title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-สหรัฐฯ พร้อมกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค
วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 ไทย-สหรัฐฯ พร้อมกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ไทย-สหรัฐฯ พร้อมกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค วันนี้ (28 สิงหาคม 2562) เวลา 14.00 น. ณ กระทรวงกลาโหม นายปีเตอร์ เฮย์มอนด์ (Mr. Peter Haymond) อุปทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณสําหรับความมุ่งมั่นในการทํางานตลอดระยะเวลา 3 ปีในประเทศไทย ทั้งในฐานะรองหัวหน้าสํานักงานและอุปทูตสหรัฐฯ ประจําประเทศไทย ซึ่งมีส่วนสําคัญในการกระชับความสัมพันธ์ไทย – สหรัฐฯ ในทุกมิติให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และยินดีที่ปัจจุบันความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-สหรัฐฯ มีพลวัตที่ดีต่อเนื่อง รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับต่าง ๆ เพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอบคุณสําหรับการรายงานความคืบหน้าสําคัญของการดําเนินงานเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของไทยไปยังกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยได้รับการเลื่อนการจัดอันดับในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ (TIP Report) ขึ้นเป็น Tier 2 ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กํากับดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมย้ําว่า ไทยให้ความสําคัญอย่างยิ่งกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และไทยได้มีพัฒนาการคืบหน้าในการต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่องและมีนัยสําคัญ ด้านอุปทูตสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ พร้อมเข้ามามีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับอาเซียนและภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนการเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Centrality) โดยยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐฯ สอดคล้องกับ ASEAN Outlook on the Indo-Pacific ของอาเซียน ซึ่งมีหลักการพื้นฐานคล้ายคลึงกันหลายประการ จึงหวังจะเห็นความร่วมมือระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ทั้งสองฝ่ายยินดีที่การฝึกร่วมทางการทหารระหว่างกัน นอกจากการฝึกร่วม Cobra Gold และการฝึกร่วมของเหล่าทัพต่าง ๆ ประจําปีแล้ว ปีนี้ถือเป็นปีสําคัญระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในการยกระดับความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนสําคัญทางยุทธศาสตร์ผ่านกิจกรรมฝ่ายทหารที่สาคัญอื่น ๆ ในระดับภูมิภาค อาทิ การเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุม Chiefs of Defense Conference 2019 และการประชุม Indo-Pacific Armies Chiefs Conference เป็นต้น โดยไทยพร้อมสนับสนุนการดําเนินบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-สหรัฐฯ พร้อมกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 ไทย-สหรัฐฯ พร้อมกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ไทย-สหรัฐฯ พร้อมกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค วันนี้ (28 สิงหาคม 2562) เวลา 14.00 น. ณ กระทรวงกลาโหม นายปีเตอร์ เฮย์มอนด์ (Mr. Peter Haymond) อุปทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณสําหรับความมุ่งมั่นในการทํางานตลอดระยะเวลา 3 ปีในประเทศไทย ทั้งในฐานะรองหัวหน้าสํานักงานและอุปทูตสหรัฐฯ ประจําประเทศไทย ซึ่งมีส่วนสําคัญในการกระชับความสัมพันธ์ไทย – สหรัฐฯ ในทุกมิติให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และยินดีที่ปัจจุบันความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-สหรัฐฯ มีพลวัตที่ดีต่อเนื่อง รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับต่าง ๆ เพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอบคุณสําหรับการรายงานความคืบหน้าสําคัญของการดําเนินงานเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของไทยไปยังกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยได้รับการเลื่อนการจัดอันดับในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ (TIP Report) ขึ้นเป็น Tier 2 ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กํากับดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมย้ําว่า ไทยให้ความสําคัญอย่างยิ่งกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และไทยได้มีพัฒนาการคืบหน้าในการต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่องและมีนัยสําคัญ ด้านอุปทูตสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ พร้อมเข้ามามีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับอาเซียนและภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนการเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Centrality) โดยยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐฯ สอดคล้องกับ ASEAN Outlook on the Indo-Pacific ของอาเซียน ซึ่งมีหลักการพื้นฐานคล้ายคลึงกันหลายประการ จึงหวังจะเห็นความร่วมมือระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ทั้งสองฝ่ายยินดีที่การฝึกร่วมทางการทหารระหว่างกัน นอกจากการฝึกร่วม Cobra Gold และการฝึกร่วมของเหล่าทัพต่าง ๆ ประจําปีแล้ว ปีนี้ถือเป็นปีสําคัญระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในการยกระดับความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนสําคัญทางยุทธศาสตร์ผ่านกิจกรรมฝ่ายทหารที่สาคัญอื่น ๆ ในระดับภูมิภาค อาทิ การเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุม Chiefs of Defense Conference 2019 และการประชุม Indo-Pacific Armies Chiefs Conference เป็นต้น โดยไทยพร้อมสนับสนุนการดําเนินบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22587
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เผยแผนดำเนินงานตามมาตรการในการแก้ไข
วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เผยแผนดําเนินงานตามมาตรการในการแก้ไข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยแผนดําเนินงานตามมาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมายปี 60 เดินหน้าจัดที่ดินให้เกษตรกรผู้ยากไ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาออกคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 36/2559ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 เรื่องมาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย นั้น ส.ป.ก. ได้บังคับใช้ใน 3 กรณี โดยมีเป้าหมายจํานวน 438 แปลง เนื้อที่ 443,501 ไร่ ใน 28 จังหวัด ดังนี้ กรณีที่ 1 ที่ดินที่ยังไม่เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินที่มีเนื้อที่ตั้งแต่ 500 ไร่ ขึ้นไป เป้าหมาย 431 แปลง เนื้อที่ 437,145 ไร่ ใน 27 จังหวัด กรณีที่ 2 ที่ดินที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดมีมติให้เกษตรกรผู้ได้รับการจัดที่ดินสิ้นสิทธิ เข้าทําประโยชน์แล้ว และครอบครองโดยบุคคลที่มิใช่รับการจัดที่ดินที่มีเนื้อที่ตั้งแต่ 100 ไร่ ขึ้นไป เป้าหมาย 2 แปลง เนื้อที่ 448 ไร่ ใน 2 จังหวัด กรณีที่ 3 ที่ดินที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ส่งมอบแก่สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแล้ว และมีเนื้อที่ตั้งแต่ 500 ไร่ ขึ้นไป เป้าหมาย 5 แปลง เนื้อที่ 5,908 ไร่ ใน 3 จังหวัด “ผลการดําเนินการยึดคืน เป็นที่ดิน ส.ป.ก. เนื้อที่ 310,167 ไร่ คืนให้ผู้ครอบครองเดิมเนื่องจากมีหลักฐานการครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน เช่น น.ส.3, น.ส.3ก เนื้อที่ 126,919 ไร่ และส่งให้สํานักงานกฤษฎีกาพิจารณาให้ความชัดเจนสถานะของที่ดินว่าอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินหรือเขตป่าไม้ 6,415 ไร่ ซึ่งอยู่ในจังหวัดชุมพร” ด้านนายสมปอง อินทร์ทอง เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในปี 2560 นี้ ส.ป.ก. มีแผนการดําเนินการพัฒนาในที่ดินที่ยึดคืนมาได้ คือ 1) พัฒนาปรับปรุงที่ดินให้มีความพร้อมเพื่อส่งมอบให้ คทช. นําไปจัดที่ดินให้เกษตรกรผู้ยากไร้ในรูปแบบสหกรณ์การเกษตรต่อไป คาดว่าจะดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 60 ในเนื้อที่ 1 แสนไร่ โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานทหารร่วมดําเนินการในพื้นที่ระยะแรก จะดําเนินการจัดที่ดินในพื้นที่ 3 หมื่นไร่ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2560 ระยะที่สอง ที่เหลือ 7 หมื่นไร่ จะดําเนินการจัดที่ดินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2560 รวมทั้งการฝึกอาชีพให้เกษตรกรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2560 โดยใช้เงินงบประมาณและเงินกองทุนปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 2) จัดที่ดินให้เกษตรกรผู้ครอบครองอยู่เดิมตามสิทธิและระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส.ป.ก.จะเร่งดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2560 และสามารถมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน หรือ ส.ป.ก.4-01 ให้เกษตรกรได้ภายในเดือนสิงหาคม 2560 ทั้งนี้ แปลงที่ดินอื่น ๆ ที่ยึดคืนมาได้ ส.ป.ก. นํามาพัฒนาจัดสรร ดังนี้ 1. แปลงคุณเพียงใจ หาญพาณิชย์ จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 1,223 ไร่ จะสามารถจัดที่ดินให้สถาบันเกษตรกรได้ภายในเดือนมีนาคม 2560 โดยใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายปี 2559 2. แปลงสวนส้ม จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ 5,958 ไร่ จะสามารถจัดที่ดินให้สถาบันเกษตรกรได้ภายในเดือนมีนาคม 2560 โดยใช้เงินกองทุนปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 3. แปลงนายชูเกียรติ ตั้งพงศ์ปราชญ์ จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 1,028 ไร่ จะสามารถจัดที่ดินให้สถาบันเกษตรกรได้ภายในเดือนมีนาคม 2560 โดยใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายปี 2559 4. แปลงพล.ต.ต.ชาลี เภกะนันท์ จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 536 ไร่ จะสามารถจัดที่ดินให้สถาบันเกษตรกรได้ภายในเดือนเมษายน 2560 โดยจะขอเงินงบประมาณและเงินกองทุนปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 5. แปลงนายสุทัศน์ คุณรักพงศ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 1,160 ไร่ จะสามารถจัดที่ดินให้สถาบันเกษตรกรได้ภายในเดือนเมษายน 2560 โดยใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายปี 2559 6. แปลง บจก.รวมชัยบุรีปาล์มทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 1,749 ไร่ จะสามารถจัดที่ดินให้สถาบันเกษตรกรได้ภายในเดือนเมษายน 2560 โดยจะขอเงินงบประมาณและเงินกองทุนปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ในกรณีแปลงของ พล.ต.ต.ชาลี เภกะนันท์ จังหวัดนครราชสีมา รมว.เกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายให้จัดทําเป็นศูนย์การเรียนรู้ ฝึกอบรมเกษตรกร โดย ส.ป.ก. จัดให้เกษตรกรส่วนหนึ่งเข้าทําประโยชน์ในพื้นที่ส่วนหนึ่ง และให้เกษตรกรภายนอกเข้ามาทดลองทําจริง ฝึกอบรม และเรียนรู้ในพื้นที่อีกส่วนหนึ่ง -- กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เผยแผนดำเนินงานตามมาตรการในการแก้ไข วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เผยแผนดําเนินงานตามมาตรการในการแก้ไข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยแผนดําเนินงานตามมาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมายปี 60 เดินหน้าจัดที่ดินให้เกษตรกรผู้ยากไ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาออกคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 36/2559ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 เรื่องมาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย นั้น ส.ป.ก. ได้บังคับใช้ใน 3 กรณี โดยมีเป้าหมายจํานวน 438 แปลง เนื้อที่ 443,501 ไร่ ใน 28 จังหวัด ดังนี้ กรณีที่ 1 ที่ดินที่ยังไม่เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินที่มีเนื้อที่ตั้งแต่ 500 ไร่ ขึ้นไป เป้าหมาย 431 แปลง เนื้อที่ 437,145 ไร่ ใน 27 จังหวัด กรณีที่ 2 ที่ดินที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดมีมติให้เกษตรกรผู้ได้รับการจัดที่ดินสิ้นสิทธิ เข้าทําประโยชน์แล้ว และครอบครองโดยบุคคลที่มิใช่รับการจัดที่ดินที่มีเนื้อที่ตั้งแต่ 100 ไร่ ขึ้นไป เป้าหมาย 2 แปลง เนื้อที่ 448 ไร่ ใน 2 จังหวัด กรณีที่ 3 ที่ดินที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ส่งมอบแก่สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแล้ว และมีเนื้อที่ตั้งแต่ 500 ไร่ ขึ้นไป เป้าหมาย 5 แปลง เนื้อที่ 5,908 ไร่ ใน 3 จังหวัด “ผลการดําเนินการยึดคืน เป็นที่ดิน ส.ป.ก. เนื้อที่ 310,167 ไร่ คืนให้ผู้ครอบครองเดิมเนื่องจากมีหลักฐานการครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน เช่น น.ส.3, น.ส.3ก เนื้อที่ 126,919 ไร่ และส่งให้สํานักงานกฤษฎีกาพิจารณาให้ความชัดเจนสถานะของที่ดินว่าอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินหรือเขตป่าไม้ 6,415 ไร่ ซึ่งอยู่ในจังหวัดชุมพร” ด้านนายสมปอง อินทร์ทอง เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในปี 2560 นี้ ส.ป.ก. มีแผนการดําเนินการพัฒนาในที่ดินที่ยึดคืนมาได้ คือ 1) พัฒนาปรับปรุงที่ดินให้มีความพร้อมเพื่อส่งมอบให้ คทช. นําไปจัดที่ดินให้เกษตรกรผู้ยากไร้ในรูปแบบสหกรณ์การเกษตรต่อไป คาดว่าจะดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 60 ในเนื้อที่ 1 แสนไร่ โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานทหารร่วมดําเนินการในพื้นที่ระยะแรก จะดําเนินการจัดที่ดินในพื้นที่ 3 หมื่นไร่ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2560 ระยะที่สอง ที่เหลือ 7 หมื่นไร่ จะดําเนินการจัดที่ดินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2560 รวมทั้งการฝึกอาชีพให้เกษตรกรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2560 โดยใช้เงินงบประมาณและเงินกองทุนปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 2) จัดที่ดินให้เกษตรกรผู้ครอบครองอยู่เดิมตามสิทธิและระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส.ป.ก.จะเร่งดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2560 และสามารถมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน หรือ ส.ป.ก.4-01 ให้เกษตรกรได้ภายในเดือนสิงหาคม 2560 ทั้งนี้ แปลงที่ดินอื่น ๆ ที่ยึดคืนมาได้ ส.ป.ก. นํามาพัฒนาจัดสรร ดังนี้ 1. แปลงคุณเพียงใจ หาญพาณิชย์ จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 1,223 ไร่ จะสามารถจัดที่ดินให้สถาบันเกษตรกรได้ภายในเดือนมีนาคม 2560 โดยใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายปี 2559 2. แปลงสวนส้ม จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ 5,958 ไร่ จะสามารถจัดที่ดินให้สถาบันเกษตรกรได้ภายในเดือนมีนาคม 2560 โดยใช้เงินกองทุนปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 3. แปลงนายชูเกียรติ ตั้งพงศ์ปราชญ์ จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 1,028 ไร่ จะสามารถจัดที่ดินให้สถาบันเกษตรกรได้ภายในเดือนมีนาคม 2560 โดยใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายปี 2559 4. แปลงพล.ต.ต.ชาลี เภกะนันท์ จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 536 ไร่ จะสามารถจัดที่ดินให้สถาบันเกษตรกรได้ภายในเดือนเมษายน 2560 โดยจะขอเงินงบประมาณและเงินกองทุนปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 5. แปลงนายสุทัศน์ คุณรักพงศ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 1,160 ไร่ จะสามารถจัดที่ดินให้สถาบันเกษตรกรได้ภายในเดือนเมษายน 2560 โดยใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายปี 2559 6. แปลง บจก.รวมชัยบุรีปาล์มทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 1,749 ไร่ จะสามารถจัดที่ดินให้สถาบันเกษตรกรได้ภายในเดือนเมษายน 2560 โดยจะขอเงินงบประมาณและเงินกองทุนปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ในกรณีแปลงของ พล.ต.ต.ชาลี เภกะนันท์ จังหวัดนครราชสีมา รมว.เกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายให้จัดทําเป็นศูนย์การเรียนรู้ ฝึกอบรมเกษตรกร โดย ส.ป.ก. จัดให้เกษตรกรส่วนหนึ่งเข้าทําประโยชน์ในพื้นที่ส่วนหนึ่ง และให้เกษตรกรภายนอกเข้ามาทดลองทําจริง ฝึกอบรม และเรียนรู้ในพื้นที่อีกส่วนหนึ่ง -- กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1396
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดงานสัมมนา Startup จับต้องได้ (2) สตาร์ทอัพแบบไหนถูกใจขาใหญ่ (VC)
วันพุธที่ 5 กันยายน 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดงานสัมมนา Startup จับต้องได้ (2) สตาร์ทอัพแบบไหนถูกใจขาใหญ่ (VC) รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดงานสัมมนา Startup จับต้องได้ (2) สตาร์ทอัพแบบไหนถูกใจขาใหญ่ (VC) วันนี้ (5 กันยายน 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนา Startup จับต้องได้ (2) สตาร์ทอัพแบบไหนถูกใจขาใหญ่ (VC) พร้อมกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Startup Ecosystem” เป้าหมายที่ท้าทายอันดับหนึ่งของรัฐบาล 4.0 ณ โรงละครอักษรา คิง พาวเวอร์ กรุงเทพฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า Startup ถือเป็นธุรกิจเกิดใหม่ที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นฐานในการดําเนินธุรกิจ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ startup จึงเป็นพลังสําคัญ และจําเป็นต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของไทยให้มีความพร้อมที่จะเคลื่อนไหว ปรับเปลี่ยน ยกระดับให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนใช้และสร้างโอกาสที่จะสร้างนวัตกรรมได้อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจไทยแข่งขันในเวทีโลกอย่างยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดงานสัมมนา Startup จับต้องได้ (2) สตาร์ทอัพแบบไหนถูกใจขาใหญ่ (VC) วันพุธที่ 5 กันยายน 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดงานสัมมนา Startup จับต้องได้ (2) สตาร์ทอัพแบบไหนถูกใจขาใหญ่ (VC) รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดงานสัมมนา Startup จับต้องได้ (2) สตาร์ทอัพแบบไหนถูกใจขาใหญ่ (VC) วันนี้ (5 กันยายน 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนา Startup จับต้องได้ (2) สตาร์ทอัพแบบไหนถูกใจขาใหญ่ (VC) พร้อมกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Startup Ecosystem” เป้าหมายที่ท้าทายอันดับหนึ่งของรัฐบาล 4.0 ณ โรงละครอักษรา คิง พาวเวอร์ กรุงเทพฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า Startup ถือเป็นธุรกิจเกิดใหม่ที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นฐานในการดําเนินธุรกิจ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ startup จึงเป็นพลังสําคัญ และจําเป็นต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของไทยให้มีความพร้อมที่จะเคลื่อนไหว ปรับเปลี่ยน ยกระดับให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนใช้และสร้างโอกาสที่จะสร้างนวัตกรรมได้อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจไทยแข่งขันในเวทีโลกอย่างยั่งยืนต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15179
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” จัดประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ พิจารณาตัวชี้วัด ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรมหาชน ๔.๐
วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561 “ยุติธรรม” จัดประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ พิจารณาตัวชี้วัด ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรมหาชน ๔.๐ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ ในวันจันทร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ เพื่อพิจารณาตัวชี้วัดของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ในหัวข้อการพัฒนานวัตกรรมของสถาบันอนุญาโตตุลาการ และศักยภาพในการดําเนินการขององค์กรมหาชน ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ (ก.พ.ร.) กําหนดให้ นําตัวชี้วัดสถาบันอนุญาโตตุลาการผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบในหัวข้อกิจกรรมดังกล่าว และมอบหมายให้ฝ่ายเลขาฯ พิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ในด้านการพัฒนาฐานข้อมูลลูกค้า ทั้งนี้ เพื่อนําไปสู่การแก้ไขและปรับปรุงศักยภาพ การดําเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันจะนําไปสู่การเป็นองค์กรมหาชน ๔.๐
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” จัดประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ พิจารณาตัวชี้วัด ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรมหาชน ๔.๐ วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561 “ยุติธรรม” จัดประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ พิจารณาตัวชี้วัด ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรมหาชน ๔.๐ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ ในวันจันทร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ เพื่อพิจารณาตัวชี้วัดของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ในหัวข้อการพัฒนานวัตกรรมของสถาบันอนุญาโตตุลาการ และศักยภาพในการดําเนินการขององค์กรมหาชน ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ (ก.พ.ร.) กําหนดให้ นําตัวชี้วัดสถาบันอนุญาโตตุลาการผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบในหัวข้อกิจกรรมดังกล่าว และมอบหมายให้ฝ่ายเลขาฯ พิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ในด้านการพัฒนาฐานข้อมูลลูกค้า ทั้งนี้ เพื่อนําไปสู่การแก้ไขและปรับปรุงศักยภาพ การดําเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันจะนําไปสู่การเป็นองค์กรมหาชน ๔.๐
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12412
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนศาสนิกชนชาวไทยร่วมกิจกรรม สวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562 รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนศาสนิกชนชาวไทยร่วมกิจกรรม สวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนศาสนิกชนชาวไทยร่วมกิจกรรม สวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ - ๑ มกราคม ๒๕๖๓ ณ วัดใกล้บ้านหรือสถานที่จัดกิจกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนศาสนิกชนชาวไทยร่วมกิจกรรม สวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562 รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนศาสนิกชนชาวไทยร่วมกิจกรรม สวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนศาสนิกชนชาวไทยร่วมกิจกรรม สวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ - ๑ มกราคม ๒๕๖๓ ณ วัดใกล้บ้านหรือสถานที่จัดกิจกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25341
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​การประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินภาคราชการกระทรวงอุตสาหกรรม (คตป.อก.) ครั้งที่ 114-5/2561
วันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561 ​การประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินภาคราชการกระทรวงอุตสาหกรรม (คตป.อก.) ครั้งที่ 114-5/2561 หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินภาคราชการกระทรวงอุตสาหกรรม (คตป.อก.) ครั้งที่ 114-5/2561 วันนี้ (2 พฤษภาคม 2561) เวลา 09.30 น. นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจํากระทรวงอุตสาหกรรม ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการฯ โดยมี นายโกศล ใจรังษี ประธานกรรมการ อดีตรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายอนุสรณ์ เนื่องผลมาก กรรมการ อดีตรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเสน่ห์ นิยมไทย กรรมการ อดีตอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายพงศ์เทพ จารุอําพรพรรณ กรรมการ อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุม การประชุมในครั้งนี้ ได้สรุปข้อมูลโครงการที่ดําเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 13 โครงการย่อย สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม 9 โครงการย่อย และสํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย 3 โครงการย่อย และมีการรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560 ครั้งที่ 2 รวมถึงได้พิจารณาแผนการตรวจสอบและประเมินผลโครงการที่ดําเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ.2560 ด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​การประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินภาคราชการกระทรวงอุตสาหกรรม (คตป.อก.) ครั้งที่ 114-5/2561 วันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561 ​การประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินภาคราชการกระทรวงอุตสาหกรรม (คตป.อก.) ครั้งที่ 114-5/2561 หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินภาคราชการกระทรวงอุตสาหกรรม (คตป.อก.) ครั้งที่ 114-5/2561 วันนี้ (2 พฤษภาคม 2561) เวลา 09.30 น. นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจํากระทรวงอุตสาหกรรม ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการฯ โดยมี นายโกศล ใจรังษี ประธานกรรมการ อดีตรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายอนุสรณ์ เนื่องผลมาก กรรมการ อดีตรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเสน่ห์ นิยมไทย กรรมการ อดีตอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายพงศ์เทพ จารุอําพรพรรณ กรรมการ อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุม การประชุมในครั้งนี้ ได้สรุปข้อมูลโครงการที่ดําเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 13 โครงการย่อย สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม 9 โครงการย่อย และสํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย 3 โครงการย่อย และมีการรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560 ครั้งที่ 2 รวมถึงได้พิจารณาแผนการตรวจสอบและประเมินผลโครงการที่ดําเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ.2560 ด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11911
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมกับชาวลำพูน ประกาศ “ลำพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No foam)”
วันพุธที่ 3 ตุลาคม 2561 นายกรัฐมนตรีร่วมกับชาวลําพูน ประกาศ “ลําพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No foam)” นายกรัฐมนตรีร่วมกับชาวลําพูนประกาศ “ลําพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No foam)” ขอชาวลําพูนช่วยกันรักษาวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ พร้อมขอทุกฝ่ายร่วมสร้างสรรค์การท่องเที่ยวเมืองรองอันมีเสน่ห์ ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวัฒนธรรม ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ครบทุกมิติ วันนี้ (3 ตุลาคม 2561) เวลา 14.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ได้เดินทางไปชุมชนท่องเที่ยวบ้านหนองเงือก อําเภอ ป่าซาง จังหวัดลําพูน ตามโครงการ “ไทยเที่ยวไทย...ไทยยั่งยืน” เพื่อเยี่ยมชมชุมชนท่องเที่ยวบ้านหนองเงือก และร่วมประกาศ “ลําพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No foam)” ร่วมกับชาวลําพูน โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลําพูน ข้าราชการ และประชาชนชาวลําพูนให้การต้อนรับ ผู้ว่าราชการจังหวัดลําพูน กล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีที่เดินทางมาจังหวัดลําพูน ตามโครงการ “ไทยเที่ยวไทย...ไทยยั่งยืน” และร่วมกับชาวลําพูนประกาศเจตนารมณ์ “ลําพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม No Foam” โดยในปี 2560 จังหวัดลําพูนได้ประกาศเป็นจังหวัดปลอดขยะเปียก ชึ่งในปีที่ผ่านมา จังหวัดลําพูนได้รับรางวัลจังหวัดสะอาดที่สุดในประเทศไทยจากนายกรัฐมนตรี และจะรักษามาตรฐานไว้และทําดียิ่งขึ้น ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีนโยบายให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการขยะใช้หลัก 3Rs ใช้น้อย ใช้ซ้ํา นํากลับมาใช้ใหม่ ดังนั้น ในปีนี้จังหวัดลําพูนจึงได้ทําบันทึกข้อตกลงทุกภาคส่วน ท้องถิ่น ท้องที่ บ้าน วัด โรงเรียน และแนวทางประชารัฐ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ด้วยมีความตั้งใจให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันขจัดขยะที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและย่อยสลายยากที่สุดคือ โฟม สําหรับชุมชนท่องเที่ยวบ้านหนองเงือก อําเภอป่าซาง จังหวัดลําพูน หนึ่งในชุมชนไทยอง โดดเด่นในเรื่องของการท่องเที่ยวและวิถีชุมชนท้องถิ่น ได้รับเลือกให้เป็นชุมชนท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ในโครงการ Creative Tourism ปี 2560 ผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายทอมือบ้านหนองเงือกมีเอกลักษณ์ในการนําลวดลายดั้งเดิมมาประยุกต์ให้ทันสมัยสวยงาม การสาธิตการผลิตผ้าฝ้ายทอมือหนองเงือก 12 ขั้นตอน การผลิตรองเท้าทําจากยางรถยนต์ กระเป๋าตุ๊กตานกฮูกที่ทําจากเศษผ้าเหลือใช้ และอิฐมวลเบาจากโฟม ซึ่งเป็นสินค้าที่สร้างรายได้แก่ชุมชนเป็นอย่างมาก โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานในพิธีประกาศ “ลําพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No foam) และการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน จังหวัดสะอาด” บริเวณเวทีหน้าวัดหนองเงือก พร้อมกล่าวกับประชาชนว่า รู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่ได้มาเยี่ยมเยือนจังหวัดลําพูน ได้มาเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรม ทําให้เห็นว่าลําพูนเป็นเมืองเก่าที่มีเรื่องราวทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ โดยขอให้ทุกคนช่วยกันรักษาไว้ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดลําพูนถือเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดให้ดีขึ้น จึงขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันสร้างสรรค์การท่องเที่ยวเมืองรองอันมีเสน่ห์ที่งดงาม มานําเสนอให้นักท่องเที่ยวทุกคนได้สัมผัสกับวัฒนธรรม ธรรมชาติ และประวัติศาสตร์ได้อย่างครบทุกมิติเส้นทางวัฒนธรรมจังหวัดลําพูน ตามโครงการไทยเที่ยวไทย...ไทยยั่งยืน เพราะการมีกิจกรรมตลอดเส้นทาง ทําให้การท่องเที่ยวจังหวัดลําพูนมีความน่าตื่นเต้นมากขึ้น ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว ช่วยกระจายรายได้ และเพิ่มโอกาสการจ้างงานได้เป็นอย่างดี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จังหวัดลําพูนยังเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพมากมาย จุดเด่นคือเป็นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ตั้งอยู่บนโครงข่ายคมนาคม เป็นแหล่งหัตถกรรมและวัฒนธรรม มีศักยภาพทางการเกษตร มีการพัฒนาต่อยอดสินค้า เช่น ลําไย ให้มีความหลากหลายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม รวมทั้งส่งเสริมนวัตกรรมการเกษตร ทั้งเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ เป็นต้น และจังหวัดลําพูนยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ สําหรับด้านการท่องเที่ยวนั้น ปัจจุบันมีเมืองท่องเที่ยวหลักประมาณ 22 จังหวัด รัฐบาลจึงได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวอีก 55 จังหวัด หรือการท่องเที่ยวเมืองรอง เมื่อรวมกันแล้วคือการท่องเที่ยว 77 จังหวัดทั่วประเทศที่รัฐบาลให้ส่งเสริม นอกจากนี้ จังหวัดลําพูนยังมีเสน่ห์ในด้านความสะอาด ได้รับรางวัลจังหวัดสะอาดแห่งประเทศไทยมาหลายปี ซึ่งปัจจัยสําคัญของความสําเร็จ คือการเริ่มต้นจากการสร้างจิตสํานึกจากตัวเราก่อน ตั้งแต่ในบ้าน สถานศึกษา ที่ทํางาน สถานที่สาธารณะ รวมถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทําให้วันนี้จังหวัดลําพูนมีความพร้อมในการขับเคลื่อนโครงการ “ลําพูน เมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No Foam)” นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงภารกิจสําคัญของรัฐบาลว่า รัฐบาลนี้ให้ความสําคัญในการสร้างโอกาส คือการสร้างความเท่าเทียมให้คนทุกอาชีพ มีรายได้ มีความสุข เพราะรัฐบาลทําเพื่อคนไทยทุกคนทั้งประเทศ ทั้งการพัฒนาถนนหนทาง เส้นทางคมนาคม เพื่อให้มีความยั่งยืน ทุกอย่างมีต้นทาง กลางทาง ปลายทาง มีเป้าหมาย ทิศทางการพัฒนา คือ "ความมั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน" ชึ่งประกอบด้วย แผนยุทธศาสตร์ชาติที่กําหนดไว้ 20 ปี มีแผนแม่บทชัดเจนที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ทุกคนทุกฝ่ายจึงต้องร่วมกันคิดเพื่ออนาคต เพราะการปฏิรูปก็ต้องใช้เวลานาน ขณะเดียวกันรัฐบาลก็เร่งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น หนี้นอกระบบ ที่ดินขายฝาก ปัญหาการทุจริต ไม่โปร่งใส รวมทั้งเน้นการสื่อสารเพื่อให้ประชาชนรับรู้ เพราะประเทศไทยมีทั้งวิกฤตและโอกาส รัฐบาลจึงต้องมียุทธศาสตร์ประชารัฐที่ประกอบด้วยทุกภาคส่วน คือ รัฐ เอกชน ธุรกิจ นักวิชาการและประชาชน ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ร่วมปล่อยขบวนรถจักรยานสามล้อรณรงค์กิจกรรม ลําพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No form) พร้อมปล่อยคารวาน แต่งกายด้วยวัสดุรีไซเคิลของแต่ละชุมชน ภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ นายกรัฐมนตรีและคณะ โดยสายการบินไทยสไมล์ TG2165 เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมกับชาวลำพูน ประกาศ “ลำพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No foam)” วันพุธที่ 3 ตุลาคม 2561 นายกรัฐมนตรีร่วมกับชาวลําพูน ประกาศ “ลําพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No foam)” นายกรัฐมนตรีร่วมกับชาวลําพูนประกาศ “ลําพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No foam)” ขอชาวลําพูนช่วยกันรักษาวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ พร้อมขอทุกฝ่ายร่วมสร้างสรรค์การท่องเที่ยวเมืองรองอันมีเสน่ห์ ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวัฒนธรรม ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ครบทุกมิติ วันนี้ (3 ตุลาคม 2561) เวลา 14.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ได้เดินทางไปชุมชนท่องเที่ยวบ้านหนองเงือก อําเภอ ป่าซาง จังหวัดลําพูน ตามโครงการ “ไทยเที่ยวไทย...ไทยยั่งยืน” เพื่อเยี่ยมชมชุมชนท่องเที่ยวบ้านหนองเงือก และร่วมประกาศ “ลําพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No foam)” ร่วมกับชาวลําพูน โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลําพูน ข้าราชการ และประชาชนชาวลําพูนให้การต้อนรับ ผู้ว่าราชการจังหวัดลําพูน กล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีที่เดินทางมาจังหวัดลําพูน ตามโครงการ “ไทยเที่ยวไทย...ไทยยั่งยืน” และร่วมกับชาวลําพูนประกาศเจตนารมณ์ “ลําพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม No Foam” โดยในปี 2560 จังหวัดลําพูนได้ประกาศเป็นจังหวัดปลอดขยะเปียก ชึ่งในปีที่ผ่านมา จังหวัดลําพูนได้รับรางวัลจังหวัดสะอาดที่สุดในประเทศไทยจากนายกรัฐมนตรี และจะรักษามาตรฐานไว้และทําดียิ่งขึ้น ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีนโยบายให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการขยะใช้หลัก 3Rs ใช้น้อย ใช้ซ้ํา นํากลับมาใช้ใหม่ ดังนั้น ในปีนี้จังหวัดลําพูนจึงได้ทําบันทึกข้อตกลงทุกภาคส่วน ท้องถิ่น ท้องที่ บ้าน วัด โรงเรียน และแนวทางประชารัฐ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ด้วยมีความตั้งใจให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันขจัดขยะที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและย่อยสลายยากที่สุดคือ โฟม สําหรับชุมชนท่องเที่ยวบ้านหนองเงือก อําเภอป่าซาง จังหวัดลําพูน หนึ่งในชุมชนไทยอง โดดเด่นในเรื่องของการท่องเที่ยวและวิถีชุมชนท้องถิ่น ได้รับเลือกให้เป็นชุมชนท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ในโครงการ Creative Tourism ปี 2560 ผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายทอมือบ้านหนองเงือกมีเอกลักษณ์ในการนําลวดลายดั้งเดิมมาประยุกต์ให้ทันสมัยสวยงาม การสาธิตการผลิตผ้าฝ้ายทอมือหนองเงือก 12 ขั้นตอน การผลิตรองเท้าทําจากยางรถยนต์ กระเป๋าตุ๊กตานกฮูกที่ทําจากเศษผ้าเหลือใช้ และอิฐมวลเบาจากโฟม ซึ่งเป็นสินค้าที่สร้างรายได้แก่ชุมชนเป็นอย่างมาก โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานในพิธีประกาศ “ลําพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No foam) และการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน จังหวัดสะอาด” บริเวณเวทีหน้าวัดหนองเงือก พร้อมกล่าวกับประชาชนว่า รู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่ได้มาเยี่ยมเยือนจังหวัดลําพูน ได้มาเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรม ทําให้เห็นว่าลําพูนเป็นเมืองเก่าที่มีเรื่องราวทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ โดยขอให้ทุกคนช่วยกันรักษาไว้ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดลําพูนถือเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดให้ดีขึ้น จึงขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันสร้างสรรค์การท่องเที่ยวเมืองรองอันมีเสน่ห์ที่งดงาม มานําเสนอให้นักท่องเที่ยวทุกคนได้สัมผัสกับวัฒนธรรม ธรรมชาติ และประวัติศาสตร์ได้อย่างครบทุกมิติเส้นทางวัฒนธรรมจังหวัดลําพูน ตามโครงการไทยเที่ยวไทย...ไทยยั่งยืน เพราะการมีกิจกรรมตลอดเส้นทาง ทําให้การท่องเที่ยวจังหวัดลําพูนมีความน่าตื่นเต้นมากขึ้น ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว ช่วยกระจายรายได้ และเพิ่มโอกาสการจ้างงานได้เป็นอย่างดี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จังหวัดลําพูนยังเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพมากมาย จุดเด่นคือเป็นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ตั้งอยู่บนโครงข่ายคมนาคม เป็นแหล่งหัตถกรรมและวัฒนธรรม มีศักยภาพทางการเกษตร มีการพัฒนาต่อยอดสินค้า เช่น ลําไย ให้มีความหลากหลายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม รวมทั้งส่งเสริมนวัตกรรมการเกษตร ทั้งเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ เป็นต้น และจังหวัดลําพูนยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ สําหรับด้านการท่องเที่ยวนั้น ปัจจุบันมีเมืองท่องเที่ยวหลักประมาณ 22 จังหวัด รัฐบาลจึงได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวอีก 55 จังหวัด หรือการท่องเที่ยวเมืองรอง เมื่อรวมกันแล้วคือการท่องเที่ยว 77 จังหวัดทั่วประเทศที่รัฐบาลให้ส่งเสริม นอกจากนี้ จังหวัดลําพูนยังมีเสน่ห์ในด้านความสะอาด ได้รับรางวัลจังหวัดสะอาดแห่งประเทศไทยมาหลายปี ซึ่งปัจจัยสําคัญของความสําเร็จ คือการเริ่มต้นจากการสร้างจิตสํานึกจากตัวเราก่อน ตั้งแต่ในบ้าน สถานศึกษา ที่ทํางาน สถานที่สาธารณะ รวมถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทําให้วันนี้จังหวัดลําพูนมีความพร้อมในการขับเคลื่อนโครงการ “ลําพูน เมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No Foam)” นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงภารกิจสําคัญของรัฐบาลว่า รัฐบาลนี้ให้ความสําคัญในการสร้างโอกาส คือการสร้างความเท่าเทียมให้คนทุกอาชีพ มีรายได้ มีความสุข เพราะรัฐบาลทําเพื่อคนไทยทุกคนทั้งประเทศ ทั้งการพัฒนาถนนหนทาง เส้นทางคมนาคม เพื่อให้มีความยั่งยืน ทุกอย่างมีต้นทาง กลางทาง ปลายทาง มีเป้าหมาย ทิศทางการพัฒนา คือ "ความมั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน" ชึ่งประกอบด้วย แผนยุทธศาสตร์ชาติที่กําหนดไว้ 20 ปี มีแผนแม่บทชัดเจนที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ทุกคนทุกฝ่ายจึงต้องร่วมกันคิดเพื่ออนาคต เพราะการปฏิรูปก็ต้องใช้เวลานาน ขณะเดียวกันรัฐบาลก็เร่งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น หนี้นอกระบบ ที่ดินขายฝาก ปัญหาการทุจริต ไม่โปร่งใส รวมทั้งเน้นการสื่อสารเพื่อให้ประชาชนรับรู้ เพราะประเทศไทยมีทั้งวิกฤตและโอกาส รัฐบาลจึงต้องมียุทธศาสตร์ประชารัฐที่ประกอบด้วยทุกภาคส่วน คือ รัฐ เอกชน ธุรกิจ นักวิชาการและประชาชน ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ร่วมปล่อยขบวนรถจักรยานสามล้อรณรงค์กิจกรรม ลําพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม (No form) พร้อมปล่อยคารวาน แต่งกายด้วยวัสดุรีไซเคิลของแต่ละชุมชน ภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ นายกรัฐมนตรีและคณะ โดยสายการบินไทยสไมล์ TG2165 เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15836
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สนธิรัตน์”สั่งพาณิชย์จังหวัด เดินหน้าร้านค้าธงฟ้าประชารัฐแบบใช้แอปฯถุงเงินประชารัฐ
วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561 “สนธิรัตน์”สั่งพาณิชย์จังหวัด เดินหน้าร้านค้าธงฟ้าประชารัฐแบบใช้แอปฯถุงเงินประชารัฐ สนธิรัตน์สั่งพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศประสานเทศบาล ตําบล อําเภอ เจ้าของตลาด ชุมชน เดินหน้ารับสมัครร้านค้ารายย่อย โชวห่วย ร้านค้าในตลาดสด แผงลอย รถเร่ เข้าร่วมโครงการแอปฯถุงเงินประชารัฐ แบบใช้มือถือรับชําระค่าสินค้าจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ได้ 1 แสนแห่งภายในสิ้นธันวาคมนี้ เพื่อรองรับการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะเพิ่มอีก 3.08 ล้านรายและจะสามารถเริ่มใช้บัตรซื้อสินค้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2562 เป็นต้น ซึ่งหากรวมกับผู้ถือบัตรเดิม 11.4 ล้านราย จะมีผู้ถือบัตรทั้งสิ้นประมาณ 14.5 ล้านราย นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดที่ประจําอยู่ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศเดินหน้ารับสมัครร้านค้าเข้าร่วมโครงการแอปฯถุงเงินประชารัฐแบบใช้แอปพลิเคชันมือถือรับชําระค่าสินค้าจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามนโยบายที่ได้รับจากนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องการผลักดันให้มีจํานวน 1 แสนรายจากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 3.2 หมื่นราย “ผมได้ขอให้พาณิชย์จังหวัดที่อยู่ในจังหวัดต่างๆ เดินสายไปคุยกับเทศบาล ตําบล อําเภอ รวมถึงเจ้าของตลาด และชุมชนต่างๆ เพื่อชี้แจงข้อดีของการเข้าร่วมเป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ แล้วชักจูงให้ร้านค้าที่อยู่ในพื้นที่มาเข้าร่วม ซึ่งจะเปิดรับหมด ไม่ว่าจะเป็นร้านค้ารายเล็กรายน้อย ร้านโชวห่วย ร้านค้าในตลาดสด แผงลอย รถเร่ เพื่อผลักดันให้มีจํานวนร้านค้าเพิ่มขึ้น รองรับการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งที่จะเข้ามาใหม่และรายเดิม” ทั้งนี้ ประโยชน์ของการเข้าร่วมเป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐแบบใช้แอปฯถุงเงินประชารัฐรับชําระค่าสินค้า ในส่วนของร้านค้า จะมีโอกาสในการขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น จากการมาจับจ่ายใช้สอยของผู้ถือบัตรที่มีจํานวนมากถึง 14.5 ล้านคน และในแต่ละเดือนผู้ถือบัตรเหล่านี้ จะมีวงเงินที่รัฐบาลใส่เข้าไปในบัตรกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อจํานวนผู้ถือบัตรเพิ่มขึ้น วงเงินก็จะสูงขึ้น และจะกระจายไปยังร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนตัวผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้ประโยชน์ในแง่ของการมีทางเลือกในการซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น เพราะจากเดิมต้องซื้อสินค้าในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ที่มีเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) แต่ขณะนี้มีร้านค้าแบบใช้แอปฯถุงเงินประชารัฐเข้ามาเป็นทางเลือก และสินค้าที่จะซื้อก็มีความหลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหมู ไก่ ผัก ผลไม้ หรือใช้จ่ายในการซื้ออาหารปรุงสําเร็จ ข้าวแกง ได้ด้วย สําหรับขั้นตอนการสมัครเข้าร่วมโครงการสมัครได้ 2 ช่องทาง ช่องทางที่หนี่งในกรุงเทพฯ สมัครได้ที่ศูนย์บริการประชาชนกระทรวงพาณิชย์ ชั้น 3 (อาคารริมน้ํา) ส่วนภูมิภาค สมัครได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ช่องทางที่สองสมัครทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ โดยให้ดาวโหลดใบสมัครที่ www.moc.go.th เมื่อกรอกใบสมัครแล้ว หากสถานประกอบการอยู่ในกรุงเทพฯ ส่งที่กองบริหารพาณิชย์ภูมิภาค สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เลขที่ 563 ถ.นนทบุรี ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 และในต่างจังหวัดส่งที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัดที่สถานประกอบการตั้งอยู่ สําหรับเอกสารที่ต้องใช้ กรณีเป็นนิติบุคคล ต้องมีสําเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล สําเนาสมุดเงินฝาก ออมทรัพย์หรือกระแสรายวันธนาคารกรุงไทย (ถ้ามี) โดยปรับให้เป็นปัจจุบัน บุคคลธรรมดา ต้องมีหลักฐานที่ทางราชการออกให้หรือหนังสือรับรองจากเจ้าของตลาดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย สําเนาสมุดเงินฝากออมทรัพย์หรือกระแสรายวันธนาคารกรุงไทย (ถ้ามี) โดยปรับให้เป็นปัจจุบัน และรถยนต์เคลื่อนที่ ที่เร่ขายสินค้า ต้องมีสําเนาทะเบียนรถ หนังสือรับรองจากเจ้าของตลาดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย สําเนาสมุดเงินฝากออมทรัพย์หรือกระแสรายวันธนาคารกรุงไทย (ถ้ามี) โดยปรับให้เป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ ผู้สมัครทุกประเภทต้องแสดงบัตรประจําตัวประชาชนต่อเจ้าหน้าที่และต้องแนบรูปถ่ายสถานที่ตั้งร้าน แผง ล็อค พร้อมแผนที่ประกอบ กรณีมอบฉันทะ ต้องแสดงบัตรประจําตัวประชาชนทั้งผู้มอบฉันทะและผู้รับมอบฉันทะด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สนธิรัตน์”สั่งพาณิชย์จังหวัด เดินหน้าร้านค้าธงฟ้าประชารัฐแบบใช้แอปฯถุงเงินประชารัฐ วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561 “สนธิรัตน์”สั่งพาณิชย์จังหวัด เดินหน้าร้านค้าธงฟ้าประชารัฐแบบใช้แอปฯถุงเงินประชารัฐ สนธิรัตน์สั่งพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศประสานเทศบาล ตําบล อําเภอ เจ้าของตลาด ชุมชน เดินหน้ารับสมัครร้านค้ารายย่อย โชวห่วย ร้านค้าในตลาดสด แผงลอย รถเร่ เข้าร่วมโครงการแอปฯถุงเงินประชารัฐ แบบใช้มือถือรับชําระค่าสินค้าจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ได้ 1 แสนแห่งภายในสิ้นธันวาคมนี้ เพื่อรองรับการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะเพิ่มอีก 3.08 ล้านรายและจะสามารถเริ่มใช้บัตรซื้อสินค้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2562 เป็นต้น ซึ่งหากรวมกับผู้ถือบัตรเดิม 11.4 ล้านราย จะมีผู้ถือบัตรทั้งสิ้นประมาณ 14.5 ล้านราย นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดที่ประจําอยู่ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศเดินหน้ารับสมัครร้านค้าเข้าร่วมโครงการแอปฯถุงเงินประชารัฐแบบใช้แอปพลิเคชันมือถือรับชําระค่าสินค้าจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามนโยบายที่ได้รับจากนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องการผลักดันให้มีจํานวน 1 แสนรายจากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 3.2 หมื่นราย “ผมได้ขอให้พาณิชย์จังหวัดที่อยู่ในจังหวัดต่างๆ เดินสายไปคุยกับเทศบาล ตําบล อําเภอ รวมถึงเจ้าของตลาด และชุมชนต่างๆ เพื่อชี้แจงข้อดีของการเข้าร่วมเป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ แล้วชักจูงให้ร้านค้าที่อยู่ในพื้นที่มาเข้าร่วม ซึ่งจะเปิดรับหมด ไม่ว่าจะเป็นร้านค้ารายเล็กรายน้อย ร้านโชวห่วย ร้านค้าในตลาดสด แผงลอย รถเร่ เพื่อผลักดันให้มีจํานวนร้านค้าเพิ่มขึ้น รองรับการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งที่จะเข้ามาใหม่และรายเดิม” ทั้งนี้ ประโยชน์ของการเข้าร่วมเป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐแบบใช้แอปฯถุงเงินประชารัฐรับชําระค่าสินค้า ในส่วนของร้านค้า จะมีโอกาสในการขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น จากการมาจับจ่ายใช้สอยของผู้ถือบัตรที่มีจํานวนมากถึง 14.5 ล้านคน และในแต่ละเดือนผู้ถือบัตรเหล่านี้ จะมีวงเงินที่รัฐบาลใส่เข้าไปในบัตรกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อจํานวนผู้ถือบัตรเพิ่มขึ้น วงเงินก็จะสูงขึ้น และจะกระจายไปยังร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนตัวผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้ประโยชน์ในแง่ของการมีทางเลือกในการซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น เพราะจากเดิมต้องซื้อสินค้าในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ที่มีเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) แต่ขณะนี้มีร้านค้าแบบใช้แอปฯถุงเงินประชารัฐเข้ามาเป็นทางเลือก และสินค้าที่จะซื้อก็มีความหลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหมู ไก่ ผัก ผลไม้ หรือใช้จ่ายในการซื้ออาหารปรุงสําเร็จ ข้าวแกง ได้ด้วย สําหรับขั้นตอนการสมัครเข้าร่วมโครงการสมัครได้ 2 ช่องทาง ช่องทางที่หนี่งในกรุงเทพฯ สมัครได้ที่ศูนย์บริการประชาชนกระทรวงพาณิชย์ ชั้น 3 (อาคารริมน้ํา) ส่วนภูมิภาค สมัครได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ช่องทางที่สองสมัครทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ โดยให้ดาวโหลดใบสมัครที่ www.moc.go.th เมื่อกรอกใบสมัครแล้ว หากสถานประกอบการอยู่ในกรุงเทพฯ ส่งที่กองบริหารพาณิชย์ภูมิภาค สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เลขที่ 563 ถ.นนทบุรี ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 และในต่างจังหวัดส่งที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัดที่สถานประกอบการตั้งอยู่ สําหรับเอกสารที่ต้องใช้ กรณีเป็นนิติบุคคล ต้องมีสําเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล สําเนาสมุดเงินฝาก ออมทรัพย์หรือกระแสรายวันธนาคารกรุงไทย (ถ้ามี) โดยปรับให้เป็นปัจจุบัน บุคคลธรรมดา ต้องมีหลักฐานที่ทางราชการออกให้หรือหนังสือรับรองจากเจ้าของตลาดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย สําเนาสมุดเงินฝากออมทรัพย์หรือกระแสรายวันธนาคารกรุงไทย (ถ้ามี) โดยปรับให้เป็นปัจจุบัน และรถยนต์เคลื่อนที่ ที่เร่ขายสินค้า ต้องมีสําเนาทะเบียนรถ หนังสือรับรองจากเจ้าของตลาดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย สําเนาสมุดเงินฝากออมทรัพย์หรือกระแสรายวันธนาคารกรุงไทย (ถ้ามี) โดยปรับให้เป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ ผู้สมัครทุกประเภทต้องแสดงบัตรประจําตัวประชาชนต่อเจ้าหน้าที่และต้องแนบรูปถ่ายสถานที่ตั้งร้าน แผง ล็อค พร้อมแผนที่ประกอบ กรณีมอบฉันทะ ต้องแสดงบัตรประจําตัวประชาชนทั้งผู้มอบฉันทะและผู้รับมอบฉันทะด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17546
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสรุปการเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายฯ ย้ำความจำเป็นในการโอนงบประมาณ ยืนยันต้องทำให้ประเทศไทยก้าวพ้นวิกฤต
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563 นายกรัฐมนตรีสรุปการเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายฯ ย้ําความจําเป็นในการโอนงบประมาณ ยืนยันต้องทําให้ประเทศไทยก้าวพ้นวิกฤต นายกรัฐมนตรีสรุปการเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายฯ ย้ําความจําเป็นในการโอนงบประมาณ ยืนยันต้องทําให้ประเทศไทยก้าวพ้นวิกฤต วันนี้ (4 มิถุนายน 2563) เวลา 18.46 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวสรุปการเสนอร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอให้ ส.ส. ได้ไปทําความเข้าใจกับกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวกับเรื่อง พ.ร.บ.งบประมาณฯ โดยให้ไปทบทวน พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังภาครัฐ พ.ศ. 2561 ที่ได้มีการระบุอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ที่เป็นการพิจารณาตามห้วงระยะเวลา เมื่อเข้าสู่สถานการณ์ปกติก็จะปรับให้เป็นปกติ ไม่ได้เป็นการหาเงินมาเพื่อไปทําประโยชน์อย่างอื่น สําหรับเรื่องหนี้สาธารณะที่มี ส.ส. หลายคนเป็นห่วงกังวลนั้น ขอชี้แจงว่าขณะนี้หนี้สาธารณะอยู่ในเกณฑ์ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าต่ําพอสมควร เมื่อมีการกู้เงิน หนี้สาธารณะก็ต้องเพิ่มขึ้น โดยคณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะจะดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย นายกรัฐมนตรีย้ําถึงงบประมาณงบกลาง ปี 2563 ว่ามีเหลืออยู่จํากัด ได้มีการใช้งบประมาณมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา ก่อนที่มีสถานการณ์โควิด รัฐบาลก็ต้องทํางาน ทุกกระทรวง กรม ได้เบิกจ่ายตามแผนงานโครงการที่ดําเนินการได้ มีการทําสัญญาแล้ว หรือได้รับการอนุมัติแล้ว รวมทั้งใช้งบในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งเรื่องน้ํา ภัยแล้ง การแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ที่ได้มีการอนุมัติงบประมาณไปมากพอสมควร ถ้าวันนี้ไม่เงินเพิ่มก็จะเหลือเงินงบกลางอยู่เพียง 100 กว่าล้านบาท ซึ่งต้องทําความเข้าใจว่าส่วนราชการมีการบริหารงบประมาณทํางานกันมาโดยตลอดก่อนที่จะมีสถานการณ์โควิด ทั้งมีขั้นตอน กระบวนการที่เป็นไปตามกฎหมายทุกประการและสามารถตรวจสอบได้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ําถึงความจําเป็นที่ต้องมีการโอนงบประมาณมาที่งบกลาง เพราะการโอนงบข้ามกระทรวงไม่สามารถทําได้ ขอให้ดูกฎหมายด้วย สมัยก่อนอาจจะทําได้ แต่วันนี้ทําไม่ได้แล้ว โดยต้องเป็นโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากระดับจังหวัดขึ้นมา และต้องมีแผนงาน มีรายละเอียดที่ชัดเจน ถ้าจะนํางบประมาณจากการแปรญัตติ หรืองบประมาณที่โอนมา แล้วไปทําโครงการใหม่เลย นั้นไม่ได้ จึงขอให้ทําความเข้าใจตรงนี้ด้วย ทั้งนี้ นายกฯ ยินดีรับความคิดเห็นจากทุกคน เพราะสิ่งที่สําคัญที่สุดคือการทําให้ประเทศไทยก้าวพ้นวิกฤต ทั้งด้านโควิดและด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีการขอให้ยกเลิก พ.ร.ก. สถานการณ์ฉุกเฉินฯ ว่า ขอให้มองเป็นสองมุม คือ ถ้าไม่มีการดําเนินการต่าง ๆ ขึ้นมา จะสามารถทําอะไรได้ถึงวันนี้หรือไม่ ทั้งนี้ ไม่ใช่เพื่ออํานาจของนายกฯ ไม่ใช่เพื่อไปห้ามใคร ซึ่งจากการผ่อนปรนระยะที่ 3 เห็นอันตรายจากกรณีหาดบางแสนหรือไม่ ดังนั้น การจะผ่านพ้นช่วงนี้ไปให้ได้ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกัน ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ช่วยกันเตือนประชาชน ต้องใช้เงินให้ถูกต้องให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่เรื่องสิทธิประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้างาน ก็เป็นไปตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง โดยเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่เสี่ยง เช่น ที่สนามบิน มีความเสี่ยงทุกวัน ก็จะได้รับการพิจารณาพิเศษ ส่วนอื่น ๆ จะเป็นการพิจารณาตามปกติ ขออย่านําทุกเรื่องมารวมกันเพราะจะทําให้เกิดความเข้าใจผิด ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันถึงการมีจิตใจที่มั่นคง ทําเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง พร้อมขอบคุณประธานสภาฯ และสมาชิกผู้ทรงเกียรติ ที่ได้เสนอสาระที่เป็นประโยชน์ ขอให้ร่วมกันมองอนาคตว่าจะเดินหน้าประเทศไปอย่างไร จะดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรอย่างไร ซึ่งรัฐบาลมีแนวคิดมีนโยบายแล้ว ทั้งเรื่องราคาสินค้าเกษตร การปลูกพืชเกษตร การลดดีมานด์ ซัพพลาย การเปลี่ยนแปลงอาชีพ ล้วนมีความจําเป็นในโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลยืนยันจะดูแลทุกคนให้ดีที่สุด -------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสรุปการเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายฯ ย้ำความจำเป็นในการโอนงบประมาณ ยืนยันต้องทำให้ประเทศไทยก้าวพ้นวิกฤต วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563 นายกรัฐมนตรีสรุปการเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายฯ ย้ําความจําเป็นในการโอนงบประมาณ ยืนยันต้องทําให้ประเทศไทยก้าวพ้นวิกฤต นายกรัฐมนตรีสรุปการเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายฯ ย้ําความจําเป็นในการโอนงบประมาณ ยืนยันต้องทําให้ประเทศไทยก้าวพ้นวิกฤต วันนี้ (4 มิถุนายน 2563) เวลา 18.46 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวสรุปการเสนอร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอให้ ส.ส. ได้ไปทําความเข้าใจกับกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวกับเรื่อง พ.ร.บ.งบประมาณฯ โดยให้ไปทบทวน พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังภาครัฐ พ.ศ. 2561 ที่ได้มีการระบุอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ที่เป็นการพิจารณาตามห้วงระยะเวลา เมื่อเข้าสู่สถานการณ์ปกติก็จะปรับให้เป็นปกติ ไม่ได้เป็นการหาเงินมาเพื่อไปทําประโยชน์อย่างอื่น สําหรับเรื่องหนี้สาธารณะที่มี ส.ส. หลายคนเป็นห่วงกังวลนั้น ขอชี้แจงว่าขณะนี้หนี้สาธารณะอยู่ในเกณฑ์ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าต่ําพอสมควร เมื่อมีการกู้เงิน หนี้สาธารณะก็ต้องเพิ่มขึ้น โดยคณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะจะดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย นายกรัฐมนตรีย้ําถึงงบประมาณงบกลาง ปี 2563 ว่ามีเหลืออยู่จํากัด ได้มีการใช้งบประมาณมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา ก่อนที่มีสถานการณ์โควิด รัฐบาลก็ต้องทํางาน ทุกกระทรวง กรม ได้เบิกจ่ายตามแผนงานโครงการที่ดําเนินการได้ มีการทําสัญญาแล้ว หรือได้รับการอนุมัติแล้ว รวมทั้งใช้งบในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งเรื่องน้ํา ภัยแล้ง การแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ที่ได้มีการอนุมัติงบประมาณไปมากพอสมควร ถ้าวันนี้ไม่เงินเพิ่มก็จะเหลือเงินงบกลางอยู่เพียง 100 กว่าล้านบาท ซึ่งต้องทําความเข้าใจว่าส่วนราชการมีการบริหารงบประมาณทํางานกันมาโดยตลอดก่อนที่จะมีสถานการณ์โควิด ทั้งมีขั้นตอน กระบวนการที่เป็นไปตามกฎหมายทุกประการและสามารถตรวจสอบได้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ําถึงความจําเป็นที่ต้องมีการโอนงบประมาณมาที่งบกลาง เพราะการโอนงบข้ามกระทรวงไม่สามารถทําได้ ขอให้ดูกฎหมายด้วย สมัยก่อนอาจจะทําได้ แต่วันนี้ทําไม่ได้แล้ว โดยต้องเป็นโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากระดับจังหวัดขึ้นมา และต้องมีแผนงาน มีรายละเอียดที่ชัดเจน ถ้าจะนํางบประมาณจากการแปรญัตติ หรืองบประมาณที่โอนมา แล้วไปทําโครงการใหม่เลย นั้นไม่ได้ จึงขอให้ทําความเข้าใจตรงนี้ด้วย ทั้งนี้ นายกฯ ยินดีรับความคิดเห็นจากทุกคน เพราะสิ่งที่สําคัญที่สุดคือการทําให้ประเทศไทยก้าวพ้นวิกฤต ทั้งด้านโควิดและด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีการขอให้ยกเลิก พ.ร.ก. สถานการณ์ฉุกเฉินฯ ว่า ขอให้มองเป็นสองมุม คือ ถ้าไม่มีการดําเนินการต่าง ๆ ขึ้นมา จะสามารถทําอะไรได้ถึงวันนี้หรือไม่ ทั้งนี้ ไม่ใช่เพื่ออํานาจของนายกฯ ไม่ใช่เพื่อไปห้ามใคร ซึ่งจากการผ่อนปรนระยะที่ 3 เห็นอันตรายจากกรณีหาดบางแสนหรือไม่ ดังนั้น การจะผ่านพ้นช่วงนี้ไปให้ได้ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกัน ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ช่วยกันเตือนประชาชน ต้องใช้เงินให้ถูกต้องให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่เรื่องสิทธิประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้างาน ก็เป็นไปตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง โดยเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่เสี่ยง เช่น ที่สนามบิน มีความเสี่ยงทุกวัน ก็จะได้รับการพิจารณาพิเศษ ส่วนอื่น ๆ จะเป็นการพิจารณาตามปกติ ขออย่านําทุกเรื่องมารวมกันเพราะจะทําให้เกิดความเข้าใจผิด ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันถึงการมีจิตใจที่มั่นคง ทําเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง พร้อมขอบคุณประธานสภาฯ และสมาชิกผู้ทรงเกียรติ ที่ได้เสนอสาระที่เป็นประโยชน์ ขอให้ร่วมกันมองอนาคตว่าจะเดินหน้าประเทศไปอย่างไร จะดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรอย่างไร ซึ่งรัฐบาลมีแนวคิดมีนโยบายแล้ว ทั้งเรื่องราคาสินค้าเกษตร การปลูกพืชเกษตร การลดดีมานด์ ซัพพลาย การเปลี่ยนแปลงอาชีพ ล้วนมีความจําเป็นในโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลยืนยันจะดูแลทุกคนให้ดีที่สุด -------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31946
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา 28 กรกฎาคม 2560
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา 28 กรกฎาคม 2560 กระทรวงมหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา 28 กรกฎาคม 2560 วันนี้ (7 มิ.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทย นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยในการประชุมหารือการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา 28 กรกฎาคม 2560 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2560 ซึ่งมีปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่ประชุมมีความเห็นว่า เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างเตรียมการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงเห็นสมควรจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในลักษณะเป็นพิธีหรือกิจกรรมการถวายพระพรชัยมงคลและถวายเป็นพระราชกุศล รวมทั้งกิจกรรมอันเป็นสาธารณประโยชน์ และให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปจัดเตรียมกิจกรรมที่มีความพร้อมในการดําเนินการ เพื่อให้การจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา 28 กรกฎาคม 2560 เป็นไปอย่างสมพระเกียรติ และเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามมติที่ประชุมข้างต้น กระทรวงมหาดไทยจึงได้แจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมในการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ โดยให้ดําเนินการจัดพิธีทางศาสนา 5 ศาสนา ถวายพระพรชัยมงคล และถวายพระราชกุศลพร้อมกันทั่วประเทศ ณ ศาลากลางจังหวัด การจัดนิทรรศการพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และดําเนินการจัดกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ อาทิ การรับบริจาคโลหิต การทําความสะอาดพื้นที่ชุมชน ตลาดชุมชน และการปลูกป่าทดแทน เป็นต้น โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ในครั้งนี้เป็นการจัดกิจกรรมที่แสดงถึงความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกภาคส่วนทั่วประเทศ เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติและน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย. ครั้งที่ 84/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา 28 กรกฎาคม 2560 วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา 28 กรกฎาคม 2560 กระทรวงมหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา 28 กรกฎาคม 2560 วันนี้ (7 มิ.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทย นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยในการประชุมหารือการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา 28 กรกฎาคม 2560 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2560 ซึ่งมีปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่ประชุมมีความเห็นว่า เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างเตรียมการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงเห็นสมควรจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในลักษณะเป็นพิธีหรือกิจกรรมการถวายพระพรชัยมงคลและถวายเป็นพระราชกุศล รวมทั้งกิจกรรมอันเป็นสาธารณประโยชน์ และให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปจัดเตรียมกิจกรรมที่มีความพร้อมในการดําเนินการ เพื่อให้การจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา 28 กรกฎาคม 2560 เป็นไปอย่างสมพระเกียรติ และเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามมติที่ประชุมข้างต้น กระทรวงมหาดไทยจึงได้แจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมในการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ โดยให้ดําเนินการจัดพิธีทางศาสนา 5 ศาสนา ถวายพระพรชัยมงคล และถวายพระราชกุศลพร้อมกันทั่วประเทศ ณ ศาลากลางจังหวัด การจัดนิทรรศการพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และดําเนินการจัดกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ อาทิ การรับบริจาคโลหิต การทําความสะอาดพื้นที่ชุมชน ตลาดชุมชน และการปลูกป่าทดแทน เป็นต้น โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ในครั้งนี้เป็นการจัดกิจกรรมที่แสดงถึงความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกภาคส่วนทั่วประเทศ เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติและน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย. ครั้งที่ 84/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4359
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ค.ศ.อนุมัติวิทยฐานะเชี่ยวชาญ 8 ราย
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560 ก.ค.ศ.อนุมัติวิทยฐานะเชี่ยวชาญ 8 ราย นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (เลขาธิการ ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่าในการประชุม อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ครั้งที่ 3/2560 ได้มีมติอนุมัติให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีและเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ จํานวน 8 ราย ได้แก่ ครูเชี่ยวชาญ 2 ราย ผู้อํานวยการเชี่ยวชาญ 5 ราย และรองผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชี่ยวชาญ 1 ราย • หลักเกณฑ์ฯ ว 17/2552 จํานวน 2 รายดังนี้ 1. เลื่อนเป็นวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ จํานวน 1 รายได้แก่ - นายสมนึก วันละ วิทยาลัยเทคนิคแพร่ 2. เลื่อนเป็นวิทยฐานะรองผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชี่ยวชาญ จํานวน 1 รายได้แก่ - นางสาวพนอ ทิพย์พิมลรัตน์ สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ชุมพร เขต 1 •หลักเกณฑ์ฯ ว 13/2556 จํานวน 6 รายดังนี้ 1. เลื่อนเป็นวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ จํานวน 1 รายได้แก่ - นางเสาวลักษณ์ ชาติรังสรรค์ โรงเรียนนารีรัตน์ จังหวัดแพร่สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.)เขต 37 2. เลื่อนเป็นวิทยฐานะผู้อํานวยการเชี่ยวชาญ จํานวน 5 รายได้แก่ - นางวรีวรรณ สิงห์ทอง โรงเรียนวัดชมนิมิต สพป.สมุทรปราการ เขต 1 - นายนิลชัย ดาดี โรงเรียนบ้านนารายณ์ สพป.นครราชสีมา เขต 5 - นายจําเนียร โลหะเวช โรงเรียนบ้านคลองลาน สพป.นครสวรรค์ เขต 3 - นายชาติชาย สมศักดิ์ โรงเรียนร่องเคาะวิทยา สพป.ลําปาง เขต 3 - นายเฉลิมพล ตุมะแก้ว โรงเรียนบ้านห้วยทราย สพป.เชียงใหม่ เขต 6
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ค.ศ.อนุมัติวิทยฐานะเชี่ยวชาญ 8 ราย วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560 ก.ค.ศ.อนุมัติวิทยฐานะเชี่ยวชาญ 8 ราย นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (เลขาธิการ ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่าในการประชุม อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ครั้งที่ 3/2560 ได้มีมติอนุมัติให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีและเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ จํานวน 8 ราย ได้แก่ ครูเชี่ยวชาญ 2 ราย ผู้อํานวยการเชี่ยวชาญ 5 ราย และรองผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชี่ยวชาญ 1 ราย • หลักเกณฑ์ฯ ว 17/2552 จํานวน 2 รายดังนี้ 1. เลื่อนเป็นวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ จํานวน 1 รายได้แก่ - นายสมนึก วันละ วิทยาลัยเทคนิคแพร่ 2. เลื่อนเป็นวิทยฐานะรองผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชี่ยวชาญ จํานวน 1 รายได้แก่ - นางสาวพนอ ทิพย์พิมลรัตน์ สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ชุมพร เขต 1 •หลักเกณฑ์ฯ ว 13/2556 จํานวน 6 รายดังนี้ 1. เลื่อนเป็นวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ จํานวน 1 รายได้แก่ - นางเสาวลักษณ์ ชาติรังสรรค์ โรงเรียนนารีรัตน์ จังหวัดแพร่สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.)เขต 37 2. เลื่อนเป็นวิทยฐานะผู้อํานวยการเชี่ยวชาญ จํานวน 5 รายได้แก่ - นางวรีวรรณ สิงห์ทอง โรงเรียนวัดชมนิมิต สพป.สมุทรปราการ เขต 1 - นายนิลชัย ดาดี โรงเรียนบ้านนารายณ์ สพป.นครราชสีมา เขต 5 - นายจําเนียร โลหะเวช โรงเรียนบ้านคลองลาน สพป.นครสวรรค์ เขต 3 - นายชาติชาย สมศักดิ์ โรงเรียนร่องเคาะวิทยา สพป.ลําปาง เขต 3 - นายเฉลิมพล ตุมะแก้ว โรงเรียนบ้านห้วยทราย สพป.เชียงใหม่ เขต 6
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3247
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยอำเภอกันตัง พร้อมมอบถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่
วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยอําเภอกันตัง พร้อมมอบถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ นายกรัฐมนตรีห่วงใยผู้ประสบภัยน้ําท่วม เร่งเจ้าหน้าที่สํารวจความเสียหาย ออกมาตรการเยียวยา ฟื้นฟู ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และบริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบ วันนี้ (8 ธ.ค. 2560) เวลา 12.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เดินทางมายังวิทยาลัยสาธารณสุขสิรินธร ตําบลควนธานี อําเภอกันตัง จังหวัดตรัง เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนประชาชน และมอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัยอําเภอกันตัง จํานวน 500 ราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นขวัญกําลังใจแก่ประชาชนและผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความห่วงใยต่อผู้ประสบภัยในพื้นที่ โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างทั่วถึง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และเร่งดําเนินการออกมาตรการต่าง ๆ ทั้งมาตรการด้านการเงิน การเยียวยา ฟื้นฟู การซ่อมแซมบ้านเรือนที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหาย ขณะนี้กําลังเร่งสํารวจตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน เพื่อจะได้ดําเนินการจ่ายเงินให้ถึงมือประชาชนได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วขึ้น ควบคู่กับการดําเนินการบริหารจัดการน้ําของประเทศอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอความร่วมมือจากประชาชนช่วยสนับสนุนในการดําเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล ทั้งในพื้นที่ของการก่อสร้างอ่างเก็บน้ํา พนังกั้นน้ําหรือโครงการก่อสร้างระบบระบายน้ําให้เป็นไปตามแผนที่กําหนดไว้ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยให้เกิดความยั่งยืน โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ําและระบายน้ําในพื้นที่ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พิจารณาจัดหาที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่เหมาะสมให้แก่ผู้ประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยทุกปี พร้อมกล่าวย้ําให้ข้าราชการในพื้นที่ ต้องทํางานเชิงรุกและปฏิบัติหน้าที่ให้ประชาชนเกิดความไว้วางใจเพื่อพร้อมสนับสนุนการดําเนินโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาล อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่และประเทศชาติ สําหรับพืชผลทางการเกษตรนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลพร้อมช่วยเหลือ เพื่อให้ราคาพืชผลดังกล่าวมีความเหมาะสม แต่ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนให้มีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชและปลูกพืชเสริมควบคู่การปลูกยางและปาล์มน้ํามัน รวมทั้งพัฒนาแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดยรัฐบาลจะเร่งส่งเสริมสนับสนุบการแปรรูปยางพาราและการใช้ยางในประเทศให้มากยิ่งขึ้น ไม่น้อยกว่าปีละ 500,000 ตัน ตลอดจนส่งเสริมให้มีการนําปาล์มมาพัฒนาเป็นพลังงานทดแทนอีกด้วย ทั้งนี้ อําเภอกันตัง ได้รับความเดือดร้อน 6 ตําบล 22 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 355 ครัวเรือน 2,533 ราย ซึ่งปัจจุบัน (ข้อมูล 6 ธ.ค.60) สถานการณ์น้ําที่อําเภอกันตัง ตําบลควนธานี น้ําจากแม่น้ําตรังได้เอ่อขึ้นท่วมบ้านเรือนราษฎร และพื้นที่ทางการเกษตร บริเวณที่ราบลุ่มต่ําริมแม่น้ําตรัง ทําให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ที่ผ่านมาทางการปกครองอําเภอกันตัง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ได้ดําเนินการสํารวจตรวจสอบความเสียหาย และให้ความช่วยเหลือราษฎรในเบื้องต้นแล้ว --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยอำเภอกันตัง พร้อมมอบถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยอําเภอกันตัง พร้อมมอบถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ นายกรัฐมนตรีห่วงใยผู้ประสบภัยน้ําท่วม เร่งเจ้าหน้าที่สํารวจความเสียหาย ออกมาตรการเยียวยา ฟื้นฟู ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และบริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบ วันนี้ (8 ธ.ค. 2560) เวลา 12.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เดินทางมายังวิทยาลัยสาธารณสุขสิรินธร ตําบลควนธานี อําเภอกันตัง จังหวัดตรัง เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนประชาชน และมอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัยอําเภอกันตัง จํานวน 500 ราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นขวัญกําลังใจแก่ประชาชนและผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความห่วงใยต่อผู้ประสบภัยในพื้นที่ โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างทั่วถึง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และเร่งดําเนินการออกมาตรการต่าง ๆ ทั้งมาตรการด้านการเงิน การเยียวยา ฟื้นฟู การซ่อมแซมบ้านเรือนที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหาย ขณะนี้กําลังเร่งสํารวจตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน เพื่อจะได้ดําเนินการจ่ายเงินให้ถึงมือประชาชนได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วขึ้น ควบคู่กับการดําเนินการบริหารจัดการน้ําของประเทศอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอความร่วมมือจากประชาชนช่วยสนับสนุนในการดําเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล ทั้งในพื้นที่ของการก่อสร้างอ่างเก็บน้ํา พนังกั้นน้ําหรือโครงการก่อสร้างระบบระบายน้ําให้เป็นไปตามแผนที่กําหนดไว้ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยให้เกิดความยั่งยืน โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ําและระบายน้ําในพื้นที่ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พิจารณาจัดหาที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่เหมาะสมให้แก่ผู้ประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยทุกปี พร้อมกล่าวย้ําให้ข้าราชการในพื้นที่ ต้องทํางานเชิงรุกและปฏิบัติหน้าที่ให้ประชาชนเกิดความไว้วางใจเพื่อพร้อมสนับสนุนการดําเนินโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาล อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่และประเทศชาติ สําหรับพืชผลทางการเกษตรนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลพร้อมช่วยเหลือ เพื่อให้ราคาพืชผลดังกล่าวมีความเหมาะสม แต่ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนให้มีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชและปลูกพืชเสริมควบคู่การปลูกยางและปาล์มน้ํามัน รวมทั้งพัฒนาแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดยรัฐบาลจะเร่งส่งเสริมสนับสนุบการแปรรูปยางพาราและการใช้ยางในประเทศให้มากยิ่งขึ้น ไม่น้อยกว่าปีละ 500,000 ตัน ตลอดจนส่งเสริมให้มีการนําปาล์มมาพัฒนาเป็นพลังงานทดแทนอีกด้วย ทั้งนี้ อําเภอกันตัง ได้รับความเดือดร้อน 6 ตําบล 22 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 355 ครัวเรือน 2,533 ราย ซึ่งปัจจุบัน (ข้อมูล 6 ธ.ค.60) สถานการณ์น้ําที่อําเภอกันตัง ตําบลควนธานี น้ําจากแม่น้ําตรังได้เอ่อขึ้นท่วมบ้านเรือนราษฎร และพื้นที่ทางการเกษตร บริเวณที่ราบลุ่มต่ําริมแม่น้ําตรัง ทําให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ที่ผ่านมาทางการปกครองอําเภอกันตัง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ได้ดําเนินการสํารวจตรวจสอบความเสียหาย และให้ความช่วยเหลือราษฎรในเบื้องต้นแล้ว --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8633
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ปี 2560
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559 ทส. ประชุมแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฟื้นฟูป่าต้นน้ํา ปี 2560 พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทส. เป็นประธานเปิดการประชุมแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฟื้นฟูป่าต้นน้ํา ปี 2560 ณ ศาลากลางจังหวัดน่าน พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการประชุมแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฟื้นฟูป่าต้นน้ํา ปี 2560 ณ ศาลากลางจังหวัดน่าน โดยมี ผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ พลตรีผดุง ยิ่งไพบูลย์ รองแม่ทัพภาคที่ 3 นายไพศาล วิมลรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นต้น เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ สําหรับการเตรียมการป้องกันไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 9 จังหวัดภาคเหนือ ปีงบประมาณ พ.ศ.2560 กรมอุทยานแห่งชาติ จะดําเนินงานตามยุทธศาสตร์/มาตรการ/แก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน 5 ยุทธศาสตร์ 3 มาตรการ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1.การประชาสัมพันธ์ ยุทธศาสตร์ที่ 2.การป้องกันไฟป่าและหมอกควัน ยุทธศาสตร์ที่ 3.การจัดการเชื้อเพลิง ยุทธศาสตร์ที่ 4.การมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาไฟป่า ยุทธศาสตร์ที่ 5.การดับไฟป่า 1. มาตรการเตรียมการ มีสถานีควบคุมไฟป่า 47 สถานี 144 หน่วยดับไฟ กําลังพล 2,160 คน และกองอํานวยการควบคุมไฟป่า 3 กองฯ 2. มาตรการรับมือ ระหว่างวันที่ 1 ก.พ .- 10 เม.ย.60 จะดําเนินการเสริมกําลังพลพนักงานดับไฟป่า เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานไฟป่าในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ จํานวน 143 นาย สับเปลี่ยนกําลังทุก 15 วัน 3. มาตรการฟื้นฟูและสร้างความยั่งยืน มีเครือข่ายการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน และสนับสนุนเครื่องมือดับไฟป่า จํานวน 730 หมู่บ้าน ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ อุดหนุนเงินงบประมาณ จํานวน 163 หมู่บ้าน ๆ ละ 50,000 บาท ให้กับหมู่บ้านเครือข่ายที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ปี 2560 วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559 ทส. ประชุมแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฟื้นฟูป่าต้นน้ํา ปี 2560 พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทส. เป็นประธานเปิดการประชุมแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฟื้นฟูป่าต้นน้ํา ปี 2560 ณ ศาลากลางจังหวัดน่าน พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการประชุมแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฟื้นฟูป่าต้นน้ํา ปี 2560 ณ ศาลากลางจังหวัดน่าน โดยมี ผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ พลตรีผดุง ยิ่งไพบูลย์ รองแม่ทัพภาคที่ 3 นายไพศาล วิมลรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นต้น เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ สําหรับการเตรียมการป้องกันไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 9 จังหวัดภาคเหนือ ปีงบประมาณ พ.ศ.2560 กรมอุทยานแห่งชาติ จะดําเนินงานตามยุทธศาสตร์/มาตรการ/แก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน 5 ยุทธศาสตร์ 3 มาตรการ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1.การประชาสัมพันธ์ ยุทธศาสตร์ที่ 2.การป้องกันไฟป่าและหมอกควัน ยุทธศาสตร์ที่ 3.การจัดการเชื้อเพลิง ยุทธศาสตร์ที่ 4.การมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาไฟป่า ยุทธศาสตร์ที่ 5.การดับไฟป่า 1. มาตรการเตรียมการ มีสถานีควบคุมไฟป่า 47 สถานี 144 หน่วยดับไฟ กําลังพล 2,160 คน และกองอํานวยการควบคุมไฟป่า 3 กองฯ 2. มาตรการรับมือ ระหว่างวันที่ 1 ก.พ .- 10 เม.ย.60 จะดําเนินการเสริมกําลังพลพนักงานดับไฟป่า เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานไฟป่าในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ จํานวน 143 นาย สับเปลี่ยนกําลังทุก 15 วัน 3. มาตรการฟื้นฟูและสร้างความยั่งยืน มีเครือข่ายการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน และสนับสนุนเครื่องมือดับไฟป่า จํานวน 730 หมู่บ้าน ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ อุดหนุนเงินงบประมาณ จํานวน 163 หมู่บ้าน ๆ ละ 50,000 บาท ให้กับหมู่บ้านเครือข่ายที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1045
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหาราชการแผ่นดิน คณะที่5ฯ รับทราบความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายฯ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย
วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2559 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหาราชการแผ่นดิน คณะที่5ฯ รับทราบความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายฯ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหาราชการแผ่นดิน คณะที่5ฯ โดยที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายฯ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย วันนี้ (6ธ.ค.59) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ํา การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดําเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ครั้งที่ 13/2559 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมด้วย ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือและรับทราบความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย (IUU) และข้อเรียกร้องของกลุ่มประมง (โพงพาง) ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) กรมเจ้าท่า และกระทรวงมหาดไทย ดําเนินการ โดยผลการหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการด้านประมง (PECH) ของสหภาพยุโรป ระหว่างวันที่ 1 -4 พฤศจิกายน 2559 ด้านการบริหารจัดการประมง และด้านการบริหารจัดการแรงงาน สรุปภาพรวม คือ คณะกรรมาธิการด้านประมง (PECH) พึงพอใจต่อผลการดําเนินการของไทยที่มีความคืบหน้าตามลําดับและเป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาในภาคประมง โดยการดําเนินการระยะเวลา 1 ปี ศูนย์ติดตามและท่าเทียบเรือมีการพัฒนาเป็นอย่างมาก และชื่นชมไทยที่มีแนวคิดร่วมแก้ไขปัญหากับประเทศอื่น ๆ ในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าต่าง ๆ รวมทั้งได้ริเริ่มจัดทํานโยบายการประมงร่วมกับอาเซียน (ASEAN Common Fisheries Policy) โดยคณะกรรมาธิการด้านประมง (PECH) ยินดีที่จะให้ความร่วมมือสนับสนุนไทยในการแก้ไขปัญหาการประมงผิดกฎหมายและด้านแรงงาน ขณะเดียวกันคณะกรรมาธิการด้านประมง (PECH) ได้ให้ความสําคัญกับการสร้างความเข้าใจและดูแลผลกระทบการปรับเปลี่ยนอาชีพ ความเป็นอยู่ของชาวประมงขนาดเล็ก และขอความร่วมมือไทยทําประมงโดยไม่ทําลายสภาพแวดล้อม ทั้งนี้ รัฐบาลเห็นว่าเรื่องการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายเป็นเรื่องสําคัญเพราะส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศจํานวนมาก โดยขณะนี้ได้มีการติดตามและดําเนินการขับเคลื่อนในหลายเรื่อง เช่น การติดตามกองเรือในน่านน้ํา โดยสามารถจับยึดเรือประมงที่ทําผิดกฎหมาย จํานวนประมาณ 50 ลํา การแก้ไขพระราชกําหนดการประมง พ.ศ.2558 ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ มาตรา 67 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณสิ้นปี 2559 การจัดทําแผนบริหารจัดการการทําประมงทะเลไทย (FMP) ฉบับใหม่ การติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง (MCS) โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มประสิทธิภาพการเฝ้าระวัง รวมทั้งมีการลดจํานวนท่าเรือและเรือประมงให้มีความเหมาะสม และดําเนินการจัดทํารายงานเสนอสหภาพยุโรป (DG MARE) รอบ 6 เดือน ( 1 พ.ค.59 – 31 ต.ค.59) โดยจะส่งรายงานเสนอสหภาพยุโรปในวันที่ 15 ธันวาคม 2559 นี้ สําหรับการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายและข้อเรียกร้องของกลุ่มชาวประมง (โพงพาง) นั้น รัฐบาลได้รับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้ที่ได้รับผลกระทบมาโดยตลอด ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําลังดําเนินการแก้ไขพระราชกําหนดการทําประมง พ.ศ. 2558 โดยออกประกาศกําหนดผ่อนผันให้เป็นรายบุคคลเฉพาะผู้ที่มีเครื่องมือประมงในลักษณะดังกล่าวก่อนที่พระราชกําหนดฉบับนี้ประกาศใช้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา รวมทั้ง ได้มีการจัดทําฐานข้อมูลรายบุคคล โดยกรมประมงได้มีการแต่งตั้งคณะทํางานสํารวจ คัดกรอง และลงทะเบียนผู้ได้รับผลกระทบแล้ว นอกจากนี้ คณะผู้แทนสหภาพยุโรปได้เสนอแนะให้มีการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายควบคู่การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมายด้วย ซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาแรงงานบังคับและแรงงานเด็ก โดยเฉพาะการถูกเพ่งเล็งเกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็กกรณีที่แรงงานต่างด้าวต้องนําพาเด็กหรือบุตรหลานเข้ามาทํางานในลักษณะผู้ติดตาม รัฐบาลจึงมีแผนการดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการถอดสินค้าออกจากบัญชีรายชื่อสินค้าของกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาเป็นรายสินค้า (อ้อย ปลา กุ้ง และเครื่องนุ่งห่ม) และสื่อลามก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสํารวจข้อมูลการทํางานของเด็กในประเทศไทยประจําปี พ.ศ. 2560 (เริ่มดําเนินการเดือนพฤษภาคม 2559) โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงาน สํานักงานสถิติแห่งชาติ และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และจะดําเนินการจัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับในกิจการผลิตน้ําตาลจากอ้อยตลอดสายโซ่การผลิต การปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ทั้งนี้ คาดว่ามีแนวโน้นที่ดีในการที่จะถอดถอนสินค้าไทยออกจากบัญชีรายชื่อดังกล่าว ขณะเดียวกัน จะมีการจัดทําหนังสือคนประจําเรือ (Sea book) ซึ่งวันที่ 19 ธันวาคม 2559 เป็นวันเริ่มต้นนัดหมายแรงงานต่างด้าวมาจัดเก็บทะเบียนประวัติและข้อมูลบุคคล พร้อมสัมภาษณ์แรงงาน (Pre - Screen) ร่วมกับผู้ประสานงานด้านภาษา ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า – แจ้งออกเรือประมง (PIPO) กําหนดระยะเวลาดําเนินการ 60 วัน ทั้งนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เน้นย้ําว่าการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมายจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องในทุกมิติตามหลักสิทธิมนุษยชน อย่างเท่าเทียม รวมทั้งได้รับสิทธิแรงงานและสิทธิทางสังคมด้วย พร้อมทั้งสั่งการกระทรวงแรงงานยกร่างกฎหมายออกเป็นพระราชกําหนดการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว พ.ศ. .... เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนพฤษภาคม 2560 และให้มีผลบังคับใช้ภายในรัฐบาลนี้ โดยคํานึงถึงประเด็นสําคัญมีเนื้อหาครอบคลุมการจัดระเบียบ การขออนุญาตทํางาน การคุ้มครอง/เยียวยา ดูแลความปลอดภัย สวัสดิการ การประกันสังคม มีบทกําหนดให้เก็บเงิน LEVY จากนายจ้างเข้ากองทุน เพื่อนํามาใช้สนับสนุนทั้งในเรื่องการจัดระเบียบและการดูแลสิทธิแรงงานต่างด้าว อาทิ นํามาใช้ในการจัดโซนนิ่งที่อยู่อาศัย สนับสนุนการศึกษา สาธารณสุข ช่วยเหลือ เยียวยากรณีถูกละเมิดสิทธิแรงงาน รวมทั้งสามารถสนับสนุนภาค NGOs ให้สามารถแบ่งเบาภาระภาครัฐในการช่วยเหลือเยียวยาได้ หากพบการกระทําผิดในกรณีการจ้างแรงงานต่างด้าว จะมีบทลงโทษและค่าปรับที่รุนแรง รวมทั้งมีบทบัญญัติให้สามารถจัดสรรเงินค่าปรับส่วนหนึ่งที่เรียกเก็บจากนายจ้างมาสมทบเข้ากองทุนด้วย ตลอดจนกําหนดมาตรการทางปกครองกรณีแรงงานถูกละเมิดให้มีมาตรการสั่งหยุดกิจการชั่วคราว สั่งเพิกถอนใบอนุญาต และจํากัดสิทธิการเข้าถึง BOI เป็นต้น อีกทั้งที่ประชุมรับทราบรายงานผลการเข้าชี้แจงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนต่อสํานักงานบริหารการบินแห่งชาติ (Federal Aviation Administration : FAA) สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 14 – 15 พฤศจิกายน 2559 โดย FAA ได้ให้ข้อเสนอแนะที่สําคัญ ดังนี้ 1) ให้ปรับระดับมาตรฐานการบินจาก Category (CAT) II เป็น CAT I โดยเมื่อฝ่ายไทยได้ดําเนินการแก้ไขข้อบกพร่องที่มีนัยสําคัญต่อความปลอดภัย ( Significant Safety Concerns : SSC ) ของ ICAO รวมทั้งมีความก้าวหน้าในการออกใบรับรองผู้ดําเนินการเดินอากาศใหม่และแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ของ FAA แล้วจะต้องแจ้งความประสงค์ขอรับการตรวจสอบต่อ FAA หลักจากนั้นภายใน 90 วัน นับจากวันที่ได้รับคําขอ เจ้าหน้าที่ FAA จะเดินทางมาประเทศไทยและจะใช้เวลาตรวจสอบ 5 วันทําการและสรุปผลด้วยวาจาในวันสุดท้ายของการตรวจสอบ หากผู้ตรวจสอบแจ้งข้อบกพร่องที่พบในระหว่างการตรวจสอบ ประเทศไทยจะต้องดําเนินการแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 65 วันก่อนที่ FAA จะประกาศปรับระดับเป็น CAT I อย่างเป็นทางการ 2) สายการบินของไทยจะสามารถกลับเข้าทําการบินเข้าออกประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ประกอบด้วย 2 เงื่อนไข คือ (1) สายการบินต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการขนส่งทางอากาศ ซึ่งต้องยื่นขอจากกระทรวงคมนาคมของประเทศสหรัฐอเมริกา และ (2) ประเทศไทยมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยอยู่ใน CAT I โดยขณะนี้ บริษัท การบินไทย จํากัด (บกท.) ได้ยื่นขอต่อใบอนุญาตประกอบกิจการขนส่งทางอากาศที่จะหมดอายุลงในปีนี้แล้ว ซึ่งกระทรวงคมนาคมของประเทศสหรัฐอเมริกามีกระบวนการพิจารณาประมาณ 6 เดือน ทั้งนี้ บริษัท การบินไทย จํากัด (บกท.) จะต้องผ่านการประเมินทางด้านเทคนิคและด้านความปลอดภัยจาก FAA ด้วย อย่างไรก็ตามขณะนี้กระทรวงคมนาคม กําลังดําเนินการร่วมกับ บริษัท การบินไทย จํากัด (บกท.) เพื่อการบินไทยสามารถบินเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาได้ภายในเดือนธันวาคมปี 2560 พร้อมทั้งที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดําเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาซึ่งรัฐบาลต้องการพัฒนาเพื่อสร้างแลนด์มาร์คแห่งใหม่ให้กับกรุงเทพมหานคร สําหรับเป็นพื้นที่สาธารณะและประโยชน์ใช้สอยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาและประชาชนทั่วไปทุกกลุ่ม มีความยาวกว่า 14 กิโลเมตร ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําเกี่ยวกับการบริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าว 2 เรื่อง คือ 1) การสร้างและการออกแบบต้องเป็นประโยชน์กับประชาชน ซึ่งความก้าวหน้าปัจจุบันได้ทํางานวิจัยแล้วเสร็จในการออกแบบโดยคํานึงถึงการคมนาคมทางน้ําในการเดินเรือ รวมทั้งคํานึงถึงทรัพยากรทางน้ํา ระบบนิเวศในแม่น้ําเจ้าพระยา การป้องกันน้ําท่วมและพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ําริมสองฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาให้ประชาชนสามารถใช้สอยเป็นพื้นที่สาธารณะในอนาคตได้ 2) การเยียวยาดูแลประชาชนที่อยู่อาศัยบริเวณที่รุกล้ําแม่น้ําเจ้าพระยาเดิมในปัจจุบัน รัฐบาลได้มีแผนเคลื่อนย้ายชุมชนต่าง ๆ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยยกระดับพัฒนาชีวิตและคุณภาพสังคมของชุมชนริมแม่น้ําเจ้าพระยาในโครงการบ้านมั่นคงชุมชนริมแม่น้ําเจ้าพระยาประชารัฐ ซึ่งแนวทางการแก้ปัญหาและพัฒนาที่อยู่อาศัยผู้ที่ได้รับผลกระทบมี 5 กรณี ได้แก่ 1) ย้ายไปอาศัยอยู่อาคารชุดหรือแฟลต ขส.ทบ. 2) ย้ายไปอยู่โครงการบ้านของการเคหะแห่งชาติ เช่น บ้านเอื้ออาทร 3) ขอเช่าที่ดินรัฐหรือซื้อที่ดินเอกชน/สร้างชุมชนใหม่ (ชุมชนเลือกที่ดินใหม่) 4) ขอรับเงินช่วยเหลือและย้ายกลับภูมิลําเนา และ5) การปรับปรุงในที่ดินเดิม (หากมีหลักฐานการอยู่อาศัยและการเช่าที่ดินที่ชัดเจน) -------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหาราชการแผ่นดิน คณะที่5ฯ รับทราบความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายฯ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2559 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหาราชการแผ่นดิน คณะที่5ฯ รับทราบความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายฯ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหาราชการแผ่นดิน คณะที่5ฯ โดยที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายฯ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย วันนี้ (6ธ.ค.59) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ํา การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดําเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ครั้งที่ 13/2559 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมด้วย ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือและรับทราบความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย (IUU) และข้อเรียกร้องของกลุ่มประมง (โพงพาง) ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) กรมเจ้าท่า และกระทรวงมหาดไทย ดําเนินการ โดยผลการหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการด้านประมง (PECH) ของสหภาพยุโรป ระหว่างวันที่ 1 -4 พฤศจิกายน 2559 ด้านการบริหารจัดการประมง และด้านการบริหารจัดการแรงงาน สรุปภาพรวม คือ คณะกรรมาธิการด้านประมง (PECH) พึงพอใจต่อผลการดําเนินการของไทยที่มีความคืบหน้าตามลําดับและเป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาในภาคประมง โดยการดําเนินการระยะเวลา 1 ปี ศูนย์ติดตามและท่าเทียบเรือมีการพัฒนาเป็นอย่างมาก และชื่นชมไทยที่มีแนวคิดร่วมแก้ไขปัญหากับประเทศอื่น ๆ ในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าต่าง ๆ รวมทั้งได้ริเริ่มจัดทํานโยบายการประมงร่วมกับอาเซียน (ASEAN Common Fisheries Policy) โดยคณะกรรมาธิการด้านประมง (PECH) ยินดีที่จะให้ความร่วมมือสนับสนุนไทยในการแก้ไขปัญหาการประมงผิดกฎหมายและด้านแรงงาน ขณะเดียวกันคณะกรรมาธิการด้านประมง (PECH) ได้ให้ความสําคัญกับการสร้างความเข้าใจและดูแลผลกระทบการปรับเปลี่ยนอาชีพ ความเป็นอยู่ของชาวประมงขนาดเล็ก และขอความร่วมมือไทยทําประมงโดยไม่ทําลายสภาพแวดล้อม ทั้งนี้ รัฐบาลเห็นว่าเรื่องการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายเป็นเรื่องสําคัญเพราะส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศจํานวนมาก โดยขณะนี้ได้มีการติดตามและดําเนินการขับเคลื่อนในหลายเรื่อง เช่น การติดตามกองเรือในน่านน้ํา โดยสามารถจับยึดเรือประมงที่ทําผิดกฎหมาย จํานวนประมาณ 50 ลํา การแก้ไขพระราชกําหนดการประมง พ.ศ.2558 ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ มาตรา 67 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณสิ้นปี 2559 การจัดทําแผนบริหารจัดการการทําประมงทะเลไทย (FMP) ฉบับใหม่ การติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง (MCS) โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มประสิทธิภาพการเฝ้าระวัง รวมทั้งมีการลดจํานวนท่าเรือและเรือประมงให้มีความเหมาะสม และดําเนินการจัดทํารายงานเสนอสหภาพยุโรป (DG MARE) รอบ 6 เดือน ( 1 พ.ค.59 – 31 ต.ค.59) โดยจะส่งรายงานเสนอสหภาพยุโรปในวันที่ 15 ธันวาคม 2559 นี้ สําหรับการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายและข้อเรียกร้องของกลุ่มชาวประมง (โพงพาง) นั้น รัฐบาลได้รับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้ที่ได้รับผลกระทบมาโดยตลอด ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําลังดําเนินการแก้ไขพระราชกําหนดการทําประมง พ.ศ. 2558 โดยออกประกาศกําหนดผ่อนผันให้เป็นรายบุคคลเฉพาะผู้ที่มีเครื่องมือประมงในลักษณะดังกล่าวก่อนที่พระราชกําหนดฉบับนี้ประกาศใช้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา รวมทั้ง ได้มีการจัดทําฐานข้อมูลรายบุคคล โดยกรมประมงได้มีการแต่งตั้งคณะทํางานสํารวจ คัดกรอง และลงทะเบียนผู้ได้รับผลกระทบแล้ว นอกจากนี้ คณะผู้แทนสหภาพยุโรปได้เสนอแนะให้มีการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายควบคู่การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมายด้วย ซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาแรงงานบังคับและแรงงานเด็ก โดยเฉพาะการถูกเพ่งเล็งเกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็กกรณีที่แรงงานต่างด้าวต้องนําพาเด็กหรือบุตรหลานเข้ามาทํางานในลักษณะผู้ติดตาม รัฐบาลจึงมีแผนการดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการถอดสินค้าออกจากบัญชีรายชื่อสินค้าของกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาเป็นรายสินค้า (อ้อย ปลา กุ้ง และเครื่องนุ่งห่ม) และสื่อลามก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสํารวจข้อมูลการทํางานของเด็กในประเทศไทยประจําปี พ.ศ. 2560 (เริ่มดําเนินการเดือนพฤษภาคม 2559) โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงาน สํานักงานสถิติแห่งชาติ และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และจะดําเนินการจัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับในกิจการผลิตน้ําตาลจากอ้อยตลอดสายโซ่การผลิต การปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ทั้งนี้ คาดว่ามีแนวโน้นที่ดีในการที่จะถอดถอนสินค้าไทยออกจากบัญชีรายชื่อดังกล่าว ขณะเดียวกัน จะมีการจัดทําหนังสือคนประจําเรือ (Sea book) ซึ่งวันที่ 19 ธันวาคม 2559 เป็นวันเริ่มต้นนัดหมายแรงงานต่างด้าวมาจัดเก็บทะเบียนประวัติและข้อมูลบุคคล พร้อมสัมภาษณ์แรงงาน (Pre - Screen) ร่วมกับผู้ประสานงานด้านภาษา ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า – แจ้งออกเรือประมง (PIPO) กําหนดระยะเวลาดําเนินการ 60 วัน ทั้งนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เน้นย้ําว่าการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมายจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องในทุกมิติตามหลักสิทธิมนุษยชน อย่างเท่าเทียม รวมทั้งได้รับสิทธิแรงงานและสิทธิทางสังคมด้วย พร้อมทั้งสั่งการกระทรวงแรงงานยกร่างกฎหมายออกเป็นพระราชกําหนดการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว พ.ศ. .... เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนพฤษภาคม 2560 และให้มีผลบังคับใช้ภายในรัฐบาลนี้ โดยคํานึงถึงประเด็นสําคัญมีเนื้อหาครอบคลุมการจัดระเบียบ การขออนุญาตทํางาน การคุ้มครอง/เยียวยา ดูแลความปลอดภัย สวัสดิการ การประกันสังคม มีบทกําหนดให้เก็บเงิน LEVY จากนายจ้างเข้ากองทุน เพื่อนํามาใช้สนับสนุนทั้งในเรื่องการจัดระเบียบและการดูแลสิทธิแรงงานต่างด้าว อาทิ นํามาใช้ในการจัดโซนนิ่งที่อยู่อาศัย สนับสนุนการศึกษา สาธารณสุข ช่วยเหลือ เยียวยากรณีถูกละเมิดสิทธิแรงงาน รวมทั้งสามารถสนับสนุนภาค NGOs ให้สามารถแบ่งเบาภาระภาครัฐในการช่วยเหลือเยียวยาได้ หากพบการกระทําผิดในกรณีการจ้างแรงงานต่างด้าว จะมีบทลงโทษและค่าปรับที่รุนแรง รวมทั้งมีบทบัญญัติให้สามารถจัดสรรเงินค่าปรับส่วนหนึ่งที่เรียกเก็บจากนายจ้างมาสมทบเข้ากองทุนด้วย ตลอดจนกําหนดมาตรการทางปกครองกรณีแรงงานถูกละเมิดให้มีมาตรการสั่งหยุดกิจการชั่วคราว สั่งเพิกถอนใบอนุญาต และจํากัดสิทธิการเข้าถึง BOI เป็นต้น อีกทั้งที่ประชุมรับทราบรายงานผลการเข้าชี้แจงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนต่อสํานักงานบริหารการบินแห่งชาติ (Federal Aviation Administration : FAA) สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 14 – 15 พฤศจิกายน 2559 โดย FAA ได้ให้ข้อเสนอแนะที่สําคัญ ดังนี้ 1) ให้ปรับระดับมาตรฐานการบินจาก Category (CAT) II เป็น CAT I โดยเมื่อฝ่ายไทยได้ดําเนินการแก้ไขข้อบกพร่องที่มีนัยสําคัญต่อความปลอดภัย ( Significant Safety Concerns : SSC ) ของ ICAO รวมทั้งมีความก้าวหน้าในการออกใบรับรองผู้ดําเนินการเดินอากาศใหม่และแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ของ FAA แล้วจะต้องแจ้งความประสงค์ขอรับการตรวจสอบต่อ FAA หลักจากนั้นภายใน 90 วัน นับจากวันที่ได้รับคําขอ เจ้าหน้าที่ FAA จะเดินทางมาประเทศไทยและจะใช้เวลาตรวจสอบ 5 วันทําการและสรุปผลด้วยวาจาในวันสุดท้ายของการตรวจสอบ หากผู้ตรวจสอบแจ้งข้อบกพร่องที่พบในระหว่างการตรวจสอบ ประเทศไทยจะต้องดําเนินการแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 65 วันก่อนที่ FAA จะประกาศปรับระดับเป็น CAT I อย่างเป็นทางการ 2) สายการบินของไทยจะสามารถกลับเข้าทําการบินเข้าออกประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ประกอบด้วย 2 เงื่อนไข คือ (1) สายการบินต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการขนส่งทางอากาศ ซึ่งต้องยื่นขอจากกระทรวงคมนาคมของประเทศสหรัฐอเมริกา และ (2) ประเทศไทยมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยอยู่ใน CAT I โดยขณะนี้ บริษัท การบินไทย จํากัด (บกท.) ได้ยื่นขอต่อใบอนุญาตประกอบกิจการขนส่งทางอากาศที่จะหมดอายุลงในปีนี้แล้ว ซึ่งกระทรวงคมนาคมของประเทศสหรัฐอเมริกามีกระบวนการพิจารณาประมาณ 6 เดือน ทั้งนี้ บริษัท การบินไทย จํากัด (บกท.) จะต้องผ่านการประเมินทางด้านเทคนิคและด้านความปลอดภัยจาก FAA ด้วย อย่างไรก็ตามขณะนี้กระทรวงคมนาคม กําลังดําเนินการร่วมกับ บริษัท การบินไทย จํากัด (บกท.) เพื่อการบินไทยสามารถบินเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาได้ภายในเดือนธันวาคมปี 2560 พร้อมทั้งที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดําเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาซึ่งรัฐบาลต้องการพัฒนาเพื่อสร้างแลนด์มาร์คแห่งใหม่ให้กับกรุงเทพมหานคร สําหรับเป็นพื้นที่สาธารณะและประโยชน์ใช้สอยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาและประชาชนทั่วไปทุกกลุ่ม มีความยาวกว่า 14 กิโลเมตร ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําเกี่ยวกับการบริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าว 2 เรื่อง คือ 1) การสร้างและการออกแบบต้องเป็นประโยชน์กับประชาชน ซึ่งความก้าวหน้าปัจจุบันได้ทํางานวิจัยแล้วเสร็จในการออกแบบโดยคํานึงถึงการคมนาคมทางน้ําในการเดินเรือ รวมทั้งคํานึงถึงทรัพยากรทางน้ํา ระบบนิเวศในแม่น้ําเจ้าพระยา การป้องกันน้ําท่วมและพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ําริมสองฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาให้ประชาชนสามารถใช้สอยเป็นพื้นที่สาธารณะในอนาคตได้ 2) การเยียวยาดูแลประชาชนที่อยู่อาศัยบริเวณที่รุกล้ําแม่น้ําเจ้าพระยาเดิมในปัจจุบัน รัฐบาลได้มีแผนเคลื่อนย้ายชุมชนต่าง ๆ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยยกระดับพัฒนาชีวิตและคุณภาพสังคมของชุมชนริมแม่น้ําเจ้าพระยาในโครงการบ้านมั่นคงชุมชนริมแม่น้ําเจ้าพระยาประชารัฐ ซึ่งแนวทางการแก้ปัญหาและพัฒนาที่อยู่อาศัยผู้ที่ได้รับผลกระทบมี 5 กรณี ได้แก่ 1) ย้ายไปอาศัยอยู่อาคารชุดหรือแฟลต ขส.ทบ. 2) ย้ายไปอยู่โครงการบ้านของการเคหะแห่งชาติ เช่น บ้านเอื้ออาทร 3) ขอเช่าที่ดินรัฐหรือซื้อที่ดินเอกชน/สร้างชุมชนใหม่ (ชุมชนเลือกที่ดินใหม่) 4) ขอรับเงินช่วยเหลือและย้ายกลับภูมิลําเนา และ5) การปรับปรุงในที่ดินเดิม (หากมีหลักฐานการอยู่อาศัยและการเช่าที่ดินที่ชัดเจน) -------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ขอประชาชนในพื้นที่ปัญหาหมอกควัน ปรับกิจกรรมการดำเนินชีวิตประจำวัน
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562 อนุทิน ขอประชาชนในพื้นที่ปัญหาหมอกควัน ปรับกิจกรรมการดําเนินชีวิตประจําวัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วงปัญหาหมอกควันภาคใต้ ระดมความช่วยเหลือลงพื้นที่ ขอความร่วมมือประชาชนปรับกิจกรรมการดําเนินชีวิตประจําวัน อนุทิน ขอประชาชนในพื้นที่ปัญหาหมอกควัน ปรับกิจกรรมการดําเนินชีวิตประจําวัน อนุทิน ขอประชาชนในพื้นที่ปัญหาหมอกควัน ปรับกิจกรรมการดําเนินชีวิตประจําวัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วงปัญหาหมอกควันภาคใต้ ระดมความช่วยเหลือลงพื้นที่ ขอความร่วมมือประชาชนปรับกิจกรรมการดําเนินชีวิตประจําวัน วันนี้ (23กันยายน 2562) ที่ทําเนียบรัฐบาล กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับปัญหาหมอกควันของภาคใต้ ว่า ได้มอบหมายให้สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรมอนามัย ระดมความร่วมมือลงไปช่วยเหลือในพื้นที่อย่างเต็มที่ ซึ่งในตอนนี้หน้ากากอนามัยเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด รวมถึงยาและการรักษาโรค ซึ่งได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ไว้แล้ว “สิ่งที่ทําได้ดีที่สุดตอนนี้คือ ให้ประชาชนช่วยกันปรับกิจกรรมการดําเนินชีวิตประจําวัน เช่น การออกกําลังกาย และขอความร่วมมือให้หลีกเลี่ยงการออกข้างนอกบ้านในช่วงที่มีค่าฝุ่นสูง ในส่วนของรัฐบาลได้ระดมการช่วยเหลืออย่างเต็มที่” นายอนุทินกล่าว สําหรับสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ภาคใต้ในวันนี้ เวลา 06.00 น. พบมีค่าระหว่าง 17 - 62 มคก./ลบ.ม. มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในหลายจังหวัด โดยมีผลกระทบหลายจังหวัด ยังอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ขอให้ประชาชนติดตามได้ที่เฟซบุ๊กเพจ “คนรักอนามัย ใส่ใจอากาศ PM2.5” ************************************* 23 กันยายน 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ขอประชาชนในพื้นที่ปัญหาหมอกควัน ปรับกิจกรรมการดำเนินชีวิตประจำวัน วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562 อนุทิน ขอประชาชนในพื้นที่ปัญหาหมอกควัน ปรับกิจกรรมการดําเนินชีวิตประจําวัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วงปัญหาหมอกควันภาคใต้ ระดมความช่วยเหลือลงพื้นที่ ขอความร่วมมือประชาชนปรับกิจกรรมการดําเนินชีวิตประจําวัน อนุทิน ขอประชาชนในพื้นที่ปัญหาหมอกควัน ปรับกิจกรรมการดําเนินชีวิตประจําวัน อนุทิน ขอประชาชนในพื้นที่ปัญหาหมอกควัน ปรับกิจกรรมการดําเนินชีวิตประจําวัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วงปัญหาหมอกควันภาคใต้ ระดมความช่วยเหลือลงพื้นที่ ขอความร่วมมือประชาชนปรับกิจกรรมการดําเนินชีวิตประจําวัน วันนี้ (23กันยายน 2562) ที่ทําเนียบรัฐบาล กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับปัญหาหมอกควันของภาคใต้ ว่า ได้มอบหมายให้สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรมอนามัย ระดมความร่วมมือลงไปช่วยเหลือในพื้นที่อย่างเต็มที่ ซึ่งในตอนนี้หน้ากากอนามัยเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด รวมถึงยาและการรักษาโรค ซึ่งได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ไว้แล้ว “สิ่งที่ทําได้ดีที่สุดตอนนี้คือ ให้ประชาชนช่วยกันปรับกิจกรรมการดําเนินชีวิตประจําวัน เช่น การออกกําลังกาย และขอความร่วมมือให้หลีกเลี่ยงการออกข้างนอกบ้านในช่วงที่มีค่าฝุ่นสูง ในส่วนของรัฐบาลได้ระดมการช่วยเหลืออย่างเต็มที่” นายอนุทินกล่าว สําหรับสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ภาคใต้ในวันนี้ เวลา 06.00 น. พบมีค่าระหว่าง 17 - 62 มคก./ลบ.ม. มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในหลายจังหวัด โดยมีผลกระทบหลายจังหวัด ยังอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ขอให้ประชาชนติดตามได้ที่เฟซบุ๊กเพจ “คนรักอนามัย ใส่ใจอากาศ PM2.5” ************************************* 23 กันยายน 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23318
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การตรวจราชการ จ.ชัยนาท
วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 การตรวจราชการ จ.ชัยนาท ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมการตรวจราชการตามแผนตรวจราชการแบบบูรณาการประจําปีงบประมาณ 2561 รอบที่ 1 ณ ห้องประชุมชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดชัยนาท วันที่ 19-20 กุมภาพันธ์ 2561/จ.ชัยนาท นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมการตรวจราชการตามแผนตรวจราชการแบบบูรณาการประจําปีงบประมาณ 2561 รอบที่ 1 ซึ่งมีผู้ตรวจราชการ กว่า 8 กระทรวงนําโดย นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ หัวหน้าผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี และ นายรณภพ เหลืองไพโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท ร่วมด้วย ณ ห้องประชุมชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดชัยนาท ทั้งนี้ คณะผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ นางลินจง พูลบูลย์ อุตสาหกรรมจังหวัดชัยนาท น.ส.รัชฎา เมธาวีกุลชัย หัวหน้ากลุ่มนโยบายและแผนงาน น.ส.พรทิพย์ ทองชื่น หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม ได้ไปตรวจเยี่ยมหมู่บ้าน civ บ้านเนินขามพัฒนา (ถิ่นลาวเวียง) ที่ผลิตและทอผ้าฝ้ายมัดหมี่/ไหม "ลายช่อมะขาม" ซึ่งจดลิขสิทธิ์เป็นของตัวเอง มีนางอุษา บุญสาพิพัฒน์ ประธานกลุ่มฯ ให้การต้อนรับและนําชมบ้านของสมาชิกในกลุ่มฯ ณ ชุมชนบ้านเนินขาม อ.เนินขาม จ.ชัยนาท จากนั้น นางจรวยพร เกิดเสม ประธานกลุ่มจักสานผักตบชวาบ้านอ้อย ได้นําคณะฯ ตรวจเยี่ยม กลุ่มอาชีพหัตถกรรมจักสานผักตบชวาบ้านอ้อย ที่มีแผนจะทําโฮมสเตย์ โดยกระทรวงฯ จะประสานโรงงานขนาดใหญ่ในพื้นที่ เป็นพี่เลี้ยง(big brother) สนับสนุนองค์ความรู้ ช่วยเรื่องการตลาด ทําป้ายประชาสัมพันธ์ สร้างเส้นทางเดินทาง เพื่อต้อนรับการท่องเที่ยว เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานชุมชน ตามนโยบาย local economy ณ หมู่ 7 ต.สรรพยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท นอกจากนี้ ผู้ตรวจฯ เบญจมาพร ยังได้ตรวจเยี่ยมบ้านพักของเจ้าหน้าที่ อาคารสํานักงานฯ ซึ่งมีสภาพเก่า และต้องการของบประมาณในการซ่อมแซม พร้อมนี้ได้ประชุมตรวจราชการ และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงงานให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาล โดยมีเจ้าหน้าที่ทุกกลุ่มเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียงกัน และเชิญ นายอรรถพล อรรถรุ่งโรจน์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชัยนาท ร่วมด้วย ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชัยนาท อ.เมือง จ.ชัยนาท
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การตรวจราชการ จ.ชัยนาท วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 การตรวจราชการ จ.ชัยนาท ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมการตรวจราชการตามแผนตรวจราชการแบบบูรณาการประจําปีงบประมาณ 2561 รอบที่ 1 ณ ห้องประชุมชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดชัยนาท วันที่ 19-20 กุมภาพันธ์ 2561/จ.ชัยนาท นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมการตรวจราชการตามแผนตรวจราชการแบบบูรณาการประจําปีงบประมาณ 2561 รอบที่ 1 ซึ่งมีผู้ตรวจราชการ กว่า 8 กระทรวงนําโดย นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ หัวหน้าผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี และ นายรณภพ เหลืองไพโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท ร่วมด้วย ณ ห้องประชุมชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดชัยนาท ทั้งนี้ คณะผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ นางลินจง พูลบูลย์ อุตสาหกรรมจังหวัดชัยนาท น.ส.รัชฎา เมธาวีกุลชัย หัวหน้ากลุ่มนโยบายและแผนงาน น.ส.พรทิพย์ ทองชื่น หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม ได้ไปตรวจเยี่ยมหมู่บ้าน civ บ้านเนินขามพัฒนา (ถิ่นลาวเวียง) ที่ผลิตและทอผ้าฝ้ายมัดหมี่/ไหม "ลายช่อมะขาม" ซึ่งจดลิขสิทธิ์เป็นของตัวเอง มีนางอุษา บุญสาพิพัฒน์ ประธานกลุ่มฯ ให้การต้อนรับและนําชมบ้านของสมาชิกในกลุ่มฯ ณ ชุมชนบ้านเนินขาม อ.เนินขาม จ.ชัยนาท จากนั้น นางจรวยพร เกิดเสม ประธานกลุ่มจักสานผักตบชวาบ้านอ้อย ได้นําคณะฯ ตรวจเยี่ยม กลุ่มอาชีพหัตถกรรมจักสานผักตบชวาบ้านอ้อย ที่มีแผนจะทําโฮมสเตย์ โดยกระทรวงฯ จะประสานโรงงานขนาดใหญ่ในพื้นที่ เป็นพี่เลี้ยง(big brother) สนับสนุนองค์ความรู้ ช่วยเรื่องการตลาด ทําป้ายประชาสัมพันธ์ สร้างเส้นทางเดินทาง เพื่อต้อนรับการท่องเที่ยว เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานชุมชน ตามนโยบาย local economy ณ หมู่ 7 ต.สรรพยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท นอกจากนี้ ผู้ตรวจฯ เบญจมาพร ยังได้ตรวจเยี่ยมบ้านพักของเจ้าหน้าที่ อาคารสํานักงานฯ ซึ่งมีสภาพเก่า และต้องการของบประมาณในการซ่อมแซม พร้อมนี้ได้ประชุมตรวจราชการ และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงงานให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาล โดยมีเจ้าหน้าที่ทุกกลุ่มเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียงกัน และเชิญ นายอรรถพล อรรถรุ่งโรจน์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชัยนาท ร่วมด้วย ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชัยนาท อ.เมือง จ.ชัยนาท
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10214
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีหารือแนวโน้มอนาคตข้าวไทยในตลาดโลก
วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีหารือแนวโน้มอนาคตข้าวไทยในตลาดโลก กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีหารือแนวโน้มอนาคตข้าวไทยในตลาดโลก วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือ “แนวทางพัฒนาและแก้ไขปัญหาการผลิตและการตลาดข้าว” ระหว่าง กรมการข้าว กรมการค้าต่างประเทศ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และผู้แทนผู้ประกอบการ ณ ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือเกี่ยวกับตลาดการส่งออกข้าวไทย รวมทั้งแผนการพัฒนาการผลิตข้าวเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และแผนการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงตามความต้องการของตลาด นายประภัตรฯ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลให้ความสําคัญเกี่ยวกับข้าวและชาวนาเป็นอย่างมาก เนื่องจากข้าวถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีบทบาทสะท้อนความมั่นคงทางอาหารของประเทศ และชาวนาคืออาชีพที่ทรงคุณค่าของประเทศ ดังนั้นผลการประชุมหารือในวันนี้จะเป็นประโยชน์ในการยกระดับการค้าข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการส่งออกข้าว เนื่องจากเป็นการหารือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมการข้าว กรมการค้าต่างประเทศ สมาคมผู้ส่งออกข้าว และผู้ประกอบการ ซึ่งทุกภาคส่วนล้วนแล้วแต่มีบทบาทสําคัญในกระบวนการผลิต แปรรูป จัดจําหน่าย และส่งออกข้าว โดยที่ประชุม ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการส่งออกข้าวในหลากหลายมิติ ทั้งสถานการณ์ข้าวไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ว่ามีการแข่งขันในระดับโลกที่สูงขึ้น เนื่องจากในหลายประเทศที่เคยนําเข้าข้าวจากไทย สามารถพัฒนาพันธุ์ข้าว จนสามารถปลูกและส่งออกได้ในปัจจุบัน จึงทําให้ไทยมีคู่แข่งด้านการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นจากอดีตมาก ประกอบกับข้าวไทยมีราคาขายสูงกว่าประเทศคู่แข่ง “ไทยยังคงมีฐานลูกค้าเดิมที่เหนียวแน่นในหลายประเทศ เนื่องจากข้าวไทยมีความโดดเด่นเรื่องคุณภาพ โดยในแต่ละประเทศจะมีความนิยมพันธุ์ข้าวที่แตกต่างกัน เช่น ประเทศในทวีปแอฟริกา จะนิยมข้าวพื้นแข็ง และประเทศในทวีปเอเชียจะนิยมข้าวพื้นนุ่ม ซึ่งปัจจัยสําคัญที่มีผลต่อการนําเข้าข้าวของประเทศต่าง ๆ คือ ราคาถูก และตามด้วยคุณภาพข้าว ดังนั้นจึงถือเป็นความท้าทายของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่จะต้องระดมสมอง วางแนวทางเพื่อพัฒนาการผลิตข้าวเพื่อการแข่งขัน โดยการเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ การพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงตามความต้องการตลาด โดยมุ่งเน้นความสําคัญในการรักษาคุณภาพข้าวควบคู่กับการลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกข้าวไทยอีกด้วย” นายประภัตร กล่าว โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีหารือแนวโน้มอนาคตข้าวไทยในตลาดโลก วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีหารือแนวโน้มอนาคตข้าวไทยในตลาดโลก กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีหารือแนวโน้มอนาคตข้าวไทยในตลาดโลก วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือ “แนวทางพัฒนาและแก้ไขปัญหาการผลิตและการตลาดข้าว” ระหว่าง กรมการข้าว กรมการค้าต่างประเทศ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และผู้แทนผู้ประกอบการ ณ ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือเกี่ยวกับตลาดการส่งออกข้าวไทย รวมทั้งแผนการพัฒนาการผลิตข้าวเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และแผนการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงตามความต้องการของตลาด นายประภัตรฯ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลให้ความสําคัญเกี่ยวกับข้าวและชาวนาเป็นอย่างมาก เนื่องจากข้าวถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีบทบาทสะท้อนความมั่นคงทางอาหารของประเทศ และชาวนาคืออาชีพที่ทรงคุณค่าของประเทศ ดังนั้นผลการประชุมหารือในวันนี้จะเป็นประโยชน์ในการยกระดับการค้าข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการส่งออกข้าว เนื่องจากเป็นการหารือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมการข้าว กรมการค้าต่างประเทศ สมาคมผู้ส่งออกข้าว และผู้ประกอบการ ซึ่งทุกภาคส่วนล้วนแล้วแต่มีบทบาทสําคัญในกระบวนการผลิต แปรรูป จัดจําหน่าย และส่งออกข้าว โดยที่ประชุม ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการส่งออกข้าวในหลากหลายมิติ ทั้งสถานการณ์ข้าวไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ว่ามีการแข่งขันในระดับโลกที่สูงขึ้น เนื่องจากในหลายประเทศที่เคยนําเข้าข้าวจากไทย สามารถพัฒนาพันธุ์ข้าว จนสามารถปลูกและส่งออกได้ในปัจจุบัน จึงทําให้ไทยมีคู่แข่งด้านการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นจากอดีตมาก ประกอบกับข้าวไทยมีราคาขายสูงกว่าประเทศคู่แข่ง “ไทยยังคงมีฐานลูกค้าเดิมที่เหนียวแน่นในหลายประเทศ เนื่องจากข้าวไทยมีความโดดเด่นเรื่องคุณภาพ โดยในแต่ละประเทศจะมีความนิยมพันธุ์ข้าวที่แตกต่างกัน เช่น ประเทศในทวีปแอฟริกา จะนิยมข้าวพื้นแข็ง และประเทศในทวีปเอเชียจะนิยมข้าวพื้นนุ่ม ซึ่งปัจจัยสําคัญที่มีผลต่อการนําเข้าข้าวของประเทศต่าง ๆ คือ ราคาถูก และตามด้วยคุณภาพข้าว ดังนั้นจึงถือเป็นความท้าทายของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่จะต้องระดมสมอง วางแนวทางเพื่อพัฒนาการผลิตข้าวเพื่อการแข่งขัน โดยการเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ การพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงตามความต้องการตลาด โดยมุ่งเน้นความสําคัญในการรักษาคุณภาพข้าวควบคู่กับการลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกข้าวไทยอีกด้วย” นายประภัตร กล่าว โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26371
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR และ MRR
วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563 กรุงไทยลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR และ MRR ธนาคารกรุงไทย ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MOR ลง 0.25%ต่อปี และดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ลง 0.125% ต่อปี เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินของลูกค้าและผู้ประกอบการทุกประเภท รวมทั้งเอสเอ็มอีและรายย่อย เริ่ม 25 มีนาคม 2563 นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ธนาคารตระหนักถึงการมีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจ และตอบสนองทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความเปราะบางจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย รวมทั้งแบ่งเบาภาระลูกค้าและผู้ประกอบการทุกประเภท ทั้งลูกค้าเอสเอ็มอีและลูกค้ารายย่อย ธนาคารจึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MOR ลง 0.25%เหลืออัตรา 6.62% ต่อปี และดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ลง 0.125% เหลืออัตรา 6.745% ต่อปี ซึ่งธนาคารหวังว่า การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม สําหรับดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารปรับลดเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา ซึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยตลาด ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR และ MRR วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563 กรุงไทยลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR และ MRR ธนาคารกรุงไทย ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MOR ลง 0.25%ต่อปี และดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ลง 0.125% ต่อปี เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินของลูกค้าและผู้ประกอบการทุกประเภท รวมทั้งเอสเอ็มอีและรายย่อย เริ่ม 25 มีนาคม 2563 นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ธนาคารตระหนักถึงการมีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจ และตอบสนองทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความเปราะบางจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย รวมทั้งแบ่งเบาภาระลูกค้าและผู้ประกอบการทุกประเภท ทั้งลูกค้าเอสเอ็มอีและลูกค้ารายย่อย ธนาคารจึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MOR ลง 0.25%เหลืออัตรา 6.62% ต่อปี และดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ลง 0.125% เหลืออัตรา 6.745% ต่อปี ซึ่งธนาคารหวังว่า การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม สําหรับดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารปรับลดเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา ซึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยตลาด ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27753
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'หม่อมเต่า'ห่วงแรงงาน เรียก ขรก.ประชุมด่วน เพิ่มมาตรการเยียวยาพิษโควิด -19
วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 'หม่อมเต่า'ห่วงแรงงาน เรียก ขรก.ประชุมด่วน เพิ่มมาตรการเยียวยาพิษโควิด -19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรียกข้าราชการประชุมด่วน เพิ่มมาตรการเยียวยาลูกจ้างผู้ประกันตน แก้กฎกระทรวง กําหนดหลักเกณฑ์ใหม่ เพื่อให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ไม่ต่ํากว่าเดือนละ 5,000 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่ 1 มี.ค.2563 วันนี้ (29 มีนาคม 2563) หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นการเร่งด่วน โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม พร้อมด้วยเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา รองผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ และที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ กรมสรรพากร เพื่อหารือมาตรการช่วยเหลือแรงงานซึ่งเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 โดยที่ประชุมเห็นชอบให้กระทรวงแรงงาน โดยสํานักงานประกันสังคม แก้ไขกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ เพื่อให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ไม่ถึง 5,000 บาท มีสิทธิได้รับเงินไม่ต่ํากว่าเดือนละ 5,000 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2563 เพื่อให้สอดคล้องและเท่าเทียมกันกับการช่วยเหลือแรงงานลูกจ้างที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม โดยจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ในวันอังคารที่ 31 มีนาคมจะถึงนี้ ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 1 สํานักงานประกันสังคม ตลอด 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'หม่อมเต่า'ห่วงแรงงาน เรียก ขรก.ประชุมด่วน เพิ่มมาตรการเยียวยาพิษโควิด -19 วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 'หม่อมเต่า'ห่วงแรงงาน เรียก ขรก.ประชุมด่วน เพิ่มมาตรการเยียวยาพิษโควิด -19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรียกข้าราชการประชุมด่วน เพิ่มมาตรการเยียวยาลูกจ้างผู้ประกันตน แก้กฎกระทรวง กําหนดหลักเกณฑ์ใหม่ เพื่อให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ไม่ต่ํากว่าเดือนละ 5,000 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่ 1 มี.ค.2563 วันนี้ (29 มีนาคม 2563) หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นการเร่งด่วน โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม พร้อมด้วยเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา รองผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ และที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ กรมสรรพากร เพื่อหารือมาตรการช่วยเหลือแรงงานซึ่งเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 โดยที่ประชุมเห็นชอบให้กระทรวงแรงงาน โดยสํานักงานประกันสังคม แก้ไขกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ เพื่อให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ไม่ถึง 5,000 บาท มีสิทธิได้รับเงินไม่ต่ํากว่าเดือนละ 5,000 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2563 เพื่อให้สอดคล้องและเท่าเทียมกันกับการช่วยเหลือแรงงานลูกจ้างที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม โดยจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ในวันอังคารที่ 31 มีนาคมจะถึงนี้ ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 1 สํานักงานประกันสังคม ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28060
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงกลาโหมไทย รับมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์จากกระทรวงกลาโหมจีน ช่วยไทยสู้ COVID-19 [กระทรวงกลาโหม]
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563 กระทรวงกลาโหมไทย รับมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์จากกระทรวงกลาโหมจีน ช่วยไทยสู้ COVID-19 [กระทรวงกลาโหม] กระทรวงกลาโหมไทย รับมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์จากกระทรวงกลาโหมจีน ช่วยไทยสู้ COVID-19!! "จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" เช้าวันนี้ (อังคาร ที่ 12 พ.ค. 63) พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ รวมถึงสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จาก นาย Yang Xin (หยาง ซิน) อุปทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (ดอนเมือง) สืบเนื่องจากในปัจุบัน การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติ รวมถึงภาคเศรษฐกิจในทั่วโลก ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่จะต้องร่วมมือกันควบคุมการแพร่ระบาด ทั้งนี้ เป็นการมอบอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ และสิ่งของ อาทิ เครื่องช่วยหายใจแบบไม่เข้าไปในร่างกาย จํานวน 6 เครื่อง, เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ จํานวน 10 เครื่อง, เครื่องควบคุมการให้สารละลายทางหลอกเลือดดํา จํานวน 30 เครื่อง, เครื่องวัดอุณภูมิที่ศรีษะแบบอินฟาเรด จํานวน 100 เครื่อง, ชุดตรวจโควิด-19 แบบPCR จํานวน 6,000 ชุด, หน้ากากทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว จํานวน 100,000 ชิ้น, หน้ากากทางการแพทย์สําหรับผ่าตัด จํานวน 15,000 ชิ้น, แว่นป้องกันทางการแพทย์ จํานวน 10,500 คู่, ชุดสวมป้องกันทางการแพทย์ จํานวน 7,000 ชุด, ถุงมือมือป้องกันเคมี ชีวะ และนิวเคลียร์ จํานวน 120 กล่อง ฯลฯ รวมทั้งหมดมูลค่าที่ 6 ล้านหยวน หรือ 30 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อ ตลอดจนใช้ป้องกันให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศไทยอีกด้วย โดยการมอบความช่วยเหลือของกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีนให้กับประเทศไทยในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงมิตรภาพ ดังคํากล่าวที่ว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ซึ่งถือว่าประชาชนของทั้งสองประเทศนี้ จะไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ความสัมพันธ์ไทย-จีนจะยั่งยืนตลอดไป และจะผ่านพ้นห้วงเวลานี้ไปได้อย่างแน่นอน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงกลาโหมไทย รับมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์จากกระทรวงกลาโหมจีน ช่วยไทยสู้ COVID-19 [กระทรวงกลาโหม] วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563 กระทรวงกลาโหมไทย รับมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์จากกระทรวงกลาโหมจีน ช่วยไทยสู้ COVID-19 [กระทรวงกลาโหม] กระทรวงกลาโหมไทย รับมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์จากกระทรวงกลาโหมจีน ช่วยไทยสู้ COVID-19!! "จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" เช้าวันนี้ (อังคาร ที่ 12 พ.ค. 63) พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ รวมถึงสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จาก นาย Yang Xin (หยาง ซิน) อุปทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (ดอนเมือง) สืบเนื่องจากในปัจุบัน การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติ รวมถึงภาคเศรษฐกิจในทั่วโลก ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่จะต้องร่วมมือกันควบคุมการแพร่ระบาด ทั้งนี้ เป็นการมอบอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ และสิ่งของ อาทิ เครื่องช่วยหายใจแบบไม่เข้าไปในร่างกาย จํานวน 6 เครื่อง, เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ จํานวน 10 เครื่อง, เครื่องควบคุมการให้สารละลายทางหลอกเลือดดํา จํานวน 30 เครื่อง, เครื่องวัดอุณภูมิที่ศรีษะแบบอินฟาเรด จํานวน 100 เครื่อง, ชุดตรวจโควิด-19 แบบPCR จํานวน 6,000 ชุด, หน้ากากทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว จํานวน 100,000 ชิ้น, หน้ากากทางการแพทย์สําหรับผ่าตัด จํานวน 15,000 ชิ้น, แว่นป้องกันทางการแพทย์ จํานวน 10,500 คู่, ชุดสวมป้องกันทางการแพทย์ จํานวน 7,000 ชุด, ถุงมือมือป้องกันเคมี ชีวะ และนิวเคลียร์ จํานวน 120 กล่อง ฯลฯ รวมทั้งหมดมูลค่าที่ 6 ล้านหยวน หรือ 30 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อ ตลอดจนใช้ป้องกันให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศไทยอีกด้วย โดยการมอบความช่วยเหลือของกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีนให้กับประเทศไทยในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงมิตรภาพ ดังคํากล่าวที่ว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ซึ่งถือว่าประชาชนของทั้งสองประเทศนี้ จะไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ความสัมพันธ์ไทย-จีนจะยั่งยืนตลอดไป และจะผ่านพ้นห้วงเวลานี้ไปได้อย่างแน่นอน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30675
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลชวนใช้บริการ e-Service ของรัฐ พร้อมแล้ว 280 บริการ เดินหน้าตามแผนรัฐบาลดิจิทัล
วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2563 รัฐบาลชวนใช้บริการ e-Service ของรัฐ พร้อมแล้ว 280 บริการ เดินหน้าตามแผนรัฐบาลดิจิทัล รัฐบาลชวนใช้บริการ e-Service ของรัฐ พร้อมแล้ว 280 บริการ เดินหน้าตามแผนรัฐบาลดิจิทัล นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา ได้มีการติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนงานบริการของรัฐแบบ e-Service ตามนโยบายรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) ซึ่งทางสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้รายงานให้ทราบถึงความคืบหน้าว่า ณ ปัจจุบันนี้ มีงานบริการในรูปแบบ e-Service เรียบร้อยแล้ว 280 งาน โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานบริการ และให้ประชาชนสามารถติดต่อขอรับบริการจากหน่วยงานของรัฐได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องเดินทางไปติดต่อ ณ สํานักงาน ทั้งนี้ แนวทางในการขับเคลื่อนสู่การบริการแบบ e-Service แบ่งออเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก กลุ่มงานบริการที่มีผลกระทบให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น หรือ สนับสนุน ช่วยเหลือให้ภาคเศรษฐกิจ และสังคมที่ประสบปัญหาในภาวะสถานการณ์โรคโควิด 19 ให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและยั่งยืน หรืองานที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศ เช่น ระบบฐานข้อมลูเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย การพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรสู่มาตรฐาน(GAP)พืช ประมง และปศุสัตว์ การช่วยเหลือและพัฒนาศักยภาพผู้ว่างงานให้กลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน ระบบสนับสนุน SMEs (One ID One SMEs) การตรวจสอบสถานะคดี ระบบ e-VISA ระบบจองคิวพบแพทย์ ระบบการวินิจฉัยโรคและให้คําปรึกษาแนะนําด้านสุขภาพแก่ประชาชน ระบบการให้ความช่วยเหลือและการสงเคราะห์ผู้สูงอายุ ระบบรับชําระภาษีที่ดิน เป็นต้น กลุ่มที่ 2 กลุ่มงานบริการที่มีการให้บริการแบบออนไลน์แล้ว แต่เป็นบริการออนไลน์ที่ไม่สามารถให้บริการได้แบบเบ็ดเสร็จ โดยมีบ้างขั้นตอนประชาชนยังต้องเดินทางไปติดต่อ เช่น ประชาชนสามารถยื่นเรื่อง/ยื่นคําขอผ่านระบบออนไลน์ได้ แต่ขั้นตอนการติดตามเรื่องชําระค่าธรรมเนียมหรือรับเอกสารราชการ ยังคงต้องเดินทางไปติดต่อ ณ หน่วยงานของรัฐ เป็นต้น การดําเนินการของงานกลุ่มนี้ จะมุ่งไปที่การยกระดับการให้บริการไปสู่การให้บริการแบบ e-Service ได้แบบเบ็ดเสร็จ ที่ประชาชนสามารถยื่นเรื่อง/ยื่นขอชําระค่าธรรมเนียม และออกใบอนุญาตได้ทางอิเล็กทรอนิกส์หรือการอนุมัติผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ต้องเดินทางไปติดต่อ ในส่วนงานกลุ่มที่ 3 ซึ่งเป็นกลุ่มงานบริการที่ยังไม่มีการให้บริการแบบออนไลน์ การดําเนินการตั้งเป้าที่การพัฒนาให้มีระบบ e-Service ให้ได้อย่างน้อยในระดับที่ประชาชนสามารยื่นเรื่อง/ยื่นคําขอผ่านระบบออนไลน์ได้ นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนางานบริการของรัฐในรูปแบบ e-Service เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพงานบริการประชาชนอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว แม่นยํา และมีประสิทธิภาพ อีกทั้งต้องเป็นระบบที่ประชาชนสามารถตรวจสอบความโปร่งใสในการทํางานของรัฐบาลได้ สําหรับรายชื่องานบริการของรัฐ แบบ e-Service ทั้ง280 งานนั้น ประชาชนสามารถ เข้าถึงลิงก์บริการได้ทุกวันและเวลา ผ่านเว็บไซต์สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปติดต่อที่สํานักงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลชวนใช้บริการ e-Service ของรัฐ พร้อมแล้ว 280 บริการ เดินหน้าตามแผนรัฐบาลดิจิทัล วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2563 รัฐบาลชวนใช้บริการ e-Service ของรัฐ พร้อมแล้ว 280 บริการ เดินหน้าตามแผนรัฐบาลดิจิทัล รัฐบาลชวนใช้บริการ e-Service ของรัฐ พร้อมแล้ว 280 บริการ เดินหน้าตามแผนรัฐบาลดิจิทัล นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา ได้มีการติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนงานบริการของรัฐแบบ e-Service ตามนโยบายรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) ซึ่งทางสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้รายงานให้ทราบถึงความคืบหน้าว่า ณ ปัจจุบันนี้ มีงานบริการในรูปแบบ e-Service เรียบร้อยแล้ว 280 งาน โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานบริการ และให้ประชาชนสามารถติดต่อขอรับบริการจากหน่วยงานของรัฐได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องเดินทางไปติดต่อ ณ สํานักงาน ทั้งนี้ แนวทางในการขับเคลื่อนสู่การบริการแบบ e-Service แบ่งออเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก กลุ่มงานบริการที่มีผลกระทบให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น หรือ สนับสนุน ช่วยเหลือให้ภาคเศรษฐกิจ และสังคมที่ประสบปัญหาในภาวะสถานการณ์โรคโควิด 19 ให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและยั่งยืน หรืองานที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศ เช่น ระบบฐานข้อมลูเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย การพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรสู่มาตรฐาน(GAP)พืช ประมง และปศุสัตว์ การช่วยเหลือและพัฒนาศักยภาพผู้ว่างงานให้กลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน ระบบสนับสนุน SMEs (One ID One SMEs) การตรวจสอบสถานะคดี ระบบ e-VISA ระบบจองคิวพบแพทย์ ระบบการวินิจฉัยโรคและให้คําปรึกษาแนะนําด้านสุขภาพแก่ประชาชน ระบบการให้ความช่วยเหลือและการสงเคราะห์ผู้สูงอายุ ระบบรับชําระภาษีที่ดิน เป็นต้น กลุ่มที่ 2 กลุ่มงานบริการที่มีการให้บริการแบบออนไลน์แล้ว แต่เป็นบริการออนไลน์ที่ไม่สามารถให้บริการได้แบบเบ็ดเสร็จ โดยมีบ้างขั้นตอนประชาชนยังต้องเดินทางไปติดต่อ เช่น ประชาชนสามารถยื่นเรื่อง/ยื่นคําขอผ่านระบบออนไลน์ได้ แต่ขั้นตอนการติดตามเรื่องชําระค่าธรรมเนียมหรือรับเอกสารราชการ ยังคงต้องเดินทางไปติดต่อ ณ หน่วยงานของรัฐ เป็นต้น การดําเนินการของงานกลุ่มนี้ จะมุ่งไปที่การยกระดับการให้บริการไปสู่การให้บริการแบบ e-Service ได้แบบเบ็ดเสร็จ ที่ประชาชนสามารถยื่นเรื่อง/ยื่นขอชําระค่าธรรมเนียม และออกใบอนุญาตได้ทางอิเล็กทรอนิกส์หรือการอนุมัติผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ต้องเดินทางไปติดต่อ ในส่วนงานกลุ่มที่ 3 ซึ่งเป็นกลุ่มงานบริการที่ยังไม่มีการให้บริการแบบออนไลน์ การดําเนินการตั้งเป้าที่การพัฒนาให้มีระบบ e-Service ให้ได้อย่างน้อยในระดับที่ประชาชนสามารยื่นเรื่อง/ยื่นคําขอผ่านระบบออนไลน์ได้ นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนางานบริการของรัฐในรูปแบบ e-Service เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพงานบริการประชาชนอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว แม่นยํา และมีประสิทธิภาพ อีกทั้งต้องเป็นระบบที่ประชาชนสามารถตรวจสอบความโปร่งใสในการทํางานของรัฐบาลได้ สําหรับรายชื่องานบริการของรัฐ แบบ e-Service ทั้ง280 งานนั้น ประชาชนสามารถ เข้าถึงลิงก์บริการได้ทุกวันและเวลา ผ่านเว็บไซต์สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปติดต่อที่สํานักงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33840
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่องเทรนด์ผู้บริโภคเมียนมา : เปิดเพดานการค้าการลงทุนยุคใหม่ โดย ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)
วันอังคารที่ 20 มิถุนายน 2560 ส่องเทรนด์ผู้บริโภคเมียนมา : เปิดเพดานการค้าการลงทุนยุคใหม่ โดย ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ส่องเทรนด์ผู้บริโภคเมียนมา : เปิดเพดานการค้าการลงทุนยุคใหม่ การดําเนินนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาลเมียนมาในปี 2553 ควบคู่ไปกับการยกเครื่องนโยบายพัฒนาประเทศครั้งใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเปลี่ยนสําคัญของเมียนมาทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยในด้านเศรษฐกิจ เมียนมาสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากเดิมที่เคยซบเซาและถูกมองข้ามจากนักลงทุนต่างชาติ ด้วยผลของมาตรการคว่ําบาตร ไปสู่ประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกด้วยอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยราว 8% ต่อปีและกลายเป็นหนึ่งในประเทศเนื้อหอมที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ ขณะที่ในด้านสังคม วิถีชีวิตของชาวเมียนมากําลังเปลี่ยนแปลงจากการเป็นสังคมชนบทไปสู่สังคมเมือง (Urbanization) สังเกตได้จากในปี 2558 ที่ประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองของเมียนมามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 34% ของประชากรทั้งประเทศเทียบกับ 29% ในปี 2548 ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ย่อมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการบริโภคและก่อให้เกิดเทรนด์ใหม่ๆ ของชาวเมียนมาที่น่าสนใจ ดังนี้ ความต้องการสิ่งอํานวยความสะดวกที่มาพร้อมกับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยกําลังซื้อของชาวเมียนมาที่เพิ่มขึ้น กลุ่มชนชั้นกลางที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วตามภาวะเศรษฐกิจที่กําลังร้อนแรง ทําให้ผู้บริโภคชาวเมียนมาเริ่มมีความต้องการสิ่งอํานวยความสะดวกในชีวิตประจําวันนอกเหนือจากปัจจัย 4 มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ซึ่งถือเป็นสินค้าที่กําลังมาแรงในกลุ่มผู้บริโภคเมียนมายุคใหม่ โดยนับตั้งแต่เมียนมาเปิดประเทศ มูลค่านําเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยและเครื่องใช้อํานวยความสะดวกต่างๆ ของเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์ ซึ่งในปี 2559 มีมูลค่านําเข้ารวมกันราว 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับปี 2552 ในช่วงก่อนเปิดประเทศที่เมียนมานําเข้าสินค้าดังกล่าวรวมกันเพียง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ยราว 50% ต่อปี กระแสสุขภาพและความงามกับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น กระแสห่วงใยในสุขภาพและความงามถือเป็นหนึ่งในกระแสที่กําลังมาแรงทั่วโลก ในเมียนมาก็เช่นกัน ด้วยคุณภาพชีวิตของชาวเมียนมาที่ยกระดับขึ้นในทุกมิตินับตั้งแต่เปิดประเทศ ไม่ว่าจะเป็นระดับรายได้ที่สูงขึ้น รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและสื่อต่างๆ ที่เปิดกว้าง ส่งผลให้ชาวเมียนมาหันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้น ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WTO) ประเมินว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของเมียนมาในปี 2558 มีมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นมากจากปี 2553 ซึ่งมีมูลค่าเพียง 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 23% ต่อปี เช่นเดียวกับธุรกิจด้านความงาม ซึ่งเมียนมาถือเป็นหนึ่งในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดและกลายเป็นเป้าหมายสําคัญของแบรนด์เครื่องสําอางชั้นนําของโลก โดยมูลค่านําเข้าเครื่องสําอางและผลิตภัณฑ์บํารุงผิวของเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2553 เป็น 92 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2559 หรือคิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ยสูงถึงเกือบ 80% ต่อปี ธุรกิจบันเทิงและสันทนาการกลับมาบูมอีกครั้ง ในช่วงที่เมียนมาดําเนินนโยบายปิดประเทศ ธุรกิจบันเทิงและสันทนาการต่างๆ ถือเป็นธุรกิจที่ถูกควบคุมค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเปิดประเทศ ธุรกิจบันเทิงและสันทนาการกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เติบโตมากที่สุด สอดคล้องกับผลสํารวจของ Deloitte บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจและการตลาดชื่อดังของโลกที่พบว่า ปัจจุบันชาวเมียนมาที่มีรายได้ระดับกลางถึงสูงจะมีค่าใช้จ่ายด้านบันเทิงและสันทนาการสูงถึงราว 11-15% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด มากเป็นอันดับ 2 รองจากค่าใช้จ่ายด้านอาหาร ทําให้ธุรกิจบันเทิงหลายรูปแบบในเมียนมากําลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่ปัจจุบันนักธุรกิจในเมียนมามีแผนสร้างโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอีกกว่า 100 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2561 จากเดิมที่มีเพียง 40 แห่งในช่วงที่เมียนมาปิดประเทศ นอกจากนี้ ธุรกิจจัดงานอีเวนท์และเทศกาลดนตรีต่างๆ ก็กําลังได้รับความนิยมอย่างมากในเมียนมา วิถีชีวิตที่เร่งรีบ สู่ธุรกิจ Fast Food และ Modern Café การเข้าสู่สังคมเมืองของเมียนมาส่งผลให้การใช้ชีวิตประจําวันของประชาชนในเขตเมืองมีความเร่งรีบมากขึ้น ประกอบกับการเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ จากต่างประเทศที่เข้ามามากขึ้น ทําให้การรับประทานอาหารจานด่วน (Fast Food) กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่กําลังได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ ขณะเดียวกันกระแสดื่มกาแฟตามร้านกาแฟสมัยใหม่ก็เป็นที่นิยมในเมียนมาเช่นเดียวกับเมืองใหญ่อื่นๆ ทั่วโลก ทําให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีแฟรนไชส์ร้านอาหารจานด่วนและร้านกาแฟชื่อดังหลายแห่งจากต่างประเทศเข้ามาเปิดให้บริการในเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่เคยมีเพียงไม่ถึง 5 แฟรนไชส์ในปี 2556 เป็นราว 50 แฟรนไชส์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเมืองย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ ไม่ว่าจะเป็น Pizza Hut, KFC, Lotteria, Swensens, Gloria Jean’s Coffees, True Coffee เป็นต้น Facebook...ช่องทางสื่อสารใหม่ที่ทรงพลัง จากกระแสเทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสารสมัยใหม่ที่เข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นในเมียนมา ดังเห็นได้จากจํานวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นจากราว 100,000 คนในปี 2553 เป็นราว 11 ล้านคนในปัจจุบัน เช่นเดียวกับจํานวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเช่นกันจาก 4 ล้านเลขหมายในปี 2557 เป็นราว 50 ล้านเลขหมายในปัจจุบัน ส่งผลให้ Social Media กําลังกลายเป็นช่องทางสื่อสารที่เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้บริโภคชาวเมียนมา โดยเฉพาะ Facebook ซึ่งถือเป็น Social Media ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเมียนมา หรือคิดเป็น 99% ของ Social Media ทั้งหมด ทั้งนี้ จํานวนผู้ใช้ Facebook ในเมียนมาเพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านบัญชีในปี 2556 เป็นราว 10 ล้านบัญชีในปัจจุบัน ทําให้ Facebook กลายเป็นหนึ่งในช่องทางการตลาดที่ได้รับความนิยมสูงช่องทางหนึ่งในเมียนมา พฤติกรรมการบริโภคของชาวเมียนมาที่เปลี่ยนไปส่งผลให้เกิดโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งในมิติด้านการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าและบริการที่สอดคล้องไปกับวิถีการใช้ชีวิตในสังคมเมืองและกําลังซื้อที่สูงขึ้นของชาวเมียนมา อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์และสินค้าประดับยนต์ เครื่องสําอาง ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม ธุรกิจบันเทิง ร้านอาหารสมัยใหม่ เป็นต้น ขณะที่ช่องทางในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในตลาดเมียนมาก็เปิดกว้างและทําได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะช่องทาง Social Media และสื่อออนไลน์ที่กําลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่ โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-6
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่องเทรนด์ผู้บริโภคเมียนมา : เปิดเพดานการค้าการลงทุนยุคใหม่ โดย ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) วันอังคารที่ 20 มิถุนายน 2560 ส่องเทรนด์ผู้บริโภคเมียนมา : เปิดเพดานการค้าการลงทุนยุคใหม่ โดย ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ส่องเทรนด์ผู้บริโภคเมียนมา : เปิดเพดานการค้าการลงทุนยุคใหม่ การดําเนินนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาลเมียนมาในปี 2553 ควบคู่ไปกับการยกเครื่องนโยบายพัฒนาประเทศครั้งใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเปลี่ยนสําคัญของเมียนมาทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยในด้านเศรษฐกิจ เมียนมาสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากเดิมที่เคยซบเซาและถูกมองข้ามจากนักลงทุนต่างชาติ ด้วยผลของมาตรการคว่ําบาตร ไปสู่ประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกด้วยอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยราว 8% ต่อปีและกลายเป็นหนึ่งในประเทศเนื้อหอมที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ ขณะที่ในด้านสังคม วิถีชีวิตของชาวเมียนมากําลังเปลี่ยนแปลงจากการเป็นสังคมชนบทไปสู่สังคมเมือง (Urbanization) สังเกตได้จากในปี 2558 ที่ประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองของเมียนมามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 34% ของประชากรทั้งประเทศเทียบกับ 29% ในปี 2548 ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ย่อมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการบริโภคและก่อให้เกิดเทรนด์ใหม่ๆ ของชาวเมียนมาที่น่าสนใจ ดังนี้ ความต้องการสิ่งอํานวยความสะดวกที่มาพร้อมกับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยกําลังซื้อของชาวเมียนมาที่เพิ่มขึ้น กลุ่มชนชั้นกลางที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วตามภาวะเศรษฐกิจที่กําลังร้อนแรง ทําให้ผู้บริโภคชาวเมียนมาเริ่มมีความต้องการสิ่งอํานวยความสะดวกในชีวิตประจําวันนอกเหนือจากปัจจัย 4 มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ซึ่งถือเป็นสินค้าที่กําลังมาแรงในกลุ่มผู้บริโภคเมียนมายุคใหม่ โดยนับตั้งแต่เมียนมาเปิดประเทศ มูลค่านําเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยและเครื่องใช้อํานวยความสะดวกต่างๆ ของเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์ ซึ่งในปี 2559 มีมูลค่านําเข้ารวมกันราว 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับปี 2552 ในช่วงก่อนเปิดประเทศที่เมียนมานําเข้าสินค้าดังกล่าวรวมกันเพียง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ยราว 50% ต่อปี กระแสสุขภาพและความงามกับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น กระแสห่วงใยในสุขภาพและความงามถือเป็นหนึ่งในกระแสที่กําลังมาแรงทั่วโลก ในเมียนมาก็เช่นกัน ด้วยคุณภาพชีวิตของชาวเมียนมาที่ยกระดับขึ้นในทุกมิตินับตั้งแต่เปิดประเทศ ไม่ว่าจะเป็นระดับรายได้ที่สูงขึ้น รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและสื่อต่างๆ ที่เปิดกว้าง ส่งผลให้ชาวเมียนมาหันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้น ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WTO) ประเมินว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของเมียนมาในปี 2558 มีมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นมากจากปี 2553 ซึ่งมีมูลค่าเพียง 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 23% ต่อปี เช่นเดียวกับธุรกิจด้านความงาม ซึ่งเมียนมาถือเป็นหนึ่งในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดและกลายเป็นเป้าหมายสําคัญของแบรนด์เครื่องสําอางชั้นนําของโลก โดยมูลค่านําเข้าเครื่องสําอางและผลิตภัณฑ์บํารุงผิวของเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2553 เป็น 92 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2559 หรือคิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ยสูงถึงเกือบ 80% ต่อปี ธุรกิจบันเทิงและสันทนาการกลับมาบูมอีกครั้ง ในช่วงที่เมียนมาดําเนินนโยบายปิดประเทศ ธุรกิจบันเทิงและสันทนาการต่างๆ ถือเป็นธุรกิจที่ถูกควบคุมค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเปิดประเทศ ธุรกิจบันเทิงและสันทนาการกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เติบโตมากที่สุด สอดคล้องกับผลสํารวจของ Deloitte บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจและการตลาดชื่อดังของโลกที่พบว่า ปัจจุบันชาวเมียนมาที่มีรายได้ระดับกลางถึงสูงจะมีค่าใช้จ่ายด้านบันเทิงและสันทนาการสูงถึงราว 11-15% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด มากเป็นอันดับ 2 รองจากค่าใช้จ่ายด้านอาหาร ทําให้ธุรกิจบันเทิงหลายรูปแบบในเมียนมากําลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่ปัจจุบันนักธุรกิจในเมียนมามีแผนสร้างโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอีกกว่า 100 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2561 จากเดิมที่มีเพียง 40 แห่งในช่วงที่เมียนมาปิดประเทศ นอกจากนี้ ธุรกิจจัดงานอีเวนท์และเทศกาลดนตรีต่างๆ ก็กําลังได้รับความนิยมอย่างมากในเมียนมา วิถีชีวิตที่เร่งรีบ สู่ธุรกิจ Fast Food และ Modern Café การเข้าสู่สังคมเมืองของเมียนมาส่งผลให้การใช้ชีวิตประจําวันของประชาชนในเขตเมืองมีความเร่งรีบมากขึ้น ประกอบกับการเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ จากต่างประเทศที่เข้ามามากขึ้น ทําให้การรับประทานอาหารจานด่วน (Fast Food) กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่กําลังได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ ขณะเดียวกันกระแสดื่มกาแฟตามร้านกาแฟสมัยใหม่ก็เป็นที่นิยมในเมียนมาเช่นเดียวกับเมืองใหญ่อื่นๆ ทั่วโลก ทําให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีแฟรนไชส์ร้านอาหารจานด่วนและร้านกาแฟชื่อดังหลายแห่งจากต่างประเทศเข้ามาเปิดให้บริการในเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่เคยมีเพียงไม่ถึง 5 แฟรนไชส์ในปี 2556 เป็นราว 50 แฟรนไชส์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเมืองย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ ไม่ว่าจะเป็น Pizza Hut, KFC, Lotteria, Swensens, Gloria Jean’s Coffees, True Coffee เป็นต้น Facebook...ช่องทางสื่อสารใหม่ที่ทรงพลัง จากกระแสเทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสารสมัยใหม่ที่เข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นในเมียนมา ดังเห็นได้จากจํานวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นจากราว 100,000 คนในปี 2553 เป็นราว 11 ล้านคนในปัจจุบัน เช่นเดียวกับจํานวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเช่นกันจาก 4 ล้านเลขหมายในปี 2557 เป็นราว 50 ล้านเลขหมายในปัจจุบัน ส่งผลให้ Social Media กําลังกลายเป็นช่องทางสื่อสารที่เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้บริโภคชาวเมียนมา โดยเฉพาะ Facebook ซึ่งถือเป็น Social Media ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเมียนมา หรือคิดเป็น 99% ของ Social Media ทั้งหมด ทั้งนี้ จํานวนผู้ใช้ Facebook ในเมียนมาเพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านบัญชีในปี 2556 เป็นราว 10 ล้านบัญชีในปัจจุบัน ทําให้ Facebook กลายเป็นหนึ่งในช่องทางการตลาดที่ได้รับความนิยมสูงช่องทางหนึ่งในเมียนมา พฤติกรรมการบริโภคของชาวเมียนมาที่เปลี่ยนไปส่งผลให้เกิดโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งในมิติด้านการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าและบริการที่สอดคล้องไปกับวิถีการใช้ชีวิตในสังคมเมืองและกําลังซื้อที่สูงขึ้นของชาวเมียนมา อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์และสินค้าประดับยนต์ เครื่องสําอาง ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม ธุรกิจบันเทิง ร้านอาหารสมัยใหม่ เป็นต้น ขณะที่ช่องทางในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในตลาดเมียนมาก็เปิดกว้างและทําได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะช่องทาง Social Media และสื่อออนไลน์ที่กําลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่ โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-6
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4661
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปรับปรุงถนนควบคู่ทางจักรยาน ระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร
วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561 กรมทางหลวงชนบทกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปรับปรุงถนนควบคู่ทางจักรยาน ระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการปรับปรุงถนนทางหลวงชนบทสาย ปข. 2052 แยกทางหลวงหมายเลข 37 - โครงการพระราชดําริอ่างเก็บน้ําห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมทางจักรยาน ระยะทาง 10.497 กิโลเมตร มีความคืบหน้ามากกว่า ร้อยละ 77 คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกรกฎาคม 2561 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ และสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรองตามนโยบายรัฐบาล นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า ทช. ได้ดําเนินโครงการปรับปรุงถนนทางหลวงชนบท สาย ปข. 2052 แยกทางหลวงหมายเลข 37 - โครงการพระราชดําริอ่างเก็บน้ําห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 10.497 กิโลเมตร โดยก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ขนาด 2 ช่องจราจร พร้อมทางจักรยาน กว้าง 3 เมตร (ด้านซ้ายทาง) มีจุดพักรถ จํานวน 3 แห่ง และสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก จํานวน 1 แห่ง งบประมาณการก่อสร้าง จํานวน 168 ล้านบาท ปัจจุบันผลการดําเนินงานมีความคืบหน้ามากกว่า ร้อยละ 77 คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ประชาชนสัญจรได้ประมาณเดือนกรกฎาคม 2561 เพื่ออํานวยความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปท่องเที่ยวตลาดน้ําสามพันนาม วัดห้วยมงคล ตลาดน้ําห้วยมงคล และโครงการพระราชดําริอ่างเก็บน้ําห้วยมงคล สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และการท่องเที่ยวเมืองรองตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งเป็นเส้นทางเชื่อมโยง อ.หัวหิน กับแหล่งท่องเที่ยวด้านฝั่งตะวันของทางหลวงหมายเลข 37 และสามารถเดินทางไปอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกรกฎาคม 2561 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ และสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรองตามนโยบายรัฐบาล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปรับปรุงถนนควบคู่ทางจักรยาน ระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561 กรมทางหลวงชนบทกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปรับปรุงถนนควบคู่ทางจักรยาน ระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการปรับปรุงถนนทางหลวงชนบทสาย ปข. 2052 แยกทางหลวงหมายเลข 37 - โครงการพระราชดําริอ่างเก็บน้ําห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมทางจักรยาน ระยะทาง 10.497 กิโลเมตร มีความคืบหน้ามากกว่า ร้อยละ 77 คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกรกฎาคม 2561 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ และสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรองตามนโยบายรัฐบาล นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า ทช. ได้ดําเนินโครงการปรับปรุงถนนทางหลวงชนบท สาย ปข. 2052 แยกทางหลวงหมายเลข 37 - โครงการพระราชดําริอ่างเก็บน้ําห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 10.497 กิโลเมตร โดยก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ขนาด 2 ช่องจราจร พร้อมทางจักรยาน กว้าง 3 เมตร (ด้านซ้ายทาง) มีจุดพักรถ จํานวน 3 แห่ง และสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก จํานวน 1 แห่ง งบประมาณการก่อสร้าง จํานวน 168 ล้านบาท ปัจจุบันผลการดําเนินงานมีความคืบหน้ามากกว่า ร้อยละ 77 คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ประชาชนสัญจรได้ประมาณเดือนกรกฎาคม 2561 เพื่ออํานวยความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปท่องเที่ยวตลาดน้ําสามพันนาม วัดห้วยมงคล ตลาดน้ําห้วยมงคล และโครงการพระราชดําริอ่างเก็บน้ําห้วยมงคล สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และการท่องเที่ยวเมืองรองตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งเป็นเส้นทางเชื่อมโยง อ.หัวหิน กับแหล่งท่องเที่ยวด้านฝั่งตะวันของทางหลวงหมายเลข 37 และสามารถเดินทางไปอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกรกฎาคม 2561 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ และสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรองตามนโยบายรัฐบาล
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10912
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ สมคิด ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 รองนายกฯ สมคิด ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (14 ส.ค. 62) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือราชการและให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งรองนายกฯ ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเน้นการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม โดยให้บูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และให้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น บีโอไอ เพื่อกําหนดมาตรการหรือสิทธิประโยชน์จูงใจให้กับผู้ประกอบการและเอสเอ็มอี ในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร/กระบวนการผลิต โดยนําเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติมาใช้ พร้อมเร่งดําเนินการดําเนินงาน Cyberport Thailand ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ----------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ สมคิด ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 รองนายกฯ สมคิด ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (14 ส.ค. 62) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือราชการและให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งรองนายกฯ ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเน้นการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม โดยให้บูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และให้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น บีโอไอ เพื่อกําหนดมาตรการหรือสิทธิประโยชน์จูงใจให้กับผู้ประกอบการและเอสเอ็มอี ในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร/กระบวนการผลิต โดยนําเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติมาใช้ พร้อมเร่งดําเนินการดําเนินงาน Cyberport Thailand ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ----------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22226
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประเทศไทยมีการประกาศให้ประเทศใดบ้าง เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายจากไวรัสโควิด-19 ??
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 ประเทศไทยมีการประกาศให้ประเทศใดบ้าง เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายจากไวรัสโควิด-19 ?? ประเทศไทยประกาศให้ประเทศใดเป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายบ้าง ? Q: ประเทศไทยมีการประกาศให้ประเทศใดบ้าง เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายจากไวรัสโควิด-19 ?? A: ประเทศจีน (รวมฮ่องกง , มาเก๊า) ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศอิตาลี และประเทศอิหร่าน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประเทศไทยมีการประกาศให้ประเทศใดบ้าง เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายจากไวรัสโควิด-19 ?? วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 ประเทศไทยมีการประกาศให้ประเทศใดบ้าง เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายจากไวรัสโควิด-19 ?? ประเทศไทยประกาศให้ประเทศใดเป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายบ้าง ? Q: ประเทศไทยมีการประกาศให้ประเทศใดบ้าง เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายจากไวรัสโควิด-19 ?? A: ประเทศจีน (รวมฮ่องกง , มาเก๊า) ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศอิตาลี และประเทศอิหร่าน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27487
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะโฆษกรัฐบาลร่วมกรมควบคุมมลพิษ ร่วมประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ในการป้องกันและหลีกเลี่ยงฝุ่นจิ๋ว PM 2.5
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 คณะโฆษกรัฐบาลร่วมกรมควบคุมมลพิษ ร่วมประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ในการป้องกันและหลีกเลี่ยงฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 คณะโฆษกรัฐบาลร่วมกรมควบคุมมลพิษ ร่วมประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ในการป้องกันและหลีกเลี่ยงฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 วันนี้ (17 ม.ค. 63) ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเรื่องการสร้างแนวทางการรับรู้เรื่องการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองร่วมกับ นาย ประลอง ดํารงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ โดยมี น.ส.รัชดา ธนาดิเรก และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือด้วย ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงต่อสื่อมวลชนถึงมาตราการในการแก้ไขและป้องกันปัญหามลพิษโดยฝุ่นละออง ว่า เนื่องจากแหล่งกําเนิดของฝุ่นละออง PM 2.5 นั้น 72.5% มาจากการขนส่งทางถนน ดังนั้นมาตราการที่จะใช้ป้องกันจึงมีจุดประสงค์ที่จะลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง อาทิเช่น การขยายเขตพื้นที่จํากัดรถบรรทุกเข้ากรุงเทพมหานคร จากวงแหวนรัชดาภิเษกเป็นวงแหวนกาญจนภิเษก หรือการห้ามรถบรรทุก เข้าพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานคร ในวันคี่ ระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ โดยกรมการขนส่งทางบกปฏิบัติการร่วมกับกองบังคับการตํารวจจราจร ในการตรวจจราจรในการตรวจสอบตรวจจับรถควันดําสําหรับรถโดยสารและรถบรรทุกเพื่อออกคําสั่งห้ามใช้รถ และตรวจวัดควันดํารถโดยสาร (ไม่ประจําทาง) โดยเพิ่มชุดตรวจเป็น 50 ชุด ครบทั้ง 50 เขตของกรุงทพมหานคร นอกจากนี้ยังมีมาตราการการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษในพื้นที่นอกกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่แหล่งกําเนิดมลพิษนั้นมาจากการเผาไหม้ในที่โล่งและห้ามการเผาขยะโดยเด็ดขาด รวมถึงการควบคุมและตรวจสอบโรงงานที่ทําให้เกิดฝุ่นละออง สุดท้ายนี้โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังกระชับให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมไม้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง และสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Air4Thai เพื่อติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 และรัฐบาลจะคอยติดตามและรายงานเพื่อเพิ่มการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชน ........................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะโฆษกรัฐบาลร่วมกรมควบคุมมลพิษ ร่วมประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ในการป้องกันและหลีกเลี่ยงฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 คณะโฆษกรัฐบาลร่วมกรมควบคุมมลพิษ ร่วมประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ในการป้องกันและหลีกเลี่ยงฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 คณะโฆษกรัฐบาลร่วมกรมควบคุมมลพิษ ร่วมประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ในการป้องกันและหลีกเลี่ยงฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 วันนี้ (17 ม.ค. 63) ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเรื่องการสร้างแนวทางการรับรู้เรื่องการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองร่วมกับ นาย ประลอง ดํารงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ โดยมี น.ส.รัชดา ธนาดิเรก และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือด้วย ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงต่อสื่อมวลชนถึงมาตราการในการแก้ไขและป้องกันปัญหามลพิษโดยฝุ่นละออง ว่า เนื่องจากแหล่งกําเนิดของฝุ่นละออง PM 2.5 นั้น 72.5% มาจากการขนส่งทางถนน ดังนั้นมาตราการที่จะใช้ป้องกันจึงมีจุดประสงค์ที่จะลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง อาทิเช่น การขยายเขตพื้นที่จํากัดรถบรรทุกเข้ากรุงเทพมหานคร จากวงแหวนรัชดาภิเษกเป็นวงแหวนกาญจนภิเษก หรือการห้ามรถบรรทุก เข้าพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานคร ในวันคี่ ระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ โดยกรมการขนส่งทางบกปฏิบัติการร่วมกับกองบังคับการตํารวจจราจร ในการตรวจจราจรในการตรวจสอบตรวจจับรถควันดําสําหรับรถโดยสารและรถบรรทุกเพื่อออกคําสั่งห้ามใช้รถ และตรวจวัดควันดํารถโดยสาร (ไม่ประจําทาง) โดยเพิ่มชุดตรวจเป็น 50 ชุด ครบทั้ง 50 เขตของกรุงทพมหานคร นอกจากนี้ยังมีมาตราการการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษในพื้นที่นอกกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่แหล่งกําเนิดมลพิษนั้นมาจากการเผาไหม้ในที่โล่งและห้ามการเผาขยะโดยเด็ดขาด รวมถึงการควบคุมและตรวจสอบโรงงานที่ทําให้เกิดฝุ่นละออง สุดท้ายนี้โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังกระชับให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมไม้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง และสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Air4Thai เพื่อติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 และรัฐบาลจะคอยติดตามและรายงานเพื่อเพิ่มการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชน ........................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25890
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใยพี่น้องชาวระยอง ขอให้มั่นใจระบบสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง กำชับจังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่น
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม 2563 นายกรัฐมนตรีห่วงใยพี่น้องชาวระยอง ขอให้มั่นใจระบบสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง กําชับจังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่น นายกรัฐมนตรีห่วงใยพี่น้องชาวระยอง ขอให้มั่นใจระบบสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง กําชับจังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่น วันที่ 15 ก.ค.63 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ลงพื้นที่จังหวัดระยอง เพื่อติดตามการทํางานของเจ้าหน้าที่ ใน 3 สถานที่สําคัญ ได้แก่ โรงแรม D Varee ห้าง Passion (ห้างแหลมทอง) พร้อมพบปะให้กําลังใจประชาชน ณ ตลาดสดสตาร์ เมื่อเดินทางถึง นายกรัฐมนตรีเดินทางไปจุดแรกที่โรงแรม D Varee เพื่อรับฟังรายงานจากนายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชค ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อระดับจังหวัด โดยนายกรัฐมนตรีให้ความสนใจสอบถามขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ พร้อมกําชับผู้ปฏิบัติหน้างานทุกระดับต้องทํางานเชิงรุก เน้นการสื่อสารทุกระดับ สอดประสานอย่างละเอียด ต้องปิดทุกช่องว่างในโครงสร้างการทํางาน ขอให้มั่นใจรัฐบาลต้องทํางานให้ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ จากนั้นเดินทางต่อไปห้าง Passion (ห้างแหลมทอง) โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายและให้กําลังใจพี่น้องประชาชนที่มารอรับการตรวจหาเชื้ออโควิด-19 โดยรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย พระราชทาน โดยขอให้ประชาชนดูแลสุขอนามัย สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ต่อมา นายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางไปยังตลาดสดสตาร์ เพื่อพบปะให้กําลังใจพ่อค้าและแม่ค้า โดยวันนี้ตั้งใจเดินทางมาระยองด้วยตนเอง ขอให้มั่นใจไทยมีระบบการแพทย์ที่เข้มแข็ง ขณะนี้ยังไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ ที่สําคัญทุกคนอย่าสร้างความตื่นกลัว คนไทยต้องร่วมมือกัน เป็นกําลังใจซึ่งกันและกัน โดยตลอดเส้นทางมีพี่น้องประชาชนตะโกนให้กําลังใจนายกรัฐมนตรี “สู้สู้” ซึ่งนายกรัฐมนตรีตอบกลับไปว่า “ระยองสู้สู้” พร้อมอวยพรให้พ่อค้าแม่ค้าชาวตลาด ค้าขายดีนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป โดยกําชับให้จังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องชาวระยองด้วย ทั้งนี้ ก่อนเดินทางกลับ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านสื่อมวลชน ขอให้เชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของไทย ทีมแพทย์ไทย ไม่มีใครอยากให้สถานการณ์เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว รัฐบาลจะทําดีที่สุด โดยนายกรัฐมนตรีใช้เวลาในการเดินตลาดร่วม 30 นาทีก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใยพี่น้องชาวระยอง ขอให้มั่นใจระบบสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง กำชับจังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่น วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม 2563 นายกรัฐมนตรีห่วงใยพี่น้องชาวระยอง ขอให้มั่นใจระบบสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง กําชับจังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่น นายกรัฐมนตรีห่วงใยพี่น้องชาวระยอง ขอให้มั่นใจระบบสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง กําชับจังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่น วันที่ 15 ก.ค.63 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ลงพื้นที่จังหวัดระยอง เพื่อติดตามการทํางานของเจ้าหน้าที่ ใน 3 สถานที่สําคัญ ได้แก่ โรงแรม D Varee ห้าง Passion (ห้างแหลมทอง) พร้อมพบปะให้กําลังใจประชาชน ณ ตลาดสดสตาร์ เมื่อเดินทางถึง นายกรัฐมนตรีเดินทางไปจุดแรกที่โรงแรม D Varee เพื่อรับฟังรายงานจากนายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชค ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อระดับจังหวัด โดยนายกรัฐมนตรีให้ความสนใจสอบถามขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ พร้อมกําชับผู้ปฏิบัติหน้างานทุกระดับต้องทํางานเชิงรุก เน้นการสื่อสารทุกระดับ สอดประสานอย่างละเอียด ต้องปิดทุกช่องว่างในโครงสร้างการทํางาน ขอให้มั่นใจรัฐบาลต้องทํางานให้ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ จากนั้นเดินทางต่อไปห้าง Passion (ห้างแหลมทอง) โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายและให้กําลังใจพี่น้องประชาชนที่มารอรับการตรวจหาเชื้ออโควิด-19 โดยรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย พระราชทาน โดยขอให้ประชาชนดูแลสุขอนามัย สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ต่อมา นายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางไปยังตลาดสดสตาร์ เพื่อพบปะให้กําลังใจพ่อค้าและแม่ค้า โดยวันนี้ตั้งใจเดินทางมาระยองด้วยตนเอง ขอให้มั่นใจไทยมีระบบการแพทย์ที่เข้มแข็ง ขณะนี้ยังไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ ที่สําคัญทุกคนอย่าสร้างความตื่นกลัว คนไทยต้องร่วมมือกัน เป็นกําลังใจซึ่งกันและกัน โดยตลอดเส้นทางมีพี่น้องประชาชนตะโกนให้กําลังใจนายกรัฐมนตรี “สู้สู้” ซึ่งนายกรัฐมนตรีตอบกลับไปว่า “ระยองสู้สู้” พร้อมอวยพรให้พ่อค้าแม่ค้าชาวตลาด ค้าขายดีนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป โดยกําชับให้จังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องชาวระยองด้วย ทั้งนี้ ก่อนเดินทางกลับ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านสื่อมวลชน ขอให้เชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของไทย ทีมแพทย์ไทย ไม่มีใครอยากให้สถานการณ์เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว รัฐบาลจะทําดีที่สุด โดยนายกรัฐมนตรีใช้เวลาในการเดินตลาดร่วม 30 นาทีก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33431
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวนออมสินกับ “เรือออมสิน”
วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560 ชวนออมสินกับ “เรือออมสิน” ออมสินเปิดให้บริการรับฝากเงินเป็นกรณีพิเศษ วันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2560 ระหว่างเวลา 8.30 – 12.00 น. พร้อมกับมอบ “กระปุกเรือออมสิน” เป็นที่ระลึก 1 ใบ ต่อ 1 บัญชี เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารออมสิน วันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2560 เพื่อเป็นการรําลึกถึงความเป็นสถาบันเพื่อการออมมาอย่างยาวนาน 104 ปี อีกทั้งยังเป็นการขอบคุณลูกค้าและประชาชนทั่วไปที่ให้ความไว้วางใจในการฝากเงินกับธนาคารออมสิน ธนาคารฯ จึงได้เปิดให้บริการรับฝากเงินเป็นกรณีพิเศษ ระหว่างเวลา 8.30 – 12.00 น. พร้อมกับมอบ “กระปุกเรือออมสิน” เป็นที่ระลึก 1 ใบ ต่อ 1 บัญชี เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมให้แก่ผู้เปิดบัญชีเงินฝากใหม่หรือฝากเงินประเภทใดก็ได้ด้วยตนเองไม่ต่ํากว่าบัญชีละ 500 บาท (ของมีจํานวนจํากัด)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวนออมสินกับ “เรือออมสิน” วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560 ชวนออมสินกับ “เรือออมสิน” ออมสินเปิดให้บริการรับฝากเงินเป็นกรณีพิเศษ วันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2560 ระหว่างเวลา 8.30 – 12.00 น. พร้อมกับมอบ “กระปุกเรือออมสิน” เป็นที่ระลึก 1 ใบ ต่อ 1 บัญชี เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารออมสิน วันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2560 เพื่อเป็นการรําลึกถึงความเป็นสถาบันเพื่อการออมมาอย่างยาวนาน 104 ปี อีกทั้งยังเป็นการขอบคุณลูกค้าและประชาชนทั่วไปที่ให้ความไว้วางใจในการฝากเงินกับธนาคารออมสิน ธนาคารฯ จึงได้เปิดให้บริการรับฝากเงินเป็นกรณีพิเศษ ระหว่างเวลา 8.30 – 12.00 น. พร้อมกับมอบ “กระปุกเรือออมสิน” เป็นที่ระลึก 1 ใบ ต่อ 1 บัญชี เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมให้แก่ผู้เปิดบัญชีเงินฝากใหม่หรือฝากเงินประเภทใดก็ได้ด้วยตนเองไม่ต่ํากว่าบัญชีละ 500 บาท (ของมีจํานวนจํากัด)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2741
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศหารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี ผ่านระบบทางไกล [กระทรวงการต่างประเทศ]
วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน 2563 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการต่างประเทศหารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี ผ่านระบบทางไกล [กระทรวงการต่างประเทศ] ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการต่างประเทศหารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี ผ่านระบบทางไกล วันนี้ (5 มิถุนายน 2563) นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการต่างประเทศหารือกับ H.E. Mr. Manlio Di Stefano รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี ผ่านระบบทางไกล เกี่ยวกับความร่วมมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศภายหลังโควิด19 ความสัมพันธ์การเจรจา FTA ไทย-อียู และความร่วมมือระหว่างอิตาลีกับอาเซียน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศหารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี ผ่านระบบทางไกล [กระทรวงการต่างประเทศ] วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน 2563 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการต่างประเทศหารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี ผ่านระบบทางไกล [กระทรวงการต่างประเทศ] ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการต่างประเทศหารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี ผ่านระบบทางไกล วันนี้ (5 มิถุนายน 2563) นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการต่างประเทศหารือกับ H.E. Mr. Manlio Di Stefano รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี ผ่านระบบทางไกล เกี่ยวกับความร่วมมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศภายหลังโควิด19 ความสัมพันธ์การเจรจา FTA ไทย-อียู และความร่วมมือระหว่างอิตาลีกับอาเซียน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32010
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. พิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญาฯ
วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 ยธ. พิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญาฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ ในวันศุกร์ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๒๐๓ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ เพื่อพิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ.๒๕๔๔ (และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙) โดยมี นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมด้วย ว่าที่ร้อยตรีธนกร สถานานนท์ ผู้อํานวยการสํานักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เข้าร่วม สําหรับการประชุมในครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหาย และจําเลยในคดีอาญา โดยแบ่งเป็นผู้เสียหาย จํานวน ๑,๐๔๙ เรื่อง และจําเลย จํานวน ๖๔ เรื่อง รวมทั้งสิ้นจํานวน ๑,๑๑๓ เรื่อง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. พิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญาฯ วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 ยธ. พิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญาฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ ในวันศุกร์ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๒๐๓ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๙/๒๕๖๐ เพื่อพิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ.๒๕๔๔ (และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙) โดยมี นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมด้วย ว่าที่ร้อยตรีธนกร สถานานนท์ ผู้อํานวยการสํานักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เข้าร่วม สําหรับการประชุมในครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหาย และจําเลยในคดีอาญา โดยแบ่งเป็นผู้เสียหาย จํานวน ๑,๐๔๙ เรื่อง และจําเลย จํานวน ๖๔ เรื่อง รวมทั้งสิ้นจํานวน ๑,๑๑๓ เรื่อง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7085
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ เปิดงาน ASEAN CERAMICS 2019
วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 รองปลัดฯ เปิดงาน ASEAN CERAMICS 2019 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ASEAN CERAMICS 2019 จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 28-30 สิงหาคม 2562 ณ อิมแพค ฟอรัม เมืองทองธานี วันนี้ (28 สิงหาคม 2562) นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ASEAN CERAMICS 2019 จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 28-30 สิงหาคม 2562 ซึ่งเป็นงานเเสดงสินค้าและการจัดนิทรรศการที่นําเสนอเกี่ยวกับนวัตกรรม เทคโนโลยี และวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซรามิก เเละภายในงานมีการสัมมนาเชิงวิชาการ International Conference on Tradition and Advanced Ceramics : ICTA2019 และ Asean-Oceana Ceramics Conference โดยได้รับการประสานความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุเเห่งชาติ สมาคมเซรามิกไทย สมาคมการพิมพ์ สภาอุตสาหกรรมไทย และรวมไปถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และภาคเอกชนอย่าง scg ได้เข้ามามีส่วนร่วม โดยภายในงานมีบูทแสดงสินค้านวัตกรรมจาก 36 ประเทศ มีบูทเเสดงสินค้ากว่า 80 บูท ณ อิมแพค ฟอรัม เมืองทองธานี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ เปิดงาน ASEAN CERAMICS 2019 วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 รองปลัดฯ เปิดงาน ASEAN CERAMICS 2019 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ASEAN CERAMICS 2019 จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 28-30 สิงหาคม 2562 ณ อิมแพค ฟอรัม เมืองทองธานี วันนี้ (28 สิงหาคม 2562) นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ASEAN CERAMICS 2019 จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 28-30 สิงหาคม 2562 ซึ่งเป็นงานเเสดงสินค้าและการจัดนิทรรศการที่นําเสนอเกี่ยวกับนวัตกรรม เทคโนโลยี และวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซรามิก เเละภายในงานมีการสัมมนาเชิงวิชาการ International Conference on Tradition and Advanced Ceramics : ICTA2019 และ Asean-Oceana Ceramics Conference โดยได้รับการประสานความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุเเห่งชาติ สมาคมเซรามิกไทย สมาคมการพิมพ์ สภาอุตสาหกรรมไทย และรวมไปถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และภาคเอกชนอย่าง scg ได้เข้ามามีส่วนร่วม โดยภายในงานมีบูทแสดงสินค้านวัตกรรมจาก 36 ประเทศ มีบูทเเสดงสินค้ากว่า 80 บูท ณ อิมแพค ฟอรัม เมืองทองธานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22573
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียชื่นชมความสัมพันธ์ไทยอินโดนีเซียที่ราบรื่นใกล้ชิด และชื่นชมการจัดการโควิด-19 ของไทย
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563 เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียชื่นชมความสัมพันธ์ไทยอินโดนีเซียที่ราบรื่นใกล้ชิด และชื่นชมการจัดการโควิด-19 ของไทย เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียชื่นชมความสัมพันธ์ไทยอินโดนีเซียที่ราบรื่นใกล้ชิด และชื่นชมการจัดการโควิด-19 ของไทย วันนี้ (18 มิถุนายน 2563) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายอะฮ์มัด รุซดี (H.E. Mr. Ahmad Rusdi) เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินโดนีเซียมีความใกล้ชิดระหว่างกัน และยินดีที่ครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้ เชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศต่างพร้อมที่จะมุ่งสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียฯ ที่มีส่วนสําคัญในการส่งเสริม และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย ในช่วงตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ดํารงตําแหน่งในประเทศไทย และขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยพร้อมทํางานร่วมกับเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียฯ คนใหม่ อย่างใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียฯ ชื่นชมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่ราบรื่นมาอย่างยาวนาน และขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความร่วมมือ และสนับสนุนการทํางานของอินโดนีเซียเสมอมา ประทับใจที่ได้ดํารงตําแหน่งในประเทศไทย และมีโอกาสได้เข้าร่วมในพิธีการสําคัญของประเทศไทย นอกจากนี้ อินโดนีเซียพร้อมสนับสนุนความร่วมมือด้านการทหาร และความมั่นคงกับประเทศไทย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับอินโดนีเซียมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยขอให้ฝ่ายอินโดนีเซียพิจารณาผ่อนปรนมาตรการควบคุมการนําเข้าพืชสวนของไทย เพื่อจะเป็นอีกโอกาสในการเพิ่มพูนมูลค่าทางการค้ายิ่งขึ้น รวมทั้งยินดีกับความคืบหน้าในการจัดทําร่างแถลงการณ์ร่วมด้านการประมงระหว่างกันเพื่อแก้ไขปัญหา IUU ที่ทั้งสองประเทศให้ความสําคัญ ทั้งนี้ ด้านการศึกษา นายกรัฐมนตรีขอบคุณอินโดนีเซียที่ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักศึกษาชาวไทยไปศึกษาต่อที่อินโดนีเซียในสาขาต่าง ๆ โดยนักศึกษาไทยจะได้เรียนรู้การดําเนินชีวิตของมุสลิมสายกลางที่อินโดนีเซียเป็นต้นแบบด้วย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ร่วมกัน โดยเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียฯ ชื่นชมนายกรัฐมนตรีในการควบคุมการแพร่ระบาดในไทยได้เป็นอย่างดี เป็นที่ยอมรับ อินโดนีเซียพร้อมเรียนรู้จากประสบการณ์ มาตรการ และการดําเนินการของไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอบคุณอินโดนีเซียที่ให้สนับสนุนภารกิจช่วยเหลือคนไทยในประเทศอินโดนีเซียให้เดินทางกลับมาประเทศไทย และยินดีร่วมมือกับอินโดนีเซียในด้านสาธารณสุข และการควบคุมโรค พร้อมเชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศจะฟื้นตัวกลับมาอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียชื่นชมความสัมพันธ์ไทยอินโดนีเซียที่ราบรื่นใกล้ชิด และชื่นชมการจัดการโควิด-19 ของไทย วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563 เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียชื่นชมความสัมพันธ์ไทยอินโดนีเซียที่ราบรื่นใกล้ชิด และชื่นชมการจัดการโควิด-19 ของไทย เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียชื่นชมความสัมพันธ์ไทยอินโดนีเซียที่ราบรื่นใกล้ชิด และชื่นชมการจัดการโควิด-19 ของไทย วันนี้ (18 มิถุนายน 2563) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายอะฮ์มัด รุซดี (H.E. Mr. Ahmad Rusdi) เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินโดนีเซียมีความใกล้ชิดระหว่างกัน และยินดีที่ครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้ เชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศต่างพร้อมที่จะมุ่งสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียฯ ที่มีส่วนสําคัญในการส่งเสริม และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย ในช่วงตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ดํารงตําแหน่งในประเทศไทย และขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยพร้อมทํางานร่วมกับเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียฯ คนใหม่ อย่างใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียฯ ชื่นชมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่ราบรื่นมาอย่างยาวนาน และขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความร่วมมือ และสนับสนุนการทํางานของอินโดนีเซียเสมอมา ประทับใจที่ได้ดํารงตําแหน่งในประเทศไทย และมีโอกาสได้เข้าร่วมในพิธีการสําคัญของประเทศไทย นอกจากนี้ อินโดนีเซียพร้อมสนับสนุนความร่วมมือด้านการทหาร และความมั่นคงกับประเทศไทย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับอินโดนีเซียมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยขอให้ฝ่ายอินโดนีเซียพิจารณาผ่อนปรนมาตรการควบคุมการนําเข้าพืชสวนของไทย เพื่อจะเป็นอีกโอกาสในการเพิ่มพูนมูลค่าทางการค้ายิ่งขึ้น รวมทั้งยินดีกับความคืบหน้าในการจัดทําร่างแถลงการณ์ร่วมด้านการประมงระหว่างกันเพื่อแก้ไขปัญหา IUU ที่ทั้งสองประเทศให้ความสําคัญ ทั้งนี้ ด้านการศึกษา นายกรัฐมนตรีขอบคุณอินโดนีเซียที่ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักศึกษาชาวไทยไปศึกษาต่อที่อินโดนีเซียในสาขาต่าง ๆ โดยนักศึกษาไทยจะได้เรียนรู้การดําเนินชีวิตของมุสลิมสายกลางที่อินโดนีเซียเป็นต้นแบบด้วย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ร่วมกัน โดยเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียฯ ชื่นชมนายกรัฐมนตรีในการควบคุมการแพร่ระบาดในไทยได้เป็นอย่างดี เป็นที่ยอมรับ อินโดนีเซียพร้อมเรียนรู้จากประสบการณ์ มาตรการ และการดําเนินการของไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอบคุณอินโดนีเซียที่ให้สนับสนุนภารกิจช่วยเหลือคนไทยในประเทศอินโดนีเซียให้เดินทางกลับมาประเทศไทย และยินดีร่วมมือกับอินโดนีเซียในด้านสาธารณสุข และการควบคุมโรค พร้อมเชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศจะฟื้นตัวกลับมาอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32482
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงแจ้งปิดสะพานหนองไม้แดงบนทางหลวงหมายเลข 361 จังหวัดชลบุรี เพื่อบูรณะซ่อมแซมสะพาน ระหว่างวันที่ 23 - 29 มีนาคม 2561
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561 กรมทางหลวงแจ้งปิดสะพานหนองไม้แดงบนทางหลวงหมายเลข 361 จังหวัดชลบุรี เพื่อบูรณะซ่อมแซมสะพาน ระหว่างวันที่ 23 - 29 มีนาคม 2561 กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม จะดําเนินการซ่อมแซมสะพานหนองไม้แดง (ข้ามถนนสุขุมวิท) ขาเข้ากรุงเทพฯ บนทางหลวงหมายเลข 361 ตอน ทางเลี่ยงเมืองชลบุรี กม. 0+000 จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 23 - 29 มีนาคม 2561 เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของสะพาน โดยรถยนต์นั่ง 4 ล้อ ให้เบี่ยงจราจรด้านขวาทางและรถบรรทุกให้เบี่ยงจราจรออกด้านซ้ายทาง เพื่อไปกลับรถบนทางหลวงหมายเลข 34 บริเวณ กม. 58+520 ระหว่างการดําเนินงานอาจทําให้ผู้ใช้เส้นทางไม่ได้รับความสะดวก ซึ่ง ทล. ได้ติดตั้งแบริเออร์คอนกรีต ป้ายเตือน และสัญญาณไฟกระพริบบริเวณจุดปิดทางขึ้นสะพาน เพื่อให้สัญญาณแก่ผู้ใช้ทางทราบทิศทางการเบี่ยงจราจร ทล. ขออภัยในความไม่สะดวก และขอความร่วมมือผู้ใช้เส้นทางขับขี่ด้วยความระมัดระวัง วางแผนการเดินทางล่วงหน้า สังเกตป้ายเตือน สัญญาณไฟจราจร และปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งใช้ความเร็วไม่เกินตามที่กฎหมายกําหนดโดยเฉพาะบริเวณงานก่อสร้าง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุระหว่างการดําเนินงานได้ที่ แขวงทางหลวงชลบุรีที่ 1 โทร. 0 3826 1553 หรือสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงแจ้งปิดสะพานหนองไม้แดงบนทางหลวงหมายเลข 361 จังหวัดชลบุรี เพื่อบูรณะซ่อมแซมสะพาน ระหว่างวันที่ 23 - 29 มีนาคม 2561 วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561 กรมทางหลวงแจ้งปิดสะพานหนองไม้แดงบนทางหลวงหมายเลข 361 จังหวัดชลบุรี เพื่อบูรณะซ่อมแซมสะพาน ระหว่างวันที่ 23 - 29 มีนาคม 2561 กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม จะดําเนินการซ่อมแซมสะพานหนองไม้แดง (ข้ามถนนสุขุมวิท) ขาเข้ากรุงเทพฯ บนทางหลวงหมายเลข 361 ตอน ทางเลี่ยงเมืองชลบุรี กม. 0+000 จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 23 - 29 มีนาคม 2561 เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของสะพาน โดยรถยนต์นั่ง 4 ล้อ ให้เบี่ยงจราจรด้านขวาทางและรถบรรทุกให้เบี่ยงจราจรออกด้านซ้ายทาง เพื่อไปกลับรถบนทางหลวงหมายเลข 34 บริเวณ กม. 58+520 ระหว่างการดําเนินงานอาจทําให้ผู้ใช้เส้นทางไม่ได้รับความสะดวก ซึ่ง ทล. ได้ติดตั้งแบริเออร์คอนกรีต ป้ายเตือน และสัญญาณไฟกระพริบบริเวณจุดปิดทางขึ้นสะพาน เพื่อให้สัญญาณแก่ผู้ใช้ทางทราบทิศทางการเบี่ยงจราจร ทล. ขออภัยในความไม่สะดวก และขอความร่วมมือผู้ใช้เส้นทางขับขี่ด้วยความระมัดระวัง วางแผนการเดินทางล่วงหน้า สังเกตป้ายเตือน สัญญาณไฟจราจร และปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งใช้ความเร็วไม่เกินตามที่กฎหมายกําหนดโดยเฉพาะบริเวณงานก่อสร้าง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุระหว่างการดําเนินงานได้ที่ แขวงทางหลวงชลบุรีที่ 1 โทร. 0 3826 1553 หรือสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11001
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. จัดมหกรรม “เติมเงินทุนฯ” หนุนผู้ประกอบการเข้าถึงความช่วยเหลือแบบครบวงจร
วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2560 ธพว. จัดมหกรรม “เติมเงินทุนฯ” หนุนผู้ประกอบการเข้าถึงความช่วยเหลือแบบครบวงจร ธพว.จัดโรดโชว์แดนใต้ ในงาน “เติมเงินทุน SMEs มุ่งสู่มาตรฐานเทคโนโลยี 4.0” เสริมเขี้ยวเล็บให้ธุรกิจ SMEs หลังผลโพล์ชี้ชัด ธุรกิจฟื้นตัวชัดเจนและเตรียมแผนลงทุนตั้งแต่ต้นปีหน้า ด้าน ม.หอการค้า หนุน ธพว. ใช้ข้อมูลยกระดับ SMEs เพิ่มขีดความสามารถสู่ยุค 4.0 นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. SME Development Bank) กล่าวถึงผลการสํารวจดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ SMEs จัดทําโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ระบุว่า SMEs ไทยในขณะนี้ฟื้นตัวแล้ว โดยผู้ประกอบการทางภาคใต้ มีสัดส่วนถึง 53% ตัดสินใจลงทุนตั้งแต่ครึ่งปีแรกของปี 2561 ทั้งนี้ หากประเมินผลการสํารวจข้อมูลทางแล้ว พบว่า ภาคใต้ถือเป็นภูมิภาคที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวของ SMEs สูงสุด ธพว. ในฐานะเป็นสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนา จะเร่งนําผลการสํารวจดังกล่าวไปต่อยอดพัฒนาแก่ผู้ประกอบการให้เกิดผลสัมฤทธิ์เชิงปฎิบัติตามพันธกิจของธนาคาร เน้นให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เข้าถึงแหล่งทุน รองรับการก้าวเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 ผลักดันให้เศรษฐกิจภายในประเทศ (Local Economy) เข้มแข็งในอนาคต ทั้งนี้ ธนาคารได้เตรียมกิจกรรมเพื่อเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการ อาทิ แนะนําการใช้คูปองสําหรับตรวจสอบมาตรฐานสินค้าจาก Central Lab Thai (แล็บประชารัฐ) สร้างมาตรฐานสินค้าให้มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และบริการอบรมการใช้โปรแกรมทางบัญชี "ERP on Cloud" บนสมาร์ทโฟน ช่วยให้การบริหารบัญชีทําได้จากทุกมุมโลก รองรับมือกับมาตรฐานบัญชีใหม่โดยจะมีผลต่อการยื่นขอพิจารณาสินเชื่อจากสถาบันการเงินตามเกณฑ์รายได้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2561 ภายในงาน ธนาคารได้นําแนวคิดการให้บริการแบบ “7:1:0” โดย 7 ตัวแรกคือ พร้อมอนุมัติสินเชื่อภายใน 7วัน, 1 คือ เบิกจ่ายวงเงินถึงมือภายใน 1 วัน และ 0 คือ ฟรีค่าธรรมเนียม 0% นําร่องในสินเชื่อแฟคตอริ่ง (Factoring) “ทั่วไทยเบิกจ่ายในวันเดียว (ระยะที่2)”ช่วยเครดิตการค้า สภาพคล่องไม่สะดุดธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับการสํารวจของทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่ต้องการเน้นในเรื่องสภาพคล่อง และการรวบรวมผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ผู้ประกอบการสามารถเลือกได้ตรงตามความต้องการ อาทิ กองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) วงเงิน 20,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1% ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลาชําระคืน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 3 ปีแรกและไม่ต้องมีหลักประกัน สินเชื่อ Transformation Loan วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนขยาย หรือปรับปรุงกิจการระยะเวลากู้ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 คงที่ 3% และปีที่ 4-7 คิดอัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี (ตามประกาศของธนาคาร) วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 15 ล้านบาท กรณีกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาท สามารถใช้ บสย. ช่วยค้ําประกันได้ วงเงินกู้เกิน 5 ล้านบาท สามารถใช้หลักประกันตามเกณฑ์ปกติของธนาคารเฉพาะประเภทที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง, สินเชื่อสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยวและผู้ประกอบการชุมชน วงเงิน 7,500 ล้านบาท (ฟรีค่าธรรมเนียมจาก บสย. 4 ปี) สําหรับบุคคลธรรมดา กู้ได้สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท นิติบุคคล กู้ได้สูงสุดไม่เกิน 15 ล้านบาท ระยะเวลาการกู้ยืมนาน 7 ปี ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ MLR -1.5 ต่อปี ปีที่ 2 เป็นต้นไปหากใช้หลักประกันตามเกณฑ์ของธนาคาร คิดอัตราดอกเบี้ย MLR -1.0 ต่อปี อย่างไรก็ดี การจัดมหกรรมโดยเจาะรายภูมิภาคครั้งนี้ เป็นไปตามพันธกิจของธนาคาร ที่ต้องการเน้นพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ทั้งเข้าถึงแหล่งทุน ยกระดับการท่องเที่ยวควบคู่กับการทําการตลาดแบบเล่าเรื่อง (Story telling) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวที่ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวจนประสบความสําเร็จ อาทิ “แพ 500 ไร่”จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดังนั้นด้วยศักยภาพของภาคใต้ที่ใช้การท่องเที่ยว ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัว ผู้ประกอบการที่ต้องการยกระดับ เพิ่มมูลค่าสินค้าสามารถรับบริการได้ในงาน “ต้องยอมรับว่าภาคใต้นับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ แม้เกิดวิกฤติสามารถฟื้นตัวได้เร็ว จากเหตุการณ์น้ําท่วมต้นปี มีลูกค้าของธนาคารที่ได้รับผลกระทบถึง 8,000 ราย แต่มีเพียง 10% เท่านั้นที่ขอรับบริการสินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจ เนื่องจากภาคใต้ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาจากการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน ธนาคาร จึงได้เตรียมผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการท่องเที่ยว วงเงิน 7,500 ล้านบาทแล้ว” นายมงคล ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า มหกรรม “เติมเงินทุน SMEs มุ่งสู่มาตรฐาน เทคโนโลยี 4.0” แบ่งการจัดงานออกเป็น 6 ครั้ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 3-15 พฤศจิกายน 2560 ครั้งที่ 1 จัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 3 พ.ย.60 ณ ห้องเกาะกลาง โรงแรมกระบี่ ฟร้อนท์เบย์รีสอร์ท จ.กระบี่, ครั้งที่ 2 วันเสาร์ที่ 4 พ.ย.60 ณ ห้องนครรินทร์ บอลลูม โรงแรมเรือรัษฎา จ.ตรัง, ครั้งที่ 3 วันศุกร์ที่ 10 พ.ย.60 ณ ห้องอภัยนุราช2 โรงแรมสินเกียรติ บุรี โฮเต็ล จ.สตูล, ครั้งที่ 4 วันเสาร์ที่ 11 พ.ย.60 ณ ห้อง จุติ เอ โรงแรมหรรษา เจบี (หาดใหญ่) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา, ครั้งที่ 5 วันจันทร์ที่ 13 พ.ย.60 ณ ห้องอรพินธ์ โรงแรมทวินโลตัส จ.นครศรีธรรมราช และครั้งที่ 6 วันพุธที่ 15 พ.ย.60 ณ ห้องทับทิม2 โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า จ.สุราษฎร์ธานี ทุกงานผู้ประกอบการสามารถสมัครเข้าจําหน่ายสินค้าในงาน“ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมฯ” ภายในวันที่ 4-24 ธันวาคม 2560 ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายพร้อมกันนี้ด้วย ด้าน ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัยและผู้อํานวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวตอกย้ําถึงสถานการณ์ SMEs ว่า ขณะนี้ธุรกิจ SMEs 68.8% ฟื้นตัวจากจุดต่ําสุดแล้ว และจะเริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2561 ดังนั้นมาตรการภาครัฐควรเข้ามาเสริม คือ ต้องช่วยให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น เนื่องจากผลสํารวจพบว่า SMEs 1 รายจะใช้เงินลงทุนเฉลี่ยสูงถึง 1.36 ล้านบาท และมีผู้ประกอบการต้องการสินเชื่อสูงถึง 72% หาก ธพว. นําผลวิจัยไปต่อยอดเชิงปฏิบัติได้ จะถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะการที่สถาบันการเงินหลักที่มีหน้าที่ดูแลผู้ประกอบการ SMEs มีข้อมูลเชิงลึก ทําให้การช่วยเหลือผู้ประกอบได้รวดเร็ว เนื่องจากมี SMEs บางรายที่เมื่อขอสินเชื่อแล้วกลับขาดส่งเงินต้นและดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.4 เดือน หากดูแลปัญหาจุดนี้จะช่วยให้โอกาสเกิดหนี้เสียจากธุรกิจ SMEs จะน้อยลงไปด้วย อย่างไรก็ดี หากมองภาวะเศรษฐกิจ หรือ GDP ของ SMEs ปี 2560 ขยายตัวที่ 4.5% โดยธุรกิจขนาดย่อมจะขยายตัว 4.4% ธุรกิจขนาดกลางขยายตัว 4.9% และธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัว 5.1% ถือเป็นการขยายตัวในทิศทางดีขึ้นจากเดิมที่คาดว่า SMEs จะขยายตัวได้เพียง 4.2% (บนพื้นฐานของจีดีพี ที่ขยายตัว 3.9%) ขณะที่ทางศูนย์พยากรณ์ฯ คาดว่า GDP ของธุรกิจ SMEs ในระยะยาว ตั้งแต่ปี 2561-64 จะปรับตัวดีขึ้นจาก 4.4% เป็น 4.6%, 4.9% และ 5.4% ตามลําดับ ถือเป็นการเติบโตสูงในรอบหลายปีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และคาดว่าเศรษฐกิจไทย ตั้งแต่ปี 2561-64 จะขยายตัวจากฐานปี 2560 ที่ 3.9% เพิ่มเป็น 4.2%, 4.5%, 4.7% และ 5.1%ตามลําดับ นับเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861,02-265-4574-5
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. จัดมหกรรม “เติมเงินทุนฯ” หนุนผู้ประกอบการเข้าถึงความช่วยเหลือแบบครบวงจร วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2560 ธพว. จัดมหกรรม “เติมเงินทุนฯ” หนุนผู้ประกอบการเข้าถึงความช่วยเหลือแบบครบวงจร ธพว.จัดโรดโชว์แดนใต้ ในงาน “เติมเงินทุน SMEs มุ่งสู่มาตรฐานเทคโนโลยี 4.0” เสริมเขี้ยวเล็บให้ธุรกิจ SMEs หลังผลโพล์ชี้ชัด ธุรกิจฟื้นตัวชัดเจนและเตรียมแผนลงทุนตั้งแต่ต้นปีหน้า ด้าน ม.หอการค้า หนุน ธพว. ใช้ข้อมูลยกระดับ SMEs เพิ่มขีดความสามารถสู่ยุค 4.0 นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. SME Development Bank) กล่าวถึงผลการสํารวจดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ SMEs จัดทําโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ระบุว่า SMEs ไทยในขณะนี้ฟื้นตัวแล้ว โดยผู้ประกอบการทางภาคใต้ มีสัดส่วนถึง 53% ตัดสินใจลงทุนตั้งแต่ครึ่งปีแรกของปี 2561 ทั้งนี้ หากประเมินผลการสํารวจข้อมูลทางแล้ว พบว่า ภาคใต้ถือเป็นภูมิภาคที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวของ SMEs สูงสุด ธพว. ในฐานะเป็นสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนา จะเร่งนําผลการสํารวจดังกล่าวไปต่อยอดพัฒนาแก่ผู้ประกอบการให้เกิดผลสัมฤทธิ์เชิงปฎิบัติตามพันธกิจของธนาคาร เน้นให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เข้าถึงแหล่งทุน รองรับการก้าวเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 ผลักดันให้เศรษฐกิจภายในประเทศ (Local Economy) เข้มแข็งในอนาคต ทั้งนี้ ธนาคารได้เตรียมกิจกรรมเพื่อเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการ อาทิ แนะนําการใช้คูปองสําหรับตรวจสอบมาตรฐานสินค้าจาก Central Lab Thai (แล็บประชารัฐ) สร้างมาตรฐานสินค้าให้มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และบริการอบรมการใช้โปรแกรมทางบัญชี "ERP on Cloud" บนสมาร์ทโฟน ช่วยให้การบริหารบัญชีทําได้จากทุกมุมโลก รองรับมือกับมาตรฐานบัญชีใหม่โดยจะมีผลต่อการยื่นขอพิจารณาสินเชื่อจากสถาบันการเงินตามเกณฑ์รายได้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2561 ภายในงาน ธนาคารได้นําแนวคิดการให้บริการแบบ “7:1:0” โดย 7 ตัวแรกคือ พร้อมอนุมัติสินเชื่อภายใน 7วัน, 1 คือ เบิกจ่ายวงเงินถึงมือภายใน 1 วัน และ 0 คือ ฟรีค่าธรรมเนียม 0% นําร่องในสินเชื่อแฟคตอริ่ง (Factoring) “ทั่วไทยเบิกจ่ายในวันเดียว (ระยะที่2)”ช่วยเครดิตการค้า สภาพคล่องไม่สะดุดธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับการสํารวจของทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่ต้องการเน้นในเรื่องสภาพคล่อง และการรวบรวมผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ผู้ประกอบการสามารถเลือกได้ตรงตามความต้องการ อาทิ กองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) วงเงิน 20,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1% ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลาชําระคืน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 3 ปีแรกและไม่ต้องมีหลักประกัน สินเชื่อ Transformation Loan วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนขยาย หรือปรับปรุงกิจการระยะเวลากู้ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 คงที่ 3% และปีที่ 4-7 คิดอัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี (ตามประกาศของธนาคาร) วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 15 ล้านบาท กรณีกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาท สามารถใช้ บสย. ช่วยค้ําประกันได้ วงเงินกู้เกิน 5 ล้านบาท สามารถใช้หลักประกันตามเกณฑ์ปกติของธนาคารเฉพาะประเภทที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง, สินเชื่อสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยวและผู้ประกอบการชุมชน วงเงิน 7,500 ล้านบาท (ฟรีค่าธรรมเนียมจาก บสย. 4 ปี) สําหรับบุคคลธรรมดา กู้ได้สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท นิติบุคคล กู้ได้สูงสุดไม่เกิน 15 ล้านบาท ระยะเวลาการกู้ยืมนาน 7 ปี ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ MLR -1.5 ต่อปี ปีที่ 2 เป็นต้นไปหากใช้หลักประกันตามเกณฑ์ของธนาคาร คิดอัตราดอกเบี้ย MLR -1.0 ต่อปี อย่างไรก็ดี การจัดมหกรรมโดยเจาะรายภูมิภาคครั้งนี้ เป็นไปตามพันธกิจของธนาคาร ที่ต้องการเน้นพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ทั้งเข้าถึงแหล่งทุน ยกระดับการท่องเที่ยวควบคู่กับการทําการตลาดแบบเล่าเรื่อง (Story telling) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวที่ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวจนประสบความสําเร็จ อาทิ “แพ 500 ไร่”จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดังนั้นด้วยศักยภาพของภาคใต้ที่ใช้การท่องเที่ยว ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัว ผู้ประกอบการที่ต้องการยกระดับ เพิ่มมูลค่าสินค้าสามารถรับบริการได้ในงาน “ต้องยอมรับว่าภาคใต้นับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ แม้เกิดวิกฤติสามารถฟื้นตัวได้เร็ว จากเหตุการณ์น้ําท่วมต้นปี มีลูกค้าของธนาคารที่ได้รับผลกระทบถึง 8,000 ราย แต่มีเพียง 10% เท่านั้นที่ขอรับบริการสินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจ เนื่องจากภาคใต้ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาจากการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน ธนาคาร จึงได้เตรียมผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการท่องเที่ยว วงเงิน 7,500 ล้านบาทแล้ว” นายมงคล ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า มหกรรม “เติมเงินทุน SMEs มุ่งสู่มาตรฐาน เทคโนโลยี 4.0” แบ่งการจัดงานออกเป็น 6 ครั้ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 3-15 พฤศจิกายน 2560 ครั้งที่ 1 จัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 3 พ.ย.60 ณ ห้องเกาะกลาง โรงแรมกระบี่ ฟร้อนท์เบย์รีสอร์ท จ.กระบี่, ครั้งที่ 2 วันเสาร์ที่ 4 พ.ย.60 ณ ห้องนครรินทร์ บอลลูม โรงแรมเรือรัษฎา จ.ตรัง, ครั้งที่ 3 วันศุกร์ที่ 10 พ.ย.60 ณ ห้องอภัยนุราช2 โรงแรมสินเกียรติ บุรี โฮเต็ล จ.สตูล, ครั้งที่ 4 วันเสาร์ที่ 11 พ.ย.60 ณ ห้อง จุติ เอ โรงแรมหรรษา เจบี (หาดใหญ่) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา, ครั้งที่ 5 วันจันทร์ที่ 13 พ.ย.60 ณ ห้องอรพินธ์ โรงแรมทวินโลตัส จ.นครศรีธรรมราช และครั้งที่ 6 วันพุธที่ 15 พ.ย.60 ณ ห้องทับทิม2 โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า จ.สุราษฎร์ธานี ทุกงานผู้ประกอบการสามารถสมัครเข้าจําหน่ายสินค้าในงาน“ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมฯ” ภายในวันที่ 4-24 ธันวาคม 2560 ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายพร้อมกันนี้ด้วย ด้าน ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัยและผู้อํานวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวตอกย้ําถึงสถานการณ์ SMEs ว่า ขณะนี้ธุรกิจ SMEs 68.8% ฟื้นตัวจากจุดต่ําสุดแล้ว และจะเริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2561 ดังนั้นมาตรการภาครัฐควรเข้ามาเสริม คือ ต้องช่วยให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น เนื่องจากผลสํารวจพบว่า SMEs 1 รายจะใช้เงินลงทุนเฉลี่ยสูงถึง 1.36 ล้านบาท และมีผู้ประกอบการต้องการสินเชื่อสูงถึง 72% หาก ธพว. นําผลวิจัยไปต่อยอดเชิงปฏิบัติได้ จะถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะการที่สถาบันการเงินหลักที่มีหน้าที่ดูแลผู้ประกอบการ SMEs มีข้อมูลเชิงลึก ทําให้การช่วยเหลือผู้ประกอบได้รวดเร็ว เนื่องจากมี SMEs บางรายที่เมื่อขอสินเชื่อแล้วกลับขาดส่งเงินต้นและดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.4 เดือน หากดูแลปัญหาจุดนี้จะช่วยให้โอกาสเกิดหนี้เสียจากธุรกิจ SMEs จะน้อยลงไปด้วย อย่างไรก็ดี หากมองภาวะเศรษฐกิจ หรือ GDP ของ SMEs ปี 2560 ขยายตัวที่ 4.5% โดยธุรกิจขนาดย่อมจะขยายตัว 4.4% ธุรกิจขนาดกลางขยายตัว 4.9% และธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัว 5.1% ถือเป็นการขยายตัวในทิศทางดีขึ้นจากเดิมที่คาดว่า SMEs จะขยายตัวได้เพียง 4.2% (บนพื้นฐานของจีดีพี ที่ขยายตัว 3.9%) ขณะที่ทางศูนย์พยากรณ์ฯ คาดว่า GDP ของธุรกิจ SMEs ในระยะยาว ตั้งแต่ปี 2561-64 จะปรับตัวดีขึ้นจาก 4.4% เป็น 4.6%, 4.9% และ 5.4% ตามลําดับ ถือเป็นการเติบโตสูงในรอบหลายปีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และคาดว่าเศรษฐกิจไทย ตั้งแต่ปี 2561-64 จะขยายตัวจากฐานปี 2560 ที่ 3.9% เพิ่มเป็น 4.2%, 4.5%, 4.7% และ 5.1%ตามลําดับ นับเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861,02-265-4574-5
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7615
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมบอร์ด กศน.
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2561 ผลประชุมบอร์ด กศน. นพ.ธีระ​เกียรติ​ เจริญ​เศรษฐศิลป์​ รัฐมนตรีว่าการ​กระทรวง​ศึกษาธิการ​ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริม สนับสนุน และประสานความร่วมมือการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ครั้งที่ 1/2561 นพ.ธีระ​เกียรติ​ เจริญ​เศรษฐศิลป์​ รัฐมนตรีว่าการ​กระทรวง​ศึกษาธิการ​ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริม สนับสนุน และประสานความร่วมมือการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้ได้มีการหารือและเสนอความเห็นอย่างกว้างขวาง ในประเด็นสําคัญ 2 เรื่อง คือ การแก้ไขปัญหาประชากรวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษา ซึ่งขณะนี้ได้มีการสํารวจ ตรวจสอบ และติดตามประชากรวัยเรียน อายุ 3-18 ปี ที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษา ไปกว่าร้อยละ 70 ของจํานวนทั้งหมด ที่มี 1.7 ล้านคนแล้ว พบว่ามีเด็กที่อยู่นอกระบบกว่า 470,000 คน และเมื่อสอบถามความต้องการในการกลับเข้ามาเรียน ในจํานวนนี้มีเด็กที่ต้องการเรียนกับ กศน. กว่า 30,000 คน ส่วนที่เหลือต้องการเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาและสายวิชาชีพ ซึ่งยังคงต้องสํารวจข้อมูลประชากรที่อยู่นอกระบบการศึกษาเพิ่มเติม เพราะขณะนี้มีเด็กจํานวนกว่า 500,000 คน ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร์ แต่ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลติดตามประชากรวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ และเพื่อให้มีการสํารวจอย่างทั่วถึงและเจาะลึกมากขึ้น ที่ประชุมจึงเห็นพ้องกันที่จะให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน รับผิดชอบในการสํารวจแต่ละจังหวัด เพื่อค้นหาเด็กจํานวนนี้ให้เจอด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ การลงพื้นที่เคาะประตูบ้าน เป็นต้น (ร่าง) มาตรฐานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เนื่องจากต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะลงนามเพื่อประกาศใช้ในการประเมินการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จึงได้มอบให้สํานักงาน กศน. นําข้อคิดเห็นของที่ประชุมไปปรับแก้ในรายละเอียดมาตรฐาน เพื่อให้มีความชัดเจน สมบูรณ์ และสามารถวัดได้มากขึ้น ก่อนที่จะนํากลับมาเสนอในการประชุมครั้งต่อไป Written by นวรัตน์ รามสูต Photo Credit ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriter นวรัตน์ รามสูต Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมบอร์ด กศน. วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2561 ผลประชุมบอร์ด กศน. นพ.ธีระ​เกียรติ​ เจริญ​เศรษฐศิลป์​ รัฐมนตรีว่าการ​กระทรวง​ศึกษาธิการ​ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริม สนับสนุน และประสานความร่วมมือการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ครั้งที่ 1/2561 นพ.ธีระ​เกียรติ​ เจริญ​เศรษฐศิลป์​ รัฐมนตรีว่าการ​กระทรวง​ศึกษาธิการ​ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริม สนับสนุน และประสานความร่วมมือการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้ได้มีการหารือและเสนอความเห็นอย่างกว้างขวาง ในประเด็นสําคัญ 2 เรื่อง คือ การแก้ไขปัญหาประชากรวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษา ซึ่งขณะนี้ได้มีการสํารวจ ตรวจสอบ และติดตามประชากรวัยเรียน อายุ 3-18 ปี ที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษา ไปกว่าร้อยละ 70 ของจํานวนทั้งหมด ที่มี 1.7 ล้านคนแล้ว พบว่ามีเด็กที่อยู่นอกระบบกว่า 470,000 คน และเมื่อสอบถามความต้องการในการกลับเข้ามาเรียน ในจํานวนนี้มีเด็กที่ต้องการเรียนกับ กศน. กว่า 30,000 คน ส่วนที่เหลือต้องการเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาและสายวิชาชีพ ซึ่งยังคงต้องสํารวจข้อมูลประชากรที่อยู่นอกระบบการศึกษาเพิ่มเติม เพราะขณะนี้มีเด็กจํานวนกว่า 500,000 คน ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร์ แต่ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลติดตามประชากรวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ และเพื่อให้มีการสํารวจอย่างทั่วถึงและเจาะลึกมากขึ้น ที่ประชุมจึงเห็นพ้องกันที่จะให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน รับผิดชอบในการสํารวจแต่ละจังหวัด เพื่อค้นหาเด็กจํานวนนี้ให้เจอด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ การลงพื้นที่เคาะประตูบ้าน เป็นต้น (ร่าง) มาตรฐานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เนื่องจากต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะลงนามเพื่อประกาศใช้ในการประเมินการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จึงได้มอบให้สํานักงาน กศน. นําข้อคิดเห็นของที่ประชุมไปปรับแก้ในรายละเอียดมาตรฐาน เพื่อให้มีความชัดเจน สมบูรณ์ และสามารถวัดได้มากขึ้น ก่อนที่จะนํากลับมาเสนอในการประชุมครั้งต่อไป Written by นวรัตน์ รามสูต Photo Credit ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriter นวรัตน์ รามสูต Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16857
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคล และองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี 2560
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560 นายกรัฐมนตรีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคล และองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจําปี 2560 นายกรัฐมนตรีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคล และองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจําปี 2560 วันนี้ (23 มิถุนายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่น ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจําปี พ.ศ. 2560 โดยมี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหาร ผู้แทนส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคธุรกิจเอกชน องค์กรภาคประชาชน และผู้เข้ารับรางวัล สําหรับพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด มีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่อง เชิดชูเกียรติบุคคลและองค์กร ผู้ปฏิบัติงานที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด รวมทั้งเชิดชูเกียรติผู้เสียชีวิตและสร้างขวัญกําลังใจให้กับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติงานที่ได้รับบาดเจ็บ โดยในปี พ.ศ. 2560 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 24 มีผู้ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลองค์กร รวมทั้งสิ้น 216 ราย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลองค์กร จํานวน 47 ราย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมแสดงความยินดีกับบุคคลและองค์ที่ได้รับรางวัล ขอให้ผู้ที่ได้รับรางวัลทุกคนภาคภูมิใจ พร้อมกล่าวแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสีย โดยขอให้ครอบครัวผู้สูญเสียภาคภูมิใจกับความเสียสละในการหน้าที่เพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติ พร้อมกล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า องค์การสหประชาชาติกําหนดให้วันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี เป็น “วันต่อต้านยาเสพติดโลก” เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และเพื่อเป็นการย้ําเตือนให้ประชาชนคนไทยเกิดความตระหนักว่ายาเสพติดเป็นปัญหาของคนไทยทั้งชาติ ที่ผ่านมาถึงแม้จะมีการปราบปรามยาเสพติด แต่ก็มียังมีการลักลอบผลิต ขนส่งตามพื้นที่ และตามแนวชายแดนต่าง ๆ จึงจําเป็นต้องพัฒนาปรับรูปแบบการป้องกันและปราบปรามให้ทันต่อกระบวน ยาเสพติด โดยการนําเทคโนโลยี และระบบไอทีเข้ามาช่วยการทํางาน รวมทั้งต้องทํางานในเชิงรุกมากขึ้น พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความกังวลต่อการทํางานปราบปรามขบวนการยาเสพติด โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และประชาชน โดยเฉพาะการใช้อาวุธในการจับกุม ซึ่งบางครั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ใช้อาวุธ จึงขอให้คํานึง และพึงระลึกอยู่เสมอเรื่องความปลอดภัย ทําให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด โดยมอบหมายให้สํานักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจัดทําหลักสูตรอบรมเจ้าหน้าที่ ให้มีความพร้อม ในการเผชิญเหตุ ใช้กลยุทธ์ในการปิดล้อม และตรวจค้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ดําเนินการกับขบวนการค้ายาเสพติดอย่างเด็ดขาด รวมทั้งตั้งเป้าหมายให้เป็นปีแห่งการปราบปรามขบวนยาเสพติดรายใหญ่ เร่งนําคดีเกี่ยวกับยาเสพติด รวมไปถึงการค้ามนุษย์เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมปรับรูปแบบการแถลงข่าวโดยไม่ต้องนําผู้ต้องหามาแถลงข่าวในการจับกุม และคุ้มครองพยานบุคคลให้มีความปลอดภัย ในส่วนของรัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาของประเทศ โดยเฉพาะปัญหายาเสพติดที่อันตรายร้ายแรงต่อสังคม และเป็นบ่อนทําลายชีวิตของประชาชน โดยในปี พ.ศ. 2560 ได้จัดตั้งศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ พร้อมทั้งจัดทําแผนประชารัฐร่วมใจ สร้างหมู่บ้าน/ชุมชนมั่นคงปลอดภัยจากยาเสพติด ซึ่งปัญหาจะแก้ไขไม่ได้ ถ้าสังคมไม่มีความเข้มแข็ง เพราะฉะนั้นทุกภาคส่วนในสังคมต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาในรูปแบบของประชารัฐ ภาคราชการต้องทํางานตามหน้าที่ ตามกฎหมาย ภาคประชาชนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา เป็นเครือข่ายให้กับภาครัฐ โดยนายกรัฐมนตรีคาดหวังให้การป้องกัน ปราบปราม ตลอดจนการฟื้นฟูมีประสิทธิผลมากขึ้น ส่วนราชการจะต้องทํางานเชิงรุกอย่างมีเอกภาพและครบวงจร มีการลงพื้นที่ในระดับจังหวัด อําเภอ ชุมชน เพื่อป้องกัน ปราบปราม บําบัดเพื่อสร้างความเข้มแข็งในหมู่บ้านชุมชนทั่วประเทศ สามารถควบคุมดูแลปัญหายาเสพติดทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ---------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคล และองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี 2560 วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560 นายกรัฐมนตรีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคล และองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจําปี 2560 นายกรัฐมนตรีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคล และองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจําปี 2560 วันนี้ (23 มิถุนายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่น ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจําปี พ.ศ. 2560 โดยมี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหาร ผู้แทนส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคธุรกิจเอกชน องค์กรภาคประชาชน และผู้เข้ารับรางวัล สําหรับพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด มีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่อง เชิดชูเกียรติบุคคลและองค์กร ผู้ปฏิบัติงานที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด รวมทั้งเชิดชูเกียรติผู้เสียชีวิตและสร้างขวัญกําลังใจให้กับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติงานที่ได้รับบาดเจ็บ โดยในปี พ.ศ. 2560 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 24 มีผู้ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลองค์กร รวมทั้งสิ้น 216 ราย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณบุคคลองค์กร จํานวน 47 ราย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมแสดงความยินดีกับบุคคลและองค์ที่ได้รับรางวัล ขอให้ผู้ที่ได้รับรางวัลทุกคนภาคภูมิใจ พร้อมกล่าวแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสีย โดยขอให้ครอบครัวผู้สูญเสียภาคภูมิใจกับความเสียสละในการหน้าที่เพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติ พร้อมกล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า องค์การสหประชาชาติกําหนดให้วันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี เป็น “วันต่อต้านยาเสพติดโลก” เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และเพื่อเป็นการย้ําเตือนให้ประชาชนคนไทยเกิดความตระหนักว่ายาเสพติดเป็นปัญหาของคนไทยทั้งชาติ ที่ผ่านมาถึงแม้จะมีการปราบปรามยาเสพติด แต่ก็มียังมีการลักลอบผลิต ขนส่งตามพื้นที่ และตามแนวชายแดนต่าง ๆ จึงจําเป็นต้องพัฒนาปรับรูปแบบการป้องกันและปราบปรามให้ทันต่อกระบวน ยาเสพติด โดยการนําเทคโนโลยี และระบบไอทีเข้ามาช่วยการทํางาน รวมทั้งต้องทํางานในเชิงรุกมากขึ้น พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความกังวลต่อการทํางานปราบปรามขบวนการยาเสพติด โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และประชาชน โดยเฉพาะการใช้อาวุธในการจับกุม ซึ่งบางครั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ใช้อาวุธ จึงขอให้คํานึง และพึงระลึกอยู่เสมอเรื่องความปลอดภัย ทําให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด โดยมอบหมายให้สํานักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจัดทําหลักสูตรอบรมเจ้าหน้าที่ ให้มีความพร้อม ในการเผชิญเหตุ ใช้กลยุทธ์ในการปิดล้อม และตรวจค้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ดําเนินการกับขบวนการค้ายาเสพติดอย่างเด็ดขาด รวมทั้งตั้งเป้าหมายให้เป็นปีแห่งการปราบปรามขบวนยาเสพติดรายใหญ่ เร่งนําคดีเกี่ยวกับยาเสพติด รวมไปถึงการค้ามนุษย์เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมปรับรูปแบบการแถลงข่าวโดยไม่ต้องนําผู้ต้องหามาแถลงข่าวในการจับกุม และคุ้มครองพยานบุคคลให้มีความปลอดภัย ในส่วนของรัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาของประเทศ โดยเฉพาะปัญหายาเสพติดที่อันตรายร้ายแรงต่อสังคม และเป็นบ่อนทําลายชีวิตของประชาชน โดยในปี พ.ศ. 2560 ได้จัดตั้งศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ พร้อมทั้งจัดทําแผนประชารัฐร่วมใจ สร้างหมู่บ้าน/ชุมชนมั่นคงปลอดภัยจากยาเสพติด ซึ่งปัญหาจะแก้ไขไม่ได้ ถ้าสังคมไม่มีความเข้มแข็ง เพราะฉะนั้นทุกภาคส่วนในสังคมต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาในรูปแบบของประชารัฐ ภาคราชการต้องทํางานตามหน้าที่ ตามกฎหมาย ภาคประชาชนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา เป็นเครือข่ายให้กับภาครัฐ โดยนายกรัฐมนตรีคาดหวังให้การป้องกัน ปราบปราม ตลอดจนการฟื้นฟูมีประสิทธิผลมากขึ้น ส่วนราชการจะต้องทํางานเชิงรุกอย่างมีเอกภาพและครบวงจร มีการลงพื้นที่ในระดับจังหวัด อําเภอ ชุมชน เพื่อป้องกัน ปราบปราม บําบัดเพื่อสร้างความเข้มแข็งในหมู่บ้านชุมชนทั่วประเทศ สามารถควบคุมดูแลปัญหายาเสพติดทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ---------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4739
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับกลาง รุ่นที่ 33-34 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันพุธที่ 5 เมษายน 2560 การอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับกลาง รุ่นที่ 33-34 ของกระทรวงอุตสาหกรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานปิดการอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับกลาง รุ่นที่ 33-34 ของกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (5 เมษายน 2560) นายปณิธาน จินดาภู รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานปิดการอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับกลาง รุ่นที่ 33-34 ของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ - 5 เมษายน 2560 ณ โรงแรมเดอะทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับกลาง รุ่นที่ 33-34 ของกระทรวงอุตสาหกรรม วันพุธที่ 5 เมษายน 2560 การอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับกลาง รุ่นที่ 33-34 ของกระทรวงอุตสาหกรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานปิดการอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับกลาง รุ่นที่ 33-34 ของกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (5 เมษายน 2560) นายปณิธาน จินดาภู รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานปิดการอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับกลาง รุ่นที่ 33-34 ของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ - 5 เมษายน 2560 ณ โรงแรมเดอะทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2908
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีติดตามสิทธิบัตรทอง มอบหมายโฆษกรัฐบาล ปลัด สธ. และผอ สำนักงบประมาณ ให้ความมั่นใจมีงบประมาณพร้อม ดูแลข้าราชการ สธ. บรรจุใหม่ และไม่กระทบสิทธิบัตรทอง
วันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีติดตามสิทธิบัตรทอง มอบหมายโฆษกรัฐบาล ปลัด สธ. และผอ สํานักงบประมาณ ให้ความมั่นใจมีงบประมาณพร้อม ดูแลข้าราชการ สธ. บรรจุใหม่ และไม่กระทบสิทธิบัตรทอง นายกรัฐมนตรีติดตามสิทธิบัตรทอง มอบหมายโฆษกรัฐบาล ปลัด สธ. และผอ สํานักงบประมาณ ให้ความมั่นใจมีงบประมาณพร้อม ดูแลข้าราชการ สธ. บรรจุใหม่ และไม่กระทบสิทธิบัตรทอง วันนี้ (25 เม.ย. 63) เวลา 12.40 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ ร่วมไขข้อสงสัยกรณีบัตรทอง โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย นายกรัฐมนตรีเห็นถึงความสําคัญทั้งการบรรจุเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรทางการแพทย์ และสิทธิการรักษาพยาบาลของประชาชน จึงเป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรี อนุมัติบุคลากรทางการแพทย์เป็นข้าราชการหลายตําแหน่ง ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเน้นการดูแลสุขภาพประชาชน ซึ่งหลายมาตรการ นายกรัฐมนตรีได้ลงมาบัญชาการเอง เพื่อที่จะดูแลทุกข์สุขของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพ โอกาสนี้ ผอ.สํานักงบประมาณ กล่าวถึงค่าใช้จ่ายตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2563 เพื่อให้การบรรจุพนักงานทางการแพทย์ซึ่งปัจจุบันมีอยู่เกือบ 40,000 คน มาบรรจุเป็นข้าราชการ ด้วยเป็นงบบุคลากรที่จะมาบรรจุเป็นข้าราชการใหม่ วิธีในทางปฏิบัติไม่สามารถโอนงบประมาณที่เป็นค่าจ้างพนักงานมาเป็นข้าราชการได้ทันที จึงต้องมีการโอนเป็นงบกลางก่อนจึงจะจัดสรรต่อเป็นงบบุคลากรของข้าราชการที่ได้รับการบรรจุใหม่ จากนั้น ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเสริมว่าจากมติ ครม. มองถึงบุคลากรทางการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขที่ช่วยในการดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์โควิด-19 ที่ทํางานหนักมาตลอด เพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่และบุคลากร จึงมีมติให้รับเป็นข้าราชการแบบเจาะจง คือผู้ที่ทํางานเกี่ยวกับโควิด-19 อยู่ แล้วรับเป็นข้าราชการโดยผ่านกระบวนการ ซึ่งบุคลากรเหล่านี้เป็นบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขอยู่แล้ว ที่ทํางานในตําแหน่งพนักงานกระทรวงสาธารณสุข พนักงานราชการ หรือลูกจ้าง ในแต่ละปีกระทรวงสาธารณสุขมีแหล่งรายได้ที่สําคัญคือมีงบประมาณ งบเงินเดือน จาก สปสช. กรมบัญชีกลาง สิทธิข้าราชการ และประกันสังคม ตลอดจนผู้ป่วยที่บริจาคให้ ทุกต้นปีจะมีการกําหนดเงินเดือนและมีงบประมาณจากแหล่งที่มาทั้งหลายที่กล่าวมาแล้ว เพื่อจ่ายเป็นเงินเดือน เรียกว่า เงินนอกงบประมาณ ประกอบกับที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้ได้ทํางานหนักและเสียสละ คณะรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติให้มีอัตราพิเศษเจาะจง คือรับจากคนที่ทํางานอยู่แล้ว 100% คือกลุ่มที่เป็นลูกจ้างอยู่แล้ว แหล่งที่มาของเงินเดือนที่เป็นงบนอกงบประมาณต้องปรับมาเป็นงบประมาณแผ่นดิน กระทรวงสาธารณสุขมีแหล่งเงินเตรียมพร้อมที่จะดูแลบุคลากรทางการแพทย์ที่จะรับการบรรจุเข้ามาแล้ว ในส่วนของบัตรทองเองไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ขอให้ประชาชนมีความมั่นใจว่าผู้ที่ใช้สิทธิบนบัตรทองยังมีสิทธิเท่าเดิม ได้รับการรักษาดูแลตามเดิมทั้งหมด ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยังย้ําว่า กระทรวงสาธารณสุขยังมีการเตรียมงบประมาณจากแหล่งต่างๆ ตลอดจนเงินบริจาค เงินบํารุงโรงพยาบาล จัดสรรใช้เป็นค่าจ้างบุคคลากร ค่ารักษาพยาบาล ค่ายา เครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ สําหรับบัตรทองก็ใช้ตามระบบปกติโดยสาธารณสุขจ่ายให้โรงพยาบาล เพื่อเข้าส่วนของเงินบํารุงโรงพยาบาลอีกทีหนึ่ง จากการที่คณะรัฐมนตรีบรรจุข้าราชการสาธารณสุขเพิ่มเติม ยังเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจและทําให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการทํางานในอนาคตที่ดีขึ้น เพื่อรับใช้ดูแลพี่น้องประชาชน จากงบบัตรทอง 10,000 ล้านบาท ใช้ในการส่งเสริมป้องกันโรคอีก 50,000 ล้านบาท ดูแลผู้ป่วยนอกอีก 50,000 ล้านบาท ดูแลผู้ป่วยในภาวะโควิด-19 ระบาดอีก 10,000 ล้านบาท ครม.ได้อนุมัติงบกลาง 3000 ล้านบาท ให้ สปสช.เพิ่มเติม เป็นการเพิ่มศักยภาพเพิ่มจากเงินเดิมที่ได้รับการสนับสนุนงบกลางในการดูแลผู้ป่วย นําไปพัฒนาปรับปรุงในส่วนต่าง ๆ เช่น ห้องปลอดเชื้อ เครื่องมืออุปกรณ์ หรือซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ตลอดจนมีหัตถการต่าง ๆ มีการจัดการส่งยาถึงบ้าน ติดต่อเพื่อการทําหมอครอบครัวดูแลคนไข้ตามบ้าน เป็นบริการเพิ่มเติม ขอให้มั่นใจว่าการดูแลคนไข้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและจะดีขึ้น งบประมาณไม่ได้น้อยลง เงินที่ได้รับมา 110,000 ล้านบาท เพื่อดูแลพี่น้องประชาชนไม่ได้น้อยลงจากเดิม ช่วงท้าย โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังย้ําว่า นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายและสั่งการวิธีการจัดทํางบประมาณ ต้องจัดสรรไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะการเข้ารับสิทธิของการรักษาพยาบาลจากบัตรทอง ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์เป็นกําลังสําคัญในการต่อสู้กับสงครามโรค ต้องดูแลอย่างดีที่สุด นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะ โดยให้ความสําคัญกับปัญหา ข้อกังวลของประชาชน สั่งให้ชี้แจงเร่งสร้างความชัดเจนทันที หากประชาชนยังคงสงสัยสามารถสอบถามได้ที่เบอร์ 1111 ทําเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีพร้อมรับฟังจากทุกภาคส่วน ............................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีติดตามสิทธิบัตรทอง มอบหมายโฆษกรัฐบาล ปลัด สธ. และผอ สำนักงบประมาณ ให้ความมั่นใจมีงบประมาณพร้อม ดูแลข้าราชการ สธ. บรรจุใหม่ และไม่กระทบสิทธิบัตรทอง วันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีติดตามสิทธิบัตรทอง มอบหมายโฆษกรัฐบาล ปลัด สธ. และผอ สํานักงบประมาณ ให้ความมั่นใจมีงบประมาณพร้อม ดูแลข้าราชการ สธ. บรรจุใหม่ และไม่กระทบสิทธิบัตรทอง นายกรัฐมนตรีติดตามสิทธิบัตรทอง มอบหมายโฆษกรัฐบาล ปลัด สธ. และผอ สํานักงบประมาณ ให้ความมั่นใจมีงบประมาณพร้อม ดูแลข้าราชการ สธ. บรรจุใหม่ และไม่กระทบสิทธิบัตรทอง วันนี้ (25 เม.ย. 63) เวลา 12.40 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ ร่วมไขข้อสงสัยกรณีบัตรทอง โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย นายกรัฐมนตรีเห็นถึงความสําคัญทั้งการบรรจุเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรทางการแพทย์ และสิทธิการรักษาพยาบาลของประชาชน จึงเป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรี อนุมัติบุคลากรทางการแพทย์เป็นข้าราชการหลายตําแหน่ง ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเน้นการดูแลสุขภาพประชาชน ซึ่งหลายมาตรการ นายกรัฐมนตรีได้ลงมาบัญชาการเอง เพื่อที่จะดูแลทุกข์สุขของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพ โอกาสนี้ ผอ.สํานักงบประมาณ กล่าวถึงค่าใช้จ่ายตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2563 เพื่อให้การบรรจุพนักงานทางการแพทย์ซึ่งปัจจุบันมีอยู่เกือบ 40,000 คน มาบรรจุเป็นข้าราชการ ด้วยเป็นงบบุคลากรที่จะมาบรรจุเป็นข้าราชการใหม่ วิธีในทางปฏิบัติไม่สามารถโอนงบประมาณที่เป็นค่าจ้างพนักงานมาเป็นข้าราชการได้ทันที จึงต้องมีการโอนเป็นงบกลางก่อนจึงจะจัดสรรต่อเป็นงบบุคลากรของข้าราชการที่ได้รับการบรรจุใหม่ จากนั้น ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเสริมว่าจากมติ ครม. มองถึงบุคลากรทางการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขที่ช่วยในการดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์โควิด-19 ที่ทํางานหนักมาตลอด เพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่และบุคลากร จึงมีมติให้รับเป็นข้าราชการแบบเจาะจง คือผู้ที่ทํางานเกี่ยวกับโควิด-19 อยู่ แล้วรับเป็นข้าราชการโดยผ่านกระบวนการ ซึ่งบุคลากรเหล่านี้เป็นบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขอยู่แล้ว ที่ทํางานในตําแหน่งพนักงานกระทรวงสาธารณสุข พนักงานราชการ หรือลูกจ้าง ในแต่ละปีกระทรวงสาธารณสุขมีแหล่งรายได้ที่สําคัญคือมีงบประมาณ งบเงินเดือน จาก สปสช. กรมบัญชีกลาง สิทธิข้าราชการ และประกันสังคม ตลอดจนผู้ป่วยที่บริจาคให้ ทุกต้นปีจะมีการกําหนดเงินเดือนและมีงบประมาณจากแหล่งที่มาทั้งหลายที่กล่าวมาแล้ว เพื่อจ่ายเป็นเงินเดือน เรียกว่า เงินนอกงบประมาณ ประกอบกับที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้ได้ทํางานหนักและเสียสละ คณะรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติให้มีอัตราพิเศษเจาะจง คือรับจากคนที่ทํางานอยู่แล้ว 100% คือกลุ่มที่เป็นลูกจ้างอยู่แล้ว แหล่งที่มาของเงินเดือนที่เป็นงบนอกงบประมาณต้องปรับมาเป็นงบประมาณแผ่นดิน กระทรวงสาธารณสุขมีแหล่งเงินเตรียมพร้อมที่จะดูแลบุคลากรทางการแพทย์ที่จะรับการบรรจุเข้ามาแล้ว ในส่วนของบัตรทองเองไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ขอให้ประชาชนมีความมั่นใจว่าผู้ที่ใช้สิทธิบนบัตรทองยังมีสิทธิเท่าเดิม ได้รับการรักษาดูแลตามเดิมทั้งหมด ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยังย้ําว่า กระทรวงสาธารณสุขยังมีการเตรียมงบประมาณจากแหล่งต่างๆ ตลอดจนเงินบริจาค เงินบํารุงโรงพยาบาล จัดสรรใช้เป็นค่าจ้างบุคคลากร ค่ารักษาพยาบาล ค่ายา เครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ สําหรับบัตรทองก็ใช้ตามระบบปกติโดยสาธารณสุขจ่ายให้โรงพยาบาล เพื่อเข้าส่วนของเงินบํารุงโรงพยาบาลอีกทีหนึ่ง จากการที่คณะรัฐมนตรีบรรจุข้าราชการสาธารณสุขเพิ่มเติม ยังเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจและทําให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการทํางานในอนาคตที่ดีขึ้น เพื่อรับใช้ดูแลพี่น้องประชาชน จากงบบัตรทอง 10,000 ล้านบาท ใช้ในการส่งเสริมป้องกันโรคอีก 50,000 ล้านบาท ดูแลผู้ป่วยนอกอีก 50,000 ล้านบาท ดูแลผู้ป่วยในภาวะโควิด-19 ระบาดอีก 10,000 ล้านบาท ครม.ได้อนุมัติงบกลาง 3000 ล้านบาท ให้ สปสช.เพิ่มเติม เป็นการเพิ่มศักยภาพเพิ่มจากเงินเดิมที่ได้รับการสนับสนุนงบกลางในการดูแลผู้ป่วย นําไปพัฒนาปรับปรุงในส่วนต่าง ๆ เช่น ห้องปลอดเชื้อ เครื่องมืออุปกรณ์ หรือซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ตลอดจนมีหัตถการต่าง ๆ มีการจัดการส่งยาถึงบ้าน ติดต่อเพื่อการทําหมอครอบครัวดูแลคนไข้ตามบ้าน เป็นบริการเพิ่มเติม ขอให้มั่นใจว่าการดูแลคนไข้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและจะดีขึ้น งบประมาณไม่ได้น้อยลง เงินที่ได้รับมา 110,000 ล้านบาท เพื่อดูแลพี่น้องประชาชนไม่ได้น้อยลงจากเดิม ช่วงท้าย โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังย้ําว่า นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายและสั่งการวิธีการจัดทํางบประมาณ ต้องจัดสรรไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะการเข้ารับสิทธิของการรักษาพยาบาลจากบัตรทอง ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์เป็นกําลังสําคัญในการต่อสู้กับสงครามโรค ต้องดูแลอย่างดีที่สุด นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะ โดยให้ความสําคัญกับปัญหา ข้อกังวลของประชาชน สั่งให้ชี้แจงเร่งสร้างความชัดเจนทันที หากประชาชนยังคงสงสัยสามารถสอบถามได้ที่เบอร์ 1111 ทําเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีพร้อมรับฟังจากทุกภาคส่วน ............................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29749
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียินดีร่วมมือกับเอกอัครราชทูตฯ กระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-นิวซีแลนด์
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2563 นายกรัฐมนตรียินดีร่วมมือกับเอกอัครราชทูตฯ กระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-นิวซีแลนด์ นายกรัฐมนตรียินดีร่วมมือกับเอกอัครราชทูตฯ กระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-นิวซีแลนด์ วันนี้ (วันที่ 23 กรกฎาคม 2563) เวลา 09.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายทาฮาโมอานา ไอเซอา คลูนี แมกเฟอร์ซัน (H.E. Mr. Tahamoana Aisea Cluny MacPherson) เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจําประเทศไทย เชื่อมั่นว่าการปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับนิวซีแลนด์อย่างแข็งขันของเอกอัครราชทูตฯ จะส่งผลให้ความสัมพันธ์ก้าวหน้าอย่างมีพลวัต โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการปฏิบัติงานของเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ฯ ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติต่อไป เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ฯ ยินดีที่ไทยกับนิวซีแลนด์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและแน่นแฟ้นในทุกระดับ และชื่นชมบทบาทของไทย ในฐานะประธานอาเซียน 2562 ซึ่งนิวซีแลนด์พร้อมสนับสนุนไทยในเวทีความร่วมมือระดับภูมิภาค โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระหว่างกัน นายกรัฐมนตรีชื่นชมรัฐบาลนิวซีแลนด์ที่ประสบผลสําเร็จในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ฯ ชื่นชมระบบสาธารณสุขของไทยในการควบคุมสถานการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกระชับความร่วมมือระหว่างกัน หลังจากสถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลาย โดยนายกรัฐมนตรียินดีพร้อมให้ความร่วมมืออย่างรอบด้าน ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ ยินดีที่จะผลักดันด้านการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ โดยเห็นว่าไทยเป็นประเทศมีศักยภาพทางด้านการค้า ความมั่นคง ตลอดจนห่วงโซ่อุปทาน (supply chains) ซึ่งจะช่วยการฟื้นตัว และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเห็นว่าในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไทย-นิวซีแลนด์ต้องมาร่วมมือกัน ลดความเหลื่อมล้ําระหว่างประเทศ ลดความได้เปรียบและเสียเปรียบ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทั้งสองประเทศ พร้อมทั้งได้ฝากให้กําลังใจไปยังนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ในการรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้ประสบผลสําเร็จ ******************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียินดีร่วมมือกับเอกอัครราชทูตฯ กระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-นิวซีแลนด์ วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2563 นายกรัฐมนตรียินดีร่วมมือกับเอกอัครราชทูตฯ กระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-นิวซีแลนด์ นายกรัฐมนตรียินดีร่วมมือกับเอกอัครราชทูตฯ กระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-นิวซีแลนด์ วันนี้ (วันที่ 23 กรกฎาคม 2563) เวลา 09.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายทาฮาโมอานา ไอเซอา คลูนี แมกเฟอร์ซัน (H.E. Mr. Tahamoana Aisea Cluny MacPherson) เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจําประเทศไทย เชื่อมั่นว่าการปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับนิวซีแลนด์อย่างแข็งขันของเอกอัครราชทูตฯ จะส่งผลให้ความสัมพันธ์ก้าวหน้าอย่างมีพลวัต โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการปฏิบัติงานของเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ฯ ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติต่อไป เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ฯ ยินดีที่ไทยกับนิวซีแลนด์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและแน่นแฟ้นในทุกระดับ และชื่นชมบทบาทของไทย ในฐานะประธานอาเซียน 2562 ซึ่งนิวซีแลนด์พร้อมสนับสนุนไทยในเวทีความร่วมมือระดับภูมิภาค โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระหว่างกัน นายกรัฐมนตรีชื่นชมรัฐบาลนิวซีแลนด์ที่ประสบผลสําเร็จในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ฯ ชื่นชมระบบสาธารณสุขของไทยในการควบคุมสถานการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกระชับความร่วมมือระหว่างกัน หลังจากสถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลาย โดยนายกรัฐมนตรียินดีพร้อมให้ความร่วมมืออย่างรอบด้าน ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ ยินดีที่จะผลักดันด้านการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ โดยเห็นว่าไทยเป็นประเทศมีศักยภาพทางด้านการค้า ความมั่นคง ตลอดจนห่วงโซ่อุปทาน (supply chains) ซึ่งจะช่วยการฟื้นตัว และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเห็นว่าในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไทย-นิวซีแลนด์ต้องมาร่วมมือกัน ลดความเหลื่อมล้ําระหว่างประเทศ ลดความได้เปรียบและเสียเปรียบ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทั้งสองประเทศ พร้อมทั้งได้ฝากให้กําลังใจไปยังนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ในการรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้ประสบผลสําเร็จ ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33604
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ “เฉลิมชัย” หารือร่วมกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย และพี่น้องชาวประมง 22 จังหวัด
วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562 รัฐมนตรีเกษตรฯ “เฉลิมชัย” หารือร่วมกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย และพี่น้องชาวประมง 22 จังหวัด รัฐมนตรีเกษตรฯ “เฉลิมชัย” หารือร่วมกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย และพี่น้องชาวประมง 22 จังหวัด สร้างความพึงพอใจและเป็นที่ยอมรับทั้งส่วนราชการและพี่น้องชาวประมงทั้งหมด พร้อมเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหา เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวประมงทั้งระบบ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย และพี่น้องชาวประมง 22 จังหวัด ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามที่ได้มีการยื่นข้อเสนอการแก้ไขปัญหาของการประมง ซึ่งการหารือในวันนี้ผ่านไปด้วยความราบรื่น สามารถหาข้อสรุปได้ในหลาย ๆ ประเด็น ได้แก่ - การนําเรือออกนอกระบบ ได้มีการพูดคุยสร้างความเข้าใจว่ารัฐบาลได้ตั้งงบประมาณของปี 2563 ไว้แล้ว และนอกเหนือจากนั้น เรือที่มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะดําเนินเสนองบประมาณไปที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งในขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้ดําเนินการไว้แล้ว และรอ พรบ. งบประมาณผ่านก่อน - การเพิ่มวันทําการประมง ได้มีการนําวันทําการประมงที่เหลือออกมาหาค่าเฉลี่ยให้กับพี่น้องชาวประมง ขณะนี้ได้มอบหมายให้กรมประมงไปทบทวนในรายละเอียด ในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเพิ่มในกรณีอวนลากจํานวน 30 วัน และในกรณีเรือทั่วไปจะไม่มีการจํากัดจํานวนวันทําการประมง - ในส่วนเรือที่มีอัตราต่ํากว่า 30 ตันกรอส กรมประมงยืนยันว่ายังไม่มีนโยบายให้ติด VMS และได้ทําความเข้าใจกับพี่น้องชาวประมงแล้ว สําหรับ VMS ที่มีการติดตั้งไปแล้วให้สามารถใช้ต่อได้ - เรื่องน้ํามันเขียว (Fleet Card) ได้มีการประสานงานกับอธิบดีกรมสรรพสามิตแล้ว ซึ่งได้รับการชี้แจงว่าเป็นเพียงแนวคิด ยังไม่มีการดําเนินการ เพราะฉะนั้นจึงยังไม่มีการดําเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น - เรื่องสินเชื่อสภาพคล่อง ได้มีการนําเสนอไปถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งได้นําเอกสารให้กับนายกสมาคมประมงแห่งประเทศไทย เพื่อไปชี้แจงต่อพี่น้องชาวประมงให้เกิดความสบายใจ - การจ่ายเงินผ่านบัญชี ทางกรมสวัสดิการรับไปดําเนินการ รวมทั้งมาตรา 83 ที่จะมีการประชุมอนุกรรมการฯ ในวันนี้ และจะมีการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานในวันที่ 25 ธันวาคม 2562 ที่จะถึงนี้ - การแก้ไข พ.ร.ก. จะมีการตั้งคณะกรรมการร่วมกันในการพิจารณาว่ามีส่วนไหนที่เป็นผลกระทบและอยู่ภายใต้เงื่อนไขของ IUU - เรื่องการออกกฎหมายที่มีผลกระทบต่อพี่น้องชาวประมง ขอยืนยันว่ากระทรวงเกษตรฯ ไม่มีการออกกฎหมายที่มีผลกระทบ หากมีจะเป็นการแก้ไขในบางส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชาวประมงทั้งหมด ทั้งประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ด้วย - ในส่วนของตั้งคณะทํางานการเยี่ยวยาผลกระทบที่ชาวประมงได้รับ ได้มีมติให้ตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้นมา และการแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งจะมีระยะเวลาในการดําเนินการ 45 วัน “การหารือในวันนี้ ทุกฝ่ายมีความพึงพอใจและเป็นที่ยอมรับทั้งส่วนราชการและพี่น้องชาวประมงทั้งหมด และขอยืนยันว่าการดําเนินการภายใต้กฎหมายของ IUU Fishing ในส่วนที่เราสามารถผ่อนผันได้และไม่อยู่ในกติกา กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหา เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวประมงทั้งระบบต่อไป” สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ “เฉลิมชัย” หารือร่วมกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย และพี่น้องชาวประมง 22 จังหวัด วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562 รัฐมนตรีเกษตรฯ “เฉลิมชัย” หารือร่วมกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย และพี่น้องชาวประมง 22 จังหวัด รัฐมนตรีเกษตรฯ “เฉลิมชัย” หารือร่วมกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย และพี่น้องชาวประมง 22 จังหวัด สร้างความพึงพอใจและเป็นที่ยอมรับทั้งส่วนราชการและพี่น้องชาวประมงทั้งหมด พร้อมเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหา เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวประมงทั้งระบบ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย และพี่น้องชาวประมง 22 จังหวัด ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามที่ได้มีการยื่นข้อเสนอการแก้ไขปัญหาของการประมง ซึ่งการหารือในวันนี้ผ่านไปด้วยความราบรื่น สามารถหาข้อสรุปได้ในหลาย ๆ ประเด็น ได้แก่ - การนําเรือออกนอกระบบ ได้มีการพูดคุยสร้างความเข้าใจว่ารัฐบาลได้ตั้งงบประมาณของปี 2563 ไว้แล้ว และนอกเหนือจากนั้น เรือที่มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะดําเนินเสนองบประมาณไปที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งในขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้ดําเนินการไว้แล้ว และรอ พรบ. งบประมาณผ่านก่อน - การเพิ่มวันทําการประมง ได้มีการนําวันทําการประมงที่เหลือออกมาหาค่าเฉลี่ยให้กับพี่น้องชาวประมง ขณะนี้ได้มอบหมายให้กรมประมงไปทบทวนในรายละเอียด ในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเพิ่มในกรณีอวนลากจํานวน 30 วัน และในกรณีเรือทั่วไปจะไม่มีการจํากัดจํานวนวันทําการประมง - ในส่วนเรือที่มีอัตราต่ํากว่า 30 ตันกรอส กรมประมงยืนยันว่ายังไม่มีนโยบายให้ติด VMS และได้ทําความเข้าใจกับพี่น้องชาวประมงแล้ว สําหรับ VMS ที่มีการติดตั้งไปแล้วให้สามารถใช้ต่อได้ - เรื่องน้ํามันเขียว (Fleet Card) ได้มีการประสานงานกับอธิบดีกรมสรรพสามิตแล้ว ซึ่งได้รับการชี้แจงว่าเป็นเพียงแนวคิด ยังไม่มีการดําเนินการ เพราะฉะนั้นจึงยังไม่มีการดําเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น - เรื่องสินเชื่อสภาพคล่อง ได้มีการนําเสนอไปถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งได้นําเอกสารให้กับนายกสมาคมประมงแห่งประเทศไทย เพื่อไปชี้แจงต่อพี่น้องชาวประมงให้เกิดความสบายใจ - การจ่ายเงินผ่านบัญชี ทางกรมสวัสดิการรับไปดําเนินการ รวมทั้งมาตรา 83 ที่จะมีการประชุมอนุกรรมการฯ ในวันนี้ และจะมีการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานในวันที่ 25 ธันวาคม 2562 ที่จะถึงนี้ - การแก้ไข พ.ร.ก. จะมีการตั้งคณะกรรมการร่วมกันในการพิจารณาว่ามีส่วนไหนที่เป็นผลกระทบและอยู่ภายใต้เงื่อนไขของ IUU - เรื่องการออกกฎหมายที่มีผลกระทบต่อพี่น้องชาวประมง ขอยืนยันว่ากระทรวงเกษตรฯ ไม่มีการออกกฎหมายที่มีผลกระทบ หากมีจะเป็นการแก้ไขในบางส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชาวประมงทั้งหมด ทั้งประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ด้วย - ในส่วนของตั้งคณะทํางานการเยี่ยวยาผลกระทบที่ชาวประมงได้รับ ได้มีมติให้ตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้นมา และการแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งจะมีระยะเวลาในการดําเนินการ 45 วัน “การหารือในวันนี้ ทุกฝ่ายมีความพึงพอใจและเป็นที่ยอมรับทั้งส่วนราชการและพี่น้องชาวประมงทั้งหมด และขอยืนยันว่าการดําเนินการภายใต้กฎหมายของ IUU Fishing ในส่วนที่เราสามารถผ่อนผันได้และไม่อยู่ในกติกา กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหา เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวประมงทั้งระบบต่อไป” สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25318
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560 การขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ ๓ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ ๓ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ โดยที่ประชุมได้มีมติรับทราบผลการดําเนินงาน ดังนี้ ๑) รายงานสถานะข้อเสนอประเด็นปฏิรูปตามแผนการปฏิรูปของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ๒) ข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศส่ง กขป. ๓ จํานวน ๓๗ เรื่อง ๓) แนวทางการจัดทําร่างกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งไทย (มาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญ) ๔) แนวทางการจัดทําและเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๕) รายงานผลการติดตามการดําเนินการตามรัฐธรรมนูญ ๖) การจัดทํางบประมาณในลักษณะบูรณาการ ด้านการปฏิรูปกฎหมายและพัฒนากระบวนการยุติธรรม ๗) ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตและหลักสิทธิมนุษยชน ๘) กรอบการวิจัยด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรม ๙) แนวทางการเตรียมบุคลากรก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ๑๐) แนวทางการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ ๑๑) กรอบแนวทางในการป้องกันอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพ ๑๒) ข้อเสนอการปฏิรูปกิจการตํารวจ ๑๓) การแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด โดยมีนายถาวร พรหมมีชัย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม ตลอดจนคณะกรรมการฯ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ณ ทําเนียบรัฐบาล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์ วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560 การขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ ๓ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ ๓ คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ โดยที่ประชุมได้มีมติรับทราบผลการดําเนินงาน ดังนี้ ๑) รายงานสถานะข้อเสนอประเด็นปฏิรูปตามแผนการปฏิรูปของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ๒) ข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศส่ง กขป. ๓ จํานวน ๓๗ เรื่อง ๓) แนวทางการจัดทําร่างกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งไทย (มาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญ) ๔) แนวทางการจัดทําและเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๕) รายงานผลการติดตามการดําเนินการตามรัฐธรรมนูญ ๖) การจัดทํางบประมาณในลักษณะบูรณาการ ด้านการปฏิรูปกฎหมายและพัฒนากระบวนการยุติธรรม ๗) ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตและหลักสิทธิมนุษยชน ๘) กรอบการวิจัยด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรม ๙) แนวทางการเตรียมบุคลากรก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ๑๐) แนวทางการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ ๑๑) กรอบแนวทางในการป้องกันอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพ ๑๒) ข้อเสนอการปฏิรูปกิจการตํารวจ ๑๓) การแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด โดยมีนายถาวร พรหมมีชัย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม ตลอดจนคณะกรรมการฯ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ณ ทําเนียบรัฐบาล
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4751
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. พิจารณาร่างกฏหมายลูกรองรับพ.ร.บ.ใหม่
วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 กยศ. พิจารณาร่างกฏหมายลูกรองรับพ.ร.บ.ใหม่ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เร่งพิจารณาร่างกฎหมายลูก เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและการชําระเงินคืนกองทุนในปีการศึกษา 2561 นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 ได้มีการพิจารณาร่างกฎหมายลําดับรองเพื่อรองรับพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 ประกอบด้วย 1) หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการที่สถานศึกษาจะเข้าร่วมดําเนินงานกับกองทุน 2) หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและการชําระเงินคืนกองทุน 3) คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้กู้ยืมเงิน 4) กําหนดลักษณะของเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ขอบเขตการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ประเภทวิชา สถานศึกษา หรือระดับชั้นการศึกษา และหลักสูตรที่จะให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ประจําปีการศึกษา 2561 นอกจากนั้น ยังได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ เพื่อพิจารณากลั่นกรองวาระงานที่เกี่ยวข้องก่อนนําเสนอคณะกรรมการกองทุนอีกด้วย ทั้งนี้ ในอนาคตกองทุนจะมีการดําเนินงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนถ่ายองค์กรสู่ความยั่งยืน โดยจะนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านการให้กู้ยืม และการชําระหนี้ภายใต้การกํากับดูแลกิจการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. พิจารณาร่างกฏหมายลูกรองรับพ.ร.บ.ใหม่ วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 กยศ. พิจารณาร่างกฏหมายลูกรองรับพ.ร.บ.ใหม่ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เร่งพิจารณาร่างกฎหมายลูก เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและการชําระเงินคืนกองทุนในปีการศึกษา 2561 นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 ได้มีการพิจารณาร่างกฎหมายลําดับรองเพื่อรองรับพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 ประกอบด้วย 1) หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการที่สถานศึกษาจะเข้าร่วมดําเนินงานกับกองทุน 2) หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและการชําระเงินคืนกองทุน 3) คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้กู้ยืมเงิน 4) กําหนดลักษณะของเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ขอบเขตการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ประเภทวิชา สถานศึกษา หรือระดับชั้นการศึกษา และหลักสูตรที่จะให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ประจําปีการศึกษา 2561 นอกจากนั้น ยังได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ เพื่อพิจารณากลั่นกรองวาระงานที่เกี่ยวข้องก่อนนําเสนอคณะกรรมการกองทุนอีกด้วย ทั้งนี้ ในอนาคตกองทุนจะมีการดําเนินงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนถ่ายองค์กรสู่ความยั่งยืน โดยจะนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านการให้กู้ยืม และการชําระหนี้ภายใต้การกํากับดูแลกิจการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7067
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ชื่นชมเด็กสาวสู้ชีวิตวัย 15 ปี พ่อแม่แยกทางกัน ใช้ชีวิตเพียงลำพัง ต้องรับจ้างทำงานอย่างหนัก เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเองและเป็นทุนการศึกษา ที่ จ.อุบลราชธานี
วันพุธที่ 23 มกราคม 2562 พม. ชื่นชมเด็กสาวสู้ชีวิตวัย 15 ปี พ่อแม่แยกทางกัน ใช้ชีวิตเพียงลําพัง ต้องรับจ้างทํางานอย่างหนัก เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเองและเป็นทุนการศึกษา ที่ จ.อุบลราชธานี พม. ชื่นชมเด็กสาวสู้ชีวิตวัย 15 ปี พ่อแม่แยกทางกัน ใช้ชีวิตเพียงลําพัง ต้องรับจ้างทํางานอย่างหนัก เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเองและเป็นทุนการศึกษา ที่ จ.อุบลราชธานี พร้อมเร่งช่วยเหลือ 2 ครอบครัว ที่ประสบปัญหาและด้อยโอกาสทางสังคม ที่ จ.บุรีรัมย์ และนครสวรรค วันนี้ (23 ม.ค. 62) เวลา 08.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯพลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 6/2562 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม พร้อมทั้งการประชุมทางไกลผ่านระบบ VDO Conference ร่วมกับหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ทั่วประเทศ พลเอก สุรศักดิ์กล่าวว่า จากกรณีเด็กสาววัย 15 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนแห่งหนึ่ง พ่อ-แม่แยกทางกัน ต้องใช้ชีวิตเพียงลําพัง แต่สู้ชีวิต อาศัยเวลาว่างหลังเลิกเรียนและในวันหยุดรับจ้างทํางานอย่างหนักวันละหลายชั่วโมง เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเอง และเป็นทุนการศึกษา ที่จังหวัดอุบลราชธานี นั้น ตนขอชื่นชมในความขยันหมั่นเพียร ไม่ย่อท้อต่อความยากลําบากและอุปสรรคในการดําเนินชีวิต ซึ่งน่ายกย่องเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุบลราชธานี (พมจ.อุบลราชธานี) พร้อมทีม พม. One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อเร่งให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการสนับสนุนการศึกษาของเด็กสาวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งให้คําปรึกษาแนะนําเพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการที่พึงได้รับตามกฎหมาย พร้อมหาแนวทางการช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป พลเอก สุรศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกกรณีหญิงชรารายหนึ่ง สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงและหลังค่อม อาศัยอยู่กับหลานสาววัย 22 ปี ทั้ง 2 ชีวิต ต้องทํางานรับจ้างตัดอ้อยกลางแดดจัด เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว อีกทั้งหลานสาวยังต้องรับภาระดูแลลูกวัย 10 เดือนอีกหนึ่งคน ครอบครัวมีฐานะยากจน รายได้ไม่เพียงพอค่าใช้จ่าย ที่จังหวัดบุรีรัมย์ และกรณีหญิงชราวัย 63 ปี มีอาชีพขายอาหารตามสั่ง ต้องเดินเท้าหลายกิโลเมตร เพื่อไปซื้อของที่ตลาด และต้องรับภาระเลี้ยงดูอีก 2 ชีวิต ทั้งแม่แก่ชราวัย 80 ปี พิการนอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และน้องชายวัย 61 ปี พิการนอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทั้ง 3 ชีวิต อาศัย ในบ้านเช่าสภาพเก่าทรุดโทรมและคับแคบ ครอบครัวมีฐานะยากจน รายได้ไม่เพียงพอค่าใช้จ่าย ที่จังหวัดนครสวรรค์ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.บุรีรัมย์ และ พมจ.นครสวรรค์ พร้อมทีม พม. One Home ทั้ง 2 จังหวัด ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของทั้ง 2 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุ เด็ก และคนพิการ ของกระทรวง พม. พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น และเงินสงเคราะห์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด อีกทั้งการให้คําปรึกษาแนะนําเพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการที่พึงได้รับตามกฎหมาย อาทิ เบี้ยความพิการ เงินยังชีพผู้สูงอายุ และเงินทุนประกอบอาชีพ เป็นต้น เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างมั่นคงในระยะยาวต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ชื่นชมเด็กสาวสู้ชีวิตวัย 15 ปี พ่อแม่แยกทางกัน ใช้ชีวิตเพียงลำพัง ต้องรับจ้างทำงานอย่างหนัก เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเองและเป็นทุนการศึกษา ที่ จ.อุบลราชธานี วันพุธที่ 23 มกราคม 2562 พม. ชื่นชมเด็กสาวสู้ชีวิตวัย 15 ปี พ่อแม่แยกทางกัน ใช้ชีวิตเพียงลําพัง ต้องรับจ้างทํางานอย่างหนัก เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเองและเป็นทุนการศึกษา ที่ จ.อุบลราชธานี พม. ชื่นชมเด็กสาวสู้ชีวิตวัย 15 ปี พ่อแม่แยกทางกัน ใช้ชีวิตเพียงลําพัง ต้องรับจ้างทํางานอย่างหนัก เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเองและเป็นทุนการศึกษา ที่ จ.อุบลราชธานี พร้อมเร่งช่วยเหลือ 2 ครอบครัว ที่ประสบปัญหาและด้อยโอกาสทางสังคม ที่ จ.บุรีรัมย์ และนครสวรรค วันนี้ (23 ม.ค. 62) เวลา 08.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯพลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 6/2562 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม พร้อมทั้งการประชุมทางไกลผ่านระบบ VDO Conference ร่วมกับหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ทั่วประเทศ พลเอก สุรศักดิ์กล่าวว่า จากกรณีเด็กสาววัย 15 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนแห่งหนึ่ง พ่อ-แม่แยกทางกัน ต้องใช้ชีวิตเพียงลําพัง แต่สู้ชีวิต อาศัยเวลาว่างหลังเลิกเรียนและในวันหยุดรับจ้างทํางานอย่างหนักวันละหลายชั่วโมง เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเอง และเป็นทุนการศึกษา ที่จังหวัดอุบลราชธานี นั้น ตนขอชื่นชมในความขยันหมั่นเพียร ไม่ย่อท้อต่อความยากลําบากและอุปสรรคในการดําเนินชีวิต ซึ่งน่ายกย่องเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุบลราชธานี (พมจ.อุบลราชธานี) พร้อมทีม พม. One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อเร่งให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการสนับสนุนการศึกษาของเด็กสาวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งให้คําปรึกษาแนะนําเพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการที่พึงได้รับตามกฎหมาย พร้อมหาแนวทางการช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป พลเอก สุรศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกกรณีหญิงชรารายหนึ่ง สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงและหลังค่อม อาศัยอยู่กับหลานสาววัย 22 ปี ทั้ง 2 ชีวิต ต้องทํางานรับจ้างตัดอ้อยกลางแดดจัด เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว อีกทั้งหลานสาวยังต้องรับภาระดูแลลูกวัย 10 เดือนอีกหนึ่งคน ครอบครัวมีฐานะยากจน รายได้ไม่เพียงพอค่าใช้จ่าย ที่จังหวัดบุรีรัมย์ และกรณีหญิงชราวัย 63 ปี มีอาชีพขายอาหารตามสั่ง ต้องเดินเท้าหลายกิโลเมตร เพื่อไปซื้อของที่ตลาด และต้องรับภาระเลี้ยงดูอีก 2 ชีวิต ทั้งแม่แก่ชราวัย 80 ปี พิการนอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และน้องชายวัย 61 ปี พิการนอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทั้ง 3 ชีวิต อาศัย ในบ้านเช่าสภาพเก่าทรุดโทรมและคับแคบ ครอบครัวมีฐานะยากจน รายได้ไม่เพียงพอค่าใช้จ่าย ที่จังหวัดนครสวรรค์ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.บุรีรัมย์ และ พมจ.นครสวรรค์ พร้อมทีม พม. One Home ทั้ง 2 จังหวัด ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของทั้ง 2 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุ เด็ก และคนพิการ ของกระทรวง พม. พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น และเงินสงเคราะห์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด อีกทั้งการให้คําปรึกษาแนะนําเพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการที่พึงได้รับตามกฎหมาย อาทิ เบี้ยความพิการ เงินยังชีพผู้สูงอายุ และเงินทุนประกอบอาชีพ เป็นต้น เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างมั่นคงในระยะยาวต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18307
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมจับมือ ม.ราชภัฏพิบูลสงคราม ร่วมพัฒนาบุคลากรดูแลสุขภาพเด็กและผู้สูงอายุ
วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2563 พม. เตรียมจับมือ ม.ราชภัฏพิบูลสงคราม ร่วมพัฒนาบุคลากรดูแลสุขภาพเด็กและผู้สูงอายุ พม. เตรียมจับมือ ม.ราชภัฏพิบูลสงคราม ร่วมพัฒนาบุคลากรดูแลสุขภาพเด็กและผู้สูงอายุ เมื่อวันที่26 ก.ค. 63เวลา 14.00 น. ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลกนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ประชุมหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่าง กระทรวง พม. และคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม อาทิ ความร่วมมือในการสนับสนุนการดําเนินกิจกรรมและโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาและคุ้มครองเด็กและผู้สูงอายุ ความร่วมมือด้านวิชาการในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูลข่าวสาร ด้านการพัฒนาและคุ้มครองเด็กและผู้สูงอายุ และความร่วมมือในการสนับสนุนโครงการอบรมพัฒนาบุคลากรด้านการดูแลสุขภาพเด็ก และผู้สูงอายุ นายจุติกล่าวว่า ด้วยรัฐบาลได้มอบหมายนโยบายให้ทุกหน่วยงานปฏิรูปการทํางานราชการ โดยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ด้วยการเดินเข้าหาและช่วยเหลือประชาชน เป็นการทํางานเชิงรุกอย่างบูรณาการ เพื่อให้มีความสอดรับกับแผนรองรับสังคมผู้สูงอายุในปีหน้า ซึ่งกระทรวง พม. จะมีการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร โดยวันนี้ มีการประชุมหารือร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามเป็นแห่งแรกเพื่อสร้างความพร้อมด้านบุคลากรในการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งประเทศไทยมีความขาดแคลนบุคลากรดังกล่าว แต่ยังมีจุดแข็งทางด้านสาธารณสุข โดยจะต้องไม่ละเลยผู้สูงอายุที่นับวันจะมีจํานวนเพิ่มมากขึ้น และเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่าของประเทศ ดังนั้น จึงจําเป็นต้องรักษาและพัฒนาให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งการทํางานเชิงรุกในการป้องกันจะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุ โดยทุกหน่วยงานจําเป็นต้องบูรณาการทํางานร่วมกัน นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับแนวทางในการดําเนินการต่อไปนั้น คือ การสรรหาบุคลากรมาพัฒนาศักยภาพและทักษะความรู้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้มีมาตรฐานตามที่รัฐบาลกําหนด โดยทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพด้วย นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานด้านสังคมในหลายมิติ ซึ่งในเบื้องต้นจะมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง กระทรวง พม.กับมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมจับมือ ม.ราชภัฏพิบูลสงคราม ร่วมพัฒนาบุคลากรดูแลสุขภาพเด็กและผู้สูงอายุ วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2563 พม. เตรียมจับมือ ม.ราชภัฏพิบูลสงคราม ร่วมพัฒนาบุคลากรดูแลสุขภาพเด็กและผู้สูงอายุ พม. เตรียมจับมือ ม.ราชภัฏพิบูลสงคราม ร่วมพัฒนาบุคลากรดูแลสุขภาพเด็กและผู้สูงอายุ เมื่อวันที่26 ก.ค. 63เวลา 14.00 น. ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลกนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ประชุมหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่าง กระทรวง พม. และคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม อาทิ ความร่วมมือในการสนับสนุนการดําเนินกิจกรรมและโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาและคุ้มครองเด็กและผู้สูงอายุ ความร่วมมือด้านวิชาการในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูลข่าวสาร ด้านการพัฒนาและคุ้มครองเด็กและผู้สูงอายุ และความร่วมมือในการสนับสนุนโครงการอบรมพัฒนาบุคลากรด้านการดูแลสุขภาพเด็ก และผู้สูงอายุ นายจุติกล่าวว่า ด้วยรัฐบาลได้มอบหมายนโยบายให้ทุกหน่วยงานปฏิรูปการทํางานราชการ โดยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ด้วยการเดินเข้าหาและช่วยเหลือประชาชน เป็นการทํางานเชิงรุกอย่างบูรณาการ เพื่อให้มีความสอดรับกับแผนรองรับสังคมผู้สูงอายุในปีหน้า ซึ่งกระทรวง พม. จะมีการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร โดยวันนี้ มีการประชุมหารือร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามเป็นแห่งแรกเพื่อสร้างความพร้อมด้านบุคลากรในการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งประเทศไทยมีความขาดแคลนบุคลากรดังกล่าว แต่ยังมีจุดแข็งทางด้านสาธารณสุข โดยจะต้องไม่ละเลยผู้สูงอายุที่นับวันจะมีจํานวนเพิ่มมากขึ้น และเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่าของประเทศ ดังนั้น จึงจําเป็นต้องรักษาและพัฒนาให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งการทํางานเชิงรุกในการป้องกันจะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุ โดยทุกหน่วยงานจําเป็นต้องบูรณาการทํางานร่วมกัน นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับแนวทางในการดําเนินการต่อไปนั้น คือ การสรรหาบุคลากรมาพัฒนาศักยภาพและทักษะความรู้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้มีมาตรฐานตามที่รัฐบาลกําหนด โดยทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพด้วย นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงความร่วมมือในการขับเคลื่อนงานด้านสังคมในหลายมิติ ซึ่งในเบื้องต้นจะมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง กระทรวง พม.กับมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33739
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมความพร้อมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี
วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560 "สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมความพร้อมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมความพร้อมของศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เมื่อวันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560 ณ วิทยาลัยสารพัดช่างชลบุรี ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี 336/2560 "สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมความพร้อมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี จังหวัดชลบุรี - พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมความพร้อมของศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เมื่อวันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560 ณ วิทยาลัยสารพัดช่างชลบุรี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 ได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับกระทรวงแรงงาน สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดให้มีหลักสูตรเพื่อพัฒนาบุคลากรในสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ทั้งหลักสูตรในระบบการศึกษาปกติสําหรับนักศึกษา และหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องสําหรับแรงงานที่ประสงค์จะพัฒนาความรู้เพิ่มเติม กระทรวงศึกษาธิการจึงได้แจ้งข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมอบสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เป็นหน่วยงานหลักดําเนินการในเรื่องนี้ โดยจัดการประชุมหารือร่วมกับกระทรวงแรงงาน BOI และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งจัดทําใน 2 เรื่องหลักตามลําดับ คือ 1) จัดทํายุทธศาสตร์พัฒนากําลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564) ซึ่งเป็นแผนระยะ 5 ปี โดยกําหนดวิสัยทัศน์ "ผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะในระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Innovative Workforce) สนับสนุนการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" 2) ดําเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ทั้งศูนย์ระดับภาค 1 ศูนย์ และศูนย์ระดับจังหวัดในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ภายใน 3 เดือนนับตั้งแต่ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (เดือนเมษายน-มิถุนายน 2560) สอศ.ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งเป็นศูนย์ระดับภาค จํานวน 1 ศูนย์ ที่วิทยาลัยสารพัดช่างชลบุรี และศูนย์ระดับจังหวัด จํานวน 3 ศูนย์ ที่ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา โดยศูนย์หลักระดับจังหวัดของชลบุรี ตั้งอยู่ที่วิทยาลัยสารพัดช่างชลบุรีแห่งนี้ด้วย โดยนายประเวศ คําหงส์ เป็นผู้อํานวยการศูนย์, ศูนย์หลักของจังหวัดระยอง ตั้งอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคระยอง โดยนายวิมล จํานงบุตร เป็นผู้อํานวยการศูนย์, ศูนย์หลักของจังหวัดฉะเชิงเทรา ตั้งอยู่ที่วิทยาลัยสารพัดช่างฉะเชิงเทรา โดยนายสุริยะ จิตรพิไลเลิศ เป็นผู้อํานวยการศูนย์ การตรวจเยี่ยมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในครั้งนี้ จึงเป็นการตรวจความพร้อมของสถานที่ รวมทั้งได้ประชุมทางไกล (Web Conference) กับ 2 จังหวัด จากวิทยาลัยเทคนิคระยอง โดยมีนายประชาคม จันทรชิต รองเลขาธิการ กอศ. เป็นประธานการประชุม และจากวิทยาลัยสารพัดช่างฉะเชิงเทรา โดยมีนายวณิชย์ อ่วมศรี รองเลขาธิการ กอศ. เป็นประธาน จากการตรวจเยี่ยมและประชุมร่วมกันครั้งนี้ทําให้มั่นใจว่า สอศ. ได้เตรียมการความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ เพื่อดําเนินการให้สอดคล้องกับแนวทางนโยบายของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี โดยศูนย์แห่งนี้จะมี 5 ฝ่ายเพื่อปฏิบัติงาน คือ ฝ่ายข้อมูลกลาง ฝ่ายส่งเสริมสมรรถนะผู้เรียนเข้าสู่มาตรฐานอาชีพ ฝ่ายส่งเสริมการระดมทรัพยากรและความร่วมมือ ฝ่ายจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับการมีงานทํา และฝ่ายวิจัยและพัฒนา ในส่วนของการจัดทําแผนยุทธศาสตร์พัฒนากําลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564) เนื่องจากใกล้สิ้นปีงบประมาณ 2560 จึงจะปฏิบัติงานตามแผนเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่ปีงบประมาณ 2561-2564 จะเสนอแผนยุทธศาสตร์ให้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบและขอความสนับสนุนต่อไป หลังจากนั้นในวันที่ 14 กรกฎาคมนี้ จะเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดจาก 3 จังหวัดมาร่วมแถลงแผนงานยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนงานตามแผนระยะ 5 ปี ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบร่วมกัน รวมทั้งจะนําความคิดเห็นจากที่ประชุมในวันนั้นไปปรับปรุงแผนให้สอดคล้องต่อตามความต้องการของพื้นที่ให้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่สําคัญของศูนย์คือ การผลิตกําลังคนอาชีวศึกษาสนับสนุน EEC และสนองตอบความต้องการกําลังคนในสาขาวิชา First S-Curve และ New S-Curve (ตามตารางข้างล่าง) ขอเน้นให้เกิดความร่วมมือกับหน่วยงานและประเทศชั้นนําในเรื่องนั้น ๆ ให้มากยิ่งขึ้น เช่น แมคคาทรอนิกส์ ซึ่งเยอรมนีมีความพร้อมเป็นอย่างมาก อาจจะจัดส่งครูช่าง 10-15 คนไปพัฒนาที่เยอรมนี หรืออาจขอความอนุเคราะห์ผ่านสถานทูตจัดส่งวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมาขยายถ่ายทอดให้แก่ครูช่างในประเทศ ซึ่งเชื่อมั่นว่าภายใน 1 ปี เราจะได้ครูที่มีขีดความสามารถสูงไปถ่ายทอดให้แก่ผู้เรียนได้ทั้งหลักสูตรการศึกษาปกติและหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง นอกจากนี้ขอให้เลขาธิการ กอศ.พิจารณาแผนดําเนินการในการจัดตั้ง "ศูนย์พัฒนาสมรรถนะ" ในพื้นที่ เพราะจะมีส่วนสําคัญต่อการผลิตกําลังคนในสาขาพิเศษเหล่านี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า ขอให้คํานึงถึงแผนการทํางานที่จะต้อง "คิดให้ครบ ทบทวนเป็นห้วง ๆ ห่วงการรับรู้ เพื่อมุ่งสู่บูรณาการ" กล่าวคือ ต้องวางแผนดําเนินการร่วมกับทุกฝ่ายทุกระดับให้มีความครอบคลุมมากที่สุด และระหว่างการปฏิบัติงานขอให้มีการประเมินหรือทบทวนการปฏิบัติงาน (AAR: After Action Review) เป็นห้วง ๆ เพื่อจะได้รู้ว่างานที่เราทําไป มีอะไรที่จําเป็นต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง ในขณะเดียวกันต้องเร่งการสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้เกิดขึ้นในหน่วยงานก่อน เพื่อให้บุคลากรได้รับทราบและเข้าใจในเรื่องที่กําลังปฏิบัติร่วมกันก่อน เพราะเมื่อเกิดความเข้าใจแล้วจะสามารถขยายผลไปยังประชาชน และหากทุกฝ่ายมีความเข้าใจตรงกันแล้วก็จะได้รับความร่วมมือมากยิ่งขึ้น อันจะนําไปสู่การทํางานเชิงบูรณาการต่อไป นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวถึงโครงสร้างการบริหารงานของ "ศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" (EEC TVET Career Center) ย่อจาก Eastern Economic Corridor Technical and Vocational Education and Training Career Center มีคณะกรรมการบริหารงาน ระดับอํานวยการ โดย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นประธาน และระดับคณะกรรมการ โดยนายวิมล จํานงบุตร เป็นประธาน ซึ่งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง มีบุคลากรทั้งสิ้น 14 อัตรา คือ ผู้อํานวยการศูนย์ 1 ตําแหน่ง ผู้อํานวยการฝ่าย 5 ตําแหน่ง และเจ้าหน้าที่ 8 ตําแหน่ง ศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ของจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ได้แบ่งการทํางานออกเป็น 5 ฝ่าย ดังนี้ 1) ฝ่ายข้อมูลกลาง มีหน้าที่ - ส่งเสริมการเพิ่มปริมาณผู้เรียนอาชีวศึกษา - รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้านอุปสงค์ และอุปทาน เพื่อวางแผนกําลังคนในกลุ่ม EEC 2) ฝ่ายส่งเสริมสมรรถนะผู้เรียนเข้าสู่มาตรฐานอาชีพ มีหน้าที่ - ส่งเสริมสนับสนุนสถานศึกษาผลิตและพัฒนากําลังคนในสาขาวิชาที่สอดคล้องกับความต้องการ - พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการ - ส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาสมรรถนะผู้สําเร็จการศึกษาให้สอดคล้องกับประเทศไทย 4.0 3) ฝ่ายส่งเสริมการระดมทรัพยากรและความร่วมมือ มีหน้าที่ - สนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อบูรณาการความร่วมือของทุกภาคส่วนในพื้นที่ - ส่งเสริมสนับสนุนสถานศึกษาในการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี และฝึกประสบการณ์ด้านวิชาชีพ - บริหารจัดการกําลังคนอาชีวศึกษาในพื้นที่ EEC และต่างพื้นที่ เพื่อให้มีกําลังคนอาชีวศึกษาใน EEC มีเพียงพอกับความต้องการของสถานประกอบการ - บริหารจัดการระบบดูแล ช่วยเหลือผู้เรียน - พัฒนาครูและบุคลากร - จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้เรียนอาชีวศึกษา 4) ฝ่ายจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับการมีงานทํา มีหน้าที่ - ส่งเสริมสนับสนุนการมีงานทําและการมีรายได้ระหว่างเรียน - ส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการในกลุ่มวิสาหกิจที่ใช้นวัตกรรม - Job Matching 5) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา มีหน้าที่ - ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาในพื้นที่เกี่ยวกับการผลิตและพัฒนากําลังคน นอกจาก 3 ศูนย์ประสานงานในระดับจังหวัดแล้ว สอศ. ยังได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานย่อยในแต่ละจังหวัดอีกด้วย โดยจังหวัดชลบุรีและระยองมีจังหวัดละ 3 ศูนย์ย่อย ส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรามี 4 ศูนย์ย่อย ทั้งนี้ สอศ.ยืนยันความพร้อมในการดําเนินการ ซึ่งได้มีความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในจังหวัดที่เกี่ยวข้อง ในการจัดทํายุทธศาสตร์พัฒนากําลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564) และการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ไว้รองรับการผลิตกําลังคนอาชีวศึกษาในสถานศึกษาสนับสนุน EEC รวมทั้งการจัดหาครูผู้สอนให้เพียงพอ การพัฒนาครู การพัฒนาครูฝึกในสถานศึกษา ตลอดจนการจัดหาผู้เชี่ยวชาญมาถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าวให้แก่ครูอาชีวศึกษาต่อไป นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ขอขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการที่ให้ความไว้วางใจให้จังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะเป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนําของอาเซียน เพื่อส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม (First S-Curve) และอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ทั้งนี้ จังหวัดชลบุรีได้เตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ไว้รองรับ EEC แล้ว อนึ่ง ในการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ มีผู้บริหารที่เข้าร่วมประชุม อาทิ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ, นายพีระ รัตนวิจิตร ศึกษาธิการภาค 9 (ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด), นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี, นายธานินทร์ ชลจิตต์ ศึกษาธิการจังหวัดชลบุรี, ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา เขต 18, ผู้แทนสํานักงานแรงงานจังหวัด, ผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐและเอกชน เป็นต้น บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี : ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมความพร้อมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560 "สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมความพร้อมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมความพร้อมของศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เมื่อวันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560 ณ วิทยาลัยสารพัดช่างชลบุรี ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี 336/2560 "สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมความพร้อมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี จังหวัดชลบุรี - พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมความพร้อมของศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เมื่อวันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560 ณ วิทยาลัยสารพัดช่างชลบุรี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 ได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับกระทรวงแรงงาน สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดให้มีหลักสูตรเพื่อพัฒนาบุคลากรในสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ทั้งหลักสูตรในระบบการศึกษาปกติสําหรับนักศึกษา และหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องสําหรับแรงงานที่ประสงค์จะพัฒนาความรู้เพิ่มเติม กระทรวงศึกษาธิการจึงได้แจ้งข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมอบสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เป็นหน่วยงานหลักดําเนินการในเรื่องนี้ โดยจัดการประชุมหารือร่วมกับกระทรวงแรงงาน BOI และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งจัดทําใน 2 เรื่องหลักตามลําดับ คือ 1) จัดทํายุทธศาสตร์พัฒนากําลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564) ซึ่งเป็นแผนระยะ 5 ปี โดยกําหนดวิสัยทัศน์ "ผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะในระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Innovative Workforce) สนับสนุนการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" 2) ดําเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ทั้งศูนย์ระดับภาค 1 ศูนย์ และศูนย์ระดับจังหวัดในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ภายใน 3 เดือนนับตั้งแต่ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (เดือนเมษายน-มิถุนายน 2560) สอศ.ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งเป็นศูนย์ระดับภาค จํานวน 1 ศูนย์ ที่วิทยาลัยสารพัดช่างชลบุรี และศูนย์ระดับจังหวัด จํานวน 3 ศูนย์ ที่ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา โดยศูนย์หลักระดับจังหวัดของชลบุรี ตั้งอยู่ที่วิทยาลัยสารพัดช่างชลบุรีแห่งนี้ด้วย โดยนายประเวศ คําหงส์ เป็นผู้อํานวยการศูนย์, ศูนย์หลักของจังหวัดระยอง ตั้งอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคระยอง โดยนายวิมล จํานงบุตร เป็นผู้อํานวยการศูนย์, ศูนย์หลักของจังหวัดฉะเชิงเทรา ตั้งอยู่ที่วิทยาลัยสารพัดช่างฉะเชิงเทรา โดยนายสุริยะ จิตรพิไลเลิศ เป็นผู้อํานวยการศูนย์ การตรวจเยี่ยมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในครั้งนี้ จึงเป็นการตรวจความพร้อมของสถานที่ รวมทั้งได้ประชุมทางไกล (Web Conference) กับ 2 จังหวัด จากวิทยาลัยเทคนิคระยอง โดยมีนายประชาคม จันทรชิต รองเลขาธิการ กอศ. เป็นประธานการประชุม และจากวิทยาลัยสารพัดช่างฉะเชิงเทรา โดยมีนายวณิชย์ อ่วมศรี รองเลขาธิการ กอศ. เป็นประธาน จากการตรวจเยี่ยมและประชุมร่วมกันครั้งนี้ทําให้มั่นใจว่า สอศ. ได้เตรียมการความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ เพื่อดําเนินการให้สอดคล้องกับแนวทางนโยบายของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี โดยศูนย์แห่งนี้จะมี 5 ฝ่ายเพื่อปฏิบัติงาน คือ ฝ่ายข้อมูลกลาง ฝ่ายส่งเสริมสมรรถนะผู้เรียนเข้าสู่มาตรฐานอาชีพ ฝ่ายส่งเสริมการระดมทรัพยากรและความร่วมมือ ฝ่ายจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับการมีงานทํา และฝ่ายวิจัยและพัฒนา ในส่วนของการจัดทําแผนยุทธศาสตร์พัฒนากําลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564) เนื่องจากใกล้สิ้นปีงบประมาณ 2560 จึงจะปฏิบัติงานตามแผนเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่ปีงบประมาณ 2561-2564 จะเสนอแผนยุทธศาสตร์ให้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบและขอความสนับสนุนต่อไป หลังจากนั้นในวันที่ 14 กรกฎาคมนี้ จะเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดจาก 3 จังหวัดมาร่วมแถลงแผนงานยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนงานตามแผนระยะ 5 ปี ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบร่วมกัน รวมทั้งจะนําความคิดเห็นจากที่ประชุมในวันนั้นไปปรับปรุงแผนให้สอดคล้องต่อตามความต้องการของพื้นที่ให้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่สําคัญของศูนย์คือ การผลิตกําลังคนอาชีวศึกษาสนับสนุน EEC และสนองตอบความต้องการกําลังคนในสาขาวิชา First S-Curve และ New S-Curve (ตามตารางข้างล่าง) ขอเน้นให้เกิดความร่วมมือกับหน่วยงานและประเทศชั้นนําในเรื่องนั้น ๆ ให้มากยิ่งขึ้น เช่น แมคคาทรอนิกส์ ซึ่งเยอรมนีมีความพร้อมเป็นอย่างมาก อาจจะจัดส่งครูช่าง 10-15 คนไปพัฒนาที่เยอรมนี หรืออาจขอความอนุเคราะห์ผ่านสถานทูตจัดส่งวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมาขยายถ่ายทอดให้แก่ครูช่างในประเทศ ซึ่งเชื่อมั่นว่าภายใน 1 ปี เราจะได้ครูที่มีขีดความสามารถสูงไปถ่ายทอดให้แก่ผู้เรียนได้ทั้งหลักสูตรการศึกษาปกติและหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง นอกจากนี้ขอให้เลขาธิการ กอศ.พิจารณาแผนดําเนินการในการจัดตั้ง "ศูนย์พัฒนาสมรรถนะ" ในพื้นที่ เพราะจะมีส่วนสําคัญต่อการผลิตกําลังคนในสาขาพิเศษเหล่านี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า ขอให้คํานึงถึงแผนการทํางานที่จะต้อง "คิดให้ครบ ทบทวนเป็นห้วง ๆ ห่วงการรับรู้ เพื่อมุ่งสู่บูรณาการ" กล่าวคือ ต้องวางแผนดําเนินการร่วมกับทุกฝ่ายทุกระดับให้มีความครอบคลุมมากที่สุด และระหว่างการปฏิบัติงานขอให้มีการประเมินหรือทบทวนการปฏิบัติงาน (AAR: After Action Review) เป็นห้วง ๆ เพื่อจะได้รู้ว่างานที่เราทําไป มีอะไรที่จําเป็นต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง ในขณะเดียวกันต้องเร่งการสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้เกิดขึ้นในหน่วยงานก่อน เพื่อให้บุคลากรได้รับทราบและเข้าใจในเรื่องที่กําลังปฏิบัติร่วมกันก่อน เพราะเมื่อเกิดความเข้าใจแล้วจะสามารถขยายผลไปยังประชาชน และหากทุกฝ่ายมีความเข้าใจตรงกันแล้วก็จะได้รับความร่วมมือมากยิ่งขึ้น อันจะนําไปสู่การทํางานเชิงบูรณาการต่อไป นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวถึงโครงสร้างการบริหารงานของ "ศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" (EEC TVET Career Center) ย่อจาก Eastern Economic Corridor Technical and Vocational Education and Training Career Center มีคณะกรรมการบริหารงาน ระดับอํานวยการ โดย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นประธาน และระดับคณะกรรมการ โดยนายวิมล จํานงบุตร เป็นประธาน ซึ่งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง มีบุคลากรทั้งสิ้น 14 อัตรา คือ ผู้อํานวยการศูนย์ 1 ตําแหน่ง ผู้อํานวยการฝ่าย 5 ตําแหน่ง และเจ้าหน้าที่ 8 ตําแหน่ง ศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ของจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ได้แบ่งการทํางานออกเป็น 5 ฝ่าย ดังนี้ 1) ฝ่ายข้อมูลกลาง มีหน้าที่ - ส่งเสริมการเพิ่มปริมาณผู้เรียนอาชีวศึกษา - รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้านอุปสงค์ และอุปทาน เพื่อวางแผนกําลังคนในกลุ่ม EEC 2) ฝ่ายส่งเสริมสมรรถนะผู้เรียนเข้าสู่มาตรฐานอาชีพ มีหน้าที่ - ส่งเสริมสนับสนุนสถานศึกษาผลิตและพัฒนากําลังคนในสาขาวิชาที่สอดคล้องกับความต้องการ - พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการ - ส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาสมรรถนะผู้สําเร็จการศึกษาให้สอดคล้องกับประเทศไทย 4.0 3) ฝ่ายส่งเสริมการระดมทรัพยากรและความร่วมมือ มีหน้าที่ - สนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อบูรณาการความร่วมือของทุกภาคส่วนในพื้นที่ - ส่งเสริมสนับสนุนสถานศึกษาในการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี และฝึกประสบการณ์ด้านวิชาชีพ - บริหารจัดการกําลังคนอาชีวศึกษาในพื้นที่ EEC และต่างพื้นที่ เพื่อให้มีกําลังคนอาชีวศึกษาใน EEC มีเพียงพอกับความต้องการของสถานประกอบการ - บริหารจัดการระบบดูแล ช่วยเหลือผู้เรียน - พัฒนาครูและบุคลากร - จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้เรียนอาชีวศึกษา 4) ฝ่ายจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับการมีงานทํา มีหน้าที่ - ส่งเสริมสนับสนุนการมีงานทําและการมีรายได้ระหว่างเรียน - ส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการในกลุ่มวิสาหกิจที่ใช้นวัตกรรม - Job Matching 5) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา มีหน้าที่ - ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาในพื้นที่เกี่ยวกับการผลิตและพัฒนากําลังคน นอกจาก 3 ศูนย์ประสานงานในระดับจังหวัดแล้ว สอศ. ยังได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานย่อยในแต่ละจังหวัดอีกด้วย โดยจังหวัดชลบุรีและระยองมีจังหวัดละ 3 ศูนย์ย่อย ส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรามี 4 ศูนย์ย่อย ทั้งนี้ สอศ.ยืนยันความพร้อมในการดําเนินการ ซึ่งได้มีความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในจังหวัดที่เกี่ยวข้อง ในการจัดทํายุทธศาสตร์พัฒนากําลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564) และการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ไว้รองรับการผลิตกําลังคนอาชีวศึกษาในสถานศึกษาสนับสนุน EEC รวมทั้งการจัดหาครูผู้สอนให้เพียงพอ การพัฒนาครู การพัฒนาครูฝึกในสถานศึกษา ตลอดจนการจัดหาผู้เชี่ยวชาญมาถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าวให้แก่ครูอาชีวศึกษาต่อไป นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ขอขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการที่ให้ความไว้วางใจให้จังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะเป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนําของอาเซียน เพื่อส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม (First S-Curve) และอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ทั้งนี้ จังหวัดชลบุรีได้เตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ไว้รองรับ EEC แล้ว อนึ่ง ในการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ มีผู้บริหารที่เข้าร่วมประชุม อาทิ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ, นายพีระ รัตนวิจิตร ศึกษาธิการภาค 9 (ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด), นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี, นายธานินทร์ ชลจิตต์ ศึกษาธิการจังหวัดชลบุรี, ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา เขต 18, ผู้แทนสํานักงานแรงงานจังหวัด, ผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐและเอกชน เป็นต้น บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี : ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4953
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในประเพณีสงกรานต์และเทศกาลงานบุญปีใหม่ไทย ประจำปี 2560 ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน 2560
วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน 2560 สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในประเพณีสงกรานต์และเทศกาลงานบุญปีใหม่ไทย ประจําปี 2560 ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน 2560 สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในประเพณีสงกรานต์และเทศกาลงานบุญปีใหม่ไทย ประจําปี 2560 ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน 2560 สงกรานต์ เป็นประเพณีสําคัญของคนไทยมาตั้งแต่โบราณกาล และถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยโดยเป็นช่วงเวลาที่สมาชิกในครอบครัวจะได้กลับมาพบปะกัน ร่วมกันทํากิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมทางสังคม ได้แสดงออกถึงความกตัญญู ความเคารพแก่พ่อแม่ และผู้สูงอายุ ด้วยการเข้าวัดทําบุญตักบาตร สรงน้ําพระ การรดน้ําดําหัวขอพรผู้ใหญ่ และการประกอบกิจกรรมสาธารณะประโยชน์เพื่อสังคม ซึ่งถือเป็นการสืบสานประเพณีสงกรานต์ที่มีมาอย่างยาวนาน อันเป็นการเสริมสร้างความรักความสามัคคีและความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นในครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติ รัฐบาลมุ่งปลูกฝังค่านิยมความเป็นไทยและการอนุรักษ์ ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทย ทุกแขนงและส่งเสริมให้คนไทยทุกคนได้เรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาติ เพื่อให้คนไทยทุกคนมีความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สรรค์สร้างเอกลักษณ์ของชาติไว้ให้ลูกหลานในวันนี้ โดยให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมแบบอนุรักษ์ และส่งเสริมขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของไทย เพื่อคงคุณค่าความเป็นเอกลักษณ์ของไทยไว้ให้ยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวตามเทศกาล เพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้มาร่วมเยี่ยมชมวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของไทยในทุกท้องถิ่น อันเป็นการนําทุนทางวัฒนธรรมมาส่งเสริมให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวเติบโตต่อไป เนื่องในโอกาสประเพณีสงกรานต์และเทศกาลงานบุญปีใหม่ไทย ประจําปีพุทธศักราช 2560 ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนไตรและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน มีความสุข มีความเจริญ และเล่นสงกรานต์กันด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ และมีความปลอดภัยโดยทั่วกัน *************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในประเพณีสงกรานต์และเทศกาลงานบุญปีใหม่ไทย ประจำปี 2560 ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน 2560 วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน 2560 สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในประเพณีสงกรานต์และเทศกาลงานบุญปีใหม่ไทย ประจําปี 2560 ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน 2560 สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในประเพณีสงกรานต์และเทศกาลงานบุญปีใหม่ไทย ประจําปี 2560 ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน 2560 สงกรานต์ เป็นประเพณีสําคัญของคนไทยมาตั้งแต่โบราณกาล และถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยโดยเป็นช่วงเวลาที่สมาชิกในครอบครัวจะได้กลับมาพบปะกัน ร่วมกันทํากิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมทางสังคม ได้แสดงออกถึงความกตัญญู ความเคารพแก่พ่อแม่ และผู้สูงอายุ ด้วยการเข้าวัดทําบุญตักบาตร สรงน้ําพระ การรดน้ําดําหัวขอพรผู้ใหญ่ และการประกอบกิจกรรมสาธารณะประโยชน์เพื่อสังคม ซึ่งถือเป็นการสืบสานประเพณีสงกรานต์ที่มีมาอย่างยาวนาน อันเป็นการเสริมสร้างความรักความสามัคคีและความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นในครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติ รัฐบาลมุ่งปลูกฝังค่านิยมความเป็นไทยและการอนุรักษ์ ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทย ทุกแขนงและส่งเสริมให้คนไทยทุกคนได้เรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาติ เพื่อให้คนไทยทุกคนมีความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สรรค์สร้างเอกลักษณ์ของชาติไว้ให้ลูกหลานในวันนี้ โดยให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมแบบอนุรักษ์ และส่งเสริมขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของไทย เพื่อคงคุณค่าความเป็นเอกลักษณ์ของไทยไว้ให้ยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวตามเทศกาล เพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้มาร่วมเยี่ยมชมวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของไทยในทุกท้องถิ่น อันเป็นการนําทุนทางวัฒนธรรมมาส่งเสริมให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวเติบโตต่อไป เนื่องในโอกาสประเพณีสงกรานต์และเทศกาลงานบุญปีใหม่ไทย ประจําปีพุทธศักราช 2560 ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนไตรและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน มีความสุข มีความเจริญ และเล่นสงกรานต์กันด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ และมีความปลอดภัยโดยทั่วกัน *************************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3078
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เร่งขับเคลื่อนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมพร้อมเพิ่มพื้นที่ป่าอีก 5 แสนไร่
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563 ธ.ก.ส. เร่งขับเคลื่อนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมพร้อมเพิ่มพื้นที่ป่าอีก 5 แสนไร่ ธ.ก.ส. พร้อมนําเงินจากการออก Green Bond เป็นทุนสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยสร้างพื้นที่ป่าในประเทศเพิ่มขึ้น 5 แสนไร่ และหนุนการสร้างงานสร้างรายได้ ในระบบเศรษฐกิจชุมชนฐานรากกว่าแสนล้าน วันนี้ (30 กรกฎาคม 2563) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดกิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 68 พรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ชุมชนตระหนักถึงคุณค่าของต้นไม้ การมีส่วนร่วมในการสร้างพื้นที่ป่าและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมีนายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. ผู้บริหารและพนักงาน ธ.ก.ส. พร้อมด้วยเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมงาน ณ โรงเรียนบ้านบนนา ตําบลช่างเคิ่ง อําเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบท ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมาได้ดําเนินโครงการธนาคารต้นไม้สนับสนุนให้เกษตรกรและชุมชนปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง โดยมีชุมชนเข้าร่วมโครงการแล้ว 6,844 ชุมชน มีผู้ร่วมปลูกต้นไม้กว่า 130,000 ราย มีต้นไม้ปลูกเพิ่มในประเทศกว่า 1.2 ล้านต้น และเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรผู้ปลูกต้นไม้ มีการแปลงมูลค่าต้นไม้เป็นทรัพย์สิน เพื่อนํามาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ําประกันสินเชื่อ รวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก โดยคํานวณปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ตีเป็นมูลค่า เพื่อช่วยลดปัญหาโลกร้อนและสร้างรายได้ให้กับชุมชน เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการสนับสนุนโครงการ ในปี 2563 ธ.ก.ส. ได้ระดมทุนโดยการออกพันธบัตรด้านสิ่งแวดล้อม Green Bond จํานวน 6,000 ล้านบาท จากเป้าหมาย 20,000 ล้านบาท (ในปีบัญชี 2563-2567) เพื่อนํามาใช้เป็นทุนสนับสนุนการดําเนินงานโครงการด้านสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับคนในชนบท เช่น สินเชื่อปลูกป่าสร้างรายได้ สินเชื่อรักษ์ป่าไม้ไทยยั่งยืน โดยมุ่งสนับสนุนให้ประชาชนหันมาปลูกป่าเพื่อการออม การสร้างมูลค่าเพิ่มจากป่าไม้ในเชิงเศรษฐกิจ การสนับสนุนชุมชนท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ สินเชื่อเพื่อพัฒนาแหล่งน้ํา เพื่อให้ประชาชนมีน้ําใช้ในช่วงหน้าแล้ง สินเชื่อ New Gen Hug บ้านเกิด เพื่อกระตุ้นและสนับสนุนให้ทายาทเกษตรกรและคนรุ่นใหม่ ที่มีทักษะความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยี ด้านการตลาดและการจัดการ หันมาร่วมพัฒนาภาคเกษตรกรรม และสินเชื่อ SMAEs ที่มุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการในการพัฒนาและยกระดับสินค้าการเกษตร เป็นต้น โดยการดําเนินโครงการจะบูรณาการร่วมกับส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ในการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันและควบคุมมลพิษ การจัดการ น้ําเสีย การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น ทั้งนี้เป้าหมายและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ คือ ทําให้ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น 500,000 ไร่ มีการปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านต้น โดยสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากมูลค่ารวมของต้นไม้ 400,000 ล้านบาท มูลค่าจากการเก็บของป่าขาย 1,130 ล้านบาทต่อปี สามารถกักเก็บคาร์บอนได้ 950,000 ล้านตันต่อปี มูลค่าคาร์บอนเครดิต 95 ล้านบาทต่อปี มูลค่าระบบนิเวศบริการ 89,737 บาทต่อไร่ต่อปี โดยมีเกษตรกรได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 38,000 ครัวเรือน อีกทั้งเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 155,000 ราย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เร่งขับเคลื่อนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมพร้อมเพิ่มพื้นที่ป่าอีก 5 แสนไร่ วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563 ธ.ก.ส. เร่งขับเคลื่อนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมพร้อมเพิ่มพื้นที่ป่าอีก 5 แสนไร่ ธ.ก.ส. พร้อมนําเงินจากการออก Green Bond เป็นทุนสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยสร้างพื้นที่ป่าในประเทศเพิ่มขึ้น 5 แสนไร่ และหนุนการสร้างงานสร้างรายได้ ในระบบเศรษฐกิจชุมชนฐานรากกว่าแสนล้าน วันนี้ (30 กรกฎาคม 2563) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดกิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 68 พรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ชุมชนตระหนักถึงคุณค่าของต้นไม้ การมีส่วนร่วมในการสร้างพื้นที่ป่าและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมีนายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. ผู้บริหารและพนักงาน ธ.ก.ส. พร้อมด้วยเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมงาน ณ โรงเรียนบ้านบนนา ตําบลช่างเคิ่ง อําเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบท ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมาได้ดําเนินโครงการธนาคารต้นไม้สนับสนุนให้เกษตรกรและชุมชนปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง โดยมีชุมชนเข้าร่วมโครงการแล้ว 6,844 ชุมชน มีผู้ร่วมปลูกต้นไม้กว่า 130,000 ราย มีต้นไม้ปลูกเพิ่มในประเทศกว่า 1.2 ล้านต้น และเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรผู้ปลูกต้นไม้ มีการแปลงมูลค่าต้นไม้เป็นทรัพย์สิน เพื่อนํามาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ําประกันสินเชื่อ รวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก โดยคํานวณปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ตีเป็นมูลค่า เพื่อช่วยลดปัญหาโลกร้อนและสร้างรายได้ให้กับชุมชน เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการสนับสนุนโครงการ ในปี 2563 ธ.ก.ส. ได้ระดมทุนโดยการออกพันธบัตรด้านสิ่งแวดล้อม Green Bond จํานวน 6,000 ล้านบาท จากเป้าหมาย 20,000 ล้านบาท (ในปีบัญชี 2563-2567) เพื่อนํามาใช้เป็นทุนสนับสนุนการดําเนินงานโครงการด้านสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับคนในชนบท เช่น สินเชื่อปลูกป่าสร้างรายได้ สินเชื่อรักษ์ป่าไม้ไทยยั่งยืน โดยมุ่งสนับสนุนให้ประชาชนหันมาปลูกป่าเพื่อการออม การสร้างมูลค่าเพิ่มจากป่าไม้ในเชิงเศรษฐกิจ การสนับสนุนชุมชนท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ สินเชื่อเพื่อพัฒนาแหล่งน้ํา เพื่อให้ประชาชนมีน้ําใช้ในช่วงหน้าแล้ง สินเชื่อ New Gen Hug บ้านเกิด เพื่อกระตุ้นและสนับสนุนให้ทายาทเกษตรกรและคนรุ่นใหม่ ที่มีทักษะความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยี ด้านการตลาดและการจัดการ หันมาร่วมพัฒนาภาคเกษตรกรรม และสินเชื่อ SMAEs ที่มุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการในการพัฒนาและยกระดับสินค้าการเกษตร เป็นต้น โดยการดําเนินโครงการจะบูรณาการร่วมกับส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ในการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันและควบคุมมลพิษ การจัดการ น้ําเสีย การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น ทั้งนี้เป้าหมายและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ คือ ทําให้ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น 500,000 ไร่ มีการปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านต้น โดยสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากมูลค่ารวมของต้นไม้ 400,000 ล้านบาท มูลค่าจากการเก็บของป่าขาย 1,130 ล้านบาทต่อปี สามารถกักเก็บคาร์บอนได้ 950,000 ล้านตันต่อปี มูลค่าคาร์บอนเครดิต 95 ล้านบาทต่อปี มูลค่าระบบนิเวศบริการ 89,737 บาทต่อไร่ต่อปี โดยมีเกษตรกรได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 38,000 ครัวเรือน อีกทั้งเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 155,000 ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33811
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ปิยะสกลร่วมพิธีเปิด “Cuba Health 2018” เพื่อการพัฒนาสุขภาพที่ยั่งยืน
วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561 รมว.ปิยะสกลร่วมพิธีเปิด “Cuba Health 2018” เพื่อการพัฒนาสุขภาพที่ยั่งยืน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไทย พร้อมผู้นําด้านสุขภาพในระดับนานาชาติร่วมพิธีเปิด “Cuba Health 2018” แลกเปลี่ยนเรียนรู้ การขับเคลื่อนการประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อการพัฒนาสุขภาพที่ยั่งยืน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไทย พร้อมผู้นําด้านสุขภาพในระดับนานาชาติร่วมพิธีเปิด “Cuba Health 2018” แลกเปลี่ยนเรียนรู้ การขับเคลื่อนการประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อการพัฒนาสุขภาพที่ยั่งยืน ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ร่วมพิธีเปิด “Cuba Health 2018” พร้อมผู้นําด้านสุขภาพในระดับนานาชาติ อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจากกว่า 40 ประเทศ ผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ผู้อํานวยการองค์การอนามัยโลกสํานักงานภูมิภาคอเมริกา เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การขับเคลื่อนการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ณ กรุงฮาวานา สาธารณรัฐคิวบา ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ประเด็นสําคัญในการประชุมครั้งนี้คือ การประกันสุขภาพถ้วนหน้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน การประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็น 1 ใน 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals :SDGs)ที่องค์การสหประชาชาติประกาศใช้เพื่อเป็นแนวทางในการกํากับดูแลการพัฒนาของโลกระหว่างปี ค.ศ.2016-2030 และประเทศไทยได้ลงนามร่วมกับประเทศสมาชิก พร้อมให้คํามั่นระดับนโยบายที่จะร่วมผลักดันเป้าหมายนี้ให้สําเร็จ ซึ่งการประชุมครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐคิวบา “หากจะเปรียบการประกันสุขภาพถ้วนหน้าเสมือนรางรถไฟ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสําคัญที่จะนําขบวนงานสุขภาพให้เคลื่อนต่อไปได้ ไทยและคิวบาเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นว่า ระบบสุขภาพและการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เข้มแข็ง เป็นพื้นฐานที่จะต่อยอดให้งานสุขภาพประสบความสําเร็จ ซึ่งไทยและคิวบามีการลงทุนและพัฒนาระบบสุขภาพต่อเนื่องยาวนานมาหลายทศวรรษจนมีพื้นฐานที่ดีมาก ทําให้งานสุขภาพมีความก้าวหน้าในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นงานแม่และเด็กที่ปัจจุบันอัตราการตายในมารดาและทารกต่ําลงมาก สามารถลดโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนได้อย่างมีนัยสําคัญ การประสบความสําเร็จในการกําจัดโรคติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก”ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าว ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและคณะ ยังเข้าร่วมงาน “the 16th Vaccination Week of the Americas” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้น เพื่อให้ความสําคัญกับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีน ที่ต้องได้รับการสนับสนุนนโยบายอย่างต่อเนื่องและต้องสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้แก่ประชาชน และ“Health for all” Trade Fair ที่เป็นกิจกรรมหนึ่งที่แสดงถึงบทบาทของภาคเอกชนและภาคส่วนอื่นที่เป็นภาคีร่วมในการส่งเสริมการพัฒนาสุขภาพประชาชน ******************************************* 24 เมษายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ปิยะสกลร่วมพิธีเปิด “Cuba Health 2018” เพื่อการพัฒนาสุขภาพที่ยั่งยืน วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561 รมว.ปิยะสกลร่วมพิธีเปิด “Cuba Health 2018” เพื่อการพัฒนาสุขภาพที่ยั่งยืน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไทย พร้อมผู้นําด้านสุขภาพในระดับนานาชาติร่วมพิธีเปิด “Cuba Health 2018” แลกเปลี่ยนเรียนรู้ การขับเคลื่อนการประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อการพัฒนาสุขภาพที่ยั่งยืน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไทย พร้อมผู้นําด้านสุขภาพในระดับนานาชาติร่วมพิธีเปิด “Cuba Health 2018” แลกเปลี่ยนเรียนรู้ การขับเคลื่อนการประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อการพัฒนาสุขภาพที่ยั่งยืน ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ร่วมพิธีเปิด “Cuba Health 2018” พร้อมผู้นําด้านสุขภาพในระดับนานาชาติ อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจากกว่า 40 ประเทศ ผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ผู้อํานวยการองค์การอนามัยโลกสํานักงานภูมิภาคอเมริกา เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การขับเคลื่อนการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ณ กรุงฮาวานา สาธารณรัฐคิวบา ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ประเด็นสําคัญในการประชุมครั้งนี้คือ การประกันสุขภาพถ้วนหน้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน การประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็น 1 ใน 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals :SDGs)ที่องค์การสหประชาชาติประกาศใช้เพื่อเป็นแนวทางในการกํากับดูแลการพัฒนาของโลกระหว่างปี ค.ศ.2016-2030 และประเทศไทยได้ลงนามร่วมกับประเทศสมาชิก พร้อมให้คํามั่นระดับนโยบายที่จะร่วมผลักดันเป้าหมายนี้ให้สําเร็จ ซึ่งการประชุมครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐคิวบา “หากจะเปรียบการประกันสุขภาพถ้วนหน้าเสมือนรางรถไฟ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสําคัญที่จะนําขบวนงานสุขภาพให้เคลื่อนต่อไปได้ ไทยและคิวบาเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นว่า ระบบสุขภาพและการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เข้มแข็ง เป็นพื้นฐานที่จะต่อยอดให้งานสุขภาพประสบความสําเร็จ ซึ่งไทยและคิวบามีการลงทุนและพัฒนาระบบสุขภาพต่อเนื่องยาวนานมาหลายทศวรรษจนมีพื้นฐานที่ดีมาก ทําให้งานสุขภาพมีความก้าวหน้าในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นงานแม่และเด็กที่ปัจจุบันอัตราการตายในมารดาและทารกต่ําลงมาก สามารถลดโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนได้อย่างมีนัยสําคัญ การประสบความสําเร็จในการกําจัดโรคติดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก”ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าว ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและคณะ ยังเข้าร่วมงาน “the 16th Vaccination Week of the Americas” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้น เพื่อให้ความสําคัญกับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีน ที่ต้องได้รับการสนับสนุนนโยบายอย่างต่อเนื่องและต้องสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้แก่ประชาชน และ“Health for all” Trade Fair ที่เป็นกิจกรรมหนึ่งที่แสดงถึงบทบาทของภาคเอกชนและภาคส่วนอื่นที่เป็นภาคีร่วมในการส่งเสริมการพัฒนาสุขภาพประชาชน ******************************************* 24 เมษายน 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11727
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข และสังคมเห็นชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมจัดการปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข และสังคมเห็นชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมจัดการปัญหาความรุนแรงในครอบครัว รอง นรม.พล.อ ฉัตรชัย ฯเป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขและสังคม ครั้งที่ 2/2562 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขและสังคม ครั้งที่ 2/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุม เห็นชอบให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันการกระทําความรุนแรงในครอบครัวระดับตําบล (ศปก.ต.) โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เน้นความสําคัญในประเด็นปัญหาความรุนแรงในครอบครัวระดับพื้นที่ เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ปี 2560-2561 มีจํานวนเพิ่มขึ้น จึงต้องมีการเฝ้าระวัง ป้องกัน และแก้ไขปัญหาความรุนแรง โดยจะนําร่อง 878 พื้นที่ภายในปี 2562 ทั้งนี้ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันการกระทําความรุนแรงในครอบครัวระดับตําบล (ศปก.ต.). และจัดทําแผนการดําเนินงานบรรจุในเทศบัญญัติ/ข้อบัญญัติท้องถิ่น ขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือในการดําเนินงาน และให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ประสบปัญหาในพื้นที่ เป็นศูนย์ความช่วยเหลือเบื้องต้น เพื่อดําเนินการไกล่เกลี่ย ส่งต่อ และระงับเหตุ แก่ผู้ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในตําบล เพื่อสนับสนุนการดําเนินการโดยสหวิชาชีพในระดับจังหวัดให้รวดเร็วขึ้น พร้อมกันนี้ ที่ประชุม ยังรับทราบผลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข ได้แก่ 1)โครงการทศวรรษการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ ในการพัฒนา โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลขนาดใหญ่ 2) การขับเคลื่อนคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ ปัจจุบันทุกอําเภอมีคณะกรรมการ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ( พชอ. )ในปี 2562 เน้นขับเคลื่อน 5 ประเด็น ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ยากไร้และผู้เปราะบาง การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม อุบัติเหตุ อาหารปลอดภัย เกษตรปลอดสารเคมี และงานแม่และเด็ก พัฒนาการเด็ก และวัยรุ่น3) การพัฒนาระบบตอบโต้ความเสี่ยงเพื่อสร้างเสริมความรอบรู้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ โดยใช้ 2 ช่องทางเพื่อเผยแพร่ข้อมูลสร้างการรับรู้ความเข้าใจถึงประชาชน คือ แอปพลิเคชัน “AIS อสม.ออนไลน์” และแอปพลิเคชัน “สมาร์ท อสม. 4.0” .................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข และสังคมเห็นชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมจัดการปัญหาความรุนแรงในครอบครัว วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข และสังคมเห็นชอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมจัดการปัญหาความรุนแรงในครอบครัว รอง นรม.พล.อ ฉัตรชัย ฯเป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขและสังคม ครั้งที่ 2/2562 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขและสังคม ครั้งที่ 2/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุม เห็นชอบให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันการกระทําความรุนแรงในครอบครัวระดับตําบล (ศปก.ต.) โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เน้นความสําคัญในประเด็นปัญหาความรุนแรงในครอบครัวระดับพื้นที่ เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ปี 2560-2561 มีจํานวนเพิ่มขึ้น จึงต้องมีการเฝ้าระวัง ป้องกัน และแก้ไขปัญหาความรุนแรง โดยจะนําร่อง 878 พื้นที่ภายในปี 2562 ทั้งนี้ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันการกระทําความรุนแรงในครอบครัวระดับตําบล (ศปก.ต.). และจัดทําแผนการดําเนินงานบรรจุในเทศบัญญัติ/ข้อบัญญัติท้องถิ่น ขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือในการดําเนินงาน และให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นผู้ประสบปัญหาในพื้นที่ เป็นศูนย์ความช่วยเหลือเบื้องต้น เพื่อดําเนินการไกล่เกลี่ย ส่งต่อ และระงับเหตุ แก่ผู้ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในตําบล เพื่อสนับสนุนการดําเนินการโดยสหวิชาชีพในระดับจังหวัดให้รวดเร็วขึ้น พร้อมกันนี้ ที่ประชุม ยังรับทราบผลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข ได้แก่ 1)โครงการทศวรรษการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ ในการพัฒนา โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลขนาดใหญ่ 2) การขับเคลื่อนคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ ปัจจุบันทุกอําเภอมีคณะกรรมการ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ( พชอ. )ในปี 2562 เน้นขับเคลื่อน 5 ประเด็น ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ยากไร้และผู้เปราะบาง การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม อุบัติเหตุ อาหารปลอดภัย เกษตรปลอดสารเคมี และงานแม่และเด็ก พัฒนาการเด็ก และวัยรุ่น3) การพัฒนาระบบตอบโต้ความเสี่ยงเพื่อสร้างเสริมความรอบรู้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ โดยใช้ 2 ช่องทางเพื่อเผยแพร่ข้อมูลสร้างการรับรู้ความเข้าใจถึงประชาชน คือ แอปพลิเคชัน “AIS อสม.ออนไลน์” และแอปพลิเคชัน “สมาร์ท อสม. 4.0” .................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18699
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ วอนผู้พบเห็นเนื้อหาไม่เหมาะสมในสื่อออนไลน์ แจ้งรายงานระบบผู้ให้บริการทันที ช่วยลดปัญหาในเบื้องต้น
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560 กระทรวงดิจิทัลฯ วอนผู้พบเห็นเนื้อหาไม่เหมาะสมในสื่อออนไลน์ แจ้งรายงานระบบผู้ให้บริการทันที ช่วยลดปัญหาในเบื้องต้น กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงดิจิทัลฯ ตรวจสอบสื่อสังคมออนไลน์ พบกรณีกลุ่มผู้ใช้ทวิตเตอร์บางกลุ่มติดแฮชแท็กแสดงสัญลักษณ์เชิญชวนร่วมกิจกรรมไม่เหมาะสมและโพสต์ขายสิ่งเสพติดอย่างเปิดเผย เร่งประสานหน่วยงานต่างๆดําเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมขอความร่วมมือประชาชนผู้พบเห็นแจ้งเบาะแสและรายงานต่อผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์นั้นๆ ตามช่องทางที่กําหนดทันที ช่วยลดปัญหาได้ในเบื้องต้น นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะโฆษกกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดเผยถึงกรณีกลุ่มคนในสื่อสังคมออนไลน์กลุ่มหนึ่งนิยมติดแฮชแท็กในทวิตเตอร์ (Twitter) และเพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ได้ออกมาเปิดเผยว่า แฮชแท็กในทวิตเตอร์ดังกล่าว เป็นสังคมของกลุ่มคนเสพสิ่งเสพติด ก่อนมีกิจกรรมทางเพศ อีกทั้งยังมีการโพสต์สิ่งผิดกฎหมายอย่างเปิดเผย กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในสื่อออนไลน์นั้น จากการตรวจสอบของกระทรวงดิจิทัลฯ และกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) พบว่าแฮชแท็กที่โพสต์กันในสื่อสังคมออนไลน์ทวิตเตอร์นั้น เป็นการแสดงสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ใช้งานทวิตเตอร์มีการโพสต์ข้อความต่างๆ ในลักษณะการเชิญชวนหรือนัดกันทํากิจกรรมทางเพศออกไปในทางกลุ่มรักร่วมเพศเป็นส่วนใหญ่ และโพสต์ขายสิ่งยาเสพติดผิดกฎหมาย สําหรับการประสานขอข้อมูลหรือการปิดกั้นการโพสต์ดังกล่าว ทําได้ค่อนข้างยากเนื่องจากจะต้องร้องขอข้อมูลไปที่ผู้ให้บริการว่าผู้โพสต์ที่สมัครสมาชิกคือใคร เพราะการสมัครใช้งานทวิตเตอร์ ไม่ได้ระบุตัวตนที่แท้จริง ใช้เพียงแค่อีเมลกับรหัสผ่านก็สามารถใช้งานได้แล้ว ส่วนการรายงานแจ้งลบภาพหรือข้อความที่ไม่เหมาะสมสามารถทําได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้ให้บริการทวิตเตอร์ จะพิจารณาลบข้อมูลให้หรือไม่ โดยผู้ให้บริการทวิตเตอร์จะพิจารณาตามข้อกําหนดหรือข้อตกลงการให้บริการ หากเข้าเงื่อนไขก็จะทําการลบข้อมูลหรือการโพสต์เป็นรายกรณีไป อย่างไรก็ตาม กระทรวงดิจิทัลฯ ได้แจ้งต่อผู้ให้บริการทวิตเตอร์เพื่อดําเนินการนําข้อมูลที่ผิดกฎหมายและไม่เหมาะสมดังกล่าวออกจากระบบแล้ว โดยทวิตเตอร์รับจะพิจารณาตามข้อกําหนดหรือข้อตกลงการให้บริการต่อไป รวมทั้งได้ประสานไปยังสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานตามอํานาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน อีกทั้งขอความร่วมมือจากผู้ที่พบเห็นการโพสต์เนื้อหาและภาพไม่เหมาะสมในลักษณะดังกล่าว ช่วยกันรายงานการโพสต์ให้ทวิตเตอร์ตรวจสอบและปิดกั้นการโพสต์นั้นโดยเร็วต่อไป "ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้ดําเนินการติดตามตรวจสอบเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นภัยต่อสังคมมาโดยตลอด ซึ่งหากหน่วยงานหรือประชาชนพบเห็นก็สามารถร่วมรายงานได้อีกทางหนึ่ง ถือเป็นแนวทางที่ทุกคนสามารถทําได้เพื่อช่วยกันขจัดปัญหาดังกล่าวให้หมดไป" น.อ.สมศักดิ์ฯ กล่าว *********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ วอนผู้พบเห็นเนื้อหาไม่เหมาะสมในสื่อออนไลน์ แจ้งรายงานระบบผู้ให้บริการทันที ช่วยลดปัญหาในเบื้องต้น วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560 กระทรวงดิจิทัลฯ วอนผู้พบเห็นเนื้อหาไม่เหมาะสมในสื่อออนไลน์ แจ้งรายงานระบบผู้ให้บริการทันที ช่วยลดปัญหาในเบื้องต้น กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงดิจิทัลฯ ตรวจสอบสื่อสังคมออนไลน์ พบกรณีกลุ่มผู้ใช้ทวิตเตอร์บางกลุ่มติดแฮชแท็กแสดงสัญลักษณ์เชิญชวนร่วมกิจกรรมไม่เหมาะสมและโพสต์ขายสิ่งเสพติดอย่างเปิดเผย เร่งประสานหน่วยงานต่างๆดําเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมขอความร่วมมือประชาชนผู้พบเห็นแจ้งเบาะแสและรายงานต่อผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์นั้นๆ ตามช่องทางที่กําหนดทันที ช่วยลดปัญหาได้ในเบื้องต้น นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะโฆษกกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดเผยถึงกรณีกลุ่มคนในสื่อสังคมออนไลน์กลุ่มหนึ่งนิยมติดแฮชแท็กในทวิตเตอร์ (Twitter) และเพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ได้ออกมาเปิดเผยว่า แฮชแท็กในทวิตเตอร์ดังกล่าว เป็นสังคมของกลุ่มคนเสพสิ่งเสพติด ก่อนมีกิจกรรมทางเพศ อีกทั้งยังมีการโพสต์สิ่งผิดกฎหมายอย่างเปิดเผย กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในสื่อออนไลน์นั้น จากการตรวจสอบของกระทรวงดิจิทัลฯ และกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) พบว่าแฮชแท็กที่โพสต์กันในสื่อสังคมออนไลน์ทวิตเตอร์นั้น เป็นการแสดงสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ใช้งานทวิตเตอร์มีการโพสต์ข้อความต่างๆ ในลักษณะการเชิญชวนหรือนัดกันทํากิจกรรมทางเพศออกไปในทางกลุ่มรักร่วมเพศเป็นส่วนใหญ่ และโพสต์ขายสิ่งยาเสพติดผิดกฎหมาย สําหรับการประสานขอข้อมูลหรือการปิดกั้นการโพสต์ดังกล่าว ทําได้ค่อนข้างยากเนื่องจากจะต้องร้องขอข้อมูลไปที่ผู้ให้บริการว่าผู้โพสต์ที่สมัครสมาชิกคือใคร เพราะการสมัครใช้งานทวิตเตอร์ ไม่ได้ระบุตัวตนที่แท้จริง ใช้เพียงแค่อีเมลกับรหัสผ่านก็สามารถใช้งานได้แล้ว ส่วนการรายงานแจ้งลบภาพหรือข้อความที่ไม่เหมาะสมสามารถทําได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้ให้บริการทวิตเตอร์ จะพิจารณาลบข้อมูลให้หรือไม่ โดยผู้ให้บริการทวิตเตอร์จะพิจารณาตามข้อกําหนดหรือข้อตกลงการให้บริการ หากเข้าเงื่อนไขก็จะทําการลบข้อมูลหรือการโพสต์เป็นรายกรณีไป อย่างไรก็ตาม กระทรวงดิจิทัลฯ ได้แจ้งต่อผู้ให้บริการทวิตเตอร์เพื่อดําเนินการนําข้อมูลที่ผิดกฎหมายและไม่เหมาะสมดังกล่าวออกจากระบบแล้ว โดยทวิตเตอร์รับจะพิจารณาตามข้อกําหนดหรือข้อตกลงการให้บริการต่อไป รวมทั้งได้ประสานไปยังสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานตามอํานาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน อีกทั้งขอความร่วมมือจากผู้ที่พบเห็นการโพสต์เนื้อหาและภาพไม่เหมาะสมในลักษณะดังกล่าว ช่วยกันรายงานการโพสต์ให้ทวิตเตอร์ตรวจสอบและปิดกั้นการโพสต์นั้นโดยเร็วต่อไป "ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้ดําเนินการติดตามตรวจสอบเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นภัยต่อสังคมมาโดยตลอด ซึ่งหากหน่วยงานหรือประชาชนพบเห็นก็สามารถร่วมรายงานได้อีกทางหนึ่ง ถือเป็นแนวทางที่ทุกคนสามารถทําได้เพื่อช่วยกันขจัดปัญหาดังกล่าวให้หมดไป" น.อ.สมศักดิ์ฯ กล่าว *********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7833
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ใช้มาตรฐานเดียวกันในการดำเนินคดี
วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2560 นายกรัฐมนตรีย้ําทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ใช้มาตรฐานเดียวกันในการดําเนินคดี นายกรัฐมนตรีย้ําทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ใช้มาตรฐานเดียวกันในการดําเนินคดี วันนี้ (7 มีนาคม 2560) เวลา 14.10 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงความคืบหน้าการดําเนินคดี กับพระไชยบูลย์ สุทธิผล หรือพระธัมมชโย ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดําเนินการ 2 - 3 อย่าง คือ มาตรการทางการปกครองของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องทางกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม เพราะมีการกระทําความผิดถือเป็นการดําเนินการตามมาตรการของรัฐ ด้านการปกครอง ส่วนเรื่องที่สองคือ มาตรการทางสงฆ์ โดยทุกอย่างต้องดําเนินการไปตาม พ.ร.บ. สงฆ์ ซึ่งทางสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และมหาเถรสมาคมอยู่ระหว่างดําเนินการ พร้อมกล่าวว่า "วันนี้อย่าหลงประเด็น เพราะถ้าไม่มีความผิดต่าง ๆ ก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องยอมรับในกระบวนการยุติธรรม และเข้ามาต่อสู้ในกระบวนการทุกอย่างก็จบ ความเดือดร้อนต่าง ๆ ก็ลดลง" นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายเป็นห่วงเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ เพราะต้องใช้กําลังเจ้าหน้าที่จํานวนมากในการควบคุมวัดธรรมกายว่า การใช้งบประมาณและการจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้เจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นไปตามระเบียบราชการ ซึ่งรัฐบาลจําเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่จํานวนมากในการจับกุมผู้กระทําความผิด อย่างกรณี ของชาวบ้านที่กระทําความผิดเนื่องจากไม่รู้กฎหมาย เช่น กรณีที่ไปตัดต้นไม้เพียงต้นเดียวยังต้องติดคุก เพราะฉะนั้นทุกคนต้องใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ใช่จะละเว้นใครได้ สําหรับขั้นตอนหลังจากที่ได้มีการถอดสมณศักดิ์ของพระธัมมชโย ออกไปแล้ว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต่อไปเป็นเรื่องของทางพระ ซึ่งสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ทําเรื่องชี้แจงหารือไปยังมหาเถรสมาคม ก็เปรียบเหมือนส่งเรื่องให้ศาลพระ ในการพิจารณาว่าจะทําอย่างไรต่อไป ซึ่งต้องใช้เวลา เพราะมีขั้นตอนการอุทธรณ์ และอะไรอีกหลายอย่าง แต่ถ้าตัวบุคคลไม่ออกมาก็จะทําอะไรได้ ปัญหาอยู่ที่ตัวบุคคลคนเท่านั้นเอง ส่วนกรณีการค้นหาพระธัมมชโยตลอดระยะเวลาเกือบ 20 วันที่ผ่านมา ยังไม่สามารถจับกุมได้นั้น สาเหตุมาจาก เพราะมีการต่อต้านจากคนจํานวนมาก จึงทําให้การค้นหาและการทํางานของเจ้าหน้าที่มีอุปสรรค ----------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ใช้มาตรฐานเดียวกันในการดำเนินคดี วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2560 นายกรัฐมนตรีย้ําทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ใช้มาตรฐานเดียวกันในการดําเนินคดี นายกรัฐมนตรีย้ําทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ใช้มาตรฐานเดียวกันในการดําเนินคดี วันนี้ (7 มีนาคม 2560) เวลา 14.10 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงความคืบหน้าการดําเนินคดี กับพระไชยบูลย์ สุทธิผล หรือพระธัมมชโย ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดําเนินการ 2 - 3 อย่าง คือ มาตรการทางการปกครองของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องทางกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม เพราะมีการกระทําความผิดถือเป็นการดําเนินการตามมาตรการของรัฐ ด้านการปกครอง ส่วนเรื่องที่สองคือ มาตรการทางสงฆ์ โดยทุกอย่างต้องดําเนินการไปตาม พ.ร.บ. สงฆ์ ซึ่งทางสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และมหาเถรสมาคมอยู่ระหว่างดําเนินการ พร้อมกล่าวว่า "วันนี้อย่าหลงประเด็น เพราะถ้าไม่มีความผิดต่าง ๆ ก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องยอมรับในกระบวนการยุติธรรม และเข้ามาต่อสู้ในกระบวนการทุกอย่างก็จบ ความเดือดร้อนต่าง ๆ ก็ลดลง" นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายเป็นห่วงเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ เพราะต้องใช้กําลังเจ้าหน้าที่จํานวนมากในการควบคุมวัดธรรมกายว่า การใช้งบประมาณและการจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้เจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติหน้าที่ เป็นไปตามระเบียบราชการ ซึ่งรัฐบาลจําเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่จํานวนมากในการจับกุมผู้กระทําความผิด อย่างกรณี ของชาวบ้านที่กระทําความผิดเนื่องจากไม่รู้กฎหมาย เช่น กรณีที่ไปตัดต้นไม้เพียงต้นเดียวยังต้องติดคุก เพราะฉะนั้นทุกคนต้องใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ใช่จะละเว้นใครได้ สําหรับขั้นตอนหลังจากที่ได้มีการถอดสมณศักดิ์ของพระธัมมชโย ออกไปแล้ว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต่อไปเป็นเรื่องของทางพระ ซึ่งสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ทําเรื่องชี้แจงหารือไปยังมหาเถรสมาคม ก็เปรียบเหมือนส่งเรื่องให้ศาลพระ ในการพิจารณาว่าจะทําอย่างไรต่อไป ซึ่งต้องใช้เวลา เพราะมีขั้นตอนการอุทธรณ์ และอะไรอีกหลายอย่าง แต่ถ้าตัวบุคคลไม่ออกมาก็จะทําอะไรได้ ปัญหาอยู่ที่ตัวบุคคลคนเท่านั้นเอง ส่วนกรณีการค้นหาพระธัมมชโยตลอดระยะเวลาเกือบ 20 วันที่ผ่านมา ยังไม่สามารถจับกุมได้นั้น สาเหตุมาจาก เพราะมีการต่อต้านจากคนจํานวนมาก จึงทําให้การค้นหาและการทํางานของเจ้าหน้าที่มีอุปสรรค ----------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2238
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ นำทัพจัดงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน”
วันจันทร์ที่ 3 กันยายน 2561 กระทรวงเกษตรฯ นําทัพจัดงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน” กระทรวงเกษตรฯ นําทัพจัดงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน”เพื่อขับเคลื่อนและขยายผลการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานพิธีเปิดงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน” ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี ว่า กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และภาคีเครือข่าย ว่า การจัดงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม – 2 กันยายน 2561 ณ อิมแพค เมืองทองธานี ฮอลล์ 7 – 8 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเกษตรกรรมยั่งยืนต่อทุกภาคส่วน ให้เกิดการรับรู้นโยบายและเกิดกระแสความสนใจซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญต่อการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ก่อให้เกิดการขยายผลของการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้สมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง สามารถนําพืชผัก สมุนไพรใกล้ตัว มาใช้ประโยชน์ทั้งเป็นอาหารและยาได้ สําหรับกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การจัดนิทรรศการซึ่งนําเสนอโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในพื้นที่ 28 จังหวัดนําร่อง สวนสมุนไพรชะลอวัยดูแลสุขภาพร่างกาย กิจกรรม Workshop สมุนไพรและการดูแลสุขภาพ การอบรมระยะสั้นมากกว่า 50 หลักสูตร แจกพันธุ์สมุนไพรหายากวันละ 300 ต้นและหนังสือสมุนไพรวันละ 200 เล่ม บริการตรวจ ให้คําปรึกษาสุขภาพกับแพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน หมอพื้นบ้าน อีกทั้งยังมีการจําหน่ายสินค้าสมุนไพรคุณภาพ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาหารสุขภาพ และอาหารพื้นถิ่น เป็นต้น นายวิวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ กษ. ยังได้ร่วมดําเนินโครงการ “โรงพยาบาลอาหารปลอดภัย” โดยจัดหาวัตถุดิบสําหรับประกอบอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมีให้กับผู้ป่วย ซึ่งโรงพยาบาลจะรับซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์จากกลุ่มเกษตรกร และจัดตลาดจําหน่ายสินค้าปลอดสารเคมี เพื่อให้บุคลากรและประชาชนเข้าถึงอาหาร ผัก ผลไม้ สมุนไพรที่ปลอดภัย สนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตรายย่อยให้มีตลาดใกล้บ้าน ขณะนี้ ดําเนินการในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปครบทั้ง 116 แห่ง โรงพยาบาลชุมชนมากกว่าร้อยละ 50 และจะพัฒนาโรงพยาบาลชุมชนต้นแบบเขตสุขภาพละ 1 แห่ง เพิ่มสัดส่วนของผักผลไม้อินทรีย์ให้มากกว่าร้อยละ 30 อีกร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ผักผลไม้ปลอดภัย อีกทั้งเพิ่มชนิดของวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารปลอดภัย เช่น เนื้อสัตว์ น้ํามัน เครื่องปรุงทุกชนิดด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ นำทัพจัดงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน” วันจันทร์ที่ 3 กันยายน 2561 กระทรวงเกษตรฯ นําทัพจัดงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน” กระทรวงเกษตรฯ นําทัพจัดงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน”เพื่อขับเคลื่อนและขยายผลการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานพิธีเปิดงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน” ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี ว่า กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และภาคีเครือข่าย ว่า การจัดงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม – 2 กันยายน 2561 ณ อิมแพค เมืองทองธานี ฮอลล์ 7 – 8 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเกษตรกรรมยั่งยืนต่อทุกภาคส่วน ให้เกิดการรับรู้นโยบายและเกิดกระแสความสนใจซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญต่อการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ก่อให้เกิดการขยายผลของการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้สมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง สามารถนําพืชผัก สมุนไพรใกล้ตัว มาใช้ประโยชน์ทั้งเป็นอาหารและยาได้ สําหรับกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การจัดนิทรรศการซึ่งนําเสนอโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในพื้นที่ 28 จังหวัดนําร่อง สวนสมุนไพรชะลอวัยดูแลสุขภาพร่างกาย กิจกรรม Workshop สมุนไพรและการดูแลสุขภาพ การอบรมระยะสั้นมากกว่า 50 หลักสูตร แจกพันธุ์สมุนไพรหายากวันละ 300 ต้นและหนังสือสมุนไพรวันละ 200 เล่ม บริการตรวจ ให้คําปรึกษาสุขภาพกับแพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน หมอพื้นบ้าน อีกทั้งยังมีการจําหน่ายสินค้าสมุนไพรคุณภาพ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาหารสุขภาพ และอาหารพื้นถิ่น เป็นต้น นายวิวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ กษ. ยังได้ร่วมดําเนินโครงการ “โรงพยาบาลอาหารปลอดภัย” โดยจัดหาวัตถุดิบสําหรับประกอบอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมีให้กับผู้ป่วย ซึ่งโรงพยาบาลจะรับซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์จากกลุ่มเกษตรกร และจัดตลาดจําหน่ายสินค้าปลอดสารเคมี เพื่อให้บุคลากรและประชาชนเข้าถึงอาหาร ผัก ผลไม้ สมุนไพรที่ปลอดภัย สนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตรายย่อยให้มีตลาดใกล้บ้าน ขณะนี้ ดําเนินการในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปครบทั้ง 116 แห่ง โรงพยาบาลชุมชนมากกว่าร้อยละ 50 และจะพัฒนาโรงพยาบาลชุมชนต้นแบบเขตสุขภาพละ 1 แห่ง เพิ่มสัดส่วนของผักผลไม้อินทรีย์ให้มากกว่าร้อยละ 30 อีกร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ผักผลไม้ปลอดภัย อีกทั้งเพิ่มชนิดของวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารปลอดภัย เช่น เนื้อสัตว์ น้ํามัน เครื่องปรุงทุกชนิดด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15111
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เรียกสอบนายจ้างเหตุดินสไลด์ทับคนงานว่างท่อระบายน้ำดับ
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563 กสร. เรียกสอบนายจ้างเหตุดินสไลด์ทับคนงานว่างท่อระบายน้ําดับ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรียกสอบนายจ้างหาเหตุกรณีดินสไลด์ทับคนงานวางท่อระบายน้ํา ย่านเอกมัยเสียชีวิตและบาดเจ็บ วันที่ 9 เมษายนนี้ หากพบไม่ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยดําเนินคดีทันที นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงกรณีดินสไลด์ทับคนงานวางท่อระบายน้ําย่านเอกมัยขณะปฏิบัติงานเสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บ 1 คน บริเวณซอยเอกมัย 2 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2563 ว่า ภายหลังเกิดเหตุพนักงานตรวจความปลอดภัยได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุในเบื้องต้นทราบว่า ลูกจ้างที่เสียชีวิตชื่อ นายโซเจีย จัน สัญชาติกัมพูชา ส่วนลูกจ้างที่บาดเจ็บชื่อนายอุย สัญชาติเมียนมาร์ ทั้งสองคนเป็นลูกจ้างของบริษัท พระราม 2 การโยธา จํากัด เหตุเกิดขณะที่มีการใช้รถแม็คโครขุดถนนเพื่อวางท่อระบายน้ํา ในระหว่างขุดลูกจ้างทั้ง 2 คน ได้ลงไปด้านล่าง เพื่อทําการตัดท่อที่เชื่อมต่อในระหว่างที่ตัดท่อดินซึ่งอยู่ด้านข้างได้หล่นลงมาทับจนเป็นเหตุให้ลูกจ้างเสียชีวิตและบาดเจ็บ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวต่อว่า ในวันที่ 9 เมษายนนี้ พนักงานตรวจความปลอดภัยสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 จะเชิญนายจ้างให้มาพบเพื่อสอบข้อเท็จจริงว่ามีการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ.2554 หรือไม่ หากพบว่านายจ้างฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายก็จะดําเนินการตามกฎหมายกับนายจ้างรายนี้ทันที ทั้งนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ประสานกับสํานักงานประกันสังคมในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือแก่ลูกจ้างโดยเร็ว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เรียกสอบนายจ้างเหตุดินสไลด์ทับคนงานว่างท่อระบายน้ำดับ วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563 กสร. เรียกสอบนายจ้างเหตุดินสไลด์ทับคนงานว่างท่อระบายน้ําดับ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรียกสอบนายจ้างหาเหตุกรณีดินสไลด์ทับคนงานวางท่อระบายน้ํา ย่านเอกมัยเสียชีวิตและบาดเจ็บ วันที่ 9 เมษายนนี้ หากพบไม่ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยดําเนินคดีทันที นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงกรณีดินสไลด์ทับคนงานวางท่อระบายน้ําย่านเอกมัยขณะปฏิบัติงานเสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บ 1 คน บริเวณซอยเอกมัย 2 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2563 ว่า ภายหลังเกิดเหตุพนักงานตรวจความปลอดภัยได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุในเบื้องต้นทราบว่า ลูกจ้างที่เสียชีวิตชื่อ นายโซเจีย จัน สัญชาติกัมพูชา ส่วนลูกจ้างที่บาดเจ็บชื่อนายอุย สัญชาติเมียนมาร์ ทั้งสองคนเป็นลูกจ้างของบริษัท พระราม 2 การโยธา จํากัด เหตุเกิดขณะที่มีการใช้รถแม็คโครขุดถนนเพื่อวางท่อระบายน้ํา ในระหว่างขุดลูกจ้างทั้ง 2 คน ได้ลงไปด้านล่าง เพื่อทําการตัดท่อที่เชื่อมต่อในระหว่างที่ตัดท่อดินซึ่งอยู่ด้านข้างได้หล่นลงมาทับจนเป็นเหตุให้ลูกจ้างเสียชีวิตและบาดเจ็บ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวต่อว่า ในวันที่ 9 เมษายนนี้ พนักงานตรวจความปลอดภัยสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 จะเชิญนายจ้างให้มาพบเพื่อสอบข้อเท็จจริงว่ามีการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ.2554 หรือไม่ หากพบว่านายจ้างฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายก็จะดําเนินการตามกฎหมายกับนายจ้างรายนี้ทันที ทั้งนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ประสานกับสํานักงานประกันสังคมในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือแก่ลูกจ้างโดยเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28550
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดรับสมัครงาน 55,000 ตำแหน่ง ทั่วประเทศ
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 เปิดรับสมัครงาน 55,000 ตําแหน่ง ทั่วประเทศ วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ กระทรวงแรงงาน เตรียมตําแหน่งงานว่าง เพื่อรองรับปัญหาการว่างงานของผู้ประกันตน ผู้จบการศึกษาใหม่ รวมทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างขององค์กรของภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยมีตําแหน่งงานว่างที่กําลังเปิดรับสมัครอยู่กว่า 55,000 อัตรา ทั่วประเทศ ตําแหน่งงานที่ต้องการมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ พนักงานขายสินค้าประจําร้าน ขายของหน้าร้าน/ แรงงานด้านการผลิต/ ช่างอัญมณีและช่างประดิษฐ์เครื่องประดับอื่น ๆ/ ตัวแทนนายหน้าขายบริการธุรกิจอื่น ๆ / พนักงานบัญชี โดยผู้สนใจสามารถขอรับคําปรึกษา ติดต่อสมัครงานได้ที่ สํานักจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ/ สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10/ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดรับสมัครงาน 55,000 ตำแหน่ง ทั่วประเทศ วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 เปิดรับสมัครงาน 55,000 ตําแหน่ง ทั่วประเทศ วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ กระทรวงแรงงาน เตรียมตําแหน่งงานว่าง เพื่อรองรับปัญหาการว่างงานของผู้ประกันตน ผู้จบการศึกษาใหม่ รวมทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างขององค์กรของภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยมีตําแหน่งงานว่างที่กําลังเปิดรับสมัครอยู่กว่า 55,000 อัตรา ทั่วประเทศ ตําแหน่งงานที่ต้องการมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ พนักงานขายสินค้าประจําร้าน ขายของหน้าร้าน/ แรงงานด้านการผลิต/ ช่างอัญมณีและช่างประดิษฐ์เครื่องประดับอื่น ๆ/ ตัวแทนนายหน้าขายบริการธุรกิจอื่น ๆ / พนักงานบัญชี โดยผู้สนใจสามารถขอรับคําปรึกษา ติดต่อสมัครงานได้ที่ สํานักจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ/ สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10/ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32183
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน อ้าแขนรับ ลูกจ้างพิษโคโรนา [กระทรวงแรงงาน]
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 ก.แรงงาน อ้าแขนรับ ลูกจ้างพิษโคโรนา [กระทรวงแรงงาน] หม่อมเต่า ห่วงพนักงาน ลูกจ้างโดนพิษโคโรนาว่างงาน แนะ ขึ้นทะเบียนว่างงานออนไลน์กับกรมการจัดหางานเพื่อรับสิทธิก่อน หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย พนักงาน ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ทําให้ถูกเลิกจ้าง ที่ส่งเงินสมทบประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน สามารถลงทะเบียนใช้สิทธิ์กรณีว่างงาน ได้ทางออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ https://empui.doe.go.th ภายใน 30 วันหลังจากถูกเลิกจ้าง ซึ่งจะได้รับเงินชดเชย 50% ของค่าจ้างที่เคยได้รับ ในระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน หากสนใจทําอาชีพอิสระ หรือทํางานที่บ้าน กรมการจัดหางานยังยินดีให้คําปรึกษาแนะนํา และให้ข้อมูลการประกอบอาชีพอิสระ ด้าน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการจัดหางานมีรูปแบบการให้บริการประชาชนตามภารกิจ ที่สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในปัจจุบัน ที่ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจํานวนมาก และเป็นการอํานวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถทําได้เองที่บ้านผ่านระบบ e-service ซึ่งทําได้ทุกที่และตลอดเวลา และ มีตู้งาน (Job Box) ติดตั้งกระจายตามแหล่งชุมชน ห้างสรรพสินค้า และสถานที่ราชการ ทุกจังหวัดทั่วประเทศ คอยอํานวยความสะดวกในการหาตําแหน่งงานสําหรับคนหางานและนายจ้าง โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 หรือสํานักงานจัดหางานจังหวัด ทําให้ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ดี ในช่วงตุลาคม 2562 - กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมาก่อนเกิดเหตุการณ์ไวรัสโคโรนาแพร่ระบาด มีผู้มาขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงาน รวม 382,726 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 4.44 โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 มีจํานวน 84,177 คน ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน อ้าแขนรับ ลูกจ้างพิษโคโรนา [กระทรวงแรงงาน] วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 ก.แรงงาน อ้าแขนรับ ลูกจ้างพิษโคโรนา [กระทรวงแรงงาน] หม่อมเต่า ห่วงพนักงาน ลูกจ้างโดนพิษโคโรนาว่างงาน แนะ ขึ้นทะเบียนว่างงานออนไลน์กับกรมการจัดหางานเพื่อรับสิทธิก่อน หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย พนักงาน ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ทําให้ถูกเลิกจ้าง ที่ส่งเงินสมทบประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน สามารถลงทะเบียนใช้สิทธิ์กรณีว่างงาน ได้ทางออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ https://empui.doe.go.th ภายใน 30 วันหลังจากถูกเลิกจ้าง ซึ่งจะได้รับเงินชดเชย 50% ของค่าจ้างที่เคยได้รับ ในระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน หากสนใจทําอาชีพอิสระ หรือทํางานที่บ้าน กรมการจัดหางานยังยินดีให้คําปรึกษาแนะนํา และให้ข้อมูลการประกอบอาชีพอิสระ ด้าน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการจัดหางานมีรูปแบบการให้บริการประชาชนตามภารกิจ ที่สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในปัจจุบัน ที่ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจํานวนมาก และเป็นการอํานวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถทําได้เองที่บ้านผ่านระบบ e-service ซึ่งทําได้ทุกที่และตลอดเวลา และ มีตู้งาน (Job Box) ติดตั้งกระจายตามแหล่งชุมชน ห้างสรรพสินค้า และสถานที่ราชการ ทุกจังหวัดทั่วประเทศ คอยอํานวยความสะดวกในการหาตําแหน่งงานสําหรับคนหางานและนายจ้าง โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 หรือสํานักงานจัดหางานจังหวัด ทําให้ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ดี ในช่วงตุลาคม 2562 - กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมาก่อนเกิดเหตุการณ์ไวรัสโคโรนาแพร่ระบาด มีผู้มาขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงาน รวม 382,726 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 4.44 โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 มีจํานวน 84,177 คน ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27551
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2562 คําถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คําถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม เนื่องในโอกาสอภิลักขิตสมัยแห่งวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2562 นี้ ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในนามของคณะรัฐมนตรีและประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า มีความปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่ได้มาร่วมกันแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในวันนี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าล้วนประจักษ์แจ้ง และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงพระราชวิริยอุตสาหะปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อบําบัดทุกข์บํารุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ ด้วยพระปรีชาสามารถ และด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ได้ทรงพระกรุณาริเริ่มโครงการต่าง ๆ หลากหลาย ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์เกื้อกูลทุกสรรพสิ่งบนผืนแผ่นดินไทย ทั้งโครงการป่ารักน้ํา เพื่อสงวนรักษาทรัพยากรน้ํา ป่าไม้ ให้มีความอุดมสมบูรณ์และสืบอายุของพันธุ์สัตว์ป่านานาชนิด ทรงพระกรุณาก่อตั้งมูลนิธิศิลปาชีพเพื่อฟื้นฟูศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน เพื่อให้ราษฎรมีอาชีพเสริม เพิ่มพูนรายได้ ทั้งยังเป็นการอนุรักษ์และสืบทอดมรดกศิลปวัฒนธรรมอันเป็นภูมิปัญญาที่ล้ําค่าในท้องถิ่นต่าง ๆ ของไทย ให้ดํารงอยู่อย่างยั่งยืนตกทอดถึงอนุชนในชาติสืบต่อไป ในวาระอันเป็นมิ่งมหามงคลนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทาน ถวายพระพรชัยมงคล ด้วยความจงรักภักดี ขอพลานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโปรดดลบันดาลอภิบาลให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเจริญพระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสําราญ ปราศจากโรคาพยาธิภัย พระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ สถิตเป็นมิ่งขวัญปกเกล้าปวงข้าพระพุทธเจ้า ตราบจิรัฐิติกาลเทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2562 คําถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คําถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม เนื่องในโอกาสอภิลักขิตสมัยแห่งวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2562 นี้ ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในนามของคณะรัฐมนตรีและประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า มีความปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่ได้มาร่วมกันแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในวันนี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าล้วนประจักษ์แจ้ง และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงพระราชวิริยอุตสาหะปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อบําบัดทุกข์บํารุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ ด้วยพระปรีชาสามารถ และด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ได้ทรงพระกรุณาริเริ่มโครงการต่าง ๆ หลากหลาย ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์เกื้อกูลทุกสรรพสิ่งบนผืนแผ่นดินไทย ทั้งโครงการป่ารักน้ํา เพื่อสงวนรักษาทรัพยากรน้ํา ป่าไม้ ให้มีความอุดมสมบูรณ์และสืบอายุของพันธุ์สัตว์ป่านานาชนิด ทรงพระกรุณาก่อตั้งมูลนิธิศิลปาชีพเพื่อฟื้นฟูศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน เพื่อให้ราษฎรมีอาชีพเสริม เพิ่มพูนรายได้ ทั้งยังเป็นการอนุรักษ์และสืบทอดมรดกศิลปวัฒนธรรมอันเป็นภูมิปัญญาที่ล้ําค่าในท้องถิ่นต่าง ๆ ของไทย ให้ดํารงอยู่อย่างยั่งยืนตกทอดถึงอนุชนในชาติสืบต่อไป ในวาระอันเป็นมิ่งมหามงคลนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทาน ถวายพระพรชัยมงคล ด้วยความจงรักภักดี ขอพลานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโปรดดลบันดาลอภิบาลให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเจริญพระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสําราญ ปราศจากโรคาพยาธิภัย พระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ สถิตเป็นมิ่งขวัญปกเกล้าปวงข้าพระพุทธเจ้า ตราบจิรัฐิติกาลเทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22154
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นายลักษณ์” รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของศูนย์วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก
วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2561 “นายลักษณ์” รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก “นายลักษณ์” รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก และสํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 มุ่งพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์รองรับประชาคมอาเซียน (Seed Hub นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก และสํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 ณ ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์รองรับประชาคมอาเซียน (Seed Hub) โดยมีหน่วยงานร่วมขับเคลื่อน ทั้งหมด 12 หน่วยงาน และได้กําหนดแผนแม่บทขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์ ได้แก่ การเพิ่มศักยภาพการส่งออกเมล็ดพันธุ์ไทย เพื่อรักษาความเป็นผู้นํา ต่อยอดความมั่นคงและความยั่งยืนของเมล็ดพันธุ์ไทยในภูมิภาค เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน : เมล็ดพันธุ์เพื่อการส่งออก (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และผัก) อีกทั้งให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีอย่างเพียงพอ (ข้าวและพืชไร่ตระกูลถั่ว) ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้มีแผนการผลิตพันธุ์พืช/ปัจจัยการผลิต ในปี 2561 ได้แก่ 1) พืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน 14 ชนิดพืช 2) พืชสวน 67 ชนิด และ 3) ปัจจัยการผลิต อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตรได้กระจายเมล็ดพันธุ์ดีสู่เครือข่ายผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ชั้นจําหน่าย ปี 2560/61 ให้แก่กรมส่งเสริมการเกษตร ในโครงการพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรสู่มาตรฐาน กรมส่งเสริมสหกรณ์ ในโครงการส่งเสริมการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี กรมการข้าว ในโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ รวมถึงได้กระจายสู่ภาคเอกชนและเกษตรกรด้วย สําหรับการดําเนินงานของศูนย์วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก มีภารกิจในการศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเมล็ดพันธุ์ บริหารการผลิตเมล็ดพันธุ์ โดยประสานและผลิตเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยายในพื้นที่เกษตรกรและกระจายเมล็ดพันธุ์ไปยังเครือข่ายผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ ให้บริการตรวจสอบเพื่อรับรองคุณภาพเมล็ดพันธุ์ และสุขอนามัยพืชของเมล็ดพันธุ์พืช และฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านเมล็ดพันธุ์ นายลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางการเป็นศูนย์กลางผลิตและส่งออกเมล็ดพันธุ์ ปัจจัยสําคัญที่จะทําให้ภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศมีความเชื่อมั่น อยู่ที่คุณภาพของเมล็ดพันธุ์ ซึ่งศูนย์วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก กรมวิชาการเกษตร มีห้องปฏิบัติการของ seed lab ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลจาก ISTA ซึ่งเป็นจุดที่มีความสําคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณชนและภาคเอกชนที่มีขีดความสามารถในเรื่องของการผลิตเมล็ดพันธุ์ ที่สามารถมาใช้บริการได้ และถ้าได้รับการตรวจรับรองจาก seed lab ของกรมวิชาการเกษตร ก็จะเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศได้ "เมื่อเรามี seed lab ที่มีความทันสมัย เราควรมอบโอกาสให้กับพี่น้องเกษตรกรที่เป็นผู้ผลิตและมีการรวมตัวกันเป็นสหกรณ์การเกษตร ซึ่งจะสามารถยกระดับได้ภายใต้การแนะนําจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร ให้สามารถที่จะเป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์จําหน่ายได้ ถือเป็นแนวโน้มที่สําคัญ เนื่องจากปัจจุบันมีการแข่งขันในเรื่องการผลิตธัญพืชขายมากยิ่งขึ้น ซึ่งการที่กรมวิชาการเกษตรให้ความสําคัญในเรื่องการผลิตเมล็ดพันธุ์ ก็จะได้ทั้งในเรื่องการสร้างขีดความสามารถใหม่ ได้เมล็ดพันธุ์ดีมีคุณภาพ และเป็นที่ต้องการของตลาด ในขณะเดียวกัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมจะทํางานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะทําให้เมล็ดพันธุ์ของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศ ทําให้ส่งออกเมล็ดพันธุ์ในชั้นขยายไปจําหน่ายในประเทศต่าง ๆ ได้ เป็นแนวโน้มที่จะทําให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเมล็ดพันธุ์และจําหน่ายไปต่างประเทศได้ ทั้งนี้ จะนําเรียนรัฐมนตรีว่ากานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อให้การสนับสนุนการดําเนินงานของกรมวิชาการเกษตรที่จะทําให้การผลิตเมล็ดพันธุ์ของประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้า และมีขีดความสามารถในการแข่งขันมากยิ่งขึ้นต่อไป" นายลักษณ์ กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นายลักษณ์” รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของศูนย์วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2561 “นายลักษณ์” รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก “นายลักษณ์” รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก และสํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 มุ่งพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์รองรับประชาคมอาเซียน (Seed Hub นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก และสํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 ณ ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์รองรับประชาคมอาเซียน (Seed Hub) โดยมีหน่วยงานร่วมขับเคลื่อน ทั้งหมด 12 หน่วยงาน และได้กําหนดแผนแม่บทขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์ ได้แก่ การเพิ่มศักยภาพการส่งออกเมล็ดพันธุ์ไทย เพื่อรักษาความเป็นผู้นํา ต่อยอดความมั่นคงและความยั่งยืนของเมล็ดพันธุ์ไทยในภูมิภาค เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน : เมล็ดพันธุ์เพื่อการส่งออก (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และผัก) อีกทั้งให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีอย่างเพียงพอ (ข้าวและพืชไร่ตระกูลถั่ว) ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้มีแผนการผลิตพันธุ์พืช/ปัจจัยการผลิต ในปี 2561 ได้แก่ 1) พืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน 14 ชนิดพืช 2) พืชสวน 67 ชนิด และ 3) ปัจจัยการผลิต อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตรได้กระจายเมล็ดพันธุ์ดีสู่เครือข่ายผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ชั้นจําหน่าย ปี 2560/61 ให้แก่กรมส่งเสริมการเกษตร ในโครงการพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรสู่มาตรฐาน กรมส่งเสริมสหกรณ์ ในโครงการส่งเสริมการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี กรมการข้าว ในโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ รวมถึงได้กระจายสู่ภาคเอกชนและเกษตรกรด้วย สําหรับการดําเนินงานของศูนย์วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก มีภารกิจในการศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเมล็ดพันธุ์ บริหารการผลิตเมล็ดพันธุ์ โดยประสานและผลิตเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยายในพื้นที่เกษตรกรและกระจายเมล็ดพันธุ์ไปยังเครือข่ายผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ ให้บริการตรวจสอบเพื่อรับรองคุณภาพเมล็ดพันธุ์ และสุขอนามัยพืชของเมล็ดพันธุ์พืช และฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านเมล็ดพันธุ์ นายลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางการเป็นศูนย์กลางผลิตและส่งออกเมล็ดพันธุ์ ปัจจัยสําคัญที่จะทําให้ภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศมีความเชื่อมั่น อยู่ที่คุณภาพของเมล็ดพันธุ์ ซึ่งศูนย์วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก กรมวิชาการเกษตร มีห้องปฏิบัติการของ seed lab ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลจาก ISTA ซึ่งเป็นจุดที่มีความสําคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณชนและภาคเอกชนที่มีขีดความสามารถในเรื่องของการผลิตเมล็ดพันธุ์ ที่สามารถมาใช้บริการได้ และถ้าได้รับการตรวจรับรองจาก seed lab ของกรมวิชาการเกษตร ก็จะเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศได้ "เมื่อเรามี seed lab ที่มีความทันสมัย เราควรมอบโอกาสให้กับพี่น้องเกษตรกรที่เป็นผู้ผลิตและมีการรวมตัวกันเป็นสหกรณ์การเกษตร ซึ่งจะสามารถยกระดับได้ภายใต้การแนะนําจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร ให้สามารถที่จะเป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์จําหน่ายได้ ถือเป็นแนวโน้มที่สําคัญ เนื่องจากปัจจุบันมีการแข่งขันในเรื่องการผลิตธัญพืชขายมากยิ่งขึ้น ซึ่งการที่กรมวิชาการเกษตรให้ความสําคัญในเรื่องการผลิตเมล็ดพันธุ์ ก็จะได้ทั้งในเรื่องการสร้างขีดความสามารถใหม่ ได้เมล็ดพันธุ์ดีมีคุณภาพ และเป็นที่ต้องการของตลาด ในขณะเดียวกัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมจะทํางานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะทําให้เมล็ดพันธุ์ของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศ ทําให้ส่งออกเมล็ดพันธุ์ในชั้นขยายไปจําหน่ายในประเทศต่าง ๆ ได้ เป็นแนวโน้มที่จะทําให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเมล็ดพันธุ์และจําหน่ายไปต่างประเทศได้ ทั้งนี้ จะนําเรียนรัฐมนตรีว่ากานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อให้การสนับสนุนการดําเนินงานของกรมวิชาการเกษตรที่จะทําให้การผลิตเมล็ดพันธุ์ของประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้า และมีขีดความสามารถในการแข่งขันมากยิ่งขึ้นต่อไป" นายลักษณ์ กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9346
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'กฤษฎา' จี้งานเกษตรเร่งด่วนในส่วนภูมิภาค พร้อมมอบนโยบายต้องทันสถานการณ์
วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 'กฤษฎา' จี้งานเกษตรเร่งด่วนในส่วนภูมิภาค พร้อมมอบนโยบายต้องทันสถานการณ์ 'กฤษฎา' จี้งานเกษตรเร่งด่วนในส่วนภูมิภาค พร้อมมอบนโยบายต้องทันสถานการณ์ รู้จักปรับกลไกการทํางาน บูรณาการทุกภาคส่วนแก้ปัญหาปากท้องเกษตรกร นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมทางไกลด้วยระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ เพื่อติดตามการทํางานและมอบนโยบายแก่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ระดับจังหวัด และชี้แจงแนวทางการดําเนินงานเกี่ยวกับสารพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายฯ มีมติเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 และวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 ให้กรมวิชาการเกษตรดําเนินการเพื่อจํากัดการใช้วัตถุอันตราย ทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ในการทําเกษตรกรรม เป็นไปตามมติเดิมที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายได้เคยลงมติไปแล้ว ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตรได้เดินหน้ามาตรการจํากัดการใช้วัตถุอันตรายดังกล่าว โดย 1) ไม่อนุญาตให้ผู้ประกอบการขึ้นทะเบียนผู้นําเข้ารายใหม่ 2) ผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตนําเข้าที่ได้ขออนุญาตไว้ก่อนออกมาตรการ ยังสามารถนําเข้าได้แต่ลดสัดส่วนการนําเข้าลงครึ่งหนึ่ง และ 3) ร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 ฉบับ มีสาระสําคัญเกี่ยวกับมาตรการจํากัดการใช้สารเคมี ทั้ง 3 ชนิด ซึ่งคณะกรรมการวัตถุอันตรายเพิ่มมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อ 15 มกราคม 2562 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการพิจารณาร่างกฎกระทรวงและประกาศกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 โดยอยู่ระหว่างพิจารณา และจะสามารถดําเนินการมาตรการอื่น ๆ ได้เมื่อประกาศผ่านความเห็นชอบแล้ว อาทิ การอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรในการใช้พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส อย่างปลอดภัย เป็นต้น และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินมาตรการจํากัดการใช้วัตถุอันตราย รวมทั้งเร่งขับเคลื่อนนโยบายเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัยให้บรรลุผลสําเร็จภายใน 24 เดือน นอกจากนี้ ยังได้มอบนโยบายแก่ส่วนราชการสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ในส่วนภูมิภาค โดยให้ยึดหลักกลไกของคณะอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ระดับจังหวัด (อกพ.) เป็นสิ่งสําคัญในการดําเนินงานของกระทรวง เกษตรฯ โดยจะต้องรู้งาน รู้เท่าทันต่อสถานการณ์ และสามารถเชื่อมโยงการทํางานกับหน่วยงานอื่น ๆ และภาคเอกชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง โดยการปรับใช้กลไก และแนวทางการทํางานได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งการตอดตามงานตามนโยบายสําคัญต่าง ๆ อาทิ 1) การให้ความช่วยเหลือชาวประมงชายฝั่ง/การเยียวยาชาวประมงที่ได้รับผลกระทบภายหลังจากการบังคับใช้กฎหมาย พรก.ประมง พ.ศ. 2558 ตามหลักเกณฑ์เงื่อนไข จํานวน 300 ลํา 2) โครงการพัฒนาแหล่งน้ํา ในจังหวัดนครศรีธรรมราช และพัทลุง ซึ่งมีประชาชนไปร้องเรียนเรื่องความไม่โปร่งใสนั้น ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สํารวจข้อเท็จจริงและรายงานกลับมายังส่วนกลางโดยด่วน 3) เตรียมนําโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานาไปใช้เป็นโมเดลในการบริหารจัดการพืชชนิดอื่นต่อไป โดยเห็นผลสําเร็จในการเชื่อมโยงนโยบายการตลาดนําการผลิต การปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ตลาดมีความต้องการ มีภาคเอกชนมารับซื้อ มีการรวมกลุ่มบริหารจัดการในระบบสหกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจริง เป็นต้น. กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'กฤษฎา' จี้งานเกษตรเร่งด่วนในส่วนภูมิภาค พร้อมมอบนโยบายต้องทันสถานการณ์ วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 'กฤษฎา' จี้งานเกษตรเร่งด่วนในส่วนภูมิภาค พร้อมมอบนโยบายต้องทันสถานการณ์ 'กฤษฎา' จี้งานเกษตรเร่งด่วนในส่วนภูมิภาค พร้อมมอบนโยบายต้องทันสถานการณ์ รู้จักปรับกลไกการทํางาน บูรณาการทุกภาคส่วนแก้ปัญหาปากท้องเกษตรกร นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมทางไกลด้วยระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ เพื่อติดตามการทํางานและมอบนโยบายแก่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ระดับจังหวัด และชี้แจงแนวทางการดําเนินงานเกี่ยวกับสารพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายฯ มีมติเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 และวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 ให้กรมวิชาการเกษตรดําเนินการเพื่อจํากัดการใช้วัตถุอันตราย ทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ในการทําเกษตรกรรม เป็นไปตามมติเดิมที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายได้เคยลงมติไปแล้ว ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตรได้เดินหน้ามาตรการจํากัดการใช้วัตถุอันตรายดังกล่าว โดย 1) ไม่อนุญาตให้ผู้ประกอบการขึ้นทะเบียนผู้นําเข้ารายใหม่ 2) ผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตนําเข้าที่ได้ขออนุญาตไว้ก่อนออกมาตรการ ยังสามารถนําเข้าได้แต่ลดสัดส่วนการนําเข้าลงครึ่งหนึ่ง และ 3) ร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 ฉบับ มีสาระสําคัญเกี่ยวกับมาตรการจํากัดการใช้สารเคมี ทั้ง 3 ชนิด ซึ่งคณะกรรมการวัตถุอันตรายเพิ่มมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อ 15 มกราคม 2562 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการพิจารณาร่างกฎกระทรวงและประกาศกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 โดยอยู่ระหว่างพิจารณา และจะสามารถดําเนินการมาตรการอื่น ๆ ได้เมื่อประกาศผ่านความเห็นชอบแล้ว อาทิ การอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรในการใช้พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส อย่างปลอดภัย เป็นต้น และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินมาตรการจํากัดการใช้วัตถุอันตราย รวมทั้งเร่งขับเคลื่อนนโยบายเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัยให้บรรลุผลสําเร็จภายใน 24 เดือน นอกจากนี้ ยังได้มอบนโยบายแก่ส่วนราชการสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ในส่วนภูมิภาค โดยให้ยึดหลักกลไกของคณะอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ระดับจังหวัด (อกพ.) เป็นสิ่งสําคัญในการดําเนินงานของกระทรวง เกษตรฯ โดยจะต้องรู้งาน รู้เท่าทันต่อสถานการณ์ และสามารถเชื่อมโยงการทํางานกับหน่วยงานอื่น ๆ และภาคเอกชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง โดยการปรับใช้กลไก และแนวทางการทํางานได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งการตอดตามงานตามนโยบายสําคัญต่าง ๆ อาทิ 1) การให้ความช่วยเหลือชาวประมงชายฝั่ง/การเยียวยาชาวประมงที่ได้รับผลกระทบภายหลังจากการบังคับใช้กฎหมาย พรก.ประมง พ.ศ. 2558 ตามหลักเกณฑ์เงื่อนไข จํานวน 300 ลํา 2) โครงการพัฒนาแหล่งน้ํา ในจังหวัดนครศรีธรรมราช และพัทลุง ซึ่งมีประชาชนไปร้องเรียนเรื่องความไม่โปร่งใสนั้น ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สํารวจข้อเท็จจริงและรายงานกลับมายังส่วนกลางโดยด่วน 3) เตรียมนําโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานาไปใช้เป็นโมเดลในการบริหารจัดการพืชชนิดอื่นต่อไป โดยเห็นผลสําเร็จในการเชื่อมโยงนโยบายการตลาดนําการผลิต การปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่ตลาดมีความต้องการ มีภาคเอกชนมารับซื้อ มีการรวมกลุ่มบริหารจัดการในระบบสหกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจริง เป็นต้น. กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18903
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ 5G สำหรับประเทศไทย”
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ 5G สําหรับประเทศไทย” ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวเปิดงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ 5G สําหรับประเทศไทย (5G Strategy for Thailand)” เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุม ชั้น 2 ตึก 4 (เจริญวิศวกรรม) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ โดยการเสวนาครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่องค์ความรู้ทั้งด้านการเรียนการสอน รวมถึงการวิจัยสู่สังคม ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญจากทุกภาคส่วนมาให้ข้อมูลและแลกเปลี่ยนทัศนคติ มุมมองที่น่าสนใจ ทั้งนี้ คณะผู้จัดงานได้เปิดโอกาสให้บุคลากรจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งประชาชนเข้าร่วมรับฟังการเสวนาดังกล่าวด้วย โดยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า เรื่อง 5G กําลังเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความน่าสนใจ เนื่องจากสามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลายและการเชื่อมต่ออุปกรณ์จํานวนมหาศาล สําหรับประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายในการเริ่มใช้ 5G เชิงพาณิชย์ในปี พ.ศ.2563 (ค.ศ.2020) ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีภารกิจสําคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ จึงได้รับมอบหมายให้ผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ในประเทศไทย โดยนําพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เป็นพื้นที่นําร่อง ***********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ 5G สำหรับประเทศไทย” วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ 5G สําหรับประเทศไทย” ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวเปิดงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง “วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ 5G สําหรับประเทศไทย (5G Strategy for Thailand)” เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุม ชั้น 2 ตึก 4 (เจริญวิศวกรรม) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ โดยการเสวนาครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่องค์ความรู้ทั้งด้านการเรียนการสอน รวมถึงการวิจัยสู่สังคม ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญจากทุกภาคส่วนมาให้ข้อมูลและแลกเปลี่ยนทัศนคติ มุมมองที่น่าสนใจ ทั้งนี้ คณะผู้จัดงานได้เปิดโอกาสให้บุคลากรจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งประชาชนเข้าร่วมรับฟังการเสวนาดังกล่าวด้วย โดยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า เรื่อง 5G กําลังเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความน่าสนใจ เนื่องจากสามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลายและการเชื่อมต่ออุปกรณ์จํานวนมหาศาล สําหรับประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายในการเริ่มใช้ 5G เชิงพาณิชย์ในปี พ.ศ.2563 (ค.ศ.2020) ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีภารกิจสําคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ จึงได้รับมอบหมายให้ผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ในประเทศไทย โดยนําพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เป็นพื้นที่นําร่อง ***********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17066
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สนธิรัตน์ลงพื้นที่พบประชาชนขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเต็มที่
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561 สนธิรัตน์ลงพื้นที่พบประชาชนขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเต็มที่ “สนธิรัตน์” ลงพื้นที่พบปะเกษตรกร ประชาชน ในงานสมัชชาพลเมืองอีสาน ตุ้มโฮมฮักแพงแบ่งปันอีสานหนึ่งเดียว ยันกําลังขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเต็มที่ ทั้งการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับผู้มีรายได้น้อย การขับเคลื่อนสินค้าเกษตรอินทรีย์ โอทอป จีไอ สินค้าชุมชน พร้อมย้ําสิ่งที่สมัชชากําลังดําเนินการสอดคล้องกับงานพาณิชย์ รับให้การสนับสนุนเต็มที่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันนี้ (27 ม.ค.2560) ได้นําคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่พบปะกับเกษตรกร และประชาชนในงานสมัชชาพลเมืองอีสาน ตุ้มโฮมฮักแพงแบ่งปันอีสานหนึ่งเดียว ที่เทศบาลตําบลหนองบัววง อ. ลําทะเมนชัย จ.นครราชสีมา เพื่อสร้างความรับรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ให้กับผู้ที่มาร่วมงาน พร้อมทั้งขอให้สนับสนุนและร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการทํางาน เพื่อร่วมกันสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก เพราะเมื่อเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง ก็จะทําให้เศรษฐกิจประเทศเข้มแข็งและขยายตัวได้ดีขึ้น สําหรับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงฯ จะเดินหน้าสร้างงานสร้างอาชีพให้กับ ผู้มีรายได้น้อยที่ได้ขึ้นทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งขณะนี้ ได้ผลักดันโครงการสร้างอาชีพออกมาแล้วหลายโครงการ เช่น แฟรนไชส์สร้างอาชีพ ที่กําลังจะลงพื้นที่ในส่วนภูมิภาค การฝึกทําอาชีพเสริมสวย แม่บ้านมืออาชีพ ซึ่งผู้ที่ต้องการเงินทุน ก็จะประสานแบงก์ออมสิน ธ.ก.ส. เข้ามาปล่อยสินเชื่อให้ รวมทั้งให้การสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยหรือ MSMEs ในเรื่องของการยกระดับความพร้อมในการประกอบธุรกิจ เพิ่มช่องทางการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ตลอดจนสนับสนุนการเชื่อมโยงไปยังสถาบันการเงินในการปล่อยเงินสินเชื่อ นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ให้เป็นช่องทางในการจําหน่ายสินค้าให้กับเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าชุมชน สินค้าโอทอป สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ซึ่งจะทําให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งร้านค้าและผู้ผลิต และยังจะเพิ่มจํานวนร้านค้าธงฟ้าประชารัฐอีก 2 หมื่นร้าน เป็นร้านค้าของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง 1 หมื่นร้าน และพาณิชย์ส่งเสริมอีก 1 หมื่นร้าน โดยขณะนี้กําลังเร่งรัดการติดตั้งเครื่องรูดบัตร หากสําเร็จจะทําให้มีร้านค้าธงฟ้าทั้งประเทศ 4 หมื่นร้าน จากนั้น จะทําการคัดเลือกร้านที่เข้มแข็งพัฒนาเป็นร้านโชห่วยไฮบริด โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยและเพิ่มโอกาสค้าขายผ่านทางออนไลน์ ทําให้ร้านค้ามีความเข้มแข็งมากขึ้น ส่วนแผนงานอื่นๆ จะมีการขับเคลื่อนนโยบายเกษตรอินทรีย์ โดยจะส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาเพาะปลูกพืชผักและทําปศุสัตว์อินทรีย์เพิ่มมากขึ้น เพราะช่วยสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคต และกระทรวงฯ เองก็มีนโยบายในการสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งการเพิ่มจํานวนผู้ปลูกสินค้าเกษตรอินทรีย์ การผลักดันให้เกิดหมู่บ้านเกษตรอินทรีย์ ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 12 แห่ง และยังได้เพิ่มช่องทางจําหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่สินค้าโอทอป สินค้าจีไอ จะเข้าไปส่งเสริมพัฒนา และสร้างโอกาสทางด้านการตลาดให้กับผู้ผลิตอย่างต่อเนื่อง นายสนธิรัตน์กล่าวว่า สําหรับสิ่งที่สมัชชาฯ กําลังดําเนินการ ทั้งการผลักดันคลัสเตอร์เกษตรอินทรีย์ การผลักดันการท่องเที่ยวชุมชน การจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ เป็นไปในทิศทางเดียวกับนโยบายการทํางานของพาณิชย์ ซึ่งกระทรวงฯ พร้อมที่จะสนับสนุนและร่วมมือกับสมัชชาฯ เพื่อขับเคลื่อนการทํางานให้บรรลุผลสําเร็จตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ โดยมีพาณิชย์จังหวัดเป็นเจ้าภาพหลักระดับจังหวัดในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ วันเดียวกันนี้ นายสนธิรัตน์ได้ลงพื้นที่ติดตามการจําหน่ายสินค้าที่ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ร้านทวีกิจแคนดง 2 อ. แคนดง จ.บุรีรัมย์ พบว่า ร้านค้ามียอดการจําหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น ขณะที่ประชาชนที่เดินทางมาซื้อสินค้าที่ร้าน ต่างรู้สึกพอใจ เพราะสินค้ามีราคาถูกกว่าปกติจริง ช่วยลดค่าครองชีพได้จริง และขอให้กระทรวงฯ เพิ่มจํานวนร้านค้าธงฟ้าประชารัฐให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งได้ยืนยันไปว่ากําลังดําเนินการ ทั้งการเพิ่มจํานวนร้านค้า และจํานวนสินค้าที่จะนํามาจําหน่ายในร้าน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สนธิรัตน์ลงพื้นที่พบประชาชนขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเต็มที่ วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561 สนธิรัตน์ลงพื้นที่พบประชาชนขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเต็มที่ “สนธิรัตน์” ลงพื้นที่พบปะเกษตรกร ประชาชน ในงานสมัชชาพลเมืองอีสาน ตุ้มโฮมฮักแพงแบ่งปันอีสานหนึ่งเดียว ยันกําลังขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเต็มที่ ทั้งการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับผู้มีรายได้น้อย การขับเคลื่อนสินค้าเกษตรอินทรีย์ โอทอป จีไอ สินค้าชุมชน พร้อมย้ําสิ่งที่สมัชชากําลังดําเนินการสอดคล้องกับงานพาณิชย์ รับให้การสนับสนุนเต็มที่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันนี้ (27 ม.ค.2560) ได้นําคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่พบปะกับเกษตรกร และประชาชนในงานสมัชชาพลเมืองอีสาน ตุ้มโฮมฮักแพงแบ่งปันอีสานหนึ่งเดียว ที่เทศบาลตําบลหนองบัววง อ. ลําทะเมนชัย จ.นครราชสีมา เพื่อสร้างความรับรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ให้กับผู้ที่มาร่วมงาน พร้อมทั้งขอให้สนับสนุนและร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการทํางาน เพื่อร่วมกันสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก เพราะเมื่อเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง ก็จะทําให้เศรษฐกิจประเทศเข้มแข็งและขยายตัวได้ดีขึ้น สําหรับแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงฯ จะเดินหน้าสร้างงานสร้างอาชีพให้กับ ผู้มีรายได้น้อยที่ได้ขึ้นทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งขณะนี้ ได้ผลักดันโครงการสร้างอาชีพออกมาแล้วหลายโครงการ เช่น แฟรนไชส์สร้างอาชีพ ที่กําลังจะลงพื้นที่ในส่วนภูมิภาค การฝึกทําอาชีพเสริมสวย แม่บ้านมืออาชีพ ซึ่งผู้ที่ต้องการเงินทุน ก็จะประสานแบงก์ออมสิน ธ.ก.ส. เข้ามาปล่อยสินเชื่อให้ รวมทั้งให้การสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยหรือ MSMEs ในเรื่องของการยกระดับความพร้อมในการประกอบธุรกิจ เพิ่มช่องทางการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ตลอดจนสนับสนุนการเชื่อมโยงไปยังสถาบันการเงินในการปล่อยเงินสินเชื่อ นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ให้เป็นช่องทางในการจําหน่ายสินค้าให้กับเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าชุมชน สินค้าโอทอป สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ซึ่งจะทําให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งร้านค้าและผู้ผลิต และยังจะเพิ่มจํานวนร้านค้าธงฟ้าประชารัฐอีก 2 หมื่นร้าน เป็นร้านค้าของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง 1 หมื่นร้าน และพาณิชย์ส่งเสริมอีก 1 หมื่นร้าน โดยขณะนี้กําลังเร่งรัดการติดตั้งเครื่องรูดบัตร หากสําเร็จจะทําให้มีร้านค้าธงฟ้าทั้งประเทศ 4 หมื่นร้าน จากนั้น จะทําการคัดเลือกร้านที่เข้มแข็งพัฒนาเป็นร้านโชห่วยไฮบริด โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยและเพิ่มโอกาสค้าขายผ่านทางออนไลน์ ทําให้ร้านค้ามีความเข้มแข็งมากขึ้น ส่วนแผนงานอื่นๆ จะมีการขับเคลื่อนนโยบายเกษตรอินทรีย์ โดยจะส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาเพาะปลูกพืชผักและทําปศุสัตว์อินทรีย์เพิ่มมากขึ้น เพราะช่วยสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคต และกระทรวงฯ เองก็มีนโยบายในการสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งการเพิ่มจํานวนผู้ปลูกสินค้าเกษตรอินทรีย์ การผลักดันให้เกิดหมู่บ้านเกษตรอินทรีย์ ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 12 แห่ง และยังได้เพิ่มช่องทางจําหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่สินค้าโอทอป สินค้าจีไอ จะเข้าไปส่งเสริมพัฒนา และสร้างโอกาสทางด้านการตลาดให้กับผู้ผลิตอย่างต่อเนื่อง นายสนธิรัตน์กล่าวว่า สําหรับสิ่งที่สมัชชาฯ กําลังดําเนินการ ทั้งการผลักดันคลัสเตอร์เกษตรอินทรีย์ การผลักดันการท่องเที่ยวชุมชน การจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ เป็นไปในทิศทางเดียวกับนโยบายการทํางานของพาณิชย์ ซึ่งกระทรวงฯ พร้อมที่จะสนับสนุนและร่วมมือกับสมัชชาฯ เพื่อขับเคลื่อนการทํางานให้บรรลุผลสําเร็จตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ โดยมีพาณิชย์จังหวัดเป็นเจ้าภาพหลักระดับจังหวัดในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ วันเดียวกันนี้ นายสนธิรัตน์ได้ลงพื้นที่ติดตามการจําหน่ายสินค้าที่ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ร้านทวีกิจแคนดง 2 อ. แคนดง จ.บุรีรัมย์ พบว่า ร้านค้ามียอดการจําหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น ขณะที่ประชาชนที่เดินทางมาซื้อสินค้าที่ร้าน ต่างรู้สึกพอใจ เพราะสินค้ามีราคาถูกกว่าปกติจริง ช่วยลดค่าครองชีพได้จริง และขอให้กระทรวงฯ เพิ่มจํานวนร้านค้าธงฟ้าประชารัฐให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งได้ยืนยันไปว่ากําลังดําเนินการ ทั้งการเพิ่มจํานวนร้านค้า และจํานวนสินค้าที่จะนํามาจําหน่ายในร้าน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9680
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ควรออกกำลังกายท่าใดที่ปลอดภัยและทำได้ง่าย ช่วงที่อยู่บ้านในระหว่างการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ??
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2563 ควรออกกําลังกายท่าใดที่ปลอดภัยและทําได้ง่าย ช่วงที่อยู่บ้านในระหว่างการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ?? ออกกําลังกายท่าใดปลอดภัยและทําได้ง่าย Q : ควรออกกําลังกายท่าใด ที่ปลอดภัยและทําได้ง่าย ช่วงที่อยู่บ้านในระหว่างการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ?? A : เดินยกเข่าสูง การย่ําเท้าอยู่กับที่ การฝึกลุก-นั่งจากเก้าอี้ การเดินขึ้น-ลงบันได จะสามารถช่วยเสริมความแข็งแรงของร่างกายได้ แม้จะเป็นผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกําลังกายมาก่อนหน้านี้ก็ตาม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ควรออกกำลังกายท่าใดที่ปลอดภัยและทำได้ง่าย ช่วงที่อยู่บ้านในระหว่างการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ?? วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2563 ควรออกกําลังกายท่าใดที่ปลอดภัยและทําได้ง่าย ช่วงที่อยู่บ้านในระหว่างการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ?? ออกกําลังกายท่าใดปลอดภัยและทําได้ง่าย Q : ควรออกกําลังกายท่าใด ที่ปลอดภัยและทําได้ง่าย ช่วงที่อยู่บ้านในระหว่างการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ?? A : เดินยกเข่าสูง การย่ําเท้าอยู่กับที่ การฝึกลุก-นั่งจากเก้าอี้ การเดินขึ้น-ลงบันได จะสามารถช่วยเสริมความแข็งแรงของร่างกายได้ แม้จะเป็นผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกําลังกายมาก่อนหน้านี้ก็ตาม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานจิตอาสาในการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน เข้ากราบพระบรมศพฯ
วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2560 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานจิตอาสาในการอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน เข้ากราบพระบรมศพฯ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานจิตอาสาในการอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน เข้ากราบพระบรมศพฯ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง วันนี้ (17 ตุลาคม 2560) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานจิตอาสาในการอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน เข้ากราบพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานจิตอาสาในการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน เข้ากราบพระบรมศพฯ วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2560 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานจิตอาสาในการอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน เข้ากราบพระบรมศพฯ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานจิตอาสาในการอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน เข้ากราบพระบรมศพฯ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง วันนี้ (17 ตุลาคม 2560) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานจิตอาสาในการอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน เข้ากราบพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7469
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอี”ร่วมสภาเศรษฐกิจโลกเปิดตัวข้อตกลงสร้างทักษะด้านดิจิทัลเอสเอ็มอีไทย
วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561 “ดีอี”ร่วมสภาเศรษฐกิจโลกเปิดตัวข้อตกลงสร้างทักษะด้านดิจิทัลเอสเอ็มอีไทย “ดีอี” กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF) เปิดตัวข้อตกลงร่วมภายใต้โครงการ “ดิจิทัล อาเซียน” ดึงกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกและภูมิภาค พัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้แรงงานในอาเซียน 20 ล้านคน ภายในปี 2563 มุ่งเน้นกลุ่มเอสเอ็มอี เพราะเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญต่อเศรษฐกิจอาเซียน ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวในการแถลงข่าวร่วมกับสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF) ในการเปิดตัวร่วมกับกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเพื่อนําร่องในการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับแรงงานในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี เป้าหมาย 20 ล้านคน ภายในปี 2563 ว่า ข้อตกลงนี้เป็นการตั้งโจทย์โดยสภาเศรษฐกิจโลก โดยเอกชน และจะนําไปสู่การส่งเสริมการค้าการลงทุน โดยข้อตกลงนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะผลักดันให้เกิดความร่วมมือในภูมิภาคจากภาคธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประชาชนผ่านการฝึกฝน การเรียนรู้ทักษะ และเสริมสร้างความเชี่ยวชาญ มีกลุ่มบริษัทนําร่อง ได้แก่ ซิสโก้ กูเกิล ไมโครซอฟท์ ลาซาด้า Grab Tokopedia และ Sea Group ซึ่งเป็นบริษัททั้งระดับโลกและระดับอาเซียนการสนับสนุนยังมีทั้งให้ทุนการศึกษา เปิดโอกาสให้นักศึกษามหาวิทยาลัยในอาเซียนได้เข้าฝึกงานกับบริษัท การอบรมเจ้าหน้าที่ และการร่วมสร้างหลักสูตรเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา คาดว่าจะสร้างให้เกิดการจ้างแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัล 200,000 คนในอาเซียน ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า ดร.พิเชฐฯ กล่าวว่า ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ดิจิทัล อาเซียน” ซึ่งริเริ่มโดยภาคเอกชนผ่านทางสภาเศรษฐกิจโลก เพื่อสร้างความมีส่วนร่วมในเอเชีย 4 ด้าน ได้แก่ 1. การพัฒนาบุคลากร โดยดึงเอาบริษัทใหญ่มาร่วมพัฒนาทักษะดิจิทัลสําหรับเอสเอ็มอี 2. ไซเบอร์ ซิเคียวริตี้ ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ระหว่างกัน 3 .Data Governance หรือธรรมาภิบาลของข้อมูล ทั้งการส่งเสริม การคุ้มครอง ซึ่งครอบคลุมไปถึงข้อมูลในส่วนที่ข้ามประเทศ (Cross Border) และ 4. e-Payment ระบบชําระเงินและการ แลกเปลี่ยน ซึ่งประเทศไทยมีโครงการที่ทําแล้วและน่าจะเป็นประโยชน์ได้ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้แก่ พร้อมเพย์ และการชําระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงอีกด้าน คือ Digital Access หรือการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยในส่วนของประเทศไทย ก็มีโครงการเน็ตประชารัฐ ที่จะนําไปสร้างการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้ “ในฐานะที่ผมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาโครงการดิจิทัล อาเซียน บทบาทของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ก็มีส่วนร่วมในการให้คําแนะนําหัวข้อน่าสนใจกับโครงการนี้ และคุยกับรัฐมนตรีอาเซียนบางประเทศ ภายใต้ความร่วมมือนี้ 4-5 ด้าน” นอกจากนี้ ในปีหน้าประเทศไทยจะเป็นประธานอาเซียน ก็มีการเตรียมคุยประเด็นของดิจิทัลอาเซียน ทั้งในระดับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN TELMIN) และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELSOM) ด้านนายจัสติน วู้ด หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และสมาชิกคณะกรรมการบริหารของสภาเศรษฐกิจโลก กล่าวว่า ปัจจุบันได้มีการพัฒนาทักษะแรงงานด้านดิจิทัลในภูมิภาคนี้ไปแล้วประมาณ 8.5 ล้านคน และมีจํานวนมากที่อยู่ในประเทศไทย เหตุผลที่ให้ความสําคัญกับกลุ่มเอสเอ็มอี เพราะเป็นตัวผลักดันหลักต่อความสําเร็จของการเติบโตทางเศรษฐกิจอาเซียน แรงงานส่วนใหญ่ทุกประเทศทํางานในบริษัทขนาดกลางและเล็ก และถ้ามองเจาะลงมาที่ประเทศไทย ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลจะเห็นธุรกิจเล็กๆ หรือครอบครัวในชนบทห่างไกล สามารถได้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ต และแพลตฟอร์มด้านอี-คอมเมิร์ซ ช่วยให้ขายสินค้าได้ไกลถึงต่างประเทศ “การสร้างทักษะพื้นฐานให้กับเอสเอ็มอีอาเซียนรวมทั้งไทย จะเน้นเรื่องความรู้ความเข้าใจในการใช้เครื่องมือดิจิทัล การใช้อี-คอมเมิร์ซช่วยค้าขาย และอี-เปย์เม้นท์ เป็นต้น ส่วนการพัฒนาทักษะระดับสูงขึ้น เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จะมุ่งที่กลุ่มนักเรียน-นักศึกษา” *************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอี”ร่วมสภาเศรษฐกิจโลกเปิดตัวข้อตกลงสร้างทักษะด้านดิจิทัลเอสเอ็มอีไทย วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561 “ดีอี”ร่วมสภาเศรษฐกิจโลกเปิดตัวข้อตกลงสร้างทักษะด้านดิจิทัลเอสเอ็มอีไทย “ดีอี” กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF) เปิดตัวข้อตกลงร่วมภายใต้โครงการ “ดิจิทัล อาเซียน” ดึงกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกและภูมิภาค พัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้แรงงานในอาเซียน 20 ล้านคน ภายในปี 2563 มุ่งเน้นกลุ่มเอสเอ็มอี เพราะเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญต่อเศรษฐกิจอาเซียน ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวในการแถลงข่าวร่วมกับสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF) ในการเปิดตัวร่วมกับกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเพื่อนําร่องในการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับแรงงานในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี เป้าหมาย 20 ล้านคน ภายในปี 2563 ว่า ข้อตกลงนี้เป็นการตั้งโจทย์โดยสภาเศรษฐกิจโลก โดยเอกชน และจะนําไปสู่การส่งเสริมการค้าการลงทุน โดยข้อตกลงนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะผลักดันให้เกิดความร่วมมือในภูมิภาคจากภาคธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประชาชนผ่านการฝึกฝน การเรียนรู้ทักษะ และเสริมสร้างความเชี่ยวชาญ มีกลุ่มบริษัทนําร่อง ได้แก่ ซิสโก้ กูเกิล ไมโครซอฟท์ ลาซาด้า Grab Tokopedia และ Sea Group ซึ่งเป็นบริษัททั้งระดับโลกและระดับอาเซียนการสนับสนุนยังมีทั้งให้ทุนการศึกษา เปิดโอกาสให้นักศึกษามหาวิทยาลัยในอาเซียนได้เข้าฝึกงานกับบริษัท การอบรมเจ้าหน้าที่ และการร่วมสร้างหลักสูตรเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา คาดว่าจะสร้างให้เกิดการจ้างแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัล 200,000 คนในอาเซียน ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า ดร.พิเชฐฯ กล่าวว่า ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ดิจิทัล อาเซียน” ซึ่งริเริ่มโดยภาคเอกชนผ่านทางสภาเศรษฐกิจโลก เพื่อสร้างความมีส่วนร่วมในเอเชีย 4 ด้าน ได้แก่ 1. การพัฒนาบุคลากร โดยดึงเอาบริษัทใหญ่มาร่วมพัฒนาทักษะดิจิทัลสําหรับเอสเอ็มอี 2. ไซเบอร์ ซิเคียวริตี้ ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ระหว่างกัน 3 .Data Governance หรือธรรมาภิบาลของข้อมูล ทั้งการส่งเสริม การคุ้มครอง ซึ่งครอบคลุมไปถึงข้อมูลในส่วนที่ข้ามประเทศ (Cross Border) และ 4. e-Payment ระบบชําระเงินและการ แลกเปลี่ยน ซึ่งประเทศไทยมีโครงการที่ทําแล้วและน่าจะเป็นประโยชน์ได้ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้แก่ พร้อมเพย์ และการชําระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงอีกด้าน คือ Digital Access หรือการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยในส่วนของประเทศไทย ก็มีโครงการเน็ตประชารัฐ ที่จะนําไปสร้างการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้ “ในฐานะที่ผมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาโครงการดิจิทัล อาเซียน บทบาทของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ก็มีส่วนร่วมในการให้คําแนะนําหัวข้อน่าสนใจกับโครงการนี้ และคุยกับรัฐมนตรีอาเซียนบางประเทศ ภายใต้ความร่วมมือนี้ 4-5 ด้าน” นอกจากนี้ ในปีหน้าประเทศไทยจะเป็นประธานอาเซียน ก็มีการเตรียมคุยประเด็นของดิจิทัลอาเซียน ทั้งในระดับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN TELMIN) และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELSOM) ด้านนายจัสติน วู้ด หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และสมาชิกคณะกรรมการบริหารของสภาเศรษฐกิจโลก กล่าวว่า ปัจจุบันได้มีการพัฒนาทักษะแรงงานด้านดิจิทัลในภูมิภาคนี้ไปแล้วประมาณ 8.5 ล้านคน และมีจํานวนมากที่อยู่ในประเทศไทย เหตุผลที่ให้ความสําคัญกับกลุ่มเอสเอ็มอี เพราะเป็นตัวผลักดันหลักต่อความสําเร็จของการเติบโตทางเศรษฐกิจอาเซียน แรงงานส่วนใหญ่ทุกประเทศทํางานในบริษัทขนาดกลางและเล็ก และถ้ามองเจาะลงมาที่ประเทศไทย ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลจะเห็นธุรกิจเล็กๆ หรือครอบครัวในชนบทห่างไกล สามารถได้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ต และแพลตฟอร์มด้านอี-คอมเมิร์ซ ช่วยให้ขายสินค้าได้ไกลถึงต่างประเทศ “การสร้างทักษะพื้นฐานให้กับเอสเอ็มอีอาเซียนรวมทั้งไทย จะเน้นเรื่องความรู้ความเข้าใจในการใช้เครื่องมือดิจิทัล การใช้อี-คอมเมิร์ซช่วยค้าขาย และอี-เปย์เม้นท์ เป็นต้น ส่วนการพัฒนาทักษะระดับสูงขึ้น เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จะมุ่งที่กลุ่มนักเรียน-นักศึกษา” *************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16923
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ.อว. ร่วมมือ สถาบันสิ่งทอพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้า เพื่อต่อยอดงานวิจัยสู้ไวรัส COVID-19 [กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม]
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 วศ.อว. ร่วมมือ สถาบันสิ่งทอพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้า เพื่อต่อยอดงานวิจัยสู้ไวรัส COVID-19 [กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม] วศ.อว. ร่วมมือ สถาบันสิ่งทอพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้า เพื่อต่อยอดงานวิจัยสู้ไวรัส COVID-19 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ พร้อมด้วยผู้บริหารและทีมนักวิทยาศาสตร์ เข้าร่วมหารือในประเด็นการพัฒนาห้องปฏิบัติการทดสอบหน้ากากอนามัย ณ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ (กล้วยน้ําไท) โดยมี ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และคณะให้การต้อนรับ การหารือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือพัฒนากระบวนการทดสอบมาตรฐานหน้ากากอนามัยแบบผ้า การทําชุดป้องกันเชื้อโรคให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ป้องกันไวรัส Covid-19 รวมถึงงานวิจัยด้านอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ช่วยลดภาระการทํางานของบุคลากรทางการแพทย์ รวมไปถึงช่วยเหลือภาครัฐในการรับมือกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้เข้าศึกษาดูงานด้านผลิตภัณฑ์ผ้าทอเพื่อนําองค์ความรู้ที่ได้ไปพัฒนาและดําเนินงานโครงการส่งเสริมวิสาหกิจรายย่อยเพื่อยกระดับสินค้า OTOP ให้ได้มาตรฐานในพื้นที่ภูมิภาค ณ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยมี นายสุรพล ปลื้มใจ ผู้อํานวยการกองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน และคณะให้การต้อนรับ ข้อมูลข่าวโดย : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThaila
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ.อว. ร่วมมือ สถาบันสิ่งทอพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้า เพื่อต่อยอดงานวิจัยสู้ไวรัส COVID-19 [กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม] วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 วศ.อว. ร่วมมือ สถาบันสิ่งทอพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้า เพื่อต่อยอดงานวิจัยสู้ไวรัส COVID-19 [กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม] วศ.อว. ร่วมมือ สถาบันสิ่งทอพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้า เพื่อต่อยอดงานวิจัยสู้ไวรัส COVID-19 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ พร้อมด้วยผู้บริหารและทีมนักวิทยาศาสตร์ เข้าร่วมหารือในประเด็นการพัฒนาห้องปฏิบัติการทดสอบหน้ากากอนามัย ณ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ (กล้วยน้ําไท) โดยมี ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และคณะให้การต้อนรับ การหารือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือพัฒนากระบวนการทดสอบมาตรฐานหน้ากากอนามัยแบบผ้า การทําชุดป้องกันเชื้อโรคให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ป้องกันไวรัส Covid-19 รวมถึงงานวิจัยด้านอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ช่วยลดภาระการทํางานของบุคลากรทางการแพทย์ รวมไปถึงช่วยเหลือภาครัฐในการรับมือกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้เข้าศึกษาดูงานด้านผลิตภัณฑ์ผ้าทอเพื่อนําองค์ความรู้ที่ได้ไปพัฒนาและดําเนินงานโครงการส่งเสริมวิสาหกิจรายย่อยเพื่อยกระดับสินค้า OTOP ให้ได้มาตรฐานในพื้นที่ภูมิภาค ณ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยมี นายสุรพล ปลื้มใจ ผู้อํานวยการกองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน และคณะให้การต้อนรับ ข้อมูลข่าวโดย : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThaila
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28758
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เร่งแก้หนี้นอกระบบ เกษตรกร เน้นบูรณการเพื่อสร้างความยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2560 ธ.ก.ส. เร่งแก้หนี้นอกระบบ เกษตรกร เน้นบูรณการเพื่อสร้างความยั่งยืน ธ.ก.ส.เร่งแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับผู้มีรายได้น้อย ชูบูรณาการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนและครบวงจร ทั้งการให้สินเชื่อ ฝึกอบรมวินัยการเงิน และสร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ เพื่อช่วยให้เกษตรกรหลุดพ้นวงจรหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน วันนี้ (25 ธ.ค.60) ที่ห้องประชุมโรงแรมอมรินทร์ลากูน จังหวัดพิษณุโลก นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เข้าร่วม "โครงการนําร่องเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยในจังหวัดพิษณุโลก" นายอภิศักดิ์ ประธานในพิธีได้กล่าวมอบนโยบายเรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อย" ซึ่งรัฐบาลมีความมุ่งมั่น ที่จะดําเนินการ อย่างเต็มที่ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อย หลุดพ้นจากความยากจน อย่างยั่งยืน จากนั้นได้มอบใบอนุญาตประกอบกิจการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์แก่ผู้ประกอบการในจังหวัดพิษณุโลกและใกล้เคียง จํานวน 4 ราย และมอบสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้แก่เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.จํานวน 10 ราย และตัวแทนลูกค้าธนาคารออมสิน จํานวน 10 ราย โดยมีผู้บริหารของกระทรวงการคลัง ผู้บริหาร ธ.ก.ส. และผู้บริหารธนาคารออมสินร่วมเป็นสักขีพยาน นายอภิรมย์ กล่าวว่า ธ.ก.ส. ได้ให้ความสําคัญกับการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบาย "การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์" เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งจากข้อมูลการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 พบว่ามีเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยมาลงทะเบียนจํานวน 3,959,030 ราย และมีหนี้นอกระบบ 448,496 ราย มูลหนี้เฉลี่ยต่อรายจํานวน 59,520 บาท โดยในจังหวัดพิษณุโลก มีเกษตรกรที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ 65,774 ราย เป็นเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบ 4,982 ราย มูลหนี้ 358 ล้านบาท เฉลี่ยหนี้ต่อราย 71,858 บาท ซึ่ง ธ.ก.ส.ได้เข้าไปช่วยเหลือลดภาระหนี้สินให้กับเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกแล้ว 2,045 ราย เป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 855.02 ล้านบาท ด้วยการให้สินเชื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ สินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน และสินเชื่ออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ซึ่งนอกจากจะทําให้หนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบแล้ว ธ.ก.ส.ยังมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนวิธีคิด ในการดําเนินชีวิตของเกษตรกรด้วย การให้ความรู้ การทําบัญชีครัวเรือน การประหยัดอดออม การสร้างรายได้จากอาชีพเสริม อย่างเช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงไก่ดํา การผลิตผักสลัด และการเพาะเห็ด ที่นํามาจัดแสดงในงานนี้ รวมทั้งการสนับสนุนสินเชื่อ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ยามจําเป็น ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และป้องกันไม่ให้เกษตรกร กลับไปก่อหนี้นอกระบบอีก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เร่งแก้หนี้นอกระบบ เกษตรกร เน้นบูรณการเพื่อสร้างความยั่งยืน วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2560 ธ.ก.ส. เร่งแก้หนี้นอกระบบ เกษตรกร เน้นบูรณการเพื่อสร้างความยั่งยืน ธ.ก.ส.เร่งแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับผู้มีรายได้น้อย ชูบูรณาการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนและครบวงจร ทั้งการให้สินเชื่อ ฝึกอบรมวินัยการเงิน และสร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ เพื่อช่วยให้เกษตรกรหลุดพ้นวงจรหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน วันนี้ (25 ธ.ค.60) ที่ห้องประชุมโรงแรมอมรินทร์ลากูน จังหวัดพิษณุโลก นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เข้าร่วม "โครงการนําร่องเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยในจังหวัดพิษณุโลก" นายอภิศักดิ์ ประธานในพิธีได้กล่าวมอบนโยบายเรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อย" ซึ่งรัฐบาลมีความมุ่งมั่น ที่จะดําเนินการ อย่างเต็มที่ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อย หลุดพ้นจากความยากจน อย่างยั่งยืน จากนั้นได้มอบใบอนุญาตประกอบกิจการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์แก่ผู้ประกอบการในจังหวัดพิษณุโลกและใกล้เคียง จํานวน 4 ราย และมอบสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้แก่เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.จํานวน 10 ราย และตัวแทนลูกค้าธนาคารออมสิน จํานวน 10 ราย โดยมีผู้บริหารของกระทรวงการคลัง ผู้บริหาร ธ.ก.ส. และผู้บริหารธนาคารออมสินร่วมเป็นสักขีพยาน นายอภิรมย์ กล่าวว่า ธ.ก.ส. ได้ให้ความสําคัญกับการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบาย "การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์" เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งจากข้อมูลการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 พบว่ามีเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยมาลงทะเบียนจํานวน 3,959,030 ราย และมีหนี้นอกระบบ 448,496 ราย มูลหนี้เฉลี่ยต่อรายจํานวน 59,520 บาท โดยในจังหวัดพิษณุโลก มีเกษตรกรที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ 65,774 ราย เป็นเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบ 4,982 ราย มูลหนี้ 358 ล้านบาท เฉลี่ยหนี้ต่อราย 71,858 บาท ซึ่ง ธ.ก.ส.ได้เข้าไปช่วยเหลือลดภาระหนี้สินให้กับเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกแล้ว 2,045 ราย เป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 855.02 ล้านบาท ด้วยการให้สินเชื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ สินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน และสินเชื่ออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ซึ่งนอกจากจะทําให้หนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบแล้ว ธ.ก.ส.ยังมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนวิธีคิด ในการดําเนินชีวิตของเกษตรกรด้วย การให้ความรู้ การทําบัญชีครัวเรือน การประหยัดอดออม การสร้างรายได้จากอาชีพเสริม อย่างเช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงไก่ดํา การผลิตผักสลัด และการเพาะเห็ด ที่นํามาจัดแสดงในงานนี้ รวมทั้งการสนับสนุนสินเชื่อ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ยามจําเป็น ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และป้องกันไม่ให้เกษตรกร กลับไปก่อหนี้นอกระบบอีก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8977
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล (คตน.) ครั้งที่ 9/2560
วันพุธที่ 9 สิงหาคม 2560 รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล (คตน.) ครั้งที่ 9/2560 ที่ประชุมได้รับทราบ แนวทางการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวภายหลังการจัดระเบียบทัวร์จีนผิดกฎหมาย วันนี้ (9 สิงหาคม60) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล (คตน.) ครั้งที่ 9/25560 ซึ่งสรุปผลการประชุมที่สําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้รับทราบ แนวทางการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวภายหลังการจัดระเบียบทัวร์จีนผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมีความคืบหน้าในการดําเนินงาน ควรมีระเบียบที่เอื้อต่อการอํานวยความสะดวกแก่ระบบการชําระเงินออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้จ่าย เช่น Alipay และ We Chat Payment เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทผู้ให้บริการที่ชําระเงินด้วย Alipay และ We Chat Payment ที่ได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ จําเป็นต้องปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางระบบสารสนเทศอย่างน้อยตามมาตรฐานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกําหนดไว้ อย่างไรก็ดี ประธานฯ ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่กํากับดูแลสถาบันการเงิน ตรวจสอบรายละเอียดของระบบการชําระเงินออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ ให้ละเอียดอีกครั้ง เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ ตลอดจน มีการดําเนินการส่งเสริมให้เกิดบริการที่จะช่วยอํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในด้านการติดต่อสื่อสาร โดยอยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีประสิทธิภาพที่ดี โดยเฉพาะในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และมีบริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะให้บริการแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว การติดต่อสื่อสารได้สะดวกสบาย จะเป็นการสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว และยังเป็นการสร้างโอกาสในการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว พร้อมเพิ่มศักยภาพด้านการสื่อสารของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างดําเนินโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะ Smart City ซึ่งเป็นโครงการนําร่องที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะด้วยเทคโนโลยีไร้สาย Wi-Fi (Hi-Speed Wi-Fi) ให้แก่ประชาชน นักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติ ณ พื้นที่สาธารณะ พื้นที่ท่องเที่ยว และพื้นที่ขององค์กรส่วนท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต รวมทั้งปรับปรุงและขยายโครงข่ายหลักผ่านโครงข่ายใยแก้วนําแสง (Fiber Optic Cable) ให้ครอบคลุมพื้นที่ รวมถึงพื้นที่เกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสําคัญในจังหวัดภูเก็ตด้วย พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้รับทราบ รายงานสรุปประเด็นเร่งด่วนในการติดตามนโยบายของรัฐบาลเรื่องการปฏิรูปที่พักและข้อมูลคนเข้าเมือง ซึ่งในการจัดทําฐานข้อมูลการลงทะเบียนที่พักแรม ข้อมูลคนเข้าเมืองเป็นฐานข้อมูลเดียวกันและการจัดทําระบบลงทะเบียนเข้าพักทุกประเภทสําหรับชาวต่างชาติผ่านระบบ Online ต้องดําเนินการตามพระราชกฤษฎีกากําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ พ.ศ. 2549 ออกตามความในมาตรา 35 ของพระราชบัญญัตว่าด้วยธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ตามมาตรา 5 มาตรา 6 และมาตรา 7 ตามลําดับ ทั้งนี้ หากหน่วยงานของรัฐบังคับใช้กฎหมายในการแจ้งทะเบียนการเข้าพักของชาวต่างชาติและได้จัดทําระบบ Single Platform และระบบลงทะเบียนเข้าพักข้างต้น จะต้องจัดทําเป็นประกาศตามมาตราดังกล่าว โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย ...................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล (คตน.) ครั้งที่ 9/2560 วันพุธที่ 9 สิงหาคม 2560 รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล (คตน.) ครั้งที่ 9/2560 ที่ประชุมได้รับทราบ แนวทางการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวภายหลังการจัดระเบียบทัวร์จีนผิดกฎหมาย วันนี้ (9 สิงหาคม60) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล (คตน.) ครั้งที่ 9/25560 ซึ่งสรุปผลการประชุมที่สําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้รับทราบ แนวทางการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวภายหลังการจัดระเบียบทัวร์จีนผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมีความคืบหน้าในการดําเนินงาน ควรมีระเบียบที่เอื้อต่อการอํานวยความสะดวกแก่ระบบการชําระเงินออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้จ่าย เช่น Alipay และ We Chat Payment เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทผู้ให้บริการที่ชําระเงินด้วย Alipay และ We Chat Payment ที่ได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ จําเป็นต้องปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางระบบสารสนเทศอย่างน้อยตามมาตรฐานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกําหนดไว้ อย่างไรก็ดี ประธานฯ ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่กํากับดูแลสถาบันการเงิน ตรวจสอบรายละเอียดของระบบการชําระเงินออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ ให้ละเอียดอีกครั้ง เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ ตลอดจน มีการดําเนินการส่งเสริมให้เกิดบริการที่จะช่วยอํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในด้านการติดต่อสื่อสาร โดยอยู่ในระหว่างการพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีประสิทธิภาพที่ดี โดยเฉพาะในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และมีบริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะให้บริการแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว การติดต่อสื่อสารได้สะดวกสบาย จะเป็นการสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว และยังเป็นการสร้างโอกาสในการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว พร้อมเพิ่มศักยภาพด้านการสื่อสารของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างดําเนินโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะ Smart City ซึ่งเป็นโครงการนําร่องที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะด้วยเทคโนโลยีไร้สาย Wi-Fi (Hi-Speed Wi-Fi) ให้แก่ประชาชน นักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติ ณ พื้นที่สาธารณะ พื้นที่ท่องเที่ยว และพื้นที่ขององค์กรส่วนท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต รวมทั้งปรับปรุงและขยายโครงข่ายหลักผ่านโครงข่ายใยแก้วนําแสง (Fiber Optic Cable) ให้ครอบคลุมพื้นที่ รวมถึงพื้นที่เกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสําคัญในจังหวัดภูเก็ตด้วย พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้รับทราบ รายงานสรุปประเด็นเร่งด่วนในการติดตามนโยบายของรัฐบาลเรื่องการปฏิรูปที่พักและข้อมูลคนเข้าเมือง ซึ่งในการจัดทําฐานข้อมูลการลงทะเบียนที่พักแรม ข้อมูลคนเข้าเมืองเป็นฐานข้อมูลเดียวกันและการจัดทําระบบลงทะเบียนเข้าพักทุกประเภทสําหรับชาวต่างชาติผ่านระบบ Online ต้องดําเนินการตามพระราชกฤษฎีกากําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ พ.ศ. 2549 ออกตามความในมาตรา 35 ของพระราชบัญญัตว่าด้วยธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ตามมาตรา 5 มาตรา 6 และมาตรา 7 ตามลําดับ ทั้งนี้ หากหน่วยงานของรัฐบังคับใช้กฎหมายในการแจ้งทะเบียนการเข้าพักของชาวต่างชาติและได้จัดทําระบบ Single Platform และระบบลงทะเบียนเข้าพักข้างต้น จะต้องจัดทําเป็นประกาศตามมาตราดังกล่าว โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย ...................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5834
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯภานุวัฒน์ ร่วมหารือกับผู้อำนวยการใหญ่ฯ GGGI ประเทศเกาหลีใต้
วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2563 รองปลัดฯภานุวัฒน์ ร่วมหารือกับผู้อํานวยการใหญ่ฯ GGGI ประเทศเกาหลีใต้ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือกับนาย Frank Rijsberman ผู้อํานวยการใหญ่สถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อส่งแวดล้อม ( ประเทศเกาหลีใต้ เกี่ยวกับแผนการส่งเสริมการดําเนินงานเรื่องการลงทุนในอุตสาหกรรมสีเขียว วันนี้ (23 ม.ค. 63) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือกับนาย Frank Rijsberman ผู้อํานวยการใหญ่สถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อส่งแวดล้อม (Global Green Growth Institute - GGGI) ประเทศเกาหลีใต้ เกี่ยวกับแผนการส่งเสริมการดําเนินงานเรื่องการลงทุนในอุตสาหกรรมสีเขียว และกิจกรรมในภูมิภาคภายใต้โครงการของไทย และขอรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของไทยต่อทิศทางการดําเนินงานของ GGGI ในอนาคตเพื่อพัฒนาความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ณ ห้องประชุมชุณหวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม # กระทรวงอุตสาหกรรม # อุตสาหกรรมสีเขียว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯภานุวัฒน์ ร่วมหารือกับผู้อำนวยการใหญ่ฯ GGGI ประเทศเกาหลีใต้ วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2563 รองปลัดฯภานุวัฒน์ ร่วมหารือกับผู้อํานวยการใหญ่ฯ GGGI ประเทศเกาหลีใต้ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือกับนาย Frank Rijsberman ผู้อํานวยการใหญ่สถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อส่งแวดล้อม ( ประเทศเกาหลีใต้ เกี่ยวกับแผนการส่งเสริมการดําเนินงานเรื่องการลงทุนในอุตสาหกรรมสีเขียว วันนี้ (23 ม.ค. 63) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือกับนาย Frank Rijsberman ผู้อํานวยการใหญ่สถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อส่งแวดล้อม (Global Green Growth Institute - GGGI) ประเทศเกาหลีใต้ เกี่ยวกับแผนการส่งเสริมการดําเนินงานเรื่องการลงทุนในอุตสาหกรรมสีเขียว และกิจกรรมในภูมิภาคภายใต้โครงการของไทย และขอรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของไทยต่อทิศทางการดําเนินงานของ GGGI ในอนาคตเพื่อพัฒนาความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ณ ห้องประชุมชุณหวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม # กระทรวงอุตสาหกรรม # อุตสาหกรรมสีเขียว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26004
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช่วงนี้ทำอย่างไรบ้างเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 ช่วงนี้ทําอย่างไรบ้างเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 3 วิธีการง่ายๆ มีอะไรบ้างนะ 1.ยืน-นั่ง ห่างกัน 2.ล้างมือบ่อยๆ 3.ไม่อยู่ในสถานที่แออัด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช่วงนี้ทำอย่างไรบ้างเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 ช่วงนี้ทําอย่างไรบ้างเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 3 วิธีการง่ายๆ มีอะไรบ้างนะ 1.ยืน-นั่ง ห่างกัน 2.ล้างมือบ่อยๆ 3.ไม่อยู่ในสถานที่แออัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27973
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เป็นประธานเปิดงาน พร้อมมอบรางวัลในการประกวดรอบชิงชนะเลิศโครงการ "พิชิตฝัน...สู่ดวงดาว"
วันพุธที่ 19 เมษายน 2560 รมว.พม. เป็นประธานเปิดงาน พร้อมมอบรางวัลในการประกวดรอบชิงชนะเลิศโครงการ "พิชิตฝัน...สู่ดวงดาว" รมว.พม. เป็นประธานเปิดงาน พร้อมมอบรางวัลในการประกวดรอบชิงชนะเลิศโครงการ "พิชิตฝัน...สู่ดวงดาว" สานต่อโครงการ จากถนนสู่ดวงดาว : From Street to Stars สานฝันให้คนพิการเป็นศิลปินใหม่สังกัดค่ายเพลงดัง วันนี้ (19 เม.ย. 60) เวลา 17.00 น. ที่ลานกิจกรรม ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ จังหวัดนนทบุรี พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานพร้อมมอบรางวัลในการประกวดรอบชิงชนะเลิศโครงการ “พิชิตฝัน..สู่ดวงดาว (The Dream Star)” พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ผู้แทนบริษัท อาร์เอส จํากัด (มหาชน) ผู้แทนบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จํากัด (มหาชน) และผู้แทนบริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ร่วมงาน ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้ประสานความร่วมมือกับ ค่ายอาร์สยาม ในเครือ บริษัท อาร์เอส จํากัด (มหาชน) บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จํากัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) เปิดโอกาสให้คนพิการทุกประเภทจากทั่วประเทศที่มีความสามารถในการร้องเพลง ได้มาเป็นศิลปินใหม่ในสังกัดค่ายเพลงดัง พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มีภารกิจหลักในการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เด็กและเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ และคนพิการ นับว่าเป็นการดูแลประชาชนทุกช่วงวัย เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยรัฐบาลมีนโยบายในการให้ความสําคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มุ่งมั่นให้คนพิการได้แสดงออกถึงศักยภาพและความสามารถพร้อมออกสู่สังคมได้อย่างภาคภูมิ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดย พก. จึงได้ประสานความร่วมมือกับค่ายเพลงดัง ได้แก่ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จํากัด (มหาชน) บริษัท อาร์เอส จํากัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด(มหาชน) จัดโครงการ “พิชิตฝัน..สู่ดวงดาว (The Dream Star)” เพื่อเปิดโอกาสให้คนพิการทุกประเภทจากทั่วประเทศที่มีความสามารถรอบด้าน ได้แก่ การร้อง การเต้น และเล่นดนตรี ได้เข้าร่วมคัดเลือกเพื่อเป็นศิลปินมืออาชีพสังกัดค่ายเพลงดัง รวมทั้งเป็นการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่คนพิการ ซึ่งนับเป็น Season ที่ 2 ของโครงการพัฒนาศักยภาพนักร้องนักดนตรีในที่สาธารณะ จากถนนสู่ดวงดาว : From Street to Stars พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับโครงการประกวดในครั้งนี้ ได้เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม จนถึง 8 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจํานวนกว่า 140 คน และมีผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ จํานวน 24 คน ซึ่งในวันนี้ เป็นการจัดประกวดรอบชิงชนะเลิศ โดยตั้งแต่ช่วงเช้าผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งหมดจะมีการประกวดแข่งขัน เพื่อแสดงความสามารถทั้งการร้องเพลง และการเล่นดนตรี ซึ่งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะพิจารณาคัดเลือก ผู้ชนะเลิศ 5 รางวัล ได้แก่ รางวัลชนะเลิศ ได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและสิทธิ์ในการออกซิงเกิ้ลกับค่ายเพลงดัง รองชนะเลิศได้รับเงิน รางวัล 30,000 บาท รางวัลชมเชย 3 รางวัล รางวัลละ 20,000 บาท นอกจากนี้ยังมี รางวัลขวัญใจมหาชน อีก 1 รางวัล ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอแสดงความยินดีและเป็นกําลังใจแก่ผู้ที่ได้รับรางวัลทั้ง 5 คน รวมถึงคนพิการทุกคนที่ได้เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ถึงความสามารถและศักยภาพทางด้านการร้องเพลง และดนตรีที่เท่าเทียมกับคนในสังคม พร้อมโอกาสที่จะได้ก้าวสู่การเป็นศิลปินนักร้องอาชีพ ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ร่วมส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการที่มีความสามารถทางด้านการร้องเพลง ทําให้คนพิการได้มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มุ่งมั่นให้คนพิการได้แสดงออกถึงศักยภาพและความสามารถพร้อมออกสู่สังคมได้อย่างภาคภูมิ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เป็นประธานเปิดงาน พร้อมมอบรางวัลในการประกวดรอบชิงชนะเลิศโครงการ "พิชิตฝัน...สู่ดวงดาว" วันพุธที่ 19 เมษายน 2560 รมว.พม. เป็นประธานเปิดงาน พร้อมมอบรางวัลในการประกวดรอบชิงชนะเลิศโครงการ "พิชิตฝัน...สู่ดวงดาว" รมว.พม. เป็นประธานเปิดงาน พร้อมมอบรางวัลในการประกวดรอบชิงชนะเลิศโครงการ "พิชิตฝัน...สู่ดวงดาว" สานต่อโครงการ จากถนนสู่ดวงดาว : From Street to Stars สานฝันให้คนพิการเป็นศิลปินใหม่สังกัดค่ายเพลงดัง วันนี้ (19 เม.ย. 60) เวลา 17.00 น. ที่ลานกิจกรรม ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ จังหวัดนนทบุรี พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานพร้อมมอบรางวัลในการประกวดรอบชิงชนะเลิศโครงการ “พิชิตฝัน..สู่ดวงดาว (The Dream Star)” พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ผู้แทนบริษัท อาร์เอส จํากัด (มหาชน) ผู้แทนบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จํากัด (มหาชน) และผู้แทนบริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ร่วมงาน ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้ประสานความร่วมมือกับ ค่ายอาร์สยาม ในเครือ บริษัท อาร์เอส จํากัด (มหาชน) บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จํากัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) เปิดโอกาสให้คนพิการทุกประเภทจากทั่วประเทศที่มีความสามารถในการร้องเพลง ได้มาเป็นศิลปินใหม่ในสังกัดค่ายเพลงดัง พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มีภารกิจหลักในการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เด็กและเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ และคนพิการ นับว่าเป็นการดูแลประชาชนทุกช่วงวัย เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยรัฐบาลมีนโยบายในการให้ความสําคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มุ่งมั่นให้คนพิการได้แสดงออกถึงศักยภาพและความสามารถพร้อมออกสู่สังคมได้อย่างภาคภูมิ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดย พก. จึงได้ประสานความร่วมมือกับค่ายเพลงดัง ได้แก่ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จํากัด (มหาชน) บริษัท อาร์เอส จํากัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด(มหาชน) จัดโครงการ “พิชิตฝัน..สู่ดวงดาว (The Dream Star)” เพื่อเปิดโอกาสให้คนพิการทุกประเภทจากทั่วประเทศที่มีความสามารถรอบด้าน ได้แก่ การร้อง การเต้น และเล่นดนตรี ได้เข้าร่วมคัดเลือกเพื่อเป็นศิลปินมืออาชีพสังกัดค่ายเพลงดัง รวมทั้งเป็นการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่คนพิการ ซึ่งนับเป็น Season ที่ 2 ของโครงการพัฒนาศักยภาพนักร้องนักดนตรีในที่สาธารณะ จากถนนสู่ดวงดาว : From Street to Stars พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับโครงการประกวดในครั้งนี้ ได้เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม จนถึง 8 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจํานวนกว่า 140 คน และมีผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ จํานวน 24 คน ซึ่งในวันนี้ เป็นการจัดประกวดรอบชิงชนะเลิศ โดยตั้งแต่ช่วงเช้าผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งหมดจะมีการประกวดแข่งขัน เพื่อแสดงความสามารถทั้งการร้องเพลง และการเล่นดนตรี ซึ่งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะพิจารณาคัดเลือก ผู้ชนะเลิศ 5 รางวัล ได้แก่ รางวัลชนะเลิศ ได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและสิทธิ์ในการออกซิงเกิ้ลกับค่ายเพลงดัง รองชนะเลิศได้รับเงิน รางวัล 30,000 บาท รางวัลชมเชย 3 รางวัล รางวัลละ 20,000 บาท นอกจากนี้ยังมี รางวัลขวัญใจมหาชน อีก 1 รางวัล ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอแสดงความยินดีและเป็นกําลังใจแก่ผู้ที่ได้รับรางวัลทั้ง 5 คน รวมถึงคนพิการทุกคนที่ได้เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ถึงความสามารถและศักยภาพทางด้านการร้องเพลง และดนตรีที่เท่าเทียมกับคนในสังคม พร้อมโอกาสที่จะได้ก้าวสู่การเป็นศิลปินนักร้องอาชีพ ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ร่วมส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการที่มีความสามารถทางด้านการร้องเพลง ทําให้คนพิการได้มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มุ่งมั่นให้คนพิการได้แสดงออกถึงศักยภาพและความสามารถพร้อมออกสู่สังคมได้อย่างภาคภูมิ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3155
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน
วันพุธที่ 4 กันยายน 2562 ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน โดยข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว น้ําตาลทรายดิบ มันสําปะหลัง และปาล์มน้ํามันมีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตร เดือนกันยายน โดยข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว น้ําตาลทรายดิบ มันสําปะหลัง และปาล์มน้ํามันมีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพาราแผ่นดิบ สุกร และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน 2562 ที่จัดทําโดยศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. พบว่า สินค้าเกษตรที่จะมีราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% คาดราคาขายอยู่ที่ 7,975-8,081 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.15-2.50 เนื่องจากแหล่งผลิตข้าวนาปรังที่สําคัญ อาทิ จังหวัดสุพรรณบุรี พิษณุโลก และพิจิตร ยังคงประสบปัญหาภัยแล้งอยู่ ทําให้อุปทานข้าวลดลง ข้าวเปลือกหอมมะลิ คาดราคาอยู่ที่ 16,000-16,109 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.23-0.91 เนื่องจากภาวะภัยแล้งในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลผลิตข้าวหอมมะลิได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ภาวะภัยแล้งในบริเวณแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่สําคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ จังหวัดอุบลราชธานี และร้อยเอ็ด ได้คลี่คลายลง จึงทําให้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิปรับเพิ่มขึ้นเล็กไม่มากนัก ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว คาดราคาอยู่ที่ 13,009-13,529 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.90-5.98 เนื่องจากภาวะภัยแล้งส่งผลให้ผลผลิตข้าวเหนียวมีปริมาณน้อยกว่าทุกปี ประกอบกับเป็นช่วงรอยต่อของฤดูกาลการผลิตทําให้ข้าวเหนียวเก่าเหลือน้อยและข้าวเหนียวใหม่ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ส่งผลให้ผู้ประกอบการโรงสี ผู้ประกอบการข้าวถุง และผู้ส่งออกข้าวเร่งซื้อข้าวเก็บไว้ในสต็อก น้ําตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก คาดราคาอยู่ที่ 12.16-12.63 เซนต์/ปอนด์ (8.22-8.54 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 4.00-7.00 ตามการเข้ามาซื้อน้ําตาลคืนของกลุ่มกองทุนและนักเก็งกําไรอันเป็นผลมาจากการที่หน่วยงานวิเคราะห์ของบราซิล (Brazil Conab) ได้ปรับลดประมาณการผลผลิตน้ําตาลของบราซิลในปี 2562/2563 ลงร้อยละ 6.7 เหลือ 31.8 ล้านตัน จากเดิมประมาณการไว้ที่ 34.1 ล้านตัน จึงคาดว่าผลผลิตน้ําตาลในตลาดโลกเพิ่มขึ้น มันสําปะหลัง คาดราคาอยู่ที่ 1.72 – 1.77 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.17 - 4.11 เนื่องจากผลผลิตมันสําปะหลังออกสู่ตลาดลดลงและผลจากการเกิดโรคระบาดไวรัสใบด่างมันสําปะหลัง (CMD) และปาล์มน้ํามัน คาดราคาอยู่ที่ 2.35 - 2.43 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.73 - 5.19 เนื่องจากปริมาณผลผลิตปาล์มน้ํามันในเดือนกันยายนจะออกสู่ตลาดลดลง ประกอบกับนโยบายการเร่งดูดซับน้ํามันปาล์มเพื่อลดปริมาณสต็อกน้ํามันปาล์ม จะเป็นปัจจัยหนุนให้ทิศทางราคาปาล์มน้ํามันปรับตัวเพิ่มขึ้น ด้านสินค้าเกษตรที่จะมีราคาลดลง ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% คาดราคาอยู่ที่ 7.17-7.28 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50-2.00 เนื่องจากเป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รุ่น 1 ทําให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น ประกอบกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูกาลใหม่ที่ออกจากไร่อาจจะมีความชื้นสูง จากภาวะฝนที่ยังตกชุกในหลายพื้นที่ ส่งผลให้คุณภาพผลผลิตลดลง ยางพาราแผ่นดิบ คาดราคาอยู่ที่ 36.53 – 37.35 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 3.98 – 6.09 เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน มีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่า และสถานการณ์ราคาน้ํามันดิบมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคายางพารามีแนวโน้มปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการรัฐในการชดเชยราคายางพาราตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรอาจจะทําให้ราคายางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ สุกร คาดราคาอยู่ที่ 68.50 - 69.20 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.25 - 1.25 เนื่องจากปริมาณสุกรออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภค ประกอบกับความกังวลกับข่าวการเกิดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) อาจทําให้เกษตรกรบางส่วนเร่งจําหน่ายสุกรออกสู่ตลาด และกุ้งขาวแวนนาไม คาดราคาอยู่ที่ 137.50 – 140.50 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.58– 3.68 เนื่องจากสถานการณ์ค่าเงินบาทของไทยมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง เป็นแรงกดดันให้ส่งออกกุ้งได้น้อยลง ประกอบกับสภาพอากาศที่แปรปรวน ทําให้เกษตรกรเร่งจับกุ้งออกจําหน่ายเพื่อลดความเสี่ยงที่กุ้งจะเสียหาย ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตกุ้งเพิ่มขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน วันพุธที่ 4 กันยายน 2562 ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน โดยข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว น้ําตาลทรายดิบ มันสําปะหลัง และปาล์มน้ํามันมีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตร เดือนกันยายน โดยข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว น้ําตาลทรายดิบ มันสําปะหลัง และปาล์มน้ํามันมีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพาราแผ่นดิบ สุกร และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนกันยายน 2562 ที่จัดทําโดยศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. พบว่า สินค้าเกษตรที่จะมีราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% คาดราคาขายอยู่ที่ 7,975-8,081 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.15-2.50 เนื่องจากแหล่งผลิตข้าวนาปรังที่สําคัญ อาทิ จังหวัดสุพรรณบุรี พิษณุโลก และพิจิตร ยังคงประสบปัญหาภัยแล้งอยู่ ทําให้อุปทานข้าวลดลง ข้าวเปลือกหอมมะลิ คาดราคาอยู่ที่ 16,000-16,109 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.23-0.91 เนื่องจากภาวะภัยแล้งในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลผลิตข้าวหอมมะลิได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ภาวะภัยแล้งในบริเวณแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่สําคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ จังหวัดอุบลราชธานี และร้อยเอ็ด ได้คลี่คลายลง จึงทําให้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิปรับเพิ่มขึ้นเล็กไม่มากนัก ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว คาดราคาอยู่ที่ 13,009-13,529 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.90-5.98 เนื่องจากภาวะภัยแล้งส่งผลให้ผลผลิตข้าวเหนียวมีปริมาณน้อยกว่าทุกปี ประกอบกับเป็นช่วงรอยต่อของฤดูกาลการผลิตทําให้ข้าวเหนียวเก่าเหลือน้อยและข้าวเหนียวใหม่ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ส่งผลให้ผู้ประกอบการโรงสี ผู้ประกอบการข้าวถุง และผู้ส่งออกข้าวเร่งซื้อข้าวเก็บไว้ในสต็อก น้ําตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก คาดราคาอยู่ที่ 12.16-12.63 เซนต์/ปอนด์ (8.22-8.54 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 4.00-7.00 ตามการเข้ามาซื้อน้ําตาลคืนของกลุ่มกองทุนและนักเก็งกําไรอันเป็นผลมาจากการที่หน่วยงานวิเคราะห์ของบราซิล (Brazil Conab) ได้ปรับลดประมาณการผลผลิตน้ําตาลของบราซิลในปี 2562/2563 ลงร้อยละ 6.7 เหลือ 31.8 ล้านตัน จากเดิมประมาณการไว้ที่ 34.1 ล้านตัน จึงคาดว่าผลผลิตน้ําตาลในตลาดโลกเพิ่มขึ้น มันสําปะหลัง คาดราคาอยู่ที่ 1.72 – 1.77 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.17 - 4.11 เนื่องจากผลผลิตมันสําปะหลังออกสู่ตลาดลดลงและผลจากการเกิดโรคระบาดไวรัสใบด่างมันสําปะหลัง (CMD) และปาล์มน้ํามัน คาดราคาอยู่ที่ 2.35 - 2.43 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.73 - 5.19 เนื่องจากปริมาณผลผลิตปาล์มน้ํามันในเดือนกันยายนจะออกสู่ตลาดลดลง ประกอบกับนโยบายการเร่งดูดซับน้ํามันปาล์มเพื่อลดปริมาณสต็อกน้ํามันปาล์ม จะเป็นปัจจัยหนุนให้ทิศทางราคาปาล์มน้ํามันปรับตัวเพิ่มขึ้น ด้านสินค้าเกษตรที่จะมีราคาลดลง ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% คาดราคาอยู่ที่ 7.17-7.28 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50-2.00 เนื่องจากเป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รุ่น 1 ทําให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น ประกอบกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูกาลใหม่ที่ออกจากไร่อาจจะมีความชื้นสูง จากภาวะฝนที่ยังตกชุกในหลายพื้นที่ ส่งผลให้คุณภาพผลผลิตลดลง ยางพาราแผ่นดิบ คาดราคาอยู่ที่ 36.53 – 37.35 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 3.98 – 6.09 เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน มีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่า และสถานการณ์ราคาน้ํามันดิบมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคายางพารามีแนวโน้มปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการรัฐในการชดเชยราคายางพาราตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรอาจจะทําให้ราคายางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ สุกร คาดราคาอยู่ที่ 68.50 - 69.20 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.25 - 1.25 เนื่องจากปริมาณสุกรออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภค ประกอบกับความกังวลกับข่าวการเกิดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) อาจทําให้เกษตรกรบางส่วนเร่งจําหน่ายสุกรออกสู่ตลาด และกุ้งขาวแวนนาไม คาดราคาอยู่ที่ 137.50 – 140.50 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.58– 3.68 เนื่องจากสถานการณ์ค่าเงินบาทของไทยมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง เป็นแรงกดดันให้ส่งออกกุ้งได้น้อยลง ประกอบกับสภาพอากาศที่แปรปรวน ทําให้เกษตรกรเร่งจับกุ้งออกจําหน่ายเพื่อลดความเสี่ยงที่กุ้งจะเสียหาย ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตกุ้งเพิ่มขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22775
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หลักฐานสำหรับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้า OTOP หนังสือ และยางล้อรถ
วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561 หลักฐานสําหรับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้า OTOP หนังสือ และยางล้อรถ กรมสรรพากรชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักฐานที่ใช้ในการหักลดหย่อนสําหรับการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมเกษตร ชุมชน และทุนมนุษย์ สําหรับการซื้อสินค้า OTOP หนังสือ และยางล้อรถ นายปิ่นสาย สุรัสวดี รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร ได้ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักฐานที่ใช้ในการหักลดหย่อนสําหรับการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมเกษตร ชุมชน และทุนมนุษย์ สําหรับการซื้อสินค้า OTOP หนังสือ และยางล้อรถ โดยบุคคลธรรมดาสามารถนําค่าซื้อสินค้าดังกล่าวที่ได้มีการซื้อระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 16 มกราคม 2562 ไปหักเป็นค่าลดหย่อนในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท และในกรณีผู้มีเงินได้จ่ายค่าซื้อสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าว 2 ปีภาษี จะได้รับการลดหย่อนตามจํานวนที่จ่ายจริงในแต่ละปีภาษี แต่รวมกัน 2 ปีภาษีแล้ว ต้องไม่เกิน 15,000 บาท โดยสินค้าที่สามารถนํามาหักลดหย่อนภาษีทั้ง 3 ประเภท มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 1. สําหรับสินค้า OTOP ที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชน จะต้องมีหลักฐานการซื้อสินค้าเป็นใบเสร็จรับเงิน (กรณีที่ผู้ขายสินค้าดังกล่าวไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม) หรือใบกํากับภาษีแบบเต็มรูป (กรณีที่ผู้ขายสินค้าดังกล่าวเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม) 2. สําหรับหนังสือรวมถึง e-Book แต่ไม่รวมถึงนิตยสารและหนังสือพิมพ์ จะต้องซื้อจากผู้ประกอบการ ที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและต้องมีหลักฐานการซื้อสินค้าเป็นใบเสร็จรับเงินหรือใบกํากับภาษีแบบเต็มรูป แล้วแต่กรณี 3. สําหรับยางล้อรถยนต์ ยางล้อรถจักรยานยนต์ และยางล้อรถจักรยานที่ซื้อจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้เสียภาษีจะต้องมีหลักฐานการซื้อสินค้าเป็นใบกํากับภาษีแบบเต็มรูปและคูปองที่มีตราประทับของร้านค้าโดยคูปอง 1 ใบ ต่อยาง 1 เส้น มาตรการภาษีนี้จะส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศ โดยจะก่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น ยกระดับคุณภาพทุนมนุษย์ผ่านการอ่านหนังสือ ตลอดจนช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง อันสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และแนวทางการปฏิรูปประเทศ สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ และศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร.1161 และหากพบเห็น การกระทําใดๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ www.rd.go.th > เมนู “การแจ้งแหล่งภาษี” เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หลักฐานสำหรับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้า OTOP หนังสือ และยางล้อรถ วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561 หลักฐานสําหรับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้า OTOP หนังสือ และยางล้อรถ กรมสรรพากรชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักฐานที่ใช้ในการหักลดหย่อนสําหรับการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมเกษตร ชุมชน และทุนมนุษย์ สําหรับการซื้อสินค้า OTOP หนังสือ และยางล้อรถ นายปิ่นสาย สุรัสวดี รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร ได้ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักฐานที่ใช้ในการหักลดหย่อนสําหรับการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมเกษตร ชุมชน และทุนมนุษย์ สําหรับการซื้อสินค้า OTOP หนังสือ และยางล้อรถ โดยบุคคลธรรมดาสามารถนําค่าซื้อสินค้าดังกล่าวที่ได้มีการซื้อระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 16 มกราคม 2562 ไปหักเป็นค่าลดหย่อนในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท และในกรณีผู้มีเงินได้จ่ายค่าซื้อสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าว 2 ปีภาษี จะได้รับการลดหย่อนตามจํานวนที่จ่ายจริงในแต่ละปีภาษี แต่รวมกัน 2 ปีภาษีแล้ว ต้องไม่เกิน 15,000 บาท โดยสินค้าที่สามารถนํามาหักลดหย่อนภาษีทั้ง 3 ประเภท มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 1. สําหรับสินค้า OTOP ที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชน จะต้องมีหลักฐานการซื้อสินค้าเป็นใบเสร็จรับเงิน (กรณีที่ผู้ขายสินค้าดังกล่าวไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม) หรือใบกํากับภาษีแบบเต็มรูป (กรณีที่ผู้ขายสินค้าดังกล่าวเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม) 2. สําหรับหนังสือรวมถึง e-Book แต่ไม่รวมถึงนิตยสารและหนังสือพิมพ์ จะต้องซื้อจากผู้ประกอบการ ที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและต้องมีหลักฐานการซื้อสินค้าเป็นใบเสร็จรับเงินหรือใบกํากับภาษีแบบเต็มรูป แล้วแต่กรณี 3. สําหรับยางล้อรถยนต์ ยางล้อรถจักรยานยนต์ และยางล้อรถจักรยานที่ซื้อจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้เสียภาษีจะต้องมีหลักฐานการซื้อสินค้าเป็นใบกํากับภาษีแบบเต็มรูปและคูปองที่มีตราประทับของร้านค้าโดยคูปอง 1 ใบ ต่อยาง 1 เส้น มาตรการภาษีนี้จะส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศ โดยจะก่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น ยกระดับคุณภาพทุนมนุษย์ผ่านการอ่านหนังสือ ตลอดจนช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง อันสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และแนวทางการปฏิรูปประเทศ สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ และศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร.1161 และหากพบเห็น การกระทําใดๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ www.rd.go.th > เมนู “การแจ้งแหล่งภาษี” เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17509
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก สธ. ชี้แจงกรณีทีดีอาร์ไอเผยแพร่บทสัมภาษณ์ ของที่ปรึกษาฯ ทีดีอาร์ไอ ในประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำของระบบประกันสุขภาพของไทย
วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 โฆษก สธ. ชี้แจงกรณีทีดีอาร์ไอเผยแพร่บทสัมภาษณ์ ของที่ปรึกษาฯ ทีดีอาร์ไอ ในประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ําของระบบประกันสุขภาพของไทย โฆษก สธ. ชี้แจงกรณีทีดีอาร์ไอเผยแพร่บทสัมภาษณ์ ของที่ปรึกษาฯ ทีดีอาร์ไอ ในประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ําของระบบประกันสุขภาพของไทย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงกรณีสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เผยแพร่บทสัมภาษณ์ ของ วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ที่ปรึกษาด้านหลักประกันทางสังคมทีดีอาร์ไอ ในประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ําของระบบประกันสุขภาพของไทย โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้ ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมผู้สูงอายุ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการเตรียมการเรื่องนี้เป็นลําดับต้น มีนโยบายและหลักแนวคิดสําคัญคือ “ผู้สูงวัยมีคุณค่า สังคมไทยร่วมดูแล มีสุขจนวาระสุดท้าย” เตรียมพร้อมสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสง่างาม ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขถือเป็นนโยบายสําคัญเร่งด่วน ได้บูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบ “รัฐ-ราษฎร์ ร่วมใจห่วงใยผู้สูงอายุ” และได้ลงนามความร่วมมือกับกระทรวง มหาดไทย การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศึกษาธิการ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 S คือ Strong : Healthy มีสุขภาพดี, Social การมีส่วนร่วมในสังคม และ Security ความมั่นคงปลอดภัย โดยมีการดําเนินการดังนี้ ​​1. จัดทําแผนบูรณาการตลอดช่วงชีวิต เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ เพื่อเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ ด้วยการสร้างความรอบรู้ทางด้านสุขภาพ(Health Literacy) การประเมินคัดกรองสุขภาพและการส่งเสริมสุขภาพที่พึงประสงค์ 2. คัดกรองเพื่อจําแนกผู้สูงอายุตามภาวะพึ่งพิง และความจําเป็นในการสนับสนุนบริการด้านสุขภาพและสังคม 3กลุ่ม คือ ​​ -กลุ่มติดสังคม : สนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ คัดกรองภาวะสุขภาพ ใช้สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ เป็นเครื่องมือเฝ้าระวังด้านสุขภาวะสนับสนุนกิจกรรมชมรมผู้สูงอายุ ชมรมคลังสมอง เพื่อนช่วยเพื่อน การพัฒนาทักษะกาย ใจ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ -กลุ่มเสี่ยง : ส่งเสริมให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ด้วย 3 อ 2 ส คือ ออกกําลังกาย อาหาร อารมณ์ ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ ส่งเสริมการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อผู้สูงอายุ เช่น เมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ วัดส่งเสริมสุขภาพ -กลุ่มติดบ้าน ติดเตียง : พัฒนาระบบการส่งเสริมสุขภาพดูแลผู้สูงอายุระยะยาวและผู้สูงอายุที่ต้องการการพึ่งพิง (Long Term Care) ด้านสุขภาพ เน้นชุมชนเป็นฐานการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ขับเคลื่อนด้วย 3 C คือ Care manager มีผู้จัดการการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน , Caregiver ผู้ดูแลผู้สูงอายุ เป็นระบบอาสาสมัคร/จิตอาสา และมีแผนการดูแลผู้สูงอายุรายบุคคล Care plan ในการให้บริการดูแลอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ตามชุดสิทธิประโยชน์ ซึ่งขณะนี้ได้ผลิต Care manager แล้ว11,912 คน ผลิต Caregiver แล้ว 53,041 คน จัดทําแผนการดูแลผู้สูงอายุรายบุคคลแล้ว 171,983 ฉบับ ทั้งนี้ จุดแข็งของสังคมไทยคือเป็นสังคมแห่งความกตัญญูรู้คุณ คนไทยไม่ทอดทิ้งผู้สูงอายุ“ผู้สูงวัย...เป็นหลักชัยของสังคม” --------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก สธ. ชี้แจงกรณีทีดีอาร์ไอเผยแพร่บทสัมภาษณ์ ของที่ปรึกษาฯ ทีดีอาร์ไอ ในประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำของระบบประกันสุขภาพของไทย วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 โฆษก สธ. ชี้แจงกรณีทีดีอาร์ไอเผยแพร่บทสัมภาษณ์ ของที่ปรึกษาฯ ทีดีอาร์ไอ ในประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ําของระบบประกันสุขภาพของไทย โฆษก สธ. ชี้แจงกรณีทีดีอาร์ไอเผยแพร่บทสัมภาษณ์ ของที่ปรึกษาฯ ทีดีอาร์ไอ ในประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ําของระบบประกันสุขภาพของไทย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงกรณีสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เผยแพร่บทสัมภาษณ์ ของ วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ที่ปรึกษาด้านหลักประกันทางสังคมทีดีอาร์ไอ ในประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ําของระบบประกันสุขภาพของไทย โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้ ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมผู้สูงอายุ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการเตรียมการเรื่องนี้เป็นลําดับต้น มีนโยบายและหลักแนวคิดสําคัญคือ “ผู้สูงวัยมีคุณค่า สังคมไทยร่วมดูแล มีสุขจนวาระสุดท้าย” เตรียมพร้อมสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสง่างาม ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขถือเป็นนโยบายสําคัญเร่งด่วน ได้บูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบ “รัฐ-ราษฎร์ ร่วมใจห่วงใยผู้สูงอายุ” และได้ลงนามความร่วมมือกับกระทรวง มหาดไทย การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศึกษาธิการ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 S คือ Strong : Healthy มีสุขภาพดี, Social การมีส่วนร่วมในสังคม และ Security ความมั่นคงปลอดภัย โดยมีการดําเนินการดังนี้ ​​1. จัดทําแผนบูรณาการตลอดช่วงชีวิต เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ เพื่อเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ ด้วยการสร้างความรอบรู้ทางด้านสุขภาพ(Health Literacy) การประเมินคัดกรองสุขภาพและการส่งเสริมสุขภาพที่พึงประสงค์ 2. คัดกรองเพื่อจําแนกผู้สูงอายุตามภาวะพึ่งพิง และความจําเป็นในการสนับสนุนบริการด้านสุขภาพและสังคม 3กลุ่ม คือ ​​ -กลุ่มติดสังคม : สนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ คัดกรองภาวะสุขภาพ ใช้สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ เป็นเครื่องมือเฝ้าระวังด้านสุขภาวะสนับสนุนกิจกรรมชมรมผู้สูงอายุ ชมรมคลังสมอง เพื่อนช่วยเพื่อน การพัฒนาทักษะกาย ใจ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ -กลุ่มเสี่ยง : ส่งเสริมให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ด้วย 3 อ 2 ส คือ ออกกําลังกาย อาหาร อารมณ์ ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ ส่งเสริมการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อผู้สูงอายุ เช่น เมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ วัดส่งเสริมสุขภาพ -กลุ่มติดบ้าน ติดเตียง : พัฒนาระบบการส่งเสริมสุขภาพดูแลผู้สูงอายุระยะยาวและผู้สูงอายุที่ต้องการการพึ่งพิง (Long Term Care) ด้านสุขภาพ เน้นชุมชนเป็นฐานการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ขับเคลื่อนด้วย 3 C คือ Care manager มีผู้จัดการการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน , Caregiver ผู้ดูแลผู้สูงอายุ เป็นระบบอาสาสมัคร/จิตอาสา และมีแผนการดูแลผู้สูงอายุรายบุคคล Care plan ในการให้บริการดูแลอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ตามชุดสิทธิประโยชน์ ซึ่งขณะนี้ได้ผลิต Care manager แล้ว11,912 คน ผลิต Caregiver แล้ว 53,041 คน จัดทําแผนการดูแลผู้สูงอายุรายบุคคลแล้ว 171,983 ฉบับ ทั้งนี้ จุดแข็งของสังคมไทยคือเป็นสังคมแห่งความกตัญญูรู้คุณ คนไทยไม่ทอดทิ้งผู้สูงอายุ“ผู้สูงวัย...เป็นหลักชัยของสังคม” --------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9996
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ
วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2562 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา 28 กรกฎาคม 2562 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน พร้อมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา 28 กรกฎาคม 2562 ณ ลานอเนกประสงค์ ชั้น 2 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2562 โดยมีปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ พร้อมด้วยข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของสํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เข้าร่วมพิธีดังกล่าว เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ***********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2562 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา 28 กรกฎาคม 2562 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน พร้อมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา 28 กรกฎาคม 2562 ณ ลานอเนกประสงค์ ชั้น 2 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2562 โดยมีปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ พร้อมด้วยข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของสํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เข้าร่วมพิธีดังกล่าว เพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ***********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21808
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนประชาชนยกการ์ดอีกครั้ง คุมเข้มโรงหนัง-ฟิตเนส [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 สธ. เตือนประชาชนยกการ์ดอีกครั้ง คุมเข้มโรงหนัง-ฟิตเนส [กระทรวงสาธารณสุข] สธ. เตือนประชาชนยกการ์ดอีกครั้ง คุมเข้มโรงหนัง-ฟิตเนส กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสํารวจสาเหตุประชาชนการ์ดตก 3 อันดับแรก คือ จากการพบผู้ติดเชื้อลดลง รู้สึกว่ามีความเสี่ยงต่ํา กิจวัตรประจําวันไม่เอื้ออํานวย พร้อมตรวจเข้มโรงภาพยนตร์ ฟิตเนส ต้องเว้นระยะห่าง ลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ขอความร่วมมือประชาชนประเมินมาตรการป้องกันโรคผ่าน “ไทยชนะ” วันนี้ (9 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าวผลการสํารวจการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากผู้ตอบแบบสอบถาม 25,623 ราย ระหว่างวันที่ 22-28 พ.ค.2563 พบว่า เหตุผล 3 อันดับแรกที่ประชาชนการ์ดตก คือ ร้อยละ 57.4 ระบุว่ามีจํานวนผู้ติดเชื้อลดลงควบคุมการระบาดได้ดีขึ้น ร้อยละ 36.6 รู้สึกว่าตัวเองมีความเสี่ยงในการติดเชื้อต่ํา และร้อยละ 28.4 บอกว่ากิจวัตรประจําวันไม่เอื้ออํานวย จึงขอย้ําเตือนประชาชนต้องตระหนักในการป้องกันตนเอง เมื่อเดินทางไปในพื้นที่สาธารณะ ต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หมั่นล้างมือ และเว้นระยะห่าง แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าวต่อว่า มาตรการความปลอดภัยในการให้บริการของโรงภาพยนตร์และสถานออกกําลังกาย ซึ่งได้รับการผ่อนปรนในระยะที่ 3 และมีประชาชนออกไปใช้บริการจํานวนมาก ได้มีมาตรการหลักและมาตรการเฉพาะเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ตามแนวทางที่ ศบค.กําหนดไว้ รวมทั้งในส่วนของโรงภาพยนตร์ให้นําเทคโนโลยีเข้ามาเสริมเรื่องการจองที่นั่ง การออกบัตรชมภาพยนตร์ออนไลน์ และการชําระเงินออนไลน์ ส่วนสถานออกกําลังกายหรือฟิตเนส จะมีทั้งมาตรการการทําความสะอาดส่วนรวมที่ทางฟิตเนสจะดูแลทําความสะอาดสถานที่และอุปกรณ์ออกกําลังกาย รวมทั้งเพิ่มมาตรการส่วนตัวให้ผู้ใช้บริการต้องร่วมทําความสะอาดจุดสัมผัสอุปกรณ์ออกกําลังกายที่ตัวเองใช้ เพื่อให้มีการทําความสะอาดทุกครั้งหลังใช้งาน สําหรับมาตรการหลักของโรงภาพยนตร์ แต่ละแห่งจะเน้นการทําความสะอาดจุดสัมผัสต่างๆ จัดจุดล้างมือให้กับผู้ใช้บริการ เว้นระยะห่างที่นั่งสําหรับรอเข้าชมและที่นั่งในโรงภาพยนตร์ การคัดกรองผู้ใช้บริการและพนักงานผู้ให้บริการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการติดตามผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ ส่วนมาตรการเฉพาะจะเน้นการทําความสะอาดระบบปรับอากาศอย่างสม่ําเสมอ เว้นระยะห่างที่นั่งชมภาพยนตร์ 2 เว้น 2 และเว้นระยะแถวเว้นแถว ที่สําคัญจะต้องงดจัดกิจกรรม อีเวนต์ คอนเสิร์ต ทั้งในโรงภาพยนตร์และด้านนอกโรงภาพยนตร์เพื่อลดการรวมตัวของประชาชน และจัดพื้นที่จําหน่ายอาหารและเครื่องดื่มให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กําหนด นอกจากนี้ ขอเชิญชวนประชาชนที่ไปใช้บริการได้ร่วมกันประเมินมาตรฐานการให้บริการของโรงภาพยนตร์และสถานออกกําลังกายผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ เพื่อเป็นข้อมูลกลับมาให้กรมอนามัย ติดตามตรวจสอบเพื่อประเมินการให้บริการของสถานบริการต่างๆ ให้เกิดความปลอดภัยตามที่กําหนด **************************** 9 มิถุนายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนประชาชนยกการ์ดอีกครั้ง คุมเข้มโรงหนัง-ฟิตเนส [กระทรวงสาธารณสุข] วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 สธ. เตือนประชาชนยกการ์ดอีกครั้ง คุมเข้มโรงหนัง-ฟิตเนส [กระทรวงสาธารณสุข] สธ. เตือนประชาชนยกการ์ดอีกครั้ง คุมเข้มโรงหนัง-ฟิตเนส กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสํารวจสาเหตุประชาชนการ์ดตก 3 อันดับแรก คือ จากการพบผู้ติดเชื้อลดลง รู้สึกว่ามีความเสี่ยงต่ํา กิจวัตรประจําวันไม่เอื้ออํานวย พร้อมตรวจเข้มโรงภาพยนตร์ ฟิตเนส ต้องเว้นระยะห่าง ลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ขอความร่วมมือประชาชนประเมินมาตรการป้องกันโรคผ่าน “ไทยชนะ” วันนี้ (9 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าวผลการสํารวจการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากผู้ตอบแบบสอบถาม 25,623 ราย ระหว่างวันที่ 22-28 พ.ค.2563 พบว่า เหตุผล 3 อันดับแรกที่ประชาชนการ์ดตก คือ ร้อยละ 57.4 ระบุว่ามีจํานวนผู้ติดเชื้อลดลงควบคุมการระบาดได้ดีขึ้น ร้อยละ 36.6 รู้สึกว่าตัวเองมีความเสี่ยงในการติดเชื้อต่ํา และร้อยละ 28.4 บอกว่ากิจวัตรประจําวันไม่เอื้ออํานวย จึงขอย้ําเตือนประชาชนต้องตระหนักในการป้องกันตนเอง เมื่อเดินทางไปในพื้นที่สาธารณะ ต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หมั่นล้างมือ และเว้นระยะห่าง แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าวต่อว่า มาตรการความปลอดภัยในการให้บริการของโรงภาพยนตร์และสถานออกกําลังกาย ซึ่งได้รับการผ่อนปรนในระยะที่ 3 และมีประชาชนออกไปใช้บริการจํานวนมาก ได้มีมาตรการหลักและมาตรการเฉพาะเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ตามแนวทางที่ ศบค.กําหนดไว้ รวมทั้งในส่วนของโรงภาพยนตร์ให้นําเทคโนโลยีเข้ามาเสริมเรื่องการจองที่นั่ง การออกบัตรชมภาพยนตร์ออนไลน์ และการชําระเงินออนไลน์ ส่วนสถานออกกําลังกายหรือฟิตเนส จะมีทั้งมาตรการการทําความสะอาดส่วนรวมที่ทางฟิตเนสจะดูแลทําความสะอาดสถานที่และอุปกรณ์ออกกําลังกาย รวมทั้งเพิ่มมาตรการส่วนตัวให้ผู้ใช้บริการต้องร่วมทําความสะอาดจุดสัมผัสอุปกรณ์ออกกําลังกายที่ตัวเองใช้ เพื่อให้มีการทําความสะอาดทุกครั้งหลังใช้งาน สําหรับมาตรการหลักของโรงภาพยนตร์ แต่ละแห่งจะเน้นการทําความสะอาดจุดสัมผัสต่างๆ จัดจุดล้างมือให้กับผู้ใช้บริการ เว้นระยะห่างที่นั่งสําหรับรอเข้าชมและที่นั่งในโรงภาพยนตร์ การคัดกรองผู้ใช้บริการและพนักงานผู้ให้บริการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการติดตามผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ ส่วนมาตรการเฉพาะจะเน้นการทําความสะอาดระบบปรับอากาศอย่างสม่ําเสมอ เว้นระยะห่างที่นั่งชมภาพยนตร์ 2 เว้น 2 และเว้นระยะแถวเว้นแถว ที่สําคัญจะต้องงดจัดกิจกรรม อีเวนต์ คอนเสิร์ต ทั้งในโรงภาพยนตร์และด้านนอกโรงภาพยนตร์เพื่อลดการรวมตัวของประชาชน และจัดพื้นที่จําหน่ายอาหารและเครื่องดื่มให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กําหนด นอกจากนี้ ขอเชิญชวนประชาชนที่ไปใช้บริการได้ร่วมกันประเมินมาตรฐานการให้บริการของโรงภาพยนตร์และสถานออกกําลังกายผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ เพื่อเป็นข้อมูลกลับมาให้กรมอนามัย ติดตามตรวจสอบเพื่อประเมินการให้บริการของสถานบริการต่างๆ ให้เกิดความปลอดภัยตามที่กําหนด **************************** 9 มิถุนายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32126
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนกรณีแรงงานผิดกฎหมายชาวไทยหลบหนีเข้าเกาหลีใต้
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561 นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนกรณีแรงงานผิดกฎหมายชาวไทยหลบหนีเข้าเกาหลีใต้ นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนกรณีแรงงานผิดกฎหมายชาวไทยหลบหนีเข้าเกาหลีใต้ วันนี้ (28 สิงหาคม 2561) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคําถามจากสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาแรงงานผิดกฎหมายชาวไทยที่หลบหนีเข้าไปทํางานในประเทศเกาหลีใต้ และอาจเตรียมพิจารณายกเลิกการยกเว้นวีซ่าสําหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ว่าขอให้คนไทยเคารพตามกฎหมายของเกาหลีใต้ รวมไปถึงขอให้คนไทยที่ไปทํางานในประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ในขณะเดียวกันชาวต่างชาติที่เข้ามาทํางานในประเทศไทยโดยไม่มีวีซ่าจะต้องถูกพิจารณาตามกฎหมายของไทย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีนักธุรกิจชาวไทยจํานวน 4 ราย ที่ถูกจับกุมที่เรือนจําเวียนนา เมืองลูอันดา ประเทศแองโกลา ว่าขอให้เป็นไปตามกฎหมายของแองโกลา ในทางกลับกันนักโทษต่างชาติในประเทศไทยก็จะถูกดําเนินคดีตามกฎหมายไทย และดําเนินตามกระบวนการต่างๆ ตามกฎหมายไทยให้เสร็จสิ้น จึงจะสามารถดําเนินการส่งตัวกลับได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนกรณีแรงงานผิดกฎหมายชาวไทยหลบหนีเข้าเกาหลีใต้ วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561 นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนกรณีแรงงานผิดกฎหมายชาวไทยหลบหนีเข้าเกาหลีใต้ นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนกรณีแรงงานผิดกฎหมายชาวไทยหลบหนีเข้าเกาหลีใต้ วันนี้ (28 สิงหาคม 2561) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคําถามจากสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาแรงงานผิดกฎหมายชาวไทยที่หลบหนีเข้าไปทํางานในประเทศเกาหลีใต้ และอาจเตรียมพิจารณายกเลิกการยกเว้นวีซ่าสําหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ว่าขอให้คนไทยเคารพตามกฎหมายของเกาหลีใต้ รวมไปถึงขอให้คนไทยที่ไปทํางานในประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ในขณะเดียวกันชาวต่างชาติที่เข้ามาทํางานในประเทศไทยโดยไม่มีวีซ่าจะต้องถูกพิจารณาตามกฎหมายของไทย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีนักธุรกิจชาวไทยจํานวน 4 ราย ที่ถูกจับกุมที่เรือนจําเวียนนา เมืองลูอันดา ประเทศแองโกลา ว่าขอให้เป็นไปตามกฎหมายของแองโกลา ในทางกลับกันนักโทษต่างชาติในประเทศไทยก็จะถูกดําเนินคดีตามกฎหมายไทย และดําเนินตามกระบวนการต่างๆ ตามกฎหมายไทยให้เสร็จสิ้น จึงจะสามารถดําเนินการส่งตัวกลับได้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14971
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบังคับคดีร่วมบรรยายในการประชุม Forum for Asian Insolvency Reform (FAIR) ครั้งที่ ๑๑
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561 กรมบังคับคดีร่วมบรรยายในการประชุม Forum for Asian Insolvency Reform (FAIR) ครั้งที่ ๑๑ การประชุม Forum for Asian Insolvency Reform (FAIR) ครั้งที่ ๑๑ วันนี้ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ได้ร่วมบรรยายในการประชุม Forum for Asian Insolvency Reform (FAIR) ครั้งที่ ๑๑ ณ โรงแรม อนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ การประชุมครั้งนี้ อธิบดีกรมบังคับคดีได้รับเชิญจาก INSOL ได้นําเสนอการปฎิรูปกฎหมายล้มละลายในรอบ ๔ ปี ที่ผ่านมาที่ได้มีการแก้ไขกฎหมายล้มละลายเพื่อเพิ่มความคุ้มครองให้กับเจ้าหนี้ นําหลักการที่ ไม่สามารถชําระหนี้ได้ (Inability to pay) การเปิดโอกาสให้ธุรกิจ SMEs ยื่นขอฟื้นฟูกิจการ ได้เป็นครั้งแรก การส่งคําสั่งต่างๆ ทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นครั้งแรก และการกําหนดให้บุคคลที่มีทรัพย์ของลูกหนี้ที่ล้มละลายในครอบครองแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์เพื่อทําให้การรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และได้กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติล้มละลายที่เกี่ยวข้องกับล้มละลายระหว่างประเทศที่กรมบังคับคดีได้เสนอเมื่อปี ๒๕๕๙ และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการแล้ว และร่างพระราชบัญญัติล้มละลายเกี่ยวกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชนที่กรมบังคับคดีได้ยกร่างเสนอกระทรวงเพื่อพิจารณา รวมทั้งร่างพระราชบัญญัติสิทธิในหลักประกันที่กรมบังคับคดีได้ร่วมพิจารณายกร่างร่วมกับหน่วยงานต่างๆ การประชุมครั้งนี้มีผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ กว่า ๒๐ ประเทศ และผู้แทนของประเทศไทย จากสํานักงานศาลยุติธรรม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม เพื่อให้ประเทศต่างๆ ได้แลกเปลี่ยน เรียนรู้ แนวทางปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการปฏิรูปกฎหมายล้มละลาย เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือ หนี้ครัวเรือน หนี้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบังคับคดีร่วมบรรยายในการประชุม Forum for Asian Insolvency Reform (FAIR) ครั้งที่ ๑๑ วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561 กรมบังคับคดีร่วมบรรยายในการประชุม Forum for Asian Insolvency Reform (FAIR) ครั้งที่ ๑๑ การประชุม Forum for Asian Insolvency Reform (FAIR) ครั้งที่ ๑๑ วันนี้ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ได้ร่วมบรรยายในการประชุม Forum for Asian Insolvency Reform (FAIR) ครั้งที่ ๑๑ ณ โรงแรม อนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ การประชุมครั้งนี้ อธิบดีกรมบังคับคดีได้รับเชิญจาก INSOL ได้นําเสนอการปฎิรูปกฎหมายล้มละลายในรอบ ๔ ปี ที่ผ่านมาที่ได้มีการแก้ไขกฎหมายล้มละลายเพื่อเพิ่มความคุ้มครองให้กับเจ้าหนี้ นําหลักการที่ ไม่สามารถชําระหนี้ได้ (Inability to pay) การเปิดโอกาสให้ธุรกิจ SMEs ยื่นขอฟื้นฟูกิจการ ได้เป็นครั้งแรก การส่งคําสั่งต่างๆ ทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นครั้งแรก และการกําหนดให้บุคคลที่มีทรัพย์ของลูกหนี้ที่ล้มละลายในครอบครองแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์เพื่อทําให้การรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และได้กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติล้มละลายที่เกี่ยวข้องกับล้มละลายระหว่างประเทศที่กรมบังคับคดีได้เสนอเมื่อปี ๒๕๕๙ และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการแล้ว และร่างพระราชบัญญัติล้มละลายเกี่ยวกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชนที่กรมบังคับคดีได้ยกร่างเสนอกระทรวงเพื่อพิจารณา รวมทั้งร่างพระราชบัญญัติสิทธิในหลักประกันที่กรมบังคับคดีได้ร่วมพิจารณายกร่างร่วมกับหน่วยงานต่างๆ การประชุมครั้งนี้มีผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ กว่า ๒๐ ประเทศ และผู้แทนของประเทศไทย จากสํานักงานศาลยุติธรรม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม เพื่อให้ประเทศต่างๆ ได้แลกเปลี่ยน เรียนรู้ แนวทางปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการปฏิรูปกฎหมายล้มละลาย เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือ หนี้ครัวเรือน หนี้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15458
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปผลการประชุม ศตส. รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ ชี้แจงบริการดูแลสุขภาพแก่ประชาชนฟรีตลอด 24 ชั่วโมง 2 จุด (สนามหลวงและเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า) พร้อม ศ ให้บริการย้อมผ้าฟรีให้แก่ประชาชนทุกจังหวั
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559 สรุปผลการประชุม ศตส. รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ ชี้แจงบริการดูแลสุขภาพแก่ประชาชนฟรีตลอด 24 ชั่วโมง 2 จุด (สนามหลวงและเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า) พร้อม ศ ให้บริการย้อมผ้าฟรีให้แก่ประชาชนทุกจังหวั สรุปผลการประชุม ศตส. รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ ชี้แจงบริการดูแลสุขภาพแก่ประชาชนฟรีตลอด 24 ชั่วโมง 2 จุด (สนามหลวงและเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า) พร้อม ศ ให้บริการย้อมผ้าฟรีให้แก่ประชาชนทุกจังหวัดทั่วประเทศ วันนี้ (16 ตุลาคม 2559) เวลาประมาณ 16.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) โดยมีตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเรื่องการทบทวนการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชน ที่มาร่วมงานฯ ตลอดจนให้การปฏิบัติงานพระราชพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมีความราบรื่นด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้แถลงข่าวโดยมีประเด็นสําคัญต่าง ๆ ดังนี้ 1. ด้านการแพทย์ ได้ร่วมกันทํางานอย่างบูรณาการระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กรมแพทย์ทหารบก กรุงเทพมหานคร ในการตั้งศูนย์อํานวยการร่วมเพื่อดูแลประชาชนด้านสุขภาพที่โรงพยาบาลกลาง และมีศูนย์บริการดังกล่าวเคลื่อนที่ให้บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ที่สนามหลวงและเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ทั้งนี้เนื่องจากช่วงนี้ สภาพอากาศมีฝนตกต่อเนื่องจึงทําให้ประชาชนที่มาร่วมงานฯ มีผลกระทบด้านสุขภาพจึงมีหน่วยแพทย์ฯ ดูแลตลอดเวลา 2. การแก้ไขปัญหาและข้อขัดข้องต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่บริเวณท้องสนามหลวงซึ่งเป็นจุดสําคัญ จึงมีศูนย์อํานวยการร่วมจัดระเบียบจราจร และศูนย์อํานวยการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนคอยอํานวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึง และมีการประเมินสถาการณ์โดยต่อเนื่องเพื่อรองรับประชาชนที่มาร่วมงาน 3. การจัดระเบียบด้านการคมนาคมขนส่งแก่พี่น้องประชาชน โดยหลังจากที่มีการประกาศข้อบังคับจัดระเบียบการจราจรโดยรอบบริเวณท้องสนามหลวงตั้งแต่เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา กรมการรักษาดินแดน (รด.) และบริเวณข้างวังสราญรมย์ ทั้งนี้มีบริการรถขนส่งมวลชนของ ขสมก. คอยให้บริการ รับ – ส่ง ประชาชน ณ บริเวณโรงแรมรัตนโกสินทร์และสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (เดิม) ถนนราชดําเนินใน โดยพิจารณาความสะดวกของประชาชนเป็นหลัก 4. พลเอก ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ในการให้บริการย้อมผ้าเป็นสีดําให้และประชาชนทั่วประทศเริ่มตั้งแต่ 17 ตุลาคม 2559 แก่ประชาชนฟรีที่ทําการ กศน. ทั่วประเทศ 5. รัฐบาลมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในพระราชพิธีฯ และยึดหลักขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินให้ดําเนินการคู่ขนานกันไปในการทํางานอย่างเต็มกําลังความสามารถต่อไป *********************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปผลการประชุม ศตส. รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ ชี้แจงบริการดูแลสุขภาพแก่ประชาชนฟรีตลอด 24 ชั่วโมง 2 จุด (สนามหลวงและเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า) พร้อม ศ ให้บริการย้อมผ้าฟรีให้แก่ประชาชนทุกจังหวั วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559 สรุปผลการประชุม ศตส. รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ ชี้แจงบริการดูแลสุขภาพแก่ประชาชนฟรีตลอด 24 ชั่วโมง 2 จุด (สนามหลวงและเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า) พร้อม ศ ให้บริการย้อมผ้าฟรีให้แก่ประชาชนทุกจังหวั สรุปผลการประชุม ศตส. รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ ชี้แจงบริการดูแลสุขภาพแก่ประชาชนฟรีตลอด 24 ชั่วโมง 2 จุด (สนามหลวงและเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า) พร้อม ศ ให้บริการย้อมผ้าฟรีให้แก่ประชาชนทุกจังหวัดทั่วประเทศ วันนี้ (16 ตุลาคม 2559) เวลาประมาณ 16.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) โดยมีตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเรื่องการทบทวนการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชน ที่มาร่วมงานฯ ตลอดจนให้การปฏิบัติงานพระราชพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมีความราบรื่นด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้แถลงข่าวโดยมีประเด็นสําคัญต่าง ๆ ดังนี้ 1. ด้านการแพทย์ ได้ร่วมกันทํางานอย่างบูรณาการระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กรมแพทย์ทหารบก กรุงเทพมหานคร ในการตั้งศูนย์อํานวยการร่วมเพื่อดูแลประชาชนด้านสุขภาพที่โรงพยาบาลกลาง และมีศูนย์บริการดังกล่าวเคลื่อนที่ให้บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ที่สนามหลวงและเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ทั้งนี้เนื่องจากช่วงนี้ สภาพอากาศมีฝนตกต่อเนื่องจึงทําให้ประชาชนที่มาร่วมงานฯ มีผลกระทบด้านสุขภาพจึงมีหน่วยแพทย์ฯ ดูแลตลอดเวลา 2. การแก้ไขปัญหาและข้อขัดข้องต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่บริเวณท้องสนามหลวงซึ่งเป็นจุดสําคัญ จึงมีศูนย์อํานวยการร่วมจัดระเบียบจราจร และศูนย์อํานวยการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนคอยอํานวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึง และมีการประเมินสถาการณ์โดยต่อเนื่องเพื่อรองรับประชาชนที่มาร่วมงาน 3. การจัดระเบียบด้านการคมนาคมขนส่งแก่พี่น้องประชาชน โดยหลังจากที่มีการประกาศข้อบังคับจัดระเบียบการจราจรโดยรอบบริเวณท้องสนามหลวงตั้งแต่เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา กรมการรักษาดินแดน (รด.) และบริเวณข้างวังสราญรมย์ ทั้งนี้มีบริการรถขนส่งมวลชนของ ขสมก. คอยให้บริการ รับ – ส่ง ประชาชน ณ บริเวณโรงแรมรัตนโกสินทร์และสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (เดิม) ถนนราชดําเนินใน โดยพิจารณาความสะดวกของประชาชนเป็นหลัก 4. พลเอก ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ในการให้บริการย้อมผ้าเป็นสีดําให้และประชาชนทั่วประทศเริ่มตั้งแต่ 17 ตุลาคม 2559 แก่ประชาชนฟรีที่ทําการ กศน. ทั่วประเทศ 5. รัฐบาลมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในพระราชพิธีฯ และยึดหลักขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินให้ดําเนินการคู่ขนานกันไปในการทํางานอย่างเต็มกําลังความสามารถต่อไป *********************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/577
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๘ เมษายน ๒๕๖๓ ครบ ๑๓๓ ปี กระทรวงกลาโหม
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ๘ เมษายน ๒๕๖๓ ครบ ๑๓๓ ปี กระทรวงกลาโหม "กลาโหมเทิดราชา รักษ์ราษฎร์ ชาติมั่นคง" ๘ เมษายน ๒๕๖๓ ครบ ๑๓๓ ปี กระทรวงกลาโหม "กลาโหมเทิดราชา รักษ์ราษฎร์ ชาติมั่นคง"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๘ เมษายน ๒๕๖๓ ครบ ๑๓๓ ปี กระทรวงกลาโหม วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ๘ เมษายน ๒๕๖๓ ครบ ๑๓๓ ปี กระทรวงกลาโหม "กลาโหมเทิดราชา รักษ์ราษฎร์ ชาติมั่นคง" ๘ เมษายน ๒๕๖๓ ครบ ๑๓๓ ปี กระทรวงกลาโหม "กลาโหมเทิดราชา รักษ์ราษฎร์ ชาติมั่นคง"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26826
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แพลตฟอร์มรีไฟแนนซ์ลดภาระหนี้สินให้คนไทย
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 แพลตฟอร์มรีไฟแนนซ์ลดภาระหนี้สินให้คนไทย วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นการให้บริการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้าน คอนโด รถยนต์ และบัตรเครดิตของสถาบันการเงินต่างๆ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะ Digital Startup เสนอนวัตกรรมการเงิน (FinTech) ประกอบด้วย “แพลตฟอร์ม รีไฟแนนซ์ ลดภาระหนี้สินให้คนไทย” “การวางแผนการเงินครบวงจร พร้อมสินเชื่อ สวัสดิการ ด้วยโปรแกรมอัจฉริยะ Robo-Advisor” “บริการเชิงรุกสําหรับธุรกิจประกันภัย คมนาคมขนส่ง และคุณภาพชีวิต” “เครื่องมือที่ช่วยให้ภาคธุรกิจ ในสังคมไร้เงินสดเปลี่ยน “ต้นทุน” ให้เป็น “กําไร” โดยอัตโนมัติ” และ “การทํางานของระบบ เพื่ออํานวยความสะดวกในการจัดการภาษีของเจ้าของธุรกิจออนไลน์แบบครบวงจรร่วมกับกรมสรรพากร และธนาคารพาณิชย์” โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมความสามารถของคนไทยรุ่นใหม่ เพราะผลงานเหล่านี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านการบริการที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งทุกโครงการที่จะประสบความสําเร็จได้นั้น ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนและยืนยันว่าภาครัฐจะให้การสนับสนุนอยู่เสมอ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แพลตฟอร์มรีไฟแนนซ์ลดภาระหนี้สินให้คนไทย วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 แพลตฟอร์มรีไฟแนนซ์ลดภาระหนี้สินให้คนไทย วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นการให้บริการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้าน คอนโด รถยนต์ และบัตรเครดิตของสถาบันการเงินต่างๆ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะ Digital Startup เสนอนวัตกรรมการเงิน (FinTech) ประกอบด้วย “แพลตฟอร์ม รีไฟแนนซ์ ลดภาระหนี้สินให้คนไทย” “การวางแผนการเงินครบวงจร พร้อมสินเชื่อ สวัสดิการ ด้วยโปรแกรมอัจฉริยะ Robo-Advisor” “บริการเชิงรุกสําหรับธุรกิจประกันภัย คมนาคมขนส่ง และคุณภาพชีวิต” “เครื่องมือที่ช่วยให้ภาคธุรกิจ ในสังคมไร้เงินสดเปลี่ยน “ต้นทุน” ให้เป็น “กําไร” โดยอัตโนมัติ” และ “การทํางานของระบบ เพื่ออํานวยความสะดวกในการจัดการภาษีของเจ้าของธุรกิจออนไลน์แบบครบวงจรร่วมกับกรมสรรพากร และธนาคารพาณิชย์” โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมความสามารถของคนไทยรุ่นใหม่ เพราะผลงานเหล่านี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านการบริการที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งทุกโครงการที่จะประสบความสําเร็จได้นั้น ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนและยืนยันว่าภาครัฐจะให้การสนับสนุนอยู่เสมอ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33037
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรนักบริหารอุตสาหกรรมระดับสูง รุ่นที่ 20
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562 พิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรนักบริหารอุตสาหกรรมระดับสูง รุ่นที่ 20 นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานในพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรนักบริหารอุตสาหกรรมระดับสูง รุ่นที่ 20 ของกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (15 มีนาคม 2562) นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานในพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรนักบริหารอุตสาหกรรมระดับสูง รุ่นที่ 20 ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายใบน้อย สุวรรณชาตรี หัวหน้าสํานักงานรัฐมนตรี นางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง และนางสาวสุนีย์ โสภณ ผู้อํานวยการกองบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล เข้าร่วมแสดงความยินดี ณ ห้องจรัสเมือง โรงแรมเดอะทวิน ทาวเวอร์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรนักบริหารอุตสาหกรรมระดับสูง รุ่นที่ 20 วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562 พิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรนักบริหารอุตสาหกรรมระดับสูง รุ่นที่ 20 นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานในพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรนักบริหารอุตสาหกรรมระดับสูง รุ่นที่ 20 ของกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (15 มีนาคม 2562) นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานในพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรนักบริหารอุตสาหกรรมระดับสูง รุ่นที่ 20 ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายใบน้อย สุวรรณชาตรี หัวหน้าสํานักงานรัฐมนตรี นางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง และนางสาวสุนีย์ โสภณ ผู้อํานวยการกองบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล เข้าร่วมแสดงความยินดี ณ ห้องจรัสเมือง โรงแรมเดอะทวิน ทาวเวอร์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19366
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ....
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... วันนี้ (21 ก.ย.59) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี หลังใน ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2559 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ พร้อมมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสํานักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวรวมทั้งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ตลอดจนนําไปใช้ในการประกอบการพิจารณาตรวจร่างพระราชบัญญัติร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบทิศทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมตามมาตรา 23 (4) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2564 ซึ่งประกอบด้วยกรอบการสนับสนุน 6 ด้าน โดยมีพื้นที่เป้าหมาย ดังนี้กรอบที่ 1)การปกป้อง คุ้มครอง และฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่ต้นน้ํา ทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า และทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกรอบที่ 2)การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมศิลปกรรม และความหลากหลายทางชีวภาพให้เกิดความยั่งยืนกรอบที่ 3)การจัดการขยะและน้ําเสียที่แหล่งกําเนิด โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนกรอบที่ 4)การเสริมสร้างศักยภาพชุมชน ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกรอบที่ 5)การสนับสนุนการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และส่งเสริมการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกรอบที่ 6)การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและการใช้เทคโนโลยีที่สะอาด ทั้งนี้ พื้นที่เป้าหมายทั่วประเทศ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย/ผู้มีสิทธิยื่นขอรับการสนับสนุนตามกรอบทิศทางการให้การสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา 23 (4) ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 -2564 ได้แก่ ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) องค์การมหาชน สถาบันการศึกษา คณะกรรมการหมู่บ้าน สภาองค์กรชุมชนตําบล และหน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรมท้องถิ่น (เฉพาะกรอบที่ 2) นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดพื้นที่อําเภอปลวกแดง อําเภอบ้านค่าย และอําเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยมอบหมายให้สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําร่างกฎกระทรวงกําหนดให้พื้นที่อําเภอปลวกแดง อําเภอบ้านค่าย และอําเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป สําหรับสาระสําคัญของร่างกฎกระทรวงกําหนดพื้นที่อําเภอปลวกแดง อําเภอบ้านค่าย และอําเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย มาตรการ 13 ข้อ ดังนี้ ข้อ 1 กําหนดคํานิยาม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน เกิดความชัดเจนในการตีความของกฎหมาย และป้องกันการเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ข้อ 2 กําหนดเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และจําแนกขอบเขตพื้นที่เป็นบริเวณย่อย เพื่อเป็นฐานในการกําหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ข้อ 3 มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเรื่องห้ามการกระทําหรือกิจกรรมใดๆ ที่อาจเป็นอันตรายหรือก่อให้เกิดผลกระทบในทางการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ของพื้นที่จากลักษณะตามธรรมชาติและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อรักษาสภาพธรรมชาติมิให้กระทบกระเทือนต่อระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ ข้อ 4 มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเรื่องการตรวจสอบและควบคุม เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกําเนิดมลพิษ ตามมาตรา 80 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ข้อ 5 การกําหนดให้โครงการหรือกิจการ จัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระเบียบปฏิบัติที่กําหนดไว้ตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ข้อ 6 – ข้อ 8 มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยกําหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกํากับและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ ให้มีอํานาจหน้าที่พิจารณาจัดทําแผนฟื้นฟู รวมทั้งดูแล ติดตาม ตรวจสอบการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยให้รายงานต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ข้อ 9 – ข้อ 13 มาตรการที่มีลักษณะเป็นบทเฉพาะกาล ซึ่งกําหนดขึ้นเพื่อรองรับกรณีต่าง ๆ ที่มีหรือเกิดขึ้นแล้ว ก่อนวันที่กฎกระทรวงฉบับนี้ใช้บังคับ -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... วันนี้ (21 ก.ย.59) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี หลังใน ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2559 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ พร้อมมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสํานักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวรวมทั้งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ตลอดจนนําไปใช้ในการประกอบการพิจารณาตรวจร่างพระราชบัญญัติร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบทิศทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมตามมาตรา 23 (4) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2564 ซึ่งประกอบด้วยกรอบการสนับสนุน 6 ด้าน โดยมีพื้นที่เป้าหมาย ดังนี้กรอบที่ 1)การปกป้อง คุ้มครอง และฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่ต้นน้ํา ทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า และทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกรอบที่ 2)การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมศิลปกรรม และความหลากหลายทางชีวภาพให้เกิดความยั่งยืนกรอบที่ 3)การจัดการขยะและน้ําเสียที่แหล่งกําเนิด โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนกรอบที่ 4)การเสริมสร้างศักยภาพชุมชน ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกรอบที่ 5)การสนับสนุนการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และส่งเสริมการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกรอบที่ 6)การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและการใช้เทคโนโลยีที่สะอาด ทั้งนี้ พื้นที่เป้าหมายทั่วประเทศ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย/ผู้มีสิทธิยื่นขอรับการสนับสนุนตามกรอบทิศทางการให้การสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา 23 (4) ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 -2564 ได้แก่ ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) องค์การมหาชน สถาบันการศึกษา คณะกรรมการหมู่บ้าน สภาองค์กรชุมชนตําบล และหน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรมท้องถิ่น (เฉพาะกรอบที่ 2) นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดพื้นที่อําเภอปลวกแดง อําเภอบ้านค่าย และอําเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยมอบหมายให้สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําร่างกฎกระทรวงกําหนดให้พื้นที่อําเภอปลวกแดง อําเภอบ้านค่าย และอําเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป สําหรับสาระสําคัญของร่างกฎกระทรวงกําหนดพื้นที่อําเภอปลวกแดง อําเภอบ้านค่าย และอําเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย มาตรการ 13 ข้อ ดังนี้ ข้อ 1 กําหนดคํานิยาม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน เกิดความชัดเจนในการตีความของกฎหมาย และป้องกันการเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ข้อ 2 กําหนดเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และจําแนกขอบเขตพื้นที่เป็นบริเวณย่อย เพื่อเป็นฐานในการกําหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ข้อ 3 มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเรื่องห้ามการกระทําหรือกิจกรรมใดๆ ที่อาจเป็นอันตรายหรือก่อให้เกิดผลกระทบในทางการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ของพื้นที่จากลักษณะตามธรรมชาติและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อรักษาสภาพธรรมชาติมิให้กระทบกระเทือนต่อระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ ข้อ 4 มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเรื่องการตรวจสอบและควบคุม เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกําเนิดมลพิษ ตามมาตรา 80 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ข้อ 5 การกําหนดให้โครงการหรือกิจการ จัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระเบียบปฏิบัติที่กําหนดไว้ตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ข้อ 6 – ข้อ 8 มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยกําหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกํากับและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ ให้มีอํานาจหน้าที่พิจารณาจัดทําแผนฟื้นฟู รวมทั้งดูแล ติดตาม ตรวจสอบการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยให้รายงานต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ข้อ 9 – ข้อ 13 มาตรการที่มีลักษณะเป็นบทเฉพาะกาล ซึ่งกําหนดขึ้นเพื่อรองรับกรณีต่าง ๆ ที่มีหรือเกิดขึ้นแล้ว ก่อนวันที่กฎกระทรวงฉบับนี้ใช้บังคับ -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/494
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุสถานการณ์ภาคใต้มีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น
วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561 นายกรัฐมนตรีระบุสถานการณ์ภาคใต้มีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น นายกรัฐมนตรีระบุสถานการณ์ภาคใต้มีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น วันนี้ (10 ตุลาคม 2561) เวลา 14.50 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีสถานการณ์ภาคใต้ว่า หลายอย่างมีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา การมีส่วนรวมของประชาชน การศึกษา และการลงทุน ความสงบสุข รวมถึงมีความปลอดภัยขึ้น โดยรัฐบาลเน้นให้เจ้าหน้าที่ทหารดูแลประชาชนในพื้นที่มากกว่าการใช้กําลัง ซึ่งทุกศาสนาต้องต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติวิธี สําหรับกรณีที่สื่อมวลชนระบุว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ยังไม่ดีขึ้นนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฝ่ายเดียว ซึ่งบางทีไม่ได้คํานึงถึงข้อกฎหมาย ต้องคํานึงด้วยว่าเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ใช้ความรุนแรงอย่างไม่สมเหตุสมผล และมีการละเมิดกฎหมายหรือเปล่า --------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุสถานการณ์ภาคใต้มีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561 นายกรัฐมนตรีระบุสถานการณ์ภาคใต้มีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น นายกรัฐมนตรีระบุสถานการณ์ภาคใต้มีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น วันนี้ (10 ตุลาคม 2561) เวลา 14.50 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีสถานการณ์ภาคใต้ว่า หลายอย่างมีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา การมีส่วนรวมของประชาชน การศึกษา และการลงทุน ความสงบสุข รวมถึงมีความปลอดภัยขึ้น โดยรัฐบาลเน้นให้เจ้าหน้าที่ทหารดูแลประชาชนในพื้นที่มากกว่าการใช้กําลัง ซึ่งทุกศาสนาต้องต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติวิธี สําหรับกรณีที่สื่อมวลชนระบุว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ยังไม่ดีขึ้นนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฝ่ายเดียว ซึ่งบางทีไม่ได้คํานึงถึงข้อกฎหมาย ต้องคํานึงด้วยว่าเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ใช้ความรุนแรงอย่างไม่สมเหตุสมผล และมีการละเมิดกฎหมายหรือเปล่า --------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16000
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดร.สุวิทย์” เน้นความสำคัญ “ปัญญาฐานราก” พลังขับเคลื่อนประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 “ดร.สุวิทย์” เน้นความสําคัญ “ปัญญาฐานราก” พลังขับเคลื่อนประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ดร. สุวิทย์ฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การปรับเปลี่ยนประเทศด้วยปัญญาจากฐานราก” ในงาน เวทีสาธารณะ Wisdom Movement : ขับเคลื่อนอนาคตชุมชนไทยด้วยงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น เมื่อเวลา 09.00 น. (14 สิงหาคม 2562) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การปรับเปลี่ยนประเทศด้วยปัญญาจากฐานราก” ในงาน เวทีสาธารณะWisdom Movement :ขับเคลื่อนอนาคตชุมชนไทยด้วยงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจัดโดย สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ณ ห้องประชุมกมลทิพย์ 2-3 โรงแรมสุโกศล กรงเทพฯ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่ารกระทรวงการอุดมศึกษาฯได้กล่าวในปาฐกถา ว่า “ในทศวรรษที่ 3 ของการวิจัยท้องถิ่น นั้น มาถึงจุดที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ประเทศไทยที่ผ่านมาติดกับดักมากมาย หัวใจสําคัญอยู่ที่ความไม่สมดุลของ 4 สิ่ง ได้แก่ ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ, ความอยู่ดีกินดีทางสังคม, สิ่งแวดล้อมที่ถูกทําลาย และภูมิปัญญามนุษย์ที่ไม่ได้ถูกปลดปล่อย เมื่อก่อนเราอยู่ในยุคที่พยายามทําให้ประเทศเรานั้นทันสมัยขึ้นเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาลทางด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และทุนมนุษย์ จากนี้ไปเราจะอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน จากการเน้นความทันสมัยไปสู่การเน้นความยั่งยืนเป็นสําคัญ การสร้างความมั่นคงร่วมกันอย่างสมดุลในทุกภาคส่วน เพราะฉะนั้น โจทย์ของประเทศในอนาคตคือการนําพาประเทศไปสู่ความสมดุล เราจึงจําเป็นต้องมีกรอบทางความคิด ซึ่งเรามีอยู่แล้วนั่นก็คือ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” การเปลี่ยนแนวคิดจากสังคม ME SOCIETY ไปสู่ WE SOCIETY คือการมองสังคมในองค์รวม การสร้างบรรยากาศการเติบโตเพื่อทําให้เกิดปัญญามนุษย์ ระบบของการวิจัยจะต้องเปลี่ยนให้ประชาชนนั้น สามารถนําเอาสิ่งที่อยากทํา มาทําให้เกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นมา เป็นภูมิปัญญามหาชนที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงท้องถิ่นและสังคมได้” จากนั้น ดร. สุวิทย์ฯ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ 20 ปี งานวิจัยนวัตกรรมเพื่อท้องถิ่น นวัตกรรมของชุมชนท้องถิ่น “ชุดศูนย์วิจัยนวัตกรรมชุมชน”และเศรษฐกิจฐานรากของท้องถิ่น “ชุดท่องเที่ยววิถีชาวนา” ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศผู้อํานวยการ สกสว.ได้กล่าวรายงานชี้แจ้งวัตถุประสงค์ของการจัดงานฯ ในวันนี้ ว่า “เพื่อให้การสนับสนุนงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นมีความต่อเนื่อง วาระครบรอบ 20 ปีของงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ที่ย่างเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 สกสว. จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดการประชุม (Forum) งานวิจัยเพื่อท้องถิ่น 20 ปี ระบบและกลไกการขับเคลื่อนงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นในทศวรรษที่ 3 ในระบบวิจัยใหม่ ขึ้น ภายใต้ concept : wisdom movement เพื่อให้เกิดการทบทวนบทเรียนการดําเนินงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นที่ผ่านมา และร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนําไปสู่แนวทางการจัดทําแผน ววน. เพื่อชุมชนและพื้นที่ รวมทั้งเชื่อมร้อยภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องการขับเคลื่อนงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น และการนําเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายระบบงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นต่อแผนยุทธศาสตร์ชาติ ” ภายในงาน มีนิทรรศการ 20 ปี งานวิจัยนวัตกรรมเพื่อท้องถิ่น นวัตกรรมของชุมชนท้องถิ่น “ชุดศูนย์วิจัยนวัตกรรมชุมชน”ที่เปิดพื้นที่สร้างโอกาสการมีส่วนร่วมของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ได้ค้นหาและพัฒนาพร้อมทั้งเข้าถึงนวัตกรรมที่สอดคล้องกับศักยภาพและเป้าหมายชีวิต และนิทรรศการชุด “ท่องเที่ยววิถีชาวนา” ที่ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจฐานรากให้กับเกษตรกรจากแนวคิดการนําเสนออัตลักษณ์ความเป็นไทยแบบวิถีชาวนา ผ่านการเปิดประสบการณ์และการสร้างการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมให้กับนักท่องเที่ยว เป็นทางเลือกในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สร้างอาชีพ และกระตุ้นเศรษฐกิจของชาวนา ดร.สุวิทย์ฯ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า“ส่วนหนึ่งที่สําคัญ อย่างที่เคยกล่าวไว้ในนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) คือการขจัดความเลื่อมล้ํา หลายสิ่งหลายอย่างเราจะลงน้ําหนักไปที่ท้องถิ่น อย่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ จริงๆแล้วมีอยู่ที่ท้องถิ่นฐานราก หรือแม้กระทั่งเรื่องของนวัตกรรม ก็จะเน้นนวัตกรรมสังคม นวัตกรรมชุมชน นวัตกรรมแก้จน เป็นมิติใหม่ในการขับเคลื่อนประเทศสู่ศตวรรษที่ 21 แบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยการที่ท้องถิ่นและชุมชนต้องมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดร.สุวิทย์” เน้นความสำคัญ “ปัญญาฐานราก” พลังขับเคลื่อนประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 “ดร.สุวิทย์” เน้นความสําคัญ “ปัญญาฐานราก” พลังขับเคลื่อนประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ดร. สุวิทย์ฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การปรับเปลี่ยนประเทศด้วยปัญญาจากฐานราก” ในงาน เวทีสาธารณะ Wisdom Movement : ขับเคลื่อนอนาคตชุมชนไทยด้วยงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น เมื่อเวลา 09.00 น. (14 สิงหาคม 2562) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การปรับเปลี่ยนประเทศด้วยปัญญาจากฐานราก” ในงาน เวทีสาธารณะWisdom Movement :ขับเคลื่อนอนาคตชุมชนไทยด้วยงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจัดโดย สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ณ ห้องประชุมกมลทิพย์ 2-3 โรงแรมสุโกศล กรงเทพฯ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่ารกระทรวงการอุดมศึกษาฯได้กล่าวในปาฐกถา ว่า “ในทศวรรษที่ 3 ของการวิจัยท้องถิ่น นั้น มาถึงจุดที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ประเทศไทยที่ผ่านมาติดกับดักมากมาย หัวใจสําคัญอยู่ที่ความไม่สมดุลของ 4 สิ่ง ได้แก่ ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ, ความอยู่ดีกินดีทางสังคม, สิ่งแวดล้อมที่ถูกทําลาย และภูมิปัญญามนุษย์ที่ไม่ได้ถูกปลดปล่อย เมื่อก่อนเราอยู่ในยุคที่พยายามทําให้ประเทศเรานั้นทันสมัยขึ้นเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาลทางด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และทุนมนุษย์ จากนี้ไปเราจะอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน จากการเน้นความทันสมัยไปสู่การเน้นความยั่งยืนเป็นสําคัญ การสร้างความมั่นคงร่วมกันอย่างสมดุลในทุกภาคส่วน เพราะฉะนั้น โจทย์ของประเทศในอนาคตคือการนําพาประเทศไปสู่ความสมดุล เราจึงจําเป็นต้องมีกรอบทางความคิด ซึ่งเรามีอยู่แล้วนั่นก็คือ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” การเปลี่ยนแนวคิดจากสังคม ME SOCIETY ไปสู่ WE SOCIETY คือการมองสังคมในองค์รวม การสร้างบรรยากาศการเติบโตเพื่อทําให้เกิดปัญญามนุษย์ ระบบของการวิจัยจะต้องเปลี่ยนให้ประชาชนนั้น สามารถนําเอาสิ่งที่อยากทํา มาทําให้เกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นมา เป็นภูมิปัญญามหาชนที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงท้องถิ่นและสังคมได้” จากนั้น ดร. สุวิทย์ฯ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ 20 ปี งานวิจัยนวัตกรรมเพื่อท้องถิ่น นวัตกรรมของชุมชนท้องถิ่น “ชุดศูนย์วิจัยนวัตกรรมชุมชน”และเศรษฐกิจฐานรากของท้องถิ่น “ชุดท่องเที่ยววิถีชาวนา” ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศผู้อํานวยการ สกสว.ได้กล่าวรายงานชี้แจ้งวัตถุประสงค์ของการจัดงานฯ ในวันนี้ ว่า “เพื่อให้การสนับสนุนงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นมีความต่อเนื่อง วาระครบรอบ 20 ปีของงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ที่ย่างเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 สกสว. จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดการประชุม (Forum) งานวิจัยเพื่อท้องถิ่น 20 ปี ระบบและกลไกการขับเคลื่อนงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นในทศวรรษที่ 3 ในระบบวิจัยใหม่ ขึ้น ภายใต้ concept : wisdom movement เพื่อให้เกิดการทบทวนบทเรียนการดําเนินงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นที่ผ่านมา และร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนําไปสู่แนวทางการจัดทําแผน ววน. เพื่อชุมชนและพื้นที่ รวมทั้งเชื่อมร้อยภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องการขับเคลื่อนงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น และการนําเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายระบบงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นต่อแผนยุทธศาสตร์ชาติ ” ภายในงาน มีนิทรรศการ 20 ปี งานวิจัยนวัตกรรมเพื่อท้องถิ่น นวัตกรรมของชุมชนท้องถิ่น “ชุดศูนย์วิจัยนวัตกรรมชุมชน”ที่เปิดพื้นที่สร้างโอกาสการมีส่วนร่วมของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ได้ค้นหาและพัฒนาพร้อมทั้งเข้าถึงนวัตกรรมที่สอดคล้องกับศักยภาพและเป้าหมายชีวิต และนิทรรศการชุด “ท่องเที่ยววิถีชาวนา” ที่ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจฐานรากให้กับเกษตรกรจากแนวคิดการนําเสนออัตลักษณ์ความเป็นไทยแบบวิถีชาวนา ผ่านการเปิดประสบการณ์และการสร้างการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมให้กับนักท่องเที่ยว เป็นทางเลือกในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สร้างอาชีพ และกระตุ้นเศรษฐกิจของชาวนา ดร.สุวิทย์ฯ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า“ส่วนหนึ่งที่สําคัญ อย่างที่เคยกล่าวไว้ในนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) คือการขจัดความเลื่อมล้ํา หลายสิ่งหลายอย่างเราจะลงน้ําหนักไปที่ท้องถิ่น อย่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ จริงๆแล้วมีอยู่ที่ท้องถิ่นฐานราก หรือแม้กระทั่งเรื่องของนวัตกรรม ก็จะเน้นนวัตกรรมสังคม นวัตกรรมชุมชน นวัตกรรมแก้จน เป็นมิติใหม่ในการขับเคลื่อนประเทศสู่ศตวรรษที่ 21 แบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยการที่ท้องถิ่นและชุมชนต้องมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22239
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเดินหน้าขจัดปัญหาโรคไม่ติดต่อ
วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561 ไทยเดินหน้าขจัดปัญหาโรคไม่ติดต่อ ประเทศไทยได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกว่ามีความก้าวหน้าในการจัดการปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังดีเยี่ยมเป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน พุธที่ 5 ก.ย.61 ไทยเดินหน้าขจัดปัญหาโรคไม่ติดต่อ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ประเทศไทยได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกว่ามีความก้าวหน้าในการจัดการปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังดีเยี่ยมเป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน โดยรัฐบาลยืนยันจะเร่งพัฒนาตามแผนป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน หัวใจและหลอดเลือด ทั้งประกาศนโยบายและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง สร้างความรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชน พัฒนาเครือข่ายระดับชุมชนท้องถิ่นเพื่อร่วมจัดการสุขภาพ พัฒนาระบบเฝ้าระวังและจัดการข้อมูลกลาง จัดบริการในพื้นที่ และบูรณาการการทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชนโดยตั้งเป้าลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังลงร้อยละ 25 ภายในปี 2568 ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเดินหน้าขจัดปัญหาโรคไม่ติดต่อ วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561 ไทยเดินหน้าขจัดปัญหาโรคไม่ติดต่อ ประเทศไทยได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกว่ามีความก้าวหน้าในการจัดการปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังดีเยี่ยมเป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน พุธที่ 5 ก.ย.61 ไทยเดินหน้าขจัดปัญหาโรคไม่ติดต่อ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ประเทศไทยได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกว่ามีความก้าวหน้าในการจัดการปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังดีเยี่ยมเป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน โดยรัฐบาลยืนยันจะเร่งพัฒนาตามแผนป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน หัวใจและหลอดเลือด ทั้งประกาศนโยบายและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง สร้างความรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชน พัฒนาเครือข่ายระดับชุมชนท้องถิ่นเพื่อร่วมจัดการสุขภาพ พัฒนาระบบเฝ้าระวังและจัดการข้อมูลกลาง จัดบริการในพื้นที่ และบูรณาการการทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชนโดยตั้งเป้าลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังลงร้อยละ 25 ภายในปี 2568 ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15195
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ธรรมนัส" ลงพื้นที่นราธิวาส แนะแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562 "ธรรมนัส" ลงพื้นที่นราธิวาส แนะแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง "ธรรมนัส" ลงพื้นที่นราธิวาส แนะแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแบบอย่างหนุนสถานศึกษา พร้อมเตรียมเสนอ ครม. ดึงวันแมป เข้ามาแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนทั่วประเทศ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการเพื่อติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกร พร้อมเยี่ยมชมผลงานของโรงเรียน ณ โรงเรียนนราสิกขาลัย อ.เมือง จ.นราธิวาส ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีแนวคิดที่จะร่วมกับสถานศึกษาเพื่อให้มีองค์ความรู้ด้านการเกษตรฯ ให้กับทางโรงเรียนไว้ใช้ในการสอนให้กับเด็กนักเรียน ในเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาการเกษตร ที่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักคิด และให้เด็กนักเรียนนําไปเป็นแบบอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องการปลูกพืชผักสวนครัว การเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะไก่ไข่ ซึ่งจะมีการฝึกให้กับเด็กนักเรียนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยในส่วนการส่งเสริมการปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์ อาจนํามาเป็นอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียน และอาจขยายต่อในการส่งเสริมการสร้างรายได้ให้กับเด็กนักเรียน และนําไปพัฒนาสู่แนวทางการส่งเสริมการพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคงได้ในอนาคต จากนั้นได้เดินทางไปยังที่ว่าการอําเภอสุไหปาดี เพื่อพบปะประชาชนและรับฟังปัญหาเรื่องที่ดินและพื้นที่ที่มีปัญหาจากเกษตรกร อีกทั้งได้เดินทางไปเยี่ยมชมการแปรรูปข้าว และพบปะเกษตรกรกลุ่มปลูกข้าวหอมกระดังงา ณ บ้านตอหลัง อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งจากการรับฟังปัญหาจากเกษตรกรในพื้นที่พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ยังมีปัญหาการขาดแคลนที่ดินทํากินจํานวนมาก เช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ โดยขณะนี้ได้สั่งการให้สํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร หรือ ส.ป.ก. เร่งรัดในการจัดรูปที่ดินให้กับเกษตรกรให้เร็วที่สุด โดยยอมรับว่าการจัดที่ดินทํากินให้เกษตรกรขณะนี้ค่อนข้างมีปัญหา เนื่องจากมีพื้นที่ทับซ้อนจํานวนมาก และขณะนี้มีทั้งพื้นที่อุทยาน พื้นที่กรมป่าไม้ ทับซ้อนกับพื้นที่ของ ส.ป.ก. จํานวนมาก จนเป็นปัญหาต่อการจัดสรรพื้นที่ทํากินให้กับเกษตรกร อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นทางรัฐบบาลกําลังเร่งรัดในการแก้ปัญหาในส่วนพื้นที่ทับซ้อนทั้งหมด โดยจะให้ใช้มาตรตราส่วนเดียวกันทุกหน่วยงาน โดยในอัตราส่วนเดียวกันทั้งหมด คือในมาตรส่วน 1 ต่อ 4,000 หรือวันแมป เพื่อป้องกันการทับซ้อน เบื้องต้นไดเสนอแนวทางต่อนายกรัฐมนตรีรับทราบและเห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยจะมีการนําเสนอต่อ ครม.ให้เร็วที่สุด และคิดว่าน่าจะเป็นการแก้ปัญหาแบบยั่งยืนได้ "ในส่วนปัญหาที่ดินทํากินของพื้นที่ จ.นราธิวาส จากนี้ไปจะเร่งรัดดําเนินการให้เร็วที่สุด และต้องมีความชัดเจนในการจัดสรรที่ดินให้กับเกษตรกร และจะต้องมีความโปร่งใส ขณะเดียวกัน พื้นที่อื่น ๆ การจัดสรรณที่ดินก็ต้องมีความโปร่งใสเช่นเดียวกัน และจากนี้ไปพื้นที่ ส.ป.ก. ทั้งหมดที่เหลืออีก 20,000 กว่าไร่ ต้องมีการจัดสรรณที่ชัดเจนและโปร่งใส โดยจะดําเนินการให้หมดภายใน180 วัน" ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ธรรมนัส" ลงพื้นที่นราธิวาส แนะแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562 "ธรรมนัส" ลงพื้นที่นราธิวาส แนะแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง "ธรรมนัส" ลงพื้นที่นราธิวาส แนะแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแบบอย่างหนุนสถานศึกษา พร้อมเตรียมเสนอ ครม. ดึงวันแมป เข้ามาแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนทั่วประเทศ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการเพื่อติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกร พร้อมเยี่ยมชมผลงานของโรงเรียน ณ โรงเรียนนราสิกขาลัย อ.เมือง จ.นราธิวาส ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีแนวคิดที่จะร่วมกับสถานศึกษาเพื่อให้มีองค์ความรู้ด้านการเกษตรฯ ให้กับทางโรงเรียนไว้ใช้ในการสอนให้กับเด็กนักเรียน ในเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาการเกษตร ที่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักคิด และให้เด็กนักเรียนนําไปเป็นแบบอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องการปลูกพืชผักสวนครัว การเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะไก่ไข่ ซึ่งจะมีการฝึกให้กับเด็กนักเรียนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยในส่วนการส่งเสริมการปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์ อาจนํามาเป็นอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียน และอาจขยายต่อในการส่งเสริมการสร้างรายได้ให้กับเด็กนักเรียน และนําไปพัฒนาสู่แนวทางการส่งเสริมการพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคงได้ในอนาคต จากนั้นได้เดินทางไปยังที่ว่าการอําเภอสุไหปาดี เพื่อพบปะประชาชนและรับฟังปัญหาเรื่องที่ดินและพื้นที่ที่มีปัญหาจากเกษตรกร อีกทั้งได้เดินทางไปเยี่ยมชมการแปรรูปข้าว และพบปะเกษตรกรกลุ่มปลูกข้าวหอมกระดังงา ณ บ้านตอหลัง อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งจากการรับฟังปัญหาจากเกษตรกรในพื้นที่พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ยังมีปัญหาการขาดแคลนที่ดินทํากินจํานวนมาก เช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ โดยขณะนี้ได้สั่งการให้สํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร หรือ ส.ป.ก. เร่งรัดในการจัดรูปที่ดินให้กับเกษตรกรให้เร็วที่สุด โดยยอมรับว่าการจัดที่ดินทํากินให้เกษตรกรขณะนี้ค่อนข้างมีปัญหา เนื่องจากมีพื้นที่ทับซ้อนจํานวนมาก และขณะนี้มีทั้งพื้นที่อุทยาน พื้นที่กรมป่าไม้ ทับซ้อนกับพื้นที่ของ ส.ป.ก. จํานวนมาก จนเป็นปัญหาต่อการจัดสรรพื้นที่ทํากินให้กับเกษตรกร อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นทางรัฐบบาลกําลังเร่งรัดในการแก้ปัญหาในส่วนพื้นที่ทับซ้อนทั้งหมด โดยจะให้ใช้มาตรตราส่วนเดียวกันทุกหน่วยงาน โดยในอัตราส่วนเดียวกันทั้งหมด คือในมาตรส่วน 1 ต่อ 4,000 หรือวันแมป เพื่อป้องกันการทับซ้อน เบื้องต้นไดเสนอแนวทางต่อนายกรัฐมนตรีรับทราบและเห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยจะมีการนําเสนอต่อ ครม.ให้เร็วที่สุด และคิดว่าน่าจะเป็นการแก้ปัญหาแบบยั่งยืนได้ "ในส่วนปัญหาที่ดินทํากินของพื้นที่ จ.นราธิวาส จากนี้ไปจะเร่งรัดดําเนินการให้เร็วที่สุด และต้องมีความชัดเจนในการจัดสรรที่ดินให้กับเกษตรกร และจะต้องมีความโปร่งใส ขณะเดียวกัน พื้นที่อื่น ๆ การจัดสรรณที่ดินก็ต้องมีความโปร่งใสเช่นเดียวกัน และจากนี้ไปพื้นที่ ส.ป.ก. ทั้งหมดที่เหลืออีก 20,000 กว่าไร่ ต้องมีการจัดสรรณที่ชัดเจนและโปร่งใส โดยจะดําเนินการให้หมดภายใน180 วัน" ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24793
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รมว.ดศ. และปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรบำเพ็ญกุศลฯ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 9
วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561 นายกฯ รมว.ดศ. และปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรบําเพ็ญกุศลฯ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 9 นายกฯ รมว.ดศ. และปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นายกฯ รมว.ดศ. และปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรบําเพ็ญกุศล พิธีวางพวงมาลาและถวายบังคม พิธีจุดเทียน เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 9 ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมพิธีทําบุญตักบาตรบําเพ็ญกุศล ณ พระลานพระราชวังดุสิต และพิธีวางพวงมาลาและถวายบังคมหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ ท้องสนามหลวง และในช่วงค่ํา ได้เข้าร่วมพิธีจุดเทียน ยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 89 วินาที ต่อด้วยชมวีดีทัศน์ประกอบเพลง “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์” เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความจงรักภักดี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ ท้องสนามหลวง โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธาน เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รมว.ดศ. และปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรบำเพ็ญกุศลฯ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 9 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561 นายกฯ รมว.ดศ. และปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรบําเพ็ญกุศลฯ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 9 นายกฯ รมว.ดศ. และปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นายกฯ รมว.ดศ. และปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรบําเพ็ญกุศล พิธีวางพวงมาลาและถวายบังคม พิธีจุดเทียน เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 9 ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมพิธีทําบุญตักบาตรบําเพ็ญกุศล ณ พระลานพระราชวังดุสิต และพิธีวางพวงมาลาและถวายบังคมหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ ท้องสนามหลวง และในช่วงค่ํา ได้เข้าร่วมพิธีจุดเทียน ยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 89 วินาที ต่อด้วยชมวีดีทัศน์ประกอบเพลง “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์” เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความจงรักภักดี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ ท้องสนามหลวง โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธาน เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16088
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สักการะองค์พระนารายณ์ และพระภูมิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง เพื่อเข้ารับตำแหน่งพร้อมทั้งมอบนโยบาย
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2559 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สักการะองค์พระนารายณ์ และพระภูมิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวง เพื่อเข้ารับตําแหน่งพร้อมทั้งมอบนโยบาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สักการะองค์พระนารายณ์ และพระภูมิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวง เพื่อเข้ารับตําแหน่งพร้อมทั้งมอบนโยบาย วันนี้ (22 ธันวาคม 2559) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สักการะองค์พระนารายณ์ และพระภูมิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมทั้งมอบนโยบายแก่ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และร่วมพบปะสื่อมวลชน ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สักการะองค์พระนารายณ์ และพระภูมิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง เพื่อเข้ารับตำแหน่งพร้อมทั้งมอบนโยบาย วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2559 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สักการะองค์พระนารายณ์ และพระภูมิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวง เพื่อเข้ารับตําแหน่งพร้อมทั้งมอบนโยบาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สักการะองค์พระนารายณ์ และพระภูมิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวง เพื่อเข้ารับตําแหน่งพร้อมทั้งมอบนโยบาย วันนี้ (22 ธันวาคม 2559) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สักการะองค์พระนารายณ์ และพระภูมิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมทั้งมอบนโยบายแก่ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และร่วมพบปะสื่อมวลชน ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1087
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”พร้อมร่วมผลักดันการปฏิรูปกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561 “พาณิชย์”พร้อมร่วมผลักดันการปฏิรูปกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม “สนธิรัตน์” พร้อมร่วมมือคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนเพื่อสร้างสังคมที่ดี เผยมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งการเพิ่มช่องทางจําหน่ายสินค้าชุมชน การเชื่อมโยงตลาดให้กับผลผลิตทางการเกษตร ผลไม้ การสร้างอาชีพให้ผู้มีรายได้น้อยด้วยแฟรนไชส์ และการส่งเสริมผู้สูงอายุ มีงานทํา เผยยังได้รับผลักดันไม้ยืนต้นให้นําไปเป็นหลักประกันทางธุรกิจด้วย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายปีติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ได้เข้าพบปะหารือ โดยได้ขอให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยผลักดันให้ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น กระถินเทพา กระถินยักษ์ สนประดิพัทธ์ ยูคาลิปตัส และเสม็ดขาว สามารถนําไปเป็นหลักประกันทางธุรกิจ โดยออกเป็นกฎกระทรวงเพื่อกําหนดให้ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสามารถนําไปเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ตาม พ.ร.บ. หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2558 มาตรา 8 (6) ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะช่วยประสานกับสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง เพื่อร่วมกันผลักดันร่างกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์จากไม้ยืนต้นที่ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยวให้เพิ่มมากขึ้นต่อไป นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ยังได้มีการหารือถึงแนวทางการเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจชุมชน โดย ได้ยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์ให้ความสําคัญกับนโยบายของรัฐบาลเรื่องการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจ ฐานราก โดยเน้นที่กลไกตลาดเป็นหลัก มีการผลักดันให้สินค้าชุมชนเข้าสู่กลไกตลาดอย่างจริงจัง ซึ่งจะเห็นได้จากการนําสินค้าชุมชนเข้าสู่ร้านธงฟ้าประชารัฐ เน้นสินค้าที่มีคุณภาพเน้นช่องทางการตลาดให้แก่ผู้ผลิตและในอนาคต จะพัฒนาต่อยอดร้านค้าธงฟ้าประชารัฐให้เป็นร้านโชห่วยไฮบริดโดยใช้ e-Commerce และยังส่งเสริมภาคการผลิตให้มีช่องทางการจัดจําหน่ายให้กับผลผลิตทางการเกษตรและผลไม้ เช่น การจัดทํา MOU ร่วมกับตลาดกลางขนาดใหญ่ และห้างค้าปลีกสมัยใหม่ รวมทั้งการสร้างอาชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยด้วยธุรกิจแฟรนไชส์สร้างอาชีพ นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุเป็นชิ้นงาน เพื่อให้เกิดการทํางานร่วมกัน ตามศักยภาพและสภาพแวดล้อม โดยไม่ต้องผูกพันทํางานเต็มเวลา โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ทําการส่งเสริมการจับคู่ระหว่างผู้สูงอายุกับธุรกิจนิติบุคคลที่สนใจจะจ้างงานผู้สูงอายุเป็นรายชิ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”พร้อมร่วมผลักดันการปฏิรูปกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561 “พาณิชย์”พร้อมร่วมผลักดันการปฏิรูปกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม “สนธิรัตน์” พร้อมร่วมมือคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนเพื่อสร้างสังคมที่ดี เผยมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งการเพิ่มช่องทางจําหน่ายสินค้าชุมชน การเชื่อมโยงตลาดให้กับผลผลิตทางการเกษตร ผลไม้ การสร้างอาชีพให้ผู้มีรายได้น้อยด้วยแฟรนไชส์ และการส่งเสริมผู้สูงอายุ มีงานทํา เผยยังได้รับผลักดันไม้ยืนต้นให้นําไปเป็นหลักประกันทางธุรกิจด้วย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายปีติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ได้เข้าพบปะหารือ โดยได้ขอให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยผลักดันให้ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น กระถินเทพา กระถินยักษ์ สนประดิพัทธ์ ยูคาลิปตัส และเสม็ดขาว สามารถนําไปเป็นหลักประกันทางธุรกิจ โดยออกเป็นกฎกระทรวงเพื่อกําหนดให้ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสามารถนําไปเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ตาม พ.ร.บ. หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2558 มาตรา 8 (6) ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะช่วยประสานกับสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง เพื่อร่วมกันผลักดันร่างกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์จากไม้ยืนต้นที่ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยวให้เพิ่มมากขึ้นต่อไป นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ยังได้มีการหารือถึงแนวทางการเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจชุมชน โดย ได้ยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์ให้ความสําคัญกับนโยบายของรัฐบาลเรื่องการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจ ฐานราก โดยเน้นที่กลไกตลาดเป็นหลัก มีการผลักดันให้สินค้าชุมชนเข้าสู่กลไกตลาดอย่างจริงจัง ซึ่งจะเห็นได้จากการนําสินค้าชุมชนเข้าสู่ร้านธงฟ้าประชารัฐ เน้นสินค้าที่มีคุณภาพเน้นช่องทางการตลาดให้แก่ผู้ผลิตและในอนาคต จะพัฒนาต่อยอดร้านค้าธงฟ้าประชารัฐให้เป็นร้านโชห่วยไฮบริดโดยใช้ e-Commerce และยังส่งเสริมภาคการผลิตให้มีช่องทางการจัดจําหน่ายให้กับผลผลิตทางการเกษตรและผลไม้ เช่น การจัดทํา MOU ร่วมกับตลาดกลางขนาดใหญ่ และห้างค้าปลีกสมัยใหม่ รวมทั้งการสร้างอาชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยด้วยธุรกิจแฟรนไชส์สร้างอาชีพ นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุเป็นชิ้นงาน เพื่อให้เกิดการทํางานร่วมกัน ตามศักยภาพและสภาพแวดล้อม โดยไม่ต้องผูกพันทํางานเต็มเวลา โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ทําการส่งเสริมการจับคู่ระหว่างผู้สูงอายุกับธุรกิจนิติบุคคลที่สนใจจะจ้างงานผู้สูงอายุเป็นรายชิ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11222
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการชดเชยรายได้เพื่อช่วยเหลือ
วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563 มาตรการชดเชยรายได้เพื่อช่วยเหลือ วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเปิดโอกาสให้แรงงาน ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระ ผู้ที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม และเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือเยียวรายละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน เม.ย. - มิ.ย. 63 ผ่าน www.เราจะไม่ทิ้งกัน.com โดยเตรียมข้อมูลบัตรประจําตัวประชาชน ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลการประกอบอาชีพ และข้อมูลนายจ้าง (ถ้ามี) เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติและผ่านการพิจารณาแล้วจะแจ้งผลทางข้อความ SMS และได้รับเงินเยียวยาภายใน 7 วัน ผ่านพร้อมเพย์ที่ผูกกับข้อมูลบัตรประชาชน หรือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารโดยตรง ทั้งนี้ การช่วยเหลือดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการชดเชยรายได้ เพื่อช่วยเหลือลดภาระแก่ผู้ที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคครั้งนี้ ​ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการชดเชยรายได้เพื่อช่วยเหลือ วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563 มาตรการชดเชยรายได้เพื่อช่วยเหลือ วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเปิดโอกาสให้แรงงาน ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระ ผู้ที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม และเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือเยียวรายละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน เม.ย. - มิ.ย. 63 ผ่าน www.เราจะไม่ทิ้งกัน.com โดยเตรียมข้อมูลบัตรประจําตัวประชาชน ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลการประกอบอาชีพ และข้อมูลนายจ้าง (ถ้ามี) เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติและผ่านการพิจารณาแล้วจะแจ้งผลทางข้อความ SMS และได้รับเงินเยียวยาภายใน 7 วัน ผ่านพร้อมเพย์ที่ผูกกับข้อมูลบัตรประชาชน หรือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารโดยตรง ทั้งนี้ การช่วยเหลือดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการชดเชยรายได้ เพื่อช่วยเหลือลดภาระแก่ผู้ที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคครั้งนี้ ​ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28501
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank ปั้นโมเดลนวัตวิถี“บ้านบากชุม” เติมดีไซน์เพิ่มมูลค่า“ไม้ใต้น้ำเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ล้ำ”ยกรายได้ชุมชน
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561 SME Development Bank ปั้นโมเดลนวัตวิถี“บ้านบากชุม” เติมดีไซน์เพิ่มมูลค่า“ไม้ใต้น้ําเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ล้ํา”ยกรายได้ชุมชน ธพว. ปั้น “บ้านบากชุม” จ.อุบลราชธานี ขึ้นแท่นหมู่บ้านพัฒนาเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ใหม่ ปลุกชีพไม้ใต้น้ํามาสร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมหนุนสินเชื่อดอกเบี้ยถูก ยกเป็นต้นแบบความสําเร็จ ขยายผลสู่ชุมชนอื่นๆ สร้างเศรษฐกิจฐานรากเติบโตแข็งแกร่งยั่งยืน นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) หรือ ธพว. กล่าวว่า ธนาคารมุ่งพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยโดยเฉพาะในชุมชน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก หนึ่งในชุมชนที่ธนาคารได้เข้าพัฒนา คือ บ้านบากชุม ตําบลโนนก่อ อําเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี มีวิถีชีวิตผูกติดกับแม่น้ํา มีชื่อเสียงด้านการผลิตชุดเฟอร์นิเจอร์ไม้ใต้น้ําชิ้นใหญ่ โดยไม้ที่นํามาผลิตส่วนใหญ่ คือ ไม้สัก ไม้พะยูง ไม้มะค่า ไม้ตะเคียน ไม้แคน ไม้ยาง ฯลฯ ทั้งหมดล้วนเป็นซากไม้เก่าจมอยู่ใต้น้ําในเขื่อนสิรินธร เมื่อนํามาทําเป็นเฟอร์นิเจอร์ จึงมีความแข็งแรง คงทน ลวดลายสวยงามเป็นเอกลักษณ์ และมีชิ้นเดียวในโลก อย่างไรก็ตาม จากการประเมิน คาดว่าอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า วัตถุดิบซากไม้ชิ้นใหญ่ที่จมอยู่ใต้น้ํา มีแนวโน้มลดลง และหมดในที่สุด อีกทั้ง ในกระบวนการผลิตเฟอร์นิเจอร์ จะเหลือเศษไม้ชิ้นเล็กๆ ถูกตัดทิ้งจํานวนมาก ที่ผ่านมา ชาวบ้านนําไปเผาทิ้งเปล่าประโยชน์ หรือขายเป็นถ่านไม้ราคาถูก ธนาคารเข้าไปส่งเสริมและพัฒนาเทคนิคนวัตกรรมให้ชาวบ้าน พลิกโฉมผลิตชิ้นงานรูปแบบใหม่ ดังนั้น จึงเกิดนวัตวิถีงานเฟอร์นิเจอร์ของชุมชนบ้านบากชุม เน้นงานไม้ขนาดเล็กลง แต่มูลค่าสูง มีความหลากหลาย สะดวกต่อการขนส่ง เหมาะที่นักท่องเที่ยวจะซื้อกลับไปเป็นของฝากเมื่อมาท่องเที่ยวชุมชนบ้านบากชุม เช่น กรอบรูป กระถางต้นไม้ ตุ๊กตา จาน-ชาม โคมไฟ และงานไม้แกะสลักประดับตกแต่งบ้าน เป็นต้น นายมงคล กล่าวต่อว่า แนวทางส่งเสริมจะเติมความรู้แก่ชาวบ้าน โดยเฉพาะเรื่องดีไซน์ เพื่อให้สินค้ามีความทันสมัย ผ่านการจัดอบรม โดยนําคณะอาจารย์ที่มีความรู้ด้านการตลาดและดีไซน์ จากคณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มาจัดอบรมต่อยอดใส่ไอเดียเกิดเป็นเฟอร์นิเจอร์รูปแบบใหม่ทันสมัย ควบคู่กับช่วยขยายตลาดผ่านออนไลน์ ส่งผลให้สินค้าไม้จากบ้านบากชุมได้รับความนิยมไปทั่วประเทศ ขายได้มูลค่าเพิ่ม บางชิ้นราคาหลักแสนบาท สามารถขยายกลุ่มลูกค้ากว้างขวาง เช่น โรงแรม และรีสอร์ท เป็นต้น เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับ 120 ครัวเรือนในบ้านบากชุม กว่า 40-50 ล้านบาทต่อปี และที่สําคัญยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมของชุมชนอีกด้วย ตอบโจทย์การเป็นชุมชนรักษ์สิ่งแวดล้อม จึงเป็นการนําเอาวิถีชีวิตชุมชน ใส่นวัตกรรมการผลิต เป็นนวัตวิถีที่เพิ่มมูลค่าสินค้าแก่ชุมชนได้อีกโมเดลหนึ่งที่หยิบยกเป็นตัวอย่าง “ธนาคารจัดทีมพัฒนาผู้ประกอบการลงพื้นที่เพื่อให้ความรู้ สอบถามถึงความต้องการของชุมชนในมิติต่างๆว่าต้องการรับความช่วยเหลือด้านใด เช่น การให้ความรู้พัฒนาดีไซน์สินค้าให้โดดเด่น นําเหล็ก อะคริลิก กระจก ใส่สีสันลงในวัสดุ ตลอดจนวัสดุทดแทนเข้ามาเชื่อมต่อทําให้ชิ้นงานมีความแปลกตา ผู้ผลิตสามารถปรับราคาเพิ่มขึ้นไม่ต่ํากว่า 3-5 เท่า และยังเจาะตลาดระดับบนไปถึงส่งออก ด้วยการนําเครื่องจักรมาช่วยผลิตสินค้าได้ตรงกับความต้องการของตลาด ซึ่งธนาคารมีเงินทุนหมุนเวียนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยถูกไว้รองรับ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ ธนาคารเข้าไปแนะนําเรื่องการทําบัญชีเพื่อให้ทราบถึงต้นทุนที่แท้จริง เราพบว่าชาวบ้านมักไม่นําต้นทุนค่าสั่งซื้อซากไม้จากกลุ่มดําน้ํามาคํานวณด้วย ทําให้ตั้งราคาขายต่ํากว่าที่ควรจะเป็นจริง” นายมงคล กล่าว ด้าน น.ส. ธนัญญา มะเอียง ตัวแทนกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ไม้ใต้น้ําเขื่อนสิรินธร บ้านบากชุม ตําบลโนนก่อ อําเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า การที่ ธพว. ลงพื้นที่โดยมีนักวิชาการมาให้ความรู้ด้านออกแบบและตลาด ช่วยเปิดแนวคิดให้ชาวบ้านต่อยอดพลิกโฉมผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมสู่รูปแบบใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยไม่มองเศษไม้ที่เหลือจากการทําเฟอร์นิเจอร์ว่าไร้ประโยชน์ รวมถึง กระตุ้นให้ชาวบ้านตื่นตัว มองเห็นโอกาสขยายตลาดกลุ่มใหม่ ทําผลิตภัณฑ์ตอบความต้องการของลูกค้ากลุ่มโรงแรม และรีสอร์ท เช่น ชั้นวางทีวี ชั้นวางสิ่งของติดผนัง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การต่อยอดผลิตภัณฑ์นั้น ทางกลุ่มผู้ผลิตต้องการเงินทุนเพื่อใช้หมุนเวียนซื้อวัตถุดิบและเครื่องจักร ธพว. เข้ามาเติมเต็มสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยถูก พร้อมส่งเสริมการตลาด ช่วยลดปัญหาถูกพ่อค้าคนกลางกดราคาสินค้า และช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้ชุมชนอีกด้วย ทั้งนี้ เมื่อได้รับการพัฒนาความรู้แล้ว ธพว. เสริมสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยถูก เพื่อให้ลงทุนปรับปรุงกิจการ ซื้อเครื่องจักร และเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อสําหรับนิติบุคคล เช่น สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 โดยกระทรวงอุตสาหกรรม คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ปลอดชําระเงินต้น 3 ปีแรก เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีปัญหาทางการเงินสามารถกู้ได้ (แม้เคยปรับโครงสร้างหนี้ หรือผ่อนชําระไม่ต่อเนื่องมาก็ตาม) และ สินเชื่อสําหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เช่น สินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ใน 3 ปีแรก สําหรับธุรกิจเกษตรแปรรูป ท่องเที่ยว/ท่องเที่ยวชุมชน เป็นต้น โดยธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไม้ของบ้านบากชุม เข้าองค์ประกอบสามารถยื่นกู้เป็นเงินทุนต่อยอดทั้งซื้อเครื่องจักรและใช้ขยายตลาด โดยผลสําเร็จในการเข้าพัฒนาดังกล่าวจะถูกใช้เป็นต้นแบบเพื่อนําไปพัฒนาต่อยอดให้กับชุมชนอื่นๆ ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank ปั้นโมเดลนวัตวิถี“บ้านบากชุม” เติมดีไซน์เพิ่มมูลค่า“ไม้ใต้น้ำเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ล้ำ”ยกรายได้ชุมชน วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561 SME Development Bank ปั้นโมเดลนวัตวิถี“บ้านบากชุม” เติมดีไซน์เพิ่มมูลค่า“ไม้ใต้น้ําเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ล้ํา”ยกรายได้ชุมชน ธพว. ปั้น “บ้านบากชุม” จ.อุบลราชธานี ขึ้นแท่นหมู่บ้านพัฒนาเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ใหม่ ปลุกชีพไม้ใต้น้ํามาสร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมหนุนสินเชื่อดอกเบี้ยถูก ยกเป็นต้นแบบความสําเร็จ ขยายผลสู่ชุมชนอื่นๆ สร้างเศรษฐกิจฐานรากเติบโตแข็งแกร่งยั่งยืน นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) หรือ ธพว. กล่าวว่า ธนาคารมุ่งพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยโดยเฉพาะในชุมชน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก หนึ่งในชุมชนที่ธนาคารได้เข้าพัฒนา คือ บ้านบากชุม ตําบลโนนก่อ อําเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี มีวิถีชีวิตผูกติดกับแม่น้ํา มีชื่อเสียงด้านการผลิตชุดเฟอร์นิเจอร์ไม้ใต้น้ําชิ้นใหญ่ โดยไม้ที่นํามาผลิตส่วนใหญ่ คือ ไม้สัก ไม้พะยูง ไม้มะค่า ไม้ตะเคียน ไม้แคน ไม้ยาง ฯลฯ ทั้งหมดล้วนเป็นซากไม้เก่าจมอยู่ใต้น้ําในเขื่อนสิรินธร เมื่อนํามาทําเป็นเฟอร์นิเจอร์ จึงมีความแข็งแรง คงทน ลวดลายสวยงามเป็นเอกลักษณ์ และมีชิ้นเดียวในโลก อย่างไรก็ตาม จากการประเมิน คาดว่าอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า วัตถุดิบซากไม้ชิ้นใหญ่ที่จมอยู่ใต้น้ํา มีแนวโน้มลดลง และหมดในที่สุด อีกทั้ง ในกระบวนการผลิตเฟอร์นิเจอร์ จะเหลือเศษไม้ชิ้นเล็กๆ ถูกตัดทิ้งจํานวนมาก ที่ผ่านมา ชาวบ้านนําไปเผาทิ้งเปล่าประโยชน์ หรือขายเป็นถ่านไม้ราคาถูก ธนาคารเข้าไปส่งเสริมและพัฒนาเทคนิคนวัตกรรมให้ชาวบ้าน พลิกโฉมผลิตชิ้นงานรูปแบบใหม่ ดังนั้น จึงเกิดนวัตวิถีงานเฟอร์นิเจอร์ของชุมชนบ้านบากชุม เน้นงานไม้ขนาดเล็กลง แต่มูลค่าสูง มีความหลากหลาย สะดวกต่อการขนส่ง เหมาะที่นักท่องเที่ยวจะซื้อกลับไปเป็นของฝากเมื่อมาท่องเที่ยวชุมชนบ้านบากชุม เช่น กรอบรูป กระถางต้นไม้ ตุ๊กตา จาน-ชาม โคมไฟ และงานไม้แกะสลักประดับตกแต่งบ้าน เป็นต้น นายมงคล กล่าวต่อว่า แนวทางส่งเสริมจะเติมความรู้แก่ชาวบ้าน โดยเฉพาะเรื่องดีไซน์ เพื่อให้สินค้ามีความทันสมัย ผ่านการจัดอบรม โดยนําคณะอาจารย์ที่มีความรู้ด้านการตลาดและดีไซน์ จากคณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มาจัดอบรมต่อยอดใส่ไอเดียเกิดเป็นเฟอร์นิเจอร์รูปแบบใหม่ทันสมัย ควบคู่กับช่วยขยายตลาดผ่านออนไลน์ ส่งผลให้สินค้าไม้จากบ้านบากชุมได้รับความนิยมไปทั่วประเทศ ขายได้มูลค่าเพิ่ม บางชิ้นราคาหลักแสนบาท สามารถขยายกลุ่มลูกค้ากว้างขวาง เช่น โรงแรม และรีสอร์ท เป็นต้น เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับ 120 ครัวเรือนในบ้านบากชุม กว่า 40-50 ล้านบาทต่อปี และที่สําคัญยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมของชุมชนอีกด้วย ตอบโจทย์การเป็นชุมชนรักษ์สิ่งแวดล้อม จึงเป็นการนําเอาวิถีชีวิตชุมชน ใส่นวัตกรรมการผลิต เป็นนวัตวิถีที่เพิ่มมูลค่าสินค้าแก่ชุมชนได้อีกโมเดลหนึ่งที่หยิบยกเป็นตัวอย่าง “ธนาคารจัดทีมพัฒนาผู้ประกอบการลงพื้นที่เพื่อให้ความรู้ สอบถามถึงความต้องการของชุมชนในมิติต่างๆว่าต้องการรับความช่วยเหลือด้านใด เช่น การให้ความรู้พัฒนาดีไซน์สินค้าให้โดดเด่น นําเหล็ก อะคริลิก กระจก ใส่สีสันลงในวัสดุ ตลอดจนวัสดุทดแทนเข้ามาเชื่อมต่อทําให้ชิ้นงานมีความแปลกตา ผู้ผลิตสามารถปรับราคาเพิ่มขึ้นไม่ต่ํากว่า 3-5 เท่า และยังเจาะตลาดระดับบนไปถึงส่งออก ด้วยการนําเครื่องจักรมาช่วยผลิตสินค้าได้ตรงกับความต้องการของตลาด ซึ่งธนาคารมีเงินทุนหมุนเวียนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยถูกไว้รองรับ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ ธนาคารเข้าไปแนะนําเรื่องการทําบัญชีเพื่อให้ทราบถึงต้นทุนที่แท้จริง เราพบว่าชาวบ้านมักไม่นําต้นทุนค่าสั่งซื้อซากไม้จากกลุ่มดําน้ํามาคํานวณด้วย ทําให้ตั้งราคาขายต่ํากว่าที่ควรจะเป็นจริง” นายมงคล กล่าว ด้าน น.ส. ธนัญญา มะเอียง ตัวแทนกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ไม้ใต้น้ําเขื่อนสิรินธร บ้านบากชุม ตําบลโนนก่อ อําเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า การที่ ธพว. ลงพื้นที่โดยมีนักวิชาการมาให้ความรู้ด้านออกแบบและตลาด ช่วยเปิดแนวคิดให้ชาวบ้านต่อยอดพลิกโฉมผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมสู่รูปแบบใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยไม่มองเศษไม้ที่เหลือจากการทําเฟอร์นิเจอร์ว่าไร้ประโยชน์ รวมถึง กระตุ้นให้ชาวบ้านตื่นตัว มองเห็นโอกาสขยายตลาดกลุ่มใหม่ ทําผลิตภัณฑ์ตอบความต้องการของลูกค้ากลุ่มโรงแรม และรีสอร์ท เช่น ชั้นวางทีวี ชั้นวางสิ่งของติดผนัง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การต่อยอดผลิตภัณฑ์นั้น ทางกลุ่มผู้ผลิตต้องการเงินทุนเพื่อใช้หมุนเวียนซื้อวัตถุดิบและเครื่องจักร ธพว. เข้ามาเติมเต็มสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยถูก พร้อมส่งเสริมการตลาด ช่วยลดปัญหาถูกพ่อค้าคนกลางกดราคาสินค้า และช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้ชุมชนอีกด้วย ทั้งนี้ เมื่อได้รับการพัฒนาความรู้แล้ว ธพว. เสริมสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยถูก เพื่อให้ลงทุนปรับปรุงกิจการ ซื้อเครื่องจักร และเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อสําหรับนิติบุคคล เช่น สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 โดยกระทรวงอุตสาหกรรม คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ปลอดชําระเงินต้น 3 ปีแรก เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีปัญหาทางการเงินสามารถกู้ได้ (แม้เคยปรับโครงสร้างหนี้ หรือผ่อนชําระไม่ต่อเนื่องมาก็ตาม) และ สินเชื่อสําหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เช่น สินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ใน 3 ปีแรก สําหรับธุรกิจเกษตรแปรรูป ท่องเที่ยว/ท่องเที่ยวชุมชน เป็นต้น โดยธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไม้ของบ้านบากชุม เข้าองค์ประกอบสามารถยื่นกู้เป็นเงินทุนต่อยอดทั้งซื้อเครื่องจักรและใช้ขยายตลาด โดยผลสําเร็จในการเข้าพัฒนาดังกล่าวจะถูกใช้เป็นต้นแบบเพื่อนําไปพัฒนาต่อยอดให้กับชุมชนอื่นๆ ต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13992
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” เปิดเวทีหารือการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม
วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2560 “ยุติธรรม” เปิดเวทีหารือการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ โดยมี นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล เป็นประธานการประชุมฯ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาในประเด็น ดังนี้ ๑. การกําหนดแนวทางการจัดทํางบประมาณบูรณาการ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๒. การขยายเครือข่ายศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม (Data Exchange Center : DXC) โดยกําหนดขั้นตอนและหลักเกณฑ์การพิจารณากรณีที่หน่วยงานต่างๆ ประสงค์ขอเข้าร่วมเครือข่ายศูนย์ DXC เพื่อให้สามารถรองรับการขยายเครือข่ายที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต และ ๓. การปรับปรุงองค์ประกอบและอํานาจหน้าที่ ของคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมภารกิจ อํานาจหน้าที่ ตลอดจนสอดคล้องกับเป้าหมายการดําเนินงาน และสถานการณ์ในปัจจุบัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” เปิดเวทีหารือการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2560 “ยุติธรรม” เปิดเวทีหารือการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ โดยมี นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล เป็นประธานการประชุมฯ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาในประเด็น ดังนี้ ๑. การกําหนดแนวทางการจัดทํางบประมาณบูรณาการ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๒. การขยายเครือข่ายศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม (Data Exchange Center : DXC) โดยกําหนดขั้นตอนและหลักเกณฑ์การพิจารณากรณีที่หน่วยงานต่างๆ ประสงค์ขอเข้าร่วมเครือข่ายศูนย์ DXC เพื่อให้สามารถรองรับการขยายเครือข่ายที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต และ ๓. การปรับปรุงองค์ประกอบและอํานาจหน้าที่ ของคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมภารกิจ อํานาจหน้าที่ ตลอดจนสอดคล้องกับเป้าหมายการดําเนินงาน และสถานการณ์ในปัจจุบัน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3211
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการ PPP เร่งรัดผลักดันโครงการ PPP และเตรียมเคาะโครงการเข้า PPP Fast Track เพิ่มเติม
วันพุธที่ 25 มกราคม 2560 คณะกรรมการ PPP เร่งรัดผลักดันโครงการ PPP และเตรียมเคาะโครงการเข้า PPP Fast Track เพิ่มเติม ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) ครั้งที่ 1/2560 ในวันพุธที่ 25 มกราคม 2560 ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผอ.สคร. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) ครั้งที่ 1/2560 ในวันพุธที่ 25 มกราคม 2560 ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน สามารถสรุปผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ 1. ติดตามและเร่งรัดความคืบหน้าโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track 5 โครงการ ซึ่งมีผลการดําเนินการดังนี้ - โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (ช่วงแคราย - มีนบุรี) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ช่วงลาดพร้าว - สําโรง) ได้ดําเนินการตามขั้นตอนภายใต้มาตรการ PPP Fast Track เรียบร้อยแล้ว บัดนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 35 ในการเจรจาต่อรองกับผู้ยื่นข้อเสนอ ซึ่งคาดว่าจะลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนเมษายน 2560 - โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย (ช่วงหัวลําโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ) คณะกรรมการคัดเลือกของโครงการส่วนต่อขยายและคณะกรรมการกํากับดูแลของโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (ช่วงหัวลําโพง - บางซื่อ) ได้ดําเนินการเจรจาข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนอทางการเงินการลงทุนจนได้ข้อยุติ และได้มีมติเห็นชอบร่างสัญญาแล้ว โดยอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาร่างสัญญา เพื่อนําเสนอความเห็นให้กระทรวงคมนาคมนําเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป - โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ปัจจุบันมีความชัดเจนด้านข้อกฎหมายแล้ว ซึ่งคาดว่ากรมทางหลวงจะเสนอโครงการข้างต้นต่อคณะกรรมการ PPP อีกครั้งได้ภายในเดือนมีนาคม 2560 2. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเสนอโครงการที่จะดําเนินการตามมาตรการ PPP Fast Track เพิ่มเติม รวมทั้ง เสนอระยะเวลาการดําเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาการดําเนินโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track และแจ้งให้ สคร. ทราบภายในวันที่ 31 มกราคม 2560 นอกจากนี้ คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบให้โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 3275 เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ของกรมธนารักษ์ มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 4,616 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลภายใต้หลักปรัชญาแห่ง “ศาสตร์แห่งพระราชา” และความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐ ดําเนินการตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการ ให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการที่มีวงเงินมูลค่าต่ํากว่าที่กําหนดในมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 พ.ศ. 2559 ตามแนวทางพิจารณากลั่นกรองโครงการขนาดกลาง (โครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไปแต่มีมูลค่าต่ํากว่า 5,000 ล้านบาท) ตามที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการเสนอ ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการ PPP เร่งรัดผลักดันโครงการ PPP และเตรียมเคาะโครงการเข้า PPP Fast Track เพิ่มเติม วันพุธที่ 25 มกราคม 2560 คณะกรรมการ PPP เร่งรัดผลักดันโครงการ PPP และเตรียมเคาะโครงการเข้า PPP Fast Track เพิ่มเติม ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) ครั้งที่ 1/2560 ในวันพุธที่ 25 มกราคม 2560 ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผอ.สคร. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) ครั้งที่ 1/2560 ในวันพุธที่ 25 มกราคม 2560 ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน สามารถสรุปผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ 1. ติดตามและเร่งรัดความคืบหน้าโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track 5 โครงการ ซึ่งมีผลการดําเนินการดังนี้ - โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (ช่วงแคราย - มีนบุรี) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ช่วงลาดพร้าว - สําโรง) ได้ดําเนินการตามขั้นตอนภายใต้มาตรการ PPP Fast Track เรียบร้อยแล้ว บัดนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 35 ในการเจรจาต่อรองกับผู้ยื่นข้อเสนอ ซึ่งคาดว่าจะลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนเมษายน 2560 - โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย (ช่วงหัวลําโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ) คณะกรรมการคัดเลือกของโครงการส่วนต่อขยายและคณะกรรมการกํากับดูแลของโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (ช่วงหัวลําโพง - บางซื่อ) ได้ดําเนินการเจรจาข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนอทางการเงินการลงทุนจนได้ข้อยุติ และได้มีมติเห็นชอบร่างสัญญาแล้ว โดยอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาร่างสัญญา เพื่อนําเสนอความเห็นให้กระทรวงคมนาคมนําเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป - โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ปัจจุบันมีความชัดเจนด้านข้อกฎหมายแล้ว ซึ่งคาดว่ากรมทางหลวงจะเสนอโครงการข้างต้นต่อคณะกรรมการ PPP อีกครั้งได้ภายในเดือนมีนาคม 2560 2. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเสนอโครงการที่จะดําเนินการตามมาตรการ PPP Fast Track เพิ่มเติม รวมทั้ง เสนอระยะเวลาการดําเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาการดําเนินโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track และแจ้งให้ สคร. ทราบภายในวันที่ 31 มกราคม 2560 นอกจากนี้ คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบให้โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 3275 เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ของกรมธนารักษ์ มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 4,616 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลภายใต้หลักปรัชญาแห่ง “ศาสตร์แห่งพระราชา” และความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐ ดําเนินการตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการ ให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการที่มีวงเงินมูลค่าต่ํากว่าที่กําหนดในมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 พ.ศ. 2559 ตามแนวทางพิจารณากลั่นกรองโครงการขนาดกลาง (โครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไปแต่มีมูลค่าต่ํากว่า 5,000 ล้านบาท) ตามที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการเสนอ ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1471
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการจัดทำผลงานสำคัญรอบ 3 เดือน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562 ทส. ประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการจัดทําผลงานสําคัญรอบ 3 เดือน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทส. ประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการจัดทําผลงานสําคัญรอบ 3 เดือน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทส. ประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการจัดทําผลงานสําคัญรอบ 3 เดือน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วานนี้ (24 ตุลาคม 2562) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุม 202 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าการจัดทําผลงานสําคัญรอบ 3 เดือน (ระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคม 2562) ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณาและรายงานความคืบหน้าผลงานสําคัญของกระทรวงฯ ทั้งในด้านทรัพยากรน้ําในแผ่นดิน ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านทรัพยากรธรรมชาติ โดยโอกาสนี้ นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการจัดทำผลงานสำคัญรอบ 3 เดือน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562 ทส. ประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการจัดทําผลงานสําคัญรอบ 3 เดือน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทส. ประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการจัดทําผลงานสําคัญรอบ 3 เดือน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทส. ประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการจัดทําผลงานสําคัญรอบ 3 เดือน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วานนี้ (24 ตุลาคม 2562) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุม 202 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าการจัดทําผลงานสําคัญรอบ 3 เดือน (ระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคม 2562) ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณาและรายงานความคืบหน้าผลงานสําคัญของกระทรวงฯ ทั้งในด้านทรัพยากรน้ําในแผ่นดิน ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านทรัพยากรธรรมชาติ โดยโอกาสนี้ นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24047
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 พฤศจิกายน 2560
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 พฤศจิกายน 2560 วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลอน.รก.รปอ. ตรวจติดตามความเรียบร้อยเตรียมความพร้อมการดำเนินการจัดงานพร้อมการดำเนินการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน "มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน"
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2562 ลอน.รก.รปอ. ตรวจติดตามความเรียบร้อยเตรียมความพร้อมการดําเนินการจัดงานพร้อมการดําเนินการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน "มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน" นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทรายรักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจติดตามความเรียบร้อยเตรียมความพร้อมการดําเนินการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน "มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน" วันนี้ (23 ธันวาคม 2562) นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทรายรักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง ตรวจติดตามความเรียบร้อยเตรียมความพร้อมการดําเนินการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน "มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน" ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้รวบรวมสินค้า เพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชน ณ บริเวณรอบกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลอน.รก.รปอ. ตรวจติดตามความเรียบร้อยเตรียมความพร้อมการดำเนินการจัดงานพร้อมการดำเนินการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน "มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน" วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2562 ลอน.รก.รปอ. ตรวจติดตามความเรียบร้อยเตรียมความพร้อมการดําเนินการจัดงานพร้อมการดําเนินการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน "มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน" นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทรายรักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจติดตามความเรียบร้อยเตรียมความพร้อมการดําเนินการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน "มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน" วันนี้ (23 ธันวาคม 2562) นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทรายรักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง ตรวจติดตามความเรียบร้อยเตรียมความพร้อมการดําเนินการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน "มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน" ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้รวบรวมสินค้า เพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชน ณ บริเวณรอบกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25416
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เผยยอดรับชำระหนี้กยศ.ปี 62 ทะลุ 31,005 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2562 เผยยอดรับชําระหนี้กยศ.ปี 62 ทะลุ 31,005 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ .. #ไทยคู่ฟ้า กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เผยยอดรับชําระหนี้ปี 62 ทะลุ 31,005 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมียอดชําระคืนมากกว่าปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 20 . สําหรับผลการรับชําระหนี้ดีขึ้นนั้น เนื่องจากเป็นปีแรกที่กองทุนได้เริ่มหักเงินเดือนผู้กู้ยืมเพื่อชําระหนี้ผ่านองค์กรนายจ้างภาครัฐและเอกชน ทั้งในส่วนราชการที่อยู่ในระบบจ่ายตรงของกรมบัญชีกลาง รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ รวมถึงมาตรการจูงใจผู้กู้ยืมที่ค้างชําระหนี้ให้มาชําระหนี้ปิดบัญชี โดยลดเบี้ยให้ปรับถึงร้อยละ 85 . หลังจากนี้ กยศ. จะนําเงินที่ได้รับชําระคืนมาใช้เพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้รุ่นน้อง ขอให้มั่นใจว่ามีเงินให้กู้ยืมโดยไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน โดยในปีการศึกษา 2563 กองทุนจะเพิ่มค่าครองชีพให้กับผู้กู้ยืมทุกระดับอีกรายละ 600 บาทต่อเดือนอีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เผยยอดรับชำระหนี้กยศ.ปี 62 ทะลุ 31,005 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2562 เผยยอดรับชําระหนี้กยศ.ปี 62 ทะลุ 31,005 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ .. #ไทยคู่ฟ้า กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เผยยอดรับชําระหนี้ปี 62 ทะลุ 31,005 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมียอดชําระคืนมากกว่าปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 20 . สําหรับผลการรับชําระหนี้ดีขึ้นนั้น เนื่องจากเป็นปีแรกที่กองทุนได้เริ่มหักเงินเดือนผู้กู้ยืมเพื่อชําระหนี้ผ่านองค์กรนายจ้างภาครัฐและเอกชน ทั้งในส่วนราชการที่อยู่ในระบบจ่ายตรงของกรมบัญชีกลาง รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ รวมถึงมาตรการจูงใจผู้กู้ยืมที่ค้างชําระหนี้ให้มาชําระหนี้ปิดบัญชี โดยลดเบี้ยให้ปรับถึงร้อยละ 85 . หลังจากนี้ กยศ. จะนําเงินที่ได้รับชําระคืนมาใช้เพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้รุ่นน้อง ขอให้มั่นใจว่ามีเงินให้กู้ยืมโดยไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน โดยในปีการศึกษา 2563 กองทุนจะเพิ่มค่าครองชีพให้กับผู้กู้ยืมทุกระดับอีกรายละ 600 บาทต่อเดือนอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23618
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนพฤศจิกายน 2562
วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2562 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจําเดือนพฤศจิกายน 2562 เศรษฐกิจภูมิภาค พ.ย.2562 ขยายตัวได้ในภาคตะวันออกและตะวันตก โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งสะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด รวมถึงการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวได้ในภาคตะวันออก และภาคตะวันตก โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งสะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด รวมถึงการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ ที่ขยายตัวในหลายภูมิภาค อย่างไรก็ดี ควรติดตามการบริโภคในหมวดสินค้าคงทนและการลงทุนในภาคกลางและภาคเหนือ สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี” นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนพฤศจิกายน ปี 2562 ว่า “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวได้ในภาคตะวันออก และภาคตะวันตก โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งสะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด รวมถึงการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ ที่ขยายตัวในหลายภูมิภาค อย่างไรก็ดี ควรติดตามการบริโภคในหมวดสินค้าคงทนและการลงทุนในภาคกลางและภาคเหนือ สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้ ภาคตะวันออก เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรม ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนชะลอตัวลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเงินลงทุนในโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ 7,277 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 181.9 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในโรงงานผลิตกรดอะมิโนสําหรับใช้ในกระบวนการผลิตอาหาร เครื่องสําอางค์ และเภสัชกรรม ในจังหวัดระยองเป็นสําคัญ สอดคล้องกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ อยู่ที่ 4,267 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 24.3 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในจังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง เป็นต้น ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชน ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน จากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ หดตัวลงที่ร้อยละ -22.1 และ -11.7 ตามลําดับ อย่างไรก็ดีการบริโภคสินค้าทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี จากการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัดโดยเฉพาะชลบุรี และจันทบุรี เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวที่ร้อยละ 5.9 ต่อปี แต่ผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่ยังคงอยู่เหนือระดับ 100 เป็นเดือนที่ 25 ติดต่อกัน มาอยู่ที่ 112.9 ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเคมี และอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.2 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันตก เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนและการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนชะลอตัวลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ อยู่ที่ 794.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 75.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในโรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในจังหวัดเพชรบุรี สอดคล้องกับจํานวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวร้อยละ 2.9 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการขยายตัวในจังหวัดราชบุรี เพชรบุรี และสมุทรสงคราม ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชน ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน จากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ หดตัวลงที่ร้อยละ -7.1 และ -12.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามลําดับ อย่างไรก็ดีการบริโภคสินค้าทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 37.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการขยายตัวในจังหวัดราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 อย่างไรก็ดีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ -0.5 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.8 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยว ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเงินลงทุนในโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ 6,366 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 1,123.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในการผลิตน้ําตาล น้ําตาลทรายดิบ ในจังหวัดอํานาจเจริญ เป็นสําคัญ สอดคล้องกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ อยู่ที่ 4,095 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 425.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในโรงงานโรงงานผลิต ส่ง หรือจําหน่ายพลังงานไฟฟ้า ในจังหวัดหนองคาย และการลงทุนโรงงานผลิตอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนสําหรับกล้องถ่ายรูป ในจังหวัดนครราชสีมา เป็นต้น ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชน ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน จากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ หดตัวลงที่ร้อยละ -11.6 และ -13.9 ตามลําดับ ในขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 2.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวร้อยละ 2.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 อย่างไรก็ดีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.3 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.8 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค กทม.และปริมณฑล เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนและการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเงินลงทุนในโรงงานที่เริ่มกิจการ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ 5,058 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 92.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในโรงงานผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ําหมักขยะมูลฝอยในเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร เป็นสําคัญ สอดคล้องกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ อยู่ที่ 7,479 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 88.0 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในหลายจังหวัด อาทิ นครปฐม สมุทรสาคร และ ปทุมธานี เป็นต้น ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชน ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน จากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ หดตัวลงที่ร้อยละ -9.6 และ -1.3 ตามลําดับ ในขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวร้อยละ 7.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ดีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ -0.1 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคใต้ เศรษฐกิจทรงตัว จากการขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชน แต่การลงทุนภาคเอกชนและการท่องเที่ยวชะลอตัวลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะด้านการบริโภคภาคเอกชน จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวร้อยละ7.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการขยายตัวในหลายจังหวัด อาทิ ภูเก็ต กระบี่ และชุมพร สอดคล้องกับการบริโภคในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ระดับฐานราก สะท้อนจากจํานวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวร้อยละ 7.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการขยายตัวในหลายจังหวัด เช่น พังงา นราธิวาส และปัตตานี เป็นต้น อย่างไรก็ดี จํานวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ปรับตัวลดลง เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนเช่นกัน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่หดตัวร้อยละ -0.8 และ -5.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามลําดับ เช่นเดียวกันกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในเดือนพฤศจิกายน 2562 หดตัวร้อยละ -85.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวชะลอลงร้อยละ 2.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 7.5 ขณะที่ผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง ส่วนด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ 0.0 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคกลาง เศรษฐกิจชะลอตัว จากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ แต่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.6 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.0 อย่างไรก็ดีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง สําหรับเศรษฐกิจด้านอุปสงค์ พบว่าการลงทุนภาคเอกชนมีปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 หดตัวร้อยละ -5.1 และ –9.8 ต่อปี อย่างไรก็ดีเงินลงทุนในโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการซึ่งขยายตัวต่อเนื่องในระดับสูงที่ร้อยละ 752 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ด้วยมูลค่า 4,787 ล้านบาท จากการลงทุนในโรงงานผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนทรงตัวจากเดือนก่อน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวร้อยละ 7.1 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามการขยายตัวในจังหวัดสระบุรี สิงห์บุรี และพระนครศรีอยุธยา แต่การบริโภคในหมวดสินค้าคงทน ที่สะท้อนจากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ หดตัวลงที่ร้อยละ -20.2 และ -11.9 ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.1 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.6 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคเหนือ เศรษฐกิจชะลอตัว จากการขยายตัวของการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ แต่การบริโภคและลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลง สะท้อนจากด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวร้อยละ 6.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ดีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง ในขณะที่ด้านอุปสงค์ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่หดตัวร้อยละ –14.6 และ -9.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามลําดับ แต่การบริโภคสินค้าทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวร้อยละ 13.0 ตามการขยายตัวในหลายจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดพิษณุโลก กําแพงเพชร และเพชรบูรณ์ เป็นต้น ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 หดตัวร้อยละ -7.7 และ -28.1 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามลําดับ เช่นเดียวกันกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการหดตัวร้อยละ -54.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน สําหรับด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจำเดือนพฤศจิกายน 2562 วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2562 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคประจําเดือนพฤศจิกายน 2562 เศรษฐกิจภูมิภาค พ.ย.2562 ขยายตัวได้ในภาคตะวันออกและตะวันตก โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งสะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด รวมถึงการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวได้ในภาคตะวันออก และภาคตะวันตก โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งสะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด รวมถึงการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ ที่ขยายตัวในหลายภูมิภาค อย่างไรก็ดี ควรติดตามการบริโภคในหมวดสินค้าคงทนและการลงทุนในภาคกลางและภาคเหนือ สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี” นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนพฤศจิกายน ปี 2562 ว่า “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวได้ในภาคตะวันออก และภาคตะวันตก โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งสะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด รวมถึงการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ ที่ขยายตัวในหลายภูมิภาค อย่างไรก็ดี ควรติดตามการบริโภคในหมวดสินค้าคงทนและการลงทุนในภาคกลางและภาคเหนือ สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้ ภาคตะวันออก เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรม ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนชะลอตัวลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเงินลงทุนในโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ 7,277 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 181.9 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในโรงงานผลิตกรดอะมิโนสําหรับใช้ในกระบวนการผลิตอาหาร เครื่องสําอางค์ และเภสัชกรรม ในจังหวัดระยองเป็นสําคัญ สอดคล้องกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ อยู่ที่ 4,267 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 24.3 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในจังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง เป็นต้น ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชน ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน จากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ หดตัวลงที่ร้อยละ -22.1 และ -11.7 ตามลําดับ อย่างไรก็ดีการบริโภคสินค้าทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี จากการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัดโดยเฉพาะชลบุรี และจันทบุรี เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวที่ร้อยละ 5.9 ต่อปี แต่ผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่ยังคงอยู่เหนือระดับ 100 เป็นเดือนที่ 25 ติดต่อกัน มาอยู่ที่ 112.9 ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเคมี และอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.2 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันตก เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนและการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนชะลอตัวลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ อยู่ที่ 794.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 75.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในโรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในจังหวัดเพชรบุรี สอดคล้องกับจํานวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวร้อยละ 2.9 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการขยายตัวในจังหวัดราชบุรี เพชรบุรี และสมุทรสงคราม ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชน ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน จากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ หดตัวลงที่ร้อยละ -7.1 และ -12.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามลําดับ อย่างไรก็ดีการบริโภคสินค้าทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 37.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการขยายตัวในจังหวัดราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 อย่างไรก็ดีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ -0.5 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.8 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยว ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเงินลงทุนในโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ 6,366 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 1,123.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในการผลิตน้ําตาล น้ําตาลทรายดิบ ในจังหวัดอํานาจเจริญ เป็นสําคัญ สอดคล้องกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ อยู่ที่ 4,095 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 425.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในโรงงานโรงงานผลิต ส่ง หรือจําหน่ายพลังงานไฟฟ้า ในจังหวัดหนองคาย และการลงทุนโรงงานผลิตอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนสําหรับกล้องถ่ายรูป ในจังหวัดนครราชสีมา เป็นต้น ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชน ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน จากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ หดตัวลงที่ร้อยละ -11.6 และ -13.9 ตามลําดับ ในขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 2.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวร้อยละ 2.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 อย่างไรก็ดีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.3 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.8 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค กทม.และปริมณฑล เศรษฐกิจขยายตัว จากการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนและการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเงินลงทุนในโรงงานที่เริ่มกิจการ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ 5,058 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 92.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในโรงงานผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ําหมักขยะมูลฝอยในเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร เป็นสําคัญ สอดคล้องกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ อยู่ที่ 7,479 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 88.0 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลงทุนในหลายจังหวัด อาทิ นครปฐม สมุทรสาคร และ ปทุมธานี เป็นต้น ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชน ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน จากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ หดตัวลงที่ร้อยละ -9.6 และ -1.3 ตามลําดับ ในขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวร้อยละ 7.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ดีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ -0.1 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคใต้ เศรษฐกิจทรงตัว จากการขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชน แต่การลงทุนภาคเอกชนและการท่องเที่ยวชะลอตัวลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะด้านการบริโภคภาคเอกชน จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวร้อยละ7.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการขยายตัวในหลายจังหวัด อาทิ ภูเก็ต กระบี่ และชุมพร สอดคล้องกับการบริโภคในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ระดับฐานราก สะท้อนจากจํานวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวร้อยละ 7.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการขยายตัวในหลายจังหวัด เช่น พังงา นราธิวาส และปัตตานี เป็นต้น อย่างไรก็ดี จํานวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ปรับตัวลดลง เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนเช่นกัน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่หดตัวร้อยละ -0.8 และ -5.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามลําดับ เช่นเดียวกันกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในเดือนพฤศจิกายน 2562 หดตัวร้อยละ -85.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวชะลอลงร้อยละ 2.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 7.5 ขณะที่ผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง ส่วนด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ 0.0 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคกลาง เศรษฐกิจชะลอตัว จากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ แต่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลง สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.6 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 3.0 อย่างไรก็ดีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง สําหรับเศรษฐกิจด้านอุปสงค์ พบว่าการลงทุนภาคเอกชนมีปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 หดตัวร้อยละ -5.1 และ –9.8 ต่อปี อย่างไรก็ดีเงินลงทุนในโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการซึ่งขยายตัวต่อเนื่องในระดับสูงที่ร้อยละ 752 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ด้วยมูลค่า 4,787 ล้านบาท จากการลงทุนในโรงงานผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนทรงตัวจากเดือนก่อน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวร้อยละ 7.1 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามการขยายตัวในจังหวัดสระบุรี สิงห์บุรี และพระนครศรีอยุธยา แต่การบริโภคในหมวดสินค้าคงทน ที่สะท้อนจากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ หดตัวลงที่ร้อยละ -20.2 และ -11.9 ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.1 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 1.6 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคเหนือ เศรษฐกิจชะลอตัว จากการขยายตัวของการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติ แต่การบริโภคและลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลง สะท้อนจากด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2562 พบว่าจํานวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติขยายตัวร้อยละ 6.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ดีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยปรับตัวลดลง ในขณะที่ด้านอุปสงค์ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากจํานวนรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่หดตัวร้อยละ –14.6 และ -9.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามลําดับ แต่การบริโภคสินค้าทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในจังหวัด ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ขยายตัวร้อยละ 13.0 ตามการขยายตัวในหลายจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดพิษณุโลก กําแพงเพชร และเพชรบูรณ์ เป็นต้น ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากจํานวนรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในเดือนพฤศจิกายน 2562 หดตัวร้อยละ -7.7 และ -28.1 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามลําดับ เช่นเดียวกันกับเงินลงทุนในโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการหดตัวร้อยละ -54.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน สําหรับด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเบื้องต้น ในเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.8 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25490
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. มอบนโยบายการพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ มุ่งสร้างผู้นำชุมชนขับเคลื่อนแผนพัฒนาชุมชนดินแดง
วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2562 รมว.พม. มอบนโยบายการพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ มุ่งสร้างผู้นําชุมชนขับเคลื่อนแผนพัฒนาชุมชนดินแดง รมว.พม. มอบนโยบายการพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ มุ่งสร้างผู้นําชุมชนขับเคลื่อนแผนพัฒนาชุมชนดินแดง วันนี้ (17 ส.ค. 62) เวลา 09.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาชุมชนดินแดง พ.ศ. 2563 – 2567 พร้อมทั้งกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "นโยบายการพัฒนาที่อยู่อาศัยและการขับเคลื่อนโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง” โดยมี ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ คณะผู้บริหาร และตัวแทนของชาวชุมชนดินแดง พร้อมผู้อยู่อาศัย จํานวน 100 คน เข้าร่วม ณ ห้องบอลรูม 2 ชั้น 3 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้จัดทําโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง และดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งรูปแบบการพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่ 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1รองรับผู้อยู่อาศัยเดิม แบ่งการดําเนินงานเป็น 4 ระยะ จํานวน 6,546 หน่วย 11 อาคาร ระยะที่ 1 ก่อสร้างอาคารพักอาศัย แปลง G เป็นอาคารสูง 28 ชั้น จํานวน 334 หน่วย ซึ่งปัจจุบันมีผู้เข้าพักอาศัยเกือบเต็มอาคาร ระยะที่ 2 จํานวน 2 อาคาร 1,247 หน่วย ระยะที่ 3 จํานวน 5อาคาร 3,333 หน่วย ระยะที่ 4 จํานวน 3 อาคาร 1,632 หน่วย โดยระยะที่ 2 อยู่ระหว่างการรื้อถอนอาคารเพื่อเตรียมพื้นที่ก่อสร้างอาคาร ระยะที่ 2 และ ส่วนที่ 2 รองรับผู้อยู่อาศัยใหม่ จํานวน 13,746 หน่วย ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลของสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ก่อนนําเสนอต่อคณะกรรมการโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ นายจุติ กล่าวต่อไปว่า โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงนับเป็นหนึ่งในนโยบายสําคัญของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย รายได้ปานกลาง และผู้ด้อยโอกาส มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพชีวิต และสภาพแวดล้อมที่ดีเหมาะแก่การอยู่อาศัย นอกจากนั้น สิ่งสําคัญที่ต้องพัฒนาควบคู่กันไปคือการพัฒนาศักยภาพของผู้อยู่อาศัยในชุมชนให้มีความเข้มแข็งและมีความพร้อมในการเป็นผู้นํา ซึ่งรัฐบาลได้มีนโยบายเรื่องการให้ความสําคัญกับชุมชน ต้องการพัฒนาสร้างความเข้มแข็งชุมชนจากฐานรากผ่านอัตลักษณ์ของพื้นที่ ยกระดับคุณภาพตลาดชุมชน สวัสดิการชุมชน สาธารณสุขชุมชน การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย สร้างชุมชนที่น่าอยู่ สร้างพลังในชุมชน สร้างเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง ส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนในการช่วยพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจในชุมชน และที่สําคัญ คือ สร้างผู้นําชุมชนเพื่อเป็นแกนนําในด้านพัฒนาชุมชนของตนเองให้เป็นชุมชนเข้มแข็งน่าอยู่อาศัยต่อไป นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า กระทรวง พม. โดย กคช. ได้มุ่งเน้นเรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้อยู่อาศัยในชุมชนดินแดง จึงได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมโครงการฟื้นฟูชุมชนดินแดง คณะกรรมการชุมชน ผู้นําตามธรรมชาติ และผู้นํากลุ่มต่างๆ ในชุมชนเพื่อเป็นผู้แทนของผู้อยู่อาศัยในการร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมดําเนินการในกิจกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา กคช. ได้จัดอบรมเพื่อให้ความรู้ด้านต่างๆ ให้แก่ผู้อยู่อาศัยเพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต และเป็นการปลูกจิตสํานึกให้ผู้อยู่อาศัยมีความรักและหวงแหนในชุมชนของตน สําหรับโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาชุมชนดินแดง พ.ศ.2563 – 2567 ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้แทนผู้อยู่อาศัยในชุมชนหรือผู้นําชุมชน ได้มีส่วนร่วมในการวางแผน ตัดสินใจ และกําหนดทิศทางการพัฒนาชุมชนของตนเองแบบบูรณาการ รวมทั้งกําหนดกิจกรรมที่อยากให้เกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาชุมชน สามารถแก้ไขปัญหาที่ชุมชนเผชิญอยู่ และสร้างวัฒนธรรมที่ดีงามรองรับวิถีชีวิตในโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงในอนาคต โดยยึดหลักการพึ่งตนเอง คํานึงถึงศักยภาพ ภูมิปัญญา วิถีชีวิต และสิ่งแวดล้อมในชุมชนเป็นหลัก "การอบรมครั้งนี้จะเป็นการให้ความรู้และแบ่งกลุ่มย่อยจํานวน 4 กลุ่ม ระดมความคิดเห็นแนวทางการจัดทําแผนพัฒนาชุมชนดินแดง พร้อมวิเคราะห์ SWOT จัดทําวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ นําเสนอผลงานกลุ่ม โดยสอดคล้องกับแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ซึ่งแผนพัฒนาชุมชนนี้จะนําไปสู่การขอจัดสรรงบประมาณ เพื่อนํามาพัฒนาชุมชนให้สามารถขับเคลื่อนโครงการอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ขอขอบคุณชาวชุมชนดินแดงทุกคน ที่ให้ความร่วมมือร่วมใจอย่างดีและมาจัดทําแผนพัฒนาชุมชนในครั้งนี้ เพื่อให้แผนดังกล่าวเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงเป็นโครงการฟื้นฟูเมืองนําร่อง เป็นตัวอย่างที่ดีแก่โครงการอื่นๆ นําไปสู่ความสําเร็จตามเป้าหมาย เพื่อพัฒนาชุมชนตนเองให้เป็นชุมชนเข้มแข็งน่าอยู่อาศัยต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. มอบนโยบายการพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ มุ่งสร้างผู้นำชุมชนขับเคลื่อนแผนพัฒนาชุมชนดินแดง วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2562 รมว.พม. มอบนโยบายการพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ มุ่งสร้างผู้นําชุมชนขับเคลื่อนแผนพัฒนาชุมชนดินแดง รมว.พม. มอบนโยบายการพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ มุ่งสร้างผู้นําชุมชนขับเคลื่อนแผนพัฒนาชุมชนดินแดง วันนี้ (17 ส.ค. 62) เวลา 09.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาชุมชนดินแดง พ.ศ. 2563 – 2567 พร้อมทั้งกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "นโยบายการพัฒนาที่อยู่อาศัยและการขับเคลื่อนโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง” โดยมี ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ คณะผู้บริหาร และตัวแทนของชาวชุมชนดินแดง พร้อมผู้อยู่อาศัย จํานวน 100 คน เข้าร่วม ณ ห้องบอลรูม 2 ชั้น 3 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้จัดทําโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง และดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งรูปแบบการพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่ 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1รองรับผู้อยู่อาศัยเดิม แบ่งการดําเนินงานเป็น 4 ระยะ จํานวน 6,546 หน่วย 11 อาคาร ระยะที่ 1 ก่อสร้างอาคารพักอาศัย แปลง G เป็นอาคารสูง 28 ชั้น จํานวน 334 หน่วย ซึ่งปัจจุบันมีผู้เข้าพักอาศัยเกือบเต็มอาคาร ระยะที่ 2 จํานวน 2 อาคาร 1,247 หน่วย ระยะที่ 3 จํานวน 5อาคาร 3,333 หน่วย ระยะที่ 4 จํานวน 3 อาคาร 1,632 หน่วย โดยระยะที่ 2 อยู่ระหว่างการรื้อถอนอาคารเพื่อเตรียมพื้นที่ก่อสร้างอาคาร ระยะที่ 2 และ ส่วนที่ 2 รองรับผู้อยู่อาศัยใหม่ จํานวน 13,746 หน่วย ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลของสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ก่อนนําเสนอต่อคณะกรรมการโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ นายจุติ กล่าวต่อไปว่า โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงนับเป็นหนึ่งในนโยบายสําคัญของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย รายได้ปานกลาง และผู้ด้อยโอกาส มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพชีวิต และสภาพแวดล้อมที่ดีเหมาะแก่การอยู่อาศัย นอกจากนั้น สิ่งสําคัญที่ต้องพัฒนาควบคู่กันไปคือการพัฒนาศักยภาพของผู้อยู่อาศัยในชุมชนให้มีความเข้มแข็งและมีความพร้อมในการเป็นผู้นํา ซึ่งรัฐบาลได้มีนโยบายเรื่องการให้ความสําคัญกับชุมชน ต้องการพัฒนาสร้างความเข้มแข็งชุมชนจากฐานรากผ่านอัตลักษณ์ของพื้นที่ ยกระดับคุณภาพตลาดชุมชน สวัสดิการชุมชน สาธารณสุขชุมชน การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย สร้างชุมชนที่น่าอยู่ สร้างพลังในชุมชน สร้างเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง ส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนในการช่วยพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจในชุมชน และที่สําคัญ คือ สร้างผู้นําชุมชนเพื่อเป็นแกนนําในด้านพัฒนาชุมชนของตนเองให้เป็นชุมชนเข้มแข็งน่าอยู่อาศัยต่อไป นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า กระทรวง พม. โดย กคช. ได้มุ่งเน้นเรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้อยู่อาศัยในชุมชนดินแดง จึงได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมโครงการฟื้นฟูชุมชนดินแดง คณะกรรมการชุมชน ผู้นําตามธรรมชาติ และผู้นํากลุ่มต่างๆ ในชุมชนเพื่อเป็นผู้แทนของผู้อยู่อาศัยในการร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมดําเนินการในกิจกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา กคช. ได้จัดอบรมเพื่อให้ความรู้ด้านต่างๆ ให้แก่ผู้อยู่อาศัยเพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต และเป็นการปลูกจิตสํานึกให้ผู้อยู่อาศัยมีความรักและหวงแหนในชุมชนของตน สําหรับโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาชุมชนดินแดง พ.ศ.2563 – 2567 ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้แทนผู้อยู่อาศัยในชุมชนหรือผู้นําชุมชน ได้มีส่วนร่วมในการวางแผน ตัดสินใจ และกําหนดทิศทางการพัฒนาชุมชนของตนเองแบบบูรณาการ รวมทั้งกําหนดกิจกรรมที่อยากให้เกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาชุมชน สามารถแก้ไขปัญหาที่ชุมชนเผชิญอยู่ และสร้างวัฒนธรรมที่ดีงามรองรับวิถีชีวิตในโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงในอนาคต โดยยึดหลักการพึ่งตนเอง คํานึงถึงศักยภาพ ภูมิปัญญา วิถีชีวิต และสิ่งแวดล้อมในชุมชนเป็นหลัก "การอบรมครั้งนี้จะเป็นการให้ความรู้และแบ่งกลุ่มย่อยจํานวน 4 กลุ่ม ระดมความคิดเห็นแนวทางการจัดทําแผนพัฒนาชุมชนดินแดง พร้อมวิเคราะห์ SWOT จัดทําวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ นําเสนอผลงานกลุ่ม โดยสอดคล้องกับแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ซึ่งแผนพัฒนาชุมชนนี้จะนําไปสู่การขอจัดสรรงบประมาณ เพื่อนํามาพัฒนาชุมชนให้สามารถขับเคลื่อนโครงการอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ขอขอบคุณชาวชุมชนดินแดงทุกคน ที่ให้ความร่วมมือร่วมใจอย่างดีและมาจัดทําแผนพัฒนาชุมชนในครั้งนี้ เพื่อให้แผนดังกล่าวเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงเป็นโครงการฟื้นฟูเมืองนําร่อง เป็นตัวอย่างที่ดีแก่โครงการอื่นๆ นําไปสู่ความสําเร็จตามเป้าหมาย เพื่อพัฒนาชุมชนตนเองให้เป็นชุมชนเข้มแข็งน่าอยู่อาศัยต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22302
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสวิสประจำประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสวิสประจําประเทศไทย นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Ivo Sieber เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสมาพันธรัฐสวิส ประจําประเทศไทย เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Ivo Sieber เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสมาพันธรัฐสวิส ประจําประเทศไทย พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมทั้งหารือข้อราชการร่วมกัน เกี่ยวกับนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การส่งเสริมการคุ้มครองด้านสิทธิและเสรีภาพ และความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสวิสประจำประเทศไทย วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสวิสประจําประเทศไทย นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Ivo Sieber เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสมาพันธรัฐสวิส ประจําประเทศไทย เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ H.E. Mr. Ivo Sieber เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสมาพันธรัฐสวิส ประจําประเทศไทย พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมทั้งหารือข้อราชการร่วมกัน เกี่ยวกับนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การส่งเสริมการคุ้มครองด้านสิทธิและเสรีภาพ และความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8050
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่และประชุมตรวจราชการรอบที่ 2 ของปีงบประมาณ 2561 ณ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตราด
วันพุธที่ 5 กันยายน 2561 หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่และประชุมตรวจราชการรอบที่ 2 ของปีงบประมาณ 2561 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตราด นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่และประชุมตรวจราชการรอบที่ 2 ของปีงบประมาณ 2561 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตราด วันนี้ (5 กันยายน 2561) เวลา 09.00 น. นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่และประชุมตรวจราชการรอบที่ 2 ของปีงบประมาณ 2561 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตราด โดยมีนายอดิศักดิ์ อุรเคนทร์ อุตสาหกรรมจังหวัดตราด นางสาวศรชนก ทองมั่นคง อุตสาหกรรมจังหวัดจันทบุรี และเจ้าหน้าที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตราด สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดจันทบุรี เข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ที่ประชุมได้นําเสนอผลการดําเนินงานของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ดังนี้ 1) การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve , New S-curve 2) การส่งเสริมและการพัฒนาผู้ประกอบการไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้านการเงิน (Finance) ไม่ใช่ด้านการเงิน (Non-Finance) 3) การส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดี 4) การส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ 5) การเชื่อมโยงและพัฒนาระบบฐานข้อมูลแบบบูรณาการ (Big Data) อาทิ การปรับปรุงข้อมูลด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของพื้นที่ให้เป็นปัจจุบันในเว็บไซต์ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดและประสานเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภายในและภายนอกกระทรวงอุตสาหกรรม 6) การพัฒนาบุคลากรและปรับปรุงการให้บริการ และ 7) การบริหารจัดการองค์กรตามนโยบายรัฐบาล มติ ครม. และนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่และประชุมตรวจราชการรอบที่ 2 ของปีงบประมาณ 2561 ณ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตราด วันพุธที่ 5 กันยายน 2561 หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่และประชุมตรวจราชการรอบที่ 2 ของปีงบประมาณ 2561 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตราด นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่และประชุมตรวจราชการรอบที่ 2 ของปีงบประมาณ 2561 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตราด วันนี้ (5 กันยายน 2561) เวลา 09.00 น. นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่และประชุมตรวจราชการรอบที่ 2 ของปีงบประมาณ 2561 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตราด โดยมีนายอดิศักดิ์ อุรเคนทร์ อุตสาหกรรมจังหวัดตราด นางสาวศรชนก ทองมั่นคง อุตสาหกรรมจังหวัดจันทบุรี และเจ้าหน้าที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตราด สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดจันทบุรี เข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ที่ประชุมได้นําเสนอผลการดําเนินงานของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ดังนี้ 1) การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve , New S-curve 2) การส่งเสริมและการพัฒนาผู้ประกอบการไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้านการเงิน (Finance) ไม่ใช่ด้านการเงิน (Non-Finance) 3) การส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดี 4) การส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ 5) การเชื่อมโยงและพัฒนาระบบฐานข้อมูลแบบบูรณาการ (Big Data) อาทิ การปรับปรุงข้อมูลด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของพื้นที่ให้เป็นปัจจุบันในเว็บไซต์ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดและประสานเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภายในและภายนอกกระทรวงอุตสาหกรรม 6) การพัฒนาบุคลากรและปรับปรุงการให้บริการ และ 7) การบริหารจัดการองค์กรตามนโยบายรัฐบาล มติ ครม. และนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15165