title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563 แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติ วันพุธที่ 12 สิงหาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลกําหนดแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติ โดยเริ่มจากการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์และแจ้งเตือนภัยแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนให้ถึงระดับชุมชนหมู่บ้านอย่างทันท่วงที และเมื่อเกิดเหตุอุทกภัยหรือดินโคลนถล่มในพื้นที่ ให้ฝ่ายปกครองและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย และระดมกําลังเจ้าหน้าที่ จิตอาสา ให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ แจกจ่ายถุงยังชีพและสิ่งของจําเป็นให้ครอบคลุมทั่วถึง พร้อมทั้งจัดตั้งโรงครัวพระราชทานเพื่อประกอบอาหารเลี้ยงประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ให้เร่งทําความสะอาด สํารวจความเสียหาย ฟื้นฟูสภาพที่อยู่อาศัย พื้นที่ทําการเกษตร และอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบของทางราชการให้ดีที่สุด “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติ วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563 แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติ วันพุธที่ 12 สิงหาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลกําหนดแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติ โดยเริ่มจากการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์และแจ้งเตือนภัยแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนให้ถึงระดับชุมชนหมู่บ้านอย่างทันท่วงที และเมื่อเกิดเหตุอุทกภัยหรือดินโคลนถล่มในพื้นที่ ให้ฝ่ายปกครองและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย และระดมกําลังเจ้าหน้าที่ จิตอาสา ให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ แจกจ่ายถุงยังชีพและสิ่งของจําเป็นให้ครอบคลุมทั่วถึง พร้อมทั้งจัดตั้งโรงครัวพระราชทานเพื่อประกอบอาหารเลี้ยงประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ให้เร่งทําความสะอาด สํารวจความเสียหาย ฟื้นฟูสภาพที่อยู่อาศัย พื้นที่ทําการเกษตร และอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบของทางราชการให้ดีที่สุด “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34114
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สวทช. เยี่ยมชมผลงานนักเรียน FABLAB รร.เบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 ฉะเชิงเทรา ชี้โครงการฯ หนุนความรู้สะเต็มศึกษา ช่วยสร้างนวัตกรให้ประเทศ
วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563 สวทช. เยี่ยมชมผลงานนักเรียน FABLAB รร.เบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 ฉะเชิงเทรา ชี้โครงการฯ หนุนความรู้สะเต็มศึกษา ช่วยสร้างนวัตกรให้ประเทศ สวทช. เยี่ยมชมผลงานนักเรียน FABLAB รร.เบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 ฉะเชิงเทรา ชี้โครงการฯ หนุนความรู้สะเต็มศึกษา ช่วยสร้างนวัตกรให้ประเทศ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้รับการสนับสนุนงบประมาณดําเนิน “โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab)” เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย ด้วยการส่งเสริมให้มีพื้นที่เรียนรู้ “โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab)” ในสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ทั่วประเทศ ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมโครงงานสิ่งประดิษฐ์ของนักเรียนที่โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 จ.ฉะเชิงเทรา นําโดย ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อํานวยการ สวทช. และคณะ เพื่อให้เห็นถึงทักษะความเป็นนวัตกรของเด็กและเยาวชนไทย ซึ่งมี 4 ผลงานโดดเด่นที่เดินสายกวาดรางวัลระดับประเทศมาแล้วภายใต้โครงการ FabLab ร่วมจัดแสดง ได้แก่ เครื่องวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ําด้วยแสง เครื่องตรวจจับควันบุหรี่อัจฉริยะ เครื่องช่วยเหลือผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียง และรถตัดหญ้าไฮเทค โดยมีผู้อํานวยการโรงเรียน ครูผู้ดูแลห้องปฏิบัติการ FabLab ครูพี่เลี้ยงจากมหาวิทยาลัยบูรพา รวมถึงตัวแทนนักเรียนที่ได้รับรางวัลนําเสนอโครงงานสิ่งประดิษฐ์ ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อํานวยการ สวทช. กล่าวว่า “โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) หรือ ‘FabLab’ เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ภายใต้โครงการ Big Rock ที่เป็นเรื่องของการพัฒนาคนตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว โดยให้การสนับสนุน 100 โรงเรียน 50 วิทยาลัยเทคนิค เพื่อพัฒนานวัตกร ในด้านเครื่องมือที่จะช่วยพัฒนานักเรียนนักศึกษา เช่น 3D Printer (เครื่องพิมพ์ 3 มิติ), Laser Cutter (เครื่องตัดเลเซอร์) และเครื่องมือทางวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์อื่น ๆ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้พัฒนาทักษะด้านวิศวกรรม ซึ่งโครงการได้ดําเนินมาร่วมปีกว่าแล้ว ตอนนี้มีความก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง นักเรียนสามารถพัฒนาชิ้นงานได้ด้วยตัวเอง และครั้งนี้เราได้มาเยี่ยมชมผลงานของเยาวชนไทยที่โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษดิ์ 2 จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้เห็นความก้าวหน้า ผลงานเป็นที่ประจักษ์ มีการประกวดในเวทีต่าง ๆ เห็นในเรื่องทักษะของเด็ก ๆ ในเรื่องความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เป็นขั้นตอน รู้จักการแก้ปัญหาในเรื่องของชุมชนและสังคม รวมถึงได้รับการดูแลจากมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง ซึ่งโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฏ์ 2 อยู่ในพื้นที่ของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ด้วย โดยมีมหาวิทยาลัยบูรพาเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งทาง ม.บูรพา ได้เข้ามาช่วยในเรื่ององค์ความรู้เรื่องวิศวกรรมและให้คําแนะนําต่าง ๆ จุดนี้ถือเป็นการสร้างพื้นฐานที่จะทําให้เด็กมีความรู้เรื่องวิศวกรรมเป็นอย่างดี เพื่อเตรียมความพร้อมอนาคตของประเทศไทยในการเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0” ด้าน นางสาวสุพิชฌาย์ เจริญรักษ์ ผู้อํานวยการโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 เล็งเห็นความสําคัญของการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ภายหลังจากโรงเรียนฯ ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ FabLab โดยมีมหาวิทยาลัยบูรพาเป็นพี่เลี้ยง และได้รับการสนับสนุนในด้านเครื่องมือต่าง ๆ จาก สวทช. ทําให้สามารถพัฒนาในเรื่ององค์ความรู้และปรับหลักสูตรในรายวิชาเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับ EEC ด้วย ซึ่งกิจกรรมตรงนี้ทั้งเด็กเองและครูได้คิดนวัตกรรม มีการออกแบบ ได้ลองใช้เครื่องมือที่มี ซึ่งผลงานที่เด็กได้คิดขึ้นมานั้น เราได้คัดเลือกจัดสรรให้เด็กได้มีเวทีประลองความสามารถ ซึ่งผลงานเป็นที่ประจักษ์ ได้รับรางวัลนําชื่อเสียงมาสู่โรงเรียนและชุมชนด้วย ซึ่งทางโรงเรียนฯ จะขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาทักษะด้านวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ของเด็กและเยาวชนไทย ให้พร้อมก้าวสู่การเป็นนวัตกร ซึ่งเป็นกําลังสําคัญของชาติ ที่จะช่วยพัฒนาผลงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อนําไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0” ขณะที่มหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง ดร.ชินวุธ พิพัฒน์ภานุกูล อาจารย์ สํานักงานจัดการศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า “ในนามตัวแทนของมหาวิทยาลัยบูรพา ที่เป็นแกนนําในพื้นที่ EEC มองเห็นความสําคัญของการพัฒนาเยาวชนไทยให้มีความสามารถด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมองว่ามหาวิทยาลัยไม่ใช่เพียงแค่ผลิตบัณฑิตเท่านั้น แต่ต้องเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชนด้วย ซึ่งพร้อมที่จะช่วยดูแลและสนับสนุนการเรียนการสอนให้กับเยาวชนคนไทย ไม่เพียงแต่นิสิตนักศึกษาเท่านั้น และในโอกาสที่มีโครงการดี ๆ และได้รับมอบหมายจาก สวทช. คือ โครงการ FabLab ทําให้เกิดการพัฒนาตัวโครงการในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การอบรมครูผู้ช่วย อบรมคุณครู นักเรียน เพื่อให้เข้าใจถึงห้องโรงประลองต้นแบบวิศวกรรมว่าควรเป็นอย่างไร จุดนี้ต้องขอบคุณผู้บริหารโรงเรียนต่าง ๆ ที่เล็งเห็นความสําคัญของการพัฒนาเยาวชนไทย และสร้างความตระหนักถึงพื้นฐานความรู้ที่จําเป็น เพื่อการพัฒนาเยาวชนไทยให้มีพื้นฐานวิศวกรรมและเทคโนโลยีของประเทศต่อไป” ด้านน้อง ๆ นักเรียนที่นําผลงานโครงงานสิ่งประดิษฐ์มาร่วมจัดแสดง อย่าง “เครื่องวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ําด้วยแสง” นายวรินทร วงศ์อามีน ชั้น ม.5 ตัวแทนกลุ่ม เล่าว่า ที่ทําผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาเนื่องจากพวกเราเล็งเห็นว่ารอบ ๆ โรงเรียนของเรามีปริมาณน้ําที่เราไม่รู้เลยว่าเป็นน้ําดีหรือน้ําเสีย มีปริมาณออกซิเจนน้อยหรือมาก ความต้องการของสัตว์น้ํา พืชต่าง ๆ ต้องการน้ําแบบไหน จึงได้พัฒนาเครื่องวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ําด้วยแสงขึ้นมา โดยใช้ชุดทดสอบออกซิเจนละลายภาคสนามและเทียบกับแถบสีมาตรฐานเพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ํา และนําน้ําที่ทดสอบไปเทียบกับค่าปริมาณออกซิเจนละลายน้ําที่ได้จากเครื่องวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ําด้วยแสง จากนั้นนําเครื่องวัดฯ มาใช้ในการทําการทดลองเพื่อดูประสิทธิภาพของเครื่องวัดฯ ผลการทดลองพบว่า ค่าเฉลี่ยของออกซิเจนละลาย (DO) เมื่อเทียบกับแถบสีมาตรฐาน และเมื่อเทียบกับเครื่องวัดฯ ในจุดเก็บตัวอย่างมีค่าเท่ากัน ซึ่งแสดงถึงว่าเครื่องวัดดังกล่าวใช้ได้จริงและทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถบอกค่าปริมาณออกซิเจนละลายน้ําได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง แม่นยําและไม่เกิดความคลาดเคลื่อน รวมถึงยังนําข้อมูลจากการศึกษามาประยุกต์ใช้ได้กับทุก ๆ แหล่งน้ําได้ด้วย โดยที่ผ่านมากลุ่มเราได้นําไปทดลองใช้จริงกับน้ําในโรงเรียน น้ําก๊อก น้ําดื่ม น้ําคลอง หรือแหล่งน้ําที่เน่าขังตามบ่อ เป็นต้น สําหรับเครื่องวัดฯ นี้กลุ่มเราได้ใช้อุปกรณ์ในห้อง FabLab คือ มีตัวกล่องที่ทํามาจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ทําให้กล่องกระชับ เล็กมากขึ้น พกพาง่าย ตอบโจทย์ได้เร็วขึ้น ซึ่งโครงการ FabLab ช่วยให้เรามีกระบวนการคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบชิ้นงานทางวิศวกรรม ได้ใช้เครื่องมือจริง เพื่อนําไปต่อยอดทําโครงงานต่าง ๆ ได้ และทําให้มีการพัฒนาปรับคิดเทคโนโลยีก้าวหน้าในอนาคตได้” ขณะที่อีกหนึ่งผลงานของน้อง ๆ เยาวชนในโรงเรียน “รถตัดหญ้าไฮเทค” นายปิยพัทธ์ สิทธินันท์เจริญ ชั้น ม.3 ตัวแทนกลุ่ม เล่าว่า “โครงงานนี้เราต้องการจะนําเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้กับเครื่องตัดหญ้า ให้ผู้ใช้สะดวกไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องออกไปตากแดด เวลาปกติจะตัดในเวลากลางวัน ทําให้ต้องไปตากแดด และเกิดอันตรายได้ โดยการทําชิ้นงาน มีทางพี่เลี้ยง มหาวิทยาลัยบูรพา ได้เข้ามาช่วยให้คําแนะนําว่าควรเปลี่ยนอุปกรณ์โครงรถให้เป็นแบบโครงเหล็กเพื่อความแข็งแรง และสะดวกปลอดภัยขึ้น ซึ่งพัฒนามาจนรถค่อนข้างจะสมบูรณ์มากขึ้น ต้นทุนต่อคันประมาณ 3,147 บาท ตอนนี้มีนําไปทดสอบใช้จริงในสวนสาธารณะ สนามหญ้าในโรงเรียน และตัดโชว์ในโรงเรียน ผลที่ได้รู้สึกพึงพอใจมาก สามารถตัดหญ้าได้ดี” นายปิยพัทธ์ กล่าวต่อว่า “การเข้าร่วมโครงการ Fab Lab ครั้งนี้ช่วยให้เราได้คิดในการออกแบบ อย่างตัวล้อ ที่จะใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติ เราต้องออกแบบก่อน เพื่อให้ตัวล้อแข็งแรง ให้มีประสิทธิภาพมาใช้กับรถได้” และนายตะวัน พิกุล สมาชิกในทีมอีกคน กล่าวเสริมว่า “โครงการ FabLab นี้ทําให้เราได้รับความรู้ในเรื่องการต่อวงจรไฟฟ้า เรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น โมดูล (ตัวปรับกระแสไฟ) บอร์ด รีเลย์ (อุปกรณ์ไฟฟ้าสําหรับตัดต่อวงจร) เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นเครื่องมือไฟฟ้าพื้นฐาน ทําให้รู้จักว่ามันคืออะไรแล้วมีวิธีใช้งานอย่างไร” นอกจากสองผลงานข้างต้นแล้ว ทางโรงเรียนฯ ยังจัดแสดงผลงานโครงงานสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจและได้รับรางวัลระดับประเทศมาแล้วเช่นกัน ได้แก่ “เครื่องตรวจจับควันบุหรี่อัจฉริยะ” ซึ่งมีหลักการทํางานคือ เมื่อพบกลุ่มควัน แก๊ส เคลื่อนที่ผ่านบริเวณเซนเซอร์ จะมีการส่งสัญญาณแอนะล็อก (analog) ไปยังตัวบอร์ด KidBright และแจ้งเตือนไปยังแอปพลิเคชันไลน์ และอีกหนึ่งผลงานคือ “เครื่องช่วยเหลือผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียง” ซึ่งน้อง ๆ ได้วาดแบบร่างและพิมพ์ชิ้นงานด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ พร้อมต่อวงจรสิ่งประดิษฐ์ตามแบบร่าง และเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมการทํางานของอุปกรณ์ เพื่อให้เครื่องดังกล่าวสามารถช่วยให้ผู้ป่วยติดเตียงใช้เตือนเมื่อถึงเวลาพลิกท่าและระบุท่าที่ต้องการพลิกผู้ป่วยแต่ละครั้ง โดยแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งผู้ดูแลไม่ต้องคอยเดินมาดูที่เตียงว่าถึงกําหนดพลิกตัวหรือยัง ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สวทช. เยี่ยมชมผลงานนักเรียน FABLAB รร.เบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 ฉะเชิงเทรา ชี้โครงการฯ หนุนความรู้สะเต็มศึกษา ช่วยสร้างนวัตกรให้ประเทศ วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563 สวทช. เยี่ยมชมผลงานนักเรียน FABLAB รร.เบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 ฉะเชิงเทรา ชี้โครงการฯ หนุนความรู้สะเต็มศึกษา ช่วยสร้างนวัตกรให้ประเทศ สวทช. เยี่ยมชมผลงานนักเรียน FABLAB รร.เบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 ฉะเชิงเทรา ชี้โครงการฯ หนุนความรู้สะเต็มศึกษา ช่วยสร้างนวัตกรให้ประเทศ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้รับการสนับสนุนงบประมาณดําเนิน “โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab)” เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย ด้วยการส่งเสริมให้มีพื้นที่เรียนรู้ “โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab)” ในสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ทั่วประเทศ ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมโครงงานสิ่งประดิษฐ์ของนักเรียนที่โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 จ.ฉะเชิงเทรา นําโดย ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อํานวยการ สวทช. และคณะ เพื่อให้เห็นถึงทักษะความเป็นนวัตกรของเด็กและเยาวชนไทย ซึ่งมี 4 ผลงานโดดเด่นที่เดินสายกวาดรางวัลระดับประเทศมาแล้วภายใต้โครงการ FabLab ร่วมจัดแสดง ได้แก่ เครื่องวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ําด้วยแสง เครื่องตรวจจับควันบุหรี่อัจฉริยะ เครื่องช่วยเหลือผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียง และรถตัดหญ้าไฮเทค โดยมีผู้อํานวยการโรงเรียน ครูผู้ดูแลห้องปฏิบัติการ FabLab ครูพี่เลี้ยงจากมหาวิทยาลัยบูรพา รวมถึงตัวแทนนักเรียนที่ได้รับรางวัลนําเสนอโครงงานสิ่งประดิษฐ์ ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อํานวยการ สวทช. กล่าวว่า “โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) หรือ ‘FabLab’ เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ภายใต้โครงการ Big Rock ที่เป็นเรื่องของการพัฒนาคนตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว โดยให้การสนับสนุน 100 โรงเรียน 50 วิทยาลัยเทคนิค เพื่อพัฒนานวัตกร ในด้านเครื่องมือที่จะช่วยพัฒนานักเรียนนักศึกษา เช่น 3D Printer (เครื่องพิมพ์ 3 มิติ), Laser Cutter (เครื่องตัดเลเซอร์) และเครื่องมือทางวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์อื่น ๆ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้พัฒนาทักษะด้านวิศวกรรม ซึ่งโครงการได้ดําเนินมาร่วมปีกว่าแล้ว ตอนนี้มีความก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง นักเรียนสามารถพัฒนาชิ้นงานได้ด้วยตัวเอง และครั้งนี้เราได้มาเยี่ยมชมผลงานของเยาวชนไทยที่โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษดิ์ 2 จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้เห็นความก้าวหน้า ผลงานเป็นที่ประจักษ์ มีการประกวดในเวทีต่าง ๆ เห็นในเรื่องทักษะของเด็ก ๆ ในเรื่องความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เป็นขั้นตอน รู้จักการแก้ปัญหาในเรื่องของชุมชนและสังคม รวมถึงได้รับการดูแลจากมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง ซึ่งโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฏ์ 2 อยู่ในพื้นที่ของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ด้วย โดยมีมหาวิทยาลัยบูรพาเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งทาง ม.บูรพา ได้เข้ามาช่วยในเรื่ององค์ความรู้เรื่องวิศวกรรมและให้คําแนะนําต่าง ๆ จุดนี้ถือเป็นการสร้างพื้นฐานที่จะทําให้เด็กมีความรู้เรื่องวิศวกรรมเป็นอย่างดี เพื่อเตรียมความพร้อมอนาคตของประเทศไทยในการเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0” ด้าน นางสาวสุพิชฌาย์ เจริญรักษ์ ผู้อํานวยการโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 เล็งเห็นความสําคัญของการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ภายหลังจากโรงเรียนฯ ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ FabLab โดยมีมหาวิทยาลัยบูรพาเป็นพี่เลี้ยง และได้รับการสนับสนุนในด้านเครื่องมือต่าง ๆ จาก สวทช. ทําให้สามารถพัฒนาในเรื่ององค์ความรู้และปรับหลักสูตรในรายวิชาเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับ EEC ด้วย ซึ่งกิจกรรมตรงนี้ทั้งเด็กเองและครูได้คิดนวัตกรรม มีการออกแบบ ได้ลองใช้เครื่องมือที่มี ซึ่งผลงานที่เด็กได้คิดขึ้นมานั้น เราได้คัดเลือกจัดสรรให้เด็กได้มีเวทีประลองความสามารถ ซึ่งผลงานเป็นที่ประจักษ์ ได้รับรางวัลนําชื่อเสียงมาสู่โรงเรียนและชุมชนด้วย ซึ่งทางโรงเรียนฯ จะขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาทักษะด้านวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ของเด็กและเยาวชนไทย ให้พร้อมก้าวสู่การเป็นนวัตกร ซึ่งเป็นกําลังสําคัญของชาติ ที่จะช่วยพัฒนาผลงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อนําไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0” ขณะที่มหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง ดร.ชินวุธ พิพัฒน์ภานุกูล อาจารย์ สํานักงานจัดการศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า “ในนามตัวแทนของมหาวิทยาลัยบูรพา ที่เป็นแกนนําในพื้นที่ EEC มองเห็นความสําคัญของการพัฒนาเยาวชนไทยให้มีความสามารถด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมองว่ามหาวิทยาลัยไม่ใช่เพียงแค่ผลิตบัณฑิตเท่านั้น แต่ต้องเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชนด้วย ซึ่งพร้อมที่จะช่วยดูแลและสนับสนุนการเรียนการสอนให้กับเยาวชนคนไทย ไม่เพียงแต่นิสิตนักศึกษาเท่านั้น และในโอกาสที่มีโครงการดี ๆ และได้รับมอบหมายจาก สวทช. คือ โครงการ FabLab ทําให้เกิดการพัฒนาตัวโครงการในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การอบรมครูผู้ช่วย อบรมคุณครู นักเรียน เพื่อให้เข้าใจถึงห้องโรงประลองต้นแบบวิศวกรรมว่าควรเป็นอย่างไร จุดนี้ต้องขอบคุณผู้บริหารโรงเรียนต่าง ๆ ที่เล็งเห็นความสําคัญของการพัฒนาเยาวชนไทย และสร้างความตระหนักถึงพื้นฐานความรู้ที่จําเป็น เพื่อการพัฒนาเยาวชนไทยให้มีพื้นฐานวิศวกรรมและเทคโนโลยีของประเทศต่อไป” ด้านน้อง ๆ นักเรียนที่นําผลงานโครงงานสิ่งประดิษฐ์มาร่วมจัดแสดง อย่าง “เครื่องวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ําด้วยแสง” นายวรินทร วงศ์อามีน ชั้น ม.5 ตัวแทนกลุ่ม เล่าว่า ที่ทําผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาเนื่องจากพวกเราเล็งเห็นว่ารอบ ๆ โรงเรียนของเรามีปริมาณน้ําที่เราไม่รู้เลยว่าเป็นน้ําดีหรือน้ําเสีย มีปริมาณออกซิเจนน้อยหรือมาก ความต้องการของสัตว์น้ํา พืชต่าง ๆ ต้องการน้ําแบบไหน จึงได้พัฒนาเครื่องวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ําด้วยแสงขึ้นมา โดยใช้ชุดทดสอบออกซิเจนละลายภาคสนามและเทียบกับแถบสีมาตรฐานเพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ํา และนําน้ําที่ทดสอบไปเทียบกับค่าปริมาณออกซิเจนละลายน้ําที่ได้จากเครื่องวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ําด้วยแสง จากนั้นนําเครื่องวัดฯ มาใช้ในการทําการทดลองเพื่อดูประสิทธิภาพของเครื่องวัดฯ ผลการทดลองพบว่า ค่าเฉลี่ยของออกซิเจนละลาย (DO) เมื่อเทียบกับแถบสีมาตรฐาน และเมื่อเทียบกับเครื่องวัดฯ ในจุดเก็บตัวอย่างมีค่าเท่ากัน ซึ่งแสดงถึงว่าเครื่องวัดดังกล่าวใช้ได้จริงและทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถบอกค่าปริมาณออกซิเจนละลายน้ําได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง แม่นยําและไม่เกิดความคลาดเคลื่อน รวมถึงยังนําข้อมูลจากการศึกษามาประยุกต์ใช้ได้กับทุก ๆ แหล่งน้ําได้ด้วย โดยที่ผ่านมากลุ่มเราได้นําไปทดลองใช้จริงกับน้ําในโรงเรียน น้ําก๊อก น้ําดื่ม น้ําคลอง หรือแหล่งน้ําที่เน่าขังตามบ่อ เป็นต้น สําหรับเครื่องวัดฯ นี้กลุ่มเราได้ใช้อุปกรณ์ในห้อง FabLab คือ มีตัวกล่องที่ทํามาจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ทําให้กล่องกระชับ เล็กมากขึ้น พกพาง่าย ตอบโจทย์ได้เร็วขึ้น ซึ่งโครงการ FabLab ช่วยให้เรามีกระบวนการคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบชิ้นงานทางวิศวกรรม ได้ใช้เครื่องมือจริง เพื่อนําไปต่อยอดทําโครงงานต่าง ๆ ได้ และทําให้มีการพัฒนาปรับคิดเทคโนโลยีก้าวหน้าในอนาคตได้” ขณะที่อีกหนึ่งผลงานของน้อง ๆ เยาวชนในโรงเรียน “รถตัดหญ้าไฮเทค” นายปิยพัทธ์ สิทธินันท์เจริญ ชั้น ม.3 ตัวแทนกลุ่ม เล่าว่า “โครงงานนี้เราต้องการจะนําเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้กับเครื่องตัดหญ้า ให้ผู้ใช้สะดวกไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องออกไปตากแดด เวลาปกติจะตัดในเวลากลางวัน ทําให้ต้องไปตากแดด และเกิดอันตรายได้ โดยการทําชิ้นงาน มีทางพี่เลี้ยง มหาวิทยาลัยบูรพา ได้เข้ามาช่วยให้คําแนะนําว่าควรเปลี่ยนอุปกรณ์โครงรถให้เป็นแบบโครงเหล็กเพื่อความแข็งแรง และสะดวกปลอดภัยขึ้น ซึ่งพัฒนามาจนรถค่อนข้างจะสมบูรณ์มากขึ้น ต้นทุนต่อคันประมาณ 3,147 บาท ตอนนี้มีนําไปทดสอบใช้จริงในสวนสาธารณะ สนามหญ้าในโรงเรียน และตัดโชว์ในโรงเรียน ผลที่ได้รู้สึกพึงพอใจมาก สามารถตัดหญ้าได้ดี” นายปิยพัทธ์ กล่าวต่อว่า “การเข้าร่วมโครงการ Fab Lab ครั้งนี้ช่วยให้เราได้คิดในการออกแบบ อย่างตัวล้อ ที่จะใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติ เราต้องออกแบบก่อน เพื่อให้ตัวล้อแข็งแรง ให้มีประสิทธิภาพมาใช้กับรถได้” และนายตะวัน พิกุล สมาชิกในทีมอีกคน กล่าวเสริมว่า “โครงการ FabLab นี้ทําให้เราได้รับความรู้ในเรื่องการต่อวงจรไฟฟ้า เรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น โมดูล (ตัวปรับกระแสไฟ) บอร์ด รีเลย์ (อุปกรณ์ไฟฟ้าสําหรับตัดต่อวงจร) เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นเครื่องมือไฟฟ้าพื้นฐาน ทําให้รู้จักว่ามันคืออะไรแล้วมีวิธีใช้งานอย่างไร” นอกจากสองผลงานข้างต้นแล้ว ทางโรงเรียนฯ ยังจัดแสดงผลงานโครงงานสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจและได้รับรางวัลระดับประเทศมาแล้วเช่นกัน ได้แก่ “เครื่องตรวจจับควันบุหรี่อัจฉริยะ” ซึ่งมีหลักการทํางานคือ เมื่อพบกลุ่มควัน แก๊ส เคลื่อนที่ผ่านบริเวณเซนเซอร์ จะมีการส่งสัญญาณแอนะล็อก (analog) ไปยังตัวบอร์ด KidBright และแจ้งเตือนไปยังแอปพลิเคชันไลน์ และอีกหนึ่งผลงานคือ “เครื่องช่วยเหลือผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียง” ซึ่งน้อง ๆ ได้วาดแบบร่างและพิมพ์ชิ้นงานด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ พร้อมต่อวงจรสิ่งประดิษฐ์ตามแบบร่าง และเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมการทํางานของอุปกรณ์ เพื่อให้เครื่องดังกล่าวสามารถช่วยให้ผู้ป่วยติดเตียงใช้เตือนเมื่อถึงเวลาพลิกท่าและระบุท่าที่ต้องการพลิกผู้ป่วยแต่ละครั้ง โดยแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งผู้ดูแลไม่ต้องคอยเดินมาดูที่เตียงว่าถึงกําหนดพลิกตัวหรือยัง ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27796
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดประชุมชี้แจงแนวทางขับเคลื่อน
วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2560 มหาดไทย จัดประชุมชี้แจงแนวทางขับเคลื่อน มหาดไทย จัดประชุมชี้แจงแนวทางขับเคลื่อน "ตลาดประชารัฐ" ช่วยเหลือผู้ค้ารายใหม่ สนับสนุนพื้นที่ค้าขาย พร้อมบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง วันนี้ (27 ต.ค. 60) เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ (ห้องประชุม 1) ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมเพื่อชี้แจงการดําเนินโครงการตลาดประชารัฐผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค เข้าร่วมการประชุม อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จํากัด และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด เข้าร่วมการประชุม นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย ประธานการประชุม เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ได้เห็นชอบในหลักการให้ดําเนิน “โครงการตลาดประชารัฐ” โดยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ความสําคัญในเรื่องนี้ และพร้อมขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังและยั่งยืน โดยดําเนินงานบูรณาการกับส่วนราชการต่างๆ ในรูปแบบประชารัฐ เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ตลาดใหม่ รวมทั้งขยายพื้นที่ตลาดเดิม เพื่อให้มีพื้นที่ตลาดสําหรับการจัดจําหน่ายสินค้าเพิ่มมากขึ้น สามารถสนับสนุนให้พี่น้องประชาชน เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย รวมถึงกลุ่มอาชีพต่างๆ ได้มีโอกาสค้าขายมากขึ้น รวมถึงการลดต้นทุนทางการตลาด และการเปิดโอกาสให้กับผู้ค้ารายใหม่ ได้มีพื้นที่จําหน่ายสินค้าเพิ่มมากขึ้น โดยการประชุมในวันนี้ เป็นการชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิด วิธีการทํางาน และการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวร่วมกัน ซึ่งตลาดตามโครงการตลาดประชารัฐ ที่จะดําเนินการมี 9 ประเภท ประกอบด้วย 1) ตลาดประชารัฐ Green Market ของ องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย โดยจะทําการขยายพื้นที่ตลาด เช่น ตลาดตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ตลาดบางคล้า ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และ ตลาดลําพูน ที่จังหวัดลําพูน ซึ่งสามารถรองรับผู้ค้ารายใหม่ได้กว่า 800 ราย 2) ตลาดประชารัฐ คนไทยยิ้มได้ ของกรมการพัฒนาชุมชน ที่มีอยู่จํานวน 2,155 แห่ง โดยจะทําการขยายตลาดโดยการเพิ่มกลุ่มผู้ค้าในชุมชนเข้าไป เพื่อให้เกษตรกรได้มีโอกาสนําสินค้าเข้าไปจําหน่ายเพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะรองรับผู้ประกอบการประมาณ 20,000 กว่าราย 3) ตลาดประชารัฐท้องถิ่นสุขใจ ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นการบริหารจัดการพื้นที่ตลาดเดิม ซึ่งมีอยู่กว่า 3,800 แห่ง โดยเปิดโอกาสให้เกษตรกร ผู้ค้าหาบเร่และแผงลอย ได้เข้ามาทําการค้าขายในพื้นที่ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการเข้ามาประมาณ 40,000 กว่าราย 4) ตลาดประชารัฐ กทม.คืนความสุข ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการหาพื้นที่ให้แก่ผู้ประกอบการที่เดือดร้อนเนื่องจากไม่มีพื้นที่ค้าขาย โดยตั้งเป้าหมายตลาดไว้ 14 แห่ง รองรับกลุ่มผู้ค้ารายใหม่ได้กว่า 10,000 ราย 5) ตลาดประชารัฐของดีจังหวัด ดําเนินการโดย จังหวัดและบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด ซึ่งเป็นการจําหน่ายสินค้าที่มีความโดดเด่นในพื้นที่ เช่น สินค้าตามฤดูกาล สถานที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นต้น 6) ตลาดประชารัฐ Modern Trade ของกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (ประเทศไทย) จํากัด โดยการเพิ่มพื้นที่ตลาดในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ภายในจังหวัด เพื่อเปิดโอกาสให้กับเกษตรกรได้นําสินค้าไปขายในพื้นที่ดังกล่าว ในราคาค่าเช่าถูกหรือไม่เสียค่าใช้จ่าย 7) ตลาดประชารัฐของดีวิถีชุมชน ธ.ก.ส. ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยเพิ่มพื้นที่ให้กับผู้ค้ารายใหม่ ในตลาดนัดของ ธ.ก.ส.ที่มีอยู่ 147 แห่งทั่วประเทศ 8) ตลาดประชารัฐต้องชม ของกระทรวงพาณิชย์ โดยเป็นการส่งเสริมด้านการตลาด การประชาสัมพันธ์ เพื่อกระตุ้นการค้าขาย เช่น ตลาดน้ํา ตลาดแหล่งท่องเที่ยว เป็นต้น และ 9) ตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรม ของกระทรวงวัฒนธรรม เป็นการส่งเสริมการตลาดสินค้าเชิงวัฒนธรรม เช่น การจัดแสดงศิลปวัฒนธรรม การสาธิต และการให้บริการทางวัฒนธรรม เป็นต้น ทั้งนี้ การดําเนินงานตามโครงการตลาดประชารัฐดังกล่าว จะสามารถสร้างโอกาสและรายได้ให้กับกลุ่มผู้ค้ารายใหม่ ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น สําหรับการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย จะใช้กลไกของศูนย์ดํารงธรรมที่มีอยู่ทั้งในระดับจังหวัด และอําเภอ เป็นสถานที่รับลงทะเบียนให้กับผู้ที่ประสงค์จะมีพื้นที่ค้าขาย ได้ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 10 – 30 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งที่ประชุม มีมติให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมจัดทํารายละเอียดข้อมูลของตลาดประชารัฐที่มีอยู่ในความรับผิดชอบ ทั้งข้อมูลในด้านจํานวนตลาด จํานวนผู้ค้า ระยะเวลาดําเนินการ และพื้นที่ดําเนินการ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสําหรับการให้บริการแก่ประชาชนและผู้ที่สนใจ ใช้ในการประกอบการตัดสินใจในการเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งได้กําชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อให้สร้างการรับรู้และความเข้าใจในเรื่องตลาดประชารัฐในแต่ละประเภท ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้จัดทําเว็บไซต์ ตลาดประชารัฐwww.market.moi.go.thเพื่อเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์และการส่งเสริมตลาดประชารัฐ รวมถึงการติดต่อและสอบถามข้อมูลในเรื่องดังกล่าวอีกด้วย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การดําเนินงานตามโครงการตลาดประชารัฐ บรรลุตามเป้าหมาย กระทรวงมหาดไทย จะได้จัดอบรมเรื่องการลงทะเบียนตามโครงการดังกล่าว ให้กับเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง โดยจะจัดอบรมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VCS) ในวันที่ 31 ตุลาคม นี้ ซึ่งกลุ่มผู้เข้ารับการอบรม ได้แก่ ผู้อํานวยการกลุ่มงานศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่ ผู้อํานวยการกลุ่มงานศูนย์ดํารงธรรมอําเภอหรือผู้แทน และ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สํานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด สํานักงานท้องถิ่นจังหวัด สํานักงานพาณิชย์จังหวัด สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด ธ.ก.ส. ในพื้นที่ และ สํานักงานเกษตรจังหวัด ทั้งนี้ คาดหวังว่าทุกหน่วยงานจะร่วมกันผนึกกําลังเพื่อพัฒนาตลาดประชารัฐเพื่อสร้างโอกาส สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่พี่น้องประชาชนทั้งในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัด จะสามารถเพิ่มพื้นที่ตลาดได้ รวม 6,523 แห่งทั่วประเทศ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจังหวัดจะได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้ประสงค์พื้นที่ค้าขายลงทะเบียนเพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการต่อไป. ครั้งที่ 157 /2560 ฝ่ายเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดประชุมชี้แจงแนวทางขับเคลื่อน วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2560 มหาดไทย จัดประชุมชี้แจงแนวทางขับเคลื่อน มหาดไทย จัดประชุมชี้แจงแนวทางขับเคลื่อน "ตลาดประชารัฐ" ช่วยเหลือผู้ค้ารายใหม่ สนับสนุนพื้นที่ค้าขาย พร้อมบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง วันนี้ (27 ต.ค. 60) เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ (ห้องประชุม 1) ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมเพื่อชี้แจงการดําเนินโครงการตลาดประชารัฐผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค เข้าร่วมการประชุม อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จํากัด และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด เข้าร่วมการประชุม นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย ประธานการประชุม เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ได้เห็นชอบในหลักการให้ดําเนิน “โครงการตลาดประชารัฐ” โดยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ให้ความสําคัญในเรื่องนี้ และพร้อมขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังและยั่งยืน โดยดําเนินงานบูรณาการกับส่วนราชการต่างๆ ในรูปแบบประชารัฐ เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ตลาดใหม่ รวมทั้งขยายพื้นที่ตลาดเดิม เพื่อให้มีพื้นที่ตลาดสําหรับการจัดจําหน่ายสินค้าเพิ่มมากขึ้น สามารถสนับสนุนให้พี่น้องประชาชน เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย รวมถึงกลุ่มอาชีพต่างๆ ได้มีโอกาสค้าขายมากขึ้น รวมถึงการลดต้นทุนทางการตลาด และการเปิดโอกาสให้กับผู้ค้ารายใหม่ ได้มีพื้นที่จําหน่ายสินค้าเพิ่มมากขึ้น โดยการประชุมในวันนี้ เป็นการชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิด วิธีการทํางาน และการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวร่วมกัน ซึ่งตลาดตามโครงการตลาดประชารัฐ ที่จะดําเนินการมี 9 ประเภท ประกอบด้วย 1) ตลาดประชารัฐ Green Market ของ องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย โดยจะทําการขยายพื้นที่ตลาด เช่น ตลาดตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ตลาดบางคล้า ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และ ตลาดลําพูน ที่จังหวัดลําพูน ซึ่งสามารถรองรับผู้ค้ารายใหม่ได้กว่า 800 ราย 2) ตลาดประชารัฐ คนไทยยิ้มได้ ของกรมการพัฒนาชุมชน ที่มีอยู่จํานวน 2,155 แห่ง โดยจะทําการขยายตลาดโดยการเพิ่มกลุ่มผู้ค้าในชุมชนเข้าไป เพื่อให้เกษตรกรได้มีโอกาสนําสินค้าเข้าไปจําหน่ายเพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะรองรับผู้ประกอบการประมาณ 20,000 กว่าราย 3) ตลาดประชารัฐท้องถิ่นสุขใจ ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นการบริหารจัดการพื้นที่ตลาดเดิม ซึ่งมีอยู่กว่า 3,800 แห่ง โดยเปิดโอกาสให้เกษตรกร ผู้ค้าหาบเร่และแผงลอย ได้เข้ามาทําการค้าขายในพื้นที่ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการเข้ามาประมาณ 40,000 กว่าราย 4) ตลาดประชารัฐ กทม.คืนความสุข ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการหาพื้นที่ให้แก่ผู้ประกอบการที่เดือดร้อนเนื่องจากไม่มีพื้นที่ค้าขาย โดยตั้งเป้าหมายตลาดไว้ 14 แห่ง รองรับกลุ่มผู้ค้ารายใหม่ได้กว่า 10,000 ราย 5) ตลาดประชารัฐของดีจังหวัด ดําเนินการโดย จังหวัดและบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด ซึ่งเป็นการจําหน่ายสินค้าที่มีความโดดเด่นในพื้นที่ เช่น สินค้าตามฤดูกาล สถานที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นต้น 6) ตลาดประชารัฐ Modern Trade ของกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (ประเทศไทย) จํากัด โดยการเพิ่มพื้นที่ตลาดในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ภายในจังหวัด เพื่อเปิดโอกาสให้กับเกษตรกรได้นําสินค้าไปขายในพื้นที่ดังกล่าว ในราคาค่าเช่าถูกหรือไม่เสียค่าใช้จ่าย 7) ตลาดประชารัฐของดีวิถีชุมชน ธ.ก.ส. ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยเพิ่มพื้นที่ให้กับผู้ค้ารายใหม่ ในตลาดนัดของ ธ.ก.ส.ที่มีอยู่ 147 แห่งทั่วประเทศ 8) ตลาดประชารัฐต้องชม ของกระทรวงพาณิชย์ โดยเป็นการส่งเสริมด้านการตลาด การประชาสัมพันธ์ เพื่อกระตุ้นการค้าขาย เช่น ตลาดน้ํา ตลาดแหล่งท่องเที่ยว เป็นต้น และ 9) ตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรม ของกระทรวงวัฒนธรรม เป็นการส่งเสริมการตลาดสินค้าเชิงวัฒนธรรม เช่น การจัดแสดงศิลปวัฒนธรรม การสาธิต และการให้บริการทางวัฒนธรรม เป็นต้น ทั้งนี้ การดําเนินงานตามโครงการตลาดประชารัฐดังกล่าว จะสามารถสร้างโอกาสและรายได้ให้กับกลุ่มผู้ค้ารายใหม่ ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น สําหรับการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย จะใช้กลไกของศูนย์ดํารงธรรมที่มีอยู่ทั้งในระดับจังหวัด และอําเภอ เป็นสถานที่รับลงทะเบียนให้กับผู้ที่ประสงค์จะมีพื้นที่ค้าขาย ได้ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 10 – 30 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งที่ประชุม มีมติให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมจัดทํารายละเอียดข้อมูลของตลาดประชารัฐที่มีอยู่ในความรับผิดชอบ ทั้งข้อมูลในด้านจํานวนตลาด จํานวนผู้ค้า ระยะเวลาดําเนินการ และพื้นที่ดําเนินการ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสําหรับการให้บริการแก่ประชาชนและผู้ที่สนใจ ใช้ในการประกอบการตัดสินใจในการเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งได้กําชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อให้สร้างการรับรู้และความเข้าใจในเรื่องตลาดประชารัฐในแต่ละประเภท ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้จัดทําเว็บไซต์ ตลาดประชารัฐwww.market.moi.go.thเพื่อเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์และการส่งเสริมตลาดประชารัฐ รวมถึงการติดต่อและสอบถามข้อมูลในเรื่องดังกล่าวอีกด้วย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การดําเนินงานตามโครงการตลาดประชารัฐ บรรลุตามเป้าหมาย กระทรวงมหาดไทย จะได้จัดอบรมเรื่องการลงทะเบียนตามโครงการดังกล่าว ให้กับเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง โดยจะจัดอบรมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VCS) ในวันที่ 31 ตุลาคม นี้ ซึ่งกลุ่มผู้เข้ารับการอบรม ได้แก่ ผู้อํานวยการกลุ่มงานศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่ ผู้อํานวยการกลุ่มงานศูนย์ดํารงธรรมอําเภอหรือผู้แทน และ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สํานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด สํานักงานท้องถิ่นจังหวัด สํานักงานพาณิชย์จังหวัด สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด ธ.ก.ส. ในพื้นที่ และ สํานักงานเกษตรจังหวัด ทั้งนี้ คาดหวังว่าทุกหน่วยงานจะร่วมกันผนึกกําลังเพื่อพัฒนาตลาดประชารัฐเพื่อสร้างโอกาส สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่พี่น้องประชาชนทั้งในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัด จะสามารถเพิ่มพื้นที่ตลาดได้ รวม 6,523 แห่งทั่วประเทศ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจังหวัดจะได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้ประสงค์พื้นที่ค้าขายลงทะเบียนเพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการต่อไป. ครั้งที่ 157 /2560 ฝ่ายเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7655
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จะเลือกซื้อแอลกอฮอล์ยังไงไม่ให้เจอของปลอม ??
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563 จะเลือกซื้อแอลกอฮอล์ยังไงไม่ให้เจอของปลอม ?? มีวิธีการเลือกซื้อยังไงนะ วิธีการเลือกซื้อแอลกอฮอล์ป้องกันสินค้าปลอม 1.ตรวจสอบฉลาก ต้องมีข้อความแสดงให้เห็นชัดเจน 2.ต้องบรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท 3.ตรวจสอบเลขที่ใบรับจดแจ้งที่เว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th หัวข้อ “ตรวจสอบผลิตภัณฑ์” โดยรายละเอียดการจดแจ้งต้องเป็นประเภท “ผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดผิวกายรูปแบบใช้แล้วไม่ต้องล้างออก” หรือ “ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์เพื่อสุขอนามัยสําหรับมือ”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จะเลือกซื้อแอลกอฮอล์ยังไงไม่ให้เจอของปลอม ?? วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563 จะเลือกซื้อแอลกอฮอล์ยังไงไม่ให้เจอของปลอม ?? มีวิธีการเลือกซื้อยังไงนะ วิธีการเลือกซื้อแอลกอฮอล์ป้องกันสินค้าปลอม 1.ตรวจสอบฉลาก ต้องมีข้อความแสดงให้เห็นชัดเจน 2.ต้องบรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท 3.ตรวจสอบเลขที่ใบรับจดแจ้งที่เว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th หัวข้อ “ตรวจสอบผลิตภัณฑ์” โดยรายละเอียดการจดแจ้งต้องเป็นประเภท “ผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดผิวกายรูปแบบใช้แล้วไม่ต้องล้างออก” หรือ “ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์เพื่อสุขอนามัยสําหรับมือ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28297
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" เป็นประธานเปิดอาคารเรียน และบรรยาย "ศาสตร์พระราชา" ที่โรงเรียนสุธีวิทยา จ.สระบุรี
วันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560 "ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" เป็นประธานเปิดอาคารเรียน และบรรยาย "ศาสตร์พระราชา" ที่โรงเรียนสุธีวิทยา จ.สระบุรี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารอนุสรณ์พระธรรมรัตนากร 109 ปี และห้องกชพร พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ เรื่อง "ศาสตร์พระราชา" แก่นักเรียน ครู ผู้บริหาร และเครือข่ายผู้ปกครอง โรงเรียนสุธีวิทยา อําเภอพระพุทธบาท โดยมีผู้บริหารส่วนกลางและผู้บริหารในพื้นที่เข้าร่วมจํานวนมาก เช่น นายบัณฑิตย์ เทวีทิวารักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี, นางรักขณา ตัณฑวุฑโฒ รองศึกษาธิการ ภาค 1,นางกชพร สิงห์ทอง นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุชุมชนภูมิภาคแห่งประเทศไทย (สทวท.),นายชวิศ จิตปุณยพงศ์ ผู้อํานวยการโรงเรียนสุธีวิทยาฯลฯ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า การได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนพบปะครู ผู้บริหาร และนักเรียน รวมทั้งเปิดอาคารเรียนโรงเรียนสุธีวิทยาในวันนี้ ทําให้เห็นถึงพัฒนาการทางด้านการศึกษา ความทันสมัยในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนที่จะนําไปสู่ความสําเร็จของนโยบายรัฐบาล เช่น นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่จะมีการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้ในการศึกษาและชีวิตประจําวันมากขึ้น จึงได้ฝากข้อคิดว่าโรงเรียนควรจะทําอย่างไรให้ลูกหลานนําเครื่องมือสื่อสาร เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Social Media มาใช้อย่างสร้างสรรค์ การแชร์สิ่งใดก็ตาม ควรตรวจสอบแหล่งที่มาให้แน่ชัด มีการอ้างอิงแหล่งที่มาที่ไปให้ถูกต้อง อย่าโพสต์อะไรที่ทําให้สังคมแตกแยก ดังนั้นสิ่งสําคัญมากสําหรับการขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 หรือเรื่องใด ๆ ก็ตามคือผู้คนในสังคมจะต้องมีคุณธรรมจริยธรรมด้วย จึงจะนําไปสู่การเป็นสังคมดิจิทัลที่มีเหตุมีผล นอกจากนี้ ได้ฝากลูกหลานนักเรียนน้อมนํา "ศาสตร์พระราชา" ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวงรัชกาลที่ 10 มาสู่การปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความรักเคารพบุพการี นึกถึงผู้มีพระคุณ ตลอดจนครูบาอาจารย์ โดยให้ยึดไอดอล (Idol) สักคนมาเป็นตัวอย่างที่ดีในการดํารงชีวิตและการศึกษา แม้แต่ศิษย์เก่าโรงเรียนนี้ที่จบออกไปแล้ว เช่นคุณกชพร สิงห์ทอง ก็ยังไม่ลืมโรงเรียนเดิมของตนเองที่เคยศึกษาเล่าเรียน กลับมาช่วยพัฒนาโรงเรียนเดิมโดยครั้งนี้ร่วมบริจาคเงิน 5 แสนบาท พร้อมกับการระดมทรัพยากรจากวัด มูลนิธิ หน่วยงาน และบุคคลต่าง ๆ ซึ่งได้เงินบริจาคมากกว่า 10 ล้านบาท เพื่อนํามาก่อสร้างอาคารเรียนวิทยาศาสตร์แห่งใหม่ที่มาเป็นประธานเปิดป้ายอาคารในวันนี้ ก็ถือเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกหลานนักเรียนได้ด้วย โอกาสนี้ ได้ฝากลูกหลานนักเรียนและโรงเรียนช่วยกันขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม ซึ่งโรงเรียนได้ดําเนินการไว้ก่อนแล้ว ตามกรอบแนวคิดสําคัญ 5 ประการ คือ ความพอเพียง ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ และอุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม ถือเป็นการดําเนินงานเพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมทั้งถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านด้วย นายชวิศ จิตปุณยพงศ์ ผู้อํานวยการโรงเรียนสุธีวิทยากล่าวว่า จากการที่โรงเรียนสุธีวิทยาเป็นศูนย์โรงเรียนคุณธรรม ที่ได้เข้าโครงการร่วมกับมูลนิธิยุวสถิรคุณ มาตั้งแต่ปี 2558 ส่งผลให้เกิดการพัฒนาทั้งด้านครูและนักเรียน มีการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้กําหนดคุณธรรมอัตลักษณ์ของโรงเรียน คือ"รับผิดชอบดี มีวินัย ใส่ใจจิตสังคม"ที่เรียกว่า"S.T.Model"ซึ่งมีโรงเรียนจํานวนมากให้ความสนใจมาศึกษาเรียนรู้เพื่อนําไปปรับใช้ กล่าวคือ "ด้านครู"ครูในโรงเรียนมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ มีความซื่อสัตย์ รับผิดชอบต่อวิชาชีพ ยึดมั่นในระบบคุณธรรม มีความสามัคคีในหมู่คณะ รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข "ด้านผู้เรียน"นักเรียนได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ความเข้าใจในโรงเรียนคุณธรรม ได้รับการพัฒนาศักยภาพในการจัดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการด้านคุณธรรมจริยธรรม มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มขึ้น และคุณลักษณะไม่พึงประสงค์ลดลง ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข และนักเรียนได้รับรางวัลด้านคุณธรรมระดับประเทศ เช่นนายศิรเมศร์ ปานคล้ายได้รับคัดเลือกเข้ารับพระราชทานทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร,นางสาวเกตุธิพร วงศ์นิลได้รับคัดเลือกเป็นเยาวชนดีเด่น ประจําปี 2560 เป็นต้น นายศิรเมศร์ ปานคล้าย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 เลขประจําตัว ส.ธ.17706กล่าวว่า เป็นความปลาบปลื้มใจที่สุดในชีวิตที่ได้รับการคัดเลือกจากจังหวัดสระบุรีให้เป็นนักเรียน 1 ใน 2 รายของจังหวัด ที่เข้ารับทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งดําเนินการโดยมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) เมื่อปี 2559 ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชดําริให้ดําเนินการทุน ม.ท.ศ. ขึ้นเมื่อปี 2552 เมื่อครั้งยังทรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ด้วยพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยที่มีฐานะยากจน ยากลําบาก แต่ประพฤติดีมีความความสามารถในการศึกษา ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคง ต่อเนื่องในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จนสําเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีตามความสามารถของแต่ละคน อันเป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถ และศักยภาพแก่เยาวชนไทย "ตอนนั้น ผมเพิ่งจบชั้น ม.3 โดยเข้ารับพระราชทานทุน ม.ท.ศ. จากพระหัตถ์ของพระองค์ท่านเมื่อเดือนกรกฎาคม 2559 เนื่องจากมีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี มีจิตสาธารณะ แต่ที่บ้านมีฐานะยากจน โดยตอนนี้ได้รับเป็นทุนการศึกษาต่อเนื่องจนจบปริญญาตรี ปีละ 18,000 บาท ซึ่งนําเงินที่ได้ไปซื้ออุปกรณ์การเรียน ใช้จ่ายทั่วไปที่จําเป็นในครอบครัว ปัจจุบันพักอาศัยอยู่กับคุณยายที่ ต.ธารเกษม อ.พระพุทธบาท โดยไม่เคยนําเงินที่ได้ไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แต่จะใช้เงินอย่างประหยัดที่สุด ความคาดหวังในอนาคต ผมต้องการเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏลพบุรี วิชาเอกคณิตศาสตร์ เพื่อจบแล้วออกมาเป็นครูคณิตศาสตร์ตามที่มุ่งหวังเอาไว้ เพราะตอนนี้เรียนโปรแกรมวิทย์-คณิต และวิชาที่คิดว่าชอบและถนัดที่สุดคือวิชาคณิตศาสตร์" บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน:ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" เป็นประธานเปิดอาคารเรียน และบรรยาย "ศาสตร์พระราชา" ที่โรงเรียนสุธีวิทยา จ.สระบุรี วันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560 "ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" เป็นประธานเปิดอาคารเรียน และบรรยาย "ศาสตร์พระราชา" ที่โรงเรียนสุธีวิทยา จ.สระบุรี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารอนุสรณ์พระธรรมรัตนากร 109 ปี และห้องกชพร พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ เรื่อง "ศาสตร์พระราชา" แก่นักเรียน ครู ผู้บริหาร และเครือข่ายผู้ปกครอง โรงเรียนสุธีวิทยา อําเภอพระพุทธบาท โดยมีผู้บริหารส่วนกลางและผู้บริหารในพื้นที่เข้าร่วมจํานวนมาก เช่น นายบัณฑิตย์ เทวีทิวารักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี, นางรักขณา ตัณฑวุฑโฒ รองศึกษาธิการ ภาค 1,นางกชพร สิงห์ทอง นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุชุมชนภูมิภาคแห่งประเทศไทย (สทวท.),นายชวิศ จิตปุณยพงศ์ ผู้อํานวยการโรงเรียนสุธีวิทยาฯลฯ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า การได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนพบปะครู ผู้บริหาร และนักเรียน รวมทั้งเปิดอาคารเรียนโรงเรียนสุธีวิทยาในวันนี้ ทําให้เห็นถึงพัฒนาการทางด้านการศึกษา ความทันสมัยในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนที่จะนําไปสู่ความสําเร็จของนโยบายรัฐบาล เช่น นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่จะมีการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้ในการศึกษาและชีวิตประจําวันมากขึ้น จึงได้ฝากข้อคิดว่าโรงเรียนควรจะทําอย่างไรให้ลูกหลานนําเครื่องมือสื่อสาร เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Social Media มาใช้อย่างสร้างสรรค์ การแชร์สิ่งใดก็ตาม ควรตรวจสอบแหล่งที่มาให้แน่ชัด มีการอ้างอิงแหล่งที่มาที่ไปให้ถูกต้อง อย่าโพสต์อะไรที่ทําให้สังคมแตกแยก ดังนั้นสิ่งสําคัญมากสําหรับการขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 หรือเรื่องใด ๆ ก็ตามคือผู้คนในสังคมจะต้องมีคุณธรรมจริยธรรมด้วย จึงจะนําไปสู่การเป็นสังคมดิจิทัลที่มีเหตุมีผล นอกจากนี้ ได้ฝากลูกหลานนักเรียนน้อมนํา "ศาสตร์พระราชา" ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวงรัชกาลที่ 10 มาสู่การปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความรักเคารพบุพการี นึกถึงผู้มีพระคุณ ตลอดจนครูบาอาจารย์ โดยให้ยึดไอดอล (Idol) สักคนมาเป็นตัวอย่างที่ดีในการดํารงชีวิตและการศึกษา แม้แต่ศิษย์เก่าโรงเรียนนี้ที่จบออกไปแล้ว เช่นคุณกชพร สิงห์ทอง ก็ยังไม่ลืมโรงเรียนเดิมของตนเองที่เคยศึกษาเล่าเรียน กลับมาช่วยพัฒนาโรงเรียนเดิมโดยครั้งนี้ร่วมบริจาคเงิน 5 แสนบาท พร้อมกับการระดมทรัพยากรจากวัด มูลนิธิ หน่วยงาน และบุคคลต่าง ๆ ซึ่งได้เงินบริจาคมากกว่า 10 ล้านบาท เพื่อนํามาก่อสร้างอาคารเรียนวิทยาศาสตร์แห่งใหม่ที่มาเป็นประธานเปิดป้ายอาคารในวันนี้ ก็ถือเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกหลานนักเรียนได้ด้วย โอกาสนี้ ได้ฝากลูกหลานนักเรียนและโรงเรียนช่วยกันขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม ซึ่งโรงเรียนได้ดําเนินการไว้ก่อนแล้ว ตามกรอบแนวคิดสําคัญ 5 ประการ คือ ความพอเพียง ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ และอุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม ถือเป็นการดําเนินงานเพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมทั้งถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านด้วย นายชวิศ จิตปุณยพงศ์ ผู้อํานวยการโรงเรียนสุธีวิทยากล่าวว่า จากการที่โรงเรียนสุธีวิทยาเป็นศูนย์โรงเรียนคุณธรรม ที่ได้เข้าโครงการร่วมกับมูลนิธิยุวสถิรคุณ มาตั้งแต่ปี 2558 ส่งผลให้เกิดการพัฒนาทั้งด้านครูและนักเรียน มีการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้กําหนดคุณธรรมอัตลักษณ์ของโรงเรียน คือ"รับผิดชอบดี มีวินัย ใส่ใจจิตสังคม"ที่เรียกว่า"S.T.Model"ซึ่งมีโรงเรียนจํานวนมากให้ความสนใจมาศึกษาเรียนรู้เพื่อนําไปปรับใช้ กล่าวคือ "ด้านครู"ครูในโรงเรียนมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ มีความซื่อสัตย์ รับผิดชอบต่อวิชาชีพ ยึดมั่นในระบบคุณธรรม มีความสามัคคีในหมู่คณะ รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข "ด้านผู้เรียน"นักเรียนได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ความเข้าใจในโรงเรียนคุณธรรม ได้รับการพัฒนาศักยภาพในการจัดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการด้านคุณธรรมจริยธรรม มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มขึ้น และคุณลักษณะไม่พึงประสงค์ลดลง ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข และนักเรียนได้รับรางวัลด้านคุณธรรมระดับประเทศ เช่นนายศิรเมศร์ ปานคล้ายได้รับคัดเลือกเข้ารับพระราชทานทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร,นางสาวเกตุธิพร วงศ์นิลได้รับคัดเลือกเป็นเยาวชนดีเด่น ประจําปี 2560 เป็นต้น นายศิรเมศร์ ปานคล้าย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 เลขประจําตัว ส.ธ.17706กล่าวว่า เป็นความปลาบปลื้มใจที่สุดในชีวิตที่ได้รับการคัดเลือกจากจังหวัดสระบุรีให้เป็นนักเรียน 1 ใน 2 รายของจังหวัด ที่เข้ารับทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งดําเนินการโดยมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) เมื่อปี 2559 ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชดําริให้ดําเนินการทุน ม.ท.ศ. ขึ้นเมื่อปี 2552 เมื่อครั้งยังทรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ด้วยพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยที่มีฐานะยากจน ยากลําบาก แต่ประพฤติดีมีความความสามารถในการศึกษา ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคง ต่อเนื่องในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จนสําเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีตามความสามารถของแต่ละคน อันเป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถ และศักยภาพแก่เยาวชนไทย "ตอนนั้น ผมเพิ่งจบชั้น ม.3 โดยเข้ารับพระราชทานทุน ม.ท.ศ. จากพระหัตถ์ของพระองค์ท่านเมื่อเดือนกรกฎาคม 2559 เนื่องจากมีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี มีจิตสาธารณะ แต่ที่บ้านมีฐานะยากจน โดยตอนนี้ได้รับเป็นทุนการศึกษาต่อเนื่องจนจบปริญญาตรี ปีละ 18,000 บาท ซึ่งนําเงินที่ได้ไปซื้ออุปกรณ์การเรียน ใช้จ่ายทั่วไปที่จําเป็นในครอบครัว ปัจจุบันพักอาศัยอยู่กับคุณยายที่ ต.ธารเกษม อ.พระพุทธบาท โดยไม่เคยนําเงินที่ได้ไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แต่จะใช้เงินอย่างประหยัดที่สุด ความคาดหวังในอนาคต ผมต้องการเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏลพบุรี วิชาเอกคณิตศาสตร์ เพื่อจบแล้วออกมาเป็นครูคณิตศาสตร์ตามที่มุ่งหวังเอาไว้ เพราะตอนนี้เรียนโปรแกรมวิทย์-คณิต และวิชาที่คิดว่าชอบและถนัดที่สุดคือวิชาคณิตศาสตร์" บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน:ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6256
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียินดีกรณีสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ประสบความสำเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบำบัดรักษาโรคมะเร็งเต้านม
วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรียินดีกรณีสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ประสบความสําเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุ ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการบําบัดรักษาโรคมะเร็งเต้านม นายกรัฐมนตรียินดีกรณีสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ประสบความสําเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุ ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการบําบัดรักษาโรคมะเร็งเต้านม วันนี้ (3 กรกฎาคม 2561) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ประสบความสําเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุ ซึ่งเป็น Monoclonal antibody ชนิดแรก ที่มีบทบาทสําคัญในการบําบัดรักษาโรคมะเร็งเต้านมได้ว่า ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่มีการค้นคว้าวิจัยจนประสบความสําเร็จ และถือว่าเป็นนวัตกรรมชิ้นแรกที่ดําเนินการโดยนักวิจัยในประเทศไทยตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา โดยไม่ต้องอาศัยการซื้อหรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งจะทําให้ผู้ป่วยมะเร็งบางชนิดมีโอกาสได้รับการรักษาโดยมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง -------------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียินดีกรณีสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ประสบความสำเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบำบัดรักษาโรคมะเร็งเต้านม วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรียินดีกรณีสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ประสบความสําเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุ ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการบําบัดรักษาโรคมะเร็งเต้านม นายกรัฐมนตรียินดีกรณีสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ประสบความสําเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุ ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการบําบัดรักษาโรคมะเร็งเต้านม วันนี้ (3 กรกฎาคม 2561) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ประสบความสําเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุ ซึ่งเป็น Monoclonal antibody ชนิดแรก ที่มีบทบาทสําคัญในการบําบัดรักษาโรคมะเร็งเต้านมได้ว่า ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่มีการค้นคว้าวิจัยจนประสบความสําเร็จ และถือว่าเป็นนวัตกรรมชิ้นแรกที่ดําเนินการโดยนักวิจัยในประเทศไทยตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา โดยไม่ต้องอาศัยการซื้อหรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งจะทําให้ผู้ป่วยมะเร็งบางชนิดมีโอกาสได้รับการรักษาโดยมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง -------------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13557
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบ ยาเสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ 1/2561
วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561 รองนรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบ ยาเสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ 1/2561 ป.ป.ส. ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบกรอบแผนปฏิบัติการแม่น้ําโขงปลอดภัย 6 ประเทศ ระยะ 4 ปี (พ.ศ. 2562 - 2565) วันนี้(4พฤษภาคม 2561)เวลา14.00น.ณห้องประชุม301 ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาลพลอากาศเอกประจินจั่นตองรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกัน และปราบปราบยาเสพติดครั้งที่1/2561ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมได้ะรับทราบแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเร่งด่วนปี2561ประกอบด้วย1.แผนความร่วมมือะหว่างประเทศเชิงรุกโดยเร่งดําเนินการตามโครงการแม่น้ําโขงปลอดภัยพร้อมกับแผนปฏิบัติการสามเหลี่ยมทองคํามีทั้งหมด6 ประเทศคือไทยจีนเมียนมาสปป.ลาวกัมพูชาและเวียดนาม 2.แผนสกัดกั้นปราบปรามเครือข่ายการค้ายาเสพติด เน้นในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือและ 3. แผนป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน ชุมชนโดยแผนฯ ทั้งหมดมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการแพร่ระบาดยาเสพติดรวมทั้งการบูรณาการดําเนินงานร่วมกับโครงการไทยนิยมยั่งยืนและ4) แผนการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เป็นปัญหาเฉพาะโดยจัดทําแผนการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ที่ประชุมได้รับทราบผลการดําเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดปีงบประมาณ2561 (1ตุลาคม- 31มีนาคม2561)ซึ่งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทําแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดประจําปีให้สอดคล้องรองรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดพ.ศ. 2558 - 2562ประกอบด้วย4แผนคือแผนป้องกันยาเสพติดแผนปราบปรามยาเสพติด แผนบําบัดยาเสพติดและแผนบริหารจัดการอย่างบูรณาการโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดปริมาณผู้เข้าสู่การกระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพร้อมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องออกจากวงจรการกระทําผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เห็นอย่างชัดเจนเพื่อให้สังคมและประชาชนปลอดภัยจากยาเสพติด พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบกรอบแผนปฏิบัติการแม่น้ําโขงปลอดภัย6ประเทศ ระยะ4ปี(พ.ศ. 2562 - 2565)เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและมีแนวทางการดําเนินงาน ที่ชัดเจนของแผนแม่บทดังกล่าว ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการร่วมแม่น้ําโขงปลอดภัยเพื่อการควบคุมยาเสพติด6ประเทศระหว่างกัมพูชาจีนสปป.ลาวเมียนมาไทยเวียดนามพ.ศ. 2562 - 2565พร้อมกับกําหนดมาตรการดําเนินงานต่างๆเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทําแผนแม่บทใน7มาตรการประกอบด้วย1)มาตรการบูรณาการการสกัดกั้นและการควบคุมสารตั้งตัน/เคมีภัณฑ์2)มาตรการบูรณาการเสริมสร้างและการพัฒนาจุดตรวจตามเส้นทางลําเลียงและด่านถาวร3)มาตรการบูรณาการปฏิบัติการในพื้นที่เสี่ยงตามชายเเดนระหว่างประเทศ4)มาตรการการประสานงานบูรณาการการสืบสวนปราบปราบผู้ผลิตและผู้ค้ารายสําคัญ5)มาตรการการประสานงานบูรณาการการปฏิบัติการสกัดกั้นการลําเลียงผ่านแม่น้ําโขง6)มาตรการการสนับสนุนมาตรการและการพัฒนาพื้นที่และ7)มาตรการบูรณาการพัฒนาศูนย์ประสานงานแม่น้ําโขงปลอดภัยในทุกประเทศด้วยการวางระบบเพื่อยกระดับให้มีประสิทธิภาพให้มีความพร้อมในการผลักดันมาตรการต่างๆ ให้เกิดความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ........................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบ ยาเสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ 1/2561 วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561 รองนรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบ ยาเสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ 1/2561 ป.ป.ส. ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบกรอบแผนปฏิบัติการแม่น้ําโขงปลอดภัย 6 ประเทศ ระยะ 4 ปี (พ.ศ. 2562 - 2565) วันนี้(4พฤษภาคม 2561)เวลา14.00น.ณห้องประชุม301 ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาลพลอากาศเอกประจินจั่นตองรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกัน และปราบปราบยาเสพติดครั้งที่1/2561ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมได้ะรับทราบแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเร่งด่วนปี2561ประกอบด้วย1.แผนความร่วมมือะหว่างประเทศเชิงรุกโดยเร่งดําเนินการตามโครงการแม่น้ําโขงปลอดภัยพร้อมกับแผนปฏิบัติการสามเหลี่ยมทองคํามีทั้งหมด6 ประเทศคือไทยจีนเมียนมาสปป.ลาวกัมพูชาและเวียดนาม 2.แผนสกัดกั้นปราบปรามเครือข่ายการค้ายาเสพติด เน้นในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือและ 3. แผนป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน ชุมชนโดยแผนฯ ทั้งหมดมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการแพร่ระบาดยาเสพติดรวมทั้งการบูรณาการดําเนินงานร่วมกับโครงการไทยนิยมยั่งยืนและ4) แผนการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เป็นปัญหาเฉพาะโดยจัดทําแผนการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ที่ประชุมได้รับทราบผลการดําเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดปีงบประมาณ2561 (1ตุลาคม- 31มีนาคม2561)ซึ่งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทําแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดประจําปีให้สอดคล้องรองรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดพ.ศ. 2558 - 2562ประกอบด้วย4แผนคือแผนป้องกันยาเสพติดแผนปราบปรามยาเสพติด แผนบําบัดยาเสพติดและแผนบริหารจัดการอย่างบูรณาการโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดปริมาณผู้เข้าสู่การกระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพร้อมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องออกจากวงจรการกระทําผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เห็นอย่างชัดเจนเพื่อให้สังคมและประชาชนปลอดภัยจากยาเสพติด พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบกรอบแผนปฏิบัติการแม่น้ําโขงปลอดภัย6ประเทศ ระยะ4ปี(พ.ศ. 2562 - 2565)เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและมีแนวทางการดําเนินงาน ที่ชัดเจนของแผนแม่บทดังกล่าว ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการร่วมแม่น้ําโขงปลอดภัยเพื่อการควบคุมยาเสพติด6ประเทศระหว่างกัมพูชาจีนสปป.ลาวเมียนมาไทยเวียดนามพ.ศ. 2562 - 2565พร้อมกับกําหนดมาตรการดําเนินงานต่างๆเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทําแผนแม่บทใน7มาตรการประกอบด้วย1)มาตรการบูรณาการการสกัดกั้นและการควบคุมสารตั้งตัน/เคมีภัณฑ์2)มาตรการบูรณาการเสริมสร้างและการพัฒนาจุดตรวจตามเส้นทางลําเลียงและด่านถาวร3)มาตรการบูรณาการปฏิบัติการในพื้นที่เสี่ยงตามชายเเดนระหว่างประเทศ4)มาตรการการประสานงานบูรณาการการสืบสวนปราบปราบผู้ผลิตและผู้ค้ารายสําคัญ5)มาตรการการประสานงานบูรณาการการปฏิบัติการสกัดกั้นการลําเลียงผ่านแม่น้ําโขง6)มาตรการการสนับสนุนมาตรการและการพัฒนาพื้นที่และ7)มาตรการบูรณาการพัฒนาศูนย์ประสานงานแม่น้ําโขงปลอดภัยในทุกประเทศด้วยการวางระบบเพื่อยกระดับให้มีประสิทธิภาพให้มีความพร้อมในการผลักดันมาตรการต่างๆ ให้เกิดความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ........................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11982
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ ย้ำทุกหน่วยงานเข้มงวดด้านการข่าว ป้องกันเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เน้นให้ขับเคลื่อนงานภายใต้ Raod Map และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560 รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ ย้ําทุกหน่วยงานเข้มงวดด้านการข่าว ป้องกันเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เน้นให้ขับเคลื่อนงานภายใต้ Raod Map และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ รองนายกรัฐมนตรี ย้ําทุกหน่วยงานเข้มงวดด้านการข่าว ป้องกันเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เน้นให้ขับเคลื่อนงานภายใต้ Raod Map และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ให้การแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่เกิดผลเป็นรูปธรรม วันนี้ (7 เม.ย.60) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ครั้งที่ 1/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง คปต. ได้รับมอบหมายให้เป็นกลไกลสําคัญเพื่อกํากับ ดูแล และขับเคลื่อนงานให้มีความเป็นเอกภาพ และมีประสิทธิภาพ โดยมี พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม/หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล พลเอก ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจากส่วนกลางและในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล 13 คน ในฐานะกรรมการ คปต. เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมรับทราบการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบ 6 เดือนแรก ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ( ต.ค. 59 – มี.ค.60) ที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับ 6 เดือนแรก ของปีงบประมาณ พ.ศ.2559 (ต.ค. 58 – มี.ค. 59) พบว่าสถิติการก่อเหตุลดลงถึง 96 เหตุการณ์ (ลดลงร้อยละ 54) และหากเปรียบเทียบกับ 6 เดือนหลัง ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (เม.ย.59 – ก.ย.59) พบว่าสถิติการก่อเหตุลดลง 99 เหตุการณ์ (ลดลงร้อยละ 55) รวมทั้งสถานการณ์ในพื้นที่ 7 เมืองหลัก และเมืองหนองจิก ซึ่งเป็นเมืองหลักตามนโยบายต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ก็พบการก่อเหตุความรุนแรงลดลงเช่นกัน ทั้งนี้ เนื่องจากการปฏิบัติการเชิงรุกของเจ้าหน้าที่ การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ตลอดจนผลสัมฤทธิ์ของการบูรณาการขับเคลื่อนงานของทุกหน่วยงานใน 7 กลุ่มภารกิจงาน ( 1) การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 2) การอํานวยความยุติธรรมและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 3) การสร้างความเข้าใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน 4) การศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม 5) การพัฒนาตามศักยภาพของพื้นที่ และคุณภาพชีวิตประชาชน 6) การเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐและการขับเคลื่อนนโยบาย และ7) การแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งโดยสันติวิธี ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้แทนพิเศษของรัฐบาล และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งที่ประชุมรับทราบการดําเนินงานของผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เพื่อช่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ และความต้องการของประชาชน ทั้งด้านความมั่นคง และด้านการพัฒนา ให้เป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลกําหนด โดยเฉพาะเรื่องของต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ส่วนกรณีที่มีการก่อเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในหลายจุดและมีไฟฟ้าดับ เมื่อคืนวันที่ 6 เมษายน 2560 นั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานด้านความมั่นคง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม ทหาร ตํารวจ ไปดูแลในภาพรวมแล้ว และเน้นย้ําทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบให้มีความเข้มงวดในเรื่องของงานด้านการข่าว เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น รวมถึงเจ้าหน้าที่และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการเฝ้าระวังเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประชาชนในพื้นที่เข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ ทั้ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ศอ.บต. และผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป ขณะที่เรื่องปัญหาไฟฟ้าดับ เป็นหน้าที่ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในการดําเนินการแก้ไขให้สามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาการกําหนดกรอบแผนยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่จะให้ทุกหน่วยงานใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนงาน ในระยะต่อไป และการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อดําเนินแผนงาน/โครงการ ต่างๆ ภายใต้ Raod Map ของผู้แทนพิเศษของ รัฐบาล ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้ง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน คปต. ได้เน้นย้ําประเด็นสําคัญ เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1) เรื่องการขอสนับสนุนงบประมาณ งบกลางฯ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาและพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องที่มีความสําคัญ ดังนั้น ทุกหน่วยงานจะต้องมีแผนการใช้จ่ายที่ชัดเจนพร้อมดําเนินการได้ทันทีหลังจากได้รับอนุมัติงบฯ หากหน่วยงานได้รับการจัดสรรงบประมาณ งบกลางฯ ไปดําเนินการแล้วเมื่อมีเงินเหลือจ่ายให้เร่งส่งคืนสํานักงบประมาณต่อไป ซึ่งเป็นไปตามแนวทางในการใช้จ่ายงบประมาณ งบกลางฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2557 2 ) การขับเคลื่อนงานตาม Road Map ของคณะแทนพิเศษของรัฐบาล ขอให้ทุกหน่วยงานให้ ความสําคัญ เนื่องจากเป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับรายงานจากผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เพราะฉะนั้น ทุกฝ่ายต้องร่วมกันขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการต่างๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ หากมีแผนงาน/โครงการใดที่ยังไม่สอดคล้องกับตาม ตาม Road Map ขอให้เร่งทบทวน ปรับปรุง แผนงาน/โครงการ ให้เกิดผลอย่างชัดเจนต่อเป้าหมาย และทิศทางนโยบายของรัฐบาล ต่อไป 3) ขอให้ทุกหน่วยงานให้ความสําคัญกับเรื่องประเมินผลการดําเนินงาน เน้นดําเนินการประเมินผล การดําเนินงานที่ผ่านมาให้ตรงตามข้อเท็จจริง จะเป็นประโยชน์นําไปสู่การปรับเปลี่ยนแผนงาน/โครงการ ให้ สอดคล้องกับสภาพปัญหา และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ ย้ำทุกหน่วยงานเข้มงวดด้านการข่าว ป้องกันเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เน้นให้ขับเคลื่อนงานภายใต้ Raod Map และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560 รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ ย้ําทุกหน่วยงานเข้มงวดด้านการข่าว ป้องกันเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เน้นให้ขับเคลื่อนงานภายใต้ Raod Map และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ รองนายกรัฐมนตรี ย้ําทุกหน่วยงานเข้มงวดด้านการข่าว ป้องกันเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เน้นให้ขับเคลื่อนงานภายใต้ Raod Map และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ให้การแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่เกิดผลเป็นรูปธรรม วันนี้ (7 เม.ย.60) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ครั้งที่ 1/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง คปต. ได้รับมอบหมายให้เป็นกลไกลสําคัญเพื่อกํากับ ดูแล และขับเคลื่อนงานให้มีความเป็นเอกภาพ และมีประสิทธิภาพ โดยมี พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม/หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล พลเอก ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจากส่วนกลางและในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล 13 คน ในฐานะกรรมการ คปต. เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมรับทราบการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบ 6 เดือนแรก ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ( ต.ค. 59 – มี.ค.60) ที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับ 6 เดือนแรก ของปีงบประมาณ พ.ศ.2559 (ต.ค. 58 – มี.ค. 59) พบว่าสถิติการก่อเหตุลดลงถึง 96 เหตุการณ์ (ลดลงร้อยละ 54) และหากเปรียบเทียบกับ 6 เดือนหลัง ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (เม.ย.59 – ก.ย.59) พบว่าสถิติการก่อเหตุลดลง 99 เหตุการณ์ (ลดลงร้อยละ 55) รวมทั้งสถานการณ์ในพื้นที่ 7 เมืองหลัก และเมืองหนองจิก ซึ่งเป็นเมืองหลักตามนโยบายต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ก็พบการก่อเหตุความรุนแรงลดลงเช่นกัน ทั้งนี้ เนื่องจากการปฏิบัติการเชิงรุกของเจ้าหน้าที่ การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ตลอดจนผลสัมฤทธิ์ของการบูรณาการขับเคลื่อนงานของทุกหน่วยงานใน 7 กลุ่มภารกิจงาน ( 1) การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 2) การอํานวยความยุติธรรมและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 3) การสร้างความเข้าใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน 4) การศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม 5) การพัฒนาตามศักยภาพของพื้นที่ และคุณภาพชีวิตประชาชน 6) การเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐและการขับเคลื่อนนโยบาย และ7) การแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งโดยสันติวิธี ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้แทนพิเศษของรัฐบาล และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งที่ประชุมรับทราบการดําเนินงานของผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เพื่อช่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ และความต้องการของประชาชน ทั้งด้านความมั่นคง และด้านการพัฒนา ให้เป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลกําหนด โดยเฉพาะเรื่องของต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ส่วนกรณีที่มีการก่อเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในหลายจุดและมีไฟฟ้าดับ เมื่อคืนวันที่ 6 เมษายน 2560 นั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานด้านความมั่นคง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม ทหาร ตํารวจ ไปดูแลในภาพรวมแล้ว และเน้นย้ําทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบให้มีความเข้มงวดในเรื่องของงานด้านการข่าว เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น รวมถึงเจ้าหน้าที่และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการเฝ้าระวังเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประชาชนในพื้นที่เข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ ทั้ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ศอ.บต. และผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป ขณะที่เรื่องปัญหาไฟฟ้าดับ เป็นหน้าที่ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในการดําเนินการแก้ไขให้สามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาการกําหนดกรอบแผนยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่จะให้ทุกหน่วยงานใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนงาน ในระยะต่อไป และการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อดําเนินแผนงาน/โครงการ ต่างๆ ภายใต้ Raod Map ของผู้แทนพิเศษของ รัฐบาล ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้ง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน คปต. ได้เน้นย้ําประเด็นสําคัญ เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1) เรื่องการขอสนับสนุนงบประมาณ งบกลางฯ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาและพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องที่มีความสําคัญ ดังนั้น ทุกหน่วยงานจะต้องมีแผนการใช้จ่ายที่ชัดเจนพร้อมดําเนินการได้ทันทีหลังจากได้รับอนุมัติงบฯ หากหน่วยงานได้รับการจัดสรรงบประมาณ งบกลางฯ ไปดําเนินการแล้วเมื่อมีเงินเหลือจ่ายให้เร่งส่งคืนสํานักงบประมาณต่อไป ซึ่งเป็นไปตามแนวทางในการใช้จ่ายงบประมาณ งบกลางฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2557 2 ) การขับเคลื่อนงานตาม Road Map ของคณะแทนพิเศษของรัฐบาล ขอให้ทุกหน่วยงานให้ ความสําคัญ เนื่องจากเป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับรายงานจากผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เพราะฉะนั้น ทุกฝ่ายต้องร่วมกันขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการต่างๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ หากมีแผนงาน/โครงการใดที่ยังไม่สอดคล้องกับตาม ตาม Road Map ขอให้เร่งทบทวน ปรับปรุง แผนงาน/โครงการ ให้เกิดผลอย่างชัดเจนต่อเป้าหมาย และทิศทางนโยบายของรัฐบาล ต่อไป 3) ขอให้ทุกหน่วยงานให้ความสําคัญกับเรื่องประเมินผลการดําเนินงาน เน้นดําเนินการประเมินผล การดําเนินงานที่ผ่านมาให้ตรงตามข้อเท็จจริง จะเป็นประโยชน์นําไปสู่การปรับเปลี่ยนแผนงาน/โครงการ ให้ สอดคล้องกับสภาพปัญหา และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2949
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 สิงหาคม 2560
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560 4 สิงหาคม 2560 คํากล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในงาน “ประชารัฐร่วมใจ ใต้ร่มพระบารมี” ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2560 เวลา 18.20 น. พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน จากสถานการณ์น้ําท่วมครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากผลกระทบของพายุดีเปรสชั่นเซินกาในขณะนี้ ส่งผลให้พี่น้องภาคเหนือและอีสานได้รับความเดือดร้อนทั้งในด้านที่อยู่อาศัย การดํารงชีวิตและการประกอบอาชีพ รัฐบาลและทุกภาคส่วนไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยพร้อมระดมความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างรวดเร็วที่สุด วันนี้ รัฐบาลได้จัดงาน “ประชารัฐร่วมใจ ใต้ร่มพระบารมี” ขึ้น เพื่อขอเชิญชวนหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพี่น้องประชาชน ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อนําไปช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้แก่พี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยน้ําท่วมทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน โดยทุกท่านสามารถร่วมบริจาคเงินเข้า “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยสํานักนายกรัฐมนตรี” บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067-0-06895-0 โดยสามารถบริจาคผ่านทางรายการนี้ ซึ่งจะมีการเปิดหมายเลขโทรศัพท์พิเศษ 30 คู่สาย หรือจะบริจาคผ่านช่องทางปกติก็ได้เช่นเดียวกัน เพื่อให้ทุกท่านได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการส่งต่อความปรารถนาดีไปยังพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนในพื้นที่ประสบภัยต่อไป สําหรับเงินบริจาคดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรีจะประสานงานกับจังหวัดต่างๆ ให้เสนอขอรับการสนับสนุนแก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ตามหลักเกณฑ์ต่างๆ ทั้งในเรื่องค่าวัสดุในการก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย ค่าเครื่องใช้อุปโภคบริโภคที่จําเป็นต่อครอบครัว รวมทั้งค่าจัดการศพในกรณีมีผู้เสียชีวิต เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยสามารถนําหลักฐานการบริจาคไปใช้แสดงการขอลดหย่อนภาษีได้ต่อไป ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พลังน้ําใจและความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนคนไทย ตลอดจนความช่วยเหลือของหน่วยงานทุกภาคส่วน จะเป็นกําลังใจสําคัญให้พี่น้องในพื้นที่ที่ประสบภัยสามารถผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ และกลับมาดําเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง พร้อมขอเป็นกําลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ และขอเป็นกําลังใจให้กับทุกคน ขอบคุณครับ ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูล:กลุ่มสุนทรพจน์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 สิงหาคม 2560 วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560 4 สิงหาคม 2560 คํากล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในงาน “ประชารัฐร่วมใจ ใต้ร่มพระบารมี” ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2560 เวลา 18.20 น. พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน จากสถานการณ์น้ําท่วมครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากผลกระทบของพายุดีเปรสชั่นเซินกาในขณะนี้ ส่งผลให้พี่น้องภาคเหนือและอีสานได้รับความเดือดร้อนทั้งในด้านที่อยู่อาศัย การดํารงชีวิตและการประกอบอาชีพ รัฐบาลและทุกภาคส่วนไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยพร้อมระดมความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างรวดเร็วที่สุด วันนี้ รัฐบาลได้จัดงาน “ประชารัฐร่วมใจ ใต้ร่มพระบารมี” ขึ้น เพื่อขอเชิญชวนหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพี่น้องประชาชน ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อนําไปช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้แก่พี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยน้ําท่วมทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน โดยทุกท่านสามารถร่วมบริจาคเงินเข้า “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยสํานักนายกรัฐมนตรี” บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067-0-06895-0 โดยสามารถบริจาคผ่านทางรายการนี้ ซึ่งจะมีการเปิดหมายเลขโทรศัพท์พิเศษ 30 คู่สาย หรือจะบริจาคผ่านช่องทางปกติก็ได้เช่นเดียวกัน เพื่อให้ทุกท่านได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการส่งต่อความปรารถนาดีไปยังพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนในพื้นที่ประสบภัยต่อไป สําหรับเงินบริจาคดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรีจะประสานงานกับจังหวัดต่างๆ ให้เสนอขอรับการสนับสนุนแก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ตามหลักเกณฑ์ต่างๆ ทั้งในเรื่องค่าวัสดุในการก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย ค่าเครื่องใช้อุปโภคบริโภคที่จําเป็นต่อครอบครัว รวมทั้งค่าจัดการศพในกรณีมีผู้เสียชีวิต เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยสามารถนําหลักฐานการบริจาคไปใช้แสดงการขอลดหย่อนภาษีได้ต่อไป ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พลังน้ําใจและความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนคนไทย ตลอดจนความช่วยเหลือของหน่วยงานทุกภาคส่วน จะเป็นกําลังใจสําคัญให้พี่น้องในพื้นที่ที่ประสบภัยสามารถผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ และกลับมาดําเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง พร้อมขอเป็นกําลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ และขอเป็นกําลังใจให้กับทุกคน ขอบคุณครับ ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูล:กลุ่มสุนทรพจน์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5753
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.เยือนราชอาณาจักรกัมพูชา
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 รมว.ศธ.เยือนราชอาณาจักรกัมพูชา นายแพทย์ ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อปฏิบัติภารกิจในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) และลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-กัมพูชา (Memorandum of Understanding: MOU) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไทย ได้หารือข้อราชการกับ H.E. Dr. Hang Chuon Naron รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬาของกัมพูชาเมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ชั้น ๑ กระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬา ซึ่งรัฐมนตรีฯ กัมพูชาได้กล่าวว่ารู้สึกเป็นเกียรติที่รัฐมนตรีฯ ไทยได้เดินทางมาเยือนกัมพูชาในครั้งนี้ ทั้งนี้ รัฐมนตรีฯ ไทยได้ขอบคุณรัฐมนตรีฯ กัมพูชาที่ให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติและยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งหนึ่งหลังจากเมื่อคราวการประชุมอาเซียน-รัสเซียเมื่อปี ๒๕๕๙ ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนถึงการจัดการศึกษาในภาพรวมการสนับสนุนทางการศึกษา และความก้าวหน้าการปฏิรูปการศึกษาของทั้งสองประเทศ โดยรัฐมนตรีฯ ไทยได้นําเสนอว่าในการพัฒนาการศึกษานั้น จําเป็นต้องปรับแนวคิดของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา ทั้งนี้ ในฐานะของประธานสภาซีเมคยินดีจะใช้วาระนี้ขับเคลื่อนการดําเนินการเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาภูมิภาค และได้เชิญชวนรัฐมนตรีฯ กัมพูชาเข้าร่วมการประชุมสมัชชาการศึกษานานาชาติแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งมีกําหนดจัดในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ ประเทศไทยเพื่อแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีทางการศึกษาระหว่างกันในเวทีนานาชาติ ตลอดจนกล่าวถึงข้อริเริ่มของไทยที่จะร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการพัฒนามาตรฐานสมรรถนะครูในภูมิภาค สําหรับความร่วมมือในระดับทวิภาคีไทย-กัมพูชา รัฐมนตรีฯ ไทยกล่าวว่าประเทศไทยและกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน และมีโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างกันในหลายระดับ โดยโครงการที่สําคัญ ได้แก่ โครงการในพระราชดําริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่ทรงพระราชทานแก่ปวงชนชาวกัมพูชามาอย่างต่อเนื่องในจังหวัดกําปงธม (สถาบันเทคโนโลยีกําปงเฌอเตียล) และจังหวัดกําปงสปือ (สถาบันเทคโนโลยีกําปงสปือ)ฃ รัฐมนตรีฯ กัมพูชาเห็นพ้องถึงการขับเคลื่อนการดําเนินงานของซีมีโอโดยเห็นว่ากรอบความร่วมมือดังกล่าวมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาของภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม โดยปัจจุบันกัมพูชาให้ความสําคัญกับการพัฒนาครูและโรงเรียนต้นแบบเพื่อเป็นโรงเรียนตัวอย่างที่จะสามารถถ่ายทอดแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนการสอนไปยังโรงเรียนทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่าประชาชนกัมพูชารู้สึกซาบซึ้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้พระราชทานทุนการศึกษาในทุกระดับให้แก่กัมพูชาปีละ ๒๐๐ ทุน มาอย่างน้อย ๒๕ ปีแล้ว นับถึงปัจจุบันมีนักเรียน นักศึกษากัมพูชาได้รับพระราชทานทุนประมาณ ๕,๐๐๐ คน ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าการมาเยือนของรัฐมนตรีฯ ไทยในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ยิ่งต่อทั้งสองฝ่าย จากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-กัมพูชา (Memorandum of Understanding: MOU) ระหว่างกันซึ่งมีสาระสําคัญครอบคลุมความร่วมมือทางการศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ ในทุกระดับการศึกษาตั้งแต่การศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา และอุดมศึกษา โดยบันทึกความร่วมมือฉบับนี้เป็นฉบับที่ ๒ ที่ได้เพิ่มเติมสาระการจัดตั้งคณะทํางานร่วมด้านการศึกษาไทย-กัมพูชาเพื่อใช้เป็นเวทีในการหารือกิจกรรม/โครงการความร่วมมือระหว่างกัน และกําหนดระยะเวลาในการบังคับใช้และสิ้นสุดของบันทึกความเข้าใจเป็นระยะเวลา ๕ ปี จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไทยได้เดินทางเยี่ยมชม Preah Sisowath High Schoolซึ่งเป็นโรงเรียนต้นแบบในการจัดการศึกษาสําหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ โดยการจัดการเรียนการสอนแบ่งออกเป็น ๓ สาขาหลัก ได้แก่ ด้านฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และสังคมศาสตร์ และในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พระราชวังหลวง และวัดที่สําคัญของกัมพูชา อนึ่ง จากการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาในครั้งนี้ รัฐมนตรีฯ ไทยได้เห็นถึงความตั้งใจจริงในการพัฒนาการศึกษาของกัมพูชา โดยเฉพาะการทุ่มเททรัพยากรให้กับครูเป็นอย่างมาก ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์ในการประยุกต์ใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจํากัดเพื่อประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนและพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ซึ่งนับเป็นประสบการณ์สําคัญที่ควรเผยแพร่ให้ได้ทราบโดยทั่วกันต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.เยือนราชอาณาจักรกัมพูชา วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 รมว.ศธ.เยือนราชอาณาจักรกัมพูชา นายแพทย์ ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อปฏิบัติภารกิจในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) และลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-กัมพูชา (Memorandum of Understanding: MOU) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไทย ได้หารือข้อราชการกับ H.E. Dr. Hang Chuon Naron รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬาของกัมพูชาเมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ชั้น ๑ กระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬา ซึ่งรัฐมนตรีฯ กัมพูชาได้กล่าวว่ารู้สึกเป็นเกียรติที่รัฐมนตรีฯ ไทยได้เดินทางมาเยือนกัมพูชาในครั้งนี้ ทั้งนี้ รัฐมนตรีฯ ไทยได้ขอบคุณรัฐมนตรีฯ กัมพูชาที่ให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติและยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งหนึ่งหลังจากเมื่อคราวการประชุมอาเซียน-รัสเซียเมื่อปี ๒๕๕๙ ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนถึงการจัดการศึกษาในภาพรวมการสนับสนุนทางการศึกษา และความก้าวหน้าการปฏิรูปการศึกษาของทั้งสองประเทศ โดยรัฐมนตรีฯ ไทยได้นําเสนอว่าในการพัฒนาการศึกษานั้น จําเป็นต้องปรับแนวคิดของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา ทั้งนี้ ในฐานะของประธานสภาซีเมคยินดีจะใช้วาระนี้ขับเคลื่อนการดําเนินการเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาภูมิภาค และได้เชิญชวนรัฐมนตรีฯ กัมพูชาเข้าร่วมการประชุมสมัชชาการศึกษานานาชาติแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งมีกําหนดจัดในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ ประเทศไทยเพื่อแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีทางการศึกษาระหว่างกันในเวทีนานาชาติ ตลอดจนกล่าวถึงข้อริเริ่มของไทยที่จะร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการพัฒนามาตรฐานสมรรถนะครูในภูมิภาค สําหรับความร่วมมือในระดับทวิภาคีไทย-กัมพูชา รัฐมนตรีฯ ไทยกล่าวว่าประเทศไทยและกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน และมีโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างกันในหลายระดับ โดยโครงการที่สําคัญ ได้แก่ โครงการในพระราชดําริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่ทรงพระราชทานแก่ปวงชนชาวกัมพูชามาอย่างต่อเนื่องในจังหวัดกําปงธม (สถาบันเทคโนโลยีกําปงเฌอเตียล) และจังหวัดกําปงสปือ (สถาบันเทคโนโลยีกําปงสปือ)ฃ รัฐมนตรีฯ กัมพูชาเห็นพ้องถึงการขับเคลื่อนการดําเนินงานของซีมีโอโดยเห็นว่ากรอบความร่วมมือดังกล่าวมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาของภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม โดยปัจจุบันกัมพูชาให้ความสําคัญกับการพัฒนาครูและโรงเรียนต้นแบบเพื่อเป็นโรงเรียนตัวอย่างที่จะสามารถถ่ายทอดแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนการสอนไปยังโรงเรียนทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่าประชาชนกัมพูชารู้สึกซาบซึ้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้พระราชทานทุนการศึกษาในทุกระดับให้แก่กัมพูชาปีละ ๒๐๐ ทุน มาอย่างน้อย ๒๕ ปีแล้ว นับถึงปัจจุบันมีนักเรียน นักศึกษากัมพูชาได้รับพระราชทานทุนประมาณ ๕,๐๐๐ คน ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าการมาเยือนของรัฐมนตรีฯ ไทยในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ยิ่งต่อทั้งสองฝ่าย จากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-กัมพูชา (Memorandum of Understanding: MOU) ระหว่างกันซึ่งมีสาระสําคัญครอบคลุมความร่วมมือทางการศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ ในทุกระดับการศึกษาตั้งแต่การศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา และอุดมศึกษา โดยบันทึกความร่วมมือฉบับนี้เป็นฉบับที่ ๒ ที่ได้เพิ่มเติมสาระการจัดตั้งคณะทํางานร่วมด้านการศึกษาไทย-กัมพูชาเพื่อใช้เป็นเวทีในการหารือกิจกรรม/โครงการความร่วมมือระหว่างกัน และกําหนดระยะเวลาในการบังคับใช้และสิ้นสุดของบันทึกความเข้าใจเป็นระยะเวลา ๕ ปี จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไทยได้เดินทางเยี่ยมชม Preah Sisowath High Schoolซึ่งเป็นโรงเรียนต้นแบบในการจัดการศึกษาสําหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ โดยการจัดการเรียนการสอนแบ่งออกเป็น ๓ สาขาหลัก ได้แก่ ด้านฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และสังคมศาสตร์ และในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พระราชวังหลวง และวัดที่สําคัญของกัมพูชา อนึ่ง จากการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาในครั้งนี้ รัฐมนตรีฯ ไทยได้เห็นถึงความตั้งใจจริงในการพัฒนาการศึกษาของกัมพูชา โดยเฉพาะการทุ่มเททรัพยากรให้กับครูเป็นอย่างมาก ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์ในการประยุกต์ใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจํากัดเพื่อประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนและพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ซึ่งนับเป็นประสบการณ์สําคัญที่ควรเผยแพร่ให้ได้ทราบโดยทั่วกันต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1926
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยหนุน อ.อ.ป ก้าวขึ้นสู่องค์กรมาตรฐานรัฐวิสาหกิจ
วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 กรุงไทยหนุน อ.อ.ป ก้าวขึ้นสู่องค์กรมาตรฐานรัฐวิสาหกิจ ธ.กรุงไทยลงนามความร่วมมือกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ในโครงการสนับสนุนรัฐวิสาหกิจ ด้านการบริหารจัดการองค์กร โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบภายในการบริหารจัดการสารสนเทศ และการบริหารความเสี่ยง ตามนโยบายสนับสนุนรัฐวิสาหกิจก้าวสู่ระดับมาตรฐานและมีการพัฒนาที่ยั่งยืน นายวิชัย อัศรัสกร ประธานกรรมการตรวจสอบ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการสนับสนุนรัฐวิสาหกิจ ด้านการบริหารจัดการองค์กร ปี 2562 (โครงการพี่เลี้ยง ) ร่วมกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เพื่อเป็นกรอบแนวทางการพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการองค์กร ทั้ง 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการตรวจสอบภายใน การบริหารจัดการสารสนเทศ และการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้ อ.อ.ป ก้าว สู่องค์กรมาตรฐานรัฐวิสาหกิจ โดยธนาคารกรุงไทยได้เริ่มเป็นพี่เลี้ยง ตั้งแต่ปี 2561 และในปีนี้จะมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ และการบริหารจัดการ ในด้านต่างๆเพิ่มมากขึ้น “ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้จัดโครงการสนับสนุนรัฐวิสาหกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการ (โครงการพี่เลี้ยง) มีวัตถุประสงค์ ให้รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพด้านการบริหารจัดการองค์กร เป็นพี่เลี้ยงในการดูแล ส่งเสริม สนับสนุน และแบ่งปัน เพื่อยกระดับรัฐวิสาหกิจให้เข้าสู่ระดับมาตรฐาน และมีการพัฒนาที่ยั่งยืน ” นายพีรพันธ์ คอทอง ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ กล่าวว่า จากการที่ธนาคารกรุงไทยได้ถ่ายทอดความรู้ สนับสนุน ส่งเสริม และให้คําแนะนําในการยกระดับการบริหารจัดการองค์กรให้กับ อ.อ.ป ด้านการบริหารความเสี่ยง ส่งผลให้มีคะแนนด้านการบริหารความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเกือบ100% “ สําหรับในปีนี้ ธนาคารกรุงไทยให้คําแนะนําและถ่ายทอดความรู้ในด้านการบริหารจัดการสารสนเทศ และการตรวจสอบภายใน รวมทั้งเพิ่มเติมในด้านการบริหารความเสี่ยงเชิงลึกมากขึ้น โดยมั่นใจว่าอ.อ.ป.จะสามารถก้าวขึ้นเป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการอยู่ในระดับมาตรฐาน ของระบบประเมินผลการดําเนินงานรัฐวิสาหกิจของ สคร. และสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสององค์กรอีกด้วย “
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยหนุน อ.อ.ป ก้าวขึ้นสู่องค์กรมาตรฐานรัฐวิสาหกิจ วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 กรุงไทยหนุน อ.อ.ป ก้าวขึ้นสู่องค์กรมาตรฐานรัฐวิสาหกิจ ธ.กรุงไทยลงนามความร่วมมือกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ในโครงการสนับสนุนรัฐวิสาหกิจ ด้านการบริหารจัดการองค์กร โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบภายในการบริหารจัดการสารสนเทศ และการบริหารความเสี่ยง ตามนโยบายสนับสนุนรัฐวิสาหกิจก้าวสู่ระดับมาตรฐานและมีการพัฒนาที่ยั่งยืน นายวิชัย อัศรัสกร ประธานกรรมการตรวจสอบ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการสนับสนุนรัฐวิสาหกิจ ด้านการบริหารจัดการองค์กร ปี 2562 (โครงการพี่เลี้ยง ) ร่วมกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เพื่อเป็นกรอบแนวทางการพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการองค์กร ทั้ง 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการตรวจสอบภายใน การบริหารจัดการสารสนเทศ และการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้ อ.อ.ป ก้าว สู่องค์กรมาตรฐานรัฐวิสาหกิจ โดยธนาคารกรุงไทยได้เริ่มเป็นพี่เลี้ยง ตั้งแต่ปี 2561 และในปีนี้จะมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ และการบริหารจัดการ ในด้านต่างๆเพิ่มมากขึ้น “ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้จัดโครงการสนับสนุนรัฐวิสาหกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการ (โครงการพี่เลี้ยง) มีวัตถุประสงค์ ให้รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพด้านการบริหารจัดการองค์กร เป็นพี่เลี้ยงในการดูแล ส่งเสริม สนับสนุน และแบ่งปัน เพื่อยกระดับรัฐวิสาหกิจให้เข้าสู่ระดับมาตรฐาน และมีการพัฒนาที่ยั่งยืน ” นายพีรพันธ์ คอทอง ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ กล่าวว่า จากการที่ธนาคารกรุงไทยได้ถ่ายทอดความรู้ สนับสนุน ส่งเสริม และให้คําแนะนําในการยกระดับการบริหารจัดการองค์กรให้กับ อ.อ.ป ด้านการบริหารความเสี่ยง ส่งผลให้มีคะแนนด้านการบริหารความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเกือบ100% “ สําหรับในปีนี้ ธนาคารกรุงไทยให้คําแนะนําและถ่ายทอดความรู้ในด้านการบริหารจัดการสารสนเทศ และการตรวจสอบภายใน รวมทั้งเพิ่มเติมในด้านการบริหารความเสี่ยงเชิงลึกมากขึ้น โดยมั่นใจว่าอ.อ.ป.จะสามารถก้าวขึ้นเป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการอยู่ในระดับมาตรฐาน ของระบบประเมินผลการดําเนินงานรัฐวิสาหกิจของ สคร. และสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสององค์กรอีกด้วย “
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22588
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560
วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560 รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคภาคเอกชน "เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในหลายภูมิภาค รวมถึงการขยายตัวต่อเนื่องของภาคเกษตรและการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี" นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ว่า “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในหลายภูมิภาค รวมถึงการขยายตัวต่อเนื่องของภาคเกษตรและการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้ ภาคใต้ เศรษฐกิจขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 3.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.5 สอดคล้องกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งและยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 9.5 และ 28.4 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตร และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม โดยในเดือนมีนาคม ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 41.0 และ 58.8 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 15.8 และ 70.7 ต่อปี ตามลําดับ สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนที่ร้อยละ 3.2 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อปี ตามการขยายตัวของทั้งจํานวนนักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน จากยอดรถยนต์นั่งและยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 6.0 และ 3.6 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 6.9 และ 105.7 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 0.9 และ 40.4 ต่อปี ตามลําดับ สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ในอัตราเร่ง ทั้งจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน โดยขยายตัวที่ร้อยละ 13.1 และ 13.9 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 16.4 และ 18.0 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวของทั้งจํานวนและรายได้ของนักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ สอดคล้องกับภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.3 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค กทม.และปริมณฑล เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 2.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 0.8 เช่นเดียวกันกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทนที่กลับมาขยายตัวเช่นกัน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 7.7 ต่อปี ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายได้เกษตรกร และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ขยายตัวร้อยละ 8.1 และ 21.8 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.7 และ 35.7 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านอุปทาน ภาคเกษตร ขยายตัวต่อเนื่อง จากผลผลิตสําคัญ อาทิ ข้าว และข้าวโพด เป็นต้น สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรม ที่ส่งสัญญาณปรับตัวปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 89.7 ส่วนด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออก เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และการท่องเที่ยว เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่ขยายตัวร้อยละ 16.6 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 17.6 ต่อปี สําหรับการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดี สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ที่ขยายตัวร้อยละ 23.4 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 10.7 ต่อปี สอดคล้องกับการลงทุนภาครัฐในภูมิภาคที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ที่ขยายตัวร้อยละ 11.4 ต่อปี ส่งผลให้ไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 11.2 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวขยายตัวในเกณฑ์ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนที่ร้อยละ 7.9 และ 9.1 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 11.6 และ 14.9 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรมที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 104.1 ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ร้อยละ 0.8 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคกลาง เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภค การลงทุนภาครัฐ และการท่องเที่ยวเป็นหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้น้อย จากยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.2 ต่อปี สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากยอดรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ที่ขยายตัวร้อยละ 21.2 ต่อปี และ 1.0 ต่อปี ตามลําดับ เช่นเดียวกันกับรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลในภูมิภาคในเดือนมีนาคมขยายตัวที่ร้อยละ 7.8 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.3 ต่อปี ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวภายในภูมิภาค สําหรับด้านอุปทานขยายตัวต่อเนื่อง โดยภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนที่ร้อยละ 1.1 และ 2.3 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 1.8 และ 3.2 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ร้อยละ 1.7 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคเหนือ เศรษฐกิจยังคงทรงตัว อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวยังเป็นกลไกขับเคลื่อนที่สําคัญ สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 3.4 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 0.04 ส่วนด้านอุปทาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนที่ร้อยละ 1.6 และ 7.5 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 1.1 และ 5.5 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 ที่ยังอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันตก เศรษฐกิจยังทรงตัว อย่างไรก็ดี การลงทุนและภาคการท่องเที่ยวยังเป็นกลไกขับเคลื่อนที่สําคัญ สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในเดือนมีนาคม ขยายตัวร้อยละ 17.7 ต่อปี ตามการขยายตัวในหลายจังหวัด อาทิ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี เช่นเดียวกันกับรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลในภูมิภาคในเดือนมีนาคม ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 12.8 ต่อปี ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวภายในภูมิภาค ส่วนด้านอุปทาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนที่ร้อยละ 9.3 และ 18.6 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 10.9 และ 23.4 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 ที่ยังอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ร้อยละ 0.5 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค เอกสารแนบ รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 "เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และกทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในหลายภูมิภาค รวมถึงการขยายตัวต่อเนื่องของภาคเกษตรและการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี" 1. ภาคใต้ : เศรษฐกิจขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีการบริโภคภาคและการลงทุนเอกชน และการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ในด้านอุปสงค์ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนมีนาคมขยายตัวที่ร้อยละ 3.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.5 สอดคล้องกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งและยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 3.1 และ 28.4 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เป็นต้น ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรสําคัญ อาทิ ยางพาราและปาล์มน้ํามัน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม โดยในเดือนมีนาคม ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 41.0 และ 58.8 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 15.8 และ 70.7 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวของเงินลงทุนในจังหวัดเศรษฐกิจสําคัญ อาทิ จังหวัดสงขลา สุราษฎร์ธานี และกระบี่ เป็นต้น ในด้านอุปทาน พบว่าการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือน โดยในเดือนมีนาคม มีจํานวนผู้เยี่ยมเยือน 4.3 ล้านคนครั้ง ขยายตัวที่ร้อยละ 3.2 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.4 ต่อปี แบ่งเป็นผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยขยายตัวร้อยละ 2.0 ต่อปี ผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างประเทศขยายตัวร้อยละ 4.2 ต่อปี สอดคล้องกับรายได้จากการเยี่ยมเยือนในไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 1.3 ต่อปี ตามการขยายตัวของรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย และชาวต่างประเทศ ขยายตัวที่ร้อยละ 7.8 และ 0.2 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรม มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 85.1 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ คําสั่งซื้อ ยอดขาย และผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง และอุตสาหกรรมน้ํามันปาล์ม เป็นต้น ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยในเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี ขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 75,344 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.5 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 1 เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคใต้ หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ 8.6 11.5 12.0 8.5 2.1 2.5 1.7 2.1 3.6 2.5 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 6.2 14.2 5.0 1.5 1.5 -6.3 -19.2 -4.3 9.5 -6.3 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 7.2 -5.3 8.6 18.2 9.4 14.9 -5.4 23.1 28.4 14.9 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 66.0 66.8 64.9 66.1 66.1 66.4 65.1 66.6 67.5 66.4 รายได้เกษตรกร 10.5 -11.8 -1.5 20.4 28.7 48.7 44.7 66.4 30.9 48.7 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ -0.7 9.3 0.8 -6.4 -6.7 15.8 0.7 11.1 41.0 15.8 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ 4.0 9.2 -1.2 3.9 4.3 -14.1 -14.5 -6.6 -19.0 -14.1 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม -30.7 27.9 -48.6 41.9 -58.1 70.7 226.7 -48.8 58.8 70.7 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 84.8 84.1 84.3 84.4 86.4 81.8 76.6 83.6 85.1 81.8 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน 13.3 9.7 18.7 12.1 13.5 3.4 4.3 2.7 3.2 3.4 รายได้จากการเยี่ยมเยือน 19.0 12.9 26.7 20.0 20.1 1.3 9.9 -1.8 -3.5 1.3 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 0.2 -0.9 0.2 0.4 1.2 2.0 2.4 2.2 1.4 2.0 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 1.3 1.3 1.4 1.2 1.5 - 1.4 1.5 - 1.5 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. 2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน โดยมีการบริโภคและการลงทุนเอกชน และการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ในด้านอุปสงค์ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน จากยอดรถยนต์นั่งและยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 6.0 และ 3.6 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวในจังหวัดเศรษฐกิจสําคัญ อาทิ จังหวัดบุรีรัมย์ เลย ศรีสะเกษ ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้เกษตรกรที่ขยายตัวต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม 2560 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 6.9 และ 105.7 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 0.9 และ 40.4 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวของเงินลงทุนในจังหวัดเศรษฐกิจสําคัญ อาทิ จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา และเลย เป็นต้น ในด้านอุปทาน พบว่าการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยในเดือนมีนาคม มีจํานวนผู้เยี่ยมเยือน 2.9 ล้านคนครั้ง ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันที่ร้อยละ 13.1 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวได้ดีร้อยละ 16.4 ต่อปี แบ่งเป็นผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 14.8 ต่อปี และผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างประเทศขยายตัวที่ร้อยละ 28.3 ต่อปี ในขณะที่รายได้จากการเยี่ยมเยือนในเดือนมีนาคม อยู่ที่ 5,673 ล้านบาท ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 13.9 ต่อปี และในไตรมาส 1 ปี 2560 ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 18.0 ต่อปี แบ่งเป็นรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยขยายตัวที่ร้อยละ 11.8 ต่อปี และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างประเทศขยายตัวที่ร้อยละ 25.6 ต่อปี สอดคล้องกับภาคการเกษตรปรับตัวดีขึ้น จากการขยายตัวของผลผลิตสินค้าเกษตรสําคัญ โดยเฉพาะข้าว ข้าวโพด และอ้อยโรงงาน เป็นต้น เช่นเดียวกันกับภาคอุตสาหกรรมมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 82.4 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ คําสั่งซื้อ ยอดขาย และผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมน้ําตาล และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับที่ยังเอื้อต่อการบริโภคภายในภูมิภาคที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี ขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 147,575 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.3 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 2 เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ 8.5 13.0 9.8 5.5 5.6 0.3 0.1 2.1 -1.2 0.3 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 5.2 21.6 2.3 2.4 -8.4 -9.0 -15.8 -14.2 6.0 -9.0 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 0.7 -10.6 4.2 6.9 4.4 5.2 0.1 13.1 3.6 5.2 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 63.9 65.0 63.0 64.2 63.4 65.2 64.5 65.2 65.8 65.2 รายได้เกษตรกร -12.4 -22.7 -11.3 -2.9 -6.7 8.3 -6.3 5.7 30.7 8.3 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ -8.8 -8.8 -7.8 -3.1 -15.3 0.9 -3.7 -0.8 6.9 0.9 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ -6.6 -5.6 0.6 -2.5 -17.7 -8.7 -4.9 -5.3 -14.5 -8.7 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม 7.3 -60.5 -19.5 16.4 82.2 40.4 59.5 -40.9 105.7 40.4 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 77.9 79.9 74.6 76.5 80.4 80.9 81.3 79.0 82.4 80.9 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน 2.0 -6.9 -3.5 9.1 8.0 16.4 24.7 10.6 13.1 16.4 รายได้จากการเยี่ยมเยือน 1.0 -6.5 -2.4 6.6 5.5 18.0 28.9 10.2 13.9 18.0 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 0.9 0.3 1.3 0.8 1.1 1.5 1.9 1.5 0.9 1.5 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 0.9 0.8 1.1 0.9 0.9 - 1.3 1.3 - 1.3 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. 3. กทม. และปริมณฑล: เศรษฐกิจภูมิภาคขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ในด้านอุปสงค์ พบว่าการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 2.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 0.8 สอดคล้องกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทนที่กลับมาขยายตัวเช่นกัน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 7.7 ต่อปี ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะสมุทรสาคร สมุทรปราการ และกรุงเทพฯ เป็นต้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม ขยายตัวร้อยละ 8.1 และ 21.8 ต่อปี ตามลําดับ โดยเป็นการลงทุนในโรงงานผลิตคาร์บอนในจังหวัดสมุทรปราการ และโรงงาน ผลิตอาหาร ในจังหวัดสมุทรสาคร เป็นต้น ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 4.7 และ 35.7 ต่อปี ในด้านอุปทาน พบว่าภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ สะท้อนจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 13.7 ล้านคน-ครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 1.0 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นของจํานวนผู้เยี่ยมเยือนขาวไทย ที่ขยายตัวร้อยละ 3.7 ต่อปี โดยเฉพาะจังหวัดสมุทรปราการ และนนทบุรี เป็นสําคัญ สอดคล้องกับภาคการเกษตรปรับตัวดีขึ้น จากการขยายตัวของผลผลิตสินค้าเกษตรสําคัญ โดยเฉพาะข้าว ข้าวโพด และอ้อยโรงงาน เป็นต้น เช่นเดียวกันกับภาคอุตสาหกรรมมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 89.7 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ คําสั่งซื้อ ยอดขาย และผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมรองเท้า และอุตสาหกรรมพลาสติก เป็นต้น ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี ขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 106,069 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 3 เครื่องชี้เศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ 0.9 -0.1 4.7 0.7 -1.5 0.8 -0.5 0.4 2.6 0.8 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 4.6 14.6 14.7 0.1 -14.7 -7.4 -16.9 -12.3 7.7 -7.4 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 11.4 8.4 12.9 17.2 7.3 1.1 -6.8 11.9 -0.2 1.1 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 60.3 62.1 59.2 60.3 59.8 62.6 61.5 62.7 63.5 62.6 รายได้เกษตรกร -3.6 -6.5 -2.1 0.0 -3.6 12.5 -6.3 -0.6 52.0 12.5 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ 2.6 3.3 1.7 14.7 -10.4 -2.1 -16.4 1.2 9.2 -2.1 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ -2.9 -15.4 -4.0 0.3 7.6 4.7 -9.5 17.0 8.1 4.7 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม -46.4 -43.4 -25.9 -62.8 -43.6 35.7 62.4 32.2 21.8 35.7 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 89.5 89.7 89.7 88.1 90.4 89.4 90.1 88.5 89.7 89.4 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน -1.4 31.4 8.8 -7.7 -21.4 1.0 4.6 -0.9 -2.3 1.0 รายได้จากการเยี่ยมเยือน -15.3 35.9 12.1 -8.3 -42.2 -8.9 -0.9 -24.2 -6.3 -8.9 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 0.3 -0.3 0.4 0.3 0.7 1.3 1.6 1.4 0.8 1.3 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 1.0 0.9 0.9 0.8 1.1 - 1.0 1.0 - 1.0 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. 4. ภาคตะวันออก : เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และการท่องเที่ยว เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ในด้านอุปสงค์ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนทั้งการบริโภคสินค้าและบริการที่ปรับตัวดีขึ้น จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 16.6 ต่อปี ตามการขยายตัวได้ดีในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรี ระยอง และจันทบุรี เป็นต้น ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้เกษตรกรขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 17.6 ต่อปี สอดคล้องกับการลงทุนภาคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวได้ดี สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ที่ขยายตัวร้อยละ 23.4 ต่อปี ตามการขยายตัวในจังหวัดชลบุรี ระยอง และปราจีนบุรี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 10.7 ต่อปี เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาครัฐในภูมิภาคที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ที่ขยายตัวร้อยละ 11.4 ต่อปี ส่งผลให้ไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 11.2 ต่อปี ในด้านอุปทาน พบว่าการท่องเที่ยวขยายตัวดีทั้งจํานวนและรายได้ โดยในเดือนมีนาคม มีจํานวนผู้เยี่ยมเยือน 4.2 ล้านคนครั้ง ขยายตัวร้อยละ 7.9 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 11.6 ต่อปี แบ่งเป็นผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยขยายตัวร้อยละ 15.3 ต่อปี และผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างประเทศขยายตัวที่ร้อยละ 4.3 ต่อปี ส่วนรายได้จากการเยี่ยมเยือนในเดือนมีนาคม อยู่ที่ 29,234 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.1 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 14.9 ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวทั้งรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย และชาวต่างประเทศขยายตัว ที่ร้อยละ 10.4 และ 17.5 ต่อปี เช่นเดียวกันกับภาคเกษตรที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตและราคาสินค้าเกษตร สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรม มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 104.1 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ คําสั่งซื้อ ยอดขาย และผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และอะไหล่ยานยนต์ เป็นต้น ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี ในขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 26,448 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.8 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 4 เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคตะวันออก หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ 0.9 -3.6 -1.1 2.0 6.3 17.6 16.6 19.9 16.6 17.6 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 4.0 20.2 2.5 -4.2 -8.0 -14.5 -21.3 -11.0 -11.2 -14.5 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 5.3 -9.9 12.2 18.3 5.1 0.8 -9.3 19.1 -4.5 0.8 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 63.9 65.1 62.4 64.0 63.9 67.0 65.7 66.9 68.5 67.0 รายได้เกษตรกร 7.7 -5.5 3.2 11.4 19.9 41.2 13.9 29.5 92.8 41.2 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ -6.9 0.0 -13.7 -6.8 -8.6 -13.0 -16.7 -19.2 -2.4 -13.0 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ -1.1 -8.5 -9.6 2.1 13.7 10.7 -15.8 27.4 23.4 10.7 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม -11.0 1.1 -46.7 56.6 77.9 -33.3 -45.1 144.5 -56.7 -33.3 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 94.6 89.2 93.6 98.7 96.8 103.2 102.4 103.0 104.1 103.2 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน 37.1 34.1 33.3 43.6 37.8 11.6 15.1 11.9 7.9 11.6 รายได้จากการเยี่ยมเยือน 69.6 61.8 66.7 72.3 76.5 14.9 23.2 13.2 9.1 14.9 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 0.2 -0.7 0.4 0.3 0.6 1.7 2.0 1.9 1.1 1.7 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 0.8 1.0 0.9 0.9 0.7 - 0.8 0.8 - 0.8 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. 5. ภาคกลาง : เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภค การลงทุนภาครัฐ และการท่องเที่ยวเป็นหลัก ในด้านอุปสงค์ พบว่าการบริโภคภาคเอกชนในสินค้าคงทนของผู้มีรายได้น้อยปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นในจังหวัดสุพรรณบุรี และชัยนาท เป็นต้น ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.2 ต่อปี สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากยอดรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 21.2 ต่อปี และ 1.0 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดสุพรรณบุรี อ่างทอง และสิงห์บุรี เป็นสําคัญ เช่นเดียวกันกับรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลในภูมิภาคในเดือนมีนาคมขยายตัวที่ร้อยละ 7.8 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.3 ต่อปี ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวภายในภูมิภาค ในด้านอุปทาน พบว่าการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้ โดยในเดือนมีนาคม มีจํานวนผู้เยี่ยมเยือน 1.4 ล้านคนครั้ง ขยายตัวที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 1.8 ต่อปี แบ่งเป็นผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยขยายตัวร้อยละ 2.2 ต่อปี และผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างประเทศขยายตัวร้อยละ 0.5 ต่อปี ส่วนรายได้จากการเยี่ยมเยือนในเดือนมีนาคม อยู่ที่ 2,297 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.3 ต่อปี ทําให้รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวเช่นเดียวกันที่ร้อยละ 3.2 ต่อปี ตามการขยายตัวของทั้งรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ขยายตัวร้อยละ 3.7 และ 2.0 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับภาคเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น จากผลผลิตสินค้าสําคัญ อาทิ ข้าวเปลือก ข้าวโพด และอ้อยโรงงาน เช่นเดียวกันกับภาคอุตสาหกรรมมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 89.7 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ คําสั่งซื้อ ยอดขาย และผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมรองเท้า และอุตสาหกรรมพลาสติก เป็นต้น ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยในเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟัอทั่วไปอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี ขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 32,192 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.7 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 5 เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคกลาง หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ 7.0 5.1 7.8 11.4 4.1 -3.9 6.6 -10.5 -6.5 -3.9 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 10.3 16.2 13.4 11.0 -2.9 -8.9 -18.3 -4.6 -2.0 -8.9 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 2.0 -6.8 9.3 7.2 0.3 2.2 -12.1 18.9 3.0 2.2 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 59.8 60.8 58.7 60.2 59.6 61.8 61.0 61.6 62.7 61.8 รายได้เกษตรกร -6.2 -11.1 -8.68 -3.53 -3.4 6.2 -7.7 3.3 25.2 6.2 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ 3.3 1.7 6.8 -0.5 6.1 -0.9 -18.8 4.4 21.2 -0.9 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ -18.2 -12.3 -27.7 -11.0 -19.1 1.0 -13.4 20.7 1.0 1.0 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม -54.4 6.4 -60.5 -81.9 -60.5 10.2 160.9 -30.5 -46.1 10.2 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 89.5 89.7 89.7 88.1 90.4 89.4 90.1 88.5 89.7 89.4 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน 9.9 16.7 17.2 6.3 4.7 1.8 0.8 3.6 1.1 1.8 รายได้จากการเยี่ยมเยือน 17.5 31.6 35.1 14.9 2.4 3.2 3.6 3.5 2.3 3.2 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 0.7 0.0 1.1 0.7 0.9 1.4 1.9 1.6 0.7 1.4 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 1.5 1.3 1.8 1.4 1.4 - 1.7 1.7 - 1.7 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. 6. ภาคเหนือ : เศรษฐกิจภูมิภาคยังคงทรงตัว อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวยังเป็นกลไกขับเคลื่อนที่สําคัญ ในด้านอุปสงค์ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 3.4 ต่อปี ตามการขยายตัวได้ดีจังหวัดน่าน เพชรบูรณ์ เชียงราย และลําพูน เป็นต้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 67.0 ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 0.04 ต่อปี ในด้านอุปทาน พบว่าการท่องเที่ยวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในเดือนมีนาคม มีจํานวนผู้เยี่ยมเยือน อยู่ที่ 2.9 ล้านคน-ครั้ง ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 1.1 ต่อปี โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ที่ขยายตัวร้อยละ 4.4 ต่อปี สอดคล้องกับรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในเดือนมีนาคม ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 7.5 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวได้ร้อยละ 5.5 ต่อปี ตามการขยายตัวของรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ที่ขยายตัวร้อยละ 11.8 ต่อปี สอดคล้องกับภาคการเกษตรปรับตัวดีขึ้นจากผลผลิตสําคัญ อาทิ ข้าวเปลือก ข้าวโพด และอ้อยโรงงาน เป็นต้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวภายในภูมิภาค ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี ขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 64,129 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 6 เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคเหนือ หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ 16.3 26.4 22.8 13.7 3.3 0.0 0.6 -3.5 3.4 0.0 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 3.8 15.8 5.5 3.1 -16.3 -13.7 -18.0 -7.3 -13.8 -13.7 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 3.4 -2.8 2.7 16.3 -0.9 -0.3 -7.3 13.1 -3.9 -0.3 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 63.9 64.5 62.8 64.1 64.2 66.3 65.4 66.4 67.0 66.3 รายได้เกษตรกร -12.4 -22.7 -11.3 -2.9 -6.7 8.3 205.3 226.8 219.4 8.3 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ -7.5 -1.4 0.0 -4.4 -26.3 -1.3 6.3 -1.1 -9.1 -1.3 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ -4.6 -4.8 -5.5 -11.9 4.5 -5.4 -17.7 9.3 -3.1 -5.4 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม 11.3 130.0 -49.6 -1.2 58.7 -79.3 -91.3 -24.1 -64.8 -79.3 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 76.7 81.6 74.1 71.8 79.4 76.2 79.5 76.3 72.9 76.2 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน 0.5 5.5 6.4 7.5 -11.2 1.1 4.9 -3.8 1.6 1.1 รายได้จากการเยี่ยมเยือน 3.5 9.8 8.4 8.2 -5.6 5.5 9.2 -0.8 7.5 5.5 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 0.9 -0.5 1.4 1.1 1.4 1.8 2.3 1.9 1.1 1.8 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 0.9 0.9 0.9 0.9 1.0 - 0.9 1.0 - 0.9 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. 7. ภาคตะวันตก : เศรษฐกิจภูมิภาคยังทรงตัว โดยมีการลงทุน และภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ในด้านอุปสงค์ พบว่า การลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 17.7 ต่อปี ตามการขยายตัวในจังหวัดเศรษฐกิจสําคัญ อาทิ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี สอดคลล้องกับรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลในภูมิภาคในเดือนมีนาคม ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 12.8 ต่อปี ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวภายในภูมิภาค ในด้านอุปทาน พบว่าการท่องเที่ยวขยายตัวทั้งจํานวนและรายได้ และเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวภายในภูมิภาค โดยในเดือนมีนาคม มีจํานวนผู้เยี่ยมเยือน 2.3 ล้านคนครั้ง ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 9.3 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 10.9 ต่อปี ตามการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนไทยและคนต่างประเทศที่ร้อยละ 12.2 และ 1.9 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนมีนาคม อยู่ที่ 7,757 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.6 ต่อปี ทําให้ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2560 ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 23.4 ต่อปี ตามการขยายตัวในอัตราเร่งของรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนทั้งคนไทยและคนต่างประเทศที่ร้อยละ 27.7 และ 10.9 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับภาคเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น จากผลผลิตสินค้าสําคัญ อาทิ ข้าวเปลือก ข้าวโพด และอ้อยโรงงาน เช่นเดียวกันกับภาคอุตสาหกรรมมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 89.7 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ คําสั่งซื้อ ยอดขาย และผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมรองเท้า และอุตสาหกรรมพลาสติก เป็นต้น ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี ขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 11,621 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.5 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 7 เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคตะวันตก หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ -18.9 -16.3 -16.3 -23.5 -19.1 -13.7 -18.8 -12.7 -9.1 -13.7 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 9.0 16.2 8.8 10.9 -4.5 -14.0 -15.8 -16.3 -9.3 -14.0 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 5.3 1.1 5.7 15.7 -0.1 -5.5 -19.0 10.4 -4.5 -5.5 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 59.8 60.8 58.7 60.2 59.6 61.8 61.0 61.6 62.7 61.8 รายได้เกษตรกร -15.5 -17.6 -18.7 9.3 -16.7 0.8 -9.5 -3.8 23.5 0.8 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ -16.2 -4.1 -12.9 -15.5 -34.4 -4.9 -4.3 -9.6 -1.4 -4.9 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ -16.0 -19.8 -7.0 -19.3 -17.1 -4.1 -8.0 -17.0 17.7 -4.1 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม -2.4 1,402.7 147.5 -36.7 -78.6 -89.5 -82.3 -94.3 -80.4 -89.5 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 89.5 89.7 89.7 88.1 90.4 89.4 90.1 88.5 89.7 89.4 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน 0.5 -5.8 -4.6 4.6 6.0 10.9 6.6 17.5 9.3 10.9 รายได้จากการเยี่ยมเยือน 8.5 -3.1 5.7 10.2 18.8 23.4 16.7 36.1 18.6 23.4 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 1.0 -0.4 1.2 1.2 1.8 2.1 2.8 2.2 1.4 2.1 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 0.7 0.6 0.8 0.8 0.6 - 0.4 0.5 - 0.5 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560 รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคภาคเอกชน "เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในหลายภูมิภาค รวมถึงการขยายตัวต่อเนื่องของภาคเกษตรและการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี" นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ว่า “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในหลายภูมิภาค รวมถึงการขยายตัวต่อเนื่องของภาคเกษตรและการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้ ภาคใต้ เศรษฐกิจขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 3.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.5 สอดคล้องกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งและยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 9.5 และ 28.4 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตร และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม โดยในเดือนมีนาคม ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 41.0 และ 58.8 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 15.8 และ 70.7 ต่อปี ตามลําดับ สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนที่ร้อยละ 3.2 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อปี ตามการขยายตัวของทั้งจํานวนนักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน จากยอดรถยนต์นั่งและยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 6.0 และ 3.6 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 6.9 และ 105.7 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 0.9 และ 40.4 ต่อปี ตามลําดับ สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ในอัตราเร่ง ทั้งจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน โดยขยายตัวที่ร้อยละ 13.1 และ 13.9 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 16.4 และ 18.0 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวของทั้งจํานวนและรายได้ของนักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ สอดคล้องกับภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.3 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค กทม.และปริมณฑล เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 2.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 0.8 เช่นเดียวกันกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทนที่กลับมาขยายตัวเช่นกัน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 7.7 ต่อปี ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายได้เกษตรกร และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ขยายตัวร้อยละ 8.1 และ 21.8 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 4.7 และ 35.7 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านอุปทาน ภาคเกษตร ขยายตัวต่อเนื่อง จากผลผลิตสําคัญ อาทิ ข้าว และข้าวโพด เป็นต้น สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรม ที่ส่งสัญญาณปรับตัวปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 89.7 ส่วนด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออก เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และการท่องเที่ยว เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่ขยายตัวร้อยละ 16.6 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 17.6 ต่อปี สําหรับการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดี สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ที่ขยายตัวร้อยละ 23.4 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 10.7 ต่อปี สอดคล้องกับการลงทุนภาครัฐในภูมิภาคที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ที่ขยายตัวร้อยละ 11.4 ต่อปี ส่งผลให้ไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 11.2 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวขยายตัวในเกณฑ์ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนที่ร้อยละ 7.9 และ 9.1 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 11.6 และ 14.9 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรมที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 104.1 ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ร้อยละ 0.8 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคกลาง เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภค การลงทุนภาครัฐ และการท่องเที่ยวเป็นหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้น้อย จากยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.2 ต่อปี สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากยอดรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ที่ขยายตัวร้อยละ 21.2 ต่อปี และ 1.0 ต่อปี ตามลําดับ เช่นเดียวกันกับรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลในภูมิภาคในเดือนมีนาคมขยายตัวที่ร้อยละ 7.8 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.3 ต่อปี ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวภายในภูมิภาค สําหรับด้านอุปทานขยายตัวต่อเนื่อง โดยภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนที่ร้อยละ 1.1 และ 2.3 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 1.8 และ 3.2 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ร้อยละ 1.7 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคเหนือ เศรษฐกิจยังคงทรงตัว อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวยังเป็นกลไกขับเคลื่อนที่สําคัญ สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 3.4 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 0.04 ส่วนด้านอุปทาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนที่ร้อยละ 1.6 และ 7.5 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 1.1 และ 5.5 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 ที่ยังอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันตก เศรษฐกิจยังทรงตัว อย่างไรก็ดี การลงทุนและภาคการท่องเที่ยวยังเป็นกลไกขับเคลื่อนที่สําคัญ สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในเดือนมีนาคม ขยายตัวร้อยละ 17.7 ต่อปี ตามการขยายตัวในหลายจังหวัด อาทิ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี เช่นเดียวกันกับรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลในภูมิภาคในเดือนมีนาคม ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 12.8 ต่อปี ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวภายในภูมิภาค ส่วนด้านอุปทาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือนที่ร้อยละ 9.3 และ 18.6 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 10.9 และ 23.4 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2560 ที่ยังอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ร้อยละ 0.5 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค เอกสารแนบ รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 "เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และกทม.และปริมณฑล โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในหลายภูมิภาค รวมถึงการขยายตัวต่อเนื่องของภาคเกษตรและการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี" 1. ภาคใต้ : เศรษฐกิจขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีการบริโภคภาคและการลงทุนเอกชน และการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ในด้านอุปสงค์ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนมีนาคมขยายตัวที่ร้อยละ 3.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.5 สอดคล้องกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งและยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 3.1 และ 28.4 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เป็นต้น ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรสําคัญ อาทิ ยางพาราและปาล์มน้ํามัน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม โดยในเดือนมีนาคม ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 41.0 และ 58.8 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 15.8 และ 70.7 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวของเงินลงทุนในจังหวัดเศรษฐกิจสําคัญ อาทิ จังหวัดสงขลา สุราษฎร์ธานี และกระบี่ เป็นต้น ในด้านอุปทาน พบว่าการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี สะท้อนจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือน โดยในเดือนมีนาคม มีจํานวนผู้เยี่ยมเยือน 4.3 ล้านคนครั้ง ขยายตัวที่ร้อยละ 3.2 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.4 ต่อปี แบ่งเป็นผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยขยายตัวร้อยละ 2.0 ต่อปี ผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างประเทศขยายตัวร้อยละ 4.2 ต่อปี สอดคล้องกับรายได้จากการเยี่ยมเยือนในไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 1.3 ต่อปี ตามการขยายตัวของรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย และชาวต่างประเทศ ขยายตัวที่ร้อยละ 7.8 และ 0.2 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรม มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 85.1 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ คําสั่งซื้อ ยอดขาย และผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง และอุตสาหกรรมน้ํามันปาล์ม เป็นต้น ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยในเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี ขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 75,344 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.5 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 1 เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคใต้ หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ 8.6 11.5 12.0 8.5 2.1 2.5 1.7 2.1 3.6 2.5 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 6.2 14.2 5.0 1.5 1.5 -6.3 -19.2 -4.3 9.5 -6.3 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 7.2 -5.3 8.6 18.2 9.4 14.9 -5.4 23.1 28.4 14.9 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 66.0 66.8 64.9 66.1 66.1 66.4 65.1 66.6 67.5 66.4 รายได้เกษตรกร 10.5 -11.8 -1.5 20.4 28.7 48.7 44.7 66.4 30.9 48.7 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ -0.7 9.3 0.8 -6.4 -6.7 15.8 0.7 11.1 41.0 15.8 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ 4.0 9.2 -1.2 3.9 4.3 -14.1 -14.5 -6.6 -19.0 -14.1 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม -30.7 27.9 -48.6 41.9 -58.1 70.7 226.7 -48.8 58.8 70.7 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 84.8 84.1 84.3 84.4 86.4 81.8 76.6 83.6 85.1 81.8 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน 13.3 9.7 18.7 12.1 13.5 3.4 4.3 2.7 3.2 3.4 รายได้จากการเยี่ยมเยือน 19.0 12.9 26.7 20.0 20.1 1.3 9.9 -1.8 -3.5 1.3 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 0.2 -0.9 0.2 0.4 1.2 2.0 2.4 2.2 1.4 2.0 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 1.3 1.3 1.4 1.2 1.5 - 1.4 1.5 - 1.5 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. 2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน โดยมีการบริโภคและการลงทุนเอกชน และการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ในด้านอุปสงค์ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน จากยอดรถยนต์นั่งและยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 6.0 และ 3.6 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวในจังหวัดเศรษฐกิจสําคัญ อาทิ จังหวัดบุรีรัมย์ เลย ศรีสะเกษ ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้เกษตรกรที่ขยายตัวต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม 2560 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 6.9 และ 105.7 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 0.9 และ 40.4 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวของเงินลงทุนในจังหวัดเศรษฐกิจสําคัญ อาทิ จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา และเลย เป็นต้น ในด้านอุปทาน พบว่าการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยในเดือนมีนาคม มีจํานวนผู้เยี่ยมเยือน 2.9 ล้านคนครั้ง ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันที่ร้อยละ 13.1 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวได้ดีร้อยละ 16.4 ต่อปี แบ่งเป็นผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 14.8 ต่อปี และผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างประเทศขยายตัวที่ร้อยละ 28.3 ต่อปี ในขณะที่รายได้จากการเยี่ยมเยือนในเดือนมีนาคม อยู่ที่ 5,673 ล้านบาท ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 13.9 ต่อปี และในไตรมาส 1 ปี 2560 ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 18.0 ต่อปี แบ่งเป็นรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยขยายตัวที่ร้อยละ 11.8 ต่อปี และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างประเทศขยายตัวที่ร้อยละ 25.6 ต่อปี สอดคล้องกับภาคการเกษตรปรับตัวดีขึ้น จากการขยายตัวของผลผลิตสินค้าเกษตรสําคัญ โดยเฉพาะข้าว ข้าวโพด และอ้อยโรงงาน เป็นต้น เช่นเดียวกันกับภาคอุตสาหกรรมมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 82.4 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ คําสั่งซื้อ ยอดขาย และผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมน้ําตาล และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับที่ยังเอื้อต่อการบริโภคภายในภูมิภาคที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี ขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 147,575 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.3 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 2 เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ 8.5 13.0 9.8 5.5 5.6 0.3 0.1 2.1 -1.2 0.3 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 5.2 21.6 2.3 2.4 -8.4 -9.0 -15.8 -14.2 6.0 -9.0 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 0.7 -10.6 4.2 6.9 4.4 5.2 0.1 13.1 3.6 5.2 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 63.9 65.0 63.0 64.2 63.4 65.2 64.5 65.2 65.8 65.2 รายได้เกษตรกร -12.4 -22.7 -11.3 -2.9 -6.7 8.3 -6.3 5.7 30.7 8.3 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ -8.8 -8.8 -7.8 -3.1 -15.3 0.9 -3.7 -0.8 6.9 0.9 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ -6.6 -5.6 0.6 -2.5 -17.7 -8.7 -4.9 -5.3 -14.5 -8.7 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม 7.3 -60.5 -19.5 16.4 82.2 40.4 59.5 -40.9 105.7 40.4 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 77.9 79.9 74.6 76.5 80.4 80.9 81.3 79.0 82.4 80.9 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน 2.0 -6.9 -3.5 9.1 8.0 16.4 24.7 10.6 13.1 16.4 รายได้จากการเยี่ยมเยือน 1.0 -6.5 -2.4 6.6 5.5 18.0 28.9 10.2 13.9 18.0 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 0.9 0.3 1.3 0.8 1.1 1.5 1.9 1.5 0.9 1.5 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 0.9 0.8 1.1 0.9 0.9 - 1.3 1.3 - 1.3 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. 3. กทม. และปริมณฑล: เศรษฐกิจภูมิภาคขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ในด้านอุปสงค์ พบว่าการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 2.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 0.8 สอดคล้องกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทนที่กลับมาขยายตัวเช่นกัน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 7.7 ต่อปี ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะสมุทรสาคร สมุทรปราการ และกรุงเทพฯ เป็นต้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม ขยายตัวร้อยละ 8.1 และ 21.8 ต่อปี ตามลําดับ โดยเป็นการลงทุนในโรงงานผลิตคาร์บอนในจังหวัดสมุทรปราการ และโรงงาน ผลิตอาหาร ในจังหวัดสมุทรสาคร เป็นต้น ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 4.7 และ 35.7 ต่อปี ในด้านอุปทาน พบว่าภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ สะท้อนจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 13.7 ล้านคน-ครั้ง หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 1.0 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นของจํานวนผู้เยี่ยมเยือนขาวไทย ที่ขยายตัวร้อยละ 3.7 ต่อปี โดยเฉพาะจังหวัดสมุทรปราการ และนนทบุรี เป็นสําคัญ สอดคล้องกับภาคการเกษตรปรับตัวดีขึ้น จากการขยายตัวของผลผลิตสินค้าเกษตรสําคัญ โดยเฉพาะข้าว ข้าวโพด และอ้อยโรงงาน เป็นต้น เช่นเดียวกันกับภาคอุตสาหกรรมมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 89.7 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ คําสั่งซื้อ ยอดขาย และผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมรองเท้า และอุตสาหกรรมพลาสติก เป็นต้น ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี ขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 106,069 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 3 เครื่องชี้เศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ 0.9 -0.1 4.7 0.7 -1.5 0.8 -0.5 0.4 2.6 0.8 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 4.6 14.6 14.7 0.1 -14.7 -7.4 -16.9 -12.3 7.7 -7.4 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 11.4 8.4 12.9 17.2 7.3 1.1 -6.8 11.9 -0.2 1.1 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 60.3 62.1 59.2 60.3 59.8 62.6 61.5 62.7 63.5 62.6 รายได้เกษตรกร -3.6 -6.5 -2.1 0.0 -3.6 12.5 -6.3 -0.6 52.0 12.5 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ 2.6 3.3 1.7 14.7 -10.4 -2.1 -16.4 1.2 9.2 -2.1 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ -2.9 -15.4 -4.0 0.3 7.6 4.7 -9.5 17.0 8.1 4.7 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม -46.4 -43.4 -25.9 -62.8 -43.6 35.7 62.4 32.2 21.8 35.7 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 89.5 89.7 89.7 88.1 90.4 89.4 90.1 88.5 89.7 89.4 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน -1.4 31.4 8.8 -7.7 -21.4 1.0 4.6 -0.9 -2.3 1.0 รายได้จากการเยี่ยมเยือน -15.3 35.9 12.1 -8.3 -42.2 -8.9 -0.9 -24.2 -6.3 -8.9 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 0.3 -0.3 0.4 0.3 0.7 1.3 1.6 1.4 0.8 1.3 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 1.0 0.9 0.9 0.8 1.1 - 1.0 1.0 - 1.0 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. 4. ภาคตะวันออก : เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และการท่องเที่ยว เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ในด้านอุปสงค์ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนทั้งการบริโภคสินค้าและบริการที่ปรับตัวดีขึ้น จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 16.6 ต่อปี ตามการขยายตัวได้ดีในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรี ระยอง และจันทบุรี เป็นต้น ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้เกษตรกรขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 17.6 ต่อปี สอดคล้องกับการลงทุนภาคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวได้ดี สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ที่ขยายตัวร้อยละ 23.4 ต่อปี ตามการขยายตัวในจังหวัดชลบุรี ระยอง และปราจีนบุรี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 10.7 ต่อปี เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาครัฐในภูมิภาคที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ที่ขยายตัวร้อยละ 11.4 ต่อปี ส่งผลให้ไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 11.2 ต่อปี ในด้านอุปทาน พบว่าการท่องเที่ยวขยายตัวดีทั้งจํานวนและรายได้ โดยในเดือนมีนาคม มีจํานวนผู้เยี่ยมเยือน 4.2 ล้านคนครั้ง ขยายตัวร้อยละ 7.9 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 11.6 ต่อปี แบ่งเป็นผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยขยายตัวร้อยละ 15.3 ต่อปี และผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างประเทศขยายตัวที่ร้อยละ 4.3 ต่อปี ส่วนรายได้จากการเยี่ยมเยือนในเดือนมีนาคม อยู่ที่ 29,234 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 9.1 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 14.9 ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวทั้งรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย และชาวต่างประเทศขยายตัว ที่ร้อยละ 10.4 และ 17.5 ต่อปี เช่นเดียวกันกับภาคเกษตรที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตและราคาสินค้าเกษตร สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรม มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 104.1 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ คําสั่งซื้อ ยอดขาย และผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และอะไหล่ยานยนต์ เป็นต้น ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี ในขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 26,448 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.8 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 4 เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคตะวันออก หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ 0.9 -3.6 -1.1 2.0 6.3 17.6 16.6 19.9 16.6 17.6 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 4.0 20.2 2.5 -4.2 -8.0 -14.5 -21.3 -11.0 -11.2 -14.5 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 5.3 -9.9 12.2 18.3 5.1 0.8 -9.3 19.1 -4.5 0.8 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 63.9 65.1 62.4 64.0 63.9 67.0 65.7 66.9 68.5 67.0 รายได้เกษตรกร 7.7 -5.5 3.2 11.4 19.9 41.2 13.9 29.5 92.8 41.2 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ -6.9 0.0 -13.7 -6.8 -8.6 -13.0 -16.7 -19.2 -2.4 -13.0 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ -1.1 -8.5 -9.6 2.1 13.7 10.7 -15.8 27.4 23.4 10.7 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม -11.0 1.1 -46.7 56.6 77.9 -33.3 -45.1 144.5 -56.7 -33.3 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 94.6 89.2 93.6 98.7 96.8 103.2 102.4 103.0 104.1 103.2 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน 37.1 34.1 33.3 43.6 37.8 11.6 15.1 11.9 7.9 11.6 รายได้จากการเยี่ยมเยือน 69.6 61.8 66.7 72.3 76.5 14.9 23.2 13.2 9.1 14.9 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 0.2 -0.7 0.4 0.3 0.6 1.7 2.0 1.9 1.1 1.7 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 0.8 1.0 0.9 0.9 0.7 - 0.8 0.8 - 0.8 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. 5. ภาคกลาง : เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภค การลงทุนภาครัฐ และการท่องเที่ยวเป็นหลัก ในด้านอุปสงค์ พบว่าการบริโภคภาคเอกชนในสินค้าคงทนของผู้มีรายได้น้อยปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นในจังหวัดสุพรรณบุรี และชัยนาท เป็นต้น ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.2 ต่อปี สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากยอดรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 21.2 ต่อปี และ 1.0 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดสุพรรณบุรี อ่างทอง และสิงห์บุรี เป็นสําคัญ เช่นเดียวกันกับรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลในภูมิภาคในเดือนมีนาคมขยายตัวที่ร้อยละ 7.8 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.3 ต่อปี ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวภายในภูมิภาค ในด้านอุปทาน พบว่าการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้ โดยในเดือนมีนาคม มีจํานวนผู้เยี่ยมเยือน 1.4 ล้านคนครั้ง ขยายตัวที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 1.8 ต่อปี แบ่งเป็นผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยขยายตัวร้อยละ 2.2 ต่อปี และผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างประเทศขยายตัวร้อยละ 0.5 ต่อปี ส่วนรายได้จากการเยี่ยมเยือนในเดือนมีนาคม อยู่ที่ 2,297 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.3 ต่อปี ทําให้รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวเช่นเดียวกันที่ร้อยละ 3.2 ต่อปี ตามการขยายตัวของทั้งรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ขยายตัวร้อยละ 3.7 และ 2.0 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับภาคเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น จากผลผลิตสินค้าสําคัญ อาทิ ข้าวเปลือก ข้าวโพด และอ้อยโรงงาน เช่นเดียวกันกับภาคอุตสาหกรรมมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 89.7 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ คําสั่งซื้อ ยอดขาย และผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมรองเท้า และอุตสาหกรรมพลาสติก เป็นต้น ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยในเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟัอทั่วไปอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี ขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 32,192 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.7 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 5 เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคกลาง หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ 7.0 5.1 7.8 11.4 4.1 -3.9 6.6 -10.5 -6.5 -3.9 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 10.3 16.2 13.4 11.0 -2.9 -8.9 -18.3 -4.6 -2.0 -8.9 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 2.0 -6.8 9.3 7.2 0.3 2.2 -12.1 18.9 3.0 2.2 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 59.8 60.8 58.7 60.2 59.6 61.8 61.0 61.6 62.7 61.8 รายได้เกษตรกร -6.2 -11.1 -8.68 -3.53 -3.4 6.2 -7.7 3.3 25.2 6.2 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ 3.3 1.7 6.8 -0.5 6.1 -0.9 -18.8 4.4 21.2 -0.9 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ -18.2 -12.3 -27.7 -11.0 -19.1 1.0 -13.4 20.7 1.0 1.0 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม -54.4 6.4 -60.5 -81.9 -60.5 10.2 160.9 -30.5 -46.1 10.2 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 89.5 89.7 89.7 88.1 90.4 89.4 90.1 88.5 89.7 89.4 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน 9.9 16.7 17.2 6.3 4.7 1.8 0.8 3.6 1.1 1.8 รายได้จากการเยี่ยมเยือน 17.5 31.6 35.1 14.9 2.4 3.2 3.6 3.5 2.3 3.2 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 0.7 0.0 1.1 0.7 0.9 1.4 1.9 1.6 0.7 1.4 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 1.5 1.3 1.8 1.4 1.4 - 1.7 1.7 - 1.7 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. 6. ภาคเหนือ : เศรษฐกิจภูมิภาคยังคงทรงตัว อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวยังเป็นกลไกขับเคลื่อนที่สําคัญ ในด้านอุปสงค์ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวที่ร้อยละ 3.4 ต่อปี ตามการขยายตัวได้ดีจังหวัดน่าน เพชรบูรณ์ เชียงราย และลําพูน เป็นต้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 67.0 ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 0.04 ต่อปี ในด้านอุปทาน พบว่าการท่องเที่ยวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในเดือนมีนาคม มีจํานวนผู้เยี่ยมเยือน อยู่ที่ 2.9 ล้านคน-ครั้ง ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 1.1 ต่อปี โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ที่ขยายตัวร้อยละ 4.4 ต่อปี สอดคล้องกับรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในเดือนมีนาคม ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 7.5 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ขยายตัวได้ร้อยละ 5.5 ต่อปี ตามการขยายตัวของรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ที่ขยายตัวร้อยละ 11.8 ต่อปี สอดคล้องกับภาคการเกษตรปรับตัวดีขึ้นจากผลผลิตสําคัญ อาทิ ข้าวเปลือก ข้าวโพด และอ้อยโรงงาน เป็นต้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวภายในภูมิภาค ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี ขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 64,129 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 6 เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคเหนือ หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ 16.3 26.4 22.8 13.7 3.3 0.0 0.6 -3.5 3.4 0.0 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 3.8 15.8 5.5 3.1 -16.3 -13.7 -18.0 -7.3 -13.8 -13.7 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 3.4 -2.8 2.7 16.3 -0.9 -0.3 -7.3 13.1 -3.9 -0.3 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 63.9 64.5 62.8 64.1 64.2 66.3 65.4 66.4 67.0 66.3 รายได้เกษตรกร -12.4 -22.7 -11.3 -2.9 -6.7 8.3 205.3 226.8 219.4 8.3 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ -7.5 -1.4 0.0 -4.4 -26.3 -1.3 6.3 -1.1 -9.1 -1.3 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ -4.6 -4.8 -5.5 -11.9 4.5 -5.4 -17.7 9.3 -3.1 -5.4 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม 11.3 130.0 -49.6 -1.2 58.7 -79.3 -91.3 -24.1 -64.8 -79.3 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 76.7 81.6 74.1 71.8 79.4 76.2 79.5 76.3 72.9 76.2 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน 0.5 5.5 6.4 7.5 -11.2 1.1 4.9 -3.8 1.6 1.1 รายได้จากการเยี่ยมเยือน 3.5 9.8 8.4 8.2 -5.6 5.5 9.2 -0.8 7.5 5.5 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 0.9 -0.5 1.4 1.1 1.4 1.8 2.3 1.9 1.1 1.8 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 0.9 0.9 0.9 0.9 1.0 - 0.9 1.0 - 0.9 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. 7. ภาคตะวันตก : เศรษฐกิจภูมิภาคยังทรงตัว โดยมีการลงทุน และภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ในด้านอุปสงค์ พบว่า การลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 17.7 ต่อปี ตามการขยายตัวในจังหวัดเศรษฐกิจสําคัญ อาทิ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี สอดคลล้องกับรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลในภูมิภาคในเดือนมีนาคม ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 12.8 ต่อปี ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวภายในภูมิภาค ในด้านอุปทาน พบว่าการท่องเที่ยวขยายตัวทั้งจํานวนและรายได้ และเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวภายในภูมิภาค โดยในเดือนมีนาคม มีจํานวนผู้เยี่ยมเยือน 2.3 ล้านคนครั้ง ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 9.3 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 10.9 ต่อปี ตามการขยายตัวทั้งผู้เยี่ยมเยือนคนไทยและคนต่างประเทศที่ร้อยละ 12.2 และ 1.9 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนมีนาคม อยู่ที่ 7,757 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.6 ต่อปี ทําให้ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2560 ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 23.4 ต่อปี ตามการขยายตัวในอัตราเร่งของรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนทั้งคนไทยและคนต่างประเทศที่ร้อยละ 27.7 และ 10.9 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับภาคเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น จากผลผลิตสินค้าสําคัญ อาทิ ข้าวเปลือก ข้าวโพด และอ้อยโรงงาน เช่นเดียวกันกับภาคอุตสาหกรรมมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 89.7 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ คําสั่งซื้อ ยอดขาย และผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมรองเท้า และอุตสาหกรรมพลาสติก เป็นต้น ในด้านเสถียรภาพภายใน พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเดือนมีนาคม 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี ขณะที่จํานวนการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 11,621 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.5 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ตารางที่ 7 เครื่องชี้เศรษฐกิจภาคตะวันตก หน่วย: %yoy ทั้งปี 2559 ปี 2559 ปี 2560 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 ม.ค. ก.พ. มี.ค. YTD เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ -18.9 -16.3 -16.3 -23.5 -19.1 -13.7 -18.8 -12.7 -9.1 -13.7 ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ 9.0 16.2 8.8 10.9 -4.5 -14.0 -15.8 -16.3 -9.3 -14.0 ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 5.3 1.1 5.7 15.7 -0.1 -5.5 -19.0 10.4 -4.5 -5.5 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ระดับ) 59.8 60.8 58.7 60.2 59.6 61.8 61.0 61.6 62.7 61.8 รายได้เกษตรกร -15.5 -17.6 -18.7 9.3 -16.7 0.8 -9.5 -3.8 23.5 0.8 เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชน ยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ -16.2 -4.1 -12.9 -15.5 -34.4 -4.9 -4.3 -9.6 -1.4 -4.9 ยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ -16.0 -19.8 -7.0 -19.3 -17.1 -4.1 -8.0 -17.0 17.7 -4.1 เงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม -2.4 1,402.7 147.5 -36.7 -78.6 -89.5 -82.3 -94.3 -80.4 -89.5 เครื่องชี้อุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ระดับ) 89.5 89.7 89.7 88.1 90.4 89.4 90.1 88.5 89.7 89.4 เครื่องชี้การท่องเที่ยว จํานวนผู้เยี่ยมเยือน 0.5 -5.8 -4.6 4.6 6.0 10.9 6.6 17.5 9.3 10.9 รายได้จากการเยี่ยมเยือน 8.5 -3.1 5.7 10.2 18.8 23.4 16.7 36.1 18.6 23.4 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (เบื้องต้น) 1.0 -0.4 1.2 1.2 1.8 2.1 2.8 2.2 1.4 2.1 อัตราการว่างงาน (% ต่อกําลังแรงงาน) 0.7 0.6 0.8 0.8 0.6 - 0.4 0.5 - 0.5 ที่มา: กรมสรรพากร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยตลาดการท่องเที่ยว สํานักดัชนีการค้า สํานักงานสถิติแห่งชาติ คํานวณและรวบรวม: สศค. ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3336
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย/สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน กับความสัมพันธ์ที่ดีมายาวนานกว่า 60 ปี
วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 ไทย/สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน กับความสัมพันธ์ที่ดีมายาวนานกว่า 60 ปี เมื่อ 13 มิ.ย.61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับนาย Asim Iftikhar Ahmac (อะศิม อิฟติคัร อะห์มัด) ออท.สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับ ในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง ณ ศาลาว่าการกลาโหม ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันถึงการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันที่มีมากว่า 60 ปี ให้แนบแน่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคง ที่อยู่ระหว่างการจัดทําเป็นบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ และเมื่อลงนามร่วมกันแล้วจะได้พัฒนาไปสู่ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูง การฝึกร่วม การศึกษา และด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รอง นรม.และ รมว.กห. ได้กล่าวชื่นชมปากีสถานถึงบทบาทที่สร้างสรรค์กับอินเดีย พร้อมทั้งยืนยันว่า ไทยสนับสนุนและให้ความสําคัญกับการปกป้องสิทธิมนุษยชน การเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงระหว่างกัน พร้อมทั้งขอขอบคุณที่สนับสนุนไทยในเวที OIC มาโดยตลอด ทั้งนี้ นาย Asim กล่าวย้ําว่า ปากีสถานมีความเข้าใจสถานการณ์ของไทย และพร้อมจะให้การสนับสนุนไทยตลอดไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย/สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน กับความสัมพันธ์ที่ดีมายาวนานกว่า 60 ปี วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 ไทย/สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน กับความสัมพันธ์ที่ดีมายาวนานกว่า 60 ปี เมื่อ 13 มิ.ย.61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับนาย Asim Iftikhar Ahmac (อะศิม อิฟติคัร อะห์มัด) ออท.สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับ ในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง ณ ศาลาว่าการกลาโหม ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันถึงการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันที่มีมากว่า 60 ปี ให้แนบแน่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคง ที่อยู่ระหว่างการจัดทําเป็นบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ และเมื่อลงนามร่วมกันแล้วจะได้พัฒนาไปสู่ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูง การฝึกร่วม การศึกษา และด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รอง นรม.และ รมว.กห. ได้กล่าวชื่นชมปากีสถานถึงบทบาทที่สร้างสรรค์กับอินเดีย พร้อมทั้งยืนยันว่า ไทยสนับสนุนและให้ความสําคัญกับการปกป้องสิทธิมนุษยชน การเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงระหว่างกัน พร้อมทั้งขอขอบคุณที่สนับสนุนไทยในเวที OIC มาโดยตลอด ทั้งนี้ นาย Asim กล่าวย้ําว่า ปากีสถานมีความเข้าใจสถานการณ์ของไทย และพร้อมจะให้การสนับสนุนไทยตลอดไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13024
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จไปทรงเปิดอาคารศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติจุฬาภรณ์ รพ.ร้อยเอ็ดและอาคาร60ปี จุฬาภรณ์ รพ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562 สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จไปทรงเปิดอาคารศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติจุฬาภรณ์ รพ.ร้อยเอ็ดและอาคาร60ปี จุฬาภรณ์ รพ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จไปทรงเปิด “อาคารศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติจุฬาภรณ์” รพ.ร้อยเอ็ด และ“อาคาร 60 ปี จุฬาภรณ์” รพ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด วันนี้ (25 สิงหาคม 2562) สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จไปทรงเปิด “อาคารศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติจุฬาภรณ์” โรงพยาบาลร้อยเอ็ด และ“อาคาร 60 ปี จุฬาภรณ์” โรงพยาบาลพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ข้าราชการ และประชาชน เฝ้ารับเสด็จ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กราบทูลรายงานว่า สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงตระหนักถึงปัญหาโรคมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ําดี เป็นสาเหตุสําคัญของการเสียชีวิตผู้ป่วยในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด นํามาสู่การลงนามความร่วมมือระหว่าง 3 องค์กร คือ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กระทรวงสาธารณสุข โดยสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ดกับโรงพยาบาลร้อยเอ็ด และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เมื่อ พ.ศ. 2552 เพื่อร่วมกันป้องกันควบคุมโรคมะเร็งอย่างเป็นระบบ โดยใช้การวิจัยนําสู่การพัฒนาระบบและบริการที่มีประสิทธิภาพ พร้อมกับดําเนินโครงการศึกษาวิจัยปัญหาสุขภาพระยะยาวฐานประชากร จังหวัดร้อยเอ็ด ภายใต้ชื่อ “โครงการพระกรุณาธิคุณฯ สําหรับประชาชนในอําเภอพนมไพรและอําเภอหนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด” ซึ่งจะสร้างองค์ความรู้ด้านการป้องกันควบคุมโรคที่สําคัญในอนาคตสําหรับประเทศไทยได้ ศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด เริ่มให้บริการเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2560 เป็นศูนย์เชี่ยวชาญระดับสูง ด้านมะเร็งตับและท่อทางเดินน้ําดี รองรับภูมิภาคอาเซียน ดูแล รักษาโรคมะเร็งครบวงจร ด้วยเครื่องมือทันสมัยมีประสิทธิภาพการรักษาสูง มีหน่วยรังสีรักษาด้วยเครื่องฉายรังสีเร่งอนุภาค (LINAC) เครื่องใส่แร่กัมมันตภาพรังสี (Brachytherapy) เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จําลองการรักษาแบบ 3 มิติ ที่ได้รับงบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุข เริ่มให้บริการด้วยรังสีรักษา เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2560 ขณะนี้มีผู้ป่วยรับการฉายแสงประมาณ 80 ราย/วัน มีศักยภาพในการฉายรังสี 1,000 ราย/ปี ให้บริการประชาชนทั้งในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และจังหวัดอื่นๆ นอกจากนี้ยังได้สร้างบ้านพักสําหรับผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อลดค่าเช่าที่พักระหว่างการฉายแสง รองรับผู้ป่วย 20 คนต่อวัน และได้พัฒนาศูนย์กรุณาพีร์คําทอน ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคองที่บ้าน ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้อยู่กับครอบครัวด้วยความรักความอบอุ่นในช่วงสุดท้ายของชีวิต และยังได้ร่วมมือกับกรมการแพทย์พัฒนาการผ่าตัดตับ การพัฒนาบุคลากรร่วมกับศูนย์วิจัยมะเร็งนานาชาติขององค์การอนามัยโลก (WHO-IARC) ณ ประเทศฝรั่งเศส และได้รับความร่วมมือในการส่งบุคลากรไปศึกษาดูงานที่ Memorial Sloan Kettering cancer center ศูนย์มะเร็งของประเทศสหรัฐอเมริกา สําหรับโรงพยาบาลพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ได้รับงบประมาณ 61,325,000 บาท ในก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก 4 ชั้น แล้วเสร็จเมื่อปี 2557 โดยได้รับพระราชทานนามอาคารว่า “อาคาร 60 ปี จุฬาภรณ์” และได้รับพระราชทานพระนามย่อ “จ.ภ.” เพื่อประดับอาคาร ************************************25 สิงหาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จไปทรงเปิดอาคารศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติจุฬาภรณ์ รพ.ร้อยเอ็ดและอาคาร60ปี จุฬาภรณ์ รพ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562 สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จไปทรงเปิดอาคารศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติจุฬาภรณ์ รพ.ร้อยเอ็ดและอาคาร60ปี จุฬาภรณ์ รพ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จไปทรงเปิด “อาคารศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติจุฬาภรณ์” รพ.ร้อยเอ็ด และ“อาคาร 60 ปี จุฬาภรณ์” รพ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด วันนี้ (25 สิงหาคม 2562) สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จไปทรงเปิด “อาคารศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติจุฬาภรณ์” โรงพยาบาลร้อยเอ็ด และ“อาคาร 60 ปี จุฬาภรณ์” โรงพยาบาลพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ข้าราชการ และประชาชน เฝ้ารับเสด็จ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กราบทูลรายงานว่า สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงตระหนักถึงปัญหาโรคมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ําดี เป็นสาเหตุสําคัญของการเสียชีวิตผู้ป่วยในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด นํามาสู่การลงนามความร่วมมือระหว่าง 3 องค์กร คือ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กระทรวงสาธารณสุข โดยสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ดกับโรงพยาบาลร้อยเอ็ด และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เมื่อ พ.ศ. 2552 เพื่อร่วมกันป้องกันควบคุมโรคมะเร็งอย่างเป็นระบบ โดยใช้การวิจัยนําสู่การพัฒนาระบบและบริการที่มีประสิทธิภาพ พร้อมกับดําเนินโครงการศึกษาวิจัยปัญหาสุขภาพระยะยาวฐานประชากร จังหวัดร้อยเอ็ด ภายใต้ชื่อ “โครงการพระกรุณาธิคุณฯ สําหรับประชาชนในอําเภอพนมไพรและอําเภอหนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด” ซึ่งจะสร้างองค์ความรู้ด้านการป้องกันควบคุมโรคที่สําคัญในอนาคตสําหรับประเทศไทยได้ ศูนย์มะเร็งเฉลิมพระเกียรติจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด เริ่มให้บริการเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2560 เป็นศูนย์เชี่ยวชาญระดับสูง ด้านมะเร็งตับและท่อทางเดินน้ําดี รองรับภูมิภาคอาเซียน ดูแล รักษาโรคมะเร็งครบวงจร ด้วยเครื่องมือทันสมัยมีประสิทธิภาพการรักษาสูง มีหน่วยรังสีรักษาด้วยเครื่องฉายรังสีเร่งอนุภาค (LINAC) เครื่องใส่แร่กัมมันตภาพรังสี (Brachytherapy) เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จําลองการรักษาแบบ 3 มิติ ที่ได้รับงบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุข เริ่มให้บริการด้วยรังสีรักษา เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2560 ขณะนี้มีผู้ป่วยรับการฉายแสงประมาณ 80 ราย/วัน มีศักยภาพในการฉายรังสี 1,000 ราย/ปี ให้บริการประชาชนทั้งในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และจังหวัดอื่นๆ นอกจากนี้ยังได้สร้างบ้านพักสําหรับผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อลดค่าเช่าที่พักระหว่างการฉายแสง รองรับผู้ป่วย 20 คนต่อวัน และได้พัฒนาศูนย์กรุณาพีร์คําทอน ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายแบบประคับประคองที่บ้าน ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้อยู่กับครอบครัวด้วยความรักความอบอุ่นในช่วงสุดท้ายของชีวิต และยังได้ร่วมมือกับกรมการแพทย์พัฒนาการผ่าตัดตับ การพัฒนาบุคลากรร่วมกับศูนย์วิจัยมะเร็งนานาชาติขององค์การอนามัยโลก (WHO-IARC) ณ ประเทศฝรั่งเศส และได้รับความร่วมมือในการส่งบุคลากรไปศึกษาดูงานที่ Memorial Sloan Kettering cancer center ศูนย์มะเร็งของประเทศสหรัฐอเมริกา สําหรับโรงพยาบาลพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ได้รับงบประมาณ 61,325,000 บาท ในก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก 4 ชั้น แล้วเสร็จเมื่อปี 2557 โดยได้รับพระราชทานนามอาคารว่า “อาคาร 60 ปี จุฬาภรณ์” และได้รับพระราชทานพระนามย่อ “จ.ภ.” เพื่อประดับอาคาร ************************************25 สิงหาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22487
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อุตตมฯ นำทัพ กสอ. และ สสว. จับมือ SMBA เกาหลี ยกระดับ SMEs ไทย"
วันอังคารที่ 4 เมษายน 2560 "อุตตมฯ นําทัพ กสอ. และ สสว. จับมือ SMBA เกาหลี ยกระดับ SMEs ไทย" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นําทัพ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จับมือ สํานักงานธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก SMBA ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ยกระดับ SMEs ไทย เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2560 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และ H.E. Mr. Noh Kwang-IL เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทย ให้เกียรติเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU 2 ฉบับ ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ปทุมวัน โดยฉบับแรกเป็นการลงนาม MOU ระหว่างสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยมีนางสาลินี วังตาล ผู้อํานวยการ สสว. กับ สํานักงานธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (The Small and Medium Business Administration (SMBA)) H.E. Dr. Young Sup Joo ผู้บริหารสูงสุดของ SMBA ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี เป็นผู้แทนลงนาม ซึ่ง MOU ฉบับแรกเน้นการตกลงร่วมกันให้เกิดความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีไทย-เกาหลี ผ่านแนวทางการร่วมกันจัดตั้ง Thailand-Korea Technology Exchanges Center (TKTEC) เพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยให้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากเกาหลี ผ่านการร่วมลงทุนและรูปแบบต่างๆ ของการจับคู่ธุรกิจ ส่วนฉบับที่ 2 เป็นการลงนาม MOU ความตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) โดยมี นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กับ สํานักงานธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (The Small and Medium Business Administration (SMBA)) H.E. Dr. Young Sup Joo ผู้บริหารสูงสุด SMBA ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี เป็นผู้แทนลงนาม ซึ่ง MOU ฉบับที่สอง เป็นการเห็นพ้องกันของทั้ง 2 ฝ่ายในการจัดให้มีรูปแบบคณะกรรมการร่วม (Joint Committee) จะถูกระบุอยู่ใน MOU ฉบับที่ 2 โดยจัดให้มีกรอบความร่วมมือในรูปแบบคณะกรรมการร่วม โดยจัดให้มีการประชุมกันทุกๆ ปี เพื่อหารือมาตรการต่างๆ ในการส่งเสริม การแลกเปลี่ยนทางการค้า การลงทุน การร่วมทุน และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีระหว่างเอสเอ็มอีไทย-สาธารณรัฐเกาหลี โดยการประชุมคณะกรรมการร่วมจะจัดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศเกาหลี ประกอบด้วย 1. การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีสําหรับ SMEs 2. ความร่วมมือด้าน Tech Statups และ 3. การส่งเสริมและอํานวยความสะดวกให้นักลงทุนจากเกาหลีใต้เข้ามามีส่วนร่วมในระเบียบเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อุตตมฯ นำทัพ กสอ. และ สสว. จับมือ SMBA เกาหลี ยกระดับ SMEs ไทย" วันอังคารที่ 4 เมษายน 2560 "อุตตมฯ นําทัพ กสอ. และ สสว. จับมือ SMBA เกาหลี ยกระดับ SMEs ไทย" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นําทัพ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จับมือ สํานักงานธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก SMBA ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ยกระดับ SMEs ไทย เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2560 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และ H.E. Mr. Noh Kwang-IL เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทย ให้เกียรติเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU 2 ฉบับ ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ปทุมวัน โดยฉบับแรกเป็นการลงนาม MOU ระหว่างสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยมีนางสาลินี วังตาล ผู้อํานวยการ สสว. กับ สํานักงานธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (The Small and Medium Business Administration (SMBA)) H.E. Dr. Young Sup Joo ผู้บริหารสูงสุดของ SMBA ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี เป็นผู้แทนลงนาม ซึ่ง MOU ฉบับแรกเน้นการตกลงร่วมกันให้เกิดความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีไทย-เกาหลี ผ่านแนวทางการร่วมกันจัดตั้ง Thailand-Korea Technology Exchanges Center (TKTEC) เพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยให้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากเกาหลี ผ่านการร่วมลงทุนและรูปแบบต่างๆ ของการจับคู่ธุรกิจ ส่วนฉบับที่ 2 เป็นการลงนาม MOU ความตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) โดยมี นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กับ สํานักงานธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (The Small and Medium Business Administration (SMBA)) H.E. Dr. Young Sup Joo ผู้บริหารสูงสุด SMBA ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี เป็นผู้แทนลงนาม ซึ่ง MOU ฉบับที่สอง เป็นการเห็นพ้องกันของทั้ง 2 ฝ่ายในการจัดให้มีรูปแบบคณะกรรมการร่วม (Joint Committee) จะถูกระบุอยู่ใน MOU ฉบับที่ 2 โดยจัดให้มีกรอบความร่วมมือในรูปแบบคณะกรรมการร่วม โดยจัดให้มีการประชุมกันทุกๆ ปี เพื่อหารือมาตรการต่างๆ ในการส่งเสริม การแลกเปลี่ยนทางการค้า การลงทุน การร่วมทุน และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีระหว่างเอสเอ็มอีไทย-สาธารณรัฐเกาหลี โดยการประชุมคณะกรรมการร่วมจะจัดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศเกาหลี ประกอบด้วย 1. การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีสําหรับ SMEs 2. ความร่วมมือด้าน Tech Statups และ 3. การส่งเสริมและอํานวยความสะดวกให้นักลงทุนจากเกาหลีใต้เข้ามามีส่วนร่วมในระเบียบเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2876
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกสธ. แนะประชาชนเตรียมร่างกายให้พร้อมขับรถกลับหลังฉลองปีใหม่
วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2561 โฆษกสธ. แนะประชาชนเตรียมร่างกายให้พร้อมขับรถกลับหลังฉลองปีใหม่ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ที่ขับรถเตรียมร่างกายให้พร้อมเดินทางกลับหลังฉลองเทศกาลปีใหม่ พักผ่อนให้เพียงพอ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากมีอาการง่วง อย่าฝืนขับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการหลับใน โฆษกกระทรวงสาธารณสุขแนะผู้ที่ขับรถเตรียมร่างกายให้พร้อมเดินทางกลับหลังฉลองเทศกาลปีใหม่ พักผ่อนให้เพียงพองดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากมีอาการง่วง อย่าฝืนขับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการหลับใน นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าในวันที่ 2 มกราคม 2561ประชาชนจะเริ่มเดินทางกลับเข้าทํางานหลังวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ ข้อมูลในปีที่ผ่านมา พบผู้บาดเจ็บจากการจราจร จากการหลับใน เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการง่วงนอน หรือมีอาการเมาค้างจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก ติดต่อกันหลายวัน ซึ่งจะมีผลต่อการขับขี่พาหนะ ทําให้ประสาทสัมผัสช้าลง สมองตื้อ การตัดสินใจผิดพลาด ใจลอย สมองสั่งการกล้ามเนื้อช้าลง เมื่อเกิดเหตุการณ์คับขัน จึงแตะเบรกได้ช้ากว่าปกติ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย “จึงขอย้ําเตือนผู้ขับขี่ให้เตรียมร่างกายให้พร้อมเดินทาง โดยพักผ่อนให้เต็มที่อย่างน้อย8ชั่วโมง งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือกินยาที่ออกฤทธิ์ทําให้ง่วงซึมได้ เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาแก้ไอ ยานอนหลับ ยาคลายเครียด ยากันชัก เป็นต้น เพราะการดื่มแอลกอฮอล์แม้ว่าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดจะต่ํากว่าที่กฎหมายกําหนดคือ50มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ก็จะมีผลให้การตัดสินใจช้ากว่าปกติถึง2เท่าตัว และหากระยะทางไกลควรมีผู้ผลัดเปลี่ยนขับรถได้จะเป็นการดี” นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า วิธีการแก้อาการง่วงนอนขณะขับรถมีหลายวิธี เช่น รับประทานของขบเคี้ยวที่มีรสเปรี้ยวหรือดื่มเครื่องดื่มแช่เย็น จะช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า หรือเปิดหน้าต่างรถให้อากาศถ่ายเท และให้ลมปะทะหน้า เปิดเพลงฟังดังๆ จังหวะเร็ว หรือร้องตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้ขับขี่หรือผู้ร่วมเดินทาง ช่วยกันสังเกตสัญญาณของอาการง่วง หลับในของผู้ขับ ซึ่งมี8ประการ ได้แก่1.หาวบ่อยและต่อเนื่อง2.ใจลอยไม่มีสมาธิ3.รู้สึกเหนื่อยล้า หงุดหงิด กระวนกระวาย4.จําไม่ได้ว่าขับรถผ่านอะไรมาในช่วง2 - 3กิโลเมตรที่ผ่านมา5.รู้สึกหนักหนังตา ลืมตาไม่ขึ้น ตาปรือ มองเห็นภาพไม่ชัด6.รู้สึกมึนหนักศีรษะ7.ขับรถส่ายไปมาหรือออกนอกเส้นทาง และ8.มองข้ามสัญญาณไฟ และป้ายจราจร หากมีอาการดังกล่าวเพียงข้อใดข้อหนึ่ง ขอให้จอดรถในที่ปลอดภัยเพื่องีบหลับประมาณ15นาที ก่อนขับต่อหรือเปลี่ยนให้ผู้ อื่นขับรถแทนอย่าฝืนขับเด็ดขาด และเมื่อขับรถทางไกล 4 ชั่วโมงต้องหยุดพัก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกสธ. แนะประชาชนเตรียมร่างกายให้พร้อมขับรถกลับหลังฉลองปีใหม่ วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2561 โฆษกสธ. แนะประชาชนเตรียมร่างกายให้พร้อมขับรถกลับหลังฉลองปีใหม่ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ที่ขับรถเตรียมร่างกายให้พร้อมเดินทางกลับหลังฉลองเทศกาลปีใหม่ พักผ่อนให้เพียงพอ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากมีอาการง่วง อย่าฝืนขับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการหลับใน โฆษกกระทรวงสาธารณสุขแนะผู้ที่ขับรถเตรียมร่างกายให้พร้อมเดินทางกลับหลังฉลองเทศกาลปีใหม่ พักผ่อนให้เพียงพองดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากมีอาการง่วง อย่าฝืนขับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการหลับใน นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าในวันที่ 2 มกราคม 2561ประชาชนจะเริ่มเดินทางกลับเข้าทํางานหลังวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ ข้อมูลในปีที่ผ่านมา พบผู้บาดเจ็บจากการจราจร จากการหลับใน เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการง่วงนอน หรือมีอาการเมาค้างจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก ติดต่อกันหลายวัน ซึ่งจะมีผลต่อการขับขี่พาหนะ ทําให้ประสาทสัมผัสช้าลง สมองตื้อ การตัดสินใจผิดพลาด ใจลอย สมองสั่งการกล้ามเนื้อช้าลง เมื่อเกิดเหตุการณ์คับขัน จึงแตะเบรกได้ช้ากว่าปกติ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย “จึงขอย้ําเตือนผู้ขับขี่ให้เตรียมร่างกายให้พร้อมเดินทาง โดยพักผ่อนให้เต็มที่อย่างน้อย8ชั่วโมง งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือกินยาที่ออกฤทธิ์ทําให้ง่วงซึมได้ เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาแก้ไอ ยานอนหลับ ยาคลายเครียด ยากันชัก เป็นต้น เพราะการดื่มแอลกอฮอล์แม้ว่าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดจะต่ํากว่าที่กฎหมายกําหนดคือ50มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ก็จะมีผลให้การตัดสินใจช้ากว่าปกติถึง2เท่าตัว และหากระยะทางไกลควรมีผู้ผลัดเปลี่ยนขับรถได้จะเป็นการดี” นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า วิธีการแก้อาการง่วงนอนขณะขับรถมีหลายวิธี เช่น รับประทานของขบเคี้ยวที่มีรสเปรี้ยวหรือดื่มเครื่องดื่มแช่เย็น จะช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า หรือเปิดหน้าต่างรถให้อากาศถ่ายเท และให้ลมปะทะหน้า เปิดเพลงฟังดังๆ จังหวะเร็ว หรือร้องตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้ขับขี่หรือผู้ร่วมเดินทาง ช่วยกันสังเกตสัญญาณของอาการง่วง หลับในของผู้ขับ ซึ่งมี8ประการ ได้แก่1.หาวบ่อยและต่อเนื่อง2.ใจลอยไม่มีสมาธิ3.รู้สึกเหนื่อยล้า หงุดหงิด กระวนกระวาย4.จําไม่ได้ว่าขับรถผ่านอะไรมาในช่วง2 - 3กิโลเมตรที่ผ่านมา5.รู้สึกหนักหนังตา ลืมตาไม่ขึ้น ตาปรือ มองเห็นภาพไม่ชัด6.รู้สึกมึนหนักศีรษะ7.ขับรถส่ายไปมาหรือออกนอกเส้นทาง และ8.มองข้ามสัญญาณไฟ และป้ายจราจร หากมีอาการดังกล่าวเพียงข้อใดข้อหนึ่ง ขอให้จอดรถในที่ปลอดภัยเพื่องีบหลับประมาณ15นาที ก่อนขับต่อหรือเปลี่ยนให้ผู้ อื่นขับรถแทนอย่าฝืนขับเด็ดขาด และเมื่อขับรถทางไกล 4 ชั่วโมงต้องหยุดพัก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9137
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แต่งตั้ง คกก.มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม
วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561 แต่งตั้ง คกก.มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๑ เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมชุดใหม่ จํานวน ๒๘ คน โดย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เป็นประธานกรรมการบริหาร ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่๑๒มีนาคม ๒๕๖๑เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมชุดใหม่จํานวน ๒๘ คน โดยพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เป็นประธานกรรมการบริหาร ประกาศ แต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ____________ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและสื่ออื่น ๆ ให้ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาที่ขาดแคลนครู อาจารย์ และสื่อการเรียนรู้ในการจัดการศึกษาสําหรับผู้ด้อยโอกาสและบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ ตลอดจนส่งเสริมโอกาสการเข้าถึงการศึกษาของประชาชนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนในการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการศึกษา การมีงานทํา และการเรียนรู้ตลอดชีวิต อาศัยอํานาจตามความในข้อ ๙ ข้อ ๑๐ และข้อ ๑๑ ของข้อบังคับมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมชุดใหม่ ดังต่อไปนี้ ๑. พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ประธานกรรมการบริหาร ๒. พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล รองประธานกรรมการบริหาร คนที่ ๑ ๓. พันโท สมชาย กาญจนมณี รองประธานกรรมการบริหาร คนที่ ๒ ๔. รองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา รองประธานกรรมการบริหาร คนที่ ๓ ๕. หม่อมหลวงปริยดา ดิศกุล รองประธานกรรมการฝ่ายวิชาการ ๖. รองศาสตราจารย์สุธี อักษรกิตติ์ รองประธานกรรมการฝ่ายเทคโนโลยีสื่อสาร ๗. รองศาสตราจารย์ยืน ภู่วรวรรณ รองประธานกรรมการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ๘. พันตํารวจเอก ธรรมนิธิ วณิชย์ถนอม กรรมการบริหาร ๙. พลอากาศเอก อํานาจ จีระมณีมัย กรรมการบริหาร ๑๐. พลเอก จักรภพ ภูริเดช กรรมการบริหาร ๑๑. พลเรือเอก ปวิตร รุจิเทศ กรรมการบริหาร ๑๒. ศาสตราจารย์ชุติมา สัจจานันท์ กรรมการบริหาร ๑๓. รองศาสตราจารย์เฉลียวศรี พิบูลชล กรรมการบริหาร ๑๔. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กรรมการบริหาร ๑๕. เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรรมการบริหาร ๑๖. เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรรมการบริหาร ๑๗. ผู้อํานวยการวิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล กรรมการบริหาร ๑๘. ผู้อํานวยการโรงเรียนวังไกลกังวล กรรมการบริหาร ๑๙. นางสาวกุศลิน มุสิกุล กรรมการบริหาร ๒๐. นางเกศทิพย์ ศุภวานิช กรรมการบริหาร ๒๑. หัวหน้าสํานักงานมูลนิธิ ฯ กรรมการบริหาร ๒๒. พลอากาศโท ภักดี แสง-ชูโต กรรมการบริหารและเลขาธิการ ๒๓. นายไพศาล ล้อมทอง กรรมการบริหารและผู้ช่วยเลขาธิการ คนที่ ๑ ๒๔. นายอนุสรณ์ ฟูเจริญ กรรมการบริหารและผู้ช่วยเลขาธิการ คนที่ ๒ ๒๕. พลอากาศตรี ธีระ เชียงทอง กรรมการบริหารและเหรัญญิก ๒๖. พลอากาศตรี จักรพงษ์ หอมไกรลาศ กรรมการบริหารและผู้ช่วยเหรัญญิก คนที่ ๑ ๒๗. คุณจันทนี ธนรักษ์ กรรมการบริหารและผู้ช่วยเหรัญญิก คนที่ ๒ ๒๘. นางมณีรัตน์ สุวันทารัตน์ กรรมการบริหารและผู้ช่วยเหรัญญิก คนที่ ๓ ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ เป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลปัจจุบัน อ้างจาก:ราชกิจจานุเบกษา Rewriterบัลลังก์ โรหิตเสถียร Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แต่งตั้ง คกก.มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561 แต่งตั้ง คกก.มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๑ เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมชุดใหม่ จํานวน ๒๘ คน โดย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เป็นประธานกรรมการบริหาร ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่๑๒มีนาคม ๒๕๖๑เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมชุดใหม่จํานวน ๒๘ คน โดยพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เป็นประธานกรรมการบริหาร ประกาศ แต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ____________ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและสื่ออื่น ๆ ให้ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาที่ขาดแคลนครู อาจารย์ และสื่อการเรียนรู้ในการจัดการศึกษาสําหรับผู้ด้อยโอกาสและบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ ตลอดจนส่งเสริมโอกาสการเข้าถึงการศึกษาของประชาชนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนในการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการศึกษา การมีงานทํา และการเรียนรู้ตลอดชีวิต อาศัยอํานาจตามความในข้อ ๙ ข้อ ๑๐ และข้อ ๑๑ ของข้อบังคับมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมชุดใหม่ ดังต่อไปนี้ ๑. พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ประธานกรรมการบริหาร ๒. พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล รองประธานกรรมการบริหาร คนที่ ๑ ๓. พันโท สมชาย กาญจนมณี รองประธานกรรมการบริหาร คนที่ ๒ ๔. รองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา รองประธานกรรมการบริหาร คนที่ ๓ ๕. หม่อมหลวงปริยดา ดิศกุล รองประธานกรรมการฝ่ายวิชาการ ๖. รองศาสตราจารย์สุธี อักษรกิตติ์ รองประธานกรรมการฝ่ายเทคโนโลยีสื่อสาร ๗. รองศาสตราจารย์ยืน ภู่วรวรรณ รองประธานกรรมการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ๘. พันตํารวจเอก ธรรมนิธิ วณิชย์ถนอม กรรมการบริหาร ๙. พลอากาศเอก อํานาจ จีระมณีมัย กรรมการบริหาร ๑๐. พลเอก จักรภพ ภูริเดช กรรมการบริหาร ๑๑. พลเรือเอก ปวิตร รุจิเทศ กรรมการบริหาร ๑๒. ศาสตราจารย์ชุติมา สัจจานันท์ กรรมการบริหาร ๑๓. รองศาสตราจารย์เฉลียวศรี พิบูลชล กรรมการบริหาร ๑๔. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กรรมการบริหาร ๑๕. เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรรมการบริหาร ๑๖. เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรรมการบริหาร ๑๗. ผู้อํานวยการวิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล กรรมการบริหาร ๑๘. ผู้อํานวยการโรงเรียนวังไกลกังวล กรรมการบริหาร ๑๙. นางสาวกุศลิน มุสิกุล กรรมการบริหาร ๒๐. นางเกศทิพย์ ศุภวานิช กรรมการบริหาร ๒๑. หัวหน้าสํานักงานมูลนิธิ ฯ กรรมการบริหาร ๒๒. พลอากาศโท ภักดี แสง-ชูโต กรรมการบริหารและเลขาธิการ ๒๓. นายไพศาล ล้อมทอง กรรมการบริหารและผู้ช่วยเลขาธิการ คนที่ ๑ ๒๔. นายอนุสรณ์ ฟูเจริญ กรรมการบริหารและผู้ช่วยเลขาธิการ คนที่ ๒ ๒๕. พลอากาศตรี ธีระ เชียงทอง กรรมการบริหารและเหรัญญิก ๒๖. พลอากาศตรี จักรพงษ์ หอมไกรลาศ กรรมการบริหารและผู้ช่วยเหรัญญิก คนที่ ๑ ๒๗. คุณจันทนี ธนรักษ์ กรรมการบริหารและผู้ช่วยเหรัญญิก คนที่ ๒ ๒๘. นางมณีรัตน์ สุวันทารัตน์ กรรมการบริหารและผู้ช่วยเหรัญญิก คนที่ ๓ ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ เป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลปัจจุบัน อ้างจาก:ราชกิจจานุเบกษา Rewriterบัลลังก์ โรหิตเสถียร Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10717
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอนามัย แนะ สถานศึกษาประเมินความพร้อม 6 มิติ ก่อนเปิดเรียน [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 กรมอนามัย แนะ สถานศึกษาประเมินความพร้อม 6 มิติ ก่อนเปิดเรียน [กระทรวงสาธารณสุข] กรมอนามัย แนะ สถานศึกษาประเมินความพร้อม 6 มิติ ก่อนเปิดเรียน กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะนําแนวทางสําหรับสถานศึกษาให้มีการประเมินความพร้อม 6 มิติ ก่อนเปิดเรียน เน้นครอบคลุมทุกมาตรการสําหรับการปฏิบัติตนของเด็ก พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีส่วนสําคัญในการป้องกันโรคโควิด 19 เพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดี วันนี้ (27 พฤษภาคม 2563) แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังการเยี่ยมเสริมพลังและหารือแนวทางเพื่อผ่อนผันให้เปิดสถานศึกษา ณ โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ว่า การเตรียมความพร้อมของสถานศึกษามีความสําคัญอย่างยิ่งเมื่อต้องเปิดเรียน หลังสถานการณ์โรคโควิด 19 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการปฏิบัติตนของนักเรียนและบุคลากรในสถานศึกษา และการจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม อาทิ ห้องเรียน ห้องประชุม โรงอาหาร รถรับ-ส่งนักเรียน หอพักนักเรียน เพื่อให้สถานศึกษาปลอดภัยจากโรคโควิด 19 และจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจําเป็นต้องมีการประเมินความพร้อมโดยใช้กรอบแนวทาง 6 มิติ ได้แก่มิติที่ 1 การดําเนินงานเพื่อความปลอดภัยลดการแพร่เชื้อโรคด้วย 6 มาตรการหลักคือ 1) มีมาตรการคัดกรองวัดไข้และอาการเสี่ยงก่อนเข้าสถานศึกษา 2) สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาเมื่ออยู่ในสถานศึกษา 3) ให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกฮอล์อย่างเพียงพอ 4) จัดให้มีการเว้นระยะห่าง 5) ทําความสะอาดพื้นผิวสัมผัสที่มีการใช้ร่วมกันบ่อย และ 6) ลดความแออัด ไม่จัดกิจกรรมที่มีการสัมผัสร่วมกัน แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวต่อไปว่า ถัดมาคือมิติที่ 2 การเรียนรู้สนับสนุนสื่อความรู้ป้องกันโรคโควิด 19 เตรียมความพร้อมการเรียนรู้ของเด็กตามวัยและสอดคล้องกับพัฒนาการ และสร้างความเข้มแข็ง ของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนมิติที่ 3 การครอบคลุมถึงเด็กด้อยโอกาสกลุ่มเด็กพิเศษ และเด็กในพื้นที่ห่างไกลมากมิติที่ 4 สวัสดิภาพและการคุ้มครองเตรียมแผนรองรับด้านการเรียนการสอนสําหรับนักเรียนป่วย แนวปฏิบัติเพื่อลดการรังเกียจและการตีตราทางสังคม (Social stigma)มิติที่ 5 นโยบายมีแผนงาน โครงการรองรับ แต่งตั้งคณะทํางาน กําหนดบทบาทหน้าที่และสื่อสาร และมิติที่ 6 การบริหารการเงินโดยพิจารณาการใช้งบประมาณสําหรับการป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 ตามความจําเป็นและเหมาะสม “ทั้งนี้ นอกจากสถานศึกษาจะต้องควบคุมมาตรการและปฏิบัติตามคําแนะนําในทุกมิติแล้ว ในส่วนของผู้ปกครองซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด สามารถมีบทบาทและมีส่วนร่วมกับสถานศึกษาเพื่อป้องกันโรคโควิด 19 ได้ด้วยเช่นกัน โดยติดตามข้อมูลข่าวสารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในพื้นที่เสี่ยง สังเกตอาการป่วยของบุตรหลาน หากมีอาการไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ หายใจลําบาก เหนื่อยหอบ ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ให้รีบพาไปพบแพทย์ ควรแยกเด็กไม่ให้ไปเล่นกับคนอื่น ให้พักผ่อนอยู่ที่บ้านจนกว่าจะหายเป็นปกติ มีการจัดหาของใช้ส่วนตัวให้บุตรหลานอย่างเพียงพอในแต่ละวัน ทําความสะอาดทุกวัน เช่น หน้ากากผ้า ช้อน ส้อม แก้วน้ํา แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว รวมทั้งจัดหาสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ และกํากับดูแลบุตรหลานให้ล้างมือบ่อย ๆ ก่อนกินอาหาร หลังใช้ส้วม หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก โดยไม่จําเป็น สร้างสุขนิสัยที่ดี หลังเล่นกับเพื่อนหรือสัมผัสสิ่งสกปรก และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ต้องรีบอาบน้ํา สระผมและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที”อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด *** ศูนย์สื่อสารสาธารณะ / 27 พฤษภาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอนามัย แนะ สถานศึกษาประเมินความพร้อม 6 มิติ ก่อนเปิดเรียน [กระทรวงสาธารณสุข] วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 กรมอนามัย แนะ สถานศึกษาประเมินความพร้อม 6 มิติ ก่อนเปิดเรียน [กระทรวงสาธารณสุข] กรมอนามัย แนะ สถานศึกษาประเมินความพร้อม 6 มิติ ก่อนเปิดเรียน กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะนําแนวทางสําหรับสถานศึกษาให้มีการประเมินความพร้อม 6 มิติ ก่อนเปิดเรียน เน้นครอบคลุมทุกมาตรการสําหรับการปฏิบัติตนของเด็ก พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีส่วนสําคัญในการป้องกันโรคโควิด 19 เพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดี วันนี้ (27 พฤษภาคม 2563) แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังการเยี่ยมเสริมพลังและหารือแนวทางเพื่อผ่อนผันให้เปิดสถานศึกษา ณ โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ว่า การเตรียมความพร้อมของสถานศึกษามีความสําคัญอย่างยิ่งเมื่อต้องเปิดเรียน หลังสถานการณ์โรคโควิด 19 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการปฏิบัติตนของนักเรียนและบุคลากรในสถานศึกษา และการจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม อาทิ ห้องเรียน ห้องประชุม โรงอาหาร รถรับ-ส่งนักเรียน หอพักนักเรียน เพื่อให้สถานศึกษาปลอดภัยจากโรคโควิด 19 และจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจําเป็นต้องมีการประเมินความพร้อมโดยใช้กรอบแนวทาง 6 มิติ ได้แก่มิติที่ 1 การดําเนินงานเพื่อความปลอดภัยลดการแพร่เชื้อโรคด้วย 6 มาตรการหลักคือ 1) มีมาตรการคัดกรองวัดไข้และอาการเสี่ยงก่อนเข้าสถานศึกษา 2) สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาเมื่ออยู่ในสถานศึกษา 3) ให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกฮอล์อย่างเพียงพอ 4) จัดให้มีการเว้นระยะห่าง 5) ทําความสะอาดพื้นผิวสัมผัสที่มีการใช้ร่วมกันบ่อย และ 6) ลดความแออัด ไม่จัดกิจกรรมที่มีการสัมผัสร่วมกัน แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวต่อไปว่า ถัดมาคือมิติที่ 2 การเรียนรู้สนับสนุนสื่อความรู้ป้องกันโรคโควิด 19 เตรียมความพร้อมการเรียนรู้ของเด็กตามวัยและสอดคล้องกับพัฒนาการ และสร้างความเข้มแข็ง ของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนมิติที่ 3 การครอบคลุมถึงเด็กด้อยโอกาสกลุ่มเด็กพิเศษ และเด็กในพื้นที่ห่างไกลมากมิติที่ 4 สวัสดิภาพและการคุ้มครองเตรียมแผนรองรับด้านการเรียนการสอนสําหรับนักเรียนป่วย แนวปฏิบัติเพื่อลดการรังเกียจและการตีตราทางสังคม (Social stigma)มิติที่ 5 นโยบายมีแผนงาน โครงการรองรับ แต่งตั้งคณะทํางาน กําหนดบทบาทหน้าที่และสื่อสาร และมิติที่ 6 การบริหารการเงินโดยพิจารณาการใช้งบประมาณสําหรับการป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 ตามความจําเป็นและเหมาะสม “ทั้งนี้ นอกจากสถานศึกษาจะต้องควบคุมมาตรการและปฏิบัติตามคําแนะนําในทุกมิติแล้ว ในส่วนของผู้ปกครองซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด สามารถมีบทบาทและมีส่วนร่วมกับสถานศึกษาเพื่อป้องกันโรคโควิด 19 ได้ด้วยเช่นกัน โดยติดตามข้อมูลข่าวสารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในพื้นที่เสี่ยง สังเกตอาการป่วยของบุตรหลาน หากมีอาการไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ หายใจลําบาก เหนื่อยหอบ ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ให้รีบพาไปพบแพทย์ ควรแยกเด็กไม่ให้ไปเล่นกับคนอื่น ให้พักผ่อนอยู่ที่บ้านจนกว่าจะหายเป็นปกติ มีการจัดหาของใช้ส่วนตัวให้บุตรหลานอย่างเพียงพอในแต่ละวัน ทําความสะอาดทุกวัน เช่น หน้ากากผ้า ช้อน ส้อม แก้วน้ํา แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว รวมทั้งจัดหาสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ และกํากับดูแลบุตรหลานให้ล้างมือบ่อย ๆ ก่อนกินอาหาร หลังใช้ส้วม หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก โดยไม่จําเป็น สร้างสุขนิสัยที่ดี หลังเล่นกับเพื่อนหรือสัมผัสสิ่งสกปรก และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ต้องรีบอาบน้ํา สระผมและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที”อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด *** ศูนย์สื่อสารสาธารณะ / 27 พฤษภาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31587
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม ออกคำสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 นายชัยวัฒน์ ทองคําคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม ออกคําสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563 นายชัยวัฒน์ ทองคําคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและการขนส่งทั่วราชอาณาจักร กล่าวว่า โดยที่นายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 2 เมษายน 2563 กําหนดห้ามบุคคลใดออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 22.00 – 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น โดยกําหนดข้อยกเว้นในการปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าบางประเภท และข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 3) ลงวันที่ 10 เมษายน 2563 กําหนดข้อยกเว้นในการปฏิบัติตามข้อกําหนด (ฉบับที่ 2) ให้ชัดเจนขึ้น เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชน ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามกฎหมายดังกล่าว จึงได้ออกคําสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563 เรื่อง ข้อปฏิบัติในการขนส่งสินค้าทางถนนในสถานการณ์ฉุกเฉินระหว่างช่วงเวลาห้ามบุคคลออกนอกเคหสถาน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ดังนี้ 1. ให้บุคคลที่มีความจําเป็นในการขนส่งสินค้าเพื่อประโยชน์ของประชาชน ได้แก่ ผู้ขนส่งอาหาร ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ สินค้าอุปโภคบริโภค ผลผลิตการเกษตร น้ํามันเชื้อเพลิง ไปรษณียภัณฑ์ พัสดุภัณฑ์ หนังสือพิมพ์ หรือสินค้าเพื่อการนําเข้าหรือส่งออก จัดเตรียมใบอนุญาตขับรถ บัตรประจําตัวประชาชน บัตรประจําตัวพนักงานหรือหนังสือรับรองการทํางาน และเอกสารเกี่ยวกับสินค้า เพื่อใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่และต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนด รวมถึงการยอมรับการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย สามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ลิ้งค์ หรือ QR Code ด้านล่าง https://bit.ly/3ei9lyw 2. การขนส่งสินค้าตามข้อ 1 ให้หมายความรวมถึงการขนส่งเที่ยวเปล่าหรือตู้สินค้าเปล่า ในกรณีเดินทางไปรับสินค้าและเดินทางกลับภายหลังเสร็จสิ้นการขนส่งสินค้าเรียบร้อยแล้วด้วย โดยให้ผู้ขนส่งจัดเตรียมเอกสารตามข้อ 1 ไว้แสดงต่อเจ้าหน้าที่เช่นเดียวกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม ออกคำสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563 วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 นายชัยวัฒน์ ทองคําคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม ออกคําสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563 นายชัยวัฒน์ ทองคําคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและการขนส่งทั่วราชอาณาจักร กล่าวว่า โดยที่นายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 2 เมษายน 2563 กําหนดห้ามบุคคลใดออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 22.00 – 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น โดยกําหนดข้อยกเว้นในการปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าบางประเภท และข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 3) ลงวันที่ 10 เมษายน 2563 กําหนดข้อยกเว้นในการปฏิบัติตามข้อกําหนด (ฉบับที่ 2) ให้ชัดเจนขึ้น เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชน ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามกฎหมายดังกล่าว จึงได้ออกคําสั่งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านคมนาคมและขนส่งทั่วราชอาณาจักร ที่ 1/2563 เรื่อง ข้อปฏิบัติในการขนส่งสินค้าทางถนนในสถานการณ์ฉุกเฉินระหว่างช่วงเวลาห้ามบุคคลออกนอกเคหสถาน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ดังนี้ 1. ให้บุคคลที่มีความจําเป็นในการขนส่งสินค้าเพื่อประโยชน์ของประชาชน ได้แก่ ผู้ขนส่งอาหาร ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ สินค้าอุปโภคบริโภค ผลผลิตการเกษตร น้ํามันเชื้อเพลิง ไปรษณียภัณฑ์ พัสดุภัณฑ์ หนังสือพิมพ์ หรือสินค้าเพื่อการนําเข้าหรือส่งออก จัดเตรียมใบอนุญาตขับรถ บัตรประจําตัวประชาชน บัตรประจําตัวพนักงานหรือหนังสือรับรองการทํางาน และเอกสารเกี่ยวกับสินค้า เพื่อใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่และต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนด รวมถึงการยอมรับการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย สามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ลิ้งค์ หรือ QR Code ด้านล่าง https://bit.ly/3ei9lyw 2. การขนส่งสินค้าตามข้อ 1 ให้หมายความรวมถึงการขนส่งเที่ยวเปล่าหรือตู้สินค้าเปล่า ในกรณีเดินทางไปรับสินค้าและเดินทางกลับภายหลังเสร็จสิ้นการขนส่งสินค้าเรียบร้อยแล้วด้วย โดยให้ผู้ขนส่งจัดเตรียมเอกสารตามข้อ 1 ไว้แสดงต่อเจ้าหน้าที่เช่นเดียวกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29109
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 ตุลาคม 2559
วันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2559 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 ตุลาคม 2559 วันนี้ (11 ตุลาคม 2559) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 ตุลาคม 2559 วันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2559 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 ตุลาคม 2559 วันนี้ (11 ตุลาคม 2559) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/301
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ เยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง จ.นครสวรรค์
วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 ​นายกฯ เยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง จ.นครสวรรค์ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง ต.บ้างแก่ง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง จ.นครสวรรค์ แนะสร้างเครื่องปั้นดินเผา มีจุดขายและการเล่าเรื่อง รูปลักษณ์ และสร้างแบรนด์ให้มีคุณค่า เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี เดินทางเยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง ต.บ้างแก่ง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นแหล่งค้าส่งเครื่องปั้นดินเผาที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับจากประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีการปรับปรุงรูปแบบผลิตภัณฑ์ในการใช้ประโยชน์ที่หลากหลาย พัฒนาลวดลายให้มีความทันสมัยตามความนิยมของผู้บริโภค ภายในศูนย์มีการจัดจําลองวิธีการผลิตเครื่องปั้นดินเผา ผลิตภัณฑ์จากเครื่องปั้นดินเผาในรูปแบบต่างๆ แสดงถึงภูมิปัญญาของชาวบ้าน “บ้านมอญ” และได้รับการคัดเลือกให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) จากกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บริหารข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรมให้การต้อนรับ # ครม.สัญจรนครสวรรค์#CIV
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ เยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง จ.นครสวรรค์ วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 ​นายกฯ เยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง จ.นครสวรรค์ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง ต.บ้างแก่ง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง จ.นครสวรรค์ แนะสร้างเครื่องปั้นดินเผา มีจุดขายและการเล่าเรื่อง รูปลักษณ์ และสร้างแบรนด์ให้มีคุณค่า เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี เดินทางเยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง ต.บ้างแก่ง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นแหล่งค้าส่งเครื่องปั้นดินเผาที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับจากประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีการปรับปรุงรูปแบบผลิตภัณฑ์ในการใช้ประโยชน์ที่หลากหลาย พัฒนาลวดลายให้มีความทันสมัยตามความนิยมของผู้บริโภค ภายในศูนย์มีการจัดจําลองวิธีการผลิตเครื่องปั้นดินเผา ผลิตภัณฑ์จากเครื่องปั้นดินเผาในรูปแบบต่างๆ แสดงถึงภูมิปัญญาของชาวบ้าน “บ้านมอญ” และได้รับการคัดเลือกให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) จากกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บริหารข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรมให้การต้อนรับ # ครม.สัญจรนครสวรรค์#CIV
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12990
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. ส่งออกแรงงานไปทำงาน ตปท.แล้ว 47,368 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 กกจ. ส่งออกแรงงานไปทํางาน ตปท.แล้ว 47,368 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย ตามที่ กรมการจัดหางาน มีนโยบายในการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ อย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี มุ่งส่งเสริมการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในประเทศที่มีศักยภาพ มีโอกาสได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อนํากลับมาใช้ในประเทศโดยเฉพาะในสาขาที่มีความจําเป็นต่อการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ ขณะนี้ (ตุลาคม 2562-เมษายน 2563) ส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศแล้ว 47,368 คน คิดเป็นร้อยละ 47.37 ของเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศที่ตั้งไว้ 100,000 คน โดยจัดส่งไปทํางานไต้หวันมากที่สุด 14,071 คน รองลงมาคือ สาธารณรัฐเกาหลี 5,755 คน มาเลเซีย 5,059 คน ญี่ปุ่น 4,481 คน และ อิสราเอล 3,273 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท ซึ่งหากประเทศไทยสามารถส่งแรงงานไทยได้ตามเป้าหมาย จะมีรายได้เข้าประเทศไม่น้อยกว่าปีละ 140,000 ล้านบาท นับเป็นแนวทางในการส่งเสริมการมีงานทําที่สามารถนําเงินตราเข้าประเทศได้จํานวนมาก อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทําให้การจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศอาจต้องใช้ระยะเวลาดําเนินการมากกว่าเดิม และการปฏิบัติงานต่างๆ ของกรมการจัดหางาน ได้ดําเนินการอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมโรค และประกาศกําหนดของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ขอย้ําให้แรงงานไทยที่สนใจเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ควรไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผู้ที่สนใจไปทํางานต่างประเทศ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน นายสุชาติฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. ส่งออกแรงงานไปทำงาน ตปท.แล้ว 47,368 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 กกจ. ส่งออกแรงงานไปทํางาน ตปท.แล้ว 47,368 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย ตามที่ กรมการจัดหางาน มีนโยบายในการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ อย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี มุ่งส่งเสริมการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในประเทศที่มีศักยภาพ มีโอกาสได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อนํากลับมาใช้ในประเทศโดยเฉพาะในสาขาที่มีความจําเป็นต่อการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ ขณะนี้ (ตุลาคม 2562-เมษายน 2563) ส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศแล้ว 47,368 คน คิดเป็นร้อยละ 47.37 ของเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศที่ตั้งไว้ 100,000 คน โดยจัดส่งไปทํางานไต้หวันมากที่สุด 14,071 คน รองลงมาคือ สาธารณรัฐเกาหลี 5,755 คน มาเลเซีย 5,059 คน ญี่ปุ่น 4,481 คน และ อิสราเอล 3,273 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท ซึ่งหากประเทศไทยสามารถส่งแรงงานไทยได้ตามเป้าหมาย จะมีรายได้เข้าประเทศไม่น้อยกว่าปีละ 140,000 ล้านบาท นับเป็นแนวทางในการส่งเสริมการมีงานทําที่สามารถนําเงินตราเข้าประเทศได้จํานวนมาก อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทําให้การจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศอาจต้องใช้ระยะเวลาดําเนินการมากกว่าเดิม และการปฏิบัติงานต่างๆ ของกรมการจัดหางาน ได้ดําเนินการอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมโรค และประกาศกําหนดของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ขอย้ําให้แรงงานไทยที่สนใจเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ควรไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผู้ที่สนใจไปทํางานต่างประเทศ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน นายสุชาติฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31404
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เปิดโครงการ “ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” จ.สมุทรปราการ
วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2561 ทส. เปิดโครงการ “ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” จ.สมุทรปราการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการ “ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการ “ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน”โดยปลูกต้นรวงผึ้ง ซึ่งเป็นต้นไม้ประจําสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร และฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลน เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร อีกทั้งเพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ให้เป็นพื้นที่สีเขียวในเมือง และฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ โดยในวันนี้ (30 พฤษภาคม 2561) พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดโครงการฯ พร้อมทั้งนําเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จํานวน 250 คน ร่วมศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน และปลูกต้นรวงผึ้ง ณ บริเวณอนุสรณ์ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก สถานตากอากาศบางปู และปลูกต้นกล้าโกงกาง ต้นกล้าลําพู ณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชินี อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เปิดโครงการ “ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” จ.สมุทรปราการ วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2561 ทส. เปิดโครงการ “ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” จ.สมุทรปราการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการ “ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการ “ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน”โดยปลูกต้นรวงผึ้ง ซึ่งเป็นต้นไม้ประจําสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร และฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลน เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร อีกทั้งเพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ให้เป็นพื้นที่สีเขียวในเมือง และฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ โดยในวันนี้ (30 พฤษภาคม 2561) พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดโครงการฯ พร้อมทั้งนําเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จํานวน 250 คน ร่วมศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน และปลูกต้นรวงผึ้ง ณ บริเวณอนุสรณ์ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก สถานตากอากาศบางปู และปลูกต้นกล้าโกงกาง ต้นกล้าลําพู ณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชินี อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12674
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 แก่เกษตรกรกว่า 7.14 ล้านราย เริ่ม 15 มิ.ย.นี้ [กระทรวงการคลัง]
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563 ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 แก่เกษตรกรกว่า 7.14 ล้านราย เริ่ม 15 มิ.ย.นี้ [กระทรวงการคลัง] ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 แก่เกษตรกรกว่า 7.14 ล้านราย เริ่ม 15 มิ.ย.นี้ ธ.ก.ส. เตรียมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 ให้กับเกษตรกรที่ได้รับโอนเงินในเดือนแรกไปแล้วจํานวนกว่า 7.14 ล้านราย วงเงินกว่า 35,000 ล้านบาท โดยเริ่มโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงตั้งแต่วันที่ 15-21 มิ.ย. 63 นี้ วันละ 1 ล้านราย ส่วนเกษตรกรที่อยู่ระหว่างการอุทธรณ์ การตรวจสอบข้อมูลสถานะและเลขที่บัญชี ธ.ก.ส. พร้อมโอนเงินต่อเนื่องทันทีเมื่อได้รับข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบแล้วจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตามมติคณะรัฐมนตรี ในเดือนที่ 2 (มิถุนายน 2563) จํานวน 5,000 บาท แก่เกษตรกรที่ได้รับโอนเงินในเดือนแรกไปแล้ว โดยจะทําการตรวจสอบสถานะการมีชีวิตอีกครั้ง จากนั้นจะทยอยโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงตั้งแต่วันที่ 15 -21 มิถุนายน 2563 ต่อเนื่องทุกวันไม่เว้นวันหยุด วันละประมาณ 1 ล้านราย สําหรับเกษตรกรที่อยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ผู้ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมทั้งเรื่องสถานะและเลขที่บัญชี เมื่อได้รับข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบจาก กษ. แล้ว ธ.ก.ส. จะดําเนินการ โอนเงินต่อเนื่องทันที สําหรับผลการดําเนินงานการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรในเดือนแรก (พฤษภาคม 2563) ธ.ก.ส. ได้โอนเงินให้เกษตรกรไปแล้ว 7,145,330 ราย เป็นเงิน 35,726.65 ล้านบาท จากจํานวนเกษตรกรที่ กษ. ส่งมาให้จํานวน 7,684,132 ราย ทั้งนี้ สาเหตุที่โอนไม่ได้เนื่องจากไม่พบบัญชีเงินฝากหรือบัญชีไม่ถูกต้องจํานวน 165,769 ราย อยู่ระหว่างตรวจสอบบัญชี 148,702 ราย และอยู่ระหว่างการส่งคืนข้อมูลให้ กษ. ตรวจสอบจํานวน 224,331 ราย (ตรวจสอบสถานะจํานวน 132,905 ราย และเป็นข้าราชการจํานวน 91,426 ราย) กรณีผู้ที่มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาแต่ไม่ประสงค์รับเงิน สามารถติดต่อหน่วยงานที่ท่านขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อแจ้งความประสงค์ไม่รับเงินดังกล่าว ซึ่ง กษ. จะรวบรวมข้อมูลเพื่อแจ้งมายัง ธ.ก.ส. เพื่อดําเนินการต่อไป ในส่วนของเกษตรกรที่ได้รับสิทธิ์ภายหลังการอุทธรณ์กับ กษ. ท่านสามารถแจ้งเลขที่บัญชีเงินฝาก เพื่อรอรับการโอนเงินผ่านทางเว็บไซต์ www.เยีhttp://xn--12ca3d6baib0au2g8g.com/ ทั้งนี้ จะเป็นบัญชีของธนาคารใดก็ได้ โดยไม่จําเป็นต้องมาเปิดบัญชีใหม่กับ ธ.ก.ส. ซึ่งวิธีที่สะดวกรวดเร็วที่สุดคือควรเป็นบัญชีที่ ผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชน และท่านสามารถตรวจสอบสถานะการโอนเงินผ่านทางเว็บไซต์ www.เยีhttp://xn--12ca3d6baib0au2g8g.com/ ได้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 แก่เกษตรกรกว่า 7.14 ล้านราย เริ่ม 15 มิ.ย.นี้ [กระทรวงการคลัง] วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563 ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 แก่เกษตรกรกว่า 7.14 ล้านราย เริ่ม 15 มิ.ย.นี้ [กระทรวงการคลัง] ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 แก่เกษตรกรกว่า 7.14 ล้านราย เริ่ม 15 มิ.ย.นี้ ธ.ก.ส. เตรียมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 ให้กับเกษตรกรที่ได้รับโอนเงินในเดือนแรกไปแล้วจํานวนกว่า 7.14 ล้านราย วงเงินกว่า 35,000 ล้านบาท โดยเริ่มโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงตั้งแต่วันที่ 15-21 มิ.ย. 63 นี้ วันละ 1 ล้านราย ส่วนเกษตรกรที่อยู่ระหว่างการอุทธรณ์ การตรวจสอบข้อมูลสถานะและเลขที่บัญชี ธ.ก.ส. พร้อมโอนเงินต่อเนื่องทันทีเมื่อได้รับข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบแล้วจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตามมติคณะรัฐมนตรี ในเดือนที่ 2 (มิถุนายน 2563) จํานวน 5,000 บาท แก่เกษตรกรที่ได้รับโอนเงินในเดือนแรกไปแล้ว โดยจะทําการตรวจสอบสถานะการมีชีวิตอีกครั้ง จากนั้นจะทยอยโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงตั้งแต่วันที่ 15 -21 มิถุนายน 2563 ต่อเนื่องทุกวันไม่เว้นวันหยุด วันละประมาณ 1 ล้านราย สําหรับเกษตรกรที่อยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ผู้ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมทั้งเรื่องสถานะและเลขที่บัญชี เมื่อได้รับข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบจาก กษ. แล้ว ธ.ก.ส. จะดําเนินการ โอนเงินต่อเนื่องทันที สําหรับผลการดําเนินงานการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรในเดือนแรก (พฤษภาคม 2563) ธ.ก.ส. ได้โอนเงินให้เกษตรกรไปแล้ว 7,145,330 ราย เป็นเงิน 35,726.65 ล้านบาท จากจํานวนเกษตรกรที่ กษ. ส่งมาให้จํานวน 7,684,132 ราย ทั้งนี้ สาเหตุที่โอนไม่ได้เนื่องจากไม่พบบัญชีเงินฝากหรือบัญชีไม่ถูกต้องจํานวน 165,769 ราย อยู่ระหว่างตรวจสอบบัญชี 148,702 ราย และอยู่ระหว่างการส่งคืนข้อมูลให้ กษ. ตรวจสอบจํานวน 224,331 ราย (ตรวจสอบสถานะจํานวน 132,905 ราย และเป็นข้าราชการจํานวน 91,426 ราย) กรณีผู้ที่มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาแต่ไม่ประสงค์รับเงิน สามารถติดต่อหน่วยงานที่ท่านขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อแจ้งความประสงค์ไม่รับเงินดังกล่าว ซึ่ง กษ. จะรวบรวมข้อมูลเพื่อแจ้งมายัง ธ.ก.ส. เพื่อดําเนินการต่อไป ในส่วนของเกษตรกรที่ได้รับสิทธิ์ภายหลังการอุทธรณ์กับ กษ. ท่านสามารถแจ้งเลขที่บัญชีเงินฝาก เพื่อรอรับการโอนเงินผ่านทางเว็บไซต์ www.เยีhttp://xn--12ca3d6baib0au2g8g.com/ ทั้งนี้ จะเป็นบัญชีของธนาคารใดก็ได้ โดยไม่จําเป็นต้องมาเปิดบัญชีใหม่กับ ธ.ก.ส. ซึ่งวิธีที่สะดวกรวดเร็วที่สุดคือควรเป็นบัญชีที่ ผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชน และท่านสามารถตรวจสอบสถานะการโอนเงินผ่านทางเว็บไซต์ www.เยีhttp://xn--12ca3d6baib0au2g8g.com/ ได้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32225
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลงศึกษาดูงานต้นแบบเกษตรกรรมยั่งยืน
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 รมช.ธรรมนัส ลงศึกษาดูงานต้นแบบเกษตรกรรมยั่งยืน รมช.ธรรมนัส ลงศึกษาดูงานต้นแบบเกษตรกรรมยั่งยืน 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ฟื้นฟูภาคการเกษตรจากผลกระทบไวรัลโควิด - 19 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมและศึกษาดูงานพื้นที่ต้นแบบเกษตรกรรมยั่งยืน ณ ศูนย์เรียนรู้จิตอาสาและเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดําริ โรงเรียนนายร้อยตํารวจ อําเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมพัฒนาที่ดิน ได้เห็นถึงผลกระทบต่อภาคการเกษตรของประเทศไทย จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ซึ่งภาคการเกษตรนั้น เป็นทั้งแหล่งอาหาร รายได้ และปัจจัยพื้นฐานที่สําคัญในการดํารงชีวิตของคนในประเทศ จึงได้จัดทําโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ภายใต้โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 เพื่อการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน โดยน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัลโควิด - 19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยทั้งทางตรง และทางอ้อม ทําให้คนตกงาน ขาดรายได้ จําเป็นต้องเดินทางกลับภูมิลําเนา เพื่อรองรับแรงงานที่กลับคืนถิ่นสู่ภาคการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงให้ความสําคัญกับการสร้างความมั่นคงของอาชีพเกษตรกร สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในท้องถิ่น โดยส่งเสริมให้เกษตรกรทําการเกษตรในรูปแบบทฤษฎีใหม่ทั้งหมด 4,009 ตําบล ให้บริหารจัดการพื้นที่ตามภูมิสังคมและภูมินิเวศน์ของแต่ละพื้นที่ จะเป็นโครงการที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้น และสร้างความเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ช่วยเหลือให้เกษตรกรใช้ที่ดินเพื่อประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว ทั้งนี้ กรมพัฒนาที่ดิน จะดําเนินงาน 2 กิจกรรม คือ กิจกรรมปรับปรุงแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ และกิจกรรมส่งเสริมองค์ความรู้และสนับสนุนปัจจัยการผลิตในการทําเกษตรทฤษฎีใหม่ด้านการปรับปรุงบํารุงดินให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับการทําการเกษตรที่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และภูมิสังคม ทําให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงตนเอง สร้างรายได้กับครอบครัวได้อย่างพอเพียง และสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในท้องถิ่นมีความมั่งคง กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลงศึกษาดูงานต้นแบบเกษตรกรรมยั่งยืน วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 รมช.ธรรมนัส ลงศึกษาดูงานต้นแบบเกษตรกรรมยั่งยืน รมช.ธรรมนัส ลงศึกษาดูงานต้นแบบเกษตรกรรมยั่งยืน 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ฟื้นฟูภาคการเกษตรจากผลกระทบไวรัลโควิด - 19 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมและศึกษาดูงานพื้นที่ต้นแบบเกษตรกรรมยั่งยืน ณ ศูนย์เรียนรู้จิตอาสาและเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดําริ โรงเรียนนายร้อยตํารวจ อําเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมพัฒนาที่ดิน ได้เห็นถึงผลกระทบต่อภาคการเกษตรของประเทศไทย จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ซึ่งภาคการเกษตรนั้น เป็นทั้งแหล่งอาหาร รายได้ และปัจจัยพื้นฐานที่สําคัญในการดํารงชีวิตของคนในประเทศ จึงได้จัดทําโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ภายใต้โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 เพื่อการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน โดยน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัลโควิด - 19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยทั้งทางตรง และทางอ้อม ทําให้คนตกงาน ขาดรายได้ จําเป็นต้องเดินทางกลับภูมิลําเนา เพื่อรองรับแรงงานที่กลับคืนถิ่นสู่ภาคการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงให้ความสําคัญกับการสร้างความมั่นคงของอาชีพเกษตรกร สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในท้องถิ่น โดยส่งเสริมให้เกษตรกรทําการเกษตรในรูปแบบทฤษฎีใหม่ทั้งหมด 4,009 ตําบล ให้บริหารจัดการพื้นที่ตามภูมิสังคมและภูมินิเวศน์ของแต่ละพื้นที่ จะเป็นโครงการที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้น และสร้างความเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ช่วยเหลือให้เกษตรกรใช้ที่ดินเพื่อประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว ทั้งนี้ กรมพัฒนาที่ดิน จะดําเนินงาน 2 กิจกรรม คือ กิจกรรมปรับปรุงแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ และกิจกรรมส่งเสริมองค์ความรู้และสนับสนุนปัจจัยการผลิตในการทําเกษตรทฤษฎีใหม่ด้านการปรับปรุงบํารุงดินให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับการทําการเกษตรที่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และภูมิสังคม ทําให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงตนเอง สร้างรายได้กับครอบครัวได้อย่างพอเพียง และสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในท้องถิ่นมีความมั่งคง กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33385
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตรียมต่ออายุราชการแพทย์เกษียณลงดูแลประชาชนที่คลินิกหมอครอบครัว
วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน 2560 สธ.เตรียมต่ออายุราชการแพทย์เกษียณลงดูแลประชาชนที่คลินิกหมอครอบครัว กระทรวงสาธารณสุขเตรียมต่ออายุราชการแพทย์ที่จะเกษียณอายุราชการปี 2560 อบรมหลักสูตรแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวระยะสั้นดูแลประชาชนที่คลินิกหมอครอบครัว นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีแนวคิดที่จะต่ออายุราชการแพทย์ที่จะเกษียณราชการในปี 2560 นี้ให้ปฏิบัติงานต่อ ขับเคลื่อนงานคลินิกหมอครอบครัว โดยให้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เพื่อไปทํางานดูแลประชาชนที่ คลินิกหมอครอบครัว เป็นการเพิ่มแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวที่ขณะนี้ยังขาดแคลน ช่วยให้ประชาชนมีหมอประจําตัวและครอบครัว ตามที่กําหนดให้มีแพทย์ 1 คนดูแลประชาชน 10,000 คน ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ ให้การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ต่อเนื่อง ครอบคลุมงานส่งเสริมสุขภาพ เชิงรุก ควบคุม ป้องกันโรค ฟื้นฟูสุขภาพและคุ้มครองผู้บริโภค ด้วยบริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยเทคโนโลยี จะทําให้ประชาชนเข้าถึงบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด ลดการรอคอย มีหมอประจําตัวทุกครอบครัว ตั้งเป้าในปี 2569 หรือ 10 ปีข้างหน้า คนไทยจะมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหวิชาชีพ 6,500 ทีม ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อดูแลสุขภาพให้กับคนไทยทุกคน นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า รัฐบาลมีนโยบายการปฏิรูประบบบริการสาธารณสุขเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2559 ให้มีระบบการแพทย์ปฐมภูมิที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวดูแลประชาชน ในสัดส่วนที่เหมาะสม กระทรวงสาธารณสุข ได้ปฏิรูประบบสาธารณสุข โดยเฉพาะการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ จัดตั้ง “คลินิกหมอครอบครัว(PCC : Primary Care Cluster)” เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จําเป็นได้สะดวก รวดเร็ว ไม่ไปแออัดรอรับบริการในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ช่วยลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ มุ่งหวังให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพทัดเทียมกัน มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และทีมสหวิชาชีพ ดูแลประชาชนให้ครอบคลุม โดยในปี 2559 ดําเนินการไปแล้ว 48 ทีม ใน 16 จังหวัด ส่วนในปี 2560 ตั้งเป้าให้โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่งทั่วประเทศดําเนินการในเขตเมือง และเพิ่มในเขตชนบทอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง รวมเป็น 472 ทีม โดยมีแผนผลิตหมอครอบครัวคือ 1.ต่ออายุราชการและอบรมระยะสั้น 2.อบรมแพทย์ประจําบ้าน เพื่อสอบวุฒิบัตรสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว 3.ขยายกําลังผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในระดับเขต *********************************** มิถุนายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตรียมต่ออายุราชการแพทย์เกษียณลงดูแลประชาชนที่คลินิกหมอครอบครัว วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน 2560 สธ.เตรียมต่ออายุราชการแพทย์เกษียณลงดูแลประชาชนที่คลินิกหมอครอบครัว กระทรวงสาธารณสุขเตรียมต่ออายุราชการแพทย์ที่จะเกษียณอายุราชการปี 2560 อบรมหลักสูตรแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวระยะสั้นดูแลประชาชนที่คลินิกหมอครอบครัว นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีแนวคิดที่จะต่ออายุราชการแพทย์ที่จะเกษียณราชการในปี 2560 นี้ให้ปฏิบัติงานต่อ ขับเคลื่อนงานคลินิกหมอครอบครัว โดยให้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เพื่อไปทํางานดูแลประชาชนที่ คลินิกหมอครอบครัว เป็นการเพิ่มแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวที่ขณะนี้ยังขาดแคลน ช่วยให้ประชาชนมีหมอประจําตัวและครอบครัว ตามที่กําหนดให้มีแพทย์ 1 คนดูแลประชาชน 10,000 คน ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ ให้การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ต่อเนื่อง ครอบคลุมงานส่งเสริมสุขภาพ เชิงรุก ควบคุม ป้องกันโรค ฟื้นฟูสุขภาพและคุ้มครองผู้บริโภค ด้วยบริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยเทคโนโลยี จะทําให้ประชาชนเข้าถึงบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด ลดการรอคอย มีหมอประจําตัวทุกครอบครัว ตั้งเป้าในปี 2569 หรือ 10 ปีข้างหน้า คนไทยจะมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหวิชาชีพ 6,500 ทีม ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อดูแลสุขภาพให้กับคนไทยทุกคน นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า รัฐบาลมีนโยบายการปฏิรูประบบบริการสาธารณสุขเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2559 ให้มีระบบการแพทย์ปฐมภูมิที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวดูแลประชาชน ในสัดส่วนที่เหมาะสม กระทรวงสาธารณสุข ได้ปฏิรูประบบสาธารณสุข โดยเฉพาะการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ จัดตั้ง “คลินิกหมอครอบครัว(PCC : Primary Care Cluster)” เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จําเป็นได้สะดวก รวดเร็ว ไม่ไปแออัดรอรับบริการในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ช่วยลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ มุ่งหวังให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพทัดเทียมกัน มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และทีมสหวิชาชีพ ดูแลประชาชนให้ครอบคลุม โดยในปี 2559 ดําเนินการไปแล้ว 48 ทีม ใน 16 จังหวัด ส่วนในปี 2560 ตั้งเป้าให้โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่งทั่วประเทศดําเนินการในเขตเมือง และเพิ่มในเขตชนบทอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง รวมเป็น 472 ทีม โดยมีแผนผลิตหมอครอบครัวคือ 1.ต่ออายุราชการและอบรมระยะสั้น 2.อบรมแพทย์ประจําบ้าน เพื่อสอบวุฒิบัตรสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว 3.ขยายกําลังผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในระดับเขต *********************************** มิถุนายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4434
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจำปี 2560 ของ กอ.รมน.
วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2560 นรม. เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจําปี 2560 ของ กอ.รมน. นรม. เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจําปี 60 พร้อมที่ประชุมเห็นชอบแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 61 ของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามนโยบายของรัฐบาล วันนี้ (22 ธันวาคม 2560) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจําปี 2560 ของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย คณะกรรมการอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หัวหน้าส่วนราชการด้านความมั่นคง ผู้อํานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ผู้อํานวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด รองผู้อํานวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ฝ่ายทหาร) ผู้บริหารระดับสูงของ กอ.รมน.ส่วนกลาง ผู้บังคับบัญชาของทหารบก และผู้ปฏิบัติหลักของ กอ.รมน. โดยสรุปสาระสําคัญของการประชุม ดังนี้ ที่ประชุมได้รับทราบสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจําปี 2560 และมีมติเห็นชอบแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2561 ของ กอ.รมน. ที่ได้ดําเนินงานเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วย 6 ด้าน ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ได้แก่ การเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ การแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนยุติธรรม การเสริมสร้างและพัฒนาระบบงานข่าวกรอง การบริหารจัดการสาธารณภัย การป้องกันภัยจากการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และความมั่นคงทางไซเบอร์ 2. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ การพัฒนาและการป้องกันระบบทรัพย์สินทางปัญญา 3. ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ได้แก่ การใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 4. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาคทางสังคม ได้แก่ การจัดระเบียบสังคม การเสริมสร้างพลังทางสังคม และการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ 5. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การอนุรักษ์ ฟื้นฟู การป้องกันการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ และการบริหารจัดการน้ําใน 25 ลุ่มน้ําทั่วประเทศ 6. ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้าง กอ.รมน. เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานต่อไป ...................................................................... กลุ่มประชาสัมสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจำปี 2560 ของ กอ.รมน. วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2560 นรม. เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจําปี 2560 ของ กอ.รมน. นรม. เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจําปี 60 พร้อมที่ประชุมเห็นชอบแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 61 ของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามนโยบายของรัฐบาล วันนี้ (22 ธันวาคม 2560) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจําปี 2560 ของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย คณะกรรมการอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หัวหน้าส่วนราชการด้านความมั่นคง ผู้อํานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ผู้อํานวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด รองผู้อํานวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ฝ่ายทหาร) ผู้บริหารระดับสูงของ กอ.รมน.ส่วนกลาง ผู้บังคับบัญชาของทหารบก และผู้ปฏิบัติหลักของ กอ.รมน. โดยสรุปสาระสําคัญของการประชุม ดังนี้ ที่ประชุมได้รับทราบสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจําปี 2560 และมีมติเห็นชอบแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2561 ของ กอ.รมน. ที่ได้ดําเนินงานเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วย 6 ด้าน ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ได้แก่ การเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ การแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนยุติธรรม การเสริมสร้างและพัฒนาระบบงานข่าวกรอง การบริหารจัดการสาธารณภัย การป้องกันภัยจากการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และความมั่นคงทางไซเบอร์ 2. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ การพัฒนาและการป้องกันระบบทรัพย์สินทางปัญญา 3. ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ได้แก่ การใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 4. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาคทางสังคม ได้แก่ การจัดระเบียบสังคม การเสริมสร้างพลังทางสังคม และการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ 5. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การอนุรักษ์ ฟื้นฟู การป้องกันการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ และการบริหารจัดการน้ําใน 25 ลุ่มน้ําทั่วประเทศ 6. ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้าง กอ.รมน. เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานต่อไป ...................................................................... กลุ่มประชาสัมสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8942
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” มอบเงินทดแทนกว่า 4.9 ล้านบาท แก่ทายาทแรงงานไทยที่เสียชีวิตในสิงคโปร์
วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561 “บิ๊กอู๋” มอบเงินทดแทนกว่า 4.9 ล้านบาท แก่ทายาทแรงงานไทยที่เสียชีวิตในสิงคโปร์ รมว.แรงงาน มอบเงินทดแทน 4,990,000 บาท แก่ทายาทแรงงานไทยที่เสียชีวิตขณะทํางานในสิงคโปร์ เน้นย้ํา ไปแบบถูกกฎหมาย ภาครัฐดูแลเต็มที่ วันที่ 27 มิถุนายน 2561 เวลา 13.30 น. พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะผู้บริหาร ร่วมมอบเช็คเงินทดแทนให้แก่ทายาทของนายพงศ์ศักดิ์ มีแต้ม อายุ 45 ปี ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช แรงงานไทยที่เสียชีวิตจากการทํางานในประเทศสิงคโปร์ ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยนายพงศ์ศักดิ์ มีแต้ม ปฏิบัติหน้าที่ลูกเรือของบริษัท RCL Shipmanagement Pte Ltd และเสียชีวิตด้วยสาเหตุกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เนื่องจากเส้นเลือดที่เลี้ยงหัวใจอุดตัน ที่โรงพยาบาล สลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ซึ่งสํานักงานแรงงานในประเทศสิงคโปร์ (สนร.สิงคโปร์) ได้ดําเนินการประสานกระทรวงแรงงานสิงคโปร์ และนายจ้างเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผู้เสียชีวิต และเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2561 กระทรวงแรงงานสิงคโปร์ ได้มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาสอบสวนพบว่า การเสียชีวิตของนายพงศ์ศักดิ์ฯ เกิดขึ้นเนื่องจากการทํางาน ทายาทของนายพงศ์ศักดิ์ฯ จึงมีสิทธิได้รับเงินทดแทน โดยกระทรวงแรงงานสิงคโปร์ได้ส่งเช็คธนาคารทหารไทย จํานวน 204,000 เหรียญสิงคโปร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,990,000 บาท สั่งจ่ายในนามนายน้อม มีแต้ม ซึ่งเป็นบิดาของผู้เสียชีวิต กระทรวงแรงงานจึงได้ประสานให้ทายาทของนายพงศ์ศักดิ์ฯ มารับเช็คเงินทดแทนของผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จัดทําบันทึกข้อตกลงระหว่างทายาท โดยแบ่งสิทธิประโยชน์เป็น 5 ส่วนเท่าๆ กัน คือ บิดา และบุตรของนายพงศ์ศักดิ์ฯ จํานวน 4 คน พล.ต.อ. อดุลย์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การไปทํางานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายจะส่งผลให้คนงานได้รับความคุ้มครอง รวมถึงสิทธิประโยชน์ อัตราค่าจ้าง สวัสดิการตามกฎหมายแรงงานของประเทศนั้นๆ กล่าวคือหากประสบภัย เจ็บป่วย หรือเสียชีวิต จะได้รับการคุ้มครองดูแลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์อย่างถูกต้องและเป็นธรรม อีกทั้งยังมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัว หลบซ่อนหรือวิตกกังวลว่าจะถูกจับได้ เพราะเข้ามาทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ หากประสบปัญหาในต่างประเทศ สํานักงานแรงงานไทยหรือสถานเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ จะเป็นตัวแทนรัฐบาลในการดูแลแรงงานไทยในต่างประเทศเช่นกัน +++++++++++++++++++++++
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” มอบเงินทดแทนกว่า 4.9 ล้านบาท แก่ทายาทแรงงานไทยที่เสียชีวิตในสิงคโปร์ วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561 “บิ๊กอู๋” มอบเงินทดแทนกว่า 4.9 ล้านบาท แก่ทายาทแรงงานไทยที่เสียชีวิตในสิงคโปร์ รมว.แรงงาน มอบเงินทดแทน 4,990,000 บาท แก่ทายาทแรงงานไทยที่เสียชีวิตขณะทํางานในสิงคโปร์ เน้นย้ํา ไปแบบถูกกฎหมาย ภาครัฐดูแลเต็มที่ วันที่ 27 มิถุนายน 2561 เวลา 13.30 น. พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะผู้บริหาร ร่วมมอบเช็คเงินทดแทนให้แก่ทายาทของนายพงศ์ศักดิ์ มีแต้ม อายุ 45 ปี ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช แรงงานไทยที่เสียชีวิตจากการทํางานในประเทศสิงคโปร์ ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยนายพงศ์ศักดิ์ มีแต้ม ปฏิบัติหน้าที่ลูกเรือของบริษัท RCL Shipmanagement Pte Ltd และเสียชีวิตด้วยสาเหตุกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เนื่องจากเส้นเลือดที่เลี้ยงหัวใจอุดตัน ที่โรงพยาบาล สลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ซึ่งสํานักงานแรงงานในประเทศสิงคโปร์ (สนร.สิงคโปร์) ได้ดําเนินการประสานกระทรวงแรงงานสิงคโปร์ และนายจ้างเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผู้เสียชีวิต และเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2561 กระทรวงแรงงานสิงคโปร์ ได้มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาสอบสวนพบว่า การเสียชีวิตของนายพงศ์ศักดิ์ฯ เกิดขึ้นเนื่องจากการทํางาน ทายาทของนายพงศ์ศักดิ์ฯ จึงมีสิทธิได้รับเงินทดแทน โดยกระทรวงแรงงานสิงคโปร์ได้ส่งเช็คธนาคารทหารไทย จํานวน 204,000 เหรียญสิงคโปร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,990,000 บาท สั่งจ่ายในนามนายน้อม มีแต้ม ซึ่งเป็นบิดาของผู้เสียชีวิต กระทรวงแรงงานจึงได้ประสานให้ทายาทของนายพงศ์ศักดิ์ฯ มารับเช็คเงินทดแทนของผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จัดทําบันทึกข้อตกลงระหว่างทายาท โดยแบ่งสิทธิประโยชน์เป็น 5 ส่วนเท่าๆ กัน คือ บิดา และบุตรของนายพงศ์ศักดิ์ฯ จํานวน 4 คน พล.ต.อ. อดุลย์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การไปทํางานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายจะส่งผลให้คนงานได้รับความคุ้มครอง รวมถึงสิทธิประโยชน์ อัตราค่าจ้าง สวัสดิการตามกฎหมายแรงงานของประเทศนั้นๆ กล่าวคือหากประสบภัย เจ็บป่วย หรือเสียชีวิต จะได้รับการคุ้มครองดูแลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์อย่างถูกต้องและเป็นธรรม อีกทั้งยังมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัว หลบซ่อนหรือวิตกกังวลว่าจะถูกจับได้ เพราะเข้ามาทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ หากประสบปัญหาในต่างประเทศ สํานักงานแรงงานไทยหรือสถานเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ จะเป็นตัวแทนรัฐบาลในการดูแลแรงงานไทยในต่างประเทศเช่นกัน +++++++++++++++++++++++
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13385
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย อยู่ใน State Quarantine แจงยังต้องติดตามสถานการณ์ของโลกอย่างใกล้ชิด ย้ำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าอยู่เสมอ
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563 โฆษก ศบค. เผยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย อยู่ใน State Quarantine แจงยังต้องติดตามสถานการณ์ของโลกอย่างใกล้ชิด ย้ําให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าอยู่เสมอ โฆษก ศบค. เผยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย อยู่ใน State Quarantine แจงยังต้องติดตามสถานการณ์ของโลกอย่างใกล้ชิด ย้ําให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าอยู่เสมอ วันนี้ (27 ก.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย มาจาก State Quarantine หรือสถานที่กักกันของรัฐจัดให้ทั้งหมด ทําให้มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,295 ราย (ติดเชื้อในประเทศ 2,444 ราย และมาจากสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 358 ราย) รักษาหายป่วยเพิ่มขึ้น 2 ราย รวมรักษาหายป่วยแล้ว 3,111 ราย รักษาอยู่ในโรงพยาบาล 126 ราย และไม่มีเสียชีวิตเพิ่มตัวเลขยังคงที่ 58 ราย เช่นเดิม สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เดินทางมาจากสหรัฐอเมริกา 3 ราย โดยรายแรกเป็นนักท่องเที่ยวหญิงไทย อายุ 44 ปี เดินทางมาถึงไทยเมื่อ 20 กรกฎาคม 2563 เข้าพัก State Quarantine ที่จังหวัดชลบุรี ตรวจหาเชื้อวันที่ 25 กรกฎาคม ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ และ 2 ราย เป็นนักศึกษาชายไทย อายุ 25 ปี และนักศึกษาหญิงไทย อายุ 21 ปี เดินทางมาถึงไทยเมื่อ 25 กรกฎาคม โดยผ่านการคัดกรอง ณ ด่านควบคุมโรค พบว่ามีอาการเข้าเกณฑ์ PUI คือผู้ป่วยชาย มีอาการไข้และเจ็บคอ และผู้ป่วยหญิง มีอาการไข้และจมูกไม่ได้กลิ่นจึงตรวจหาเชื้อใหม่ในวันที่ 25 กรกฎาคม ผลตรวจพบเชื้อ และอีก 1 ราย เดินทางมาจากไต้หวัน เป็นชายไทย อายุ 30 ปี อาชีพนักงานโรงงาน เดินทางมาถึงไทยเมื่อ 21 กรกฎาคม เข้าพัก State Quarantine ที่กรุงเทพฯ และตรวจพบเชื้อวันที่ 25 กรกฎาคม สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 16,000,000 กว่าราย โดยสหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 รองลงมาคือ บราซิล อินเดีย รัสเซีย และแอฟริกาใต้ ตามลําดับ ส่วนประเทศไทยขณะนี้ลงมาอยู่ลําดับที่ 106 ของโลกแล้ว อย่างไรก็ตามยังต้องมีการติดตามสถานการณ์การติดเชื้อของ 5 อับแรกของโลกอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และต้องมีการติดตามสถานการณ์ว่าเมื่อไรตัวเลขเหล่านั้นจะคงที่หรือค่อย ๆ ลดลง ซึ่งจะเป็นตัวบ่งบอกถึงทิศทางและแนวโน้มที่ดีขึ้นของสถานการณ์การระแพร่บาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทั่วโลก สําหรับสถานการณ์ในประเทศเอเชียยังพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และเวียดนาม ทั้งนี้ มีข้อสังเกตกรณีที่เกิดขึ้นในเวียดนามซึ่งมีการรายงานปลอดเชื้อมาโดยตลอดและตัวเลข 0 ราย เช่นเดียวกันไทย แต่เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 63 พบมีผู้เชื้อเพิ่ม 1 ราย และวันที่ 26 กรกฎาคม 63 มีรายงานตรวจพบมีผู้ติดเชื้ออีก 3 ราย ซึ่งมีรายงานว่าเวียดนามคุมโควิดเข้ม หลังพบผู้ติดเชื้อล่าสุดอีก 3 ราย โดยออกมาตรการงดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในดานังเป็นเวลา 14 วัน รวมทั้งการรณรงค์สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างและยกเลิกการจัดงานต่าง ๆ ในทันที เพราะฉะนั้นการที่ไม่พบผู้ติดเชื้อไม่ได้หมายว่าจะไม่มีผู้ติดเชื้อเกิดอีก รวมถึงในประเทศไทยเช่นกัน จึงขอให้ทุกคนต้องพยายามช่วยกันให้รับกับสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นได้ โดยเฉพาะขณะนี้มีบางประเทศได้เกิดการติดเชื้อขึ้นมาระลอก 2 แล้ว คือ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิสราเอล และโครเอเชีย เป็นต้น ดังนั้น ขอย้ําให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้าอยู่เสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากโควิด-19 โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวสัปดาห์นี้ที่ออกไปข้างนอกหรือเดินทางไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ด้านการใช้มาตรการผ่อนคลายในรถโดยสารสาธารณะ ช่วงระหว่างวันหยุดยาว ทางกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม รายงานต่อที่ประชุม ศบค. เช้านี้ว่ามาตรการต่าง ๆ ได้รับความร่วมมือจากทางผู้ประกอบการและทางขนส่งของทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างดี ในทุก ๆ กระบวนการ ส่วนการกํากับดูแลจะมีผู้กํากับประเมินที่สถานีขนส่งผู้โดยสารและจุดเช็คพ้อยท์ 99 จุดกระจายไป ตลอด 24 ชั่วโมง ดูในเรื่องของการปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ จากการประเมินผลช่วงวันที่ 28 มิถุนายน ถึง 19 กรกฎาคม 63 รายงานว่ามีการใส่หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัยร้อยละ 99.7 เจลแอลกอฮอล์ร้อยละ 98.22 การเว้นระยะห่างร้อยละ 99.97 QR Code ร้อยละ 98.74 โดยขอความร่วมมือจากภาคประชาชนคนทั่วไป ผู้ใช้บริการ ได้ช่วยเป็นผู้ประเมินด้วย เพื่อจะได้เกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น โฆษก ศบค. กล่าวถึงแนวทางการผ่อนคลายมาตรการของสถานศึกษา หลังเปิดสถานศึกษามา 1 เดือน ว่า ศบค. ชุดเล็กมอบหมายให้กรมควบคุมโรคร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการประเมินทิศทางที่ผ่านมาตลอด 1 เดือน ยังไม่พบการติดเชื้อในกลุ่มนี้ จากข้อมูล เด็กเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงการติดเชื้อค่อนข้างต่ํา ในประเทศมีเพียงแค่ร้อยละ 1-6 ช่วงอายุ 0 - 9 ปี พบเพียงแค่ร้อยละ 1.9 หรือ 62 ราย ตั้งแต่เริ่มมีการติดเชื้อมา อายุ 10-19 ปี มี 126 รายคิดเป็นร้อยละ 3.87 และไม่เคยมีรายงานพบการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนเลย ปัจจุบันมี 4,528 โรงเรียน ที่ต้องใช้วิธีการสลับเวลาเรียน สลับวันเรียน เนื่องจากสถานที่คับแคบและเด็กมีจํานวนมากกว่าห้องเรียน มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็ก ขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การเหลื่อมล้ําทางการเข้าถึงทรัพยากร และผลกระทบด้านโภชนาการ จึงมีการประชุมร่วมกันของ สธ. และ ศธ. ถึงข้อพิจารณาการผ่อนคลายนี้ให้นักเรียนไปเรียนได้ตามปกติ โดยมีมาตรการเสริม มีการกํากับโดยสถานศึกษาและหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ ผ่านการดูแลจากแต่ละหน่วยงานเป็นลําดับ สอดคล้องกับเรื่องประเด็นที่ 3 มีกรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุขเข้าไปดูการตรวจประเมินและติดตามผลหลังการเปิดภาคเรียน และแนวปฏิบัติของสถานการณ์การเสี่ยงต่อการติดโรคในมาตรการผ่อนคลายของสถานศึกษา พบว่าสถานศึกษามีมาตรการความปลอดภัยจากการลดการแพร่เชื้อโรคถึงร้อยละ 99.47 มีไม่ครบเพียงแค่ 0.53 หรือ 132 แห่ง ก็ได้มีการชี้แนะให้ปรับปรุงให้ครบ จากโรงเรียน 25,140 แห่งที่เข้าไปสํารวจ พบรายงานเด็กป่วยอยู่ที่ 687 คน มีรายงานป่วยเป็นไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ แต่ไม่ใช่โควิด-19 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มาตรการนี้มีมาพร้อมกับเรื่องของการสวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัยทําให้พบเด็กป่วยน้อยลง โรงเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 96 มีแผนรองรับ ไม่มีเพียงร้อยละ 3.75 เท่านั้นที่จําเป็นต้องเข้าไปแนะนําเพิ่มเติม ซึ่ง ศบค. ได้นําข้อมูลต่าง ๆ มาพิจารณาอย่างละเอียด เพื่อการผ่อนคลายมาตรการให้เกิดผลกระทบต่อเด็กนักเรียนให้น้อยที่สุด การเรียนการสอนต้องไม่สะดุดและการควบคุมโรคเป็นไปได้ด้วยดี โฆษก ศบค. ยังรายงานมาตรการนําคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศวันนี้รวม 725 ราย และวันพรุ่งนี้ 331 ราย พร้อมมีผู้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยผ่านจุดผ่านแดนทางบกจํานวน 45 ราย โดยยอดรวมผู้เดินทางเข้าประเทศที่เข้าสู่สถานกักกันที่รัฐจัดให้ (State Quarantine และ Local Quarantine) ตั้งแต่ 3 เมษายน – 26 กรกฎาคม มีจํานวน 65,835 ราย กลับบ้านแล้ว 56,443 ราย พบผู้ติดเชื้อจากสถานกักกันที่รัฐจัดให้จํานวนสะสม 358 ราย ซึ่งรักษาหายและกลับบ้านได้แล้ว 232 ราย ทั้งนี้ ได้มีการหารือถึง Organization Quarantine (OQ) สําหรับกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย จะต้องมีความพร้อมของสถานที่และมีมาตรการทางสาธารณสุขที่รัดกุมเช่นเดียวกับ SQ และ LQ อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานจะเร่งดําเนินการจัดหาสถานที่ที่เหมาะสม และไม่ให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป สําหรับยอดสะสมการใช้งาน www.ไทยชนะ.com มีผู้ใช้งาน 39,062,116 คน ร้านค้าลงทะเบียน 279,980 ร้าน เช็คอิน/เช็คเอาท์ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะอยู่ที่ร้อยละ 95.6 ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย อยู่ใน State Quarantine แจงยังต้องติดตามสถานการณ์ของโลกอย่างใกล้ชิด ย้ำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าอยู่เสมอ วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563 โฆษก ศบค. เผยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย อยู่ใน State Quarantine แจงยังต้องติดตามสถานการณ์ของโลกอย่างใกล้ชิด ย้ําให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าอยู่เสมอ โฆษก ศบค. เผยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย อยู่ใน State Quarantine แจงยังต้องติดตามสถานการณ์ของโลกอย่างใกล้ชิด ย้ําให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าอยู่เสมอ วันนี้ (27 ก.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย มาจาก State Quarantine หรือสถานที่กักกันของรัฐจัดให้ทั้งหมด ทําให้มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,295 ราย (ติดเชื้อในประเทศ 2,444 ราย และมาจากสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 358 ราย) รักษาหายป่วยเพิ่มขึ้น 2 ราย รวมรักษาหายป่วยแล้ว 3,111 ราย รักษาอยู่ในโรงพยาบาล 126 ราย และไม่มีเสียชีวิตเพิ่มตัวเลขยังคงที่ 58 ราย เช่นเดิม สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เดินทางมาจากสหรัฐอเมริกา 3 ราย โดยรายแรกเป็นนักท่องเที่ยวหญิงไทย อายุ 44 ปี เดินทางมาถึงไทยเมื่อ 20 กรกฎาคม 2563 เข้าพัก State Quarantine ที่จังหวัดชลบุรี ตรวจหาเชื้อวันที่ 25 กรกฎาคม ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ และ 2 ราย เป็นนักศึกษาชายไทย อายุ 25 ปี และนักศึกษาหญิงไทย อายุ 21 ปี เดินทางมาถึงไทยเมื่อ 25 กรกฎาคม โดยผ่านการคัดกรอง ณ ด่านควบคุมโรค พบว่ามีอาการเข้าเกณฑ์ PUI คือผู้ป่วยชาย มีอาการไข้และเจ็บคอ และผู้ป่วยหญิง มีอาการไข้และจมูกไม่ได้กลิ่นจึงตรวจหาเชื้อใหม่ในวันที่ 25 กรกฎาคม ผลตรวจพบเชื้อ และอีก 1 ราย เดินทางมาจากไต้หวัน เป็นชายไทย อายุ 30 ปี อาชีพนักงานโรงงาน เดินทางมาถึงไทยเมื่อ 21 กรกฎาคม เข้าพัก State Quarantine ที่กรุงเทพฯ และตรวจพบเชื้อวันที่ 25 กรกฎาคม สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 16,000,000 กว่าราย โดยสหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 รองลงมาคือ บราซิล อินเดีย รัสเซีย และแอฟริกาใต้ ตามลําดับ ส่วนประเทศไทยขณะนี้ลงมาอยู่ลําดับที่ 106 ของโลกแล้ว อย่างไรก็ตามยังต้องมีการติดตามสถานการณ์การติดเชื้อของ 5 อับแรกของโลกอย่างใกล้ชิด เพราะขณะนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และต้องมีการติดตามสถานการณ์ว่าเมื่อไรตัวเลขเหล่านั้นจะคงที่หรือค่อย ๆ ลดลง ซึ่งจะเป็นตัวบ่งบอกถึงทิศทางและแนวโน้มที่ดีขึ้นของสถานการณ์การระแพร่บาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทั่วโลก สําหรับสถานการณ์ในประเทศเอเชียยังพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และเวียดนาม ทั้งนี้ มีข้อสังเกตกรณีที่เกิดขึ้นในเวียดนามซึ่งมีการรายงานปลอดเชื้อมาโดยตลอดและตัวเลข 0 ราย เช่นเดียวกันไทย แต่เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 63 พบมีผู้เชื้อเพิ่ม 1 ราย และวันที่ 26 กรกฎาคม 63 มีรายงานตรวจพบมีผู้ติดเชื้ออีก 3 ราย ซึ่งมีรายงานว่าเวียดนามคุมโควิดเข้ม หลังพบผู้ติดเชื้อล่าสุดอีก 3 ราย โดยออกมาตรการงดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในดานังเป็นเวลา 14 วัน รวมทั้งการรณรงค์สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างและยกเลิกการจัดงานต่าง ๆ ในทันที เพราะฉะนั้นการที่ไม่พบผู้ติดเชื้อไม่ได้หมายว่าจะไม่มีผู้ติดเชื้อเกิดอีก รวมถึงในประเทศไทยเช่นกัน จึงขอให้ทุกคนต้องพยายามช่วยกันให้รับกับสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นได้ โดยเฉพาะขณะนี้มีบางประเทศได้เกิดการติดเชื้อขึ้นมาระลอก 2 แล้ว คือ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิสราเอล และโครเอเชีย เป็นต้น ดังนั้น ขอย้ําให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้าอยู่เสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากโควิด-19 โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวสัปดาห์นี้ที่ออกไปข้างนอกหรือเดินทางไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ด้านการใช้มาตรการผ่อนคลายในรถโดยสารสาธารณะ ช่วงระหว่างวันหยุดยาว ทางกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม รายงานต่อที่ประชุม ศบค. เช้านี้ว่ามาตรการต่าง ๆ ได้รับความร่วมมือจากทางผู้ประกอบการและทางขนส่งของทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างดี ในทุก ๆ กระบวนการ ส่วนการกํากับดูแลจะมีผู้กํากับประเมินที่สถานีขนส่งผู้โดยสารและจุดเช็คพ้อยท์ 99 จุดกระจายไป ตลอด 24 ชั่วโมง ดูในเรื่องของการปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ จากการประเมินผลช่วงวันที่ 28 มิถุนายน ถึง 19 กรกฎาคม 63 รายงานว่ามีการใส่หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัยร้อยละ 99.7 เจลแอลกอฮอล์ร้อยละ 98.22 การเว้นระยะห่างร้อยละ 99.97 QR Code ร้อยละ 98.74 โดยขอความร่วมมือจากภาคประชาชนคนทั่วไป ผู้ใช้บริการ ได้ช่วยเป็นผู้ประเมินด้วย เพื่อจะได้เกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น โฆษก ศบค. กล่าวถึงแนวทางการผ่อนคลายมาตรการของสถานศึกษา หลังเปิดสถานศึกษามา 1 เดือน ว่า ศบค. ชุดเล็กมอบหมายให้กรมควบคุมโรคร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการประเมินทิศทางที่ผ่านมาตลอด 1 เดือน ยังไม่พบการติดเชื้อในกลุ่มนี้ จากข้อมูล เด็กเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงการติดเชื้อค่อนข้างต่ํา ในประเทศมีเพียงแค่ร้อยละ 1-6 ช่วงอายุ 0 - 9 ปี พบเพียงแค่ร้อยละ 1.9 หรือ 62 ราย ตั้งแต่เริ่มมีการติดเชื้อมา อายุ 10-19 ปี มี 126 รายคิดเป็นร้อยละ 3.87 และไม่เคยมีรายงานพบการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนเลย ปัจจุบันมี 4,528 โรงเรียน ที่ต้องใช้วิธีการสลับเวลาเรียน สลับวันเรียน เนื่องจากสถานที่คับแคบและเด็กมีจํานวนมากกว่าห้องเรียน มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็ก ขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การเหลื่อมล้ําทางการเข้าถึงทรัพยากร และผลกระทบด้านโภชนาการ จึงมีการประชุมร่วมกันของ สธ. และ ศธ. ถึงข้อพิจารณาการผ่อนคลายนี้ให้นักเรียนไปเรียนได้ตามปกติ โดยมีมาตรการเสริม มีการกํากับโดยสถานศึกษาและหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ ผ่านการดูแลจากแต่ละหน่วยงานเป็นลําดับ สอดคล้องกับเรื่องประเด็นที่ 3 มีกรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุขเข้าไปดูการตรวจประเมินและติดตามผลหลังการเปิดภาคเรียน และแนวปฏิบัติของสถานการณ์การเสี่ยงต่อการติดโรคในมาตรการผ่อนคลายของสถานศึกษา พบว่าสถานศึกษามีมาตรการความปลอดภัยจากการลดการแพร่เชื้อโรคถึงร้อยละ 99.47 มีไม่ครบเพียงแค่ 0.53 หรือ 132 แห่ง ก็ได้มีการชี้แนะให้ปรับปรุงให้ครบ จากโรงเรียน 25,140 แห่งที่เข้าไปสํารวจ พบรายงานเด็กป่วยอยู่ที่ 687 คน มีรายงานป่วยเป็นไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ แต่ไม่ใช่โควิด-19 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มาตรการนี้มีมาพร้อมกับเรื่องของการสวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัยทําให้พบเด็กป่วยน้อยลง โรงเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 96 มีแผนรองรับ ไม่มีเพียงร้อยละ 3.75 เท่านั้นที่จําเป็นต้องเข้าไปแนะนําเพิ่มเติม ซึ่ง ศบค. ได้นําข้อมูลต่าง ๆ มาพิจารณาอย่างละเอียด เพื่อการผ่อนคลายมาตรการให้เกิดผลกระทบต่อเด็กนักเรียนให้น้อยที่สุด การเรียนการสอนต้องไม่สะดุดและการควบคุมโรคเป็นไปได้ด้วยดี โฆษก ศบค. ยังรายงานมาตรการนําคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศวันนี้รวม 725 ราย และวันพรุ่งนี้ 331 ราย พร้อมมีผู้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยผ่านจุดผ่านแดนทางบกจํานวน 45 ราย โดยยอดรวมผู้เดินทางเข้าประเทศที่เข้าสู่สถานกักกันที่รัฐจัดให้ (State Quarantine และ Local Quarantine) ตั้งแต่ 3 เมษายน – 26 กรกฎาคม มีจํานวน 65,835 ราย กลับบ้านแล้ว 56,443 ราย พบผู้ติดเชื้อจากสถานกักกันที่รัฐจัดให้จํานวนสะสม 358 ราย ซึ่งรักษาหายและกลับบ้านได้แล้ว 232 ราย ทั้งนี้ ได้มีการหารือถึง Organization Quarantine (OQ) สําหรับกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย จะต้องมีความพร้อมของสถานที่และมีมาตรการทางสาธารณสุขที่รัดกุมเช่นเดียวกับ SQ และ LQ อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานจะเร่งดําเนินการจัดหาสถานที่ที่เหมาะสม และไม่ให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป สําหรับยอดสะสมการใช้งาน www.ไทยชนะ.com มีผู้ใช้งาน 39,062,116 คน ร้านค้าลงทะเบียน 279,980 ร้าน เช็คอิน/เช็คเอาท์ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะอยู่ที่ร้อยละ 95.6 ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33697
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต แนะประชาชนใช้หน้ากากผ้าเมื่อเข้าในที่ชุมชน
วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563 รมช.สาธิต แนะประชาชนใช้หน้ากากผ้าเมื่อเข้าในที่ชุมชน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนใช้หน้ากากผ้าเมื่อต้องไปในที่ชุมชน ประสานกับกระทรวงพาณิชย์สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ให้ขาดหน้ากากอนามัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนใช้หน้ากากผ้าเมื่อต้องไปในที่ชุมชน ประสานกับกระทรวงพาณิชย์สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ให้ขาดหน้ากากอนามัย วันนี้ (6 มีนาคม 2563) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ทํางานตั้งแต่เริ่มมีการระบาด และแถลงข่าวให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์ทุกวัน เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจสถานการณ์และมีความรู้ในการป้องกันตนเอง องค์กร สถาบัน หน่วยงานราชการตระหนักและปฏิบัติตามแนวของกระทรวงสาธารณสุข หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นอาจเพิ่มมาตรการ เช่น ปิดโรงเรียน ยกเลิกการประชุม เป็นอํานาจตามกฎหมาย ซึ่งจะพิจารณาแต่ละขั้นตอนในแต่ละสถานการณ์ บางมาตรการอาจกระทบกับความสะดวกสบายของประชาชนบ้าง แต่ทั้งหมดเป็นการดําเนินการภายใต้การบริหารจัดการ เพื่อให้มีผู้ติดเชื้อน้อยที่สุด ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ความสําเร็จเกิดได้จากประชาชนและทุกภาคส่วน ให้ความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาล ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า เมื่อเข้าไปในที่ชุมชนที่มีคนอยู่จํานวนมาก ประชาชนสามารถใช้หน้ากากผ้าได้ สําหรับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจและบุคลากรทางการแพทย์ควรใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ กรณีที่ต้องดูแลผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจที่รุนแรงใช้หน้ากาก N95 อย่างไรก็ตาม ได้ประสานกระทรวงพาณิชย์ ซึ่ง 11 โรงงานสามารถผลิตได้วันละ 1.2 ล้านชิ้น ให้จัดสรรให้กับบุคลากรการแพทย์ก่อนเพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยง สําหรับโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนมีปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัย ขอให้ติดต่อมาเพื่อจะได้ประสานหารือกับผู้บริหาร ช่วยบรรเทาปัญหาแต่ละแห่งต่อไป "ผมได้ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อเพิ่มสัดส่วนโควตา ของกระทรวงสาธารณสุข จากเดิม 4 แสนชิ้น เป็น7 แสนชิ้นต่อวัน และจะตรวจสอบการลําเลียง หน้ากากอนามัยไปยัง ทุกโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด" ดร.สาธิตกล่าว ********************************** 6 มีนาคม 2563 *******************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต แนะประชาชนใช้หน้ากากผ้าเมื่อเข้าในที่ชุมชน วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563 รมช.สาธิต แนะประชาชนใช้หน้ากากผ้าเมื่อเข้าในที่ชุมชน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนใช้หน้ากากผ้าเมื่อต้องไปในที่ชุมชน ประสานกับกระทรวงพาณิชย์สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ให้ขาดหน้ากากอนามัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนใช้หน้ากากผ้าเมื่อต้องไปในที่ชุมชน ประสานกับกระทรวงพาณิชย์สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ให้ขาดหน้ากากอนามัย วันนี้ (6 มีนาคม 2563) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ทํางานตั้งแต่เริ่มมีการระบาด และแถลงข่าวให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์ทุกวัน เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจสถานการณ์และมีความรู้ในการป้องกันตนเอง องค์กร สถาบัน หน่วยงานราชการตระหนักและปฏิบัติตามแนวของกระทรวงสาธารณสุข หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นอาจเพิ่มมาตรการ เช่น ปิดโรงเรียน ยกเลิกการประชุม เป็นอํานาจตามกฎหมาย ซึ่งจะพิจารณาแต่ละขั้นตอนในแต่ละสถานการณ์ บางมาตรการอาจกระทบกับความสะดวกสบายของประชาชนบ้าง แต่ทั้งหมดเป็นการดําเนินการภายใต้การบริหารจัดการ เพื่อให้มีผู้ติดเชื้อน้อยที่สุด ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ความสําเร็จเกิดได้จากประชาชนและทุกภาคส่วน ให้ความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาล ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า เมื่อเข้าไปในที่ชุมชนที่มีคนอยู่จํานวนมาก ประชาชนสามารถใช้หน้ากากผ้าได้ สําหรับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจและบุคลากรทางการแพทย์ควรใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ กรณีที่ต้องดูแลผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจที่รุนแรงใช้หน้ากาก N95 อย่างไรก็ตาม ได้ประสานกระทรวงพาณิชย์ ซึ่ง 11 โรงงานสามารถผลิตได้วันละ 1.2 ล้านชิ้น ให้จัดสรรให้กับบุคลากรการแพทย์ก่อนเพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยง สําหรับโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนมีปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัย ขอให้ติดต่อมาเพื่อจะได้ประสานหารือกับผู้บริหาร ช่วยบรรเทาปัญหาแต่ละแห่งต่อไป "ผมได้ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อเพิ่มสัดส่วนโควตา ของกระทรวงสาธารณสุข จากเดิม 4 แสนชิ้น เป็น7 แสนชิ้นต่อวัน และจะตรวจสอบการลําเลียง หน้ากากอนามัยไปยัง ทุกโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด" ดร.สาธิตกล่าว ********************************** 6 มีนาคม 2563 *******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26978
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอให้นักกีฬาอาเซียนพาราเกมส์นำกำลังใจของคนทั้งชาติไปร่วมการแข่งขันด้วย
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563 นายกรัฐมนตรีขอให้นักกีฬาอาเซียนพาราเกมส์นํากําลังใจของคนทั้งชาติไปร่วมการแข่งขันด้วย นายกรัฐมนตรีขอให้นักกีฬาอาเซียนพาราเกมส์นํากําลังใจของคนทั้งชาติไปร่วมการแข่งขันด้วย วันนี้ (6 มกราคม 2563) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวให้โอวาทแก่คณะนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ จํานวน 500 คน ที่จะเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 14-25 มกราคม 2563 ณ เมืองซูบิค สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยในครั้งนี้ มี 11 ประเทศที่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน และคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทยได้จัดส่งคณะนักกีฬาคนพิการตัวแทนทีมชาติไทยไปร่วมแข่งขันจํานวน 318 คน ใน 16 ชนิดกีฬา ได้แก่ ยิงธนู กรีฑา แบดมินตัน บอคเซีย หมากรุกสากล จักรยาน ฟุตบอล 7 คน โกลบอล ยูโด ยกน้ําหนัก ว่ายน้ํา โบว์ลิ่ง วอลเลย์บอลนั่ง เทเบิลเทนนิส วีลแชร์บาสเกตบอล และไตรกีฬา สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับคณะนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ ที่จะเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 10 พร้อมชื่นชมนักกีฬาทุกคนที่อดทน มุมานะ และมีวินัยในการฝึกซ้อม จนสามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ และได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันดังกล่าว ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของตนเอง เป็นเกียรติภูมิของประเทศชาติ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้คนไทยและนายกรัฐมนตรีมีความสุข ขอส่งแรงใจของคนไทยทั้งประเทศไปช่วยในการแข่งขันด้วย รัฐบาลให้ความสําคัญกับการส่งเสริมการเล่นกีฬาและออกกําลังกาย และการดูแลผู้พิการ ทั้งนี้เชื่อว่าทุกคนมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ มีความเข้มแข็งทางจิตใจ แม้ว่าความไม่พร้อมทางร่างกายจะยิ่งทําให้การฝึกซ้อมยากขึ้น ขอให้ทุกคนมีและมีน้ําใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และสร้างมิตรภาพกับนักกีฬาต่างชาติ นายกรัฐมนตรีกล่าวให้กําลังใจนักกีฬาทุกคนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ซึ่งถือเป็นเวทีสําคัญที่แสดงให้เห็นถึงการรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกัน ส่งเสริมความสามัคคีภายในกลุ่มประเทศอาเซียน และเป็นเวทีที่นักกีฬาจะได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ โดยนายกรัฐมนตรีขอให้นักกีฬาทุกคนทําหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ มีน้ําใจนักกีฬา เคารพและปฏิบัติตามกฎกติกามารยาท และใช้โอกาสนี้ในการสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดีให้กับประเทศ รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่น พร้อมทั้งนําประสบการณ์ที่ได้จากการแข่งขันมาพัฒนาฝีมือมือและวงการกีฬาของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ที่ร่วมกันพัฒนาวงการกีฬาให้มีคุณภาพ และผลักดันให้นักกีฬาทุกคนก้าวไปสู่การแข่งขันเพื่อความสําเร็จ พร้อมทั้งอวยพรให้นักกีฬาประสบความสําเร็จในการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ในครั้งนี้ เพื่อนําชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ และในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้อวยพรปีใหม่ให้ผู้เข้าร่วมทุกคนให้ประสบความสําเร็จในทุกด้าน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอให้นักกีฬาอาเซียนพาราเกมส์นำกำลังใจของคนทั้งชาติไปร่วมการแข่งขันด้วย วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563 นายกรัฐมนตรีขอให้นักกีฬาอาเซียนพาราเกมส์นํากําลังใจของคนทั้งชาติไปร่วมการแข่งขันด้วย นายกรัฐมนตรีขอให้นักกีฬาอาเซียนพาราเกมส์นํากําลังใจของคนทั้งชาติไปร่วมการแข่งขันด้วย วันนี้ (6 มกราคม 2563) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวให้โอวาทแก่คณะนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ จํานวน 500 คน ที่จะเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 14-25 มกราคม 2563 ณ เมืองซูบิค สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยในครั้งนี้ มี 11 ประเทศที่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน และคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทยได้จัดส่งคณะนักกีฬาคนพิการตัวแทนทีมชาติไทยไปร่วมแข่งขันจํานวน 318 คน ใน 16 ชนิดกีฬา ได้แก่ ยิงธนู กรีฑา แบดมินตัน บอคเซีย หมากรุกสากล จักรยาน ฟุตบอล 7 คน โกลบอล ยูโด ยกน้ําหนัก ว่ายน้ํา โบว์ลิ่ง วอลเลย์บอลนั่ง เทเบิลเทนนิส วีลแชร์บาสเกตบอล และไตรกีฬา สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับคณะนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ ที่จะเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 10 พร้อมชื่นชมนักกีฬาทุกคนที่อดทน มุมานะ และมีวินัยในการฝึกซ้อม จนสามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ และได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันดังกล่าว ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของตนเอง เป็นเกียรติภูมิของประเทศชาติ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้คนไทยและนายกรัฐมนตรีมีความสุข ขอส่งแรงใจของคนไทยทั้งประเทศไปช่วยในการแข่งขันด้วย รัฐบาลให้ความสําคัญกับการส่งเสริมการเล่นกีฬาและออกกําลังกาย และการดูแลผู้พิการ ทั้งนี้เชื่อว่าทุกคนมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ มีความเข้มแข็งทางจิตใจ แม้ว่าความไม่พร้อมทางร่างกายจะยิ่งทําให้การฝึกซ้อมยากขึ้น ขอให้ทุกคนมีและมีน้ําใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และสร้างมิตรภาพกับนักกีฬาต่างชาติ นายกรัฐมนตรีกล่าวให้กําลังใจนักกีฬาทุกคนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ซึ่งถือเป็นเวทีสําคัญที่แสดงให้เห็นถึงการรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกัน ส่งเสริมความสามัคคีภายในกลุ่มประเทศอาเซียน และเป็นเวทีที่นักกีฬาจะได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ โดยนายกรัฐมนตรีขอให้นักกีฬาทุกคนทําหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ มีน้ําใจนักกีฬา เคารพและปฏิบัติตามกฎกติกามารยาท และใช้โอกาสนี้ในการสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดีให้กับประเทศ รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่น พร้อมทั้งนําประสบการณ์ที่ได้จากการแข่งขันมาพัฒนาฝีมือมือและวงการกีฬาของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ที่ร่วมกันพัฒนาวงการกีฬาให้มีคุณภาพ และผลักดันให้นักกีฬาทุกคนก้าวไปสู่การแข่งขันเพื่อความสําเร็จ พร้อมทั้งอวยพรให้นักกีฬาประสบความสําเร็จในการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ในครั้งนี้ เพื่อนําชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ และในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้อวยพรปีใหม่ให้ผู้เข้าร่วมทุกคนให้ประสบความสําเร็จในทุกด้าน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25613
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบหารือกับผู้นำจากยุโรปและเอเชียสร้างความเชื่อมั่นพัฒนาการประเทศไทย
วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2561 นายกรัฐมนตรีพบหารือกับผู้นําจากยุโรปและเอเชียสร้างความเชื่อมั่นพัฒนาการประเทศไทย นายกรัฐมนตรีพบหารือกับผู้นําจากยุโรปและเอเชียสร้างความเชื่อมั่นพัฒนาการประเทศไทย ในระหว่างการประชุมผู้นําเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 12 ณ อาคารยูโรปา นายกรัฐมนตรีพบหารือทวิภาคีกับผู้นําจากเบลเยี่ยม เกาหลีใต้ สมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐเช็ก ตามลําดับ โดยนายกรัฐมนตรีได้ใช้โอกาสนี้สร้างความเชื่อมั่นต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจและการเมืองของไทยที่จะมีการเลือกตั้งในต้นปีหน้า การเป็นประธานอาเซียนของไทยในปี 2562 ที่ต้องการความร่วมมือกับประเทศต่างๆเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือและการพัฒนาภูมิภาค รวมทั้งการเชิญชวนเข้าเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาในกรอบ ACMECS ส่วนประเด็นทวิภาคีได้มีการหารือดังนี้ การหารือกับนายชาร์ลส์ มิเชล (Charles Michel) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรเบลเยียม ได้เห็นพ้องที่จะเพิ่ม พลวัตความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือทาง เศรษฐกิจระหว่างกัน ภายใต้นโยบายประเทศไทย ๔.๐ และโครงการ EEC ในสาขาที่เบลเยียมมี ความเชี่ยวชาญ และผลักดันให้รื้อฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรี ไทย-สหภาพยุโรป โดยเริ่มจากการเจรจาเทคนิคใน โอกาสแรก โดยไม่ต้องรอหลังเลือกตั้ง นอกจากนี้ จะส่งเสริมให้มีความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ที่เป็น รูปธรรมมากขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้มีความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมากขึ้นด้วย การหารือกับนายมุน แช-อิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) โดยนายกรัฐมนตรียินดีกับนโยบาย New Southern Policy (NSP) ซึ่งจะเป็นโอกาสที่จะกระชับความเป็นหุ้นส่วนทาง ยุทธศาสตร์ระหว่างกันด้วย ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนหลายครั้งในปีนี้ และขอเชิญ ปธน. มุน แช-อิน เยือนไทยในปีหน้า ทั้งนี้ ไทยและเกาหลีใต้มีความร่วมมือด้านการทหาร (การจัดซื้อ ยุทโธปกรณท์ างทหารและการฝึกร่วม Cobra Gold) และเห็นควรสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เพิ่มขึ้น โดยอาจพิจารณารื้อฟื้น JTC (Joint Trade Commission) และ KOTCOM ให้เกิดขึ้นปีหน้า ในโอกาสนี้ ผู้นําทั้งสองเห็นว่า นโยบาย New Southern Policy สามารถเชื่อมโยง กับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะ โครงการ EEC และกรอบ ACMECS ได้อย่างดี พร้อมทั้ง เชิญชวนเกาหลีใต้ร่วมลงทุนในโครงการโครงสร้าง พื้นฐานต่าง ๆ ทั้งด้านคมนาคมขนส่ง รวมทั้งโครงการ ต่าง ๆ ใน EEC เน้นย้าสาขาความร่วมมือที่เกาหลีใต้สนใจ ๔ สาขา คือ (๑) โครงสร้างพื้นฐาน/การคมนาคมขนส่ง (๒) การบริหารจัดการน้า (๓) เทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร/เมืองอัจฉริยะ และ (๔) พลังงานในประเด็นภูมิภาค นายกรัฐมนตรียินดีกับผลสาเร็จจากการประชุมสุดยอดผู้นาเกาหลี (Inter-Korean Summit) ที่กรุงเปียงยาง และชื่นชมและสนับสนุนต่อความพยายามทางการทูตของ ประธานาธิบดีมุนฯ เพื่อหาทางออกอย่างสันติ ทั้งนี้ ในฐานะประธานอาเซียนในปีหน้า ไทยพร้อม สนับสนุนเกาหลีใต้ในการดาเนินนโยบายเพื่อสร้าง สันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี การหารือกับนายจูเซปเป กอนเต นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลี โดยทั้งสองฝ่ายจะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่การค้าและการลงทุนไทย-อิตาลีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังมีลู่ทางที่จะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันได้อีกมาก ซึ่งการจัดทําความตกลงการค้าเสรีระหว่างกันจะเป็นกลไกสําคัญในการเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และจะนําไปสู่การเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรปต่อไป ทั้งนี้ อิตาลียังให้ความสนใจการลงทุนในพื้นที่ EEC ในสาขาการพัฒนาและบริหารโครงสร้างพื้นฐานสนใจ โครงการรถไฟความเร็วสูง นอกจากนี้ จะสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนระหว่างกันมากขึ้น เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มพูนการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยไทยชื่นชมบทบาทของอิตาลีในการผลักดันการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-อิตาลีระหว่างภาคธุรกิจชั้นนําของทั้งสองประเทศ เพื่อเป็นช่องทางในการสร้างเครือข่ายและส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน การหารือกับนายอาแล็ง แบร์เซ (H.E. Mr. Alain Berset) ประธานาธิบดีแห่งสมําพันธรัฐสวิส โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณที่ฝ่ายสวิสดําเนินแนวทางตามสหภาพยุโรปในการฟื้นฟู การมีปฏิสัมพันธ์กับไทย และพร้อมร่วมมือกับสวิสในลักษณะไตรภาคีในการให้ความช่วยเหลือ ด้านการศึกษากับประเทศ CLMV ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ําและ ลดต้นเหตุความขัดแย้ง ทั้งสองเห็นพ้องขยายความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการศึกษา ซึ่งไทยชื่นชมศักยภาพและองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาของสมาพันธรัฐสวิส และพร้อมมีความร่วมมือกับฝ่ายสวิสในด้านดังกล่าวเพื่อช่วยให้ไทยบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ ประเทศไทย ๒๐ ปี และนโยบายประเทศไทย ๔.๐ การหารือกับนายอันเดรย์ บาบิช (H.E. Mr. Andrej Babiš) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเช็ก เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีในด้านต่าง ๆ ส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ๒ ฝ่าย โดยผลักดัน การเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ-กรุงปราก ในโอกานี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนภาคเอกชนเช็กมาลงทุนใน EEC เพิ่มเติม (มีบริษัท Workpress Aviation ผู้ผลิตชิ้นส่วนภายในเครื่องบิน เข้ามาลงทุนใน EEC เป็นรายแรก แล้ว) โดยเฉพาะในสาขาที่เช็กมีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ อุตสาหกรรม ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ นาโนเทคโนโลยี อุตสาหกรรมเครื่องจักร ด้านการเกษตร ยุทโธปกรณ์ด้านอากาศยาน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการแพทย์แบบครบวงจร นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังมีการพบปะพูดคุยกับผู้นําที่เข้าร่วมการประชุม เช่น อังกฤษ อิตาลี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการดําเนินการของไทยในการพัฒนาประเทศสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืน พร้อมใช้โอกาสนี้ติดตามความร่วมมือต่างๆที่มีต่อกันให้เกิดผลรูปธรรมและต่อเนื่อง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบหารือกับผู้นำจากยุโรปและเอเชียสร้างความเชื่อมั่นพัฒนาการประเทศไทย วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2561 นายกรัฐมนตรีพบหารือกับผู้นําจากยุโรปและเอเชียสร้างความเชื่อมั่นพัฒนาการประเทศไทย นายกรัฐมนตรีพบหารือกับผู้นําจากยุโรปและเอเชียสร้างความเชื่อมั่นพัฒนาการประเทศไทย ในระหว่างการประชุมผู้นําเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 12 ณ อาคารยูโรปา นายกรัฐมนตรีพบหารือทวิภาคีกับผู้นําจากเบลเยี่ยม เกาหลีใต้ สมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐเช็ก ตามลําดับ โดยนายกรัฐมนตรีได้ใช้โอกาสนี้สร้างความเชื่อมั่นต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจและการเมืองของไทยที่จะมีการเลือกตั้งในต้นปีหน้า การเป็นประธานอาเซียนของไทยในปี 2562 ที่ต้องการความร่วมมือกับประเทศต่างๆเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือและการพัฒนาภูมิภาค รวมทั้งการเชิญชวนเข้าเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาในกรอบ ACMECS ส่วนประเด็นทวิภาคีได้มีการหารือดังนี้ การหารือกับนายชาร์ลส์ มิเชล (Charles Michel) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรเบลเยียม ได้เห็นพ้องที่จะเพิ่ม พลวัตความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือทาง เศรษฐกิจระหว่างกัน ภายใต้นโยบายประเทศไทย ๔.๐ และโครงการ EEC ในสาขาที่เบลเยียมมี ความเชี่ยวชาญ และผลักดันให้รื้อฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรี ไทย-สหภาพยุโรป โดยเริ่มจากการเจรจาเทคนิคใน โอกาสแรก โดยไม่ต้องรอหลังเลือกตั้ง นอกจากนี้ จะส่งเสริมให้มีความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ที่เป็น รูปธรรมมากขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้มีความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมากขึ้นด้วย การหารือกับนายมุน แช-อิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) โดยนายกรัฐมนตรียินดีกับนโยบาย New Southern Policy (NSP) ซึ่งจะเป็นโอกาสที่จะกระชับความเป็นหุ้นส่วนทาง ยุทธศาสตร์ระหว่างกันด้วย ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนหลายครั้งในปีนี้ และขอเชิญ ปธน. มุน แช-อิน เยือนไทยในปีหน้า ทั้งนี้ ไทยและเกาหลีใต้มีความร่วมมือด้านการทหาร (การจัดซื้อ ยุทโธปกรณท์ างทหารและการฝึกร่วม Cobra Gold) และเห็นควรสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เพิ่มขึ้น โดยอาจพิจารณารื้อฟื้น JTC (Joint Trade Commission) และ KOTCOM ให้เกิดขึ้นปีหน้า ในโอกาสนี้ ผู้นําทั้งสองเห็นว่า นโยบาย New Southern Policy สามารถเชื่อมโยง กับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะ โครงการ EEC และกรอบ ACMECS ได้อย่างดี พร้อมทั้ง เชิญชวนเกาหลีใต้ร่วมลงทุนในโครงการโครงสร้าง พื้นฐานต่าง ๆ ทั้งด้านคมนาคมขนส่ง รวมทั้งโครงการ ต่าง ๆ ใน EEC เน้นย้าสาขาความร่วมมือที่เกาหลีใต้สนใจ ๔ สาขา คือ (๑) โครงสร้างพื้นฐาน/การคมนาคมขนส่ง (๒) การบริหารจัดการน้า (๓) เทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร/เมืองอัจฉริยะ และ (๔) พลังงานในประเด็นภูมิภาค นายกรัฐมนตรียินดีกับผลสาเร็จจากการประชุมสุดยอดผู้นาเกาหลี (Inter-Korean Summit) ที่กรุงเปียงยาง และชื่นชมและสนับสนุนต่อความพยายามทางการทูตของ ประธานาธิบดีมุนฯ เพื่อหาทางออกอย่างสันติ ทั้งนี้ ในฐานะประธานอาเซียนในปีหน้า ไทยพร้อม สนับสนุนเกาหลีใต้ในการดาเนินนโยบายเพื่อสร้าง สันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี การหารือกับนายจูเซปเป กอนเต นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลี โดยทั้งสองฝ่ายจะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่การค้าและการลงทุนไทย-อิตาลีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังมีลู่ทางที่จะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันได้อีกมาก ซึ่งการจัดทําความตกลงการค้าเสรีระหว่างกันจะเป็นกลไกสําคัญในการเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และจะนําไปสู่การเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรปต่อไป ทั้งนี้ อิตาลียังให้ความสนใจการลงทุนในพื้นที่ EEC ในสาขาการพัฒนาและบริหารโครงสร้างพื้นฐานสนใจ โครงการรถไฟความเร็วสูง นอกจากนี้ จะสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนระหว่างกันมากขึ้น เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มพูนการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยไทยชื่นชมบทบาทของอิตาลีในการผลักดันการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-อิตาลีระหว่างภาคธุรกิจชั้นนําของทั้งสองประเทศ เพื่อเป็นช่องทางในการสร้างเครือข่ายและส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน การหารือกับนายอาแล็ง แบร์เซ (H.E. Mr. Alain Berset) ประธานาธิบดีแห่งสมําพันธรัฐสวิส โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณที่ฝ่ายสวิสดําเนินแนวทางตามสหภาพยุโรปในการฟื้นฟู การมีปฏิสัมพันธ์กับไทย และพร้อมร่วมมือกับสวิสในลักษณะไตรภาคีในการให้ความช่วยเหลือ ด้านการศึกษากับประเทศ CLMV ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ําและ ลดต้นเหตุความขัดแย้ง ทั้งสองเห็นพ้องขยายความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการศึกษา ซึ่งไทยชื่นชมศักยภาพและองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาของสมาพันธรัฐสวิส และพร้อมมีความร่วมมือกับฝ่ายสวิสในด้านดังกล่าวเพื่อช่วยให้ไทยบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ ประเทศไทย ๒๐ ปี และนโยบายประเทศไทย ๔.๐ การหารือกับนายอันเดรย์ บาบิช (H.E. Mr. Andrej Babiš) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเช็ก เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีในด้านต่าง ๆ ส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ๒ ฝ่าย โดยผลักดัน การเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ-กรุงปราก ในโอกานี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนภาคเอกชนเช็กมาลงทุนใน EEC เพิ่มเติม (มีบริษัท Workpress Aviation ผู้ผลิตชิ้นส่วนภายในเครื่องบิน เข้ามาลงทุนใน EEC เป็นรายแรก แล้ว) โดยเฉพาะในสาขาที่เช็กมีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ อุตสาหกรรม ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ นาโนเทคโนโลยี อุตสาหกรรมเครื่องจักร ด้านการเกษตร ยุทโธปกรณ์ด้านอากาศยาน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการแพทย์แบบครบวงจร นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังมีการพบปะพูดคุยกับผู้นําที่เข้าร่วมการประชุม เช่น อังกฤษ อิตาลี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการดําเนินการของไทยในการพัฒนาประเทศสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืน พร้อมใช้โอกาสนี้ติดตามความร่วมมือต่างๆที่มีต่อกันให้เกิดผลรูปธรรมและต่อเนื่อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16220
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. จับมือ กสทช. เข้มงวดโฆษณาผลิตภัณฑ์เกินจริง
วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2561 สธ. จับมือ กสทช. เข้มงวดโฆษณาผลิตภัณฑ์เกินจริง กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงาน กสทช. บูรณาการทํางาน ร่วมกัน เข้มงวดตรวจสอบการโฆษณา ผลิตภัณฑ์สุขภาพโอ้อวดเกินจริง ปรับระบบการทํางานในส่วนภูมิภาค เพื่อระงับโฆษณาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงาน กสทช. บูรณาการทํางาน ร่วมกัน เข้มงวดตรวจสอบการโฆษณา ผลิตภัณฑ์สุขภาพโอ้อวดเกินจริง ปรับระบบการทํางานในส่วนภูมิภาค เพื่อระงับโฆษณาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมการบูรณาการทํางานระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับพลโท ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และคณะ เพื่อหารือแนวทางการดําเนินงานตรวจสอบเฝ้าระวังโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ ในส่วนภูมิภาค ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ร่วมมือกับสํานักงาน กสทช. ในการเฝ้าระวังโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง การทํางานในส่วนกลางสามารถบูรณาการ เฝ้าระวังและตรวจสอบโฆษณาผลิตภัณฑ์ได้รวดเร็ว สามารถระงับการเผยแพร่โฆษณาได้ทันท่วงที โดยการให้เจ้าหน้าที่ อย. เดินทางไปประจําการที่ศูนย์ตรวจสอบเนื้อหาวิทยุ โทรทัศน์และสื่อออนไลน์ (โซเชียลมีเดีย) ที่ผิดกฎหมาย ณ สํานักงาน กสทช. (ถนนพหลโยธิน ซอย 8) เพื่อเข้าร่วมดําเนินการตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่สํานักงาน กสทช. ทั้งนี้ ผลการดําเนินงานในเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2561 ส่วนกลางได้ดําเนินการกับโฆษณาทางโทรทัศน์ 149 รายการ วิทยุกระจายเสียง 59 รายการ และอินเทอร์เน็ต 453 รายการ สําหรับในส่วน กสทช.เขต/ภาค ได้เฝ้าระวังการโฆษณาทางวิทยุกระจายเสียง 760 เรื่อง อย.รับเรื่องแล้ว 610 เรื่อง และอยู่ระหว่างส่งเรื่องให้ อย. 150 เรื่อง “สําหรับส่วนภูมิภาคนั้น พบปัญหาการโฆษณาโอ้อวดเกินจริงที่เผยแพร่ทางวิทยุชุมชนเช่นกัน กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงาน กสทช. เล็งเห็นความสําคัญ จึงได้บูรณาการการทํางานร่วมกันจัดการปัญหาในส่วนภูมิภาค ส่งผลให้กระบวนการทํางานในส่วนภูมิภาคมีความรวดเร็ว สามารถขยายความครอบคลุมและเพิ่มความเข้มงวดการเฝ้าระวังการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อการดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคให้เกิดความปลอดภัยทั่วทั้งประเทศ” นายแพทย์ไพศาลกล่าว ทั้งนี้ หากพบเห็นการโฆษณาหรือจําหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่คาดว่าจะผิดกฎหมายหรืออวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ในส่วนภูมิภาค สามารถร้องเรียนได้ที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่สายด่วน อย. 1556 Email : 1556@fda.moph.go.th ตู้ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือผ่านทาง Oryor Smart Application ************************************** 20 ตุลาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. จับมือ กสทช. เข้มงวดโฆษณาผลิตภัณฑ์เกินจริง วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2561 สธ. จับมือ กสทช. เข้มงวดโฆษณาผลิตภัณฑ์เกินจริง กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงาน กสทช. บูรณาการทํางาน ร่วมกัน เข้มงวดตรวจสอบการโฆษณา ผลิตภัณฑ์สุขภาพโอ้อวดเกินจริง ปรับระบบการทํางานในส่วนภูมิภาค เพื่อระงับโฆษณาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงาน กสทช. บูรณาการทํางาน ร่วมกัน เข้มงวดตรวจสอบการโฆษณา ผลิตภัณฑ์สุขภาพโอ้อวดเกินจริง ปรับระบบการทํางานในส่วนภูมิภาค เพื่อระงับโฆษณาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมการบูรณาการทํางานระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับพลโท ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และคณะ เพื่อหารือแนวทางการดําเนินงานตรวจสอบเฝ้าระวังโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ ในส่วนภูมิภาค ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ร่วมมือกับสํานักงาน กสทช. ในการเฝ้าระวังโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง การทํางานในส่วนกลางสามารถบูรณาการ เฝ้าระวังและตรวจสอบโฆษณาผลิตภัณฑ์ได้รวดเร็ว สามารถระงับการเผยแพร่โฆษณาได้ทันท่วงที โดยการให้เจ้าหน้าที่ อย. เดินทางไปประจําการที่ศูนย์ตรวจสอบเนื้อหาวิทยุ โทรทัศน์และสื่อออนไลน์ (โซเชียลมีเดีย) ที่ผิดกฎหมาย ณ สํานักงาน กสทช. (ถนนพหลโยธิน ซอย 8) เพื่อเข้าร่วมดําเนินการตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่สํานักงาน กสทช. ทั้งนี้ ผลการดําเนินงานในเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2561 ส่วนกลางได้ดําเนินการกับโฆษณาทางโทรทัศน์ 149 รายการ วิทยุกระจายเสียง 59 รายการ และอินเทอร์เน็ต 453 รายการ สําหรับในส่วน กสทช.เขต/ภาค ได้เฝ้าระวังการโฆษณาทางวิทยุกระจายเสียง 760 เรื่อง อย.รับเรื่องแล้ว 610 เรื่อง และอยู่ระหว่างส่งเรื่องให้ อย. 150 เรื่อง “สําหรับส่วนภูมิภาคนั้น พบปัญหาการโฆษณาโอ้อวดเกินจริงที่เผยแพร่ทางวิทยุชุมชนเช่นกัน กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงาน กสทช. เล็งเห็นความสําคัญ จึงได้บูรณาการการทํางานร่วมกันจัดการปัญหาในส่วนภูมิภาค ส่งผลให้กระบวนการทํางานในส่วนภูมิภาคมีความรวดเร็ว สามารถขยายความครอบคลุมและเพิ่มความเข้มงวดการเฝ้าระวังการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อการดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคให้เกิดความปลอดภัยทั่วทั้งประเทศ” นายแพทย์ไพศาลกล่าว ทั้งนี้ หากพบเห็นการโฆษณาหรือจําหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่คาดว่าจะผิดกฎหมายหรืออวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ในส่วนภูมิภาค สามารถร้องเรียนได้ที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่สายด่วน อย. 1556 Email : 1556@fda.moph.go.th ตู้ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือผ่านทาง Oryor Smart Application ************************************** 20 ตุลาคม 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16223
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม- เพิ่มความระมัดระวังไฟฟ้าดูด
วันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2560 สธ. เตือนประชาชนในพื้นที่น้ําท่วม- เพิ่มความระมัดระวังไฟฟ้าดูด ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนในพื้นที่น้ําท่วม ระมัดระวังอันตรายจากไฟฟ้าดูด ระวังการเข้าใกล้เสาไฟฟ้า ปลั๊กไฟ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่แช่น้ํา เนื่องจากกระแสไฟฟ้าจะกระจายในรัศมี 3-5 เมตร หากพบคนถูกไฟฟ้าดูด ห้ามเอามือไปจับผู้ถูกไฟฟ้าดูดโดยตรง ให้ใช้ไม้แห้ง หรือผ้าแห้ง นําคนเจ็บออกมา แล้วรีบนําส่งโรงพยาบาลหรือโทรแจ้งสายด่วน 1669 นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมเป็นต้นมาที่มีฝนตกมากในหลายพื้นที่ ขณะนี้มี 19 จังหวัดที่ยังคงประสบอุทกภัย น้ําไหลหลาก และน้ําเอ่อล้นตลิ่ง จากพายุดีเปรสชั่นและการระบายน้ําของเขื่อนเจ้าพระยา ได้แก่ จังหวัดตาก พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ขอนแก่น กาฬสินธุ์ หนองบัวลําภู เพชรบูรณ์ มหาสารคาม รอยเอ็ด อุบลราชธานี อุทัยธานี สุโขทัย ปทุมธานี และสุพรรณบุรี จึงได้กําชับให้สถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ตามแนวแม่น้ําเจ้าพระยา ตลอดแนวสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ให้ความสําคัญและดําเนินการตามแผนรับมือน้ําท่วมที่เตรียมไว้ เพื่อให้การบริการดูแลรักษาประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ มวลน้ําที่ไหลลงมาเข้าสู่เขตเมือง ท่วมถนนและบ้านเรือนของประชาชน อาจเกิดไฟฟ้ารั่วไหล ได้ให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันไฟฟ้าดูด และขอแนะนําประชาชนให้ตัดกระแสไฟฟ้าชั้นล่างของบ้าน โดยก่อนจะทําการตัดวงจรไฟฟ้า ควรสวมรองเท้าและถุงมือยางที่กันน้ําได้ อย่าเดินลุยน้ํา ให้หาวัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้า เช่น ลังไม้ กล่องพลาสติก ใช้เป็นทางเดิน เพื่อไม่ให้ร่างกายถูกน้ํา ในการเดินผ่านบริเวณน้ําท่วมขอให้หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้เสาไฟฟ้า เสาเหล็กที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือปลั๊กไฟฟ้า เนื่องจากกระแสไฟฟ้าจะกระจายเป็นวงกว้างในรัศมีไม่ต่ํากว่า 3-5 เมตร นายแพทย์เจษฎากล่าวต่อว่า หากพบคนถูกไฟฟ้าดูด ก่อนเข้าไปช่วยเหลือจะต้องตัดการจ่ายไฟทันที โดยสับคัตเอ้าต์ตัดกระแสไฟฟ้าก่อน หากไม่สามารถทําได้ ให้ใช้ไม้แห้งหรืออุปกรณ์ที่เป็นฉนวนไฟฟ้า เช่น ท่อแป๊บพลาสติก เขี่ยอุปกรณ์ไฟฟ้าให้พ้นจากผู้ที่ถูกไฟฟ้าดูด หรือใช้ผ้าแห้ง หรือเชือกดึงผู้ถูกไฟฟ้าดูดออกจากจุดที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด ประการสําคัญร่างกายของผู้ให้ความช่วยเหลือ ต้องไม่เปียกน้ําและสวมรองเท้า หรือให้ยืนในที่แห้ง และห้ามใช้มือไปจับต้องคนที่กําลังถูกไฟฟ้าดูดโดยตรง เพราะจะทําให้ถูกไฟฟ้าดูดและเสียชีวิตด้วยได้ หากคนที่ถูกไฟฟ้าดูดมีอาการหมดสติ และหัวใจหยุดเต้น ให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยใช้ฝ่ามือทั้ง 2 ข้างซ้อนทับกัน กดลงตรงกลางหน้าอกลึกขนาด 1 นิ้ว ถึง 1 นิ้วครึ่ง อย่างน้อย 100 ครั้งต่อนาที และรีบนําส่งโรงพยาบาล หรือโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือหน่วยแพทย์ฉุกเฉินได้ที่หมายเลข 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง ตุลาคม 3/9 ******************************** 24 ตุลาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม- เพิ่มความระมัดระวังไฟฟ้าดูด วันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2560 สธ. เตือนประชาชนในพื้นที่น้ําท่วม- เพิ่มความระมัดระวังไฟฟ้าดูด ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนในพื้นที่น้ําท่วม ระมัดระวังอันตรายจากไฟฟ้าดูด ระวังการเข้าใกล้เสาไฟฟ้า ปลั๊กไฟ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่แช่น้ํา เนื่องจากกระแสไฟฟ้าจะกระจายในรัศมี 3-5 เมตร หากพบคนถูกไฟฟ้าดูด ห้ามเอามือไปจับผู้ถูกไฟฟ้าดูดโดยตรง ให้ใช้ไม้แห้ง หรือผ้าแห้ง นําคนเจ็บออกมา แล้วรีบนําส่งโรงพยาบาลหรือโทรแจ้งสายด่วน 1669 นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมเป็นต้นมาที่มีฝนตกมากในหลายพื้นที่ ขณะนี้มี 19 จังหวัดที่ยังคงประสบอุทกภัย น้ําไหลหลาก และน้ําเอ่อล้นตลิ่ง จากพายุดีเปรสชั่นและการระบายน้ําของเขื่อนเจ้าพระยา ได้แก่ จังหวัดตาก พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ขอนแก่น กาฬสินธุ์ หนองบัวลําภู เพชรบูรณ์ มหาสารคาม รอยเอ็ด อุบลราชธานี อุทัยธานี สุโขทัย ปทุมธานี และสุพรรณบุรี จึงได้กําชับให้สถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ตามแนวแม่น้ําเจ้าพระยา ตลอดแนวสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ให้ความสําคัญและดําเนินการตามแผนรับมือน้ําท่วมที่เตรียมไว้ เพื่อให้การบริการดูแลรักษาประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ มวลน้ําที่ไหลลงมาเข้าสู่เขตเมือง ท่วมถนนและบ้านเรือนของประชาชน อาจเกิดไฟฟ้ารั่วไหล ได้ให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันไฟฟ้าดูด และขอแนะนําประชาชนให้ตัดกระแสไฟฟ้าชั้นล่างของบ้าน โดยก่อนจะทําการตัดวงจรไฟฟ้า ควรสวมรองเท้าและถุงมือยางที่กันน้ําได้ อย่าเดินลุยน้ํา ให้หาวัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้า เช่น ลังไม้ กล่องพลาสติก ใช้เป็นทางเดิน เพื่อไม่ให้ร่างกายถูกน้ํา ในการเดินผ่านบริเวณน้ําท่วมขอให้หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้เสาไฟฟ้า เสาเหล็กที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือปลั๊กไฟฟ้า เนื่องจากกระแสไฟฟ้าจะกระจายเป็นวงกว้างในรัศมีไม่ต่ํากว่า 3-5 เมตร นายแพทย์เจษฎากล่าวต่อว่า หากพบคนถูกไฟฟ้าดูด ก่อนเข้าไปช่วยเหลือจะต้องตัดการจ่ายไฟทันที โดยสับคัตเอ้าต์ตัดกระแสไฟฟ้าก่อน หากไม่สามารถทําได้ ให้ใช้ไม้แห้งหรืออุปกรณ์ที่เป็นฉนวนไฟฟ้า เช่น ท่อแป๊บพลาสติก เขี่ยอุปกรณ์ไฟฟ้าให้พ้นจากผู้ที่ถูกไฟฟ้าดูด หรือใช้ผ้าแห้ง หรือเชือกดึงผู้ถูกไฟฟ้าดูดออกจากจุดที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด ประการสําคัญร่างกายของผู้ให้ความช่วยเหลือ ต้องไม่เปียกน้ําและสวมรองเท้า หรือให้ยืนในที่แห้ง และห้ามใช้มือไปจับต้องคนที่กําลังถูกไฟฟ้าดูดโดยตรง เพราะจะทําให้ถูกไฟฟ้าดูดและเสียชีวิตด้วยได้ หากคนที่ถูกไฟฟ้าดูดมีอาการหมดสติ และหัวใจหยุดเต้น ให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยใช้ฝ่ามือทั้ง 2 ข้างซ้อนทับกัน กดลงตรงกลางหน้าอกลึกขนาด 1 นิ้ว ถึง 1 นิ้วครึ่ง อย่างน้อย 100 ครั้งต่อนาที และรีบนําส่งโรงพยาบาล หรือโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือหน่วยแพทย์ฉุกเฉินได้ที่หมายเลข 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง ตุลาคม 3/9 ******************************** 24 ตุลาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7605
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. เตือน 3 กลุ่มเสี่ยงทั้งผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย อาชีพเสี่ยงทำงานในสถานที่แออัด บุคลากรทางการแพทย์ และวัยทำงาน 20-39 ปี ต้องป้องกันตนเองตลอดเวลา เมื่อป่วยต้องรีบหยุดงาน
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 ศบค. เตือน 3 กลุ่มเสี่ยงทั้งผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย อาชีพเสี่ยงทํางานในสถานที่แออัด บุคลากรทางการแพทย์ และวัยทํางาน 20-39 ปี ต้องป้องกันตนเองตลอดเวลา เมื่อป่วยต้องรีบหยุดงาน ศบค. เตือน 3 กลุ่มเสี่ยงทั้งผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย อาชีพเสี่ยงทํางานในสถานที่แออัด บุคลากรทางการแพทย์ และวัยทํางาน 20-39 ปี ต้องป้องกันตนเองตลอดเวลา เมื่อป่วยต้องรีบหยุดงาน วันนี้ (10 เม.ย. 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และความคืบหน้าในการดําเนินการตามมาตรการของรัฐ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 50 ราย ผู้ที่หายป่วย 1,013 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,473 ราย ใน 68 จังหวัด มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1 ราย เป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 43 ปี อาชีพค้าขาย มีโรคประจําตัวคือ SLE แพ้ภูมิตัวเอง ได้รับการรักษาวันที่ 6 เมษายน 63 ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ด้วยอาการไข้ 38.9 องศา ถ่ายเหลวและอาเจียน แรกรับผู้ป่วยหายใจหอบเหนื่อย ความดันโลหิตตก ผลเอ็กซเรย์ปอดพบว่าปอดอักเสบแบบรุนแรง เสียชีวิต 7 เมษายน 63 ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวด้วย โฆษก ศบค. ย้ําความจําเป็นที่ต้องพูดถึงเคสต่าง ๆ โดยละเอียดเพื่อประชาชนได้เรียนรู้ เพราะโรคนี้เป็นโรคใหม่ อาการเกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ แต่มีอาการด้านอื่น ๆ ประกอบด้วย เมื่อรู้เร็ว สังเกตอาการ สามารถดูแลซึ่งกันและกัน ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ อยู่ในกลุ่มอายุ 20-39 ปี เป็นกลุ่มวัยทํางานที่เข้มแข็ง ออกจากบ้าน เดินทางไปมา มีสังคม ไม่ลดระยะห่างทางสังคม ทําให้เกิดการนําเชื้อเข้ามาที่บ้าน แล้วติดเชื้อที่บ้าน หากไม่เปลี่ยนแปลงตัวเลขก็จะเพิ่มขึ้น ๆ จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนสามารถที่จะลดตัวเลขนี้ได้ ทุกคนต้องดูแลสุขภาพของตัวเอง สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 50 ราย พบว่า กลุ่มสูงสุด คือ สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ชิดในบ้านเดียวกันแต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นทําให้คนอื่นในบ้านติดด้วย จึงต้องมีการมีระยะห่างไว้ก่อน ฉะนั้น อยู่ในบ้านช่วงระยะนี้จะต้องใส่หน้ากากอนามัยด้วย สําหรับประวัติเสี่ยงของผู้ป่วยรายใหม่ กลุ่มแรก เป็นผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยยืนกันก่อนหน้านี้ 27 ราย โดยส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ 19 ราย ยะลา 7 ราย กลุ่มที่สองคือผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ แต่เกี่ยวโยงกับต่างชาติที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา 1 คน อังกฤษ 2 คน ซึ่งเดินทางมาก่อน 31 มีนาคม 63 และมีคนที่ไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว 3 คน ทํางานในสถานที่แออัด ทํางานใกล้ชิดสัมผัสกับคนต่างชาติ 5 คน กลุ่มที่สาม อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค ค้นหาเชิงรุก ที่จังหวัดภูเก็ตได้เพิ่มอีก 4 ราย ซึ่งที่จังหวัดภูเก็ตยังเป็นตัวเลขสะสมในอันดับต้นๆ ของประเทศอยู่ ถ้าเปรียบเทียบระหว่างจังหวัดแล้ว จังหวัดภูเก็ตจะสูงมาก ฉะนั้นเวลาที่จะมีมาตรการเข้าไปก็ต้องแรงกว่าปกติ ซึ่งขณะนี้ถือว่าเป็นมาตรการที่แรงแล้ว เพราะเข้าไปเจาะบางกลุ่ม และตรวจทางห้องปฏิบัติการให้มากที่สุดในกลุ่มที่เป็นความเสี่ยง โฆษก ศบค. กล่าวว่า จังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยรับการรักษามี 9 จังหวัด คือ กําแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี และอ่างทอง เมื่อดูอัตราส่วนของผู้ป่วยต่อประชากร 1 แสนคนของประเทศไทยจําแนกตามจังหวัดพบว่า จังหวัดที่มากที่สุดคือจังหวัดภูเก็ต 38.95 กรุงเทพฯ 22.25 ยะลา นนทบุรี ปัตตานี ซึ่งเป็น 5 อันดับแรก ซึ่งลําดับคล้ายกับกลุ่มผู้ป่วยยืนยันสะสม โดยการรายงานอย่างนี้ทุกวันมีความสําคัญเป็นอย่างสูงหน้าที่ของทุกคนเมื่อรับรู้แล้ว ขอให้ช่วยนําไปแปลงให้เป็นการปฏิบัติ การเสียสละเพื่อชาติทําได้ง่ายมาก เพียงแค่นั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านก็ช่วยได้แล้ว โฆษก ศบค. กล่าวถึงการรายงานผู้ป่วยรายใหม่ที่ติดเชื้ออยู่ที่กรุงเทพฯ 19 ราย ซึ่งตัวเลขค่อยๆ ลดลง ยะลา 7 ราย ภูเก็ต 5 ราย นนทบุรี 4 ราย สมุทรปราการ 4 ราย นครสวรรค์กับปราจีนบุรี เท่ากันที่ 2 ราย ฉะเชิงเทรา ชุมพร นครศรีธรรมราช นราธิวาส พะเยา สุราษฎร์ธานีและพังงา จังหวัดละ 1 ราย สําหรับสัดส่วนระหว่างกรุงเทพฯ นนทบุรี 2 จังหวัด เปรียบเทียบกับต่างจังหวัดพบว่า แผนภูมิเส้นสีฟ้าของกรุงเทพฯ และนนทบุรียังทรงตัวอยู่ แต่เส้นสีแดงก็ลดลง ขณะที่กรุงเทพฯ นนทบุรี เมื่อเทียบกับภาคใต้แล้วยังน่าเป็นห่วงอยู่ 2 ที่ กลุ่มอายุยืนยันเท่าเดิมคือ 20-39 ปี เป็นกลุ่มอายุที่เจอมากที่สุด ฉะนั้น ขอให้ครอบครัวได้เตือนลูกหลานให้อยู่บ้านเพราะเป็นกลุ่มเสี่ยง ขอให้ตระหนักอยู่เสมอว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง เป็นพาหะที่เดินได้แล้วมาแพร่ระบาดในบ้าน หากไปทํางานขอให้ป้องกันตัวเองตลอดเวลา ใส่หน้ากากอนามัย หรือใส่หน้ากากผ้าตลอดเวลา ถ้าป่วยต้องรีบหยุดงานแล้วมารักษา โฆษก ศบค. กล่าวถึงจํานวนผู้ป่วยยืนยันสะสม จําแนกตามปัจจัยเสี่ยง อันดับที่ 1 คือ สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ 781 ราย อับดับที่ 2 คือ คนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ 260 ราย อันดับ 3 สนามมวย 238 คน แต่เมื่อดูจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 2 สัปดาห์ล่าสุด จําแนกตามปัจจัยเสี่ยงพบว่า ลําดับเปลี่ยนไป โดยสนามมวยไปอยู่ที่อันดับ 9 เพราะติดเชื้อน้อยลง แต่คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศขึ้นมาเป็นอันดับ 2 รองจากอันดับ 1 คือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ อับดับ 3 คืออาชีพเสี่ยง เช่น ทํางานในสถานที่แออัด โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องขอเตือน คือวัยทํางาน 20-39 ปี เพราะกลุ่มนี้ไปสถานบันเทิงด้วย และอีกกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังคือบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งมีความเสี่ยง เป็นด่านหน้าในการทํางานสู้กับไวรัส 2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ของโลก สะสมอยู่ที่ 1,600,000 กว่าคน อาการหนักประมาณ 49,000 คน เสียชีวิต 95,731 คน ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 44 ของการติดเชื้อสะสมจํานวน 2,473 คน สําหรับการติดเชื้อในกลุ่มประเทศอาเซียนอยู่ในระดับทรงตัวมาได้สักระยะหนึ่ง หากเปรียบเทียบกับฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ ซึ่งสิงคโปร์ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เมื่อวานนี้มากกว่าประเทศไทยแล้ว ทั้งนี้ยังมีความกังวลสําหรับผู้ที่เดินทางกลับมาจากอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศในกลุ่มอาเซียนเพราะความรุนแรงของโรคสูงมากที่ทําให้มีการเสียชีวิตของคนที่อยู่ในระดับมากมาตลอด การติดเชื้อต่อประชากรทั่วโลก พบว่าประเทศสเปนมีจํานวนผู้ติดเชื้อต่อประชากรล้านคนมากที่สุด 3,167 คนต่อล้านประชากร รองลงมาคือ อิตาลี เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส เยอรมัน อเมริกา สหราชอาณาจักร อิหร่าน ตุรกี และจีน ตามลําดับ ขณะที่ของไทยอยู่ที่อันดับ 43 ขณะที่อัตราการเสียชีวิตดับที่หนึ่งคือสเปน 316 ต่อล้านประชากร อิตาลี 292 ต่อล้านประชากร ตามด้วยเบลเยียม ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร อิหร่าน สหรัฐอเมริกา เยอรมัน ไทยอยู่ที่ 56 ทําได้ที่ 0.48 อันนี้ก็เป็นตัวเลขที่อยากจะบอกว่า ไม่ได้เป็นความเก่งของทีมแพทย์หรือเป็นความดีของหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องชมประชาชนทุกคนด้วยที่ร่วมมือกัน และทําให้สามารถใช้เวลาดูแลต่อรายต่อเคส อย่างละเอียดได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นคนไม่ได้ป่วยเพิ่มมากขึ้น เตียง ICU มีเพียงพอเหมาะสม จะให้บุคลากรทางการแพทย์จะมีเวลาเข้าไปดูแลปรับน้ําเกลือ มีเวลาไปเจาะเลือด มีเวลาที่จะดูออกซิเจนต่างๆ และปรับตามสภาพของคนป่วยแต่ละคนแต่ละคนได้อย่างดีก็ทําให้คนป่วยรอดชีวิต แต่ถ้ามีการป่วยพร้อมกันจํานวนมากเตียง ICU ที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอ รวมทั้งก็จะไม่มีเวลาในการดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งการให้ข้อมูลตรงนี้ก็เพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจนและขอให้ทุกคนคิดตาม และในฐานะที่เป็นประชาชนจะช่วยในสถานการณ์นี้ได้อย่างไร 3. รายงานผลการปฏิบัติการจากการประกาศเคอร์ฟิว รายงานผลการปฏิบัติงานวันที่ 10 เม.ย. 63 พบว่า มีประชาชนที่กระทําความผิดออกนอกเคหะสถาน 1,152 ราย มีการมั่วสุมหรือรวมกลุ่มชุมนุมกัน 94 ราย ดําเนินคดีไป 1,083 ราย ตักเตือน 163 ราย รวมแล้ว 1,246 ราย พร้อมขอความร่วมมือประชาชนช่วยเตือนกันเองในบ้านหรือหมู่บ้าน วอนอย่าออกจากบ้าน ลดการชุมนุม ลดการสัญจร สิ่งสําคัญคือต้องปฏิบัติตามมาตรการที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันควบคุมโรค คือ Social Distancing 4. มาตรการรายกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการออกมาตรการการเลื่อนการเปิดการเรียนการสอนโดยให้สถานศึกษาทุกแห่งของรัฐทุกแห่งทั้งในระบบของรัฐและเอกชนทั้งในระบบและนอกระบบที่อยู่ในสังกัด เปิดเรียนในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 พร้อมจัดให้มีการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างนี้ สําหรับโรงเรียนเอกชนประเภทนานาชาติที่มีการกําหนวันเปิด-ปิดภาคเรียนไม่ตรงกับโรงเรียนในระบบ ให้พิจารณาเปิดเรียนได้ตามความเหมาะสม กระทรวงวัฒนธรรมออกประกาศ เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ว่า ไม่ต้องมีการชุมนุม ไม่ต้องมีประเพณีเดิม ๆ คือ ทั้งของดการรดน้ําหรือเล่นน้ํา นอกจากนี้ยังมีประกาศจากผู้ว่าราชการจังหวัด 11 จังหวัดได้แก่ 1. จังหวัดระยอง 2. จังหวัดสุพรรณบุรี 3. จังหวัดสุรินทร์ 4. จังหวัดลําพูน 5.จังหวัดสกลนคร 6. จังหวัดพิษณุโลก 7. จังหวัดบุรีรัมย์ 8. จังหวัดนครปฐม 9. จังหวัดมุกดาหาร 10. จังหวัดสมุทรสงคราม และ 11. จังหวัดเชียงใหม่ ได้สั่งห้ามจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว สําหรับกรุงเทพมหานครได้มีการสั่งห้ามจําหน่ายสุราในทุก ๆ สถานประกอบการที่มีใบอนุญาต ตั้งแต่วันที่ 10 - 20 เม.ย.นี้ เป็นเวลา 10 วัน กรณีการเดินทางข้ามจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด จํานวน 15 จังหวัด ได้มีคําสั่งประกาศระงับการเดินทางเข้าออกในเขตพื้นที่จังหวัด ต่อไปนี้ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ภูเก็ต สตูล ตราด น่าน ยะลา พัทลุง สงขลา บึงกาฬ ระนอง ร้อยเอ็ด ตรัง มุกดาหาร และนครพนม ซึ่งได้มีการระงับการเข้าออกที่เหลื่อมเวลากันไป ในส่วนจังหวัดชลบุรี มีการสั่งปิดเฉพาะพื้นที่เมืองพัทยาเท่านั้น ซึ่งได้ประกาศปิดตั้งแต่วันที่ 9 เมษายนเป็นต้นไป 5. การดูแลคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ มาตรการการดูแลคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ มีผู้เดินทางที่ได้ทําการขออนุญาตไว้ก่อนแล้วในวันนี้ (7 เมษายน) จากประเทศเนเธอร์แลนด์จํานวน 15 คน เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 9.30 น.และจากประเทศสิงคโปร์จํานวน 18 คน จะเดินทางมาถึงในเวลา 17.25 น. รวมทั้งสิ้น 33 คน ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องเดินทางไป State Quarantine ในลําดับต่อไป สําหรับวันพรุ่งนี้ (11 เมษายน) มีผู้ที่เดินทางที่ขออนุญาตไว้แล้วเดินทางกลับจากรัสเซียจํานวน 35 คน และที่ติดค้างจากการ Transit ในประเทศญี่ปุ่นอีก 1 คน โดยกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหมได้ทํางานกันอย่างหนักเพื่อหาพื้นที่ State Quarantine และ Local Quarantine เพิ่มเติม เพื่อรองรับจํานวนผู้เดินทางที่อาจเพิ่มมากขึ้น กรณีนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS ในสหรัฐอเมริกาจํานวน 152 คน ที่ยังไม่มีเที่ยวบินกลับประเทศนั้น สถานเอกอัครราชทูตกําลังดําเนินการประสานงานกับฝ่ายมั่นคงของทางการสหรัฐอเมริกา เพื่อนําเครื่องบินมารับทหารของตนเองกลับเพื่อให้เด็กนักเรียน AFS เดินทางกลับประเทศไทย .......................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. เตือน 3 กลุ่มเสี่ยงทั้งผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย อาชีพเสี่ยงทำงานในสถานที่แออัด บุคลากรทางการแพทย์ และวัยทำงาน 20-39 ปี ต้องป้องกันตนเองตลอดเวลา เมื่อป่วยต้องรีบหยุดงาน วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 ศบค. เตือน 3 กลุ่มเสี่ยงทั้งผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย อาชีพเสี่ยงทํางานในสถานที่แออัด บุคลากรทางการแพทย์ และวัยทํางาน 20-39 ปี ต้องป้องกันตนเองตลอดเวลา เมื่อป่วยต้องรีบหยุดงาน ศบค. เตือน 3 กลุ่มเสี่ยงทั้งผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย อาชีพเสี่ยงทํางานในสถานที่แออัด บุคลากรทางการแพทย์ และวัยทํางาน 20-39 ปี ต้องป้องกันตนเองตลอดเวลา เมื่อป่วยต้องรีบหยุดงาน วันนี้ (10 เม.ย. 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และความคืบหน้าในการดําเนินการตามมาตรการของรัฐ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 50 ราย ผู้ที่หายป่วย 1,013 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,473 ราย ใน 68 จังหวัด มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1 ราย เป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 43 ปี อาชีพค้าขาย มีโรคประจําตัวคือ SLE แพ้ภูมิตัวเอง ได้รับการรักษาวันที่ 6 เมษายน 63 ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ด้วยอาการไข้ 38.9 องศา ถ่ายเหลวและอาเจียน แรกรับผู้ป่วยหายใจหอบเหนื่อย ความดันโลหิตตก ผลเอ็กซเรย์ปอดพบว่าปอดอักเสบแบบรุนแรง เสียชีวิต 7 เมษายน 63 ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวด้วย โฆษก ศบค. ย้ําความจําเป็นที่ต้องพูดถึงเคสต่าง ๆ โดยละเอียดเพื่อประชาชนได้เรียนรู้ เพราะโรคนี้เป็นโรคใหม่ อาการเกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ แต่มีอาการด้านอื่น ๆ ประกอบด้วย เมื่อรู้เร็ว สังเกตอาการ สามารถดูแลซึ่งกันและกัน ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ อยู่ในกลุ่มอายุ 20-39 ปี เป็นกลุ่มวัยทํางานที่เข้มแข็ง ออกจากบ้าน เดินทางไปมา มีสังคม ไม่ลดระยะห่างทางสังคม ทําให้เกิดการนําเชื้อเข้ามาที่บ้าน แล้วติดเชื้อที่บ้าน หากไม่เปลี่ยนแปลงตัวเลขก็จะเพิ่มขึ้น ๆ จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนสามารถที่จะลดตัวเลขนี้ได้ ทุกคนต้องดูแลสุขภาพของตัวเอง สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 50 ราย พบว่า กลุ่มสูงสุด คือ สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ชิดในบ้านเดียวกันแต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นทําให้คนอื่นในบ้านติดด้วย จึงต้องมีการมีระยะห่างไว้ก่อน ฉะนั้น อยู่ในบ้านช่วงระยะนี้จะต้องใส่หน้ากากอนามัยด้วย สําหรับประวัติเสี่ยงของผู้ป่วยรายใหม่ กลุ่มแรก เป็นผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยยืนกันก่อนหน้านี้ 27 ราย โดยส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ 19 ราย ยะลา 7 ราย กลุ่มที่สองคือผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ แต่เกี่ยวโยงกับต่างชาติที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา 1 คน อังกฤษ 2 คน ซึ่งเดินทางมาก่อน 31 มีนาคม 63 และมีคนที่ไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว 3 คน ทํางานในสถานที่แออัด ทํางานใกล้ชิดสัมผัสกับคนต่างชาติ 5 คน กลุ่มที่สาม อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค ค้นหาเชิงรุก ที่จังหวัดภูเก็ตได้เพิ่มอีก 4 ราย ซึ่งที่จังหวัดภูเก็ตยังเป็นตัวเลขสะสมในอันดับต้นๆ ของประเทศอยู่ ถ้าเปรียบเทียบระหว่างจังหวัดแล้ว จังหวัดภูเก็ตจะสูงมาก ฉะนั้นเวลาที่จะมีมาตรการเข้าไปก็ต้องแรงกว่าปกติ ซึ่งขณะนี้ถือว่าเป็นมาตรการที่แรงแล้ว เพราะเข้าไปเจาะบางกลุ่ม และตรวจทางห้องปฏิบัติการให้มากที่สุดในกลุ่มที่เป็นความเสี่ยง โฆษก ศบค. กล่าวว่า จังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยรับการรักษามี 9 จังหวัด คือ กําแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี และอ่างทอง เมื่อดูอัตราส่วนของผู้ป่วยต่อประชากร 1 แสนคนของประเทศไทยจําแนกตามจังหวัดพบว่า จังหวัดที่มากที่สุดคือจังหวัดภูเก็ต 38.95 กรุงเทพฯ 22.25 ยะลา นนทบุรี ปัตตานี ซึ่งเป็น 5 อันดับแรก ซึ่งลําดับคล้ายกับกลุ่มผู้ป่วยยืนยันสะสม โดยการรายงานอย่างนี้ทุกวันมีความสําคัญเป็นอย่างสูงหน้าที่ของทุกคนเมื่อรับรู้แล้ว ขอให้ช่วยนําไปแปลงให้เป็นการปฏิบัติ การเสียสละเพื่อชาติทําได้ง่ายมาก เพียงแค่นั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านก็ช่วยได้แล้ว โฆษก ศบค. กล่าวถึงการรายงานผู้ป่วยรายใหม่ที่ติดเชื้ออยู่ที่กรุงเทพฯ 19 ราย ซึ่งตัวเลขค่อยๆ ลดลง ยะลา 7 ราย ภูเก็ต 5 ราย นนทบุรี 4 ราย สมุทรปราการ 4 ราย นครสวรรค์กับปราจีนบุรี เท่ากันที่ 2 ราย ฉะเชิงเทรา ชุมพร นครศรีธรรมราช นราธิวาส พะเยา สุราษฎร์ธานีและพังงา จังหวัดละ 1 ราย สําหรับสัดส่วนระหว่างกรุงเทพฯ นนทบุรี 2 จังหวัด เปรียบเทียบกับต่างจังหวัดพบว่า แผนภูมิเส้นสีฟ้าของกรุงเทพฯ และนนทบุรียังทรงตัวอยู่ แต่เส้นสีแดงก็ลดลง ขณะที่กรุงเทพฯ นนทบุรี เมื่อเทียบกับภาคใต้แล้วยังน่าเป็นห่วงอยู่ 2 ที่ กลุ่มอายุยืนยันเท่าเดิมคือ 20-39 ปี เป็นกลุ่มอายุที่เจอมากที่สุด ฉะนั้น ขอให้ครอบครัวได้เตือนลูกหลานให้อยู่บ้านเพราะเป็นกลุ่มเสี่ยง ขอให้ตระหนักอยู่เสมอว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง เป็นพาหะที่เดินได้แล้วมาแพร่ระบาดในบ้าน หากไปทํางานขอให้ป้องกันตัวเองตลอดเวลา ใส่หน้ากากอนามัย หรือใส่หน้ากากผ้าตลอดเวลา ถ้าป่วยต้องรีบหยุดงานแล้วมารักษา โฆษก ศบค. กล่าวถึงจํานวนผู้ป่วยยืนยันสะสม จําแนกตามปัจจัยเสี่ยง อันดับที่ 1 คือ สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ 781 ราย อับดับที่ 2 คือ คนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ 260 ราย อันดับ 3 สนามมวย 238 คน แต่เมื่อดูจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 2 สัปดาห์ล่าสุด จําแนกตามปัจจัยเสี่ยงพบว่า ลําดับเปลี่ยนไป โดยสนามมวยไปอยู่ที่อันดับ 9 เพราะติดเชื้อน้อยลง แต่คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศขึ้นมาเป็นอันดับ 2 รองจากอันดับ 1 คือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ อับดับ 3 คืออาชีพเสี่ยง เช่น ทํางานในสถานที่แออัด โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องขอเตือน คือวัยทํางาน 20-39 ปี เพราะกลุ่มนี้ไปสถานบันเทิงด้วย และอีกกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังคือบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งมีความเสี่ยง เป็นด่านหน้าในการทํางานสู้กับไวรัส 2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ของโลก สะสมอยู่ที่ 1,600,000 กว่าคน อาการหนักประมาณ 49,000 คน เสียชีวิต 95,731 คน ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 44 ของการติดเชื้อสะสมจํานวน 2,473 คน สําหรับการติดเชื้อในกลุ่มประเทศอาเซียนอยู่ในระดับทรงตัวมาได้สักระยะหนึ่ง หากเปรียบเทียบกับฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ ซึ่งสิงคโปร์ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เมื่อวานนี้มากกว่าประเทศไทยแล้ว ทั้งนี้ยังมีความกังวลสําหรับผู้ที่เดินทางกลับมาจากอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศในกลุ่มอาเซียนเพราะความรุนแรงของโรคสูงมากที่ทําให้มีการเสียชีวิตของคนที่อยู่ในระดับมากมาตลอด การติดเชื้อต่อประชากรทั่วโลก พบว่าประเทศสเปนมีจํานวนผู้ติดเชื้อต่อประชากรล้านคนมากที่สุด 3,167 คนต่อล้านประชากร รองลงมาคือ อิตาลี เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส เยอรมัน อเมริกา สหราชอาณาจักร อิหร่าน ตุรกี และจีน ตามลําดับ ขณะที่ของไทยอยู่ที่อันดับ 43 ขณะที่อัตราการเสียชีวิตดับที่หนึ่งคือสเปน 316 ต่อล้านประชากร อิตาลี 292 ต่อล้านประชากร ตามด้วยเบลเยียม ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร อิหร่าน สหรัฐอเมริกา เยอรมัน ไทยอยู่ที่ 56 ทําได้ที่ 0.48 อันนี้ก็เป็นตัวเลขที่อยากจะบอกว่า ไม่ได้เป็นความเก่งของทีมแพทย์หรือเป็นความดีของหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องชมประชาชนทุกคนด้วยที่ร่วมมือกัน และทําให้สามารถใช้เวลาดูแลต่อรายต่อเคส อย่างละเอียดได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นคนไม่ได้ป่วยเพิ่มมากขึ้น เตียง ICU มีเพียงพอเหมาะสม จะให้บุคลากรทางการแพทย์จะมีเวลาเข้าไปดูแลปรับน้ําเกลือ มีเวลาไปเจาะเลือด มีเวลาที่จะดูออกซิเจนต่างๆ และปรับตามสภาพของคนป่วยแต่ละคนแต่ละคนได้อย่างดีก็ทําให้คนป่วยรอดชีวิต แต่ถ้ามีการป่วยพร้อมกันจํานวนมากเตียง ICU ที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอ รวมทั้งก็จะไม่มีเวลาในการดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งการให้ข้อมูลตรงนี้ก็เพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจนและขอให้ทุกคนคิดตาม และในฐานะที่เป็นประชาชนจะช่วยในสถานการณ์นี้ได้อย่างไร 3. รายงานผลการปฏิบัติการจากการประกาศเคอร์ฟิว รายงานผลการปฏิบัติงานวันที่ 10 เม.ย. 63 พบว่า มีประชาชนที่กระทําความผิดออกนอกเคหะสถาน 1,152 ราย มีการมั่วสุมหรือรวมกลุ่มชุมนุมกัน 94 ราย ดําเนินคดีไป 1,083 ราย ตักเตือน 163 ราย รวมแล้ว 1,246 ราย พร้อมขอความร่วมมือประชาชนช่วยเตือนกันเองในบ้านหรือหมู่บ้าน วอนอย่าออกจากบ้าน ลดการชุมนุม ลดการสัญจร สิ่งสําคัญคือต้องปฏิบัติตามมาตรการที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันควบคุมโรค คือ Social Distancing 4. มาตรการรายกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการออกมาตรการการเลื่อนการเปิดการเรียนการสอนโดยให้สถานศึกษาทุกแห่งของรัฐทุกแห่งทั้งในระบบของรัฐและเอกชนทั้งในระบบและนอกระบบที่อยู่ในสังกัด เปิดเรียนในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 พร้อมจัดให้มีการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างนี้ สําหรับโรงเรียนเอกชนประเภทนานาชาติที่มีการกําหนวันเปิด-ปิดภาคเรียนไม่ตรงกับโรงเรียนในระบบ ให้พิจารณาเปิดเรียนได้ตามความเหมาะสม กระทรวงวัฒนธรรมออกประกาศ เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ว่า ไม่ต้องมีการชุมนุม ไม่ต้องมีประเพณีเดิม ๆ คือ ทั้งของดการรดน้ําหรือเล่นน้ํา นอกจากนี้ยังมีประกาศจากผู้ว่าราชการจังหวัด 11 จังหวัดได้แก่ 1. จังหวัดระยอง 2. จังหวัดสุพรรณบุรี 3. จังหวัดสุรินทร์ 4. จังหวัดลําพูน 5.จังหวัดสกลนคร 6. จังหวัดพิษณุโลก 7. จังหวัดบุรีรัมย์ 8. จังหวัดนครปฐม 9. จังหวัดมุกดาหาร 10. จังหวัดสมุทรสงคราม และ 11. จังหวัดเชียงใหม่ ได้สั่งห้ามจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว สําหรับกรุงเทพมหานครได้มีการสั่งห้ามจําหน่ายสุราในทุก ๆ สถานประกอบการที่มีใบอนุญาต ตั้งแต่วันที่ 10 - 20 เม.ย.นี้ เป็นเวลา 10 วัน กรณีการเดินทางข้ามจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด จํานวน 15 จังหวัด ได้มีคําสั่งประกาศระงับการเดินทางเข้าออกในเขตพื้นที่จังหวัด ต่อไปนี้ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ภูเก็ต สตูล ตราด น่าน ยะลา พัทลุง สงขลา บึงกาฬ ระนอง ร้อยเอ็ด ตรัง มุกดาหาร และนครพนม ซึ่งได้มีการระงับการเข้าออกที่เหลื่อมเวลากันไป ในส่วนจังหวัดชลบุรี มีการสั่งปิดเฉพาะพื้นที่เมืองพัทยาเท่านั้น ซึ่งได้ประกาศปิดตั้งแต่วันที่ 9 เมษายนเป็นต้นไป 5. การดูแลคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ มาตรการการดูแลคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ มีผู้เดินทางที่ได้ทําการขออนุญาตไว้ก่อนแล้วในวันนี้ (7 เมษายน) จากประเทศเนเธอร์แลนด์จํานวน 15 คน เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 9.30 น.และจากประเทศสิงคโปร์จํานวน 18 คน จะเดินทางมาถึงในเวลา 17.25 น. รวมทั้งสิ้น 33 คน ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องเดินทางไป State Quarantine ในลําดับต่อไป สําหรับวันพรุ่งนี้ (11 เมษายน) มีผู้ที่เดินทางที่ขออนุญาตไว้แล้วเดินทางกลับจากรัสเซียจํานวน 35 คน และที่ติดค้างจากการ Transit ในประเทศญี่ปุ่นอีก 1 คน โดยกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหมได้ทํางานกันอย่างหนักเพื่อหาพื้นที่ State Quarantine และ Local Quarantine เพิ่มเติม เพื่อรองรับจํานวนผู้เดินทางที่อาจเพิ่มมากขึ้น กรณีนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS ในสหรัฐอเมริกาจํานวน 152 คน ที่ยังไม่มีเที่ยวบินกลับประเทศนั้น สถานเอกอัครราชทูตกําลังดําเนินการประสานงานกับฝ่ายมั่นคงของทางการสหรัฐอเมริกา เพื่อนําเครื่องบินมารับทหารของตนเองกลับเพื่อให้เด็กนักเรียน AFS เดินทางกลับประเทศไทย .......................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28792
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวธ” นำทีมเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 “วราวธ” นําทีมเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน “วราวธ” นําทีมเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน “วราวธ” นําทีมเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน วันที่ 15 มกราคม 2563 เวลาประมาณ 11.30 น. ณ บริเวณหน้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมนายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงฯ ร่วมพูดคุยและรับฟังข้อร้องเรียนการแก้ไขปัญหาของราษฎรจากผู้แทนเครือข่ายขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) โดยโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้กําลังใจและขอบคุณกลุ่ม พีมูฟ ที่ได้ให้โอกาสเจ้าหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมกันแก้ไขปัญหา ซึ่งในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ นั้น ต้องมีระยะเวลาในการดําเนินการ โดยเฉพาะปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเรื่องที่ดินทํากินจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวธ” นำทีมเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 “วราวธ” นําทีมเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน “วราวธ” นําทีมเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน “วราวธ” นําทีมเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน วันที่ 15 มกราคม 2563 เวลาประมาณ 11.30 น. ณ บริเวณหน้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมนายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงฯ ร่วมพูดคุยและรับฟังข้อร้องเรียนการแก้ไขปัญหาของราษฎรจากผู้แทนเครือข่ายขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) โดยโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้กําลังใจและขอบคุณกลุ่ม พีมูฟ ที่ได้ให้โอกาสเจ้าหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมกันแก้ไขปัญหา ซึ่งในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ นั้น ต้องมีระยะเวลาในการดําเนินการ โดยเฉพาะปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเรื่องที่ดินทํากินจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25861
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี การประชุมผู้นำอาเซียน สมัยพิเศษ เรื่อง การเสริมสร้างศักยภาพสตรีในยุคดิจิทัล
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563 ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี การประชุมผู้นําอาเซียน สมัยพิเศษ เรื่อง การเสริมสร้างศักยภาพสตรีในยุคดิจิทัล ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี การประชุมผู้นําอาเซียน สมัยพิเศษ เรื่อง การเสริมสร้างศักยภาพสตรีในยุคดิจิทัล วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563 เวลา 14.30 – 16.00 น. ท่านประธาน ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และ ฯพณฯ ทั้งหลาย ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการประชุมผู้นําอาเซียนสมัยพิเศษ เรื่อง “การเสริมสร้างศักยภาพสตรีในยุคดิจิทัล” ในครั้งนี้ และขอชื่นชมเวียดนามที่ตระหนักถึงความสําคัญในการเสริมสร้างศักยภาพสตรี ซึ่งเป็นสมาชิกกว่าครึ่งหนึ่งของประชาคมอาเซียน ผมเชื่อมั่นว่า การเสริมสร้างศักยภาพสตรีเป็นปัจจัยสําคัญในการส่งเสริมการบรรลุวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 5 การบรรลุความเสมอภาคระหว่างเพศ และเสริมสร้างศักยภาพสตรีและเด็กหญิง ประเทศไทยได้กําหนดให้การเสริมสร้างศักยภาพสตรีเป็นนโยบายสําคัญมาโดยตลอดด้วยตระหนักว่า สิทธิสตรี คือสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องได้รับเท่าเทียมกัน จึงได้จัดทําแผนการพัฒนาสตรีภายใต้การดําเนินการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. 2560-2564 ซึ่งเน้นการส่งเสริมรากฐานสําคัญด้านการศึกษาผ่านกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และการส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิตทุกช่วงวัย ในด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการสตรี โดยจัดตั้งสมาคมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสตรีไทย เมื่อปี 2550 เพื่อสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการสตรี ให้คําปรึกษา รวมทั้งจัดทําระบบ e-training และการพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแก่ผู้ประกอบการสตรี เพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่จําเป็น เพื่อพัฒนาสู่การเป็น Smart Enterprises ที่ผู้ประกอบการสตรี และสตรีในวิสาหกิจ มีความรู้และทักษะด้านการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการประกอบการอย่างเต็มขีดความสามารถ ประเทศไทยผลักดันการเสริมสร้างศักยภาพสตรีในอาเซียนอย่างเต็มที่ โดยได้สนับสนุนการจัดตั้งเครือข่ายผู้ประกอบการสตรีอาเซียนสากล หรือ AWEN (อาเว่น) เพื่อสร้างเครือข่ายและเสริมสร้างขีดความสามารถทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการสตรี โดย AWEN ประเทศไทย ได้รับเกียรติดํารงตําแหน่งประธาน AWEN สากล วาระปี ค.ศ. 2018-2020 และจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก 2563 ในวาระอันใกล้นี้ ภายใต้หัวข้อ “พลังสตรีพลิกเศรษฐกิจ” เพื่อเชื่อมพลังสตรีจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และให้ประชาคมโลกตระหนักถึงความสําคัญของบทบาทผู้นําสตรีทั้งในภาคธุรกิจ ภาควิชาการ และภาคการเมือง ในการขจัดอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของสตรี ประเทศไทยได้บังคับใช้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศทั้งทางตรงและทางอ้อม ป้องกันและแก้ไขการล่วงละเมิดทางเพศหรือคุกคามทางเพศในการทํางาน และส่งเสริมเจตคติที่เคารพความเสมอภาคระหว่างเพศ ตัวอย่างที่ดี คือการริเริ่มขจัดอคติทางเพศในกระบวนการศึกษา โดยประเทศไทยเป็นผู้นําในการจัดทําและศึกษาแนวทางในการขจัดอคติทางเพศเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการอาเซียนด้านสตรี นอกจากนั้น ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลไทยได้เตรียมมาตรการเยียวยาช่วยเหลือกลุ่มสตรีที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย คนยากจน กลุ่มเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ โดยให้ความช่วยเหลือตามสภาพปัญหาความเดือดร้อน การให้การสงเคราะห์ครอบครัวคนพิการ การฝึกทักษะอาชีพ รวมถึงการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ขณะเดียวกัน ยังได้ช่วยเหลือพนักงานหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมในช่วงสถานการณ์ดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การดําเนินการในการเสริมสร้างศักยภาพสตรีจะมีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่อาเซียนควรให้ความสําคัญต่อประเด็นต่อไปนี้ เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่มีร่วมกันในปัจจุบัน ประการที่แรก อาเซียนควรส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพสตรีที่ประกอบวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ซึ่งมีจํานวนรวมกันมากกว่าร้อยละ 95 ของจํานวนวิสาหกิจในประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นโอกาสส่งเสริมสตรีให้มีรายได้และพึ่งพาตนเองได้ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 ประการที่สอง อาเซียนควรส่งเสริมให้สตรีมีบทบาทด้านการสาธารณสุข โดยในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไทยตระหนักถึงบทบาทที่สําคัญของสตรีในฐานะอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ที่เข้มแข็ง ผ่านการทํางานเชิงป้องกันและการต่อสู้กับการแพร่ระบาดในชุมชน ดังนั้น สตรี อสม. จึงถือเป็นหน้าด่าน ในการติดตามหาข่าวผู้มีความเสี่ยงเฝ้าระวัง กักตัวบุคคล และให้ความรู้ประชาชน ทําให้ขณะนี้การควบคุมโรคในประเทศเป็นไปได้ด้วยดี เพราะมีสตรี อสม. จํานวนหลายล้านคนเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานอันแข็งแกร่งของระบบสาธารณสุขไทย สุดท้ายนี้ ประเทศไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สําคัญในการส่งเสริมความก้าวหน้าของสตรีทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป ขอบคุณครับ * * * * * * *
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี การประชุมผู้นำอาเซียน สมัยพิเศษ เรื่อง การเสริมสร้างศักยภาพสตรีในยุคดิจิทัล วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563 ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี การประชุมผู้นําอาเซียน สมัยพิเศษ เรื่อง การเสริมสร้างศักยภาพสตรีในยุคดิจิทัล ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี การประชุมผู้นําอาเซียน สมัยพิเศษ เรื่อง การเสริมสร้างศักยภาพสตรีในยุคดิจิทัล วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563 เวลา 14.30 – 16.00 น. ท่านประธาน ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และ ฯพณฯ ทั้งหลาย ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการประชุมผู้นําอาเซียนสมัยพิเศษ เรื่อง “การเสริมสร้างศักยภาพสตรีในยุคดิจิทัล” ในครั้งนี้ และขอชื่นชมเวียดนามที่ตระหนักถึงความสําคัญในการเสริมสร้างศักยภาพสตรี ซึ่งเป็นสมาชิกกว่าครึ่งหนึ่งของประชาคมอาเซียน ผมเชื่อมั่นว่า การเสริมสร้างศักยภาพสตรีเป็นปัจจัยสําคัญในการส่งเสริมการบรรลุวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 5 การบรรลุความเสมอภาคระหว่างเพศ และเสริมสร้างศักยภาพสตรีและเด็กหญิง ประเทศไทยได้กําหนดให้การเสริมสร้างศักยภาพสตรีเป็นนโยบายสําคัญมาโดยตลอดด้วยตระหนักว่า สิทธิสตรี คือสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องได้รับเท่าเทียมกัน จึงได้จัดทําแผนการพัฒนาสตรีภายใต้การดําเนินการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. 2560-2564 ซึ่งเน้นการส่งเสริมรากฐานสําคัญด้านการศึกษาผ่านกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และการส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิตทุกช่วงวัย ในด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการสตรี โดยจัดตั้งสมาคมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสตรีไทย เมื่อปี 2550 เพื่อสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการสตรี ให้คําปรึกษา รวมทั้งจัดทําระบบ e-training และการพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแก่ผู้ประกอบการสตรี เพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่จําเป็น เพื่อพัฒนาสู่การเป็น Smart Enterprises ที่ผู้ประกอบการสตรี และสตรีในวิสาหกิจ มีความรู้และทักษะด้านการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการประกอบการอย่างเต็มขีดความสามารถ ประเทศไทยผลักดันการเสริมสร้างศักยภาพสตรีในอาเซียนอย่างเต็มที่ โดยได้สนับสนุนการจัดตั้งเครือข่ายผู้ประกอบการสตรีอาเซียนสากล หรือ AWEN (อาเว่น) เพื่อสร้างเครือข่ายและเสริมสร้างขีดความสามารถทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการสตรี โดย AWEN ประเทศไทย ได้รับเกียรติดํารงตําแหน่งประธาน AWEN สากล วาระปี ค.ศ. 2018-2020 และจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก 2563 ในวาระอันใกล้นี้ ภายใต้หัวข้อ “พลังสตรีพลิกเศรษฐกิจ” เพื่อเชื่อมพลังสตรีจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และให้ประชาคมโลกตระหนักถึงความสําคัญของบทบาทผู้นําสตรีทั้งในภาคธุรกิจ ภาควิชาการ และภาคการเมือง ในการขจัดอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของสตรี ประเทศไทยได้บังคับใช้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศทั้งทางตรงและทางอ้อม ป้องกันและแก้ไขการล่วงละเมิดทางเพศหรือคุกคามทางเพศในการทํางาน และส่งเสริมเจตคติที่เคารพความเสมอภาคระหว่างเพศ ตัวอย่างที่ดี คือการริเริ่มขจัดอคติทางเพศในกระบวนการศึกษา โดยประเทศไทยเป็นผู้นําในการจัดทําและศึกษาแนวทางในการขจัดอคติทางเพศเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการอาเซียนด้านสตรี นอกจากนั้น ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลไทยได้เตรียมมาตรการเยียวยาช่วยเหลือกลุ่มสตรีที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย คนยากจน กลุ่มเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ โดยให้ความช่วยเหลือตามสภาพปัญหาความเดือดร้อน การให้การสงเคราะห์ครอบครัวคนพิการ การฝึกทักษะอาชีพ รวมถึงการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ขณะเดียวกัน ยังได้ช่วยเหลือพนักงานหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมในช่วงสถานการณ์ดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การดําเนินการในการเสริมสร้างศักยภาพสตรีจะมีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่อาเซียนควรให้ความสําคัญต่อประเด็นต่อไปนี้ เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่มีร่วมกันในปัจจุบัน ประการที่แรก อาเซียนควรส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพสตรีที่ประกอบวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ซึ่งมีจํานวนรวมกันมากกว่าร้อยละ 95 ของจํานวนวิสาหกิจในประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นโอกาสส่งเสริมสตรีให้มีรายได้และพึ่งพาตนเองได้ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 ประการที่สอง อาเซียนควรส่งเสริมให้สตรีมีบทบาทด้านการสาธารณสุข โดยในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไทยตระหนักถึงบทบาทที่สําคัญของสตรีในฐานะอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ที่เข้มแข็ง ผ่านการทํางานเชิงป้องกันและการต่อสู้กับการแพร่ระบาดในชุมชน ดังนั้น สตรี อสม. จึงถือเป็นหน้าด่าน ในการติดตามหาข่าวผู้มีความเสี่ยงเฝ้าระวัง กักตัวบุคคล และให้ความรู้ประชาชน ทําให้ขณะนี้การควบคุมโรคในประเทศเป็นไปได้ด้วยดี เพราะมีสตรี อสม. จํานวนหลายล้านคนเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานอันแข็งแกร่งของระบบสาธารณสุขไทย สุดท้ายนี้ ประเทศไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สําคัญในการส่งเสริมความก้าวหน้าของสตรีทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป ขอบคุณครับ * * * * * * *
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32819
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ประชุมเตรียมความพร้อมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ย้ำทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559 ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ประชุมเตรียมความพร้อมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน ศปถ. ประชุมเตรียมความพร้อมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน วันนี้ (15 ธ.ค. 59) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 1 อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 5/2559 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง การสนับสนุนเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย การนํานโยบายประชารัฐเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการลดอุบัติเหตุทางถนนในระดับพื้นที่ การรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างจิตสํานึกและความตระหนักในการใช้รถใช้ถนน เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในสังคมไทยอย่างยั่งยืน รวมทั้งพิจารณา(ร่าง)แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ภายใต้แนวคิด "ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร" เพื่อสร้างการสัญจรที่ปลอดภัยตามมาตรฐานสากล รวมทั้งใช้เป็นแนวทางบูรณาการปฏิบัติงานในพื้นที่ให้เป็นรูปธรรม ในโอกาสนี้ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ได้กล่าวคําไว้อาลัย เนื่องในวันโลกรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ประจําปี 2559 พร้อมทั้งยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้สูญเสียอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งวันดังกล่าวองค์การสหประชาติได้กําหนดให้วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันสําคัญในการรําลึกถึง จากนั้น ประธานในการประชุม ได้เข้าวาระการประชุม โดยเปิดเผยว่า อุบัติเหตุทางถนนนับเป็นปัญหาสําคัญที่สร้างความสูญเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งประเทศไทยมีอัตราจํานวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก รัฐบาลจึงได้กําหนดให้การสร้างความปลอดภัยทางถนนเป็นวาระชาติ และกําหนดให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเป็นนโยบายสําคัญที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันขับเคลื่อนการดําเนินงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมา ศปถ.ได้มีการถอดบทเรียนผลการดําเนินงานในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2559 และได้กําหนดมาตรการแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะการผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนนให้เป็นรูปธรรมตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2559 ซึ่งเห็นชอบให้ดําเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายด้านความปลอดภัยทางถนน ใน 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) เมาแล้วขับ 2) ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกําหนด 3) การได้มาซึ่งใบอนุญาตขับรถ 4) รถโดยสารสาธารณะ และ 5) การคาดเข็มขัดนิรภัย รวมทั้งแนวทางการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้เร่งดําเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้มีผลบังคับใช้ได้ทันในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 โดยให้แต่ละหน่วยงานให้ความสําคัญในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งการสนับสนุนเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เช่น เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ เครื่องตรวจจับความเร็ว กล้องวงจรปิด กล้องติดรถยนต์ และอุปกรณ์บันทึกพฤติกรรมการขับขี่ เป็นต้น สําหรับในพื้นที่จังหวัด ให้นํานโยบายประชารัฐมารเป็นแนวทางในการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งให้ทุกภาคส่วนร่วมกันรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างจิตสํานึกด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างเข้มข้น จริงจัง เพื่อให้เกิดความตระหนักและเกิดเป็นวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย สําหรับในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 นี้ ที่ประชุม ศปถ.ได้เตรียมความพร้อมในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน โดยพิจารณา (ร่าง) แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ภายใต้แนวคิด "ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร” โดยจะดําเนินการช่วงควบคุมเข้มข้นการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2559 – 4 มกราคม 2560 เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการดําเนินงานช่วงเทศกาลดังกล่าว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีประชาชนจํานวนมากใช้รถใช้ถนนในการเดินทางกลับภูมิลําเนา และท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ทําให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงกว่าช่วงปกติสร้างความตระหนัก รับรู้ และกระตุ้นเตือนจิตสํานึกให้กับประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยมาตรการและแนวทางการดําเนินงาน มีดังนี้ 1.ให้บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยยึดพื้นที่เป็นตัวตั้ง (Area Approach) โดยใช้กลไกประชารัฐเป็นแนวทางการดําเนินงานในพื้นที่ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเจ้าภาพในการบูรณาการการทํางานร่วมกัน 2.ให้นํามาตรการลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนทั้ง 4 ด้าน (คน ถนน ยานพาหนะ และสภาพแวดล้อม) มาเป็นแนวทางในการดําเนินงานอย่างเข้มข้น จริงจัง และต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการบริหารจัดการปัญหาอุบัติเหตุทางถนนที่ครอบคลุมทุกมิติ เช่น มาตรการด้านคน เน้นการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด จริงจัง โดยเฉพาะพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ การคุมเข้มการจําหน่าย การดื่ม และการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามที่กฎหมายกําหนด รวมทั้งการใช้มาตรการด้านสังคมและชุมชน มาเสริมในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมพฤติกรรมเสี่ยงในพื้นที่ มีการจัดตั้ง “ด่านชุมชน” เพื่อสกัดกลุ่มเสี่ยงและลดพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ มาตรการด้านถนน มีการขับเคลื่อนมาตรการ "1 ท้องถิ่น 1 ถนนปลอดภัย" โดยการปรับปรุงแก้ไขจุดเสี่ยง จุดอันตราย จุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และจุดที่เกิดอุบัติเหตุใหญ่บนถนน ตลอดจนจุดตัดทางรถไฟให้มีความปลอดภัย พร้อมทั้งมีการวางแผนอํานวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชน เช่น การจัดเตรียมช่องทางพิเศษ ทางเลี่ยง ทางลัด และจัดทําป้ายเตือน ป้ายแนะนําต่างๆ ให้ชัดเจน รวมทั้งมีการจัดจุดพักรถ และจุดบริการต่างๆ มาตรการด้านยานพาหนะ มีการกําหนดมาตรการ แนวทาง เพื่อกํากับควบคุม และตรวจสอบยานพาหนะให้มีความปลอดภัย โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะ และรถโดยสารไม่ประจําทางให้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย และ มาตรการการด้านสิ่งแวดล้อม โดยให้ตรวจสอบสิ่งอันตรายข้างทาง (Roadside Hazards) เช่น ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง สัญญาณไฟจราจร เป็นต้น และปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ รวมทั้งสภาพแวดล้อมริมทาง โดยเฉพาะบริเวณจุดตัดทางรถไฟ ทางร่วมทางแยก เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน นอกจากนี้ ยังรวมถึงการปรับปรุงระบบฐานข้อมูลผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้สามารถบูรณาการฐานข้อมูลให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อนําไปใช้ในการติดตามประเมินผลและวางแผนแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งจะช่วยยกระดับการสร้างความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทยให้มีมาตรฐานสากล และถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวาระ “ประเทศไทยปลอดภัย (Safety Thailand) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนการลดอุบัติเหตุทางถนนสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย ได้เน้นย้ําให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันรณรงค์และดําเนินการตามมาตรการและแนวทางที่กําหนดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง มีการตัดสินใจร่วมกัน โดยมุ่งเน้นการลดปัจจัยเสี่ยงให้สอดคล้องกับสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ รวมทั้งการจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทุกสื่ออย่างต่อเนื่อง เชิญชวนให้ประชาชนทําความดีเพื่อพ่อ “เลิกดื่ม เลิกขับเร็ว ร่วมใจใส่หมวกนิรภัย” และร่วมกิจกรรมทางศาสนา “1 อําเภอ 1 กิจกรรม” และ “สวดมนต์ข้ามปี” เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ เกิดความตระหนักและมีจิตสํานึกในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนร่วมกัน เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย และมีความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้. ครั้งที่ 236/2559
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ประชุมเตรียมความพร้อมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ย้ำทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559 ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ประชุมเตรียมความพร้อมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน ศปถ. ประชุมเตรียมความพร้อมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน วันนี้ (15 ธ.ค. 59) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 1 อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 5/2559 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง การสนับสนุนเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย การนํานโยบายประชารัฐเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการลดอุบัติเหตุทางถนนในระดับพื้นที่ การรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างจิตสํานึกและความตระหนักในการใช้รถใช้ถนน เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในสังคมไทยอย่างยั่งยืน รวมทั้งพิจารณา(ร่าง)แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ภายใต้แนวคิด "ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร" เพื่อสร้างการสัญจรที่ปลอดภัยตามมาตรฐานสากล รวมทั้งใช้เป็นแนวทางบูรณาการปฏิบัติงานในพื้นที่ให้เป็นรูปธรรม ในโอกาสนี้ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ได้กล่าวคําไว้อาลัย เนื่องในวันโลกรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ประจําปี 2559 พร้อมทั้งยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้สูญเสียอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งวันดังกล่าวองค์การสหประชาติได้กําหนดให้วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันสําคัญในการรําลึกถึง จากนั้น ประธานในการประชุม ได้เข้าวาระการประชุม โดยเปิดเผยว่า อุบัติเหตุทางถนนนับเป็นปัญหาสําคัญที่สร้างความสูญเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งประเทศไทยมีอัตราจํานวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก รัฐบาลจึงได้กําหนดให้การสร้างความปลอดภัยทางถนนเป็นวาระชาติ และกําหนดให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเป็นนโยบายสําคัญที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันขับเคลื่อนการดําเนินงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมา ศปถ.ได้มีการถอดบทเรียนผลการดําเนินงานในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2559 และได้กําหนดมาตรการแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะการผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนนให้เป็นรูปธรรมตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2559 ซึ่งเห็นชอบให้ดําเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายด้านความปลอดภัยทางถนน ใน 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) เมาแล้วขับ 2) ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกําหนด 3) การได้มาซึ่งใบอนุญาตขับรถ 4) รถโดยสารสาธารณะ และ 5) การคาดเข็มขัดนิรภัย รวมทั้งแนวทางการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้เร่งดําเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้มีผลบังคับใช้ได้ทันในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 โดยให้แต่ละหน่วยงานให้ความสําคัญในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งการสนับสนุนเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เช่น เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ เครื่องตรวจจับความเร็ว กล้องวงจรปิด กล้องติดรถยนต์ และอุปกรณ์บันทึกพฤติกรรมการขับขี่ เป็นต้น สําหรับในพื้นที่จังหวัด ให้นํานโยบายประชารัฐมารเป็นแนวทางในการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งให้ทุกภาคส่วนร่วมกันรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างจิตสํานึกด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างเข้มข้น จริงจัง เพื่อให้เกิดความตระหนักและเกิดเป็นวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย สําหรับในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 นี้ ที่ประชุม ศปถ.ได้เตรียมความพร้อมในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน โดยพิจารณา (ร่าง) แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ภายใต้แนวคิด "ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร” โดยจะดําเนินการช่วงควบคุมเข้มข้นการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2559 – 4 มกราคม 2560 เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการดําเนินงานช่วงเทศกาลดังกล่าว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีประชาชนจํานวนมากใช้รถใช้ถนนในการเดินทางกลับภูมิลําเนา และท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ทําให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงกว่าช่วงปกติสร้างความตระหนัก รับรู้ และกระตุ้นเตือนจิตสํานึกให้กับประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยมาตรการและแนวทางการดําเนินงาน มีดังนี้ 1.ให้บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยยึดพื้นที่เป็นตัวตั้ง (Area Approach) โดยใช้กลไกประชารัฐเป็นแนวทางการดําเนินงานในพื้นที่ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเจ้าภาพในการบูรณาการการทํางานร่วมกัน 2.ให้นํามาตรการลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนทั้ง 4 ด้าน (คน ถนน ยานพาหนะ และสภาพแวดล้อม) มาเป็นแนวทางในการดําเนินงานอย่างเข้มข้น จริงจัง และต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการบริหารจัดการปัญหาอุบัติเหตุทางถนนที่ครอบคลุมทุกมิติ เช่น มาตรการด้านคน เน้นการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด จริงจัง โดยเฉพาะพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ การคุมเข้มการจําหน่าย การดื่ม และการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามที่กฎหมายกําหนด รวมทั้งการใช้มาตรการด้านสังคมและชุมชน มาเสริมในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมพฤติกรรมเสี่ยงในพื้นที่ มีการจัดตั้ง “ด่านชุมชน” เพื่อสกัดกลุ่มเสี่ยงและลดพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ มาตรการด้านถนน มีการขับเคลื่อนมาตรการ "1 ท้องถิ่น 1 ถนนปลอดภัย" โดยการปรับปรุงแก้ไขจุดเสี่ยง จุดอันตราย จุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และจุดที่เกิดอุบัติเหตุใหญ่บนถนน ตลอดจนจุดตัดทางรถไฟให้มีความปลอดภัย พร้อมทั้งมีการวางแผนอํานวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชน เช่น การจัดเตรียมช่องทางพิเศษ ทางเลี่ยง ทางลัด และจัดทําป้ายเตือน ป้ายแนะนําต่างๆ ให้ชัดเจน รวมทั้งมีการจัดจุดพักรถ และจุดบริการต่างๆ มาตรการด้านยานพาหนะ มีการกําหนดมาตรการ แนวทาง เพื่อกํากับควบคุม และตรวจสอบยานพาหนะให้มีความปลอดภัย โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะ และรถโดยสารไม่ประจําทางให้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย และ มาตรการการด้านสิ่งแวดล้อม โดยให้ตรวจสอบสิ่งอันตรายข้างทาง (Roadside Hazards) เช่น ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง สัญญาณไฟจราจร เป็นต้น และปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ รวมทั้งสภาพแวดล้อมริมทาง โดยเฉพาะบริเวณจุดตัดทางรถไฟ ทางร่วมทางแยก เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน นอกจากนี้ ยังรวมถึงการปรับปรุงระบบฐานข้อมูลผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้สามารถบูรณาการฐานข้อมูลให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อนําไปใช้ในการติดตามประเมินผลและวางแผนแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งจะช่วยยกระดับการสร้างความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทยให้มีมาตรฐานสากล และถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวาระ “ประเทศไทยปลอดภัย (Safety Thailand) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนการลดอุบัติเหตุทางถนนสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย ได้เน้นย้ําให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันรณรงค์และดําเนินการตามมาตรการและแนวทางที่กําหนดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง มีการตัดสินใจร่วมกัน โดยมุ่งเน้นการลดปัจจัยเสี่ยงให้สอดคล้องกับสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ รวมทั้งการจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทุกสื่ออย่างต่อเนื่อง เชิญชวนให้ประชาชนทําความดีเพื่อพ่อ “เลิกดื่ม เลิกขับเร็ว ร่วมใจใส่หมวกนิรภัย” และร่วมกิจกรรมทางศาสนา “1 อําเภอ 1 กิจกรรม” และ “สวดมนต์ข้ามปี” เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ เกิดความตระหนักและมีจิตสํานึกในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนร่วมกัน เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย และมีความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้. ครั้งที่ 236/2559
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1048
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางร่วมงานและลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ กอช.
วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560 กรมบัญชีกลางร่วมงานและลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ กอช. กรมบัญชีกลางร่วมงานและลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อให้สํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศเป็นหน่วยรับสมัครสมาชิก กอช. ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม เป็นต้นไป นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงการคลัง (นายสมชัย สัจจพงษ์) ให้สํานักงานคลังจังหวัดเปิดให้บริการเป็นหน่วยรับสมัครสมาชิกให้กับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) รวมถึงการรับเงินสะสมจากสมาชิก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนมากขึ้น โดยจะมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมบัญชีกลางและ กอช. ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 กระทรวงการคลัง เวลา 13.30 – 15.00 น. ในวันที่ 28 ธันวาคม 2560 นี้ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้เตรียมความพร้อมให้กับสํานักงานคลังจังหวัดในการเป็นหน่วยรับสมัครสมาชิก กอช. โดยร่วมกับ กอช. จัดทําคู่มือการใช้งานระบบทะเบียนสมาชิก (Web Application) และระบบสนับสนุนทะเบียนสมาชิก กอช. พร้อมทั้งจัดทําแนวทางการควบคุมและตรวจสอบการรับสมัครและรับเงินสะสมของสมาชิก กอช. ให้กับเจ้าหน้าที่สํานักงานคลังจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างถูกต้อง รัดกุม และรอบคอบ ซึ่งประชาชนทั่วไปที่สนใจจะออมเงินกับ กอช. สามารถไปตรวจสอบสิทธิและสมัครเป็นสมาชิก กอช. ได้ที่สํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ โดยจะเริ่มเปิดให้บริการรับสมัครสมาชิก กอช. ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางร่วมงานและลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ กอช. วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560 กรมบัญชีกลางร่วมงานและลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ กอช. กรมบัญชีกลางร่วมงานและลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อให้สํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศเป็นหน่วยรับสมัครสมาชิก กอช. ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม เป็นต้นไป นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงการคลัง (นายสมชัย สัจจพงษ์) ให้สํานักงานคลังจังหวัดเปิดให้บริการเป็นหน่วยรับสมัครสมาชิกให้กับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) รวมถึงการรับเงินสะสมจากสมาชิก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนมากขึ้น โดยจะมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมบัญชีกลางและ กอช. ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 กระทรวงการคลัง เวลา 13.30 – 15.00 น. ในวันที่ 28 ธันวาคม 2560 นี้ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้เตรียมความพร้อมให้กับสํานักงานคลังจังหวัดในการเป็นหน่วยรับสมัครสมาชิก กอช. โดยร่วมกับ กอช. จัดทําคู่มือการใช้งานระบบทะเบียนสมาชิก (Web Application) และระบบสนับสนุนทะเบียนสมาชิก กอช. พร้อมทั้งจัดทําแนวทางการควบคุมและตรวจสอบการรับสมัครและรับเงินสะสมของสมาชิก กอช. ให้กับเจ้าหน้าที่สํานักงานคลังจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างถูกต้อง รัดกุม และรอบคอบ ซึ่งประชาชนทั่วไปที่สนใจจะออมเงินกับ กอช. สามารถไปตรวจสอบสิทธิและสมัครเป็นสมาชิก กอช. ได้ที่สํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ โดยจะเริ่มเปิดให้บริการรับสมัครสมาชิก กอช. ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9065
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" บรรยายที่โรงเรียนสตรีวิทยา
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560 "ปนัดดา" บรรยายที่โรงเรียนสตรีวิทยา ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเยาวชน" โดยมีนักเรียน และอาจารย์ จากสถานศึกษาในโครงการครอบครัวพอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชน เข้าร่วมงานกว่า 300 คน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า ในการพบปะสนทนาครั้งนี้ได้ให้ข้อคิดแก่นักเรียนว่าเราเป็นครอบครัวคนไทยทั้งประเทศ ไม่มีประเทศใดที่จะรักกันดุจญาติพี่น้องกันทั้งแผ่นดินเหมือนกับประเทศไทย เป็นข้อเท็จจริงว่าทําไมผู้คนถึงชื่นชมประเทศไทยซึ่งน้ําในแก้วที่ "ใสสะอาด" กับน้ําในแก้วที่ "ขุ่นมัวมีสิ่งสกปรกอยู่ในแก้ว" ทําอย่างไรมันก็เป็นแก้วเดียวกันไม่ได้ ทดแทนกันไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องทําความดีช่วยเสริมช่วยสร้างให้แก้วที่ใสสะอาดเกิดความครบถ้วนเต็มแก้วเป็นการชนะด้วยคุณงามความดี เหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดํารัสว่า คุณงามความดีเท่านั้นที่จะสถิตเสถียรอยู่กับตัวเรา ซึ่งเหมือนกับพระองค์ท่านยังคงสถิตเสถียรอยู่ในดวงใจคนไทยทั้งชาติ นอกจากนี้ ได้ฝากถึงข้าราชการของประชาชนด้วยว่า อยู่ได้ด้วยภาษีอากรของพี่น้องประชาชน ข้าราชการจึงจะต้องมีจิตบริการ อ่อนน้อมถ่อมตน เข้าหาผู้คน ไม่ใช่จะหลงระเริง ลืมตัว อวดใหญ่ อวดโต อวดดีซึ่งหากกระทําตัวแบบนี้ไม่ใช่ข้าราชการ ข้าราชการจึงจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตสาธารณะ มีความสุภาพต่อพี่น้องประชาชน และให้รู้จักเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพราะหากเราไม่รู้จักวันวาน เราก็จะไม่รู้ที่มาของปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร และอย่ามองแต่วันนี้หรือมองอนาคต ทั้งยังฝากให้นักเรียนต้องมีไอดอล หรือบุคคลที่เป็นแบบอย่าง เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับตัวเอง ซึ่งไอดอลที่ใกล้ตัวเราที่สุด คือ คุณพ่อคุณแม่ ถัดมาคือครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณใหญ่หลวงต่อเรา ม.ล.ปนัดดาได้กล่าวถึงพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ใจความว่า “คนไทยเราเคารพยกย่องครูมาก สงเคราะห์ครูเข้าในบุพการีรองจากบิดามารดาไม่ว่าผู้ใดมียศถาบรรดาศักดิ์มากเพียงใดก็ยําเกรงครู ไม่ลบหลู่ครู ไม่ลืมครู เพราะเราถือว่าครูเป็นผู้ปลูกฝังทั้งความรู้และความดีเป็นผู้ที่ปั้นเราให้เป็นคนดีมีประโยชน์ต่อสังคม” จึงขอฝากให้ครูอาจารย์ช่วยกันขับเคลื่อนโรงเรียนคุณธรรมทั่วประเทศให้เกิดขึ้นเป็นผลสําเร็จให้จงได้ ในการเปิดภาคเรียนใหม่ที่จะมาถึงนี้ สุดท้ายได้ฝากสุภาษิต “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก” กล่าวคือ หัวต้องทําสิ่งถูกต้อง ยึดหลักธรรมาภิบาล หางคือ ลูกแถวลูกทีมสมาชิกในองค์กรก็จะดีไปด้วย นอกจากนี้ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ได้โพสต์เฟสบุ๊คเพิ่มเติม ดังนี้ 'ประเทศชาติอยู่ได้ด้วยคุณงามความดี ส่วนความไม่ดีแพ้ภัยตนเอง' ปาฐกถาพิเศษมูลนิธิครอบครัวพอเพียง 5 เม.ย. 60 เวลา 13.15 น.ณ หอประชุม โรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ และปาฐกถาพิเศษแก่คณาจารย์ ลูกหลานนักเรียนในโครงการครอบครัวพอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชน ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท จัดขึ้นโดยมูลนิธิครอบครัวพอเพียง โดยมีคุณหญิงพวงรัตน์ วิเวกานนท์ และ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธานกิตติมศักดิ์มูลนิธิฯ ซึ่งมีลูกหลานนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ จากทั่วประเทศ และกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมโครงการครั้งนี้ อาทิ รร.ร้อยเอ็ดวิทยาลัย รร.กัลยาณวัตร รร.เลยพิทยาคม รร.ยโสธรพิทยาคม รร.บุรีรัมย์พิทยาคม รร. มุกดาหาร รร.เบ็ญจะมะมหาราช รร.อุดรพิทยานุกูล รร.หนองบัวพิทยาคาร รร.กาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ รร.ปิยะมหาราชา รร.พรหมานุสรณ์ จ.เพชรบุรี รร.ประจวบวิทยาลัย รร.สตรีภูเก็ต รร.สตรียะลา รร.อํามาตย์พาณิชนุกูล รร.กัลยาณีศรีธรรมราช อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย รร.สภาราชินี จ.ตรัง รร.นราธิวาส รร.สตูลวิทยา รร.สมุทรสาครบูรณะ รร.เบญจมราชูทิศ ราชบุรี รร.สิงห์บุรี รร.ชัยนาทพิทยาคม รร.ตากพิทยาคม รร.พิษณุโลกพิทยาคม รร.สุโขทัยวิทยาคม รร.สตรีนครสวรรค์ รร.อุตรดิตถ์ดรุณี รร.ลําปางกัลยาณี รร.ส่วนบุญโยอุปถัมภ์ ลําพูน รร.นารีรัตน์ จ.แพร่ รร.ยุพราชวิทยาลัย รร.วิสุทธรังสี จ.กาญจนบุรี รร.สระบุรีวิทยาคม รร.สระแก้ว รร.เบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี รร.สมุทรปราการ รร.ปทุมวิไล รร.พระหฤทัยนนทบุรี รร.สตรีวิทยา รร.สวนกุหลาบวิทยาลัย รร.วัฒนาวิทยาลัย รร.จิตรลดา รร.วัดราชาธิวาส รร.สตรีวัดระฆัง รร.ทวีธาภิเษก รร.ปทุมคงคา รร.วัดสุทธิวราราม ฯลฯ ม.ล.ปนัดดา กล่าวในตอนหนึ่งว่า ลูกหลานมาจากมากมายหลายโรงเรียนแทบทุกจังหวัด ครูอาจารย์ของเราทุกคนเล่ามาว่า ในอดีตประเทศไทยได้รับการกล่าวขานอย่างกว้างขวางถึงความเป็นธรรมาภิบาลประเทศ หรือประเทศไทยคุณธรรม แบบอย่างให้กับนานาประชาคมซึ่งหมายถึง คุณงามความดีที่มีอยู่ในใจของคนไทยทุกคน ผู้คนต่างยึดมั่นหลักคุณธรรมจรรยา ปู่ย่าตายายของคนไทยอบรมสั่งสอนเรามาว่า คนไทยมีเอกลักษณ์ประจําชาติ คือ การมีจิตใจโอบอ้อมอารี มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความซื่อตรง อ่อนน้อมถ่อมตน และจงรักภักดี จึงไม่เบียดเบียนใคร ไม่คิดทําร้ายใคร คนที่มีคุณธรรม จะรักความยุติธรรมและมีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่นเสมอ ส่วนผู้ที่กลั่นแกล้งให้ร้ายป้ายสีคนอื่น อิจฉาตาร้อนผู้อื่น เอารัดเอาเปรียบ ทุจริตโกงกิน ย่อมถือเป็นคนไม่มีคุณธรรมจะแพ้ภัยตนเอง ซึ่งจะได้แก่ผู้ที่มีความโลภโมโทสัน อิจฉาริษยา ผู้ไม่เคารพกฎหมาย ปราศจากความละอายต่อบาป ผู้อวดรู้อวดดี สําคัญตนว่าเก่งแต่โกง เนรคุณต่อผู้มีพระคุณ ลูกหลานเยาวชนทุกคนจึงมีภาระหน้าที่ต้องช่วยกันฟื้นฟูเอกลักษณ์ของชาติไทยว่าด้วยความเป็นสังคมและครอบครัวคุณธรรม มีความเป็นอารยะสังคม มองหา 'ไอดอล' ประจําใจซึ่งได้แก่คุณพ่อคุณแม่ ครูอาจารย์ เพื่อร่วมกันเสริมสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นแก่ประเทศชาติ เป็นกําลังใจซึ่งกันและกัน โดยมีบุพการี ครูอาจารย์ เป็นแบบอย่างแก่ลูกและศิษย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นต้นแบบที่ยั่งยืนแก่เราทุกคน สังคมมีความรู้-รัก-สามัคคี มีความกล้าหาญทางจริยธรรม และมีความเสียสละ ยึดถือหลักความเป็นสุภาพชนและความซื่อสัตย์สุจริตในการครองตน ครองคน และครองงาน ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสืบไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" บรรยายที่โรงเรียนสตรีวิทยา วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560 "ปนัดดา" บรรยายที่โรงเรียนสตรีวิทยา ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเยาวชน" โดยมีนักเรียน และอาจารย์ จากสถานศึกษาในโครงการครอบครัวพอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชน เข้าร่วมงานกว่า 300 คน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า ในการพบปะสนทนาครั้งนี้ได้ให้ข้อคิดแก่นักเรียนว่าเราเป็นครอบครัวคนไทยทั้งประเทศ ไม่มีประเทศใดที่จะรักกันดุจญาติพี่น้องกันทั้งแผ่นดินเหมือนกับประเทศไทย เป็นข้อเท็จจริงว่าทําไมผู้คนถึงชื่นชมประเทศไทยซึ่งน้ําในแก้วที่ "ใสสะอาด" กับน้ําในแก้วที่ "ขุ่นมัวมีสิ่งสกปรกอยู่ในแก้ว" ทําอย่างไรมันก็เป็นแก้วเดียวกันไม่ได้ ทดแทนกันไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องทําความดีช่วยเสริมช่วยสร้างให้แก้วที่ใสสะอาดเกิดความครบถ้วนเต็มแก้วเป็นการชนะด้วยคุณงามความดี เหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดํารัสว่า คุณงามความดีเท่านั้นที่จะสถิตเสถียรอยู่กับตัวเรา ซึ่งเหมือนกับพระองค์ท่านยังคงสถิตเสถียรอยู่ในดวงใจคนไทยทั้งชาติ นอกจากนี้ ได้ฝากถึงข้าราชการของประชาชนด้วยว่า อยู่ได้ด้วยภาษีอากรของพี่น้องประชาชน ข้าราชการจึงจะต้องมีจิตบริการ อ่อนน้อมถ่อมตน เข้าหาผู้คน ไม่ใช่จะหลงระเริง ลืมตัว อวดใหญ่ อวดโต อวดดีซึ่งหากกระทําตัวแบบนี้ไม่ใช่ข้าราชการ ข้าราชการจึงจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตสาธารณะ มีความสุภาพต่อพี่น้องประชาชน และให้รู้จักเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพราะหากเราไม่รู้จักวันวาน เราก็จะไม่รู้ที่มาของปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร และอย่ามองแต่วันนี้หรือมองอนาคต ทั้งยังฝากให้นักเรียนต้องมีไอดอล หรือบุคคลที่เป็นแบบอย่าง เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับตัวเอง ซึ่งไอดอลที่ใกล้ตัวเราที่สุด คือ คุณพ่อคุณแม่ ถัดมาคือครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณใหญ่หลวงต่อเรา ม.ล.ปนัดดาได้กล่าวถึงพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ใจความว่า “คนไทยเราเคารพยกย่องครูมาก สงเคราะห์ครูเข้าในบุพการีรองจากบิดามารดาไม่ว่าผู้ใดมียศถาบรรดาศักดิ์มากเพียงใดก็ยําเกรงครู ไม่ลบหลู่ครู ไม่ลืมครู เพราะเราถือว่าครูเป็นผู้ปลูกฝังทั้งความรู้และความดีเป็นผู้ที่ปั้นเราให้เป็นคนดีมีประโยชน์ต่อสังคม” จึงขอฝากให้ครูอาจารย์ช่วยกันขับเคลื่อนโรงเรียนคุณธรรมทั่วประเทศให้เกิดขึ้นเป็นผลสําเร็จให้จงได้ ในการเปิดภาคเรียนใหม่ที่จะมาถึงนี้ สุดท้ายได้ฝากสุภาษิต “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก” กล่าวคือ หัวต้องทําสิ่งถูกต้อง ยึดหลักธรรมาภิบาล หางคือ ลูกแถวลูกทีมสมาชิกในองค์กรก็จะดีไปด้วย นอกจากนี้ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ได้โพสต์เฟสบุ๊คเพิ่มเติม ดังนี้ 'ประเทศชาติอยู่ได้ด้วยคุณงามความดี ส่วนความไม่ดีแพ้ภัยตนเอง' ปาฐกถาพิเศษมูลนิธิครอบครัวพอเพียง 5 เม.ย. 60 เวลา 13.15 น.ณ หอประชุม โรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ และปาฐกถาพิเศษแก่คณาจารย์ ลูกหลานนักเรียนในโครงการครอบครัวพอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชน ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท จัดขึ้นโดยมูลนิธิครอบครัวพอเพียง โดยมีคุณหญิงพวงรัตน์ วิเวกานนท์ และ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธานกิตติมศักดิ์มูลนิธิฯ ซึ่งมีลูกหลานนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ จากทั่วประเทศ และกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมโครงการครั้งนี้ อาทิ รร.ร้อยเอ็ดวิทยาลัย รร.กัลยาณวัตร รร.เลยพิทยาคม รร.ยโสธรพิทยาคม รร.บุรีรัมย์พิทยาคม รร. มุกดาหาร รร.เบ็ญจะมะมหาราช รร.อุดรพิทยานุกูล รร.หนองบัวพิทยาคาร รร.กาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ รร.ปิยะมหาราชา รร.พรหมานุสรณ์ จ.เพชรบุรี รร.ประจวบวิทยาลัย รร.สตรีภูเก็ต รร.สตรียะลา รร.อํามาตย์พาณิชนุกูล รร.กัลยาณีศรีธรรมราช อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย รร.สภาราชินี จ.ตรัง รร.นราธิวาส รร.สตูลวิทยา รร.สมุทรสาครบูรณะ รร.เบญจมราชูทิศ ราชบุรี รร.สิงห์บุรี รร.ชัยนาทพิทยาคม รร.ตากพิทยาคม รร.พิษณุโลกพิทยาคม รร.สุโขทัยวิทยาคม รร.สตรีนครสวรรค์ รร.อุตรดิตถ์ดรุณี รร.ลําปางกัลยาณี รร.ส่วนบุญโยอุปถัมภ์ ลําพูน รร.นารีรัตน์ จ.แพร่ รร.ยุพราชวิทยาลัย รร.วิสุทธรังสี จ.กาญจนบุรี รร.สระบุรีวิทยาคม รร.สระแก้ว รร.เบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี รร.สมุทรปราการ รร.ปทุมวิไล รร.พระหฤทัยนนทบุรี รร.สตรีวิทยา รร.สวนกุหลาบวิทยาลัย รร.วัฒนาวิทยาลัย รร.จิตรลดา รร.วัดราชาธิวาส รร.สตรีวัดระฆัง รร.ทวีธาภิเษก รร.ปทุมคงคา รร.วัดสุทธิวราราม ฯลฯ ม.ล.ปนัดดา กล่าวในตอนหนึ่งว่า ลูกหลานมาจากมากมายหลายโรงเรียนแทบทุกจังหวัด ครูอาจารย์ของเราทุกคนเล่ามาว่า ในอดีตประเทศไทยได้รับการกล่าวขานอย่างกว้างขวางถึงความเป็นธรรมาภิบาลประเทศ หรือประเทศไทยคุณธรรม แบบอย่างให้กับนานาประชาคมซึ่งหมายถึง คุณงามความดีที่มีอยู่ในใจของคนไทยทุกคน ผู้คนต่างยึดมั่นหลักคุณธรรมจรรยา ปู่ย่าตายายของคนไทยอบรมสั่งสอนเรามาว่า คนไทยมีเอกลักษณ์ประจําชาติ คือ การมีจิตใจโอบอ้อมอารี มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความซื่อตรง อ่อนน้อมถ่อมตน และจงรักภักดี จึงไม่เบียดเบียนใคร ไม่คิดทําร้ายใคร คนที่มีคุณธรรม จะรักความยุติธรรมและมีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่นเสมอ ส่วนผู้ที่กลั่นแกล้งให้ร้ายป้ายสีคนอื่น อิจฉาตาร้อนผู้อื่น เอารัดเอาเปรียบ ทุจริตโกงกิน ย่อมถือเป็นคนไม่มีคุณธรรมจะแพ้ภัยตนเอง ซึ่งจะได้แก่ผู้ที่มีความโลภโมโทสัน อิจฉาริษยา ผู้ไม่เคารพกฎหมาย ปราศจากความละอายต่อบาป ผู้อวดรู้อวดดี สําคัญตนว่าเก่งแต่โกง เนรคุณต่อผู้มีพระคุณ ลูกหลานเยาวชนทุกคนจึงมีภาระหน้าที่ต้องช่วยกันฟื้นฟูเอกลักษณ์ของชาติไทยว่าด้วยความเป็นสังคมและครอบครัวคุณธรรม มีความเป็นอารยะสังคม มองหา 'ไอดอล' ประจําใจซึ่งได้แก่คุณพ่อคุณแม่ ครูอาจารย์ เพื่อร่วมกันเสริมสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นแก่ประเทศชาติ เป็นกําลังใจซึ่งกันและกัน โดยมีบุพการี ครูอาจารย์ เป็นแบบอย่างแก่ลูกและศิษย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นต้นแบบที่ยั่งยืนแก่เราทุกคน สังคมมีความรู้-รัก-สามัคคี มีความกล้าหาญทางจริยธรรม และมีความเสียสละ ยึดถือหลักความเป็นสุภาพชนและความซื่อสัตย์สุจริตในการครองตน ครองคน และครองงาน ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสืบไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2982
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด คิดค้นนวัตกรรมช่วยลดฟันผุในเด็กเล็ก อบรมอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยติดเตียง
วันพุธที่ 13 กันยายน 2560 คลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด คิดค้นนวัตกรรมช่วยลดฟันผุในเด็กเล็ก อบรมอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยติดเตียง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยคลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด นนทบุรี คิดค้นนวัตกรรมแอปพลิเคชันให้ความรู้การดูแลฟันในเด็กเล็ก ผู้ใช้งานส่วนใหญ่พอใจ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยคลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด นนทบุรี คิดค้นนวัตกรรมแอปพลิเคชันให้ความรู้การดูแลฟันในเด็กเล็ก ผู้ใช้งานส่วนใหญ่พอใจ ร้อยละ 61 และสนับสนุนเครือข่ายมีส่วนร่วมตามแนวทางประชารัฐ จัดอบรมอาสมัครดูแลผู้สูงอายุฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยติดเตียง ตามแนวคิด “บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยเทคโนโลยี” วันนี้ (13 กันยายน 2560) นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีเปิด คลินิกหมอครอบครัว(Primary Care Cluster : PCC) ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตําบลบางคูรัด อําเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี โดยมีผู้นําท้องถิ่น ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครสาธารณสุขและประชาชนในพื้นที่ร่วมพิธี และให้สัมภาษณ์ว่า คลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่าย องค์กรภาครัฐและเอกชน ระดมสรรพกําลังในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ โดยจัดให้มีทีมหมอครอบครัวจากทุกภาคส่วน ร่วมกันดําเนินงานบูรณาการในรูปแบบประชารัฐ ในการส่งเสริม สนับสนุน ดูแล ช่วยเหลือ ให้คําปรึกษาประชาชนดุจญาติมิตร มีทีมหมอครอบครัวทั้งสิ้น จํานวน 3 ทีม ใน 1 ทีมประกอบด้วย กลุ่มวิชาชีพต่างๆ คือ แพทย์ ทันตแพทย์ ทันตาภิบาล เภสัชกร เจ้าพนักงานเภสัชกรรม พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข เจ้าพนักงานสาธารณสุข นักกายภาพบําบัด และแพทย์แผนไทย ที่ผ่านมาคลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด ได้เริ่มดําเนินงานดูแลผู้สูงอายุระยะยาวตั้งแต่ปี 2559 โดยจัดทําโครงการอบรมอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ ทําให้พื้นที่มีหมอครอบครัวและอาสาสมัครคอยดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดที่นอนติดเตียง 8 เดือน หลังจากได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ ผู้ป่วยสามารถยืน เดินโดยใช้ walker และนั่งรถเข็นไปทํางานได้ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง กล้ามเนื้อซีกขวาอ่อนแรง หลังจากได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ ผู้ป่วยสามารถยืน เดินโดยใช้ walker ได้ นอกจากนั้น ยังจัดระบบบริการด้านการส่งเสริมป้องกันทันตสุขภาพทุกกลุ่มวัย เช่น กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ คลินิกเด็กดี กลุ่มก่อนวัยเรียน และกลุ่มวัยเรียน เนื่องจากในพื้นที่อําเภอบางบัวทอง มีอัตราการเกิดฟันผุในเด็กเล็กค่อนข้างสูง คิดเป็นร้อยละ 52 จึงมีการผลิตคิดค้นนวัตกรรมแอปพลิเคชันให้ความรู้การดูแลฟันในเด็กเล็ก ผู้ใช้งานส่วนใหญ่พอใจในการใช้งานแอปพลิเคชันมาก ร้อยละ 61 คลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด เป็นอีกหนึ่งสถานบริการของกระทรวงสาธารณสุขที่มีผลงานเด่น เน้นปฏิรูปการให้บริการในระดับปฐมภูมิที่เชื่อมระหว่างชุมชนและการบริการในโรงพยาบาลอย่างไร้รอยต่อ อาศัยการมีส่วนร่วมตามแนวทางประชารัฐ ที่ภาครัฐ ประชาสังคมและเอกชน ร่วมกันบริหารจัดการระบบสุขภาพระดับพื้นที่ มีการนําภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านแพทย์แผนไทยบูรณาการในการบริการสุขภาพทุกระดับ มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวดูแลประชาชน เสมือนเป็นเพื่อนสนิทหรือญาติของครอบครัว เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จําเป็นได้สะดวก รวดเร็ว ไม่แออัดในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยในระยะเวลา 10 ปี กระทรวงสาธารณสุขมีเป้าหมายมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหวิชาชีพ 6,500 ทีม ดูแลประชาชนครอบคลุมทั่วประเทศ ตามแนวคิด “บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยเทคโนโลยี”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด คิดค้นนวัตกรรมช่วยลดฟันผุในเด็กเล็ก อบรมอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยติดเตียง วันพุธที่ 13 กันยายน 2560 คลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด คิดค้นนวัตกรรมช่วยลดฟันผุในเด็กเล็ก อบรมอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยติดเตียง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยคลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด นนทบุรี คิดค้นนวัตกรรมแอปพลิเคชันให้ความรู้การดูแลฟันในเด็กเล็ก ผู้ใช้งานส่วนใหญ่พอใจ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยคลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด นนทบุรี คิดค้นนวัตกรรมแอปพลิเคชันให้ความรู้การดูแลฟันในเด็กเล็ก ผู้ใช้งานส่วนใหญ่พอใจ ร้อยละ 61 และสนับสนุนเครือข่ายมีส่วนร่วมตามแนวทางประชารัฐ จัดอบรมอาสมัครดูแลผู้สูงอายุฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยติดเตียง ตามแนวคิด “บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยเทคโนโลยี” วันนี้ (13 กันยายน 2560) นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีเปิด คลินิกหมอครอบครัว(Primary Care Cluster : PCC) ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตําบลบางคูรัด อําเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี โดยมีผู้นําท้องถิ่น ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครสาธารณสุขและประชาชนในพื้นที่ร่วมพิธี และให้สัมภาษณ์ว่า คลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่าย องค์กรภาครัฐและเอกชน ระดมสรรพกําลังในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ โดยจัดให้มีทีมหมอครอบครัวจากทุกภาคส่วน ร่วมกันดําเนินงานบูรณาการในรูปแบบประชารัฐ ในการส่งเสริม สนับสนุน ดูแล ช่วยเหลือ ให้คําปรึกษาประชาชนดุจญาติมิตร มีทีมหมอครอบครัวทั้งสิ้น จํานวน 3 ทีม ใน 1 ทีมประกอบด้วย กลุ่มวิชาชีพต่างๆ คือ แพทย์ ทันตแพทย์ ทันตาภิบาล เภสัชกร เจ้าพนักงานเภสัชกรรม พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข เจ้าพนักงานสาธารณสุข นักกายภาพบําบัด และแพทย์แผนไทย ที่ผ่านมาคลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด ได้เริ่มดําเนินงานดูแลผู้สูงอายุระยะยาวตั้งแต่ปี 2559 โดยจัดทําโครงการอบรมอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ ทําให้พื้นที่มีหมอครอบครัวและอาสาสมัครคอยดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดที่นอนติดเตียง 8 เดือน หลังจากได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ ผู้ป่วยสามารถยืน เดินโดยใช้ walker และนั่งรถเข็นไปทํางานได้ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง กล้ามเนื้อซีกขวาอ่อนแรง หลังจากได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ ผู้ป่วยสามารถยืน เดินโดยใช้ walker ได้ นอกจากนั้น ยังจัดระบบบริการด้านการส่งเสริมป้องกันทันตสุขภาพทุกกลุ่มวัย เช่น กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ คลินิกเด็กดี กลุ่มก่อนวัยเรียน และกลุ่มวัยเรียน เนื่องจากในพื้นที่อําเภอบางบัวทอง มีอัตราการเกิดฟันผุในเด็กเล็กค่อนข้างสูง คิดเป็นร้อยละ 52 จึงมีการผลิตคิดค้นนวัตกรรมแอปพลิเคชันให้ความรู้การดูแลฟันในเด็กเล็ก ผู้ใช้งานส่วนใหญ่พอใจในการใช้งานแอปพลิเคชันมาก ร้อยละ 61 คลินิกหมอครอบครัวบางคูรัด เป็นอีกหนึ่งสถานบริการของกระทรวงสาธารณสุขที่มีผลงานเด่น เน้นปฏิรูปการให้บริการในระดับปฐมภูมิที่เชื่อมระหว่างชุมชนและการบริการในโรงพยาบาลอย่างไร้รอยต่อ อาศัยการมีส่วนร่วมตามแนวทางประชารัฐ ที่ภาครัฐ ประชาสังคมและเอกชน ร่วมกันบริหารจัดการระบบสุขภาพระดับพื้นที่ มีการนําภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านแพทย์แผนไทยบูรณาการในการบริการสุขภาพทุกระดับ มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวดูแลประชาชน เสมือนเป็นเพื่อนสนิทหรือญาติของครอบครัว เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จําเป็นได้สะดวก รวดเร็ว ไม่แออัดในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยในระยะเวลา 10 ปี กระทรวงสาธารณสุขมีเป้าหมายมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหวิชาชีพ 6,500 ทีม ดูแลประชาชนครอบคลุมทั่วประเทศ ตามแนวคิด “บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยเทคโนโลยี”
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6651
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจยุค 4.0 วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2562) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาลพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 สรุปสาระสําคัญดังนี้ คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับทราบความคืบหน้าการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (USO)การจัดระเบียบสายสื่อสารและนําสายสื่อสารลงใต้ดินปี 2561 และแผนการจัดระเบียบสายสื่อสารและนําสายสื่อสารลงใต้ดินปี 2562 รวมทั้งความคืบหน้าในการประชุมเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน (ASEAN Smart Cities Network : ASCN) โอกาสนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการจัดระบบข้อมูลตัวชี้วัดเพื่อสนับสนุนการวัดสถานะการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ในการบรรลุเป้าหมายดิจิทัลไทยแลนด์ ดังนี้ 1. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน2. สร้างโอกาสทางสังคมอย่างเท่าเทียม3. พัฒนาทุนมนุษย์สู่ยุคดิจิทัล เตรียมความพร้อมให้บุคลากร และ 4. ปฏิรูปกระบวนทัศน์การทํางานและการให้บริการของภาครัฐ พร้อมเห็นชอบแผนงานการขับเคลื่อน (Quick Win) เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศ ในส่วนของการติดตามและวิเคราะห์สถานะการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ จะมีการกําหนดกลไกและเครือข่ายในการติดตาม จัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลด้านการพัฒนาดิจิทัลของประเทศ รวมทั้งผลักดันแผนงานการขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีภารกิจเกี่ยวข้อง อาทิ โครงการแผนงานการขับเคลื่อน (Quick Win) ที่จะช่วยยกอันดับดัชนีและตัวชี้วัดที่อันจะส่งผลต่อการยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศ ซึ่งเป็นบทบาทสําคัญของกระทรวงฯ ในการพาประเทศไทยก้าวสู่เวทีโลกต่อไป ซึ่งในรอบปี 2561 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับดีขึ้นจากดัชนีระดับโลกของหลายสถาบัน ได้แก่ ดัชนี Global Competitiveness 4.0 ของ World Economic Forum (WEF) ความสามารถในการแข่งขันยุค 4.0 ซึ่งสะท้อนภาพการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล อยู่ในอันดับที่ 38 จาก 140 ประเทศ (ขยับขึ้น 2 อันดับจากปี 2560) โดยในกลุ่มตัวชี้วัดพลวัตทางธุรกิจ (Business Dynamism) อยู่ในอันดับที่ 27 จาก 140 ประเทศ (ขยับขึ้น 8 อันดับจากปี 2560) ดัชนี World Digital Competitiveness ของ IMD มีผลการจัดอันดับในภาพรวม อยู่ในอันดับที่ 39 จาก 63 ประเทศ (ขยับขึ้น 2 อันดับจากปี 2560) โดยกลุ่มตัวชี้วัดด้านกรอบการพัฒนาทางเทคโนโลยี (Technological Framework) อยู่ในอันดับที่ 23 จาก 63 ประเทศ (ขยับขึ้น 7 อันดับจากปี 2560) ดัชนี e-Government Development ของ UN มีผลการจัดอันดับในภาพรวม อยู่ในอันดับที่ 73 จาก 193 ประเทศ (ขยับขึ้น 4 อันดับจากปี 2559) โดยในดัชนีย่อยด้าน Online Service ภายใต้ดัชนี e-Government Development และดัชนี e-Participation ประเทศไทยได้รับจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาในระดับสูง ดัชนี Global Cybersecurity Index จัดทําโดย ITU ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ จากการจัดอันดับครั้งล่าสุดในปี 2560 อยู่ในอันดับที่ 22 จาก 193 ประเทศ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับดีมาก ที่ประชุมยังมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดหาคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud Service: GDCC)ตามแนวทางการดําเนินงานและกรอบงบประมาณต่อเนื่อง 3 ปี (พ.ศ. 2563– 2565) โดยให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีอํานาจหน้าที่และความพร้อมเป็นผู้ดําเนินการผู้จัดทําคลาวด์กลางภาครัฐ เช่น บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) หรือ บริษัท กสท. โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน)โดยจะได้มีการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งบูรณาการด้านการรับส่งข้อมูลข่าวสารให้แล้วเสร็จตามแผนงาน เพื่อสู่ความเป็นรัฐบาลดิจิทัลตามนโยบายที่รัฐบาลได้กําหนดไว้ ........................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจยุค 4.0 วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2562) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาลพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 สรุปสาระสําคัญดังนี้ คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับทราบความคืบหน้าการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (USO)การจัดระเบียบสายสื่อสารและนําสายสื่อสารลงใต้ดินปี 2561 และแผนการจัดระเบียบสายสื่อสารและนําสายสื่อสารลงใต้ดินปี 2562 รวมทั้งความคืบหน้าในการประชุมเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน (ASEAN Smart Cities Network : ASCN) โอกาสนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการจัดระบบข้อมูลตัวชี้วัดเพื่อสนับสนุนการวัดสถานะการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ในการบรรลุเป้าหมายดิจิทัลไทยแลนด์ ดังนี้ 1. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน2. สร้างโอกาสทางสังคมอย่างเท่าเทียม3. พัฒนาทุนมนุษย์สู่ยุคดิจิทัล เตรียมความพร้อมให้บุคลากร และ 4. ปฏิรูปกระบวนทัศน์การทํางานและการให้บริการของภาครัฐ พร้อมเห็นชอบแผนงานการขับเคลื่อน (Quick Win) เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศ ในส่วนของการติดตามและวิเคราะห์สถานะการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ จะมีการกําหนดกลไกและเครือข่ายในการติดตาม จัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลด้านการพัฒนาดิจิทัลของประเทศ รวมทั้งผลักดันแผนงานการขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีภารกิจเกี่ยวข้อง อาทิ โครงการแผนงานการขับเคลื่อน (Quick Win) ที่จะช่วยยกอันดับดัชนีและตัวชี้วัดที่อันจะส่งผลต่อการยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศ ซึ่งเป็นบทบาทสําคัญของกระทรวงฯ ในการพาประเทศไทยก้าวสู่เวทีโลกต่อไป ซึ่งในรอบปี 2561 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับดีขึ้นจากดัชนีระดับโลกของหลายสถาบัน ได้แก่ ดัชนี Global Competitiveness 4.0 ของ World Economic Forum (WEF) ความสามารถในการแข่งขันยุค 4.0 ซึ่งสะท้อนภาพการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล อยู่ในอันดับที่ 38 จาก 140 ประเทศ (ขยับขึ้น 2 อันดับจากปี 2560) โดยในกลุ่มตัวชี้วัดพลวัตทางธุรกิจ (Business Dynamism) อยู่ในอันดับที่ 27 จาก 140 ประเทศ (ขยับขึ้น 8 อันดับจากปี 2560) ดัชนี World Digital Competitiveness ของ IMD มีผลการจัดอันดับในภาพรวม อยู่ในอันดับที่ 39 จาก 63 ประเทศ (ขยับขึ้น 2 อันดับจากปี 2560) โดยกลุ่มตัวชี้วัดด้านกรอบการพัฒนาทางเทคโนโลยี (Technological Framework) อยู่ในอันดับที่ 23 จาก 63 ประเทศ (ขยับขึ้น 7 อันดับจากปี 2560) ดัชนี e-Government Development ของ UN มีผลการจัดอันดับในภาพรวม อยู่ในอันดับที่ 73 จาก 193 ประเทศ (ขยับขึ้น 4 อันดับจากปี 2559) โดยในดัชนีย่อยด้าน Online Service ภายใต้ดัชนี e-Government Development และดัชนี e-Participation ประเทศไทยได้รับจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาในระดับสูง ดัชนี Global Cybersecurity Index จัดทําโดย ITU ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ จากการจัดอันดับครั้งล่าสุดในปี 2560 อยู่ในอันดับที่ 22 จาก 193 ประเทศ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับดีมาก ที่ประชุมยังมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดหาคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud Service: GDCC)ตามแนวทางการดําเนินงานและกรอบงบประมาณต่อเนื่อง 3 ปี (พ.ศ. 2563– 2565) โดยให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีอํานาจหน้าที่และความพร้อมเป็นผู้ดําเนินการผู้จัดทําคลาวด์กลางภาครัฐ เช่น บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) หรือ บริษัท กสท. โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน)โดยจะได้มีการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งบูรณาการด้านการรับส่งข้อมูลข่าวสารให้แล้วเสร็จตามแผนงาน เพื่อสู่ความเป็นรัฐบาลดิจิทัลตามนโยบายที่รัฐบาลได้กําหนดไว้ ........................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18828
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอจัดสัมมนาใหญ่นักลงทุนเกาหลี ชูแพ็กเกจใหม่อีอีซี ตอกย้ำความเชื่อมั่น
วันพุธที่ 15 มกราคม 2563 บีโอไอจัดสัมมนาใหญ่นักลงทุนเกาหลี ชูแพ็กเกจใหม่อีอีซี ตอกย้ําความเชื่อมั่น บีโอไอจัดสัมมนาใหญ่นักลงทุนเกาหลี ชูแพ็กเกจใหม่อีอีซี ตอกย้ําความเชื่อมั่น บีโอไอจัดสัมมนาใหญ่นักลงทุนเกาหลี ชูแพ็กเกจใหม่อีอีซี ตอกย้ําความเชื่อมั่น บีโอไอกําหนดจัดสัมมนาใหญ่สําหรับบริษัทเกาหลีที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทยกว่า 200 ราย เน้นนําเสนอมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอีอีซีชุดใหม่และชี้โอกาสขยายการลงทุน พร้อมอัพเดตความคืบหน้าอีอีซีและกฎระเบียบภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะด้านแรงงานและศุลกากร นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในวันพุธที่ 22 มกราคม 2563 ที่จะถึงนี้ บีโอไอ ร่วมกับสํานักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (KOTRA) และหอการค้าเกาหลี-ไทย (KTCC) จะจัดสัมมนาการลงทุนสําหรับผู้ประกอบการเกาหลีในประเทศไทย ณ โรงแรมเคป ดารา รีสอร์ท พัทยา จังหวัดชลบุรี เพื่อนําเสนอโอกาสขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ และสิทธิประโยชน์พิเศษสําหรับการลงทุนในพื้นที่อีอีซีชุดใหม่ที่เพิ่งได้รับความเห็นชอบจากบอร์ดบีโอไอเมื่อปลายปี 2562 พร้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กรมศุลกากร กรมการจัดหางาน และสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง นําเสนอความคืบหน้าล่าสุดของโครงการอีอีซี และกฎระเบียบภาครัฐที่ผู้ประกอบการเกาหลีควรทราบ เช่น กฎระเบียบและการอํานวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทํางานของต่างชาติผ่านระบบ Single Window กฎหมายแรงงาน พิธีการศุลกากรในการนําเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบและการส่งออกสินค้า เป็นต้น รวมทั้งเปิดคลินิกให้คําปรึกษาเฉพาะราย โดยคาดว่าจะมีผู้บริหารจากบริษัทเกาหลีที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออก และสมาชิกหอการค้าเกาหลีเข้าร่วมกว่า 200 ราย “การจัดสัมมนาครั้งนี้ นับเป็นกิจกรรมใหญ่ต่อเนื่องจากการเยือนประเทศไทยของประธานาธิบดีมุน แจ-อิน และคณะนักธุรกิจเกาหลีกว่า 100 บริษัท เมื่อเดือนกันยายน 2562 และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้นําคณะเยือนเกาหลีใต้เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งบีโอไอหวังว่าการจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงช่วยสร้างความรู้ ความเข้าใจในกฎระเบียบและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่จะช่วยตอกย้ําให้นักลงทุนเกาหลี เกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพและตัดสินใจขยายการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซีอย่างต่อเนื่อง” นายนฤตม์ กล่าว ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2558 – 2562 มีโครงการลงทุนจากเกาหลีใต้ยื่นขอรับการส่งเสริม จํานวน 140 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 19,840 ล้านบาท โดยร้อยละ 77 เป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี 3 จังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ แปรรูปอาหาร และดิจิทัล **************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอจัดสัมมนาใหญ่นักลงทุนเกาหลี ชูแพ็กเกจใหม่อีอีซี ตอกย้ำความเชื่อมั่น วันพุธที่ 15 มกราคม 2563 บีโอไอจัดสัมมนาใหญ่นักลงทุนเกาหลี ชูแพ็กเกจใหม่อีอีซี ตอกย้ําความเชื่อมั่น บีโอไอจัดสัมมนาใหญ่นักลงทุนเกาหลี ชูแพ็กเกจใหม่อีอีซี ตอกย้ําความเชื่อมั่น บีโอไอจัดสัมมนาใหญ่นักลงทุนเกาหลี ชูแพ็กเกจใหม่อีอีซี ตอกย้ําความเชื่อมั่น บีโอไอกําหนดจัดสัมมนาใหญ่สําหรับบริษัทเกาหลีที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทยกว่า 200 ราย เน้นนําเสนอมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอีอีซีชุดใหม่และชี้โอกาสขยายการลงทุน พร้อมอัพเดตความคืบหน้าอีอีซีและกฎระเบียบภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะด้านแรงงานและศุลกากร นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในวันพุธที่ 22 มกราคม 2563 ที่จะถึงนี้ บีโอไอ ร่วมกับสํานักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (KOTRA) และหอการค้าเกาหลี-ไทย (KTCC) จะจัดสัมมนาการลงทุนสําหรับผู้ประกอบการเกาหลีในประเทศไทย ณ โรงแรมเคป ดารา รีสอร์ท พัทยา จังหวัดชลบุรี เพื่อนําเสนอโอกาสขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ และสิทธิประโยชน์พิเศษสําหรับการลงทุนในพื้นที่อีอีซีชุดใหม่ที่เพิ่งได้รับความเห็นชอบจากบอร์ดบีโอไอเมื่อปลายปี 2562 พร้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กรมศุลกากร กรมการจัดหางาน และสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง นําเสนอความคืบหน้าล่าสุดของโครงการอีอีซี และกฎระเบียบภาครัฐที่ผู้ประกอบการเกาหลีควรทราบ เช่น กฎระเบียบและการอํานวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทํางานของต่างชาติผ่านระบบ Single Window กฎหมายแรงงาน พิธีการศุลกากรในการนําเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบและการส่งออกสินค้า เป็นต้น รวมทั้งเปิดคลินิกให้คําปรึกษาเฉพาะราย โดยคาดว่าจะมีผู้บริหารจากบริษัทเกาหลีที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออก และสมาชิกหอการค้าเกาหลีเข้าร่วมกว่า 200 ราย “การจัดสัมมนาครั้งนี้ นับเป็นกิจกรรมใหญ่ต่อเนื่องจากการเยือนประเทศไทยของประธานาธิบดีมุน แจ-อิน และคณะนักธุรกิจเกาหลีกว่า 100 บริษัท เมื่อเดือนกันยายน 2562 และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้นําคณะเยือนเกาหลีใต้เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งบีโอไอหวังว่าการจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงช่วยสร้างความรู้ ความเข้าใจในกฎระเบียบและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่จะช่วยตอกย้ําให้นักลงทุนเกาหลี เกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพและตัดสินใจขยายการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซีอย่างต่อเนื่อง” นายนฤตม์ กล่าว ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2558 – 2562 มีโครงการลงทุนจากเกาหลีใต้ยื่นขอรับการส่งเสริม จํานวน 140 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 19,840 ล้านบาท โดยร้อยละ 77 เป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี 3 จังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ แปรรูปอาหาร และดิจิทัล **************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25803
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” รับเรื่องจากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากหนี้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ
วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2560 “ยุติธรรม” รับเรื่องจากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากหนี้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกู้ยืมเงินเจ้าหนี้นอกระบบรายใหญ่ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เมื่อวันศุกร์ที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกู้ยืมเงินเจ้าหนี้นอกระบบรายใหญ่ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เพื่อขอความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรมในการจัดหาทนายความต่อสู้คดี ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมจะพิจารณาแนวทางให้ความช่วยเหลือต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” รับเรื่องจากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากหนี้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2560 “ยุติธรรม” รับเรื่องจากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากหนี้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกู้ยืมเงินเจ้าหนี้นอกระบบรายใหญ่ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เมื่อวันศุกร์ที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกู้ยืมเงินเจ้าหนี้นอกระบบรายใหญ่ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เพื่อขอความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรมในการจัดหาทนายความต่อสู้คดี ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมจะพิจารณาแนวทางให้ความช่วยเหลือต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6540
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. จัดทำบัตรอวยพรออนไลน์ส่งความรัก ความห่วงใย สงกรานต์ ๒๕๖๓ เน้น ๔ รูปแบบ เด็ก-เยาวชน-วัยทำงาน-ผู้ใหญ่ ห่างไกลไวรัสโควิด-19
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 วธ. จัดทําบัตรอวยพรออนไลน์ส่งความรัก ความห่วงใย สงกรานต์ ๒๕๖๓ เน้น ๔ รูปแบบ เด็ก-เยาวชน-วัยทํางาน-ผู้ใหญ่ ห่างไกลไวรัสโควิด-19 วธ. จัดทําบัตรอวยพรออนไลน์ส่งความรัก ความห่วงใย สงกรานต์ ๒๕๖๓ เน้น ๔ รูปแบบ เด็ก-เยาวชน-วัยทํางาน-ผู้ใหญ่ ห่างไกลไวรัสโควิด-19 วธ. จัดทําบัตรอวยพรออนไลน์ส่งความรัก ความห่วงใย สงกรานต์ ๒๕๖๓ เน้น ๔ รูปแบบ เด็ก-เยาวชน-วัยทํางาน-ผู้ใหญ่ ห่างไกลไวรัสโควิด-19 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) รัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนงดการเดินทาง เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และรณรงค์ให้ประชาชน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) รวมทั้งกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ออกประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ โดยงดเว้นการเดินทางกลับภูมิลําเนา และแสดงความกตัญญู และขอพรต่อพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลกัน ผ่านช่องทางโทรศัพท์หรือสื่อออนไลน์ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) นายอิทธิพล กล่าวว่า ดังนั้น เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมเทศกาลประเพณีสงกรานต์ที่มีมาอย่างยาวนานให้คงอยู่ รวมทั้งเพื่อเชื่อมความรัก ความผูกพันระหว่างครอบครัว และญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลให้กระชับแน่นแฟ้น อบอุ่น เหมือนเช่นเดิมที่เคยปฏิบัติมาในช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ กระทรวงวัฒนธรรมจึงจัดทําบัตรอวยพรสงกรานต์ออนไลน์ หรือ E-card เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนในการส่งความสุข ความห่วงใย ให้ห่างไกลโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยจัดทํา ๔ รูปแบบ ประกอบด้วย ๑.บัตรอวยพรออนไลน์สําหรับเด็ก จัดทํารูปแบบภายใต้แนวคิด การ์ตูน ๓ มิติ รูปยักษ์ สอดแทรกแนวคิดตามสถานการณ์ปัจจุบัน คือ อยู่บ้าน สวมหน้ากากอนามัย และใช้เจลแอลกอฮอล์ ๒.บัตรอวยพรออนไลน์สําหรับเยาวชน จัดทํารูปแบบภายใต้แนวคิด อยู่บ้านศึกษาหาความรู้ทางออนไลน์ และใช้เวลาว่างในการเล่นดนตรี เพื่อความผ่อนคลาย และยังสอดแทรกแนวคิดตามสถานการณ์ปัจจุบัน คือ สวมหน้ากากอนามัย และใช้เจลแอลกอฮอล์ ในการทําความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ ๓.บัตรอวยพรออนไลน์สําหรับวัยทํางาน จัดทํารูปแบบภายใต้แนวคิด เน้นการใช้ชีวิตอยู่บ้าน ทํางานที่บ้าน หรือ Work from home ใช้ความคิดสร้างสรรค์งานในมุมที่ชอบ และผ่อนคลายในวันสงกรานต์ หรือทํากิจกรรมวันหยุดด้วยการทําความสะอาดบ้าน ปลูกต้นไม้ และส่งความรักความห่วงใยผ่านโทรศัพท์และช่องทางออนไลน์ และ๔.บัตรอวยพรออนไลน์สําหรับผู้ใหญ่หรือผู้ที่เคารพนับถือ จัดทํารูปแบบภายใต้แนวคิด การสรงน้ําพระพุทธรูปและไหว้ขอพรพ่อ แม่ และญาติผู้ใหญ่ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถส่งความรัก ความห่วงใย และขอพรญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลในช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ผ่านบัตรอวยพรออนไลน์ของกระทรวงวัฒนธรรม ได้ที่ https://ecard.m-culture.go.th หรือ QR code สอบถามสายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ -----------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. จัดทำบัตรอวยพรออนไลน์ส่งความรัก ความห่วงใย สงกรานต์ ๒๕๖๓ เน้น ๔ รูปแบบ เด็ก-เยาวชน-วัยทำงาน-ผู้ใหญ่ ห่างไกลไวรัสโควิด-19 วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 วธ. จัดทําบัตรอวยพรออนไลน์ส่งความรัก ความห่วงใย สงกรานต์ ๒๕๖๓ เน้น ๔ รูปแบบ เด็ก-เยาวชน-วัยทํางาน-ผู้ใหญ่ ห่างไกลไวรัสโควิด-19 วธ. จัดทําบัตรอวยพรออนไลน์ส่งความรัก ความห่วงใย สงกรานต์ ๒๕๖๓ เน้น ๔ รูปแบบ เด็ก-เยาวชน-วัยทํางาน-ผู้ใหญ่ ห่างไกลไวรัสโควิด-19 วธ. จัดทําบัตรอวยพรออนไลน์ส่งความรัก ความห่วงใย สงกรานต์ ๒๕๖๓ เน้น ๔ รูปแบบ เด็ก-เยาวชน-วัยทํางาน-ผู้ใหญ่ ห่างไกลไวรัสโควิด-19 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) รัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนงดการเดินทาง เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และรณรงค์ให้ประชาชน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) รวมทั้งกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ออกประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ โดยงดเว้นการเดินทางกลับภูมิลําเนา และแสดงความกตัญญู และขอพรต่อพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลกัน ผ่านช่องทางโทรศัพท์หรือสื่อออนไลน์ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) นายอิทธิพล กล่าวว่า ดังนั้น เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมเทศกาลประเพณีสงกรานต์ที่มีมาอย่างยาวนานให้คงอยู่ รวมทั้งเพื่อเชื่อมความรัก ความผูกพันระหว่างครอบครัว และญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลให้กระชับแน่นแฟ้น อบอุ่น เหมือนเช่นเดิมที่เคยปฏิบัติมาในช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ กระทรวงวัฒนธรรมจึงจัดทําบัตรอวยพรสงกรานต์ออนไลน์ หรือ E-card เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนในการส่งความสุข ความห่วงใย ให้ห่างไกลโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยจัดทํา ๔ รูปแบบ ประกอบด้วย ๑.บัตรอวยพรออนไลน์สําหรับเด็ก จัดทํารูปแบบภายใต้แนวคิด การ์ตูน ๓ มิติ รูปยักษ์ สอดแทรกแนวคิดตามสถานการณ์ปัจจุบัน คือ อยู่บ้าน สวมหน้ากากอนามัย และใช้เจลแอลกอฮอล์ ๒.บัตรอวยพรออนไลน์สําหรับเยาวชน จัดทํารูปแบบภายใต้แนวคิด อยู่บ้านศึกษาหาความรู้ทางออนไลน์ และใช้เวลาว่างในการเล่นดนตรี เพื่อความผ่อนคลาย และยังสอดแทรกแนวคิดตามสถานการณ์ปัจจุบัน คือ สวมหน้ากากอนามัย และใช้เจลแอลกอฮอล์ ในการทําความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ ๓.บัตรอวยพรออนไลน์สําหรับวัยทํางาน จัดทํารูปแบบภายใต้แนวคิด เน้นการใช้ชีวิตอยู่บ้าน ทํางานที่บ้าน หรือ Work from home ใช้ความคิดสร้างสรรค์งานในมุมที่ชอบ และผ่อนคลายในวันสงกรานต์ หรือทํากิจกรรมวันหยุดด้วยการทําความสะอาดบ้าน ปลูกต้นไม้ และส่งความรักความห่วงใยผ่านโทรศัพท์และช่องทางออนไลน์ และ๔.บัตรอวยพรออนไลน์สําหรับผู้ใหญ่หรือผู้ที่เคารพนับถือ จัดทํารูปแบบภายใต้แนวคิด การสรงน้ําพระพุทธรูปและไหว้ขอพรพ่อ แม่ และญาติผู้ใหญ่ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถส่งความรัก ความห่วงใย และขอพรญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลในช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ผ่านบัตรอวยพรออนไลน์ของกระทรวงวัฒนธรรม ได้ที่ https://ecard.m-culture.go.th หรือ QR code สอบถามสายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ -----------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28964
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเห็นชอบจัดตั้งมหาวิทยาลัยศักยภาพสูงใน EECปฏิรูปเศรษฐกิจไทยด้วยนวัตกรรม
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 รัฐบาลเห็นชอบจัดตั้งมหาวิทยาลัยศักยภาพสูงใน EECปฏิรูปเศรษฐกิจไทยด้วยนวัตกรรม เพื่อเป็นหน่วยสนับสนุนวิชาการและพัฒนาบุคลากรในสาขาที่จําเป็นต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งยังไม่มีเปิดสอนในสถาบันการศึกษาในประเทศไทย ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบให้มหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอนจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาจัดการศึกษาร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังในพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ภายใต้ชื่อมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล โดยจะเปิดหลักสูตรร่วมกันในระดับปริญญาโทและเอกในด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ รวมทั้งให้บริการด้านธุรกิจดิจิทัล การแพทย์ พลังงานทางเลือก โลจิสติกส์และขนส่ง หุ่นยนต์สมองกล เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างและพัฒนาบุคลากรของไทยให้คุณภาพมากขึ้น และเป็นกําลังสําคัญในการปฏิรูปเศรษฐกิจไทยด้วยนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนภายใน 5 ปี โดยสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเห็นชอบจัดตั้งมหาวิทยาลัยศักยภาพสูงใน EECปฏิรูปเศรษฐกิจไทยด้วยนวัตกรรม วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 รัฐบาลเห็นชอบจัดตั้งมหาวิทยาลัยศักยภาพสูงใน EECปฏิรูปเศรษฐกิจไทยด้วยนวัตกรรม เพื่อเป็นหน่วยสนับสนุนวิชาการและพัฒนาบุคลากรในสาขาที่จําเป็นต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งยังไม่มีเปิดสอนในสถาบันการศึกษาในประเทศไทย ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบให้มหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอนจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาจัดการศึกษาร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังในพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ภายใต้ชื่อมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล โดยจะเปิดหลักสูตรร่วมกันในระดับปริญญาโทและเอกในด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ รวมทั้งให้บริการด้านธุรกิจดิจิทัล การแพทย์ พลังงานทางเลือก โลจิสติกส์และขนส่ง หุ่นยนต์สมองกล เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างและพัฒนาบุคลากรของไทยให้คุณภาพมากขึ้น และเป็นกําลังสําคัญในการปฏิรูปเศรษฐกิจไทยด้วยนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนภายใน 5 ปี โดยสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9194
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ ยืนยันเยียวยาเกษตรกรรอบแรก 15 พ.ค. เผยส่งข้อมูลทะเบียนเกษตรกรกลุ่มแรกให้ ธ.ก.ส. แล้ว
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563 เกษตรฯ ยืนยันเยียวยาเกษตรกรรอบแรก 15 พ.ค. เผยส่งข้อมูลทะเบียนเกษตรกรกลุ่มแรกให้ ธ.ก.ส. แล้ว เกษตรฯ ยืนยันเยียวยาเกษตรกรรอบแรก 15 พ.ค. เผยส่งข้อมูลทะเบียนเกษตรกรกลุ่มแรกให้ ธ.ก.ส. แล้ว พร้อมตั้งศูนย์อุทธรณ์ร้องทุกข์ให้ความเป็นธรรมเกษตรกรทุกราย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 มีมติเห็นชอบการดําเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งการช่วยเหลือตามโครงการฯ ในครั้งนี้ เป็นการช่วยเหลือ เยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรและครอบครัว ถือว่ามีความจําเป็นเร่งด่วนตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และยังเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ เกษตรกรจะได้รับเงินช่วยเหลือ รายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2563 รวมวงเงินของโครงการ 150,000 ล้านบาท นั้น “ขอรายความก้าวหน้าโครงการดังกล่าว ในส่วนเกษตรกรเป้าหมายกลุ่มแรก จํานวน 8.33 ล้านราย ที่ลงทะเบียนในโครงการฯ และได้รับการตรวจสอบจากกรมบัญชีกลางและสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง (สศค.) ไปแล้วนั้น อยู่ในขั้นตอนการเตรียมจ่ายเงินเยียวยาในวันที่ 15 พ.ค. 63 โดยผ่านกลไกของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ส่วนเกษตรกรในกลุ่มที่ 2 ได้แก่เกษตรกรที่อยู่ระหว่างขึ้นทะเบียนเกษตรกร เป้าหมาย 1.67 ล้านราย ขอให้ไปลงทะเบียนภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 โดยกระทรวงเกษตรฯ จะเร่งดําเนินการให้เกษตรกรทั้ง 2 กลุ่มแรก ได้รับเงินเยียวยาภายในเดือนพฤษภาคมนี้ตามลําดับ อย่างไรก็ตามภายหลังการเปิดรับลงทะเบียนโครงการดังกล่าวมาระยะหนึ่ง ปรากฎว่ามีข้อจํากัดและเงื่อนไขบางประการที่ทําให้เกษตรกรบางราย ไม่สามารถลงทะเบียนและรับสิทธิ์การช่วยเหลือเยียวยาในครั้งนี้ ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ จึงออกมาตรการรองรับเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรเป็นกลุ่มที่ 3 โดยให้เกษตรกรที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ในกลุ่มที่ 1 และ 2 เร่งดําเนินการขึ้นทะเบียน หรือปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกรให้เป็นปัจจุบัน จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เช่นกัน โดยกระทรวงเกษตรฯ จะเร่งดําเนินการช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติมในลําดับต่อไป” นายอลงกรณ์ กล่าว สําหรับกรณีที่พ้นกําหนดลงทะเบียนวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ไปแล้ว ยังมีเกษตรกรที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาจากสาเหตุต่างๆ กระทรวงเกษตรฯ ได้วางแผนเตรียมจัดตั้ง “ศูนย์รับเรื่องอุทธรณ์ โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เพื่อเป็นช่องทางให้คําปรึกษาและให้การช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร โดยรายละเอียดแนวทางการรับอุทธรณ์ รวมทั้งมาตรการรองรับต่างๆ ได้มีการหารือเพื่อหาข้อสรุปในวันนี้ โดยจะประกาศให้พี่น้องเกษตรกรทราบก่อนวันที่ 15 พฤษภาคมนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ ยืนยันเยียวยาเกษตรกรรอบแรก 15 พ.ค. เผยส่งข้อมูลทะเบียนเกษตรกรกลุ่มแรกให้ ธ.ก.ส. แล้ว วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563 เกษตรฯ ยืนยันเยียวยาเกษตรกรรอบแรก 15 พ.ค. เผยส่งข้อมูลทะเบียนเกษตรกรกลุ่มแรกให้ ธ.ก.ส. แล้ว เกษตรฯ ยืนยันเยียวยาเกษตรกรรอบแรก 15 พ.ค. เผยส่งข้อมูลทะเบียนเกษตรกรกลุ่มแรกให้ ธ.ก.ส. แล้ว พร้อมตั้งศูนย์อุทธรณ์ร้องทุกข์ให้ความเป็นธรรมเกษตรกรทุกราย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 มีมติเห็นชอบการดําเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งการช่วยเหลือตามโครงการฯ ในครั้งนี้ เป็นการช่วยเหลือ เยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรและครอบครัว ถือว่ามีความจําเป็นเร่งด่วนตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และยังเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ เกษตรกรจะได้รับเงินช่วยเหลือ รายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2563 รวมวงเงินของโครงการ 150,000 ล้านบาท นั้น “ขอรายความก้าวหน้าโครงการดังกล่าว ในส่วนเกษตรกรเป้าหมายกลุ่มแรก จํานวน 8.33 ล้านราย ที่ลงทะเบียนในโครงการฯ และได้รับการตรวจสอบจากกรมบัญชีกลางและสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง (สศค.) ไปแล้วนั้น อยู่ในขั้นตอนการเตรียมจ่ายเงินเยียวยาในวันที่ 15 พ.ค. 63 โดยผ่านกลไกของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ส่วนเกษตรกรในกลุ่มที่ 2 ได้แก่เกษตรกรที่อยู่ระหว่างขึ้นทะเบียนเกษตรกร เป้าหมาย 1.67 ล้านราย ขอให้ไปลงทะเบียนภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 โดยกระทรวงเกษตรฯ จะเร่งดําเนินการให้เกษตรกรทั้ง 2 กลุ่มแรก ได้รับเงินเยียวยาภายในเดือนพฤษภาคมนี้ตามลําดับ อย่างไรก็ตามภายหลังการเปิดรับลงทะเบียนโครงการดังกล่าวมาระยะหนึ่ง ปรากฎว่ามีข้อจํากัดและเงื่อนไขบางประการที่ทําให้เกษตรกรบางราย ไม่สามารถลงทะเบียนและรับสิทธิ์การช่วยเหลือเยียวยาในครั้งนี้ ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ จึงออกมาตรการรองรับเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรเป็นกลุ่มที่ 3 โดยให้เกษตรกรที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ในกลุ่มที่ 1 และ 2 เร่งดําเนินการขึ้นทะเบียน หรือปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกรให้เป็นปัจจุบัน จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เช่นกัน โดยกระทรวงเกษตรฯ จะเร่งดําเนินการช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติมในลําดับต่อไป” นายอลงกรณ์ กล่าว สําหรับกรณีที่พ้นกําหนดลงทะเบียนวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ไปแล้ว ยังมีเกษตรกรที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาจากสาเหตุต่างๆ กระทรวงเกษตรฯ ได้วางแผนเตรียมจัดตั้ง “ศูนย์รับเรื่องอุทธรณ์ โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เพื่อเป็นช่องทางให้คําปรึกษาและให้การช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร โดยรายละเอียดแนวทางการรับอุทธรณ์ รวมทั้งมาตรการรองรับต่างๆ ได้มีการหารือเพื่อหาข้อสรุปในวันนี้ โดยจะประกาศให้พี่น้องเกษตรกรทราบก่อนวันที่ 15 พฤษภาคมนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30749
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต บูรณาการความร่วมมือดูแลสุขภาพคนวัยทำงาน
วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม 2562 ดร.สาธิต บูรณาการความร่วมมือดูแลสุขภาพคนวัยทํางาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตรียมลงนามความร่วมมือกับ 6 หน่วยงาน บูรณาการความร่วมมือส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคคนวัยทํางานในสถานประกอบการ ในวันที่ 12 กันยายน 2562 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตรียมลงนามความร่วมมือกับ 6 หน่วยงาน บูรณาการความร่วมมือส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคคนวัยทํางานในสถานประกอบการ ในวันที่ 12 กันยายน 2562 บ่ายวันนี้ (8 สิงหาคม 2562) ที่โรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย และผู้แทนกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กรุงเทพมหานคร สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน แถลงข่าวความร่วมมือด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคคนวัยทํางานในสถานประกอบการ และการเตรียมการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกัน ดร.สาธิตกล่าวว่า กลุ่มคนวัยทํางานเป็นประชากรกลุ่มหลักที่จะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้บรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” พัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” สร้างผลผลิตให้ประเทศ สามารถแข่งขันในระบบเศรษฐกิจโลก ปัจจุบันไทยมีประชากรวัยทํางาน อายุ 15 ปีถึง 59 ปี ประมาณ 56 ล้านคน หรือ 2 ใน 3 ของประชากรทั่วประเทศ จึงต้องให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มนี้ในทุกๆ ด้าน ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้คนวัยทํางานได้รับการดูแลที่เหมาะสมทั้งด้านสุขภาพกายและจิต โดยได้เตรียมการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค คนวัยทํางานในสถานประกอบการ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และ 6 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กรุงเทพมหานคร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ในวันที่ 12 กันยายน 2562 เพื่อขับเคลื่อนการบูรณาการดําเนินงานด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ให้คนวัยทํางานมีสุขภาพดี มีความสุข อายุยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดภาระค่าใช้จ่ายทางการแพทย์และสาธารณสุข ด้านพญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัย ได้ร่วมกับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทําโครงการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพวัยทํางานในสถานประกอบการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมี “10 Packages ปลอดภัยดี สุขภาพดี งานดี มีความสุข ในสถานประกอบการ” เป็นคู่มือ Electronic Book ประกอบด้วย ชุดที่ 1 หุ่นดี สุขภาพดี ชุดที่ 2 จิตสดใส ใจเป็นสุข ชุดที่ 3 ครอบครัวสดใส ใส่ใจดูแล ชุดที่ 4 สุดยอดคุณแม่ ชุดที่ 5 เตรียมเกษียณอย่างมีคุณค่า พาชีวายืนยาว ชุดที่ 6 พิชิตออฟฟิศซินโดรม ชุดที่ 7 สถานประกอบการจะก้าวไกล ต้องใส่ใจสุขภาพแรงงานต่างชาติ ชุดที่ 8 สถานประกอบการดี ชีวีสดใสไร้แอลกอฮอล์ บุหรี่ ชุดที่ 9 โรงอาหารปลอดภัยใส่ใจสุขภาพ และชุดที่ 10 สถานประกอบการปลอดภัยสิ่งแวดล้อมดี มีสมดุลชีวิต เพื่อให้หน่วยงาน สถานประกอบการ ใช้เป็นแนวทางนําไปออกแบบกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพคนวัยทํางาน ตามสภาพปัญหาสุขภาพในแต่ละมิติและความต้องการ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นพ.ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ ผู้อํานวยการสํานักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สสส. กล่าวว่า “คนวัยทํางาน ในองค์กร” ถือเป็นบุคคลสําคัญและเป็นกําลังหลักของทั้งครอบครัว องค์กร ชุมชน และสังคม หากมีความสุขในการทํางาน ส่งผลให้ความเครียด อุบัติเหตุ และโรคที่เกิดจากการทํางานลดลง สสส. จัดทําโครงการ Happy Workplace ตั้งแต่ปี 2552 โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างการพัฒนาองค์กรสู่องค์กรสุขภาวะ พัฒนาบุคลากรให้พร้อมทั้งด้านทักษะชีวิตและคุณภาพชีวิต มีความสุขในการทํางาน ในหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนกว่า 10,000 องค์กร ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นทัพสําคัญในการแข่งขันบนเวทีเศรษฐกิจโลก ******** 8 สิงหาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต บูรณาการความร่วมมือดูแลสุขภาพคนวัยทำงาน วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม 2562 ดร.สาธิต บูรณาการความร่วมมือดูแลสุขภาพคนวัยทํางาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตรียมลงนามความร่วมมือกับ 6 หน่วยงาน บูรณาการความร่วมมือส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคคนวัยทํางานในสถานประกอบการ ในวันที่ 12 กันยายน 2562 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตรียมลงนามความร่วมมือกับ 6 หน่วยงาน บูรณาการความร่วมมือส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคคนวัยทํางานในสถานประกอบการ ในวันที่ 12 กันยายน 2562 บ่ายวันนี้ (8 สิงหาคม 2562) ที่โรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย และผู้แทนกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กรุงเทพมหานคร สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน แถลงข่าวความร่วมมือด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคคนวัยทํางานในสถานประกอบการ และการเตรียมการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกัน ดร.สาธิตกล่าวว่า กลุ่มคนวัยทํางานเป็นประชากรกลุ่มหลักที่จะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้บรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” พัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” สร้างผลผลิตให้ประเทศ สามารถแข่งขันในระบบเศรษฐกิจโลก ปัจจุบันไทยมีประชากรวัยทํางาน อายุ 15 ปีถึง 59 ปี ประมาณ 56 ล้านคน หรือ 2 ใน 3 ของประชากรทั่วประเทศ จึงต้องให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มนี้ในทุกๆ ด้าน ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้คนวัยทํางานได้รับการดูแลที่เหมาะสมทั้งด้านสุขภาพกายและจิต โดยได้เตรียมการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค คนวัยทํางานในสถานประกอบการ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และ 6 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กรุงเทพมหานคร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ในวันที่ 12 กันยายน 2562 เพื่อขับเคลื่อนการบูรณาการดําเนินงานด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ให้คนวัยทํางานมีสุขภาพดี มีความสุข อายุยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดภาระค่าใช้จ่ายทางการแพทย์และสาธารณสุข ด้านพญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัย ได้ร่วมกับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทําโครงการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพวัยทํางานในสถานประกอบการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมี “10 Packages ปลอดภัยดี สุขภาพดี งานดี มีความสุข ในสถานประกอบการ” เป็นคู่มือ Electronic Book ประกอบด้วย ชุดที่ 1 หุ่นดี สุขภาพดี ชุดที่ 2 จิตสดใส ใจเป็นสุข ชุดที่ 3 ครอบครัวสดใส ใส่ใจดูแล ชุดที่ 4 สุดยอดคุณแม่ ชุดที่ 5 เตรียมเกษียณอย่างมีคุณค่า พาชีวายืนยาว ชุดที่ 6 พิชิตออฟฟิศซินโดรม ชุดที่ 7 สถานประกอบการจะก้าวไกล ต้องใส่ใจสุขภาพแรงงานต่างชาติ ชุดที่ 8 สถานประกอบการดี ชีวีสดใสไร้แอลกอฮอล์ บุหรี่ ชุดที่ 9 โรงอาหารปลอดภัยใส่ใจสุขภาพ และชุดที่ 10 สถานประกอบการปลอดภัยสิ่งแวดล้อมดี มีสมดุลชีวิต เพื่อให้หน่วยงาน สถานประกอบการ ใช้เป็นแนวทางนําไปออกแบบกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพคนวัยทํางาน ตามสภาพปัญหาสุขภาพในแต่ละมิติและความต้องการ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นพ.ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ ผู้อํานวยการสํานักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สสส. กล่าวว่า “คนวัยทํางาน ในองค์กร” ถือเป็นบุคคลสําคัญและเป็นกําลังหลักของทั้งครอบครัว องค์กร ชุมชน และสังคม หากมีความสุขในการทํางาน ส่งผลให้ความเครียด อุบัติเหตุ และโรคที่เกิดจากการทํางานลดลง สสส. จัดทําโครงการ Happy Workplace ตั้งแต่ปี 2552 โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างการพัฒนาองค์กรสู่องค์กรสุขภาวะ พัฒนาบุคลากรให้พร้อมทั้งด้านทักษะชีวิตและคุณภาพชีวิต มีความสุขในการทํางาน ในหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนกว่า 10,000 องค์กร ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นทัพสําคัญในการแข่งขันบนเวทีเศรษฐกิจโลก ******** 8 สิงหาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22089
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ในหลวงรัชกาลที่ 10 พระราชทานพระราโชวาท เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี 2562
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562 ในหลวงรัชกาลที่ 10 พระราชทานพระราโชวาท เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี 2562 ในหลวงรัชกาลที่ 10 พระราชทานพระราโชวาท เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี 2562 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้กําหนดจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2562โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดทําหนังสือวันเด็กแห่งชาติ ในชื่อ"นอกหน้าต่างบานเล็ก"ซึ่งในการจัดทําหนังสือดังกล่าว ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระราชทานพระราโชวาท เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2562เพื่อเชิญไปลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็กแห่งชาติ ปี2562ความว่า "เด็กทุกคนควรหมั่นศึกษาหาความรู้ และประพฤติตนเป็นคนดี มีระเบียบวินัย เพราะว่า สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยให้แต่ละคนประสบความสุขความเจริญ และความสําเร็จในชีวิตได้ ในวันข้างหน้า" พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต วันที่16ธันวาคมพุทธศักราช 2561 Writtenby Photo Credit Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ในหลวงรัชกาลที่ 10 พระราชทานพระราโชวาท เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี 2562 วันพุธที่ 2 มกราคม 2562 ในหลวงรัชกาลที่ 10 พระราชทานพระราโชวาท เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี 2562 ในหลวงรัชกาลที่ 10 พระราชทานพระราโชวาท เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี 2562 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้กําหนดจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2562โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดทําหนังสือวันเด็กแห่งชาติ ในชื่อ"นอกหน้าต่างบานเล็ก"ซึ่งในการจัดทําหนังสือดังกล่าว ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระราชทานพระราโชวาท เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2562เพื่อเชิญไปลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็กแห่งชาติ ปี2562ความว่า "เด็กทุกคนควรหมั่นศึกษาหาความรู้ และประพฤติตนเป็นคนดี มีระเบียบวินัย เพราะว่า สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยให้แต่ละคนประสบความสุขความเจริญ และความสําเร็จในชีวิตได้ ในวันข้างหน้า" พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต วันที่16ธันวาคมพุทธศักราช 2561 Writtenby Photo Credit Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17860
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ปรับเปลี่ยนเวลาเปิดสาขา ในช่วงโควิดแพร่ระบาด เปิด 9.00 น. ปิด 15.00 น. ตั้งแต่วันที่ 16-30 เม.ย.63
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 ออมสิน ปรับเปลี่ยนเวลาเปิดสาขา ในช่วงโควิดแพร่ระบาด เปิด 9.00 น. ปิด 15.00 น. ตั้งแต่วันที่ 16-30 เม.ย.63 ธนาคารออมสิน แจ้งปรับเปลี่ยนเวลาเปิดให้บริการสาขาเป็นกรณีพิเศษ ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด เฉพาะสาขาที่เปิดบริการ 5 วัน เป็นเวลาเดียวกัน 9.00-15.00 น. ระหว่างวันที่ 16-30 เม.ย.63 ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชน การทําธุรกรรม การปฏิบัติงาน ตลอดจนการดําเนินชีวิตประจําวัน ขณะที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการเยียวยา ช่วยเหลือ รวมทั้งการปรับปรุงการให้บริการและดูแลประชาชนให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดตามสถานการณ์ ซึ่งธนาคารออมสิน มีภารกิจให้บริการทางการเงินตามปกติและในสถานการณ์ปัจจุบันได้ดูแลอํานวยความสะดวกประชาชนให้เข้าถึงบริการทางการเงินตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมีช่องทางการให้บริการต่างๆ เช่น สาขา, แอพพลิเคชั่นส์ MyMo เครื่องให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ อินเตอร์เน็ตแบงกิ้ง เป็นต้น อีกทั้งต้องให้บริการภายใต้มาตรการรักษาความปลอดภัยของการเสี่ยงติดเชื้อด้วย โดยในส่วนของสาขาธนาคารออมสินนั้น ได้ปรับเปลี่ยนเวลาตามความเหมาะสมให้สอดคล้องกับประกาศของรัฐบาล กรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สาขาของธนาคารออมสินที่เปิดให้บริการ 5 วันต่อสัปดาห์นั้น ปัจจุบันมีเวลาเปิด-ปิดให้บริการไม่พร้อมเพรียงกัน ซึ่งเกิดจากปริมาณการทําธุรกรรมและความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ เช่น สาขาในตลาดสด ในพื้นที่ศูนย์ราชการ ย่านการค้า เป็นต้น รวมถึงสาขาที่เพิ่งแจ้งปรับเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิดเพื่อให้เป็นไปตามประกาศของรัฐบาล ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งอาจทําให้ผู้ใช้บริการสับสน ธนาคารออมสินจึงขอปรับเปลี่ยนเปิด-ปิดสาขาที่เปิดให้บริการ 5 วันต่อสัปดาห์เป็นกรณีพิเศษ ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และให้เป็นเวลาเดียวกันทั้งหมด คือ เปิดให้บริการวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 9.00-15.00 น. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16-30 เมษายน 2563 อย่างไรก็ตาม ลูกค้ายังคงสามารถใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบออนไลน์ต่างๆ ของธนาคารฯ ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการของศูนย์อํานวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ได้ขอความร่วมมือให้ยกเว้นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเดินทาง เพื่อใม่ให้การแพร่ระบาดขยายไปในวงกว้างและเป็นการร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมอีกด้วย หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อสอบถามได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน โทร.1115 หรือตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคาร ได้แก่ Website : www.gsb.or.th , Facebook และ Official Line : GSB Society
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ปรับเปลี่ยนเวลาเปิดสาขา ในช่วงโควิดแพร่ระบาด เปิด 9.00 น. ปิด 15.00 น. ตั้งแต่วันที่ 16-30 เม.ย.63 วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 ออมสิน ปรับเปลี่ยนเวลาเปิดสาขา ในช่วงโควิดแพร่ระบาด เปิด 9.00 น. ปิด 15.00 น. ตั้งแต่วันที่ 16-30 เม.ย.63 ธนาคารออมสิน แจ้งปรับเปลี่ยนเวลาเปิดให้บริการสาขาเป็นกรณีพิเศษ ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด เฉพาะสาขาที่เปิดบริการ 5 วัน เป็นเวลาเดียวกัน 9.00-15.00 น. ระหว่างวันที่ 16-30 เม.ย.63 ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชน การทําธุรกรรม การปฏิบัติงาน ตลอดจนการดําเนินชีวิตประจําวัน ขณะที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการเยียวยา ช่วยเหลือ รวมทั้งการปรับปรุงการให้บริการและดูแลประชาชนให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดตามสถานการณ์ ซึ่งธนาคารออมสิน มีภารกิจให้บริการทางการเงินตามปกติและในสถานการณ์ปัจจุบันได้ดูแลอํานวยความสะดวกประชาชนให้เข้าถึงบริการทางการเงินตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมีช่องทางการให้บริการต่างๆ เช่น สาขา, แอพพลิเคชั่นส์ MyMo เครื่องให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ อินเตอร์เน็ตแบงกิ้ง เป็นต้น อีกทั้งต้องให้บริการภายใต้มาตรการรักษาความปลอดภัยของการเสี่ยงติดเชื้อด้วย โดยในส่วนของสาขาธนาคารออมสินนั้น ได้ปรับเปลี่ยนเวลาตามความเหมาะสมให้สอดคล้องกับประกาศของรัฐบาล กรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สาขาของธนาคารออมสินที่เปิดให้บริการ 5 วันต่อสัปดาห์นั้น ปัจจุบันมีเวลาเปิด-ปิดให้บริการไม่พร้อมเพรียงกัน ซึ่งเกิดจากปริมาณการทําธุรกรรมและความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ เช่น สาขาในตลาดสด ในพื้นที่ศูนย์ราชการ ย่านการค้า เป็นต้น รวมถึงสาขาที่เพิ่งแจ้งปรับเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิดเพื่อให้เป็นไปตามประกาศของรัฐบาล ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งอาจทําให้ผู้ใช้บริการสับสน ธนาคารออมสินจึงขอปรับเปลี่ยนเปิด-ปิดสาขาที่เปิดให้บริการ 5 วันต่อสัปดาห์เป็นกรณีพิเศษ ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และให้เป็นเวลาเดียวกันทั้งหมด คือ เปิดให้บริการวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 9.00-15.00 น. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16-30 เมษายน 2563 อย่างไรก็ตาม ลูกค้ายังคงสามารถใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบออนไลน์ต่างๆ ของธนาคารฯ ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการของศูนย์อํานวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ได้ขอความร่วมมือให้ยกเว้นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเดินทาง เพื่อใม่ให้การแพร่ระบาดขยายไปในวงกว้างและเป็นการร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมอีกด้วย หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อสอบถามได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน โทร.1115 หรือตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคาร ได้แก่ Website : www.gsb.or.th , Facebook และ Official Line : GSB Society
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29132
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยประชาชนสามารถจัดกิจกรรมได้ตั้งแต่ 14 พ.ย. 59 พร้อมขอความร่วมมือสถานีวิทยุโทรทัศน์นำเสนอรายการที่เหมาะสม เน้นสาระความรู้ เพื่อพัฒนาประเทศในอนาคต
วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2559 ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยประชาชนสามารถจัดกิจกรรมได้ตั้งแต่ 14 พ.ย. 59 พร้อมขอความร่วมมือสถานีวิทยุโทรทัศน์นําเสนอรายการที่เหมาะสม เน้นสาระความรู้ เพื่อพัฒนาประเทศในอนาคต พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยประชาชนสามารถจัดกิจกรรมได้ตั้งแต่ 14 พ.ย. 59 พร้อมขอความร่วมมือสถานีวิทยุโทรทัศน์นําเสนอรายการที่เหมาะสม เน้นสาระความรู้ เพื่อพัฒนาประเทศในอนาคต วันนี้ ( 1 พ.ย. 59) เวลา 14.25 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์เรื่องที่นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางรัฐบาลได้ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้งการนําเสนอข่าวและกิจกรรมบันเทิงว่า ผลจากการหารือดังกล่าวได้มีการจําแนกกิจกรรมต่าง ๆ เป็น 9 ลักษณะ ประกอบด้วย 1) งานเทศกาลระดับประเทศ ได้แก่ งานลอยกระทง การจัดงานคริสต์มาส วันปีใหม่ 2) งานเทศกาลระดับจังหวัด เช่น งานกาชาด งานเทศกาลผีตาโขน 3) งานส่งเสริมเศรษฐกิจระดับจังหวัด อําเภอ ท้องถิ่น เช่น กิจกรรมถนนคนเดิน ประเพณีชนวัว 4) งานรื่นเริงวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น ลิเก ลําตัด ดนตรี มหรสพ และการประกวดต่าง ๆ 5) กิจกรรมสถานบันเทิงต่าง ๆ เช่น ไนท์คลับ ผับบาร์ เป็นต้น 6) กิจกรรมที่จัดภายในโรงแรม เช่น การจัดประชุมสัมมนา การเลี้ยงสังสรรค์ 7) การแสดงคอนเสิร์ต 8) งานตามประเพณีวัฒนธรรม เช่น งานกฐิน ผ้าป่า และ 9) งานแข่งขันกีฬาทุกระดับและกองเชียร์ ทั้งนี้ รัฐบาลมีความเห็นว่าการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวสามารถจัดได้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 เป็นต้นไป โดยสิ่งที่ได้มีการดําเนินการอยู่แล้วทุกภาคส่วนสามารถดําเนินการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น การจัดประชุมสัมมนา งานมงคลสมรส งานกฐิน ฯลฯ และให้ผู้จัดงานพิจารณาถึงความเหมาะสม และให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับที่มีอยู่ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดให้คําแนะนําและหารือร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้การใช้พื้นที่และรูปแบบกิจกรรมเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ สําหรับการจัดรายการของสถานีวิทยุโทรทัศน์สามารถดําเนินการได้ตามปกติ โดยขอความร่วมมือผู้ที่รับผิดชอบพิจารณาการนําเสนอรายการต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างเหมะสม และควรมีการนําเสนอรายการที่ให้ความรู้และสาระต่าง ๆ ให้ประชาชนได้รับชม เพื่อการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของประเทศในอนาคตด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์มีกําหนด 1 ปี เช่นเดิม ในส่วนของประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยวให้พิจารณาตามความเหมาะสม ส่วนสถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และสถานศึกษาทุกแห่งที่ลดธงครึ่งเสา เป็นเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2559 จะครบกําหนด 30 วัน ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2559 โดยในวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2559 จะเป็นวันแรกที่จะมีการชักธงเต็มเสาเช่นเดิม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําถึงดําเนินการในเรื่องต่าง ๆ ว่า ขอให้ทุกภาคส่วนดําเนินการโดยไม่ขัดต่อหลักกฎหมาย และให้พิจารณาตามความเหมาะสม ------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยประชาชนสามารถจัดกิจกรรมได้ตั้งแต่ 14 พ.ย. 59 พร้อมขอความร่วมมือสถานีวิทยุโทรทัศน์นำเสนอรายการที่เหมาะสม เน้นสาระความรู้ เพื่อพัฒนาประเทศในอนาคต วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2559 ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยประชาชนสามารถจัดกิจกรรมได้ตั้งแต่ 14 พ.ย. 59 พร้อมขอความร่วมมือสถานีวิทยุโทรทัศน์นําเสนอรายการที่เหมาะสม เน้นสาระความรู้ เพื่อพัฒนาประเทศในอนาคต พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยประชาชนสามารถจัดกิจกรรมได้ตั้งแต่ 14 พ.ย. 59 พร้อมขอความร่วมมือสถานีวิทยุโทรทัศน์นําเสนอรายการที่เหมาะสม เน้นสาระความรู้ เพื่อพัฒนาประเทศในอนาคต วันนี้ ( 1 พ.ย. 59) เวลา 14.25 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์เรื่องที่นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางรัฐบาลได้ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้งการนําเสนอข่าวและกิจกรรมบันเทิงว่า ผลจากการหารือดังกล่าวได้มีการจําแนกกิจกรรมต่าง ๆ เป็น 9 ลักษณะ ประกอบด้วย 1) งานเทศกาลระดับประเทศ ได้แก่ งานลอยกระทง การจัดงานคริสต์มาส วันปีใหม่ 2) งานเทศกาลระดับจังหวัด เช่น งานกาชาด งานเทศกาลผีตาโขน 3) งานส่งเสริมเศรษฐกิจระดับจังหวัด อําเภอ ท้องถิ่น เช่น กิจกรรมถนนคนเดิน ประเพณีชนวัว 4) งานรื่นเริงวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น ลิเก ลําตัด ดนตรี มหรสพ และการประกวดต่าง ๆ 5) กิจกรรมสถานบันเทิงต่าง ๆ เช่น ไนท์คลับ ผับบาร์ เป็นต้น 6) กิจกรรมที่จัดภายในโรงแรม เช่น การจัดประชุมสัมมนา การเลี้ยงสังสรรค์ 7) การแสดงคอนเสิร์ต 8) งานตามประเพณีวัฒนธรรม เช่น งานกฐิน ผ้าป่า และ 9) งานแข่งขันกีฬาทุกระดับและกองเชียร์ ทั้งนี้ รัฐบาลมีความเห็นว่าการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวสามารถจัดได้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 เป็นต้นไป โดยสิ่งที่ได้มีการดําเนินการอยู่แล้วทุกภาคส่วนสามารถดําเนินการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น การจัดประชุมสัมมนา งานมงคลสมรส งานกฐิน ฯลฯ และให้ผู้จัดงานพิจารณาถึงความเหมาะสม และให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับที่มีอยู่ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดให้คําแนะนําและหารือร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้การใช้พื้นที่และรูปแบบกิจกรรมเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ สําหรับการจัดรายการของสถานีวิทยุโทรทัศน์สามารถดําเนินการได้ตามปกติ โดยขอความร่วมมือผู้ที่รับผิดชอบพิจารณาการนําเสนอรายการต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างเหมะสม และควรมีการนําเสนอรายการที่ให้ความรู้และสาระต่าง ๆ ให้ประชาชนได้รับชม เพื่อการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของประเทศในอนาคตด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์มีกําหนด 1 ปี เช่นเดิม ในส่วนของประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยวให้พิจารณาตามความเหมาะสม ส่วนสถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และสถานศึกษาทุกแห่งที่ลดธงครึ่งเสา เป็นเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2559 จะครบกําหนด 30 วัน ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2559 โดยในวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2559 จะเป็นวันแรกที่จะมีการชักธงเต็มเสาเช่นเดิม ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําถึงดําเนินการในเรื่องต่าง ๆ ว่า ขอให้ทุกภาคส่วนดําเนินการโดยไม่ขัดต่อหลักกฎหมาย และให้พิจารณาตามความเหมาะสม ------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/710
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รชอ.สมชายฯ เปิดงาน ออโตโมทีฟ ซัมมิท และ แมนูแฟกเจอริ่ง เอ็กซ์โป 2018 มหกรรมเทคโนโลยีและโซลูชั่นเพื่ออุตสาหกรรม
วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2561 ​รชอ.สมชายฯ เปิดงาน ออโตโมทีฟ ซัมมิท และ แมนูแฟกเจอริ่ง เอ็กซ์โป 2018 มหกรรมเทคโนโลยีและโซลูชั่นเพื่ออุตสาหกรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน "ออโตโมทีฟ ซัมมิท 2018" และ "แมนูแฟกเจอริ่ง เอ็กซ์โป 2018" มหกรรมเทคโนโลยีและโซลูชั่นเพื่ออุตสาหกรรมสนับสนุนการผลิต ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา วันนี้ (20 มิถุนายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน "ออโตโมทีฟ ซัมมิท 2018" และ "แมนูแฟกเจอริ่ง เอ็กซ์โป 2018" มหกรรมเทคโนโลยีและโซลูชั่นเพื่ออุตสาหกรรมสนับสนุนการผลิต จัดโดยบริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จํากัด และสถาบันยานยนต์ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายอิสระ บุรินทรามาตย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จํากัด ให้การต้อนรับ ผู้บริหารสถาบันยานยนต์ และกลุ่มผู้แทนการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ เข้าร่วม ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา สําหรับงาน ออโตโมทีฟ ซัมมิท 2018 เป็นการจัดงานมหกรรมเทคโนโลยีและโซลูชั่น เพื่ออุตสาหกรรมสนับสนุนและการผลิตที่ครบวงจร ทั้งด้านพลาสติก แม่พิมพ์ ยานยนต์ ระบบอัตโนมัติ อิเล็กทรอนิกส์ และการชุบเคลือบผิว ภายใต้แนวคิด "พลิกมิติ อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่ยุคทอง 4.0" (Driving toward Automotive Industry 4.0) สนับสนุนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย พร้อมผลักดันเทคโนโลยีสู่กลุ่มอุตสาหกรรม โดยการนําเอาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันสู่ระดับนานาชาติ รัฐมนตรีช่วยฯ ก.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ประเทศไทยในขณะนี้ กําลังเดินหน้าสู่ยุค 4.0 โดยกระทรวงอุตสาหกรรม มองมิติเพื่อการตอบโจทย์ไทยแลนด์ 4.0 ออกเป็น 3 มิติ ได้แก่ 1) Competitive Growth คือ การมุ่งเน้นอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวสูงและมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง ด้วยการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) และอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) 2) Inclusive Growth คือ การตอบโจทย์เรื่องของนโยบายของรัฐบาลที่ว่า เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อแก้ไขปัญหาหรือเพื่อผ่อนปรนปัญหาเรื่องกับดักของความไม่เท่าเทียมกัน และ 3) Green Growth คือ การเน้นในเรื่องการตอบโจทย์ชุมชน เราต้องอยู่ได้กับชุมชนของเราเองและตอบโจทย์ชุมชนโลก ทั้งนี้ งานดังกล่าวฯ มีบริษัทเข้าร่วมงานจัดแสดงกว่า 500 บริษัท 2,400 แบรนด์ จาก 46 ประเทศทั่วโลก ภายในงานประกอบด้วย 6 งานหลัก ได้แก่ การผลิตชิ้นส่วนพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ การผลิตแม่พิมพ์และการขึ้นรูป เทคโนโลยีเพื่อการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ครบวงจร เทคโนโลยีระบบและอุปกรณ์เพื่อสายการผลิตอัตโนมัติ เทคโนโลยีการเตรียมพื้นผิวโลหะ สีและการเคลือบผิว และงานแสดงหุ่นยนต์เพื่อการผลิตที่ครบครันที่สุดในอาเซียน โดยไฮไลท์ของงาน คือ Sophia หุ่นยนต์ AI อัจฉริยะระดับโลก และ Cutting Tools Runway นวัตกรรมเครื่องตัด เครื่องเจาะสุดล้ํา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 มิถุนายน 2561 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รชอ.สมชายฯ เปิดงาน ออโตโมทีฟ ซัมมิท และ แมนูแฟกเจอริ่ง เอ็กซ์โป 2018 มหกรรมเทคโนโลยีและโซลูชั่นเพื่ออุตสาหกรรม วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2561 ​รชอ.สมชายฯ เปิดงาน ออโตโมทีฟ ซัมมิท และ แมนูแฟกเจอริ่ง เอ็กซ์โป 2018 มหกรรมเทคโนโลยีและโซลูชั่นเพื่ออุตสาหกรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน "ออโตโมทีฟ ซัมมิท 2018" และ "แมนูแฟกเจอริ่ง เอ็กซ์โป 2018" มหกรรมเทคโนโลยีและโซลูชั่นเพื่ออุตสาหกรรมสนับสนุนการผลิต ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา วันนี้ (20 มิถุนายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน "ออโตโมทีฟ ซัมมิท 2018" และ "แมนูแฟกเจอริ่ง เอ็กซ์โป 2018" มหกรรมเทคโนโลยีและโซลูชั่นเพื่ออุตสาหกรรมสนับสนุนการผลิต จัดโดยบริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จํากัด และสถาบันยานยนต์ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายอิสระ บุรินทรามาตย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จํากัด ให้การต้อนรับ ผู้บริหารสถาบันยานยนต์ และกลุ่มผู้แทนการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ เข้าร่วม ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา สําหรับงาน ออโตโมทีฟ ซัมมิท 2018 เป็นการจัดงานมหกรรมเทคโนโลยีและโซลูชั่น เพื่ออุตสาหกรรมสนับสนุนและการผลิตที่ครบวงจร ทั้งด้านพลาสติก แม่พิมพ์ ยานยนต์ ระบบอัตโนมัติ อิเล็กทรอนิกส์ และการชุบเคลือบผิว ภายใต้แนวคิด "พลิกมิติ อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่ยุคทอง 4.0" (Driving toward Automotive Industry 4.0) สนับสนุนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย พร้อมผลักดันเทคโนโลยีสู่กลุ่มอุตสาหกรรม โดยการนําเอาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันสู่ระดับนานาชาติ รัฐมนตรีช่วยฯ ก.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ประเทศไทยในขณะนี้ กําลังเดินหน้าสู่ยุค 4.0 โดยกระทรวงอุตสาหกรรม มองมิติเพื่อการตอบโจทย์ไทยแลนด์ 4.0 ออกเป็น 3 มิติ ได้แก่ 1) Competitive Growth คือ การมุ่งเน้นอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวสูงและมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง ด้วยการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) และอุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) 2) Inclusive Growth คือ การตอบโจทย์เรื่องของนโยบายของรัฐบาลที่ว่า เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อแก้ไขปัญหาหรือเพื่อผ่อนปรนปัญหาเรื่องกับดักของความไม่เท่าเทียมกัน และ 3) Green Growth คือ การเน้นในเรื่องการตอบโจทย์ชุมชน เราต้องอยู่ได้กับชุมชนของเราเองและตอบโจทย์ชุมชนโลก ทั้งนี้ งานดังกล่าวฯ มีบริษัทเข้าร่วมงานจัดแสดงกว่า 500 บริษัท 2,400 แบรนด์ จาก 46 ประเทศทั่วโลก ภายในงานประกอบด้วย 6 งานหลัก ได้แก่ การผลิตชิ้นส่วนพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ การผลิตแม่พิมพ์และการขึ้นรูป เทคโนโลยีเพื่อการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ครบวงจร เทคโนโลยีระบบและอุปกรณ์เพื่อสายการผลิตอัตโนมัติ เทคโนโลยีการเตรียมพื้นผิวโลหะ สีและการเคลือบผิว และงานแสดงหุ่นยนต์เพื่อการผลิตที่ครบครันที่สุดในอาเซียน โดยไฮไลท์ของงาน คือ Sophia หุ่นยนต์ AI อัจฉริยะระดับโลก และ Cutting Tools Runway นวัตกรรมเครื่องตัด เครื่องเจาะสุดล้ํา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 มิถุนายน 2561 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13203
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เมื่อถึงฤดูร้อนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะลดลงหรือไม่ ??
วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563 เมื่อถึงฤดูร้อนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะลดลงหรือไม่ ?? เกี่ยวกันไหมนะ Q : เมื่อถึงฤดูร้อนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะลดลงหรือไม่ ?? A : โรคไข้หวัดและโรคหวัดทั่วไป เป็นโรคที่เกิดขึ้นเป็นปกติในช่วงฤดูหนาวมากกว่าฤดูร้อน แต่สําหรับไวรัสโควิด-19 นั้น ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าอากาศที่อุ่นขึ้น จะสามารถช่วยลดการแพร่ระบาดของไวรัสฯ ได้มากน้อยเพียงใด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เมื่อถึงฤดูร้อนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะลดลงหรือไม่ ?? วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563 เมื่อถึงฤดูร้อนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะลดลงหรือไม่ ?? เกี่ยวกันไหมนะ Q : เมื่อถึงฤดูร้อนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะลดลงหรือไม่ ?? A : โรคไข้หวัดและโรคหวัดทั่วไป เป็นโรคที่เกิดขึ้นเป็นปกติในช่วงฤดูหนาวมากกว่าฤดูร้อน แต่สําหรับไวรัสโควิด-19 นั้น ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าอากาศที่อุ่นขึ้น จะสามารถช่วยลดการแพร่ระบาดของไวรัสฯ ได้มากน้อยเพียงใด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28521
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งทีมแพทย์กู้ชีพขั้นสูง พร้อมเคลื่อนย้ายทีมนักฟุตบอลเยาวชนจากถ้ำหลวงฯ
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561 สธ.ส่งทีมแพทย์กู้ชีพขั้นสูง พร้อมเคลื่อนย้ายทีมนักฟุตบอลเยาวชนจากถ้ําหลวงฯ กระทรวงสาธารณสุข ส่งแพทย์ พยาบาล และสหวิชาชีพ เกือบ 100 คนต่อวัน ดูแลโรงพยาบาลสนาม เตรียมทีมแพทย์กู้ชีพขั้นสูง พร้อมเคลื่อนย้ายทีมนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอน 13 คน ประกบดูแล 1 ทีมต่อ 1 คน ทั้งทางบกและทางอากาศ กระทรวงสาธารณสุข ส่งแพทย์ พยาบาล และสหวิชาชีพ เกือบ 100 คนต่อวัน ดูแลโรงพยาบาลสนาม เตรียมทีมแพทย์กู้ชีพขั้นสูง พร้อมเคลื่อนย้ายทีมนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอน 13 คน ประกบดูแล 1 ทีมต่อ 1 คน ทั้งทางบกและทางอากาศ วันนี้ (2 กรกฎาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการช่วยเหลือทีมนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอน 13 คน ที่พลัดหลงในถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งกําลังใจพร้อมให้ส่งเจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล และสหวิชาชีพ ด้านกายและจิตใจ เกือบ 100 คนต่อวัน จากโรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกับทหาร ตํารวจ อาสาสมัคร และภาคประชาชน ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้การช่วยเหลือในครั้งนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย โดยมอบหมายให้ นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 1 ร่วมบัญชาการเหตุการณ์ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ขณะนี้ เจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล และสหวิชาชีพ ของกระทรวงสาธารณสุข ร่วมรับผิดชอบโรงพยาบาลสนามบริเวณหน้าถ้ํา ให้บริการปฐมพยาบาล รักษาพยาบาลแก่เจ้าหน้าที่ จิตอาสา ประชาชนที่เข้าร่วมปฏิบัติการ และได้วางแผนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากถ้ําอย่างเป็นระบบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมทีมแพทย์กู้ชีพชั้นสูง เพื่อดูแลเบื้องต้น ด้วยการประเมินสัญญาณชีพ ทําความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า ให้ความอบอุ่นร่างกาย ประเมินและปรับสภาพการมองเห็น ภาวะขาดน้ําขาดอาหาร ก่อนการส่งต่อไปโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โดยจัดทีมแพทย์ประกบดูแล 1 ทีมต่อผู้ป่วย 1 คน กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบ 5 ทีม ส่วนตํารวจและทหาร อย่างละ 4 ทีม สามารถเดินทางไปกับเฮลิคอปเตอร์ของทหารและตํารวจที่จัดเตรียมไว้ 6 ลํา ซึ่งเป็นเส้นทางลําเลียงหลัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที หากอากาศปิดได้สํารองรถพยาบาลขั้นสูงอีก 13 คัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ทั้งนี้ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ได้จัดเตรียมหอผู้ป่วยอุบัติเหตุรองรับผู้ป่วย เตรียมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกสาขาที่เกี่ยวข้องดูแลผู้ป่วยได้ทุกสภาพอาการ การวางระบบควบคุมป้องกันการติดเชื้อ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ป่วยทั้งหมดปลอดภัย สุขภาพแข็งแรงกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ “ขอเป็นกําลังใจให้เยาวชนและผู้ฝึกสอน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือผู้พลัดหลงในถ้ําครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนในทุก ๆ เรื่องที่จะช่วยให้ทั้งหมดปลอดภัยมีสุขภาพดี ทั้งผู้พลัดหลงและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน” ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าว **************************************** 2 กรกฎาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งทีมแพทย์กู้ชีพขั้นสูง พร้อมเคลื่อนย้ายทีมนักฟุตบอลเยาวชนจากถ้ำหลวงฯ วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561 สธ.ส่งทีมแพทย์กู้ชีพขั้นสูง พร้อมเคลื่อนย้ายทีมนักฟุตบอลเยาวชนจากถ้ําหลวงฯ กระทรวงสาธารณสุข ส่งแพทย์ พยาบาล และสหวิชาชีพ เกือบ 100 คนต่อวัน ดูแลโรงพยาบาลสนาม เตรียมทีมแพทย์กู้ชีพขั้นสูง พร้อมเคลื่อนย้ายทีมนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอน 13 คน ประกบดูแล 1 ทีมต่อ 1 คน ทั้งทางบกและทางอากาศ กระทรวงสาธารณสุข ส่งแพทย์ พยาบาล และสหวิชาชีพ เกือบ 100 คนต่อวัน ดูแลโรงพยาบาลสนาม เตรียมทีมแพทย์กู้ชีพขั้นสูง พร้อมเคลื่อนย้ายทีมนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอน 13 คน ประกบดูแล 1 ทีมต่อ 1 คน ทั้งทางบกและทางอากาศ วันนี้ (2 กรกฎาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการช่วยเหลือทีมนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอน 13 คน ที่พลัดหลงในถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งกําลังใจพร้อมให้ส่งเจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล และสหวิชาชีพ ด้านกายและจิตใจ เกือบ 100 คนต่อวัน จากโรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกับทหาร ตํารวจ อาสาสมัคร และภาคประชาชน ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้การช่วยเหลือในครั้งนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย โดยมอบหมายให้ นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 1 ร่วมบัญชาการเหตุการณ์ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ขณะนี้ เจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล และสหวิชาชีพ ของกระทรวงสาธารณสุข ร่วมรับผิดชอบโรงพยาบาลสนามบริเวณหน้าถ้ํา ให้บริการปฐมพยาบาล รักษาพยาบาลแก่เจ้าหน้าที่ จิตอาสา ประชาชนที่เข้าร่วมปฏิบัติการ และได้วางแผนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากถ้ําอย่างเป็นระบบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมทีมแพทย์กู้ชีพชั้นสูง เพื่อดูแลเบื้องต้น ด้วยการประเมินสัญญาณชีพ ทําความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า ให้ความอบอุ่นร่างกาย ประเมินและปรับสภาพการมองเห็น ภาวะขาดน้ําขาดอาหาร ก่อนการส่งต่อไปโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โดยจัดทีมแพทย์ประกบดูแล 1 ทีมต่อผู้ป่วย 1 คน กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบ 5 ทีม ส่วนตํารวจและทหาร อย่างละ 4 ทีม สามารถเดินทางไปกับเฮลิคอปเตอร์ของทหารและตํารวจที่จัดเตรียมไว้ 6 ลํา ซึ่งเป็นเส้นทางลําเลียงหลัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที หากอากาศปิดได้สํารองรถพยาบาลขั้นสูงอีก 13 คัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ทั้งนี้ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ได้จัดเตรียมหอผู้ป่วยอุบัติเหตุรองรับผู้ป่วย เตรียมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกสาขาที่เกี่ยวข้องดูแลผู้ป่วยได้ทุกสภาพอาการ การวางระบบควบคุมป้องกันการติดเชื้อ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ป่วยทั้งหมดปลอดภัย สุขภาพแข็งแรงกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ “ขอเป็นกําลังใจให้เยาวชนและผู้ฝึกสอน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือผู้พลัดหลงในถ้ําครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนในทุก ๆ เรื่องที่จะช่วยให้ทั้งหมดปลอดภัยมีสุขภาพดี ทั้งผู้พลัดหลงและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน” ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าว **************************************** 2 กรกฎาคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13527
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กำชับ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ทบทวนความเหมาะสม ของร่างแก้ไข พ.ร.บ.กีฬามวย พ.ศ. 2542
วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561 กําชับ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ทบทวนความเหมาะสม ของร่างแก้ไข พ.ร.บ.กีฬามวย พ.ศ. 2542 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ เปิดเผย หลังการประชุมคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้ง ที่ 5/61 เมื่อ 14 พ.ย.61 : 1000 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ เปิดเผย หลังการประชุมคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้ง ที่ 5/61 เมื่อ 14 พ.ย.61 : 1000 โดย มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้แสดงความเสียใจกับ “น้องเล็ก” เยาวชนไทยอายุ 13 ปี ที่เสียชีวิตจากการชกมวยไทยการกุศลที่ผ่านมา พร้อมทั้งแสดงความกังวลและให้ความสําคัญร่วมกัน ถึงการพัฒนาการกีฬาทุกประเภทที่ต้องให้ความสําคัญกับความปลอดภัยของนักกีฬามากขึ้น ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. / ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ฯ ได้กําชับ ขอให้กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ได้พิจารณาความเหมาะสม ของ พ.ร.บ.กีฬามวย พ.ศ.2542 ที่ สนช.ได้เสนอร่าง ( แก้ไข ) ให้ ครม.พิจารณา โดยขอให้พิจารณาความรอบคอบของการพัฒนากีฬามวย ควบคู่ไปกับ การให้ความสําคัญกับการดูแลความปลอดภัยของนักกีฬามากขึ้น โดยเฉพาะ นักกีฬากลุ่มเด็กและเยาวชน ควรพิจารณาการใช้วิทยาศาสตร์ทางการกีฬาเข้ามาช่วยเสริมสร้างพัฒนาการต่อสมรรถภาพร่างกายในวัยอันควร ก่อนการเป็นนักกีฬาแทน ขณะเดียวกัน การแข่งขันในวัยดังกล่าว จําเป็นต้องมีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม และมาตรการความปลอดภัยที่รัดกุมจากนายสนาม เพื่อมิให้ร่างกายได้รับผลกระทบ จนอาจเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กำชับ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ทบทวนความเหมาะสม ของร่างแก้ไข พ.ร.บ.กีฬามวย พ.ศ. 2542 วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561 กําชับ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ทบทวนความเหมาะสม ของร่างแก้ไข พ.ร.บ.กีฬามวย พ.ศ. 2542 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ เปิดเผย หลังการประชุมคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้ง ที่ 5/61 เมื่อ 14 พ.ย.61 : 1000 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ เปิดเผย หลังการประชุมคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้ง ที่ 5/61 เมื่อ 14 พ.ย.61 : 1000 โดย มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้แสดงความเสียใจกับ “น้องเล็ก” เยาวชนไทยอายุ 13 ปี ที่เสียชีวิตจากการชกมวยไทยการกุศลที่ผ่านมา พร้อมทั้งแสดงความกังวลและให้ความสําคัญร่วมกัน ถึงการพัฒนาการกีฬาทุกประเภทที่ต้องให้ความสําคัญกับความปลอดภัยของนักกีฬามากขึ้น ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. / ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ฯ ได้กําชับ ขอให้กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ได้พิจารณาความเหมาะสม ของ พ.ร.บ.กีฬามวย พ.ศ.2542 ที่ สนช.ได้เสนอร่าง ( แก้ไข ) ให้ ครม.พิจารณา โดยขอให้พิจารณาความรอบคอบของการพัฒนากีฬามวย ควบคู่ไปกับ การให้ความสําคัญกับการดูแลความปลอดภัยของนักกีฬามากขึ้น โดยเฉพาะ นักกีฬากลุ่มเด็กและเยาวชน ควรพิจารณาการใช้วิทยาศาสตร์ทางการกีฬาเข้ามาช่วยเสริมสร้างพัฒนาการต่อสมรรถภาพร่างกายในวัยอันควร ก่อนการเป็นนักกีฬาแทน ขณะเดียวกัน การแข่งขันในวัยดังกล่าว จําเป็นต้องมีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม และมาตรการความปลอดภัยที่รัดกุมจากนายสนาม เพื่อมิให้ร่างกายได้รับผลกระทบ จนอาจเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16781
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญฯ ลงตรวจสอบเอง มาตรการจัดส่งอาหาร Delivery และติดตามการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัย ช่วยเหลือผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563 รมต.นร. นายเทวัญฯ ลงตรวจสอบเอง มาตรการจัดส่งอาหาร Delivery และติดตามการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัย ช่วยเหลือผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 รมต.นร. นายเทวัญฯ ลงตรวจสอบเอง มาตรการจัดส่งอาหาร Delivery และติดตามการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัย ช่วยเหลือผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 วันนี้ (8 พ.ค.63) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.ต.ประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้ให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ รวมถึงติดตามการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัย ให้เป็นไปตามมาตรการช่วยเหลือผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยจุดแรกรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางไปยังร้านเดอะพิซซ่า คอมปะนี สาขาพีเพิล พาร์ค คอมมูนิตี้มอลล์ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้ให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ ซึ่งเป็นบริการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ประกอบกับมาตรการ Work from home ส่งผลให้จํานวนการสั่งซื้อสินค้าประเภทอาหารและบริการจัดส่งอาหารเพิ่มสูงขึ้น โดยเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2563 สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สบค.) และผู้ให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ 17 ราย ได้จัดทําปฏิญญาความร่วมมือในการกําหนดมาตรการความปลอดภัยในการให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุขั้นสูงสุด และสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่ประสงค์จะลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ ทางร้านมีมาตรการความปลอดภัยเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค โดยมีการคัดกรองพนักงานผู้ให้บริการ พนักงานต้องสวมหน้ากากอนามัยขณะปฏิบัติหน้าที่ จัดให้มีจุดบริการเจลแอลกอฮอร์ และทําความสําอาดร้านด้วยแอลกอฮอร์เป็นประจํา รวมถึงมีการจัดที่นั่งแบบเว้นระยะห่าง นอกจากนี้ ทางร้านยังมีการใช้รูปแบบการส่งอาหารแบบเว้นระยะห่าง และลดการสัมผัส (Zero Touch Delivery) และมีการส่งเสริมให้ลูกค้าชําระค่าอาหารผ่านทางดิจิทัล เปย์เม้นท์ (Digital Payment) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากนั้น รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางไปยัง สุขใจ เพลส (Sookjai Place) ถ.พระราม 9 ซ.51 แขวงสวนหลวง กรุงเทพมหานคร ติดตามการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัย จากกรณีที่มีการนําเสนอข่าวเจ้าของหอพักลดค่าเช่า 50% เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระผู้เช่า ช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยโลกโซเชียลมีการแชร์ต่อเรื่องราวราวดี ๆ นี้ จนเป็นที่ชื่นชม ด้านนายอนุสรณ์ อาศิรเลิศสิริ เจ้าของหอพักกล่าวว่า เข้าใจถึงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสที่เป็นวงกว้าง และรับทราบถึงปัญหาต่าง ๆ ซึ่งผู้ให้เช่าและผู้เช่าต่างเดือดร้อนเช่นกัน ในเบื้องต้นทางหอพักนี้จะลดค่าเช่าให้เป็นระยะเวลา 3 เดือน ถ้าสถานการณ์ยังไม่กลับเข้าสู่สภาวะปกติ จะหาวิธีเพื่อช่วยเหลือต่อไป รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมตรี ได้กล่าวชื่นชมเจ้าของที่พักอาศัยให้เช่า ที่มีความเข้าใจและมีน้ําใจช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และยกเป็นแบบอย่างที่ควรยกย่องเชิดชูให้เป็นผู้ประกอบการที่ดีและมีธรรมภิบาลในการดําเนินธุรกิจ และมอบกระเช้าเจลแอลกอฮอร์เป็นกําลังใจให้ ขณะที่ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคสิด-19 ของประเทศเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ขอให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตนด้วยความไม่ประมาท ทั้งนี้ หากผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้ประกอบธุรกิจประเภทให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัย สามารถร้องเรียนหรือแจ้งข้อมูลได้ที่สายด่วน สคบ. 1166 ................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญฯ ลงตรวจสอบเอง มาตรการจัดส่งอาหาร Delivery และติดตามการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัย ช่วยเหลือผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563 รมต.นร. นายเทวัญฯ ลงตรวจสอบเอง มาตรการจัดส่งอาหาร Delivery และติดตามการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัย ช่วยเหลือผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 รมต.นร. นายเทวัญฯ ลงตรวจสอบเอง มาตรการจัดส่งอาหาร Delivery และติดตามการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัย ช่วยเหลือผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 วันนี้ (8 พ.ค.63) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.ต.ประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้ให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ รวมถึงติดตามการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัย ให้เป็นไปตามมาตรการช่วยเหลือผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยจุดแรกรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางไปยังร้านเดอะพิซซ่า คอมปะนี สาขาพีเพิล พาร์ค คอมมูนิตี้มอลล์ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้ให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ ซึ่งเป็นบริการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ประกอบกับมาตรการ Work from home ส่งผลให้จํานวนการสั่งซื้อสินค้าประเภทอาหารและบริการจัดส่งอาหารเพิ่มสูงขึ้น โดยเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2563 สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สบค.) และผู้ให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ 17 ราย ได้จัดทําปฏิญญาความร่วมมือในการกําหนดมาตรการความปลอดภัยในการให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุขั้นสูงสุด และสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่ประสงค์จะลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ ทางร้านมีมาตรการความปลอดภัยเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค โดยมีการคัดกรองพนักงานผู้ให้บริการ พนักงานต้องสวมหน้ากากอนามัยขณะปฏิบัติหน้าที่ จัดให้มีจุดบริการเจลแอลกอฮอร์ และทําความสําอาดร้านด้วยแอลกอฮอร์เป็นประจํา รวมถึงมีการจัดที่นั่งแบบเว้นระยะห่าง นอกจากนี้ ทางร้านยังมีการใช้รูปแบบการส่งอาหารแบบเว้นระยะห่าง และลดการสัมผัส (Zero Touch Delivery) และมีการส่งเสริมให้ลูกค้าชําระค่าอาหารผ่านทางดิจิทัล เปย์เม้นท์ (Digital Payment) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากนั้น รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางไปยัง สุขใจ เพลส (Sookjai Place) ถ.พระราม 9 ซ.51 แขวงสวนหลวง กรุงเทพมหานคร ติดตามการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักอาศัย จากกรณีที่มีการนําเสนอข่าวเจ้าของหอพักลดค่าเช่า 50% เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระผู้เช่า ช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยโลกโซเชียลมีการแชร์ต่อเรื่องราวราวดี ๆ นี้ จนเป็นที่ชื่นชม ด้านนายอนุสรณ์ อาศิรเลิศสิริ เจ้าของหอพักกล่าวว่า เข้าใจถึงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสที่เป็นวงกว้าง และรับทราบถึงปัญหาต่าง ๆ ซึ่งผู้ให้เช่าและผู้เช่าต่างเดือดร้อนเช่นกัน ในเบื้องต้นทางหอพักนี้จะลดค่าเช่าให้เป็นระยะเวลา 3 เดือน ถ้าสถานการณ์ยังไม่กลับเข้าสู่สภาวะปกติ จะหาวิธีเพื่อช่วยเหลือต่อไป รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมตรี ได้กล่าวชื่นชมเจ้าของที่พักอาศัยให้เช่า ที่มีความเข้าใจและมีน้ําใจช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และยกเป็นแบบอย่างที่ควรยกย่องเชิดชูให้เป็นผู้ประกอบการที่ดีและมีธรรมภิบาลในการดําเนินธุรกิจ และมอบกระเช้าเจลแอลกอฮอร์เป็นกําลังใจให้ ขณะที่ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคสิด-19 ของประเทศเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ขอให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตนด้วยความไม่ประมาท ทั้งนี้ หากผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้ประกอบธุรกิจประเภทให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัย สามารถร้องเรียนหรือแจ้งข้อมูลได้ที่สายด่วน สคบ. 1166 ................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30479
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หารือการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม
วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561 หารือการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หารือแนวทางในการจัดการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม เมื่อวันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561ณ WECOSYSTEM อาคารเกษร ทาวเวอร์ -ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมหารือแนวทางในการจัดการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ร่วมกับที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล เพื่อยกระดับการผลิตกําลังคนระดับบัณฑิตนักปฏิบัติ ให้สามารถสร้างงานวิจัยและนวัตกรรมขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0 ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทรกล่าวว่า จากการที่รัฐบาลเล็งเห็นความสําคัญของการอุดมศึกษา ตลอดจนการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนประเทศตามนโยบาย Thailand 4.0 จึงมอบให้มีการหารือร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อปรับแนวทางการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษาครั้งใหญ่ โดยรวมการศึกษาระดับอุดมศึกษา การวิจัย การสร้างนวัตกรรม และงานด้านวิทยาศาสตร์ไว้ด้วยกัน และให้เร่งดําเนินงานตามกรอบเวลาเดิม เพื่อให้สามารถนําเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ในช่วงต้นเดือนตุลาคม และกฎหมายคลอดออกมาภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 ตามที่กําหนด ซึ่งแน่นอนว่า สถาบันอุดมศึกษาคงจะมีข้อกังวลเกี่ยวกับการดําเนินงานในหลายประเด็นไม่ว่าจะเป็นชื่อของกระทรวงใหม่, แนวคิดในการตั้งกระทรวงใหม่ ซึ่งเดิมมีเป้าหมายเพื่อการปฏิรูปอุดมศึกษาให้มีความอิสระและคล่องตัวมากขึ้น แต่ขณะนี้กลับนํามารวมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานด้านการวิจัย อาจจะทําให้มีขนาดใหญ่และไม่คล่องตัวเช่นเดิมนั้น โดยส่วนตัวมองว่าการทํางานทุกอย่างสามารถปรับเปลี่ยนและบูรณาการให้เกิดความเชื่อมโยงกันได้ และเชื่อว่าการศึกษามีความเกี่ยวข้องกับทุกศาสตร์ ตลอดจนเป็นบทบาทโดยตรงของสถาบันอุดมศึกษาในการผลิตและพัฒนากําลังคนที่มีคุณภาพ สามารถสร้างองค์ความรู้และงานวิจัยเพื่อต่อยอดนวัตกรรม ซึ่งเป็นหัวใจของ Thailand 4.0 ด้วย ในส่วนของอุดมศึกษาได้มีความพยายามปรับตัวอย่างต่อเนื่องทั้งเชิงการปฏิรูปโครงสร้าง การปรับกระบวนการทํางานด้วยแพลทฟอร์มใหม่ ๆ ที่จะช่วยพลิกโฉมการทํางานให้สอดรับกับบทบาทและภารกิจที่มีพลวัตรสูงขึ้น แม้บางอย่างอาจยังไม่สามารถปรับได้ทันทีทันใด แต่เชื่อว่าทุกสถาบันอุดมศึกษา รวมทั้งสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษามีความมุ่งมั่นตั้งใจทํางานอย่างเต็มที่ โดยสิ่งสําคัญที่ต้องดําเนินการต่อจากนี้ คือการวางกลไกในแนวราบ เพื่อช่วยให้การทํางานเกิดความเชื่อมโยงและบูรณาการงานด้านการวิจัยและนวัตกรรม ที่เกิดจากศาสตร์และองค์ความรู้ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ รวมทั้งมีการตั้งคณะทํางานต่าง ๆ โดยมีผู้แทนจากหลายฝ่ายเข้ามาร่วมด้วย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์กล่าวว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่านโยบายรัฐบาลต้องการให้มีการบูรณาการการทํางานร่วมกันระหว่างงานอุดมศึกษา การวิจัย และวิทยาศาสตร์ โดยเชื่อว่าทาง ทปอ.มทร. มีความเข้าใจในที่มาและหลักการตรงนี้อยู่แล้ว ในการหารือร่วมกันครั้งนี้ จึงขอฝากให้ช่วยพิจารณาถึงจุดเน้นและทิศทางในการผลิตกําลังคนที่เรียกกันว่า “บัณฑิตนักปฏิบัติ” ด้วยว่า ในอนาคตต้องการจะผลิตกําลังคนแบบไหนเพื่อรองรับนโยบาย Thailand 4.0 ไม่ว่าจะเป็น นักนวัตกร หรือผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เพื่อดําเนินงานมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจนต่อไป ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูลกล่าวว่า มหาวิทยาลัยมีความสําคัญที่สุดต่อการพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า เพราะเป็นแหล่งสร้างกําลังคนให้มีศักยภาพในการแข่งขัน รวมถึงการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะสามารถแข่งขันกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกันและตลาดโลก เพียงแต่เราต้องเร่งก้าวข้ามอุปสรรคด้านโครงสร้างที่ยังไม่เอื้อต่อการสร้างงานวิจัยที่มีความโดดเด่น การพัฒนาความรู้ความสามารถเพื่อยกระดับผลการจัดอันดับทางการศึกษาให้ทัดเทียมนานาประเทศ ตลอดจนเน้นการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยและสร้าง Start up ใหม่ ๆ ที่จะสร้างจุดเปลี่ยนในการความสามารถทางการแข่งขันในยุค 4.0 ที่ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ทั้งนี้ ในส่วนของการออกกฎหมายหลักทั้ง 3 ฉบับเชื่อว่าสามารถดําเนินการได้ตามกรอบเวลาที่กําหนด โดยคาดว่ากฎหมายปรับปรุงโครงสร้างและด้านการวิจัยจะมีความชัดเจนมากขึ้น ภายใน 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ และเชื่อว่าการดําเนินงานครั้งนี้ เป็นการปฏิรูปครั้งสําคัญของประเทศไทยและเป็นไปตามความต้องการของประชาชนที่รอคอยการปฏิรูปให้ประสบความสําเร็จอย่างแท้จริง ในส่วนของที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.)มีความเห็นด้วยกับการรวมกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม และยินดีที่จะผลิตบัณฑิตนักปฏิบัติเป็นฐานในการขับเคลื่อนโครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ที่สอดคล้องกับความต้องการพัฒนาประเทศและแข่งขันได้ในตลาดโลก นอกจากนี้ ยังได้เสนอข้อคิดเห็นที่น่าสนใจหลายประการ อาทิ การกําหนดเป้าหมายการจัดการอุดมศึกษาอย่างชัดเจน, กระทรวงใหม่จะต้องเน้นความคล่องตัวในการบริหารงานและการวิจัย โดยอาจใช้รูปแบบภาคเอกชน เพื่อพลิกกรอบแนวคิดการทํางานให้แตกต่างไปจากเดิม ตลอดจนมีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน ทั้งบุคลากร นักศึกษา หลักสูตร และให้มีการเทียบโอนระหว่างหลักสูตร เพื่อสร้างความแตกต่างของสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะในสายบัณฑิตนักปฏิบัติหรือสายอาชีวศึกษา ควรบูรณาการการเรียนการสอนระหว่าง มทร. ให้นักศึกษาสามารถเรียนข้าม มทร. ซึ่งแต่ละแห่งมีจุดเด่นและความเชี่ยวชาญแตกต่างกันในแต่ละสาขา นอกจากนี้ ควรมีการกําหนดโจทย์ให้มหาวิทยาลัยศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่ จากนั้นนําเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม ที่จะส่งผลต่อรายได้ของคนในชุมชนและกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น Writtenbyนวรัตน์ รามสูต Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หารือการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561 หารือการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หารือแนวทางในการจัดการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม เมื่อวันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561ณ WECOSYSTEM อาคารเกษร ทาวเวอร์ -ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมหารือแนวทางในการจัดการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ร่วมกับที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล เพื่อยกระดับการผลิตกําลังคนระดับบัณฑิตนักปฏิบัติ ให้สามารถสร้างงานวิจัยและนวัตกรรมขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0 ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทรกล่าวว่า จากการที่รัฐบาลเล็งเห็นความสําคัญของการอุดมศึกษา ตลอดจนการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนประเทศตามนโยบาย Thailand 4.0 จึงมอบให้มีการหารือร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อปรับแนวทางการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษาครั้งใหญ่ โดยรวมการศึกษาระดับอุดมศึกษา การวิจัย การสร้างนวัตกรรม และงานด้านวิทยาศาสตร์ไว้ด้วยกัน และให้เร่งดําเนินงานตามกรอบเวลาเดิม เพื่อให้สามารถนําเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ในช่วงต้นเดือนตุลาคม และกฎหมายคลอดออกมาภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 ตามที่กําหนด ซึ่งแน่นอนว่า สถาบันอุดมศึกษาคงจะมีข้อกังวลเกี่ยวกับการดําเนินงานในหลายประเด็นไม่ว่าจะเป็นชื่อของกระทรวงใหม่, แนวคิดในการตั้งกระทรวงใหม่ ซึ่งเดิมมีเป้าหมายเพื่อการปฏิรูปอุดมศึกษาให้มีความอิสระและคล่องตัวมากขึ้น แต่ขณะนี้กลับนํามารวมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานด้านการวิจัย อาจจะทําให้มีขนาดใหญ่และไม่คล่องตัวเช่นเดิมนั้น โดยส่วนตัวมองว่าการทํางานทุกอย่างสามารถปรับเปลี่ยนและบูรณาการให้เกิดความเชื่อมโยงกันได้ และเชื่อว่าการศึกษามีความเกี่ยวข้องกับทุกศาสตร์ ตลอดจนเป็นบทบาทโดยตรงของสถาบันอุดมศึกษาในการผลิตและพัฒนากําลังคนที่มีคุณภาพ สามารถสร้างองค์ความรู้และงานวิจัยเพื่อต่อยอดนวัตกรรม ซึ่งเป็นหัวใจของ Thailand 4.0 ด้วย ในส่วนของอุดมศึกษาได้มีความพยายามปรับตัวอย่างต่อเนื่องทั้งเชิงการปฏิรูปโครงสร้าง การปรับกระบวนการทํางานด้วยแพลทฟอร์มใหม่ ๆ ที่จะช่วยพลิกโฉมการทํางานให้สอดรับกับบทบาทและภารกิจที่มีพลวัตรสูงขึ้น แม้บางอย่างอาจยังไม่สามารถปรับได้ทันทีทันใด แต่เชื่อว่าทุกสถาบันอุดมศึกษา รวมทั้งสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษามีความมุ่งมั่นตั้งใจทํางานอย่างเต็มที่ โดยสิ่งสําคัญที่ต้องดําเนินการต่อจากนี้ คือการวางกลไกในแนวราบ เพื่อช่วยให้การทํางานเกิดความเชื่อมโยงและบูรณาการงานด้านการวิจัยและนวัตกรรม ที่เกิดจากศาสตร์และองค์ความรู้ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ รวมทั้งมีการตั้งคณะทํางานต่าง ๆ โดยมีผู้แทนจากหลายฝ่ายเข้ามาร่วมด้วย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์กล่าวว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่านโยบายรัฐบาลต้องการให้มีการบูรณาการการทํางานร่วมกันระหว่างงานอุดมศึกษา การวิจัย และวิทยาศาสตร์ โดยเชื่อว่าทาง ทปอ.มทร. มีความเข้าใจในที่มาและหลักการตรงนี้อยู่แล้ว ในการหารือร่วมกันครั้งนี้ จึงขอฝากให้ช่วยพิจารณาถึงจุดเน้นและทิศทางในการผลิตกําลังคนที่เรียกกันว่า “บัณฑิตนักปฏิบัติ” ด้วยว่า ในอนาคตต้องการจะผลิตกําลังคนแบบไหนเพื่อรองรับนโยบาย Thailand 4.0 ไม่ว่าจะเป็น นักนวัตกร หรือผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เพื่อดําเนินงานมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจนต่อไป ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูลกล่าวว่า มหาวิทยาลัยมีความสําคัญที่สุดต่อการพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า เพราะเป็นแหล่งสร้างกําลังคนให้มีศักยภาพในการแข่งขัน รวมถึงการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะสามารถแข่งขันกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกันและตลาดโลก เพียงแต่เราต้องเร่งก้าวข้ามอุปสรรคด้านโครงสร้างที่ยังไม่เอื้อต่อการสร้างงานวิจัยที่มีความโดดเด่น การพัฒนาความรู้ความสามารถเพื่อยกระดับผลการจัดอันดับทางการศึกษาให้ทัดเทียมนานาประเทศ ตลอดจนเน้นการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยและสร้าง Start up ใหม่ ๆ ที่จะสร้างจุดเปลี่ยนในการความสามารถทางการแข่งขันในยุค 4.0 ที่ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ทั้งนี้ ในส่วนของการออกกฎหมายหลักทั้ง 3 ฉบับเชื่อว่าสามารถดําเนินการได้ตามกรอบเวลาที่กําหนด โดยคาดว่ากฎหมายปรับปรุงโครงสร้างและด้านการวิจัยจะมีความชัดเจนมากขึ้น ภายใน 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ และเชื่อว่าการดําเนินงานครั้งนี้ เป็นการปฏิรูปครั้งสําคัญของประเทศไทยและเป็นไปตามความต้องการของประชาชนที่รอคอยการปฏิรูปให้ประสบความสําเร็จอย่างแท้จริง ในส่วนของที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.)มีความเห็นด้วยกับการรวมกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม และยินดีที่จะผลิตบัณฑิตนักปฏิบัติเป็นฐานในการขับเคลื่อนโครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ที่สอดคล้องกับความต้องการพัฒนาประเทศและแข่งขันได้ในตลาดโลก นอกจากนี้ ยังได้เสนอข้อคิดเห็นที่น่าสนใจหลายประการ อาทิ การกําหนดเป้าหมายการจัดการอุดมศึกษาอย่างชัดเจน, กระทรวงใหม่จะต้องเน้นความคล่องตัวในการบริหารงานและการวิจัย โดยอาจใช้รูปแบบภาคเอกชน เพื่อพลิกกรอบแนวคิดการทํางานให้แตกต่างไปจากเดิม ตลอดจนมีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน ทั้งบุคลากร นักศึกษา หลักสูตร และให้มีการเทียบโอนระหว่างหลักสูตร เพื่อสร้างความแตกต่างของสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะในสายบัณฑิตนักปฏิบัติหรือสายอาชีวศึกษา ควรบูรณาการการเรียนการสอนระหว่าง มทร. ให้นักศึกษาสามารถเรียนข้าม มทร. ซึ่งแต่ละแห่งมีจุดเด่นและความเชี่ยวชาญแตกต่างกันในแต่ละสาขา นอกจากนี้ ควรมีการกําหนดโจทย์ให้มหาวิทยาลัยศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่ จากนั้นนําเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม ที่จะส่งผลต่อรายได้ของคนในชุมชนและกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น Writtenbyนวรัตน์ รามสูต Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12889
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะทำงานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทำผิดอย่างยั่งยืน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะทํางานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทําผิดอย่างยั่งยืน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะทํางานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทําผิดอย่างยั่งยืน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ ในวันพุธที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทําผิดอย่างยั่งยืน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ โดยมีผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนจากหน่วยงานภาคเอกชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ฯ โดยที่ประชุมฯได้รับทราบรายงานผลการดําเนินงานรอบ ๓ เดือน เกี่ยวกับการขับเคลื่อนการพัฒนา และส่งเสริมอาชีพอย่างยั่งยืนของหน่วยงานในกลุ่มภารกิจงานด้านพัฒนาพฤตินิสัย ได้แก่ กรมราชทันฑ์ กรมคุมประพฤติ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งการจัดทําบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกัน ระหว่างกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ กรมคุมประพฤติ และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กับ บริษัท ปตท. น้ํามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) เพื่อดําเนินการศึกษาเพื่อส่งเสริมการสร้างงานโดยการอุดหนุน ผลิตภัณฑ์ บริการ จากผู้กระทําผิด นอกจากนี้ที่ประชุมฯ ได้ร่วมกันพิจารณาการจัดทํากองทุนร่วมกันระหว่างหน่วยงานทั้ง ๓ กรม เพื่อรองรับการบริจาคเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) อีกทั้งพิจารณาการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงการพัฒนาพฤตินิสัยผู้กระทําผิดในสื่อรูปแบบต่างๆ รวมทั้งพิจารณาโครงการที่กําลังดําเนินการ ได้แก่ โครงการ The Hero และโครงการส่งเสริมการศึกษาร่วมกับวิทยาลัยปัญญาภิวัฒน์ โดยที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบการจัดทํากองทุนร่วมกัน ๓ หน่วยงาน พร้อมทั้งมอบหมายให้ฝ่ายเลขาร่างหลักเกณฑ์เรื่องงบประมาณ และให้ดําเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการให้โอกาสแก่ผู้กระทําความผิดภายหลังกลับคืนสู่สังคม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะทำงานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทำผิดอย่างยั่งยืน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะทํางานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทําผิดอย่างยั่งยืน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะทํางานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทําผิดอย่างยั่งยืน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ ในวันพุธที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทําผิดอย่างยั่งยืน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ โดยมีผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนจากหน่วยงานภาคเอกชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ฯ โดยที่ประชุมฯได้รับทราบรายงานผลการดําเนินงานรอบ ๓ เดือน เกี่ยวกับการขับเคลื่อนการพัฒนา และส่งเสริมอาชีพอย่างยั่งยืนของหน่วยงานในกลุ่มภารกิจงานด้านพัฒนาพฤตินิสัย ได้แก่ กรมราชทันฑ์ กรมคุมประพฤติ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งการจัดทําบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกัน ระหว่างกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ กรมคุมประพฤติ และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กับ บริษัท ปตท. น้ํามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) เพื่อดําเนินการศึกษาเพื่อส่งเสริมการสร้างงานโดยการอุดหนุน ผลิตภัณฑ์ บริการ จากผู้กระทําผิด นอกจากนี้ที่ประชุมฯ ได้ร่วมกันพิจารณาการจัดทํากองทุนร่วมกันระหว่างหน่วยงานทั้ง ๓ กรม เพื่อรองรับการบริจาคเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) อีกทั้งพิจารณาการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงการพัฒนาพฤตินิสัยผู้กระทําผิดในสื่อรูปแบบต่างๆ รวมทั้งพิจารณาโครงการที่กําลังดําเนินการ ได้แก่ โครงการ The Hero และโครงการส่งเสริมการศึกษาร่วมกับวิทยาลัยปัญญาภิวัฒน์ โดยที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบการจัดทํากองทุนร่วมกัน ๓ หน่วยงาน พร้อมทั้งมอบหมายให้ฝ่ายเลขาร่างหลักเกณฑ์เรื่องงบประมาณ และให้ดําเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการให้โอกาสแก่ผู้กระทําความผิดภายหลังกลับคืนสู่สังคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19325
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนเที่ยวงาน “เทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ อาเซียนเทรดแฟร์ 2561” (Lava Durian Sisaket & Asean Trade Fair 2018)
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนเที่ยวงาน “เทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ อาเซียนเทรดแฟร์ 2561” (Lava Durian Sisaket & Asean Trade Fair 2018) นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนเที่ยวงาน “เทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ อาเซียนเทรดแฟร์ 2561” (Lava Durian Sisaket & Asean Trade Fair 2018) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 มิ.ย. 61 – 8 ก.ค. 61 ณ สนามสวนปาล์ม วิทยาลัยเกษตรเทคโนโลยีศรีสะเกษ วันนี้ (19 มิถุนายน พ.ศ. 2561) เวลา 08.30 น. ณ โถงกลาง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายธวัช สุระบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมคณะได้เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงาน “เทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ อาเซียนเทรดแฟร์ 2561” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 มิ.ย. 61 – 8 ก.ค. 61 ณ สนามสวนปาล์ม วิทยาลัยเกษตรเทคโนโลยีศรีสะเกษ อําเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ โอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษได้กล่าวรายงานว่าจังหวัดศรีสะเกษถือเป็นดินแดนมหัศจรรย์ (Amazing Si Sa Ket) เพราะเป็นแหล่งรวบรวมการผลิตผลไม้จากทุกภูมิภาคในไทย ซึ่งผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดี มีรสชาติอร่อย เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ เงาะ ทุเรียน สะตอ ลองกอง ลําไย ลิ้นจี่ และ มะปรางหวาน ส้มโอ กระท้อน พร้อมทั้งมีกาแฟทุเรียนภูเขาไฟที่มีรสชาติหอม อร่อย มาจัดแสดงนิทรรศการเพื่อประชาสัมพันธ์ในครั้งนี้ด้วย ซึ่งกิจกรรมภายในงานดังกล่าวประกอบไปด้วย การจัดจําหน่ายผลผลิตทางการเกษตร ผลไม้ ผลิตภัณฑ์จากวิสาหกิจชุมชน และสินค้า OTOP ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ เป็นผลไม้เศรษฐกิจที่มีมูลค่า อีกทั้งมีรสชาติอร่อย กรอบนอก นุ่มใน หวานน้อย ละมุนลิ้น กลิ่นไม่ฉุน ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตรสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ โดยมีพื้นที่ในการเพาะปลูกประมาณ 7,500 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 3 อําเภอของจังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ อําเภอกันทรลักษ์ อําเภอขุนหาญ และอําเภอศรีรัตนะ จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินเยี่ยมชมงานนิทรรศการที่มาจัดแสดงพร้อมกล่าวชื่นชมผลไม้ต่าง ๆ และสินค้าแปรรูปจากการเกษตร ซึ่งเป็นของดีประจําจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมกับเชิญชวนประชาชนให้ไปเที่ยวงานเทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีษะเกษ อาเซียนเทรดแฟร์ 2561 ดังกล่าว เพื่อจะได้มีโอกาสลิ้มลองทุเรียนภูเขาไฟของจังหวัดศรีสะเกษซึ่งปลูกบนดินภูเขาไฟ ที่มีความกรอบนอกนุ่มใน เนื้อแห้งเนียนละเอียด อร่อยไม่เหมือนใคร ดังคํากล่าวว่า “ลองแล้วจะติดใจ” ......................................................................................................... กลุ่มประสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนเที่ยวงาน “เทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ อาเซียนเทรดแฟร์ 2561” (Lava Durian Sisaket & Asean Trade Fair 2018) วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนเที่ยวงาน “เทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ อาเซียนเทรดแฟร์ 2561” (Lava Durian Sisaket & Asean Trade Fair 2018) นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนเที่ยวงาน “เทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ อาเซียนเทรดแฟร์ 2561” (Lava Durian Sisaket & Asean Trade Fair 2018) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 มิ.ย. 61 – 8 ก.ค. 61 ณ สนามสวนปาล์ม วิทยาลัยเกษตรเทคโนโลยีศรีสะเกษ วันนี้ (19 มิถุนายน พ.ศ. 2561) เวลา 08.30 น. ณ โถงกลาง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายธวัช สุระบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมคณะได้เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงาน “เทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ อาเซียนเทรดแฟร์ 2561” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 มิ.ย. 61 – 8 ก.ค. 61 ณ สนามสวนปาล์ม วิทยาลัยเกษตรเทคโนโลยีศรีสะเกษ อําเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ โอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษได้กล่าวรายงานว่าจังหวัดศรีสะเกษถือเป็นดินแดนมหัศจรรย์ (Amazing Si Sa Ket) เพราะเป็นแหล่งรวบรวมการผลิตผลไม้จากทุกภูมิภาคในไทย ซึ่งผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดี มีรสชาติอร่อย เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ เงาะ ทุเรียน สะตอ ลองกอง ลําไย ลิ้นจี่ และ มะปรางหวาน ส้มโอ กระท้อน พร้อมทั้งมีกาแฟทุเรียนภูเขาไฟที่มีรสชาติหอม อร่อย มาจัดแสดงนิทรรศการเพื่อประชาสัมพันธ์ในครั้งนี้ด้วย ซึ่งกิจกรรมภายในงานดังกล่าวประกอบไปด้วย การจัดจําหน่ายผลผลิตทางการเกษตร ผลไม้ ผลิตภัณฑ์จากวิสาหกิจชุมชน และสินค้า OTOP ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ เป็นผลไม้เศรษฐกิจที่มีมูลค่า อีกทั้งมีรสชาติอร่อย กรอบนอก นุ่มใน หวานน้อย ละมุนลิ้น กลิ่นไม่ฉุน ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตรสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ โดยมีพื้นที่ในการเพาะปลูกประมาณ 7,500 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 3 อําเภอของจังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ อําเภอกันทรลักษ์ อําเภอขุนหาญ และอําเภอศรีรัตนะ จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินเยี่ยมชมงานนิทรรศการที่มาจัดแสดงพร้อมกล่าวชื่นชมผลไม้ต่าง ๆ และสินค้าแปรรูปจากการเกษตร ซึ่งเป็นของดีประจําจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมกับเชิญชวนประชาชนให้ไปเที่ยวงานเทศกาลทุเรียนภูเขาไฟศรีษะเกษ อาเซียนเทรดแฟร์ 2561 ดังกล่าว เพื่อจะได้มีโอกาสลิ้มลองทุเรียนภูเขาไฟของจังหวัดศรีสะเกษซึ่งปลูกบนดินภูเขาไฟ ที่มีความกรอบนอกนุ่มใน เนื้อแห้งเนียนละเอียด อร่อยไม่เหมือนใคร ดังคํากล่าวว่า “ลองแล้วจะติดใจ” ......................................................................................................... กลุ่มประสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13163
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง ดำเนินการปรับปรุงความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนทั่วประเทศแล้ว 1,502 แห่ง เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
วันอังคารที่ 3 ตุลาคม 2560 กรมทางหลวง ดําเนินการปรับปรุงความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนทั่วประเทศแล้ว 1,502 แห่ง เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงคมนาคมได้กําหนดให้ปีพ.ศ.2554 – 2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน(Decade of Action for Road Safety) โดยมีเป้าหมายลดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 50% รวมถึง รัฐบาลได้กําหนดให้การสร้างความปลอดภัยทางถนนเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งบริเวณหน้าโรงเรียนถือเป็นพื้นที่ที่มีผู้ปกครองและยานพาหนะเดินทางมารับ-ส่งนักเรียน เป็นประจําและมีการเดินข้ามถนนตัดกระแสจราจรจนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้บ่อยครั้งนั้น กรมทางหลวง ได้ให้ความสําคัญกับการดําเนินงานตามนโยบายดังกล่าว จึงได้ดําเนินงานปรับปรุงความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียน โดยดําเนินการติดตั้งป้ายจํากัดความเร็ว ป้ายเขตโรงเรียน (School Zone) และจัดทําเครื่องหมายจราจรบนผิวทาง เช่น การตีเส้นช่องทางเป็นสัญลักษณ์ให้ลดความเร็ว (Optical Speed Bar) วัสดุเคลือบผิวจราจรต้านทานการลื่นไถล และเครื่องหมายจํากัดความเร็วบนผิวทาง ในพื้นที่รับผิดชอบของกรมทางหลวงทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มมาตรการความปลอดภัย ลดความเสี่ยง และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบริเวณหน้าโรงเรียน รวมทั้ง ส่งเสริมความเข้าใจและปลูกฝังการเคารพกฎจราจรของนักเรียนและผู้ปกครองอีกด้วย อธิบดีกรมทางหลวงกล่าวต่อไปว่า ระหว่างปีงบประมาณ 2559 – 2561 กรมทางหลวงได้ดําเนินการปรับปรุงความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนไปแล้วทั้งสิ้น จํานวน 1,502 แห่ง งบประมาณรวม 789.7414 ล้านบาท โดยหากจําแนกตามรายภาค ได้แก่ ภาคเหนือ 343 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 455 แห่ง ภาคกลาง 328 แห่ง และภาคใต้ 376 แห่ง อีกทั้ง ในปีงบประมาณ 2561 อยู่ระหว่างดําเนินการ จํานวน 136 แห่ง งบประมาณรวม 67.4236 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการของบประมาณปี 2562 จํานวน 1,206 แห่ง งบประมาณรวม 1,436.0080 ล้านบาท
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง ดำเนินการปรับปรุงความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนทั่วประเทศแล้ว 1,502 แห่ง เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ วันอังคารที่ 3 ตุลาคม 2560 กรมทางหลวง ดําเนินการปรับปรุงความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนทั่วประเทศแล้ว 1,502 แห่ง เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงคมนาคมได้กําหนดให้ปีพ.ศ.2554 – 2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน(Decade of Action for Road Safety) โดยมีเป้าหมายลดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 50% รวมถึง รัฐบาลได้กําหนดให้การสร้างความปลอดภัยทางถนนเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งบริเวณหน้าโรงเรียนถือเป็นพื้นที่ที่มีผู้ปกครองและยานพาหนะเดินทางมารับ-ส่งนักเรียน เป็นประจําและมีการเดินข้ามถนนตัดกระแสจราจรจนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้บ่อยครั้งนั้น กรมทางหลวง ได้ให้ความสําคัญกับการดําเนินงานตามนโยบายดังกล่าว จึงได้ดําเนินงานปรับปรุงความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียน โดยดําเนินการติดตั้งป้ายจํากัดความเร็ว ป้ายเขตโรงเรียน (School Zone) และจัดทําเครื่องหมายจราจรบนผิวทาง เช่น การตีเส้นช่องทางเป็นสัญลักษณ์ให้ลดความเร็ว (Optical Speed Bar) วัสดุเคลือบผิวจราจรต้านทานการลื่นไถล และเครื่องหมายจํากัดความเร็วบนผิวทาง ในพื้นที่รับผิดชอบของกรมทางหลวงทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มมาตรการความปลอดภัย ลดความเสี่ยง และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบริเวณหน้าโรงเรียน รวมทั้ง ส่งเสริมความเข้าใจและปลูกฝังการเคารพกฎจราจรของนักเรียนและผู้ปกครองอีกด้วย อธิบดีกรมทางหลวงกล่าวต่อไปว่า ระหว่างปีงบประมาณ 2559 – 2561 กรมทางหลวงได้ดําเนินการปรับปรุงความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนไปแล้วทั้งสิ้น จํานวน 1,502 แห่ง งบประมาณรวม 789.7414 ล้านบาท โดยหากจําแนกตามรายภาค ได้แก่ ภาคเหนือ 343 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 455 แห่ง ภาคกลาง 328 แห่ง และภาคใต้ 376 แห่ง อีกทั้ง ในปีงบประมาณ 2561 อยู่ระหว่างดําเนินการ จํานวน 136 แห่ง งบประมาณรวม 67.4236 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการของบประมาณปี 2562 จํานวน 1,206 แห่ง งบประมาณรวม 1,436.0080 ล้านบาท
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7140
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. สนับสนุน ส่งเสริม โครงการ “ยุวชนอาสา”
วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2562 อว. สนับสนุน ส่งเสริม โครงการ “ยุวชนอาสา” อว. สนับสนุน ส่งเสริม โครงการ “ยุวชนอาสา” 16 ธันวาคม 2562 : ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้โอวาทและแนวทางการทํางานกับนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการยุวชนอาสา พร้อมทั้งรับฟังผู้แทนนักศึกษานําเสนอโครงการตัวอย่างนําร่องในโครงการยุวชนอาสาในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์และมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยมี อธิการบดีมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ กล่าวรายงานความพร้อมในการดําเนินโครงการฯ ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ณ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยการนําของดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมได้ดําเนินโครงการ “ยุวชนอาสา” เพื่อเป็นปฏิรูปการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในการปฏิบัติงานได้จริง นําองค์ความรู้ที่หลากหลาย ในสถาบันอุดมศึกษามาบูรณาการแก้ไขปัญหา พัฒนาชุมชนในมิติต่าง ๆ สร้างองค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากการวิจัย และการสร้างนวัตกรรมสังคมที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาประเทศ และเพื่อสนับสนุนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนอุดมศึกษาระยะยาว และแผนปฏิรูประบบการอุดมศึกษา ที่มุ่งไปสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ประเทศไทย โครงการ“ยุวชนอาสา” เป็นโครงงานที่ทําร่วมกับชุมชน โดยมีนิสิต/นักศึกษา จากหลากหลายสาขา ลงไปศึกษาวิเคราะห์ ประมวลผลชุมชน เพื่อนํามาวางโครงงานและนําองค์ความรู้ที่หลากหลายในสถาบันอุดมศึกษา มาบูรณาการ ทํางานร่วมกับชุมชน ในการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา และพัฒนาคุณภาพชีวิต ของคนในชุมชน โดยมีนิสิต/นักศึกษาจํานวน 8-10 คน/โครงงาน และมีอาจารย์จากสถาบันอุดมศึกษาเป็นที่ปรึกษาร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อทําหน้าที่เป็นผู้นิเทศงานให้กับกลุ่มนิสิต/นักศึกษา ระยะเวลาในการดําเนินโครงงาน 1 ภาคการศึกษา จํานวน 83 โครงงาน ลงชุมชนในพื้นที่เป้าหมาย 83 ตําบล ใน 15 อําเภอ จาก ทั้งหมด 18 อําเภอ ของจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งประสบปัญหาด้านความยากจน ความเหลื่อมล้ํา หรือปัญหาคุณภาพชีวิตในมิติต่าง ๆ ซึ่งในปีแรกของการดําเนินโครงการ“ยุวชนอาสา” ได้กําหนดพื้นที่เป้าหมายคือจังหวัดกาฬสินธุ์ เนื่องจากเป็นจังหวัดยากจน 1 ใน 4 ของประเทศ ระยะเวลาดําเนินโครงการยุวชนอาสา ระยะที่ 1 ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2562 - กันยายน 2563 มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ในฐานะมหาวิทยาลัยในพื้นที่ได้รับเป็นเจ้าภาพและ เป็นผู้ประสานงานของการดําเนินการโครงการยุวชนอาสาซึ่งได้ดําเนินการจัดโครงการ“การประชุมเตรียมการโครงการยุวชนอาสาในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์”ในระหว่าง วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562 – วันจันทร์ที่16 ธันวาคม 2562 ณ จังหวัดกาฬสินธุ์ และ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ขึ้น ซึ่งมี มหาวิทยาลัยเข้าร่วมโครงการ 7 มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ สกลนคร มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ และมหาวิทยาลัยศรีปทุม ในงานมีการประชุมหารือข้อราชการกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนนักศึกษา คณาจารย์ที่ร่วมโครงการ จํานวนกว่า 800 คน โดยมี วัตถุประสงค์ เพื่อการประชุมเตรียมการโครงการยุวชนอาสาในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อการประชาสัมพันธ์และเตรียมความพร้อมให้แก่นักศึกษาในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในการปฏิบัติงานได้จริง นําองค์ความรู้ที่หลากหลาย ในสถาบันอุดมศึกษามาบูรณาการแก้ไขปัญหา พัฒนาชุมชนในมิติต่าง ๆ เพื่อลดความเหลือมล้ําและแก้ไขปัญหาความยากจน ในพื้นที่ ตลอดจนเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดโครงการยุวชนอาสา ที่จะมีการเปิดโรงการอย่างเป็นทางการ ณ ทําเนียบรัฐบาล ในวันที่ 13 มกราคม 2563 เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. สนับสนุน ส่งเสริม โครงการ “ยุวชนอาสา” วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2562 อว. สนับสนุน ส่งเสริม โครงการ “ยุวชนอาสา” อว. สนับสนุน ส่งเสริม โครงการ “ยุวชนอาสา” 16 ธันวาคม 2562 : ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้โอวาทและแนวทางการทํางานกับนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการยุวชนอาสา พร้อมทั้งรับฟังผู้แทนนักศึกษานําเสนอโครงการตัวอย่างนําร่องในโครงการยุวชนอาสาในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์และมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยมี อธิการบดีมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ กล่าวรายงานความพร้อมในการดําเนินโครงการฯ ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ณ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยการนําของดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมได้ดําเนินโครงการ “ยุวชนอาสา” เพื่อเป็นปฏิรูปการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในการปฏิบัติงานได้จริง นําองค์ความรู้ที่หลากหลาย ในสถาบันอุดมศึกษามาบูรณาการแก้ไขปัญหา พัฒนาชุมชนในมิติต่าง ๆ สร้างองค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากการวิจัย และการสร้างนวัตกรรมสังคมที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาประเทศ และเพื่อสนับสนุนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนอุดมศึกษาระยะยาว และแผนปฏิรูประบบการอุดมศึกษา ที่มุ่งไปสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ประเทศไทย โครงการ“ยุวชนอาสา” เป็นโครงงานที่ทําร่วมกับชุมชน โดยมีนิสิต/นักศึกษา จากหลากหลายสาขา ลงไปศึกษาวิเคราะห์ ประมวลผลชุมชน เพื่อนํามาวางโครงงานและนําองค์ความรู้ที่หลากหลายในสถาบันอุดมศึกษา มาบูรณาการ ทํางานร่วมกับชุมชน ในการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา และพัฒนาคุณภาพชีวิต ของคนในชุมชน โดยมีนิสิต/นักศึกษาจํานวน 8-10 คน/โครงงาน และมีอาจารย์จากสถาบันอุดมศึกษาเป็นที่ปรึกษาร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อทําหน้าที่เป็นผู้นิเทศงานให้กับกลุ่มนิสิต/นักศึกษา ระยะเวลาในการดําเนินโครงงาน 1 ภาคการศึกษา จํานวน 83 โครงงาน ลงชุมชนในพื้นที่เป้าหมาย 83 ตําบล ใน 15 อําเภอ จาก ทั้งหมด 18 อําเภอ ของจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งประสบปัญหาด้านความยากจน ความเหลื่อมล้ํา หรือปัญหาคุณภาพชีวิตในมิติต่าง ๆ ซึ่งในปีแรกของการดําเนินโครงการ“ยุวชนอาสา” ได้กําหนดพื้นที่เป้าหมายคือจังหวัดกาฬสินธุ์ เนื่องจากเป็นจังหวัดยากจน 1 ใน 4 ของประเทศ ระยะเวลาดําเนินโครงการยุวชนอาสา ระยะที่ 1 ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2562 - กันยายน 2563 มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ในฐานะมหาวิทยาลัยในพื้นที่ได้รับเป็นเจ้าภาพและ เป็นผู้ประสานงานของการดําเนินการโครงการยุวชนอาสาซึ่งได้ดําเนินการจัดโครงการ“การประชุมเตรียมการโครงการยุวชนอาสาในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์”ในระหว่าง วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562 – วันจันทร์ที่16 ธันวาคม 2562 ณ จังหวัดกาฬสินธุ์ และ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ขึ้น ซึ่งมี มหาวิทยาลัยเข้าร่วมโครงการ 7 มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ สกลนคร มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ และมหาวิทยาลัยศรีปทุม ในงานมีการประชุมหารือข้อราชการกับอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนนักศึกษา คณาจารย์ที่ร่วมโครงการ จํานวนกว่า 800 คน โดยมี วัตถุประสงค์ เพื่อการประชุมเตรียมการโครงการยุวชนอาสาในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อการประชาสัมพันธ์และเตรียมความพร้อมให้แก่นักศึกษาในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในการปฏิบัติงานได้จริง นําองค์ความรู้ที่หลากหลาย ในสถาบันอุดมศึกษามาบูรณาการแก้ไขปัญหา พัฒนาชุมชนในมิติต่าง ๆ เพื่อลดความเหลือมล้ําและแก้ไขปัญหาความยากจน ในพื้นที่ ตลอดจนเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดโครงการยุวชนอาสา ที่จะมีการเปิดโรงการอย่างเป็นทางการ ณ ทําเนียบรัฐบาล ในวันที่ 13 มกราคม 2563 เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25493
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอกประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ครั้งที่ 1/2561
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 รอง นรม. พลเอกประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ครั้งที่ 1/2561 รอง นรม. พลเอกประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 1/2561 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดิน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้ ( 8 กุมภาพันธ์ 2561 ) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุม คปต.ได้รับทราบการจัดทํางบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ซึ่งได้กลั่นกรองรายละเอียดแผนงาน/โครงการ ให้สอดคล้องกับจุดเน้นเพื่อการแก้ไขปัญหาทั้งในด้านความมั่นคง ด้านการพัฒนา และด้านการสร้างความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งกระบวนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อใช้เป็นกรอบการขับเคลื่อนงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่วมกัน ประกอบด้วย แผนปฏิบัติการโครงการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยขยายพื้นที่เป้าหมายเพื่อสํารวจออกโฉนดที่ดินซึ่งจะช่วยให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ ได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อทําการเกษตร และประกอบอาชีพต่าง ๆ อย่างมั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น ตลอดจนการเสริมสร้างความปลอดภัยในพื้นที่ในระดับตําบล โดยสนับสนุนความพร้อมของประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมปฏิบัติงานกับภาครัฐ ด้วยการเป็นสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน และจัดชุดคุ้มครองตําบล รวมทั้ง สนับสนุนการดําเนินงานสร้างความรู้ความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันของเยาวชนในพื้นที่ ตามแนวทางส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ซึ่งมีความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม ตอนท้ายของการประชุม ประธานฯ ได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคงเร่งดําเนินการตามแผนงานและกระบวนการขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดําเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวเดินทางไปตรวจราชการเมื่อปลายปี 2560 ซึ่งมุ่งเน้นให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บูรณาการการทํางานร่วมกัน เพื่อมุ่งเป้าหมายให้พี่น้องประชาชนมีรายได้และมีความเข้มแข็งมากขึ้น พร้อมมีวิถีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและมีความมั่นคงอย่างยั่งยืนต่อไป ................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอกประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ครั้งที่ 1/2561 วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 รอง นรม. พลเอกประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ครั้งที่ 1/2561 รอง นรม. พลเอกประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 1/2561 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดิน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้ ( 8 กุมภาพันธ์ 2561 ) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุม คปต.ได้รับทราบการจัดทํางบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ซึ่งได้กลั่นกรองรายละเอียดแผนงาน/โครงการ ให้สอดคล้องกับจุดเน้นเพื่อการแก้ไขปัญหาทั้งในด้านความมั่นคง ด้านการพัฒนา และด้านการสร้างความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งกระบวนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อใช้เป็นกรอบการขับเคลื่อนงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่วมกัน ประกอบด้วย แผนปฏิบัติการโครงการเดินสํารวจออกโฉนดที่ดินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยขยายพื้นที่เป้าหมายเพื่อสํารวจออกโฉนดที่ดินซึ่งจะช่วยให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ ได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อทําการเกษตร และประกอบอาชีพต่าง ๆ อย่างมั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น ตลอดจนการเสริมสร้างความปลอดภัยในพื้นที่ในระดับตําบล โดยสนับสนุนความพร้อมของประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมปฏิบัติงานกับภาครัฐ ด้วยการเป็นสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน และจัดชุดคุ้มครองตําบล รวมทั้ง สนับสนุนการดําเนินงานสร้างความรู้ความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันของเยาวชนในพื้นที่ ตามแนวทางส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ซึ่งมีความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม ตอนท้ายของการประชุม ประธานฯ ได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคงเร่งดําเนินการตามแผนงานและกระบวนการขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดําเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวเดินทางไปตรวจราชการเมื่อปลายปี 2560 ซึ่งมุ่งเน้นให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บูรณาการการทํางานร่วมกัน เพื่อมุ่งเป้าหมายให้พี่น้องประชาชนมีรายได้และมีความเข้มแข็งมากขึ้น พร้อมมีวิถีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและมีความมั่นคงอย่างยั่งยืนต่อไป ................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9942
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. มอบโล่ประกาศเกียรติคุณเชิดชูเกียรติอาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่นแห่งชาติ เนื่องในวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจำปี 2562
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562 พม. มอบโล่ประกาศเกียรติคุณเชิดชูเกียรติอาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่นแห่งชาติ เนื่องในวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจําปี 2562 พม. มอบโล่ประกาศเกียรติคุณเชิดชูเกียรติอาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่นแห่งชาติ เนื่องในวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจําปี 2562 วันที่ 21 ต.ค. 62 เวลา 15.30 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ โปรดให้ หม่อมหลวงสราลี กิติยากร เป็นผู้แทนพระองค์ มอบโล่ประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่นแห่งชาติ เนื่องในวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจําปี 2562 โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พลเอกสิงหา เสาวภาพ ประธานสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ให้การต้อนรับ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อปี 2538 กําหนดให้วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ และปี 2543 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันอาสาสมัครไทยด้วย คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กําหนดจัดกิจกรรมวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและอาสาสมัครไทยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเป็นประจําทุกปีนับตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา พร้อมทั้งจัดให้มีการประชุมสมัชชาสวัสดิการสังคมแห่งชาติ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์ทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนอาสาสมัคร ได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันเป็นประจําทุกปี ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) จึงได้กําหนดจัดงานวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจําปี 2562 ขึ้น ในวันที่ 21 ตุลาคม 2562 โดยร่วมกับสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติอาสาสมัครและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น พร้อมทั้งกําหนดจัดการประชุมสมัชชาสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 27 นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับปี 2562 เป็นปีที่ 27 ของการจัดงานวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ซึ่งที่ผ่านมามีอาสาสมัครดีเด่นและองค์กรที่ได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น 3,838 ราย ประกอบด้วย อาสาสมัครดีเด่น 3,624 คน และองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น 214 องค์การ โดยมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย 1) พิธีประทานโล่เกียรติคุณแก่อาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น จํานวนทั้งสิ้น 256 ราย ได้แก่ อาสาสมัครดีเด่น จํานวน 241 คน อาทิ นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา วิทยากรให้ความรู้แก่นักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่างๆ และถ่ายทอดเอกลักษณ์วิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมอันดีงามของประเทศไทย โดยใช้เทคนิคการจัดสวนเพื่อสื่อความหมายสู่สายตาชาวโลก และว่าที่ร้อยตรี นิกร สังขศิริ ศาสนพิธีกรถวายงานในโอกาสพระราชพิธีสําคัญ วิทยากรบรรยายเกี่ยวกับสถาบันหลักของชาติ ประวัติศาสตร์ชาติไทย พระราชปณิธานเกี่ยวกับจิตอาสา และกู้ฟื้นคืนชีพเบื้องต้น (CPR & AED) เป็นต้น และองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น จํานวน 15 องค์การ อาทิ มูลนิธิ เอช เอช เอ็น เพื่อเด็กไทยที่ช่วยเหลือและสนับสนุนเด็กกําพร้า เด็กเร่ร่อน และผู้ด้อยโอกาส ผ่านกระบวนการงานสังคมสงเคราะห์ รวมไปถึงการต่อต้านการค้ามนุษย์โดยไม่เลือกปฏิบัติ เป็นต้น นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า และ 2) เวทีสมัชชาสวัสดิการสังคมแห่งชาติ หัวข้อ “ทิศทางการขับเคลื่อน Productive Welfare เพื่อการพัฒนาและพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน” โดย ศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้อํานวยการส่วนการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค นางสาวปุญณภัทร ฟอสเตอร์ รองผู้จัดการวิสาหกิจสุขภาพชุมชน นางสาวชุติมา พัฒนพงศ์ นักวิชาการอิสระ และนางสาวธิดาพร เสาวนะ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ร่วมเสวนา “ทั้งนี้ กระทรวง พม. ขอแสดงความยินดีและยกย่องเชิดชูเกียรติอาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2562 และหวังว่าการประชุมสมัชชาสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ในประเด็น“ทิศทางการขับเคลื่อน Productive Welfare เพื่อการพัฒนาและพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน” จะเป็นแนวทางและข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการพัฒนาสังคมที่จะส่งผลให้ประชาชนและผู้ที่ประสบปัญหาทางสังคมได้รับการดูแล และได้รับบริการทางสังคมที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข เป็นการลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรม และร่วมมือร่วมใจพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. มอบโล่ประกาศเกียรติคุณเชิดชูเกียรติอาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่นแห่งชาติ เนื่องในวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจำปี 2562 วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562 พม. มอบโล่ประกาศเกียรติคุณเชิดชูเกียรติอาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่นแห่งชาติ เนื่องในวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจําปี 2562 พม. มอบโล่ประกาศเกียรติคุณเชิดชูเกียรติอาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่นแห่งชาติ เนื่องในวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจําปี 2562 วันที่ 21 ต.ค. 62 เวลา 15.30 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ โปรดให้ หม่อมหลวงสราลี กิติยากร เป็นผู้แทนพระองค์ มอบโล่ประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่นแห่งชาติ เนื่องในวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจําปี 2562 โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พลเอกสิงหา เสาวภาพ ประธานสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ให้การต้อนรับ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อปี 2538 กําหนดให้วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ และปี 2543 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันอาสาสมัครไทยด้วย คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กําหนดจัดกิจกรรมวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและอาสาสมัครไทยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเป็นประจําทุกปีนับตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา พร้อมทั้งจัดให้มีการประชุมสมัชชาสวัสดิการสังคมแห่งชาติ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์ทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนอาสาสมัคร ได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันเป็นประจําทุกปี ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) จึงได้กําหนดจัดงานวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจําปี 2562 ขึ้น ในวันที่ 21 ตุลาคม 2562 โดยร่วมกับสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติอาสาสมัครและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น พร้อมทั้งกําหนดจัดการประชุมสมัชชาสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 27 นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับปี 2562 เป็นปีที่ 27 ของการจัดงานวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ซึ่งที่ผ่านมามีอาสาสมัครดีเด่นและองค์กรที่ได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น 3,838 ราย ประกอบด้วย อาสาสมัครดีเด่น 3,624 คน และองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น 214 องค์การ โดยมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย 1) พิธีประทานโล่เกียรติคุณแก่อาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น จํานวนทั้งสิ้น 256 ราย ได้แก่ อาสาสมัครดีเด่น จํานวน 241 คน อาทิ นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา วิทยากรให้ความรู้แก่นักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่างๆ และถ่ายทอดเอกลักษณ์วิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมอันดีงามของประเทศไทย โดยใช้เทคนิคการจัดสวนเพื่อสื่อความหมายสู่สายตาชาวโลก และว่าที่ร้อยตรี นิกร สังขศิริ ศาสนพิธีกรถวายงานในโอกาสพระราชพิธีสําคัญ วิทยากรบรรยายเกี่ยวกับสถาบันหลักของชาติ ประวัติศาสตร์ชาติไทย พระราชปณิธานเกี่ยวกับจิตอาสา และกู้ฟื้นคืนชีพเบื้องต้น (CPR & AED) เป็นต้น และองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น จํานวน 15 องค์การ อาทิ มูลนิธิ เอช เอช เอ็น เพื่อเด็กไทยที่ช่วยเหลือและสนับสนุนเด็กกําพร้า เด็กเร่ร่อน และผู้ด้อยโอกาส ผ่านกระบวนการงานสังคมสงเคราะห์ รวมไปถึงการต่อต้านการค้ามนุษย์โดยไม่เลือกปฏิบัติ เป็นต้น นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า และ 2) เวทีสมัชชาสวัสดิการสังคมแห่งชาติ หัวข้อ “ทิศทางการขับเคลื่อน Productive Welfare เพื่อการพัฒนาและพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน” โดย ศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้อํานวยการส่วนการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค นางสาวปุญณภัทร ฟอสเตอร์ รองผู้จัดการวิสาหกิจสุขภาพชุมชน นางสาวชุติมา พัฒนพงศ์ นักวิชาการอิสระ และนางสาวธิดาพร เสาวนะ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ร่วมเสวนา “ทั้งนี้ กระทรวง พม. ขอแสดงความยินดีและยกย่องเชิดชูเกียรติอาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2562 และหวังว่าการประชุมสมัชชาสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ในประเด็น“ทิศทางการขับเคลื่อน Productive Welfare เพื่อการพัฒนาและพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน” จะเป็นแนวทางและข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการพัฒนาสังคมที่จะส่งผลให้ประชาชนและผู้ที่ประสบปัญหาทางสังคมได้รับการดูแล และได้รับบริการทางสังคมที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข เป็นการลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรม และร่วมมือร่วมใจพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23970
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ เน้นย้ำใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ฝากผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมาย
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ เน้นย้ําใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า ฝากผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมาย นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ เน้นย้ําใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า ฝากผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมาย วันนี้ (27 มีนาคม 2561) เวลา 14.15 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความปลอดภัยในการเดินทางว่า เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังและรัฐบาลมีมาตราการกวดขัน ดูแลอย่างต่อเนื่อง ไม่เน้นเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น แต่เน้นย้ําความปลอดภัยตลอดทั้งปี โดยได้สั่งการให้มีการตรวจสภาพยานพาหนะ ตรวจหาสารเสพติดของพนักงานขับรถทุกคัน หากมีการตรวจพบสารเสพติดจะต้องมีบทลงโทษ และขึ้นบัญชีจนกว่าจะผ่านการตรวจสอบ สําหรับในปีนี้ขอให้เป็นสงกรานต์ที่ปลอดภัย ใช้น้ําอย่างมีคุณค่า ประหยัด อย่าใช้น้ําเพื่อความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว เล่นสงกรานต์ตามขนบธรรมเนียมประเพณี ส่วนเรื่องอุบัติเหตุมีนโยบายทําอย่างไรให้การโดยสารรถเพื่อเดินทางไปต่างจังหวัดมีความปลอดภัย ซึ่งที่ผ่านมาอาจขาดมาตรการการควบคุมที่เข้มงวด รถโดยสารสาธารณะมีความสูงเกินที่กฎหมายกําหนด รัฐบาลจะมีมาตรการเร่งรัดออกมาบังคับใช้ซึ่งอาจทําให้ส่งผลกระทบกับธุรกิจแต่ขอเน้นย้ําผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามกฎหมายของกรมการขนส่งทางบก ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวเป็นมาตรการระยะยาวที่จะดําเนินการปรับแก้ เพื่อช่วยลดอัตราการสูญเสียในอนาคต ---------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ เน้นย้ำใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ฝากผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมาย วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ เน้นย้ําใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า ฝากผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมาย นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ เน้นย้ําใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า ฝากผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมาย วันนี้ (27 มีนาคม 2561) เวลา 14.15 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความปลอดภัยในการเดินทางว่า เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังและรัฐบาลมีมาตราการกวดขัน ดูแลอย่างต่อเนื่อง ไม่เน้นเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น แต่เน้นย้ําความปลอดภัยตลอดทั้งปี โดยได้สั่งการให้มีการตรวจสภาพยานพาหนะ ตรวจหาสารเสพติดของพนักงานขับรถทุกคัน หากมีการตรวจพบสารเสพติดจะต้องมีบทลงโทษ และขึ้นบัญชีจนกว่าจะผ่านการตรวจสอบ สําหรับในปีนี้ขอให้เป็นสงกรานต์ที่ปลอดภัย ใช้น้ําอย่างมีคุณค่า ประหยัด อย่าใช้น้ําเพื่อความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว เล่นสงกรานต์ตามขนบธรรมเนียมประเพณี ส่วนเรื่องอุบัติเหตุมีนโยบายทําอย่างไรให้การโดยสารรถเพื่อเดินทางไปต่างจังหวัดมีความปลอดภัย ซึ่งที่ผ่านมาอาจขาดมาตรการการควบคุมที่เข้มงวด รถโดยสารสาธารณะมีความสูงเกินที่กฎหมายกําหนด รัฐบาลจะมีมาตรการเร่งรัดออกมาบังคับใช้ซึ่งอาจทําให้ส่งผลกระทบกับธุรกิจแต่ขอเน้นย้ําผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามกฎหมายของกรมการขนส่งทางบก ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวเป็นมาตรการระยะยาวที่จะดําเนินการปรับแก้ เพื่อช่วยลดอัตราการสูญเสียในอนาคต ---------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11103
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ออมสิน แจ้งปิดปรับปรุงระบบ Internet Banking ชั่วคราว 21 และ 22 มีนาคมนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้า
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 ธ.ออมสิน แจ้งปิดปรับปรุงระบบ Internet Banking ชั่วคราว 21 และ 22 มีนาคมนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้า ธนาคารออมสินมีการปิดปรับปรุงระบบ Internet Banking (IB) และระบบ Corporate Internet Banking (CoIB) เป็นการชั่วคราว ในวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 23.00 น. ถึงวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563 เวลา 08.30 น. ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินมีการปิดปรับปรุงระบบ Internet Banking (IB) และระบบ Corporate Internet Banking (CoIB) เป็นการชั่วคราว ในวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 23.00 น. ถึงวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563 เวลา 08.30 น. เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการ Internet Banking ได้ใน 2 ช่วงเวลา คือ ในวันเสาร์ที่ 21 และวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563 ระหว่างเวลา 02.00 – 08.30 น. โดยจะกระทบต่อช่องทางและการให้บริการต่างๆ ดังนี้ บริการด้านการทําธุรกรรมทางการเงิน (Financial Services) อาทิ บริการโอนเงินบัญชีตนเองภายในธนาคาร บริการโอนเงินบัญชีบุคคลอื่นภายในธนาคาร บริการโอนเงินระหว่างธนาคาร บริการโอนเงินพร้อมเพย์ และบริการชําระค่าสินค้าและบริการ เป็นต้น ขณะที่บริการด้านการทําธุรกรรมสอบถามข้อมูลทางการเงิน (Non-Financial Services) อาทิ บริการสรุปบัญชีโดยรวม บริการลงทะเบียนพร้อมเพย์ และบริการข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น จะไม่สามารถใช้บริการได้ จึงต้องขออภัยลูกค้าทุกท่านสําหรับความไม่สะดวกในครั้งนี้ด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Line Official, Facebook : GSB Society หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ออมสิน แจ้งปิดปรับปรุงระบบ Internet Banking ชั่วคราว 21 และ 22 มีนาคมนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้า วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 ธ.ออมสิน แจ้งปิดปรับปรุงระบบ Internet Banking ชั่วคราว 21 และ 22 มีนาคมนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้า ธนาคารออมสินมีการปิดปรับปรุงระบบ Internet Banking (IB) และระบบ Corporate Internet Banking (CoIB) เป็นการชั่วคราว ในวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 23.00 น. ถึงวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563 เวลา 08.30 น. ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินมีการปิดปรับปรุงระบบ Internet Banking (IB) และระบบ Corporate Internet Banking (CoIB) เป็นการชั่วคราว ในวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 23.00 น. ถึงวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563 เวลา 08.30 น. เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการ Internet Banking ได้ใน 2 ช่วงเวลา คือ ในวันเสาร์ที่ 21 และวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563 ระหว่างเวลา 02.00 – 08.30 น. โดยจะกระทบต่อช่องทางและการให้บริการต่างๆ ดังนี้ บริการด้านการทําธุรกรรมทางการเงิน (Financial Services) อาทิ บริการโอนเงินบัญชีตนเองภายในธนาคาร บริการโอนเงินบัญชีบุคคลอื่นภายในธนาคาร บริการโอนเงินระหว่างธนาคาร บริการโอนเงินพร้อมเพย์ และบริการชําระค่าสินค้าและบริการ เป็นต้น ขณะที่บริการด้านการทําธุรกรรมสอบถามข้อมูลทางการเงิน (Non-Financial Services) อาทิ บริการสรุปบัญชีโดยรวม บริการลงทะเบียนพร้อมเพย์ และบริการข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น จะไม่สามารถใช้บริการได้ จึงต้องขออภัยลูกค้าทุกท่านสําหรับความไม่สะดวกในครั้งนี้ด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Line Official, Facebook : GSB Society หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27434
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม 2561 รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทํานาไม่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทํานาไม่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต 2559/60 ด้านการผลิต และโครงการอนุรักษ์และพัฒนาการผลิตกระบือ ตามแผนปรับโครงสร้างการผลิตและความมั่นคงทางอาหารด้านปศุสั นายลักษณ์ วจนนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทํานาไม่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต 2559/60 ด้านการผลิต ณ จ.อุบลราชธานี ว่า โครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อลดพื้นที่ปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม (S3,N) เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อให้แก่เกษตรกรอย่างยิ่ง และเพื่อวางโครงสร้างการพัฒนาผลิตโคเนื้อทั้งระบบ แบบครบวงจร มีระยะเวลาดําเนินโครงการ ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2559 - วันที่ 30 กันยายน 2565 (6 ปี) เกษตรกรต้องปรับเปลี่ยนพื้นที่นา รายละ 5 ไร่ มาปลูกพืชอาหารสัตว์ โดยได้รับเงินอุดหนุน รายละ 20,000 บาท (ไร่ละ 4,000 บาท) โดย ธ.ก.ส. จะจ่ายเงินอุดหนุนค่าจัดทําแปลงหญ้า เมื่อเกษตรกรดําเนินกิจกรรมนั้น ๆ เสร็จสิ้นแล้ว ได้แก่ ค่าเตรียมดิน และค่าระบบน้ําแบบประหยัด ทั้งนี้ ผลการดําเนินงานของจังหวัดอุบลราชธานี มีการดําเนินการในพื้นที่ 17 อําเภอ 87 กลุ่ม สมาชิกทั้งหมด 685 ราย งบประมาณทั้งสิ้น 171,000,000 บาท แบ่งเป็น โคเนื้อ จํานวน 78 กลุ่ม เกษตรกร 612 ราย ได้รับเงินกู้จาก ธ.ก.ส. รวม จํานวน 150,850,000 บาท กระบือ จํานวน 9 กลุ่ม เกษตรกร 73 ราย ได้รับเงินกู้จาก ธ.ก.ส. รวม จํานวน 20,150,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีโครงการอนุรักษ์และพัฒนาการผลิตกระบือ ตามแผนปรับโครงสร้างการผลิตและความมั่นคงทางอาหารด้านปศุสัตว์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณกระบือและประสิทธิภาพในระบบการผลิต เพื่อปกป้องพันธุ์กระบือเพศเมียวัยเจริญพันธุ์ และเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกระบืออย่างยั่งยืน มีระยะเวลาดําเนินโครงการ เริ่มปีงบประมาณ 2558 สิ้นสุด ปีงบประมาณ 2562 (รวม 5 ปี) ซึ่งการดําเนินงานของจังหวัดอุบลราชธานี ได้ดําเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ โดยผ่านการอนุมัติสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. จํานวน 29 กลุ่ม เกษตรกรจํานวน 336 ราย เป็นเงินงบประมาณ จํานวน 34,944,000 บาท ซึ่งการดําเนินงานของอําเภอวารินชําราบ ได้จัดตั้งกลุ่มในรูปแบบกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงกระบือเพื่อการอนุรักษ์ จํานวน 1 กลุ่ม ชื่อกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงกระบือเพื่อการอนุรักษ์โพธิ์ใหญ่ สมาชิกได้รับการอนุมัติสินเชื่อจาก ธ.ก.ส.รายละ 100,000 บาท เป็นเงิน 2,000,000 บาท และกรมปศุสัตว์ให้เงินอุดหนุนในการจัดทําแปลงพืชอาหารสัตว์อีกรายละ 4,000 บาท ทั้งนี้ สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการจะต้องจัดซื้อกระบือแม่พันธุ์ เพื่อเลี้ยงขยายพันธุ์ รายละ 2 ตัว จํานวนกระบือแม่พันธุ์ 60 ตัว กระบือพ่อพันธุ์ประจํากลุ่ม 1 ตัว ลูกเกิด 53 ตัว รายได้จากการจําหน่ายกระบือ 31 ตัว (ตัวละประมาณ 21,000 บาท) คิดเป็นมูลค่า 651,000 บาท นอกจากนี้ เกษตรกรยังมีรายได้จากการจําหน่ายมูลสัตว์ ของธนาคารมูลสัตว์ มูลค่า 62,000 บาทด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาไม่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม 2561 รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทํานาไม่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทํานาไม่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต 2559/60 ด้านการผลิต และโครงการอนุรักษ์และพัฒนาการผลิตกระบือ ตามแผนปรับโครงสร้างการผลิตและความมั่นคงทางอาหารด้านปศุสั นายลักษณ์ วจนนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ทํานาไม่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพปศุสัตว์ ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ปีการผลิต 2559/60 ด้านการผลิต ณ จ.อุบลราชธานี ว่า โครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อลดพื้นที่ปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม (S3,N) เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อให้แก่เกษตรกรอย่างยิ่ง และเพื่อวางโครงสร้างการพัฒนาผลิตโคเนื้อทั้งระบบ แบบครบวงจร มีระยะเวลาดําเนินโครงการ ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2559 - วันที่ 30 กันยายน 2565 (6 ปี) เกษตรกรต้องปรับเปลี่ยนพื้นที่นา รายละ 5 ไร่ มาปลูกพืชอาหารสัตว์ โดยได้รับเงินอุดหนุน รายละ 20,000 บาท (ไร่ละ 4,000 บาท) โดย ธ.ก.ส. จะจ่ายเงินอุดหนุนค่าจัดทําแปลงหญ้า เมื่อเกษตรกรดําเนินกิจกรรมนั้น ๆ เสร็จสิ้นแล้ว ได้แก่ ค่าเตรียมดิน และค่าระบบน้ําแบบประหยัด ทั้งนี้ ผลการดําเนินงานของจังหวัดอุบลราชธานี มีการดําเนินการในพื้นที่ 17 อําเภอ 87 กลุ่ม สมาชิกทั้งหมด 685 ราย งบประมาณทั้งสิ้น 171,000,000 บาท แบ่งเป็น โคเนื้อ จํานวน 78 กลุ่ม เกษตรกร 612 ราย ได้รับเงินกู้จาก ธ.ก.ส. รวม จํานวน 150,850,000 บาท กระบือ จํานวน 9 กลุ่ม เกษตรกร 73 ราย ได้รับเงินกู้จาก ธ.ก.ส. รวม จํานวน 20,150,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีโครงการอนุรักษ์และพัฒนาการผลิตกระบือ ตามแผนปรับโครงสร้างการผลิตและความมั่นคงทางอาหารด้านปศุสัตว์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณกระบือและประสิทธิภาพในระบบการผลิต เพื่อปกป้องพันธุ์กระบือเพศเมียวัยเจริญพันธุ์ และเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกระบืออย่างยั่งยืน มีระยะเวลาดําเนินโครงการ เริ่มปีงบประมาณ 2558 สิ้นสุด ปีงบประมาณ 2562 (รวม 5 ปี) ซึ่งการดําเนินงานของจังหวัดอุบลราชธานี ได้ดําเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ โดยผ่านการอนุมัติสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. จํานวน 29 กลุ่ม เกษตรกรจํานวน 336 ราย เป็นเงินงบประมาณ จํานวน 34,944,000 บาท ซึ่งการดําเนินงานของอําเภอวารินชําราบ ได้จัดตั้งกลุ่มในรูปแบบกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงกระบือเพื่อการอนุรักษ์ จํานวน 1 กลุ่ม ชื่อกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงกระบือเพื่อการอนุรักษ์โพธิ์ใหญ่ สมาชิกได้รับการอนุมัติสินเชื่อจาก ธ.ก.ส.รายละ 100,000 บาท เป็นเงิน 2,000,000 บาท และกรมปศุสัตว์ให้เงินอุดหนุนในการจัดทําแปลงพืชอาหารสัตว์อีกรายละ 4,000 บาท ทั้งนี้ สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการจะต้องจัดซื้อกระบือแม่พันธุ์ เพื่อเลี้ยงขยายพันธุ์ รายละ 2 ตัว จํานวนกระบือแม่พันธุ์ 60 ตัว กระบือพ่อพันธุ์ประจํากลุ่ม 1 ตัว ลูกเกิด 53 ตัว รายได้จากการจําหน่ายกระบือ 31 ตัว (ตัวละประมาณ 21,000 บาท) คิดเป็นมูลค่า 651,000 บาท นอกจากนี้ เกษตรกรยังมีรายได้จากการจําหน่ายมูลสัตว์ ของธนาคารมูลสัตว์ มูลค่า 62,000 บาทด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14135
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมวิทยาศาสตร์บริการ ใส่ใจความปลอดภัยคุมเข้มการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19
วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563 กรมวิทยาศาสตร์บริการ ใส่ใจความปลอดภัยคุมเข้มการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 กรมวิทยาศาสตร์บริการ ใส่ใจความปลอดภัยคุมเข้มการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ความสําคัญกับสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยของผู้มาติดต่อขอรับบริการ และข้าราชการ พนักงานทุกคน จึงได้มีการดําเนินการเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสฯ ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขและประกาศกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ฯ เรื่อง มาตรการและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคไวรัสฯ อย่างเคร่งครัด กรมวิทยาศาสตร์บริการ ได้ดําเนินการติดตามให้หน่วยงานภายในทุกสํานัก/กอง ควบคุมดูแลการปฏิบัติตามประกาศมาตรการดังกล่าวอย่างเข้มงวด หากมีเจ้าหน้าที่เดินทางกลับจากประเทศที่ถูกประกาศ เช่น ประเทศกลุ่มเสี่ยง ให้ปฏิบัติงาน ณ ที่พักเป็นเวลา 14 วัน และปฏิบัติตามคําแนะนําของแพทย์โดยเคร่งครัด ในการนี้ กรมวิทยาศาสตร์บริการ ได้จัดให้มีจุดบริการเจลล้างมือภายในศูนย์บริการ One Stop Service และบริเวณหน้าลิฟต์ชั้น 1 ทุกอาคาร และแจกจ่ายเจลล้างมือขนาดพกพาให้แก่บุคลากรทุกคน รวมทั้งมีการดูแลทําความสะอาดบริเวณจุดเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อไวรัสอย่างเข้มงวด ขอให้ผู้มาขอรับบริการกรมวิทยาศาสตร์บริการมีความมั่นใจในการดําเนินการตามมาตรการของกรมวิทยาศาสตร์บริการ ข้อมูลข่าวโดย : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมวิทยาศาสตร์บริการ ใส่ใจความปลอดภัยคุมเข้มการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563 กรมวิทยาศาสตร์บริการ ใส่ใจความปลอดภัยคุมเข้มการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 กรมวิทยาศาสตร์บริการ ใส่ใจความปลอดภัยคุมเข้มการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ความสําคัญกับสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยของผู้มาติดต่อขอรับบริการ และข้าราชการ พนักงานทุกคน จึงได้มีการดําเนินการเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสฯ ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขและประกาศกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ฯ เรื่อง มาตรการและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคไวรัสฯ อย่างเคร่งครัด กรมวิทยาศาสตร์บริการ ได้ดําเนินการติดตามให้หน่วยงานภายในทุกสํานัก/กอง ควบคุมดูแลการปฏิบัติตามประกาศมาตรการดังกล่าวอย่างเข้มงวด หากมีเจ้าหน้าที่เดินทางกลับจากประเทศที่ถูกประกาศ เช่น ประเทศกลุ่มเสี่ยง ให้ปฏิบัติงาน ณ ที่พักเป็นเวลา 14 วัน และปฏิบัติตามคําแนะนําของแพทย์โดยเคร่งครัด ในการนี้ กรมวิทยาศาสตร์บริการ ได้จัดให้มีจุดบริการเจลล้างมือภายในศูนย์บริการ One Stop Service และบริเวณหน้าลิฟต์ชั้น 1 ทุกอาคาร และแจกจ่ายเจลล้างมือขนาดพกพาให้แก่บุคลากรทุกคน รวมทั้งมีการดูแลทําความสะอาดบริเวณจุดเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อไวรัสอย่างเข้มงวด ขอให้ผู้มาขอรับบริการกรมวิทยาศาสตร์บริการมีความมั่นใจในการดําเนินการตามมาตรการของกรมวิทยาศาสตร์บริการ ข้อมูลข่าวโดย : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27118
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย เร่งสร้างการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรค COVID-19
วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563 ไทย เร่งสร้างการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เร่งสร้างการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้ประเทศไทย ทั้งการพัฒนาวัคซีนต้นแบบในประเทศ โดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อยู่ระหว่างพัฒนาวัคซีนต้นแบบเพื่อทดสอบในสัตว์ทดลอง และอยู่ระห วันนี้ (19 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อํานวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้กําหนดแนวทางสร้างการเข้าถึงวัคซีนให้กับประเทศไทยให้เร็วที่สุด โดยการประสานความร่วมมือกับต่างประเทศในการศึกษาวิจัยวัคซีนมาทดสอบในประเทศไทย ได้ประสานกับสถานทูตจีนติดตามความก้าวหน้าการทําข้อตกลงความร่วมมือกับประเทศจีนร่วมศึกษาวิจัยทดสอบวัคซีนในคนระยะที่ 2 ขณะเดียวกัน ในประเทศได้มีความร่วมมือพัฒนาวัคซีนต้นแบบระหว่างหน่วยงาน ได้แก่ การวิจัยของคณะแพทยศาสตร์จุฬา กับบริษัทไบโอเนท-เอเชีย และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะนี้ อยู่ระหว่างการทดลองในสัตว์ก่อนเข้าสู่การทดสอบในคน นําไปสู่การผลิตวัคซีนได้เองภายในประเทศซึ่งจะทําให้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้เร็วขึ้นเป็นพื้นฐานสําคัญในการรับมือโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ในอนาคตได้อีกด้วย ดร.สุภาพร ภูมิอมร ผู้อํานวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อยู่ระหว่างการตรวจระดับภูมิคุ้มกันในเลือดของสัตว์ทดลองที่ได้รับการฉีดวัคซีนต้นแบบ 2 ครั้ง ในการการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์จุฬา กับบริษัทไบโอเนท-เอเชีย ส่วนการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างการเพิ่มจํานวนไวรัส เพื่อนําไปฆ่าเชื้อเป็นวัคซีนเชื้อตาย นําไปฉีดในสัตว์ทดลอง ทั้งนี้ การพัฒนาวัคซีนหลังจากการทดสอบในสัตว์ทดลอง จะทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนในคนอีก 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ทดสอบความปลอดภัยในคน 30-50 คน ระยะที่ 2 การกระตุ้นภูมิคุ้มกัน กลุ่มเล็ก 100 – 150 คน และระยะที่ 3 ให้ผลในการป้องกันโรคในกลุ่มใหญ่ 500 คนขึ้นไป ********************************** 19 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย เร่งสร้างการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563 ไทย เร่งสร้างการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เร่งสร้างการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้ประเทศไทย ทั้งการพัฒนาวัคซีนต้นแบบในประเทศ โดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อยู่ระหว่างพัฒนาวัคซีนต้นแบบเพื่อทดสอบในสัตว์ทดลอง และอยู่ระห วันนี้ (19 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อํานวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้กําหนดแนวทางสร้างการเข้าถึงวัคซีนให้กับประเทศไทยให้เร็วที่สุด โดยการประสานความร่วมมือกับต่างประเทศในการศึกษาวิจัยวัคซีนมาทดสอบในประเทศไทย ได้ประสานกับสถานทูตจีนติดตามความก้าวหน้าการทําข้อตกลงความร่วมมือกับประเทศจีนร่วมศึกษาวิจัยทดสอบวัคซีนในคนระยะที่ 2 ขณะเดียวกัน ในประเทศได้มีความร่วมมือพัฒนาวัคซีนต้นแบบระหว่างหน่วยงาน ได้แก่ การวิจัยของคณะแพทยศาสตร์จุฬา กับบริษัทไบโอเนท-เอเชีย และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะนี้ อยู่ระหว่างการทดลองในสัตว์ก่อนเข้าสู่การทดสอบในคน นําไปสู่การผลิตวัคซีนได้เองภายในประเทศซึ่งจะทําให้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้เร็วขึ้นเป็นพื้นฐานสําคัญในการรับมือโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ในอนาคตได้อีกด้วย ดร.สุภาพร ภูมิอมร ผู้อํานวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อยู่ระหว่างการตรวจระดับภูมิคุ้มกันในเลือดของสัตว์ทดลองที่ได้รับการฉีดวัคซีนต้นแบบ 2 ครั้ง ในการการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์จุฬา กับบริษัทไบโอเนท-เอเชีย ส่วนการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างการเพิ่มจํานวนไวรัส เพื่อนําไปฆ่าเชื้อเป็นวัคซีนเชื้อตาย นําไปฉีดในสัตว์ทดลอง ทั้งนี้ การพัฒนาวัคซีนหลังจากการทดสอบในสัตว์ทดลอง จะทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนในคนอีก 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ทดสอบความปลอดภัยในคน 30-50 คน ระยะที่ 2 การกระตุ้นภูมิคุ้มกัน กลุ่มเล็ก 100 – 150 คน และระยะที่ 3 ให้ผลในการป้องกันโรคในกลุ่มใหญ่ 500 คนขึ้นไป ********************************** 19 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29351
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) ปรับปรุงใหม่
วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560 โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) ปรับปรุงใหม่ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยให้ความเห็นชอบไว้เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นการลดต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการ SMEs และเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) ปรับปรุงใหม่ มีวงเงินค้ําประกันรวม 81,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินค้ําประกันคงเหลือจากการดําเนินโครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) เดิม โดยกําหนดวงเงินค้ําประกันต่อรายไว้ที่ไม่เกิน 40 ล้านบาท รวมทุกสถาบันการเงิน ระยะเวลาค้ําประกันสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 10 ปี และค่าธรรมเนียมค้ําประกันร้อยละ 1.75 ต่อปี โดยรัฐบาลและสถาบันการเงินร่วมรับภาระค่าธรรมเนียมค้ําประกันแทนผู้ประกอบการ SMEs ในช่วง 4 ปีแรก นอกจากนี้ รัฐบาลโดย บสย. ยังได้เพิ่มระดับการจ่ายค่าประกันชดเชยความเสียหาย เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้แก่กลุ่มลูกค้า SMEs มากขึ้น โดยสถาบันการเงินจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบการ SMEs ควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นขอค้ําประกันสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน นายกฤษฎาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับปรุงโครงการดังกล่าวจะช่วยให้ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นประมาณ 27,000 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินประมาณ 136,000 ล้านบาท และมีส่วนช่วยในการเพิ่มระดับการจ้างงานและก่อให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากโครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) ปรับปรุงใหม่ จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการลงทุนและการบริโภคแล้ว ยังจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ SMEs ไทย เพื่อให้เป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) ปรับปรุงใหม่ วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560 โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) ปรับปรุงใหม่ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยให้ความเห็นชอบไว้เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นการลดต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการ SMEs และเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) ปรับปรุงใหม่ มีวงเงินค้ําประกันรวม 81,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินค้ําประกันคงเหลือจากการดําเนินโครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) เดิม โดยกําหนดวงเงินค้ําประกันต่อรายไว้ที่ไม่เกิน 40 ล้านบาท รวมทุกสถาบันการเงิน ระยะเวลาค้ําประกันสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 10 ปี และค่าธรรมเนียมค้ําประกันร้อยละ 1.75 ต่อปี โดยรัฐบาลและสถาบันการเงินร่วมรับภาระค่าธรรมเนียมค้ําประกันแทนผู้ประกอบการ SMEs ในช่วง 4 ปีแรก นอกจากนี้ รัฐบาลโดย บสย. ยังได้เพิ่มระดับการจ่ายค่าประกันชดเชยความเสียหาย เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้แก่กลุ่มลูกค้า SMEs มากขึ้น โดยสถาบันการเงินจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบการ SMEs ควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นขอค้ําประกันสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน นายกฤษฎาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับปรุงโครงการดังกล่าวจะช่วยให้ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นประมาณ 27,000 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินประมาณ 136,000 ล้านบาท และมีส่วนช่วยในการเพิ่มระดับการจ้างงานและก่อให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากโครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) ปรับปรุงใหม่ จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการลงทุนและการบริโภคแล้ว ยังจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ SMEs ไทย เพื่อให้เป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5642
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เตรียมการใช้ระบบประกันภัยเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
วันพุธที่ 12 กันยายน 2561 คปภ. เตรียมการใช้ระบบประกันภัยเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย คปภ. เตรียมการใช้ระบบประกันภัยเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย สั่งการสํานักงาน คปภ.ภาค/จังหวัด ทั่วประเทศและบริษัทประกันภัยให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องในช่วงหน้าฝนปีนี้ทําให้เกิดน้ําป่าไหลหลาก น้ําท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม และบางพื้นที่อาจถูกใช้เป็นพื้นที่รับน้ําเนื่องจากเขื่อนหลายแห่งมีปริมาณน้ํามากจําเป็นต้องมีการระบายน้ําออกจากเขื่อนเป็นระยะๆ โดยอาจส่งผลกระทบต่อพืชสวน ไร่ นาข้าว และทรัพย์สินของประชาชน สํานักงาน คปภ. มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าวที่อาจได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในปีนี้ ดังนั้น จึงได้สั่งการไปยังสํานักงาน คปภ. ภาค/จังหวัดทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านการประกันภัยที่อาจจะได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติในปีนี้ โดยให้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบอย่างใกล้ชิดเพื่อติดตามสถานการณ์และกําหนดมาตรการป้องกันความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของประชาชนและเตรียมความพร้อมรองรับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนี้เมื่อกรณีมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัย รวมถึงความเสียหายของเกษตรกรชาวนาผู้ทําประกันภัย ข้าวนาปี ขอให้ช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านประกันภัย และเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทน พร้อมรายงานความเสียหายการจ่ายค่าสินไหมทดแทนและเรื่องร้องเรียนที่เกิดขึ้นมาที่สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาคเพื่อดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ได้มีหนังสือถึงสมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทยให้แจ้ง บริษัทประกัน วินาศภัยและบริษัทประกันชีวิต ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบและเยียวยาความเสียหายได้ทันท่วงที โดยให้มีการประสานงานกับหน่วยงานในพื้นที่ต่างๆ ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบกับประชาชนผู้เอาประกันภัยเพื่อให้ติดตามสถานการณ์และกําหนดมาตรการป้องกันความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน และเตรียมความพร้อมรองรับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้ โดยเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยขอให้บริษัทประกันวินาศภัย บริษัทประกันชีวิต เร่งรัดตรวจสอบความเสียหายและพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็ว รวมถึงการเตรียมความพร้อมและเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่เกษตรกรชาวนาผู้ทําประกันภัยข้าวนาปี รวมทั้งขอให้สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย กําชับให้บริษัท ประกันวินาศภัยและบริษัทประกันชีวิต สรุปรายงานความเสียหายและการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากสถานการณ์ภัยธรรมชาตินําส่งข้อมูลให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สํานักงาน คปภ. เพื่อดําเนินการติดตามและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็วและเป็นธรรมต่อไป “ผมขอย้ําว่า สํานักงาน คปภ. จะใช้สรรพกําลังและเครือข่ายภายใต้กรอบอํานาจหน้าที่เพื่อช่วยเหลือเยียวยาด้านประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัย รวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในปีนี้อย่างเต็มที่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา”ดร.สุทธิพล กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เตรียมการใช้ระบบประกันภัยเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย วันพุธที่ 12 กันยายน 2561 คปภ. เตรียมการใช้ระบบประกันภัยเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย คปภ. เตรียมการใช้ระบบประกันภัยเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย สั่งการสํานักงาน คปภ.ภาค/จังหวัด ทั่วประเทศและบริษัทประกันภัยให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องในช่วงหน้าฝนปีนี้ทําให้เกิดน้ําป่าไหลหลาก น้ําท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม และบางพื้นที่อาจถูกใช้เป็นพื้นที่รับน้ําเนื่องจากเขื่อนหลายแห่งมีปริมาณน้ํามากจําเป็นต้องมีการระบายน้ําออกจากเขื่อนเป็นระยะๆ โดยอาจส่งผลกระทบต่อพืชสวน ไร่ นาข้าว และทรัพย์สินของประชาชน สํานักงาน คปภ. มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าวที่อาจได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในปีนี้ ดังนั้น จึงได้สั่งการไปยังสํานักงาน คปภ. ภาค/จังหวัดทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านการประกันภัยที่อาจจะได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติในปีนี้ โดยให้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบอย่างใกล้ชิดเพื่อติดตามสถานการณ์และกําหนดมาตรการป้องกันความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของประชาชนและเตรียมความพร้อมรองรับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนี้เมื่อกรณีมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัย รวมถึงความเสียหายของเกษตรกรชาวนาผู้ทําประกันภัย ข้าวนาปี ขอให้ช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านประกันภัย และเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทน พร้อมรายงานความเสียหายการจ่ายค่าสินไหมทดแทนและเรื่องร้องเรียนที่เกิดขึ้นมาที่สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาคเพื่อดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ได้มีหนังสือถึงสมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทยให้แจ้ง บริษัทประกัน วินาศภัยและบริษัทประกันชีวิต ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบและเยียวยาความเสียหายได้ทันท่วงที โดยให้มีการประสานงานกับหน่วยงานในพื้นที่ต่างๆ ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบกับประชาชนผู้เอาประกันภัยเพื่อให้ติดตามสถานการณ์และกําหนดมาตรการป้องกันความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน และเตรียมความพร้อมรองรับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้ โดยเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยขอให้บริษัทประกันวินาศภัย บริษัทประกันชีวิต เร่งรัดตรวจสอบความเสียหายและพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็ว รวมถึงการเตรียมความพร้อมและเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่เกษตรกรชาวนาผู้ทําประกันภัยข้าวนาปี รวมทั้งขอให้สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย กําชับให้บริษัท ประกันวินาศภัยและบริษัทประกันชีวิต สรุปรายงานความเสียหายและการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากสถานการณ์ภัยธรรมชาตินําส่งข้อมูลให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สํานักงาน คปภ. เพื่อดําเนินการติดตามและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็วและเป็นธรรมต่อไป “ผมขอย้ําว่า สํานักงาน คปภ. จะใช้สรรพกําลังและเครือข่ายภายใต้กรอบอํานาจหน้าที่เพื่อช่วยเหลือเยียวยาด้านประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัย รวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในปีนี้อย่างเต็มที่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา”ดร.สุทธิพล กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15325
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพปลอดภัย จากแหล่งที่เชื่อถือได้ อย่าหลงเชื่อคำโฆษณา
วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2561 สธ.แนะผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพปลอดภัย จากแหล่งที่เชื่อถือได้ อย่าหลงเชื่อคําโฆษณา กระทรวงสาธารณสุข แนะนําประชาชนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างปลอดภัย พิจารณาความจําเป็น ประโยชน์ และความคุ้มค่า อ่านฉลากให้ละเอียด ซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ อย่าหล นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยสํานักงานคณะกรรมการอาหารแลยา ได้เพิ่มประสิทธิภาพระบบการเฝ้าระวัง ติดตามตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสําอาง ที่จําหน่ายในท้องตลาดและผ่านทางสื่อต่าง ๆ อย่างเข้มงวด เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม หากประชาชนรับประทานอาหารหลากหลาย ครบทุกหมู่ ก็ไม่จําเป็นต้องได้รับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่หากคิดจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ขอให้พิจารณาว่ามีความจําเป็น มีประโยชน์ มีความปลอดภัยหรือไม่ เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคืออาหาร ไม่ใช่ยา ไม่สามารถรักษาโรคได้ และหากผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐาน มีการใส่สารต้องห้าม การปนเปื้อนโลหะหนัก อาจเกิดอันตรายต่อหัวใจ ตับ ไต นายแพทย์ธเรศกล่าวต่อว่า ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่แสดงฉลากถูกต้อง มีเลขสารบบอาหาร และอ่านฉลากข้างบรรจุภัณฑ์อย่างถี่ถ้วน ไม่ควรเชื่อข้อมูลโฆษณาที่นอกเหนือจากที่ระบุในฉลาก และต้องรู้ว่ามีข้อห้าม ข้อระมัดระวังเป็นพิเศษกับโรคประจําตัวที่เป็นอยู่หรือไม่ และขอให้แจ้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้กับแพทย์ที่รักษา ประจํา สําหรับเครื่องสําอาง ขอให้ซื้อจากร้านที่มีหลักแหล่งแน่นอน เชื่อถือได้ มีฉลากภาษาไทย บ่งสาระสําคัญครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีใบจดแจ้งเป็นเลข 10 หลัก วันเดือนปีที่ผลิต วิธีใช้ เป็นต้น ใช้เครื่องสําอางตามข้อแนะนําบนฉลาก และควรทดสอบการแพ้เมื่อใช้เครื่องสําอางชนิดนั้นเป็นครั้งแรก โดยทาที่ท้องแขนทิ้งไว้ 24 – 48 ชั่วโมง หากมีความผิดปกติต้องหยุดใช้ทันที ไม่ใช้เครื่องสําอางร่วมกับผู้อื่นหรือทดลองใช้เครื่องสําอางตัวอย่างตามร้านค้า เพราะอาจมีการแพร่กระจายของเชื้อโรค ขอย้ําเตือนประชาชน อ่านข้อมูลของผลิตภัณฑ์จากฉลากที่ได้รับอนุญาต ไม่หลงเชื่อข้อมูลจากการโฆษณาที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเลขใบจดแจ้งผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางได้ทางเว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th หรือที่ Oryor Smart Application และหากได้รับอันตรายหรือพบการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงทางสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะทาง Social Media สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือที่ E-mail: 1556@fda.moph.go.th หรือตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือร้องเรียนผ่าน Oryor Smart Application หรือสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อดําเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทําผิดอย่างเคร่งครัด ************************************ 5 พฤษภาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพปลอดภัย จากแหล่งที่เชื่อถือได้ อย่าหลงเชื่อคำโฆษณา วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2561 สธ.แนะผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพปลอดภัย จากแหล่งที่เชื่อถือได้ อย่าหลงเชื่อคําโฆษณา กระทรวงสาธารณสุข แนะนําประชาชนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างปลอดภัย พิจารณาความจําเป็น ประโยชน์ และความคุ้มค่า อ่านฉลากให้ละเอียด ซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ อย่าหล นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยสํานักงานคณะกรรมการอาหารแลยา ได้เพิ่มประสิทธิภาพระบบการเฝ้าระวัง ติดตามตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสําอาง ที่จําหน่ายในท้องตลาดและผ่านทางสื่อต่าง ๆ อย่างเข้มงวด เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม หากประชาชนรับประทานอาหารหลากหลาย ครบทุกหมู่ ก็ไม่จําเป็นต้องได้รับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่หากคิดจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ขอให้พิจารณาว่ามีความจําเป็น มีประโยชน์ มีความปลอดภัยหรือไม่ เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคืออาหาร ไม่ใช่ยา ไม่สามารถรักษาโรคได้ และหากผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐาน มีการใส่สารต้องห้าม การปนเปื้อนโลหะหนัก อาจเกิดอันตรายต่อหัวใจ ตับ ไต นายแพทย์ธเรศกล่าวต่อว่า ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่แสดงฉลากถูกต้อง มีเลขสารบบอาหาร และอ่านฉลากข้างบรรจุภัณฑ์อย่างถี่ถ้วน ไม่ควรเชื่อข้อมูลโฆษณาที่นอกเหนือจากที่ระบุในฉลาก และต้องรู้ว่ามีข้อห้าม ข้อระมัดระวังเป็นพิเศษกับโรคประจําตัวที่เป็นอยู่หรือไม่ และขอให้แจ้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้กับแพทย์ที่รักษา ประจํา สําหรับเครื่องสําอาง ขอให้ซื้อจากร้านที่มีหลักแหล่งแน่นอน เชื่อถือได้ มีฉลากภาษาไทย บ่งสาระสําคัญครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีใบจดแจ้งเป็นเลข 10 หลัก วันเดือนปีที่ผลิต วิธีใช้ เป็นต้น ใช้เครื่องสําอางตามข้อแนะนําบนฉลาก และควรทดสอบการแพ้เมื่อใช้เครื่องสําอางชนิดนั้นเป็นครั้งแรก โดยทาที่ท้องแขนทิ้งไว้ 24 – 48 ชั่วโมง หากมีความผิดปกติต้องหยุดใช้ทันที ไม่ใช้เครื่องสําอางร่วมกับผู้อื่นหรือทดลองใช้เครื่องสําอางตัวอย่างตามร้านค้า เพราะอาจมีการแพร่กระจายของเชื้อโรค ขอย้ําเตือนประชาชน อ่านข้อมูลของผลิตภัณฑ์จากฉลากที่ได้รับอนุญาต ไม่หลงเชื่อข้อมูลจากการโฆษณาที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเลขใบจดแจ้งผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางได้ทางเว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th หรือที่ Oryor Smart Application และหากได้รับอันตรายหรือพบการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงทางสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะทาง Social Media สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือที่ E-mail: 1556@fda.moph.go.th หรือตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือร้องเรียนผ่าน Oryor Smart Application หรือสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อดําเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทําผิดอย่างเคร่งครัด ************************************ 5 พฤษภาคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12005
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. ถวายหน้ากากอนามัยพระภิกษุสงฆ์ ตามพระประสงค์ของสมเด็จพระสังฆราช ที่โปรดประทานพระดำริในการประทานกัปปิยภัณฑ์เพื่อจัดหาหน้ากากอนามัยวัดต่างๆ ที่ใกล้ชิดชุมชนทั่วประเทศ
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563 รมต. นร. ถวายหน้ากากอนามัยพระภิกษุสงฆ์ ตามพระประสงค์ของสมเด็จพระสังฆราช ที่โปรดประทานพระดําริในการประทานกัปปิยภัณฑ์เพื่อจัดหาหน้ากากอนามัยวัดต่างๆ ที่ใกล้ชิดชุมชนทั่วประเทศ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ถวายหน้ากากอนามัยพระภิกษุสงฆ์ ตามพระประสงค์ของสมเด็จพระสังฆราช ที่โปรดประทานพระดําริในการประทานกัปปิยภัณฑ์เพื่อจัดหาหน้ากากอนามัยวัดต่างๆ ที่ใกล้ชิดชุมชนทั่วประเทศ วันนี้ (22 เมษายน 2563) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่ วัดราษฎร์ศรัทธา (วัดท้ายดอน) ต.เหมือง อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี เพื่อถวายหน้ากากอนามัยแด่พระภิกษุสงฆ์ ตามพระประสงค์ของ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่โปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจํานวน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) เป็นทุนประเดิมสําหรับสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดหาหน้ากากอนามัย ประทานแก่พระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ โดยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้กํากับดูแลสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เฝ้ารับพระบัญชาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ถวายหน้ากากอนามัย จํานวน 2,000 ชิ้น เป็นเงินมูลค่า 20,000 บาท แด่พระมหาสมพงษ์ กิตติคุโณ เจ้าคณะอําเภอเมืองชลบุรี และพระเถรานุเถระ เจ้าอาวาสวัดตาลล้อม โดยหน้ากากอนามัยจํานวนนี้จะแจกจ่ายให้ยัง 15 วัดในจังหวัดชลบุรี ได้แก่ วัดเขาบางทราย วัดนอก วัดใหม่พระยาทํา วัดตาลล้อม วัดราษฎร์ศรัทธา วัดเก่าโบราณ วัดใหม่เกตุงาม วัดต้นสน วัดช่องลม วัดอุทยานนที วัดเครือวัลย์ วัดน้อย วัดนาเขื่อน วัดท้องคุ้ง และวัดบางเป้ง รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนได้เดินทางมาถวายหน้ากากอนามัยตามพระประสงค์ของ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงเป็นห่วงพระภิกษุสงฆ์และประชาชนที่อาศัยในชุมชนใกล้เคียงวัด โดยทรงพระปรารภสนับสนุนให้วัดซึ่งมีอยู่คู่ชุมชนทั่วประเทศ เป็นศูนย์กลางการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยแก่ประชาชนไม่จํากัดสัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา ผู้ประสบความเดือดร้อนหรือมีความเสี่ยงต่อสถานการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้ มีพระบัญชาโปรดให้พระสังฆาธิการทั่วราชอาณาจักร ร่วมมือกับหน่วยราชการในพื้นที่ในการเฝ้าระวังป้องกันโรคระบาดและบรรเทาความเดือดร้อนจากมลภาวะทางอากาศ เพื่อสุขภาวะของพระภิกษุสามเณรและประชาชนโดยทั่วกัน .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. ถวายหน้ากากอนามัยพระภิกษุสงฆ์ ตามพระประสงค์ของสมเด็จพระสังฆราช ที่โปรดประทานพระดำริในการประทานกัปปิยภัณฑ์เพื่อจัดหาหน้ากากอนามัยวัดต่างๆ ที่ใกล้ชิดชุมชนทั่วประเทศ วันพุธที่ 22 เมษายน 2563 รมต. นร. ถวายหน้ากากอนามัยพระภิกษุสงฆ์ ตามพระประสงค์ของสมเด็จพระสังฆราช ที่โปรดประทานพระดําริในการประทานกัปปิยภัณฑ์เพื่อจัดหาหน้ากากอนามัยวัดต่างๆ ที่ใกล้ชิดชุมชนทั่วประเทศ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ถวายหน้ากากอนามัยพระภิกษุสงฆ์ ตามพระประสงค์ของสมเด็จพระสังฆราช ที่โปรดประทานพระดําริในการประทานกัปปิยภัณฑ์เพื่อจัดหาหน้ากากอนามัยวัดต่างๆ ที่ใกล้ชิดชุมชนทั่วประเทศ วันนี้ (22 เมษายน 2563) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่ วัดราษฎร์ศรัทธา (วัดท้ายดอน) ต.เหมือง อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี เพื่อถวายหน้ากากอนามัยแด่พระภิกษุสงฆ์ ตามพระประสงค์ของ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่โปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจํานวน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) เป็นทุนประเดิมสําหรับสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดหาหน้ากากอนามัย ประทานแก่พระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ โดยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้กํากับดูแลสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เฝ้ารับพระบัญชาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ถวายหน้ากากอนามัย จํานวน 2,000 ชิ้น เป็นเงินมูลค่า 20,000 บาท แด่พระมหาสมพงษ์ กิตติคุโณ เจ้าคณะอําเภอเมืองชลบุรี และพระเถรานุเถระ เจ้าอาวาสวัดตาลล้อม โดยหน้ากากอนามัยจํานวนนี้จะแจกจ่ายให้ยัง 15 วัดในจังหวัดชลบุรี ได้แก่ วัดเขาบางทราย วัดนอก วัดใหม่พระยาทํา วัดตาลล้อม วัดราษฎร์ศรัทธา วัดเก่าโบราณ วัดใหม่เกตุงาม วัดต้นสน วัดช่องลม วัดอุทยานนที วัดเครือวัลย์ วัดน้อย วัดนาเขื่อน วัดท้องคุ้ง และวัดบางเป้ง รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนได้เดินทางมาถวายหน้ากากอนามัยตามพระประสงค์ของ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงเป็นห่วงพระภิกษุสงฆ์และประชาชนที่อาศัยในชุมชนใกล้เคียงวัด โดยทรงพระปรารภสนับสนุนให้วัดซึ่งมีอยู่คู่ชุมชนทั่วประเทศ เป็นศูนย์กลางการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยแก่ประชาชนไม่จํากัดสัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา ผู้ประสบความเดือดร้อนหรือมีความเสี่ยงต่อสถานการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้ มีพระบัญชาโปรดให้พระสังฆาธิการทั่วราชอาณาจักร ร่วมมือกับหน่วยราชการในพื้นที่ในการเฝ้าระวังป้องกันโรคระบาดและบรรเทาความเดือดร้อนจากมลภาวะทางอากาศ เพื่อสุขภาวะของพระภิกษุสามเณรและประชาชนโดยทั่วกัน .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29553
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยอดจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น
วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561 ยอดจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น ตัวเลขการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจัดตั้งใหม่ 2 เดือนแรกของปีนี้ มีจํานวนกว่า 13,000 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นม ยอดจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ตัวเลขการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจัดตั้งใหม่ 2 เดือนแรกของปีนี้ มีจํานวนกว่า 13,000 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่าทุนจดทะเบียน 35,000 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจที่มีการจดทะเบียนตั้งธุรกิจสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจการขนส่งสินค้า คาดว่าจะมีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในปี 2561 ไม่น้อยกว่า 75,000 ราย สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้รัฐบาลจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตผ่าน 3 ยุทธศาสตร์สําคัญ คือ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โครงการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และโครงการขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล เป็นต้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยอดจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561 ยอดจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น ตัวเลขการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจัดตั้งใหม่ 2 เดือนแรกของปีนี้ มีจํานวนกว่า 13,000 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นม ยอดจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ตัวเลขการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจัดตั้งใหม่ 2 เดือนแรกของปีนี้ มีจํานวนกว่า 13,000 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่าทุนจดทะเบียน 35,000 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจที่มีการจดทะเบียนตั้งธุรกิจสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจการขนส่งสินค้า คาดว่าจะมีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในปี 2561 ไม่น้อยกว่า 75,000 ราย สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้รัฐบาลจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตผ่าน 3 ยุทธศาสตร์สําคัญ คือ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โครงการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และโครงการขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล เป็นต้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11277
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประกาศผลการจัด League Table รอบ 6 เดือน ปีงบประมาณ 2561 (เดือนตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) / MOF Outright Primary Dealers League Table 6 months (October 2017 to March 2018)
วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561 การประกาศผลการจัด League Table รอบ 6 เดือน ปีงบประมาณ 2561 (เดือนตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) / MOF Outright Primary Dealers League Table 6 months (October 2017 to March 2018) กระทรวงการคลังได้มีการจัด League Table ของผู้ค้าหลักสําหรับธุรกรรมประเภทซื้อขายขาดของกระทรวงการคลัง (MOF Outright Primary Dealers: PDs) ปีละ 2 ครั้ง กระทรวงการคลังได้มีการจัด League Table ของผู้ค้าหลักสําหรับธุรกรรมประเภทซื้อขายขาดของกระทรวงการคลัง (MOF Outright Primary Dealers: PDs) ปีละ 2 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ PDs ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในส่วนของการเข้าประมูลพันธบัตรรัฐบาลในตลาดแรกและการทําหน้าที่เป็น Market Maker เพื่อสร้างสภาพคล่องในตลาดรองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สําหรับรอบ 6 เดือน ปีงบประมาณ 2561 กระทรวงการคลังขอประกาศผลการจัด League Table โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ ตลาดแรก (Primary Market) พิจารณาจากวงเงินที่ได้รับจัดสรรจากการประมูลพันธบัตรรัฐบาลที่ออกในเดือนตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561 จํานวน 6 รุ่น ได้แก่ พันธบัตรรุ่น LB22DA LB26DA LB316A LB366A LB466A และ LB676A PDs ที่ได้รับจัดสรรพันธบัตรรัฐบาลสูงสุด 5 อันดับแรก (เรียงลําดับตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ) ได้แก่ BBL ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) BNPP ธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส์ JPMCB ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส KBANK ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) KTB ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ตลาดรอง (Secondary Market) พิจารณาจากมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทุกรุ่นในตลาดรองระหว่างเดือนตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561 PDs ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ในตลาดรอง (เรียงลําดับตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ) ได้แก่ BBL ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) DBBK ธนาคารดอยซ์แบงก์ เอจี HSBC ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จํากัด KTB ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) SCBT ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จํากัด (มหาชน) สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5815 MOF Outright Primary Dealers League Table 6 months (October 2017 to March 2018) The Ministry of Finance has announced its Outright Primary Dealers (MOF Outright PDs) league table semi-annually to encourage PDs’ performance and participation in government bond auctions and their role as the market maker to enhance liquidity in the secondary market. The league tables of the first 6 months of FY2018 (October 2017 – March 2018) are as follows: Primary Market MOF Outright PDs are ranked on the basis of the allocated amount of government on-the-run benchmark bonds (LB22DA, LB26DA, LB316A, LB366A, LB466A and LB676A) in the primary market auction. Top 5 (in alphabetical order): BBL Bangkok Bank Public Company Limited BNPP BNP Paribas JPMCB JPMorgan Chase Bank, N.A. KBANK Kasikornbank Public Company Limited KTB Krung Thai Bank Public Company Limited Secondary Market MOF Outright PDs are ranked on the basis of its trading volume of government bonds in the secondary market. Top 5 (in alphabetical order): BBL Bangkok Bank Public Company Limited DBBK Deutsche Bank A.G. HSBC The Hongkong and Shanghai Banking Corporation KTB Krung Thai Bank Public Company Limited SCBT Standard Chartered Bank (Thai) Public Company Limited Bond Market Development Bureau, Public Debt Management Office Tel. +662271 7999 Ext. 5815
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประกาศผลการจัด League Table รอบ 6 เดือน ปีงบประมาณ 2561 (เดือนตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) / MOF Outright Primary Dealers League Table 6 months (October 2017 to March 2018) วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561 การประกาศผลการจัด League Table รอบ 6 เดือน ปีงบประมาณ 2561 (เดือนตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) / MOF Outright Primary Dealers League Table 6 months (October 2017 to March 2018) กระทรวงการคลังได้มีการจัด League Table ของผู้ค้าหลักสําหรับธุรกรรมประเภทซื้อขายขาดของกระทรวงการคลัง (MOF Outright Primary Dealers: PDs) ปีละ 2 ครั้ง กระทรวงการคลังได้มีการจัด League Table ของผู้ค้าหลักสําหรับธุรกรรมประเภทซื้อขายขาดของกระทรวงการคลัง (MOF Outright Primary Dealers: PDs) ปีละ 2 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ PDs ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในส่วนของการเข้าประมูลพันธบัตรรัฐบาลในตลาดแรกและการทําหน้าที่เป็น Market Maker เพื่อสร้างสภาพคล่องในตลาดรองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สําหรับรอบ 6 เดือน ปีงบประมาณ 2561 กระทรวงการคลังขอประกาศผลการจัด League Table โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ ตลาดแรก (Primary Market) พิจารณาจากวงเงินที่ได้รับจัดสรรจากการประมูลพันธบัตรรัฐบาลที่ออกในเดือนตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561 จํานวน 6 รุ่น ได้แก่ พันธบัตรรุ่น LB22DA LB26DA LB316A LB366A LB466A และ LB676A PDs ที่ได้รับจัดสรรพันธบัตรรัฐบาลสูงสุด 5 อันดับแรก (เรียงลําดับตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ) ได้แก่ BBL ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) BNPP ธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส์ JPMCB ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส KBANK ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) KTB ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ตลาดรอง (Secondary Market) พิจารณาจากมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทุกรุ่นในตลาดรองระหว่างเดือนตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561 PDs ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ในตลาดรอง (เรียงลําดับตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ) ได้แก่ BBL ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) DBBK ธนาคารดอยซ์แบงก์ เอจี HSBC ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จํากัด KTB ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) SCBT ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จํากัด (มหาชน) สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5815 MOF Outright Primary Dealers League Table 6 months (October 2017 to March 2018) The Ministry of Finance has announced its Outright Primary Dealers (MOF Outright PDs) league table semi-annually to encourage PDs’ performance and participation in government bond auctions and their role as the market maker to enhance liquidity in the secondary market. The league tables of the first 6 months of FY2018 (October 2017 – March 2018) are as follows: Primary Market MOF Outright PDs are ranked on the basis of the allocated amount of government on-the-run benchmark bonds (LB22DA, LB26DA, LB316A, LB366A, LB466A and LB676A) in the primary market auction. Top 5 (in alphabetical order): BBL Bangkok Bank Public Company Limited BNPP BNP Paribas JPMCB JPMorgan Chase Bank, N.A. KBANK Kasikornbank Public Company Limited KTB Krung Thai Bank Public Company Limited Secondary Market MOF Outright PDs are ranked on the basis of its trading volume of government bonds in the secondary market. Top 5 (in alphabetical order): BBL Bangkok Bank Public Company Limited DBBK Deutsche Bank A.G. HSBC The Hongkong and Shanghai Banking Corporation KTB Krung Thai Bank Public Company Limited SCBT Standard Chartered Bank (Thai) Public Company Limited Bond Market Development Bureau, Public Debt Management Office Tel. +662271 7999 Ext. 5815
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12854
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชื่นชมเทศบาลตำบลเขาพระงามฯ ได้รับรางวัล UNPSA
วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2560 นายกรัฐมนตรีชื่นชมเทศบาลตําบลเขาพระงามฯ ได้รับรางวัล UNPSA นายกรัฐมนตรีชื่นชมเทศบาลตําบลเขาพระงามฯ ได้รับรางวัล UNPSA วันนี้ (18 กรกฎาคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ นําคณะเทศบาลพระงาม ตําบลเขาพระงาม อําเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานผลการเข้าร่วมประชุมและการเข้ารับรางวัล The 2017 United Nations Public Service Forum & Awards Ceremony เมื่อวันที่ 22 – 23 มิถุนายน 2560 ณ กรุงเฮก ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงานว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มีนโยบายสนับสนุนและผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดีเสนอผลงานเพื่อสมัครรับรางวัล United Nations Public Service Awards ประจําปี ค.ศ. 2017 เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานนวัตกรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นที่ประจักษ์ในวงกว้างและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่ง “โครงการนวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ” (Excellence Happy Home Ward) จากเทศบาลตําบลเขาพระงาม จังหวัดลพบุรี ได้รับรางวัล 2017 United Nations Public Service Awards ในรางวัลที่ 2 สาขาความเป็นเลิศในการให้บริการทางการแพทย์ (Excellence in delivering health services) ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะช่วยยกระดับสุขภาวะของผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุติดเตียงที่มีความพร้อมและสมัครใจให้ได้รับบริการด้านสุขภาวะที่ครอบคลุมทุกมิติ และเป็นการผสมผสานแนวคิดเรื่องที่อยู่อาศัย สุขภาวะ และการจัดการเชิงพื้นที่และเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ยังสนับสนุนการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในการจัดบริการร่วมกันให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการได้อย่างแท้จริง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับเทศบาลตําบลเขาพระงามฯ ที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยในเวทีระดับนานาชาติ โดยโครงการนวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุจะช่วยส่งเสริมให้การบริการสาธารณะของรัฐบาลเป็นไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และจะเป็นนวัตกรรมต้นแบบให้กับหน่วยงานต่าง ๆ นําไปขับเคลื่อนและดําเนินงานด้านการให้บริการสาธารณะของไทยต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชื่นชมเทศบาลตำบลเขาพระงามฯ ได้รับรางวัล UNPSA วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2560 นายกรัฐมนตรีชื่นชมเทศบาลตําบลเขาพระงามฯ ได้รับรางวัล UNPSA นายกรัฐมนตรีชื่นชมเทศบาลตําบลเขาพระงามฯ ได้รับรางวัล UNPSA วันนี้ (18 กรกฎาคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ นําคณะเทศบาลพระงาม ตําบลเขาพระงาม อําเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานผลการเข้าร่วมประชุมและการเข้ารับรางวัล The 2017 United Nations Public Service Forum & Awards Ceremony เมื่อวันที่ 22 – 23 มิถุนายน 2560 ณ กรุงเฮก ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงานว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มีนโยบายสนับสนุนและผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดีเสนอผลงานเพื่อสมัครรับรางวัล United Nations Public Service Awards ประจําปี ค.ศ. 2017 เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานนวัตกรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นที่ประจักษ์ในวงกว้างและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่ง “โครงการนวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ” (Excellence Happy Home Ward) จากเทศบาลตําบลเขาพระงาม จังหวัดลพบุรี ได้รับรางวัล 2017 United Nations Public Service Awards ในรางวัลที่ 2 สาขาความเป็นเลิศในการให้บริการทางการแพทย์ (Excellence in delivering health services) ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะช่วยยกระดับสุขภาวะของผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุติดเตียงที่มีความพร้อมและสมัครใจให้ได้รับบริการด้านสุขภาวะที่ครอบคลุมทุกมิติ และเป็นการผสมผสานแนวคิดเรื่องที่อยู่อาศัย สุขภาวะ และการจัดการเชิงพื้นที่และเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ยังสนับสนุนการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในการจัดบริการร่วมกันให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการได้อย่างแท้จริง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับเทศบาลตําบลเขาพระงามฯ ที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยในเวทีระดับนานาชาติ โดยโครงการนวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุจะช่วยส่งเสริมให้การบริการสาธารณะของรัฐบาลเป็นไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และจะเป็นนวัตกรรมต้นแบบให้กับหน่วยงานต่าง ๆ นําไปขับเคลื่อนและดําเนินงานด้านการให้บริการสาธารณะของไทยต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5281
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การคลังสินค้าชี้แจงข้าวในโกดังโครงการรับจำนำเสีย
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562 องค์การคลังสินค้าชี้แจงข้าวในโกดังโครงการรับจํานําเสีย องค์การคลังสินค้าชี้แจงข้าวในโกดังโครงการรับจํานําเสีย (8 สิงหาคม พ.ศ. 2562) นายไพศาล เตี๋ยวงษ์สุวรรณ์ รองผู้อํานวยการ รักษาการผู้อํานวยการองค์การคลังสินค้า ชี้แจงว่าค่าใช้จ่ายจากค่าฝากเก็บ ,ค่าเช่าและค่าแรงกรรมกร ที่ยังคงค้างจ่ายจากคลังสินค้าที่มีสัญญาเช่าคลังฯ และสัญญาฝากเก็บฯ เท่ากับ จํานวน 324,398,405.30 บาท กรณีดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายที่ค้างจากสัญญาฝากเก็บและสัญญาเช่ารวม 18 คลัง ตั้งแต่เดือน ม.ค. 59 – เดือน มิ.ย. 62 ขอชี้แจงว่ายังไม่สามารถจ่ายให้ได้ เนื่องจากบริษัทฯ ได้ถูกฟ้องร้องดําเนินคดีจากคลังสินค้าบริษัทสิงโตทองฯ กรณีเป็นข้าวไม่ได้มาตรฐาน และสัญญาจ้างปรับปรุงข้าวสารบรรจุถง จํานวน 5 สัญญา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างองค์การคลังสินค้า ฟ้องร้องค่าเสียหายรวมดอกเบี้ยเป็นเงิน 5,297,875,350.31 บาท เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของทางราขการ จึงยังไม่อาจจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนที่ค้างได้ ประกอบกับกรณีดังกล่าว สํานักงานอัยการสูงสุดได้เคยมีความเห็นว่ากรณีที่องค์การคลังสินค้า และผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญาต่างเป็นเจ้าหนี้/ลูกหนี้ มีความผูกพันซึ่งกันและกัน โดยมีมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน แต่อย่างไรก็ดีองค์การคลังสินค้า ยังมีข้อจํากัดในการหักกลบหนี้ตามกฎหมาย บริษัท สิงห์โตทองฯ ได้แจ้งกับองค์การคลังสินค้าว่า บริษัทฯ ไม่ยอมรับในเรื่องการหักกลบลบหนี้โดยขอให้องค์การคลังสินค้าพิจารณาทบทวนการหักกลบลบหนี้ดังกล่าว และขอให้จ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ่ายสําหรับสัญญาที่ไม่ถูกแจ้งความดําเนินคดี ส่วนสัญญาที่ถูกแจ้งความดําเนินคดีขอให้รอคําพิพากษาจากศาลต่อไป หากศาลมีคําพิพากษาอย่างไรก็จะปฏิบัติตามนั้น กรณีปัญหาข้าวเน่านั้น เป็นข้าวสารจากการคัดแยก กรณีเกิดเพลงไหม้ และจากการตรวจสอบพบว่ามีพฤติกรรมล้อมกองข้าว ........................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การคลังสินค้าชี้แจงข้าวในโกดังโครงการรับจำนำเสีย วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562 องค์การคลังสินค้าชี้แจงข้าวในโกดังโครงการรับจํานําเสีย องค์การคลังสินค้าชี้แจงข้าวในโกดังโครงการรับจํานําเสีย (8 สิงหาคม พ.ศ. 2562) นายไพศาล เตี๋ยวงษ์สุวรรณ์ รองผู้อํานวยการ รักษาการผู้อํานวยการองค์การคลังสินค้า ชี้แจงว่าค่าใช้จ่ายจากค่าฝากเก็บ ,ค่าเช่าและค่าแรงกรรมกร ที่ยังคงค้างจ่ายจากคลังสินค้าที่มีสัญญาเช่าคลังฯ และสัญญาฝากเก็บฯ เท่ากับ จํานวน 324,398,405.30 บาท กรณีดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายที่ค้างจากสัญญาฝากเก็บและสัญญาเช่ารวม 18 คลัง ตั้งแต่เดือน ม.ค. 59 – เดือน มิ.ย. 62 ขอชี้แจงว่ายังไม่สามารถจ่ายให้ได้ เนื่องจากบริษัทฯ ได้ถูกฟ้องร้องดําเนินคดีจากคลังสินค้าบริษัทสิงโตทองฯ กรณีเป็นข้าวไม่ได้มาตรฐาน และสัญญาจ้างปรับปรุงข้าวสารบรรจุถง จํานวน 5 สัญญา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างองค์การคลังสินค้า ฟ้องร้องค่าเสียหายรวมดอกเบี้ยเป็นเงิน 5,297,875,350.31 บาท เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของทางราขการ จึงยังไม่อาจจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนที่ค้างได้ ประกอบกับกรณีดังกล่าว สํานักงานอัยการสูงสุดได้เคยมีความเห็นว่ากรณีที่องค์การคลังสินค้า และผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญาต่างเป็นเจ้าหนี้/ลูกหนี้ มีความผูกพันซึ่งกันและกัน โดยมีมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน แต่อย่างไรก็ดีองค์การคลังสินค้า ยังมีข้อจํากัดในการหักกลบหนี้ตามกฎหมาย บริษัท สิงห์โตทองฯ ได้แจ้งกับองค์การคลังสินค้าว่า บริษัทฯ ไม่ยอมรับในเรื่องการหักกลบลบหนี้โดยขอให้องค์การคลังสินค้าพิจารณาทบทวนการหักกลบลบหนี้ดังกล่าว และขอให้จ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ่ายสําหรับสัญญาที่ไม่ถูกแจ้งความดําเนินคดี ส่วนสัญญาที่ถูกแจ้งความดําเนินคดีขอให้รอคําพิพากษาจากศาลต่อไป หากศาลมีคําพิพากษาอย่างไรก็จะปฏิบัติตามนั้น กรณีปัญหาข้าวเน่านั้น เป็นข้าวสารจากการคัดแยก กรณีเกิดเพลงไหม้ และจากการตรวจสอบพบว่ามีพฤติกรรมล้อมกองข้าว ........................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22118
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดทดลองวิ่ง BTS ห้าแยกลาดพร้าว-สถานีมหาวิทยาลัยเกษตร เพิ่มเติม 4 สถานี ให้บริการฟรีถึง 2 ม.ค 63
วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรีเปิดทดลองวิ่ง BTS ห้าแยกลาดพร้าว-สถานีมหาวิทยาลัยเกษตร เพิ่มเติม 4 สถานี ให้บริการฟรีถึง 2 ม.ค 63 นายกรัฐมนตรีเปิดทดลองวิ่ง BTS ห้าแยกลาดพร้าว-สถานีมหาวิทยาลัยเกษตร เพิ่มเติม 4 สถานี ให้บริการฟรีถึง 2 ม.ค 63 วันนี้ (3 ธันวาคม 2562) เวลา 11.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการทดสอบความพร้อมการให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพิ่มเติม จํานวน 4 สถานี จากสถานีห้าแยกลาดพร้าวถึงสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ บริเวณสถานีห้าแยกลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พลตํารวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารบริษัท กรุงเทพธนาคมจํากัด ผู้บริหารบริษัท ระบบขนส่งมวลชน-กรุงเทพ จํากัด (มหาชน) และผู้ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับและร่วมในพิธีเปิด โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเห็นถึงความก้าวหน้าการดําเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพิ่มเติม จํานวน 4 สถานี รัฐบาลที่ต้องการจะพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่ง ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สําคัญในการอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนและเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย โดยเฉพาะการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเมืองที่ส่งผลต่อประชาชนผู้อยู่อาศัยในเมืองโดยตรงระบบขนส่งมวลชนทางรางที่ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ช่วยบรรเทาปัญหาการจราจร อํานวยความสะดวกในการเดินทางและยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชน โดยเมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้มาเป็นประธานในงานทดสอบเดินรถไฟฟ้าจากสถานีห้าแยกลาดพร้าวไปยังสถานีหมอชิตแล้ว และวันนี้ได้เปิดทดลองเพิ่มเติมจํานวน 4 สถานี (ห้าแยกลาดพร้าว -สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ซึ่งจะให้บริการฟรีไม่เสียค่าโดยสาร จนถึงวันที่ 2 มกราคม 2563 ทั้งนี้ยังขาดอีก 11 สถานีที่ต้องเร่งดําเนินการตามกรอบระยะเวลาที่กําหนดภายในปี 2563 พร้อมกันนี้ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังแสดงความห่วงใยประชาชนที่สัญจรไปมาระหว่างการดําเนินการก่อสร้าง โดยย้ําว่าต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยของทุกคนเป็นหลัก รวมทั้ง ปัญหาฝุ่นละอองและการจัดการเศษวัสดุจากการก่อสร้าง ต้องไม่กระทบกับประชาชนที่สัญจรไปมาตลอดเส้นทางด้วย ................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดทดลองวิ่ง BTS ห้าแยกลาดพร้าว-สถานีมหาวิทยาลัยเกษตร เพิ่มเติม 4 สถานี ให้บริการฟรีถึง 2 ม.ค 63 วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรีเปิดทดลองวิ่ง BTS ห้าแยกลาดพร้าว-สถานีมหาวิทยาลัยเกษตร เพิ่มเติม 4 สถานี ให้บริการฟรีถึง 2 ม.ค 63 นายกรัฐมนตรีเปิดทดลองวิ่ง BTS ห้าแยกลาดพร้าว-สถานีมหาวิทยาลัยเกษตร เพิ่มเติม 4 สถานี ให้บริการฟรีถึง 2 ม.ค 63 วันนี้ (3 ธันวาคม 2562) เวลา 11.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการทดสอบความพร้อมการให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพิ่มเติม จํานวน 4 สถานี จากสถานีห้าแยกลาดพร้าวถึงสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ บริเวณสถานีห้าแยกลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พลตํารวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารบริษัท กรุงเทพธนาคมจํากัด ผู้บริหารบริษัท ระบบขนส่งมวลชน-กรุงเทพ จํากัด (มหาชน) และผู้ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับและร่วมในพิธีเปิด โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเห็นถึงความก้าวหน้าการดําเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพิ่มเติม จํานวน 4 สถานี รัฐบาลที่ต้องการจะพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่ง ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สําคัญในการอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนและเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย โดยเฉพาะการพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเมืองที่ส่งผลต่อประชาชนผู้อยู่อาศัยในเมืองโดยตรงระบบขนส่งมวลชนทางรางที่ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ช่วยบรรเทาปัญหาการจราจร อํานวยความสะดวกในการเดินทางและยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชน โดยเมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้มาเป็นประธานในงานทดสอบเดินรถไฟฟ้าจากสถานีห้าแยกลาดพร้าวไปยังสถานีหมอชิตแล้ว และวันนี้ได้เปิดทดลองเพิ่มเติมจํานวน 4 สถานี (ห้าแยกลาดพร้าว -สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ซึ่งจะให้บริการฟรีไม่เสียค่าโดยสาร จนถึงวันที่ 2 มกราคม 2563 ทั้งนี้ยังขาดอีก 11 สถานีที่ต้องเร่งดําเนินการตามกรอบระยะเวลาที่กําหนดภายในปี 2563 พร้อมกันนี้ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังแสดงความห่วงใยประชาชนที่สัญจรไปมาระหว่างการดําเนินการก่อสร้าง โดยย้ําว่าต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยของทุกคนเป็นหลัก รวมทั้ง ปัญหาฝุ่นละอองและการจัดการเศษวัสดุจากการก่อสร้าง ต้องไม่กระทบกับประชาชนที่สัญจรไปมาตลอดเส้นทางด้วย ................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25008
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ติดตามสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ตรวจเยี่ยมโรงทาน และติดตามการปลูกผักสวนครัว ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ติดตามสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ตรวจเยี่ยมโรงทาน และติดตามการปลูกผักสวนครัว ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ติดตามสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ตรวจเยี่ยมโรงทาน และติดตามการปลูกผักสวนครัว ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วันนี้ (1 กรกฎาคม 2563) เวลา 12.30 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายณรงค์ ทรงอารมณ์ ผู้อํานวยการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นางวิไลวรรณ ไกรโสดา รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และ ดร.วันดี กัญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ติดตาม เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เดินทางลงพื้นที่ วัดพระพุทธฉาย ต.หนองปลาไหล อ.เมืองสระบุรี จ.สระบุรี ตรวจเยี่ยมศูนย์ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามพระดําริสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สําหรับศูนย์ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของวัดพระพุทธฉาย ได้มีการจัดตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ และจัดทํากิจกรรมปลูกผักสวนครัว ตามโครงการ “สวนครัวนําสุขพอเพียงเพื่อเพียงพอ ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” โอกาสนี้ เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ได้มอบไม้ยืนต้นแด่เจ้าคณะอําเภอ 13 อําเภอ และมอบสิ่งของให้แก่ตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบ หมู่บ้านละ 1 คน ขณะที่รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ถวายหน้ากากอนามัย เจลล์แอลกอฮอล์ล้างมือ และเครื่องดื่มบํารุงกําลังแด่เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เพื่อมอบให้แด่พระภิกษุสงฆ์ในพื้นที่ต่อไป จากนั้นคณะได้เยี่ยมชมโครงการ “สวนครัวนําสุขพอเพียงเพื่อเพียงพอ ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ร่วมปลูกต้นไม้ ปล่อยปลา และหว่านข้าวลงแปลงนาสาธิต เพื่อเป็นประโยชน์แก่ชุมชนในพื้นที่ต่อไป ............................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ติดตามสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ตรวจเยี่ยมโรงทาน และติดตามการปลูกผักสวนครัว ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ติดตามสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ตรวจเยี่ยมโรงทาน และติดตามการปลูกผักสวนครัว ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ติดตามสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ตรวจเยี่ยมโรงทาน และติดตามการปลูกผักสวนครัว ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วันนี้ (1 กรกฎาคม 2563) เวลา 12.30 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายณรงค์ ทรงอารมณ์ ผู้อํานวยการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นางวิไลวรรณ ไกรโสดา รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และ ดร.วันดี กัญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ติดตาม เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เดินทางลงพื้นที่ วัดพระพุทธฉาย ต.หนองปลาไหล อ.เมืองสระบุรี จ.สระบุรี ตรวจเยี่ยมศูนย์ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามพระดําริสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สําหรับศูนย์ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของวัดพระพุทธฉาย ได้มีการจัดตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ และจัดทํากิจกรรมปลูกผักสวนครัว ตามโครงการ “สวนครัวนําสุขพอเพียงเพื่อเพียงพอ ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” โอกาสนี้ เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ได้มอบไม้ยืนต้นแด่เจ้าคณะอําเภอ 13 อําเภอ และมอบสิ่งของให้แก่ตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบ หมู่บ้านละ 1 คน ขณะที่รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ถวายหน้ากากอนามัย เจลล์แอลกอฮอล์ล้างมือ และเครื่องดื่มบํารุงกําลังแด่เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เพื่อมอบให้แด่พระภิกษุสงฆ์ในพื้นที่ต่อไป จากนั้นคณะได้เยี่ยมชมโครงการ “สวนครัวนําสุขพอเพียงเพื่อเพียงพอ ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ร่วมปลูกต้นไม้ ปล่อยปลา และหว่านข้าวลงแปลงนาสาธิต เพื่อเป็นประโยชน์แก่ชุมชนในพื้นที่ต่อไป ............................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33016
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม จัดประชุม กพยช.ขับเคลื่อนการบริหารงานยุติธรรมของประเทศ
วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม จัดประชุม กพยช.ขับเคลื่อนการบริหารงานยุติธรรมของประเทศ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ ในวันจันทร์ที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ําการดําเนินงานในด้านต่าง ๆ ที่สําคัญ ดังนี้ ๑. ให้พิจารณาศึกษาแนวทางการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ ตามมติคณะรัฐมนตรี ทั้งในส่วนของกฎหมายใหม่และแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายที่ประชาชนควรรู้ กฎหมายที่เด็กและเยาวชนควรรู้ และกฎหมายที่สื่อมวลชนควรรู้ พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับโครงการไทยนิยม ยั่งยืน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐ ได้โดยง่าย และรวดเร็ว ๒. ให้พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การคัดเลือกบุคคลต้นแบบด้านการส่งเสริมค่านิยมร่วมของบุคลากร ในกระบวนการยุติธรรมในด้านต่างๆ อาทิ คุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการคัดเลือก วิธีการดําเนินการคัดเลือก ฯลฯ ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวจะมอบให้กับผู้ที่มีความประพฤติและผลงานเด่นชัดเป็นที่ประจักษ์ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจและสร้างขวัญกําลังใจให้กับบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ๓. พิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม (Data Exchange Center : DXC) ให้มีประสิทธิภาพ โดยดําเนินการดังนี้ ๑.การเชื่อมโยงข้อมูล (Connected Government) และการใช้ประโยชน์ร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐด้านกระบวนการยุติธรรม ๒.การบริการต่างๆ (Digital Government) เพื่อพัฒนาบริการต่าง ๆ ที่จําเป็นต่อการปฏิบัติงาน ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านกระบวนการยุติธรรม และสนับสนุนข้อมูลเพื่อการบริการงานด้านกระบวนการยุติธรรม ๓.ตัวชี้วัดการกระทําผิดซ้ํา (Big Data) เพื่อพัฒนาการจัดเก็บตัวชี้วัดประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และ ๔.วิธีการ ขั้นตอนการดําเนินการกรอบระยะเวลา ประกอบด้วย แนวทางการขับเคลื่อนด้าน MIS & บริการดิจิทัล และบทบาทหน้าที่ โครงสร้างของศูนย์ DXC เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม จัดประชุม กพยช.ขับเคลื่อนการบริหารงานยุติธรรมของประเทศ วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม จัดประชุม กพยช.ขับเคลื่อนการบริหารงานยุติธรรมของประเทศ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ ในวันจันทร์ที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ําการดําเนินงานในด้านต่าง ๆ ที่สําคัญ ดังนี้ ๑. ให้พิจารณาศึกษาแนวทางการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ ตามมติคณะรัฐมนตรี ทั้งในส่วนของกฎหมายใหม่และแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายที่ประชาชนควรรู้ กฎหมายที่เด็กและเยาวชนควรรู้ และกฎหมายที่สื่อมวลชนควรรู้ พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับโครงการไทยนิยม ยั่งยืน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐ ได้โดยง่าย และรวดเร็ว ๒. ให้พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การคัดเลือกบุคคลต้นแบบด้านการส่งเสริมค่านิยมร่วมของบุคลากร ในกระบวนการยุติธรรมในด้านต่างๆ อาทิ คุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการคัดเลือก วิธีการดําเนินการคัดเลือก ฯลฯ ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวจะมอบให้กับผู้ที่มีความประพฤติและผลงานเด่นชัดเป็นที่ประจักษ์ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจและสร้างขวัญกําลังใจให้กับบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ๓. พิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม (Data Exchange Center : DXC) ให้มีประสิทธิภาพ โดยดําเนินการดังนี้ ๑.การเชื่อมโยงข้อมูล (Connected Government) และการใช้ประโยชน์ร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐด้านกระบวนการยุติธรรม ๒.การบริการต่างๆ (Digital Government) เพื่อพัฒนาบริการต่าง ๆ ที่จําเป็นต่อการปฏิบัติงาน ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านกระบวนการยุติธรรม และสนับสนุนข้อมูลเพื่อการบริการงานด้านกระบวนการยุติธรรม ๓.ตัวชี้วัดการกระทําผิดซ้ํา (Big Data) เพื่อพัฒนาการจัดเก็บตัวชี้วัดประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และ ๔.วิธีการ ขั้นตอนการดําเนินการกรอบระยะเวลา ประกอบด้วย แนวทางการขับเคลื่อนด้าน MIS & บริการดิจิทัล และบทบาทหน้าที่ โครงสร้างของศูนย์ DXC เป็นต้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10868
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีเปิดงาน Thai festival 2017
วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2560 กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีเปิดงาน Thai festival 2017 กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีเปิดงาน Thai festival 2017 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2560 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีเปิดงาน Thai festival 2017 โดยมีนายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันอาหาร ร่วมงาน ณ สวนโยโยงิ เขตชิบะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยภายในงานสถาบันอาหาร สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมจัดแสดงอัตลักษณ์อาหาร Thai Future Food ภายใต้โครงการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนผู้ประกอบการอาหารเพื่ออุตสาหกรรมอาหารอนาคต (Future Food) และปรุงอาหารไทย อาทิ แกงเขียวหวาน ผัดไทย ลาบทอด แกงเลียง และวุ้น เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าอาหารของประเทศไทยตามนโยบายรัฐบาลนอกจากนี้ยังได้นําผลิตภัณฑ์จากข้าวของผู้ประกอบการมาจัดแสดงด้วย โดยได้รับเกียรติจากพลเอกธนะศักดิ์ ปฎิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เยี่ยมชมบูธฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีเปิดงาน Thai festival 2017 วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2560 กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีเปิดงาน Thai festival 2017 กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีเปิดงาน Thai festival 2017 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2560 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีเปิดงาน Thai festival 2017 โดยมีนายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันอาหาร ร่วมงาน ณ สวนโยโยงิ เขตชิบะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยภายในงานสถาบันอาหาร สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมจัดแสดงอัตลักษณ์อาหาร Thai Future Food ภายใต้โครงการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนผู้ประกอบการอาหารเพื่ออุตสาหกรรมอาหารอนาคต (Future Food) และปรุงอาหารไทย อาทิ แกงเขียวหวาน ผัดไทย ลาบทอด แกงเลียง และวุ้น เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าอาหารของประเทศไทยตามนโยบายรัฐบาลนอกจากนี้ยังได้นําผลิตภัณฑ์จากข้าวของผู้ประกอบการมาจัดแสดงด้วย โดยได้รับเกียรติจากพลเอกธนะศักดิ์ ปฎิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เยี่ยมชมบูธฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3759
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.อุดรธานี สุพรรณบุรี และนครศรีธรรมราช
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561 พม. กําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.อุดรธานี สุพรรณบุรี และนครศรีธรรมราช พม. กําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.อุดรธานี สุพรรณบุรี และนครศรีธรรมราช วันนี้ (23 มี.ค. 61) เวลา 08.30 น.นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รักษาการแทนปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 52/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากกรณีเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ที่กําพร้าพ่อ แม่ถูกจําคุก และยายเสียชีวิต ไม่มีผู้เลี้ยงดู ต้องไปขออาศัยอยู่กับ เพื่อนบ้าน ซึ่งมีฐานะครอบครัวยากจน และอยู่อาศัยรวมกันถึง 7 ชีวิต ในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม ที่จังหวัดอุดรธานี และกรณีหญิงชราวัย 77 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูหลาน 3 คน วัยกําลังเรียน ซึ่งกําพร้าพ่อ-แม่ ครอบครัว มีฐานะยากจน ไม่มีเงินเรียนหนังสือต่อ อาศัยเวลาว่างในวันหยุดช่วยกันออกรับจ้างถางหญ้า เพื่อหารายได้ประทังชีวิต ที่จังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งกรณีชายวัย 30 ปี ป่วยพิการทางสมองตั้งแต่กําเนิด และเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ร่างกายผอมซูบ แขน-ขาหงิกงอ นอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาศัยอยู่กับพ่อแก่ชราวัย 67 ปี ครอบครัวมีฐานะยากจน อาศัยเพียงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและคนพิการใช้ประทังชีวิต ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 3 จังหวัด ได้แก่ พมจ.อุดรธานี พมจ.สุพรรณบุรี และ พมจ.นครศรีธรรมราช พร้อมทีม One Home ทั้ง 3 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคม ของครอบครัวดังกล่าวทั้งหมด เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก คนพิการ และผู้สูงอายุของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์ทางการศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยทั้งหมดอย่างใกล้ชิด และการศึกษาของเด็กทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง ในระยะยาว อีกทั้ง การปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง ถูกสุขลักษณะ และให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม รวมถึง การส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ ที่เพียงพอและมั่นคงต่อไป ทั้งนี้ กรณีเด็กหญิงกําพร้าวัย 7 ขวบ หากตรวจสอบพบว่าไม่มีญาติ และครอบครัวของ เพื่อนบ้านไม่พร้อมดูแลเด็ก ทางกระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดอุดรธานี พร้อมรับเด็กมาดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีชายชราวัย 78 ปี ที่พิการทางการเคลื่อนไหว ป่วยหลายโรครุมเร้า ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ครอบครัวฐานะยากจน อาศัยอยู่ร่วมกัน 5 ชีวิต ในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ที่จังหวัดปทุมธานี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน และมอบเครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ให้คําปรึกษาแนะนําเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วย และให้คําปรึกษาเรื่องการกู้ยืมเงินผู้ดูแลคนพิการ พร้อมพิจารณาให้ความช่วยเหลือเงินสงเคราะห์ และปรับปรุงที่อยู่อาศัย 2) กรณีหญิงวัย 37 ปี ร่างกายพิการเป็นอัมพาตครึ่งตัว แต่สู้ชีวิตถักไหมพรมเป็นกุญแจขาย เพื่อเลี้ยงดู ลูกชายวัย 8 ขวบ และแม่ที่ป่วย ที่จังหวัดสุโขทัย นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน และมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น พร้อมมอบเงินสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ เงินสงเคราะห์เด็กขาดแคลน อีกทั้ง ให้คําปรึกษาแนะนําการต่อยอดในการประกอบอาชีพ และให้การสนับสนุนหาตลาดรองรับสินค้าพวงกุญแจ ในการนําสินค้าไปขาย พร้อมประสานให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสมต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.อุดรธานี สุพรรณบุรี และนครศรีธรรมราช วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561 พม. กําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.อุดรธานี สุพรรณบุรี และนครศรีธรรมราช พม. กําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.อุดรธานี สุพรรณบุรี และนครศรีธรรมราช วันนี้ (23 มี.ค. 61) เวลา 08.30 น.นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รักษาการแทนปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 52/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากกรณีเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ที่กําพร้าพ่อ แม่ถูกจําคุก และยายเสียชีวิต ไม่มีผู้เลี้ยงดู ต้องไปขออาศัยอยู่กับ เพื่อนบ้าน ซึ่งมีฐานะครอบครัวยากจน และอยู่อาศัยรวมกันถึง 7 ชีวิต ในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม ที่จังหวัดอุดรธานี และกรณีหญิงชราวัย 77 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูหลาน 3 คน วัยกําลังเรียน ซึ่งกําพร้าพ่อ-แม่ ครอบครัว มีฐานะยากจน ไม่มีเงินเรียนหนังสือต่อ อาศัยเวลาว่างในวันหยุดช่วยกันออกรับจ้างถางหญ้า เพื่อหารายได้ประทังชีวิต ที่จังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งกรณีชายวัย 30 ปี ป่วยพิการทางสมองตั้งแต่กําเนิด และเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ร่างกายผอมซูบ แขน-ขาหงิกงอ นอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาศัยอยู่กับพ่อแก่ชราวัย 67 ปี ครอบครัวมีฐานะยากจน อาศัยเพียงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและคนพิการใช้ประทังชีวิต ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 3 จังหวัด ได้แก่ พมจ.อุดรธานี พมจ.สุพรรณบุรี และ พมจ.นครศรีธรรมราช พร้อมทีม One Home ทั้ง 3 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคม ของครอบครัวดังกล่าวทั้งหมด เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก คนพิการ และผู้สูงอายุของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์ทางการศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยทั้งหมดอย่างใกล้ชิด และการศึกษาของเด็กทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง ในระยะยาว อีกทั้ง การปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง ถูกสุขลักษณะ และให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม รวมถึง การส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ ที่เพียงพอและมั่นคงต่อไป ทั้งนี้ กรณีเด็กหญิงกําพร้าวัย 7 ขวบ หากตรวจสอบพบว่าไม่มีญาติ และครอบครัวของ เพื่อนบ้านไม่พร้อมดูแลเด็ก ทางกระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดอุดรธานี พร้อมรับเด็กมาดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีชายชราวัย 78 ปี ที่พิการทางการเคลื่อนไหว ป่วยหลายโรครุมเร้า ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ครอบครัวฐานะยากจน อาศัยอยู่ร่วมกัน 5 ชีวิต ในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ที่จังหวัดปทุมธานี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน และมอบเครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ให้คําปรึกษาแนะนําเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วย และให้คําปรึกษาเรื่องการกู้ยืมเงินผู้ดูแลคนพิการ พร้อมพิจารณาให้ความช่วยเหลือเงินสงเคราะห์ และปรับปรุงที่อยู่อาศัย 2) กรณีหญิงวัย 37 ปี ร่างกายพิการเป็นอัมพาตครึ่งตัว แต่สู้ชีวิตถักไหมพรมเป็นกุญแจขาย เพื่อเลี้ยงดู ลูกชายวัย 8 ขวบ และแม่ที่ป่วย ที่จังหวัดสุโขทัย นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน และมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น พร้อมมอบเงินสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ เงินสงเคราะห์เด็กขาดแคลน อีกทั้ง ให้คําปรึกษาแนะนําการต่อยอดในการประกอบอาชีพ และให้การสนับสนุนหาตลาดรองรับสินค้าพวงกุญแจ ในการนําสินค้าไปขาย พร้อมประสานให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสมต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11004
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธบุกบ้านเกิดเดินหน้าแจกถุงผ้าตลาดเทศบาลอู่ทอง
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2562 วราวุธบุกบ้านเกิดเดินหน้าแจกถุงผ้าตลาดเทศบาลอู่ทอง นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด ทส. ลงพื้นที่ตลาดเทศบาลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เดินหน้ารณรงค์ เช วราวุธบุกบ้านเกิดเดินหน้าแจกถุงผ้าตลาดเทศบาลอู่ทอง วันนี้ 10 พฤศจิกายน 2562 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด ทส. ลงพื้นที่ตลาดเทศบาลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เดินหน้ารณรงค์ เชิญชวนพ่อแม่พี่น้อง อําเภออู่ทอง ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก Every Day Say No to Plastic bags พร้อมแจกถุงผ้า ให้ประชาชนพ่อค้าแม่ค้าในตลาดเทศบาลอู่ทอง โดยมีหน่วยงานราชการและเอกชนในพื้นที่อําเภออู่ทองมาร่วมกิจกรรมรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติกในครั้งนี้ด้วย โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้พบปะประชาชนและพี่น้อง ทสม. ชาวจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมมอบสื่อการเรียนการสอนแก่สถานศึกษา มอบถุงผ้าแก่โรงพยาบาลสําหรับใส่ยากลับบ้าน และมอบกล้าไม้แก่ผู้นําชุมชน ณ หอประชุมเทศบาลตําบลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี นายวราวุธ กล่าวว่า เหลือเวลาอีก 52 วันเท่านั้นที่ประเทศไทยจะประกาศเลิกใช้ถุงพลาสติก โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จับมือกับ 47 ห้างร้านทั่วประเทศ จะเลิกแจกถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยวันที่ 1 มกราคม 2563 นี้ เราจะออกกฏหมายงดการใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าลืมพกถุงผ้าออกจากบ้าน วันนี้เรามาช่วยกันรณรงค์ ลดใช้ เลิกใช้ถุงพลาสติก หันมาใช้ถุงผ้าแทนการใช้ถุงพลาสติก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธบุกบ้านเกิดเดินหน้าแจกถุงผ้าตลาดเทศบาลอู่ทอง วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2562 วราวุธบุกบ้านเกิดเดินหน้าแจกถุงผ้าตลาดเทศบาลอู่ทอง นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด ทส. ลงพื้นที่ตลาดเทศบาลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เดินหน้ารณรงค์ เช วราวุธบุกบ้านเกิดเดินหน้าแจกถุงผ้าตลาดเทศบาลอู่ทอง วันนี้ 10 พฤศจิกายน 2562 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด ทส. ลงพื้นที่ตลาดเทศบาลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เดินหน้ารณรงค์ เชิญชวนพ่อแม่พี่น้อง อําเภออู่ทอง ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก Every Day Say No to Plastic bags พร้อมแจกถุงผ้า ให้ประชาชนพ่อค้าแม่ค้าในตลาดเทศบาลอู่ทอง โดยมีหน่วยงานราชการและเอกชนในพื้นที่อําเภออู่ทองมาร่วมกิจกรรมรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติกในครั้งนี้ด้วย โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้พบปะประชาชนและพี่น้อง ทสม. ชาวจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมมอบสื่อการเรียนการสอนแก่สถานศึกษา มอบถุงผ้าแก่โรงพยาบาลสําหรับใส่ยากลับบ้าน และมอบกล้าไม้แก่ผู้นําชุมชน ณ หอประชุมเทศบาลตําบลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี นายวราวุธ กล่าวว่า เหลือเวลาอีก 52 วันเท่านั้นที่ประเทศไทยจะประกาศเลิกใช้ถุงพลาสติก โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จับมือกับ 47 ห้างร้านทั่วประเทศ จะเลิกแจกถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยวันที่ 1 มกราคม 2563 นี้ เราจะออกกฏหมายงดการใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าลืมพกถุงผ้าออกจากบ้าน วันนี้เรามาช่วยกันรณรงค์ ลดใช้ เลิกใช้ถุงพลาสติก หันมาใช้ถุงผ้าแทนการใช้ถุงพลาสติก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24459
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. บูรณาการทุกภาคส่วนรับมือวิกฤตหมอกควันภาคเหนือ
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 ทส. บูรณาการทุกภาคส่วนรับมือวิกฤตหมอกควันภาคเหนือ ทส. บูรณาการทุกภาคส่วนรับมือวิกฤตหมอกควันภาคเหนือ ทส. บูรณาการทุกภาคส่วนรับมือวิกฤตหมอกควันภาคเหนือ วันที่ 20 มี.ค. 63 เวลา 13.00 น.นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมศูนย์อํานวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันแห่งชาติ (ศอ.ปกป.ชาติ) ครั้งที่ 1/2563 ผ่านระบบ Video Teleconference (VTC) เพื่อติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ เนื่องจากพบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีแนวโน้นสูงขึ้น และอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ขอให้ทุกหน่วยงานให้ความสําคัญของการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน หากประชาชนไม่ร่วมมือก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเด็ดขาดและยั่งยืน โดยเฉพาะการทําความเข้าใจถึงผลกระทบจากการเผา ที่จะก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ กระทบสิ่งแวดล้อม และยังทําลายป่าต้นน้ํา ซึ่งเปรียบเสมือนโรงงานผลิตน้ําของทุกคน หากไม่มีป่า ก็จะส่งผลไปถึงเรื่องภัยแล้งด้วย ด้านสําหรับมาตรการรับมือสถานการณ์ในห้วงเวลานับจากนี้ ขอให้ทุกจังหวัดและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวด กวดขันในการควบคุมไม่ให้มีการเผาในพื้นที่ และให้บังคับใช้กฎหมายกับผู้กลอบเผาอย่างเด็ดขาดตลอดช่วงห้ามเผาที่จังหวัดกําหนด หากพ้นช่วงห้ามเผา ขอให้จัดระเบียบการเผาเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองเพิ่มสูงขึ้น สําหรับปัญหาหมอกควันข้ามแดน นายกรัฐมนตรีได้มีสารไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอความร่วมมือควบคุมการเผา และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสํานักงานเลขาธิการอาเซียนและประเทศในอนุภูมิภาคแม่โขงอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งแก้ไขสถานการณ์ร่วมกัน ทั้งนี้ ในตอนท้าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงาน ร่วมถึงเจ้าหน้าที่ จิตอาสา และหน่วยทหาร ที่ร่วมกันดําเนินงานอย่างเต็มที่ และขอเป็นกําลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกท่าน ขอให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดีและปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะให้การสนับสนุนทั้งในเรื่องอุปกรณ์และสวัสดิการในการดูแลเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. บูรณาการทุกภาคส่วนรับมือวิกฤตหมอกควันภาคเหนือ วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 ทส. บูรณาการทุกภาคส่วนรับมือวิกฤตหมอกควันภาคเหนือ ทส. บูรณาการทุกภาคส่วนรับมือวิกฤตหมอกควันภาคเหนือ ทส. บูรณาการทุกภาคส่วนรับมือวิกฤตหมอกควันภาคเหนือ วันที่ 20 มี.ค. 63 เวลา 13.00 น.นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมศูนย์อํานวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันแห่งชาติ (ศอ.ปกป.ชาติ) ครั้งที่ 1/2563 ผ่านระบบ Video Teleconference (VTC) เพื่อติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ เนื่องจากพบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีแนวโน้นสูงขึ้น และอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ขอให้ทุกหน่วยงานให้ความสําคัญของการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน หากประชาชนไม่ร่วมมือก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเด็ดขาดและยั่งยืน โดยเฉพาะการทําความเข้าใจถึงผลกระทบจากการเผา ที่จะก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ กระทบสิ่งแวดล้อม และยังทําลายป่าต้นน้ํา ซึ่งเปรียบเสมือนโรงงานผลิตน้ําของทุกคน หากไม่มีป่า ก็จะส่งผลไปถึงเรื่องภัยแล้งด้วย ด้านสําหรับมาตรการรับมือสถานการณ์ในห้วงเวลานับจากนี้ ขอให้ทุกจังหวัดและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวด กวดขันในการควบคุมไม่ให้มีการเผาในพื้นที่ และให้บังคับใช้กฎหมายกับผู้กลอบเผาอย่างเด็ดขาดตลอดช่วงห้ามเผาที่จังหวัดกําหนด หากพ้นช่วงห้ามเผา ขอให้จัดระเบียบการเผาเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองเพิ่มสูงขึ้น สําหรับปัญหาหมอกควันข้ามแดน นายกรัฐมนตรีได้มีสารไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอความร่วมมือควบคุมการเผา และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสํานักงานเลขาธิการอาเซียนและประเทศในอนุภูมิภาคแม่โขงอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งแก้ไขสถานการณ์ร่วมกัน ทั้งนี้ ในตอนท้าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงาน ร่วมถึงเจ้าหน้าที่ จิตอาสา และหน่วยทหาร ที่ร่วมกันดําเนินงานอย่างเต็มที่ และขอเป็นกําลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกท่าน ขอให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดีและปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะให้การสนับสนุนทั้งในเรื่องอุปกรณ์และสวัสดิการในการดูแลเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27664
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอพร้อมผลักดันผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยสู่อุตสาหกรรมระบบราง
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562 บีโอไอพร้อมผลักดันผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยสู่อุตสาหกรรมระบบราง บีโอไอพร้อมผลักดันผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยสู่อุตสาหกรรมระบบราง บีโอไอพร้อมผลักดันผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยสู่อุตสาหกรรมระบบราง บีโอไอ ชี้อุตสาหกรรมระบบราง สร้างโอกาสผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย พร้อมช่วยยกระดับขีดความสามารถ ในการผลิตชิ้นส่วนของผู้ประกอบการไทย รับแผนยุทธศาสตร์พัฒนาระบบราง และอุตสาหกรรมสนับสนุน ของไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์เชื่อมโยงกับภูมิภาค นางสาวบงกช อนุโรจน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “อนาคตผู้ประกอบการไทยกับการผลิตชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมระบบราง” ซึ่งจัดโดยสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 ณ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ว่า อุตสาหกรรมระบบรางและอุตสาหกรรมสนับสนุน เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสําคัญที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาขึ้นในประเทศ โดยเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต” ทั้งนี้ ในแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย มีโครงการระบบรางใหม่ๆ เกิดขึ้นจํานวนมาก เช่น การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง และโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นต้น “โครงการเหล่านี้ทําให้เกิดความต้องการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากขึ้น ทั้งตัวตู้รถไฟ อุปกรณ์ชานชาลา ระบบราง ระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถไฟ ระบบอาณัติสัญญาณ รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนทั้งโออีเอ็ม และอะไหล่ทดแทน ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้มากขึ้น” นางสาวบงกชกล่าว บีโอไอโดยกองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุน (กพช.) ได้มีการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสนับสนุนและสร้างโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้เติบโตและมีศักยภาพมากขึ้น และมีโอกาสเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการรายใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อากาศยาน และเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น สําหรับการจัดสัมมนาอุตสาหกรรมระบบรางครั้งนี้นับเป็นการจัดครั้งแรก เพื่อเป็นเวทีกลางให้ทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมระบบราง รวมทั้งสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมระบบราง เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม การสัมมนาในวันนี้ นอกจากจะมีการนําเสนอข้อมูลแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางในประเทศไทย ความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ โดยผู้แทนจากกรมการขนส่งทางราง สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แล้ว ยังมีการจัดแสดงชิ้นส่วนและอุปกรณ์ระบบราง โดยสมาคมอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตไทย (ซับคอน ไทยแลนด์) ด้วย สําหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมระบบรางนั้น บีโอไอได้เปิดให้การส่งเสริมใน 2 ส่วน คือกิจการขนส่งทางราง และกิจการผลิตและ/หรือซ่อมรถไฟ ชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ระบบราง โดยมีสิทธิประโยชน์ ดังนี้ กิจการขนส่งทางราง จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี กิจการผลิตและ/หรือซ่อมรถไฟ ชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ระบบราง จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 - 8 ปี โดยมี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กิจการผลิตขบวนรถและ/หรือตู้รถ เช่น ตู้รถโดยสาร ตู้สินค้า เป็นต้น จะได้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี 2) กิจการซ่อมรถไฟ หรือชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์สําหรับระบบราง ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี 3) กิจการผลิตชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์สําหรับระบบราง ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี โดยต้องมีขั้นตอนการผลิตตามที่คณะกรรมการเห็นชอบ “การส่งเสริมอุตสาหกรรมระบบราง จะช่วยพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของไทย ช่วยพัฒนาขีดความสามารถของผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ และสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทย ขณะเดียวกันจะช่วยให้มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนการนําเข้าจากต่างประเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางยังจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในอาเซียน เชื่อมโยงการค้า และการลงทุนในภูมิภาคอีกด้วย” นางสาวบงกชกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอพร้อมผลักดันผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยสู่อุตสาหกรรมระบบราง วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562 บีโอไอพร้อมผลักดันผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยสู่อุตสาหกรรมระบบราง บีโอไอพร้อมผลักดันผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยสู่อุตสาหกรรมระบบราง บีโอไอพร้อมผลักดันผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยสู่อุตสาหกรรมระบบราง บีโอไอ ชี้อุตสาหกรรมระบบราง สร้างโอกาสผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย พร้อมช่วยยกระดับขีดความสามารถ ในการผลิตชิ้นส่วนของผู้ประกอบการไทย รับแผนยุทธศาสตร์พัฒนาระบบราง และอุตสาหกรรมสนับสนุน ของไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์เชื่อมโยงกับภูมิภาค นางสาวบงกช อนุโรจน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “อนาคตผู้ประกอบการไทยกับการผลิตชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมระบบราง” ซึ่งจัดโดยสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 ณ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ว่า อุตสาหกรรมระบบรางและอุตสาหกรรมสนับสนุน เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสําคัญที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาขึ้นในประเทศ โดยเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต” ทั้งนี้ ในแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย มีโครงการระบบรางใหม่ๆ เกิดขึ้นจํานวนมาก เช่น การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง และโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นต้น “โครงการเหล่านี้ทําให้เกิดความต้องการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากขึ้น ทั้งตัวตู้รถไฟ อุปกรณ์ชานชาลา ระบบราง ระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถไฟ ระบบอาณัติสัญญาณ รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนทั้งโออีเอ็ม และอะไหล่ทดแทน ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้มากขึ้น” นางสาวบงกชกล่าว บีโอไอโดยกองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุน (กพช.) ได้มีการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสนับสนุนและสร้างโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้เติบโตและมีศักยภาพมากขึ้น และมีโอกาสเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการรายใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อากาศยาน และเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น สําหรับการจัดสัมมนาอุตสาหกรรมระบบรางครั้งนี้นับเป็นการจัดครั้งแรก เพื่อเป็นเวทีกลางให้ทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมระบบราง รวมทั้งสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมระบบราง เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม การสัมมนาในวันนี้ นอกจากจะมีการนําเสนอข้อมูลแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางในประเทศไทย ความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ โดยผู้แทนจากกรมการขนส่งทางราง สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แล้ว ยังมีการจัดแสดงชิ้นส่วนและอุปกรณ์ระบบราง โดยสมาคมอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตไทย (ซับคอน ไทยแลนด์) ด้วย สําหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมระบบรางนั้น บีโอไอได้เปิดให้การส่งเสริมใน 2 ส่วน คือกิจการขนส่งทางราง และกิจการผลิตและ/หรือซ่อมรถไฟ ชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ระบบราง โดยมีสิทธิประโยชน์ ดังนี้ กิจการขนส่งทางราง จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี กิจการผลิตและ/หรือซ่อมรถไฟ ชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ระบบราง จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 - 8 ปี โดยมี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กิจการผลิตขบวนรถและ/หรือตู้รถ เช่น ตู้รถโดยสาร ตู้สินค้า เป็นต้น จะได้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี 2) กิจการซ่อมรถไฟ หรือชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์สําหรับระบบราง ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี 3) กิจการผลิตชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์สําหรับระบบราง ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี โดยต้องมีขั้นตอนการผลิตตามที่คณะกรรมการเห็นชอบ “การส่งเสริมอุตสาหกรรมระบบราง จะช่วยพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของไทย ช่วยพัฒนาขีดความสามารถของผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ และสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทย ขณะเดียวกันจะช่วยให้มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนการนําเข้าจากต่างประเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางยังจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในอาเซียน เชื่อมโยงการค้า และการลงทุนในภูมิภาคอีกด้วย” นางสาวบงกชกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23403
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.มอบ 13 กิจกรรม เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน จัด“สวดมนต์ข้ามปี” พร้อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ-พระพุทธรูปสำคัญจาก 13 ชาติ ให้คนไทยสักการะ
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561 วธ.มอบ 13 กิจกรรม เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน จัด“สวดมนต์ข้ามปี” พร้อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ-พระพุทธรูปสําคัญจาก 13 ชาติ ให้คนไทยสักการะ วธ.มอบ 13 กิจกรรม เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนจัด“สวดมนต์ข้ามปี” พร้อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ-พระพุทธรูปสําคัญจาก 13 ชาติ ให้คนไทยสักการะ “ไหว้พระ 10 วัด”- เปิดพิพิธภัณฑ์ - อุทยานประวัติศาสตร์ชมฟรีทั่วประเทศ เชิญชวนซื้อหนังสือลดหย่อนภาษีได้ วธ.มอบ 13 กิจกรรม เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน จัด“สวดมนต์ข้ามปี” พร้อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ-พระพุทธรูปสําคัญจาก 13 ชาติ ให้คนไทยสักการะ “ไหว้พระ 10 วัด”- เปิดพิพิธภัณฑ์ - อุทยานประวัติศาสตร์ชมฟรีทั่วประเทศ เชิญชวนซื้อหนังสือลดหย่อนภาษีได้ วันที่ 20 ธ.ค.2561 ที่ห้องโถงชั้น 1 กระทรวงวัฒนธรรม นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในการแถลงข่าว“ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลไทย นําความเป็นไทยสู่ใจประชาชน พ.ศ.2562” โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม นายวีระ กล่าวว่า ตามที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) รับทราบกิจกรรมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พ.ศ.2562 เพื่อส่งมอบความสุขให้แก่ประชาชนในมิติทางศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ตามที่วธ.นําเสนอ และข้อสั่งการของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง การจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ประจําปี 2562 ให้แก่ประชาชนเหมือนทุกปีที่ผ่านมา ดังนั้น ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2562 จํานวน 13 กิจกรรม ดังนี้ 1. “สวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วโลก ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พ.ศ.2562” วธ.ร่วมกับวัดทุกวัดทั่วประเทศจัดสถานที่เหมาะสมสําหรับจัดสวดมนต์ข้ามปี ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.2561 – 1 ม.ค.2562 เพื่ออุทิศถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ โดยเชิญชวนประชาชนทุกพื้นที่รักษาศีล เจริญภาวนา ปฏิบัติธรรมและสวดมนต์เป็นสิริมงคลให้ประเทศไทย ครอบครัวและตนเอง ตลอดจนเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนลด ละ เลิกอบายมุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยส่วนกลางเชิญประมุขสงฆ์ต่างประเทศ และรัฐมนตรีที่กํากับดูแลด้านศาสนาและวัฒนธรรมของต่างประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา เข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เพื่อสานสัมพันธไมตรีในมิติทางศาสนา ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ทั้งนี้ ได้ขอความร่วมมือองค์กรศาสนาอื่น เชิญชวนศาสนสถานในสังกัดจัดกิจกรรมถวายพระพรชัยมงคลและจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ด้วย นอกจากนี้ จะจัดกิจกรรมสวดมนต์ในต่างประเทศ โดยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และสมัชชาสงฆ์ไทยในต่างประเทศ/ยุโรป/เอเชียหรือประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาและประเทศที่มีชุมชนชาวพุทธทั่วโลก 544 วัด 2. ริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุหรือพระพุทธรูปสําคัญที่ประดิษฐานทั้งในและต่างประเทศ จํานวน 13 ประเทศ ได้แก่ ภูฏาน กัมพูชา จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย ลาว มองโกเลีย เมียนมา สิงคโปร์ ศรีลังกา เวียดนามและไทย จากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ในวันที่ 29 ธ.ค. 2561 เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ให้ประชาชนสักการะ ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.2561 – 1 ม.ค.2562 และจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุหรือพระพุทธรูปที่สําคัญจากต่างประเทศไปประดิษฐานให้ประชาชนสักการะ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จนถึงวันที่ 15 ม.ค.2562 3. “ไหว้พระ 10 วัด สืบสิริสวัสดิ์ 10 รัชกาล” ที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค.2561-1 ม.ค.2562 ตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 น. จัดรถบริการรับ-ส่งฟรี ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร , วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร , วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ,วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร , วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร, วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ,วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร, วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก และวัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร 4. ไหว้พระวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน:นพปฏิมารัตนมารวิชัย อัญเชิญพระแก้วปางมารวิชัย ซึ่งทําจากรัตนชาติวรรณะต่างๆ 9 องค์ ร่วมกับการสักการะพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปสําคัญประจําวังหน้า รวม 10 องค์ เพื่อให้ประชาชนได้สักการะ เนื่องในเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2562 ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.2561 – 27 ม.ค.2562 นอกจากนี้ ในส่วนภูมิภาคได้อัญเชิญพระพุทธรูปสําคัญประจําท้องถิ่นให้ประชาชนได้สักการะ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทุกแห่ง 5. รณรงค์ปีใหม่ไทยใช้ของไทย ส่งความสุขแบบไทย เป็นของขวัญปีใหม่ ประจําปี 2562 ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมรณรงค์ปีใหม่ไทยใช้ของไทย โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เป็นบุคคลต้นแบบในการรณรงค์ โดยจัดแสดงตัวอย่างสินค้าไทย สินค้าทางวัฒนธรรมและกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่จัดในช่วงปีใหม่ ณ ทําเนียบรัฐบาล และจัดแถลงข่าวรณรงค์ปีใหม่ไทยใช้ของไทยฯเผยแพร่สู่สาธารณชน ณ กระทรวงวัฒนธรรม 6. จัดการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ (1) จัดการแสดงรายการศรีสุขนาฏกรรม วันที่ 28 ธ.ค.2561 เวลา 17.00 น. ณ โรงละครแห่งชาติ ประกอบด้วย การแสดงรําเทิดพระเกียรติ “พ่อของชาวไทย ทูนเทิดไท้ด้วยภักดี ด้วยพระบารมี ปกเกศีสี่ทัพไทย” การแสดงระบําโบราณคดี ลพบุรีและสุโขทัย การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุด อสุรผัดตามพ่อ การแสดงเพลงทรงเครื่องและการแสดงชุด “รวมใจไทย เฉลิมฉลอง ร่วมแซ่ซ้อง ต้อนรับปีใหม่” และ(2) การแสดงนาฏศิลป์ไทย และการบรรเลงดนตรีไทย ระหว่างวันที่ 5-15 ม.ค.2562 ณ พื้นที่จังหวัดที่มีสถานศึกษาในสังกัดสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ตั้งอยู่ 7. การแสดงดนตรีและการแสดงพื้นบ้านส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2562 เป็นการจัดกิจกรรมการแสดงพื้นบ้านทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นมรดกภูมิปัญญาที่มีเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ที่โดดเด่นของประเทศไทยโดยจัดกิจกรรม ในช่วงเดือนธ.ค.2561-ม.ค.2562 8. จัดฉายภาพยนตร์ในงาน“อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์” วันที่ 11 ธ.ค.2561 - 17 ม.ค.2562 ณ เวทีการแสดงสนามเสือป่า จัดฉายภาพยนตร์ 20 เรื่อง อาทิ ฉลาดเกมส์โกง คิดถึงวิทยา Season Change พรจากฟ้า ขุนพันธ์ 2 นาคี 2 โหมโรง เป็นต้น 9. การเปิดแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมให้เข้าชมฟรี ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติและอุทยานประวัติศาสตร์ทุกแห่ง ให้นักท่องเที่ยวและประชาชนได้เข้าชมฟรี ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.2561- 1 ม.ค.2562 10. การอวยพรปีใหม่ประชาชน ได้แก่ (1) จัดทําโปสการ์ดพระคเณศ เพื่อแจกนักท่องเที่ยวและประชาชนที่เข้ามาเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 31 ธ.ค.2561-1ม.ค.2562 และ(2) กิจกรรมส่งความสุขและคําอวยพรด้วยอีการ์ด ระหว่างวันที่ 15 ธ.ค.2561-15 ม.ค.2562 ทางเว็บไซต์ www.ocac.go.th 11. นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย ได้แก่ (1) มหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale, Krabi 2018 ขึ้นระหว่างวันที่ 2 พ.ย.2561 – 28 ก.พ. 2562 ณ จ.กระบี่ (2) เทศกาลศิลปะแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 4 (The 4th Bangkok Art Festival) ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ สัปดาห์ที่ 1 และ3 ของเดือน ตั้งแต่เดือนต.ค.2561 – ก.ค.2562 ณ สยามสแควร์ ซอย5 และสยามสแควร์ วัน โดยจะมีการมอบของขวัญปีใหม่ให้แก่เด็กด้อยโอกาส ณ สถานสงเคราะห์ เด็กอ่อนปากเกร็ด จ.นนทบุรี และกิจกรรมส่งความสุขในช่วงวันคริสต์มาสและส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และ(3) กิจกรรมพาน้องท่องงานศิลป์ เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆและเยี่ยมชมนิทรรศการที่จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัย ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน ระหว่างเดือนธ.ค.2561-ม.ค.2562 12. กิจกรรมองค์ความรู้จิตอาสาอาเซียน เป็นการเรียบเรียงองค์ความรู้จากโครงการวิจัย 2 โครงการคือ คุณธรรมในอาเซียน:จิตอาสาภาคพื้นทวีป และคุณธรรมในอาเซียน:จิตอาสาภาคพื้นสมุทร โดยสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ ศูนย์คุณธรรม(องค์การมหาชน) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2561-30 ก.ย.2562 และ13. โครงการ “อ่านสร้างชาติ ซื้อหนังสือ ลดหย่อนภาษีได้” ส่งเสริมให้ประชาชนเห็นถึงความสําคัญของการอ่านเพื่อสร้างการเรียนรู้ สนับสนุนให้ประชาชนซื้อหนังสือเป็นของขวัญปีใหม่ให้ตนเองและผู้อื่นทั้งการซื้อหนังสือและ E-Book นําไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท ตามกฎระเบียบกระทรวงการคลัง วันที่ 15 ธ.ค.2561-16 ม.ค.2562 ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ สายด่วนวัฒนธรรม 1765 -------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.มอบ 13 กิจกรรม เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน จัด“สวดมนต์ข้ามปี” พร้อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ-พระพุทธรูปสำคัญจาก 13 ชาติ ให้คนไทยสักการะ วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561 วธ.มอบ 13 กิจกรรม เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน จัด“สวดมนต์ข้ามปี” พร้อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ-พระพุทธรูปสําคัญจาก 13 ชาติ ให้คนไทยสักการะ วธ.มอบ 13 กิจกรรม เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนจัด“สวดมนต์ข้ามปี” พร้อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ-พระพุทธรูปสําคัญจาก 13 ชาติ ให้คนไทยสักการะ “ไหว้พระ 10 วัด”- เปิดพิพิธภัณฑ์ - อุทยานประวัติศาสตร์ชมฟรีทั่วประเทศ เชิญชวนซื้อหนังสือลดหย่อนภาษีได้ วธ.มอบ 13 กิจกรรม เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน จัด“สวดมนต์ข้ามปี” พร้อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ-พระพุทธรูปสําคัญจาก 13 ชาติ ให้คนไทยสักการะ “ไหว้พระ 10 วัด”- เปิดพิพิธภัณฑ์ - อุทยานประวัติศาสตร์ชมฟรีทั่วประเทศ เชิญชวนซื้อหนังสือลดหย่อนภาษีได้ วันที่ 20 ธ.ค.2561 ที่ห้องโถงชั้น 1 กระทรวงวัฒนธรรม นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในการแถลงข่าว“ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลไทย นําความเป็นไทยสู่ใจประชาชน พ.ศ.2562” โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม นายวีระ กล่าวว่า ตามที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) รับทราบกิจกรรมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พ.ศ.2562 เพื่อส่งมอบความสุขให้แก่ประชาชนในมิติทางศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ตามที่วธ.นําเสนอ และข้อสั่งการของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง การจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ประจําปี 2562 ให้แก่ประชาชนเหมือนทุกปีที่ผ่านมา ดังนั้น ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2562 จํานวน 13 กิจกรรม ดังนี้ 1. “สวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วโลก ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พ.ศ.2562” วธ.ร่วมกับวัดทุกวัดทั่วประเทศจัดสถานที่เหมาะสมสําหรับจัดสวดมนต์ข้ามปี ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.2561 – 1 ม.ค.2562 เพื่ออุทิศถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ โดยเชิญชวนประชาชนทุกพื้นที่รักษาศีล เจริญภาวนา ปฏิบัติธรรมและสวดมนต์เป็นสิริมงคลให้ประเทศไทย ครอบครัวและตนเอง ตลอดจนเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนลด ละ เลิกอบายมุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยส่วนกลางเชิญประมุขสงฆ์ต่างประเทศ และรัฐมนตรีที่กํากับดูแลด้านศาสนาและวัฒนธรรมของต่างประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา เข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เพื่อสานสัมพันธไมตรีในมิติทางศาสนา ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ทั้งนี้ ได้ขอความร่วมมือองค์กรศาสนาอื่น เชิญชวนศาสนสถานในสังกัดจัดกิจกรรมถวายพระพรชัยมงคลและจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ด้วย นอกจากนี้ จะจัดกิจกรรมสวดมนต์ในต่างประเทศ โดยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และสมัชชาสงฆ์ไทยในต่างประเทศ/ยุโรป/เอเชียหรือประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาและประเทศที่มีชุมชนชาวพุทธทั่วโลก 544 วัด 2. ริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุหรือพระพุทธรูปสําคัญที่ประดิษฐานทั้งในและต่างประเทศ จํานวน 13 ประเทศ ได้แก่ ภูฏาน กัมพูชา จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย ลาว มองโกเลีย เมียนมา สิงคโปร์ ศรีลังกา เวียดนามและไทย จากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ในวันที่ 29 ธ.ค. 2561 เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ให้ประชาชนสักการะ ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.2561 – 1 ม.ค.2562 และจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุหรือพระพุทธรูปที่สําคัญจากต่างประเทศไปประดิษฐานให้ประชาชนสักการะ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จนถึงวันที่ 15 ม.ค.2562 3. “ไหว้พระ 10 วัด สืบสิริสวัสดิ์ 10 รัชกาล” ที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค.2561-1 ม.ค.2562 ตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 น. จัดรถบริการรับ-ส่งฟรี ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร , วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร , วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ,วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร , วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร, วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ,วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร, วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก และวัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร 4. ไหว้พระวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน:นพปฏิมารัตนมารวิชัย อัญเชิญพระแก้วปางมารวิชัย ซึ่งทําจากรัตนชาติวรรณะต่างๆ 9 องค์ ร่วมกับการสักการะพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปสําคัญประจําวังหน้า รวม 10 องค์ เพื่อให้ประชาชนได้สักการะ เนื่องในเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2562 ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.2561 – 27 ม.ค.2562 นอกจากนี้ ในส่วนภูมิภาคได้อัญเชิญพระพุทธรูปสําคัญประจําท้องถิ่นให้ประชาชนได้สักการะ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทุกแห่ง 5. รณรงค์ปีใหม่ไทยใช้ของไทย ส่งความสุขแบบไทย เป็นของขวัญปีใหม่ ประจําปี 2562 ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมรณรงค์ปีใหม่ไทยใช้ของไทย โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เป็นบุคคลต้นแบบในการรณรงค์ โดยจัดแสดงตัวอย่างสินค้าไทย สินค้าทางวัฒนธรรมและกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่จัดในช่วงปีใหม่ ณ ทําเนียบรัฐบาล และจัดแถลงข่าวรณรงค์ปีใหม่ไทยใช้ของไทยฯเผยแพร่สู่สาธารณชน ณ กระทรวงวัฒนธรรม 6. จัดการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ (1) จัดการแสดงรายการศรีสุขนาฏกรรม วันที่ 28 ธ.ค.2561 เวลา 17.00 น. ณ โรงละครแห่งชาติ ประกอบด้วย การแสดงรําเทิดพระเกียรติ “พ่อของชาวไทย ทูนเทิดไท้ด้วยภักดี ด้วยพระบารมี ปกเกศีสี่ทัพไทย” การแสดงระบําโบราณคดี ลพบุรีและสุโขทัย การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุด อสุรผัดตามพ่อ การแสดงเพลงทรงเครื่องและการแสดงชุด “รวมใจไทย เฉลิมฉลอง ร่วมแซ่ซ้อง ต้อนรับปีใหม่” และ(2) การแสดงนาฏศิลป์ไทย และการบรรเลงดนตรีไทย ระหว่างวันที่ 5-15 ม.ค.2562 ณ พื้นที่จังหวัดที่มีสถานศึกษาในสังกัดสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ตั้งอยู่ 7. การแสดงดนตรีและการแสดงพื้นบ้านส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2562 เป็นการจัดกิจกรรมการแสดงพื้นบ้านทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นมรดกภูมิปัญญาที่มีเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ที่โดดเด่นของประเทศไทยโดยจัดกิจกรรม ในช่วงเดือนธ.ค.2561-ม.ค.2562 8. จัดฉายภาพยนตร์ในงาน“อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์” วันที่ 11 ธ.ค.2561 - 17 ม.ค.2562 ณ เวทีการแสดงสนามเสือป่า จัดฉายภาพยนตร์ 20 เรื่อง อาทิ ฉลาดเกมส์โกง คิดถึงวิทยา Season Change พรจากฟ้า ขุนพันธ์ 2 นาคี 2 โหมโรง เป็นต้น 9. การเปิดแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมให้เข้าชมฟรี ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติและอุทยานประวัติศาสตร์ทุกแห่ง ให้นักท่องเที่ยวและประชาชนได้เข้าชมฟรี ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.2561- 1 ม.ค.2562 10. การอวยพรปีใหม่ประชาชน ได้แก่ (1) จัดทําโปสการ์ดพระคเณศ เพื่อแจกนักท่องเที่ยวและประชาชนที่เข้ามาเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 31 ธ.ค.2561-1ม.ค.2562 และ(2) กิจกรรมส่งความสุขและคําอวยพรด้วยอีการ์ด ระหว่างวันที่ 15 ธ.ค.2561-15 ม.ค.2562 ทางเว็บไซต์ www.ocac.go.th 11. นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย ได้แก่ (1) มหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale, Krabi 2018 ขึ้นระหว่างวันที่ 2 พ.ย.2561 – 28 ก.พ. 2562 ณ จ.กระบี่ (2) เทศกาลศิลปะแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 4 (The 4th Bangkok Art Festival) ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ สัปดาห์ที่ 1 และ3 ของเดือน ตั้งแต่เดือนต.ค.2561 – ก.ค.2562 ณ สยามสแควร์ ซอย5 และสยามสแควร์ วัน โดยจะมีการมอบของขวัญปีใหม่ให้แก่เด็กด้อยโอกาส ณ สถานสงเคราะห์ เด็กอ่อนปากเกร็ด จ.นนทบุรี และกิจกรรมส่งความสุขในช่วงวันคริสต์มาสและส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และ(3) กิจกรรมพาน้องท่องงานศิลป์ เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆและเยี่ยมชมนิทรรศการที่จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัย ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน ระหว่างเดือนธ.ค.2561-ม.ค.2562 12. กิจกรรมองค์ความรู้จิตอาสาอาเซียน เป็นการเรียบเรียงองค์ความรู้จากโครงการวิจัย 2 โครงการคือ คุณธรรมในอาเซียน:จิตอาสาภาคพื้นทวีป และคุณธรรมในอาเซียน:จิตอาสาภาคพื้นสมุทร โดยสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ ศูนย์คุณธรรม(องค์การมหาชน) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2561-30 ก.ย.2562 และ13. โครงการ “อ่านสร้างชาติ ซื้อหนังสือ ลดหย่อนภาษีได้” ส่งเสริมให้ประชาชนเห็นถึงความสําคัญของการอ่านเพื่อสร้างการเรียนรู้ สนับสนุนให้ประชาชนซื้อหนังสือเป็นของขวัญปีใหม่ให้ตนเองและผู้อื่นทั้งการซื้อหนังสือและ E-Book นําไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท ตามกฎระเบียบกระทรวงการคลัง วันที่ 15 ธ.ค.2561-16 ม.ค.2562 ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ สายด่วนวัฒนธรรม 1765 -------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17646
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ กล่าวนำอาเศียรวาทในหลวงรัชกาลที่ 10
วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ กล่าวนําอาเศียรวาทในหลวงรัชกาลที่ 10 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 1 ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี 338/2560 ประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ กล่าวนําอาเศียรวาทในหลวงรัชกาลที่ 10 เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ ในงานวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ ประจําปี 2560 เมื่อวันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม 2560 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เนื่องในงานวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ ประจําปี 2560 ณ สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ อาเศียรวาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โดย หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ณ สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม 2560 ขอพระราชทานกราบบังคมทูลทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้า หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ในนามของลูกเสือ และบุคลากรทางการลูกเสือ ที่ร่วมพิธีอยู่ ณ ที่นี้ ต่างสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ประมุขของคณะลูกเสือแห่งชาติ เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ขอพระราชทานพระวโรกาส น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ลูกเสือไทย ใจภักดิ์ รักชูชาติ กราบพระบาท บพิตร อดิศร ทศราช สยามินทร์ ปิ่นบวร มิ่งอมร สุนทรพจน์ บทมาลย์ พระทรงเป็น เช่นน้ําฟ้า มาโลมโลก ให้คลายโศก สร่างทุกข์ เป็นสุขศานติ์ ทรงเป็นศูนย์ รวมใจ ไทยยืนนาน ทรงสืบสาน งานดํารง วงศ์จักรี เหล่าข้าบาท ลูกเสือไทย ร่วมใจมั่น จะพร้อมกัน กอปรกิจ ประสิทธิ์ศรี จงรักชาติ ศาสน์กษัตริย์ เป็นราชพลี มอบชีวี เพื่อบํารุง ผดุงไทย ขอพระองค์ ทรงพิพัฒน์ จํารัสยิ่ง ทรงเป็นมิ่ง มวลประชา มหาสมัย ทรงเกษม สําราญ สมานพระทัย ขอจอมไทย เทอดดํารง ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม อิทธิพล รุ่งก่อน, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ กล่าวนำอาเศียรวาทในหลวงรัชกาลที่ 10 วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ กล่าวนําอาเศียรวาทในหลวงรัชกาลที่ 10 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 1 ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี 338/2560 ประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ กล่าวนําอาเศียรวาทในหลวงรัชกาลที่ 10 เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ ในงานวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ ประจําปี 2560 เมื่อวันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม 2560 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เนื่องในงานวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ ประจําปี 2560 ณ สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ อาเศียรวาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โดย หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ณ สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม 2560 ขอพระราชทานกราบบังคมทูลทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้า หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ในนามของลูกเสือ และบุคลากรทางการลูกเสือ ที่ร่วมพิธีอยู่ ณ ที่นี้ ต่างสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ประมุขของคณะลูกเสือแห่งชาติ เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ขอพระราชทานพระวโรกาส น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ลูกเสือไทย ใจภักดิ์ รักชูชาติ กราบพระบาท บพิตร อดิศร ทศราช สยามินทร์ ปิ่นบวร มิ่งอมร สุนทรพจน์ บทมาลย์ พระทรงเป็น เช่นน้ําฟ้า มาโลมโลก ให้คลายโศก สร่างทุกข์ เป็นสุขศานติ์ ทรงเป็นศูนย์ รวมใจ ไทยยืนนาน ทรงสืบสาน งานดํารง วงศ์จักรี เหล่าข้าบาท ลูกเสือไทย ร่วมใจมั่น จะพร้อมกัน กอปรกิจ ประสิทธิ์ศรี จงรักชาติ ศาสน์กษัตริย์ เป็นราชพลี มอบชีวี เพื่อบํารุง ผดุงไทย ขอพระองค์ ทรงพิพัฒน์ จํารัสยิ่ง ทรงเป็นมิ่ง มวลประชา มหาสมัย ทรงเกษม สําราญ สมานพระทัย ขอจอมไทย เทอดดํารง ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม อิทธิพล รุ่งก่อน, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4950
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีติดตามผลการดำเนินงานแปลงใหญ่ และศูนย์การเรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร เชื่อมโยงการทำเกษตรแปลงใหญ่ให้ครบวงจร
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 นายกรัฐมนตรีติดตามผลการดําเนินงานแปลงใหญ่ และศูนย์การเรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร เชื่อมโยงการทําเกษตรแปลงใหญ่ให้ครบวงจร นายกรัฐมนตรีและคณะตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานแปลงใหญ่-ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ณ วิสาหกิจชุมชนโรงสีข้าวอินทรีย์บ้านอุ่มแสง อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ระบุรัฐบาลพร้อมสนับสนุนงบประมาณเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับประชาชน วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 13.40 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานแปลงใหญ่ และศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ณ วิสาหกิจชุมชนโรงสีข้าวอินทรีย์บ้านอุ่มแสง ตําบลดู่ อําเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมพบปะประชาชนและเกษตรกรที่ร่วมดําเนินงานแปลงใหญ่ตามนโยบายรัฐบาล พร้อมกับมอบเงินสนับสนุนสินเชื่อเกษตรแปลงใหญ่ให้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่บริหารจัดการแปลงใหญ่ จํานวน 5 กลุ่ม รวม 54 ล้านบาท จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะร่วมเปิดโรงสีข้าวกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ศูนย์ส่งเสริมและผลิตภัณฑ์ข้าวชุมชนอุ่มแสง และร่วมกิจกรรมจัดทําปุ๋ยอินทรีย์กองใหญ่ ณ บริเวณนาข้าวฐานการเรียนรู้ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว พร้อมรับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินการแปลงใหญ่ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ในกลุ่มสินค้า 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว หอมแดง พริก ทุเรียน และกระเทียม จากนายบุญมี สุระโคตร ประธานกลุ่มแปลงใหญ่ฯ นายบุญมี สุระโคตร ประธานกลุ่มแปลงใหญ่บรรยายสรุปผลการดําเนินงานว่า กลุ่มแปลงใหญ่มีสมาชิก จํานวน 1,258 ครัวเรือน พื้นที่ปลูกข้าว 20,716 ไร่ มีคณะกรรมการเป็นผู้กําหนดทิศทางการผลิตและการจัดการตลาด มีคณะกรรมการกลุ่มย่อยอีก 5 กลุ่มนําแนวทางดังกล่าวไปวางแผนการผลิตในกลุ่มของตนเอง ซึ่งสมาชิกรายย่อยแต่ละกลุ่มจะมีการวางแผนร่วมกันผลิตตามชนิดพันธุ์และมาตรฐานการตรวจรับรองคุณภาพที่ได้รับ และนํามาแปรรูปพร้อมจัดจําหน่ายในตราสินค้า “ลุงบุญมี” มีสัดส่วนการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศกว่า 80% มีการสั่งซื้อแบบ pre order กับตลาดยุโรปเป็นตลาดหลัก และอีก 20% เป็นการขายในประเทศผ่านการแปรรูปสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ข้าวอินทรีย์แปรรูป จมูกข้าวกล้องงอกพร้อมดื่ม ขนมที่ทําจากข้าวกล้องงอก เป็นต้น ซึ่งจากการรวมกันผลิตในลักษณะแปลงใหญ่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านรายได้ ทําให้เกษตรกรได้รับมูลค่าเพิ่มจากการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และพัฒนาคุณภาพจนได้มาตรฐานอินทรีย์รวมมูลค่า 48.7 ล้านบาทต่อฤดูกาล หรือประมาณ 38,738 บาทต่อครัวเรือน ภายหลังการรับฟังบรรยายสรุป นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมความสําเร็จผลการดําเนินการแปลงใหญ่ พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลตั้งเป้าหมายให้เกิดการรวมตัวกันของเกษตรกรแปลงใหญ่ 10 ล้านไร่ภายใน 5 ปี เน้นให้เกษตรกรทําการเกษตรแบบอินทรีย์ ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และขอให้ทุกคนพัฒนาตนเองไปสู่การเรียนรู้แบบใหม่ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ ใช้แอพพลิเคชั่นของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ในการค้นคว้าหาข้อมูล ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับประชาชน ขอให้ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และขอให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก เน้นการทําเกษตรอินทรีย์ ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร สร้างรายได้ให้กับครอบครัว และประเทศชาติ พร้อมกับขอให้ทุกคนรวมตัวกันให้เกิดความเข้มแข็งด้วยตัวเองและคนในชุมชน ลดการช่วยเหลือจากภาครัฐ และนําศักยภาพของแต่ละท้องที่มาใช้โดยการร่วมมือกันผลักดันให้ประสบความสําเร็จตามศักยภาพของแต่ละท้องที่ พร้อมกับให้มีความซื่อสัตย์ ขยันอดทน มีความจงรักภักดี พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี และมีความดีอยู่ในตัวเอง ------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีติดตามผลการดำเนินงานแปลงใหญ่ และศูนย์การเรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร เชื่อมโยงการทำเกษตรแปลงใหญ่ให้ครบวงจร วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 นายกรัฐมนตรีติดตามผลการดําเนินงานแปลงใหญ่ และศูนย์การเรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร เชื่อมโยงการทําเกษตรแปลงใหญ่ให้ครบวงจร นายกรัฐมนตรีและคณะตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานแปลงใหญ่-ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ณ วิสาหกิจชุมชนโรงสีข้าวอินทรีย์บ้านอุ่มแสง อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ระบุรัฐบาลพร้อมสนับสนุนงบประมาณเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับประชาชน วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 13.40 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานแปลงใหญ่ และศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ณ วิสาหกิจชุมชนโรงสีข้าวอินทรีย์บ้านอุ่มแสง ตําบลดู่ อําเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมพบปะประชาชนและเกษตรกรที่ร่วมดําเนินงานแปลงใหญ่ตามนโยบายรัฐบาล พร้อมกับมอบเงินสนับสนุนสินเชื่อเกษตรแปลงใหญ่ให้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่บริหารจัดการแปลงใหญ่ จํานวน 5 กลุ่ม รวม 54 ล้านบาท จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะร่วมเปิดโรงสีข้าวกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ศูนย์ส่งเสริมและผลิตภัณฑ์ข้าวชุมชนอุ่มแสง และร่วมกิจกรรมจัดทําปุ๋ยอินทรีย์กองใหญ่ ณ บริเวณนาข้าวฐานการเรียนรู้ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว พร้อมรับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินการแปลงใหญ่ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ในกลุ่มสินค้า 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว หอมแดง พริก ทุเรียน และกระเทียม จากนายบุญมี สุระโคตร ประธานกลุ่มแปลงใหญ่ฯ นายบุญมี สุระโคตร ประธานกลุ่มแปลงใหญ่บรรยายสรุปผลการดําเนินงานว่า กลุ่มแปลงใหญ่มีสมาชิก จํานวน 1,258 ครัวเรือน พื้นที่ปลูกข้าว 20,716 ไร่ มีคณะกรรมการเป็นผู้กําหนดทิศทางการผลิตและการจัดการตลาด มีคณะกรรมการกลุ่มย่อยอีก 5 กลุ่มนําแนวทางดังกล่าวไปวางแผนการผลิตในกลุ่มของตนเอง ซึ่งสมาชิกรายย่อยแต่ละกลุ่มจะมีการวางแผนร่วมกันผลิตตามชนิดพันธุ์และมาตรฐานการตรวจรับรองคุณภาพที่ได้รับ และนํามาแปรรูปพร้อมจัดจําหน่ายในตราสินค้า “ลุงบุญมี” มีสัดส่วนการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศกว่า 80% มีการสั่งซื้อแบบ pre order กับตลาดยุโรปเป็นตลาดหลัก และอีก 20% เป็นการขายในประเทศผ่านการแปรรูปสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ข้าวอินทรีย์แปรรูป จมูกข้าวกล้องงอกพร้อมดื่ม ขนมที่ทําจากข้าวกล้องงอก เป็นต้น ซึ่งจากการรวมกันผลิตในลักษณะแปลงใหญ่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านรายได้ ทําให้เกษตรกรได้รับมูลค่าเพิ่มจากการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และพัฒนาคุณภาพจนได้มาตรฐานอินทรีย์รวมมูลค่า 48.7 ล้านบาทต่อฤดูกาล หรือประมาณ 38,738 บาทต่อครัวเรือน ภายหลังการรับฟังบรรยายสรุป นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมความสําเร็จผลการดําเนินการแปลงใหญ่ พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลตั้งเป้าหมายให้เกิดการรวมตัวกันของเกษตรกรแปลงใหญ่ 10 ล้านไร่ภายใน 5 ปี เน้นให้เกษตรกรทําการเกษตรแบบอินทรีย์ ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และขอให้ทุกคนพัฒนาตนเองไปสู่การเรียนรู้แบบใหม่ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ ใช้แอพพลิเคชั่นของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ในการค้นคว้าหาข้อมูล ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับประชาชน ขอให้ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และขอให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก เน้นการทําเกษตรอินทรีย์ ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร สร้างรายได้ให้กับครอบครัว และประเทศชาติ พร้อมกับขอให้ทุกคนรวมตัวกันให้เกิดความเข้มแข็งด้วยตัวเองและคนในชุมชน ลดการช่วยเหลือจากภาครัฐ และนําศักยภาพของแต่ละท้องที่มาใช้โดยการร่วมมือกันผลักดันให้ประสบความสําเร็จตามศักยภาพของแต่ละท้องที่ พร้อมกับให้มีความซื่อสัตย์ ขยันอดทน มีความจงรักภักดี พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี และมีความดีอยู่ในตัวเอง ------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2050
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 1/2561
วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 รอง นรม. พล.อ.อ ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 1/2561 ที่ประชุม มีมติเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์จัดสรรเงินกองทุน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2565 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและพลังงานทดแทน วันที่ (20 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตีกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญของการประชุมดังนี้ ที่ประชุม ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์จัดสรรเงินกองทุน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและพลังงานทดแทน พร้อมทั้งค้นคว้า วิจัย ศึกษาและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการใช้พลังงาน ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์จัดสรรเงินกองทุนฯ เฉพาะปี 2562 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและพลังงานทดแทน โดยการจัดทํายุทธศาสตร์จัดสรรเงินกองทุนประจําปี ซึ่งเป็นอํานาจหน้าที่ของสํานักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการจัดทํายุทธศาสตร์ดังกล่าว ตอนท้ายของการประชุม ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบทบทวนการปรับอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นําเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาเพิ่มเติมในรายละเอียดก่อนนําเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานฯ เพื่อพิจารณาต่อไป ...................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 1/2561 วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 รอง นรม. พล.อ.อ ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 1/2561 ที่ประชุม มีมติเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์จัดสรรเงินกองทุน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2565 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและพลังงานทดแทน วันที่ (20 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตีกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญของการประชุมดังนี้ ที่ประชุม ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์จัดสรรเงินกองทุน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและพลังงานทดแทน พร้อมทั้งค้นคว้า วิจัย ศึกษาและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการใช้พลังงาน ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์จัดสรรเงินกองทุนฯ เฉพาะปี 2562 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและพลังงานทดแทน โดยการจัดทํายุทธศาสตร์จัดสรรเงินกองทุนประจําปี ซึ่งเป็นอํานาจหน้าที่ของสํานักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการจัดทํายุทธศาสตร์ดังกล่าว ตอนท้ายของการประชุม ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบทบทวนการปรับอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นําเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาเพิ่มเติมในรายละเอียดก่อนนําเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานฯ เพื่อพิจารณาต่อไป ...................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10222
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561
วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2561 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2561 (แผนฯ) วงเงินรวม 1,502,977.06 ลบ. เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2561 (แผนฯ) วงเงินรวม 1,502,977.06 ลบ. ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน 582,026.28 ลบ. และแผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน 920,950.78 ลบ. และรับทราบแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน 161,433.45 ลบ. ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้คาดการณ์ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP และภาระหนี้ต่องบประมาณ พบว่ายังคงอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กําหนดให้ไม่เกินร้อยละ 60 และไม่เกินร้อยละ 15ตามลําดับ โดยระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP และภาระหนี้ต่องบประมาณ ณ สิ้นปี 2561 - 2565 เป็นดังนี้ ปีงบประมาณ สัดส่วน (%) 2561 2562 2563 2564 2565 หนี้สาธารณะคงค้าง/ GDP 42.7 44.8 46.9 48.6 49.6 ภาระหนี้/งบประมาณ 9.0 9.3 9.7 10.3 10.7
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2561 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2561 (แผนฯ) วงเงินรวม 1,502,977.06 ลบ. เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2561 (แผนฯ) วงเงินรวม 1,502,977.06 ลบ. ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน 582,026.28 ลบ. และแผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน 920,950.78 ลบ. และรับทราบแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน 161,433.45 ลบ. ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้คาดการณ์ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP และภาระหนี้ต่องบประมาณ พบว่ายังคงอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กําหนดให้ไม่เกินร้อยละ 60 และไม่เกินร้อยละ 15ตามลําดับ โดยระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP และภาระหนี้ต่องบประมาณ ณ สิ้นปี 2561 - 2565 เป็นดังนี้ ปีงบประมาณ สัดส่วน (%) 2561 2562 2563 2564 2565 หนี้สาธารณะคงค้าง/ GDP 42.7 44.8 46.9 48.6 49.6 ภาระหนี้/งบประมาณ 9.0 9.3 9.7 10.3 10.7
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7071
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมองค์กรหลัก 6 มิถุนายน 2560
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 ผลประชุมองค์กรหลัก 6 มิถุนายน 2560 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 21/2560 โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารฝ่ายการเมือง เข้าร่วมประชุม ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษาและโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมว่า ได้รับทราบประเด็นข้อสั่งการจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งประเด็นที่ได้หารือในที่ประชุม ดังนี้ ●นายกรัฐมนตรีแนะนําหนังสือ "บัญชีนวัตกรรมไทย"ซึ่งรวมเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมทุกชิ้น ของสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหนังสือที่แนะนําให้ทุกคนได้อ่าน ●การดูแลรักษาความปลอดภัยในสถานศึกษาและหน่วยงานนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําอีกครั้งว่าขอให้ทุกหน่วยงานและสถานศึกษาดูแลการรักษาความปลอดภัยในทุกด้าน เช่นCCTVเครื่องดับเพลิง ฯลฯ โดยให้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารทุกระดับ หากมีปัญหาเกิดขึ้นซึ่งดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้ชี้แจงให้ที่ประชุมองค์กรหลักรับทราบในครั้งนี้ด้วยว่า ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการนั้น ได้ดําเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไว้แล้ว โดยให้ทุกหน่วยงานดูแลปรับปรุงระบบการรักษาความปลอดภัยทุกหน่วยงานให้เสร็จทุกเรื่องภายใน3เดือน ●พิธีเปิดอาคารสํานักงานของศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) หรือ "กระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) : Forward Section, Ministry of Education"ซึ่งตั้งอยู่ภายในค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ในวันที่12กรกฎาคม2560โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานเปิด พร้อมทั้งมีกิจกรรมที่สําคัญ เช่น การนําเสนอผลการปฏิบัติงาน การมอบทุนการศึกษาประจําปี จากนั้นจะใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ส่วนหน้า หรือผู้แทนพิเศษของรัฐบาลนอกสถานที่อีกด้วย ●การจัดตั้งสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ทําหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการ ได้ตั้งสํานักงานดังกล่าวที่ชั้น2สกศ. ถนนสุโขทัย เขตดุสิต โดยนายเฉลิมชนม์ แน่นหนา ผู้อํานวยการสํานักกฎหมายการศึกษา รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษา ด้านระบบการศึกษา สกศ. เป็นหัวหน้าสํานักงานเลขานุการ ดร.กมลกล่าวด้วยว่า ทุกหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมการชี้แจงในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันที่ 8 มิถุนายนนี้ ซึ่งมีวาระสําคัญในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 วงเงิน 2.9 ล้านล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ รวมทั้งเตรียมการพิจารณาในวาระที่ 2 การแปรญัตติร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561ไว้ด้วยแล้ว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมองค์กรหลัก 6 มิถุนายน 2560 วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 ผลประชุมองค์กรหลัก 6 มิถุนายน 2560 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 21/2560 โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารฝ่ายการเมือง เข้าร่วมประชุม ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษาและโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมว่า ได้รับทราบประเด็นข้อสั่งการจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งประเด็นที่ได้หารือในที่ประชุม ดังนี้ ●นายกรัฐมนตรีแนะนําหนังสือ "บัญชีนวัตกรรมไทย"ซึ่งรวมเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมทุกชิ้น ของสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหนังสือที่แนะนําให้ทุกคนได้อ่าน ●การดูแลรักษาความปลอดภัยในสถานศึกษาและหน่วยงานนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําอีกครั้งว่าขอให้ทุกหน่วยงานและสถานศึกษาดูแลการรักษาความปลอดภัยในทุกด้าน เช่นCCTVเครื่องดับเพลิง ฯลฯ โดยให้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารทุกระดับ หากมีปัญหาเกิดขึ้นซึ่งดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้ชี้แจงให้ที่ประชุมองค์กรหลักรับทราบในครั้งนี้ด้วยว่า ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการนั้น ได้ดําเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไว้แล้ว โดยให้ทุกหน่วยงานดูแลปรับปรุงระบบการรักษาความปลอดภัยทุกหน่วยงานให้เสร็จทุกเรื่องภายใน3เดือน ●พิธีเปิดอาคารสํานักงานของศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) หรือ "กระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) : Forward Section, Ministry of Education"ซึ่งตั้งอยู่ภายในค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ในวันที่12กรกฎาคม2560โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานเปิด พร้อมทั้งมีกิจกรรมที่สําคัญ เช่น การนําเสนอผลการปฏิบัติงาน การมอบทุนการศึกษาประจําปี จากนั้นจะใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ส่วนหน้า หรือผู้แทนพิเศษของรัฐบาลนอกสถานที่อีกด้วย ●การจัดตั้งสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ทําหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการ ได้ตั้งสํานักงานดังกล่าวที่ชั้น2สกศ. ถนนสุโขทัย เขตดุสิต โดยนายเฉลิมชนม์ แน่นหนา ผู้อํานวยการสํานักกฎหมายการศึกษา รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษา ด้านระบบการศึกษา สกศ. เป็นหัวหน้าสํานักงานเลขานุการ ดร.กมลกล่าวด้วยว่า ทุกหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมการชี้แจงในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันที่ 8 มิถุนายนนี้ ซึ่งมีวาระสําคัญในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 วงเงิน 2.9 ล้านล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ รวมทั้งเตรียมการพิจารณาในวาระที่ 2 การแปรญัตติร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561ไว้ด้วยแล้ว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4327
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดตัวหุ่นยนต์บริการ “ดินสอ เทโบ้ ก้าวเข้าสู่ภาคธุรกิจบริการ 4.0
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2559 เปิดตัวหุ่นยนต์บริการ “ดินสอ เทโบ้ ก้าวเข้าสู่ภาคธุรกิจบริการ 4.0 เปิดตัวหุ่นยนต์บริการ “ดินสอ เทโบ้ ก้าวเข้าสู่ภาคธุรกิจบริการ 4.0 22 ธันวาคม 2559 / งานแถลงข่าวเปิดตัวผลงานวิจัยหุ่นยนต์ดินสอ เทโบ้ (Dinsow TEBO) ภายใต้โครงการสร้างเครื่องจักรต้นแบบ ซึ่งเป็นหุ่นยนต์บริการฝีมือคนไทย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคบริการของไทย พร้อมเสวนาเรื่อง “ถอดรหัสความสําเร็จ...ภาคธุรกิจบริการ 4.0” โดยมี นางวนิดา บุญนาคค้า ผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สป.วท.) เป็นประธานในการเปิดงาน ณ ร้าน Café Amazon ชั้น 1 ตึก Energy Complex A ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ที่เป็นหน่วยงานบริหารจัดการโครงการ อยู่ภายใต้การสนับสนุนจากสํานักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บริษัท ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จํากัด และมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นางวนิดา บุญนาคค้า ผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี สป.วท. กล่าวว่า การพัฒนาหุ่นยนต์บริการ ดินสอ เทโบ้ (TEBO) เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ในประเทศไทย ให้มีบทบาทความสําคัญต่อระบบการผลิตและการบริการต่าง ๆ มากขึ้น ขณะเดียวกันการใช้งานหุ่นยนต์ในภาคบริการมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากภาคธุรกิจบริการของไทยมีจุดเด่นหลายประการ ประโยชน์ของหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติตอบสนองในงานประเภททําซ้ํา งานหนัก งานเสี่ยงอันตรายหรือต้องใช้ความละเอียดสูง ร่วมกันกิจกรรมการประชาสัมพันธ์ในภาคธุรกิจบริการส่งเสริมลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมที่แปลกใหม่ ตามพฤติกกรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและรองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ด้าน นายเฉลิมพล ปุณโณทก ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีทีเอเชีย โรโบติกส์ กล่าวว่า ภาคบริการเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญและกําลังเร่งปฏิรูปเพื่อก้าวเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 พบว่าภาคบริการของไทยมีสัดส่วนจีดีพีในระดับ 50 % ที่ผ่านมาหุ่นยนต์บริการในประเทศไทยยังมีจํานวนน้อย ถือเป็นช่องว่างของการตลาดที่ยังสามารถพัฒนาได้อีกมาก บริษัท ซีทีเอเชีย โรโบติกส์ จึงเป็นผู้ผลิตหุ่นยนต์เชิงพาณิชย์แห่งแรกของไทยที่ประสบความสําเร็จและส่งออกสู่ตลาดญี่ปุ่น สําหรับผลงานชิ้นนี้ ได้รับทุนจาก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) การพัฒนาหุ่นยนต์บริการ ดินสอ เทโบ้ (TEBO) เป็นการต่อยอดโดยเพิ่มขีดความสามารถและตอบสนองอุตสาหกรรมบริการที่มากขึ้น ข่าวโดย : นางสาวศิริวรรณ หมินหมัน ภาพโดยและวีดิโอ : นายธนฉัตร มาลาเจริญ นายสุเมธ บุญเอื้อ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728-3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail: pr@most.go.th Facebook : sciencethailand Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดตัวหุ่นยนต์บริการ “ดินสอ เทโบ้ ก้าวเข้าสู่ภาคธุรกิจบริการ 4.0 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2559 เปิดตัวหุ่นยนต์บริการ “ดินสอ เทโบ้ ก้าวเข้าสู่ภาคธุรกิจบริการ 4.0 เปิดตัวหุ่นยนต์บริการ “ดินสอ เทโบ้ ก้าวเข้าสู่ภาคธุรกิจบริการ 4.0 22 ธันวาคม 2559 / งานแถลงข่าวเปิดตัวผลงานวิจัยหุ่นยนต์ดินสอ เทโบ้ (Dinsow TEBO) ภายใต้โครงการสร้างเครื่องจักรต้นแบบ ซึ่งเป็นหุ่นยนต์บริการฝีมือคนไทย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคบริการของไทย พร้อมเสวนาเรื่อง “ถอดรหัสความสําเร็จ...ภาคธุรกิจบริการ 4.0” โดยมี นางวนิดา บุญนาคค้า ผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สป.วท.) เป็นประธานในการเปิดงาน ณ ร้าน Café Amazon ชั้น 1 ตึก Energy Complex A ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ที่เป็นหน่วยงานบริหารจัดการโครงการ อยู่ภายใต้การสนับสนุนจากสํานักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บริษัท ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จํากัด และมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นางวนิดา บุญนาคค้า ผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี สป.วท. กล่าวว่า การพัฒนาหุ่นยนต์บริการ ดินสอ เทโบ้ (TEBO) เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ในประเทศไทย ให้มีบทบาทความสําคัญต่อระบบการผลิตและการบริการต่าง ๆ มากขึ้น ขณะเดียวกันการใช้งานหุ่นยนต์ในภาคบริการมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากภาคธุรกิจบริการของไทยมีจุดเด่นหลายประการ ประโยชน์ของหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติตอบสนองในงานประเภททําซ้ํา งานหนัก งานเสี่ยงอันตรายหรือต้องใช้ความละเอียดสูง ร่วมกันกิจกรรมการประชาสัมพันธ์ในภาคธุรกิจบริการส่งเสริมลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมที่แปลกใหม่ ตามพฤติกกรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและรองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ด้าน นายเฉลิมพล ปุณโณทก ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีทีเอเชีย โรโบติกส์ กล่าวว่า ภาคบริการเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญและกําลังเร่งปฏิรูปเพื่อก้าวเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 พบว่าภาคบริการของไทยมีสัดส่วนจีดีพีในระดับ 50 % ที่ผ่านมาหุ่นยนต์บริการในประเทศไทยยังมีจํานวนน้อย ถือเป็นช่องว่างของการตลาดที่ยังสามารถพัฒนาได้อีกมาก บริษัท ซีทีเอเชีย โรโบติกส์ จึงเป็นผู้ผลิตหุ่นยนต์เชิงพาณิชย์แห่งแรกของไทยที่ประสบความสําเร็จและส่งออกสู่ตลาดญี่ปุ่น สําหรับผลงานชิ้นนี้ ได้รับทุนจาก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) การพัฒนาหุ่นยนต์บริการ ดินสอ เทโบ้ (TEBO) เป็นการต่อยอดโดยเพิ่มขีดความสามารถและตอบสนองอุตสาหกรรมบริการที่มากขึ้น ข่าวโดย : นางสาวศิริวรรณ หมินหมัน ภาพโดยและวีดิโอ : นายธนฉัตร มาลาเจริญ นายสุเมธ บุญเอื้อ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728-3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail: pr@most.go.th Facebook : sciencethailand Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 1313
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1125
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
วันอังคารที่ 24 มกราคม 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ H.E.Mr.Glyn T. Davies เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย พร้อมคณะ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๕.๐๐ น. นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ H.E.Mr.Glyn T. Davies เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมคารวะเนื่องในโอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเข้ารับตําแหน่งหน้าที่ใหม่ โดยมี นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย วันอังคารที่ 24 มกราคม 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ H.E.Mr.Glyn T. Davies เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย พร้อมคณะ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๕.๐๐ น. นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ H.E.Mr.Glyn T. Davies เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมคารวะเนื่องในโอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเข้ารับตําแหน่งหน้าที่ใหม่ โดยมี นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1453
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมมอบนโยบายและแนวทางในการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการ มท. 2562 ปมท. ย้ำ ผู้ตรวจฯ มท. ต้องทำหน้าที่แทน ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้
วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561 ประชุมมอบนโยบายและแนวทางในการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการ มท. 2562 ปมท. ย้ํา ผู้ตรวจฯ มท. ต้องทําหน้าที่แทน ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ ประชุมมอบนโยบายและแนวทางในการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการ มท. 2562 ปมท. ย้ํา ผู้ตรวจฯ มท. ต้องทําหน้าที่แทน ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 61 ณ ห้องประชุมสํานักตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ สป.ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและแนวทางในการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยมี นายสนิท ขาวสอาด หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายชรัส บุญณสะ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย นายสุธี ทองแย้ม ที่ปรึกษาด้านการปกครอง พร้อมด้วยคณะผู้ตรวจราชการกระทรวงกระทรวงมหาดไทย และคณะผู้ตรวจราชการกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทยทุกกรม เข้าร่วมการประชุม ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยต้องรู้ทุกเรื่องที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยรู้ และต้องทําหน้าที่แทนปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ โดยได้เน้นย้ําการตรวจราชการตามนโยบายสําคัญของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ การบริหารจัดการขยะมูลฝอย ยาเสพติด หมอกควัน สาธารณภัย เป็นต้น ให้ช่วยเป็นหูเป็นตาแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้การดําเนินการในพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการตรวจสอบเรื่องการดําเนินการทางวินัยแก่ผู้กระทําผิดวินัย ขอให้ดําเนินการด้วยความละเอียดรอบคอบ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยเน้นย้ําและให้ความสําคัญในการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยจะต้องสื่อสารกับพื้นที่ เขตที่รับผิดชอบให้แก้ไขปัญหาอย่างชัดเจนและเป็นระบบ สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่ในภาวะทุกข์ร้อนให้กลับสู่สภาวะเดิมโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะต้องมีการวางแผนเผชิญเหตุรองรับทุกสถานการณ์และมีทางออกสําหรับสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามแผน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาของส่วนราชการมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมมอบนโยบายและแนวทางในการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการ มท. 2562 ปมท. ย้ำ ผู้ตรวจฯ มท. ต้องทำหน้าที่แทน ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561 ประชุมมอบนโยบายและแนวทางในการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการ มท. 2562 ปมท. ย้ํา ผู้ตรวจฯ มท. ต้องทําหน้าที่แทน ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ ประชุมมอบนโยบายและแนวทางในการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการ มท. 2562 ปมท. ย้ํา ผู้ตรวจฯ มท. ต้องทําหน้าที่แทน ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 61 ณ ห้องประชุมสํานักตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ สป.ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและแนวทางในการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยมี นายสนิท ขาวสอาด หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายชรัส บุญณสะ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย นายสุธี ทองแย้ม ที่ปรึกษาด้านการปกครอง พร้อมด้วยคณะผู้ตรวจราชการกระทรวงกระทรวงมหาดไทย และคณะผู้ตรวจราชการกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทยทุกกรม เข้าร่วมการประชุม ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยต้องรู้ทุกเรื่องที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยรู้ และต้องทําหน้าที่แทนปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ โดยได้เน้นย้ําการตรวจราชการตามนโยบายสําคัญของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ การบริหารจัดการขยะมูลฝอย ยาเสพติด หมอกควัน สาธารณภัย เป็นต้น ให้ช่วยเป็นหูเป็นตาแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้การดําเนินการในพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการตรวจสอบเรื่องการดําเนินการทางวินัยแก่ผู้กระทําผิดวินัย ขอให้ดําเนินการด้วยความละเอียดรอบคอบ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยเน้นย้ําและให้ความสําคัญในการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยจะต้องสื่อสารกับพื้นที่ เขตที่รับผิดชอบให้แก้ไขปัญหาอย่างชัดเจนและเป็นระบบ สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่ในภาวะทุกข์ร้อนให้กลับสู่สภาวะเดิมโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะต้องมีการวางแผนเผชิญเหตุรองรับทุกสถานการณ์และมีทางออกสําหรับสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามแผน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาของส่วนราชการมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16266
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ จัดทำมาตรการความปลอดภัยในธุรกิจบริการจัดส่งอาหารและพัสดุ ลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของ
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 คกก.ว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ จัดทํามาตรการความปลอดภัยในธุรกิจบริการจัดส่งอาหารและพัสดุ ลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของ คกก.ว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ จัดทํามาตรการความปลอดภัยในธุรกิจบริการจัดส่งอาหารและพัสดุ ลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 วันนี้ (20 มี.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ โถงกลาง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ครั้งที่ 2/2563 ว่า ด้วยมาตรการป้องกัน ลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคในสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง ด้านมาตรการสาธารณสุข มาตรการป้องกันและลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อในสถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจ ทุกหน่วยงานให้พิจารณามาตรการเหลื่อมเวลาทํางาน และทํางานที่บ้าน จะมีการสั่งซื้อสินค้า จัดส่งอาหารและพัสดุผ่านช่องทาง delivery ที่มีความสะดวก รวดเร็ว ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจที่ให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ 20 ราย ร่วมหารือเกี่ยวกับการดําเนินมาตรการป้องกันการให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ ให้มีประสิทธิภาพ ให้เกิดความปลอดภัยและความสะอาดให้แก่ประชาชนและผู้ใช้บริการ ลดความเสี่ยงจากการแพร่เชื้อทั้งจากอาหาร พัสดุ บริการ และบุคลากรในระบบ ดังนั้น สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ ได้จัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการกําหนดมาตรการความปลอดภัยในการให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกําหนดมาตรการดูแล และคุ้มครองประชาชน ลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ตลอดจนเพื่อยกระดับและเตรียมความพร้อมของบริการเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ให้บริการ และประชาชนทั้งระบบอย่างบูรณาการ ..................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ จัดทำมาตรการความปลอดภัยในธุรกิจบริการจัดส่งอาหารและพัสดุ ลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของ วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 คกก.ว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ จัดทํามาตรการความปลอดภัยในธุรกิจบริการจัดส่งอาหารและพัสดุ ลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของ คกก.ว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ จัดทํามาตรการความปลอดภัยในธุรกิจบริการจัดส่งอาหารและพัสดุ ลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 วันนี้ (20 มี.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ โถงกลาง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ครั้งที่ 2/2563 ว่า ด้วยมาตรการป้องกัน ลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคในสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง ด้านมาตรการสาธารณสุข มาตรการป้องกันและลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อในสถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจ ทุกหน่วยงานให้พิจารณามาตรการเหลื่อมเวลาทํางาน และทํางานที่บ้าน จะมีการสั่งซื้อสินค้า จัดส่งอาหารและพัสดุผ่านช่องทาง delivery ที่มีความสะดวก รวดเร็ว ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจที่ให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ 20 ราย ร่วมหารือเกี่ยวกับการดําเนินมาตรการป้องกันการให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ ให้มีประสิทธิภาพ ให้เกิดความปลอดภัยและความสะอาดให้แก่ประชาชนและผู้ใช้บริการ ลดความเสี่ยงจากการแพร่เชื้อทั้งจากอาหาร พัสดุ บริการ และบุคลากรในระบบ ดังนั้น สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ ได้จัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการกําหนดมาตรการความปลอดภัยในการให้บริการจัดส่งอาหารและพัสดุ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกําหนดมาตรการดูแล และคุ้มครองประชาชน ลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ตลอดจนเพื่อยกระดับและเตรียมความพร้อมของบริการเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ให้บริการ และประชาชนทั้งระบบอย่างบูรณาการ ..................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27572
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยฯ ติดตามผลการดำเนินงานการทำนาคุณภาพแบบประณีต และประหยัดต้นทุน นำร่องปลูกข้าวพันธุ์ กข43
วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 รัฐมนตรีช่วยฯ ติดตามผลการดําเนินงานการทํานาคุณภาพแบบประณีต และประหยัดต้นทุน นําร่องปลูกข้าวพันธุ์ กข43 รัฐมนตรีช่วยฯ “ชุติมา” ติดตามผลการดําเนินงานการทํานาคุณภาพแบบประณีต และประหยัดต้นทุน นําร่องปลูกข้าวพันธุ์ กข43 พร้อมร่วมเกี่ยวข้าวด้วยเคียว และปล่อยรถเกี่ยวข้าวเพื่อดําเนินการเก็บเกี่ยวข้าว นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามผลการดําเนินงานการทํานาคุณภาพแบบประณีต และประหยัดต้นทุน ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยร่วมเกี่ยวข้าวด้วยเคียว และปล่อยรถเกี่ยวข้าวเพื่อดําเนินการเก็บเกี่ยวข้าวในพื้นที่แห่งนี้จํานวน 15 ไร่ ณ ต.ข้าวงาม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เล็งเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมาชาวนาทํานาแล้วต้องประสพภาวะขาดทุน ได้ข้าวคุณภาพต่ํา พบปัญหาวัชพืช ข้าวพันธุ์ปน โรคและแมลงศัตรูข้าว นก และหนู อีกทั้งผลผลิตยังจําหน่ายได้ในราคาต่ํา ทําให้ต้องเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเรื่อยมา ดังนั้น จึงมีโครงการจัดทําแปลงเรียนรู้การทํานาคุณภาพแบบประณีตและประหยัดต้นทุน ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขึ้น ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่นําร่องปลูกข้าวคุณภาพแบบประณีตและลดต้นทุน โดยปลูกข้าวพันธุ์ กข43 ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวรับรองของกรมการข้าวและมีงานวิจัยรองรับว่าเป็นข้าวที่มีค่าดัชนีน้ําตาลต่ํา และเป็นพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกจากการผสมข้าวพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวระหว่างพันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี (พันธุ์แม่) กับพันธุ์สุพรรณบุรี 1 (พันธุ์พ่อ) ที่ศูนย์วิจัยข้าวสุพรรณบุรี ในฤดูนาปรังพ.ศ. 2542 คัดเลือกได้สายพันธุ์ SPR99007-22-1-2-2-1 ปลูกทดสอบผลผลิตในศูนย์วิจัยข้าวและนาเกษตรกรตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปี 2551 คณะกรรมการพิจารณาพันธุ์กรมการข้าว พิจารณารับรองพันธุ์เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2552 ใช้ชื่อว่า “กข43” นายสุวัฒน์ เจียระคงมั่น รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้าวพันธุ์ กข43 มีลักษณะเด่นที่อายุการเก็บเกี่ยวสั้น 95 วันปลูก โดยวิธีหว่านน้ําตม คุณภาพของเมล็ดทางการหุงต้มรับประทานดี ข้าวสุกนุ่ม เหนียว มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ต้านทานปานกลางต่อโรคใบไหม้และเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาล พื้นที่แนะนําปลูกควรเป็นพื้นที่นาชลประทาน พื้นที่ที่มีน้ําท่วมขังเป็นเวลานาน และเกษตรกรมีช่วงเวลาในการทํานาน้อยกว่าพื้นที่ปลูกข้าวอื่น ๆ และ/หรือพื้นที่ที่มีปัญหาข้าววัชพืชระบาด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เมล็ดพันธุ์ข้าว กข43 ยังมีปริมาณน้อย กรมการข้าวจึงได้กําหนดแผนการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (ปี 2560 - 2561) เพื่อให้การผลิตที่ออกสู่ตลาดเป็นข้าวพันธุ์ กข43 อย่างแท้จริงตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ดังนี้ ฤดูนาปี 2560 (พ.ค. - พ.ย.60) ผลิตพันธุ์คัด 4 ตัน พันธุ์หลัก 25 ตัน พันธุ์ขยาย 100 ตัน ฤดูนาปรัง ปี 2561 (ธ.ค. 60 - เม.ย. 61) ผลิตพันธุ์คัด 4 ตัน พันธุ์หลัก 25 ตัน พันธุ์ขยาย 100 ตัน และพันธุ์จําหน่าย 3,500 ตัน ผลผลิตข้าวสาร ฤดูนาปี 20 ตัน และฤดูนาปรัง 700 ตัน มีระบบ QR trace เพื่อให้การตรวจสอบย้อนกลับ ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตจนถึงผลิตภัณฑ์ มี 2 ส่วน คือ ใช้รหัส QR ในการรับรอง GAP (ระดับแปลง) เริ่มตั้งแต่เมล็ดพันธุ์คัด/หลัก เมล็ดพันธุ์ขยาย และแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์/แปลงผลิตข้าว และใช้รหัส QR ในการรับรอง GMP (ระดับผู้ประกอบการโรงสี ผลิตภัณฑ์) เริ่มตั้งแต่สถานที่เก็บรักษาข้าว โรงสีข้าว และผลิตภัณฑ์ กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยฯ ติดตามผลการดำเนินงานการทำนาคุณภาพแบบประณีต และประหยัดต้นทุน นำร่องปลูกข้าวพันธุ์ กข43 วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 รัฐมนตรีช่วยฯ ติดตามผลการดําเนินงานการทํานาคุณภาพแบบประณีต และประหยัดต้นทุน นําร่องปลูกข้าวพันธุ์ กข43 รัฐมนตรีช่วยฯ “ชุติมา” ติดตามผลการดําเนินงานการทํานาคุณภาพแบบประณีต และประหยัดต้นทุน นําร่องปลูกข้าวพันธุ์ กข43 พร้อมร่วมเกี่ยวข้าวด้วยเคียว และปล่อยรถเกี่ยวข้าวเพื่อดําเนินการเก็บเกี่ยวข้าว นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามผลการดําเนินงานการทํานาคุณภาพแบบประณีต และประหยัดต้นทุน ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยร่วมเกี่ยวข้าวด้วยเคียว และปล่อยรถเกี่ยวข้าวเพื่อดําเนินการเก็บเกี่ยวข้าวในพื้นที่แห่งนี้จํานวน 15 ไร่ ณ ต.ข้าวงาม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เล็งเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมาชาวนาทํานาแล้วต้องประสพภาวะขาดทุน ได้ข้าวคุณภาพต่ํา พบปัญหาวัชพืช ข้าวพันธุ์ปน โรคและแมลงศัตรูข้าว นก และหนู อีกทั้งผลผลิตยังจําหน่ายได้ในราคาต่ํา ทําให้ต้องเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเรื่อยมา ดังนั้น จึงมีโครงการจัดทําแปลงเรียนรู้การทํานาคุณภาพแบบประณีตและประหยัดต้นทุน ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขึ้น ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่นําร่องปลูกข้าวคุณภาพแบบประณีตและลดต้นทุน โดยปลูกข้าวพันธุ์ กข43 ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวรับรองของกรมการข้าวและมีงานวิจัยรองรับว่าเป็นข้าวที่มีค่าดัชนีน้ําตาลต่ํา และเป็นพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือกจากการผสมข้าวพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวระหว่างพันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี (พันธุ์แม่) กับพันธุ์สุพรรณบุรี 1 (พันธุ์พ่อ) ที่ศูนย์วิจัยข้าวสุพรรณบุรี ในฤดูนาปรังพ.ศ. 2542 คัดเลือกได้สายพันธุ์ SPR99007-22-1-2-2-1 ปลูกทดสอบผลผลิตในศูนย์วิจัยข้าวและนาเกษตรกรตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปี 2551 คณะกรรมการพิจารณาพันธุ์กรมการข้าว พิจารณารับรองพันธุ์เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2552 ใช้ชื่อว่า “กข43” นายสุวัฒน์ เจียระคงมั่น รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้าวพันธุ์ กข43 มีลักษณะเด่นที่อายุการเก็บเกี่ยวสั้น 95 วันปลูก โดยวิธีหว่านน้ําตม คุณภาพของเมล็ดทางการหุงต้มรับประทานดี ข้าวสุกนุ่ม เหนียว มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ต้านทานปานกลางต่อโรคใบไหม้และเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาล พื้นที่แนะนําปลูกควรเป็นพื้นที่นาชลประทาน พื้นที่ที่มีน้ําท่วมขังเป็นเวลานาน และเกษตรกรมีช่วงเวลาในการทํานาน้อยกว่าพื้นที่ปลูกข้าวอื่น ๆ และ/หรือพื้นที่ที่มีปัญหาข้าววัชพืชระบาด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เมล็ดพันธุ์ข้าว กข43 ยังมีปริมาณน้อย กรมการข้าวจึงได้กําหนดแผนการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (ปี 2560 - 2561) เพื่อให้การผลิตที่ออกสู่ตลาดเป็นข้าวพันธุ์ กข43 อย่างแท้จริงตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ดังนี้ ฤดูนาปี 2560 (พ.ค. - พ.ย.60) ผลิตพันธุ์คัด 4 ตัน พันธุ์หลัก 25 ตัน พันธุ์ขยาย 100 ตัน ฤดูนาปรัง ปี 2561 (ธ.ค. 60 - เม.ย. 61) ผลิตพันธุ์คัด 4 ตัน พันธุ์หลัก 25 ตัน พันธุ์ขยาย 100 ตัน และพันธุ์จําหน่าย 3,500 ตัน ผลผลิตข้าวสาร ฤดูนาปี 20 ตัน และฤดูนาปรัง 700 ตัน มีระบบ QR trace เพื่อให้การตรวจสอบย้อนกลับ ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตจนถึงผลิตภัณฑ์ มี 2 ส่วน คือ ใช้รหัส QR ในการรับรอง GAP (ระดับแปลง) เริ่มตั้งแต่เมล็ดพันธุ์คัด/หลัก เมล็ดพันธุ์ขยาย และแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์/แปลงผลิตข้าว และใช้รหัส QR ในการรับรอง GMP (ระดับผู้ประกอบการโรงสี ผลิตภัณฑ์) เริ่มตั้งแต่สถานที่เก็บรักษาข้าว โรงสีข้าว และผลิตภัณฑ์ กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7063
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. สักการะองค์พระธาตุพนม พร้อมชมนิทรรศการ การขอขึ้นทะเบียนองค์พระธาตุพนม เป็นมรดกโลก
วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 นรม. สักการะองค์พระธาตุพนม พร้อมชมนิทรรศการ การขอขึ้นทะเบียนองค์พระธาตุพนม เป็นมรดกโลก นายกรัฐมนตรีสักการะองค์พระธาตุพนม พร้อมชมนิทรรศการนําเสนอการขอขึ้นทะเบียนพระธาตุพนมเป็นมรดกโลก วันนี้ (27 มีนาคม 2560) เวลา 12.09 น. ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อําเภอธาตุพนม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สักการะองค์พระธาตุพนม พร้อมนําผ้าห่มบูชารอบองค์พระธาตุพนมเพื่อความเป็นสิริมงคล และชมนิทรรศการนําเสนอการขอขึ้นทะเบียนพระธาตุพนมเป็นมรดกโลก เพื่อให้คณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาในการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 41 ในเดือนกรกฎาคม 2560 ณ เมืองคราเคา (Krakow) สาธารณรัฐโปแลนด์ --------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. สักการะองค์พระธาตุพนม พร้อมชมนิทรรศการ การขอขึ้นทะเบียนองค์พระธาตุพนม เป็นมรดกโลก วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 นรม. สักการะองค์พระธาตุพนม พร้อมชมนิทรรศการ การขอขึ้นทะเบียนองค์พระธาตุพนม เป็นมรดกโลก นายกรัฐมนตรีสักการะองค์พระธาตุพนม พร้อมชมนิทรรศการนําเสนอการขอขึ้นทะเบียนพระธาตุพนมเป็นมรดกโลก วันนี้ (27 มีนาคม 2560) เวลา 12.09 น. ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อําเภอธาตุพนม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สักการะองค์พระธาตุพนม พร้อมนําผ้าห่มบูชารอบองค์พระธาตุพนมเพื่อความเป็นสิริมงคล และชมนิทรรศการนําเสนอการขอขึ้นทะเบียนพระธาตุพนมเป็นมรดกโลก เพื่อให้คณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาในการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 41 ในเดือนกรกฎาคม 2560 ณ เมืองคราเคา (Krakow) สาธารณรัฐโปแลนด์ --------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2658
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ หนุนสถิติจังหวัดทั่วประเทศ สร้างศูนย์ข้อมูลกลางตอบสนองความต้องการใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง สร้างธรรมาภิบาลในภาครัฐ
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 กระทรวงดิจิทัลฯ หนุนสถิติจังหวัดทั่วประเทศ สร้างศูนย์ข้อมูลกลางตอบสนองความต้องการใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง สร้างธรรมาภิบาลในภาครัฐ กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงดิจิทัลฯ สนับสนุนสํานักงานสถิติแห่งชาติ เร่งส่งเสริมสถิติจังหวัดทั่วประเทศ สร้างศูนย์ข้อมูลกลางระดับจังหวัด ตอบสนองความต้องการทุกภาคส่วนให้สามารถเข้าใช้ข้อมูลได้สะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง สร้างประโยชน์จากการบริหารของรัฐที่มีประสิทธิภาพ ผลักดันให้เกิดธรรมาภิบาลในภาครัฐ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยในการตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของสถิติจังหวัดจันทบุรี ว่า หลังจากที่สํานักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ตั้งแต่ปี 2556 เพื่อจัดทําชุดข้อมูลสถิติและสารสนเทศ ที่ตอบสนองยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด โดยจังหวัดจันทบุรีได้ดําเนินการจัดทําชุดข้อมูลเรื่องทุเรียน ลําไย มังคุด มันสําปะหลัง กุ้ง อัญมณีและเครื่องประดับ การค้าชายแดน การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การพัฒนาคุณภาพชีวิต และป่าชายเลน ผ่านกลไกคณะกรรมการสถิติระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และหน่วยงานภายในจังหวัดเป็นกรรมการ โดยในปี 2559 ได้ดําเนินการชุดข้อมูลกลางที่ได้จากนโยบายที่สําคัญของประเทศ ได้แก่ ชุดข้อมูลเรื่องข้าว การท่องเที่ยว ผู้สูงอายุ และขยะ ซึ่งชุดข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานภาครัฐในการกําหนดนโยบาย วางแผน และบริหารงาน สําหรับภาคเอกชน และประชาชน ได้สามารถนําข้อมูลไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนในธุรกิจที่สนใจและกิจกรรมอื่นๆ ทั้งนี้ ในปี 2561 จะมีการดําเนินการเพื่อให้สํานักงานสถิติจังหวัดทุกจังหวัด เป็นศูนย์ข้อมูลกลางจังหวัด โดยจะมีการพัฒนาชุดข้อมูลเพิ่มเติมที่ตอบสนองความต้องการของผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนราชการต่างๆ ภาคเอกชน และประชาชน ประกอบด้วย ชุดข้อมูลตัวชี้วัดตามแผนพัฒนาจังหวัด ชุดข้อมูลอื่นๆ เช่น การบริหารจัดการน้ํา รวมทั้งชุดข้อมูลที่ได้จาก Big Data ซึ่งการเป็นศูนย์ข้อมูลกลางระดับจังหวัด จะเน้นให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์จากข้อมูลสถิติ ได้สะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง ส่งผลให้ได้รับประโยชน์จากการบริหารของรัฐที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดธรรมาภิบาลในภาครัฐ **************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ หนุนสถิติจังหวัดทั่วประเทศ สร้างศูนย์ข้อมูลกลางตอบสนองความต้องการใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง สร้างธรรมาภิบาลในภาครัฐ วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 กระทรวงดิจิทัลฯ หนุนสถิติจังหวัดทั่วประเทศ สร้างศูนย์ข้อมูลกลางตอบสนองความต้องการใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง สร้างธรรมาภิบาลในภาครัฐ กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงดิจิทัลฯ สนับสนุนสํานักงานสถิติแห่งชาติ เร่งส่งเสริมสถิติจังหวัดทั่วประเทศ สร้างศูนย์ข้อมูลกลางระดับจังหวัด ตอบสนองความต้องการทุกภาคส่วนให้สามารถเข้าใช้ข้อมูลได้สะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง สร้างประโยชน์จากการบริหารของรัฐที่มีประสิทธิภาพ ผลักดันให้เกิดธรรมาภิบาลในภาครัฐ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยในการตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของสถิติจังหวัดจันทบุรี ว่า หลังจากที่สํานักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ตั้งแต่ปี 2556 เพื่อจัดทําชุดข้อมูลสถิติและสารสนเทศ ที่ตอบสนองยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด โดยจังหวัดจันทบุรีได้ดําเนินการจัดทําชุดข้อมูลเรื่องทุเรียน ลําไย มังคุด มันสําปะหลัง กุ้ง อัญมณีและเครื่องประดับ การค้าชายแดน การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การพัฒนาคุณภาพชีวิต และป่าชายเลน ผ่านกลไกคณะกรรมการสถิติระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และหน่วยงานภายในจังหวัดเป็นกรรมการ โดยในปี 2559 ได้ดําเนินการชุดข้อมูลกลางที่ได้จากนโยบายที่สําคัญของประเทศ ได้แก่ ชุดข้อมูลเรื่องข้าว การท่องเที่ยว ผู้สูงอายุ และขยะ ซึ่งชุดข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานภาครัฐในการกําหนดนโยบาย วางแผน และบริหารงาน สําหรับภาคเอกชน และประชาชน ได้สามารถนําข้อมูลไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนในธุรกิจที่สนใจและกิจกรรมอื่นๆ ทั้งนี้ ในปี 2561 จะมีการดําเนินการเพื่อให้สํานักงานสถิติจังหวัดทุกจังหวัด เป็นศูนย์ข้อมูลกลางจังหวัด โดยจะมีการพัฒนาชุดข้อมูลเพิ่มเติมที่ตอบสนองความต้องการของผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนราชการต่างๆ ภาคเอกชน และประชาชน ประกอบด้วย ชุดข้อมูลตัวชี้วัดตามแผนพัฒนาจังหวัด ชุดข้อมูลอื่นๆ เช่น การบริหารจัดการน้ํา รวมทั้งชุดข้อมูลที่ได้จาก Big Data ซึ่งการเป็นศูนย์ข้อมูลกลางระดับจังหวัด จะเน้นให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์จากข้อมูลสถิติ ได้สะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง ส่งผลให้ได้รับประโยชน์จากการบริหารของรัฐที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดธรรมาภิบาลในภาครัฐ **************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9861
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-กัมพูชา ยืนยันความร่วมมือเพื่อนำสันติสุขมาสู่ประชาชนของทั้งสองประเทศ
วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561 ไทย-กัมพูชา ยืนยันความร่วมมือเพื่อนําสันติสุขมาสู่ประชาชนของทั้งสองประเทศ ไทย-กัมพูชา ยืนยันความร่วมมือเพื่อนําสันติสุขมาสู่ประชาชนของทั้งสองประเทศ วันนี้ (21 มี.ค. 2561) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล สมเด็จพิชัยเสนา เตีย บันห์ (Somdech Pichey Sena Tea Banh ) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 19 – 21 มีนาคม 2561 โดยสรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้พบกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาอีกครั้ง หลังจากที่เยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการและเข้าร่วมการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (JCR) ไทย – กัมพูชา ครั้งที่ 3 และกล่าวว่ารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชานับเป็นเพื่อนคนสําคัญและรู้จักกันมาอย่างยาวนาน พร้อมชื่นชมกับบทบาทของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาที่มีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและกัมพูชา ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีและความร่วมมือระหว่างกันมีความใกล้ชิดแน่นแฟ้น ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชากล่าวอวยพรวันเกิดนายกรัฐมนตรี ขอให้นายกรัฐมนตรีมีสุขภาพแข็งแรงและประสบความสําเร็จในภารกิจทุกประการ สําหรับการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 13 เป็นไปด้วยความราบรื่นและประสบผลสําเร็จ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศนับว่าเป็นช่วงที่ไทยและกัมพูชาใกล้ชิดกันมากที่สุด ความร่วมมือระหว่างกันมีประสิทธิภาพและสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน นอกจากนี้ ได้มีการหารือถึงความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูง ซึ่งปัจจุบันสถิติการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชาลดน้อยลง แต่ยังคงพบว่ามีการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชาอยู่ ทั้งสองประเทศจึงควรร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการสกัดกั้นการลักลอบกระทําผิด นอกจากนั้น ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นร่วมกันที่จะติดตามบุคคลที่กระทํากฎหมายและหลบหนีคดีเข้าไปอยู่ในทั้งสองประเทศ เพื่อไม่ให้กลุ่มบุคคลใดใช้ประเทศไทยและกัมพูชาเป็นฐานในการก่อความไม่สงบและทําให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องกันว่า แม้ไทยและกัมพูชายังมีพื้นที่บริเวณชายแดนที่ทับซ้อนและยังหาข้อสรุปไม่ได้ ทั้งสองประเทศควรร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสค้าขายระหว่างกันอย่างสะดวก ตลอดจนพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้มีความสงบสุขและมั่นคง นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายหวังว่าความเชื่อมโยงด้วยเส้นทางรถไฟในอนาคต จะทําให้ทั้งสองประเทศมีการติดต่ออย่างสะดวกและเพิ่มมูลค่าการค้าขายระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายยังแสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ ทั้งทางด้านความมั่นคง การค้าและการลงทุน รวมถึงยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องสินค้าเกษตรระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องว่า ไทยและกัมพูชาควรจะดํารงความสัมพันธ์อันดี เพื่อมุ่งสร้างผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศในทุกระดับ ทั้งระดับรัฐบาลและ ประชาชน ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้มีโอกาสพบปะกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในระหว่างการประชุม ASEAN-Australia เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และหวังว่าจะได้พบปะกันอีกในระหว่างการประชุมสุดยอดลุ่มน้ําโขงตอนล่าง ครั้งที่ 3 ซึ่งจะจัดขึ้นที่จังหวัดเสียมราฐของกัมพูชา ในต้นเดือนเมษายนนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-กัมพูชา ยืนยันความร่วมมือเพื่อนำสันติสุขมาสู่ประชาชนของทั้งสองประเทศ วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561 ไทย-กัมพูชา ยืนยันความร่วมมือเพื่อนําสันติสุขมาสู่ประชาชนของทั้งสองประเทศ ไทย-กัมพูชา ยืนยันความร่วมมือเพื่อนําสันติสุขมาสู่ประชาชนของทั้งสองประเทศ วันนี้ (21 มี.ค. 2561) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล สมเด็จพิชัยเสนา เตีย บันห์ (Somdech Pichey Sena Tea Banh ) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 19 – 21 มีนาคม 2561 โดยสรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้พบกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาอีกครั้ง หลังจากที่เยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการและเข้าร่วมการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (JCR) ไทย – กัมพูชา ครั้งที่ 3 และกล่าวว่ารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชานับเป็นเพื่อนคนสําคัญและรู้จักกันมาอย่างยาวนาน พร้อมชื่นชมกับบทบาทของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาที่มีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและกัมพูชา ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีและความร่วมมือระหว่างกันมีความใกล้ชิดแน่นแฟ้น ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชากล่าวอวยพรวันเกิดนายกรัฐมนตรี ขอให้นายกรัฐมนตรีมีสุขภาพแข็งแรงและประสบความสําเร็จในภารกิจทุกประการ สําหรับการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 13 เป็นไปด้วยความราบรื่นและประสบผลสําเร็จ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศนับว่าเป็นช่วงที่ไทยและกัมพูชาใกล้ชิดกันมากที่สุด ความร่วมมือระหว่างกันมีประสิทธิภาพและสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน นอกจากนี้ ได้มีการหารือถึงความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูง ซึ่งปัจจุบันสถิติการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชาลดน้อยลง แต่ยังคงพบว่ามีการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชาอยู่ ทั้งสองประเทศจึงควรร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการสกัดกั้นการลักลอบกระทําผิด นอกจากนั้น ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นร่วมกันที่จะติดตามบุคคลที่กระทํากฎหมายและหลบหนีคดีเข้าไปอยู่ในทั้งสองประเทศ เพื่อไม่ให้กลุ่มบุคคลใดใช้ประเทศไทยและกัมพูชาเป็นฐานในการก่อความไม่สงบและทําให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องกันว่า แม้ไทยและกัมพูชายังมีพื้นที่บริเวณชายแดนที่ทับซ้อนและยังหาข้อสรุปไม่ได้ ทั้งสองประเทศควรร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสค้าขายระหว่างกันอย่างสะดวก ตลอดจนพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้มีความสงบสุขและมั่นคง นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายหวังว่าความเชื่อมโยงด้วยเส้นทางรถไฟในอนาคต จะทําให้ทั้งสองประเทศมีการติดต่ออย่างสะดวกและเพิ่มมูลค่าการค้าขายระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายยังแสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ ทั้งทางด้านความมั่นคง การค้าและการลงทุน รวมถึงยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องสินค้าเกษตรระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องว่า ไทยและกัมพูชาควรจะดํารงความสัมพันธ์อันดี เพื่อมุ่งสร้างผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศในทุกระดับ ทั้งระดับรัฐบาลและ ประชาชน ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้มีโอกาสพบปะกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในระหว่างการประชุม ASEAN-Australia เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และหวังว่าจะได้พบปะกันอีกในระหว่างการประชุมสุดยอดลุ่มน้ําโขงตอนล่าง ครั้งที่ 3 ซึ่งจะจัดขึ้นที่จังหวัดเสียมราฐของกัมพูชา ในต้นเดือนเมษายนนี้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10934
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ทส. เพื่อกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนงาน คทช.
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561 ทส. ประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ทส. เพื่อกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนงาน คทช. ทส. ประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ทส. เพื่อกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนงาน คทช. ทส. ประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ทส. เพื่อกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนงาน คทช. วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2561 พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ทส. เพื่อกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนงาน คทช. และประเด็นอื่นๆ โดยมีนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมด้วยนายทรงธรรม สุขสว่าง ผู้อํานวยการสํานักอุทยานแห่งชาติ เข้าร่วมการประชุม ซึ่งในส่วนของวาระการประชุมที่เกี่ยวข้องกับ อส. ชี้แจงการจัดที่ดินในป่าอนุรักษ์ และชี้แจงร่างแนวทางฟื้นฟูถ้ําหลวง วนอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน จังหวัดเชียงราย ณ ห้อง 301 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ทส. เพื่อกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนงาน คทช. วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561 ทส. ประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ทส. เพื่อกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนงาน คทช. ทส. ประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ทส. เพื่อกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนงาน คทช. ทส. ประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ทส. เพื่อกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนงาน คทช. วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2561 พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมหารือตามข้อสั่งการ รมว.ทส. เพื่อกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนงาน คทช. และประเด็นอื่นๆ โดยมีนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมด้วยนายทรงธรรม สุขสว่าง ผู้อํานวยการสํานักอุทยานแห่งชาติ เข้าร่วมการประชุม ซึ่งในส่วนของวาระการประชุมที่เกี่ยวข้องกับ อส. ชี้แจงการจัดที่ดินในป่าอนุรักษ์ และชี้แจงร่างแนวทางฟื้นฟูถ้ําหลวง วนอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน จังหวัดเชียงราย ณ ห้อง 301 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13696
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผู้ป่วยไข้เลือดออกรายใหม่ลดลงกว่าครึ่ง หลังจากทุกภาคส่วนร่วมกันพัฒนาสิ่งแวดล้อมกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 สธ. เผยผู้ป่วยไข้เลือดออกรายใหม่ลดลงกว่าครึ่ง หลังจากทุกภาคส่วนร่วมกันพัฒนาสิ่งแวดล้อมกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยสัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยไข้เลือดออกรายใหม่ลดลงกว่าครึ่ง จากความร่วมมือทุกภาคส่วน ทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ตามโครงการจิตอาสา ทําความดีด้วยหัวใจ อย่างต่อเนื่อง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยสัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยไข้เลือดออกรายใหม่ลดลงกว่าครึ่ง จากความร่วมมือทุกภาคส่วน ทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ตามโครงการจิตอาสา ทําความดีด้วยหัวใจ อย่างต่อเนื่อง วันนี้ (26 ตุลาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตามโครงการจิตอาสา ทําความดีด้วยหัวใจ โดยเจ้าหน้าที่รพ.สต. อปท. กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําชุมชน และอาสาสมัครสาธารณสุข และจิตอาสา ร่วมกันปรับปรุงสิ่งแวดล้อม กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออกพร้อมกันทุกหมู่บ้าน ระหว่างวันที่ 12 – 23 ตุลาคม 2561 ผลการดําเนินงานสามารถทําได้ครอบคลุมทุกจังหวัด 686 อําเภอ 5,510 ตําบล 56,014 หมู่บ้าน โดยสํารวจและทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้าน 4,163,251 หลัง พบลูกน้ํายุงลายร้อยละ 6.8 วัดจํานวน 28,626 แห่ง พบร้อยละ 5.0 โรงเรียน 18,175 แห่ง พบร้อยละ 5.7 โรงพยาบาล 3,730 แห่ง พบร้อยละ 0.6 จะดําเนินการครบทุกตําบลภายในอีก 2 สัปดาห์ “ในช่วงนี้ยังมีฝนตกเกือบทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะภาคใต้ จึงขอให้ทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมกันดําเนินการกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายในบ้านและบริเวณบ้านของตนเอง เพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออก รวมทั้งไข้ปวดข้อยุงลาย และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา” นายแพทย์สุขุมกล่าว ทั้งนี้ สถานการณ์ไข้เลือดออกในปี 2561 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 20 ตุลาคม พบผู้ป่วย 67,968 ราย โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยรายใหม่ 1,596 ราย ซึ่งลดลงจากช่วงเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม ที่พบผู้ป่วยสัปดาห์ละ 3,000 – 4,000 ราย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผู้ป่วยไข้เลือดออกรายใหม่ลดลงกว่าครึ่ง หลังจากทุกภาคส่วนร่วมกันพัฒนาสิ่งแวดล้อมกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 สธ. เผยผู้ป่วยไข้เลือดออกรายใหม่ลดลงกว่าครึ่ง หลังจากทุกภาคส่วนร่วมกันพัฒนาสิ่งแวดล้อมกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยสัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยไข้เลือดออกรายใหม่ลดลงกว่าครึ่ง จากความร่วมมือทุกภาคส่วน ทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ตามโครงการจิตอาสา ทําความดีด้วยหัวใจ อย่างต่อเนื่อง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยสัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยไข้เลือดออกรายใหม่ลดลงกว่าครึ่ง จากความร่วมมือทุกภาคส่วน ทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ตามโครงการจิตอาสา ทําความดีด้วยหัวใจ อย่างต่อเนื่อง วันนี้ (26 ตุลาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตามโครงการจิตอาสา ทําความดีด้วยหัวใจ โดยเจ้าหน้าที่รพ.สต. อปท. กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําชุมชน และอาสาสมัครสาธารณสุข และจิตอาสา ร่วมกันปรับปรุงสิ่งแวดล้อม กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออกพร้อมกันทุกหมู่บ้าน ระหว่างวันที่ 12 – 23 ตุลาคม 2561 ผลการดําเนินงานสามารถทําได้ครอบคลุมทุกจังหวัด 686 อําเภอ 5,510 ตําบล 56,014 หมู่บ้าน โดยสํารวจและทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้าน 4,163,251 หลัง พบลูกน้ํายุงลายร้อยละ 6.8 วัดจํานวน 28,626 แห่ง พบร้อยละ 5.0 โรงเรียน 18,175 แห่ง พบร้อยละ 5.7 โรงพยาบาล 3,730 แห่ง พบร้อยละ 0.6 จะดําเนินการครบทุกตําบลภายในอีก 2 สัปดาห์ “ในช่วงนี้ยังมีฝนตกเกือบทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะภาคใต้ จึงขอให้ทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมกันดําเนินการกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายในบ้านและบริเวณบ้านของตนเอง เพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออก รวมทั้งไข้ปวดข้อยุงลาย และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา” นายแพทย์สุขุมกล่าว ทั้งนี้ สถานการณ์ไข้เลือดออกในปี 2561 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 20 ตุลาคม พบผู้ป่วย 67,968 ราย โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยรายใหม่ 1,596 ราย ซึ่งลดลงจากช่วงเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม ที่พบผู้ป่วยสัปดาห์ละ 3,000 – 4,000 ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16332