title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.เอาจริง“โบรกเกอร์เถื่อน”แจ้งตำรวจกองปราบปราม เช็คบิลกรณีตุ๋นชาวบ้าน 200 ราย
|
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560
คปภ.เอาจริง“โบรกเกอร์เถื่อน”แจ้งตํารวจกองปราบปราม เช็คบิลกรณีตุ๋นชาวบ้าน 200 ราย
สํานักงาน คปภ. นําประชาชนกว่า 30 คน ที่ได้รับความเสียหายจากบริษัทเอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด เข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม เพื่อดําเนินคดีตามกฎหมาย
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2560 เวลา 10.00 น. ได้มอบหมายให้นายตนุภัทร รัตนพูลชัย รองเลขาธิการ คปภ.ด้านกฎหมาย คดีและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สายกฎหมายและคดี สํานักงาน คปภ. นําประชาชนกว่า 30 คน ที่ได้รับความเสียหายจากบริษัทเอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผู้บังคับการกองปราบปราม เพื่อดําเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้สืบเนื่องจากสํานักงาน คปภ. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ว่า บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด ที่มี นางสาววราพร บุตรแสน และนายชาญยุทธ โสมาศรี ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทฯ ได้กระทําการเสนอขายประกันภัยรถยนต์ของบริษัทประกันภัยหลายแห่ง ผ่านทางโทรศัพท์ให้แก่ประชาชนและเป็นผู้เสียหายประมาณ 200 ราย ทั่วประเทศ โดยเมื่อผู้เสียหายได้ตกลงทําประกันภัยรถยนต์และชําระเงินค่าเบี้ยประกันภัย ทางบริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด จึงออกเอกสารใบคําขอเอาประกันภัยซึ่งอ้างว่าเป็นของบริษัทประกันภัยหลายแห่งและออกใบเสร็จรับเงินของบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด ให้แก่ผู้เสียหายไว้เป็นหลักฐาน แต่ปรากฏว่า ผู้เสียหายไม่ได้รับกรมธรรม์ประกันภัยจึงติดต่อไปยังบริษัทประกันภัยที่ถูกระบุว่าเป็นบริษัทผู้รับประกันภัย โดยบริษัทประกันภัยแจ้งว่าไม่มีการแจ้งขอเอาประกันภัยแต่อย่างใด ดังนั้นผู้เสียหายจึงติดต่อกลับมายังบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด เพื่อขอยกเลิกการซื้อกรมธรรม์ประกันภัยและขอเงินค่าเบี้ยประกันภัยคืน แต่พนักงานของบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด กลับบ่ายเบี่ยงไม่ยินยอมให้ยกเลิกการซื้อกรมธรรม์ หรือหากจะยกเลิกการซื้อกรมธรรม์ ผู้เสียหายจะต้องถูกหักค่าใช้จ่าย และยิ่งไปกว่านั้นมีผู้เสียหายหลายรายที่ขับรถยนต์ไปประสบอุบัติเหตุ แต่เมื่อไม่มีการขอเอาประกันภัยกับบริษัทผู้รับประกันภัยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์แต่อย่างใด
นอกจากนี้ บริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด ยังได้ลงโฆษณาในเว็บไซต์ www.smpinsure.com โดยมีการใช้ตราสัญลักษณ์ของบริษัทประกันภัยหลายบริษัท เพื่อชี้ช่องให้ประชาชน เข้าทําสัญญาประกันภัย ซึ่งสํานักงาน คปภ. ได้ตรวจสอบจากฐานข้อมูลใบอนุญาตตัวแทนประกันวินาศภัยและนายหน้าประกันวินาศภัย พบว่า บริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด ไม่มีใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยแต่อย่างใด สําหรับนายชาญยุทธ โสมาศรี ได้รับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันวินาศภัยของบริษัทวิริยะประกันภัย จํากัด แต่ได้ถูกยกเลิกใบอนุญาตเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2560 ส่วนนางสาววราพร บุตรแสน ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยบุคคลธรรมดา ประเภทจัดการประกันวินาศภัยโดยตรง ใบอนุญาตเลขที่ 5804032748 ซึ่งนายทะเบียนได้มีคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยไปแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้สํานักงาน คปภ.ยังได้ประชุมหารือร่วมกับบริษัทประกันภัยหลายบริษัทที่ได้รับความเสียหายจากการกระทําของบริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด เช่น บริษัท วิริยะประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท นวกิจประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ประกันภัยคุ้มภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) และบริษัท โตเกียวประกันภัย จํากัด (มหาชน)โดยเบื้องต้นสํานักงาน คปภ. ได้รับแจ้งข้อมูลการดําเนินการตามกฎหมายจากบริษัทประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากการกระทําของบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด กล่าวคือ บริษัท ประกันภัยคุ้มภัย จํากัด (มหาชน) ได้ดําเนินการฟ้องนางสาววราพร บุตรแสน เป็นคดีอาญา ต่อศาลจังหวัดมีนบุรี ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ รวมทั้งได้ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากการผิดสัญญาตัวแทนนายหน้า เป็นคดีแพ่ง ต่อศาลแขวงปทุมวัน ส่วนบริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) ได้ดําเนินการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตํารวจนครบาลสุทธิสาร กรณีบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด แอบอ้างชื่อของบริษัทเพื่อขายกรมธรรม์โดยมิได้เป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัยของบริษัทแต่อย่างใด สําหรับ บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) ได้ดําเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดําเนินคดีบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด และนางสาววราพร บุตรแสน ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม และนําชื่อในการประกอบการค้าของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ทั้งนี้จากการหารือของบริษัทประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากการกระทําของบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด มีความเห็นสอดคล้องกันว่า กรณีที่บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด กระทําการใช้เอกสารใบคําขอเอาประกันภัย ซึ่งไม่ใช่เอกสารของบริษัทประกันภัย เป็นการกระทําที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร ซึ่งบริษัทประกันภัยจะดําเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนต่อไป อีกทั้งบริษัทประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากกรณีที่บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด กระทําการใช้ตราสัญลักษณ์ของบริษัทลงโฆษณาในเว็บไซต์ www.smpinsure.com อาจทําให้ประชาชนเข้าใจผิดและหลงเชื่อว่าบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด เป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยที่ได้รับมอบหมายจากบริษัท ซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นความผิดตามมาตรา 14 (1) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 และบริษัทประกันภัยทุกบริษัทพร้อมที่จะดําเนินการตามกฎหมายกับบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด ให้ถึงที่สุดดังนั้นสํานักงาน คปภ. จึงได้ประสานกับผู้เสียหายให้มาร้องทุกข์เพื่อให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดี กับบริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด ในความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งอาจเข้าลักษณะเป็นการฉ้อโกงประชาชนด้วย
“การกระทําของบริษัทฯและพฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าวได้สร้างความเสียหายกับประชาชนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานและภาคกลางมีผู้เสียหายเป็นจํานวนมาก ดังนั้นผมจึงสั่งการให้สํานักงานคปภ.ที่มีประชาชนได้รับความเสียหายรวบรวมข้อมูลการกระทําความผิด ตลอดจนติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนอย่างเต็มที่พร้อมให้บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทําผิดอย่างเคร่งครัด ส่วนในการป้องกันปัญหาเรื่องนี้ในระยะยาว คือ การเร่งผลักดันการแก้ไขกฎหมายประกันภัยโดยเพิ่มบทบัญญัติฐานความผิดเรื่องการฉ้อฉลประกันภัยและเข้มงวดในการออกใบอนุญาตและกํากับดูแลคนกลางประกันภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
ด้านนายตนุภัทร รัตนพูลชัย รองเลขาธิการด้านกฎหมาย คดีและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องนี้ท่านเลขาธิการ คปภ.ได้ให้ความสําคัญและห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเสียหาย จึงได้สั่งการให้เฝ้าจับตามองพฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและให้สํานักงาน คปภ.ทุกพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเสียหายเพื่อรวบรวมข้อมูลหลักฐานให้รัดกุมในการดําเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิด ดังนั้นตนจึงได้รับมอบจากเลขาธิการ คปภ.ให้นําประชาชนส่วนหนึ่งที่เป็นผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตํารวจกองบังคับการปราบปราม ให้ดําเนินคดีกับ บริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด โดยกรรมการผู้รับผิดชอบในการดําเนินการของบริษัท ในความผิดฐานกระทําการใช้ชื่อหรือคําแสดงชื่อในธุรกิจว่า “อินชัวร์” อันเป็นการใช้ชื่อหรือคําแสดงชื่อธุรกิจว่า “ประกันวินาศภัย” หรือคําอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน โดยนําไปแสดงต่อผู้อื่นเพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นตัวแทนประกันวินาศภัยหรือนายหน้าประกันวินาศภัยที่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 18 มีบทกําหนดโทษตามมาตรา 87 และกระทําการชี้ช่องให้บุคคลทําสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกันภัย โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน เป็นความผิดตามมาตรา 63 อันมีบทกําหนดโทษตามมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551
ส่วนกรณีที่บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด โดยกรรมการผู้รับผิดชอบในการดําเนินการของบริษัท กระทําการโฆษณาในเว็บไซต์ www.smpinsure.com โดยมีการใช้ข้อความอันเข้าลักษณะเป็นการชี้ช่องให้ผู้เสียหายเข้าทําสัญญากับบริษัทประกันภัยหลายแห่ง ทั้งๆที่บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด ไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยแต่อย่างใด ประกอบกับบริษัทประกันภัยหลายแห่งไม่ได้เป็นคู่สัญญากับบริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด และ/หรือนางสาววราพร บุตรแสน และ/หรือนายชาญยุทธ โสมาศรี แต่อย่างใด อันอาจเป็นการนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ตามมาตรา 14 (1) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560
“สํานักงานคปภ.มีความมุ่งมั่นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านประกันภัยให้กับประชาชน และไม่ประสงค์ให้กลุ่มคนใดเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันจะทําให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อระบบประกันภัย ดังนั้นจึงอยากให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่าง” นายตนุภัทร กล่าวในที่สุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.เอาจริง“โบรกเกอร์เถื่อน”แจ้งตำรวจกองปราบปราม เช็คบิลกรณีตุ๋นชาวบ้าน 200 ราย
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560
คปภ.เอาจริง“โบรกเกอร์เถื่อน”แจ้งตํารวจกองปราบปราม เช็คบิลกรณีตุ๋นชาวบ้าน 200 ราย
สํานักงาน คปภ. นําประชาชนกว่า 30 คน ที่ได้รับความเสียหายจากบริษัทเอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด เข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม เพื่อดําเนินคดีตามกฎหมาย
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2560 เวลา 10.00 น. ได้มอบหมายให้นายตนุภัทร รัตนพูลชัย รองเลขาธิการ คปภ.ด้านกฎหมาย คดีและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สายกฎหมายและคดี สํานักงาน คปภ. นําประชาชนกว่า 30 คน ที่ได้รับความเสียหายจากบริษัทเอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผู้บังคับการกองปราบปราม เพื่อดําเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้สืบเนื่องจากสํานักงาน คปภ. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ว่า บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด ที่มี นางสาววราพร บุตรแสน และนายชาญยุทธ โสมาศรี ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทฯ ได้กระทําการเสนอขายประกันภัยรถยนต์ของบริษัทประกันภัยหลายแห่ง ผ่านทางโทรศัพท์ให้แก่ประชาชนและเป็นผู้เสียหายประมาณ 200 ราย ทั่วประเทศ โดยเมื่อผู้เสียหายได้ตกลงทําประกันภัยรถยนต์และชําระเงินค่าเบี้ยประกันภัย ทางบริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด จึงออกเอกสารใบคําขอเอาประกันภัยซึ่งอ้างว่าเป็นของบริษัทประกันภัยหลายแห่งและออกใบเสร็จรับเงินของบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด ให้แก่ผู้เสียหายไว้เป็นหลักฐาน แต่ปรากฏว่า ผู้เสียหายไม่ได้รับกรมธรรม์ประกันภัยจึงติดต่อไปยังบริษัทประกันภัยที่ถูกระบุว่าเป็นบริษัทผู้รับประกันภัย โดยบริษัทประกันภัยแจ้งว่าไม่มีการแจ้งขอเอาประกันภัยแต่อย่างใด ดังนั้นผู้เสียหายจึงติดต่อกลับมายังบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด เพื่อขอยกเลิกการซื้อกรมธรรม์ประกันภัยและขอเงินค่าเบี้ยประกันภัยคืน แต่พนักงานของบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด กลับบ่ายเบี่ยงไม่ยินยอมให้ยกเลิกการซื้อกรมธรรม์ หรือหากจะยกเลิกการซื้อกรมธรรม์ ผู้เสียหายจะต้องถูกหักค่าใช้จ่าย และยิ่งไปกว่านั้นมีผู้เสียหายหลายรายที่ขับรถยนต์ไปประสบอุบัติเหตุ แต่เมื่อไม่มีการขอเอาประกันภัยกับบริษัทผู้รับประกันภัยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์แต่อย่างใด
นอกจากนี้ บริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด ยังได้ลงโฆษณาในเว็บไซต์ www.smpinsure.com โดยมีการใช้ตราสัญลักษณ์ของบริษัทประกันภัยหลายบริษัท เพื่อชี้ช่องให้ประชาชน เข้าทําสัญญาประกันภัย ซึ่งสํานักงาน คปภ. ได้ตรวจสอบจากฐานข้อมูลใบอนุญาตตัวแทนประกันวินาศภัยและนายหน้าประกันวินาศภัย พบว่า บริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด ไม่มีใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยแต่อย่างใด สําหรับนายชาญยุทธ โสมาศรี ได้รับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันวินาศภัยของบริษัทวิริยะประกันภัย จํากัด แต่ได้ถูกยกเลิกใบอนุญาตเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2560 ส่วนนางสาววราพร บุตรแสน ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยบุคคลธรรมดา ประเภทจัดการประกันวินาศภัยโดยตรง ใบอนุญาตเลขที่ 5804032748 ซึ่งนายทะเบียนได้มีคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยไปแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้สํานักงาน คปภ.ยังได้ประชุมหารือร่วมกับบริษัทประกันภัยหลายบริษัทที่ได้รับความเสียหายจากการกระทําของบริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด เช่น บริษัท วิริยะประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท นวกิจประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท ประกันภัยคุ้มภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) และบริษัท โตเกียวประกันภัย จํากัด (มหาชน)โดยเบื้องต้นสํานักงาน คปภ. ได้รับแจ้งข้อมูลการดําเนินการตามกฎหมายจากบริษัทประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากการกระทําของบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด กล่าวคือ บริษัท ประกันภัยคุ้มภัย จํากัด (มหาชน) ได้ดําเนินการฟ้องนางสาววราพร บุตรแสน เป็นคดีอาญา ต่อศาลจังหวัดมีนบุรี ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ รวมทั้งได้ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากการผิดสัญญาตัวแทนนายหน้า เป็นคดีแพ่ง ต่อศาลแขวงปทุมวัน ส่วนบริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) ได้ดําเนินการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตํารวจนครบาลสุทธิสาร กรณีบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด แอบอ้างชื่อของบริษัทเพื่อขายกรมธรรม์โดยมิได้เป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัยของบริษัทแต่อย่างใด สําหรับ บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จํากัด (มหาชน) ได้ดําเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดําเนินคดีบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด และนางสาววราพร บุตรแสน ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม และนําชื่อในการประกอบการค้าของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ทั้งนี้จากการหารือของบริษัทประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากการกระทําของบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด มีความเห็นสอดคล้องกันว่า กรณีที่บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด กระทําการใช้เอกสารใบคําขอเอาประกันภัย ซึ่งไม่ใช่เอกสารของบริษัทประกันภัย เป็นการกระทําที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร ซึ่งบริษัทประกันภัยจะดําเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนต่อไป อีกทั้งบริษัทประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากกรณีที่บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด กระทําการใช้ตราสัญลักษณ์ของบริษัทลงโฆษณาในเว็บไซต์ www.smpinsure.com อาจทําให้ประชาชนเข้าใจผิดและหลงเชื่อว่าบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด เป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยที่ได้รับมอบหมายจากบริษัท ซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นความผิดตามมาตรา 14 (1) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 และบริษัทประกันภัยทุกบริษัทพร้อมที่จะดําเนินการตามกฎหมายกับบริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด ให้ถึงที่สุดดังนั้นสํานักงาน คปภ. จึงได้ประสานกับผู้เสียหายให้มาร้องทุกข์เพื่อให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดี กับบริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด ในความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งอาจเข้าลักษณะเป็นการฉ้อโกงประชาชนด้วย
“การกระทําของบริษัทฯและพฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าวได้สร้างความเสียหายกับประชาชนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานและภาคกลางมีผู้เสียหายเป็นจํานวนมาก ดังนั้นผมจึงสั่งการให้สํานักงานคปภ.ที่มีประชาชนได้รับความเสียหายรวบรวมข้อมูลการกระทําความผิด ตลอดจนติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนอย่างเต็มที่พร้อมให้บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทําผิดอย่างเคร่งครัด ส่วนในการป้องกันปัญหาเรื่องนี้ในระยะยาว คือ การเร่งผลักดันการแก้ไขกฎหมายประกันภัยโดยเพิ่มบทบัญญัติฐานความผิดเรื่องการฉ้อฉลประกันภัยและเข้มงวดในการออกใบอนุญาตและกํากับดูแลคนกลางประกันภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
ด้านนายตนุภัทร รัตนพูลชัย รองเลขาธิการด้านกฎหมาย คดีและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องนี้ท่านเลขาธิการ คปภ.ได้ให้ความสําคัญและห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเสียหาย จึงได้สั่งการให้เฝ้าจับตามองพฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและให้สํานักงาน คปภ.ทุกพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเสียหายเพื่อรวบรวมข้อมูลหลักฐานให้รัดกุมในการดําเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิด ดังนั้นตนจึงได้รับมอบจากเลขาธิการ คปภ.ให้นําประชาชนส่วนหนึ่งที่เป็นผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตํารวจกองบังคับการปราบปราม ให้ดําเนินคดีกับ บริษัท เอส.เอ็ม.พี. อินชัวร์ จํากัด โดยกรรมการผู้รับผิดชอบในการดําเนินการของบริษัท ในความผิดฐานกระทําการใช้ชื่อหรือคําแสดงชื่อในธุรกิจว่า “อินชัวร์” อันเป็นการใช้ชื่อหรือคําแสดงชื่อธุรกิจว่า “ประกันวินาศภัย” หรือคําอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน โดยนําไปแสดงต่อผู้อื่นเพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นตัวแทนประกันวินาศภัยหรือนายหน้าประกันวินาศภัยที่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 18 มีบทกําหนดโทษตามมาตรา 87 และกระทําการชี้ช่องให้บุคคลทําสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกันภัย โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน เป็นความผิดตามมาตรา 63 อันมีบทกําหนดโทษตามมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551
ส่วนกรณีที่บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด โดยกรรมการผู้รับผิดชอบในการดําเนินการของบริษัท กระทําการโฆษณาในเว็บไซต์ www.smpinsure.com โดยมีการใช้ข้อความอันเข้าลักษณะเป็นการชี้ช่องให้ผู้เสียหายเข้าทําสัญญากับบริษัทประกันภัยหลายแห่ง ทั้งๆที่บริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด ไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยแต่อย่างใด ประกอบกับบริษัทประกันภัยหลายแห่งไม่ได้เป็นคู่สัญญากับบริษัท เอส.เอ็ม.พี อินชัวร์ จํากัด และ/หรือนางสาววราพร บุตรแสน และ/หรือนายชาญยุทธ โสมาศรี แต่อย่างใด อันอาจเป็นการนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ตามมาตรา 14 (1) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560
“สํานักงานคปภ.มีความมุ่งมั่นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านประกันภัยให้กับประชาชน และไม่ประสงค์ให้กลุ่มคนใดเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันจะทําให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อระบบประกันภัย ดังนั้นจึงอยากให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่าง” นายตนุภัทร กล่าวในที่สุด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7436
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน ชวนเด็กจบใหม่ ทำ Part-time
|
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563
แรงงาน ชวนเด็กจบใหม่ ทํา Part-time
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย สถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในประเทศ รวมถึงผู้ที่สําเร็จการศึกษาใหม่ จํานวน 493,875 คน แนวโน้มตลาดรองรับไม่เพียงพอ สั่งการกกจ. เร่งหาแนวทางให้บัณฑิตใหม่เข้าสู่ระบบการจ้างงาน
“ หลายภาคส่วนกังวลเรื่อง การว่างงานของบัณทิตจบใหม่ โดยเฉพาะการเข้าสู่การว่างงานถาวรกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งหามาตรการ และนโยบายเพื่อตอบโจทย์ปัญหาว่างงานเหล่านี้ ซึ่งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทําให้รูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนไป นอกจากจะมีการปิดกิจกิจการ ลดขนาดองค์กร สถานประกอบการหลายแห่งยังได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานจากเต็มเวลา เป็นการจ้างงานแบบ Part-time ประกอบกับ รูปแบบการทํางานของคนรุ่นใหม่ได้เปลี่ยนไป รับงานอิสระที่สามารถกําหนดเวลาการทํางานได้เป็นบางช่วงเวลา
จึงอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือก หากบัณทิต จะเลือกทํางานในรูปแบบ part-time ซึ่งขณะนี้ กรมการจัดหางาน ได้รับแจ้งตําแหน่งงาน part-time จํานวน 2,396 อัตรา คือ 1.แรงงานด้านการผลิต 2.พนักงานจัดส่งสินค้าอื่น ๆ 3.เจ้าหน้าที่เก็บเงิน,แคชเชียร์ 4.เจ้าหน้าที่ขนส่งอื่นๆ 5.พนักงานขาย และผู้นําเสนอสินค้าอื่น ๆ 6.แรงงานในด้านการผลิตต่างๆ, แรงงานทั่วไป 7.พนักงานขายทอดตลาด 8.เจ้าหน้าที่สินเชื่อ,เจ้าหน้าที่การเงิน 9.ตัวแทนนายหน้าขายบริการธุรกิจอื่นๆ 10.พนักงานขายสินค้า (ประจําร้าน),พนักงานขายของหน้าร้าน
โดยสามารถสมัครงานได้ทาง เว็บไซต์ http://smartjob.doe.go.th และ ณ อาคาร 3 ชั้น หน้ากระทรวงแรงงาน หรือ ณ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือ ติดตามตําแหน่งงานว่าง Part-time ได้ทาง Facebook Fanpage : เสิร์ฟงานด่วน ” นายสุชาติฯ กล่าว
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลกระทบของโควิด-19 ทําให้นายจ้างมีปริมาณงานที่ลดลง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก อย่างไรก็ดี รัฐบาลตระหนักว่า หากแรงงานในประเทศ ไม่มีงานทําย่อมส่งผลต่อการใช้จ่ายของคนในประเทศ และอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อไป ถึงภาคส่วนอื่นๆ รัฐบาลจะเร่งหามาตรการและแนวทาง ที่ให้ผลดีที่สุดกับพี่น้องแรงงาน เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และทําให้ประชาชนผู้ว่างงานได้กลับมามีงานทําและรายได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน ชวนเด็กจบใหม่ ทำ Part-time
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563
แรงงาน ชวนเด็กจบใหม่ ทํา Part-time
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย สถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในประเทศ รวมถึงผู้ที่สําเร็จการศึกษาใหม่ จํานวน 493,875 คน แนวโน้มตลาดรองรับไม่เพียงพอ สั่งการกกจ. เร่งหาแนวทางให้บัณฑิตใหม่เข้าสู่ระบบการจ้างงาน
“ หลายภาคส่วนกังวลเรื่อง การว่างงานของบัณทิตจบใหม่ โดยเฉพาะการเข้าสู่การว่างงานถาวรกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งหามาตรการ และนโยบายเพื่อตอบโจทย์ปัญหาว่างงานเหล่านี้ ซึ่งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทําให้รูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนไป นอกจากจะมีการปิดกิจกิจการ ลดขนาดองค์กร สถานประกอบการหลายแห่งยังได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานจากเต็มเวลา เป็นการจ้างงานแบบ Part-time ประกอบกับ รูปแบบการทํางานของคนรุ่นใหม่ได้เปลี่ยนไป รับงานอิสระที่สามารถกําหนดเวลาการทํางานได้เป็นบางช่วงเวลา
จึงอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือก หากบัณทิต จะเลือกทํางานในรูปแบบ part-time ซึ่งขณะนี้ กรมการจัดหางาน ได้รับแจ้งตําแหน่งงาน part-time จํานวน 2,396 อัตรา คือ 1.แรงงานด้านการผลิต 2.พนักงานจัดส่งสินค้าอื่น ๆ 3.เจ้าหน้าที่เก็บเงิน,แคชเชียร์ 4.เจ้าหน้าที่ขนส่งอื่นๆ 5.พนักงานขาย และผู้นําเสนอสินค้าอื่น ๆ 6.แรงงานในด้านการผลิตต่างๆ, แรงงานทั่วไป 7.พนักงานขายทอดตลาด 8.เจ้าหน้าที่สินเชื่อ,เจ้าหน้าที่การเงิน 9.ตัวแทนนายหน้าขายบริการธุรกิจอื่นๆ 10.พนักงานขายสินค้า (ประจําร้าน),พนักงานขายของหน้าร้าน
โดยสามารถสมัครงานได้ทาง เว็บไซต์ http://smartjob.doe.go.th และ ณ อาคาร 3 ชั้น หน้ากระทรวงแรงงาน หรือ ณ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือ ติดตามตําแหน่งงานว่าง Part-time ได้ทาง Facebook Fanpage : เสิร์ฟงานด่วน ” นายสุชาติฯ กล่าว
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลกระทบของโควิด-19 ทําให้นายจ้างมีปริมาณงานที่ลดลง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก อย่างไรก็ดี รัฐบาลตระหนักว่า หากแรงงานในประเทศ ไม่มีงานทําย่อมส่งผลต่อการใช้จ่ายของคนในประเทศ และอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อไป ถึงภาคส่วนอื่นๆ รัฐบาลจะเร่งหามาตรการและแนวทาง ที่ให้ผลดีที่สุดกับพี่น้องแรงงาน เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และทําให้ประชาชนผู้ว่างงานได้กลับมามีงานทําและรายได้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34163
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับนักศึกษา วปอ. รุ่น 61 ศึกษาดูงานย้ำภารกิจมหาดไทยคือ บำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน
|
วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม 2561
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับนักศึกษา วปอ. รุ่น 61 ศึกษาดูงานย้ําภารกิจมหาดไทยคือ บําบัดทุกข์ บํารุงสุขประชาชน
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับนักศึกษา วปอ. รุ่น 61 ศึกษาดูงานย้ําภารกิจมหาดไทยคือ บําบัดทุกข์ บํารุงสุขประชาชน
วันนี้(18ต.ค.61)เวลา09.00น.ณห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์กระทรวงมหาดไทยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน การต้อนรับและกล่าวต้อนรับพลโท ขจรฤทธิ์ นิลกําแหง ผู้อํานวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และคณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 61 จํานวน 160 คนโดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยร่วมต้อนรับและบรรยายสรุปภารกิจของส่วนราชการระดับกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย
ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวต้อนรับคณะดูงาน โดยกระทรวงมหาดไทยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคณาจารย์และนักศึกษา วปอ. รุ่นที่ 61 ซึ่งเดินทางมาดูกิจการและศึกษาภูมิประเทศภาคการปฐมนิเทศ (กรุงเทพมหานคร) ภารกิจของกระทรวงมหาดไทยมีอํานาจหน้าที่ในการบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับประชาชนซึ่งมีภารกิจและขอบเขตงานที่กว้าง ผ่านกลไกการทํางาน 2 ด้านคือ การทํางานตามอํานาจหน้าที่ตามกฏหมาย โดยผ่านกลไกการทํางาน ทั้งส่วนกลางที่ผ่านส่วนราชการระดับกรม/รัฐวิสาหกิจในลักษณะกลุ่มภารกิจ (Cluster) และส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ผู้ว่าราชการ 76 จังหวัดและนายอําเภอ 878 อําเภอ ในฐานะผู้จัดการ/ผู้อํานวยการพื้นที่ (Area Manager) ผู้ปกครองท้องถิ่น ท้องที่ ร่วมกับกําลังสนับสนุนการดําเนินงานของภาครัฐในพื้นที่ต่างๆ เช่น สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อพปร.) ซึ่งทั้งหมดเป็นกลไกการทํางาน ของกระทรวงมหาดไทยที่สําคัญในบูรณาการการทํางานในระดับในพื้นที่ทุกมิติ และการทํางานบนความคาดหวังของประชาชน เพื่อสร้างสมดุลการปฎิบัติราชการ เช่น การอํานวยความเป็นธรรมผ่านศูนย์ดํารงธรรมที่มิใช่เพียงการรับเรื่องร้องทุกข์บูรณาการทํางานประสานการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานราชการอื่นในพื้นที่ "เน้นหลักดําเนินการในพื้นที่ทันที" การแก้ไขปัญหาที่ดิน และการกํากับดูแล ใบอนุญาตบางประเภท เป็นต้น
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการบูรณาการการทํางานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จึงมีความสําคัญ งานสําเร็จได้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกิดได้จากจุดเชื่อมจากหลักสูตรนี้ หวังว่าการบรรยายสรุปภารกิจของกระทรวงจะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานในอนาคต
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับนักศึกษา วปอ. รุ่น 61 ศึกษาดูงานย้ำภารกิจมหาดไทยคือ บำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม 2561
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับนักศึกษา วปอ. รุ่น 61 ศึกษาดูงานย้ําภารกิจมหาดไทยคือ บําบัดทุกข์ บํารุงสุขประชาชน
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับนักศึกษา วปอ. รุ่น 61 ศึกษาดูงานย้ําภารกิจมหาดไทยคือ บําบัดทุกข์ บํารุงสุขประชาชน
วันนี้(18ต.ค.61)เวลา09.00น.ณห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์กระทรวงมหาดไทยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน การต้อนรับและกล่าวต้อนรับพลโท ขจรฤทธิ์ นิลกําแหง ผู้อํานวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และคณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 61 จํานวน 160 คนโดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยร่วมต้อนรับและบรรยายสรุปภารกิจของส่วนราชการระดับกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย
ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวต้อนรับคณะดูงาน โดยกระทรวงมหาดไทยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคณาจารย์และนักศึกษา วปอ. รุ่นที่ 61 ซึ่งเดินทางมาดูกิจการและศึกษาภูมิประเทศภาคการปฐมนิเทศ (กรุงเทพมหานคร) ภารกิจของกระทรวงมหาดไทยมีอํานาจหน้าที่ในการบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับประชาชนซึ่งมีภารกิจและขอบเขตงานที่กว้าง ผ่านกลไกการทํางาน 2 ด้านคือ การทํางานตามอํานาจหน้าที่ตามกฏหมาย โดยผ่านกลไกการทํางาน ทั้งส่วนกลางที่ผ่านส่วนราชการระดับกรม/รัฐวิสาหกิจในลักษณะกลุ่มภารกิจ (Cluster) และส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ผู้ว่าราชการ 76 จังหวัดและนายอําเภอ 878 อําเภอ ในฐานะผู้จัดการ/ผู้อํานวยการพื้นที่ (Area Manager) ผู้ปกครองท้องถิ่น ท้องที่ ร่วมกับกําลังสนับสนุนการดําเนินงานของภาครัฐในพื้นที่ต่างๆ เช่น สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อพปร.) ซึ่งทั้งหมดเป็นกลไกการทํางาน ของกระทรวงมหาดไทยที่สําคัญในบูรณาการการทํางานในระดับในพื้นที่ทุกมิติ และการทํางานบนความคาดหวังของประชาชน เพื่อสร้างสมดุลการปฎิบัติราชการ เช่น การอํานวยความเป็นธรรมผ่านศูนย์ดํารงธรรมที่มิใช่เพียงการรับเรื่องร้องทุกข์บูรณาการทํางานประสานการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานราชการอื่นในพื้นที่ "เน้นหลักดําเนินการในพื้นที่ทันที" การแก้ไขปัญหาที่ดิน และการกํากับดูแล ใบอนุญาตบางประเภท เป็นต้น
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการบูรณาการการทํางานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จึงมีความสําคัญ งานสําเร็จได้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกิดได้จากจุดเชื่อมจากหลักสูตรนี้ หวังว่าการบรรยายสรุปภารกิจของกระทรวงจะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานในอนาคต
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16167
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมชาวมานิ จ.สตูล เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม
|
วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2560
“ยุติธรรม” ตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมชาวมานิ จ.สตูล เพื่ออํานวยความยุติธรรมให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม
กระทรวงยุติธรรม ตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมชาวมานิ จ.สตูล เพื่ออํานวยความยุติธรรมให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม
ในวันจันทร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น.
นายเพิ่มพูน พึ่งประสิทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและพบปะประชาชนเพื่อช่วยเหลือบุคคลผู้ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ
กลุ่มชาติพันธุ์มานิ จังหวัดสตูล ณ องค์การบริหารส่วนตําบลน้ําผุด อําเภอละงู จังหวัดสตูล
ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ร่วมกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โรงพยาบาลละงู จังหวัดสตูล
สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต ๑๒ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดสตูล
ได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยที่ยังไม่ได้รับสถานะบุคคล
เนื่องจากเป็นบุคคลตกสํารวจตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ โดยในวันนี้ได้ให้บริการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม
บุคคลผู้ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ กลุ่มชาติพันธุ์มานิ จํานวน ๓๐ ราย ซึ่งผลการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม
จะนํามาใช้เป็นข้อมูลประกอบการรับรองสถานะทางทะเบียนราษฏร์
เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าวได้เข้าถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่พึงจะได้รับ
อาทิ การได้มีสัญชาติ สิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล การเข้าถึงการศึกษา
และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกันต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมชาวมานิ จ.สตูล เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม
วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2560
“ยุติธรรม” ตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมชาวมานิ จ.สตูล เพื่ออํานวยความยุติธรรมให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม
กระทรวงยุติธรรม ตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมชาวมานิ จ.สตูล เพื่ออํานวยความยุติธรรมให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม
ในวันจันทร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น.
นายเพิ่มพูน พึ่งประสิทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและพบปะประชาชนเพื่อช่วยเหลือบุคคลผู้ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ
กลุ่มชาติพันธุ์มานิ จังหวัดสตูล ณ องค์การบริหารส่วนตําบลน้ําผุด อําเภอละงู จังหวัดสตูล
ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ร่วมกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โรงพยาบาลละงู จังหวัดสตูล
สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต ๑๒ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดสตูล
ได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยที่ยังไม่ได้รับสถานะบุคคล
เนื่องจากเป็นบุคคลตกสํารวจตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ โดยในวันนี้ได้ให้บริการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม
บุคคลผู้ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ กลุ่มชาติพันธุ์มานิ จํานวน ๓๐ ราย ซึ่งผลการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม
จะนํามาใช้เป็นข้อมูลประกอบการรับรองสถานะทางทะเบียนราษฏร์
เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าวได้เข้าถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่พึงจะได้รับ
อาทิ การได้มีสัญชาติ สิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล การเข้าถึงการศึกษา
และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกันต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8378
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีลั่นรัฐบาลไม่ประมาท ยกระดับ 6 มาตรการสำคัญ ยืนยันไทยยังคงอยู่ในระยะที่ 2 เน้นลดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของกลุ่มคน (Social Distancing)
|
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563
รองนายกรัฐมนตรีลั่นรัฐบาลไม่ประมาท ยกระดับ 6 มาตรการสําคัญ ยืนยันไทยยังคงอยู่ในระยะที่ 2 เน้นลดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของกลุ่มคน (Social Distancing)
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ลั่นรัฐบาลไม่ประมาท ยกระดับ 6 มาตรการสําคัญ ยืนยันไทยยังคงอยู่ในระยะที่ 2 เน้นลดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของกลุ่มคน (Social Distancing)
วันนี้ (16 มี.ค. 2563) เวลา 15.45 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล COVID-19 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวงและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงชี้แจงข้อสงสัยเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กําชับการเตรียมความพร้อมทุกมิติทั้งเวชภัณฑ์ โรงพยาบาลและมาตรการต่าง ๆ ในการรองรับผู้ป่วยที่อาจเพิ่มมากขึ้นหรือเตรียมกรณีที่ต้องยกระดับเป็นระยะ 3 โดยมีทุกหน่วยงานร่วมประชุมเพื่อเตรียมปฏิบัติในส่วนของตนเอง สําหรับศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทํางานตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมชี้แจงความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาให้แก่พี่น้องประชาชน รวมทั้งยังเป็นศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ผ่านศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐ 1111 และเฟซบุ๊กกรมประชาสัมพันธ์
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ครั้งที่ 1 มีมติเห็นชอบตรงกันเตรียมความพร้อม 6 ด้าน โดยจะนําเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาพรุ่งนี้ (17 มี.ค.63) ประกอบด้วยด้านที่ 1 คือ ด้านสาธารณสุข เตรียมความพร้อมสถานพยาบาลทั้งของรัฐ เอกชน ท้องถิ่น มหาวิทยาลัย ทหาร ตํารวจ จัดสรรจํานวนตียงผู้ป่วย ความพร้อมบุคลากรทางการแพทย์ ยา เวชภัณฑ์ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้มีการอนุมัติค่าตอบแทนเป็นกรณีพิเศษให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในสถานการณ์รับมือป้องกันไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นี้ด้วย ด้านที่ 2 เวชภัณฑ์ โดยเฉพาะหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ได้เร่งกําลังกระบวนการผลิตให้มีจํานวนมากขึ้นให้ได้ประมาณวันละ 2 ล้านชิ้น โดยบางประเทศแจ้งพร้อมให้จัดส่งหน้ากากอนามัยเพื่อให้ความช่วยเหลือไทยด้วย นอกจากนี้ ยังจะเร่งผลิต แอลกอฮอล์และเจลล้างมือให้มากขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีเสนอให้นําหน้ากากอนามัยที่ยึดไว้ได้จํานวนมาก ที่ถือว่าเป็นของกลาง ให้ศูนย์ป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19 เพื่อแจกจ่ายไปตามสถานพยาบาลต่าง ๆ โดยไม่ให้เสียรูปคดี ด้านที่ 3 ด้านข้อมูล การชี้แจง การรับเรื่องราวและข้อร้องเรียน ซึ่งมีการรายงานว่า มีการร้องเรียนเข้ามายังศูนย์ข้อมูลโควิด -19 วันละประมาณหนึ่งพันราย ซึ่งได้ชี้แจงทําความเข้าใจ และแก้ปัญหาไปแล้ว 98 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือให้แก้ปัญหาต่อไป ด้านที่ 4 ด้านการต่างประเทศ รายงานว่า บางประเทศแสดงความปรารถนาดีที่จะให้ความช่วยเหลือด้านเวชภัณฑ์ คือ ยา หน้ากากอนามัย อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น กรณียกเลิกฟรีวีซ่าและวีโอเอนั้น ไม่มีประเทศใดขัดข้องทุกประเทศพร้อมและน้อมรับกับการดําเนินการของเรา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงคนไทยต่างประเทศต่าง ๆ และข้าราชการ ที่มีประมาณ 1.5 พันคน นักเรียนไทยในต่างประเทศนับพันคน พระภิกษุประมาณ 1.5 พันรูป แรงงานไทยที่ยังไม่กลับเข้ามาอีกนับเป็นแสนคน จึงได้สั่งการให้จัดตั้งทีมไทยแลนด์ในทุกประเทศเพื่อรับมือโควิด-19 โดยมีเอกอัครราชทูตประเทศนั้น ๆ เป็นหัวหน้าทีม เพื่อรับร้องเรียน ร้องทุกข์ ตลอดจนให้ข้อมูลข่าวสารเป็นทีมเฉพาะกิจ ด้านที่ 5 คือมาตรการป้องกัน เพื่อเตรียมรับมือสําหรับกรณีผู้ที่ยังไม่ได้ติดเชื้อหรือเจ็บป่วยจากไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แม้ไทยยังไม่มีการประกาศเข้าสู่ระยะที่ 3 แต่มีมาตรการเข้มงวดมากขึ้นในการตรวจคนเข้าเมืองทั้งทางบก น้ํา และอากาศ เช่น มีการสั่งยกเลิกวีซ่าฟรี และ Visa on Arrival การเข้าไทยต้องมีใบรับรองแพทย์ การประกันชีวิต การใช้แอปพลิเคชันติดตามตัวบุคคลที่เดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อเป็นประโยชน์ในการติดตามข้อมูล ยืนยันขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเมืองหรือปิดประเทศ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังได้หารือให้มีการงดวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ตั้งแต่ 13 – 15 เมษายน 2563 ออกไปก่อน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไว้รัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการและไม่เป็นวันหยุดงานของภาคเอกชน และจะให้ชดเชยวันหยุดให้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนการปิดหรือหยุด หรือระงับการเปิดสถานที่บางแห่ง ซึ่งเป็นที่ชุมนุมคนไปอยู่รวมกันจํานวนมาก ได้แบ่งออก 2 ลักษณะ คือ 1. สถานที่ใดซึ่งมีผู้คนไปชุมนุมกันคราวละมาก ๆ เป็นกิจวัตร และมีโอกาสเสี่ยงสูงเพรามีกิจกรรม สัมผัส พูดจาปราศรัยกันในที่คับแคบ แต่มีทางเลือกทางเลี่ยง ชดเชยการชุมนุมได้ เช่น มหาวิทยาลัยทั้งรัฐและเอกชน โรงเรียนรัฐและเอกชน โรงเรียนนานาชาติ สถานกวดวิชาให้เสนอ ครม. เพื่อให้หน่วยงานไปดําเนินการหยุดหรือปิด กิจการเหล่านั้นไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว 2. สถานที่ที่มีคนชุมนุมกันคราวละมาก ๆ จัดกิจกรรมร่วม มีสัมผัสระหว่างกัน เช่น สนามมวย สนามกีฬา โรงมหรสพ โรงภาพยนตร์ ขอดูรายละเอียดกําหนดเกณฑ์ผู้ชุมนุม ส่วนสถานที่อื่น ร้านค้า ร้านอาหาร หรือสถานที่ไม่เข้าเกณฑ์ ยังสามารถเปิดดําเนินการได้ตามปกติ แต่ต้องมีมาตรการรองรับ เช่น วัดไข้ สวมหน้ากากอนามัย จัดที่นั่งให้ห่างกัน 1 เมตรหรือ 1 เมตรเศษ มีเจลล้างมือ หากพบว่ามีการฝ่าฝืนจะสั่งปิดหรือดําเนินการเป็นราย ๆ ต่อไป โดยอาศัยอํานาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ มาตรา 35 รวมถึงแนวคิดเหลื่อมเวลาทํางานและรับประทานอาหาร และการทํางานจากบ้าน ของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ เพื่อป้องกันไม่มีคนอยู่รวมกันแน่น เช่นเดียวกับเอกชนหลายแห่งได้ดําเนินการไปก่อนหน้านั้น นายกรัฐมนตรีกําชับมาตรการป้องกันว่า ต้องให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลตัวเองให้ถูกต้อง โดยสั่งการให้ทุกกระทรวงไปพิจารณาเรื่องกําหนดมาตรการเลื่อนหรือเหลื่อมเวลาทํางาน การทํางานที่บ้าน เพื่อลดจํานวนคน หลีกเลี่ยงการชุมนุมพร้อม ๆ กัน โดยให้กระทรวงรายงานให้ ครม.ทราบทุก ๆ 7 วัน รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นที่มีกําหนดการประชุมประจําปีในเดือน เม.ย. สามารถเลื่อนหรือให้ประชุมทางไกลผ่านวิดีโอคอนเฟเรนซ์ ซึ่งเป็นไปตามประกาศ คสช.ที่ 44/2557 สามารถทําได้ และด้านที่ 6 มาตรการเยียวยา กระทรวงการคลังรับที่จะไปพิจารณารายละเอียดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีภาระในการผ่อนหนี้รถ หนี้ที่อยู่อาศัย รวมทั้งการพิจารณาลดค่าเช่าในพื้นที่ของราชการ เป็นต้น
รองนายกรัฐมนตรีย้ําว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นในที่ประชุมว่า ไวรัสโควิด -19 เป็นวาระสําคัญที่สุดอับดับหนึ่งของประเทศ เรื่องอื่นไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ผลกระทบการท่องเที่ยว การค้าขาย มีความสําคัญเป็นลําดับสอง เพราะรัฐบาลถือชีวิตของประชาชนเป็นสําคัญยิ่ง เมื่อสถานการณ์เบาบางลง เศรษฐกิจสามารถฟื้นฟูเยียวยาได้ในเวลาต่อมา
โอกาสนี้ นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ย้ําการป้องกันตัวเองเพื่อเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด – 19 โดยหมั่นล้างมือ สวมใส่หน้ากากอนามัย ผู้มีอาการป่วยไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดทั่วไป ไข้หวัดใหญ่ ขอให้แยกตัวออกจากสถานที่ที่มีคนหมู่มาก หากมีอาการสุ่มเสี่ยงคล้ายโควิด – 19 ให้รีบมาโรงพยาบาลทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการติดต่อเป็นวงกว้าง มาตรการยกระดับการป้องกันให้มีความเข้มงวดมากขึ้น คือ เพิ่มระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) รวมถึงการเฝ้าระวังและติดตามอย่างเข้มข้น เตรียมความพร้อมบุคลากรทางการแพทย์และเวชภัณฑ์ ยารักษา การสื่อสารเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชนและตอบคําถามข้อสงสัยของประชาชน โฆษกกระทรวงสาธารณสุขยังได้ตอบกรณีค่าใช้จ่ายในการตรวจหาโควิด – 19 และการรักษาพยาบาลนั้นว่า หากผู้ใดที่มีประวัติเสี่ยง เช่น มีประวัติเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ มีการใกล้ชิดกับกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงนั้น สามารถเข้าตรวจ ณ โรงพยาบาลตามสิทธิของตน กรณีฉุกเฉินสามารถไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้ตามสิทธิการรักษาตามนโยบายรัฐเพื่อคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (UCEP) เมื่อแพทย์วินิจฉัยให้ตรวจการติดเชื้อโควิด – 19 จะไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่มีความแม่นยํา หากผลออกมาว่าเป็นบวกหรือติดเชื้อจะมีการตรวจซ้ําแห่งที่สองเพื่อยืนยัน หากผลเป็นลบ คือไม่ติดเชื้อไวรัส หากพบการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายอย่างไม่เป็นธรรม หรือมีข้อสงสัย สามารถสอบถามหรือแจ้งมาได้ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และ 1111 จากนั้น นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ได้กล่าวเสริมว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ายอดผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการชุมนุมของคนหมู่มาก และป้องกันดูแลตนเอง ถ้ามีอาการป่วยขอให้หยุดพัก ผู้ที่ไปในสถานที่เสี่ยงหรือกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงขอให้กักตัวสังเกตอาการอยู่บ้าน 14 วัน ถ้าพบว่าตนมีอาการเข้าเกณฑ์ของโรคให้เดินทางมาพบแพทย์ หรือโทรสายด่วน 1422 กรมควบคุมโรคเพื่อขอคําแนะนํา
ทั้งนี้ นางวราภรณ์ สุวรรณเจริญ ผู้อํานวยการกองจัดระบบราคาและปริมาณสินค้า 2 (ผู้เชี่ยวชาญ) กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ยืนยันปริมาณสินค้าที่มีอยู่ในขณะนี้ เพียงพอต่อความต้องการ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้หารือร่วมกับผู้ประกอบการ ห้างค้าส่ง-ค้าปลีก ถึงปริมาณสินค้าในปัจจุบัน และกําชับผู้ประกอบการให้เพิ่มรอบจัดวางสินค้าบนชั้นจําหน่าย ให้ทันต่อความต้องการของประชาชน ขอประชาชนอย่าได้วิตก
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์เเละเผยเเพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีลั่นรัฐบาลไม่ประมาท ยกระดับ 6 มาตรการสำคัญ ยืนยันไทยยังคงอยู่ในระยะที่ 2 เน้นลดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของกลุ่มคน (Social Distancing)
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563
รองนายกรัฐมนตรีลั่นรัฐบาลไม่ประมาท ยกระดับ 6 มาตรการสําคัญ ยืนยันไทยยังคงอยู่ในระยะที่ 2 เน้นลดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของกลุ่มคน (Social Distancing)
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ลั่นรัฐบาลไม่ประมาท ยกระดับ 6 มาตรการสําคัญ ยืนยันไทยยังคงอยู่ในระยะที่ 2 เน้นลดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของกลุ่มคน (Social Distancing)
วันนี้ (16 มี.ค. 2563) เวลา 15.45 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล COVID-19 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวงและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงชี้แจงข้อสงสัยเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กําชับการเตรียมความพร้อมทุกมิติทั้งเวชภัณฑ์ โรงพยาบาลและมาตรการต่าง ๆ ในการรองรับผู้ป่วยที่อาจเพิ่มมากขึ้นหรือเตรียมกรณีที่ต้องยกระดับเป็นระยะ 3 โดยมีทุกหน่วยงานร่วมประชุมเพื่อเตรียมปฏิบัติในส่วนของตนเอง สําหรับศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทํางานตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมชี้แจงความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาให้แก่พี่น้องประชาชน รวมทั้งยังเป็นศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ผ่านศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐ 1111 และเฟซบุ๊กกรมประชาสัมพันธ์
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ครั้งที่ 1 มีมติเห็นชอบตรงกันเตรียมความพร้อม 6 ด้าน โดยจะนําเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาพรุ่งนี้ (17 มี.ค.63) ประกอบด้วยด้านที่ 1 คือ ด้านสาธารณสุข เตรียมความพร้อมสถานพยาบาลทั้งของรัฐ เอกชน ท้องถิ่น มหาวิทยาลัย ทหาร ตํารวจ จัดสรรจํานวนตียงผู้ป่วย ความพร้อมบุคลากรทางการแพทย์ ยา เวชภัณฑ์ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้มีการอนุมัติค่าตอบแทนเป็นกรณีพิเศษให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในสถานการณ์รับมือป้องกันไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นี้ด้วย ด้านที่ 2 เวชภัณฑ์ โดยเฉพาะหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ได้เร่งกําลังกระบวนการผลิตให้มีจํานวนมากขึ้นให้ได้ประมาณวันละ 2 ล้านชิ้น โดยบางประเทศแจ้งพร้อมให้จัดส่งหน้ากากอนามัยเพื่อให้ความช่วยเหลือไทยด้วย นอกจากนี้ ยังจะเร่งผลิต แอลกอฮอล์และเจลล้างมือให้มากขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีเสนอให้นําหน้ากากอนามัยที่ยึดไว้ได้จํานวนมาก ที่ถือว่าเป็นของกลาง ให้ศูนย์ป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19 เพื่อแจกจ่ายไปตามสถานพยาบาลต่าง ๆ โดยไม่ให้เสียรูปคดี ด้านที่ 3 ด้านข้อมูล การชี้แจง การรับเรื่องราวและข้อร้องเรียน ซึ่งมีการรายงานว่า มีการร้องเรียนเข้ามายังศูนย์ข้อมูลโควิด -19 วันละประมาณหนึ่งพันราย ซึ่งได้ชี้แจงทําความเข้าใจ และแก้ปัญหาไปแล้ว 98 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือให้แก้ปัญหาต่อไป ด้านที่ 4 ด้านการต่างประเทศ รายงานว่า บางประเทศแสดงความปรารถนาดีที่จะให้ความช่วยเหลือด้านเวชภัณฑ์ คือ ยา หน้ากากอนามัย อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น กรณียกเลิกฟรีวีซ่าและวีโอเอนั้น ไม่มีประเทศใดขัดข้องทุกประเทศพร้อมและน้อมรับกับการดําเนินการของเรา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงคนไทยต่างประเทศต่าง ๆ และข้าราชการ ที่มีประมาณ 1.5 พันคน นักเรียนไทยในต่างประเทศนับพันคน พระภิกษุประมาณ 1.5 พันรูป แรงงานไทยที่ยังไม่กลับเข้ามาอีกนับเป็นแสนคน จึงได้สั่งการให้จัดตั้งทีมไทยแลนด์ในทุกประเทศเพื่อรับมือโควิด-19 โดยมีเอกอัครราชทูตประเทศนั้น ๆ เป็นหัวหน้าทีม เพื่อรับร้องเรียน ร้องทุกข์ ตลอดจนให้ข้อมูลข่าวสารเป็นทีมเฉพาะกิจ ด้านที่ 5 คือมาตรการป้องกัน เพื่อเตรียมรับมือสําหรับกรณีผู้ที่ยังไม่ได้ติดเชื้อหรือเจ็บป่วยจากไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แม้ไทยยังไม่มีการประกาศเข้าสู่ระยะที่ 3 แต่มีมาตรการเข้มงวดมากขึ้นในการตรวจคนเข้าเมืองทั้งทางบก น้ํา และอากาศ เช่น มีการสั่งยกเลิกวีซ่าฟรี และ Visa on Arrival การเข้าไทยต้องมีใบรับรองแพทย์ การประกันชีวิต การใช้แอปพลิเคชันติดตามตัวบุคคลที่เดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อเป็นประโยชน์ในการติดตามข้อมูล ยืนยันขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเมืองหรือปิดประเทศ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังได้หารือให้มีการงดวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ตั้งแต่ 13 – 15 เมษายน 2563 ออกไปก่อน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไว้รัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการและไม่เป็นวันหยุดงานของภาคเอกชน และจะให้ชดเชยวันหยุดให้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนการปิดหรือหยุด หรือระงับการเปิดสถานที่บางแห่ง ซึ่งเป็นที่ชุมนุมคนไปอยู่รวมกันจํานวนมาก ได้แบ่งออก 2 ลักษณะ คือ 1. สถานที่ใดซึ่งมีผู้คนไปชุมนุมกันคราวละมาก ๆ เป็นกิจวัตร และมีโอกาสเสี่ยงสูงเพรามีกิจกรรม สัมผัส พูดจาปราศรัยกันในที่คับแคบ แต่มีทางเลือกทางเลี่ยง ชดเชยการชุมนุมได้ เช่น มหาวิทยาลัยทั้งรัฐและเอกชน โรงเรียนรัฐและเอกชน โรงเรียนนานาชาติ สถานกวดวิชาให้เสนอ ครม. เพื่อให้หน่วยงานไปดําเนินการหยุดหรือปิด กิจการเหล่านั้นไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว 2. สถานที่ที่มีคนชุมนุมกันคราวละมาก ๆ จัดกิจกรรมร่วม มีสัมผัสระหว่างกัน เช่น สนามมวย สนามกีฬา โรงมหรสพ โรงภาพยนตร์ ขอดูรายละเอียดกําหนดเกณฑ์ผู้ชุมนุม ส่วนสถานที่อื่น ร้านค้า ร้านอาหาร หรือสถานที่ไม่เข้าเกณฑ์ ยังสามารถเปิดดําเนินการได้ตามปกติ แต่ต้องมีมาตรการรองรับ เช่น วัดไข้ สวมหน้ากากอนามัย จัดที่นั่งให้ห่างกัน 1 เมตรหรือ 1 เมตรเศษ มีเจลล้างมือ หากพบว่ามีการฝ่าฝืนจะสั่งปิดหรือดําเนินการเป็นราย ๆ ต่อไป โดยอาศัยอํานาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ มาตรา 35 รวมถึงแนวคิดเหลื่อมเวลาทํางานและรับประทานอาหาร และการทํางานจากบ้าน ของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ เพื่อป้องกันไม่มีคนอยู่รวมกันแน่น เช่นเดียวกับเอกชนหลายแห่งได้ดําเนินการไปก่อนหน้านั้น นายกรัฐมนตรีกําชับมาตรการป้องกันว่า ต้องให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลตัวเองให้ถูกต้อง โดยสั่งการให้ทุกกระทรวงไปพิจารณาเรื่องกําหนดมาตรการเลื่อนหรือเหลื่อมเวลาทํางาน การทํางานที่บ้าน เพื่อลดจํานวนคน หลีกเลี่ยงการชุมนุมพร้อม ๆ กัน โดยให้กระทรวงรายงานให้ ครม.ทราบทุก ๆ 7 วัน รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นที่มีกําหนดการประชุมประจําปีในเดือน เม.ย. สามารถเลื่อนหรือให้ประชุมทางไกลผ่านวิดีโอคอนเฟเรนซ์ ซึ่งเป็นไปตามประกาศ คสช.ที่ 44/2557 สามารถทําได้ และด้านที่ 6 มาตรการเยียวยา กระทรวงการคลังรับที่จะไปพิจารณารายละเอียดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีภาระในการผ่อนหนี้รถ หนี้ที่อยู่อาศัย รวมทั้งการพิจารณาลดค่าเช่าในพื้นที่ของราชการ เป็นต้น
รองนายกรัฐมนตรีย้ําว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นในที่ประชุมว่า ไวรัสโควิด -19 เป็นวาระสําคัญที่สุดอับดับหนึ่งของประเทศ เรื่องอื่นไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ผลกระทบการท่องเที่ยว การค้าขาย มีความสําคัญเป็นลําดับสอง เพราะรัฐบาลถือชีวิตของประชาชนเป็นสําคัญยิ่ง เมื่อสถานการณ์เบาบางลง เศรษฐกิจสามารถฟื้นฟูเยียวยาได้ในเวลาต่อมา
โอกาสนี้ นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ย้ําการป้องกันตัวเองเพื่อเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด – 19 โดยหมั่นล้างมือ สวมใส่หน้ากากอนามัย ผู้มีอาการป่วยไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดทั่วไป ไข้หวัดใหญ่ ขอให้แยกตัวออกจากสถานที่ที่มีคนหมู่มาก หากมีอาการสุ่มเสี่ยงคล้ายโควิด – 19 ให้รีบมาโรงพยาบาลทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการติดต่อเป็นวงกว้าง มาตรการยกระดับการป้องกันให้มีความเข้มงวดมากขึ้น คือ เพิ่มระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) รวมถึงการเฝ้าระวังและติดตามอย่างเข้มข้น เตรียมความพร้อมบุคลากรทางการแพทย์และเวชภัณฑ์ ยารักษา การสื่อสารเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชนและตอบคําถามข้อสงสัยของประชาชน โฆษกกระทรวงสาธารณสุขยังได้ตอบกรณีค่าใช้จ่ายในการตรวจหาโควิด – 19 และการรักษาพยาบาลนั้นว่า หากผู้ใดที่มีประวัติเสี่ยง เช่น มีประวัติเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ มีการใกล้ชิดกับกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงนั้น สามารถเข้าตรวจ ณ โรงพยาบาลตามสิทธิของตน กรณีฉุกเฉินสามารถไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้ตามสิทธิการรักษาตามนโยบายรัฐเพื่อคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (UCEP) เมื่อแพทย์วินิจฉัยให้ตรวจการติดเชื้อโควิด – 19 จะไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่มีความแม่นยํา หากผลออกมาว่าเป็นบวกหรือติดเชื้อจะมีการตรวจซ้ําแห่งที่สองเพื่อยืนยัน หากผลเป็นลบ คือไม่ติดเชื้อไวรัส หากพบการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายอย่างไม่เป็นธรรม หรือมีข้อสงสัย สามารถสอบถามหรือแจ้งมาได้ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และ 1111 จากนั้น นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ได้กล่าวเสริมว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ายอดผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการชุมนุมของคนหมู่มาก และป้องกันดูแลตนเอง ถ้ามีอาการป่วยขอให้หยุดพัก ผู้ที่ไปในสถานที่เสี่ยงหรือกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงขอให้กักตัวสังเกตอาการอยู่บ้าน 14 วัน ถ้าพบว่าตนมีอาการเข้าเกณฑ์ของโรคให้เดินทางมาพบแพทย์ หรือโทรสายด่วน 1422 กรมควบคุมโรคเพื่อขอคําแนะนํา
ทั้งนี้ นางวราภรณ์ สุวรรณเจริญ ผู้อํานวยการกองจัดระบบราคาและปริมาณสินค้า 2 (ผู้เชี่ยวชาญ) กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ยืนยันปริมาณสินค้าที่มีอยู่ในขณะนี้ เพียงพอต่อความต้องการ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้หารือร่วมกับผู้ประกอบการ ห้างค้าส่ง-ค้าปลีก ถึงปริมาณสินค้าในปัจจุบัน และกําชับผู้ประกอบการให้เพิ่มรอบจัดวางสินค้าบนชั้นจําหน่าย ให้ทันต่อความต้องการของประชาชน ขอประชาชนอย่าได้วิตก
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์เเละเผยเเพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27367
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะผู้นำศาสนาและผู้นำท้องถิ่นจังหวัดชายแดนใต้ ย้ำความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือเสาหลักของความสงบ
|
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560
นายกรัฐมนตรีพบปะผู้นําศาสนาและผู้นําท้องถิ่นจังหวัดชายแดนใต้ ย้ําความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือเสาหลักของความสงบ
นายกรัฐมนตรีพบปะผู้นําท้องถิ่นจังหวัดชายแดนใต้ เผยความสงบจะไม่เกิดขึ้นหากทุกภาคส่วนไม่ร่วมมือกัน
วันนี้ (27 พฤศจิกายน 2560) เวลา 17.20 น. ณ ห้องจัดเลี้ยงอาคารสมาคมนายทหารสัญญาบัตร กองพลทหารราบที่ 15 ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพบผู้นําท้องถิ่นของจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อรับทราบปัญหา ความเดือดร้อน และข้อเสนอแนะตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างรัฐบาลและผู้นําท้องถิ่นของจังหวัดชายแดนใต้
ภายหลังรับทราบปัญหา ความเดือดร้อน และข้อเสนอแนะจากผู้นําท้องถิ่น นายกรัฐมนตรีกล่าวพบปะกับผู้นําท้องถิ่นจังหวัดชายแดนใต้ ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงคือหน่วยงานเดียวกัน โดยจะเร่งขับเคลื่อนการทํางานให้รวดเร็วขึ้น ทั้งนี้ ต้องอาศัยการทํางานของผู้นําศาสนา และส่วนท้องถิ่นร่วมกันอย่างบูรณาการเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด ซึ่งภาคใต้มีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเรื่องทรัพยากรทางธรรมชาติ การท่องเที่ยว มีวัฒนธรรมที่โดดเด่น ไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหนทุกคนล้วนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งหมด ความสงบจะไม่เกิดขึ้นและไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้หากปราศจากความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
ในส่วนการดูแลศาสนา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลพร้อมดูแลทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมเป็นรูปธรรมและสันติวิธี ยืนยันรัฐบาลไม่ต้องการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ซึ่งผู้นําศาสนาต้องช่วยกันดูแลแก้ไขปัญหาในท้องถิ่น พยามยามขจัดความขัดแย้งในพื้นที่ของตัวเองให้ได้ ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ ทุกคนต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเตรียมความพร้อมรองรับการลงทุน ถ้าหากไม่มีการพัฒนาความเจริญเติบโตก็ไม่เกิดขึ้น ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ส่งเสริมเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ การดําเนินการต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามกลไกของกฎหมาย โดยเฉพาะผู้กระทําความผิดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ สําหรับการแก้ไขปัญหาขาดแคลนข้าราชการในพื้นที่ นายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ส่วนท้องถิ่นเสนอโครงการ เหตุผลต่อกระทรวงที่รับผิดชอบเพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การสอบเข้ารับราชการของพนักงาน ลูกจ้างที่เป็นคนท้องถิ่นอยู่แล้วให้เข้ารับราชการเพื่อสร้างขวัญกําลังใจต่อไป
———————————————
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะผู้นำศาสนาและผู้นำท้องถิ่นจังหวัดชายแดนใต้ ย้ำความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือเสาหลักของความสงบ
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560
นายกรัฐมนตรีพบปะผู้นําศาสนาและผู้นําท้องถิ่นจังหวัดชายแดนใต้ ย้ําความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือเสาหลักของความสงบ
นายกรัฐมนตรีพบปะผู้นําท้องถิ่นจังหวัดชายแดนใต้ เผยความสงบจะไม่เกิดขึ้นหากทุกภาคส่วนไม่ร่วมมือกัน
วันนี้ (27 พฤศจิกายน 2560) เวลา 17.20 น. ณ ห้องจัดเลี้ยงอาคารสมาคมนายทหารสัญญาบัตร กองพลทหารราบที่ 15 ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพบผู้นําท้องถิ่นของจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อรับทราบปัญหา ความเดือดร้อน และข้อเสนอแนะตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างรัฐบาลและผู้นําท้องถิ่นของจังหวัดชายแดนใต้
ภายหลังรับทราบปัญหา ความเดือดร้อน และข้อเสนอแนะจากผู้นําท้องถิ่น นายกรัฐมนตรีกล่าวพบปะกับผู้นําท้องถิ่นจังหวัดชายแดนใต้ ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงคือหน่วยงานเดียวกัน โดยจะเร่งขับเคลื่อนการทํางานให้รวดเร็วขึ้น ทั้งนี้ ต้องอาศัยการทํางานของผู้นําศาสนา และส่วนท้องถิ่นร่วมกันอย่างบูรณาการเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด ซึ่งภาคใต้มีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเรื่องทรัพยากรทางธรรมชาติ การท่องเที่ยว มีวัฒนธรรมที่โดดเด่น ไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหนทุกคนล้วนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งหมด ความสงบจะไม่เกิดขึ้นและไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้หากปราศจากความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
ในส่วนการดูแลศาสนา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลพร้อมดูแลทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมเป็นรูปธรรมและสันติวิธี ยืนยันรัฐบาลไม่ต้องการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ซึ่งผู้นําศาสนาต้องช่วยกันดูแลแก้ไขปัญหาในท้องถิ่น พยามยามขจัดความขัดแย้งในพื้นที่ของตัวเองให้ได้ ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ ทุกคนต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเตรียมความพร้อมรองรับการลงทุน ถ้าหากไม่มีการพัฒนาความเจริญเติบโตก็ไม่เกิดขึ้น ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ส่งเสริมเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ การดําเนินการต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามกลไกของกฎหมาย โดยเฉพาะผู้กระทําความผิดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ สําหรับการแก้ไขปัญหาขาดแคลนข้าราชการในพื้นที่ นายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ส่วนท้องถิ่นเสนอโครงการ เหตุผลต่อกระทรวงที่รับผิดชอบเพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การสอบเข้ารับราชการของพนักงาน ลูกจ้างที่เป็นคนท้องถิ่นอยู่แล้วให้เข้ารับราชการเพื่อสร้างขวัญกําลังใจต่อไป
———————————————
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8390
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ผนึกกำลัง พัฒนาบุคลากรขับเคลื่อนยุติวัณโรคในไทย
|
วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561
สธ. ผนึกกําลัง พัฒนาบุคลากรขับเคลื่อนยุติวัณโรคในไทย
กระทรวงสาธารณสุขผนึกกําลัง 3 หน่วยงาน กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ และกรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ พัฒนาศักยภาพบุคลากรสาธารณสุข ตามแนวทาง “ค้นให้พบ จบด้วยหาย พัฒนาระบบเครือข่าย นโยบายมุ่งมั่น สร้างสรรค์นวัตกรรม” เพื่อหยุดยั้งวัณโรคในประเทศไทย
กระทรวงสาธารณสุขผนึกกําลัง 3 หน่วยงาน กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ และกรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ พัฒนาศักยภาพบุคลากรสาธารณสุข ตามแนวทาง “ค้นให้พบ จบด้วยหาย พัฒนาระบบเครือข่าย นโยบายมุ่งมั่น สร้างสรรค์นวัตกรรม” เพื่อหยุดยั้งวัณโรคในประเทศไทย
บ่ายวันนี้ (8 สิงหาคม 2561) ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์ คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการต่อต้านวัณโรคระดับชาติ UNITE TO END TB TOGETHER WE CAN จัดโดยกรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ ตามแนวทางการควบคุมวัณโรคในประเทศไทย เน้นการระดมความคิด สร้างองค์ความรู้ และประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดอุบัติการณ์วัณโรคให้ได้ตามเป้าหมาย 88 ต่อประชากรแสนคน ภายในปี 2564 มีแพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักวิชาการสาธารณสุขและบุคลากรสาธารณสุข ร่วมประชุมกว่า 800 คน
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล ให้สัมภาษณ์ว่า องค์การอนามัยโลกจัดให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศของโลกที่มีภาวะวัณโรค วัณโรคที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไอวี และวัณโรคดื้อยาหลายขนาน โดยกําหนดเป้าหมายลดอุบัติการณ์วัณโรคให้ต่ํากว่า 10 ต่อแสนประชากรโลก ภายในปี พ.ศ.2578 สําหรับประเทศไทย ได้กําหนดแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านการต่อต้านวัณโรค พ.ศ.2560-2564 มีเป้าหมายลดอุบัติการณ์วัณโรคให้เหลือ 88 ต่อประชากรแสนคน ภายในปี 2564 ด้วยมุ่งเน้นแนวทาง “ค้นให้พบ จบด้วยหาย พัฒนาระบบเครือข่าย นโยบายมุ่งมั่น สร้างสรรค์นวัตกรรม” เพื่อให้ประชาชนในประเทศไทยปลอดจากเชื้อวัณโรคร่วมกันในอนาคต
ทั้งนี้ ในระยะปีที่ผ่านมาแผนงานควบคุมวัณโรคแห่งชาติ (National TB Program) ของประเทศไทย มีการปรับปรุงมาตรการอย่างต่อเนื่องทุกมิติ สามารถเพิ่มอัตรารักษาสําเร็จของผู้ป่วยวัณโรค ตามเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก มากกว่าร้อยละ 85 เป็นครั้งแรกของประเทศไทย และสามารถเร่งรัดค้นหาผู้ป่วยวัณโรคนําเข้าสู่ระบบการรักษา โดยเฉพาะการคัดกรองเพื่อค้นหาวัณโรคในเรือนจํา และดูแลบุคลากรสาธารณสุขทั่วประเทศกว่า 400,000 คน ด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ทันสมัยสามารถตรวจเชื้อได้ภายใน 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังสนับสนุนงบประมาณพัฒนาวิจัยและนวัตกรรม โดยมีการนําวิทยาการทันสมัยค้นหาผู้ติดเชื้อให้เข้าสู่กระบวนการรักษาวัณโรค ส่งเสริมการเข้าถึงระบบการดูแลรักษาที่ได้มาตรฐาน
****************************** 8 สิงหาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ผนึกกำลัง พัฒนาบุคลากรขับเคลื่อนยุติวัณโรคในไทย
วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561
สธ. ผนึกกําลัง พัฒนาบุคลากรขับเคลื่อนยุติวัณโรคในไทย
กระทรวงสาธารณสุขผนึกกําลัง 3 หน่วยงาน กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ และกรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ พัฒนาศักยภาพบุคลากรสาธารณสุข ตามแนวทาง “ค้นให้พบ จบด้วยหาย พัฒนาระบบเครือข่าย นโยบายมุ่งมั่น สร้างสรรค์นวัตกรรม” เพื่อหยุดยั้งวัณโรคในประเทศไทย
กระทรวงสาธารณสุขผนึกกําลัง 3 หน่วยงาน กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ และกรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ พัฒนาศักยภาพบุคลากรสาธารณสุข ตามแนวทาง “ค้นให้พบ จบด้วยหาย พัฒนาระบบเครือข่าย นโยบายมุ่งมั่น สร้างสรรค์นวัตกรรม” เพื่อหยุดยั้งวัณโรคในประเทศไทย
บ่ายวันนี้ (8 สิงหาคม 2561) ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์ คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการต่อต้านวัณโรคระดับชาติ UNITE TO END TB TOGETHER WE CAN จัดโดยกรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ ตามแนวทางการควบคุมวัณโรคในประเทศไทย เน้นการระดมความคิด สร้างองค์ความรู้ และประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดอุบัติการณ์วัณโรคให้ได้ตามเป้าหมาย 88 ต่อประชากรแสนคน ภายในปี 2564 มีแพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักวิชาการสาธารณสุขและบุคลากรสาธารณสุข ร่วมประชุมกว่า 800 คน
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล ให้สัมภาษณ์ว่า องค์การอนามัยโลกจัดให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศของโลกที่มีภาวะวัณโรค วัณโรคที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไอวี และวัณโรคดื้อยาหลายขนาน โดยกําหนดเป้าหมายลดอุบัติการณ์วัณโรคให้ต่ํากว่า 10 ต่อแสนประชากรโลก ภายในปี พ.ศ.2578 สําหรับประเทศไทย ได้กําหนดแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านการต่อต้านวัณโรค พ.ศ.2560-2564 มีเป้าหมายลดอุบัติการณ์วัณโรคให้เหลือ 88 ต่อประชากรแสนคน ภายในปี 2564 ด้วยมุ่งเน้นแนวทาง “ค้นให้พบ จบด้วยหาย พัฒนาระบบเครือข่าย นโยบายมุ่งมั่น สร้างสรรค์นวัตกรรม” เพื่อให้ประชาชนในประเทศไทยปลอดจากเชื้อวัณโรคร่วมกันในอนาคต
ทั้งนี้ ในระยะปีที่ผ่านมาแผนงานควบคุมวัณโรคแห่งชาติ (National TB Program) ของประเทศไทย มีการปรับปรุงมาตรการอย่างต่อเนื่องทุกมิติ สามารถเพิ่มอัตรารักษาสําเร็จของผู้ป่วยวัณโรค ตามเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก มากกว่าร้อยละ 85 เป็นครั้งแรกของประเทศไทย และสามารถเร่งรัดค้นหาผู้ป่วยวัณโรคนําเข้าสู่ระบบการรักษา โดยเฉพาะการคัดกรองเพื่อค้นหาวัณโรคในเรือนจํา และดูแลบุคลากรสาธารณสุขทั่วประเทศกว่า 400,000 คน ด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ทันสมัยสามารถตรวจเชื้อได้ภายใน 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังสนับสนุนงบประมาณพัฒนาวิจัยและนวัตกรรม โดยมีการนําวิทยาการทันสมัยค้นหาผู้ติดเชื้อให้เข้าสู่กระบวนการรักษาวัณโรค ส่งเสริมการเข้าถึงระบบการดูแลรักษาที่ได้มาตรฐาน
****************************** 8 สิงหาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14459
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี เปิดประชุมวิชาการ พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ครั้งที่ 21
|
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561
ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี เปิดประชุมวิชาการ พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ครั้งที่ 21
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรีในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เปิดประชุมวิชาการ พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ครั้งที่ 21 ประจําปี 2561 “โรงพยาบาลคุณธรรม ก้าวล้ําด้วยคุณภาพ”
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรีในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เปิดประชุมวิชาการ พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ครั้งที่ 21 ประจําปี 2561 “โรงพยาบาลคุณธรรม ก้าวล้ําด้วยคุณภาพ” กําหนดกรอบพัฒนาในทศวรรษที่ 5 ให้เป็นโรงพยาบาลต้นแบบแห่งความสุข ชุมชนมีสุขภาวะ ผู้รับบริการและบุคลากรมีความสุข
วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2561) ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เปิดประชุมวิชาการ พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ครั้งที่ 21 ประจําปี 2561 “โรงพยาบาลคุณธรรม ก้าวล้ําด้วยคุณภาพ” เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ทํางาน และนําไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ โดยมีพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 และนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะกรรมการมูลนิธิ ฯ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจากทั่วประเทศ เข้าร่วมการประชุมกว่า 400 คน
ศาสตราจารย์ นายแพทย์เกษม กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสําคัญ และสนับสนุนการพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั้ง 21 แห่งอย่างต่อเนื่อง ทําให้มีผลการปฏิบัติงานที่ดี ดูแลสุขภาพประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดารได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ สมดังเจตจํานงในการจัดตั้งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และเป็นโรงพยาบาลต้นแบบเป็นที่ยอมรับของประชาชน โดยมีมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสาขาซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาชน ให้ความสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการนอกจากนี้ ได้กําหนดนโยบายให้นําองค์กรคุณธรรมไปใช้ในการพัฒนาโรงพยาบาล ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีและความเป็นเลิศด้านการแพทย์
“เชื่อว่าการแพทย์ประกอบด้วยคุณภาพและคุณธรรมต้องไปด้วยกันเสมอ หน่วยงานด้านสาธารณสุขที่ดี บุคลากรสาธารณสุขที่ดี ต้องมีน้ําใจ มีความใจใส่ในประชาชนผู้รับบริการ องค์กรต้นแบบแห่งความสุข ต้องมีความสุขทั้งผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ชุมชน และองค์กร” ศาสตราจารย์ นายแพทย์เกษมกล่าว
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ ก่อกําเนิดจากแรงศรัทธาและความจงรักภักดีของพสกนิกรชาวไทยต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เพื่อเป็นการสนองพระราชประสงค์ที่ทรงห่วงใยประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดารให้ได้รับการรักษาพยาบาลเป็นอย่างดี กระทรวงสาธารณสุข ได้สนับสนุน ส่งเสริม พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทุกแห่ง ให้มีศักยภาพและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดทุกแห่งได้รับมาตรคุณภาพ HA และ 2 แห่ง ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานเจซีไอ (Joint Commission International) ได้แก่ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกระนวน
ในการให้บริการด้านสาธารณสุข ให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ในปีนี้ก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 กําหนดค่านิยมของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช คือ จงรักภักดี มีคุณธรรม นําสร้างความสุข กระทรวงสาธารณสุข จึงได้กําหนดกรอบและทิศทางการพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชให้เป็นโรงพยาบาลต้นแบบแห่งความสุข ชุมชนมีสุขภาวะ ผู้รับบริการและบุคลากรมีความสุข โดยนําแนวคิดโรงพยาบาลคุณธรรมและมุ่งเน้นการเป็นองค์กรแห่งความดีมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทุกแห่ง
******************************29 พฤศจิกายน 61
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี เปิดประชุมวิชาการ พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ครั้งที่ 21
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561
ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี เปิดประชุมวิชาการ พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ครั้งที่ 21
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรีในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เปิดประชุมวิชาการ พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ครั้งที่ 21 ประจําปี 2561 “โรงพยาบาลคุณธรรม ก้าวล้ําด้วยคุณภาพ”
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรีในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เปิดประชุมวิชาการ พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ครั้งที่ 21 ประจําปี 2561 “โรงพยาบาลคุณธรรม ก้าวล้ําด้วยคุณภาพ” กําหนดกรอบพัฒนาในทศวรรษที่ 5 ให้เป็นโรงพยาบาลต้นแบบแห่งความสุข ชุมชนมีสุขภาวะ ผู้รับบริการและบุคลากรมีความสุข
วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2561) ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เปิดประชุมวิชาการ พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ครั้งที่ 21 ประจําปี 2561 “โรงพยาบาลคุณธรรม ก้าวล้ําด้วยคุณภาพ” เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ทํางาน และนําไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ โดยมีพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 และนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะกรรมการมูลนิธิ ฯ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจากทั่วประเทศ เข้าร่วมการประชุมกว่า 400 คน
ศาสตราจารย์ นายแพทย์เกษม กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสําคัญ และสนับสนุนการพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั้ง 21 แห่งอย่างต่อเนื่อง ทําให้มีผลการปฏิบัติงานที่ดี ดูแลสุขภาพประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดารได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ สมดังเจตจํานงในการจัดตั้งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และเป็นโรงพยาบาลต้นแบบเป็นที่ยอมรับของประชาชน โดยมีมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสาขาซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาชน ให้ความสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการนอกจากนี้ ได้กําหนดนโยบายให้นําองค์กรคุณธรรมไปใช้ในการพัฒนาโรงพยาบาล ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีและความเป็นเลิศด้านการแพทย์
“เชื่อว่าการแพทย์ประกอบด้วยคุณภาพและคุณธรรมต้องไปด้วยกันเสมอ หน่วยงานด้านสาธารณสุขที่ดี บุคลากรสาธารณสุขที่ดี ต้องมีน้ําใจ มีความใจใส่ในประชาชนผู้รับบริการ องค์กรต้นแบบแห่งความสุข ต้องมีความสุขทั้งผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ชุมชน และองค์กร” ศาสตราจารย์ นายแพทย์เกษมกล่าว
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ ก่อกําเนิดจากแรงศรัทธาและความจงรักภักดีของพสกนิกรชาวไทยต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เพื่อเป็นการสนองพระราชประสงค์ที่ทรงห่วงใยประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดารให้ได้รับการรักษาพยาบาลเป็นอย่างดี กระทรวงสาธารณสุข ได้สนับสนุน ส่งเสริม พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทุกแห่ง ให้มีศักยภาพและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดทุกแห่งได้รับมาตรคุณภาพ HA และ 2 แห่ง ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานเจซีไอ (Joint Commission International) ได้แก่ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกระนวน
ในการให้บริการด้านสาธารณสุข ให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ในปีนี้ก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 กําหนดค่านิยมของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช คือ จงรักภักดี มีคุณธรรม นําสร้างความสุข กระทรวงสาธารณสุข จึงได้กําหนดกรอบและทิศทางการพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชให้เป็นโรงพยาบาลต้นแบบแห่งความสุข ชุมชนมีสุขภาวะ ผู้รับบริการและบุคลากรมีความสุข โดยนําแนวคิดโรงพยาบาลคุณธรรมและมุ่งเน้นการเป็นองค์กรแห่งความดีมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทุกแห่ง
******************************29 พฤศจิกายน 61
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17186
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ จุลพงษ์ เป็นประธานปิดโครงการปรับโครงสร้างปั้นนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ผ่านหลักสูตรภายใต้โครงการฯ
|
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563
รองปลัดฯ จุลพงษ์ เป็นประธานปิดโครงการปรับโครงสร้างปั้นนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ผ่านหลักสูตรภายใต้โครงการฯ
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานปิดโครงการปรับโครงสร้างปั้นนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม (AGROGENIUS ACADEMY) ประจําปีงบประมาณ 2562 ณ แม็คโคร สาขารามคําแหง 24
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2563) นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานปิดโครงการปรับโครงสร้างปั้นนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม (AGROGENIUS ACADEMY) ประจําปีงบประมาณ 2562 และมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ผ่านหลักสูตรภายใต้โครงการฯ โดยมีนายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วม ณ แม็คโคร สาขารามคําแหง 24
ทั้งนี้ยังได้เดินชมนิทรรศการซึ่งจัดแสดงสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม และชมกิจกรรม Business Matching สินค้าเกษตรอินทรีย์ของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ภายในบริเวณจําหน่ายสินค้าของแม็คโครอีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ จุลพงษ์ เป็นประธานปิดโครงการปรับโครงสร้างปั้นนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ผ่านหลักสูตรภายใต้โครงการฯ
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563
รองปลัดฯ จุลพงษ์ เป็นประธานปิดโครงการปรับโครงสร้างปั้นนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ผ่านหลักสูตรภายใต้โครงการฯ
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานปิดโครงการปรับโครงสร้างปั้นนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม (AGROGENIUS ACADEMY) ประจําปีงบประมาณ 2562 ณ แม็คโคร สาขารามคําแหง 24
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2563) นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานปิดโครงการปรับโครงสร้างปั้นนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม (AGROGENIUS ACADEMY) ประจําปีงบประมาณ 2562 และมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ผ่านหลักสูตรภายใต้โครงการฯ โดยมีนายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วม ณ แม็คโคร สาขารามคําแหง 24
ทั้งนี้ยังได้เดินชมนิทรรศการซึ่งจัดแสดงสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม และชมกิจกรรม Business Matching สินค้าเกษตรอินทรีย์ของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ภายในบริเวณจําหน่ายสินค้าของแม็คโครอีกด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26525
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ให้นโยบายศึกษานิเทศก์ใหม่
|
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561
รมว.ศธ.ให้นโยบายศึกษานิเทศก์ใหม่
รมว.ศึกษาธิการ "นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์" ให้นโยบายศึกษานิเทศก์ใหม่ ขอให้ดึงความสามารถของตนเองเต็มที่เพื่อช่วยยกระดับการศึกษา นํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ
รมว.ศึกษาธิการ "นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์" ให้นโยบายศึกษานิเทศก์ใหม่ขอให้ดึงความสามารถของตนเองเต็มที่เพื่อช่วยยกระดับการศึกษา นํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างครูกับฝ่ายบริหารโดยจะให้ สพฐ.ระดมพลังของศึกษานิเทศก์อาวุโสฝีมือดี ทํางานเก่ง มาถ่ายทอดประสบการณ์และร่วมพัฒนา ศน.รุ่นน้องให้เข็มแข็งมากยิ่งขึ้น
วันนี้ (19มี.ค.2561) ณ โรงแรมเอวาน่า กรุงเทพฯ -นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานเปิดการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนให้ดํารงตําแหน่งศึกษานิเทศก์ (ศน.) รุ่นที่ 9-13 ประจําปี 2561 โดยมีนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้บริหาร และผู้เข้ารับการพัฒนาในรุ่นนี้เข้าร่วมกว่า 300 คน
รมว.ศึกษาธิการกล่าวในพิธีเปิดตอนหนึ่งว่า PISA คือการประเมินระดับนานาชาติ ที่เป็นปรอทวัดอุณหภูมิทางการศึกษาของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ในส่วนของไทย ศน.จําเป็นต้องอ่านผลและศึกษาวิเคราะห์ เพื่อนําไปใช้และให้ข้อชี้แนะการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เช่น การกระจายของข้อมูลและคะแนน, ช่องว่างของคะแนนเด็กไทย, เหตุใดเด็กที่ยากจนที่สุดและพ่อแม่ไม่สนใจการศึกษา 10% ของเวียดนาม จึงสามารถทําคะแนนได้สูงเท่ากับเด็กในประเทศที่เจริญแล้ว เป็นต้น
จึงถือว่าเป็นความจําเป็นที่จะต้องยกระดับบทบาทของ ศน.ให้เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกันคุณภาพการศึกษารูปแบบใหม่ ตามกฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ.2561 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างวางกรอบมาตรฐานการศึกษาเพื่อใช้ประเมินคุณภาพของโรงเรียน โดยโรงเรียนต้องประเมินคุณภาพการจัดการเรียนการสอน (Self Assessment) ของตนเองเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงแสดงผลงานและรางวัล (พร้อมหลักฐานประกอบ) อย่างเป็นรูปธรรม และสุดท้ายคือวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้นได้อย่างไร
ทั้งนี้ ขอให้ศน.มีส่วนสําคัญต่อการประกันคุณภาพเพื่อพัฒนาโรงเรียนอย่างกัลยาณมิตรช่วยสร้างศรัทธาและความเคารพของครูและโรงเรียนด้วยผลงานวิชาการและความตั้งมั่นที่จะพัฒนาโรงเรียนร่วมกัน ไม่เพียงเฉพาะผลสัมฤทธิ์จากคะแนนสอบเท่านั้น แต่จะต้องไปติดตามกระบวนการจัดการเรียนการสอนวิเคราะห์และประเมินผลเพื่อพัฒนาบนพื้นฐานบริบทของโรงเรียน และสะท้อนความคิดเห็นและอุปสรรคการทํางานของครูกลับมายังฝ่ายบริหารด้วย เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันและพัฒนางานให้ก้าวหน้ารวดเร็วมากขึ้น
ส่วนการประเมินของ ศน.นั้นส่วนกลางจะช่วยออกแบบและกําหนดรายละเอียดงาน (JobDescriptions) ว่ามีงานใดที่ต้องทําบ้าง จากนั้นเป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องทําความเข้าใจในงานหรือลักษณะงานที่ต้องปฏิบัติเป็นอย่างดี เพื่อรับการประเมินในมิติต่าง ๆ เช่นเดียวกันแต่ไม่มีข้อกังวลใด ๆ เกี่ยวกับศึกษานิเทศก์ที่จะบรรจุแต่งตั้งใหม่ เพราะมองเห็นถึงความตั้งใจของทุกคน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ทํางานวิชาการโดยไม่มีอํานาจแฝงอยู่แล้ว เพียงแต่ขอให้ดึงความเก่งความสามารถของตนเองออกมาอย่างเต็มที่เพื่อช่วยยกระดับการศึกษา และนํานโยบายสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ พร้อมเป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างครูกับฝ่ายบริหารด้วยโดยขอให้เลขาธิการ กพฐ. ระดมพลังของศึกษานิเทศก์อาวุโสฝีมือดี ทํางานเก่ง และพร้อมที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ มาร่วมกันพัฒนา ศน.รุ่นน้องให้เข็มแข็งมากขึ้นต่อไป
ในโอกาสนี้ รมว.ศธ.ได้ตอบข้อซักถามของผู้เข้ารับการพัฒนาในประเด็นต่าง ๆ อาทิ
Q: จะทําให้คนเห็นความสําคัญของ ศน.ได้อย่างไร
A: การให้ข้อเสนอแนะแก่โรงเรียนต้องมีพลัง อยู่บนพื้นฐานหลักวิชาการ มีข้อมูลและเหตุผลรองรับ พร้อม ๆ กับควรเพิ่มความจริงจังในการทํางาน หรืออาจจะต้องมีการให้คุณให้โทษบ้าง แต่ก็ต้องมีความยุติธรรมและคงไว้ซึ่งความเป็นกัลยาณมิตร เช่น การดําเนินโครงการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ ซึ่งต้องการให้โรงเรียนมีการประเมินผลและปรับเปลี่ยนไปตามบริบทเป็นระยะ ซึ่งมีหลายโรงเรียนทําได้ดี เด็กมีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น แต่บางโรงเรียนก็ยังใช้กิจกรรมเดิม ๆ จึงควรปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มกิจกรรมบ้าง อย่างไรก็ตาม ในโรงเรียนระดับมัธยมที่สอนไม่ทันอยู่แล้ว หากจะลดเวลาเรียนอีกอาจทําให้ผลการเรียนแย่ลง ซึ่งก็ต้องหารือร่วมกันและเสนอแนวทางในการปรับเปลี่ยนต่อไป
Q: จํานวนตําแหน่งที่จะรองรับและระยะเวลาที่ใช้ในการบรรจุแต่งตั้ง
A: เมื่อเข้ารับการพัฒนาจนจบหลักสูตรและผ่านเกณฑ์ประเมิน ก็จะได้รับเกียรติบัตรผู้ผ่านการพัฒนา จากนั้นจะนําเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดเพื่ออนุมัติต่อไป โดยขณะนี้มีตําแหน่งรองรับและเพียงพอที่จะบรรจุแต่งตั้งผู้เข้ารับการพัฒนาทุกคนอยู่แล้ว
Q: งานหรือนโยบายแรกที่จะฝากให้ ศน.ช่วยนําสู่การปฏิบัติคืออะไร
A: งานแรกก็คือ การทําความเข้าใจในรายละเอียดงาน (JobDescriptions) ของ ศน. ซึ่งส่วนกลางจะเป็นผู้กําหนด แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องทําได้ คือการประเมินเพื่อประกันคุณภาพโรงเรียน ที่จะทําให้โรงเรียนดีขึ้นและมีคุณภาพตามกรอบการประกันคุณภาพการศึกษา ตามกฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ.2561 ฉบับใหม่ หลังจากนั้นจะขอให้สร้างแรงจูงใจให้นักเรียนกระตือรือร้นที่จะเรียนหนังสือ รวมทั้งติดตามการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาในระบบคูปองครู เป็นต้น
Q: จะทําอย่างไรให้ ศน. มีมาตรฐานการทํางานในทิศทางเดียวกัน
A: อันดับแรกทุกคนต้องเข้าใจรายละเอียดงานและงานที่ต้องทําก่อน จึงจะสามารถประเมินตนเองว่า ทํางานเป็นไปตามกรอบมาตรฐานการศึกษา เช่นเดียวกับที่ต้องไปประกันคุณภาพโรงเรียนหรือไม่ และขณะนี้อยู่ระหว่างการวางกรอบมาตรฐานการศึกษาใกล้เสร็จสิ้นแล้ว เมื่อเสร็จสมบูรณ์จะมีการประกาศให้ทราบต่อไป
"การพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนให้ดํารงตําแหน่งศึกษานิเทศก์ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสมรรถนะ ความรู้ ทักษะ เจตคติ ตลอดจนความพร้อมก่อนดํารงตําแหน่ง โดยมีการเสริมสร้างสมรรถนะ รวมทั้งฝึกประสบการณ์ในสถานศึกษาและสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา และการนําเสนอการฝึกประสบการณ์นิเทศการศึกษา ในปีนี้มีผู้เข้ารับการพัฒนารวมทั้งสิ้น 1,001 คน เข้าอบรมพัฒนาเป็นระยะเวลา 32 วัน จัดอบรมใน 5 หน่วยพัฒนา ทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่
- รุ่นที่ 9 ภาคกลาง โรงแรมเอวาน่า กรุงเทพฯ
- รุ่นที่ 10 ภาคเหนือ โรงแรมอัมรินทร์ ลากูน พิษณุโลก
- รุ่นที่ 11 ภาคใต้ โรงแรมทวิน โลตัส นครศรีธรรมราช
- รุ่นที่ 12 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โรงแรมวีวิช ขอนแก่น
- รุ่นที่ 13 โรงแรมเดอ ศิตา ปริ๊นเซส บุรีรัมย์"
Written byนวรัตน์ รามสูต
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ให้นโยบายศึกษานิเทศก์ใหม่
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561
รมว.ศธ.ให้นโยบายศึกษานิเทศก์ใหม่
รมว.ศึกษาธิการ "นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์" ให้นโยบายศึกษานิเทศก์ใหม่ ขอให้ดึงความสามารถของตนเองเต็มที่เพื่อช่วยยกระดับการศึกษา นํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ
รมว.ศึกษาธิการ "นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์" ให้นโยบายศึกษานิเทศก์ใหม่ขอให้ดึงความสามารถของตนเองเต็มที่เพื่อช่วยยกระดับการศึกษา นํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างครูกับฝ่ายบริหารโดยจะให้ สพฐ.ระดมพลังของศึกษานิเทศก์อาวุโสฝีมือดี ทํางานเก่ง มาถ่ายทอดประสบการณ์และร่วมพัฒนา ศน.รุ่นน้องให้เข็มแข็งมากยิ่งขึ้น
วันนี้ (19มี.ค.2561) ณ โรงแรมเอวาน่า กรุงเทพฯ -นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานเปิดการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนให้ดํารงตําแหน่งศึกษานิเทศก์ (ศน.) รุ่นที่ 9-13 ประจําปี 2561 โดยมีนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้บริหาร และผู้เข้ารับการพัฒนาในรุ่นนี้เข้าร่วมกว่า 300 คน
รมว.ศึกษาธิการกล่าวในพิธีเปิดตอนหนึ่งว่า PISA คือการประเมินระดับนานาชาติ ที่เป็นปรอทวัดอุณหภูมิทางการศึกษาของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ในส่วนของไทย ศน.จําเป็นต้องอ่านผลและศึกษาวิเคราะห์ เพื่อนําไปใช้และให้ข้อชี้แนะการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เช่น การกระจายของข้อมูลและคะแนน, ช่องว่างของคะแนนเด็กไทย, เหตุใดเด็กที่ยากจนที่สุดและพ่อแม่ไม่สนใจการศึกษา 10% ของเวียดนาม จึงสามารถทําคะแนนได้สูงเท่ากับเด็กในประเทศที่เจริญแล้ว เป็นต้น
จึงถือว่าเป็นความจําเป็นที่จะต้องยกระดับบทบาทของ ศน.ให้เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกันคุณภาพการศึกษารูปแบบใหม่ ตามกฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ.2561 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างวางกรอบมาตรฐานการศึกษาเพื่อใช้ประเมินคุณภาพของโรงเรียน โดยโรงเรียนต้องประเมินคุณภาพการจัดการเรียนการสอน (Self Assessment) ของตนเองเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงแสดงผลงานและรางวัล (พร้อมหลักฐานประกอบ) อย่างเป็นรูปธรรม และสุดท้ายคือวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้นได้อย่างไร
ทั้งนี้ ขอให้ศน.มีส่วนสําคัญต่อการประกันคุณภาพเพื่อพัฒนาโรงเรียนอย่างกัลยาณมิตรช่วยสร้างศรัทธาและความเคารพของครูและโรงเรียนด้วยผลงานวิชาการและความตั้งมั่นที่จะพัฒนาโรงเรียนร่วมกัน ไม่เพียงเฉพาะผลสัมฤทธิ์จากคะแนนสอบเท่านั้น แต่จะต้องไปติดตามกระบวนการจัดการเรียนการสอนวิเคราะห์และประเมินผลเพื่อพัฒนาบนพื้นฐานบริบทของโรงเรียน และสะท้อนความคิดเห็นและอุปสรรคการทํางานของครูกลับมายังฝ่ายบริหารด้วย เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันและพัฒนางานให้ก้าวหน้ารวดเร็วมากขึ้น
ส่วนการประเมินของ ศน.นั้นส่วนกลางจะช่วยออกแบบและกําหนดรายละเอียดงาน (JobDescriptions) ว่ามีงานใดที่ต้องทําบ้าง จากนั้นเป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องทําความเข้าใจในงานหรือลักษณะงานที่ต้องปฏิบัติเป็นอย่างดี เพื่อรับการประเมินในมิติต่าง ๆ เช่นเดียวกันแต่ไม่มีข้อกังวลใด ๆ เกี่ยวกับศึกษานิเทศก์ที่จะบรรจุแต่งตั้งใหม่ เพราะมองเห็นถึงความตั้งใจของทุกคน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ทํางานวิชาการโดยไม่มีอํานาจแฝงอยู่แล้ว เพียงแต่ขอให้ดึงความเก่งความสามารถของตนเองออกมาอย่างเต็มที่เพื่อช่วยยกระดับการศึกษา และนํานโยบายสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ พร้อมเป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างครูกับฝ่ายบริหารด้วยโดยขอให้เลขาธิการ กพฐ. ระดมพลังของศึกษานิเทศก์อาวุโสฝีมือดี ทํางานเก่ง และพร้อมที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ มาร่วมกันพัฒนา ศน.รุ่นน้องให้เข็มแข็งมากขึ้นต่อไป
ในโอกาสนี้ รมว.ศธ.ได้ตอบข้อซักถามของผู้เข้ารับการพัฒนาในประเด็นต่าง ๆ อาทิ
Q: จะทําให้คนเห็นความสําคัญของ ศน.ได้อย่างไร
A: การให้ข้อเสนอแนะแก่โรงเรียนต้องมีพลัง อยู่บนพื้นฐานหลักวิชาการ มีข้อมูลและเหตุผลรองรับ พร้อม ๆ กับควรเพิ่มความจริงจังในการทํางาน หรืออาจจะต้องมีการให้คุณให้โทษบ้าง แต่ก็ต้องมีความยุติธรรมและคงไว้ซึ่งความเป็นกัลยาณมิตร เช่น การดําเนินโครงการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ ซึ่งต้องการให้โรงเรียนมีการประเมินผลและปรับเปลี่ยนไปตามบริบทเป็นระยะ ซึ่งมีหลายโรงเรียนทําได้ดี เด็กมีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น แต่บางโรงเรียนก็ยังใช้กิจกรรมเดิม ๆ จึงควรปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มกิจกรรมบ้าง อย่างไรก็ตาม ในโรงเรียนระดับมัธยมที่สอนไม่ทันอยู่แล้ว หากจะลดเวลาเรียนอีกอาจทําให้ผลการเรียนแย่ลง ซึ่งก็ต้องหารือร่วมกันและเสนอแนวทางในการปรับเปลี่ยนต่อไป
Q: จํานวนตําแหน่งที่จะรองรับและระยะเวลาที่ใช้ในการบรรจุแต่งตั้ง
A: เมื่อเข้ารับการพัฒนาจนจบหลักสูตรและผ่านเกณฑ์ประเมิน ก็จะได้รับเกียรติบัตรผู้ผ่านการพัฒนา จากนั้นจะนําเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดเพื่ออนุมัติต่อไป โดยขณะนี้มีตําแหน่งรองรับและเพียงพอที่จะบรรจุแต่งตั้งผู้เข้ารับการพัฒนาทุกคนอยู่แล้ว
Q: งานหรือนโยบายแรกที่จะฝากให้ ศน.ช่วยนําสู่การปฏิบัติคืออะไร
A: งานแรกก็คือ การทําความเข้าใจในรายละเอียดงาน (JobDescriptions) ของ ศน. ซึ่งส่วนกลางจะเป็นผู้กําหนด แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องทําได้ คือการประเมินเพื่อประกันคุณภาพโรงเรียน ที่จะทําให้โรงเรียนดีขึ้นและมีคุณภาพตามกรอบการประกันคุณภาพการศึกษา ตามกฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ.2561 ฉบับใหม่ หลังจากนั้นจะขอให้สร้างแรงจูงใจให้นักเรียนกระตือรือร้นที่จะเรียนหนังสือ รวมทั้งติดตามการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาในระบบคูปองครู เป็นต้น
Q: จะทําอย่างไรให้ ศน. มีมาตรฐานการทํางานในทิศทางเดียวกัน
A: อันดับแรกทุกคนต้องเข้าใจรายละเอียดงานและงานที่ต้องทําก่อน จึงจะสามารถประเมินตนเองว่า ทํางานเป็นไปตามกรอบมาตรฐานการศึกษา เช่นเดียวกับที่ต้องไปประกันคุณภาพโรงเรียนหรือไม่ และขณะนี้อยู่ระหว่างการวางกรอบมาตรฐานการศึกษาใกล้เสร็จสิ้นแล้ว เมื่อเสร็จสมบูรณ์จะมีการประกาศให้ทราบต่อไป
"การพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนให้ดํารงตําแหน่งศึกษานิเทศก์ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสมรรถนะ ความรู้ ทักษะ เจตคติ ตลอดจนความพร้อมก่อนดํารงตําแหน่ง โดยมีการเสริมสร้างสมรรถนะ รวมทั้งฝึกประสบการณ์ในสถานศึกษาและสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา และการนําเสนอการฝึกประสบการณ์นิเทศการศึกษา ในปีนี้มีผู้เข้ารับการพัฒนารวมทั้งสิ้น 1,001 คน เข้าอบรมพัฒนาเป็นระยะเวลา 32 วัน จัดอบรมใน 5 หน่วยพัฒนา ทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่
- รุ่นที่ 9 ภาคกลาง โรงแรมเอวาน่า กรุงเทพฯ
- รุ่นที่ 10 ภาคเหนือ โรงแรมอัมรินทร์ ลากูน พิษณุโลก
- รุ่นที่ 11 ภาคใต้ โรงแรมทวิน โลตัส นครศรีธรรมราช
- รุ่นที่ 12 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โรงแรมวีวิช ขอนแก่น
- รุ่นที่ 13 โรงแรมเดอ ศิตา ปริ๊นเซส บุรีรัมย์"
Written byนวรัตน์ รามสูต
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10877
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แจ่ม! หน้ากากแฟชั่นผ้าบาติก โผล่งานมหกรรมการค้าชายแดนใต้ จุรินทร์-นิพนธ์ เชียร์ทำใช้ในท้องถิ่นและใช้ทดแทนตามที่ ก.สาธารณสุขแนะนำได้
|
วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563
แจ่ม! หน้ากากแฟชั่นผ้าบาติก โผล่งานมหกรรมการค้าชายแดนใต้ จุรินทร์-นิพนธ์ เชียร์ทําใช้ในท้องถิ่นและใช้ทดแทนตามที่ ก.สาธารณสุขแนะนําได้
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เยี่ยมชมบูธสินค้าหัตถกรรม งานผีมือผ้าบาติก สินค้าเด่นประจําท้องถิ่น แต่ละจังหวัดของภาคใต้
และอื่นๆในงานมหกรรมการค้าชายแดน ที่มีตั้งแต่ 13-16 กพ.2563 อําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และหลังพิธีเปิดเมื่อเวลา 20.30 น.ระหว่างเดินเยี่ยมชม รัฐมนตรีทั้ง 2 ให้ความสนใจบูธผ้าบาติก ซึ่งส่วนหนึ่งใช้ผ้าประจําถิ่นประดิษฐ์เป็นหน้ากากใช้ทดแทนหน้ากากอนามัย ในระดับหนึ่ง และที่น่าสนใจคือทําเป็นลวดลายแฟชั่นสวยงาม
โดยนายจุรินทร์ ทดลองใช้ พร้อมกล่าวว่า ลักษณะ หน้ากากผ้าเช่นนี้ กระทรวงสาธารณสุข (กรมอนามัย และ สํานักงานอาหารและยา ) เคยให้ข้อมูลว่าสามารถใช้ทดแทนป้องกันการติดต่อโรคได้ในระดับหนึ่ง โดยประชาชนทั่วไปใช้ได้เป็นผลิตภัณฑ์ ยกเว้นที่ไม่เกี่ยวกับทางการแพทย์ และรัฐบาลกําลังส่งเสริมให้ตัดเย็บหน้ากากผ้าเช่นนี้ โดยให้หน่วยการปกครองท้องถิ่นส่งเสริม ทั่วประเทศภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย โดยได้ดําเนินการส่งเสริมให้หน่วยการปกครองท้องถิ่นจะทําหน้ากากผ้าขึ้นมาเพื่อใช้ทดแทนกรณีหน้ากากที่ผลิตโดยโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยทั่วไป ไม่สามารถดําเนินการได้ทันเพราะความต้องการเพิ่มสูงมาก อย่างไรก็ตามหน้ากากผ้านี้เหมือนกับเป็นแฟชั่นไปด้วย
" สวยครับอันนี้ออกแบบดีด้วย อันนี้เขายี่ห้อ Ise Mask โรงงานอยู่ในนราธิวาส เพราะฉะนั้นกลุ่มแม่บ้านหรือหน่วยการปกครองท้องถิ่นทั่วประเทศสามารถที่จะไปใช้ออกแบบเพิ่มเติมได้ ที่นี่เป็นผ้านาโน นวัตกรรมนาโน ของจังหวัดปัตตานี มีโรงงานอยู่ที่นราธิวาส แบบนี้ต้องส่งเสริมให้หน่อยการปกครองท้องถิ่นตัดเย็บใช้กันเองหรือขายกันเองในหน่วยการปกครองท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อที่จะใช้ทดแทนหน้ากากที่ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม และสามารถป้องกันได้ใกล้เคียงกัน ทางกระทรวงสาธารณสุขออกมาแถลงข่าวแล้ว" นายจุรินทร์ กล่าว
สําหรับมหกรรมการค้าชายแดน ครั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ยังมีกําหนดการกิจกรรมส่งเสริมการค้าชายแดนภาคใต้ ณ อําเภอเมืองจังหวัดนราธิวาส เป็นวันที่2 คือเวลา 9.00 น.วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2563 ) นายจุรินทร์จะเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความ ร่วมมือร่วมกันระหว่างธนาคารไทยกับมาเลเซีย คือ EXIM Bank ไทย กับ EXIM Bank มาเลเซีย และอีกคู่คือ SME Bank ไทย และ SME Bank มาเลเซีย ที่โรงแรมอิมพีเรียล จากนั้นเป็นการพบปะชมกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ ระหว่างผู้ประกอบ 14 จังหวัดภาคใต้ของไทย กับผู้ประกอบการมาเลเซีย โรงแรมอิมพีเรียล ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จากนั้นต่อเนื่องด้วยการเป็นประธานการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนไทย - มาเลเซีย และเวลา 11.15 น.จะประธานเปิดงานสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาสินค้าท่องเที่ยวสู่การส่งออก” ที่โรงแรมอิมพีเรียล เช่นกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แจ่ม! หน้ากากแฟชั่นผ้าบาติก โผล่งานมหกรรมการค้าชายแดนใต้ จุรินทร์-นิพนธ์ เชียร์ทำใช้ในท้องถิ่นและใช้ทดแทนตามที่ ก.สาธารณสุขแนะนำได้
วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563
แจ่ม! หน้ากากแฟชั่นผ้าบาติก โผล่งานมหกรรมการค้าชายแดนใต้ จุรินทร์-นิพนธ์ เชียร์ทําใช้ในท้องถิ่นและใช้ทดแทนตามที่ ก.สาธารณสุขแนะนําได้
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เยี่ยมชมบูธสินค้าหัตถกรรม งานผีมือผ้าบาติก สินค้าเด่นประจําท้องถิ่น แต่ละจังหวัดของภาคใต้
และอื่นๆในงานมหกรรมการค้าชายแดน ที่มีตั้งแต่ 13-16 กพ.2563 อําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และหลังพิธีเปิดเมื่อเวลา 20.30 น.ระหว่างเดินเยี่ยมชม รัฐมนตรีทั้ง 2 ให้ความสนใจบูธผ้าบาติก ซึ่งส่วนหนึ่งใช้ผ้าประจําถิ่นประดิษฐ์เป็นหน้ากากใช้ทดแทนหน้ากากอนามัย ในระดับหนึ่ง และที่น่าสนใจคือทําเป็นลวดลายแฟชั่นสวยงาม
โดยนายจุรินทร์ ทดลองใช้ พร้อมกล่าวว่า ลักษณะ หน้ากากผ้าเช่นนี้ กระทรวงสาธารณสุข (กรมอนามัย และ สํานักงานอาหารและยา ) เคยให้ข้อมูลว่าสามารถใช้ทดแทนป้องกันการติดต่อโรคได้ในระดับหนึ่ง โดยประชาชนทั่วไปใช้ได้เป็นผลิตภัณฑ์ ยกเว้นที่ไม่เกี่ยวกับทางการแพทย์ และรัฐบาลกําลังส่งเสริมให้ตัดเย็บหน้ากากผ้าเช่นนี้ โดยให้หน่วยการปกครองท้องถิ่นส่งเสริม ทั่วประเทศภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย โดยได้ดําเนินการส่งเสริมให้หน่วยการปกครองท้องถิ่นจะทําหน้ากากผ้าขึ้นมาเพื่อใช้ทดแทนกรณีหน้ากากที่ผลิตโดยโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยทั่วไป ไม่สามารถดําเนินการได้ทันเพราะความต้องการเพิ่มสูงมาก อย่างไรก็ตามหน้ากากผ้านี้เหมือนกับเป็นแฟชั่นไปด้วย
" สวยครับอันนี้ออกแบบดีด้วย อันนี้เขายี่ห้อ Ise Mask โรงงานอยู่ในนราธิวาส เพราะฉะนั้นกลุ่มแม่บ้านหรือหน่วยการปกครองท้องถิ่นทั่วประเทศสามารถที่จะไปใช้ออกแบบเพิ่มเติมได้ ที่นี่เป็นผ้านาโน นวัตกรรมนาโน ของจังหวัดปัตตานี มีโรงงานอยู่ที่นราธิวาส แบบนี้ต้องส่งเสริมให้หน่อยการปกครองท้องถิ่นตัดเย็บใช้กันเองหรือขายกันเองในหน่วยการปกครองท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อที่จะใช้ทดแทนหน้ากากที่ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม และสามารถป้องกันได้ใกล้เคียงกัน ทางกระทรวงสาธารณสุขออกมาแถลงข่าวแล้ว" นายจุรินทร์ กล่าว
สําหรับมหกรรมการค้าชายแดน ครั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ยังมีกําหนดการกิจกรรมส่งเสริมการค้าชายแดนภาคใต้ ณ อําเภอเมืองจังหวัดนราธิวาส เป็นวันที่2 คือเวลา 9.00 น.วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2563 ) นายจุรินทร์จะเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความ ร่วมมือร่วมกันระหว่างธนาคารไทยกับมาเลเซีย คือ EXIM Bank ไทย กับ EXIM Bank มาเลเซีย และอีกคู่คือ SME Bank ไทย และ SME Bank มาเลเซีย ที่โรงแรมอิมพีเรียล จากนั้นเป็นการพบปะชมกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ ระหว่างผู้ประกอบ 14 จังหวัดภาคใต้ของไทย กับผู้ประกอบการมาเลเซีย โรงแรมอิมพีเรียล ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จากนั้นต่อเนื่องด้วยการเป็นประธานการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนไทย - มาเลเซีย และเวลา 11.15 น.จะประธานเปิดงานสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาสินค้าท่องเที่ยวสู่การส่งออก” ที่โรงแรมอิมพีเรียล เช่นกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26609
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยรอบ 3 เดือน มีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตรับบริการโครงการ UCEP 3,515 ราย
|
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560
สธ. เผยรอบ 3 เดือน มีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตรับบริการโครงการ UCEP 3,515 ราย
กระทรวงสาธารณสุข เผยโครงการ “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” ตั้งแต่เริ่มโครงการ 1 เมษายน 2560 จนถึงขณะนี้ มีผู้ป่วยทุกสิทธิการรักษารับบริการ 3,515 ราย ย้ําประชาชนหากเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต
ขอให้ไปโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่ใกล้ที่สุด หรือโทรขอความช่วยเหลือ 1669 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ถึงมือหมอเร็วที่สุด เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและลดความพิการให้น้อยที่สุด
วันนี้ (23 มิถุนายน 2560) นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันดําเนินงานตามนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP) ของรัฐบาล ที่ต้องการให้ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะฉุกเฉินวิกฤตทุกคน ไม่ว่าสิทธิใดก็ตาม ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและลดความพิการให้น้อยที่สุด โดยไม่ต้องสํารองเงินค่ารักษาพยาบาลในระยะเบื้องต้น 72 ชั่วโมงแรก ผลการดําเนินงานตั้งแต่เริ่มโครงการ 1 เมษายน – 22 มิถุนายน 2560 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต 3,515 ราย จากผู้ขอใช้สิทธิทั้งหมด 7,655 ราย มากที่สุดคือ สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รองลงมาคือสิทธิประกันสังคม สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และกองทุนอื่นๆ
นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า ผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ตามโครงการนี้ หมายถึงผู้ป่วยที่มีอาการฉุกเฉินวิกฤติ ที่ส่งผลต่อชีวิตและอวัยวะสําคัญ ได้แก่ 1.หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ไม่รู้สึกตัว 2.อาการทางสมอง มีการรับรู้ สติเปลี่ยนไป บอกเวลา สถานที่ คนที่คุ้นเคยผิดอย่างเฉียบพลัน 3.หายใจเร็ว แรง และลึก หายใจมีเสียงดังผิดปกติ พูดได้แค่สั้นๆ หรือร้องไม่ออก ออกเสียงไม่ได้ สําลักอุดทางเดินหายใจกับมีอาการเขียวคล้ํา 4.ระบบไหลเวียนเลือดวิกฤตอย่างน้อย 2 ข้อ คือตัวเย็นและซีด เหงื่อแตกจนท่วมตัว หมดสติชั่ววูบ หรือวูบเมื่อลุกยืนขึ้น 5.อวัยวะฉีกขาดเสียเลือดมาก เสี่ยงต่อการพิการ และ 6.อาการอื่นๆ ที่มีภาวะเสี่ยงต่อชีวิตสูง เช่น เจ็บหน้าอกรุนแรง แขนขาอ่อนแรงทันทีทันใด ชักเกร็ง เป็นต้น
“ขอให้ประชาชนที่มีอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่อยู่ใกล้ที่สุดหรือไปถึงเร็วที่สุด เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์อย่างรวดเร็ว อย่าให้เสียโอกาสในช่วงนาทีวิกฤตของชีวิต หากเจ็บป่วยฉุกเฉินโทรขอความช่วยเหลือที่สายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง ประชาชนหรือสถานพยาบาลมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ โทร 02-8721669 หรือ ucepcenter@niems.go.th ตลอด 24 ชั่วโมง” นายแพทย์โสภณกล่าว
********************************** 23 มิถุนายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยรอบ 3 เดือน มีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตรับบริการโครงการ UCEP 3,515 ราย
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560
สธ. เผยรอบ 3 เดือน มีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตรับบริการโครงการ UCEP 3,515 ราย
กระทรวงสาธารณสุข เผยโครงการ “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” ตั้งแต่เริ่มโครงการ 1 เมษายน 2560 จนถึงขณะนี้ มีผู้ป่วยทุกสิทธิการรักษารับบริการ 3,515 ราย ย้ําประชาชนหากเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต
ขอให้ไปโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่ใกล้ที่สุด หรือโทรขอความช่วยเหลือ 1669 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ถึงมือหมอเร็วที่สุด เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและลดความพิการให้น้อยที่สุด
วันนี้ (23 มิถุนายน 2560) นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันดําเนินงานตามนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP) ของรัฐบาล ที่ต้องการให้ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะฉุกเฉินวิกฤตทุกคน ไม่ว่าสิทธิใดก็ตาม ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและลดความพิการให้น้อยที่สุด โดยไม่ต้องสํารองเงินค่ารักษาพยาบาลในระยะเบื้องต้น 72 ชั่วโมงแรก ผลการดําเนินงานตั้งแต่เริ่มโครงการ 1 เมษายน – 22 มิถุนายน 2560 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต 3,515 ราย จากผู้ขอใช้สิทธิทั้งหมด 7,655 ราย มากที่สุดคือ สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รองลงมาคือสิทธิประกันสังคม สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และกองทุนอื่นๆ
นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า ผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ตามโครงการนี้ หมายถึงผู้ป่วยที่มีอาการฉุกเฉินวิกฤติ ที่ส่งผลต่อชีวิตและอวัยวะสําคัญ ได้แก่ 1.หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ไม่รู้สึกตัว 2.อาการทางสมอง มีการรับรู้ สติเปลี่ยนไป บอกเวลา สถานที่ คนที่คุ้นเคยผิดอย่างเฉียบพลัน 3.หายใจเร็ว แรง และลึก หายใจมีเสียงดังผิดปกติ พูดได้แค่สั้นๆ หรือร้องไม่ออก ออกเสียงไม่ได้ สําลักอุดทางเดินหายใจกับมีอาการเขียวคล้ํา 4.ระบบไหลเวียนเลือดวิกฤตอย่างน้อย 2 ข้อ คือตัวเย็นและซีด เหงื่อแตกจนท่วมตัว หมดสติชั่ววูบ หรือวูบเมื่อลุกยืนขึ้น 5.อวัยวะฉีกขาดเสียเลือดมาก เสี่ยงต่อการพิการ และ 6.อาการอื่นๆ ที่มีภาวะเสี่ยงต่อชีวิตสูง เช่น เจ็บหน้าอกรุนแรง แขนขาอ่อนแรงทันทีทันใด ชักเกร็ง เป็นต้น
“ขอให้ประชาชนที่มีอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่อยู่ใกล้ที่สุดหรือไปถึงเร็วที่สุด เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์อย่างรวดเร็ว อย่าให้เสียโอกาสในช่วงนาทีวิกฤตของชีวิต หากเจ็บป่วยฉุกเฉินโทรขอความช่วยเหลือที่สายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง ประชาชนหรือสถานพยาบาลมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ โทร 02-8721669 หรือ ucepcenter@niems.go.th ตลอด 24 ชั่วโมง” นายแพทย์โสภณกล่าว
********************************** 23 มิถุนายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4749
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมอธิการบดีนานาชาติ
|
วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561
ประชุมอธิการบดีนานาชาติ
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมอธิการบดีระดับนานาชาติ เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 75 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มก.จัดประชุมอธิการบดีระดับนานาชาติ ฉลองสถาปนาครบรอบ 75 ปี
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดการประชุมอธิการบดีระดับนานาชาติ เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 75 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU Presidents Forum: in Celebration of the 75th Anniversary of Kasetsart University "Higher Education in Times of Change") ณ ห้องประชุมสุธรรมอารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี โดยได้รับเกียรติจาก ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาจากทั่วโลกกว่า 40 ประเทศ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับแนวคิดด้านการอุดมศึกษา โดยมุ่งเน้นประเด็นของการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและโลกในยุคปัจจุบันที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจําวัน การเรียน และการทํางาน
สถาบันอุดมศึกษาจึงต้องปรับตัวและปฏิรูปสิ่งต่าง ๆ เพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นให้ทันเหตุการณ์ อาทิ ปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งเรียนรู้สําหรับทุกคน ทั้งคนวัยทํางาน นักศึกษาไทย นักศึกษาต่างชาติ เป็นต้น แม้ว่าแนวทางในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน แต่สิ่งสําคัญคือการที่ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน สามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้ ทั้งนี้ คาดว่าผู้เข้าร่วมประชุมจะได้แนวทางในการรับมือและแก้ปัญหาต่าง ๆ ไปปรับใช้ในประเทศของตนเองได้
นอกจากนี้ ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ จากสถาบันอุดมศึกษาที่พร้อมเจรจาความร่วมมือ ตลอดจนสนับสนุนและส่งเสริมในสิ่งที่ประเทศไทยยังขาดแคลน โดยคํานึงถึงคุณภาพการศึกษาเป็นหลัก เนื่องจากผลของการศึกษา พบว่า คุณภาพการศึกษาที่ดีจะส่งผลให้คุณภาพในด้านอื่น ๆ ดีขึ้นด้วย เช่น ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม เป็นต้น
โอกาสนี้ รมช.ศึกษาธิการ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในโอกาสครบรอบ 75 ปีแห่งการสถาปนา ถือเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยเริ่มต้นจากการเป็นโรงเรียนสอนการเกษตร จนกระทั่งมีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศจนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณ ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร นายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตลอดจนเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ อธิการบดี ผู้บริหาร คณาจารย์และนักศึกษา ที่จัดงานและมาเข้าร่วมประชุมเพื่อสร้างความร่วมมือสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมปัจจุบันให้ดีขึ้น
อรพรรณ ฤทธิ์มัน: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมอธิการบดีนานาชาติ
วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561
ประชุมอธิการบดีนานาชาติ
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมอธิการบดีระดับนานาชาติ เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 75 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มก.จัดประชุมอธิการบดีระดับนานาชาติ ฉลองสถาปนาครบรอบ 75 ปี
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดการประชุมอธิการบดีระดับนานาชาติ เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 75 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU Presidents Forum: in Celebration of the 75th Anniversary of Kasetsart University "Higher Education in Times of Change") ณ ห้องประชุมสุธรรมอารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี โดยได้รับเกียรติจาก ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาจากทั่วโลกกว่า 40 ประเทศ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับแนวคิดด้านการอุดมศึกษา โดยมุ่งเน้นประเด็นของการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและโลกในยุคปัจจุบันที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจําวัน การเรียน และการทํางาน
สถาบันอุดมศึกษาจึงต้องปรับตัวและปฏิรูปสิ่งต่าง ๆ เพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นให้ทันเหตุการณ์ อาทิ ปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งเรียนรู้สําหรับทุกคน ทั้งคนวัยทํางาน นักศึกษาไทย นักศึกษาต่างชาติ เป็นต้น แม้ว่าแนวทางในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน แต่สิ่งสําคัญคือการที่ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน สามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้ ทั้งนี้ คาดว่าผู้เข้าร่วมประชุมจะได้แนวทางในการรับมือและแก้ปัญหาต่าง ๆ ไปปรับใช้ในประเทศของตนเองได้
นอกจากนี้ ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ จากสถาบันอุดมศึกษาที่พร้อมเจรจาความร่วมมือ ตลอดจนสนับสนุนและส่งเสริมในสิ่งที่ประเทศไทยยังขาดแคลน โดยคํานึงถึงคุณภาพการศึกษาเป็นหลัก เนื่องจากผลของการศึกษา พบว่า คุณภาพการศึกษาที่ดีจะส่งผลให้คุณภาพในด้านอื่น ๆ ดีขึ้นด้วย เช่น ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม เป็นต้น
โอกาสนี้ รมช.ศึกษาธิการ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในโอกาสครบรอบ 75 ปีแห่งการสถาปนา ถือเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยเริ่มต้นจากการเป็นโรงเรียนสอนการเกษตร จนกระทั่งมีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศจนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณ ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร นายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตลอดจนเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ อธิการบดี ผู้บริหาร คณาจารย์และนักศึกษา ที่จัดงานและมาเข้าร่วมประชุมเพื่อสร้างความร่วมมือสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมปัจจุบันให้ดีขึ้น
อรพรรณ ฤทธิ์มัน: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี: รายงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9804
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน เผย เร่งปล่อยกู้สินเชื่อ SMEs และสินเชื่อรายย่อยตามมาตรการรัฐเต็มสูบ [กระทรวงการคลัง]
|
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563
ออมสิน เผย เร่งปล่อยกู้สินเชื่อ SMEs และสินเชื่อรายย่อยตามมาตรการรัฐเต็มสูบ [กระทรวงการคลัง]
ตามที่ธนาคารออมสินได้ดําเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยธปท. กระทรวงการคลัง ได้กําหนดกรอบแนวทางให้ธนาคารออมสิน ออกมาตรการช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารออมสินได้ดําเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา (COVID-19) หรือ โควิด-19 โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง ได้กําหนดกรอบแนวทางให้ธนาคารออมสิน ออกมาตรการช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานับจากเกิดการแพร่ระบาด ธนาคารออมสินได้ออกมาตรการช่วยเหลือรองรับผู้ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งที่เป็นลูกค้าและไม่ใช่ลูกค้าของธนาคาร รวมถึงการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา หรือซอฟท์โลน แก่สถาบันการเงิน น็อนแบงก์ ตลอดจนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี อีกทั้งยังดําเนินการรับเรื่องร้องทุกข์จากมาตรการลงทะเบียนขอรับเงินชดเชยรายได้จากประชาชนที่ลงทะเบียนแล้วยังไม่ได้รับการช่วยเหลืออีกด้วย
“ช่วง 1-2 เดือนนี้ จะเห็นได้ว่ามีผู้มาติดต่อที่สาขาธนาคารออมสินเป็นจํานวนมาก หลายสาขามีคนเข้าแถวรอจนล้นออกมานอกสาขาเป็นคิวยาวมาก ท่ามกลางการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งธนาคารฯ ได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด ทั้งในส่วนของการรับลูกค้าและการให้บริการของพนักงาน โดยหลายธุรกรรมได้แนะนําให้ลูกค้าใช้บริการออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือ เช่น การลงทะเบียนสินเชื่อฉุกเฉินรายย่อย ซึ่งสะดวกและรวดเร็วกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะกัน เสี่ยงต่อการติดเชื้อ” ดร.ชาติชาย กล่าว
สําหรับมาตรการที่ธนาคารออมสินดําเนินการอยู่ คือ
1.การพักชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยโดยอัตโนมัติเป็นระยะเวลา 6 เดือน จนถึงสิ้นเดือน ต.ค. 63 มีผู้ที่ได้รับประโยชน์ ทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าเอสเอ็มอีที่มีวงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท รวม 2,894,333 ราย วงเงินรวม 1,129,652,000 บาท
2.เงินกู้ฉุกเฉิน 10,000 บาทต่อราย สําหรับผู้มีอาชีพอิสระ และ 50,000 บาทต่อราย สําหรับผู้มีรายได้ประจํา วงเงินรวม 40,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีผู้ยื่นกู้แล้วจํานวน 2,344,479 ราย และได้ส่งข้อความนัดให้มายื่นเอกสารแล้ว 1,672,498 ราย โดยได้ดําเนินการอนุมัติไปแล้วกว่า 290,000 ราย คิดเป็นวงเงิน 7,160 ล้านบาท คาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จสิ้นเดือน มิ.ย. 63 ซึ่งธนาคารเร่งดําเนินการซึ่งมีปริมาณงานมากกว่างานปกติถึง 10 เท่าตัว และไม่มีวันหยุด
3.เงินกู้ซอฟท์โลน 150,000 ล้านบาท ได้มีผู้ยื่นกู้แล้ว 12,188 ราย วงเงินรวม 130,985.25 ล้านบาท ปัจจุบันได้อนุมัติแล้ว 103,976.87 ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่กําลังทยอยอนุมัติอีก 46,023 ล้านบาท คาดว่าภายในเดือน มิ.ย. นี้ จะอนุมัติได้หมด
ล่าสุดธนาคารได้อนุมัติซอฟท์โลน อีก 2,000 ล้านบาท ให้กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อนําไปปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ํา 2% ให้กับสํานักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่นําทรัพย์สินมาจํานําในช่วงนี้ให้ได้ดอกเบี้ยต่ําด้วย
ท่ามกลางความตึงเครียดนี้ ธนาคารออมสิน ยินดีดูแลผู้ได้รับผลกระทบที่เดินเข้ามาหาเรา ด้วยมุ่งหวังให้คนไทยสามารถดําเนินชีวิตฝ่าฟันผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไปให้ได้ ทั้งนี้หลังจากหมดมาตรการผ่อนปรนต่างๆของรัฐ รวมทั้งการพักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนแล้ว ธนาคารออมสินยังมีมาตรการเสริมสภาพคล่องต่อ โดยให้มีการปลอดชําระเงินต้นออกไปอีก 2 ปี โดยเลือกชําระดอกเบี้ย 50 – 100% ได้ตามกําลัง และยังคืนดอกเบี้ยให้อีก 20% เพื่อแบ่งเบาภาระประชาชนอีกด้วย” ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน เผย เร่งปล่อยกู้สินเชื่อ SMEs และสินเชื่อรายย่อยตามมาตรการรัฐเต็มสูบ [กระทรวงการคลัง]
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563
ออมสิน เผย เร่งปล่อยกู้สินเชื่อ SMEs และสินเชื่อรายย่อยตามมาตรการรัฐเต็มสูบ [กระทรวงการคลัง]
ตามที่ธนาคารออมสินได้ดําเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยธปท. กระทรวงการคลัง ได้กําหนดกรอบแนวทางให้ธนาคารออมสิน ออกมาตรการช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารออมสินได้ดําเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา (COVID-19) หรือ โควิด-19 โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง ได้กําหนดกรอบแนวทางให้ธนาคารออมสิน ออกมาตรการช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานับจากเกิดการแพร่ระบาด ธนาคารออมสินได้ออกมาตรการช่วยเหลือรองรับผู้ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งที่เป็นลูกค้าและไม่ใช่ลูกค้าของธนาคาร รวมถึงการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา หรือซอฟท์โลน แก่สถาบันการเงิน น็อนแบงก์ ตลอดจนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี อีกทั้งยังดําเนินการรับเรื่องร้องทุกข์จากมาตรการลงทะเบียนขอรับเงินชดเชยรายได้จากประชาชนที่ลงทะเบียนแล้วยังไม่ได้รับการช่วยเหลืออีกด้วย
“ช่วง 1-2 เดือนนี้ จะเห็นได้ว่ามีผู้มาติดต่อที่สาขาธนาคารออมสินเป็นจํานวนมาก หลายสาขามีคนเข้าแถวรอจนล้นออกมานอกสาขาเป็นคิวยาวมาก ท่ามกลางการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งธนาคารฯ ได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด ทั้งในส่วนของการรับลูกค้าและการให้บริการของพนักงาน โดยหลายธุรกรรมได้แนะนําให้ลูกค้าใช้บริการออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือ เช่น การลงทะเบียนสินเชื่อฉุกเฉินรายย่อย ซึ่งสะดวกและรวดเร็วกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะกัน เสี่ยงต่อการติดเชื้อ” ดร.ชาติชาย กล่าว
สําหรับมาตรการที่ธนาคารออมสินดําเนินการอยู่ คือ
1.การพักชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยโดยอัตโนมัติเป็นระยะเวลา 6 เดือน จนถึงสิ้นเดือน ต.ค. 63 มีผู้ที่ได้รับประโยชน์ ทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าเอสเอ็มอีที่มีวงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท รวม 2,894,333 ราย วงเงินรวม 1,129,652,000 บาท
2.เงินกู้ฉุกเฉิน 10,000 บาทต่อราย สําหรับผู้มีอาชีพอิสระ และ 50,000 บาทต่อราย สําหรับผู้มีรายได้ประจํา วงเงินรวม 40,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีผู้ยื่นกู้แล้วจํานวน 2,344,479 ราย และได้ส่งข้อความนัดให้มายื่นเอกสารแล้ว 1,672,498 ราย โดยได้ดําเนินการอนุมัติไปแล้วกว่า 290,000 ราย คิดเป็นวงเงิน 7,160 ล้านบาท คาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จสิ้นเดือน มิ.ย. 63 ซึ่งธนาคารเร่งดําเนินการซึ่งมีปริมาณงานมากกว่างานปกติถึง 10 เท่าตัว และไม่มีวันหยุด
3.เงินกู้ซอฟท์โลน 150,000 ล้านบาท ได้มีผู้ยื่นกู้แล้ว 12,188 ราย วงเงินรวม 130,985.25 ล้านบาท ปัจจุบันได้อนุมัติแล้ว 103,976.87 ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่กําลังทยอยอนุมัติอีก 46,023 ล้านบาท คาดว่าภายในเดือน มิ.ย. นี้ จะอนุมัติได้หมด
ล่าสุดธนาคารได้อนุมัติซอฟท์โลน อีก 2,000 ล้านบาท ให้กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อนําไปปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ํา 2% ให้กับสํานักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่นําทรัพย์สินมาจํานําในช่วงนี้ให้ได้ดอกเบี้ยต่ําด้วย
ท่ามกลางความตึงเครียดนี้ ธนาคารออมสิน ยินดีดูแลผู้ได้รับผลกระทบที่เดินเข้ามาหาเรา ด้วยมุ่งหวังให้คนไทยสามารถดําเนินชีวิตฝ่าฟันผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไปให้ได้ ทั้งนี้หลังจากหมดมาตรการผ่อนปรนต่างๆของรัฐ รวมทั้งการพักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนแล้ว ธนาคารออมสินยังมีมาตรการเสริมสภาพคล่องต่อ โดยให้มีการปลอดชําระเงินต้นออกไปอีก 2 ปี โดยเลือกชําระดอกเบี้ย 50 – 100% ได้ตามกําลัง และยังคืนดอกเบี้ยให้อีก 20% เพื่อแบ่งเบาภาระประชาชนอีกด้วย” ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31283
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 หน่วยงานจับมือเร่งผู้ประกอบการบัญชีชุดเดียว ทำงบการเงินให้ถูกต้อง
|
วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2560
4 หน่วยงานจับมือเร่งผู้ประกอบการบัญชีชุดเดียว ทํางบการเงินให้ถูกต้อง
กรมสรรพากรจัดเสวนาพิเศษ “สิทธิประโยชน์จากการจดแจ้งทางภาษีอากรและการใช้งบการเงินที่ถูกต้อง” ณ ห้องพระอุเทน 1 กรมสรรพากร เพื่อแนะนําผู้ประกอบการให้จัดทํางบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ พร้อมรับนโยบาย Thailand 4.0
วันนี้ (6 มี.ค. 60) นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมกับศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายสรกิจ มั่นบุปผชาติ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย และนายพิภวัตว์ ภัทรนาวิก ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย ได้ร่วมเสวนาพิเศษในหัวข้อ “สิทธิประโยชน์จากการจดแจ้งทางภาษีอากรและการใช้งบการเงินที่ถูกต้อง” ณ ห้องพระอุเทน 1 ชั้น 2 อาคารกรมสรรพากร เพื่อแนะนําผู้ประกอบการให้จัดทํางบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ พร้อมรับนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป สถาบันการเงินต้องใช้บัญชีและงบการเงินที่ผู้ประกอบการแสดงต่อกรมสรรพากร เป็นหลักฐานในการทําธุรกรรมทางการเงินและการขออนุมัติสินเชื่อ
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า “หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนได้ผนึกกําลังในครั้งนี้เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้เติบโตอย่างยั่งยืน ในส่วนของกรมสรรพากรได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง เช่น มาตรการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างรวดเร็ว สําหรับผู้เสียภาษีที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ มาตรการภาษีเพื่อการลงทุน มาตรการภาษีสําหรับการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) หักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริม New Start-up มาตรการภาษีส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปนิติบุคคล ฯลฯ อย่างไรก็ตามยังมีผู้ประกอบการบางรายยังขาดความรู้ ความเข้าใจในการเสียภาษีให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ ส่งผลให้เสียโอกาสทางธุรกิจ และเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง”
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพากรพร้อมรับ Thailand 4.0 ด้วยการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านระบบ PromptPay ซึ่งช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในกระบวนการคืนภาษี และลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเงินสดของประเทศในภาพรวมอีกด้วย รวมถึงการนําระบบ electronic เข้ามาให้บริการเพื่ออํานวยความสะดวกในการปฏิบัติทางภาษีอากร เช่น E-filing/ E-tax invoice/ E-receipt/ E-withholding tax ซึ่งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สนับสนุนการดําเนินการของกรมสรรพากรอย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ”
สําหรับผู้ประกอบการที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่สํานักมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร กรมสรรพากร โทร. 02 619 8245, 02 272 9241 และ 02 272 9174
กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน
สํานักบริหารกลาง ส่วนประชาสัมพันธ์ เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 หน่วยงานจับมือเร่งผู้ประกอบการบัญชีชุดเดียว ทำงบการเงินให้ถูกต้อง
วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2560
4 หน่วยงานจับมือเร่งผู้ประกอบการบัญชีชุดเดียว ทํางบการเงินให้ถูกต้อง
กรมสรรพากรจัดเสวนาพิเศษ “สิทธิประโยชน์จากการจดแจ้งทางภาษีอากรและการใช้งบการเงินที่ถูกต้อง” ณ ห้องพระอุเทน 1 กรมสรรพากร เพื่อแนะนําผู้ประกอบการให้จัดทํางบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ พร้อมรับนโยบาย Thailand 4.0
วันนี้ (6 มี.ค. 60) นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมกับศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายสรกิจ มั่นบุปผชาติ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย และนายพิภวัตว์ ภัทรนาวิก ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย ได้ร่วมเสวนาพิเศษในหัวข้อ “สิทธิประโยชน์จากการจดแจ้งทางภาษีอากรและการใช้งบการเงินที่ถูกต้อง” ณ ห้องพระอุเทน 1 ชั้น 2 อาคารกรมสรรพากร เพื่อแนะนําผู้ประกอบการให้จัดทํางบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ พร้อมรับนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป สถาบันการเงินต้องใช้บัญชีและงบการเงินที่ผู้ประกอบการแสดงต่อกรมสรรพากร เป็นหลักฐานในการทําธุรกรรมทางการเงินและการขออนุมัติสินเชื่อ
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า “หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนได้ผนึกกําลังในครั้งนี้เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้เติบโตอย่างยั่งยืน ในส่วนของกรมสรรพากรได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง เช่น มาตรการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างรวดเร็ว สําหรับผู้เสียภาษีที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ มาตรการภาษีเพื่อการลงทุน มาตรการภาษีสําหรับการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) หักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริม New Start-up มาตรการภาษีส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปนิติบุคคล ฯลฯ อย่างไรก็ตามยังมีผู้ประกอบการบางรายยังขาดความรู้ ความเข้าใจในการเสียภาษีให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ ส่งผลให้เสียโอกาสทางธุรกิจ และเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง”
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพากรพร้อมรับ Thailand 4.0 ด้วยการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านระบบ PromptPay ซึ่งช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในกระบวนการคืนภาษี และลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเงินสดของประเทศในภาพรวมอีกด้วย รวมถึงการนําระบบ electronic เข้ามาให้บริการเพื่ออํานวยความสะดวกในการปฏิบัติทางภาษีอากร เช่น E-filing/ E-tax invoice/ E-receipt/ E-withholding tax ซึ่งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สนับสนุนการดําเนินการของกรมสรรพากรอย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ”
สําหรับผู้ประกอบการที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่สํานักมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร กรมสรรพากร โทร. 02 619 8245, 02 272 9241 และ 02 272 9174
กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน
สํานักบริหารกลาง ส่วนประชาสัมพันธ์ เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2209
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
|
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
วันนี้ (19 มิถุนายน 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 20-26 มิถุนายน 2561 ว่า ในการเดินทางเยือนในครั้งนี้จะมีการเจรจาประเด็นด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างกัน โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยการเดินทางเยือนครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกหลังจากที่ประชุมคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปด้านการต่างประเทศได้ออกข้อมติให้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการเมืองในทุกระดับกับประเทศไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีหากมีการชุมนุมเคลื่อนไหวในระหว่างการเดินทางเยือน ว่า ไม่มีความกังวลแต่อย่างใด เนื่องจากในแต่ละประเทศจะมีกฎหมายและมาตรการในการควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
วันนี้ (19 มิถุนายน 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 20-26 มิถุนายน 2561 ว่า ในการเดินทางเยือนในครั้งนี้จะมีการเจรจาประเด็นด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างกัน โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยการเดินทางเยือนครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกหลังจากที่ประชุมคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปด้านการต่างประเทศได้ออกข้อมติให้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการเมืองในทุกระดับกับประเทศไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีหากมีการชุมนุมเคลื่อนไหวในระหว่างการเดินทางเยือน ว่า ไม่มีความกังวลแต่อย่างใด เนื่องจากในแต่ละประเทศจะมีกฎหมายและมาตรการในการควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13177
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปผลการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 3/2560
|
วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2560
สรุปผลการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 3/2560
วันนี้ (19 พฤษภาคม 2560) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ชั้น 3 ทําเนียบรัฐบาล โดยมีพลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 3/2560 ซึ่งสรุปผลการประชุม ดังนี
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบผลการสรรหาคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน เขตพื้นที่ 1 ถึง 13 ซึ่งครอบคลุมการดูแลสุขภาพของประชาชนทุกภูมิภาคอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบหลักการเกี่ยวกับการดําเนินการ โครงการพัฒนากลไกสนับสนุนเครือข่ายจิตอาสาประชารัฐระดับจังหวัดเสริมสร้างสังคมสุขภาวะ พ.ศ. 2560 – 2562 ทั้งนี้ โดยจะมีการปรับปรุงในรายละเอียดของการบริหารจัดการโครงการ ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้ตัวแทนของสํานักงบประมาณไปพิจารณาให้มีความเหมาะสมและสามารถขับเคลื่อนโครงการ ฯ ได้อย่างป็นรูปธรรม
พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้กําหนดให้โครงการนี้ เป็นโครงการพิเศษที่แสดงแผนการดําเนินงาน แผนการเงิน และงบประมาณ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ... ตลอดจนมีตัวชี้วัดโครงการกํากับไว้ด้วย ซึ่งจะมีการกํากับติดตามโครงการโดยจัดเข้าสู่ระบบขององค์กรผ่านกลไกของคณะกรรมการบริหาร ฯ และที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารโครงการ ฯ และ สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ดําเนินการให้เป็นไปตามมติของที่ประชุมต่อไป
..................................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปผลการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 3/2560
วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2560
สรุปผลการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 3/2560
วันนี้ (19 พฤษภาคม 2560) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ชั้น 3 ทําเนียบรัฐบาล โดยมีพลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 3/2560 ซึ่งสรุปผลการประชุม ดังนี
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบผลการสรรหาคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน เขตพื้นที่ 1 ถึง 13 ซึ่งครอบคลุมการดูแลสุขภาพของประชาชนทุกภูมิภาคอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบหลักการเกี่ยวกับการดําเนินการ โครงการพัฒนากลไกสนับสนุนเครือข่ายจิตอาสาประชารัฐระดับจังหวัดเสริมสร้างสังคมสุขภาวะ พ.ศ. 2560 – 2562 ทั้งนี้ โดยจะมีการปรับปรุงในรายละเอียดของการบริหารจัดการโครงการ ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้ตัวแทนของสํานักงบประมาณไปพิจารณาให้มีความเหมาะสมและสามารถขับเคลื่อนโครงการ ฯ ได้อย่างป็นรูปธรรม
พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้กําหนดให้โครงการนี้ เป็นโครงการพิเศษที่แสดงแผนการดําเนินงาน แผนการเงิน และงบประมาณ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ... ตลอดจนมีตัวชี้วัดโครงการกํากับไว้ด้วย ซึ่งจะมีการกํากับติดตามโครงการโดยจัดเข้าสู่ระบบขององค์กรผ่านกลไกของคณะกรรมการบริหาร ฯ และที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารโครงการ ฯ และ สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ดําเนินการให้เป็นไปตามมติของที่ประชุมต่อไป
..................................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3866
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน แจง หนังสือถึงสำนักงานทนายความ เป็นการติดตามงานปกติ ไม่ใช่การเร่งรัดที่เกิดจาก “ปฏิญญามหาสารคาม” ย้ำ พร้อมแก้ไขหนี้และประนอมหนี้กับคุณครูในทุกขั้นตอน
|
วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561
ออมสิน แจง หนังสือถึงสํานักงานทนายความ เป็นการติดตามงานปกติ ไม่ใช่การเร่งรัดที่เกิดจาก “ปฏิญญามหาสารคาม” ย้ํา พร้อมแก้ไขหนี้และประนอมหนี้กับคุณครูในทุกขั้นตอน
ตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวว่าธนาคารออมสินได้มีหนังสือแจ้งถึงสํานักงานทนายความเรื่องการฟ้องคดีกับลูกหนี้สินเชื่อครู ดังรายละเอียดตามที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวว่าธนาคารออมสินได้มีหนังสือแจ้งถึงสํานักงานทนายความเรื่องการฟ้องคดีกับลูกหนี้สินเชื่อครู ดังรายละเอียดตามที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ นั้น ธนาคารฯ ขอเรียนให้ทราบว่า ข้อความต่างๆ ที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าวเป็นกระบวนการในการติดตามหนี้/ดําเนินคดีกับลูกหนี้ตามปกติของธนาคารฯ โดยเป็นการซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติงานของธนาคารฯ กับกลุ่มลูกหนี้ที่ธนาคารฯ ได้มีการส่งดําเนินคดีไปก่อนหน้านี้มาแล้วระยะเวลาหนึ่ง จึงไม่ใช่เป็นการเร่งรัดที่เกิดจากกรณีที่มีกลุ่มครูประกาศยุติการชําระหนี้ที่จังหวัดมหาสารคามแต่อย่างใด เป็นการปฏิบัติงานตามปกติที่ใช้กับการค้างชําระหนี้ของลูกค้าทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในส่วนของสินเชื่อข้อตกลงของครูและบุคลากรทางการศึกษา จํานวนกว่า 400,000 ล้านบาทนั้น ธนาคารฯ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากกลุ่มบุคลากรครูและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของกระทรวงศึกษาธิการ ทําให้ที่ผ่านมามีหนี้เสียเพียง 0.94% โดยอีก 99.06% เป็นสินเชื่อที่ผ่อนชําระเป็นปกติ ส่วนสําหรับลูกหนี้ที่ปัจจุบันเป็นหนี้ค้างชําระ ธนาคารฯ มีมาตรการในการช่วยเหลือและผ่อนปรนการชําระหนี้ให้กับลูกหนี้ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการพักชําระหนี้ หรือการลดอัตราดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ที่มีประวัติการผ่อนชําระหนี้ดี โดยในช่วงที่ผ่านมาลูกหนี้ค้างชําระเริ่มมีแนวโน้มมาแก้ไขหนี้/ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพิ่มมากขึ้นตามลําดับ ดังนั้นลูกหนี้ที่มีปัญหาการชําระหนี้ แต่ได้เข้าโครงการแก้ไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ธนาคารฯ จึงไม่ได้ดําเนินคดีแต่อย่างใด
“ลูกหนี้ทุกรายที่มีปัญหาในการชําระหนี้สามารถเข้ามาแก้ไขหนี้กับธนาคารฯ ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนใด ทั้งลูกหนี้ที่เริ่มมีปัญหาในการชําระหนี้ จนถึงลูกหนี้ที่ธนาคารฯ ได้มีการดําเนินคดีไปแล้ว” นายชาติชาย กล่าวในที่สุด.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน แจง หนังสือถึงสำนักงานทนายความ เป็นการติดตามงานปกติ ไม่ใช่การเร่งรัดที่เกิดจาก “ปฏิญญามหาสารคาม” ย้ำ พร้อมแก้ไขหนี้และประนอมหนี้กับคุณครูในทุกขั้นตอน
วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561
ออมสิน แจง หนังสือถึงสํานักงานทนายความ เป็นการติดตามงานปกติ ไม่ใช่การเร่งรัดที่เกิดจาก “ปฏิญญามหาสารคาม” ย้ํา พร้อมแก้ไขหนี้และประนอมหนี้กับคุณครูในทุกขั้นตอน
ตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวว่าธนาคารออมสินได้มีหนังสือแจ้งถึงสํานักงานทนายความเรื่องการฟ้องคดีกับลูกหนี้สินเชื่อครู ดังรายละเอียดตามที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวว่าธนาคารออมสินได้มีหนังสือแจ้งถึงสํานักงานทนายความเรื่องการฟ้องคดีกับลูกหนี้สินเชื่อครู ดังรายละเอียดตามที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ นั้น ธนาคารฯ ขอเรียนให้ทราบว่า ข้อความต่างๆ ที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าวเป็นกระบวนการในการติดตามหนี้/ดําเนินคดีกับลูกหนี้ตามปกติของธนาคารฯ โดยเป็นการซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติงานของธนาคารฯ กับกลุ่มลูกหนี้ที่ธนาคารฯ ได้มีการส่งดําเนินคดีไปก่อนหน้านี้มาแล้วระยะเวลาหนึ่ง จึงไม่ใช่เป็นการเร่งรัดที่เกิดจากกรณีที่มีกลุ่มครูประกาศยุติการชําระหนี้ที่จังหวัดมหาสารคามแต่อย่างใด เป็นการปฏิบัติงานตามปกติที่ใช้กับการค้างชําระหนี้ของลูกค้าทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในส่วนของสินเชื่อข้อตกลงของครูและบุคลากรทางการศึกษา จํานวนกว่า 400,000 ล้านบาทนั้น ธนาคารฯ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากกลุ่มบุคลากรครูและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของกระทรวงศึกษาธิการ ทําให้ที่ผ่านมามีหนี้เสียเพียง 0.94% โดยอีก 99.06% เป็นสินเชื่อที่ผ่อนชําระเป็นปกติ ส่วนสําหรับลูกหนี้ที่ปัจจุบันเป็นหนี้ค้างชําระ ธนาคารฯ มีมาตรการในการช่วยเหลือและผ่อนปรนการชําระหนี้ให้กับลูกหนี้ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการพักชําระหนี้ หรือการลดอัตราดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ที่มีประวัติการผ่อนชําระหนี้ดี โดยในช่วงที่ผ่านมาลูกหนี้ค้างชําระเริ่มมีแนวโน้มมาแก้ไขหนี้/ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพิ่มมากขึ้นตามลําดับ ดังนั้นลูกหนี้ที่มีปัญหาการชําระหนี้ แต่ได้เข้าโครงการแก้ไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ธนาคารฯ จึงไม่ได้ดําเนินคดีแต่อย่างใด
“ลูกหนี้ทุกรายที่มีปัญหาในการชําระหนี้สามารถเข้ามาแก้ไขหนี้กับธนาคารฯ ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนใด ทั้งลูกหนี้ที่เริ่มมีปัญหาในการชําระหนี้ จนถึงลูกหนี้ที่ธนาคารฯ ได้มีการดําเนินคดีไปแล้ว” นายชาติชาย กล่าวในที่สุด.
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14027
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สอท.กรุงวอชิงตัน อำนวยความสะดวกและส่งคนไทยในสหรัฐฯ กลับประเทศไทยโดยเที่ยวบิน KE 94 ไปยังกรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อต่อเที่ยวบินพิเศษ เที่ยวบิน KE 651 [กระทรวงการต่างประเทศ]
|
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563
สอท.กรุงวอชิงตัน อํานวยความสะดวกและส่งคนไทยในสหรัฐฯ กลับประเทศไทยโดยเที่ยวบิน KE 94 ไปยังกรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อต่อเที่ยวบินพิเศษ เที่ยวบิน KE 651 [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน อํานวยความสะดวกและส่งคนไทยในสหรัฐฯ กลับประเทศไทยโดยเที่ยวบิน KE 94 ไปยังกรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อต่อเที่ยวบินพิเศษ เที่ยวบิน KE 651 กลับประเทศไทย
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน อํานวยความสะดวกให้คนไทยในสหรัฐฯ 52 คน เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563 โดยเที่ยวบิน KE 94 ออกจากท่าอากาศยานนานาชาติดัลเลส กรุงวอชิงตัน เวลา 13.20 น. (จากทั้งหมด 189 คนที่เดินทางออกจากท่าอากาศยานต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ ในวันเดียวกัน) ไปยังกรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อต่อเที่ยวบิน KE 651 ซึ่งเป็นเที่ยวบินพิเศษที่สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) อนุญาตให้ทําการบินรับ-ส่งบุคคลกลับประเทศไทย โดยมีกําหนดถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563 เวลา 21.45 น.
สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สถานกงสุลใหญ่ ณ นครชิคาโก นครลอสแอนเจลิส และนครนิวยอร์ก รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมสนับสนุนให้การปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ราบรื่นและผ่านไปด้วยดี ทั้งนี้ หน่วยงานราชการไทยในสหรัฐฯ เดินหน้าร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกันเพื่ออํานวยความสะดวกให้พี่น้องชาวไทยในสหรัฐฯ ได้ทยอยเดินทางกลับประเทศไทยตามความประสงค์ในช่วงที่ยังคงต้องมีมาตรการสําหรับรับมือกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ท่านสามารถติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดจากเว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตฯ ที่ www.thaiembdc.org หรือหน้า Facebook นี้ ในกรณีที่ท่านมีความประสงค์และแผนจะเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงนี้ ท่านสามารถลงทะเบียนเพื่อแจ้งแผนการเดินทางและ/หรือรับข้อมูลข่าวสารในช่วงภาวะฉุกเฉินได้ที่ www.thaiembdc.org/emergencyreg หากมีข้อสงสัยหรือคําถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ทางอีเมล consular@thaiembdc.org (กรณีเร่งด่วนฉุกเฉิน โทร. 202-999-7690)
#น้ําใจคนไทยไม่ทิ้งกัน #การทูตเพื่อประชาชนทุกแห่งหนเราดูแล #คนแปลกหน้าที่ดูแลคุณ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สอท.กรุงวอชิงตัน อำนวยความสะดวกและส่งคนไทยในสหรัฐฯ กลับประเทศไทยโดยเที่ยวบิน KE 94 ไปยังกรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อต่อเที่ยวบินพิเศษ เที่ยวบิน KE 651 [กระทรวงการต่างประเทศ]
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563
สอท.กรุงวอชิงตัน อํานวยความสะดวกและส่งคนไทยในสหรัฐฯ กลับประเทศไทยโดยเที่ยวบิน KE 94 ไปยังกรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อต่อเที่ยวบินพิเศษ เที่ยวบิน KE 651 [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน อํานวยความสะดวกและส่งคนไทยในสหรัฐฯ กลับประเทศไทยโดยเที่ยวบิน KE 94 ไปยังกรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อต่อเที่ยวบินพิเศษ เที่ยวบิน KE 651 กลับประเทศไทย
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน อํานวยความสะดวกให้คนไทยในสหรัฐฯ 52 คน เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563 โดยเที่ยวบิน KE 94 ออกจากท่าอากาศยานนานาชาติดัลเลส กรุงวอชิงตัน เวลา 13.20 น. (จากทั้งหมด 189 คนที่เดินทางออกจากท่าอากาศยานต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ ในวันเดียวกัน) ไปยังกรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อต่อเที่ยวบิน KE 651 ซึ่งเป็นเที่ยวบินพิเศษที่สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) อนุญาตให้ทําการบินรับ-ส่งบุคคลกลับประเทศไทย โดยมีกําหนดถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563 เวลา 21.45 น.
สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สถานกงสุลใหญ่ ณ นครชิคาโก นครลอสแอนเจลิส และนครนิวยอร์ก รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมสนับสนุนให้การปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ราบรื่นและผ่านไปด้วยดี ทั้งนี้ หน่วยงานราชการไทยในสหรัฐฯ เดินหน้าร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกันเพื่ออํานวยความสะดวกให้พี่น้องชาวไทยในสหรัฐฯ ได้ทยอยเดินทางกลับประเทศไทยตามความประสงค์ในช่วงที่ยังคงต้องมีมาตรการสําหรับรับมือกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ท่านสามารถติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดจากเว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตฯ ที่ www.thaiembdc.org หรือหน้า Facebook นี้ ในกรณีที่ท่านมีความประสงค์และแผนจะเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงนี้ ท่านสามารถลงทะเบียนเพื่อแจ้งแผนการเดินทางและ/หรือรับข้อมูลข่าวสารในช่วงภาวะฉุกเฉินได้ที่ www.thaiembdc.org/emergencyreg หากมีข้อสงสัยหรือคําถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ทางอีเมล consular@thaiembdc.org (กรณีเร่งด่วนฉุกเฉิน โทร. 202-999-7690)
#น้ําใจคนไทยไม่ทิ้งกัน #การทูตเพื่อประชาชนทุกแห่งหนเราดูแล #คนแปลกหน้าที่ดูแลคุณ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32110
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พัฒนาคุณภาพมาตรฐาน รพ.สต.ติดดาว “5 ดาว 5 ดี” ส่งเสริมประชาชนสุขภาพดี
|
วันพุธที่ 19 กันยายน 2561
สธ.พัฒนาคุณภาพมาตรฐาน รพ.สต.ติดดาว “5 ดาว 5 ดี” ส่งเสริมประชาชนสุขภาพดี
กระทรวงสาธารณสุข พัฒนามาตรฐานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลติดดาว “5 ดาว 5 ดี” ประชาชนได้รับบริการแบบองค์รวม มีคุณภาพ ใกล้บ้าน เน้นส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ทุกภาคส่วนในพื้นที่มีส่วนร่วม มี รพ.สต.
ติดดาว ผ่านเกณฑ์แล้ว 4,987 แห่ง สูงกว่าเป้าหมายที่กําหนด
กระทรวงสาธารณสุข พัฒนามาตรฐานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลติดดาว “5 ดาว 5 ดี” ประชาชนได้รับบริการแบบองค์รวม มีคุณภาพ ใกล้บ้าน เน้นส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ทุกภาคส่วนในพื้นที่มีส่วนร่วม มี รพ.สต.ติดดาว ผ่านเกณฑ์แล้ว 4,987 แห่ง สูงกว่าเป้าหมายที่กําหนด 2 เท่า
วันนี้ (19 กันยายน 2561) ณ ห้องวายุภักษ์แกรนด์บอลรูม โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานแสดงผลงานและการประชุมพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ระดับประเทศ ประจําปี พ.ศ.2561 เพื่อเผยแพร่ผลงานการพัฒนาคุณภาพ รพ.สต.ติดดาว นําข้อมูลที่ได้ไปใช้วางแผนการพัฒนาการดําเนินงานพัฒนา รพ.สต. รวมทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพบุคลากร รพ.สต. ในการพัฒนา รพ.สต. และคุณภาพบริการประชาชน โดยมีผู้บริหารจากส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้แทน รพ.สต.ทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุม 3,000 คน
นายแพทย์เจษฎา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายในการพัฒนาคุณภาพหน่วยบริการทุกระดับ ตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ใกล้บ้าน โดยเฉพาะโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ซึ่งเป็นหน่วยบริการพื้นฐานที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ให้บริการแบบองค์รวม โดยได้พัฒนาการดําเนินงาน รพ.สต. ตามแนวทางและเกณฑ์คุณภาพสู่การเป็น รพ.สต.ติดดาว เชื่อมโยงระบบบริการเป็นเครือข่ายมีกระบวนการและการบริหารจัดการที่ดี โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในพื้นที่ ตอบสนองความต้องการและความจําเป็นด้านสุขภาพ แก้ไขปัญหาสาธารณสุขของพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2561 มี รพ.สต.ที่ผ่านเกณฑ์ประเมินคุณภาพ เป็น รพ.สต.ติดดาว ระดับ 5 ดาว จํานวน 3,306 แห่ง รวมสะสม 4,987 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 50.87 สูงกว่าเป้าหมายที่กําหนดไว้คือร้อยละ 25
*************************** 19 กันยายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พัฒนาคุณภาพมาตรฐาน รพ.สต.ติดดาว “5 ดาว 5 ดี” ส่งเสริมประชาชนสุขภาพดี
วันพุธที่ 19 กันยายน 2561
สธ.พัฒนาคุณภาพมาตรฐาน รพ.สต.ติดดาว “5 ดาว 5 ดี” ส่งเสริมประชาชนสุขภาพดี
กระทรวงสาธารณสุข พัฒนามาตรฐานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลติดดาว “5 ดาว 5 ดี” ประชาชนได้รับบริการแบบองค์รวม มีคุณภาพ ใกล้บ้าน เน้นส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ทุกภาคส่วนในพื้นที่มีส่วนร่วม มี รพ.สต.
ติดดาว ผ่านเกณฑ์แล้ว 4,987 แห่ง สูงกว่าเป้าหมายที่กําหนด
กระทรวงสาธารณสุข พัฒนามาตรฐานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลติดดาว “5 ดาว 5 ดี” ประชาชนได้รับบริการแบบองค์รวม มีคุณภาพ ใกล้บ้าน เน้นส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ทุกภาคส่วนในพื้นที่มีส่วนร่วม มี รพ.สต.ติดดาว ผ่านเกณฑ์แล้ว 4,987 แห่ง สูงกว่าเป้าหมายที่กําหนด 2 เท่า
วันนี้ (19 กันยายน 2561) ณ ห้องวายุภักษ์แกรนด์บอลรูม โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานแสดงผลงานและการประชุมพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ระดับประเทศ ประจําปี พ.ศ.2561 เพื่อเผยแพร่ผลงานการพัฒนาคุณภาพ รพ.สต.ติดดาว นําข้อมูลที่ได้ไปใช้วางแผนการพัฒนาการดําเนินงานพัฒนา รพ.สต. รวมทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพบุคลากร รพ.สต. ในการพัฒนา รพ.สต. และคุณภาพบริการประชาชน โดยมีผู้บริหารจากส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้แทน รพ.สต.ทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุม 3,000 คน
นายแพทย์เจษฎา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายในการพัฒนาคุณภาพหน่วยบริการทุกระดับ ตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ใกล้บ้าน โดยเฉพาะโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ซึ่งเป็นหน่วยบริการพื้นฐานที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ให้บริการแบบองค์รวม โดยได้พัฒนาการดําเนินงาน รพ.สต. ตามแนวทางและเกณฑ์คุณภาพสู่การเป็น รพ.สต.ติดดาว เชื่อมโยงระบบบริการเป็นเครือข่ายมีกระบวนการและการบริหารจัดการที่ดี โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในพื้นที่ ตอบสนองความต้องการและความจําเป็นด้านสุขภาพ แก้ไขปัญหาสาธารณสุขของพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2561 มี รพ.สต.ที่ผ่านเกณฑ์ประเมินคุณภาพ เป็น รพ.สต.ติดดาว ระดับ 5 ดาว จํานวน 3,306 แห่ง รวมสะสม 4,987 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 50.87 สูงกว่าเป้าหมายที่กําหนดไว้คือร้อยละ 25
*************************** 19 กันยายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15511
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เผยผลโพล “ประเพณีลอยกระทงปี 61” ปชช.ร้อยละ 91.34 หนุน “1 ครอบครัว 1 กระทง”ช่วยลดปริมาณขยะ-รักษาสิ่งแวดล้อม
|
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
วธ. เผยผลโพล “ประเพณีลอยกระทงปี 61” ปชช.ร้อยละ 91.34 หนุน “1 ครอบครัว 1 กระทง”ช่วยลดปริมาณขยะ-รักษาสิ่งแวดล้อม
วธ. เผยผลโพล “ประเพณีลอยกระทงปี 61” ปชช.ร้อยละ 91.34 หนุน “1 ครอบครัว 1 กระทง”ช่วยลดปริมาณขยะ-รักษาสิ่งแวดล้อม เผยอยากไปลอยกระทงที่ "เชียงใหม่-สุโขทัย-ภูมิลําเนา" มากที่สุด
วธ. เผยผลโพล“ประเพณีลอยกระทงปี61”ปชช.ร้อยละ91.34หนุน“1ครอบครัว1กระทง”ช่วยลดปริมาณขยะ-รักษาสิ่งแวดล้อม เผยอยากไปลอยกระทงที่ "เชียงใหม่-สุโขทัย-ภูมิลําเนา" มากที่สุดยินดีแต่งกายชุดไทย-ชุดพื้นถิ่น ไปลอยกระทง เพื่อร่วมสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่ากระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สํารวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชนและประชาชน หัวข้อ“ประเพณีลอยกระทง ปี2561”จากกลุ่มตัวอย่างครอบคลุมทั่วประเทศ6,298คน ผลสํารวจพบว่าร้อยละ97.29ทราบว่า ประเพณีวันลอยกระทงตรงกับวันขึ้น15ค่ํา เดือน12หรือวันเพ็ญ เดือน12ของทุกปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่22พฤศจิกายน2561รองลงมาร้อยละ91.34เห็นด้วยกับนโยบาย“1ครอบครัว1กระทง”เพื่อลดปริมาณขยะและการทําลายธรรมชาติ ร้อยละ84.54ทราบว่า เป็นประเพณี ที่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมกันจัดงานภายใต้แนวคิด“ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม”ร้อยละ51.55ทราบว่า ประเทศไทยร่วมกับประเทศอาเซียน จัดงานประเพณีลอยกระทงอาเซียนที่จังหวัดระนอง บุรีรัมย์ สุโขทัย ขอนแก่น ร้อยเอ็ด ชลบุรี นครราชสีมา กระบี่ สงขลา และจังหวัดเชียงใหม่และร้อยละ76.70คิดว่า คุณค่าและประโยชน์ของประเพณีลอยกระทง เพื่อระลึกถึงพระคุณของแม่น้ําลําคลอง และบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแม่น้ําได้แก่ พระแม่คงคา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ผลสํารวจพบอีกว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางหรือมาตรการให้ใช้กระทงที่ประดิษฐ์ด้วยวัสดุย่อยสลายง่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันตั้งใจจะใช้กระทงที่ประดิษฐ์จากต้นกล้วย ใบตอง ดอกบัว ขนมปังพืชผัก โดยสถานที่ที่ประชาชนจะไป“ลอยกระทง”มากที่สุดได้แก่ อันดับ1จังหวัดเชียงใหม่ การลอยโคม หรือ“ประเพณียี่เป็ง”อันดับ2จังหวัดสุโขทัย“ประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ”อันดับ3ภูมิลําเนาของตนเอง อันดับ4จังหวัดตาก“ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป1000ดวง”และอันดับ5จังหวัดนครพนม“ประเพณีไหลเรือไฟ”นอกจากนี้ ประชาชน ร้อยละ81.02สนใจเข้าร่วมชมกิจกรรมในงานประเพณีวันลอยกระทงในจังหวัดของตน เพี่อชมการประกวดกระทงชมการแสดงทางวัฒนธรรม ร่วมกิจกรรมสาธิตอาหารพื้นบ้าน และการสาธิตประดิษฐ์กระทงตามลําดับ
นายวีระ กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันประชาชนส่วนใหญ่คิดว่าจะมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีลอยกระทงได้โดยแต่งกายชุดไทย หรือชุดพื้นถิ่นไปร่วมงานประเพณีลอยกระทง ชักชวนคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน ญาติ และคนรู้จัก ไปร่วมงานประเพณีลอยกระทงสืบสานวัฒนธรรมประเพณี โดยประดิษฐ์กระทงจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ นอกจากนี้ยังต้องการให้วธ.ส่งเสริมให้ประชาชนมีโอกาสเข้าร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทงในท้องถิ่นของตนเองมากขึ้น เพื่อให้ประเพณีลอยกระทงคงอยู่ตลอดไป โดยเห็นว่าควรจัดในรูปแบบเรียบง่าย ปลอดภัย รักษาสิ่งแวดล้อม และปลอดอบายมุข เพิ่มกิจกรรมถ่ายทอดวิธีการประดิษฐ์กระทงด้วยตนเองจากวัสดุธรรมชาติ วางแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมประเพณีลอยกระทงในแต่ละปีตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และประชาสัมพันธ์ประเพณีลอยกระทงให้ยิ่งใหญ่ในทุกช่องทางสื่อ ครอบคลุมทั่วโลก เพื่อให้คนทั่วโลกหันมาสนใจเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น
------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เผยผลโพล “ประเพณีลอยกระทงปี 61” ปชช.ร้อยละ 91.34 หนุน “1 ครอบครัว 1 กระทง”ช่วยลดปริมาณขยะ-รักษาสิ่งแวดล้อม
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
วธ. เผยผลโพล “ประเพณีลอยกระทงปี 61” ปชช.ร้อยละ 91.34 หนุน “1 ครอบครัว 1 กระทง”ช่วยลดปริมาณขยะ-รักษาสิ่งแวดล้อม
วธ. เผยผลโพล “ประเพณีลอยกระทงปี 61” ปชช.ร้อยละ 91.34 หนุน “1 ครอบครัว 1 กระทง”ช่วยลดปริมาณขยะ-รักษาสิ่งแวดล้อม เผยอยากไปลอยกระทงที่ "เชียงใหม่-สุโขทัย-ภูมิลําเนา" มากที่สุด
วธ. เผยผลโพล“ประเพณีลอยกระทงปี61”ปชช.ร้อยละ91.34หนุน“1ครอบครัว1กระทง”ช่วยลดปริมาณขยะ-รักษาสิ่งแวดล้อม เผยอยากไปลอยกระทงที่ "เชียงใหม่-สุโขทัย-ภูมิลําเนา" มากที่สุดยินดีแต่งกายชุดไทย-ชุดพื้นถิ่น ไปลอยกระทง เพื่อร่วมสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่ากระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สํารวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชนและประชาชน หัวข้อ“ประเพณีลอยกระทง ปี2561”จากกลุ่มตัวอย่างครอบคลุมทั่วประเทศ6,298คน ผลสํารวจพบว่าร้อยละ97.29ทราบว่า ประเพณีวันลอยกระทงตรงกับวันขึ้น15ค่ํา เดือน12หรือวันเพ็ญ เดือน12ของทุกปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่22พฤศจิกายน2561รองลงมาร้อยละ91.34เห็นด้วยกับนโยบาย“1ครอบครัว1กระทง”เพื่อลดปริมาณขยะและการทําลายธรรมชาติ ร้อยละ84.54ทราบว่า เป็นประเพณี ที่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมกันจัดงานภายใต้แนวคิด“ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม”ร้อยละ51.55ทราบว่า ประเทศไทยร่วมกับประเทศอาเซียน จัดงานประเพณีลอยกระทงอาเซียนที่จังหวัดระนอง บุรีรัมย์ สุโขทัย ขอนแก่น ร้อยเอ็ด ชลบุรี นครราชสีมา กระบี่ สงขลา และจังหวัดเชียงใหม่และร้อยละ76.70คิดว่า คุณค่าและประโยชน์ของประเพณีลอยกระทง เพื่อระลึกถึงพระคุณของแม่น้ําลําคลอง และบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแม่น้ําได้แก่ พระแม่คงคา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ผลสํารวจพบอีกว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางหรือมาตรการให้ใช้กระทงที่ประดิษฐ์ด้วยวัสดุย่อยสลายง่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันตั้งใจจะใช้กระทงที่ประดิษฐ์จากต้นกล้วย ใบตอง ดอกบัว ขนมปังพืชผัก โดยสถานที่ที่ประชาชนจะไป“ลอยกระทง”มากที่สุดได้แก่ อันดับ1จังหวัดเชียงใหม่ การลอยโคม หรือ“ประเพณียี่เป็ง”อันดับ2จังหวัดสุโขทัย“ประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ”อันดับ3ภูมิลําเนาของตนเอง อันดับ4จังหวัดตาก“ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป1000ดวง”และอันดับ5จังหวัดนครพนม“ประเพณีไหลเรือไฟ”นอกจากนี้ ประชาชน ร้อยละ81.02สนใจเข้าร่วมชมกิจกรรมในงานประเพณีวันลอยกระทงในจังหวัดของตน เพี่อชมการประกวดกระทงชมการแสดงทางวัฒนธรรม ร่วมกิจกรรมสาธิตอาหารพื้นบ้าน และการสาธิตประดิษฐ์กระทงตามลําดับ
นายวีระ กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันประชาชนส่วนใหญ่คิดว่าจะมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีลอยกระทงได้โดยแต่งกายชุดไทย หรือชุดพื้นถิ่นไปร่วมงานประเพณีลอยกระทง ชักชวนคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน ญาติ และคนรู้จัก ไปร่วมงานประเพณีลอยกระทงสืบสานวัฒนธรรมประเพณี โดยประดิษฐ์กระทงจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ นอกจากนี้ยังต้องการให้วธ.ส่งเสริมให้ประชาชนมีโอกาสเข้าร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทงในท้องถิ่นของตนเองมากขึ้น เพื่อให้ประเพณีลอยกระทงคงอยู่ตลอดไป โดยเห็นว่าควรจัดในรูปแบบเรียบง่าย ปลอดภัย รักษาสิ่งแวดล้อม และปลอดอบายมุข เพิ่มกิจกรรมถ่ายทอดวิธีการประดิษฐ์กระทงด้วยตนเองจากวัสดุธรรมชาติ วางแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมประเพณีลอยกระทงในแต่ละปีตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และประชาสัมพันธ์ประเพณีลอยกระทงให้ยิ่งใหญ่ในทุกช่องทางสื่อ ครอบคลุมทั่วโลก เพื่อให้คนทั่วโลกหันมาสนใจเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น
------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16982
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. - รมช.ศธ. ร่วมพัฒนาระบบบริการตามยุทธศาสตร์จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์
|
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561
รมว.สธ. - รมช.ศธ. ร่วมพัฒนาระบบบริการตามยุทธศาสตร์จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพัฒนาด้านวิชาการ ระบบบริการ การวิจัย ของเขตสุขภาพ กับ 19 คณะแพทยศาสตร์ ตามยุทธศาสตร์จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพัฒนาด้านวิชาการ ระบบบริการ การวิจัย ของเขตสุขภาพ กับ 19 คณะแพทยศาสตร์ ตามยุทธศาสตร์จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ครอบคลุม 5 สาขา ทั้งการผ่าตัดหัวใจ อุบัติเหตุ ทารกแรกเกิด มะเร็ง และการปลูกถ่ายอวัยวะ ได้มาตรฐาน แบบไร้รอยต่อ ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ สะดวก รวดเร็ว
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ประชุมถอดบทเรียนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ในภาพรวมของประเทศ ระยะยาว (5 – 10 ปี) เป็นความร่วมมือในการจัดบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ระบบส่งต่อที่มีคุณภาพมาตรฐานภายในเขตสุขภาพแบบไร้รอยต่อ การพัฒนาบุคลากร และการวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข
ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ความคืบหน้าการลงนามกรอบความร่วมมือระหว่าง 12 เขตสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กับ 20 คณะแพทยศาสตร์ ของ 19 มหาวิทยาลัย สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559 ในการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการแพทย์ พบว่าทุกเขตสุขภาพ ได้ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ในพื้นที่ พัฒนาใน 3 เรื่อง ทั้งด้านวิชาการ ระบบบริการ และการวิจัยที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาและบริบทของแต่ละพื้นที่ ตามยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ที่ร่วมกันจัดทําขึ้น ครอบคลุมความเชี่ยวชาญใน 5 สาขา ได้แก่ การผ่าตัดหัวใจ อุบัติเหตุ ทารกแรกเกิด มะเร็ง และปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น โรงพยาบาลขอนแก่น ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น บริการผ่าตัดหัวใจ สามารถลดอัตราตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยที่สุด อันดับ 1 ของประเทศ ลดระยะเวลารอคอยการผ่าตัดหัวใจจาก 8 เดือน เหลือ 6 เดือน มีการผลิตพัฒนาบุคลากรในหลากหลายหลักสูตร อาทิ เวชศาสตร์ชุมชน แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว (Family Medicine) พยาบาลเฉพาะทาง เป็นต้น พร้อมทั้งมอบให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้ตรวจราชการทุกเขตสุขภาพ หารือกับคณะแพทยศาสตร์ ร่วมกันกําหนดการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ และกําหนดเป็นตัวชี้วัดให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในระยะ 1 ปี อย่างน้อยเขตละ 1 เรื่อง
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ฯ ได้ผ่านการเห็นชอบในหลักการจากคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา โดยให้กระทรวงสาธารณสุข จัดทําแผนการดําเนินงานระยะ 3 ปีแรก จัดลําดับความสําคัญ และปรับลดจาก 20 ศูนย์ เป็น 6 ศูนย์ตามเขตการปกครอง 6 ภาค ขณะนี้ อยู่ระหว่างการปรับรายละเอียดเพื่อเสนอคณะกรรมการ และคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมีนาคมนี้เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น
******************* กุมภาพันธ์ 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. - รมช.ศธ. ร่วมพัฒนาระบบบริการตามยุทธศาสตร์จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561
รมว.สธ. - รมช.ศธ. ร่วมพัฒนาระบบบริการตามยุทธศาสตร์จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพัฒนาด้านวิชาการ ระบบบริการ การวิจัย ของเขตสุขภาพ กับ 19 คณะแพทยศาสตร์ ตามยุทธศาสตร์จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพัฒนาด้านวิชาการ ระบบบริการ การวิจัย ของเขตสุขภาพ กับ 19 คณะแพทยศาสตร์ ตามยุทธศาสตร์จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ครอบคลุม 5 สาขา ทั้งการผ่าตัดหัวใจ อุบัติเหตุ ทารกแรกเกิด มะเร็ง และการปลูกถ่ายอวัยวะ ได้มาตรฐาน แบบไร้รอยต่อ ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ สะดวก รวดเร็ว
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ประชุมถอดบทเรียนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ในภาพรวมของประเทศ ระยะยาว (5 – 10 ปี) เป็นความร่วมมือในการจัดบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ระบบส่งต่อที่มีคุณภาพมาตรฐานภายในเขตสุขภาพแบบไร้รอยต่อ การพัฒนาบุคลากร และการวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข
ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ความคืบหน้าการลงนามกรอบความร่วมมือระหว่าง 12 เขตสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กับ 20 คณะแพทยศาสตร์ ของ 19 มหาวิทยาลัย สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559 ในการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการแพทย์ พบว่าทุกเขตสุขภาพ ได้ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ในพื้นที่ พัฒนาใน 3 เรื่อง ทั้งด้านวิชาการ ระบบบริการ และการวิจัยที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาและบริบทของแต่ละพื้นที่ ตามยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ที่ร่วมกันจัดทําขึ้น ครอบคลุมความเชี่ยวชาญใน 5 สาขา ได้แก่ การผ่าตัดหัวใจ อุบัติเหตุ ทารกแรกเกิด มะเร็ง และปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น โรงพยาบาลขอนแก่น ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น บริการผ่าตัดหัวใจ สามารถลดอัตราตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยที่สุด อันดับ 1 ของประเทศ ลดระยะเวลารอคอยการผ่าตัดหัวใจจาก 8 เดือน เหลือ 6 เดือน มีการผลิตพัฒนาบุคลากรในหลากหลายหลักสูตร อาทิ เวชศาสตร์ชุมชน แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว (Family Medicine) พยาบาลเฉพาะทาง เป็นต้น พร้อมทั้งมอบให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้ตรวจราชการทุกเขตสุขภาพ หารือกับคณะแพทยศาสตร์ ร่วมกันกําหนดการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ และกําหนดเป็นตัวชี้วัดให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในระยะ 1 ปี อย่างน้อยเขตละ 1 เรื่อง
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ฯ ได้ผ่านการเห็นชอบในหลักการจากคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา โดยให้กระทรวงสาธารณสุข จัดทําแผนการดําเนินงานระยะ 3 ปีแรก จัดลําดับความสําคัญ และปรับลดจาก 20 ศูนย์ เป็น 6 ศูนย์ตามเขตการปกครอง 6 ภาค ขณะนี้ อยู่ระหว่างการปรับรายละเอียดเพื่อเสนอคณะกรรมการ และคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมีนาคมนี้เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น
******************* กุมภาพันธ์ 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10100
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560
|
วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2560
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560
เศรษฐกิจไทยในเดือน ก.ย.ปี 2560 มีสัญญาณของการขยายตัวแบบกระจายตัวมากขึ้นจากเดือนก่อนหน้าทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่มีการขยายตัวในอัตราเร่งมากขึ้น ส่วนด้านอุปทานยังขยายตัวได้ดีทั้งผลผลิตสินค้าเกษตรและจํานวนนักท่องเที่ยวจาก ตปท.
“เศรษฐกิจไทยในเดือนกันยายน ปี 2560 มีสัญญาณของการขยายตัวแบบกระจายตัวมากขึ้นจากเดือนก่อนหน้าทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่มีการขยายตัวในอัตราเร่งมากขึ้น ส่วนด้านอุปทานยังขยายตัวได้ดีทั้งผลผลิตสินค้าเกษตรและจํานวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ทั้งนี้ การฟื้นตัวที่กระจายตัวมากขึ้นช่วยให้เศรษฐกิจ ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวได้ดี โดยมีการส่งออกสินค้าและบริการเป็นเครื่องยนต์หลัก เสริมด้วยการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวได้ดีจากไตรมาสก่อน ในขณะที่การใช้จ่ายภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดีและช่วยสนับสนุนการขยายตัวของ เศรษฐกิจไทยได้อย่างต่อเนื่อง”
นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนกันยายน ปี 2560 มีสัญญาณของการขยายตัวแบบกระจายตัวมากขึ้นจากเดือนก่อนหน้าทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่มีการขยายตัวในอัตราเร่งมากขึ้น ส่วนด้านอุปทานยังขยายตัวได้ดีทั้งผลผลิตสินค้าเกษตรและจํานวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ทั้งนี้ การฟื้นตัวที่กระจายตัวมากขึ้นช่วยให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวได้ดี โดยมีการส่งออกสินค้าและบริการเป็นเครื่องยนต์หลัก เสริมด้วยการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวได้ดีจากไตรมาสก่อน ในขณะที่การใช้จ่ายภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดีและช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้อย่างต่อเนื่อง” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.0 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคางที่ขยายตัวร้อยละ 5.9 ต่อปี เช่นเดียวกับ ปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 และขยายตัวสูงถึงร้อยละ 14.9 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัวร้อยละ 11.2 ต่อปี สําหรับปริมาณนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 8.4 ต่อปี นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ในเดือนกันยายน 2560 เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 มาอยู่ที่ระดับ 62.5 โดยมีปัจจัยมาจากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี รวมถึงการลงทุนของภาครัฐที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 62.4
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณการฟื้นตัวในอัตาราเร่งมากขึ้น สะท้อนจากปริมาณนําเข้าสินค้าทุน ในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 11.4 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 8.2 ต่อปี เช่นเดียวกับปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 26.6 ต่อปี จากยอดจําหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 23.8 ต่อปี ทําให้ไตรมาส 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 12.8 ต่อปี ในขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจําหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 4.9 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวเช่นกันที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี สําหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 4.2 ต่อปี โดยมีสาเหตุสําคัญจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กที่สูงขึ้นร้อยละ 19.2 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี
ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน โดยการมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 12.2 ต่อปี โดยหมวดสินค้าสําคัญที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ ทองคํา อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยาง และเชื้อเพลิง เป็นต้น ขณะที่ประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวได้ดี เช่น อาเซียน-9 จีน CLMV ฮ่องกง ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น สําหรับมูลค่าการนําเข้าขยายตัวร้อยละ 9.7 ต่อปี โดยกลุ่มสินค้าที่สนับสนุนการขยายตัวของการนําเข้า เช่น วัตถุดิบและกึ่งสําเร็จรูป สินค้าทุน ทองคํา และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น ส่งผลทําให้ดุลการค้าในเดือนกันยายนเกินดุลจํานวน 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 มูลค่าการส่งออกสินค้ามีมูลค่า 61.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านการผลิตได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันโดยขยายตัวร้อยละ 7.0 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวได้ดีของหมวดพืชผลสําคัญ อาทิ ข้าวเปลือก ยางพารา และมันสําปะหลัง รวมถึงหมวดปศุสัตว์ และ หมวดประมงที่ขยายตัวได้ดีเช่นกัน ส่งผลทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 11.9 ต่อปี สําหรับจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทย ในเดือนกันยายน 2560 มีจํานวน 2.56 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 5.7 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวได้ดีจากจีน เกาหลี กัมพูชา และอินเดีย เป็นสําคัญ ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 มีจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศจํานวน 8.78 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 6.4 ต่อปี นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ในเดือนกันยายน 2560 ปรับเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 86.7 โดยได้รับปัจจัยบวกทั้งจากความเชื่อมั่นในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดย่อม ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการจัดกิจกรรมการส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 85.2
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ํา โดยอัตราตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน 2560 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.5 ต่อปี สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนกันยายน 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ของกําลังแรงงานรวม ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ระดับร้อยละ 41.9 ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 60 นอกจากนี้ เสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 อยู่ที่ระดับ 199.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 3.4 เท่า
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560
วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2560
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560
เศรษฐกิจไทยในเดือน ก.ย.ปี 2560 มีสัญญาณของการขยายตัวแบบกระจายตัวมากขึ้นจากเดือนก่อนหน้าทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่มีการขยายตัวในอัตราเร่งมากขึ้น ส่วนด้านอุปทานยังขยายตัวได้ดีทั้งผลผลิตสินค้าเกษตรและจํานวนนักท่องเที่ยวจาก ตปท.
“เศรษฐกิจไทยในเดือนกันยายน ปี 2560 มีสัญญาณของการขยายตัวแบบกระจายตัวมากขึ้นจากเดือนก่อนหน้าทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่มีการขยายตัวในอัตราเร่งมากขึ้น ส่วนด้านอุปทานยังขยายตัวได้ดีทั้งผลผลิตสินค้าเกษตรและจํานวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ทั้งนี้ การฟื้นตัวที่กระจายตัวมากขึ้นช่วยให้เศรษฐกิจ ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวได้ดี โดยมีการส่งออกสินค้าและบริการเป็นเครื่องยนต์หลัก เสริมด้วยการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวได้ดีจากไตรมาสก่อน ในขณะที่การใช้จ่ายภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดีและช่วยสนับสนุนการขยายตัวของ เศรษฐกิจไทยได้อย่างต่อเนื่อง”
นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนกันยายน ปี 2560 มีสัญญาณของการขยายตัวแบบกระจายตัวมากขึ้นจากเดือนก่อนหน้าทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่มีการขยายตัวในอัตราเร่งมากขึ้น ส่วนด้านอุปทานยังขยายตัวได้ดีทั้งผลผลิตสินค้าเกษตรและจํานวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ทั้งนี้ การฟื้นตัวที่กระจายตัวมากขึ้นช่วยให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวได้ดี โดยมีการส่งออกสินค้าและบริการเป็นเครื่องยนต์หลัก เสริมด้วยการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวได้ดีจากไตรมาสก่อน ในขณะที่การใช้จ่ายภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดีและช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้อย่างต่อเนื่อง” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.0 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคางที่ขยายตัวร้อยละ 5.9 ต่อปี เช่นเดียวกับ ปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 และขยายตัวสูงถึงร้อยละ 14.9 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัวร้อยละ 11.2 ต่อปี สําหรับปริมาณนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 8.4 ต่อปี นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ในเดือนกันยายน 2560 เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 มาอยู่ที่ระดับ 62.5 โดยมีปัจจัยมาจากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี รวมถึงการลงทุนของภาครัฐที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 62.4
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณการฟื้นตัวในอัตาราเร่งมากขึ้น สะท้อนจากปริมาณนําเข้าสินค้าทุน ในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 11.4 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 8.2 ต่อปี เช่นเดียวกับปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 26.6 ต่อปี จากยอดจําหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 23.8 ต่อปี ทําให้ไตรมาส 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 12.8 ต่อปี ในขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจําหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 4.9 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวเช่นกันที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี สําหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 4.2 ต่อปี โดยมีสาเหตุสําคัญจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กที่สูงขึ้นร้อยละ 19.2 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี
ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน โดยการมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 12.2 ต่อปี โดยหมวดสินค้าสําคัญที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ ทองคํา อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยาง และเชื้อเพลิง เป็นต้น ขณะที่ประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวได้ดี เช่น อาเซียน-9 จีน CLMV ฮ่องกง ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น สําหรับมูลค่าการนําเข้าขยายตัวร้อยละ 9.7 ต่อปี โดยกลุ่มสินค้าที่สนับสนุนการขยายตัวของการนําเข้า เช่น วัตถุดิบและกึ่งสําเร็จรูป สินค้าทุน ทองคํา และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น ส่งผลทําให้ดุลการค้าในเดือนกันยายนเกินดุลจํานวน 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 มูลค่าการส่งออกสินค้ามีมูลค่า 61.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านการผลิตได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือนกันยายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันโดยขยายตัวร้อยละ 7.0 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวได้ดีของหมวดพืชผลสําคัญ อาทิ ข้าวเปลือก ยางพารา และมันสําปะหลัง รวมถึงหมวดปศุสัตว์ และ หมวดประมงที่ขยายตัวได้ดีเช่นกัน ส่งผลทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 11.9 ต่อปี สําหรับจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทย ในเดือนกันยายน 2560 มีจํานวน 2.56 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 5.7 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวได้ดีจากจีน เกาหลี กัมพูชา และอินเดีย เป็นสําคัญ ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 มีจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศจํานวน 8.78 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 6.4 ต่อปี นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ในเดือนกันยายน 2560 ปรับเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 86.7 โดยได้รับปัจจัยบวกทั้งจากความเชื่อมั่นในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดย่อม ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการจัดกิจกรรมการส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ทําให้ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 85.2
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ํา โดยอัตราตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน 2560 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.5 ต่อปี สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนกันยายน 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ของกําลังแรงงานรวม ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2560 อยู่ที่ระดับร้อยละ 41.9 ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 60 นอกจากนี้ เสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 อยู่ที่ระดับ 199.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 3.4 เท่า
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7666
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. ตรวจราชการพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ย้ำต้องติดดินรับฟังและเร่งช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนชาวบ้านให้เป็นผล ลั่นต้องไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องผู้มีอิทธิพล การค้ามนุษย์
|
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561
รอง นรม. และ รมว.กห. ตรวจราชการพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ย้ําต้องติดดินรับฟังและเร่งช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนชาวบ้านให้เป็นผล ลั่นต้องไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องผู้มีอิทธิพล การค้ามนุษย์
20 ส.ค.61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจราชการและมอบนโยบายการปฏิบัติงานกับส่วนราชการต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ณ ศาลากลางจังหวัดชุมพร ซึ่งภาพรวมพื้นที่ของภาคใต้ตอนบน มีเขตแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน
มีความเสี่ยงและล่อแหลมต่อความมั่นคง ทั้งปัญหายาเสพติดและผู้มีอิทธิพล การลักลอบค้าอาวุธสงครามและสิ่งผิดกฎหมาย การหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ปัญหาการค้ามนุษย์ รวมทั้งการทําประมงผิดกฎหมายและการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ
พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณและเป็นกําลังใจให้ข้าราชการทุกหน่วยงาน ถึงความพยายามร่วมกันขับเคลื่อนปฏิรูปและวางรากฐานประเทศตามนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา โดยกําชับ ขอให้ฝ่ายปกครอง ทหารและตํารวจในทุกจังหวัด ยึดมั่นเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งต้องลงพื้นที่รับฟังประชาชนและร่วมกันขับเคลื่อนแก้ปัญหาหลักด้านความมั่นคง ควบคู่กับการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ําในพื้นที่ ให้ปรากฏผลเชิงประจักษ์ เป็นที่เชื่อมั่นจากประชาชนมากขึ้น ในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ขณะเดียวกันต้องไม่โดดเดี่ยวประชาชนที่มีรายได้น้อย โดยให้สนับสนุนพัฒนาทักษะอาชีพให้เกษตรกรในพื้นที่ให้เข้มแข็งอย่างพอเพียงให้ได้
รอง นรม.และ รมว.กห. ย้ําเป็นนโยบายว่า ภาคใต้ตอนบนถือเป็นเส้นทางผ่านยาเสพติดที่สําคัญ ขอให้คงความต่อเนื่องปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การค้ามนุษย์ กลุ่มมือปืนรับจ้างและค้าอาวุธสงคราม ที่เป็นเหตุความรุนแรงในพื้นที่ กลุ่มอิทธิพลที่ทําลายทรัพยากรธรรมชาติ และยังคงปรากฏการเคลื่อนไหวเอารัดเอาเปรียบประชาชน เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้สิทธิและมีเสรีภาพอันชอบธรรม สามารถประกอบสัมมาชีพได้อย่างเสมอภาคและปลอดภัย ทั้งนี้ ต้องไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปแสวงประโยชน์และเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด
สําหรับ ปัญหาภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ขอให้ทุกส่วนราชการ ปรับแผนบรรเทาสาธารณภัยให้รองรับกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยให้สามารถตอบสนองและรับมือกับภัยพิบัติอย่างเป็นระบบและทันต่อเหตุการณ์ เพื่อบรรเทาความเสียหายในพื้นที่ พร้อมทั้ง ให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนแก้ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ตามนโยบายของรัฐบาลให้เป็นรูปธรรม โดยร่วมสร้างความเข้าใจและรับฟังปัญหาจากชาวประมง เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาประมงที่มุ่งความยั่งยืนไปด้วยกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. ตรวจราชการพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ย้ำต้องติดดินรับฟังและเร่งช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนชาวบ้านให้เป็นผล ลั่นต้องไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องผู้มีอิทธิพล การค้ามนุษย์
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561
รอง นรม. และ รมว.กห. ตรวจราชการพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ย้ําต้องติดดินรับฟังและเร่งช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนชาวบ้านให้เป็นผล ลั่นต้องไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องผู้มีอิทธิพล การค้ามนุษย์
20 ส.ค.61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจราชการและมอบนโยบายการปฏิบัติงานกับส่วนราชการต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ณ ศาลากลางจังหวัดชุมพร ซึ่งภาพรวมพื้นที่ของภาคใต้ตอนบน มีเขตแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน
มีความเสี่ยงและล่อแหลมต่อความมั่นคง ทั้งปัญหายาเสพติดและผู้มีอิทธิพล การลักลอบค้าอาวุธสงครามและสิ่งผิดกฎหมาย การหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ปัญหาการค้ามนุษย์ รวมทั้งการทําประมงผิดกฎหมายและการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ
พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณและเป็นกําลังใจให้ข้าราชการทุกหน่วยงาน ถึงความพยายามร่วมกันขับเคลื่อนปฏิรูปและวางรากฐานประเทศตามนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา โดยกําชับ ขอให้ฝ่ายปกครอง ทหารและตํารวจในทุกจังหวัด ยึดมั่นเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งต้องลงพื้นที่รับฟังประชาชนและร่วมกันขับเคลื่อนแก้ปัญหาหลักด้านความมั่นคง ควบคู่กับการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ําในพื้นที่ ให้ปรากฏผลเชิงประจักษ์ เป็นที่เชื่อมั่นจากประชาชนมากขึ้น ในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ขณะเดียวกันต้องไม่โดดเดี่ยวประชาชนที่มีรายได้น้อย โดยให้สนับสนุนพัฒนาทักษะอาชีพให้เกษตรกรในพื้นที่ให้เข้มแข็งอย่างพอเพียงให้ได้
รอง นรม.และ รมว.กห. ย้ําเป็นนโยบายว่า ภาคใต้ตอนบนถือเป็นเส้นทางผ่านยาเสพติดที่สําคัญ ขอให้คงความต่อเนื่องปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การค้ามนุษย์ กลุ่มมือปืนรับจ้างและค้าอาวุธสงคราม ที่เป็นเหตุความรุนแรงในพื้นที่ กลุ่มอิทธิพลที่ทําลายทรัพยากรธรรมชาติ และยังคงปรากฏการเคลื่อนไหวเอารัดเอาเปรียบประชาชน เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้สิทธิและมีเสรีภาพอันชอบธรรม สามารถประกอบสัมมาชีพได้อย่างเสมอภาคและปลอดภัย ทั้งนี้ ต้องไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปแสวงประโยชน์และเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด
สําหรับ ปัญหาภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ขอให้ทุกส่วนราชการ ปรับแผนบรรเทาสาธารณภัยให้รองรับกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยให้สามารถตอบสนองและรับมือกับภัยพิบัติอย่างเป็นระบบและทันต่อเหตุการณ์ เพื่อบรรเทาความเสียหายในพื้นที่ พร้อมทั้ง ให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนแก้ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ตามนโยบายของรัฐบาลให้เป็นรูปธรรม โดยร่วมสร้างความเข้าใจและรับฟังปัญหาจากชาวประมง เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาประมงที่มุ่งความยั่งยืนไปด้วยกัน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14736
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2560
|
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560
การประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2560
10 กุมภาพันธ์ 2560 กระทรวงอุตสาหกรรมจัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2560
วันนี้ 10 กุมภาพันธ์ 2560 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2560 ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2560
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560
การประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2560
10 กุมภาพันธ์ 2560 กระทรวงอุตสาหกรรมจัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2560
วันนี้ 10 กุมภาพันธ์ 2560 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2560 ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1810
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ประชุมรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี
|
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559
กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ประชุมรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี เป็นประธานเปิดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี
ในวันศุกร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ เวลา ๐๙.๓๐ น.
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี
เป็นประธานเปิดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี
ตามที่กรมบังคับคดีได้เสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
ซึ่งมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องดังกล่าว
โดยเชิญภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐและเอกชน สถาบันการเงิน สํานักงานทนายความ ตัวแทนเจ้าหนี้และลูกหนี้
เพื่อนําข้อมูลที่ได้รับไปประกอบการจัดทําร่างประมวลกฎหมายให้ครบถ้วน สมบูรณ์ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง
อันจะช่วยให้การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นภายหลังกฎหมายบังคับใช้
โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุมคชสาร ๒ ชั้น ๓ อาคารกรมบังคับคดี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ประชุมรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559
กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ประชุมรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี เป็นประธานเปิดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี
ในวันศุกร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ เวลา ๐๙.๓๐ น.
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี
เป็นประธานเปิดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี
ตามที่กรมบังคับคดีได้เสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
ซึ่งมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องดังกล่าว
โดยเชิญภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐและเอกชน สถาบันการเงิน สํานักงานทนายความ ตัวแทนเจ้าหนี้และลูกหนี้
เพื่อนําข้อมูลที่ได้รับไปประกอบการจัดทําร่างประมวลกฎหมายให้ครบถ้วน สมบูรณ์ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง
อันจะช่วยให้การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นภายหลังกฎหมายบังคับใช้
โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุมคชสาร ๒ ชั้น ๓ อาคารกรมบังคับคดี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1050
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ช่วยผู้ประสบอุทกภัยจากพายุซินลากู ผ่าน 7 มาตรการ พักหนี้ ลดดอกเบี้ย ให้กู้ซ่อม/สร้าง ปลอดหนี้บางส่วน และจ่ายค่าสินไหมเร่งด่วน
|
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563
ธอส.ช่วยผู้ประสบอุทกภัยจากพายุซินลากู ผ่าน 7 มาตรการ พักหนี้ ลดดอกเบี้ย ให้กู้ซ่อม/สร้าง ปลอดหนี้บางส่วน และจ่ายค่าสินไหมเร่งด่วน
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศ 7 มาตรการเร่งด่วน ช่วยเหลือลูกค้าประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุซินลากู จัดทํา “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” กรอบวงเงิน 100 ล้านบาท
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศ 6 มาตรการเร่งด่วน ช่วยเหลือลูกค้าประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุซินลากู จัดทํา “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” กรอบวงเงิน 100 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) กรณีลูกค้าเดิมที่หลักประกันเสียหาย ลดภาระดอกเบี้ยเหลือ 0% ต่อปี นาน 4 เดือนแรก 2) กรณีลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าเดิมที่หลักประกันเสียหาย ให้กู้เพิ่มหรือกู้ใหม่ ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก 3) กรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหาย ขอประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน ดอกเบี้ย 0% ต่อปี 4 เดือน ไม่ต้องชําระเงินงวด 4) ได้รับผลกระทบด้านรายได้ให้ประนอมหนี้ไม่เกิน 1 ปี ดอกเบี้ย 1% ต่อปี 5) เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ให้ผ่อนชําระดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี 6) ที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังซ่อมแซมไม่ได้ ให้ปลอดหนี้ในส่วนของราคาอาคาร และ 7) พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fastrack) สําหรับลูกค้าที่ทํากรมธรรม์ประกันภัย จ่ายค่าสินไหมเร่งด่วน 15,000 บาท หรือจ่ายตามความเสียหายจริงไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี และกรณีกรมธรรม์เริ่มคุ้มครองตั้งแต่ 1 พ.ย. 2562 เพิ่มความคุ้มครองตามความเสียหายจริง แต่ไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี ติดต่อขอใช้มาตรการได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 ธันวาคม 2563
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่หลายจังหวัดโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือได้เกิดสถานการณ์ฝนตกหนัก น้ําท่วมฉับพลัน และน้ําป่าไหลหลาก จากผลกระทบของพายุซินลากู ส่งผลให้บ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชนได้รับความเสียหาย ได้รับผลกระทบในด้านรายได้หรือการประกอบอาชีพนั้น นายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการ ธอส. จึงได้มอบนโยบายให้ธนาคารเร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้าประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” และเป็นธนาคารบ้านของคนไทย จึงได้จัดเตรียมกรอบวงเงินรวม 100 ล้านบาทจัดทํา “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” โดยพิจารณาตามระดับความเสียหาย ซึ่งมีรายละเอียดประกอบด้วย
มาตรการที่ 1 สําหรับลูกค้าเดิมของ ธอส. กรณีหลักประกัน (ที่อยู่อาศัยที่จดจํานองกับธนาคาร) ของตนเองหรือ คู่สมรสได้รับความเสียหายจากการประสบอุทกภัยสามารถขอลดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชําระ เดือนที่ 1-4 อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี เดือนที่ 5-16 อัตราดอกเบี้ย 3.65% ต่อปี เดือนที่ 17-24 อัตราดอกเบี้ย 4.15% ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ต่อปี และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้กรณีลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้เพื่อชําระหนี้หรือซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกฯ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. อยู่ที่ 6.150% ต่อปี)
มาตรการที่ 2 สําหรับลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าเดิมของ ธอส. ที่หลักประกันของตนเองหรือคู่สมรสได้รับความเสียหายจากการประสบอุทกภัย สามารถขอกู้เพิ่ม หรือกู้ใหม่ เพื่อปลูกสร้างอาคารทดแทนหลังเดิม หรือกู้ซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหาย คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 3.00% ต่อปี นาน 3 ปี หลังจากนั้น กรณีลูกค้าสวัสดิการ คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี ส่วนลูกค้ารายย่อย คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี
สําหรับลูกค้าผู้ที่ต้องการยื่นกู้ตามมาตรการที่ 2 ธนาคารกําหนดวงเงินให้กู้ต่อรายไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อ 1 หลักประกัน และยังยกเว้นค่าธรรมเนียมในรายการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ค่าตรวจสอบหลักประกัน ค่าประเมินราคาหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าธรรมเนียมการขอเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าธรรมเนียมการขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการกู้
มาตรการที่ 3 ลูกหนี้ที่หลักประกันได้รับความเสียหาย ให้ลูกหนี้ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 4 เดือนแรกโดยไม่ต้องชําระเงินงวด จากนั้นเดือนที่ 5-16 อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชําระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ให้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้
มาตรการที่ 4 ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้ประนอมหนี้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชําระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ ให้ลูกหนี้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้
มาตรการที่ 5 ลูกหนี้ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ให้ผ่อนชําระโดยใช้อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี ตลอดระยะเวลาที่คงเหลือตามสัญญากู้
มาตรการที่ 6 กรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังและไม่สามารถซ่อมแซมได้ ให้ปลอดหนี้ในส่วนของราคาอาคาร และให้ผ่อนชําระต่อเฉพาะในส่วนของที่ดินที่คงเหลือเท่านั้น
มาตรการที่ 7 พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สําหรับลูกค้าที่ทํากรมธรรม์ประกันภัยอัคคีภัยสําหรับที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ รวมถึงกรณีน้ําท่วม หรือ ลมพายุ พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัยทุกรายอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ 15,000 บาท แต่หากมีภาพถ่ายความเสียหายที่ชัดเจนเกินกว่า 15,000 บาท จ่ายตามความเสียหายจริงตามภาพถ่าย รวมทุกภัยธรรมชาติไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี และสําหรับลูกค้าที่มีกรมธรรม์เริ่มความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติตามความเสียหายจริงจากหลักฐานภาพถ่าย แตไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี
ทั้งนี้ ลูกค้าที่ประสงค์ขอรับบริการของ “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถึงภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ช่วยผู้ประสบอุทกภัยจากพายุซินลากู ผ่าน 7 มาตรการ พักหนี้ ลดดอกเบี้ย ให้กู้ซ่อม/สร้าง ปลอดหนี้บางส่วน และจ่ายค่าสินไหมเร่งด่วน
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563
ธอส.ช่วยผู้ประสบอุทกภัยจากพายุซินลากู ผ่าน 7 มาตรการ พักหนี้ ลดดอกเบี้ย ให้กู้ซ่อม/สร้าง ปลอดหนี้บางส่วน และจ่ายค่าสินไหมเร่งด่วน
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศ 7 มาตรการเร่งด่วน ช่วยเหลือลูกค้าประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุซินลากู จัดทํา “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” กรอบวงเงิน 100 ล้านบาท
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศ 6 มาตรการเร่งด่วน ช่วยเหลือลูกค้าประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุซินลากู จัดทํา “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” กรอบวงเงิน 100 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) กรณีลูกค้าเดิมที่หลักประกันเสียหาย ลดภาระดอกเบี้ยเหลือ 0% ต่อปี นาน 4 เดือนแรก 2) กรณีลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าเดิมที่หลักประกันเสียหาย ให้กู้เพิ่มหรือกู้ใหม่ ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก 3) กรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหาย ขอประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน ดอกเบี้ย 0% ต่อปี 4 เดือน ไม่ต้องชําระเงินงวด 4) ได้รับผลกระทบด้านรายได้ให้ประนอมหนี้ไม่เกิน 1 ปี ดอกเบี้ย 1% ต่อปี 5) เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ให้ผ่อนชําระดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี 6) ที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังซ่อมแซมไม่ได้ ให้ปลอดหนี้ในส่วนของราคาอาคาร และ 7) พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fastrack) สําหรับลูกค้าที่ทํากรมธรรม์ประกันภัย จ่ายค่าสินไหมเร่งด่วน 15,000 บาท หรือจ่ายตามความเสียหายจริงไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี และกรณีกรมธรรม์เริ่มคุ้มครองตั้งแต่ 1 พ.ย. 2562 เพิ่มความคุ้มครองตามความเสียหายจริง แต่ไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี ติดต่อขอใช้มาตรการได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 ธันวาคม 2563
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่หลายจังหวัดโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือได้เกิดสถานการณ์ฝนตกหนัก น้ําท่วมฉับพลัน และน้ําป่าไหลหลาก จากผลกระทบของพายุซินลากู ส่งผลให้บ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชนได้รับความเสียหาย ได้รับผลกระทบในด้านรายได้หรือการประกอบอาชีพนั้น นายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการ ธอส. จึงได้มอบนโยบายให้ธนาคารเร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้าประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” และเป็นธนาคารบ้านของคนไทย จึงได้จัดเตรียมกรอบวงเงินรวม 100 ล้านบาทจัดทํา “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” โดยพิจารณาตามระดับความเสียหาย ซึ่งมีรายละเอียดประกอบด้วย
มาตรการที่ 1 สําหรับลูกค้าเดิมของ ธอส. กรณีหลักประกัน (ที่อยู่อาศัยที่จดจํานองกับธนาคาร) ของตนเองหรือ คู่สมรสได้รับความเสียหายจากการประสบอุทกภัยสามารถขอลดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชําระ เดือนที่ 1-4 อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี เดือนที่ 5-16 อัตราดอกเบี้ย 3.65% ต่อปี เดือนที่ 17-24 อัตราดอกเบี้ย 4.15% ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ต่อปี และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้กรณีลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้เพื่อชําระหนี้หรือซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกฯ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. อยู่ที่ 6.150% ต่อปี)
มาตรการที่ 2 สําหรับลูกค้าใหม่ หรือลูกค้าเดิมของ ธอส. ที่หลักประกันของตนเองหรือคู่สมรสได้รับความเสียหายจากการประสบอุทกภัย สามารถขอกู้เพิ่ม หรือกู้ใหม่ เพื่อปลูกสร้างอาคารทดแทนหลังเดิม หรือกู้ซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหาย คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 3.00% ต่อปี นาน 3 ปี หลังจากนั้น กรณีลูกค้าสวัสดิการ คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี ส่วนลูกค้ารายย่อย คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี
สําหรับลูกค้าผู้ที่ต้องการยื่นกู้ตามมาตรการที่ 2 ธนาคารกําหนดวงเงินให้กู้ต่อรายไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อ 1 หลักประกัน และยังยกเว้นค่าธรรมเนียมในรายการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ค่าตรวจสอบหลักประกัน ค่าประเมินราคาหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าธรรมเนียมการขอเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าธรรมเนียมการขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการกู้
มาตรการที่ 3 ลูกหนี้ที่หลักประกันได้รับความเสียหาย ให้ลูกหนี้ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 4 เดือนแรกโดยไม่ต้องชําระเงินงวด จากนั้นเดือนที่ 5-16 อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชําระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ให้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้
มาตรการที่ 4 ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้ประนอมหนี้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยให้ผ่อนชําระเงินงวดไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน และเมื่อครบระยะเวลาประนอมหนี้ ให้ลูกหนี้กลับมาใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิมก่อนที่จะใช้มาตรการนี้
มาตรการที่ 5 ลูกหนี้ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร ให้ผ่อนชําระโดยใช้อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี ตลอดระยะเวลาที่คงเหลือตามสัญญากู้
มาตรการที่ 6 กรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังและไม่สามารถซ่อมแซมได้ ให้ปลอดหนี้ในส่วนของราคาอาคาร และให้ผ่อนชําระต่อเฉพาะในส่วนของที่ดินที่คงเหลือเท่านั้น
มาตรการที่ 7 พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สําหรับลูกค้าที่ทํากรมธรรม์ประกันภัยอัคคีภัยสําหรับที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ รวมถึงกรณีน้ําท่วม หรือ ลมพายุ พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัยทุกรายอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ 15,000 บาท แต่หากมีภาพถ่ายความเสียหายที่ชัดเจนเกินกว่า 15,000 บาท จ่ายตามความเสียหายจริงตามภาพถ่าย รวมทุกภัยธรรมชาติไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี และสําหรับลูกค้าที่มีกรมธรรม์เริ่มความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติตามความเสียหายจริงจากหลักฐานภาพถ่าย แตไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี
ทั้งนี้ ลูกค้าที่ประสงค์ขอรับบริการของ “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถึงภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34028
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK จับมือ NEXI คุ้มครองความเสี่ยงธุรกิจส่งออกและโครงการลงทุนของไทยและญี่ปุ่น
|
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
EXIM BANK จับมือ NEXI คุ้มครองความเสี่ยงธุรกิจส่งออกและโครงการลงทุนของไทยและญี่ปุ่น
EXIM BANK จับมือ NEXI คุ้มครองความเสี่ยงธุรกิจส่งออกและโครงการลงทุนของไทยและญี่ปุ่น ผลักดันการค้าการลงทุนและการร่วมทุนไทย-ญี่ปุ่นเพื่อสร้างนวัตกรรมสินค้าและบริการ รุกตลาด CLMV และพื้นที่ EEC ของไทยอย่างมั่นใจ
EXIM BANK จับมือ NEXI คุ้มครองความเสี่ยงธุรกิจส่งออกและโครงการลงทุนของไทยและญี่ปุ่น ผลักดันการค้าการลงทุนและการร่วมทุนไทย-ญี่ปุ่นเพื่อสร้างนวัตกรรมสินค้าและบริการ รุกตลาด CLMV และพื้นที่ EEC ของไทยอย่างมั่นใจ
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ลงนามกับนายอัตสึโอะ คุโรดะ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร องค์กรรับประกันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Nippon Export and Investment Insurance : NEXI) ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการรับประกัน (Insurance) โดยมีนายนะชิดะ คะสุยะ เอกอัครราชทูตประเทศญี่ปุ่นประจําประเทศไทย และนายพิริยะ เข็มพล กรรมการ EXIM BANK เป็นสักขีพยานกิตติมศักดิ์ในพิธีลงนาม เพื่อใช้บริการประกันการส่งออกและการลงทุนของ EXIM BANK เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงของผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยและญี่ปุ่น โดยเฉพาะในตลาด CLMV และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ของไทย ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK กับ NEXI ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการให้บริการทางการเงินในรูปแบบการรับประกันและการรับประกันต่อ เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นมั่นใจที่จะขยายการส่งออกและโครงการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ทั้งในไทย ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก อันจะนําไปสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ ของญี่ปุ่น การเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรธุรกิจของญี่ปุ่น การพัฒนาทักษะแรงงาน โดยเฉพาะ SMEs และโอกาสใหม่ ๆ ทางการตลาด อาทิ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในญี่ปุ่น ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและญี่ปุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยบริการประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงด้านการลงทุนภายใต้ความร่วมมือระหว่างทั้งสองหน่วยงานนี้จะช่วยให้การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับญี่ปุ่นขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกังวลความเสี่ยงจากผู้ซื้อ ประเทศผู้ซื้อ หรือประเทศเป้าหมายที่เข้าไปลงทุน นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการที่ใช้บริการประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุนของ EXIM BANK สามารถโอนสิทธิในกรมธรรม์ประกันการส่งออกและการลงทุนเป็นหลักประกันในการขอรับสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ได้
ยิ่งไปกว่านั้น EXIM BANK และ NEXI ยังมีความร่วมมือด้านการรับประกันต่อระหว่างกัน ช่วยสนับสนุนการทําหน้าที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาการส่งออกและการลงทุนของ EXIM BANK ได้เป็นอย่างดี ทําให้ EXIM BANK สามารถรับความเสี่ยงในการทําธุรกิจรับประกันได้มากขึ้น ขยายขอบเขตการให้บริการแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยและญี่ปุ่นได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยมี NEXI ร่วมรับความเสี่ยงในการสนับสนุนธุรกรรมการส่งออกและการลงทุน
“EXIM BANK ขยายความร่วมมือกับ NEXI ในครั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการญี่ปุ่นซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไทย ในการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อยกระดับศักยภาพและเทคโนโลยีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของไทย กระตุ้นการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรม ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในไทยและขยายไปยังตลาด CLMV ที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคและโลกโดยรวม” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand and NEXI Ink MOU to Protect Risks, Promote Thai-Japanese Trade, Investment and Innovation, Especially in EEC and CLMV Markets
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), jointly with Mr. Atsuo Kuroda, Chairman and CEO of Nippon Export and Investment Insurance (NEXI), and honorably witnessed by Mr. Nashida Kazuya, Japan’s Ambassador to Thailand, and Mr. Piriya Khempon, Director of EXIM Thailand, signed a Memorandum of Understanding on insurance cooperation with the use of EXIM Thailand’s export credit and investment insurance facility as a risk management tool for Thai and Japanese exporters and investors, particularly in their business endeavors in CLMV and Thailand’s Eastern Economic Corridor (EEC) at Mandarin Oriental, Bangkok, on February 11, 2020.
EXIM Thailand President revealed that the collaboration between EXIM Thailand and NEXI would cover exchange of information and provision of financial facilities in the forms of insurance and reinsurance to safeguard Thai and Japanese entrepreneurs against risks and so that they are confident in expanding their export and investment in any countries around the world. This will accordingly boost competitiveness of Thai entrepreneurs, especially SMEs, through exchange of information on production technology, business culture, skilled workforce development, and access to new marketing opportunities, such as participation in trade fairs in Japan, amid global economic volatility which could inevitably affect Thai and Japanese economies. The export credit and investment insurance facilities under the cooperation between the two institutions will help promote consistent Thai-Japanese companies’ trade and investment collaboration without concern about risks associated with buyers, buyer countries or investment destination countries. In addition, the above cooperation will also facilitate entrepreneurs’ access to financial sources as customers of EXIM Thailand’s export credit and investment insurance facilities can assign their rights under the insurance policies as collateral security in applying for credit facilities from commercial banks.
Furthermore, EXIM Thailand and NEXI will collaborate in providing reinsurance facility for the customers. This can well support the Bank’s performance of duty as an export and investment promotion bank as it can jointly with NEXI accommodate risks associated with insurance business operation to a greater extent, leading to expansion of scope of the service to Thai and Japanese exporters and investors in a broader range.
“EXIM Thailand’s expansion of cooperation with NEXI this time will bring more confidence to Thai as well as Japanese entrepreneurs who are Thailand’s major investors, in expanding trade and investment collaboration between the two countries with a view to upgrading production potential and technology of Thai manufacturing sectors and encourage development of innovative products and services that can respond to demand of Thai consumers and business sectors in expansion of businesses to CLMV which have recorded continued economic growth. This will lead to social and economic development of the region and the world at large,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK จับมือ NEXI คุ้มครองความเสี่ยงธุรกิจส่งออกและโครงการลงทุนของไทยและญี่ปุ่น
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
EXIM BANK จับมือ NEXI คุ้มครองความเสี่ยงธุรกิจส่งออกและโครงการลงทุนของไทยและญี่ปุ่น
EXIM BANK จับมือ NEXI คุ้มครองความเสี่ยงธุรกิจส่งออกและโครงการลงทุนของไทยและญี่ปุ่น ผลักดันการค้าการลงทุนและการร่วมทุนไทย-ญี่ปุ่นเพื่อสร้างนวัตกรรมสินค้าและบริการ รุกตลาด CLMV และพื้นที่ EEC ของไทยอย่างมั่นใจ
EXIM BANK จับมือ NEXI คุ้มครองความเสี่ยงธุรกิจส่งออกและโครงการลงทุนของไทยและญี่ปุ่น ผลักดันการค้าการลงทุนและการร่วมทุนไทย-ญี่ปุ่นเพื่อสร้างนวัตกรรมสินค้าและบริการ รุกตลาด CLMV และพื้นที่ EEC ของไทยอย่างมั่นใจ
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ลงนามกับนายอัตสึโอะ คุโรดะ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร องค์กรรับประกันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Nippon Export and Investment Insurance : NEXI) ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการรับประกัน (Insurance) โดยมีนายนะชิดะ คะสุยะ เอกอัครราชทูตประเทศญี่ปุ่นประจําประเทศไทย และนายพิริยะ เข็มพล กรรมการ EXIM BANK เป็นสักขีพยานกิตติมศักดิ์ในพิธีลงนาม เพื่อใช้บริการประกันการส่งออกและการลงทุนของ EXIM BANK เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงของผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยและญี่ปุ่น โดยเฉพาะในตลาด CLMV และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ของไทย ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK กับ NEXI ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการให้บริการทางการเงินในรูปแบบการรับประกันและการรับประกันต่อ เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นมั่นใจที่จะขยายการส่งออกและโครงการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ทั้งในไทย ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก อันจะนําไปสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ ของญี่ปุ่น การเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรธุรกิจของญี่ปุ่น การพัฒนาทักษะแรงงาน โดยเฉพาะ SMEs และโอกาสใหม่ ๆ ทางการตลาด อาทิ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในญี่ปุ่น ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและญี่ปุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยบริการประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงด้านการลงทุนภายใต้ความร่วมมือระหว่างทั้งสองหน่วยงานนี้จะช่วยให้การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับญี่ปุ่นขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกังวลความเสี่ยงจากผู้ซื้อ ประเทศผู้ซื้อ หรือประเทศเป้าหมายที่เข้าไปลงทุน นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการที่ใช้บริการประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุนของ EXIM BANK สามารถโอนสิทธิในกรมธรรม์ประกันการส่งออกและการลงทุนเป็นหลักประกันในการขอรับสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ได้
ยิ่งไปกว่านั้น EXIM BANK และ NEXI ยังมีความร่วมมือด้านการรับประกันต่อระหว่างกัน ช่วยสนับสนุนการทําหน้าที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาการส่งออกและการลงทุนของ EXIM BANK ได้เป็นอย่างดี ทําให้ EXIM BANK สามารถรับความเสี่ยงในการทําธุรกิจรับประกันได้มากขึ้น ขยายขอบเขตการให้บริการแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยและญี่ปุ่นได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยมี NEXI ร่วมรับความเสี่ยงในการสนับสนุนธุรกรรมการส่งออกและการลงทุน
“EXIM BANK ขยายความร่วมมือกับ NEXI ในครั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการญี่ปุ่นซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไทย ในการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อยกระดับศักยภาพและเทคโนโลยีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของไทย กระตุ้นการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรม ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในไทยและขยายไปยังตลาด CLMV ที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคและโลกโดยรวม” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand and NEXI Ink MOU to Protect Risks, Promote Thai-Japanese Trade, Investment and Innovation, Especially in EEC and CLMV Markets
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), jointly with Mr. Atsuo Kuroda, Chairman and CEO of Nippon Export and Investment Insurance (NEXI), and honorably witnessed by Mr. Nashida Kazuya, Japan’s Ambassador to Thailand, and Mr. Piriya Khempon, Director of EXIM Thailand, signed a Memorandum of Understanding on insurance cooperation with the use of EXIM Thailand’s export credit and investment insurance facility as a risk management tool for Thai and Japanese exporters and investors, particularly in their business endeavors in CLMV and Thailand’s Eastern Economic Corridor (EEC) at Mandarin Oriental, Bangkok, on February 11, 2020.
EXIM Thailand President revealed that the collaboration between EXIM Thailand and NEXI would cover exchange of information and provision of financial facilities in the forms of insurance and reinsurance to safeguard Thai and Japanese entrepreneurs against risks and so that they are confident in expanding their export and investment in any countries around the world. This will accordingly boost competitiveness of Thai entrepreneurs, especially SMEs, through exchange of information on production technology, business culture, skilled workforce development, and access to new marketing opportunities, such as participation in trade fairs in Japan, amid global economic volatility which could inevitably affect Thai and Japanese economies. The export credit and investment insurance facilities under the cooperation between the two institutions will help promote consistent Thai-Japanese companies’ trade and investment collaboration without concern about risks associated with buyers, buyer countries or investment destination countries. In addition, the above cooperation will also facilitate entrepreneurs’ access to financial sources as customers of EXIM Thailand’s export credit and investment insurance facilities can assign their rights under the insurance policies as collateral security in applying for credit facilities from commercial banks.
Furthermore, EXIM Thailand and NEXI will collaborate in providing reinsurance facility for the customers. This can well support the Bank’s performance of duty as an export and investment promotion bank as it can jointly with NEXI accommodate risks associated with insurance business operation to a greater extent, leading to expansion of scope of the service to Thai and Japanese exporters and investors in a broader range.
“EXIM Thailand’s expansion of cooperation with NEXI this time will bring more confidence to Thai as well as Japanese entrepreneurs who are Thailand’s major investors, in expanding trade and investment collaboration between the two countries with a view to upgrading production potential and technology of Thai manufacturing sectors and encourage development of innovative products and services that can respond to demand of Thai consumers and business sectors in expansion of businesses to CLMV which have recorded continued economic growth. This will lead to social and economic development of the region and the world at large,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26427
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. ห่วงใยสมาชิก สมัครและส่งเงินออมสะสม ผ่านแอปฯ ได้ทุกที่ ลดความเสี่ยงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)”
|
วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563
“กอช. ห่วงใยสมาชิก สมัครและส่งเงินออมสะสม ผ่านแอปฯ ได้ทุกที่ ลดความเสี่ยงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)”
กอช. ห่วงใยประชาชน ลดความเสี่ยงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สามารถสมัครสมาชิก หรือ ส่งเงินออมสะสมได้ที่แอปพลิเคชัน (Application) “กอช.” ได้ทุกที่ด้วยสมาร์ทโฟน ลดการเดินทางและความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ห่วงใยประชาชน ลดความเสี่ยงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สามารถสมัครสมาชิก หรือ ส่งเงินออมสะสมได้ที่แอปพลิเคชัน (Application) “กอช.” ได้ทุกที่ด้วยสมาร์ทโฟน ลดการเดินทางและความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อสุขภาพที่ดีของสมาชิก
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. ห่วงใยประชาชนในทุกพื้นที่ต่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อาจจะทําให้สมาชิก หรือผู้ที่สนใจจะสมัครสมาชิก กอช. เป็นปัญหาและอุปสรรคในการเดินทางไปนอกบ้าน เพื่อส่งเงินออมสะสม หรือ สมัครสมาชิกที่หน่วยรับสมัครใกล้บ้าน ไม่ต้องเผชิญสถานที่แออัดที่จะส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน สามารถดําเนินการได้ที่แอปพลิเคชัน (Application) “กอช.” เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับสมาชิก กอช. ได้เข้าถึงการออมเงินทุกที่ด้วยสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียว
นอกจากนี้ แอปฯ กอช. ยังอํานวยความสะดวกให้สมาชิกได้หลากหลายเมนู อาทิ การตรวจสอบสิทธิ ก่อนจะสมัครสมาชิก ทดลองคํานวญบํานาญตามเงินที่ต้องการได้ ต้องส่งเงินเดือนละเท่าไร ดูสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจาก กอช. ดูยอดการส่งเงินออมสะสมและเงินที่รัฐสมทบเพิ่มให้ได้สะดวกตลอดเวลา แทนการถือสมุดบัญชีผ่านเมนูบัญชีของฉัน พร้อมรับของสมนาคุณติดตามข่าวสารโปรโมชันเพื่อรับของที่ระลึก กอช. ยกระดับความสะดวกสบายและรวดเร็วทันใจ ได้บนสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว โดยไม่ต้องออกจากบ้านไปเผชิญต่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ทั้งนี้ เมื่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดีขึ้นแล้ว สามารถติดต่อสมัครสมาชิก กอช. พร้อมส่งเงินออมสะสมได้ที่ว่าการอําเภอ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา ในวันและเวลาทําการของธนาคาร รวมทั้งสํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วม เคาน์เตอร์เซอร์วิส ตู้บุญเติม เทสโก้โลตัสทั่วประเทศได้เช่นเดิม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. ห่วงใยสมาชิก สมัครและส่งเงินออมสะสม ผ่านแอปฯ ได้ทุกที่ ลดความเสี่ยงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)”
วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563
“กอช. ห่วงใยสมาชิก สมัครและส่งเงินออมสะสม ผ่านแอปฯ ได้ทุกที่ ลดความเสี่ยงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)”
กอช. ห่วงใยประชาชน ลดความเสี่ยงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สามารถสมัครสมาชิก หรือ ส่งเงินออมสะสมได้ที่แอปพลิเคชัน (Application) “กอช.” ได้ทุกที่ด้วยสมาร์ทโฟน ลดการเดินทางและความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ห่วงใยประชาชน ลดความเสี่ยงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สามารถสมัครสมาชิก หรือ ส่งเงินออมสะสมได้ที่แอปพลิเคชัน (Application) “กอช.” ได้ทุกที่ด้วยสมาร์ทโฟน ลดการเดินทางและความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อสุขภาพที่ดีของสมาชิก
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. ห่วงใยประชาชนในทุกพื้นที่ต่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อาจจะทําให้สมาชิก หรือผู้ที่สนใจจะสมัครสมาชิก กอช. เป็นปัญหาและอุปสรรคในการเดินทางไปนอกบ้าน เพื่อส่งเงินออมสะสม หรือ สมัครสมาชิกที่หน่วยรับสมัครใกล้บ้าน ไม่ต้องเผชิญสถานที่แออัดที่จะส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน สามารถดําเนินการได้ที่แอปพลิเคชัน (Application) “กอช.” เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับสมาชิก กอช. ได้เข้าถึงการออมเงินทุกที่ด้วยสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียว
นอกจากนี้ แอปฯ กอช. ยังอํานวยความสะดวกให้สมาชิกได้หลากหลายเมนู อาทิ การตรวจสอบสิทธิ ก่อนจะสมัครสมาชิก ทดลองคํานวญบํานาญตามเงินที่ต้องการได้ ต้องส่งเงินเดือนละเท่าไร ดูสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจาก กอช. ดูยอดการส่งเงินออมสะสมและเงินที่รัฐสมทบเพิ่มให้ได้สะดวกตลอดเวลา แทนการถือสมุดบัญชีผ่านเมนูบัญชีของฉัน พร้อมรับของสมนาคุณติดตามข่าวสารโปรโมชันเพื่อรับของที่ระลึก กอช. ยกระดับความสะดวกสบายและรวดเร็วทันใจ ได้บนสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว โดยไม่ต้องออกจากบ้านไปเผชิญต่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ทั้งนี้ เมื่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดีขึ้นแล้ว สามารถติดต่อสมัครสมาชิก กอช. พร้อมส่งเงินออมสะสมได้ที่ว่าการอําเภอ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา ในวันและเวลาทําการของธนาคาร รวมทั้งสํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วม เคาน์เตอร์เซอร์วิส ตู้บุญเติม เทสโก้โลตัสทั่วประเทศได้เช่นเดิม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26994
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนในการรับข้อมูลข่าวสารพร้อมชี้ช่องทางตรวจสอบข้อเท็จจริงผ่านศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
|
วันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2562
นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนในการรับข้อมูลข่าวสารพร้อมชี้ช่องทางตรวจสอบข้อเท็จจริงผ่านศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนในการรับข้อมูลข่าวสารพร้อมชี้ช่องทางตรวจสอบข้อเท็จจริงผ่านศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
วันนี้ ( 29 ตุลาคม 2562) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถงชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีที่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดตั้ง“ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม”ว่าศูนย์นี้มีหน้าที่ดูแล ตรวจสอบ กําจัดข่าวปลอมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการรับรู้ ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ วิเคราะห์ตรวจสอบ ทั้งยังรับแจ้งข้อมูลข่าวสารที่นําเสนอไม่ตรงข้อเท็จจริงที่ถูกเผยแพร่ในสังคม ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาข่าวปลอมหลอกลวงประชาชนตามที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนในการรับข้อมูลข่าวสาร ตามข่าวที่ปรากฏเรื่องแชร์ลูกโซ่ ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญ ในเรื่องการแก้ปัญหาการฉ้อโกง เป็นวาระแห่งชาติ โดยมีกฏหมายปราบปรามผู้กระทําผิด รวมทั้งขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติปราบปรามแชร์ลูกโซ่ ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันเฝ้าระวังแก้ปัญหา รับเรื่องราวร้องทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้ประชาชนมีสติอย่าหลงเชื่อสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เช่น การให้ดอกเบี้ยสูง ยิ่งในปัจจุบันมีสื่อออนไลน์ที่เป็นช่องทางเข้าถึงประชาชนได้ง่าย จึงขอให้ประชาชนรับข้อมูลต่างๆด้วยความรอบคอบ อย่าหลงเชื่อ หากมีข้อสงสัยให้ส่งข้อมูลมาที่ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และขอให้ประชาชนช่วยกันเพื่อไม่ให้เกิดการฉ้อโกงในสังคมได้อีก รัฐบาลพร้อมที่จะช่วยเหลือป้องกันปัญหาดังกล่าวอย่างเต็มที่
............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนในการรับข้อมูลข่าวสารพร้อมชี้ช่องทางตรวจสอบข้อเท็จจริงผ่านศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
วันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2562
นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนในการรับข้อมูลข่าวสารพร้อมชี้ช่องทางตรวจสอบข้อเท็จจริงผ่านศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนในการรับข้อมูลข่าวสารพร้อมชี้ช่องทางตรวจสอบข้อเท็จจริงผ่านศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
วันนี้ ( 29 ตุลาคม 2562) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถงชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีที่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดตั้ง“ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม”ว่าศูนย์นี้มีหน้าที่ดูแล ตรวจสอบ กําจัดข่าวปลอมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการรับรู้ ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ วิเคราะห์ตรวจสอบ ทั้งยังรับแจ้งข้อมูลข่าวสารที่นําเสนอไม่ตรงข้อเท็จจริงที่ถูกเผยแพร่ในสังคม ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาข่าวปลอมหลอกลวงประชาชนตามที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนในการรับข้อมูลข่าวสาร ตามข่าวที่ปรากฏเรื่องแชร์ลูกโซ่ ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญ ในเรื่องการแก้ปัญหาการฉ้อโกง เป็นวาระแห่งชาติ โดยมีกฏหมายปราบปรามผู้กระทําผิด รวมทั้งขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติปราบปรามแชร์ลูกโซ่ ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันเฝ้าระวังแก้ปัญหา รับเรื่องราวร้องทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้ประชาชนมีสติอย่าหลงเชื่อสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เช่น การให้ดอกเบี้ยสูง ยิ่งในปัจจุบันมีสื่อออนไลน์ที่เป็นช่องทางเข้าถึงประชาชนได้ง่าย จึงขอให้ประชาชนรับข้อมูลต่างๆด้วยความรอบคอบ อย่าหลงเชื่อ หากมีข้อสงสัยให้ส่งข้อมูลมาที่ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และขอให้ประชาชนช่วยกันเพื่อไม่ให้เกิดการฉ้อโกงในสังคมได้อีก รัฐบาลพร้อมที่จะช่วยเหลือป้องกันปัญหาดังกล่าวอย่างเต็มที่
............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24135
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. จัดสัมมนา “การใช้ประโยชน์จาก BIG DATA” ให้แก่บุคลากรในสังกัดเพื่อรองรับการทำงานสนองภารกิจใหญ่ของกระทรวงฯ
|
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562
อว. จัดสัมมนา “การใช้ประโยชน์จาก BIG DATA” ให้แก่บุคลากรในสังกัดเพื่อรองรับการทํางานสนองภารกิจใหญ่ของกระทรวงฯ
กระทรวงการอุดมศึกษาฯ จัดสัมมนาให้ความรู้แก่บุคลากร เรื่อง “การใช้ประโยชน์จาก BIG DATA” เพื่อใช้ในการทํางานและบริการประชาชน
เมื่อเวลา 09.00 น. (9 สิงหาคม 2562) ณ ห้องภูมิบดินทร์ ชั้น 6 อาคารสถานศึกษาเคมีปฏิบัติ กรมวิทยาศาสตร์บริการ / กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักปลัดกระทรวงฯ (สป.อว.) ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ศท.) จัดสัมมนาเรื่อง“การใช้ประโยชน์จากBig Data”ให้แก่บุคลากรหน่วยงานในสังกัด อว. ให้เกิดความเข้าใจใน Big Data มากขึ้น เพื่อประโยชน์ในการใช้งาน โดยมีนายปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ เป็นประธานเปิดการสัมมนาฯ ในครั้งนี้
โอกาสนี้นายปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้กล่าวในการเปิดสัมมนาฯ ว่า"Big Data เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากในปัจจุบัน ดีใจที่ชาว อว. ให้ความสนใจในการใช้ประโยชน์จาก Big Data และในโอกาสที่เรารวมกระทรวงใหม่ (อว.) บทบาทและภารกิจของกระทรวงจะเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงข้อมูลต่างๆ ที่เราจําเป็นจะต้องใช้ประโยชน์ในการทํางาน ก็จําเป็นจะต้องมีการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถทํางานสนองภารกิจของกระทรวงฯ และให้บริการแก่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น จึงขอให้ทุกท่านที่เข้าร่วมสัมมนาฯ ในครั้งนี้ เก็บเกี่ยวความรู้อันเป็นประโยชน์จากท่านวิทยากรที่จะมาถ่ายทอดให้เราได้รับฟังกันในวันนี้”
ในการนี้นางสาวจันทนา วงศ์เยาว์ฟ้า ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้รายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดสัมมนา ในครั้งนี้ว่า"ด้วยปัจจุบัน เทคโนโลยีดิจิตอล มีบทบาทสําคัญต่อชีวิตประจําวัน ส่งผลให้เกิดข้อมูลจํานวนมหาศาล และทางรัฐบาลได้มีนโยบายขับเคลื่อนการดําเนินการในเรื่องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผน Thailand 4.0
มีหลายปัจจัย ที่มีผลต่อการดําเนินการในเรื่องดังกล่าว ปัจจัยหนึ่งที่สําคัญเลยคือ “บุคลากรในองค์กร” จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลต่างๆ ซึ่งทาง อว. ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญในเรื่องนี้ จึงจัดสัมมนาเรื่อง การใช้ประโยชน์จาก Big Data ขึ้น เพื่อให้บุคลากรภายใต้สังกัดกระทรวง อว. ได้รับความรู้ ความเข้าใจ และนํามาใช้ประโยชน์ในการทํางานต่อไป"
การสัมมนาเรื่อง “การใช้ประโยชน์จากBig Data”ในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมากด้วยประสบการณ์ในแวดวงการวิเคราะห์ข้อมูล Big Data อย่างดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อํานวยการสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (GBDi)ที่จะมาถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จาก Big Data ผ่านหัวข้อสัมมนา “กรอบการพัฒนาการใช้ประโยชน์ข้อมูล (ขนาดใหญ่) ขององค์กร และกรณีตัวอย่าง”นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาในหัวข้อ“การสร้างภาพข้อมูลในรูปแบบที่เหมาะสมกับข้อมูล โดยใช้เครื่องมือประเภทData Visualization”จาก 2 Data Sciencetist ของ GBDiคุณศักดิ์สิทธิ์ ศรีมะโรง และคุณปฏิภาณ ประเสริฐสมโดยในช่วงท้ายของการสัมมนา ได้มีกิจกรรม Q&A จากวิทยากรและผู้เข้าร่วมสัมมนา เพื่อไขข้อสงสัยให้เกิดความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. จัดสัมมนา “การใช้ประโยชน์จาก BIG DATA” ให้แก่บุคลากรในสังกัดเพื่อรองรับการทำงานสนองภารกิจใหญ่ของกระทรวงฯ
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562
อว. จัดสัมมนา “การใช้ประโยชน์จาก BIG DATA” ให้แก่บุคลากรในสังกัดเพื่อรองรับการทํางานสนองภารกิจใหญ่ของกระทรวงฯ
กระทรวงการอุดมศึกษาฯ จัดสัมมนาให้ความรู้แก่บุคลากร เรื่อง “การใช้ประโยชน์จาก BIG DATA” เพื่อใช้ในการทํางานและบริการประชาชน
เมื่อเวลา 09.00 น. (9 สิงหาคม 2562) ณ ห้องภูมิบดินทร์ ชั้น 6 อาคารสถานศึกษาเคมีปฏิบัติ กรมวิทยาศาสตร์บริการ / กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักปลัดกระทรวงฯ (สป.อว.) ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ศท.) จัดสัมมนาเรื่อง“การใช้ประโยชน์จากBig Data”ให้แก่บุคลากรหน่วยงานในสังกัด อว. ให้เกิดความเข้าใจใน Big Data มากขึ้น เพื่อประโยชน์ในการใช้งาน โดยมีนายปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ เป็นประธานเปิดการสัมมนาฯ ในครั้งนี้
โอกาสนี้นายปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้กล่าวในการเปิดสัมมนาฯ ว่า"Big Data เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากในปัจจุบัน ดีใจที่ชาว อว. ให้ความสนใจในการใช้ประโยชน์จาก Big Data และในโอกาสที่เรารวมกระทรวงใหม่ (อว.) บทบาทและภารกิจของกระทรวงจะเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงข้อมูลต่างๆ ที่เราจําเป็นจะต้องใช้ประโยชน์ในการทํางาน ก็จําเป็นจะต้องมีการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถทํางานสนองภารกิจของกระทรวงฯ และให้บริการแก่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น จึงขอให้ทุกท่านที่เข้าร่วมสัมมนาฯ ในครั้งนี้ เก็บเกี่ยวความรู้อันเป็นประโยชน์จากท่านวิทยากรที่จะมาถ่ายทอดให้เราได้รับฟังกันในวันนี้”
ในการนี้นางสาวจันทนา วงศ์เยาว์ฟ้า ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้รายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดสัมมนา ในครั้งนี้ว่า"ด้วยปัจจุบัน เทคโนโลยีดิจิตอล มีบทบาทสําคัญต่อชีวิตประจําวัน ส่งผลให้เกิดข้อมูลจํานวนมหาศาล และทางรัฐบาลได้มีนโยบายขับเคลื่อนการดําเนินการในเรื่องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผน Thailand 4.0
มีหลายปัจจัย ที่มีผลต่อการดําเนินการในเรื่องดังกล่าว ปัจจัยหนึ่งที่สําคัญเลยคือ “บุคลากรในองค์กร” จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลต่างๆ ซึ่งทาง อว. ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญในเรื่องนี้ จึงจัดสัมมนาเรื่อง การใช้ประโยชน์จาก Big Data ขึ้น เพื่อให้บุคลากรภายใต้สังกัดกระทรวง อว. ได้รับความรู้ ความเข้าใจ และนํามาใช้ประโยชน์ในการทํางานต่อไป"
การสัมมนาเรื่อง “การใช้ประโยชน์จากBig Data”ในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมากด้วยประสบการณ์ในแวดวงการวิเคราะห์ข้อมูล Big Data อย่างดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อํานวยการสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (GBDi)ที่จะมาถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จาก Big Data ผ่านหัวข้อสัมมนา “กรอบการพัฒนาการใช้ประโยชน์ข้อมูล (ขนาดใหญ่) ขององค์กร และกรณีตัวอย่าง”นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาในหัวข้อ“การสร้างภาพข้อมูลในรูปแบบที่เหมาะสมกับข้อมูล โดยใช้เครื่องมือประเภทData Visualization”จาก 2 Data Sciencetist ของ GBDiคุณศักดิ์สิทธิ์ ศรีมะโรง และคุณปฏิภาณ ประเสริฐสมโดยในช่วงท้ายของการสัมมนา ได้มีกิจกรรม Q&A จากวิทยากรและผู้เข้าร่วมสัมมนา เพื่อไขข้อสงสัยให้เกิดความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22121
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาติ” แก่นักเรียนนายเรือ เน้นย้ำนำหลักคิด ความรู้รักสามัคคี ความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา รวมถึงความพอเพียง มาปร
|
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาติ” แก่นักเรียนนายเรือ เน้นย้ํานําหลักคิด ความรู้รักสามัคคี ความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา รวมถึงความพอเพียง มาปร
ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาติ” แก่นักเรียนนายเรือ เน้นย้ํานําหลักคิด ความรู้รักสามัคคี ความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา รวมถึงความพอเพียง มาปรับใช้
เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาติ” แก่นักเรียนนายเรือ ชั้นปีที่ ๑-๕ คณาจารย์ และข้าราชการในสังกัด ณ ห้องเรียนรวม อาคาร ๑๐ โรงเรียนนายเรือ ถนนสุขุมวิท อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า "เมื่อข้าราชการรวมความคิดกันได้เป็นหนึ่งเดียว กล่าวคือ เอกภาพของความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ เรื่องการยึดศาสตร์ของพระราชาและหลักธรรมาภิบาล ทางการบริหาร ความมีระเบียบวินัย ปรัชญาความพอเพียง ไม่กระทําสิ่งใดที่เป็นความสุดโต่ง ผิดแผกไปจากจารีตประเพณี ที่กลายเป็นความล้ําสมัยที่ต้องใช้จ่ายอย่างฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยจนเกินเหตุหรือเกินความสามารถในสถานภาพของประเทศ เอกลักษณ์ของคนไทยต่างหากที่สอนเราแต่ไหนแต่ไรมา และท่องจํากันได้ขึ้นใจว่า 'ช่วยกันประหยัด ชาติเจริญ', 'ออมวันละนิด ชีวิตพอเพียง' และ 'กระทําการสิ่งใดจงสัตย์ซื่อ ยึดถือคุณธรรม นําวิถี' กล่าวคือ ตัวชี้วัดในทุกเรื่องของหลักการบริหารจัดการปัจจุบัน จะเพิ่มน้ําหนักในเรื่องความโปร่งใส (transparency) ข้อนี้คิดว่าไม่มีใครเป็นแบบอย่างได้ดีเท่ากับผู้เป็นข้าราชการ ในทางตรงข้ามความบกพร่องหรือความไม่โปร่งใสจึงกลายเป็นความเสียหายใหญ่หลวงแก่ระบบ ข้าราชการมีหน้าที่ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นแก่สังคม อีกประการหนึ่งที่สําคัญ คือ กองทัพเรือมีวิสัยทัศน์ในฐานะที่เป็นหน่วยงาน ด้านความมั่นคงทางทะเล ที่มีบทบาทนําในภูมิภาคและเป็นเลิศในการบริหารจัดการ จําต้องนําหลักคิด ความรู้รักสามัคคี และความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา รวมถึงความพอเพียง มาประกอบใช้ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ดังกล่าว เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์กับอีกเป็นที่ยอมรับนับถือของประชาคมในภูมิภาคและประชาชน"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาติ” แก่นักเรียนนายเรือ เน้นย้ำนำหลักคิด ความรู้รักสามัคคี ความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา รวมถึงความพอเพียง มาปร
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาติ” แก่นักเรียนนายเรือ เน้นย้ํานําหลักคิด ความรู้รักสามัคคี ความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา รวมถึงความพอเพียง มาปร
ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาติ” แก่นักเรียนนายเรือ เน้นย้ํานําหลักคิด ความรู้รักสามัคคี ความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา รวมถึงความพอเพียง มาปรับใช้
เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาติ” แก่นักเรียนนายเรือ ชั้นปีที่ ๑-๕ คณาจารย์ และข้าราชการในสังกัด ณ ห้องเรียนรวม อาคาร ๑๐ โรงเรียนนายเรือ ถนนสุขุมวิท อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า "เมื่อข้าราชการรวมความคิดกันได้เป็นหนึ่งเดียว กล่าวคือ เอกภาพของความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ เรื่องการยึดศาสตร์ของพระราชาและหลักธรรมาภิบาล ทางการบริหาร ความมีระเบียบวินัย ปรัชญาความพอเพียง ไม่กระทําสิ่งใดที่เป็นความสุดโต่ง ผิดแผกไปจากจารีตประเพณี ที่กลายเป็นความล้ําสมัยที่ต้องใช้จ่ายอย่างฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยจนเกินเหตุหรือเกินความสามารถในสถานภาพของประเทศ เอกลักษณ์ของคนไทยต่างหากที่สอนเราแต่ไหนแต่ไรมา และท่องจํากันได้ขึ้นใจว่า 'ช่วยกันประหยัด ชาติเจริญ', 'ออมวันละนิด ชีวิตพอเพียง' และ 'กระทําการสิ่งใดจงสัตย์ซื่อ ยึดถือคุณธรรม นําวิถี' กล่าวคือ ตัวชี้วัดในทุกเรื่องของหลักการบริหารจัดการปัจจุบัน จะเพิ่มน้ําหนักในเรื่องความโปร่งใส (transparency) ข้อนี้คิดว่าไม่มีใครเป็นแบบอย่างได้ดีเท่ากับผู้เป็นข้าราชการ ในทางตรงข้ามความบกพร่องหรือความไม่โปร่งใสจึงกลายเป็นความเสียหายใหญ่หลวงแก่ระบบ ข้าราชการมีหน้าที่ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นแก่สังคม อีกประการหนึ่งที่สําคัญ คือ กองทัพเรือมีวิสัยทัศน์ในฐานะที่เป็นหน่วยงาน ด้านความมั่นคงทางทะเล ที่มีบทบาทนําในภูมิภาคและเป็นเลิศในการบริหารจัดการ จําต้องนําหลักคิด ความรู้รักสามัคคี และความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา รวมถึงความพอเพียง มาประกอบใช้ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ดังกล่าว เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์กับอีกเป็นที่ยอมรับนับถือของประชาคมในภูมิภาคและประชาชน"
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12522
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ หารือผู้แทนสหภาพยุโรป สร้างความร่วมมือด้านการขนส่งด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
|
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ หารือผู้แทนสหภาพยุโรป สร้างความร่วมมือด้านการขนส่งด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ Mr. Henrik Hololei ตําแหน่ง Director-General for Mobility and Transport แห่งสหภาพยุโรป พร้อมคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย โดยสหภาพยุโรปได้ให้ความสําคัญในการสร้างความร่วมมือกับอาเซียนในหลายด้าน รวมถึงด้านการคมนาคมและขนส่งเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนของทั้งสองฝ่าย และในยุคของ “Smart Mobility” หรือ การคมนาคมขนส่งโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสนับสนุน ซึ่งการสร้างความร่วมมือในด้าน Cybersecurity จึงเป็นสิ่งจําเป็นและต้องดําเนินการควบคู่กันไป นอกจากนั้นสหภาพยุโรปยังเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพในด้านดิจิทัล จึงประสงค์ที่จะผลักดันให้เกิดความร่วมมือทั้งในด้าน Smart Mobility และ Cybersecurity รวมทั้งมีความสนใจต่อนโยบายประเทศไทย 4.0 ด้วย โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ มีความยินดีที่จะให้การสนับสนุนความร่วมมือด้านดิจิทัลระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียน พร้อมทั้งได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินนโยบายที่สําคัญของกระทรวงดิจิทัลฯ และรัฐบาลไทย ซึ่งการดําเนินการต่างๆ ด้านดิจิทัลของไทยมีความสอดรับกับเรื่อง Smart Mobility รวมทั้งเห็นว่า เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนการคมนาคมขนส่งในยุคปัจจุบันและอนาคตเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น จึงมีความยินดีส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรปในเรื่องดังกล่าวต่อไป เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 ณ ทําเนียบรัฐบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ หารือผู้แทนสหภาพยุโรป สร้างความร่วมมือด้านการขนส่งด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ หารือผู้แทนสหภาพยุโรป สร้างความร่วมมือด้านการขนส่งด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ Mr. Henrik Hololei ตําแหน่ง Director-General for Mobility and Transport แห่งสหภาพยุโรป พร้อมคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย โดยสหภาพยุโรปได้ให้ความสําคัญในการสร้างความร่วมมือกับอาเซียนในหลายด้าน รวมถึงด้านการคมนาคมและขนส่งเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนของทั้งสองฝ่าย และในยุคของ “Smart Mobility” หรือ การคมนาคมขนส่งโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสนับสนุน ซึ่งการสร้างความร่วมมือในด้าน Cybersecurity จึงเป็นสิ่งจําเป็นและต้องดําเนินการควบคู่กันไป นอกจากนั้นสหภาพยุโรปยังเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพในด้านดิจิทัล จึงประสงค์ที่จะผลักดันให้เกิดความร่วมมือทั้งในด้าน Smart Mobility และ Cybersecurity รวมทั้งมีความสนใจต่อนโยบายประเทศไทย 4.0 ด้วย โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ มีความยินดีที่จะให้การสนับสนุนความร่วมมือด้านดิจิทัลระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียน พร้อมทั้งได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินนโยบายที่สําคัญของกระทรวงดิจิทัลฯ และรัฐบาลไทย ซึ่งการดําเนินการต่างๆ ด้านดิจิทัลของไทยมีความสอดรับกับเรื่อง Smart Mobility รวมทั้งเห็นว่า เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนการคมนาคมขนส่งในยุคปัจจุบันและอนาคตเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น จึงมีความยินดีส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรปในเรื่องดังกล่าวต่อไป เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 ณ ทําเนียบรัฐบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ
**********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12336
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กก. เปิดตู้ปันสุข ททท. ประเดิมบริการวันแรก “ปันสุขให้ชาวสวน ปันสุขให้ชุมชน” [กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา]
|
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563
รมว.กก. เปิดตู้ปันสุข ททท. ประเดิมบริการวันแรก “ปันสุขให้ชาวสวน ปันสุขให้ชุมชน” [กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา]
รมว.กก. เปิดตู้ปันสุข ททท. ประเดิมบริการวันแรก “ปันสุขให้ชาวสวน ปันสุขให้ชุมชน”
เช้าวันนี้ (18 พฤษภาคม 2563) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในการเปิด “ตู้ปันสุข ททท.” ซึ่งตั้ง ณ อาคารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อให้บริการแก่ผู้ที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. และผู้บริหาร ททท. ร่วมพิธีฯ
“ตู้ปันสุข ททท.” เป็นการดําเนินนโยบายเพื่อสังคม (CSR) ขององค์กร โดยเปิดให้บุคลากรใน ททท. และบุคคลทั่วไป ได้แสดงถึงน้ําใจในการแบ่งปันให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือนร้อนจากสถานการณ์โควิด-19 โดยเน้นที่อาหารแห้งหรือเครื่องดื่ม ซึ่งในวันแรกของการให้บริการของ “ตู้ปันสุข ททท.” นี้ได้รับเกียรติจากนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้นําของมาใส่ในตู้เป็นคนแรก นอกจากนี้ จะมอบเงาะที่ ททท. ได้จัดซื้อมาจากชาวสวนจังหวัดระยองปริมาณ 1 ตัน โดยแบ่งเป็นถุง ถุงละ 2 กิโลกรัม เพื่อมอบแก่สมาชิกที่อาศัยอยู่ในชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง ททท. 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนโรงเจ ชุมชนหลังวัดมักกะสัน ชุมชนริมทางรถไฟ และชุมชนนิคมมักกะสัน ซึ่งเป็นการปันความสุขให้ทั้งคนในชุมชนโดยรอบ ททท. และปันสุขให้ชาวสวนอีกด้วย
สําหรับ “ตู้ปันสุข ททท.” จะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่ง ททท. ได้จัดผู้รักษาความปลอดภัยคอยดูแลลําดับการเติม-รับของ ซึ่งยังคงปฏิบัติตามการรักษาระยะห่างทางสังคมตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ ททท. ยังได้ดําเนินกิจกรรม “พี่น้อง ททท. ปันน้ําใจ ต้านภัยโควิด-19” ซึ่งผู้บริหาร และบุคลากรใน ททท. ได้ร่วมกันบริจาคและเป็นจิตอาสา ระดมทุนในช่วงการปฏิบัติงานที่บ้าน (Work From Home) ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยการจัดทําข้าวกล่องจํานวน 3,000 กล่อง จากร้านสวัสดิการ ททท. ที่ขาดรายได้ช่วงที่ ททท. ปิดทําการ และจัดหาหน้ากากอนามัยจํานวนมากกว่า 500 ชิ้น รวมทั้ง ร่วมสบทบทุนบริจาคเพื่อจัดซื้อนมผง ข้าวสาร ผัก อาหารแห้ง เครื่องปรุงรสและน้ํามันพืช เพื่อส่งมอบให้กับ 4 ชุมชนที่อยู่รอบ ททท. สํานักงานใหญ่ ได้แก่ ชุมชนโรงเจ จํานวน 130 หลังคาเรือน ชุมชนหลังวัดมักกะสัน จํานวน 83 หลังคาเรือน ชุมชนริมทางรถไฟ จํานวน 500 หลังคาเรือน และชุมชนนิคมมักกะสัน จํานวน 90 หลังคาเรือน ทั้งนี้ หน้ากากอนามัยบางส่วนยังได้ส่งมอบให้แก่ผู้พิการทางสายตาชุมชนถนนพระรามเก้า อีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กก. เปิดตู้ปันสุข ททท. ประเดิมบริการวันแรก “ปันสุขให้ชาวสวน ปันสุขให้ชุมชน” [กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา]
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563
รมว.กก. เปิดตู้ปันสุข ททท. ประเดิมบริการวันแรก “ปันสุขให้ชาวสวน ปันสุขให้ชุมชน” [กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา]
รมว.กก. เปิดตู้ปันสุข ททท. ประเดิมบริการวันแรก “ปันสุขให้ชาวสวน ปันสุขให้ชุมชน”
เช้าวันนี้ (18 พฤษภาคม 2563) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในการเปิด “ตู้ปันสุข ททท.” ซึ่งตั้ง ณ อาคารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อให้บริการแก่ผู้ที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. และผู้บริหาร ททท. ร่วมพิธีฯ
“ตู้ปันสุข ททท.” เป็นการดําเนินนโยบายเพื่อสังคม (CSR) ขององค์กร โดยเปิดให้บุคลากรใน ททท. และบุคคลทั่วไป ได้แสดงถึงน้ําใจในการแบ่งปันให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือนร้อนจากสถานการณ์โควิด-19 โดยเน้นที่อาหารแห้งหรือเครื่องดื่ม ซึ่งในวันแรกของการให้บริการของ “ตู้ปันสุข ททท.” นี้ได้รับเกียรติจากนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้นําของมาใส่ในตู้เป็นคนแรก นอกจากนี้ จะมอบเงาะที่ ททท. ได้จัดซื้อมาจากชาวสวนจังหวัดระยองปริมาณ 1 ตัน โดยแบ่งเป็นถุง ถุงละ 2 กิโลกรัม เพื่อมอบแก่สมาชิกที่อาศัยอยู่ในชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง ททท. 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนโรงเจ ชุมชนหลังวัดมักกะสัน ชุมชนริมทางรถไฟ และชุมชนนิคมมักกะสัน ซึ่งเป็นการปันความสุขให้ทั้งคนในชุมชนโดยรอบ ททท. และปันสุขให้ชาวสวนอีกด้วย
สําหรับ “ตู้ปันสุข ททท.” จะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่ง ททท. ได้จัดผู้รักษาความปลอดภัยคอยดูแลลําดับการเติม-รับของ ซึ่งยังคงปฏิบัติตามการรักษาระยะห่างทางสังคมตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ ททท. ยังได้ดําเนินกิจกรรม “พี่น้อง ททท. ปันน้ําใจ ต้านภัยโควิด-19” ซึ่งผู้บริหาร และบุคลากรใน ททท. ได้ร่วมกันบริจาคและเป็นจิตอาสา ระดมทุนในช่วงการปฏิบัติงานที่บ้าน (Work From Home) ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยการจัดทําข้าวกล่องจํานวน 3,000 กล่อง จากร้านสวัสดิการ ททท. ที่ขาดรายได้ช่วงที่ ททท. ปิดทําการ และจัดหาหน้ากากอนามัยจํานวนมากกว่า 500 ชิ้น รวมทั้ง ร่วมสบทบทุนบริจาคเพื่อจัดซื้อนมผง ข้าวสาร ผัก อาหารแห้ง เครื่องปรุงรสและน้ํามันพืช เพื่อส่งมอบให้กับ 4 ชุมชนที่อยู่รอบ ททท. สํานักงานใหญ่ ได้แก่ ชุมชนโรงเจ จํานวน 130 หลังคาเรือน ชุมชนหลังวัดมักกะสัน จํานวน 83 หลังคาเรือน ชุมชนริมทางรถไฟ จํานวน 500 หลังคาเรือน และชุมชนนิคมมักกะสัน จํานวน 90 หลังคาเรือน ทั้งนี้ หน้ากากอนามัยบางส่วนยังได้ส่งมอบให้แก่ผู้พิการทางสายตาชุมชนถนนพระรามเก้า อีกด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31056
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการก่อสร้าง ปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค อําเภอเมืองหนองคาย – อําเภอสระใคร พร้อมพบปะประชาชนในพื้นที่
|
วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการก่อสร้าง ปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค อําเภอเมืองหนองคาย – อําเภอสระใคร พร้อมพบปะประชาชนในพื้นที่
นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค อําเภอเมืองหนองคาย – อําเภอสระใคร เน้นย้ําประชาชนปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ สอดคล้องกับความต้องการของตลาด พัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและจําหน่ายผ่านออนไลน์
วันนี้ (12 ธ.ค.61) เวลา 15.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางมายัง ณ สถานีผลิตน้ําปะโค การประปาส่วนภูมิภาค สาขาหนองคาย ตําบลปะโค อําเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคอําเภอเมืองหนองคาย – อําเภอสระใคร อย่างเป็นทางการ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคให้มีความเข้มแข็ง เน้นการสร้างฐานเศรษฐกิจและสังคมแห่งอนาคต รองรับการเติบโตของชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษอย่างเป็นระบบ สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน พร้อมเป็นสักขีพยานในโอาสที่พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 จํานวน 2 พื้นที่ ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี และผู้ว่าราชการจังหวัดเลย และมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนให้แก่ผู้แทนชุมชน 5 จังหวัด (บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลําภู และอุดรธานี) รวมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการหมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี และผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP จังหวัดหนองคาย และพบปะประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย คณะผู้บริหารการประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดหนองคาย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ภาคประชาสังคมและประชาชน จํานวนกว่า 1,000 คน เข้าร่วมพิธีและให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
นายนพรัตน์ เมธาวีกุลชัย ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค ได้กล่าวรายงานถึงโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคอําเภอเมืองหนองคาย – อําเภอสระใคร ว่า เป็นหนึ่งในโครงการสําคัญของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ในการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาหนองคาย อําเภอเมืองหนองคาย - สระใคร จังหวัดหนองคาย เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคประชาชนและภาคเศรษฐกิจ และช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน โดยเป็นการก่อสร้างปรับปรุงระบบน้ําดิบ ระบบการผลิต และระบบส่ง - จ่ายน้ํา ประกอบด้วยงานก่อสร้างสถานีสูบน้ําดิบ งานวางท่อสูบน้ําดิบรวมระยะทาง 4 กิโลเมตร จากแม่น้ําโขงมายังสถานีผลิตน้ําประปาที่สร้างขึ้นใหม่ที่ตําบลปะโค งานก่อสร้างระบบจ่ายน้ํา พร้อมโรงสูบน้ําแรงสูง และงานวางท่อส่งจ่ายน้ําระยะทาง 42 กิโลเมตร ทั้งนี้ การปรับปรุงขยายดังกล่าว จะช่วยเพิ่มกําลังผลิตขึ้นอีก 24,000 ลบ.ม./วัน ซึ่งจะทําให้ผู้ใช้น้ํา 30,000 ราย หรือประมาณ 150,000 คน ได้ใช้น้ําประปาอย่างทั่วถึงเพียงพอ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ําของประชาชนและภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอและครอบคลุมถึงความต้องการในอนาคต 10 ปีข้างหน้า รวมทั้ง กปภ. ยังได้เสนอโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาอุดรธานี – หนองคาย – หนองบัวลําภู เพื่อพัฒนาระบบประปาในพื้นที่เมืองอุดรธานี หนองคาย และหนองบัวลําภู เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านสาธารณูปโภคน้ําประปาในพื้นที่ใกล้เคียง อีกทั้ง ยังได้ตอบสนองนโยบาย Thailand 4.0 โดยนําเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบบริการ PWA 4.0 ทําให้ กปภ. 234 สาขาทั่วประเทศ ไม่เรียกสําเนาเอกสารจากประชาชน และสามารถดําเนินการช่วยเหลือผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ใช้น้ําประปาไม่เกิน 100 บาทต่อเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ไปจนถึงกันยายน 2562 ได้อย่างรวดเร็ว
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวพบปะกับประชาชนจังหวัดหนองคายว่า รู้สึกยินดีที่ได้มาเปิดโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค อําเภอเมืองหนองคาย – อําเภอสระใคร และมาพบกับประชาชนชาวจังหวัดหนองคายในวันนี้ ต่อไปก็จะมีการขยายไปสู่พื้นที่อื่น เช่น จังหวัดอุดรธานี พร้อมกล่าวย้ําว่า นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ในการติดตามและให้นโยบาย เพื่อให้กระทรวง หน่วยงานต่าง ๆ นํานโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยประชาชนทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกัน วันนี้ประเทศไทยมีโครงการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้น ทําให้มีคนเจ็บป่วยและเสียชีวิตน้อยลง โดยในส่วนของรัฐบาลก็ได้เข้ามาดูแลในเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ก็ได้ไปเปิดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะเรื่องของสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจเป็นเรื่องที่มีความสําคัญ จึงต้องหาแนวทางและวิธีการป้องกันรักษาก่อนที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่าประชาชนทุกคนต้องรู้หน้าที่ของตนเอง เช่นเดียวกับที่รัฐบาลก็มีหน้าที่ต่อประชาชนภายใต้กฎหมาย โดยในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่รัฐบาลดําเนินการนั้น เพื่อเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวประชาชน และขอให้ใช้จ่ายเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและครอบครัว รวมทั้งขอให้ไปศึกษาการใช้และการกดบัตรสวัสดิการฯ เพื่อนําเงินออกมาใช้จ่ายให้เป็น ซึ่งเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล ประชาชนทุกคนต้องศึกษาและพัฒนาตนเองเพื่อให้สอดคล้องกับโลกอนาคตที่ทุกอย่างเป็นเทคโนโลยีดิจิทัล รวมไปถึงการค้าขายผ่านระบบออนไลน์ ฉะนั้นทุกคนต้องพัฒนาและปรับตัวให้ทัน โดยขอให้ประชาชนฝึกที่จะค้าขายผ่านออนไลน์เพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว รวมทั้งผลิตสินค้าและพืชการเกษตรต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนาฝีมือตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคนกลุ่ม 1.0 2.0 และ 3.0 เพื่อให้สามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ ขณะที่รัฐบาลกําลังดําเนินการทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง และรองรับการเข้าสู่ 4.0
นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความห่วงใยเรื่องการเกษตร ทั้งเรื่อง ข้าว ยางพารา ว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องราคาพืชเกษตรดังกล่าว โดยเฉพาะราคายางที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกลไกของตลาดโลก ดังนั้นการปลูกยางพาราต้องมีการปลูกในพื้นที่ถูกกฎหมายและให้เหมาะสมทั้งปริมาณและความต้องการของตลาด รวมถึงการปรับเปลี่ยนการปลูกยางไปปลูกพืชชนิดอื่นเพื่อเพิ่มรายได้ ซึ่งรัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน โดยสนับสนุนให้มีการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้น เช่น การนํายางพารามาทําถนน เพื่อแก้ไขปัญหาพืชการเกษตรยางพาราอย่างถูกต้อง ส่วนการปลูกข้าวก็ต้องให้เป็นไปอย่างเหมาะสมกับปริมาณน้ําและดิน รวมทั้งการปลูกพืชเกษตรอื่นต้องสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เน้นปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ และขยายไปสู่เกษตรปลอดภัย และทําให้เป็นระบบตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง คือการผลิต พัฒนาแปรรูป การตลาด และระบบการขนส่ง รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพและขยายไปจําหน่ายผ่านออนไลน์ จะสามารถจําหน่ายสินค้าได้มากขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้น
พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องต้องมีความรู้ที่จะสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ในเรื่องการค้าขายออนไลน์ให้กับประชาชนได้ด้วย และขอให้ประชาชนตระหนักให้ความสําคัญกับการเสียภาษี เพื่อรัฐบาลมีรายได้ สามารถนําเงินมาพัฒนาประเทศได้ พร้อมขอให้ประชาชนช่วยกันรณรงค์เรื่องการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ว่า เป็นการวางอนคตของประเทศ ที่จะทําให้ประเทศหลุดพ้นจากความยากจนภายใน 20 ปี โดยได้มีการดําเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น สาธารณูปโภคพื้นฐาน การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ การดูแลระบบสุขภาพประชาชน การเกษตรทั้งระบบ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ฯลฯ รวมทั้งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้ประชาชนร่วมกันปลูกป่าชุมชนและพืชเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมไปถึงพืชผักสวนครัว ไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อเป็นแหล่งอาหารและเกิดความสวยงาม ขณะเดียวกันขอให้ทุกคนลดปริมาณขยะให้น้อยลงเพื่อร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อม ขณะที่ในเรื่องการท่องเที่ยว ขอให้ช่วยกันสร้างเรื่องราวให้น่าสนใจเพื่อดึงดูดให้คนมาท่องเที่ยวได้มากขึ้น อันจะส่งผลให้เกิดการสร้างรายได้และอาชีพในชุมชนและพื้นที่
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณประชาชนจังหวัดหนองคายในการต้อนรับด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นเป็นกันเอง และฝากขออย่าเชื่อสิ่งใดโดยง่าย แต่ขอให้พิจารณาด้วยความรอบคอบก่อนตัดสินใจเชื่อและปฏิบัติตาม รวมทั้งร่วมกันสร้างความสงบให้กับบ้านเมือง เพื่อเตรียมการสําหรับพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่ยิ่งใหญ่ตามจารีตประเพณีของไทย และขอให้ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการหมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี ซึ่งเป็นการแสดงถึงวิถีชีวิตของชุมชนริมโขง และชุมชนชาวไทยพวนบ้านโพธิ์ตาก เช่น การฟ้อนไทยพวน กิจกรรมตําข้าวเม่าแบบดั้งเดิม การใช้ภาษาไทยพวนสระแอ ซึ่งเป็นภาษาถิ่นชาวไทยพวนบ้านโพธิ์ตาก และการใช้ “ภาษาพวน” สําหรับสื่อสารระหว่างกันของชาวไทยพวนทั่วประเทศ ซึ่งภาษาพวน หรือลาวพวนเป็นภาษาในตระกูลไท – กะได เป็นภาษาของชาวไทพวนหรือลาวพวน โดยคําศัพท์ใกล้เคียงกับภาษาลาวและภาษาไทยถิ่นอีสาน ภายใต้แนวคิด “ส่องวิถีไทยพวน ชวนกินข้าวเม่า เว่าพวนสระแอ” รวมทั้งเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP จังหวัดหนองคาย เช่น กล้วยแปรรูปอบกรอบ กล้วยตากพลังงานแสงอาทิตย์ ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว กข.6 ข้าวฮางงอก ข้าวเม่าไส้กรอกปลา ปลาร้าบอง งอบ เสื่อกกรองนั่ง (บ้านหัวทราย อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย) โดยนายกรัฐมนตรีได้เซ็นชื่อลงบนผ้าทอกี่กระตุก เพื่อเป็นที่ระลึก พร้อมทั้งปลูกต้นรวงผึ้ง ซึ่งเป็นต้นไม้ประจําพระองค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 เนื่องด้วยดอกรวงผึ้งมีสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจําวันพระราชสมภพ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีและคณะ จะเดินทางไปยังหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ตําบลบ้านเดื่อ อําเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคายต่อไป
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการก่อสร้าง ปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค อําเภอเมืองหนองคาย – อําเภอสระใคร พร้อมพบปะประชาชนในพื้นที่
วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการก่อสร้าง ปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค อําเภอเมืองหนองคาย – อําเภอสระใคร พร้อมพบปะประชาชนในพื้นที่
นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค อําเภอเมืองหนองคาย – อําเภอสระใคร เน้นย้ําประชาชนปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ สอดคล้องกับความต้องการของตลาด พัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและจําหน่ายผ่านออนไลน์
วันนี้ (12 ธ.ค.61) เวลา 15.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางมายัง ณ สถานีผลิตน้ําปะโค การประปาส่วนภูมิภาค สาขาหนองคาย ตําบลปะโค อําเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคอําเภอเมืองหนองคาย – อําเภอสระใคร อย่างเป็นทางการ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคให้มีความเข้มแข็ง เน้นการสร้างฐานเศรษฐกิจและสังคมแห่งอนาคต รองรับการเติบโตของชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษอย่างเป็นระบบ สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน พร้อมเป็นสักขีพยานในโอาสที่พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 จํานวน 2 พื้นที่ ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี และผู้ว่าราชการจังหวัดเลย และมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนให้แก่ผู้แทนชุมชน 5 จังหวัด (บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลําภู และอุดรธานี) รวมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการหมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี และผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP จังหวัดหนองคาย และพบปะประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย คณะผู้บริหารการประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดหนองคาย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ภาคประชาสังคมและประชาชน จํานวนกว่า 1,000 คน เข้าร่วมพิธีและให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
นายนพรัตน์ เมธาวีกุลชัย ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค ได้กล่าวรายงานถึงโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคอําเภอเมืองหนองคาย – อําเภอสระใคร ว่า เป็นหนึ่งในโครงการสําคัญของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ในการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาหนองคาย อําเภอเมืองหนองคาย - สระใคร จังหวัดหนองคาย เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคประชาชนและภาคเศรษฐกิจ และช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน โดยเป็นการก่อสร้างปรับปรุงระบบน้ําดิบ ระบบการผลิต และระบบส่ง - จ่ายน้ํา ประกอบด้วยงานก่อสร้างสถานีสูบน้ําดิบ งานวางท่อสูบน้ําดิบรวมระยะทาง 4 กิโลเมตร จากแม่น้ําโขงมายังสถานีผลิตน้ําประปาที่สร้างขึ้นใหม่ที่ตําบลปะโค งานก่อสร้างระบบจ่ายน้ํา พร้อมโรงสูบน้ําแรงสูง และงานวางท่อส่งจ่ายน้ําระยะทาง 42 กิโลเมตร ทั้งนี้ การปรับปรุงขยายดังกล่าว จะช่วยเพิ่มกําลังผลิตขึ้นอีก 24,000 ลบ.ม./วัน ซึ่งจะทําให้ผู้ใช้น้ํา 30,000 ราย หรือประมาณ 150,000 คน ได้ใช้น้ําประปาอย่างทั่วถึงเพียงพอ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ําของประชาชนและภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอและครอบคลุมถึงความต้องการในอนาคต 10 ปีข้างหน้า รวมทั้ง กปภ. ยังได้เสนอโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาอุดรธานี – หนองคาย – หนองบัวลําภู เพื่อพัฒนาระบบประปาในพื้นที่เมืองอุดรธานี หนองคาย และหนองบัวลําภู เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านสาธารณูปโภคน้ําประปาในพื้นที่ใกล้เคียง อีกทั้ง ยังได้ตอบสนองนโยบาย Thailand 4.0 โดยนําเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบบริการ PWA 4.0 ทําให้ กปภ. 234 สาขาทั่วประเทศ ไม่เรียกสําเนาเอกสารจากประชาชน และสามารถดําเนินการช่วยเหลือผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ใช้น้ําประปาไม่เกิน 100 บาทต่อเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ไปจนถึงกันยายน 2562 ได้อย่างรวดเร็ว
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวพบปะกับประชาชนจังหวัดหนองคายว่า รู้สึกยินดีที่ได้มาเปิดโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค อําเภอเมืองหนองคาย – อําเภอสระใคร และมาพบกับประชาชนชาวจังหวัดหนองคายในวันนี้ ต่อไปก็จะมีการขยายไปสู่พื้นที่อื่น เช่น จังหวัดอุดรธานี พร้อมกล่าวย้ําว่า นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ในการติดตามและให้นโยบาย เพื่อให้กระทรวง หน่วยงานต่าง ๆ นํานโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยประชาชนทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกัน วันนี้ประเทศไทยมีโครงการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้น ทําให้มีคนเจ็บป่วยและเสียชีวิตน้อยลง โดยในส่วนของรัฐบาลก็ได้เข้ามาดูแลในเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ก็ได้ไปเปิดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะเรื่องของสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจเป็นเรื่องที่มีความสําคัญ จึงต้องหาแนวทางและวิธีการป้องกันรักษาก่อนที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่าประชาชนทุกคนต้องรู้หน้าที่ของตนเอง เช่นเดียวกับที่รัฐบาลก็มีหน้าที่ต่อประชาชนภายใต้กฎหมาย โดยในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่รัฐบาลดําเนินการนั้น เพื่อเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวประชาชน และขอให้ใช้จ่ายเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและครอบครัว รวมทั้งขอให้ไปศึกษาการใช้และการกดบัตรสวัสดิการฯ เพื่อนําเงินออกมาใช้จ่ายให้เป็น ซึ่งเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล ประชาชนทุกคนต้องศึกษาและพัฒนาตนเองเพื่อให้สอดคล้องกับโลกอนาคตที่ทุกอย่างเป็นเทคโนโลยีดิจิทัล รวมไปถึงการค้าขายผ่านระบบออนไลน์ ฉะนั้นทุกคนต้องพัฒนาและปรับตัวให้ทัน โดยขอให้ประชาชนฝึกที่จะค้าขายผ่านออนไลน์เพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว รวมทั้งผลิตสินค้าและพืชการเกษตรต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนาฝีมือตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคนกลุ่ม 1.0 2.0 และ 3.0 เพื่อให้สามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ ขณะที่รัฐบาลกําลังดําเนินการทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง และรองรับการเข้าสู่ 4.0
นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความห่วงใยเรื่องการเกษตร ทั้งเรื่อง ข้าว ยางพารา ว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องราคาพืชเกษตรดังกล่าว โดยเฉพาะราคายางที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกลไกของตลาดโลก ดังนั้นการปลูกยางพาราต้องมีการปลูกในพื้นที่ถูกกฎหมายและให้เหมาะสมทั้งปริมาณและความต้องการของตลาด รวมถึงการปรับเปลี่ยนการปลูกยางไปปลูกพืชชนิดอื่นเพื่อเพิ่มรายได้ ซึ่งรัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน โดยสนับสนุนให้มีการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้น เช่น การนํายางพารามาทําถนน เพื่อแก้ไขปัญหาพืชการเกษตรยางพาราอย่างถูกต้อง ส่วนการปลูกข้าวก็ต้องให้เป็นไปอย่างเหมาะสมกับปริมาณน้ําและดิน รวมทั้งการปลูกพืชเกษตรอื่นต้องสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เน้นปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ และขยายไปสู่เกษตรปลอดภัย และทําให้เป็นระบบตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง คือการผลิต พัฒนาแปรรูป การตลาด และระบบการขนส่ง รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพและขยายไปจําหน่ายผ่านออนไลน์ จะสามารถจําหน่ายสินค้าได้มากขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้น
พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องต้องมีความรู้ที่จะสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ในเรื่องการค้าขายออนไลน์ให้กับประชาชนได้ด้วย และขอให้ประชาชนตระหนักให้ความสําคัญกับการเสียภาษี เพื่อรัฐบาลมีรายได้ สามารถนําเงินมาพัฒนาประเทศได้ พร้อมขอให้ประชาชนช่วยกันรณรงค์เรื่องการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ว่า เป็นการวางอนคตของประเทศ ที่จะทําให้ประเทศหลุดพ้นจากความยากจนภายใน 20 ปี โดยได้มีการดําเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น สาธารณูปโภคพื้นฐาน การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ การดูแลระบบสุขภาพประชาชน การเกษตรทั้งระบบ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ฯลฯ รวมทั้งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้ประชาชนร่วมกันปลูกป่าชุมชนและพืชเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมไปถึงพืชผักสวนครัว ไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อเป็นแหล่งอาหารและเกิดความสวยงาม ขณะเดียวกันขอให้ทุกคนลดปริมาณขยะให้น้อยลงเพื่อร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อม ขณะที่ในเรื่องการท่องเที่ยว ขอให้ช่วยกันสร้างเรื่องราวให้น่าสนใจเพื่อดึงดูดให้คนมาท่องเที่ยวได้มากขึ้น อันจะส่งผลให้เกิดการสร้างรายได้และอาชีพในชุมชนและพื้นที่
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณประชาชนจังหวัดหนองคายในการต้อนรับด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นเป็นกันเอง และฝากขออย่าเชื่อสิ่งใดโดยง่าย แต่ขอให้พิจารณาด้วยความรอบคอบก่อนตัดสินใจเชื่อและปฏิบัติตาม รวมทั้งร่วมกันสร้างความสงบให้กับบ้านเมือง เพื่อเตรียมการสําหรับพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่ยิ่งใหญ่ตามจารีตประเพณีของไทย และขอให้ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการหมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี ซึ่งเป็นการแสดงถึงวิถีชีวิตของชุมชนริมโขง และชุมชนชาวไทยพวนบ้านโพธิ์ตาก เช่น การฟ้อนไทยพวน กิจกรรมตําข้าวเม่าแบบดั้งเดิม การใช้ภาษาไทยพวนสระแอ ซึ่งเป็นภาษาถิ่นชาวไทยพวนบ้านโพธิ์ตาก และการใช้ “ภาษาพวน” สําหรับสื่อสารระหว่างกันของชาวไทยพวนทั่วประเทศ ซึ่งภาษาพวน หรือลาวพวนเป็นภาษาในตระกูลไท – กะได เป็นภาษาของชาวไทพวนหรือลาวพวน โดยคําศัพท์ใกล้เคียงกับภาษาลาวและภาษาไทยถิ่นอีสาน ภายใต้แนวคิด “ส่องวิถีไทยพวน ชวนกินข้าวเม่า เว่าพวนสระแอ” รวมทั้งเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP จังหวัดหนองคาย เช่น กล้วยแปรรูปอบกรอบ กล้วยตากพลังงานแสงอาทิตย์ ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว กข.6 ข้าวฮางงอก ข้าวเม่าไส้กรอกปลา ปลาร้าบอง งอบ เสื่อกกรองนั่ง (บ้านหัวทราย อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย) โดยนายกรัฐมนตรีได้เซ็นชื่อลงบนผ้าทอกี่กระตุก เพื่อเป็นที่ระลึก พร้อมทั้งปลูกต้นรวงผึ้ง ซึ่งเป็นต้นไม้ประจําพระองค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 เนื่องด้วยดอกรวงผึ้งมีสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจําวันพระราชสมภพ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีและคณะ จะเดินทางไปยังหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ตําบลบ้านเดื่อ อําเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคายต่อไป
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17462
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๘ เมษายน ๒๕๖๐ วันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบรอบ ๑๓๐ ปี
|
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
๘ เมษายน ๒๕๖๐ วันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบรอบ ๑๓๐ ปี
๘ เมษายน ๒๕๖๐ วันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบรอบ ๑๓๐ ปี
๘ เมษายน ๒๕๖๐
๑๓๐ ปี แห่งการสถาปนากระทรวงกลาโหม
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการจัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบ ๑๓๐ ปี โดยในเวลา ๐๗.๐๐ นาฬิกา กระทําพิธีถวายราชสักการะและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เวลา ๐๗.๓๐ นาฬิกา เป็นประธานในพิธีสงฆ์ ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม จากนั้น เวลา ๑๐.๓๐ นาฬิกา พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ เยี่ยมเยียนทหารซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ณ โรงพยาบาลทหารผ่านศึก เมื่อ ๗ เม.ย.๖๐
นับแต่อดีตกาล กิจการทหารได้ก่อกําเนิดขึ้นพร้อมกับกําเนิดชาติไทย และได้วิวัฒนาการเรื่อยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงพิจารณาเห็นว่าการป้องกันประเทศและการดํารงไว้ซึ่งอิสรภาพ ตลอดจนบูรณาภาพแห่งชาติให้สถิตสถาพรขึ้นอยู่กับกําลังทหารที่จะต้องมีการจัดให้มีระบบที่ทัดเทียมกับอารยประเทศ ดังนั้นในครั้งนั้นจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดตั้งกรมยุทธนาธิการขึ้น เมื่อวันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๓๐ วันที่ ๘ เมษายนของทุกปี จึงถือเป็นวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม
กระทรวงกลาโหม เป็นองค์กรหลักด้านความมั่นคง มีหน้าที่ในการปกป้องเอกราชอธิปไตย พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งสถาบันหลักของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงในมิติอื่น ๆ อาทิ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การต่อต้านการก่อการร้าย ปัญหายาเสพติด แรงงานต่างด้าว การค้ามนุษย์ การจัดระเบียบสังคม การทําประมงผิดกฎหมาย ปัญหาการบินพลเรือน ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ
ในด้านการปฏิรูปกองทัพนั้น กระทรวงกลาโหมได้มีการปฏิรูปทั้งระบบการทํางาน โครงสร้าง และอัตราการจัดหน่วย เสริมสร้างความพร้อมในด้านกําลังพล ยุทโธปกรณ์ การฝึกศึกษา หลักนิยม การรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ เพื่อให้มีขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจ ที่มีความหลากหลาย เหมาะสมกับ การบริหารราชการยุคใหม่ โดยได้ปฏิรูปงานด้านการวิจัยพัฒนา และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ บนหลักพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง เพื่อมุ่งสู่การผลิตใช้ในราชการ และเพื่อการพาณิชย์
นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสําคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับกองทัพมิตรประเทศ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการเผชิญกับภัยคุกคามข้ามชาติ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนความร่วมมือในด้านอื่นๆ เพื่อนําไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” “๑๓ ทศวรรษ กลาโหมเทิดราชา รักษ์ราษฎร์ ชาติมั่นคง”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๘ เมษายน ๒๕๖๐ วันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบรอบ ๑๓๐ ปี
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
๘ เมษายน ๒๕๖๐ วันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบรอบ ๑๓๐ ปี
๘ เมษายน ๒๕๖๐ วันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบรอบ ๑๓๐ ปี
๘ เมษายน ๒๕๖๐
๑๓๐ ปี แห่งการสถาปนากระทรวงกลาโหม
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการจัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบ ๑๓๐ ปี โดยในเวลา ๐๗.๐๐ นาฬิกา กระทําพิธีถวายราชสักการะและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เวลา ๐๗.๓๐ นาฬิกา เป็นประธานในพิธีสงฆ์ ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม จากนั้น เวลา ๑๐.๓๐ นาฬิกา พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ เยี่ยมเยียนทหารซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ณ โรงพยาบาลทหารผ่านศึก เมื่อ ๗ เม.ย.๖๐
นับแต่อดีตกาล กิจการทหารได้ก่อกําเนิดขึ้นพร้อมกับกําเนิดชาติไทย และได้วิวัฒนาการเรื่อยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงพิจารณาเห็นว่าการป้องกันประเทศและการดํารงไว้ซึ่งอิสรภาพ ตลอดจนบูรณาภาพแห่งชาติให้สถิตสถาพรขึ้นอยู่กับกําลังทหารที่จะต้องมีการจัดให้มีระบบที่ทัดเทียมกับอารยประเทศ ดังนั้นในครั้งนั้นจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดตั้งกรมยุทธนาธิการขึ้น เมื่อวันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๓๐ วันที่ ๘ เมษายนของทุกปี จึงถือเป็นวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม
กระทรวงกลาโหม เป็นองค์กรหลักด้านความมั่นคง มีหน้าที่ในการปกป้องเอกราชอธิปไตย พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งสถาบันหลักของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงในมิติอื่น ๆ อาทิ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การต่อต้านการก่อการร้าย ปัญหายาเสพติด แรงงานต่างด้าว การค้ามนุษย์ การจัดระเบียบสังคม การทําประมงผิดกฎหมาย ปัญหาการบินพลเรือน ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ
ในด้านการปฏิรูปกองทัพนั้น กระทรวงกลาโหมได้มีการปฏิรูปทั้งระบบการทํางาน โครงสร้าง และอัตราการจัดหน่วย เสริมสร้างความพร้อมในด้านกําลังพล ยุทโธปกรณ์ การฝึกศึกษา หลักนิยม การรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ เพื่อให้มีขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจ ที่มีความหลากหลาย เหมาะสมกับ การบริหารราชการยุคใหม่ โดยได้ปฏิรูปงานด้านการวิจัยพัฒนา และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ บนหลักพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง เพื่อมุ่งสู่การผลิตใช้ในราชการ และเพื่อการพาณิชย์
นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสําคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับกองทัพมิตรประเทศ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการเผชิญกับภัยคุกคามข้ามชาติ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนความร่วมมือในด้านอื่นๆ เพื่อนําไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” “๑๓ ทศวรรษ กลาโหมเทิดราชา รักษ์ราษฎร์ ชาติมั่นคง”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2939
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พล.ต.อ.อดุลย์ฯ’ เดินหน้าตรวจแรงงานเข้มข้น ป้องกันใช้แรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์แรงงาน
|
วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561
‘พล.ต.อ.อดุลย์ฯ’ เดินหน้าตรวจแรงงานเข้มข้น ป้องกันใช้แรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์แรงงาน
รมว.แรงงาน สั่งการติดตามใกล้ชิดเอาผิดนายจ้าง หากพบเข้าข่ายใช้แรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์และไม่ปฏิบัติตาม พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสน หรือ ทั้งจําทั้งปรับ
วันนี้ (23 ก.พ. 61) พลตํารวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการในที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงาน (ศปก.รง.) หลังจากที่ นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้รายงานผลการออกตรวจแรงงานและคัดกรองลูกจ้างที่ยื่นคําร้อง/ร้องเรียน ประจําสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 19 – 22 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งพบว่า มีลูกจ้างยื่นคําร้อง/ร้องเรียน 230 คน ในจํานวน 119 แห่ง ผลการคัดกรองเบื้องต้นไม่เข้าข่ายแรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์ 223 คน ในจํานวน 118 แห่ง พบเข้าข่ายแรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์ และได้ประสานพนักงานสอบสวนเพื่อคัดแยกผู้สียหาย 7 คน จํานวน 1 แห่ง ซึ่งเป็นลูกจ้างชาวเมียนมาและลาว จํานวน 7 คน ทํางานที่บริษัท ไอ่วอ รังนก จํากัด เลขที่ 173/1 ซอยเอกชัย 76 แยก 2-1 แขวงบางบอน เขตบางบอน กทม. ประกอบกิจการผลิตรังนก ลูกจ้างได้ร้องเรียนว่าบริษัทดังกล่าว 1) เก็บหนังสือเดินทาง (Passport) ของลูกจ้างไว้และหักค่าจ้างเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินการจัดทําเอกสารการจ้างแรงงานต่างด้าว 2) ไม่จ่ายค่าจ้างวันหยุดตามประเพณี 3) ไม่จ่ายค่าจ้างในวันลาป่วย ซึ่งการกระทําดังกล่าวของนายจ้างเข้าข่ายใช้แรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ได้เน้นย้ําให้พนักงานตรวจแรงงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ดําเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน หากพบกรณีที่นายจ้างปฏิบัติต่อคนงานทั้งไทยและต่างด้าว เข้าข่ายใช้แรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์ และไม่ปฏิบัติตาม พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งกําหนดโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสน หรือ ทั้งจําทั้งปรับ
กรณีลูกจ้างทั้งไทยและต่างด้าวที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการจ้างงานสามารถยื่นคําร้องได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ที่สถานประกอบกิจการตั้งอยู่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทร 0-2246-8994, 0-2245-7020 สายด่วน 1506 กด 3 หรือที่ www.labour.go.th
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ข้อมูล
23 กุมภาพันธ์ 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พล.ต.อ.อดุลย์ฯ’ เดินหน้าตรวจแรงงานเข้มข้น ป้องกันใช้แรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์แรงงาน
วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561
‘พล.ต.อ.อดุลย์ฯ’ เดินหน้าตรวจแรงงานเข้มข้น ป้องกันใช้แรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์แรงงาน
รมว.แรงงาน สั่งการติดตามใกล้ชิดเอาผิดนายจ้าง หากพบเข้าข่ายใช้แรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์และไม่ปฏิบัติตาม พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสน หรือ ทั้งจําทั้งปรับ
วันนี้ (23 ก.พ. 61) พลตํารวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการในที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงาน (ศปก.รง.) หลังจากที่ นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้รายงานผลการออกตรวจแรงงานและคัดกรองลูกจ้างที่ยื่นคําร้อง/ร้องเรียน ประจําสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 19 – 22 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งพบว่า มีลูกจ้างยื่นคําร้อง/ร้องเรียน 230 คน ในจํานวน 119 แห่ง ผลการคัดกรองเบื้องต้นไม่เข้าข่ายแรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์ 223 คน ในจํานวน 118 แห่ง พบเข้าข่ายแรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์ และได้ประสานพนักงานสอบสวนเพื่อคัดแยกผู้สียหาย 7 คน จํานวน 1 แห่ง ซึ่งเป็นลูกจ้างชาวเมียนมาและลาว จํานวน 7 คน ทํางานที่บริษัท ไอ่วอ รังนก จํากัด เลขที่ 173/1 ซอยเอกชัย 76 แยก 2-1 แขวงบางบอน เขตบางบอน กทม. ประกอบกิจการผลิตรังนก ลูกจ้างได้ร้องเรียนว่าบริษัทดังกล่าว 1) เก็บหนังสือเดินทาง (Passport) ของลูกจ้างไว้และหักค่าจ้างเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินการจัดทําเอกสารการจ้างแรงงานต่างด้าว 2) ไม่จ่ายค่าจ้างวันหยุดตามประเพณี 3) ไม่จ่ายค่าจ้างในวันลาป่วย ซึ่งการกระทําดังกล่าวของนายจ้างเข้าข่ายใช้แรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ได้เน้นย้ําให้พนักงานตรวจแรงงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ดําเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน หากพบกรณีที่นายจ้างปฏิบัติต่อคนงานทั้งไทยและต่างด้าว เข้าข่ายใช้แรงงานบังคับ/ค้ามนุษย์ และไม่ปฏิบัติตาม พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งกําหนดโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสน หรือ ทั้งจําทั้งปรับ
กรณีลูกจ้างทั้งไทยและต่างด้าวที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการจ้างงานสามารถยื่นคําร้องได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ที่สถานประกอบกิจการตั้งอยู่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทร 0-2246-8994, 0-2245-7020 สายด่วน 1506 กด 3 หรือที่ www.labour.go.th
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ข้อมูล
23 กุมภาพันธ์ 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10308
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.สนับสนุนเกมครอสเวิร์ดในชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษในสถานศึกษา
|
วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2559
ศธ.สนับสนุนเกมครอสเวิร์ดในชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษในสถานศึกษา
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการแข่งขัน "สตั้ดดี้ พลัส ครอสเวิร์ดเกมเยาวชนนานาชาติ ครั้งที่ 28 (Study Plus Crossword International Youth 2016)"
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล กล่าวว่า กิจกรรมการแข่งขันดังกล่าว มีนักเรียนและเยาวชนจากทั่วประเทศกว่า 4,000 คน เข้าร่วมการแข่งขัน จัดต่อเนื่องมา 28 ปีแล้ว ซึ่งเกมครอสเวิร์ด ก็คือการเล่นเกมและเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษได้อย่างสนุกสนาน อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมในครอบครัวได้อย่างดีด้วย จึงต้องการสนับสนุนให้มีการใช้เกมครอสเวิร์ดในการเสริมทักษะการเรียนรู้ในการใช้ภาษาอังกฤษ เพราะสามารถใช้ได้ในหลากหลายระดับการศึกษา ตั้งแต่อนุบาลจนถึงอุดมศึกษา ที่สําคัญคืออุปกรณ์บอร์ดที่ใช้เล่นเกม มีราคาไม่แพง
"ในฐานะที่มีส่วนร่วมต่อการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในการยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤษในทุกหลักสูตร เห็นว่าเกมครอสเวิร์ด นอกจากจะส่งผลถึงการเรียนรู้คําศัพท์และความสนุกสนานจากการเล่นเกมแล้ว สถานศึกษาทุกระดับสามารถนําไปใช้ในชั่วโมงการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในปัจจุบัน ซึ่งปรับจํานวนชั่วโมงเรียนจากเดิม 1 คาบต่อสัปดาห์ เป็น 5 คาบต่อสัปดาห์ ได้เป็นอย่างดี"
สําหรับการแข่งขัน "สตั้ดดี้ พลัส ครอสเวิร์ดเกมเยาวชนนานาชาติ" ของไทยนั้น ในแต่ละปีจะมีการแข่งขันในระดับภาคก่อน เพื่อคัดเลือกตัวแทนภาคต่าง ๆ มาแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ โดยในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2559 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล บางนา กรุงเทพฯ โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับรางวัลถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.สนับสนุนเกมครอสเวิร์ดในชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษในสถานศึกษา
วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2559
ศธ.สนับสนุนเกมครอสเวิร์ดในชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษในสถานศึกษา
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการแข่งขัน "สตั้ดดี้ พลัส ครอสเวิร์ดเกมเยาวชนนานาชาติ ครั้งที่ 28 (Study Plus Crossword International Youth 2016)"
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล กล่าวว่า กิจกรรมการแข่งขันดังกล่าว มีนักเรียนและเยาวชนจากทั่วประเทศกว่า 4,000 คน เข้าร่วมการแข่งขัน จัดต่อเนื่องมา 28 ปีแล้ว ซึ่งเกมครอสเวิร์ด ก็คือการเล่นเกมและเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษได้อย่างสนุกสนาน อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมในครอบครัวได้อย่างดีด้วย จึงต้องการสนับสนุนให้มีการใช้เกมครอสเวิร์ดในการเสริมทักษะการเรียนรู้ในการใช้ภาษาอังกฤษ เพราะสามารถใช้ได้ในหลากหลายระดับการศึกษา ตั้งแต่อนุบาลจนถึงอุดมศึกษา ที่สําคัญคืออุปกรณ์บอร์ดที่ใช้เล่นเกม มีราคาไม่แพง
"ในฐานะที่มีส่วนร่วมต่อการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในการยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤษในทุกหลักสูตร เห็นว่าเกมครอสเวิร์ด นอกจากจะส่งผลถึงการเรียนรู้คําศัพท์และความสนุกสนานจากการเล่นเกมแล้ว สถานศึกษาทุกระดับสามารถนําไปใช้ในชั่วโมงการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในปัจจุบัน ซึ่งปรับจํานวนชั่วโมงเรียนจากเดิม 1 คาบต่อสัปดาห์ เป็น 5 คาบต่อสัปดาห์ ได้เป็นอย่างดี"
สําหรับการแข่งขัน "สตั้ดดี้ พลัส ครอสเวิร์ดเกมเยาวชนนานาชาติ" ของไทยนั้น ในแต่ละปีจะมีการแข่งขันในระดับภาคก่อน เพื่อคัดเลือกตัวแทนภาคต่าง ๆ มาแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ โดยในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2559 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล บางนา กรุงเทพฯ โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับรางวัลถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/901
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย สถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือเริ่มคลี่คลาย แม้ยังท่วมขังในบางจุด คาดว่าจะลดลงเป็นปกติได้ 2 – 3 วันนี้ ด้านนายกฯ กำชับให้เร่งระบายน้ำ และจัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วออกช่วยเหลือผ
|
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
โฆษกรัฐบาลเผย สถานการณ์น้ําท่วมภาคเหนือเริ่มคลี่คลาย แม้ยังท่วมขังในบางจุด คาดว่าจะลดลงเป็นปกติได้ 2 – 3 วันนี้ ด้านนายกฯ กําชับให้เร่งระบายน้ํา และจัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วออกช่วยเหลือผ
โฆษกรัฐบาลเผย สถานการณ์น้ําท่วมภาคเหนือเริ่มคลี่คลาย แม้ยังท่วมขังในบางจุด คาดว่าจะลดลงเป็นปกติได้ 2 – 3 วันนี้ ด้านนายกฯ กําชับให้เร่งระบายน้ํา และจัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วออกช่วยเหลือผู้ประสบภัย
วันที่ 17 กันยายน 2559 พลตรี สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ฝนที่ตกหนักทําให้ระดับน้ําในแม่น้ํายมเพิ่มสูงขึ้น และไหลเข้าท่วมตัวเมืองสุโขทัย โดยล่าสุดพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานจากกระทรวงมหาดไทย ว่า
“หลังจากที่ได้นํากระสอบทรายขนาดใหญ่หรือบิ๊กแบ็กวางกั้นจุดที่น้ําลอดเข้าตัวเมือง และเจ้าหน้าที่ได้เร่งระดมสูบน้ํา ทําให้สถานการณ์น้ําท่วมในเขตเทศบาลเมืองสุโขทัยเริ่มคลี่คลาย โดยในวันจันทร์ที่ 19 ก.ย.59 จ.สุโขทัย จะบูรณาการทุกภาคส่วนออกทําความสะอาดในพื้นที่ เพื่อให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ ส่วนที่ จ.เพชรบูรณ์ ระดับน้ําในพื้นที่ลดลงอย่างมาก และเข้าสู่สภาวะปกติแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้”
พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า รายงานจาก จ.พิษณุโลก พบว่า ที่ อ.พรหมพิราม ยังมีน้ําจาก จ.สุโขทัยท่วมค้างอยู่ในพื้นที่การเกษตร 5 ตําบล ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ํายม แต่ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก ซึ่งนายอําเภอพรหมพิรามได้ประสานส่วนราชการต่าง ๆ เข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่แล้ว ส่วนอําเภออื่น ๆ หากภายใน 24 ชม.นับจากนี้ ไม่มีฝนตกหนักลงมาอีก ก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
“ระดับน้ําท่วมขังโดยรวม มีปริมาณไม่สูงนัก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30 - 50 ซม. และคาดว่าจะลดลงและเป็นปกติได้ใน 2 - 3 วันนี้ เนื่องจากพายุราอีได้เคลื่อนตัวไปยังประเทศเมียนมาแล้ว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ติดตามสถานการณ์และได้รับรายงานอย่างต่อเนื่อง โดยได้กําชับให้ทุกจังหวัดเร่งระบายน้ําออกนอกพื้นที่ แต่ต้องประสานงานกับพื้นที่ปลายน้ํา เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน พร้อมทั้งให้จัดหน่วยเคลื่อนที่เร็ว บูรณาการฝ่ายปกครอง ทหาร องค์กรปกครองท้องถิ่น ออกไปให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งในด้านอาหาร น้ําดื่ม ยารักษาโรค และฟื้นฟูความเสียหายโดยด่วน”
------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย สถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือเริ่มคลี่คลาย แม้ยังท่วมขังในบางจุด คาดว่าจะลดลงเป็นปกติได้ 2 – 3 วันนี้ ด้านนายกฯ กำชับให้เร่งระบายน้ำ และจัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วออกช่วยเหลือผ
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
โฆษกรัฐบาลเผย สถานการณ์น้ําท่วมภาคเหนือเริ่มคลี่คลาย แม้ยังท่วมขังในบางจุด คาดว่าจะลดลงเป็นปกติได้ 2 – 3 วันนี้ ด้านนายกฯ กําชับให้เร่งระบายน้ํา และจัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วออกช่วยเหลือผ
โฆษกรัฐบาลเผย สถานการณ์น้ําท่วมภาคเหนือเริ่มคลี่คลาย แม้ยังท่วมขังในบางจุด คาดว่าจะลดลงเป็นปกติได้ 2 – 3 วันนี้ ด้านนายกฯ กําชับให้เร่งระบายน้ํา และจัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วออกช่วยเหลือผู้ประสบภัย
วันที่ 17 กันยายน 2559 พลตรี สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ฝนที่ตกหนักทําให้ระดับน้ําในแม่น้ํายมเพิ่มสูงขึ้น และไหลเข้าท่วมตัวเมืองสุโขทัย โดยล่าสุดพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานจากกระทรวงมหาดไทย ว่า
“หลังจากที่ได้นํากระสอบทรายขนาดใหญ่หรือบิ๊กแบ็กวางกั้นจุดที่น้ําลอดเข้าตัวเมือง และเจ้าหน้าที่ได้เร่งระดมสูบน้ํา ทําให้สถานการณ์น้ําท่วมในเขตเทศบาลเมืองสุโขทัยเริ่มคลี่คลาย โดยในวันจันทร์ที่ 19 ก.ย.59 จ.สุโขทัย จะบูรณาการทุกภาคส่วนออกทําความสะอาดในพื้นที่ เพื่อให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ ส่วนที่ จ.เพชรบูรณ์ ระดับน้ําในพื้นที่ลดลงอย่างมาก และเข้าสู่สภาวะปกติแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้”
พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า รายงานจาก จ.พิษณุโลก พบว่า ที่ อ.พรหมพิราม ยังมีน้ําจาก จ.สุโขทัยท่วมค้างอยู่ในพื้นที่การเกษตร 5 ตําบล ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ํายม แต่ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก ซึ่งนายอําเภอพรหมพิรามได้ประสานส่วนราชการต่าง ๆ เข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่แล้ว ส่วนอําเภออื่น ๆ หากภายใน 24 ชม.นับจากนี้ ไม่มีฝนตกหนักลงมาอีก ก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
“ระดับน้ําท่วมขังโดยรวม มีปริมาณไม่สูงนัก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30 - 50 ซม. และคาดว่าจะลดลงและเป็นปกติได้ใน 2 - 3 วันนี้ เนื่องจากพายุราอีได้เคลื่อนตัวไปยังประเทศเมียนมาแล้ว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ติดตามสถานการณ์และได้รับรายงานอย่างต่อเนื่อง โดยได้กําชับให้ทุกจังหวัดเร่งระบายน้ําออกนอกพื้นที่ แต่ต้องประสานงานกับพื้นที่ปลายน้ํา เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน พร้อมทั้งให้จัดหน่วยเคลื่อนที่เร็ว บูรณาการฝ่ายปกครอง ทหาร องค์กรปกครองท้องถิ่น ออกไปให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งในด้านอาหาร น้ําดื่ม ยารักษาโรค และฟื้นฟูความเสียหายโดยด่วน”
------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/482
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.วอนประชาชนช่วยบริจาคอวัยวะ ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์
|
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2561
สธ.วอนประชาชนช่วยบริจาคอวัยวะ ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์
กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนบริจาคอวัยวะและดวงตา ช่วยชีวิตผู้ป่วยที่รอการผ่าตัดปลูกถ่ายเกือบ 20,000 ราย ขยายศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตา และทีมผ่าตัดในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป
นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมมือกับสภากาชาดไทย และภาคีเครือข่าย ดําเนินการปลูกถ่ายอวัยวะ เพื่อเป็นทางรอดทางเดียวของผู้ป่วยโรคหัวใจ ตับ ปอดวายระยะสุดท้าย แก้ปัญหาความพิการของดวงตา โดยเฉพาะการปลูกถ่ายไต ที่สามารถช่วยผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายให้มีอัตราการเจ็บป่วย และเสียชีวิตต่ํากว่าการฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้อง ในปี 2560 สามารถช่วยผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะ ได้รับการปลูกถ่ายเพิ่มขึ้นจาก 512 รายในปี 2559 เป็น 670 ราย เพิ่มการปลูกถ่ายไตจาก 414 รายในปี 2559 เป็น 543 ราย และปลูกถ่ายกระจกตาได้ 1,082 ดวงตา ยังคงมีผู้รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะ 5,851 ราย และรอรับการปลูกถ่ายกระจกตาอีก 12,042 ราย
นายแพทย์มรุตกล่าวต่อว่า ในปี 2561 กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งขยายศูนย์รับบริจาคอวัยวะและดวงตา ให้ครอบคลุมโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป ขณะนี้ดําเนินการแล้วในโรงพยาบาลศูนย์ร้อยละ 87 โรงพยาบาลทั่วไปร้อยละ 54 และโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ 7 แห่ง พร้อมทั้งจะพัฒนาทีมผ่าตัดนําอวัยวะออก ในส่วนภูมิภาค (Regional Harvesting Team) ให้ได้เขตสุขภาพละ 1 ทีม โดยได้อบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้องแล้ว 11 เขต พัฒนาศูนย์ปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant Center) 1 แห่งในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 3 จัดอบรมพยาบาลผู้ประสานงานการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ ทุกเขตสุขภาพ และอบรมเครือข่ายรับบริจาคอวัยวะ 4 ภาค
“สิ่งสําคัญคือ การรณรงค์ประชาชนให้สนใจที่จะบริจาคอวัยวะและดวงตาเพิ่มมากขึ้น ได้ตั้งเป้าหมายในปี 2561 ให้มีจํานวนผู้ยินยอมบริจาคจากผู้ป่วยสมองตายเป็น 0.4 ต่อ 100 จํานวนผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาล และผู้ยินยอมบริจาคดวงตาจากผู้ป่วยสมองตาย 1.2 ต่อ 100 จํานวนผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาล และจะให้เพิ่มขึ้นทุกปี เพื่อต่อชีวิตให้กับผู้รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะที่ยังมีอยู่เป็นจํานวนมาก” นายแพทย์มรุตกล่าว
*********************************** 29 เมษายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.วอนประชาชนช่วยบริจาคอวัยวะ ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2561
สธ.วอนประชาชนช่วยบริจาคอวัยวะ ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์
กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนบริจาคอวัยวะและดวงตา ช่วยชีวิตผู้ป่วยที่รอการผ่าตัดปลูกถ่ายเกือบ 20,000 ราย ขยายศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตา และทีมผ่าตัดในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป
นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมมือกับสภากาชาดไทย และภาคีเครือข่าย ดําเนินการปลูกถ่ายอวัยวะ เพื่อเป็นทางรอดทางเดียวของผู้ป่วยโรคหัวใจ ตับ ปอดวายระยะสุดท้าย แก้ปัญหาความพิการของดวงตา โดยเฉพาะการปลูกถ่ายไต ที่สามารถช่วยผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายให้มีอัตราการเจ็บป่วย และเสียชีวิตต่ํากว่าการฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้อง ในปี 2560 สามารถช่วยผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะ ได้รับการปลูกถ่ายเพิ่มขึ้นจาก 512 รายในปี 2559 เป็น 670 ราย เพิ่มการปลูกถ่ายไตจาก 414 รายในปี 2559 เป็น 543 ราย และปลูกถ่ายกระจกตาได้ 1,082 ดวงตา ยังคงมีผู้รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะ 5,851 ราย และรอรับการปลูกถ่ายกระจกตาอีก 12,042 ราย
นายแพทย์มรุตกล่าวต่อว่า ในปี 2561 กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งขยายศูนย์รับบริจาคอวัยวะและดวงตา ให้ครอบคลุมโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป ขณะนี้ดําเนินการแล้วในโรงพยาบาลศูนย์ร้อยละ 87 โรงพยาบาลทั่วไปร้อยละ 54 และโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ 7 แห่ง พร้อมทั้งจะพัฒนาทีมผ่าตัดนําอวัยวะออก ในส่วนภูมิภาค (Regional Harvesting Team) ให้ได้เขตสุขภาพละ 1 ทีม โดยได้อบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้องแล้ว 11 เขต พัฒนาศูนย์ปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant Center) 1 แห่งในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 3 จัดอบรมพยาบาลผู้ประสานงานการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ ทุกเขตสุขภาพ และอบรมเครือข่ายรับบริจาคอวัยวะ 4 ภาค
“สิ่งสําคัญคือ การรณรงค์ประชาชนให้สนใจที่จะบริจาคอวัยวะและดวงตาเพิ่มมากขึ้น ได้ตั้งเป้าหมายในปี 2561 ให้มีจํานวนผู้ยินยอมบริจาคจากผู้ป่วยสมองตายเป็น 0.4 ต่อ 100 จํานวนผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาล และผู้ยินยอมบริจาคดวงตาจากผู้ป่วยสมองตาย 1.2 ต่อ 100 จํานวนผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาล และจะให้เพิ่มขึ้นทุกปี เพื่อต่อชีวิตให้กับผู้รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะที่ยังมีอยู่เป็นจํานวนมาก” นายแพทย์มรุตกล่าว
*********************************** 29 เมษายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11834
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” พิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา
|
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560
“ยุติธรรม” พิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา
การประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย
และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐
เพื่อพิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา
ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔
และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙
จํานวนทั้งสิ้น ๑,๑๑๖ เรื่อง และพิจารณาจ่ายฯ จํานวน ๗๓๒ เรื่อง
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๗,๘๖๒,๒๔๒.๖๐ บาท ดังนี้
๑. พิจารณาคําขอค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหาย จํานวน ๑,๐๔๙ เรื่อง
พิจารณาจ่ายฯ จํานวน ๗๒๘ เรื่อง เป็นเงิน ๓๗,๒๖๙,๗๔๒.๖๐ บาท
๒. พิจารณาคําขอค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลย จํานวน ๖๗ เรื่อง
พิจารณาจ่ายฯ จํานวน ๔ เรื่อง เป็นเงิน ๕๙๒,๕๐๐ บาท
โดยมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมไชยานุกิจ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ชั้น ๓
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” พิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560
“ยุติธรรม” พิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา
การประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย
และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐
เพื่อพิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา
ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔
และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙
จํานวนทั้งสิ้น ๑,๑๑๖ เรื่อง และพิจารณาจ่ายฯ จํานวน ๗๓๒ เรื่อง
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๗,๘๖๒,๒๔๒.๖๐ บาท ดังนี้
๑. พิจารณาคําขอค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหาย จํานวน ๑,๐๔๙ เรื่อง
พิจารณาจ่ายฯ จํานวน ๗๒๘ เรื่อง เป็นเงิน ๓๗,๒๖๙,๗๔๒.๖๐ บาท
๒. พิจารณาคําขอค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลย จํานวน ๖๗ เรื่อง
พิจารณาจ่ายฯ จํานวน ๔ เรื่อง เป็นเงิน ๕๙๒,๕๐๐ บาท
โดยมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมไชยานุกิจ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ชั้น ๓
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2047
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” คิกออฟ มหกรรมสินค้าสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2562
|
วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2562
“รมช.มนัญญา” คิกออฟ มหกรรมสินค้าสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2562
“รมช.มนัญญา” คิกออฟ มหกรรมสินค้าสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2562 หนุนเพิ่มช่องทางการตลาดให้สหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร ชูอัตลักษณ์สินค้าโดดเด่นของท้องถิ่นกระจายรายได้สู่ชุมชน
วันนี้ (28 สิงหาคม 2562) นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมสินค้าสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2562 โดยมี นายสนั่น พงษ์อักษร รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมวิชาการเกษตร หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกรให้การต้อนรับ ณ บริเวณสนามศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ (หลังเก่า) อําเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผย ว่า จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รัฐบาลถือเป็นภารกิจที่สําคัญอย่างยิ่ง ที่จะต้องนําประเทศไทยให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจที่กําลังเกิดขึ้น และพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคง โดยจะฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน บรรเทาผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ําที่ประชาชนประสบ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม โดยสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาคุณภาพการผลิตสินค้า ผ่านขบวนการสหกรณ์ ซึ่งทําหน้าที่เป็นผู้ผลิตสินค้า เช่น ข้าวสาร พืชผัก ผลไม้ อาหารแปรรูป หัตถกรรมและอื่น ๆ โดยผู้ผลิตเหล่านั้นกระจายอยู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เมื่อมีผลผลิตจํานวนมากการสนับสนุนกิจกรรมการจําหน่ายสินค้า จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการสร้างช่องทางการจําหน่ายสินค้า และประชาสัมพันธ์สินค้าของสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มอาชีพ เพื่อสนับสนุนให้สินค้าที่มีคุณภาพของชุมชนได้ไปถึงผู้บริโภคได้โดยตรง
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายสนับสนุนให้จัดกิจกรรมมหกรรมสินค้าสหกรณ์ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มอาชีพ เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกชม และซื้อสินค้าที่มีคุณภาพราคายุติธรรม โดยเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตพบผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีสินค้าอัตลักษณ์อันโดดเด่น เช่น ผ้าไหมแพรวา ซึ่งเป็นสินค้าเอกลักษณ์ที่สร้างขื่อเสียงให้กับจังหวัด รวมถึงสินค้าอื่นๆ ที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาชาวบ้านและควรค่าแก่การสนับสนุนในการสร้างช่องทางการตลาด ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันสนับสนุนและส่งเสริมสินค้าสหกรณ์ซึ่งเป็นผลผลิตของเกษตรกร ทําให้สหกรณ์เกิดความเข้มแข็ง และกระจายรายได้สู่ชุมชน” นางสาวมนัญญา กล่าว
ทั้งนี้ งานมหกรรมสินค้าสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2562 กําหนดจัดงานที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ในระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม ถึงวันที่ 1 กันยายน 2562 ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ (หลังเก่า) อําเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยการจัดงานในครั้งนี้ ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์จากสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มอาชีพ ทั้งในจังหวัดกาฬสินธุ์ และกลุ่มอาชีพทั่วประเทศ จํานวน 100 บูธ มีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การสาธิตสาวไหม ทอผ้า สหกรณ์สอนอาชีพ นิทรรศการ ตลอดทั้งการจําหน่ายสินค้าที่โดดเด่น อาทิ ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมแพรวา ซึ่งเป็นผ้าทอมืออันเป็นเอกลักษณ์ของชาวภูไท ซึ่งได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากโครงการศูนย์ศิลปาชีพ และสินค้าข้าวเหนียวเขาวง ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตรเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ มีธาตุซิริกรอนจากภูเขา เมื่อนึ่งสุกจะมีกลิ่นหอมและนุ่ม ไม่แฉะติดมือ นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายทอมือ ผ้าฝ้ายแปรรูป ผลิตภัณฑ์เครื่องจักรสาน ผักปลอดสารพิษ ผักอินทรีย์ และสินค้าเกษตรอื่น ๆ อีกมากมายให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ โดยได้รับความร่วมมือจาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาฬสินธุ์ กรมวิชาการเกษตร สํานักงาน อ.ส.ค. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น และสํานักงานตรวจบัญชีสหกรณ์กาฬสินธุ์ ร่วมออกบูธและจัดนิทรรศการ โดยมีสมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรในจังหวัดกาฬสินธุ์ เข้าร่วมงานประมาณ 500 คน
กระทรวงเกษตรฯ ขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมชม ชิม ช็อป สินค้าที่มีคุณภาพของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรได้ที่งาน “มหกรรมสินค้าสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2562” ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม ถึงวันที่ 1 กันยายน 2562 ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ (หลังเก่า) อําเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” คิกออฟ มหกรรมสินค้าสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2562
วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2562
“รมช.มนัญญา” คิกออฟ มหกรรมสินค้าสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2562
“รมช.มนัญญา” คิกออฟ มหกรรมสินค้าสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2562 หนุนเพิ่มช่องทางการตลาดให้สหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร ชูอัตลักษณ์สินค้าโดดเด่นของท้องถิ่นกระจายรายได้สู่ชุมชน
วันนี้ (28 สิงหาคม 2562) นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมสินค้าสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2562 โดยมี นายสนั่น พงษ์อักษร รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมวิชาการเกษตร หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกรให้การต้อนรับ ณ บริเวณสนามศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ (หลังเก่า) อําเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผย ว่า จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รัฐบาลถือเป็นภารกิจที่สําคัญอย่างยิ่ง ที่จะต้องนําประเทศไทยให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจที่กําลังเกิดขึ้น และพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคง โดยจะฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน บรรเทาผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ําที่ประชาชนประสบ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม โดยสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาคุณภาพการผลิตสินค้า ผ่านขบวนการสหกรณ์ ซึ่งทําหน้าที่เป็นผู้ผลิตสินค้า เช่น ข้าวสาร พืชผัก ผลไม้ อาหารแปรรูป หัตถกรรมและอื่น ๆ โดยผู้ผลิตเหล่านั้นกระจายอยู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เมื่อมีผลผลิตจํานวนมากการสนับสนุนกิจกรรมการจําหน่ายสินค้า จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการสร้างช่องทางการจําหน่ายสินค้า และประชาสัมพันธ์สินค้าของสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มอาชีพ เพื่อสนับสนุนให้สินค้าที่มีคุณภาพของชุมชนได้ไปถึงผู้บริโภคได้โดยตรง
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายสนับสนุนให้จัดกิจกรรมมหกรรมสินค้าสหกรณ์ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มอาชีพ เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกชม และซื้อสินค้าที่มีคุณภาพราคายุติธรรม โดยเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตพบผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีสินค้าอัตลักษณ์อันโดดเด่น เช่น ผ้าไหมแพรวา ซึ่งเป็นสินค้าเอกลักษณ์ที่สร้างขื่อเสียงให้กับจังหวัด รวมถึงสินค้าอื่นๆ ที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาชาวบ้านและควรค่าแก่การสนับสนุนในการสร้างช่องทางการตลาด ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันสนับสนุนและส่งเสริมสินค้าสหกรณ์ซึ่งเป็นผลผลิตของเกษตรกร ทําให้สหกรณ์เกิดความเข้มแข็ง และกระจายรายได้สู่ชุมชน” นางสาวมนัญญา กล่าว
ทั้งนี้ งานมหกรรมสินค้าสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2562 กําหนดจัดงานที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ในระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม ถึงวันที่ 1 กันยายน 2562 ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ (หลังเก่า) อําเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยการจัดงานในครั้งนี้ ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์จากสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มอาชีพ ทั้งในจังหวัดกาฬสินธุ์ และกลุ่มอาชีพทั่วประเทศ จํานวน 100 บูธ มีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การสาธิตสาวไหม ทอผ้า สหกรณ์สอนอาชีพ นิทรรศการ ตลอดทั้งการจําหน่ายสินค้าที่โดดเด่น อาทิ ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมแพรวา ซึ่งเป็นผ้าทอมืออันเป็นเอกลักษณ์ของชาวภูไท ซึ่งได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากโครงการศูนย์ศิลปาชีพ และสินค้าข้าวเหนียวเขาวง ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตรเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ มีธาตุซิริกรอนจากภูเขา เมื่อนึ่งสุกจะมีกลิ่นหอมและนุ่ม ไม่แฉะติดมือ นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายทอมือ ผ้าฝ้ายแปรรูป ผลิตภัณฑ์เครื่องจักรสาน ผักปลอดสารพิษ ผักอินทรีย์ และสินค้าเกษตรอื่น ๆ อีกมากมายให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ โดยได้รับความร่วมมือจาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาฬสินธุ์ กรมวิชาการเกษตร สํานักงาน อ.ส.ค. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น และสํานักงานตรวจบัญชีสหกรณ์กาฬสินธุ์ ร่วมออกบูธและจัดนิทรรศการ โดยมีสมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรในจังหวัดกาฬสินธุ์ เข้าร่วมงานประมาณ 500 คน
กระทรวงเกษตรฯ ขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมชม ชิม ช็อป สินค้าที่มีคุณภาพของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรได้ที่งาน “มหกรรมสินค้าสหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี 2562” ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม ถึงวันที่ 1 กันยายน 2562 ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ (หลังเก่า) อําเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22599
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แถลงข่าวโครงการเปิดสอบธรรมศึกษาประจำปีการศึกษา 2562
|
วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562
มหาเถรสมาคม และสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แถลงข่าวโครงการเปิดสอบธรรมศึกษาประจําปีการศึกษา 2562
มหาเถรสมาคม และสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แถลงข่าวโครงการเปิดสอบธรรมศึกษาประจําปีการศึกษา 2562
วันนี้ (30 ตุลาคม 2562) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อาคารหอสมุดพระพุทธศาสนามหาสิรินาถ สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อําเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม มหาเถรสมาคม โดยสํานักงานแม่กองธรรมสนามหลวง และรัฐบาล โดยสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดน่าน ได้ร่วมกันจัดงานแถลงข่าวโครงการเปิดสอบธรรมศึกษา ประจําปีการศึกษา 2562 ภายใต้ชื่อโครงการ “90 ปี สอบธรรมศึกษา สร้างสังคมอุดมปัญญาวิถีพุทธ” เพื่อประชาสัมพันธ์การเปิดสอบธรรมศึกษา ประจําปีการศึกษา 2562 ในวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562 โดยมีผู้เข้าร่วมแถลงข่าวประกอบด้วย สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ แม่กองธรรมสนามหลวง พระเทพเวที รักษาการเจ้าคณะภาค 6 พระสุนทรมุนี รองเจ้าคณะจังหวัดน่าน ปฏิบัติหน้าที่แทน เจ้าคณะจังหวัดน่าน นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายณรงค์ ทรงอารมณ์ รองผู้อํานวยการ รักษาราชการแทน ผู้อํานวยการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และผู้แทนคณะสงฆ์จังหวัดน่าน
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ แม่กองธรรมสนามหลวง กล่าวว่า การเรียนการสอนธรรมศึกษานั้น จะเกิดประโยชน์สูงสุด ก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้นําหลักธรรมที่ได้เรียนรู้แล้วนั้นไปประพฤติปฏิบัติแม้ว่าจะไม่สามารถปฏิบัติได้ทุกข้อ อย่างน้อยการปฏิบัติเพียงหนึ่งหรือสองข้อ ย่อมเกิดประโยชน์มหาศาลต่อตัวผู้เรียนเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคม และต่อประเทศชาติ จึงขอให้สถานศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ให้ความสําคัญกับการเรียนการสอนธรรมศึกษา เพื่อช่วยกันสร้างคนดีให้เกิดขึ้นในสังคมเพิ่มมากขึ้น
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้มอบให้สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับคณะสงฆ์ โดยสํานักงานแม่กองธรรมสนามหลวง จัดโครงการเปิดสอบธรรมศึกษา ประจําปีการศึกษา 2562 ภายใต้ชื่อโครงการ “90 ปี สอบธรรมศึกษา สร้างสังคมอุดมปัญญาวิถีพุทธ” เพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้เยาวชน ข้าราชการ และประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้ดํารงชีวิตและประกอบหน้าที่การงาน โดยยึดหลักคุณธรรมและศีลธรรม ซึ่งก็คือ หลักธรรมาภิบาล และได้ศึกษาเรียนรู้หลักวิชาการพุทธศาสนา ในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชน เพื่อจะได้น้อมนําหลักธรรมที่ได้ศึกษาแล้วนั้นไปพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นร่วมกันสร้างสังคมให้มีความสงบสุข ซึ่งจะได้ชื่อว่า สังคมอุดมปัญญาตามแนววิถีพุทธวิถีไทย
ด้านนายณรงค์ ทรงอารมณ์ รองผู้อํานวยการ รักษาราชการแทน ผู้อํานวยการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่าการเปิดสอบธรรมศึกษา มีขึ้นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2472 โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์ที่ 11 วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สําหรับในปี 2562 นี้ การสอบธรรมศึกษาได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 90 แล้ว ซึ่งจะมีการจัดพิธีเปิดสอบในสนามสอบกลาง ในวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562 ณ วิทยาลัยสงฆ์นครน่าน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีฯอําเภอภูเพียง จังหวัดน่าน พร้อมกันกับสนามสอบธรรมศึกษาจํานวนกว่า 6,000 แห่ง ทั่วประเทศ โดยมีผู้สมัครสอบธรรมศึกษากว่าสองล้านคน โอกาสนี้ จึงขอเชิญชวน น้อง ๆ เยาวชน ข้าราชการ และพุทธศาสนิกชน ที่ได้สมัครเรียนและสมัครสอบธรรมศึกษาได้เข้าสอบธรรมศึกษาโดยพร้อมเพรียงกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แถลงข่าวโครงการเปิดสอบธรรมศึกษาประจำปีการศึกษา 2562
วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562
มหาเถรสมาคม และสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แถลงข่าวโครงการเปิดสอบธรรมศึกษาประจําปีการศึกษา 2562
มหาเถรสมาคม และสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แถลงข่าวโครงการเปิดสอบธรรมศึกษาประจําปีการศึกษา 2562
วันนี้ (30 ตุลาคม 2562) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อาคารหอสมุดพระพุทธศาสนามหาสิรินาถ สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อําเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม มหาเถรสมาคม โดยสํานักงานแม่กองธรรมสนามหลวง และรัฐบาล โดยสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดน่าน ได้ร่วมกันจัดงานแถลงข่าวโครงการเปิดสอบธรรมศึกษา ประจําปีการศึกษา 2562 ภายใต้ชื่อโครงการ “90 ปี สอบธรรมศึกษา สร้างสังคมอุดมปัญญาวิถีพุทธ” เพื่อประชาสัมพันธ์การเปิดสอบธรรมศึกษา ประจําปีการศึกษา 2562 ในวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562 โดยมีผู้เข้าร่วมแถลงข่าวประกอบด้วย สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ แม่กองธรรมสนามหลวง พระเทพเวที รักษาการเจ้าคณะภาค 6 พระสุนทรมุนี รองเจ้าคณะจังหวัดน่าน ปฏิบัติหน้าที่แทน เจ้าคณะจังหวัดน่าน นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายณรงค์ ทรงอารมณ์ รองผู้อํานวยการ รักษาราชการแทน ผู้อํานวยการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และผู้แทนคณะสงฆ์จังหวัดน่าน
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ แม่กองธรรมสนามหลวง กล่าวว่า การเรียนการสอนธรรมศึกษานั้น จะเกิดประโยชน์สูงสุด ก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้นําหลักธรรมที่ได้เรียนรู้แล้วนั้นไปประพฤติปฏิบัติแม้ว่าจะไม่สามารถปฏิบัติได้ทุกข้อ อย่างน้อยการปฏิบัติเพียงหนึ่งหรือสองข้อ ย่อมเกิดประโยชน์มหาศาลต่อตัวผู้เรียนเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคม และต่อประเทศชาติ จึงขอให้สถานศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ให้ความสําคัญกับการเรียนการสอนธรรมศึกษา เพื่อช่วยกันสร้างคนดีให้เกิดขึ้นในสังคมเพิ่มมากขึ้น
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้มอบให้สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับคณะสงฆ์ โดยสํานักงานแม่กองธรรมสนามหลวง จัดโครงการเปิดสอบธรรมศึกษา ประจําปีการศึกษา 2562 ภายใต้ชื่อโครงการ “90 ปี สอบธรรมศึกษา สร้างสังคมอุดมปัญญาวิถีพุทธ” เพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้เยาวชน ข้าราชการ และประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้ดํารงชีวิตและประกอบหน้าที่การงาน โดยยึดหลักคุณธรรมและศีลธรรม ซึ่งก็คือ หลักธรรมาภิบาล และได้ศึกษาเรียนรู้หลักวิชาการพุทธศาสนา ในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชน เพื่อจะได้น้อมนําหลักธรรมที่ได้ศึกษาแล้วนั้นไปพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นร่วมกันสร้างสังคมให้มีความสงบสุข ซึ่งจะได้ชื่อว่า สังคมอุดมปัญญาตามแนววิถีพุทธวิถีไทย
ด้านนายณรงค์ ทรงอารมณ์ รองผู้อํานวยการ รักษาราชการแทน ผู้อํานวยการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่าการเปิดสอบธรรมศึกษา มีขึ้นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2472 โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์ที่ 11 วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สําหรับในปี 2562 นี้ การสอบธรรมศึกษาได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 90 แล้ว ซึ่งจะมีการจัดพิธีเปิดสอบในสนามสอบกลาง ในวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562 ณ วิทยาลัยสงฆ์นครน่าน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีฯอําเภอภูเพียง จังหวัดน่าน พร้อมกันกับสนามสอบธรรมศึกษาจํานวนกว่า 6,000 แห่ง ทั่วประเทศ โดยมีผู้สมัครสอบธรรมศึกษากว่าสองล้านคน โอกาสนี้ จึงขอเชิญชวน น้อง ๆ เยาวชน ข้าราชการ และพุทธศาสนิกชน ที่ได้สมัครเรียนและสมัครสอบธรรมศึกษาได้เข้าสอบธรรมศึกษาโดยพร้อมเพรียงกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24172
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ รมว.กห.สาธารณรัฐอินเดียและคณะเยือนประเทศไทย อย่างเป็นทางการ
|
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561
รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ รมว.กห.สาธารณรัฐอินเดียและคณะเยือนประเทศไทย อย่างเป็นทางการ
เมื่อ 27 ส.ค.61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับ นาง Nirmala Sitharaman (นิรมลา สิตารามัน) รมว.กห.สาธารณรัฐอินเดีย และคณะในการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของ กห.
พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวต้อนรับและขอบคุณอินเดียที่สนับสนุนให้การช่วยเหลือทีมฟุตบอลหมู่ป่า ที่ติดอยู่ในถ้ํา จนได้รับความปลอดภัยทุกคน พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ที่ดําเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานครบรอบ 70 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 60 ที่ผ่านมา
จากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกัน ถึงการขยายความร่วมมือทางทหารให้มีขอบเขตครอบคลุมมิติด้านความมั่นคงมากยิ่งขึ้นในอนาคต ทั้งด้านความมั่นคงทางทะเล ความร่วมมือด้านการฝึกและศึกษาของทั้ง 3 เหล่าทัพ ความร่วมมือด้านวิจัยและพัฒนา และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ความร่วมมือกันในกรอบอาเซียน รวมทั้งความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาค BIMSTEC ในฐานะกลไกความร่วมมือระดับพหุภาคีที่เป็นสะพานเชื่อมภูมิภาคเอเชียใต้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สําคัญ
นาง Nirmala Sitharaman ได้กล่าวขอบคุณที่ในการต้อนรับอย่างอบอุ่นยิ่ง พร้อมทั้งชื่นชมความกล้าหาญของทีมฟุตบอลหมูป่าทุกคน และความร่วมมือร่วมใจของคนไทยและชาวต่างชาติ ในการช่วยเหลือทีมฟุตบอลออกมาจากถ้ํา ซึ่งได้รับกําลังใจจากคนทั่วโลกและเป็นที่ประทับใจของประชาชนชาวอินเดียอย่างมาก พร้อมทั้งกล่าวว่า อินเดียพร้อมให้การสนับสนุนไทยในการเป็นเจ้าภาพอาเซียน ปี 62 และยินดีให้การสนับสนุน กห. ในการเป็นประธานประชุม รมว.กห.อาเซียน และ รมว.กห.อาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ที่จะจัดขึ้น พร้อมกันนี้ ได้ยืนยันที่จะสนับสนุนและพัฒนาความร่วมมือทางทหารและเพิ่มพูนความสัมพันธ์ระหว่าง กห. ทั้งสองประเทศให้มากขึ้น และขอเรียนเชิญ รมว.กห. เยือนสาธารณรัฐอินเดียในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ รมว.กห.สาธารณรัฐอินเดียและคณะเยือนประเทศไทย อย่างเป็นทางการ
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561
รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ รมว.กห.สาธารณรัฐอินเดียและคณะเยือนประเทศไทย อย่างเป็นทางการ
เมื่อ 27 ส.ค.61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับ นาง Nirmala Sitharaman (นิรมลา สิตารามัน) รมว.กห.สาธารณรัฐอินเดีย และคณะในการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของ กห.
พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวต้อนรับและขอบคุณอินเดียที่สนับสนุนให้การช่วยเหลือทีมฟุตบอลหมู่ป่า ที่ติดอยู่ในถ้ํา จนได้รับความปลอดภัยทุกคน พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ที่ดําเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานครบรอบ 70 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 60 ที่ผ่านมา
จากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกัน ถึงการขยายความร่วมมือทางทหารให้มีขอบเขตครอบคลุมมิติด้านความมั่นคงมากยิ่งขึ้นในอนาคต ทั้งด้านความมั่นคงทางทะเล ความร่วมมือด้านการฝึกและศึกษาของทั้ง 3 เหล่าทัพ ความร่วมมือด้านวิจัยและพัฒนา และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ความร่วมมือกันในกรอบอาเซียน รวมทั้งความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาค BIMSTEC ในฐานะกลไกความร่วมมือระดับพหุภาคีที่เป็นสะพานเชื่อมภูมิภาคเอเชียใต้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สําคัญ
นาง Nirmala Sitharaman ได้กล่าวขอบคุณที่ในการต้อนรับอย่างอบอุ่นยิ่ง พร้อมทั้งชื่นชมความกล้าหาญของทีมฟุตบอลหมูป่าทุกคน และความร่วมมือร่วมใจของคนไทยและชาวต่างชาติ ในการช่วยเหลือทีมฟุตบอลออกมาจากถ้ํา ซึ่งได้รับกําลังใจจากคนทั่วโลกและเป็นที่ประทับใจของประชาชนชาวอินเดียอย่างมาก พร้อมทั้งกล่าวว่า อินเดียพร้อมให้การสนับสนุนไทยในการเป็นเจ้าภาพอาเซียน ปี 62 และยินดีให้การสนับสนุน กห. ในการเป็นประธานประชุม รมว.กห.อาเซียน และ รมว.กห.อาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ที่จะจัดขึ้น พร้อมกันนี้ ได้ยืนยันที่จะสนับสนุนและพัฒนาความร่วมมือทางทหารและเพิ่มพูนความสัมพันธ์ระหว่าง กห. ทั้งสองประเทศให้มากขึ้น และขอเรียนเชิญ รมว.กห. เยือนสาธารณรัฐอินเดียในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14934
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
|
วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2562
แนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
ปลัดกระทรวงการคลัง และปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมชี้แจงกรณีที่ประชาชนจํานวนมากมีความกังวลเกี่ยวกับการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ที่มีลักษณะให้บุคคลใช้เพื่อการอยู่อาศัย
นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง และนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมชี้แจงกรณีที่ประชาชนจํานวนมากมีความกังวลเกี่ยวกับการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ได้แก่ ห้องชุด บ้าน โรงเรือน อาคาร ตึก ตึกแถว หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใด ที่มีลักษณะให้บุคคลใช้เพื่อการอยู่อาศัย
ดังนั้นเพื่อไม่เกิดผลกระทบกับประชาชนที่มีจุดประสงค์หลักในการใช้ประโยชน์บนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นที่อยู่อาศัย กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยขอชี้แจงแนวทางการกําหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ดังนี้
1. เจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะให้บุคคลใช้เพื่อการอยู่อาศัย เช่น ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของใช้อยู่อาศัยเอง ให้ญาติพี่น้องอยู่อาศัย หรือให้เช่าเพื่ออยู่อาศัย ให้เสียภาษีในอัตราที่อยู่อาศัย
2. ให้ครอบคลุมถึงช่วงเวลาระหว่างการก่อสร้าง หรือปรับปรุงต่อเติมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัยด้วย เช่น บ้านที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง หรือคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการตกแต่ง เป็นต้น
3. ไม่รวมถึงโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม และที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างของผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา หรือสร้างเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้ขายตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน หรือกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยเห็นความสําคัญต่อการชี้แจงกรณีนี้อย่างเร่งด่วนเพื่อลดความสับสนและลดข้อกังวลในหมู่ประชาชนจากข่าวที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยแนวทางดังกล่าวจะเป็นประโยชน์และไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ที่ใช้ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะกลุ่มระชาชนผู้มีรายได้น้อยซึ่งไม่มีที่พักอาศัยของตนเอง หรือที่เช่าที่อยู่อาศัย รวมถึงเจ้าของทรัพย์สินที่ให้บุคคลอื่นเพื่อการอยู่อาศัย หรือการให้บุคคลอื่นเช่าเพื่อการอยู่อาศัยด้วย
นอกจากนี้ การดําเนินการดังกล่าวจะช่วยลดภาระของประชาชนที่จะต้องไปติดต่อกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง และยังเป็นการลดภาระให้แก่เจ้าหน้าที่ อปท. ในการสํารวจอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทยจะได้ดําเนินการแจ้งให้ อปท. ทั่วประเทศทราบและถือปฏิบัติต่อไป
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร 02 2739020 ต่อ 3511 3526 3548 3521
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2562
แนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
ปลัดกระทรวงการคลัง และปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมชี้แจงกรณีที่ประชาชนจํานวนมากมีความกังวลเกี่ยวกับการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ที่มีลักษณะให้บุคคลใช้เพื่อการอยู่อาศัย
นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง และนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมชี้แจงกรณีที่ประชาชนจํานวนมากมีความกังวลเกี่ยวกับการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ได้แก่ ห้องชุด บ้าน โรงเรือน อาคาร ตึก ตึกแถว หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใด ที่มีลักษณะให้บุคคลใช้เพื่อการอยู่อาศัย
ดังนั้นเพื่อไม่เกิดผลกระทบกับประชาชนที่มีจุดประสงค์หลักในการใช้ประโยชน์บนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นที่อยู่อาศัย กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยขอชี้แจงแนวทางการกําหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ดังนี้
1. เจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะให้บุคคลใช้เพื่อการอยู่อาศัย เช่น ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของใช้อยู่อาศัยเอง ให้ญาติพี่น้องอยู่อาศัย หรือให้เช่าเพื่ออยู่อาศัย ให้เสียภาษีในอัตราที่อยู่อาศัย
2. ให้ครอบคลุมถึงช่วงเวลาระหว่างการก่อสร้าง หรือปรับปรุงต่อเติมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัยด้วย เช่น บ้านที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง หรือคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการตกแต่ง เป็นต้น
3. ไม่รวมถึงโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม และที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างของผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา หรือสร้างเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้ขายตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน หรือกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยเห็นความสําคัญต่อการชี้แจงกรณีนี้อย่างเร่งด่วนเพื่อลดความสับสนและลดข้อกังวลในหมู่ประชาชนจากข่าวที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยแนวทางดังกล่าวจะเป็นประโยชน์และไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ที่ใช้ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะกลุ่มระชาชนผู้มีรายได้น้อยซึ่งไม่มีที่พักอาศัยของตนเอง หรือที่เช่าที่อยู่อาศัย รวมถึงเจ้าของทรัพย์สินที่ให้บุคคลอื่นเพื่อการอยู่อาศัย หรือการให้บุคคลอื่นเช่าเพื่อการอยู่อาศัยด้วย
นอกจากนี้ การดําเนินการดังกล่าวจะช่วยลดภาระของประชาชนที่จะต้องไปติดต่อกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง และยังเป็นการลดภาระให้แก่เจ้าหน้าที่ อปท. ในการสํารวจอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทยจะได้ดําเนินการแจ้งให้ อปท. ทั่วประเทศทราบและถือปฏิบัติต่อไป
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร 02 2739020 ต่อ 3511 3526 3548 3521
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25471
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ มอบนโยบายเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมฝนหลวงและการบินเกษตร ครบรอบปีที่ 7
|
วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563
รมช.เกษตรฯ มอบนโยบายเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมฝนหลวงและการบินเกษตร ครบรอบปีที่ 7
รมช.เกษตรฯ มอบนโยบายเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมฝนหลวงและการบินเกษตร ครบรอบปีที่ 7 พร้อมเร่งปฏิบัติการฝนหลวงคลี่คลายภัยแล้ง ฝุ่นละออง-หมอกควัน
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังแสดงความยินดี และอํานวยพรเพื่อสร้างขวัญและกําลังใจให้แก่บุคลากรกรมฝนหลวงและการบินเกษตรในการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมฝนหลวงและการบินเกษตร ครบรอบปีที่ 7 ณ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตรเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อสนองงานโครงการพระพระราชดําริฝนหลวง ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งได้ทรงพระราชดําริขึ้นเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาความทุกข์ยากของเกษตรกร ประชาชน ที่ประสบกับความแห้งแล้งขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภค-บริโภค และนับตั้งแต่กรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้รับการสถาปนาขึ้นได้น้อมนําแนวทางศาสตร์พระราชา ตําราฝนหลวงพระราชทาน มาเป็นหลักในการปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา กรมฝนหลวงฯ สามารถสนองตอบภารกิจงานของประเทศในการปฏิบัติการทําฝนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนที่ขาดแคลนน้ําได้ค่อนข้างสมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพการทําฝนประสิทธิภาพการทําฝนอยู่ที่ประมาณ 95% ขึ้นไป และในแต่ละปีสามารถช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรได้ถึง 200 – 300 ล้านไร่ รวมถึงในปีนี้บริเวณเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตลอดจนพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ประสบกับปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ (PM 2.5) เกินค่ามาตรฐานที่เพิ่มมากขึ้น ก็สามารถช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวในเขตสาธร กรุงเทพฯ และช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งในพื้นที่การเกษตรและพื้นที่ลุ่มรับน้ําอ่างเก็บน้ําที่มีปริมาณน้ําเก็บกักน้อยกว่า 30% ได้ เนื่องจากหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วได้ขึ้นปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือทันทีเมื่อสภาพอากาศเหมาะสม
จากนั้นได้เปิดการประชาพิจารณ์แผนปฏิบัติการด้านการดัดแปรสภาพอากาศกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ซึ่งการประชาพิจารณ์แผนปฏิบัติการฯ ในครั้งนี้ เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมและการแสดงความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เพื่อให้ได้แผนฯ ที่มีความสมบูรณ์ และเกิดประสิทธิภาพในการดําเนินงานอย่างสูงสุด ซึ่งประกอบด้วยยุทธศาสตร์ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านที่ 1 เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและบรรเทาภัยพิบัติเชิงพื้นที่ ด้านที่ 2 เพิ่มประสิทธิภาพการดัดแปรสภาพอากาศ ด้านที่ 3 เพิ่มขีดความสามารถการบริหารจัดการด้านการบิน และด้านที่ 4 พัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ ทั้งนี้ แผนฯ ดังกล่าว คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนจะได้มีส่วนร่วมในการระดมความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ รวมถึงแนวทางต่าง ๆ เพื่อให้ได้แผนที่มีความสมบูรณ์ ส่งผลให้ภารกิจการปฏิบัติการฝนหลวงเกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดต่อพี่น้องประชาชน
ด้าน นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับแผนการดําเนินงานในการก้าวสู่ปีที่ 8 ของกรมฝนหลวงฯ จะมีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงเป็น 7 ศูนย์ทั่วประเทศ ประกอบด้วย ภาคเหนือ ที่ จ.เชียงใหม่ ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนบน และ จ.พิษณุโลก ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ที่ จ.นครสวรรค์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.ขอนแก่น ดูแลพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และ จ.บุรีรัมย์ ดูแลภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ที่ จ.ระยอง และภาคใต้ ที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้น
สําหรับด้านโครงการวิจัยและเทคโนโลยีฝนหลวง ได้เร่งพัฒนางานวิจัยเพื่อเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติการฝนหลวง อาทิ โครงการวิจัยพัฒนาอากาศยานไร้นักบิน (UAV) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการฝนหลวงแบบเมฆอุ่นโดยใช้ UAV ยิงพลุสารเคมีซิลเวอรไอโอไดด์ การใช้จรวดดัดแปรสภาพอากาศ เป็นต้น สําหรับด้านการพัฒนาสนามบินท่าใหม่ จ.จันทบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงรันเวย์ เพื่อให้มีความปลอดภัยและได้มาตรฐานสําหรับการขึ้นลงของอากาศยาน ซึ่งจะมีการติดตามความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องต่อไป อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เตรียมพร้อมปฏิบัติการฝนหลวงสู้ภัยแล้ง โดยขยับเวลาการเริ่มปฏิบัติการเร็วขึ้นจากเดิมคือวันที่ 1 มีนาคมของทุกปี เป็นวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ทั้งนี้ เพื่อเร่งช่วยคลี่คลายสถานการณ์ภัยแล้งให้กับพื้นที่การเกษตรและพี่น้องประชาชนให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ มอบนโยบายเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมฝนหลวงและการบินเกษตร ครบรอบปีที่ 7
วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563
รมช.เกษตรฯ มอบนโยบายเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมฝนหลวงและการบินเกษตร ครบรอบปีที่ 7
รมช.เกษตรฯ มอบนโยบายเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมฝนหลวงและการบินเกษตร ครบรอบปีที่ 7 พร้อมเร่งปฏิบัติการฝนหลวงคลี่คลายภัยแล้ง ฝุ่นละออง-หมอกควัน
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังแสดงความยินดี และอํานวยพรเพื่อสร้างขวัญและกําลังใจให้แก่บุคลากรกรมฝนหลวงและการบินเกษตรในการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมฝนหลวงและการบินเกษตร ครบรอบปีที่ 7 ณ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตรเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อสนองงานโครงการพระพระราชดําริฝนหลวง ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งได้ทรงพระราชดําริขึ้นเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาความทุกข์ยากของเกษตรกร ประชาชน ที่ประสบกับความแห้งแล้งขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภค-บริโภค และนับตั้งแต่กรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้รับการสถาปนาขึ้นได้น้อมนําแนวทางศาสตร์พระราชา ตําราฝนหลวงพระราชทาน มาเป็นหลักในการปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา กรมฝนหลวงฯ สามารถสนองตอบภารกิจงานของประเทศในการปฏิบัติการทําฝนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนที่ขาดแคลนน้ําได้ค่อนข้างสมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพการทําฝนประสิทธิภาพการทําฝนอยู่ที่ประมาณ 95% ขึ้นไป และในแต่ละปีสามารถช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรได้ถึง 200 – 300 ล้านไร่ รวมถึงในปีนี้บริเวณเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตลอดจนพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ประสบกับปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ (PM 2.5) เกินค่ามาตรฐานที่เพิ่มมากขึ้น ก็สามารถช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวในเขตสาธร กรุงเทพฯ และช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งในพื้นที่การเกษตรและพื้นที่ลุ่มรับน้ําอ่างเก็บน้ําที่มีปริมาณน้ําเก็บกักน้อยกว่า 30% ได้ เนื่องจากหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วได้ขึ้นปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือทันทีเมื่อสภาพอากาศเหมาะสม
จากนั้นได้เปิดการประชาพิจารณ์แผนปฏิบัติการด้านการดัดแปรสภาพอากาศกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ซึ่งการประชาพิจารณ์แผนปฏิบัติการฯ ในครั้งนี้ เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมและการแสดงความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เพื่อให้ได้แผนฯ ที่มีความสมบูรณ์ และเกิดประสิทธิภาพในการดําเนินงานอย่างสูงสุด ซึ่งประกอบด้วยยุทธศาสตร์ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านที่ 1 เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและบรรเทาภัยพิบัติเชิงพื้นที่ ด้านที่ 2 เพิ่มประสิทธิภาพการดัดแปรสภาพอากาศ ด้านที่ 3 เพิ่มขีดความสามารถการบริหารจัดการด้านการบิน และด้านที่ 4 พัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ ทั้งนี้ แผนฯ ดังกล่าว คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนจะได้มีส่วนร่วมในการระดมความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ รวมถึงแนวทางต่าง ๆ เพื่อให้ได้แผนที่มีความสมบูรณ์ ส่งผลให้ภารกิจการปฏิบัติการฝนหลวงเกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดต่อพี่น้องประชาชน
ด้าน นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับแผนการดําเนินงานในการก้าวสู่ปีที่ 8 ของกรมฝนหลวงฯ จะมีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงเป็น 7 ศูนย์ทั่วประเทศ ประกอบด้วย ภาคเหนือ ที่ จ.เชียงใหม่ ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนบน และ จ.พิษณุโลก ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ที่ จ.นครสวรรค์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.ขอนแก่น ดูแลพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และ จ.บุรีรัมย์ ดูแลภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ที่ จ.ระยอง และภาคใต้ ที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้น
สําหรับด้านโครงการวิจัยและเทคโนโลยีฝนหลวง ได้เร่งพัฒนางานวิจัยเพื่อเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติการฝนหลวง อาทิ โครงการวิจัยพัฒนาอากาศยานไร้นักบิน (UAV) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการฝนหลวงแบบเมฆอุ่นโดยใช้ UAV ยิงพลุสารเคมีซิลเวอรไอโอไดด์ การใช้จรวดดัดแปรสภาพอากาศ เป็นต้น สําหรับด้านการพัฒนาสนามบินท่าใหม่ จ.จันทบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงรันเวย์ เพื่อให้มีความปลอดภัยและได้มาตรฐานสําหรับการขึ้นลงของอากาศยาน ซึ่งจะมีการติดตามความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องต่อไป อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เตรียมพร้อมปฏิบัติการฝนหลวงสู้ภัยแล้ง โดยขยับเวลาการเริ่มปฏิบัติการเร็วขึ้นจากเดิมคือวันที่ 1 มีนาคมของทุกปี เป็นวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ทั้งนี้ เพื่อเร่งช่วยคลี่คลายสถานการณ์ภัยแล้งให้กับพื้นที่การเกษตรและพี่น้องประชาชนให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26071
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ประกาศเจตนารมณ์ ต่อต้านการค้าสัตว์ป่า "ไม่กิน ไม่ซื้อ ไม่ล่า ไม่หามาขาย ไม่เป็นโรคร้าย สัตว์ป่าไม่สูญพันธุ์"
|
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563
วราวุธ ประกาศเจตนารมณ์ ต่อต้านการค้าสัตว์ป่า "ไม่กิน ไม่ซื้อ ไม่ล่า ไม่หามาขาย ไม่เป็นโรคร้าย สัตว์ป่าไม่สูญพันธุ์"
วราวุธ ประกาศเจตนารมณ์ ต่อต้านการค้าสัตว์ป่า "ไม่กิน ไม่ซื้อ ไม่ล่า ไม่หามาขาย ไม่เป็นโรคร้าย สัตว์ป่าไม่สูญพันธุ์"
วราวุธ ประกาศเจตนารมณ์ ต่อต้านการค้าสัตว์ป่า "ไม่กิน ไม่ซื้อ ไม่ล่า ไม่หามาขาย ไม่เป็นโรคร้าย สัตว์ป่าไม่สูญพันธุ์"
วันที่ 3 มีนาคม 2563) เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเปิดงานวันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก ประจําปี พ.ศ. 2563 (Word Wildlife Day 2020) ภายใต้แนวคิด "Sustaining all life on Earth - ร่วมสร้างความยั่งยืนเพื่อทุกชีวิตบนผืนโลก" ณ พิพิธภัณฑ์พระรามเก้า องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) คลองห้า ปทุมธานี
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า วันนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรายังกวดขันในเรื่องที่จะคอยตรวจตราการค้าขายสัตว์ป่า พืชป่า และวันนี้ผมเชื่อว่า พี่น้องประชาชนคนไทยและคนในโลกนี้ คงจะได้เห็นอันตรายในการค้าขายสัตว์ป่า การบริโภคสัตว์ป่า ของกินบนโลกนี้ ยังมีอะไรอีกหลายอย่าง อะไรที่พิเรน อะไรที่แปลก สัตว์ป่าก็ให้เขาอยู่ในป่าของเขาอย่างมีความสุขต่อไป แต่ถ้ามนุษย์เริ่มที่จะก้าวข้าม เข้าไปในความไม่ปกติไม่ธรรมดา ไปกินของแปลกๆ ของป่า บางคนมีความเชื่อผิดๆ บางคนยังมีแนวความคิดที่ไม่ถูกต้อง สัตว์ป่าอยู่ในป่า สัตว์ป่ามีหน้าที่รักษาสมดุลของธรรมชาติ เมื่อมนุษย์เข้าไปทําลายความสมดุลนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ อย่างเช่นไวรัส COVID-19 ที่เรากําลังเจอกันทั่วโลกในขณะนี้ ดังนั้น ผมเชื่อว่า วันนี้เป็นโอกาสที่ดี ที่พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนจะได้รู้ถึงอันตราย จะได้รู้ถึงสิ่งที่ อะไรควรอะไรไม่ควร ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเอาจริงเอาจังและเป็นหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ขอยืนยันว่า เราจะดําเนินการอย่างเด็ดขาดเราจะดําเนินการอย่างเข้มงวดในการที่จะตรวจตราเรื่องการค้าขายสัตว์ป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริโภคสัตว์ป่า ท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะได้รับผลกระทบที่สุดก็คือมนุษย์เราทุกๆ คน อย่างที่เป็นประจักษ์ในทุกๆ วันนี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ประกาศเจตนารมณ์ ต่อต้านการค้าสัตว์ป่า "ไม่กิน ไม่ซื้อ ไม่ล่า ไม่หามาขาย ไม่เป็นโรคร้าย สัตว์ป่าไม่สูญพันธุ์"
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563
วราวุธ ประกาศเจตนารมณ์ ต่อต้านการค้าสัตว์ป่า "ไม่กิน ไม่ซื้อ ไม่ล่า ไม่หามาขาย ไม่เป็นโรคร้าย สัตว์ป่าไม่สูญพันธุ์"
วราวุธ ประกาศเจตนารมณ์ ต่อต้านการค้าสัตว์ป่า "ไม่กิน ไม่ซื้อ ไม่ล่า ไม่หามาขาย ไม่เป็นโรคร้าย สัตว์ป่าไม่สูญพันธุ์"
วราวุธ ประกาศเจตนารมณ์ ต่อต้านการค้าสัตว์ป่า "ไม่กิน ไม่ซื้อ ไม่ล่า ไม่หามาขาย ไม่เป็นโรคร้าย สัตว์ป่าไม่สูญพันธุ์"
วันที่ 3 มีนาคม 2563) เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเปิดงานวันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก ประจําปี พ.ศ. 2563 (Word Wildlife Day 2020) ภายใต้แนวคิด "Sustaining all life on Earth - ร่วมสร้างความยั่งยืนเพื่อทุกชีวิตบนผืนโลก" ณ พิพิธภัณฑ์พระรามเก้า องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) คลองห้า ปทุมธานี
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า วันนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรายังกวดขันในเรื่องที่จะคอยตรวจตราการค้าขายสัตว์ป่า พืชป่า และวันนี้ผมเชื่อว่า พี่น้องประชาชนคนไทยและคนในโลกนี้ คงจะได้เห็นอันตรายในการค้าขายสัตว์ป่า การบริโภคสัตว์ป่า ของกินบนโลกนี้ ยังมีอะไรอีกหลายอย่าง อะไรที่พิเรน อะไรที่แปลก สัตว์ป่าก็ให้เขาอยู่ในป่าของเขาอย่างมีความสุขต่อไป แต่ถ้ามนุษย์เริ่มที่จะก้าวข้าม เข้าไปในความไม่ปกติไม่ธรรมดา ไปกินของแปลกๆ ของป่า บางคนมีความเชื่อผิดๆ บางคนยังมีแนวความคิดที่ไม่ถูกต้อง สัตว์ป่าอยู่ในป่า สัตว์ป่ามีหน้าที่รักษาสมดุลของธรรมชาติ เมื่อมนุษย์เข้าไปทําลายความสมดุลนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ อย่างเช่นไวรัส COVID-19 ที่เรากําลังเจอกันทั่วโลกในขณะนี้ ดังนั้น ผมเชื่อว่า วันนี้เป็นโอกาสที่ดี ที่พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนจะได้รู้ถึงอันตราย จะได้รู้ถึงสิ่งที่ อะไรควรอะไรไม่ควร ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเอาจริงเอาจังและเป็นหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ขอยืนยันว่า เราจะดําเนินการอย่างเด็ดขาดเราจะดําเนินการอย่างเข้มงวดในการที่จะตรวจตราเรื่องการค้าขายสัตว์ป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริโภคสัตว์ป่า ท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะได้รับผลกระทบที่สุดก็คือมนุษย์เราทุกๆ คน อย่างที่เป็นประจักษ์ในทุกๆ วันนี้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26935
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้นำน้องน้ำตาล มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 มาพบ นายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นตัวแทนประเทศไทยที่ไปสร้างชื่อเสียง
|
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้นําน้องน้ําตาล มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 มาพบ นายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นตัวแทนประเทศไทยที่ไปสร้างชื่อเสียง
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพร้อมคณะ นํานางสาวชลิตา ส่วนเสน่ห์ (น้องน้ําตาล) มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องรับรองชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพร้อมคณะ นํานางสาวชลิตา ส่วนเสน่ห์ (น้องน้ําตาล) มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นตัวแทนประเทศไทยที่ไปสร้างชื่อเสียงจากการเข้าร่วมประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2016 ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยสามารถผ่านเข้ารอบ 6 คนสุดท้ายได้ และยังตอบคําถามในรอบดังกล่าวได้ชนะใจคนไทยทั้งประเทศ นํามาซึ่งความสุขและความภาคภูมิใจ และถือเป็นการนําเสนอและเผยแพร่ความเป็นไทยสู่เวทีระดับโลก
โอกาสนี้ น้องน้ําตาลหรือมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 ได้มอบตุ๊กตาหมีพร้อมดอกกุหลาบสีแดงและตุ๊กตามาสคอตของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พร้อมกรอบรูปภาพน้องน้ําตาลสวมชุดไทยประยุกต์ให้แก่นายกรัฐมนตรี
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้มอบของที่ระลึกให้แก่น้องน้ําตาลพร้อมกล่าวขอบคุณและให้กําลังใจแก่ นางสาวชลิตา ส่วนเสน่ห์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 ในฐานะที่ไปสร้างชื่อเสียงจากการเข้าร่วมประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2016 ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยย้ําถึงตําแหน่งมิสยูนิเวิร์สที่หลาย ๆ คนได้คาดหวัง แต่นายกรัฐมนตรีเคยกล่าวไว้เสมอว่าขอให้เป็นที่หนึ่งในใจคนไทยก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว พร้อมขอให้น้องน้ําตาลได้มีบทบาทในการเป็นทูตเพื่อส่งเสริมธรรมะให้คนไทยหันมาให้ความสนใจด้านการประพฤติปฏิบัติตามหลักศีลธรรมไม่ใช่เน้นเฉพาะไปวัดทําบุญเท่านั้น เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสงบสุขร่มเย็นอย่างยั่งยืน
พร้อมได้กล่าวในตอนท้ายให้น้องน้ําตาลให้ความสําคัญกับการศึกษาเพราะว่าการศึกษาเปิดโอกาสให้มีอาชีพที่ดีและมีความก้าวหน้าในชีวิต อีกทั้งวันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2560) เป็นวันวาเลนไทน์ นายกรัฐมนตรีได้อวยพรให้คนไทยทุกคนมีความสุขตลอดไป
*******************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้นำน้องน้ำตาล มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 มาพบ นายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นตัวแทนประเทศไทยที่ไปสร้างชื่อเสียง
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้นําน้องน้ําตาล มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 มาพบ นายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นตัวแทนประเทศไทยที่ไปสร้างชื่อเสียง
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพร้อมคณะ นํานางสาวชลิตา ส่วนเสน่ห์ (น้องน้ําตาล) มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องรับรองชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพร้อมคณะ นํานางสาวชลิตา ส่วนเสน่ห์ (น้องน้ําตาล) มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นตัวแทนประเทศไทยที่ไปสร้างชื่อเสียงจากการเข้าร่วมประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2016 ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยสามารถผ่านเข้ารอบ 6 คนสุดท้ายได้ และยังตอบคําถามในรอบดังกล่าวได้ชนะใจคนไทยทั้งประเทศ นํามาซึ่งความสุขและความภาคภูมิใจ และถือเป็นการนําเสนอและเผยแพร่ความเป็นไทยสู่เวทีระดับโลก
โอกาสนี้ น้องน้ําตาลหรือมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 ได้มอบตุ๊กตาหมีพร้อมดอกกุหลาบสีแดงและตุ๊กตามาสคอตของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พร้อมกรอบรูปภาพน้องน้ําตาลสวมชุดไทยประยุกต์ให้แก่นายกรัฐมนตรี
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้มอบของที่ระลึกให้แก่น้องน้ําตาลพร้อมกล่าวขอบคุณและให้กําลังใจแก่ นางสาวชลิตา ส่วนเสน่ห์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2016 ในฐานะที่ไปสร้างชื่อเสียงจากการเข้าร่วมประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2016 ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยย้ําถึงตําแหน่งมิสยูนิเวิร์สที่หลาย ๆ คนได้คาดหวัง แต่นายกรัฐมนตรีเคยกล่าวไว้เสมอว่าขอให้เป็นที่หนึ่งในใจคนไทยก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว พร้อมขอให้น้องน้ําตาลได้มีบทบาทในการเป็นทูตเพื่อส่งเสริมธรรมะให้คนไทยหันมาให้ความสนใจด้านการประพฤติปฏิบัติตามหลักศีลธรรมไม่ใช่เน้นเฉพาะไปวัดทําบุญเท่านั้น เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสงบสุขร่มเย็นอย่างยั่งยืน
พร้อมได้กล่าวในตอนท้ายให้น้องน้ําตาลให้ความสําคัญกับการศึกษาเพราะว่าการศึกษาเปิดโอกาสให้มีอาชีพที่ดีและมีความก้าวหน้าในชีวิต อีกทั้งวันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2560) เป็นวันวาเลนไทน์ นายกรัฐมนตรีได้อวยพรให้คนไทยทุกคนมีความสุขตลอดไป
*******************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1851
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฟุตบอลนัดพิเศษ "NEW NORMAL" DEMONSTRATION MATCH : RAYONG KICK OFF! สร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว จังหวัดระยอง
|
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563
ฟุตบอลนัดพิเศษ "NEW NORMAL" DEMONSTRATION MATCH : RAYONG KICK OFF! สร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว จังหวัดระยอง
"NEW NORMAL" DEMONSTRATION MATCH : RAYONG KICK OFF! สร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว จังหวัดระยอง
วันที่ 1 สิงหาคม 2563 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีเปิดและร่วมแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษ "NEW NORMAL" DEMONSTRATION MATCH : RAYONG KICK OFF!ณ สนามกีฬากลางจังหวัดระยอง
โดยการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษในครั้งนี้ มีการแข่งขันจํานวน 2 แมตช์ ระหว่างทีม VVIP รัฐบาล นําทีมโดย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายนภินทร ศรีสรรพางค์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา,นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ฯลฯ พบ ทีมรวมดารา Star Rider นําทีมโดย เต๋า สมชาย เข็มกลัด, เกรท วรินธร, กิ๊ก ดนัย ฯลฯ ในเวลา 16.30 น. ผลปรากฏว่า ทีมรวมดารา Star Rider ชนะ ทีม VVIP รัฐบาล ไป 5-3 และคู่ที่ 2 ทีมระยอง เอฟซี พบ ชลบุรี เอฟซี ในเวลา 19.00 น. ผลการแข่งขัน ชลบุรี เอฟซี ชนะไป 3-1
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยหลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขันว่า การจัดการแข่งขันในวันนี้ เป็นการจัดการแข่งขันที่กําชับการใช้มาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และ สบค. เพื่อที่จะเป็นต้นแบบของการจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการต่าง ๆ โดยวันนี้เป็นการทดลองจัดการแข่งขัน ณ จังหวัดระยอง ซึ่งถือว่าประสบความสําเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเว้นระยะห่างของผู้เข้าชม การสวมใส่หน้ากากอนามัย การจัดที่นั่งสําหรับชมการแข่งขัน รวมถึงภายหลังจบการแข่งขันที่ผู้เข้าชมจะเดินออกจากสนาม ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และ สบค. และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดการแข่งขันในวันนี้ จะเป็นต้นแบบของการจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการต่าง ๆ และหลังจากนี้จะมีการออกคู่มือสําหรับการจัดการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ต่อไป.
ที่มา : กองประชาสัมพันธ์ กกท.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฟุตบอลนัดพิเศษ "NEW NORMAL" DEMONSTRATION MATCH : RAYONG KICK OFF! สร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว จังหวัดระยอง
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563
ฟุตบอลนัดพิเศษ "NEW NORMAL" DEMONSTRATION MATCH : RAYONG KICK OFF! สร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว จังหวัดระยอง
"NEW NORMAL" DEMONSTRATION MATCH : RAYONG KICK OFF! สร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว จังหวัดระยอง
วันที่ 1 สิงหาคม 2563 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีเปิดและร่วมแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษ "NEW NORMAL" DEMONSTRATION MATCH : RAYONG KICK OFF!ณ สนามกีฬากลางจังหวัดระยอง
โดยการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษในครั้งนี้ มีการแข่งขันจํานวน 2 แมตช์ ระหว่างทีม VVIP รัฐบาล นําทีมโดย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายนภินทร ศรีสรรพางค์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา,นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ฯลฯ พบ ทีมรวมดารา Star Rider นําทีมโดย เต๋า สมชาย เข็มกลัด, เกรท วรินธร, กิ๊ก ดนัย ฯลฯ ในเวลา 16.30 น. ผลปรากฏว่า ทีมรวมดารา Star Rider ชนะ ทีม VVIP รัฐบาล ไป 5-3 และคู่ที่ 2 ทีมระยอง เอฟซี พบ ชลบุรี เอฟซี ในเวลา 19.00 น. ผลการแข่งขัน ชลบุรี เอฟซี ชนะไป 3-1
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยหลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขันว่า การจัดการแข่งขันในวันนี้ เป็นการจัดการแข่งขันที่กําชับการใช้มาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และ สบค. เพื่อที่จะเป็นต้นแบบของการจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการต่าง ๆ โดยวันนี้เป็นการทดลองจัดการแข่งขัน ณ จังหวัดระยอง ซึ่งถือว่าประสบความสําเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเว้นระยะห่างของผู้เข้าชม การสวมใส่หน้ากากอนามัย การจัดที่นั่งสําหรับชมการแข่งขัน รวมถึงภายหลังจบการแข่งขันที่ผู้เข้าชมจะเดินออกจากสนาม ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และ สบค. และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดการแข่งขันในวันนี้ จะเป็นต้นแบบของการจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการต่าง ๆ และหลังจากนี้จะมีการออกคู่มือสําหรับการจัดการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ต่อไป.
ที่มา : กองประชาสัมพันธ์ กกท.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33874
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางจัดอบรม “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact)”
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2562
กรมบัญชีกลางจัดอบรม “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact)”
กรมบัญชีกลางจัดอบรม “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) : โครงการเพิ่มศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ และผู้ประกอบการ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ําของนโยบายและแนวทางป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ”
กรมบัญชีกลางจัดอบรม “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) : โครงการเพิ่มศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ และผู้ประกอบการ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ําของนโยบายและแนวทางป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ” เพื่อให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้ประกอบการในการดําเนินงานมาตรฐานขั้นต่ําของนโยบายและแนวทางป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างที่ผู้ประกอบการต้องจัดให้มี อีกทั้ง ยังรับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมอบรม และนําไปพัฒนาปรับปรุงการดําเนินงานต่อไปในอนาคต
นางญาณี แสงศรีจันทร์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานกลางที่กํากับดูแลด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เห็นถึงความสําคัญของการพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐและผู้ประกอบการ เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ จึงได้จัด “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) : โครงการเพิ่มศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ และผู้ประกอบการ เรื่องมาตรฐานขั้นต่ํานโยบายและแนวทางป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ” โดยมีนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงาน ในวันที่ 12 ก.ย. 62 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพมหานคร
“ซึ่งโครงการฝึกอบรมดังกล่าว เป็นการปฏิบัติตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เป็นการสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมเสนอราคากับภาครัฐมีส่วนร่วมในการป้องกันการทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมการเสนอราคาในโครงการที่มีวงเงินในการจัดซื้อจัดจ้าง ตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป ต้องจัดให้มีนโยบายและแนวทางการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างที่เหมาะสมและระบุเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน โดยจะต้องห้ามมิให้กรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ตลอดจนบุคคลที่สามที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการมีการติดสินบนอันเป็นการให้ประโยชน์ในการเสนอราคา หรือการสมยอมกันในการเสนอราคาต่อหน่วยงานภาครัฐ นํามาซึ่งความได้เปรียบและได้รับผลประโยชน์ตอบแทนบางประการในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง” โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า ข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) เป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการดําเนินงานของภาครัฐและภาคเอกชน ให้ดําเนินโครงการอย่างสุจริต ทําให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง ลดช่องทางการทุจริต ก่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และทําให้การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยที่ผ่านมากรมบัญชีกลางได้ผลักดันให้เกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและผู้ประกอบการในการป้องกันการทุจริต ด้วยการใช้โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) เป็นเครื่องมือ โดยปัจจุบัน พบว่า เครื่องมือดังกล่าวช่วยให้ประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้ 74,893 ล้านบาท คิดเป็น 30.40% ของงบประมาณโครงการที่ดําเนินการจัดหา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางจัดอบรม “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact)”
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2562
กรมบัญชีกลางจัดอบรม “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact)”
กรมบัญชีกลางจัดอบรม “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) : โครงการเพิ่มศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ และผู้ประกอบการ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ําของนโยบายและแนวทางป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ”
กรมบัญชีกลางจัดอบรม “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) : โครงการเพิ่มศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ และผู้ประกอบการ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ําของนโยบายและแนวทางป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ” เพื่อให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้ประกอบการในการดําเนินงานมาตรฐานขั้นต่ําของนโยบายและแนวทางป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างที่ผู้ประกอบการต้องจัดให้มี อีกทั้ง ยังรับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมอบรม และนําไปพัฒนาปรับปรุงการดําเนินงานต่อไปในอนาคต
นางญาณี แสงศรีจันทร์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานกลางที่กํากับดูแลด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เห็นถึงความสําคัญของการพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐและผู้ประกอบการ เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ จึงได้จัด “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) : โครงการเพิ่มศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ และผู้ประกอบการ เรื่องมาตรฐานขั้นต่ํานโยบายและแนวทางป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ” โดยมีนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงาน ในวันที่ 12 ก.ย. 62 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพมหานคร
“ซึ่งโครงการฝึกอบรมดังกล่าว เป็นการปฏิบัติตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เป็นการสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมเสนอราคากับภาครัฐมีส่วนร่วมในการป้องกันการทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมการเสนอราคาในโครงการที่มีวงเงินในการจัดซื้อจัดจ้าง ตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป ต้องจัดให้มีนโยบายและแนวทางการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างที่เหมาะสมและระบุเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน โดยจะต้องห้ามมิให้กรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ตลอดจนบุคคลที่สามที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการมีการติดสินบนอันเป็นการให้ประโยชน์ในการเสนอราคา หรือการสมยอมกันในการเสนอราคาต่อหน่วยงานภาครัฐ นํามาซึ่งความได้เปรียบและได้รับผลประโยชน์ตอบแทนบางประการในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง” โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า ข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) เป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการดําเนินงานของภาครัฐและภาคเอกชน ให้ดําเนินโครงการอย่างสุจริต ทําให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง ลดช่องทางการทุจริต ก่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และทําให้การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยที่ผ่านมากรมบัญชีกลางได้ผลักดันให้เกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและผู้ประกอบการในการป้องกันการทุจริต ด้วยการใช้โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) เป็นเครื่องมือ โดยปัจจุบัน พบว่า เครื่องมือดังกล่าวช่วยให้ประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้ 74,893 ล้านบาท คิดเป็น 30.40% ของงบประมาณโครงการที่ดําเนินการจัดหา
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23025
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กฉัตร” ห่วงสถานการณ์น้ำหลังระดับน้ำหลายพื้นที่เริ่มสูงขึ้น จี้หน่วยเกี่ยวข้องเตือนประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ เตรียมแผนพร่องน้ำจาก 3 เขื่อนหลัก
|
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
“บิ๊กฉัตร” ห่วงสถานการณ์น้ําหลังระดับน้ําหลายพื้นที่เริ่มสูงขึ้น จี้หน่วยเกี่ยวข้องเตือนประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ เตรียมแผนพร่องน้ําจาก 3 เขื่อนหลัก
“บิ๊กฉัตร” ห่วงสถานการณ์น้ําหลังระดับน้ําหลายพื้นที่เริ่มสูงขึ้น จี้หน่วยเกี่ยวข้องเตือนประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ เตรียมแผนพร่องน้ําจาก 3 เขื่อนหลักรับน้ําก้อนใหม่หลังกรมอุตุฯ คาดการณ์เฝ้าจับตาฝนระลอกใหม่ถึงกลางเดือนนี้
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ํา พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม อาทิ กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร(องค์การมหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้น เพื่อติดตามสถานการณ์น้ํา การบริหารจัดการน้ําของกรมชลประทาน และการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ําเจ้าพระยา ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการน้ําอัจฉริยะ กรมชลประทาน สามเสน กรุงเทพฯว่า เนื่องจากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาปริมาณฝนตกหนักส่งผลให้น้ําไหลเข้าเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วประเทศเพิ่มขึ้นประกอบกับช่วง 2-3 วันที่ผ่านมามีปริมาณฝนตกท้ายเขื่อนเป็นส่วนใหญ่ทั้งจ.กําแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ และภาคอีสานหลายจังหวัดส่งผลทําให้ปริมาณน้ําไหลเข้าสู่ลําน้ํามากขึ้น โดยปริมาณน้ําไหลผ่านแม่น้ําเจ้าพระยาที่ จ.นครสรรค์อยู่ที่ 2,468ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ลุ่มน้ํายมก็มีปริมาณฝนตกมากที่ จ.พิจิตร เช่นกัน ซึ่งกรมชลประทานได้หารือกับกฟผ.อย่างใกล้ชิดเมื่อเห็นแนวโน้มปริมาณไหลเข้าสู่ลําน้ําเพิ่มขึ้นโดยปิดการระบายน้ําที่เขื่อนภูมิพลและสิริกิตติ์ เพื่อไม่ให้น้ําตอนบนไม่ไหลมากระทบ รวมถึงมีการตัดยอดน้ําเข้าสู่พื้นที่แก้มลิง เช่น พื้นที่บางระกํา ซึ่งกรมชลประทานได้มีการวางแผนล่วงหน้าโดยดึงนําออกจากหาดสะพานจันทร์ออกทางฝั่งน่านระบายลงสู่บางระกําที่สามารถรับน้ําได้ 400 ล้านลูกบาศก์เมตรโดยขณะนี้รับน้ําแล้วกว่า380ล้านลูกบาศก์เมตรซึ่งส่งผลกระทบต่อเส้นทางสัญจรอยู่บ้างซึ่งกรมชลประทานจะนําไปปรับแผนให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด
ด้านนายสมเกียรติ ประจําวงษ์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ที่ยังมีปริมาณน้ําขังเดิมแล้ว ยังมีการคาดการณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยาที่อาจจะส่งผลกระทบในหลายพื้นที่ เป็นสองช่วง ช่วงแรกในช่วงวันที่ 9-10 ตุลาคม นี้ที่ยังมีหย่อมความกดอากาศต่ํายังคงอยู่ และจะส่งผลกระทบกับอีสานตอนบน จ.สกลนคร นครพนม ยโสธร และภาคเหนือตอนบน ซึ่งพื้นที่ภาคเหนือไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากยังมีเขื่อนภูมิพลที่ปัจจุบันปริมาณน้ําในเขื่อน 60% ของความจุอ่าง และเขื่อนสิริกิตติ์ 80 ของความจุอ่าง แต่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในพื้นที่ลุ่มน้ําชี ที่ต้องเร่งแผนการพร่องน้ําเพิ่มเติมเช่นการระบายน้ําจากเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งขณะนี้ปริมาณเต็มความจุ 100% แล้ว จําเป็นจะต้องระบายน้ําเพิ่มเติมซึ่งอาจส่งผลให้หลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น รมว.กษ.ได้สั่งการให้มีการประสานแจ้งทางผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผ่านกํานัน ผู้ใหญ่บ้านถึงข้อมูลปริมาณน้ําไหลผ่าน และระดับน้ําที่เพิ่มสูงขึ้นแต่ละจุดให้ชัดเจน โดยกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจะเป็นหน่วยงานหลักในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด
สําหรับในช่วงประมาณ 15- 17 ต.ค.กรมอุตุนิยมวิทยาได้ติดตามการก่อตัวของพายุ ที่จะมีความชัดเจนประมาณวันที่ 13 ต.ค.นี้ ซึ่งรัฐมนตรีเกษตรฯ ได้สั่งการให้มีการประชุมติดตามสถานการณ์ทุกวัน และทุกๆ6 ชั่วโมงเพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการส่งเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ เพื่อระบายน้ําออกจากพื้นที่โดยเฉพาะการเร่งสูบน้ําออกทะเลบริเวณชายขอบของอ่าวไทยช่วงที่น้ําทะเลยังไม่หนุนสูงขณะนี้ และในช่วง 1 สัปดาห์นี้จะมีการปรับแผนระบายน้ําเพิ่มทั้งพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ําท่วมในปัจจุบัน และแผนรองรับปริมาณน้ําที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตโดยอาจจะมีการเร่งการระบายน้ําที่เขื่อนในพื้นที่ภาคกลางและอีสาน คือ เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนอุบลรัตน์ ที่ต้องดําเนินการอย่างรอบคอบและให้กระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ําน้อยที่สุด
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กฉัตร” ห่วงสถานการณ์น้ำหลังระดับน้ำหลายพื้นที่เริ่มสูงขึ้น จี้หน่วยเกี่ยวข้องเตือนประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ เตรียมแผนพร่องน้ำจาก 3 เขื่อนหลัก
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
“บิ๊กฉัตร” ห่วงสถานการณ์น้ําหลังระดับน้ําหลายพื้นที่เริ่มสูงขึ้น จี้หน่วยเกี่ยวข้องเตือนประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ เตรียมแผนพร่องน้ําจาก 3 เขื่อนหลัก
“บิ๊กฉัตร” ห่วงสถานการณ์น้ําหลังระดับน้ําหลายพื้นที่เริ่มสูงขึ้น จี้หน่วยเกี่ยวข้องเตือนประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ เตรียมแผนพร่องน้ําจาก 3 เขื่อนหลักรับน้ําก้อนใหม่หลังกรมอุตุฯ คาดการณ์เฝ้าจับตาฝนระลอกใหม่ถึงกลางเดือนนี้
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ํา พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม อาทิ กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร(องค์การมหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้น เพื่อติดตามสถานการณ์น้ํา การบริหารจัดการน้ําของกรมชลประทาน และการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ําเจ้าพระยา ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการน้ําอัจฉริยะ กรมชลประทาน สามเสน กรุงเทพฯว่า เนื่องจากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาปริมาณฝนตกหนักส่งผลให้น้ําไหลเข้าเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วประเทศเพิ่มขึ้นประกอบกับช่วง 2-3 วันที่ผ่านมามีปริมาณฝนตกท้ายเขื่อนเป็นส่วนใหญ่ทั้งจ.กําแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ และภาคอีสานหลายจังหวัดส่งผลทําให้ปริมาณน้ําไหลเข้าสู่ลําน้ํามากขึ้น โดยปริมาณน้ําไหลผ่านแม่น้ําเจ้าพระยาที่ จ.นครสรรค์อยู่ที่ 2,468ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ลุ่มน้ํายมก็มีปริมาณฝนตกมากที่ จ.พิจิตร เช่นกัน ซึ่งกรมชลประทานได้หารือกับกฟผ.อย่างใกล้ชิดเมื่อเห็นแนวโน้มปริมาณไหลเข้าสู่ลําน้ําเพิ่มขึ้นโดยปิดการระบายน้ําที่เขื่อนภูมิพลและสิริกิตติ์ เพื่อไม่ให้น้ําตอนบนไม่ไหลมากระทบ รวมถึงมีการตัดยอดน้ําเข้าสู่พื้นที่แก้มลิง เช่น พื้นที่บางระกํา ซึ่งกรมชลประทานได้มีการวางแผนล่วงหน้าโดยดึงนําออกจากหาดสะพานจันทร์ออกทางฝั่งน่านระบายลงสู่บางระกําที่สามารถรับน้ําได้ 400 ล้านลูกบาศก์เมตรโดยขณะนี้รับน้ําแล้วกว่า380ล้านลูกบาศก์เมตรซึ่งส่งผลกระทบต่อเส้นทางสัญจรอยู่บ้างซึ่งกรมชลประทานจะนําไปปรับแผนให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด
ด้านนายสมเกียรติ ประจําวงษ์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ที่ยังมีปริมาณน้ําขังเดิมแล้ว ยังมีการคาดการณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยาที่อาจจะส่งผลกระทบในหลายพื้นที่ เป็นสองช่วง ช่วงแรกในช่วงวันที่ 9-10 ตุลาคม นี้ที่ยังมีหย่อมความกดอากาศต่ํายังคงอยู่ และจะส่งผลกระทบกับอีสานตอนบน จ.สกลนคร นครพนม ยโสธร และภาคเหนือตอนบน ซึ่งพื้นที่ภาคเหนือไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากยังมีเขื่อนภูมิพลที่ปัจจุบันปริมาณน้ําในเขื่อน 60% ของความจุอ่าง และเขื่อนสิริกิตติ์ 80 ของความจุอ่าง แต่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในพื้นที่ลุ่มน้ําชี ที่ต้องเร่งแผนการพร่องน้ําเพิ่มเติมเช่นการระบายน้ําจากเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งขณะนี้ปริมาณเต็มความจุ 100% แล้ว จําเป็นจะต้องระบายน้ําเพิ่มเติมซึ่งอาจส่งผลให้หลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น รมว.กษ.ได้สั่งการให้มีการประสานแจ้งทางผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผ่านกํานัน ผู้ใหญ่บ้านถึงข้อมูลปริมาณน้ําไหลผ่าน และระดับน้ําที่เพิ่มสูงขึ้นแต่ละจุดให้ชัดเจน โดยกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจะเป็นหน่วยงานหลักในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด
สําหรับในช่วงประมาณ 15- 17 ต.ค.กรมอุตุนิยมวิทยาได้ติดตามการก่อตัวของพายุ ที่จะมีความชัดเจนประมาณวันที่ 13 ต.ค.นี้ ซึ่งรัฐมนตรีเกษตรฯ ได้สั่งการให้มีการประชุมติดตามสถานการณ์ทุกวัน และทุกๆ6 ชั่วโมงเพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการส่งเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ เพื่อระบายน้ําออกจากพื้นที่โดยเฉพาะการเร่งสูบน้ําออกทะเลบริเวณชายขอบของอ่าวไทยช่วงที่น้ําทะเลยังไม่หนุนสูงขณะนี้ และในช่วง 1 สัปดาห์นี้จะมีการปรับแผนระบายน้ําเพิ่มทั้งพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ําท่วมในปัจจุบัน และแผนรองรับปริมาณน้ําที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตโดยอาจจะมีการเร่งการระบายน้ําที่เขื่อนในพื้นที่ภาคกลางและอีสาน คือ เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนอุบลรัตน์ ที่ต้องดําเนินการอย่างรอบคอบและให้กระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ําน้อยที่สุด
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7284
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ประชาชนสามารถไปตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้สถานที่ใดบ้าง ??
|
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
ประชาชนสามารถไปตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้สถานที่ใดบ้าง ??
มาดูกันว่าที่ไหนบ้าง
คําถาม : ประชาชนสามารถไปตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้สถานที่ใดบ้าง ??
คําตอบ : 1.คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
2. คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี
3. คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
4.รพ.ราชวิถี
5. สถาบันบําราศนราดูร
6. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
7. รพ.บํารุงราษฎร์
8. คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
9. รพ.มหาราชนครราชสีมา
10. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
11. รพ.ศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
12. ศูนย์วิจัยมาลาเรียโซโคล ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา
13. รพ.ลําปาง
14. รพ.สวรรค์ประชารักษ์
15. บริษัท ไบโอ โมเลกุลาร์ แลบบอราทอรีส์ (ประเทศไทย)
16.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (ฝ่ายไทย)
17.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (ฝ่ายสหรัฐอเมริกา)
18. สํานักป้องกันและควบคุมโรคเขตเมือง
19. สํานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 สระบุรี
20. รพ.นครปฐม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ประชาชนสามารถไปตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้สถานที่ใดบ้าง ??
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
ประชาชนสามารถไปตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้สถานที่ใดบ้าง ??
มาดูกันว่าที่ไหนบ้าง
คําถาม : ประชาชนสามารถไปตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้สถานที่ใดบ้าง ??
คําตอบ : 1.คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
2. คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี
3. คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
4.รพ.ราชวิถี
5. สถาบันบําราศนราดูร
6. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
7. รพ.บํารุงราษฎร์
8. คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
9. รพ.มหาราชนครราชสีมา
10. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
11. รพ.ศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
12. ศูนย์วิจัยมาลาเรียโซโคล ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา
13. รพ.ลําปาง
14. รพ.สวรรค์ประชารักษ์
15. บริษัท ไบโอ โมเลกุลาร์ แลบบอราทอรีส์ (ประเทศไทย)
16.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (ฝ่ายไทย)
17.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (ฝ่ายสหรัฐอเมริกา)
18. สํานักป้องกันและควบคุมโรคเขตเมือง
19. สํานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 สระบุรี
20. รพ.นครปฐม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27257
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม.เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ์รับเงินเยียวยากลุ่มเปราะบาง 3.000 บาท ผ่านทาง http://covid.m-society.go.th/
|
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2563
พม.เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ์รับเงินเยียวยากลุ่มเปราะบาง 3.000 บาท ผ่านทาง http://covid.m-society.go.th/
พม.เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ์รับเงินเยียวยากลุ่มเปราะบาง 3.000 บาท ผ่านทาง http://covid.m-society.go.th/
วันนี้ (21 ก.ค. 63) เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กทม. นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า กรณีการจ่ายเงินเยียวยา 3,000 บาท สําหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดําเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยการจ่ายเงินเยียวยาโดยตรง รายละ 1,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเติมจากเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเบี้ยความพิการ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 รวมเป็นเงิน 3,000 บาท มีจํานวนทั้งหมด 6,781,881 ราย ประกอบด้วย 1. เด็กที่ได้รับสิทธิโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จํานวน 1,394,756 ราย 2. ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จํานวน 4,056,596 ราย และ 3. คนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ จํานวน 1,330,529 ราย
นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า วานนี้ (20 ก.ค.63) กรมบัญชีกลาง ได้จ่ายเงินเยียวยา 3,000 บาท สําหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) เข้าบัญชีของผู้มีสิทธิทั้ง 3 กลุ่มแล้ว โดยกลุ่มเปราะบางทั้ง 3 กลุ่ม ที่มีสิทธิรับเงินเยียวยา 3,000 บาท ต้องมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1. เป็นผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิการช่วยเหลือเยียวยาจากมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงแรงงาน (สํานักงานประกันสังคม) 2. เป็นกลุ่มที่อยู่ในฐานข้อมูลของกระทรวง พม. ซึ่งได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องมีการลงทะเบียนในการขอรับสิทธิ์อีก โดยหากท่านได้รับเงินอุดหนุนในเดือนพฤษภาคม 2563 จากช่องทางการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือในรูปแบบเงินสดถือว่าท่านมีสิทธิ์ตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวง พม. และ 3) ต้องเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งนี้ สําหรับผู้ที่จะได้รับเงินเยียวยาในรูปแบบเงินสดนั้น ทางกรมบัญชีกลางได้โอนเงินเข้าไปยังบัญชีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แล้ว ซึ่งหลังจากนี้ อปท. จะเร่งดําเนินจ่ายเงินแก่กลุ่มเป้าหมายที่รับเงินอุดหนุนรายเดือนเป็นเงินสดอยู่เดิมโดยเร็วที่สุด ไม่เกิน 15 วันทําการ
ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบสิทธิมาตรการเยียวยาดังกล่าวได้ที่ http://covid.m-society.go.th/ โดยการกรอกหมายเลขบัตรประจําตัวประชาชน 13 หลัก ในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิ์หรือมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมตามช่องทาง ดังนี้
ส่วนภูมิภาค
-ติดต่อที่สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (สนง.พมจ.) ทุกจังหวัด
กรุงเทพฯ
-สิทธิจากเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ติดต่อที่กรมกิจการเด็กและเยาวชน ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด (ศดร.) เลขที่ 618/1 ถนนนิคมมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทร.02-651-6534,02-651-6902, 02-651-6920 หรือ 02-255-5850-7 ต่อ 121, 122, 123, 133, 147, 152, 231
-สิทธิจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ติดต่อที่กรมกิจการผู้สูงอายุ อาคารมหานครยิบซั่ม ชั้น 20 โซน B เลขที่ 539/2
ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทร. 02-642-4336
-สิทธิจากเบี้ยความพิการ ติดต่อที่กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เลขที่ 255 อาคาร 60 ปี
กรมประชาสงเคราะห์ ถนนราชวิถี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรหมายเลข 1479 หรือ โทร. 02-354-3388 ต่อ 311 หรือ 313
หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม.เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ์รับเงินเยียวยากลุ่มเปราะบาง 3.000 บาท ผ่านทาง http://covid.m-society.go.th/
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2563
พม.เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ์รับเงินเยียวยากลุ่มเปราะบาง 3.000 บาท ผ่านทาง http://covid.m-society.go.th/
พม.เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ์รับเงินเยียวยากลุ่มเปราะบาง 3.000 บาท ผ่านทาง http://covid.m-society.go.th/
วันนี้ (21 ก.ค. 63) เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กทม. นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า กรณีการจ่ายเงินเยียวยา 3,000 บาท สําหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดําเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยการจ่ายเงินเยียวยาโดยตรง รายละ 1,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเติมจากเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเบี้ยความพิการ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 รวมเป็นเงิน 3,000 บาท มีจํานวนทั้งหมด 6,781,881 ราย ประกอบด้วย 1. เด็กที่ได้รับสิทธิโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จํานวน 1,394,756 ราย 2. ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จํานวน 4,056,596 ราย และ 3. คนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ จํานวน 1,330,529 ราย
นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า วานนี้ (20 ก.ค.63) กรมบัญชีกลาง ได้จ่ายเงินเยียวยา 3,000 บาท สําหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) เข้าบัญชีของผู้มีสิทธิทั้ง 3 กลุ่มแล้ว โดยกลุ่มเปราะบางทั้ง 3 กลุ่ม ที่มีสิทธิรับเงินเยียวยา 3,000 บาท ต้องมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1. เป็นผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิการช่วยเหลือเยียวยาจากมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงแรงงาน (สํานักงานประกันสังคม) 2. เป็นกลุ่มที่อยู่ในฐานข้อมูลของกระทรวง พม. ซึ่งได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องมีการลงทะเบียนในการขอรับสิทธิ์อีก โดยหากท่านได้รับเงินอุดหนุนในเดือนพฤษภาคม 2563 จากช่องทางการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือในรูปแบบเงินสดถือว่าท่านมีสิทธิ์ตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวง พม. และ 3) ต้องเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งนี้ สําหรับผู้ที่จะได้รับเงินเยียวยาในรูปแบบเงินสดนั้น ทางกรมบัญชีกลางได้โอนเงินเข้าไปยังบัญชีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แล้ว ซึ่งหลังจากนี้ อปท. จะเร่งดําเนินจ่ายเงินแก่กลุ่มเป้าหมายที่รับเงินอุดหนุนรายเดือนเป็นเงินสดอยู่เดิมโดยเร็วที่สุด ไม่เกิน 15 วันทําการ
ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบสิทธิมาตรการเยียวยาดังกล่าวได้ที่ http://covid.m-society.go.th/ โดยการกรอกหมายเลขบัตรประจําตัวประชาชน 13 หลัก ในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิ์หรือมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมตามช่องทาง ดังนี้
ส่วนภูมิภาค
-ติดต่อที่สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (สนง.พมจ.) ทุกจังหวัด
กรุงเทพฯ
-สิทธิจากเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ติดต่อที่กรมกิจการเด็กและเยาวชน ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด (ศดร.) เลขที่ 618/1 ถนนนิคมมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทร.02-651-6534,02-651-6902, 02-651-6920 หรือ 02-255-5850-7 ต่อ 121, 122, 123, 133, 147, 152, 231
-สิทธิจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ติดต่อที่กรมกิจการผู้สูงอายุ อาคารมหานครยิบซั่ม ชั้น 20 โซน B เลขที่ 539/2
ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทร. 02-642-4336
-สิทธิจากเบี้ยความพิการ ติดต่อที่กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เลขที่ 255 อาคาร 60 ปี
กรมประชาสงเคราะห์ ถนนราชวิถี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรหมายเลข 1479 หรือ โทร. 02-354-3388 ต่อ 311 หรือ 313
หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33565
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมน้อมนำไปถวาย ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร จ.สิงห์บุรี
|
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2561
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมน้อมนําไปถวาย ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร จ.สิงห์บุรี
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงอุตสาหกรรม ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ตําบลจักรสีห์ อําเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
จ.สิงห์บุรี : วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2561) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ นายอภิจิณ โชติกเสถียร นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
ผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดสิงห์บุรี ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ น้อมนําไปถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ตําบลจักรสีห์ อําเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
โดยมียอดเงินที่บริจาคร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลเพื่อถวายพระภิกษุ สามเณร และถวายจตุปัจจัยบํารุง
พระอารามหลวงวัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร เป็นจํานวนเงิน 7,443,940 บาท (เจ็ดล้านสี่แสนสี่หมื่นสามพันเก้าร้อยสี่สิบบาทถ้วน) นอกจากนี้ ยังได้มอบเงินสนับสนุนการศึกษาพระภิกษุสามเณรและองค์กร สาธารณประโยชน์เพื่อพระพุทธศาสนา จํานวน 3 ทุน ทุนละ 300,000 บาท ให้แก่โรงเรียนสิงหพาหุ "ประสานมิตรอุปถัมภ์" โรงเรียนชุมชนวัดพระนอนจักรสีห์ (มิตรภาพที่ 133) และโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร จังหวัดสิงห์บุรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมน้อมนำไปถวาย ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร จ.สิงห์บุรี
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2561
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมน้อมนําไปถวาย ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร จ.สิงห์บุรี
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงอุตสาหกรรม ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ตําบลจักรสีห์ อําเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
จ.สิงห์บุรี : วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2561) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ นายอภิจิณ โชติกเสถียร นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
ผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดสิงห์บุรี ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ น้อมนําไปถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ตําบลจักรสีห์ อําเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
โดยมียอดเงินที่บริจาคร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลเพื่อถวายพระภิกษุ สามเณร และถวายจตุปัจจัยบํารุง
พระอารามหลวงวัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร เป็นจํานวนเงิน 7,443,940 บาท (เจ็ดล้านสี่แสนสี่หมื่นสามพันเก้าร้อยสี่สิบบาทถ้วน) นอกจากนี้ ยังได้มอบเงินสนับสนุนการศึกษาพระภิกษุสามเณรและองค์กร สาธารณประโยชน์เพื่อพระพุทธศาสนา จํานวน 3 ทุน ทุนละ 300,000 บาท ให้แก่โรงเรียนสิงหพาหุ "ประสานมิตรอุปถัมภ์" โรงเรียนชุมชนวัดพระนอนจักรสีห์ (มิตรภาพที่ 133) และโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร จังหวัดสิงห์บุรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16849
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. เปิดตัว “3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สด ส่งเสริมการขายออนไลน์” เพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย รับวิถีชีวิตใหม่ NEW NORMAL
|
วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563
วว. เปิดตัว “3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สด ส่งเสริมการขายออนไลน์” เพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย รับวิถีชีวิตใหม่ NEW NORMAL
วว. เปิดตัว “3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สด ส่งเสริมการขายออนไลน์” เพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย รับวิถีชีวิตใหม่ NEW NORMAL
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เปิดตัว “ 3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สด ส่งเสริมการขายออนไลน์” ได้แก่ นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ “กล่องเก็บกลิ่นทุเรียน ล็อคกลิ่นได้ 100%” บรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่ายมะม่วงออนไลน์ บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย ระบุช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย
ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว. โดย ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) ประสบผลสําเร็จในการวิจัยและพัฒนา “ 3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สด ส่งเสริมการขายออนไลน์” ได้แก่ 1.นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ “กล่องเก็บกลิ่นทุเรียน ล็อคกลิ่นได้ 100%” 2.บรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่ายมะม่วงออนไลน์ และ 3.บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ พร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน รับวิถีชีวิตใหม่ NEW Normal จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาคการส่งออกและขนส่ง รวมทั้งการบริโภคภายในประเทศ ทําให้มีผลผลิตทางเกษตรที่มีคุณภาพสูงในประเทศจํานวนมากที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวทันเวลา ส่งผลให้เกิดความสูญเสีย เนื่องจากไม่มีตลาดรองรับ จึงมีความจําเป็นอย่างเร่งด่วนในการจัดหาหรือเพิ่มช่องทางจําหน่ายผลผลิตทางการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
“...การตลาดออนไลน์เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เกษตรกรหรือผู้ผลิต พยายามจะขายสินค้าด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาและข้อจํากัดหลายประการ เช่น ยังไม่มีบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานในการป้องกันความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรจุภัณฑ์มีขนาดบรรจุที่มากเกินไป ทําให้สิ้นเปลืองค่าขนส่ง บริษัทขนส่งบางรายปฏิเสธการขนส่งผักและผลไม้สดที่เป็นสินค้าที่เน่าเสียได้ง่าย หรือมีกลิ่นรบกวน รวมทั้งมีปริมาณสารตกค้างที่อาจก่อผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้น 3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สดส่งเสริมการขายออนไลน์ ผลงานของ วว.ทั้ง 3 นวัตกรรมนี้จะเป็นคําตอบให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค อย่างเป็นรูปธรรม...” ผู้ว่าการ วว. กล่าว
“3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สดส่งเสริมการขายออนไลน์” ผลงานของ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย วว. มีรายละเอียดดังนี้
นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ “กล่องเก็บกลิ่นทุเรียน ล็อคกลิ่นได้ 100%” วว. ร่วมกับ บริษัท เซฟเฟอร์แพค ประเทศไทย จํากัด ภายใต้ โครงการ “STIM เพื่อ เอส เอ็ม อี” (ปีงบประมาณ 2561) วิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์เทอร์โมฟอร์ม สําหรับใช้บรรจุทุเรียนสดตัดแต่ง มีประสิทธิภาพจัดการปัญหาจากกลิ่นทุเรียนได้อย่างสมบูรณ์แบบ 100 % ด้วยการออกแบบและพัฒนาขอบล็อคเป็นพิเศษ ช่วยป้องกันการผ่านเข้าออกของก๊าซและไอน้ําได้ จึงสามารถกักเก็บกลิ่นไม่พึงประสงค์ไม่ให้ออกสู่ภายนอกได้ และยังสามารถป้องกันความชื้นจากสภาพแวดล้อมภายนอกไม่ให้เข้าสู่ภายในได้อีกด้วย ทั้งนี้ วว. ใช้แนวคิดการออกแบบแบบองค์รวม หรือ Holistic Design and Development โดยคํานึงถึงปัจจัยหลายประการประกอบกัน ได้แก่ ความสะดวกในการบรรจุและใช้งาน กล่องที่พัฒนาขึ้นจึงเปิดง่าย-ปิดสนิท และเปิด-ปิดซ้ําได้ ทําให้สามารถเก็บทุเรียนที่เหลือไว้รับประทานต่อได้สะดวก นอกจากนี้ยังคํานึงความสวยงามในการแสดงสินค้าขณะวางจําหน่าย (Display) กล่องจึงมีความใสเป็นพิเศษสามารถเห็นพูทุเรียนได้รอบด้านอย่างชัดเจน และไม่ลืมปัจจัยสําคัญคือ ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามหลักการ Eco-Package Design ทําให้กล่องแข็งแรงขึ้นได้โดยไม่จําเป็นต้องเพิ่มความหนาของแผ่นพลาสติก ขณะนี้มีการผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องเก็บกลิ่นทุเรียนฯ วางจําหน่ายในท้องตลาดแล้วโดยใช้แผ่นพลาสติก PET ชนิดป้องกันการเกิดฝ้า เพื่อให้มีคุณลักษณะที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดมากขึ้น ได้ผลลัพธ์เป็นกล่องเก็บกลิ่นทุเรียน Ozone Box ภายใต้แบรนด์ SAFER PAC ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทั้งผู้ค้าส่ง/ผู้ค้าปลีกทุเรียนภายในประเทศทั้งแบบวางจําหน่ายที่ร้านและแบบบริการส่งถึงบ้าน และผู้ส่งออกทุเรียน
บรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่ายมะม่วงออนไลน์ วว. วิจัยและพัฒนาเพื่อรองรับปริมาณผลผลิตมะม่วงล้นตลาดกว่า 20,000 ตัน ช่วยส่งเสริมการจําหน่ายสินค้าออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพ บรรจุภัณฑ์มีความแข็งแรง สามารถรองรับน้ําหนักผลผลิตได้ 5 กิโลกรัมต่อกล่อง รับน้ําหนักการเรียงซ้อนได้ถึง 14 ชั้น เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายและรักษาคุณภาพของผลิตผล หากกล่องเกิดการยุบตัวในระหว่างการขนส่งและเก็บรักษา ซึ่งจะทําให้เกิดความเสียหายได้ มีการเจาะช่องระบายอากาศอย่างเหมาะสม เพียงพอต่อการหายใจและคายน้ําของผลมะม่วง จึงช่วยลดการสะสมความร้อนและความชื้นภายในกล่อง ช่วยให้ยืดอายุการเก็บได้ นอกจากนี้บรรจุภัณฑ์ยังผลิตจากกระดาษลูกฟูก 5 ชั้น ที่มีการดูดซึมน้ําต่ํา ทําให้รักษาความแข็งแรงของกล่องไว้ได้อย่างเหมาะสม แม้ว่าจะเก็บในห้องเย็นที่มีความชื้นสูง อีกทั้งรูปแบบและขนาดของกล่อง (50 x 30 เซ็นติเมตร) จึงช่วยประหยัดพื้นที่ ทั้งเพื่อการเก็บรักษา การขนส่งและขนถ่าย สอดคล้องกับระบบลําเลียงขนส่ง ในส่วนกราฟิกของกล่องได้ออกแบบพิมพ์สีเดียว เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ให้ข้อมูลรายละเอียดที่จําเป็นของสินค้า เช่น ชื่อสินค้า น้ําหนักบรรจุ เกรด แหล่งผลิตหรือที่มา เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ออกแบบให้ใช้กล่องที่มีขนาดมาตรฐานเพียงขนาดเดียว เพื่อให้สามารถบรรจุมะม่วงทุกเกรดที่มีขนาดผลแตกต่างกันได้ เพียงแต่ใช้แผ่นกั้น เพื่อลดการเคลื่อนที่ของผลมะม่วงภายหลังการบรรจุ
บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย วว. วิจัยและพัฒนาในรูปแบบฉลากเปลี่ยนสี สําหรับใช้ตรวจสอบปริมาณสารซัลเฟอร์ที่เหลือตกค้างที่ผิวผลลําไย ทั้งนี้หากมีปริมาณสารซัลเฟอร์เกินค่ามาตรฐานจะมีผลกระทบต่อร่างกาย อีกทั้งเมื่อส่งไปถึงประเทศผู้ซื้อปลายทางและมีการตรวจพบจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของคุณภาพลําไยรวมถึงผลผลิตเกษตรชนิดอื่นจากประเทศไทย โดยฉลากมีหลักการทํางานดังนี้ นําแผ่นฉลากไปวางที่ผลลําไย หากมีปริมาณสารซัลเฟอร์ฯ ต่ํา ฉลากจะยังคงสีน้ําตาลเข้ม แต่ถ้ามีปริมาณสารซัลเฟอร์ฯ มากสีของฉลากจะค่อยๆ จางลงจนไม่มีสีแสดงว่ามีสารซัลเฟอร์ฯ เกินมาตรฐานกําหนด นับเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ช่วยเตือนผู้บริโภคก่อนที่จะตัดสินใจบริโภคลําไย อีกทั้งการเปลี่ยนสีของฉลากยังง่ายต่อการเข้าใจของคนทุกระดับ และจะช่วยยกระดับมาตรฐานลําไยไทยให้เป็นที่ยอมรับ การบ่งชี้ปริมาณสารซัลเฟอร์ที่ผลลําไย นอกจากผู้บริโภคจะรับรู้ถึงความปลอดภัยในการรับประทานแล้ว ผู้ผลิตและผู้จําหน่ายยังสามารถใช้บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะฯ ในการสร้างตลาด สร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่ง โดยผลิตผลไม้คุณภาพ ที่มีความปลอดภัย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือหรือรับรองคุณภาพผลิตผล ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคส่วนใหญ่ และอาจส่งผลทําให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอันเป็นกลไกสําคัญของตลาด ผลงานวิจัยนี้ของ วว. จะมีประโยชน์ต่อการสร้างมาตรฐานคุณภาพของลําไยทั้งที่จําหน่ายในประเทศและส่งออก นอกจากเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า เพื่อความยั่งยืนในการทําการค้ากันต่อไป อย่างไรก็ตามการพัฒนาฉลากของ วว. ยังเป็นการพัฒนาในระดับห้องปฏิบัติการ หากต้องการผลิตเพื่อจําหน่ายในเชิงพาณิชย์ต้องปรับปรุงสูตรและกระบวนการผลิตให้สอดคล้องเหมาะสมกับเครื่องจักรที่จะใช้ผลิตต่อไป
ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) วว. เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์แห่งชาติ มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์ และงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร เพื่อรองรับความต้องการของทุกภาคส่วน สนใจขอรับบริการโปรดติดต่อได้ที่ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย วว. (บางเขน) เลขที่ 196 ถ.พหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร 2579 1121 ต่อ 3101, 3208, 081 702 8377 E-mail :TPC-tistr@tistr.or.th
ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. เปิดตัว “3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สด ส่งเสริมการขายออนไลน์” เพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย รับวิถีชีวิตใหม่ NEW NORMAL
วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563
วว. เปิดตัว “3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สด ส่งเสริมการขายออนไลน์” เพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย รับวิถีชีวิตใหม่ NEW NORMAL
วว. เปิดตัว “3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สด ส่งเสริมการขายออนไลน์” เพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย รับวิถีชีวิตใหม่ NEW NORMAL
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เปิดตัว “ 3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สด ส่งเสริมการขายออนไลน์” ได้แก่ นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ “กล่องเก็บกลิ่นทุเรียน ล็อคกลิ่นได้ 100%” บรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่ายมะม่วงออนไลน์ บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย ระบุช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย
ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว. โดย ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) ประสบผลสําเร็จในการวิจัยและพัฒนา “ 3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สด ส่งเสริมการขายออนไลน์” ได้แก่ 1.นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ “กล่องเก็บกลิ่นทุเรียน ล็อคกลิ่นได้ 100%” 2.บรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่ายมะม่วงออนไลน์ และ 3.บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ พร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน รับวิถีชีวิตใหม่ NEW Normal จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาคการส่งออกและขนส่ง รวมทั้งการบริโภคภายในประเทศ ทําให้มีผลผลิตทางเกษตรที่มีคุณภาพสูงในประเทศจํานวนมากที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวทันเวลา ส่งผลให้เกิดความสูญเสีย เนื่องจากไม่มีตลาดรองรับ จึงมีความจําเป็นอย่างเร่งด่วนในการจัดหาหรือเพิ่มช่องทางจําหน่ายผลผลิตทางการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
“...การตลาดออนไลน์เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เกษตรกรหรือผู้ผลิต พยายามจะขายสินค้าด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาและข้อจํากัดหลายประการ เช่น ยังไม่มีบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานในการป้องกันความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรจุภัณฑ์มีขนาดบรรจุที่มากเกินไป ทําให้สิ้นเปลืองค่าขนส่ง บริษัทขนส่งบางรายปฏิเสธการขนส่งผักและผลไม้สดที่เป็นสินค้าที่เน่าเสียได้ง่าย หรือมีกลิ่นรบกวน รวมทั้งมีปริมาณสารตกค้างที่อาจก่อผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้น 3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สดส่งเสริมการขายออนไลน์ ผลงานของ วว.ทั้ง 3 นวัตกรรมนี้จะเป็นคําตอบให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค อย่างเป็นรูปธรรม...” ผู้ว่าการ วว. กล่าว
“3 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ผลไม้สดส่งเสริมการขายออนไลน์” ผลงานของ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย วว. มีรายละเอียดดังนี้
นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ “กล่องเก็บกลิ่นทุเรียน ล็อคกลิ่นได้ 100%” วว. ร่วมกับ บริษัท เซฟเฟอร์แพค ประเทศไทย จํากัด ภายใต้ โครงการ “STIM เพื่อ เอส เอ็ม อี” (ปีงบประมาณ 2561) วิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์เทอร์โมฟอร์ม สําหรับใช้บรรจุทุเรียนสดตัดแต่ง มีประสิทธิภาพจัดการปัญหาจากกลิ่นทุเรียนได้อย่างสมบูรณ์แบบ 100 % ด้วยการออกแบบและพัฒนาขอบล็อคเป็นพิเศษ ช่วยป้องกันการผ่านเข้าออกของก๊าซและไอน้ําได้ จึงสามารถกักเก็บกลิ่นไม่พึงประสงค์ไม่ให้ออกสู่ภายนอกได้ และยังสามารถป้องกันความชื้นจากสภาพแวดล้อมภายนอกไม่ให้เข้าสู่ภายในได้อีกด้วย ทั้งนี้ วว. ใช้แนวคิดการออกแบบแบบองค์รวม หรือ Holistic Design and Development โดยคํานึงถึงปัจจัยหลายประการประกอบกัน ได้แก่ ความสะดวกในการบรรจุและใช้งาน กล่องที่พัฒนาขึ้นจึงเปิดง่าย-ปิดสนิท และเปิด-ปิดซ้ําได้ ทําให้สามารถเก็บทุเรียนที่เหลือไว้รับประทานต่อได้สะดวก นอกจากนี้ยังคํานึงความสวยงามในการแสดงสินค้าขณะวางจําหน่าย (Display) กล่องจึงมีความใสเป็นพิเศษสามารถเห็นพูทุเรียนได้รอบด้านอย่างชัดเจน และไม่ลืมปัจจัยสําคัญคือ ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามหลักการ Eco-Package Design ทําให้กล่องแข็งแรงขึ้นได้โดยไม่จําเป็นต้องเพิ่มความหนาของแผ่นพลาสติก ขณะนี้มีการผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องเก็บกลิ่นทุเรียนฯ วางจําหน่ายในท้องตลาดแล้วโดยใช้แผ่นพลาสติก PET ชนิดป้องกันการเกิดฝ้า เพื่อให้มีคุณลักษณะที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดมากขึ้น ได้ผลลัพธ์เป็นกล่องเก็บกลิ่นทุเรียน Ozone Box ภายใต้แบรนด์ SAFER PAC ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทั้งผู้ค้าส่ง/ผู้ค้าปลีกทุเรียนภายในประเทศทั้งแบบวางจําหน่ายที่ร้านและแบบบริการส่งถึงบ้าน และผู้ส่งออกทุเรียน
บรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่ายมะม่วงออนไลน์ วว. วิจัยและพัฒนาเพื่อรองรับปริมาณผลผลิตมะม่วงล้นตลาดกว่า 20,000 ตัน ช่วยส่งเสริมการจําหน่ายสินค้าออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพ บรรจุภัณฑ์มีความแข็งแรง สามารถรองรับน้ําหนักผลผลิตได้ 5 กิโลกรัมต่อกล่อง รับน้ําหนักการเรียงซ้อนได้ถึง 14 ชั้น เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายและรักษาคุณภาพของผลิตผล หากกล่องเกิดการยุบตัวในระหว่างการขนส่งและเก็บรักษา ซึ่งจะทําให้เกิดความเสียหายได้ มีการเจาะช่องระบายอากาศอย่างเหมาะสม เพียงพอต่อการหายใจและคายน้ําของผลมะม่วง จึงช่วยลดการสะสมความร้อนและความชื้นภายในกล่อง ช่วยให้ยืดอายุการเก็บได้ นอกจากนี้บรรจุภัณฑ์ยังผลิตจากกระดาษลูกฟูก 5 ชั้น ที่มีการดูดซึมน้ําต่ํา ทําให้รักษาความแข็งแรงของกล่องไว้ได้อย่างเหมาะสม แม้ว่าจะเก็บในห้องเย็นที่มีความชื้นสูง อีกทั้งรูปแบบและขนาดของกล่อง (50 x 30 เซ็นติเมตร) จึงช่วยประหยัดพื้นที่ ทั้งเพื่อการเก็บรักษา การขนส่งและขนถ่าย สอดคล้องกับระบบลําเลียงขนส่ง ในส่วนกราฟิกของกล่องได้ออกแบบพิมพ์สีเดียว เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ให้ข้อมูลรายละเอียดที่จําเป็นของสินค้า เช่น ชื่อสินค้า น้ําหนักบรรจุ เกรด แหล่งผลิตหรือที่มา เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ออกแบบให้ใช้กล่องที่มีขนาดมาตรฐานเพียงขนาดเดียว เพื่อให้สามารถบรรจุมะม่วงทุกเกรดที่มีขนาดผลแตกต่างกันได้ เพียงแต่ใช้แผ่นกั้น เพื่อลดการเคลื่อนที่ของผลมะม่วงภายหลังการบรรจุ
บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย วว. วิจัยและพัฒนาในรูปแบบฉลากเปลี่ยนสี สําหรับใช้ตรวจสอบปริมาณสารซัลเฟอร์ที่เหลือตกค้างที่ผิวผลลําไย ทั้งนี้หากมีปริมาณสารซัลเฟอร์เกินค่ามาตรฐานจะมีผลกระทบต่อร่างกาย อีกทั้งเมื่อส่งไปถึงประเทศผู้ซื้อปลายทางและมีการตรวจพบจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของคุณภาพลําไยรวมถึงผลผลิตเกษตรชนิดอื่นจากประเทศไทย โดยฉลากมีหลักการทํางานดังนี้ นําแผ่นฉลากไปวางที่ผลลําไย หากมีปริมาณสารซัลเฟอร์ฯ ต่ํา ฉลากจะยังคงสีน้ําตาลเข้ม แต่ถ้ามีปริมาณสารซัลเฟอร์ฯ มากสีของฉลากจะค่อยๆ จางลงจนไม่มีสีแสดงว่ามีสารซัลเฟอร์ฯ เกินมาตรฐานกําหนด นับเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ช่วยเตือนผู้บริโภคก่อนที่จะตัดสินใจบริโภคลําไย อีกทั้งการเปลี่ยนสีของฉลากยังง่ายต่อการเข้าใจของคนทุกระดับ และจะช่วยยกระดับมาตรฐานลําไยไทยให้เป็นที่ยอมรับ การบ่งชี้ปริมาณสารซัลเฟอร์ที่ผลลําไย นอกจากผู้บริโภคจะรับรู้ถึงความปลอดภัยในการรับประทานแล้ว ผู้ผลิตและผู้จําหน่ายยังสามารถใช้บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะฯ ในการสร้างตลาด สร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่ง โดยผลิตผลไม้คุณภาพ ที่มีความปลอดภัย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือหรือรับรองคุณภาพผลิตผล ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคส่วนใหญ่ และอาจส่งผลทําให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอันเป็นกลไกสําคัญของตลาด ผลงานวิจัยนี้ของ วว. จะมีประโยชน์ต่อการสร้างมาตรฐานคุณภาพของลําไยทั้งที่จําหน่ายในประเทศและส่งออก นอกจากเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า เพื่อความยั่งยืนในการทําการค้ากันต่อไป อย่างไรก็ตามการพัฒนาฉลากของ วว. ยังเป็นการพัฒนาในระดับห้องปฏิบัติการ หากต้องการผลิตเพื่อจําหน่ายในเชิงพาณิชย์ต้องปรับปรุงสูตรและกระบวนการผลิตให้สอดคล้องเหมาะสมกับเครื่องจักรที่จะใช้ผลิตต่อไป
ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) วว. เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์แห่งชาติ มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์ และงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร เพื่อรองรับความต้องการของทุกภาคส่วน สนใจขอรับบริการโปรดติดต่อได้ที่ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย วว. (บางเขน) เลขที่ 196 ถ.พหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร 2579 1121 ต่อ 3101, 3208, 081 702 8377 E-mail :TPC-tistr@tistr.or.th
ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33199
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการส่วนราชการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชน เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกตรวจตราดูแลให้ความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินประชาชนให้ถี่ขึ้น
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีสั่งการส่วนราชการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชน เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ตํารวจออกตรวจตราดูแลให้ความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินประชาชนให้ถี่ขึ้น
นายกรัฐมนตรีสั่งการส่วนราชการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชน เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ตํารวจออกตรวจตราดูแลให้ความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินประชาชนให้ถี่ขึ้น
ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชมเชยประชาชนรวมถึงร้านค้า ผู้ประกอบการต่างๆ หลังจากที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประกาศผ่อนปรนกิจการและกิจกรรม โดยภาพรวมส่วนใหญ่ประชาชน ร้านค้า ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทําให้จํานวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีจํานวนน้อยลงเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ ยังมีกิจการ และประชาชนบางกลุ่มที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการฯ ขอให้กลุ่มคนเหล่านี้ให้ความร่วมมือ เพราะถ้าไม่ร่วมมือจะทําให้เกิดการระบาดของโรคจนไม่สามารถควบคุมโรคได้
ถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดจะดีขึ้นตามลําดับ แต่ทุกคนอย่าชะล่าใจต้องมีวินัย ให้ความร่วมมือปฎิบัติตามมาตรการฯ อย่างเคร่งครัดต่อไป พร้อมกับฝากไปยังคนในครอบครัว ชุมชนเดียวกัน ช่วยกันเป็นหูเป็นตาว่ากล่าวตักเตือนให้ตระหนักถึงความปลอดภัยเป็นสําคัญ รวมทั้งเน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ตํารวจออกตรวจตราช่วยดูแลทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์แบบนี้ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง อาจจะมีขโมย และเกิดการจี้ปล้นขึ้น เจ้าหน้าที่ตํารวจต้องออกตรวจตราดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์ของประชาชนให้ถี่ขึ้น
สําหรับเรื่องการเยียวยาประชาชนซึ่งมีข้อร้องเรียนเป็นจํานวนมากนั้น นายกรัฐมนตรีรับทราบถึงปัญหา โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาให้ครอบคลุมทุกมิติ เร่งดําเนินการให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งทําความเข้าใจกับประชาชนให้รับทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้องต่อไป
...............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการส่วนราชการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชน เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกตรวจตราดูแลให้ความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินประชาชนให้ถี่ขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีสั่งการส่วนราชการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชน เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ตํารวจออกตรวจตราดูแลให้ความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินประชาชนให้ถี่ขึ้น
นายกรัฐมนตรีสั่งการส่วนราชการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชน เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ตํารวจออกตรวจตราดูแลให้ความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินประชาชนให้ถี่ขึ้น
ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชมเชยประชาชนรวมถึงร้านค้า ผู้ประกอบการต่างๆ หลังจากที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประกาศผ่อนปรนกิจการและกิจกรรม โดยภาพรวมส่วนใหญ่ประชาชน ร้านค้า ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทําให้จํานวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีจํานวนน้อยลงเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ ยังมีกิจการ และประชาชนบางกลุ่มที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการฯ ขอให้กลุ่มคนเหล่านี้ให้ความร่วมมือ เพราะถ้าไม่ร่วมมือจะทําให้เกิดการระบาดของโรคจนไม่สามารถควบคุมโรคได้
ถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดจะดีขึ้นตามลําดับ แต่ทุกคนอย่าชะล่าใจต้องมีวินัย ให้ความร่วมมือปฎิบัติตามมาตรการฯ อย่างเคร่งครัดต่อไป พร้อมกับฝากไปยังคนในครอบครัว ชุมชนเดียวกัน ช่วยกันเป็นหูเป็นตาว่ากล่าวตักเตือนให้ตระหนักถึงความปลอดภัยเป็นสําคัญ รวมทั้งเน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ตํารวจออกตรวจตราช่วยดูแลทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์แบบนี้ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง อาจจะมีขโมย และเกิดการจี้ปล้นขึ้น เจ้าหน้าที่ตํารวจต้องออกตรวจตราดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์ของประชาชนให้ถี่ขึ้น
สําหรับเรื่องการเยียวยาประชาชนซึ่งมีข้อร้องเรียนเป็นจํานวนมากนั้น นายกรัฐมนตรีรับทราบถึงปัญหา โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาให้ครอบคลุมทุกมิติ เร่งดําเนินการให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งทําความเข้าใจกับประชาชนให้รับทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้องต่อไป
...............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30407
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ลักษณ์ ร่วมเปิดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ สร้างสุขภาพดี ให้ประชากรโลก”
|
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561
รมช.ลักษณ์ ร่วมเปิดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ สร้างสุขภาพดี ให้ประชากรโลก”
รมช.ลักษณ์ ร่วมเปิดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ สร้างสุขภาพดี ให้ประชากรโลก” และเปิดโรงสีข้าวขนาดกําลังผลิต 30 ตันต่อวัน พร้อมระบบโรยรั้ง ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปข้าวตําบลบ้านผึ้ง (ข้าวสุข) อ.เมือง จ.นครพนม
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมเปิดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ สร้างสุขภาพดี ให้ประชากรโลก” โดยมี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปข้าวตําบลบ้านผึ้ง (ข้าวสุข) อ.เมือง จ.นครพนม (ศูนย์ประสานงานสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ว่า สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2561 เพื่อสรุปผลการดําเนินงานและขับเคลื่อนองค์กรในการช่วยเหลือสมาชิกและกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ โดยมีภาคีเครือข่ายเข้าร่วมงาน ซึ่งจะเป็นการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ภาคอีสาน และพี่น้องเกษตรอินทรีย์ทั่วทุกภูมิภาค ให้มีความเข้มแข็งและสร้างความมั่นคงในอาชีพ อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างสุขภาพดีให้กับประชากรโลก รวมถึงแนวทางการเชื่อมโยงไปสู่แผนการผลิตข้าวอินทรีย์แบบครบวงจร ออกสู่ตลาดโลกอย่างมีประสิทธิภาพ
สําหรับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปข้าวตําบลบ้านผึ้ง เป็นหมู่บ้านที่มีอาชีพทํานาเป็นหลัก ซึ่งเมื่อประสบปัญหาจากการทํานาทําให้ผลผลิตตกต่ําและไม่มีคุณภาพ เกษตรกรจึงได้ปรับเปลี่ยนมาทํานาแบบอินทรีย์และแบบปลอดสารพิษ เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตและมีผลผลิตที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม จนได้รับการรับรองผลิตภัณฑ์ GAP จากกรมวิชาการเกษตร จากนั้นได้มีการพัฒนาต่อยอด โดยมีการอบรมและศึกษาดูงานการผลิตและแปรรูปข้าว เช่น การทําข้าวสารบรรจุถุง และการทําข้าวกล้อง เป็นต้น ซึ่งปัจจุบัน วิสาหกิจชุมชนฯ ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานอาหารปลอดภัยจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ และรางวัลอื่น ๆ อย่างมากมาย
จากนั้นได้เป็นประธานเปิดโรงสีข้าว ขนาดกําลังผลิต 30 ตันต่อวัน พร้อมระบบโรยรั้ง ภายใต้แนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวหอมมะลิอินทรีย์ของกลุ่มจังหวัด พัฒนาและยกระดับการแปรรูปข้าวหอมมะลิอินทรีย์ของกลุ่มจังหวัดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อยกระดับและพัฒนาเป็นจุดศูนย์กลางแปรรูปข้าวของกลุ่มจังหวัด ผ่านเครือข่ายกลุ่มวิสาหกิจแปรรูปข้าว เพื่อเพิ่มมูลค่าข้าวหอมมะลิอินทรีย์ในลักษณะตลาดนําการผลิต อีกทั้งยังมุ่งหวังให้กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปข้าวของกลุ่มจังหวัด ได้มีโอกาสในการแข่งขันและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์ของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 และเป็นไปตามนโยบายของจังหวัดที่เน้นการผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ลักษณ์ ร่วมเปิดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ สร้างสุขภาพดี ให้ประชากรโลก”
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561
รมช.ลักษณ์ ร่วมเปิดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ สร้างสุขภาพดี ให้ประชากรโลก”
รมช.ลักษณ์ ร่วมเปิดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ สร้างสุขภาพดี ให้ประชากรโลก” และเปิดโรงสีข้าวขนาดกําลังผลิต 30 ตันต่อวัน พร้อมระบบโรยรั้ง ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปข้าวตําบลบ้านผึ้ง (ข้าวสุข) อ.เมือง จ.นครพนม
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมเปิดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ สร้างสุขภาพดี ให้ประชากรโลก” โดยมี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปข้าวตําบลบ้านผึ้ง (ข้าวสุข) อ.เมือง จ.นครพนม (ศูนย์ประสานงานสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ว่า สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2561 เพื่อสรุปผลการดําเนินงานและขับเคลื่อนองค์กรในการช่วยเหลือสมาชิกและกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ โดยมีภาคีเครือข่ายเข้าร่วมงาน ซึ่งจะเป็นการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ภาคอีสาน และพี่น้องเกษตรอินทรีย์ทั่วทุกภูมิภาค ให้มีความเข้มแข็งและสร้างความมั่นคงในอาชีพ อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างสุขภาพดีให้กับประชากรโลก รวมถึงแนวทางการเชื่อมโยงไปสู่แผนการผลิตข้าวอินทรีย์แบบครบวงจร ออกสู่ตลาดโลกอย่างมีประสิทธิภาพ
สําหรับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปข้าวตําบลบ้านผึ้ง เป็นหมู่บ้านที่มีอาชีพทํานาเป็นหลัก ซึ่งเมื่อประสบปัญหาจากการทํานาทําให้ผลผลิตตกต่ําและไม่มีคุณภาพ เกษตรกรจึงได้ปรับเปลี่ยนมาทํานาแบบอินทรีย์และแบบปลอดสารพิษ เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตและมีผลผลิตที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม จนได้รับการรับรองผลิตภัณฑ์ GAP จากกรมวิชาการเกษตร จากนั้นได้มีการพัฒนาต่อยอด โดยมีการอบรมและศึกษาดูงานการผลิตและแปรรูปข้าว เช่น การทําข้าวสารบรรจุถุง และการทําข้าวกล้อง เป็นต้น ซึ่งปัจจุบัน วิสาหกิจชุมชนฯ ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานอาหารปลอดภัยจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ และรางวัลอื่น ๆ อย่างมากมาย
จากนั้นได้เป็นประธานเปิดโรงสีข้าว ขนาดกําลังผลิต 30 ตันต่อวัน พร้อมระบบโรยรั้ง ภายใต้แนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวหอมมะลิอินทรีย์ของกลุ่มจังหวัด พัฒนาและยกระดับการแปรรูปข้าวหอมมะลิอินทรีย์ของกลุ่มจังหวัดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อยกระดับและพัฒนาเป็นจุดศูนย์กลางแปรรูปข้าวของกลุ่มจังหวัด ผ่านเครือข่ายกลุ่มวิสาหกิจแปรรูปข้าว เพื่อเพิ่มมูลค่าข้าวหอมมะลิอินทรีย์ในลักษณะตลาดนําการผลิต อีกทั้งยังมุ่งหวังให้กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปข้าวของกลุ่มจังหวัด ได้มีโอกาสในการแข่งขันและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์ของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 และเป็นไปตามนโยบายของจังหวัดที่เน้นการผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10988
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุริยะฯ ให้เครือข่ายพัฒนาศักยภาพไทย เข้าพบเพื่อหารือแนวทางการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าของไทย
|
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562
รมว.สุริยะฯ ให้เครือข่ายพัฒนาศักยภาพไทย เข้าพบเพื่อหารือแนวทางการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าของไทย
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายสมชาย สาโรวาท ประธานเครือข่ายพัฒนาศักยภาพไทย และคณะเข้าพบ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันที่ (2 ธันวาคม 2562) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายสมชาย สาโรวาท ประธานเครือข่ายพัฒนาศักยภาพไทย และคณะเข้าพบ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพ ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการเสนอการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าของไทย โดยเครือข่ายพัฒนาศักยภาพไทย เสนอให้รัฐบาลพิจารณาเร่งรัดและปรับนโยบาย แผนงาน และมาตรการต่าง ๆ ของการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ให้เป็นไปในเชิงรุก ให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบแบบบูรณาการโดยตรง เพื่อกําหนดยุทธศาสตร์แผนงาน เป็นศูนย์กลางในการประสานงานและดําเนินการส่งเสริมสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าไปในแนวทางเดียวกัน ตลอดจนเตรียมความพร้อม รองรับงานด้านต่างๆ แบบครบวงจร
ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุริยะฯ ให้เครือข่ายพัฒนาศักยภาพไทย เข้าพบเพื่อหารือแนวทางการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าของไทย
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562
รมว.สุริยะฯ ให้เครือข่ายพัฒนาศักยภาพไทย เข้าพบเพื่อหารือแนวทางการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าของไทย
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายสมชาย สาโรวาท ประธานเครือข่ายพัฒนาศักยภาพไทย และคณะเข้าพบ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันที่ (2 ธันวาคม 2562) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายสมชาย สาโรวาท ประธานเครือข่ายพัฒนาศักยภาพไทย และคณะเข้าพบ เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพ ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการเสนอการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าของไทย โดยเครือข่ายพัฒนาศักยภาพไทย เสนอให้รัฐบาลพิจารณาเร่งรัดและปรับนโยบาย แผนงาน และมาตรการต่าง ๆ ของการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ให้เป็นไปในเชิงรุก ให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบแบบบูรณาการโดยตรง เพื่อกําหนดยุทธศาสตร์แผนงาน เป็นศูนย์กลางในการประสานงานและดําเนินการส่งเสริมสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าไปในแนวทางเดียวกัน ตลอดจนเตรียมความพร้อม รองรับงานด้านต่างๆ แบบครบวงจร
ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24978
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ ชูนโยบาย 'ปาท่องโก๋' ทำงานร่วม ก.พาณิชย์
|
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
ก.เกษตรฯ ชูนโยบาย 'ปาท่องโก๋' ทํางานร่วม ก.พาณิชย์
ก.เกษตรฯ ชูนโยบาย 'ปาท่องโก๋' ทํางานร่วม ก.พาณิชย์ พร้อมนําฑูตเกษตรลงพื้นที่เยี่ยมชมกระบวนการผลิตยางพารา
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมคณะนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกิจกรรม "พาณิชย์สัญจร" ณ จังหวัดสงขลา พร้อมนําคณะฑูตเกษตร ได้แก่ นายธนวรรษ เทียนสิน อัครราชฑูต (ฝ่ายการเกษตร) ประจํากรุงโรม นางกฤษณา สุขุมพานิช อัครราชฑูต (ฝ่ายการเกษตร) ประจํากรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นายชลธิศักดิ์ ชาวปากน้ํา อัครราชฑูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการเกษตร) ประจํากรุงโตเกียว นายอดิศร จันทรประภาเลิศ อัครราชฑูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการเกษตร) ประจํากรุงปักกิ่ง นายสมิท ธรรมเชื้อ อัครราชฑูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการเกษตร) ประจํากรุงแคนเบอร์รา นายพลกฤษณ์ อุ้ยตา อัครราชฑูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการเกษตร) ประจํากรุงมอสโก นางสาวปทุมวดี อิ่มทั่ว กงสุล (ฝ่ายการเกษตร) ประจํานครกว่างโจว และนางสาวไปรยา เศวตจินดา กงสุล (ฝ่ายการเกษตร) ประจํานครลอสแอนเจลิส ร่วมติดตามการดําเนินงาน
จากนั้นได้นําคณะฑูตเกษตรเยี่ยมชมสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านหูแร่ จํากัด โดยมีการเยี่ยมชมสวนยางมาตรฐาน GAP และเยี่ยมชมระบบการผลิตยางแผ่นรมควันมาตรฐาน GMP พร้อมพบปะเกษตรชาวสวนยาง ณ สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านหูแร่ จํากัด และเยี่ยมชมนิคมอุตสาหกรรมฉลุง (Rubber City) มุ่งหวังยกระดับมาตรฐานคุณภาพ ทั้งคุณภาพของยางและคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
"กระทรวงเกษตรฯ ภายใต้การนําของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) พร้อมทํางานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ มุ่งสร้างฐานรากทางเศรษฐกิจให้มีความมั่นคง พร้อมให้ความสําคัญกับเกษตรกรและระบบสหกรณ์ จะเข้ามาวางโครงสร้างระบบใหม่ เพื่อให้การดําเนินงานประสบผลสําเร็จและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น" นายอลงกรณ์ กล่าว
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ ชูนโยบาย 'ปาท่องโก๋' ทำงานร่วม ก.พาณิชย์
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
ก.เกษตรฯ ชูนโยบาย 'ปาท่องโก๋' ทํางานร่วม ก.พาณิชย์
ก.เกษตรฯ ชูนโยบาย 'ปาท่องโก๋' ทํางานร่วม ก.พาณิชย์ พร้อมนําฑูตเกษตรลงพื้นที่เยี่ยมชมกระบวนการผลิตยางพารา
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมคณะนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกิจกรรม "พาณิชย์สัญจร" ณ จังหวัดสงขลา พร้อมนําคณะฑูตเกษตร ได้แก่ นายธนวรรษ เทียนสิน อัครราชฑูต (ฝ่ายการเกษตร) ประจํากรุงโรม นางกฤษณา สุขุมพานิช อัครราชฑูต (ฝ่ายการเกษตร) ประจํากรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นายชลธิศักดิ์ ชาวปากน้ํา อัครราชฑูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการเกษตร) ประจํากรุงโตเกียว นายอดิศร จันทรประภาเลิศ อัครราชฑูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการเกษตร) ประจํากรุงปักกิ่ง นายสมิท ธรรมเชื้อ อัครราชฑูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการเกษตร) ประจํากรุงแคนเบอร์รา นายพลกฤษณ์ อุ้ยตา อัครราชฑูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการเกษตร) ประจํากรุงมอสโก นางสาวปทุมวดี อิ่มทั่ว กงสุล (ฝ่ายการเกษตร) ประจํานครกว่างโจว และนางสาวไปรยา เศวตจินดา กงสุล (ฝ่ายการเกษตร) ประจํานครลอสแอนเจลิส ร่วมติดตามการดําเนินงาน
จากนั้นได้นําคณะฑูตเกษตรเยี่ยมชมสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านหูแร่ จํากัด โดยมีการเยี่ยมชมสวนยางมาตรฐาน GAP และเยี่ยมชมระบบการผลิตยางแผ่นรมควันมาตรฐาน GMP พร้อมพบปะเกษตรชาวสวนยาง ณ สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านหูแร่ จํากัด และเยี่ยมชมนิคมอุตสาหกรรมฉลุง (Rubber City) มุ่งหวังยกระดับมาตรฐานคุณภาพ ทั้งคุณภาพของยางและคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
"กระทรวงเกษตรฯ ภายใต้การนําของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) พร้อมทํางานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ มุ่งสร้างฐานรากทางเศรษฐกิจให้มีความมั่นคง พร้อมให้ความสําคัญกับเกษตรกรและระบบสหกรณ์ จะเข้ามาวางโครงสร้างระบบใหม่ เพื่อให้การดําเนินงานประสบผลสําเร็จและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น" นายอลงกรณ์ กล่าว
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22691
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดีต่างชาติชื่นชมไทยเปิดโอกาสทางการศึกษา หลังคุณยายวัย 91 รับปริญญา พร้อมส่งเสริมกิจการฮัจย์ให้ก้าวหน้า ย้ำรัฐมุ่งมั่นพัฒนาการศึกษาอย่างเต็มที่ และดูแลทุกศาสนาเท่าเทียมกัน
|
วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2560
นายกฯ ยินดีต่างชาติชื่นชมไทยเปิดโอกาสทางการศึกษา หลังคุณยายวัย 91 รับปริญญา พร้อมส่งเสริมกิจการฮัจย์ให้ก้าวหน้า ย้ํารัฐมุ่งมั่นพัฒนาการศึกษาอย่างเต็มที่ และดูแลทุกศาสนาเท่าเทียมกัน
นายกฯ ยินดีต่างชาติชื่นชมไทยเปิดโอกาสทางการศึกษา หลังคุณยายวัย 91 รับปริญญา พร้อมส่งเสริมกิจการฮัจย์ให้ก้าวหน้า ย้ํารัฐมุ่งมั่นพัฒนาการศึกษาอย่างเต็มที่ และดูแลทุกศาสนาเท่าเทียมกัน
วันที่ 13 สิงหาคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยินดีที่สํานักข่าวต่างประเทศ เช่น สํานักข่าวบีบีซีของอังกฤษและสํานักข่าวเอบีซี สหรัฐอเมริกา ได้รายงานข่าวคุณยายกิมหลั่น จินากุล อายุ 91 ปี จาก จ.พะเยา เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาพัฒนาการมนุษย์และครอบครัว มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หลังจากใช้เวลาศึกษากว่า 10 ปี โดยมีชาวต่างชาติจํานวนมากเข้าไปแสดงความเห็นชื่นชมประเทศไทยที่เปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับประชาชนทุกวัย
“นายกฯ ชื่นชมคุณยายกิมหลั่นที่มุมานะศึกษาเล่าเรียนจนประสบความสําเร็จแม้มีอายุมากแล้ว แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครแก่เกินเรียน และยังเป็นแบบอย่างที่ดี ช่วยสร้างแรงบันดาลใจแก่คนไทยให้ใฝ่ใจในการศึกษา รักการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาตนเองให้ถึงที่สุด โดยยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนและพัฒนาการศึกษาของประเทศอย่างเต็มที่ เพื่อยกระดับมาตรฐานการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ํา และปฏิรูประบบการศึกษาไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น”
นอกจากนี้ ทางการซาอุดิอาระเบียได้ชื่นชมรัฐบาลและหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ที่ใส่ใจเรื่องการอํานวยความสะดวกแก่ผู้แสวงบุญฮัจญ์ ประจําปี 2560 มากยิ่งขึ้น เช่น สนับสนุนการเดินทางด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลําโดยไม่แวะเปลี่ยนเครื่องระหว่างทาง จัดพิธีอํานวยพรส่งผู้แสวงบุญอย่างสมเกียรติ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หาดใหญ่ และนราธิวาส จัดที่พักใกล้สถานที่ประกอบพิธี เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ผู้แสวงบุญไม่เหน็ดเหนื่อย และสามารถลดอัตราการเจ็บป่วยระหว่างเดินทางได้ นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของการพัฒนากิจการฮัจย์ของประเทศไทย
“นายกฯ เน้นย้ําว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการดูแลทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน และมุ่งให้ศาสนิกชนทุกศาสนารักใคร่สามัคคีและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพราะทุกคนถือเป็นคนไทยที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน โดยเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้สังคมเกิดความสงบ และประชาชนดําเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข”
------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดีต่างชาติชื่นชมไทยเปิดโอกาสทางการศึกษา หลังคุณยายวัย 91 รับปริญญา พร้อมส่งเสริมกิจการฮัจย์ให้ก้าวหน้า ย้ำรัฐมุ่งมั่นพัฒนาการศึกษาอย่างเต็มที่ และดูแลทุกศาสนาเท่าเทียมกัน
วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2560
นายกฯ ยินดีต่างชาติชื่นชมไทยเปิดโอกาสทางการศึกษา หลังคุณยายวัย 91 รับปริญญา พร้อมส่งเสริมกิจการฮัจย์ให้ก้าวหน้า ย้ํารัฐมุ่งมั่นพัฒนาการศึกษาอย่างเต็มที่ และดูแลทุกศาสนาเท่าเทียมกัน
นายกฯ ยินดีต่างชาติชื่นชมไทยเปิดโอกาสทางการศึกษา หลังคุณยายวัย 91 รับปริญญา พร้อมส่งเสริมกิจการฮัจย์ให้ก้าวหน้า ย้ํารัฐมุ่งมั่นพัฒนาการศึกษาอย่างเต็มที่ และดูแลทุกศาสนาเท่าเทียมกัน
วันที่ 13 สิงหาคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยินดีที่สํานักข่าวต่างประเทศ เช่น สํานักข่าวบีบีซีของอังกฤษและสํานักข่าวเอบีซี สหรัฐอเมริกา ได้รายงานข่าวคุณยายกิมหลั่น จินากุล อายุ 91 ปี จาก จ.พะเยา เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาพัฒนาการมนุษย์และครอบครัว มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หลังจากใช้เวลาศึกษากว่า 10 ปี โดยมีชาวต่างชาติจํานวนมากเข้าไปแสดงความเห็นชื่นชมประเทศไทยที่เปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับประชาชนทุกวัย
“นายกฯ ชื่นชมคุณยายกิมหลั่นที่มุมานะศึกษาเล่าเรียนจนประสบความสําเร็จแม้มีอายุมากแล้ว แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครแก่เกินเรียน และยังเป็นแบบอย่างที่ดี ช่วยสร้างแรงบันดาลใจแก่คนไทยให้ใฝ่ใจในการศึกษา รักการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาตนเองให้ถึงที่สุด โดยยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนและพัฒนาการศึกษาของประเทศอย่างเต็มที่ เพื่อยกระดับมาตรฐานการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ํา และปฏิรูประบบการศึกษาไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น”
นอกจากนี้ ทางการซาอุดิอาระเบียได้ชื่นชมรัฐบาลและหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ที่ใส่ใจเรื่องการอํานวยความสะดวกแก่ผู้แสวงบุญฮัจญ์ ประจําปี 2560 มากยิ่งขึ้น เช่น สนับสนุนการเดินทางด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลําโดยไม่แวะเปลี่ยนเครื่องระหว่างทาง จัดพิธีอํานวยพรส่งผู้แสวงบุญอย่างสมเกียรติ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หาดใหญ่ และนราธิวาส จัดที่พักใกล้สถานที่ประกอบพิธี เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ผู้แสวงบุญไม่เหน็ดเหนื่อย และสามารถลดอัตราการเจ็บป่วยระหว่างเดินทางได้ นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของการพัฒนากิจการฮัจย์ของประเทศไทย
“นายกฯ เน้นย้ําว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการดูแลทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน และมุ่งให้ศาสนิกชนทุกศาสนารักใคร่สามัคคีและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพราะทุกคนถือเป็นคนไทยที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน โดยเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้สังคมเกิดความสงบ และประชาชนดําเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข”
------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5914
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ห่วงอุบัติเหตุ ช่วงฉลองรับปีใหม่ จัดทีมเชิงรุก ถนนสายรอง ด่านชุมชน แยกผู้ดื่มไม่ให้ขับขี่
|
วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2562
สธ. ห่วงอุบัติเหตุ ช่วงฉลองรับปีใหม่ จัดทีมเชิงรุก ถนนสายรอง ด่านชุมชน แยกผู้ดื่มไม่ให้ขับขี่
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงอุบัติเหตุในถนนสายรอง ในหมู่บ้าน/ชุมชน จาก “ดื่มแล้วขับ” ช่วงเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่ารับปีใหม่ จัดทีมเชิงรุกส่งเจ้าหน้าที่-อสม. 1 ล้านกว่าคน เข้มด่านชุมชน/ด่านครอบครัว แยกผู้ดื่มไม่ให้ขับขี่ ป้องกันการอุบัติเหตุ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นวันที่ 3 ของวันหยุดต่อเนื่องเทศกาลปีใหม่ ประชาชน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ถึงจุดหมายของการเดินทาง มีการกินเลี้ยงสังสรรค์ ฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งจะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้อง ข้อมูลปีใหม่ 2562 ผู้ประสบอุบัติเหตุมีปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่ดื่มแล้วขับถึงร้อยละ 40 และเกิดอุบัติเหตุในถนนสายรอง ในหมู่บ้าน /ชุมชน ร้อยละ 60 ที่สําคัญคือเป็นคนในพื้นที่ถึงร้อยละ 65 ดังนั้น จําเป็นต้องเข้มข้นการดําเนินงานของด่านชุมชน /ด่านครอบครัว
นายอนุทิน กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทุกจังหวัด ส่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.)ที่มีอยู่จํานวนกว่าล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในชุมชนใกล้ชิดประชาชน รู้จุดเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง รู้จักกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงดื่มแล้วขับ เชิงรุกออกไปแยกผู้ดื่มไม่ให้ขับขี่ พร้อมประชาสัมพันธ์ย้ําเตือนผู้ขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ให้ปฏิบัติตามกฎจราจร คาดเข็มขัดนิรภัย สวมหมวกกันน็อค ไม่ขับรถเร็ว ที่สําคัญ “ดื่มไม่ขับ พักผ่อนให้เพียงพอ” เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ ไปกลับปลอดภัย
“พวกเราชาวสาธารณสุขกว่า 2แสนคน และ อสม. อีก 1 ล้านกว่าคน เตรียมพร้อมทุกอย่างที่จะดูแลให้ทุกคนเดินทางเที่ยวปีใหม่ปลอดภัย เราอยากรอเก้อ ไม่อยากให้มีใครบาดเจ็บ หรือเกิดความสูญเสียเกิดขึ้น ให้เป็นปีใหม่ที่มีความสุข ไม่ใช่โศกเศร้า” นายอนุทินกล่าว
ด้านนายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นําความห่วงใย ขอบคุณ และให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ที่จังหวัดหนองคาย จากการตรวจเยี่ยมพบว่า มีการเตรียมพร้อมทั้งการตั้งรับในโรงพยาบาล และเชิงรุกในชุมชน โดยส่งเจ้าหน้าที่ และอสม.วันละ 120 คน ร่วมปฏิบัติงานในด่านชุมชน 28 จุดของจังหวัด เน้นการกวดขันวินัยจราจรในพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งตรวจเตือนร้านค้า ร้านขายของชําในหมู่บ้านให้ปฏิบัติตาม พรบ.แอลกอฮอล์ ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 จ.หนองคาย เกิดอุบัติเหตุ 36 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ รักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก 63 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ สาเหตุจากดื่มแล้วขับ
****************************** 30 ธันวาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ห่วงอุบัติเหตุ ช่วงฉลองรับปีใหม่ จัดทีมเชิงรุก ถนนสายรอง ด่านชุมชน แยกผู้ดื่มไม่ให้ขับขี่
วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2562
สธ. ห่วงอุบัติเหตุ ช่วงฉลองรับปีใหม่ จัดทีมเชิงรุก ถนนสายรอง ด่านชุมชน แยกผู้ดื่มไม่ให้ขับขี่
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงอุบัติเหตุในถนนสายรอง ในหมู่บ้าน/ชุมชน จาก “ดื่มแล้วขับ” ช่วงเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่ารับปีใหม่ จัดทีมเชิงรุกส่งเจ้าหน้าที่-อสม. 1 ล้านกว่าคน เข้มด่านชุมชน/ด่านครอบครัว แยกผู้ดื่มไม่ให้ขับขี่ ป้องกันการอุบัติเหตุ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นวันที่ 3 ของวันหยุดต่อเนื่องเทศกาลปีใหม่ ประชาชน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ถึงจุดหมายของการเดินทาง มีการกินเลี้ยงสังสรรค์ ฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งจะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้อง ข้อมูลปีใหม่ 2562 ผู้ประสบอุบัติเหตุมีปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่ดื่มแล้วขับถึงร้อยละ 40 และเกิดอุบัติเหตุในถนนสายรอง ในหมู่บ้าน /ชุมชน ร้อยละ 60 ที่สําคัญคือเป็นคนในพื้นที่ถึงร้อยละ 65 ดังนั้น จําเป็นต้องเข้มข้นการดําเนินงานของด่านชุมชน /ด่านครอบครัว
นายอนุทิน กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทุกจังหวัด ส่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.)ที่มีอยู่จํานวนกว่าล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในชุมชนใกล้ชิดประชาชน รู้จุดเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง รู้จักกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงดื่มแล้วขับ เชิงรุกออกไปแยกผู้ดื่มไม่ให้ขับขี่ พร้อมประชาสัมพันธ์ย้ําเตือนผู้ขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ให้ปฏิบัติตามกฎจราจร คาดเข็มขัดนิรภัย สวมหมวกกันน็อค ไม่ขับรถเร็ว ที่สําคัญ “ดื่มไม่ขับ พักผ่อนให้เพียงพอ” เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ ไปกลับปลอดภัย
“พวกเราชาวสาธารณสุขกว่า 2แสนคน และ อสม. อีก 1 ล้านกว่าคน เตรียมพร้อมทุกอย่างที่จะดูแลให้ทุกคนเดินทางเที่ยวปีใหม่ปลอดภัย เราอยากรอเก้อ ไม่อยากให้มีใครบาดเจ็บ หรือเกิดความสูญเสียเกิดขึ้น ให้เป็นปีใหม่ที่มีความสุข ไม่ใช่โศกเศร้า” นายอนุทินกล่าว
ด้านนายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นําความห่วงใย ขอบคุณ และให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ที่จังหวัดหนองคาย จากการตรวจเยี่ยมพบว่า มีการเตรียมพร้อมทั้งการตั้งรับในโรงพยาบาล และเชิงรุกในชุมชน โดยส่งเจ้าหน้าที่ และอสม.วันละ 120 คน ร่วมปฏิบัติงานในด่านชุมชน 28 จุดของจังหวัด เน้นการกวดขันวินัยจราจรในพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งตรวจเตือนร้านค้า ร้านขายของชําในหมู่บ้านให้ปฏิบัติตาม พรบ.แอลกอฮอล์ ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 จ.หนองคาย เกิดอุบัติเหตุ 36 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ รักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก 63 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ สาเหตุจากดื่มแล้วขับ
****************************** 30 ธันวาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25548
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรชี้แจง กรณีสื่อนำเสนอว่าเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี
|
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561
กรมศุลกากรชี้แจง กรณีสื่อนําเสนอว่าเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี
กรมศุลกากรชี้แจง กรณีสื่อนําเสนอว่าเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561 นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ชี้แจงกรณีที่สื่อนําเสนอว่าเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี โดยกรณีของบริษัทเชฟรอนที่เกี่ยวข้องกับกรมศุลกากร มี 2 กรณี คือ
1. การส่งน้ํามันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะที่ไหล่ทวีป ในคราวแรกบริษัท ปฏิบัติพิธีการศุลกากรส่งออกสินค้า แต่ต่อมา เมื่อมีความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 1886/2559 ว่า การส่งน้ํามันไปยังแท่นขุดเจาะเป็นการใช้ภายในประเทศ จึงต้องมีการยกเลิกใบขนสินค้า (ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามข้อสังเกตุของ สตง. ที่ให้ยกเลิกใบขนสินค้า) และเมื่อไม่ใช่การส่งออก จึงต้องชําระภาษีสรรพสามิต ดังนั้น เมื่อไม่ใช่การส่งออก เป็นการใช้ภายในประเทศ จึงไม่มีอากรศุลกากร และไม่มีความผิดฐานหลีกเลี่ยงอากร ไม่มีค่าปรับตามกฎหมายศุลกากร ส่วนการที่บริษัท ต้องเสียภาษีสรรพสามิตและเบี้ยปรับตามภาษีสรรพสามิตหรือไม่ อย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่กรมสรรพสามิตซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดําเนินการ
2. กรณีการจับน้ํามันเถื่อน 1.6 ล้านลิตร เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ตรวจยึดน้ํามันของกลางทั้งหมดจากเรือ supply boat ทั้ง 8 ลํา จํานวนน้ํามันทั้งหมด 1,680,975 ลิตร ภายในเขตทําเนียบท่าเรือนุมัติ ซึ่งยังอยู่ภายในเขตศุลกากร และบริษัท ได้มีคําร้องขอให้เปรียบเทียบงดการฟ้องร้องตามพระราชบัญญัติศุลกากร ยอมรับว่ามีการกระทําผิดฐานพยายามนําของที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร ตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 และยินยอมยกของกลางน้ํามันไฮสปีดดีเซลให้เป็นของแผ่นดิน ตามเกณฑ์ระงับคดีของกรมศุลกากร เพื่อนําของกลางจําหน่ายเป็นรายได้ของรัฐ และนําส่งเป็นรายได้แผ่นดินแล้ว
------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรชี้แจง กรณีสื่อนำเสนอว่าเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561
กรมศุลกากรชี้แจง กรณีสื่อนําเสนอว่าเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี
กรมศุลกากรชี้แจง กรณีสื่อนําเสนอว่าเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561 นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ชี้แจงกรณีที่สื่อนําเสนอว่าเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท เชฟรอน หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี โดยกรณีของบริษัทเชฟรอนที่เกี่ยวข้องกับกรมศุลกากร มี 2 กรณี คือ
1. การส่งน้ํามันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะที่ไหล่ทวีป ในคราวแรกบริษัท ปฏิบัติพิธีการศุลกากรส่งออกสินค้า แต่ต่อมา เมื่อมีความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 1886/2559 ว่า การส่งน้ํามันไปยังแท่นขุดเจาะเป็นการใช้ภายในประเทศ จึงต้องมีการยกเลิกใบขนสินค้า (ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามข้อสังเกตุของ สตง. ที่ให้ยกเลิกใบขนสินค้า) และเมื่อไม่ใช่การส่งออก จึงต้องชําระภาษีสรรพสามิต ดังนั้น เมื่อไม่ใช่การส่งออก เป็นการใช้ภายในประเทศ จึงไม่มีอากรศุลกากร และไม่มีความผิดฐานหลีกเลี่ยงอากร ไม่มีค่าปรับตามกฎหมายศุลกากร ส่วนการที่บริษัท ต้องเสียภาษีสรรพสามิตและเบี้ยปรับตามภาษีสรรพสามิตหรือไม่ อย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่กรมสรรพสามิตซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดําเนินการ
2. กรณีการจับน้ํามันเถื่อน 1.6 ล้านลิตร เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ตรวจยึดน้ํามันของกลางทั้งหมดจากเรือ supply boat ทั้ง 8 ลํา จํานวนน้ํามันทั้งหมด 1,680,975 ลิตร ภายในเขตทําเนียบท่าเรือนุมัติ ซึ่งยังอยู่ภายในเขตศุลกากร และบริษัท ได้มีคําร้องขอให้เปรียบเทียบงดการฟ้องร้องตามพระราชบัญญัติศุลกากร ยอมรับว่ามีการกระทําผิดฐานพยายามนําของที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร ตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 และยินยอมยกของกลางน้ํามันไฮสปีดดีเซลให้เป็นของแผ่นดิน ตามเกณฑ์ระงับคดีของกรมศุลกากร เพื่อนําของกลางจําหน่ายเป็นรายได้ของรัฐ และนําส่งเป็นรายได้แผ่นดินแล้ว
------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14919
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เกษตรฯ ย้ำ แก้กม.คุ้มครองพันธุ์พืช เกษตรกรไม่เสียสิทธิ
|
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
รมว.เกษตรฯ ย้ํา แก้กม.คุ้มครองพันธุ์พืช เกษตรกรไม่เสียสิทธิ
รมว.เกษตรฯ ย้ํา แก้กม.คุ้มครองพันธุ์พืช เกษตรกรไม่เสียสิทธิ แต่หากสร้างความสับสนพร้อมยุติการทบทวนทันที
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชของกรมวิชาการเกษตร ว่า กระทรวงเกษตรฯ เน้นย้ํามาตลอดในการพิจารณาข้อกําหนดใดๆ จะต้องคํานึงถึงประโยชน์ของเกษตรกรเป็นสําคัญ ซึ่งเรื่องดังกล่าวที่เกิดความสับสนและยังไม่เข้าใจในรายละเอียดถึงการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวในวงกว้าง ซึ่งเบื้องต้นได้สั่งการให้กรมวิชาการเกษตรขยายเวลารับฟังความเห็นจากเดิม 20 ต.ค. 60 เป็น 20 พ.ย. 60 เพื่อให้เกิดความชัดเจน และครอบคลุมจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย จากนั้นจะรวบรวมความเห็นทั้งหมดเพื่อหารือร่วมกับ เอ็นจีโอ นักวิชาการ สมาคมผู้ประกอบการ ผู้แทนสภาเกษตรกร และผู้แทนศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) อีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุด เป็นประโยชนต่อเกษตรกรและต่อการคุ้มครองพันธุ์พืชของประเทศไทย ก่อนนําข้อสรุปเสนอมายังกระทรวงฯ พิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม หากการปรับปรุงแก้ไขพ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชยังเกิดความสับสนและไม่ชัดเจน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ดําเนินการต่อและยุติการปรับปรุงทันที
ด้านนายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรกล่าวว่า ขณะนี้การดําเนินงานยังอยู่ในขั้นตอนแรกในการเสนอเพื่อปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช โดยประเด็นที่ประชาชนและเกษตรกรยังเกิดความสับสนใน 2 กรณีคือ 1)พันธุ์พืชชนิดเดิมที่เกษตรกรมีการปลูกอยู่แล้ว สามารถดําเนินการได้ตามปกติ ไม่ผิดกฎหมายเกษตรกรสามารถเก็บผลผลิต และพันธุ์ไว้ปลูก หรือขายได้ตามปกติ ซึ่งมีปรากฏอยู่ในกฎหมายฉบับปัจจุบันตามมาตรา 33 อยู่แล้ว ไม่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขในฉบับใหม่แต่อย่างใด2)พันธุ์ใหม่ที่มีการปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งถือเป็นพันธุ์ใหม่ เกษตรกรสามารถซื้อหรือเก็บส่วนขยายพันธุ์ไว้ใช้เองเพื่อปลูกได้ในรุ่นต่อไป โดยในกฎหมายฉบับปัจจุบันมาตรา 33 และฉบับปรับปรุงแก้ไข มาตรา 35 สิทธิของเกษตรกรยังคงเดิม มีเพียงประเด็นเดียว คือ หลักเกณฑ์ในเรื่องการเก็บเมล็ดพันธุ์ ซึ่งจะกําหนดเป็นปริมาณหรือพื้นที่ที่จะนํามาพิจารณาความชัดเจนอีกครั้งเท่านั้น
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เกษตรฯ ย้ำ แก้กม.คุ้มครองพันธุ์พืช เกษตรกรไม่เสียสิทธิ
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
รมว.เกษตรฯ ย้ํา แก้กม.คุ้มครองพันธุ์พืช เกษตรกรไม่เสียสิทธิ
รมว.เกษตรฯ ย้ํา แก้กม.คุ้มครองพันธุ์พืช เกษตรกรไม่เสียสิทธิ แต่หากสร้างความสับสนพร้อมยุติการทบทวนทันที
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชของกรมวิชาการเกษตร ว่า กระทรวงเกษตรฯ เน้นย้ํามาตลอดในการพิจารณาข้อกําหนดใดๆ จะต้องคํานึงถึงประโยชน์ของเกษตรกรเป็นสําคัญ ซึ่งเรื่องดังกล่าวที่เกิดความสับสนและยังไม่เข้าใจในรายละเอียดถึงการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวในวงกว้าง ซึ่งเบื้องต้นได้สั่งการให้กรมวิชาการเกษตรขยายเวลารับฟังความเห็นจากเดิม 20 ต.ค. 60 เป็น 20 พ.ย. 60 เพื่อให้เกิดความชัดเจน และครอบคลุมจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย จากนั้นจะรวบรวมความเห็นทั้งหมดเพื่อหารือร่วมกับ เอ็นจีโอ นักวิชาการ สมาคมผู้ประกอบการ ผู้แทนสภาเกษตรกร และผู้แทนศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) อีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุด เป็นประโยชนต่อเกษตรกรและต่อการคุ้มครองพันธุ์พืชของประเทศไทย ก่อนนําข้อสรุปเสนอมายังกระทรวงฯ พิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม หากการปรับปรุงแก้ไขพ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชยังเกิดความสับสนและไม่ชัดเจน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ดําเนินการต่อและยุติการปรับปรุงทันที
ด้านนายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรกล่าวว่า ขณะนี้การดําเนินงานยังอยู่ในขั้นตอนแรกในการเสนอเพื่อปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช โดยประเด็นที่ประชาชนและเกษตรกรยังเกิดความสับสนใน 2 กรณีคือ 1)พันธุ์พืชชนิดเดิมที่เกษตรกรมีการปลูกอยู่แล้ว สามารถดําเนินการได้ตามปกติ ไม่ผิดกฎหมายเกษตรกรสามารถเก็บผลผลิต และพันธุ์ไว้ปลูก หรือขายได้ตามปกติ ซึ่งมีปรากฏอยู่ในกฎหมายฉบับปัจจุบันตามมาตรา 33 อยู่แล้ว ไม่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขในฉบับใหม่แต่อย่างใด2)พันธุ์ใหม่ที่มีการปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งถือเป็นพันธุ์ใหม่ เกษตรกรสามารถซื้อหรือเก็บส่วนขยายพันธุ์ไว้ใช้เองเพื่อปลูกได้ในรุ่นต่อไป โดยในกฎหมายฉบับปัจจุบันมาตรา 33 และฉบับปรับปรุงแก้ไข มาตรา 35 สิทธิของเกษตรกรยังคงเดิม มีเพียงประเด็นเดียว คือ หลักเกณฑ์ในเรื่องการเก็บเมล็ดพันธุ์ ซึ่งจะกําหนดเป็นปริมาณหรือพื้นที่ที่จะนํามาพิจารณาความชัดเจนอีกครั้งเท่านั้น
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7333
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงาน Change Together การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของบริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน)
|
วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม 2561
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงาน Change Together การเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญของบริษัท สหการประมูล จํากัด (มหาชน)
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงาน Change Together การเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญของบริษัท สหการประมูล จํากัด (มหาชน)
เมื่อวันที่ 30 พฆศจิกายน 2561 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Change Together การเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญของบริษัท สหการประมูล จํากัด(มหาชน) พร้อมร่วมเป็นเกียรติในการเปิดตัวแอพพลิเคชั่น AUCT Friend แอพพลิเคชั่นเพื่อมิติใหม่ในการประมูลขายทอดตลาด ง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูลทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย โดยมีนายสุวิทย์ ยอดจรัส ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหการประมูล จํากัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ ณ ลานกิจกรรม ฮาร์ดร็อค คาเฟ่ สยาม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงาน Change Together การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของบริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน)
วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม 2561
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงาน Change Together การเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญของบริษัท สหการประมูล จํากัด (มหาชน)
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดงาน Change Together การเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญของบริษัท สหการประมูล จํากัด (มหาชน)
เมื่อวันที่ 30 พฆศจิกายน 2561 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Change Together การเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญของบริษัท สหการประมูล จํากัด(มหาชน) พร้อมร่วมเป็นเกียรติในการเปิดตัวแอพพลิเคชั่น AUCT Friend แอพพลิเคชั่นเพื่อมิติใหม่ในการประมูลขายทอดตลาด ง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูลทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย โดยมีนายสุวิทย์ ยอดจรัส ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหการประมูล จํากัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ ณ ลานกิจกรรม ฮาร์ดร็อค คาเฟ่ สยาม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17248
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
|
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
เนื่องในโอกาสเข้าสู่เดือนรอมฎอน ประจําปีฮิจเราะห์ศักราช 1439 ผมขอส่งความปรารถนาดีไปถึงพี่น้องชาวไทยมุสลิมทุกคน และขอสนับสนุนคําแนะนําของคณะกรรมการอิสลามในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการร่วมกันถือศีลอดด้วยความศรัทธา ปฏิบัติตามแบบอย่างของศาสดาและปฏิบัติศาสนกิจต่าง ๆ ตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัดร่วมกันดูแลครอบครัวและบุคคลที่ตนรักให้มั่นคงอยู่ในแนวทางของศาสนา ลด ละ เลิก สิ่งเสพติดที่เป็นโทษ อบายมุขทั้งปวงตลอดทั้งเดือนรอมฎอน อีกทั้งร่วมกันสนับสนุนนโยบายแนวทางของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยสันติวิธี โดยต่อต้านและปฏิเสธความรุนแรง ไม่ให้การสนับสนุนกลุ่มที่ก่อกวนและก่อเหตุรุนแรงทุกกลุ่มเพื่อให้การปฏิบัติศาสนกิจในห้วงเดือนรอมฎอนเกิดความสงบสุข ทั้งนี้ ผมเชื่อมั่นว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีและคํานึงถึงประโยชน์ของผู้อื่น ก็ขอให้ทุกคนนําหลักคําสอนของศาสนาไปปรับใช้ในชีวิต และร่วมมือกันเดินหน้าพัฒนาประเทศ ลดความขัดแย้ง ตลอดจนปกป้องประเทศชาติ ให้พ้นจากการกระทําของผู้ไม่หวังดี ที่พยายามยุยงปลุกปั่น หรือก่อเหตุสร้างความวุ่นวายในสังคมด้วย
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
หากใครเคยเป็นคนกลางอยู่ระหว่างความขัดแย้ง คงเข้าใจได้โดยง่าย ว่าสิ่งที่ยากไม่ใช่การยุติความขัดแย้ง แต่สิ่งที่ยากกว่า ก็คือการสร้างความปรองดองที่ยั่งยืน เพราะว่าการปรับตัวเข้าหากัน โดยปฏิบัติตามคําแนะนําของคนกลาง ตามกฎกติกาที่ควรจะเป็นนั้น เป็นเรื่องของความสมัครใจและความยินยอมของทุกฝ่าย เราไม่อาจบังคับกันได้ และนั่นเป็นอุปสรรคในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม4 ปี ของ คสช. ก็นับเป็นก้าวแรกของการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง บางอย่างทําได้ก็ทําทันที บางอย่างสําเร็จโดยง่ายเพราะทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน หลายอย่างขับเคลื่อนได้ยาก เพราะยังไม่เข้าใจกัน ที่แย่กว่านั้น บางคน บางกลุ่ม ยังปกป้องผลประโยชน์ส่วนตน จนมองไม่เห็นผลประโยชน์ส่วนรวม วันนี้เราก็สามารถเริ่มต้นการปฏิรูปประเทศของเราไปแล้วหลายเรื่อง โดยผมขอหยิบยกบางประเด็นมาเล่าให้ฟังในคืนนี้ และขอย้ําว่า การปฏิรูปนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทําอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวันจบสิ้น บางเรื่องกว่าจะสําเร็จต้องใช้เวลานาน ต้องทุ่มเททรัพยากรมาก โดยเฉพาะความร่วมมือกัน และทุกการปฏิรูป ต้องเริ่มที่การปฏิรูปตนเองก่อนเสมอ อย่างน้อย เราจะต้องไม่หยุดพัฒนาตนเองด้วย ทั้งนี้ การปฏิรูปประเทศของเรา ระยะเริ่มต้น เราสามารถกล่าวได้เป็นประเด็น ๆ ดังนี้
1. เรื่องการแก้จนเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน การปฏิรูปของเราเริ่มจากการขจัดหนี้นอกระบบ โดยบูรณาการหลายหน่วยงาน ด้วยการผลักดันกฎหมาย มาตรการ และโครงการต่าง ๆ อาทิ พระราชบัญญัติห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560, การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อ แหล่งเงินทุน,การไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ รวมถึงการเพิ่มศักยภาพของลูกหนี้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยให้ความรู้ทางการเงิน และการทําบัญชีครัวเรือน เป็นต้น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งผู้มีรายได้น้อยเข้าร่วมโครงการกว่า 11 ล้านคน ที่จะได้รับวงเงินผ่านบัตร เพื่อลดภาระค่าครองชีพในเฟสแรก แล้วในเฟส 2 ก็สนับสนุนให้มีการฝึกอาชีพ เพื่อให้มีงานทํา มีรายได้ เข้มแข็ง และพึ่งพาตนเองได้ในที่สุด เรื่องกฎหมายขายฝากที่จะช่วยไม่ให้พี่น้องเกษตรกรตกเป็นเหยื่อ จนเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนให้กับนายทุน เจ้าหนี้นอกระบบ เหมือนในอดีต กฎหมายสถาบันการเงินประชาชน เพื่อช่วยเหลือประชาชนระดับฐานรากสามารถจัดตั้งสถาบันการเงินเล็ก ๆ ในชุมชนของตนเองในทุก ๆ ตําบลทั่วประเทศ มีการบริหารงานอย่างเป็นระบบ มีธรรมาภิบาล มีธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นพี่เลี้ยงคอยสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน ซึ่งก็จะส่งผลดีกับพี่น้องประชาชนมากกว่า 20 - 30 ล้านคน ทั้งในชนบทและในเมือง ปัจจุบันมีอยู่แล้วเกือบ 30,000 แห่งเพียงแต่ยังไม่เป็นนิติบุคคลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งต่อไปจะได้รับการยกระดับการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพต่อไป และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ที่ส่งเสริมให้ประชาชนรักการออม และสร้างความมั่นคงในชีวิตบั้นปลาย มีการดําเนินงานเป็นรูปธรรมอย่างมากในรัฐบาลนี้ มีสมาชิกมากกว่า 5 แสนคน กว่าครึ่งเป็นเกษตรกร โดยมีเงินกองทุนกว่า 3 พันล้านบาท เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลให้ความสําคัญในการบริหารทรัพยากรป่าไม้ ที่ดินน้ํา เนื่องจากเป็นปัจจัยการผลิตที่สําคัญของประเทศ ปัจจุบันเรามีพื้นที่ป่าเหลือ 100 ล้านไร่ หรือร้อยละ 32 ของพื้นที่ประเทศ เป้าหมายเราควรจะเพิ่มให้เป็นร้อยละ 40 ให้ได้ โดยเรามีแผนดําเนินการระยะยาว 10 ปี เราต้องทําควบคู่กัน กับผู้ที่เดือดร้อนจากการอยู่ในป่าเหล่านั้น ด้วยการจัดหาที่ดินทํากินให้ชุมชนเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วม คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน เราดําเนินการแล้วใน 66 จังหวัด พื้นที่ประมาณ 1 ล้านไร่ มีการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์แล้ว จํานวนกว่า 250,000 ไร่ จัดที่ดินให้ประชาชนแล้ว 152 พื้นที่ ใน 54 จังหวัด มีประชากรได้รับการจัดที่ดินแล้วกว่า36,000 ราย โดยมีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) บริหารจัดการในภาพรวม รวมทั้งผลักดันกฎหมายสําคัญอื่น ๆ อาทิ กฎหมายป่าชุมชน และแก้ไข พร.บ.ป่าไม้ฯ เพื่อเปิดทางให้กับเศรษฐกิจชาวบ้าน เกี่ยวกับการปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ เราก็จะทําให้ชาวบ้านและชุมชนสามารถสร้างสวนป่า ปลูกป่าไม้มีค่า ที่เป็นพืชเศรษฐกิจราคาแพงในที่ดินของตนเองได้ ก็จะเกิดเป็นเป็นสินทรัพย์ เป็นการออมระยะยาว ที่ชาวบ้านสามารถตัดขายเมื่อต้องการใช้เงิน และมีมูลค่าเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามอายุของต้นไม้
สําหรับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแบบบูรณาการ น้อยคนที่จะทราบว่าความเสียหายจากมหาอุทกภัยปี 2554 ที่ธนาคารโลกประเมินไว้ ว่าประเทศไทยเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.35 ล้านล้านบาท อีกทั้งภัยแล้งยังสร้างความเสียหายให้กับภาคเกษตรกรรมของประเทศปีละ 4 - 5 หมื่นล้านบาทเมื่อรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ก็ได้ผลักดันให้มียุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ําของประเทศ ล่าสุดเป็นแผนงานระยะ 20 ปี พ.ศ. 2560 ถึง 2579 ต้องทํางานต่อเนื่อง มี สทนช. (สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ) ที่ทํางานในลักษณะSingle Command อย่างมีเอกภาพ แม้จะเกิดจากการบูรณาการกันของหน่วยงาน 3 ปีที่ผ่านมา มีการสร้างแก้มลิงขนาดเล็ก 30 แห่ง ใน 5 จังหวัดภาคอีสานสร้างแหล่งเก็บกักน้ํา มากกว่า 50 โครงการ คิดปริมาณน้ํากว่า 1,200 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มพื้นที่ชลประมาณ 1.1 ล้านไร่ พัฒนาอาคารบังคับน้ํา สามารถเก็บกักน้ําจากลําน้ําสายหลักได้300 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มพื้นที่ชลประทาน 7 แสนไร่ สร้างระบบกระจายน้ําอุปโภค-บริโภค 256 โครงการทั่วประเทศ ได้ปริมาณน้ํา 60 ล้านลูกบาศก์เมตร สําหรับ 15,000 ครัวเรือนเรามีแผนที่จะทยอยสร้างระบบกระจายน้ําฯ เพิ่มเติมอีกประมาณ 3,500 แห่ง ภายใน 3 ปีถัดจากนี้ นอกจากนี้ ยังเร่งศึกษาโครงการผันน้ําจากกลุ่มน้ําสาละวินและสาขา เพื่อเพิ่มน้ําต้นทุนในเขื่อนภูมิพล ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้อีกกว่า 1 ล้านไร่ และทําแผนจัดหาน้ําระยะ 10 ปี สําหรับป้อนภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่EECจากเดิมที่ดําเนินการพัฒนาแหล่งน้ําไปแล้วกว่า 1,300 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยจะหาเพิ่มเติม 800 ล้านลูกบาศก์เมตรภายในปี 2570 และอีก 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตรภายในปี 2579 ทั้งนี้ ก็เพื่อสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ําให้กับภาคครัวเรือน ภาคการผลิต เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการรักษาสมดุลทางธรรมชาติของประเทศ
2. เรื่องการแก้เหลื่อมล้ําเพื่อสร้างความเสมอภาคในสังคม อาทิความเสมอภาคในกระบวนการยุติธรรม โดยการยกระดับ พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 ที่บังคับใช้มาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว มีผู้เสียหายมายื่นขอรับค่าตอบแทนเพียงร้อยละ 20 เปรียบเทียบกับสถิติการแจ้งความของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ เมื่อรัฐบาลนี้เข้ามา ได้เร่งสร้างประชาสัมพันธ์ให้รับรู้สิทธิของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือผู้เสียหาย โดยเน้นการทํางานแบบบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงยุติธรรมและสํานักงานตํารวจแห่งชาติ รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายให้ส่งเสริมการกระจายอํานาจไปสู่ส่วนภูมิภาคมากขึ้น ทําให้ประชาชนได้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น โดยสามารถยื่นขอความช่วยเหลือได้ที่ทุกสถานีตํารวจ หรือสํานักงานยุติธรรมจังหวัดทุกจังหวัดใกล้บ้าน ผลสําเร็จคือ สถิติผู้เสียหายมายื่นขอรับค่าตอบแทนฯเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 62 ในปี 2557 และร้อยละ 86 ในปี 2560 รวม 4 ปีของรัฐบาลนี้ มีผู้รับคําขอความช่วยเหลือ ประมาณ 70,000 ราย อนุมัติช่วยเหลือเกือบ 45,000 ราย เป็นเงินช่วยเหลือทั้งสิ้นกว่า 2,300 ล้านบาท
นอกจากนี้กองทุนยุติธรรมช่วง 10 ปีก่อนที่ คสช. เข้ามา มีประชาชนมาขอรับความช่วยเหลือเพียง 13,000 ราย และได้รับความช่วยเหลือไปประมาณ 5,600 ราย คิดเป็นเงินกว่า 260 ล้านบาท ในปี 2558 รัฐบาลนี้แก้ไขให้มีการกระจายอํานาจมากขึ้น แต่ต้องโปร่งใสด้วย ช่วยให้ช่วง2558–2559เพียง 2 ปี มีประชาชนเข้าถึงกองทุนยุติธรรมมากขึ้นกว่า 10,000 รายมียอดเงินที่ช่วยเหลือประชาชน มากกว่าถึง 351 ล้านบาท แบบนี้ผู้ที่มีรายได้น้อยแต่โชคร้าย ตกเป็นเหยื่อ เป็นคดีความต่าง ๆ ก็จะได้รับโอกาส ได้รับความเป็นธรรม ลบคํากล่าวที่ว่าคุกมีไว้ขังคนจน ให้ทุกคนได้มีโอกาสแสดงความบริสุทธิ์ หรือต่อสู้คดีโดยไม่ต้องติดคุก เสียโอกาสทํามาหาเลี้ยงครอบครัว เสียประวัติอีกด้วย เว้นผู้ที่ตั้งใจทําความผิดครับ
สําหรับการยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนริมคลองลาดพร้าว มีเป้าหมาย 50 ชุมชน 7,000 กว่าครัวเรือน คืบหน้าไปแล้วร้อยละ 30 สําหรับการสร้างบ้านมั่นคงซึ่งจะเป็นที่อยู่แห่งใหม่ของชุมชน อีกทั้งเป็นการแก้ปัญหาการบุกรุกคูคลองสาธารณะ และปัญหาน้ําท่วมอีกด้วยส่วนโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงนั้น เป็นโครงการที่ใช้ความพยายามมานานสิบ ๆ ปี หลายสิบปี ก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามาบริหารจัดการจนสามารถเดินหน้าโครงการได้ แบ่งเป็น 4 เฟส เฟสแรกอาคารที่พักหลังใหม่จะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้ แล้วเราจะย้ายผู้อาศัยเดิมเข้าอยู่อาศัยต่อไปทั้งนี้ ทั้ง 2 โครงการดังกล่าว นอกจากจะช่วยลดความเหลื่อมล้ําของคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ชุมชนแออัดในเมืองแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาทางสังคม อาทิ อาชญากรรม และยาเสพติดได้ทางอ้อมอีกด้วย ก็ขอร้องบรรดาผู้ที่อยู่อาศัยติดคลองต่าง ๆ ที่อาจจะเป็นการบุกรุก ผิดกฎหมาย เราได้มีการปรับเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ก็ขอความร่วมมือไปด้วย ไม่อย่างนั้นทุกคนก็อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี ๆ แต่ก็ยังคงบุกรุกและอยู่อาศัยแบบเดิม เราพยายามจะแก้ปัญหาให้ ไม่ใช่ว่าผลักดันออกไปที่อื่น อยู่ในที่เดิมแต่ต้องมีการจัดระเบียบใหม่ จัดสรรปันส่วนให้ดี เพราะต้องมีปัญหาทั้งในเรื่องของขยะ น้ําเสีย ในเรื่องของการระบายน้ํา การพร่องน้ําการแก้ปัญหาน้ําท่วมบนผิวทางจราจรเพราะฉะนั้นวันนี้ คูคลองต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ กว่า 200 คูคลอง ต้องได้รับการแก้ไข แล้วก็บรรดา พ่อ แม่ พี่ น้อง ที่อาศัยอยู่ตามริมคลองเหล่านี้ มีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีมายาวนานแล้ว สุขภาพก็ไม่ดี กลิ่นต่าง ๆ ก็แรง แล้วน้ําก็เน่า เพราะฉะนั้นอันนี้อันตราย ขอความร่วมมือด้วยแล้วกัน
3. เรื่องการแก้โกงเพื่อป้องกันการทุจริตและสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน ได้มีการผลักดันให้นํา 2 มาตรการสําคัญ คือ ในเรื่องของโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ หรือระบบCoSTหรือข้อตกลงคุณธรรม หรือ IP (Integrity Pact)ซึ่งเน้นการเปิดเผยข้อมูลกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และการก่อสร้างโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐ ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่มีการเซ็นสัญญาข้อตกลงกันเงียบ ๆ เท่านั้น แต่ยังส่งคณะผู้สังเกตการณ์ไปนั่งเฝ้าติดตามการประชุมร่างเงื่อนไข (TOR)การประมูลต่าง ๆ ไปเฝ้าดูกระบวนการเสนอราคา การตรวจเอกสาร ไปเก็บข้อมูลด้วยตัวเองทุกขั้นตอนโดยตลอด ก็เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการทุกคณะที่แต่งตั้งขึ้นมาใหม่ในขณะนี้ นอกจากนี้เราได้จัดทําแอปพลิเคชั่นบนมือถือ ที่เรียกว่าภาษีไปไหน เปิดบริการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ทุกคนจะได้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ช่วยกันดูแล เป็นการติเพื่อก่อ อย่าทําให้ทุกอย่างสับสนวุ่นวาย อลหม่าน ด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความโปร่งใส รัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดการคอร์รัปชั่น หรือทุจริตใด ๆ ทั้งสิ้น เราต้องช่วยกัน จะได้เกิดผลประโยชน์สูงสุดอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ รัฐบาลได้อนุมัติให้ใช้การจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-Market)และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding)ช่วยให้การดําเนินการจัดหาวัสดุของภาครัฐดีขึ้น วันนี้มีการแก้ไขไปตามลําดับ ก็มีปัญหาอยู่บ้างในการใช้ระบบใหม่ ๆ ยกตัวอย่าง เฉพาะในปี 2559 เราสามารถประหยัดเงินงบประมาณแผ่นดินกว่า 30,000 ล้านบาทจาก 30,000 กว่าโครงการ ด้วยวงเงินที่ตั้งไว้กว่า 430,000 ล้านบาท สําหรับครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2561 นี้ เราสามารถประหยัดงบประมาณแผ่นดินกว่า 47,000 ล้านบาท จาก 61,000 กว่าโครงการ ด้วยวงเงินที่ตั้งไว้ 400,000 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นผลพลอยได้ แต่สิ่งสําคัญคือ ช่วยให้การดําเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส ไร้การฮั้วประมูล และตรวจสอบได้ ยิ่งกว่านี้ ก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ซึ่งมีศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) และการสร้างกลไกลักษณะเดียวกันนี้ ในระดับกระทรวงและระดับจังหวัดทุกจังหวัด ปฏิบัติงานร่วมกับ ป.ป.ช. ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อสนับสนุนภารกิจการป้องกันและปราบปรามการทุจริตรวมทั้งให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วย ต้องเข้าร่วมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA)เพื่อให้เกิดการสร้างวัฒนธรรมการทํางานอย่างมีคุณธรรมและความโปร่งใส
นอกจากนี้ ได้ออกคําสั่งให้เกิดความชัดเจน ในการดําเนินการกับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทุจริต เปิดช่องทางให้พี่น้องประชาชนได้ร้องเรียนมากขึ้นด้วย ทั้งสายด่วน 1111,สายด่วน 1567 ศูนย์ดํารงธรรม,สายด่วนไทยนิยมยั่งยืน ผ่านแอปพลิเคชั่นมือถือ หรือสายด่วน คสช. 1299 เพื่อแจ้งเบาะแสการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นต้น อย่างไรก็ตาม การป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไข การปราบปรามและการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การปลูกจิตสํานึกให้คนในชาติมีหิริโอตัปปะ หรือความละอายต่อการทําบาป และรักษาศีล 5 เป็นนิจ รวมทั้งให้เยาวชนรังเกียจพฤติกรรมการโกง และเลิกนิสัยธุระไม่ใช่ เราต้องช่วยกัน วันนี้กําลังจัดทําแผนบทเรียนไปในสถานศึกษาด้วยว่าจะทําอย่างไร โตไปแล้วไม่โกง
4. เรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนและประชาคมโลก 3 ปีที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้ผลักดันให้เกิดการลงทุน วงเงินกว่า 2.4 ล้านล้านบาท ในแทบทุกโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ทั้งถนน ทางด่วน มอเตอร์เวย์ รถไฟ รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ สนามบิน และสถานีขนส่งสินค้า ซึ่งที่ผ่านมาผมได้กล่าวมาเป็นระยะ ๆ แล้ว ทุกอย่างก็มีขั้นตอนการดําเนินการอยู่ ปีนี้จะผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องอีก รวมวงเงินราว 1 ล้านล้านบาท อาทิ รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน,รถไฟฟ้าสีแดงอ่อน- แดงเข้ม-สีม่วงใต้,รถไฟทางคู่ ระยะ 2 จํานวน 7 เส้นทาง,ปรับปรุงท่าเรือแหลมฉบัง,ทางยกระดับ-ทางด่วน-มอเตอร์เวย์ อีกหลายเส้นทาง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและโทรคมนาคมอีกกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านการศึกษา,ลดความเหลื่อมล้ําด้านสาธารณสุข,เชื่อมโยงการค้าe-Commerceจากท้องถิ่นสู่ตลาดโลก และเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย
ทั้งนี้ การลงทุนโครงสร้างดังกล่าว จะส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)ซึ่งส่งเสริมการพัฒนาใน10 อุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเป็นระบบ อาทิ มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ กําหนดเป้าหมายการพัฒนา 5 ปี พัฒนาหุ่นยนต์ต้นแบบ อย่างน้อย 150 ผลิตภัณฑ์แล้วถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงนี้ให้ผู้ประกอบการ 200 ราย รวมทั้งการฝึกอบรมแรงงานฝีมือมากกว่า 25,000 คน คาดว่าจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนผลิตอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัตินี้กว่า 12,000 ล้านบาทในปีแรก และเพิ่มเป็น 200,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีตามแผน ทั้งนี้EECจะเป็นต้นแบบความสําเร็จให้กับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พื้นที่ชายแดน 10 แห่ง ซึ่งปัจจุบันมีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากBOIสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแล้ว จํานวน 51 โครงการ เป็นวงเงินราว 9,000 ล้านบาทนอกจากนี้จะมีการจัดทําผังเมือง การจัดหาที่ดิน การลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรเพิ่มเติม เราต้องมีการบริหารจัดการแรงงานกับประเทศเพื่อนบ้านที่ลงทะเบียนไว้แล้วระบบบริหารจัดการภายในพื้นที่ ทั้งเรื่องความปลอดภัยในการทํางาน สุขอนามัย การบริหารจัดการน้ําและขยะ เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งดูแลในเรื่องความมั่นคงชายแดน
ซึ่งนอกจากการลงทุนดังกล่าวแล้ว รัฐบาลยังให้ความสําคัญอย่างมากในการปรับปรุงกระบวนการให้บริการภาครัฐ โดยเฉพาะการอํานวยความสะดวกและการอนุมัติ-อนุญาตต่าง ๆ ให้มีความสะดวก รวดเร็ว โปร่งใสยิ่งขึ้นช่วยทําให้การจัดอันดับEase of Doing Businessของไทยดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 20 อันดับ ในการประเมินครั้งที่ผ่านมาก็มีผลกับการค้าการลงทุนของประเทศเราด้วย
5. เรื่องการยกระดับการให้บริการเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนและการลงทุน อาทิ โครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ หรือNational e-Paymentที่ช่วยทั้งในเรื่องความสะดวกสบายในการชําระเงินของประชาชน และภาคธุรกิจSMEsทั้งการโอนเงินที่เชื่อมโยงมากขึ้น ผ่านระบบพร้อมเพย์ (Prompt Pay)ที่ปัจจุบัน มีผู้ลงทะเบียนใช้แล้วกว่า 40 ล้านบัญชี ยอดการทําธุรกรรมสูงถึง 127 ล้านรายการ มูลค่ารวมกว่า 4.9 แสนล้านบาทซึ่งการปรับลดค่าธรรมเนียมในโครงการพร้อมเพย์นี้ ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอนเงินทั้งหมดในที่สุด ผมขอขอบคุณธนาคารพาณิชย์ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ช่วยกันสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนและธุรกิจ โดยเฉพาะSMEsเป็นจํานวนมาก ในภาครัฐเอง ตอนนี้ก็มีการปรับในเรื่องการรับชําระเงินต่าง ๆ ให้สะดวกขึ้นผ่านเดบิตการ์ด ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนไม่ต้องถือเงินสดจํานวนมาก ๆ มายังสถานที่ราชการอีกแล้ว ต่อไปเราก็จะเร่งเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อย ข้อมูลสวัสดิการสังคม และระบบการรับจ่ายเงินให้แก่ประชาชน เพื่อให้สามารถให้ความช่วยเหลือและให้บริการประชาชนได้อย่างตรงจุด ตรงคน ลดการทุจริตในกระบวนการจ่ายเงินของภาครัฐ ถึงมือพี่น้องประชาชนผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรง ในโครงการต่าง ๆ อีกด้วยเช่น ความร่วมมือระหว่างธนาคารกรุงไทย กรมบัญชีกลาง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้สร้างระบบการจ่ายเงินอุดหนุนผู้ประสบภัยทางสังคมที่มีบัญชีกับธนาคารกรุงไทย ให้สามารถรับเงินอุดหนุนได้ทันทีซึ่งระบบนี้สามารถตรวจสอบข้อมูลและสิทธิ์ของผู้รับโอนก่อนดําเนินการได้ด้วย นอกจากนี้ ยังจะมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการเปิดบัญชี สําหรับผู้รับเงินอุดหนุนที่ไม่มีบัญชีธนาคาร รวมถึงค่ารักษาบัญชี และผู้รับเงินจะได้รับSMSแจ้ง เมื่อมีเงินเข้าบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในอนาคต เพื่อให้ผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคาร หรือไม่สะดวกไปเปิดบัญชี ก็จะสามารถรับเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือใช้บัตรe-Moneyได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการนําเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน และการบริการภาครัฐอย่างกว้างขวาง อาทิ การพัฒนาแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map)ตั้งเป้าหมายการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูกให้เหมาะสม ระยะ 20 ปี (60-79) รวม 6 ล้านไร่ ช่วง 5 ปีแรกเราทําได้ 1.5 ล้านไร่ โดยมี ศพก. (ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร) 882 ศูนย์ทั่วประเทศ และเกษตรแปลงใหญ่เป็นกลไกขับเคลื่อน ในเฉพาะปี 61 นี้ มีเกษตรกรเข้าร่วม 43,000 กว่าราย เป็นพืชเศรษฐกิจ ราว 160,000 ไร่ เกษตรผสมผสาน กว่า 81,000 ไร่ ปศุสัตว์ 18,000 กว่าไร่ และประมง 1,100 กว่าไร่ ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตสินค้าทางการเกษตรชนิดใหม่ ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ทางตลาดการผลิตอีกตัวอย่างหนึ่ง ก็คือร้านค้าดิจิทัลชุมชนที่เป็นการยกระดับการบริหารร้านค้าปลีก ขยายผลจากเครือข่ายเน็ตประชารัฐ ให้สามารถทําการค้าออนไลน์ (e-Commerce)ประกอบด้วย 3 ระบบงานย่อย เกี่ยวกับ ร้านค้าธุรกรรมการเงินการส่งสินค้า (e-Marketplace, e-Paymentและe-Logistics)โดยเริ่มจากร้านค้าประชารัฐสามัคคี ที่มีที่ตั้งเหมาะสมในพื้นที่โครงการเน็ตประชารัฐ ราว 25,000 จุด แล้วเราจะขยายไปจนครบ 75,030 หมู่บ้านทั่วประเทศ เฉพาะปี 61 จํานวน 5,000 แห่ง โดย 25 พ.ค.นี้ จะทดลองขายสินค้าเป้าหมาย 125 รายการ จาก 1,300 รายการสินค้า ที่อยู่ในระบบคาดว่าจะสร้างมูลค่าได้ ราว 6.5 ล้านบาทต่อเดือน
สิ่งสําคัญในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการบริหารราชการในอนาคตก็คือ การบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ หรือBIG Dataของภารรัฐ ซึ่งวันนี้ผมได้มุ่งเน้นให้ดําเนินการในเรื่องนี้เป็นพิเศษ มีความคืบหน้าไปตามลําดับ มีการบูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นคง เช่น ฐานข้อมูลกลางและภาพถ่ายทางอากาศ พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลด้านทรัพยากรน้ําและภูมิอากาศ ซึ่งเราจะมีระบบอัจฉริยะสนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําด้วย ด้านข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ และด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของชาติ และระบบสารสนเทศ เชื่อมโยงการบริหารข้อมูลภาครัฐทั้งปวง เป็นต้นข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยในการตกลงใจในการใช้จ่ายงบประมาณได้อย่างมีธรรมาภิบาล และมีการกําหนดทิศทางการบริหารประเทศได้อย่างมียุทธศาสตร์ในอนาคต รวมทั้งช่วยการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้อย่างตรงจุด ตรงคน ตรงกับความต้องการ วันนี้ภาคธุรกิจก็ใช้Big Dataในการบริหารจัดการอยู่ด้วย
6. เรื่องการส่งเสริมการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้มแข็งและปรองดองในสังคมและบ้านเมือง ก็เป็นเรื่องที่ผมเห็นว่าสําคัญมากหรือมากที่สุด เพราะหากไม่ได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน และทุกภาคส่วนแล้ว โครงการต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดจะไม่อาจสําเร็จลงได้เลย ถึงแม้เราจะมีงบประมาณใด ๆ ก็ตาม ดังนั้น จึงมีนโยบายส่งเสริมการมีส่วนร่วมในทุก ๆ มิติ ทุก ๆ กิจกรรมตั้งแต่บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในการเปิดโอกาสรับฟังความคิดเห็น เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการออกกฎหมาย มีการเสริมสร้างกลไกประชารัฐเข้ามาขับเคลื่อน โดยเฉพาะในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และระดับฐานรากของประเทศ อาทิ บริษัทประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด ทั้ง 76 จังหวัด ยังคงดําเนินการอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ในปัจจุบันมีการพัฒนากลุ่มเป้าหมาย จํานวน 3,685 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเกษตร กลุ่มแปรรูปกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชน สามารถสร้างรายได้มากกว่า 1,600 ล้านบาท มีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 600,000 รายล่าสุดได้ผลักดันโครงการไทยนิยมยั่งยืน ที่เน้นการระเบิดจากข้างในตามศาสตร์พระราชา ต้องมีการทําประชาคม การรับฟังปัญหาระดับชุมชน การสํารวจความต้องการและปัญหาแต่ละท้องถิ่น โดยจัดสรรเงินงบประมาณ ประมาณ 150,000 ล้านบาท เพื่อนําไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต่อไป ไม่ได้ทําเพื่อการเมือง เป็นการต่อยอดการขับเคลื่อนผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเพื่อพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืน ที่ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบมาตรฐาน และยกระดับประสิทธิภาพการทํางาน ก่อนที่จะผลักดันงบประมาณลงไป 35,000 ล้านบาทในปี 2559 กับอีก 15,000 ล้านบาทในปี 2560 ทําให้สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้สําเร็จ เฉลี่ยสูงกว่าร้อยละ 85
ทั้งนี้ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามแนวทางประชารัฐของรัฐบาลนี้ ช่วยให้ผลการดําเนินการพีพีโมเดลซึ่งเป็นตัวอย่างการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ประสบผลสําเร็จ ด้วยการเก็บรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 978 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 1 ปี 9 เดือน จากที่ก่อนหน้าเก็บได้เพียงปีละ 1 ล้านบาท เป็นอย่างไรครับ แตกต่างมาก นอกจากนี้ กลไกประชารัฐยังเป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างSmart Cityทั้งเมืองน่าอยู่ เช่น พระนครศรีอยุธยา และเมืองอัจฉริยะเช่น เชียงใหม่ขอนแก่นภูเก็ต ที่มีการร่วมแรง ร่วมใจกันพัฒนาท้องถิ่นของตน โดยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศ ตามที่ผมเคยกล่าวอยู่เสมอว่าประชารัฐจะไม่ใช่เพียงทางรอด แต่จะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการน้อมนําศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเราสามารถเชื่อมโยงแผนพัฒนาภาคกลุ่มจังหวัดจังหวัดอําเภอตําบลชุมชนท้องถิ่น เข้าเป็นเนื้อเดียวกันกับแผนปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติได้ การขับเคลื่อนประเทศก็จะมีพลัง มีทิศทางชัดเจน
ทั้งนี้ การปฏิรูปที่สําคัญที่สุดช่วงนี้คือการศึกษาและการสาธารณสุข ก็มีอีกหลายเรื่องด้วยกัน เรื่องนี้ก็สําคัญ อาจจะมากที่สุดเลย ในเรื่องของการใช้และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็เช่นกัน เรากําลังก้าวสู่โลกยุคโลกาภิวัฒน์ โลกดิจิทัล โลกที่อากาศเปลี่ยนแปลง โลกที่เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ สังคมสูงวัย ซึ่งล้วนจําเป็นต้องใช้งบประมาณจํานวนมาก ในการดูแลประชาชนให้ทั่วถึงหากเรามุ่งเน้นแต่เพียงการรักษา ไม่ให้ความสําคัญในการป้องกันเท่าที่ควรนะครับ ก็จะสร้างภาระด้านงบประมาณเป็นจํานวนมาก เราอาจจะไม่มีค่าใช้จ่ายที่เพียงพอภายใน 10 ปีข้างหน้า เพราะทุกวันนี้โรงพยาบาล แพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ ต้องทํางานหนัก พัฒนาไม่ได้มาก เพราะต้องใช้จ่ายงบประมาณในการรักษาพยาบาลมากขึ้นเรื่อย ๆช่วยกันคิดนะครับ ไม่ว่าท่านจะถือบัตรประเภทใดหรือสวัสดิการอะไร รัฐบาลอยากดูแลให้มากขึ้น แต่เราจะหาเงินมาจากที่ไหนล่ะ ต้องช่วยกันคิดด้วย เพราะรัฐบาลต้องดูแลหลายมิติ รายจ่ายประจํา งานฟังก์ชั่น งานบูรณาการ หนี้สาธารณะ การลงทุนเพื่ออนาคต และอื่น ๆ อีกมาก รวมทั้งการสร้างรัฐสวัสดิการให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยด้วย เป็นหน้าที่ของทุกรัฐบาลที่ต้องควบคุมกํากับดูแลให้การใช้จ่ายเป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลัง การศึกษาก็เช่นกัน นับวันก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็เรียนออกมาแล้วก็ต้องหางานทําให้ได้โดยเร็ว บางครั้งนี่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด เรียนออกมาก็ทํางานไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นว่าการศึกษาบกพร่อง ต้องมีหลักคิด มีเหตุผล จะเลือกเรียนอะไร ถนัดอะไร ก็ขออย่าไปเรียนตามเพื่อน หรือไปเรียนที่ง่าย ๆ ถ้าตัวเองมีศักยภาพ
เรื่องระบบภาษีของเราก็ยังคงเหมือนเดิม เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย หารายได้เพิ่มไม่ได้มาก เราจะต้องร่วมมือกันแก้ไข ทําอย่างไรไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ทําอย่างไรเราจะตอบสนองความต้องการประชาชนได้ ต้องช่วยกันคิด ช่วยหารือ ขัดแย้งกันไปมาไม่เกิดประโยชน์ จะดีทุกอย่างถ้าหากเราทําเพื่อประชาชนจริง ๆ แต่ต้องรับผิดชอบหากใช้จ่ายงบประมาณเกินรายได้ที่รัฐจะหาได้จนมากเกินไป
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
ผมรัฐบาลและ คสช. ไม่อยากให้พี่น้องประชาชนหลงเชื่อคําวิพากษ์วิจารณ์ที่บิดเบือน ไม่สุจริตใจ และขาดความรับผิดชอบที่พยายามจะกล่าวหาว่ารัฐบาลและ คสช. ไม่ได้ทําการปฏิรูปอะไรเลย การปฏิรูปต้องอาศัยวิธีการใหม่ ๆ การขับเคลื่อน การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยและเป็นสากล ในการดําเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อให้การปฏิรูปประสบความสําเร็จหลายท่านกล่าวว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้ทํา เป็นเพียงการบริหารราชการแผ่นดินปกติ ที่ทุกรัฐบาลต้องทําอยู่แล้ว ผมอยากให้ลองกลับไปคิดดูว่า แล้วทําไมรัฐบาลที่ผ่านมาของท่านไม่ทํา ถ้าทําให้ครบทุกพื้นที่ เริ่มไว้ทุกกิจกรรม ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานทุกมิติ ให้สอดคล้องกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่เราต้องเดินหน้าด้วยเทคโนโลยีและดิจิทัล ก็จะสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ในช่องทางของดิจิทัลได้มากกว่านี้ สร้างงาน สร้างโอกาส ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ท่านไม่ได้เริ่มสิ่งเหล่านี้ไว้มากนัก เราก็ต้องมาเสียเวลา จะปฏิรูปอะไรได้สักที ก็ต้องมาแก้ของเดิมกันอยู่นี่ เราก็พยายามทําทั้งของเดิมและของใหม่ไปด้วย แล้วท่านว่าเราไม่ได้ทําอะไรเลย ผมว่าไม่เป็นธรรมกับผมเท่าไร เพราะฉะนั้นวันนี้ก็จะเห็นได้ว่าเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นหลายอย่าง ปัจจุบันนั้นเราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเราปฏิรูปท่ามกลางความขัดแย้ง เราอาจจะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายมากมาย ประชาชนก็รู้สึกเดือดร้อน ผู้มีรายได้น้อยก็รู้สึกถูกรังแก ก็เลยทําให้การปฏิรูปไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย กฎหมายไม่ได้รับความเชื่อถือ มีการทําลายกระบวนการยุติธรรม เหล่านี้ทําให้เกิดการปฏิรูปได้ยาก ได้ช้า
เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกคน ทุกพรรค ที่จะเข้าสู่การเลือกตั้ง เพื่อเข้ามาเป็น ส.ส. เป็นรัฐบาล ควรจะออกมาพูดว่าท่านจะปฏิรูปอะไรและอย่างไร ดีกว่ามาพูด ว่า ติ รัฐบาลนี้ทําไม่ทํา ท่านบอกว่าท่านจะทําอะไรดีกว่าครับ ผมพูดของผมไปแล้ว ว่ารัฐบาลนี้ทําอะไรไปแล้วบ้าง ท่านก็ต้องพูดของท่าน วันนี้ท่านเป็นกันมานานแล้ว ท่านอ้างว่าท่านเป็นกันมานานแล้ว ท่านรู้ปัญหาประเทศดีมากอยู่แล้ว ผมอยากจะรู้ว่าที่มากน่ะ ท่านแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าท่านมีวิธีการใหม่ ๆ วิธีการใช้จ่ายงบประมาณ วิธีการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมอย่างไรย่อมจะดีกว่าที่จะมาพูดจาให้ร้ายซึ่งกันและกัน พูดถึงประเด็นความเหลื่อมล้ํา ความยากจน พูดถึงอํานาจ ผลประโยชน์ แล้วก็มาท้าทายกันเอง ประชาชนและประเทศชาติจะมีอนาคตได้อย่างไร ถ้าหากท่านยังทําการเมืองในลักษณะเดิม การเมืองก็ต้องปฏิรูปด้วย ปฏิรูปที่ตัวเองก่อน หลักการที่ควรจะเป็นคือ เราต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประชาชน ทําให้คนไทยเข้มแข็งด้วยตนเอง ทําให้ผู้ที่มีรายได้น้อยพึ่งพาตนเองได้ พัฒนาตนเอง มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่ทําให้เขาอ่อนแอ หวังพึ่งแต่รัฐไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างไร เรากําลังให้เร่งรัด ติดตาม การแก้ไขปัญหาหนี้สินของพี่น้องประชาชน จากการปล่อยกู้ที่ผิดกฎหมาย ขจัดหนี้นอกระบบ และหนี้สินพี่น้องเกษตรกร จากเจ้าของโรงสีผู้ประกอบการที่เอาเปรียบ ดี ๆ ก็เยอะนะครับ พืชเศรษฐกิจ เช่น มัน อ้อย ปาล์ม ยาง เหล่านี้เป็นพืชหลัก เป็นพันธะผูกพันมายาวนาน เป็นปัญหาทางการเมืองมาด้วย ต้องแก้กันเป็นระบบครบวงจร
นักธุรกิจทั้งหลาย ผู้ร่ํารวยทั้งหลาย ผมขอร้องแต่เพียงอย่างเดียวว่าช่วงนี้เป็นช่วงของการปฏิรูป อย่าเพิ่งมุ่งหวังกําไรกันมากมายนัก เพราะท่านก็ต้องช่วยเราปฏิรูปไปด้วย เพราะฉะนั้นการปฏิรูปจะสําเร็จได้ด้วยการแบ่งปันผลประโยชน์ให้พี่น้องระดับล่าง ให้มีเงินใช้จ่ายอย่างพอเพียง เลี้ยงครอบครัว บุตรหลาน ถ้าเราเพิ่มราคาไปเรื่อย ๆ เพื่อหวังผลกําไรให้มากขึ้น หรือไม่ยอมเสียผลประโยชน์ใด ๆ เลย ผลประโยชน์ก็ไม่เกิดขึ้นมากนัก แล้วภาระจะไปตกกับผู้บริโภค จะทําอะไรก็ตามนึกถึงพี่น้องเกษตรกร ประชาชน ผู้บริโภคบ้าง ช่วยรัฐบาล ช่วยกันปฏิรูปประเทศให้ได้ เราจะต้องเริ่มที่จิตใจของเราก่อน ในเรื่องของการเสียสละ ในเรื่องของการแบ่งปันต่าง ๆ เหล่านี้ จิตสํานึก
สุดท้ายนี้ก็ธรรมดาครับ ผมขอฝากบทกลอนที่สะท้อนให้เห็นถึงเสียงจากรัฐบาลและ คสช. ในช่วงท้ายของรายการวันนี้ครับ
ถึงวันนี้ ยังมีหลาย ความคิดเห็น ว่าจําเป็น ไม่จําเป็น ให้หวนหา
ประชาธิปไตย นักเลือกตั้ง ที่ผ่านมา ล้วนกล่าวว่า ทําวันนี้ ดีไม่พอ
อาจไม่ดี ในสายตา ของพวกเขา ทําแบบเรา ยั่งยืน หลาย พ.ศ.
ให้เปล่าเปล่า ตามใจ เท่าไรพอ ตั้งตารอ ไม่เรียนรู้ พัฒนา
เพียงเริ่มต้น เคารพ ข้อกฎหมาย ไม่บานปลาย ขัดแย้ง แจ้งข้อหา
กี่ชีวิต ทรัพย์สิน สูญสิ้นมา เพื่อวันหน้า ไม่มี แม้สักคน
ขอคนไทย ทบทวน เฝ้าหวนคิด แล้วตั้งจิต พัฒนา หาเหตุผล
เกิดความสุข ถ้วนทั่ว ทุกตัวตน อย่าให้คน มองแค่เปลือก เลือกตั้งมา
ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
--------------------------------------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
เนื่องในโอกาสเข้าสู่เดือนรอมฎอน ประจําปีฮิจเราะห์ศักราช 1439 ผมขอส่งความปรารถนาดีไปถึงพี่น้องชาวไทยมุสลิมทุกคน และขอสนับสนุนคําแนะนําของคณะกรรมการอิสลามในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการร่วมกันถือศีลอดด้วยความศรัทธา ปฏิบัติตามแบบอย่างของศาสดาและปฏิบัติศาสนกิจต่าง ๆ ตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัดร่วมกันดูแลครอบครัวและบุคคลที่ตนรักให้มั่นคงอยู่ในแนวทางของศาสนา ลด ละ เลิก สิ่งเสพติดที่เป็นโทษ อบายมุขทั้งปวงตลอดทั้งเดือนรอมฎอน อีกทั้งร่วมกันสนับสนุนนโยบายแนวทางของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยสันติวิธี โดยต่อต้านและปฏิเสธความรุนแรง ไม่ให้การสนับสนุนกลุ่มที่ก่อกวนและก่อเหตุรุนแรงทุกกลุ่มเพื่อให้การปฏิบัติศาสนกิจในห้วงเดือนรอมฎอนเกิดความสงบสุข ทั้งนี้ ผมเชื่อมั่นว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีและคํานึงถึงประโยชน์ของผู้อื่น ก็ขอให้ทุกคนนําหลักคําสอนของศาสนาไปปรับใช้ในชีวิต และร่วมมือกันเดินหน้าพัฒนาประเทศ ลดความขัดแย้ง ตลอดจนปกป้องประเทศชาติ ให้พ้นจากการกระทําของผู้ไม่หวังดี ที่พยายามยุยงปลุกปั่น หรือก่อเหตุสร้างความวุ่นวายในสังคมด้วย
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
หากใครเคยเป็นคนกลางอยู่ระหว่างความขัดแย้ง คงเข้าใจได้โดยง่าย ว่าสิ่งที่ยากไม่ใช่การยุติความขัดแย้ง แต่สิ่งที่ยากกว่า ก็คือการสร้างความปรองดองที่ยั่งยืน เพราะว่าการปรับตัวเข้าหากัน โดยปฏิบัติตามคําแนะนําของคนกลาง ตามกฎกติกาที่ควรจะเป็นนั้น เป็นเรื่องของความสมัครใจและความยินยอมของทุกฝ่าย เราไม่อาจบังคับกันได้ และนั่นเป็นอุปสรรคในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม4 ปี ของ คสช. ก็นับเป็นก้าวแรกของการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง บางอย่างทําได้ก็ทําทันที บางอย่างสําเร็จโดยง่ายเพราะทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน หลายอย่างขับเคลื่อนได้ยาก เพราะยังไม่เข้าใจกัน ที่แย่กว่านั้น บางคน บางกลุ่ม ยังปกป้องผลประโยชน์ส่วนตน จนมองไม่เห็นผลประโยชน์ส่วนรวม วันนี้เราก็สามารถเริ่มต้นการปฏิรูปประเทศของเราไปแล้วหลายเรื่อง โดยผมขอหยิบยกบางประเด็นมาเล่าให้ฟังในคืนนี้ และขอย้ําว่า การปฏิรูปนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทําอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวันจบสิ้น บางเรื่องกว่าจะสําเร็จต้องใช้เวลานาน ต้องทุ่มเททรัพยากรมาก โดยเฉพาะความร่วมมือกัน และทุกการปฏิรูป ต้องเริ่มที่การปฏิรูปตนเองก่อนเสมอ อย่างน้อย เราจะต้องไม่หยุดพัฒนาตนเองด้วย ทั้งนี้ การปฏิรูปประเทศของเรา ระยะเริ่มต้น เราสามารถกล่าวได้เป็นประเด็น ๆ ดังนี้
1. เรื่องการแก้จนเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน การปฏิรูปของเราเริ่มจากการขจัดหนี้นอกระบบ โดยบูรณาการหลายหน่วยงาน ด้วยการผลักดันกฎหมาย มาตรการ และโครงการต่าง ๆ อาทิ พระราชบัญญัติห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560, การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อ แหล่งเงินทุน,การไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ รวมถึงการเพิ่มศักยภาพของลูกหนี้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยให้ความรู้ทางการเงิน และการทําบัญชีครัวเรือน เป็นต้น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งผู้มีรายได้น้อยเข้าร่วมโครงการกว่า 11 ล้านคน ที่จะได้รับวงเงินผ่านบัตร เพื่อลดภาระค่าครองชีพในเฟสแรก แล้วในเฟส 2 ก็สนับสนุนให้มีการฝึกอาชีพ เพื่อให้มีงานทํา มีรายได้ เข้มแข็ง และพึ่งพาตนเองได้ในที่สุด เรื่องกฎหมายขายฝากที่จะช่วยไม่ให้พี่น้องเกษตรกรตกเป็นเหยื่อ จนเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนให้กับนายทุน เจ้าหนี้นอกระบบ เหมือนในอดีต กฎหมายสถาบันการเงินประชาชน เพื่อช่วยเหลือประชาชนระดับฐานรากสามารถจัดตั้งสถาบันการเงินเล็ก ๆ ในชุมชนของตนเองในทุก ๆ ตําบลทั่วประเทศ มีการบริหารงานอย่างเป็นระบบ มีธรรมาภิบาล มีธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นพี่เลี้ยงคอยสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน ซึ่งก็จะส่งผลดีกับพี่น้องประชาชนมากกว่า 20 - 30 ล้านคน ทั้งในชนบทและในเมือง ปัจจุบันมีอยู่แล้วเกือบ 30,000 แห่งเพียงแต่ยังไม่เป็นนิติบุคคลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งต่อไปจะได้รับการยกระดับการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพต่อไป และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ที่ส่งเสริมให้ประชาชนรักการออม และสร้างความมั่นคงในชีวิตบั้นปลาย มีการดําเนินงานเป็นรูปธรรมอย่างมากในรัฐบาลนี้ มีสมาชิกมากกว่า 5 แสนคน กว่าครึ่งเป็นเกษตรกร โดยมีเงินกองทุนกว่า 3 พันล้านบาท เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลให้ความสําคัญในการบริหารทรัพยากรป่าไม้ ที่ดินน้ํา เนื่องจากเป็นปัจจัยการผลิตที่สําคัญของประเทศ ปัจจุบันเรามีพื้นที่ป่าเหลือ 100 ล้านไร่ หรือร้อยละ 32 ของพื้นที่ประเทศ เป้าหมายเราควรจะเพิ่มให้เป็นร้อยละ 40 ให้ได้ โดยเรามีแผนดําเนินการระยะยาว 10 ปี เราต้องทําควบคู่กัน กับผู้ที่เดือดร้อนจากการอยู่ในป่าเหล่านั้น ด้วยการจัดหาที่ดินทํากินให้ชุมชนเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วม คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน เราดําเนินการแล้วใน 66 จังหวัด พื้นที่ประมาณ 1 ล้านไร่ มีการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์แล้ว จํานวนกว่า 250,000 ไร่ จัดที่ดินให้ประชาชนแล้ว 152 พื้นที่ ใน 54 จังหวัด มีประชากรได้รับการจัดที่ดินแล้วกว่า36,000 ราย โดยมีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) บริหารจัดการในภาพรวม รวมทั้งผลักดันกฎหมายสําคัญอื่น ๆ อาทิ กฎหมายป่าชุมชน และแก้ไข พร.บ.ป่าไม้ฯ เพื่อเปิดทางให้กับเศรษฐกิจชาวบ้าน เกี่ยวกับการปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ เราก็จะทําให้ชาวบ้านและชุมชนสามารถสร้างสวนป่า ปลูกป่าไม้มีค่า ที่เป็นพืชเศรษฐกิจราคาแพงในที่ดินของตนเองได้ ก็จะเกิดเป็นเป็นสินทรัพย์ เป็นการออมระยะยาว ที่ชาวบ้านสามารถตัดขายเมื่อต้องการใช้เงิน และมีมูลค่าเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามอายุของต้นไม้
สําหรับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแบบบูรณาการ น้อยคนที่จะทราบว่าความเสียหายจากมหาอุทกภัยปี 2554 ที่ธนาคารโลกประเมินไว้ ว่าประเทศไทยเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.35 ล้านล้านบาท อีกทั้งภัยแล้งยังสร้างความเสียหายให้กับภาคเกษตรกรรมของประเทศปีละ 4 - 5 หมื่นล้านบาทเมื่อรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ก็ได้ผลักดันให้มียุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ําของประเทศ ล่าสุดเป็นแผนงานระยะ 20 ปี พ.ศ. 2560 ถึง 2579 ต้องทํางานต่อเนื่อง มี สทนช. (สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ) ที่ทํางานในลักษณะSingle Command อย่างมีเอกภาพ แม้จะเกิดจากการบูรณาการกันของหน่วยงาน 3 ปีที่ผ่านมา มีการสร้างแก้มลิงขนาดเล็ก 30 แห่ง ใน 5 จังหวัดภาคอีสานสร้างแหล่งเก็บกักน้ํา มากกว่า 50 โครงการ คิดปริมาณน้ํากว่า 1,200 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มพื้นที่ชลประมาณ 1.1 ล้านไร่ พัฒนาอาคารบังคับน้ํา สามารถเก็บกักน้ําจากลําน้ําสายหลักได้300 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มพื้นที่ชลประทาน 7 แสนไร่ สร้างระบบกระจายน้ําอุปโภค-บริโภค 256 โครงการทั่วประเทศ ได้ปริมาณน้ํา 60 ล้านลูกบาศก์เมตร สําหรับ 15,000 ครัวเรือนเรามีแผนที่จะทยอยสร้างระบบกระจายน้ําฯ เพิ่มเติมอีกประมาณ 3,500 แห่ง ภายใน 3 ปีถัดจากนี้ นอกจากนี้ ยังเร่งศึกษาโครงการผันน้ําจากกลุ่มน้ําสาละวินและสาขา เพื่อเพิ่มน้ําต้นทุนในเขื่อนภูมิพล ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้อีกกว่า 1 ล้านไร่ และทําแผนจัดหาน้ําระยะ 10 ปี สําหรับป้อนภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่EECจากเดิมที่ดําเนินการพัฒนาแหล่งน้ําไปแล้วกว่า 1,300 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยจะหาเพิ่มเติม 800 ล้านลูกบาศก์เมตรภายในปี 2570 และอีก 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตรภายในปี 2579 ทั้งนี้ ก็เพื่อสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ําให้กับภาคครัวเรือน ภาคการผลิต เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการรักษาสมดุลทางธรรมชาติของประเทศ
2. เรื่องการแก้เหลื่อมล้ําเพื่อสร้างความเสมอภาคในสังคม อาทิความเสมอภาคในกระบวนการยุติธรรม โดยการยกระดับ พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 ที่บังคับใช้มาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว มีผู้เสียหายมายื่นขอรับค่าตอบแทนเพียงร้อยละ 20 เปรียบเทียบกับสถิติการแจ้งความของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ เมื่อรัฐบาลนี้เข้ามา ได้เร่งสร้างประชาสัมพันธ์ให้รับรู้สิทธิของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือผู้เสียหาย โดยเน้นการทํางานแบบบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงยุติธรรมและสํานักงานตํารวจแห่งชาติ รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายให้ส่งเสริมการกระจายอํานาจไปสู่ส่วนภูมิภาคมากขึ้น ทําให้ประชาชนได้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น โดยสามารถยื่นขอความช่วยเหลือได้ที่ทุกสถานีตํารวจ หรือสํานักงานยุติธรรมจังหวัดทุกจังหวัดใกล้บ้าน ผลสําเร็จคือ สถิติผู้เสียหายมายื่นขอรับค่าตอบแทนฯเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 62 ในปี 2557 และร้อยละ 86 ในปี 2560 รวม 4 ปีของรัฐบาลนี้ มีผู้รับคําขอความช่วยเหลือ ประมาณ 70,000 ราย อนุมัติช่วยเหลือเกือบ 45,000 ราย เป็นเงินช่วยเหลือทั้งสิ้นกว่า 2,300 ล้านบาท
นอกจากนี้กองทุนยุติธรรมช่วง 10 ปีก่อนที่ คสช. เข้ามา มีประชาชนมาขอรับความช่วยเหลือเพียง 13,000 ราย และได้รับความช่วยเหลือไปประมาณ 5,600 ราย คิดเป็นเงินกว่า 260 ล้านบาท ในปี 2558 รัฐบาลนี้แก้ไขให้มีการกระจายอํานาจมากขึ้น แต่ต้องโปร่งใสด้วย ช่วยให้ช่วง2558–2559เพียง 2 ปี มีประชาชนเข้าถึงกองทุนยุติธรรมมากขึ้นกว่า 10,000 รายมียอดเงินที่ช่วยเหลือประชาชน มากกว่าถึง 351 ล้านบาท แบบนี้ผู้ที่มีรายได้น้อยแต่โชคร้าย ตกเป็นเหยื่อ เป็นคดีความต่าง ๆ ก็จะได้รับโอกาส ได้รับความเป็นธรรม ลบคํากล่าวที่ว่าคุกมีไว้ขังคนจน ให้ทุกคนได้มีโอกาสแสดงความบริสุทธิ์ หรือต่อสู้คดีโดยไม่ต้องติดคุก เสียโอกาสทํามาหาเลี้ยงครอบครัว เสียประวัติอีกด้วย เว้นผู้ที่ตั้งใจทําความผิดครับ
สําหรับการยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนริมคลองลาดพร้าว มีเป้าหมาย 50 ชุมชน 7,000 กว่าครัวเรือน คืบหน้าไปแล้วร้อยละ 30 สําหรับการสร้างบ้านมั่นคงซึ่งจะเป็นที่อยู่แห่งใหม่ของชุมชน อีกทั้งเป็นการแก้ปัญหาการบุกรุกคูคลองสาธารณะ และปัญหาน้ําท่วมอีกด้วยส่วนโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงนั้น เป็นโครงการที่ใช้ความพยายามมานานสิบ ๆ ปี หลายสิบปี ก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามาบริหารจัดการจนสามารถเดินหน้าโครงการได้ แบ่งเป็น 4 เฟส เฟสแรกอาคารที่พักหลังใหม่จะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้ แล้วเราจะย้ายผู้อาศัยเดิมเข้าอยู่อาศัยต่อไปทั้งนี้ ทั้ง 2 โครงการดังกล่าว นอกจากจะช่วยลดความเหลื่อมล้ําของคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ชุมชนแออัดในเมืองแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาทางสังคม อาทิ อาชญากรรม และยาเสพติดได้ทางอ้อมอีกด้วย ก็ขอร้องบรรดาผู้ที่อยู่อาศัยติดคลองต่าง ๆ ที่อาจจะเป็นการบุกรุก ผิดกฎหมาย เราได้มีการปรับเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ก็ขอความร่วมมือไปด้วย ไม่อย่างนั้นทุกคนก็อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี ๆ แต่ก็ยังคงบุกรุกและอยู่อาศัยแบบเดิม เราพยายามจะแก้ปัญหาให้ ไม่ใช่ว่าผลักดันออกไปที่อื่น อยู่ในที่เดิมแต่ต้องมีการจัดระเบียบใหม่ จัดสรรปันส่วนให้ดี เพราะต้องมีปัญหาทั้งในเรื่องของขยะ น้ําเสีย ในเรื่องของการระบายน้ํา การพร่องน้ําการแก้ปัญหาน้ําท่วมบนผิวทางจราจรเพราะฉะนั้นวันนี้ คูคลองต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ กว่า 200 คูคลอง ต้องได้รับการแก้ไข แล้วก็บรรดา พ่อ แม่ พี่ น้อง ที่อาศัยอยู่ตามริมคลองเหล่านี้ มีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีมายาวนานแล้ว สุขภาพก็ไม่ดี กลิ่นต่าง ๆ ก็แรง แล้วน้ําก็เน่า เพราะฉะนั้นอันนี้อันตราย ขอความร่วมมือด้วยแล้วกัน
3. เรื่องการแก้โกงเพื่อป้องกันการทุจริตและสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน ได้มีการผลักดันให้นํา 2 มาตรการสําคัญ คือ ในเรื่องของโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ หรือระบบCoSTหรือข้อตกลงคุณธรรม หรือ IP (Integrity Pact)ซึ่งเน้นการเปิดเผยข้อมูลกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และการก่อสร้างโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐ ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่มีการเซ็นสัญญาข้อตกลงกันเงียบ ๆ เท่านั้น แต่ยังส่งคณะผู้สังเกตการณ์ไปนั่งเฝ้าติดตามการประชุมร่างเงื่อนไข (TOR)การประมูลต่าง ๆ ไปเฝ้าดูกระบวนการเสนอราคา การตรวจเอกสาร ไปเก็บข้อมูลด้วยตัวเองทุกขั้นตอนโดยตลอด ก็เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการทุกคณะที่แต่งตั้งขึ้นมาใหม่ในขณะนี้ นอกจากนี้เราได้จัดทําแอปพลิเคชั่นบนมือถือ ที่เรียกว่าภาษีไปไหน เปิดบริการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ทุกคนจะได้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ช่วยกันดูแล เป็นการติเพื่อก่อ อย่าทําให้ทุกอย่างสับสนวุ่นวาย อลหม่าน ด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความโปร่งใส รัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดการคอร์รัปชั่น หรือทุจริตใด ๆ ทั้งสิ้น เราต้องช่วยกัน จะได้เกิดผลประโยชน์สูงสุดอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ รัฐบาลได้อนุมัติให้ใช้การจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-Market)และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding)ช่วยให้การดําเนินการจัดหาวัสดุของภาครัฐดีขึ้น วันนี้มีการแก้ไขไปตามลําดับ ก็มีปัญหาอยู่บ้างในการใช้ระบบใหม่ ๆ ยกตัวอย่าง เฉพาะในปี 2559 เราสามารถประหยัดเงินงบประมาณแผ่นดินกว่า 30,000 ล้านบาทจาก 30,000 กว่าโครงการ ด้วยวงเงินที่ตั้งไว้กว่า 430,000 ล้านบาท สําหรับครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2561 นี้ เราสามารถประหยัดงบประมาณแผ่นดินกว่า 47,000 ล้านบาท จาก 61,000 กว่าโครงการ ด้วยวงเงินที่ตั้งไว้ 400,000 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นผลพลอยได้ แต่สิ่งสําคัญคือ ช่วยให้การดําเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส ไร้การฮั้วประมูล และตรวจสอบได้ ยิ่งกว่านี้ ก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ซึ่งมีศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) และการสร้างกลไกลักษณะเดียวกันนี้ ในระดับกระทรวงและระดับจังหวัดทุกจังหวัด ปฏิบัติงานร่วมกับ ป.ป.ช. ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อสนับสนุนภารกิจการป้องกันและปราบปรามการทุจริตรวมทั้งให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วย ต้องเข้าร่วมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA)เพื่อให้เกิดการสร้างวัฒนธรรมการทํางานอย่างมีคุณธรรมและความโปร่งใส
นอกจากนี้ ได้ออกคําสั่งให้เกิดความชัดเจน ในการดําเนินการกับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทุจริต เปิดช่องทางให้พี่น้องประชาชนได้ร้องเรียนมากขึ้นด้วย ทั้งสายด่วน 1111,สายด่วน 1567 ศูนย์ดํารงธรรม,สายด่วนไทยนิยมยั่งยืน ผ่านแอปพลิเคชั่นมือถือ หรือสายด่วน คสช. 1299 เพื่อแจ้งเบาะแสการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นต้น อย่างไรก็ตาม การป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไข การปราบปรามและการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การปลูกจิตสํานึกให้คนในชาติมีหิริโอตัปปะ หรือความละอายต่อการทําบาป และรักษาศีล 5 เป็นนิจ รวมทั้งให้เยาวชนรังเกียจพฤติกรรมการโกง และเลิกนิสัยธุระไม่ใช่ เราต้องช่วยกัน วันนี้กําลังจัดทําแผนบทเรียนไปในสถานศึกษาด้วยว่าจะทําอย่างไร โตไปแล้วไม่โกง
4. เรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนและประชาคมโลก 3 ปีที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้ผลักดันให้เกิดการลงทุน วงเงินกว่า 2.4 ล้านล้านบาท ในแทบทุกโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ทั้งถนน ทางด่วน มอเตอร์เวย์ รถไฟ รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือ สนามบิน และสถานีขนส่งสินค้า ซึ่งที่ผ่านมาผมได้กล่าวมาเป็นระยะ ๆ แล้ว ทุกอย่างก็มีขั้นตอนการดําเนินการอยู่ ปีนี้จะผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องอีก รวมวงเงินราว 1 ล้านล้านบาท อาทิ รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน,รถไฟฟ้าสีแดงอ่อน- แดงเข้ม-สีม่วงใต้,รถไฟทางคู่ ระยะ 2 จํานวน 7 เส้นทาง,ปรับปรุงท่าเรือแหลมฉบัง,ทางยกระดับ-ทางด่วน-มอเตอร์เวย์ อีกหลายเส้นทาง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและโทรคมนาคมอีกกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านการศึกษา,ลดความเหลื่อมล้ําด้านสาธารณสุข,เชื่อมโยงการค้าe-Commerceจากท้องถิ่นสู่ตลาดโลก และเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย
ทั้งนี้ การลงทุนโครงสร้างดังกล่าว จะส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)ซึ่งส่งเสริมการพัฒนาใน10 อุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเป็นระบบ อาทิ มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ กําหนดเป้าหมายการพัฒนา 5 ปี พัฒนาหุ่นยนต์ต้นแบบ อย่างน้อย 150 ผลิตภัณฑ์แล้วถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงนี้ให้ผู้ประกอบการ 200 ราย รวมทั้งการฝึกอบรมแรงงานฝีมือมากกว่า 25,000 คน คาดว่าจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนผลิตอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัตินี้กว่า 12,000 ล้านบาทในปีแรก และเพิ่มเป็น 200,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีตามแผน ทั้งนี้EECจะเป็นต้นแบบความสําเร็จให้กับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พื้นที่ชายแดน 10 แห่ง ซึ่งปัจจุบันมีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากBOIสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแล้ว จํานวน 51 โครงการ เป็นวงเงินราว 9,000 ล้านบาทนอกจากนี้จะมีการจัดทําผังเมือง การจัดหาที่ดิน การลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรเพิ่มเติม เราต้องมีการบริหารจัดการแรงงานกับประเทศเพื่อนบ้านที่ลงทะเบียนไว้แล้วระบบบริหารจัดการภายในพื้นที่ ทั้งเรื่องความปลอดภัยในการทํางาน สุขอนามัย การบริหารจัดการน้ําและขยะ เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งดูแลในเรื่องความมั่นคงชายแดน
ซึ่งนอกจากการลงทุนดังกล่าวแล้ว รัฐบาลยังให้ความสําคัญอย่างมากในการปรับปรุงกระบวนการให้บริการภาครัฐ โดยเฉพาะการอํานวยความสะดวกและการอนุมัติ-อนุญาตต่าง ๆ ให้มีความสะดวก รวดเร็ว โปร่งใสยิ่งขึ้นช่วยทําให้การจัดอันดับEase of Doing Businessของไทยดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 20 อันดับ ในการประเมินครั้งที่ผ่านมาก็มีผลกับการค้าการลงทุนของประเทศเราด้วย
5. เรื่องการยกระดับการให้บริการเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนและการลงทุน อาทิ โครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ หรือNational e-Paymentที่ช่วยทั้งในเรื่องความสะดวกสบายในการชําระเงินของประชาชน และภาคธุรกิจSMEsทั้งการโอนเงินที่เชื่อมโยงมากขึ้น ผ่านระบบพร้อมเพย์ (Prompt Pay)ที่ปัจจุบัน มีผู้ลงทะเบียนใช้แล้วกว่า 40 ล้านบัญชี ยอดการทําธุรกรรมสูงถึง 127 ล้านรายการ มูลค่ารวมกว่า 4.9 แสนล้านบาทซึ่งการปรับลดค่าธรรมเนียมในโครงการพร้อมเพย์นี้ ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอนเงินทั้งหมดในที่สุด ผมขอขอบคุณธนาคารพาณิชย์ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ช่วยกันสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนและธุรกิจ โดยเฉพาะSMEsเป็นจํานวนมาก ในภาครัฐเอง ตอนนี้ก็มีการปรับในเรื่องการรับชําระเงินต่าง ๆ ให้สะดวกขึ้นผ่านเดบิตการ์ด ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนไม่ต้องถือเงินสดจํานวนมาก ๆ มายังสถานที่ราชการอีกแล้ว ต่อไปเราก็จะเร่งเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อย ข้อมูลสวัสดิการสังคม และระบบการรับจ่ายเงินให้แก่ประชาชน เพื่อให้สามารถให้ความช่วยเหลือและให้บริการประชาชนได้อย่างตรงจุด ตรงคน ลดการทุจริตในกระบวนการจ่ายเงินของภาครัฐ ถึงมือพี่น้องประชาชนผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรง ในโครงการต่าง ๆ อีกด้วยเช่น ความร่วมมือระหว่างธนาคารกรุงไทย กรมบัญชีกลาง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้สร้างระบบการจ่ายเงินอุดหนุนผู้ประสบภัยทางสังคมที่มีบัญชีกับธนาคารกรุงไทย ให้สามารถรับเงินอุดหนุนได้ทันทีซึ่งระบบนี้สามารถตรวจสอบข้อมูลและสิทธิ์ของผู้รับโอนก่อนดําเนินการได้ด้วย นอกจากนี้ ยังจะมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการเปิดบัญชี สําหรับผู้รับเงินอุดหนุนที่ไม่มีบัญชีธนาคาร รวมถึงค่ารักษาบัญชี และผู้รับเงินจะได้รับSMSแจ้ง เมื่อมีเงินเข้าบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในอนาคต เพื่อให้ผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคาร หรือไม่สะดวกไปเปิดบัญชี ก็จะสามารถรับเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือใช้บัตรe-Moneyได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการนําเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน และการบริการภาครัฐอย่างกว้างขวาง อาทิ การพัฒนาแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map)ตั้งเป้าหมายการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูกให้เหมาะสม ระยะ 20 ปี (60-79) รวม 6 ล้านไร่ ช่วง 5 ปีแรกเราทําได้ 1.5 ล้านไร่ โดยมี ศพก. (ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร) 882 ศูนย์ทั่วประเทศ และเกษตรแปลงใหญ่เป็นกลไกขับเคลื่อน ในเฉพาะปี 61 นี้ มีเกษตรกรเข้าร่วม 43,000 กว่าราย เป็นพืชเศรษฐกิจ ราว 160,000 ไร่ เกษตรผสมผสาน กว่า 81,000 ไร่ ปศุสัตว์ 18,000 กว่าไร่ และประมง 1,100 กว่าไร่ ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตสินค้าทางการเกษตรชนิดใหม่ ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ทางตลาดการผลิตอีกตัวอย่างหนึ่ง ก็คือร้านค้าดิจิทัลชุมชนที่เป็นการยกระดับการบริหารร้านค้าปลีก ขยายผลจากเครือข่ายเน็ตประชารัฐ ให้สามารถทําการค้าออนไลน์ (e-Commerce)ประกอบด้วย 3 ระบบงานย่อย เกี่ยวกับ ร้านค้าธุรกรรมการเงินการส่งสินค้า (e-Marketplace, e-Paymentและe-Logistics)โดยเริ่มจากร้านค้าประชารัฐสามัคคี ที่มีที่ตั้งเหมาะสมในพื้นที่โครงการเน็ตประชารัฐ ราว 25,000 จุด แล้วเราจะขยายไปจนครบ 75,030 หมู่บ้านทั่วประเทศ เฉพาะปี 61 จํานวน 5,000 แห่ง โดย 25 พ.ค.นี้ จะทดลองขายสินค้าเป้าหมาย 125 รายการ จาก 1,300 รายการสินค้า ที่อยู่ในระบบคาดว่าจะสร้างมูลค่าได้ ราว 6.5 ล้านบาทต่อเดือน
สิ่งสําคัญในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการบริหารราชการในอนาคตก็คือ การบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ หรือBIG Dataของภารรัฐ ซึ่งวันนี้ผมได้มุ่งเน้นให้ดําเนินการในเรื่องนี้เป็นพิเศษ มีความคืบหน้าไปตามลําดับ มีการบูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นคง เช่น ฐานข้อมูลกลางและภาพถ่ายทางอากาศ พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลด้านทรัพยากรน้ําและภูมิอากาศ ซึ่งเราจะมีระบบอัจฉริยะสนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําด้วย ด้านข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ และด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของชาติ และระบบสารสนเทศ เชื่อมโยงการบริหารข้อมูลภาครัฐทั้งปวง เป็นต้นข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยในการตกลงใจในการใช้จ่ายงบประมาณได้อย่างมีธรรมาภิบาล และมีการกําหนดทิศทางการบริหารประเทศได้อย่างมียุทธศาสตร์ในอนาคต รวมทั้งช่วยการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้อย่างตรงจุด ตรงคน ตรงกับความต้องการ วันนี้ภาคธุรกิจก็ใช้Big Dataในการบริหารจัดการอยู่ด้วย
6. เรื่องการส่งเสริมการมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้มแข็งและปรองดองในสังคมและบ้านเมือง ก็เป็นเรื่องที่ผมเห็นว่าสําคัญมากหรือมากที่สุด เพราะหากไม่ได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน และทุกภาคส่วนแล้ว โครงการต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดจะไม่อาจสําเร็จลงได้เลย ถึงแม้เราจะมีงบประมาณใด ๆ ก็ตาม ดังนั้น จึงมีนโยบายส่งเสริมการมีส่วนร่วมในทุก ๆ มิติ ทุก ๆ กิจกรรมตั้งแต่บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในการเปิดโอกาสรับฟังความคิดเห็น เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการออกกฎหมาย มีการเสริมสร้างกลไกประชารัฐเข้ามาขับเคลื่อน โดยเฉพาะในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และระดับฐานรากของประเทศ อาทิ บริษัทประชารัฐ รักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด ทั้ง 76 จังหวัด ยังคงดําเนินการอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ในปัจจุบันมีการพัฒนากลุ่มเป้าหมาย จํานวน 3,685 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเกษตร กลุ่มแปรรูปกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชน สามารถสร้างรายได้มากกว่า 1,600 ล้านบาท มีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 600,000 รายล่าสุดได้ผลักดันโครงการไทยนิยมยั่งยืน ที่เน้นการระเบิดจากข้างในตามศาสตร์พระราชา ต้องมีการทําประชาคม การรับฟังปัญหาระดับชุมชน การสํารวจความต้องการและปัญหาแต่ละท้องถิ่น โดยจัดสรรเงินงบประมาณ ประมาณ 150,000 ล้านบาท เพื่อนําไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต่อไป ไม่ได้ทําเพื่อการเมือง เป็นการต่อยอดการขับเคลื่อนผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเพื่อพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืน ที่ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบมาตรฐาน และยกระดับประสิทธิภาพการทํางาน ก่อนที่จะผลักดันงบประมาณลงไป 35,000 ล้านบาทในปี 2559 กับอีก 15,000 ล้านบาทในปี 2560 ทําให้สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้สําเร็จ เฉลี่ยสูงกว่าร้อยละ 85
ทั้งนี้ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามแนวทางประชารัฐของรัฐบาลนี้ ช่วยให้ผลการดําเนินการพีพีโมเดลซึ่งเป็นตัวอย่างการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ประสบผลสําเร็จ ด้วยการเก็บรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 978 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 1 ปี 9 เดือน จากที่ก่อนหน้าเก็บได้เพียงปีละ 1 ล้านบาท เป็นอย่างไรครับ แตกต่างมาก นอกจากนี้ กลไกประชารัฐยังเป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างSmart Cityทั้งเมืองน่าอยู่ เช่น พระนครศรีอยุธยา และเมืองอัจฉริยะเช่น เชียงใหม่ขอนแก่นภูเก็ต ที่มีการร่วมแรง ร่วมใจกันพัฒนาท้องถิ่นของตน โดยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศ ตามที่ผมเคยกล่าวอยู่เสมอว่าประชารัฐจะไม่ใช่เพียงทางรอด แต่จะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการน้อมนําศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเราสามารถเชื่อมโยงแผนพัฒนาภาคกลุ่มจังหวัดจังหวัดอําเภอตําบลชุมชนท้องถิ่น เข้าเป็นเนื้อเดียวกันกับแผนปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติได้ การขับเคลื่อนประเทศก็จะมีพลัง มีทิศทางชัดเจน
ทั้งนี้ การปฏิรูปที่สําคัญที่สุดช่วงนี้คือการศึกษาและการสาธารณสุข ก็มีอีกหลายเรื่องด้วยกัน เรื่องนี้ก็สําคัญ อาจจะมากที่สุดเลย ในเรื่องของการใช้และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็เช่นกัน เรากําลังก้าวสู่โลกยุคโลกาภิวัฒน์ โลกดิจิทัล โลกที่อากาศเปลี่ยนแปลง โลกที่เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ สังคมสูงวัย ซึ่งล้วนจําเป็นต้องใช้งบประมาณจํานวนมาก ในการดูแลประชาชนให้ทั่วถึงหากเรามุ่งเน้นแต่เพียงการรักษา ไม่ให้ความสําคัญในการป้องกันเท่าที่ควรนะครับ ก็จะสร้างภาระด้านงบประมาณเป็นจํานวนมาก เราอาจจะไม่มีค่าใช้จ่ายที่เพียงพอภายใน 10 ปีข้างหน้า เพราะทุกวันนี้โรงพยาบาล แพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ ต้องทํางานหนัก พัฒนาไม่ได้มาก เพราะต้องใช้จ่ายงบประมาณในการรักษาพยาบาลมากขึ้นเรื่อย ๆช่วยกันคิดนะครับ ไม่ว่าท่านจะถือบัตรประเภทใดหรือสวัสดิการอะไร รัฐบาลอยากดูแลให้มากขึ้น แต่เราจะหาเงินมาจากที่ไหนล่ะ ต้องช่วยกันคิดด้วย เพราะรัฐบาลต้องดูแลหลายมิติ รายจ่ายประจํา งานฟังก์ชั่น งานบูรณาการ หนี้สาธารณะ การลงทุนเพื่ออนาคต และอื่น ๆ อีกมาก รวมทั้งการสร้างรัฐสวัสดิการให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยด้วย เป็นหน้าที่ของทุกรัฐบาลที่ต้องควบคุมกํากับดูแลให้การใช้จ่ายเป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลัง การศึกษาก็เช่นกัน นับวันก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็เรียนออกมาแล้วก็ต้องหางานทําให้ได้โดยเร็ว บางครั้งนี่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด เรียนออกมาก็ทํางานไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นว่าการศึกษาบกพร่อง ต้องมีหลักคิด มีเหตุผล จะเลือกเรียนอะไร ถนัดอะไร ก็ขออย่าไปเรียนตามเพื่อน หรือไปเรียนที่ง่าย ๆ ถ้าตัวเองมีศักยภาพ
เรื่องระบบภาษีของเราก็ยังคงเหมือนเดิม เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย หารายได้เพิ่มไม่ได้มาก เราจะต้องร่วมมือกันแก้ไข ทําอย่างไรไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ทําอย่างไรเราจะตอบสนองความต้องการประชาชนได้ ต้องช่วยกันคิด ช่วยหารือ ขัดแย้งกันไปมาไม่เกิดประโยชน์ จะดีทุกอย่างถ้าหากเราทําเพื่อประชาชนจริง ๆ แต่ต้องรับผิดชอบหากใช้จ่ายงบประมาณเกินรายได้ที่รัฐจะหาได้จนมากเกินไป
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
ผมรัฐบาลและ คสช. ไม่อยากให้พี่น้องประชาชนหลงเชื่อคําวิพากษ์วิจารณ์ที่บิดเบือน ไม่สุจริตใจ และขาดความรับผิดชอบที่พยายามจะกล่าวหาว่ารัฐบาลและ คสช. ไม่ได้ทําการปฏิรูปอะไรเลย การปฏิรูปต้องอาศัยวิธีการใหม่ ๆ การขับเคลื่อน การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยและเป็นสากล ในการดําเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อให้การปฏิรูปประสบความสําเร็จหลายท่านกล่าวว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้ทํา เป็นเพียงการบริหารราชการแผ่นดินปกติ ที่ทุกรัฐบาลต้องทําอยู่แล้ว ผมอยากให้ลองกลับไปคิดดูว่า แล้วทําไมรัฐบาลที่ผ่านมาของท่านไม่ทํา ถ้าทําให้ครบทุกพื้นที่ เริ่มไว้ทุกกิจกรรม ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานทุกมิติ ให้สอดคล้องกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่เราต้องเดินหน้าด้วยเทคโนโลยีและดิจิทัล ก็จะสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ในช่องทางของดิจิทัลได้มากกว่านี้ สร้างงาน สร้างโอกาส ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ท่านไม่ได้เริ่มสิ่งเหล่านี้ไว้มากนัก เราก็ต้องมาเสียเวลา จะปฏิรูปอะไรได้สักที ก็ต้องมาแก้ของเดิมกันอยู่นี่ เราก็พยายามทําทั้งของเดิมและของใหม่ไปด้วย แล้วท่านว่าเราไม่ได้ทําอะไรเลย ผมว่าไม่เป็นธรรมกับผมเท่าไร เพราะฉะนั้นวันนี้ก็จะเห็นได้ว่าเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นหลายอย่าง ปัจจุบันนั้นเราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเราปฏิรูปท่ามกลางความขัดแย้ง เราอาจจะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายมากมาย ประชาชนก็รู้สึกเดือดร้อน ผู้มีรายได้น้อยก็รู้สึกถูกรังแก ก็เลยทําให้การปฏิรูปไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย กฎหมายไม่ได้รับความเชื่อถือ มีการทําลายกระบวนการยุติธรรม เหล่านี้ทําให้เกิดการปฏิรูปได้ยาก ได้ช้า
เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกคน ทุกพรรค ที่จะเข้าสู่การเลือกตั้ง เพื่อเข้ามาเป็น ส.ส. เป็นรัฐบาล ควรจะออกมาพูดว่าท่านจะปฏิรูปอะไรและอย่างไร ดีกว่ามาพูด ว่า ติ รัฐบาลนี้ทําไม่ทํา ท่านบอกว่าท่านจะทําอะไรดีกว่าครับ ผมพูดของผมไปแล้ว ว่ารัฐบาลนี้ทําอะไรไปแล้วบ้าง ท่านก็ต้องพูดของท่าน วันนี้ท่านเป็นกันมานานแล้ว ท่านอ้างว่าท่านเป็นกันมานานแล้ว ท่านรู้ปัญหาประเทศดีมากอยู่แล้ว ผมอยากจะรู้ว่าที่มากน่ะ ท่านแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าท่านมีวิธีการใหม่ ๆ วิธีการใช้จ่ายงบประมาณ วิธีการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมอย่างไรย่อมจะดีกว่าที่จะมาพูดจาให้ร้ายซึ่งกันและกัน พูดถึงประเด็นความเหลื่อมล้ํา ความยากจน พูดถึงอํานาจ ผลประโยชน์ แล้วก็มาท้าทายกันเอง ประชาชนและประเทศชาติจะมีอนาคตได้อย่างไร ถ้าหากท่านยังทําการเมืองในลักษณะเดิม การเมืองก็ต้องปฏิรูปด้วย ปฏิรูปที่ตัวเองก่อน หลักการที่ควรจะเป็นคือ เราต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประชาชน ทําให้คนไทยเข้มแข็งด้วยตนเอง ทําให้ผู้ที่มีรายได้น้อยพึ่งพาตนเองได้ พัฒนาตนเอง มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่ทําให้เขาอ่อนแอ หวังพึ่งแต่รัฐไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างไร เรากําลังให้เร่งรัด ติดตาม การแก้ไขปัญหาหนี้สินของพี่น้องประชาชน จากการปล่อยกู้ที่ผิดกฎหมาย ขจัดหนี้นอกระบบ และหนี้สินพี่น้องเกษตรกร จากเจ้าของโรงสีผู้ประกอบการที่เอาเปรียบ ดี ๆ ก็เยอะนะครับ พืชเศรษฐกิจ เช่น มัน อ้อย ปาล์ม ยาง เหล่านี้เป็นพืชหลัก เป็นพันธะผูกพันมายาวนาน เป็นปัญหาทางการเมืองมาด้วย ต้องแก้กันเป็นระบบครบวงจร
นักธุรกิจทั้งหลาย ผู้ร่ํารวยทั้งหลาย ผมขอร้องแต่เพียงอย่างเดียวว่าช่วงนี้เป็นช่วงของการปฏิรูป อย่าเพิ่งมุ่งหวังกําไรกันมากมายนัก เพราะท่านก็ต้องช่วยเราปฏิรูปไปด้วย เพราะฉะนั้นการปฏิรูปจะสําเร็จได้ด้วยการแบ่งปันผลประโยชน์ให้พี่น้องระดับล่าง ให้มีเงินใช้จ่ายอย่างพอเพียง เลี้ยงครอบครัว บุตรหลาน ถ้าเราเพิ่มราคาไปเรื่อย ๆ เพื่อหวังผลกําไรให้มากขึ้น หรือไม่ยอมเสียผลประโยชน์ใด ๆ เลย ผลประโยชน์ก็ไม่เกิดขึ้นมากนัก แล้วภาระจะไปตกกับผู้บริโภค จะทําอะไรก็ตามนึกถึงพี่น้องเกษตรกร ประชาชน ผู้บริโภคบ้าง ช่วยรัฐบาล ช่วยกันปฏิรูปประเทศให้ได้ เราจะต้องเริ่มที่จิตใจของเราก่อน ในเรื่องของการเสียสละ ในเรื่องของการแบ่งปันต่าง ๆ เหล่านี้ จิตสํานึก
สุดท้ายนี้ก็ธรรมดาครับ ผมขอฝากบทกลอนที่สะท้อนให้เห็นถึงเสียงจากรัฐบาลและ คสช. ในช่วงท้ายของรายการวันนี้ครับ
ถึงวันนี้ ยังมีหลาย ความคิดเห็น ว่าจําเป็น ไม่จําเป็น ให้หวนหา
ประชาธิปไตย นักเลือกตั้ง ที่ผ่านมา ล้วนกล่าวว่า ทําวันนี้ ดีไม่พอ
อาจไม่ดี ในสายตา ของพวกเขา ทําแบบเรา ยั่งยืน หลาย พ.ศ.
ให้เปล่าเปล่า ตามใจ เท่าไรพอ ตั้งตารอ ไม่เรียนรู้ พัฒนา
เพียงเริ่มต้น เคารพ ข้อกฎหมาย ไม่บานปลาย ขัดแย้ง แจ้งข้อหา
กี่ชีวิต ทรัพย์สิน สูญสิ้นมา เพื่อวันหน้า ไม่มี แม้สักคน
ขอคนไทย ทบทวน เฝ้าหวนคิด แล้วตั้งจิต พัฒนา หาเหตุผล
เกิดความสุข ถ้วนทั่ว ทุกตัวตน อย่าให้คน มองแค่เปลือก เลือกตั้งมา
ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
--------------------------------------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12375
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
|
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563
อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
หยุดเดินทาง = หยุดเชื้อไวรัสโควิด-19
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563
อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
หยุดเดินทาง = หยุดเชื้อไวรัสโควิด-19
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29425
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รมช. ชุติมา" เยือนแปลงใหญ่/อินทรีย์ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์
|
วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2560
"รมช. ชุติมา" เยือนแปลงใหญ่/อินทรีย์ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์
"รมช. ชุติมา" เยือนแปลงใหญ่/อินทรีย์ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ซึ้งน้ําใจพี่น้องชาวนาไทย ไม่ทิ้งกัน
นางสาวชุติมาบุณยประภัศรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ณจังหวัดบุรีรัมย์ว่าการลงพื้นที่ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวคุณภาพในจังหวัดบุรีรัมย์โดยได้หารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและรองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์โดยได้ขอความร่วมมือให้ทางจังหวัดเชิญชวนผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการจับคู่กับกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวอินทรีย์และข้าวGAP
หลังจากนั้นได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมนาแปลงใหญ่ประชารัฐอ.ลําปลายมาศและแปลงนาอินทรีย์อ.กระสังจ.บุรีรัมย์พร้อมคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรฯกระทรวงมหาดไทยกระทรวงพาณิชย์และธ.ก.ส.โดยได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและรับฟังปัญหาอุปสรรคกับเกษตรกรสมาชิกนาแปลงใหญ่และนาอินทรีย์
"จากการลงพื้นที่วันนี้พบว่าเกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็งมาสมัครเข้าโครงการนาแปลงใหญ่และนาอินทรีย์เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากเห็นตัวอย่างของแปลงปีที่แล้วที่ประสบความสําเร็จมีรายได้เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะนาอินทรีย์ผลิตไม่พอกับความต้องการของตลาดและขายได้ราคาดีถึงแม้ราคาข้าวทั่วไปจะตกต่ําเพราะเป็นข้าวที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่รักสุขภาพทั้งนี้เกษตรกรที่สนใจมาเข้าร่วมโครงการนาแปลงใหญ่และนาอินทรีย์สามารถติดต่อได้ที่สํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดกรมการข้าวหรือสายด่วนหมอข้าว1170กด4 "นางชุติมากล่าว
นอกจากนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าจ.บุรีรัมย์มีพื้นที่ที่ประสบภัยน้ําท่วมพื้นที่นาได้รับความเสียหายบางส่วนแต่พี่น้องเกษตรกรได้ช่วยเหลือกันเองโดยไม่ได้รอความช่วยเหลือจากรัฐเพียงอย่างเดียวทําให้ได้เห็นน้ําใจของชาวนาไทยที่มีต่อกันจึงรู้สึกประทับใจมากโดยชาวนาได้มีการแบ่งปันต้นข้าวที่รอดจากน้ําท่วมให้เพื่อนบ้านไปปักดําในนาที่ข้าวรอบแรกเสียหายจากน้ําท่วมด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews60@gmail.com
moac58@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รมช. ชุติมา" เยือนแปลงใหญ่/อินทรีย์ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์
วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2560
"รมช. ชุติมา" เยือนแปลงใหญ่/อินทรีย์ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์
"รมช. ชุติมา" เยือนแปลงใหญ่/อินทรีย์ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ซึ้งน้ําใจพี่น้องชาวนาไทย ไม่ทิ้งกัน
นางสาวชุติมาบุณยประภัศรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ณจังหวัดบุรีรัมย์ว่าการลงพื้นที่ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวคุณภาพในจังหวัดบุรีรัมย์โดยได้หารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและรองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์โดยได้ขอความร่วมมือให้ทางจังหวัดเชิญชวนผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการจับคู่กับกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวอินทรีย์และข้าวGAP
หลังจากนั้นได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมนาแปลงใหญ่ประชารัฐอ.ลําปลายมาศและแปลงนาอินทรีย์อ.กระสังจ.บุรีรัมย์พร้อมคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรฯกระทรวงมหาดไทยกระทรวงพาณิชย์และธ.ก.ส.โดยได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและรับฟังปัญหาอุปสรรคกับเกษตรกรสมาชิกนาแปลงใหญ่และนาอินทรีย์
"จากการลงพื้นที่วันนี้พบว่าเกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็งมาสมัครเข้าโครงการนาแปลงใหญ่และนาอินทรีย์เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากเห็นตัวอย่างของแปลงปีที่แล้วที่ประสบความสําเร็จมีรายได้เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะนาอินทรีย์ผลิตไม่พอกับความต้องการของตลาดและขายได้ราคาดีถึงแม้ราคาข้าวทั่วไปจะตกต่ําเพราะเป็นข้าวที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่รักสุขภาพทั้งนี้เกษตรกรที่สนใจมาเข้าร่วมโครงการนาแปลงใหญ่และนาอินทรีย์สามารถติดต่อได้ที่สํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดกรมการข้าวหรือสายด่วนหมอข้าว1170กด4 "นางชุติมากล่าว
นอกจากนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าจ.บุรีรัมย์มีพื้นที่ที่ประสบภัยน้ําท่วมพื้นที่นาได้รับความเสียหายบางส่วนแต่พี่น้องเกษตรกรได้ช่วยเหลือกันเองโดยไม่ได้รอความช่วยเหลือจากรัฐเพียงอย่างเดียวทําให้ได้เห็นน้ําใจของชาวนาไทยที่มีต่อกันจึงรู้สึกประทับใจมากโดยชาวนาได้มีการแบ่งปันต้นข้าวที่รอดจากน้ําท่วมให้เพื่อนบ้านไปปักดําในนาที่ข้าวรอบแรกเสียหายจากน้ําท่วมด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews60@gmail.com
moac58@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6082
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์น้ำใกล้ชิด กำชับทุกหน่วย เฝ้าระวัง แจ้งเตือน และปฏิบัติการตามแผนป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจากฝนตกหนัก
|
วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์น้ําใกล้ชิด กําชับทุกหน่วย เฝ้าระวัง แจ้งเตือน และปฏิบัติการตามแผนป้องกันแก้ไขปัญหาน้ําท่วมจากฝนตกหนัก
นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์น้ําใกล้ชิด กําชับทุกหน่วย เฝ้าระวัง แจ้งเตือน และปฏิบัติการตามแผนป้องกันแก้ไขปัญหาน้ําท่วมจากฝนตกหนัก
วันนี้ (11 สิงหาคม 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด โดยได้กําชับให้ทุกหน่วยงาน เช่น สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงภัย เฝ้าระวัง แจ้งเตือน วางแผน และปฏิบัติการตามแผน เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาน้ําท่วมจากปริมาณฝนที่ตกหนักในระยะนี้
"นายกฯ พอใจการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ําท่วมปีนี้ ที่มีความชัดเจนในทางปฏิบัติมากขึ้น หลังจากที่ได้ตั้ง สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติขึ้นมาบูรณาการการทํางานของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทําให้เกิดการประสานและทํางานกันอย่างใกล้ชิด ทั้งการเตรียมการล่วงหน้าก่อนเข้าฤดูฝนและการจัดทําแผนรับมือแจ้งเตือนพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบ รวมถึงการตั้งศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤต เพื่อติดตามวิเคราะห์สถานการณ์น้ํา"
นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานว่า ขณะนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้เร่งระบายน้ํา 2 เขื่อนใหญ่ คือ เขื่อนน้ําอูนและเขื่อนแก่งกระจาน ให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุม รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนบริเวณพื้นที่ท้ายน้ํา ส่วนเขื่อนใหญ่อื่นยังมีระดับน้ําอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง
นอกจากนี้ ระดับน้ําในแม่น้ําโขง ตั้งแต่ จ. อุบลราชธานี นครพนม มุกดาหาร เริ่มลดลงตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับแม่น้ําเพชรบุรีที่ระดับน้ําลดลง เนื่องจากมีการตัดยอดน้ําเข้าระบบชลประทานมากขึ้น ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ไปตรวจพื้นที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
"นายกฯ เป็นห่วงพื้นที่เสี่ยงต่อภาวะน้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก น้ําล้นตลิ่ง และดินโคลนถล่ม ใน 8 จังหวัด คือ จ. สกลนคร มุกดาหาร ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี ตามประกาศของทางราชการ โดยสั่งการให้หน่วยงานกลางและพื้นที่จัดทําแผนป้องกันและแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่องด้วย"
---------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์น้ำใกล้ชิด กำชับทุกหน่วย เฝ้าระวัง แจ้งเตือน และปฏิบัติการตามแผนป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจากฝนตกหนัก
วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์น้ําใกล้ชิด กําชับทุกหน่วย เฝ้าระวัง แจ้งเตือน และปฏิบัติการตามแผนป้องกันแก้ไขปัญหาน้ําท่วมจากฝนตกหนัก
นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์น้ําใกล้ชิด กําชับทุกหน่วย เฝ้าระวัง แจ้งเตือน และปฏิบัติการตามแผนป้องกันแก้ไขปัญหาน้ําท่วมจากฝนตกหนัก
วันนี้ (11 สิงหาคม 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด โดยได้กําชับให้ทุกหน่วยงาน เช่น สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงภัย เฝ้าระวัง แจ้งเตือน วางแผน และปฏิบัติการตามแผน เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาน้ําท่วมจากปริมาณฝนที่ตกหนักในระยะนี้
"นายกฯ พอใจการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ําท่วมปีนี้ ที่มีความชัดเจนในทางปฏิบัติมากขึ้น หลังจากที่ได้ตั้ง สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติขึ้นมาบูรณาการการทํางานของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทําให้เกิดการประสานและทํางานกันอย่างใกล้ชิด ทั้งการเตรียมการล่วงหน้าก่อนเข้าฤดูฝนและการจัดทําแผนรับมือแจ้งเตือนพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบ รวมถึงการตั้งศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤต เพื่อติดตามวิเคราะห์สถานการณ์น้ํา"
นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานว่า ขณะนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้เร่งระบายน้ํา 2 เขื่อนใหญ่ คือ เขื่อนน้ําอูนและเขื่อนแก่งกระจาน ให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุม รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนบริเวณพื้นที่ท้ายน้ํา ส่วนเขื่อนใหญ่อื่นยังมีระดับน้ําอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง
นอกจากนี้ ระดับน้ําในแม่น้ําโขง ตั้งแต่ จ. อุบลราชธานี นครพนม มุกดาหาร เริ่มลดลงตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับแม่น้ําเพชรบุรีที่ระดับน้ําลดลง เนื่องจากมีการตัดยอดน้ําเข้าระบบชลประทานมากขึ้น ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ไปตรวจพื้นที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
"นายกฯ เป็นห่วงพื้นที่เสี่ยงต่อภาวะน้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก น้ําล้นตลิ่ง และดินโคลนถล่ม ใน 8 จังหวัด คือ จ. สกลนคร มุกดาหาร ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี ตามประกาศของทางราชการ โดยสั่งการให้หน่วยงานกลางและพื้นที่จัดทําแผนป้องกันและแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่องด้วย"
---------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14548
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 24 ตุลาคม 2560
|
วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 24 ตุลาคม 2560
วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2560
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย เกี่ยวกับศักยภาพดิจิทัลที่มีร่วมกัน
|
วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตแคนาดาประจําประเทศไทย เกี่ยวกับศักยภาพดิจิทัลที่มีร่วมกัน
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตแคนาดาประจําประเทศไทย เกี่ยวกับศักยภาพดิจิทัลที่มีร่วมกัน
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; color: #323333; -webkit-text-stroke: #323333}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; color: #323333; -webkit-text-stroke: #323333; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ให้การต้อนรับ นางโดนิกา พอตตี (H.E.Ms.Donica Pottie) เอกอัครราชทูตแคนาดาประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2562 โดยเอกอัครราชทูตแคนาดาฯ ได้แนะนําภาคเอกชนของแคนาดาที่มีศักยภาพในด้านดิจิทัล เพื่อเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือกับฝ่ายไทย พร้อมขอรับทราบนโยบายด้านดิจิทัลที่สําคัญของไทย ซึ่ง รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม โครงการเน็ตประชารัฐ โครงการ Big data/Data center เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ การพัฒนาเทคโนโลยี 5G โครงการ Digital park การดําเนินการตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งมีมาตรฐานสากล ไม่ขัดขวางการดําเนินธุรกิจของภาคเอกชน โดยเอกอัครราชทูตแคนาดาฯ กล่าวว่า ไทยกับแคนาดามีศักยภาพในการสร้างความร่วมมือระหว่างกัน โดยพร้อมจะสนับสนุนให้ภาคเอกชนของแคนาดาเข้ามาดําเนินธุรกิจในประเทศไทย และยินดีสนับสนุนการดําเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ ในทุกด้าน นอกจากนี้ ยังมีบริษัทจากประเทศไทยเดินทางไปเยี่ยมชมและสร้างความร่วมมือกับบริษัทเกมคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของแคนาดา จึงเห็นว่าไทยมีศักยภาพในด้านดังกล่าว ดังนั้นทั้งสองฝ่ายสามารถส่งเสริมความร่วมมือในด้านนี้ร่วมกันต่อไปในอนาคต
******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย เกี่ยวกับศักยภาพดิจิทัลที่มีร่วมกัน
วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตแคนาดาประจําประเทศไทย เกี่ยวกับศักยภาพดิจิทัลที่มีร่วมกัน
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตแคนาดาประจําประเทศไทย เกี่ยวกับศักยภาพดิจิทัลที่มีร่วมกัน
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; color: #323333; -webkit-text-stroke: #323333}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; color: #323333; -webkit-text-stroke: #323333; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ให้การต้อนรับ นางโดนิกา พอตตี (H.E.Ms.Donica Pottie) เอกอัครราชทูตแคนาดาประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2562 โดยเอกอัครราชทูตแคนาดาฯ ได้แนะนําภาคเอกชนของแคนาดาที่มีศักยภาพในด้านดิจิทัล เพื่อเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือกับฝ่ายไทย พร้อมขอรับทราบนโยบายด้านดิจิทัลที่สําคัญของไทย ซึ่ง รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม โครงการเน็ตประชารัฐ โครงการ Big data/Data center เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ การพัฒนาเทคโนโลยี 5G โครงการ Digital park การดําเนินการตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งมีมาตรฐานสากล ไม่ขัดขวางการดําเนินธุรกิจของภาคเอกชน โดยเอกอัครราชทูตแคนาดาฯ กล่าวว่า ไทยกับแคนาดามีศักยภาพในการสร้างความร่วมมือระหว่างกัน โดยพร้อมจะสนับสนุนให้ภาคเอกชนของแคนาดาเข้ามาดําเนินธุรกิจในประเทศไทย และยินดีสนับสนุนการดําเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ ในทุกด้าน นอกจากนี้ ยังมีบริษัทจากประเทศไทยเดินทางไปเยี่ยมชมและสร้างความร่วมมือกับบริษัทเกมคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของแคนาดา จึงเห็นว่าไทยมีศักยภาพในด้านดังกล่าว ดังนั้นทั้งสองฝ่ายสามารถส่งเสริมความร่วมมือในด้านนี้ร่วมกันต่อไปในอนาคต
******************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23474
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีติดตามการบริหารจัดการน้ำ และการพัฒนาหนองเล็งทราย แหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ของจังหวัดพะเยา
|
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรีติดตามการบริหารจัดการน้ํา และการพัฒนาหนองเล็งทราย แหล่งน้ําธรรมชาติขนาดใหญ่ของจังหวัดพะเยา
นายกฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ํา-การพัฒนาหนองเล็งทรายแหล่งน้ําธรรมชาติขนาดใหญ่ จ.พะเยา ส่งเสริมให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือเป็นธนาคารน้ําของประเทศ ขอชาวพะเยาช่วยรักษาแหล่งน้ําระบบนิเวศให้คงความสมบูรณ์ เพื่อพัฒนากว๊านพะเยาอย่างยั่งยืน
วันนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 10.30 น. ณ หนองเล็งทราย ตําบลศรีถ้อย อําเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ําและการพัฒนาหนองเล็งทราย ซึ่งเป็นแหล่งน้ําธรรมชาติขนาดใหญ่ของจังหวัด มีพื้นที่รวม 5,563 ไร่ครอบคลุมพื้นที่ 5 ใน 6 ตําบลของอําเภอแม่ใจ บริเวณตอนใต้ของหนองมีฝายน้ําล้น น้ําที่ล้นไหลลงแม่น้ําอิงสู่กว๊านพะเยา ปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่ของหนองเล็งทรายมีสภาพตื้นเขิน จังหวัดพะเยาจึงได้จัดทําแผนการพัฒนาหนองเล็งทรายอย่างยั่งยืน โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนากว๊านพะเยา มาตรการสําคัญ ได้แก่ การขุดลอก ก่อสร้างฝายและประตูระบายน้ํา การกําจัดผักตบชวา การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอํานวยความสะดวกในการท่องเที่ยว รวมทั้งสวนสาธารณะเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวพบปะกับประชาชนตอนหนึ่งว่า หนองเล็งทรายเป็นแหล่งน้ําธรรมชาติขนาดใหญ่ มีพื้นที่รับน้ําฝน 200 ตร.กม. สามารถกักเก็บน้ําได้ 5 ล้าน ลบ.ม. เป็นต้นน้ําที่สําคัญที่จะไหลลงสู่กว๊านพะเยาซึ่งเป็นพื้นที่กลางน้ํา มีพื้นที่รับน้ําฝน 1,464 ตร.กม. ปัจจุบันจากการมีฝายพับได้ทําให้มีความจุเก็บกักเพิ่มเป็น 55.65 ล้าน ลบ.ม. ดังนั้น ต้องช่วยกันดูแลรักษา และพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ําให้ได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งการแก้ปัญหาวัชพืช ผักตบชวาและการตื้นเขินเนื่องจากการสะสมของตะกอนดิน การจัดการประมง เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
สําหรับการดําเนินงานจัดการน้ําจังหวัดพะเยาที่ผ่านมา มีแผนงานจํานวน 1,164 โครงการ พื้นที่รับประโยชน์ 42,253 ไร่ เมื่อดําเนินการแล้วเสร็จสามารถเพิ่มความจุเก็บกักรวมทั้งสิ้น 34 ล้าน ลบ.ม. ครัวเรือนได้รับประโยชน์ 5,044 ครัวเรือน เช่น โครงการอ่างเก็บน้ําน้ําปี้ อันเนื่องมาจากพระราชดําริ เขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ํา จํานวน 5 แห่ง และอ่างเก็บน้ําบ้านห้วยเคียน นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการดําเนินการ ได้แก่ อ่างเก็บน้ําห้วยรู อันเนื่องมาจากพระราชดําริ อ่างเก็บน้ําแม่เมาะ ประตูระบายน้ําบ้านดอยอิสาน เป็นต้น ทั้งนี้ ต้องส่งเสริมให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือเป็นธนาคารน้ําของประเทศ รวมถึงต้องสร้างความเข้มแข็งให้ได้ทุกลุ่มน้ํา เพื่อนํามาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ
สําหรับการจัดการการท่องเที่ยวในบริเวณกว๊านพะเยาและพื้นที่โดยรอบรวมถึงพื้นที่หนองเล็งทราย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เพื่อให้มีจุดดึงดูดความสนใจให้นักท่องเที่ยวมาชมมากยิ่งขึ้น จะต้องจัดทําเรื่องอธิบายเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา ปลายน้ํา และประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวทําให้เกิดรูปแบบการสื่อสารที่ทันสมัย เข้าถึงได้ง่าย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้อยู่ภายใต้โครงการพัฒนากว๊านพะเยาอย่างยั่งยืน จึงอยากให้ชาวพะเยาช่วยกันรักษาแหล่งน้ํา ทั้งหนองเล็งทราย กว๊านพะเยาให้มีความสะอาด อนุรักษ์พันธุ์ปลาท้องถิ่น การรักษาระบบนิเวศให้คงความสมบูรณ์ หากทุกฝ่ายช่วยกันก็จะเป็นการพัฒนากว๊านพะเยาอย่างยั่งยืนแท้จริง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน รายได้ และการประกอบอาชีพ ว่าจะทําอย่างไรจึงจะทําให้ประชาชนสามารถดํารงชีวิตที่ดีได้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ในเรื่องระบบดูแลสุขภาพ รัฐบาลให้ความสําคัญกับการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ ซึ่งจะต้องมีความสอดคล้องกับวิถีชุมชน วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเชื่อ นําไปสู่การพึ่งตนเองด้านสุขภาพ ให้การส่งเสริมการแพทย์ทุกระบบอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพ เกิดการรวมกลุ่มของหมอพื้นบ้าน เกิดการจัดทําองค์ความรู้ของหมอเมืองล้านนา ทั้งการรักษาข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรต่าง ๆ ตลอดจนการส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรแก่เกษตรกร เพื่อสามารถนําไปต่อยอดการแปรรูปและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและประชาชน
ช่วงท้ายนายกรัฐมนตรี ได้ฝากให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันทํางานเพื่อพัฒนาประเทศ พัฒนาจังหวัดพะเยาให้เจริญและมั่นคงในทุกด้าน ทั้งการเกษตร การท่องเที่ยว การต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นประเด็นสําคัญที่จะช่วยยกระดับชุมชนของเราให้มีความโดดเด่น แตกต่าง ด้วยการดึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และนําไปสู่การดําเนินงานตามนโยบายไทยนิยมยั่งยืน ที่จะช่วยส่งเสริมศักยภาพในท้องถิ่นให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง พร้อมทั้งช่วยกันสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับชุมชน สังคมของตนเองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป พร้อมกับกล่าวขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชนและภาคเอกชน ที่มีความตั้งใจทุ่มเทในการพัฒนาจังหวัดพะเยาร่วมกัน ขอให้การดําเนินงานมีความต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงและยั่งยืน และร่วมกันสร้างสรรค์พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงตลอดไป
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีติดตามการบริหารจัดการน้ำ และการพัฒนาหนองเล็งทราย แหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ของจังหวัดพะเยา
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรีติดตามการบริหารจัดการน้ํา และการพัฒนาหนองเล็งทราย แหล่งน้ําธรรมชาติขนาดใหญ่ของจังหวัดพะเยา
นายกฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ํา-การพัฒนาหนองเล็งทรายแหล่งน้ําธรรมชาติขนาดใหญ่ จ.พะเยา ส่งเสริมให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือเป็นธนาคารน้ําของประเทศ ขอชาวพะเยาช่วยรักษาแหล่งน้ําระบบนิเวศให้คงความสมบูรณ์ เพื่อพัฒนากว๊านพะเยาอย่างยั่งยืน
วันนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 10.30 น. ณ หนองเล็งทราย ตําบลศรีถ้อย อําเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ําและการพัฒนาหนองเล็งทราย ซึ่งเป็นแหล่งน้ําธรรมชาติขนาดใหญ่ของจังหวัด มีพื้นที่รวม 5,563 ไร่ครอบคลุมพื้นที่ 5 ใน 6 ตําบลของอําเภอแม่ใจ บริเวณตอนใต้ของหนองมีฝายน้ําล้น น้ําที่ล้นไหลลงแม่น้ําอิงสู่กว๊านพะเยา ปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่ของหนองเล็งทรายมีสภาพตื้นเขิน จังหวัดพะเยาจึงได้จัดทําแผนการพัฒนาหนองเล็งทรายอย่างยั่งยืน โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนากว๊านพะเยา มาตรการสําคัญ ได้แก่ การขุดลอก ก่อสร้างฝายและประตูระบายน้ํา การกําจัดผักตบชวา การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอํานวยความสะดวกในการท่องเที่ยว รวมทั้งสวนสาธารณะเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวพบปะกับประชาชนตอนหนึ่งว่า หนองเล็งทรายเป็นแหล่งน้ําธรรมชาติขนาดใหญ่ มีพื้นที่รับน้ําฝน 200 ตร.กม. สามารถกักเก็บน้ําได้ 5 ล้าน ลบ.ม. เป็นต้นน้ําที่สําคัญที่จะไหลลงสู่กว๊านพะเยาซึ่งเป็นพื้นที่กลางน้ํา มีพื้นที่รับน้ําฝน 1,464 ตร.กม. ปัจจุบันจากการมีฝายพับได้ทําให้มีความจุเก็บกักเพิ่มเป็น 55.65 ล้าน ลบ.ม. ดังนั้น ต้องช่วยกันดูแลรักษา และพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ําให้ได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งการแก้ปัญหาวัชพืช ผักตบชวาและการตื้นเขินเนื่องจากการสะสมของตะกอนดิน การจัดการประมง เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
สําหรับการดําเนินงานจัดการน้ําจังหวัดพะเยาที่ผ่านมา มีแผนงานจํานวน 1,164 โครงการ พื้นที่รับประโยชน์ 42,253 ไร่ เมื่อดําเนินการแล้วเสร็จสามารถเพิ่มความจุเก็บกักรวมทั้งสิ้น 34 ล้าน ลบ.ม. ครัวเรือนได้รับประโยชน์ 5,044 ครัวเรือน เช่น โครงการอ่างเก็บน้ําน้ําปี้ อันเนื่องมาจากพระราชดําริ เขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ํา จํานวน 5 แห่ง และอ่างเก็บน้ําบ้านห้วยเคียน นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการดําเนินการ ได้แก่ อ่างเก็บน้ําห้วยรู อันเนื่องมาจากพระราชดําริ อ่างเก็บน้ําแม่เมาะ ประตูระบายน้ําบ้านดอยอิสาน เป็นต้น ทั้งนี้ ต้องส่งเสริมให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือเป็นธนาคารน้ําของประเทศ รวมถึงต้องสร้างความเข้มแข็งให้ได้ทุกลุ่มน้ํา เพื่อนํามาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ
สําหรับการจัดการการท่องเที่ยวในบริเวณกว๊านพะเยาและพื้นที่โดยรอบรวมถึงพื้นที่หนองเล็งทราย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เพื่อให้มีจุดดึงดูดความสนใจให้นักท่องเที่ยวมาชมมากยิ่งขึ้น จะต้องจัดทําเรื่องอธิบายเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา ปลายน้ํา และประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวทําให้เกิดรูปแบบการสื่อสารที่ทันสมัย เข้าถึงได้ง่าย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้อยู่ภายใต้โครงการพัฒนากว๊านพะเยาอย่างยั่งยืน จึงอยากให้ชาวพะเยาช่วยกันรักษาแหล่งน้ํา ทั้งหนองเล็งทราย กว๊านพะเยาให้มีความสะอาด อนุรักษ์พันธุ์ปลาท้องถิ่น การรักษาระบบนิเวศให้คงความสมบูรณ์ หากทุกฝ่ายช่วยกันก็จะเป็นการพัฒนากว๊านพะเยาอย่างยั่งยืนแท้จริง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน รายได้ และการประกอบอาชีพ ว่าจะทําอย่างไรจึงจะทําให้ประชาชนสามารถดํารงชีวิตที่ดีได้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ในเรื่องระบบดูแลสุขภาพ รัฐบาลให้ความสําคัญกับการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ ซึ่งจะต้องมีความสอดคล้องกับวิถีชุมชน วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเชื่อ นําไปสู่การพึ่งตนเองด้านสุขภาพ ให้การส่งเสริมการแพทย์ทุกระบบอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพ เกิดการรวมกลุ่มของหมอพื้นบ้าน เกิดการจัดทําองค์ความรู้ของหมอเมืองล้านนา ทั้งการรักษาข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรต่าง ๆ ตลอดจนการส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรแก่เกษตรกร เพื่อสามารถนําไปต่อยอดการแปรรูปและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและประชาชน
ช่วงท้ายนายกรัฐมนตรี ได้ฝากให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันทํางานเพื่อพัฒนาประเทศ พัฒนาจังหวัดพะเยาให้เจริญและมั่นคงในทุกด้าน ทั้งการเกษตร การท่องเที่ยว การต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นประเด็นสําคัญที่จะช่วยยกระดับชุมชนของเราให้มีความโดดเด่น แตกต่าง ด้วยการดึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และนําไปสู่การดําเนินงานตามนโยบายไทยนิยมยั่งยืน ที่จะช่วยส่งเสริมศักยภาพในท้องถิ่นให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง พร้อมทั้งช่วยกันสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับชุมชน สังคมของตนเองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป พร้อมกับกล่าวขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชนและภาคเอกชน ที่มีความตั้งใจทุ่มเทในการพัฒนาจังหวัดพะเยาร่วมกัน ขอให้การดําเนินงานมีความต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงและยั่งยืน และร่วมกันสร้างสรรค์พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงตลอดไป
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26451
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนในโครงการก่อสร้างพื้นฐานในไทย
|
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561
ฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนในโครงการก่อสร้างพื้นฐานในไทย
ฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนในโครงการก่อสร้างพื้นฐานในไทย
วันนี้(12 ก.พ. 2561) เวลา 13.00 น. นายฌอง-บาติสต์ เลอมวน (Jean-Baptiste Lemoyne) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศส เข้าเยี่ยมคารวะนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศสต่างแสดงความยินดีที่ความสัมพันธ์ทวิภาคีในภาพรวมระหว่างทั้งสองประเทศมีพัฒนาการในเชิงบวก และยินดีที่ภาคเอกชนไทย-ฝรั่งเศส ได้ลงนาม MoU เมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 เพื่อกระชับความร่วมมือ ใน 4 สาขาหลัก ได้แก่ เกษตรและอาหาร โครงสร้างพื้นฐานคมนาคม เมืองอัจฉริยะ และพลังงานทดแทน ทั้งสองฝ่ายหวังว่า ไทยและฝรั่งเศส จะมีความร่วมมือในเรื่องดังกล่าวเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นในอนาคต
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณที่ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศที่มีบทบาทสําคัญในการผลักดันให้สหภาพยุโรปมีการปรับเปลี่ยนข้อมติต่อไทยและกลับมาแสวงหาความร่วมมือกับไทยอีกครั้ง พร้อมกล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่สําคัญ ได้แก่ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ นโยบายประเทศไทย 4.0 โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมที่เชื่อมต่อภายในประเทศ และกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งโครงการเหล่านี้สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญของฝรั่งเศสที่เป็นผู้นําทางด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย จึงขอเชิญชวนฝรั่งเศสเข้ามาลงทุนในโครงการเหล่านี้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศส กล่าวว่า สหภาพยุโรปและฝรั่งเศสสนใจที่จะสานต่อการทําความตกลงการค้าเสรีกับไทยอีกครั้ง และฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งฝรั่งเศสเชื่อมั่นว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคโดยเชื่อมโยงกับอาเซียน นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังสนใจในการเข้ามาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูง การพัฒนาท่าเรือน้ําลึก Smart City และศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน รวมถึงรวมทั้งโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ ฝรั่งเศสจึงประสงค์ให้ไทยเปิดโอกาสให้กับบริษัทฝรั่งเศส เพราะบริษัทของฝรั่งเศสไม่เพียงมีนําเงินและเทคโนโลยีเข้ามาในไทยเพียงเท่านั้น แต่ยังนําองค์ความรู้มาพัฒนาบุคลากรและแรงงานของไทยอีกด้วย ซึ่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรียินดีอย่างยิ่งที่ฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนในไทย และพร้อมหารืออย่างใกล้ชิดถึงรายละเอียดกับฝรั่งเศสในโอกาสต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนในโครงการก่อสร้างพื้นฐานในไทย
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561
ฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนในโครงการก่อสร้างพื้นฐานในไทย
ฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนในโครงการก่อสร้างพื้นฐานในไทย
วันนี้(12 ก.พ. 2561) เวลา 13.00 น. นายฌอง-บาติสต์ เลอมวน (Jean-Baptiste Lemoyne) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศส เข้าเยี่ยมคารวะนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศสต่างแสดงความยินดีที่ความสัมพันธ์ทวิภาคีในภาพรวมระหว่างทั้งสองประเทศมีพัฒนาการในเชิงบวก และยินดีที่ภาคเอกชนไทย-ฝรั่งเศส ได้ลงนาม MoU เมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 เพื่อกระชับความร่วมมือ ใน 4 สาขาหลัก ได้แก่ เกษตรและอาหาร โครงสร้างพื้นฐานคมนาคม เมืองอัจฉริยะ และพลังงานทดแทน ทั้งสองฝ่ายหวังว่า ไทยและฝรั่งเศส จะมีความร่วมมือในเรื่องดังกล่าวเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นในอนาคต
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณที่ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศที่มีบทบาทสําคัญในการผลักดันให้สหภาพยุโรปมีการปรับเปลี่ยนข้อมติต่อไทยและกลับมาแสวงหาความร่วมมือกับไทยอีกครั้ง พร้อมกล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่สําคัญ ได้แก่ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ นโยบายประเทศไทย 4.0 โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมที่เชื่อมต่อภายในประเทศ และกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งโครงการเหล่านี้สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญของฝรั่งเศสที่เป็นผู้นําทางด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย จึงขอเชิญชวนฝรั่งเศสเข้ามาลงทุนในโครงการเหล่านี้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศส กล่าวว่า สหภาพยุโรปและฝรั่งเศสสนใจที่จะสานต่อการทําความตกลงการค้าเสรีกับไทยอีกครั้ง และฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งฝรั่งเศสเชื่อมั่นว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคโดยเชื่อมโยงกับอาเซียน นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังสนใจในการเข้ามาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูง การพัฒนาท่าเรือน้ําลึก Smart City และศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน รวมถึงรวมทั้งโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ ฝรั่งเศสจึงประสงค์ให้ไทยเปิดโอกาสให้กับบริษัทฝรั่งเศส เพราะบริษัทของฝรั่งเศสไม่เพียงมีนําเงินและเทคโนโลยีเข้ามาในไทยเพียงเท่านั้น แต่ยังนําองค์ความรู้มาพัฒนาบุคลากรและแรงงานของไทยอีกด้วย ซึ่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรียินดีอย่างยิ่งที่ฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนในไทย และพร้อมหารืออย่างใกล้ชิดถึงรายละเอียดกับฝรั่งเศสในโอกาสต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10036
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะแพ็กเกจฟื้นท่องเที่ยวรับปีใหม่'62...
|
วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561
เคาะแพ็กเกจฟื้นท่องเที่ยวรับปีใหม่'62...
--
ต่อเนื่องกันไปเลยจากสัปดาห์ที่แล้ว ที่รัฐบาลยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าหน้าด่าน เพื่อเพิ่มจํานวนนักท่องเที่ยวจาก 20 ประเทศ 1 เขตเศรษฐกิจให้เข้ามาเที่ยวเมืองไทยกันมากขึ้น
สัปดาห์นี้ ตอกย้ํากันอีกครั้ง ด้วย 2 มาตรการใหญ่ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ 2562 นี้ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลกันเข้ามาในบ้านเราอย่างมีคุณภาพ
เริ่มที่มาตรการแรก : Amazing Thailand Grand Sale “Passport Privilege”
รัฐบาลร่วมกับพันธมิตร เช่น ผู้ผลิตสินค้า เจ้าของแบรนด์สินค้า ศูนย์การค้า บัตรเครดิต ฯลฯ จัดกิจกรรมเพิ่มส่วนลดจากส่วนลดปกติ เรียกว่าลดแล้วลดอีก ทั้งเสื้อผ้า เครื่องสําอาง เครื่องใช้ไฟฟ้า แบรนด์ดังต่าง ๆ ที่นักชอปนิยมชมชอบ โดยนักท่องเที่ยวสามารถใช้สิทธิได้ง่าย ๆ เพียงแค่แสดงพาสปอร์ต มีผลตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.61 – 15 ม.ค.62
มาตรการที่ 2 เป็นมาตรการด้านวีซ่า เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 เรียกว่า "Double Entries Visa" มาตรการนี้กําหนดว่า ขอวีซ่าเพียงแค่ 1 ครั้ง แต่สามารถใช้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ถึง 2 ครั้ง ภายในระยะเวลา 6 เดือน เหมาะสําหรับนักเดินทางหรือนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีธุระต้องเข้ามาบ่อย ๆ เช่น มาพบแพทย์ ทําฟัน ทําศัลยกรรม ซึ่งจะต้องมีการนัดหมายกันอย่างต่อเนื่อง
ประเภทที่ 2 เรียกว่า "Re-Entry Permit" คือ การอนุญาตให้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยได้อีกครั้ง โดยเฉพาะ เมื่อเดินทางท่องเที่ยวออกจากไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกับเราอย่าง สปป. ลาว มาเลเซีย ฯลฯ แล้ว ก็สามารถเดินทางกลับเข้ามาเที่ยวในไทยต่อได้อีก โดยไม่ต้องขออนุญาตใหม่ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน
ประเภทที่ 3 อํานวยความสะดวกเพื่อการเดินทางผ่านพรมแดนทางบก แต่เดิมชาวต่างชาติที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าและอยู่ในไทยได้นาน 30 วัน จะสามารถขับรถผ่านพรมแดนเพื่อมาท่องเที่ยวในไทยได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ปีละไม่เกิน 2 ครั้ง
แต่ต่อไปจะไม่จํากัดจํานวนครั้ง เนื่องจากพบว่าในปี 2560 มีจํานวนนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มากถึง 5 ล้านคน ขยายตัวเพิ่มจากปี 2559 ร้อยละ 3.01 โดยส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มาทํางานในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ชาวฝรั่งเศส ชาวสหรัฐฯ หรือชาวสิงคโปร์ ซึ่งนิยมมาพักผ่อน ชมการแข่งขันกีฬา หรือมารักษาสุขภาพในประเทศไทย
โดยมาตรการที่ 2 นี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะกําหนดช่วงเวลาที่เหมาะสม และรายละเอียดต่าง ๆ อีกครั้ง
กลุ่มเป้าหมายหลักของมาตรการนี้ มุ่งเน้นดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีกําลังซื้อสูง ซึ่งคาดว่าน่าจะช่วยให้ประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า ร้อยละ 12 หรือประมาณ 2.28 ล้านล้านบาท ในปี 2562
พี่น้องชาวไทย เตรียมตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี มีความสุข ยิ้มรับปีใหม่กันได้เลย...
---------------------------
ภาพ/ข่าว กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะแพ็กเกจฟื้นท่องเที่ยวรับปีใหม่'62...
วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561
เคาะแพ็กเกจฟื้นท่องเที่ยวรับปีใหม่'62...
--
ต่อเนื่องกันไปเลยจากสัปดาห์ที่แล้ว ที่รัฐบาลยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าหน้าด่าน เพื่อเพิ่มจํานวนนักท่องเที่ยวจาก 20 ประเทศ 1 เขตเศรษฐกิจให้เข้ามาเที่ยวเมืองไทยกันมากขึ้น
สัปดาห์นี้ ตอกย้ํากันอีกครั้ง ด้วย 2 มาตรการใหญ่ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ 2562 นี้ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลกันเข้ามาในบ้านเราอย่างมีคุณภาพ
เริ่มที่มาตรการแรก : Amazing Thailand Grand Sale “Passport Privilege”
รัฐบาลร่วมกับพันธมิตร เช่น ผู้ผลิตสินค้า เจ้าของแบรนด์สินค้า ศูนย์การค้า บัตรเครดิต ฯลฯ จัดกิจกรรมเพิ่มส่วนลดจากส่วนลดปกติ เรียกว่าลดแล้วลดอีก ทั้งเสื้อผ้า เครื่องสําอาง เครื่องใช้ไฟฟ้า แบรนด์ดังต่าง ๆ ที่นักชอปนิยมชมชอบ โดยนักท่องเที่ยวสามารถใช้สิทธิได้ง่าย ๆ เพียงแค่แสดงพาสปอร์ต มีผลตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.61 – 15 ม.ค.62
มาตรการที่ 2 เป็นมาตรการด้านวีซ่า เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 เรียกว่า "Double Entries Visa" มาตรการนี้กําหนดว่า ขอวีซ่าเพียงแค่ 1 ครั้ง แต่สามารถใช้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ถึง 2 ครั้ง ภายในระยะเวลา 6 เดือน เหมาะสําหรับนักเดินทางหรือนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีธุระต้องเข้ามาบ่อย ๆ เช่น มาพบแพทย์ ทําฟัน ทําศัลยกรรม ซึ่งจะต้องมีการนัดหมายกันอย่างต่อเนื่อง
ประเภทที่ 2 เรียกว่า "Re-Entry Permit" คือ การอนุญาตให้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยได้อีกครั้ง โดยเฉพาะ เมื่อเดินทางท่องเที่ยวออกจากไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกับเราอย่าง สปป. ลาว มาเลเซีย ฯลฯ แล้ว ก็สามารถเดินทางกลับเข้ามาเที่ยวในไทยต่อได้อีก โดยไม่ต้องขออนุญาตใหม่ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน
ประเภทที่ 3 อํานวยความสะดวกเพื่อการเดินทางผ่านพรมแดนทางบก แต่เดิมชาวต่างชาติที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าและอยู่ในไทยได้นาน 30 วัน จะสามารถขับรถผ่านพรมแดนเพื่อมาท่องเที่ยวในไทยได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ปีละไม่เกิน 2 ครั้ง
แต่ต่อไปจะไม่จํากัดจํานวนครั้ง เนื่องจากพบว่าในปี 2560 มีจํานวนนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มากถึง 5 ล้านคน ขยายตัวเพิ่มจากปี 2559 ร้อยละ 3.01 โดยส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มาทํางานในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ชาวฝรั่งเศส ชาวสหรัฐฯ หรือชาวสิงคโปร์ ซึ่งนิยมมาพักผ่อน ชมการแข่งขันกีฬา หรือมารักษาสุขภาพในประเทศไทย
โดยมาตรการที่ 2 นี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะกําหนดช่วงเวลาที่เหมาะสม และรายละเอียดต่าง ๆ อีกครั้ง
กลุ่มเป้าหมายหลักของมาตรการนี้ มุ่งเน้นดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีกําลังซื้อสูง ซึ่งคาดว่าน่าจะช่วยให้ประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า ร้อยละ 12 หรือประมาณ 2.28 ล้านล้านบาท ในปี 2562
พี่น้องชาวไทย เตรียมตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี มีความสุข ยิ้มรับปีใหม่กันได้เลย...
---------------------------
ภาพ/ข่าว กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16774
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. ร่วมกับ สศช. จัดประชุม VCS ชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการทุนการศึกษา ม.ท.ศ. ปี 2561 ให้แก่ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ
|
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561
มท. ร่วมกับ สศช. จัดประชุม VCS ชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินงานโครงการทุนการศึกษา ม.ท.ศ. ปี 2561 ให้แก่ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ
มท. ร่วมกับ สศช. จัดประชุม VCS ชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินงานโครงการทุนการศึกษา ม.ท.ศ. ปี 2561 ให้แก่ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ
วันนี้ (26 มี.ค.2561) เวลา 13:30 น. ณ ห้องประชุมราชสีห์ อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นประธานการประชุมร่วมกันเพื่อชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนโครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) 2561 ผ่านระบบวิดีทัศน์ทางไกล (Video Conference System) แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ
นางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ รองเลขาธิการ สศช. ได้กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดําริให้จัดทําโครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และเงินจากผู้บริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยที่มีฐานะยากจนยากลําบาก แต่ประพฤติดี มีความสามารถในการศึกษา ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคง โดยได้เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 จนถึงปัจจุบัน รวม 9 รุ่น จํานวน 1,397 ราย รวมเงินทุนพระราชทานที่ได้จัดสรรไปแล้ว รวมทั้งสิ้นจํานวน 318.337 ล้านบาท
สําหรับแนวทางการดําเนินงานโครงการทุนการศึกษาพระราชทานฯ ปี 2561 (รุ่นที่ 10) ยึดหลักการแนวความคิดตามพระราโชบาย 3 หลักการ ได้แก่ 1) พระราชทานทุนให้แก่ผู้เรียนดี ประพฤติดี มีคุณธรรม ตั้งแต่มัธยมปลายสายสามัญและอาชีพ ต่อเนื่องจนจบปริญญาตรีหรือเทียบเท่า มุ่งเน้นสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศ โดยไม่ยึดกําหนดสัดส่วนชายหญิงและจํานวนทุนแต่ละจังหวัด และปรับเพิ่มให้มีกระบวนการฝึกพัฒนาศักยภาพเพื่อคัดกรองในขั้นสุดท้าย 2) มุ่งเน้นการเสริมสร้างทัศนะคติที่ถูกต้อง ดีงามต่อสถาบันและประเทศชาติ พร้อมกับมุ่งเสริมสร้างพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง เข้มแข็ง บ่มเพาะความมีระเบียบวินัย สร้างศักยภาพความสามารถในการเรียนรู้ทักษะชีวิต ทักษะอาชีพอย่างต่อเนื่อง 3) มีการทําสัญญารับทุนและชดใช้ทุน ภายใต้เงื่อนไขเมื่อจบการศึกษา ให้ใช้ทุน ด้วยการเข้าสู่เส้นทางอาชีพอย่างมั่นคง ตามที่โครงการทุน ม.ท.ศ. จะเชื่อมโยงตําแหน่งงานรองรับ ทั้งนี้ การคัดเลือกระดับจังหวัดจะใช้กลไกคณะกรรมการฯ ระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน และศึกษาธิการจังหวัด เป็นเลขานุการ ซึ่งเป็นกลไกที่มีอยู่ เคยดําเนินการแล้วเมื่อปี 2560 พิจารณาเสนอรายชื่อที่ผ่านการกลั่นกรองจัดลําดับความสําคัญแล้ว 4 – 5 ราย เพื่อเข้าสู่การกลั่นกรองระดับภาคต่อไป
ในท้ายที่สุด นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมกับคณะกรรมการระดับจังหวัด พิจารณาคัดเลือกนักเรียนที่มีความประพฤติดี มีคุณธรรม เข้าตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดอย่างเข้มข้น โดยเร่งรัดการดําเนินการคัดเลือกให้ทันภายในกําหนดเวลา รวมถึงให้เหตุผลประกอบการพิจารณาคัดเลือกนักเรียนด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างแท้จริง.
ครั้งที่ 67/2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-22224131-2
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. ร่วมกับ สศช. จัดประชุม VCS ชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการทุนการศึกษา ม.ท.ศ. ปี 2561 ให้แก่ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561
มท. ร่วมกับ สศช. จัดประชุม VCS ชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินงานโครงการทุนการศึกษา ม.ท.ศ. ปี 2561 ให้แก่ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ
มท. ร่วมกับ สศช. จัดประชุม VCS ชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินงานโครงการทุนการศึกษา ม.ท.ศ. ปี 2561 ให้แก่ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ
วันนี้ (26 มี.ค.2561) เวลา 13:30 น. ณ ห้องประชุมราชสีห์ อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นประธานการประชุมร่วมกันเพื่อชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนโครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) 2561 ผ่านระบบวิดีทัศน์ทางไกล (Video Conference System) แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ
นางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ รองเลขาธิการ สศช. ได้กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดําริให้จัดทําโครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และเงินจากผู้บริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยที่มีฐานะยากจนยากลําบาก แต่ประพฤติดี มีความสามารถในการศึกษา ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคง โดยได้เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 จนถึงปัจจุบัน รวม 9 รุ่น จํานวน 1,397 ราย รวมเงินทุนพระราชทานที่ได้จัดสรรไปแล้ว รวมทั้งสิ้นจํานวน 318.337 ล้านบาท
สําหรับแนวทางการดําเนินงานโครงการทุนการศึกษาพระราชทานฯ ปี 2561 (รุ่นที่ 10) ยึดหลักการแนวความคิดตามพระราโชบาย 3 หลักการ ได้แก่ 1) พระราชทานทุนให้แก่ผู้เรียนดี ประพฤติดี มีคุณธรรม ตั้งแต่มัธยมปลายสายสามัญและอาชีพ ต่อเนื่องจนจบปริญญาตรีหรือเทียบเท่า มุ่งเน้นสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศ โดยไม่ยึดกําหนดสัดส่วนชายหญิงและจํานวนทุนแต่ละจังหวัด และปรับเพิ่มให้มีกระบวนการฝึกพัฒนาศักยภาพเพื่อคัดกรองในขั้นสุดท้าย 2) มุ่งเน้นการเสริมสร้างทัศนะคติที่ถูกต้อง ดีงามต่อสถาบันและประเทศชาติ พร้อมกับมุ่งเสริมสร้างพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง เข้มแข็ง บ่มเพาะความมีระเบียบวินัย สร้างศักยภาพความสามารถในการเรียนรู้ทักษะชีวิต ทักษะอาชีพอย่างต่อเนื่อง 3) มีการทําสัญญารับทุนและชดใช้ทุน ภายใต้เงื่อนไขเมื่อจบการศึกษา ให้ใช้ทุน ด้วยการเข้าสู่เส้นทางอาชีพอย่างมั่นคง ตามที่โครงการทุน ม.ท.ศ. จะเชื่อมโยงตําแหน่งงานรองรับ ทั้งนี้ การคัดเลือกระดับจังหวัดจะใช้กลไกคณะกรรมการฯ ระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน และศึกษาธิการจังหวัด เป็นเลขานุการ ซึ่งเป็นกลไกที่มีอยู่ เคยดําเนินการแล้วเมื่อปี 2560 พิจารณาเสนอรายชื่อที่ผ่านการกลั่นกรองจัดลําดับความสําคัญแล้ว 4 – 5 ราย เพื่อเข้าสู่การกลั่นกรองระดับภาคต่อไป
ในท้ายที่สุด นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมกับคณะกรรมการระดับจังหวัด พิจารณาคัดเลือกนักเรียนที่มีความประพฤติดี มีคุณธรรม เข้าตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดอย่างเข้มข้น โดยเร่งรัดการดําเนินการคัดเลือกให้ทันภายในกําหนดเวลา รวมถึงให้เหตุผลประกอบการพิจารณาคัดเลือกนักเรียนด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างแท้จริง.
ครั้งที่ 67/2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-22224131-2
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11079
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งส่งเสริมสังคมน่าอยู่ และร่วมกันปกป้องลูกหลานจากความรุนแรง
|
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
พม. เร่งส่งเสริมสังคมน่าอยู่ และร่วมกันปกป้องลูกหลานจากความรุนแรง
พม. เร่งส่งเสริมสังคมน่าอยู่ และร่วมกันปกป้องลูกหลานจากความรุนแรง
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 60 เวลา 14.30 น. นางนภา เศรษฐกร รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหาสังคมซับซ้อนมากขึ้น โดยปรากฏให้เห็นผ่านสื่อและโซเชียลมีเดียลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ได้ให้ความสําคัญกับแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมอบให้กระทรวง พม. ติดตามเหตุการณ์และข่าวเป็นประจําทุกวัน เพื่อให้การช่วยเหลือ คุ้มครอง และปกป้องเด็ก และบุคคลผู้ประสบปัญหาทางสังคม อย่างทันท่วงที
นางนภา กล่าวต่อไปว่า การแก้ไขปัญหาทางสังคม...รอไม่ได้ เพราะเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง การแชร์ภาพผ่านโซเชียลมีเดียก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา กระทรวง พม. ได้ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือของภาคประชาสังคม ให้มีส่วนร่วมดูแลสังคมทุกพื้นที่ เพื่อสร้างการรับรู้แก่ชุมชน หากพบเห็นการกระทําความรุนแรงในครอบครัว การละเมิดเด็กและสตรี กรุณาแจ้งให้กระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อจะได้ดําเนินการให้การช่วยเหลือที่รวดเร็วและทันการณ์ ทั้งนี้ มีกฎหมายหลายฉบับให้การคุ้มครองผู้พบเห็นที่แจ้งเบาะแสแก่พนักงานเจ้าหน้าที่โดยไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทําด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 รวมถึงพระราชบัญญัติปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 โดยมีกระทรวง พม. ทําหน้าที่ให้การคุ้มครองผู้ถูกกระทําหรือผู้ประสบปัญหาทางสังคม ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม
“กระทรวง พม. จะได้เพิ่มช่องทางการรับรู้ร่วมกับทุกภาคส่วน และชุมชนให้มากขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักให้กับชุมชนและประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่พบเห็นเบาะแส หรือเหตุการณ์การล่วงละเมิดต่อเด็กและสตรี การค้ามนุษย์ การกระทําความรุนแรงในครอบครัว และทุกปัญหาทางสังคม ขอความร่วมมือแจ้งกระทรวง พม. ผ่านศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร.1300 หรือบ้านพักเด็กและครอบครัวทุกจังหวัดทั่วประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะปัญหาสังคมเป็นเรื่องของทุกคน ซึ่งต้องช่วยกันสร้างสังคมให้น่าอยู่ และปกป้องลูกหลานให้ปลอดภัยอย่างยั่งยืน” นางนภา กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งส่งเสริมสังคมน่าอยู่ และร่วมกันปกป้องลูกหลานจากความรุนแรง
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
พม. เร่งส่งเสริมสังคมน่าอยู่ และร่วมกันปกป้องลูกหลานจากความรุนแรง
พม. เร่งส่งเสริมสังคมน่าอยู่ และร่วมกันปกป้องลูกหลานจากความรุนแรง
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 60 เวลา 14.30 น. นางนภา เศรษฐกร รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหาสังคมซับซ้อนมากขึ้น โดยปรากฏให้เห็นผ่านสื่อและโซเชียลมีเดียลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ได้ให้ความสําคัญกับแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมอบให้กระทรวง พม. ติดตามเหตุการณ์และข่าวเป็นประจําทุกวัน เพื่อให้การช่วยเหลือ คุ้มครอง และปกป้องเด็ก และบุคคลผู้ประสบปัญหาทางสังคม อย่างทันท่วงที
นางนภา กล่าวต่อไปว่า การแก้ไขปัญหาทางสังคม...รอไม่ได้ เพราะเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง การแชร์ภาพผ่านโซเชียลมีเดียก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา กระทรวง พม. ได้ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือของภาคประชาสังคม ให้มีส่วนร่วมดูแลสังคมทุกพื้นที่ เพื่อสร้างการรับรู้แก่ชุมชน หากพบเห็นการกระทําความรุนแรงในครอบครัว การละเมิดเด็กและสตรี กรุณาแจ้งให้กระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อจะได้ดําเนินการให้การช่วยเหลือที่รวดเร็วและทันการณ์ ทั้งนี้ มีกฎหมายหลายฉบับให้การคุ้มครองผู้พบเห็นที่แจ้งเบาะแสแก่พนักงานเจ้าหน้าที่โดยไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทําด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 รวมถึงพระราชบัญญัติปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 โดยมีกระทรวง พม. ทําหน้าที่ให้การคุ้มครองผู้ถูกกระทําหรือผู้ประสบปัญหาทางสังคม ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม
“กระทรวง พม. จะได้เพิ่มช่องทางการรับรู้ร่วมกับทุกภาคส่วน และชุมชนให้มากขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักให้กับชุมชนและประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่พบเห็นเบาะแส หรือเหตุการณ์การล่วงละเมิดต่อเด็กและสตรี การค้ามนุษย์ การกระทําความรุนแรงในครอบครัว และทุกปัญหาทางสังคม ขอความร่วมมือแจ้งกระทรวง พม. ผ่านศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร.1300 หรือบ้านพักเด็กและครอบครัวทุกจังหวัดทั่วประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะปัญหาสังคมเป็นเรื่องของทุกคน ซึ่งต้องช่วยกันสร้างสังคมให้น่าอยู่ และปกป้องลูกหลานให้ปลอดภัยอย่างยั่งยืน” นางนภา กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4627
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน Thailand Industrial Fair 2018 และ Food Pack Asia 2018
|
วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน Thailand Industrial Fair 2018 และ Food Pack Asia 2018
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน Thailand Industrial Fair 2018 และ Food Pack Asia 2018 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค(บางนา) กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน Thailand Industrial Fair 2018 และ Food Pack Asia 2018
วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน Thailand Industrial Fair 2018 และ Food Pack Asia 2018
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน Thailand Industrial Fair 2018 และ Food Pack Asia 2018 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค(บางนา) กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9805
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเผยผลใช้จ่าย 5 เดือนแรก ก่อนสิ้นไตรมาส 2
|
วันพุธที่ 13 มีนาคม 2562
กรมบัญชีกลางเผยผลใช้จ่าย 5 เดือนแรก ก่อนสิ้นไตรมาส 2
กรมบัญชีกลางเผยผลใช้จ่าย 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 ใช้จ่ายแล้ว 1,555,530 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 51.9 คาดสิ้นไตรมาส 2 ใช้จ่ายได้ตามเป้า ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง
นางญาณี แสงศรีจันทร์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2562 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 (1 ต.ค. 61 – 28 ก.พ. 62) งบประมาณภาพรวมมีการใช้จ่ายแล้ว จํานวน 1,555,530 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 3,000,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 51.9 โดยแบ่งเป็น รายจ่ายประจํามีการใช้จ่ายแล้ว จํานวน 1,252,458 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,353,569 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 53.2 ขณะที่รายจ่ายลงทุน (กรณีไม่รวมงบกลาง) มีการใช้จ่ายแล้ว จํานวน 303,072 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 556,888 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 54.4
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า กรมบัญชีกลางได้ติดตามความคืบหน้าในการใช้จ่ายเงินของส่วนราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาล มุ่งหวังจะกระตุ้นให้มีเม็ดเงินไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น และในช่วงไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2562 ตั้งเป้าหมายการใช้จ่ายงบประจํา 57% งบลงทุน 45% และการใช้จ่ายในภาพรวม 54% ซึ่งคาดว่าสิ้นไตรมาสที่ 2 จะมีการใช้จ่ายได้ดีมากขึ้นตามลําดับอย่างแน่นอน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเผยผลใช้จ่าย 5 เดือนแรก ก่อนสิ้นไตรมาส 2
วันพุธที่ 13 มีนาคม 2562
กรมบัญชีกลางเผยผลใช้จ่าย 5 เดือนแรก ก่อนสิ้นไตรมาส 2
กรมบัญชีกลางเผยผลใช้จ่าย 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 ใช้จ่ายแล้ว 1,555,530 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 51.9 คาดสิ้นไตรมาส 2 ใช้จ่ายได้ตามเป้า ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง
นางญาณี แสงศรีจันทร์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2562 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 (1 ต.ค. 61 – 28 ก.พ. 62) งบประมาณภาพรวมมีการใช้จ่ายแล้ว จํานวน 1,555,530 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 3,000,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 51.9 โดยแบ่งเป็น รายจ่ายประจํามีการใช้จ่ายแล้ว จํานวน 1,252,458 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,353,569 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 53.2 ขณะที่รายจ่ายลงทุน (กรณีไม่รวมงบกลาง) มีการใช้จ่ายแล้ว จํานวน 303,072 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 556,888 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 54.4
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า กรมบัญชีกลางได้ติดตามความคืบหน้าในการใช้จ่ายเงินของส่วนราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาล มุ่งหวังจะกระตุ้นให้มีเม็ดเงินไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น และในช่วงไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2562 ตั้งเป้าหมายการใช้จ่ายงบประจํา 57% งบลงทุน 45% และการใช้จ่ายในภาพรวม 54% ซึ่งคาดว่าสิ้นไตรมาสที่ 2 จะมีการใช้จ่ายได้ดีมากขึ้นตามลําดับอย่างแน่นอน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19292
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯสุริยะ กล่าวปาฐกถาในงาน The Next Thailand 4.0
|
วันอังคารที่ 24 กันยายน 2562
รัฐมนตรีฯสุริยะ กล่าวปาฐกถาในงาน The Next Thailand 4.0
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงาน "The Next Thailand 4.0 ทางออกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก" จัดโดย ธนาคารกรุงไทย ณ ห้องฉัตราบอลรูม โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ
23 กันยายน 2562 เวลา 15.45 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงาน "The Next Thailand 4.0 ทางออกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก" จัดโดย ธนาคารกรุงไทย โดยมี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานกรรมการธนาคารกรุงไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ ณ ห้องฉัตราบอลรูม โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ
รัฐมนตรีฯ สุริยะ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแข่งขันทางการค้าและระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน มีรูปแบบที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ท่ามกลางความไม่แน่นอนในทุกมิติ ล้วนเป็นความท้าทายที่ภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยจะต้องเผชิญ แต่เราจะต้องมีเส้นทางเดินใหม่เพิ่มขึ้น เส้นทางที่การพัฒนาประเทศไทย ที่มีปลายทางอยู่ที่ “ประเทศไทย 4.0” ซึ่งในมิติของเศรษฐกิจ หมายถึงเป้าหมายสําคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1.ประเทศไทยจะต้องเติบโตก้าวผ่านรายได้ขั้นกลางให้ได้ ก่อนที่จะเป็นประเทศสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว 2. ประเทศไทยจะต้องเติบโตอย่างสมดุลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมชุมชน และสิ่งแวดล้อม 3. ประเทศไทยจะต้องเติบโตอย่างทั่วถึงทุกภูมิภาค ไม่ใช่รวยกระจุกจนกระจาย
จากเป้าประสงค์ 3 ประการข้างต้นนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ถอดรหัสออกมาเป็นเส้นทาง “อุตสาหกรรม 4.0” เพื่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย โดยได้มอบนโยบายแก่หน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เร่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมจากเดิมที่ใช้แรงงานเข้มข้น และเทคโนโลยีอย่างง่าย ที่ผลิตสินค้าและบริการที่ไม่ซับซ้อน มาสู่อุตสาหกรรมที่มีความต้องการในอนาคต สามารถสร้างมูลค่าด้วยความรู้ มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่า ให้เกิดการยกระดับผลิตภาพการผลิต และผลักดันให้ประเทศไทย มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่สูงเพียงพอต่อการก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ควบคู่ไปกับการกระจายรายได้ไปสู่เศรษฐกิจฐานราก และการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้เร่งการขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติ ทุกสาขา ทุกระดับ และทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา สถาบันการเงิน รวมทั้งภาคประชาชน ใน 3 เรื่องหลัก คือ 1. การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย 2. การขับเคลื่อน SMEs 3. การดึงดูดการลงทุน และการอํานวยความสะดวกในการดําเนินธุรกิจ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯสุริยะ กล่าวปาฐกถาในงาน The Next Thailand 4.0
วันอังคารที่ 24 กันยายน 2562
รัฐมนตรีฯสุริยะ กล่าวปาฐกถาในงาน The Next Thailand 4.0
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงาน "The Next Thailand 4.0 ทางออกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก" จัดโดย ธนาคารกรุงไทย ณ ห้องฉัตราบอลรูม โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ
23 กันยายน 2562 เวลา 15.45 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงาน "The Next Thailand 4.0 ทางออกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก" จัดโดย ธนาคารกรุงไทย โดยมี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานกรรมการธนาคารกรุงไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ ณ ห้องฉัตราบอลรูม โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ
รัฐมนตรีฯ สุริยะ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแข่งขันทางการค้าและระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน มีรูปแบบที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ท่ามกลางความไม่แน่นอนในทุกมิติ ล้วนเป็นความท้าทายที่ภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยจะต้องเผชิญ แต่เราจะต้องมีเส้นทางเดินใหม่เพิ่มขึ้น เส้นทางที่การพัฒนาประเทศไทย ที่มีปลายทางอยู่ที่ “ประเทศไทย 4.0” ซึ่งในมิติของเศรษฐกิจ หมายถึงเป้าหมายสําคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1.ประเทศไทยจะต้องเติบโตก้าวผ่านรายได้ขั้นกลางให้ได้ ก่อนที่จะเป็นประเทศสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว 2. ประเทศไทยจะต้องเติบโตอย่างสมดุลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมชุมชน และสิ่งแวดล้อม 3. ประเทศไทยจะต้องเติบโตอย่างทั่วถึงทุกภูมิภาค ไม่ใช่รวยกระจุกจนกระจาย
จากเป้าประสงค์ 3 ประการข้างต้นนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ถอดรหัสออกมาเป็นเส้นทาง “อุตสาหกรรม 4.0” เพื่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย โดยได้มอบนโยบายแก่หน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เร่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมจากเดิมที่ใช้แรงงานเข้มข้น และเทคโนโลยีอย่างง่าย ที่ผลิตสินค้าและบริการที่ไม่ซับซ้อน มาสู่อุตสาหกรรมที่มีความต้องการในอนาคต สามารถสร้างมูลค่าด้วยความรู้ มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่า ให้เกิดการยกระดับผลิตภาพการผลิต และผลักดันให้ประเทศไทย มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่สูงเพียงพอต่อการก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ควบคู่ไปกับการกระจายรายได้ไปสู่เศรษฐกิจฐานราก และการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้เร่งการขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติ ทุกสาขา ทุกระดับ และทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา สถาบันการเงิน รวมทั้งภาคประชาชน ใน 3 เรื่องหลัก คือ 1. การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย 2. การขับเคลื่อน SMEs 3. การดึงดูดการลงทุน และการอํานวยความสะดวกในการดําเนินธุรกิจ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23362
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นักวิจัยคณะทันตแพทย์ฯ ม.สงขลานครินทร์ เจ๋งคัดเลือกจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก สอว.เตรียมขยายผลใช้ผสมในอาหารและเครื่องดื่ม
|
วันอังคารที่ 10 มีนาคม 2563
นักวิจัยคณะทันตแพทย์ฯ ม.สงขลานครินทร์ เจ๋งคัดเลือกจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่สําเร็จเป็นครั้งแรกของโลก สอว.เตรียมขยายผลใช้ผสมในอาหารและเครื่องดื่ม
นักวิจัยคณะทันตแพทย์ฯ ม.สงขลานครินทร์ เจ๋งคัดเลือกจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่สําเร็จเป็นครั้งแรกของโลก สอว.เตรียมขยายผลใช้ผสมในอาหารและเครื่องดื่ม
นักวิจัยจากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เจ๋งคัดเลือกจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่สําเร็จเป็นครั้งแรกของโลก แก้ฟันผุ และปัญหาสุขภาพในช่องปากของคนไทย เผยผลงานได้รับการตีพิมพ์ทางวิชาการและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ แถมได้เป็นต้นแบบในการใช้โพรไบโอติกในการป้องกันฟันผุในเด็ก และเป็นทางเลือกหนึ่งในการป้องกันฟันผุในคนไทย สอว.เตรียมขยายผลใช้ผสมในอาหารและเครื่องดื่ม
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2563 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย น.ส.ทิพวัลย์ เวชการัณย์ ผู้อํานวยการสํานักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (สอว.) เดินทางลงพื้นที่ เพื่อเยี่ยมชมผลงานการสนับสนุนผู้ประกอบการ สอว. เรื่อง "โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่ (Probiotic)" กับทางเลือกใหม่ในการป้องกันฟันผุ ซึ่งพัฒนาโดย ศ.ดร.รวี เถียรไพศาล และทีมนักวิจัยจากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ได้คัดเลือกจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่สําเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ได้แก่ โพรไบโอติกแลคโตแบซิลลัล พาราเคเซอิ เอสดีหนึ่ง (Lactobacillus Paracasei SD1) และแลคโตแบซิลลัล แรมโนซัส เอสดีสิบเอ็ด (Lactobacillus Rhamnosus SD11) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีแหล่งมาจากช่องปากของคนสุขภาพดี เพื่อมาใช้เสริมสุขภาพในช่องปากคนไทยโดยเฉพาะ
ศ.ดร.ศุภชัย เปิดเผยว่า ปัญหาสุขภาพในช่องปากของประชาชนไทย โดยเฉพาะฟันผุเป็นปัญหาสําคัญของชาติปัญหาหนึ่ง โรคฟันผุพบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ซึ่งประเทศไทยในปัจจุบันเด็ก 0 - 5 ปี มีจํานวนประมาณ 4.2 ล้านคน มีอาการฟันผุประมาณ 3.6 ล้านคน เนื่องจากประชาชนขาดความรู้ ความเข้าใจ และการดูแลเอาใจใส่ที่ดีพอ จากการที่พบว่าเด็กไทยมีฟันผุจํานวนสูง การมีฟันผุในวัยเด็กทําให้เด็กเจ็บปวด ส่งผลต่อการกินอาหารที่มีคุณค่าได้ลดลง ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตทั้งร่งกายและสติปัญญา มีฟันซ้อนเก และทําให้ฟันแท้มีโอกาสผุง่ายในอนาคต นอกจากนี้การสูญเสียฟันก่อนวัยอันควรยังส่งผลต่อเศรษฐกิจในการต้องเสียงบประมาณจํานวนมากเพื่อรักษาและบูรณะฟัน เช่น อุด ถอน และการใส่ฟันปลอม เป็นต้น แม้ว่าในปัจจุบันจะมีความพยายามในการใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น การให้ความรู้ในการแปรงฟันเด็ก การให้ฟลูออไรด์ การทาฟลูออไรด์วาร์นิช การเคลือบหลุมร่องฟัน เป็นต้น แต่อัตราการเกิดฟันผุในเด็กยังคงสูงขึ้นเช่นเดิม
รองปลัด อว.กล่าวต่อว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการนําเข้าผลิตภัณฑ์จากโพรไบโอติกแลคโตแบซิลลัส เพื่อใช้ในการป้องกันฟันผุ ซึ่งโพรไบโอติก (Probiotic) คือ จุลินทรีย์ขนาดเล็ก จัดเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ชนิดดี โดยโพรไบโอติก จะทําหน้าที่ในการสร้างสมดุลและควบคุมเชื้อก่อโรค ซึ่งนับว่าเป็นก้าวที่สําคัญของวงการทันตแพทย์ไทย เมื่อ ศ.ดร.รวี เถียรไพศาล และทีมนักวิจัยจากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้คัดเลือกจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่สําเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ได้แก่ โพรไบโอติกแลคโตแบซิลลัล พาราเคเซอิ เอสดีหนึ่ง (Lactobacillus Paracasei SD1) และแลคโตแบซิลลัล แรมโนซัส เอสดีสิบเอ็ด (Lactobacillus Rhamnosus SD11) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีแหล่งมาจากซ่องปากของคนสุขภาพดี เพื่อมาใช้เสริมสุขภาพในช่องปากคนไทยโดยเฉพาะ
"จากการทดลองทางคลินิก พบว่า เมื่อทดลองให้อาสาสมัครรับประทานเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกพาราเคเซอิ เอสดีหนึ่ง (Lactobacillus Paracasei SD1) และแลคโตแบซิลลัล แรมโนซัส เอสดี สิบเอ็ด (Lactobacillus Rhamnosus SD11) เป็นประจํา 1 เดือน ยังพบเชื้อจุลินทรีย์นี้ในช่องปากอีก 1 เดือน ทําให้มีประสิทธิภาพการป้องกันฟันผุได้ดีกว่า ในขณะที่เชื้อชนิดอื่นสามารถอยู่ในช่องปากได้แค่ 1 - 2 สัปดาห์เท่านั้น ทั้งนี้ ได้นํามาศึกษาการป้องกันโรคฟันผุในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก พบว่ามีการลดลงของเชื้อฟันผุและลดการเกิดฟันผุในเด็กเล็ก ผลงานดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ทางวิชาการและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ จึงเป็นต้นแบบในการใช้โพรไบโอติกในการป้องกันฟันผุในเด็ก และเป็นทางเลือกหนึ่งในการป้องกันฟันผุในคนไทย" ศ.ดร.ศุภชัย กล่าว
ด้าน ศ.ดร.รวี เถียรไพศาล กล่าวว่า กลไกการทํางานของโพรไบโอติกนั้น สามารถลดเชื้อก่อโรคฟันผุได้ โดยสามารถสร้างสารยับยั้งการเจริญเติบโตต่อเชื้อก่อโรคฟันผุโดยตรง และสามารถกระตุ้นภูมิต้านทานต่อเชื้อก่อโรคต่าง ๆ จากการใช้น้ํายาบ้วนปากหรือสารต้านเชื้อ ซึ่งมีผลในการลดเชื้อเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะมีปัญหาการดื้อต่อสารต้านเชื้อตามมาในภายหลัง โดยโพรไปโอติกสามารถใช้ประโยชน์ได้ในคนทุกช่วงอายุ รวมถึงผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาฟันผุที่ผิวรากฟันจากปัญหาเหงือกร่นด้วย" ดังนั้น การนําโพรไบโอติกไปพัฒนาทําเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ นับเป็นทางเลือกที่ดีและง่ายต่อผู้บริโภคในการยับยั้งและป้องกันฟันผุ ซึ่งต้องทําควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาวะในช่องปากและพฤติกรรมการรับประทานอาหารโดยเฉพาะอาหารหวาน จึงจะช่วยลดอัตราการเกิดฟันผุในประชากรไทยได้ประสบความสําเร็จมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ น.ส.ทิพวัลย์ กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยการสนับสนุนของ สอว. ได้ให้การสนับสนุนและอํานวยความสะดวกให้เกิดการอนุญาตใช้สิทธิและการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผลงานวิจัยดังกล่าว โดยการขอรับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพผลงานวิจัยผ่านโครงการการวิจัยร่วมและการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการที่มีความสนใจเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันได้มีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในผลิตภัณฑ์นมผง นมอัดเม็ด นมเปรี้ยว เม็ดอมโพรไบโอติก และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะสําหรับสัตว์ โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตและจัดจําหน่ายแล้วเกิดขึ้นในนามของบริษัท แดรี่ โฮม จํากัด คือ นมเปรี้ยว และนมอัดเม็ด ซึ่งบริษัท แดรี่โฮม จํากัด มีการทําโครงการร่วมกับส่งเสริมการป้องกันฟันผุกับเทศบาลนครหาดใหญ่ผ่าน "ผลิตภัณฑ์เม็ดอมนมเสริมโพรไบโอติก" ให้กับเด็กในโรงเรียน
สังกัดของเทศบาลจํานวน 5 โรงเรียน และกิจกรรมในลักษณะเดียวกันได้ดําเนินการที่จังหวัดพัทลุงกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งทั้งสองกิจกรรมมีเด็กได้รับผลิตภัณฑ์กว่า 3,400 คน และทางบริษัทได้จัดกิจกรรม FUN D (ฟัน ดี) โยเกิร์ตพร้อมดื่มจากเชื้อโพรไบโอติก โดยเมื่อขายได้ 1 ขวดก็จะนําผลกําไรมาแจกเด็กที่ด้อยโอกาสอีก 1 ขวดเพื่อให้เด็กในชุมชนที่ห่างไกลได้บริโภค นอกจากนี้ ทีมวิจัยได้รับทุนสนับสนุนในการทําโครงการต้นแบบเรื่องการใช้นมผงผสมโพรไบโอติก เพื่อป้องกันฟันผุในเด็กเล็กในชุมชนเทศบาลตําบลท่าข้าม โรงพยาบาลจะนะ โรงพยาบาลยะหริ่ง และโรงพยาบาลสตูล"
ที่สําคัญ ขณะนี้ มีแผนการขยายผลในอนาคต โดยมุ่งเน้นสนับสนุนให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังภาคเอกชนที่หลากหลายมากขึ้นตามสายการผลิต โดยเฉพาะด้านอาหารเนื่องจากโพรไบโอติกสามารถผสมเครื่องดื่มและอาหารได้ทุกชนิดเพื่อเป็นซ่องทางให้คนไทยมีโอกาสในการใช้ผลิตภัณฑ์จากโพรไบโอติกมากขึ้น รวมทั้งร่วมมือกับนักวิจัยในการพัฒนานวัตกรรมที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่มผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหารเสริม อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะ และอุตสาหกรรมเครื่องสําอาง ซึ่งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังภาคเอกชน ดังนี้ บริษัท เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า จํากัด ผลิตนมผง นมอัดเม็ด และลูกอม ตรา Prodento บริษัท เดนทัลสวีท จํากัด ผลิตเม็ดอมโพรไบโอติก บริษัท เค.เอ็ม.พี.ไบโอเทค จํากัด ผลิตอาหารเสริมที่ทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะสําหรับสัตว์" ผอ.สอว. กล่าว
ทั้งนี้ หากภาคเอกชนหรืออุตสาหกรรมต้องการขออนุญาตใช้สิทธิผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สามารถติดต่อได้ที่ คุณสิทานนท์ อมตเวทย์ โทร. 074 - 859 516, 090 - 970 7099 อีเมล :sitanon.a@psu.ac.thหรือ คุณณภัค พันธุ์ช่างทอง โทร. 074 - 859 516, 089 - 463 6439 อีเมล :napakjp@gmail.com
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นักวิจัยคณะทันตแพทย์ฯ ม.สงขลานครินทร์ เจ๋งคัดเลือกจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก สอว.เตรียมขยายผลใช้ผสมในอาหารและเครื่องดื่ม
วันอังคารที่ 10 มีนาคม 2563
นักวิจัยคณะทันตแพทย์ฯ ม.สงขลานครินทร์ เจ๋งคัดเลือกจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่สําเร็จเป็นครั้งแรกของโลก สอว.เตรียมขยายผลใช้ผสมในอาหารและเครื่องดื่ม
นักวิจัยคณะทันตแพทย์ฯ ม.สงขลานครินทร์ เจ๋งคัดเลือกจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่สําเร็จเป็นครั้งแรกของโลก สอว.เตรียมขยายผลใช้ผสมในอาหารและเครื่องดื่ม
นักวิจัยจากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เจ๋งคัดเลือกจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่สําเร็จเป็นครั้งแรกของโลก แก้ฟันผุ และปัญหาสุขภาพในช่องปากของคนไทย เผยผลงานได้รับการตีพิมพ์ทางวิชาการและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ แถมได้เป็นต้นแบบในการใช้โพรไบโอติกในการป้องกันฟันผุในเด็ก และเป็นทางเลือกหนึ่งในการป้องกันฟันผุในคนไทย สอว.เตรียมขยายผลใช้ผสมในอาหารและเครื่องดื่ม
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2563 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย น.ส.ทิพวัลย์ เวชการัณย์ ผู้อํานวยการสํานักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (สอว.) เดินทางลงพื้นที่ เพื่อเยี่ยมชมผลงานการสนับสนุนผู้ประกอบการ สอว. เรื่อง "โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่ (Probiotic)" กับทางเลือกใหม่ในการป้องกันฟันผุ ซึ่งพัฒนาโดย ศ.ดร.รวี เถียรไพศาล และทีมนักวิจัยจากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ได้คัดเลือกจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่สําเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ได้แก่ โพรไบโอติกแลคโตแบซิลลัล พาราเคเซอิ เอสดีหนึ่ง (Lactobacillus Paracasei SD1) และแลคโตแบซิลลัล แรมโนซัส เอสดีสิบเอ็ด (Lactobacillus Rhamnosus SD11) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีแหล่งมาจากช่องปากของคนสุขภาพดี เพื่อมาใช้เสริมสุขภาพในช่องปากคนไทยโดยเฉพาะ
ศ.ดร.ศุภชัย เปิดเผยว่า ปัญหาสุขภาพในช่องปากของประชาชนไทย โดยเฉพาะฟันผุเป็นปัญหาสําคัญของชาติปัญหาหนึ่ง โรคฟันผุพบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ซึ่งประเทศไทยในปัจจุบันเด็ก 0 - 5 ปี มีจํานวนประมาณ 4.2 ล้านคน มีอาการฟันผุประมาณ 3.6 ล้านคน เนื่องจากประชาชนขาดความรู้ ความเข้าใจ และการดูแลเอาใจใส่ที่ดีพอ จากการที่พบว่าเด็กไทยมีฟันผุจํานวนสูง การมีฟันผุในวัยเด็กทําให้เด็กเจ็บปวด ส่งผลต่อการกินอาหารที่มีคุณค่าได้ลดลง ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตทั้งร่งกายและสติปัญญา มีฟันซ้อนเก และทําให้ฟันแท้มีโอกาสผุง่ายในอนาคต นอกจากนี้การสูญเสียฟันก่อนวัยอันควรยังส่งผลต่อเศรษฐกิจในการต้องเสียงบประมาณจํานวนมากเพื่อรักษาและบูรณะฟัน เช่น อุด ถอน และการใส่ฟันปลอม เป็นต้น แม้ว่าในปัจจุบันจะมีความพยายามในการใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น การให้ความรู้ในการแปรงฟันเด็ก การให้ฟลูออไรด์ การทาฟลูออไรด์วาร์นิช การเคลือบหลุมร่องฟัน เป็นต้น แต่อัตราการเกิดฟันผุในเด็กยังคงสูงขึ้นเช่นเดิม
รองปลัด อว.กล่าวต่อว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการนําเข้าผลิตภัณฑ์จากโพรไบโอติกแลคโตแบซิลลัส เพื่อใช้ในการป้องกันฟันผุ ซึ่งโพรไบโอติก (Probiotic) คือ จุลินทรีย์ขนาดเล็ก จัดเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ชนิดดี โดยโพรไบโอติก จะทําหน้าที่ในการสร้างสมดุลและควบคุมเชื้อก่อโรค ซึ่งนับว่าเป็นก้าวที่สําคัญของวงการทันตแพทย์ไทย เมื่อ ศ.ดร.รวี เถียรไพศาล และทีมนักวิจัยจากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้คัดเลือกจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ใหม่สําเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ได้แก่ โพรไบโอติกแลคโตแบซิลลัล พาราเคเซอิ เอสดีหนึ่ง (Lactobacillus Paracasei SD1) และแลคโตแบซิลลัล แรมโนซัส เอสดีสิบเอ็ด (Lactobacillus Rhamnosus SD11) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีแหล่งมาจากซ่องปากของคนสุขภาพดี เพื่อมาใช้เสริมสุขภาพในช่องปากคนไทยโดยเฉพาะ
"จากการทดลองทางคลินิก พบว่า เมื่อทดลองให้อาสาสมัครรับประทานเชื้อจุลินทรีย์โพรไบโอติกพาราเคเซอิ เอสดีหนึ่ง (Lactobacillus Paracasei SD1) และแลคโตแบซิลลัล แรมโนซัส เอสดี สิบเอ็ด (Lactobacillus Rhamnosus SD11) เป็นประจํา 1 เดือน ยังพบเชื้อจุลินทรีย์นี้ในช่องปากอีก 1 เดือน ทําให้มีประสิทธิภาพการป้องกันฟันผุได้ดีกว่า ในขณะที่เชื้อชนิดอื่นสามารถอยู่ในช่องปากได้แค่ 1 - 2 สัปดาห์เท่านั้น ทั้งนี้ ได้นํามาศึกษาการป้องกันโรคฟันผุในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก พบว่ามีการลดลงของเชื้อฟันผุและลดการเกิดฟันผุในเด็กเล็ก ผลงานดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ทางวิชาการและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ จึงเป็นต้นแบบในการใช้โพรไบโอติกในการป้องกันฟันผุในเด็ก และเป็นทางเลือกหนึ่งในการป้องกันฟันผุในคนไทย" ศ.ดร.ศุภชัย กล่าว
ด้าน ศ.ดร.รวี เถียรไพศาล กล่าวว่า กลไกการทํางานของโพรไบโอติกนั้น สามารถลดเชื้อก่อโรคฟันผุได้ โดยสามารถสร้างสารยับยั้งการเจริญเติบโตต่อเชื้อก่อโรคฟันผุโดยตรง และสามารถกระตุ้นภูมิต้านทานต่อเชื้อก่อโรคต่าง ๆ จากการใช้น้ํายาบ้วนปากหรือสารต้านเชื้อ ซึ่งมีผลในการลดเชื้อเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะมีปัญหาการดื้อต่อสารต้านเชื้อตามมาในภายหลัง โดยโพรไปโอติกสามารถใช้ประโยชน์ได้ในคนทุกช่วงอายุ รวมถึงผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาฟันผุที่ผิวรากฟันจากปัญหาเหงือกร่นด้วย" ดังนั้น การนําโพรไบโอติกไปพัฒนาทําเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ นับเป็นทางเลือกที่ดีและง่ายต่อผู้บริโภคในการยับยั้งและป้องกันฟันผุ ซึ่งต้องทําควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาวะในช่องปากและพฤติกรรมการรับประทานอาหารโดยเฉพาะอาหารหวาน จึงจะช่วยลดอัตราการเกิดฟันผุในประชากรไทยได้ประสบความสําเร็จมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ น.ส.ทิพวัลย์ กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยการสนับสนุนของ สอว. ได้ให้การสนับสนุนและอํานวยความสะดวกให้เกิดการอนุญาตใช้สิทธิและการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผลงานวิจัยดังกล่าว โดยการขอรับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพผลงานวิจัยผ่านโครงการการวิจัยร่วมและการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการที่มีความสนใจเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันได้มีการอนุญาตให้ใช้สิทธิในผลิตภัณฑ์นมผง นมอัดเม็ด นมเปรี้ยว เม็ดอมโพรไบโอติก และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะสําหรับสัตว์ โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตและจัดจําหน่ายแล้วเกิดขึ้นในนามของบริษัท แดรี่ โฮม จํากัด คือ นมเปรี้ยว และนมอัดเม็ด ซึ่งบริษัท แดรี่โฮม จํากัด มีการทําโครงการร่วมกับส่งเสริมการป้องกันฟันผุกับเทศบาลนครหาดใหญ่ผ่าน "ผลิตภัณฑ์เม็ดอมนมเสริมโพรไบโอติก" ให้กับเด็กในโรงเรียน
สังกัดของเทศบาลจํานวน 5 โรงเรียน และกิจกรรมในลักษณะเดียวกันได้ดําเนินการที่จังหวัดพัทลุงกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งทั้งสองกิจกรรมมีเด็กได้รับผลิตภัณฑ์กว่า 3,400 คน และทางบริษัทได้จัดกิจกรรม FUN D (ฟัน ดี) โยเกิร์ตพร้อมดื่มจากเชื้อโพรไบโอติก โดยเมื่อขายได้ 1 ขวดก็จะนําผลกําไรมาแจกเด็กที่ด้อยโอกาสอีก 1 ขวดเพื่อให้เด็กในชุมชนที่ห่างไกลได้บริโภค นอกจากนี้ ทีมวิจัยได้รับทุนสนับสนุนในการทําโครงการต้นแบบเรื่องการใช้นมผงผสมโพรไบโอติก เพื่อป้องกันฟันผุในเด็กเล็กในชุมชนเทศบาลตําบลท่าข้าม โรงพยาบาลจะนะ โรงพยาบาลยะหริ่ง และโรงพยาบาลสตูล"
ที่สําคัญ ขณะนี้ มีแผนการขยายผลในอนาคต โดยมุ่งเน้นสนับสนุนให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังภาคเอกชนที่หลากหลายมากขึ้นตามสายการผลิต โดยเฉพาะด้านอาหารเนื่องจากโพรไบโอติกสามารถผสมเครื่องดื่มและอาหารได้ทุกชนิดเพื่อเป็นซ่องทางให้คนไทยมีโอกาสในการใช้ผลิตภัณฑ์จากโพรไบโอติกมากขึ้น รวมทั้งร่วมมือกับนักวิจัยในการพัฒนานวัตกรรมที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่มผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหารเสริม อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะ และอุตสาหกรรมเครื่องสําอาง ซึ่งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังภาคเอกชน ดังนี้ บริษัท เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า จํากัด ผลิตนมผง นมอัดเม็ด และลูกอม ตรา Prodento บริษัท เดนทัลสวีท จํากัด ผลิตเม็ดอมโพรไบโอติก บริษัท เค.เอ็ม.พี.ไบโอเทค จํากัด ผลิตอาหารเสริมที่ทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะสําหรับสัตว์" ผอ.สอว. กล่าว
ทั้งนี้ หากภาคเอกชนหรืออุตสาหกรรมต้องการขออนุญาตใช้สิทธิผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สามารถติดต่อได้ที่ คุณสิทานนท์ อมตเวทย์ โทร. 074 - 859 516, 090 - 970 7099 อีเมล :sitanon.a@psu.ac.thหรือ คุณณภัค พันธุ์ช่างทอง โทร. 074 - 859 516, 089 - 463 6439 อีเมล :napakjp@gmail.com
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27047
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมทำบุญตักบาตร วันพ่อแห่งชาติ ประจำปี 2562
|
วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม 2562
ก.อุตฯ ร่วมทําบุญตักบาตร วันพ่อแห่งชาติ ประจําปี 2562
รัฐมนตรี ก.อุตฯ ร่วมทําบุญตักบาตร วันพ่อแห่งชาติ ประจําปี 2562
วันนี้ (5 ธันวาคม 2562) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมทําบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันพ่อแห่งชาติ ประจําปี 2562 ณ ท้องสนามหลวง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมทำบุญตักบาตร วันพ่อแห่งชาติ ประจำปี 2562
วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม 2562
ก.อุตฯ ร่วมทําบุญตักบาตร วันพ่อแห่งชาติ ประจําปี 2562
รัฐมนตรี ก.อุตฯ ร่วมทําบุญตักบาตร วันพ่อแห่งชาติ ประจําปี 2562
วันนี้ (5 ธันวาคม 2562) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมทําบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันพ่อแห่งชาติ ประจําปี 2562 ณ ท้องสนามหลวง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25040
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.2 เปิดศูนย์การเรียนรู้คู่ความสนุก แฟรี่แลนด์ จังหวัดนครสวรรค์
|
วันอังคารที่ 4 กันยายน 2561
มท.2 เปิดศูนย์การเรียนรู้คู่ความสนุก แฟรี่แลนด์ จังหวัดนครสวรรค์
มท.2 เปิดศูนย์การเรียนรู้คู่ความสนุก แฟรี่แลนด์ จังหวัดนครสวรรค์
เมื่อวันที่31 ส.ค. 61 เวลา 14.00 น. นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “แฟรี่แลนด์ศูนย์การเรียนรู้คู่ความสนุก” (Fun and Learn Center) ณ ชั้น 5 แฟรี่แลนด์สรรพสินค้า จังหวัดนครสวรรค์ โดยมี นายธนาคม จงจิระ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อํานวยการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ นายสันติ คุณาวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทแฟรี่แลนด์สรรพสินค้า จํากัด เข้าร่วมในพิธี
นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า โครงการ “แฟรี่แลนด์ศูนย์การเรียนรู้คู่ความสนุก” (Fun and Learn Center) ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของภาคเอกชนที่ทําหน้าที่ช่วยเป็นสื่อกลางในการสร้างความรู้ ให้แก่เยาวชน ทั้งในด้านวิชาการ และความคิดสร้างสรรค์ ทําให้เยาวชนได้รับโอกาสได้ฝึกฝน เรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพผ่านกระบวนการคิดเเบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี จะต้องเรียนรู้ไปควบคู่กับความสํานึกรักท้องถิ่น กระบวนการเรียนรู้ผ่านการเล่น จะช่วยให้เด็กเเละเยาวชนได้พัฒนาทักษะเสริมสร้างความฉลาดรอบด้าน ส่งเสริมสู่ความเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง มีการต่อยอดความคิดในหลากหลายมิติ ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดนิทรรศการของเล่น ภูมิปัญญาไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์ต่าง ๆ จากองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)รวมทั้งการจัดให้มีโครงการ สเตม ศึกษา (STEM Center) ขึ้นเป็นแห่งแรกในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่ดี และมีประโยชน์ กับเยาวชน ซึ่งโครงการนี้ถือเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และแสดงให้เห็นถึงการทํางานร่วมกันในรูปแบบประชารัฐอย่างอย่างแท้จริง
ด้าน ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ เปิดเผยว่า องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) มุ่งพัฒนาศักยภาพ ในด้านเศรษฐกิจสังคมและคุณภาพชีวิต โดยปลูกฝังให้เยาวชนไทย มีความรู้ความเข้าใจและกระบวนการคิด แบบวิทยาศาสตร์ ผ่านการทํากิจกรรม การเล่น และการลงมือปฏิบัติ ซึ่งในการจัดนิทรรศการในครั้งนี้ จะก่อให้เกิด ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ควบคู่ไปกับ การเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์ และภูมิปัญญาไทย จากกิจกรรม การประดิษฐ์ของเล่น ซึ่งการเล่นนี้จะนําไปสู่ การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.2 เปิดศูนย์การเรียนรู้คู่ความสนุก แฟรี่แลนด์ จังหวัดนครสวรรค์
วันอังคารที่ 4 กันยายน 2561
มท.2 เปิดศูนย์การเรียนรู้คู่ความสนุก แฟรี่แลนด์ จังหวัดนครสวรรค์
มท.2 เปิดศูนย์การเรียนรู้คู่ความสนุก แฟรี่แลนด์ จังหวัดนครสวรรค์
เมื่อวันที่31 ส.ค. 61 เวลา 14.00 น. นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “แฟรี่แลนด์ศูนย์การเรียนรู้คู่ความสนุก” (Fun and Learn Center) ณ ชั้น 5 แฟรี่แลนด์สรรพสินค้า จังหวัดนครสวรรค์ โดยมี นายธนาคม จงจิระ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อํานวยการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ นายสันติ คุณาวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทแฟรี่แลนด์สรรพสินค้า จํากัด เข้าร่วมในพิธี
นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า โครงการ “แฟรี่แลนด์ศูนย์การเรียนรู้คู่ความสนุก” (Fun and Learn Center) ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของภาคเอกชนที่ทําหน้าที่ช่วยเป็นสื่อกลางในการสร้างความรู้ ให้แก่เยาวชน ทั้งในด้านวิชาการ และความคิดสร้างสรรค์ ทําให้เยาวชนได้รับโอกาสได้ฝึกฝน เรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพผ่านกระบวนการคิดเเบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี จะต้องเรียนรู้ไปควบคู่กับความสํานึกรักท้องถิ่น กระบวนการเรียนรู้ผ่านการเล่น จะช่วยให้เด็กเเละเยาวชนได้พัฒนาทักษะเสริมสร้างความฉลาดรอบด้าน ส่งเสริมสู่ความเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง มีการต่อยอดความคิดในหลากหลายมิติ ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดนิทรรศการของเล่น ภูมิปัญญาไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์ต่าง ๆ จากองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)รวมทั้งการจัดให้มีโครงการ สเตม ศึกษา (STEM Center) ขึ้นเป็นแห่งแรกในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่ดี และมีประโยชน์ กับเยาวชน ซึ่งโครงการนี้ถือเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และแสดงให้เห็นถึงการทํางานร่วมกันในรูปแบบประชารัฐอย่างอย่างแท้จริง
ด้าน ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ เปิดเผยว่า องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) มุ่งพัฒนาศักยภาพ ในด้านเศรษฐกิจสังคมและคุณภาพชีวิต โดยปลูกฝังให้เยาวชนไทย มีความรู้ความเข้าใจและกระบวนการคิด แบบวิทยาศาสตร์ ผ่านการทํากิจกรรม การเล่น และการลงมือปฏิบัติ ซึ่งในการจัดนิทรรศการในครั้งนี้ จะก่อให้เกิด ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ควบคู่ไปกับ การเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์ และภูมิปัญญาไทย จากกิจกรรม การประดิษฐ์ของเล่น ซึ่งการเล่นนี้จะนําไปสู่ การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15133
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีและตัวแทนผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ พร้อมประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกันปลูกต้นไม้ตาม “โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน”
|
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560
นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรีและตัวแทนผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ พร้อมประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกันปลูกต้นไม้ตาม “โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน”
เพื่อฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ ให้เป็นพื้นที่สีเขียวในเมืองและฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้
วันนี้ (7 ส.ค. 60) เวลา 09.00 น.ณ อาคารศูนย์การเรียนรู้การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตําบลมหาพราหมณ์ อําเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยาพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตลอดจนตัวแทนผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนเข้าร่วมงานกว่า 5,000 คน เพื่อร่วมกันปลูกต้นไม้ พร้อมกัน 77 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบกล้าไม้ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด สระบุรี ลพบุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามลําดับ
ทั้งนี้ “โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” จัดโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65พรรษา28 กรกาคม 2560 และร่วมกันสืบสานแนวพระราชดําริ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เพื่อฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ให้เป็นพื้นที่สีเขียวในเมืองและฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้โดยกําหนดพื้นที่เป้าหมายดังนี้1) พื้นที่กรรมสิทธิ์ของประชาชนโดยจะมีการแจกกล้าไม้ให้ประชาชนนําไปปลูกในพื้นที่ของตนเองเช่น ที่พักอาศัยที่ทํากิน พื้นที่หัวไร่ปลายนา 2) พื้นที่ของรัฐทุกประเภทโดยเชิญชวนประชาชน ภาคเอกชน และส่วนราชการเข้าร่วมปลูกต้นไม้ในพื้นที่ของรัฐ โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะมอบต้นไม้ จํานวนไม่ต่ํากว่า 10 ล้านกล้า ให้กับประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะช่วยปลูกฝังจิตสํานึกในการอนุรักษ์ต้นไม้และทรัพยากรป่าไม้ให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศ และสามารถฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ รวมทั้งเพิ่มพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่สีเขียวในประเทศไม่ต่ํากว่า 5 หมื่นไร่
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสวัสดีและทักทายผู้มาร่วมงานทุกภาคส่วนด้วยอัธยาศัยอันดี พร้อมกล่าวว่า “โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ ดังนั้น หากเป้าหมายต้องการฟื้นฟูป่าให้ได้ 40 เปอร์เซ็นต์ พื้นที่ตรงไหนที่มีชุมชนอยู่แล้วควรทําอย่างไรให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด ป่าและชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้ ต้องเลือกพื้นที่การปลูกต้นไม้และปลูกป่าให้เหมาะสมกับพื้นที่ และได้กล่าวย้ําอีกว่า 1. เน้นปลูกป่าในใจคน 2. ปลูกป่าในบ้าน 3. ปลูกป่าในชุมชนหรือในสวนสาธารณะ และ 4. การปลูกที่เชื่อมโยงกับป่าใหญ่เพื่อเป็นธนาคารอาหารจากธรรมชาติ โดยชุมชนก็ได้ประโยชน์จากป่าด้วย อีกทั้งเน้นปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่ดูแลได้ ซึ่งให้เน้นการปลูกป่าเพื่อสอดคล้องกับการท่องเที่ยวในเชิงสุขภาพ ส่วนพื้นที่กลางถนนหรือข้างถนน ให้เน้นต้นไม้ที่มีดอกสีสันสวยงาม เมื่อดอกไม้บานสองข้างทางจะได้สวยงาม ซึ่งเป็นการสนองพระราชดําริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงรับสั่งว่า “อยากให้ต้นไม้สองข้างทางภาคกลางมีสีสันสวยงามเหมือนทางภาคเหนือ”
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ส่งมอบต้นไม้ให้กับตัวแทนหน่วยงานราชการและทุกภาคส่วนที่มาร่วมงานพร้อมทั้งได้ร่วมปลูกต้นไม้กับประชาชนที่มาร่วมงาน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ําให้ทุกคนได้นําไปขยายผลเพื่อการปลูกต้นไม้ให้เพิ่มมากขึ้นต่อไป
.................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีและตัวแทนผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ พร้อมประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกันปลูกต้นไม้ตาม “โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน”
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560
นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรีและตัวแทนผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ พร้อมประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกันปลูกต้นไม้ตาม “โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน”
เพื่อฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ ให้เป็นพื้นที่สีเขียวในเมืองและฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้
วันนี้ (7 ส.ค. 60) เวลา 09.00 น.ณ อาคารศูนย์การเรียนรู้การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตําบลมหาพราหมณ์ อําเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยาพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตลอดจนตัวแทนผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนเข้าร่วมงานกว่า 5,000 คน เพื่อร่วมกันปลูกต้นไม้ พร้อมกัน 77 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบกล้าไม้ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด สระบุรี ลพบุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามลําดับ
ทั้งนี้ “โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” จัดโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65พรรษา28 กรกาคม 2560 และร่วมกันสืบสานแนวพระราชดําริ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เพื่อฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ให้เป็นพื้นที่สีเขียวในเมืองและฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้โดยกําหนดพื้นที่เป้าหมายดังนี้1) พื้นที่กรรมสิทธิ์ของประชาชนโดยจะมีการแจกกล้าไม้ให้ประชาชนนําไปปลูกในพื้นที่ของตนเองเช่น ที่พักอาศัยที่ทํากิน พื้นที่หัวไร่ปลายนา 2) พื้นที่ของรัฐทุกประเภทโดยเชิญชวนประชาชน ภาคเอกชน และส่วนราชการเข้าร่วมปลูกต้นไม้ในพื้นที่ของรัฐ โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะมอบต้นไม้ จํานวนไม่ต่ํากว่า 10 ล้านกล้า ให้กับประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะช่วยปลูกฝังจิตสํานึกในการอนุรักษ์ต้นไม้และทรัพยากรป่าไม้ให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศ และสามารถฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ รวมทั้งเพิ่มพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่สีเขียวในประเทศไม่ต่ํากว่า 5 หมื่นไร่
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสวัสดีและทักทายผู้มาร่วมงานทุกภาคส่วนด้วยอัธยาศัยอันดี พร้อมกล่าวว่า “โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ ดังนั้น หากเป้าหมายต้องการฟื้นฟูป่าให้ได้ 40 เปอร์เซ็นต์ พื้นที่ตรงไหนที่มีชุมชนอยู่แล้วควรทําอย่างไรให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด ป่าและชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้ ต้องเลือกพื้นที่การปลูกต้นไม้และปลูกป่าให้เหมาะสมกับพื้นที่ และได้กล่าวย้ําอีกว่า 1. เน้นปลูกป่าในใจคน 2. ปลูกป่าในบ้าน 3. ปลูกป่าในชุมชนหรือในสวนสาธารณะ และ 4. การปลูกที่เชื่อมโยงกับป่าใหญ่เพื่อเป็นธนาคารอาหารจากธรรมชาติ โดยชุมชนก็ได้ประโยชน์จากป่าด้วย อีกทั้งเน้นปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่ดูแลได้ ซึ่งให้เน้นการปลูกป่าเพื่อสอดคล้องกับการท่องเที่ยวในเชิงสุขภาพ ส่วนพื้นที่กลางถนนหรือข้างถนน ให้เน้นต้นไม้ที่มีดอกสีสันสวยงาม เมื่อดอกไม้บานสองข้างทางจะได้สวยงาม ซึ่งเป็นการสนองพระราชดําริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงรับสั่งว่า “อยากให้ต้นไม้สองข้างทางภาคกลางมีสีสันสวยงามเหมือนทางภาคเหนือ”
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ส่งมอบต้นไม้ให้กับตัวแทนหน่วยงานราชการและทุกภาคส่วนที่มาร่วมงานพร้อมทั้งได้ร่วมปลูกต้นไม้กับประชาชนที่มาร่วมงาน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ําให้ทุกคนได้นําไปขยายผลเพื่อการปลูกต้นไม้ให้เพิ่มมากขึ้นต่อไป
.................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5761
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จัดตั้ง “ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม สปป.ลาว” พร้อมเชิญชวนประชาชนบริจาคเงินและสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม สปป.ลาว
|
วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561
กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จัดตั้ง “ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สปป.ลาว” พร้อมเชิญชวนประชาชนบริจาคเงินและสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สปป.ลาว
กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จัดตั้ง “ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สปป.ลาว” พร้อมเชิญชวนประชาชนบริจาคเงินและสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สปป.ลาว
เมื่อวันที่27 ก.ค 61 ที่กระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่เมื่อวันอังคารที่ 24 กรกฎาคม 2561 ได้เกิดสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่จากการชํารุดของสันเขื่อนในเมืองสนามไซ แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งรัฐบาล สปป.ลาว ได้ประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตพิบัติฉุกเฉินแห่งชาติ และได้จัดตั้งศูนย์อํานวยการเพื่อสั่งการและประสานการระดมทรัพยากรให้ความช่วยเหลือ โดยเชิญชวนร่วมบริจาคสิ่งของที่ขาดแคลนและจําเป็น
กระทรวงมหาดไทย โดยกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ขอให้จังหวัดที่มีความพร้อมจัดตั้ง “ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สปป.ลาว” ณ ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่เหมาะสม พร้อมประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคเงินและสิ่งของ เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมใน สปป.ลาว
โดยพี่น้องประชาชนที่มีความประสงค์บริจาคเงิน สามารถบริจาคเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาทําเนียบรัฐบาล ชื่อบัญชี “หัวใจไทยส่งไป สปป.ลาว” เลขที่บัญชี 067–0–12886–4 และกรณีประสงค์บริจาคสิ่งของ ต้องเป็นของที่เป็นความต้องการของ สปป.ลาว เป็นของใหม่ที่มีมาตรฐาน ไม่มีสภาพเสี่ยงต่อการชํารุด บูดเน่าเสียหาย หรือใกล้หมดอายุหรือของที่ใช้แล้ว อีกทั้งให้คํานึงถึงความสามารถในการบรรจุหีบห่อที่เหมาะสมต่อการขนส่งไปยังพื้นที่ประสบภัยได้สะดวก และขณะนี้ได้รับแจ้งประสานว่าสิ่งของที่จําเป็นที่จะขอรับบริจาค เช่น เต้นท์พักพิง สุขาสําเร็จรูป ยารักษาโรค เป็นต้น
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ได้ขอให้จังหวัดเชิญชวนประชาชนจิตอาสา “เราทําความ ดี ด้วยหัวใจ” ร่วมกิจกรรมรับบริจาคสิ่งของกับ “ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สปป.ลาว” เช่นที่ได้ปฏิบัติที่จังหวัดอุบลราชธานีและมุกดาหาร เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมของ สปป.ลาวให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังเป็นการแสดงความห่วงใยและน้ําใจของประชาชนชาวไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จัดตั้ง “ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม สปป.ลาว” พร้อมเชิญชวนประชาชนบริจาคเงินและสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม สปป.ลาว
วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561
กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จัดตั้ง “ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สปป.ลาว” พร้อมเชิญชวนประชาชนบริจาคเงินและสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สปป.ลาว
กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จัดตั้ง “ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สปป.ลาว” พร้อมเชิญชวนประชาชนบริจาคเงินและสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สปป.ลาว
เมื่อวันที่27 ก.ค 61 ที่กระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่เมื่อวันอังคารที่ 24 กรกฎาคม 2561 ได้เกิดสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่จากการชํารุดของสันเขื่อนในเมืองสนามไซ แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งรัฐบาล สปป.ลาว ได้ประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตพิบัติฉุกเฉินแห่งชาติ และได้จัดตั้งศูนย์อํานวยการเพื่อสั่งการและประสานการระดมทรัพยากรให้ความช่วยเหลือ โดยเชิญชวนร่วมบริจาคสิ่งของที่ขาดแคลนและจําเป็น
กระทรวงมหาดไทย โดยกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ขอให้จังหวัดที่มีความพร้อมจัดตั้ง “ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สปป.ลาว” ณ ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่เหมาะสม พร้อมประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคเงินและสิ่งของ เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมใน สปป.ลาว
โดยพี่น้องประชาชนที่มีความประสงค์บริจาคเงิน สามารถบริจาคเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาทําเนียบรัฐบาล ชื่อบัญชี “หัวใจไทยส่งไป สปป.ลาว” เลขที่บัญชี 067–0–12886–4 และกรณีประสงค์บริจาคสิ่งของ ต้องเป็นของที่เป็นความต้องการของ สปป.ลาว เป็นของใหม่ที่มีมาตรฐาน ไม่มีสภาพเสี่ยงต่อการชํารุด บูดเน่าเสียหาย หรือใกล้หมดอายุหรือของที่ใช้แล้ว อีกทั้งให้คํานึงถึงความสามารถในการบรรจุหีบห่อที่เหมาะสมต่อการขนส่งไปยังพื้นที่ประสบภัยได้สะดวก และขณะนี้ได้รับแจ้งประสานว่าสิ่งของที่จําเป็นที่จะขอรับบริจาค เช่น เต้นท์พักพิง สุขาสําเร็จรูป ยารักษาโรค เป็นต้น
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ได้ขอให้จังหวัดเชิญชวนประชาชนจิตอาสา “เราทําความ ดี ด้วยหัวใจ” ร่วมกิจกรรมรับบริจาคสิ่งของกับ “ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สปป.ลาว” เช่นที่ได้ปฏิบัติที่จังหวัดอุบลราชธานีและมุกดาหาร เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมของ สปป.ลาวให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังเป็นการแสดงความห่วงใยและน้ําใจของประชาชนชาวไทย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14233
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ศอ.บต. สสว. Central Lab สานต่อนโยบายประชารัฐจับมือ MOU ยกระดับผู้ประกอบการ ส่งเสริมศักยภาพ SMEs พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดันเข้าสู่แหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ เงื่อนไขผ่อนปรน วงเง
|
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560
ธพว. ศอ.บต. สสว. Central Lab สานต่อนโยบายประชารัฐจับมือ MOU ยกระดับผู้ประกอบการ ส่งเสริมศักยภาพ SMEs พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดันเข้าสู่แหล่งทุนดอกเบี้ยต่ํา เงื่อนไขผ่อนปรน วงเง
ธพว. ศอ.อต. สสว. และ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมบูรณาการประสานความร่วมมือผลักดันและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสานต่อนโยบายรัฐที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น (Local Economy)
วันนี้ (23 เม.ย. 2560) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank), ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.), สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมบูรณาการประสานความร่วมมือผลักดันและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสานต่อนโยบายรัฐที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น (Local Economy) สร้างความพร้อมด้วยองค์ความรู้รอบด้าน เพิ่มโอกาสเพิ่มรายได้ให้เติบโตเข้มแข็งอย่างยั่งยืนก้าวสู่อุตสาหกรรม ไทยแลนด์ 4.0 และ SMEs 4.0 พร้อมผลักดันเข้าสู่แหล่งทุนดอกเบี้ยต่ํา เงื่อนไขผ่อนปรน วงเงิน 6,000 ล้านบาท สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ ข้อ (1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ข้อ (2) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และข้อ (4) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาค และเท่าเทียมกันทางสังคม ภายใต้โครงการ “ส่งเสริมศักยภาพ ผู้ประกอบการ SMEs พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ร่วมเป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือครั้งนี้ ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล
นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการ ศอ.บต. “ร่วมดําเนินการคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีศักยภาพที่ส่งต่อเพื่อให้ได้รับการพัฒนาด้านต่างๆ ที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ ธพว. หรือ สสว. และพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพให้ได้รับการพัฒนาเข้าสู่ระบบมาตรฐาน”
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า “การร่วมมือกันในโครงการครั้งนี้ ธพว.ได้ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสําคัญของ SMEs ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ว่ามีศักยภาพ หากได้รับการสนับสนุนด้านบริหารจัดการ เงินทุนและการพัฒนาองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ SMEs มีความเข้มแข็งและมั่นคง พร้อมกันนี้ ธพว. สนับสนุนการในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทั้งในรูปของสินเชื่อหรือร่วมลงทุน โดยมีสินเชื่อที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ชายแดนภาคใต้เป็นพิเศษ ที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล คือ สินเชื่อโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) วงเงิน 1,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเพียง 1.5% เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนใต้ และสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ ปี2560 วงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเพียง 3% ในเขตพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs มีเงินทุนหมุนเวียน ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนป้องกันไม่ให้ธุรกิจเกิดการสะดุด เป็นแรงผลักดันให้กิจการสามารถฟื้นฟูดําเนินการต่อไปได้”
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโครงการ อาทิ กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงินกองทุน 20,000 ล้านบาท เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของนิติบุคคล อัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลาชําระคืน 7 ปี ไม่ต้องผ่อนชําระหนี้ใน 3 ปีแรก ไม่ต้องมีหลักประกัน ให้กู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย และ 75% ขึ้นไปจะเป็นวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย โดยธุรกิจต้องอยู่ในกลุ่มยุทธศาสตร์ของแต่ละจังหวัด เช่น ภาคการเกษตร, แปรรูปอาหาร, แหล่งท่องเที่ยว, กลุ่ม START UP และกลุ่มเทคโนโลยี นวัตกรรม เป็นต้น โดยแต่ละจังหวัดจะกําหนดธุรกิจกลุ่มยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน
สินเชื่อ SMEs Transformation Loan วงเงิน 15,000 ล้านบาท กู้ได้รายละไม่เกิน 15 ล้านบาท ระยะเวลากู้ยืมไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน อัตราดอกเบี้ยต่ํา 3% คงที่ 3 ปีแรก ปีที่ 4-7 อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี นอกจากนี้ กรณีกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาท สามารถใช้ บสย. ค้ําประกันได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของนิติบุคคล ที่ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่ทําให้กิจการมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อความเข้มแข็ง, เป็นผู้ประกอบการใหม่ (NEW/START UP) หรือที่มีนวัตกรรม, มีศักยภาพ หรือมีแนวโน้มเติบโตเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และ SMEs 4.0 เช่น SMEs กลุ่มธุรกิจ S-Curve หรือ SMEs ที่ส่งออกหรือขยายธุรกิจในต่างประเทศ เป็นต้น
โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงินกองทุน 2,000 ล้านบาท จาก สสว. เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ไม่ต้องผ่อนชําระหนี้คืนสูงสุดไม่เกิน 3 ปี ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องใช้หลักประกัน โดยผู้ประกอบการที่มีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการฟื้นฟู ได้แก่ ธุรกิจเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้แต่ยังคงดําเนินกิจการหรือพร้อมจะฟื้นฟูกิจการได้ ธุรกิจที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้แต่มีการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว หรือยังไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้แต่ชําระหนี้ไม่สม่ําเสมอเนื่องจากเงินหมุนเวียนธุรกิจขาดสภาพคล่อง เป็นต้น
โครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม วงเงินกองทุน 1,000 ล้านบาท เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของบุคคลธรรมดา คณะบุคคล และนิติบุคคล ที่ประสบปัญหาการชําระหนี้ หรือขาดเงินทุนหมุนเวียน สามารถยื่นขอฟื้นฟูกิจการได้ รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชําระหนี้คืน 5-7 ปี ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องใช้หลักประกัน โดยผู้ประกอบการที่มีสิทธิ์ยื่นขอฟื้นฟูกิจการ ได้แก่ บุคคลธรรมดาที่มีจํานวนหนี้ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท คณะบุคคลที่มีจํานวนหนี้ไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท และนิติบุคคลที่มีจํานวนหนี้ไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท ซึ่งกิจการจะต้องมีแผนฟื้นฟูเพื่อให้ธุรกิจดําเนินต่อไปได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้เจ้าหนี้ ลดปัญหาการล้มละลาย การเลิกจ้างงาน และช่วยผยุงภาพรวมเศรษฐกิจ SMEs ไว้
นางสาลินี วังตาล ผู้อํานวยการ สสว. “นโยบายส่งเสริม SMEs ของ สสว. มุ่งเน้นให้ SMEs ผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาด ซึ่งสินค้าของวิสาหกิจชุมชนส่วนใหญ่จะเป็นประเภทอาหาร ผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป มีจุดเด่นในเรื่องรสชาติ แต่สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการคือ เรื่องมาตรฐานสินค้า ถูกสุขลักษณะ และความมีคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งหากสินค้าของวิสาหกิจชุมชนเหล่านี้ ได้รับการรับรองจาก Central Lab หรือ บริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ สสว. มาช่วยตรวจสอบว่า ไม่มีสารปนเปื้อนใดๆ จะทําให้สามารถขายสินค้ากับผู้บริโภคที่มีกําลังซื้อสูงในเมือง หรือขายสินค้าในวงกว้างได้ เช่น ขายสินค้าในโมเดิร์นเทรด หรือขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ อย่างไรก็ดี นอกจากเรื่องสินค้าชุมชนที่ได้รับมาตรฐานสินค้าเพื่อให้เป็นที่ยอมรับแล้ว สินค้าวิสาหกิจชุมชนบางรายอาจมีการปรับปรุง Packaging ให้สะดุดตาสะดุดใจและบอกรายละเอียดสินค้าโดยเฉพาะข้อมูลทางโภชนาการเพื่อเพิ่มยอดขาย ซึ่งอาจต้องมีการใช้เงินทุนในการปรับเปลี่ยน Packaging ในเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่จะมีแหล่งเงินทุนจาก ธพว. มาช่วยเหลือผู้ประกอบการอีกทางหนึ่งซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือที่ครบวงจร”
นายสุรชัย กําพลานนท์วัฒน์ กรรมการผู้อํานวยการ Central Lab “แล็บประชารัฐ จะนําแจ้งมาตรฐานสากลมาช่วยตรวจและวิเคราะห์เพื่อยกระดับคุณภาพมาตรฐานให้กับผู้ประกอบการ 5 จังหวัดชายแดนใต้ ทั้งกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องสําอาง ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค ทําให้เพิ่มมูลค่าสินค้าได้ดียิ่งขึ้น”
โดยหน่วยงานพันธมิตรจะได้ร่วมขับเคลื่อนการสนับสนุนทุกด้านไปสู่ SMEs ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ่ายทอดองค์ความรู้และให้คําปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ SMEs ร่วมผลักดันให้สามารถปรับปรุงการพัฒนาธุรกิจก้าวสู่เอสเอ็มอี 4.0 พร้อมขยายการเติบโตและการพัฒนาศักยภาพให้เข้มแข็ง สําหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจใช้บริการเงินกู้สินเชื่อของ ธพว. สามารถติดต่อยื่นคําขอกู้ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357 หรือสามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมของธนาคารผ่านช่องทาง facebook.com/SMEDevelopmentBank
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ :
นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861 หรือ 0-265-4574-5
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ศอ.บต. สสว. Central Lab สานต่อนโยบายประชารัฐจับมือ MOU ยกระดับผู้ประกอบการ ส่งเสริมศักยภาพ SMEs พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดันเข้าสู่แหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ เงื่อนไขผ่อนปรน วงเง
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560
ธพว. ศอ.บต. สสว. Central Lab สานต่อนโยบายประชารัฐจับมือ MOU ยกระดับผู้ประกอบการ ส่งเสริมศักยภาพ SMEs พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดันเข้าสู่แหล่งทุนดอกเบี้ยต่ํา เงื่อนไขผ่อนปรน วงเง
ธพว. ศอ.อต. สสว. และ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมบูรณาการประสานความร่วมมือผลักดันและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสานต่อนโยบายรัฐที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น (Local Economy)
วันนี้ (23 เม.ย. 2560) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank), ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.), สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมบูรณาการประสานความร่วมมือผลักดันและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสานต่อนโยบายรัฐที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น (Local Economy) สร้างความพร้อมด้วยองค์ความรู้รอบด้าน เพิ่มโอกาสเพิ่มรายได้ให้เติบโตเข้มแข็งอย่างยั่งยืนก้าวสู่อุตสาหกรรม ไทยแลนด์ 4.0 และ SMEs 4.0 พร้อมผลักดันเข้าสู่แหล่งทุนดอกเบี้ยต่ํา เงื่อนไขผ่อนปรน วงเงิน 6,000 ล้านบาท สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ ข้อ (1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ข้อ (2) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และข้อ (4) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาค และเท่าเทียมกันทางสังคม ภายใต้โครงการ “ส่งเสริมศักยภาพ ผู้ประกอบการ SMEs พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ร่วมเป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือครั้งนี้ ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล
นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการ ศอ.บต. “ร่วมดําเนินการคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีศักยภาพที่ส่งต่อเพื่อให้ได้รับการพัฒนาด้านต่างๆ ที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ ธพว. หรือ สสว. และพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพให้ได้รับการพัฒนาเข้าสู่ระบบมาตรฐาน”
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า “การร่วมมือกันในโครงการครั้งนี้ ธพว.ได้ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสําคัญของ SMEs ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ว่ามีศักยภาพ หากได้รับการสนับสนุนด้านบริหารจัดการ เงินทุนและการพัฒนาองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ SMEs มีความเข้มแข็งและมั่นคง พร้อมกันนี้ ธพว. สนับสนุนการในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทั้งในรูปของสินเชื่อหรือร่วมลงทุน โดยมีสินเชื่อที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ชายแดนภาคใต้เป็นพิเศษ ที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล คือ สินเชื่อโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) วงเงิน 1,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเพียง 1.5% เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนใต้ และสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ ปี2560 วงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเพียง 3% ในเขตพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs มีเงินทุนหมุนเวียน ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนป้องกันไม่ให้ธุรกิจเกิดการสะดุด เป็นแรงผลักดันให้กิจการสามารถฟื้นฟูดําเนินการต่อไปได้”
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโครงการ อาทิ กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงินกองทุน 20,000 ล้านบาท เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของนิติบุคคล อัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลาชําระคืน 7 ปี ไม่ต้องผ่อนชําระหนี้ใน 3 ปีแรก ไม่ต้องมีหลักประกัน ให้กู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย และ 75% ขึ้นไปจะเป็นวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย โดยธุรกิจต้องอยู่ในกลุ่มยุทธศาสตร์ของแต่ละจังหวัด เช่น ภาคการเกษตร, แปรรูปอาหาร, แหล่งท่องเที่ยว, กลุ่ม START UP และกลุ่มเทคโนโลยี นวัตกรรม เป็นต้น โดยแต่ละจังหวัดจะกําหนดธุรกิจกลุ่มยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน
สินเชื่อ SMEs Transformation Loan วงเงิน 15,000 ล้านบาท กู้ได้รายละไม่เกิน 15 ล้านบาท ระยะเวลากู้ยืมไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน อัตราดอกเบี้ยต่ํา 3% คงที่ 3 ปีแรก ปีที่ 4-7 อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี นอกจากนี้ กรณีกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาท สามารถใช้ บสย. ค้ําประกันได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของนิติบุคคล ที่ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่ทําให้กิจการมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อความเข้มแข็ง, เป็นผู้ประกอบการใหม่ (NEW/START UP) หรือที่มีนวัตกรรม, มีศักยภาพ หรือมีแนวโน้มเติบโตเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และ SMEs 4.0 เช่น SMEs กลุ่มธุรกิจ S-Curve หรือ SMEs ที่ส่งออกหรือขยายธุรกิจในต่างประเทศ เป็นต้น
โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงินกองทุน 2,000 ล้านบาท จาก สสว. เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ไม่ต้องผ่อนชําระหนี้คืนสูงสุดไม่เกิน 3 ปี ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องใช้หลักประกัน โดยผู้ประกอบการที่มีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการฟื้นฟู ได้แก่ ธุรกิจเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้แต่ยังคงดําเนินกิจการหรือพร้อมจะฟื้นฟูกิจการได้ ธุรกิจที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้แต่มีการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว หรือยังไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้แต่ชําระหนี้ไม่สม่ําเสมอเนื่องจากเงินหมุนเวียนธุรกิจขาดสภาพคล่อง เป็นต้น
โครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม วงเงินกองทุน 1,000 ล้านบาท เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในรูปแบบของบุคคลธรรมดา คณะบุคคล และนิติบุคคล ที่ประสบปัญหาการชําระหนี้ หรือขาดเงินทุนหมุนเวียน สามารถยื่นขอฟื้นฟูกิจการได้ รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชําระหนี้คืน 5-7 ปี ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องใช้หลักประกัน โดยผู้ประกอบการที่มีสิทธิ์ยื่นขอฟื้นฟูกิจการ ได้แก่ บุคคลธรรมดาที่มีจํานวนหนี้ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท คณะบุคคลที่มีจํานวนหนี้ไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท และนิติบุคคลที่มีจํานวนหนี้ไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท ซึ่งกิจการจะต้องมีแผนฟื้นฟูเพื่อให้ธุรกิจดําเนินต่อไปได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้เจ้าหนี้ ลดปัญหาการล้มละลาย การเลิกจ้างงาน และช่วยผยุงภาพรวมเศรษฐกิจ SMEs ไว้
นางสาลินี วังตาล ผู้อํานวยการ สสว. “นโยบายส่งเสริม SMEs ของ สสว. มุ่งเน้นให้ SMEs ผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาด ซึ่งสินค้าของวิสาหกิจชุมชนส่วนใหญ่จะเป็นประเภทอาหาร ผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป มีจุดเด่นในเรื่องรสชาติ แต่สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการคือ เรื่องมาตรฐานสินค้า ถูกสุขลักษณะ และความมีคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งหากสินค้าของวิสาหกิจชุมชนเหล่านี้ ได้รับการรับรองจาก Central Lab หรือ บริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ สสว. มาช่วยตรวจสอบว่า ไม่มีสารปนเปื้อนใดๆ จะทําให้สามารถขายสินค้ากับผู้บริโภคที่มีกําลังซื้อสูงในเมือง หรือขายสินค้าในวงกว้างได้ เช่น ขายสินค้าในโมเดิร์นเทรด หรือขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ อย่างไรก็ดี นอกจากเรื่องสินค้าชุมชนที่ได้รับมาตรฐานสินค้าเพื่อให้เป็นที่ยอมรับแล้ว สินค้าวิสาหกิจชุมชนบางรายอาจมีการปรับปรุง Packaging ให้สะดุดตาสะดุดใจและบอกรายละเอียดสินค้าโดยเฉพาะข้อมูลทางโภชนาการเพื่อเพิ่มยอดขาย ซึ่งอาจต้องมีการใช้เงินทุนในการปรับเปลี่ยน Packaging ในเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่จะมีแหล่งเงินทุนจาก ธพว. มาช่วยเหลือผู้ประกอบการอีกทางหนึ่งซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือที่ครบวงจร”
นายสุรชัย กําพลานนท์วัฒน์ กรรมการผู้อํานวยการ Central Lab “แล็บประชารัฐ จะนําแจ้งมาตรฐานสากลมาช่วยตรวจและวิเคราะห์เพื่อยกระดับคุณภาพมาตรฐานให้กับผู้ประกอบการ 5 จังหวัดชายแดนใต้ ทั้งกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องสําอาง ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค ทําให้เพิ่มมูลค่าสินค้าได้ดียิ่งขึ้น”
โดยหน่วยงานพันธมิตรจะได้ร่วมขับเคลื่อนการสนับสนุนทุกด้านไปสู่ SMEs ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ่ายทอดองค์ความรู้และให้คําปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ SMEs ร่วมผลักดันให้สามารถปรับปรุงการพัฒนาธุรกิจก้าวสู่เอสเอ็มอี 4.0 พร้อมขยายการเติบโตและการพัฒนาศักยภาพให้เข้มแข็ง สําหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจใช้บริการเงินกู้สินเชื่อของ ธพว. สามารถติดต่อยื่นคําขอกู้ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357 หรือสามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมของธนาคารผ่านช่องทาง facebook.com/SMEDevelopmentBank
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ :
นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861 หรือ 0-265-4574-5
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3231
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.อุตสาหกรรม ร่วมงาน 40 ปี สมาคมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย
|
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561
รมช.อุตสาหกรรม ร่วมงาน 40 ปี สมาคมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย
รมช.อุตสาหกรรม ร่วมงาน 40 ปี สมาคมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2561 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมแสดงความยินดีในวาระครบรอบ 40 ปี สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย และกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “อนาคตของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยในยุค Thailand 4.0” โดยมีนางอัชณา ลิมป์ไพฑูรย์ นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมเลอเมอริเดียน สุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “ในอนาคตอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเติบโตที่ผ่านมา นับเป็นการร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐกับภาคเอกชน ทั้งนี้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ได้มาไกลเกินกว่าที่เคยคิดไว้ในอดีต การส่งออกในรูปแบบของชิ้นส่วนยานยนต์ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องพึ่งพาการส่งออกยานยนต์เหมือนในอดีต ทําให้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในทิศทางอัตราการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง”
ด้านนายกสมาคมชิ้นส่วนยานยนต์ ระบุว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ต้องประสบปัญหาด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสมาคมฯ ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ให้ทางสมาคมฯ ช่วยเหลือและพัฒนาในการผลักดัน ส่งเสริมอุตสาหกรรมให้ก้าวหน้าต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.อุตสาหกรรม ร่วมงาน 40 ปี สมาคมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561
รมช.อุตสาหกรรม ร่วมงาน 40 ปี สมาคมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย
รมช.อุตสาหกรรม ร่วมงาน 40 ปี สมาคมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2561 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมแสดงความยินดีในวาระครบรอบ 40 ปี สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย และกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “อนาคตของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยในยุค Thailand 4.0” โดยมีนางอัชณา ลิมป์ไพฑูรย์ นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมเลอเมอริเดียน สุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “ในอนาคตอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเติบโตที่ผ่านมา นับเป็นการร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐกับภาคเอกชน ทั้งนี้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ได้มาไกลเกินกว่าที่เคยคิดไว้ในอดีต การส่งออกในรูปแบบของชิ้นส่วนยานยนต์ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องพึ่งพาการส่งออกยานยนต์เหมือนในอดีต ทําให้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในทิศทางอัตราการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง”
ด้านนายกสมาคมชิ้นส่วนยานยนต์ ระบุว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ต้องประสบปัญหาด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสมาคมฯ ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ให้ทางสมาคมฯ ช่วยเหลือและพัฒนาในการผลักดัน ส่งเสริมอุตสาหกรรมให้ก้าวหน้าต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15071
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน ขายทรัพย์ได้กว่า 76 ล้านบาท
|
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน ขายทรัพย์ได้กว่า 76 ล้านบาท
กรมบังคับคดีร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน ขายทรัพย์ได้กว่า 76 ล้านบาท
เมื่อวันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม 2561 เวลา 09.00 น. กรมบังคับคดีร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน โดยมีนางสาวสายรุ้ง มารมย์ ผู้ตรวจราชการกรม พร้อมด้วยนางสาวรัชนี บุญเรือง ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดจันทบุรี รักษาการในตําแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบังคับคดีแพ่ง และนางจิตรา พรมจาด ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 3 ร่วมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในมหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ที่นํามาประกาศขายเป็นที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุดที่อยู่ในความรับผิดชอบของสํานักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 3 โดยมีทรัพย์ที่พร้อมขายทอดตลาดจํานวน 28 คดี มีผู้สนใจเข้าฟังการขายทอดตลาด ประมาณ 120 ราย ณ ศูนย์การค้าเสียงสมบูรณ์ ถนนสีหบุรานุกิจ แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ 10 คดี 10 รายการ ราคาประเมิน 12,420,046.12 บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น 14,890,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 19.88
และภายในวันเดียวกัน สํานักงานแพ่งกรุงเทพมหานคร 1 ร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน นัดที่ 2 ณ ห้องขายทอดตลาด อาคารอสีติพรรษ กรมบังคับคดี โดยมีนายศรัณย์ ปัญญาดิลก ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1 ดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในมหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ที่นํามาประกาศขายเป็นที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุดที่อยู่ในความรับผิดชอบของสํานักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1 โดยมีทรัพย์ที่พร้อมขายทอดตลาดจํานวน 129 คดี มีผู้สนใจเข้าฟังการขายทอดตลาด จํานวน 150 ราย โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ 31 คดี 32 รายการ ราคาประเมิน 35,395,084.50 บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น 62,010,000 บาท ราคาขายสูงกว่าราคาประเมิน 1.75 เท่า
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน ขายทรัพย์ได้กว่า 76 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน ขายทรัพย์ได้กว่า 76 ล้านบาท
กรมบังคับคดีร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน ขายทรัพย์ได้กว่า 76 ล้านบาท
เมื่อวันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม 2561 เวลา 09.00 น. กรมบังคับคดีร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน โดยมีนางสาวสายรุ้ง มารมย์ ผู้ตรวจราชการกรม พร้อมด้วยนางสาวรัชนี บุญเรือง ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดจันทบุรี รักษาการในตําแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบังคับคดีแพ่ง และนางจิตรา พรมจาด ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 3 ร่วมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในมหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ที่นํามาประกาศขายเป็นที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุดที่อยู่ในความรับผิดชอบของสํานักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 3 โดยมีทรัพย์ที่พร้อมขายทอดตลาดจํานวน 28 คดี มีผู้สนใจเข้าฟังการขายทอดตลาด ประมาณ 120 ราย ณ ศูนย์การค้าเสียงสมบูรณ์ ถนนสีหบุรานุกิจ แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ 10 คดี 10 รายการ ราคาประเมิน 12,420,046.12 บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น 14,890,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 19.88
และภายในวันเดียวกัน สํานักงานแพ่งกรุงเทพมหานคร 1 ร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน นัดที่ 2 ณ ห้องขายทอดตลาด อาคารอสีติพรรษ กรมบังคับคดี โดยมีนายศรัณย์ ปัญญาดิลก ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1 ดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในมหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ที่นํามาประกาศขายเป็นที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุดที่อยู่ในความรับผิดชอบของสํานักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1 โดยมีทรัพย์ที่พร้อมขายทอดตลาดจํานวน 129 คดี มีผู้สนใจเข้าฟังการขายทอดตลาด จํานวน 150 ราย โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ 31 คดี 32 รายการ ราคาประเมิน 35,395,084.50 บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น 62,010,000 บาท ราคาขายสูงกว่าราคาประเมิน 1.75 เท่า
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13865
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 31 พฤษภาคม 2563
วันนี้ (31 พฤษภาคม 2563) ที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 (ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ว่า มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทําให้ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,963 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.17 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลเพียง 61 ราย หรือร้อยละ 1.97 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 4 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย ประเทศตุรกี 2 ราย ประเทศซาอุดิอาระเบีย 1 ราย และได้เข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 57 ราย มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,081 ราย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากรัฐบาลมีมาตรการผ่อนปรนพบว่า มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่จํานวน 53 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและอยู่ในสถานกักกันที่รัฐจัดให้จํานวน 44 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 83.2 มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศเพียง 9 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 16.98 (เกิดจากการเป็นผู้สัมผัสผู้ป่วยยืนยันที่ได้รับการติดตามตรวจ 6 ราย และผู้ที่รับเชื้อจากการไปในสถานที่ชุมชน 3 ราย) ชี้ให้เห็นว่าถึงแม้ว่ารัฐบาลจะผ่อนคลายแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อจํานวนผู้ติดเชื้อในประเทศ ซึ่งความสําเร็จครั้งนี้มาจากความร่วมมือของสถานประกอบการและประชาชนที่ปฏิบัติได้เป็นอย่างดี ทั้งมาตรการส่วนบุคคล เช่น การเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า การล้างมือบ่อยๆ และมาตรการของสถานประกอบการ เช่น การบริหารจัดการพื้นที่ จัดจุดคัดกรองอุณหภูมิ จุดบริการแอลกอฮอล์เจลล้างมือ การลงทะเบียนเข้า-ออก พื้นที่ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ เป็นต้น
ขณะนี้ยังมีคนไทยในต่างประเทศทยอยเดินทางกลับประเทศจะมีการคัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง หากพบว่าป่วย มีไข้ ไอ มีน้ํามูก หรืออาการระบบทางเดินหายใจ ไม่อนุญาตให้เดินทางกลับ ส่วนผู้ที่ผ่านการคัดกรอง ซึ่งสายการบินได้มีมาตรการป้องกันการติดเชื้อบนเครื่องโดยให้ผู้โดยสารทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง เมื่อเดินทางถึงประเทศจะมีการคัดกรองอีกครั้ง หากพบอาการเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค(PUI) จะนําเข้าสู่ระบบการรักษาทันที สําหรับผู้โดยสารที่ไม่แสดงอาการป่วยจะนําเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังควบคุมโรคเป็นเวลา 14 วัน ในสถานที่รัฐจัดให้ หรือในโรงแรมทางเลือก (Alternative State Quarantine) ซึ่งมีระบบการดูแลสุขภาพ ภายใต้การควบคุมของบุคลากรทางการแพทย์เช่นเดียวกัน
เนื่องในวันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก คําขวัญประจําปี 2563 มีว่า “ติดบุหรี่ ติดโควิด เสี่ยงตายสูง” #เลิกสูบลดเสี่ยง ซึ่งการสูบบุหรี่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อโรค เพราะขณะสูบจะมีการปล่อยควัน ละอองไออกมา อาจมีน้ําลาย สารคัดหลั่ง และเชื้อโรคปะปนอยู่ และอาจแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ รวมทั้งข้อมูลของ ขององค์การอนามัยโลก ในการการบังคับใช้กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ (WHO FCTC) ได้กล่าวถึงการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อโรคโควิด 19 ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล พบว่าผู้ป่วยที่สูบบุหรี่มีโอกาสที่จะเกิดอาการรุนแรงได้มากกว่าคนปกติทั่วไปและเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 14 เท่า
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 31 พฤษภาคม 2563
วันนี้ (31 พฤษภาคม 2563) ที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 (ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ว่า มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทําให้ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,963 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.17 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลเพียง 61 ราย หรือร้อยละ 1.97 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 4 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย ประเทศตุรกี 2 ราย ประเทศซาอุดิอาระเบีย 1 ราย และได้เข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 57 ราย มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,081 ราย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากรัฐบาลมีมาตรการผ่อนปรนพบว่า มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่จํานวน 53 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและอยู่ในสถานกักกันที่รัฐจัดให้จํานวน 44 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 83.2 มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศเพียง 9 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 16.98 (เกิดจากการเป็นผู้สัมผัสผู้ป่วยยืนยันที่ได้รับการติดตามตรวจ 6 ราย และผู้ที่รับเชื้อจากการไปในสถานที่ชุมชน 3 ราย) ชี้ให้เห็นว่าถึงแม้ว่ารัฐบาลจะผ่อนคลายแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อจํานวนผู้ติดเชื้อในประเทศ ซึ่งความสําเร็จครั้งนี้มาจากความร่วมมือของสถานประกอบการและประชาชนที่ปฏิบัติได้เป็นอย่างดี ทั้งมาตรการส่วนบุคคล เช่น การเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า การล้างมือบ่อยๆ และมาตรการของสถานประกอบการ เช่น การบริหารจัดการพื้นที่ จัดจุดคัดกรองอุณหภูมิ จุดบริการแอลกอฮอล์เจลล้างมือ การลงทะเบียนเข้า-ออก พื้นที่ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ เป็นต้น
ขณะนี้ยังมีคนไทยในต่างประเทศทยอยเดินทางกลับประเทศจะมีการคัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง หากพบว่าป่วย มีไข้ ไอ มีน้ํามูก หรืออาการระบบทางเดินหายใจ ไม่อนุญาตให้เดินทางกลับ ส่วนผู้ที่ผ่านการคัดกรอง ซึ่งสายการบินได้มีมาตรการป้องกันการติดเชื้อบนเครื่องโดยให้ผู้โดยสารทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง เมื่อเดินทางถึงประเทศจะมีการคัดกรองอีกครั้ง หากพบอาการเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค(PUI) จะนําเข้าสู่ระบบการรักษาทันที สําหรับผู้โดยสารที่ไม่แสดงอาการป่วยจะนําเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังควบคุมโรคเป็นเวลา 14 วัน ในสถานที่รัฐจัดให้ หรือในโรงแรมทางเลือก (Alternative State Quarantine) ซึ่งมีระบบการดูแลสุขภาพ ภายใต้การควบคุมของบุคลากรทางการแพทย์เช่นเดียวกัน
เนื่องในวันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก คําขวัญประจําปี 2563 มีว่า “ติดบุหรี่ ติดโควิด เสี่ยงตายสูง” #เลิกสูบลดเสี่ยง ซึ่งการสูบบุหรี่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อโรค เพราะขณะสูบจะมีการปล่อยควัน ละอองไออกมา อาจมีน้ําลาย สารคัดหลั่ง และเชื้อโรคปะปนอยู่ และอาจแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ รวมทั้งข้อมูลของ ขององค์การอนามัยโลก ในการการบังคับใช้กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ (WHO FCTC) ได้กล่าวถึงการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อโรคโควิด 19 ของผู้ป่วยในโรงพยาบาล พบว่าผู้ป่วยที่สูบบุหรี่มีโอกาสที่จะเกิดอาการรุนแรงได้มากกว่าคนปกติทั่วไปและเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 14 เท่า
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31736
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยประชุมระดมสมองเตรียมจัดทำแผนปฏิรูปองค์กร ระยะ 3 ปี (2562-2564) เพื่อเป็นกรอบและทิศทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปหน่วยงาน รองรับนโยบายการพัฒนาประเทศ
|
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561
มหาดไทยประชุมระดมสมองเตรียมจัดทําแผนปฏิรูปองค์กร ระยะ 3 ปี (2562-2564) เพื่อเป็นกรอบและทิศทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปหน่วยงาน รองรับนโยบายการพัฒนาประเทศ
มหาดไทยประชุมระดมสมองเตรียมจัดทําแผนปฏิรูปองค์กร ระยะ 3 ปี (2562-2564) เพื่อเป็นกรอบและทิศทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปหน่วยงาน รองรับนโยบายการพัฒนาประเทศ
วันนี้ (29 ส.ค. 61) เวลา 13.00 น. นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) แผนปฏิรูปองค์การของกระทรวงมหาดไทยและสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2562-2564) และข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว (5 ปี 10 ปี และ 20 ปี) ณ ห้องบุหงา ชั้น 3 โรงแรมโกลเด้นทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพมหานคร จัดโดยกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทําข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงในภาพรวมของกระทรวงมหาดไทยให้ครอบคลุมในทุกด้าน ทั้งด้านการปรับปรุงโครงสร้าง/กระบวนการทํางาน ด้านกฎหมาย ด้านบุคลากร รวมถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐกับภาคเอกชน ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ และการจัดทําแผนปฏิรูปองค์การ เพื่อเป็นกรอบและทิศทางในการขับเคลื่อนการปฏิรูปองค์การให้เป็นไปตามแผนการพัฒนาประเทศ และนโยบายรัฐบาล โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าสํานักงานจังหวัด ผู้แทนกลุ่มจังหวัด คณะที่ปรึกษาโครงการฯ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิจากสํานักงาน ก.พ.ร. และผู้แทนของหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ให้ความสําคัญในการจัดทําแผนปฏิรูปองค์การของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งการประชุมในวันนี้ สืบเนื่องจากภายหลังที่กระทรวงมหาดไทยได้จัดทํา (ร่าง) แผนปฏิรูปองค์การของกระทรวงมหาดไทยและสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ระยะ 3 ปี (พ.ศ.2562-2564) ขึ้น และได้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นฯ จากหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ จากสํานักงาน ก.พ.ร. เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 รวมทั้งได้นําข้อเสนอและความคิดเห็นที่ได้จากการประชุมมาปรับปรุง/แก้ไข (ร่าง) แผนปฏิรูปฯ ดังกล่าว
สําหรับการประชุมในวันนี้ มีประเด็นสําคัญดังนี้ 1. การรับฟังผลการพิจารณาแผนปฏิรูปองค์การของกระทรวงมหาดไทย โดยคณะที่ปรึกษาโครงการจัดทําแผนปฏิรูปองค์การฯ และผูทรงคุณวุฒิ จากสํานักงาน ก.พ.ร. ทั้งในส่วนของการทบทวนValue PropositionและStrategic Focusและแนวทางการพัฒนาองค์การระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว 2. ผลการพิจารณาแผนปฏิรูปองค์การของส่วนราชการระดับกรม และ 3.แนวทางการปรับปรุงแผนปฏิรูป ซึ่งประกอบด้วย 1) การจัดทําข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงในระยะ 3 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562–2564) โดยเฉพาะประเด็นตามความเห็นผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อการประเมินต่อไป และ 2) การปรับปรุงข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงในระยะ 3 ปี ในแผนปฏิรูปองค์การ และการจัดทําโครงการสําคัญ เพื่อสอดคล้องเชื่อมโยงกับValue PropositionและStrategic Focusรวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะสําหรับการปรับเปลี่ยน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดทําแผนปฏิรูปองค์การฉบับสมบูรณ์จองหน่วยงาน ซึ่งจะครอบคลุมแนวทางการพัฒนาองค์การทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวต่อไป
จากนั้นที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และผู้แทนจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อนํามาทบทวนและปรับปรุงการจัดทํา (ร่าง) แผนปฏิรูปฯ ดังกล่าว โดยข้อสังเกตการปฏิรูปองค์การ ในภาพรวมของกระทรวงมหาดไทย มีประเด็นสําคัญสรุปได้ดังนี้ - ด้านบทบาทภารกิจ ควรมีบทบาทหลักในการบูรณาการแผนพัฒนาพื้นที่ทุกระดับ ตั้งแต่แผนชุมชน ตําบล อําเภอ จังหวัด กลุ่มจังหวัด ให้เป็นแผนเดียวกัน (one plane)โดยมีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ และสามารถพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ได้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชาชนอย่างแท้จริง - ด้านอื่นๆ เช่น การเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคส่วนอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา เช่นเดียวกับการพัฒนาSmart Cityของจังหวัดขอนแก่น เป็นต้น
ท้ายนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเน้นย้ําว่า การปฏิรูปองค์การถือเป็นเรื่องสําคัญ ที่ทุกส่วนราชการและหน่วยงานต่างๆ ในสังกัด ต้องร่วมมือกันและช่วยกันในการวางแผนการปฏิรูปองค์การ เพื่อให้สอดรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งองค์การจําเป็นต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ทั้งนี้ได้ขอให้ทุกหน่วยงานนําข้อสังเกตที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ ไปปรับแผนปฏิรูปองค์การของส่วนราชการของตน เพื่อให้สามารถนําแผนไปใช้งานได้จริง และสอดรับตามนโยบายการพัฒนาประเทศ รวมทั้งสามารถนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติได้ ภายใต้ปณิธาน "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้อยู่ดีกินดี ตามภารกิจหลักของกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ประเทศก้าวสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยประชุมระดมสมองเตรียมจัดทำแผนปฏิรูปองค์กร ระยะ 3 ปี (2562-2564) เพื่อเป็นกรอบและทิศทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปหน่วยงาน รองรับนโยบายการพัฒนาประเทศ
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561
มหาดไทยประชุมระดมสมองเตรียมจัดทําแผนปฏิรูปองค์กร ระยะ 3 ปี (2562-2564) เพื่อเป็นกรอบและทิศทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปหน่วยงาน รองรับนโยบายการพัฒนาประเทศ
มหาดไทยประชุมระดมสมองเตรียมจัดทําแผนปฏิรูปองค์กร ระยะ 3 ปี (2562-2564) เพื่อเป็นกรอบและทิศทางการขับเคลื่อนการปฏิรูปหน่วยงาน รองรับนโยบายการพัฒนาประเทศ
วันนี้ (29 ส.ค. 61) เวลา 13.00 น. นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) แผนปฏิรูปองค์การของกระทรวงมหาดไทยและสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2562-2564) และข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว (5 ปี 10 ปี และ 20 ปี) ณ ห้องบุหงา ชั้น 3 โรงแรมโกลเด้นทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพมหานคร จัดโดยกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทําข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงในภาพรวมของกระทรวงมหาดไทยให้ครอบคลุมในทุกด้าน ทั้งด้านการปรับปรุงโครงสร้าง/กระบวนการทํางาน ด้านกฎหมาย ด้านบุคลากร รวมถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐกับภาคเอกชน ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ และการจัดทําแผนปฏิรูปองค์การ เพื่อเป็นกรอบและทิศทางในการขับเคลื่อนการปฏิรูปองค์การให้เป็นไปตามแผนการพัฒนาประเทศ และนโยบายรัฐบาล โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าสํานักงานจังหวัด ผู้แทนกลุ่มจังหวัด คณะที่ปรึกษาโครงการฯ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิจากสํานักงาน ก.พ.ร. และผู้แทนของหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ให้ความสําคัญในการจัดทําแผนปฏิรูปองค์การของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งการประชุมในวันนี้ สืบเนื่องจากภายหลังที่กระทรวงมหาดไทยได้จัดทํา (ร่าง) แผนปฏิรูปองค์การของกระทรวงมหาดไทยและสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ระยะ 3 ปี (พ.ศ.2562-2564) ขึ้น และได้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นฯ จากหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ จากสํานักงาน ก.พ.ร. เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 รวมทั้งได้นําข้อเสนอและความคิดเห็นที่ได้จากการประชุมมาปรับปรุง/แก้ไข (ร่าง) แผนปฏิรูปฯ ดังกล่าว
สําหรับการประชุมในวันนี้ มีประเด็นสําคัญดังนี้ 1. การรับฟังผลการพิจารณาแผนปฏิรูปองค์การของกระทรวงมหาดไทย โดยคณะที่ปรึกษาโครงการจัดทําแผนปฏิรูปองค์การฯ และผูทรงคุณวุฒิ จากสํานักงาน ก.พ.ร. ทั้งในส่วนของการทบทวนValue PropositionและStrategic Focusและแนวทางการพัฒนาองค์การระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว 2. ผลการพิจารณาแผนปฏิรูปองค์การของส่วนราชการระดับกรม และ 3.แนวทางการปรับปรุงแผนปฏิรูป ซึ่งประกอบด้วย 1) การจัดทําข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงในระยะ 3 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562–2564) โดยเฉพาะประเด็นตามความเห็นผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อการประเมินต่อไป และ 2) การปรับปรุงข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงในระยะ 3 ปี ในแผนปฏิรูปองค์การ และการจัดทําโครงการสําคัญ เพื่อสอดคล้องเชื่อมโยงกับValue PropositionและStrategic Focusรวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะสําหรับการปรับเปลี่ยน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดทําแผนปฏิรูปองค์การฉบับสมบูรณ์จองหน่วยงาน ซึ่งจะครอบคลุมแนวทางการพัฒนาองค์การทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวต่อไป
จากนั้นที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และผู้แทนจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อนํามาทบทวนและปรับปรุงการจัดทํา (ร่าง) แผนปฏิรูปฯ ดังกล่าว โดยข้อสังเกตการปฏิรูปองค์การ ในภาพรวมของกระทรวงมหาดไทย มีประเด็นสําคัญสรุปได้ดังนี้ - ด้านบทบาทภารกิจ ควรมีบทบาทหลักในการบูรณาการแผนพัฒนาพื้นที่ทุกระดับ ตั้งแต่แผนชุมชน ตําบล อําเภอ จังหวัด กลุ่มจังหวัด ให้เป็นแผนเดียวกัน (one plane)โดยมีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ และสามารถพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ได้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชาชนอย่างแท้จริง - ด้านอื่นๆ เช่น การเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคส่วนอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา เช่นเดียวกับการพัฒนาSmart Cityของจังหวัดขอนแก่น เป็นต้น
ท้ายนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเน้นย้ําว่า การปฏิรูปองค์การถือเป็นเรื่องสําคัญ ที่ทุกส่วนราชการและหน่วยงานต่างๆ ในสังกัด ต้องร่วมมือกันและช่วยกันในการวางแผนการปฏิรูปองค์การ เพื่อให้สอดรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งองค์การจําเป็นต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ทั้งนี้ได้ขอให้ทุกหน่วยงานนําข้อสังเกตที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ ไปปรับแผนปฏิรูปองค์การของส่วนราชการของตน เพื่อให้สามารถนําแผนไปใช้งานได้จริง และสอดรับตามนโยบายการพัฒนาประเทศ รวมทั้งสามารถนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติได้ ภายใต้ปณิธาน "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้อยู่ดีกินดี ตามภารกิจหลักของกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ประเทศก้าวสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15012
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เปิดงาน “แสตมป์ของพ่อ 2493 เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
|
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ เปิดงาน “แสตมป์ของพ่อ 2493 เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดนิทรรศการ “แสตมป์ของพ่อ 2493 เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ซึ่งบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) จัดนิทรรศการดังกล่าวขึ้นเพื่อเป็นการน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ตลอดช่วงระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ ผ่านดวงแสตมป์ 79 ชุด 353 แบบ ด้วยการเล่าเรื่องราวผ่านแสตมป์ วีดิทัศน์ และแอนิเมชั่น โดยแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 5 โซนหลัก ได้แก่ “5 พฤษภาคม 2493 ปฐมบทแห่งความสุขของคนไทย” “2 พระองค์ คู่พระบารมี” “4 ภาค เสด็จฯเยี่ยมราษฎร” “9 ทํา เพื่อพสกนิกร” และ“3 คําสอน ศาสตร์พระราชา” พร้อมกับโซนพิเศษ “มรดกจากพ่อ” ที่จัดแสดงแสตมป์ทุกชุด และโซนกิจกรรม “สุขที่พ่อให้ จากดวงใจประชาชน” นอกจากนี้ ปณท ยังได้จัดทําโปสการ์ดที่ระลึก 5 แบบ โดยนําพระบรมฉายาลักษณ์ที่ปรากฏบนดวงแสตมป์ทั้งหมด 5 ดวง พร้อมอัญเชิญพระราชดํารัสและพระบรมราโชวาทที่พระองค์ทรงพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยมาจัดทํา ทั้งนี้ นิทรรศการดังกล่าว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 มิถุนายน – 31 ตุลาคม 2560 และมีพิธีเปิดงานฯ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2560 ณ ไปรษณีย์กลาง บางรัก ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เปิดงาน “แสตมป์ของพ่อ 2493 เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ เปิดงาน “แสตมป์ของพ่อ 2493 เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดนิทรรศการ “แสตมป์ของพ่อ 2493 เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ซึ่งบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) จัดนิทรรศการดังกล่าวขึ้นเพื่อเป็นการน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ตลอดช่วงระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ ผ่านดวงแสตมป์ 79 ชุด 353 แบบ ด้วยการเล่าเรื่องราวผ่านแสตมป์ วีดิทัศน์ และแอนิเมชั่น โดยแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 5 โซนหลัก ได้แก่ “5 พฤษภาคม 2493 ปฐมบทแห่งความสุขของคนไทย” “2 พระองค์ คู่พระบารมี” “4 ภาค เสด็จฯเยี่ยมราษฎร” “9 ทํา เพื่อพสกนิกร” และ“3 คําสอน ศาสตร์พระราชา” พร้อมกับโซนพิเศษ “มรดกจากพ่อ” ที่จัดแสดงแสตมป์ทุกชุด และโซนกิจกรรม “สุขที่พ่อให้ จากดวงใจประชาชน” นอกจากนี้ ปณท ยังได้จัดทําโปสการ์ดที่ระลึก 5 แบบ โดยนําพระบรมฉายาลักษณ์ที่ปรากฏบนดวงแสตมป์ทั้งหมด 5 ดวง พร้อมอัญเชิญพระราชดํารัสและพระบรมราโชวาทที่พระองค์ทรงพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยมาจัดทํา ทั้งนี้ นิทรรศการดังกล่าว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 มิถุนายน – 31 ตุลาคม 2560 และมีพิธีเปิดงานฯ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2560 ณ ไปรษณีย์กลาง บางรัก ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ
*******************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4813
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เพิ่มขบวนรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน เสริมในระบบ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกัน COVID-19 [กระทรวงคมนาคม]
|
วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2563
รฟม. เพิ่มขบวนรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน เสริมในระบบ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกัน COVID-19 [กระทรวงคมนาคม]
รฟม. เพิ่มขบวนรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน เสริมในระบบ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ตามที่ รฟม. และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) (BEM) ได้ดําเนินการตามมาตรการจํากัดจํานวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT เข้าระบบในแต่ละคราว (Group Release) เพื่อรักษาระยะห่างในการใช้บริการตามมาตรการ Social Distancing ตามนโยบายของรัฐบาล กระทรวงคมนาคม และกรมการขนส่งทางราง โดยแบ่งการเข้าระบบของผู้โดยสารเป็น 3 ตอน ได้แก่ ก่อนการขึ้น-ลง เข้าสู่ชั้นจําหน่ายบัตรโดยสาร , ก่อนผ่านเข้าประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ และก่อนเข้าสู่ขบวนรถไฟฟ้า ทําให้ผู้โดยสารต้องใช้เวลารอคิวเพื่อใช้บริการนานขึ้นนั้น จากเหตุการณ์ดังกล่าว รฟม. และ BEM จึงได้จัดขบวนรถเสริมในระบบรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ําเงิน) ให้บริการในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น จากปกติจะมีขบวนรถให้บริการ 40 ขบวน เพิ่มขึ้นอีก 6 ขบวน จากที่เคยเพิ่ม 3 ขบวนเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา รวมมีขบวนรถเสริมในระบบเป็น 9 ขบวน เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ทั้งนี้จะเสริมขบวนในกรณีที่สถานีรถไฟฟ้าสถานีใดมีผู้โดยสารหนาแน่นมาก จะนําขบวนรถเสริมให้บริการที่สถานีนั้นเป็นสถานีแรก โดยไม่จอดรับผู้โดยสารที่สถานีก่อนหน้า
ทั้งนี้ รฟม. และ BEM ขอความร่วมมือผู้โดยสารวางแผนและเผื่อเวลาในการเดินทางมากขึ้น เพราะจําเป็นต้องใช้เวลามากขึ้นในการจัดระเบียบการเข้าใช้บริการ รวมทั้งสวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาการใช้บริการ รวมถึงให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่วัดอุณหภูมิร่างกายก่อนใช้บริการ และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ในจุดให้บริการในสถานี และโปรดให้ความร่วมมือในการรักษาระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing โดยเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยทางสุขอนามัยของคนทุกคน ติดตามรายละเอียดและข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
---------------------------------
กองสื่อสารองค์กร
สํานักผู้ว่าการ รฟม.
โทร. 0 2716 4000
โทรสาร 0 2716 4019
Email : pr@mrta.co.th
-------------------------------------------------
#วิสัยทัศน์ รฟม. (พ.ศ.2560-2565)
เป็นองค์กรที่มีความเป็นเลิศด้านรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและส่งเสริมการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เพิ่มขบวนรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน เสริมในระบบ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกัน COVID-19 [กระทรวงคมนาคม]
วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2563
รฟม. เพิ่มขบวนรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน เสริมในระบบ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกัน COVID-19 [กระทรวงคมนาคม]
รฟม. เพิ่มขบวนรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน เสริมในระบบ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ตามที่ รฟม. และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) (BEM) ได้ดําเนินการตามมาตรการจํากัดจํานวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT เข้าระบบในแต่ละคราว (Group Release) เพื่อรักษาระยะห่างในการใช้บริการตามมาตรการ Social Distancing ตามนโยบายของรัฐบาล กระทรวงคมนาคม และกรมการขนส่งทางราง โดยแบ่งการเข้าระบบของผู้โดยสารเป็น 3 ตอน ได้แก่ ก่อนการขึ้น-ลง เข้าสู่ชั้นจําหน่ายบัตรโดยสาร , ก่อนผ่านเข้าประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ และก่อนเข้าสู่ขบวนรถไฟฟ้า ทําให้ผู้โดยสารต้องใช้เวลารอคิวเพื่อใช้บริการนานขึ้นนั้น จากเหตุการณ์ดังกล่าว รฟม. และ BEM จึงได้จัดขบวนรถเสริมในระบบรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ําเงิน) ให้บริการในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น จากปกติจะมีขบวนรถให้บริการ 40 ขบวน เพิ่มขึ้นอีก 6 ขบวน จากที่เคยเพิ่ม 3 ขบวนเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา รวมมีขบวนรถเสริมในระบบเป็น 9 ขบวน เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ทั้งนี้จะเสริมขบวนในกรณีที่สถานีรถไฟฟ้าสถานีใดมีผู้โดยสารหนาแน่นมาก จะนําขบวนรถเสริมให้บริการที่สถานีนั้นเป็นสถานีแรก โดยไม่จอดรับผู้โดยสารที่สถานีก่อนหน้า
ทั้งนี้ รฟม. และ BEM ขอความร่วมมือผู้โดยสารวางแผนและเผื่อเวลาในการเดินทางมากขึ้น เพราะจําเป็นต้องใช้เวลามากขึ้นในการจัดระเบียบการเข้าใช้บริการ รวมทั้งสวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาการใช้บริการ รวมถึงให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่วัดอุณหภูมิร่างกายก่อนใช้บริการ และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ในจุดให้บริการในสถานี และโปรดให้ความร่วมมือในการรักษาระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing โดยเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยทางสุขอนามัยของคนทุกคน ติดตามรายละเอียดและข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
---------------------------------
กองสื่อสารองค์กร
สํานักผู้ว่าการ รฟม.
โทร. 0 2716 4000
โทรสาร 0 2716 4019
Email : pr@mrta.co.th
-------------------------------------------------
#วิสัยทัศน์ รฟม. (พ.ศ.2560-2565)
เป็นองค์กรที่มีความเป็นเลิศด้านรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและส่งเสริมการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เผยนายจ้างร่วมป้องกันยาเสพติดเพิ่มขึ้น พร้อมร่วมมือเครือข่ายป้องกัน
|
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561
กสร. เผยนายจ้างร่วมป้องกันยาเสพติดเพิ่มขึ้น พร้อมร่วมมือเครือข่ายป้องกัน
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เผยผลการป้องกันและแก้ไขยาเสพติดในสถานประกอบกิจการปี 60 มีสถานประกอบกิจการทั่วประเทศผ่านเกณฑ์โรงงานสีขาว 422 แห่ง มยส. 92 แห่ง พร้อมร่วมมือเครือข่ายแก้ปัญหา วอนนายจ้างให้โอกาสผู้เสพยาเข้าบําบัดโดยไม่เลิกจ้าง และขอให้ทุกคนช
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มแรงงานเป็นภารกิจสําคัญที่กสร. ให้ความสําคัญมาโดยตลอด โดยมุ่งเน้นส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการมีระบบการจัดการปัญหายาเสพติดตามโครงการโรงงานสีขาว และระบบมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) ซึ่งผลการดําเนินงานเป็นที่น่าพอใจเนื่องจากสถานประกอบกิจการให้ความสําคัญและให้ความร่วมมือเพิ่มขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2560 กสร. ได้รณรงค์ให้ความรู้โทษพิษภัยของยาเสพติดแก่ผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบกิจการพื้นที่กรุงเทพมหานคร จํานวน 5,303 แห่ง ผู้ใช้แรงงานได้รับภูมิคุ้มกันด้านยาเสพติด จํานวน 315,494 คน มีสถานประกอบกิจการผ่านเกณฑ์โรงงานสีขาว 422 แห่ง ระบบ มยส. จํานวน 92แห่ง และสถานประกอบกิจการธํารงรักษาระบบ มยส. อย่างต่อเนื่อง จํานวน 197 แห่ง
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ กสร.ยังได้ดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยประสานความร่วมมือกับ นายจ้าง ลูกจ้าง เครือข่ายสถานประกอบกิจการ และองค์กรต่าง ๆ ในการขอความร่วมมือให้ทุกฝ่ายให้ความสําคัญโดยมุ่งเน้นนโยบาย 3 ข้อหลัก คือ 1.ขอให้ทุกสถานประกอบกิจการร่วมกันเป็นพลังเอาชนะยาเสพติดโดยนายจ้างลูกจ้างต้องร่วมมือกันและธํารงรักษาการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องยั่งยืน 2.ขอความร่วมมือนายจ้างให้โอกาสผู้เสพยาเสพติดเข้ารับการบําบัดรักษาฟื้นฟูโดยไม่เลิกจ้างและรับกลับเข้าทํางานเพื่อคืนคนดีสู่สังคม และ 3.ขอให้คํานึงเสมอว่าการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนและต้องให้ความร่วมมือเฝ้าระวัง สอดส่องมิให้ลูกจ้างและคนใกล้ชิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด สถานประกอบกิจการที่สนใจเข้าร่วมโครงการโรงงานสีขาว หรือ มยส. สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ กองสวัสดิการแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เผยนายจ้างร่วมป้องกันยาเสพติดเพิ่มขึ้น พร้อมร่วมมือเครือข่ายป้องกัน
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561
กสร. เผยนายจ้างร่วมป้องกันยาเสพติดเพิ่มขึ้น พร้อมร่วมมือเครือข่ายป้องกัน
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เผยผลการป้องกันและแก้ไขยาเสพติดในสถานประกอบกิจการปี 60 มีสถานประกอบกิจการทั่วประเทศผ่านเกณฑ์โรงงานสีขาว 422 แห่ง มยส. 92 แห่ง พร้อมร่วมมือเครือข่ายแก้ปัญหา วอนนายจ้างให้โอกาสผู้เสพยาเข้าบําบัดโดยไม่เลิกจ้าง และขอให้ทุกคนช
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มแรงงานเป็นภารกิจสําคัญที่กสร. ให้ความสําคัญมาโดยตลอด โดยมุ่งเน้นส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการมีระบบการจัดการปัญหายาเสพติดตามโครงการโรงงานสีขาว และระบบมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) ซึ่งผลการดําเนินงานเป็นที่น่าพอใจเนื่องจากสถานประกอบกิจการให้ความสําคัญและให้ความร่วมมือเพิ่มขึ้น โดยในปีงบประมาณ 2560 กสร. ได้รณรงค์ให้ความรู้โทษพิษภัยของยาเสพติดแก่ผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบกิจการพื้นที่กรุงเทพมหานคร จํานวน 5,303 แห่ง ผู้ใช้แรงงานได้รับภูมิคุ้มกันด้านยาเสพติด จํานวน 315,494 คน มีสถานประกอบกิจการผ่านเกณฑ์โรงงานสีขาว 422 แห่ง ระบบ มยส. จํานวน 92แห่ง และสถานประกอบกิจการธํารงรักษาระบบ มยส. อย่างต่อเนื่อง จํานวน 197 แห่ง
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ กสร.ยังได้ดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยประสานความร่วมมือกับ นายจ้าง ลูกจ้าง เครือข่ายสถานประกอบกิจการ และองค์กรต่าง ๆ ในการขอความร่วมมือให้ทุกฝ่ายให้ความสําคัญโดยมุ่งเน้นนโยบาย 3 ข้อหลัก คือ 1.ขอให้ทุกสถานประกอบกิจการร่วมกันเป็นพลังเอาชนะยาเสพติดโดยนายจ้างลูกจ้างต้องร่วมมือกันและธํารงรักษาการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องยั่งยืน 2.ขอความร่วมมือนายจ้างให้โอกาสผู้เสพยาเสพติดเข้ารับการบําบัดรักษาฟื้นฟูโดยไม่เลิกจ้างและรับกลับเข้าทํางานเพื่อคืนคนดีสู่สังคม และ 3.ขอให้คํานึงเสมอว่าการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนและต้องให้ความร่วมมือเฝ้าระวัง สอดส่องมิให้ลูกจ้างและคนใกล้ชิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด สถานประกอบกิจการที่สนใจเข้าร่วมโครงการโรงงานสีขาว หรือ มยส. สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ กองสวัสดิการแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13337
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยปัญหาภัยแล้ง กำชับทุกหน่วยเร่งวางแผนรับมือ วอนประชาชนร่วมประหยัดน้ำ
|
วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2562
นายกฯ ห่วงใยปัญหาภัยแล้ง กําชับทุกหน่วยเร่งวางแผนรับมือ วอนประชาชนร่วมประหยัดน้ํา
นายกฯ ห่วงใยปัญหาภัยแล้ง กําชับทุกหน่วยเร่งวางแผนรับมือ วอนประชาชนร่วมประหยัดน้ํา
วันนี้(3มีนาคม2562)พลโทวีรชนสุคนธปฏิภาครองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์ภัยแล้งที่เริ่มขึ้นแล้วโดยได้รับรายงานว่าปริมาณน้ําในเขื่อนอ่างเก็บน้ําและแม่น้ําสายหลักอยู่ในเกณฑ์ไม่มากนักซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการระเหยของน้ําเพราะอุณหภูมิสูงขึ้นแต่ยืนยันว่าจะมีน้ําเพียงพอให้ประชาชนใช้ไปจนถึงเดือนพ.ค.อย่างแน่นอน
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการบริหารจัดการน้ําอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นนอกจากนี้ยังขอความร่วมมือประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่เขตชลประทานให้ใช้น้ําอย่างประหยัดและปลูกพืชใช้น้ําน้อยส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทานจะเร่งส่งเจ้าหน้าที่ลงไปสํารวจความต้องการและวางแผนป้องกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งต่อไป
อย่างไรก็ตามขณะนี้รัฐบาลได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง5ภูมิภาค12หน่วยปฏิบัติการเพื่อออกปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือประชาชนครอบคลุม25ลุ่มน้ําหลักตั้งแต่1มี.ค.-31ต.ค.62ทั้งการป้องกันและแก้ไขภัยแล้งเติมน้ําต้นทุนในเขื่อนบรรเทาหมอกควันและไฟป่าและยับยั้งการเกิดพายุลูกเห็บ
————————————————————
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยปัญหาภัยแล้ง กำชับทุกหน่วยเร่งวางแผนรับมือ วอนประชาชนร่วมประหยัดน้ำ
วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2562
นายกฯ ห่วงใยปัญหาภัยแล้ง กําชับทุกหน่วยเร่งวางแผนรับมือ วอนประชาชนร่วมประหยัดน้ํา
นายกฯ ห่วงใยปัญหาภัยแล้ง กําชับทุกหน่วยเร่งวางแผนรับมือ วอนประชาชนร่วมประหยัดน้ํา
วันนี้(3มีนาคม2562)พลโทวีรชนสุคนธปฏิภาครองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์ภัยแล้งที่เริ่มขึ้นแล้วโดยได้รับรายงานว่าปริมาณน้ําในเขื่อนอ่างเก็บน้ําและแม่น้ําสายหลักอยู่ในเกณฑ์ไม่มากนักซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการระเหยของน้ําเพราะอุณหภูมิสูงขึ้นแต่ยืนยันว่าจะมีน้ําเพียงพอให้ประชาชนใช้ไปจนถึงเดือนพ.ค.อย่างแน่นอน
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการบริหารจัดการน้ําอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นนอกจากนี้ยังขอความร่วมมือประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่เขตชลประทานให้ใช้น้ําอย่างประหยัดและปลูกพืชใช้น้ําน้อยส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทานจะเร่งส่งเจ้าหน้าที่ลงไปสํารวจความต้องการและวางแผนป้องกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งต่อไป
อย่างไรก็ตามขณะนี้รัฐบาลได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง5ภูมิภาค12หน่วยปฏิบัติการเพื่อออกปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือประชาชนครอบคลุม25ลุ่มน้ําหลักตั้งแต่1มี.ค.-31ต.ค.62ทั้งการป้องกันและแก้ไขภัยแล้งเติมน้ําต้นทุนในเขื่อนบรรเทาหมอกควันและไฟป่าและยับยั้งการเกิดพายุลูกเห็บ
————————————————————
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19088
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จับมือ 11 หน่วยงาน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน
|
วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จับมือ 11 หน่วยงาน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จับมือ 11 หน่วยงาน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน ตาม “ศาสตร์แห่งพระราชา” เพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน ระหว่าง 11 หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ณ ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ความร่วมมือตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เกิดจากการที่หน่วยงานร่วมดําเนินการทั้ง11 หน่วยงาน ตระหนักถึงทรัพยากรเพื่อการผลิตทางการเกษตร ประกอบด้วย น้ํา ดิน อากาศ และป่าไม้ที่เสื่อมโทรมลง อันเนื่องมาจากหลายปัจจัย ทั้งการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการกระทําของมนุษย์ ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิต ทั้งยังเกี่ยวโยงถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่ต้องพึ่งพาการผลิตจากทรัพยากรดังกล่าวเป็นหลัก การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตรกร และภาคประชาชน ในการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตทางการเกษตร โดยคํานึงถึงแนวทางตาม “ศาสตร์แห่งพระราชา” เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ตลอดจนเป็นการสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช บรมนาถบพิตร โดยมุ่งหวังให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี และเป็นการดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศ
ทั้งนี้ ภายหลังจากการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว ทั้ง 11 หน่วยงานจะร่วมกันจัดทํา และร่วมดําเนินการโครงการต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืนตามวัตถุประสงค์ของความร่วมมือ นอกจากนี้ หน่วยงานร่วมดําเนินการจะร่วมกันจัดหา พัฒนา และสนับสนุนด้านบุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์รวมถึงสิ่งจําเป็นอื่นสําหรับใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน ตลอดจนสนับสนุน แลกเปลี่ยนและเสริมสร้างองค์ความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลทางวิชาการระหว่างกันเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืนต่อไป
สําหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้จัดเตรียมโครงการภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว จํานวน 3 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการความร่วมมือ R3+ เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากร และการผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืน พื้นที่ลุ่มน้ําเพชรบุรี โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ร่วมกับกรมชลประทาน กรมป่าไม้ บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ํา-กลางน้ํา-ปลายน้ํา ดําเนินงานในพื้นที่โครงการเขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เพื่อสืบสานพระราชปณิธาน ด้านการบริหารจัดการน้ําอย่างบูรณาการตั้งแต่พื้นที่ป่าต้นน้ํา การบริหารจัดการน้ําในชั้นบรรยากาศ การบริหารจัดการอ่างเก็บน้ํา การจัดการน้ําเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภค รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ําเพชรบุรี ทั้งการทําการเกษตรอย่างยั่งยืน ซึ่งกิจกรรมการดําเนินงาน ประกอบด้วย การอนุรักษ์ดิน น้ํา และป่าไม้ ส่งเสริมการผลิตทางการเกษตร และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน หากดําเนินการแล้วเสร็จสามารถเติมน้ําต้นทุนในลุ่มน้ําเพชรบุรี และเพิ่มความชุ่มชื้นในพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงการวางแผนอนุรักษ์ป่าต้นน้ําอย่างบูรณาการ ตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ําเพชรบุรี ทั้งการทําการเกษตรอย่างยั่งยืน และเพิ่มความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคม
2. โครงการ “ปลูกป่าและไม้ยืนต้นสร้างความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการฝนหลวง” เพื่อสืบสาน “ศาสตร์พระราชา” ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รวมทั้งเพื่อสร้างความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศให้มากขึ้นในการเพิ่มโอกาสการเกิดฝนและการปฏิบัติการฝนหลวงประสบผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้นโดยการฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรมให้สามารถกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และสร้างผืนป่าให้เกิดความชุ่มชื้นเพื่อเป็นการเพิ่มป่าต้นน้ําตลอดจนเพิ่มพื้นที่ป่าชุมชน การปลูกป่าไม้ป่าเศรษฐกิจ ป่าชุมชน และไม้ยืนต้นบริเวณหัวไร่ปลายนา อีกทั้งเพื่อเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่าในการดํารงชีวิต และการใช้ประโยชน์สําหรับชุมชน สําหรับการดําเนินการในโครงการแบ่งเป็น 2 กิจกรรม คือกิจกรรมปลูกป่าและไม้ยืนต้น และโปรยเมล็ดพันธุ์พืชทางอากาศและ 3. แอปพลิเคชั่นCollector for ArcGIS ระบบติดตามการปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ
“ปัญหาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม การชะล้างพังทลายของหน้าดินในประเทศสร้างความสูญเสียมูลค่ากว่า 2.3 ล้านล้านบาท ดังนั้นจึงต้องให้ความสําคัญกับการรักษาป่า รักษาหน้าดิน การปลูกต้นไม้ และบ่อน้ําเพื่อเก็บความชื้นเอาไว้ให้มากที่สุด วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทั้ง 11 หน่วยงานได้มาร่วมกันลงนามในข้อตกลงดังกล่าว เพื่อวางแผนในการที่จะทําอย่างไรให้มีความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศให้มากที่สุดเพื่อให้กรมฝนหลวงฯ สามารถปฏิบัติการได้ทุกช่วงเวลา ทุกพื้นที่ เป็นการลดปัญหาภัยแล้งไม่ให้เกิดขึ้นโดยการทําเมฆให้เกิดเป็นฝนได้นั้นต้องอาศัยความชื้นสัมพัทธ์ไม่น้อยกว่า 60% จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคมเพราะฉะนั้นความสมบูรณ์ของดิน น้ําป่า จึงเป็นเรื่องจําเป็นอย่างยิ่ง” นายวิวัฒน์ กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จับมือ 11 หน่วยงาน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน
วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จับมือ 11 หน่วยงาน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จับมือ 11 หน่วยงาน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน ตาม “ศาสตร์แห่งพระราชา” เพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน ระหว่าง 11 หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ณ ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ความร่วมมือตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เกิดจากการที่หน่วยงานร่วมดําเนินการทั้ง11 หน่วยงาน ตระหนักถึงทรัพยากรเพื่อการผลิตทางการเกษตร ประกอบด้วย น้ํา ดิน อากาศ และป่าไม้ที่เสื่อมโทรมลง อันเนื่องมาจากหลายปัจจัย ทั้งการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการกระทําของมนุษย์ ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิต ทั้งยังเกี่ยวโยงถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่ต้องพึ่งพาการผลิตจากทรัพยากรดังกล่าวเป็นหลัก การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตรกร และภาคประชาชน ในการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตทางการเกษตร โดยคํานึงถึงแนวทางตาม “ศาสตร์แห่งพระราชา” เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ตลอดจนเป็นการสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช บรมนาถบพิตร โดยมุ่งหวังให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี และเป็นการดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศ
ทั้งนี้ ภายหลังจากการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว ทั้ง 11 หน่วยงานจะร่วมกันจัดทํา และร่วมดําเนินการโครงการต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืนตามวัตถุประสงค์ของความร่วมมือ นอกจากนี้ หน่วยงานร่วมดําเนินการจะร่วมกันจัดหา พัฒนา และสนับสนุนด้านบุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์รวมถึงสิ่งจําเป็นอื่นสําหรับใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน ตลอดจนสนับสนุน แลกเปลี่ยนและเสริมสร้างองค์ความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลทางวิชาการระหว่างกันเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืนต่อไป
สําหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้จัดเตรียมโครงการภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว จํานวน 3 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการความร่วมมือ R3+ เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากร และการผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืน พื้นที่ลุ่มน้ําเพชรบุรี โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ร่วมกับกรมชลประทาน กรมป่าไม้ บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ํา-กลางน้ํา-ปลายน้ํา ดําเนินงานในพื้นที่โครงการเขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เพื่อสืบสานพระราชปณิธาน ด้านการบริหารจัดการน้ําอย่างบูรณาการตั้งแต่พื้นที่ป่าต้นน้ํา การบริหารจัดการน้ําในชั้นบรรยากาศ การบริหารจัดการอ่างเก็บน้ํา การจัดการน้ําเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภค รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ําเพชรบุรี ทั้งการทําการเกษตรอย่างยั่งยืน ซึ่งกิจกรรมการดําเนินงาน ประกอบด้วย การอนุรักษ์ดิน น้ํา และป่าไม้ ส่งเสริมการผลิตทางการเกษตร และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน หากดําเนินการแล้วเสร็จสามารถเติมน้ําต้นทุนในลุ่มน้ําเพชรบุรี และเพิ่มความชุ่มชื้นในพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงการวางแผนอนุรักษ์ป่าต้นน้ําอย่างบูรณาการ ตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ําเพชรบุรี ทั้งการทําการเกษตรอย่างยั่งยืน และเพิ่มความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคม
2. โครงการ “ปลูกป่าและไม้ยืนต้นสร้างความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการฝนหลวง” เพื่อสืบสาน “ศาสตร์พระราชา” ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รวมทั้งเพื่อสร้างความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศให้มากขึ้นในการเพิ่มโอกาสการเกิดฝนและการปฏิบัติการฝนหลวงประสบผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้นโดยการฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรมให้สามารถกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และสร้างผืนป่าให้เกิดความชุ่มชื้นเพื่อเป็นการเพิ่มป่าต้นน้ําตลอดจนเพิ่มพื้นที่ป่าชุมชน การปลูกป่าไม้ป่าเศรษฐกิจ ป่าชุมชน และไม้ยืนต้นบริเวณหัวไร่ปลายนา อีกทั้งเพื่อเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่าในการดํารงชีวิต และการใช้ประโยชน์สําหรับชุมชน สําหรับการดําเนินการในโครงการแบ่งเป็น 2 กิจกรรม คือกิจกรรมปลูกป่าและไม้ยืนต้น และโปรยเมล็ดพันธุ์พืชทางอากาศและ 3. แอปพลิเคชั่นCollector for ArcGIS ระบบติดตามการปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ
“ปัญหาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม การชะล้างพังทลายของหน้าดินในประเทศสร้างความสูญเสียมูลค่ากว่า 2.3 ล้านล้านบาท ดังนั้นจึงต้องให้ความสําคัญกับการรักษาป่า รักษาหน้าดิน การปลูกต้นไม้ และบ่อน้ําเพื่อเก็บความชื้นเอาไว้ให้มากที่สุด วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทั้ง 11 หน่วยงานได้มาร่วมกันลงนามในข้อตกลงดังกล่าว เพื่อวางแผนในการที่จะทําอย่างไรให้มีความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศให้มากที่สุดเพื่อให้กรมฝนหลวงฯ สามารถปฏิบัติการได้ทุกช่วงเวลา ทุกพื้นที่ เป็นการลดปัญหาภัยแล้งไม่ให้เกิดขึ้นโดยการทําเมฆให้เกิดเป็นฝนได้นั้นต้องอาศัยความชื้นสัมพัทธ์ไม่น้อยกว่า 60% จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคมเพราะฉะนั้นความสมบูรณ์ของดิน น้ําป่า จึงเป็นเรื่องจําเป็นอย่างยิ่ง” นายวิวัฒน์ กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12628
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมุ่งพัฒนาพื้นที่ กระจายความเจริญและโอกาสทางเศรษฐกิจ ไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึง บนหลักการเคารพ คุ้มครอง เยียวยา
|
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
นายกรัฐมนตรีมุ่งพัฒนาพื้นที่ กระจายความเจริญและโอกาสทางเศรษฐกิจ ไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึง บนหลักการเคารพ คุ้มครอง เยียวยา
นายกรัฐมนตรีมุ่งพัฒนาพื้นที่ กระจายความเจริญและโอกาสทางเศรษฐกิจ ไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึง บนหลักการเคารพ คุ้มครอง เยียวยา ให้ประชาชนมีความสุข
วันนี้ (18 กันยายน 2562) เวลา 08.00 น. ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพคฟอรั่ม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดการประชุมของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกล่าวปาฐกถาพิเศษ พร้อมด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ข้าราชการและประชาชน เข้าร่วมงานกว่า 2,000 คน โดยมี นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวรายงานถึงแนวคิดการจัดประชุมในครั้งนี้ว่า “พัฒนาพื้นที่ไทย เชื่อมไทย ก้าวไกล เชื่อมโลก” เพื่อนําเสนอประเด็นสําคัญระดับพื้นที่ในมิติต่าง ๆ ผลักดันการขับเคลื่อนการพัฒนาภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ตอบโจทย์เป้าหมายระยะยาวยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นการเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น สร้างการรับรู้ความเข้าใจทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคีการพัฒนาบูรณาการพัฒนาระดับพื้นที่
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดการประชุมพร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ “การขับเคลื่อนเชิงพื้นที่” ความตอนหนึ่งว่า พัฒนาพื้นที่ไทย เป็นการผลักดันให้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ถูกนําไปปฏิบัติจริง ทําจริง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อทําให้ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาในมิติต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสําคัญคือการขับเคลื่อนการพัฒนาในช่วงแผนฯ 12 ซึ่งเป็น 5 ปีแรกของยุทธศาสตร์ชาติอย่างเป็นรูปธรรม เป็นก้าวย่างที่สําคัญของการวางรากฐานที่แข็งแกร่งของประเทศ ด้วยการเร่งกําจัดจุดอ่อน ก่อนที่จะเร่งพัฒนาและเสริมจุดแข็งในช่วงเวลาต่อไป โดยมียุทธศาสตร์ชาติระยะยาว 20 ปี เป็นเป้าหมายสําคัญที่ต้องบรรลุ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วตามเกณฑ์มาตรฐานนานาประเทศ และที่สําคัญคือ ประเทศไทยเป็นสังคมที่คนไทยมีความสุข กินอิ่ม นอนหลับ ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สังคมมีความปรองดองสมานฉันท์ ทุกคนมีที่ยืนสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ มีความพร้อมที่จะเป็นจุดศูนย์กลางด้านคมนาคมของอาเซียนทั้งทางบก ทะเล และอากาศ สามารถเชื่อมกับประเทศในคาบสมุทรอินโดจีนและเชื่อมโยงเอเชียเหนือ โดยเฉพาะจีนกับเอเชียตะวันตกโดยเฉพาะอินเดีย ทั้งมีศักยภาพขยายความเชื่อมโยงไปสู่ทวีปยุโรป แต่ละภาคของไทยมีจุดเด่นเฉพาะตัว ในด้านอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา ทรัพยากรธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ และความหลากหลายทางชีวภาพ ทําอย่างไรจะพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ เป็นการค้าต่างตอบแทน เขาซื้อเรา เราซื้อเขา ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ สามารถนํามาใช้ต่อยอดเพิ่มมูลค่าสร้างการค้าสู่ระดับสากล
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ําถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ได้กําหนดให้การพัฒนาเชิงพื้นที่เป็นหนึ่งในประเด็นหลักของแผนฯ เน้นกระจายความเจริญและโอกาสทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึงมากขึ้น พัฒนาเมืองศูนย์กลางของจังหวัดให้เป็นเมืองน่าอยู่สําหรับทุกกลุ่ม และเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของเมืองต่าง ๆ ให้สูงขึ้น พัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ฐานเศรษฐกิจหลักให้ขยายตัวอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน รวมถึงมุ่งพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ทุกภาคส่วนต้องนําหลักการเคารพ คุ้มครอง เยียวยา นําไปใช้ในการพัฒนาให้ประชาชนมีความสุข มีระบบการศึกษาที่สร้างการเรียนรู้เป็นการศึกษาตลอดชีวิต รวมทั้งสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาในพื้นที่อย่างยั่งยืนด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคใต้ชายแดน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก่อนเดินทางกลับ
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมุ่งพัฒนาพื้นที่ กระจายความเจริญและโอกาสทางเศรษฐกิจ ไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึง บนหลักการเคารพ คุ้มครอง เยียวยา
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
นายกรัฐมนตรีมุ่งพัฒนาพื้นที่ กระจายความเจริญและโอกาสทางเศรษฐกิจ ไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึง บนหลักการเคารพ คุ้มครอง เยียวยา
นายกรัฐมนตรีมุ่งพัฒนาพื้นที่ กระจายความเจริญและโอกาสทางเศรษฐกิจ ไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึง บนหลักการเคารพ คุ้มครอง เยียวยา ให้ประชาชนมีความสุข
วันนี้ (18 กันยายน 2562) เวลา 08.00 น. ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพคฟอรั่ม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดการประชุมของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกล่าวปาฐกถาพิเศษ พร้อมด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ข้าราชการและประชาชน เข้าร่วมงานกว่า 2,000 คน โดยมี นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวรายงานถึงแนวคิดการจัดประชุมในครั้งนี้ว่า “พัฒนาพื้นที่ไทย เชื่อมไทย ก้าวไกล เชื่อมโลก” เพื่อนําเสนอประเด็นสําคัญระดับพื้นที่ในมิติต่าง ๆ ผลักดันการขับเคลื่อนการพัฒนาภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ตอบโจทย์เป้าหมายระยะยาวยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นการเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น สร้างการรับรู้ความเข้าใจทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคีการพัฒนาบูรณาการพัฒนาระดับพื้นที่
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดการประชุมพร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ “การขับเคลื่อนเชิงพื้นที่” ความตอนหนึ่งว่า พัฒนาพื้นที่ไทย เป็นการผลักดันให้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ถูกนําไปปฏิบัติจริง ทําจริง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อทําให้ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาในมิติต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสําคัญคือการขับเคลื่อนการพัฒนาในช่วงแผนฯ 12 ซึ่งเป็น 5 ปีแรกของยุทธศาสตร์ชาติอย่างเป็นรูปธรรม เป็นก้าวย่างที่สําคัญของการวางรากฐานที่แข็งแกร่งของประเทศ ด้วยการเร่งกําจัดจุดอ่อน ก่อนที่จะเร่งพัฒนาและเสริมจุดแข็งในช่วงเวลาต่อไป โดยมียุทธศาสตร์ชาติระยะยาว 20 ปี เป็นเป้าหมายสําคัญที่ต้องบรรลุ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วตามเกณฑ์มาตรฐานนานาประเทศ และที่สําคัญคือ ประเทศไทยเป็นสังคมที่คนไทยมีความสุข กินอิ่ม นอนหลับ ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สังคมมีความปรองดองสมานฉันท์ ทุกคนมีที่ยืนสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ มีความพร้อมที่จะเป็นจุดศูนย์กลางด้านคมนาคมของอาเซียนทั้งทางบก ทะเล และอากาศ สามารถเชื่อมกับประเทศในคาบสมุทรอินโดจีนและเชื่อมโยงเอเชียเหนือ โดยเฉพาะจีนกับเอเชียตะวันตกโดยเฉพาะอินเดีย ทั้งมีศักยภาพขยายความเชื่อมโยงไปสู่ทวีปยุโรป แต่ละภาคของไทยมีจุดเด่นเฉพาะตัว ในด้านอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา ทรัพยากรธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ และความหลากหลายทางชีวภาพ ทําอย่างไรจะพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ เป็นการค้าต่างตอบแทน เขาซื้อเรา เราซื้อเขา ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ สามารถนํามาใช้ต่อยอดเพิ่มมูลค่าสร้างการค้าสู่ระดับสากล
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ําถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ได้กําหนดให้การพัฒนาเชิงพื้นที่เป็นหนึ่งในประเด็นหลักของแผนฯ เน้นกระจายความเจริญและโอกาสทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึงมากขึ้น พัฒนาเมืองศูนย์กลางของจังหวัดให้เป็นเมืองน่าอยู่สําหรับทุกกลุ่ม และเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของเมืองต่าง ๆ ให้สูงขึ้น พัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ฐานเศรษฐกิจหลักให้ขยายตัวอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน รวมถึงมุ่งพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ทุกภาคส่วนต้องนําหลักการเคารพ คุ้มครอง เยียวยา นําไปใช้ในการพัฒนาให้ประชาชนมีความสุข มีระบบการศึกษาที่สร้างการเรียนรู้เป็นการศึกษาตลอดชีวิต รวมทั้งสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาในพื้นที่อย่างยั่งยืนด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคใต้ชายแดน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก่อนเดินทางกลับ
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23179
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา
|
วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2560
คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา
คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา
วันนี้ (12 สิงหาคม 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยภริยา นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560 ณ พระบรมมหาราชวัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา
วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2560
คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา
คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา
วันนี้ (12 สิงหาคม 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยภริยา นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560 ณ พระบรมมหาราชวัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5907
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐมนตรีเกษตรฯ” เตรียมนำทัพจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์
|
วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2562
“รัฐมนตรีเกษตรฯ” เตรียมนําทัพจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์
“รัฐมนตรีเกษตรฯ” เตรียมนําทัพจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดกิจกรรม “เราทําความดีด้วยหัวใจ”
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานแถลงข่าวกิจกรรมจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาฟื้นฟูคลองสี่ตะวันตก เขตคลองสามวา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” โดยมีนายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ อาคารวายุภักดิ์ โรงแรมเซ็นทราแจ้งวัฒนะ ว่า ศูนย์ประสานงานจิตอาสา 904 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดกิจกรรมจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์พัฒนาฟื้นฟูคลองสี่ตะวันตก เขตคลองสามวา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” โดยกําหนดจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน2562 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.00 น. มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือร่วมใจประกอบกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์สุขของชุมชนส่วนรวม ตามโครงการพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีผู้เข้าร่วมงาน ได้แก่ ผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน จิตอาสาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมทั้งหน่วยงานในสังกัด, จิตอาสาจากกองทัพภาคที่ 1 กรุงเทพมหานคร, ผู้บริหาร ข้าราชการ และนักเรียนโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เบญจมราชาลัย ตลอดจนจิตอาสาประชาชนในพื้นที่ ซึ่งคาดว่าจะมีจิตอาสาเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,500 คน
สําหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย พิธีเทิดพระเกียรติองค์ราชันพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว กิจกรรมลงเรือเพื่อร่วมกันกําจัดผักตบชวา ณ บริเวณคลองสี่ตะวันตก เขตคลองสามวากรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมและนิทรรศการที่น่าใจ อาทิ กองสาธิตการทําปุ๋ยหมักจากผักตบชวา และการให้ความรู้เกี่ยวกับการนําผักตบชวามาใช้ประโยชน์ จากเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาที่ดิน และกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่มีการดูแลรักษากองผักตบชวาจนสามารถนําไปใช้เป็นปุ๋ยหมักผักตบชวาได้
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในสังกัด อาทิ กรมชลประทาน มีการจัดเตรียมเรือผักตบชวา จํานวน10 ลํา รถบรรทุกผักตบชวา 6 ล้อ จํานวน 5 คัน รถฉีดน้ําเพื่อชําระร่างกาย และรถแม็คโคร กรมส่งเสริมการเกษตร มีการจัดแสดงนิทรรศการใช้ประโยชน์จากผักตบชวา และกรมพัฒนาที่ดิน มีการจัดทําจุดสาธิตการทํากองปุ๋ยหมักจากผักตบชวา (ให้กับโรงเรียน) การจัดนิทรรศการแสดงการนําผักตบชวาไปใช้ประโยชน์ในการทําปุ๋ยหมัก ตลอดจนจัดเตรียมรถบรรทุกผักตบชวา 6 ล้อ จํานวน 5 คัน เป็นต้น
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐมนตรีเกษตรฯ” เตรียมนำทัพจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์
วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2562
“รัฐมนตรีเกษตรฯ” เตรียมนําทัพจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์
“รัฐมนตรีเกษตรฯ” เตรียมนําทัพจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดกิจกรรม “เราทําความดีด้วยหัวใจ”
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานแถลงข่าวกิจกรรมจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาฟื้นฟูคลองสี่ตะวันตก เขตคลองสามวา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” โดยมีนายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ อาคารวายุภักดิ์ โรงแรมเซ็นทราแจ้งวัฒนะ ว่า ศูนย์ประสานงานจิตอาสา 904 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดกิจกรรมจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์พัฒนาฟื้นฟูคลองสี่ตะวันตก เขตคลองสามวา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” โดยกําหนดจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน2562 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.00 น. มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือร่วมใจประกอบกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์สุขของชุมชนส่วนรวม ตามโครงการพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีผู้เข้าร่วมงาน ได้แก่ ผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน จิตอาสาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมทั้งหน่วยงานในสังกัด, จิตอาสาจากกองทัพภาคที่ 1 กรุงเทพมหานคร, ผู้บริหาร ข้าราชการ และนักเรียนโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เบญจมราชาลัย ตลอดจนจิตอาสาประชาชนในพื้นที่ ซึ่งคาดว่าจะมีจิตอาสาเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,500 คน
สําหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย พิธีเทิดพระเกียรติองค์ราชันพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว กิจกรรมลงเรือเพื่อร่วมกันกําจัดผักตบชวา ณ บริเวณคลองสี่ตะวันตก เขตคลองสามวากรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมและนิทรรศการที่น่าใจ อาทิ กองสาธิตการทําปุ๋ยหมักจากผักตบชวา และการให้ความรู้เกี่ยวกับการนําผักตบชวามาใช้ประโยชน์ จากเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาที่ดิน และกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่มีการดูแลรักษากองผักตบชวาจนสามารถนําไปใช้เป็นปุ๋ยหมักผักตบชวาได้
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในสังกัด อาทิ กรมชลประทาน มีการจัดเตรียมเรือผักตบชวา จํานวน10 ลํา รถบรรทุกผักตบชวา 6 ล้อ จํานวน 5 คัน รถฉีดน้ําเพื่อชําระร่างกาย และรถแม็คโคร กรมส่งเสริมการเกษตร มีการจัดแสดงนิทรรศการใช้ประโยชน์จากผักตบชวา และกรมพัฒนาที่ดิน มีการจัดทําจุดสาธิตการทํากองปุ๋ยหมักจากผักตบชวา (ให้กับโรงเรียน) การจัดนิทรรศการแสดงการนําผักตบชวาไปใช้ประโยชน์ในการทําปุ๋ยหมัก ตลอดจนจัดเตรียมรถบรรทุกผักตบชวา 6 ล้อ จํานวน 5 คัน เป็นต้น
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24234
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. จัดทำคลิป “สงกรานต์แบบไทย ห่างไกลโควิด-๑๙” ผลิตแอนิเมชันการ์ตูน “สงกรานต์ ๒๐๒๐ ๔ ไม่ ๓ ทำ” เสริมสร้างการรับรู้เด็ก เยาวชน จับมือศิลปินแห่งชาติ-พื้นบ้าน-ชุมชนคุณธรรมทั่วประเทศ
|
วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563
วธ. จัดทําคลิป “สงกรานต์แบบไทย ห่างไกลโควิด-๑๙” ผลิตแอนิเมชันการ์ตูน “สงกรานต์ ๒๐๒๐ ๔ ไม่ ๓ ทํา” เสริมสร้างการรับรู้เด็ก เยาวชน จับมือศิลปินแห่งชาติ-พื้นบ้าน-ชุมชนคุณธรรมทั่วประเทศ
วธ. จัดทําคลิป “สงกรานต์แบบไทย ห่างไกลโควิด-๑๙” ผลิตแอนิเมชันการ์ตูน “สงกรานต์ ๒๐๒๐ ๔ ไม่ ๓ ทํา” เสริมสร้างการรับรู้เด็ก เยาวชน จับมือศิลปินแห่งชาติ-พื้นบ้าน-ชุมชนคุณธรรมทั่วประเทศ ทําสื่อรวดเร็ว-เข้าใจง่าย
วธ. จัดทําคลิป “สงกรานต์แบบไทย ห่างไกลโควิด-๑๙”
ผลิตแอนิเมชันการ์ตูน “สงกรานต์ ๒๐๒๐ ๔ ไม่ ๓ ทํา” เสริมสร้างการรับรู้เด็ก เยาวชน
จับมือศิลปินแห่งชาติ-พื้นบ้าน-ชุมชนคุณธรรมทั่วประเทศ ทําสื่อรวดเร็ว-เข้าใจง่าย
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดทําประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๓ ที่ผ่านมา โดยงดเว้นการรดน้ําญาติผู้ใหญ่ทุกกรณี งดการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันของคนหมู่มาก หรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโดยเด็ดขาด และร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์โดยสรงน้ําพระพุทธรูป กราบไหว้และขอพรพ่อ แม่ และญาติผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกันที่บ้าน โดยเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 1 - 2เมตร สวมหน้ากากอนามัย และขอพรผู้ใหญ่ที่อยู่ไกลกันผ่านโทรศัพท์และช่องทางออนไลน์ รวมทั้งปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขนั้น
นายอิทธิพล กล่าวว่า ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับประชาชนตามแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ของกระทรวงวัฒนธรรม ในการป้องกันตนเอง ครอบครัว และสังคมให้ห่างไกลโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม จึงจัดทําคลิปแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์แบบไทย ห่างไกลโควิด-๑๙” โดยคลิปแรกมีเนื้อหาเกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีการสรงน้ําพระพุทธรูปที่บ้าน การจัดวางพระพุทธรูป และอุปกรณ์ที่ใช้ในการสรงน้ําพระ คลิปที่สองเป็นการแสดงความกตัญญูต่อพ่อ แม่ และญาติผู้ใหญ่ เพื่อสืบสานเทศกาลประเพณีสงกรานต์ โดยแสดงขั้นตอนการกราบไหว้และขอพรพ่อ แม่ และญาติผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน โดยเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 1 - 2เมตร และสวมหน้ากากอนามัย
คลิปที่สามเป็นคลิปการ์ตูนแอนิเมชัน เรื่อง “สงกรานต์ ๒๐๒๐ ๔ ไม่ ๓ ทํา” ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA) จัดทําขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนหันมาสนใจการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้แก่ สิ่งที่ไม่ควรทํา ๔ ข้อ คือ ๑.ไม่เล่นน้ํา อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ๒.ไม่กลับบ้านนําเชื้อไปแพร่กระจาย ๓.ไม่รดน้ําผู้ใหญ่เพราะอาจใกล้เกินไปส่งผลให้เกิดการติดเชื้อ และ๔.ไม่ฉลอง สังสรรค์ เพราะอาจส่งผลกระทบทําให้ไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาสิ่งที่ควรทํา ๓ ข้อ คือ ๑.สรงน้ําพระที่บ้านและทําบุญแบบออนไลน์ ๒.แสดงความกตัญญูขอพรผู้ใหญ่ห่างๆ อย่างปลอดภัย และสวมหน้ากากอนามัย และ ๓.แสดงความรักและขอพรผ่านระบบออนไลน์ ทั้งนี้ คลิป “สงกรานต์ ๒๐๒๐ ๔ ไม่ ๓ ทํา” เป็น ๑ ใน 12 คลิปแอนิเมชัน และการ์ตูน 10 ตอน ที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดทําขึ้นเพื่อรณรงค์การป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในมิติทางวัฒนธรรม: แอนิเมชันต้าน COVID-19 ซึ่งจะทะยอยเผยแพร่ตลอดเดือนเมษายนนี้
นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศได้บูรณาการร่วมกับศิลปินแห่งชาติ เครือข่ายวัฒนธรรม และเครือข่ายศิลปินพื้นบ้านของชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) อาทิ แม่ฉวีวรรณ พันธุศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หมอลํา)ประจําปี พ.ศ. 2536 แม่ขวัญจิตศรีประจันต์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน-อีแซว) ประจําปี พ.ศ. ๒๕๓๙ แม่ศรีนวลขําอาจศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ศิลปะพื้นบ้าน-ลําตัด) ประจําปี พ.ศ. 2562 จัดทําคลิปสงกรานต์ปลอดภัย ห่างไกลโควิด-๑๙ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) บรรยายเป็นภาษากลางและภาษาถิ่น เพื่อให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็ว และเข้าใจง่าย อย่างไรก็ตาม คลิปแนวทางการปฏิบัติดังกล่าวกระทรวงวัฒนธรรมจะเผยแพร่และประชาสัมพันธ์เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ สื่อสังคมออนไลน์ ไลน์ เฟสบุ๊ค ยูทูป สื่อโทรทัศน์ และเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th
-----------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. จัดทำคลิป “สงกรานต์แบบไทย ห่างไกลโควิด-๑๙” ผลิตแอนิเมชันการ์ตูน “สงกรานต์ ๒๐๒๐ ๔ ไม่ ๓ ทำ” เสริมสร้างการรับรู้เด็ก เยาวชน จับมือศิลปินแห่งชาติ-พื้นบ้าน-ชุมชนคุณธรรมทั่วประเทศ
วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563
วธ. จัดทําคลิป “สงกรานต์แบบไทย ห่างไกลโควิด-๑๙” ผลิตแอนิเมชันการ์ตูน “สงกรานต์ ๒๐๒๐ ๔ ไม่ ๓ ทํา” เสริมสร้างการรับรู้เด็ก เยาวชน จับมือศิลปินแห่งชาติ-พื้นบ้าน-ชุมชนคุณธรรมทั่วประเทศ
วธ. จัดทําคลิป “สงกรานต์แบบไทย ห่างไกลโควิด-๑๙” ผลิตแอนิเมชันการ์ตูน “สงกรานต์ ๒๐๒๐ ๔ ไม่ ๓ ทํา” เสริมสร้างการรับรู้เด็ก เยาวชน จับมือศิลปินแห่งชาติ-พื้นบ้าน-ชุมชนคุณธรรมทั่วประเทศ ทําสื่อรวดเร็ว-เข้าใจง่าย
วธ. จัดทําคลิป “สงกรานต์แบบไทย ห่างไกลโควิด-๑๙”
ผลิตแอนิเมชันการ์ตูน “สงกรานต์ ๒๐๒๐ ๔ ไม่ ๓ ทํา” เสริมสร้างการรับรู้เด็ก เยาวชน
จับมือศิลปินแห่งชาติ-พื้นบ้าน-ชุมชนคุณธรรมทั่วประเทศ ทําสื่อรวดเร็ว-เข้าใจง่าย
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดทําประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๓ ที่ผ่านมา โดยงดเว้นการรดน้ําญาติผู้ใหญ่ทุกกรณี งดการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันของคนหมู่มาก หรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโดยเด็ดขาด และร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์โดยสรงน้ําพระพุทธรูป กราบไหว้และขอพรพ่อ แม่ และญาติผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกันที่บ้าน โดยเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 1 - 2เมตร สวมหน้ากากอนามัย และขอพรผู้ใหญ่ที่อยู่ไกลกันผ่านโทรศัพท์และช่องทางออนไลน์ รวมทั้งปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขนั้น
นายอิทธิพล กล่าวว่า ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับประชาชนตามแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ของกระทรวงวัฒนธรรม ในการป้องกันตนเอง ครอบครัว และสังคมให้ห่างไกลโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม จึงจัดทําคลิปแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์แบบไทย ห่างไกลโควิด-๑๙” โดยคลิปแรกมีเนื้อหาเกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีการสรงน้ําพระพุทธรูปที่บ้าน การจัดวางพระพุทธรูป และอุปกรณ์ที่ใช้ในการสรงน้ําพระ คลิปที่สองเป็นการแสดงความกตัญญูต่อพ่อ แม่ และญาติผู้ใหญ่ เพื่อสืบสานเทศกาลประเพณีสงกรานต์ โดยแสดงขั้นตอนการกราบไหว้และขอพรพ่อ แม่ และญาติผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน โดยเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 1 - 2เมตร และสวมหน้ากากอนามัย
คลิปที่สามเป็นคลิปการ์ตูนแอนิเมชัน เรื่อง “สงกรานต์ ๒๐๒๐ ๔ ไม่ ๓ ทํา” ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA) จัดทําขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนหันมาสนใจการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้แก่ สิ่งที่ไม่ควรทํา ๔ ข้อ คือ ๑.ไม่เล่นน้ํา อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ๒.ไม่กลับบ้านนําเชื้อไปแพร่กระจาย ๓.ไม่รดน้ําผู้ใหญ่เพราะอาจใกล้เกินไปส่งผลให้เกิดการติดเชื้อ และ๔.ไม่ฉลอง สังสรรค์ เพราะอาจส่งผลกระทบทําให้ไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาสิ่งที่ควรทํา ๓ ข้อ คือ ๑.สรงน้ําพระที่บ้านและทําบุญแบบออนไลน์ ๒.แสดงความกตัญญูขอพรผู้ใหญ่ห่างๆ อย่างปลอดภัย และสวมหน้ากากอนามัย และ ๓.แสดงความรักและขอพรผ่านระบบออนไลน์ ทั้งนี้ คลิป “สงกรานต์ ๒๐๒๐ ๔ ไม่ ๓ ทํา” เป็น ๑ ใน 12 คลิปแอนิเมชัน และการ์ตูน 10 ตอน ที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดทําขึ้นเพื่อรณรงค์การป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในมิติทางวัฒนธรรม: แอนิเมชันต้าน COVID-19 ซึ่งจะทะยอยเผยแพร่ตลอดเดือนเมษายนนี้
นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศได้บูรณาการร่วมกับศิลปินแห่งชาติ เครือข่ายวัฒนธรรม และเครือข่ายศิลปินพื้นบ้านของชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) อาทิ แม่ฉวีวรรณ พันธุศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หมอลํา)ประจําปี พ.ศ. 2536 แม่ขวัญจิตศรีประจันต์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน-อีแซว) ประจําปี พ.ศ. ๒๕๓๙ แม่ศรีนวลขําอาจศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ศิลปะพื้นบ้าน-ลําตัด) ประจําปี พ.ศ. 2562 จัดทําคลิปสงกรานต์ปลอดภัย ห่างไกลโควิด-๑๙ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) บรรยายเป็นภาษากลางและภาษาถิ่น เพื่อให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็ว และเข้าใจง่าย อย่างไรก็ตาม คลิปแนวทางการปฏิบัติดังกล่าวกระทรวงวัฒนธรรมจะเผยแพร่และประชาสัมพันธ์เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ สื่อสังคมออนไลน์ ไลน์ เฟสบุ๊ค ยูทูป สื่อโทรทัศน์ และเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th
-----------------------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28907
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เน้นพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน สร้างแรงบันดาลใจแก่เด็กเพื่อเป็นแรงผลักดันในพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
|
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรี เน้นพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน สร้างแรงบันดาลใจแก่เด็กเพื่อเป็นแรงผลักดันในพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรี เน้นพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน สร้างแรงบันดาลใจแก่เด็กเพื่อเป็นแรงผลักดันในพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
วันนี้ (24 ก.พ. 63) เวลา 8.30 น. ณ บริเวณหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยว (TravelTech) โดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมพบกับ ครู และนักเรียนโรงเรียนเอกชนที่มีความรู้ความสามารถ ด้านจินตคณิต
คณะผู้บริหารดิจิทัลสตาร์ทอัพจาก 4 บริษัทได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานด้านเทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยว (TravelTech) ซึ่งได้แก่ Drivemate (บริษัท ไดร์ฟเมท จํากัด) สตาร์ตอัพน้องใหม่ Carsharing แห่งแรกของไทย เป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการรถเช่า VenueE (บริษัท เวนิวอี จํากัด) บริการรวมสถานที่จัดประชุม Sneak (บริษัท เก็ต สนีก จํากัด) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มวางแผนการท่องเที่ยว และ Haup (บริษัท ฮ้อปคาร์ จํากัด) ผู้นําในการให้บริการคาร์แชริ่งของประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงความชื่นชมต่อผลงานที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยคนรุ่นใหม่ พร้อมกับเสนอให้นําผลงานเหล่านี้กระจายไปสู่จังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะเมืองรอง ซึ่งรัฐบาลได้มีนโยบายมอบหมายให้หน่วยงานราชการ หากต้องมีการจัดการประชุมสัมมนา ก็ขอให้มีการจัดการประชุมในจังหวัดต่างๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในพื้นที่ด้วย นายกรัฐมนตรียังย้ําการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีจะเป็นประโยชน์และอํานวยความสะดวกสบายให้มากยิ่งขึ้น ก็ขอให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์วิธีการใช้บริการต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดียให้มากยิ่งขึ้นต่อไป
จากนั้น นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้นําคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ครู และนักเรียนโรงเรียนเอกชนที่มีความรู้ความสามารถ ด้านจินตคณิตเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความสามารถในการคิดเลขเร็วในใจ ทั้งการบวก ลบ คูณ และหาร ซึ่งจะได้นําไปเป็นต้นแบบเพื่อพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนคณิตศาสตร์สําหรับโรงเรียนรัฐบาลต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงความชื่นชมและสนับสนุนให้เด็กไทยทุกคน ฝึกทักษะด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาสมอง เสริมสร้างการการเรียนรู้ และอยากรณรงค์ให้บุคลากรทางด้านการศึกษาร่วมกันสร้างแรงจูงใจให้เด็ก ๆ ฝึกความสามารถในด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อเป็นแรงผลักดันในพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังแจกลายเซ็นให้แก่เด็ก ๆ อีกด้วย
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เน้นพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน สร้างแรงบันดาลใจแก่เด็กเพื่อเป็นแรงผลักดันในพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรี เน้นพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน สร้างแรงบันดาลใจแก่เด็กเพื่อเป็นแรงผลักดันในพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรี เน้นพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน สร้างแรงบันดาลใจแก่เด็กเพื่อเป็นแรงผลักดันในพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
วันนี้ (24 ก.พ. 63) เวลา 8.30 น. ณ บริเวณหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยว (TravelTech) โดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมพบกับ ครู และนักเรียนโรงเรียนเอกชนที่มีความรู้ความสามารถ ด้านจินตคณิต
คณะผู้บริหารดิจิทัลสตาร์ทอัพจาก 4 บริษัทได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานด้านเทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยว (TravelTech) ซึ่งได้แก่ Drivemate (บริษัท ไดร์ฟเมท จํากัด) สตาร์ตอัพน้องใหม่ Carsharing แห่งแรกของไทย เป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการรถเช่า VenueE (บริษัท เวนิวอี จํากัด) บริการรวมสถานที่จัดประชุม Sneak (บริษัท เก็ต สนีก จํากัด) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มวางแผนการท่องเที่ยว และ Haup (บริษัท ฮ้อปคาร์ จํากัด) ผู้นําในการให้บริการคาร์แชริ่งของประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงความชื่นชมต่อผลงานที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยคนรุ่นใหม่ พร้อมกับเสนอให้นําผลงานเหล่านี้กระจายไปสู่จังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะเมืองรอง ซึ่งรัฐบาลได้มีนโยบายมอบหมายให้หน่วยงานราชการ หากต้องมีการจัดการประชุมสัมมนา ก็ขอให้มีการจัดการประชุมในจังหวัดต่างๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในพื้นที่ด้วย นายกรัฐมนตรียังย้ําการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีจะเป็นประโยชน์และอํานวยความสะดวกสบายให้มากยิ่งขึ้น ก็ขอให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์วิธีการใช้บริการต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดียให้มากยิ่งขึ้นต่อไป
จากนั้น นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้นําคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ครู และนักเรียนโรงเรียนเอกชนที่มีความรู้ความสามารถ ด้านจินตคณิตเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความสามารถในการคิดเลขเร็วในใจ ทั้งการบวก ลบ คูณ และหาร ซึ่งจะได้นําไปเป็นต้นแบบเพื่อพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนคณิตศาสตร์สําหรับโรงเรียนรัฐบาลต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงความชื่นชมและสนับสนุนให้เด็กไทยทุกคน ฝึกทักษะด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาสมอง เสริมสร้างการการเรียนรู้ และอยากรณรงค์ให้บุคลากรทางด้านการศึกษาร่วมกันสร้างแรงจูงใจให้เด็ก ๆ ฝึกความสามารถในด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อเป็นแรงผลักดันในพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังแจกลายเซ็นให้แก่เด็ก ๆ อีกด้วย
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26689
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ “ฉัตรชัย” รับข้อเรียกร้องจากกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง
|
วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2560
รัฐมนตรีเกษตรฯ “ฉัตรชัย” รับข้อเรียกร้องจากกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง
รัฐมนตรีเกษตรฯ “ฉัตรชัย” รับข้อเรียกร้องจากกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง เรียกผู้ว่าการ กยท. และประธานบอร์ด กยท. ร่วมพูดคุย และเร่งตรวจสอบข้อเท็จ
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังรับข้อเรียกร้องจากกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง 2 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มแรกนําโดยนายอุทัย สอนหลักทรัยพ์ แกนนําสภาเครือข่ายยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (สยยท.) เรียกร้องให้ยกเลิกการตั้งบริษัทร่วมทุนกับระหว่างการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กับ5เอกชนรายใหญ่โดยมีความเห็นว่าอาจจะบริหารไม่ถูกต้องและไม่โปร่งใส เช่น การซื้อยางเฉพาะในกลุ่มของตัวเอง และการซื้อยางในพื้นที่ที่ไม่ถูกต้อง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงการเก็บรักษายางพาราที่ไม่เรียบร้อย และการซื้อปุ๋ยที่นํามามอบให้เกษตรกรไม่มีความชัดเจนโปร่งใส ซึ่งแจกจ่ายให้เกษตรกรล่าช้า ทําให้เกิดผลเสีย จึงอยากให้พิจารณาผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยออกจากตําแหน่ง
สําหรับการยื่นหนังสือของกลุ่มที่2 นําโดย นายเขศักดิ์ สุดสวาท เลขานุการเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย และนายสุรัตน์ เทือกสุบรรณ คณะกรรมการเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทยมีข้อเรียกร้องให้ กยท. ถอนหุ้นออกจากบริษัท ร่วมทุนยางพาราไทย จํากัด แล้วให้ กยท. เป็นผู้ดําเนินการเอง ซึ่ง กยท. สามารถเป็นนิติบุคคลได้อยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังอยากให้รัฐบาลมุ่งเน้นเรื่องการใช้ยางพาราภายในประเทศ และพิจารณาสั่งพักงานผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย
“ได้เชิญผู้ว่าการ กยท. และประธานคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยเข้าพบ เพื่อสรุปประเด็นทั้งหมดที่เกษตรกรมีข้อสงสัยในการบริหารจัดการของ กยท. จึงขอให้ชี้แจงเรื่องนี้มาทั้งหมด โดยให้ประธานคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดําเนินการ เนื่องจากต้องสั่งการผ่านคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยซึ่งจะให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น เพื่อดูข้อเสนอของเกษตรกรทั้ง 2 กลุ่ม รวมถึงตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้รายงานผลให้ทราบภายใน 7 วัน ทั้งนี้ ระเบียบของการยางแห่งประเทศไทยมีการบริหารจัดการภายใต้ พ.ร.บ.การยาง มีกติกาและวิธีการ จึงไม่สามารถปลดผู้การการยางแห่งประเทศไทยได้ ต้องมีการประเมินโดยบอร์ดการยาง หากพบการกระทําความผิดที่เห็นได้ชัดเจนก็จะดําเนินการได้ จึงต้องมีการฟังความจากทุกด้าน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายด้วย” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ “ฉัตรชัย” รับข้อเรียกร้องจากกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง
วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2560
รัฐมนตรีเกษตรฯ “ฉัตรชัย” รับข้อเรียกร้องจากกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง
รัฐมนตรีเกษตรฯ “ฉัตรชัย” รับข้อเรียกร้องจากกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง เรียกผู้ว่าการ กยท. และประธานบอร์ด กยท. ร่วมพูดคุย และเร่งตรวจสอบข้อเท็จ
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังรับข้อเรียกร้องจากกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง 2 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มแรกนําโดยนายอุทัย สอนหลักทรัยพ์ แกนนําสภาเครือข่ายยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (สยยท.) เรียกร้องให้ยกเลิกการตั้งบริษัทร่วมทุนกับระหว่างการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กับ5เอกชนรายใหญ่โดยมีความเห็นว่าอาจจะบริหารไม่ถูกต้องและไม่โปร่งใส เช่น การซื้อยางเฉพาะในกลุ่มของตัวเอง และการซื้อยางในพื้นที่ที่ไม่ถูกต้อง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงการเก็บรักษายางพาราที่ไม่เรียบร้อย และการซื้อปุ๋ยที่นํามามอบให้เกษตรกรไม่มีความชัดเจนโปร่งใส ซึ่งแจกจ่ายให้เกษตรกรล่าช้า ทําให้เกิดผลเสีย จึงอยากให้พิจารณาผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยออกจากตําแหน่ง
สําหรับการยื่นหนังสือของกลุ่มที่2 นําโดย นายเขศักดิ์ สุดสวาท เลขานุการเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย และนายสุรัตน์ เทือกสุบรรณ คณะกรรมการเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทยมีข้อเรียกร้องให้ กยท. ถอนหุ้นออกจากบริษัท ร่วมทุนยางพาราไทย จํากัด แล้วให้ กยท. เป็นผู้ดําเนินการเอง ซึ่ง กยท. สามารถเป็นนิติบุคคลได้อยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังอยากให้รัฐบาลมุ่งเน้นเรื่องการใช้ยางพาราภายในประเทศ และพิจารณาสั่งพักงานผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย
“ได้เชิญผู้ว่าการ กยท. และประธานคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยเข้าพบ เพื่อสรุปประเด็นทั้งหมดที่เกษตรกรมีข้อสงสัยในการบริหารจัดการของ กยท. จึงขอให้ชี้แจงเรื่องนี้มาทั้งหมด โดยให้ประธานคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดําเนินการ เนื่องจากต้องสั่งการผ่านคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยซึ่งจะให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น เพื่อดูข้อเสนอของเกษตรกรทั้ง 2 กลุ่ม รวมถึงตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้รายงานผลให้ทราบภายใน 7 วัน ทั้งนี้ ระเบียบของการยางแห่งประเทศไทยมีการบริหารจัดการภายใต้ พ.ร.บ.การยาง มีกติกาและวิธีการ จึงไม่สามารถปลดผู้การการยางแห่งประเทศไทยได้ ต้องมีการประเมินโดยบอร์ดการยาง หากพบการกระทําความผิดที่เห็นได้ชัดเจนก็จะดําเนินการได้ จึงต้องมีการฟังความจากทุกด้าน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายด้วย” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8040
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รวมพลังภาคีเครือข่าย เดินรณรงค์ยุติความรุนแรงทั่วประเทศ มุ่งสร้างสังคมที่เข้มแข็งและปราศจากความรุนแรงในทุกรูปแบบอย่างยั่งยืน
|
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2561
พม. รวมพลังภาคีเครือข่าย เดินรณรงค์ยุติความรุนแรงทั่วประเทศ มุ่งสร้างสังคมที่เข้มแข็งและปราศจากความรุนแรงในทุกรูปแบบอย่างยั่งยืน
พม. รวมพลังภาคีเครือข่าย เดินรณรงค์ยุติความรุนแรงทั่วประเทศ มุ่งสร้างสังคมที่เข้มแข็งและปราศจากความรุนแรงในทุกรูปแบบอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 61เวลา 15.50 น. ที่ลานพระประชาบดี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานกิจกรรมการประกาศ Kick off รณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัว และความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “He For She : ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนความคิด ยุติความรุนแรง” เพื่อสร้างกระแสสังคมให้เกิดความตระหนักและตื่นตัวต่อปัญหาความรุนแรง อันนําไปสู่การรวมพลังของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัว และความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ ด้วยความร่วมมือของภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร ตํารวจ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป จํานวน 1,000 คน เดินรณรงค์ยุติความรุนแรงจากลานพระประชาบดี กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ ไปจนถึง
ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
พลเอก อนันตพร กล่าวว่า ปัจจุบัน ปัญหาความรุนแรงในสังคม นับเป็นปัญหาสําคัญของสังคมไทย ซึ่งมีแนวโน้มความรุนแรงมากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ทั้งในรูปแบบของร่างกาย วาจา และจิตใจ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและจิตของเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสําคัญของปัญหาดังกล่าว จึงได้มีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542 กําหนดให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็น “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี” โดยมีภาคีเครือข่ายทั้งทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว เป็นประจําทุกปี โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) เป็นหน่วยงานหลักของภาครัฐในการประสานการดําเนินงานรณรงค์ยุติความรุนแรงในภาพรวมทั้งประเทศ เพื่อสร้างกระแสสังคมให้เกิดความตระหนักและตื่นตัวต่อปัญหาดังกล่าว ด้วยการร่วมเป็นหนึ่งเสียงในการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อ
เด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัวอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ
พลเอก อนันตพร กล่าวต่อไปว่า สําหรับปี 2561 กระทรวง พม. โดย สค. ได้กําหนดจัดงานรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว รวมทั้งความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “He For She : ปรับพฤติกรรมเปลี่ยนความคิดยุติความรุนแรง” โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ชายทุกวัยและทุกสาขาอาชีพ เป็นพลังยุติความรุนแรงในทุกรูปแบบ ด้วยการติดสัญลักษณ์ริบบิ้นขาว (White Ribbon) และ “ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทําความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว รวมทั้งความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ” โดยกําหนดจัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงในภาพรวมทั่วประเทศ ทั้งในพื้นที่ส่วนกลางและภูมิภาค เริ่มจากการจัดงานเปิดตัวรณรงค์ยุติความรุนแรง โดยมี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมทั้งมอบโล่รางวัลประกวดการ์ตูนคาแรคเตอร์ “ท่าทางที่อยากเห็นและไม่อยากเห็นในครอบครัว” และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ให้แก่ บุคคล หน่วยงาน และสื่อ ที่ไม่นิ่งเฉยต่อความรุนแรงในครอบครัว เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ
พลเอก อนันตพร กล่าวเพิ่มเติมว่า และในวันนี้ (25 พ.ย. 61) มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงทั่วประเทศทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ประกอบด้วย 1) ส่วนกลาง การจัดกิจกรรมเดินรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัว และความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ ด้วยความร่วมมือของภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร ตํารวจ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป จํานวน 1,000 คน โดยแบ่งเส้นทางการเดินขบวนรณรงค์ยุติความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ จํานวน 4 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางที่ 1 จากลานพระประชาบดี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถึงลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เส้นทางที่ 2 จากสํานักงานสหประชาชาติ (UN) ถึงลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เส้นทางที่ 3 จากโรงแรมรัตนโกสินทร์(เดิม) ถึงลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร และ เส้นทางที่ 4 จากถนนข้าวสาร ถึงลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการเสวนาของเหล่าศิลปิน ดารา และนักแสดง ร่วมแสดงทัศนะต่อปัญหาความรุนแรงในสังคมและแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว พร้อมการแสดงมินิคอนเสิร์ต และ 2) ส่วนภูมิภาค การจัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดย สค. ยังได้ขับเคลื่อนการดําเนินกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2562
“ทั้งนี้ ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทั้งทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ที่มุ่งมั่นร่วมกันแสดงพลังให้สังคมได้ตระหนัก ตื่นตัว และเฝ้าระวัง เมื่อพบการกระทําความรุนแรงเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัว และความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ เพื่อนําไปสู่การสร้างสังคมที่เข้มแข็งและปราศจากความรุนแรงในทุกรูปแบบอย่างยั่งยืนต่อไป” พลเอก อนันตพร กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รวมพลังภาคีเครือข่าย เดินรณรงค์ยุติความรุนแรงทั่วประเทศ มุ่งสร้างสังคมที่เข้มแข็งและปราศจากความรุนแรงในทุกรูปแบบอย่างยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2561
พม. รวมพลังภาคีเครือข่าย เดินรณรงค์ยุติความรุนแรงทั่วประเทศ มุ่งสร้างสังคมที่เข้มแข็งและปราศจากความรุนแรงในทุกรูปแบบอย่างยั่งยืน
พม. รวมพลังภาคีเครือข่าย เดินรณรงค์ยุติความรุนแรงทั่วประเทศ มุ่งสร้างสังคมที่เข้มแข็งและปราศจากความรุนแรงในทุกรูปแบบอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 61เวลา 15.50 น. ที่ลานพระประชาบดี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานกิจกรรมการประกาศ Kick off รณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัว และความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “He For She : ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนความคิด ยุติความรุนแรง” เพื่อสร้างกระแสสังคมให้เกิดความตระหนักและตื่นตัวต่อปัญหาความรุนแรง อันนําไปสู่การรวมพลังของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัว และความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ ด้วยความร่วมมือของภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร ตํารวจ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป จํานวน 1,000 คน เดินรณรงค์ยุติความรุนแรงจากลานพระประชาบดี กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ ไปจนถึง
ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
พลเอก อนันตพร กล่าวว่า ปัจจุบัน ปัญหาความรุนแรงในสังคม นับเป็นปัญหาสําคัญของสังคมไทย ซึ่งมีแนวโน้มความรุนแรงมากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ทั้งในรูปแบบของร่างกาย วาจา และจิตใจ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและจิตของเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสําคัญของปัญหาดังกล่าว จึงได้มีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542 กําหนดให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็น “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี” โดยมีภาคีเครือข่ายทั้งทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว เป็นประจําทุกปี โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) เป็นหน่วยงานหลักของภาครัฐในการประสานการดําเนินงานรณรงค์ยุติความรุนแรงในภาพรวมทั้งประเทศ เพื่อสร้างกระแสสังคมให้เกิดความตระหนักและตื่นตัวต่อปัญหาดังกล่าว ด้วยการร่วมเป็นหนึ่งเสียงในการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อ
เด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัวอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ
พลเอก อนันตพร กล่าวต่อไปว่า สําหรับปี 2561 กระทรวง พม. โดย สค. ได้กําหนดจัดงานรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว รวมทั้งความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “He For She : ปรับพฤติกรรมเปลี่ยนความคิดยุติความรุนแรง” โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ชายทุกวัยและทุกสาขาอาชีพ เป็นพลังยุติความรุนแรงในทุกรูปแบบ ด้วยการติดสัญลักษณ์ริบบิ้นขาว (White Ribbon) และ “ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทําความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว รวมทั้งความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ” โดยกําหนดจัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงในภาพรวมทั่วประเทศ ทั้งในพื้นที่ส่วนกลางและภูมิภาค เริ่มจากการจัดงานเปิดตัวรณรงค์ยุติความรุนแรง โดยมี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมทั้งมอบโล่รางวัลประกวดการ์ตูนคาแรคเตอร์ “ท่าทางที่อยากเห็นและไม่อยากเห็นในครอบครัว” และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ให้แก่ บุคคล หน่วยงาน และสื่อ ที่ไม่นิ่งเฉยต่อความรุนแรงในครอบครัว เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ
พลเอก อนันตพร กล่าวเพิ่มเติมว่า และในวันนี้ (25 พ.ย. 61) มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงทั่วประเทศทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ประกอบด้วย 1) ส่วนกลาง การจัดกิจกรรมเดินรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัว และความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ ด้วยความร่วมมือของภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร ตํารวจ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป จํานวน 1,000 คน โดยแบ่งเส้นทางการเดินขบวนรณรงค์ยุติความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ จํานวน 4 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางที่ 1 จากลานพระประชาบดี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถึงลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เส้นทางที่ 2 จากสํานักงานสหประชาชาติ (UN) ถึงลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เส้นทางที่ 3 จากโรงแรมรัตนโกสินทร์(เดิม) ถึงลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร และ เส้นทางที่ 4 จากถนนข้าวสาร ถึงลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการเสวนาของเหล่าศิลปิน ดารา และนักแสดง ร่วมแสดงทัศนะต่อปัญหาความรุนแรงในสังคมและแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว พร้อมการแสดงมินิคอนเสิร์ต และ 2) ส่วนภูมิภาค การจัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดย สค. ยังได้ขับเคลื่อนการดําเนินกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2562
“ทั้งนี้ ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทั้งทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ที่มุ่งมั่นร่วมกันแสดงพลังให้สังคมได้ตระหนัก ตื่นตัว และเฝ้าระวัง เมื่อพบการกระทําความรุนแรงเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัว และความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ เพื่อนําไปสู่การสร้างสังคมที่เข้มแข็งและปราศจากความรุนแรงในทุกรูปแบบอย่างยั่งยืนต่อไป” พลเอก อนันตพร กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17071
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.