได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากไว้สูงกว่านี้มาก อันเป็นผลให้สหกรณ์มีต้นทุนทางการเงินที่สูงและไม่เป็นผลดีต่อการบริหารการเงินของสหกรณ์ จึงให้สหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนและชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์และชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน กําหนดอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากในระเบียบว่าด้วยการรับฝากเงินทุกประเภทไม่เกินร้อยละ 4.5 ต่อปี และให้ถือว่าระเบียบดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนสหกรณ์ และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากแต่ละคราว ให้แจ้งนายทะเบียนสหกรณ์ทราบด้วย ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ได้ให้เวลาสหกรณ์ปรับตัว
เพื่อถือใช้และปฏิบัติตามเกณฑ์กํากับนี้เป็นเวลา 60 วัน
หลักเกณฑ์ที่ 3 เห็นชอบให้สหกรณ์ถือใช้ระเบียบว่าด้วยการรับฝากเงินจากสหกรณ์อื่น โดยกําหนดให้สหกรณ์ผู้รับฝาก จะรับฝากเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์หรือสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนใด ที่มีสินทรัพย์มากกว่า 5,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินกู้จากสหกรณ์ดังกล่าว (หากมี) ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของทุนเรือนหุ้น รวมกับทุนสํารองของสหกรณ์ผู้ฝากเงิน ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ได้ให้เวลาสหกรณ์ปรับตัว เพื่อถือใช้และปฏิบัติตามเกณฑ์กํากับนี้เป็นเวลา 120 วัน หลักเกณฑ์ที่ 4 เห็นชอบให้สหกรณ์ถือใช้ระเบียบว่าด้วยการให้สหกรณ์อื่นกู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นเกณฑ์การกํากับความเสี่ยงด้านเครดิตในการกํากับดูแลลูกหนี้รายใหญ่ โดยกําหนดให้สหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนขนาดใหญ่ ที่มีสินทรัพย์มากกว่า 5,000 ล้านบาท จะให้เงินกู้แก่สหกรณ์ใดสหกรณ์หนึ่ง ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสํารองของสหกรณ์ผู้ให้กู้ และเมื่อรวมหนี้ทุกรายของสหกรณ์ผู้ขอกู้แล้ว ต้องไม่เกินวงเงินกู้ยืมหรือค้ําประกันประจําปี ที่สหกรณ์ผู้ขอกู้ได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนสหกรณ์ ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ได้ให้เวลาสหกรณ์ปรับตัว เพื่อถือใช้และปฏิบัติตามเกณฑ์กํากับนี้เป็นเวลา 120 วัน
เกณฑ์กํากับสหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตยูเนี่ยน จะนํามาถือใช้โดยจะออกมาในรูปของคําสั่งนายทะเบียนสหกรณ์ ระเบียบนายทะเบียนสหกรณ์ ประกาศนายทะเบียนสหกรณ์ คําแนะนํานายทะเบียนสหกรณ์และกฎกระทรวง และจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมกํากับดูแลการดําเนินงานของสหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตยูเนี่ยน ประกอบด้วยผู้แทนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง ในการเข้ามาให้คําแนะนําแก่สหกรณ์และติดตามการดําเนินงานของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในช่วงเปลี่ยนผ่านระยะแรก ซึ่งคาดหวังว่าการดําเนินงานตามเกณฑ์กํากับสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนนี้ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของสหกรณ์ และจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเงินและความมั่นคงให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนได้ในที่สุด
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@opsmoac.go.th
moac58@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4365
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
|
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
โครงการอินเทอร์เน็ตสําหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
กระทรวงการคลังจึงได้เสนอโครงการอินเทอร์เน็ตสําหรับผู้มีรายได้น้อยฯ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2561 โดยผ่านการหารือร่วมกับ สํานักงาน กสทช. และสํานักนายกรัฐมนตรี
กระทรวงการคลัง แถลงข่าวโครงการอินเทอร์เน็ตสําหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (โครงการอินเทอร์เน็ตสําหรับผู้มีรายได้น้อยฯ) ว่า “สืบเนื่องจากโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 กระทรวงการคลังได้จัดทํามาตรการบรรเทาค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวันของผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมาตรการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากนี้ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความยากจน และเพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ ข้อมูลส่งเสริมการพัฒนาตนเองของผู้มีรายได้น้อย และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ เช่น สภาพดินฟ้าอากาศ ราคาสินค้าเกษตร เป็นต้น กระทรวงการคลังจึงได้เสนอโครงการอินเทอร์เน็ตสําหรับผู้มีรายได้น้อยฯ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2561 โดยผ่านการหารือร่วมกับ สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สํานักงาน กสทช.) และสํานักนายกรัฐมนตรี”
ทั้งนี้ รายละเอียดเกี่ยวกับกลไกการดําเนินงานและเนื้อหาของข้อมูลข่าวสาร กระทรวงการคลังจะหารือร่วมกับ สํานักงาน กสทช. และสํานักนายกรัฐมนตรีต่อไป
สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3244, 3279, 3224
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
โครงการอินเทอร์เน็ตสําหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
กระทรวงการคลังจึงได้เสนอโครงการอินเทอร์เน็ตสําหรับผู้มีรายได้น้อยฯ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2561 โดยผ่านการหารือร่วมกับ สํานักงาน กสทช. และสํานักนายกรัฐมนตรี
กระทรวงการคลัง แถลงข่าวโครงการอินเทอร์เน็ตสําหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (โครงการอินเทอร์เน็ตสําหรับผู้มีรายได้น้อยฯ) ว่า “สืบเนื่องจากโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 กระทรวงการคลังได้จัดทํามาตรการบรรเทาค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวันของผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมาตรการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากนี้ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความยากจน และเพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ ข้อมูลส่งเสริมการพัฒนาตนเองของผู้มีรายได้น้อย และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ เช่น สภาพดินฟ้าอากาศ ราคาสินค้าเกษตร เป็นต้น กระทรวงการคลังจึงได้เสนอโครงการอินเทอร์เน็ตสําหรับผู้มีรายได้น้อยฯ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2561 โดยผ่านการหารือร่วมกับ สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สํานักงาน กสทช.) และสํานักนายกรัฐมนตรี”
ทั้งนี้ รายละเอียดเกี่ยวกับกลไกการดําเนินงานและเนื้อหาของข้อมูลข่าวสาร กระทรวงการคลังจะหารือร่วมกับ สํานักงาน กสทช. และสํานักนายกรัฐมนตรีต่อไป
สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3244, 3279, 3224
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14970
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ขานรับมติ ครม. เดินหน้าโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563
|
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
คปภ. ขานรับมติ ครม. เดินหน้าโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563
• เผยโฉม 4 แบบกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เกษตรกรนําไปใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงสู้ภัยธรรมชาติและฝ่าวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 เห็นชอบในหลักการการดําเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยเป็นการดําเนินโครงการต่อเนื่องจากปี 2562 เพื่อให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปี ได้มีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ และภัยจากศัตรูพืช หรือโรคระบาด ซึ่งในปีนี้ได้กําหนดเป้าหมายสูงสุด 45.7 ล้านไร่ และภาครัฐให้การสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัย จํานวนเงินทั้งสิ้น 2,910.39 ล้านบาท โดยมติครม.ดังกล่าว ได้มอบหมายให้ สํานักงาน คปภ. ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบ และหลักเกณฑ์การรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต 2563 รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2563 ได้ทันที ภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต 2563 และดําเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต 2563 ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้เตรียมความพร้อมและ เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว โดยปีนี้ได้มีการปรับปรุงกรมธรรม์ข้าวนาปีให้มีความพิเศษและเหมาะสมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 ตนในฐานะนายทะเบียนได้ลงนามให้ความเห็นชอบแบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัยและอัตราเบี้ยประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จํานวน 4 แบบกรมธรรม์ ดังนี้
1. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 เพื่อกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
2. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 เพื่อกลุ่มเกษตรกรพื้นที่เสี่ยงภัยต่ํา
3. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 สําหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) และ
4. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 สําหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ส่วนเพิ่ม
โดยมีบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 จํานวน 17 บริษัท ได้แก่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท เจพีประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ไทยไพบูลย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ไทยศรีประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท นวกิจประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จํากัด (มหาชน) บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันส์ จํากัด สาขาประเทศไทย บริษัท เมืองไทยประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท วิริยะประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท แอกซ่าประกันภัย จํากัด (มหาชน) และบริษัท แอลเอ็มจีประกันภัย จํากัด (มหาชน) โดยเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2563 ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ และวันสิ้นสุดการขายจะแตกต่างกันไปตามภูมิศาสตร์ คือ วันที่ 30 เมษายน 2563 วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 และวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ยกเว้น 14 จังหวัดภาคใต้วันที่ 31 ธันวาคม 2563
โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 สําหรับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. จะจ่ายเบี้ยประกันภัย (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ในส่วนความคุ้มครองพื้นฐาน (ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 97 บาทต่อไร่ ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยรัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ และธ.ก.ส.อุดหนุนอีก 39 บาทต่อไร่ ส่วนเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มเอง และเกษตรกรทั่วไป จะจ่ายตามพื้นที่ความเสี่ยงภัย (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ถ้าเป็นพื้นที่สีแดงมีความเสี่ยงภัยสูง จ่ายเบี้ยประกันภัย 230 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ เกษตรกรจ่ายเอง 172 บาทต่อไร่ พื้นที่สีเหลืองมีความเสี่ยงภัยปานกลาง จ่ายเบี้ยประกันภัย 210 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ ส่วนที่เหลือเกษตรกรจ่ายเอง 152 บาทต่อไร่ และพื้นที่สีเขียว จ่ายเบี้ยประกันภัย 58 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ สําหรับอัตราเบี้ยประกันภัยความคุ้มครองส่วนเพิ่ม (ส่วนที่ 2) เกษตรกรจะจ่ายเบี้ยประกันภัยเองทั้งหมดตามพื้นที่ความเสี่ยงภัย โดยถ้าเป็นพื้นที่สีแดงมีความเสี่ยงภัยสูง จ่ายเบี้ยประกันภัย 101 บาทต่อไร่ พื้นที่สีเหลืองมีความเสี่ยงภัยปานกลาง จ่ายเบี้ยประกันภัย 48 บาทต่อไร่ และพื้นที่สีเขียว จ่ายเบี้ยประกันภัย 24 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)
กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัยน้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยจากช้างป่า สําหรับความคุ้มครองพื้นฐาน (ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 1,260 บาทต่อไร่ ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม (ส่วนที่ 2) อยู่ที่ 240 บาทต่อไร่ และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด ตามความคุ้มครองพื้นฐาน (ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 630 บาทต่อไร่ ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม (ส่วนที่ 2) อยู่ที่ 120 บาทต่อไร่ โดยภัยดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีการประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ดังนั้น เกษตรกรที่ทําประกันภัย (ส่วนที่ 1 + ส่วนที่ 2) ในคราวเดียวกัน จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 1,500 บาทต่อไร่ และจะได้รับความคุ้มครองจากภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด 750 บาทต่อไร่
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรชาวนาและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงานตามโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 สํานักงาน คปภ. จึงได้จัดทําโครงการ “อบรมความรู้ประกันภัย Training for the Trainers” สําหรับการประกันภัยข้าวนาปีต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยในปีนี้จะมีการลงพื้นที่ให้ความรู้เกี่ยวกับประกันภัยข้าวนาปี จํานวน 5 ครั้ง ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี อุตรดิตถ์ กาฬสินธุ์ และ พัทลุง อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงมีความรุนแรงและต่อเนื่อง สํานักงาน คปภ. จึงได้เตรียมความพร้อมในการให้ความรู้แบบคู่ขนานไปกับการลงพื้นที่ ด้วยการปรับวิธีการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยจัดทําวีดิทัศน์การบรรยายความรู้จากวิทยากร 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สํานักงาน คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการเกษตร และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สําหรับถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกร เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน นอกจากนี้ ได้ดําเนินการผลิตสื่อความรู้ในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มช่องทางให้เกษตรกรชาวนาสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เช่น การจัดทําสื่อวีดิทัศน์ในรูปแบบกราฟฟิกเคลื่อนไหว (Motion graphic) การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเกษตรกร (influencer) ในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้ การจัดทําสื่อความรู้ในรูปแบบคลิปเสียง การจัดทําข้อมูลความรู้เพื่อเผยแพร่ผ่าน Application “กูรูประกันข้าว” โดยสามารถดาวน์โหลดผ่าน QR code รวมถึงการผลิตสื่อความรู้ในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์ โดยจะได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเผยแพร่สื่อความรู้ต่างๆ ผ่านช่องทางที่เข้าถึงเกษตรกรชาวนาให้มากที่สุด
“สํานักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวนาไทยให้มีความมั่นคง เนื่องจากอาชีพทํานามีความเสี่ยงสูง เพราะต้องพึ่งพิงปัจจัยทางธรรมชาติ จึงจําเป็นต้องมีระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงและสร้างภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงอยากเชิญชวนเกษตรกรชาวนาทุกคนให้ความสําคัญกับการทําประกันภัยข้าวนาปี ซึ่งปีนี้มีกรมธรรม์ให้เลือกถึง 4 แบบ ทั้งแบบกรมธรรม์ที่รัฐบาลให้การอุดหนุนเบี้ยประกันภัยและแบบกรมธรรม์ที่เกษตรกรชาวนาสามารถซื้อเพื่อเพิ่มความคุ้มครองด้วยตัวเอง ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ขานรับมติ ครม. เดินหน้าโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
คปภ. ขานรับมติ ครม. เดินหน้าโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563
• เผยโฉม 4 แบบกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เกษตรกรนําไปใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงสู้ภัยธรรมชาติและฝ่าวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 เห็นชอบในหลักการการดําเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยเป็นการดําเนินโครงการต่อเนื่องจากปี 2562 เพื่อให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปี ได้มีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ และภัยจากศัตรูพืช หรือโรคระบาด ซึ่งในปีนี้ได้กําหนดเป้าหมายสูงสุด 45.7 ล้านไร่ และภาครัฐให้การสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัย จํานวนเงินทั้งสิ้น 2,910.39 ล้านบาท โดยมติครม.ดังกล่าว ได้มอบหมายให้ สํานักงาน คปภ. ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบ และหลักเกณฑ์การรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต 2563 รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2563 ได้ทันที ภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต 2563 และดําเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต 2563 ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้เตรียมความพร้อมและ เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว โดยปีนี้ได้มีการปรับปรุงกรมธรรม์ข้าวนาปีให้มีความพิเศษและเหมาะสมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 ตนในฐานะนายทะเบียนได้ลงนามให้ความเห็นชอบแบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัยและอัตราเบี้ยประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จํานวน 4 แบบกรมธรรม์ ดังนี้
1. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 เพื่อกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
2. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 เพื่อกลุ่มเกษตรกรพื้นที่เสี่ยงภัยต่ํา
3. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 สําหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) และ
4. กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 สําหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ส่วนเพิ่ม
โดยมีบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 จํานวน 17 บริษัท ได้แก่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท เจพีประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ไทยไพบูลย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ไทยศรีประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท นวกิจประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จํากัด (มหาชน) บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันส์ จํากัด สาขาประเทศไทย บริษัท เมืองไทยประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท วิริยะประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท แอกซ่าประกันภัย จํากัด (มหาชน) และบริษัท แอลเอ็มจีประกันภัย จํากัด (มหาชน) โดยเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2563 ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ และวันสิ้นสุดการขายจะแตกต่างกันไปตามภูมิศาสตร์ คือ วันที่ 30 เมษายน 2563 วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 และวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ยกเว้น 14 จังหวัดภาคใต้วันที่ 31 ธันวาคม 2563
โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 สําหรับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. จะจ่ายเบี้ยประกันภัย (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ในส่วนความคุ้มครองพื้นฐาน (ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 97 บาทต่อไร่ ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยรัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ และธ.ก.ส.อุดหนุนอีก 39 บาทต่อไร่ ส่วนเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มเอง และเกษตรกรทั่วไป จะจ่ายตามพื้นที่ความเสี่ยงภัย (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ถ้าเป็นพื้นที่สีแดงมีความเสี่ยงภัยสูง จ่ายเบี้ยประกันภัย 230 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ เกษตรกรจ่ายเอง 172 บาทต่อไร่ พื้นที่สีเหลืองมีความเสี่ยงภัยปานกลาง จ่ายเบี้ยประกันภัย 210 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ ส่วนที่เหลือเกษตรกรจ่ายเอง 152 บาทต่อไร่ และพื้นที่สีเขียว จ่ายเบี้ยประกันภัย 58 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ สําหรับอัตราเบี้ยประกันภัยความคุ้มครองส่วนเพิ่ม (ส่วนที่ 2) เกษตรกรจะจ่ายเบี้ยประกันภัยเองทั้งหมดตามพื้นที่ความเสี่ยงภัย โดยถ้าเป็นพื้นที่สีแดงมีความเสี่ยงภัยสูง จ่ายเบี้ยประกันภัย 101 บาทต่อไร่ พื้นที่สีเหลืองมีความเสี่ยงภัยปานกลาง จ่ายเบี้ยประกันภัย 48 บาทต่อไร่ และพื้นที่สีเขียว จ่ายเบี้ยประกันภัย 24 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)
กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัยน้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยจากช้างป่า สําหรับความคุ้มครองพื้นฐาน (ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 1,260 บาทต่อไร่ ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม (ส่วนที่ 2) อยู่ที่ 240 บาทต่อไร่ และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด ตามความคุ้มครองพื้นฐาน (ส่วนที่ 1) อยู่ที่ 630 บาทต่อไร่ ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม (ส่วนที่ 2) อยู่ที่ 120 บาทต่อไร่ โดยภัยดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีการประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ดังนั้น เกษตรกรที่ทําประกันภัย (ส่วนที่ 1 + ส่วนที่ 2) ในคราวเดียวกัน จะได้รับความคุ้มครองอยู่ที่ 1,500 บาทต่อไร่ และจะได้รับความคุ้มครองจากภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด 750 บาทต่อไร่
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรชาวนาและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงานตามโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 สํานักงาน คปภ. จึงได้จัดทําโครงการ “อบรมความรู้ประกันภัย Training for the Trainers” สําหรับการประกันภัยข้าวนาปีต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 โดยในปีนี้จะมีการลงพื้นที่ให้ความรู้เกี่ยวกับประกันภัยข้าวนาปี จํานวน 5 ครั้ง ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี อุตรดิตถ์ กาฬสินธุ์ และ พัทลุง อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงมีความรุนแรงและต่อเนื่อง สํานักงาน คปภ. จึงได้เตรียมความพร้อมในการให้ความรู้แบบคู่ขนานไปกับการลงพื้นที่ ด้วยการปรับวิธีการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยจัดทําวีดิทัศน์การบรรยายความรู้จากวิทยากร 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สํานักงาน คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการเกษตร และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สําหรับถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกร เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน นอกจากนี้ ได้ดําเนินการผลิตสื่อความรู้ในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มช่องทางให้เกษตรกรชาวนาสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เช่น การจัดทําสื่อวีดิทัศน์ในรูปแบบกราฟฟิกเคลื่อนไหว (Motion graphic) การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเกษตรกร (influencer) ในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้ การจัดทําสื่อความรู้ในรูปแบบคลิปเสียง การจัดทําข้อมูลความรู้เพื่อเผยแพร่ผ่าน Application “กูรูประกันข้าว” โดยสามารถดาวน์โหลดผ่าน QR code รวมถึงการผลิตสื่อความรู้ในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์ โดยจะได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเผยแพร่สื่อความรู้ต่างๆ ผ่านช่องทางที่เข้าถึงเกษตรกรชาวนาให้มากที่สุด
“สํานักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวนาไทยให้มีความมั่นคง เนื่องจากอาชีพทํานามีความเสี่ยงสูง เพราะต้องพึ่งพิงปัจจัยทางธรรมชาติ จึงจําเป็นต้องมีระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงและสร้างภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงอยากเชิญชวนเกษตรกรชาวนาทุกคนให้ความสําคัญกับการทําประกันภัยข้าวนาปี ซึ่งปีนี้มีกรมธรรม์ให้เลือกถึง 4 แบบ ทั้งแบบกรมธรรม์ที่รัฐบาลให้การอุดหนุนเบี้ยประกันภัยและแบบกรมธรรม์ที่เกษตรกรชาวนาสามารถซื้อเพื่อเพิ่มความคุ้มครองด้วยตัวเอง ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29665
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจง นาโนไฟแนนซ์เติบโตต่อเนื่อง ปล่อยสินเชื่อรายย่อยแล้วกว่า 4 หมื่นราย วงเงิน 1.05 พันลบ. มุ่งสนับสนุนแหล่งเงินทุนแก่ผู้มีรายได้น้อยและลูกหนี้นอกระบบ ชี้เอ็นพีแอลต่ำเพียง
|
วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2559
โฆษกรัฐบาลแจง นาโนไฟแนนซ์เติบโตต่อเนื่อง ปล่อยสินเชื่อรายย่อยแล้วกว่า 4 หมื่นราย วงเงิน 1.05 พันลบ. มุ่งสนับสนุนแหล่งเงินทุนแก่ผู้มีรายได้น้อยและลูกหนี้นอกระบบ ชี้เอ็นพีแอลต่ําเพียง
โฆษกรัฐบาลแจง นาโนไฟแนนซ์เติบโตต่อเนื่อง ปล่อยสินเชื่อรายย่อยแล้วกว่า 4 หมื่นราย วงเงิน 1.05 พันลบ. มุ่งสนับสนุนแหล่งเงินทุนแก่ผู้มีรายได้น้อยและลูกหนี้นอกระบบ ชี้เอ็นพีแอลต่ําเพียง 0.82%
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2559 พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกํากับ (นาโนไฟแนนซ์) ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่เริ่มดําเนินการในปี 2558 มีผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเปิดดําเนินการแล้ว 22 ราย ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ 1 ราย และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร 21 ราย มียอดสินเชื่อที่รอจ่ายรวม 893 ล้านบาท จาก 36,414 บัญชี หรือเฉลี่ย 24,527 บาทต่อบัญชี เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปี 2559
“หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ จนถึงขณะนี้คิดเป็นเพียงร้อยละ 0.82 หรือ 7.32 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งยังถือว่าต่ํามาก เมื่อเทียบกับเอ็นพีแอลของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ของธนาคารพาณิชย์”
พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2559 มีการให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อยแล้ว จํานวน 40,547 ราย เป็นวงเงินรวม 1,053.50 ล้านบาท ส่งผลให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อนําไปประกอบอาชีพ และยังช่วยให้ลูกหนี้นอกระบบที่มีศักยภาพสามารถรีไฟแนนซ์เข้าสู่ระบบได้ โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ํากว่าและมีการทวงถามหนี้อย่างเป็นธรรม
ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดทํามาตรการสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ โดยอนุญาตให้มีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยประเภทใหม่ เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสําหรับผู้ประกอบอาชีพรายย่อยที่ไม่มีรายได้ประจํา ไม่ต้องใช้หลักประกัน โดยกู้เงินได้ไม่เกินรายละ 100,000 บาท
สําหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ประสงค์จะขอใบอนุญาตให้สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์สามารถยื่นแบบฟอร์มได้ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สํานักงานใหญ่และสํานักงานภาค หรือ โทร. 0 2283 5828 หรือ กระทรวงการคลัง 0 2273 9020 ต่อ 3288 ส่วนประชาชนทั่วไปที่ประสงค์จะขอสินเชื่อดังกล่าว สอบถามได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน โทร. 1213
----------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจง นาโนไฟแนนซ์เติบโตต่อเนื่อง ปล่อยสินเชื่อรายย่อยแล้วกว่า 4 หมื่นราย วงเงิน 1.05 พันลบ. มุ่งสนับสนุนแหล่งเงินทุนแก่ผู้มีรายได้น้อยและลูกหนี้นอกระบบ ชี้เอ็นพีแอลต่ำเพียง
วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2559
โฆษกรัฐบาลแจง นาโนไฟแนนซ์เติบโตต่อเนื่อง ปล่อยสินเชื่อรายย่อยแล้วกว่า 4 หมื่นราย วงเงิน 1.05 พันลบ. มุ่งสนับสนุนแหล่งเงินทุนแก่ผู้มีรายได้น้อยและลูกหนี้นอกระบบ ชี้เอ็นพีแอลต่ําเพียง
โฆษกรัฐบาลแจง นาโนไฟแนนซ์เติบโตต่อเนื่อง ปล่อยสินเชื่อรายย่อยแล้วกว่า 4 หมื่นราย วงเงิน 1.05 พันลบ. มุ่งสนับสนุนแหล่งเงินทุนแก่ผู้มีรายได้น้อยและลูกหนี้นอกระบบ ชี้เอ็นพีแอลต่ําเพียง 0.82%
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2559 พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกํากับ (นาโนไฟแนนซ์) ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่เริ่มดําเนินการในปี 2558 มีผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเปิดดําเนินการแล้ว 22 ราย ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ 1 ราย และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร 21 ราย มียอดสินเชื่อที่รอจ่ายรวม 893 ล้านบาท จาก 36,414 บัญชี หรือเฉลี่ย 24,527 บาทต่อบัญชี เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปี 2559
“หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ จนถึงขณะนี้คิดเป็นเพียงร้อยละ 0.82 หรือ 7.32 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งยังถือว่าต่ํามาก เมื่อเทียบกับเอ็นพีแอลของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ของธนาคารพาณิชย์”
พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2559 มีการให้สินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อยแล้ว จํานวน 40,547 ราย เป็นวงเงินรวม 1,053.50 ล้านบาท ส่งผลให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อนําไปประกอบอาชีพ และยังช่วยให้ลูกหนี้นอกระบบที่มีศักยภาพสามารถรีไฟแนนซ์เข้าสู่ระบบได้ โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ํากว่าและมีการทวงถามหนี้อย่างเป็นธรรม
ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดทํามาตรการสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ โดยอนุญาตให้มีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยประเภทใหม่ เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสําหรับผู้ประกอบอาชีพรายย่อยที่ไม่มีรายได้ประจํา ไม่ต้องใช้หลักประกัน โดยกู้เงินได้ไม่เกินรายละ 100,000 บาท
สําหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ประสงค์จะขอใบอนุญาตให้สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์สามารถยื่นแบบฟอร์มได้ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สํานักงานใหญ่และสํานักงานภาค หรือ โทร. 0 2283 5828 หรือ กระทรวงการคลัง 0 2273 9020 ต่อ 3288 ส่วนประชาชนทั่วไปที่ประสงค์จะขอสินเชื่อดังกล่าว สอบถามได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน โทร. 1213
----------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/899
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พลเอก ประวิตรฯ มอบนโยบายบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560
รองนรม. พลเอก ประวิตรฯ มอบนโยบายบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่
วันนี้ (23 ก.พ.60) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อชี้แจงมอบนโยบายบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 -2562 ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จํานวน 129 หน่วยงาน เพื่อเป็นแนวทางขับเคลื่อนนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีความเป็นเอกภาพเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่และประเทศชาติ จัดโดย สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมี พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล พลเอก ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวมอบนโยบายฯ โดยกล่าวถึงการดําเนินการแก้ไขปัญหาภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมาภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ว่า มีความก้าวหน้าโดยลําดับ สามารถทําให้สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ลดลง ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ทุกรัฐบาลได้พยายามดําเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนํานโยบายการบริหารและการพัฒนามาดําเนินการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อทําให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวมีความเข้าใจให้สามารถอยู่ร่วมกันได้บนความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม ภาษา ชีวิตความเป็นอยู่ และศาสนา พร้อมยืนยันว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ทุกรัฐบาล และรัฐบาลชุดปัจจุบันได้เข้าไปดําเนินการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะเข้าไปต่อกับสู้ผู้ที่มีความคิดเห็นต่าง แต่เข้าไปเพื่อป้องกันและดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้สามารถดํารงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข และลดความเหลื่อล้ําในพื้นที่
รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เล็งเห็นความสําคัญต่อการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและพัฒนาในเรื่องการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นย้ําให้มีการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกเรื่อง อย่างไรก็ตามสิ่งสําคัญคือประชาชนในพื้นที่จะต้องเข้าใจและให้ความร่วมมือกับแนวทางการดําเนินการของรัฐบาล เพื่อนําไปสู่สันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
สําหรับการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัตินั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า รัฐบาลเน้นความสําคัญใน 4 ประเด็น คือ 1) รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ความสําคัญต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และถือเป็นวาระแห่งชาติ 2) กรอบทิศทางของนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 – 2562 ยังคงความต่อเนื่องจากนโยบายฯ ที่ผ่านมา โดยน้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” รวมทั้ง ให้ความสําคัญกับการสร้างเอกภาพการบูรณาการของทุกหน่วยงาน เพื่อนํานโยบายไปสู่การแก้ไขปัญหาและสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นรูปธรรม 3) ให้กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกันจัดทํายุทธศาสตร์รองรับนโยบายฯ ให้ครอบคลุม 6 วัตถุประสงค์ 23 แนวนโยบาย เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายมีการบูรณาการและบรรลุผลทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ และ 4) ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดําเนินการร่วมกันในลักษณะบูรณาการ ทั้งการจัดทําแผนงาน/โครงการ และแผนงบประมาณ รวมทั้งประสานการดําเนินงานตามรางประสานสอดคล้องแสดความเชื่อมโยงภารกิจ นโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนหลักที่เกี่ยวข้องตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการทํางานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ว่า การดําเนินงานต่าง ๆ เป็นไปตามแนวทางและเป้าหมายที่กําหนด จึงขอให้ทุกหน่วยงานดําเนินงานในช่วงต่อไปตามกรอบทิศทางของนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 – 2562 โดยยังคงความต่อเนื่องจากนโยบายฯ ที่ผ่านมา และน้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อทําให้พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความสงบและเกิดสันติสุข ประชาชนในพื้นที่สามารถประกอบอาชีพและใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข รวมทั้งต้องลดปัญหาความรุนแรงต่าง ๆ ให้ได้โดยสิ้นเชิง ขณะเดียวกันกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะยังดําเนินการต่อไป โดยทุกฝ่ายต้องทํางานบูรณาการร่วมกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน เพื่อทําให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นดินแดนที่มีความปลอดภัย เกิดสันติสุข และมีความศิวิไลซ์เจริญรุ่งเรือง ตลอดจนสามารถรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ได้อย่างยั่งยืน
จากนั้น พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยเฉพาะการดําเนินการของผู้แทนพิเศษของรัฐบาลที่ได้มีการขับเคลื่อนภารกิจภายใต้แผนปฏิบัติการการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2558 – 2560 ซึ่งได้แบ่งออกเป็น 7 กลุ่มภารกิจรองรับทุกประเด็นนโยบายฯ โดยหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลได้เน้นย้ําถึงผลสัมฤทธิ์ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนขับเคลื่อนอย่างมีเอกภาพและประสานสอดคล้อง พร้อมขอให้ทุกส่วนราชการคิดวางแผนและดําเนินการในทางทิศเดียวกัน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์สอดคล้องกับยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”
สําหรับนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 -2562 นั้น จัดทําขึ้นตามบทบัญญัติมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 ซึ่งกําหนดให้ สมช. รับผิดชอบในการจัดทํานโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีสาระสําคัญครอบคลุมด้านความมั่นคงและการพัฒนา โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างกว้างขวาง ซึ่งนโยบายฉบับดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รับทราบ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2559 ก่อนมอบให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 -2562 ได้กําหนดแนวนโยบายดําเนินงานที่สําคัญ 23 ข้อ เพื่อรองรับวัตถุประสงค์ 6 ประการ ดังนี้ 1) เพื่อให้จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความปลอดภัย สงบสันติ ปราศจากเงื่อนไขที่เอื้อต่อการใช้ความรุนแรงจากทุกฝ่าย 2 ) เพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในพื้นที่ ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 3) เพื่อให้สังคมไทยและสังคมในพื้นที่ ยอมรับและเห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม และร่วมกันแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 4) เพื่อพัฒนาศักยภาพของคน สังคม และเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น มีความเสมอภาคและเป็นธรรมในสังคม 5) การสร้างความเชื่อมั่นและหลักประกันความต่อเนื่องของกระบวนการพูดคุย เพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ และเตรียมความพร้อมในการเข้ามามีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และ 6) เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นต่อสังคมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้เกิดการสนับสนุนและมีบทบาทเกื้อกูลการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พลเอก ประวิตรฯ มอบนโยบายบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560
รองนรม. พลเอก ประวิตรฯ มอบนโยบายบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ฯ ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่
วันนี้ (23 ก.พ.60) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อชี้แจงมอบนโยบายบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 -2562 ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จํานวน 129 หน่วยงาน เพื่อเป็นแนวทางขับเคลื่อนนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีความเป็นเอกภาพเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่และประเทศชาติ จัดโดย สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมี พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล พลเอก ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวมอบนโยบายฯ โดยกล่าวถึงการดําเนินการแก้ไขปัญหาภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมาภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ว่า มีความก้าวหน้าโดยลําดับ สามารถทําให้สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ลดลง ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ทุกรัฐบาลได้พยายามดําเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนํานโยบายการบริหารและการพัฒนามาดําเนินการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อทําให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวมีความเข้าใจให้สามารถอยู่ร่วมกันได้บนความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม ภาษา ชีวิตความเป็นอยู่ และศาสนา พร้อมยืนยันว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ทุกรัฐบาล และรัฐบาลชุดปัจจุบันได้เข้าไปดําเนินการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะเข้าไปต่อกับสู้ผู้ที่มีความคิดเห็นต่าง แต่เข้าไปเพื่อป้องกันและดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้สามารถดํารงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข และลดความเหลื่อล้ําในพื้นที่
รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เล็งเห็นความสําคัญต่อการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและพัฒนาในเรื่องการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นย้ําให้มีการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกเรื่อง อย่างไรก็ตามสิ่งสําคัญคือประชาชนในพื้นที่จะต้องเข้าใจและให้ความร่วมมือกับแนวทางการดําเนินการของรัฐบาล เพื่อนําไปสู่สันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
สําหรับการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัตินั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า รัฐบาลเน้นความสําคัญใน 4 ประเด็น คือ 1) รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ความสําคัญต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และถือเป็นวาระแห่งชาติ 2) กรอบทิศทางของนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 – 2562 ยังคงความต่อเนื่องจากนโยบายฯ ที่ผ่านมา โดยน้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” รวมทั้ง ให้ความสําคัญกับการสร้างเอกภาพการบูรณาการของทุกหน่วยงาน เพื่อนํานโยบายไปสู่การแก้ไขปัญหาและสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นรูปธรรม 3) ให้กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกันจัดทํายุทธศาสตร์รองรับนโยบายฯ ให้ครอบคลุม 6 วัตถุประสงค์ 23 แนวนโยบาย เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายมีการบูรณาการและบรรลุผลทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ และ 4) ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดําเนินการร่วมกันในลักษณะบูรณาการ ทั้งการจัดทําแผนงาน/โครงการ และแผนงบประมาณ รวมทั้งประสานการดําเนินงานตามรางประสานสอดคล้องแสดความเชื่อมโยงภารกิจ นโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนหลักที่เกี่ยวข้องตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการทํางานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ว่า การดําเนินงานต่าง ๆ เป็นไปตามแนวทางและเป้าหมายที่กําหนด จึงขอให้ทุกหน่วยงานดําเนินงานในช่วงต่อไปตามกรอบทิศทางของนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 – 2562 โดยยังคงความต่อเนื่องจากนโยบายฯ ที่ผ่านมา และน้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อทําให้พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความสงบและเกิดสันติสุข ประชาชนในพื้นที่สามารถประกอบอาชีพและใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข รวมทั้งต้องลดปัญหาความรุนแรงต่าง ๆ ให้ได้โดยสิ้นเชิง ขณะเดียวกันกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะยังดําเนินการต่อไป โดยทุกฝ่ายต้องทํางานบูรณาการร่วมกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน เพื่อทําให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นดินแดนที่มีความปลอดภัย เกิดสันติสุข และมีความศิวิไลซ์เจริญรุ่งเรือง ตลอดจนสามารถรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ได้อย่างยั่งยืน
จากนั้น พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยเฉพาะการดําเนินการของผู้แทนพิเศษของรัฐบาลที่ได้มีการขับเคลื่อนภารกิจภายใต้แผนปฏิบัติการการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2558 – 2560 ซึ่งได้แบ่งออกเป็น 7 กลุ่มภารกิจรองรับทุกประเด็นนโยบายฯ โดยหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลได้เน้นย้ําถึงผลสัมฤทธิ์ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนขับเคลื่อนอย่างมีเอกภาพและประสานสอดคล้อง พร้อมขอให้ทุกส่วนราชการคิดวางแผนและดําเนินการในทางทิศเดียวกัน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์สอดคล้องกับยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”
สําหรับนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 -2562 นั้น จัดทําขึ้นตามบทบัญญัติมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 ซึ่งกําหนดให้ สมช. รับผิดชอบในการจัดทํานโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีสาระสําคัญครอบคลุมด้านความมั่นคงและการพัฒนา โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างกว้างขวาง ซึ่งนโยบายฉบับดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รับทราบ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2559 ก่อนมอบให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 -2562 ได้กําหนดแนวนโยบายดําเนินงานที่สําคัญ 23 ข้อ เพื่อรองรับวัตถุประสงค์ 6 ประการ ดังนี้ 1) เพื่อให้จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความปลอดภัย สงบสันติ ปราศจากเงื่อนไขที่เอื้อต่อการใช้ความรุนแรงจากทุกฝ่าย 2 ) เพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในพื้นที่ ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 3) เพื่อให้สังคมไทยและสังคมในพื้นที่ ยอมรับและเห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม และร่วมกันแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 4) เพื่อพัฒนาศักยภาพของคน สังคม และเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น มีความเสมอภาคและเป็นธรรมในสังคม 5) การสร้างความเชื่อมั่นและหลักประกันความต่อเนื่องของกระบวนการพูดคุย เพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ และเตรียมความพร้อมในการเข้ามามีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และ 6) เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นต่อสังคมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้เกิดการสนับสนุนและมีบทบาทเกื้อกูลการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2023
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเข้าร่วมการประชุม WEF ที่เวียดนาม
|
วันอังคารที่ 11 กันยายน 2561
รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเข้าร่วมการประชุม WEF ที่เวียดนาม
รองนายกรัฐมนตรีเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม WEF ที่เวียดนาม
ตามที่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Economic Forum (WEF)
on ASEAN ประจําปี 2561 ณ กรุงฮานอย ระหว่างวันที่ 11-12 กันยายน 2561 นั้น
ในการนี้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุม WEF on ASEAN ดังกล่าว โดยมีกําหนดการที่สําคัญ คือ
วันที่ 11 กันยายน 2561
เวลา 19.05 น. ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปยังกรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
วันที่ 12 กันยายน 2561
เวลา 10.15 น. - เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม ฯ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติ กรุงฮานอย
- เข้าร่วมการอภิปรายในหัวข้อ “ อนาคตของอาเซียนในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4”
เวลา 17.30 น. เข้าร่วมการอภิปรายในการประชุมวาระพิเศษในหัวข้อ ” A New Vision for the Mekong Region”
เวลา 20.45 น. เดินทางกลับประเทศไทย
....................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเข้าร่วมการประชุม WEF ที่เวียดนาม
วันอังคารที่ 11 กันยายน 2561
รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเข้าร่วมการประชุม WEF ที่เวียดนาม
รองนายกรัฐมนตรีเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม WEF ที่เวียดนาม
ตามที่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Economic Forum (WEF)
on ASEAN ประจําปี 2561 ณ กรุงฮานอย ระหว่างวันที่ 11-12 กันยายน 2561 นั้น
ในการนี้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุม WEF on ASEAN ดังกล่าว โดยมีกําหนดการที่สําคัญ คือ
วันที่ 11 กันยายน 2561
เวลา 19.05 น. ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปยังกรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
วันที่ 12 กันยายน 2561
เวลา 10.15 น. - เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม ฯ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติ กรุงฮานอย
- เข้าร่วมการอภิปรายในหัวข้อ “ อนาคตของอาเซียนในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4”
เวลา 17.30 น. เข้าร่วมการอภิปรายในการประชุมวาระพิเศษในหัวข้อ ” A New Vision for the Mekong Region”
เวลา 20.45 น. เดินทางกลับประเทศไทย
....................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15299
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบโล่เกียรติบัตรสำหรับเยาวชนที่ผ่านการประกวดศิลปะ โครงการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนด้วยศิลปะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
|
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรีมอบโล่เกียรติบัตรสําหรับเยาวชนที่ผ่านการประกวดศิลปะ โครงการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนด้วยศิลปะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายกรัฐมนตรีมอบโล่เกียรติบัตรสําหรับเยาวชนที่ผ่านการประกวดศิลปะ โครงการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนด้วยศิลปะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
วันนี้ (3 ก.พ. 63) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีพร้อมมอบโล่แก่เด็กและเยาวชนที่ผ่านการประกวดศิลปะ โครงการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนด้วยศิลปะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส) ภายใต้หัวข้อ “พลังแห่งรัก” พร้อมมอบของที่ระลึกให้แก่ตัวแทนเด็ก และเยี่ยมชมนิทรรศการผลงานที่ได้รับรางวัล โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นําเด็กและเยาวชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าเยี่ยมคารวะพร้อมรับโอวาท สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมและแสดงความยินดีกับเด็กที่ผ่านการประกวดศิลปะเด็กสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้ง 52 รางวัล ทําให้เห็นถึงความพยายามของเยาวชนในการร่วมพัฒนาประเทศให้เติบโตก้าวไปข้างหน้า ไทยเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรม อัตลักษณ์ ศาสนาต่างๆ อยู่ร่วมกันด้วยความสุข แม้จะมีสถานการณ์เกิดขึ้นทุกคนมีความเข้มแข็งและพยายามขับเคลื่อนประเทศไทยให้เดินไปข้างหน้า นายกรัฐมนตรียังกล่าวเปรียบเทียบเด็กว่าเหมือนผ้าขาว บริสุทธิ์ อาจจะถูกแต่งแต้มสีสันจึงต้องอาศัยแรงสนับสนุนทั้งจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย สําหรับสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบันนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ความรุนแรงลดน้อยลง แต่รัฐบาลยังต้องเร่งแก้ปัญหาต่อเนื่องและให้เร็วที่สุด ด้วยการเสริมมาตรการด้านการพัฒนา ส่งเสริมพหุสังคมและวัฒนธรรม ใช้ความรักพ่อแม่ ครอบครัว รักคนอื่น รักอาจารย์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ทําให้คนไทยมีคุณค่า ไม่ว่าจะอยู่ภาคใด เชื้อชาติใด นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงประโยชน์ของศิลปะว่า การวาดรูประบายสีเป็นทั้งทักษะและกิจกรรมที่ทําให้เด็กและเยาวชนได้รับความเพลิดเพลิน เกิดความสงบ มีสมาธิ เป็นประโยชน์ทั้งต่อพัฒนาการของเด็กและเยาวชนทั้งด้านร่างกาย ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ส่งผลให้เด็กและเยาวชนได้เติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเดินทางไปยังภาคใต้ที่ผ่านมาว่า ดีใจที่ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับนักเรียนเห็นถึงความตั้งใจในการพัฒนาตน กล้าการพูด กล้าแสดง แสดงออกในสิ่งที่เป็นประโยชน์สะท้อนให้เห็นถึงน้ําใจของเด็กๆ สิ่งสําคัญขึ้นอยู่กับว่าใครจะไปแต่งแต้มเติมเต็มให้เขาในสิ่งที่ดีและไม่ดี รัฐบาลจึงน้อมนําแนวทางของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงรับสั่ง “พอเพียง มีเหตุมีผล พอประมาณ และมีภูมิคุ้มกันที่ดี” ประกอบด้วยความรู้และคุณธรรมเป็นเงื่อนไขสําคัญ เพื่อสร้างภูมิต้านทานและภูมิคุ้มกันรวมทั้งส่งเสริมกิจกรรมกีฬาและดนตรีในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ นายกรัฐมนตรียังขอให้เยาวชนคนรุ่นใหม่หันมาเล่นกีฬาเพื่อพัฒนาทักษะและสุขภาพที่ดี เพื่อเป็นช้างเผือกสําหรับวงการกีฬาของไทยต่อไป
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบโล่เกียรติบัตรสำหรับเยาวชนที่ผ่านการประกวดศิลปะ โครงการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนด้วยศิลปะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรีมอบโล่เกียรติบัตรสําหรับเยาวชนที่ผ่านการประกวดศิลปะ โครงการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนด้วยศิลปะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายกรัฐมนตรีมอบโล่เกียรติบัตรสําหรับเยาวชนที่ผ่านการประกวดศิลปะ โครงการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนด้วยศิลปะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
วันนี้ (3 ก.พ. 63) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีพร้อมมอบโล่แก่เด็กและเยาวชนที่ผ่านการประกวดศิลปะ โครงการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนด้วยศิลปะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส) ภายใต้หัวข้อ “พลังแห่งรัก” พร้อมมอบของที่ระลึกให้แก่ตัวแทนเด็ก และเยี่ยมชมนิทรรศการผลงานที่ได้รับรางวัล โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นําเด็กและเยาวชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าเยี่ยมคารวะพร้อมรับโอวาท สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมและแสดงความยินดีกับเด็กที่ผ่านการประกวดศิลปะเด็กสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้ง 52 รางวัล ทําให้เห็นถึงความพยายามของเยาวชนในการร่วมพัฒนาประเทศให้เติบโตก้าวไปข้างหน้า ไทยเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรม อัตลักษณ์ ศาสนาต่างๆ อยู่ร่วมกันด้วยความสุข แม้จะมีสถานการณ์เกิดขึ้นทุกคนมีความเข้มแข็งและพยายามขับเคลื่อนประเทศไทยให้เดินไปข้างหน้า นายกรัฐมนตรียังกล่าวเปรียบเทียบเด็กว่าเหมือนผ้าขาว บริสุทธิ์ อาจจะถูกแต่งแต้มสีสันจึงต้องอาศัยแรงสนับสนุนทั้งจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย สําหรับสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบันนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ความรุนแรงลดน้อยลง แต่รัฐบาลยังต้องเร่งแก้ปัญหาต่อเนื่องและให้เร็วที่สุด ด้วยการเสริมมาตรการด้านการพัฒนา ส่งเสริมพหุสังคมและวัฒนธรรม ใช้ความรักพ่อแม่ ครอบครัว รักคนอื่น รักอาจารย์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ทําให้คนไทยมีคุณค่า ไม่ว่าจะอยู่ภาคใด เชื้อชาติใด นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงประโยชน์ของศิลปะว่า การวาดรูประบายสีเป็นทั้งทักษะและกิจกรรมที่ทําให้เด็กและเยาวชนได้รับความเพลิดเพลิน เกิดความสงบ มีสมาธิ เป็นประโยชน์ทั้งต่อพัฒนาการของเด็กและเยาวชนทั้งด้านร่างกาย ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ส่งผลให้เด็กและเยาวชนได้เติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเดินทางไปยังภาคใต้ที่ผ่านมาว่า ดีใจที่ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับนักเรียนเห็นถึงความตั้งใจในการพัฒนาตน กล้าการพูด กล้าแสดง แสดงออกในสิ่งที่เป็นประโยชน์สะท้อนให้เห็นถึงน้ําใจของเด็กๆ สิ่งสําคัญขึ้นอยู่กับว่าใครจะไปแต่งแต้มเติมเต็มให้เขาในสิ่งที่ดีและไม่ดี รัฐบาลจึงน้อมนําแนวทางของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงรับสั่ง “พอเพียง มีเหตุมีผล พอประมาณ และมีภูมิคุ้มกันที่ดี” ประกอบด้วยความรู้และคุณธรรมเป็นเงื่อนไขสําคัญ เพื่อสร้างภูมิต้านทานและภูมิคุ้มกันรวมทั้งส่งเสริมกิจกรรมกีฬาและดนตรีในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ นายกรัฐมนตรียังขอให้เยาวชนคนรุ่นใหม่หันมาเล่นกีฬาเพื่อพัฒนาทักษะและสุขภาพที่ดี เพื่อเป็นช้างเผือกสําหรับวงการกีฬาของไทยต่อไป
.....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26239
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “ยุติธรรม” จัดสอนภาษามลายูปาตานีให้กับบุคลากรเพื่อใช้ในการให้บริการประชาชน
|
วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2560
“ยุติธรรม” จัดสอนภาษามลายูปาตานีให้กับบุคลากรเพื่อใช้ในการให้บริการประชาชน
นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อยกระดับการปฏิบัติงาน
(การอบรมภาษามลายูปาตานีเบื้องต้น)
เมื่อวันจันทร์ที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อยกระดับการปฏิบัติงาน
(การอบรมภาษามลายูปาตานีเบื้องต้น) ระหว่างวันที่ ๔ – ๖ กันยายน ๒๕๖๐
เพื่อพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอาเซียน ให้กับบุคลากรในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
รวมถึงเพื่อช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมและการให้บริการประชาชน
ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยมี นายอัสนีย์ สังขเนตร ผู้อํานวยการกองการต่างประเทศ
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้เข้าร่วมอบรมจํานวน ๓๕ คน เข้าร่วมฯ
ณ วิทยาลัยกิจการยุติธรรม สํานักงานกิจการยุติธรรม อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ภารกิจที่สําคัญของกระทรวงยุติธรรม คือการอํานวยความยุติธรรม
เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งผู้รับบริการมีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
การติดต่อสื่อสารจึงมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะทําให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ตลอดจนเสริมสร้างภาพลักษณ์และทัศนคติที่ดีต่อกันทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ
ดังนั้น กระทรวงยุติธรรมจึงได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร
ให้มีความรู้ ความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศหรือภาษาท้องถิ่น
เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารสําหรับการปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “ยุติธรรม” จัดสอนภาษามลายูปาตานีให้กับบุคลากรเพื่อใช้ในการให้บริการประชาชน
วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2560
“ยุติธรรม” จัดสอนภาษามลายูปาตานีให้กับบุคลากรเพื่อใช้ในการให้บริการประชาชน
นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อยกระดับการปฏิบัติงาน
(การอบรมภาษามลายูปาตานีเบื้องต้น)
เมื่อวันจันทร์ที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อยกระดับการปฏิบัติงาน
(การอบรมภาษามลายูปาตานีเบื้องต้น) ระหว่างวันที่ ๔ – ๖ กันยายน ๒๕๖๐
เพื่อพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอาเซียน ให้กับบุคลากรในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
รวมถึงเพื่อช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมและการให้บริการประชาชน
ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยมี นายอัสนีย์ สังขเนตร ผู้อํานวยการกองการต่างประเทศ
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้เข้าร่วมอบรมจํานวน ๓๕ คน เข้าร่วมฯ
ณ วิทยาลัยกิจการยุติธรรม สํานักงานกิจการยุติธรรม อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ภารกิจที่สําคัญของกระทรวงยุติธรรม คือการอํานวยความยุติธรรม
เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งผู้รับบริการมีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
การติดต่อสื่อสารจึงมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะทําให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ตลอดจนเสริมสร้างภาพลักษณ์และทัศนคติที่ดีต่อกันทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ
ดังนั้น กระทรวงยุติธรรมจึงได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร
ให้มีความรู้ ความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศหรือภาษาท้องถิ่น
เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารสําหรับการปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6409
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. เร่งติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจใกล้ชิด คาดปี 2562 สามารถเบิกจ่ายเกินร้อยละ 80
|
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562
สคร. เร่งติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจใกล้ชิด คาดปี 2562 สามารถเบิกจ่ายเกินร้อยละ 80
สคร. ได้มีการเร่งติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 ของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง มีผลการเบิกจ่ายสะสม จํานวน 199,887 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 77 ของแผนเบิกจ่ายสะสม และคาดว่าในปี 2562 รัฐวิสาหกิจจะสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ร้อยละ 80
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในเดือนกันยายนและตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา สคร. ได้มีการเร่งติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด โดยได้จัดประชุมร่วมกับรัฐวิสาหกิจที่มีงบลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อหารือแนวทางในการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามแผน และผลักดันให้รัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพพิจารณาเร่งการลงทุนโครงการใหม่ๆ เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2562 และสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย โดยภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 ของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง มีผลการเบิกจ่ายสะสม จํานวน 199,887 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 77 ของแผนเบิกจ่ายสะสม และคาดว่าในปี 2562 รัฐวิสาหกิจจะสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ร้อยละ 80 ของกรอบการเบิกจ่ายงบลงทุนทั้งปี
ผลการเบิกจ่ายสะสมของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562
หน่วย: ล้านบาท
รัฐวิสาหกิจ แผนเบิกจ่ายสะสม เบิกจ่ายจริง
สะสม ร้อยละเบิกจ่ายจริงสะสม/แผนเบิกจ่ายสะสม
ปีงบประมาณ (ต.ค. 61 – ก.ย. 62)
จํานวน 34 แห่ง 164,976 104,024 63%
ปีปฏิทิน (ม.ค. 62 – ธ.ค. 62)
จํานวน 11 แห่ง 95,995 95,864 100%
รวม 45 แห่ง 260,971 199,887 77%
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเบิกจ่ายสะสมของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง แบ่งเป็นรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ 12 เดือน (เดือนตุลาคม 2561 – เดือนกันยายน 2562) ซึ่งสิ้นสุดปีงบประมาณ 2562 แล้ว จํานวน 34 แห่ง เบิกจ่ายจริงสะสม 104,024 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 63 ของกรอบลงทุนของปีงบประมาณ และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน 9 เดือน (เดือนมกราคม – เดือนกันยายน 2562) จํานวน 11 แห่ง เบิกจ่ายจริงสะสม 95,864 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 100 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม
ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562
หน่วย : ล้านบาท
ชื่อรัฐวิสาหกิจ แผนเบิกจ่ายสะสม ผลการเบิกจ่ายสะสม ร้อยละเบิกจ่าย/
แผนเบิกจ่ายสะสม
1. ปีงบประมาณ จํานวน 34 แห่ง (รวม) 164,976 104,024 63%
1.1 การรถไฟแห่งประเทศไทย 76,184 33,460 44%
1.2 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย 28,472 28,471 100%
1.3 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) 17,912 13,202 74%
1.4 การประปาส่วนภูมิภาค 13,000 7,761 60%
1.5 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 6,203 1,639 26%
1.6 การเคหะแห่งชาติ 4,677 3,985 85%
1.7 การประปานครหลวง 4,500 4,500 100%
1.8 องค์การเภสัชกรรม 2,034 1,451 71%
1.9 การท่าเรือแห่งประเทศไทย 2,010 1,937 96%
1.10 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 1,986 1,918 97%
1.11 บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด 1,250 1,186 95%
1.12 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 23 แห่ง 6,748 4,514 67%
2. ปีปฏิทิน จํานวน 11 แห่ง (รวม) 95,955 95,864 100%
2.1 บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 18,095 17,850 99%
2.2 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 32,794 35,673 109%
2.3 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 22,547 20,585 91%
2.4 การไฟฟ้านครหลวง 10,253 12,166 119%
2.5 บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) 4,263 2,767 65%
2.6 บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) 2,393 2,915 122%
2.7 บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด 2,480 891 36%
2.8 บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) 2,137 2,040 95%
2.9 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 3 แห่ง 1,032 976 95%
รวม 45 แห่ง 260,971 199,887 77%
ที่มา : สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
โครงการที่สามารถเบิกจ่ายได้ตามแผน ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1 – 2) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย แผนระยะยาวธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จํากัด มหาชน แผนปรับปรุงและขยายระบบจําหน่ายพลังไฟฟ้าฉบับที่ 12 ปี 2560 – 2564 ของการไฟฟ้านครหลวง โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และแผนงานปรับปรุงท่อเพื่อลดน้ําสูญเสีย (ปี 2561 - 2564) ของการประปานครหลวง สําหรับโครงการที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามแผน ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – จีน ระยะที่ 1 (ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ซึ่งทําให้ทั้ง 2 รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายได้ต่ํากว่าแผนอย่างมีนัยสําคัญในปี 2562 ทั้งนี้ หากไม่รวมการเบิกจ่ายงบลงทุนของ รฟท. และ กทพ. การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจจะเท่ากับร้อยละ 92 ของแผน
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า การลงทุนของรัฐวิสาหกิจยังคงเป็นเครื่องมือที่สําคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น สคร. จึงมีการติดตามและทํางานร่วมกับรัฐวิสาหกิจอย่างเข้มข้นในการเตรียมความพร้อมสําหรับการเบิกจ่ายงบลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้การเบิกจ่ายในช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2562 รวมถึงในช่วงต้นปี 2563 เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โดยไม่เกิดปัญหาเช่นที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและยังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ :
นายพีรภาส นาคบุรี นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจปฏิบัติการ สคร.
โทร.0-2248-5880-7 ต่อ 3177
อีเมล์ Pheeraphat_n@sepo.go.th
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. เร่งติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจใกล้ชิด คาดปี 2562 สามารถเบิกจ่ายเกินร้อยละ 80
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562
สคร. เร่งติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจใกล้ชิด คาดปี 2562 สามารถเบิกจ่ายเกินร้อยละ 80
สคร. ได้มีการเร่งติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 ของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง มีผลการเบิกจ่ายสะสม จํานวน 199,887 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 77 ของแผนเบิกจ่ายสะสม และคาดว่าในปี 2562 รัฐวิสาหกิจจะสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ร้อยละ 80
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในเดือนกันยายนและตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา สคร. ได้มีการเร่งติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด โดยได้จัดประชุมร่วมกับรัฐวิสาหกิจที่มีงบลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อหารือแนวทางในการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามแผน และผลักดันให้รัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพพิจารณาเร่งการลงทุนโครงการใหม่ๆ เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2562 และสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย โดยภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 ของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง มีผลการเบิกจ่ายสะสม จํานวน 199,887 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 77 ของแผนเบิกจ่ายสะสม และคาดว่าในปี 2562 รัฐวิสาหกิจจะสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ร้อยละ 80 ของกรอบการเบิกจ่ายงบลงทุนทั้งปี
ผลการเบิกจ่ายสะสมของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562
หน่วย: ล้านบาท
รัฐวิสาหกิจ แผนเบิกจ่ายสะสม เบิกจ่ายจริง
สะสม ร้อยละเบิกจ่ายจริงสะสม/แผนเบิกจ่ายสะสม
ปีงบประมาณ (ต.ค. 61 – ก.ย. 62)
จํานวน 34 แห่ง 164,976 104,024 63%
ปีปฏิทิน (ม.ค. 62 – ธ.ค. 62)
จํานวน 11 แห่ง 95,995 95,864 100%
รวม 45 แห่ง 260,971 199,887 77%
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเบิกจ่ายสะสมของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง แบ่งเป็นรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ 12 เดือน (เดือนตุลาคม 2561 – เดือนกันยายน 2562) ซึ่งสิ้นสุดปีงบประมาณ 2562 แล้ว จํานวน 34 แห่ง เบิกจ่ายจริงสะสม 104,024 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 63 ของกรอบลงทุนของปีงบประมาณ และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน 9 เดือน (เดือนมกราคม – เดือนกันยายน 2562) จํานวน 11 แห่ง เบิกจ่ายจริงสะสม 95,864 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 100 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม
ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562
หน่วย : ล้านบาท
ชื่อรัฐวิสาหกิจ แผนเบิกจ่ายสะสม ผลการเบิกจ่ายสะสม ร้อยละเบิกจ่าย/
แผนเบิกจ่ายสะสม
1. ปีงบประมาณ จํานวน 34 แห่ง (รวม) 164,976 104,024 63%
1.1 การรถไฟแห่งประเทศไทย 76,184 33,460 44%
1.2 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย 28,472 28,471 100%
1.3 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) 17,912 13,202 74%
1.4 การประปาส่วนภูมิภาค 13,000 7,761 60%
1.5 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 6,203 1,639 26%
1.6 การเคหะแห่งชาติ 4,677 3,985 85%
1.7 การประปานครหลวง 4,500 4,500 100%
1.8 องค์การเภสัชกรรม 2,034 1,451 71%
1.9 การท่าเรือแห่งประเทศไทย 2,010 1,937 96%
1.10 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 1,986 1,918 97%
1.11 บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด 1,250 1,186 95%
1.12 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 23 แห่ง 6,748 4,514 67%
2. ปีปฏิทิน จํานวน 11 แห่ง (รวม) 95,955 95,864 100%
2.1 บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 18,095 17,850 99%
2.2 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 32,794 35,673 109%
2.3 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 22,547 20,585 91%
2.4 การไฟฟ้านครหลวง 10,253 12,166 119%
2.5 บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) 4,263 2,767 65%
2.6 บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) 2,393 2,915 122%
2.7 บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด 2,480 891 36%
2.8 บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) 2,137 2,040 95%
2.9 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 3 แห่ง 1,032 976 95%
รวม 45 แห่ง 260,971 199,887 77%
ที่มา : สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
โครงการที่สามารถเบิกจ่ายได้ตามแผน ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1 – 2) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย แผนระยะยาวธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จํากัด มหาชน แผนปรับปรุงและขยายระบบจําหน่ายพลังไฟฟ้าฉบับที่ 12 ปี 2560 – 2564 ของการไฟฟ้านครหลวง โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และแผนงานปรับปรุงท่อเพื่อลดน้ําสูญเสีย (ปี 2561 - 2564) ของการประปานครหลวง สําหรับโครงการที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามแผน ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – จีน ระยะที่ 1 (ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ซึ่งทําให้ทั้ง 2 รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายได้ต่ํากว่าแผนอย่างมีนัยสําคัญในปี 2562 ทั้งนี้ หากไม่รวมการเบิกจ่ายงบลงทุนของ รฟท. และ กทพ. การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจจะเท่ากับร้อยละ 92 ของแผน
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า การลงทุนของรัฐวิสาหกิจยังคงเป็นเครื่องมือที่สําคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น สคร. จึงมีการติดตามและทํางานร่วมกับรัฐวิสาหกิจอย่างเข้มข้นในการเตรียมความพร้อมสําหรับการเบิกจ่ายงบลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้การเบิกจ่ายในช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2562 รวมถึงในช่วงต้นปี 2563 เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โดยไม่เกิดปัญหาเช่นที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและยังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ :
นายพีรภาส นาคบุรี นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจปฏิบัติการ สคร.
โทร.0-2248-5880-7 ต่อ 3177
อีเมล์ Pheeraphat_n@sepo.go.th
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24240
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”ยกทีมลงใต้ส่องฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อย จ.ยะลา ตั้งเป้ากว่าหมื่นคน จบแล้วมีรายได้เพิ่ม ชีวิตมั่นคง
|
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561
“บิ๊กอู๋”ยกทีมลงใต้ส่องฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อย จ.ยะลา ตั้งเป้ากว่าหมื่นคน จบแล้วมีรายได้เพิ่ม ชีวิตมั่นคง
รมว.แรงงาน ยกทีมผู้บริหารลงใต้ ตรวจความคืบหน้าโครงการฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อย
ที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ พบ จ.ยะลา เป้าหมายดําเนินการกว่าหมื่นคน ย้ํา คุณภาพการฝึกต้องมาก่อน ฝึกจบแล้วสามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้จริง ให้มีอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น
รมว.แรงงาน ยกทีมผู้บริหารลงใต้ ตรวจความคืบหน้าโครงการฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อย
ที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ พบ จ.ยะลา เป้าหมายดําเนินการกว่าหมื่นคน ย้ํา คุณภาพการฝึกต้องมาก่อน ฝึกจบแล้วสามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้จริง ให้มีอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น และเกิดความมั่นคงในชีวิต
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2561 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจติดตามความคืบหน้าโครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ และความมั่นคงในชีวิต ณ หอประชุมพัฒนรัฐ (สุขเจริญ) ที่ว่าการอําเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา โดยมี นายเจษฎา จิตรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาให้การต้อนรับ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า รัฐบาลได้กําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาประเทศ 6 ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่งคง ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมด้านสร้างความเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารภาครัฐ
สําหรับจังหวัดยะลามีผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแจ้งความประสงค์จะฝึกอาชีพกับสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 24 ยะลา จํานวน 10,489 คน แยกเป็นหลักสูตรการฝึกอาชีพเร่งด่วนช่างเอนกประสงค์ (ช่างชุมชน 215 คน) และหลักสูตรการฝึกอาชีพเสริม 10,274 คน ได้ดําเนินการไปแล้วทั้งสิ้น หลักสูตรการฝึกอาชีพเร่งด่วนช่างเอนกประสงค์ 4 รุ่น จํานวน 91 คน และหลักสูตรการฝึกอาชีพเสริม 209 รุ่น จํานวน 4,628 คน
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ยังได้เยี่ยมชมกิจกรรมสาธิตการฝึกอาชีพ ได้แก่ สาขาการประกอบอาหารไทย จํานวน 20 คน อาทิ เมนูแกงมัสมั่นไก่ ต้มยํากุ้งทะเลน้ําข้น แกงเขียวหวานเนื้อ สาขาขนมไทย จํานวน 20 คน อาทิ ตะโก้มันม่วง ขนมชั้นแฟนซี ขนมบ้าบิ่น สาขาการซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า จํานวน 20 คน ได้แก่ การตรวจซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทให้พลังงานความร้อน และประเภทพลังงานกลนอกจากนี้ ยังมีการสาธิตอาชีพของแรงงานนอกระบบ ได้แก่ การทํารองเท้า ผ้ามัดย้อม จักสานตะกร้าเส้นพลาสติก เฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ กล้วยหินฉาบ และกระเป๋าผ้า
รมว.แรงงาน ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีแผนดําเนินการจํานวน 402,671 คน ดําเนินการแล้ว 176,104 คน (ณ 16 สิงหาคม 2561) และการลงพื้นที่ในครั้งนี้ต้องการติดตามความคืบหน้าการดําเนินงาน และรับฟังปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ด้วย ซึ่งให้ความสําคัญในเรื่องของคุณภาพการฝึก สาขาที่ดําเนินการต้องสามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย สามารถนําไปประกอบอาชีพได้จริงจะได้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้ให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานดําเนินการพัฒนาศักยภาพผู้มีรายได้น้อย
ทั่วประเทศจํานวน 652,120 คน ประกอบด้วย กิจกรรมการส่งเสริมและฝึกอาชีพ หลักสูตรฝึกอาชีพช่างเร่งด่วน ช่างอเนกประสงค์ (ช่างชุมชน) จํานวน 60 ชั่วโมง 81,000 คน พร้อมทั้งมอบเครื่องมือประกอบอาชีพให้แก่ผู้สําเร็จการฝึกเพื่อการมีงานทํานําไปต่อยอดในการรับงานในชุมชน และกิจกรรมการประกอบอาชีพอิสระ จํานวน 18 ชั่วโมง 30 ชั่วโมง และ 60 ชั่วโมง หรือประกอบอาชีพอิสระ จํานวน 544,120 คน มี 58 หลักสูตร เช่น การทําศิลปะประดิษฐ์ การแต่งผมสุภาพบุรุษ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร การประกอบอาหารไทย เป็นต้น
------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน – ข้อมูล/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
18 สิงหาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”ยกทีมลงใต้ส่องฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อย จ.ยะลา ตั้งเป้ากว่าหมื่นคน จบแล้วมีรายได้เพิ่ม ชีวิตมั่นคง
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561
“บิ๊กอู๋”ยกทีมลงใต้ส่องฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อย จ.ยะลา ตั้งเป้ากว่าหมื่นคน จบแล้วมีรายได้เพิ่ม ชีวิตมั่นคง
รมว.แรงงาน ยกทีมผู้บริหารลงใต้ ตรวจความคืบหน้าโครงการฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อย
ที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ พบ จ.ยะลา เป้าหมายดําเนินการกว่าหมื่นคน ย้ํา คุณภาพการฝึกต้องมาก่อน ฝึกจบแล้วสามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้จริง ให้มีอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น
รมว.แรงงาน ยกทีมผู้บริหารลงใต้ ตรวจความคืบหน้าโครงการฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อย
ที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ พบ จ.ยะลา เป้าหมายดําเนินการกว่าหมื่นคน ย้ํา คุณภาพการฝึกต้องมาก่อน ฝึกจบแล้วสามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้จริง ให้มีอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น และเกิดความมั่นคงในชีวิต
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2561 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจติดตามความคืบหน้าโครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ และความมั่นคงในชีวิต ณ หอประชุมพัฒนรัฐ (สุขเจริญ) ที่ว่าการอําเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา โดยมี นายเจษฎา จิตรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาให้การต้อนรับ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า รัฐบาลได้กําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาประเทศ 6 ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่งคง ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมด้านสร้างความเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารภาครัฐ
สําหรับจังหวัดยะลามีผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแจ้งความประสงค์จะฝึกอาชีพกับสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 24 ยะลา จํานวน 10,489 คน แยกเป็นหลักสูตรการฝึกอาชีพเร่งด่วนช่างเอนกประสงค์ (ช่างชุมชน 215 คน) และหลักสูตรการฝึกอาชีพเสริม 10,274 คน ได้ดําเนินการไปแล้วทั้งสิ้น หลักสูตรการฝึกอาชีพเร่งด่วนช่างเอนกประสงค์ 4 รุ่น จํานวน 91 คน และหลักสูตรการฝึกอาชีพเสริม 209 รุ่น จํานวน 4,628 คน
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ยังได้เยี่ยมชมกิจกรรมสาธิตการฝึกอาชีพ ได้แก่ สาขาการประกอบอาหารไทย จํานวน 20 คน อาทิ เมนูแกงมัสมั่นไก่ ต้มยํากุ้งทะเลน้ําข้น แกงเขียวหวานเนื้อ สาขาขนมไทย จํานวน 20 คน อาทิ ตะโก้มันม่วง ขนมชั้นแฟนซี ขนมบ้าบิ่น สาขาการซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า จํานวน 20 คน ได้แก่ การตรวจซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทให้พลังงานความร้อน และประเภทพลังงานกลนอกจากนี้ ยังมีการสาธิตอาชีพของแรงงานนอกระบบ ได้แก่ การทํารองเท้า ผ้ามัดย้อม จักสานตะกร้าเส้นพลาสติก เฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ กล้วยหินฉาบ และกระเป๋าผ้า
รมว.แรงงาน ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีแผนดําเนินการจํานวน 402,671 คน ดําเนินการแล้ว 176,104 คน (ณ 16 สิงหาคม 2561) และการลงพื้นที่ในครั้งนี้ต้องการติดตามความคืบหน้าการดําเนินงาน และรับฟังปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ด้วย ซึ่งให้ความสําคัญในเรื่องของคุณภาพการฝึก สาขาที่ดําเนินการต้องสามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย สามารถนําไปประกอบอาชีพได้จริงจะได้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้ให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานดําเนินการพัฒนาศักยภาพผู้มีรายได้น้อย
ทั่วประเทศจํานวน 652,120 คน ประกอบด้วย กิจกรรมการส่งเสริมและฝึกอาชีพ หลักสูตรฝึกอาชีพช่างเร่งด่วน ช่างอเนกประสงค์ (ช่างชุมชน) จํานวน 60 ชั่วโมง 81,000 คน พร้อมทั้งมอบเครื่องมือประกอบอาชีพให้แก่ผู้สําเร็จการฝึกเพื่อการมีงานทํานําไปต่อยอดในการรับงานในชุมชน และกิจกรรมการประกอบอาชีพอิสระ จํานวน 18 ชั่วโมง 30 ชั่วโมง และ 60 ชั่วโมง หรือประกอบอาชีพอิสระ จํานวน 544,120 คน มี 58 หลักสูตร เช่น การทําศิลปะประดิษฐ์ การแต่งผมสุภาพบุรุษ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร การประกอบอาหารไทย เป็นต้น
------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน – ข้อมูล/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
18 สิงหาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14723
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ลงนามความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาในด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลกับ IFFสถาบันชั้นนำของโลกในเยอรมนี
|
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ ลงนามความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาในด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลกับ IFFสถาบันชั้นนําของโลกในเยอรมนี
กระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 5.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 5.0px 0.0px; text-align: justify; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 5.0px 0.0px; text-align: center; font: 14.0px Times; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะผู้แทนกระทรวงดิจิทัลฯ ลงนาม “ปฏิญญาเจตจํานงร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาระหว่างประเทศในด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล” ร่วมกับ ศาสตราจารย์มิคาเอล เช็งค์ (Univ.-Prof. Dr.-Ing. habil. Prof. E. h. Dr. hc mult. Michael Schenk) ผู้อํานวยการสถาบันฟรอนโฮเฟอร์ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ โรงแรม Hilton Berlin สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เนื่องในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ เดินทางเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีอย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยมี ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ ดร.ฮูเบิร์ท ลินฮาร์ด (Dr. Hovert Lienhard) ประธานคณะกรรมาธิการเอเชียแปซิฟิคของภาคธุรกิจเยอรมัน (Asia -Pacific Committee of German Business ) ร่วมเป็นสักขีพยาน โดยฟรอนโฮเฟอร์ (Fraunhofer Institute for Factory Operation and Automation) หรือ IFF เป็นองค์กรวิจัยชั้นนําของโลกในเยอรมนี มีความเชี่ยวชาญในด้านระบบการทํางานอัจฉริยะ ระบบการผลิตและโลจิสติกส์ การหลอมรวมของโครงสร้างพื้นฐาน วิศวกรรมด้านดิจิทัล และอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งมีความสอดคล้องและเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทยเป็นอย่างยิ่ง
*********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ลงนามความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาในด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลกับ IFFสถาบันชั้นนำของโลกในเยอรมนี
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ ลงนามความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาในด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลกับ IFFสถาบันชั้นนําของโลกในเยอรมนี
กระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 5.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 5.0px 0.0px; text-align: justify; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 5.0px 0.0px; text-align: center; font: 14.0px Times; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะผู้แทนกระทรวงดิจิทัลฯ ลงนาม “ปฏิญญาเจตจํานงร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาระหว่างประเทศในด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล” ร่วมกับ ศาสตราจารย์มิคาเอล เช็งค์ (Univ.-Prof. Dr.-Ing. habil. Prof. E. h. Dr. hc mult. Michael Schenk) ผู้อํานวยการสถาบันฟรอนโฮเฟอร์ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ โรงแรม Hilton Berlin สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เนื่องในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ เดินทางเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีอย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยมี ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ ดร.ฮูเบิร์ท ลินฮาร์ด (Dr. Hovert Lienhard) ประธานคณะกรรมาธิการเอเชียแปซิฟิคของภาคธุรกิจเยอรมัน (Asia -Pacific Committee of German Business ) ร่วมเป็นสักขีพยาน โดยฟรอนโฮเฟอร์ (Fraunhofer Institute for Factory Operation and Automation) หรือ IFF เป็นองค์กรวิจัยชั้นนําของโลกในเยอรมนี มีความเชี่ยวชาญในด้านระบบการทํางานอัจฉริยะ ระบบการผลิตและโลจิสติกส์ การหลอมรวมของโครงสร้างพื้นฐาน วิศวกรรมด้านดิจิทัล และอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งมีความสอดคล้องและเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทยเป็นอย่างยิ่ง
*********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17205
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร
|
วันอังคารที่ 7 มกราคม 2563
ส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร
วันอังคารที่ 7 มกราคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลส่งความสุขปีใหม่ ให้แก่เกษตรกร ด้วยการส่งมอบโครงการชลประทานขนาดเล็กที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2562 จํานวน 6 โครงการ ปรับปรุงถนนคันคลอง 66 แห่งทั่วประเทศ สนับสนุนพันธุ์พืชเสริมรายได้ ฝึกทักษะขยายพันธุ์พืช และมอบปัจจัยการผลิตต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังเพิ่มช่องทางจําหน่ายสินค้าเกษตร ในพื้นที่ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และตลาดออนไลน์ รวมถึงปรับภูมิทัศน์และเปิดสถานที่ให้ประชาชนเข้าชมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในแต่ละจังหวัด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร
วันอังคารที่ 7 มกราคม 2563
ส่งความสุขปีใหม่ มอบให้เกษตรกร
วันอังคารที่ 7 มกราคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลส่งความสุขปีใหม่ ให้แก่เกษตรกร ด้วยการส่งมอบโครงการชลประทานขนาดเล็กที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2562 จํานวน 6 โครงการ ปรับปรุงถนนคันคลอง 66 แห่งทั่วประเทศ สนับสนุนพันธุ์พืชเสริมรายได้ ฝึกทักษะขยายพันธุ์พืช และมอบปัจจัยการผลิตต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังเพิ่มช่องทางจําหน่ายสินค้าเกษตร ในพื้นที่ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และตลาดออนไลน์ รวมถึงปรับภูมิทัศน์และเปิดสถานที่ให้ประชาชนเข้าชมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในแต่ละจังหวัด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25640
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมหารือกับเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย สร้างความร่วมมือด้านดิจิทัล
|
วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมหารือกับเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย สร้างความร่วมมือด้านดิจิทัล
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Paul Robilliard เอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจําประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือความร่วมมือด้านดิจิทัลระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย โดยฝ่ายไทยได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินนโยบายที่สําคัญของกระทรวงฯ ใน 5 ด้าน ได้แก่ ความปลอดภัยด้านไซเบอร์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การพัฒนาศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ Big Data การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านดิจิทัล รวมถึงการดําเนินโครงการสําคัญๆ อาทิ Digital Park, Smart city และการจัดตั้งสถาบัน IoT เป็นต้น นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงดิจิทัลฯ โดยสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศออสเตรเลีย ได้ร่วมมือกันกําหนดจัดการประชุมและสัมมนาในด้าน Cybersecurity และ Digital Economy ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในหลากหลายสาขา โดยเป็นการประชุมสําคัญที่เน้นย้ําถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างออสเตรเลียและกลุ่มประเทศอาเซียนในทุกสาขา สําหรับการหารือในครั้งนี้มีขึ้นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2561 ณ สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ถนนรางน้ํา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมหารือกับเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย สร้างความร่วมมือด้านดิจิทัล
วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมหารือกับเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย สร้างความร่วมมือด้านดิจิทัล
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Paul Robilliard เอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจําประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือความร่วมมือด้านดิจิทัลระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย โดยฝ่ายไทยได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินนโยบายที่สําคัญของกระทรวงฯ ใน 5 ด้าน ได้แก่ ความปลอดภัยด้านไซเบอร์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การพัฒนาศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ Big Data การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านดิจิทัล รวมถึงการดําเนินโครงการสําคัญๆ อาทิ Digital Park, Smart city และการจัดตั้งสถาบัน IoT เป็นต้น นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงดิจิทัลฯ โดยสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศออสเตรเลีย ได้ร่วมมือกันกําหนดจัดการประชุมและสัมมนาในด้าน Cybersecurity และ Digital Economy ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในหลากหลายสาขา โดยเป็นการประชุมสําคัญที่เน้นย้ําถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างออสเตรเลียและกลุ่มประเทศอาเซียนในทุกสาขา สําหรับการหารือในครั้งนี้มีขึ้นเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2561 ณ สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ถนนรางน้ํา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ
**********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9614
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟฯ เปิดเดินขบวนทางไกล และขบวนรถนำเที่ยวเพิ่มเติม จำนวน 40 ขบวน ภายหลัง ศบค. ไฟเขียวผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 เริ่มเปิดให้บริการ 1 กรกฎาคมนี้ [กระทรวงคมนาคม]
|
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563
การรถไฟฯ เปิดเดินขบวนทางไกล และขบวนรถนําเที่ยวเพิ่มเติม จํานวน 40 ขบวน ภายหลัง ศบค. ไฟเขียวผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 เริ่มเปิดให้บริการ 1 กรกฎาคมนี้ [กระทรวงคมนาคม]
การรถไฟฯ เปิดเดินขบวนทางไกล และขบวนรถนําเที่ยวเพิ่มเติม จํานวน 40 ขบวน ภายหลัง ศบค. ไฟเขียวผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 เริ่มเปิดให้บริการ 1 กรกฎาคมนี้
การรถไฟแห่งประเทศ ประกาศเปิดให้บริการขบวนรถทางไกล ขบวนรถนําเที่ยววันหยุด และขบวนรถพิเศษโดยสารวันหยุดเป็นการเพิ่มเติม จํานวน 40 ขบวน ภายหลังมีการยกเลิกประกาศห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานหรือเคอร์ฟิว และการขนส่งสาธารณะข้ามเขตพื้นที่จังหวัด ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป และยกเลิกขบวนรถโดยสารพิเศษที่ให้บริการชั่วคราว
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เห็นชอบให้ยกเลิกประกาศห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานหรือเคอร์ฟิว และการขนส่งสาธารณะข้ามเขตพื้นที่จังหวัด ในการผ่อนปรนมาตรการระยะที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อการดําเนินชีวิตของประชาชนด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงตามหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกและตามผลการประเมินสถานการณ์ของฝ่ายสาธารณสุข พร้อมทั้งอนุญาตให้กิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงกลับมาดําเนินการได้ แต่ยังควบคุมการเดินทางเข้าราชอาณาจักรทั้งทางบก ทางน้ําและทางอากาศ โดยกําหนดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบและกํากับดูแลการขนส่งผู้โดยสารที่เป็นการขนส่งสาธารณะทุกประเภท (รถโดยสารประจําทาง รถปรับอากาศ รถตู้ รถไฟ เรือ เครื่องบิน) โดยผู้ประกอบการต้องจัดระบบและระเบียบต่าง ๆ รวมทั้งให้มีการจอดพักรถ การเว้นที่นั่ง และการจํากัดจํานวนผู้โดยสารในแต่ละเที่ยว ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนด ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าจะมีประชาชนมีความต้องการในการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกการเดินทางของประชาชนที่มีความจําเป็นต้องเดินทางโดยรถไฟ ทั้งการเดินทางภายในเขตเมือง ระหว่างเมือง และทางไกล ข้ามเขตพื้นที่จังหวัด การรถไฟฯ จึงได้ประกาศเปิดเดินขบวนรถโดยสารทางไกลเพิ่มเติม จํานวน 40 ขบวน เพื่อให้สอดคล้องตามมาตรการผ่อนคลายการเดินทาง ระยะที่ 4 เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป สําหรับขบวนรถที่เปิดให้บริการในเส้นทางต่าง ๆ มีดังนี้
1. ขบวนรถโดยสารทางไกล จํานวน 34 ขบวน (ไป-กลับ) ดังนี้
1.1 สายเหนือ
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวไป) จํานวน 6 ขบวน
ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวกลับ) จํานวน 4 ขบวน
1.2 สายตะวันออกเฉียงเหนือ
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวไป) จํานวน 9 ขบวน
ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวกลับ) จํานวน 5 ขบวน
1.3 สายใต้
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวไป) จํานวน 7 ขบวน
ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวกลับ) จํานวน 3 ขบวน
2. ขบวนรถนําเที่ยววันหยุด และขบวนรถพิเศษโดยสารวันหยุด เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2563
เป็นต้นไป จํานวน 6 ขบวน (ไป-กลับ)
2.1 ขบวนรถนําเที่ยว 909/910 กรุงเทพ-น้ําตก-กรุงเทพ
2.2 ขบวนรถนําเที่ยว 911/912 กรุงเทพ-สวนสนประดิพัทธ์-กรุงเทพ
2.3 ขบวนรถพิเศษโดยสารที่ 997/998 กรุงเทพ-บ้านพลูตาหลวง-กรุงเทพ
นอกจากนี้ ได้ประกาศยกเลิกขบวนรถโดยสารพิเศษที่ได้ขยายระยะเวลาให้บริการผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราว 30 วัน โดยจะประกาศยกเลิกตั้งแต่วันที่ 1 – 17 กรกฎาคม 2563 จํานวน 6 ขบวน (ไป-กลับ) ประกอบด้วย 1. ขบวนรถโดยสารพิเศษที่ 9071 (กรุงเทพ–อุบลราชธานี) ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9075 (กรุงเทพ–หนองคาย) ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9051 กรุงเทพ- เชียงใหม่ ยกเลิกตั้งแต่วันที่ 1–16 กรกฎาคม 2563 และ 2. ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9072 (อุบลราชธานี-กรุงเทพ) ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9076 (หนองคาย-กรุงเทพ) ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9052 เชียงใหม่ - กรุงเทพ ยกเลิกตั้งแต่วันที่ 1 – 17 กรกฎาคม 2563
การรถไฟฯ ยังคงให้ความสําคัญในด้านมาตรการป้องกันความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ได้ดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมอย่างเคร่งครัด โดยให้พนักงานด้านปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ถุงมือยางและ Face shield ตลอดเวลาที่ให้บริการ การตรวจคัดกรองผู้โดยสารอย่างเข้มข้น การจัดให้มีแอลกอฮอล์เจลบริการอย่างเพียงพอและทั่วถึง ทั้งบริเวณสถานีและบนขบวนรถ การรักษาระยะห่าง Social Distancing ให้มีจุดยืน /นั่ง ให้ชัดเจน ทั้งที่สถานีและขบวนรถ โดยจํากัดการจําหน่ายตั๋วโดยสารไว้ที่ร้อยละ 50 ของจํานวนที่นั่งทั้งหมด เมื่อจําหน่ายเต็มตามที่ระบุแล้ว จะไม่จําหน่ายตั๋วอีกรวมทั้งตั๋วไม่มีที่นั่ง (ตั๋วยืน) และการงดจําหน่ายอาหารบนขบวนรถ หากผู้โดยสารที่เดินทางไกลเกินกว่า 3 ชั่วโมง ให้เตรียมอาหารไปรับประทานเอง และจะดําเนินการติดตั้ง แอปพลิเคชั่น (application) “ไทยชนะ” ที่สถานีและบนขบวนรถ (เป็นรายตู้/โบกี้) เพื่อใช้ควบคุมการเข้าออกของผู้โดยสารที่มาใช้บริการผ่าน Check-in และ Check-out จากแอปพลิเคชั่นดังกล่าว สําหรับผู้โดยสารที่มีความประสงค์จะเดินทาง สามารถจองตั๋วล่วงหน้าได้แต่วันที่ 27 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งกําหนดเวลาต่าง ๆ ได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ สถานีรถไฟ หรือเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟฯ เปิดเดินขบวนทางไกล และขบวนรถนำเที่ยวเพิ่มเติม จำนวน 40 ขบวน ภายหลัง ศบค. ไฟเขียวผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 เริ่มเปิดให้บริการ 1 กรกฎาคมนี้ [กระทรวงคมนาคม]
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563
การรถไฟฯ เปิดเดินขบวนทางไกล และขบวนรถนําเที่ยวเพิ่มเติม จํานวน 40 ขบวน ภายหลัง ศบค. ไฟเขียวผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 เริ่มเปิดให้บริการ 1 กรกฎาคมนี้ [กระทรวงคมนาคม]
การรถไฟฯ เปิดเดินขบวนทางไกล และขบวนรถนําเที่ยวเพิ่มเติม จํานวน 40 ขบวน ภายหลัง ศบค. ไฟเขียวผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 เริ่มเปิดให้บริการ 1 กรกฎาคมนี้
การรถไฟแห่งประเทศ ประกาศเปิดให้บริการขบวนรถทางไกล ขบวนรถนําเที่ยววันหยุด และขบวนรถพิเศษโดยสารวันหยุดเป็นการเพิ่มเติม จํานวน 40 ขบวน ภายหลังมีการยกเลิกประกาศห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานหรือเคอร์ฟิว และการขนส่งสาธารณะข้ามเขตพื้นที่จังหวัด ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป และยกเลิกขบวนรถโดยสารพิเศษที่ให้บริการชั่วคราว
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เห็นชอบให้ยกเลิกประกาศห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานหรือเคอร์ฟิว และการขนส่งสาธารณะข้ามเขตพื้นที่จังหวัด ในการผ่อนปรนมาตรการระยะที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อการดําเนินชีวิตของประชาชนด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงตามหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกและตามผลการประเมินสถานการณ์ของฝ่ายสาธารณสุข พร้อมทั้งอนุญาตให้กิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงกลับมาดําเนินการได้ แต่ยังควบคุมการเดินทางเข้าราชอาณาจักรทั้งทางบก ทางน้ําและทางอากาศ โดยกําหนดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบและกํากับดูแลการขนส่งผู้โดยสารที่เป็นการขนส่งสาธารณะทุกประเภท (รถโดยสารประจําทาง รถปรับอากาศ รถตู้ รถไฟ เรือ เครื่องบิน) โดยผู้ประกอบการต้องจัดระบบและระเบียบต่าง ๆ รวมทั้งให้มีการจอดพักรถ การเว้นที่นั่ง และการจํากัดจํานวนผู้โดยสารในแต่ละเที่ยว ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนด ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าจะมีประชาชนมีความต้องการในการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกการเดินทางของประชาชนที่มีความจําเป็นต้องเดินทางโดยรถไฟ ทั้งการเดินทางภายในเขตเมือง ระหว่างเมือง และทางไกล ข้ามเขตพื้นที่จังหวัด การรถไฟฯ จึงได้ประกาศเปิดเดินขบวนรถโดยสารทางไกลเพิ่มเติม จํานวน 40 ขบวน เพื่อให้สอดคล้องตามมาตรการผ่อนคลายการเดินทาง ระยะที่ 4 เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป สําหรับขบวนรถที่เปิดให้บริการในเส้นทางต่าง ๆ มีดังนี้
1. ขบวนรถโดยสารทางไกล จํานวน 34 ขบวน (ไป-กลับ) ดังนี้
1.1 สายเหนือ
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวไป) จํานวน 6 ขบวน
ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวกลับ) จํานวน 4 ขบวน
1.2 สายตะวันออกเฉียงเหนือ
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวไป) จํานวน 9 ขบวน
ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวกลับ) จํานวน 5 ขบวน
1.3 สายใต้
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวไป) จํานวน 7 ขบวน
ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2563 (เที่ยวกลับ) จํานวน 3 ขบวน
2. ขบวนรถนําเที่ยววันหยุด และขบวนรถพิเศษโดยสารวันหยุด เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2563
เป็นต้นไป จํานวน 6 ขบวน (ไป-กลับ)
2.1 ขบวนรถนําเที่ยว 909/910 กรุงเทพ-น้ําตก-กรุงเทพ
2.2 ขบวนรถนําเที่ยว 911/912 กรุงเทพ-สวนสนประดิพัทธ์-กรุงเทพ
2.3 ขบวนรถพิเศษโดยสารที่ 997/998 กรุงเทพ-บ้านพลูตาหลวง-กรุงเทพ
นอกจากนี้ ได้ประกาศยกเลิกขบวนรถโดยสารพิเศษที่ได้ขยายระยะเวลาให้บริการผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราว 30 วัน โดยจะประกาศยกเลิกตั้งแต่วันที่ 1 – 17 กรกฎาคม 2563 จํานวน 6 ขบวน (ไป-กลับ) ประกอบด้วย 1. ขบวนรถโดยสารพิเศษที่ 9071 (กรุงเทพ–อุบลราชธานี) ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9075 (กรุงเทพ–หนองคาย) ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9051 กรุงเทพ- เชียงใหม่ ยกเลิกตั้งแต่วันที่ 1–16 กรกฎาคม 2563 และ 2. ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9072 (อุบลราชธานี-กรุงเทพ) ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9076 (หนองคาย-กรุงเทพ) ขบวนรถโดยสารพิเศษ 9052 เชียงใหม่ - กรุงเทพ ยกเลิกตั้งแต่วันที่ 1 – 17 กรกฎาคม 2563
การรถไฟฯ ยังคงให้ความสําคัญในด้านมาตรการป้องกันความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ได้ดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมอย่างเคร่งครัด โดยให้พนักงานด้านปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ถุงมือยางและ Face shield ตลอดเวลาที่ให้บริการ การตรวจคัดกรองผู้โดยสารอย่างเข้มข้น การจัดให้มีแอลกอฮอล์เจลบริการอย่างเพียงพอและทั่วถึง ทั้งบริเวณสถานีและบนขบวนรถ การรักษาระยะห่าง Social Distancing ให้มีจุดยืน /นั่ง ให้ชัดเจน ทั้งที่สถานีและขบวนรถ โดยจํากัดการจําหน่ายตั๋วโดยสารไว้ที่ร้อยละ 50 ของจํานวนที่นั่งทั้งหมด เมื่อจําหน่ายเต็มตามที่ระบุแล้ว จะไม่จําหน่ายตั๋วอีกรวมทั้งตั๋วไม่มีที่นั่ง (ตั๋วยืน) และการงดจําหน่ายอาหารบนขบวนรถ หากผู้โดยสารที่เดินทางไกลเกินกว่า 3 ชั่วโมง ให้เตรียมอาหารไปรับประทานเอง และจะดําเนินการติดตั้ง แอปพลิเคชั่น (application) “ไทยชนะ” ที่สถานีและบนขบวนรถ (เป็นรายตู้/โบกี้) เพื่อใช้ควบคุมการเข้าออกของผู้โดยสารที่มาใช้บริการผ่าน Check-in และ Check-out จากแอปพลิเคชั่นดังกล่าว สําหรับผู้โดยสารที่มีความประสงค์จะเดินทาง สามารถจองตั๋วล่วงหน้าได้แต่วันที่ 27 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งกําหนดเวลาต่าง ๆ ได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ สถานีรถไฟ หรือเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32937
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-เกาหลี ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ กรุงเทพฯ-ปูซาน เดินหน้าแลกเปลี่ยนมรดกวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้
|
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562
ไทย-เกาหลี ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ กรุงเทพฯ-ปูซาน เดินหน้าแลกเปลี่ยนมรดกวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้
ไทย-เกาหลี ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ กรุงเทพฯ-ปูซาน เดินหน้าแลกเปลี่ยนมรดกวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้ จับต้องไม่ได้ อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ กิจกรรมศิลปวัฒนธรรม ประเดิมงานแรกโครงการวัฒนธรรมสัญจร อาเซียนสู่โลก ที่เกาหลี ตุลาคมนี
ไทย-เกาหลี ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ กรุงเทพฯ-ปูซาน เดินหน้าแลกเปลี่ยนมรดกวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้ จับต้องไม่ได้ อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ กิจกรรมศิลปวัฒนธรรม ประเดิมงานแรกโครงการวัฒนธรรมสัญจร อาเซียนสู่โลก ที่เกาหลี ตุลาคมนี้
วันที่ 6 กันยายน 2562 เวลา 16.30 น. นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ กรุงเทพมหานคร และศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ นครปูซาน ณ ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ถนนราชดําเนิน โดยมีประธานมูลนิธิเกาหลี เอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกอาเซียนประจําประเทศไทย ผู้บริหาร แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนเข้าร่วม
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ เป็นก้าวสําคัญในการเสริมสร้าง การแลกเปลี่ยนมรดกวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้และอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งความร่วมมือด้านศิลปวัฒนธรรมในสาขาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ไม่ได้จํากัดเฉพาะแค่การแลกเปลี่ยนกิจกรรมโครงการด้านศิลปวัฒนธรรม แต่มุ่งที่จะส่งเสริมเผยแพร่องค์ความรู้และอัตลักษณ์ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของ สิบประเทศสมาชิกอาเซียนไปสู่ภายนอกภูมิภาค โดยมีศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลีเป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิด ซึ่งกิจกรรมแรกภายหลังการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ นี้ คือ โครงการวัฒนธรรมสัญจร อาเซียนสู่โลก ณ สาธารณรัฐเกาหลี โดยคณะศิลปิน “วีว่า อาเซียน (VIVA ASEAN)” จะนําการแสดงศิลปวัฒนธรรมอาเซียนและนิทรรศการปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียนไปเผยแพร่ ณ เมืองควางจูกรุงโซล นครปูซาน และเมืองเชยองจู สาธารณรัฐเกาหลี ในเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนี้ทางประเทศไทยยังเตรียมใช้พื้นที่ของศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ นครปูซาน จัดกิจกรรมการเวทีเจรจาทางธุรกิจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ระหว่างผู้ประกอบการภาพยนตร์ไทยและเกาหลี ในช่วงการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ปูชาน เดือนตุลาคมนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ สาระสําคัญในบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะดําเนินการตามรูปแบบการประสานงานและความร่วมมือดังต่อไปนี้ 1.ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการนําเสนอผลงานศิลปะและวัฒนธรรมที่มีคุณภาพสูง อาทิ โรงละคร ดนตรี การเต้นรํา วรรณกรรม ตลอดจนกิจกรรมและการศึกษาด้านวัฒนธรรมสร้างสรรค์ รูปแบบการนําเสนออาจรวมถึงการจัดนิทรรศการ การแสดง การฉายภาพยนตร์ การประชุมวิชาการ การประชุมอภิปราย การประชุมเชิงปฏิบัติการ การพบปะหารือ การสร้างเครือข่าย เป็นต้น 2.เพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างคู่ภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการและกิจกรรมหลักที่ช่วยเพิ่มการแลกเปลี่ยนระดับสถาบันและระดับประชาชน การแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม และ การร่วมมือเพื่อเพิ่มการประสานพลังด้านวัฒนธรรมสร้างสรรค์
3.แลกเปลี่ยนบุคลากร ข้อมูล และเทคนิค เพื่อสนับสนุนการแบ่งปันประสบการณ์ การปฏิบัติ รวมถึงกระบวนการในขอบเขตที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน 4.อํานวยให้เกิดการติดต่อสื่อสารร่วมกันและจัดประชุมร่วมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการที่มีศักยภาพและส่งเสริมความร่วมมือของ คู่ภาคีในการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม 5.สนับสนุนกิจกรรมอื่นที่อาจถูกร้องขอภายใต้การยินยอมร่วมกันของ คู่ภาคีและและคู่ภาคีอื่นตามความเหมาะสม
วันที่ 6 กันยายน 2562 เวลา 16.30 น. นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ กรุงเทพมหานคร และศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ นครปูซาน ณ ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ถนนราชดําเนิน โดยมีประธานมูลนิธิเกาหลี เอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกอาเซียนประจําประเทศไทย ผู้บริหาร แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนเข้าร่วม
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ เป็นก้าวสําคัญในการเสริมสร้าง การแลกเปลี่ยนมรดกวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้และอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งความร่วมมือด้านศิลปวัฒนธรรมในสาขาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ไม่ได้จํากัดเฉพาะแค่การแลกเปลี่ยนกิจกรรมโครงการด้านศิลปวัฒนธรรม แต่มุ่งที่จะส่งเสริมเผยแพร่องค์ความรู้และอัตลักษณ์ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของ สิบประเทศสมาชิกอาเซียนไปสู่ภายนอกภูมิภาค โดยมีศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลีเป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิด ซึ่งกิจกรรมแรกภายหลังการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ นี้ คือ โครงการวัฒนธรรมสัญจร อาเซียนสู่โลก ณ สาธารณรัฐเกาหลี โดยคณะศิลปิน “วีว่า อาเซียน (VIVA ASEAN)” จะนําการแสดงศิลปวัฒนธรรมอาเซียนและนิทรรศการปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียนไปเผยแพร่ ณ เมืองควางจูกรุงโซล นครปูซาน และเมืองเชยองจู สาธารณรัฐเกาหลี ในเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนี้ทางประเทศไทยยังเตรียมใช้พื้นที่ของศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ นครปูซาน จัดกิจกรรมการเวทีเจรจาทางธุรกิจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ระหว่างผู้ประกอบการภาพยนตร์ไทยและเกาหลี ในช่วงการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ปูชาน เดือนตุลาคมนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ สาระสําคัญในบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะดําเนินการตามรูปแบบการประสานงานและความร่วมมือดังต่อไปนี้ 1.ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการนําเสนอผลงานศิลปะและวัฒนธรรมที่มีคุณภาพสูง อาทิ โรงละคร ดนตรี การเต้นรํา วรรณกรรม ตลอดจนกิจกรรมและการศึกษาด้านวัฒนธรรมสร้างสรรค์ รูปแบบการนําเสนออาจรวมถึงการจัดนิทรรศการ การแสดง การฉายภาพยนตร์ การประชุมวิชาการ การประชุมอภิปราย การประชุมเชิงปฏิบัติการ การพบปะหารือ การสร้างเครือข่าย เป็นต้น 2.เพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างคู่ภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการและกิจกรรมหลักที่ช่วยเพิ่มการแลกเปลี่ยนระดับสถาบันและระดับประชาชน การแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม และ การร่วมมือเพื่อเพิ่มการประสานพลังด้านวัฒนธรรมสร้างสรรค์
3.แลกเปลี่ยนบุคลากร ข้อมูล และเทคนิค เพื่อสนับสนุนการแบ่งปันประสบการณ์ การปฏิบัติ รวมถึงกระบวนการในขอบเขตที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน 4.อํานวยให้เกิดการติดต่อสื่อสารร่วมกันและจัดประชุมร่วมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการที่มีศักยภาพและส่งเสริมความร่วมมือของ คู่ภาคีในการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม 5.สนับสนุนกิจกรรมอื่นที่อาจถูกร้องขอภายใต้การยินยอมร่วมกันของ คู่ภาคีและและคู่ภาคีอื่นตามความเหมาะสม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-เกาหลี ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ กรุงเทพฯ-ปูซาน เดินหน้าแลกเปลี่ยนมรดกวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562
ไทย-เกาหลี ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ กรุงเทพฯ-ปูซาน เดินหน้าแลกเปลี่ยนมรดกวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้
ไทย-เกาหลี ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ กรุงเทพฯ-ปูซาน เดินหน้าแลกเปลี่ยนมรดกวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้ จับต้องไม่ได้ อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ กิจกรรมศิลปวัฒนธรรม ประเดิมงานแรกโครงการวัฒนธรรมสัญจร อาเซียนสู่โลก ที่เกาหลี ตุลาคมนี
ไทย-เกาหลี ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ กรุงเทพฯ-ปูซาน เดินหน้าแลกเปลี่ยนมรดกวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้ จับต้องไม่ได้ อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ กิจกรรมศิลปวัฒนธรรม ประเดิมงานแรกโครงการวัฒนธรรมสัญจร อาเซียนสู่โลก ที่เกาหลี ตุลาคมนี้
วันที่ 6 กันยายน 2562 เวลา 16.30 น. นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ กรุงเทพมหานคร และศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ นครปูซาน ณ ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ถนนราชดําเนิน โดยมีประธานมูลนิธิเกาหลี เอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกอาเซียนประจําประเทศไทย ผู้บริหาร แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนเข้าร่วม
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ เป็นก้าวสําคัญในการเสริมสร้าง การแลกเปลี่ยนมรดกวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้และอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งความร่วมมือด้านศิลปวัฒนธรรมในสาขาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ไม่ได้จํากัดเฉพาะแค่การแลกเปลี่ยนกิจกรรมโครงการด้านศิลปวัฒนธรรม แต่มุ่งที่จะส่งเสริมเผยแพร่องค์ความรู้และอัตลักษณ์ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของ สิบประเทศสมาชิกอาเซียนไปสู่ภายนอกภูมิภาค โดยมีศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลีเป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิด ซึ่งกิจกรรมแรกภายหลังการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ นี้ คือ โครงการวัฒนธรรมสัญจร อาเซียนสู่โลก ณ สาธารณรัฐเกาหลี โดยคณะศิลปิน “วีว่า อาเซียน (VIVA ASEAN)” จะนําการแสดงศิลปวัฒนธรรมอาเซียนและนิทรรศการปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียนไปเผยแพร่ ณ เมืองควางจูกรุงโซล นครปูซาน และเมืองเชยองจู สาธารณรัฐเกาหลี ในเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนี้ทางประเทศไทยยังเตรียมใช้พื้นที่ของศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ นครปูซาน จัดกิจกรรมการเวทีเจรจาทางธุรกิจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ระหว่างผู้ประกอบการภาพยนตร์ไทยและเกาหลี ในช่วงการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ปูชาน เดือนตุลาคมนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ สาระสําคัญในบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะดําเนินการตามรูปแบบการประสานงานและความร่วมมือดังต่อไปนี้ 1.ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการนําเสนอผลงานศิลปะและวัฒนธรรมที่มีคุณภาพสูง อาทิ โรงละคร ดนตรี การเต้นรํา วรรณกรรม ตลอดจนกิจกรรมและการศึกษาด้านวัฒนธรรมสร้างสรรค์ รูปแบบการนําเสนออาจรวมถึงการจัดนิทรรศการ การแสดง การฉายภาพยนตร์ การประชุมวิชาการ การประชุมอภิปราย การประชุมเชิงปฏิบัติการ การพบปะหารือ การสร้างเครือข่าย เป็นต้น 2.เพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างคู่ภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการและกิจกรรมหลักที่ช่วยเพิ่มการแลกเปลี่ยนระดับสถาบันและระดับประชาชน การแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม และ การร่วมมือเพื่อเพิ่มการประสานพลังด้านวัฒนธรรมสร้างสรรค์
3.แลกเปลี่ยนบุคลากร ข้อมูล และเทคนิค เพื่อสนับสนุนการแบ่งปันประสบการณ์ การปฏิบัติ รวมถึงกระบวนการในขอบเขตที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน 4.อํานวยให้เกิดการติดต่อสื่อสารร่วมกันและจัดประชุมร่วมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการที่มีศักยภาพและส่งเสริมความร่วมมือของ คู่ภาคีในการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม 5.สนับสนุนกิจกรรมอื่นที่อาจถูกร้องขอภายใต้การยินยอมร่วมกันของ คู่ภาคีและและคู่ภาคีอื่นตามความเหมาะสม
วันที่ 6 กันยายน 2562 เวลา 16.30 น. นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ กรุงเทพมหานคร และศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ นครปูซาน ณ ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ถนนราชดําเนิน โดยมีประธานมูลนิธิเกาหลี เอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกอาเซียนประจําประเทศไทย ผู้บริหาร แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนเข้าร่วม
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ เป็นก้าวสําคัญในการเสริมสร้าง การแลกเปลี่ยนมรดกวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้และอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งความร่วมมือด้านศิลปวัฒนธรรมในสาขาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ไม่ได้จํากัดเฉพาะแค่การแลกเปลี่ยนกิจกรรมโครงการด้านศิลปวัฒนธรรม แต่มุ่งที่จะส่งเสริมเผยแพร่องค์ความรู้และอัตลักษณ์ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของ สิบประเทศสมาชิกอาเซียนไปสู่ภายนอกภูมิภาค โดยมีศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลีเป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิด ซึ่งกิจกรรมแรกภายหลังการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ นี้ คือ โครงการวัฒนธรรมสัญจร อาเซียนสู่โลก ณ สาธารณรัฐเกาหลี โดยคณะศิลปิน “วีว่า อาเซียน (VIVA ASEAN)” จะนําการแสดงศิลปวัฒนธรรมอาเซียนและนิทรรศการปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียนไปเผยแพร่ ณ เมืองควางจูกรุงโซล นครปูซาน และเมืองเชยองจู สาธารณรัฐเกาหลี ในเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนี้ทางประเทศไทยยังเตรียมใช้พื้นที่ของศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ นครปูซาน จัดกิจกรรมการเวทีเจรจาทางธุรกิจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ระหว่างผู้ประกอบการภาพยนตร์ไทยและเกาหลี ในช่วงการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ปูชาน เดือนตุลาคมนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ สาระสําคัญในบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะดําเนินการตามรูปแบบการประสานงานและความร่วมมือดังต่อไปนี้ 1.ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการนําเสนอผลงานศิลปะและวัฒนธรรมที่มีคุณภาพสูง อาทิ โรงละคร ดนตรี การเต้นรํา วรรณกรรม ตลอดจนกิจกรรมและการศึกษาด้านวัฒนธรรมสร้างสรรค์ รูปแบบการนําเสนออาจรวมถึงการจัดนิทรรศการ การแสดง การฉายภาพยนตร์ การประชุมวิชาการ การประชุมอภิปราย การประชุมเชิงปฏิบัติการ การพบปะหารือ การสร้างเครือข่าย เป็นต้น 2.เพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างคู่ภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการและกิจกรรมหลักที่ช่วยเพิ่มการแลกเปลี่ยนระดับสถาบันและระดับประชาชน การแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม และ การร่วมมือเพื่อเพิ่มการประสานพลังด้านวัฒนธรรมสร้างสรรค์
3.แลกเปลี่ยนบุคลากร ข้อมูล และเทคนิค เพื่อสนับสนุนการแบ่งปันประสบการณ์ การปฏิบัติ รวมถึงกระบวนการในขอบเขตที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน 4.อํานวยให้เกิดการติดต่อสื่อสารร่วมกันและจัดประชุมร่วมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการที่มีศักยภาพและส่งเสริมความร่วมมือของ คู่ภาคีในการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม 5.สนับสนุนกิจกรรมอื่นที่อาจถูกร้องขอภายใต้การยินยอมร่วมกันของ คู่ภาคีและและคู่ภาคีอื่นตามความเหมาะสม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22878
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- โฆษก ศบค. ขอให้ผู้ที่เดินทางมาจากภูเก็ต ถ้ามีภาวะเสี่ยง จมูกไม่ได้กลิ่น มีไข้ ไปขอรับการตรวจเชื้อโควิด-19 เผยคุมตัวเลขผู้ป่วยใหม่ได้ในหลักเดียว เพราะระบบการควบคุมป้องกันที่ดี
|
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563
โฆษก ศบค. ขอให้ผู้ที่เดินทางมาจากภูเก็ต ถ้ามีภาวะเสี่ยง จมูกไม่ได้กลิ่น มีไข้ ไปขอรับการตรวจเชื้อโควิด-19 เผยคุมตัวเลขผู้ป่วยใหม่ได้ในหลักเดียว เพราะระบบการควบคุมป้องกันที่ดี
โฆษก ศบค. ขอให้ผู้ที่เดินทางมาจากภูเก็ต ถ้ามีภาวะเสี่ยง จมูกไม่ได้กลิ่น มีไข้ ไปขอรับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เผยคุมตัวเลขผู้ป่วยใหม่ได้ในหลักเดียว เพราะระบบการควบคุมป้องกันที่ดี
วันนี้ (10 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในไทย มีรายงานผู้ป่วยใหม่ 5 ราย ทําให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมที่ 3,009 ราย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 7 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,794 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ผู้เสียชีวิตยังคงที่ที่ 56 ราย ยังมีผู้ที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 159 ราย สําหรับผู้ป่วยใหม่ 5 รายวันนี้ กลุ่มที่ 1 พบว่า 2 รายแรกมีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ โดยรายแรกเป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 44 ปี ภูมิลําเนากรุงเทพฯ เริ่มมีอาการไอ หายใจลําบาก ถ่ายเหลว วันที่ 5 พฤษภาคม 63 รายที่สองเป็นผู้ป่วยชายไทยอายุ 80 ปี ภูมิลําเนาจังหวัดนราธิวาส เป็นผู้สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ กลุ่มที่ 2 มีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้าสู่สถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ โดยรายที่ 3 เป็นผู้ป่วยหญิงอายุ 41 ปี กลับจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์วันที่ 2 พฤษภาคม 63 รายที่ 4 และ 5 เป็นผู้ชายอายุ 26 ปีและ 27 ปี เป็นนักศึกษาที่เดินทางกลับมาจากปากีสถาน วันที่ 7 พฤษภาคม 63 และมีอาการป่วยขณะที่พักอยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้
โฆษก ศบค. รายงานข้อมูลเบื้องต้นอย่างไม่เป็นทางการว่า มีรายงานจังหวัดภูเก็ตพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มเติม 4 ราย ซึ่งเป็นชุดข้อมูลที่แยกจาก 5 รายวันนี้ที่เป็นยอดสรุปจากเมื่อเย็นวานนี้ แต่ 4 รายที่ปรากฏเป็นข่าวในโซเชียลมีเดีย เป็นผลที่ออกจากห้องปฏิบัติการเมื่อช่วงเช้าวันนี้ จึงยังไม่รวมกับผู้ป่วยใหม่ 5 รายวันนี้ โดยผลจากห้องปฏิบัติการ 4 รายจากจังหวัดภูเก็ตช่วงเช้าวันนี้จะนํารายงานทบทวนวันพรุ่งนี้ ซึ่งภูเก็ตเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว โดยเมื่อวานนี้ผู้ที่ติดเชื้อเพิ่ม 1 รายมีประวัติการเดินทางมาจากจังหวัดภูเก็ต ฉะนั้น คนที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ต หรือคนที่เดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีคนจํานวนหลักหมื่นขอออกจากจังหวัดภูเก็ต ขอให้ดูแลตัวเอง ถ้ามีภาวะเสี่ยงหรือมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การรับรู้กลิ่นของจมูกไม่ดี มีประวัติมีไข้ หรือเดินทางมาจากจังหวัดภูเก็ต ให้ไปขอรับการตรวจได้ ขณะนี้ที่สามารถคุมตัวเลขได้ในหลักเดียวเพราะระบบการควบคุมป้องกันที่ดี
ด้านการรายงานรับรักษาผู้ป่วยของจังหวัด มีจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยในช่วง 28 วันที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 1 จังหวัดคือสมุทรสาคร ทําให้กลุ่มจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยในช่วง 28 วันที่ผ่านมาเพิ่มเป็น 45 จังหวัด จังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยมาก่อนยังเป็น 9 จังหวัดเดิม และจังหวัดที่มีการรายงานผู้ป่วยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาคงเหลือ 23 จังหวัด ขอเป็นแรงใจให้ทุกจังหวัดได้ช่วยกัน
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก
สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,100,778 ราย อาการหนักประมาณ 47,000 ราย หายป่วยแล้วประมาณ 1,400,000 ราย และเสียชีวิตไป 280,000 กว่าราย โดยอันดับของ 10 ประเทศแรกของจํานวนผู้ป่วยยืนยันสะสมวันนี้ยังคงอยู่ในอันดับเดิมเช่นเมื่อวานนี้ สหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 1 มีผู้ป่วยยืนยันสะสมประมาณ 1,300,000 ราย รองลงมา สเปน ประมาณ 260,000 ราย อิตาลี 210,000 ราย ตามด้วยราชอาณาจักร รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมัน บราซิล ตุรกี และอิหร่าน ตามลําดับ ขณะที่ประเทศไทยก็ยังอยู่ในอันดับที่ 66 ของโลกเช่นเดิม
สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ 10 ประเทศอันดับแรก อันดับที่ 1 ยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา แต่ลําดับที่ 2 และ 3 สลับกัน โดยรัสเซียขึ้นมาอยู่อันดับที่ 2 แทนบราซิล ที่ลงไปอยู่อันดับที่ 3 ขณะที่เปรู ขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 แทนอินเดียซึ่งลงไปอยู่อันดับที่ 6 รวมทั้งซาอุดิอาระเบียก็สลับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 9 แทนตุรกี ที่ไปอยู่อันดับ 10 ทั้งนี้จํานวนของผู้ป่วยรายใหม่จะเป็นการกระจายตัวในอเมริกา อเมริกาใต้ และรัสเซีย ส่วนผู้เสียชีวิตรายใหม่ที่เกิดขึ้นในรอบ 24 ชั่วโมง พบว่า อันดับที่ 1 สหรัฐอเมริกา เสียชีวิตไปแล้วถึง 1,422 ราย บราซิล 639 ราย สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) 346 ราย เม็กซิโก 193 ราย โดยมีประเทศอินเดีย รัสเซีย และเปรู เข้ามาใหม่
โฆษก ศบค. กล่าวถึงสถานการณ์ข่าวที่น่าสนใจในต่างประเทศว่า สาธารณรัฐเกาหลี หรือเกาหลีใต้ มีรายงานเข้ามาว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเกาหลีใต้แถลงว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่เมื่อวานนี้ (9 พฤษภาคม 2563) มี 18 ราย ในจํานวน 17 รายมีความเชื่อมโยงกับผู้ป่วยชายวัย 29 ปี ที่มีประวัติไปเที่ยวคลับและบาร์ย่านอิแดวอนในกรุงโซลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ได้สั่งการให้ติดตามผู้ที่ไปสถานที่ดังกล่าวในวันและเวลาเดียวกันกับผู้ป่วยรายนี้มาตรวจหาเชื้อ ซึ่งคาดว่าจะมีมากขึ้นประมาณ 1,500 คน แต่ไม่ได้เปิดเผยชื่อและข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นยอมพบกับเจ้าหน้าที่ เพื่อเข้ารับการตรวจ ส่วนนายกเทศมนตรีกรุงโซลได้ออกคําสั่งให้คลับ บาร์ สถานท่องเที่ยวยามราตรีของกรุงโซลปิดโดยไม่มีกําหนด
ทั้งนี้ หลายสํานักข่าวได้ตีความว่าการทํางานของเกาหลีใต้ที่ใช้ตรวจมาก ๆ โดยที่ไม่ต้องปิดเมือง หรือมีปิดเมืองก็น้อยมาก และทุกอย่างดําเนินการโดยปกติ แต่ในที่สุดแล้วก็ต้องใช้ระบบผสม คือทั้งปิดและตรวจด้วย แต่พอเจอเชื้อก็ต้องปิดอีกเหมือนกัน ซึ่งหลาย ๆ ประเทศก็ได้ทดลองวิธีต่าง ๆ โดยไทยเองก็ไม่ได้แตกต่างเช่นกัน ต้องมีมาตรการที่ต้องเข้มข้นอยู่เสมอ อย่างที่เคยย้ําตลอดว่าการ์ดตกไม่ได้ ซึ่งก็ขอให้ทางเกาหลีใต้ได้มีการควบคุมโรคได้อย่างดี เพราะเกาหลีใต้เป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่ดูแลกันอย่างดี และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาโดยตลอด
3. การดําเนินการตามมาตรการ
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
รายงานข้อมูลสถานการณ์ผู้เดินทางเข้าประเทศที่ต้องกักกันตัวในที่กักกันของรัฐจัดให้ (State Quarantine และ Local Quarantine) ตั้งแต่ 3 เมษายน – 9 พฤษภาคม 63 ยอดคัดกรอง 15,699 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 630 ราย กลับบ้านได้แล้ว 6,229 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 568 ราย และพบผู้ติดเชื้อจากสถานกักกันที่รัฐจัดให้ 90 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 3 ราย
การปฏิบัติงานตามมาตรการเคอร์ฟิว
รายงานผลการปฏิบัติการจากประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 10 พฤษภาคม 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า มีผู้กระทําความผิดกรณีชุมนุมมั่วสุม 147 ราย เพิ่มขึ้น 89 ราย ผู้กระทําความผิดกรณีออกนอกเคหสถาน 667 ราย เพิ่มขึ้น 37 ราย โดยเหตุของการชุมนุมมั่วสุม 3 ลําดับแรกคือ ดื่มสุราร้อยละ 69 เล่นการพนันร้อยละ 22 และเหตุอื่น ๆ ร้อยละ 5 วอนให้ทุกคนอย่าทําผิดกฎหมาย เพราะการรวมตัวของคนหมู่มากจะเป็นสาเหตุของการแพร่กระจายเชื้อได้
มาตรการการผ่อนปรน
รายงานการตรวจกิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายด้านการดําเนินชีวิต วันที่ 9 พฤษภาคม 63 ได้ทําการตรวจทั้งหมด 16,831 แห่ง พบว่าปฏิบัติตามมาตรการ 16,204 แห่ง ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ 672 แห่ง เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.73 โดยรายงานการกิจการ/กิจกรรม ตั้งแต่วันที่ 3 - 9 พฤษภาคม 63 ได้ดําเนินการตรวจทั้งหมด 90,913 แห่ง พบว่าปฏิบัติตามมาตรการ 87,874 แห่ง ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ 3,039 แห่ง เนื่องจากมีผู้แจ้งมายังสายตรวจ 191 และสายด่วน 1111 ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน เหตุพบผู้ไม่ปฏิบัติเป็นจํานวนมาก ทําให้ตรวจพบผู้ที่ไม่ปฏิบัติเพิ่มมากขึ้น นั่นหมายถึงระบบตรวจสอบเข้มแข็งขึ้น ด้วยการที่พี่น้องประชาชนได้ช่วยกันเป็นส่วนหนึ่งในระบบตรวจสอบด้วย ส่วนสถานประกอบการณ์ต่าง ๆ ที่ปฏิบัติไม่ตรงมาตรการการป้องกันจะได้รับคําเตือนจากเจ้าหน้าที่ จึงขอให้ปฏิบัติให้ตรงตามมาตรการด้วย
โฆษก ศบค. เผยสาเหตุที่มีการตรวจกิจการต่าง ๆ ที่ได้รับการผ่อนคลาย เนื่องจากออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ โดยการตรวจสอบในประเด็นมาตรการหลัก 5 ข้อ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) จะเป็นผู้ทําการตรวจสอบ กรณีมาตรการเสริม ทางมหาดไทยจะเป็นผู้รับผิดชอบ โดยแบ่งออกเป็น ศูนย์ปฏิบัติการ (ศปก.) จังหวัด ศปก.อําเภอ และ ศปก.ตําบล ขอชื่นชมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตั้งแต่ระดับจังหวัด อําเภอ และตําบล ที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในการที่กํากับติดตามให้เป็นไปตามมาตรการ ในส่วนคู่มือการปฏิบัติฯ ซึ่งจะออกตามมาตรการของกระทรวงต่าง ๆ จะให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องนั้น ๆ เป็นผู้รับผิดชอบ
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- โฆษก ศบค. ขอให้ผู้ที่เดินทางมาจากภูเก็ต ถ้ามีภาวะเสี่ยง จมูกไม่ได้กลิ่น มีไข้ ไปขอรับการตรวจเชื้อโควิด-19 เผยคุมตัวเลขผู้ป่วยใหม่ได้ในหลักเดียว เพราะระบบการควบคุมป้องกันที่ดี
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563
โฆษก ศบค. ขอให้ผู้ที่เดินทางมาจากภูเก็ต ถ้ามีภาวะเสี่ยง จมูกไม่ได้กลิ่น มีไข้ ไปขอรับการตรวจเชื้อโควิด-19 เผยคุมตัวเลขผู้ป่วยใหม่ได้ในหลักเดียว เพราะระบบการควบคุมป้องกันที่ดี
โฆษก ศบค. ขอให้ผู้ที่เดินทางมาจากภูเก็ต ถ้ามีภาวะเสี่ยง จมูกไม่ได้กลิ่น มีไข้ ไปขอรับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เผยคุมตัวเลขผู้ป่วยใหม่ได้ในหลักเดียว เพราะระบบการควบคุมป้องกันที่ดี
วันนี้ (10 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในไทย มีรายงานผู้ป่วยใหม่ 5 ราย ทําให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมที่ 3,009 ราย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 7 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,794 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ผู้เสียชีวิตยังคงที่ที่ 56 ราย ยังมีผู้ที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 159 ราย สําหรับผู้ป่วยใหม่ 5 รายวันนี้ กลุ่มที่ 1 พบว่า 2 รายแรกมีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ โดยรายแรกเป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 44 ปี ภูมิลําเนากรุงเทพฯ เริ่มมีอาการไอ หายใจลําบาก ถ่ายเหลว วันที่ 5 พฤษภาคม 63 รายที่สองเป็นผู้ป่วยชายไทยอายุ 80 ปี ภูมิลําเนาจังหวัดนราธิวาส เป็นผู้สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ กลุ่มที่ 2 มีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้าสู่สถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ โดยรายที่ 3 เป็นผู้ป่วยหญิงอายุ 41 ปี กลับจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์วันที่ 2 พฤษภาคม 63 รายที่ 4 และ 5 เป็นผู้ชายอายุ 26 ปีและ 27 ปี เป็นนักศึกษาที่เดินทางกลับมาจากปากีสถาน วันที่ 7 พฤษภาคม 63 และมีอาการป่วยขณะที่พักอยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้
โฆษก ศบค. รายงานข้อมูลเบื้องต้นอย่างไม่เป็นทางการว่า มีรายงานจังหวัดภูเก็ตพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มเติม 4 ราย ซึ่งเป็นชุดข้อมูลที่แยกจาก 5 รายวันนี้ที่เป็นยอดสรุปจากเมื่อเย็นวานนี้ แต่ 4 รายที่ปรากฏเป็นข่าวในโซเชียลมีเดีย เป็นผลที่ออกจากห้องปฏิบัติการเมื่อช่วงเช้าวันนี้ จึงยังไม่รวมกับผู้ป่วยใหม่ 5 รายวันนี้ โดยผลจากห้องปฏิบัติการ 4 รายจากจังหวัดภูเก็ตช่วงเช้าวันนี้จะนํารายงานทบทวนวันพรุ่งนี้ ซึ่งภูเก็ตเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว โดยเมื่อวานนี้ผู้ที่ติดเชื้อเพิ่ม 1 รายมีประวัติการเดินทางมาจากจังหวัดภูเก็ต ฉะนั้น คนที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ต หรือคนที่เดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีคนจํานวนหลักหมื่นขอออกจากจังหวัดภูเก็ต ขอให้ดูแลตัวเอง ถ้ามีภาวะเสี่ยงหรือมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การรับรู้กลิ่นของจมูกไม่ดี มีประวัติมีไข้ หรือเดินทางมาจากจังหวัดภูเก็ต ให้ไปขอรับการตรวจได้ ขณะนี้ที่สามารถคุมตัวเลขได้ในหลักเดียวเพราะระบบการควบคุมป้องกันที่ดี
ด้านการรายงานรับรักษาผู้ป่วยของจังหวัด มีจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยในช่วง 28 วันที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 1 จังหวัดคือสมุทรสาคร ทําให้กลุ่มจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยในช่วง 28 วันที่ผ่านมาเพิ่มเป็น 45 จังหวัด จังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยมาก่อนยังเป็น 9 จังหวัดเดิม และจังหวัดที่มีการรายงานผู้ป่วยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาคงเหลือ 23 จังหวัด ขอเป็นแรงใจให้ทุกจังหวัดได้ช่วยกัน
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก
สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,100,778 ราย อาการหนักประมาณ 47,000 ราย หายป่วยแล้วประมาณ 1,400,000 ราย และเสียชีวิตไป 280,000 กว่าราย โดยอันดับของ 10 ประเทศแรกของจํานวนผู้ป่วยยืนยันสะสมวันนี้ยังคงอยู่ในอันดับเดิมเช่นเมื่อวานนี้ สหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่ 1 มีผู้ป่วยยืนยันสะสมประมาณ 1,300,000 ราย รองลงมา สเปน ประมาณ 260,000 ราย อิตาลี 210,000 ราย ตามด้วยราชอาณาจักร รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมัน บราซิล ตุรกี และอิหร่าน ตามลําดับ ขณะที่ประเทศไทยก็ยังอยู่ในอันดับที่ 66 ของโลกเช่นเดิม
สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ 10 ประเทศอันดับแรก อันดับที่ 1 ยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา แต่ลําดับที่ 2 และ 3 สลับกัน โดยรัสเซียขึ้นมาอยู่อันดับที่ 2 แทนบราซิล ที่ลงไปอยู่อันดับที่ 3 ขณะที่เปรู ขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 แทนอินเดียซึ่งลงไปอยู่อันดับที่ 6 รวมทั้งซาอุดิอาระเบียก็สลับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 9 แทนตุรกี ที่ไปอยู่อันดับ 10 ทั้งนี้จํานวนของผู้ป่วยรายใหม่จะเป็นการกระจายตัวในอเมริกา อเมริกาใต้ และรัสเซีย ส่วนผู้เสียชีวิตรายใหม่ที่เกิดขึ้นในรอบ 24 ชั่วโมง พบว่า อันดับที่ 1 สหรัฐอเมริกา เสียชีวิตไปแล้วถึง 1,422 ราย บราซิล 639 ราย สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) 346 ราย เม็กซิโก 193 ราย โดยมีประเทศอินเดีย รัสเซีย และเปรู เข้ามาใหม่
โฆษก ศบค. กล่าวถึงสถานการณ์ข่าวที่น่าสนใจในต่างประเทศว่า สาธารณรัฐเกาหลี หรือเกาหลีใต้ มีรายงานเข้ามาว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเกาหลีใต้แถลงว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่เมื่อวานนี้ (9 พฤษภาคม 2563) มี 18 ราย ในจํานวน 17 รายมีความเชื่อมโยงกับผู้ป่วยชายวัย 29 ปี ที่มีประวัติไปเที่ยวคลับและบาร์ย่านอิแดวอนในกรุงโซลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ได้สั่งการให้ติดตามผู้ที่ไปสถานที่ดังกล่าวในวันและเวลาเดียวกันกับผู้ป่วยรายนี้มาตรวจหาเชื้อ ซึ่งคาดว่าจะมีมากขึ้นประมาณ 1,500 คน แต่ไม่ได้เปิดเผยชื่อและข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นยอมพบกับเจ้าหน้าที่ เพื่อเข้ารับการตรวจ ส่วนนายกเทศมนตรีกรุงโซลได้ออกคําสั่งให้คลับ บาร์ สถานท่องเที่ยวยามราตรีของกรุงโซลปิดโดยไม่มีกําหนด
ทั้งนี้ หลายสํานักข่าวได้ตีความว่าการทํางานของเกาหลีใต้ที่ใช้ตรวจมาก ๆ โดยที่ไม่ต้องปิดเมือง หรือมีปิดเมืองก็น้อยมาก และทุกอย่างดําเนินการโดยปกติ แต่ในที่สุดแล้วก็ต้องใช้ระบบผสม คือทั้งปิดและตรวจด้วย แต่พอเจอเชื้อก็ต้องปิดอีกเหมือนกัน ซึ่งหลาย ๆ ประเทศก็ได้ทดลองวิธีต่าง ๆ โดยไทยเองก็ไม่ได้แตกต่างเช่นกัน ต้องมีมาตรการที่ต้องเข้มข้นอยู่เสมอ อย่างที่เคยย้ําตลอดว่าการ์ดตกไม่ได้ ซึ่งก็ขอให้ทางเกาหลีใต้ได้มีการควบคุมโรคได้อย่างดี เพราะเกาหลีใต้เป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่ดูแลกันอย่างดี และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาโดยตลอด
3. การดําเนินการตามมาตรการ
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
รายงานข้อมูลสถานการณ์ผู้เดินทางเข้าประเทศที่ต้องกักกันตัวในที่กักกันของรัฐจัดให้ (State Quarantine และ Local Quarantine) ตั้งแต่ 3 เมษายน – 9 พฤษภาคม 63 ยอดคัดกรอง 15,699 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 630 ราย กลับบ้านได้แล้ว 6,229 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 568 ราย และพบผู้ติดเชื้อจากสถานกักกันที่รัฐจัดให้ 90 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 3 ราย
การปฏิบัติงานตามมาตรการเคอร์ฟิว
รายงานผลการปฏิบัติการจากประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 10 พฤษภาคม 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า มีผู้กระทําความผิดกรณีชุมนุมมั่วสุม 147 ราย เพิ่มขึ้น 89 ราย ผู้กระทําความผิดกรณีออกนอกเคหสถาน 667 ราย เพิ่มขึ้น 37 ราย โดยเหตุของการชุมนุมมั่วสุม 3 ลําดับแรกคือ ดื่มสุราร้อยละ 69 เล่นการพนันร้อยละ 22 และเหตุอื่น ๆ ร้อยละ 5 วอนให้ทุกคนอย่าทําผิดกฎหมาย เพราะการรวมตัวของคนหมู่มากจะเป็นสาเหตุของการแพร่กระจายเชื้อได้
มาตรการการผ่อนปรน
รายงานการตรวจกิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายด้านการดําเนินชีวิต วันที่ 9 พฤษภาคม 63 ได้ทําการตรวจทั้งหมด 16,831 แห่ง พบว่าปฏิบัติตามมาตรการ 16,204 แห่ง ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ 672 แห่ง เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.73 โดยรายงานการกิจการ/กิจกรรม ตั้งแต่วันที่ 3 - 9 พฤษภาคม 63 ได้ดําเนินการตรวจทั้งหมด 90,913 แห่ง พบว่าปฏิบัติตามมาตรการ 87,874 แห่ง ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ 3,039 แห่ง เนื่องจากมีผู้แจ้งมายังสายตรวจ 191 และสายด่วน 1111 ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน เหตุพบผู้ไม่ปฏิบัติเป็นจํานวนมาก ทําให้ตรวจพบผู้ที่ไม่ปฏิบัติเพิ่มมากขึ้น นั่นหมายถึงระบบตรวจสอบเข้มแข็งขึ้น ด้วยการที่พี่น้องประชาชนได้ช่วยกันเป็นส่วนหนึ่งในระบบตรวจสอบด้วย ส่วนสถานประกอบการณ์ต่าง ๆ ที่ปฏิบัติไม่ตรงมาตรการการป้องกันจะได้รับคําเตือนจากเจ้าหน้าที่ จึงขอให้ปฏิบัติให้ตรงตามมาตรการด้วย
โฆษก ศบค. เผยสาเหตุที่มีการตรวจกิจการต่าง ๆ ที่ได้รับการผ่อนคลาย เนื่องจากออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ โดยการตรวจสอบในประเด็นมาตรการหลัก 5 ข้อ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) จะเป็นผู้ทําการตรวจสอบ กรณีมาตรการเสริม ทางมหาดไทยจะเป็นผู้รับผิดชอบ โดยแบ่งออกเป็น ศูนย์ปฏิบัติการ (ศปก.) จังหวัด ศปก.อําเภอ และ ศปก.ตําบล ขอชื่นชมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตั้งแต่ระดับจังหวัด อําเภอ และตําบล ที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในการที่กํากับติดตามให้เป็นไปตามมาตรการ ในส่วนคู่มือการปฏิบัติฯ ซึ่งจะออกตามมาตรการของกระทรวงต่าง ๆ จะให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องนั้น ๆ เป็นผู้รับผิดชอบ
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30594
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน มอบโล่ฮีโร่ปั้มหัวใจผู้ป่วย ตั้งเป้าคนไทย 10 ล้านคน ทำ CPR เป็นภายใน 3 ปี
|
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563
อนุทิน มอบโล่ฮีโร่ปั้มหัวใจผู้ป่วย ตั้งเป้าคนไทย 10 ล้านคน ทํา CPR เป็นภายใน 3 ปี
ตั้งเป้าคนไทย 10 ล้านคน ทํา CPR เป็นภายใน 3 ปี
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัล HERO AWARD แก่ผู้ทําการปั้มหัวใจ ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินให้รอดชีวิต จํานวน 5 คนจัดอบรม อสม. และประชาชน ตั้งเป้าคนทํา CPR เป็นอย่างน้อย 10 ล้านคนภายใน 3 ปี
วันนี้ (15 มิถุนายน 2563) ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Health Emergency Response Outstanding AWARD หรือ HERO AWARD แก่ผู้ปั้มหัวใจช่วยผู้ป่วยฉุกเฉินให้รอดชีวิต จํานวน 5 คน จัดโดยสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้น้อมนําพระบรมราโชบายพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโครงการจิตอาสาพระราชทานมาเป็นแนวทางดําเนินโครงการต่างๆ ของกระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพ ทั้งของตนเอง คนในครอบครัวและชุมชน เน้นการส่งเสริมให้ประชาชนและเครือข่ายจิตอาสาของกระทรวงสาธารณสุข เรียนรู้การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานด้วยการทํา CPR เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของคนที่หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันซึ่งเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตของคนไทย ได้มอบนโยบายให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และหน่วยงานต่างๆ จัดอบรมให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) และประชาชนทั่วไป ตั้งเป้าหมายมีคนทํา CPR เป็นอย่างน้อย 10 ล้านคน ภายใน 3 ปี
ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า จากรายงานข้อมูลสายด่วน 1669 มีประชาชนโทร.ขอความช่วยเหลือกลุ่มอาการหมดสติหยุดหายใจ กว่า 90,000 ครั้ง หากประชาชนที่พบเห็นเหตุการณ์ มีความรู้และทักษะในการช่วยกู้ชีพขั้นพื้นฐานหรือการทํา CPR ที่ถูกต้องย่อมเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตให้กับผู้ป่วยได้ สพฉ. จึงได้จัดทําหลักสูตร “การปฐมพยาบาลฉุกเฉินและ การกู้ชีพขั้นพื้นฐาน สําหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.)อาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจํา (อสรจ.) และอาสาฉุกเฉินชุมชน (อฉช.) พ.ศ. 2563” ซึ่งจะทําให้มีผู้ที่มีความรู้และทักษะในการกู้ชีพขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สําหรับการมอบรางวัล HERO AWARDแก่ผู้มีจิตอาสา เสียสละ และมีความกล้าหาญ ในการช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินอันเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 และจะมีการมอบรางวัลทุก 3 เดือน โดยให้จังหวัดเป็นผู้คัดเลือก เพื่อยกย่องเชิดชูและส่งเสริมให้คนในสังคมหันมาสนใจเรียนรู้การปฐมพยาบาลฉุกเฉินผู้ได้รับรางวัลในครั้งนี้ ได้แก่ ร.ต.อ.อภิเชษฐ์ คีรีเพ็ชร และส.ต.ต.ภัทรพล หลิวปลอดเจ้าหน้าที่ตํารวจ สภ.หลังสวน จังหวัดชุมพร ซึ่งทํา CPR ปั้มหัวใจช่วยชีวิตชาวสวนทุเรียน ที่ขึ้นต้นทุเรียนแล้วถูกไฟฟ้าช็อตตกลงมาเมื่อวันที่ 30 พ.ค.2563นางสาวอัญมณี คณะศิริวงศ์พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลเลย ระหว่างเดินทางกลับบ้านพบผู้ประสบอุบัติเหตุหัวใจหยุดเต้น ได้ทํา CPR จนผู้ป่วยรอดชีวิต เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2563นายยุรนันท์ ภูโทถ้ํา และนายศุภกิตติ์ เวียนเสี้ยว นักปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ ซึ่งพบผู้หมดสติหัวใจหยุดเต้น บริเวณหอพักหลังโรงพยาบาลรามาจักรีนฤบดินทร์ ได้ทํา CPR และใช้เครื่อง AED ที่ติดตั้งภายในหอพัก ช่วยผู้ป่วยรอดชีวิต เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2563
นอกจากนี้ได้มอบประกาศเกียรติคุณ เสื้อ “HERO” แก่นายบิณฑ์ และนายเอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ คู่แฝดจิตอาสาของมูลนิธิร่วมกตัญญู ในฐานะที่เป็นแบบอย่างของการเป็นจิตอาสา ที่มีความเสียสละ กล้าหาญ อันเป็นที่ประจักษ์ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
***************************************** 15 มิถุนายน 2563
ิ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน มอบโล่ฮีโร่ปั้มหัวใจผู้ป่วย ตั้งเป้าคนไทย 10 ล้านคน ทำ CPR เป็นภายใน 3 ปี
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563
อนุทิน มอบโล่ฮีโร่ปั้มหัวใจผู้ป่วย ตั้งเป้าคนไทย 10 ล้านคน ทํา CPR เป็นภายใน 3 ปี
ตั้งเป้าคนไทย 10 ล้านคน ทํา CPR เป็นภายใน 3 ปี
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัล HERO AWARD แก่ผู้ทําการปั้มหัวใจ ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินให้รอดชีวิต จํานวน 5 คนจัดอบรม อสม. และประชาชน ตั้งเป้าคนทํา CPR เป็นอย่างน้อย 10 ล้านคนภายใน 3 ปี
วันนี้ (15 มิถุนายน 2563) ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Health Emergency Response Outstanding AWARD หรือ HERO AWARD แก่ผู้ปั้มหัวใจช่วยผู้ป่วยฉุกเฉินให้รอดชีวิต จํานวน 5 คน จัดโดยสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้น้อมนําพระบรมราโชบายพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโครงการจิตอาสาพระราชทานมาเป็นแนวทางดําเนินโครงการต่างๆ ของกระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพ ทั้งของตนเอง คนในครอบครัวและชุมชน เน้นการส่งเสริมให้ประชาชนและเครือข่ายจิตอาสาของกระทรวงสาธารณสุข เรียนรู้การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานด้วยการทํา CPR เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของคนที่หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันซึ่งเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตของคนไทย ได้มอบนโยบายให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และหน่วยงานต่างๆ จัดอบรมให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) และประชาชนทั่วไป ตั้งเป้าหมายมีคนทํา CPR เป็นอย่างน้อย 10 ล้านคน ภายใน 3 ปี
ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า จากรายงานข้อมูลสายด่วน 1669 มีประชาชนโทร.ขอความช่วยเหลือกลุ่มอาการหมดสติหยุดหายใจ กว่า 90,000 ครั้ง หากประชาชนที่พบเห็นเหตุการณ์ มีความรู้และทักษะในการช่วยกู้ชีพขั้นพื้นฐานหรือการทํา CPR ที่ถูกต้องย่อมเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตให้กับผู้ป่วยได้ สพฉ. จึงได้จัดทําหลักสูตร “การปฐมพยาบาลฉุกเฉินและ การกู้ชีพขั้นพื้นฐาน สําหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.)อาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจํา (อสรจ.) และอาสาฉุกเฉินชุมชน (อฉช.) พ.ศ. 2563” ซึ่งจะทําให้มีผู้ที่มีความรู้และทักษะในการกู้ชีพขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สําหรับการมอบรางวัล HERO AWARDแก่ผู้มีจิตอาสา เสียสละ และมีความกล้าหาญ ในการช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินอันเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 และจะมีการมอบรางวัลทุก 3 เดือน โดยให้จังหวัดเป็นผู้คัดเลือก เพื่อยกย่องเชิดชูและส่งเสริมให้คนในสังคมหันมาสนใจเรียนรู้การปฐมพยาบาลฉุกเฉินผู้ได้รับรางวัลในครั้งนี้ ได้แก่ ร.ต.อ.อภิเชษฐ์ คีรีเพ็ชร และส.ต.ต.ภัทรพล หลิวปลอดเจ้าหน้าที่ตํารวจ สภ.หลังสวน จังหวัดชุมพร ซึ่งทํา CPR ปั้มหัวใจช่วยชีวิตชาวสวนทุเรียน ที่ขึ้นต้นทุเรียนแล้วถูกไฟฟ้าช็อตตกลงมาเมื่อวันที่ 30 พ.ค.2563นางสาวอัญมณี คณะศิริวงศ์พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลเลย ระหว่างเดินทางกลับบ้านพบผู้ประสบอุบัติเหตุหัวใจหยุดเต้น ได้ทํา CPR จนผู้ป่วยรอดชีวิต เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2563นายยุรนันท์ ภูโทถ้ํา และนายศุภกิตติ์ เวียนเสี้ยว นักปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ ซึ่งพบผู้หมดสติหัวใจหยุดเต้น บริเวณหอพักหลังโรงพยาบาลรามาจักรีนฤบดินทร์ ได้ทํา CPR และใช้เครื่อง AED ที่ติดตั้งภายในหอพัก ช่วยผู้ป่วยรอดชีวิต เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2563
นอกจากนี้ได้มอบประกาศเกียรติคุณ เสื้อ “HERO” แก่นายบิณฑ์ และนายเอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ คู่แฝดจิตอาสาของมูลนิธิร่วมกตัญญู ในฐานะที่เป็นแบบอย่างของการเป็นจิตอาสา ที่มีความเสียสละ กล้าหาญ อันเป็นที่ประจักษ์ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
***************************************** 15 มิถุนายน 2563
ิ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32333
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นายกฯ ยินดีศรีสะเกษคว้าแชมป์โลก WBC อย่างเต็มภาคภูมิ ชื่นชมมีความมุ่งมั่นไม่หวั่นเกรงคู่ต่อสู้
|
วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2560
นายกฯ ยินดีศรีสะเกษคว้าแชมป์โลก WBC อย่างเต็มภาคภูมิ ชื่นชมมีความมุ่งมั่นไม่หวั่นเกรงคู่ต่อสู้
พลโท สรรเสริญฯ โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีศรีสะเกษคว้าแชมป์โลก WBC อย่างเต็มภาคภูมิ ชื่นชมมีความมุ่งมั่นไม่หวั่นเกรงคู่ต่อสู้ แนะเยาวชนดูเป็นแบบอย่างเพื่อสร้างความสําเร็จ
วันนี้ (19 มี.ค.60) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีกับศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น ที่คว้าเข็มขัดแชมป์มวยโลก WBC รุ่นซุปเปอร์ฟลายเวต 115 ปอนด์ ได้สําเร็จ ด้วยการเอาชนะ โรมัน กอนซาเลซ ผู้ที่ไม่เคยแพ้ใครจากสถิติชก 46 ครั้ง ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่โลกจะต้องจารึกไว้
“ท่านนายกฯ ชื่นชมศรีสะเกษ ที่มีความมุ่งมั่นและขึ้นชกอย่างไม่หวั่นเกรงคู่ต่อสู้ แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว จนสามารถเอาชนะอดีตแชมป์โลกได้เป็นที่ประจักษ์ของชาวโลกในวันนี้ ซึ่งทั้งหมด เป็นผลมาจากความมุมานะในการฝึกฝนและความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ"
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี อยากให้เยาวชนไทยดูความสําเร็จของศรีสะเกษเป็นแบบอย่าง โดย แม้อุปสรรคจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่หากคนเรามีความพยายามและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ก็จะก้าวไปสู่ความสําเร็จได้ในที่สุด
--------------------
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นายกฯ ยินดีศรีสะเกษคว้าแชมป์โลก WBC อย่างเต็มภาคภูมิ ชื่นชมมีความมุ่งมั่นไม่หวั่นเกรงคู่ต่อสู้
วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2560
นายกฯ ยินดีศรีสะเกษคว้าแชมป์โลก WBC อย่างเต็มภาคภูมิ ชื่นชมมีความมุ่งมั่นไม่หวั่นเกรงคู่ต่อสู้
พลโท สรรเสริญฯ โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีศรีสะเกษคว้าแชมป์โลก WBC อย่างเต็มภาคภูมิ ชื่นชมมีความมุ่งมั่นไม่หวั่นเกรงคู่ต่อสู้ แนะเยาวชนดูเป็นแบบอย่างเพื่อสร้างความสําเร็จ
วันนี้ (19 มี.ค.60) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีกับศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น ที่คว้าเข็มขัดแชมป์มวยโลก WBC รุ่นซุปเปอร์ฟลายเวต 115 ปอนด์ ได้สําเร็จ ด้วยการเอาชนะ โรมัน กอนซาเลซ ผู้ที่ไม่เคยแพ้ใครจากสถิติชก 46 ครั้ง ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่โลกจะต้องจารึกไว้
“ท่านนายกฯ ชื่นชมศรีสะเกษ ที่มีความมุ่งมั่นและขึ้นชกอย่างไม่หวั่นเกรงคู่ต่อสู้ แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว จนสามารถเอาชนะอดีตแชมป์โลกได้เป็นที่ประจักษ์ของชาวโลกในวันนี้ ซึ่งทั้งหมด เป็นผลมาจากความมุมานะในการฝึกฝนและความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ"
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี อยากให้เยาวชนไทยดูความสําเร็จของศรีสะเกษเป็นแบบอย่าง โดย แม้อุปสรรคจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่หากคนเรามีความพยายามและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ก็จะก้าวไปสู่ความสําเร็จได้ในที่สุด
--------------------
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2481
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดให้ดาวน์โหลดสติกเกอร์ไลน์ชุดใหม่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
|
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เปิดให้ดาวน์โหลดสติกเกอร์ไลน์ชุดใหม่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.) กระทรวงคมนาคม เปิดให้ผู้ใช้แอปพลิเคชัน LINE สามารถดาวน์โหลดสติกเกอร์ชุดใหม่ได้ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2560
บกท. ประสบความสําเร็จอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นองค์กรหรือ LINE Official Accounts กลุ่มแรก ๆ ของประเทศไทย ที่จัดทําสติกเกอร์ไลน์และเปิดให้ผู้ใช้แอปพลิเคชัน LINE ดาวน์โหลดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สําหรับในปีนี้ซึ่งเป็นวาระสําคัญเนื่องในโอกาสครบรอบ 57 ปี ของ บกท. และเพื่อแสดงความขอบคุณแก่ลูกค้าสมาชิก และบุคคลทั่วไป และให้ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดผูกพันกับการบินไทยมากขึ้น รวมถึงขยายช่องทางการสื่อสารบนสื่อออนไลน์อย่างต่อเนื่อง บกท. ได้จัดทําสติกเกอร์ไลน์ชุดใหม่ โดยใช้ชื่อ "Happy Flights with the THAI Family" ประกอบด้วย การ์ตูนรูปเครื่องบินของการบินไทยในอิริยาบถต่าง ๆจํานวน 16 แบบ เช่น เครื่องบิน Airbus A350 เครื่องบิน Boing 787 เครื่องบิน Airbus A380 เป็นต้น ซึ่งมีอายุการใช้งาน 90 วัน นับจากวันที่ดาวน์โหลด โดยสามารถดาวน์โหลดได้ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม - 28 มิถุนายน 2560 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดสติกเกอร์ได้ โดยเข้าแอปพลิเคชัน LINE และเลือกหัวข้อ More และ Sticker Shop จากนั้นกดค้นหา THAI Official Accounts โดยพิมพ์ในช่องค้นหาว่า “Thai Airways” และกดเพิ่มเป็นเพื่อนเพื่อดาวน์โหลดสติกเกอร์ "Happy Flights with the THAI Family" รวมทั้งสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านทางเว็บไซต์ www.thaiairways.com และ www.facebook.com/ThaiAirways
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดให้ดาวน์โหลดสติกเกอร์ไลน์ชุดใหม่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เปิดให้ดาวน์โหลดสติกเกอร์ไลน์ชุดใหม่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.) กระทรวงคมนาคม เปิดให้ผู้ใช้แอปพลิเคชัน LINE สามารถดาวน์โหลดสติกเกอร์ชุดใหม่ได้ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2560
บกท. ประสบความสําเร็จอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นองค์กรหรือ LINE Official Accounts กลุ่มแรก ๆ ของประเทศไทย ที่จัดทําสติกเกอร์ไลน์และเปิดให้ผู้ใช้แอปพลิเคชัน LINE ดาวน์โหลดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สําหรับในปีนี้ซึ่งเป็นวาระสําคัญเนื่องในโอกาสครบรอบ 57 ปี ของ บกท. และเพื่อแสดงความขอบคุณแก่ลูกค้าสมาชิก และบุคคลทั่วไป และให้ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดผูกพันกับการบินไทยมากขึ้น รวมถึงขยายช่องทางการสื่อสารบนสื่อออนไลน์อย่างต่อเนื่อง บกท. ได้จัดทําสติกเกอร์ไลน์ชุดใหม่ โดยใช้ชื่อ "Happy Flights with the THAI Family" ประกอบด้วย การ์ตูนรูปเครื่องบินของการบินไทยในอิริยาบถต่าง ๆจํานวน 16 แบบ เช่น เครื่องบิน Airbus A350 เครื่องบิน Boing 787 เครื่องบิน Airbus A380 เป็นต้น ซึ่งมีอายุการใช้งาน 90 วัน นับจากวันที่ดาวน์โหลด โดยสามารถดาวน์โหลดได้ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม - 28 มิถุนายน 2560 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดสติกเกอร์ได้ โดยเข้าแอปพลิเคชัน LINE และเลือกหัวข้อ More และ Sticker Shop จากนั้นกดค้นหา THAI Official Accounts โดยพิมพ์ในช่องค้นหาว่า “Thai Airways” และกดเพิ่มเป็นเพื่อนเพื่อดาวน์โหลดสติกเกอร์ "Happy Flights with the THAI Family" รวมทั้งสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านทางเว็บไซต์ www.thaiairways.com และ www.facebook.com/ThaiAirways
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4317
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าใช้ยางภาครัฐต่ออีก 3 ปี
|
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าใช้ยางภาครัฐต่ออีก 3 ปี
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าใช้ยางภาครัฐต่ออีก 3 ปี หวังให้ทุกภาคส่วนร่วมมือ เชื่อมั่นราคายางจะขยับขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าใช้ยางภาครัฐต่ออีก 3 ปี หวังให้ทุกภาคส่วนร่วมมือ เชื่อมั่นราคายางจะขยับขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา เห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เสนอให้ขยายระยะเวลาการดําเนินโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ ระยะเวลาโครงการ ตุลาคม 2562 – กันยายน 2565 เป้าหมายส่งเสริมการใช้น้ํายางสด 1,000,000 ตัน พร้อมทั้งปรับปรุงวิธีการดําเนินงาน โดยกําหนดให้ใช้วัตถุดิบจากยางพาราของเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) หรือที่ กยท. จัดหา/ซื้อจากเกษตรกรชาวสวนยาง และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง หรือยางพาราของรัฐที่ กยท.เก็บรักษาไว้ ซึ่งการดําเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานรัฐปี 2562 จาก 11 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร มีการใช้น้ํายางสดปี 2562 จํานวน 129,306.338 ตัน จากเป้าหมาย 167,261.608 ตัน คิดเป็นร้อยละ 77.31 ของจํานวนเป้าหมาย โดยนําไปใช้เพื่อการสร้างถนน ที่นอน หมอน ถุงมือ รองเท้า อุปกรณ์เกี่ยวกับการจราจร เป็นต้น
นอกจากนี้ แผนการดําเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของหน่วยงานภาครัฐ ปี 2563 ซึ่งเป็นผลสํารวจจากเมื่อเดือน ธันวาคม 2562 มี 7 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข มีเป้าหมายการใช้น้ํายางสด 90,37810 ตัน คาดว่าจะใช้งบประมาณ 41,496.920 ล้านบาท โดยนําไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ อาทิ พื้นสนาม ปืนจําลอง รองเท้าทรงสูง หล่อยาง ยางนอก ถนน อุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย รองเท้าบู๊ต ถุงมือ หมอน ที่นอน ถุงยางอนามัย สายยาง หุ่นจําลองช่วยชีวิตพื้นฐาน
ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสําคัญในโครงการดังกล่าว และอยากเห็นการพัฒนาการแปรรูปอย่างเป็นรูปธรรม ส่งเสริมให้เกิดการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้น โดยการสนับสนุนให้เกษตรกร สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ร่วมกันพัฒนาผลผลิตยาง และผลิตภัณฑ์จากยางพาราให้มีคุณภาพ เพิ่มมูลค่า ลดผลกระทบกรณีราคายางพาราตกต่ํา และเพื่อสร้างเสถียรภาพราคายางในระยะยาว
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าใช้ยางภาครัฐต่ออีก 3 ปี
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าใช้ยางภาครัฐต่ออีก 3 ปี
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าใช้ยางภาครัฐต่ออีก 3 ปี หวังให้ทุกภาคส่วนร่วมมือ เชื่อมั่นราคายางจะขยับขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าใช้ยางภาครัฐต่ออีก 3 ปี หวังให้ทุกภาคส่วนร่วมมือ เชื่อมั่นราคายางจะขยับขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา เห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เสนอให้ขยายระยะเวลาการดําเนินโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ ระยะเวลาโครงการ ตุลาคม 2562 – กันยายน 2565 เป้าหมายส่งเสริมการใช้น้ํายางสด 1,000,000 ตัน พร้อมทั้งปรับปรุงวิธีการดําเนินงาน โดยกําหนดให้ใช้วัตถุดิบจากยางพาราของเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) หรือที่ กยท. จัดหา/ซื้อจากเกษตรกรชาวสวนยาง และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง หรือยางพาราของรัฐที่ กยท.เก็บรักษาไว้ ซึ่งการดําเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานรัฐปี 2562 จาก 11 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร มีการใช้น้ํายางสดปี 2562 จํานวน 129,306.338 ตัน จากเป้าหมาย 167,261.608 ตัน คิดเป็นร้อยละ 77.31 ของจํานวนเป้าหมาย โดยนําไปใช้เพื่อการสร้างถนน ที่นอน หมอน ถุงมือ รองเท้า อุปกรณ์เกี่ยวกับการจราจร เป็นต้น
นอกจากนี้ แผนการดําเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของหน่วยงานภาครัฐ ปี 2563 ซึ่งเป็นผลสํารวจจากเมื่อเดือน ธันวาคม 2562 มี 7 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข มีเป้าหมายการใช้น้ํายางสด 90,37810 ตัน คาดว่าจะใช้งบประมาณ 41,496.920 ล้านบาท โดยนําไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ อาทิ พื้นสนาม ปืนจําลอง รองเท้าทรงสูง หล่อยาง ยางนอก ถนน อุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย รองเท้าบู๊ต ถุงมือ หมอน ที่นอน ถุงยางอนามัย สายยาง หุ่นจําลองช่วยชีวิตพื้นฐาน
ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสําคัญในโครงการดังกล่าว และอยากเห็นการพัฒนาการแปรรูปอย่างเป็นรูปธรรม ส่งเสริมให้เกิดการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้น โดยการสนับสนุนให้เกษตรกร สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ร่วมกันพัฒนาผลผลิตยาง และผลิตภัณฑ์จากยางพาราให้มีคุณภาพ เพิ่มมูลค่า ลดผลกระทบกรณีราคายางพาราตกต่ํา และเพื่อสร้างเสถียรภาพราคายางในระยะยาว
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25859
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562
|
วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562 เวลา 20.15 น.
ตอน: โรงเรียนกําเนิดวิทย์ (Kamnoetvidya Science Academy)
พิธีกร: ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี, สินจัย เปล่งพานิช
สินจัย: รายการศาสตร์พระราชาฯ วันนี้นะคะ เราอยู่กันที่โรงเรียนกําเนิดวิทย์
ทรงสิทธิ์: ซึ่งโรงเรียนกําเนิดวิทย์นะครับ เป็นนามพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งหมายความว่าโรงเรียนที่เป็นแหล่งความรู้ โรงเรียนกําเนิดวิทย์ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มบริษัท ปตท. นะครับ รับนักเรียนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีความสามารถพิเศษทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มีสื่อการเรียนการสอนที่ล้ําสมัย และที่สําคัญนะครับ ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนทุกระดับ ถือว่าเป็นโรงเรียนต้นแบบแห่งแรกของประเทศไทยที่จะผลิตนักเรียนที่จะออกมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาประเทศต่อไปครับ
สินจัย: แล้วเมื่อเช้าวันพุธที่ผ่านมานะคะ ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้เดินทางมาเยี่ยมชมโรงเรียนแห่งนี้ค่ะ
สินจัย: เมื่อสักครู่นะคะเราก็ได้ชมบรรยากาศของโรงเรียนกําเนิดวิทย์กันไปแล้วนะคะ ได้เห็นโครงงานวิทยาศาสตร์ของน้อง ๆ แล้วด้วยนะคะ แล้วตอนนี้ท่านนายกรัฐมนตรีก็พร้อมที่จะพูดคุยกับเราแล้วค่ะ ขอกล่าวสวัสดีกับท่านอีกสักครั้งนะคะ สวัสดีค่ะ
ท่านนายกฯ: สวัสดีครับ
สินจัย: ท่านคะรัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาเรื่องการศึกษาไทยอย่างไรบ้างคะ
ท่านนายกฯ: ก็อยากจะตอบอย่างนี้นะครับ ในหลักคิดของรัฐบาลก็คือว่าปัญหาในเรื่องความเหลื่อมล้ํานี่ส่งผลร้ายต่อการพัฒนาประเทศ ไปยาวนานในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม อะไรต่าง ๆ ทั้งหมด เพราะฉะนั้นผมคิดว่าการศึกษานี่ เป็นต้นตอแห่งปัญหาอันหนึ่ง ที่เราจําเป็นต้องมีการพัฒนาลดความเหลื่อมล้ําตรงนี้ให้ได้ ความเหลื่อมล้ํามีหลายอย่างด้วยกันนะครับ ความเหลื่อมล้ําเรื่องทุนการศึกษา ความเหลื่อมล้ําเรื่องโรงเรียน ความเหลื่อมล้ําเรื่องประสิทธิภาพของครู การบริหารจัดการอุปกรณ์การศึกษา ทั้งหมดนี่คือปัญหาในเรื่องการศึกษาทั้งสิ้น เราก็ต้องมององค์ประกอบทั้งหมดว่าเราจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร สําหรับในขณะนี้เราก็ได้มีการจัดตั้งกองทุนการศึกษา อันนี้ก็มีการให้ทุนไปแล้วทั้งหมด 3 แสนหกหมื่นกว่าราย ในช่วงที่ผ่านมาเราตั้งเป้าไว้ 400,000 ราย จ่ายไปแล้ว 360,000 ราย ก็ยังไม่เพียงพอหรอก คงต้องทําต่อไป งบประมาณตรงนี้ก็ใช้จํานวนหนึ่งนะครับ รอบแรกนี่ใช้ในสังกัดของ สพฐ. ในการที่จะดูแลนักเรียนยากจนพิเศษ 400,000 ราย แต่นี่จ่ายไปแล้ว 360,000 กว่าราย แล้วมีระบบ IC ในการจะติดตามผลต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งต้องมีเงื่อนไขบางประการเหมือนกันนะครับ แล้วมีคนหลายระดับด้วยกัน รวยมาก รวยปานกลาง รวยน้อย อะไรต่าง ๆ รายได้น้อย ทั้งหมดนี่เหมือนมือซ้ายกับมือขวา มือซ้ายนี่แข็งแรง นักเรียนก็แข็งแรง นักเรียนกําเนิดวิทย์ สถาบันนี้แข็งแรง นี่คือมือขวาแล้วกัน ถนัดแข็งแรงกว่า เพราะฉะนั้นเราต้องเอาตัวนี้นํา ในการที่จะนํามือซ้ายของเรานี่ไปข้างหน้า มือซ้ายคือใครครับ คือคนที่ยังมีความเหลื่อมล้ําอยู่ในระบบการศึกษา โอกาสไม่เท่าเทียมเรา แล้วก็ในเรื่องของหลักคิดอะไรต่าง ๆ ต่างกันไปหมด เพราะฉะนั้นเรานี่จะเป็นแกนนําในการที่จะนําพาสังคมไปข้างหน้าได้ เหมือนกับมือขวาแข็งแรงอยู่แล้ว ทําให้แข็งแรงขึ้น มือซ้ายอ่อนแอ เราก็ต้องมาช่วยกันพยุงมือซ้ายขึ้นมา มือซ้ายและมือขวาทั้งสองมือจะนําพาประเทศไปข้างหน้า สังคมไปข้างหน้า ทุกอย่างก็จะแก้ปัญหานี้ได้นะครับ
สินจัย: ต้องไปด้วยกัน
ท่านนายกฯ: ต้องไปด้วยกัน คือสิ่งที่จะพัฒนาประเทศได้เร็วที่สุดคือการศึกษานี่แหละ
ทรงสิทธิ์: ปัญหาไหนเป็นปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดที่รัฐบาลต้องแก้ไข
ท่านนายกฯ: อันแรกก็คือการลดความเหลื่อมล้ํานี่แหละครับ สําคัญที่สุด เพราะว่าความเหลื่อมล้ํามีความเหลื่อมล้ําอะไรบ้างล่ะ โรงเรียนใหญ่ โรงเรียนเล็ก ใช่ไหม โรงเรียนที่มีชื่อเสียง เด่นดังต่าง ๆ โรงเรียนที่ยังพัฒนาได้น้อย อันนี้จะทําให้เกิดความเหลื่อมล้ํา เพราะฉะนั้นเด็กนักเรียนที่เข้าเรียนในโรงเรียนเหล่านี้ ถ้าโรงเรียนดี โรงเรียนดังนี่ก็จะไปได้ไกล โรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้ไปได้ช้า เพราะฉะนั้นต้องพัฒนาทั้งสถานศึกษา พัฒนาทั้งครู ระบบการศึกษา การคัดกรอง วันนี้เราคัดกรองด้วยอะไร ด้วยคะแนนสอบใช่ไหม เพราะฉะนั้นผมคิดว่าไม่เพียงพอ การคัดกรองคะแนนสอบต้องมาตรฐานเท่ากันก่อน ถึงจะคัดกรองด้วยข้อสอบเดียวกันได้ ผมคิดอย่างนั้นนะ วันนี้เราใช้ข้อสอบทั่วประเทศ บางทีก็คัดกรองเด็กที่มีพื้นฐานต่างกันนี่ ทําอย่างไรกับเขาล่ะ ตัดโอกาสเขาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นหัวข้อปัจจัยในการพิจารณา สิ่งสําคัญที่สุดในระบบการศึกษาคือครู ครูต้องเรียนรู้ไปกับเด็ก วันนี้ครูก็ไปเรียนต่างประเทศมา ไปเรียน ไปร่วมมือ ไปสัมมนา เสวนา อะไรกันเยอะแยะไปหมด แต่ทุกคนต้องอัพเกรดตัวเองขึ้นมาให้ได้ ต้องเป็นครูให้เหมาะกับศตวรรษที่ 21 เหมือนกับนักเรียนศตวรรษที่ 21 เข้าใจไหม เรากําลังเตรียมคนเพื่ออนาคต 20 ปีข้างหน้าของพวกเราอย่างไรล่ะ
สินจัย: เด็ก ๆ มีอะไรที่อยากจะถาม
ท่านนายกฯ: มีอะไรไหม เชิญจ๊ะ
ทรงสิทธิ์: เชิญเลยครับ ยกมือแล้ว
ตะวัน แซ่วุ่น: มีคําถามครับคือในปัจจุบันมีการผลิตนักวิทยาศาสตร์ มีการเรียนการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์ออกมามากมายครับ ผมอยากทราบว่าในอนาคตอย่างนี้ จะมีตลาดแรงงานที่รองรับคนที่มีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะไหมครับ
ท่านนายกฯ: คําถามนี้น่าสนใจ เขากลัวว่าเรียนจบไปแล้วไม่มีงานทําใช่ไหม ก่อนอื่นลูกไปดูสิว่า วันนี้รัฐบาลก็เร่งรัดในเรื่องของกระทรวงแรงงานให้ไปหา Demand มาสิ ว่าวันนี้ภาคเอกชน ธุรกิจต่าง ๆ เขาต้องการอะไรบ้าง ภาครัฐต้องการอะไรบ้าง เราต้องการให้ข้าราชการดี ๆ ข้าราชการที่เก่ง แล้วก็มีความรู้ความสามารถ ขณะเดียวกันภาคธุรกิจก็ต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง EEC 3 จังหวัดนี่ต้องการมากขึ้น เป็นหมื่นรายนะ เป็นหมื่นคน เราต้องศึกษาเรียนรู้ว่านี่คือความต้องการของประเทศของเรา ถ้าเราเปิดในเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่รัฐบาลออกไปเยอะมากขณะนี้ อยากจะรู้งานของกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เขาต้องการคนแบบไหน ต้องการการบริการเท่าไร ต้องการนักวิทยาศาสตร์เท่าไร ต้องการนักวิจัยเท่าไร จะได้เป็นการกําหนดว่าเราชอบตรงไหน แล้วเราก็เรียนตรงนั้นไป นี่หางานทําได้ทันที โดยเฉพาะการเรียนที่เกี่ยวกับ Data นะ ข้อมูลนี่ไม่ค่อยได้เรียนกันหรอก เราขาดคนพวกนี้เยอะมากนะ ข้อมูล ในเมื่อเราจะจัดตั้ง Big Data ขึ้นมา เราต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้นะ แต่ลุงเตรียมไว้ให้แล้วนะ สอดคล้องพอดีกับลูกนะ เพราะเราวางแผน 5 ปี ยุทธศาสตร์ช่วงแรก 61 - 64 เข้าใจไหม ช่วงที่ 2 ก็เป็น 65 - 69 ทีละ 5 ปี ๆๆ เพื่อตอบสนอง รองรับพวกเราทุกคน
ทรงสิทธิ์: มามองดูแล้วตลาดมีอะไรนะครับ แล้วก็ไปหาดูว่าเราชอบอะไรด้วย เอาล่ะครับ ต่อไปมีใครจะถามอะไรอีกไหมครับ
อภิชญา ตั้งวงศ์กิจศิริ: ค่ะ หนู อภิชญา ตั้งวงศ์กิจศิริ นะคะขอเรียนถามท่านนายกฯ ค่ะว่าท่านนายกฯ มีแนวทางในการเพิ่มความปลอดภัย แล้วก็อํานวยความสะดวกให้กับการสอบระดับประเทศอย่างไรบ้างคะ
ท่านนายกฯ: อ๋อ คงเป็นเรื่องเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ใช่ไหม
สินจัย: ล่าสุดใช่ไหมคะ
ท่านนายกฯ: สิ่งที่เรามีอยู่แล้วคืออะไร คือกฎหมาย กฎหมายทุกอันมีอยู่ทุกตัวลูก ลุงแทบไม่ต้องไปทํากฎหมายใหม่ เรื่องเหล่านี้ คดีอาญา คดีแพ่ง มีหมดแล้ว แต่ทุกคนมักจะละเมิดกฎหมาย เพราะ ขาดจิตสํานึก จิตสํานึกเหล่านี้เกิดขึ้นจากอะไร การศึกษา แล้วการศึกษาไม่ใช่เฉพาะจะไปสอบให้ได้ สอบให้ผ่าน ได้คะแนนดี ๆ อันนี้ศึกษาด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว สร้างจิตใจให้เป็นคนที่มีคุณธรรม รู้อะไรดี อะไรไม่ดี ถ้าจะไปรบกวนคนสอบนี่ ต้องมีจิตสํานึกว่าจะดีไหม เสียงดัง เขากําลังสอบอยู่นี่ได้ไหม เข้าใจไหม อันนี้ก็จะทําของตัวเอง โน่นเขาก็จะทําของเขา หาตรงกลางไม่ได้ ต้องอยู่ที่ความยับยั้งชั่งใจ ถ้าจะบอกให้ลุงใช้กฎหมายหรือ ก็ใช้แต่กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน ให้ดําเนินการทุกกฎหมายที่มีอยู่ เขาทําความผิดมานะ เราต้องไปดูเหมือนกันว่าบางที่ก็ทําให้ทุกคนขาดโอกาสอะไรพอสมควร แต่ทําให้สังคมเป็นแบบนี้ไม่ได้ เข้าใจไหม ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เหล่านี้แก้ด้วยอะไร ด้วยการศึกษา ถ้าไม่ได้รับการสอนในโรงเรียนนะ ไม่มีคิดออก นี่เขาถึงต้องสอนวัฒนธรรม ประเพณี อัตลักษณ์ ประวัติศาสตร์ ศีลธรรม เหล่านี้คือความเป็นไทยของเราทุกคน แล้วนี่คือทําให้สังคมสงบสุข
สินจัย: ต้องช่วยกันนะคะ เมื่อกี้เห็นมีน้องด้านหลังอีกคนเชิญค่ะ
ธชธน ลีละวัฒน์: ผม นายธชธน ลีละวัฒน์ นะครับ ถ้าหากว่าท่านนายกฯ พบว่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาท่านนายกฯ นั้นมีการทุจริต ท่านนายกฯ จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร และทําไมถึงใช้วิธีนั้นครับ
ท่านนายกฯ: การที่กําจัดการทุจริตนี่ สิ่งสําคัญที่สุดคือต้องมีการร้องเรียน ร้องทุกข์ กล่าวโทษ ถ้าพูดกันอยู่ในโซเชียล มีเดีย อย่างเดียว ทําอะไรลําบาก เพราะหลักฐานไม่มี เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นธรรมเหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นกระบวนการยุติธรรมเราก็ว่ากันด้วยพยานบุคคลหรือวัตถุพยาน ใช่ไหมลูก อันนี้คนเขาก็ไม่กล้าแจ้ง ถ้าแจ้งอย่างนี้ รัฐบาลก็นโยบายของเรานี่คือปกปิดให้ ถ้ามาแจ้งแล้วเอาหลักฐานให้เรา วันนี้เราก็สอบทุกอันนะลูก ในเรื่องของที่ร้องเรียนมา บางทีเขาร้องกับหน่วยงานแล้วบางทีไม่ได้คําตอบ ร้องถึงนายกฯ เขียนจดหมาย เขียนอะไรมา แต่ลงชื่อมาให้เราด้วยนะ แล้วเราก็ปกปิดให้ แล้วก็สั่งสอบ แล้วก็ต้องแก้กันตั้งแต่เด็ก วันนี้เราก็มีการเรียนการสอนในเรื่องของการโตไปไม่โกง นี่จะช่วยเราได้มาก สังคมต้องช่วยกัน ถ้าเราปลูกฝังเหล่านี้ได้ สังคมจะไม่เกิดขึ้น การบังคับใช้กฎหมายก็จะลดลง เข้าใจไหม วันนี้ต้องการให้มีกฎหมายซึ่งเยอะ ลงโทษหนัก ๆ แล้วเราก็บังคับใช้ไม่ได้ เพราะแรงเกินไป ต้องหากฎหมายที่ทําให้ทุกคนปรองดอง แต่จะต้องรักษากฎเกณฑ์ของสังคมให้ได้ โอเคไหม
ทรงสิทธิ์: ท่านนายกฯ ครับ โรงเรียนกําเนิดวิทย์นี่ถือว่าเป็นโรงเรียนต้นแบบของเอกชน ไม่ทราบว่าโรงเรียนของรัฐนี่จะมีโรงเรียนต้นแบบ แบบนี้เหมือนกันไหมครับ
ท่านนายกฯ: มีอยู่แล้วนะ หลาย ๆ พื้นที่ โรงเรียนมหิดลฯ ก็มี โรงเรียนจุฬาภรณ์ฯ ก็มี วปว. ก็มีราชภัฏฯ วันนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ความสําคัญในเรื่องสถาบันราชภัฏ พัฒนาท้องถิ่นนะ นี่แหละคือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาบันราชภัฏทุกแห่งไปร่วมในการพัฒนาพื้นที่ของตัวเอง สร้างบุคลากร สร้างคนของเราโดยการพัฒนาประเทศ ในพื้นที่ที่แต่ละมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ เรามีมหาวิทยาลัยเอกชนเยอะแยะไปหมด วันนี้สิ่งที่สําคัญที่สุดอีกประการหนึ่งก็คือว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ก็มี ใช่ไหม ที่เป็นหน่วยงานให้ภาคเอกชน นักศึกษา SMEs, Start up มาเจอกัน ทํามา 3 ปีแล้วนะ นี่คือโรงเรียน เป็นมหาวิทยาลัยข้างนอก ที่นอกจากโรงเรียนที่นี่แล้วนะ แล้วมีอะไรอีกล่ะ ที่เขาทําไปที่ภาคใต้นะ ภาคใต้ตอนบน มีที่นําร่อง คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา นําร่องที่ระยอง ศรีสะเกษ และสตูล มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการศึกษาใหม่ทั้งหมด เปลี่ยน ผอ. เป็นครูใหญ่ มาทําหน้าที่หัวหน้าครู หัวหน้าฝ่ายวิชาการ เป็นผู้นําการจัดการศึกษาในโรงเรียน ระหว่างที่ครูสอนจะอัดวีดิโอไว้ เอามาเปิดให้ครู ครูใหญ่ นักเรียน ผู้ปกครอง ช่วยกันดูว่าเอาแบบไหนถึงจะดี สนุก ได้ความรู้ และปรับปรุงรูปแบบให้เหมาะสม มีการประเมินผล ทั้ง 2 ด้าน
สินจัย:จะมีใครมีคําถามเพิ่มไหมคะ
สุพัฒน์พงษ์จันทร์วัฒน์:อยากทราบว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะมีวิธีการอย่างไรที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติของบุคคลที่มีต่อการศึกษาในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คือหลาย ๆ คน มองว่าวิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่น่าเบื่อและก็ไม่ได้ใช้ต่อในชีวิตประจําวัน ก็เลยอยากทราบว่าท่านจะทําให้คนพวกนี้ปรับเปลี่ยนมุมมองได้อย่างไร
ท่านนายกฯ:ที่ลุงพูดมาตรงนี้ก็คือวันนี้เราให้ความสําคัญของการศึกษา และให้การศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ ถูกไหมละ และนักวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างนวัตกรรม นําเทคโนโลยีไปสู่การพัฒนาประเทศ แต่ก่อนคนเรียนพวกนี้ไม่ค่อยสนใจใช่ไหม เพราะเราไม่ได้สร้างงานไว้ให้เขา ไม่มีEECไม่มีต่าง ๆ เราใช้ประโยชน์จากของเดิมมาเป็นสิบ ๆ ปี ที่เคยรุ่งโรจน์มาวันนี้คงสภาพแล้วละ เราถึงต้องสร้างกิจกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาEECขึ้นมา และก็มีการสร้างEECd EECiใช่ไหม เรื่องของการใช้ประโยชน์จากการนักวิทยาศาสตร์พวกนี้ ถ้ารู้อย่างนี้เราก็อยากเรียน มีงานทํา มีความภูมิใจในงาน มีส่วนในการพัฒนาประเทศ อย่าไปเรียนอะไรที่ง่าย ๆ อะไรที่ง่าย ๆ วันหน้าลําบากหมด ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ จําไว้
สินจัย: อาจารย์ใช่ไหมคะ ยินดีค่ะ
ดร. มิญช์ เมธีสุวกุล: ผมมิญช์ เมธีสุวกุล ครับ อยากจะถามท่านนายกฯ ว่า ท่านมีแนวทางอย่างไรที่จะยกระดับครูของไทยครับ
ท่านนายกฯ: อันนี้คงต้องตอบยาวเหมือนกันนะ ครูเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นปัญหาของเราอยู่เหมือนกัน ใช่ไหม การที่จะลดความเหลื่อมล้ํา จะทําได้อย่างไร หลายองค์ประกอบด้วยกันนะ วันนี้เรามาดูกันก่อนว่าระบบโรงเรียนไทยเรามักจะสนับสนุนโรงเรียนใหญ่มากกว่าโรงเรียนขนาดเล็กใช่ไหมเพราะฉะนั้น นักเรียนอ่อนหรือยากจน ก็อาจจะไปรวมในโรงเรียนเดียวกัน มีฐานะที่ค่อนข้างจะอ่อน น่ะ เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นส่วนนี้จะมีปัญหาแน่นอน ครูก็อ่อน เด็กก็อ่อน ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ถ้าให้ทุนแต่นักเรียนยากจน นักเรียนอ่อน แล้วก็ไปเรียนในโรงเรียนที่ครูอ่อนเหมือนเดิม ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ให้ทุนการเรียนอ่อนที่พูดไปสักครู่นี้นะ ทําอย่างไรจะยกระดับโรงเรียนอ่อนขึ้นมา ครูนี่จะต้องเป็นครูที่เก่ง จะถามว่ายกระดับอย่างไรไหม อันแรกคือเรื่องของปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการทําไปแล้ว
1. โครงการคูปองพัฒนาครู อันนี้ต้องไปดูด้วยเหมือนกันนะว่าเขานําหลักสูตรที่สถาบันคุรุพัฒนารับรองมาคัดเลือกให้เหมาะสมกับบริบทของครู ในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ. ในปีงบประมาณ 61 ได้รับการพัฒนาไปแล้ว 279,280 คน แต่ยังไม่ครบหมดหรอก เพราะจํานวนเขาจํากัดตรงนี้
2. โครงการปรับปรุงบ้านพักครู ผมได้ให้งบประมาณในการซ่อมแซมบ้านพักครูทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2561 แล้วเสร็จไปแล้ว 7,311 หลัง
ต่อไปคือโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น มีเป้าหมายคัดเลือกบุคลากรเข้าร่วมโครงการ 10 รุ่นรวมทั้งสิ้น 48,374 คน คัดเลือกไปแล้วจํานวน 8 รุ่น ได้ 24,495 คน บรรจุเป็นครูไปแล้ว ปี 59 - 60 จํานวน 2 รุ่น รวม 6,371 คนนี่คือการพัฒนาคนให้ดี ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น
การเพิ่มกระจายโอกาสและคุณภาพการศึกษาทั่วถึงตั้ง 16 โครงการนะ อันนี้จะสอดคล้องกับการพัฒนาครูตรงนี้ไปด้วย โครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ก็จะต้องมีมาฝึก และผู้จบการศึกษาวางแผนกําลังพล ปี 2561 4 หลักสูตร
โรงเรียนประชารัฐอีกล่ะ กําลังพัฒนานะ โรงเรียนประชารัฐ โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่สูง อันนี้พัฒนาไปเรื่องอะไร DLTV โครงการทางไกลผ่านดาวเทียม จํานวน 15,191 แห่ง ครูทุกคน ต้องมีการพัฒนาหมด พัฒนาด้วยตัวเอง ด้วยหลักสูตร ด้วยคูปองเมื่อสักครู่แล้ว ก็พัฒนาด้วยการศึกษาจาก DLTV อย่างไร ทั้งหมดนี่คือครูทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นวันนี้ครูเราจะต้องให้มีการผลิตครูรุ่นใหม่ขึ้นมา ที่ต้องสอดคล้องกับการพัฒนาเด็ก ศตวรรษที่ 21 เป็นครูศตวรรษที่ 21 เหมือนกันนะ โอเคนะคุณครูนะ ขอบพระคุณ
ทรงสิทธิ์: เอาล่ะครับ วันนี้ก็ถือว่าครบถ้วนในเรื่องของการศึกษาของประเทศไทยนะครับ และวันนี้นะครับก็ต้องขอขอบพระคุณนะครับ ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นอย่างสูงครับ
สินจัย: ขอบพระคุณค่ะ ก็ขอบคุณน้อง ๆ แล้วก็อาจารย์ทุกท่านด้วย
.........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562
วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562 เวลา 20.15 น.
ตอน: โรงเรียนกําเนิดวิทย์ (Kamnoetvidya Science Academy)
พิธีกร: ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี, สินจัย เปล่งพานิช
สินจัย: รายการศาสตร์พระราชาฯ วันนี้นะคะ เราอยู่กันที่โรงเรียนกําเนิดวิทย์
ทรงสิทธิ์: ซึ่งโรงเรียนกําเนิดวิทย์นะครับ เป็นนามพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งหมายความว่าโรงเรียนที่เป็นแหล่งความรู้ โรงเรียนกําเนิดวิทย์ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มบริษัท ปตท. นะครับ รับนักเรียนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีความสามารถพิเศษทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มีสื่อการเรียนการสอนที่ล้ําสมัย และที่สําคัญนะครับ ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนทุกระดับ ถือว่าเป็นโรงเรียนต้นแบบแห่งแรกของประเทศไทยที่จะผลิตนักเรียนที่จะออกมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาประเทศต่อไปครับ
สินจัย: แล้วเมื่อเช้าวันพุธที่ผ่านมานะคะ ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้เดินทางมาเยี่ยมชมโรงเรียนแห่งนี้ค่ะ
สินจัย: เมื่อสักครู่นะคะเราก็ได้ชมบรรยากาศของโรงเรียนกําเนิดวิทย์กันไปแล้วนะคะ ได้เห็นโครงงานวิทยาศาสตร์ของน้อง ๆ แล้วด้วยนะคะ แล้วตอนนี้ท่านนายกรัฐมนตรีก็พร้อมที่จะพูดคุยกับเราแล้วค่ะ ขอกล่าวสวัสดีกับท่านอีกสักครั้งนะคะ สวัสดีค่ะ
ท่านนายกฯ: สวัสดีครับ
สินจัย: ท่านคะรัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาเรื่องการศึกษาไทยอย่างไรบ้างคะ
ท่านนายกฯ: ก็อยากจะตอบอย่างนี้นะครับ ในหลักคิดของรัฐบาลก็คือว่าปัญหาในเรื่องความเหลื่อมล้ํานี่ส่งผลร้ายต่อการพัฒนาประเทศ ไปยาวนานในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม อะไรต่าง ๆ ทั้งหมด เพราะฉะนั้นผมคิดว่าการศึกษานี่ เป็นต้นตอแห่งปัญหาอันหนึ่ง ที่เราจําเป็นต้องมีการพัฒนาลดความเหลื่อมล้ําตรงนี้ให้ได้ ความเหลื่อมล้ํามีหลายอย่างด้วยกันนะครับ ความเหลื่อมล้ําเรื่องทุนการศึกษา ความเหลื่อมล้ําเรื่องโรงเรียน ความเหลื่อมล้ําเรื่องประสิทธิภาพของครู การบริหารจัดการอุปกรณ์การศึกษา ทั้งหมดนี่คือปัญหาในเรื่องการศึกษาทั้งสิ้น เราก็ต้องมององค์ประกอบทั้งหมดว่าเราจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร สําหรับในขณะนี้เราก็ได้มีการจัดตั้งกองทุนการศึกษา อันนี้ก็มีการให้ทุนไปแล้วทั้งหมด 3 แสนหกหมื่นกว่าราย ในช่วงที่ผ่านมาเราตั้งเป้าไว้ 400,000 ราย จ่ายไปแล้ว 360,000 ราย ก็ยังไม่เพียงพอหรอก คงต้องทําต่อไป งบประมาณตรงนี้ก็ใช้จํานวนหนึ่งนะครับ รอบแรกนี่ใช้ในสังกัดของ สพฐ. ในการที่จะดูแลนักเรียนยากจนพิเศษ 400,000 ราย แต่นี่จ่ายไปแล้ว 360,000 กว่าราย แล้วมีระบบ IC ในการจะติดตามผลต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งต้องมีเงื่อนไขบางประการเหมือนกันนะครับ แล้วมีคนหลายระดับด้วยกัน รวยมาก รวยปานกลาง รวยน้อย อะไรต่าง ๆ รายได้น้อย ทั้งหมดนี่เหมือนมือซ้ายกับมือขวา มือซ้ายนี่แข็งแรง นักเรียนก็แข็งแรง นักเรียนกําเนิดวิทย์ สถาบันนี้แข็งแรง นี่คือมือขวาแล้วกัน ถนัดแข็งแรงกว่า เพราะฉะนั้นเราต้องเอาตัวนี้นํา ในการที่จะนํามือซ้ายของเรานี่ไปข้างหน้า มือซ้ายคือใครครับ คือคนที่ยังมีความเหลื่อมล้ําอยู่ในระบบการศึกษา โอกาสไม่เท่าเทียมเรา แล้วก็ในเรื่องของหลักคิดอะไรต่าง ๆ ต่างกันไปหมด เพราะฉะนั้นเรานี่จะเป็นแกนนําในการที่จะนําพาสังคมไปข้างหน้าได้ เหมือนกับมือขวาแข็งแรงอยู่แล้ว ทําให้แข็งแรงขึ้น มือซ้ายอ่อนแอ เราก็ต้องมาช่วยกันพยุงมือซ้ายขึ้นมา มือซ้ายและมือขวาทั้งสองมือจะนําพาประเทศไปข้างหน้า สังคมไปข้างหน้า ทุกอย่างก็จะแก้ปัญหานี้ได้นะครับ
สินจัย: ต้องไปด้วยกัน
ท่านนายกฯ: ต้องไปด้วยกัน คือสิ่งที่จะพัฒนาประเทศได้เร็วที่สุดคือการศึกษานี่แหละ
ทรงสิทธิ์: ปัญหาไหนเป็นปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดที่รัฐบาลต้องแก้ไข
ท่านนายกฯ: อันแรกก็คือการลดความเหลื่อมล้ํานี่แหละครับ สําคัญที่สุด เพราะว่าความเหลื่อมล้ํามีความเหลื่อมล้ําอะไรบ้างล่ะ โรงเรียนใหญ่ โรงเรียนเล็ก ใช่ไหม โรงเรียนที่มีชื่อเสียง เด่นดังต่าง ๆ โรงเรียนที่ยังพัฒนาได้น้อย อันนี้จะทําให้เกิดความเหลื่อมล้ํา เพราะฉะนั้นเด็กนักเรียนที่เข้าเรียนในโรงเรียนเหล่านี้ ถ้าโรงเรียนดี โรงเรียนดังนี่ก็จะไปได้ไกล โรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้ไปได้ช้า เพราะฉะนั้นต้องพัฒนาทั้งสถานศึกษา พัฒนาทั้งครู ระบบการศึกษา การคัดกรอง วันนี้เราคัดกรองด้วยอะไร ด้วยคะแนนสอบใช่ไหม เพราะฉะนั้นผมคิดว่าไม่เพียงพอ การคัดกรองคะแนนสอบต้องมาตรฐานเท่ากันก่อน ถึงจะคัดกรองด้วยข้อสอบเดียวกันได้ ผมคิดอย่างนั้นนะ วันนี้เราใช้ข้อสอบทั่วประเทศ บางทีก็คัดกรองเด็กที่มีพื้นฐานต่างกันนี่ ทําอย่างไรกับเขาล่ะ ตัดโอกาสเขาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นหัวข้อปัจจัยในการพิจารณา สิ่งสําคัญที่สุดในระบบการศึกษาคือครู ครูต้องเรียนรู้ไปกับเด็ก วันนี้ครูก็ไปเรียนต่างประเทศมา ไปเรียน ไปร่วมมือ ไปสัมมนา เสวนา อะไรกันเยอะแยะไปหมด แต่ทุกคนต้องอัพเกรดตัวเองขึ้นมาให้ได้ ต้องเป็นครูให้เหมาะกับศตวรรษที่ 21 เหมือนกับนักเรียนศตวรรษที่ 21 เข้าใจไหม เรากําลังเตรียมคนเพื่ออนาคต 20 ปีข้างหน้าของพวกเราอย่างไรล่ะ
สินจัย: เด็ก ๆ มีอะไรที่อยากจะถาม
ท่านนายกฯ: มีอะไรไหม เชิญจ๊ะ
ทรงสิทธิ์: เชิญเลยครับ ยกมือแล้ว
ตะวัน แซ่วุ่น: มีคําถามครับคือในปัจจุบันมีการผลิตนักวิทยาศาสตร์ มีการเรียนการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์ออกมามากมายครับ ผมอยากทราบว่าในอนาคตอย่างนี้ จะมีตลาดแรงงานที่รองรับคนที่มีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะไหมครับ
ท่านนายกฯ: คําถามนี้น่าสนใจ เขากลัวว่าเรียนจบไปแล้วไม่มีงานทําใช่ไหม ก่อนอื่นลูกไปดูสิว่า วันนี้รัฐบาลก็เร่งรัดในเรื่องของกระทรวงแรงงานให้ไปหา Demand มาสิ ว่าวันนี้ภาคเอกชน ธุรกิจต่าง ๆ เขาต้องการอะไรบ้าง ภาครัฐต้องการอะไรบ้าง เราต้องการให้ข้าราชการดี ๆ ข้าราชการที่เก่ง แล้วก็มีความรู้ความสามารถ ขณะเดียวกันภาคธุรกิจก็ต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง EEC 3 จังหวัดนี่ต้องการมากขึ้น เป็นหมื่นรายนะ เป็นหมื่นคน เราต้องศึกษาเรียนรู้ว่านี่คือความต้องการของประเทศของเรา ถ้าเราเปิดในเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่รัฐบาลออกไปเยอะมากขณะนี้ อยากจะรู้งานของกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เขาต้องการคนแบบไหน ต้องการการบริการเท่าไร ต้องการนักวิทยาศาสตร์เท่าไร ต้องการนักวิจัยเท่าไร จะได้เป็นการกําหนดว่าเราชอบตรงไหน แล้วเราก็เรียนตรงนั้นไป นี่หางานทําได้ทันที โดยเฉพาะการเรียนที่เกี่ยวกับ Data นะ ข้อมูลนี่ไม่ค่อยได้เรียนกันหรอก เราขาดคนพวกนี้เยอะมากนะ ข้อมูล ในเมื่อเราจะจัดตั้ง Big Data ขึ้นมา เราต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้นะ แต่ลุงเตรียมไว้ให้แล้วนะ สอดคล้องพอดีกับลูกนะ เพราะเราวางแผน 5 ปี ยุทธศาสตร์ช่วงแรก 61 - 64 เข้าใจไหม ช่วงที่ 2 ก็เป็น 65 - 69 ทีละ 5 ปี ๆๆ เพื่อตอบสนอง รองรับพวกเราทุกคน
ทรงสิทธิ์: มามองดูแล้วตลาดมีอะไรนะครับ แล้วก็ไปหาดูว่าเราชอบอะไรด้วย เอาล่ะครับ ต่อไปมีใครจะถามอะไรอีกไหมครับ
อภิชญา ตั้งวงศ์กิจศิริ: ค่ะ หนู อภิชญา ตั้งวงศ์กิจศิริ นะคะขอเรียนถามท่านนายกฯ ค่ะว่าท่านนายกฯ มีแนวทางในการเพิ่มความปลอดภัย แล้วก็อํานวยความสะดวกให้กับการสอบระดับประเทศอย่างไรบ้างคะ
ท่านนายกฯ: อ๋อ คงเป็นเรื่องเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ใช่ไหม
สินจัย: ล่าสุดใช่ไหมคะ
ท่านนายกฯ: สิ่งที่เรามีอยู่แล้วคืออะไร คือกฎหมาย กฎหมายทุกอันมีอยู่ทุกตัวลูก ลุงแทบไม่ต้องไปทํากฎหมายใหม่ เรื่องเหล่านี้ คดีอาญา คดีแพ่ง มีหมดแล้ว แต่ทุกคนมักจะละเมิดกฎหมาย เพราะ ขาดจิตสํานึก จิตสํานึกเหล่านี้เกิดขึ้นจากอะไร การศึกษา แล้วการศึกษาไม่ใช่เฉพาะจะไปสอบให้ได้ สอบให้ผ่าน ได้คะแนนดี ๆ อันนี้ศึกษาด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว สร้างจิตใจให้เป็นคนที่มีคุณธรรม รู้อะไรดี อะไรไม่ดี ถ้าจะไปรบกวนคนสอบนี่ ต้องมีจิตสํานึกว่าจะดีไหม เสียงดัง เขากําลังสอบอยู่นี่ได้ไหม เข้าใจไหม อันนี้ก็จะทําของตัวเอง โน่นเขาก็จะทําของเขา หาตรงกลางไม่ได้ ต้องอยู่ที่ความยับยั้งชั่งใจ ถ้าจะบอกให้ลุงใช้กฎหมายหรือ ก็ใช้แต่กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน ให้ดําเนินการทุกกฎหมายที่มีอยู่ เขาทําความผิดมานะ เราต้องไปดูเหมือนกันว่าบางที่ก็ทําให้ทุกคนขาดโอกาสอะไรพอสมควร แต่ทําให้สังคมเป็นแบบนี้ไม่ได้ เข้าใจไหม ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เหล่านี้แก้ด้วยอะไร ด้วยการศึกษา ถ้าไม่ได้รับการสอนในโรงเรียนนะ ไม่มีคิดออก นี่เขาถึงต้องสอนวัฒนธรรม ประเพณี อัตลักษณ์ ประวัติศาสตร์ ศีลธรรม เหล่านี้คือความเป็นไทยของเราทุกคน แล้วนี่คือทําให้สังคมสงบสุข
สินจัย: ต้องช่วยกันนะคะ เมื่อกี้เห็นมีน้องด้านหลังอีกคนเชิญค่ะ
ธชธน ลีละวัฒน์: ผม นายธชธน ลีละวัฒน์ นะครับ ถ้าหากว่าท่านนายกฯ พบว่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาท่านนายกฯ นั้นมีการทุจริต ท่านนายกฯ จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร และทําไมถึงใช้วิธีนั้นครับ
ท่านนายกฯ: การที่กําจัดการทุจริตนี่ สิ่งสําคัญที่สุดคือต้องมีการร้องเรียน ร้องทุกข์ กล่าวโทษ ถ้าพูดกันอยู่ในโซเชียล มีเดีย อย่างเดียว ทําอะไรลําบาก เพราะหลักฐานไม่มี เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นธรรมเหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นกระบวนการยุติธรรมเราก็ว่ากันด้วยพยานบุคคลหรือวัตถุพยาน ใช่ไหมลูก อันนี้คนเขาก็ไม่กล้าแจ้ง ถ้าแจ้งอย่างนี้ รัฐบาลก็นโยบายของเรานี่คือปกปิดให้ ถ้ามาแจ้งแล้วเอาหลักฐานให้เรา วันนี้เราก็สอบทุกอันนะลูก ในเรื่องของที่ร้องเรียนมา บางทีเขาร้องกับหน่วยงานแล้วบางทีไม่ได้คําตอบ ร้องถึงนายกฯ เขียนจดหมาย เขียนอะไรมา แต่ลงชื่อมาให้เราด้วยนะ แล้วเราก็ปกปิดให้ แล้วก็สั่งสอบ แล้วก็ต้องแก้กันตั้งแต่เด็ก วันนี้เราก็มีการเรียนการสอนในเรื่องของการโตไปไม่โกง นี่จะช่วยเราได้มาก สังคมต้องช่วยกัน ถ้าเราปลูกฝังเหล่านี้ได้ สังคมจะไม่เกิดขึ้น การบังคับใช้กฎหมายก็จะลดลง เข้าใจไหม วันนี้ต้องการให้มีกฎหมายซึ่งเยอะ ลงโทษหนัก ๆ แล้วเราก็บังคับใช้ไม่ได้ เพราะแรงเกินไป ต้องหากฎหมายที่ทําให้ทุกคนปรองดอง แต่จะต้องรักษากฎเกณฑ์ของสังคมให้ได้ โอเคไหม
ทรงสิทธิ์: ท่านนายกฯ ครับ โรงเรียนกําเนิดวิทย์นี่ถือว่าเป็นโรงเรียนต้นแบบของเอกชน ไม่ทราบว่าโรงเรียนของรัฐนี่จะมีโรงเรียนต้นแบบ แบบนี้เหมือนกันไหมครับ
ท่านนายกฯ: มีอยู่แล้วนะ หลาย ๆ พื้นที่ โรงเรียนมหิดลฯ ก็มี โรงเรียนจุฬาภรณ์ฯ ก็มี วปว. ก็มีราชภัฏฯ วันนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ความสําคัญในเรื่องสถาบันราชภัฏ พัฒนาท้องถิ่นนะ นี่แหละคือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาบันราชภัฏทุกแห่งไปร่วมในการพัฒนาพื้นที่ของตัวเอง สร้างบุคลากร สร้างคนของเราโดยการพัฒนาประเทศ ในพื้นที่ที่แต่ละมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ เรามีมหาวิทยาลัยเอกชนเยอะแยะไปหมด วันนี้สิ่งที่สําคัญที่สุดอีกประการหนึ่งก็คือว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ก็มี ใช่ไหม ที่เป็นหน่วยงานให้ภาคเอกชน นักศึกษา SMEs, Start up มาเจอกัน ทํามา 3 ปีแล้วนะ นี่คือโรงเรียน เป็นมหาวิทยาลัยข้างนอก ที่นอกจากโรงเรียนที่นี่แล้วนะ แล้วมีอะไรอีกล่ะ ที่เขาทําไปที่ภาคใต้นะ ภาคใต้ตอนบน มีที่นําร่อง คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา นําร่องที่ระยอง ศรีสะเกษ และสตูล มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการศึกษาใหม่ทั้งหมด เปลี่ยน ผอ. เป็นครูใหญ่ มาทําหน้าที่หัวหน้าครู หัวหน้าฝ่ายวิชาการ เป็นผู้นําการจัดการศึกษาในโรงเรียน ระหว่างที่ครูสอนจะอัดวีดิโอไว้ เอามาเปิดให้ครู ครูใหญ่ นักเรียน ผู้ปกครอง ช่วยกันดูว่าเอาแบบไหนถึงจะดี สนุก ได้ความรู้ และปรับปรุงรูปแบบให้เหมาะสม มีการประเมินผล ทั้ง 2 ด้าน
สินจัย:จะมีใครมีคําถามเพิ่มไหมคะ
สุพัฒน์พงษ์จันทร์วัฒน์:อยากทราบว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะมีวิธีการอย่างไรที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติของบุคคลที่มีต่อการศึกษาในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คือหลาย ๆ คน มองว่าวิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่น่าเบื่อและก็ไม่ได้ใช้ต่อในชีวิตประจําวัน ก็เลยอยากทราบว่าท่านจะทําให้คนพวกนี้ปรับเปลี่ยนมุมมองได้อย่างไร
ท่านนายกฯ:ที่ลุงพูดมาตรงนี้ก็คือวันนี้เราให้ความสําคัญของการศึกษา และให้การศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ ถูกไหมละ และนักวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างนวัตกรรม นําเทคโนโลยีไปสู่การพัฒนาประเทศ แต่ก่อนคนเรียนพวกนี้ไม่ค่อยสนใจใช่ไหม เพราะเราไม่ได้สร้างงานไว้ให้เขา ไม่มีEECไม่มีต่าง ๆ เราใช้ประโยชน์จากของเดิมมาเป็นสิบ ๆ ปี ที่เคยรุ่งโรจน์มาวันนี้คงสภาพแล้วละ เราถึงต้องสร้างกิจกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาEECขึ้นมา และก็มีการสร้างEECd EECiใช่ไหม เรื่องของการใช้ประโยชน์จากการนักวิทยาศาสตร์พวกนี้ ถ้ารู้อย่างนี้เราก็อยากเรียน มีงานทํา มีความภูมิใจในงาน มีส่วนในการพัฒนาประเทศ อย่าไปเรียนอะไรที่ง่าย ๆ อะไรที่ง่าย ๆ วันหน้าลําบากหมด ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ จําไว้
สินจัย: อาจารย์ใช่ไหมคะ ยินดีค่ะ
ดร. มิญช์ เมธีสุวกุล: ผมมิญช์ เมธีสุวกุล ครับ อยากจะถามท่านนายกฯ ว่า ท่านมีแนวทางอย่างไรที่จะยกระดับครูของไทยครับ
ท่านนายกฯ: อันนี้คงต้องตอบยาวเหมือนกันนะ ครูเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นปัญหาของเราอยู่เหมือนกัน ใช่ไหม การที่จะลดความเหลื่อมล้ํา จะทําได้อย่างไร หลายองค์ประกอบด้วยกันนะ วันนี้เรามาดูกันก่อนว่าระบบโรงเรียนไทยเรามักจะสนับสนุนโรงเรียนใหญ่มากกว่าโรงเรียนขนาดเล็กใช่ไหมเพราะฉะนั้น นักเรียนอ่อนหรือยากจน ก็อาจจะไปรวมในโรงเรียนเดียวกัน มีฐานะที่ค่อนข้างจะอ่อน น่ะ เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นส่วนนี้จะมีปัญหาแน่นอน ครูก็อ่อน เด็กก็อ่อน ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ถ้าให้ทุนแต่นักเรียนยากจน นักเรียนอ่อน แล้วก็ไปเรียนในโรงเรียนที่ครูอ่อนเหมือนเดิม ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ให้ทุนการเรียนอ่อนที่พูดไปสักครู่นี้นะ ทําอย่างไรจะยกระดับโรงเรียนอ่อนขึ้นมา ครูนี่จะต้องเป็นครูที่เก่ง จะถามว่ายกระดับอย่างไรไหม อันแรกคือเรื่องของปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการทําไปแล้ว
1. โครงการคูปองพัฒนาครู อันนี้ต้องไปดูด้วยเหมือนกันนะว่าเขานําหลักสูตรที่สถาบันคุรุพัฒนารับรองมาคัดเลือกให้เหมาะสมกับบริบทของครู ในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ. ในปีงบประมาณ 61 ได้รับการพัฒนาไปแล้ว 279,280 คน แต่ยังไม่ครบหมดหรอก เพราะจํานวนเขาจํากัดตรงนี้
2. โครงการปรับปรุงบ้านพักครู ผมได้ให้งบประมาณในการซ่อมแซมบ้านพักครูทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2561 แล้วเสร็จไปแล้ว 7,311 หลัง
ต่อไปคือโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น มีเป้าหมายคัดเลือกบุคลากรเข้าร่วมโครงการ 10 รุ่นรวมทั้งสิ้น 48,374 คน คัดเลือกไปแล้วจํานวน 8 รุ่น ได้ 24,495 คน บรรจุเป็นครูไปแล้ว ปี 59 - 60 จํานวน 2 รุ่น รวม 6,371 คนนี่คือการพัฒนาคนให้ดี ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น
การเพิ่มกระจายโอกาสและคุณภาพการศึกษาทั่วถึงตั้ง 16 โครงการนะ อันนี้จะสอดคล้องกับการพัฒนาครูตรงนี้ไปด้วย โครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ก็จะต้องมีมาฝึก และผู้จบการศึกษาวางแผนกําลังพล ปี 2561 4 หลักสูตร
โรงเรียนประชารัฐอีกล่ะ กําลังพัฒนานะ โรงเรียนประชารัฐ โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่สูง อันนี้พัฒนาไปเรื่องอะไร DLTV โครงการทางไกลผ่านดาวเทียม จํานวน 15,191 แห่ง ครูทุกคน ต้องมีการพัฒนาหมด พัฒนาด้วยตัวเอง ด้วยหลักสูตร ด้วยคูปองเมื่อสักครู่แล้ว ก็พัฒนาด้วยการศึกษาจาก DLTV อย่างไร ทั้งหมดนี่คือครูทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นวันนี้ครูเราจะต้องให้มีการผลิตครูรุ่นใหม่ขึ้นมา ที่ต้องสอดคล้องกับการพัฒนาเด็ก ศตวรรษที่ 21 เป็นครูศตวรรษที่ 21 เหมือนกันนะ โอเคนะคุณครูนะ ขอบพระคุณ
ทรงสิทธิ์: เอาล่ะครับ วันนี้ก็ถือว่าครบถ้วนในเรื่องของการศึกษาของประเทศไทยนะครับ และวันนี้นะครับก็ต้องขอขอบพระคุณนะครับ ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นอย่างสูงครับ
สินจัย: ขอบพระคุณค่ะ ก็ขอบคุณน้อง ๆ แล้วก็อาจารย์ทุกท่านด้วย
.........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19084
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้น นบข. เปิดรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องเกษตกร ปฏิบัติการทำงานแบบ New Normal
|
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเน้น นบข. เปิดรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องเกษตกร ปฏิบัติการทํางานแบบ New Normal
นายกรัฐมนตรีเน้น นบข. เปิดรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องเกษตกร ปฏิบัติการทํางานแบบ New Normal
วันนี้ (17 ก.ค. 63) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 โดยมี นายจุรินทร์ ลักษณ์วิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชน์ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชุมด้วย
ที่ประชุมรายงานสถานการณ์ข้าวโลกผลผลิตข้าวโลก ซึ่งคาดว่าจะมี 502.09 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.58 เนื่องจากผลผลิตข้าวของประเทศผู้ผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นผลให้สต็อกข้าวโลก ปลายปี 63 /64 คาดว่าจะอยู่ที่ 185.35 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.26 โดยจีนยังคงมีสต็อกข้าวสูงสุด 117.50 ล้านตัน รองลงมาคืออินเดีย 38 ล้านตัน และไทย 4.19 ล้านตัน
การส่งออกข้าว ระหว่าง วันที่ 1 ม.ค. - 8 ก.ค.63 โดยอินเดียส่งออกอันดับ 1 ของโลก 4.65 ล้านตัน รองลงมาได้แก่ เวียดนาม 4.17 ล้านตัน ไทย 3.15 ล้านตัน ปากีสถาน 2.07 ล้านตัน สหรัฐฯ 1.61 ล้านตัน การค้าข้าว สําหรับราคาข้าวไทยเทียบกับประเทศผู้ส่งออกสําคัญ ก.ค. 63 ปรับตัวลด เป็นไปตามทิศทางตลาดโลกและส่วนหนึ่งจากสถารการณ์โควิด-19 ด้วย
สําหรับแนวโน้มสถานการณ์การส่งออกข้าวสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดการณ์เป้าหมายการส่งออกข้าวปี 63 ไว้ที่ 7.5 ล้านตัน โดยมีปัจจัยสําคัญดังนี้ ไทยได้รับจัดสรรโควตาประมูลนําเข้าข้าวจากเกาหลีใต้ ขณะที่ญี่ปุ่นเปิดประมูลนําเข้าข้าวอย่างต่อเนื่องจึงเป็นโอกาสการส่งออกข้าวไทย มาเลเซียและอินโดนีเซียอาจนําเข้าข้าวในช่วงครึ่งปีหลังเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้าวไทยราคาสูงกว่าคู่แข่ง
ทั้งนี้ ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกําหนดราคาเป้าหมายและปริมาณต่อครัวเรือนเท่ากับปีที่ผ่านมา ประกอบด้วยข้าว 5 ชนิดดังนี้ 1. ข้าวหอมมะลิ 15,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน 2. ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน 3. ข้าวเจ้า 10,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน 4. ข้าวหอมปทุมธานี 11,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ 5 .ข้าวเหนียว 12,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมาย ธ.ก.ส. กระทรวงการคลัง สํานักงบประมาณ และกระทรวงพาณิชย์ จัดทํารายละเอียดโครงการประกันรายได้ มาตรการคู่ขนาน และงบประมาณตาม พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และให้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบข. นําเสนอ ครม. ต่อไป
นายกรัฐมนตรียังให้แนวปฏิบัติในการทํางานของ นบข. เพิ่มการรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องเกษตกร ด้วยรูปแบบ New Normal โดยเฉพาะสหกรณ์การเกษตร ซึ่งมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถช่วยดูแลพ แนะนําพื้นที่ในการปลูกพืชที่เหมาะสม ซึ่งช่วยลดการปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดได้ด้วย โดยนายกรัฐมนตรียังได้แนะนําให้มีการพิจารณาปลูกพืชถั่วเหลือง ซึ่งมีราคาดีและช่วยลดการนําเข้าอีก เพราะรัฐบาลนี้ เน้นแก้ปัญหาอุปสรรคให้พี่น้องชาวนา และต้องการวางยุทธศาสตร์ข้าวให้ยั่งยืนด้วย
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้น นบข. เปิดรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องเกษตกร ปฏิบัติการทำงานแบบ New Normal
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเน้น นบข. เปิดรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องเกษตกร ปฏิบัติการทํางานแบบ New Normal
นายกรัฐมนตรีเน้น นบข. เปิดรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องเกษตกร ปฏิบัติการทํางานแบบ New Normal
วันนี้ (17 ก.ค. 63) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 โดยมี นายจุรินทร์ ลักษณ์วิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชน์ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชุมด้วย
ที่ประชุมรายงานสถานการณ์ข้าวโลกผลผลิตข้าวโลก ซึ่งคาดว่าจะมี 502.09 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.58 เนื่องจากผลผลิตข้าวของประเทศผู้ผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นผลให้สต็อกข้าวโลก ปลายปี 63 /64 คาดว่าจะอยู่ที่ 185.35 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.26 โดยจีนยังคงมีสต็อกข้าวสูงสุด 117.50 ล้านตัน รองลงมาคืออินเดีย 38 ล้านตัน และไทย 4.19 ล้านตัน
การส่งออกข้าว ระหว่าง วันที่ 1 ม.ค. - 8 ก.ค.63 โดยอินเดียส่งออกอันดับ 1 ของโลก 4.65 ล้านตัน รองลงมาได้แก่ เวียดนาม 4.17 ล้านตัน ไทย 3.15 ล้านตัน ปากีสถาน 2.07 ล้านตัน สหรัฐฯ 1.61 ล้านตัน การค้าข้าว สําหรับราคาข้าวไทยเทียบกับประเทศผู้ส่งออกสําคัญ ก.ค. 63 ปรับตัวลด เป็นไปตามทิศทางตลาดโลกและส่วนหนึ่งจากสถารการณ์โควิด-19 ด้วย
สําหรับแนวโน้มสถานการณ์การส่งออกข้าวสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดการณ์เป้าหมายการส่งออกข้าวปี 63 ไว้ที่ 7.5 ล้านตัน โดยมีปัจจัยสําคัญดังนี้ ไทยได้รับจัดสรรโควตาประมูลนําเข้าข้าวจากเกาหลีใต้ ขณะที่ญี่ปุ่นเปิดประมูลนําเข้าข้าวอย่างต่อเนื่องจึงเป็นโอกาสการส่งออกข้าวไทย มาเลเซียและอินโดนีเซียอาจนําเข้าข้าวในช่วงครึ่งปีหลังเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้าวไทยราคาสูงกว่าคู่แข่ง
ทั้งนี้ ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกําหนดราคาเป้าหมายและปริมาณต่อครัวเรือนเท่ากับปีที่ผ่านมา ประกอบด้วยข้าว 5 ชนิดดังนี้ 1. ข้าวหอมมะลิ 15,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน 2. ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน 3. ข้าวเจ้า 10,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน 4. ข้าวหอมปทุมธานี 11,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ 5 .ข้าวเหนียว 12,000 บาทต่อตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมาย ธ.ก.ส. กระทรวงการคลัง สํานักงบประมาณ และกระทรวงพาณิชย์ จัดทํารายละเอียดโครงการประกันรายได้ มาตรการคู่ขนาน และงบประมาณตาม พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และให้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบข. นําเสนอ ครม. ต่อไป
นายกรัฐมนตรียังให้แนวปฏิบัติในการทํางานของ นบข. เพิ่มการรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องเกษตกร ด้วยรูปแบบ New Normal โดยเฉพาะสหกรณ์การเกษตร ซึ่งมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถช่วยดูแลพ แนะนําพื้นที่ในการปลูกพืชที่เหมาะสม ซึ่งช่วยลดการปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดได้ด้วย โดยนายกรัฐมนตรียังได้แนะนําให้มีการพิจารณาปลูกพืชถั่วเหลือง ซึ่งมีราคาดีและช่วยลดการนําเข้าอีก เพราะรัฐบาลนี้ เน้นแก้ปัญหาอุปสรรคให้พี่น้องชาวนา และต้องการวางยุทธศาสตร์ข้าวให้ยั่งยืนด้วย
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33470
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สิ้นสุดโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
|
วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2560
สิ้นสุดโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (โครงการฯ) ระหว่างวันที่ 3 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2560 มีผู้ลงทะเบียนจํานวนประมาณ 14.1 ล้านคน (ตัวเลขเบื้องต้น)
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (โครงการฯ) ระหว่างวันที่ 3 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2560 มีผู้ลงทะเบียนจํานวนประมาณ 14.1 ล้านคน (ตัวเลขเบื้องต้น) หลังจากนี้กระทรวงการคลังจะเปิดให้ตรวจสอบรายชื่อผู้ที่มาลงทะเบียน นําข้อมูลทั้งหมดไปตรวจสอบคุณสมบัติ และเปิดให้ตรวจผลการตรวจสอบคุณสมบัติต่อไป โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ผู้มาลงทะเบียนในโครงการฯ ระหว่างวันที่ 3 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2560 เบื้องต้นมีจํานวนผู้ลงทะเบียน 14.1 ล้านคน ผ่าน 5 หน่วยงานรับลงทะเบียน ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน (ธ.ออมสิน) ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) (ธ.กรุงไทย) สํานักงานคลังจังหวัด และสํานักงานเขตกรุงเทพมหานคร มากกว่าโครงการฯ ในปี 2559 ที่มีจํานวน 8.3 ล้านคน
2. ขั้นตอนการดําเนินการหลังจากปิดโครงการ
2.1 การตรวจสอบรายชื่อในระบบการลงทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2560 ได้ 7 ช่องทาง ได้แก่
1) เว็บไซต์ 3 เว็บไซต์ ได้แก่ www.epayment.go.th www.mof.go.th และ www.fpo.go.th โดยพิมพ์เลขบัตรประจําตัวประชาชน 13 หลักลงไป ระบบจะแจ้งว่ามีชื่อหรือไม่มีชื่อในระบบการลงทะเบียน 2) Call center ของสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง 1359 3) Call center ของ ธ.ก.ส. 02-555-0555 4) Call center ของ ธ.ออมสิน 1115 5) Call center ของ ธ.กรุงไทย 02-111-1111 6) Call center ของกรมบัญชีกลาง 02-270-6400 และ 7) เบอร์โทรของสํานักงานเขตกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต ผลการตรวจสอบสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
(1) ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนมีชื่ออยู่ในระบบแล้ว ให้รอผลการตรวจคุณสมบัติต่อไป
(2) ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนไม่มีชื่ออยู่ในระบบ ให้นําเอกสารหลักฐานจากแบบฟอร์มลงทะเบียนที่เจ้าหน้าที่ฉีกให้ในวันลงทะเบียนไปยืนยัน พร้อมนําบัตรประจําตัวประชาชนของผู้ลงทะเบียนไปติดต่อที่หน่วยรับลงทะเบียนที่ไปลงทะเบียนไว้ ภายในวันที่ 2 มิถุนายน 2560 เพื่อให้เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลลงในระบบ และดําเนินการตรวจสอบคุณสมบัติต่อไป ทั้งนี้ ให้นําเอกสารหลักฐานดังกล่าวไปติดต่อเจ้าหน้าที่ภายในระยะเวลาที่กําหนด มิฉะนั้นผู้ลงทะเบียนจะถูกตัดสิทธิในการได้รับสวัสดิการ
2.2 การตรวจสอบผลการตรวจสอบคุณสมบัติทั้ง 5 ข้อ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2560 เป็นต้นไป ผู้ลงทะเบียนสามารถตรวจสอบว่าตนเองมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้ง 5 ข้อตามที่ระบุไว้ในโครงการฯ หรือไม่ ผ่านเว็บไซต์และโทรสายด่วนข้างต้น โดยพิมพ์หรือแจ้งเลขบัตรประจําตัวประชาชน 13 หลัก เช่นเดียวกับการตรวจสอบรายชื่อในข้อ 2.1 ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
(1) ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนผ่านคุณสมบัติ จะเป็นผู้มีสิทธิได้รับสวัสดิการตามที่รัฐกําหนด และรัฐจะดําเนินการออกบัตรสวัสดิการให้ต่อไป
(2) ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนไม่ผ่านคุณสมบัติ ระบบจะแจ้งว่าไม่ผ่านคุณสมบัติข้อใด ในเบื้องต้นหากท่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลการตรวจสอบคุณสมบัติ สามารถโทรสายด่วน 1359 ในเวลาราชการ เพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ หากเห็นว่าข้อมูลไม่ถูกต้องให้ติดต่อหน่วยงานรับลงทะเบียนและดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2560 เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้นําไปเข้ากระบวนการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจะได้รับบัตรสวัสดิการที่ออกโดยกระทรวงการคลัง ส่วนการรับบัตรและการใช้บัตรสวัสดิการ กระทรวงการคลังจะแจ้งให้ทราบต่อไป
สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3505
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สิ้นสุดโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2560
สิ้นสุดโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (โครงการฯ) ระหว่างวันที่ 3 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2560 มีผู้ลงทะเบียนจํานวนประมาณ 14.1 ล้านคน (ตัวเลขเบื้องต้น)
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (โครงการฯ) ระหว่างวันที่ 3 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2560 มีผู้ลงทะเบียนจํานวนประมาณ 14.1 ล้านคน (ตัวเลขเบื้องต้น) หลังจากนี้กระทรวงการคลังจะเปิดให้ตรวจสอบรายชื่อผู้ที่มาลงทะเบียน นําข้อมูลทั้งหมดไปตรวจสอบคุณสมบัติ และเปิดให้ตรวจผลการตรวจสอบคุณสมบัติต่อไป โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ผู้มาลงทะเบียนในโครงการฯ ระหว่างวันที่ 3 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2560 เบื้องต้นมีจํานวนผู้ลงทะเบียน 14.1 ล้านคน ผ่าน 5 หน่วยงานรับลงทะเบียน ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน (ธ.ออมสิน) ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) (ธ.กรุงไทย) สํานักงานคลังจังหวัด และสํานักงานเขตกรุงเทพมหานคร มากกว่าโครงการฯ ในปี 2559 ที่มีจํานวน 8.3 ล้านคน
2. ขั้นตอนการดําเนินการหลังจากปิดโครงการ
2.1 การตรวจสอบรายชื่อในระบบการลงทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2560 ได้ 7 ช่องทาง ได้แก่
1) เว็บไซต์ 3 เว็บไซต์ ได้แก่ www.epayment.go.th www.mof.go.th และ www.fpo.go.th โดยพิมพ์เลขบัตรประจําตัวประชาชน 13 หลักลงไป ระบบจะแจ้งว่ามีชื่อหรือไม่มีชื่อในระบบการลงทะเบียน 2) Call center ของสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง 1359 3) Call center ของ ธ.ก.ส. 02-555-0555 4) Call center ของ ธ.ออมสิน 1115 5) Call center ของ ธ.กรุงไทย 02-111-1111 6) Call center ของกรมบัญชีกลาง 02-270-6400 และ 7) เบอร์โทรของสํานักงานเขตกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต ผลการตรวจสอบสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
(1) ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนมีชื่ออยู่ในระบบแล้ว ให้รอผลการตรวจคุณสมบัติต่อไป
(2) ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนไม่มีชื่ออยู่ในระบบ ให้นําเอกสารหลักฐานจากแบบฟอร์มลงทะเบียนที่เจ้าหน้าที่ฉีกให้ในวันลงทะเบียนไปยืนยัน พร้อมนําบัตรประจําตัวประชาชนของผู้ลงทะเบียนไปติดต่อที่หน่วยรับลงทะเบียนที่ไปลงทะเบียนไว้ ภายในวันที่ 2 มิถุนายน 2560 เพื่อให้เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลลงในระบบ และดําเนินการตรวจสอบคุณสมบัติต่อไป ทั้งนี้ ให้นําเอกสารหลักฐานดังกล่าวไปติดต่อเจ้าหน้าที่ภายในระยะเวลาที่กําหนด มิฉะนั้นผู้ลงทะเบียนจะถูกตัดสิทธิในการได้รับสวัสดิการ
2.2 การตรวจสอบผลการตรวจสอบคุณสมบัติทั้ง 5 ข้อ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2560 เป็นต้นไป ผู้ลงทะเบียนสามารถตรวจสอบว่าตนเองมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้ง 5 ข้อตามที่ระบุไว้ในโครงการฯ หรือไม่ ผ่านเว็บไซต์และโทรสายด่วนข้างต้น โดยพิมพ์หรือแจ้งเลขบัตรประจําตัวประชาชน 13 หลัก เช่นเดียวกับการตรวจสอบรายชื่อในข้อ 2.1 ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
(1) ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนผ่านคุณสมบัติ จะเป็นผู้มีสิทธิได้รับสวัสดิการตามที่รัฐกําหนด และรัฐจะดําเนินการออกบัตรสวัสดิการให้ต่อไป
(2) ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนไม่ผ่านคุณสมบัติ ระบบจะแจ้งว่าไม่ผ่านคุณสมบัติข้อใด ในเบื้องต้นหากท่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลการตรวจสอบคุณสมบัติ สามารถโทรสายด่วน 1359 ในเวลาราชการ เพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ หากเห็นว่าข้อมูลไม่ถูกต้องให้ติดต่อหน่วยงานรับลงทะเบียนและดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2560 เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้นําไปเข้ากระบวนการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจะได้รับบัตรสวัสดิการที่ออกโดยกระทรวงการคลัง ส่วนการรับบัตรและการใช้บัตรสวัสดิการ กระทรวงการคลังจะแจ้งให้ทราบต่อไป
สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3505
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3781
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. ร่วมเสริมพลัง : เพิ่มองค์ความรู้ : ต่อยอด การจัดการเรียนรู้ออนไลน์กับ THAI MOOC
|
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562
อว. ร่วมเสริมพลัง : เพิ่มองค์ความรู้ : ต่อยอด การจัดการเรียนรู้ออนไลน์กับ THAI MOOC
4 หน่วยงานรัฐและมหาวิทยาลัย ร่วมลงนามความมือทางวิชาการเพื่อการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ทางไกลผ่านระบบเครือข่ายสารสนเทศ Thai MOOC
6 สิงหาคม 2562 :รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เป็นประธานพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความมือทางวิชาการเพื่อการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ทางไกลผ่านระบบเครือข่ายสารสนเทศ Thai MOOCณ ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน อาคารอุดมศึกษา ๑ สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ถนนศรีอยุธยา โดยมีหน่วยงานของรัฐและมหาวิทยาลัย 4 หน่วยงาน ร่วมลงนามประกอบด้วย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และสถาบันวิทยาลัยชุมชน
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ กล่าวว่าโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย ได้ดําเนินการโครงการ Thai MOOC การเรียนการสอนแบบออนไลน์ในระบบเปิดเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสําหรับประชาชน โดยเริ่มจากการพัฒนาแพลตฟอร์มสําหรับการจัดการศึกษาในระบบเปิดเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต Thai MOOC ขึ้น ด้วยความร่วมมือของ 3 กระทรวงหลักในขณะนั้น คือ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.เดิม) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีพันธกิจหลัก คือ การขยายโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน และจัดการศึกษาที่เชื่อมโยงทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบการศึกษา
รองศาสตราจารย์ฐาปนีย์ ธรรมเมธา ผู้อํานวยการสํานักงานโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทยกล่าวถึงความเป็นมาในการจัดทําบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือฯว่าโครงการ Thai MOOC ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศและหน่วยงานภาครัฐ ร่วมกันจัดการเรียนรู้ผ่านรายวิชาออนไลน์ในระบบเปิด MOOC จํานวนมาก ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าช่องทางการจัดการเรียนรู้ออนไลน์แบบ MOOC นี้ ได้รับความสนใจและตอบรับที่ดีจากประชาชนทุกกลุ่มทั้ง นิสิต นักศึกษา ข้าราชการพนักงาน บุคลากรภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง โดยในขณะนี้มีรายวิชาที่เปิดสอนจํานวน 401 รายวิชา มีผู้ลงทะเบียนเรียนจํานวนทั้งสิ้น 182,308 คน นอกจากนี้ Thai MOOC ยังสร้างความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนรายวิชาและความร่วมมือทางวิชาการกับนานาชาติ ได้แก่ K-MOOC จากประเทศสาธารณรัฐเกาหลี และ JMOOC ประเทศญี่ปุ่น
ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษากล่าวอีกว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการใช้เทคโนโลยีการเรียนระบบทางไกลผ่านเครือข่ายสารสนเทศ Thai MOOC ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษาฯ กับสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สถาบันบริหารวิทยาลัยชุมชนและสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ในครั้งนี้ เป็นการเสริมพลัง เพิ่มองค์ความรู้และต่อยอดขยายผลการจัดการศึกษาออนไลน์ระบบเปิดแบบมหาชน MOOCจากการเรียนเพื่อความรู้ เพื่อการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ เพิ่มศักยภาพในการทํางาน ไปสู่การเทียบโอนให้ได้ใบคุณวุฒิวิชาชีพและ/หรือคุณวุฒิการศึกษา” ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กําลังดําเนินการขยายผลการเรียนรู้จากการเรียนในระบบออนไลน์เทียบโอนสู่หน่วยกิตการศึกษาในระดับปริญญาต่อไป ผู้เรียนสามารถไปเรียนต่อยอดให้จบการศึกษาในระดับปริญญาทั้งตรีหรือโทได้ เช่นเดียวกับทางสถาบันวิทยาลัยชุมชน กําลังดําเนินการจัดการเรียนในระบบออนไลน์ร่วมกับการจัดการศึกษาทั้งประกาศนียบัตร อนุปริญญาและการฝึกอบรมอาชีพ ของวิทยาลัยชุมชนทั่วประเทศ ส่วนทางสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพได้ร่วมมือในการทํารายวิชาที่ให้องค์ความรู้ร่วมกับการฝึกปฏิบัติตามกรอบคุณวุฒิวิชาชีพ พัฒนาบุคลากรให้มีทักษะฝีมือในการทํางาน พร้อมให้ใบรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ เพื่อสร้างโอกาสการทํางานตามที่ต้องการ นอกจากนี้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้ร่วมพัฒนารายวิชารายวิชาออนไลน์เพื่อเพิ่มความรู้ ความเข้าใจ เศรษฐกิจและสังคม ทําให้เป็นพลเมืองที่เท่าทันและเป็นกําลังสําคัญของประเทศในยุค Thailand 4.0 ซึ่งมีความสําคัญและเป็นประโยชน์อย่างมาก และสิ่งที่หน่วยงานทั้ง 4 จะร่วมมือทางวิชาการตามบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ จะนําไปสู่การพัฒนา Thai MOOC ให้เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์แบบเปิดระบบกลางของประเทศไทย ตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. ร่วมเสริมพลัง : เพิ่มองค์ความรู้ : ต่อยอด การจัดการเรียนรู้ออนไลน์กับ THAI MOOC
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562
อว. ร่วมเสริมพลัง : เพิ่มองค์ความรู้ : ต่อยอด การจัดการเรียนรู้ออนไลน์กับ THAI MOOC
4 หน่วยงานรัฐและมหาวิทยาลัย ร่วมลงนามความมือทางวิชาการเพื่อการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ทางไกลผ่านระบบเครือข่ายสารสนเทศ Thai MOOC
6 สิงหาคม 2562 :รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เป็นประธานพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความมือทางวิชาการเพื่อการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ทางไกลผ่านระบบเครือข่ายสารสนเทศ Thai MOOCณ ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน อาคารอุดมศึกษา ๑ สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ถนนศรีอยุธยา โดยมีหน่วยงานของรัฐและมหาวิทยาลัย 4 หน่วยงาน ร่วมลงนามประกอบด้วย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และสถาบันวิทยาลัยชุมชน
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ กล่าวว่าโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย ได้ดําเนินการโครงการ Thai MOOC การเรียนการสอนแบบออนไลน์ในระบบเปิดเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสําหรับประชาชน โดยเริ่มจากการพัฒนาแพลตฟอร์มสําหรับการจัดการศึกษาในระบบเปิดเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต Thai MOOC ขึ้น ด้วยความร่วมมือของ 3 กระทรวงหลักในขณะนั้น คือ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.เดิม) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีพันธกิจหลัก คือ การขยายโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน และจัดการศึกษาที่เชื่อมโยงทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบการศึกษา
รองศาสตราจารย์ฐาปนีย์ ธรรมเมธา ผู้อํานวยการสํานักงานโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทยกล่าวถึงความเป็นมาในการจัดทําบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือฯว่าโครงการ Thai MOOC ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศและหน่วยงานภาครัฐ ร่วมกันจัดการเรียนรู้ผ่านรายวิชาออนไลน์ในระบบเปิด MOOC จํานวนมาก ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าช่องทางการจัดการเรียนรู้ออนไลน์แบบ MOOC นี้ ได้รับความสนใจและตอบรับที่ดีจากประชาชนทุกกลุ่มทั้ง นิสิต นักศึกษา ข้าราชการพนักงาน บุคลากรภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง โดยในขณะนี้มีรายวิชาที่เปิดสอนจํานวน 401 รายวิชา มีผู้ลงทะเบียนเรียนจํานวนทั้งสิ้น 182,308 คน นอกจากนี้ Thai MOOC ยังสร้างความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนรายวิชาและความร่วมมือทางวิชาการกับนานาชาติ ได้แก่ K-MOOC จากประเทศสาธารณรัฐเกาหลี และ JMOOC ประเทศญี่ปุ่น
ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษากล่าวอีกว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการใช้เทคโนโลยีการเรียนระบบทางไกลผ่านเครือข่ายสารสนเทศ Thai MOOC ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษาฯ กับสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สถาบันบริหารวิทยาลัยชุมชนและสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ในครั้งนี้ เป็นการเสริมพลัง เพิ่มองค์ความรู้และต่อยอดขยายผลการจัดการศึกษาออนไลน์ระบบเปิดแบบมหาชน MOOCจากการเรียนเพื่อความรู้ เพื่อการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ เพิ่มศักยภาพในการทํางาน ไปสู่การเทียบโอนให้ได้ใบคุณวุฒิวิชาชีพและ/หรือคุณวุฒิการศึกษา” ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กําลังดําเนินการขยายผลการเรียนรู้จากการเรียนในระบบออนไลน์เทียบโอนสู่หน่วยกิตการศึกษาในระดับปริญญาต่อไป ผู้เรียนสามารถไปเรียนต่อยอดให้จบการศึกษาในระดับปริญญาทั้งตรีหรือโทได้ เช่นเดียวกับทางสถาบันวิทยาลัยชุมชน กําลังดําเนินการจัดการเรียนในระบบออนไลน์ร่วมกับการจัดการศึกษาทั้งประกาศนียบัตร อนุปริญญาและการฝึกอบรมอาชีพ ของวิทยาลัยชุมชนทั่วประเทศ ส่วนทางสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพได้ร่วมมือในการทํารายวิชาที่ให้องค์ความรู้ร่วมกับการฝึกปฏิบัติตามกรอบคุณวุฒิวิชาชีพ พัฒนาบุคลากรให้มีทักษะฝีมือในการทํางาน พร้อมให้ใบรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ เพื่อสร้างโอกาสการทํางานตามที่ต้องการ นอกจากนี้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้ร่วมพัฒนารายวิชารายวิชาออนไลน์เพื่อเพิ่มความรู้ ความเข้าใจ เศรษฐกิจและสังคม ทําให้เป็นพลเมืองที่เท่าทันและเป็นกําลังสําคัญของประเทศในยุค Thailand 4.0 ซึ่งมีความสําคัญและเป็นประโยชน์อย่างมาก และสิ่งที่หน่วยงานทั้ง 4 จะร่วมมือทางวิชาการตามบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ จะนําไปสู่การพัฒนา Thai MOOC ให้เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์แบบเปิดระบบกลางของประเทศไทย ตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22020
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ให้ทุกหน่วยงานทำงานเชิงรุก เน้นการสื่อสาร ป้องกันตื่นตระหนก
|
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2563
สธ. ให้ทุกหน่วยงานทํางานเชิงรุก เน้นการสื่อสาร ป้องกันตื่นตระหนก
กระทรวงสาธารณสุข ให้หน่วยงานในสังกัดทุกระดับทํางานเชิงรุก บูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่ เร่งสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ ลดความตื่นตระหนก มีความพร้อมทั้งการป้องกันควบคุมโรคและการรักษาที่รวดเร็ว ระบบการแพทย์และการสาธารณสุขไทยได้รับการยอมรับระดับต้นของโรค
กระทรวงสาธารณสุข ให้หน่วยงานในสังกัดทุกระดับทํางานเชิงรุก บูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่เร่งสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ ลดความตื่นตระหนก มีความพร้อมทั้งการป้องกันควบคุมโรคและการรักษาที่รวดเร็ว ระบบการแพทย์และการสาธารณสุขไทยได้รับการยอมรับระดับต้นของโลก การตรวจเชิงรุกในจ.ระยองและกทม.ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ
วันนี้ (16 กรกฎาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีทุกกรม แถลงให้ทุกหน่วยงานทํางานเชิงรุกเน้นการสื่อสาร ลดความตระหนก ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยกรณีที่เกิดเหตุในจ.ระยองและกทม. ได้ให้ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเร่งสื่อสารทําความเข้าใจเพื่อลดความตื่นตระหนก สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ซึ่งผลการตรวจเชิงรุกประชาชนทั้ง 2 แห่ง กว่า 1,600 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนให้รถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานให้บริการต่อเนื่องจนครบ 14 วัน และมีความพร้อม โดยได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลทุกสังกัด โรงเรียนแพทย์ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่สําคัญคือประชาชนได้ร่วมกันปรับพฤติกรรม ทั้งการใส่หน้ากากอนามัย ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ หลีกเลี่ยงการเข้าที่ชุมชน ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญที่นานาประเทศยอมรับว่า จะลดโอกาสการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น แม้ในขณะนี้ ไม่พบการติดเชื้อในประเทศ ต้องยอมรับว่ามีโอกาสพบการติดเชื้อได้ อย่างไรก็ตาม เรามีระบบการเฝ้าระวังคัดกรอง ระบบการรักษา ห้องปฏิบัติการตรวจหาเชื้อที่มีความรวดเร็ว มีการบริหารจัดการอุปกรณ์ ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันตนเอง ทําให้ระบบการแพทย์และการสาธารณสุขไทยได้รับการยอมรับระดับต้นของโลก ส่วนการพัฒนาวัคซีนของไทยมีความก้าวหน้ามากแล้ว
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเครื่องมือแพทย์ เครื่องช่วยหายใจ และรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน 13 คัน เพื่อประจําทุกเขตสุขภาพ จะช่วยเสริมการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ในระหว่างปฏิบัติงาน รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากจิตอาสานักเทคนิคการแพทย์มาช่วยตรวจ และประชาชนจิตอาสาช่วยอํานวยความสะดวก
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ฟื้นเศรษฐกิจประเทศ อาจจะพบผู้ติดเชื้อ แต่เรามีการตรวจจับได้เร็ว ควบคุมให้อยู่ในวงจํากัด และป้องกันไม่ให้เกิดอีก เช่นที่จ.ระยอง เราพบผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศเนื่องจากมีระบบที่ดี และใช้รถตรวจโรคชีวนิรภัยพระราชทานลงไปค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก ผลการตรวจวันแรก 1,336 คน เป็นลบทั้งหมด และรอผลผู้ที่มาตรวจในวันที่ 15 กรกฎาคมอีก 1,252 คน หากพบการติดเชื้อจะจัดการเฉพาะจุด ปิดกิจการหรือกิจกรรมในจุดที่เป็นการแพร่ระบาด จะไม่ปิดพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งคนทั้งจ.ระยองไม่ได้มีความเสี่ยงทั้งหมด สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่การ์ดต้องสูง ในการตรวจจับโรคมีทีมสอบสวนโรคทั่วประเทศมากกว่า 2,000 ทีม ครอบคลุมทุกจุดของประเทศ บุคลากรมีความเชี่ยวชาญ นักระบาดวิทยาที่ได้รับการยอมรับ พร้อมรับมือหากพบการระบาดขึ้น
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เหตุการณ์ที่ จ.ระยองทําให้เกิดภาวะตระหนก เรื่องของอารมณ์ที่เกิดขึ้นอาจเกิดความเครียดขึ้นมา เบื่อหน่าย ท้อแท้ หรือโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขอให้ต่อสู้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง ต้องตระหนักแต่ไม่ตระหนก หากมีสติจะสามารถดูแลตนเองและป้องกันได้ โดยสํารวจตัวเองว่ามีความเสี่ยงหรือไม่ ขอให้ใช้ชีวิตเป็นปกติ ใส่หน้ากาก รักษาระยะห่าง และล้างมือบ่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดจะสามารถป้องกันโรคได้ และอยากให้ทบทวนว่าประเทศไทยมีทีมป้องกันควบคุมโรคเป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีความพร้อมในการป้องกัน ควบคุมโรค หากป่วยก็มีระบบการรักษาที่ดีมาก มีอัตราการตายที่ต่ํามาก กรมสุขภาพจิต ได้ส่งทีมดูแลสภาพจิตใจไปอยู่ในพื้นที่พร้อมกับทีมตรวจหาเชื้อ หากมีความเครียดจะได้รับการดูแลรักษา หรือรู้สึกไม่สบายใจสามารถโทรสายด่วน 1323 ตลอด 24 ชม.
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า บทบาทของอสม. ทุกวันนี้ยังทํางานอย่างเข้มแข็ง ดูแลสุขภาพประชาชนร้อยละ 80-90 ทั้งการใส่หน้ากาก รักษาระยะห่าง ประธานชมรม อสม.จ.ระยอง ยืนยันว่า อสม.ยังคงเฝ้าระวังคัดกรอง และลงเยี่ยมบ้านให้กําลังใจ รวมทั้งเรื่องโครงการกําลังใจเที่ยวปันสุขจะประชุมทางไกลกับประธาน อสม.ทั่วประเทศในวันที่ 22 กรกฎาคม ช่วยส่งกําลังใจและเชิญชวนไปเที่ยวระยอง เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นใจในความปลอดภัย รวมทั้งได้สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์เจล เพื่อให้ อสม.พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ มีความพร้อมด้านการรักษามีเตียง 20,000 เตียงทั่วประเทศ สามารถรองรับได้ 1,000 คนต่อวัน ไม่รวม hospitel ซึ่งได้ปิดแล้วทั่วประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ดีขึ้น ผู้ป่วยจาก State Quarantine เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในส่วนของ กทม. มีห้องแยก ห้องความดันลบ ไอซียู ประมาณ 2,400 เตียง เราพร้อมแต่ไม่อยากให้เกิดการระบาด ความร่วมมือยังเป็นสิ่งที่สําคัญ การทํางานได้มีการประชุมร่วมกับคณะแพทย์ทุกมหาวิทยาลัย และบูรณาการบริหารจัดการในภาพรวมประเทศ การระบาดในช่วงแรกได้รับความร่วมมือจาก รร.แพทย์ / รพ. กทม. / รพ. กรมการแพทย์ /รพ.ทหาร ตํารวจ และรพ.เอกชน ได้ช่วยรองรับคนไข้ร้อยละ 60 นับเป็นการรวมพลังที่ดีของคนไทย โดย รพ.ราชวิถี เป็นศูนย์บริหารเตียงใน กทม. สําหรับที่ จ.ระยอง สํารองไว้ 100 กว่าเตียง และมีความพร้อมด้านการรักษา
นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ขณะนี้ เรามีความมั่นคงทั้งด้านยา อุปกรณ์ป้องกัน โดยมียา “ฟาวิพิราเวีย” 6 แสนกว่าเม็ด ใช้กับคนไข้ได้ 10,000 คน และยา “เรมเดซิเวียร์” ใช้ในรายที่มีความรุนแรงของโรค จะมีการผลิตที่อินเดียมาขึ้นทะเบียนกับ อย. แล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคมนี้ ส่วนการจัดสรรหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ให้หน่วยบริการและโรงพยาบาลสังกัด กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงเอกชนและมหาวิทยาลัย 1.7 ล้านชิ้นต่อวันจากที่ผลิตได้ 3 ล้านกว่าชิ้นต่อวัน หน้ากาก N95 มีประมาณ 1.7 ล้านชิ้น นําไปใช้กับผู้ป่วยได้เกือบหมื่นราย มีชุด PPE ประมาณ 1 ล้านชุด ซึ่งผลิตได้เองในประเทศ และนํากลับมาใช้ใหม่ได้ประมาณ 20 ครั้ง สําหรับวัคซีน อย. จะดูทุกขั้นตอน ทั้งตัววัคซีน และโรงงานผลิต เพื่อให้เกิดความปลอดภัย มีประสิทธิผลและมีคุณภาพ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า วันนี้ ไทยมีความพร้อมทางห้องปฏิบัติการ การแพทย์สาธารณสุข และนักวิจัยวิทยาศาสตร์ ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกในโลกนอกเหนือจากจีนที่สามารถถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อทั้งตัว และรายงานต่อนานาชาติหลังประเทศจีน 1-2 วัน แสดงถึงศักยภาพ ขณะนี้มีห้องปฏิบัติการทั่วประเทศรองรับบริการ 206 แห่งทั้งภาครัฐและเอกชน ใช้วิธีการตรวจด้วยวิธี RT-PCR ตรวจไปแล้ว 652,089 ตัวอย่าง ซึ่งวิธีการตรวจนี้เป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับและใช้ในปัจจุบัน และประกาศในเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลกเป็นประเทศต้นๆ คู่กับอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น
นอกจากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีน้ํายาตรวจสํารองไว้ 601,010 กว่าตัวอย่าง ซึ่งไทยผลิตได้เองไม่ต้องพึ่งพาจากต่างประเทศ มีระบบการรายงานออนไลน์ รู้ผลไม่เกิน 24 ชั่วโมง รวมทั้งพัฒนาวิธีตรวจด้วยน้ําลาย เช่น การตรวจน้ําลายแบบกลุ่ม ทําให้สามารถตรวจ 100,000 ตัวอย่าง ได้ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ในเรื่องความคืบหน้าวัคซีน องค์การอนามัยโลกประกาศวัคซีนที่อยู่ในกระบวนการผลิตอยู่ 140 ชนิด มีของประเทศไทย 4 ชนิด ทดสอบในสัตว์ทดลองภูมิคุ้มกันขึ้นอย่างสูงและดีมาก มีแผนที่จะผลิตและวิจัยในคนประมาณเดือนตุลาคมนี้ เป็นต้นไป และมีความร่วมมือกับประเทศที่มีการพัฒนาก่อนหน้า หากสําเร็จจะรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาผลิตวัคซีนให้กับคนไทย
นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงความคืบหน้าการวิจัยฟ้าทะลายโจร ว่า ได้นําผลการวิจัยสารสกัดฟ้าทะลายโจรจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาวิจัยในมนุษย์ ขณะนี้ ผลอย่างไม่เป็นทางการในผู้ป่วย 6 คนแรก โดยใช้สารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ปริมาณ 3 เท่าของปกติ พบว่า อาการดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมีนัยสําคัญ เพียงพอที่จะหยุดวิจัยโดยใช้สารสกัด 5 เท่า ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นชัดเจนใน 3 วันแรก อาการไอ ทั้งความรุนแรง และความถี่ลดลงอย่างชัดเจน อาการเจ็บคอ มีเสมหะ เห็นผลอย่างชัดเจน และเมื่อครบ 5 วัน อาการมีน้ํามูก ปวดศีรษะ ไม่สบายตัว มีผลต่างกันอย่างชัดเจน ส่วนอาการอื่นๆ อยู่ในช่วงตรวจสอบรายละเอียดและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ยืนยันว่า ฟ้าทะลายโจร มีสารสําคัญแอนโดรกราโฟไลด์ ใช้ได้ผลกับผู้ป่วยโควิด 19
นายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัย ได้ร่วมกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน 100 กว่าหน่วยงาน จัดทําคู่มือคําแนะนํา มาตรการเพื่อเปิดบริการได้ด้วยความมั่นใจ สําหรับโรงเรียนมีทีมผู้พิทักษ์อนามัย ซึ่งเป็นจิตอาสา ลงในพื้นที่ดูแลการจัดระบบในโรงเรียน และมีศูนย์อนามัยทุกเขตสุขภาพทํางานร่วมกับสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สนับสนุนผู้ประกอบการในการจัดระบบความปลอดภัย นอกจากนี้ได้สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชน
นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุโควิด 19 ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ได้ประเมินในเรื่องความมั่นคงด้านสุขภาพ จัดให้ไทยอยู่อันดับที่ 6 ของโลก หลังจากไทยจัดการสถานการณ์โควิด 19 ส่วนการจัดอันดับดัชนี Global COVID-19 Index (GCI) ได้จัดให้ไทยอยู่ในอันดับ 2 ของโลกด้านการฟื้นตัวจากโควิด 19 และได้รับคําเชิญให้ถ่ายทอดความรู้ในเวทีระดับโลก ได้รับการชื่นชมจากหลายประเทศในเรื่องการจัดการโรคโควิด 19 ในกรณีจ.ระยอง เราไม่ได้รบกับโรคภัยไข้เจ็บ แต่รบกับความตื่นตระหนก ความกลัว ความโกรธของประชาชน สิ่งสําคัญคือจะทําอย่างไรให้ประชาชนตระหนักรู้ ไม่ใช่ตื่นตระหนก จึงขอความร่วมมือให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ไปถึงประชาชนผ่านทุกช่องทางอย่างถูกต้อง และเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว ขอเชิญชวนบุคคล/คณะบุคคล หรือหากท่านเป็นผู้ที่รู้จักของคนในสังคม ร่วมเป็นต้นแบบเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างความเชื่อมั่นให้จ.ระยอง
************************************* 16 กรกฎาคม 2563
***************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ให้ทุกหน่วยงานทำงานเชิงรุก เน้นการสื่อสาร ป้องกันตื่นตระหนก
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2563
สธ. ให้ทุกหน่วยงานทํางานเชิงรุก เน้นการสื่อสาร ป้องกันตื่นตระหนก
กระทรวงสาธารณสุข ให้หน่วยงานในสังกัดทุกระดับทํางานเชิงรุก บูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่ เร่งสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ ลดความตื่นตระหนก มีความพร้อมทั้งการป้องกันควบคุมโรคและการรักษาที่รวดเร็ว ระบบการแพทย์และการสาธารณสุขไทยได้รับการยอมรับระดับต้นของโรค
กระทรวงสาธารณสุข ให้หน่วยงานในสังกัดทุกระดับทํางานเชิงรุก บูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่เร่งสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ ลดความตื่นตระหนก มีความพร้อมทั้งการป้องกันควบคุมโรคและการรักษาที่รวดเร็ว ระบบการแพทย์และการสาธารณสุขไทยได้รับการยอมรับระดับต้นของโลก การตรวจเชิงรุกในจ.ระยองและกทม.ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ
วันนี้ (16 กรกฎาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีทุกกรม แถลงให้ทุกหน่วยงานทํางานเชิงรุกเน้นการสื่อสาร ลดความตระหนก ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยกรณีที่เกิดเหตุในจ.ระยองและกทม. ได้ให้ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเร่งสื่อสารทําความเข้าใจเพื่อลดความตื่นตระหนก สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ซึ่งผลการตรวจเชิงรุกประชาชนทั้ง 2 แห่ง กว่า 1,600 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนให้รถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานให้บริการต่อเนื่องจนครบ 14 วัน และมีความพร้อม โดยได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลทุกสังกัด โรงเรียนแพทย์ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่สําคัญคือประชาชนได้ร่วมกันปรับพฤติกรรม ทั้งการใส่หน้ากากอนามัย ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ หลีกเลี่ยงการเข้าที่ชุมชน ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญที่นานาประเทศยอมรับว่า จะลดโอกาสการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น แม้ในขณะนี้ ไม่พบการติดเชื้อในประเทศ ต้องยอมรับว่ามีโอกาสพบการติดเชื้อได้ อย่างไรก็ตาม เรามีระบบการเฝ้าระวังคัดกรอง ระบบการรักษา ห้องปฏิบัติการตรวจหาเชื้อที่มีความรวดเร็ว มีการบริหารจัดการอุปกรณ์ ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันตนเอง ทําให้ระบบการแพทย์และการสาธารณสุขไทยได้รับการยอมรับระดับต้นของโลก ส่วนการพัฒนาวัคซีนของไทยมีความก้าวหน้ามากแล้ว
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเครื่องมือแพทย์ เครื่องช่วยหายใจ และรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน 13 คัน เพื่อประจําทุกเขตสุขภาพ จะช่วยเสริมการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ในระหว่างปฏิบัติงาน รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากจิตอาสานักเทคนิคการแพทย์มาช่วยตรวจ และประชาชนจิตอาสาช่วยอํานวยความสะดวก
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ฟื้นเศรษฐกิจประเทศ อาจจะพบผู้ติดเชื้อ แต่เรามีการตรวจจับได้เร็ว ควบคุมให้อยู่ในวงจํากัด และป้องกันไม่ให้เกิดอีก เช่นที่จ.ระยอง เราพบผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศเนื่องจากมีระบบที่ดี และใช้รถตรวจโรคชีวนิรภัยพระราชทานลงไปค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก ผลการตรวจวันแรก 1,336 คน เป็นลบทั้งหมด และรอผลผู้ที่มาตรวจในวันที่ 15 กรกฎาคมอีก 1,252 คน หากพบการติดเชื้อจะจัดการเฉพาะจุด ปิดกิจการหรือกิจกรรมในจุดที่เป็นการแพร่ระบาด จะไม่ปิดพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งคนทั้งจ.ระยองไม่ได้มีความเสี่ยงทั้งหมด สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่การ์ดต้องสูง ในการตรวจจับโรคมีทีมสอบสวนโรคทั่วประเทศมากกว่า 2,000 ทีม ครอบคลุมทุกจุดของประเทศ บุคลากรมีความเชี่ยวชาญ นักระบาดวิทยาที่ได้รับการยอมรับ พร้อมรับมือหากพบการระบาดขึ้น
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เหตุการณ์ที่ จ.ระยองทําให้เกิดภาวะตระหนก เรื่องของอารมณ์ที่เกิดขึ้นอาจเกิดความเครียดขึ้นมา เบื่อหน่าย ท้อแท้ หรือโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขอให้ต่อสู้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง ต้องตระหนักแต่ไม่ตระหนก หากมีสติจะสามารถดูแลตนเองและป้องกันได้ โดยสํารวจตัวเองว่ามีความเสี่ยงหรือไม่ ขอให้ใช้ชีวิตเป็นปกติ ใส่หน้ากาก รักษาระยะห่าง และล้างมือบ่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดจะสามารถป้องกันโรคได้ และอยากให้ทบทวนว่าประเทศไทยมีทีมป้องกันควบคุมโรคเป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีความพร้อมในการป้องกัน ควบคุมโรค หากป่วยก็มีระบบการรักษาที่ดีมาก มีอัตราการตายที่ต่ํามาก กรมสุขภาพจิต ได้ส่งทีมดูแลสภาพจิตใจไปอยู่ในพื้นที่พร้อมกับทีมตรวจหาเชื้อ หากมีความเครียดจะได้รับการดูแลรักษา หรือรู้สึกไม่สบายใจสามารถโทรสายด่วน 1323 ตลอด 24 ชม.
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า บทบาทของอสม. ทุกวันนี้ยังทํางานอย่างเข้มแข็ง ดูแลสุขภาพประชาชนร้อยละ 80-90 ทั้งการใส่หน้ากาก รักษาระยะห่าง ประธานชมรม อสม.จ.ระยอง ยืนยันว่า อสม.ยังคงเฝ้าระวังคัดกรอง และลงเยี่ยมบ้านให้กําลังใจ รวมทั้งเรื่องโครงการกําลังใจเที่ยวปันสุขจะประชุมทางไกลกับประธาน อสม.ทั่วประเทศในวันที่ 22 กรกฎาคม ช่วยส่งกําลังใจและเชิญชวนไปเที่ยวระยอง เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นใจในความปลอดภัย รวมทั้งได้สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์เจล เพื่อให้ อสม.พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ มีความพร้อมด้านการรักษามีเตียง 20,000 เตียงทั่วประเทศ สามารถรองรับได้ 1,000 คนต่อวัน ไม่รวม hospitel ซึ่งได้ปิดแล้วทั่วประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ดีขึ้น ผู้ป่วยจาก State Quarantine เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในส่วนของ กทม. มีห้องแยก ห้องความดันลบ ไอซียู ประมาณ 2,400 เตียง เราพร้อมแต่ไม่อยากให้เกิดการระบาด ความร่วมมือยังเป็นสิ่งที่สําคัญ การทํางานได้มีการประชุมร่วมกับคณะแพทย์ทุกมหาวิทยาลัย และบูรณาการบริหารจัดการในภาพรวมประเทศ การระบาดในช่วงแรกได้รับความร่วมมือจาก รร.แพทย์ / รพ. กทม. / รพ. กรมการแพทย์ /รพ.ทหาร ตํารวจ และรพ.เอกชน ได้ช่วยรองรับคนไข้ร้อยละ 60 นับเป็นการรวมพลังที่ดีของคนไทย โดย รพ.ราชวิถี เป็นศูนย์บริหารเตียงใน กทม. สําหรับที่ จ.ระยอง สํารองไว้ 100 กว่าเตียง และมีความพร้อมด้านการรักษา
นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ขณะนี้ เรามีความมั่นคงทั้งด้านยา อุปกรณ์ป้องกัน โดยมียา “ฟาวิพิราเวีย” 6 แสนกว่าเม็ด ใช้กับคนไข้ได้ 10,000 คน และยา “เรมเดซิเวียร์” ใช้ในรายที่มีความรุนแรงของโรค จะมีการผลิตที่อินเดียมาขึ้นทะเบียนกับ อย. แล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคมนี้ ส่วนการจัดสรรหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ให้หน่วยบริการและโรงพยาบาลสังกัด กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงเอกชนและมหาวิทยาลัย 1.7 ล้านชิ้นต่อวันจากที่ผลิตได้ 3 ล้านกว่าชิ้นต่อวัน หน้ากาก N95 มีประมาณ 1.7 ล้านชิ้น นําไปใช้กับผู้ป่วยได้เกือบหมื่นราย มีชุด PPE ประมาณ 1 ล้านชุด ซึ่งผลิตได้เองในประเทศ และนํากลับมาใช้ใหม่ได้ประมาณ 20 ครั้ง สําหรับวัคซีน อย. จะดูทุกขั้นตอน ทั้งตัววัคซีน และโรงงานผลิต เพื่อให้เกิดความปลอดภัย มีประสิทธิผลและมีคุณภาพ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า วันนี้ ไทยมีความพร้อมทางห้องปฏิบัติการ การแพทย์สาธารณสุข และนักวิจัยวิทยาศาสตร์ ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกในโลกนอกเหนือจากจีนที่สามารถถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อทั้งตัว และรายงานต่อนานาชาติหลังประเทศจีน 1-2 วัน แสดงถึงศักยภาพ ขณะนี้มีห้องปฏิบัติการทั่วประเทศรองรับบริการ 206 แห่งทั้งภาครัฐและเอกชน ใช้วิธีการตรวจด้วยวิธี RT-PCR ตรวจไปแล้ว 652,089 ตัวอย่าง ซึ่งวิธีการตรวจนี้เป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับและใช้ในปัจจุบัน และประกาศในเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลกเป็นประเทศต้นๆ คู่กับอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น
นอกจากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีน้ํายาตรวจสํารองไว้ 601,010 กว่าตัวอย่าง ซึ่งไทยผลิตได้เองไม่ต้องพึ่งพาจากต่างประเทศ มีระบบการรายงานออนไลน์ รู้ผลไม่เกิน 24 ชั่วโมง รวมทั้งพัฒนาวิธีตรวจด้วยน้ําลาย เช่น การตรวจน้ําลายแบบกลุ่ม ทําให้สามารถตรวจ 100,000 ตัวอย่าง ได้ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ในเรื่องความคืบหน้าวัคซีน องค์การอนามัยโลกประกาศวัคซีนที่อยู่ในกระบวนการผลิตอยู่ 140 ชนิด มีของประเทศไทย 4 ชนิด ทดสอบในสัตว์ทดลองภูมิคุ้มกันขึ้นอย่างสูงและดีมาก มีแผนที่จะผลิตและวิจัยในคนประมาณเดือนตุลาคมนี้ เป็นต้นไป และมีความร่วมมือกับประเทศที่มีการพัฒนาก่อนหน้า หากสําเร็จจะรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาผลิตวัคซีนให้กับคนไทย
นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงความคืบหน้าการวิจัยฟ้าทะลายโจร ว่า ได้นําผลการวิจัยสารสกัดฟ้าทะลายโจรจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาวิจัยในมนุษย์ ขณะนี้ ผลอย่างไม่เป็นทางการในผู้ป่วย 6 คนแรก โดยใช้สารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ปริมาณ 3 เท่าของปกติ พบว่า อาการดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมีนัยสําคัญ เพียงพอที่จะหยุดวิจัยโดยใช้สารสกัด 5 เท่า ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นชัดเจนใน 3 วันแรก อาการไอ ทั้งความรุนแรง และความถี่ลดลงอย่างชัดเจน อาการเจ็บคอ มีเสมหะ เห็นผลอย่างชัดเจน และเมื่อครบ 5 วัน อาการมีน้ํามูก ปวดศีรษะ ไม่สบายตัว มีผลต่างกันอย่างชัดเจน ส่วนอาการอื่นๆ อยู่ในช่วงตรวจสอบรายละเอียดและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ยืนยันว่า ฟ้าทะลายโจร มีสารสําคัญแอนโดรกราโฟไลด์ ใช้ได้ผลกับผู้ป่วยโควิด 19
นายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัย ได้ร่วมกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน 100 กว่าหน่วยงาน จัดทําคู่มือคําแนะนํา มาตรการเพื่อเปิดบริการได้ด้วยความมั่นใจ สําหรับโรงเรียนมีทีมผู้พิทักษ์อนามัย ซึ่งเป็นจิตอาสา ลงในพื้นที่ดูแลการจัดระบบในโรงเรียน และมีศูนย์อนามัยทุกเขตสุขภาพทํางานร่วมกับสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สนับสนุนผู้ประกอบการในการจัดระบบความปลอดภัย นอกจากนี้ได้สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชน
นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุโควิด 19 ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ได้ประเมินในเรื่องความมั่นคงด้านสุขภาพ จัดให้ไทยอยู่อันดับที่ 6 ของโลก หลังจากไทยจัดการสถานการณ์โควิด 19 ส่วนการจัดอันดับดัชนี Global COVID-19 Index (GCI) ได้จัดให้ไทยอยู่ในอันดับ 2 ของโลกด้านการฟื้นตัวจากโควิด 19 และได้รับคําเชิญให้ถ่ายทอดความรู้ในเวทีระดับโลก ได้รับการชื่นชมจากหลายประเทศในเรื่องการจัดการโรคโควิด 19 ในกรณีจ.ระยอง เราไม่ได้รบกับโรคภัยไข้เจ็บ แต่รบกับความตื่นตระหนก ความกลัว ความโกรธของประชาชน สิ่งสําคัญคือจะทําอย่างไรให้ประชาชนตระหนักรู้ ไม่ใช่ตื่นตระหนก จึงขอความร่วมมือให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ไปถึงประชาชนผ่านทุกช่องทางอย่างถูกต้อง และเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว ขอเชิญชวนบุคคล/คณะบุคคล หรือหากท่านเป็นผู้ที่รู้จักของคนในสังคม ร่วมเป็นต้นแบบเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างความเชื่อมั่นให้จ.ระยอง
************************************* 16 กรกฎาคม 2563
***************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33446
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดอบรมโครงการขับเคลื่อนองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตของบุคลากร กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ประจำปีงบประมาณ 2561
|
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561
พม. จัดอบรมโครงการขับเคลื่อนองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตของบุคลากร กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ประจําปีงบประมาณ 2561
พม. จัดอบรมโครงการขับเคลื่อนองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตของบุคลากร กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ประจําปีงบประมาณ 2561
วันนี้ (10 พ.ค.61) เวลา 09.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ประธานการเปิดการอบรมโครงการขับเคลื่อนองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาล และการป้องกันการทุจริตของบุคลากรกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการส่งเสริมให้บุคลากรของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มีความรู้ความเข้าใจ มีคุณธรรมจริยธรรม ยึดหลักธรรมาภิบาลในการปฏิบัติงาน และนํามาปรับใช้ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อประชาชน และเป็นคุณลักษณะของข้าราชการยุคใหม่ โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย ผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงาน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค จํานวน 200 คน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 – 11 พฤษภาคม 2561 ณ ห้องราชา 1 ชั้น 11 โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) มีภารกิจในการพัฒนาสังคม สังคมสงเคราะห์ และพัฒนาการจัดสวัสดิการสังคม รวมถึงให้การคุ้มครอง ส่งเสริมสิทธิ และให้บริการสวัสดิการสังคมแก่กลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทางสังคมและผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก จึงได้นํานโยบายของกระทรวง พม. มาขับเคลื่อนปลูกจิตสํานึกแก่ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของ พส. โดยจัดอบรม "โครงการขับเคลื่อนองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตของบุคลากรกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561” ขึ้น เพื่อนําหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมาใช้บริหารและนําองค์กรไปสู่การเติบโตอย่างโปร่งใสและยั่งยืน ประกอบไปด้วย การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ ค่านิยมประชาธิปไตย ประชารัฐ และความรับผิดชอบทางการบริหาร ซึ่งหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีจะทําให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ป้องกันการทุจริต ตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชน และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของกระทรวง พม.
สําหรับกิจกรรมในวันนี้ ประกอบด้วย การบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานคุณธรรม จริยธรรม และพฤติกรรมที่พึงประสงค์ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดย พันโท กรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ การให้ความรู้เรื่องการจ่ายเงินอุดหนุนให้กับผู้ประสบปัญหาทางสังคมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ Krungthai Corporate Online โดยผู้แทนจากธนาคารกรุงไทย การเสริมสร้างค่านิยมและทัศนคติต่อต้านการทุจริตสําหรับข้าราชการ โดย ผู้แทนสํานักงาน ก.พ. และการปรับกระบวนการทางความคิด (Mind set) ของบุคลากรในการจัดการกับการขัดแย้งกันของผลประโยชน์ (Conflict of Interest) โดย นายภูมิวัฒน์ รัตนผล ผู้เชี่ยวชาญด้านการไต่สวนและกฎหมาย สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
กระทรวง พม. เชื่อมั่นว่าการปลูกจิตสํานึกและการปฏิบัติงานอย่างจริงจังของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ พม. จะเป็นเครื่องพิสูจน์ และดึงความศรัทธา ความมั่นใจของประชาชนและสังคมกลับคืนมา กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. ยังคงมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือ และประคับประคองประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน ให้สามารถยืนหยัดในสังคมได้อย่างเต็มภาคภูมิ เพราะเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดอบรมโครงการขับเคลื่อนองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตของบุคลากร กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ประจำปีงบประมาณ 2561
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561
พม. จัดอบรมโครงการขับเคลื่อนองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตของบุคลากร กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ประจําปีงบประมาณ 2561
พม. จัดอบรมโครงการขับเคลื่อนองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตของบุคลากร กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ประจําปีงบประมาณ 2561
วันนี้ (10 พ.ค.61) เวลา 09.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ประธานการเปิดการอบรมโครงการขับเคลื่อนองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาล และการป้องกันการทุจริตของบุคลากรกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการส่งเสริมให้บุคลากรของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มีความรู้ความเข้าใจ มีคุณธรรมจริยธรรม ยึดหลักธรรมาภิบาลในการปฏิบัติงาน และนํามาปรับใช้ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อประชาชน และเป็นคุณลักษณะของข้าราชการยุคใหม่ โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย ผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงาน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค จํานวน 200 คน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 – 11 พฤษภาคม 2561 ณ ห้องราชา 1 ชั้น 11 โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) มีภารกิจในการพัฒนาสังคม สังคมสงเคราะห์ และพัฒนาการจัดสวัสดิการสังคม รวมถึงให้การคุ้มครอง ส่งเสริมสิทธิ และให้บริการสวัสดิการสังคมแก่กลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทางสังคมและผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก จึงได้นํานโยบายของกระทรวง พม. มาขับเคลื่อนปลูกจิตสํานึกแก่ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของ พส. โดยจัดอบรม "โครงการขับเคลื่อนองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตของบุคลากรกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561” ขึ้น เพื่อนําหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมาใช้บริหารและนําองค์กรไปสู่การเติบโตอย่างโปร่งใสและยั่งยืน ประกอบไปด้วย การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ ค่านิยมประชาธิปไตย ประชารัฐ และความรับผิดชอบทางการบริหาร ซึ่งหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีจะทําให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ป้องกันการทุจริต ตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชน และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของกระทรวง พม.
สําหรับกิจกรรมในวันนี้ ประกอบด้วย การบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานคุณธรรม จริยธรรม และพฤติกรรมที่พึงประสงค์ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดย พันโท กรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ การให้ความรู้เรื่องการจ่ายเงินอุดหนุนให้กับผู้ประสบปัญหาทางสังคมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ Krungthai Corporate Online โดยผู้แทนจากธนาคารกรุงไทย การเสริมสร้างค่านิยมและทัศนคติต่อต้านการทุจริตสําหรับข้าราชการ โดย ผู้แทนสํานักงาน ก.พ. และการปรับกระบวนการทางความคิด (Mind set) ของบุคลากรในการจัดการกับการขัดแย้งกันของผลประโยชน์ (Conflict of Interest) โดย นายภูมิวัฒน์ รัตนผล ผู้เชี่ยวชาญด้านการไต่สวนและกฎหมาย สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
กระทรวง พม. เชื่อมั่นว่าการปลูกจิตสํานึกและการปฏิบัติงานอย่างจริงจังของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ พม. จะเป็นเครื่องพิสูจน์ และดึงความศรัทธา ความมั่นใจของประชาชนและสังคมกลับคืนมา กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. ยังคงมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือ และประคับประคองประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน ให้สามารถยืนหยัดในสังคมได้อย่างเต็มภาคภูมิ เพราะเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12122
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำ บุคลากรทางการแพทย์จะต้องได้รับเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและทันการ ขอทุกคนมีขวัญกำลังใจที่ยังเข้มแข็งอยู่เสมอ โดยยึดหลักสุขภาพนำเสรีภาพ
|
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563
นายกรัฐมนตรี ย้ํา บุคลากรทางการแพทย์จะต้องได้รับเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและทันการ ขอทุกคนมีขวัญกําลังใจที่ยังเข้มแข็งอยู่เสมอ โดยยึดหลักสุขภาพนําเสรีภาพ
นายกรัฐมนตรี ย้ํา บุคลากรทางการแพทย์จะต้องได้รับเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและทันการ ขอทุกคนมีขวัญกําลังใจที่ยังเข้มแข็งอยู่เสมอ โดยยึดหลักสุขภาพนําเสรีภาพ
วันนี้ (3 เม.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาลไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “COVID-19” ณ ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงสถานการณ์การติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า วานนี้ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจมีสาระสําคัญคือ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เป็นสิ่งสําคัญโดยเฉพาะมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและรณรงค์ให้ทุกคนอยู่บ้าน เพื่อลดอัตราการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมทั้งปฏิบัติตนตามคําแนะนําของแพทย์ ขณะเดียวกัน บุคลากรทางการแพทย์จะต้องได้รับเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่างทั่วถึงและทันการ ไม่ให้เกิดการขาดแคลนในโรงพยาบาลทุกพื้นที่ โดยนายกรัฐมนตรีจะติดตามด้วยตนเอง พร้อมเน้นให้มีขวัญกําลังใจที่ยังเข้มแข็งอยู่เสมอ โดยยึดหลักสุขภาพนําเสรีภาพ ทั้งนี้ ได้มีการประกาศข้อกําหนด ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน หรือ เคอร์ฟิว ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่ม ถึงตี 4 ทั่วราชอาณาจักร ยกเว้นผู้มีเหตุจําเป็น โดยเริ่มในวันศุกร์ที่ 3 เมษายน 63 พร้อมทั้งขอพี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนก และไม่ต้องกักตุนสินค้า เพราะยังสามารถออกมาซื้อข้าวของในช่วงเวลากลางวันได้ตามปกติ แต่ต้องเคร่งครัดในเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อลดอัตราการแพร่เชื้อ
จากนั้น โฆษก สบค. ได้รายงานถึงสถานการณ์การติดเชื้อของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกมีจํานวน 1,014,296 ราย เสียชีวิต 52,298 ราย ขณะที่สหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 244,230 เป็นอันดับ 1 ของโลก โดยเสียชีวิตจํานวน 5,886 ราย ตามด้วยประเทศอิตาลี ที่มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 115,242 ราย เสียชีวิต 13,915 ราย สเปน มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสม 112,065 ราย เสียชีวิต 10,348 ราย เยอรมนี ผู้ป่วยยืนยันสะสม 84,794 ราย เสียชีวิต 1,107 ราย สําหรับสถานการณ์ในประเทศไทย ขณะนี้มีผู้ป่วยที่หายแล้วจํานวน 581 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,978 ราย มีผู้ป่วยใหม่ 103 ราย และมีผู้เสียชีวิตรวม 19 ราย โดยมีรายละเอียดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น 4 ราย คือ รายแรก เป็นเพศชาย อายุ 59 ปี อาชีพพนักงานการรถไฟ ไม่มีโรคประจําตัว เริ่มมีอาการไข้ วันที่ 16 มี.ค. 63 หลังจากนั้น วันที่ 21 มี.ค. 63 ได้พบแพทย์ที่โรงพยาบาลบางปะกอก และกลับไปทํางานตามปกติ ผลปรากฏว่าวันที่ 31 มี.ค. 63 เริ่มมีอาการหนัก เหนื่อย หอบ และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง พบว่ามีผลการยืนยันการติดเชื้อ จนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 2 เม.ย. 63 รายที่สอง เป็นเพศชาย อายุ 72 ปี มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน ซึ่งเป็นลูกของผู้ป่วยรายนี้ที่ไปดูมวย และมีอาการป่วย เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ มีโรคประจําตัวเป็นโรคไต เริ่มป่วย วันที่ 16 มี.ค. 63 และเสียชีวิตวันที่ 1 เม.ย. 63 รายที่สาม เป็นเพศชาย อายุ 84 ปี ทํางานสนามมวยราชดําเนิน มีโรคประจําตัว โรคไต ความดันโลหิตสูง เก๊าท์ เข้ารับการรักษาโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. 63 และเสียชีวิต วันที่ 2 เม.ย. 63 และรายที่สี่ เป็นผู้ป่วยชายไทย อายุ 84 ปี มีประวัติไปสนามมวยราชดําเนิน ก่อนเริ่มป่วยในวันที่ 14 มี.ค. 63 เข้ารับการรักษาในวันที่ 21 มี.ค. 63 ด้วยอาการไข้ 39.3 องศา น้ํามูก ไอ และเสียชีวิตในวันที่ 2 เม.ย. 63 ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ซึ่งพบว่า 3 ใน 4 ของผู้เสียชีวิต อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยกลุ่มอายุที่ต้องเน้นย้ําคือ 20-29 ปี เนื่องจากกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่มีการเดินทาง เคลื่อนย้าย และพบปะสังสรรค์กันเป็นจํานวนมาก ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่ทําให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อได้
โฆษก ศบค. กล่าวถึงผู้ป่วยรายใหม่ทั้ง 103 ราย พบว่า กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 48 ราย แบ่งเป็น สนามมวย 1 ราย สถานบันเทิง 2 ราย พิธีกรรมทางศาสนา ประเทศอินโดนีเซีย 6 ราย และใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 39 ราย นอกจากนี้ จากการประกาศคําบัญชา สั่งการ จากนายกรัฐมนตรี ที่ให้มีการชะลอการเดินทาง ทั้งคนไทยและต่างชาติที่จะเข้าสู่เมืองไทย ซึ่งในขณะนี้ รับทราบมาจากกระทรวงการต่างประเทศแล้วว่า 100 คน จากประเทศอินโดนีเซีย ที่ได้ขออนุญาตไว้แล้วนั้น จะเข้ามาในประเทศไทย วันที่ 7 เม.ย. 63 ซึ่งทางการของประเทศไทยจะมีการจัดเตรียมพื้นที่รองรับ พร้อมทั้งขอความร่วมมือคนจํานวนดังกล่าว รวมถึงประเทศมาเลเซีย อีก 83 รายที่เป็นคนไทยที่ขออนุญาตเข้ามา และกลุ่มของนักเรียน AFS จากสหรัฐอเมริกา โดยทุกคนต้องให้ความร่วมมือในการอยู่ในพื้นที่ที่ทางรัฐบาลจัดไว้ให้ เพราะถือเป็นบุคคลกลุ่มเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ต้องขอความร่วมมือจากคนไทยที่อยู่ในประเทศไทย ไม่สร้างความรังเกียจให้แก่กัน ในกลุ่มที่สอง ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 44 ราย แบ่งเป็น คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ 7 ราย คนต่างชาติที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 8 ราย สัมผัสผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 2 ราย ไปสถานที่ชุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว 4 ราย อาชีพเสี่ยง เช่น ทํางานในสถานที่แออัด หรือทํางานใกล้ชิดสัมผัสกับชาวต่างชาติ 13 ราย บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข 5 ราย และอื่น ๆ 5 ราย และกลุ่มที่สาม อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 11 ราย
ทั้งนี้ จํานวนตัวเลขผู้ป่วยยังคงมีแนวโน้มที่สูงขึ้น โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานครยังคงมีจํานวนตัวเลขที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่จะต้องจัดการโดยเร็ว จะต้องให้ความร่วมมือและดูแลกันอย่างดี ขณะที่พื้นที่ในจังหวัดอื่น ๆ ยังมีตัวเลขที่คงที่ ขณะเดียวกันในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตยังมีจํานวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น โดยมีจํานวนผู้ป่วยในอําเภอกะทู้ 45 ราย เมืองภูเก็ต 26 ราย อําเภอถลาง 10 ราย และอําเภออื่น ๆ 19 ราย โดยกลุ่มที่เป็นที่น่ากังวลใจ จําแนกตามปัจจัยเสี่ยง คือ กลุ่มผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ ตามด้วยกลุ่มอาชีพเสี่ยง สถานบันเทิง และคนต่างชาติที่มาจากต่างประเทศ เมื่อเปรียบเทียบในประเทศกลุ่มอาเซียนพบว่า ประเทศไทยยังอยู่ในลําดับที่ 3 จาก 10 ประเทศ อย่างไรก็ตาม เราจะต้องร่วมมือกัน ซึ่งคาดว่าจะทําให้จํานวนตัวเลขผู้ป่วยลดลงได้
โอกาสนี้ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ และโฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ กล่าวถึงการปฏิบัติงานของฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะตํารวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดในฐานะที่เป็นผู้อํานวยการศูนย์ฯ ด้านความมั่นคง ได้หารือเป็นระยะกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ และปลัดกระทรวงมหาดไทย กําหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อรองรับมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ออกมานั้น ได้ข้อสรุปดังนี้ จุดตรวจรอยต่อจังหวัดและ กทม. ปัจจุบันมีทั้งหมด 421 จุด จะมีการปรับ มุ่งเน้นบังคับใช้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้นและควบคุมการเดินทางข้ามจังหวัดเท่าที่จําเป็นเท่านั้น ห้ามเดินทางในช่วงเวลาที่กําหนด ยกเว้นเงื่อนไขตามข้อกําหนดบอก เพิ่มจุดตรวจร่วม ชุดเคลื่อนที่เร็ว กระจายตัวเป็นใยแมงมุมทั่วทุกพื้นที่ประเทศไทย จัดจุดตรวจครอบคลุมทุกพื้นที่ เพิ่มสายตรวจในทุกสถานีตํารวจเพื่อให้กระจายไปถึงระดับอําเภอ ตําบล หมู่บ้าน ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการตรวจสอบ คัดกรอง ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ โดยมีเจ้าหน้าที่ตํารวจคอยดูแลอํานวยความสะดวก ในกรณีผู้ฝ่าฝืนข้อกําหนดจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ขอให้ออกจากบ้านเท่าที่จําเป็น รักษาระยะห่างทางสังคม ยกเว้นบุคคลตามข้อยกเว้นที่ได้กําหนดไว้ ถ้ามีความจําเป็นต้องออกจากบ้านหรือเป็นบุคคลตามข้อยกเว้นต้องพกบัตรประชาชน และใบรับรองจากนายจ้าง ผู้ประกอบการ หรือหัวหน้าส่วนราชการ ว่าท่านเป็นใคร สังกัดไหน และมีความจําเป็นอย่างไร ทั้งนี้ โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติทราบว่า ในด้านการคมนาคมได้มีการปรับแนวทางการเดินรถให้สอดคล้องกับสถานการณ์ช่วงเคอร์ฟิวแล้ว ฝากพี่น้องประชาชนให้เตรียมตัว ปรับการใช้ชีวิตให้เหมาะสม ขอความร่วมมือให้อยู่แต่ในบ้าน กรณีพบเห็นผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือสามารถแจ้งมาที่ 191 เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือสายตรวจเข้าไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุได้
......................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำ บุคลากรทางการแพทย์จะต้องได้รับเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและทันการ ขอทุกคนมีขวัญกำลังใจที่ยังเข้มแข็งอยู่เสมอ โดยยึดหลักสุขภาพนำเสรีภาพ
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563
นายกรัฐมนตรี ย้ํา บุคลากรทางการแพทย์จะต้องได้รับเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและทันการ ขอทุกคนมีขวัญกําลังใจที่ยังเข้มแข็งอยู่เสมอ โดยยึดหลักสุขภาพนําเสรีภาพ
นายกรัฐมนตรี ย้ํา บุคลากรทางการแพทย์จะต้องได้รับเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและทันการ ขอทุกคนมีขวัญกําลังใจที่ยังเข้มแข็งอยู่เสมอ โดยยึดหลักสุขภาพนําเสรีภาพ
วันนี้ (3 เม.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาลไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “COVID-19” ณ ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงสถานการณ์การติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า วานนี้ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจมีสาระสําคัญคือ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เป็นสิ่งสําคัญโดยเฉพาะมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและรณรงค์ให้ทุกคนอยู่บ้าน เพื่อลดอัตราการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมทั้งปฏิบัติตนตามคําแนะนําของแพทย์ ขณะเดียวกัน บุคลากรทางการแพทย์จะต้องได้รับเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่างทั่วถึงและทันการ ไม่ให้เกิดการขาดแคลนในโรงพยาบาลทุกพื้นที่ โดยนายกรัฐมนตรีจะติดตามด้วยตนเอง พร้อมเน้นให้มีขวัญกําลังใจที่ยังเข้มแข็งอยู่เสมอ โดยยึดหลักสุขภาพนําเสรีภาพ ทั้งนี้ ได้มีการประกาศข้อกําหนด ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน หรือ เคอร์ฟิว ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่ม ถึงตี 4 ทั่วราชอาณาจักร ยกเว้นผู้มีเหตุจําเป็น โดยเริ่มในวันศุกร์ที่ 3 เมษายน 63 พร้อมทั้งขอพี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนก และไม่ต้องกักตุนสินค้า เพราะยังสามารถออกมาซื้อข้าวของในช่วงเวลากลางวันได้ตามปกติ แต่ต้องเคร่งครัดในเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อลดอัตราการแพร่เชื้อ
จากนั้น โฆษก สบค. ได้รายงานถึงสถานการณ์การติดเชื้อของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกมีจํานวน 1,014,296 ราย เสียชีวิต 52,298 ราย ขณะที่สหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 244,230 เป็นอันดับ 1 ของโลก โดยเสียชีวิตจํานวน 5,886 ราย ตามด้วยประเทศอิตาลี ที่มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 115,242 ราย เสียชีวิต 13,915 ราย สเปน มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสม 112,065 ราย เสียชีวิต 10,348 ราย เยอรมนี ผู้ป่วยยืนยันสะสม 84,794 ราย เสียชีวิต 1,107 ราย สําหรับสถานการณ์ในประเทศไทย ขณะนี้มีผู้ป่วยที่หายแล้วจํานวน 581 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,978 ราย มีผู้ป่วยใหม่ 103 ราย และมีผู้เสียชีวิตรวม 19 ราย โดยมีรายละเอียดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น 4 ราย คือ รายแรก เป็นเพศชาย อายุ 59 ปี อาชีพพนักงานการรถไฟ ไม่มีโรคประจําตัว เริ่มมีอาการไข้ วันที่ 16 มี.ค. 63 หลังจากนั้น วันที่ 21 มี.ค. 63 ได้พบแพทย์ที่โรงพยาบาลบางปะกอก และกลับไปทํางานตามปกติ ผลปรากฏว่าวันที่ 31 มี.ค. 63 เริ่มมีอาการหนัก เหนื่อย หอบ และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง พบว่ามีผลการยืนยันการติดเชื้อ จนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 2 เม.ย. 63 รายที่สอง เป็นเพศชาย อายุ 72 ปี มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน ซึ่งเป็นลูกของผู้ป่วยรายนี้ที่ไปดูมวย และมีอาการป่วย เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ มีโรคประจําตัวเป็นโรคไต เริ่มป่วย วันที่ 16 มี.ค. 63 และเสียชีวิตวันที่ 1 เม.ย. 63 รายที่สาม เป็นเพศชาย อายุ 84 ปี ทํางานสนามมวยราชดําเนิน มีโรคประจําตัว โรคไต ความดันโลหิตสูง เก๊าท์ เข้ารับการรักษาโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. 63 และเสียชีวิต วันที่ 2 เม.ย. 63 และรายที่สี่ เป็นผู้ป่วยชายไทย อายุ 84 ปี มีประวัติไปสนามมวยราชดําเนิน ก่อนเริ่มป่วยในวันที่ 14 มี.ค. 63 เข้ารับการรักษาในวันที่ 21 มี.ค. 63 ด้วยอาการไข้ 39.3 องศา น้ํามูก ไอ และเสียชีวิตในวันที่ 2 เม.ย. 63 ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ซึ่งพบว่า 3 ใน 4 ของผู้เสียชีวิต อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยกลุ่มอายุที่ต้องเน้นย้ําคือ 20-29 ปี เนื่องจากกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่มีการเดินทาง เคลื่อนย้าย และพบปะสังสรรค์กันเป็นจํานวนมาก ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่ทําให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อได้
โฆษก ศบค. กล่าวถึงผู้ป่วยรายใหม่ทั้ง 103 ราย พบว่า กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 48 ราย แบ่งเป็น สนามมวย 1 ราย สถานบันเทิง 2 ราย พิธีกรรมทางศาสนา ประเทศอินโดนีเซีย 6 ราย และใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 39 ราย นอกจากนี้ จากการประกาศคําบัญชา สั่งการ จากนายกรัฐมนตรี ที่ให้มีการชะลอการเดินทาง ทั้งคนไทยและต่างชาติที่จะเข้าสู่เมืองไทย ซึ่งในขณะนี้ รับทราบมาจากกระทรวงการต่างประเทศแล้วว่า 100 คน จากประเทศอินโดนีเซีย ที่ได้ขออนุญาตไว้แล้วนั้น จะเข้ามาในประเทศไทย วันที่ 7 เม.ย. 63 ซึ่งทางการของประเทศไทยจะมีการจัดเตรียมพื้นที่รองรับ พร้อมทั้งขอความร่วมมือคนจํานวนดังกล่าว รวมถึงประเทศมาเลเซีย อีก 83 รายที่เป็นคนไทยที่ขออนุญาตเข้ามา และกลุ่มของนักเรียน AFS จากสหรัฐอเมริกา โดยทุกคนต้องให้ความร่วมมือในการอยู่ในพื้นที่ที่ทางรัฐบาลจัดไว้ให้ เพราะถือเป็นบุคคลกลุ่มเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ต้องขอความร่วมมือจากคนไทยที่อยู่ในประเทศไทย ไม่สร้างความรังเกียจให้แก่กัน ในกลุ่มที่สอง ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 44 ราย แบ่งเป็น คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ 7 ราย คนต่างชาติที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 8 ราย สัมผัสผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 2 ราย ไปสถานที่ชุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว 4 ราย อาชีพเสี่ยง เช่น ทํางานในสถานที่แออัด หรือทํางานใกล้ชิดสัมผัสกับชาวต่างชาติ 13 ราย บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข 5 ราย และอื่น ๆ 5 ราย และกลุ่มที่สาม อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 11 ราย
ทั้งนี้ จํานวนตัวเลขผู้ป่วยยังคงมีแนวโน้มที่สูงขึ้น โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานครยังคงมีจํานวนตัวเลขที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่จะต้องจัดการโดยเร็ว จะต้องให้ความร่วมมือและดูแลกันอย่างดี ขณะที่พื้นที่ในจังหวัดอื่น ๆ ยังมีตัวเลขที่คงที่ ขณะเดียวกันในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตยังมีจํานวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น โดยมีจํานวนผู้ป่วยในอําเภอกะทู้ 45 ราย เมืองภูเก็ต 26 ราย อําเภอถลาง 10 ราย และอําเภออื่น ๆ 19 ราย โดยกลุ่มที่เป็นที่น่ากังวลใจ จําแนกตามปัจจัยเสี่ยง คือ กลุ่มผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ ตามด้วยกลุ่มอาชีพเสี่ยง สถานบันเทิง และคนต่างชาติที่มาจากต่างประเทศ เมื่อเปรียบเทียบในประเทศกลุ่มอาเซียนพบว่า ประเทศไทยยังอยู่ในลําดับที่ 3 จาก 10 ประเทศ อย่างไรก็ตาม เราจะต้องร่วมมือกัน ซึ่งคาดว่าจะทําให้จํานวนตัวเลขผู้ป่วยลดลงได้
โอกาสนี้ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ และโฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ กล่าวถึงการปฏิบัติงานของฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะตํารวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดในฐานะที่เป็นผู้อํานวยการศูนย์ฯ ด้านความมั่นคง ได้หารือเป็นระยะกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ และปลัดกระทรวงมหาดไทย กําหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อรองรับมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ออกมานั้น ได้ข้อสรุปดังนี้ จุดตรวจรอยต่อจังหวัดและ กทม. ปัจจุบันมีทั้งหมด 421 จุด จะมีการปรับ มุ่งเน้นบังคับใช้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้นและควบคุมการเดินทางข้ามจังหวัดเท่าที่จําเป็นเท่านั้น ห้ามเดินทางในช่วงเวลาที่กําหนด ยกเว้นเงื่อนไขตามข้อกําหนดบอก เพิ่มจุดตรวจร่วม ชุดเคลื่อนที่เร็ว กระจายตัวเป็นใยแมงมุมทั่วทุกพื้นที่ประเทศไทย จัดจุดตรวจครอบคลุมทุกพื้นที่ เพิ่มสายตรวจในทุกสถานีตํารวจเพื่อให้กระจายไปถึงระดับอําเภอ ตําบล หมู่บ้าน ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการตรวจสอบ คัดกรอง ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ โดยมีเจ้าหน้าที่ตํารวจคอยดูแลอํานวยความสะดวก ในกรณีผู้ฝ่าฝืนข้อกําหนดจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ขอให้ออกจากบ้านเท่าที่จําเป็น รักษาระยะห่างทางสังคม ยกเว้นบุคคลตามข้อยกเว้นที่ได้กําหนดไว้ ถ้ามีความจําเป็นต้องออกจากบ้านหรือเป็นบุคคลตามข้อยกเว้นต้องพกบัตรประชาชน และใบรับรองจากนายจ้าง ผู้ประกอบการ หรือหัวหน้าส่วนราชการ ว่าท่านเป็นใคร สังกัดไหน และมีความจําเป็นอย่างไร ทั้งนี้ โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติทราบว่า ในด้านการคมนาคมได้มีการปรับแนวทางการเดินรถให้สอดคล้องกับสถานการณ์ช่วงเคอร์ฟิวแล้ว ฝากพี่น้องประชาชนให้เตรียมตัว ปรับการใช้ชีวิตให้เหมาะสม ขอความร่วมมือให้อยู่แต่ในบ้าน กรณีพบเห็นผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือสามารถแจ้งมาที่ 191 เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือสายตรวจเข้าไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุได้
......................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28428
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือพันธมิตรด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) InnoSpace
|
วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือพันธมิตรด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) InnoSpace
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือพันธมิตรด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) InnoSpace
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมพิธีลงนามความร่วมมือพันธมิตรด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) InnoSpace ณ โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2562 โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี เพื่อมอบนโยบายแก่หน่วยงานพันธมิตร 13 หน่วยงานด้านการลงทุน ให้มีแนวทางปฏิบัติงานสําหรับการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น ที่เกิดผลสัมฤทธิ์และบรรลุตามเป้าหมาย งานดังกล่าว จัดโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อปรับเปลี่ยนประเทศไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมอย่างยั่งยืน และมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมและ Startup ของอาเซียน โดยการพัฒนาผู้ประกอบการทุกระดับครอบคลุมทุกสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ผ่านระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างและบ่มเพาะ Startup ไทยให้สามารถเติบโตได้ในเวทีโลก
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือพันธมิตรด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) InnoSpace
วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือพันธมิตรด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) InnoSpace
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือพันธมิตรด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) InnoSpace
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมพิธีลงนามความร่วมมือพันธมิตรด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) InnoSpace ณ โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2562 โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี เพื่อมอบนโยบายแก่หน่วยงานพันธมิตร 13 หน่วยงานด้านการลงทุน ให้มีแนวทางปฏิบัติงานสําหรับการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น ที่เกิดผลสัมฤทธิ์และบรรลุตามเป้าหมาย งานดังกล่าว จัดโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อปรับเปลี่ยนประเทศไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมอย่างยั่งยืน และมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมและ Startup ของอาเซียน โดยการพัฒนาผู้ประกอบการทุกระดับครอบคลุมทุกสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ผ่านระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างและบ่มเพาะ Startup ไทยให้สามารถเติบโตได้ในเวทีโลก
*******************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22973
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK จับมือ บสย. และเซ็นทรัลแล็บไทย สนับสนุนเงินทุนผู้ส่งออก SMEs ปรับปรุงมาตรฐานสินค้าส่งออก สร้างแบรนด์ไทยในตลาดโลก
|
วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2560
EXIM BANK จับมือ บสย. และเซ็นทรัลแล็บไทย สนับสนุนเงินทุนผู้ส่งออก SMEs ปรับปรุงมาตรฐานสินค้าส่งออก สร้างแบรนด์ไทยในตลาดโลก
EXIM BANK จับมือ บสย. และเซ็นทรัลแล็บไทย ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ส่งเสริมศักยภาพและรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของ SMEs เพื่อการส่งออก เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการสนับสนุนด้านเงินทุนควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานสินค้าแบรนด์ไทย
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายนิธิศ มนุญพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และนายสุรชัย กําพลานนท์วัฒน์ กรรมการผู้อํานวยการ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จํากัด (CLT) หรือเซ็นทรัลแล็บไทย ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ส่งเสริมศักยภาพและรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของ SMEs เพื่อการส่งออก เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการสนับสนุนด้านเงินทุนควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานสินค้าแบรนด์ไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหาร และเครื่องสําอาง ให้มีโอกาสขยายตลาดในต่างประเทศได้มากขึ้น ณ EXIM BANK สํานักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2560
ภายใต้โครงการความร่วมมือนี้ ผู้ส่งออก SMEs ที่ใช้บริการสินเชื่อส่งออกทันใจทวีค่า (EXIM Instant Credit Super Value) ซึ่งเป็นสินเชื่อหมุนเวียน วงเงินกู้สูงสุด 2 ล้านบาท ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน ใช้เพียง บสย. ค้ําประกัน จะได้ลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในปีแรกเหลือ 4.5% ต่อปี และได้รับคูปองยกระดับมาตรฐานสินค้าและผลิตภัณฑ์มูลค่า 5,000 บาทต่อรายฟรี! เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงโอกาสการยกระดับมาตรฐานคุณภาพสินค้าส่งออกด้วยเครื่องมือแล็บประชารัฐที่ได้มาตรฐานสากลและผ่านการทดสอบความชํานาญด้านห้องแล็บจากแล็บกลางสหภาพยุโรป (European Union Reference Laboratory : EURL) ทําให้สินค้าส่งออกของ SMEs ไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ อาทิ สินค้าประเภทผักและผลไม้ อาหารดิบ อาหารแปรรูป เครื่องสําอาง น้ําบริโภค เครื่องดื่มในภาชนะปิดสนิท อาหารกึ่งสําเร็จรูป เครื่องดื่มชา กาแฟ ซึ่งมักตรวจพบว่ามีสิ่งสกปรกเจือปน สารตกค้างปนเปื้อน หรือบรรจุในหีบห่อไม่ถูกสุขอนามัย
การสนับสนุนด้านเงินทุนและการพัฒนาคุณภาพสินค้าส่งออกของทั้งสามหน่วยงานในครั้งนี้จะช่วยให้ SMEs ไทยมีทางออกของปัญหาที่ต้องเผชิญ ได้แก่ การขาดสภาพคล่องทางการเงิน เงื่อนไขเงินกู้ที่เข้มงวดของสถาบันการเงิน ความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ อาทิ อัตราแลกเปลี่ยนทางการเงินระหว่างประเทศและการไม่ได้รับชําระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ และการถูกปฏิเสธการนําเข้าเพราะสินค้าไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย นําไปสู่เป้าหมายในการผลักดันการเติบโตของภาคการส่งออก ควบคู่กับการสร้างแบรนด์ไทยให้เป็นที่นิยมและยอมรับในตลาดโลก
“ในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ ผู้ส่งออก SMEs ของไทยต้องมีเครื่องมือทั้งเชิงรุกได้แก่ การศึกษาตลาด การพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล การรุกตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ และความพร้อมด้านเงินทุน ส่วนเชิงรับได้แก่ ความพร้อมรับมือความเสี่ยงทางการค้าการลงทุนและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่ง EXIM BANK และหน่วยงานพันธมิตร เช่น บสย. และเซ็นทรัลแล็บไทย พร้อมร่วมมือกันติดอาวุธให้ผู้ส่งออก SMEs ของไทยแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลก โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (S-curve) ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายธุรกิจการค้าและเชื่อมโยงสู่การขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศได้ เพื่อการเข้าถึงตลาดผู้บริโภคในต่างประเทศได้อย่างประสบความสําเร็จในระยะยาว” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1140-6
EXIM Thailand Joins Hands with TCG and Central Lab Thai to Finance SME Exporters and Upgrade Product Standard to Promote Thai Brand Globally
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), together with Mr. Nitid Manoonporn, President of Thai Credit Guarantee Corporation (TCG), and Mr. Surachai Kampalanonwat, Managing Director of Central Laboratory (Thailand) Co., Ltd. (CLT or Central Lab Thai), signed an MOU at EXIM Thailand’s Head Office on August 10, 2017 to provide SME exporters with financial support in conjunction with product quality standard certification to enhance Thai brand recognition and expansion in the global market, especially for such products as agricultural products, foods and cosmetics.
Under this collaboration, SME exporters using “EXIM Instant Credit Super Value,” which is a working capital loan with a credit line up to 2 million baht, secured only by a letter of guarantee from TCG and requiring no collateral assets, are entitled to an interest reduction by 0.5% in the first year to only 4.5% per annum and a complimentary coupon for product standard upgrade worth 5,000 baht per exporter. This will allow exporters seeking to raise their product quality standard to gain access to Pracharat laboratory service, which is of international standard with laboratory testing facilities certified by European Union Reference Laboratory (EURL). Thai products acquiring such certification will thus be better received in markets overseas. These products include fruits and vegetables, raw foods, processed foods, cosmetics, drinking water, beverages in sealed containers, semi-instant foods, tea and coffee drinks, in which impurities and residues have frequently been detected. In some cases, such products were sold in unhygienic packaging.
The above tripartite support will help provide solutions to Thai SME exporters facing financial liquidity crunch, stringent lending conditions of financial institutions, international trade risks like foreign exchange fluctuations and foreign buyers’ default of payments for goods, or import bans on Thai goods due to failure to meet safety standards. It will also facilitate Thai export growth to achieve the set targets while enhancing Thai brand recognition and popularity in the global market.
“In international trade competition, Thai SME exporters need to be proactive relying on market studies, product quality development to reach international standards, new market penetration and financial readiness. They will also need to be well prepared to cope with trade and investment risks as well as currency fluctuation. EXIM Thailand and our business partners, TCG and Central Lab Thai, are ready to assist Thai SME exporters to ensure that they are fully equipped to compete well globally. This is in line with the government policy to support the country’s target industries (S-curve) in their trade and investment expansion endeavors to successfully serve consumer markets overseas in the long term,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Public Relations Division, Office of Top Management
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1140-6
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK จับมือ บสย. และเซ็นทรัลแล็บไทย สนับสนุนเงินทุนผู้ส่งออก SMEs ปรับปรุงมาตรฐานสินค้าส่งออก สร้างแบรนด์ไทยในตลาดโลก
วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2560
EXIM BANK จับมือ บสย. และเซ็นทรัลแล็บไทย สนับสนุนเงินทุนผู้ส่งออก SMEs ปรับปรุงมาตรฐานสินค้าส่งออก สร้างแบรนด์ไทยในตลาดโลก
EXIM BANK จับมือ บสย. และเซ็นทรัลแล็บไทย ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ส่งเสริมศักยภาพและรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของ SMEs เพื่อการส่งออก เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการสนับสนุนด้านเงินทุนควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานสินค้าแบรนด์ไทย
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายนิธิศ มนุญพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และนายสุรชัย กําพลานนท์วัฒน์ กรรมการผู้อํานวยการ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จํากัด (CLT) หรือเซ็นทรัลแล็บไทย ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ส่งเสริมศักยภาพและรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของ SMEs เพื่อการส่งออก เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการสนับสนุนด้านเงินทุนควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานสินค้าแบรนด์ไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหาร และเครื่องสําอาง ให้มีโอกาสขยายตลาดในต่างประเทศได้มากขึ้น ณ EXIM BANK สํานักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2560
ภายใต้โครงการความร่วมมือนี้ ผู้ส่งออก SMEs ที่ใช้บริการสินเชื่อส่งออกทันใจทวีค่า (EXIM Instant Credit Super Value) ซึ่งเป็นสินเชื่อหมุนเวียน วงเงินกู้สูงสุด 2 ล้านบาท ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน ใช้เพียง บสย. ค้ําประกัน จะได้ลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในปีแรกเหลือ 4.5% ต่อปี และได้รับคูปองยกระดับมาตรฐานสินค้าและผลิตภัณฑ์มูลค่า 5,000 บาทต่อรายฟรี! เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงโอกาสการยกระดับมาตรฐานคุณภาพสินค้าส่งออกด้วยเครื่องมือแล็บประชารัฐที่ได้มาตรฐานสากลและผ่านการทดสอบความชํานาญด้านห้องแล็บจากแล็บกลางสหภาพยุโรป (European Union Reference Laboratory : EURL) ทําให้สินค้าส่งออกของ SMEs ไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ อาทิ สินค้าประเภทผักและผลไม้ อาหารดิบ อาหารแปรรูป เครื่องสําอาง น้ําบริโภค เครื่องดื่มในภาชนะปิดสนิท อาหารกึ่งสําเร็จรูป เครื่องดื่มชา กาแฟ ซึ่งมักตรวจพบว่ามีสิ่งสกปรกเจือปน สารตกค้างปนเปื้อน หรือบรรจุในหีบห่อไม่ถูกสุขอนามัย
การสนับสนุนด้านเงินทุนและการพัฒนาคุณภาพสินค้าส่งออกของทั้งสามหน่วยงานในครั้งนี้จะช่วยให้ SMEs ไทยมีทางออกของปัญหาที่ต้องเผชิญ ได้แก่ การขาดสภาพคล่องทางการเงิน เงื่อนไขเงินกู้ที่เข้มงวดของสถาบันการเงิน ความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ อาทิ อัตราแลกเปลี่ยนทางการเงินระหว่างประเทศและการไม่ได้รับชําระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ และการถูกปฏิเสธการนําเข้าเพราะสินค้าไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย นําไปสู่เป้าหมายในการผลักดันการเติบโตของภาคการส่งออก ควบคู่กับการสร้างแบรนด์ไทยให้เป็นที่นิยมและยอมรับในตลาดโลก
“ในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ ผู้ส่งออก SMEs ของไทยต้องมีเครื่องมือทั้งเชิงรุกได้แก่ การศึกษาตลาด การพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล การรุกตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ และความพร้อมด้านเงินทุน ส่วนเชิงรับได้แก่ ความพร้อมรับมือความเสี่ยงทางการค้าการลงทุนและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่ง EXIM BANK และหน่วยงานพันธมิตร เช่น บสย. และเซ็นทรัลแล็บไทย พร้อมร่วมมือกันติดอาวุธให้ผู้ส่งออก SMEs ของไทยแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลก โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (S-curve) ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายธุรกิจการค้าและเชื่อมโยงสู่การขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศได้ เพื่อการเข้าถึงตลาดผู้บริโภคในต่างประเทศได้อย่างประสบความสําเร็จในระยะยาว” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1140-6
EXIM Thailand Joins Hands with TCG and Central Lab Thai to Finance SME Exporters and Upgrade Product Standard to Promote Thai Brand Globally
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), together with Mr. Nitid Manoonporn, President of Thai Credit Guarantee Corporation (TCG), and Mr. Surachai Kampalanonwat, Managing Director of Central Laboratory (Thailand) Co., Ltd. (CLT or Central Lab Thai), signed an MOU at EXIM Thailand’s Head Office on August 10, 2017 to provide SME exporters with financial support in conjunction with product quality standard certification to enhance Thai brand recognition and expansion in the global market, especially for such products as agricultural products, foods and cosmetics.
Under this collaboration, SME exporters using “EXIM Instant Credit Super Value,” which is a working capital loan with a credit line up to 2 million baht, secured only by a letter of guarantee from TCG and requiring no collateral assets, are entitled to an interest reduction by 0.5% in the first year to only 4.5% per annum and a complimentary coupon for product standard upgrade worth 5,000 baht per exporter. This will allow exporters seeking to raise their product quality standard to gain access to Pracharat laboratory service, which is of international standard with laboratory testing facilities certified by European Union Reference Laboratory (EURL). Thai products acquiring such certification will thus be better received in markets overseas. These products include fruits and vegetables, raw foods, processed foods, cosmetics, drinking water, beverages in sealed containers, semi-instant foods, tea and coffee drinks, in which impurities and residues have frequently been detected. In some cases, such products were sold in unhygienic packaging.
The above tripartite support will help provide solutions to Thai SME exporters facing financial liquidity crunch, stringent lending conditions of financial institutions, international trade risks like foreign exchange fluctuations and foreign buyers’ default of payments for goods, or import bans on Thai goods due to failure to meet safety standards. It will also facilitate Thai export growth to achieve the set targets while enhancing Thai brand recognition and popularity in the global market.
“In international trade competition, Thai SME exporters need to be proactive relying on market studies, product quality development to reach international standards, new market penetration and financial readiness. They will also need to be well prepared to cope with trade and investment risks as well as currency fluctuation. EXIM Thailand and our business partners, TCG and Central Lab Thai, are ready to assist Thai SME exporters to ensure that they are fully equipped to compete well globally. This is in line with the government policy to support the country’s target industries (S-curve) in their trade and investment expansion endeavors to successfully serve consumer markets overseas in the long term,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Public Relations Division, Office of Top Management
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1140-6
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5840
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กก. แถลงผลงาน 1 ปี ด้านท่องเที่ยว
|
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562
รมว.กก. แถลงผลงาน 1 ปี ด้านท่องเที่ยว
ถึงแม้จะมีปัจจัยท้าทายทั้งในและต่างประเทศก็ตาม ในภาพรวมการท่องเที่ยวของประเทศไทยยังเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายและเป็นการเติบโตในเชิงคุณภาพ โดยดูได้จากอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ สูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของจํานวนนักท่องเที่ยว
วันที่ 28 มกราคม 2562 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดแถลงผลงานด้านการท่องเที่ยวรอบปี 2561 นําโดยนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา(รมว.กก.) พร้อมด้วยผู้บริหารของกระทรวงฯ ทั้งฝ่ายข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจํา และรัฐวิสาหกิจ ณ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถนนราชดําเนินนอก กรุงเทพฯ
รมว.กก. กล่าวว่ารอบ 1 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้จากประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จํานวน 38.27 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้ 2.01 ล้านล้านบาท และจํานวนนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทย164.24ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 1,068.18 พันล้านบาท โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ตามพันธกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดซึ่งจากนโยบายสําคัญที่ได้มอบไว้แก่ข้าราชการและบุคลากรของกระทรวงฯ ตั้งแต่เข้ารับตําแหน่ง เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2560 คือ 1) การให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ําของรายได้ 2) การท่องเที่ยวต้อง “สะดวก สะอาด ปลอดภัย ได้เอกลักษณ์ และยั่งยืน” 3) การจัดตั้งคลินิกด้านการท่องเที่ยว และ 4) การเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานโดยนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ซึ่งหลายอย่างกําลังเดินหน้าไปด้วยดีในขณะที่การตลาดเน้นนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง และเน้นการตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง
กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้ใช้การท่องเที่ยวแบบ “วิถีไทย” เป็นตัวขับเคลื่อนด้านการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม กระจายจํานวนนักท่องเที่ยวและรายได้สู่ชุมชนให้ทั่วถึง เน้นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวด้วยการส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย อํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผ่านกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยว รวมถึงการอบรมอาสาสมัครเพื่อการท่องเที่ยว (เจ้าบ้านที่ดี) ส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด จนปัจจุบันประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอันดับ 4 ของโลก
รมว.กก. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ถึงแม้จะมีปัจจัยท้าทายทั้งในและต่างประเทศก็ตาม ในภาพรวมการท่องเที่ยวของประเทศไทยยังเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายและเป็นการเติบโตในเชิงคุณภาพ โดยดูได้จากอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ สูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของจํานวนนักท่องเที่ยว การท่องเที่ยวของประเทศไทยมีการพัฒนาและขยายตัวอย่างรวดเร็ว สามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปีที่ผ่านมามีปรากฏการณ์สนับสนุนจากกระแสละครอิงประวัติศาสตร์“บุพเพสันนิวาส”, “นาคี”และ“งานอุ่นไอรัก...คลายความหนาว”ทําให้เกิดการเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์นอกจากการท่องเที่ยวในเมืองหลักแล้วยังมีการกระจายตัวไปยังเมืองรองต่างๆ ตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบพร้อมมีมาตรการสนับสนุน ตั้งแต่การลดหย่อนภาษีแก่นักท่องเที่ยว การยกเว้นภาษีกรณีจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดเมืองรอง การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของเมืองรองต่างๆ มีผลทําให้นักท่องเที่ยวขยายตัวจากปี 2554 จํานวน 50 ล้านคน เป็น 90 ล้านคน ในปี 2561 โดยนักท่องเที่ยวมีการขยายตัวไปในทุกจังหวัด”
เมืองรองที่นักท่องเที่ยวมีการขยายตัวสูงสุด 2 อันดับแรก คือ ราชบุรี และชัยนาท และยังพบว่ามีจํานวน 18 เมืองรองที่รายได้จากการท่องเที่ยวขยายตัวสูงกว่าภาพรวมของเมืองรองทั้งหมดโดยเฉพาะจังหวัดบุรีรัมย์ มีการเติบโตของผู้มาเยี่ยมเยือนสูงสุด ประมาณ 21%จากการจัดแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก (MotoGP) รายการพีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2018 สนามที่ 15 ซึ่ง นับเป็นกิจกรรมSports Tourismที่ประสบความสําเร็จอย่างดียิ่งเพราะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมการแข่งขันมากกว่า 205,000 คน ก่อให้เกิดรายได้แก่จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดในพื้นที่ใกล้เคียงมากกว่า 3,100 ล้านบาท
สําหรับแนวโน้มการท่องเที่ยวปี 2562 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้คาดการณ์แนวโน้มโดยการวิเคราะห์อนุกรมเวลา (Time Series) ซึ่งใช้ฐานข้อมูลเชิงปริมาณที่จัดเก็บโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานํามาแปลงข้อเท็จจริงในอดีตไปพยากรณ์คาดการณ์แนวโน้มการท่องเที่ยวในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าปี 2562 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจํานวน 41.1 ล้านคน (+7.5%) สร้างรายได้ 2.21 ล้านล้านบาท (+10%) โดยแนวโน้มรายสัญชาติคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากจีน 11.69 ล้านคน (+11%) จากประเทศในอาเซียน 11.31 ล้านคน (+10%) และจากยุโรป 6.90 ล้านคน (+2%)
“ถึงวันนี้ผลพวงที่ผมได้มอบเป็นนโยบายแก่ข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชาไว้เมื่อตอนเข้ามารับตําแหน่งเริ่มผลิดอกออกผล ให้ปรากฏเห็นเป็นรูปธรรม เป็นความงดงามของเมืองรอง เป็นรอยยิ้มกว้างๆ ของผู้คนในชุมชนท้องถิ่นที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการมีโอกาสนําผลิตภัณฑ์งานฝีมือ ตลอดถึงของกินของใช้ มาอวดโชว์นักท่องเที่ยวและคนต่างถิ่น นี่คือความสุขที่ได้กระจายตัวออกไปอย่างทั่วถึง...อย่างแท้จริง” รมว.กก.กล่าวทิ้งท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กก. แถลงผลงาน 1 ปี ด้านท่องเที่ยว
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562
รมว.กก. แถลงผลงาน 1 ปี ด้านท่องเที่ยว
ถึงแม้จะมีปัจจัยท้าทายทั้งในและต่างประเทศก็ตาม ในภาพรวมการท่องเที่ยวของประเทศไทยยังเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายและเป็นการเติบโตในเชิงคุณภาพ โดยดูได้จากอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ สูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของจํานวนนักท่องเที่ยว
วันที่ 28 มกราคม 2562 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดแถลงผลงานด้านการท่องเที่ยวรอบปี 2561 นําโดยนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา(รมว.กก.) พร้อมด้วยผู้บริหารของกระทรวงฯ ทั้งฝ่ายข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจํา และรัฐวิสาหกิจ ณ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถนนราชดําเนินนอก กรุงเทพฯ
รมว.กก. กล่าวว่ารอบ 1 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้จากประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จํานวน 38.27 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้ 2.01 ล้านล้านบาท และจํานวนนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทย164.24ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 1,068.18 พันล้านบาท โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ตามพันธกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดซึ่งจากนโยบายสําคัญที่ได้มอบไว้แก่ข้าราชการและบุคลากรของกระทรวงฯ ตั้งแต่เข้ารับตําแหน่ง เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2560 คือ 1) การให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ําของรายได้ 2) การท่องเที่ยวต้อง “สะดวก สะอาด ปลอดภัย ได้เอกลักษณ์ และยั่งยืน” 3) การจัดตั้งคลินิกด้านการท่องเที่ยว และ 4) การเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานโดยนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ซึ่งหลายอย่างกําลังเดินหน้าไปด้วยดีในขณะที่การตลาดเน้นนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง และเน้นการตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง
กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้ใช้การท่องเที่ยวแบบ “วิถีไทย” เป็นตัวขับเคลื่อนด้านการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม กระจายจํานวนนักท่องเที่ยวและรายได้สู่ชุมชนให้ทั่วถึง เน้นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวด้วยการส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย อํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผ่านกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยว รวมถึงการอบรมอาสาสมัครเพื่อการท่องเที่ยว (เจ้าบ้านที่ดี) ส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด จนปัจจุบันประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอันดับ 4 ของโลก
รมว.กก. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ถึงแม้จะมีปัจจัยท้าทายทั้งในและต่างประเทศก็ตาม ในภาพรวมการท่องเที่ยวของประเทศไทยยังเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายและเป็นการเติบโตในเชิงคุณภาพ โดยดูได้จากอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ สูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของจํานวนนักท่องเที่ยว การท่องเที่ยวของประเทศไทยมีการพัฒนาและขยายตัวอย่างรวดเร็ว สามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปีที่ผ่านมามีปรากฏการณ์สนับสนุนจากกระแสละครอิงประวัติศาสตร์“บุพเพสันนิวาส”, “นาคี”และ“งานอุ่นไอรัก...คลายความหนาว”ทําให้เกิดการเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์นอกจากการท่องเที่ยวในเมืองหลักแล้วยังมีการกระจายตัวไปยังเมืองรองต่างๆ ตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบพร้อมมีมาตรการสนับสนุน ตั้งแต่การลดหย่อนภาษีแก่นักท่องเที่ยว การยกเว้นภาษีกรณีจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดเมืองรอง การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของเมืองรองต่างๆ มีผลทําให้นักท่องเที่ยวขยายตัวจากปี 2554 จํานวน 50 ล้านคน เป็น 90 ล้านคน ในปี 2561 โดยนักท่องเที่ยวมีการขยายตัวไปในทุกจังหวัด”
เมืองรองที่นักท่องเที่ยวมีการขยายตัวสูงสุด 2 อันดับแรก คือ ราชบุรี และชัยนาท และยังพบว่ามีจํานวน 18 เมืองรองที่รายได้จากการท่องเที่ยวขยายตัวสูงกว่าภาพรวมของเมืองรองทั้งหมดโดยเฉพาะจังหวัดบุรีรัมย์ มีการเติบโตของผู้มาเยี่ยมเยือนสูงสุด ประมาณ 21%จากการจัดแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก (MotoGP) รายการพีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2018 สนามที่ 15 ซึ่ง นับเป็นกิจกรรมSports Tourismที่ประสบความสําเร็จอย่างดียิ่งเพราะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมการแข่งขันมากกว่า 205,000 คน ก่อให้เกิดรายได้แก่จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดในพื้นที่ใกล้เคียงมากกว่า 3,100 ล้านบาท
สําหรับแนวโน้มการท่องเที่ยวปี 2562 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้คาดการณ์แนวโน้มโดยการวิเคราะห์อนุกรมเวลา (Time Series) ซึ่งใช้ฐานข้อมูลเชิงปริมาณที่จัดเก็บโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานํามาแปลงข้อเท็จจริงในอดีตไปพยากรณ์คาดการณ์แนวโน้มการท่องเที่ยวในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าปี 2562 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจํานวน 41.1 ล้านคน (+7.5%) สร้างรายได้ 2.21 ล้านล้านบาท (+10%) โดยแนวโน้มรายสัญชาติคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากจีน 11.69 ล้านคน (+11%) จากประเทศในอาเซียน 11.31 ล้านคน (+10%) และจากยุโรป 6.90 ล้านคน (+2%)
“ถึงวันนี้ผลพวงที่ผมได้มอบเป็นนโยบายแก่ข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชาไว้เมื่อตอนเข้ามารับตําแหน่งเริ่มผลิดอกออกผล ให้ปรากฏเห็นเป็นรูปธรรม เป็นความงดงามของเมืองรอง เป็นรอยยิ้มกว้างๆ ของผู้คนในชุมชนท้องถิ่นที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการมีโอกาสนําผลิตภัณฑ์งานฝีมือ ตลอดถึงของกินของใช้ มาอวดโชว์นักท่องเที่ยวและคนต่างถิ่น นี่คือความสุขที่ได้กระจายตัวออกไปอย่างทั่วถึง...อย่างแท้จริง” รมว.กก.กล่าวทิ้งท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18814
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนประชาชนเข้าชมนิทรรศการพระเมรุมาศ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมแนะผู้เข้าชมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎ มีน้ำใจเอื้ออาทร
|
วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลเชิญชวนประชาชนเข้าชมนิทรรศการพระเมรุมาศ ด้วยความสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมแนะผู้เข้าชมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎ มีน้ําใจเอื้ออาทร
รัฐบาลเชิญชวนประชาชนเข้าชมนิทรรศการพระเมรุมาศ ด้วยความสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมแนะผู้เข้าชมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎ มีน้ําใจเอื้ออาทร และใช้โอกาสเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่า
วันนี้ (4 พฤศจิกายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเชิญชวนประชาชนเข้าชมนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในระหว่างวันที่ 2 - 30 พ.ย.60 ณ ท้องสนามหลวง ตั้งแต่เวลา 07.00 - 22.00 น. เพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย พร้อมกับศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการพระราชดําริ และพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า
“ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาพบว่า การเข้าชมนิทรรศการและพระเมรุมาศโดยรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยรัฐบาลอยากให้นิทรรศการครั้งนี้เป็นกิจกรรมที่อยู่ในความทรงจําอันน่าประทับใจของประชาชน จึงไม่ต้องการกําหนดกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากเกินไป แต่อย่างไรก็ตามพบว่า มีผู้เข้าชมบางส่วนอาจแสดงกิริยาไม่สํารวมหรือจับต้องสิ่งของที่จัดแสดง ซึ่งอาจทําให้เกิดความเสียหายวัตถุต่าง ๆ ได้ ประกอบกับแต่ละวันมีผู้เข้าชมเป็นจํานวนมาก เจ้าหน้าที่จึงจําเป็นต้องจัดระเบียบการเข้าชมเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ โดยแม้ปัจจุบันจะไม่ได้เปิดให้เข้าชมองค์พระเมรุมาศบริเวณชั้น 1 และ 2 แล้ว แต่ประชาชนยังสามารถเดินชมโดยรอบพระเมรุมาศและอาคารประกอบ รวมทั้งยังคงถ่ายภาพได้ตามปกติ”
สําหรับผู้ที่จะเข้าชมพระเมรุมาศจะต้องเดินผ่านจุดคัดกรองที่มีอยู่ 5 จุด ได้แก่ บริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ ท่าช้าง หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และด้านหลังกระทรวงกลาโหม เพื่อเข้าสู่เต้นท์พักคอยที่จัดไว้รองรับ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะแบ่งประชาชนออกเป็นชุด ๆ ละ 300 คน โดยให้เข้าชมชุดละ 45 – 60 นาที เริ่มเดินวนด้านซ้ายตลอดองค์พระเมรุมาศเพื่อเข้าชมนิทรรศการในศาลาลูกขุน แล้วเข้าชมพระที่นั่งทรงธรรม ก่อนเดินผ่านด้านหลังพระที่นั่งออกไปที่ท้องสนามหลวงด้านทิศใต้ฝั่งตรงข้ามศาลหลักเมือง ซึ่งทุกคนสามารถชมนิทรรศการได้อย่างครบถ้วน
ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากให้พี่น้องประชาชนที่จะเข้าชมนิทรรศการปฏิบัติตามระเบียบและคําแนะนําของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและเหมาะสม ทั้งการแต่งกายที่สุภาพ การแสดงกิริยาอาการที่สํารวม ไม่จับต้องสิ่งของที่จัดแสดง รวมทั้งควรมอบน้ําใจเอื้ออาทรให้แก่กัน เนื่องจากในแต่ละวันมีผู้เข้าชมเป็นจํานวนมาก
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีอยากให้คนไทยใช้โอกาสนี้เก็บเกี่ยวความรู้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยและสิ่งที่พระองค์ท่านได้ทําเพื่อประเทศชาติและประชาชน ตลอดจนแนวคิดและการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทยที่วิจิตรงดงาม ซึ่งได้สืบทอดเป็นมรดกแก่ลูกหลานมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนข้อเสนอของสังคมที่อยากให้ขยายระยะเวลาการเข้าชมนิทรรศการออกไปอีกนั้น รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้พิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป
....................................................................
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนประชาชนเข้าชมนิทรรศการพระเมรุมาศ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมแนะผู้เข้าชมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎ มีน้ำใจเอื้ออาทร
วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลเชิญชวนประชาชนเข้าชมนิทรรศการพระเมรุมาศ ด้วยความสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมแนะผู้เข้าชมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎ มีน้ําใจเอื้ออาทร
รัฐบาลเชิญชวนประชาชนเข้าชมนิทรรศการพระเมรุมาศ ด้วยความสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมแนะผู้เข้าชมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎ มีน้ําใจเอื้ออาทร และใช้โอกาสเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่า
วันนี้ (4 พฤศจิกายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเชิญชวนประชาชนเข้าชมนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในระหว่างวันที่ 2 - 30 พ.ย.60 ณ ท้องสนามหลวง ตั้งแต่เวลา 07.00 - 22.00 น. เพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย พร้อมกับศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการพระราชดําริ และพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า
“ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาพบว่า การเข้าชมนิทรรศการและพระเมรุมาศโดยรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยรัฐบาลอยากให้นิทรรศการครั้งนี้เป็นกิจกรรมที่อยู่ในความทรงจําอันน่าประทับใจของประชาชน จึงไม่ต้องการกําหนดกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากเกินไป แต่อย่างไรก็ตามพบว่า มีผู้เข้าชมบางส่วนอาจแสดงกิริยาไม่สํารวมหรือจับต้องสิ่งของที่จัดแสดง ซึ่งอาจทําให้เกิดความเสียหายวัตถุต่าง ๆ ได้ ประกอบกับแต่ละวันมีผู้เข้าชมเป็นจํานวนมาก เจ้าหน้าที่จึงจําเป็นต้องจัดระเบียบการเข้าชมเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ โดยแม้ปัจจุบันจะไม่ได้เปิดให้เข้าชมองค์พระเมรุมาศบริเวณชั้น 1 และ 2 แล้ว แต่ประชาชนยังสามารถเดินชมโดยรอบพระเมรุมาศและอาคารประกอบ รวมทั้งยังคงถ่ายภาพได้ตามปกติ”
สําหรับผู้ที่จะเข้าชมพระเมรุมาศจะต้องเดินผ่านจุดคัดกรองที่มีอยู่ 5 จุด ได้แก่ บริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ ท่าช้าง หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และด้านหลังกระทรวงกลาโหม เพื่อเข้าสู่เต้นท์พักคอยที่จัดไว้รองรับ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะแบ่งประชาชนออกเป็นชุด ๆ ละ 300 คน โดยให้เข้าชมชุดละ 45 – 60 นาที เริ่มเดินวนด้านซ้ายตลอดองค์พระเมรุมาศเพื่อเข้าชมนิทรรศการในศาลาลูกขุน แล้วเข้าชมพระที่นั่งทรงธรรม ก่อนเดินผ่านด้านหลังพระที่นั่งออกไปที่ท้องสนามหลวงด้านทิศใต้ฝั่งตรงข้ามศาลหลักเมือง ซึ่งทุกคนสามารถชมนิทรรศการได้อย่างครบถ้วน
ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากให้พี่น้องประชาชนที่จะเข้าชมนิทรรศการปฏิบัติตามระเบียบและคําแนะนําของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและเหมาะสม ทั้งการแต่งกายที่สุภาพ การแสดงกิริยาอาการที่สํารวม ไม่จับต้องสิ่งของที่จัดแสดง รวมทั้งควรมอบน้ําใจเอื้ออาทรให้แก่กัน เนื่องจากในแต่ละวันมีผู้เข้าชมเป็นจํานวนมาก
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีอยากให้คนไทยใช้โอกาสนี้เก็บเกี่ยวความรู้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยและสิ่งที่พระองค์ท่านได้ทําเพื่อประเทศชาติและประชาชน ตลอดจนแนวคิดและการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทยที่วิจิตรงดงาม ซึ่งได้สืบทอดเป็นมรดกแก่ลูกหลานมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนข้อเสนอของสังคมที่อยากให้ขยายระยะเวลาการเข้าชมนิทรรศการออกไปอีกนั้น รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้พิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป
....................................................................
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7811
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.