title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3”
|
วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562
มาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3”
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้” หรือ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้” หรือ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
จากการที่มาตรการ “ชิมช้อปใช้” ที่ผ่านมาประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์ทั่วประเทศ 12,901,825 คน มียอดใช้จ่ายแล้ว 12,450 ล้านบาท และเนื่องจากยังมีประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมมาตรการ “ชิมช้อปใช้” อีกเป็นจํานวนมากที่พร้อมจะจับจ่ายใช้สอยแต่ยังไม่สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการได้ กระทรวงการคลังจึงได้ออกแบบมาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้” หรือ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศผ่าน g-Wallet ช่อง 2 โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพในการใช้จ่าย และปรับปรุงวิธีดําเนินมาตรการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชน
มาตรการ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” จะเปิดให้ผู้ที่ไม่เคยได้รับสิทธิ์ลงทะเบียนเพิ่มจํานวนไม่เกิน 2 ล้านคน โดยผู้ลงทะเบียนจะได้รับสิทธิประโยชน์สําหรับการใช้จ่ายจากเงินของประชาชนเองผ่าน g-Wallet ช่อง 2 เป็นเงินชดเชยร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท (เงินชดเชยไม่เกิน 4,500 บาท) และเงินชดเชยร้อยละ 20 ของยอดใช้จ่ายในส่วนที่เกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท (เงินชดเชยไม่เกิน 4,000 บาท) เช่นเดียวกับ “ชิมช้อปใช้ เฟส 1 และ 2” จะแตกต่างเพียงไม่มีวงเงินสนับสนุน 1,000 บาท ผ่าน g-Wallet ช่อง 1 นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับปรุงเงื่อนไขการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 ให้สะดวกมากขึ้น โดยสามารถใช้จ่ายได้ทุกจังหวัดรวมทั้งจังหวัดตามทะเบียนบ้าน อีกทั้ง สามารถใช้จ่ายค่าบริการแพ็กเกจที่พักพร้อมการเดินทางหรือบริการที่เกี่ยวเนื่อง นอกจากนี้ จะมีการพัฒนาระบบเชื่อมโยงการจ่ายค่าสินค้าและบริการผ่านระบบที่สามารถตรวจสอบการทําธุรกรรมได้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียน “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 โดยการลงทะเบียนในวันที่ 14 - 15 พฤศจิกายน 2562 จะเปิดวันละ 750,000 ราย แบ่งเป็น 2 รอบ ในเวลา 6.00 น. และเวลา 18.00 น. เช่นเดิม และส่วนที่ลงทะเบียนไม่ครบถ้วน จะนํามาเปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2562 นอกจากนี้ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” มีความพิเศษที่จะอํานวยความสะดวกในการลงทะเบียนให้แก่ผู้สูงวัย โดยจะเปิดรอบลงทะเบียนให้ผู้มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 ประมาณ 500,000 ราย ซึ่งผู้ลงทะเบียนวันแรกจะสามารถเริ่มใช้สิทธิ์ได้ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 สําหรับผู้ได้รับสิทธิ์ในเฟส 1 และ 2 สามารถเริ่มใช้จ่าย g-wallet ช่อง 2 ทุกจังหวัดได้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 โดยมาตรการ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” นี้ จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคม 2563 ซึ่งขยายระยะเวลาให้ผู้ได้รับสิทธิ์เดิมด้วย สําหรับร้านค้าสามารถสมัครเข้าร่วมมาตรการได้ภายในเดือนมกราคม 2563
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
ข้อมูลมาตรการ ติดต่อสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร 02 2739020 ต่อ 3523 3508
การรับสมัครร้านค้า ติดต่อกรมบัญชีกลาง โทร 02 2706400 กด 7
App “เป๋าตัง” ติดต่อธนาคารกรุงไทย โทร 02 1111144
ข้อมูลเที่ยวชิมช้อปใช้ ติดต่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร 1672
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3”
วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562
มาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3”
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้” หรือ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้” หรือ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
จากการที่มาตรการ “ชิมช้อปใช้” ที่ผ่านมาประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์ทั่วประเทศ 12,901,825 คน มียอดใช้จ่ายแล้ว 12,450 ล้านบาท และเนื่องจากยังมีประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมมาตรการ “ชิมช้อปใช้” อีกเป็นจํานวนมากที่พร้อมจะจับจ่ายใช้สอยแต่ยังไม่สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการได้ กระทรวงการคลังจึงได้ออกแบบมาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้” หรือ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศผ่าน g-Wallet ช่อง 2 โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพในการใช้จ่าย และปรับปรุงวิธีดําเนินมาตรการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชน
มาตรการ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” จะเปิดให้ผู้ที่ไม่เคยได้รับสิทธิ์ลงทะเบียนเพิ่มจํานวนไม่เกิน 2 ล้านคน โดยผู้ลงทะเบียนจะได้รับสิทธิประโยชน์สําหรับการใช้จ่ายจากเงินของประชาชนเองผ่าน g-Wallet ช่อง 2 เป็นเงินชดเชยร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท (เงินชดเชยไม่เกิน 4,500 บาท) และเงินชดเชยร้อยละ 20 ของยอดใช้จ่ายในส่วนที่เกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท (เงินชดเชยไม่เกิน 4,000 บาท) เช่นเดียวกับ “ชิมช้อปใช้ เฟส 1 และ 2” จะแตกต่างเพียงไม่มีวงเงินสนับสนุน 1,000 บาท ผ่าน g-Wallet ช่อง 1 นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับปรุงเงื่อนไขการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 ให้สะดวกมากขึ้น โดยสามารถใช้จ่ายได้ทุกจังหวัดรวมทั้งจังหวัดตามทะเบียนบ้าน อีกทั้ง สามารถใช้จ่ายค่าบริการแพ็กเกจที่พักพร้อมการเดินทางหรือบริการที่เกี่ยวเนื่อง นอกจากนี้ จะมีการพัฒนาระบบเชื่อมโยงการจ่ายค่าสินค้าและบริการผ่านระบบที่สามารถตรวจสอบการทําธุรกรรมได้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียน “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 โดยการลงทะเบียนในวันที่ 14 - 15 พฤศจิกายน 2562 จะเปิดวันละ 750,000 ราย แบ่งเป็น 2 รอบ ในเวลา 6.00 น. และเวลา 18.00 น. เช่นเดิม และส่วนที่ลงทะเบียนไม่ครบถ้วน จะนํามาเปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2562 นอกจากนี้ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” มีความพิเศษที่จะอํานวยความสะดวกในการลงทะเบียนให้แก่ผู้สูงวัย โดยจะเปิดรอบลงทะเบียนให้ผู้มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 ประมาณ 500,000 ราย ซึ่งผู้ลงทะเบียนวันแรกจะสามารถเริ่มใช้สิทธิ์ได้ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 สําหรับผู้ได้รับสิทธิ์ในเฟส 1 และ 2 สามารถเริ่มใช้จ่าย g-wallet ช่อง 2 ทุกจังหวัดได้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 โดยมาตรการ “ชิมช้อปใช้ เฟส 3” นี้ จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคม 2563 ซึ่งขยายระยะเวลาให้ผู้ได้รับสิทธิ์เดิมด้วย สําหรับร้านค้าสามารถสมัครเข้าร่วมมาตรการได้ภายในเดือนมกราคม 2563
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
ข้อมูลมาตรการ ติดต่อสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร 02 2739020 ต่อ 3523 3508
การรับสมัครร้านค้า ติดต่อกรมบัญชีกลาง โทร 02 2706400 กด 7
App “เป๋าตัง” ติดต่อธนาคารกรุงไทย โทร 02 1111144
ข้อมูลเที่ยวชิมช้อปใช้ ติดต่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร 1672
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24540
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แนะทุกจังหวัดสร้างจุดเด่นสินค้าเกษตร ส่งเสริมการขายและการท่องเที่ยว หลังผักผลไม้ไทยหลายชนิดถูกใจผู้โดยสารการบินไทย
|
วันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2561
นายกฯ แนะทุกจังหวัดสร้างจุดเด่นสินค้าเกษตร ส่งเสริมการขายและการท่องเที่ยว หลังผักผลไม้ไทยหลายชนิดถูกใจผู้โดยสารการบินไทย
นายกรัฐมนตรีแนะทุกจังหวัด สร้างจุดเด่นสินค้าเกษตร ส่งเสริมการขายและการท่องเที่ยว หลังผักผลไม้ไทยหลายชนิดถูกใจผู้โดยสารการบินไทย
วันนี้ (1 กันยายน 2561) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจการต่อยอดแนวคิดขยายโอกาสทางการค้าให้กับเกษตรกรบนพื้นฐานของความร่วมมือแบบประชารัฐของกระทรวงเกษตรฯ ที่ล่าสุดได้ร่วมมือบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) และ จ.ฉะเชิงเทรา พัฒนาการบริหารจัดการสินค้าเกษตรปลอดภัยสูงเพื่อครัวการบินไทย จัดเสิร์ฟอาหารผู้โดยสารบนเครื่องบิน
"นายกฯ รับทราบว่า จ.ฉะเชิงเทรา มีความโดดเด่นในการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยสูงตามมาตรฐานเบอร์ 8 คือ สินค้าที่มีคุณภาพ สดสะอาด ปลอดภัย ไร้สารตกค้าง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่เทียบเคียงได้กับมาตรฐานระดับประเทศ (GAP)
ส่วนครัวการบินไทยถือเป็นผู้นําด้านการผลิตอาหารเพื่อให้บริการบนสายการบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศที่มีมาตรฐาน ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จึงมีความต้องการวัตถุดิบที่ปลอดภัยและมีคุณภาพจากแหล่งผลิตชั้นดี โดยได้นําผักและผลไม้ของ จ.ฉะเชิงเทรา ไปให้บริการผู้โดยสารของการบินไทย"
ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ได้กําหนดให้มีการบริหารจัดการสินค้าเกษตรแบบครบวงจรเป็นรายจังหวัด เน้นการตลาดนําการผลิต โดยอาศัยจุดเด่นของจังหวัด ศักยภาพการผลิต ความต้องการของตลาด และมีแหล่งรับซื้อผลผลิตที่แน่นอน ไปพัฒนาขีดความสามารถของเกษตรกรให้สามารถผลิตและส่งมอบสินค้าได้ตรงตามความต้องการของผู้ซื้อ
"นายกฯ แนะให้ทุกจังหวัดสร้างจุดเด่นของผลผลิตทางการเกษตรที่แตกต่าง และสร้างการรับรู้แก่คนทั่วไป โดยไม่จําเป็นต้องนําไปขายบนเครื่องบินการบินไทยเท่านั้น แต่สามารถใช้เป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้าไปท่องเที่ยว หรือกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ ซึ่งจะทําให้มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้น และเกษตรกรรู้ว่าจะต้องผลิตอะไร เพื่อให้มีตลาดรองรับ ช่วยสร้างรายได้อย่างยั่งยืน"
..........
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แนะทุกจังหวัดสร้างจุดเด่นสินค้าเกษตร ส่งเสริมการขายและการท่องเที่ยว หลังผักผลไม้ไทยหลายชนิดถูกใจผู้โดยสารการบินไทย
วันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2561
นายกฯ แนะทุกจังหวัดสร้างจุดเด่นสินค้าเกษตร ส่งเสริมการขายและการท่องเที่ยว หลังผักผลไม้ไทยหลายชนิดถูกใจผู้โดยสารการบินไทย
นายกรัฐมนตรีแนะทุกจังหวัด สร้างจุดเด่นสินค้าเกษตร ส่งเสริมการขายและการท่องเที่ยว หลังผักผลไม้ไทยหลายชนิดถูกใจผู้โดยสารการบินไทย
วันนี้ (1 กันยายน 2561) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจการต่อยอดแนวคิดขยายโอกาสทางการค้าให้กับเกษตรกรบนพื้นฐานของความร่วมมือแบบประชารัฐของกระทรวงเกษตรฯ ที่ล่าสุดได้ร่วมมือบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) และ จ.ฉะเชิงเทรา พัฒนาการบริหารจัดการสินค้าเกษตรปลอดภัยสูงเพื่อครัวการบินไทย จัดเสิร์ฟอาหารผู้โดยสารบนเครื่องบิน
"นายกฯ รับทราบว่า จ.ฉะเชิงเทรา มีความโดดเด่นในการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยสูงตามมาตรฐานเบอร์ 8 คือ สินค้าที่มีคุณภาพ สดสะอาด ปลอดภัย ไร้สารตกค้าง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่เทียบเคียงได้กับมาตรฐานระดับประเทศ (GAP)
ส่วนครัวการบินไทยถือเป็นผู้นําด้านการผลิตอาหารเพื่อให้บริการบนสายการบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศที่มีมาตรฐาน ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จึงมีความต้องการวัตถุดิบที่ปลอดภัยและมีคุณภาพจากแหล่งผลิตชั้นดี โดยได้นําผักและผลไม้ของ จ.ฉะเชิงเทรา ไปให้บริการผู้โดยสารของการบินไทย"
ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ได้กําหนดให้มีการบริหารจัดการสินค้าเกษตรแบบครบวงจรเป็นรายจังหวัด เน้นการตลาดนําการผลิต โดยอาศัยจุดเด่นของจังหวัด ศักยภาพการผลิต ความต้องการของตลาด และมีแหล่งรับซื้อผลผลิตที่แน่นอน ไปพัฒนาขีดความสามารถของเกษตรกรให้สามารถผลิตและส่งมอบสินค้าได้ตรงตามความต้องการของผู้ซื้อ
"นายกฯ แนะให้ทุกจังหวัดสร้างจุดเด่นของผลผลิตทางการเกษตรที่แตกต่าง และสร้างการรับรู้แก่คนทั่วไป โดยไม่จําเป็นต้องนําไปขายบนเครื่องบินการบินไทยเท่านั้น แต่สามารถใช้เป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้าไปท่องเที่ยว หรือกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ ซึ่งจะทําให้มียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้น และเกษตรกรรู้ว่าจะต้องผลิตอะไร เพื่อให้มีตลาดรองรับ ช่วยสร้างรายได้อย่างยั่งยืน"
..........
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15091
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ มอบเครื่องทำน้ำสะอาดเเบบเคลื่อนที่ และถังดักไขมันให้กับกระทรวงกลาโหม
|
วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563
ปลัดกอบชัยฯ มอบเครื่องทําน้ําสะอาดเเบบเคลื่อนที่ และถังดักไขมันให้กับกระทรวงกลาโหม
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบเครื่องทําน้ําสะอาดเเบบเคลื่อนที่ และถังดักไขมันให้กับกระทรวงกลาโหม ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
วันนี้ (24 มีนาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําเครื่องทําน้ําสะอาดแบบเคลื่อนที่ จํานวน 6 เครื่อง และถังดักไขมัน จํานวน 100 ถัง มอบให้แก่สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
โดยมี พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ มอบเครื่องทำน้ำสะอาดเเบบเคลื่อนที่ และถังดักไขมันให้กับกระทรวงกลาโหม
วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563
ปลัดกอบชัยฯ มอบเครื่องทําน้ําสะอาดเเบบเคลื่อนที่ และถังดักไขมันให้กับกระทรวงกลาโหม
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบเครื่องทําน้ําสะอาดเเบบเคลื่อนที่ และถังดักไขมันให้กับกระทรวงกลาโหม ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
วันนี้ (24 มีนาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําเครื่องทําน้ําสะอาดแบบเคลื่อนที่ จํานวน 6 เครื่อง และถังดักไขมัน จํานวน 100 ถัง มอบให้แก่สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
โดยมี พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27750
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ “สมคิด” สั่งเร่งเดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตรเสริมจุดแข็งเศรษฐกิจประเทศ
|
วันพุธที่ 11 เมษายน 2561
รองนายกฯ “สมคิด” สั่งเร่งเดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตรเสริมจุดแข็งเศรษฐกิจประเทศ
รองนายกฯ “สมคิด” สั่งเร่งเดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตรเสริมจุดแข็งเศรษฐกิจประเทศ ย้ําเกษตรกรคือทรัพยากรสําคัญ เจ้าหน้าที่เกษตรต้องเป็นพี่เลี้ยงดึงเกษตรกรหัวก้าวหน้าช่วยพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในโอกาสมอบนโยบาย “การขับเคลื่อนการปฏิรูปภาคการเกษตร” ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย ผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกษตรจังหวัด สหกรณ์จังหวัด ทั่วประเทศ ว่า แม้ว่าเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทยดีขึ้น ไม่มีปัญหา และมั่นใจจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง พร้อมรับมือกับสถานการณ์และเศรษฐกิจโลกได้ซึ่งรัฐบาลได้ดําเนินนโยบายส่วนหนึ่งพัฒนาความสามารถเชิงแข่งขัน ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัย แต่สิ่งที่เป็นรากฐานสําคัญที่ต้องเร่งแก้ไข คือปัญหาความเหลื่อมล้ําในการกระจายรายได้ แก้ปัญหาความยากจน โดยเฉพาะเกษตรกร เกษตรกรไม่ใช่ภาระ แต่เป็นทรัพย์สินสําคัญของประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ผ่านมาเกษตรกรรมเราไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ส่วนแบ่ง GDP น้อยเกินไป มีส่วนไม่ถึงร้อยละ 10 แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในภาคเกษตรกรรม หากเรายังไม่ทําอะไร คนส่วนใหญ่จะจนลงเรื่อย ๆ สังคมจะอยู่ไม่ได้อนาคตมูลค่าของเศรษฐกิจด้านดิจิตอลจะมีรายได้สูงกว่าเศรษฐกิจด้านเกษตรกรรมมาก ยังมีสิ่งท้าทายอีกมากที่ต้องทําในภาคเกษตรกรรม เราต้องไปสู่จุดที่ดีกว่าข้างหน้าโดยเฉพาะเกษตรกรที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ กระทรวงเกษตรฯต้องแบกรับภารกิจที่ยิ่งใหญ่ พวกเราทั้งหลายคือพระเอก มีภารกิจอันใหญ่หลวง ขอให้ภูมิใจ เราต้องเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง
กระทรวงเกษตรฯ เป็นกระทรวงเกรด A วันนี้เชื่อว่าเรามี รมว.กษ และ รมช.กษ. ที่แข็งแกร่ง จะช่วยนําความเปลี่ยนแปลงได้ แต่จะทําอะไรไม่ได้เลยหากพวกเราข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ให้ความร่วมมือ เราต้องเปลี่ยนภาคเกษตรให้เข้มแข็ง ทันสมัย เกษตรกรรุ่นใหม่อยู่กับเกษตรกรรม เปลี่ยนความคิดว่าเกษตรกรเป็นอาชีพที่มีเกียรติความมั่งคั่งของภาคเกษตรไม่ได้อยู่ที่ราคาเพียงอย่างเดียว เราต้องมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ ที่ผ่านมาเรารดน้ําที่ใบเป็นการฉาบฉวย นับแต่นี้ต้องรดน้ําที่รากอาจจะใช้เวลาแต่เปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งต้องใช้ความอดทน โดยเน้น 5 มิติ ดังนี้มิติที่ 1 ให้ยึดศาสตร์พระราชา เศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักดํารงชีพ ปลูกฝังให้ซึมลึกในใจเกษตรกร มิติที่ 2 ไม่เอาการผลิตเป็นตัวนํา เอาการตลาดเป็นตัวนํา เป็นมิติใหญ่ เราต้องช่วยคิดให้ครบวงจร ข้อมูลต้องมีก่อน ทําอย่างไรสินค้าที่ปลูกให้ขายได้ เกษตรกรไม่อยู่ในสถานะที่เสี่ยงได้ มิติที่ 3 ว่าด้วยเกษตรกร เกษตรกรอ่อนเเอจะไม่สามารถทําได้ต้องให้ความรู้ใหม่แก่เค้ามีสินเชื่อสนับสนุน พร้อมให้ความรู้และโอกาส ตั้งแต่การผลิตจนถึงการตลาด สร้าง Smart Farmer ขึ้นมา โดยมีคนอยู่ 1 กลุ่มจะรับสิ่งใหม่ ๆ ก่อน ใช้หลัก Innovation Adoption ต้องเลือกกลุ่มเรียนรู้เร็วเป็นตัวนําการเปลี่ยนแปลงในชุมชน เกิดการกระจายของ Innovation สินเชื่อต้องถึง ทําต้นทุน ดอกเบี้ยเงินกู้และปุ๋ย/ปัจจัยการผลิตให้ต่ํา และที่สําคัญคือเรื่องเทคโนโลยีต้องมี และเปลี่ยนความคิดเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการให้ได้ มิติที่ 4 e - commerce สินค้าเกษตร ต้องผลักดันให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ปัจจุบันการค้าไม่มีพรมแดนแล้ว ต้องเชื่อมโยงตลาดโลกให้ถึงกลุ่มเกษตรกรหรือวิสาหกิจชุมชนในระดับพื้นที่ให้ได้ จากนั้น Logistic จะตามมาเอง มิติ 5 การท่องเที่ยวและบริการ การเกษตรต้องเชื่อมโยงกับท่องเที่ยวให้ได้ นโยบายท่องเที่ยวเมืองรอง และท่องเที่ยวชุมชน การเกษตรและสินค้าวิสาหกิจชุมชนจะเป็นจุดขายที่สําคัญ จะมีการเชื่อมต่อคมนาคมที่สะดวกเช่นรถไฟความเร็วสูงหรือทางคู่ จากเมืองหลักให้ถึงเมืองรอง เพื่อกระจายนักท่องเที่ยว
“ประเทศไทยถ้าภายใน 3-4 ปีนี้ไม่พัฒนาตนเอง เราจะถูกคู่แข่งแซงเราไปแน่นอน ต้องร่วมมือร่วมใจกัน นักการเมืองกับข้าราชการ ต้องรวมพลังสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เดินไปข้างหน้า และ ขอให้เราภูมิใจกับการเป็นคนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และที่สําคัญที่สุดของทั้งหมดเป็นเรื่องการทํางานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ระหว่างกระทรวง ให้เกิดผลสําเร็จ” นายสมคิด กล่าว
ด้านนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวเน้นย้ําในการกําชับให้ผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ เป็น coaching ในการขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร20 โครงการ ในงบกลางปี 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งสอดรับกับโครงการไทยนิยมยั่งยืนที่กําลังจะเกิดขึ้นและจะต้องใช้การตลาดนําการผลิต เพื่อความยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ํา เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้เพียงพอต่อการดํารงชีวิต และยังได้กําชับ เกษตรจังหวัด และสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศ ให้กํากับการทํางานทุกโครงการจะต้องดําเนินการอย่างโปร่งใส ทั้งนี้ต้องเชื่อมโยงกับโครงการเดิมที่ สานต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง เช่น เกษตรแปลงใหญ่ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เกษตรอินทรีย์ การพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ (young smart farmer) หรือการพัฒนาสถาบันเกษตรกรรูปแบบประชารัฐ
............................................
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ “สมคิด” สั่งเร่งเดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตรเสริมจุดแข็งเศรษฐกิจประเทศ
วันพุธที่ 11 เมษายน 2561
รองนายกฯ “สมคิด” สั่งเร่งเดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตรเสริมจุดแข็งเศรษฐกิจประเทศ
รองนายกฯ “สมคิด” สั่งเร่งเดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตรเสริมจุดแข็งเศรษฐกิจประเทศ ย้ําเกษตรกรคือทรัพยากรสําคัญ เจ้าหน้าที่เกษตรต้องเป็นพี่เลี้ยงดึงเกษตรกรหัวก้าวหน้าช่วยพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในโอกาสมอบนโยบาย “การขับเคลื่อนการปฏิรูปภาคการเกษตร” ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย ผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกษตรจังหวัด สหกรณ์จังหวัด ทั่วประเทศ ว่า แม้ว่าเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทยดีขึ้น ไม่มีปัญหา และมั่นใจจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง พร้อมรับมือกับสถานการณ์และเศรษฐกิจโลกได้ซึ่งรัฐบาลได้ดําเนินนโยบายส่วนหนึ่งพัฒนาความสามารถเชิงแข่งขัน ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัย แต่สิ่งที่เป็นรากฐานสําคัญที่ต้องเร่งแก้ไข คือปัญหาความเหลื่อมล้ําในการกระจายรายได้ แก้ปัญหาความยากจน โดยเฉพาะเกษตรกร เกษตรกรไม่ใช่ภาระ แต่เป็นทรัพย์สินสําคัญของประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ผ่านมาเกษตรกรรมเราไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ส่วนแบ่ง GDP น้อยเกินไป มีส่วนไม่ถึงร้อยละ 10 แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในภาคเกษตรกรรม หากเรายังไม่ทําอะไร คนส่วนใหญ่จะจนลงเรื่อย ๆ สังคมจะอยู่ไม่ได้อนาคตมูลค่าของเศรษฐกิจด้านดิจิตอลจะมีรายได้สูงกว่าเศรษฐกิจด้านเกษตรกรรมมาก ยังมีสิ่งท้าทายอีกมากที่ต้องทําในภาคเกษตรกรรม เราต้องไปสู่จุดที่ดีกว่าข้างหน้าโดยเฉพาะเกษตรกรที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ กระทรวงเกษตรฯต้องแบกรับภารกิจที่ยิ่งใหญ่ พวกเราทั้งหลายคือพระเอก มีภารกิจอันใหญ่หลวง ขอให้ภูมิใจ เราต้องเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง
กระทรวงเกษตรฯ เป็นกระทรวงเกรด A วันนี้เชื่อว่าเรามี รมว.กษ และ รมช.กษ. ที่แข็งแกร่ง จะช่วยนําความเปลี่ยนแปลงได้ แต่จะทําอะไรไม่ได้เลยหากพวกเราข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ให้ความร่วมมือ เราต้องเปลี่ยนภาคเกษตรให้เข้มแข็ง ทันสมัย เกษตรกรรุ่นใหม่อยู่กับเกษตรกรรม เปลี่ยนความคิดว่าเกษตรกรเป็นอาชีพที่มีเกียรติความมั่งคั่งของภาคเกษตรไม่ได้อยู่ที่ราคาเพียงอย่างเดียว เราต้องมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ ที่ผ่านมาเรารดน้ําที่ใบเป็นการฉาบฉวย นับแต่นี้ต้องรดน้ําที่รากอาจจะใช้เวลาแต่เปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งต้องใช้ความอดทน โดยเน้น 5 มิติ ดังนี้มิติที่ 1 ให้ยึดศาสตร์พระราชา เศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักดํารงชีพ ปลูกฝังให้ซึมลึกในใจเกษตรกร มิติที่ 2 ไม่เอาการผลิตเป็นตัวนํา เอาการตลาดเป็นตัวนํา เป็นมิติใหญ่ เราต้องช่วยคิดให้ครบวงจร ข้อมูลต้องมีก่อน ทําอย่างไรสินค้าที่ปลูกให้ขายได้ เกษตรกรไม่อยู่ในสถานะที่เสี่ยงได้ มิติที่ 3 ว่าด้วยเกษตรกร เกษตรกรอ่อนเเอจะไม่สามารถทําได้ต้องให้ความรู้ใหม่แก่เค้ามีสินเชื่อสนับสนุน พร้อมให้ความรู้และโอกาส ตั้งแต่การผลิตจนถึงการตลาด สร้าง Smart Farmer ขึ้นมา โดยมีคนอยู่ 1 กลุ่มจะรับสิ่งใหม่ ๆ ก่อน ใช้หลัก Innovation Adoption ต้องเลือกกลุ่มเรียนรู้เร็วเป็นตัวนําการเปลี่ยนแปลงในชุมชน เกิดการกระจายของ Innovation สินเชื่อต้องถึง ทําต้นทุน ดอกเบี้ยเงินกู้และปุ๋ย/ปัจจัยการผลิตให้ต่ํา และที่สําคัญคือเรื่องเทคโนโลยีต้องมี และเปลี่ยนความคิดเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการให้ได้ มิติที่ 4 e - commerce สินค้าเกษตร ต้องผลักดันให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ปัจจุบันการค้าไม่มีพรมแดนแล้ว ต้องเชื่อมโยงตลาดโลกให้ถึงกลุ่มเกษตรกรหรือวิสาหกิจชุมชนในระดับพื้นที่ให้ได้ จากนั้น Logistic จะตามมาเอง มิติ 5 การท่องเที่ยวและบริการ การเกษตรต้องเชื่อมโยงกับท่องเที่ยวให้ได้ นโยบายท่องเที่ยวเมืองรอง และท่องเที่ยวชุมชน การเกษตรและสินค้าวิสาหกิจชุมชนจะเป็นจุดขายที่สําคัญ จะมีการเชื่อมต่อคมนาคมที่สะดวกเช่นรถไฟความเร็วสูงหรือทางคู่ จากเมืองหลักให้ถึงเมืองรอง เพื่อกระจายนักท่องเที่ยว
“ประเทศไทยถ้าภายใน 3-4 ปีนี้ไม่พัฒนาตนเอง เราจะถูกคู่แข่งแซงเราไปแน่นอน ต้องร่วมมือร่วมใจกัน นักการเมืองกับข้าราชการ ต้องรวมพลังสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เดินไปข้างหน้า และ ขอให้เราภูมิใจกับการเป็นคนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และที่สําคัญที่สุดของทั้งหมดเป็นเรื่องการทํางานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ระหว่างกระทรวง ให้เกิดผลสําเร็จ” นายสมคิด กล่าว
ด้านนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวเน้นย้ําในการกําชับให้ผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ เป็น coaching ในการขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร20 โครงการ ในงบกลางปี 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งสอดรับกับโครงการไทยนิยมยั่งยืนที่กําลังจะเกิดขึ้นและจะต้องใช้การตลาดนําการผลิต เพื่อความยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ํา เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้เพียงพอต่อการดํารงชีวิต และยังได้กําชับ เกษตรจังหวัด และสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศ ให้กํากับการทํางานทุกโครงการจะต้องดําเนินการอย่างโปร่งใส ทั้งนี้ต้องเชื่อมโยงกับโครงการเดิมที่ สานต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง เช่น เกษตรแปลงใหญ่ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เกษตรอินทรีย์ การพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ (young smart farmer) หรือการพัฒนาสถาบันเกษตรกรรูปแบบประชารัฐ
............................................
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11464
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. จับมือ กฟภ. ขยายฐานสมาชิก มุ่งเป้าพนักงานลูกจ้างมีเงินบำนาญเพื่ออนาคต”
|
วันอังคารที่ 11 กันยายน 2561
“กอช. จับมือ กฟภ. ขยายฐานสมาชิก มุ่งเป้าพนักงานลูกจ้างมีเงินบํานาญเพื่ออนาคต”
กอช. และ กฟภ.ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ส่งเสริมการออม ให้ลูกจ้าง กฟภ. 3,815 คน ที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตน ม.33 ม.39 ม.40 ทางเลือก 2 และ 3 ได้มีโอกาสรับสวัสดิการบํานาญจากรัฐ ผ่านการสมัครสมาชิกการออมกับ กอช. พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐ เพื่อชีวิตในยามเกษียณ
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ส่งเสริมการออม ให้ลูกจ้าง กฟภ. 3,815 คน ที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตน ม.33 ม.39 ม.40 ทางเลือก 2และ3 ได้มีโอกาสรับสวัสดิการบํานาญจากรัฐ ผ่านการสมัครสมาชิกการออมกับ กอช. พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐ เพื่อชีวิตในยามเกษียณ
เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ร่วมพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือส่งเสริมการออม ณ บริเวณห้องโถงวายุภักษ์ ชั้น 1 กระทรวงการคลัง โดยได้รับเกียรติจากนายอํานวย ปรีมนวงศ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธี โดยมีคณะผู้บริหาร กฟภ. คณะกรรมการ กอช. และคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์และการตลาด กอช. ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง กอช. กับ กฟภ.
นายอํานวย ปรีมนวงศ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ประเทศไทยจําเป็นต้องสร้างระบบการออมที่เข้มแข็งเพื่อเสริมเสถียรภาพทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ขณะที่ประชาชนทั้งที่เป็นแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบยังมีปริมาณการออมเพื่อการชราภาพในระดับที่น้อยมาก กอช. จึงเป็นกลไกสําคัญอย่างหนึ่งในการส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ไม่มีกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ และไม่ได้เป็นผู้ประกันตน ม.33 ม.39 ม.40ทางเลือก 2และ3 ได้มีโอกาสรับบํานาญจากรัฐ โดยการสมัครเป็นสมาชิก กอช. รับเงินสมทบจากรัฐบาลเพื่อออมเป็นบํานาญมากขึ้น พร้อมยกระดับการบริการให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายและเข้าถึงได้ง่ายผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งโครงการความร่วมมือ ในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นให้หน่วยงานอื่นๆ ที่เป็นภาครัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ที่มีลูกจ้างที่ยังไม่ได้รับสวัสดิการกองทุนสํารองเลี้ยงชีพและไม่ได้เป็นผู้ประกันตนตามมาตราดังกล่าวข้างต้น มาสมัครเป็นสมาชิก กอช.เพิ่มมากขึ้นต่อไป
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กล่าวว่า ทาง กอช. ได้ตระหนักถึงการออมเงินเพื่อใช้ในวัยเกษียณหลังอายุ 60 ปี ให้ประชาชนคนไทยที่ไม่ได้อยู่ในระบบบําเหน็จบํานาญสามารถมีบํานาญได้เช่นเดียวกับข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานเอกชน โดยรัฐบาลจะสมทบเงินในอัตราที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุให้ทุกคนที่มีสิทธิในการออม ได้มีเงินบํานาญไว้ใช้ยามแก่ชรา กอช. จึงได้หารือแนวทางความร่วมมือเพื่อให้ลูกจ้าง กฟภ. ได้รับสวัสดิการบํานาญจากรัฐ พร้อมทั้งตระหนักถึงการมีวินัยทางการเงิน สามารถวางแผนและบริหารจัดการเงินของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่มีวิสัยทัศน์ในการเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับลูกจ้าง เรื่องการออมที่จะให้ลูกจ้างใน กฟภ. ทั้งหมดได้มีโอกาสรับสวัสดิการบํานาญจากรัฐ
“ทาง กอช. ต้องขอขอบคุณผู้บริหาร ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่เล็งเห็นความสําคัญของการสร้างสังคมแห่งการออม โดยเฉพาะการส่งเสริมการออมให้กับลูกจ้างของ กฟภ. ที่เป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนของประเทศ เพื่อให้มีเงินสามารถพึ่งพาตนเองได้ในวัยชราภาพจากหลักประกันด้านบํานาญที่มั่นคงของรัฐ
นายเสริมสกุล คล้ายแก้ว ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เปิดเผยว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้สนองนโยบายกระทรวงมหาดไทย ให้ดําเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนเงินออมแห่งชาติ (กอช.) แก่บุคลากรในสังกัดที่มีคุณสมบัติตามที่กําหนดให้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติและเพื่อเป็นการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งแรกที่เข้าร่วมการออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ จึงได้บูรณาการทํางานร่วมกันเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างหลักประกันให้แก่ลูกจ้าง กฟภ. สร้างความมั่นคงและสร้างวินัยการออมพร้อมตระหนักถึงความสําคัญของการออมเงินไว้เพื่อใช้หลังเกษียณ อายุงาน ซึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการออม พร้อมสิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิก กอช. ทั้ง กฟภ. สํานักงานใหญ่ และเขต 12 เขต ทั่วประเทศ เป็นจํานวน 5,988 คน โดยหลังการอบรมมีผู้ที่สนใจสมัครเป็นสมาชิก กอช. แล้ว จํานวน 3,815 คน เป็นเงิน 2,865,244 บาท โดยดําเนินการนําส่งเงินในรูปแบบต่อเนื่อง (หักส่งทุกเดือนจากต้นสังกัด) ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นเดือนแรก และ กฟภ. มีนโยบายที่ให้พนักงานลูกจ้างที่เข้าทํางานกับ กฟภ. สมัครเข้าเป็นสมาชิก กอช. อย่างต่อเนื่อง นับเป็นการส่งเสริมการออมเงินเพื่อสร้างหลักประกันด้านบํานาญในอนาคตต่อไป
นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทั้งนี้ กอช. ยังมีช่องทางอํานวยความสะดวกให้กับสมาชิกและผู้ที่สนใจ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “กอช” เพื่อสมัครสมาชิก ดูข้อมูลบัญชีเงินออม และใช้ตรวจสอบสิทธิการสมัครสมาชิกได้ ทั้งระบบ iOS และ Android หรือที่ www.nsf.or.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 ทั้งนี้ ติดต่อสมัครสมาชิกและรับบริการอื่นๆ ของ กอช. ได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขา รวมทั้งสํานักงานคลังจังหวัด จุดบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสกว่า 13,000 แห่ง สถาบันการเงินชุมชน และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ”
รายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
เจษฎา เจียมใจ โทร 02 049 9000 ต่อ 532, 090 809 3609 อีเมล์ jedsada.@nsf.or.th
ทัศนีย์ ภู่สกุล โทร 02 049 9000 ต่อ 531, 081 658 6560 อีเมล์ tasanee@nsf.or.th
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. จับมือ กฟภ. ขยายฐานสมาชิก มุ่งเป้าพนักงานลูกจ้างมีเงินบำนาญเพื่ออนาคต”
วันอังคารที่ 11 กันยายน 2561
“กอช. จับมือ กฟภ. ขยายฐานสมาชิก มุ่งเป้าพนักงานลูกจ้างมีเงินบํานาญเพื่ออนาคต”
กอช. และ กฟภ.ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ส่งเสริมการออม ให้ลูกจ้าง กฟภ. 3,815 คน ที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตน ม.33 ม.39 ม.40 ทางเลือก 2 และ 3 ได้มีโอกาสรับสวัสดิการบํานาญจากรัฐ ผ่านการสมัครสมาชิกการออมกับ กอช. พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐ เพื่อชีวิตในยามเกษียณ
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ส่งเสริมการออม ให้ลูกจ้าง กฟภ. 3,815 คน ที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตน ม.33 ม.39 ม.40 ทางเลือก 2และ3 ได้มีโอกาสรับสวัสดิการบํานาญจากรัฐ ผ่านการสมัครสมาชิกการออมกับ กอช. พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐ เพื่อชีวิตในยามเกษียณ
เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ร่วมพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือส่งเสริมการออม ณ บริเวณห้องโถงวายุภักษ์ ชั้น 1 กระทรวงการคลัง โดยได้รับเกียรติจากนายอํานวย ปรีมนวงศ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธี โดยมีคณะผู้บริหาร กฟภ. คณะกรรมการ กอช. และคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์และการตลาด กอช. ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง กอช. กับ กฟภ.
นายอํานวย ปรีมนวงศ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ประเทศไทยจําเป็นต้องสร้างระบบการออมที่เข้มแข็งเพื่อเสริมเสถียรภาพทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ขณะที่ประชาชนทั้งที่เป็นแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบยังมีปริมาณการออมเพื่อการชราภาพในระดับที่น้อยมาก กอช. จึงเป็นกลไกสําคัญอย่างหนึ่งในการส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ไม่มีกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ และไม่ได้เป็นผู้ประกันตน ม.33 ม.39 ม.40ทางเลือก 2และ3 ได้มีโอกาสรับบํานาญจากรัฐ โดยการสมัครเป็นสมาชิก กอช. รับเงินสมทบจากรัฐบาลเพื่อออมเป็นบํานาญมากขึ้น พร้อมยกระดับการบริการให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายและเข้าถึงได้ง่ายผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งโครงการความร่วมมือ ในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นให้หน่วยงานอื่นๆ ที่เป็นภาครัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ที่มีลูกจ้างที่ยังไม่ได้รับสวัสดิการกองทุนสํารองเลี้ยงชีพและไม่ได้เป็นผู้ประกันตนตามมาตราดังกล่าวข้างต้น มาสมัครเป็นสมาชิก กอช.เพิ่มมากขึ้นต่อไป
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กล่าวว่า ทาง กอช. ได้ตระหนักถึงการออมเงินเพื่อใช้ในวัยเกษียณหลังอายุ 60 ปี ให้ประชาชนคนไทยที่ไม่ได้อยู่ในระบบบําเหน็จบํานาญสามารถมีบํานาญได้เช่นเดียวกับข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานเอกชน โดยรัฐบาลจะสมทบเงินในอัตราที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุให้ทุกคนที่มีสิทธิในการออม ได้มีเงินบํานาญไว้ใช้ยามแก่ชรา กอช. จึงได้หารือแนวทางความร่วมมือเพื่อให้ลูกจ้าง กฟภ. ได้รับสวัสดิการบํานาญจากรัฐ พร้อมทั้งตระหนักถึงการมีวินัยทางการเงิน สามารถวางแผนและบริหารจัดการเงินของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่มีวิสัยทัศน์ในการเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับลูกจ้าง เรื่องการออมที่จะให้ลูกจ้างใน กฟภ. ทั้งหมดได้มีโอกาสรับสวัสดิการบํานาญจากรัฐ
“ทาง กอช. ต้องขอขอบคุณผู้บริหาร ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่เล็งเห็นความสําคัญของการสร้างสังคมแห่งการออม โดยเฉพาะการส่งเสริมการออมให้กับลูกจ้างของ กฟภ. ที่เป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนของประเทศ เพื่อให้มีเงินสามารถพึ่งพาตนเองได้ในวัยชราภาพจากหลักประกันด้านบํานาญที่มั่นคงของรัฐ
นายเสริมสกุล คล้ายแก้ว ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เปิดเผยว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้สนองนโยบายกระทรวงมหาดไทย ให้ดําเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนเงินออมแห่งชาติ (กอช.) แก่บุคลากรในสังกัดที่มีคุณสมบัติตามที่กําหนดให้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติและเพื่อเป็นการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งแรกที่เข้าร่วมการออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ จึงได้บูรณาการทํางานร่วมกันเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างหลักประกันให้แก่ลูกจ้าง กฟภ. สร้างความมั่นคงและสร้างวินัยการออมพร้อมตระหนักถึงความสําคัญของการออมเงินไว้เพื่อใช้หลังเกษียณ อายุงาน ซึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการออม พร้อมสิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิก กอช. ทั้ง กฟภ. สํานักงานใหญ่ และเขต 12 เขต ทั่วประเทศ เป็นจํานวน 5,988 คน โดยหลังการอบรมมีผู้ที่สนใจสมัครเป็นสมาชิก กอช. แล้ว จํานวน 3,815 คน เป็นเงิน 2,865,244 บาท โดยดําเนินการนําส่งเงินในรูปแบบต่อเนื่อง (หักส่งทุกเดือนจากต้นสังกัด) ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นเดือนแรก และ กฟภ. มีนโยบายที่ให้พนักงานลูกจ้างที่เข้าทํางานกับ กฟภ. สมัครเข้าเป็นสมาชิก กอช. อย่างต่อเนื่อง นับเป็นการส่งเสริมการออมเงินเพื่อสร้างหลักประกันด้านบํานาญในอนาคตต่อไป
นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทั้งนี้ กอช. ยังมีช่องทางอํานวยความสะดวกให้กับสมาชิกและผู้ที่สนใจ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “กอช” เพื่อสมัครสมาชิก ดูข้อมูลบัญชีเงินออม และใช้ตรวจสอบสิทธิการสมัครสมาชิกได้ ทั้งระบบ iOS และ Android หรือที่ www.nsf.or.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 ทั้งนี้ ติดต่อสมัครสมาชิกและรับบริการอื่นๆ ของ กอช. ได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขา รวมทั้งสํานักงานคลังจังหวัด จุดบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสกว่า 13,000 แห่ง สถาบันการเงินชุมชน และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ”
รายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
เจษฎา เจียมใจ โทร 02 049 9000 ต่อ 532, 090 809 3609 อีเมล์ jedsada.@nsf.or.th
ทัศนีย์ ภู่สกุล โทร 02 049 9000 ต่อ 531, 081 658 6560 อีเมล์ tasanee@nsf.or.th
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15287
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 16 พฤษภาคม 2560
|
วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 16 พฤษภาคม 2560
วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2560
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”ห่วงใยพี่น้องแรงงาน สั่งบูรณาการเตรียมแผนรับมือ“ปาบึก”
|
วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2562
“บิ๊กอู๋”ห่วงใยพี่น้องแรงงาน สั่งบูรณาการเตรียมแผนรับมือ“ปาบึก”
รมว.แรงงาน ห่วงใยพี่น้องแรงงาน สั่งการปลัดกระทรวง อธิบดีทุกกรม กําชับหน่วยงานสังกัดกระทรวงในพื้นที่เสี่ยงภัย เตรียมแผนเผชิญเหตุรับมือพายุ “ปาบึก”
รมว.แรงงาน ห่วงใยพี่น้องแรงงาน สั่งการปลัดกระทรวง อธิบดีทุกกรม กําชับหน่วยงานสังกัดกระทรวงในพื้นที่เสี่ยงภัย เตรียมแผนเผชิญเหตุรับมือพายุ “ปาบึก”พร้อมย้ํา ให้แจ้งเตือนแรงงานภาคประมง สถานประกอบการ 16 จังหวัด และผู้ประกันตนติดตามข่าวสารจากทางการอย่างใกล้ชิด ประสานขอรับความช่วยเหลือโทรสายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง
วันนี้ (4 ม.ค.62) พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2562 ให้ส่วนราชการทุกกระทรวงบูรณาการความร่วมมือให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนจากพายุ “ปาบึก” (PABUK) รมว.แรงงาน จึงได้สั่งการให้ ปลัดกระทรวงแรงงาน และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด เร่งบูรณาการความร่วมมือเพื่อเตรียมแผนเผชิญเหตุให้ความช่วยเหลือพี่น้องแรงงาน ลูกจ้าง นายจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบจากพายุ“ปาบึก” ดังนี้ 1.กรมการจัดหางานแจ้งแรงงานภาคประมง โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัยใน 16 จังหวัดติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 2.กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานแจ้งเตือนสถานประกอบการในพื้นที่เสี่ยงภัยใน 16 จังหวัด พร้อมสร้างการรับรู้ถึงแผนความปลอดภัยในสถานประกอบการ 3.สํานักงานประกันสังคมแจ้งไปยังโรงพยาบาลในเครือข่าย เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการให้บริการเนื่องจากจะมีผู้ประกันตนที่ประสบเหตุจากภัยธรรมชาติมาใช้บริการเป็นจํานวนมาก 4.ให้ศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงานประจําจังหวัดประสานข้อมูลกับศูนย์ปฏิบัติการฯ จังหวัด เพื่อให้การประชาชนได้อย่างทันท่วงที 5.สร้างการรับรู้ให้ประชาชนสามารถประสานขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงานได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และพื้นที่ใกล้เคียง โดยสั่งการให้หน่วยงานสังกัดในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเตรียมแผนเผชิญเหตุเพื่อรับมือกับพายุ“ปาบึก” จํานวน 3 แผน คือ 1.ก่อนเกิดเหตุ 1) ให้จัดเตรียมสถานที่เป็นศูนย์อพยพ สํารอง กรณีจังหวัดขอใช้พื้นที่ 2) สํารวจความพร้อมของอุปกรณ์ เครื่องมือ และยานพาหนะเพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลือ 3) จัดเตรียมแรงงานที่มีความรู้ทางเทคนิค เช่น ช่างไฟฟ้า เพื่อช่วยเหลือด้านความปลอดภัยให้กับประประชาชนในพื้นที่เสียงภัย 4) ใช้ศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงานจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นหน่วยติดตามสถานการณ์ และรายงานผลกระทบ โดยประสานความร่วมมือข้อมูลจากสํานักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด 2. ขณะเกิดเหตุ 1) จัดทีมหน่วยบริการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อําเภอเมืองนครศรีธรรมราช และใกล้เคียง เพื่อประกอบอาหารร่วมกับโรงครัวพระราชทาน 2) ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยร่วมกับทางจังหวัดนครศรีธรรมราช 3) ประสานอาสาสมัครแรงงานในพื้นที่ประสบภัย ให้แจ้งข้อมูลขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช และศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงานจังหวัดนครศรีธรรมราช ทางหมายเลขโทรศัพท์ 081-538-3638 ตลอด 24 ชั่วโมง และ 3. ภายหลังเกิดเหตุ 1) จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่กระทรวงแรงงาน สํารวจความต้องการรับการช่วยเหลือด้านแรงงานในกลุ่มผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบการ แรงงานนอกระบบ แรงงานผู้รับงานไปทําที่บ้าน ฯลฯ และขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการช่วยเหลือจากโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพ และ 2) มอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 22 นครศรีธรรมราช ร่วมกับสถานประกอบการที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ให้บริการซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องยนต์การเกษตรแก่ประชาชนผู้ประสบภัย ทั้งนี้ รมว.แรงงานได้เน้นย้ําให้นํารูปแบบแผนเผชิญเหตุของจังหวัดนครศรีธรรมราชไปใช้กับจังหวัดอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “ปาบึก” ต่อไป
“ขอให้พี่น้องแรงงานและประชาชนชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช และพื้นที่ใกล้เคียง มั่นใจได้ว่า รัฐบาลและกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องแรงงานทุกคน และพร้อมที่จะให้ความคุ้มครองช่วยเหลือ หากได้รับความเดือดร้อนจากการจ้างงานหรือสถานการณ์จากภัยธรรมชาติต่าง ๆ” พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด
-----------------------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ /ณัฏฐภัทร์ ชื่นเอี่ยม – ข่าว/สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/4 มกราคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”ห่วงใยพี่น้องแรงงาน สั่งบูรณาการเตรียมแผนรับมือ“ปาบึก”
วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2562
“บิ๊กอู๋”ห่วงใยพี่น้องแรงงาน สั่งบูรณาการเตรียมแผนรับมือ“ปาบึก”
รมว.แรงงาน ห่วงใยพี่น้องแรงงาน สั่งการปลัดกระทรวง อธิบดีทุกกรม กําชับหน่วยงานสังกัดกระทรวงในพื้นที่เสี่ยงภัย เตรียมแผนเผชิญเหตุรับมือพายุ “ปาบึก”
รมว.แรงงาน ห่วงใยพี่น้องแรงงาน สั่งการปลัดกระทรวง อธิบดีทุกกรม กําชับหน่วยงานสังกัดกระทรวงในพื้นที่เสี่ยงภัย เตรียมแผนเผชิญเหตุรับมือพายุ “ปาบึก”พร้อมย้ํา ให้แจ้งเตือนแรงงานภาคประมง สถานประกอบการ 16 จังหวัด และผู้ประกันตนติดตามข่าวสารจากทางการอย่างใกล้ชิด ประสานขอรับความช่วยเหลือโทรสายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง
วันนี้ (4 ม.ค.62) พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2562 ให้ส่วนราชการทุกกระทรวงบูรณาการความร่วมมือให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนจากพายุ “ปาบึก” (PABUK) รมว.แรงงาน จึงได้สั่งการให้ ปลัดกระทรวงแรงงาน และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด เร่งบูรณาการความร่วมมือเพื่อเตรียมแผนเผชิญเหตุให้ความช่วยเหลือพี่น้องแรงงาน ลูกจ้าง นายจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบจากพายุ“ปาบึก” ดังนี้ 1.กรมการจัดหางานแจ้งแรงงานภาคประมง โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัยใน 16 จังหวัดติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 2.กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานแจ้งเตือนสถานประกอบการในพื้นที่เสี่ยงภัยใน 16 จังหวัด พร้อมสร้างการรับรู้ถึงแผนความปลอดภัยในสถานประกอบการ 3.สํานักงานประกันสังคมแจ้งไปยังโรงพยาบาลในเครือข่าย เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการให้บริการเนื่องจากจะมีผู้ประกันตนที่ประสบเหตุจากภัยธรรมชาติมาใช้บริการเป็นจํานวนมาก 4.ให้ศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงานประจําจังหวัดประสานข้อมูลกับศูนย์ปฏิบัติการฯ จังหวัด เพื่อให้การประชาชนได้อย่างทันท่วงที 5.สร้างการรับรู้ให้ประชาชนสามารถประสานขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงานได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และพื้นที่ใกล้เคียง โดยสั่งการให้หน่วยงานสังกัดในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเตรียมแผนเผชิญเหตุเพื่อรับมือกับพายุ“ปาบึก” จํานวน 3 แผน คือ 1.ก่อนเกิดเหตุ 1) ให้จัดเตรียมสถานที่เป็นศูนย์อพยพ สํารอง กรณีจังหวัดขอใช้พื้นที่ 2) สํารวจความพร้อมของอุปกรณ์ เครื่องมือ และยานพาหนะเพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลือ 3) จัดเตรียมแรงงานที่มีความรู้ทางเทคนิค เช่น ช่างไฟฟ้า เพื่อช่วยเหลือด้านความปลอดภัยให้กับประประชาชนในพื้นที่เสียงภัย 4) ใช้ศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงานจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นหน่วยติดตามสถานการณ์ และรายงานผลกระทบ โดยประสานความร่วมมือข้อมูลจากสํานักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด 2. ขณะเกิดเหตุ 1) จัดทีมหน่วยบริการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อําเภอเมืองนครศรีธรรมราช และใกล้เคียง เพื่อประกอบอาหารร่วมกับโรงครัวพระราชทาน 2) ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยร่วมกับทางจังหวัดนครศรีธรรมราช 3) ประสานอาสาสมัครแรงงานในพื้นที่ประสบภัย ให้แจ้งข้อมูลขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการฯ จังหวัดนครศรีธรรมราช และศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงานจังหวัดนครศรีธรรมราช ทางหมายเลขโทรศัพท์ 081-538-3638 ตลอด 24 ชั่วโมง และ 3. ภายหลังเกิดเหตุ 1) จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่กระทรวงแรงงาน สํารวจความต้องการรับการช่วยเหลือด้านแรงงานในกลุ่มผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบการ แรงงานนอกระบบ แรงงานผู้รับงานไปทําที่บ้าน ฯลฯ และขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการช่วยเหลือจากโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพ และ 2) มอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 22 นครศรีธรรมราช ร่วมกับสถานประกอบการที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ให้บริการซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องยนต์การเกษตรแก่ประชาชนผู้ประสบภัย ทั้งนี้ รมว.แรงงานได้เน้นย้ําให้นํารูปแบบแผนเผชิญเหตุของจังหวัดนครศรีธรรมราชไปใช้กับจังหวัดอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “ปาบึก” ต่อไป
“ขอให้พี่น้องแรงงานและประชาชนชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช และพื้นที่ใกล้เคียง มั่นใจได้ว่า รัฐบาลและกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องแรงงานทุกคน และพร้อมที่จะให้ความคุ้มครองช่วยเหลือ หากได้รับความเดือดร้อนจากการจ้างงานหรือสถานการณ์จากภัยธรรมชาติต่าง ๆ” พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด
-----------------------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ /ณัฏฐภัทร์ ชื่นเอี่ยม – ข่าว/สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/4 มกราคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17918
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด สธ.เยี่ยมครอบครัวพยาบาลผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บที่ รพ.บุรีรัมย์
|
วันพุธที่ 17 ตุลาคม 2561
รองปลัด สธ.เยี่ยมครอบครัวพยาบาลผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บที่ รพ.บุรีรัมย์
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่ เยี่ยมให้กําลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถกระบะ ผู้บาดเจ็บทุกรายมีอาการดีขึ้น พยาบาลที่บาดเจ็บยังคงรักษาตั
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่ เยี่ยมให้กําลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถกระบะ ผู้บาดเจ็บทุกรายมีอาการดีขึ้น พยาบาลที่บาดเจ็บยังคงรักษาตัวในหอผู้ป่วยหนัก
วันนี้ (17 ตุลาคม 2561) ที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบหมายจากนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามเยี่ยมให้กําลังใจครอบครัวพยาบาลผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ จากเหตุรถพยาบาลฉุกเฉินประสบอุบัติเหตุระหว่างส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลประโคนชัย ไปยังโรงพยาบาลบุรีรัมย์ กล่าวว่า จากการเข้าเยี่ยมพยาบาลที่ได้รับบาดเจ็บที่หอผู้ป่วยหนัก ซึ่งได้รับการผ่าตัดเอาเลือดออกสมองเรียบร้อยแล้ว และผ่าตัดม้ามเนื่องจากม้ามฉีก ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว แต่ยังคงรักษาตัวอยู่ในหอผู้ป่วยหนัก ได้กําชับให้แพทย์ให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด พร้อมให้กําลังใจและให้ทีมสุขภาพจิตเร่งเยียวยาจิตใจ สําหรับผู้ป่วยส่งต่อคลอด แม่และลูกปลอดภัย ส่วนญาติผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บทางสมองเล็กน้อย ไม่ต้องผ่าตัด รอสังเกตอาการ กระดูกส้นเท้าและข้อเท้าหัก ได้รับการรักษา อาการดีขึ้นแล้ว ย้ําขอให้โรงพยาบาลทุกแห่งปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุของรถพยาบาล ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
สําหรับเรื่องคดีความให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตํารวจดําเนินการ โดยให้ทางสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ติดตามประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิด เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ฝากถึงผู้ใช้รถใช้ถนนให้ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง มีสติ ขับรถด้วยความไม่ประมาท ใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกําหนด พักผ่อนให้เพียงพอก่อนขับรถหรือเดินทางไกลเมื่อรู้สึกง่วง อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ควรหยุดพักทันทีหรือเปลี่ยนคนขับ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งยาที่ทําให้ง่วงซึม เช่นยาแก้แพ้ ยาลดน้ํามูกปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ไม่แซงหรือเปลี่ยนช่องการจราจรอย่างกะทันหัน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
*********************************17 ตุลาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด สธ.เยี่ยมครอบครัวพยาบาลผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บที่ รพ.บุรีรัมย์
วันพุธที่ 17 ตุลาคม 2561
รองปลัด สธ.เยี่ยมครอบครัวพยาบาลผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บที่ รพ.บุรีรัมย์
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่ เยี่ยมให้กําลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถกระบะ ผู้บาดเจ็บทุกรายมีอาการดีขึ้น พยาบาลที่บาดเจ็บยังคงรักษาตั
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่ เยี่ยมให้กําลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถกระบะ ผู้บาดเจ็บทุกรายมีอาการดีขึ้น พยาบาลที่บาดเจ็บยังคงรักษาตัวในหอผู้ป่วยหนัก
วันนี้ (17 ตุลาคม 2561) ที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบหมายจากนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามเยี่ยมให้กําลังใจครอบครัวพยาบาลผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ จากเหตุรถพยาบาลฉุกเฉินประสบอุบัติเหตุระหว่างส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลประโคนชัย ไปยังโรงพยาบาลบุรีรัมย์ กล่าวว่า จากการเข้าเยี่ยมพยาบาลที่ได้รับบาดเจ็บที่หอผู้ป่วยหนัก ซึ่งได้รับการผ่าตัดเอาเลือดออกสมองเรียบร้อยแล้ว และผ่าตัดม้ามเนื่องจากม้ามฉีก ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว แต่ยังคงรักษาตัวอยู่ในหอผู้ป่วยหนัก ได้กําชับให้แพทย์ให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด พร้อมให้กําลังใจและให้ทีมสุขภาพจิตเร่งเยียวยาจิตใจ สําหรับผู้ป่วยส่งต่อคลอด แม่และลูกปลอดภัย ส่วนญาติผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บทางสมองเล็กน้อย ไม่ต้องผ่าตัด รอสังเกตอาการ กระดูกส้นเท้าและข้อเท้าหัก ได้รับการรักษา อาการดีขึ้นแล้ว ย้ําขอให้โรงพยาบาลทุกแห่งปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุของรถพยาบาล ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
สําหรับเรื่องคดีความให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตํารวจดําเนินการ โดยให้ทางสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ติดตามประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิด เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ฝากถึงผู้ใช้รถใช้ถนนให้ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง มีสติ ขับรถด้วยความไม่ประมาท ใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกําหนด พักผ่อนให้เพียงพอก่อนขับรถหรือเดินทางไกลเมื่อรู้สึกง่วง อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ควรหยุดพักทันทีหรือเปลี่ยนคนขับ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งยาที่ทําให้ง่วงซึม เช่นยาแก้แพ้ ยาลดน้ํามูกปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ไม่แซงหรือเปลี่ยนช่องการจราจรอย่างกะทันหัน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
*********************************17 ตุลาคม 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16148
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงศึกษาธิการปรับหลักสูตรผลิตครู เน้นจบมามีคุณภาพ มีอัตรารองรับ
|
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561
กระทรวงศึกษาธิการปรับหลักสูตรผลิตครู เน้นจบมามีคุณภาพ มีอัตรารองรับ
กระทรวงศึกษาธิการปรับหลักสูตรผลิตครู เน้นจบมามีคุณภาพ มีอัตรารองรับ
วันนี้ (10 พฤษภาคม 2561) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล นางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการความคืบหน้าการดําเนินการด้านการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้กิจกรรม “สื่ออยากรู้ รัฐบาลอยากเล่า” ว่า กระทรวงศึกษาได้ดําเนินโครงการจัดหาครูดี ครูเก่ง ซึ่งเป็นการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในระยะ 10 ปี ซึ่งเป็นการจัดหาครูเก่ง ครูดี เข้าสู่วิชาชีพครูตามกรอบอัตรากําลังที่ว่างลง เน้นผลิตครูตามจํานวนที่จํากัด เน้นคุณภาพของผู้เรียน เมื่อจบมาแล้วสามารถบรรจุเข้ารับราชการในตําแหน่งครูผู้ช่วยตามกรอบอัตราที่ว่างลงได้ทันที เพื่อลดอัตราไม่ให้คนเรียนครูมากเกินจํานวนที่ต้องการ และผลิตครูได้ตรงกับสาขาตําแหน่งที่มีอัตรารองรับ โดยในปีงบประมาณ 2559 ทางกระทรวงศึกษาได้บรรจุครูที่จบการศึกษาแล้วประมาณสี่พันกว่าคน และในปีงบประมาณ 2560 ได้บรรจุไปแล้วสามพันกว่าคน
รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันข้าราชการครูทั้งหมดที่ได้รับการบรรจุนั้น ผ่านการคัดเลือกมาจาก 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ 1. การสอบคัดเลือกซึ่งดําเนินการเปิดสอบและบรรจุโดยสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา 2. เปิดโอกาสให้พนักงานราชการสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู โดยให้โควต้า 25 เปอร์เซ็นต์ของอัตราเกษียณในแต่ละปี และ 3.ได้จากโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ ซึ่งรัฐบาลให้ทุนเด็กเก่ง ดีมาเรียนรู้หลักสูตร 5 ปี และบรรจุเป็นข้าราชการครูหลังสําเร็จการศึกษา
นอกจากนี้ ทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีการปรับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครู มีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะ เพื่อพัฒนาครูให้เชื่อมโยงกับระบบวิชาชีพครู และหลักเกณฑ์วิทยะฐานะ มีการประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ องค์ประกอบของหลักสูตร โดยสถาบันคุรุพัฒนา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้อนุมัติหลักสูตร และให้ครูเลือกหลักสูตรเข้าสู่การพัฒนา แทนจากเดิมเปิดหลักสูตรตามทั่วไปตามส่วนภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้มีหลักเกณฑ์ ครบถ้วน ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ สพฐ. ได้จัดสรรงบประมาณสําหรับอบรมพัฒนาครู จํานวน 10,000 บาทต่อคนต่อปี เพื่อให้ครูได้เลือกหลักสูตรที่จะพัฒนาตนเองได้ตามความต้องการ โดยครูที่มีความสนใจสามารถประสานขอรับงบประมาณสําหรับการอบรม ได้ที่สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่ง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
---------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงศึกษาธิการปรับหลักสูตรผลิตครู เน้นจบมามีคุณภาพ มีอัตรารองรับ
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561
กระทรวงศึกษาธิการปรับหลักสูตรผลิตครู เน้นจบมามีคุณภาพ มีอัตรารองรับ
กระทรวงศึกษาธิการปรับหลักสูตรผลิตครู เน้นจบมามีคุณภาพ มีอัตรารองรับ
วันนี้ (10 พฤษภาคม 2561) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล นางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการความคืบหน้าการดําเนินการด้านการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้กิจกรรม “สื่ออยากรู้ รัฐบาลอยากเล่า” ว่า กระทรวงศึกษาได้ดําเนินโครงการจัดหาครูดี ครูเก่ง ซึ่งเป็นการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในระยะ 10 ปี ซึ่งเป็นการจัดหาครูเก่ง ครูดี เข้าสู่วิชาชีพครูตามกรอบอัตรากําลังที่ว่างลง เน้นผลิตครูตามจํานวนที่จํากัด เน้นคุณภาพของผู้เรียน เมื่อจบมาแล้วสามารถบรรจุเข้ารับราชการในตําแหน่งครูผู้ช่วยตามกรอบอัตราที่ว่างลงได้ทันที เพื่อลดอัตราไม่ให้คนเรียนครูมากเกินจํานวนที่ต้องการ และผลิตครูได้ตรงกับสาขาตําแหน่งที่มีอัตรารองรับ โดยในปีงบประมาณ 2559 ทางกระทรวงศึกษาได้บรรจุครูที่จบการศึกษาแล้วประมาณสี่พันกว่าคน และในปีงบประมาณ 2560 ได้บรรจุไปแล้วสามพันกว่าคน
รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันข้าราชการครูทั้งหมดที่ได้รับการบรรจุนั้น ผ่านการคัดเลือกมาจาก 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ 1. การสอบคัดเลือกซึ่งดําเนินการเปิดสอบและบรรจุโดยสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา 2. เปิดโอกาสให้พนักงานราชการสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู โดยให้โควต้า 25 เปอร์เซ็นต์ของอัตราเกษียณในแต่ละปี และ 3.ได้จากโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ ซึ่งรัฐบาลให้ทุนเด็กเก่ง ดีมาเรียนรู้หลักสูตร 5 ปี และบรรจุเป็นข้าราชการครูหลังสําเร็จการศึกษา
นอกจากนี้ ทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีการปรับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครู มีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะ เพื่อพัฒนาครูให้เชื่อมโยงกับระบบวิชาชีพครู และหลักเกณฑ์วิทยะฐานะ มีการประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ องค์ประกอบของหลักสูตร โดยสถาบันคุรุพัฒนา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้อนุมัติหลักสูตร และให้ครูเลือกหลักสูตรเข้าสู่การพัฒนา แทนจากเดิมเปิดหลักสูตรตามทั่วไปตามส่วนภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้มีหลักเกณฑ์ ครบถ้วน ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ สพฐ. ได้จัดสรรงบประมาณสําหรับอบรมพัฒนาครู จํานวน 10,000 บาทต่อคนต่อปี เพื่อให้ครูได้เลือกหลักสูตรที่จะพัฒนาตนเองได้ตามความต้องการ โดยครูที่มีความสนใจสามารถประสานขอรับงบประมาณสําหรับการอบรม ได้ที่สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่ง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
---------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12132
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- พม. จัดงาน “ฌาปนกิจศพผู้สูงอายุ ประจำปี 2560
|
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2560
พม. จัดงาน “ฌาปนกิจศพผู้สูงอายุ ประจําปี 2560
พม. จัดงาน “ฌาปนกิจศพผู้สูงอายุ ประจําปี 2560" ของศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค
ณ เมรุวัดนิมมานรดี เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
วันนี้ (22 มี.ค. 60) เวลา 16.00 น. ที่เมรุวัดนิมมานรดี เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานงาน "ฌาปนกิจศพผู้สูงอายุ ประจําปี 2560” ของศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค ให้แก่ผู้สูงอายุที่ไม่ญาติ ที่ถึงแก่กรรมระหว่างเดือนเมษายน 2559 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2560 จํานวนทั้งสิ้น 23 ราย
พลตํารวจเอก สุวัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มีหน้าที่ให้การอุปการะเลี้ยงดูผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป เนื่องจากผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเป้าหมายกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยเฉพาะ ผู้สูงอายุที่ยากไร้ ถูกทอดทิ้ง ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู ไม่มีที่อยู่อาศัย หรืออยู่กับครอบครัวไม่มีความสุข กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) จะรับอุปการะไว้ในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค โดยมีการจัดบริการด้านปัจจัยสี่ คือ ด้านการแพทย์ ด้านสังคม และสังคมสงเคราะห์ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สําหรับศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค มีผู้สูงอายุอยู่ในความดูแล จํานวนทั้งสิ้น 235 คน เมื่อผู้สูงอายุถึงแก่กรรม และไม่มีญาติมารับศพไปประกอบพิธีทางศาสนา กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จะดําเนินการประกอบพิธีทางศาสนาให้ โดยนิมนต์พระสงฆ์สวดอภิธรรมศพ 1 คืน จากนั้น จะนําศพไปเก็บไว้ 1 ปี ที่วัดนิมมานรดี เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ เพื่อทําการฌาปนกิจศพพร้อมกันในเดือนมีนาคมของทุกปี
พลตํารวจเอก สุวัฒน์ กล่าวต่ออีกว่าว่า สําหรับในปี 2560 ผู้สูงอายุของศูนย์ฯ ผู้สูงอายุบ้านบางแค ถึงแก่กรรม จํานวนทั้งสิ้น 23 ราย โดยจะทําการฌาปนกิจศพพร้อมกัน ทั้งนี้ การจัดงานฌาปนกิจศพผู้สูงอายุ ประจําปี 2560 มีกําหนด จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 23 มีนาคม 2560 ณ วัดนิมมานรดี เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ โดยในวันพุธที่ 23 มีนาคม 2560 ตั้งแต่เวลา 10.30 น. เป็นต้นไป จะเป็นพิธีกรรมทางศาสนา จนถึงเวลา 16.00 น. เป็นพิธีประชุมเพลิง
“ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาสามารถไปร่วมพิธีฌาปนกิจศพผู้สูงอายุบ้านบางแค ประจําปี 2560 และร่วมบริจาคทรัพย์ตามศรัทธา ในวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค โทร.02-4551-592 หรือ 02-4551-593 และทางเว็บไซต์ www.banbangkhae.go.th” พลตํารวจเอก สุวัฒน์ กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- พม. จัดงาน “ฌาปนกิจศพผู้สูงอายุ ประจำปี 2560
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2560
พม. จัดงาน “ฌาปนกิจศพผู้สูงอายุ ประจําปี 2560
พม. จัดงาน “ฌาปนกิจศพผู้สูงอายุ ประจําปี 2560" ของศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค
ณ เมรุวัดนิมมานรดี เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
วันนี้ (22 มี.ค. 60) เวลา 16.00 น. ที่เมรุวัดนิมมานรดี เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานงาน "ฌาปนกิจศพผู้สูงอายุ ประจําปี 2560” ของศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค ให้แก่ผู้สูงอายุที่ไม่ญาติ ที่ถึงแก่กรรมระหว่างเดือนเมษายน 2559 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2560 จํานวนทั้งสิ้น 23 ราย
พลตํารวจเอก สุวัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มีหน้าที่ให้การอุปการะเลี้ยงดูผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป เนื่องจากผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเป้าหมายกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยเฉพาะ ผู้สูงอายุที่ยากไร้ ถูกทอดทิ้ง ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดู ไม่มีที่อยู่อาศัย หรืออยู่กับครอบครัวไม่มีความสุข กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) จะรับอุปการะไว้ในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค โดยมีการจัดบริการด้านปัจจัยสี่ คือ ด้านการแพทย์ ด้านสังคม และสังคมสงเคราะห์ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สําหรับศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค มีผู้สูงอายุอยู่ในความดูแล จํานวนทั้งสิ้น 235 คน เมื่อผู้สูงอายุถึงแก่กรรม และไม่มีญาติมารับศพไปประกอบพิธีทางศาสนา กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จะดําเนินการประกอบพิธีทางศาสนาให้ โดยนิมนต์พระสงฆ์สวดอภิธรรมศพ 1 คืน จากนั้น จะนําศพไปเก็บไว้ 1 ปี ที่วัดนิมมานรดี เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ เพื่อทําการฌาปนกิจศพพร้อมกันในเดือนมีนาคมของทุกปี
พลตํารวจเอก สุวัฒน์ กล่าวต่ออีกว่าว่า สําหรับในปี 2560 ผู้สูงอายุของศูนย์ฯ ผู้สูงอายุบ้านบางแค ถึงแก่กรรม จํานวนทั้งสิ้น 23 ราย โดยจะทําการฌาปนกิจศพพร้อมกัน ทั้งนี้ การจัดงานฌาปนกิจศพผู้สูงอายุ ประจําปี 2560 มีกําหนด จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 23 มีนาคม 2560 ณ วัดนิมมานรดี เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ โดยในวันพุธที่ 23 มีนาคม 2560 ตั้งแต่เวลา 10.30 น. เป็นต้นไป จะเป็นพิธีกรรมทางศาสนา จนถึงเวลา 16.00 น. เป็นพิธีประชุมเพลิง
“ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาสามารถไปร่วมพิธีฌาปนกิจศพผู้สูงอายุบ้านบางแค ประจําปี 2560 และร่วมบริจาคทรัพย์ตามศรัทธา ในวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค โทร.02-4551-592 หรือ 02-4551-593 และทางเว็บไซต์ www.banbangkhae.go.th” พลตํารวจเอก สุวัฒน์ กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2576
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“หม่อมเต่า” ถกสถานประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก รับมือผลกระทบการรณรงค์เลิกใช้ถุงพลาสติก
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563
“หม่อมเต่า” ถกสถานประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก รับมือผลกระทบการรณรงค์เลิกใช้ถุงพลาสติก
กระทรวงแรงงาน เชิญผู้ประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก หรือประเภทกิจการในกลุ่มพลาสติก หารือร่วมแสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการได้รับผลกระทบจากการรณรงค์เลิกใช้ถุงพลาสติก เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือตามอํานาจหน้าที่ของกระทรวงแรงงาน
หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยในฐานะประธานการประชุมหารือเพื่อรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกว่า การขับเคลื่อนเรื่องขยะพลาสติก รัฐบาลได้เร่งรัดการดําเนินแผนงานตามโรดแมปการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 - 2573 มีเป้าหมายลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งภายในปี 2565 ด้วยการใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงมีการรณรงค์เลิกใช้ถุงพลาสติกเป็นกิจกรรมชื่อ "Everyday Say No To Plastic Bags" จากการบูรณาการร่วมกันของภาครัฐบาล ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ตลอดจนร้านสะดวกซื้อทั้ง 75 บริษัททั่วประเทศ เพื่อเป็นสัญลักษณ์การขับเคลื่อน ลด ละ เลิกใช้พลาสติกเริ่มจากงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้ว ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา นําไปสู่การแก้ปัญหาขยะพลาสติกให้เป็นรูปธรรม จากสถานการณ์ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบกับผู้ประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก หรือประเภทกิจการในกลุ่มพลาสติก ซึ่งหากสถานการณ์รุนแรงถึงขั้นเลิกกิจการ ก็อาจส่งผลให้ลูกจ้างตกงาน ดังนั้น จึงได้เชิญมาร่วมกันหารือ รับฟังข้อเสนอแนะ ลดผลกระทบทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการช่วยเหลือตามอํานาจหน้าที่ของกระทรวงแรงงานต่อไป
ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมที่ประกอบธุรกิจประเภทพลาสติกทั่วประเทศที่มีข้อมูลอยู่ในฐานข้อมูลของกรม มีจํานวนทั้งสิ้น 4,240 แห่ง ลูกจ้าง 284,213 คน ซึ่งการหารือในครั้งนี้ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย ผู้แทนจากสมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกไทย เจ้าของสถานประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกใน 5 จังหวัดปริมณฑล และพื้นที่กรุงเทพมหานคร ผู้แทนกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน รวมทั้งสิ้น 129 คน ซึ่งผลจากการประชุมทําให้ทราบว่าสถานประกอบกิจการส่วนใหญ่ได้เตรียมแผนการรองรับไว้แล้วทั้งในเรื่องเครื่องจักร และกําลังคน โดยกําหนดให้แล้วเสร็จในปี 2565 ตามแผนของโรดแมป แต่หาก การรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติกเร่งรัดเกินไป อาจส่งผลให้สถานประกอบกิจการปรับตัวไม่ทันในด้านงบประมาณของค่าชดเชย หากมีความจําเป็นต้องลดคนงาน ทั้งนี้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะได้นําข้อมูลดังกล่าวมาเตรียมมาตรการรองรับที่เหมาะสมต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“หม่อมเต่า” ถกสถานประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก รับมือผลกระทบการรณรงค์เลิกใช้ถุงพลาสติก
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563
“หม่อมเต่า” ถกสถานประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก รับมือผลกระทบการรณรงค์เลิกใช้ถุงพลาสติก
กระทรวงแรงงาน เชิญผู้ประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก หรือประเภทกิจการในกลุ่มพลาสติก หารือร่วมแสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการได้รับผลกระทบจากการรณรงค์เลิกใช้ถุงพลาสติก เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือตามอํานาจหน้าที่ของกระทรวงแรงงาน
หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยในฐานะประธานการประชุมหารือเพื่อรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกว่า การขับเคลื่อนเรื่องขยะพลาสติก รัฐบาลได้เร่งรัดการดําเนินแผนงานตามโรดแมปการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 - 2573 มีเป้าหมายลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งภายในปี 2565 ด้วยการใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงมีการรณรงค์เลิกใช้ถุงพลาสติกเป็นกิจกรรมชื่อ "Everyday Say No To Plastic Bags" จากการบูรณาการร่วมกันของภาครัฐบาล ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ตลอดจนร้านสะดวกซื้อทั้ง 75 บริษัททั่วประเทศ เพื่อเป็นสัญลักษณ์การขับเคลื่อน ลด ละ เลิกใช้พลาสติกเริ่มจากงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้ว ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา นําไปสู่การแก้ปัญหาขยะพลาสติกให้เป็นรูปธรรม จากสถานการณ์ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบกับผู้ประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก หรือประเภทกิจการในกลุ่มพลาสติก ซึ่งหากสถานการณ์รุนแรงถึงขั้นเลิกกิจการ ก็อาจส่งผลให้ลูกจ้างตกงาน ดังนั้น จึงได้เชิญมาร่วมกันหารือ รับฟังข้อเสนอแนะ ลดผลกระทบทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการช่วยเหลือตามอํานาจหน้าที่ของกระทรวงแรงงานต่อไป
ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมที่ประกอบธุรกิจประเภทพลาสติกทั่วประเทศที่มีข้อมูลอยู่ในฐานข้อมูลของกรม มีจํานวนทั้งสิ้น 4,240 แห่ง ลูกจ้าง 284,213 คน ซึ่งการหารือในครั้งนี้ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย ผู้แทนจากสมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกไทย เจ้าของสถานประกอบกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกใน 5 จังหวัดปริมณฑล และพื้นที่กรุงเทพมหานคร ผู้แทนกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน รวมทั้งสิ้น 129 คน ซึ่งผลจากการประชุมทําให้ทราบว่าสถานประกอบกิจการส่วนใหญ่ได้เตรียมแผนการรองรับไว้แล้วทั้งในเรื่องเครื่องจักร และกําลังคน โดยกําหนดให้แล้วเสร็จในปี 2565 ตามแผนของโรดแมป แต่หาก การรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติกเร่งรัดเกินไป อาจส่งผลให้สถานประกอบกิจการปรับตัวไม่ทันในด้านงบประมาณของค่าชดเชย หากมีความจําเป็นต้องลดคนงาน ทั้งนี้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะได้นําข้อมูลดังกล่าวมาเตรียมมาตรการรองรับที่เหมาะสมต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26332
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กักตัวเอง 14 วัน รับผิดชอบต่อสังคม
|
วันพุธที่ 1 เมษายน 2563
กักตัวเอง 14 วัน รับผิดชอบต่อสังคม
สังเกตตัวเองกันด้วยนะ
ปลอดภัยทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กักตัวเอง 14 วัน รับผิดชอบต่อสังคม
วันพุธที่ 1 เมษายน 2563
กักตัวเอง 14 วัน รับผิดชอบต่อสังคม
สังเกตตัวเองกันด้วยนะ
ปลอดภัยทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28261
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาที่ Asia Society ย้ำบทบาทของไทยในภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน
|
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2562
นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาที่ Asia Society ย้ําบทบาทของไทยในภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาที่ Asia Society ย้ําบทบาทของไทยในภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน
วันนี้ (25 กันยายน 2562) เวลา 12.05 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ณ Asia Society นครนิวยอร์ก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้บริหาร Asia Society ได้แก่ มาดามโจเซ็ท ชีราน ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร Asia Society คุณทอม นากอร์สกี้ รองประธานบริหาร Asia Society และ แขกรับเชิญ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “การเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืนระหว่างประเทศ จากความแข็งแกร่งภายในสังคมไทย”
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มากล่าวปาฐกถา ณ Asia Society ถือเป็นปาฐกถาครั้งแรกในรอบ 7 ปี ของนายกรัฐมนตรีไทย ขอบคุณ Asia Society ที่ได้ดําเนินบทบาทอย่างแข็งขัน ในการส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความร่วมมือระหว่างเอเชียกับสหรัฐฯ เป็นเวลากว่า 60 ปี ซึ่งไทยภูมิใจที่เป็นประเทศแรกในเอเชียที่เป็นมิตร และภาคีสนธิสัญญาของสหรัฐฯ ซึ่งความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-สหรัฐฯ นี้ยังได้สร้างเสถียรภาพและความเจริญสู่ภูมิภาค
ประเทศไทยตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของบริบทโลก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพของสังคมและสวัสดิภาพความกินดีอยู่ดีของประชาชน อาทิ ภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่ ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ความท้าทายต่างๆเหล่านี้ ไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีเสถียรภาพ สันติภาพ และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสังคมอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นภูมิภาคที่เชื่อมต่อและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ หรือที่ฝ่ายสหรัฐฯ ในปัจจุบันรวมเรียกว่า อินโด-แปซิฟิก ถือว่าเป็น “ภูมิภาคแห่งโอกาส” เนื่องจากมีประชากรรวมกันแล้วเกือบ 3 พันล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทํางาน อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก และเป็นศูนย์อุตสาหกรรมการผลิตหลากหลายสาขาที่สําคัญ ประเทศไทยจึงดําเนินนโยบายเพื่อเสริมสร้าง “ความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน” กับประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศนอกภูมิภาคที่ร่วมความคิด (like-minded) และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวไทยเองเพื่อสามารถแสดงบทบาทนําดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงพัฒนาการในประเทศไทย ในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้วางรากฐานด้านต่างๆ และยังให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับปากท้องและการเอารัดเอาเปรียบในสังคม ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลปรับปรุงกฎระเบียบ และวิธีทํางานเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับ นักธุรกิจและนักลงทุนเพิ่มขึ้น ด้านสังคม รัฐบาลประกาศให้การต่อต้านการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ และได้กํากับดูแลการจัดการปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ด้านการเมือง ปฏิบัติตาม Roadmap อย่างครบถ้วน ต่อจากนี้ ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีมีเป้าหมายคือ จะทําให้ประเทศไทยเป็นประเทศรายได้สูง ภายในปี 2579 มีความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน มีพัฒนาการทางสังคมที่เป็นธรรมและเท่าเทียมในสิทธิพื้นฐาน เน้นการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย และไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ตลอดจน เพิ่มพูนบทบาทเสริมสร้าง “ความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน” กับนานาประเทศ โดยมีอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงเป็นจุดตั้งต้น
การเป็นประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ ไม่เพียงเน้นการมองไปสู่อนาคต และเสริมสร้างความเป็นแกนกลางของอาเซียนให้เข้มแข็งขึ้นเพื่อเป็นหลักให้ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกเท่านั้น แต่ยังจําเป็นต้องแสวงหาความร่วมมือ และเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นกับประเทศนอกภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศคู่เจรจาต่างๆ ของอาเซียน ภายใต้แนวคิดหลักคือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) โดยการดําเนินการดังกล่าวต้องครอบคลุมในทุกมิติหรือ Sustainability of Things (SoTs)
อย่างไรก็ดี ไทยให้ความสําคัญกับการลดความเหลื่อมล้ําระหว่างประเทศสมาชิกซึ่งถือเป็นภารกิจสําคัญตามวิสัยทัศน์อาเซียน เพราะเชื่อว่าเมื่อประเทศต่างๆ มีระดับการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน ก็จะเกิดความเข้าใจกันและร่วมมือกันใกล้ชิดขึ้น นายกรัฐมนตรีให้คํามั่นว่าในช่วงเวลาการเป็นประธานอาเซียนที่เหลือของไทย จะเดินหน้าส่งเสริมความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน กับประเทศทั้งภายในและภายนอกอาเซียน และในปี 2565 ไทยจะรับหน้าที่ประธานการประชุมสุดยอดผู้นําเอเปคไทยยินดีเปิดรับความเห็นและข้อแนะนําจากมิตรประเทศเพื่อให้วาระประธานเอเปคของไทยเกิดประโยชน์ต่อประเทศสมาชิกและประชาคมระหว่างประเทศในวงกว้าง โดยในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีหวังว่าการกล่าวปาฐกถาครั้งนี้ จะเป็นโอกาสในการเสริมสร้างความเข้าใจต่อพัฒนาการและบทบาทระหว่างประเทศของประเทศไทย และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นหุ้นส่วนใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ความร่วมมือไทย-สหรัฐฯ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
********
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาที่ Asia Society ย้ำบทบาทของไทยในภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2562
นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาที่ Asia Society ย้ําบทบาทของไทยในภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาที่ Asia Society ย้ําบทบาทของไทยในภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน
วันนี้ (25 กันยายน 2562) เวลา 12.05 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ณ Asia Society นครนิวยอร์ก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้บริหาร Asia Society ได้แก่ มาดามโจเซ็ท ชีราน ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร Asia Society คุณทอม นากอร์สกี้ รองประธานบริหาร Asia Society และ แขกรับเชิญ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “การเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืนระหว่างประเทศ จากความแข็งแกร่งภายในสังคมไทย”
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มากล่าวปาฐกถา ณ Asia Society ถือเป็นปาฐกถาครั้งแรกในรอบ 7 ปี ของนายกรัฐมนตรีไทย ขอบคุณ Asia Society ที่ได้ดําเนินบทบาทอย่างแข็งขัน ในการส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความร่วมมือระหว่างเอเชียกับสหรัฐฯ เป็นเวลากว่า 60 ปี ซึ่งไทยภูมิใจที่เป็นประเทศแรกในเอเชียที่เป็นมิตร และภาคีสนธิสัญญาของสหรัฐฯ ซึ่งความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-สหรัฐฯ นี้ยังได้สร้างเสถียรภาพและความเจริญสู่ภูมิภาค
ประเทศไทยตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของบริบทโลก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพของสังคมและสวัสดิภาพความกินดีอยู่ดีของประชาชน อาทิ ภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่ ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ความท้าทายต่างๆเหล่านี้ ไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีเสถียรภาพ สันติภาพ และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสังคมอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นภูมิภาคที่เชื่อมต่อและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ หรือที่ฝ่ายสหรัฐฯ ในปัจจุบันรวมเรียกว่า อินโด-แปซิฟิก ถือว่าเป็น “ภูมิภาคแห่งโอกาส” เนื่องจากมีประชากรรวมกันแล้วเกือบ 3 พันล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทํางาน อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก และเป็นศูนย์อุตสาหกรรมการผลิตหลากหลายสาขาที่สําคัญ ประเทศไทยจึงดําเนินนโยบายเพื่อเสริมสร้าง “ความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน” กับประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศนอกภูมิภาคที่ร่วมความคิด (like-minded) และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวไทยเองเพื่อสามารถแสดงบทบาทนําดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงพัฒนาการในประเทศไทย ในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้วางรากฐานด้านต่างๆ และยังให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับปากท้องและการเอารัดเอาเปรียบในสังคม ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลปรับปรุงกฎระเบียบ และวิธีทํางานเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับ นักธุรกิจและนักลงทุนเพิ่มขึ้น ด้านสังคม รัฐบาลประกาศให้การต่อต้านการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ และได้กํากับดูแลการจัดการปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ด้านการเมือง ปฏิบัติตาม Roadmap อย่างครบถ้วน ต่อจากนี้ ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีมีเป้าหมายคือ จะทําให้ประเทศไทยเป็นประเทศรายได้สูง ภายในปี 2579 มีความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน มีพัฒนาการทางสังคมที่เป็นธรรมและเท่าเทียมในสิทธิพื้นฐาน เน้นการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย และไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ตลอดจน เพิ่มพูนบทบาทเสริมสร้าง “ความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน” กับนานาประเทศ โดยมีอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงเป็นจุดตั้งต้น
การเป็นประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ ไม่เพียงเน้นการมองไปสู่อนาคต และเสริมสร้างความเป็นแกนกลางของอาเซียนให้เข้มแข็งขึ้นเพื่อเป็นหลักให้ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกเท่านั้น แต่ยังจําเป็นต้องแสวงหาความร่วมมือ และเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นกับประเทศนอกภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศคู่เจรจาต่างๆ ของอาเซียน ภายใต้แนวคิดหลักคือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) โดยการดําเนินการดังกล่าวต้องครอบคลุมในทุกมิติหรือ Sustainability of Things (SoTs)
อย่างไรก็ดี ไทยให้ความสําคัญกับการลดความเหลื่อมล้ําระหว่างประเทศสมาชิกซึ่งถือเป็นภารกิจสําคัญตามวิสัยทัศน์อาเซียน เพราะเชื่อว่าเมื่อประเทศต่างๆ มีระดับการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน ก็จะเกิดความเข้าใจกันและร่วมมือกันใกล้ชิดขึ้น นายกรัฐมนตรีให้คํามั่นว่าในช่วงเวลาการเป็นประธานอาเซียนที่เหลือของไทย จะเดินหน้าส่งเสริมความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน กับประเทศทั้งภายในและภายนอกอาเซียน และในปี 2565 ไทยจะรับหน้าที่ประธานการประชุมสุดยอดผู้นําเอเปคไทยยินดีเปิดรับความเห็นและข้อแนะนําจากมิตรประเทศเพื่อให้วาระประธานเอเปคของไทยเกิดประโยชน์ต่อประเทศสมาชิกและประชาคมระหว่างประเทศในวงกว้าง โดยในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีหวังว่าการกล่าวปาฐกถาครั้งนี้ จะเป็นโอกาสในการเสริมสร้างความเข้าใจต่อพัฒนาการและบทบาทระหว่างประเทศของประเทศไทย และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นหุ้นส่วนใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ความร่วมมือไทย-สหรัฐฯ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
********
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23402
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตรียมสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีสาขาแห่งใหม่ ลดแออัด
|
วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2562
สธ.เตรียมสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีสาขาแห่งใหม่ ลดแออัด
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยเตรียมสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีสาขาแห่งใหม่ ภายใต้การบริหารทรัพยากรเดิมเพิ่มเติมคือพื้นที่บริการ พร้อมเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลชุมชน ลดความแออัด ลดการรอคอย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยเตรียมสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีสาขาแห่งใหม่ ภายใต้การบริหารทรัพยากรเดิมเพิ่มเติมคือพื้นที่บริการ พร้อมเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลชุมชน ลดความแออัด ลดการรอคอย
วันนี้ (24 สิงหาคม 2562) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป จัดระบบบริหารจัดการ ระบบบริการ ด้วยเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ผู้ป่วย ลดความแออัด ลดรอคอย และได้รับการรักษาใกล้บ้าน ซึ่งโรงพยาบาลศูนย์สุราษฎร์ธานี เป็นโรงพยาบาลศูนย์เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ อุบัติเหตุ มะเร็ง ทารกแรกเกิด และศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ มีผู้รับบริการแผนกผู้ป่วยนอก 2,600 คนต่อวัน เพื่อลดความแออัด ทางโรงพยาบาลฯ มีแผนลดความแออัด อาทิ การพัฒนาเครือข่ายปฐมภูมิ คลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ศูนย์บริการสาธารณสุขเทศบาล 23 แห่ง เป็นด่านหน้าดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน โดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ทําให้สัดส่วนการรับบริการที่เครือข่ายปฐมภูมิใกล้บ้านสูงถึงร้อยละ 70
นอกจากนี้ ยังได้นําระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาระบบบริการ เช่น ระบบ Telemedicine ระบบ Queq online เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งแนวคิด Intermediate Care การเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ 4 ทิศ เพิ่มความเชี่ยวชาญในสาขาที่มีความพร้อมและรับผู้ป่วยกลับ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลใกล้บ้าน เช่น รพ.กาญจนดิษฐ์ ผ่าตัดไส้ติ่ง รพ.ไชยาและรพร.ยุพราชเวียงสระ ผ่าตัดโรคกระดูก และสูตินรีเวช รพ.พุนพิน ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหลังพ้นภาวะวิกฤติ รพ.ท่าโรงช้างและโรงพยาบาลไชยา ดูแลการบาดเจ็บทางสมองและทางด่วนโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ที่สําคัญขณะนี้ได้เตรียมการสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีสาขาแห่งใหม่ ในเนื้อที่ 59 ไร่ อยู่ห่างกัน 8กิโลเมตร ภายใต้การบริหารทรัพยากรเดิมเพิ่มเติมคือพื้นที่บริการ อยู่ในแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
“ยุคนี้เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงที่ทันสมัย ขอให้นําเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ การจัดบริการ รวมทั้งการใช้เครือข่าย อสม. เยี่ยมบ้าน แนะนํา รณรงค์ให้ออกกําลังกายเป็นประจําต่อเนื่อง และมีวินัย ร่างกายจะแข็งแรง ลดการเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล จะช่วยลดความแออัดได้อีกทางหนึ่ง” ดร.สาธิต กล่าว
************************************24 สิงหาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตรียมสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีสาขาแห่งใหม่ ลดแออัด
วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2562
สธ.เตรียมสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีสาขาแห่งใหม่ ลดแออัด
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยเตรียมสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีสาขาแห่งใหม่ ภายใต้การบริหารทรัพยากรเดิมเพิ่มเติมคือพื้นที่บริการ พร้อมเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลชุมชน ลดความแออัด ลดการรอคอย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยเตรียมสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีสาขาแห่งใหม่ ภายใต้การบริหารทรัพยากรเดิมเพิ่มเติมคือพื้นที่บริการ พร้อมเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลชุมชน ลดความแออัด ลดการรอคอย
วันนี้ (24 สิงหาคม 2562) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป จัดระบบบริหารจัดการ ระบบบริการ ด้วยเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ผู้ป่วย ลดความแออัด ลดรอคอย และได้รับการรักษาใกล้บ้าน ซึ่งโรงพยาบาลศูนย์สุราษฎร์ธานี เป็นโรงพยาบาลศูนย์เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ อุบัติเหตุ มะเร็ง ทารกแรกเกิด และศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ มีผู้รับบริการแผนกผู้ป่วยนอก 2,600 คนต่อวัน เพื่อลดความแออัด ทางโรงพยาบาลฯ มีแผนลดความแออัด อาทิ การพัฒนาเครือข่ายปฐมภูมิ คลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ศูนย์บริการสาธารณสุขเทศบาล 23 แห่ง เป็นด่านหน้าดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน โดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ทําให้สัดส่วนการรับบริการที่เครือข่ายปฐมภูมิใกล้บ้านสูงถึงร้อยละ 70
นอกจากนี้ ยังได้นําระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาระบบบริการ เช่น ระบบ Telemedicine ระบบ Queq online เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งแนวคิด Intermediate Care การเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ 4 ทิศ เพิ่มความเชี่ยวชาญในสาขาที่มีความพร้อมและรับผู้ป่วยกลับ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลใกล้บ้าน เช่น รพ.กาญจนดิษฐ์ ผ่าตัดไส้ติ่ง รพ.ไชยาและรพร.ยุพราชเวียงสระ ผ่าตัดโรคกระดูก และสูตินรีเวช รพ.พุนพิน ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหลังพ้นภาวะวิกฤติ รพ.ท่าโรงช้างและโรงพยาบาลไชยา ดูแลการบาดเจ็บทางสมองและทางด่วนโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ที่สําคัญขณะนี้ได้เตรียมการสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีสาขาแห่งใหม่ ในเนื้อที่ 59 ไร่ อยู่ห่างกัน 8กิโลเมตร ภายใต้การบริหารทรัพยากรเดิมเพิ่มเติมคือพื้นที่บริการ อยู่ในแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้
“ยุคนี้เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงที่ทันสมัย ขอให้นําเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ การจัดบริการ รวมทั้งการใช้เครือข่าย อสม. เยี่ยมบ้าน แนะนํา รณรงค์ให้ออกกําลังกายเป็นประจําต่อเนื่อง และมีวินัย ร่างกายจะแข็งแรง ลดการเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล จะช่วยลดความแออัดได้อีกทางหนึ่ง” ดร.สาธิต กล่าว
************************************24 สิงหาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22483
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย เยี่ยมชมการปรับปรุงอาคารนารายณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม
|
วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม 2561
รัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย เยี่ยมชมการปรับปรุงอาคารนารายณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการปรับปรุงอาคารนารายณ์
วันนี้ (15 ธันวาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการปรับปรุงอาคารนารายณ์ เพื่อเป็น สถานที่สําหรับใช้รับประทานอาหารที่ สะอาด ถูกสุขลักษณะ ของข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง นําเยี่ยมชม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย เยี่ยมชมการปรับปรุงอาคารนารายณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม
วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม 2561
รัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย เยี่ยมชมการปรับปรุงอาคารนารายณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการปรับปรุงอาคารนารายณ์
วันนี้ (15 ธันวาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการปรับปรุงอาคารนารายณ์ เพื่อเป็น สถานที่สําหรับใช้รับประทานอาหารที่ สะอาด ถูกสุขลักษณะ ของข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง นําเยี่ยมชม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17516
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รู้หรือไม่! การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากภายในเวลาสั้น ๆ อาจทำให้เกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษเฉียบพลัน ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562
รู้หรือไม่! การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากภายในเวลาสั้น ๆ อาจทําให้เกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษเฉียบพลัน ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้
..
#ไทยคู่ฟ้า จากกรณีการเสียชีวิตของพริตตี้สาวที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายสูงกว่า 400 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ รู้หรือไม่! การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากภายในเวลาสั้น ๆ อาจทําให้เกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษเฉียบพลัน ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ที่มีผลต่อการทํางานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
สัญญาณบ่งบอก คือ พูดไม่ชัดหรือพูดไม่รู้เรื่องอย่างหนัก อาเจียน หายใจผิดปกติ ตัวเย็น ผิวหนังซีดหรือกลายเป็นสีม่วง หมดสติ และหากมีภาวะสุราเป็นพิษรุนแรง อาจเกิดอาการชัก โคม่า สมองถูกทําลาย และเสียชีวิตในที่สุด
ดังนั้น หากเพื่อนหรือคนรอบข้างมีอาการดังกล่าว ให้รีบนําส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว หรือดูแลเบื้องต้นโดยพยายามปลุกให้ตื่นและพยุงให้อยู่ในท่านั่ง ให้ดื่มน้ําเปล่าถ้าสามารถดื่มได้ ทําให้ร่างกายอบอุ่น แต่หากผู้ป่วยเป็นลมหมดสติ ให้จัดนอนในท่านอนตะแคง และคอยสังเกตอาการจนกว่ารถพยาบาลจะไปรับ
สุดท้าย...หากดื่มอย่างมีสติ ไม่ว่าปาร์ตี้บ่อยแค่ไหนรับรองว่าไม่มีเรื่องให้เสียใจภายหลังอย่างแน่นอนครับ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รู้หรือไม่! การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากภายในเวลาสั้น ๆ อาจทำให้เกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษเฉียบพลัน ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562
รู้หรือไม่! การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากภายในเวลาสั้น ๆ อาจทําให้เกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษเฉียบพลัน ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้
..
#ไทยคู่ฟ้า จากกรณีการเสียชีวิตของพริตตี้สาวที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายสูงกว่า 400 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ รู้หรือไม่! การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากภายในเวลาสั้น ๆ อาจทําให้เกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษเฉียบพลัน ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ที่มีผลต่อการทํางานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
สัญญาณบ่งบอก คือ พูดไม่ชัดหรือพูดไม่รู้เรื่องอย่างหนัก อาเจียน หายใจผิดปกติ ตัวเย็น ผิวหนังซีดหรือกลายเป็นสีม่วง หมดสติ และหากมีภาวะสุราเป็นพิษรุนแรง อาจเกิดอาการชัก โคม่า สมองถูกทําลาย และเสียชีวิตในที่สุด
ดังนั้น หากเพื่อนหรือคนรอบข้างมีอาการดังกล่าว ให้รีบนําส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว หรือดูแลเบื้องต้นโดยพยายามปลุกให้ตื่นและพยุงให้อยู่ในท่านั่ง ให้ดื่มน้ําเปล่าถ้าสามารถดื่มได้ ทําให้ร่างกายอบอุ่น แต่หากผู้ป่วยเป็นลมหมดสติ ให้จัดนอนในท่านอนตะแคง และคอยสังเกตอาการจนกว่ารถพยาบาลจะไปรับ
สุดท้าย...หากดื่มอย่างมีสติ ไม่ว่าปาร์ตี้บ่อยแค่ไหนรับรองว่าไม่มีเรื่องให้เสียใจภายหลังอย่างแน่นอนครับ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23418
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ปล่อยกู้ บมจ. ฟู้ดแอนด์ดริ๊งส์ ขยายธุรกิจส่งออกเครื่องดื่ม ZUMMER อย่างมั่นใจ
|
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560
EXIM BANK ปล่อยกู้ บมจ. ฟู้ดแอนด์ดริ๊งส์ ขยายธุรกิจส่งออกเครื่องดื่ม ZUMMER อย่างมั่นใจ
การลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK ประกอบด้วยสินเชื่อส่งออกจํานวน 40 ล้านบาท แถมการชดเชยความเสียหายกรณีไม่ได้รับชําระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ และวงเงินสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นางวรรธนา มงคลศรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายเกษม ดีไมตรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแอนด์ดริ๊งส์ จํากัด (มหาชน) และนางจินตนา อัสดรนิธี กรรมการบริหาร บริษัท ฟู้ดแอนด์ดริ๊งส์ จํากัด (มหาชน) ลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK ประกอบด้วยสินเชื่อส่งออกจํานวน 40 ล้านบาท แถมการชดเชยความเสียหายกรณีไม่ได้รับชําระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ และวงเงินสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ณ EXIM BANK สํานักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้
รองกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า การสนับสนุนของ EXIM BANK ในครั้งนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออก SMEs ของไทยมีเงินทุนหมุนเวียนในการขยายตลาดต่างประเทศได้ตามเป้าหมาย มีต้นทุนทางการเงินที่แข่งขันได้ พร้อมความมั่นใจในการบุกตลาดหรือค้าขายในปริมาณมากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับชําระเงินค่าสินค้าและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ช่วยให้บริษัทสามารถบริหารต้นทุนและผลกําไรได้ตั้งแต่วันที่ทําสัญญาซื้อขายกับผู้ซื้อในต่างประเทศ อีกทั้งบริษัทยังสามารถทุ่มเทเวลาและทรัพยากรในการพัฒนาสินค้าและขยายตลาดได้อย่างมั่นคง
ทั้งนี้ บริษัท ฟู้ดแอนด์ดริ๊งส์ จํากัด (มหาชน) ดําเนินธุรกิจผลิต และจําหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มแปรรูป ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง “ZUMMER” และแบรนด์ลูกค้า (Original Equipment Manufacturer : OEM) ปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 50% โดยตลาดหลักอยู่ใน CLMV อาทิ กัมพูชา เป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นจะเป็นการส่งออกไปออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และจีน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-6
EXIM Thailand Finances Food and Drinks Plc.’s Overseas Expansion of ZUMMER Beverage Business
Mrs. Wantana Mongkolsri, Senior Executive Vice President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), jointly with Mr. Kasem Deemaitree, Chief Executive Officer of Food and Drinks Plc. and Mrs. Chintana Asdornnithee, Executive Director of Food and Drinks Plc., recently at EXIM Thailand’s Head Office signed a financial facility agreement comprising export credit worth 40 million baht together with insurance coverage for non-payment of goods by offshore buyers and foreign exchange forward contract line of up to 5 million US dollars to hedge against foreign exchange risk.
EXIM Thailand Senior Executive Vice President said such financial facilities are intended to serve working capital requirements of Thai SME exporters wishing to expand their export markets while maintaining competitive financial costs. With these facilities, they can venture into new markets with confidence or trading in a larger volume without concerns about possible buyers’ payment defaults and foreign exchange fluctuations. They can also manage their funding costs and profits as from the commencement date of sale contracts. In view of this, more time and resources can be devoted to their product development and expansion of markets.
Food and Drinks Plc. is a manufacturer and distributor of processed food and beverage under its own brand “ZUMMER” and other brands as an original equipment manufacturer (OEM). About 50% of its products are exported mainly to the CLMV such as Cambodia, and markets elsewhere, e.g. Australia, U.S.A., UK, the Netherlands, Japan and China.
For further information, please contact Public Relations Division, Office of Top Management
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141-6
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ปล่อยกู้ บมจ. ฟู้ดแอนด์ดริ๊งส์ ขยายธุรกิจส่งออกเครื่องดื่ม ZUMMER อย่างมั่นใจ
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560
EXIM BANK ปล่อยกู้ บมจ. ฟู้ดแอนด์ดริ๊งส์ ขยายธุรกิจส่งออกเครื่องดื่ม ZUMMER อย่างมั่นใจ
การลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK ประกอบด้วยสินเชื่อส่งออกจํานวน 40 ล้านบาท แถมการชดเชยความเสียหายกรณีไม่ได้รับชําระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ และวงเงินสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นางวรรธนา มงคลศรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายเกษม ดีไมตรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแอนด์ดริ๊งส์ จํากัด (มหาชน) และนางจินตนา อัสดรนิธี กรรมการบริหาร บริษัท ฟู้ดแอนด์ดริ๊งส์ จํากัด (มหาชน) ลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK ประกอบด้วยสินเชื่อส่งออกจํานวน 40 ล้านบาท แถมการชดเชยความเสียหายกรณีไม่ได้รับชําระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ และวงเงินสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ณ EXIM BANK สํานักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้
รองกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า การสนับสนุนของ EXIM BANK ในครั้งนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออก SMEs ของไทยมีเงินทุนหมุนเวียนในการขยายตลาดต่างประเทศได้ตามเป้าหมาย มีต้นทุนทางการเงินที่แข่งขันได้ พร้อมความมั่นใจในการบุกตลาดหรือค้าขายในปริมาณมากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับชําระเงินค่าสินค้าและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ช่วยให้บริษัทสามารถบริหารต้นทุนและผลกําไรได้ตั้งแต่วันที่ทําสัญญาซื้อขายกับผู้ซื้อในต่างประเทศ อีกทั้งบริษัทยังสามารถทุ่มเทเวลาและทรัพยากรในการพัฒนาสินค้าและขยายตลาดได้อย่างมั่นคง
ทั้งนี้ บริษัท ฟู้ดแอนด์ดริ๊งส์ จํากัด (มหาชน) ดําเนินธุรกิจผลิต และจําหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มแปรรูป ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง “ZUMMER” และแบรนด์ลูกค้า (Original Equipment Manufacturer : OEM) ปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 50% โดยตลาดหลักอยู่ใน CLMV อาทิ กัมพูชา เป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นจะเป็นการส่งออกไปออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และจีน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-6
EXIM Thailand Finances Food and Drinks Plc.’s Overseas Expansion of ZUMMER Beverage Business
Mrs. Wantana Mongkolsri, Senior Executive Vice President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), jointly with Mr. Kasem Deemaitree, Chief Executive Officer of Food and Drinks Plc. and Mrs. Chintana Asdornnithee, Executive Director of Food and Drinks Plc., recently at EXIM Thailand’s Head Office signed a financial facility agreement comprising export credit worth 40 million baht together with insurance coverage for non-payment of goods by offshore buyers and foreign exchange forward contract line of up to 5 million US dollars to hedge against foreign exchange risk.
EXIM Thailand Senior Executive Vice President said such financial facilities are intended to serve working capital requirements of Thai SME exporters wishing to expand their export markets while maintaining competitive financial costs. With these facilities, they can venture into new markets with confidence or trading in a larger volume without concerns about possible buyers’ payment defaults and foreign exchange fluctuations. They can also manage their funding costs and profits as from the commencement date of sale contracts. In view of this, more time and resources can be devoted to their product development and expansion of markets.
Food and Drinks Plc. is a manufacturer and distributor of processed food and beverage under its own brand “ZUMMER” and other brands as an original equipment manufacturer (OEM). About 50% of its products are exported mainly to the CLMV such as Cambodia, and markets elsewhere, e.g. Australia, U.S.A., UK, the Netherlands, Japan and China.
For further information, please contact Public Relations Division, Office of Top Management
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141-6
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2345
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรจบใหม่กว่า 3,000 คน ดูแลสุขภาพประชาชน
|
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
สธ.ส่งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรจบใหม่กว่า 3,000 คน ดูแลสุขภาพประชาชน
กระทรวงสาธารณสุข ส่งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรจบใหม่กว่า 3,000 คนกระจายทํางานในพื้นที่ ฝากทุกคนทํางานยึดวิสัยทัศน์กระทรวง MOPH เป็นแนวทางการดําเนินงาน มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมปรับตัวเข้ากับผู้ร่วมงาน ยอมรับความหลากหลาย ทํางานอย่างเสียสละ
กระทรวงสาธารณสุข ส่งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรจบใหม่กว่า 3,000 คนกระจายทํางานในพื้นที่ ฝากทุกคนทํางานยึดวิสัยทัศน์กระทรวง MOPH เป็นแนวทางการดําเนินงาน มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมปรับตัวเข้ากับผู้ร่วมงาน ยอมรับความหลากหลาย ทํางานอย่างเสียสละ
วันนี้ (16 พฤษภาคม 2561) ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดอบรมปฐมนิเทศและเลือกสถานที่ปฏิบัติงาน พร้อมมอบนโยบายแก่แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร ผู้ให้สัญญาชดใช้ทุนของกระทรวงสาธารณสุข ประจําปี 2561 จํานวน 3,020 คน ประกอบด้วย แพทย์ 2,070 คน ทันตแพทย์ 600 คน และเภสัชกร 350 คน เพื่อให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานในพื้นที่ เข้าใจแนวทางการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขในการดูแลสุขภาพประชาชน
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวว่า รัฐบาลมีเจตนารมณ์ที่จะให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพดี กระทรวงสาธารณสุขจึงได้พัฒนาคุณภาพระบบบริการ เพื่อให้ประชาชน เข้าถึงบริการ ลดแออัด ลดการรอคอย ซึ่งแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกรที่จบใหม่ ถือเป็นตัวแทนของกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้รับเกียรติไปดูแลประชาชนทั้งด้านร่างกายและจิตใจในพื้นที่ห่างไกล และต้องทํางานร่วมกับสหวิชาชีพ จึงขอให้ทุกคนยึดหลักตามวิสัยทัศน์กระทรวง MOPH เป็นแนวทางการดําเนินงาน ประกอบด้วย M : Masteryเป็นนายตนเอง ชนะใจตนเองรับผิดชอบในวิชาชีพ เป็นผู้นําด้านสุขภาพที่ดี O : Originality สรรค์สร้างสิ่งใหม่ ใช้เทคโนโลยี สร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนP : People centered ใส่ใจประชาชน ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทํางาน สื่อสารสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ลดปัญหาการถูกฟ้องร้อง H: Humility ปฏิบัติตัวอ่อนน้อม ถ่อมตน นอกจากนี้ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับผู้ร่วมงาน และทํางานงานอย่างเสียสละ จะสามารถทํางานร่วมกันได้กับทุกสถาบัน ทุกวิชาชีพอย่างมีความสุข โดยผู้บริหารทุกระดับพร้อมที่จะช่วยเหลือและดูแลเป็นอย่างดีเพราะเป็นครอบครัวเดียวกัน
นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้วางแผนการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ในภาพรวมของประเทศร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการในอนาคตที่เป็นสังคมผู้สูงอายุ และการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งเน้นการรับนักเรียนจากพื้นที่ เพื่อให้กลับไปทํางานในภูมิลําเนามากยิ่งขึ้น ทั้งโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท (CPIRD) และโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอําเภอหนึ่งทุน (ODOD) เพื่อให้เพียงพอ ประชาชนมีความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ การปฐมนิเทศแพทย์ ทันตแพทย์และเภสัช ของกระทรวงสาธารณสุขครั้งนี้ เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ของแพทย์ ทันตแพทย์และเภสัชจากรุ่นพี่ เกิดสัมพันธภาพ และเป็นเครือข่ายในการปฏิบัติงาน รวมทั้งได้เลือกสถานที่ปฏิบัติงานตามที่ต้องการ ทั้งนี้ ข้อมูลบุคลากรด้านสาธารณสุข ปี 2559 มีแพทย์ทํางานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 17,673 คน ทันตแพทย์ มี 4,956 คน เภสัชกร 8,943 คน
********************** 16 พฤษภาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรจบใหม่กว่า 3,000 คน ดูแลสุขภาพประชาชน
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
สธ.ส่งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรจบใหม่กว่า 3,000 คน ดูแลสุขภาพประชาชน
กระทรวงสาธารณสุข ส่งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรจบใหม่กว่า 3,000 คนกระจายทํางานในพื้นที่ ฝากทุกคนทํางานยึดวิสัยทัศน์กระทรวง MOPH เป็นแนวทางการดําเนินงาน มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมปรับตัวเข้ากับผู้ร่วมงาน ยอมรับความหลากหลาย ทํางานอย่างเสียสละ
กระทรวงสาธารณสุข ส่งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรจบใหม่กว่า 3,000 คนกระจายทํางานในพื้นที่ ฝากทุกคนทํางานยึดวิสัยทัศน์กระทรวง MOPH เป็นแนวทางการดําเนินงาน มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมปรับตัวเข้ากับผู้ร่วมงาน ยอมรับความหลากหลาย ทํางานอย่างเสียสละ
วันนี้ (16 พฤษภาคม 2561) ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดอบรมปฐมนิเทศและเลือกสถานที่ปฏิบัติงาน พร้อมมอบนโยบายแก่แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร ผู้ให้สัญญาชดใช้ทุนของกระทรวงสาธารณสุข ประจําปี 2561 จํานวน 3,020 คน ประกอบด้วย แพทย์ 2,070 คน ทันตแพทย์ 600 คน และเภสัชกร 350 คน เพื่อให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานในพื้นที่ เข้าใจแนวทางการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขในการดูแลสุขภาพประชาชน
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวว่า รัฐบาลมีเจตนารมณ์ที่จะให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพดี กระทรวงสาธารณสุขจึงได้พัฒนาคุณภาพระบบบริการ เพื่อให้ประชาชน เข้าถึงบริการ ลดแออัด ลดการรอคอย ซึ่งแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกรที่จบใหม่ ถือเป็นตัวแทนของกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้รับเกียรติไปดูแลประชาชนทั้งด้านร่างกายและจิตใจในพื้นที่ห่างไกล และต้องทํางานร่วมกับสหวิชาชีพ จึงขอให้ทุกคนยึดหลักตามวิสัยทัศน์กระทรวง MOPH เป็นแนวทางการดําเนินงาน ประกอบด้วย M : Masteryเป็นนายตนเอง ชนะใจตนเองรับผิดชอบในวิชาชีพ เป็นผู้นําด้านสุขภาพที่ดี O : Originality สรรค์สร้างสิ่งใหม่ ใช้เทคโนโลยี สร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนP : People centered ใส่ใจประชาชน ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทํางาน สื่อสารสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ลดปัญหาการถูกฟ้องร้อง H: Humility ปฏิบัติตัวอ่อนน้อม ถ่อมตน นอกจากนี้ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับผู้ร่วมงาน และทํางานงานอย่างเสียสละ จะสามารถทํางานร่วมกันได้กับทุกสถาบัน ทุกวิชาชีพอย่างมีความสุข โดยผู้บริหารทุกระดับพร้อมที่จะช่วยเหลือและดูแลเป็นอย่างดีเพราะเป็นครอบครัวเดียวกัน
นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้วางแผนการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ในภาพรวมของประเทศร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการในอนาคตที่เป็นสังคมผู้สูงอายุ และการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งเน้นการรับนักเรียนจากพื้นที่ เพื่อให้กลับไปทํางานในภูมิลําเนามากยิ่งขึ้น ทั้งโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท (CPIRD) และโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอําเภอหนึ่งทุน (ODOD) เพื่อให้เพียงพอ ประชาชนมีความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ การปฐมนิเทศแพทย์ ทันตแพทย์และเภสัช ของกระทรวงสาธารณสุขครั้งนี้ เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ของแพทย์ ทันตแพทย์และเภสัชจากรุ่นพี่ เกิดสัมพันธภาพ และเป็นเครือข่ายในการปฏิบัติงาน รวมทั้งได้เลือกสถานที่ปฏิบัติงานตามที่ต้องการ ทั้งนี้ ข้อมูลบุคลากรด้านสาธารณสุข ปี 2559 มีแพทย์ทํางานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 17,673 คน ทันตแพทย์ มี 4,956 คน เภสัชกร 8,943 คน
********************** 16 พฤษภาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12273
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขยายระยะเวลาการยื่นแบบฯ ต้านภัย COVID-19 มีผลใช้บังคับแล้ว [กระทรวงการคลัง]
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
การขยายระยะเวลาการยื่นแบบฯ ต้านภัย COVID-19 มีผลใช้บังคับแล้ว [กระทรวงการคลัง]
ด้วยได้มีประกาศกระทรวงการคลัง จํานวน 3 ฉบับ ขยายกําหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีประเภทต่าง ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
ด้วยได้มีประกาศกระทรวงการคลัง จํานวน 3 ฉบับ ขยายกําหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีประเภทต่าง ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการถูกปิดสถานประกอบการตามคําสั่งของทางราชการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) กรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้เลื่อนกําหนดเวลา ยื่นแบบและชําระภาษีให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบของ COVID-19 ซึ่งผู้ประกอบการได้ติดตามความคืบหน้าการออกกฎหมายเมื่อมีผลบังคับไว้นั้น บัดนี้ เรื่องดังกล่าวได้มีการประกาศกระทรวงการคลังออกมาแล้วจํานวน 3 ฉบับ ซึ่งกําหนดเวลายื่นแบบและชําระภาษีประเภทต่าง ๆ ที่ขยายออกไป มีดังต่อไปนี้
1. ขยายเวลายื่นแบบและชําระภาษีเป็นการทั่วไป ดังนี้
1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สําหรับปีภาษี 2562 (แบบ ภ.ง.ด.90* แบบ ภ.ง.ด.91* และ แบบ ภ.ง.ด.95) ที่ต้องยื่นภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 ได้ขยายเวลาออกไปอีกจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563
1.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับรอบระยะเวลาบัญชี 2562 (แบบ ภ.ง.ด. 50 และ แบบ ภ.ง.ด. 55) เฉพาะรายที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องยื่นภายในเดือนเมษายน 2563 ถึงเดือนสิงหาคม 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563
1.3 ภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีปี 2563 (แบบ ภ.ง.ด. 51) เฉพาะรายที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องยื่นภายในเดือนเมษายน 2563 ถึงเดือนกันยายน 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2563
2. ขยายเวลายื่นแบบและชําระภาษีเฉพาะผู้ประกอบการที่ปิดสถานประกอบการตามคําสั่งของทางราชการดังต่อไปนี้
2.1 ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (แบบ ภ.ง.ด. 1 แบบ ภ.ง.ด. 2 แบบ ภ.ง.ด. 3 แบบ ภ.ง.ด. 53 และ แบบ ภ.ง.ด. 54) ของเดือนมีนาคม 2563 ที่ต้องยื่นภายเดือนเมษายน 2563 และเดือนเมษายน 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนพฤษภาคม 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563
2.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม
2.2.1 การขายสินค้าและบริการภายในประเทศ (แบบ ภ.พ. 30) ของเดือนมีนาคม 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนเมษายน 2563 และเดือนเมษายน 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนพฤษภาคม 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2563
2.2.2 การจ่ายค่าบริการไปต่างประเทศ (แบบ ภ.พ. 36) ของเดือนมีนาคม 2563 ที่ต้องยื่นภายเดือนเมษายน 2563 และเดือนเมษายน 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนพฤษภาคม 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563
2.3 ภาษีธุรกิจเฉพาะ (แบบ ภ.ธ. 40) ของเดือนมีนาคม 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนเมษายน 2563 และเดือนเมษายน 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนพฤษภาคม 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2563 แต่ไม่รวมถึงกรณีการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากําไรที่ชําระในขณะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
2.4 อากรแสตมป์ (แบบ อ.ส. 4 แบบ อ.ส. 4ก และ แบบ อ.ส. 4ข) ที่ต้องยื่นชําระภายในวันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิขยายเวลาเฉพาะกรณีที่ปิดสถานประกอบการตามคําสั่งของทางราชการจะต้องมีหน้าที่ในการยื่นแบบและชําระภาษี
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการการขยายระยะเวลาการยื่นแบบฯ จะช่วยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบมีสภาพคล่องทางการเงินและมีความคล่องตัวในการทํางานเพิ่มขึ้น สามารถดําเนินกิจการต่อไปได้ และหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้ทุกคนอยู่ที่บ้าน ภายใต้แนวคิด “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ของรัฐบาลต่อไป”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การขยายระยะเวลาการยื่นแบบฯ ต้านภัย COVID-19 มีผลใช้บังคับแล้ว [กระทรวงการคลัง]
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
การขยายระยะเวลาการยื่นแบบฯ ต้านภัย COVID-19 มีผลใช้บังคับแล้ว [กระทรวงการคลัง]
ด้วยได้มีประกาศกระทรวงการคลัง จํานวน 3 ฉบับ ขยายกําหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีประเภทต่าง ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
ด้วยได้มีประกาศกระทรวงการคลัง จํานวน 3 ฉบับ ขยายกําหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีประเภทต่าง ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการถูกปิดสถานประกอบการตามคําสั่งของทางราชการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) กรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้เลื่อนกําหนดเวลา ยื่นแบบและชําระภาษีให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบของ COVID-19 ซึ่งผู้ประกอบการได้ติดตามความคืบหน้าการออกกฎหมายเมื่อมีผลบังคับไว้นั้น บัดนี้ เรื่องดังกล่าวได้มีการประกาศกระทรวงการคลังออกมาแล้วจํานวน 3 ฉบับ ซึ่งกําหนดเวลายื่นแบบและชําระภาษีประเภทต่าง ๆ ที่ขยายออกไป มีดังต่อไปนี้
1. ขยายเวลายื่นแบบและชําระภาษีเป็นการทั่วไป ดังนี้
1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สําหรับปีภาษี 2562 (แบบ ภ.ง.ด.90* แบบ ภ.ง.ด.91* และ แบบ ภ.ง.ด.95) ที่ต้องยื่นภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 ได้ขยายเวลาออกไปอีกจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563
1.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับรอบระยะเวลาบัญชี 2562 (แบบ ภ.ง.ด. 50 และ แบบ ภ.ง.ด. 55) เฉพาะรายที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องยื่นภายในเดือนเมษายน 2563 ถึงเดือนสิงหาคม 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563
1.3 ภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีปี 2563 (แบบ ภ.ง.ด. 51) เฉพาะรายที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องยื่นภายในเดือนเมษายน 2563 ถึงเดือนกันยายน 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2563
2. ขยายเวลายื่นแบบและชําระภาษีเฉพาะผู้ประกอบการที่ปิดสถานประกอบการตามคําสั่งของทางราชการดังต่อไปนี้
2.1 ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (แบบ ภ.ง.ด. 1 แบบ ภ.ง.ด. 2 แบบ ภ.ง.ด. 3 แบบ ภ.ง.ด. 53 และ แบบ ภ.ง.ด. 54) ของเดือนมีนาคม 2563 ที่ต้องยื่นภายเดือนเมษายน 2563 และเดือนเมษายน 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนพฤษภาคม 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563
2.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม
2.2.1 การขายสินค้าและบริการภายในประเทศ (แบบ ภ.พ. 30) ของเดือนมีนาคม 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนเมษายน 2563 และเดือนเมษายน 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนพฤษภาคม 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2563
2.2.2 การจ่ายค่าบริการไปต่างประเทศ (แบบ ภ.พ. 36) ของเดือนมีนาคม 2563 ที่ต้องยื่นภายเดือนเมษายน 2563 และเดือนเมษายน 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนพฤษภาคม 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563
2.3 ภาษีธุรกิจเฉพาะ (แบบ ภ.ธ. 40) ของเดือนมีนาคม 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนเมษายน 2563 และเดือนเมษายน 2563 ที่ต้องยื่นภายในเดือนพฤษภาคม 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2563 แต่ไม่รวมถึงกรณีการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากําไรที่ชําระในขณะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
2.4 อากรแสตมป์ (แบบ อ.ส. 4 แบบ อ.ส. 4ก และ แบบ อ.ส. 4ข) ที่ต้องยื่นชําระภายในวันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิขยายเวลาเฉพาะกรณีที่ปิดสถานประกอบการตามคําสั่งของทางราชการจะต้องมีหน้าที่ในการยื่นแบบและชําระภาษี
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการการขยายระยะเวลาการยื่นแบบฯ จะช่วยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบมีสภาพคล่องทางการเงินและมีความคล่องตัวในการทํางานเพิ่มขึ้น สามารถดําเนินกิจการต่อไปได้ และหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้ทุกคนอยู่ที่บ้าน ภายใต้แนวคิด “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ของรัฐบาลต่อไป”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28329
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. พร้อมให้บริการรับคำร้องผ่านอินเตอร์เนต 1 ม.ค. 61 นี้
|
วันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2560
กสร. พร้อมให้บริการรับคําร้องผ่านอินเตอร์เนต 1 ม.ค. 61 นี้
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พร้อมให้บริการของขวัญปีใหม่ ยื่นคําร้องออนไลน์ 1 มกราคม 2561 สะดวก รวดเร็ว ลูกจ้างลดค่าใช้จ่าย ได้รับการคุ้มครองสิทธิเหมือนเดิม
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบของขวัญปีใหม่ให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน 9 ชิ้น ภายใต้แนวคิด 9 ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ โดยในส่วนของกสร.เป็นการเปิดให้บริการรับคําร้อง ผ่านอินเตอร์เน็ตทางเว็บไซต์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครอง ซึ่งจะเปิดใช้บริการตั้งแต่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป โดยลูกจ้างที่ประสงค์จะใช้สิทธิยื่นคําร้องกับพนักงานตรวจแรงงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่เดิมต้องมายื่นคําร้อง ณ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในวันและเวลาราชการ เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวก ลดภาระการเดินทางและประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับลูกจ้าง กสร. ได้พัฒนาระบบการรับคําร้องเบื้องต้นเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงินทางอินเทอร์เน็ตขึ้น เพื่อให้ลูกจ้างสามารถยื่นคําร้องได้ทุกที่ ทุกเวลาผ่านเว็บไซด์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน www.labour.go.th เสมือนมายื่นคําร้องด้วยตนเอง เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับคําร้องแล้ว จะดําเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายโดยเร็วพร้อมประสานให้ลูกจ้างรับทราบผลผ่านทางอีเมล์ของลูกจ้าง ซึ่งลูกจ้างสามารถทราบขั้นตอนและผลการดําเนินการด้วย
อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า การให้บริการยื่นคําร้องผ่านอินเตอร์เน็ตจะช่วยให้ลูกจ้างสามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐมากยิ่งขึ้น และช่วยให้ลูกจ้างได้รับการคุ้มครองตาม กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้อย่างทั่วถึง สําหรับข้อมูลของลูกจ้างที่ยื่นผ่านเว็บไซต์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนั้นจะเป็นความลับไม่มีการเปิดเผยแต่อย่างใด ทั้งนี้ กสร. ตั้งเป้าว่าจะมีผู้ใช้บริการในระยะแรกไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของจํานวนลูกจ้างที่ยื่นคําร้องกับพนักงานงานตรวจแรงงาน ณ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานโดยตรง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. พร้อมให้บริการรับคำร้องผ่านอินเตอร์เนต 1 ม.ค. 61 นี้
วันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2560
กสร. พร้อมให้บริการรับคําร้องผ่านอินเตอร์เนต 1 ม.ค. 61 นี้
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พร้อมให้บริการของขวัญปีใหม่ ยื่นคําร้องออนไลน์ 1 มกราคม 2561 สะดวก รวดเร็ว ลูกจ้างลดค่าใช้จ่าย ได้รับการคุ้มครองสิทธิเหมือนเดิม
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบของขวัญปีใหม่ให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน 9 ชิ้น ภายใต้แนวคิด 9 ชื่นบาน แรงงานชื่นใจ โดยในส่วนของกสร.เป็นการเปิดให้บริการรับคําร้อง ผ่านอินเตอร์เน็ตทางเว็บไซต์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครอง ซึ่งจะเปิดใช้บริการตั้งแต่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป โดยลูกจ้างที่ประสงค์จะใช้สิทธิยื่นคําร้องกับพนักงานตรวจแรงงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่เดิมต้องมายื่นคําร้อง ณ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในวันและเวลาราชการ เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวก ลดภาระการเดินทางและประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับลูกจ้าง กสร. ได้พัฒนาระบบการรับคําร้องเบื้องต้นเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงินทางอินเทอร์เน็ตขึ้น เพื่อให้ลูกจ้างสามารถยื่นคําร้องได้ทุกที่ ทุกเวลาผ่านเว็บไซด์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน www.labour.go.th เสมือนมายื่นคําร้องด้วยตนเอง เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับคําร้องแล้ว จะดําเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายโดยเร็วพร้อมประสานให้ลูกจ้างรับทราบผลผ่านทางอีเมล์ของลูกจ้าง ซึ่งลูกจ้างสามารถทราบขั้นตอนและผลการดําเนินการด้วย
อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า การให้บริการยื่นคําร้องผ่านอินเตอร์เน็ตจะช่วยให้ลูกจ้างสามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐมากยิ่งขึ้น และช่วยให้ลูกจ้างได้รับการคุ้มครองตาม กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้อย่างทั่วถึง สําหรับข้อมูลของลูกจ้างที่ยื่นผ่านเว็บไซต์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนั้นจะเป็นความลับไม่มีการเปิดเผยแต่อย่างใด ทั้งนี้ กสร. ตั้งเป้าว่าจะมีผู้ใช้บริการในระยะแรกไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของจํานวนลูกจ้างที่ยื่นคําร้องกับพนักงานงานตรวจแรงงาน ณ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานโดยตรง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9021
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 5/2561 เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ
|
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561
พม. จัดประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 5/2561 เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุ
พม. จัดประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 5/2561 เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุ
เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 61 เวลา 09.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 5/2561 เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุ โดยมีนายอภิชาติ อภิชาตบุตร รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางไพรวรรณ พลวัน อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล
พลเอก อนันตพร กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบให้เสนอรายงานสถานการณ์ พ.ศ.2560 ต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอไปดําเนินการ สําหรับการจัดทํารายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยในปีต่อไป ขอให้เร่งดําเนินงานให้แล้วเสร็จ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้รับทราบความก้าวหน้าของการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุของหน่วยงานที่เกี่ยงข้อง เช่น การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การเตรียมการจัดทําแผนพัฒนาศักยภาพ กําลังคนภาครัฐให้พร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ความก้าวหน้าการดําเนินงานเรื่องนักบริบาลชุมชน ตลอดจน การจัดตั้งศูนย์ ASEAN Center for Active Ageing and Innovation (ACAI) เป็นต้น
พลเอก อนันตพร กล่าวต่อไปว่า สําหรับการจัดทํารายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2560 นั้น กผส. มีมติการประชุมครั้งที่ 5/2560 เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 มอบหมายให้กองบริหารกองทุนผู้สูงอายุ พิจารณาสนับสนุนงบประมาณ ให้มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) เพื่อดําเนินการจัดทํารายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2560 และขณะนี้ มส.ผส.ได้จัดทํารายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย เรียบร้อยแล้ว โดยในรายงานดังกล่าวได้ระบุว่า ในปี 2560 ประเทศไทยมีจํานวนผู้สูงอายุสูงขึ้นอย่างมาก คาดประมาณว่าอีกไม่เกิน 4 ปีข้างหน้านี้ประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ จึงมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1) สนับสนุนให้ผู้สูงอายุอยู่ในที่อยู่อาศัยที่ช่วยส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี 2) สนับสนุนให้ผู้สูงอายุดํารงชีวิตอยู่อย่างมั่นคงและมีศักดิ์ศรี 3) ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีหลักประกันรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน 4) จัดทําแผนช่วยเหลือผู้สูงอายุเมื่อเกิดภัยพิบัติและ 5) ด้านสุขภาพอนามัยของผู้สูงอายุไทย นอกจากนี้ รายงานฯ ยังมีงานวิจัยเพื่อสังคมสูงอายุ ปี2560 ได้แก่ การถอดบทเรียนที่ดีของโรงเรียนและชมรมผู้สูงอายุ ที่มีกิจกรรมถ่ายทอดความรู้ การศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุไทย แนวทางการจัดสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมของประเทศไทย โครงการติดตามและประเมินผลแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545 - 2564) ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2555 - 2559) การศึกษารูปแบบการให้บริการการบริหารและการจัดการ ที่พักสําหรับผู้สูงอายุ การพัฒนารูปแบบการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยผู้สูงอายุในพื้นที่ชนบทของประเทศไทย การศึกษาปัญหาและความเสี่ยงในการถูกละเมิดสิทธิและ ประเมินสถานการณ์เพื่อพิทักษ์สิทธิของผู้สูงอายุ
พลเอก อนันตพร กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้เสนอรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2560 ต่อคณะรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนเชิงนโยบายต่อไป พร้อมทั้ง มอบหมายให้ มส.ผส. ดําเนินการจัดทํารายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2561 - 2562 ทั้งนี้ ให้สอดคล้องกับมาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ โดยกองทุนผู้สูงอายุสนับสนุนงบประมาณ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบเป้าหมายการดําเนินงาน ศพอส. ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ได้กําหนดเป้าหมายในการขับเคลื่อน ศพอส. เพื่อขยายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ในปี 2565 เพื่อเป็นศูนย์ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุครอบคลุมทั้ง 4 มิติ คือ สุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อม อีกทั้งเป็นพื้นที่ในการบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายการดําเนินงานผู้สูงอายุ
“อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ตระหนักและเห็นความสําคัญของงานด้านผู้สูงอายุ จึงได้เห็นชอบให้เสนอเรื่องสังคมสูงอายุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งดําเนินการเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาประกาศให้เรื่อง สังคมสูงอายุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทํางานอย่างเป็นองค์รวม ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์การเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ รวมทั้งเป็นของขวัญปีใหม่สําหรับผู้สูงอายุไทยทั่วประเทศ” พลเอก อนันตพร กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 5/2561 เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561
พม. จัดประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 5/2561 เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุ
พม. จัดประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 5/2561 เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุ
เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 61 เวลา 09.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 5/2561 เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุ โดยมีนายอภิชาติ อภิชาตบุตร รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางไพรวรรณ พลวัน อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล
พลเอก อนันตพร กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบให้เสนอรายงานสถานการณ์ พ.ศ.2560 ต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอไปดําเนินการ สําหรับการจัดทํารายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยในปีต่อไป ขอให้เร่งดําเนินงานให้แล้วเสร็จ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้รับทราบความก้าวหน้าของการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุของหน่วยงานที่เกี่ยงข้อง เช่น การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การเตรียมการจัดทําแผนพัฒนาศักยภาพ กําลังคนภาครัฐให้พร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ความก้าวหน้าการดําเนินงานเรื่องนักบริบาลชุมชน ตลอดจน การจัดตั้งศูนย์ ASEAN Center for Active Ageing and Innovation (ACAI) เป็นต้น
พลเอก อนันตพร กล่าวต่อไปว่า สําหรับการจัดทํารายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2560 นั้น กผส. มีมติการประชุมครั้งที่ 5/2560 เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 มอบหมายให้กองบริหารกองทุนผู้สูงอายุ พิจารณาสนับสนุนงบประมาณ ให้มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) เพื่อดําเนินการจัดทํารายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2560 และขณะนี้ มส.ผส.ได้จัดทํารายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย เรียบร้อยแล้ว โดยในรายงานดังกล่าวได้ระบุว่า ในปี 2560 ประเทศไทยมีจํานวนผู้สูงอายุสูงขึ้นอย่างมาก คาดประมาณว่าอีกไม่เกิน 4 ปีข้างหน้านี้ประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ จึงมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1) สนับสนุนให้ผู้สูงอายุอยู่ในที่อยู่อาศัยที่ช่วยส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี 2) สนับสนุนให้ผู้สูงอายุดํารงชีวิตอยู่อย่างมั่นคงและมีศักดิ์ศรี 3) ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีหลักประกันรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน 4) จัดทําแผนช่วยเหลือผู้สูงอายุเมื่อเกิดภัยพิบัติและ 5) ด้านสุขภาพอนามัยของผู้สูงอายุไทย นอกจากนี้ รายงานฯ ยังมีงานวิจัยเพื่อสังคมสูงอายุ ปี2560 ได้แก่ การถอดบทเรียนที่ดีของโรงเรียนและชมรมผู้สูงอายุ ที่มีกิจกรรมถ่ายทอดความรู้ การศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุไทย แนวทางการจัดสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมของประเทศไทย โครงการติดตามและประเมินผลแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545 - 2564) ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2555 - 2559) การศึกษารูปแบบการให้บริการการบริหารและการจัดการ ที่พักสําหรับผู้สูงอายุ การพัฒนารูปแบบการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยผู้สูงอายุในพื้นที่ชนบทของประเทศไทย การศึกษาปัญหาและความเสี่ยงในการถูกละเมิดสิทธิและ ประเมินสถานการณ์เพื่อพิทักษ์สิทธิของผู้สูงอายุ
พลเอก อนันตพร กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้เสนอรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2560 ต่อคณะรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนเชิงนโยบายต่อไป พร้อมทั้ง มอบหมายให้ มส.ผส. ดําเนินการจัดทํารายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2561 - 2562 ทั้งนี้ ให้สอดคล้องกับมาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ โดยกองทุนผู้สูงอายุสนับสนุนงบประมาณ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบเป้าหมายการดําเนินงาน ศพอส. ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ได้กําหนดเป้าหมายในการขับเคลื่อน ศพอส. เพื่อขยายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ในปี 2565 เพื่อเป็นศูนย์ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุครอบคลุมทั้ง 4 มิติ คือ สุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อม อีกทั้งเป็นพื้นที่ในการบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายการดําเนินงานผู้สูงอายุ
“อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ตระหนักและเห็นความสําคัญของงานด้านผู้สูงอายุ จึงได้เห็นชอบให้เสนอเรื่องสังคมสูงอายุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งดําเนินการเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาประกาศให้เรื่อง สังคมสูงอายุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทํางานอย่างเป็นองค์รวม ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์การเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ รวมทั้งเป็นของขวัญปีใหม่สําหรับผู้สูงอายุไทยทั่วประเทศ” พลเอก อนันตพร กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17011
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยมองเศรษฐกิจไทยปีนี้โตไม่เกิน 4.5% มั่นใจในเชิงคุณภาพยังขยายตัวดี
|
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
กรุงไทยมองเศรษฐกิจไทยปีนี้โตไม่เกิน 4.5% มั่นใจในเชิงคุณภาพยังขยายตัวดี
Krungthai Macro Research คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โตไม่เกิน 4.5% ซึ่งเป็นระดับที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ และเป็นในทิศทางเดียวกับ สคช. มั่นใจเศรษฐกิจไทยในเชิงคุณภาพยังขยายตัวดี โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐและการผลิตภาคอุตสาหกรรม
Krungthai Macro Research คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โตไม่เกิน 4.5% ซึ่งเป็นระดับที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ และเป็นในทิศทางเดียวกับ สคช. มั่นใจเศรษฐกิจไทยในเชิงคุณภาพยังขยายตัวดี โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐและการผลิตภาคอุตสาหกรรม เผยภาคการผลิตของจีนจะอยู่ในภาวะที่ชะลอตัวจนถึงไตรมาส 1 ของปี 2562 เป็นอย่างน้อย และประเมินว่า ธปท.จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี ในเดือน ธ.ค.นี้
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส สายงาน Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.) รายงานเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ว่าเติบโต 3.3% และคาดว่าทั้งปีจะเติบโตราว 4.2% นั้น ในส่วนของ Krungthai Macro Research เห็นว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตไม่เกิน 4.5% และเป็นไปในทิศทางเดียวกับ สคช. หลังจากตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 3 ต่ํากว่าช่วงครึ่งปีแรกค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากตัวเลขภาคการเกษตรติดลบ อันเป็นผลจากช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวค่อนข้างสูงตามสภาพอากาศเอื้ออํานวย และเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว อย่างไรก็ตาม มองว่าเศรษฐกิจไทยในเชิงคุณภาพยังดีอยู่ โดยการลงทุนภาครัฐและการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังขยายตัวดี และการส่งออกกลับมาขยายตัวได้ดีที่ 8.7% ในเดือนตุลาคม ดังนั้นตัวเลขจีดีพีที่ออกมา จึงไม่ได้สะท้อนว่าเศรษฐกิจชะลอลงอย่างน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด
“อย่างไรก็ตาม จะเริ่มเห็นผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ในช่วงไตรมาส 4 ถึงครึ่งแรกของปี 2562 และอยากให้จับตาเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลง และค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงด้วย ซึ่งจะทําให้จีนนําเข้าสินค้าลดลง โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาไทยส่งออกไปจีนขยายตัวเพียง 3% เท่านั้น ต่ํากว่าส่งออกไปตลาดเอเชียอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศอาเซียน ที่ขยายตัวได้ถึง 18.7% และ 21.8% คาดการณ์ว่า ภาคการผลิตของจีนจะอยู่ในภาวะที่ชะลอตัวจนถึงไตรมาส 1 ของปี 2562 เป็นอย่างน้อย เพราะมีความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะปรับอัตราภาษีนําเข้าจาก 10% เป็น 25% สําหรับสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของจีน แต่หากว่าไม่มีการปรับขึ้นภาษีนําเข้าเพิ่มเติมจากที่ได้ประกาศไปแล้ว ภาคการผลิตของจีนจะมีสัญญาณกระเตื้องขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2562”
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ประเมินต่อไปว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% ต่อปี ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือนธันวาคมนี้ เนื่องจากตัวเลขจีดีพีที่ออกมาไม่ได้บ่งบอกว่าเศรษฐกิจได้เริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และคาดว่าธปท.ยังคงให้น้ําหนักกับการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน และต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการทํานโยบายในอนาคต ซึ่งสะท้อนจากการลงคะแนนในการประชุมกนง.ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีคณะกรรมการเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มจาก 2 เสียง เป็น 3 เสียง
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4178
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยมองเศรษฐกิจไทยปีนี้โตไม่เกิน 4.5% มั่นใจในเชิงคุณภาพยังขยายตัวดี
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
กรุงไทยมองเศรษฐกิจไทยปีนี้โตไม่เกิน 4.5% มั่นใจในเชิงคุณภาพยังขยายตัวดี
Krungthai Macro Research คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โตไม่เกิน 4.5% ซึ่งเป็นระดับที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ และเป็นในทิศทางเดียวกับ สคช. มั่นใจเศรษฐกิจไทยในเชิงคุณภาพยังขยายตัวดี โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐและการผลิตภาคอุตสาหกรรม
Krungthai Macro Research คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โตไม่เกิน 4.5% ซึ่งเป็นระดับที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ และเป็นในทิศทางเดียวกับ สคช. มั่นใจเศรษฐกิจไทยในเชิงคุณภาพยังขยายตัวดี โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐและการผลิตภาคอุตสาหกรรม เผยภาคการผลิตของจีนจะอยู่ในภาวะที่ชะลอตัวจนถึงไตรมาส 1 ของปี 2562 เป็นอย่างน้อย และประเมินว่า ธปท.จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี ในเดือน ธ.ค.นี้
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส สายงาน Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.) รายงานเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ว่าเติบโต 3.3% และคาดว่าทั้งปีจะเติบโตราว 4.2% นั้น ในส่วนของ Krungthai Macro Research เห็นว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตไม่เกิน 4.5% และเป็นไปในทิศทางเดียวกับ สคช. หลังจากตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 3 ต่ํากว่าช่วงครึ่งปีแรกค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากตัวเลขภาคการเกษตรติดลบ อันเป็นผลจากช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวค่อนข้างสูงตามสภาพอากาศเอื้ออํานวย และเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว อย่างไรก็ตาม มองว่าเศรษฐกิจไทยในเชิงคุณภาพยังดีอยู่ โดยการลงทุนภาครัฐและการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังขยายตัวดี และการส่งออกกลับมาขยายตัวได้ดีที่ 8.7% ในเดือนตุลาคม ดังนั้นตัวเลขจีดีพีที่ออกมา จึงไม่ได้สะท้อนว่าเศรษฐกิจชะลอลงอย่างน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด
“อย่างไรก็ตาม จะเริ่มเห็นผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ในช่วงไตรมาส 4 ถึงครึ่งแรกของปี 2562 และอยากให้จับตาเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลง และค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงด้วย ซึ่งจะทําให้จีนนําเข้าสินค้าลดลง โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาไทยส่งออกไปจีนขยายตัวเพียง 3% เท่านั้น ต่ํากว่าส่งออกไปตลาดเอเชียอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศอาเซียน ที่ขยายตัวได้ถึง 18.7% และ 21.8% คาดการณ์ว่า ภาคการผลิตของจีนจะอยู่ในภาวะที่ชะลอตัวจนถึงไตรมาส 1 ของปี 2562 เป็นอย่างน้อย เพราะมีความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะปรับอัตราภาษีนําเข้าจาก 10% เป็น 25% สําหรับสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของจีน แต่หากว่าไม่มีการปรับขึ้นภาษีนําเข้าเพิ่มเติมจากที่ได้ประกาศไปแล้ว ภาคการผลิตของจีนจะมีสัญญาณกระเตื้องขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2562”
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ประเมินต่อไปว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% ต่อปี ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือนธันวาคมนี้ เนื่องจากตัวเลขจีดีพีที่ออกมาไม่ได้บ่งบอกว่าเศรษฐกิจได้เริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และคาดว่าธปท.ยังคงให้น้ําหนักกับการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน และต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการทํานโยบายในอนาคต ซึ่งสะท้อนจากการลงคะแนนในการประชุมกนง.ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีคณะกรรมการเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มจาก 2 เสียง เป็น 3 เสียง
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4178
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16976
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปิดการประชุมสัมมนาจัดทำแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)
|
วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560
ปิดการประชุมสัมมนาจัดทําแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี รับฟังสรุปแผนจัดการศึกษาและเป็นประธานปิดการประชุมสัมมนาทางวิชาการการจัดทําแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)
โดยมี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นางสุจิตรา พัฒนะภูมิ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตลอดจนคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ศึกษานิเทศก์จากสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารการศึกษา ครูจากโรงเรียนในโครงการ และตัวแทนผู้ประกอบการภาคเอกชน เข้าร่วมประมาณ 1,000 คน
ภาคเช้า
ในช่วงเช้าวันเดียวกัน เวลา9.00น., พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบแนวทางนโยบายในการจัดทําแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่าก่อนที่จะมีการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ ได้ไปเยี่ยมเยียนและพบปะในการประชุมการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ครบทั้ง 3 จังหวัด ที่จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 23 มกราคม, จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ และจังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งในการประชุมแต่ละครั้ง ได้ฟังสรุปผลการจัดทําแผนยุทธศาสตร์แบบบูรณาการของแต่ละจังหวัดด้วยความชื่นชม มีความริเริ่มที่จะทําให้แผนจัดการศึกษามีความสมบูรณ์ แต่ก็ได้เสนอแนะให้มีการทบทวนพัฒนาแผนดังกล่าว โดยพิจารณาความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกี่ยวข้องให้มีความต่อเนื่อง
ส่วนการประชุมครั้งนี้ได้เชิญทั้ง 3 จังหวัดมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต่อยอดร่วมกันเพื่อให้แผนจัดการศึกษามีความสมบูรณ์มากที่สุด หลังจากนี้ สพฐ.จะให้กลับไปทบทวนแผนแต่ละจังหวัดห้วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วจึงจะกลับมาทบทวนแผนซ้ําอีกครั้งในช่วงเดือนเมษายนนี้เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นแผนจัดการศึกษาที่สมบูรณ์ที่สุดที่จะให้โรงเรียนทั้ง 3 จังหวัดนําไปใช้ในช่วงเปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2560 ต่อไป
เราทราบกันดีว่า รัฐบาลได้กําหนดกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)เพื่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว และกระทรวงศึกษาธิการได้ร่างแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบและกระบวนการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นพลเมืองดี มีคุณลักษณะ ทักษะ และสมรรถนะ ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2560โดยมี 6 ยุทธศาสตร์หลักที่สําคัญ คือ
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การผลิตและพัฒนากําลังคน การวิจัย และนวัตกรรมเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
ยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษา
ยุทธศาสตร์ที่ 5 การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ยุทธศาสตร์ที่ 6 การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษา
ในการจัดทําแผนการศึกษา จําเป็นที่จะต้องคํานึงถึงความสอดคล้องกับนโยบายสําคัญของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการในเรื่องต่าง ๆ บางส่วน ดังนี้
การทํางานประชารัฐซึ่งประเด็นสําคัญคือ การพัฒนาคน ที่เกิดความร่วมมือการทํางานร่วมกันทั้ง 3 ส่วน คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในทุกมิติ
ไทยแลนด์ 4.0ซึ่งเป็นเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและภูมิปัญญา (Creativity & Innovation Smart THAILAND) แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะวางแผนการศึกษาให้สอดคล้องกับไทยแลนด์ 1.0 ซึ่งเป็นเรื่องของเกษตรกรรม, 2.0 เป็นเรื่องของอุตสาหกรรมเล็กหรืออุตสาหกรรมเบา, 3.0 อุตสาหกรรมหนักหรืออุตสาหกรรมที่มีความสลับซับซ้อน
การจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 10 พื้นที่ทั่วประเทศคือ กาญจนบุรี เชียงราย ตาก สงขลา นราธิวาส มุกดาหาร นครพนม หนองคาย สระแก้ว และตราด หรือเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ที่ อ.หนองจิก อ.เบตง และ อ.สุไหงโก-ลก
นโยบายที่รองนายกรัฐมนตรี (สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง) กล่าวในการประชุมครั้งนี้เช่น เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy), เศรษฐกิจชุมชน (Local Economy) ฯลฯ
การศึกษาทางไกลซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานแนวทางการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) มาตั้งแต่ปี 2538 และกระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ.ได้นํามาขยายผลเพิ่มเติมจนสมบูรณ์ครบถ้วนครอบคลุมโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศแล้ว และจะขยายเข้าสู่โรงเรียนขนาดกลาง สพฐ. รวมทั้งโรงเรียนเอกชน โรงเรียน ตชด. โรงเรียนพระปริยัติธรรมต่อไป รวมถึงการขยายจอภาพรับชมให้มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมทั้งเสริมระบบการพัฒนาคุณภาพศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ (DistanceLearningInformationTechnology : DLIT) ที่มี 5 รูปแบบ คือ DLIT Classroom, Resources, Library, Professional Learning Community : PLC, Assessment ในโรงเรียนขนาดกลางและโรงเรียนขนาดใหญ่
STEM Educationซึ่ง สพฐ. ร่วมกับ สสวท. และโรงเรียนเอกชน จัดทําศูนย์สะเต็มศึกษาในโรงเรียนหลายแห่งทั่วประเทศ
ความร่วมมือการส่งเสริมเศรษฐกิจผู้ประกอบการในชุมชนท้องถิ่น ปีที่ 2ภายใต้โครงการการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้ประเทศก้าวสู่ Digital THAILAND ที่มุ่งเน้นการพัฒนาระยะยาวอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งผลดําเนินโครงการในปีที่ผ่านมา เป็นความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงาน คือ สํานักงาน กศน. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และดีแทค ได้จัดการอบรมให้ความรู้แก่ครู กศน.ตําบล จํานวน 9,080 คนโดยวิทยากรจากเครือข่ายเน็ตอาสาของดีแทคกว่า 500 คน เพื่อพัฒนาครู กศน. ให้เป็นวิทยากรแกนนําที่มีความรู้ความชํานาญด้านการใช้งานดิจิทัล และสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการใช้สมาร์ทโฟน การค้าออนไลน์ การทําการตลาดดิจิทัลผ่านศูนย์ดิจิทัลชุมชนทั่วประเทศ จํานวน 7,424 แห่ง ให้กับประชาชนสามารถเข้าถึงกว่า 4 แสนคน ซึ่งในจํานวนนี้มีประชาชนประมาณ 42,000 คน ที่สามารถพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสู่การเป็นผู้ประกอบการร้านค้าออนไลน์ได้สําเร็จ และการดําเนินโครงการในปี 2560 จะขยายความร่วมมือเพิ่มขึ้นกับอีก 2 กระทรวง คือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขยายความร่วมมือในการพัฒนาผู้ที่มีขีดความสามารถอยู่แล้ว ให้ได้รับการยกระดับการใช้ประโยชน์จากความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการพัฒนาการค้าในเชิงธุรกิจต่อไป
พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวฝากในที่ประชุมถึงการจัดทําแผนด้วยว่า"เราจะทํา นําความคิด จิตฝักใฝ่ หมั่นไตร่ตรอง"สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาล แต่ยังคงมีอีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งงานด้านอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา หลายเรื่องอาจมองดูเป็นภาพรวม แต่เมื่อเจาะลงไปในระดับพื้นที่ ก็ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น โดยขอให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ทั้ง 3 จังหวัด นําข้อมูลนโยบายดังกล่าวไปพิจารณาดําเนินการและที่สําคัญที่สุด คือ จะต้องสอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงศาสตร์พระราชา ซึ่งมีคุณค่าอย่างที่สุดสําหรับคนไทย ไม่ว่าจะเป็นหลักการทรงงาน หรือหลักธรรมาภิบาล โดยคํานึงถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 ด้วย เพื่อให้แผนจัดการศึกษาสอดคล้องเชื่อมโยงกันและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด.
ภาคบ่าย
ต่อมาในเวลา15.00น.ได้เป็นพิธีปิดการประชุมสัมมนาโดย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้รับฟังผลการประชุมสัมมนา โดยมีนายอํานาจ วิชยานุวัติผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนําเสนอร่วมกับตัวแทนทั้ง3จังหวัด
จังหวัดชลบุรี: นําเสนอโดย นายเกษม เนียมสันเทียะ รองผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1
(ร่าง) ยุทธศาสตร์การจัดการจัดการศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี ภายใต้วิสัยทัศน์“ยกระดับคุณภาพการศึกษา ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม นําสู่มาตรฐานการจัดการศึกษาระดับนานาชาติ”โดยมียุทธศาสตร์ 6 ด้าน คือ
ยุทธศาสตร์ที่ 1การสร้างความเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เพื่อสร้างความมั่นคง โดยใช้กลยุทธ์ : การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนด้านอาชีพ
ยุทธศาสตร์ที่ 2การสร้างเครือข่ายระหว่างสถานศึกษาภายใน-ภายนอกในระดับต่าง ๆ และเครือข่ายกับภาคเอกชน ประชาคม และประชารัฐ เพื่อความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้กลยุทธ์ : การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านงานอาชีพเพื่อความสามารถในการแข่งขัน
ยุทธศาสตร์ที่ 3การแสวงหาต้นทุนและกลุ่มผู้นํา ในการเป็นตัวแทนการเปลี่ยนแปลง เพื่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน โดยใช้กลยุทธ์ : การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน
ยุทธศาสตร์ที่ 4การสร้างการเรียนของนักเรียนนักศึกษา ด้วยโครงการทําแล้วต้องขาย เพื่อสร้างโอกาส ความเสมอภาค และเท่าเทียมกันทางสังคม ภายใต้หลักการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้กลยุทธ์ : การเสริมสร้างศักยภาพบุคคลเพื่อการเป็นผู้ประกอบการ
ยุทธศาสตร์ที่ 5การสอน การแนะนํา ทั้งในและนอกระบบการศึกษา เพื่อสร้างการเติบโตของคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้กลยุทธ์ : ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ยุทธศาสตร์ที่ 6การขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจประเทศ ด้วยงานวิจัยทุกระดับ เพื่อการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการจัดการ บริหารจัดการภาครัฐ โดยใช้กลยุทธ์ : การขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจประเทศ ด้วยงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
จังหวัดระยอง: นําเสนอโดย นายธวัชชัย อุ่ยพานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1
(ร่าง) ยุทธศาสตร์การจัดการจัดการศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดระยอง ภายใต้วิสัยทัศน์“ขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจ ด้วยการศึกษา อย่างเชื่อมโยงสอดคล้องต่อเนื่องทุกระดับ”โดยมียุทธศาสตร์ 5 ด้าน คือ
ยุทธศาสตร์ที่ 1การสร้างเครือข่ายระหว่างสถานศึกษาภายใน-ภายนอกในระดับต่าง ๆ และเครือข่ายกับภาคเอกชน ประชาคม และประชารัฐ เพื่อความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้กลยุทธ์ : การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านงานอาชีพเพื่อความสามารถในการแข่งขัน
ยุทธศาสตร์ที่ 2การแสวงหาต้นทุนและกลุ่มผู้นํา ในการเป็นตัวแทนการเปลี่ยนแปลง เพื่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน โดยใช้กลยุทธ์ : การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน
ยุทธศาสตร์ที่ 3การสร้างการเรียนของนักเรียนนักศึกษา ด้วยโครงการทําแล้วต้องขาย เพื่อสร้างโอกาส ความเสมอภาค และเท่าเทียมกันทางสังคม ภายใต้หลักการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้กลยุทธ์ : การเสริมสร้างศักยภาพบุคคลเพื่อการเป็นผู้ประกอบการ
ยุทธศาสตร์ที่ 4การสอนการแนะนําทั้งในและนอกระบบการศึกษา เพื่อสร้างการเติบโตของคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้กลยุทธ์ : ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ยุทธศาสตร์ที่ 5การขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจประเทศ ด้วยงานวิจัยทุกระดับ เพื่อการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการจัดการ บริหารจัดการภาครัฐ โดยใช้กลยุทธ์ : การขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจประเทศ ด้วยงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
จังหวัดฉะเชิงเทรา: นําเสนอโดย ดร.กวินทร์เกียรติ นนธ์พละ ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1
(ร่าง) ยุทธศาสตร์การจัดการจัดการศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา ภายใต้วิสัยทัศน์“จัดการศึกษาในทุกระดับให้สอดคล้องต่อการขับเคลื่อนนวัตกรรม ที่มุ่งสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม 10 อุตสาหกรรมหลักของจังหวัดฉะเชิงเทราอย่างยั่งยืน และทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม”โดยมียุทธศาสตร์ 6 ด้าน คือ
ยุทธศาสตร์ที่ 1การสร้างความเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เพื่อสร้างความมั่นคง โดยใช้กลยุทธ์ : การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนด้านอาชีพ
ยุทธศาสตร์ที่ 2การสร้างเครือข่ายระหว่างสถานศึกษาภายใน ภายนอกในระดับต่าง ๆ และเครือข่ายกับภาคเอกชน ประชาคม และประชารัฐ เพื่อความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้กลยุทธ์ : การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านงานอาชีพเพื่อความสามารถในการแข่งขัน
ยุทธศาสตร์ที่ 3การแสวงหาต้นทุนและกลุ่มผู้นํา ในการเป็นตัวแทนการเปลี่ยนแปลง เพื่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพภคน โดยใช้กลยุทธ์ : การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน
ยุทธศาสตร์ที่ 4การสร้างการเรียนของนักเรียนนักศึกษา ด้วยโครงการทําแล้วต้องขาย เพื่อสร้างโอกาส ความเสมอภาค และเท่าเทียมกันทางสังคม ภายใต้หลักการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้กลยุทธ์ : การเสริมสร้างศักยภาพบุคคลเพื่อการเป็นผู้ประกอบการ
ยุทธศาสตร์ที่ 5การสอน การแนะนํา ทั้งในและนอกระบบการศึกษา เพื่อสร้างการเติบโตของคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้กลยุทธ์ : ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ยุทธศาสตร์ที่ 6การขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจประเทศ ด้วยงานวิจัยทุกระดับ เพื่อการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการจัดการ บริหารจัดการภาครัฐ โดยใช้กลยุทธ์ : การขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจประเทศ ด้วยงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
จากนั้นพล.อ.อ.ประจิน จั่นตองกล่าวแสดงความชื่นชมและขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดงานครั้งนี้ ซึ่งเป็นการดําเนินการที่สอดคล้อง ทันสมัย และทันต่อเหตุการณ์พร้อมกล่าวแสดงความยินดีต่อพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดดังกล่าวซึ่งได้รับเลือกให้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่จะเป็นหน้าต่างสําคัญของประเทศไทย รวมถึงจะเป็นพื้นที่สําคัญในการสร้างงาน สร้างความรู้ สร้างความสุขให้กับผู้คนในพื้นที่ ในพื้นที่คาบเกี่ยวและในพื้นที่ต่อเนื่อง ซึ่งอานิสงส์นี้ก็จะเกิดต่อสังคมไทยโดยรวมด้วย รวมทั้งขอแสดงความยินดีที่ทุกคนที่ได้มีโอกาสรับฟังข้อมูลที่สําคัญจาก ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเชื่อว่าคงจะได้แนวคิดและเห็นภาพที่จะเกิดขึ้นจากข้อมูลที่ได้รับฟังจากปัจจุบันนี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้รัฐบาลโดยการนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งความหวังและมีความจริงใจในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า โดยอาศัยยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศโดยรวมพร้อมทั้งอาศัยการขับเคลื่อนจากการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านระบบราชการ รวมทั้งการปฏิรูปการศึกษา ที่จะต้องดําเนินการให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะการก้าวสู่ Thailand 4.0 การเพิ่มพูนความรู้ความสามารถในด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนประเทศให้มีศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน นําไปสู่การปรับเปลี่ยนทิศทางในการแข่งขันกับสังคมโลกยุคปัจจุบัน
ดังนั้นการปฏิรูปการศึกษา จึงถือว่ามีบทบาทสําคัญในการที่จะทําให้ประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถแข่งขันกับนานาประเทศซึ่งการประชุมสัมมนาทางวิชาการในครั้งนี้ ถือว่าทุกคน ณ ที่นี้ ได้ให้ความสําคัญและมองงานในเชิงวิสัยทัศน์เป็นภาพเดียวกันกับรัฐบาลแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยิ่งนัก
โอกาสนี้พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ได้ให้ข้อเสนอแนะต่อการจัดทําแผนยุทธศาสตร์พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของทั้ง 3 จังหวัด ดังนี้
เน้นย้ําความต่อเนื่องเมื่อได้เริ่มต้นกําหนดยุทธศาสตร์และวางแผนงานเพื่อพัฒนาการศึกษาพร้อมระบุกลุ่มเป้าหมายแล้ว ก็ควรที่จะต้องดําเนินการให้เกิดความต่อเนื่องในทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างสอดคล้องต้องกัน โดยมีการกําหนดแผนงานเป็นระยะตามช่วงเวลาที่จะดําเนินการ แต่ให้มีความยืดหยุ่นมากเพียงพอต่อการทบทวนหรือปรับเปลี่ยนได้ในระยะที่เหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่และสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
การศึกษาระดับภูมิภาคอาจเป็นโมเดลเปลี่ยนการศึกษาประเทศแม้ขณะนี้สิ่งที่กําลังดําเนินการอาจดูเหมือนเป็นงานการศึกษาในระดับภูมิภาค (Regional Education) แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่กําลังดําเนินการอาจเป็นโมเดล (Model) ที่สําคัญ นําไปสู่การปรับปรุงการศึกษาของประเทศครั้งใหญ่ ดังนั้น จึงขอให้ทุกคนมีความภาคภูมิใจว่า เรากําลังจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยและเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของประเทศ ที่จะทําให้คนไทยมีความรู้ เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น สามารถทํางานได้ในบริบทของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย, การก้าวเข้าสู่ Thailand 4.0, การสร้าง World Class Product เป็นต้นแม้จะเป็นการดําเนินการงานด้านการศึกษาในระดับภูมิภาค แต่ก็เป็นการศึกษาในระดับภูมิภาคที่อยู่ในระดับ World Classทั้งในแง่ของการศึกษาและแง่ของผลผลิตที่จะตามมาด้วย
คํานึงถึงคุณภาพเป็นสําคัญขอให้การดําเนินงานคําถึงคุณภาพอย่างรอบด้าน ซึ่งคําว่าคุณภาพ ไม่ว่าจะใช้คําว่า “Quality Eastern Economic Corridor” แบบตรงตัว หรือ “Smart Eastern Economic Corridor” หรือจะใช้คําอื่นใดก็ตาม แต่ขอให้ให้ความสําคัญกับเรื่องของคุณภาพซึ่งมีความหมายครอบคลุมในหลายด้าน อาทิ ด้านชีวิตความเป็นอยู่ (Smart Living), ด้านเทคโนโลยี (Smart Technology), ด้านการคมนาคมขนส่ง (SmartLogistics), ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน (Smart City), ด้านสิ่งแวดล้อม (Smart Environment) และที่สําคัญก็คือด้านการบริหารจัดการของภาครัฐในท้องที่ (Smart Local Government) ซึ่งการบริหารจัดการภาครัฐในภาพใหญ่ ได้มีการกําหนดยุทธศาสตร์เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ทั้งการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance)และe-Government อยู่แล้ว ดังนั้น การบริหารจัดการในระดับพื้นที่ก็ต้องเน้นความสําคัญของการรักษาคุณภาพและประสิทธิภาพการทํางานของภาครัฐเช่นเดียวกัน
ทํางานอย่างเสียสละ มีจิตสาธารณะ ลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากทั้ง 3 จังหวัด เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีความคล้ายคลึงและเหมือนกันในหลายส่วน จึงควรที่จะทํางานโดยเน้นการประสานงานอย่างบูรณาการ โดยยึดมั่นในความเสียสละ มีจิตสาธารณะ และเอื้ออาทรต่อผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ ให้พวกเขาเหล่านั้นได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพราะการพัฒนาเมืองย่อมจะส่งผลกระทบต่อผู้คนที่อยู่ในพื้นที่อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของที่ดิน ผลกระทบจากการเดินทาง ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อการศึกษาช่วยพัฒนาคนทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ ให้สามารถอยู่ในพื้นที่ได้อย่างมีความสุข มีงานทํา มีรายได้ที่ดี ขออย่าลืมหันกลับมาดูแลผู้ด้อยโอกาสและผู้ที่มีโอกาสน้อยกว่าด้วย
ในท้ายที่สุดนี้ ขอแสดงความชื่นชมและขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดงานครั้งนี้อีกครั้ง และขอเป็นกําลังใจให้กับผู้ทํางานทุกคน ซึ่งหากมีสิ่งใดที่ตนจะช่วยประสานงานหรือร่วมผลักดันได้ ก็มีความยินดีและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือเสมอ ทั้งนี้ขอให้ทุกคนโชคดีและประสบความสําเร็จดังที่หวังไว้
นางสุจิตรา พัฒนะภูมิ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้เป็นผู้กล่าวรายงานปิดการประชุมสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้ด้วยว่า ตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2560 เรื่อง การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ในบริเวณจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง รวมถึงเขตจังหวัดอื่นที่ติดต่อหรือเกี่ยวข้อง โดยกระทรวงศึกษาธิการได้เห็นความสําคัญในการพัฒนาศักยภาพและกําลังคนในพื้นที่ดังกล่าว มีการบูรณาการการจัดการศึกษาทั้งในและนอกระบบ ตลอดจนส่งเสริมสนับสนุนการจัดทําแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการนําไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
จึงได้ดําเนินการจัดการประชุมสัมมนาทางวิชาการการจัดทําแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าประชุมได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีการวางแผนการดําเนินงานร่วมกัน เพื่อให้ผู้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของแต่ละพื้นที่ ได้บูรณาการแผนการดําเนินงานอย่างต่อเนื่องและเชื่อมโยง และเพื่อให้กระทรวงศึกษาธิการได้ใช้ข้อมูลจากการประชุมสัมมนาไปวางแผนการดําเนินงาน ตลอดจนสนับสนุนการจัดการศึกษาให้ตรงตามความต้องการจําเป็นของแต่ละพื้นที่
โดยมีผู้เข้าประชุมสัมมนารวมทั้งสิ้น 1,000 คน อาทิ คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ผู้บริหาร และศึกษานิเทศก์จากสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ครูจากโรงเรียนในโครงการ ภาคเอกชน ชุมชน รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีกิจกรรม ประกอบด้วย การให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดทําแผนการศึกษาแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน โดยวิทยากรจากมหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยรังสิต และโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ตลอดจนการจัดนิทรรศการ 10 อุตสาหกรรมในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก นิทรรศการของกระทรวงศึกษาธิการ และนิทรรศการของแต่ละจังหวัด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปิดการประชุมสัมมนาจัดทำแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)
วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560
ปิดการประชุมสัมมนาจัดทําแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี รับฟังสรุปแผนจัดการศึกษาและเป็นประธานปิดการประชุมสัมมนาทางวิชาการการจัดทําแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)
โดยมี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นางสุจิตรา พัฒนะภูมิ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตลอดจนคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ศึกษานิเทศก์จากสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารการศึกษา ครูจากโรงเรียนในโครงการ และตัวแทนผู้ประกอบการภาคเอกชน เข้าร่วมประมาณ 1,000 คน
ภาคเช้า
ในช่วงเช้าวันเดียวกัน เวลา9.00น., พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบแนวทางนโยบายในการจัดทําแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่าก่อนที่จะมีการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ ได้ไปเยี่ยมเยียนและพบปะในการประชุมการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ครบทั้ง 3 จังหวัด ที่จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 23 มกราคม, จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ และจังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งในการประชุมแต่ละครั้ง ได้ฟังสรุปผลการจัดทําแผนยุทธศาสตร์แบบบูรณาการของแต่ละจังหวัดด้วยความชื่นชม มีความริเริ่มที่จะทําให้แผนจัดการศึกษามีความสมบูรณ์ แต่ก็ได้เสนอแนะให้มีการทบทวนพัฒนาแผนดังกล่าว โดยพิจารณาความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกี่ยวข้องให้มีความต่อเนื่อง
ส่วนการประชุมครั้งนี้ได้เชิญทั้ง 3 จังหวัดมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต่อยอดร่วมกันเพื่อให้แผนจัดการศึกษามีความสมบูรณ์มากที่สุด หลังจากนี้ สพฐ.จะให้กลับไปทบทวนแผนแต่ละจังหวัดห้วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วจึงจะกลับมาทบทวนแผนซ้ําอีกครั้งในช่วงเดือนเมษายนนี้เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นแผนจัดการศึกษาที่สมบูรณ์ที่สุดที่จะให้โรงเรียนทั้ง 3 จังหวัดนําไปใช้ในช่วงเปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2560 ต่อไป
เราทราบกันดีว่า รัฐบาลได้กําหนดกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)เพื่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว และกระทรวงศึกษาธิการได้ร่างแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบและกระบวนการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นพลเมืองดี มีคุณลักษณะ ทักษะ และสมรรถนะ ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2560โดยมี 6 ยุทธศาสตร์หลักที่สําคัญ คือ
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การผลิตและพัฒนากําลังคน การวิจัย และนวัตกรรมเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
ยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษา
ยุทธศาสตร์ที่ 5 การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ยุทธศาสตร์ที่ 6 การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษา
ในการจัดทําแผนการศึกษา จําเป็นที่จะต้องคํานึงถึงความสอดคล้องกับนโยบายสําคัญของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการในเรื่องต่าง ๆ บางส่วน ดังนี้
การทํางานประชารัฐซึ่งประเด็นสําคัญคือ การพัฒนาคน ที่เกิดความร่วมมือการทํางานร่วมกันทั้ง 3 ส่วน คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในทุกมิติ
ไทยแลนด์ 4.0ซึ่งเป็นเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและภูมิปัญญา (Creativity & Innovation Smart THAILAND) แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะวางแผนการศึกษาให้สอดคล้องกับไทยแลนด์ 1.0 ซึ่งเป็นเรื่องของเกษตรกรรม, 2.0 เป็นเรื่องของอุตสาหกรรมเล็กหรืออุตสาหกรรมเบา, 3.0 อุตสาหกรรมหนักหรืออุตสาหกรรมที่มีความสลับซับซ้อน
การจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 10 พื้นที่ทั่วประเทศคือ กาญจนบุรี เชียงราย ตาก สงขลา นราธิวาส มุกดาหาร นครพนม หนองคาย สระแก้ว และตราด หรือเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ที่ อ.หนองจิก อ.เบตง และ อ.สุไหงโก-ลก
นโยบายที่รองนายกรัฐมนตรี (สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง) กล่าวในการประชุมครั้งนี้เช่น เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy), เศรษฐกิจชุมชน (Local Economy) ฯลฯ
การศึกษาทางไกลซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานแนวทางการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) มาตั้งแต่ปี 2538 และกระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ.ได้นํามาขยายผลเพิ่มเติมจนสมบูรณ์ครบถ้วนครอบคลุมโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศแล้ว และจะขยายเข้าสู่โรงเรียนขนาดกลาง สพฐ. รวมทั้งโรงเรียนเอกชน โรงเรียน ตชด. โรงเรียนพระปริยัติธรรมต่อไป รวมถึงการขยายจอภาพรับชมให้มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมทั้งเสริมระบบการพัฒนาคุณภาพศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ (DistanceLearningInformationTechnology : DLIT) ที่มี 5 รูปแบบ คือ DLIT Classroom, Resources, Library, Professional Learning Community : PLC, Assessment ในโรงเรียนขนาดกลางและโรงเรียนขนาดใหญ่
STEM Educationซึ่ง สพฐ. ร่วมกับ สสวท. และโรงเรียนเอกชน จัดทําศูนย์สะเต็มศึกษาในโรงเรียนหลายแห่งทั่วประเทศ
ความร่วมมือการส่งเสริมเศรษฐกิจผู้ประกอบการในชุมชนท้องถิ่น ปีที่ 2ภายใต้โครงการการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้ประเทศก้าวสู่ Digital THAILAND ที่มุ่งเน้นการพัฒนาระยะยาวอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งผลดําเนินโครงการในปีที่ผ่านมา เป็นความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงาน คือ สํานักงาน กศน. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และดีแทค ได้จัดการอบรมให้ความรู้แก่ครู กศน.ตําบล จํานวน 9,080 คนโดยวิทยากรจากเครือข่ายเน็ตอาสาของดีแทคกว่า 500 คน เพื่อพัฒนาครู กศน. ให้เป็นวิทยากรแกนนําที่มีความรู้ความชํานาญด้านการใช้งานดิจิทัล และสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการใช้สมาร์ทโฟน การค้าออนไลน์ การทําการตลาดดิจิทัลผ่านศูนย์ดิจิทัลชุมชนทั่วประเทศ จํานวน 7,424 แห่ง ให้กับประชาชนสามารถเข้าถึงกว่า 4 แสนคน ซึ่งในจํานวนนี้มีประชาชนประมาณ 42,000 คน ที่สามารถพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสู่การเป็นผู้ประกอบการร้านค้าออนไลน์ได้สําเร็จ และการดําเนินโครงการในปี 2560 จะขยายความร่วมมือเพิ่มขึ้นกับอีก 2 กระทรวง คือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขยายความร่วมมือในการพัฒนาผู้ที่มีขีดความสามารถอยู่แล้ว ให้ได้รับการยกระดับการใช้ประโยชน์จากความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการพัฒนาการค้าในเชิงธุรกิจต่อไป
พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวฝากในที่ประชุมถึงการจัดทําแผนด้วยว่า"เราจะทํา นําความคิด จิตฝักใฝ่ หมั่นไตร่ตรอง"สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาล แต่ยังคงมีอีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งงานด้านอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา หลายเรื่องอาจมองดูเป็นภาพรวม แต่เมื่อเจาะลงไปในระดับพื้นที่ ก็ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น โดยขอให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ทั้ง 3 จังหวัด นําข้อมูลนโยบายดังกล่าวไปพิจารณาดําเนินการและที่สําคัญที่สุด คือ จะต้องสอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงศาสตร์พระราชา ซึ่งมีคุณค่าอย่างที่สุดสําหรับคนไทย ไม่ว่าจะเป็นหลักการทรงงาน หรือหลักธรรมาภิบาล โดยคํานึงถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 ด้วย เพื่อให้แผนจัดการศึกษาสอดคล้องเชื่อมโยงกันและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด.
ภาคบ่าย
ต่อมาในเวลา15.00น.ได้เป็นพิธีปิดการประชุมสัมมนาโดย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้รับฟังผลการประชุมสัมมนา โดยมีนายอํานาจ วิชยานุวัติผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนําเสนอร่วมกับตัวแทนทั้ง3จังหวัด
จังหวัดชลบุรี: นําเสนอโดย นายเกษม เนียมสันเทียะ รองผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1
(ร่าง) ยุทธศาสตร์การจัดการจัดการศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี ภายใต้วิสัยทัศน์“ยกระดับคุณภาพการศึกษา ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม นําสู่มาตรฐานการจัดการศึกษาระดับนานาชาติ”โดยมียุทธศาสตร์ 6 ด้าน คือ
ยุทธศาสตร์ที่ 1การสร้างความเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เพื่อสร้างความมั่นคง โดยใช้กลยุทธ์ : การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนด้านอาชีพ
ยุทธศาสตร์ที่ 2การสร้างเครือข่ายระหว่างสถานศึกษาภายใน-ภายนอกในระดับต่าง ๆ และเครือข่ายกับภาคเอกชน ประชาคม และประชารัฐ เพื่อความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้กลยุทธ์ : การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านงานอาชีพเพื่อความสามารถในการแข่งขัน
ยุทธศาสตร์ที่ 3การแสวงหาต้นทุนและกลุ่มผู้นํา ในการเป็นตัวแทนการเปลี่ยนแปลง เพื่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน โดยใช้กลยุทธ์ : การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน
ยุทธศาสตร์ที่ 4การสร้างการเรียนของนักเรียนนักศึกษา ด้วยโครงการทําแล้วต้องขาย เพื่อสร้างโอกาส ความเสมอภาค และเท่าเทียมกันทางสังคม ภายใต้หลักการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้กลยุทธ์ : การเสริมสร้างศักยภาพบุคคลเพื่อการเป็นผู้ประกอบการ
ยุทธศาสตร์ที่ 5การสอน การแนะนํา ทั้งในและนอกระบบการศึกษา เพื่อสร้างการเติบโตของคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้กลยุทธ์ : ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ยุทธศาสตร์ที่ 6การขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจประเทศ ด้วยงานวิจัยทุกระดับ เพื่อการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการจัดการ บริหารจัดการภาครัฐ โดยใช้กลยุทธ์ : การขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจประเทศ ด้วยงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
จังหวัดระยอง: นําเสนอโดย นายธวัชชัย อุ่ยพานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1
(ร่าง) ยุทธศาสตร์การจัดการจัดการศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดระยอง ภายใต้วิสัยทัศน์“ขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจ ด้วยการศึกษา อย่างเชื่อมโยงสอดคล้องต่อเนื่องทุกระดับ”โดยมียุทธศาสตร์ 5 ด้าน คือ
ยุทธศาสตร์ที่ 1การสร้างเครือข่ายระหว่างสถานศึกษาภายใน-ภายนอกในระดับต่าง ๆ และเครือข่ายกับภาคเอกชน ประชาคม และประชารัฐ เพื่อความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้กลยุทธ์ : การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านงานอาชีพเพื่อความสามารถในการแข่งขัน
ยุทธศาสตร์ที่ 2การแสวงหาต้นทุนและกลุ่มผู้นํา ในการเป็นตัวแทนการเปลี่ยนแปลง เพื่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน โดยใช้กลยุทธ์ : การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน
ยุทธศาสตร์ที่ 3การสร้างการเรียนของนักเรียนนักศึกษา ด้วยโครงการทําแล้วต้องขาย เพื่อสร้างโอกาส ความเสมอภาค และเท่าเทียมกันทางสังคม ภายใต้หลักการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้กลยุทธ์ : การเสริมสร้างศักยภาพบุคคลเพื่อการเป็นผู้ประกอบการ
ยุทธศาสตร์ที่ 4การสอนการแนะนําทั้งในและนอกระบบการศึกษา เพื่อสร้างการเติบโตของคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้กลยุทธ์ : ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ยุทธศาสตร์ที่ 5การขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจประเทศ ด้วยงานวิจัยทุกระดับ เพื่อการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการจัดการ บริหารจัดการภาครัฐ โดยใช้กลยุทธ์ : การขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจประเทศ ด้วยงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
จังหวัดฉะเชิงเทรา: นําเสนอโดย ดร.กวินทร์เกียรติ นนธ์พละ ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1
(ร่าง) ยุทธศาสตร์การจัดการจัดการศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา ภายใต้วิสัยทัศน์“จัดการศึกษาในทุกระดับให้สอดคล้องต่อการขับเคลื่อนนวัตกรรม ที่มุ่งสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม 10 อุตสาหกรรมหลักของจังหวัดฉะเชิงเทราอย่างยั่งยืน และทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม”โดยมียุทธศาสตร์ 6 ด้าน คือ
ยุทธศาสตร์ที่ 1การสร้างความเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เพื่อสร้างความมั่นคง โดยใช้กลยุทธ์ : การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนด้านอาชีพ
ยุทธศาสตร์ที่ 2การสร้างเครือข่ายระหว่างสถานศึกษาภายใน ภายนอกในระดับต่าง ๆ และเครือข่ายกับภาคเอกชน ประชาคม และประชารัฐ เพื่อความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้กลยุทธ์ : การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านงานอาชีพเพื่อความสามารถในการแข่งขัน
ยุทธศาสตร์ที่ 3การแสวงหาต้นทุนและกลุ่มผู้นํา ในการเป็นตัวแทนการเปลี่ยนแปลง เพื่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพภคน โดยใช้กลยุทธ์ : การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน
ยุทธศาสตร์ที่ 4การสร้างการเรียนของนักเรียนนักศึกษา ด้วยโครงการทําแล้วต้องขาย เพื่อสร้างโอกาส ความเสมอภาค และเท่าเทียมกันทางสังคม ภายใต้หลักการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้กลยุทธ์ : การเสริมสร้างศักยภาพบุคคลเพื่อการเป็นผู้ประกอบการ
ยุทธศาสตร์ที่ 5การสอน การแนะนํา ทั้งในและนอกระบบการศึกษา เพื่อสร้างการเติบโตของคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้กลยุทธ์ : ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ยุทธศาสตร์ที่ 6การขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจประเทศ ด้วยงานวิจัยทุกระดับ เพื่อการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการจัดการ บริหารจัดการภาครัฐ โดยใช้กลยุทธ์ : การขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจประเทศ ด้วยงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
จากนั้นพล.อ.อ.ประจิน จั่นตองกล่าวแสดงความชื่นชมและขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดงานครั้งนี้ ซึ่งเป็นการดําเนินการที่สอดคล้อง ทันสมัย และทันต่อเหตุการณ์พร้อมกล่าวแสดงความยินดีต่อพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดดังกล่าวซึ่งได้รับเลือกให้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่จะเป็นหน้าต่างสําคัญของประเทศไทย รวมถึงจะเป็นพื้นที่สําคัญในการสร้างงาน สร้างความรู้ สร้างความสุขให้กับผู้คนในพื้นที่ ในพื้นที่คาบเกี่ยวและในพื้นที่ต่อเนื่อง ซึ่งอานิสงส์นี้ก็จะเกิดต่อสังคมไทยโดยรวมด้วย รวมทั้งขอแสดงความยินดีที่ทุกคนที่ได้มีโอกาสรับฟังข้อมูลที่สําคัญจาก ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเชื่อว่าคงจะได้แนวคิดและเห็นภาพที่จะเกิดขึ้นจากข้อมูลที่ได้รับฟังจากปัจจุบันนี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้รัฐบาลโดยการนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งความหวังและมีความจริงใจในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า โดยอาศัยยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศโดยรวมพร้อมทั้งอาศัยการขับเคลื่อนจากการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านระบบราชการ รวมทั้งการปฏิรูปการศึกษา ที่จะต้องดําเนินการให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะการก้าวสู่ Thailand 4.0 การเพิ่มพูนความรู้ความสามารถในด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนประเทศให้มีศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน นําไปสู่การปรับเปลี่ยนทิศทางในการแข่งขันกับสังคมโลกยุคปัจจุบัน
ดังนั้นการปฏิรูปการศึกษา จึงถือว่ามีบทบาทสําคัญในการที่จะทําให้ประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถแข่งขันกับนานาประเทศซึ่งการประชุมสัมมนาทางวิชาการในครั้งนี้ ถือว่าทุกคน ณ ที่นี้ ได้ให้ความสําคัญและมองงานในเชิงวิสัยทัศน์เป็นภาพเดียวกันกับรัฐบาลแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยิ่งนัก
โอกาสนี้พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ได้ให้ข้อเสนอแนะต่อการจัดทําแผนยุทธศาสตร์พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของทั้ง 3 จังหวัด ดังนี้
เน้นย้ําความต่อเนื่องเมื่อได้เริ่มต้นกําหนดยุทธศาสตร์และวางแผนงานเพื่อพัฒนาการศึกษาพร้อมระบุกลุ่มเป้าหมายแล้ว ก็ควรที่จะต้องดําเนินการให้เกิดความต่อเนื่องในทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างสอดคล้องต้องกัน โดยมีการกําหนดแผนงานเป็นระยะตามช่วงเวลาที่จะดําเนินการ แต่ให้มีความยืดหยุ่นมากเพียงพอต่อการทบทวนหรือปรับเปลี่ยนได้ในระยะที่เหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่และสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
การศึกษาระดับภูมิภาคอาจเป็นโมเดลเปลี่ยนการศึกษาประเทศแม้ขณะนี้สิ่งที่กําลังดําเนินการอาจดูเหมือนเป็นงานการศึกษาในระดับภูมิภาค (Regional Education) แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่กําลังดําเนินการอาจเป็นโมเดล (Model) ที่สําคัญ นําไปสู่การปรับปรุงการศึกษาของประเทศครั้งใหญ่ ดังนั้น จึงขอให้ทุกคนมีความภาคภูมิใจว่า เรากําลังจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยและเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของประเทศ ที่จะทําให้คนไทยมีความรู้ เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น สามารถทํางานได้ในบริบทของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย, การก้าวเข้าสู่ Thailand 4.0, การสร้าง World Class Product เป็นต้นแม้จะเป็นการดําเนินการงานด้านการศึกษาในระดับภูมิภาค แต่ก็เป็นการศึกษาในระดับภูมิภาคที่อยู่ในระดับ World Classทั้งในแง่ของการศึกษาและแง่ของผลผลิตที่จะตามมาด้วย
คํานึงถึงคุณภาพเป็นสําคัญขอให้การดําเนินงานคําถึงคุณภาพอย่างรอบด้าน ซึ่งคําว่าคุณภาพ ไม่ว่าจะใช้คําว่า “Quality Eastern Economic Corridor” แบบตรงตัว หรือ “Smart Eastern Economic Corridor” หรือจะใช้คําอื่นใดก็ตาม แต่ขอให้ให้ความสําคัญกับเรื่องของคุณภาพซึ่งมีความหมายครอบคลุมในหลายด้าน อาทิ ด้านชีวิตความเป็นอยู่ (Smart Living), ด้านเทคโนโลยี (Smart Technology), ด้านการคมนาคมขนส่ง (SmartLogistics), ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน (Smart City), ด้านสิ่งแวดล้อม (Smart Environment) และที่สําคัญก็คือด้านการบริหารจัดการของภาครัฐในท้องที่ (Smart Local Government) ซึ่งการบริหารจัดการภาครัฐในภาพใหญ่ ได้มีการกําหนดยุทธศาสตร์เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ทั้งการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance)และe-Government อยู่แล้ว ดังนั้น การบริหารจัดการในระดับพื้นที่ก็ต้องเน้นความสําคัญของการรักษาคุณภาพและประสิทธิภาพการทํางานของภาครัฐเช่นเดียวกัน
ทํางานอย่างเสียสละ มีจิตสาธารณะ ลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากทั้ง 3 จังหวัด เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีความคล้ายคลึงและเหมือนกันในหลายส่วน จึงควรที่จะทํางานโดยเน้นการประสานงานอย่างบูรณาการ โดยยึดมั่นในความเสียสละ มีจิตสาธารณะ และเอื้ออาทรต่อผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ ให้พวกเขาเหล่านั้นได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพราะการพัฒนาเมืองย่อมจะส่งผลกระทบต่อผู้คนที่อยู่ในพื้นที่อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของที่ดิน ผลกระทบจากการเดินทาง ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อการศึกษาช่วยพัฒนาคนทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ ให้สามารถอยู่ในพื้นที่ได้อย่างมีความสุข มีงานทํา มีรายได้ที่ดี ขออย่าลืมหันกลับมาดูแลผู้ด้อยโอกาสและผู้ที่มีโอกาสน้อยกว่าด้วย
ในท้ายที่สุดนี้ ขอแสดงความชื่นชมและขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดงานครั้งนี้อีกครั้ง และขอเป็นกําลังใจให้กับผู้ทํางานทุกคน ซึ่งหากมีสิ่งใดที่ตนจะช่วยประสานงานหรือร่วมผลักดันได้ ก็มีความยินดีและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือเสมอ ทั้งนี้ขอให้ทุกคนโชคดีและประสบความสําเร็จดังที่หวังไว้
นางสุจิตรา พัฒนะภูมิ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้เป็นผู้กล่าวรายงานปิดการประชุมสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้ด้วยว่า ตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2560 เรื่อง การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ในบริเวณจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง รวมถึงเขตจังหวัดอื่นที่ติดต่อหรือเกี่ยวข้อง โดยกระทรวงศึกษาธิการได้เห็นความสําคัญในการพัฒนาศักยภาพและกําลังคนในพื้นที่ดังกล่าว มีการบูรณาการการจัดการศึกษาทั้งในและนอกระบบ ตลอดจนส่งเสริมสนับสนุนการจัดทําแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการนําไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
จึงได้ดําเนินการจัดการประชุมสัมมนาทางวิชาการการจัดทําแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าประชุมได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีการวางแผนการดําเนินงานร่วมกัน เพื่อให้ผู้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของแต่ละพื้นที่ ได้บูรณาการแผนการดําเนินงานอย่างต่อเนื่องและเชื่อมโยง และเพื่อให้กระทรวงศึกษาธิการได้ใช้ข้อมูลจากการประชุมสัมมนาไปวางแผนการดําเนินงาน ตลอดจนสนับสนุนการจัดการศึกษาให้ตรงตามความต้องการจําเป็นของแต่ละพื้นที่
โดยมีผู้เข้าประชุมสัมมนารวมทั้งสิ้น 1,000 คน อาทิ คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ผู้บริหาร และศึกษานิเทศก์จากสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ครูจากโรงเรียนในโครงการ ภาคเอกชน ชุมชน รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีกิจกรรม ประกอบด้วย การให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดทําแผนการศึกษาแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน โดยวิทยากรจากมหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยรังสิต และโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ตลอดจนการจัดนิทรรศการ 10 อุตสาหกรรมในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก นิทรรศการของกระทรวงศึกษาธิการ และนิทรรศการของแต่ละจังหวัด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2702
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการค้าภายในชี้แจง ติดตามสถานการณ์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง เผยเตรียมมาตรการรองรับการแก้ไขปัญหาราคาผลปาล์มน้ำมันตกต่ำไว้แล้ว
|
วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2560
กรมการค้าภายในชี้แจง ติดตามสถานการณ์ปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์ม อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง เผยเตรียมมาตรการรองรับการแก้ไขปัญหาราคาผลปาล์มน้ํามันตกต่ําไว้แล้ว
พณ.มอบหมายกรมการค้าภายใน ติดตามสถานการณ์ปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์มอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง ตรวจสอบสต็อกน้ํามันปาล์มทั้งระบบเพิ่มเติมช่วง 15-17 พ.ย.60 เผยเตรียมมาตรการรองรับการแก้ไขปัญหาราคาผลปาล์มน้ํามันตกต่ําไว้แล้ว
วันที่ 17 พ.ย. 60 นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงประเด็นปัญหาราคาน้ํามันปาล์มตกต่ําผิดปกติ ตามที่นายชัยฤทธิ์ ถ่ายย้วน นายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ํามันจังหวัดตรัง พร้อมด้วย เลขานุการสมาคมฯ และตัวแทนกรรมการสมาคมฯ แถลงข่าวเรียกร้องรัฐบาล เร่งตรวจสอบสต็อกน้ํามันปาล์มที่ผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ํามันในประเทศอ้างว่าล้นสต็อก ทําให้ความต้องการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรน้อยลง ทําให้ราคาปาล์มน้ํามันตกลงมาอย่างรวดเร็ว เหลือราคากิโลกรัมละ 2 - 3.50 บาท ทําให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก นั้น
กรมการค้าภายใน ขอชี้แจงว่า ผลผลิตปาล์มน้ํามัน ปี 2560 สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าจะมีปริมาณ 12.47 ล้านตัน ใกล้เคียงกับ ปี 2557-2558 ซึ่งเมื่อเทียบกับ ปี 2559 อยู่ที่ 10.997 ล้านตัน เพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 13.39 ปัจจุบัน (17 พ.ย.60) ราคาผลปาล์มน้ํามัน (18%) กก.ละ 3.80 - 4.10 บาท และน้ํามันปาล์มดิบ กก.ละ 20.75 - 21.00 บาท ในขณะที่ราคาน้ํามันปาล์มดิบมาเลเซีย (16 พ.ย.60) กก.ละ 21.32 บาท
ด้านสต็อกน้ํามันปาล์มดิบคงเหลือ จากการแจ้งตามประกาศ กกร. นับตั้งแต่เดือน พ.ค.60 เป็นต้นมา สต็อกน้ํามันปาล์มคงเหลือมีจํานวนมากกว่า 400,000 ตันCPO มาถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากปริมาณผลปาล์มที่ออกสู่ตลาดมีมากเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือน มี.ค.60 ปริมาณผลปาล์ม อยู่ที่ 1.11 ล้านตัน จนถึงปัจจุบัน ต.ค.60 อยู่ที่ 1.57 ล้านตัน ประกอบกับมีการส่งเสริมให้เกษตรกรทําปาล์มคุณภาพโดยการตัดปาล์มสุก เปอร์เซ็นต์น้ํามันเพิ่มขึ้น จาก 15 - 16% เป็น 17 - 18% ทําให้มีปริมาณน้ํามันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ การนําเข้าน้ํามันปาล์มเถื่อนเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกํากับดูแลอย่างเข้มงวด ประกอบกับราคาน้ํามันปาล์มดิบของไทยใกล้เคียงกับราคาน้ํามันปาล์มของมาเลเซียมากจึงไม่มีความจําเป็นที่จะต้องลักลอบนําเข้า
แนวทางการแก้ไข
(1) กระทรวงพาณิชย์ ขอความร่วมมือกรมธุรกิจพลังงาน ประสานผู้ค้าน้ํามันตามมาตรา 7 ให้สํารองไบโอดีเซล (B100) เพิ่มขึ้นซึ่งสํารองตามกฎหมาย (ร้อยละ 1) อยู่ที่ 14.339 ล้านลิตร/13,479 ตันCPO ล่าสุด (15 ต.ค.60) อยู่ที่ 87.945 ล้านลิตร/82,668.30 ตันCPO และได้แจ้งปริมาณสต็อกน้ํามันปาล์มคงเหลือให้กระทรวงพลังงานได้พิจารณาให้โรงงานผลิตไฟฟ้า จ.กระบี่ นําน้ํามันปาล์มไปเป็นเชื้อเพลิง
(2) คณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์มด้านการตลาด ได้ประชุมเมื่อ 1 พ.ย.60 และได้เตรียมมาตรการรองรับการแก้ไขปัญหาราคาผลปาล์มน้ํามันตกต่ําไว้แล้ว แต่เนื่องจากผู้แทนเกษตรกรและสมาคมที่เกี่ยวข้อง ต้องการแก้ไขปัญหาโดยใช้กลไกตลาดปกติทํางาน จึงได้มอบหมายกรมการค้าภายใน ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ติดตามสถานการณ์ปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์มอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้ง ดําเนินการตรวจสอบสต็อกน้ํามันปาล์มทั้งระบบเพิ่มเติม ในช่วง 15-17 พ.ย.60 หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ให้เสนอมาตรการแก้ไขปัญหาต่อคณะอนุกรรมการฯ ด้านการตลาด โดยด่วนต่อไป
-----------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการค้าภายในชี้แจง ติดตามสถานการณ์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง เผยเตรียมมาตรการรองรับการแก้ไขปัญหาราคาผลปาล์มน้ำมันตกต่ำไว้แล้ว
วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2560
กรมการค้าภายในชี้แจง ติดตามสถานการณ์ปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์ม อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง เผยเตรียมมาตรการรองรับการแก้ไขปัญหาราคาผลปาล์มน้ํามันตกต่ําไว้แล้ว
พณ.มอบหมายกรมการค้าภายใน ติดตามสถานการณ์ปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์มอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง ตรวจสอบสต็อกน้ํามันปาล์มทั้งระบบเพิ่มเติมช่วง 15-17 พ.ย.60 เผยเตรียมมาตรการรองรับการแก้ไขปัญหาราคาผลปาล์มน้ํามันตกต่ําไว้แล้ว
วันที่ 17 พ.ย. 60 นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงประเด็นปัญหาราคาน้ํามันปาล์มตกต่ําผิดปกติ ตามที่นายชัยฤทธิ์ ถ่ายย้วน นายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ํามันจังหวัดตรัง พร้อมด้วย เลขานุการสมาคมฯ และตัวแทนกรรมการสมาคมฯ แถลงข่าวเรียกร้องรัฐบาล เร่งตรวจสอบสต็อกน้ํามันปาล์มที่ผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ํามันในประเทศอ้างว่าล้นสต็อก ทําให้ความต้องการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรน้อยลง ทําให้ราคาปาล์มน้ํามันตกลงมาอย่างรวดเร็ว เหลือราคากิโลกรัมละ 2 - 3.50 บาท ทําให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก นั้น
กรมการค้าภายใน ขอชี้แจงว่า ผลผลิตปาล์มน้ํามัน ปี 2560 สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าจะมีปริมาณ 12.47 ล้านตัน ใกล้เคียงกับ ปี 2557-2558 ซึ่งเมื่อเทียบกับ ปี 2559 อยู่ที่ 10.997 ล้านตัน เพิ่มขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 13.39 ปัจจุบัน (17 พ.ย.60) ราคาผลปาล์มน้ํามัน (18%) กก.ละ 3.80 - 4.10 บาท และน้ํามันปาล์มดิบ กก.ละ 20.75 - 21.00 บาท ในขณะที่ราคาน้ํามันปาล์มดิบมาเลเซีย (16 พ.ย.60) กก.ละ 21.32 บาท
ด้านสต็อกน้ํามันปาล์มดิบคงเหลือ จากการแจ้งตามประกาศ กกร. นับตั้งแต่เดือน พ.ค.60 เป็นต้นมา สต็อกน้ํามันปาล์มคงเหลือมีจํานวนมากกว่า 400,000 ตันCPO มาถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากปริมาณผลปาล์มที่ออกสู่ตลาดมีมากเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือน มี.ค.60 ปริมาณผลปาล์ม อยู่ที่ 1.11 ล้านตัน จนถึงปัจจุบัน ต.ค.60 อยู่ที่ 1.57 ล้านตัน ประกอบกับมีการส่งเสริมให้เกษตรกรทําปาล์มคุณภาพโดยการตัดปาล์มสุก เปอร์เซ็นต์น้ํามันเพิ่มขึ้น จาก 15 - 16% เป็น 17 - 18% ทําให้มีปริมาณน้ํามันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ การนําเข้าน้ํามันปาล์มเถื่อนเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกํากับดูแลอย่างเข้มงวด ประกอบกับราคาน้ํามันปาล์มดิบของไทยใกล้เคียงกับราคาน้ํามันปาล์มของมาเลเซียมากจึงไม่มีความจําเป็นที่จะต้องลักลอบนําเข้า
แนวทางการแก้ไข
(1) กระทรวงพาณิชย์ ขอความร่วมมือกรมธุรกิจพลังงาน ประสานผู้ค้าน้ํามันตามมาตรา 7 ให้สํารองไบโอดีเซล (B100) เพิ่มขึ้นซึ่งสํารองตามกฎหมาย (ร้อยละ 1) อยู่ที่ 14.339 ล้านลิตร/13,479 ตันCPO ล่าสุด (15 ต.ค.60) อยู่ที่ 87.945 ล้านลิตร/82,668.30 ตันCPO และได้แจ้งปริมาณสต็อกน้ํามันปาล์มคงเหลือให้กระทรวงพลังงานได้พิจารณาให้โรงงานผลิตไฟฟ้า จ.กระบี่ นําน้ํามันปาล์มไปเป็นเชื้อเพลิง
(2) คณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์มด้านการตลาด ได้ประชุมเมื่อ 1 พ.ย.60 และได้เตรียมมาตรการรองรับการแก้ไขปัญหาราคาผลปาล์มน้ํามันตกต่ําไว้แล้ว แต่เนื่องจากผู้แทนเกษตรกรและสมาคมที่เกี่ยวข้อง ต้องการแก้ไขปัญหาโดยใช้กลไกตลาดปกติทํางาน จึงได้มอบหมายกรมการค้าภายใน ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ติดตามสถานการณ์ปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์มอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้ง ดําเนินการตรวจสอบสต็อกน้ํามันปาล์มทั้งระบบเพิ่มเติม ในช่วง 15-17 พ.ย.60 หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ให้เสนอมาตรการแก้ไขปัญหาต่อคณะอนุกรรมการฯ ด้านการตลาด โดยด่วนต่อไป
-----------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8192
|
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ
|
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
ระหว่างวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา ผมและคณะได้เดินทางเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการตามคําเชิญของนายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น การเยือนครั้งนี้ก็เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศที่มีความใกล้ชิดกันมามากกว่า 600 ปี เพื่อจะผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจที่สําคัญให้เกิดความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม และเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคส่วนต่างๆ ของญี่ปุ่นด้วย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสําคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยทั้งสิ้น
ระหว่างการเยือน ผมและภริยาได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ เจ้าชายนารุฮิโตะ มกุฎราชกุมารญี่ปุ่น และพระชายา ณ พระตําหนักมกุฎราชกุมาร พระราชวังอะคะซะกะ เจ้าชายนารุฮิโตะ ทรงมีพระราชดํารัสถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และทรงฝากพระราชสาส์นถึงทั้งสองพระองค์ด้วย ในโอกาสนี้ ผมได้ขอพระราชทานพระราชานุญาตในนามของประชาชนชาวไทย ถวายพระพรสมเด็จพระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีด้วย
สําหรับประเทศไทยกับญี่ปุ่นนั้น มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นใกล้ชิดในทุกระดับ ตั้งแต่ราชวงศ์ รัฐบาล ลงมาถึงระดับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไทยกับญี่ปุ่นมีการทํางานร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง ทําให้เกิดความร่วมมือบนพื้นฐานของผลประโยชน์ และความไว้เนื้อเชื่อใจร่วมกันมาโดยตลอด
ในโอกาสนี้ผมได้เข้าคารวะ นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้แสดงความขอบคุณที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้การต้อนรับผมและคณะอย่างสมเกียรติ อบอุ่นและเป็นกันเอง ทั้งนี้เราทั้งสองเห็นพ้องกันถึงความสําคัญของการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นรากฐานที่สําคัญที่สุดในการดําเนินบทบาทของทั้งสองประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง และอาเซียนด้วย
นอกจากฝ่ายรัฐบาลแล้ว ผมยังได้พบปะหารือกับภาคเอกชน และผู้แทนจากบริษัทขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น เป็นจํานวนกว่า 10 คณะ ผมได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่ในการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยรวมแล้ว ภาคเอกชนญี่ปุ่นยังมีความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย และได้แสดงความสนใจในธุรกิจผลิตไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานระบบราง รถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และการจัดตั้งการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ผมขอให้ภาคเอกชนดังกล่าวนั้น ได้จัดทําแผนธุรกิจและการพัฒนาร่วมกัน โดยประสานกับภาครัฐของญี่ปุ่นและไทย โดยรัฐบาลไทยก็จะพิจารณาสิทธิการลดหย่อนภาษีการค้าต่างๆ และจะกําหนดมาตรการแก้ไขอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับระบบศุลกากร เพื่อเพิ่มมูลค่าการลงทุนต่อไป
ในนามของรัฐบาลไทย ผมได้ขอให้ภาคธุรกิจการธนาคารญี่ปุ่น ได้พิจารณามองไทยเป็นศูนย์กลางทางการลงทุนในอาเซียน โดยผมยืนยันว่าเราพร้อมจะดูแลนักลงทุนญี่ปุ่น นอกจากนี้ ผมได้แสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจในทุกพื้นที่ให้มีความมั่นคง โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การคมนาคมขนส่ง และการสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านที่เรียกว่า “ไทยบวก 1”
นอกจากนั้น ผมได้เน้นย้ําขอให้นักธุรกิจญี่ปุ่น เข้ามาช่วยเหลือพัฒนาในเรื่องของการลงทุนการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร เนื่องจากประเทศไทยมีผลผลิตหลายชนิดที่เป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่น และประเทศญี่ปุ่นเองก็มีเทคโนโลยีและความรู้ในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูป ผลผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ ระบบการตลาด ระบบสหกรณ์ชุมชน และระบบชลประทาน
สิ่งเหล่านี้ญี่ปุ่นสามารถเข้ามาช่วยเหลือภาคการเกษตรของไทยได้ รวมไปถึงการลงทุนจัดตั้งโรงงานแปรรูปทางการเกษตรในไทย ผมได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลขณะนี้ ที่ต้องการจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การเกษตรอินทรีย์ การพัฒนาพันธุ์ข้าวและพืชผักผลไม้ การรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อการให้การช่วยเหลือที่ตรงเป้าหมาย การแก้ไขปัญหาพ่อค้าคนกลาง การส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้าใจในการทําการตลาด และการพัฒนาระบบชลประทาน เป็นต้น ทั้งหมดเหล่านี้นั้น ก็ต้องการให้เกิดความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนญี่ปุ่น ได้แสวงหาความร่วมมือในด้านการลงทุนร่วมกัน ร่วมมือกันพัฒนาในด้านนี้อย่างจริงจัง ซึ่งญี่ปุ่นก็จะสามารถนําเข้าสินค้าทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานตามความต้องการของประเทศของตน ขณะนี้ไทยเองก็สามารถพัฒนาภาคการเกษตร เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศไทย และของสองประเทศได้ในระดับหนึ่ง ถ้าพัฒนาร่วมกันได้ก็จะดีขึ้นมากกว่าเดิมอีก
สําหรับทางสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นที่ได้แสดงความสนใจเพิ่มมูลค่าการลงทุนในประเทศไทย โดยจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต และการลงทุนเพื่อขยายต่อไปในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงและอาเซียน ซึ่งในการนี้ผมได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นได้ช่วยกันใช้วัตถุดิบจากประเทศไทยให้มากขึ้น สนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งญี่ปุ่นได้เคยผ่านประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญ ในเรื่องของการวิจัยและการพัฒนา มีความรู้เทคโนโลยีสูง ก็ขอให้ช่วยถ่ายทอดให้กับไทยด้วย ก็หวังว่าภาคเอกชนญี่ปุ่นนั้น จะได้มีการจัดตั้งสถาบันวิจัยให้มากขึ้น รวมทั้งการจัดตั้งสํานักงานใหญ่ในไทย และเร่งให้มีการเจรจา FTA ระหว่างกัน รวมทั้งการผลักดันส่งเสริม SMEs ของไทยและญี่ปุ่น เพื่อให้ SMEs ญี่ปุ่น ขยายการลงทุนในไทยให้มากขึ้นในอนาคต
ในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย ผมขอร่วมกันขอบคุณรัฐบาลและชาวญี่ปุ่นที่มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การเมืองของไทยมาโดยตลอด ผมได้ชี้แจงให้ทางญี่ปุ่นทราบว่า บัดนี้การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ยังคงดําเนินการอยู่ไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เป็นไปตามแผนหรือ roadmap ที่ได้กําหนดไว้ ทุกประการ การที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาทําหน้าที่ในขณะนี้นั้น เพื่อจะบริหารราชการให้ประเทศไทยเดินหน้า มีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งต่ออนาคตของคนไทย เราต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งมานานหลายปี ปัญหาต่างๆ ที่ประเทศไทยต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความเหลื่อมล้ําทางสังคม การทุจริตคอร์รัปชั่น การเมืองที่เห็นแก่พวกพ้อง มองข้ามผลประโยชน์ของชาติและประชาชน หรือความพยายามในการบั่นทอนความมั่นคงของสถานบันหลักของชาติ ทั้งหมดนี้ทําให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ซึ่งผมก็ขอให้ชาวญี่ปุ่นมีความมั่นใจว่าประเทศไทยของเรานั้น กําลังพยายามอย่างเต็มที่ในการจะแก้ไขปัญหาที่สะสมมานานรอบด้านในทุกเรื่องอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส เพื่อจะนําไปสู่การพัฒนาทางการเมือง เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น ที่นักการเมืองและผู้บริหารนั้น มีวินัย มีจิตสํานึกและมีความรับผิดชอบต่อการบริหารบ้านเมือง โดยสุดท้ายผมก็ได้ให้คํามั่นสัญญาว่า จะต้องไม่เกิดปัญหาความขัดแย้งต่อไปอีกในอนาคต ประชาชนจะกลับมาเป็นศูนย์กลางและประเทศไทยก็จะกลับมาเป็นประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป
สําหรับวันนี้อยากจะกล่าวถึงสิ่งที่ดีๆ ที่กําลังเกิดขึ้นในประเทศไทย หลายคนอาจจะไม่ได้สังเกต ได้แก่ วันนี้ประชาชนส่วนใหญ่ มีความสมัครสมาน สามัคคี ปรองดองมากยิ่งขึ้น นักการเมืองทุกพวกทุกฝ่าย สามารถเดินทางไปมาหาสู่ เยี่ยมเยียนกัน ประกอบธุรกิจส่วนตัวกันได้เป็นปกติ ประชาชนมีความสุข ไม่มีความขัดแย้งขนาดใหญ่จากการเมือง ในส่วนที่ยังมีความขัดแย้งตอบโต้กันไปมานั้น ก็คงเป็นส่วนน้อย อาจจะยังไม่เข้าใจ ยังปรับเปลี่ยนตนเองไม่ได้ หรือมีเหตุผลส่วนตัวก็แล้วแต่ ก็ขอให้ช่วยกัน
ในส่วนขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน วันนี้หลายพื้นที่จํานวนมากมีการปรับปรุงตนเอง และร่วมมือกับรัฐบาล ตามที่เราเห็นจากข่าวในโทรทัศน์ โดยมีกํานันผู้ใหญ่ องค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หลายๆ แห่ง ได้ออกมาแสดงให้เห็นถึงผลการทํางานที่สอดคล้องกันนโยบายของรัฐบาลในทันที เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี ขอฝากสื่อมวลชนในท้องถิ่นให้ช่วยกันนําเสนอต่อไป ให้ต่อเนื่องด้วย เพื่อเป็นกําลังใจซึ่งกันและกัน
ด้านการเกษตร วันนี้มีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ที่ผลิตโดยกระทรวงเกษตรฯ และประชาชนผลิตเองมากยิ่งขึ้น และสามารถนําไปใช้ในการลดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุนการผลิตมากขึ้นตามลําดับ เป็นผลดีทั้งสิ้น มีการสร้างความเข้มแข็งในชุมชน สร้างตลาดชุมชน ตลาดนัดการเกษตร แพร่หลายมากขึ้นในทุกพื้นที่ ได้เกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกร เช่น ข้าว ยาง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทางการเกษตร ซึ่งจะทําให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการเกษตร ลดการเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง สามารถที่จะกําหนดราคา หรือรู้ราคาในท้องตลาดได้ จะได้ดําเนินการให้เหมาะสม และจะทําให้ราคาผลผลิตเหล่านั้นดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป ต้องเรียนรู้ทั้งผลิตและการตลาดด้วยถึงจะยั่งยืน
การพัฒนาสินค้าเกษตรและการเพิ่มมูลค่าสินค้าการเกษตร ในเรื่องยางพารานั้น รัฐบาลได้เร่งดําเนินการในหลายมาตรการ นอกจากการช่วยเหลือไปแล้ว เช่น ปัจจุบันได้สั่งการไปแล้ว ในเรื่องของการเพิ่มการใช้ยางในประเทศ นําไปสร้างถนน ผลิตพื้นยางในสนามกีฬา การรณรงค์ให้เอกชนร่วมลงทุน การแสวงหาตลาดยาง การรวมกลุ่มของเกษตรกร เพื่อป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบ กดราคา อย่างไรก็ตามทุกเรื่องต้องใช้เวลาในการดําเนินการทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างมาตรฐาน และการรับรองสินค้า รัฐบาลจะพยายามทําให้ราคายางเพิ่มขึ้น และจะไม่ให้เกษตรกรต้องถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง หากจําเป็นอาจจะมีการกําหนดวิธีการ รูปแบบในการขาย จําหน่ายสินค้าเหล่านี้ ในลักษณะรัฐต่อรัฐ หรือบริษัทเอกชนกับรัฐ
การบริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบ กําลังดําเนินการจากน้อยไปมาก ตามความจําเป็นเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และที่สําคัญจะไม่ให้เป็นภาระกับประเทศ และประชาชนต่อไปในอนาคต
ด้านการบริการประชาชน ได้มีความร่วมมือระหว่างรัฐ และประชาชนมากขึ้น ผ่านช่องทางหลายช่องทาง ก็ขอให้กําลังใจ เจ้าหน้าที่ และประชาชนทุกคนที่ช่วยกันปรับตนเอง และเดินหน้าร่วมกันในการพัฒนาประเทศ
ด้านการบริการ และการให้ความสะดวกกับประชาชน รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ทุกส่วนราชการ ได้มีการปรับปรุงแก้ไขระบบราชการ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้เป็นการทํางานจากโครงสร้างในปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการได้อย่างทั่วถึง รวดเร็ว สะดวกสบาย ลดขั้นตอน ลดเวลา ลดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียเวลามาก และที่สําคัญเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องมองประชาชนเป็นหลัก เป็นศูนย์กลาง และเจ้าหน้าต้องรุกเข้าหาประชาชน คือเดินเข้าหาและไปสอบถามปัญหา และแสวงหาหนทางในการแก้ไขปัญหาให้กับเขา เราเป็นข้าราชการที่ดี
ด้านการจับกุมผู้กระทําความผิด คดีอาชญากรรม โดยเฉพาะคดีหมิ่นสถาบันฯ หรือคดีอื่นๆ นั้น ซึ่งไม่ได้รับการเอาใจใส่ วันนี้สามารถติดตามจับกุมได้อย่างรวดเร็ว ต้องขอชมเชยเจ้าหน้าที่ตํารวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายความมั่นคง รวมทั้งประชาชน ที่ช่วยกันแจ้งเบาะแส เฝ้าระวัง ซึ่งจะทําให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในแง่ของพยานหลักฐาน และรวดเร็วในการสืบสวนหาผู้กระทําความผิด ซึ่งในทุกๆ เรื่องที่สําคัญนั้น เราจะดําเนินการสืบหาผู้บงการ ผู้สนับสนุนด้านการเงิน หรือเครือข่ายต่อไปให้ได้
ด้านการท่องเที่ยว ขณะนี้การท่องเที่ยวเป็นช่วงนี้ High Season จากการรายงาน การรวมรวมข้อมูลสถิติการเดินทางจากสนามบิน จากการเข้าพักโรงแรม การจับจ่ายซื้อสินค้า พบว่ามีนักท่องเที่ยวจํานวนมากเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นโดยลําดับ อย่างไรก็ตาม ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกส่วน รวมทั้งประชาชน ช่วยกันดูแลนักท่องเที่ยวและสถานที่ท่องเที่ยวของไทย ให้ครบทุกมิติ ทั้งความปลอดภัย ความสะอาด รอยยิ้ม ราคาสินค้า ความซื่อสัตย์ อัตราค่าบริการต่างๆ เพื่อจะจูงใจให้เขากลับมาเที่ยวอีกในปีต่อไป หรือมาบ่อยๆ ก็ต้องขอขอบคุณกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหาร ประชาชนทุกคนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจทําให้การท่องเที่ยวของเราฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงนี้
การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมคลองผดุงกรุงเกษม เมื่อวานนี้ผมได้ไปเปิดโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมคลองผดุงกรุงเกษม ตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีไทย อีกทั้งมีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมคลองผดุงกรุงเกษมและพื้นที่ที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งเคยมีมาก่อนในอดีต ในพื้นที่ที่มีคูคลองของประเทศไทยในกรุงเทพมหานครนั้น วันนี้ก็ละเลยกันไปแล้วก็ไม่สะอาด วันนี้หลายแหล่งก็สะอาดขึ้น ขอบคุณกรุงเทพมหานคร (กทม.) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีชีวิตแบบไทย และเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชน รวมถึงนักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตริมน้ําแบบไทยๆ ในอดีต มีการผสมผสานการดําเนินชีวิตอย่างงดงาม โดยเฉพาะคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งเป็นคลองที่มีความสําคัญทางประวัติศาสตร์ จัดกิจกรรม “ตลาดน้ําวิถีไทยคลองผดุงกรุงเกษม” ขึ้น ตั้งแต่สะพานอรทัย ถนนลูกหลวงไปจนถึงบริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ เริ่มตั้งแต่เมื่อวานนี้ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ จะมีไปจนถึงวันที่ 1 มีนาคม 2558 รวมทั้งหมด 18 วัน ไม่มีวันหยุดราชการ ทั้งนี้จะแบ่งตลาดออกเป็น 2 ส่วน คือ ตลาดบก เปิดให้บริการระหว่าง 11.00 - 20.00 น. และตลาดน้ํา ให้บริการระหว่าง 15.00 - 20.00 น. จะได้มีการคัดสรรผลิตภัณฑ์ของดีจาก 5 ตลาดบก 6 ตลาดน้ํา ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ ตลาดนางเลิ้ง ตลาดหัวตะเข้ ตลาดหลวงแพ่ง ตลาดวัดทอง ตลาดวัดกําแพงริมคลองบางหลวง ตลาดน้ําตลิ่งชัน ตลาดน้ําวัดสะพาน ตลาดน้ําคลองลัดมะยม ตลาดน้ําวัดตลิ่งชัน และตลาดน้ําบางน้ําผึ้ง มาเข้าร่วมกิจกรรม ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจช่วยกันประชาสัมพันธ์และมาเที่ยวกันให้มากๆ และช่วยกันขยายต่อไปในพื้นที่อื่นๆ ด้วย การจราจรอาจจะติดขัดบ้าง แต่เราก็มีรถรับส่งให้
สําหรับโครงการจักรยานมิตรภาพไทย – เมียนมา ผมขอขอบคุณหอการค้าจังหวัดตาก ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่ได้ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการมุ่งส่งเสริมพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในท้องถิ่น โดยการสร้างสรรค์กิจกรรมที่นอกจากจะส่งเสริมให้เยาวชนรักการออกกําลังกาย รณรงค์การประหยัดพลังงานและลดมลพิษแล้ว ก็ยังเป็นการสนับสนุนอุสาหกรรมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ การค้า และการบริการในพื้นที่อีกด้วย ในแนวชายแดนทั้งฝั่งไทยอําเภอแม่สอด จ.ตาก และประเทศเพื่อนบ้าน เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา รวมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์ อันดีระหว่างพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ของทั้ง 2 ประเทศ อันจะนําไปสู่การเสริมสร้างความร่วมมือกันในระดับชาติต่อไป ซึ่ง อ.แม่สอด จ.ตาก เป็นพื้นที่เป้าหมาย ของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของรัฐบาล เขตอื่นๆ ก็เช่นเดียวกันก็ความกรุณา ถ้าพร้อมก็จัด ก็ขอดูแลความปลอดภัยด้วย
ด้านความร่วมมือรัฐกับเอกชน วันนี้รัฐกับเอกชน มีความร่วมมือกันมากขึ้น รับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย ภาคเอกชนร่วมมือกับรัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ภาครัฐก็ต้องพยายามหาช่องทางสนับสนุนภาคเอกชนให้ตรงกับความต้องการทั้งรัฐและเอกชนอย่างเหมาะสม รวมทั้ง การอํานวยความสะดวกในด้านต่างๆ ด้วย
สําหรับปัญหาราคาสินค้าอุปโภค บริโภค และพลังงาน เรื่องราคาอาหาร พลังงาน สินค้าการเกษตร หลายประเภทก็อาจจะมีทั้งขึ้นและลง วันนี้ลงมาก เพราะไม่เคยมีใครคิดจะแก้ไขอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะผลิตผลทางการเกษตร เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาถึง ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง แล้วก็ภาพรวมด้วย ต้นทางคือ ผู้ผลิต ประกอบด้วย ต้นทุน การขนส่ง ค่าจ้างแรงงาน ค่าเช่า อะไรก็แล้วแต่เป็นต้นทุน กลางทางก็คือ นายทุน เจ้าของกิจการ เจ้าของผลิตผล ผลิตภัณฑ์ ร้านค้า ปลายทางคือประชาชน ทั้ง 3 ส่วนนั้น ก็คงต้องดูแลอย่างเป็นธรรม สมดุล รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ น้ํามันลง ไม่ใช่ว่าแก๊สจะต้องลงไปด้วย คงไม่ใช่แบบนั้น เพราะคนละส่วน คนละประเภทกัน คนละต้นทุน คนละวิธีการ เพราะฉะนั้น ถ้าน้ํามันบางประเภทลง บางประเภทขึ้น อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายในการสนับสนุนพลังงานของประเทศด้วย ของรัฐด้วย ในวันนี้รัฐต้องการสนับสนุนให้ใช้น้ํามัน แก๊สโซฮอลด้วย บางอย่างก็ต้องลดกันเพื่อจะลดการนําเข้าแก๊สในประเทศ หรือว่าต้นทุนน้ํามันดิบ
วันนี้ต้นทุนในประเทศเรามีจํากัด แหล่งพลังงานเราก็ลดลงก็ยังมีปัญหาอยู่บ้าง แล้วถ้าสมมติว่าในส่วนนี้ เช่น แก๊ส วันนี้แก๊สในประเทศที่ขุดได้เอง ก็ราคาต่ํา แต่เมื่อไม่พอนําต่างประเทศเข้ามาราคาสูงกว่าในประเทศมาก ถ้าเราใช้มากๆ รวมมูลค่าในการนําเข้าก็สูง อันนี้เป็นที่ยากที่จะเข้าใจ แต่เราก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะอธิบาย จะเห็นได้ว่าเรื่องพลังงานนี้ให้มีคนไปชี้แจงทุกวัน อันนี้ขอให้ทุกคนช่วยติดตามด้วย อะไรที่ไม่เข้าใจก็ถามมา ท่านมีเหตุผลเพียงพอก็ตอบได้ ถ้าไม่ใช่ก็ตอบไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจกันบ้าง
เพราะฉะนั้น บางอย่างนั้นถ้าเราใช้มากๆ ไป ไม่ประหยัด ถูกมากก็ใช้มาก ความสิ้นเปลืองต่างๆ ก็เสียหาย ประเทศชาติก็ไม่มีรายได้มาพัฒนาประเทศ เช่น การใช้แก๊สวันนี้มาใช้ในการผลิตพลังงานเป็นจํานวนมากทําให้ต้นทุนสูง เราจะไปปรับเปลี่ยนใช้ถ่านหินก็ใช้ไม่ได้อีก ก็ยังมีปัญหาอยู่ มีการต่อต้านเหล่านี้ จะใช้น้ํา น้ําก็น้อยลง ผลิตไฟฟ้าไม่ได้ทุกอย่างก็พัวพันกันไปแบบนี้ เราต้องแก้ปัญหาที่ความเข้าใจก่อน ถ้าเข้าใจได้แล้วก็ช่วยกันว่าจะหาทางทํากันได้อย่างไร ถ้าปฏิเสธทั้งหมดก็เดินหน้าไม่ได้ รัฐบาลก็ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนคนไทย เราต้องดูแลคนทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย
ถ้าหากว่าราคาน้ํามันลง คนก็หันไปใช้แก๊สน้อยลง คนที่ลงทุนเรื่องปั้มแก๊สซึ่งวันนี้เขาว่าวันนี้มีน้อยก็ไม่ลงทุนอีก เพราะลงทุนไปแล้วไม่คุ้มค่า ก็ปรับลดจากใช้แก๊สมาใช้นํามันอีก วันข้างหน้าถ้าน้ํามันขึ้นก็ปรับไปใช้แก๊สอีก ก็วนเวียนไปมาแบบนี้ เพราะฉะนั้น ทุกคนก็ต้องรู้จักการปรับตัวว่าจะทําอย่างไร รัฐบาลก็เข้าไปดูว่า จะเฉลี่ยราคากันอย่างไร ถ้ารัฐจะต้องไปดูแลทุกอย่างให้ทุกคนพอใจเป็นไปไม่ได้ เพราะคนละประเภทกันหมด โดยเฉพาะเรื่องการขนส่งเหมือนกัน วันนี้หลายๆ ภาคธุรกิจของไทยนั้นก็เปลี่ยนจากน้ํามันไปเป็นแก๊ส
วันนี้พอน้ํามันถูกก็จะกลับมาเป็นน้ํามันอีก ก็ทําให้เกิดปัญหา แล้วเราก็ต้องไปเพิ่มการนําน้ํามันเข้ามาอีก น้ํามันดิบ เพราะฉะนั้นก็ต้องดูความพอเพียงด้วย งบประมาณของรัฐนั้นก็มาจากภาษีประชาชนทั้งสิ้น อย่างที่เรียนแล้วว่าต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ทุกคนต้องเข้าใจในภาพรวมด้วย หลายส่วนนั้นเกี่ยวข้องกันทั้งหมด ทั้งรัฐ ทั้งเอกชน ประชาชน เป็นห่วงโซ่ทางด้านพลังงาน
สําหรับราคาของก๊าซธรรมชาติในไทยนั้น วันนี้ก็ปรับขึ้น ลอยตัวขึ้นมากพอสมควร แต่ก็พยายามจะคงราคาไว้ให้มากที่สุด ให้มีส่วนต่างอยู่บ้าง ในส่วนของในแต่ละประเภทที่รัฐต้องเข้าไปดูแล คนมีรายได้น้อย เพื่อจะไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องอื่นๆ อีกด้วย
ในส่วนของอนาคตไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าหากว่าประเทศไทย มีพลังงานที่ใช้แหล่งพลังงานไม่เพียงพอ ต้องจัดหาจากต่างประเทศ หรือจัดซื้อทั้งหมด นั่นคือปัญหาของเรา ถ้าปิดซ่อมหรือว่าถ้าเขาไม่ส่งหรือถ้ามีปัญหาอื่นๆ ก็แล้วแต่ความขัดแย้ง เราจะไม่มีพลังงานใช้ในประเทศ ถ้าเราไม่เตรียมการในประเทศไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันนี้ แม้ว่าจะใช้เวลามากถึง 5 - 6 ปีในการลงทุนขุดเจาะต่างๆ เหล่านี้ ก็ไปว่ากันมา ว่าจะขุดได้อย่างไร แล้วก็จะมีประโยชน์กับประชาชนอย่างไร อันนี้อยากให้พิจารณาในประเด็นนี้ด้วย อาจจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
เพราะว่าภาพรวมนั้น เมื่อจะทําอะไรก็ตาม จะลงทุนอุตสาหกรรม ลงทุนแปรรูปอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ ก็ต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น ถ้าเราใช้พลังงานในประเทศไม่พอก็ต้องซื้อข้างนอก เมื่อซื้อข้างนอก ซื้อไม่ได้ ก็ไปไม่ได้ทั้งหมด ทั้งไฟฟ้า ประปา พลังงาน โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งหมดก็ติดขัดไปหมด การขนส่ง ทุกอย่างจะเดือดร้อน เพราะฉะนั้นก็ขอให้ช่วยกันแก้ไขปัญหาโครงสร้างในด้านพลังงานของเราด้วย
ในส่วนของผลกระทบต่างๆ เหล่านั้น รัฐบาลก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะดูแลแล้วก็หาทางแก้ไขเป็นอย่างอื่น เพราะเราไม่สามารถจะ Support งบประมาณหรือ Subsidize ได้ทุกเรื่องแล้วถ้าเกิดว่ามีการประท้วงกัน เรียกร้องราคากันมากมาย จนเราให้ไม่ได้ แล้วมีการหยุดเดินรถขนส่งสาธารณะ การบริการต่างๆ หรือการประกอบการต่างๆ ที่ต้องใช้พลังงานน้ํามันแก๊ส จะทําให้ความเดือดร้อนตกหนักที่ประชาชน ซึ่งรัฐบาลต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะแลประชาชนทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ที่หาเช้ากินค่ําที่ต้องอาศัยการขนส่งสาธารณะในการเดินทางเป็นสําคัญ เพราะฉะนั้น เข้าใจว่าหลายๆ ท่านคงต้องเสียสละบ้างเพิ่มขึ้น อยากให้เต็มใจแล้วก็เห็นใจซึ่งกันและกัน ถ้าไม่แก้ไขวันนี้ วันหน้าวิกฤตการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นแน่นอน
สําหรับในส่วนของสินค้าต่างๆ ที่มีราคาแพงขึ้นนั้น ก็มีคนเดือดร้อน ร้องเรียนมามากมาย ผมก็ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูแลอย่างเต็มที่ ไปหาข้อเท็จจริง ทั้งในเรื่องการดูแลราคาต้นทุนสินค้า การขยายความร่วมมือกับผู้ประกอบการในการขยายโครงการสินค้าราคาประหยัดไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค สินค้าใดที่มีราคาสูง ต้องดูว่าส่วนประกอบที่เขานํามาใช้ทําให้เรารับประทานขายนั้น มีคุณภาพต่างกันหรือไม่ เช่น เนื้อ เนื้อคุณภาพดีกว่ากันหรือไม่ เครื่องปรุง เครื่องแกงอะไรต่างๆ ราคาอาจจะไม่เท่ากันตรงนี้ด้วย แล้วสถานที่ตั้งของผู้ประกอบการร้านค้า อยู่ในที่ที่เหมือนกันหรือเปล่า อยู่ริมถนน อยู่ห้องแถว หรือว่าอยู่ในห้าง อยู่ในห้องแอร์ ราคาก็แตกต่างกันหมด
เพราะฉะนั้นผมอยากให้ประชาชนต้องเลือกบริโภค มีน้อยใช้น้อย มีมากใช้มาก มีการใช้เงินอย่างมีเหตุมีผลพอประมาณ จะให้รัฐบาลไปสั่งทั้งหมดนั้นคงไม่ได้ เพราะวันนี้หลายอย่างถึงแม้ว่าผมหรือรัฐบาลมีอํานาจมากๆ สั่งไปก็ยังไม่ได้เลย ทุกคนก็ต่อต้านกันหมด แล้วจะให้ผมไปสั่งบางเรื่องเพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนจนอีกส่วนหนึ่ง คนประกอบการเขาก็เสียหาย สรุปว่าก็โดนทั้งคู่ เพราะฉะนั้นก็ต้องช่วยผมด้วย ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้หรือไม่ ดูฐานะตนเอง พวกเราแม้ว่าจะมีเวลาในการบริหารประเทศไม่นาน แต่รัฐบาลก็มีความพยายาม
ผมกล่าวย้ําอีกครั้งว่าเรามีความพยายามอย่างสูง ในการจะดูแลพี่น้องประชาชน แล้วก็สร้างอนาคตให้ยั่งยืนในทุกมิติอย่างเต็มที่ หลายเรื่องเป็นปัญหาที่สะสมยาวนาน ถ้าไม่ร่วมกันวันนี้ ไม่ช่วยกันแก้ไขปัญหากันวันนี้ แล้วไม่มีการเสียสละ ยังคงคิดเหมือนเดิม ไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นปัญหาใหญ่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไปในอนาคต
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ก็เป็นที่น่ายินดีว่ามิตรประเทศไปมาหาสู่กัน มีความร่วมมือกันมากขึ้น ทั้งในอาเซียน จีน ญี่ปุ่น ยุโรปตะวันตก นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นในการค้าการลงทุน อันนี้รวมความไปถึงนักธุรกิจตะวันตกแล้วยุโรปด้วย ก็ยังมีการลงทุนเพิ่มขึ้น มีการติดต่อค้าขายกับเราอยู่อย่างต่อเนื่อง แล้ววันนี้ภาคเอกชนก็มั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาลปัจจุบัน ถึงแม้ว่าในหลักการแล้วยังอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง ในเรื่องการแก้ปัญหาของประเทศไทยในระยะนี้ คือการปฏิรูปในเรื่องของกระบวนการประชาธิปไตย แต่รัฐบาลจะอดทน พยายามสร้างความเข้าใจเราก็ต้องให้ทั้งในประเทศแล้วต่างประเทศต้องเข้าใจเราด้วย หลักการของเราวันนี้ที่ผมใช้คําว่า ประชาธิปไตยที่เป็นเหมาะสมกับสังคมไทย ก็คือผมคิดว่าทุกคนก็เห็นร่วมกันกับผม เป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง บ้านเมืองจะต้องสงบสุขและปลอดภัย ก็ไปทบทวนดูว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องช่วยกันแสดงให้เห็นถึงสิ่งดีๆ ที่คนไทยมี คนไทยเป็น หากมีผู้นําหรือผู้บริหารที่เข้มแข็ง มีรัฐบาลที่สุจริต มีคุณธรรมในอนาคตได้ แล้วไม่มีการชี้นําเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง หรืออื่นๆ ที่ทําให้เกิดความขัดแย้งจนเดินหน้าประเทศไม่ได้ ผมคิดว่าห้วงนี้เป็นห้วงที่เหมาะสมที่สุดที่เราจะช่วยกันแก้ปัญหา
สําหรับผู้ที่ไม่เข้าใจ ไม่ยอมปรับตัว อาจจะลืมไปว่าเป็นคนไทย วันหน้าเราต้องกลับมาอยู่ด้วยกันอีก ก็ไม่ทราบว่าจะอะไรกันนักหนา รัฐบาลก็พยายามทําอย่างเต็มที่ พยายามจะให้ความเป็นธรรม พยายามจะนําเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ถูกต้อง ก็ไม่ยอมรับกันอีก หลายคนก็หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ แล้วก็ไปพูดจาให้เสียหาย ที่ผมเดินทางไปญี่ปุ่นก็ทราบว่ามี แต่ไม่ได้เจอผม และทางญี่ปุ่นก็ไม่ให้ความสนใจ ผมก็ได้ชี้แจงว่าคนเหล่านี้ทําความผิดอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการผิดคดีอาญา ในเรื่องของกฎอัยการศึก ผมก็ได้ชี้แจงว่าผมใช้ทําอะไร เขาก็ได้สั่ง และก็เข้าใจ เพียงแต่ว่าเขาอยากให้เป็นประชาธิปไตยโดยเร็วเท่านั้นเอง เมื่อไหร่พร้อมก็เป็น ผมก็บอกไปแล้วว่า 1 ปีเท่านั้นเอง ก็ไม่ช้า ไม่เร็วเกินไป ไม่อย่างนั้นก็เสียเวลาไปทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราต้องร่วมกันทําความดีตามนี้ ในช่วงนี้โรดแม็ป คสช. นั้นจะเร็วหรือจะช้า ไม่ได้อยู่กับผมอย่างเดียว หลายอย่างทุกคนเอากลับมาลงที่ผมหมด วันนี้ใช่ ความรับผิดชอบใช่ แต่ถ้าบังคับว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ขอความร่วมมือก็ไม่ได้ ต่อต้าน แล้วจะไปถึงโรดแม็ปอย่างนั้นได้หรือไม่ ผมไม่ทราบ
โลกโซเชียลมีเดียในปัจจุบันนั้นมีความโหดร้าย ผมคิดว่าน่ารักก็เยอะ แต่ที่โหดร้ายก็มาก บางอันไม่มีการให้อภัยซึ่งกันและกันเลย หรือบางอันก็มีแต่ชมๆ จนเสียคนหรือไม่ก็ลงโทษ โกรธ เกลียดกันไป ไม่มีลดหย่อน ไม่มีให้อภัย เพราะฉะนั้นใครเสพข้อมูลเหล่านี้ไป ทําให้ซึมลึกเข้าไปในใจ แล้วเกลียดก็เกลียดเลย ผมคิดว่าต้องมีการให้อภัยกันบ้างในบางเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ถ้าใช้โซเชียลมีเดียโต้ตอบกันไป อะไรกันไป แล้วไม่ได้พูดจากันโดยตรง บางทีก็ขยายความขัดแย้ง ถ้าติดค้างกันมากๆ หรือไม่พอใจกันมากๆ มาตั้งโต๊ะคุยกัน ผมก็พร้อมจะคุย มาคุยกันให้หมด แล้วเข้าสู่กระบวนการ ก็จะจบเรื่องกันสักที ไม่เป็นอันตรายต่อส่วนรวม ก็อย่าไปตอบโต้กับทางโซเชียลมีเดีย จริงบ้างไม่จริงบ้าง ทําให้เกิดความบาดหมาง และลุกลามบานปลาย ก็เกิดขึ้นอย่างนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ต้องแก้ไข สังคมเราจะได้ไม่แข็งกระด้าง ชินชากับความรุนแรง หยาบคายใช้คําพูดไม่เหมาะสม พูดไม่ไพเราะ เดี๋ยวนี้เด็กๆ พูดไม่ค่อยไพเราะเลย มีคําศัพท์อะไรใหม่ๆ มาตลอดเวลา บางอย่างก็โอเค เป็นไปตามยุคตามสมัย แต่บางอย่างก็รับไม่ได้ บางครั้งแสดงออกให้เห็นถึงว่าวัฒนธรรมประเพณีอันงดงามของไทยหายไปมากเหมือนกัน คนอ่าน คนเขียน ผมถือว่าถ้าเจตนาดีก็น่าจะดีให้คําแนะนําอะไรต่างๆ ก็ว่าไป หรือแจ้งเบาะแส แต่ถ้าด่ากันอยู่ในเฟสบุ๊กหรือในเว็บไซต์หรือในโซเชียลมีเดีย ไม่ใช่สุภาพบุรุษ และไม่ใช่สิ่งดีงามนักที่เป็นตัวอย่างกับเด็ก วันหน้าเด็กๆ ก็นําไปเป็นตัวอย่าง ลูกท่าน หลานเธอของท่านเองก็นําไปใช้ ท่านก็ไม่ชอบอยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ควรจะมีคุณธรรม และเกรงกลัวกฎหมาย เกรงกลัวความผิดบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ร้ายคนอื่น และที่ไม่มีหลักฐานหรือข้อเท็จจริง สังคมเราจะได้เรียนรู้ มีความเข้มแข็ง ไม่เกิดความขัดแย้ง
เรื่องหนึ่งที่เป็นหนึ่งเรื่องน่าแปลก ผมก็อยากจะเรียนกับคนไทยทุกคนว่า วันนี้คนไทยส่วนใหญ่นั้นนับถือศาสนาพุทธ มีการทําบุญตักบาตร รับศีลรับพรกันมากมาย มีกิจกรรมมากมาย ถือศีล 5 เป็นอย่างน้อย แต่ทําไมประเทศไทยยังมีการกระทําความผิด มีการทุจริต มีการพูดเท็จ มีการฆ่าฟันกันมากมาย ผมไม่ทราบ ประเทศอื่นๆ หรือศาสนาอื่นๆ ที่เขาอาจจะเคร่งน้อยกว่าเราด้วยซ้ําไป มีพิธีการน้อยกว่าเราอีก แต่เขาก็เกิดเหตุการณ์น้อยกว่า อย่างน้อยเขาก็ไม่มีการโกงกันหรือเอารัดเอาเปรียบกันมากมาย วันนี้เราต้องลดลงให้ได้ ก็ดีใจว่าลดลงเรื่อยๆ
ในส่วนของสื่อมวลชนก็เช่นกัน ต้องช่วยกัน ผมก็ขอทุกครั้ง ผมก็พยายามช่วยท่าน ให้ท่านมีอาชีพ มีรายได้ มีข่าวสารที่ดีๆ ถึงประชาชน ฝากขอความกรุณาสร้างความเข้าใจด้วย อย่าไปขยายในเรื่องที่เป็นความขัดแย้ง ถามอะไรที่ดีๆ บ้าง ผมก็ตอบทุกครั้ง เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรที่สังคมสนใจ แต่ไม่เกิดประโยชน์เลย ก็ถามให้น้อยลง และไม่ถามในเชิงขัดแย้ง ผมก็ไม่ต้องไปทะเลาะกับคนอื่น ถ้าจะบอกว่าผมก็ไม่ต้องตอบ อีกหน่อยผมก็ไม่ต้องพบท่านก็แล้วกัน ง่ายดี เพราะฉะนั้นระมัดระวัง ผมก็ระมัดระวังตัวของผมเองด้วย ช่วยกัน วันนี้เราต้องร่วมกันสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน
สําหรับการเข้ามาของ คสช. และรัฐบาลนั้น หลายคนอาจจะลืมอีกแล้ว คนไทยลืมง่าย เพราะฉะนั้นวันนี้เราเข้ามาเป็นรัฐบาล มุ่งหวังเพื่อจะหยุดความขัดแย้ง หยุดความรุนแรง และนําพาประเทศให้สงบสุข ยั่งยืน มีการปฏิรูปซึ่งไม่เคยทําได้ ทุกรัฐบาลก็อยากจะทําแต่ทําไม่ได้ วันนี้เราเริ่มทําได้แล้ว เพราะฉะนั้นก็ให้เข้าใจว่าเรามีเจตนาอย่างไร เราพยายามจะทําให้ดี ให้เร็ว ตามโรดแม็ป แต่บางคน บางสื่อก็พยายามจะเร่งเวลาให้เร็วกว่านั้น ตําหนิติเตียนหาช่องทางขัดขวาง ผมเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่อยากให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้น ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย เสียดายเวลา เสียดายโอกาส เสียชีวิต และบาดเจ็บไปมากมาย และมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
อยากให้หาช่องทางที่ถูกต้อง เสนอความคิดเห็น คําแนะนํามาได้ ไม่ใช่ไปตอบโต้กันหรือเอาชนะกับ คสช. ผมคิดว่า คสช. ไม่ใช่ศัตรูท่าน ก่อนหน้านี้เราไม่มี คสช. ท่านลองนึกดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มีความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ขับเคลื่อนประเทศไม่ได้ พัฒนาไม่ได้ เศรษฐกิจไม่เดินหน้า ต่างชาติไม่เข้ามาเที่ยว แล้ววันนี้ คสช. เข้ามาเพื่อแก้ไข เพราะฉะนั้นวันนี้อย่ามองรัฐบาลเป็นศัตรู เราไม่ได้มาจากการเมือง ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้มาจากประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นวันนี้เราเข้ามาแก้ปัญหา ไม่ใช่ว่าสิ่งใดที่เราทําก็ผิดไปทั้งหมด หรือถูกไปทั้งหมด ผมก็ไม่ได้ว่าอย่างนั้น วันนี้ก็พยายามมาแก้ไขในเรื่องของการพัฒนาคน การใช้จ่ายงบประมาณ การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา กฎหมาย และเรื่องการบริหารราชการ เพื่อเป็นอนาคต และข้อสําคัญคือเรื่องของการปฏิรูป ต้องใช้เวลาทั้งสิ้น ผมก็ไม่ต้องการที่จะให้นานไปกว่าโรดแม็ป แต่ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับทุกคนด้วย ต้องช่วยผม ถ้าถึงเวลาแล้วไปไม่ได้แล้วจะทําอย่างไร อย่างที่ผมเรียนไปแล้วว่า ถ้ารัฐธรรมนูญร่างไม่เสร็จแล้วจะทําอย่างไร ก็ตอบผมมาแล้วกัน หรือไม่ก็เลือกตั้ง ก่อนเลือกตั้งแล้วมีความรุนแรงเกิดขึ้นต่อต้านกันขึ้นแล้วจะทําอย่างไร เตรียมคําตอบให้ผมแล้วกัน หรือไม่ถ้าเลือกตั้งได้ หลังเลือกตั้งจะขัดแย้ง ขัดขวางกันแบบเก่าหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ต้องไปถามคนอื่นด้วย สําหรับผมเองนั้นยืนยันอยู่เสมอว่า เป็นไปตามโรดแม็ป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประชาชน แต่ถ้าหากประชาชนยังเร่งรัดและพยายามที่จะเลือกตั้ง หรือพยายามที่จะต่อต้านให้เราทําอะไรไม่สําเร็จสักเรื่อง แล้วกลับไปสู่การเลือกตั้ง ก็จะกลับมาเป็นแบบเดิม อย่างนั้นผมก็ช่วยท่านไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศเลือกกันเอง ต้องยอมรับในความสําเร็จ หรือในความผิดพลาด เพราะฉะนั้นคงมาโทษ คสช. ไม่ได้ เพราะว่าเรื่องดังกล่าวเกิดมาก่อนที่ คสช. เกิดขึ้น ก็ขอให้ช่วยกันกลับไปคิดใหม่ว่าเราต้องทําอะไรกันบ้าง
วันนี้เราต้องใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์ไม่รั่วไหล การดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อย ดูแลข้าราชการชั้นผู้น้อย การลดหนี้สินครัวเรือน การสร้างความเข้มแข็งให้ SMEs การพัฒนาการวิจัยของประเทศ การสนับสนุนการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร การแสวงหาตลาดใหม่ๆ ให้กับสินค้าไทย การสร้างแบรนด์ นวัตกรรม การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ การสนับสนุนพลังงานทดแทน การดูแลสังคมผู้สูงอายุ เด็ก และสตรี การพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน การเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การสร้างความเชื่อมโยงให้เกิดขึ้นในภูมิภาค การปรับปรุงพัฒนารัฐวิสาหกิจให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน การฟื้นฟู การปรับปรุงระบบการศึกษาเร่งด่วน การพัฒนาแรงงานวิชาชีพ ให้ตรงตามความต้องการในปีหน้า (2559) AEC การเตรียมการป้องกันภัยพิบัติในสภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การเพิ่มเติมการสร้างซ่อมแซมระบบชลประทานให้เพียงพอ
วันนี้เรามีจํานวนน้อยมาก ปลูกข้าว 70 กว่าล้าน ได้ 27 ล้านเท่านั้นเอง ระบบชลประทาน อย่างน้อยเราควรจะมี 60 ล้าน นี่กี่ปีมาแล้วยังไม่เคยขยายได้ถึง 60 ล้านเลย น้อยมาก น้อยเกินไปด้วย งบประมาณเราก็จํากัดด้วยตอนนี้ จําเป็นต้องสร้างให้ภาคการเกษตร ให้มีเกษตรที่ทันสมัย เรียกว่า Smart Farmer ที่ตั้งชื่อไว้สวยหรู วันนี้ก็ต้องรีบเดินหน้าไป การสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ การปราบปรามการทุจริต การสร้างความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรม เหล่านี้ เป็นต้น ซึ่งการเดินหน้าทุกอย่างจะเห็นว่ามีหลายเรื่อง และมีทั้งง่ายระยะที่ 1-2-3 ยากเอาไป 2 ถ้ายากมากเอาไป 3 รัฐบาลต่อไปก็รับไปก็แล้วกัน
ทุกประเด็นมีหลายเรื่องต้องทํา เช่น การปฏิรูปการศึกษานั้น ที่สําคัญกําหนดไว้ว่าทําอย่างไรจะแก้ปัญหาเรื่องผู้เรียน เขียนอ่านไม่คล่องให้ได้โดยเร็ว การดูแลโรงเรียนขนาดเล็กและชายขอบ การจัดการงบประมาณ และทรัพยากรศึกษา ระบบการผลิตครูและผู้บริหาร การส่งเสริมการสอนทักษะการทํางานและอาชีพ เหล่านี้ เป็นต้น เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นของการศึกษาไทย วันนี้ก็ต้องปรับปรุง ไม่ได้ว่าไม่ดีทั้งหมด ก็อยากให้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง
ปัจจุบันนั้น ขอกราบเรียนอีกครั้งหนึ่งว่า เรามาหยุดความรุนแรง และแก้ไขในสิ่งที่บกพร่อง ทําให้ดีขึ้น ทุกอย่างเราไม่ได้เป็นคนสร้างให้เกิด ถ้ารัฐบาลดีก็ไม่มีใครเขามาควบคุมอํานาจอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ก็อย่าไปกังวล วันนี้ วันหน้า วันไหน ทําให้ดีแล้วกัน ไม่มีใครมาว่าให้ท่านได้ ท่านก็เลือกมาให้ดี ผู้เลือกก็เตรียมตัวมาให้ดี และนําบทเรียนจากในอดีตมา อย่าให้เกิดขึ้นอีก ก็เท่านั้น ไม่เห็นต้องไปอะไรหนักหนา ถ้าไม่ทํา ไม่ปฏิบัติ ไม่สองมาตรฐาน ก็อยู่ได้ประเทศ ทุกประเทศเขาอยู่แบบนั้น วันนี้ขอร้อง ไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่ทํางานไม่ได้
ถ้าวันนี้เราไม่มีกฎหมาย กฎอัยการศึก ผมเรียนเลยว่าแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ท่านก็รู้คําตอบดีอยู่ ควบคุมไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์ ก็ปฏิรูปไม่ได้ ทําอะไรก็ไม่ได้ ก็ประท้วงวุ่นวายไปหมด มีอย่างเดียวเท่านั้นเอง ผมคิดว่าตอนนี้ต่างประเทศเขาเข้าใจเรามากขึ้น ลองติดตามดูแล้วกัน ก็ยืนยันว่าเราต้องการเดินหน้าให้ปลอดภัย สิ่งใดที่รัฐบาลในอดีตที่ผ่านมาทําไม่ได้ เราก็พยายามทําให้ได้อย่างน้อยก็เริ่มต้นก่อน ระยะต่อไปท่านก็ไปทําดูแล้วกันว่ายาก ง่ายอย่างไร ทําให้ได้
เพราะฉะนั้น ความคาดหวังของ คสช. ของรัฐบาล และของประชาชนทุกคนก็ควรจะคาดหวังว่า ให้ภาคประชาชนมีความเข้มแข็ง เคารพกฎหมาย คิดถึงส่วนรวม ไม่มีความขัดแย้ง มีความคิดเป็นของตนเอง ไม่ถูกชักนํา หวังผลประโยชน์ทางการเมือง หรือผลประโยชน์ มีการรวมกลุ่มให้เข้มแข็ง ทั้งในชุมชน ชายแดน ภูมิภาค ต้องเพิ่มพูนอํานาจในการแข็งขันกับต่างประเทศ ให้เกิดการปฏิรูปประเทศอย่างยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ 2015 – 2020 5 ปี ผมคงไม่ได้อยู่ ก็ทําให้ได้แล้วกัน ผมจะคอยดู
เรื่องของการใช้จ่ายงบประมาณอย่างบูรณาการนั้น วันนี้เราพยายามจัดสรรให้ตรงความต้องการของประชาชน ซึ่งกําลังขับเคลื่อนลงไปเร่งรัดงบประมาณในส่วนของการลงทุนให้ได้ เมื่อวานก็มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของ คสช. แล้ว ก็จะเริ่มเดินหน้าให้เร็วขึ้น ประชาชนก็คอยดูโครงการต่างๆ จัดซื้อจัดจ้างทําสัญญา ช่วยกันทําให้เร็ว ไม่ใช่ช่วยกันทําให้ช้า ตรวจสอบความโปร่งใสให้ด้วย ระบบตรวจสอบการทุจริต เหล่านี้ต้องเตรียมการวันนี้และทําวันนี้ วันหน้าจะได้เพิ่มเติมให้รัดกุมขึ้นและรวดเร็วขึ้น ไม่ให้เกิดความเสียหายต่อรัฐอย่างร้ายแรง คําว่าร้ายแรงคงเข้าใจ และสร้างความเข้าใจต่อประชาชนเป็นสิ่งสําคัญ
เรื่องการรับรู้รับทราบการทํางานของภาครัฐ ปัจจุบันนั้นเราถ่ายทอดทุกทาง เว้นแต่ว่าท่านจะฟังหรือไม่ฟัง เรื่องดีๆ มากมาย ส่วนใหญ่จะอยู่ในสื่ออยู่แล้ว หน้าในๆ ช่วยกันเปิดดูแล้วกัน บางกลุ่มบางพวกไม่อดทน ไม่เข้าใจ ก็ไม่รู้จะทําอย่างไร
วันนี้ผมก็คงมีเรื่องคุยเท่านี้สั้นๆ คงไม่ยาวนานรบกวนเวลาท่านมากเกินไป ก็ตั้งจิตอธิษฐานแล้วกัน ขอให้รัฐบาลเลือกตั้งที่ดี ที่ท่านอยากได้ ในห้วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าตามที่ทุกคนต้องการ ขอให้ทุกคนมีความสุข สวัสดีครับ
|
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
ระหว่างวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา ผมและคณะได้เดินทางเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการตามคําเชิญของนายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น การเยือนครั้งนี้ก็เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศที่มีความใกล้ชิดกันมามากกว่า 600 ปี เพื่อจะผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจที่สําคัญให้เกิดความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม และเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคส่วนต่างๆ ของญี่ปุ่นด้วย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสําคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยทั้งสิ้น
ระหว่างการเยือน ผมและภริยาได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ เจ้าชายนารุฮิโตะ มกุฎราชกุมารญี่ปุ่น และพระชายา ณ พระตําหนักมกุฎราชกุมาร พระราชวังอะคะซะกะ เจ้าชายนารุฮิโตะ ทรงมีพระราชดํารัสถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และทรงฝากพระราชสาส์นถึงทั้งสองพระองค์ด้วย ในโอกาสนี้ ผมได้ขอพระราชทานพระราชานุญาตในนามของประชาชนชาวไทย ถวายพระพรสมเด็จพระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีด้วย
สําหรับประเทศไทยกับญี่ปุ่นนั้น มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นใกล้ชิดในทุกระดับ ตั้งแต่ราชวงศ์ รัฐบาล ลงมาถึงระดับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไทยกับญี่ปุ่นมีการทํางานร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง ทําให้เกิดความร่วมมือบนพื้นฐานของผลประโยชน์ และความไว้เนื้อเชื่อใจร่วมกันมาโดยตลอด
ในโอกาสนี้ผมได้เข้าคารวะ นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้แสดงความขอบคุณที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้การต้อนรับผมและคณะอย่างสมเกียรติ อบอุ่นและเป็นกันเอง ทั้งนี้เราทั้งสองเห็นพ้องกันถึงความสําคัญของการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นรากฐานที่สําคัญที่สุดในการดําเนินบทบาทของทั้งสองประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง และอาเซียนด้วย
นอกจากฝ่ายรัฐบาลแล้ว ผมยังได้พบปะหารือกับภาคเอกชน และผู้แทนจากบริษัทขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น เป็นจํานวนกว่า 10 คณะ ผมได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่ในการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยรวมแล้ว ภาคเอกชนญี่ปุ่นยังมีความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย และได้แสดงความสนใจในธุรกิจผลิตไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานระบบราง รถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และการจัดตั้งการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ผมขอให้ภาคเอกชนดังกล่าวนั้น ได้จัดทําแผนธุรกิจและการพัฒนาร่วมกัน โดยประสานกับภาครัฐของญี่ปุ่นและไทย โดยรัฐบาลไทยก็จะพิจารณาสิทธิการลดหย่อนภาษีการค้าต่างๆ และจะกําหนดมาตรการแก้ไขอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับระบบศุลกากร เพื่อเพิ่มมูลค่าการลงทุนต่อไป
ในนามของรัฐบาลไทย ผมได้ขอให้ภาคธุรกิจการธนาคารญี่ปุ่น ได้พิจารณามองไทยเป็นศูนย์กลางทางการลงทุนในอาเซียน โดยผมยืนยันว่าเราพร้อมจะดูแลนักลงทุนญี่ปุ่น นอกจากนี้ ผมได้แสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจในทุกพื้นที่ให้มีความมั่นคง โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การคมนาคมขนส่ง และการสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านที่เรียกว่า “ไทยบวก 1”
นอกจากนั้น ผมได้เน้นย้ําขอให้นักธุรกิจญี่ปุ่น เข้ามาช่วยเหลือพัฒนาในเรื่องของการลงทุนการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร เนื่องจากประเทศไทยมีผลผลิตหลายชนิดที่เป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่น และประเทศญี่ปุ่นเองก็มีเทคโนโลยีและความรู้ในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูป ผลผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ ระบบการตลาด ระบบสหกรณ์ชุมชน และระบบชลประทาน
สิ่งเหล่านี้ญี่ปุ่นสามารถเข้ามาช่วยเหลือภาคการเกษตรของไทยได้ รวมไปถึงการลงทุนจัดตั้งโรงงานแปรรูปทางการเกษตรในไทย ผมได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลขณะนี้ ที่ต้องการจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การเกษตรอินทรีย์ การพัฒนาพันธุ์ข้าวและพืชผักผลไม้ การรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อการให้การช่วยเหลือที่ตรงเป้าหมาย การแก้ไขปัญหาพ่อค้าคนกลาง การส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้าใจในการทําการตลาด และการพัฒนาระบบชลประทาน เป็นต้น ทั้งหมดเหล่านี้นั้น ก็ต้องการให้เกิดความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนญี่ปุ่น ได้แสวงหาความร่วมมือในด้านการลงทุนร่วมกัน ร่วมมือกันพัฒนาในด้านนี้อย่างจริงจัง ซึ่งญี่ปุ่นก็จะสามารถนําเข้าสินค้าทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานตามความต้องการของประเทศของตน ขณะนี้ไทยเองก็สามารถพัฒนาภาคการเกษตร เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศไทย และของสองประเทศได้ในระดับหนึ่ง ถ้าพัฒนาร่วมกันได้ก็จะดีขึ้นมากกว่าเดิมอีก
สําหรับทางสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นที่ได้แสดงความสนใจเพิ่มมูลค่าการลงทุนในประเทศไทย โดยจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต และการลงทุนเพื่อขยายต่อไปในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงและอาเซียน ซึ่งในการนี้ผมได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นได้ช่วยกันใช้วัตถุดิบจากประเทศไทยให้มากขึ้น สนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งญี่ปุ่นได้เคยผ่านประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญ ในเรื่องของการวิจัยและการพัฒนา มีความรู้เทคโนโลยีสูง ก็ขอให้ช่วยถ่ายทอดให้กับไทยด้วย ก็หวังว่าภาคเอกชนญี่ปุ่นนั้น จะได้มีการจัดตั้งสถาบันวิจัยให้มากขึ้น รวมทั้งการจัดตั้งสํานักงานใหญ่ในไทย และเร่งให้มีการเจรจา FTA ระหว่างกัน รวมทั้งการผลักดันส่งเสริม SMEs ของไทยและญี่ปุ่น เพื่อให้ SMEs ญี่ปุ่น ขยายการลงทุนในไทยให้มากขึ้นในอนาคต
ในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย ผมขอร่วมกันขอบคุณรัฐบาลและชาวญี่ปุ่นที่มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การเมืองของไทยมาโดยตลอด ผมได้ชี้แจงให้ทางญี่ปุ่นทราบว่า บัดนี้การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ยังคงดําเนินการอยู่ไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เป็นไปตามแผนหรือ roadmap ที่ได้กําหนดไว้ ทุกประการ การที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาทําหน้าที่ในขณะนี้นั้น เพื่อจะบริหารราชการให้ประเทศไทยเดินหน้า มีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งต่ออนาคตของคนไทย เราต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งมานานหลายปี ปัญหาต่างๆ ที่ประเทศไทยต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความเหลื่อมล้ําทางสังคม การทุจริตคอร์รัปชั่น การเมืองที่เห็นแก่พวกพ้อง มองข้ามผลประโยชน์ของชาติและประชาชน หรือความพยายามในการบั่นทอนความมั่นคงของสถานบันหลักของชาติ ทั้งหมดนี้ทําให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ซึ่งผมก็ขอให้ชาวญี่ปุ่นมีความมั่นใจว่าประเทศไทยของเรานั้น กําลังพยายามอย่างเต็มที่ในการจะแก้ไขปัญหาที่สะสมมานานรอบด้านในทุกเรื่องอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส เพื่อจะนําไปสู่การพัฒนาทางการเมือง เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น ที่นักการเมืองและผู้บริหารนั้น มีวินัย มีจิตสํานึกและมีความรับผิดชอบต่อการบริหารบ้านเมือง โดยสุดท้ายผมก็ได้ให้คํามั่นสัญญาว่า จะต้องไม่เกิดปัญหาความขัดแย้งต่อไปอีกในอนาคต ประชาชนจะกลับมาเป็นศูนย์กลางและประเทศไทยก็จะกลับมาเป็นประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป
สําหรับวันนี้อยากจะกล่าวถึงสิ่งที่ดีๆ ที่กําลังเกิดขึ้นในประเทศไทย หลายคนอาจจะไม่ได้สังเกต ได้แก่ วันนี้ประชาชนส่วนใหญ่ มีความสมัครสมาน สามัคคี ปรองดองมากยิ่งขึ้น นักการเมืองทุกพวกทุกฝ่าย สามารถเดินทางไปมาหาสู่ เยี่ยมเยียนกัน ประกอบธุรกิจส่วนตัวกันได้เป็นปกติ ประชาชนมีความสุข ไม่มีความขัดแย้งขนาดใหญ่จากการเมือง ในส่วนที่ยังมีความขัดแย้งตอบโต้กันไปมานั้น ก็คงเป็นส่วนน้อย อาจจะยังไม่เข้าใจ ยังปรับเปลี่ยนตนเองไม่ได้ หรือมีเหตุผลส่วนตัวก็แล้วแต่ ก็ขอให้ช่วยกัน
ในส่วนขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน วันนี้หลายพื้นที่จํานวนมากมีการปรับปรุงตนเอง และร่วมมือกับรัฐบาล ตามที่เราเห็นจากข่าวในโทรทัศน์ โดยมีกํานันผู้ใหญ่ องค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หลายๆ แห่ง ได้ออกมาแสดงให้เห็นถึงผลการทํางานที่สอดคล้องกันนโยบายของรัฐบาลในทันที เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี ขอฝากสื่อมวลชนในท้องถิ่นให้ช่วยกันนําเสนอต่อไป ให้ต่อเนื่องด้วย เพื่อเป็นกําลังใจซึ่งกันและกัน
ด้านการเกษตร วันนี้มีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ที่ผลิตโดยกระทรวงเกษตรฯ และประชาชนผลิตเองมากยิ่งขึ้น และสามารถนําไปใช้ในการลดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุนการผลิตมากขึ้นตามลําดับ เป็นผลดีทั้งสิ้น มีการสร้างความเข้มแข็งในชุมชน สร้างตลาดชุมชน ตลาดนัดการเกษตร แพร่หลายมากขึ้นในทุกพื้นที่ ได้เกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกร เช่น ข้าว ยาง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทางการเกษตร ซึ่งจะทําให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการเกษตร ลดการเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง สามารถที่จะกําหนดราคา หรือรู้ราคาในท้องตลาดได้ จะได้ดําเนินการให้เหมาะสม และจะทําให้ราคาผลผลิตเหล่านั้นดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป ต้องเรียนรู้ทั้งผลิตและการตลาดด้วยถึงจะยั่งยืน
การพัฒนาสินค้าเกษตรและการเพิ่มมูลค่าสินค้าการเกษตร ในเรื่องยางพารานั้น รัฐบาลได้เร่งดําเนินการในหลายมาตรการ นอกจากการช่วยเหลือไปแล้ว เช่น ปัจจุบันได้สั่งการไปแล้ว ในเรื่องของการเพิ่มการใช้ยางในประเทศ นําไปสร้างถนน ผลิตพื้นยางในสนามกีฬา การรณรงค์ให้เอกชนร่วมลงทุน การแสวงหาตลาดยาง การรวมกลุ่มของเกษตรกร เพื่อป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบ กดราคา อย่างไรก็ตามทุกเรื่องต้องใช้เวลาในการดําเนินการทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างมาตรฐาน และการรับรองสินค้า รัฐบาลจะพยายามทําให้ราคายางเพิ่มขึ้น และจะไม่ให้เกษตรกรต้องถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง หากจําเป็นอาจจะมีการกําหนดวิธีการ รูปแบบในการขาย จําหน่ายสินค้าเหล่านี้ ในลักษณะรัฐต่อรัฐ หรือบริษัทเอกชนกับรัฐ
การบริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบ กําลังดําเนินการจากน้อยไปมาก ตามความจําเป็นเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และที่สําคัญจะไม่ให้เป็นภาระกับประเทศ และประชาชนต่อไปในอนาคต
ด้านการบริการประชาชน ได้มีความร่วมมือระหว่างรัฐ และประชาชนมากขึ้น ผ่านช่องทางหลายช่องทาง ก็ขอให้กําลังใจ เจ้าหน้าที่ และประชาชนทุกคนที่ช่วยกันปรับตนเอง และเดินหน้าร่วมกันในการพัฒนาประเทศ
ด้านการบริการ และการให้ความสะดวกกับประชาชน รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ทุกส่วนราชการ ได้มีการปรับปรุงแก้ไขระบบราชการ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้เป็นการทํางานจากโครงสร้างในปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการได้อย่างทั่วถึง รวดเร็ว สะดวกสบาย ลดขั้นตอน ลดเวลา ลดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียเวลามาก และที่สําคัญเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องมองประชาชนเป็นหลัก เป็นศูนย์กลาง และเจ้าหน้าต้องรุกเข้าหาประชาชน คือเดินเข้าหาและไปสอบถามปัญหา และแสวงหาหนทางในการแก้ไขปัญหาให้กับเขา เราเป็นข้าราชการที่ดี
ด้านการจับกุมผู้กระทําความผิด คดีอาชญากรรม โดยเฉพาะคดีหมิ่นสถาบันฯ หรือคดีอื่นๆ นั้น ซึ่งไม่ได้รับการเอาใจใส่ วันนี้สามารถติดตามจับกุมได้อย่างรวดเร็ว ต้องขอชมเชยเจ้าหน้าที่ตํารวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายความมั่นคง รวมทั้งประชาชน ที่ช่วยกันแจ้งเบาะแส เฝ้าระวัง ซึ่งจะทําให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในแง่ของพยานหลักฐาน และรวดเร็วในการสืบสวนหาผู้กระทําความผิด ซึ่งในทุกๆ เรื่องที่สําคัญนั้น เราจะดําเนินการสืบหาผู้บงการ ผู้สนับสนุนด้านการเงิน หรือเครือข่ายต่อไปให้ได้
ด้านการท่องเที่ยว ขณะนี้การท่องเที่ยวเป็นช่วงนี้ High Season จากการรายงาน การรวมรวมข้อมูลสถิติการเดินทางจากสนามบิน จากการเข้าพักโรงแรม การจับจ่ายซื้อสินค้า พบว่ามีนักท่องเที่ยวจํานวนมากเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นโดยลําดับ อย่างไรก็ตาม ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกส่วน รวมทั้งประชาชน ช่วยกันดูแลนักท่องเที่ยวและสถานที่ท่องเที่ยวของไทย ให้ครบทุกมิติ ทั้งความปลอดภัย ความสะอาด รอยยิ้ม ราคาสินค้า ความซื่อสัตย์ อัตราค่าบริการต่างๆ เพื่อจะจูงใจให้เขากลับมาเที่ยวอีกในปีต่อไป หรือมาบ่อยๆ ก็ต้องขอขอบคุณกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหาร ประชาชนทุกคนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจทําให้การท่องเที่ยวของเราฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงนี้
การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมคลองผดุงกรุงเกษม เมื่อวานนี้ผมได้ไปเปิดโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมคลองผดุงกรุงเกษม ตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีไทย อีกทั้งมีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมคลองผดุงกรุงเกษมและพื้นที่ที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งเคยมีมาก่อนในอดีต ในพื้นที่ที่มีคูคลองของประเทศไทยในกรุงเทพมหานครนั้น วันนี้ก็ละเลยกันไปแล้วก็ไม่สะอาด วันนี้หลายแหล่งก็สะอาดขึ้น ขอบคุณกรุงเทพมหานคร (กทม.) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีชีวิตแบบไทย และเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชน รวมถึงนักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตริมน้ําแบบไทยๆ ในอดีต มีการผสมผสานการดําเนินชีวิตอย่างงดงาม โดยเฉพาะคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งเป็นคลองที่มีความสําคัญทางประวัติศาสตร์ จัดกิจกรรม “ตลาดน้ําวิถีไทยคลองผดุงกรุงเกษม” ขึ้น ตั้งแต่สะพานอรทัย ถนนลูกหลวงไปจนถึงบริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ เริ่มตั้งแต่เมื่อวานนี้ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ จะมีไปจนถึงวันที่ 1 มีนาคม 2558 รวมทั้งหมด 18 วัน ไม่มีวันหยุดราชการ ทั้งนี้จะแบ่งตลาดออกเป็น 2 ส่วน คือ ตลาดบก เปิดให้บริการระหว่าง 11.00 - 20.00 น. และตลาดน้ํา ให้บริการระหว่าง 15.00 - 20.00 น. จะได้มีการคัดสรรผลิตภัณฑ์ของดีจาก 5 ตลาดบก 6 ตลาดน้ํา ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ ตลาดนางเลิ้ง ตลาดหัวตะเข้ ตลาดหลวงแพ่ง ตลาดวัดทอง ตลาดวัดกําแพงริมคลองบางหลวง ตลาดน้ําตลิ่งชัน ตลาดน้ําวัดสะพาน ตลาดน้ําคลองลัดมะยม ตลาดน้ําวัดตลิ่งชัน และตลาดน้ําบางน้ําผึ้ง มาเข้าร่วมกิจกรรม ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจช่วยกันประชาสัมพันธ์และมาเที่ยวกันให้มากๆ และช่วยกันขยายต่อไปในพื้นที่อื่นๆ ด้วย การจราจรอาจจะติดขัดบ้าง แต่เราก็มีรถรับส่งให้
สําหรับโครงการจักรยานมิตรภาพไทย – เมียนมา ผมขอขอบคุณหอการค้าจังหวัดตาก ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่ได้ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการมุ่งส่งเสริมพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในท้องถิ่น โดยการสร้างสรรค์กิจกรรมที่นอกจากจะส่งเสริมให้เยาวชนรักการออกกําลังกาย รณรงค์การประหยัดพลังงานและลดมลพิษแล้ว ก็ยังเป็นการสนับสนุนอุสาหกรรมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ การค้า และการบริการในพื้นที่อีกด้วย ในแนวชายแดนทั้งฝั่งไทยอําเภอแม่สอด จ.ตาก และประเทศเพื่อนบ้าน เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา รวมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์ อันดีระหว่างพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ของทั้ง 2 ประเทศ อันจะนําไปสู่การเสริมสร้างความร่วมมือกันในระดับชาติต่อไป ซึ่ง อ.แม่สอด จ.ตาก เป็นพื้นที่เป้าหมาย ของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของรัฐบาล เขตอื่นๆ ก็เช่นเดียวกันก็ความกรุณา ถ้าพร้อมก็จัด ก็ขอดูแลความปลอดภัยด้วย
ด้านความร่วมมือรัฐกับเอกชน วันนี้รัฐกับเอกชน มีความร่วมมือกันมากขึ้น รับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย ภาคเอกชนร่วมมือกับรัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ภาครัฐก็ต้องพยายามหาช่องทางสนับสนุนภาคเอกชนให้ตรงกับความต้องการทั้งรัฐและเอกชนอย่างเหมาะสม รวมทั้ง การอํานวยความสะดวกในด้านต่างๆ ด้วย
สําหรับปัญหาราคาสินค้าอุปโภค บริโภค และพลังงาน เรื่องราคาอาหาร พลังงาน สินค้าการเกษตร หลายประเภทก็อาจจะมีทั้งขึ้นและลง วันนี้ลงมาก เพราะไม่เคยมีใครคิดจะแก้ไขอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะผลิตผลทางการเกษตร เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาถึง ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง แล้วก็ภาพรวมด้วย ต้นทางคือ ผู้ผลิต ประกอบด้วย ต้นทุน การขนส่ง ค่าจ้างแรงงาน ค่าเช่า อะไรก็แล้วแต่เป็นต้นทุน กลางทางก็คือ นายทุน เจ้าของกิจการ เจ้าของผลิตผล ผลิตภัณฑ์ ร้านค้า ปลายทางคือประชาชน ทั้ง 3 ส่วนนั้น ก็คงต้องดูแลอย่างเป็นธรรม สมดุล รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ น้ํามันลง ไม่ใช่ว่าแก๊สจะต้องลงไปด้วย คงไม่ใช่แบบนั้น เพราะคนละส่วน คนละประเภทกัน คนละต้นทุน คนละวิธีการ เพราะฉะนั้น ถ้าน้ํามันบางประเภทลง บางประเภทขึ้น อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายในการสนับสนุนพลังงานของประเทศด้วย ของรัฐด้วย ในวันนี้รัฐต้องการสนับสนุนให้ใช้น้ํามัน แก๊สโซฮอลด้วย บางอย่างก็ต้องลดกันเพื่อจะลดการนําเข้าแก๊สในประเทศ หรือว่าต้นทุนน้ํามันดิบ
วันนี้ต้นทุนในประเทศเรามีจํากัด แหล่งพลังงานเราก็ลดลงก็ยังมีปัญหาอยู่บ้าง แล้วถ้าสมมติว่าในส่วนนี้ เช่น แก๊ส วันนี้แก๊สในประเทศที่ขุดได้เอง ก็ราคาต่ํา แต่เมื่อไม่พอนําต่างประเทศเข้ามาราคาสูงกว่าในประเทศมาก ถ้าเราใช้มากๆ รวมมูลค่าในการนําเข้าก็สูง อันนี้เป็นที่ยากที่จะเข้าใจ แต่เราก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะอธิบาย จะเห็นได้ว่าเรื่องพลังงานนี้ให้มีคนไปชี้แจงทุกวัน อันนี้ขอให้ทุกคนช่วยติดตามด้วย อะไรที่ไม่เข้าใจก็ถามมา ท่านมีเหตุผลเพียงพอก็ตอบได้ ถ้าไม่ใช่ก็ตอบไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจกันบ้าง
เพราะฉะนั้น บางอย่างนั้นถ้าเราใช้มากๆ ไป ไม่ประหยัด ถูกมากก็ใช้มาก ความสิ้นเปลืองต่างๆ ก็เสียหาย ประเทศชาติก็ไม่มีรายได้มาพัฒนาประเทศ เช่น การใช้แก๊สวันนี้มาใช้ในการผลิตพลังงานเป็นจํานวนมากทําให้ต้นทุนสูง เราจะไปปรับเปลี่ยนใช้ถ่านหินก็ใช้ไม่ได้อีก ก็ยังมีปัญหาอยู่ มีการต่อต้านเหล่านี้ จะใช้น้ํา น้ําก็น้อยลง ผลิตไฟฟ้าไม่ได้ทุกอย่างก็พัวพันกันไปแบบนี้ เราต้องแก้ปัญหาที่ความเข้าใจก่อน ถ้าเข้าใจได้แล้วก็ช่วยกันว่าจะหาทางทํากันได้อย่างไร ถ้าปฏิเสธทั้งหมดก็เดินหน้าไม่ได้ รัฐบาลก็ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนคนไทย เราต้องดูแลคนทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย
ถ้าหากว่าราคาน้ํามันลง คนก็หันไปใช้แก๊สน้อยลง คนที่ลงทุนเรื่องปั้มแก๊สซึ่งวันนี้เขาว่าวันนี้มีน้อยก็ไม่ลงทุนอีก เพราะลงทุนไปแล้วไม่คุ้มค่า ก็ปรับลดจากใช้แก๊สมาใช้นํามันอีก วันข้างหน้าถ้าน้ํามันขึ้นก็ปรับไปใช้แก๊สอีก ก็วนเวียนไปมาแบบนี้ เพราะฉะนั้น ทุกคนก็ต้องรู้จักการปรับตัวว่าจะทําอย่างไร รัฐบาลก็เข้าไปดูว่า จะเฉลี่ยราคากันอย่างไร ถ้ารัฐจะต้องไปดูแลทุกอย่างให้ทุกคนพอใจเป็นไปไม่ได้ เพราะคนละประเภทกันหมด โดยเฉพาะเรื่องการขนส่งเหมือนกัน วันนี้หลายๆ ภาคธุรกิจของไทยนั้นก็เปลี่ยนจากน้ํามันไปเป็นแก๊ส
วันนี้พอน้ํามันถูกก็จะกลับมาเป็นน้ํามันอีก ก็ทําให้เกิดปัญหา แล้วเราก็ต้องไปเพิ่มการนําน้ํามันเข้ามาอีก น้ํามันดิบ เพราะฉะนั้นก็ต้องดูความพอเพียงด้วย งบประมาณของรัฐนั้นก็มาจากภาษีประชาชนทั้งสิ้น อย่างที่เรียนแล้วว่าต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ทุกคนต้องเข้าใจในภาพรวมด้วย หลายส่วนนั้นเกี่ยวข้องกันทั้งหมด ทั้งรัฐ ทั้งเอกชน ประชาชน เป็นห่วงโซ่ทางด้านพลังงาน
สําหรับราคาของก๊าซธรรมชาติในไทยนั้น วันนี้ก็ปรับขึ้น ลอยตัวขึ้นมากพอสมควร แต่ก็พยายามจะคงราคาไว้ให้มากที่สุด ให้มีส่วนต่างอยู่บ้าง ในส่วนของในแต่ละประเภทที่รัฐต้องเข้าไปดูแล คนมีรายได้น้อย เพื่อจะไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องอื่นๆ อีกด้วย
ในส่วนของอนาคตไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าหากว่าประเทศไทย มีพลังงานที่ใช้แหล่งพลังงานไม่เพียงพอ ต้องจัดหาจากต่างประเทศ หรือจัดซื้อทั้งหมด นั่นคือปัญหาของเรา ถ้าปิดซ่อมหรือว่าถ้าเขาไม่ส่งหรือถ้ามีปัญหาอื่นๆ ก็แล้วแต่ความขัดแย้ง เราจะไม่มีพลังงานใช้ในประเทศ ถ้าเราไม่เตรียมการในประเทศไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันนี้ แม้ว่าจะใช้เวลามากถึง 5 - 6 ปีในการลงทุนขุดเจาะต่างๆ เหล่านี้ ก็ไปว่ากันมา ว่าจะขุดได้อย่างไร แล้วก็จะมีประโยชน์กับประชาชนอย่างไร อันนี้อยากให้พิจารณาในประเด็นนี้ด้วย อาจจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
เพราะว่าภาพรวมนั้น เมื่อจะทําอะไรก็ตาม จะลงทุนอุตสาหกรรม ลงทุนแปรรูปอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ ก็ต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น ถ้าเราใช้พลังงานในประเทศไม่พอก็ต้องซื้อข้างนอก เมื่อซื้อข้างนอก ซื้อไม่ได้ ก็ไปไม่ได้ทั้งหมด ทั้งไฟฟ้า ประปา พลังงาน โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งหมดก็ติดขัดไปหมด การขนส่ง ทุกอย่างจะเดือดร้อน เพราะฉะนั้นก็ขอให้ช่วยกันแก้ไขปัญหาโครงสร้างในด้านพลังงานของเราด้วย
ในส่วนของผลกระทบต่างๆ เหล่านั้น รัฐบาลก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะดูแลแล้วก็หาทางแก้ไขเป็นอย่างอื่น เพราะเราไม่สามารถจะ Support งบประมาณหรือ Subsidize ได้ทุกเรื่องแล้วถ้าเกิดว่ามีการประท้วงกัน เรียกร้องราคากันมากมาย จนเราให้ไม่ได้ แล้วมีการหยุดเดินรถขนส่งสาธารณะ การบริการต่างๆ หรือการประกอบการต่างๆ ที่ต้องใช้พลังงานน้ํามันแก๊ส จะทําให้ความเดือดร้อนตกหนักที่ประชาชน ซึ่งรัฐบาลต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะแลประชาชนทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ที่หาเช้ากินค่ําที่ต้องอาศัยการขนส่งสาธารณะในการเดินทางเป็นสําคัญ เพราะฉะนั้น เข้าใจว่าหลายๆ ท่านคงต้องเสียสละบ้างเพิ่มขึ้น อยากให้เต็มใจแล้วก็เห็นใจซึ่งกันและกัน ถ้าไม่แก้ไขวันนี้ วันหน้าวิกฤตการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นแน่นอน
สําหรับในส่วนของสินค้าต่างๆ ที่มีราคาแพงขึ้นนั้น ก็มีคนเดือดร้อน ร้องเรียนมามากมาย ผมก็ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูแลอย่างเต็มที่ ไปหาข้อเท็จจริง ทั้งในเรื่องการดูแลราคาต้นทุนสินค้า การขยายความร่วมมือกับผู้ประกอบการในการขยายโครงการสินค้าราคาประหยัดไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค สินค้าใดที่มีราคาสูง ต้องดูว่าส่วนประกอบที่เขานํามาใช้ทําให้เรารับประทานขายนั้น มีคุณภาพต่างกันหรือไม่ เช่น เนื้อ เนื้อคุณภาพดีกว่ากันหรือไม่ เครื่องปรุง เครื่องแกงอะไรต่างๆ ราคาอาจจะไม่เท่ากันตรงนี้ด้วย แล้วสถานที่ตั้งของผู้ประกอบการร้านค้า อยู่ในที่ที่เหมือนกันหรือเปล่า อยู่ริมถนน อยู่ห้องแถว หรือว่าอยู่ในห้าง อยู่ในห้องแอร์ ราคาก็แตกต่างกันหมด
เพราะฉะนั้นผมอยากให้ประชาชนต้องเลือกบริโภค มีน้อยใช้น้อย มีมากใช้มาก มีการใช้เงินอย่างมีเหตุมีผลพอประมาณ จะให้รัฐบาลไปสั่งทั้งหมดนั้นคงไม่ได้ เพราะวันนี้หลายอย่างถึงแม้ว่าผมหรือรัฐบาลมีอํานาจมากๆ สั่งไปก็ยังไม่ได้เลย ทุกคนก็ต่อต้านกันหมด แล้วจะให้ผมไปสั่งบางเรื่องเพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนจนอีกส่วนหนึ่ง คนประกอบการเขาก็เสียหาย สรุปว่าก็โดนทั้งคู่ เพราะฉะนั้นก็ต้องช่วยผมด้วย ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้หรือไม่ ดูฐานะตนเอง พวกเราแม้ว่าจะมีเวลาในการบริหารประเทศไม่นาน แต่รัฐบาลก็มีความพยายาม
ผมกล่าวย้ําอีกครั้งว่าเรามีความพยายามอย่างสูง ในการจะดูแลพี่น้องประชาชน แล้วก็สร้างอนาคตให้ยั่งยืนในทุกมิติอย่างเต็มที่ หลายเรื่องเป็นปัญหาที่สะสมยาวนาน ถ้าไม่ร่วมกันวันนี้ ไม่ช่วยกันแก้ไขปัญหากันวันนี้ แล้วไม่มีการเสียสละ ยังคงคิดเหมือนเดิม ไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นปัญหาใหญ่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไปในอนาคต
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ก็เป็นที่น่ายินดีว่ามิตรประเทศไปมาหาสู่กัน มีความร่วมมือกันมากขึ้น ทั้งในอาเซียน จีน ญี่ปุ่น ยุโรปตะวันตก นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นในการค้าการลงทุน อันนี้รวมความไปถึงนักธุรกิจตะวันตกแล้วยุโรปด้วย ก็ยังมีการลงทุนเพิ่มขึ้น มีการติดต่อค้าขายกับเราอยู่อย่างต่อเนื่อง แล้ววันนี้ภาคเอกชนก็มั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาลปัจจุบัน ถึงแม้ว่าในหลักการแล้วยังอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง ในเรื่องการแก้ปัญหาของประเทศไทยในระยะนี้ คือการปฏิรูปในเรื่องของกระบวนการประชาธิปไตย แต่รัฐบาลจะอดทน พยายามสร้างความเข้าใจเราก็ต้องให้ทั้งในประเทศแล้วต่างประเทศต้องเข้าใจเราด้วย หลักการของเราวันนี้ที่ผมใช้คําว่า ประชาธิปไตยที่เป็นเหมาะสมกับสังคมไทย ก็คือผมคิดว่าทุกคนก็เห็นร่วมกันกับผม เป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง บ้านเมืองจะต้องสงบสุขและปลอดภัย ก็ไปทบทวนดูว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องช่วยกันแสดงให้เห็นถึงสิ่งดีๆ ที่คนไทยมี คนไทยเป็น หากมีผู้นําหรือผู้บริหารที่เข้มแข็ง มีรัฐบาลที่สุจริต มีคุณธรรมในอนาคตได้ แล้วไม่มีการชี้นําเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง หรืออื่นๆ ที่ทําให้เกิดความขัดแย้งจนเดินหน้าประเทศไม่ได้ ผมคิดว่าห้วงนี้เป็นห้วงที่เหมาะสมที่สุดที่เราจะช่วยกันแก้ปัญหา
สําหรับผู้ที่ไม่เข้าใจ ไม่ยอมปรับตัว อาจจะลืมไปว่าเป็นคนไทย วันหน้าเราต้องกลับมาอยู่ด้วยกันอีก ก็ไม่ทราบว่าจะอะไรกันนักหนา รัฐบาลก็พยายามทําอย่างเต็มที่ พยายามจะให้ความเป็นธรรม พยายามจะนําเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ถูกต้อง ก็ไม่ยอมรับกันอีก หลายคนก็หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ แล้วก็ไปพูดจาให้เสียหาย ที่ผมเดินทางไปญี่ปุ่นก็ทราบว่ามี แต่ไม่ได้เจอผม และทางญี่ปุ่นก็ไม่ให้ความสนใจ ผมก็ได้ชี้แจงว่าคนเหล่านี้ทําความผิดอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการผิดคดีอาญา ในเรื่องของกฎอัยการศึก ผมก็ได้ชี้แจงว่าผมใช้ทําอะไร เขาก็ได้สั่ง และก็เข้าใจ เพียงแต่ว่าเขาอยากให้เป็นประชาธิปไตยโดยเร็วเท่านั้นเอง เมื่อไหร่พร้อมก็เป็น ผมก็บอกไปแล้วว่า 1 ปีเท่านั้นเอง ก็ไม่ช้า ไม่เร็วเกินไป ไม่อย่างนั้นก็เสียเวลาไปทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราต้องร่วมกันทําความดีตามนี้ ในช่วงนี้โรดแม็ป คสช. นั้นจะเร็วหรือจะช้า ไม่ได้อยู่กับผมอย่างเดียว หลายอย่างทุกคนเอากลับมาลงที่ผมหมด วันนี้ใช่ ความรับผิดชอบใช่ แต่ถ้าบังคับว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ขอความร่วมมือก็ไม่ได้ ต่อต้าน แล้วจะไปถึงโรดแม็ปอย่างนั้นได้หรือไม่ ผมไม่ทราบ
โลกโซเชียลมีเดียในปัจจุบันนั้นมีความโหดร้าย ผมคิดว่าน่ารักก็เยอะ แต่ที่โหดร้ายก็มาก บางอันไม่มีการให้อภัยซึ่งกันและกันเลย หรือบางอันก็มีแต่ชมๆ จนเสียคนหรือไม่ก็ลงโทษ โกรธ เกลียดกันไป ไม่มีลดหย่อน ไม่มีให้อภัย เพราะฉะนั้นใครเสพข้อมูลเหล่านี้ไป ทําให้ซึมลึกเข้าไปในใจ แล้วเกลียดก็เกลียดเลย ผมคิดว่าต้องมีการให้อภัยกันบ้างในบางเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ถ้าใช้โซเชียลมีเดียโต้ตอบกันไป อะไรกันไป แล้วไม่ได้พูดจากันโดยตรง บางทีก็ขยายความขัดแย้ง ถ้าติดค้างกันมากๆ หรือไม่พอใจกันมากๆ มาตั้งโต๊ะคุยกัน ผมก็พร้อมจะคุย มาคุยกันให้หมด แล้วเข้าสู่กระบวนการ ก็จะจบเรื่องกันสักที ไม่เป็นอันตรายต่อส่วนรวม ก็อย่าไปตอบโต้กับทางโซเชียลมีเดีย จริงบ้างไม่จริงบ้าง ทําให้เกิดความบาดหมาง และลุกลามบานปลาย ก็เกิดขึ้นอย่างนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ต้องแก้ไข สังคมเราจะได้ไม่แข็งกระด้าง ชินชากับความรุนแรง หยาบคายใช้คําพูดไม่เหมาะสม พูดไม่ไพเราะ เดี๋ยวนี้เด็กๆ พูดไม่ค่อยไพเราะเลย มีคําศัพท์อะไรใหม่ๆ มาตลอดเวลา บางอย่างก็โอเค เป็นไปตามยุคตามสมัย แต่บางอย่างก็รับไม่ได้ บางครั้งแสดงออกให้เห็นถึงว่าวัฒนธรรมประเพณีอันงดงามของไทยหายไปมากเหมือนกัน คนอ่าน คนเขียน ผมถือว่าถ้าเจตนาดีก็น่าจะดีให้คําแนะนําอะไรต่างๆ ก็ว่าไป หรือแจ้งเบาะแส แต่ถ้าด่ากันอยู่ในเฟสบุ๊กหรือในเว็บไซต์หรือในโซเชียลมีเดีย ไม่ใช่สุภาพบุรุษ และไม่ใช่สิ่งดีงามนักที่เป็นตัวอย่างกับเด็ก วันหน้าเด็กๆ ก็นําไปเป็นตัวอย่าง ลูกท่าน หลานเธอของท่านเองก็นําไปใช้ ท่านก็ไม่ชอบอยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ควรจะมีคุณธรรม และเกรงกลัวกฎหมาย เกรงกลัวความผิดบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ร้ายคนอื่น และที่ไม่มีหลักฐานหรือข้อเท็จจริง สังคมเราจะได้เรียนรู้ มีความเข้มแข็ง ไม่เกิดความขัดแย้ง
เรื่องหนึ่งที่เป็นหนึ่งเรื่องน่าแปลก ผมก็อยากจะเรียนกับคนไทยทุกคนว่า วันนี้คนไทยส่วนใหญ่นั้นนับถือศาสนาพุทธ มีการทําบุญตักบาตร รับศีลรับพรกันมากมาย มีกิจกรรมมากมาย ถือศีล 5 เป็นอย่างน้อย แต่ทําไมประเทศไทยยังมีการกระทําความผิด มีการทุจริต มีการพูดเท็จ มีการฆ่าฟันกันมากมาย ผมไม่ทราบ ประเทศอื่นๆ หรือศาสนาอื่นๆ ที่เขาอาจจะเคร่งน้อยกว่าเราด้วยซ้ําไป มีพิธีการน้อยกว่าเราอีก แต่เขาก็เกิดเหตุการณ์น้อยกว่า อย่างน้อยเขาก็ไม่มีการโกงกันหรือเอารัดเอาเปรียบกันมากมาย วันนี้เราต้องลดลงให้ได้ ก็ดีใจว่าลดลงเรื่อยๆ
ในส่วนของสื่อมวลชนก็เช่นกัน ต้องช่วยกัน ผมก็ขอทุกครั้ง ผมก็พยายามช่วยท่าน ให้ท่านมีอาชีพ มีรายได้ มีข่าวสารที่ดีๆ ถึงประชาชน ฝากขอความกรุณาสร้างความเข้าใจด้วย อย่าไปขยายในเรื่องที่เป็นความขัดแย้ง ถามอะไรที่ดีๆ บ้าง ผมก็ตอบทุกครั้ง เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรที่สังคมสนใจ แต่ไม่เกิดประโยชน์เลย ก็ถามให้น้อยลง และไม่ถามในเชิงขัดแย้ง ผมก็ไม่ต้องไปทะเลาะกับคนอื่น ถ้าจะบอกว่าผมก็ไม่ต้องตอบ อีกหน่อยผมก็ไม่ต้องพบท่านก็แล้วกัน ง่ายดี เพราะฉะนั้นระมัดระวัง ผมก็ระมัดระวังตัวของผมเองด้วย ช่วยกัน วันนี้เราต้องร่วมกันสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน
สําหรับการเข้ามาของ คสช. และรัฐบาลนั้น หลายคนอาจจะลืมอีกแล้ว คนไทยลืมง่าย เพราะฉะนั้นวันนี้เราเข้ามาเป็นรัฐบาล มุ่งหวังเพื่อจะหยุดความขัดแย้ง หยุดความรุนแรง และนําพาประเทศให้สงบสุข ยั่งยืน มีการปฏิรูปซึ่งไม่เคยทําได้ ทุกรัฐบาลก็อยากจะทําแต่ทําไม่ได้ วันนี้เราเริ่มทําได้แล้ว เพราะฉะนั้นก็ให้เข้าใจว่าเรามีเจตนาอย่างไร เราพยายามจะทําให้ดี ให้เร็ว ตามโรดแม็ป แต่บางคน บางสื่อก็พยายามจะเร่งเวลาให้เร็วกว่านั้น ตําหนิติเตียนหาช่องทางขัดขวาง ผมเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่อยากให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้น ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย เสียดายเวลา เสียดายโอกาส เสียชีวิต และบาดเจ็บไปมากมาย และมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
อยากให้หาช่องทางที่ถูกต้อง เสนอความคิดเห็น คําแนะนํามาได้ ไม่ใช่ไปตอบโต้กันหรือเอาชนะกับ คสช. ผมคิดว่า คสช. ไม่ใช่ศัตรูท่าน ก่อนหน้านี้เราไม่มี คสช. ท่านลองนึกดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มีความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ขับเคลื่อนประเทศไม่ได้ พัฒนาไม่ได้ เศรษฐกิจไม่เดินหน้า ต่างชาติไม่เข้ามาเที่ยว แล้ววันนี้ คสช. เข้ามาเพื่อแก้ไข เพราะฉะนั้นวันนี้อย่ามองรัฐบาลเป็นศัตรู เราไม่ได้มาจากการเมือง ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้มาจากประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นวันนี้เราเข้ามาแก้ปัญหา ไม่ใช่ว่าสิ่งใดที่เราทําก็ผิดไปทั้งหมด หรือถูกไปทั้งหมด ผมก็ไม่ได้ว่าอย่างนั้น วันนี้ก็พยายามมาแก้ไขในเรื่องของการพัฒนาคน การใช้จ่ายงบประมาณ การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา กฎหมาย และเรื่องการบริหารราชการ เพื่อเป็นอนาคต และข้อสําคัญคือเรื่องของการปฏิรูป ต้องใช้เวลาทั้งสิ้น ผมก็ไม่ต้องการที่จะให้นานไปกว่าโรดแม็ป แต่ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับทุกคนด้วย ต้องช่วยผม ถ้าถึงเวลาแล้วไปไม่ได้แล้วจะทําอย่างไร อย่างที่ผมเรียนไปแล้วว่า ถ้ารัฐธรรมนูญร่างไม่เสร็จแล้วจะทําอย่างไร ก็ตอบผมมาแล้วกัน หรือไม่ก็เลือกตั้ง ก่อนเลือกตั้งแล้วมีความรุนแรงเกิดขึ้นต่อต้านกันขึ้นแล้วจะทําอย่างไร เตรียมคําตอบให้ผมแล้วกัน หรือไม่ถ้าเลือกตั้งได้ หลังเลือกตั้งจะขัดแย้ง ขัดขวางกันแบบเก่าหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ต้องไปถามคนอื่นด้วย สําหรับผมเองนั้นยืนยันอยู่เสมอว่า เป็นไปตามโรดแม็ป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประชาชน แต่ถ้าหากประชาชนยังเร่งรัดและพยายามที่จะเลือกตั้ง หรือพยายามที่จะต่อต้านให้เราทําอะไรไม่สําเร็จสักเรื่อง แล้วกลับไปสู่การเลือกตั้ง ก็จะกลับมาเป็นแบบเดิม อย่างนั้นผมก็ช่วยท่านไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศเลือกกันเอง ต้องยอมรับในความสําเร็จ หรือในความผิดพลาด เพราะฉะนั้นคงมาโทษ คสช. ไม่ได้ เพราะว่าเรื่องดังกล่าวเกิดมาก่อนที่ คสช. เกิดขึ้น ก็ขอให้ช่วยกันกลับไปคิดใหม่ว่าเราต้องทําอะไรกันบ้าง
วันนี้เราต้องใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์ไม่รั่วไหล การดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อย ดูแลข้าราชการชั้นผู้น้อย การลดหนี้สินครัวเรือน การสร้างความเข้มแข็งให้ SMEs การพัฒนาการวิจัยของประเทศ การสนับสนุนการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร การแสวงหาตลาดใหม่ๆ ให้กับสินค้าไทย การสร้างแบรนด์ นวัตกรรม การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ การสนับสนุนพลังงานทดแทน การดูแลสังคมผู้สูงอายุ เด็ก และสตรี การพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน การเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การสร้างความเชื่อมโยงให้เกิดขึ้นในภูมิภาค การปรับปรุงพัฒนารัฐวิสาหกิจให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน การฟื้นฟู การปรับปรุงระบบการศึกษาเร่งด่วน การพัฒนาแรงงานวิชาชีพ ให้ตรงตามความต้องการในปีหน้า (2559) AEC การเตรียมการป้องกันภัยพิบัติในสภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การเพิ่มเติมการสร้างซ่อมแซมระบบชลประทานให้เพียงพอ
วันนี้เรามีจํานวนน้อยมาก ปลูกข้าว 70 กว่าล้าน ได้ 27 ล้านเท่านั้นเอง ระบบชลประทาน อย่างน้อยเราควรจะมี 60 ล้าน นี่กี่ปีมาแล้วยังไม่เคยขยายได้ถึง 60 ล้านเลย น้อยมาก น้อยเกินไปด้วย งบประมาณเราก็จํากัดด้วยตอนนี้ จําเป็นต้องสร้างให้ภาคการเกษตร ให้มีเกษตรที่ทันสมัย เรียกว่า Smart Farmer ที่ตั้งชื่อไว้สวยหรู วันนี้ก็ต้องรีบเดินหน้าไป การสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ การปราบปรามการทุจริต การสร้างความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรม เหล่านี้ เป็นต้น ซึ่งการเดินหน้าทุกอย่างจะเห็นว่ามีหลายเรื่อง และมีทั้งง่ายระยะที่ 1-2-3 ยากเอาไป 2 ถ้ายากมากเอาไป 3 รัฐบาลต่อไปก็รับไปก็แล้วกัน
ทุกประเด็นมีหลายเรื่องต้องทํา เช่น การปฏิรูปการศึกษานั้น ที่สําคัญกําหนดไว้ว่าทําอย่างไรจะแก้ปัญหาเรื่องผู้เรียน เขียนอ่านไม่คล่องให้ได้โดยเร็ว การดูแลโรงเรียนขนาดเล็กและชายขอบ การจัดการงบประมาณ และทรัพยากรศึกษา ระบบการผลิตครูและผู้บริหาร การส่งเสริมการสอนทักษะการทํางานและอาชีพ เหล่านี้ เป็นต้น เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นของการศึกษาไทย วันนี้ก็ต้องปรับปรุง ไม่ได้ว่าไม่ดีทั้งหมด ก็อยากให้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง
ปัจจุบันนั้น ขอกราบเรียนอีกครั้งหนึ่งว่า เรามาหยุดความรุนแรง และแก้ไขในสิ่งที่บกพร่อง ทําให้ดีขึ้น ทุกอย่างเราไม่ได้เป็นคนสร้างให้เกิด ถ้ารัฐบาลดีก็ไม่มีใครเขามาควบคุมอํานาจอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ก็อย่าไปกังวล วันนี้ วันหน้า วันไหน ทําให้ดีแล้วกัน ไม่มีใครมาว่าให้ท่านได้ ท่านก็เลือกมาให้ดี ผู้เลือกก็เตรียมตัวมาให้ดี และนําบทเรียนจากในอดีตมา อย่าให้เกิดขึ้นอีก ก็เท่านั้น ไม่เห็นต้องไปอะไรหนักหนา ถ้าไม่ทํา ไม่ปฏิบัติ ไม่สองมาตรฐาน ก็อยู่ได้ประเทศ ทุกประเทศเขาอยู่แบบนั้น วันนี้ขอร้อง ไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่ทํางานไม่ได้
ถ้าวันนี้เราไม่มีกฎหมาย กฎอัยการศึก ผมเรียนเลยว่าแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ท่านก็รู้คําตอบดีอยู่ ควบคุมไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์ ก็ปฏิรูปไม่ได้ ทําอะไรก็ไม่ได้ ก็ประท้วงวุ่นวายไปหมด มีอย่างเดียวเท่านั้นเอง ผมคิดว่าตอนนี้ต่างประเทศเขาเข้าใจเรามากขึ้น ลองติดตามดูแล้วกัน ก็ยืนยันว่าเราต้องการเดินหน้าให้ปลอดภัย สิ่งใดที่รัฐบาลในอดีตที่ผ่านมาทําไม่ได้ เราก็พยายามทําให้ได้อย่างน้อยก็เริ่มต้นก่อน ระยะต่อไปท่านก็ไปทําดูแล้วกันว่ายาก ง่ายอย่างไร ทําให้ได้
เพราะฉะนั้น ความคาดหวังของ คสช. ของรัฐบาล และของประชาชนทุกคนก็ควรจะคาดหวังว่า ให้ภาคประชาชนมีความเข้มแข็ง เคารพกฎหมาย คิดถึงส่วนรวม ไม่มีความขัดแย้ง มีความคิดเป็นของตนเอง ไม่ถูกชักนํา หวังผลประโยชน์ทางการเมือง หรือผลประโยชน์ มีการรวมกลุ่มให้เข้มแข็ง ทั้งในชุมชน ชายแดน ภูมิภาค ต้องเพิ่มพูนอํานาจในการแข็งขันกับต่างประเทศ ให้เกิดการปฏิรูปประเทศอย่างยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ 2015 – 2020 5 ปี ผมคงไม่ได้อยู่ ก็ทําให้ได้แล้วกัน ผมจะคอยดู
เรื่องของการใช้จ่ายงบประมาณอย่างบูรณาการนั้น วันนี้เราพยายามจัดสรรให้ตรงความต้องการของประชาชน ซึ่งกําลังขับเคลื่อนลงไปเร่งรัดงบประมาณในส่วนของการลงทุนให้ได้ เมื่อวานก็มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของ คสช. แล้ว ก็จะเริ่มเดินหน้าให้เร็วขึ้น ประชาชนก็คอยดูโครงการต่างๆ จัดซื้อจัดจ้างทําสัญญา ช่วยกันทําให้เร็ว ไม่ใช่ช่วยกันทําให้ช้า ตรวจสอบความโปร่งใสให้ด้วย ระบบตรวจสอบการทุจริต เหล่านี้ต้องเตรียมการวันนี้และทําวันนี้ วันหน้าจะได้เพิ่มเติมให้รัดกุมขึ้นและรวดเร็วขึ้น ไม่ให้เกิดความเสียหายต่อรัฐอย่างร้ายแรง คําว่าร้ายแรงคงเข้าใจ และสร้างความเข้าใจต่อประชาชนเป็นสิ่งสําคัญ
เรื่องการรับรู้รับทราบการทํางานของภาครัฐ ปัจจุบันนั้นเราถ่ายทอดทุกทาง เว้นแต่ว่าท่านจะฟังหรือไม่ฟัง เรื่องดีๆ มากมาย ส่วนใหญ่จะอยู่ในสื่ออยู่แล้ว หน้าในๆ ช่วยกันเปิดดูแล้วกัน บางกลุ่มบางพวกไม่อดทน ไม่เข้าใจ ก็ไม่รู้จะทําอย่างไร
วันนี้ผมก็คงมีเรื่องคุยเท่านี้สั้นๆ คงไม่ยาวนานรบกวนเวลาท่านมากเกินไป ก็ตั้งจิตอธิษฐานแล้วกัน ขอให้รัฐบาลเลือกตั้งที่ดี ที่ท่านอยากได้ ในห้วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าตามที่ทุกคนต้องการ ขอให้ทุกคนมีความสุข สวัสดีครับ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีออกตรวจพื้นที่ในกำกับดูแลที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดมุกดาหาร
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีออกตรวจพื้นที่ในกํากับดูแลที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดมุกดาหาร
รองนายกรัฐมนตรีออกตรวจพื้นที่ในกํากับดูแลที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดมุกดาหาร เพื่อเป็นประธานในการมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค พร้อมให้โรงเรียนมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม และพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย
วันนี้ (11 มกราคม 2561) เวลา 10.10 น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค เขตตรวจราชการที่ 11 ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดนครพนม มุกดาหารและสกลนคร ได้เดินทางไปยังห้องประชุมดอกช้างน้าว ศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร เพื่อเป็นประธานในการมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคให้ส่วนราชการของจังหวัดมุกดาหาร โดยมีนายไพฑูรย์ รักษ์ประเทศ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหารและหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดให้การต้อนรับในการประชุมครั้งนี้ได้มีการสรุปผลการดําเนินโครงการที่จังหวัดได้รับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นในอํานาจของรองนายกรัฐมนตรี ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560 จานวน 23 โครงการ โครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นในอํานาจของรองนายกรัฐมนตรี ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 จํานวน 20 โครงการ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคในการดําเนินงานของจังหวัดที่ผ่านมา ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ทุกส่วนราชการได้ร่วมมือกันทางานเพื่อประชาชน และขอให้ช่วยกันเชิญชวนให้ภาคเอกชนและภาคธุรกิจเข้ามาร่วมเพื่อเดินหน้าประเทศไทยไปด้วยกัน
จากนั้นในเวลา 13.00 น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปยังตําบลโนนทราย อําเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร เพื่อลงพื้นที่ตรวจติดตามโครงการที่จังหวัดขอรับการสนับสนุนของบประมาณ งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นในอํานาจของรองนายกรัฐมนตรี ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ในโครงการก่อสร้างฝายห้วยตูบ หมู่ที่ 14 บ้านแก่นเต่า ตําบลโพนทราย อําเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําของราษฎร ประมาณ 130 ครัวเรือน
ในเวลา 13.45 น. คณะได้เดินทางต่อไปยังโรงเรียนบ้านพรานอ้น หมู่ที่ 4 ตําบลคาอาฮวน อําเภอเมืองจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นโรงเรียนที่อยู่ในโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาสปี 2560 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และ นายพศิณศักดิ์ กลางประพันธ์ ผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านพรานอ้น ให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ ในการเดินทางไปยังโรงเรียนบ้านพรานอ้นครั้งนี้ของ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อเป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาสปี 2560 ซึ่งเป็นโครงการของสํานักงานรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ที่จัดโครงการนี้ขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยที่โรงเรียนบ้านพรานอ้นแห่งนี้ ทางบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ได้รับเป็นเจ้าภาพหลักในการให้ความช่วยเหลือ และสนับสนุนงบประมาณเพื่อใช้สําหรับการจัดการด้านการศึกษาต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้โรงเรียนมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม มีหลักโภชนาการที่ดี มีการเสริมสร้างสุขภาพอนามัยและพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยต่อการศึกษา รวมทั้งมุ่งเน้นให้เกิดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีในสถานศึกษา ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานต่อการพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้ความสามารถและเติบโตไปเป็นประชากรที่มีคุณภาพพร้อมที่จะเป็นกําลังอันสําคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวว่า สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี หน่วยงานและบริษัทต่าง ๆ ได้เห็นถึงความสําคัญของการศึกษา ซึ่งถือเป็นกลไกสําคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เกิดศักยภาพและมีความพร้อมในการเข้าสู่สังคมปัจจุบัน รัฐบาลได้มุ่งเน้นให้เกิดการปฏิรูประบบการศึกษา เพื่อให้คนไทยทุกวัยได้รับโอกาสในการเสริมสร้างสมรรถนะของตน เพื่อก้าวสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามที่ตนใฝ่ฝัน ปัจจุบันพบว่าสถานศึกษาหลายแห่งยังขาดแคลนระบบสาธารณูปโภคและระบบสาธารณสุข เกิดความเหลื่อมล้ําและขาดโอกาสในการได้รับบริการจากรัฐอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง จําเป็นอย่างยิ่งที่ภาคประชาสังคมและหน่วยงานอื่น ๆ ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อเสริมสร้างอนาคตของชาติร่วมกัน
..............................................................................................
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีออกตรวจพื้นที่ในกำกับดูแลที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดมุกดาหาร
วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีออกตรวจพื้นที่ในกํากับดูแลที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดมุกดาหาร
รองนายกรัฐมนตรีออกตรวจพื้นที่ในกํากับดูแลที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดมุกดาหาร เพื่อเป็นประธานในการมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค พร้อมให้โรงเรียนมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม และพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย
วันนี้ (11 มกราคม 2561) เวลา 10.10 น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค เขตตรวจราชการที่ 11 ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดนครพนม มุกดาหารและสกลนคร ได้เดินทางไปยังห้องประชุมดอกช้างน้าว ศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร เพื่อเป็นประธานในการมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคให้ส่วนราชการของจังหวัดมุกดาหาร โดยมีนายไพฑูรย์ รักษ์ประเทศ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหารและหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดให้การต้อนรับในการประชุมครั้งนี้ได้มีการสรุปผลการดําเนินโครงการที่จังหวัดได้รับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นในอํานาจของรองนายกรัฐมนตรี ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560 จานวน 23 โครงการ โครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นในอํานาจของรองนายกรัฐมนตรี ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 จํานวน 20 โครงการ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคในการดําเนินงานของจังหวัดที่ผ่านมา ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ทุกส่วนราชการได้ร่วมมือกันทางานเพื่อประชาชน และขอให้ช่วยกันเชิญชวนให้ภาคเอกชนและภาคธุรกิจเข้ามาร่วมเพื่อเดินหน้าประเทศไทยไปด้วยกัน
จากนั้นในเวลา 13.00 น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปยังตําบลโนนทราย อําเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร เพื่อลงพื้นที่ตรวจติดตามโครงการที่จังหวัดขอรับการสนับสนุนของบประมาณ งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นในอํานาจของรองนายกรัฐมนตรี ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ในโครงการก่อสร้างฝายห้วยตูบ หมู่ที่ 14 บ้านแก่นเต่า ตําบลโพนทราย อําเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําของราษฎร ประมาณ 130 ครัวเรือน
ในเวลา 13.45 น. คณะได้เดินทางต่อไปยังโรงเรียนบ้านพรานอ้น หมู่ที่ 4 ตําบลคาอาฮวน อําเภอเมืองจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นโรงเรียนที่อยู่ในโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาสปี 2560 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และ นายพศิณศักดิ์ กลางประพันธ์ ผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านพรานอ้น ให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ ในการเดินทางไปยังโรงเรียนบ้านพรานอ้นครั้งนี้ของ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อเป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาสปี 2560 ซึ่งเป็นโครงการของสํานักงานรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ที่จัดโครงการนี้ขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยที่โรงเรียนบ้านพรานอ้นแห่งนี้ ทางบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ได้รับเป็นเจ้าภาพหลักในการให้ความช่วยเหลือ และสนับสนุนงบประมาณเพื่อใช้สําหรับการจัดการด้านการศึกษาต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้โรงเรียนมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม มีหลักโภชนาการที่ดี มีการเสริมสร้างสุขภาพอนามัยและพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยต่อการศึกษา รวมทั้งมุ่งเน้นให้เกิดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีในสถานศึกษา ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานต่อการพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้ความสามารถและเติบโตไปเป็นประชากรที่มีคุณภาพพร้อมที่จะเป็นกําลังอันสําคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวว่า สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี หน่วยงานและบริษัทต่าง ๆ ได้เห็นถึงความสําคัญของการศึกษา ซึ่งถือเป็นกลไกสําคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เกิดศักยภาพและมีความพร้อมในการเข้าสู่สังคมปัจจุบัน รัฐบาลได้มุ่งเน้นให้เกิดการปฏิรูประบบการศึกษา เพื่อให้คนไทยทุกวัยได้รับโอกาสในการเสริมสร้างสมรรถนะของตน เพื่อก้าวสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามที่ตนใฝ่ฝัน ปัจจุบันพบว่าสถานศึกษาหลายแห่งยังขาดแคลนระบบสาธารณูปโภคและระบบสาธารณสุข เกิดความเหลื่อมล้ําและขาดโอกาสในการได้รับบริการจากรัฐอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง จําเป็นอย่างยิ่งที่ภาคประชาสังคมและหน่วยงานอื่น ๆ ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อเสริมสร้างอนาคตของชาติร่วมกัน
..............................................................................................
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9335
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวดีเอสเอ็มอีรายย่อย สสว.- ธพว. เตรียมเปิดยื่นกู้สินเชื่อ “SMEs One” รอบ 2 รับแจ้งความประสงค์ผ่านออนไลน์ ตั้งแต่ 12.00 น. วันที่ 24 ส.ค. 63 เป็นต้นไป
|
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2563
ข่าวดีเอสเอ็มอีรายย่อย สสว.- ธพว. เตรียมเปิดยื่นกู้สินเชื่อ “SMEs One” รอบ 2 รับแจ้งความประสงค์ผ่านออนไลน์ ตั้งแต่ 12.00 น. วันที่ 24 ส.ค. 63 เป็นต้นไป
สสว. และ ธพว.เตรียมเปิดรับยื่นขอกู้สินเชื่อ “SMEs One” รอบ 2 วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท สําหรับกลุ่มรายย่อย รายได้ไม่เกิน 1.8 ลบ.ต่อปี จ้างงานไม่เกิน 5 คน วงเงินกู้สูงสุด 5 แสนบาท ดอกเบี้ย 1% ต่อปี
สสว. และ ธพว.เตรียมเปิดรับยื่นขอกู้สินเชื่อ “SMEs One” รอบ 2 วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท สําหรับกลุ่มรายย่อย รายได้ไม่เกิน 1.8 ลบ.ต่อปี จ้างงานไม่เกิน 5 คน วงเงินกู้สูงสุด 5 แสนบาท ดอกเบี้ย 1% ต่อปี ระบุเปิดรับผ่านช่องทางออนไลน์ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. วันที่ 24 ส.ค. 63 เป็นต้นไป จนกว่าจะเต็มวงเงิน แนะผู้สนใจควรสมัครสมาชิก สสว.ให้เรียบร้อยก่อนวันเปิดยื่นกู้ ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อํานวยการ สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า สสว. และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank พร้อมเปิดรับคําขอกู้สินเชื่อโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย หรือ สินเชื่อ “SMEs One” รอบ 2 วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท สําหรับกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (MICRO) เท่านั้น ที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี การจ้างงานไม่เกิน 5 คน โดยวงเงินให้กู้สูงสุด 5 แสนบาทต่อราย ซึ่งจะเริ่มรับแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 24 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป รับจํานวนจํากัด จนกว่าจะเต็มวงเงิน ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้แก่ LINE Official Account: SME Development Bank , เว็บไซต์ของ ธพว. (www.smebank.co.th) และแอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android
ทั้งนี้ สินเชื่อ “SMEs One” เป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง สสว. กับ ธพว. ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (กองทุน สสว.) สนับสนุนเอสเอ็มอีรายย่อยเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ํา เพื่อนําไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยายกิจกรรม ปรับปรุง ซ่อมแซม หรือพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ คิดอัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี กําหนดระยะเวลาผ่อนนานสูงสุดไม่เกิน 7 ปี ระยะเวลาปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี โดยจะต้องมีหลักประกัน กรณีบุคคลธรรมดาต้องมีบุคคลที่น่าเชื่อถือค้ําประกัน ส่วนกรณีนิติบุคคลค้ําประกันโดยกรรมการผู้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคล
สําหรับคุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อเปิดโอกาสทั้งกลุ่มนิติบุคคล บุคคลธรรมดา และบุคคลธรรมดาจด VAT โดยต้องเป็นกลุ่มวิสาหกิจรายย่อย (MICRO) ตามนิยามของ สสว. คือ รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี การจ้างงานไม่เกิน 5 คน ซึ่งในวันที่ยื่นกู้ต้องขึ้นทะเบียนไว้กับ สสว. อีกทั้ง ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ, โครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม และโครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อีกทั้ง ผู้ขออนุมัติสินเชื่อต้องไม่เป็นหนี้ NPLs ไม่ถูกดําเนินคดี ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวเสริมว่า เนื่องจากสินเชื่อดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างสูง เห็นได้จากการเปิดแจ้งความประสงค์ยื่นกู้รอบแรก เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีผู้ยื่นกู้เต็มจํานวนอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ก่อนจะถึงวันเปิดแจ้งความประสงค์ยื่นขอสินเชื่อ SMEs One รอบ 2 ในวันที่ 24 ส.ค.นี้ ขอแนะนําให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการยื่นกู้ ดําเนินการขึ้นทะเบียนสมาชิกกับ สสว.ไว้ให้เรียบร้อยเสียก่อน โดยสมัครได้ที่ https://members.sme.go.th/newportal/ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการแจ้งความประสงค์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ทุกสาขา ธพว. ทั่วประเทศ และ Call Center สสว. 1301 หรือ Call Center ธพว. 1357
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวดีเอสเอ็มอีรายย่อย สสว.- ธพว. เตรียมเปิดยื่นกู้สินเชื่อ “SMEs One” รอบ 2 รับแจ้งความประสงค์ผ่านออนไลน์ ตั้งแต่ 12.00 น. วันที่ 24 ส.ค. 63 เป็นต้นไป
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2563
ข่าวดีเอสเอ็มอีรายย่อย สสว.- ธพว. เตรียมเปิดยื่นกู้สินเชื่อ “SMEs One” รอบ 2 รับแจ้งความประสงค์ผ่านออนไลน์ ตั้งแต่ 12.00 น. วันที่ 24 ส.ค. 63 เป็นต้นไป
สสว. และ ธพว.เตรียมเปิดรับยื่นขอกู้สินเชื่อ “SMEs One” รอบ 2 วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท สําหรับกลุ่มรายย่อย รายได้ไม่เกิน 1.8 ลบ.ต่อปี จ้างงานไม่เกิน 5 คน วงเงินกู้สูงสุด 5 แสนบาท ดอกเบี้ย 1% ต่อปี
สสว. และ ธพว.เตรียมเปิดรับยื่นขอกู้สินเชื่อ “SMEs One” รอบ 2 วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท สําหรับกลุ่มรายย่อย รายได้ไม่เกิน 1.8 ลบ.ต่อปี จ้างงานไม่เกิน 5 คน วงเงินกู้สูงสุด 5 แสนบาท ดอกเบี้ย 1% ต่อปี ระบุเปิดรับผ่านช่องทางออนไลน์ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. วันที่ 24 ส.ค. 63 เป็นต้นไป จนกว่าจะเต็มวงเงิน แนะผู้สนใจควรสมัครสมาชิก สสว.ให้เรียบร้อยก่อนวันเปิดยื่นกู้ ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อํานวยการ สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า สสว. และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank พร้อมเปิดรับคําขอกู้สินเชื่อโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย หรือ สินเชื่อ “SMEs One” รอบ 2 วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท สําหรับกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (MICRO) เท่านั้น ที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี การจ้างงานไม่เกิน 5 คน โดยวงเงินให้กู้สูงสุด 5 แสนบาทต่อราย ซึ่งจะเริ่มรับแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 24 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป รับจํานวนจํากัด จนกว่าจะเต็มวงเงิน ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้แก่ LINE Official Account: SME Development Bank , เว็บไซต์ของ ธพว. (www.smebank.co.th) และแอปพลิเคชัน “SME D Bank” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android
ทั้งนี้ สินเชื่อ “SMEs One” เป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง สสว. กับ ธพว. ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (กองทุน สสว.) สนับสนุนเอสเอ็มอีรายย่อยเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ํา เพื่อนําไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยายกิจกรรม ปรับปรุง ซ่อมแซม หรือพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ คิดอัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี กําหนดระยะเวลาผ่อนนานสูงสุดไม่เกิน 7 ปี ระยะเวลาปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี โดยจะต้องมีหลักประกัน กรณีบุคคลธรรมดาต้องมีบุคคลที่น่าเชื่อถือค้ําประกัน ส่วนกรณีนิติบุคคลค้ําประกันโดยกรรมการผู้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคล
สําหรับคุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อเปิดโอกาสทั้งกลุ่มนิติบุคคล บุคคลธรรมดา และบุคคลธรรมดาจด VAT โดยต้องเป็นกลุ่มวิสาหกิจรายย่อย (MICRO) ตามนิยามของ สสว. คือ รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี การจ้างงานไม่เกิน 5 คน ซึ่งในวันที่ยื่นกู้ต้องขึ้นทะเบียนไว้กับ สสว. อีกทั้ง ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ, โครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม และโครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อีกทั้ง ผู้ขออนุมัติสินเชื่อต้องไม่เป็นหนี้ NPLs ไม่ถูกดําเนินคดี ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวเสริมว่า เนื่องจากสินเชื่อดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างสูง เห็นได้จากการเปิดแจ้งความประสงค์ยื่นกู้รอบแรก เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีผู้ยื่นกู้เต็มจํานวนอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ก่อนจะถึงวันเปิดแจ้งความประสงค์ยื่นขอสินเชื่อ SMEs One รอบ 2 ในวันที่ 24 ส.ค.นี้ ขอแนะนําให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการยื่นกู้ ดําเนินการขึ้นทะเบียนสมาชิกกับ สสว.ไว้ให้เรียบร้อยเสียก่อน โดยสมัครได้ที่ https://members.sme.go.th/newportal/ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการแจ้งความประสงค์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ทุกสาขา ธพว. ทั่วประเทศ และ Call Center สสว. 1301 หรือ Call Center ธพว. 1357
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34304
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเข้มการคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามมาตรฐานสากล ณ บ้านเกร็ดตระการ จ.นนทบุรี
|
วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561
รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเข้มการคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามมาตรฐานสากล ณ บ้านเกร็ดตระการ จ.นนทบุรี
รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเข้มการคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามมาตรฐานสากล ณ บ้านเกร็ดตระการ จ.นนทบุรี
วันนี้ (15 ก.พ. 61) เวลา 14.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานด้านการคุ้มครองผู้เสียหาย จากการค้ามนุษย์ตามหลักมาตรฐานสากล พร้อมทั้งเยี่ยมชมกิจกรรมฝึกอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนกลับคืน สู่สังคม และร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากฝีมือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ณ สถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (บ้านเกร็ดตระการ) จังหวัดนนทบุรี
รัฐบาลมีเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปอันเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากการค้ามนุษย์เป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง โดยความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ตามแนวทางประชารัฐร่วมใจต้านภัยการค้ามนุษย์ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกมิติอย่างยั่งยืน และเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2561 มีการจัดส่งรายงานผลการดําเนินงานการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย หรือ TIP Report ประจําปี 2560 ให้กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งรายงานฉบับดังกล่าวเป็นการนําเสนอผลการดําเนินงานทั้งหมด ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจรับผิดชอบหลัก ในการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ทั้งเด็ก ผู้หญิง และผู้ชาย ภายใต้การดําเนินงานของสถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จํานวน 8 แห่ง ทั่วประเทศ ได้แก่ สถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหาย จากการค้ามนุษย์ จังหวัดเชียงราย นครราชสีมา สงขลา ระนอง พิษณุโลก สุราษฎร์ธานี ปทุมธานี และสถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (บ้านเกร็ดตระการ) จังหวัดนนทบุรี
สําหรับสถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (บ้านเกร็ดตระการ) จังหวัดนนทบุรี เป็นศูนย์สงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพสตรี มีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือหญิงที่ประสบปัญหาทางสังคมทุกประเภท เช่น ถูกละเมิดทางเพศ มีความประพฤติไม่เหมาะสม ประสบปัญหาครอบครัว และปัญหาสังคมอื่นๆ รวมทั้งยังให้ความคุ้มครองช่วยเหลือต่อเด็กและหญิงที่เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 โดยยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง ปัจจุบัน มีผู้ได้รับการคุ้มครองช่วยเหลือในบ้านเกร็ดตระการ จํานวนทั้งสิ้น 172 คน แบ่งออกเป็น สัญชาติไทย 128 คน และสัญชาติอื่นๆ 44 คน ซึ่งทีมสหวิชาชีพได้ดําเนินงาน อย่างครบวงจร ประกอบด้วย กระบวนการคุ้มครองสวัสดิภาพ การให้คําปรึกษา บริการทางการแพทย์ การช่วยเหลือด้านกฎหมาย การศึกษานอกโรงเรียน การฝึกอาชีพจัดหางานให้ทํา การเตรียมความพร้อมก่อนกลับคืนสู่สังคม การอบรมจริยธรรม การประเมินความพร้อมและส่งกลับคืนสู่สังคม และการติดตามผลต่อไป
การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของบ้านเกร็ดตระการ ในครั้งนี้ ได้เยี่ยมชมกิจกรรมฝึกอาชีพซึ่งเป็นอาชีวบําบัด เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้เสียหายก่อนกลับคืนสู่สังคม ได้แก่ แผนกเสริมสวย เย็บจักรอุตสาหกรรมนวดแผนไทย จักสานการช่างประดิษฐ์ ทอผ้ากี่กระตุก และคหกรรม รวมทั้งร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากฝีมือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ ตนได้กําชับเจ้าหน้าที่ทุกคนให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยให้คํานึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เป็นสําคัญ รวมทั้งคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเข้มการคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามมาตรฐานสากล ณ บ้านเกร็ดตระการ จ.นนทบุรี
วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561
รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเข้มการคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามมาตรฐานสากล ณ บ้านเกร็ดตระการ จ.นนทบุรี
รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเข้มการคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามมาตรฐานสากล ณ บ้านเกร็ดตระการ จ.นนทบุรี
วันนี้ (15 ก.พ. 61) เวลา 14.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานด้านการคุ้มครองผู้เสียหาย จากการค้ามนุษย์ตามหลักมาตรฐานสากล พร้อมทั้งเยี่ยมชมกิจกรรมฝึกอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนกลับคืน สู่สังคม และร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากฝีมือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ณ สถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (บ้านเกร็ดตระการ) จังหวัดนนทบุรี
รัฐบาลมีเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปอันเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากการค้ามนุษย์เป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง โดยความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ตามแนวทางประชารัฐร่วมใจต้านภัยการค้ามนุษย์ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกมิติอย่างยั่งยืน และเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2561 มีการจัดส่งรายงานผลการดําเนินงานการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย หรือ TIP Report ประจําปี 2560 ให้กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งรายงานฉบับดังกล่าวเป็นการนําเสนอผลการดําเนินงานทั้งหมด ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจรับผิดชอบหลัก ในการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ทั้งเด็ก ผู้หญิง และผู้ชาย ภายใต้การดําเนินงานของสถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จํานวน 8 แห่ง ทั่วประเทศ ได้แก่ สถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหาย จากการค้ามนุษย์ จังหวัดเชียงราย นครราชสีมา สงขลา ระนอง พิษณุโลก สุราษฎร์ธานี ปทุมธานี และสถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (บ้านเกร็ดตระการ) จังหวัดนนทบุรี
สําหรับสถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (บ้านเกร็ดตระการ) จังหวัดนนทบุรี เป็นศูนย์สงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพสตรี มีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือหญิงที่ประสบปัญหาทางสังคมทุกประเภท เช่น ถูกละเมิดทางเพศ มีความประพฤติไม่เหมาะสม ประสบปัญหาครอบครัว และปัญหาสังคมอื่นๆ รวมทั้งยังให้ความคุ้มครองช่วยเหลือต่อเด็กและหญิงที่เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 โดยยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง ปัจจุบัน มีผู้ได้รับการคุ้มครองช่วยเหลือในบ้านเกร็ดตระการ จํานวนทั้งสิ้น 172 คน แบ่งออกเป็น สัญชาติไทย 128 คน และสัญชาติอื่นๆ 44 คน ซึ่งทีมสหวิชาชีพได้ดําเนินงาน อย่างครบวงจร ประกอบด้วย กระบวนการคุ้มครองสวัสดิภาพ การให้คําปรึกษา บริการทางการแพทย์ การช่วยเหลือด้านกฎหมาย การศึกษานอกโรงเรียน การฝึกอาชีพจัดหางานให้ทํา การเตรียมความพร้อมก่อนกลับคืนสู่สังคม การอบรมจริยธรรม การประเมินความพร้อมและส่งกลับคืนสู่สังคม และการติดตามผลต่อไป
การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของบ้านเกร็ดตระการ ในครั้งนี้ ได้เยี่ยมชมกิจกรรมฝึกอาชีพซึ่งเป็นอาชีวบําบัด เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้เสียหายก่อนกลับคืนสู่สังคม ได้แก่ แผนกเสริมสวย เย็บจักรอุตสาหกรรมนวดแผนไทย จักสานการช่างประดิษฐ์ ทอผ้ากี่กระตุก และคหกรรม รวมทั้งร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากฝีมือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ ตนได้กําชับเจ้าหน้าที่ทุกคนให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยให้คํานึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เป็นสําคัญ รวมทั้งคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10119
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่ง ครั้งที่ 1/2561
|
วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561
รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่ง ครั้งที่ 1/2561
โดยที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับปรุงและอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่งทั้งระบบทางอากาศ ทางน้ํา ทางถนน และทางราง
โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยสามารถยกระดับระบบโลจิสติกส์ ไปสู่การเป็นศูนย์กลาง (HUB)
วันนี้ (28 มิ.ย. 61) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่ง ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมรับทราบ มาตรการส่งเสริมการใช้น้ํามันดีเซลหมุนเร็ว B20 เนื่องจากราคาดีเซล B20 ต่ํากว่าดีเซล B7 ถึง 3 บาท/ลิตร ส่งผลทําให้ลดอัตราภาษีสรรพสามิต และส่วนที่เหลือชดเชยจากกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง โดยจะใช้เฉพาะกลุ่มรถบรรทุกขนาดใหญ่เพื่อลดภาระผู้ประกอบการและลดค่าใช้จ่ายการขนส่งและค่าครองชีพของประชาชน ทั้งนี้ ปี 2559 ได้มีการศึกษาการใช้ B100 ในเชิงพาณิชย์และเครื่องยนต์ทางการเกษตรซึ่งเกษตรกรกว่าร้อยละ 84 สนับสนุนไบโอดีเซลเพราะหาซื้อได้ง่ายและราคาถูกกว่าน้ํามันดีเซล ซึ่งมีการจัดจําหน่ายผ่านสถานีบริการสหกรณ์การเกษตร 615 แห่งทั่วประเทศ อีกทั้งการใช้ B100 ในเครื่องยนต์การเกษตรจะดําเนินการได้ง่ายหากต้นทุนผลิตน้อยกว่า พร้อมทั้งผลการศึกษาพื้นที่นําร่องที่ใช้ B100 ประกอบด้วย จังหวัดพิษณุโลก มีเครื่องยนต์ 283,606 เครื่อง มีความต้องการดีเซล 201.35 ล้านลิตร/ปี และจังหวัดนครสวรรค์ มีเครื่องยนต์ 283,202 เครื่อง มีความต้องการดีเซล 201.07 ล้านลิตร/ปี และในปีนี้ ได้มีการนําน้ํามัน B10 มาใช้ในรถไฟ ตลอดจนกระทรวงพลังงานได้ประสานงานกับรฟท. และ ปตท. เพื่อร่วมดําเนินการนําร่องใช้ B10 กับรถไฟ จํานวน 1 เครื่องยนต์ ส่วนอีก 3 เครื่องยนต์ใช้ B7 เป็นระยะเวลา 6 เดือน (เริ่ม 21 ก.พ. 2561)
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับปรุงและอนุรักษ์พลังงาน ในภาคขนส่ง ทั้งระบบทางอากาศ ทางน้ํา ทางถนน และทางราง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดทํายุทธศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของแผนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน เพื่อวางรากฐานพัฒนาประเทศให้มั่นคงอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งมีการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในภาคขนส่งให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยสามารถยกระดับระบบโลจิสติกส์ ไปสู่การเป็นศูนย์กลาง (HUB) ทางการค้า การลงทุน และการบริการในระดับภูมิภาคเอเชีย ตลอดจน มีการปรับปรุงแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้า ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ปัจจุบันและรองรับความเจริญทางเศรษฐกิจของประเทศที่คาดว่าจะเติบโตมากขึ้นในอนาคตเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดโดยรวมต่อทุกภาคส่วน
...................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่ง ครั้งที่ 1/2561
วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561
รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่ง ครั้งที่ 1/2561
โดยที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับปรุงและอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่งทั้งระบบทางอากาศ ทางน้ํา ทางถนน และทางราง
โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยสามารถยกระดับระบบโลจิสติกส์ ไปสู่การเป็นศูนย์กลาง (HUB)
วันนี้ (28 มิ.ย. 61) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่ง ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมรับทราบ มาตรการส่งเสริมการใช้น้ํามันดีเซลหมุนเร็ว B20 เนื่องจากราคาดีเซล B20 ต่ํากว่าดีเซล B7 ถึง 3 บาท/ลิตร ส่งผลทําให้ลดอัตราภาษีสรรพสามิต และส่วนที่เหลือชดเชยจากกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง โดยจะใช้เฉพาะกลุ่มรถบรรทุกขนาดใหญ่เพื่อลดภาระผู้ประกอบการและลดค่าใช้จ่ายการขนส่งและค่าครองชีพของประชาชน ทั้งนี้ ปี 2559 ได้มีการศึกษาการใช้ B100 ในเชิงพาณิชย์และเครื่องยนต์ทางการเกษตรซึ่งเกษตรกรกว่าร้อยละ 84 สนับสนุนไบโอดีเซลเพราะหาซื้อได้ง่ายและราคาถูกกว่าน้ํามันดีเซล ซึ่งมีการจัดจําหน่ายผ่านสถานีบริการสหกรณ์การเกษตร 615 แห่งทั่วประเทศ อีกทั้งการใช้ B100 ในเครื่องยนต์การเกษตรจะดําเนินการได้ง่ายหากต้นทุนผลิตน้อยกว่า พร้อมทั้งผลการศึกษาพื้นที่นําร่องที่ใช้ B100 ประกอบด้วย จังหวัดพิษณุโลก มีเครื่องยนต์ 283,606 เครื่อง มีความต้องการดีเซล 201.35 ล้านลิตร/ปี และจังหวัดนครสวรรค์ มีเครื่องยนต์ 283,202 เครื่อง มีความต้องการดีเซล 201.07 ล้านลิตร/ปี และในปีนี้ ได้มีการนําน้ํามัน B10 มาใช้ในรถไฟ ตลอดจนกระทรวงพลังงานได้ประสานงานกับรฟท. และ ปตท. เพื่อร่วมดําเนินการนําร่องใช้ B10 กับรถไฟ จํานวน 1 เครื่องยนต์ ส่วนอีก 3 เครื่องยนต์ใช้ B7 เป็นระยะเวลา 6 เดือน (เริ่ม 21 ก.พ. 2561)
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับปรุงและอนุรักษ์พลังงาน ในภาคขนส่ง ทั้งระบบทางอากาศ ทางน้ํา ทางถนน และทางราง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดทํายุทธศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของแผนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน เพื่อวางรากฐานพัฒนาประเทศให้มั่นคงอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งมีการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในภาคขนส่งให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยสามารถยกระดับระบบโลจิสติกส์ ไปสู่การเป็นศูนย์กลาง (HUB) ทางการค้า การลงทุน และการบริการในระดับภูมิภาคเอเชีย ตลอดจน มีการปรับปรุงแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้า ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ปัจจุบันและรองรับความเจริญทางเศรษฐกิจของประเทศที่คาดว่าจะเติบโตมากขึ้นในอนาคตเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดโดยรวมต่อทุกภาคส่วน
...................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13436
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. ลงพื้นที่ชื่นชมนวัตกรรมบ้านต้นแบบผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ เทศบาลตำบลเขาพระงาม
|
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561
รมว.สธ. ลงพื้นที่ชื่นชมนวัตกรรมบ้านต้นแบบผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ เทศบาลตําบลเขาพระงาม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชม “นวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ” เทศบาลตําบลเขาพระงาม อ.เมือง จ.ลพบุรี บูรณาการทุกภาคส่วนเป็นเครือข่ายการทํางาน ใช้ชุมชนเป็นฐาน ใช้โทรศัพท์ไร้สาย เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยกับเทศบาล ผู้ป่วยและญาต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชม “นวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ” เทศบาลตําบลเขาพระงาม อ.เมือง จ.ลพบุรี บูรณาการทุกภาคส่วนเป็นเครือข่ายการทํางาน ใช้ชุมชนเป็นฐาน ใช้โทรศัพท์ไร้สาย เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยกับเทศบาล ผู้ป่วยและญาติพึงพอใจระดับดีมาก ร้อยละ 91.04
วันนี้ (7 กันยายน 2561) ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการติดตามพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เยี่ยมชม “นวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ (Excellent Happy Home Ward)” ตําบลเขาพระงาม อําเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ว่า เทศบาลตําบลเขาพระงาม มีการบูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วนเป็นเครือข่ายการทํางาน ใช้ชุมชนเป็นฐาน ลดปัญหาความเหลื่อมล้ําการเข้าถึงบริการ โดยร่วมกับทีมสหวิชาชีพ ครอบครัว ชุมชน และภาคเอกชน จัดทําโครงการ “นวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะ” สร้างระบบการดูแลระยะยาวที่บ้าน (Long Term Care) ยกระดับเป็นบ้านต้นแบบ สร้างเครือข่ายการดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง (Excellent Happy Home Ward) ที่มี 45 คนจากผู้สูงอายุทั้งหมด 3,120 คน ยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ให้บริการครอบคลุม 5 มิติ ได้แก่ สุขภาพ กิจกรรม สังคม สภาพแวดล้อม และเทคโนโลยี ขณะนี้ มีบ้านต้นแบบการดูแลผู้ป่วยติดเตียง 5 หลัง มีผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ผ่านการอบรม 40 คน ซึ่งได้รับค่าตอบแทนจากกองทุนสุขภาพตําบล และทั้ง 45 หลังคาเรือนที่มีผู้ป่วยติดเตียง ใช้โทรศัพท์ไร้สายเมื่อโทรศัพท์ติดต่อเจ้าหน้าที่ ระบบจะปรากฏทั้งข้อมูลของผู้ป่วย ที่อยู่ เส้นทางเข้าออกที่จอคอมพิวเตอร์ และส่งรถการแพทย์ฉุกเฉินของเทศบาลรับผู้ป่วยไปส่งสถานพยาบาล รวมทั้งมีระบบการติดตามโดยทีมสหวิชาชีพเดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งผลสํารวจความพึงพอใจของผู้ป่วยและญาติอยู่ในระดับดีมาก ร้อยละ 91.04
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพเพื่อรองรับการเป็นสังคมผู้สูงอายุ และการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มมากขึ้น เช่น เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์อัมพาต ทั้งด้านการส่งเสริมสุขภาพป้องกันการเจ็บป่วย การรักษา และเตรียมระบบบริการระยะยาวด้านสาธารณสุขสําหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Long Term Care) ให้การดูแลฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายผู้สูงอายุ/ผู้ป่วยที่มีภาวะติดบ้านติดเตียง ให้กลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ โดยมีทีมสหวิชาชีพจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลและทีมหมอครอบครัว ทํางานเชื่อมโยงกับชุมชนและโรงพยาบาล ในรอบ 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 – 2561 มีตําบลที่ผ่านเกณฑ์การดําเนินงานดูแลผู้สูงอายุระยะยาว 4,797 ตําบลจาก 7,255 ตําบล คิดเป็นร้อยละ 66 มีผู้จัดการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน (Care Manager) 12,279 คน ผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Care Giver) 74,833 คน ผู้สูงอายุได้รับการดูแลตามแผนการดูแลรายบุคคล (Care Plan) 161,931 ฉบับ
ทั้งนี้ เทศบาลตําบลเขาพระงาม ได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณ ดังนี้ โล่รางวัลมูลนิธิสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล 2017 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความเป็นเลิศด้านการเสริมสร้างเครือข่ายรัฐ เอกชน และประชาสังคม กรณีศึกษาเชิงพื้นที่ เรื่อง กลุ่มเปราะบาง กรณีผู้สูงอายุซึ่งได้รับการดูแลด้านสังคมและด้านสุขภาพ (The Prince Mahidol Award Conference : PMAC 2017 Field Trip Program Site 2 Access to Health care Service for frail Elderly in community : Khao Phra Ngam Municipality, Lopburi Province) และรางวัลที่ 2 ในรางวัลระดับโลก United Nations Public Service Awards (UNPSA) 2017 สาขานวัตกรรมและการบริการประชาชนด้านสุขภาพที่เป็นเลิศ (Innovation and excellence in delivering health services) ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 22 - 23 มิถุนายน 2560**************** 7 กันยายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. ลงพื้นที่ชื่นชมนวัตกรรมบ้านต้นแบบผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ เทศบาลตำบลเขาพระงาม
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561
รมว.สธ. ลงพื้นที่ชื่นชมนวัตกรรมบ้านต้นแบบผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ เทศบาลตําบลเขาพระงาม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชม “นวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ” เทศบาลตําบลเขาพระงาม อ.เมือง จ.ลพบุรี บูรณาการทุกภาคส่วนเป็นเครือข่ายการทํางาน ใช้ชุมชนเป็นฐาน ใช้โทรศัพท์ไร้สาย เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยกับเทศบาล ผู้ป่วยและญาต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชม “นวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ” เทศบาลตําบลเขาพระงาม อ.เมือง จ.ลพบุรี บูรณาการทุกภาคส่วนเป็นเครือข่ายการทํางาน ใช้ชุมชนเป็นฐาน ใช้โทรศัพท์ไร้สาย เชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยกับเทศบาล ผู้ป่วยและญาติพึงพอใจระดับดีมาก ร้อยละ 91.04
วันนี้ (7 กันยายน 2561) ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการติดตามพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เยี่ยมชม “นวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงอายุ (Excellent Happy Home Ward)” ตําบลเขาพระงาม อําเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ว่า เทศบาลตําบลเขาพระงาม มีการบูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วนเป็นเครือข่ายการทํางาน ใช้ชุมชนเป็นฐาน ลดปัญหาความเหลื่อมล้ําการเข้าถึงบริการ โดยร่วมกับทีมสหวิชาชีพ ครอบครัว ชุมชน และภาคเอกชน จัดทําโครงการ “นวัตกรรมบ้านต้นแบบสุขภาวะ” สร้างระบบการดูแลระยะยาวที่บ้าน (Long Term Care) ยกระดับเป็นบ้านต้นแบบ สร้างเครือข่ายการดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง (Excellent Happy Home Ward) ที่มี 45 คนจากผู้สูงอายุทั้งหมด 3,120 คน ยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ให้บริการครอบคลุม 5 มิติ ได้แก่ สุขภาพ กิจกรรม สังคม สภาพแวดล้อม และเทคโนโลยี ขณะนี้ มีบ้านต้นแบบการดูแลผู้ป่วยติดเตียง 5 หลัง มีผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ผ่านการอบรม 40 คน ซึ่งได้รับค่าตอบแทนจากกองทุนสุขภาพตําบล และทั้ง 45 หลังคาเรือนที่มีผู้ป่วยติดเตียง ใช้โทรศัพท์ไร้สายเมื่อโทรศัพท์ติดต่อเจ้าหน้าที่ ระบบจะปรากฏทั้งข้อมูลของผู้ป่วย ที่อยู่ เส้นทางเข้าออกที่จอคอมพิวเตอร์ และส่งรถการแพทย์ฉุกเฉินของเทศบาลรับผู้ป่วยไปส่งสถานพยาบาล รวมทั้งมีระบบการติดตามโดยทีมสหวิชาชีพเดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งผลสํารวจความพึงพอใจของผู้ป่วยและญาติอยู่ในระดับดีมาก ร้อยละ 91.04
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพเพื่อรองรับการเป็นสังคมผู้สูงอายุ และการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มมากขึ้น เช่น เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์อัมพาต ทั้งด้านการส่งเสริมสุขภาพป้องกันการเจ็บป่วย การรักษา และเตรียมระบบบริการระยะยาวด้านสาธารณสุขสําหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Long Term Care) ให้การดูแลฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายผู้สูงอายุ/ผู้ป่วยที่มีภาวะติดบ้านติดเตียง ให้กลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ โดยมีทีมสหวิชาชีพจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลและทีมหมอครอบครัว ทํางานเชื่อมโยงกับชุมชนและโรงพยาบาล ในรอบ 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 – 2561 มีตําบลที่ผ่านเกณฑ์การดําเนินงานดูแลผู้สูงอายุระยะยาว 4,797 ตําบลจาก 7,255 ตําบล คิดเป็นร้อยละ 66 มีผู้จัดการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน (Care Manager) 12,279 คน ผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Care Giver) 74,833 คน ผู้สูงอายุได้รับการดูแลตามแผนการดูแลรายบุคคล (Care Plan) 161,931 ฉบับ
ทั้งนี้ เทศบาลตําบลเขาพระงาม ได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณ ดังนี้ โล่รางวัลมูลนิธิสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล 2017 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความเป็นเลิศด้านการเสริมสร้างเครือข่ายรัฐ เอกชน และประชาสังคม กรณีศึกษาเชิงพื้นที่ เรื่อง กลุ่มเปราะบาง กรณีผู้สูงอายุซึ่งได้รับการดูแลด้านสังคมและด้านสุขภาพ (The Prince Mahidol Award Conference : PMAC 2017 Field Trip Program Site 2 Access to Health care Service for frail Elderly in community : Khao Phra Ngam Municipality, Lopburi Province) และรางวัลที่ 2 ในรางวัลระดับโลก United Nations Public Service Awards (UNPSA) 2017 สาขานวัตกรรมและการบริการประชาชนด้านสุขภาพที่เป็นเลิศ (Innovation and excellence in delivering health services) ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 22 - 23 มิถุนายน 2560**************** 7 กันยายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15231
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมบรรยายหัวข้อ การพัฒนา SMEs ไทยอย่างก้าวกระโดด สู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน ในงานสัมมนา Roadway to mai ครั้งที่ 1
|
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมบรรยายหัวข้อ การพัฒนา SMEs ไทยอย่างก้าวกระโดด สู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน ในงานสัมมนา Roadway to mai ครั้งที่ 1
11 มีนาคม 2560 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมบรรยายหัวข้อ การพัฒนา SMEs ไทยอย่างก้าวกระโดด สู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน ในงานสัมมนา Roadway to mai ครั้งที่ 1
วันนี้ (11 มีนาคม 2560) นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมบรรยายหัวข้อ การพัฒนา SMEs ไทยอย่างก้าวกระโดด สู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน ในงานสัมมนา Roadway to mai ครั้งที่ 1 โครงการเตรียมความพร้อม SMEs เพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ณ ห้อง Meeting roon 1-2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมบรรยายหัวข้อ การพัฒนา SMEs ไทยอย่างก้าวกระโดด สู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน ในงานสัมมนา Roadway to mai ครั้งที่ 1
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมบรรยายหัวข้อ การพัฒนา SMEs ไทยอย่างก้าวกระโดด สู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน ในงานสัมมนา Roadway to mai ครั้งที่ 1
11 มีนาคม 2560 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมบรรยายหัวข้อ การพัฒนา SMEs ไทยอย่างก้าวกระโดด สู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน ในงานสัมมนา Roadway to mai ครั้งที่ 1
วันนี้ (11 มีนาคม 2560) นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมบรรยายหัวข้อ การพัฒนา SMEs ไทยอย่างก้าวกระโดด สู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน ในงานสัมมนา Roadway to mai ครั้งที่ 1 โครงการเตรียมความพร้อม SMEs เพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ณ ห้อง Meeting roon 1-2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2335
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561
มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
คณะรัฐมนตรีในคราวการประชุมวันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561 มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจํานวน 4 มาตรการ
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “คณะรัฐมนตรีในคราวการประชุมวันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561 มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจํานวน 4 มาตรการ ได้แก่ มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ําประปา และมาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้มีรายได้น้อย รวมถึงมาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพ และมาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้าน ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยได้อย่างยั่งยืน”
โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ําประปา
วัตถุประสงค์: เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ค่าไฟฟ้าและค่าน้ําประปา อันจะส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐมีภาระค่าครองชีพลดลง โดยกรณีค่าไฟฟ้า ให้ใช้ไฟฟ้าในวงเงิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีค่าน้ําประปา ให้ใช้น้ําประปาในวงเงิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวมีผลตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 ระยะเวลา 10 เดือน
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจํานวน 11.4 ล้านคน และการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน 3.1 ล้านคน รวมทั้งหมด 14.5 ล้านคน ซึ่งทั้งหมดมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คิดเป็นครัวเรือนประมาณ 8.2 ล้านครัวเรือน ทั้งนี้ 1 ครัวเรือนใช้ได้เพียง 1 สิทธิเท่านั้น
การดําเนินการ: (1) กรณีค่าไฟฟ้า ผู้มีรายได้น้อยใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน ให้ใช้สิทธิค่าไฟฟ้าฟรีตามมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่หากใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วยต่อเดือน ให้ใช้สิทธิตามวงเงินในมาตรการนี้ ทั้งนี้ ต้องไม่เกิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีที่ใช้เกินวงเงินที่กําหนด ผู้มีรายได้น้อยเป็นผู้รับภาระค่าไฟฟ้าทั้งหมด (2) กรณีค่าน้ําประปา ให้ใช้ในวงเงินไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีที่ใช้เกินวงเงินที่กําหนด ผู้มีรายได้น้อยเป็นผู้รับภาระค่าน้ําประปาทั้งหมด โดยให้ผู้มีรายได้น้อยนําใบแจ้งค่าไฟฟ้าและใบแจ้งค่าน้ําประปาไปชําระที่สํานักงานการไฟฟ้านครหลวง สํานักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สํานักงานการประปานครหลวง และสํานักงานการประปาส่วนภูมิภาค พร้อมทั้งแสดงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยทุกสิ้นเดือนการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค จะส่งบันทึกรายชื่อผู้มีรายได้น้อยที่ใช้ไฟฟ้าและน้ําประปาภายใต้วงเงินที่กําหนดให้กรมบัญชีกลาง เพื่อที่กรมบัญชีกลางจะนําเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมมาจ่ายคืนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ประมาณกลางเดือนของเดือนถัดไป ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่องรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (เครื่อง EDC) แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐและถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้
งบประมาณ: 27,060 ล้านบาท โดยใช้เงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
2. มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วัตถุประสงค์: เพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยมีเงินในการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มเติมในเดือนธันวาคม 2561 เป็นจํานวน 500 บาทต่อคน (ได้รับครั้งเดียว) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้มีรายได้น้อยในช่วงปลายปี 2561
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจํานวน 11.4 ล้านคน และการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืนจํานวน 3.1 ล้านคน รวมทั้งหมดจํานวน 14.5 ล้านคน
การดําเนินการ: กรมบัญชีกลางจะนําเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ใส่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ และถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้
งบประมาณ: 7,250 ล้านบาท โดยใช้เงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
3. มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพสําหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย
วัตถุประสงค์: เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาสุขภาพสําหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เป็นจํานวน 1,000 บาทต่อคน (ได้รับครั้งเดียว)
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐและการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยมีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 จํานวน 3.5 ล้านคน
การดําเนินการ: กรมบัญชีกลางจะนําเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ใส่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ และถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้
งบประมาณ: 3,500 ล้านบาท โดยใช้เงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
4. มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านสําหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย
วัตถุประสงค์: เพื่อบรรเทาภาระค่าเช่าที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยเป็นจํานวน 400 บาทต่อคนต่อเดือน ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐและการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 และเช่าที่อยู่อาศัย โดยรวมถึงผู้สูงอายุที่ไม่มีที่อยู่อาศัยด้วย (ตามข้อมูลการลงทะเบียนของผู้มีรายได้น้อย) ซึ่ง ณ เดือนธันวาคม 2561 มีจํานวน 2.2 แสนคน และทยอยเพิ่มเป็น 2.3 แสนคน ณ เดือนกันยายน 2562
การดําเนินการ: กรมบัญชีกลางจะนําเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ใส่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ และถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้
งบประมาณ: 920 ล้านบาท โดยใช้เงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
สํานักนโยบายการออมและการลงทุน และสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561
มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
คณะรัฐมนตรีในคราวการประชุมวันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561 มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจํานวน 4 มาตรการ
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “คณะรัฐมนตรีในคราวการประชุมวันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561 มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจํานวน 4 มาตรการ ได้แก่ มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ําประปา และมาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้มีรายได้น้อย รวมถึงมาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพ และมาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้าน ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยได้อย่างยั่งยืน”
โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ําประปา
วัตถุประสงค์: เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ค่าไฟฟ้าและค่าน้ําประปา อันจะส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐมีภาระค่าครองชีพลดลง โดยกรณีค่าไฟฟ้า ให้ใช้ไฟฟ้าในวงเงิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีค่าน้ําประปา ให้ใช้น้ําประปาในวงเงิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวมีผลตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 ระยะเวลา 10 เดือน
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจํานวน 11.4 ล้านคน และการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน 3.1 ล้านคน รวมทั้งหมด 14.5 ล้านคน ซึ่งทั้งหมดมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คิดเป็นครัวเรือนประมาณ 8.2 ล้านครัวเรือน ทั้งนี้ 1 ครัวเรือนใช้ได้เพียง 1 สิทธิเท่านั้น
การดําเนินการ: (1) กรณีค่าไฟฟ้า ผู้มีรายได้น้อยใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน ให้ใช้สิทธิค่าไฟฟ้าฟรีตามมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่หากใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วยต่อเดือน ให้ใช้สิทธิตามวงเงินในมาตรการนี้ ทั้งนี้ ต้องไม่เกิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีที่ใช้เกินวงเงินที่กําหนด ผู้มีรายได้น้อยเป็นผู้รับภาระค่าไฟฟ้าทั้งหมด (2) กรณีค่าน้ําประปา ให้ใช้ในวงเงินไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีที่ใช้เกินวงเงินที่กําหนด ผู้มีรายได้น้อยเป็นผู้รับภาระค่าน้ําประปาทั้งหมด โดยให้ผู้มีรายได้น้อยนําใบแจ้งค่าไฟฟ้าและใบแจ้งค่าน้ําประปาไปชําระที่สํานักงานการไฟฟ้านครหลวง สํานักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สํานักงานการประปานครหลวง และสํานักงานการประปาส่วนภูมิภาค พร้อมทั้งแสดงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยทุกสิ้นเดือนการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค จะส่งบันทึกรายชื่อผู้มีรายได้น้อยที่ใช้ไฟฟ้าและน้ําประปาภายใต้วงเงินที่กําหนดให้กรมบัญชีกลาง เพื่อที่กรมบัญชีกลางจะนําเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมมาจ่ายคืนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ประมาณกลางเดือนของเดือนถัดไป ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่องรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (เครื่อง EDC) แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐและถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้
งบประมาณ: 27,060 ล้านบาท โดยใช้เงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
2. มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วัตถุประสงค์: เพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยมีเงินในการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มเติมในเดือนธันวาคม 2561 เป็นจํานวน 500 บาทต่อคน (ได้รับครั้งเดียว) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้มีรายได้น้อยในช่วงปลายปี 2561
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจํานวน 11.4 ล้านคน และการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืนจํานวน 3.1 ล้านคน รวมทั้งหมดจํานวน 14.5 ล้านคน
การดําเนินการ: กรมบัญชีกลางจะนําเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ใส่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ และถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้
งบประมาณ: 7,250 ล้านบาท โดยใช้เงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
3. มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพสําหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย
วัตถุประสงค์: เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาสุขภาพสําหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เป็นจํานวน 1,000 บาทต่อคน (ได้รับครั้งเดียว)
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐและการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยมีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 จํานวน 3.5 ล้านคน
การดําเนินการ: กรมบัญชีกลางจะนําเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ใส่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ และถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้
งบประมาณ: 3,500 ล้านบาท โดยใช้เงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
4. มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านสําหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย
วัตถุประสงค์: เพื่อบรรเทาภาระค่าเช่าที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยเป็นจํานวน 400 บาทต่อคนต่อเดือน ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐและการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 และเช่าที่อยู่อาศัย โดยรวมถึงผู้สูงอายุที่ไม่มีที่อยู่อาศัยด้วย (ตามข้อมูลการลงทะเบียนของผู้มีรายได้น้อย) ซึ่ง ณ เดือนธันวาคม 2561 มีจํานวน 2.2 แสนคน และทยอยเพิ่มเป็น 2.3 แสนคน ณ เดือนกันยายน 2562
การดําเนินการ: กรมบัญชีกลางจะนําเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ใส่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ และถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้
งบประมาณ: 920 ล้านบาท โดยใช้เงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
สํานักนโยบายการออมและการลงทุน และสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16942
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. แจง สมาชิกไม่ต้องกังวล พร้อมรักษาเสถียรภาพการเติบโตของผลตอบแทน ตามกฎหมายให้สมาชิกที่ออมถึงอายุ 60 ปี” [กระทรวงการคลัง]
|
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
“กอช. แจง สมาชิกไม่ต้องกังวล พร้อมรักษาเสถียรภาพการเติบโตของผลตอบแทน ตามกฎหมายให้สมาชิกที่ออมถึงอายุ 60 ปี” [กระทรวงการคลัง]
“กอช. แจง สมาชิกไม่ต้องกังวล พร้อมรักษาเสถียรภาพการเติบโตของผลตอบแทน ตามกฎหมายให้สมาชิกที่ออมถึงอายุ 60 ปี”
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. แจงสมาชิก กอช. ออมเงินได้เมื่อพร้อม สิทธิในการเป็นสมาชิกยังคงอยู่ ผลตอบแทนการลงทุนจะได้รับการค้ําประกันให้ไม่ต่ํากว่าค่าเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 1 ปี และเน้นลงทุนหลักทรัพย์เสี่ยงต่ํา รักษาเสถียรภาพการเติบโตของผลตอบแทนให้กับสมาชิกที่ออมถึงอายุ 60 ปี
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลต่อการลงทุนทั่วโลกที่ผันผวนกระทบต่อเศรษฐกิจและสภาพตลาดทุนของประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กอช. มีหน้าที่บริหารจัดการดูแลเงินลงทุนของสมาชิกจึงต้องมีการติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยปรับแผนการลงทุนให้เหมาะสมอยู่เสมอเพื่อป้องกันและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจการลงทุนของโลกขณะนี้
สําหรับพอร์ตการลงทุนของ กอช. ปัจจุบันมีการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 อาทิ เงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ภาคเอกชน และกองทุนรวมดัชนีหุ้นไทย SET50 กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไม่เกินร้อยละ 20 เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ในการบริหารจัดการเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ ยังมีแผนในการพัฒนากระบวนการธรรมาภิบาลในการลงทุน อาทิ ในเรื่องของ ESG (Environment, Soicial, Governance) การลงทุนที่มีความยั่งยืนโดยคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารที่มีธรรมาภิบาลของหลักทรัพย์ที่ลงทุนหรือในเรื่องของ CG (Corporate Governance) เป็นการกํากับดูแลกิจการหรือบรรษัทภิบาล ซึ่งจะช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขัน และนําไปสู่ความเจริญเติบโตและเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ลงทุนในระยะยาว ซึ่งเป็นไปตามกรอบนโยบายการลงทุนภายใต้ การควบคุมดูแลของอนุกรรมการการลงทุน และคณะกรรมการ กอช. ที่มีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ การออมกับ กอช. เป็นรูปแบบการลงทุนระยะยาว ระหว่างทางผลตอบแทนการลงทุนอาจจะมีความผันผวนได้ตามมูลค่าตลาดของหลักทรัพย์ที่ลงทุน หากผู้ออมมีสถานะเป็นสมาชิก กอช. จนถึงอายุครบ 60 ปี ไม่ต้องกังวลเพราะจะได้รับค้ําประกันผลตอบแทนตามกฎหมาย
สมาชิก กอช. สามารถดูยอดเงินออมและเงินสมทบจากรัฐ ผ่านแอปพลิเคชัน “กอช” ได้ทั้งระบบ IOS และ Android หรือทางไลน์ (Line) “@nsf.th” ทางเว็บไซต์ กอช. “www.nsf.or.th” โดยไม่ต้องออกจากบ้าน ตามนโยบายของรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยสมาร์ทโฟนของท่าน “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ” #คลังรวมใจสู้ภัยโควิด19
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. แจง สมาชิกไม่ต้องกังวล พร้อมรักษาเสถียรภาพการเติบโตของผลตอบแทน ตามกฎหมายให้สมาชิกที่ออมถึงอายุ 60 ปี” [กระทรวงการคลัง]
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
“กอช. แจง สมาชิกไม่ต้องกังวล พร้อมรักษาเสถียรภาพการเติบโตของผลตอบแทน ตามกฎหมายให้สมาชิกที่ออมถึงอายุ 60 ปี” [กระทรวงการคลัง]
“กอช. แจง สมาชิกไม่ต้องกังวล พร้อมรักษาเสถียรภาพการเติบโตของผลตอบแทน ตามกฎหมายให้สมาชิกที่ออมถึงอายุ 60 ปี”
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. แจงสมาชิก กอช. ออมเงินได้เมื่อพร้อม สิทธิในการเป็นสมาชิกยังคงอยู่ ผลตอบแทนการลงทุนจะได้รับการค้ําประกันให้ไม่ต่ํากว่าค่าเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 1 ปี และเน้นลงทุนหลักทรัพย์เสี่ยงต่ํา รักษาเสถียรภาพการเติบโตของผลตอบแทนให้กับสมาชิกที่ออมถึงอายุ 60 ปี
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลต่อการลงทุนทั่วโลกที่ผันผวนกระทบต่อเศรษฐกิจและสภาพตลาดทุนของประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กอช. มีหน้าที่บริหารจัดการดูแลเงินลงทุนของสมาชิกจึงต้องมีการติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยปรับแผนการลงทุนให้เหมาะสมอยู่เสมอเพื่อป้องกันและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจการลงทุนของโลกขณะนี้
สําหรับพอร์ตการลงทุนของ กอช. ปัจจุบันมีการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 อาทิ เงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ภาคเอกชน และกองทุนรวมดัชนีหุ้นไทย SET50 กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไม่เกินร้อยละ 20 เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ในการบริหารจัดการเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ ยังมีแผนในการพัฒนากระบวนการธรรมาภิบาลในการลงทุน อาทิ ในเรื่องของ ESG (Environment, Soicial, Governance) การลงทุนที่มีความยั่งยืนโดยคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารที่มีธรรมาภิบาลของหลักทรัพย์ที่ลงทุนหรือในเรื่องของ CG (Corporate Governance) เป็นการกํากับดูแลกิจการหรือบรรษัทภิบาล ซึ่งจะช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขัน และนําไปสู่ความเจริญเติบโตและเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ลงทุนในระยะยาว ซึ่งเป็นไปตามกรอบนโยบายการลงทุนภายใต้ การควบคุมดูแลของอนุกรรมการการลงทุน และคณะกรรมการ กอช. ที่มีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ การออมกับ กอช. เป็นรูปแบบการลงทุนระยะยาว ระหว่างทางผลตอบแทนการลงทุนอาจจะมีความผันผวนได้ตามมูลค่าตลาดของหลักทรัพย์ที่ลงทุน หากผู้ออมมีสถานะเป็นสมาชิก กอช. จนถึงอายุครบ 60 ปี ไม่ต้องกังวลเพราะจะได้รับค้ําประกันผลตอบแทนตามกฎหมาย
สมาชิก กอช. สามารถดูยอดเงินออมและเงินสมทบจากรัฐ ผ่านแอปพลิเคชัน “กอช” ได้ทั้งระบบ IOS และ Android หรือทางไลน์ (Line) “@nsf.th” ทางเว็บไซต์ กอช. “www.nsf.or.th” โดยไม่ต้องออกจากบ้าน ตามนโยบายของรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยสมาร์ทโฟนของท่าน “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ” #คลังรวมใจสู้ภัยโควิด19
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28986
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่จังหวัดลพบุรี ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
|
วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่จังหวัดลพบุรี ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
รองนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่จังหวัดลพบุรี ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (24 กรกฎาคม 2560) เวลา 13.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่ จ. ลพบุรี ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการกับ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับทราบปัญหาด้านท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เยี่ยมชมพระนารายณ์ราชนิเวศน์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ จ.ลพบุรี
พระนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นพระราชวัง ที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๙ บนพื้นที่ ๔๑ ไร่ ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงศิลปโบราณวัตถุตามอาคาร และพระที่นั่งต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นจํานวนกว่า ๑,๘๖๔ รายการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่จังหวัดลพบุรี ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่จังหวัดลพบุรี ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
รองนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่จังหวัดลพบุรี ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (24 กรกฎาคม 2560) เวลา 13.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่ จ. ลพบุรี ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการกับ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับทราบปัญหาด้านท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เยี่ยมชมพระนารายณ์ราชนิเวศน์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ จ.ลพบุรี
พระนารายณ์ราชนิเวศน์ เป็นพระราชวัง ที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๙ บนพื้นที่ ๔๑ ไร่ ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงศิลปโบราณวัตถุตามอาคาร และพระที่นั่งต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นจํานวนกว่า ๑,๘๖๔ รายการ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5426
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการจังหวัดยโสธร และจังหวัดมุกดาหาร ติดตามโครงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ การพัฒนามาตรฐานการผลิตสินค้าปศุสัตว์ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน
|
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562
นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการจังหวัดยโสธร และจังหวัดมุกดาหาร ติดตามโครงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ การพัฒนามาตรฐานการผลิตสินค้าปศุสัตว์ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน
นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการจังหวัดยโสธร และจังหวัดมุกดาหาร ติดตามโครงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ การพัฒนามาตรฐานการผลิตสินค้าปศุสัตว์ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกําหนดการตรวจราชการ จังหวัดยโสธร และจังหวัดมุกดาหาร ในวันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อติดตามโครงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ การพัฒนามาตรฐานการผลิตสินค้าปศุสัตว์ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน ตามกําหนดการดังนี้
เวลา 09.30 น. ณ ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์วิถียโสธร อําเภอคําเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนเมืองเกษตรอินทรีย์ต้นแบบ ซึ่งเกษตรกรในจังหวัดยโสธรได้รวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อพัฒนาเกษตรอินทรีย์มาอย่างยาวนานต่อเนื่อง โดยเฉพาะข้าวอินทรีย์ สามารถผลิตได้มากที่สุดในประเทศ ปัจจุบัน จังหวัดยโสธร อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ของจังหวัดยโสธร 2559-2562 ครอบคลุมทั้งด้านพืช ปศุสัตว์ และสัตว์น้ํา เพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ และยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมทั้งเพื่อทําให้ยโสธรเป็นต้นแบบการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศตลอดห่วงโซ่คุณค่า รองรับการเป็นมหานครแห่งเกษตรอินทรีย์ เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรอินทรีย์สําหรับประชาชนทั่วไปที่สนใจ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นสักขีพยานมอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน ตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวมให้แก่ผู้แทนประชาชน
เวลา 13.40 น. ณ สหกรณ์การเกษตรโคขุนหนองสูง อําเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรโคขุนหนองสูง ตามโครงการยกระดับคุณภาพการผลิตโคเนื้อคุณภาพเข้าสู่ระบบมาตรฐาน ซึ่งกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคในอําเภอหนองสูง ได้รวมกลุ่มจัดตั้งสหกรณ์การเกษตรหนองสูง เพื่อพัฒนาการผลิตโคเนื้อทั้งระบบ ตั้งแต่การคัดเลือกพันธุ์ การเลี้ยง การแปรรูป และการตลาด ส่งผลให้ยอดจําหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ในปี 2561 มียอดจําหน่ายมูลค่า 294,720,000 บาท โดยได้ผลักดันการสร้างโรงชําแหละตามมาตรฐาน GMP และฮาลาล เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค และยกระดับสินค้าเพื่อการส่งออก ทําให้สมาชิกมีรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นสักขีพยานมอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน ตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวมให้แก่ผู้แทนประชาชน
เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านภู อําเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชุมชนท่องเที่ยวบ้านภู ผลิตภัณฑ์ OTOP บ้านภู ชมการสาธิตการผลิตของชุมชนวัฒนธรรม 8 เผ่ามุกดาหาร และการส่งเสริมการท่องเที่ยว “เมือง 3 ธรรม (ธรรมะ ธรรมชาติ วัฒนธรรม) ซึ่งมีประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มีความสามัคคี และมีวิถีชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ปัจจุบันได้มีการจัดการท่องเที่ยวแบบมีส่วนร่วม เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม มีการจัดกิจกรรมเพื่อรองรับการเข้ามาเยือนของนักท่องเที่ยว อาทิ การบายศรีสู่ขวัญ การฟ้อนภูไทย การรับประทานอาหารพาแลง การเรียนรู้กระบวนการทอผ้าไหม การท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ใกล้เคียง รวมทั้งการจัดที่พักแบบโฮมสเตย์
.....................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการจังหวัดยโสธร และจังหวัดมุกดาหาร ติดตามโครงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ การพัฒนามาตรฐานการผลิตสินค้าปศุสัตว์ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562
นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการจังหวัดยโสธร และจังหวัดมุกดาหาร ติดตามโครงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ การพัฒนามาตรฐานการผลิตสินค้าปศุสัตว์ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน
นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการจังหวัดยโสธร และจังหวัดมุกดาหาร ติดตามโครงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ การพัฒนามาตรฐานการผลิตสินค้าปศุสัตว์ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกําหนดการตรวจราชการ จังหวัดยโสธร และจังหวัดมุกดาหาร ในวันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อติดตามโครงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ การพัฒนามาตรฐานการผลิตสินค้าปศุสัตว์ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน ตามกําหนดการดังนี้
เวลา 09.30 น. ณ ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์วิถียโสธร อําเภอคําเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนเมืองเกษตรอินทรีย์ต้นแบบ ซึ่งเกษตรกรในจังหวัดยโสธรได้รวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อพัฒนาเกษตรอินทรีย์มาอย่างยาวนานต่อเนื่อง โดยเฉพาะข้าวอินทรีย์ สามารถผลิตได้มากที่สุดในประเทศ ปัจจุบัน จังหวัดยโสธร อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ของจังหวัดยโสธร 2559-2562 ครอบคลุมทั้งด้านพืช ปศุสัตว์ และสัตว์น้ํา เพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ และยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมทั้งเพื่อทําให้ยโสธรเป็นต้นแบบการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศตลอดห่วงโซ่คุณค่า รองรับการเป็นมหานครแห่งเกษตรอินทรีย์ เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรอินทรีย์สําหรับประชาชนทั่วไปที่สนใจ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นสักขีพยานมอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน ตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวมให้แก่ผู้แทนประชาชน
เวลา 13.40 น. ณ สหกรณ์การเกษตรโคขุนหนองสูง อําเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรโคขุนหนองสูง ตามโครงการยกระดับคุณภาพการผลิตโคเนื้อคุณภาพเข้าสู่ระบบมาตรฐาน ซึ่งกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคในอําเภอหนองสูง ได้รวมกลุ่มจัดตั้งสหกรณ์การเกษตรหนองสูง เพื่อพัฒนาการผลิตโคเนื้อทั้งระบบ ตั้งแต่การคัดเลือกพันธุ์ การเลี้ยง การแปรรูป และการตลาด ส่งผลให้ยอดจําหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ในปี 2561 มียอดจําหน่ายมูลค่า 294,720,000 บาท โดยได้ผลักดันการสร้างโรงชําแหละตามมาตรฐาน GMP และฮาลาล เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค และยกระดับสินค้าเพื่อการส่งออก ทําให้สมาชิกมีรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นสักขีพยานมอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน ตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวมให้แก่ผู้แทนประชาชน
เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านภู อําเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชุมชนท่องเที่ยวบ้านภู ผลิตภัณฑ์ OTOP บ้านภู ชมการสาธิตการผลิตของชุมชนวัฒนธรรม 8 เผ่ามุกดาหาร และการส่งเสริมการท่องเที่ยว “เมือง 3 ธรรม (ธรรมะ ธรรมชาติ วัฒนธรรม) ซึ่งมีประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มีความสามัคคี และมีวิถีชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ปัจจุบันได้มีการจัดการท่องเที่ยวแบบมีส่วนร่วม เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม มีการจัดกิจกรรมเพื่อรองรับการเข้ามาเยือนของนักท่องเที่ยว อาทิ การบายศรีสู่ขวัญ การฟ้อนภูไทย การรับประทานอาหารพาแลง การเรียนรู้กระบวนการทอผ้าไหม การท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ใกล้เคียง รวมทั้งการจัดที่พักแบบโฮมสเตย์
.....................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18566
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุสะเทือนใจโคราชอย่างดีที่สุด ย้ำแก้ไขต้นตอปัญหาป้องกันเกิดเหตุซ้ำรอย
|
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563
นายกฯ สั่งช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุสะเทือนใจโคราชอย่างดีที่สุด ย้ําแก้ไขต้นตอปัญหาป้องกันเกิดเหตุซ้ํารอย
นายกฯ สั่งช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุสะเทือนใจโคราชอย่างดีที่สุด ย้ําแก้ไขต้นตอปัญหาป้องกันเกิดเหตุซ้ํารอย
ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้ไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพและงานพระราชทานเพลิงศพผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงที่จ.นครราชสีมาและได้สัมผัสรับรู้ถึงความรู้สึกโศกเศร้าสูญเสียของครอบครัวและญาติมิตรผู้เสียชีวิตโดยได้พูดคุยปลอบขวัญและให้กําลังใจแก่ครอบครัวพร้อมกับย้ําว่าจะดูแลอย่างดีที่สุดโดยเฉพาะเมื่อเห็นลูกหลานที่ต้องกลายเป็นเด็กกําพร้าก็ยิ่งสะเทือนใจล่าสุดได้แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จ.นครราชสีมาโดยมีนายวิษณุเครืองามรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบ2กลุ่มคือ1.ตํารวจทหารพลเรือนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่2.ราษฎรที่ประสบเหตุซึ่งจะดูแลในแบบเดียวกันทั้งกรณีการเสียชีวิตบาดเจ็บสาหัสบาดเจ็บไม่สาหัสและสุขภาพจิตรวมไปถึงเรื่องทรัพย์สินที่เสียหายด้วยโดยทั้งหมดนี้จะต้องดําเนินการอย่างรวดเร็วหากมีสิ่งใดที่ยังขาดเหลือขอให้ประชาชนแจ้งไปที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐบาลได้ทันทีและยังได้ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันแสดงน้ําใจและช่วยเหลือผู้ที่สูญเสียด้วย
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้เน้นย้ําถึงการป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ขึ้นอีกโดยให้ความสําคัญกับต้นตอของปัญหาที่อาจเกิดจากการถูกเอารัดเอาเปรียบจึงต้องสังคายนาให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุดซึ่งขณะนี้ทางกองทัพกําลังดําเนินการอยู่ขณะเดียวกันได้กําชับให้ทุกส่วนราชการไปติดตามดูแลเรื่องสภาพความเป็นอยู่และสวัสดิการของเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องเหมาะสมเป็นธรรมเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนครั้งสําคัญที่ต้องแก้ไขปรับปรุงอย่างจริงจังพร้อมทั้งขอให้ประชาชนช่วยกันสังเกตสอดส่องดูแลทั้งคนในครอบครัวและสังคมรอบตัวด้วย
...................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุสะเทือนใจโคราชอย่างดีที่สุด ย้ำแก้ไขต้นตอปัญหาป้องกันเกิดเหตุซ้ำรอย
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563
นายกฯ สั่งช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุสะเทือนใจโคราชอย่างดีที่สุด ย้ําแก้ไขต้นตอปัญหาป้องกันเกิดเหตุซ้ํารอย
นายกฯ สั่งช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุสะเทือนใจโคราชอย่างดีที่สุด ย้ําแก้ไขต้นตอปัญหาป้องกันเกิดเหตุซ้ํารอย
ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้ไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพและงานพระราชทานเพลิงศพผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงที่จ.นครราชสีมาและได้สัมผัสรับรู้ถึงความรู้สึกโศกเศร้าสูญเสียของครอบครัวและญาติมิตรผู้เสียชีวิตโดยได้พูดคุยปลอบขวัญและให้กําลังใจแก่ครอบครัวพร้อมกับย้ําว่าจะดูแลอย่างดีที่สุดโดยเฉพาะเมื่อเห็นลูกหลานที่ต้องกลายเป็นเด็กกําพร้าก็ยิ่งสะเทือนใจล่าสุดได้แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จ.นครราชสีมาโดยมีนายวิษณุเครืองามรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบ2กลุ่มคือ1.ตํารวจทหารพลเรือนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่2.ราษฎรที่ประสบเหตุซึ่งจะดูแลในแบบเดียวกันทั้งกรณีการเสียชีวิตบาดเจ็บสาหัสบาดเจ็บไม่สาหัสและสุขภาพจิตรวมไปถึงเรื่องทรัพย์สินที่เสียหายด้วยโดยทั้งหมดนี้จะต้องดําเนินการอย่างรวดเร็วหากมีสิ่งใดที่ยังขาดเหลือขอให้ประชาชนแจ้งไปที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐบาลได้ทันทีและยังได้ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันแสดงน้ําใจและช่วยเหลือผู้ที่สูญเสียด้วย
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้เน้นย้ําถึงการป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ขึ้นอีกโดยให้ความสําคัญกับต้นตอของปัญหาที่อาจเกิดจากการถูกเอารัดเอาเปรียบจึงต้องสังคายนาให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุดซึ่งขณะนี้ทางกองทัพกําลังดําเนินการอยู่ขณะเดียวกันได้กําชับให้ทุกส่วนราชการไปติดตามดูแลเรื่องสภาพความเป็นอยู่และสวัสดิการของเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องเหมาะสมเป็นธรรมเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนครั้งสําคัญที่ต้องแก้ไขปรับปรุงอย่างจริงจังพร้อมทั้งขอให้ประชาชนช่วยกันสังเกตสอดส่องดูแลทั้งคนในครอบครัวและสังคมรอบตัวด้วย
...................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26512
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ ตรวจกำลังการผลิตโรงงานหน้ากากอนามัย ย้ำประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนกกักตุน มั่นใจมีเพียงพอ หากพบขาดแคลนหรือเกินราคา แจ้ง 1569
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2563
จุรินทร์ ตรวจกําลังการผลิตโรงงานหน้ากากอนามัย ย้ําประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนกกักตุน มั่นใจมีเพียงพอ หากพบขาดแคลนหรือเกินราคา แจ้ง 1569
30 มกราคม 2563 เวลา 13.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย วันนี้ย่ายปากเกร็ด หวัดนนทบุรี
โดยได้สํารวจกําลังการผลิต กรรมวิธีการผลิต ทั้งนี้เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับประชาชน โดยกล่าวว่า วันนี้มาดูการผลิตหน้ากากอนามัยซึ่งขณะนี้ทราบดีว่ามีความจําเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องถ้าชนชาวไทยทั่วประเทศต้องใช้ เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโคโรน่าซึ่งเป็นที่ทราบดีกันอยู่แล้วและถัดจากการมาดูการผลิตวันนี้แล้ว ก็จะไปตรวจไปเยี่ยมดูการจําหน่ายหรือการขายปลีกอีกครั้งหนึ่งสําหรับการมาดูโรงงานการผลิตหน้ากากอนามัยในวันนี้ขอเรียนให้ทราบว่าประเทศไทยโดยรวมสําหรับการผลิตหน้ากากอนามัยนั้นมีความต้องการใช้ในประเทศเดือนละ 30 ล้านชิ้น โดยประมาณ โดยศักยภาพการผลิตทั้งระบบมีอยู่ประมาณ 10 โรงงานใหญ่ มีกําลังการผลิตรวมถึงเดือนละประมาณ 100 ล้านชิ้น ซึ่งจะเห็นว่ากําลังการผลิตของเรายังเหลืออยู่อย่างไรก็ตามก็มีการประเมินโดยกรมการค้าภายในว่าการใช้ปกติเดือนละ 30 ล้านชิ้นในประเทศ และถัดจากนี้ไปถ้าสถานการณ์ไวรัสโคโรน่ายังไม่พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ความต้องการใช้ก็อาจจะเพิ่มจาก 30 ล้านชิ้นเป็น 40 ล้านชิ้นต่อเดือน
สําหรับในประเทศอย่างไรก็ตามเท่าที่กระทรวงพาณิชย์ได้ประเมินเรื่องเบื้องต้นยังเชื่อมั่นว่ากําลังการผลิตและการผลิตรวมในประเทศอย่างเพียงพอสําหรับการที่จะใช้สนองต่อความต้องการของตลาดในประเทศให้เพียงพออยู่และสต๊อกปัจจุบันที่มีอยู่นั้นประมาณ 200 ล้านชิ้นก็สามารถที่จะใช้ในการสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้ 4-5 เดือนถ้าไม่มีการผลิตเพิ่ม
" ไม่อยากให้ตื่นตระหนกและไม่ควรซื้อเพิ่มมาเก็บไว้ใช้กลัวว่าจะขาดตลาดเพราะถ้าทุกท่านยิ่งตื่นตระหนก ซื้อมาเก็บไว้ก็จะยิ่งทําให้ของขาดตลาด
ทางกระทรวงพาณิชย์ให้ความมั่นใจว่าจะสามารถจัดผู้ผลิตให้ผลิตทันความต้องการใช้โดยต่อเนื่องและไม่ขาดตอนนี่คือสิ่งที่อยากจะสื่อสารกับพี่น้องประชาชนว่าถ้าซื้อไปใช้ได้ในอัตราปกติ " นายจุรินทร์ กล่าว
นอกจากนี้ นายจุรินทร์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบดู 2 เรื่องคือ
1.เรื่องปริมาณอย่าให้ขาดแคลน
2.ดูเรื่องราคาไม่ให้มีการโก่งราคาขายเกินราคาที่เป็นธรรม
สําหรับดูเรื่องปริมาณและราคานั้นผมก็ให้ท่านปลัดกระทรวงพาณิชย์สั่งการไปยังพาณิชย์จังหวัด ซึ่งสั่งไปหลายวันแล้วให้ไปตรวจตลาด อย่าให้เกิดปัญหาเรื่องการขาดแคลนหรือการโก่งราคา ถ้าพบที่ไหนให้รายงานมาที่ท่านปลัดโดยเร็วที่สุดเพื่อจะได้แก้ปัญหาต่อไป ละเมื่อวาน (29 มกราคม 2563 ) ได้มอบหมายให้ทางกรมการค้าภายในเชิญผู้ผลิตทั้งหมดที่มีประมาณ 10 ราย มาพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วว่าขอให้วางแผนในการผลิตหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อการใช้ในประเทศ หากติดขัดให้แจ้งกรมการค้าภายในเพื่อป้องกันการขาดตลาด สําหรับผู้บริโภคหรือผู้ใช้ทางใดที่พบว่ามีการโก่งราคาขาย ขอให้แจ้งที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือแจ้งสายด่วนของกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายในได้ที่หมายเลข 1569
นอกจากนั้นนายจุรินทร์ยังกล่าวว่าขณะนี้ยังเป็นภาวะปกติในสัดส่วนของการใช้ภายในประเทศและสัดส่วนการส่งออกของโรงงาน ยังไม่มีการสกัดกั้นการส่งออกเพราะโดยปกติทางโรงงานในประเทศไทยก็มีทั้งสองสัดส่วนอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังเป็นเรื่องของมนุษยธรรม อีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ ตรวจกำลังการผลิตโรงงานหน้ากากอนามัย ย้ำประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนกกักตุน มั่นใจมีเพียงพอ หากพบขาดแคลนหรือเกินราคา แจ้ง 1569
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2563
จุรินทร์ ตรวจกําลังการผลิตโรงงานหน้ากากอนามัย ย้ําประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนกกักตุน มั่นใจมีเพียงพอ หากพบขาดแคลนหรือเกินราคา แจ้ง 1569
30 มกราคม 2563 เวลา 13.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย วันนี้ย่ายปากเกร็ด หวัดนนทบุรี
โดยได้สํารวจกําลังการผลิต กรรมวิธีการผลิต ทั้งนี้เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับประชาชน โดยกล่าวว่า วันนี้มาดูการผลิตหน้ากากอนามัยซึ่งขณะนี้ทราบดีว่ามีความจําเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องถ้าชนชาวไทยทั่วประเทศต้องใช้ เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโคโรน่าซึ่งเป็นที่ทราบดีกันอยู่แล้วและถัดจากการมาดูการผลิตวันนี้แล้ว ก็จะไปตรวจไปเยี่ยมดูการจําหน่ายหรือการขายปลีกอีกครั้งหนึ่งสําหรับการมาดูโรงงานการผลิตหน้ากากอนามัยในวันนี้ขอเรียนให้ทราบว่าประเทศไทยโดยรวมสําหรับการผลิตหน้ากากอนามัยนั้นมีความต้องการใช้ในประเทศเดือนละ 30 ล้านชิ้น โดยประมาณ โดยศักยภาพการผลิตทั้งระบบมีอยู่ประมาณ 10 โรงงานใหญ่ มีกําลังการผลิตรวมถึงเดือนละประมาณ 100 ล้านชิ้น ซึ่งจะเห็นว่ากําลังการผลิตของเรายังเหลืออยู่อย่างไรก็ตามก็มีการประเมินโดยกรมการค้าภายในว่าการใช้ปกติเดือนละ 30 ล้านชิ้นในประเทศ และถัดจากนี้ไปถ้าสถานการณ์ไวรัสโคโรน่ายังไม่พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ความต้องการใช้ก็อาจจะเพิ่มจาก 30 ล้านชิ้นเป็น 40 ล้านชิ้นต่อเดือน
สําหรับในประเทศอย่างไรก็ตามเท่าที่กระทรวงพาณิชย์ได้ประเมินเรื่องเบื้องต้นยังเชื่อมั่นว่ากําลังการผลิตและการผลิตรวมในประเทศอย่างเพียงพอสําหรับการที่จะใช้สนองต่อความต้องการของตลาดในประเทศให้เพียงพออยู่และสต๊อกปัจจุบันที่มีอยู่นั้นประมาณ 200 ล้านชิ้นก็สามารถที่จะใช้ในการสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้ 4-5 เดือนถ้าไม่มีการผลิตเพิ่ม
" ไม่อยากให้ตื่นตระหนกและไม่ควรซื้อเพิ่มมาเก็บไว้ใช้กลัวว่าจะขาดตลาดเพราะถ้าทุกท่านยิ่งตื่นตระหนก ซื้อมาเก็บไว้ก็จะยิ่งทําให้ของขาดตลาด
ทางกระทรวงพาณิชย์ให้ความมั่นใจว่าจะสามารถจัดผู้ผลิตให้ผลิตทันความต้องการใช้โดยต่อเนื่องและไม่ขาดตอนนี่คือสิ่งที่อยากจะสื่อสารกับพี่น้องประชาชนว่าถ้าซื้อไปใช้ได้ในอัตราปกติ " นายจุรินทร์ กล่าว
นอกจากนี้ นายจุรินทร์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบดู 2 เรื่องคือ
1.เรื่องปริมาณอย่าให้ขาดแคลน
2.ดูเรื่องราคาไม่ให้มีการโก่งราคาขายเกินราคาที่เป็นธรรม
สําหรับดูเรื่องปริมาณและราคานั้นผมก็ให้ท่านปลัดกระทรวงพาณิชย์สั่งการไปยังพาณิชย์จังหวัด ซึ่งสั่งไปหลายวันแล้วให้ไปตรวจตลาด อย่าให้เกิดปัญหาเรื่องการขาดแคลนหรือการโก่งราคา ถ้าพบที่ไหนให้รายงานมาที่ท่านปลัดโดยเร็วที่สุดเพื่อจะได้แก้ปัญหาต่อไป ละเมื่อวาน (29 มกราคม 2563 ) ได้มอบหมายให้ทางกรมการค้าภายในเชิญผู้ผลิตทั้งหมดที่มีประมาณ 10 ราย มาพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วว่าขอให้วางแผนในการผลิตหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อการใช้ในประเทศ หากติดขัดให้แจ้งกรมการค้าภายในเพื่อป้องกันการขาดตลาด สําหรับผู้บริโภคหรือผู้ใช้ทางใดที่พบว่ามีการโก่งราคาขาย ขอให้แจ้งที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือแจ้งสายด่วนของกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายในได้ที่หมายเลข 1569
นอกจากนั้นนายจุรินทร์ยังกล่าวว่าขณะนี้ยังเป็นภาวะปกติในสัดส่วนของการใช้ภายในประเทศและสัดส่วนการส่งออกของโรงงาน ยังไม่มีการสกัดกั้นการส่งออกเพราะโดยปกติทางโรงงานในประเทศไทยก็มีทั้งสองสัดส่วนอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังเป็นเรื่องของมนุษยธรรม อีกด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26186
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยจับมือลาว ยกระดับศักยภาพ SMEs
|
วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560
ไทยจับมือลาว ยกระดับศักยภาพ SMEs
ไทย - ลาว จับมือกันพัฒนา SMEs ของทั้ง 2 ประเทศ ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลไทยลงนามความร่วมมือกับรัฐบาลลาวเพื่อส่งเสริมศักยภาพ SMEs ของทั้ง 2 ประเทศ ภายใต้แนวทาง 3 ด้าน คือ 1) การพัฒนา SMEs เช่น การบริหารจัดการ การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์เน้นอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป และการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการไทย-ลาว เป็นต้น 2) การสนับสนุนให้บุคลากรของ สปป.ลาว ได้ศึกษาดูงานด้านการส่งเสริม SMEs ในไทย และ 3) การถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์บริการสนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมของ สปป.ลาว มีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 10 ต่อปี มีแหล่งผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ และได้รับสิทธิประโยชน์ในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐและยุโรป ดังนั้น ความร่วมมือดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อไทยและ สปป.ลาวไปพร้อม ๆ กัน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยจับมือลาว ยกระดับศักยภาพ SMEs
วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560
ไทยจับมือลาว ยกระดับศักยภาพ SMEs
ไทย - ลาว จับมือกันพัฒนา SMEs ของทั้ง 2 ประเทศ ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลไทยลงนามความร่วมมือกับรัฐบาลลาวเพื่อส่งเสริมศักยภาพ SMEs ของทั้ง 2 ประเทศ ภายใต้แนวทาง 3 ด้าน คือ 1) การพัฒนา SMEs เช่น การบริหารจัดการ การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์เน้นอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป และการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการไทย-ลาว เป็นต้น 2) การสนับสนุนให้บุคลากรของ สปป.ลาว ได้ศึกษาดูงานด้านการส่งเสริม SMEs ในไทย และ 3) การถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์บริการสนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมของ สปป.ลาว มีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 10 ต่อปี มีแหล่งผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ และได้รับสิทธิประโยชน์ในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐและยุโรป ดังนั้น ความร่วมมือดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อไทยและ สปป.ลาวไปพร้อม ๆ กัน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4231
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เข้มมาตรการความปลอดภัยใน รพ. เพื่อผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ปลอดภัย
|
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562
สธ.เข้มมาตรการความปลอดภัยใน รพ. เพื่อผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ปลอดภัย
กระทรวงสาธารณสุข กําชับให้โรงพยาบาลทุกแห่งเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขตโรงพยาบาล จัดเวรยาม เช็คสภาพกล้องวงจรปิด ระบบเข้าออกห้องฉุกเฉิน และให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันสอดส่องดูแล เพื่อให้ผู้ป่วยและบุคลากรที่ปฏิบัติงานปลอดภัย
กระทรวงสาธารณสุข กําชับให้โรงพยาบาลทุกแห่งเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขตโรงพยาบาล จัดเวรยาม เช็คสภาพกล้องวงจรปิด ระบบเข้าออกห้องฉุกเฉิน และให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันสอดส่องดูแล เพื่อให้ผู้ป่วยและบุคลากรที่ปฏิบัติงานปลอดภัย
วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2562) นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานเกิดเหตุทะเลาะวิวาทในเขตพื้นที่บริเวณทางเชื่อมหน้าห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลกบินทร์บุรีจังหวัดปราจีนบุรี สร้างความเสียขวัญให้แก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และประชาชนที่กําลังรับบริการ รวมทั้งมีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว เบื้องต้นพบว่าไม่มีอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์เสียหายหรือได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ซึ่งนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้สั่งการให้โรงพยาบาลเพิ่มมาตรการการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
นายแพทย์ไพศาลกล่าวต่อว่า โดยปกติกระทรวงสาธารณสุขได้มีมาตรการ ให้โรงพยาบาลทุกแห่ง จัดเวรยามรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ตรวจสอบกล้องวงจรปิด (CCTV) ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และติดตั้งเพิ่มในจุดเสี่ยง เช่น บริเวณโถงทางเดิน ทางเข้า-ออกโรงพยาบาลในหอผู้ป่วยทุกแผนก กําชับให้เจ้าหน้าที่ในสถานพยาบาลทุกคนช่วยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของผู้ป่วยและประชาชนที่มาใช้บริการอย่างดีที่สุด ประสานงานเจ้าหน้าที่ตํารวจดูแลรักษาความปลอดภัยเพิ่ม โดยเฉพาะในช่วงที่มีการจัดงานต่างๆของแต่ละพื้นที่ และตรวจสอบระบบการเข้าออกห้องฉุกเฉิน เพื่อคัดกรองผู้ที่จะเข้าออกห้องฉุกเฉินเฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น
“สถานพยาบาลเป็นสถานที่สําหรับดูแลผู้ป่วย ฉะนั้นไม่ควรก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาล เพราะผู้ที่ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลนั้นเจ็บป่วยอยู่แล้ว หากมีการทะเลาะวิวาทจะเป็นการสร้างความตื่นตระหนกตกใจ ให้ผู้รับบริการและเจ้าหน้าที่ ขอร้องเลิกใช้พื้นที่ในโรงพยาบาลก่อเหตุวิวาทกัน และขอให้เจ้าหน้าที่ตํารวจเร่งดําเนินการตามกฎหมายโดยเร็ว” นายแพทย์ไพศาล กล่าว
*******************************************15 กุมภาพันธ์ 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เข้มมาตรการความปลอดภัยใน รพ. เพื่อผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ปลอดภัย
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562
สธ.เข้มมาตรการความปลอดภัยใน รพ. เพื่อผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ปลอดภัย
กระทรวงสาธารณสุข กําชับให้โรงพยาบาลทุกแห่งเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขตโรงพยาบาล จัดเวรยาม เช็คสภาพกล้องวงจรปิด ระบบเข้าออกห้องฉุกเฉิน และให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันสอดส่องดูแล เพื่อให้ผู้ป่วยและบุคลากรที่ปฏิบัติงานปลอดภัย
กระทรวงสาธารณสุข กําชับให้โรงพยาบาลทุกแห่งเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขตโรงพยาบาล จัดเวรยาม เช็คสภาพกล้องวงจรปิด ระบบเข้าออกห้องฉุกเฉิน และให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันสอดส่องดูแล เพื่อให้ผู้ป่วยและบุคลากรที่ปฏิบัติงานปลอดภัย
วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2562) นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานเกิดเหตุทะเลาะวิวาทในเขตพื้นที่บริเวณทางเชื่อมหน้าห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลกบินทร์บุรีจังหวัดปราจีนบุรี สร้างความเสียขวัญให้แก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และประชาชนที่กําลังรับบริการ รวมทั้งมีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว เบื้องต้นพบว่าไม่มีอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์เสียหายหรือได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ซึ่งนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้สั่งการให้โรงพยาบาลเพิ่มมาตรการการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
นายแพทย์ไพศาลกล่าวต่อว่า โดยปกติกระทรวงสาธารณสุขได้มีมาตรการ ให้โรงพยาบาลทุกแห่ง จัดเวรยามรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ตรวจสอบกล้องวงจรปิด (CCTV) ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และติดตั้งเพิ่มในจุดเสี่ยง เช่น บริเวณโถงทางเดิน ทางเข้า-ออกโรงพยาบาลในหอผู้ป่วยทุกแผนก กําชับให้เจ้าหน้าที่ในสถานพยาบาลทุกคนช่วยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของผู้ป่วยและประชาชนที่มาใช้บริการอย่างดีที่สุด ประสานงานเจ้าหน้าที่ตํารวจดูแลรักษาความปลอดภัยเพิ่ม โดยเฉพาะในช่วงที่มีการจัดงานต่างๆของแต่ละพื้นที่ และตรวจสอบระบบการเข้าออกห้องฉุกเฉิน เพื่อคัดกรองผู้ที่จะเข้าออกห้องฉุกเฉินเฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น
“สถานพยาบาลเป็นสถานที่สําหรับดูแลผู้ป่วย ฉะนั้นไม่ควรก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาล เพราะผู้ที่ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลนั้นเจ็บป่วยอยู่แล้ว หากมีการทะเลาะวิวาทจะเป็นการสร้างความตื่นตระหนกตกใจ ให้ผู้รับบริการและเจ้าหน้าที่ ขอร้องเลิกใช้พื้นที่ในโรงพยาบาลก่อเหตุวิวาทกัน และขอให้เจ้าหน้าที่ตํารวจเร่งดําเนินการตามกฎหมายโดยเร็ว” นายแพทย์ไพศาล กล่าว
*******************************************15 กุมภาพันธ์ 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18823
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561
|
วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561
วันนี้ (28 กรกฎาคม 2561) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามถวายพระพรสมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องแดง หน่วยราชการในพระองค์ 904 โดยมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรีและภริยา เข้าร่วมพิธี ดังนี้
นายกรัฐมนตรีและภริยา รองนายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายกรัฐมนตรีถวายแจกันดอกไม้ในนามของนายกรัฐมนตรีและภริยา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ณ โต๊ะด้านหน้าพระฉายาลักษณ์ฯ จากนั้น ภริยานายกรัฐมนตรีถวายแจกันดอกไม้ ในนามคู่สมรสคณะรัฐมนตรี ณ โต๊ะด้านหน้าพระฉายาลักษณ์ฯ ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา ลงนามถวายพระพร นายกรัฐมนตรีและภริยา รองนายกรัฐมนตรีและภริยาถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์ฯ เสร็จพิธี
ทั้งนี้ สํานักพระราชวัง เปิดให้ประชาชนร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ตั้งแต่วันที่ 27-29 กรกฎาคม2561 ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง (วันที่ 27-28 กรกฎาคม เปิดให้ลงนามถวายพระพรเวลา 08.00-13.00 น. และวันที่ 29 กรกฎาคม เปิดให้ลงนามถวายพระพร เวลา 08.00-17.00 น.)
---------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561
วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561
วันนี้ (28 กรกฎาคม 2561) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามถวายพระพรสมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องแดง หน่วยราชการในพระองค์ 904 โดยมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรีและภริยา เข้าร่วมพิธี ดังนี้
นายกรัฐมนตรีและภริยา รองนายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายกรัฐมนตรีถวายแจกันดอกไม้ในนามของนายกรัฐมนตรีและภริยา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ณ โต๊ะด้านหน้าพระฉายาลักษณ์ฯ จากนั้น ภริยานายกรัฐมนตรีถวายแจกันดอกไม้ ในนามคู่สมรสคณะรัฐมนตรี ณ โต๊ะด้านหน้าพระฉายาลักษณ์ฯ ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา ลงนามถวายพระพร นายกรัฐมนตรีและภริยา รองนายกรัฐมนตรีและภริยาถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์ฯ เสร็จพิธี
ทั้งนี้ สํานักพระราชวัง เปิดให้ประชาชนร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ตั้งแต่วันที่ 27-29 กรกฎาคม2561 ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง (วันที่ 27-28 กรกฎาคม เปิดให้ลงนามถวายพระพรเวลา 08.00-13.00 น. และวันที่ 29 กรกฎาคม เปิดให้ลงนามถวายพระพร เวลา 08.00-17.00 น.)
---------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14200
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานตามภารกิจจิตอาสาพระราชทาน
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563
กระทรวงยุติธรรม ประชุมขับเคลื่อนการดําเนินงานตามภารกิจจิตอาสาพระราชทาน
กระทรวงยุติธรรม ประชุมขับเคลื่อนการดําเนินงานตามภารกิจจิตอาสาพระราชทาน
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
นายนิมิต ทัพวนานต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะทํางานจิตอาสาสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
เพื่อรับทราบรายงานผลการดําเนินงานของคณะทํางานจิตอาสาของสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
กิจกรรมจิตอาสาจัดเตรียมและพัฒนาสถานที่ ณ ที่ทําการกระทรวงยุติธรรม “ขุดดิน...ถาก...ถาง”
กิจกรรม GREEN AREA PROJECT ส่งเสริมคุณธรรมด้านจิตสาธารณะ และความมีจิตอาสาให้แก่บุคลากร
และกิจกรรมจิตอาสากระทรวงยุติธรรมและวัดชลประทานรังสฤษดิ์ พระอารามหลวง
พร้อมทั้งพิจารณาแผนขับเคลื่อนจิตอาสาสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
ที่กําหนดขอบเขตการดําเนินงานด้านจิตอาสาครอบคลุมภารกิจ ๕ ด้าน ประกอบด้วย
ด้านที่ ๑ จิตอาสาพัฒนา ด้านที่ ๒ จิตอาสาภัยพิบัติ ด้านที่ ๓ จิตอาสาเฉพาะกิจ
ด้านที่ ๔ จิตอาสาให้ความรู้ และด้านที่ ๕ จิตอาสาประชาสัมพันธ์
เพื่อให้การขับเคลื่อนภารกิจจิตอาสาของสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมครอบคลุมในทุกมิติ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
อีกทั้งจะเป็นการสร้างเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในภารกิจงานด้านการพัฒนาสังคมของกระทรวงยุติธรรม
ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานตามภารกิจจิตอาสาพระราชทาน
วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563
กระทรวงยุติธรรม ประชุมขับเคลื่อนการดําเนินงานตามภารกิจจิตอาสาพระราชทาน
กระทรวงยุติธรรม ประชุมขับเคลื่อนการดําเนินงานตามภารกิจจิตอาสาพระราชทาน
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
นายนิมิต ทัพวนานต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะทํางานจิตอาสาสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
เพื่อรับทราบรายงานผลการดําเนินงานของคณะทํางานจิตอาสาของสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
กิจกรรมจิตอาสาจัดเตรียมและพัฒนาสถานที่ ณ ที่ทําการกระทรวงยุติธรรม “ขุดดิน...ถาก...ถาง”
กิจกรรม GREEN AREA PROJECT ส่งเสริมคุณธรรมด้านจิตสาธารณะ และความมีจิตอาสาให้แก่บุคลากร
และกิจกรรมจิตอาสากระทรวงยุติธรรมและวัดชลประทานรังสฤษดิ์ พระอารามหลวง
พร้อมทั้งพิจารณาแผนขับเคลื่อนจิตอาสาสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
ที่กําหนดขอบเขตการดําเนินงานด้านจิตอาสาครอบคลุมภารกิจ ๕ ด้าน ประกอบด้วย
ด้านที่ ๑ จิตอาสาพัฒนา ด้านที่ ๒ จิตอาสาภัยพิบัติ ด้านที่ ๓ จิตอาสาเฉพาะกิจ
ด้านที่ ๔ จิตอาสาให้ความรู้ และด้านที่ ๕ จิตอาสาประชาสัมพันธ์
เพื่อให้การขับเคลื่อนภารกิจจิตอาสาของสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมครอบคลุมในทุกมิติ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
อีกทั้งจะเป็นการสร้างเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในภารกิจงานด้านการพัฒนาสังคมของกระทรวงยุติธรรม
ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25855
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปิยะสกลเสนอพัฒนาสุขภาพยั่งยืนได้ ต้องสร้าง “วัฒนธรรมสุขภาพดี” ในอาเซียน
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2560
ปิยะสกลเสนอพัฒนาสุขภาพยั่งยืนได้ ต้องสร้าง “วัฒนธรรมสุขภาพดี” ในอาเซียน
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ 13 ณ กรุงบันดาร์เสรี เบกาวัน ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่13ณ กรุงบันดาร์เสรี เบกาวัน ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม และให้สัมภาษณ์ว่า ได้ร่วมหารือกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ในประเด็น “การสร้างวัฒนธรรมเพื่อสร้างเสริมสุขภาพของภูมิภาคอาเซียน (Building a Culture of Health Across ASEAN)” โดยประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีรายได้ปานกลางเสนอการพัฒนาระบบสุขภาพจะยั่งยืนได้ อาศัยหลักการสําคัญ4ประการ ได้แก่ มีจ่ายระยะยาว มีพอสําหรับบริการจําเป็นพื้นฐาน มีความยุติธรรมแก่ทุกคน และมีใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า ได้ร่วมเสนอทางเลือกสุขภาพเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมสุขภาพดีแก่ประชาชน โดยยกตัวอย่างที่ประเทศไทยประสบความสําเร็จในการจัดทําฉลากอาหารที่แสดงข้อมูลสุขภาพ ซึ่งจัดเป็นการให้ความรู้แก่ประชาชนและให้ประชาชนสามารถมีทางเลือกในการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ทั้งนี้ในอนาคต อยากเห็นประชาชนไทยมีความรู้ที่จะเลือกสิ่งที่ดีให้แก่ตนเองและในขณะเดียวกันอยากให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีด้านสุขภาพ ซึ่งรวมถึงสิ่งแวดล้อมเพื่อการมีกิจกรรมทางกาย มีอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่เข้าถึงได้ทั่วไปในชุมชน สังคมในภาพรวมคงจะดี น่าอยู่และเป็นสังคมสุขภาวะที่ทุกคนใฝ่ฝันในระยะยาว
นอกจากนี้ ได้ร่วมเสนอแนวทางการขับเคลื่อนสุขภาพอาเซียนในระยะยาว เนื่องจากประชาคมอาเซียนเป็นสังคมที่มีพลังและมีศักยภาพ โดยมีข้อเสนอใน 3 ประเด็นสําคัญได้แก่ 1.การพัฒนาระบบการทํางานที่เน้นโครงสร้างที่กระชับ ลดขั้นตอนการทํางาน 2.การสนับสนุนให้สํานักเลขาธิการอาเซียนมีกําลังคน และงบประมาณที่เพียงพอ 3.ควรมีการกําหนดการประเมินผลการดําเนินงานให้เป็นรูปธรรมและมีการติดตามผลอย่างเป็นระบบ และขอให้มีการศึกษาข้อเสนอการพัฒนาการทํางานแก่การประชุมระดับรัฐมนตรีในครั้งต่อไป โดยประเทศไทยพร้อมที่จะสนับสนุนการดําเนินการอย่างเต็มที่
ในโอกาสนี้รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนได้เห็นชอบที่จะขับเคลื่อนการดําเนินงานสําคัญ3ด้านร่วมกัน คือการขับเคลื่อนเรื่องโรคติดเชื้อดื้อยา การขับเคลื่อนเรื่องการเตรียมความพร้อมสําหรับภัยพิบัติ และการขับเคลื่อนเรื่องการยุติภาวะทุพโภชนาการในทุกรูปแบบ โดยให้คํามั่นร่วมกันตามปฏิญญา3ฉบับ ได้แก่ ปฏิญญาผู้นําอาเซียนว่าด้วยเรื่องโรคติดเชื้อดื้อยา ปฏิญญาผู้นําอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเตรียมความพร้อมสําหรับภัยพิบัติ และปฏิญญาผู้นําอาเซียนว่าด้วยการยุติภาวะทุพโภชนาการในทุกรูปแบบซึ่งจะเสนอในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่31ในเดือนพฤศจิกายน2560ที่ประเทศฟิลิปปินส์ต่อไป
ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายวันที่6กันยายน2560รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดีน วัดเดาละห์ พระราชาธิบดีแห่งบรูไนณ พระราชวัง อิสตานา นูรูล อิมาน (Istana Nurul Iman) ร่วมกับรัฐมนตรีประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งสร้างความปลื้มปิติเป็นอันมากโดยพระราชาธิบดีฯ ยังได้ฝากความระลึกถึงมายังพระบาทสมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นายกรัฐมนตรี และประชาชนชาวไทยด้วย
********************* 7 กันยายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปิยะสกลเสนอพัฒนาสุขภาพยั่งยืนได้ ต้องสร้าง “วัฒนธรรมสุขภาพดี” ในอาเซียน
วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2560
ปิยะสกลเสนอพัฒนาสุขภาพยั่งยืนได้ ต้องสร้าง “วัฒนธรรมสุขภาพดี” ในอาเซียน
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ 13 ณ กรุงบันดาร์เสรี เบกาวัน ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่13ณ กรุงบันดาร์เสรี เบกาวัน ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม และให้สัมภาษณ์ว่า ได้ร่วมหารือกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ในประเด็น “การสร้างวัฒนธรรมเพื่อสร้างเสริมสุขภาพของภูมิภาคอาเซียน (Building a Culture of Health Across ASEAN)” โดยประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีรายได้ปานกลางเสนอการพัฒนาระบบสุขภาพจะยั่งยืนได้ อาศัยหลักการสําคัญ4ประการ ได้แก่ มีจ่ายระยะยาว มีพอสําหรับบริการจําเป็นพื้นฐาน มีความยุติธรรมแก่ทุกคน และมีใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า ได้ร่วมเสนอทางเลือกสุขภาพเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมสุขภาพดีแก่ประชาชน โดยยกตัวอย่างที่ประเทศไทยประสบความสําเร็จในการจัดทําฉลากอาหารที่แสดงข้อมูลสุขภาพ ซึ่งจัดเป็นการให้ความรู้แก่ประชาชนและให้ประชาชนสามารถมีทางเลือกในการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ทั้งนี้ในอนาคต อยากเห็นประชาชนไทยมีความรู้ที่จะเลือกสิ่งที่ดีให้แก่ตนเองและในขณะเดียวกันอยากให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีด้านสุขภาพ ซึ่งรวมถึงสิ่งแวดล้อมเพื่อการมีกิจกรรมทางกาย มีอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่เข้าถึงได้ทั่วไปในชุมชน สังคมในภาพรวมคงจะดี น่าอยู่และเป็นสังคมสุขภาวะที่ทุกคนใฝ่ฝันในระยะยาว
นอกจากนี้ ได้ร่วมเสนอแนวทางการขับเคลื่อนสุขภาพอาเซียนในระยะยาว เนื่องจากประชาคมอาเซียนเป็นสังคมที่มีพลังและมีศักยภาพ โดยมีข้อเสนอใน 3 ประเด็นสําคัญได้แก่ 1.การพัฒนาระบบการทํางานที่เน้นโครงสร้างที่กระชับ ลดขั้นตอนการทํางาน 2.การสนับสนุนให้สํานักเลขาธิการอาเซียนมีกําลังคน และงบประมาณที่เพียงพอ 3.ควรมีการกําหนดการประเมินผลการดําเนินงานให้เป็นรูปธรรมและมีการติดตามผลอย่างเป็นระบบ และขอให้มีการศึกษาข้อเสนอการพัฒนาการทํางานแก่การประชุมระดับรัฐมนตรีในครั้งต่อไป โดยประเทศไทยพร้อมที่จะสนับสนุนการดําเนินการอย่างเต็มที่
ในโอกาสนี้รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนได้เห็นชอบที่จะขับเคลื่อนการดําเนินงานสําคัญ3ด้านร่วมกัน คือการขับเคลื่อนเรื่องโรคติดเชื้อดื้อยา การขับเคลื่อนเรื่องการเตรียมความพร้อมสําหรับภัยพิบัติ และการขับเคลื่อนเรื่องการยุติภาวะทุพโภชนาการในทุกรูปแบบ โดยให้คํามั่นร่วมกันตามปฏิญญา3ฉบับ ได้แก่ ปฏิญญาผู้นําอาเซียนว่าด้วยเรื่องโรคติดเชื้อดื้อยา ปฏิญญาผู้นําอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเตรียมความพร้อมสําหรับภัยพิบัติ และปฏิญญาผู้นําอาเซียนว่าด้วยการยุติภาวะทุพโภชนาการในทุกรูปแบบซึ่งจะเสนอในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่31ในเดือนพฤศจิกายน2560ที่ประเทศฟิลิปปินส์ต่อไป
ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายวันที่6กันยายน2560รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดีน วัดเดาละห์ พระราชาธิบดีแห่งบรูไนณ พระราชวัง อิสตานา นูรูล อิมาน (Istana Nurul Iman) ร่วมกับรัฐมนตรีประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งสร้างความปลื้มปิติเป็นอันมากโดยพระราชาธิบดีฯ ยังได้ฝากความระลึกถึงมายังพระบาทสมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นายกรัฐมนตรี และประชาชนชาวไทยด้วย
********************* 7 กันยายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6492
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมรายงานความสำเร็จของโรงเรียนคุณธรรม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประจำปี 2560
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560
การประชุมรายงานความสําเร็จของโรงเรียนคุณธรรม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประจําปี 2560
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยายพิเศษ เรื่อง "ศาสตร์พระราชาสู่การขับเคลื่อนโรงเรียนคุณธรรม" ในการประชุมรายงานความสําเร็จของโรงเรียนคุณธรรม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจําปี 2560
จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมกับมูลนิธิยุวสถิรคุณ เพื่อขับเคลื่อนการสร้างโรงเรียนคุณธรรมให้เกิดขึ้น ตามเป้าหมาย 30,000 โรงเรียนทั่วประเทศ ในปีการศึกษา 2560 โดยมีผู้บริหาร ครู และนักเรียนโรงเรียนคุณธรรม 111 แห่ง ตลอดจนผู้บริหารสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาใน 21 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าร่วมกว่า 750 คน
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า โดยข้อเท็จจริงเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น “สถานศึกษา” ย่อมมีคุณธรรมอยู่แล้ว แต่เนื่องจากปัจจุบันเราอยู่ในสังคมยุคโลกาภิวัตน์ มีความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีความเกี่ยวโยงไปถึงด้านสังคม กล่าวคือ มีการใช้สอยเทคโนโลยีไปในทางที่ไม่ถูกต้อง อาทิ การใช้โซเชียลมีเดียในทางที่ผิด โพสต์ข้อความให้ร้ายป้ายสีผู้อื่น ส่งผลให้เกิดการกระทําผิดศีลธรรม หลบหลู่ดูหมิ่นแม้บุพการีหรือผู้มีพระคุณ เลยเถิดไปถึงการหลงลืมความเป็นชาติ เอกลักษณ์ความเป็นไทย เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับคุณธรรมศีลธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา ทั้งที่จริงคนไทยทุกคนควรมีความตระหนักและพึงกระทําให้ถูกตามครรลองครองธรรม ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก เยาวชน โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ ผู้บริหาร ที่จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี
ในเรื่องของโรงเรียนคุณธรรมเป็นการสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่มีพระราชประสงค์ให้โรงเรียนทั้งประเทศเป็นโรงเรียนคุณธรรม โดยครูบาอาจารย์ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเป็นต้นแบบที่ยั่งยืนให้กับลูกหลานเยาวชน โดยเฉพาะครู เป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะต้องสร้างครูให้มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถทางวิทยาการแตกฉาน รวมทั้งผู้อํานวยการโรงเรียนหรืออาจารย์ใหญ่ ที่มีความเป็นผู้นําที่ดี บริหารจัดการและจัดหาครูได้อย่างเหมาะสมและมีความเพียงพอในการจัดการเรียนรู้แก่นักเรียน ทั้งทางด้านวิชาการ ด้านการปฏิบัติ การสังคม ตลอดจนจริยธรรมจรรยา
นอกจากนี้ ขอให้น้อมนําพระบรมราโชวาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ใส่เกล้าฯ และยึดมั่นปฏิบัติเป็นหลักในการพัฒนาการศึกษาของชาติให้เจริญก้าวหน้า คือการพัฒนาเด็กให้มีพื้นฐานสําคัญ 4 ประการ คือ มีทัศนคติที่ดีต่อชาติบ้านเมือง, มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม, มีงานทํา มีอาชีพสุจริต, เป็นคนดีของชาติบ้านเมือง
ดังนั้น ในช่วงเปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2560 เป็นต้นไป จะผลักดันให้มีการดําเนินโครงการโรงเรียนคุณธรรมในโรงเรียนสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้เป็นไปตามเป้าหมายกว่า 30,000 แห่งและในอนาคตจะขยายไปสู่โรงเรียนเอกชน 4,463 แห่ง สถานศึกษาอาชีวะ 428 แห่ง รวมทั้งโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1,545 แห่ง โดยถือเป็นครั้งแรกที่มีการนิเทศวาระด้านการศึกษาของหน่วยงาน 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ลงไปตรวจติดตามและหยิบยกวาระการศึกษาเป็นวาระสําคัญในการนิเทศในแต่ละจังหวัด โดยเฉพาะเรื่องของโรงเรียนคุณธรรม ที่จะเป็นเป้าหมายในการทํางานของผู้บริหารทุกภาคส่วนต่อจากนี้ไป จึงขอย้ํากับครูบาอาจารย์ ผู้บริหารโรงเรียน และผู้แทนสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อให้มีการปฏิบัติโดยพร้อมเพรียงใน 2 ส่วน คือ
1) กรอบแนวคิดการดําเนินงานโรงเรียนคุณธรรม 5 มาตรการได้แก่
ความพอเพียงที่จะต้องดํารงชีวิตที่พอเพียงตามพระราชดํารัสคําสอนของพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สิ่งสําคัญคือการพอประมาณ ประหยัด ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย รู้จักความพอดี เพราะหากไม่รู้จักพอจะเกิดการทุจริตคอร์รัปชันได้
ความกตัญญูโดยเฉพาะการกตัญญูต่อบิดามารดา ครูอาจารย์ และพระกรุณาธิคุณของบูรพมหากษัตริย์ไทย ขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับธงชาติไทยที่แสดงถึงความเป็นชาติของเรา หรือธงไตรรงค์ ซึ่งมี 3 สี 5 แถบ มีความหมายว่า สีแดงแถบบน หมายถึง ชาติไทย, สีแดงแถบล่าง หมายถึง ชนชาติอื่นที่อยู่ในไทย, สีขาว แถบบน หมายถึง ศาสนาประจําชาติไทย, สีขาวแถบล่าง หมายถึง ศาสนาอื่นในไทย, สีน้ําเงิน หมายถึง พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาติไทย มีเพียงหนึ่งเดียว
ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานสําคัญในการดํารงชีวิต ไม่มีไม่ได้ อีกทั้งการซื่อสัตย์คือการไม่สร้างภาพ ไม่เล่นละครหรือสวมหัวโขน แต่คําพูดหรือการกระทําทุกอย่างควรมาจากใจ
ความรับผิดชอบซึ่งเป็นสิ่งสําคัญในการเจริญสัมมาชีพต่อไปในวันข้างหน้า ขอให้ยึดมั่นกฎกติกาในการทํางานอย่างเสมอต้นเสมอปลาย คงเส้นคงวาในความดี ปากตรงกับใจ และอย่าหลงลืมตัว
การมีอุดมการณ์คุณธรรมอาทิ หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) โดยต้องยึดหลักความยุติธรรม ดังเช่นสุภาษิตไทยที่ว่า "หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก" กล่าวคือ หากหัวดํารงความเที่ยงธรรม ถูกต้อง ซื่อสัตย์ สุจริต มีหรือที่หางหรือลูกแถวจะออกนอกแถวนอกกรอบ แต่ถ้าหัวส่ายจะไปหวังอะไรกับลูกแถว
2) ตัวชี้วัดหลักของโรงเรียนคุณธรรม 7 ประการได้แก่ มีกระบวนการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมโรงเรียน, มีกลไกคณะทํางานและใช้โครงงานคุณธรรมเป็นเครื่องมือที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการลงมือปฏิบัติเพื่อพัฒนาโรงเรียนคุณธรรม, พฤติกรรมที่พึงประสงค์ ในโรงเรียนเพิ่มขึ้น, พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ในโรงเรียนลดลง, เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนา คุณธรรมจริยธรรมในโรงเรียนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง, มีองค์ความรู้ นวัตกรรม การสร้างเสริมคุณธรรม จริยธรรม และการบูรณาการกับการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน, เป็นแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนคุณธรรม ชื่อยอมรับว่าความสําเร็จในเรื่องนี้จะต้องอาศัยเวลา เพราะเน้นเชิงคุณภาพไม่เน้นปริมาณ
ทั้งนี้ ม.ล.ปนัดดา ได้หยิบยกโคลงสี่สุภาพ “กล้วยไม้” ของ ม.ล.ปิ่น มาลากุล เพื่อเป็นกําลังใจให้กับครูผู้สร้างและผู้บริหารทุกคน ที่มีส่วนช่วยให้การสร้างอนาคตของชาติเป็นไปด้วยความราบรื่นด้วยความรักสมัครสมาน กล่าวคือ
“กล้วยไม้มีดอกช้า ฉันใด
การศึกษาเป็นไป เช่นนั้น
แต่ดอกออกคราวไร งามเด่น
งานสั่งสอนปลูกปั้น เสร็จแล้วแสนงาม”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมรายงานความสำเร็จของโรงเรียนคุณธรรม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประจำปี 2560
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560
การประชุมรายงานความสําเร็จของโรงเรียนคุณธรรม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประจําปี 2560
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยายพิเศษ เรื่อง "ศาสตร์พระราชาสู่การขับเคลื่อนโรงเรียนคุณธรรม" ในการประชุมรายงานความสําเร็จของโรงเรียนคุณธรรม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจําปี 2560
จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมกับมูลนิธิยุวสถิรคุณ เพื่อขับเคลื่อนการสร้างโรงเรียนคุณธรรมให้เกิดขึ้น ตามเป้าหมาย 30,000 โรงเรียนทั่วประเทศ ในปีการศึกษา 2560 โดยมีผู้บริหาร ครู และนักเรียนโรงเรียนคุณธรรม 111 แห่ง ตลอดจนผู้บริหารสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาใน 21 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าร่วมกว่า 750 คน
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า โดยข้อเท็จจริงเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น “สถานศึกษา” ย่อมมีคุณธรรมอยู่แล้ว แต่เนื่องจากปัจจุบันเราอยู่ในสังคมยุคโลกาภิวัตน์ มีความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีความเกี่ยวโยงไปถึงด้านสังคม กล่าวคือ มีการใช้สอยเทคโนโลยีไปในทางที่ไม่ถูกต้อง อาทิ การใช้โซเชียลมีเดียในทางที่ผิด โพสต์ข้อความให้ร้ายป้ายสีผู้อื่น ส่งผลให้เกิดการกระทําผิดศีลธรรม หลบหลู่ดูหมิ่นแม้บุพการีหรือผู้มีพระคุณ เลยเถิดไปถึงการหลงลืมความเป็นชาติ เอกลักษณ์ความเป็นไทย เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับคุณธรรมศีลธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา ทั้งที่จริงคนไทยทุกคนควรมีความตระหนักและพึงกระทําให้ถูกตามครรลองครองธรรม ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก เยาวชน โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ ผู้บริหาร ที่จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี
ในเรื่องของโรงเรียนคุณธรรมเป็นการสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่มีพระราชประสงค์ให้โรงเรียนทั้งประเทศเป็นโรงเรียนคุณธรรม โดยครูบาอาจารย์ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเป็นต้นแบบที่ยั่งยืนให้กับลูกหลานเยาวชน โดยเฉพาะครู เป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะต้องสร้างครูให้มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถทางวิทยาการแตกฉาน รวมทั้งผู้อํานวยการโรงเรียนหรืออาจารย์ใหญ่ ที่มีความเป็นผู้นําที่ดี บริหารจัดการและจัดหาครูได้อย่างเหมาะสมและมีความเพียงพอในการจัดการเรียนรู้แก่นักเรียน ทั้งทางด้านวิชาการ ด้านการปฏิบัติ การสังคม ตลอดจนจริยธรรมจรรยา
นอกจากนี้ ขอให้น้อมนําพระบรมราโชวาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ใส่เกล้าฯ และยึดมั่นปฏิบัติเป็นหลักในการพัฒนาการศึกษาของชาติให้เจริญก้าวหน้า คือการพัฒนาเด็กให้มีพื้นฐานสําคัญ 4 ประการ คือ มีทัศนคติที่ดีต่อชาติบ้านเมือง, มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม, มีงานทํา มีอาชีพสุจริต, เป็นคนดีของชาติบ้านเมือง
ดังนั้น ในช่วงเปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2560 เป็นต้นไป จะผลักดันให้มีการดําเนินโครงการโรงเรียนคุณธรรมในโรงเรียนสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้เป็นไปตามเป้าหมายกว่า 30,000 แห่งและในอนาคตจะขยายไปสู่โรงเรียนเอกชน 4,463 แห่ง สถานศึกษาอาชีวะ 428 แห่ง รวมทั้งโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1,545 แห่ง โดยถือเป็นครั้งแรกที่มีการนิเทศวาระด้านการศึกษาของหน่วยงาน 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ลงไปตรวจติดตามและหยิบยกวาระการศึกษาเป็นวาระสําคัญในการนิเทศในแต่ละจังหวัด โดยเฉพาะเรื่องของโรงเรียนคุณธรรม ที่จะเป็นเป้าหมายในการทํางานของผู้บริหารทุกภาคส่วนต่อจากนี้ไป จึงขอย้ํากับครูบาอาจารย์ ผู้บริหารโรงเรียน และผู้แทนสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อให้มีการปฏิบัติโดยพร้อมเพรียงใน 2 ส่วน คือ
1) กรอบแนวคิดการดําเนินงานโรงเรียนคุณธรรม 5 มาตรการได้แก่
ความพอเพียงที่จะต้องดํารงชีวิตที่พอเพียงตามพระราชดํารัสคําสอนของพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สิ่งสําคัญคือการพอประมาณ ประหยัด ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย รู้จักความพอดี เพราะหากไม่รู้จักพอจะเกิดการทุจริตคอร์รัปชันได้
ความกตัญญูโดยเฉพาะการกตัญญูต่อบิดามารดา ครูอาจารย์ และพระกรุณาธิคุณของบูรพมหากษัตริย์ไทย ขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับธงชาติไทยที่แสดงถึงความเป็นชาติของเรา หรือธงไตรรงค์ ซึ่งมี 3 สี 5 แถบ มีความหมายว่า สีแดงแถบบน หมายถึง ชาติไทย, สีแดงแถบล่าง หมายถึง ชนชาติอื่นที่อยู่ในไทย, สีขาว แถบบน หมายถึง ศาสนาประจําชาติไทย, สีขาวแถบล่าง หมายถึง ศาสนาอื่นในไทย, สีน้ําเงิน หมายถึง พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาติไทย มีเพียงหนึ่งเดียว
ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานสําคัญในการดํารงชีวิต ไม่มีไม่ได้ อีกทั้งการซื่อสัตย์คือการไม่สร้างภาพ ไม่เล่นละครหรือสวมหัวโขน แต่คําพูดหรือการกระทําทุกอย่างควรมาจากใจ
ความรับผิดชอบซึ่งเป็นสิ่งสําคัญในการเจริญสัมมาชีพต่อไปในวันข้างหน้า ขอให้ยึดมั่นกฎกติกาในการทํางานอย่างเสมอต้นเสมอปลาย คงเส้นคงวาในความดี ปากตรงกับใจ และอย่าหลงลืมตัว
การมีอุดมการณ์คุณธรรมอาทิ หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) โดยต้องยึดหลักความยุติธรรม ดังเช่นสุภาษิตไทยที่ว่า "หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก" กล่าวคือ หากหัวดํารงความเที่ยงธรรม ถูกต้อง ซื่อสัตย์ สุจริต มีหรือที่หางหรือลูกแถวจะออกนอกแถวนอกกรอบ แต่ถ้าหัวส่ายจะไปหวังอะไรกับลูกแถว
2) ตัวชี้วัดหลักของโรงเรียนคุณธรรม 7 ประการได้แก่ มีกระบวนการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมโรงเรียน, มีกลไกคณะทํางานและใช้โครงงานคุณธรรมเป็นเครื่องมือที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการลงมือปฏิบัติเพื่อพัฒนาโรงเรียนคุณธรรม, พฤติกรรมที่พึงประสงค์ ในโรงเรียนเพิ่มขึ้น, พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ในโรงเรียนลดลง, เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนา คุณธรรมจริยธรรมในโรงเรียนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง, มีองค์ความรู้ นวัตกรรม การสร้างเสริมคุณธรรม จริยธรรม และการบูรณาการกับการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน, เป็นแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนคุณธรรม ชื่อยอมรับว่าความสําเร็จในเรื่องนี้จะต้องอาศัยเวลา เพราะเน้นเชิงคุณภาพไม่เน้นปริมาณ
ทั้งนี้ ม.ล.ปนัดดา ได้หยิบยกโคลงสี่สุภาพ “กล้วยไม้” ของ ม.ล.ปิ่น มาลากุล เพื่อเป็นกําลังใจให้กับครูผู้สร้างและผู้บริหารทุกคน ที่มีส่วนช่วยให้การสร้างอนาคตของชาติเป็นไปด้วยความราบรื่นด้วยความรักสมัครสมาน กล่าวคือ
“กล้วยไม้มีดอกช้า ฉันใด
การศึกษาเป็นไป เช่นนั้น
แต่ดอกออกคราวไร งามเด่น
งานสั่งสอนปลูกปั้น เสร็จแล้วแสนงาม”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3662
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank กดปุ่มเริ่มโครงการ “ฮัก TAXI” เสริมแกร่งผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ เข้าถึงเงินทุน เพิ่มทักษะ ยกระดับคุณภาพชีวิต
|
วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2561
SME Development Bank กดปุ่มเริ่มโครงการ “ฮัก TAXI” เสริมแกร่งผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ เข้าถึงเงินทุน เพิ่มทักษะ ยกระดับคุณภาพชีวิต
SME Development Bank ปลื้มผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ ตอบรับจองสิทธิเข้าร่วมโครงการ “ฮักTAXI” สร้างโอกาสเข้าถึงเงินทุนดอกเบี้ยต่ําในระบบ เพิ่มทักษะความรู้ สวัสดิการยกระดับคุณภาพชีวิต ช่วยเสริมแกร่งการประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME Development Bank เปิดเผยว่า จากที่ธนาคาร ร่วมกับศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ทําการสํารวจ “การประเมินศักยภาพธุรกิจท้องถิ่นของประเทศไทย” กรณีศึกษาธุรกิจบริการแท็กซี่ พบว่า ปัจจุบัน มีผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ทั่วประเทศกว่า 1.2 แสนราย และมีรถแท็กซี่ในระบบกว่า 9 หมื่นคัน เป็นรถส่วนบุคคล (เขียว-เหลือง) กว่า 37% โดยส่วนใหญ่ ผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ถึง 76.69% ทําอาชีพนี้มานาน มากกว่า 6 ปีขึ้นไปถึง 20 ปี อีกทั้ง ยึดอาชีพขับรถแท็กซี่เป็นอาชีพหลักถึง 87.98% นอกจากนั้น ผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ยังเป็นคนที่ต้องทํางานหนัก เฉลี่ยขับรถ 25 วันต่อเดือน โดยต้องขับควบกะช่วงเช้า ช่วงเย็น และช่วงกลางคืน เฉลี่ยกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน มีรายได้เฉลี่ยต่อวัน 1,702 บาท แต่เมื่อหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว เหลือรายได้เฉลี่ยเพียงวันละ 400 บาท จึงมีปัญหา ชักหน้าไม่ถึงหลัง รายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย
ผลสํารวจยังชี้ด้วยว่า สัดส่วนรถแท็กซี่ที่ใช้ประกอบอาชีพอยู่ในปัจจุบันเกือบ 50% หรือประมาณ 35,000 คัน เป็นรถที่เหลืออายุการใช้ไม่ถึง 5 ปี ซึ่งตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป รถจะทยอยหมดอายุ ปีละกว่า 10,000 คัน ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ 70% ต้องการสินเชื่อในระบบ เพื่อจะซื้อรถใหม่ เพราะเชื่อว่า จะช่วยเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย คุ้มกว่าการเช่ารถ และสามารถจัดสรรเวลาทํางานได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อไปยังการให้บริการแก่ผู้โดยสารด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริง ที่ผ่านมา ผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ส่วนใหญ่ 65% เข้าไม่ถึงแหล่งทุน จึงต้องหันพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ ส่งผลแบกภาระหนี้สูง เกิดเป็นปัญหาซ้ําซ้อนมากขึ้นไปอีก จนยากจะหลุดพ้นวงจรความยากจนไปได้
ธพว. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อย ได้เปิดโครงการ “ฮัก TAXI" เสริมแกร่งแท็กซี่ไทย ช่วยเสริมแกร่งและยกระดับการประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้บริการแท็กซี่จะได้ประโยชน์ เช่น ไม่ถูกปฏิเสธ ไม่ถูกโกงมิเตอร์ ปอลดภัย เป็นต้น
ทั้งนี้ ธนาคารได้เริ่มเปิดให้ผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ แสดงเจตจํานงความต้องการเข้าร่วมโครงการ “ฮัก TAXI" เสริมแกร่งแท็กซี่ไทย ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2561 ซึ่งได้การตอบรับอย่างดียิ่ง เนื่องจากโครงการนี้ ผู้ประกอบอาชีพจะได้รับการพัฒนาการประกอบอาชีพแท็กซี่ ควบคู่กับเข้าถึงแหล่งเงินทุน ตามแนวทางอัตราเงินกู้ดอกเบี้ยต่ําของสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) เงื่อนไขผ่อนปรน ผ่อนถูกกว่าจ่ายค่าเช่ารถ ผู้กู้สามารถเลือกระยะเวลาการผ่อนชําระได้ ให้สิทธิ์ 1 คนต่อการกู้ซื้อรถได้ 1 คัน ใช้ บสย.ค้ําประกันได้ ทั้งนี้ กําหนดวงเงินโครงการรวม 10,000 ล้าน
นอกจากนั้น ผู้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ยังได้รับสวัสดิการยกระดับคุณภาพชีวิต โปรแกรมเสริมแกร่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพการประกอบอาชีพ เช่น ฝึกอบรมทักษะภาษา ระบบประกันสังคม การออมเพื่อประโยชน์ในวัยเกษียณ มีระบบเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน เป็นต้น
“อาชีพขับรถแท็กซี่ เกี่ยวโยงกับบุคคลต่างๆ อีกจํานวนมาก ตั้งแต่ผู้โดยสารที่ใช้บริการ ไม่ต่ํากว่า 3-5 ล้านคนต่อวัน นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวประเทศไทย มากกว่า 30 ล้านคนต่อปี ดังนั้น การยกระดับแท็กซี่ จะช่วยให้ผู้ประกอบการอาชีพนี้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ไม่เป็นต้องหนี้นอกระบบ ขณะที่ ผู้ใช้บริการ ได้รับความสะดวก ปลอดภัย รวมถึง สร้างภาพลักษณ์ต่อการท่องเที่ยวไทย” นายมงคล กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank กดปุ่มเริ่มโครงการ “ฮัก TAXI” เสริมแกร่งผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ เข้าถึงเงินทุน เพิ่มทักษะ ยกระดับคุณภาพชีวิต
วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2561
SME Development Bank กดปุ่มเริ่มโครงการ “ฮัก TAXI” เสริมแกร่งผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ เข้าถึงเงินทุน เพิ่มทักษะ ยกระดับคุณภาพชีวิต
SME Development Bank ปลื้มผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ ตอบรับจองสิทธิเข้าร่วมโครงการ “ฮักTAXI” สร้างโอกาสเข้าถึงเงินทุนดอกเบี้ยต่ําในระบบ เพิ่มทักษะความรู้ สวัสดิการยกระดับคุณภาพชีวิต ช่วยเสริมแกร่งการประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME Development Bank เปิดเผยว่า จากที่ธนาคาร ร่วมกับศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ทําการสํารวจ “การประเมินศักยภาพธุรกิจท้องถิ่นของประเทศไทย” กรณีศึกษาธุรกิจบริการแท็กซี่ พบว่า ปัจจุบัน มีผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ทั่วประเทศกว่า 1.2 แสนราย และมีรถแท็กซี่ในระบบกว่า 9 หมื่นคัน เป็นรถส่วนบุคคล (เขียว-เหลือง) กว่า 37% โดยส่วนใหญ่ ผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ถึง 76.69% ทําอาชีพนี้มานาน มากกว่า 6 ปีขึ้นไปถึง 20 ปี อีกทั้ง ยึดอาชีพขับรถแท็กซี่เป็นอาชีพหลักถึง 87.98% นอกจากนั้น ผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ยังเป็นคนที่ต้องทํางานหนัก เฉลี่ยขับรถ 25 วันต่อเดือน โดยต้องขับควบกะช่วงเช้า ช่วงเย็น และช่วงกลางคืน เฉลี่ยกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน มีรายได้เฉลี่ยต่อวัน 1,702 บาท แต่เมื่อหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว เหลือรายได้เฉลี่ยเพียงวันละ 400 บาท จึงมีปัญหา ชักหน้าไม่ถึงหลัง รายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย
ผลสํารวจยังชี้ด้วยว่า สัดส่วนรถแท็กซี่ที่ใช้ประกอบอาชีพอยู่ในปัจจุบันเกือบ 50% หรือประมาณ 35,000 คัน เป็นรถที่เหลืออายุการใช้ไม่ถึง 5 ปี ซึ่งตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป รถจะทยอยหมดอายุ ปีละกว่า 10,000 คัน ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ 70% ต้องการสินเชื่อในระบบ เพื่อจะซื้อรถใหม่ เพราะเชื่อว่า จะช่วยเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย คุ้มกว่าการเช่ารถ และสามารถจัดสรรเวลาทํางานได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อไปยังการให้บริการแก่ผู้โดยสารด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริง ที่ผ่านมา ผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ส่วนใหญ่ 65% เข้าไม่ถึงแหล่งทุน จึงต้องหันพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ ส่งผลแบกภาระหนี้สูง เกิดเป็นปัญหาซ้ําซ้อนมากขึ้นไปอีก จนยากจะหลุดพ้นวงจรความยากจนไปได้
ธพว. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อย ได้เปิดโครงการ “ฮัก TAXI" เสริมแกร่งแท็กซี่ไทย ช่วยเสริมแกร่งและยกระดับการประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้บริการแท็กซี่จะได้ประโยชน์ เช่น ไม่ถูกปฏิเสธ ไม่ถูกโกงมิเตอร์ ปอลดภัย เป็นต้น
ทั้งนี้ ธนาคารได้เริ่มเปิดให้ผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ แสดงเจตจํานงความต้องการเข้าร่วมโครงการ “ฮัก TAXI" เสริมแกร่งแท็กซี่ไทย ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2561 ซึ่งได้การตอบรับอย่างดียิ่ง เนื่องจากโครงการนี้ ผู้ประกอบอาชีพจะได้รับการพัฒนาการประกอบอาชีพแท็กซี่ ควบคู่กับเข้าถึงแหล่งเงินทุน ตามแนวทางอัตราเงินกู้ดอกเบี้ยต่ําของสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) เงื่อนไขผ่อนปรน ผ่อนถูกกว่าจ่ายค่าเช่ารถ ผู้กู้สามารถเลือกระยะเวลาการผ่อนชําระได้ ให้สิทธิ์ 1 คนต่อการกู้ซื้อรถได้ 1 คัน ใช้ บสย.ค้ําประกันได้ ทั้งนี้ กําหนดวงเงินโครงการรวม 10,000 ล้าน
นอกจากนั้น ผู้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ยังได้รับสวัสดิการยกระดับคุณภาพชีวิต โปรแกรมเสริมแกร่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพการประกอบอาชีพ เช่น ฝึกอบรมทักษะภาษา ระบบประกันสังคม การออมเพื่อประโยชน์ในวัยเกษียณ มีระบบเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน เป็นต้น
“อาชีพขับรถแท็กซี่ เกี่ยวโยงกับบุคคลต่างๆ อีกจํานวนมาก ตั้งแต่ผู้โดยสารที่ใช้บริการ ไม่ต่ํากว่า 3-5 ล้านคนต่อวัน นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวประเทศไทย มากกว่า 30 ล้านคนต่อปี ดังนั้น การยกระดับแท็กซี่ จะช่วยให้ผู้ประกอบการอาชีพนี้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ไม่เป็นต้องหนี้นอกระบบ ขณะที่ ผู้ใช้บริการ ได้รับความสะดวก ปลอดภัย รวมถึง สร้างภาพลักษณ์ต่อการท่องเที่ยวไทย” นายมงคล กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17795
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมโรค เน้นย้ำประชาชนและสถานประกอบการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง หลังมีการเปิดมาตรการผ่อนปรน [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563
กรมควบคุมโรค เน้นย้ําประชาชนและสถานประกอบการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง หลังมีการเปิดมาตรการผ่อนปรน [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมควบคุมโรค เน้นย้ําประชาชนและสถานประกอบการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง หลังมีการเปิดมาตรการผ่อนปรน
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เน้นย้ําประชาชนและสถานประกอบการใช้มาตรการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง โดยการรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล หากออกนอกบ้านต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และล้างมือบ่อยๆด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ เพื่อเป็นการป้องกันโรคโควิด 19 ที่เหมาะสม หลังมีการเปิดมาตรการผ่อนปรน
วันนี้ (20 พฤษภาคม 2563) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ที่กําลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก ซึ่งในส่วนของประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะมีผู้ป่วยลดลงและไม่พบจํานวนผู้เสียชีวิตมาหลายวันติดต่อกันแล้ว และมีการเปิดมาตรการผ่อนปรนระยะหนึ่งแล้ว แต่ประชาชนก็ยังต้องคงมาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มข้นต่อไป ทั้งมาตรการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล และให้ประชาชนอยู่บ้านหรือทํางานที่บ้านเพื่อลดการติดเชื้อ หากออกนอกบ้าน ต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และล้างมือบ่อยๆด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ เพื่อเป็นการป้องกันโรคโควิด 19 ที่เหมาะสม
กรมควบคุมโรค ขอแนะนําสถานประกอบการที่เปิดกิจการตามมาตรการผ่อนปรน เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ฟิตเนส คลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรม เป็นต้น ปฎิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เช่น จัดให้มีการคัดกรองผู้มารับบริการ ทําความสะอาดสถานที่ รวมทั้งพื้นผิวที่สัมผัสบ่อยๆทั้งก่อนและหลังให้บริการ มีการกําจัดขยะมูลฝอยทุกวัน มีการควบคุม จํานวนผู้ใช้บริการเพื่อไม่ให้แออัดและมีการจัดบัตรคิว รวมถึงจัดจุดบริการล้างมือด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ ผู้ประกอบการและผู้ใช้บริการสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หากสถานประกอบการมีการจัดที่นั่งสําหรับรับประทานอาหาร ขอให้เว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะ ที่นั่ง และทางเดินด้วย
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า ในช่วงนี้ขอให้ประชาชนยังคงปฎิบัติตามมาตการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างเข้มข้นและต่อเนื่องต่อไป เพื่อเป็นการป้องกันและลดการติดเชื้อดังกล่าว โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น กลุ่มผู้มีโรคประจําตัว กลุ่มผู้สูงอายุ ควรหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านโดยไม่จําเป็น หลีกเลี่ยงการพบปะหรือชุมนุม ส่วนสถานประกอบการก็ต้องปฎิบัติตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเช่นกัน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
*****************
ข้อมูลจาก : ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค
20 พฤษภาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมโรค เน้นย้ำประชาชนและสถานประกอบการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง หลังมีการเปิดมาตรการผ่อนปรน [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563
กรมควบคุมโรค เน้นย้ําประชาชนและสถานประกอบการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง หลังมีการเปิดมาตรการผ่อนปรน [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมควบคุมโรค เน้นย้ําประชาชนและสถานประกอบการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง หลังมีการเปิดมาตรการผ่อนปรน
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เน้นย้ําประชาชนและสถานประกอบการใช้มาตรการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง โดยการรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล หากออกนอกบ้านต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และล้างมือบ่อยๆด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ เพื่อเป็นการป้องกันโรคโควิด 19 ที่เหมาะสม หลังมีการเปิดมาตรการผ่อนปรน
วันนี้ (20 พฤษภาคม 2563) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ที่กําลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก ซึ่งในส่วนของประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะมีผู้ป่วยลดลงและไม่พบจํานวนผู้เสียชีวิตมาหลายวันติดต่อกันแล้ว และมีการเปิดมาตรการผ่อนปรนระยะหนึ่งแล้ว แต่ประชาชนก็ยังต้องคงมาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มข้นต่อไป ทั้งมาตรการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล และให้ประชาชนอยู่บ้านหรือทํางานที่บ้านเพื่อลดการติดเชื้อ หากออกนอกบ้าน ต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และล้างมือบ่อยๆด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ เพื่อเป็นการป้องกันโรคโควิด 19 ที่เหมาะสม
กรมควบคุมโรค ขอแนะนําสถานประกอบการที่เปิดกิจการตามมาตรการผ่อนปรน เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ฟิตเนส คลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรม เป็นต้น ปฎิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เช่น จัดให้มีการคัดกรองผู้มารับบริการ ทําความสะอาดสถานที่ รวมทั้งพื้นผิวที่สัมผัสบ่อยๆทั้งก่อนและหลังให้บริการ มีการกําจัดขยะมูลฝอยทุกวัน มีการควบคุม จํานวนผู้ใช้บริการเพื่อไม่ให้แออัดและมีการจัดบัตรคิว รวมถึงจัดจุดบริการล้างมือด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ ผู้ประกอบการและผู้ใช้บริการสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หากสถานประกอบการมีการจัดที่นั่งสําหรับรับประทานอาหาร ขอให้เว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะ ที่นั่ง และทางเดินด้วย
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า ในช่วงนี้ขอให้ประชาชนยังคงปฎิบัติตามมาตการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างเข้มข้นและต่อเนื่องต่อไป เพื่อเป็นการป้องกันและลดการติดเชื้อดังกล่าว โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น กลุ่มผู้มีโรคประจําตัว กลุ่มผู้สูงอายุ ควรหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านโดยไม่จําเป็น หลีกเลี่ยงการพบปะหรือชุมนุม ส่วนสถานประกอบการก็ต้องปฎิบัติตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเช่นกัน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
*****************
ข้อมูลจาก : ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค
20 พฤษภาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31207
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ร่วมกิจกรรม “จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร” พัฒนาสิ่งแวดล้อมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2562
|
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2562
รมว.ทส. ร่วมกิจกรรม “จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร” พัฒนาสิ่งแวดล้อมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562
รมว.ทส. ร่วมกิจกรรม “จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร” พัฒนาสิ่งแวดล้อมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562
รมว.ทส. ร่วมกิจกรรม “จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร” พัฒนาสิ่งแวดล้อมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562
วันที่ 24 กรกฎาคม 2562 เวลา 10.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมพิธีเปิดกิจกรรม “จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร.” เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพรชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมฯ ซึ่งมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนจิตอาสา เข้าร่วมกิจกรรม ณ สวนวชิรเบญจทัศ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมกับ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายที่สนับสนุนต้นหางนกยูงฝรั่ง เพื่อใช้ในกิจกรรมปลูกต้นไม้ครั้งนี้จํานวน 10 องค์กร ร่วมกันปลูกต้นหางนกยูงฝรั่ง จํานวน 1,010 ต้น และเยี่ยมชมทุ่งดอกไม้ อุทยานผีเสื้อและแมลงกรุงเทพมหานคร ภายในสวนวชิรเบญจทัศ รวมทั้ง ชมนิทรรศการ “เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9” ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวรัฐบาลร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมทั้งภาคีเครือข่ายจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ได้น้อมนําพระปฐมบรมราชโองการมาเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อสนองพระราชปณิธานโดยร่วมกันดําเนินกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม ปลูกต้นไม้ ณ สวนวชิรเบญจทัศ กรุงเทพมหานคร เพื่อปรับภูมิทัศน์สร้างความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชน ในเมือง รวมทั้งลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ อีกทั้ง เป็นการช่วยเสริมสร้างจิตสํานึก และความตระหนักถึงความสําคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของตนเอง ให้คงอยู่และพัฒนาอย่างยั่งยืนสืบไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ร่วมกิจกรรม “จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร” พัฒนาสิ่งแวดล้อมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2562
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2562
รมว.ทส. ร่วมกิจกรรม “จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร” พัฒนาสิ่งแวดล้อมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562
รมว.ทส. ร่วมกิจกรรม “จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร” พัฒนาสิ่งแวดล้อมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562
รมว.ทส. ร่วมกิจกรรม “จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร” พัฒนาสิ่งแวดล้อมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562
วันที่ 24 กรกฎาคม 2562 เวลา 10.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมพิธีเปิดกิจกรรม “จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร.” เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพรชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมฯ ซึ่งมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนจิตอาสา เข้าร่วมกิจกรรม ณ สวนวชิรเบญจทัศ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมกับ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายที่สนับสนุนต้นหางนกยูงฝรั่ง เพื่อใช้ในกิจกรรมปลูกต้นไม้ครั้งนี้จํานวน 10 องค์กร ร่วมกันปลูกต้นหางนกยูงฝรั่ง จํานวน 1,010 ต้น และเยี่ยมชมทุ่งดอกไม้ อุทยานผีเสื้อและแมลงกรุงเทพมหานคร ภายในสวนวชิรเบญจทัศ รวมทั้ง ชมนิทรรศการ “เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9” ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวรัฐบาลร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมทั้งภาคีเครือข่ายจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ได้น้อมนําพระปฐมบรมราชโองการมาเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อสนองพระราชปณิธานโดยร่วมกันดําเนินกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม ปลูกต้นไม้ ณ สวนวชิรเบญจทัศ กรุงเทพมหานคร เพื่อปรับภูมิทัศน์สร้างความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชน ในเมือง รวมทั้งลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ อีกทั้ง เป็นการช่วยเสริมสร้างจิตสํานึก และความตระหนักถึงความสําคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของตนเอง ให้คงอยู่และพัฒนาอย่างยั่งยืนสืบไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21797
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"พล.ต.อ.อดุลย์" เข้ม! กวดขันนายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
|
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561
"พล.ต.อ.อดุลย์" เข้ม! กวดขันนายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
รมว.แรงงาน สั่งเข้ม กรณีการใช้แรงงานบังคับในบริษัทโรงน้ําแข็งบางศรีเมือง เร่งกวดขันนายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย กําชับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มแข็ง เพื่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนของแรงงาน
รมว.แรงงาน สั่งเข้ม กรณีการใช้แรงงานบังคับในบริษัทโรงน้ําแข็งบางศรีเมือง เร่งกวดขันนายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย กําชับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มแข็ง เพื่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนของแรงงาน ป้องกันปัญหาการจ้างงานอย่างไม่เป็นธรรม
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงาน (ศปก.รง.) ว่า วันนี้พลตํารวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานเข้มงวดเกี่ยวกับการใช้แรงงานในลักษณะบังคับ และไม่ถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน ทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าว จากกรณีที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รับการประสานจากมูลนิธิ LPN ว่า มีลูกจ้างหลบหนีมาขอความช่วยเหลือเนื่องจากทํางานแล้วไม่ได้รับค่าจ้าง สภาพการจ้างไม่เป็นธรรม ภายในบริษัทโรงน้ําแข็งบางศรีเมือง 1999 จํากัด ต.บางศรีเมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี ประกอบกิจการผลิตน้ําแข็ง มีลูกจ้างทั้งหมด 23 คน ประกอบด้วย สัญชาติไทย 5 คน เป็นชาย 4 หญิง 1 สัญชาติกัมพูชา 11 คน เป็นชายทั้งหมด และสัญชาติลาว 7 คน เป็นชาย 5 คน หญิง 2 คน จากการตรวจสอบสภาพการจ้างการทํางานในเบื้องต้น พบว่า นายจ้างปฏิบัติไม่ถูกต้อง ดังนี้ 1) พระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ในเรื่อง นายจ้างจ้างลูกจ้างที่เป็นคนต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 8 มีบทกําหนดโทษตามมาตรา 111 2) พรบ.คนเข้าเมือง 2522 ในเรื่อง นายจ้างจ้างแรงงานต่างด้าว ซึ่งเดินทางเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 81 และให้ที่พักพิงแรงงานต่างด้าว 3) ความผิดตาม พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 นายจ้างไม่แจ้งแรงงานเด็กที่อายุต่ํากว่า 18 ปี ตามมาตรา 45 (1) นายจ้างจ่ายค่าจ้างต่ํากว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ตามมาตรา 90 และนายจ้างหักค่าจ้าง เนื่องจากนําหนี้อื่นมาหัก ตามมาตรา 76 พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
“ในเบื้องต้นกระทรวงแรงงานโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ประสานส่งตัวลูกจ้างให้แก่ สภ.บางศรีเมือง รวมถึงประสานเจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และพนักงานสอบสวน ในการเข้าร่วมคัดแยกผู้ที่ตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จากจํานวนลูกจ้างทั้งหมด 23 คน พบว่า เข้าข่ายค้ามนุษย์ 8 คน ไม่มีใบอนุญาตทํางาน 1 คน ไม่เข้าข่ายค้ามนุษย์ 9 คน และเป็นผู้สนับสนุนการกระทําผิด เนื่องจากเป็นหัวหน้าคนงาน 2 คน ซึ่งรมว.แรงงาน ได้กําชับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มแข็ง เพื่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนของแรงงาน และป้องกันปัญหาการจ้างงานอย่างไม่เป็นธรรมต่อไป”นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด
หากพบเบาะแสการใช้แรงงานในลักษณะบังคับหรือการจ้างงานแบบผิดกฎหมายแรงงาน สามารถโทรแจ้งได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 3 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
+++++++++++++++++++++++
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"พล.ต.อ.อดุลย์" เข้ม! กวดขันนายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561
"พล.ต.อ.อดุลย์" เข้ม! กวดขันนายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
รมว.แรงงาน สั่งเข้ม กรณีการใช้แรงงานบังคับในบริษัทโรงน้ําแข็งบางศรีเมือง เร่งกวดขันนายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย กําชับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มแข็ง เพื่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนของแรงงาน
รมว.แรงงาน สั่งเข้ม กรณีการใช้แรงงานบังคับในบริษัทโรงน้ําแข็งบางศรีเมือง เร่งกวดขันนายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย กําชับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มแข็ง เพื่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนของแรงงาน ป้องกันปัญหาการจ้างงานอย่างไม่เป็นธรรม
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงาน (ศปก.รง.) ว่า วันนี้พลตํารวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานเข้มงวดเกี่ยวกับการใช้แรงงานในลักษณะบังคับ และไม่ถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน ทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าว จากกรณีที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รับการประสานจากมูลนิธิ LPN ว่า มีลูกจ้างหลบหนีมาขอความช่วยเหลือเนื่องจากทํางานแล้วไม่ได้รับค่าจ้าง สภาพการจ้างไม่เป็นธรรม ภายในบริษัทโรงน้ําแข็งบางศรีเมือง 1999 จํากัด ต.บางศรีเมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี ประกอบกิจการผลิตน้ําแข็ง มีลูกจ้างทั้งหมด 23 คน ประกอบด้วย สัญชาติไทย 5 คน เป็นชาย 4 หญิง 1 สัญชาติกัมพูชา 11 คน เป็นชายทั้งหมด และสัญชาติลาว 7 คน เป็นชาย 5 คน หญิง 2 คน จากการตรวจสอบสภาพการจ้างการทํางานในเบื้องต้น พบว่า นายจ้างปฏิบัติไม่ถูกต้อง ดังนี้ 1) พระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ในเรื่อง นายจ้างจ้างลูกจ้างที่เป็นคนต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 8 มีบทกําหนดโทษตามมาตรา 111 2) พรบ.คนเข้าเมือง 2522 ในเรื่อง นายจ้างจ้างแรงงานต่างด้าว ซึ่งเดินทางเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 81 และให้ที่พักพิงแรงงานต่างด้าว 3) ความผิดตาม พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 นายจ้างไม่แจ้งแรงงานเด็กที่อายุต่ํากว่า 18 ปี ตามมาตรา 45 (1) นายจ้างจ่ายค่าจ้างต่ํากว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ตามมาตรา 90 และนายจ้างหักค่าจ้าง เนื่องจากนําหนี้อื่นมาหัก ตามมาตรา 76 พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
“ในเบื้องต้นกระทรวงแรงงานโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ประสานส่งตัวลูกจ้างให้แก่ สภ.บางศรีเมือง รวมถึงประสานเจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และพนักงานสอบสวน ในการเข้าร่วมคัดแยกผู้ที่ตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จากจํานวนลูกจ้างทั้งหมด 23 คน พบว่า เข้าข่ายค้ามนุษย์ 8 คน ไม่มีใบอนุญาตทํางาน 1 คน ไม่เข้าข่ายค้ามนุษย์ 9 คน และเป็นผู้สนับสนุนการกระทําผิด เนื่องจากเป็นหัวหน้าคนงาน 2 คน ซึ่งรมว.แรงงาน ได้กําชับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มแข็ง เพื่อความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนของแรงงาน และป้องกันปัญหาการจ้างงานอย่างไม่เป็นธรรมต่อไป”นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด
หากพบเบาะแสการใช้แรงงานในลักษณะบังคับหรือการจ้างงานแบบผิดกฎหมายแรงงาน สามารถโทรแจ้งได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 3 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
+++++++++++++++++++++++
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10186
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารออมสินเปิดตัวโครงการ “แสงแห่งรัก” ชวนคนไทยร่วมสร้างปรากฏการณ์แสงแห่งความภักดี เพื่อพ่อ พร้อมกันทั้งแผ่นดิน
|
วันพุธที่ 27 กันยายน 2560
ธนาคารออมสินเปิดตัวโครงการ “แสงแห่งรัก” ชวนคนไทยร่วมสร้างปรากฏการณ์แสงแห่งความภักดี เพื่อพ่อ พร้อมกันทั้งแผ่นดิน
ธนาคารออมสินเปิดตัวโครงการ “แสงแห่งรัก” กิจกรรมเพื่อน้อมรําลึกวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
ธนาคารออมสินเปิดตัวโครงการ “แสงแห่งรัก”กิจกรรมเพื่อน้อมรําลึกวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และเชิญชวนคนไทยร่วมสร้างปรากฏการณ์ความจงรักภักดีสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ผ่านบทเพลง “แสงแห่งรัก”และจุดเทียนถวายความอาลัยพร้อมกัน ณ ธนาคารออมสินทั่วประเทศ
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ในโอกาสวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 วันที่ 13 ตุลาคม อันใกล้จะมาถึงนี้ในฐานะที่ธนาคารออมสิน ถือกําเนิดจากสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งก่อตั้งโดยรัชกาลที่ 6 ทรงตราพระราชบัญญัติคลังออมสิน ขึ้นมาเมื่อปี 2456 และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 โปรดเกล้าฯพระราชทานพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน ในพ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นปีแรกที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ และคลังออมสิน ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ธนาคารออมสิน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ด้วยความรักความผูกพันและด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองราชย์ พระองค์ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เป็นที่ประจักษ์ผ่านโครงการในพระราชดําริ กว่า 4,600 โครงการที่กระจายอยู่ทั่วผืนแผ่นดินของประเทศไทยธนาคารจึงตั้งเจตจํานงที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเชิญชวนประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ อีกทั้งเป็นการน้อมถวายความอาลัยและความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน ผ่านโครงการ “แสงแห่งรัก”
โครงการ “แสงแห่งรัก” มีแรงบันดาลใจเพื่อสื่อถึง “แสงแห่งรัก” ในสองมิติคือ แสงแห่งรักอันเกิดจากความรัก ความห่วงใยที่พระองค์ทรงมีต่อคนไทยทั้งประเทศมายาวนานถึง 70 ปี สะท้อนผ่านโครงการในพระราชดําริ กว่า 4,600 โครงการทั่วประเทศ เปรียบดั่งแสงทองส่องนําทางให้คนไทยทุกคนดําเนินชีวิตต่อไปอย่างยั่งยืนและมั่นคง สําหรับมิติที่สอง เป็นแสงแห่งรักที่คนไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่าแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี ตราบนิจนิรันดร์
ในส่วนของกิจกรรมโครงการ “แสงแห่งรัก” ประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลักดังนี้
จัดทําบทเพลง “แสงแห่งรัก” พร้อมมิวสิกวิดีโอโดยได้รับเกียรติจาก ธชย ประทุมวรรณ (เก่ง) เป็นผู้ประพันธ์เพลงและผู้ขับร้องและขับร้องร่วมกับสุนารี ราชสีมา ซึ่งประชาชนสามารถมีส่วนร่วมใน MV ในรูปแบบของตนเองเพื่อเก็บเป็นที่ระลึกหรือแชร์บนสื่อโซเชียลได้
การจุดเทียนแสงแห่งรัก ผ่านระบบออนไลน์ ทางเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th และเฟสบุ๊คแฟนเพจ GSB Society โดยได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงจุดเทียนออนไลน์ประทานเป็นแสงแรก ในวันที่ 3 ตุลาคม 2560 เวลา 09.09 น.
จุดเทียนแสงแห่งรัก ณ ธนาคารออมสินทั่วประเทศในวันที่ 13 ตุลาคม 2560 เวลา 16.30 – 20.00 น. (ยกเว้นสาขาที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า และหน่วยงานราชการ) และเฉพาะที่ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ จะมีการแปรอักษรเป็นรูปแสงเทียนแห่งรัก ซึ่งถ่ายทอดสดผ่านทางเฟสบุ๊คแฟนเพจ GSB Society ช่วงเวลาประมาณ 18.00 – 19.30 น.
ทั้งนี้ โครงการแสงแห่งรัก ยังได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงจุดเทียนออนไลน์เป็นแสงแรก ในวันที่ 3 ตุลาคม 2560 รวมถึงเสด็จเป็นองค์ประธานนําจุดเทียนน้อมถวายอาลัยในวันคล้ายวันสวรรคต ในวันที่ 13 ตุลาคม 2560 ณ ธนาคารออมสิน สํานักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน ในเวลา 19.19 น.
นอกจากนี้ คนไทยยังสามารถร่วมกิจกรรม “แสงแห่งรัก ตามรอยเท้าพ่อ” ได้ระหว่างวันที่ 3 ตุลาคม 2560 ถึง วันที่ 30 กันยายน 2561 ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจของโครงการในพระราชดําริฯ พร้อมแสดงพิกัดบนแผนที่เมื่ออยู่ในบริเวณใกล้เคียง โดยประชาชนที่เดินทางไปเยี่ยมชมโครงการฯก็สามารถถ่ายภาพตนเองในรูปแบบแสตมป์ออนไลน์เพื่อเก็บเป็นที่ระลึกและแชร์บนโซเชียลมีเดีย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเข้าเยี่ยมชมโครงการในพระราชดําริฯ ให้มากขึ้น
จึงขอเชิญชวนคนไทยทุกคนทั้งที่อยู่ในประเทศไทย และต่างประเทศ ร่วมเป็นแสงหนึ่งของแสงแห่งรัก ที่จะทําให้ประเทศไทยสว่างเรืองรองไปด้วยแสงแห่งรัก และความภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ตราบนานเท่านาน” ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
สุนารี ราชสีมา กล่าวถึงการขับร้องบทเพลงพิเศษ “แสงแห่งรัก” ในครั้งนี้ว่า “รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการฯ ส่วนตัวเชื่อว่าคนไทยทั่วประเทศระลึกถึงและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อยู่เสมอ และตนถ่ายทอดความรักของพ่อหลวงที่มีต่อชาวไทยทุกคนให้เป็นที่รู้จักผ่านบทเพลง เพื่อให้ชาวไทยทุกคนนําแสงแห่งความรักไปเป็นพลังในการดําเนินชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข และอยากเชิญชวนทุกคนเข้าไปดู MV เพลงแสงแห่งรักที่พวกเราตั้งใจนําเสนอด้วยความรักทาง Microsite ของโครงการ”
ขณะเดียวกัน เก่ง – ธชย ประทุมวรรณ หรือ เก่ง เดอะวอยซ์ อีกหนึ่งศิลปินที่ร่วมขับร้องในบทเพลงแสงแห่งรัก แสดงความรู้สึกของตนว่า “ผมแต่งเพลงนี้ขึ้นเพื่อเป็นกําลังใจให้กับชาวไทยทุกคนให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเศร้าเสียใจนี้ไปด้วยกัน และในฐานะชาวไทยคนหนึ่งผมอยากให้เรานําแสงแห่งความรักของพระองค์มาเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้ลุกขึ้นสู้ต่อไป และน้อมนําพระราชดําริฯ ของพระองค์มาสานต่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่ชาวไทยทุกคน”
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้พร้อมกันทั่วประเทศ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ของโครงการ “แสงแห่งรัก” บนเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th และเฟสบุ๊คแฟนเพจ GSB Society ตั้งแต่วันนี้ จนถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2560 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร 02 299 8000 ต่อ 010232 หรือ โทร 1115
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารออมสินเปิดตัวโครงการ “แสงแห่งรัก” ชวนคนไทยร่วมสร้างปรากฏการณ์แสงแห่งความภักดี เพื่อพ่อ พร้อมกันทั้งแผ่นดิน
วันพุธที่ 27 กันยายน 2560
ธนาคารออมสินเปิดตัวโครงการ “แสงแห่งรัก” ชวนคนไทยร่วมสร้างปรากฏการณ์แสงแห่งความภักดี เพื่อพ่อ พร้อมกันทั้งแผ่นดิน
ธนาคารออมสินเปิดตัวโครงการ “แสงแห่งรัก” กิจกรรมเพื่อน้อมรําลึกวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
ธนาคารออมสินเปิดตัวโครงการ “แสงแห่งรัก”กิจกรรมเพื่อน้อมรําลึกวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และเชิญชวนคนไทยร่วมสร้างปรากฏการณ์ความจงรักภักดีสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ผ่านบทเพลง “แสงแห่งรัก”และจุดเทียนถวายความอาลัยพร้อมกัน ณ ธนาคารออมสินทั่วประเทศ
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ในโอกาสวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 วันที่ 13 ตุลาคม อันใกล้จะมาถึงนี้ในฐานะที่ธนาคารออมสิน ถือกําเนิดจากสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งก่อตั้งโดยรัชกาลที่ 6 ทรงตราพระราชบัญญัติคลังออมสิน ขึ้นมาเมื่อปี 2456 และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 โปรดเกล้าฯพระราชทานพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน ในพ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นปีแรกที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ และคลังออมสิน ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ธนาคารออมสิน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ด้วยความรักความผูกพันและด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองราชย์ พระองค์ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เป็นที่ประจักษ์ผ่านโครงการในพระราชดําริ กว่า 4,600 โครงการที่กระจายอยู่ทั่วผืนแผ่นดินของประเทศไทยธนาคารจึงตั้งเจตจํานงที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเชิญชวนประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ อีกทั้งเป็นการน้อมถวายความอาลัยและความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน ผ่านโครงการ “แสงแห่งรัก”
โครงการ “แสงแห่งรัก” มีแรงบันดาลใจเพื่อสื่อถึง “แสงแห่งรัก” ในสองมิติคือ แสงแห่งรักอันเกิดจากความรัก ความห่วงใยที่พระองค์ทรงมีต่อคนไทยทั้งประเทศมายาวนานถึง 70 ปี สะท้อนผ่านโครงการในพระราชดําริ กว่า 4,600 โครงการทั่วประเทศ เปรียบดั่งแสงทองส่องนําทางให้คนไทยทุกคนดําเนินชีวิตต่อไปอย่างยั่งยืนและมั่นคง สําหรับมิติที่สอง เป็นแสงแห่งรักที่คนไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่าแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี ตราบนิจนิรันดร์
ในส่วนของกิจกรรมโครงการ “แสงแห่งรัก” ประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลักดังนี้
จัดทําบทเพลง “แสงแห่งรัก” พร้อมมิวสิกวิดีโอโดยได้รับเกียรติจาก ธชย ประทุมวรรณ (เก่ง) เป็นผู้ประพันธ์เพลงและผู้ขับร้องและขับร้องร่วมกับสุนารี ราชสีมา ซึ่งประชาชนสามารถมีส่วนร่วมใน MV ในรูปแบบของตนเองเพื่อเก็บเป็นที่ระลึกหรือแชร์บนสื่อโซเชียลได้
การจุดเทียนแสงแห่งรัก ผ่านระบบออนไลน์ ทางเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th และเฟสบุ๊คแฟนเพจ GSB Society โดยได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงจุดเทียนออนไลน์ประทานเป็นแสงแรก ในวันที่ 3 ตุลาคม 2560 เวลา 09.09 น.
จุดเทียนแสงแห่งรัก ณ ธนาคารออมสินทั่วประเทศในวันที่ 13 ตุลาคม 2560 เวลา 16.30 – 20.00 น. (ยกเว้นสาขาที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า และหน่วยงานราชการ) และเฉพาะที่ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ จะมีการแปรอักษรเป็นรูปแสงเทียนแห่งรัก ซึ่งถ่ายทอดสดผ่านทางเฟสบุ๊คแฟนเพจ GSB Society ช่วงเวลาประมาณ 18.00 – 19.30 น.
ทั้งนี้ โครงการแสงแห่งรัก ยังได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงจุดเทียนออนไลน์เป็นแสงแรก ในวันที่ 3 ตุลาคม 2560 รวมถึงเสด็จเป็นองค์ประธานนําจุดเทียนน้อมถวายอาลัยในวันคล้ายวันสวรรคต ในวันที่ 13 ตุลาคม 2560 ณ ธนาคารออมสิน สํานักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน ในเวลา 19.19 น.
นอกจากนี้ คนไทยยังสามารถร่วมกิจกรรม “แสงแห่งรัก ตามรอยเท้าพ่อ” ได้ระหว่างวันที่ 3 ตุลาคม 2560 ถึง วันที่ 30 กันยายน 2561 ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจของโครงการในพระราชดําริฯ พร้อมแสดงพิกัดบนแผนที่เมื่ออยู่ในบริเวณใกล้เคียง โดยประชาชนที่เดินทางไปเยี่ยมชมโครงการฯก็สามารถถ่ายภาพตนเองในรูปแบบแสตมป์ออนไลน์เพื่อเก็บเป็นที่ระลึกและแชร์บนโซเชียลมีเดีย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเข้าเยี่ยมชมโครงการในพระราชดําริฯ ให้มากขึ้น
จึงขอเชิญชวนคนไทยทุกคนทั้งที่อยู่ในประเทศไทย และต่างประเทศ ร่วมเป็นแสงหนึ่งของแสงแห่งรัก ที่จะทําให้ประเทศไทยสว่างเรืองรองไปด้วยแสงแห่งรัก และความภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ตราบนานเท่านาน” ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
สุนารี ราชสีมา กล่าวถึงการขับร้องบทเพลงพิเศษ “แสงแห่งรัก” ในครั้งนี้ว่า “รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการฯ ส่วนตัวเชื่อว่าคนไทยทั่วประเทศระลึกถึงและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อยู่เสมอ และตนถ่ายทอดความรักของพ่อหลวงที่มีต่อชาวไทยทุกคนให้เป็นที่รู้จักผ่านบทเพลง เพื่อให้ชาวไทยทุกคนนําแสงแห่งความรักไปเป็นพลังในการดําเนินชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข และอยากเชิญชวนทุกคนเข้าไปดู MV เพลงแสงแห่งรักที่พวกเราตั้งใจนําเสนอด้วยความรักทาง Microsite ของโครงการ”
ขณะเดียวกัน เก่ง – ธชย ประทุมวรรณ หรือ เก่ง เดอะวอยซ์ อีกหนึ่งศิลปินที่ร่วมขับร้องในบทเพลงแสงแห่งรัก แสดงความรู้สึกของตนว่า “ผมแต่งเพลงนี้ขึ้นเพื่อเป็นกําลังใจให้กับชาวไทยทุกคนให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเศร้าเสียใจนี้ไปด้วยกัน และในฐานะชาวไทยคนหนึ่งผมอยากให้เรานําแสงแห่งความรักของพระองค์มาเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้ลุกขึ้นสู้ต่อไป และน้อมนําพระราชดําริฯ ของพระองค์มาสานต่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่ชาวไทยทุกคน”
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้พร้อมกันทั่วประเทศ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ของโครงการ “แสงแห่งรัก” บนเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th และเฟสบุ๊คแฟนเพจ GSB Society ตั้งแต่วันนี้ จนถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2560 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร 02 299 8000 ต่อ 010232 หรือ โทร 1115
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7017
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ มอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ประจำปี 2559 ชูประโยชน์งานวิจัยสอดรับนโยบายลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ แก้ปัญหาการส่งออก นำเกษตรกรสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
|
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560
รมช.เกษตรฯ มอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ประจําปี 2559 ชูประโยชน์งานวิจัยสอดรับนโยบายลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ แก้ปัญหาการส่งออก นําเกษตรกรสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
รมช.เกษตรฯ มอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ประจําปี 2559 ชูประโยชน์งานวิจัยสอดรับนโยบายลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ แก้ปัญหาการส่งออก พร้อมนําพาเกษตรกรสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประกาศผลและมอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่นประจําปี 2559 กรมวิชาการเกษตร ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร มีบทบาทในการทําการวิจัยและพัฒนาด้านพืช เครื่องจักรกลการเกษตร และกฏหมายในความรับผิดชอบที่ครอบคลุมไปถึงปัจจัยการผลิต การนําเข้าและส่งออกสินค้าเกษตร รวมทั้งการคุ้มครองพันธุ์พืช ซึ่งในปี 2559 กรมวิชาการเกษตรได้สร้างสรรค์ผลงานวิจัยที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาด้านการเกษตร โดยมีผลงานวิจัยดีเด่นประจําปี 2559 ที่ได้รับรางวัล จํานวน 13 เรื่อง แบ่งเป็น 6 ประเภท ได้แก่ งานวิจัยพื้นฐาน งานวิจัยประยุกต์ งานวิจัยปรับปรุงพันธุ์ งานพัฒนางานวิจัย งานวิจัยสิ่งประดิษฐ์คิดค้น และงานบริการวิชาการ ซึ่งผลงานวิจัยดังกล่าว สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้สารเคมี ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร แก้ปัญหาการส่งออก และช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้น ซึ่งประโยชน์ที่ได้จากผลงานวิจัยนี้ ถือได้ว่าสอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ที่กําหนดให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานการเกษตรสู่ความยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีรายได้ที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งถือเป็นสิ่งสําคัญที่ช่วยขับเคลื่อนนําพาประเทศมุ่งสู่เป้าหมาย "องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้รับจากผลงานวิจัย"
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตร ได้คัดเลือกและมอบรางวัลให้แก่เกษตรกรดีเด่นสาขาการใช้วิชาการเกษตรดีที่เหมาะสม หรือ GAP และเกษตรกรดีเด่นสาขาการผลิตพืชอินทรีย์ดีเด่น รวมทั้งมอบรางวัลให้แก่ผู้ประกอบการโรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรดีเด่นสาขาระบบการผลิตตามหลักปฏิบัติที่ดี (GMP) และระบบวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (HACCP) ด้วย ซึ่งกรมวิชาการเกษตรมุ่งหวังให้ผลผลิตทางการเกษตรไทยเป็นที่ยอมรับด้านอาหารปลอดภัย และมีคุณภาพเหมาะสมในการบริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ โดยการผลิตต้องคํานึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม และสุขภาพความปลอดภัยของเกษตรกรและผู้บริโภค รวมทั้งเพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศต่อไป
"การคิดงานวิจัยต้องมีเป้าหมาย โดยเฉพาะในยุคการแข่งขันจะต้องผลิตสินค้าอย่างมีคุณภาพได้มาตรฐาน ซึ่งจะสามารถผลักดันให้เป็น Thailand 4.0 ได้ โดยจะต้องมีการวิจัยพัฒนาเพื่อยกระดับและเพิ่มคุณค่า โดยคิดนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ได้มุ่งหวังให้นักวิจัยของกรมวิชาการเกษตร คิดผลงานอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งจะสามารถช่วยผลักดันให้เป็นประโยชน์สู่การปฏิบัติได้จริงทั้งภาคเกษตรและผู้ประกอบการ" นางสาวชุติมา กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th.
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ มอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ประจำปี 2559 ชูประโยชน์งานวิจัยสอดรับนโยบายลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ แก้ปัญหาการส่งออก นำเกษตรกรสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560
รมช.เกษตรฯ มอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ประจําปี 2559 ชูประโยชน์งานวิจัยสอดรับนโยบายลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ แก้ปัญหาการส่งออก นําเกษตรกรสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
รมช.เกษตรฯ มอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ประจําปี 2559 ชูประโยชน์งานวิจัยสอดรับนโยบายลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ แก้ปัญหาการส่งออก พร้อมนําพาเกษตรกรสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประกาศผลและมอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่นประจําปี 2559 กรมวิชาการเกษตร ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร มีบทบาทในการทําการวิจัยและพัฒนาด้านพืช เครื่องจักรกลการเกษตร และกฏหมายในความรับผิดชอบที่ครอบคลุมไปถึงปัจจัยการผลิต การนําเข้าและส่งออกสินค้าเกษตร รวมทั้งการคุ้มครองพันธุ์พืช ซึ่งในปี 2559 กรมวิชาการเกษตรได้สร้างสรรค์ผลงานวิจัยที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาด้านการเกษตร โดยมีผลงานวิจัยดีเด่นประจําปี 2559 ที่ได้รับรางวัล จํานวน 13 เรื่อง แบ่งเป็น 6 ประเภท ได้แก่ งานวิจัยพื้นฐาน งานวิจัยประยุกต์ งานวิจัยปรับปรุงพันธุ์ งานพัฒนางานวิจัย งานวิจัยสิ่งประดิษฐ์คิดค้น และงานบริการวิชาการ ซึ่งผลงานวิจัยดังกล่าว สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้สารเคมี ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร แก้ปัญหาการส่งออก และช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้น ซึ่งประโยชน์ที่ได้จากผลงานวิจัยนี้ ถือได้ว่าสอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ที่กําหนดให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานการเกษตรสู่ความยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีรายได้ที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งถือเป็นสิ่งสําคัญที่ช่วยขับเคลื่อนนําพาประเทศมุ่งสู่เป้าหมาย "องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้รับจากผลงานวิจัย"
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตร ได้คัดเลือกและมอบรางวัลให้แก่เกษตรกรดีเด่นสาขาการใช้วิชาการเกษตรดีที่เหมาะสม หรือ GAP และเกษตรกรดีเด่นสาขาการผลิตพืชอินทรีย์ดีเด่น รวมทั้งมอบรางวัลให้แก่ผู้ประกอบการโรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรดีเด่นสาขาระบบการผลิตตามหลักปฏิบัติที่ดี (GMP) และระบบวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (HACCP) ด้วย ซึ่งกรมวิชาการเกษตรมุ่งหวังให้ผลผลิตทางการเกษตรไทยเป็นที่ยอมรับด้านอาหารปลอดภัย และมีคุณภาพเหมาะสมในการบริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ โดยการผลิตต้องคํานึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม และสุขภาพความปลอดภัยของเกษตรกรและผู้บริโภค รวมทั้งเพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศต่อไป
"การคิดงานวิจัยต้องมีเป้าหมาย โดยเฉพาะในยุคการแข่งขันจะต้องผลิตสินค้าอย่างมีคุณภาพได้มาตรฐาน ซึ่งจะสามารถผลักดันให้เป็น Thailand 4.0 ได้ โดยจะต้องมีการวิจัยพัฒนาเพื่อยกระดับและเพิ่มคุณค่า โดยคิดนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ได้มุ่งหวังให้นักวิจัยของกรมวิชาการเกษตร คิดผลงานอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งจะสามารถช่วยผลักดันให้เป็นประโยชน์สู่การปฏิบัติได้จริงทั้งภาคเกษตรและผู้ประกอบการ" นางสาวชุติมา กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th.
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4096
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำทีมเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดภาคกลางและภาคเหนือ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง บริการอาหาร
|
วันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2560
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมเจ้าหน้าที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดภาคกลางและภาคเหนือ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง บริการอาหาร
13 มค 60 รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมเจ้าหน้าที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดภาคกลางและภาคเหนือ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง บริการอาหาร
วันนี้ (13 ม.ค.2560) นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมเจ้าหน้าที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดภาคกลางและภาคเหนือ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง บริการอาหาร ณ บริเวณเต้นท์รองรับประชาชนที่ร่วมถวายสักการะพระบรมศพและถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำทีมเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดภาคกลางและภาคเหนือ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง บริการอาหาร
วันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2560
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมเจ้าหน้าที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดภาคกลางและภาคเหนือ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง บริการอาหาร
13 มค 60 รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมเจ้าหน้าที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดภาคกลางและภาคเหนือ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง บริการอาหาร
วันนี้ (13 ม.ค.2560) นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมเจ้าหน้าที่สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดภาคกลางและภาคเหนือ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง บริการอาหาร ณ บริเวณเต้นท์รองรับประชาชนที่ร่วมถวายสักการะพระบรมศพและถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1350
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Bamboo School
|
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
Bamboo School
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ Bamboo School ซึ่งดูแลเด็กยากไร้ในชนบทห่างไกลชาย ของโรงเรียนลาซาล อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ นายพะโยม ชิณวงศ์ หัวหน้าคณะทํางาน รมช.ศึกษาธิการ และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ Bamboo School ซึ่งดูแลเด็กยากไร้ในชนบทห่างไกลชาย ของโรงเรียนลาซาล อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวภายหลังร่วมเคารพธงชาติและกิจกรรมหน้าเสาธงกับเด็กนักเรียน ว่า มีความรู้สึกซาบซึ้งใจ ที่โรงเรียนในเครือของคาทอลิกกว่า 400 แห่ง ได้ร่วมกันสร้างการศึกษาให้กับเด็กในพื้นที่ทั่วประเทศไทย ทั้งในเมืองและในพื้นที่ชนบทห่างไกล เป็นเวลากว่า 49 ปี ตั้งแต่การศึกษาของรัฐบาลยังเข้าไปไม่ถึง โดยส่วนใหญ่จะพัฒนาด้วยงบประมาณของตนเอง หรืองบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนมา
ในส่วนของ รมช.ศึกษาธิการ และคณะทํางาน มีความตั้งใจในการลงพื้นที่จริง เพื่อมาให้เห็นสภาพปัญหา ซึ่งก็ได้เห็นว่า ศูนย์การเรียนรู้ Bamboo School ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการจัดการศึกษาแก่เด็ก ๆ ผู้ยากไร้ตามแนวชายขอบของประเทศ โดยมูลนิธิลาซาลแห่งประเทศไทย ก่อนที่จะขยายเป็นโรงเรียนลาชาลสังขละบุรีในปัจจุบัน เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลา 12 ปี ที่ผ่านมา ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเชื้อชาติ ศาสนาใด ก็ตาม
จึงมีความประทับใจเป็นอย่างมาก ทั้งกระบวนการในการปลูกฝังเด็กให้เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หล่อหลอมให้มีคุณธรรมจริยธรรม มีระเบียบวินัย และมีความพร้อมด้านต่าง ๆ อย่างครบถ้วน ดังเช่นกิจกรรมหน้าเสาธงในตอนเช้า เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งการเชิญธงชาติ การกล่าวสวัสดีภาษาต่างประเทศและภาษาอาเซียน การกล่าวคําขวัญโรงเรียน การสวดมนต์ทางศาสนาต่าง ๆ นอกจากนี้ ภายในโรงเรียนยังมีความสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย และจัดสิ่งแวดล้อมได้อย่างสวยงาม
"ขอฝากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง อาทิ ศึกษาธิการจังหวัดกาญจนบุรี เข้ามาช่วยเหลือเรื่องสุขภาพอนามัย ภาวะอาหาร และโรคติดต่อต่าง ๆ พร้อมประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาช่วยดูแลทั้งหน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดหรืออําเภอ และให้สํานักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน สรุปผลการดําเนินงานของโรงเรียน เพื่อรายงานถึงระดับนโยบายเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ พร้อม ๆ กับให้การช่วยเหลือสนับสนุนการดําเนินงานของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง อาทิ ระบบสาธารณูปโภค ซึ่งขณะนี้โรงเรียนไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องปั่นไฟใช้เอง, การนํารูปแบบของโรงเรียนนี้ไปปรับใช้กับโรงเรียนอื่น, การรับฟังเสียงสะท้อนและเชื่อมโยงกับหน่วยงานระดับพื้นที่ ซึ่งจะมองเห็นปัญหาได้ดีกว่า เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด เป็นต้น
ขอขอบคุณครูทุกคน ซึ่งมีหัวใจของความเสียสละทุ่มเท ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะทํางาน จะพยายามผลักดัน เพื่อให้การทํางานของภาคเอกชนมีประสิทธิภาพ และครูเอกชนมีขวัญกําลังใจมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่เป็นผลสําเร็จแล้ว คือ การขยายเพดานค่ารักษาพยาบาลครูเอกชนจากคนละ 1 แสนบาทต่อปี เป็นคนละ 1.5 แสนบาทต่อปี เพื่อบรรเทาความทุกข์ร้อนของครูและบุคลากรโรงเรียนเอกชน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป และกระทรวงศึกษาธิการกําลังดําเนินการอีกหลายเรื่อง เพื่อช่วยเหลือการจัดการศึกษาเอกชนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: สรุป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Bamboo School
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
Bamboo School
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ Bamboo School ซึ่งดูแลเด็กยากไร้ในชนบทห่างไกลชาย ของโรงเรียนลาซาล อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ นายพะโยม ชิณวงศ์ หัวหน้าคณะทํางาน รมช.ศึกษาธิการ และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ Bamboo School ซึ่งดูแลเด็กยากไร้ในชนบทห่างไกลชาย ของโรงเรียนลาซาล อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวภายหลังร่วมเคารพธงชาติและกิจกรรมหน้าเสาธงกับเด็กนักเรียน ว่า มีความรู้สึกซาบซึ้งใจ ที่โรงเรียนในเครือของคาทอลิกกว่า 400 แห่ง ได้ร่วมกันสร้างการศึกษาให้กับเด็กในพื้นที่ทั่วประเทศไทย ทั้งในเมืองและในพื้นที่ชนบทห่างไกล เป็นเวลากว่า 49 ปี ตั้งแต่การศึกษาของรัฐบาลยังเข้าไปไม่ถึง โดยส่วนใหญ่จะพัฒนาด้วยงบประมาณของตนเอง หรืองบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนมา
ในส่วนของ รมช.ศึกษาธิการ และคณะทํางาน มีความตั้งใจในการลงพื้นที่จริง เพื่อมาให้เห็นสภาพปัญหา ซึ่งก็ได้เห็นว่า ศูนย์การเรียนรู้ Bamboo School ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการจัดการศึกษาแก่เด็ก ๆ ผู้ยากไร้ตามแนวชายขอบของประเทศ โดยมูลนิธิลาซาลแห่งประเทศไทย ก่อนที่จะขยายเป็นโรงเรียนลาชาลสังขละบุรีในปัจจุบัน เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลา 12 ปี ที่ผ่านมา ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเชื้อชาติ ศาสนาใด ก็ตาม
จึงมีความประทับใจเป็นอย่างมาก ทั้งกระบวนการในการปลูกฝังเด็กให้เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หล่อหลอมให้มีคุณธรรมจริยธรรม มีระเบียบวินัย และมีความพร้อมด้านต่าง ๆ อย่างครบถ้วน ดังเช่นกิจกรรมหน้าเสาธงในตอนเช้า เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งการเชิญธงชาติ การกล่าวสวัสดีภาษาต่างประเทศและภาษาอาเซียน การกล่าวคําขวัญโรงเรียน การสวดมนต์ทางศาสนาต่าง ๆ นอกจากนี้ ภายในโรงเรียนยังมีความสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย และจัดสิ่งแวดล้อมได้อย่างสวยงาม
"ขอฝากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง อาทิ ศึกษาธิการจังหวัดกาญจนบุรี เข้ามาช่วยเหลือเรื่องสุขภาพอนามัย ภาวะอาหาร และโรคติดต่อต่าง ๆ พร้อมประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาช่วยดูแลทั้งหน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดหรืออําเภอ และให้สํานักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน สรุปผลการดําเนินงานของโรงเรียน เพื่อรายงานถึงระดับนโยบายเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ พร้อม ๆ กับให้การช่วยเหลือสนับสนุนการดําเนินงานของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง อาทิ ระบบสาธารณูปโภค ซึ่งขณะนี้โรงเรียนไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องปั่นไฟใช้เอง, การนํารูปแบบของโรงเรียนนี้ไปปรับใช้กับโรงเรียนอื่น, การรับฟังเสียงสะท้อนและเชื่อมโยงกับหน่วยงานระดับพื้นที่ ซึ่งจะมองเห็นปัญหาได้ดีกว่า เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด เป็นต้น
ขอขอบคุณครูทุกคน ซึ่งมีหัวใจของความเสียสละทุ่มเท ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะทํางาน จะพยายามผลักดัน เพื่อให้การทํางานของภาคเอกชนมีประสิทธิภาพ และครูเอกชนมีขวัญกําลังใจมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่เป็นผลสําเร็จแล้ว คือ การขยายเพดานค่ารักษาพยาบาลครูเอกชนจากคนละ 1 แสนบาทต่อปี เป็นคนละ 1.5 แสนบาทต่อปี เพื่อบรรเทาความทุกข์ร้อนของครูและบุคลากรโรงเรียนเอกชน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป และกระทรวงศึกษาธิการกําลังดําเนินการอีกหลายเรื่อง เพื่อช่วยเหลือการจัดการศึกษาเอกชนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: สรุป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23333
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สหประชาชาติเผยแพร่ผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๔
|
วันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2562
สหประชาชาติเผยแพร่ผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๔
สหประชาชาติเผยแพร่ผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๔
เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๒ นาย Tijjani Muhammad-Bande ประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๔ ได้พบหารือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยประธานสมัชชาสหประชาชาติฯ ได้แสดงความขอบคุณที่ไทยแสดงความยึดมั่นต่อระบบพหุภาคี และบทบาทนําในการเจรจาจัดทําปฏิญญาทางการเมืองว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจนสําเร็จ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือในประเด็นหลักที่เห็นพ้องร่วมกันในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ ๗๔ รวมถึงการดําเนินการด้านความเป็นหุ้นส่วนเพื่อบรรลุด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การดําเนินการด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ประธานสมัชชาสหประชาชาติฯ ยังกล่าวยกย่องไทยในการแบ่งปันประสบการณ์กับนานาประเทศในการนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการที่ไทยทําหน้าที่เป็นประธานอาเซียนอย่างดีเยี่ยม
(ที่มา: ข่าวสารนิเทศของสหประชาชาติ)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สหประชาชาติเผยแพร่ผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๔
วันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2562
สหประชาชาติเผยแพร่ผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๔
สหประชาชาติเผยแพร่ผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๔
เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๒ นาย Tijjani Muhammad-Bande ประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๔ ได้พบหารือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยประธานสมัชชาสหประชาชาติฯ ได้แสดงความขอบคุณที่ไทยแสดงความยึดมั่นต่อระบบพหุภาคี และบทบาทนําในการเจรจาจัดทําปฏิญญาทางการเมืองว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจนสําเร็จ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือในประเด็นหลักที่เห็นพ้องร่วมกันในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ ๗๔ รวมถึงการดําเนินการด้านความเป็นหุ้นส่วนเพื่อบรรลุด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การดําเนินการด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ประธานสมัชชาสหประชาชาติฯ ยังกล่าวยกย่องไทยในการแบ่งปันประสบการณ์กับนานาประเทศในการนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการที่ไทยทําหน้าที่เป็นประธานอาเซียนอย่างดีเยี่ยม
(ที่มา: ข่าวสารนิเทศของสหประชาชาติ)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23468
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ ยืนยัน รัฐบาลไม่ละเลยวิถีชุมชนและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ชี้สร้างโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน ย้ำ กฟผ.ดำเนินการรัดกุมทุกขั้นตอน วอนผู้เห็นต่างแสดงความเห็นสร้างสรรค์
|
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560
โฆษกฯ ยืนยัน รัฐบาลไม่ละเลยวิถีชุมชนและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ชี้สร้างโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน ย้ํา กฟผ.ดําเนินการรัดกุมทุกขั้นตอน วอนผู้เห็นต่างแสดงความเห็นสร้างสรรค์
โฆษกฯ ยืนยัน รัฐบาลไม่ละเลยวิถีชุมชนและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ชี้สร้างโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน ย้ํา กฟผ.ดําเนินการรัดกุมทุกขั้นตอน วอนผู้เห็นต่างแสดงความเห็นสร้างสรรค์ ไม่ก่อความวุ่นวาย
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่เครือข่ายต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินออกแถลงการณ์ขอให้รัฐบาลยุติการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ อ.เทพา จ.สงขลา และที่ อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ โดยนัดรวมตัวคัดค้านที่ทําเนียบรัฐบาลในเร็ว ๆ นี้ ว่า รัฐบาลตระหนักถึงความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของพื้นที่ภาคใต้ไม่น้อยไปกว่าคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน ดังนั้น เป้าหมายของการทําให้คนมีไฟฟ้าใช้จึงอยู่บนพื้นฐานของการรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น
“ปี 2556 เกิดไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ใน 14 จว.ภาคใต้เกือบ 3 ชม. และความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 ต่อปี โดยพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันไม่มีโรงไฟฟ้าเป็นของตนเอง แต่ต้องพึ่งไฟฟ้าที่ส่งไปจากภาคกลาง และ หากไม่มีการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ก็จะเกิดความเสี่ยงเรื่องพลังงาน ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป”
พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า หากผู้คัดค้านยอมรับว่าความต้องการใช้ไฟฟ้ามีมากขึ้น แต่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างโรงไฟฟ้า ก็ต้องเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาวให้กับประเทศและคนส่วนใหญ่ในภาคใต้ด้วย เพราะที่ผ่านมารัฐบาลพยายามรับฟังความคิดเห็นมาโดยตลอด แต่ยังไม่เห็นข้อเสนอที่ชัดเจนว่า ควรจะดําเนินการอย่างไร มีแต่เพียงออกมาคัดค้าน อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ (17 ก.พ. 60 )จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้ เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
ที่ผ่านมาการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้พิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว จนได้ข้อสรุปว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินมีความเหมาะสมมากที่สุดในแง่ของการลงทุน เมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานอื่น ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม ปาล์มน้ํามัน หรือก๊าซธรรมชาติเหลว พร้อมทั้งได้ดําเนินการตามหลักวิชาการทั้งการศึกษาคุณภาพอากาศในรัศมีมากกว่า 5 กม.จากจุดสร้างโรงไฟฟ้า ครอบคลุมพื้นที่กว้าง 30 กม. ยาว 30 กม. หรือคิดเป็นพื้นที่ 900 ตร.กม. รวมถึงศึกษาข้อมูลด้านทะเลและชายฝั่ง การใช้น้ําและระบายน้ําอย่างละเอียดในรัศมีมากกว่า 5 กม.และพื้นที่บางส่วนของ จ.ปัตตานีด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล การประกอบอาชีพประมง เกษตรกรรม และวิถีชุมชนตามที่กล่าวอ้าง
นอกจากนี้ กฟผ.ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในหลายพื้นที่ และไม่เคยปิดกั้นพี่น้องประชาชนจากจังหวัดใกล้เคียงทั้ง จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมทั้งยังใช้สื่อประชาสัมพันธ์ เช่น วิทยุชุมชน เว็บไซต์ และเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ปรึกษาลงพื้นที่พูดคุยกับประชาชนเป็นรายกลุ่มและรายครัวเรือน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง
“รัฐบาลขอเรียกร้องให้กลุ่มผู้คัดค้านแสดงความเห็นอย่างสร้างสรรค์ ไม่กระทําการที่ขัดต่อกฎหมาย หรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น โดยยืนยันว่าเมื่อรัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นของท่านแล้ว ท่านก็ควรรับฟังรัฐบาลและคนส่วนใหญ่ด้วยเช่นเดียวกัน”
----------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ ยืนยัน รัฐบาลไม่ละเลยวิถีชุมชนและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ชี้สร้างโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน ย้ำ กฟผ.ดำเนินการรัดกุมทุกขั้นตอน วอนผู้เห็นต่างแสดงความเห็นสร้างสรรค์
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560
โฆษกฯ ยืนยัน รัฐบาลไม่ละเลยวิถีชุมชนและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ชี้สร้างโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน ย้ํา กฟผ.ดําเนินการรัดกุมทุกขั้นตอน วอนผู้เห็นต่างแสดงความเห็นสร้างสรรค์
โฆษกฯ ยืนยัน รัฐบาลไม่ละเลยวิถีชุมชนและคุณภาพสิ่งแวดล้อม ชี้สร้างโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน ย้ํา กฟผ.ดําเนินการรัดกุมทุกขั้นตอน วอนผู้เห็นต่างแสดงความเห็นสร้างสรรค์ ไม่ก่อความวุ่นวาย
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่เครือข่ายต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินออกแถลงการณ์ขอให้รัฐบาลยุติการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ อ.เทพา จ.สงขลา และที่ อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ โดยนัดรวมตัวคัดค้านที่ทําเนียบรัฐบาลในเร็ว ๆ นี้ ว่า รัฐบาลตระหนักถึงความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของพื้นที่ภาคใต้ไม่น้อยไปกว่าคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน ดังนั้น เป้าหมายของการทําให้คนมีไฟฟ้าใช้จึงอยู่บนพื้นฐานของการรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น
“ปี 2556 เกิดไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ใน 14 จว.ภาคใต้เกือบ 3 ชม. และความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 ต่อปี โดยพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันไม่มีโรงไฟฟ้าเป็นของตนเอง แต่ต้องพึ่งไฟฟ้าที่ส่งไปจากภาคกลาง และ หากไม่มีการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ก็จะเกิดความเสี่ยงเรื่องพลังงาน ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป”
พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า หากผู้คัดค้านยอมรับว่าความต้องการใช้ไฟฟ้ามีมากขึ้น แต่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างโรงไฟฟ้า ก็ต้องเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาวให้กับประเทศและคนส่วนใหญ่ในภาคใต้ด้วย เพราะที่ผ่านมารัฐบาลพยายามรับฟังความคิดเห็นมาโดยตลอด แต่ยังไม่เห็นข้อเสนอที่ชัดเจนว่า ควรจะดําเนินการอย่างไร มีแต่เพียงออกมาคัดค้าน อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ (17 ก.พ. 60 )จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้ เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
ที่ผ่านมาการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้พิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว จนได้ข้อสรุปว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินมีความเหมาะสมมากที่สุดในแง่ของการลงทุน เมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานอื่น ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม ปาล์มน้ํามัน หรือก๊าซธรรมชาติเหลว พร้อมทั้งได้ดําเนินการตามหลักวิชาการทั้งการศึกษาคุณภาพอากาศในรัศมีมากกว่า 5 กม.จากจุดสร้างโรงไฟฟ้า ครอบคลุมพื้นที่กว้าง 30 กม. ยาว 30 กม. หรือคิดเป็นพื้นที่ 900 ตร.กม. รวมถึงศึกษาข้อมูลด้านทะเลและชายฝั่ง การใช้น้ําและระบายน้ําอย่างละเอียดในรัศมีมากกว่า 5 กม.และพื้นที่บางส่วนของ จ.ปัตตานีด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล การประกอบอาชีพประมง เกษตรกรรม และวิถีชุมชนตามที่กล่าวอ้าง
นอกจากนี้ กฟผ.ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในหลายพื้นที่ และไม่เคยปิดกั้นพี่น้องประชาชนจากจังหวัดใกล้เคียงทั้ง จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมทั้งยังใช้สื่อประชาสัมพันธ์ เช่น วิทยุชุมชน เว็บไซต์ และเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ปรึกษาลงพื้นที่พูดคุยกับประชาชนเป็นรายกลุ่มและรายครัวเรือน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง
“รัฐบาลขอเรียกร้องให้กลุ่มผู้คัดค้านแสดงความเห็นอย่างสร้างสรรค์ ไม่กระทําการที่ขัดต่อกฎหมาย หรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น โดยยืนยันว่าเมื่อรัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นของท่านแล้ว ท่านก็ควรรับฟังรัฐบาลและคนส่วนใหญ่ด้วยเช่นเดียวกัน”
----------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1890
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขับเคลื่อนงานวิจัยมุ่งเป้าด้านข้าว ชูผลงานในรอบ 3 ปี เพื่อขยายผลสู่เกษตรกร
|
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560
ขับเคลื่อนงานวิจัยมุ่งเป้าด้านข้าว ชูผลงานในรอบ 3 ปี เพื่อขยายผลสู่เกษตรกร
ขับเคลื่อนงานวิจัยมุ่งเป้าด้านข้าว ชูผลงานในรอบ 3 ปี เพื่อขยายผลสู่เกษตรกร และต่อยอดในเชิงพาณิชย์
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเปิดการสัมมนานําเสนอผลงานวิจัย ภายใต้แผนงานวิจัยที่มุ่งเป้าตอบสนองความต้องการในการพัฒนาประเทศ กลุ่มเรื่องข้าว พร้อมบรรยายพิเศษ เรื่อง แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวอย่างครบวงจร ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ว่า การจัดงานดังกล่าวได้เชิญผู้ที่รับผิดชอบด้านงานวิจัย ผู้มีความรู้ประสบการณ์ในด้านเกษตร โดยเฉพาะในเรื่องของข้าว มาพูดคุยกันให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการร่วมมือกันปลูกข้าว และผลิตข้าวออกมาเพื่อใช้ประโยชน์ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยา สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์บํารุงผิวต่าง ๆ ซึ่งถือว่าการใช้งานวิจัยและนวัตกรรมที่ส่งผลต่อคุณภาพของข้าว ซึ่งประเทศไทยมีปริมาณการปลูกในประเทศจํานวนมาก และในอนาคตจะมีการเชิญผู้ประกอบการในการนําผลวิจัยไปผลิต ทําให้ผลผลิตมีราคาสูงขึ้น เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น และจะมีการจําหน่ายออกไปทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสําคัญในเรื่องของงานวิจัยที่ผ่านมา มีการปฏิรูปงานวิจัยครั้งใหญ่ โดยมีการรวมงานวิจัยและนวัตกรรมเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ ยังปฏิรูปในเรื่องของบุคคลากร โดยการพัฒนาคน การพัฒนาในเรื่องของโครงการให้มีความต่อเนื่อง รวมถึงการแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีแผนดําเนินการในเรื่องการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร โดยขณะนี้ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันผลิตในรูปแบบแปลงใหญ่ เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ทั้งในเรื่องการลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในขั้นตอนการผลิตตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับข้าวไทยในตลาดโลก ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ โดยสํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) ได้บริหารจัดการทุนวิจัย จนมีผลงานวิจัยที่ประสบผลสําเร็จทั้งในเชิงพาณิชย์ เชิงสาธารณะ และเชิงนโยบาย ในกรอบแนวทางของการแก้ไขปัญหาข้าวครบวงจร ด้าน "นํางานวิจัยและนวัตกรรมช่วยต่อเติมห่วงโซ่คุณค่า" จึงได้ให้ทุนสนับสนุนแก่นักวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม พัฒนาสินค้าข้าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ทั้งในกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ โภชนเภสัช เวชภัณฑ์และเวชสําอาง
การจัดงานสัมมนาดังกล่าว สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ร่วมมือกับหน่วยงานให้ทุนวิจัย ภายใต้ชื่อ "เครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ" หรือ คอบช. บริหารจัดการทุนอุดหนุนการวิจัยที่มุ่งเป้าตอบสนองความต้องการพัฒนาประเทศกลุ่มเรื่องข้าวอย่างต่อเนื่อง โดยมี สวก. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบบริหารทุนวิจัย เพื่อจัดสรรให้แก่โครงการวิจัยที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องการผลิตและคุณภาพข้าวอย่างครบวงจร โดยในปีงบประมาณ 2555 - 2557 ได้จัดสรรทุนวิจัยให้แก่นักวิจัย รวมทั้งสิ้น 608 ล้านบาท จํานวน 192 โครงการ
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กําหนดทิศทางงานวิจัยในการยกระดับการผลิตข้าว การรักษาอัตลักษณ์ของข้าวไทย รวมถึงสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทั้งนี้ ต้องรู้จักความต้องการของตลาดเป็นหลัก โดยการสร้างและปลูกพันธุ์ข้าวที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ อุตสาหกรรม และผู้บริโภคด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขับเคลื่อนงานวิจัยมุ่งเป้าด้านข้าว ชูผลงานในรอบ 3 ปี เพื่อขยายผลสู่เกษตรกร
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560
ขับเคลื่อนงานวิจัยมุ่งเป้าด้านข้าว ชูผลงานในรอบ 3 ปี เพื่อขยายผลสู่เกษตรกร
ขับเคลื่อนงานวิจัยมุ่งเป้าด้านข้าว ชูผลงานในรอบ 3 ปี เพื่อขยายผลสู่เกษตรกร และต่อยอดในเชิงพาณิชย์
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเปิดการสัมมนานําเสนอผลงานวิจัย ภายใต้แผนงานวิจัยที่มุ่งเป้าตอบสนองความต้องการในการพัฒนาประเทศ กลุ่มเรื่องข้าว พร้อมบรรยายพิเศษ เรื่อง แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวอย่างครบวงจร ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ว่า การจัดงานดังกล่าวได้เชิญผู้ที่รับผิดชอบด้านงานวิจัย ผู้มีความรู้ประสบการณ์ในด้านเกษตร โดยเฉพาะในเรื่องของข้าว มาพูดคุยกันให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการร่วมมือกันปลูกข้าว และผลิตข้าวออกมาเพื่อใช้ประโยชน์ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยา สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์บํารุงผิวต่าง ๆ ซึ่งถือว่าการใช้งานวิจัยและนวัตกรรมที่ส่งผลต่อคุณภาพของข้าว ซึ่งประเทศไทยมีปริมาณการปลูกในประเทศจํานวนมาก และในอนาคตจะมีการเชิญผู้ประกอบการในการนําผลวิจัยไปผลิต ทําให้ผลผลิตมีราคาสูงขึ้น เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น และจะมีการจําหน่ายออกไปทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสําคัญในเรื่องของงานวิจัยที่ผ่านมา มีการปฏิรูปงานวิจัยครั้งใหญ่ โดยมีการรวมงานวิจัยและนวัตกรรมเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ ยังปฏิรูปในเรื่องของบุคคลากร โดยการพัฒนาคน การพัฒนาในเรื่องของโครงการให้มีความต่อเนื่อง รวมถึงการแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีแผนดําเนินการในเรื่องการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร โดยขณะนี้ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันผลิตในรูปแบบแปลงใหญ่ เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ทั้งในเรื่องการลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในขั้นตอนการผลิตตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับข้าวไทยในตลาดโลก ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ โดยสํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) ได้บริหารจัดการทุนวิจัย จนมีผลงานวิจัยที่ประสบผลสําเร็จทั้งในเชิงพาณิชย์ เชิงสาธารณะ และเชิงนโยบาย ในกรอบแนวทางของการแก้ไขปัญหาข้าวครบวงจร ด้าน "นํางานวิจัยและนวัตกรรมช่วยต่อเติมห่วงโซ่คุณค่า" จึงได้ให้ทุนสนับสนุนแก่นักวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม พัฒนาสินค้าข้าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ทั้งในกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ โภชนเภสัช เวชภัณฑ์และเวชสําอาง
การจัดงานสัมมนาดังกล่าว สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ร่วมมือกับหน่วยงานให้ทุนวิจัย ภายใต้ชื่อ "เครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ" หรือ คอบช. บริหารจัดการทุนอุดหนุนการวิจัยที่มุ่งเป้าตอบสนองความต้องการพัฒนาประเทศกลุ่มเรื่องข้าวอย่างต่อเนื่อง โดยมี สวก. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบบริหารทุนวิจัย เพื่อจัดสรรให้แก่โครงการวิจัยที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องการผลิตและคุณภาพข้าวอย่างครบวงจร โดยในปีงบประมาณ 2555 - 2557 ได้จัดสรรทุนวิจัยให้แก่นักวิจัย รวมทั้งสิ้น 608 ล้านบาท จํานวน 192 โครงการ
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กําหนดทิศทางงานวิจัยในการยกระดับการผลิตข้าว การรักษาอัตลักษณ์ของข้าวไทย รวมถึงสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทั้งนี้ ต้องรู้จักความต้องการของตลาดเป็นหลัก โดยการสร้างและปลูกพันธุ์ข้าวที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ อุตสาหกรรม และผู้บริโภคด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3255
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ปนช.)
|
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ปนช.)
ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ปนช.)
วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ปนช.) เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....และ ร่างพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ดังนี้
1. ร่างพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสนอโดยกระทรวงแรงงาน
สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ
(1) แก้ไขขอบเขตการใช้บังคับของพระราชบัญญัตินี้ โดยให้คุ้มครองลูกจ้างซึ่งได้รับจ้างงานในประเทศของสถานเอกอัครราชทูตและองค์การระหว่างประเทศ ลูกจ้างของส่วนราชการ ลูกจ้างซึ่งทํางานในองค์กรของนายจ้างที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากําไรทางเศรษฐกิจ
(2) กําหนดให้ผู้ประกอบกิจการที่ได้ว่าจ้างด้วยวิธีเหมาค่าแรงอยู่ในฐานะนายจ้างและมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
(3) แก้ไขการจ่ายค่ารักษาพยาบาล การจ่ายค่าฟื้นฟู รวมทั้งการจ่ายค่าทําศพกรณีลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความหรือสูญหาย
(4) แก้ไขอัตราการจ่ายค่าทดแทนในกรณีลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือสูญหายจากร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน เป็นร้อยละเจ็ดสิบของค่าจ้างรายเดือนและระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทน และเพิ่มบทนิยาม คําว่า “ทุพพลภาพ” เพื่อให้มีความหมายเป็นกรณีเฉพาะ เพื่อให้เกิดความชัดเจน
(5) กําหนดการได้มาซึ่งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง โดยให้ใช้วิธีการสรรหาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกําหนดโดยคําแนะนําของคณะกรรมการ
(6) กําหนดเพิ่มเติมคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งแก้ไข้เพิ่มเติมวาระการดํารงตําแหน่งโดยให้มีวาระการดํารงตําแหน่งสองปี และดํารงตําแหน่งได้เพียงวาระเดียว รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมเหตุแห่งการพ้นตําแหน่งของคณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการ
มติวิป ปนช. - เห็นสมควรเสนอแนะให้คณะรัฐมนตรีส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติบรรจุระเบียบวาระ
เป็นเรื่องด่วน
2. ร่างพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสนอโดยกระทรวงการคลัง
สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ
(1) กําหนดเพิ่มเติมให้ธนาคารสามารถรับประกันความเสี่ยงในการได้รับชําระเงินจากการขายสินค้าหรือบริการแก่ผู้ส่งออก และรับประกันความเสียงในการที่ธนาคารของผู้ส่งออกหรือธนาคารของผู้ลงทุนถูกเรียกให้ชําระเงินตามหนังสือค้ําประกัน รวมทั้งรับประกันความเสี่ยงในการลงทุนในต่างประเทศของผู้ลงทุน
(2) แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย โดยตัดรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยออกจากการเป็นกรรมการ
(3) กําหนดให้ในกรณีที่ธนาคารได้รับความเสียหายจากการดําเนินธุรกิจการรับประกันความเสี่ยงอันอาจมีผลกระทบต่อการดําเนินกิจการของธนาคาร และหรือมีผลทําให้ธนาคารไม่สามารถดํารงเงินกองทุนตามกฎกระทรวง กระทรวงการคลังสามารถจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีหรือเงินอื่นเพื่อชดเชยภาระดังกล่าวหรือเพิ่มทุนได้
(4) แก้ไขอัตราแลกเปลี่ยนในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยเพื่อทราบยอดรวมของเงินกู้ โดยให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่กําหนดในกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ
มติวิป ปนช. - เห็นสมควรเสนอแนะให้คณะรัฐมนตรีส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติบรรจุระเบียบวาระ
----------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ปนช.)
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ปนช.)
ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ปนช.)
วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ปนช.) เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....และ ร่างพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ดังนี้
1. ร่างพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสนอโดยกระทรวงแรงงาน
สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ
(1) แก้ไขขอบเขตการใช้บังคับของพระราชบัญญัตินี้ โดยให้คุ้มครองลูกจ้างซึ่งได้รับจ้างงานในประเทศของสถานเอกอัครราชทูตและองค์การระหว่างประเทศ ลูกจ้างของส่วนราชการ ลูกจ้างซึ่งทํางานในองค์กรของนายจ้างที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากําไรทางเศรษฐกิจ
(2) กําหนดให้ผู้ประกอบกิจการที่ได้ว่าจ้างด้วยวิธีเหมาค่าแรงอยู่ในฐานะนายจ้างและมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
(3) แก้ไขการจ่ายค่ารักษาพยาบาล การจ่ายค่าฟื้นฟู รวมทั้งการจ่ายค่าทําศพกรณีลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความหรือสูญหาย
(4) แก้ไขอัตราการจ่ายค่าทดแทนในกรณีลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือสูญหายจากร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน เป็นร้อยละเจ็ดสิบของค่าจ้างรายเดือนและระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทน และเพิ่มบทนิยาม คําว่า “ทุพพลภาพ” เพื่อให้มีความหมายเป็นกรณีเฉพาะ เพื่อให้เกิดความชัดเจน
(5) กําหนดการได้มาซึ่งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง โดยให้ใช้วิธีการสรรหาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกําหนดโดยคําแนะนําของคณะกรรมการ
(6) กําหนดเพิ่มเติมคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งแก้ไข้เพิ่มเติมวาระการดํารงตําแหน่งโดยให้มีวาระการดํารงตําแหน่งสองปี และดํารงตําแหน่งได้เพียงวาระเดียว รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมเหตุแห่งการพ้นตําแหน่งของคณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการ
มติวิป ปนช. - เห็นสมควรเสนอแนะให้คณะรัฐมนตรีส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติบรรจุระเบียบวาระ
เป็นเรื่องด่วน
2. ร่างพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสนอโดยกระทรวงการคลัง
สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ
(1) กําหนดเพิ่มเติมให้ธนาคารสามารถรับประกันความเสี่ยงในการได้รับชําระเงินจากการขายสินค้าหรือบริการแก่ผู้ส่งออก และรับประกันความเสียงในการที่ธนาคารของผู้ส่งออกหรือธนาคารของผู้ลงทุนถูกเรียกให้ชําระเงินตามหนังสือค้ําประกัน รวมทั้งรับประกันความเสี่ยงในการลงทุนในต่างประเทศของผู้ลงทุน
(2) แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย โดยตัดรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยออกจากการเป็นกรรมการ
(3) กําหนดให้ในกรณีที่ธนาคารได้รับความเสียหายจากการดําเนินธุรกิจการรับประกันความเสี่ยงอันอาจมีผลกระทบต่อการดําเนินกิจการของธนาคาร และหรือมีผลทําให้ธนาคารไม่สามารถดํารงเงินกองทุนตามกฎกระทรวง กระทรวงการคลังสามารถจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีหรือเงินอื่นเพื่อชดเชยภาระดังกล่าวหรือเพิ่มทุนได้
(4) แก้ไขอัตราแลกเปลี่ยนในการคํานวณเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทยเพื่อทราบยอดรวมของเงินกู้ โดยให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามที่กําหนดในกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ
มติวิป ปนช. - เห็นสมควรเสนอแนะให้คณะรัฐมนตรีส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติบรรจุระเบียบวาระ
----------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10181
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย”เดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตรครั้งใหญ่ ทำเอ็มโอยูกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
|
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563
“เฉลิมชัย”เดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตรครั้งใหญ่ ทําเอ็มโอยูกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
“เฉลิมชัย”เดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตรครั้งใหญ่ ทําเอ็มโอยูกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมทุกจังหวัด ดันไทยสู่ประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับท็อปเทนของโลก
“เฉลิมชัย” โชว์ความสําเร็จกับก้าวใหม่ ที่แม้เป็นก้าวเล็ก ๆ แต่เป็นก้าวสําคัญในการปฏิรูปภาคเกษตรเมื่อกระทรวงเกษตรฯ จับมือพันธมิตรตั้ง AIC ครบ 77 ศูนย์ทั่วประเทศ พร้อมก้าวสู่ยุคเกษตร 4.0 ครบวงจร เพิ่มศักยภาพการส่งออกในฐานะประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 12 ของโลก
วันที่ 5 มีนาคม 2563 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธี ลงนามบันทึกความร่วมมือการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) ณ โรงแรมปรินซ์พาเลส มหานาค กรุงเทพมหานคร ว่า การจัดตั้งศูนย์ AIC เกิดขึ้น เนื่องจากตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ได้กําหนดให้ภาคเกษตรเป็นภาคการผลิตที่มีความสําคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยปัจจุบันไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 12 ของโลก โดยได้ตั้งเป้าหมายผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่อันดับท็อปเทนของโลก ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร หรือ GDP ในปี 2563 คาดว่าจะขยายตัว 2 - 3%
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสําคัญกับการผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรเป้าหมายที่สําคัญ ซึ่งจากตัวเลขการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทยไปยังตลาดโลกในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 มีมูลค่าถึง 1,091,510 ล้านบาท แบ่งออกเป็น กลุ่มอาเซียน 9 ประเทศ 266,758.87 ล้าน จีน 227,486.22 ล้านบาท ญี่ปุ่น 129,883.14 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 105,150.19 ล้านบาท สหภาพยุโรป 27 ประเทศ 91,377.70 ล้านบาท และอื่น ๆ 270,853.96 ล้านบาท โดยสินค้าที่มีการส่งออกเพิ่มได้แก่ ผลไม้และผลิตภัณฑ์ ยางพารา ข้าวและผลิตภัณฑ์ ปลาและผลิตภัณฑ์ เนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ น้ําตาลและผลิตภัณฑ์ มันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์ และที่สําคัญอีกประการคือประเทศไทยยังได้เปรียบดุลการค้ากับประเทศต่าง ๆ จากความตกลงเขตการค้าเสรีของไทยภายใต้กรอบเจรจาต่าง ๆ อีกด้วย เช่น กลุ่มอาเซียนไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 144,838 ล้านบาท จีนไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 112,843 ล้านบาท และออสเตรเลีย ไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 5,207 ล้านบาท เป็นต้น
นายเฉลิมชัย กล่าวต่อไปว่า แต่อย่างไรก็ตาม จากผลการดําเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบว่า การพัฒนาภาคเกษตรมีความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาศักยภาพการผลิต การรักษาเสถียรภาพราคาสินค้า และการพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน ตลอดจนการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร โดยการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมนี้ ได้ดําเนินการภายใต้การขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 มีที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เป็นประธาน
การจัดตั้งศูนย์ AIC นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรม สนับสนุนและส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม รวมทั้งเครื่องจักรกลเกษตร อีกทั้งยังเป็นศูนย์อบรมบ่มเพาะเกษตรกร สนับสนุน Smart Farmer รวมถึง Young Smart Farmer ในแต่ละจังหวัด และผลักดันงานเทคโนโลยีและนวัตกรรมผ่านการวิจัย การพัฒนา การลงทุน การแปรรูป และการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์
“ทั้งนี้ จากรายงานของประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 นับว่าเราบรรลุเป้าหมายเร็วกว่ากําหนดถึง 9 เดือนเพราะถึงวันนี้ที่มีการลงนามความร่วมมือเป็นครั้งที่ 2 ครอบคลุมถึง 70 จังหวัดและจะครบ 77จังหวัดภายในกลางเดือนมีนาคมนี้ จากที่วางเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในปี 2563”
สําหรับพิธีลงนามในวันนี้ ถือเป็นความสําเร็จที่เกิดจากการบูรณาการร่วมกันใน 4 พันธมิตรหลัก ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเกษตรกร ภาควิชาการและภาคเอกชนในการจัดตั้งศูนย์ AIC ภายในมหาวิทยาลัย และจะนําไปสู่การจัดตั้งศูนย์เครือข่าย AIC ภายในจังหวัดต่อไป ซึ่งประกอบด้วย 1) ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตร และ 2) ศูนย์วิจัย ทดลอง ทดสอบด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรอีกด้วย
“อย่างไรก็ตาม แนวทางการขับเคลื่อนของศูนย์ AIC มุ่งเน้นการส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตร สิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมในรูปแบบต่าง ๆ โดยใช้ฐานข้อมูลเดิมที่มีอยู่ ผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน โดยรวบรวมช่างเกษตร ปราชญ์เกษตร ที่เป็นเกษตรกรต้นแบบใช้เทคโนโลยีที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เน้นการจัดการในพื้นที่แปลงใหญ่ ดึงกลุ่ม Young Smart Farmer เข้าร่วมเสริมสร้างองค์ความรู้ทั้งด้าน e-commerce การสร้าง Story และ Packaging รวมถึงมาตรการ กฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกษตรกรไทยมีองค์ความรู้และมีเครือข่ายที่ดี เพื่อพร้อมก้าวเข้าสู่ยุคเกษตร 4.0 อย่างครบวงจร”นายเฉลิมชัย กล่าวในที่สุด
อนึ่ง สําหรับพิธีการลงนามบันทึกความร่วมมือการจัดตั้งศูนย์ AIC ในครั้งนี้ เป็นการลงนามร่วมกันระหว่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้แทนจากมหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษา 77 จังหวัดจากทั่วประเทศที่เข้าร่วมดําเนินการ อีกทั้งยังได้จัดให้มีการประชุมร่วมเพื่อกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (AIC) ต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย”เดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตรครั้งใหญ่ ทำเอ็มโอยูกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563
“เฉลิมชัย”เดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตรครั้งใหญ่ ทําเอ็มโอยูกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
“เฉลิมชัย”เดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตรครั้งใหญ่ ทําเอ็มโอยูกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมทุกจังหวัด ดันไทยสู่ประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับท็อปเทนของโลก
“เฉลิมชัย” โชว์ความสําเร็จกับก้าวใหม่ ที่แม้เป็นก้าวเล็ก ๆ แต่เป็นก้าวสําคัญในการปฏิรูปภาคเกษตรเมื่อกระทรวงเกษตรฯ จับมือพันธมิตรตั้ง AIC ครบ 77 ศูนย์ทั่วประเทศ พร้อมก้าวสู่ยุคเกษตร 4.0 ครบวงจร เพิ่มศักยภาพการส่งออกในฐานะประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 12 ของโลก
วันที่ 5 มีนาคม 2563 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธี ลงนามบันทึกความร่วมมือการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) ณ โรงแรมปรินซ์พาเลส มหานาค กรุงเทพมหานคร ว่า การจัดตั้งศูนย์ AIC เกิดขึ้น เนื่องจากตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ได้กําหนดให้ภาคเกษตรเป็นภาคการผลิตที่มีความสําคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยปัจจุบันไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 12 ของโลก โดยได้ตั้งเป้าหมายผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่อันดับท็อปเทนของโลก ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร หรือ GDP ในปี 2563 คาดว่าจะขยายตัว 2 - 3%
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสําคัญกับการผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรเป้าหมายที่สําคัญ ซึ่งจากตัวเลขการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทยไปยังตลาดโลกในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 มีมูลค่าถึง 1,091,510 ล้านบาท แบ่งออกเป็น กลุ่มอาเซียน 9 ประเทศ 266,758.87 ล้าน จีน 227,486.22 ล้านบาท ญี่ปุ่น 129,883.14 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 105,150.19 ล้านบาท สหภาพยุโรป 27 ประเทศ 91,377.70 ล้านบาท และอื่น ๆ 270,853.96 ล้านบาท โดยสินค้าที่มีการส่งออกเพิ่มได้แก่ ผลไม้และผลิตภัณฑ์ ยางพารา ข้าวและผลิตภัณฑ์ ปลาและผลิตภัณฑ์ เนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ น้ําตาลและผลิตภัณฑ์ มันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์ และที่สําคัญอีกประการคือประเทศไทยยังได้เปรียบดุลการค้ากับประเทศต่าง ๆ จากความตกลงเขตการค้าเสรีของไทยภายใต้กรอบเจรจาต่าง ๆ อีกด้วย เช่น กลุ่มอาเซียนไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 144,838 ล้านบาท จีนไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 112,843 ล้านบาท และออสเตรเลีย ไทยได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 5,207 ล้านบาท เป็นต้น
นายเฉลิมชัย กล่าวต่อไปว่า แต่อย่างไรก็ตาม จากผลการดําเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบว่า การพัฒนาภาคเกษตรมีความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาศักยภาพการผลิต การรักษาเสถียรภาพราคาสินค้า และการพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน ตลอดจนการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร โดยการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมนี้ ได้ดําเนินการภายใต้การขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 มีที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เป็นประธาน
การจัดตั้งศูนย์ AIC นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรม สนับสนุนและส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม รวมทั้งเครื่องจักรกลเกษตร อีกทั้งยังเป็นศูนย์อบรมบ่มเพาะเกษตรกร สนับสนุน Smart Farmer รวมถึง Young Smart Farmer ในแต่ละจังหวัด และผลักดันงานเทคโนโลยีและนวัตกรรมผ่านการวิจัย การพัฒนา การลงทุน การแปรรูป และการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์
“ทั้งนี้ จากรายงานของประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 นับว่าเราบรรลุเป้าหมายเร็วกว่ากําหนดถึง 9 เดือนเพราะถึงวันนี้ที่มีการลงนามความร่วมมือเป็นครั้งที่ 2 ครอบคลุมถึง 70 จังหวัดและจะครบ 77จังหวัดภายในกลางเดือนมีนาคมนี้ จากที่วางเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในปี 2563”
สําหรับพิธีลงนามในวันนี้ ถือเป็นความสําเร็จที่เกิดจากการบูรณาการร่วมกันใน 4 พันธมิตรหลัก ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเกษตรกร ภาควิชาการและภาคเอกชนในการจัดตั้งศูนย์ AIC ภายในมหาวิทยาลัย และจะนําไปสู่การจัดตั้งศูนย์เครือข่าย AIC ภายในจังหวัดต่อไป ซึ่งประกอบด้วย 1) ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตร และ 2) ศูนย์วิจัย ทดลอง ทดสอบด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรอีกด้วย
“อย่างไรก็ตาม แนวทางการขับเคลื่อนของศูนย์ AIC มุ่งเน้นการส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตร สิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมในรูปแบบต่าง ๆ โดยใช้ฐานข้อมูลเดิมที่มีอยู่ ผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน โดยรวบรวมช่างเกษตร ปราชญ์เกษตร ที่เป็นเกษตรกรต้นแบบใช้เทคโนโลยีที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เน้นการจัดการในพื้นที่แปลงใหญ่ ดึงกลุ่ม Young Smart Farmer เข้าร่วมเสริมสร้างองค์ความรู้ทั้งด้าน e-commerce การสร้าง Story และ Packaging รวมถึงมาตรการ กฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกษตรกรไทยมีองค์ความรู้และมีเครือข่ายที่ดี เพื่อพร้อมก้าวเข้าสู่ยุคเกษตร 4.0 อย่างครบวงจร”นายเฉลิมชัย กล่าวในที่สุด
อนึ่ง สําหรับพิธีการลงนามบันทึกความร่วมมือการจัดตั้งศูนย์ AIC ในครั้งนี้ เป็นการลงนามร่วมกันระหว่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้แทนจากมหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษา 77 จังหวัดจากทั่วประเทศที่เข้าร่วมดําเนินการ อีกทั้งยังได้จัดให้มีการประชุมร่วมเพื่อกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (AIC) ต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26924
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนมีนาคม 2561
|
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561
รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนมีนาคม 2561
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนมีนาคม 2561
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนมีนาคม 2561 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เป็นต้นมา จนถึง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 มีนิติบุคคลยื่นคําขออนุญาตทั้งสิ้น 458 ราย ใน 66 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคําขออนุญาตมากที่สุด 3 ลําดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 45 ราย กรุงเทพมหานคร 36 ราย และร้อยเอ็ด 29 ราย ทั้งนี้ มีจํานวนที่คืนคําขออนุญาตทั้งสิ้น 63 ราย ใน 37 จังหวัด จึงมีนิติบุคคลที่ยื่นคําขออนุญาตสุทธิ 395 ราย ใน 64 จังหวัด และมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 331 ราย ใน 62 จังหวัด ซึ่งในจํานวนนี้ ได้เปิดดําเนินการแล้ว 201 ราย ใน 54 จังหวัด และมีผู้ประกอบการที่ปล่อยสินเชื่อแล้ว 165 ราย ใน 50 จังหวัด โดยผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตสามารถปล่อยสินเชื่อได้ภายในเขตจังหวัดให้แก่ผู้มีภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในจังหวัดนั้น ๆ วงเงินรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 11,853 บัญชี รวมเป็นเงิน 313.34 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 26,435.67 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 6,337 บัญชี เป็นเงิน 199.46 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63.66 ของจํานวนสินเชื่อที่อนุมัติ และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 5,516 บัญชี เป็นเงิน 113.88 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36.34 ของจํานวนสินเชื่อที่อนุมัติ ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมมีทั้งสิ้น 3,679 บัญชี คิดเป็นเงิน 100.99 ล้านบาท สําหรับสินเชื่อที่ค้างชําระไม่เกิน 3 เดือน มีจํานวน 313 บัญชี คิดเป็นเงิน 9.43 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.34 ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน (NPL) จํานวน 118 บัญชี คิดเป็นเงิน 4.00 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.96 ของสินเชื่อคงค้างรวม
สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้เป็นทางเลือกของประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบแทนหนี้นอกระบบ รายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 244,735 ราย เป็นเงิน 10,928.83 ล้านบาท จําแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไป 229,350 ราย เป็นเงิน 10,249.44 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติแก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ จํานวน 15,385 ราย เป็นเงิน 679.39 ล้านบาท
การดําเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทําผิดกฎหมาย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดําเนินการสะสมนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เป็นต้นมา ถึง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 มีการจับกุมผู้กระทําผิดรวมทั้งสิ้น 2,195 คน ทั้งนี้ ประชาชนที่มีปัญหาหนี้นอกระบบสามารถพิจารณาใช้บริการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เป็นแหล่งทุนทางเลือกทดแทนการกู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้นอกระบบ โดยตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดําเนินการแล้วในปัจจุบัน ได้จากเว็บไซต์ www.1359.go.th ของสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบได้ ณ สาขาของธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ ซึ่งจะมีการให้คําปรึกษาแนะนํา ตลอดจนพิจารณาความช่วยเหลือด้วยสินเชื่อของธนาคารในเบื้องต้น แต่หากพบว่ามีหนี้นอกระบบที่ไม่เป็นธรรมหรือประชาชนรายใดยังขาดศักยภาพในการชําระหนี้ ธนาคารจะประสานความช่วยเหลือด้านการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบให้เกิดความเป็นธรรม หรือจะประสานความช่วยเหลือด้านการฟื้นฟูอาชีพและสร้างรายได้ไปยังคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัดแต่ละจังหวัดต่อไป
สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
โทร. สายด่วน 1359
โดยมีรายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ
สถิติสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์)
รายการ ธ.ค. 60 ม.ค. 61 ก.พ. 61 มี.ค. 61
1. การพิจารณาอนุญาต (ยอดสะสม)
1.1 คําขออนุญาต (ราย) 428 441 450 458
1.2 คืนคําขออนุญาต (ราย) 30 48 52 63
1.3 คําขออนุญาตสุทธิ (ราย) 398 393 398 395
1.4 ผู้ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจ (ราย) 246 279 294 331
1.5 ผู้เปิดดําเนินการ (ราย) 128 159 181 201
2. การอนุมัติสินเชื่อ
2.1 สินเชื่ออนุมัติสะสม
จํานวนบัญชีรวมทั้งสิ้น 9,206 10,690 11,853 -
จํานวนเงินรวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) 239.36 281.27 313.34 -
(1) สินเชื่อแบบมีหลักประกัน
จํานวนบัญชี 4,812 5,698 6,337 -
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 151.56 180.50 199.46 -
(2) สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน
จํานวนบัญชี 4,394 4,992 5,516 -
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 87.80 100.77 113.88 -
2.2 ยอดคงค้างสินเชื่อ
จํานวนบัญชีรวมทั้งสิ้น 5,908 5,113 3,679 -
จํานวนเงินรวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) 143.59 122.54 100.99 -
(1) หนี้สถานะปกติ
จํานวนบัญชี 5,341 4,413 3,248 -
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 129.17 104.99 87.56 -
(2) หนี้ค้างชําระ 1-3 เดือน (SM)
จํานวนบัญชี 486 550 313 -
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 11.81 13.32 9.43 -
หนี้ SM ต่อยอดคงค้างสินเชื่อ (SM Ratio - %) 8.22 10.87 9.34 -
(3) หนี้ค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน (NPL)
จํานวนบัญชี 81 150 118 -
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 2.61 4.23 4.00 -
หนี้ NPL ต่อยอดคงค้างสินเชื่อ (NPL Ratio - %) 1.82 3.45 3.96 -
ที่มา : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
หมายเหตุ :
1. มีการปรับปรุงข้อมูลเดือนธันวาคม 2560 และมกราคม 2561 ให้เป็นปัจจุบัน
2. หนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan : SM) หมายถึง หนี้ซึ่งค้างชําระระหว่าง 1 - 3 เดือน และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) หมายถึง หนี้ซึ่งค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน
สถิติการอนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน (ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561)
ธนาคาร ประชาชนทั่วไป ผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบ รวมทั้งสิ้น
ราย ล้านบาท ราย ล้านบาท ราย ล้านบาท
ออมสิน 112,968 4,722.57 6,623 266.14 119,591 4,988.71
ธ.ก.ส. 116,382 5,526.87 8,762 413.25 125,144 5,940.12
รวม 229,350 10,249.44 15,385 679.39 244,735 10,928.83
ที่มา : ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.
รวบรวมโดย : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนมีนาคม 2561
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561
รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนมีนาคม 2561
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนมีนาคม 2561
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนมีนาคม 2561 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เป็นต้นมา จนถึง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 มีนิติบุคคลยื่นคําขออนุญาตทั้งสิ้น 458 ราย ใน 66 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคําขออนุญาตมากที่สุด 3 ลําดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 45 ราย กรุงเทพมหานคร 36 ราย และร้อยเอ็ด 29 ราย ทั้งนี้ มีจํานวนที่คืนคําขออนุญาตทั้งสิ้น 63 ราย ใน 37 จังหวัด จึงมีนิติบุคคลที่ยื่นคําขออนุญาตสุทธิ 395 ราย ใน 64 จังหวัด และมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 331 ราย ใน 62 จังหวัด ซึ่งในจํานวนนี้ ได้เปิดดําเนินการแล้ว 201 ราย ใน 54 จังหวัด และมีผู้ประกอบการที่ปล่อยสินเชื่อแล้ว 165 ราย ใน 50 จังหวัด โดยผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตสามารถปล่อยสินเชื่อได้ภายในเขตจังหวัดให้แก่ผู้มีภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในจังหวัดนั้น ๆ วงเงินรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 11,853 บัญชี รวมเป็นเงิน 313.34 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 26,435.67 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 6,337 บัญชี เป็นเงิน 199.46 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63.66 ของจํานวนสินเชื่อที่อนุมัติ และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 5,516 บัญชี เป็นเงิน 113.88 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36.34 ของจํานวนสินเชื่อที่อนุมัติ ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมมีทั้งสิ้น 3,679 บัญชี คิดเป็นเงิน 100.99 ล้านบาท สําหรับสินเชื่อที่ค้างชําระไม่เกิน 3 เดือน มีจํานวน 313 บัญชี คิดเป็นเงิน 9.43 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.34 ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน (NPL) จํานวน 118 บัญชี คิดเป็นเงิน 4.00 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.96 ของสินเชื่อคงค้างรวม
สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้เป็นทางเลือกของประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบแทนหนี้นอกระบบ รายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 244,735 ราย เป็นเงิน 10,928.83 ล้านบาท จําแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไป 229,350 ราย เป็นเงิน 10,249.44 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติแก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ จํานวน 15,385 ราย เป็นเงิน 679.39 ล้านบาท
การดําเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทําผิดกฎหมาย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดําเนินการสะสมนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เป็นต้นมา ถึง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 มีการจับกุมผู้กระทําผิดรวมทั้งสิ้น 2,195 คน ทั้งนี้ ประชาชนที่มีปัญหาหนี้นอกระบบสามารถพิจารณาใช้บริการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เป็นแหล่งทุนทางเลือกทดแทนการกู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้นอกระบบ โดยตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดําเนินการแล้วในปัจจุบัน ได้จากเว็บไซต์ www.1359.go.th ของสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบได้ ณ สาขาของธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. ทั่วประเทศ ซึ่งจะมีการให้คําปรึกษาแนะนํา ตลอดจนพิจารณาความช่วยเหลือด้วยสินเชื่อของธนาคารในเบื้องต้น แต่หากพบว่ามีหนี้นอกระบบที่ไม่เป็นธรรมหรือประชาชนรายใดยังขาดศักยภาพในการชําระหนี้ ธนาคารจะประสานความช่วยเหลือด้านการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบให้เกิดความเป็นธรรม หรือจะประสานความช่วยเหลือด้านการฟื้นฟูอาชีพและสร้างรายได้ไปยังคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัดแต่ละจังหวัดต่อไป
สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
โทร. สายด่วน 1359
โดยมีรายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ
สถิติสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์)
รายการ ธ.ค. 60 ม.ค. 61 ก.พ. 61 มี.ค. 61
1. การพิจารณาอนุญาต (ยอดสะสม)
1.1 คําขออนุญาต (ราย) 428 441 450 458
1.2 คืนคําขออนุญาต (ราย) 30 48 52 63
1.3 คําขออนุญาตสุทธิ (ราย) 398 393 398 395
1.4 ผู้ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจ (ราย) 246 279 294 331
1.5 ผู้เปิดดําเนินการ (ราย) 128 159 181 201
2. การอนุมัติสินเชื่อ
2.1 สินเชื่ออนุมัติสะสม
จํานวนบัญชีรวมทั้งสิ้น 9,206 10,690 11,853 -
จํานวนเงินรวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) 239.36 281.27 313.34 -
(1) สินเชื่อแบบมีหลักประกัน
จํานวนบัญชี 4,812 5,698 6,337 -
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 151.56 180.50 199.46 -
(2) สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน
จํานวนบัญชี 4,394 4,992 5,516 -
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 87.80 100.77 113.88 -
2.2 ยอดคงค้างสินเชื่อ
จํานวนบัญชีรวมทั้งสิ้น 5,908 5,113 3,679 -
จํานวนเงินรวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) 143.59 122.54 100.99 -
(1) หนี้สถานะปกติ
จํานวนบัญชี 5,341 4,413 3,248 -
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 129.17 104.99 87.56 -
(2) หนี้ค้างชําระ 1-3 เดือน (SM)
จํานวนบัญชี 486 550 313 -
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 11.81 13.32 9.43 -
หนี้ SM ต่อยอดคงค้างสินเชื่อ (SM Ratio - %) 8.22 10.87 9.34 -
(3) หนี้ค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน (NPL)
จํานวนบัญชี 81 150 118 -
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 2.61 4.23 4.00 -
หนี้ NPL ต่อยอดคงค้างสินเชื่อ (NPL Ratio - %) 1.82 3.45 3.96 -
ที่มา : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
หมายเหตุ :
1. มีการปรับปรุงข้อมูลเดือนธันวาคม 2560 และมกราคม 2561 ให้เป็นปัจจุบัน
2. หนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan : SM) หมายถึง หนี้ซึ่งค้างชําระระหว่าง 1 - 3 เดือน และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) หมายถึง หนี้ซึ่งค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน
สถิติการอนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน (ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561)
ธนาคาร ประชาชนทั่วไป ผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบ รวมทั้งสิ้น
ราย ล้านบาท ราย ล้านบาท ราย ล้านบาท
ออมสิน 112,968 4,722.57 6,623 266.14 119,591 4,988.71
ธ.ก.ส. 116,382 5,526.87 8,762 413.25 125,144 5,940.12
รวม 229,350 10,249.44 15,385 679.39 244,735 10,928.83
ที่มา : ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.
รวบรวมโดย : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11641
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560
|
วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม 2560
รมต.นร สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560
รมต.นร สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560 พร้อมอนุมัติโครงการในวงเงินกว่า 4,900 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศ
วันนี้ (23 สิงหาคม 2560) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560
ภายหลังเลิกการประชุมเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้เปิดเผยผลสรุปของการประชุมฯ ว่า
คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ได้พิจารณาและอนุมัติงบประมาณสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศในการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ในครั้งนี้จํานวน 24,544 กองทุน 25,630 โครงการในวงเงิน 4,908,492,571 ล้านบาท โดย 5 อันดับแรกได้แก่ โครงการร้านค้าชุมชน (ร้อยละ 7.17) โครงการปุ๋ย ยา เมล็ดพันธุ์ (ร้อยละ6.72) โครงการบริการชุมชน (ร้อยละ6.06) โครงการน้ําดื่มชุมชน (ร้อยละ4.80) และโครงการบริการน้ํามันเชื้อเพลิง (ร้อยละ3.58) ตามลําดับ
ทั้งนี้ เมื่อรวมกับการอนุมัติครั้งที่ 1 แล้ว คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้อนุมัติงบประมาณสนับสนุนให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศ ในการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐไปแล้ว จํานวน 29,153 กองทุน ในวงเงิน 5,830,268,571 ล้านบาท (ห้าพันแปดร้อยสามสิบล้านสองแสนหกหมื่นแปดพันห้าร้อยเจ็ดสิบเอ็ดบาทถ้วน) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 39.34 เป้าหมาย โดยคณะกรรมการฯ คาดหวังว่าภายในกลางเดือนกันยายน 2560 จะสามารถอนุมัติงบประมาณสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศ เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ได้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 ของเป้าหมายที่วางไว้
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้อนุมัติ การเปลี่ยนแปลงโครงการจากที่เคยอนุมัติไว้แล้วให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจํานวน 214 กองทุน ในวงเงิน 105,622,660 บาท ซึ่งเมื่อรวมแล้วทั้งหมดคณะกรรมการฯ ได้อนุมัติการเปลี่ยนแปลงโครงการให้กองทุนไปแล้วทั้งสิ้น 4,787 กองทุน ในวงเงิน 2,325,541,003 บาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 6.67 ของโครงการทั้งหมด
นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้เน้นย้ําอีกว่า การอนุมัติโครงการครั้งนี้เป็นการอนุมัติเพื่อการต่อยอดและขยายผลโครงการที่ได้ดําเนินการเมื่อปี 2559 ซึ่งมีผลการประเมินให้มีการสนับสนุนการต่อยอดและขยายผลโครงการเหล่านี้ได้โดยคณะกรรมการนฯ ได้ให้สํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติหรือ สทบ.ได้เร่งสรุปการประเมิน โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐเมื่อปี 2559 ให้ครบทุกโครงการภายในเดือนกันยายน 2560 นี้ด้วยเช่นกัน
อนึ่ง นายนที ขลิบทอง ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่านอกจากการอนุมัติการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการฯ ยังได้เห็นชอบให้ สทบ.ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมมือกับกองทุนการออมแห่งชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบสถาปนากองทุนการออมแห่งชาติ 2 ปีในวันที่ 30 สิงหาคม 2560 นี้ โดยมุ่งหวังให้ สทบ. ได้มีส่วนสนับสนุนในการเผยแพร่ความรู้และการติดตามดูแลสมาชิกของกองทุนการออมแห่งชาติ พร้อมทั้งมีมติเห็นชอบในหลักการให้ สทบ. ได้รับเป็นเจ้าภาพจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมในเดือนตุลาคม 2560 นี้ เพื่อเผยแพร่สินค้าที่มีคุณภาพดีในแต่ละท้องถิ่นให้ประชาชนทั่วไปได้ซื้อสินค้าที่มีคุณภาพใช้ประโยชน์ในราคาที่เหมาะสม โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่าทั้ง 2 เรื่องดังกล่าวจะทําให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองสามารถดําเนินการบริการประชาชนทั้งเรื่องการออม การส่งเสริมอาชีพของประชาชนและการพัฒนายกระดับสินค้าของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึงยิ่งขึ้น ซึ่งทั้ง 2 โครงการดังกล่าวนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อสมาชิกกองทุนกองทุนหมู่บ้านฯ ตลอดจนประชาชนในหมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศอีกด้วย
********************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560
วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม 2560
รมต.นร สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560
รมต.นร สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560 พร้อมอนุมัติโครงการในวงเงินกว่า 4,900 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศ
วันนี้ (23 สิงหาคม 2560) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560
ภายหลังเลิกการประชุมเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้เปิดเผยผลสรุปของการประชุมฯ ว่า
คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ได้พิจารณาและอนุมัติงบประมาณสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศในการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ในครั้งนี้จํานวน 24,544 กองทุน 25,630 โครงการในวงเงิน 4,908,492,571 ล้านบาท โดย 5 อันดับแรกได้แก่ โครงการร้านค้าชุมชน (ร้อยละ 7.17) โครงการปุ๋ย ยา เมล็ดพันธุ์ (ร้อยละ6.72) โครงการบริการชุมชน (ร้อยละ6.06) โครงการน้ําดื่มชุมชน (ร้อยละ4.80) และโครงการบริการน้ํามันเชื้อเพลิง (ร้อยละ3.58) ตามลําดับ
ทั้งนี้ เมื่อรวมกับการอนุมัติครั้งที่ 1 แล้ว คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้อนุมัติงบประมาณสนับสนุนให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศ ในการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐไปแล้ว จํานวน 29,153 กองทุน ในวงเงิน 5,830,268,571 ล้านบาท (ห้าพันแปดร้อยสามสิบล้านสองแสนหกหมื่นแปดพันห้าร้อยเจ็ดสิบเอ็ดบาทถ้วน) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 39.34 เป้าหมาย โดยคณะกรรมการฯ คาดหวังว่าภายในกลางเดือนกันยายน 2560 จะสามารถอนุมัติงบประมาณสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศ เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ได้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 ของเป้าหมายที่วางไว้
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้อนุมัติ การเปลี่ยนแปลงโครงการจากที่เคยอนุมัติไว้แล้วให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจํานวน 214 กองทุน ในวงเงิน 105,622,660 บาท ซึ่งเมื่อรวมแล้วทั้งหมดคณะกรรมการฯ ได้อนุมัติการเปลี่ยนแปลงโครงการให้กองทุนไปแล้วทั้งสิ้น 4,787 กองทุน ในวงเงิน 2,325,541,003 บาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 6.67 ของโครงการทั้งหมด
นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้เน้นย้ําอีกว่า การอนุมัติโครงการครั้งนี้เป็นการอนุมัติเพื่อการต่อยอดและขยายผลโครงการที่ได้ดําเนินการเมื่อปี 2559 ซึ่งมีผลการประเมินให้มีการสนับสนุนการต่อยอดและขยายผลโครงการเหล่านี้ได้โดยคณะกรรมการนฯ ได้ให้สํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติหรือ สทบ.ได้เร่งสรุปการประเมิน โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐเมื่อปี 2559 ให้ครบทุกโครงการภายในเดือนกันยายน 2560 นี้ด้วยเช่นกัน
อนึ่ง นายนที ขลิบทอง ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่านอกจากการอนุมัติการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการฯ ยังได้เห็นชอบให้ สทบ.ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมมือกับกองทุนการออมแห่งชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบสถาปนากองทุนการออมแห่งชาติ 2 ปีในวันที่ 30 สิงหาคม 2560 นี้ โดยมุ่งหวังให้ สทบ. ได้มีส่วนสนับสนุนในการเผยแพร่ความรู้และการติดตามดูแลสมาชิกของกองทุนการออมแห่งชาติ พร้อมทั้งมีมติเห็นชอบในหลักการให้ สทบ. ได้รับเป็นเจ้าภาพจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมในเดือนตุลาคม 2560 นี้ เพื่อเผยแพร่สินค้าที่มีคุณภาพดีในแต่ละท้องถิ่นให้ประชาชนทั่วไปได้ซื้อสินค้าที่มีคุณภาพใช้ประโยชน์ในราคาที่เหมาะสม โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่าทั้ง 2 เรื่องดังกล่าวจะทําให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองสามารถดําเนินการบริการประชาชนทั้งเรื่องการออม การส่งเสริมอาชีพของประชาชนและการพัฒนายกระดับสินค้าของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึงยิ่งขึ้น ซึ่งทั้ง 2 โครงการดังกล่าวนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อสมาชิกกองทุนกองทุนหมู่บ้านฯ ตลอดจนประชาชนในหมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศอีกด้วย
********************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6156
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4
|
วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4
ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4
วันนี้ (5 เม.ย. 61) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม301ตึกบัญชาการ1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมเห็นชอบการเพิ่มคณะกรรมการการขับเคลื่อนและปฏิรูปฯ คณะที่ 4 ทั้งนี้ เพื่อให้ครอบคลุมทั้งสาธารณสุขและสังคม รวมทั้งเชื่อมโยงกับการดําเนินการของคณะกรรมการฯ ให้เป็นไปอย่างสอดคล้องกับยุทธศาตร์ชาติที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้มีการหารือร่วมกันในการกําหนดประเด็นการดําเนินงานเพิ่มเติมด้านสวัสดิการสังคมปรับปรุงชื่อคําสั่งคณะกรรมการฯจากเดิม “คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4 คณะกรรมการและปฏิรูปด้านสาธารณสุข” เปลี่ยนชื่อเป็น “คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปบริหารราชการแผ่นดิน คณะ4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขและสังคม” เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนด้านสังคมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ซ้ําซ้อนกับการทํางานคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะอื่น
ทั้งนี้ คณะกรรมการใหม่มีแนวทางการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขคือสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพของรัฐให้ครอบคลุมและทั่วถึง การพัฒนาระบบหลักประกันทางสังคมให้มีประสิทธิภาพ ส่วนการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์ ได้มีการกําหนดขอบเขตของงานสวัสดิการสังคมด้านการประกันรายได้ การมีงานทําและมีสวัสดิการแรงงาน ความมั่งคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมไปถึงความมั่งคงทางสังคม นันทนาการ บริการทางสังคมของปัจเจกบุคคล โดยมีการขับเคลื่อนที่ต้องเร่งดําเนินการสเรื่องที่มีความสําคัญ 5 เรื่อง ดังนี้ 1) การออม สวัสดิการ และการลงทุนเพื่อสังคม 2) การช่วยเหลือและเพิ่มขีดความสามารถกลุ่มผู้เสียเปรียบในสังคม 3) การจัดการข้อมูลและองค์ความรู้ทางสังคม 4) การพัฒนาระบบสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง และ5) การมีส่วนร่วม การเรียนรู้ การรับรู้ และการส่งเสริมกิจกรรมทางสังคม โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงดิิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดยจะมีการร่างคําสั่งและการประชุมคณะอนุกรรมการฯ เพื่อขับเคลื่อนการทํางานในโอกาสต่อไป
--------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4
วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4
ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4
วันนี้ (5 เม.ย. 61) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม301ตึกบัญชาการ1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมเห็นชอบการเพิ่มคณะกรรมการการขับเคลื่อนและปฏิรูปฯ คณะที่ 4 ทั้งนี้ เพื่อให้ครอบคลุมทั้งสาธารณสุขและสังคม รวมทั้งเชื่อมโยงกับการดําเนินการของคณะกรรมการฯ ให้เป็นไปอย่างสอดคล้องกับยุทธศาตร์ชาติที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้มีการหารือร่วมกันในการกําหนดประเด็นการดําเนินงานเพิ่มเติมด้านสวัสดิการสังคมปรับปรุงชื่อคําสั่งคณะกรรมการฯจากเดิม “คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4 คณะกรรมการและปฏิรูปด้านสาธารณสุข” เปลี่ยนชื่อเป็น “คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปบริหารราชการแผ่นดิน คณะ4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขและสังคม” เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนด้านสังคมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ซ้ําซ้อนกับการทํางานคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะอื่น
ทั้งนี้ คณะกรรมการใหม่มีแนวทางการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขคือสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพของรัฐให้ครอบคลุมและทั่วถึง การพัฒนาระบบหลักประกันทางสังคมให้มีประสิทธิภาพ ส่วนการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์ ได้มีการกําหนดขอบเขตของงานสวัสดิการสังคมด้านการประกันรายได้ การมีงานทําและมีสวัสดิการแรงงาน ความมั่งคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมไปถึงความมั่งคงทางสังคม นันทนาการ บริการทางสังคมของปัจเจกบุคคล โดยมีการขับเคลื่อนที่ต้องเร่งดําเนินการสเรื่องที่มีความสําคัญ 5 เรื่อง ดังนี้ 1) การออม สวัสดิการ และการลงทุนเพื่อสังคม 2) การช่วยเหลือและเพิ่มขีดความสามารถกลุ่มผู้เสียเปรียบในสังคม 3) การจัดการข้อมูลและองค์ความรู้ทางสังคม 4) การพัฒนาระบบสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง และ5) การมีส่วนร่วม การเรียนรู้ การรับรู้ และการส่งเสริมกิจกรรมทางสังคม โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงดิิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดยจะมีการร่างคําสั่งและการประชุมคณะอนุกรรมการฯ เพื่อขับเคลื่อนการทํางานในโอกาสต่อไป
--------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11374
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา “ชีวิตวิถีใหม่ใต้ร่มพระบารมี...เราสร้างไปด้วยกัน” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 ณ ท้องสนามหลวง
|
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา “ชีวิตวิถีใหม่ใต้ร่มพระบารมี...เราสร้างไปด้วยกัน” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 ณ ท้องสนามหลวง
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา “ชีวิตวิถีใหม่ใต้ร่มพระบารมี...เราสร้างไปด้วยกัน” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 ณ ท้องสนามหลวง
วันนี้ (28 กรกฎาคม 2563) เวลา 09.30 น. ณ บริเวณท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา “ชีวิตวิถีใหม่ใต้ร่มพระบารมี...เราสร้างไปด้วยกัน” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ข้าราชการทุกหมู่เหล่า เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาในครั้งนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน
นายกรัฐมนตรีและภริยา รองนายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ฯ เปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายราชสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมกล่าวสํานึกและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณความว่า
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ข้าราชการทุกหมู่เหล่า และประชาชนจิตอาสาที่มาร่วมชุมนุมกัน ณ บริเวณพื้นที่การจัดกิจกรรม ต่างมีความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น ที่ได้มาร่วมกันประกอบกิจกรรมจิตอาสา ในวันนี้
ตามที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานแนวทางโครงการจิตอาสาพระราชทาน “เราทําความดีเพื่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” เพื่อให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าได้ตระหนักซึ้งถึง “การให้” แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยความเต็มใจ ไม่นิ่งดูดายเมื่อพบเห็นปัญหาหรือพบเห็นผู้ตกทุกข์ได้ยาก รวมทั้งการเสียสละเวลา กําลังกาย และกําลังสติปัญญา เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ อันก่อให้เกิดความสุขทั้งต่อตนเองและสังคม รัฐบาลพร้อมด้วยภาคส่วนต่าง ๆ ได้ร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โดยน้อมนําแนวทางพระราชทานมาจัดกิจกรรม “ชีวิตวิถีใหม่ใต้ร่มพระบารมี... เราสร้างไปด้วยกัน” เพื่อร่วมกันบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งในการดํารงชีพในแบบชีวิตวิถีใหม่ ต่อไป
ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และพลานุภาพแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดอภิบาลรักษาให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเจริญพร้อมด้วยจตุรพิธพรชัย ทรงพระเกษมสําราญ พระบรมเดชานุภาพและพระบารมีแผ่ไพศาล สถิตเป็นมิ่งขวัญปกเกล้า ปวงข้าพระพุทธเจ้า และเหล่าพสกนิกรตราบกาลนิรันดร์เทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมจิตอาสาครัว ครม. นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ประกอบอาหารเมนูข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนในบริเวณนั้น พร้อมเยี่ยมชมกิจกรรมจิตอาสาจากหน่วยงานภาครัฐ กระทรวงต่าง ๆ และภาคธุรกิจเอกชน เพื่อส่งเสริม สนับสนุน ให้ความรู้แก่ประชาชนในด้านการเกษตร ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการจัดการชุมชน ด้านการฝึกอาชีพ/สาธิต และด้านสุขภาวะอนามัย ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังขอบคุณหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ในการทําจิตอาสาเพื่อน้อมรําลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลได้น้อมนําพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปฏิบัติ ทั้งนี้ ได้กําชับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การบริหารจัดการน้ํา การกักเก็บน้ําเพื่ออุปโภคบริโภค และการเกษตร การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในประเทศไทย ช่วยลดฝุ่นละออง PM 2.5 และการส่งเสริมเศรษฐกิจแบบ BCG ด้วย
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา “ชีวิตวิถีใหม่ใต้ร่มพระบารมี...เราสร้างไปด้วยกัน” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 ณ ท้องสนามหลวง
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา “ชีวิตวิถีใหม่ใต้ร่มพระบารมี...เราสร้างไปด้วยกัน” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 ณ ท้องสนามหลวง
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา “ชีวิตวิถีใหม่ใต้ร่มพระบารมี...เราสร้างไปด้วยกัน” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 ณ ท้องสนามหลวง
วันนี้ (28 กรกฎาคม 2563) เวลา 09.30 น. ณ บริเวณท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา “ชีวิตวิถีใหม่ใต้ร่มพระบารมี...เราสร้างไปด้วยกัน” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ข้าราชการทุกหมู่เหล่า เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาในครั้งนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน
นายกรัฐมนตรีและภริยา รองนายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ฯ เปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายราชสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมกล่าวสํานึกและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณความว่า
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ข้าราชการทุกหมู่เหล่า และประชาชนจิตอาสาที่มาร่วมชุมนุมกัน ณ บริเวณพื้นที่การจัดกิจกรรม ต่างมีความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น ที่ได้มาร่วมกันประกอบกิจกรรมจิตอาสา ในวันนี้
ตามที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานแนวทางโครงการจิตอาสาพระราชทาน “เราทําความดีเพื่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” เพื่อให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าได้ตระหนักซึ้งถึง “การให้” แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยความเต็มใจ ไม่นิ่งดูดายเมื่อพบเห็นปัญหาหรือพบเห็นผู้ตกทุกข์ได้ยาก รวมทั้งการเสียสละเวลา กําลังกาย และกําลังสติปัญญา เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ อันก่อให้เกิดความสุขทั้งต่อตนเองและสังคม รัฐบาลพร้อมด้วยภาคส่วนต่าง ๆ ได้ร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โดยน้อมนําแนวทางพระราชทานมาจัดกิจกรรม “ชีวิตวิถีใหม่ใต้ร่มพระบารมี... เราสร้างไปด้วยกัน” เพื่อร่วมกันบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งในการดํารงชีพในแบบชีวิตวิถีใหม่ ต่อไป
ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และพลานุภาพแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดอภิบาลรักษาให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเจริญพร้อมด้วยจตุรพิธพรชัย ทรงพระเกษมสําราญ พระบรมเดชานุภาพและพระบารมีแผ่ไพศาล สถิตเป็นมิ่งขวัญปกเกล้า ปวงข้าพระพุทธเจ้า และเหล่าพสกนิกรตราบกาลนิรันดร์เทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมจิตอาสาครัว ครม. นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ประกอบอาหารเมนูข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนในบริเวณนั้น พร้อมเยี่ยมชมกิจกรรมจิตอาสาจากหน่วยงานภาครัฐ กระทรวงต่าง ๆ และภาคธุรกิจเอกชน เพื่อส่งเสริม สนับสนุน ให้ความรู้แก่ประชาชนในด้านการเกษตร ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการจัดการชุมชน ด้านการฝึกอาชีพ/สาธิต และด้านสุขภาวะอนามัย ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังขอบคุณหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ในการทําจิตอาสาเพื่อน้อมรําลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลได้น้อมนําพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปฏิบัติ ทั้งนี้ ได้กําชับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การบริหารจัดการน้ํา การกักเก็บน้ําเพื่ออุปโภคบริโภค และการเกษตร การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในประเทศไทย ช่วยลดฝุ่นละออง PM 2.5 และการส่งเสริมเศรษฐกิจแบบ BCG ด้วย
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33711
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยธนาคารแรกนำระบบรับชำระค่ารถโดยสาร ขสมก. สาย Airport Bus ด้วย QR Code
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561
กรุงไทยธนาคารแรกนําระบบรับชําระค่ารถโดยสาร ขสมก. สาย Airport Bus ด้วย QR Code
โครงการรับชําระค่าโดยสารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สาย Airport Bus ผ่าน Krungthai QR Code ซึ่งธนาคารกรุงไทยนําระบบรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์มาติดตั้งบนรถโดยสาร ขสมก.
วันนี้ (14 มิถุนายน 2561) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการรับชําระค่าโดยสารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สาย Airport Bus ผ่าน Krungthai QR Code ซึ่งธนาคารกรุงไทยนําระบบรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์มาติดตั้งบนรถโดยสาร ขสมก. เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการชําระค่าโดยสาร โดยมี นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อํานวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการ ขสมก. นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และ นาวาอากาศโท สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อํานวยการท่าอากาศยานดอนเมือง ร่วมพิธี
นายผยง ศรีวณิช กล่าวว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ได้ให้การสนับสนุนนโยบาย Thailand 4.0 ที่ต้องการวางโครงสร้างพื้นฐานอิเล็กทรอนิกส์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศและขับเคลื่อนสังคมไทยทุกภาคส่วนสู่สังคมไร้เงินสด โดยธนาคารได้รับความไว้วางใจจาก ขสมก. ให้เป็นธนาคารแห่งแรกที่นําระบบรับชําระเงินด้วย QR Code มาติดตั้งบนรถโดยสาร ขสมก. สาย Airport Bus ที่ให้บริการในสนามบินดอนเมือง 4 เส้นทาง โดยนําร่องให้บริการในสาย A1 ดอนเมือง-หมอชิต 2 และ A2 ดอนเมือง-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา และเตรียมเปิดให้บริการในสาย A3 ดอนเมือง-สวนลุมพินี สาย A4 ดอนเมือง-สนามหลวง เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางระหว่างสนามบินดอนเมืองและพื้นที่ใจกลางเมือง
“ธนาคารได้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น เป๋าตุงพลัส ซึ่งเป็น QR Code ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะสําหรับธุรกิจที่มีหลายสาขาย่อย บนรถโดยสาร ขสมก. สาย Airport Bus จํานวน 36 คัน ซึ่งพนักงานเก็บค่าโดยสารสามารถตรวจสอบและยืนยันการทํารายการชําระเงินของผู้โดยสารในเครื่องแท็บเล็ตประจําตัวพนักงาน ขณะที่ ขสมก. สามารถตรวจสอบการทํารายการชําระเงินของรถโดยสารแต่ละคันผ่านเว็บไซต์ สําหรับผู้โดยสารสามารถสแกน QR Code เพื่อชําระเงินผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม เป็นการเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการเงินสด และลดต้นทุนการจัดการระบบโลจิสติกส์ให้กับ ขสมก.”
นายผยง ศรีวณิช กล่าวในตอนท้ายว่า ด้วยยุทธศาสตร์ Future Banking ที่นํานวัตกรรมทางการเงินมาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและประชาชน ซึ่งธนาคารได้ติดตั้ง QR Code ทั้งในหน่วยงานราชการ มหาวิทยาลัย ตลาดประจําจังหวัด รวมไปถึงวัดและมูลนิธิต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเป็นธนาคารแรกที่พัฒนาระบบ e-Donation ให้เชื่อมต่อกับกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ผ่านแอปพลิเคชั่น เป๋าตุง เติมบุญ ที่สามารถออกใบอนุโทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้บริจาคผ่านอีเมล ลดปัญหาการจัดเก็บและการสูญหาย ช่วยให้สามารถยื่นขอลดหย่อนภาษีได้รวดเร็วขึ้น อีกทั้งยังร่วมมือกับรัฐบาลสนับสนุนการจัดทําบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และติดตั้งเครื่อง EDC ให้กับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าประชารัฐกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติทั่วประเทศ เพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยธนาคารแรกนำระบบรับชำระค่ารถโดยสาร ขสมก. สาย Airport Bus ด้วย QR Code
วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561
กรุงไทยธนาคารแรกนําระบบรับชําระค่ารถโดยสาร ขสมก. สาย Airport Bus ด้วย QR Code
โครงการรับชําระค่าโดยสารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สาย Airport Bus ผ่าน Krungthai QR Code ซึ่งธนาคารกรุงไทยนําระบบรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์มาติดตั้งบนรถโดยสาร ขสมก.
วันนี้ (14 มิถุนายน 2561) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการรับชําระค่าโดยสารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สาย Airport Bus ผ่าน Krungthai QR Code ซึ่งธนาคารกรุงไทยนําระบบรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์มาติดตั้งบนรถโดยสาร ขสมก. เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการชําระค่าโดยสาร โดยมี นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อํานวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการ ขสมก. นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และ นาวาอากาศโท สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อํานวยการท่าอากาศยานดอนเมือง ร่วมพิธี
นายผยง ศรีวณิช กล่าวว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ได้ให้การสนับสนุนนโยบาย Thailand 4.0 ที่ต้องการวางโครงสร้างพื้นฐานอิเล็กทรอนิกส์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศและขับเคลื่อนสังคมไทยทุกภาคส่วนสู่สังคมไร้เงินสด โดยธนาคารได้รับความไว้วางใจจาก ขสมก. ให้เป็นธนาคารแห่งแรกที่นําระบบรับชําระเงินด้วย QR Code มาติดตั้งบนรถโดยสาร ขสมก. สาย Airport Bus ที่ให้บริการในสนามบินดอนเมือง 4 เส้นทาง โดยนําร่องให้บริการในสาย A1 ดอนเมือง-หมอชิต 2 และ A2 ดอนเมือง-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา และเตรียมเปิดให้บริการในสาย A3 ดอนเมือง-สวนลุมพินี สาย A4 ดอนเมือง-สนามหลวง เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางระหว่างสนามบินดอนเมืองและพื้นที่ใจกลางเมือง
“ธนาคารได้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น เป๋าตุงพลัส ซึ่งเป็น QR Code ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะสําหรับธุรกิจที่มีหลายสาขาย่อย บนรถโดยสาร ขสมก. สาย Airport Bus จํานวน 36 คัน ซึ่งพนักงานเก็บค่าโดยสารสามารถตรวจสอบและยืนยันการทํารายการชําระเงินของผู้โดยสารในเครื่องแท็บเล็ตประจําตัวพนักงาน ขณะที่ ขสมก. สามารถตรวจสอบการทํารายการชําระเงินของรถโดยสารแต่ละคันผ่านเว็บไซต์ สําหรับผู้โดยสารสามารถสแกน QR Code เพื่อชําระเงินผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม เป็นการเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการเงินสด และลดต้นทุนการจัดการระบบโลจิสติกส์ให้กับ ขสมก.”
นายผยง ศรีวณิช กล่าวในตอนท้ายว่า ด้วยยุทธศาสตร์ Future Banking ที่นํานวัตกรรมทางการเงินมาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและประชาชน ซึ่งธนาคารได้ติดตั้ง QR Code ทั้งในหน่วยงานราชการ มหาวิทยาลัย ตลาดประจําจังหวัด รวมไปถึงวัดและมูลนิธิต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเป็นธนาคารแรกที่พัฒนาระบบ e-Donation ให้เชื่อมต่อกับกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ผ่านแอปพลิเคชั่น เป๋าตุง เติมบุญ ที่สามารถออกใบอนุโทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้บริจาคผ่านอีเมล ลดปัญหาการจัดเก็บและการสูญหาย ช่วยให้สามารถยื่นขอลดหย่อนภาษีได้รวดเร็วขึ้น อีกทั้งยังร่วมมือกับรัฐบาลสนับสนุนการจัดทําบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และติดตั้งเครื่อง EDC ให้กับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าประชารัฐกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติทั่วประเทศ เพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13047
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยอันดับ 3 ด้านขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว
|
วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562
ไทยอันดับ 3 ด้านขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว
วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
สภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum รายงานอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของประเทศต่าง ๆ โดยประเทศไทย ได้รับคะแนนรวม 4.5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 7 อยู่ในลําดับที่ 3 ในกลุ่มประเทศอาเซียนและอันดับที่ 31 ของโลกจากทั้งหมด 140 ประเทศ โดยดัชนีที่ดีที่สุด 3 อันดับ คือ ด้านทรัพยากรธรรมชาติ โครงสร้างพื้นฐานบริการด้านการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันรัฐบาลจะเร่งพัฒนาปรับปรุงข้อจํากัดที่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว เช่น ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงปลอดภัย สุขภาพและอนามัยให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะทําให้อันดับของประเทศไทยดีขึ้น ช่วยให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจและดึงดูดการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยอันดับ 3 ด้านขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว
วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562
ไทยอันดับ 3 ด้านขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว
วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
สภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum รายงานอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของประเทศต่าง ๆ โดยประเทศไทย ได้รับคะแนนรวม 4.5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 7 อยู่ในลําดับที่ 3 ในกลุ่มประเทศอาเซียนและอันดับที่ 31 ของโลกจากทั้งหมด 140 ประเทศ โดยดัชนีที่ดีที่สุด 3 อันดับ คือ ด้านทรัพยากรธรรมชาติ โครงสร้างพื้นฐานบริการด้านการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันรัฐบาลจะเร่งพัฒนาปรับปรุงข้อจํากัดที่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว เช่น ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงปลอดภัย สุขภาพและอนามัยให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะทําให้อันดับของประเทศไทยดีขึ้น ช่วยให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจและดึงดูดการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24524
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ขายทรัพย์ได้กว่า 143 ล้านบาท ในงาน บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป@กรุงเทพฯ ประจำปี 2561
|
วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2561
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ขายทรัพย์ได้กว่า 143 ล้านบาท ในงาน บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป@กรุงเทพฯ ประจําปี 2561
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ขายทรัพย์ได้กว่า 143 ล้านบาท ในงาน บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป@กรุงเทพฯ ประจําปี 2561
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 เวลา 10.00 น. กรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินภายในงาน บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป@กรุงเทพฯ ประจําปี 2561 ณ ห้องโลตัสศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี พร้อมด้วยนางสาวรัตนาวดี สมบูรณ์ รองอธิบดีกรมบังคับคดี นางศศิวิมล ธนศานติ รองอธิบดีกรมบังคับคดี นายพีระ อัครวัตร รองอธิบดีกรมบังคับคดี และคณะผู้บริหารกรมบังคับคดีไปร่วมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในงาน มหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ทีนํามาประกาศขาย เป็นที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุดของสํานักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1-6 ประกาศขายทั้งสิ้น 236 รายการ ราคาประเมินรวม 170,674,941.67 บาท มีผู้สนใจเข้าฟังการขายกว่า 500 คน
โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ 91 คดี 91 รายการ ราคาประเมินรวม 85,205,406.10 บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น 143,290,000 บาท ซึ่งราคาขายได้สูงกว่าราคาประเมิน คิดเป็นร้อยละ 68.17 โดยในการนี้ผู้เข้าซื้อทรัพย์ได้วางหลักประกัน จํานวน 171 ราย เป็นเงิน 19,850,000 บาท โดยใช้ระบบ edc จํานวน 44 รายเป็นจํานวนเงิน 5,985,000 บาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับราคาขายของปีที่แล้วพบว่าปีนี้สามารถขายได้สูงกว่าปีที่แล้ว คิดเป็นร้อยละ 11.72
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ขายทรัพย์ได้กว่า 143 ล้านบาท ในงาน บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป@กรุงเทพฯ ประจำปี 2561
วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2561
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ขายทรัพย์ได้กว่า 143 ล้านบาท ในงาน บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป@กรุงเทพฯ ประจําปี 2561
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ขายทรัพย์ได้กว่า 143 ล้านบาท ในงาน บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป@กรุงเทพฯ ประจําปี 2561
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 เวลา 10.00 น. กรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินภายในงาน บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป@กรุงเทพฯ ประจําปี 2561 ณ ห้องโลตัสศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี พร้อมด้วยนางสาวรัตนาวดี สมบูรณ์ รองอธิบดีกรมบังคับคดี นางศศิวิมล ธนศานติ รองอธิบดีกรมบังคับคดี นายพีระ อัครวัตร รองอธิบดีกรมบังคับคดี และคณะผู้บริหารกรมบังคับคดีไปร่วมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในงาน มหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ทีนํามาประกาศขาย เป็นที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุดของสํานักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1-6 ประกาศขายทั้งสิ้น 236 รายการ ราคาประเมินรวม 170,674,941.67 บาท มีผู้สนใจเข้าฟังการขายกว่า 500 คน
โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ 91 คดี 91 รายการ ราคาประเมินรวม 85,205,406.10 บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น 143,290,000 บาท ซึ่งราคาขายได้สูงกว่าราคาประเมิน คิดเป็นร้อยละ 68.17 โดยในการนี้ผู้เข้าซื้อทรัพย์ได้วางหลักประกัน จํานวน 171 ราย เป็นเงิน 19,850,000 บาท โดยใช้ระบบ edc จํานวน 44 รายเป็นจํานวนเงิน 5,985,000 บาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับราคาขายของปีที่แล้วพบว่าปีนี้สามารถขายได้สูงกว่าปีที่แล้ว คิดเป็นร้อยละ 11.72
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13663
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทูต 8 ประเทศ ตักบาตร เวียนเทียน ร่วมกับพุทธศาสนิกชนไทยในวันมาฆบูชา
|
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563
ทูต 8 ประเทศ ตักบาตร เวียนเทียน ร่วมกับพุทธศาสนิกชนไทยในวันมาฆบูชา
ทูต 8 ประเทศ ตักบาตร เวียนเทียน ร่วมกับพุทธศาสนิกชนไทยในวันมาฆบูชา
ทูต 8 ประเทศ ตักบาตร เวียนเทียน ร่วมกับพุทธศาสนิกชนไทยในวันมาฆบูชา
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 07.00 น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ตักบาตร และเวียนเทียน ร่วมกับคณะทูตานุทูตประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลมาฆบูชา ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ณ ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
นายอิทธิพล กล่าวว่า การจัดกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลมาฆบูชาปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 8 กุมภาพันธ์ 2563 ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ตรงกับวันมาฆบูชา กรมการศาสนาได้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ตักบาตร และเวียนเทียน โดยมีทูตานุทูตจากประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา 8 ประเทศ เข้าร่วมกิจกรรม ประกอบด้วย ประเทศอินเดีย ภูฏาน พม่า เวียดนาม ญี่ปุ่น ศรีลังกา กัมพูชาและเนปาล พร้อมทั้งเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ในส่วนภูมิภาค จัดกิจกรรม ณ วัดหรือสถานที่จัดกิจกรรม และจัดงานมาฆบูชาอาเซียนใน 16 จังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ จังหวัดตาก เชียงราย แม่ฮ่องสอน สระแก้ว ตราด สุรินทร์ มุกดาหาร บึงกาฬ หนองคาย อุบลราชธานี นครพนม เลย ศรีสะเกษ ระนอง สงขลา และสตูล โดยการจัดกิจกรรมในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมศาสนิกชนให้เข้าวัด และร่วมกันประกอบศาสนพิธี
ในวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ โดยใช้มิติและกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นตัวเชื่อมโยง ซึ่งทูตานุทูตที่เข้าร่วมกิจกรรม ล้วนมีบทบาทสําคัญในการให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา และสนับสนุนกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาร่วมกับประเทศไทยมาโดยตลอด การเชิญคณะทูตานุทูตเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ จะเป็นการสานต่อความร่วมมือในการจัดกิจกรรมด้านศาสนาอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงเป็นแนวทางเพื่อการส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนในแต่ละประเทศได้น้อมนําหลักธรรมไปประพฤติปฏิบัติในการดําเนินชีวิต
นายอิทธิพล กล่าวต่อว่า สําหรับกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลมาฆบูชา ปี 2563
จัดขึ้นทั่วประเทศ ณ วัดหรือสถานที่สําคัญที่แต่ละจังหวัดกําหนด เพื่อรําลึกถึงวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา คือ วันมาฆบูชา เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สําคัญทางพระพุทธศาสนา คือ 1. เป็นวันเพ็ญเดือนมาฆมาส 2. เป็นวันที่พระสงฆ์ จํานวน 1,250 รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย 3. ภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นเอหิภิกขุ คือ ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้า 4. ภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ การประจวบพร้อมกันด้วยเหตุการณ์
ทั้ง 4 นี้ จึงเรียกว่า วันจาตุรงคสันนิบาต คือการประชุมซึ่งประกอบด้วยองค์ 4 ในวันดังกล่าว พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ เป็นการวางหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไว้ 3 ประการ คือ ไม่ทําความชั่วทั้งปวง ทําแต่ความดี ทําจิตใจให้ผ่องใส
กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่านเข้าร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ทําบุญ ตักบาตร เวียนเทียน ณ วัดใกล้บ้าน หรือสถานที่จัดกิจกรรมทั่วประเทศ น้อมนําหลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนาไปปฏิบัติ เพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว และสังคม ให้มีความสงบสุขอย่างยั่งยืนต่อไป.
.....................................
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทูต 8 ประเทศ ตักบาตร เวียนเทียน ร่วมกับพุทธศาสนิกชนไทยในวันมาฆบูชา
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563
ทูต 8 ประเทศ ตักบาตร เวียนเทียน ร่วมกับพุทธศาสนิกชนไทยในวันมาฆบูชา
ทูต 8 ประเทศ ตักบาตร เวียนเทียน ร่วมกับพุทธศาสนิกชนไทยในวันมาฆบูชา
ทูต 8 ประเทศ ตักบาตร เวียนเทียน ร่วมกับพุทธศาสนิกชนไทยในวันมาฆบูชา
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 07.00 น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ตักบาตร และเวียนเทียน ร่วมกับคณะทูตานุทูตประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลมาฆบูชา ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ณ ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
นายอิทธิพล กล่าวว่า การจัดกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลมาฆบูชาปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 8 กุมภาพันธ์ 2563 ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ตรงกับวันมาฆบูชา กรมการศาสนาได้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ตักบาตร และเวียนเทียน โดยมีทูตานุทูตจากประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา 8 ประเทศ เข้าร่วมกิจกรรม ประกอบด้วย ประเทศอินเดีย ภูฏาน พม่า เวียดนาม ญี่ปุ่น ศรีลังกา กัมพูชาและเนปาล พร้อมทั้งเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ในส่วนภูมิภาค จัดกิจกรรม ณ วัดหรือสถานที่จัดกิจกรรม และจัดงานมาฆบูชาอาเซียนใน 16 จังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ จังหวัดตาก เชียงราย แม่ฮ่องสอน สระแก้ว ตราด สุรินทร์ มุกดาหาร บึงกาฬ หนองคาย อุบลราชธานี นครพนม เลย ศรีสะเกษ ระนอง สงขลา และสตูล โดยการจัดกิจกรรมในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมศาสนิกชนให้เข้าวัด และร่วมกันประกอบศาสนพิธี
ในวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ โดยใช้มิติและกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นตัวเชื่อมโยง ซึ่งทูตานุทูตที่เข้าร่วมกิจกรรม ล้วนมีบทบาทสําคัญในการให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา และสนับสนุนกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาร่วมกับประเทศไทยมาโดยตลอด การเชิญคณะทูตานุทูตเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ จะเป็นการสานต่อความร่วมมือในการจัดกิจกรรมด้านศาสนาอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงเป็นแนวทางเพื่อการส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนในแต่ละประเทศได้น้อมนําหลักธรรมไปประพฤติปฏิบัติในการดําเนินชีวิต
นายอิทธิพล กล่าวต่อว่า สําหรับกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลมาฆบูชา ปี 2563
จัดขึ้นทั่วประเทศ ณ วัดหรือสถานที่สําคัญที่แต่ละจังหวัดกําหนด เพื่อรําลึกถึงวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา คือ วันมาฆบูชา เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สําคัญทางพระพุทธศาสนา คือ 1. เป็นวันเพ็ญเดือนมาฆมาส 2. เป็นวันที่พระสงฆ์ จํานวน 1,250 รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย 3. ภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นเอหิภิกขุ คือ ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้า 4. ภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ การประจวบพร้อมกันด้วยเหตุการณ์
ทั้ง 4 นี้ จึงเรียกว่า วันจาตุรงคสันนิบาต คือการประชุมซึ่งประกอบด้วยองค์ 4 ในวันดังกล่าว พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ เป็นการวางหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไว้ 3 ประการ คือ ไม่ทําความชั่วทั้งปวง ทําแต่ความดี ทําจิตใจให้ผ่องใส
กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่านเข้าร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ทําบุญ ตักบาตร เวียนเทียน ณ วัดใกล้บ้าน หรือสถานที่จัดกิจกรรมทั่วประเทศ น้อมนําหลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนาไปปฏิบัติ เพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว และสังคม ให้มีความสงบสุขอย่างยั่งยืนต่อไป.
.....................................
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26469
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ลงพื้นที่ขอนแก่นตรวจการบ้านซิงเกิลคอมมานด์ พร้อมลงตรวจแปลงใหญ่ผักปลอดภัย
|
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2560
รัฐมนตรีเกษตรฯ ลงพื้นที่ขอนแก่นตรวจการบ้านซิงเกิลคอมมานด์ พร้อมลงตรวจแปลงใหญ่ผักปลอดภัย
รัฐมนตรีเกษตรฯ ลงพื้นที่ขอนแก่นตรวจการบ้านซิงเกิลคอมมานด์ พร้อมลงตรวจแปลงใหญ่ผักปลอดภัย –มะม่วงน้ําดอกไม้สีทองชี้เกษตรกรปรับแผนปลูกตามแนวรัฐ เชื่อภายใน 5 ปีดันแปลงใหญ่ 7 พันแปลงตามเป้า
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายนโยบายของกระทรวงเกษตรแบบเบ็ดเสร็จ หรือ ซิงเกิลส์คอมมานด์ จ.ขอนแก่น เพื่อติดตามผลการดําเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรในปี 2560 และเพื่อคัดเลือกแปลงใหญ่ที่ซิงเกิลคอมมานด์นําเสนอก่อนลงพื้นที่จริงณ สํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดขอนแก่น ว่า ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯต้องเป็นสมาทร์ออฟฟิตเชอร์ให้ได้ ต้องเก่งก่อนจึงไปสอนเกษตรกรเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ได้ ซึ่งนโยบายของกระทรวงเน้นย้ําให้ทุกพื้นที่นํากระบวนการสหกรณ์มาพัฒนาเกษตรแปลงใหญ่ ร่วมกับจัดโซนนิ่งเกษตร ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสานตามแนวทษฎีใหม่ ธนาคารเกษตร วางแผนผลิตข้าวครบวงจร จัดที่ดินทํากิน ในพื้นที่สปก. และวางระบบส่งน้ําให้ทั่วถึงพื้นที่เกษตรมากที่สุด เพื่อขับเคลื่อนเกษตรแปลงใหญ่ให้เกิดขึ้นจริงตามที่ได้ตามเป้าหมายกว่า 7,000 แปลงภายในระยะเวลา 5 ปี
“เป้าหมายการผลักดันแปลงใหญ่ ใน 5 ปี มี 7,000 แปลง มีการบริหารจัดการที่ดี ผลิตสินค้ามีคุณภาพ โดยในปี59 จากแปลงใหญ่600 แปลง ทําได้จริง 400 แปลงสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 1,500ล้านบาท เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม 4 หมื่นกว่าบาท/ราย ปีนี้อัตราการเพิ่มแปลงใหญ่จะสูงขึ้น โดยหัวใจสําคัญ คือ การนําเอานวตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วย มีการตลาดรองรับ” พลเอกฉัตรชัย กล่าว
พลเอกฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า พื้นที่แปลงใหญ่ที่จะลงตรวจเยี่ยมแบบไม่มีการเตรียมการหรือแจ้งล่วงหน้าครั้งนี้ มีด้วยกัน 2 แปลง คือ แปลงผักปลอดภัยกลุ่มเกษตรกรทําสวนบ้านโนนเขลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกตามนโยบายแปลงใหญ่ จากพื้นที่ปลูกข้าวเดิมและปลูกผักเคมีมาเป็นผักปลอดภัย GAPจํานวน 360 ไร่ เกษตรกร 50 ราย ซึ่งนอกจากกระทรวงเกษตรฯ โดยหน่วยงานในพื้นที่จะพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีการผลิต ยังได้ประสานให้เทสโก้โลตัสเข้ามารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรเฉลี่ย 13,000 กก.รายได้ประมาณ 37,000 บาท/วัน
จากนั้นได้ลงพื้นที่วิสาหกิจชุมชนมะม่วงบ้านแฮด ต.หนองแซง อ.บ้านแฮด ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ที่ปลูกมะม่วงน้ําดอกไม้สีทอง 1,323 ไร่ สมาชิก 55 ราย โดยใช้แนวทางของกระทรวงเกษตรเข้ามาบูรณาการทั้งการลดต้นทุน การเพิ่มผลผลิต และดัดแปลงให้มะม่วงออกผลนอกฤดูกาลเพื่อให้ราคาดีขึ้นและการทําตลาดซึ่งกลุ่มเกษตรกรมีการส่งออก กิโลกรัมละ 140 บาท ส่งไปยังเกาหลี 60% ญี่ปุ่น 30% จีนและยุโรปอีก 10% โดยในปี 2559 ส่งออกกว่า 226 ตัน สร้างรายได้กว่า 25 ล้านบาท
...................................
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ลงพื้นที่ขอนแก่นตรวจการบ้านซิงเกิลคอมมานด์ พร้อมลงตรวจแปลงใหญ่ผักปลอดภัย
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2560
รัฐมนตรีเกษตรฯ ลงพื้นที่ขอนแก่นตรวจการบ้านซิงเกิลคอมมานด์ พร้อมลงตรวจแปลงใหญ่ผักปลอดภัย
รัฐมนตรีเกษตรฯ ลงพื้นที่ขอนแก่นตรวจการบ้านซิงเกิลคอมมานด์ พร้อมลงตรวจแปลงใหญ่ผักปลอดภัย –มะม่วงน้ําดอกไม้สีทองชี้เกษตรกรปรับแผนปลูกตามแนวรัฐ เชื่อภายใน 5 ปีดันแปลงใหญ่ 7 พันแปลงตามเป้า
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายนโยบายของกระทรวงเกษตรแบบเบ็ดเสร็จ หรือ ซิงเกิลส์คอมมานด์ จ.ขอนแก่น เพื่อติดตามผลการดําเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรในปี 2560 และเพื่อคัดเลือกแปลงใหญ่ที่ซิงเกิลคอมมานด์นําเสนอก่อนลงพื้นที่จริงณ สํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดขอนแก่น ว่า ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯต้องเป็นสมาทร์ออฟฟิตเชอร์ให้ได้ ต้องเก่งก่อนจึงไปสอนเกษตรกรเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ได้ ซึ่งนโยบายของกระทรวงเน้นย้ําให้ทุกพื้นที่นํากระบวนการสหกรณ์มาพัฒนาเกษตรแปลงใหญ่ ร่วมกับจัดโซนนิ่งเกษตร ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสานตามแนวทษฎีใหม่ ธนาคารเกษตร วางแผนผลิตข้าวครบวงจร จัดที่ดินทํากิน ในพื้นที่สปก. และวางระบบส่งน้ําให้ทั่วถึงพื้นที่เกษตรมากที่สุด เพื่อขับเคลื่อนเกษตรแปลงใหญ่ให้เกิดขึ้นจริงตามที่ได้ตามเป้าหมายกว่า 7,000 แปลงภายในระยะเวลา 5 ปี
“เป้าหมายการผลักดันแปลงใหญ่ ใน 5 ปี มี 7,000 แปลง มีการบริหารจัดการที่ดี ผลิตสินค้ามีคุณภาพ โดยในปี59 จากแปลงใหญ่600 แปลง ทําได้จริง 400 แปลงสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 1,500ล้านบาท เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม 4 หมื่นกว่าบาท/ราย ปีนี้อัตราการเพิ่มแปลงใหญ่จะสูงขึ้น โดยหัวใจสําคัญ คือ การนําเอานวตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วย มีการตลาดรองรับ” พลเอกฉัตรชัย กล่าว
พลเอกฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า พื้นที่แปลงใหญ่ที่จะลงตรวจเยี่ยมแบบไม่มีการเตรียมการหรือแจ้งล่วงหน้าครั้งนี้ มีด้วยกัน 2 แปลง คือ แปลงผักปลอดภัยกลุ่มเกษตรกรทําสวนบ้านโนนเขลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกตามนโยบายแปลงใหญ่ จากพื้นที่ปลูกข้าวเดิมและปลูกผักเคมีมาเป็นผักปลอดภัย GAPจํานวน 360 ไร่ เกษตรกร 50 ราย ซึ่งนอกจากกระทรวงเกษตรฯ โดยหน่วยงานในพื้นที่จะพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีการผลิต ยังได้ประสานให้เทสโก้โลตัสเข้ามารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรเฉลี่ย 13,000 กก.รายได้ประมาณ 37,000 บาท/วัน
จากนั้นได้ลงพื้นที่วิสาหกิจชุมชนมะม่วงบ้านแฮด ต.หนองแซง อ.บ้านแฮด ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ที่ปลูกมะม่วงน้ําดอกไม้สีทอง 1,323 ไร่ สมาชิก 55 ราย โดยใช้แนวทางของกระทรวงเกษตรเข้ามาบูรณาการทั้งการลดต้นทุน การเพิ่มผลผลิต และดัดแปลงให้มะม่วงออกผลนอกฤดูกาลเพื่อให้ราคาดีขึ้นและการทําตลาดซึ่งกลุ่มเกษตรกรมีการส่งออก กิโลกรัมละ 140 บาท ส่งไปยังเกาหลี 60% ญี่ปุ่น 30% จีนและยุโรปอีก 10% โดยในปี 2559 ส่งออกกว่า 226 ตัน สร้างรายได้กว่า 25 ล้านบาท
...................................
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1542
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลส่งเสริมการพัฒนาและค้าขายทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา
|
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562
รัฐบาลส่งเสริมการพัฒนาและค้าขายทุเรียนสะเด็ดน้ํายะลา
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลส่งเสริมการพัฒนาและค้าขายทุเรียนสะเด็ดน้ํายะลา ซึ่งเป็นทุเรียนคุณภาพ รสชาติดี เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ มีผลผลิตรวมมากกว่า 41,000 ตันต่อปี ช่วยสร้างรายได้ 1,600 ล้านบาทต่อปี โดยจังหวัดยะลาเป็นแหล่งปลูกทุเรียนแหล่งใหญ่ที่สุดในภาคใต้ตอนล่าง จึงกําหนดแนวทางการพัฒนา “ยะลาเมืองทุเรียน” เน้นการผลิตทุเรียนแบบแปลงใหญ่เป็นหลัก ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพผลผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มจากการแปรรูป พร้อมทั้งสนับสนุนด้านการตลาดครอบคุลมทั้งการค้าส่งและธุรกิจแปรรูปทุเรียนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลที่ต้องการให้เกษตรกรมีทางเลือกในการเพาะปลูก ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ ทดแทนการปลูกพืชเพียงชนิดเดียว
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลส่งเสริมการพัฒนาและค้าขายทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562
รัฐบาลส่งเสริมการพัฒนาและค้าขายทุเรียนสะเด็ดน้ํายะลา
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลส่งเสริมการพัฒนาและค้าขายทุเรียนสะเด็ดน้ํายะลา ซึ่งเป็นทุเรียนคุณภาพ รสชาติดี เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ มีผลผลิตรวมมากกว่า 41,000 ตันต่อปี ช่วยสร้างรายได้ 1,600 ล้านบาทต่อปี โดยจังหวัดยะลาเป็นแหล่งปลูกทุเรียนแหล่งใหญ่ที่สุดในภาคใต้ตอนล่าง จึงกําหนดแนวทางการพัฒนา “ยะลาเมืองทุเรียน” เน้นการผลิตทุเรียนแบบแปลงใหญ่เป็นหลัก ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพผลผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มจากการแปรรูป พร้อมทั้งสนับสนุนด้านการตลาดครอบคุลมทั้งการค้าส่งและธุรกิจแปรรูปทุเรียนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลที่ต้องการให้เกษตรกรมีทางเลือกในการเพาะปลูก ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ ทดแทนการปลูกพืชเพียงชนิดเดียว
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22171
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์
|
วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561
ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์
นายกฯ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมกําชับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเตรียมรับมือสภาพอากาศแปรปรวนและมาตรการดูแลบรรเทาทุกข์ประชาชนหากเกิดเหตุจากสถานการณ์ดังกล่าวขึ้น
วันนี้ (17 เม.ย. 61 ) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯพ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีแจ้งต่อที่ประชุมว่า นายกรัฐมนตรีขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนและอาสาสมัครต่าง ๆ ที่ได้ช่วยกันดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทางในช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามแม้เทศกาลสงกรานต์จะเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ช่วยกันรณรงค์เรื่องความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนอย่างต่อเนื่องต่อไป เนื่องจากปีนี้ยังพบว่ามีการเกิดอุบัติเหตุและการสูญเสียในอัตราที่สูง ถึงแม้รัฐบาลจะมีการตั้งด่านกวดขัน บังคับใช้และควบคุมดูแลความปลอดภัยบนถนนสายหลัก แต่บนถนนสายรองยังมีการละเมิดกฎจราจรจํานวนมาก นายกรัฐมนตรี จึงเน้นย้ําว่าในครั้งต่อไปให้ดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกทั้งในส่วนของถนนสายหลักควบคู่ถนนสายรองต่าง ๆ ด้วย รวมถึงกวดขันให้มากขึ้นในเรื่องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสุรา และการขับขี่รถเร็วเกินกว่าที่กําหนด
พร้อมกันนี้ ขอให้สื่อมวลชนได้ช่วยกันแจ้งเตือนประชาชนรับทราบเกี่ยวกับสภาพอากาศและฝนตกฟ้าคะนองในช่วงนี้ รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในด้านการบรรเทาทุกข์ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ตลอดจนมาตรการดูแลช่วยเหลือประชาชนหากเกิดเหตุขึ้นจากสภาพอากาศแปรปรวน
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์
วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561
ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์
นายกฯ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมกําชับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเตรียมรับมือสภาพอากาศแปรปรวนและมาตรการดูแลบรรเทาทุกข์ประชาชนหากเกิดเหตุจากสถานการณ์ดังกล่าวขึ้น
วันนี้ (17 เม.ย. 61 ) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯพ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีแจ้งต่อที่ประชุมว่า นายกรัฐมนตรีขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนและอาสาสมัครต่าง ๆ ที่ได้ช่วยกันดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทางในช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามแม้เทศกาลสงกรานต์จะเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ช่วยกันรณรงค์เรื่องความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนอย่างต่อเนื่องต่อไป เนื่องจากปีนี้ยังพบว่ามีการเกิดอุบัติเหตุและการสูญเสียในอัตราที่สูง ถึงแม้รัฐบาลจะมีการตั้งด่านกวดขัน บังคับใช้และควบคุมดูแลความปลอดภัยบนถนนสายหลัก แต่บนถนนสายรองยังมีการละเมิดกฎจราจรจํานวนมาก นายกรัฐมนตรี จึงเน้นย้ําว่าในครั้งต่อไปให้ดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกทั้งในส่วนของถนนสายหลักควบคู่ถนนสายรองต่าง ๆ ด้วย รวมถึงกวดขันให้มากขึ้นในเรื่องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสุรา และการขับขี่รถเร็วเกินกว่าที่กําหนด
พร้อมกันนี้ ขอให้สื่อมวลชนได้ช่วยกันแจ้งเตือนประชาชนรับทราบเกี่ยวกับสภาพอากาศและฝนตกฟ้าคะนองในช่วงนี้ รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในด้านการบรรเทาทุกข์ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ตลอดจนมาตรการดูแลช่วยเหลือประชาชนหากเกิดเหตุขึ้นจากสภาพอากาศแปรปรวน
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11538
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. เชื่อมั่นผลการตัดสินคดี FRCD ไม่กระทบ ยันสู้คดียื่นศาลฎีกา
|
วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2560
ธพว. เชื่อมั่นผลการตัดสินคดี FRCD ไม่กระทบ ยันสู้คดียื่นศาลฎีกา
ความคืบหน้ากรณีธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) จํากัด (มหาชน) (SCBT) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ธพว. เป็นจําเลย
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณี ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) จํากัด (มหาชน) (SCBT) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ธพว. เป็นจําเลย เพื่อเรียกค่าเสียหายตามสัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Cross Currency Swap /CCS) และสัญญาป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Swap /IRS) บนบัตรเงินฝากชนิดดอกเบี้ยลอยตัว (FRCD) จํานวนคดีมีทุนทรัพย์รวมประมาณ 6,000 ล้านบาท ต่อศาลแพ่งจํานวนทั้งสิ้น 3 คดี เมื่อปี 2551 และ 2552 ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษา เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2558 ให้ ธพว. ชนะคดีโดยยกฟ้องทั้ง 3 คดี ต่อมาโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้มีคําพิพากษา เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2560 พิจารณาให้ ธพว. ชําระหนี้ตามคําพิพากษาตามจํานวนดังกล่าวนั้น
กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรณีข้อพิพาทดังกล่าว เป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2549 และต่อมาได้ต่อสู้คดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ซึ่งจากผลของคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ธนาคารจะใช้สิทธิ์ต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกาต่อไป ส่วนผลของคดีจะเป็นอย่างไร ธพว. ยินดีและพร้อมปฏิบัติตามคําพิพากษาทุกประการ สําหรับฐานะการเงินของธนาคารมีความแข็งแกร่ง ณ สิ้นปี 2559 ธนาคารมีกําไรถึง 1,600 ลบ. ยังมีเงินกองทุนและมีเงินสํารองหนี้ส่วนเกินรองรับความเสียหายที่เพียงพอและเกินกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้ BIS Ratio ตามเกณฑ์ Basel’ ไว้ที่ร้อยละ 8.5 ขณะนี้ธนาคารมีกองทุนขั้นที่ 1 มี.ค. 2560 ที่ร้อยละ 11.55 และกรณีเมื่อมีการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ในกองทุนขั้นที่ 2 ก็จะมีกองทุนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 รวมกันเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 12 ซึ่งจะทําให้ฐานะทางการเงินมีความแข็งแกร่ง เพียงพอต่อการชําระหนี้ตามความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นหากผลของคําพิพากษาให้ ธพว. ชําระหนี้ โดยไม่มีผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ ธพว. และผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน โดย ธพว. ยังสามารถดําเนินการตามแผนพันธกิจผู้ประกอบการรายย่อยปี 2560 ได้เป็นปกติ รวมถึงมีความพร้อมในการสนองนโยบายภาครัฐเพื่อผลักดันขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เดินหน้าต่อไป ในส่วนของคดี ธพว. ยืนยันจะต่อสู้ในชั้นศาลฎีกา เพราะเชื่อมั่นในความยุติธรรม และมีพยานหลักฐานสําคัญที่จะสามารถยกขึ้นต่อสู้คดีในหลายประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อธนาคาร โดยการยื่นฎีกาตามกระบวนการจะใช้เวลาภายใน 30 วัน”
ทั้งนี้ ธนาคารได้รายงานข้อมูลดังกล่าว ต่อคณะกรรมการธนาคาร กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารแห่งประเทศไทยรับทราบแล้ว
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861 หรือ 0-265-4574-5
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. เชื่อมั่นผลการตัดสินคดี FRCD ไม่กระทบ ยันสู้คดียื่นศาลฎีกา
วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2560
ธพว. เชื่อมั่นผลการตัดสินคดี FRCD ไม่กระทบ ยันสู้คดียื่นศาลฎีกา
ความคืบหน้ากรณีธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) จํากัด (มหาชน) (SCBT) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ธพว. เป็นจําเลย
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณี ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) จํากัด (มหาชน) (SCBT) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ธพว. เป็นจําเลย เพื่อเรียกค่าเสียหายตามสัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Cross Currency Swap /CCS) และสัญญาป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Swap /IRS) บนบัตรเงินฝากชนิดดอกเบี้ยลอยตัว (FRCD) จํานวนคดีมีทุนทรัพย์รวมประมาณ 6,000 ล้านบาท ต่อศาลแพ่งจํานวนทั้งสิ้น 3 คดี เมื่อปี 2551 และ 2552 ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษา เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2558 ให้ ธพว. ชนะคดีโดยยกฟ้องทั้ง 3 คดี ต่อมาโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้มีคําพิพากษา เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2560 พิจารณาให้ ธพว. ชําระหนี้ตามคําพิพากษาตามจํานวนดังกล่าวนั้น
กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรณีข้อพิพาทดังกล่าว เป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2549 และต่อมาได้ต่อสู้คดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ซึ่งจากผลของคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ธนาคารจะใช้สิทธิ์ต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกาต่อไป ส่วนผลของคดีจะเป็นอย่างไร ธพว. ยินดีและพร้อมปฏิบัติตามคําพิพากษาทุกประการ สําหรับฐานะการเงินของธนาคารมีความแข็งแกร่ง ณ สิ้นปี 2559 ธนาคารมีกําไรถึง 1,600 ลบ. ยังมีเงินกองทุนและมีเงินสํารองหนี้ส่วนเกินรองรับความเสียหายที่เพียงพอและเกินกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้ BIS Ratio ตามเกณฑ์ Basel’ ไว้ที่ร้อยละ 8.5 ขณะนี้ธนาคารมีกองทุนขั้นที่ 1 มี.ค. 2560 ที่ร้อยละ 11.55 และกรณีเมื่อมีการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ในกองทุนขั้นที่ 2 ก็จะมีกองทุนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 รวมกันเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 12 ซึ่งจะทําให้ฐานะทางการเงินมีความแข็งแกร่ง เพียงพอต่อการชําระหนี้ตามความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นหากผลของคําพิพากษาให้ ธพว. ชําระหนี้ โดยไม่มีผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ ธพว. และผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน โดย ธพว. ยังสามารถดําเนินการตามแผนพันธกิจผู้ประกอบการรายย่อยปี 2560 ได้เป็นปกติ รวมถึงมีความพร้อมในการสนองนโยบายภาครัฐเพื่อผลักดันขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เดินหน้าต่อไป ในส่วนของคดี ธพว. ยืนยันจะต่อสู้ในชั้นศาลฎีกา เพราะเชื่อมั่นในความยุติธรรม และมีพยานหลักฐานสําคัญที่จะสามารถยกขึ้นต่อสู้คดีในหลายประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อธนาคาร โดยการยื่นฎีกาตามกระบวนการจะใช้เวลาภายใน 30 วัน”
ทั้งนี้ ธนาคารได้รายงานข้อมูลดังกล่าว ต่อคณะกรรมการธนาคาร กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารแห่งประเทศไทยรับทราบแล้ว
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861 หรือ 0-265-4574-5
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4896
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ประชุมขับเคลื่อนการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค ภาคเหนือ
|
วันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561
ศธ.ประชุมขับเคลื่อนการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค ภาคเหนือ
กระทรวงศึกษาธิการ จัดประชุมขับเคลื่อนการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ของกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่ 28-29 ตุลาคม 2561 ที่โรงแรมทีค การ์เด้น สปา รีสอร์ท อําเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงราย เพื่อชี้แจงแนวนโยบาย สร้างการรับรู้ ระดมความคิดเห็น
29ตุลาคม 2561 -กระทรวงศึกษาธิการ จัดประชุมขับเคลื่อนการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ)ของกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่28-29ตุลาคม 2561 ที่โรงแรมทีค การ์เด้น สปา รีสอร์ท อําเภอเมืองฯจังหวัดเชียงราย เพื่อชี้แจงแนวนโยบาย สร้างการรับรู้ ระดมความคิดเห็น และข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อนแผนการบูรณาการด้านการศึกษา ปีงบประมาณ 2562-2563เขตพื้นที่ภาคเหนือ ในมิติ3ด้าน คือ1) การขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค2) การส่งเสริมเวทีและประชาคมเพื่อการจัดทํารูปแบบและแนวทางการพัฒนาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงการศึกษาขั้นพื้นฐาน-อาชีวศึกษา-อุดมศึกษา3) การขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่ โดยได้กําหนดให้เป็นหนึ่งในภารกิจของพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการในการติดตามการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน)
นายอํานาจ วิชยานุวัติ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวสรุปถึงผลการประชุมในครั้งนี้ว่า ที่ประชุมได้มีการแบ่งกลุ่มระดมความคิดเห็นและหารือเพื่อวางแผนการขับเคลื่อนการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ20ปี รวมทั้งแผนแม่บทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําไปสู่การวางแผนและการดําเนินงานขับเคลื่อนด้านการศึกษาของหน่วยงานและสถานศึกษาทุกระดับ ปีงบประมาณ2562-2563จํานวน3กลุ่ม ใน3ประเด็น ดังนี้
1)การขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ)ได้ดําเนินงานขับเคลื่อนแผนบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมีเป้าหมายพัฒนาพื้นที่ภาคเหนือให้เป็น"ฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง เชื่อมโยงเศรษฐกิจกับประเทศในกลุ่มอนุภาคลุ่มแม่น้ําโขง"โดยมีแผนงานโครงการของทุกหน่วยงานกระทรวงศึกษาธิการในพื้นที่ภาคเหนือ17จังหวัดที่เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณภายใต้แผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ)ปีงบประมาณ พ.ศ.2563ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ภาคเหนือ5ด้าน ดังนี้
พัฒนาการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการต่อเนื่องให้มีคุณภาพ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืนและทั่วถึง ต่อยอดการผลิตสินค้าและบริการที่มีศักยภาพสูงด้วยภูมิปัญญาและนวัตกรรมจํานวน63โครงการ2,994ล้านบาท
ใช้โอกาสจากเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาคGMS BIMSTECและAECเพื่อขยายฐานเศรษฐกิจของภาคจํานวน40โครงการ2,430ล้านบาท
ยกระดับเป็นฐานการผลิตเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัย เชื่อมโยงสู่อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงจํานวน89โครงการ5,954ล้านบาท
พัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาความยากจน พัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุอย่างมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน ยกระดับฝีมือแรงงานภาคบริการจํานวน21โครงการ3,020ล้านบาท
อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ําให้คงความสมบูรณ์ จัดระบบบริหารจัดการน้ําอย่างเหมาะสมและเชื่อมโยงพื้นที่เกษตรให้ทั่วถึง ป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันอย่างยั่งยืนจํานวน18โครงการ1,877ล้านบาท
2) การส่งเสริมเวทีและประชาคมเพื่อการจัดทํารูปแบบและแนวทางการพัฒนาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงการศึกษาขั้นพื้นฐานกับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาในเขตพื้นที่ภาคเหนือได้กําหนดแนวทางดําเนินงานโครงการฯ เพื่อให้การพัฒนาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา ดังนี้
ปีงบประมาณ พ.ศ.2561มีโครงการ/กิจกรรมในการพัฒนารูปแบบและแนวทางการพัฒนาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยง จํานวนทั้งสิ้น88หลักสูตร แยกเป็น
-สํานักงานศึกษาธิการภาค15จํานวน3หลักสูตร เชียงใหม่5ลําปาง3ลําพูน9แม่ฮ่องสอน5หลักสูตร
- สํานักงานศึกษาธิการภาค16จํานวน4หลักสูตร เชียงราย3พะเยา3แพร่3น่าน3หลักสูตร
- สํานักงานศึกษาธิการภาค17จํานวน4หลักสูตร พิษณุโลก5เพชรบูรณ์7อุตรดิตถ์4ตาก4สุโขทัย3หลักสูตร
- สํานักงานศึกษาธิการภาค18จํานวน4หลักสูตร นครสวรรค์5อุทัยธานี3กําแพงเพชร3พิจิตร8หลักสูตร
ปีงบประมาณ พ.ศ.2562วางแผนติดตามประเมินผลการพัฒนาหลักสูตรดังกล่าว รวมทั้งวิจัยและพัฒนาความต้องการหลักสูตรให้เกิดความต่อเนื่อง
ปีงบประมาณ พ.ศ.2563สร้างนวัตกรรมการเรียนการสอน พัฒนาเพิ่มศักยภาพบุคลากร และสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงการเรียนรู้
ทั้งนี้ ได้กําหนดปัจจัยความสําเร็จ7ด้าน คือ การบูรณาการทรัพยากร ยกเลิกข้อจํากัดหลักเกณฑ์และวิธีการ ความมีอิสระในการปรับหลักสูตรและแผนการเรียน ความยืดหยุ่นในการใช้ทรัพยากรCredit Bank/Credit Transfer/เทียบโอนประสบการณ์ เครื่องมือวัดความถนัด และการติดตามระบบการส่งต่อ โดยปัญหาที่พบการดําเนินงานคือ ปัญหาด้านการใช้จ่ายงบประมาณระหว่างหน่วยงานบูรณาการ
3) การดําเนินงานพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาในปัจจุบันมี6จังหวัดนําร่องใน6ภาคทั่วประเทศ โดยภาคเหนือตั้งอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งได้วางแนวทางพัฒนาการเป็น "พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่" ในปีงบประมาณ พ.ศ.2561-2562ให้สอดคล้องเป้าหมายอัตลักษณ์คนเชียงใหม่ สิ่งแวดล้อมน่าอยู่ ความปลอดภัย สุขภาพ การศึกษา และท่องเที่ยวและบริการ เพื่อให้"เชียงใหม่เป็นนครแห่งคุณภาพชีวิตและการเรียนรู้คลอดชีวิต"ที่ได้มีการกําหนดคุณลักษณะผู้เรียนเชียงใหม่ไว้หลายด้าน อาทิ เป็นพลเมืองผู้สง่างามตามวิถีไทย มีจิตสาธารณะ มีทักษะอาชีพ มีสุขภาพดีจิตใจเข้มแข็ง มีความรอบรู้ เขียนได้ คิดเลขเป็น เข้าใจ3ภาษา มีวินัยซื่อสัตย์ ใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัล เห็นคุณค่าและให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นต้น
โดยได้กําหนดแนวทางการขับเคลื่อน ตามทฤษฎี "สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา"ที่มาจากการดําเนินงาน3ด้าน คือ นโยบาย ภาคประชาสังคม และเครือข่ายสถานศึกษา
สําหรับข้อเสนอแนะในการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่คือ การพัฒนานวัตกรรมในพื้นที่ควรมีความสอดคล้องกับนโยบายการปฏิรูปการศึกษา นวัตกรรมควรเหมาะสมและครอบคลุมกลุ่มผู้เรียน การปรับปรุงหลักสูตรควรเหมาะสมกับสภาพบริบท การปรับปรุงการวัดและประเมินผล คํานึงถึงระเบียบการบริหารงบประมาณของสถานศึกษา ควรลดภาระงานที่ไม่จําเป็นของสถานศึกษา ควรปรับปรุงเกณฑ์การบริหารงานบุคคลให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานศึกษา ควรเน้นการประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ และเน้นการบูรณาการร่วมกันของสถาบันทุกระดับในพื้นที่
รมช.ศธ.มอบแนวทางดําเนินงาน
และข้อเสนอแนะในการทํางาน
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการกล่าวภายหลังที่ได้รับฟังการสรุปผลการประชุมทั้ง3กลุ่มว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการประชุมที่สมบูรณ์และพร้อมเพรียงกัน เป็นการทํางานภาพรวมเชิงบูรณาการครั้งสําคัญของกระทรวงศึกษาธิการที่ผู้บริหารระดับสูงสุดของทุกองค์กรหลักและหน่วยงานในสังกัดได้มารับฟังและให้ข้อคิดเห็นในการประชุมครั้งนี้
ทั้งนี้ การวางแผนและขับเคลื่อนการทํางานของกระทรวงศึกษาธิการได้น้อมนําพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ในหลวงรัชกาลที่ 9) มาเป็นแนวทางการขับเคลื่อนการทํางาน อาทิ พระบรมราโชวาทตอนหนึ่งว่า"งานด้านการศึกษาเป็นงานสําคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชาติ เพราะความเจริญและความเสื่อมของชาตินั้น ขึ้นอยู่กับการศึกษาของพลเมืองเป็นข้อใหญ่ ดังนั้น จึงต้องจัดการศึกษาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น"(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตวิทยาลัยวิชาการศึกษา ประสานมิตร 12 ธันวาคม 2512) และพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอดศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 รวมทั้งมีพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ที่มุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน ได้แก่ การสร้างทัศนคติที่ดีต่อบ้านเมือง,การสร้างลักษณะพื้นฐานที่มั่นคง มีคุณธรรม,เรียนแล้วมีงานทํา มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ รัฐบาล"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี"ได้วางแผนการทํางานของรัฐบาลโดยมีหน่วยงานและคณะกรรมการระดับประเทศร่วมดําเนินการให้สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ20ปี (พ.ศ.2561-2580)เช่น สภาพัฒน์หรือคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่เข้ามาช่วยวางแผนการศึกษาให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ในระยะยาว เพื่อนําไปสู่วิสัยทัศน์ประเทศคือ“ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”หรือเป็นคติพจน์ประจําชาติว่า“มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”
สําหรับการประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นช่วงต้นปีงบประมาณ ซึ่งมีความเหมาะสมที่จะเป็นการนําแผนงานงบประมาณของปีงบประมาณ2561มาทบทวนว่าโครงการใดที่มีความเหมาะสมก็ให้คงเอาไว้หรือพัฒนางานให้เกิดคุณภาพมากยิ่งขึ้น และมีความเหมาะสมกับวงรอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบฯ ปีงบประมาณ2563อีกด้วย ซึ่งจากการรับฟังทั้ง3กลุ่มดังกล่าว มีข้อเสนอแนะดังนี้
การเสนอของบประมาณแผนการบูรณาการด้านการศึกษาให้เป็นไปตามเหตุผลความจําเป็น โดยทุกพื้นที่ในประเทศไทยถือว่าเป็นพื้นที่พิเศษทั้งหมดตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการไว้แล้ว แต่ในขณะเดียวกันบางพื้นที่ที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก หรือเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ติดอยู่ชายแดน ก็ต้องนําข้อมูลต่าง ๆ มาพิจารณาวางแผนทบทวนพร้อมกันด้วย เพราะการทําแผนถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่การขับเคลื่อนตามแผนให้เกิด "ผลสัมฤทธิ์-เป็นรูปธรรม-เกิดความยั่งยืน" ยิ่งมีความสําคัญมากกว่า
การพัฒนาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงการศึกษาขั้นพื้นฐานกับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาทุกหลักสูตรล้วนมีความสําคัญทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมด้านอาชีวะ ถือว่าช่วยสร้างความเข้มแข็งและสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ เพราะถ้าผู้เรียนมีฝีมือ มีทักษะ มีรายได้แล้ว ก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี เกิดภาพความเจริญก้าวหน้าได้ชัดเจน และแม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการได้จัดงบประมาณในลักษณะFunctionไปแล้ว แต่ก็ต้องนํางบประมาณมาบูรณาการร่วมกันให้เป็นการทํางานลักษณะIntegrateให้ได้
การเป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการได้กําหนดพื้นที่นวัตกรรมจังหวัดนําร่องไว้แล้ว6จังหวัด ใน6ภาค คือ ภาคใต้ ที่สตูล, ภาคใต้ชายแดน ที่ปัตตานี, ภาคกลาง ที่กาญจนบุรี, ภาคตะวันออก ที่ระยอง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ศรีสะเกษ และภาคเหนือ ที่เชียงใหม่ ซึ่งในระหว่างที่กฎหมายยังไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา กระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมการพัฒนาพื้นทั้ง6จังหวัดนําร่องไปพลางก่อน โดยเป็นความสมัครใจของสถานศึกษาที่จะเข้าร่วม เพราะในการดําเนินงานอาจจําเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบหลักเกณฑ์ให้เอื้ออํานวยต่อการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรม อย่างไรก็ตามในพื้นที่ใดที่ไม่ได้เป็นจังหวัดนําร่อง ก็สามารถทําคู่ขนานกันไปได้
โอกาสนี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ฝากข้อคิดหลักการทํางานให้ประสบผลสําเร็จอย่างมีคุณภาพด้วยว่า ขอให้ยึดหลัก5ร. คือ "ริเริ่ม รวดเร็ว รอบคอบ รอบด้าน (งาน) เรียบร้อย" และขอให้นําข้อคิดไปปฏิบัติให้เกิดความรอบด้าน คือ "คิดให้ครบ ทบทวนเป็นห้วงๆ ห่วงการรับรู้ สู่การบูรณาการ สืบสานศาสตร์พระราชา เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน"
ผู้บริหารองค์กรหลัก
ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ"ความสําคัญของการบูรณาการงานของกระทรวงศึกษาธิการต้องทําให้สําเร็จ โดยเริ่มต้นจากการบูรณาการภายในกระทรวง ก่อนที่จะนําไปสู่การบูรณาการภายนอกกระทรวง ซึ่งการบูรณาการต้องอาศัยภาคเอกชนและภาคประชาสังคมเข้ามาร่วมมือกับภาครัฐ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนและพื้นที่"
นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน"การบูรณาการควรเริ่มต้นจากการนําโจทย์ของประเทศเป็นกรอบบูรณาการทางความคิด ขณะนี้รัฐบาลได้กําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นโจทย์ในรูปแบบ Top Down ในภาพรวมจากระดับนโยบายสู่การปฏิบัติ เพื่อให้ทุกส่วนใช้เป็นกรอบพัฒนาตามเป้าหมายพัฒนาประเทศระยะยาว โดยแบ่งภาคออกเป็น 6 ภาค เพื่อรวบรวมบุคลากรและปัญหาของแต่ละพื้นที่ และช่วยกันคิดและวางเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อจะใช้เป็นจิ๊กซอว์ประกอบรวมกันในแต่ละภาค จนกลายเป็นภาพของประเทศ และในระดับจังหวัดก็ได้มีการวิเคราะห์ศักยภาพและข้อจํากัดต่าง ๆ เพื่อกําหนดยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ซึ่งมีจุดเน้นตามบริบทของแต่ละพื้นที่
เขตพื้นที่การศึกษาและสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด/ภาคจึงต้องนํายุทธศาสตร์มาวางแผนงานเพื่อให้เกิดผลการทํางานตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ได้จริง ซึ่ง "คน" เป็นปัจจัยที่มีความสําคัญมากต่อการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ จึงต้องมีการเรียนรู้และวางแผนร่วมกันอย่างจริงจัง อาทิ การส่งเสริมสัดส่วนผู้เรียนอาชีวะเพิ่มขึ้น ยังขาดการส่งเสริมการเรียนจากการปฏิบัติจริง การเรียนการสอนยังไม่สนับสนุนให้เด็กค้นพบตัวตน ความชอบ และความถนัด
ขณะนี้ สพฐ.เริ่มปูเส้นทางเด็กโดยร่วมกับสถาบันอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัยเข้ามาให้ความรู้ สร้างเจตคติและความเชื่อมั่น ที่จะเป็นการกระตุ้นให้เด็กต้องการไปเรียนในสถานศึกษาและในสาขาที่เปิดสอนตามความเชี่ยวชาญ โดยมีแนวทางดําเนินงาน เช่นเร่งให้เด็กรู้จักตัวตนให้เร็วที่สุดด้วยการเรียนแบบ Active Learningสร้างเสริมทักษะสอดคล้องกับความต้องการ ความชอบ ตามเป้าหมายอนาคตของเด็กแต่ละคน สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถานประกอบการกับครู ฯลฯ
สําหรับการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนขอให้สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ โดยการปรับปรุงหลักสูตรให้คงไว้ซึ่งการเรียนใน 8 กลุ่มสาระวิชา ส่วนที่จะสอนเสริมเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกีฬา อาชีพ หรือดนตรี ให้มีความเข้มข้นรองลงมา และอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม ซึ่งขณะนี้ สพฐ.ได้ดําเนินการตามแนวทางนี้ และประสบความสําเร็จในโครงการห้องเรียนอาชีพเป็นอย่างมาก
นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา"หากต้องการให้ประเทศชาติมีความเข้มแข็ง การอาชีวศึกษาก็ต้องมีความเข้มแข็งมากขึ้น จึงต้องมีการปลูกฝังและเชื่อมโยงกันตั้งแต่ระดับอนุบาล ในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย อีกทั้งต้องสร้างการรับรู้ให้สังคมรับทราบว่าปัจจุบันอาชีวศึกษาเรียนจบแล้วไม่ตกงาน เงื่อนไขความสําเร็จของการเชื่อมโยงหลักสูตรทุกระดับถือเป็นเรื่องสําคัญมาก อยากให้ช่วยคิดและทําร่วมกัน จัดทําแผนให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานกันจริงๆ เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติ แม้ที่ผ่านมาจะทําแล้ว แต่อาจจะยังไม่สําเร็จเท่าที่ควร นอกจากนี้ ต้องให้ความสําคัญกับระบบข้อมูล Big Data ที่จะต้องชัดเจนและเชื่อมโยงกันทุกระดับการศึกษา ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการ อีกทั้งเราจะทลายแท่งไซโลได้อย่างไร โดยเฉพาะการทํางานในระดับพื้นที่ซึ่งมีความสําคัญมากต่อความสําเร็จและความเป็นเอกภาพในการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ"
นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา"แผนบูรณาการศึกษาในภาพรวมของกระทรวงศึกษาธิการถือเป็นเรื่องสําคัญต่อการจัดการศึกษาในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมต่อระหว่างอุดมศึกษากับอาชีวศึกษา การต่อจิ๊กซอว์หลักสูตรการเรียนรู้ในระดับต่าง ๆเข้าด้วยกันเพื่อเติมเต็มและสามารถขับเคลื่อนได้ ถือเป็นความสําเร็จที่จะส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา และการพัฒนาของผู้เรียนในทุกระดับ"
อนึ่งในการประชุมครั้งนี้ ยังมีผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วม อาทิ พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายอํานาจ วิชยานุวัติ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายประชาคม จันทรชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายพิธาน พื้นทอง และนางปัทมา วีระวานิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ, นายชลํา อรรถธรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน, นายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการสํานักงาน กศน.ตลอดจนศึกษาธิการภาค15-18ศึกษาธิการจังหวัด ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ฯลฯ
Writtenbyนวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน, ปกรณ์ เรืองยิ่ง
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ประชุมขับเคลื่อนการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค ภาคเหนือ
วันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561
ศธ.ประชุมขับเคลื่อนการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค ภาคเหนือ
กระทรวงศึกษาธิการ จัดประชุมขับเคลื่อนการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ของกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่ 28-29 ตุลาคม 2561 ที่โรงแรมทีค การ์เด้น สปา รีสอร์ท อําเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงราย เพื่อชี้แจงแนวนโยบาย สร้างการรับรู้ ระดมความคิดเห็น
29ตุลาคม 2561 -กระทรวงศึกษาธิการ จัดประชุมขับเคลื่อนการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ)ของกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่28-29ตุลาคม 2561 ที่โรงแรมทีค การ์เด้น สปา รีสอร์ท อําเภอเมืองฯจังหวัดเชียงราย เพื่อชี้แจงแนวนโยบาย สร้างการรับรู้ ระดมความคิดเห็น และข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อนแผนการบูรณาการด้านการศึกษา ปีงบประมาณ 2562-2563เขตพื้นที่ภาคเหนือ ในมิติ3ด้าน คือ1) การขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค2) การส่งเสริมเวทีและประชาคมเพื่อการจัดทํารูปแบบและแนวทางการพัฒนาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงการศึกษาขั้นพื้นฐาน-อาชีวศึกษา-อุดมศึกษา3) การขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่ โดยได้กําหนดให้เป็นหนึ่งในภารกิจของพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการในการติดตามการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน)
นายอํานาจ วิชยานุวัติ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวสรุปถึงผลการประชุมในครั้งนี้ว่า ที่ประชุมได้มีการแบ่งกลุ่มระดมความคิดเห็นและหารือเพื่อวางแผนการขับเคลื่อนการบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ20ปี รวมทั้งแผนแม่บทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําไปสู่การวางแผนและการดําเนินงานขับเคลื่อนด้านการศึกษาของหน่วยงานและสถานศึกษาทุกระดับ ปีงบประมาณ2562-2563จํานวน3กลุ่ม ใน3ประเด็น ดังนี้
1)การขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ)ได้ดําเนินงานขับเคลื่อนแผนบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมีเป้าหมายพัฒนาพื้นที่ภาคเหนือให้เป็น"ฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง เชื่อมโยงเศรษฐกิจกับประเทศในกลุ่มอนุภาคลุ่มแม่น้ําโขง"โดยมีแผนงานโครงการของทุกหน่วยงานกระทรวงศึกษาธิการในพื้นที่ภาคเหนือ17จังหวัดที่เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณภายใต้แผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ)ปีงบประมาณ พ.ศ.2563ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ภาคเหนือ5ด้าน ดังนี้
พัฒนาการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการต่อเนื่องให้มีคุณภาพ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืนและทั่วถึง ต่อยอดการผลิตสินค้าและบริการที่มีศักยภาพสูงด้วยภูมิปัญญาและนวัตกรรมจํานวน63โครงการ2,994ล้านบาท
ใช้โอกาสจากเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาคGMS BIMSTECและAECเพื่อขยายฐานเศรษฐกิจของภาคจํานวน40โครงการ2,430ล้านบาท
ยกระดับเป็นฐานการผลิตเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัย เชื่อมโยงสู่อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงจํานวน89โครงการ5,954ล้านบาท
พัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาความยากจน พัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุอย่างมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน ยกระดับฝีมือแรงงานภาคบริการจํานวน21โครงการ3,020ล้านบาท
อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ําให้คงความสมบูรณ์ จัดระบบบริหารจัดการน้ําอย่างเหมาะสมและเชื่อมโยงพื้นที่เกษตรให้ทั่วถึง ป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันอย่างยั่งยืนจํานวน18โครงการ1,877ล้านบาท
2) การส่งเสริมเวทีและประชาคมเพื่อการจัดทํารูปแบบและแนวทางการพัฒนาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงการศึกษาขั้นพื้นฐานกับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาในเขตพื้นที่ภาคเหนือได้กําหนดแนวทางดําเนินงานโครงการฯ เพื่อให้การพัฒนาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา ดังนี้
ปีงบประมาณ พ.ศ.2561มีโครงการ/กิจกรรมในการพัฒนารูปแบบและแนวทางการพัฒนาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยง จํานวนทั้งสิ้น88หลักสูตร แยกเป็น
-สํานักงานศึกษาธิการภาค15จํานวน3หลักสูตร เชียงใหม่5ลําปาง3ลําพูน9แม่ฮ่องสอน5หลักสูตร
- สํานักงานศึกษาธิการภาค16จํานวน4หลักสูตร เชียงราย3พะเยา3แพร่3น่าน3หลักสูตร
- สํานักงานศึกษาธิการภาค17จํานวน4หลักสูตร พิษณุโลก5เพชรบูรณ์7อุตรดิตถ์4ตาก4สุโขทัย3หลักสูตร
- สํานักงานศึกษาธิการภาค18จํานวน4หลักสูตร นครสวรรค์5อุทัยธานี3กําแพงเพชร3พิจิตร8หลักสูตร
ปีงบประมาณ พ.ศ.2562วางแผนติดตามประเมินผลการพัฒนาหลักสูตรดังกล่าว รวมทั้งวิจัยและพัฒนาความต้องการหลักสูตรให้เกิดความต่อเนื่อง
ปีงบประมาณ พ.ศ.2563สร้างนวัตกรรมการเรียนการสอน พัฒนาเพิ่มศักยภาพบุคลากร และสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงการเรียนรู้
ทั้งนี้ ได้กําหนดปัจจัยความสําเร็จ7ด้าน คือ การบูรณาการทรัพยากร ยกเลิกข้อจํากัดหลักเกณฑ์และวิธีการ ความมีอิสระในการปรับหลักสูตรและแผนการเรียน ความยืดหยุ่นในการใช้ทรัพยากรCredit Bank/Credit Transfer/เทียบโอนประสบการณ์ เครื่องมือวัดความถนัด และการติดตามระบบการส่งต่อ โดยปัญหาที่พบการดําเนินงานคือ ปัญหาด้านการใช้จ่ายงบประมาณระหว่างหน่วยงานบูรณาการ
3) การดําเนินงานพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาในปัจจุบันมี6จังหวัดนําร่องใน6ภาคทั่วประเทศ โดยภาคเหนือตั้งอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งได้วางแนวทางพัฒนาการเป็น "พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่" ในปีงบประมาณ พ.ศ.2561-2562ให้สอดคล้องเป้าหมายอัตลักษณ์คนเชียงใหม่ สิ่งแวดล้อมน่าอยู่ ความปลอดภัย สุขภาพ การศึกษา และท่องเที่ยวและบริการ เพื่อให้"เชียงใหม่เป็นนครแห่งคุณภาพชีวิตและการเรียนรู้คลอดชีวิต"ที่ได้มีการกําหนดคุณลักษณะผู้เรียนเชียงใหม่ไว้หลายด้าน อาทิ เป็นพลเมืองผู้สง่างามตามวิถีไทย มีจิตสาธารณะ มีทักษะอาชีพ มีสุขภาพดีจิตใจเข้มแข็ง มีความรอบรู้ เขียนได้ คิดเลขเป็น เข้าใจ3ภาษา มีวินัยซื่อสัตย์ ใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัล เห็นคุณค่าและให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นต้น
โดยได้กําหนดแนวทางการขับเคลื่อน ตามทฤษฎี "สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา"ที่มาจากการดําเนินงาน3ด้าน คือ นโยบาย ภาคประชาสังคม และเครือข่ายสถานศึกษา
สําหรับข้อเสนอแนะในการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดเชียงใหม่คือ การพัฒนานวัตกรรมในพื้นที่ควรมีความสอดคล้องกับนโยบายการปฏิรูปการศึกษา นวัตกรรมควรเหมาะสมและครอบคลุมกลุ่มผู้เรียน การปรับปรุงหลักสูตรควรเหมาะสมกับสภาพบริบท การปรับปรุงการวัดและประเมินผล คํานึงถึงระเบียบการบริหารงบประมาณของสถานศึกษา ควรลดภาระงานที่ไม่จําเป็นของสถานศึกษา ควรปรับปรุงเกณฑ์การบริหารงานบุคคลให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานศึกษา ควรเน้นการประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ และเน้นการบูรณาการร่วมกันของสถาบันทุกระดับในพื้นที่
รมช.ศธ.มอบแนวทางดําเนินงาน
และข้อเสนอแนะในการทํางาน
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการกล่าวภายหลังที่ได้รับฟังการสรุปผลการประชุมทั้ง3กลุ่มว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการประชุมที่สมบูรณ์และพร้อมเพรียงกัน เป็นการทํางานภาพรวมเชิงบูรณาการครั้งสําคัญของกระทรวงศึกษาธิการที่ผู้บริหารระดับสูงสุดของทุกองค์กรหลักและหน่วยงานในสังกัดได้มารับฟังและให้ข้อคิดเห็นในการประชุมครั้งนี้
ทั้งนี้ การวางแผนและขับเคลื่อนการทํางานของกระทรวงศึกษาธิการได้น้อมนําพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ในหลวงรัชกาลที่ 9) มาเป็นแนวทางการขับเคลื่อนการทํางาน อาทิ พระบรมราโชวาทตอนหนึ่งว่า"งานด้านการศึกษาเป็นงานสําคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชาติ เพราะความเจริญและความเสื่อมของชาตินั้น ขึ้นอยู่กับการศึกษาของพลเมืองเป็นข้อใหญ่ ดังนั้น จึงต้องจัดการศึกษาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น"(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตวิทยาลัยวิชาการศึกษา ประสานมิตร 12 ธันวาคม 2512) และพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอดศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 รวมทั้งมีพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ที่มุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน ได้แก่ การสร้างทัศนคติที่ดีต่อบ้านเมือง,การสร้างลักษณะพื้นฐานที่มั่นคง มีคุณธรรม,เรียนแล้วมีงานทํา มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ รัฐบาล"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี"ได้วางแผนการทํางานของรัฐบาลโดยมีหน่วยงานและคณะกรรมการระดับประเทศร่วมดําเนินการให้สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ20ปี (พ.ศ.2561-2580)เช่น สภาพัฒน์หรือคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่เข้ามาช่วยวางแผนการศึกษาให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ในระยะยาว เพื่อนําไปสู่วิสัยทัศน์ประเทศคือ“ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”หรือเป็นคติพจน์ประจําชาติว่า“มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”
สําหรับการประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นช่วงต้นปีงบประมาณ ซึ่งมีความเหมาะสมที่จะเป็นการนําแผนงานงบประมาณของปีงบประมาณ2561มาทบทวนว่าโครงการใดที่มีความเหมาะสมก็ให้คงเอาไว้หรือพัฒนางานให้เกิดคุณภาพมากยิ่งขึ้น และมีความเหมาะสมกับวงรอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบฯ ปีงบประมาณ2563อีกด้วย ซึ่งจากการรับฟังทั้ง3กลุ่มดังกล่าว มีข้อเสนอแนะดังนี้
การเสนอของบประมาณแผนการบูรณาการด้านการศึกษาให้เป็นไปตามเหตุผลความจําเป็น โดยทุกพื้นที่ในประเทศไทยถือว่าเป็นพื้นที่พิเศษทั้งหมดตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการไว้แล้ว แต่ในขณะเดียวกันบางพื้นที่ที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก หรือเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ติดอยู่ชายแดน ก็ต้องนําข้อมูลต่าง ๆ มาพิจารณาวางแผนทบทวนพร้อมกันด้วย เพราะการทําแผนถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่การขับเคลื่อนตามแผนให้เกิด "ผลสัมฤทธิ์-เป็นรูปธรรม-เกิดความยั่งยืน" ยิ่งมีความสําคัญมากกว่า
การพัฒนาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงการศึกษาขั้นพื้นฐานกับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาทุกหลักสูตรล้วนมีความสําคัญทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมด้านอาชีวะ ถือว่าช่วยสร้างความเข้มแข็งและสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ เพราะถ้าผู้เรียนมีฝีมือ มีทักษะ มีรายได้แล้ว ก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี เกิดภาพความเจริญก้าวหน้าได้ชัดเจน และแม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการได้จัดงบประมาณในลักษณะFunctionไปแล้ว แต่ก็ต้องนํางบประมาณมาบูรณาการร่วมกันให้เป็นการทํางานลักษณะIntegrateให้ได้
การเป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการได้กําหนดพื้นที่นวัตกรรมจังหวัดนําร่องไว้แล้ว6จังหวัด ใน6ภาค คือ ภาคใต้ ที่สตูล, ภาคใต้ชายแดน ที่ปัตตานี, ภาคกลาง ที่กาญจนบุรี, ภาคตะวันออก ที่ระยอง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ศรีสะเกษ และภาคเหนือ ที่เชียงใหม่ ซึ่งในระหว่างที่กฎหมายยังไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา กระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมการพัฒนาพื้นทั้ง6จังหวัดนําร่องไปพลางก่อน โดยเป็นความสมัครใจของสถานศึกษาที่จะเข้าร่วม เพราะในการดําเนินงานอาจจําเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบหลักเกณฑ์ให้เอื้ออํานวยต่อการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรม อย่างไรก็ตามในพื้นที่ใดที่ไม่ได้เป็นจังหวัดนําร่อง ก็สามารถทําคู่ขนานกันไปได้
โอกาสนี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ฝากข้อคิดหลักการทํางานให้ประสบผลสําเร็จอย่างมีคุณภาพด้วยว่า ขอให้ยึดหลัก5ร. คือ "ริเริ่ม รวดเร็ว รอบคอบ รอบด้าน (งาน) เรียบร้อย" และขอให้นําข้อคิดไปปฏิบัติให้เกิดความรอบด้าน คือ "คิดให้ครบ ทบทวนเป็นห้วงๆ ห่วงการรับรู้ สู่การบูรณาการ สืบสานศาสตร์พระราชา เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน"
ผู้บริหารองค์กรหลัก
ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ"ความสําคัญของการบูรณาการงานของกระทรวงศึกษาธิการต้องทําให้สําเร็จ โดยเริ่มต้นจากการบูรณาการภายในกระทรวง ก่อนที่จะนําไปสู่การบูรณาการภายนอกกระทรวง ซึ่งการบูรณาการต้องอาศัยภาคเอกชนและภาคประชาสังคมเข้ามาร่วมมือกับภาครัฐ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนและพื้นที่"
นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน"การบูรณาการควรเริ่มต้นจากการนําโจทย์ของประเทศเป็นกรอบบูรณาการทางความคิด ขณะนี้รัฐบาลได้กําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นโจทย์ในรูปแบบ Top Down ในภาพรวมจากระดับนโยบายสู่การปฏิบัติ เพื่อให้ทุกส่วนใช้เป็นกรอบพัฒนาตามเป้าหมายพัฒนาประเทศระยะยาว โดยแบ่งภาคออกเป็น 6 ภาค เพื่อรวบรวมบุคลากรและปัญหาของแต่ละพื้นที่ และช่วยกันคิดและวางเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อจะใช้เป็นจิ๊กซอว์ประกอบรวมกันในแต่ละภาค จนกลายเป็นภาพของประเทศ และในระดับจังหวัดก็ได้มีการวิเคราะห์ศักยภาพและข้อจํากัดต่าง ๆ เพื่อกําหนดยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ซึ่งมีจุดเน้นตามบริบทของแต่ละพื้นที่
เขตพื้นที่การศึกษาและสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด/ภาคจึงต้องนํายุทธศาสตร์มาวางแผนงานเพื่อให้เกิดผลการทํางานตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ได้จริง ซึ่ง "คน" เป็นปัจจัยที่มีความสําคัญมากต่อการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ จึงต้องมีการเรียนรู้และวางแผนร่วมกันอย่างจริงจัง อาทิ การส่งเสริมสัดส่วนผู้เรียนอาชีวะเพิ่มขึ้น ยังขาดการส่งเสริมการเรียนจากการปฏิบัติจริง การเรียนการสอนยังไม่สนับสนุนให้เด็กค้นพบตัวตน ความชอบ และความถนัด
ขณะนี้ สพฐ.เริ่มปูเส้นทางเด็กโดยร่วมกับสถาบันอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัยเข้ามาให้ความรู้ สร้างเจตคติและความเชื่อมั่น ที่จะเป็นการกระตุ้นให้เด็กต้องการไปเรียนในสถานศึกษาและในสาขาที่เปิดสอนตามความเชี่ยวชาญ โดยมีแนวทางดําเนินงาน เช่นเร่งให้เด็กรู้จักตัวตนให้เร็วที่สุดด้วยการเรียนแบบ Active Learningสร้างเสริมทักษะสอดคล้องกับความต้องการ ความชอบ ตามเป้าหมายอนาคตของเด็กแต่ละคน สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถานประกอบการกับครู ฯลฯ
สําหรับการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนขอให้สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ โดยการปรับปรุงหลักสูตรให้คงไว้ซึ่งการเรียนใน 8 กลุ่มสาระวิชา ส่วนที่จะสอนเสริมเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกีฬา อาชีพ หรือดนตรี ให้มีความเข้มข้นรองลงมา และอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม ซึ่งขณะนี้ สพฐ.ได้ดําเนินการตามแนวทางนี้ และประสบความสําเร็จในโครงการห้องเรียนอาชีพเป็นอย่างมาก
นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา"หากต้องการให้ประเทศชาติมีความเข้มแข็ง การอาชีวศึกษาก็ต้องมีความเข้มแข็งมากขึ้น จึงต้องมีการปลูกฝังและเชื่อมโยงกันตั้งแต่ระดับอนุบาล ในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย อีกทั้งต้องสร้างการรับรู้ให้สังคมรับทราบว่าปัจจุบันอาชีวศึกษาเรียนจบแล้วไม่ตกงาน เงื่อนไขความสําเร็จของการเชื่อมโยงหลักสูตรทุกระดับถือเป็นเรื่องสําคัญมาก อยากให้ช่วยคิดและทําร่วมกัน จัดทําแผนให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานกันจริงๆ เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติ แม้ที่ผ่านมาจะทําแล้ว แต่อาจจะยังไม่สําเร็จเท่าที่ควร นอกจากนี้ ต้องให้ความสําคัญกับระบบข้อมูล Big Data ที่จะต้องชัดเจนและเชื่อมโยงกันทุกระดับการศึกษา ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการ อีกทั้งเราจะทลายแท่งไซโลได้อย่างไร โดยเฉพาะการทํางานในระดับพื้นที่ซึ่งมีความสําคัญมากต่อความสําเร็จและความเป็นเอกภาพในการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ"
นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา"แผนบูรณาการศึกษาในภาพรวมของกระทรวงศึกษาธิการถือเป็นเรื่องสําคัญต่อการจัดการศึกษาในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมต่อระหว่างอุดมศึกษากับอาชีวศึกษา การต่อจิ๊กซอว์หลักสูตรการเรียนรู้ในระดับต่าง ๆเข้าด้วยกันเพื่อเติมเต็มและสามารถขับเคลื่อนได้ ถือเป็นความสําเร็จที่จะส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา และการพัฒนาของผู้เรียนในทุกระดับ"
อนึ่งในการประชุมครั้งนี้ ยังมีผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วม อาทิ พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายอํานาจ วิชยานุวัติ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายประชาคม จันทรชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายพิธาน พื้นทอง และนางปัทมา วีระวานิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ, นายชลํา อรรถธรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน, นายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการสํานักงาน กศน.ตลอดจนศึกษาธิการภาค15-18ศึกษาธิการจังหวัด ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ฯลฯ
Writtenbyนวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน, ปกรณ์ เรืองยิ่ง
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16417
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2558 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
พรุ่งนี้ วันที่ 18 กรกฎาคม เป็นวันคล้ายวันสวรรคตครบ 20 ปี ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ "สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทย" ผู้ทรงมีพระวิริยอุตสาหะสูงในการทํางาน เพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะเป็นโครงการหน่วยแพทย์อาสา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) โครงการมูลนิธิขาเทียม และโครงการพัฒนาดอยตุง ฯลฯ พระองค์มีส่วนร่วม และช่วยให้ชาวเขาซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางภาคเหนือได้เลิกการทําไร่เลื่อนลอย และการปลูกฝิ่น เปลี่ยนมาปลูกพืชเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับพื้นที่
ผมอยากจะเชิญชวนให้พวกเราทุกคน ได้ร่วมน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน อยากให้ผู้ใหญ่ได้เล่าให้เด็ก ๆ ฟัง ที่อาจเกิดไม่ทันได้ทราบถึงพระราชกรณียกิจต่าง ๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย มีความสุข และก็สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามตามรอยพระองค์ท่าน
ทั้งนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์จะจัดงาน "20 ปี เราไม่ลืม" เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและสนองพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อราชเลขานุการในพระองค์ฯ และเลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในขณะนั้น ว่า "ทําอย่างไรอย่าให้คนลืมแม่" โดยจะมีกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดปีทั่วประเทศ เช่น กิจกรรมเผยแพร่พระสาทิสลักษณ์ ที่จังหวัดเชียงราย ที่ได้เริ่มขึ้นแล้ว จะมีเพลงเทิดพระเกียรติสมเด็จย่าที่คุณบอย โกสิยพงษ์ ร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ แต่งขึ้นเป็นพิเศษเพื่อโอกาสนี้ และอีกมากมาย รายละเอียดติดตามได้ในเพจ facebook "สมเด็จย่า" ครับ
สําหรับพี่น้องชาวมุสลิม เดือนรอมฎอนได้ผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อวานนี้ วันที่ 16 กรกฎาคม 2558 พร้อมกับการเฉลิมฉลอง “วันอิดิลฟิตรี” ฮิจเราะฮ์ศักราช 1436 ตลอดหนึ่งเดือนเต็ม พี่น้องชาวมุสลิมได้ร่วมการปฏิบัติศาสนกิจ ตามบัญญัติของศาสดา ด้วยการถือศีลอด ดํารงศาสนกิจด้วยความมุ่งมั่น และด้วยจิตใจอันเปี่ยมด้วยศรัทธา มุ่งแสวงหาความดีงาม ตามแนวทางศาสนาอย่างเข้มแข็ง
ในโอกาสนี้ ผมในนามของรัฐบาลขอส่งความปรารถนาดี มายังพี่น้องชาวมุสลิมที่รักทุกท่าน ขออํานาจเอกองค์ พระผู้บริบาล ได้ประทานความสุข ความจําเริญ และสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ มีจิตใจที่มั่นคง เพื่อดํารงไว้ซึ่งความดีความงาม และปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างสมบูรณ์ บําเพ็ญตนเพื่อประโยชน์สุขต่อสังคมตลอดไป
เมื่อวันพุธที่ 15 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสต้อนรับคณะผู้แทนนักกีฬา ผู้พิการทางสติปัญญา ทีมชาติไทย จํานวน 53 คน ก่อนเดินทางไปแข่งขัน The Special Olympics World Summer Games 2015 ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในห้วง 21 กรกฎาคม – 4 สิงหาคม 2558 ผมถือว่าทรัพยากรมนุษย์นั้น เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าที่สุดของชาติ และการกีฬาก็เป็นเครื่องมือ เพื่อจะฝึกฝนร่างกายและจิตใจให้ทุกคนเข้มแข็ง นักกีฬาทุกคนนั้น ถือว่าเป็นตัวแทนประเทศ เป็นทูตพิเศษ ในการที่จะแสดงศักยภาพของประเทศด้านการกีฬา รัฐบาลให้ความสําคัญกับคนทุกกลุ่ม อย่างเท่าเทียมกัน ผมก็ขอให้ทุกท่านทําหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ ประสบความสําเร็จ สมที่มุ่งหวังไว้ทุกคน
เรื่องการต่อต้านการทุจริต ถือเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ความสําคัญ เนื่องจากการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาที่เรื้อรังของประเทศ ที่คอยทําลายสังคมไทยของเรา เป็นปัญหาที่สะท้อนถึงวิกฤตการณ์ด้านคุณธรรม จริยธรรมของคนในสังคม ส่งผลกระทบในทางลบในทุกแวดวง ทั้งราชการและเอกชน ซึ่งการที่จะแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยการปลูกฝังจิตสํานึกและค่านิยมให้กับประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน ให้เห็นว่าการโกงนั้นเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ คนโกงต้องไม่มีที่ยืนในสังคม ไม่ยอมรับพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชันและการโกงทุกรูปแบบ
ผมเชื่อว่าการสร้างค่านิยมที่ถูกต้องนี้ จะเป็นรากฐานที่สําคัญเพื่อให้เด็กได้เจริญเติบโตขึ้น เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ และเป็นการป้องกันแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่น่าจะได้ผลที่สุด โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะดําเนินงานโครงการ “โตไปไม่โกง” ก็ได้เริ่ม “โครงการฝึกอบรมการใช้เครื่องมือในการเรียนการสอนหลักสูตรโตไปไม่โกง” ซึ่งเป็นครั้งแรกในปีนี้ เพื่อให้การอบรมครูทั่วประเทศกว่า 600 คน ซึ่งจะกลายเป็นบุคคลสําคัญในการทําหน้าที่ส่งต่อและขยายแนวความคิดเหล่านี้ไปสู่กว่า 30,000 โรงเรียนทั่วประเทศ
ผมขอย้ําว่ารัฐบาลนี้ มีความจริงจังที่จะดําเนินการลงโทษคนที่ทุจริตอย่างเป็นรูปธรรม ใครทําผิดจะต้องถูกดําเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ใครที่ไม่ได้ทําอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัว ก็ทํางานให้ดีที่สุดต่อไป ส่วนใครที่กําลังคิดจะทําก็ขอให้กลับไปคิดใหม่ ถ้าทุกคนไม่ทุจริต และรู้จักการแบ่งปัน ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ก็จะทําให้ไม่เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง สังคมก็อยู่อย่างมีความสุข ต่างชาติอยากเข้ามาลงทุน ส่งผลให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ สังคมดีขึ้น งบประมาณที่หายไปก็จะมาแก้ไขเรื่องความเหลื่อมล้ํา ความไม่เป็นธรรมต่าง ๆ เหล่านั้น ให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น ก็จะลดลงไปได้มากพอสมควร
วันนี้ผมอยากพูดถึงมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลกําหนดขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการทุจริต เรื่องแรกคือการปฏิรูปการให้บริการภาครัฐ ลดความเหลื่อมล้ําและส่งเสริมความเข้มแข็งให้เข้าถึงบริการภาครัฐ ให้ “เร็วขึ้น ง่ายขึ้น แต่ถูกลง” ช่วยขจัดการทุจริตไปพร้อมกับการให้ความสะดวกให้กับประชาชน ในการเข้าถึงการบริการของรัฐ ที่ไม่ยากจนเกินไป ทั้งนี้ รัฐบาลก็ได้ออกพระราชบัญญัติ การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2558 ไปแล้ว จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป หน่วยงานภาครัฐจะต้องจัดทํา “คู่มือสําหรับประชาชน” ที่จะอธิบายรายละเอียดของการบริการอย่างถูกต้อง ชัดเจน ซึ่งจะรวมถึง วิธีการ ค่าธรรมเนียม เอกสารหลักฐานและระยะเวลาการทําการ สําหรับการตรวจสอบเอกสารว่าถูกต้อง ครบถ้วน ก็จะต้องดําเนินการทันที หากมีปัญหาหรือต้องการเอกสารเพิ่มเติมต้องแจ้งไปในครั้งเดียว ไม่ล่าช้า ไม่ปล่อยให้ประชาชนต้องรอ หากการดําเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่เป็นไปตามคู่มือฯ ก็แสดงถึงการส่อทุจริต หรือการไม่มีประสิทธิภาพ พี่น้องประชาชนก็สามารถร้องเรียนผ่านศูนย์ดํารงธรรม หรือศูนย์รับเรื่องราวร้องเรียน (OSS) เพื่อขอให้ได้มีการสอบสวน หรือบังคับใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การอํานวยความสะดวกได้ โดยศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) จะติดตามอํานวยความสะดวก เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
2. เรื่องการยกระดับการบังคับใช้มาตรการทางปกครอง วินัย ซึ่งเป็นอํานาจของผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้าหน่วยงาน หากไม่บังคับใช้ก็ถือเป็นความผิดทางวินัย ที่ผ่านมานั้น มาตรา 44 นั้น ได้ถูกนํามาใช้เพื่อจะเข้าไปบริหารดําเนินการ คลี่คลายปมปัญหา ในการบริหารราชการของเจ้าหน้าที่ระดับสูง โดยการชี้มูลของ 3 หน่วยงานหลัก คือ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และ สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งผลการสอบสวนเป็นอย่างไรก็จะมีการรายงาน เป็นระยะ ๆ
อย่างไรก็ตาม สําหรับผู้ที่ถูกปรับย้ายออกจากตําแหน่ง เพื่อเปิดช่องทางให้มีการสอบสวน โดยเรายังถือว่าไม่มีความผิดใด ๆ เมื่อสอบสวนเสร็จแล้ว มีความผิดจริงก็ต้องรับโทษทั้งวินัยและอาญา หาก “ไม่ผิด” ก็สามารถกลับมารับราชการได้เหมือนเดิม ในกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ระดับล่าง มีหลักฐานเชื่อมโยงกับการกระทําความผิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง ผมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการสอบสวนเช่นกัน ผมถือว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา จะช่วยให้สังคมของเราปลอดการทุจริตได้ในอนาคต
3. การใช้มาตรการทางภาษี จะเป็นเครื่องมือการตรวจสอบเชิงรุกสําหรับผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับการทุจริต ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกล่าวหา หรือในส่วนของเอกชนที่เข้ามามีส่วนร่วม ในการกระทําความผิดที่เสนอขายสินค้า บริการให้กับภาครัฐ โดยไม่ผ่านการดําเนินการทางภาษีให้ถูกต้อง กรมสรรพากรจะตรวจสอบการแสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการที่มีบุคคล นิติบุคคล เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานภาครัฐ ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และตามประมวลรัษฎากร ตรวจสอบบุคคลผู้มีเงินได้เสียภาษีว่าครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่
4. การปรับปรุง แก้ไข และยกระดับกฎระเบียบในการจัดซื้อจัดจ้าง เดิมเรามีเพียงระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ปรับปรุงเมื่อปี 2549 ซึ่งอาจจะทําให้ขาดความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการ นักธุรกิจต่างชาติ ที่อยากให้เราออกเป็น “กฎหมาย” เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ป้องกันการทุจริต ไม่ให้นักการเมืองทุจริต ข้าราชการคอรัปชั่น และมีการแก้ไขรายละเอียดระเบียบการจัดซื้อได้โดยง่าย รัฐบาลเร่งผลักดันให้มี พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ซึ่งประกอบด้วย 1. มีขอบเขตการบังคับใช้ กว้างกว่าเดิม ครอบคลุมหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง ได้แก่ ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยงาน องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น 2. ยึดหลักสําคัญ 4 ประการ คือ ความคุ้มค่า ความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และตรวจสอบได้ โดยกําหนดให้ทํา “สัญญาคุณธรรม (IP)” ในสัญญาว่าจะไม่มีการรับหรือให้สินบน และใช้ “ระบบ CoST” เพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชน ได้มีโอกาสเข้ามาตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ลดช่องทางการหาประโยชน์จากผู้มีอํานาจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการกํากับดูแล รวมทั้ง ให้มีการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง เป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชน และ 3. คือการกําหนดบทลงโทษ กรณีทําความผิด โดยครอบคลุมการลงโทษผู้สั่งการให้จัดซื้อจัดจ้าง เช่น นักการเมือง หรือหัวหน้าส่วนราชการ ที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ทํา ก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
ทั้งหมดนั้น ถือว่าเป็นการสร้างระบบในการแก้ปัญหาทุจริต คอรัปชั่น ที่ฝั่งรากลึกในสังคมไทย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งให้กับประเทศในอนาคต นอกจากนี้ ผมก็มีแนวคิด ในการจัดตั้ง “กองทุนส่งเสริมธรรมาภิบาลและขจัดการทุจริต” โดยจะขอการจัดสรรงบประมาณบางส่วน อาจจะจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อนํามาใช้ในการรณรงค์ต่อต้านการทุจิตต่าง ๆ ต่อไปในอนาคตอีกด้วย
การสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจองค์รวม โดยการเชื่อมโยง “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” กับ “ชุมชน” ในส่วนตัวนั้น ผมเห็นว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเรา ต้องไปพร้อม ๆ กันกับประเทศเพื่อนบ้าน ในลักษณะเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ในกรอบระเบียงเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงอาเซียน (Connectivity) อาศัยจุดแข็งของไทยในการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ในภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งนี้ กิจกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนั้นจะมีทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร ภาคบริการ การขนส่ง โลจิสติกส์ คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า รวมถึง การบริหารจัดการในการอํานวยความสะดวก ในการเคลื่อนย้ายสินค้า การบริการ แรงงาน ทุน และปัจจัยการผลิต เพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การพัฒนาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนั้น ต้องสอดคล้องกับชุมชน ชุมชนต้องได้รับประโยชน์โดยตรงจากเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษด้วย
จากแนวคิดดังกล่าวนั้น ผมได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้บูรณาการกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้เกิด “ธุรกิจชุมชน” ซึ่งเป็นการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ บนพื้นฐานของการรวมกลุ่มกันเอง ของประชาชนในชุมชน เพื่อสร้างอํานาจต่อรองทางเศรษฐกิจ และนํากิจกรรมทางเศรษฐกิจของชุมชน ไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลกําไรกับมาสู่ชมชุนของตนเอง ภายใต้ “ระบบสหกรณ์ชุมชุน” ที่ไม่ใช่ระบบสหกรณ์ปันผลทั่วไป หัวใจสําคัญก็คือการนําธุรกิจชุมชนนั้น ไปทํากําไรในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนั้นด้วย โดยจะต้องอาศัยแนวคิดที่เรียกว่า “ธุรกิจเพื่อสังคม” จะเป็นรูปแบบของการบริหารจัดการทางเศรษฐกิจ โดยไม่ได้มุ่งหวังทํากําไร ผลกําไรที่ได้จากการทําธุรกิจดังกล่าวนั้น ก็ดําเนินการโดยชุมชน หลังจากหักค่าจ้าง ค่าแรง ต้นทุน การบริหารจัดการแล้ว ก็จะถูกนํากลับมาสู่สังคม ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สวัสดิการสังคม การศึกษา สาธารณสุข หรือเพิ่มกองทุนเพื่อจะไปดําเนินการต่อให้เจริญเติบโตมากยิ่งขึ้น ก็นับว่าน่าจะเป็นการสร้างความมั่นคงที่ได้จากการพัฒนาที่เชื่อมต่อเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษโดยตรง
นอกจากนั้นแล้ว จะทําให้ธุรกิจเพื่อสังคมนั้น ถ้าหากจะทําให้มีความเข้มแข็งได้นั้น ก็จําเป็นจะต้องมี “วิสาหกิจเพื่อสังคม” (Social Enterprise) รองรับ เช่น โรงสีชุมชน สถานีจําหน่ายน้ํามันชุมชน โดยชุมชนเป็นเจ้าของร่วมกัน บริหารจัดการกันเอง และหากมีความพร้อม ก็อาจสามารถพัฒนาไปสู่การบริหารจัดการในรูปแบบของ “บรรษัทชุมชน” โดยผลกําไรจะนํากลับไปสร้างความเข้มแข็งกับชุมชนในที่สุด ก็เป็นไปตามกฎหมายทุกอย่าง
ผมขอยกตัวอย่างพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดสระแก้ว ก็จะเป็นจุดเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศกัมพูชา ในเขตปอยเปต โอเนียง ก็สามารถพัฒนาเป็นศูนย์อุสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร คลังสินค้า และการขนส่ง ถือว่าสามารถสร้างโอกาส ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น ชุมชนในพื้นที่ที่มีความพร้อม รวมตัวกันเป็นเครือข่ายทางสังคม มีหน่วยราชการ มีฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้เชื่อมประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน รวมทั้งกระทรวงกลาโหม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ชุมชนจะมีการกําหนดกรอบ หลักเกณฑ์ ในการบริหารจัดการเพื่อให้ได้ผลกําไรกลับคืนสู่ชุมชนและสังคมเองอย่างเหมาะสม ชัดเจนตั้งแต่ต้น ในรูปแบบของทุน สวัสดิการ การศึกษา สาธารณสุขของชุมชน ลดการพึ่งพาจากส่วนกลาง สร้างความเข้มแข็งให้กับท้องถิ่นของตนได้เป็นอย่างดี
สําหรับวิกฤตภัยแล้ง แม้เราจะมีวิกฤตน้ําแต่ผมเชื่อว่าคนไทยเราไม่เคยแล้งน้ําใจที่เราจะมีต่อกัน ผมกลับมองว่าน่าจะเป็นโอกาสที่เราจะได้ร่วมมือกันแสดงให้เห็นถึงความรัก ความสามัคคี ความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน พร้อมที่จะร่วมฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้พร้อม ๆ กัน ด้วยการเข้าใจในปัญหาว่ามาจากที่ใด ปัญหาอยู่ที่ไหนบ้างแล้วก็พร้อมที่จะเสียสละแบ่งปันกันเพื่อส่วนรวม ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ทุกคนต้องเท่าเทียมกัน บางอย่างนั้นอาจจะต้องเสียสละ บางอย่างก็จะได้เพิ่มเติมแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนถ้าได้เหมือนกันพร้อมกันทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ซึ่งต้นทุนน้ําเรามีน้อยมาก ฝนก็ไม่ตกน้ําในเขื่อนก็มีน้อยมาก เพราะฉะนั้นก็จําเป็นต้องมีการประหยัดน้ํา เพราะฉะนั้นคนเมืองชุมชนก็ต้องช่วยกันประหยัดน้ําจนถึงเกษตรกรที่เราไม่สามารถสูบน้ําให้เขาได้ เพราะเราต้องเก็บน้ําไว้อุปโภคบริโภค เพราะฉะนั้นเท่ากับว่าเราทําให้เขาลําบากอยู่เหมือนกัน แต่ทุกคนต้องใช้น้ําหมด เพราะฉะนั้นต้องใช้น้ําให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าสูงสุด รักษาน้ําให้ได้ไปถึงเดือนสิงหาคม ถ้าฝนไม่ตกอีกก็จะเป็นปัญหาต่อไปอีกขอให้ฟังและปฏิบัติตามคําแนะนําของราชการ ผู้ที่เสียหาย เรากําลังหาทางพิจารณาดูแลสัปดาห์หน้าคงชัดเจนขึ้น
ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ดร. มาร์กาเร็ต ชาน (Dr. Magaret Chan) ผู้อํานวยการองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้มีหนังสือมาถึงผมแสดงความชื่นชม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรคที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์สได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นระบบ มีการร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ระหว่างภาครัฐและเอกชน ประชาชนด้วย ประชาชนก็ไม่ตื่นตระหนก เข้าถึงข้อมูล และสามารถจํากัดการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวได้โดยเร็ว เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ น่ายินดี เป็นสิ่งดี ๆ ที่อยากจะเล่าให้พี่น้องประชาชนฟัง ต้องขอบคุณข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ได้ร่วมกันทํางานกันอย่างเต็มที่ นอกจากกระทรวงสาธารณสุขแล้วก็ยังมีอีกหลายกระทรวงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการคมนาคม การสัญจรไปมาทางอากาศต่าง ๆ มีการตรวจสอบ มากมายไปหมด ทุกส่วนราชการ ขอบคุณทุกคนแล้วก็ขอบคุณไปถึงพี่น้องประชาชนด้วยที่ให้ความร่วมมืออย่างดี
เรื่องสําคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คืออยากจะเรียนว่า การเดินหน้าของรัฐบาลนี้ ของ (คสช.) ก็เดินหน้าเข้ามาสู่ระยะที่ 2 แล้วก็เหลือระยะที่ 3 ที่กําหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวซึ่งเป็นเรื่องของการมีรัฐบาลในโอกาสต่อไป เมื่อมีความพร้อมของรัฐธรรมนูญของการทําประชามติของการเลือกตั้งก็เป็นไปตามระยะเวลาที่กําหนดไว้แล้วเดิม แต่สิ่งที่ผมเร่งรัดอยู่ขณะนี้ก็คือเร่งรัดการดําเนินการทุกกระทรวง ทบวง กรมให้ทํางานให้ได้ผลสัมฤทธิ์ในทุกกิจกรรมที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการไปแล้วหรือที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สั่งการได้ อันนี้จะต้องสามารถจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ความพึงพอใจของประชาชนหรือตรงความต้องการของประชาชนโดยรับฟังความคิดเห็นทุกประการแล้วก็หาความร่วมมือให้ได้ อย่าให้มีความขัดแย้งกันอีกต่อไป
ในเรื่องของโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งมีผลทางเรื่องของเศรษฐกิจประเทศ การลงทุนประเทศด้วยแล้วก็ป้องกันปัญหาในอนาคต ในระยะยาว อันนี้ก็อยากจะให้ทางรัฐมนตรี ทางข้าราชการตั้งแต่ปลัดกระทรวงลงไปจนถึงข้าราชการชั้นผู้น้อย ผู้ปฏิบัติ ทุกกระทรวง ทุกฝ่ายนั้นได้ไปเร่งรัดการดําเนินการ ที่ผ่านมานั้นเราได้แก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ แก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย ลดขั้นตอน ลดเวลาต่าง ๆ ไปเรียบร้อยหมดแล้ว วันนี้ก็ต้องมาจับต้องดูว่ากิจกรรมที่สั่งไปแล้วไม่ว่าเป็นในเรื่องของการศึกษา ในเรื่องของเศรษฐกิจ ในเรื่องของการลงทุน ในเรื่องของเทคโนโลยี หรือเรื่องอะไรก็ตามที่เป็นปัญหาของประเทศทั้งหมด ทั้ง 5 กลุ่มงานแล้วก็ทุกกระทรวงจะต้องไปจับต้องกิจกรรมเหล่านี้มาแล้วก็สรุปรายงานผลให้ผมทราบได้ภายในเดือนกันยายนนี้ เพื่อจะจับต้องได้เป็นรูปธรรมและผมจะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งในเรื่องของการดําเนินการในระยะต่อไป ในเรื่องการบริหารราชการ ในเรื่องของกําหนดนโยบายเพิ่มเติมทั้งนี้เพื่อให้ทันเวลาที่มีอยู่ในขณะนี้แล้วก็จะต้องเตรียมส่งมอบรายละเอียดที่เหลือไว้แล้วให้กับคณะปฏิรูปหรือ สปช. อะไรก็แล้วแต่ที่ยังอยู่ในขั้นตอนเหล่านี้ ใครอยู่ก็ต้องรับไปแล้วไปทําต่อให้เรียบร้อยในเรื่องของแผนการปฏิรูปในอนาคต ในรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
อันนี้ ผมก็เร่งรัดขอให้แสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ว่าเราได้กําหนดโจทย์ไปแล้ววิธีการบริหารจัดการไปแล้วแก้ไขข้อติดขัดไปให้แล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องอยู่ที่จะทําอย่างไร How to do และจะสําเร็จเมื่อไหร่ ระยะที่ 1 คือ เสร็จไปแล้ว คสช. ระยะที่ 2 คือตอนนี้ถึงกันยายนผมสรุปแค่นั้นก่อนตาม Road Map และที่เหลือหลังจากนั้นแล้วก็ไปเดินหน้าในรัฐบาลต่อไปถ้าเกิดขึ้นในตาม Road Map เพราะฉะนั้นต้องเตรียมการตั้งแต่วันนี้ ผมขอแจ้งเตือน ผมจะพิจารณาเป็นรายกระทรวงไปทุกกระทรวงทั้งในส่วนของการเมือง ข้าราชการในการเมือง ข้าราชการประจําด้วยเพราะฉะนั้นต้องชี้แจงได้ทุกอย่าง ขอให้รองรัฐมนตรี รัฐมนตรีแล้วก็ข้าราชการทุกกระทรวงได้ไปรวบรวมขับเคลื่อนมาให้ได้ ตอบคําถามให้ได้ระยะที่ 1 ระยะที่ 2 ทําอะไรสําเร็จไปแล้วบ้าง
อันนี้เป็นสิ่งสําคัญ เพราะที่ผ่านมานั้น ทุกคนจะรู้แต่ปัญหาไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม รัฐบาลใดก็ตามรู้ปัญหาทั้งหมดแต่ทําไม่ได้หรือทําได้ไม่เท่าที่ควร ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะว่าติดขัดหลายเรื่อง ติดขัดเรื่องกฎหมายหรือกติกาสัญญาอะไรต่าง ๆ ที่เคยมีปัญหาก็แก้ให้หมดแล้วเมื่อแก้ให้หมดแล้วปัญหาต้องหมดไป ต้องตอบคําถามให้ได้อะไรจบไปแล้วบ้าง อะไรหมดไปแล้ว ต้องช่วยกัน ร่วมมือ
อีกเรื่องหนึ่งขอร้องภาคประชาชน ภาคประชาสังคม วันนี้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เราค่อนข้างจะทําได้ยาก ในส่วนของโครงการที่มีขนาดใหญ่ จะมีผลในเรื่องของการลงทุนด้วย มีผลในเรื่องของปัญหาภายหน้าด้วย เช่น การบริหารจัดการพลังงาน ขยะ โรงไฟฟ้า หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ท่าเรืออาจจะมีผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่ด้วย จากนี้ถ้าเราไปไม่ได้เลย โครงการเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้ ก็จ้างงาน สร้างอาชีพอะไรไม่ได้ ผมขอเรียนว่าถ้าสามารถเกิดได้ในพื้นที่ ผมก็ได้สั่งการไปแล้วว่าขอให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์ก่อน ถ้าจําเป็นก็ขยับขยายสักเล็กน้อย ดูแลเยียวยาให้เหมาะสม เมื่อใดก็ตามที่มีประโยชน์เกิดขึ้นจากตรงนั้น ประชาชนเหล่านั้นจะต้องได้รับประโยชน์เป็นลําดับแรก มีสิทธิ์ต่าง ๆ มากกว่าคนอื่นในการที่จะได้รับผลตอบแทนหรือจะประกอบการอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ในกิจการในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งอันนี้ก็เกิดขึ้น เน้นหนัก 2 พื้นที่ใน 6 พื้นที่ในปี 2557 แต่ถ้าจะสร้างได้ทั้งหมดก็ทําไป ที่มีศักยภาพอยู่ก็ทางภาคตะวันตก ทางเหนือ เช่น แม่สอด จ.ตาก กับที่สระแก้วจะมีศักยภาพสูง ที่เหลือก็ทยอยดําเนินการไปจะเร่งรัดให้ได้โดยเร็ว
เพราะฉะนั้นประชาชนที่อยู่ตรงนั้นอย่ากังวลว่า เราประกาศพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษไปแล้ว หมายความว่าเขาต้องไปกันหมดเลยหรือ ไม่ใช่หรอกครับ กิจการก็จะลงไปในพื้นที่ดังกล่าวให้ได้เท่านั้นเอง ตรงไหนที่ไม่รบกวนมากมายนักก็เข้าไปได้เลย ตรงไหนที่มีปัญหาประชาชนก็ต้องดูแลประชาชนให้เขามีที่อยู่ที่กิน แล้ววันหน้าพอเกิดขึ้นมาแล้ว ธุรกิจประกอบการดีขึ้นแล้วหรือเป็นการลงทุนในเรื่องของการค้าขาย การประกอบการ ก็จะให้คนเหล่านี้กลับมาใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของธุรกิจที่จะต้องรองรับ เช่น ซักเสื้อผ้า อะไรทํานองนี้ หรือไม่ก็ขายอาหารอะไรต่าง ๆ ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจดังกล่าว คนในพื้นที่จะต้องได้ก่อน ในส่วนของตรงอื่นจําเป็นจะต้องเอาข้างนอกไปเสริมด้วย ข้างนอกก็คือนักลงทุนของเราเอง เริ่มจากในพื้นที่ก่อน ทั้งคน ทั้งผู้ประกอบการในพื้นที่ ถ้ามีศักยภาพก็เสนอมา ก็จะให้สิทธิประโยชน์ แล้วก็ในส่วนที่จะไปจากนอกพื้นที่ อันที่สามเพื่อจะทําให้เข้มแข็งแล้วก็จ้างงานได้มากขึ้น ก็คือต้องมีการลงทุนจากต่างประเทศด้วย แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการลงทุนที่ไม่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างผลกระทบกับประชาชนส่วนใหญ่ทั้งหมด ส่วนน้อย ๆ ก็ขอไว้ก่อน หลายเรื่องเราต้องทํา ถ้าไม่ทําวันนี้วันหน้าก็เกิดขึ้นไม่ได้ แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ วันนี้ทุกคนก็บ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดี การลงทุนไม่เกิด วันนี้ผมไล่ดูแล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่งบประมาณอย่างเดียว งบประมาณจัดไปแล้ว แต่ทําไม่ได้ การทําประชาพิจารณ์ก็ไม่ผ่าน EIA และ HIA ไม่ผ่านจะทําอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ โรงไฟฟ้า โรงงานขยะ แล้วก็ในส่วนของการลงทุนสาธารณูปโภคต่าง ๆ ถนนหนทางต้องผ่านความคิดเห็นของประชาชน ผมก็ลองดูอยู่ว่าจะทําอย่างไรให้เกิดขึ้น เม็ดเงินที่ลงทุนไปอย่างมหาศาลถึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่พอเบิกเงินไปแล้ว แล้วสร้างได้เลย ต้องทําตัวนี้ด้วย
เพราะฉะนั้นขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ และอื่น ๆ ด้วย ทุกคนต้องเผื่อแผ่แบ่งปัน ไม่ใช่บอกว่าเกิดตรงนี้พื้นที่เดือดร้อน แต่ตรงนี้จะต้องเกิดประโยชน์กับทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ด้วย อันนี้จะได้เป็นเครือข่ายสร้างความเข้มแข็งทั้งภูมิภาคไป ก็ลองคิดดู ผมอยากให้ทุกอย่างแก้ไขได้โดยเร็ว และเดินหน้าประเทศได้ระหว่างที่รัฐบาลนี้ยังอยู่ ผมได้สั่งการให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปดูกิจการของตนเองที่มีปัญหาข้อขัดข้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐาน พลังงาน เหมืองแร่ อะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ต้องลงไปดูในพื้นที่แล้วก็แก้ไขปัญหาให้ได้โดยเร็วว่าจะทําอย่างไรต่อไป ได้หรือไม่ได้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นลดลงได้ไหม หาทางเจอกันได้ไหม โดยมองผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก แล้วก็ไม่ไปทําลายวัฒนธรรมหรือทําลายสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่เขาอยู่แล้ว ทําอย่างไร ต้องไปด้วยกัน คือเจริญได้ พัฒนาได้ เปลี่ยนแปลงได้ แต่เขาต้องมีความสุข จะทําอย่างไรตรงนั้น ผมว่าไม่เกินความสามารถของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกท่านกับข้าราชการทุกจังหวัด ทุกพื้นที่ ในทุกกิจกรรม ถ้าเราไม่ทําปีนี้ ล่าช้าไปอีกหนึ่งปี ปีหน้าก็ทําไม่ได้อีก ปีต่อไปก็ทําไม่ได้อีก แล้วจะทําอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสร้างเส้นทาง ทางรถไฟ และเสาส่ง สายส่งไฟฟ้าเหล่านี้ และการขุดลอกแหล่งน้ําต่าง ๆ ติดขัดไปหมด บางคนก็บอกว่าละเมิดในเรื่องของนิเวศวิทยา ผมก็ให้เขาดูอยู่แล้ว ถ้าทําให้ระบบนิเวศวิทยาเสียหายก็ไม่ทํา ไปทําอย่างอื่น วันนี้ค้านทุกอัน เดินหน้าไม่ได้ งบประมาณก็ไม่ออก งานก็ไม่เกิด การก่อสร้างก็ไม่มี แล้วทุกคนบอกว่าเศรษฐกิจต้องดีขึ้น ดีไม่ได้แน่นอน ช่วยไปคิดกันใหม่ หาทางออก ไม่ใช่ผมต้องการที่จะไปบังคับท่าน มัดมือท่านชกอะไรทํานองนี้ หรือใช้อํานาจอะไรต่าง ๆ ผมไม่ต้องการใช้อํานาจ ต้องการความร่วมมือดีที่สุด
ขอขอบคุณอีกครั้งในความร่วมมือ แล้วก็สิ่งที่พ่อแม่พี่น้องเข้าใจที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็หวังว่าเราคงได้รับความร่วมมือ ได้รับความเข้าใจ ได้รับความเมตตา ให้เราได้ทํางานให้ประสบผลสําเร็จอย่างที่ทุกคนต้องการเพื่อประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน สวัสดีครับ ขอให้มีความสุขในวันสุดสัปดาห์
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2558 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
พรุ่งนี้ วันที่ 18 กรกฎาคม เป็นวันคล้ายวันสวรรคตครบ 20 ปี ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ "สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทย" ผู้ทรงมีพระวิริยอุตสาหะสูงในการทํางาน เพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะเป็นโครงการหน่วยแพทย์อาสา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) โครงการมูลนิธิขาเทียม และโครงการพัฒนาดอยตุง ฯลฯ พระองค์มีส่วนร่วม และช่วยให้ชาวเขาซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางภาคเหนือได้เลิกการทําไร่เลื่อนลอย และการปลูกฝิ่น เปลี่ยนมาปลูกพืชเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับพื้นที่
ผมอยากจะเชิญชวนให้พวกเราทุกคน ได้ร่วมน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน อยากให้ผู้ใหญ่ได้เล่าให้เด็ก ๆ ฟัง ที่อาจเกิดไม่ทันได้ทราบถึงพระราชกรณียกิจต่าง ๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย มีความสุข และก็สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามตามรอยพระองค์ท่าน
ทั้งนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์จะจัดงาน "20 ปี เราไม่ลืม" เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและสนองพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อราชเลขานุการในพระองค์ฯ และเลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในขณะนั้น ว่า "ทําอย่างไรอย่าให้คนลืมแม่" โดยจะมีกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดปีทั่วประเทศ เช่น กิจกรรมเผยแพร่พระสาทิสลักษณ์ ที่จังหวัดเชียงราย ที่ได้เริ่มขึ้นแล้ว จะมีเพลงเทิดพระเกียรติสมเด็จย่าที่คุณบอย โกสิยพงษ์ ร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ แต่งขึ้นเป็นพิเศษเพื่อโอกาสนี้ และอีกมากมาย รายละเอียดติดตามได้ในเพจ facebook "สมเด็จย่า" ครับ
สําหรับพี่น้องชาวมุสลิม เดือนรอมฎอนได้ผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อวานนี้ วันที่ 16 กรกฎาคม 2558 พร้อมกับการเฉลิมฉลอง “วันอิดิลฟิตรี” ฮิจเราะฮ์ศักราช 1436 ตลอดหนึ่งเดือนเต็ม พี่น้องชาวมุสลิมได้ร่วมการปฏิบัติศาสนกิจ ตามบัญญัติของศาสดา ด้วยการถือศีลอด ดํารงศาสนกิจด้วยความมุ่งมั่น และด้วยจิตใจอันเปี่ยมด้วยศรัทธา มุ่งแสวงหาความดีงาม ตามแนวทางศาสนาอย่างเข้มแข็ง
ในโอกาสนี้ ผมในนามของรัฐบาลขอส่งความปรารถนาดี มายังพี่น้องชาวมุสลิมที่รักทุกท่าน ขออํานาจเอกองค์ พระผู้บริบาล ได้ประทานความสุข ความจําเริญ และสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ มีจิตใจที่มั่นคง เพื่อดํารงไว้ซึ่งความดีความงาม และปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างสมบูรณ์ บําเพ็ญตนเพื่อประโยชน์สุขต่อสังคมตลอดไป
เมื่อวันพุธที่ 15 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสต้อนรับคณะผู้แทนนักกีฬา ผู้พิการทางสติปัญญา ทีมชาติไทย จํานวน 53 คน ก่อนเดินทางไปแข่งขัน The Special Olympics World Summer Games 2015 ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในห้วง 21 กรกฎาคม – 4 สิงหาคม 2558 ผมถือว่าทรัพยากรมนุษย์นั้น เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าที่สุดของชาติ และการกีฬาก็เป็นเครื่องมือ เพื่อจะฝึกฝนร่างกายและจิตใจให้ทุกคนเข้มแข็ง นักกีฬาทุกคนนั้น ถือว่าเป็นตัวแทนประเทศ เป็นทูตพิเศษ ในการที่จะแสดงศักยภาพของประเทศด้านการกีฬา รัฐบาลให้ความสําคัญกับคนทุกกลุ่ม อย่างเท่าเทียมกัน ผมก็ขอให้ทุกท่านทําหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ ประสบความสําเร็จ สมที่มุ่งหวังไว้ทุกคน
เรื่องการต่อต้านการทุจริต ถือเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ความสําคัญ เนื่องจากการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาที่เรื้อรังของประเทศ ที่คอยทําลายสังคมไทยของเรา เป็นปัญหาที่สะท้อนถึงวิกฤตการณ์ด้านคุณธรรม จริยธรรมของคนในสังคม ส่งผลกระทบในทางลบในทุกแวดวง ทั้งราชการและเอกชน ซึ่งการที่จะแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยการปลูกฝังจิตสํานึกและค่านิยมให้กับประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน ให้เห็นว่าการโกงนั้นเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ คนโกงต้องไม่มีที่ยืนในสังคม ไม่ยอมรับพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชันและการโกงทุกรูปแบบ
ผมเชื่อว่าการสร้างค่านิยมที่ถูกต้องนี้ จะเป็นรากฐานที่สําคัญเพื่อให้เด็กได้เจริญเติบโตขึ้น เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ และเป็นการป้องกันแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่น่าจะได้ผลที่สุด โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะดําเนินงานโครงการ “โตไปไม่โกง” ก็ได้เริ่ม “โครงการฝึกอบรมการใช้เครื่องมือในการเรียนการสอนหลักสูตรโตไปไม่โกง” ซึ่งเป็นครั้งแรกในปีนี้ เพื่อให้การอบรมครูทั่วประเทศกว่า 600 คน ซึ่งจะกลายเป็นบุคคลสําคัญในการทําหน้าที่ส่งต่อและขยายแนวความคิดเหล่านี้ไปสู่กว่า 30,000 โรงเรียนทั่วประเทศ
ผมขอย้ําว่ารัฐบาลนี้ มีความจริงจังที่จะดําเนินการลงโทษคนที่ทุจริตอย่างเป็นรูปธรรม ใครทําผิดจะต้องถูกดําเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ใครที่ไม่ได้ทําอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัว ก็ทํางานให้ดีที่สุดต่อไป ส่วนใครที่กําลังคิดจะทําก็ขอให้กลับไปคิดใหม่ ถ้าทุกคนไม่ทุจริต และรู้จักการแบ่งปัน ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ก็จะทําให้ไม่เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง สังคมก็อยู่อย่างมีความสุข ต่างชาติอยากเข้ามาลงทุน ส่งผลให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ สังคมดีขึ้น งบประมาณที่หายไปก็จะมาแก้ไขเรื่องความเหลื่อมล้ํา ความไม่เป็นธรรมต่าง ๆ เหล่านั้น ให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น ก็จะลดลงไปได้มากพอสมควร
วันนี้ผมอยากพูดถึงมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลกําหนดขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการทุจริต เรื่องแรกคือการปฏิรูปการให้บริการภาครัฐ ลดความเหลื่อมล้ําและส่งเสริมความเข้มแข็งให้เข้าถึงบริการภาครัฐ ให้ “เร็วขึ้น ง่ายขึ้น แต่ถูกลง” ช่วยขจัดการทุจริตไปพร้อมกับการให้ความสะดวกให้กับประชาชน ในการเข้าถึงการบริการของรัฐ ที่ไม่ยากจนเกินไป ทั้งนี้ รัฐบาลก็ได้ออกพระราชบัญญัติ การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2558 ไปแล้ว จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป หน่วยงานภาครัฐจะต้องจัดทํา “คู่มือสําหรับประชาชน” ที่จะอธิบายรายละเอียดของการบริการอย่างถูกต้อง ชัดเจน ซึ่งจะรวมถึง วิธีการ ค่าธรรมเนียม เอกสารหลักฐานและระยะเวลาการทําการ สําหรับการตรวจสอบเอกสารว่าถูกต้อง ครบถ้วน ก็จะต้องดําเนินการทันที หากมีปัญหาหรือต้องการเอกสารเพิ่มเติมต้องแจ้งไปในครั้งเดียว ไม่ล่าช้า ไม่ปล่อยให้ประชาชนต้องรอ หากการดําเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่เป็นไปตามคู่มือฯ ก็แสดงถึงการส่อทุจริต หรือการไม่มีประสิทธิภาพ พี่น้องประชาชนก็สามารถร้องเรียนผ่านศูนย์ดํารงธรรม หรือศูนย์รับเรื่องราวร้องเรียน (OSS) เพื่อขอให้ได้มีการสอบสวน หรือบังคับใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การอํานวยความสะดวกได้ โดยศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) จะติดตามอํานวยความสะดวก เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
2. เรื่องการยกระดับการบังคับใช้มาตรการทางปกครอง วินัย ซึ่งเป็นอํานาจของผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้าหน่วยงาน หากไม่บังคับใช้ก็ถือเป็นความผิดทางวินัย ที่ผ่านมานั้น มาตรา 44 นั้น ได้ถูกนํามาใช้เพื่อจะเข้าไปบริหารดําเนินการ คลี่คลายปมปัญหา ในการบริหารราชการของเจ้าหน้าที่ระดับสูง โดยการชี้มูลของ 3 หน่วยงานหลัก คือ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และ สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งผลการสอบสวนเป็นอย่างไรก็จะมีการรายงาน เป็นระยะ ๆ
อย่างไรก็ตาม สําหรับผู้ที่ถูกปรับย้ายออกจากตําแหน่ง เพื่อเปิดช่องทางให้มีการสอบสวน โดยเรายังถือว่าไม่มีความผิดใด ๆ เมื่อสอบสวนเสร็จแล้ว มีความผิดจริงก็ต้องรับโทษทั้งวินัยและอาญา หาก “ไม่ผิด” ก็สามารถกลับมารับราชการได้เหมือนเดิม ในกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ระดับล่าง มีหลักฐานเชื่อมโยงกับการกระทําความผิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง ผมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการสอบสวนเช่นกัน ผมถือว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา จะช่วยให้สังคมของเราปลอดการทุจริตได้ในอนาคต
3. การใช้มาตรการทางภาษี จะเป็นเครื่องมือการตรวจสอบเชิงรุกสําหรับผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับการทุจริต ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกล่าวหา หรือในส่วนของเอกชนที่เข้ามามีส่วนร่วม ในการกระทําความผิดที่เสนอขายสินค้า บริการให้กับภาครัฐ โดยไม่ผ่านการดําเนินการทางภาษีให้ถูกต้อง กรมสรรพากรจะตรวจสอบการแสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการที่มีบุคคล นิติบุคคล เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานภาครัฐ ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และตามประมวลรัษฎากร ตรวจสอบบุคคลผู้มีเงินได้เสียภาษีว่าครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่
4. การปรับปรุง แก้ไข และยกระดับกฎระเบียบในการจัดซื้อจัดจ้าง เดิมเรามีเพียงระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ปรับปรุงเมื่อปี 2549 ซึ่งอาจจะทําให้ขาดความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการ นักธุรกิจต่างชาติ ที่อยากให้เราออกเป็น “กฎหมาย” เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ป้องกันการทุจริต ไม่ให้นักการเมืองทุจริต ข้าราชการคอรัปชั่น และมีการแก้ไขรายละเอียดระเบียบการจัดซื้อได้โดยง่าย รัฐบาลเร่งผลักดันให้มี พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ซึ่งประกอบด้วย 1. มีขอบเขตการบังคับใช้ กว้างกว่าเดิม ครอบคลุมหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง ได้แก่ ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยงาน องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น 2. ยึดหลักสําคัญ 4 ประการ คือ ความคุ้มค่า ความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และตรวจสอบได้ โดยกําหนดให้ทํา “สัญญาคุณธรรม (IP)” ในสัญญาว่าจะไม่มีการรับหรือให้สินบน และใช้ “ระบบ CoST” เพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชน ได้มีโอกาสเข้ามาตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ลดช่องทางการหาประโยชน์จากผู้มีอํานาจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการกํากับดูแล รวมทั้ง ให้มีการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง เป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชน และ 3. คือการกําหนดบทลงโทษ กรณีทําความผิด โดยครอบคลุมการลงโทษผู้สั่งการให้จัดซื้อจัดจ้าง เช่น นักการเมือง หรือหัวหน้าส่วนราชการ ที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ทํา ก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
ทั้งหมดนั้น ถือว่าเป็นการสร้างระบบในการแก้ปัญหาทุจริต คอรัปชั่น ที่ฝั่งรากลึกในสังคมไทย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งให้กับประเทศในอนาคต นอกจากนี้ ผมก็มีแนวคิด ในการจัดตั้ง “กองทุนส่งเสริมธรรมาภิบาลและขจัดการทุจริต” โดยจะขอการจัดสรรงบประมาณบางส่วน อาจจะจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อนํามาใช้ในการรณรงค์ต่อต้านการทุจิตต่าง ๆ ต่อไปในอนาคตอีกด้วย
การสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจองค์รวม โดยการเชื่อมโยง “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” กับ “ชุมชน” ในส่วนตัวนั้น ผมเห็นว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเรา ต้องไปพร้อม ๆ กันกับประเทศเพื่อนบ้าน ในลักษณะเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ในกรอบระเบียงเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงอาเซียน (Connectivity) อาศัยจุดแข็งของไทยในการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ในภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งนี้ กิจกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนั้นจะมีทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร ภาคบริการ การขนส่ง โลจิสติกส์ คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า รวมถึง การบริหารจัดการในการอํานวยความสะดวก ในการเคลื่อนย้ายสินค้า การบริการ แรงงาน ทุน และปัจจัยการผลิต เพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การพัฒนาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนั้น ต้องสอดคล้องกับชุมชน ชุมชนต้องได้รับประโยชน์โดยตรงจากเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษด้วย
จากแนวคิดดังกล่าวนั้น ผมได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้บูรณาการกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้เกิด “ธุรกิจชุมชน” ซึ่งเป็นการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ บนพื้นฐานของการรวมกลุ่มกันเอง ของประชาชนในชุมชน เพื่อสร้างอํานาจต่อรองทางเศรษฐกิจ และนํากิจกรรมทางเศรษฐกิจของชุมชน ไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลกําไรกับมาสู่ชมชุนของตนเอง ภายใต้ “ระบบสหกรณ์ชุมชุน” ที่ไม่ใช่ระบบสหกรณ์ปันผลทั่วไป หัวใจสําคัญก็คือการนําธุรกิจชุมชนนั้น ไปทํากําไรในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนั้นด้วย โดยจะต้องอาศัยแนวคิดที่เรียกว่า “ธุรกิจเพื่อสังคม” จะเป็นรูปแบบของการบริหารจัดการทางเศรษฐกิจ โดยไม่ได้มุ่งหวังทํากําไร ผลกําไรที่ได้จากการทําธุรกิจดังกล่าวนั้น ก็ดําเนินการโดยชุมชน หลังจากหักค่าจ้าง ค่าแรง ต้นทุน การบริหารจัดการแล้ว ก็จะถูกนํากลับมาสู่สังคม ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สวัสดิการสังคม การศึกษา สาธารณสุข หรือเพิ่มกองทุนเพื่อจะไปดําเนินการต่อให้เจริญเติบโตมากยิ่งขึ้น ก็นับว่าน่าจะเป็นการสร้างความมั่นคงที่ได้จากการพัฒนาที่เชื่อมต่อเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษโดยตรง
นอกจากนั้นแล้ว จะทําให้ธุรกิจเพื่อสังคมนั้น ถ้าหากจะทําให้มีความเข้มแข็งได้นั้น ก็จําเป็นจะต้องมี “วิสาหกิจเพื่อสังคม” (Social Enterprise) รองรับ เช่น โรงสีชุมชน สถานีจําหน่ายน้ํามันชุมชน โดยชุมชนเป็นเจ้าของร่วมกัน บริหารจัดการกันเอง และหากมีความพร้อม ก็อาจสามารถพัฒนาไปสู่การบริหารจัดการในรูปแบบของ “บรรษัทชุมชน” โดยผลกําไรจะนํากลับไปสร้างความเข้มแข็งกับชุมชนในที่สุด ก็เป็นไปตามกฎหมายทุกอย่าง
ผมขอยกตัวอย่างพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดสระแก้ว ก็จะเป็นจุดเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศกัมพูชา ในเขตปอยเปต โอเนียง ก็สามารถพัฒนาเป็นศูนย์อุสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร คลังสินค้า และการขนส่ง ถือว่าสามารถสร้างโอกาส ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น ชุมชนในพื้นที่ที่มีความพร้อม รวมตัวกันเป็นเครือข่ายทางสังคม มีหน่วยราชการ มีฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้เชื่อมประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน รวมทั้งกระทรวงกลาโหม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ชุมชนจะมีการกําหนดกรอบ หลักเกณฑ์ ในการบริหารจัดการเพื่อให้ได้ผลกําไรกลับคืนสู่ชุมชนและสังคมเองอย่างเหมาะสม ชัดเจนตั้งแต่ต้น ในรูปแบบของทุน สวัสดิการ การศึกษา สาธารณสุขของชุมชน ลดการพึ่งพาจากส่วนกลาง สร้างความเข้มแข็งให้กับท้องถิ่นของตนได้เป็นอย่างดี
สําหรับวิกฤตภัยแล้ง แม้เราจะมีวิกฤตน้ําแต่ผมเชื่อว่าคนไทยเราไม่เคยแล้งน้ําใจที่เราจะมีต่อกัน ผมกลับมองว่าน่าจะเป็นโอกาสที่เราจะได้ร่วมมือกันแสดงให้เห็นถึงความรัก ความสามัคคี ความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน พร้อมที่จะร่วมฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้พร้อม ๆ กัน ด้วยการเข้าใจในปัญหาว่ามาจากที่ใด ปัญหาอยู่ที่ไหนบ้างแล้วก็พร้อมที่จะเสียสละแบ่งปันกันเพื่อส่วนรวม ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ทุกคนต้องเท่าเทียมกัน บางอย่างนั้นอาจจะต้องเสียสละ บางอย่างก็จะได้เพิ่มเติมแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนถ้าได้เหมือนกันพร้อมกันทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ซึ่งต้นทุนน้ําเรามีน้อยมาก ฝนก็ไม่ตกน้ําในเขื่อนก็มีน้อยมาก เพราะฉะนั้นก็จําเป็นต้องมีการประหยัดน้ํา เพราะฉะนั้นคนเมืองชุมชนก็ต้องช่วยกันประหยัดน้ําจนถึงเกษตรกรที่เราไม่สามารถสูบน้ําให้เขาได้ เพราะเราต้องเก็บน้ําไว้อุปโภคบริโภค เพราะฉะนั้นเท่ากับว่าเราทําให้เขาลําบากอยู่เหมือนกัน แต่ทุกคนต้องใช้น้ําหมด เพราะฉะนั้นต้องใช้น้ําให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าสูงสุด รักษาน้ําให้ได้ไปถึงเดือนสิงหาคม ถ้าฝนไม่ตกอีกก็จะเป็นปัญหาต่อไปอีกขอให้ฟังและปฏิบัติตามคําแนะนําของราชการ ผู้ที่เสียหาย เรากําลังหาทางพิจารณาดูแลสัปดาห์หน้าคงชัดเจนขึ้น
ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ดร. มาร์กาเร็ต ชาน (Dr. Magaret Chan) ผู้อํานวยการองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้มีหนังสือมาถึงผมแสดงความชื่นชม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรคที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์สได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นระบบ มีการร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ระหว่างภาครัฐและเอกชน ประชาชนด้วย ประชาชนก็ไม่ตื่นตระหนก เข้าถึงข้อมูล และสามารถจํากัดการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวได้โดยเร็ว เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ น่ายินดี เป็นสิ่งดี ๆ ที่อยากจะเล่าให้พี่น้องประชาชนฟัง ต้องขอบคุณข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ได้ร่วมกันทํางานกันอย่างเต็มที่ นอกจากกระทรวงสาธารณสุขแล้วก็ยังมีอีกหลายกระทรวงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการคมนาคม การสัญจรไปมาทางอากาศต่าง ๆ มีการตรวจสอบ มากมายไปหมด ทุกส่วนราชการ ขอบคุณทุกคนแล้วก็ขอบคุณไปถึงพี่น้องประชาชนด้วยที่ให้ความร่วมมืออย่างดี
เรื่องสําคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คืออยากจะเรียนว่า การเดินหน้าของรัฐบาลนี้ ของ (คสช.) ก็เดินหน้าเข้ามาสู่ระยะที่ 2 แล้วก็เหลือระยะที่ 3 ที่กําหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวซึ่งเป็นเรื่องของการมีรัฐบาลในโอกาสต่อไป เมื่อมีความพร้อมของรัฐธรรมนูญของการทําประชามติของการเลือกตั้งก็เป็นไปตามระยะเวลาที่กําหนดไว้แล้วเดิม แต่สิ่งที่ผมเร่งรัดอยู่ขณะนี้ก็คือเร่งรัดการดําเนินการทุกกระทรวง ทบวง กรมให้ทํางานให้ได้ผลสัมฤทธิ์ในทุกกิจกรรมที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการไปแล้วหรือที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สั่งการได้ อันนี้จะต้องสามารถจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ความพึงพอใจของประชาชนหรือตรงความต้องการของประชาชนโดยรับฟังความคิดเห็นทุกประการแล้วก็หาความร่วมมือให้ได้ อย่าให้มีความขัดแย้งกันอีกต่อไป
ในเรื่องของโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งมีผลทางเรื่องของเศรษฐกิจประเทศ การลงทุนประเทศด้วยแล้วก็ป้องกันปัญหาในอนาคต ในระยะยาว อันนี้ก็อยากจะให้ทางรัฐมนตรี ทางข้าราชการตั้งแต่ปลัดกระทรวงลงไปจนถึงข้าราชการชั้นผู้น้อย ผู้ปฏิบัติ ทุกกระทรวง ทุกฝ่ายนั้นได้ไปเร่งรัดการดําเนินการ ที่ผ่านมานั้นเราได้แก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ แก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย ลดขั้นตอน ลดเวลาต่าง ๆ ไปเรียบร้อยหมดแล้ว วันนี้ก็ต้องมาจับต้องดูว่ากิจกรรมที่สั่งไปแล้วไม่ว่าเป็นในเรื่องของการศึกษา ในเรื่องของเศรษฐกิจ ในเรื่องของการลงทุน ในเรื่องของเทคโนโลยี หรือเรื่องอะไรก็ตามที่เป็นปัญหาของประเทศทั้งหมด ทั้ง 5 กลุ่มงานแล้วก็ทุกกระทรวงจะต้องไปจับต้องกิจกรรมเหล่านี้มาแล้วก็สรุปรายงานผลให้ผมทราบได้ภายในเดือนกันยายนนี้ เพื่อจะจับต้องได้เป็นรูปธรรมและผมจะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งในเรื่องของการดําเนินการในระยะต่อไป ในเรื่องการบริหารราชการ ในเรื่องของกําหนดนโยบายเพิ่มเติมทั้งนี้เพื่อให้ทันเวลาที่มีอยู่ในขณะนี้แล้วก็จะต้องเตรียมส่งมอบรายละเอียดที่เหลือไว้แล้วให้กับคณะปฏิรูปหรือ สปช. อะไรก็แล้วแต่ที่ยังอยู่ในขั้นตอนเหล่านี้ ใครอยู่ก็ต้องรับไปแล้วไปทําต่อให้เรียบร้อยในเรื่องของแผนการปฏิรูปในอนาคต ในรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
อันนี้ ผมก็เร่งรัดขอให้แสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ว่าเราได้กําหนดโจทย์ไปแล้ววิธีการบริหารจัดการไปแล้วแก้ไขข้อติดขัดไปให้แล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องอยู่ที่จะทําอย่างไร How to do และจะสําเร็จเมื่อไหร่ ระยะที่ 1 คือ เสร็จไปแล้ว คสช. ระยะที่ 2 คือตอนนี้ถึงกันยายนผมสรุปแค่นั้นก่อนตาม Road Map และที่เหลือหลังจากนั้นแล้วก็ไปเดินหน้าในรัฐบาลต่อไปถ้าเกิดขึ้นในตาม Road Map เพราะฉะนั้นต้องเตรียมการตั้งแต่วันนี้ ผมขอแจ้งเตือน ผมจะพิจารณาเป็นรายกระทรวงไปทุกกระทรวงทั้งในส่วนของการเมือง ข้าราชการในการเมือง ข้าราชการประจําด้วยเพราะฉะนั้นต้องชี้แจงได้ทุกอย่าง ขอให้รองรัฐมนตรี รัฐมนตรีแล้วก็ข้าราชการทุกกระทรวงได้ไปรวบรวมขับเคลื่อนมาให้ได้ ตอบคําถามให้ได้ระยะที่ 1 ระยะที่ 2 ทําอะไรสําเร็จไปแล้วบ้าง
อันนี้เป็นสิ่งสําคัญ เพราะที่ผ่านมานั้น ทุกคนจะรู้แต่ปัญหาไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม รัฐบาลใดก็ตามรู้ปัญหาทั้งหมดแต่ทําไม่ได้หรือทําได้ไม่เท่าที่ควร ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะว่าติดขัดหลายเรื่อง ติดขัดเรื่องกฎหมายหรือกติกาสัญญาอะไรต่าง ๆ ที่เคยมีปัญหาก็แก้ให้หมดแล้วเมื่อแก้ให้หมดแล้วปัญหาต้องหมดไป ต้องตอบคําถามให้ได้อะไรจบไปแล้วบ้าง อะไรหมดไปแล้ว ต้องช่วยกัน ร่วมมือ
อีกเรื่องหนึ่งขอร้องภาคประชาชน ภาคประชาสังคม วันนี้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เราค่อนข้างจะทําได้ยาก ในส่วนของโครงการที่มีขนาดใหญ่ จะมีผลในเรื่องของการลงทุนด้วย มีผลในเรื่องของปัญหาภายหน้าด้วย เช่น การบริหารจัดการพลังงาน ขยะ โรงไฟฟ้า หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ท่าเรืออาจจะมีผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่ด้วย จากนี้ถ้าเราไปไม่ได้เลย โครงการเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้ ก็จ้างงาน สร้างอาชีพอะไรไม่ได้ ผมขอเรียนว่าถ้าสามารถเกิดได้ในพื้นที่ ผมก็ได้สั่งการไปแล้วว่าขอให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์ก่อน ถ้าจําเป็นก็ขยับขยายสักเล็กน้อย ดูแลเยียวยาให้เหมาะสม เมื่อใดก็ตามที่มีประโยชน์เกิดขึ้นจากตรงนั้น ประชาชนเหล่านั้นจะต้องได้รับประโยชน์เป็นลําดับแรก มีสิทธิ์ต่าง ๆ มากกว่าคนอื่นในการที่จะได้รับผลตอบแทนหรือจะประกอบการอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ในกิจการในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งอันนี้ก็เกิดขึ้น เน้นหนัก 2 พื้นที่ใน 6 พื้นที่ในปี 2557 แต่ถ้าจะสร้างได้ทั้งหมดก็ทําไป ที่มีศักยภาพอยู่ก็ทางภาคตะวันตก ทางเหนือ เช่น แม่สอด จ.ตาก กับที่สระแก้วจะมีศักยภาพสูง ที่เหลือก็ทยอยดําเนินการไปจะเร่งรัดให้ได้โดยเร็ว
เพราะฉะนั้นประชาชนที่อยู่ตรงนั้นอย่ากังวลว่า เราประกาศพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษไปแล้ว หมายความว่าเขาต้องไปกันหมดเลยหรือ ไม่ใช่หรอกครับ กิจการก็จะลงไปในพื้นที่ดังกล่าวให้ได้เท่านั้นเอง ตรงไหนที่ไม่รบกวนมากมายนักก็เข้าไปได้เลย ตรงไหนที่มีปัญหาประชาชนก็ต้องดูแลประชาชนให้เขามีที่อยู่ที่กิน แล้ววันหน้าพอเกิดขึ้นมาแล้ว ธุรกิจประกอบการดีขึ้นแล้วหรือเป็นการลงทุนในเรื่องของการค้าขาย การประกอบการ ก็จะให้คนเหล่านี้กลับมาใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของธุรกิจที่จะต้องรองรับ เช่น ซักเสื้อผ้า อะไรทํานองนี้ หรือไม่ก็ขายอาหารอะไรต่าง ๆ ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจดังกล่าว คนในพื้นที่จะต้องได้ก่อน ในส่วนของตรงอื่นจําเป็นจะต้องเอาข้างนอกไปเสริมด้วย ข้างนอกก็คือนักลงทุนของเราเอง เริ่มจากในพื้นที่ก่อน ทั้งคน ทั้งผู้ประกอบการในพื้นที่ ถ้ามีศักยภาพก็เสนอมา ก็จะให้สิทธิประโยชน์ แล้วก็ในส่วนที่จะไปจากนอกพื้นที่ อันที่สามเพื่อจะทําให้เข้มแข็งแล้วก็จ้างงานได้มากขึ้น ก็คือต้องมีการลงทุนจากต่างประเทศด้วย แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการลงทุนที่ไม่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างผลกระทบกับประชาชนส่วนใหญ่ทั้งหมด ส่วนน้อย ๆ ก็ขอไว้ก่อน หลายเรื่องเราต้องทํา ถ้าไม่ทําวันนี้วันหน้าก็เกิดขึ้นไม่ได้ แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ วันนี้ทุกคนก็บ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดี การลงทุนไม่เกิด วันนี้ผมไล่ดูแล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่งบประมาณอย่างเดียว งบประมาณจัดไปแล้ว แต่ทําไม่ได้ การทําประชาพิจารณ์ก็ไม่ผ่าน EIA และ HIA ไม่ผ่านจะทําอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ โรงไฟฟ้า โรงงานขยะ แล้วก็ในส่วนของการลงทุนสาธารณูปโภคต่าง ๆ ถนนหนทางต้องผ่านความคิดเห็นของประชาชน ผมก็ลองดูอยู่ว่าจะทําอย่างไรให้เกิดขึ้น เม็ดเงินที่ลงทุนไปอย่างมหาศาลถึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่พอเบิกเงินไปแล้ว แล้วสร้างได้เลย ต้องทําตัวนี้ด้วย
เพราะฉะนั้นขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ และอื่น ๆ ด้วย ทุกคนต้องเผื่อแผ่แบ่งปัน ไม่ใช่บอกว่าเกิดตรงนี้พื้นที่เดือดร้อน แต่ตรงนี้จะต้องเกิดประโยชน์กับทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ด้วย อันนี้จะได้เป็นเครือข่ายสร้างความเข้มแข็งทั้งภูมิภาคไป ก็ลองคิดดู ผมอยากให้ทุกอย่างแก้ไขได้โดยเร็ว และเดินหน้าประเทศได้ระหว่างที่รัฐบาลนี้ยังอยู่ ผมได้สั่งการให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปดูกิจการของตนเองที่มีปัญหาข้อขัดข้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐาน พลังงาน เหมืองแร่ อะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ต้องลงไปดูในพื้นที่แล้วก็แก้ไขปัญหาให้ได้โดยเร็วว่าจะทําอย่างไรต่อไป ได้หรือไม่ได้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นลดลงได้ไหม หาทางเจอกันได้ไหม โดยมองผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก แล้วก็ไม่ไปทําลายวัฒนธรรมหรือทําลายสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่เขาอยู่แล้ว ทําอย่างไร ต้องไปด้วยกัน คือเจริญได้ พัฒนาได้ เปลี่ยนแปลงได้ แต่เขาต้องมีความสุข จะทําอย่างไรตรงนั้น ผมว่าไม่เกินความสามารถของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกท่านกับข้าราชการทุกจังหวัด ทุกพื้นที่ ในทุกกิจกรรม ถ้าเราไม่ทําปีนี้ ล่าช้าไปอีกหนึ่งปี ปีหน้าก็ทําไม่ได้อีก ปีต่อไปก็ทําไม่ได้อีก แล้วจะทําอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสร้างเส้นทาง ทางรถไฟ และเสาส่ง สายส่งไฟฟ้าเหล่านี้ และการขุดลอกแหล่งน้ําต่าง ๆ ติดขัดไปหมด บางคนก็บอกว่าละเมิดในเรื่องของนิเวศวิทยา ผมก็ให้เขาดูอยู่แล้ว ถ้าทําให้ระบบนิเวศวิทยาเสียหายก็ไม่ทํา ไปทําอย่างอื่น วันนี้ค้านทุกอัน เดินหน้าไม่ได้ งบประมาณก็ไม่ออก งานก็ไม่เกิด การก่อสร้างก็ไม่มี แล้วทุกคนบอกว่าเศรษฐกิจต้องดีขึ้น ดีไม่ได้แน่นอน ช่วยไปคิดกันใหม่ หาทางออก ไม่ใช่ผมต้องการที่จะไปบังคับท่าน มัดมือท่านชกอะไรทํานองนี้ หรือใช้อํานาจอะไรต่าง ๆ ผมไม่ต้องการใช้อํานาจ ต้องการความร่วมมือดีที่สุด
ขอขอบคุณอีกครั้งในความร่วมมือ แล้วก็สิ่งที่พ่อแม่พี่น้องเข้าใจที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็หวังว่าเราคงได้รับความร่วมมือ ได้รับความเข้าใจ ได้รับความเมตตา ให้เราได้ทํางานให้ประสบผลสําเร็จอย่างที่ทุกคนต้องการเพื่อประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน สวัสดีครับ ขอให้มีความสุขในวันสุดสัปดาห์
| ||
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
ข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่คืออะไร ใครอยู่ในกลุ่มเสี่ยงบ้างนะ
โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) ติดต่อกันง่าย สามารถแพร่กระจายเชื้อผ่านลมหายใจ เสมหะ น้ําลาย น้ํามูก และสิ่งของเครื่องใช้
กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ มีดังนี้
1.ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
2.เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี
3.หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
4.ผู้ที่มีโรคเรื้อรังหรือผู้ป่วยมะเร็งที่รับยาเคมีเพื่อบําบัด
5.ผู้ที่เป็นโรคอ้วน
6.ผู้พิการทางสมอง
7.ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
ข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่คืออะไร ใครอยู่ในกลุ่มเสี่ยงบ้างนะ
โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) ติดต่อกันง่าย สามารถแพร่กระจายเชื้อผ่านลมหายใจ เสมหะ น้ําลาย น้ํามูก และสิ่งของเครื่องใช้
กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ มีดังนี้
1.ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
2.เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี
3.หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
4.ผู้ที่มีโรคเรื้อรังหรือผู้ป่วยมะเร็งที่รับยาเคมีเพื่อบําบัด
5.ผู้ที่เป็นโรคอ้วน
6.ผู้พิการทางสมอง
7.ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30027
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สพฐ.ชี้แจงการบริหารจัดการ หนังสือเรียนและแบบฝึกหัด (แจกหนังสือเรียนฟรี 100%) ของกระทรวงศึกษาธิการ
|
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561
สพฐ.ชี้แจงการบริหารจัดการ หนังสือเรียนและแบบฝึกหัด (แจกหนังสือเรียนฟรี 100%) ของกระทรวงศึกษาธิการ
สพฐ.ชี้แจงการบริหารจัดการ หนังสือเรียนและแบบฝึกหัด (แจกหนังสือเรียนฟรี 100%) ของกระทรวงศึกษาธิการ
วันที่ 28 สิงหาคม 2561 นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงประเด็นปัญหาการดําเนินนโยบายแจกหนังสือเรียนฟรี 100% จากการที่ผู้อํานวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.กาญจนบุรี ในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยความเดือดร้อนจากผลกระทบของนโยบายการบริหารจัดการหนังสือเรียนและแบบฝึกหัด (แจกหนังสือเรียนฟรี 100%) ของกระทรวงศึกษาธิการ มีประเด็นสําคัญ ดังนี้
1. ในภาคเรียนที่ 1/2561 ทางโรงเรียนยังไม่ได้รับเงินจาก สพฐ.เพื่อจ่ายค่าหนังสือเรียนที่สั่งซื้อจากร้านค้า ทําให้ถูกร้านค้าทวงค่าหนังสือ คาดว่าเงินที่โรงเรียนทุกแห่งติดค้างอยู่มีมูลค่าไม่ต่ํากว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งเดิมทีแล้ว สพฐ.จะกําหนดให้ทุกโรงเรียนซื้อหนังสือเรียนให้เสร็จสิ้นก่อนเปิดภาคเรียนหรือภายในเดือนเมษายน นั้น
ในเบื้องต้น สพฐ. ได้รับงบประมาณการจัดซื้อหนังสือเรียนจํานวน 50% ก่อน ซึ่งขณะนี้ สพฐ. และสํานักงบประมาณมีความเข้าใจตรงกันแล้ว โดยสํานักงบประมาณยืนยันจะจัดสรรฯ ให้ครบ 100 % ตามข้อตกลง
2. สพฐ. จัดสรรเงินให้แต่ละโรงเรียนไม่เท่าเทียมกัน บางโรงเรียนได้แค่ 50-70% ทําให้โรงเรียนไม่สามารถกําหนดวิธีการที่ชัดเจนในการสั่งซื้อหนังสือ เพราะไม่มั่นใจว่า สพฐ. จะโอนเงินที่เหลือมาให้เต็มจํานวน
สพฐ. ได้แจ้งให้โรงเรียนนํางบฯ เรียนฟรี ที่มี 5 รายการ และได้รับจัดสรรครบแล้วจํานวน 4 รายการ นํามาจัดซื้อหนังสือเรียนก่อน เมื่อโรงเรียนได้รับการจัดสรรค่าหนังสือเรียนเพิ่มเติมแล้ว จึงนําเงินกลับไปทดแทน 4 รายการ ที่ได้นําเงินมาซื้อหนังสือแทน
3. เรียกร้องให้ สพฐ. ชี้แจงสาเหตุที่ยังไม่สามารถโอนเงินที่เหลือมาให้ครบเต็มจํานวน เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบไปยังหลายกลุ่มธุรกิจในวงกว้าง
สพฐ. ได้ประสานสํานักงบฯ เร่งโอนจัดสรรงบประมาณรายการหนังสือเรียนตามข้อตกลง
-----------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สพฐ.ชี้แจงการบริหารจัดการ หนังสือเรียนและแบบฝึกหัด (แจกหนังสือเรียนฟรี 100%) ของกระทรวงศึกษาธิการ
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561
สพฐ.ชี้แจงการบริหารจัดการ หนังสือเรียนและแบบฝึกหัด (แจกหนังสือเรียนฟรี 100%) ของกระทรวงศึกษาธิการ
สพฐ.ชี้แจงการบริหารจัดการ หนังสือเรียนและแบบฝึกหัด (แจกหนังสือเรียนฟรี 100%) ของกระทรวงศึกษาธิการ
วันที่ 28 สิงหาคม 2561 นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงประเด็นปัญหาการดําเนินนโยบายแจกหนังสือเรียนฟรี 100% จากการที่ผู้อํานวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.กาญจนบุรี ในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยความเดือดร้อนจากผลกระทบของนโยบายการบริหารจัดการหนังสือเรียนและแบบฝึกหัด (แจกหนังสือเรียนฟรี 100%) ของกระทรวงศึกษาธิการ มีประเด็นสําคัญ ดังนี้
1. ในภาคเรียนที่ 1/2561 ทางโรงเรียนยังไม่ได้รับเงินจาก สพฐ.เพื่อจ่ายค่าหนังสือเรียนที่สั่งซื้อจากร้านค้า ทําให้ถูกร้านค้าทวงค่าหนังสือ คาดว่าเงินที่โรงเรียนทุกแห่งติดค้างอยู่มีมูลค่าไม่ต่ํากว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งเดิมทีแล้ว สพฐ.จะกําหนดให้ทุกโรงเรียนซื้อหนังสือเรียนให้เสร็จสิ้นก่อนเปิดภาคเรียนหรือภายในเดือนเมษายน นั้น
ในเบื้องต้น สพฐ. ได้รับงบประมาณการจัดซื้อหนังสือเรียนจํานวน 50% ก่อน ซึ่งขณะนี้ สพฐ. และสํานักงบประมาณมีความเข้าใจตรงกันแล้ว โดยสํานักงบประมาณยืนยันจะจัดสรรฯ ให้ครบ 100 % ตามข้อตกลง
2. สพฐ. จัดสรรเงินให้แต่ละโรงเรียนไม่เท่าเทียมกัน บางโรงเรียนได้แค่ 50-70% ทําให้โรงเรียนไม่สามารถกําหนดวิธีการที่ชัดเจนในการสั่งซื้อหนังสือ เพราะไม่มั่นใจว่า สพฐ. จะโอนเงินที่เหลือมาให้เต็มจํานวน
สพฐ. ได้แจ้งให้โรงเรียนนํางบฯ เรียนฟรี ที่มี 5 รายการ และได้รับจัดสรรครบแล้วจํานวน 4 รายการ นํามาจัดซื้อหนังสือเรียนก่อน เมื่อโรงเรียนได้รับการจัดสรรค่าหนังสือเรียนเพิ่มเติมแล้ว จึงนําเงินกลับไปทดแทน 4 รายการ ที่ได้นําเงินมาซื้อหนังสือแทน
3. เรียกร้องให้ สพฐ. ชี้แจงสาเหตุที่ยังไม่สามารถโอนเงินที่เหลือมาให้ครบเต็มจํานวน เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบไปยังหลายกลุ่มธุรกิจในวงกว้าง
สพฐ. ได้ประสานสํานักงบฯ เร่งโอนจัดสรรงบประมาณรายการหนังสือเรียนตามข้อตกลง
-----------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15027
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กฤษฎา ขึ้นเวทีสหประชาชาติ! ชู 'ศาสตร์พระราชา'
|
วันพุธที่ 17 ตุลาคม 2561
รมว.กฤษฎา ขึ้นเวทีสหประชาชาติ! ชู 'ศาสตร์พระราชา'
รมว.กฤษฎา ขึ้นเวทีสหประชาชาติ! ชู 'ศาสตร์พระราชา' แก้ไขปัญหาความอดอยากหิวโหยของโลก พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการความมั่นคงด้านอาหารโลก (Committee on World Food Security - CFS)ครั้งที่ 45 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ณ สํานักงานใหญ่ เอฟ เอ โอ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี โดยได้ขึ้นกล่าวแถลงผลงานของรัฐบาลไทยในการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายของสหประชาชาติ (SDGs) เป้าหมายที่ 2 เกี่ยวกับวาระการสร้างความมั่นคงอาหาร และการขจัดปัญหาความอดอยากหิวโหย พร้อมได้นําเสนอศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ได้น้อมนําลงไปสู่การปฏิบัติจริง ผ่านโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดําริ และโครงการพัฒนาของส่วนราชการต่าง ๆ ในด้านบริหารจัดการดิน น้ํา และทรัพยากรการเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่อนํามาใช้ในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงพระบรมราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่ได้ให้ทุกส่วนราชการน้อมนําพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาขยายผลสู่การปฏิบัติให้ครอบคลุมทุกมิติ ผ่านโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนไทยในด้านต่าง ๆ เช่น โครงการมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร (มทส.) โครงการพัฒนาแหล่งน้ํา โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ตามพระราชดําริ เป็นต้น อีกทั้งยังได้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะทูตพิเศษด้านการขจัดความหิวโหยของเอฟ เอ โอ และทูตพิเศษด้านโครงการอาหารในโรงเรียนของโครงการอาหารโลก (WFP) โดยได้ดําเนินการผ่านโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียนในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศไทย
ทั้งนี้ ได้มีการรายงานต่อที่ประชุมเอฟ เอ โอ ว่า ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร อันดับ 11 ของโลก และไทยให้ความสําคัญกับโครงการขจัดความอดอยากหิวโหยของสหประชาชาติ ซึ่งผู้แทนเอฟ เอ โอ ที่ทําหน้าที่อภิปรายในที่ประชุมได้กล่าวยกย่องความสําเร็จในการสร้างความมั่นคงอาหาร และความหิวโหยของประเทศไทยผ่านโครงการโครงการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของทั้งในส่วนราชการและภาคประชาชนในประเทศไทย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กฤษฎา ขึ้นเวทีสหประชาชาติ! ชู 'ศาสตร์พระราชา'
วันพุธที่ 17 ตุลาคม 2561
รมว.กฤษฎา ขึ้นเวทีสหประชาชาติ! ชู 'ศาสตร์พระราชา'
รมว.กฤษฎา ขึ้นเวทีสหประชาชาติ! ชู 'ศาสตร์พระราชา' แก้ไขปัญหาความอดอยากหิวโหยของโลก พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการความมั่นคงด้านอาหารโลก (Committee on World Food Security - CFS)ครั้งที่ 45 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ณ สํานักงานใหญ่ เอฟ เอ โอ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี โดยได้ขึ้นกล่าวแถลงผลงานของรัฐบาลไทยในการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายของสหประชาชาติ (SDGs) เป้าหมายที่ 2 เกี่ยวกับวาระการสร้างความมั่นคงอาหาร และการขจัดปัญหาความอดอยากหิวโหย พร้อมได้นําเสนอศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ได้น้อมนําลงไปสู่การปฏิบัติจริง ผ่านโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดําริ และโครงการพัฒนาของส่วนราชการต่าง ๆ ในด้านบริหารจัดการดิน น้ํา และทรัพยากรการเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่อนํามาใช้ในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงพระบรมราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่ได้ให้ทุกส่วนราชการน้อมนําพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาขยายผลสู่การปฏิบัติให้ครอบคลุมทุกมิติ ผ่านโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนไทยในด้านต่าง ๆ เช่น โครงการมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร (มทส.) โครงการพัฒนาแหล่งน้ํา โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ตามพระราชดําริ เป็นต้น อีกทั้งยังได้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะทูตพิเศษด้านการขจัดความหิวโหยของเอฟ เอ โอ และทูตพิเศษด้านโครงการอาหารในโรงเรียนของโครงการอาหารโลก (WFP) โดยได้ดําเนินการผ่านโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียนในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศไทย
ทั้งนี้ ได้มีการรายงานต่อที่ประชุมเอฟ เอ โอ ว่า ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร อันดับ 11 ของโลก และไทยให้ความสําคัญกับโครงการขจัดความอดอยากหิวโหยของสหประชาชาติ ซึ่งผู้แทนเอฟ เอ โอ ที่ทําหน้าที่อภิปรายในที่ประชุมได้กล่าวยกย่องความสําเร็จในการสร้างความมั่นคงอาหาร และความหิวโหยของประเทศไทยผ่านโครงการโครงการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของทั้งในส่วนราชการและภาคประชาชนในประเทศไทย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16127
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เยี่ยมศูนย์หัวใจ รพ. รพ.พัทลุง -รพ.ควนขนุน ดูแลประชาชนภาคใต้ตอนล่าง
|
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2562
“อนุทิน” เยี่ยมศูนย์หัวใจ รพ. รพ.พัทลุง -รพ.ควนขนุน ดูแลประชาชนภาคใต้ตอนล่าง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมศูนย์หัวใจและหลอดเลือดโรงพยาบาลพัทลุง และเปิดศูนย์หัวใจโรงพยาบาลควนขนุน จ.พัทลุง เพิ่มการเข้าถึงการรักษาในเขตภาคใต้ตอนล่าง ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเดินทางรักษา ลดรอคอย ลดเหลื่อมล้ํา
วันนี้ (12 ตุลาคม 2562) ที่จ.พัทลุง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารตรวจเยี่ยมให้กําลังใจการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ ณ โรงพยาบาลพัทลุง และเปิดศูนย์หัวใจโรงพยาบาลควนขนุน บริการผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดประชาชนชาวพัทลุงและใกล้เคียง อาทิ ตรัง นครศรีธรรมราชเข้าถึงบริการตรวจรักษาโรคหัวใจได้อย่างทันท่วงที ลดอัตราการเสียชีวิต ลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย ไม่ต้องเดินทางไปรักษานอกจังหวัด
นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญกับสุขภาพอนามัยประชาชน พร้อมสนับสนุนการดําเนินงานทุกอย่างเพื่อให้สุขภาพดี ช่วยสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ในวันนี้มีความยินดีที่โรงพยาบาลพัทลุงได้พัฒนาศักยภาพให้เป็นศูนย์เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ มีศูนย์หัวใจและหลอดเลือดครบวงจร ผ่าตัดหัวใจแบบเปิดได้ รวมถึงมีศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจ โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชน เปิดให้บริการเมื่อ 17 เมษายน 2561 ทําให้ผู้ป่วยชาวพัทลุงและใกล้เคียง อาทิ ตรัง นครศรีธรรมราช เข้าถึงบริการตรวจรักษาโรคหัวใจได้อย่างทันท่วงที ไม่ต้องเดินทางไปรักษาที่จ.สงขลา
โดยในปี 2561 จ.พัทลุงมีผู้ป่วยโรคหัวใจ 5,120คน จํานวนมากเป็นอันดับ2 รองจากจ.สงขลา และมีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจอยู่ที่ร้อยละ1.27ภายหลังจากได้พัฒนาศักยภาพร่วมกับภาคเอกชน จัดให้มีอายุรแพทย์โรคหัวใจประจําตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยได้รับการสวนหัวใจภายใน 60 นาที ทําให้ในปี2562 อัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือร้อยละ 0.38 ที่สําคัญคือ ช่วยลดการรอคอยรักษา ลดเหลื่อมล้ํา ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นอกจากนี้ ยังได้เปิดคลินิกพิเศษเฉพาะทางโรคหัวใจนอกเวลาราชการ ช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาลในเวลาทําการ ผลการดําเนินงานตั้งแต่ 17เมษายน 2561 ถึงปัจจุบัน มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแล้ว กว่า 4,000 ราย บริการทําหัตถการกว่า 2,000 ราย
สําหรับโรงพยาบาลควนขนุนเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ มีแพทย์อายุรศาสตร์โรคหัวใจประจํา ได้เปิดศูนย์หัวใจ โดยประชาชนในพื้นที่สนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์ เพื่อดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดและหลอดเลือดสมองในพื้นที่และอําเภอใกล้เคียง ประมาณ 200 ราย ช่วยให้ได้รับการรักษาใกล้บ้าน ช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาลพัทลุง สามารถให้การรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจเรื้อรังที่มีภาวะน้ําท่วมปอด ลิ้นหัวใจผิดปกติ หัวใจเต้นผิดปกติ โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย เริ่มเปิดบริการเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 มีผู้ป่วยรับบริการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง 15 ราย ตรวจสมรรถภาพหลอดเลือดแดง ด้วยเครื่องABI(Ankle Brachial Index) 5 ราย
*************************************** 12 ตุลาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เยี่ยมศูนย์หัวใจ รพ. รพ.พัทลุง -รพ.ควนขนุน ดูแลประชาชนภาคใต้ตอนล่าง
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2562
“อนุทิน” เยี่ยมศูนย์หัวใจ รพ. รพ.พัทลุง -รพ.ควนขนุน ดูแลประชาชนภาคใต้ตอนล่าง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมศูนย์หัวใจและหลอดเลือดโรงพยาบาลพัทลุง และเปิดศูนย์หัวใจโรงพยาบาลควนขนุน จ.พัทลุง เพิ่มการเข้าถึงการรักษาในเขตภาคใต้ตอนล่าง ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเดินทางรักษา ลดรอคอย ลดเหลื่อมล้ํา
วันนี้ (12 ตุลาคม 2562) ที่จ.พัทลุง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารตรวจเยี่ยมให้กําลังใจการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ ณ โรงพยาบาลพัทลุง และเปิดศูนย์หัวใจโรงพยาบาลควนขนุน บริการผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดประชาชนชาวพัทลุงและใกล้เคียง อาทิ ตรัง นครศรีธรรมราชเข้าถึงบริการตรวจรักษาโรคหัวใจได้อย่างทันท่วงที ลดอัตราการเสียชีวิต ลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย ไม่ต้องเดินทางไปรักษานอกจังหวัด
นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญกับสุขภาพอนามัยประชาชน พร้อมสนับสนุนการดําเนินงานทุกอย่างเพื่อให้สุขภาพดี ช่วยสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ในวันนี้มีความยินดีที่โรงพยาบาลพัทลุงได้พัฒนาศักยภาพให้เป็นศูนย์เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ มีศูนย์หัวใจและหลอดเลือดครบวงจร ผ่าตัดหัวใจแบบเปิดได้ รวมถึงมีศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจ โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชน เปิดให้บริการเมื่อ 17 เมษายน 2561 ทําให้ผู้ป่วยชาวพัทลุงและใกล้เคียง อาทิ ตรัง นครศรีธรรมราช เข้าถึงบริการตรวจรักษาโรคหัวใจได้อย่างทันท่วงที ไม่ต้องเดินทางไปรักษาที่จ.สงขลา
โดยในปี 2561 จ.พัทลุงมีผู้ป่วยโรคหัวใจ 5,120คน จํานวนมากเป็นอันดับ2 รองจากจ.สงขลา และมีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจอยู่ที่ร้อยละ1.27ภายหลังจากได้พัฒนาศักยภาพร่วมกับภาคเอกชน จัดให้มีอายุรแพทย์โรคหัวใจประจําตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยได้รับการสวนหัวใจภายใน 60 นาที ทําให้ในปี2562 อัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือร้อยละ 0.38 ที่สําคัญคือ ช่วยลดการรอคอยรักษา ลดเหลื่อมล้ํา ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นอกจากนี้ ยังได้เปิดคลินิกพิเศษเฉพาะทางโรคหัวใจนอกเวลาราชการ ช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาลในเวลาทําการ ผลการดําเนินงานตั้งแต่ 17เมษายน 2561 ถึงปัจจุบัน มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแล้ว กว่า 4,000 ราย บริการทําหัตถการกว่า 2,000 ราย
สําหรับโรงพยาบาลควนขนุนเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ มีแพทย์อายุรศาสตร์โรคหัวใจประจํา ได้เปิดศูนย์หัวใจ โดยประชาชนในพื้นที่สนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์ เพื่อดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดและหลอดเลือดสมองในพื้นที่และอําเภอใกล้เคียง ประมาณ 200 ราย ช่วยให้ได้รับการรักษาใกล้บ้าน ช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาลพัทลุง สามารถให้การรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจเรื้อรังที่มีภาวะน้ําท่วมปอด ลิ้นหัวใจผิดปกติ หัวใจเต้นผิดปกติ โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย เริ่มเปิดบริการเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 มีผู้ป่วยรับบริการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง 15 ราย ตรวจสมรรถภาพหลอดเลือดแดง ด้วยเครื่องABI(Ankle Brachial Index) 5 ราย
*************************************** 12 ตุลาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23787
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานบอร์ด สปสช. เผยการดำเนินงานและบริหารกองทุน สปสช. ปี 2561 เน้น 3P
|
วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2560
ประธานบอร์ด สปสช. เผยการดําเนินงานและบริหารกองทุน สปสช. ปี 2561 เน้น 3P
ประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประชุมชี้แจง “หลักเกณฑ์การดําเนินงานและบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2561” เน้น 3 P คือ สร้างเสริม ป้องกัน และคุ้มครอง
วันนี้ (6ตุลาคม2560)ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการฯ ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดการประชุมชี้แจงหลักเกณฑ์การดําเนินงานและการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ2561พร้อมปาฐกถาพิเศษ โดยมีผู้แทนจากหน่วยบริการที่ร่วมบริการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจากสังกัดต่างๆ เข้าร่วม อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม กรุงเทพมหานคร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนหน่วยบริการเอกชนเข้าร่วม เพื่อทําความเข้าใจการดําเนินงานและบริหารจัดการกองทุนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญและสนับสนุนการดําเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้จัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่อง ในการดูแลประชาชนให้เข้าถึงการรักษาและบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึงด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ที่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันคือ "ประชาชนสุขภาพดี เจ้าหน้าที่มีความสุข ระบบสุขภาพยั่งยืน" ในการจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ยึดหลักการทํางานใน2ประเด็นใหญ่ คือ1.ขอให้ร่วมกันหาวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา เพราะการทํางานเมื่อทํามาสักระยะหนึ่งอาจจะพบปัญหาในการทํางาน2.ขอให้ยึดประชาชนเป็นหลักในการทํางาน ไม่แบ่งฝ่าย ใช้งบประมาณที่เป็นของประชาชนเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
“การจะเปลี่ยนแปลงอะไรในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ต้องมีการหารือกันว่าเปลี่ยนแล้วได้ประโยชน์อะไร ซึ่งที่ผ่านมาทั้งฝ่ายที่จ่ายเงินและจัดบริการได้พูดคุยกันมากขึ้น เข้าใจและเอื้ออาทรกันมากขึ้น ที่สําคัญคือภาคประชาสังคมต้องเข้ามารับรู้และติดตามการทํางาน”ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าว
สําหรับการดําเนินงาน ในปีงบประมาณ2561นี้ เน้นงานสร้างเสริม ป้องกัน และคุ้มครอง หรือ3P : Promotion Prevention Protectionซึ่งการดําเนินงานจะประสบความสําเร็จได้ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายมีความสุข มีความเข้าใจกัน ต้องขอความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจจากทุกภาคส่วน
******************************* 6ตุลาคม2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานบอร์ด สปสช. เผยการดำเนินงานและบริหารกองทุน สปสช. ปี 2561 เน้น 3P
วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2560
ประธานบอร์ด สปสช. เผยการดําเนินงานและบริหารกองทุน สปสช. ปี 2561 เน้น 3P
ประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประชุมชี้แจง “หลักเกณฑ์การดําเนินงานและบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2561” เน้น 3 P คือ สร้างเสริม ป้องกัน และคุ้มครอง
วันนี้ (6ตุลาคม2560)ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการฯ ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดการประชุมชี้แจงหลักเกณฑ์การดําเนินงานและการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ2561พร้อมปาฐกถาพิเศษ โดยมีผู้แทนจากหน่วยบริการที่ร่วมบริการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจากสังกัดต่างๆ เข้าร่วม อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม กรุงเทพมหานคร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนหน่วยบริการเอกชนเข้าร่วม เพื่อทําความเข้าใจการดําเนินงานและบริหารจัดการกองทุนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญและสนับสนุนการดําเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้จัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่อง ในการดูแลประชาชนให้เข้าถึงการรักษาและบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึงด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ที่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันคือ "ประชาชนสุขภาพดี เจ้าหน้าที่มีความสุข ระบบสุขภาพยั่งยืน" ในการจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ยึดหลักการทํางานใน2ประเด็นใหญ่ คือ1.ขอให้ร่วมกันหาวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา เพราะการทํางานเมื่อทํามาสักระยะหนึ่งอาจจะพบปัญหาในการทํางาน2.ขอให้ยึดประชาชนเป็นหลักในการทํางาน ไม่แบ่งฝ่าย ใช้งบประมาณที่เป็นของประชาชนเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
“การจะเปลี่ยนแปลงอะไรในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ต้องมีการหารือกันว่าเปลี่ยนแล้วได้ประโยชน์อะไร ซึ่งที่ผ่านมาทั้งฝ่ายที่จ่ายเงินและจัดบริการได้พูดคุยกันมากขึ้น เข้าใจและเอื้ออาทรกันมากขึ้น ที่สําคัญคือภาคประชาสังคมต้องเข้ามารับรู้และติดตามการทํางาน”ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าว
สําหรับการดําเนินงาน ในปีงบประมาณ2561นี้ เน้นงานสร้างเสริม ป้องกัน และคุ้มครอง หรือ3P : Promotion Prevention Protectionซึ่งการดําเนินงานจะประสบความสําเร็จได้ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายมีความสุข มีความเข้าใจกัน ต้องขอความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจจากทุกภาคส่วน
******************************* 6ตุลาคม2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7216
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 กระทรวงจับมือร่วมจัดงานวันรับรองระบบงานโลก ลงทะเบียนร่วมงานฟรี
|
วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน 2560
4 กระทรวงจับมือร่วมจัดงานวันรับรองระบบงานโลก ลงทะเบียนร่วมงานฟรี
4 กระทรวง จับมือจัดงานวันรับรองระบบงานโลกและวันมาตรวิทยาโลก ร่วมรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสําคัญของการรับรองระบบงาน พร้อมเชิญชวนรับฟังปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “สร้างประเทศไทย 4.0 บนวัฒนธรรมคุณภาพ” โดยนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 กระทรวงจับมือร่วมจัดงานวันรับรองระบบงานโลก ลงทะเบียนร่วมงานฟรี
วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน 2560
4 กระทรวงจับมือร่วมจัดงานวันรับรองระบบงานโลก ลงทะเบียนร่วมงานฟรี
4 กระทรวง จับมือจัดงานวันรับรองระบบงานโลกและวันมาตรวิทยาโลก ร่วมรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสําคัญของการรับรองระบบงาน พร้อมเชิญชวนรับฟังปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “สร้างประเทศไทย 4.0 บนวัฒนธรรมคุณภาพ” โดยนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4205
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมกับเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และท็อปส์ ชูสินค้า GI บุกตลาดรีเทลในประเทศ เพิ่มจุดขาย “GI Corner” กว่า 100 สาขา ภายในปี 2560
|
วันพุธที่ 19 เมษายน 2560
กรมทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมกับเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และท็อปส์ ชูสินค้า GI บุกตลาดรีเทลในประเทศ เพิ่มจุดขาย “GI Corner” กว่า 100 สาขา ภายในปี 2560
กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ประกาศร่วมมือกับ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล และ ท็อปส์ สนับสนุนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication: GI) ของประเทศไทย เพื่อสร้างความแตกต่างให้ซูเปอร์มาร์เก็ต
พร้อมเปิดตัว “GI Corner” มุมจําหน่ายสินค้า GI นําร่องใน 2 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สาขาเซ็นทรัลชิดลม และ ท็อปส์ มาร์เก็ต สาขาเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ ตั้งเป้าขยายจุดจําหน่ายครบ 100 จุด ภายในสิ้นปี 2560 ขึ้นแท่นซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งแรกที่จําหน่ายสินค้า GI มากที่สุดจากไทย
วันที่ 18 เมษายน 2560 : ณ ท็อปส์ มาร์เก็ต สาขาเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ -นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยถึงความสําเร็จในการร่วมมือกันระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ และบริษัทเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จํากัด ในการขยายช่องทางการตลาดสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ไทย เพื่อยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการสินค้า GI ไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศและระดับสากล ตลอดจนเพื่อให้สินค้า GI ไทยนี้ เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งสอดรับกับนโยบายสําคัญของรัฐบาลในการผลักดันให้ชุมชนเข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการควบคุมคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค
กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เล็งเห็นถึงความสําคัญในส่วนนี้ จึงได้สนับสนุนการจัดทําระบบมาตรฐานสินค้า GI ที่เป็นการควบคุมคุณภาพสินค้าให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งผลิตได้ ในปี 2560 ได้สนับสนุนการจัดทําระบบมาตรฐานสินค้า GI จํานวน 20 สินค้า จาก 15 จังหวัด เช่น เนื้อโคขุนโพนยางคํา จังหวัดสกลนคร ทุเรียนป่าละอู จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล้วยเล็บมือนางชุมพร จังหวัดชุมพร กาแฟดงมะไฟ จังหวัดนครราชสีมา มะนาวเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี มะยงชิดนครนายก มะปรางหวานนครนายก จังหวัดนครนายก ส้มสีทองน่าน จังหวัดน่าน เป็นต้น โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 1,000 ราย เมื่อผู้ประกอบการผ่านการตรวจสอบมาตรฐาน GI แล้วจะสามารถใช้ตราสัญลักษณ์ GI ไทยได้ ซึ่งจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่สินค้าชุมชน
ในปีนี้กรมฯ ยังเริ่มโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคสมัยใหม่อีกด้วย ซึ่งจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 16 ราย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความต้องการและกฎระเบียบของโมเดิร์นเทรด เพื่อให้เกิดผู้ประกอบการสินค้าชุมชนที่มีความยั่งยืนในการทําตลาดสินค้าด้วยตนเองต่อไป โดยการพัฒนาสินค้า GI ในด้านต่างๆ ให้เกิดเป็นของดี ของแท้ ของหายาก ที่มีการรับรองคุณภาพผ่านตรา GI ไทย จะมีวางจําหน่ายใน เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ มาร์เก็ต ต่อไป
ปัจจุบันประเทศไทยให้ความคุ้มครองสินค้า GI ไทย 76 รายการจาก 53 จังหวัด โดยมีเป้าหมายที่จะมีสินค้า GI ครบ 77 จังหวัดในปีนี้ และในปี 2561 มีวางเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบมาตรฐานสินค้า GI ให้แก่เกษตรกร 1,250 ราย
นอกจากนี้ อยากเชิญชวนผู้บริโภคแวะชม ชิม ช๊อบ สินค้า GI ในงานต่างๆ ที่กรมฯ กําลังจะจัดขึ้น ดังนี้
1) งาน GI Market 2017 จํานวน 2 ครั้ง มีผู้ประกอบการ GI ไทยเข้าร่วมในแต่ละครั้งไม่น้อยกว่า 60 ราย ระหว่างวันที่ 27 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2560 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ และระหว่างวันที่ 1 – 7 สิงหาคม 2560 ณ เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต
2) งาน IP Fair 2017 ระหว่างวันที่ 4 -7 พฤษภาคม 2560 ณ ไบเทคบางนา
3) เข้าร่วมงาน OTOP Mid Year ระหว่างวันที่ 18 - 25 พฤษภาคม 2560
4) เข้าร่วมงาน THAIFEX 2017 ในรูปแบบ GI Pavilion ระหว่างวัน 31 พฤษภาคม – 4 มิถุนายน 2560
ทางด้าน นางสาวภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จํากัด ผู้บริหาร เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ กล่าวว่า บริษัทได้ขยายช่องทางการตลาดสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ไทย เพื่อยกระดับผู้ประกอบการสินค้า GI ไทยให้เป็นที่รู้จัก ผ่านมุมจําหน่ายสินค้า GI หรือ GI Corner ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของสําคัญของบริษัท ในปี 2560 เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคให้ได้รับสินค้าที่ดีมีคุณภาพ
“การขึ้นทะเบียนสินค้า GI สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและความแตกต่างให้สินค้า เป็นสินค้าเฉพาะท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งในต่างประเทศให้การยอมรับ สามารถสร้างคุณค่าเพิ่มให้แบรนด์ มีจุดแข็งจุดขายที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพิ่มโอกาสในการส่งออก ตราสัญลักษณ์ GI สามารถการันตีคุณภาพและความน่าเชื่อถือให้สินค้า สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ สร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อว่าจะได้สินค้าที่ Authentic มีหน่วยงานที่ควบคุมมาตรฐานมีการตรวจสอบทุกปี ตัวสินค้าเองมีการตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability)”
การเปิด GI Corner เป็นการนําร่องโครงการความร่วมมือ ซึ่งปัจจุบันเปิดใน 2 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สาขาเซ็นทรัล ชิดลม และ ท็อปส์ มาร์เก็ต สาขาเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ โดยจําหน่ายสินค้า GI ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค จํานวน 29 รายการ เป็นสินค้าที่จดทะเบียนแล้ว 18 ราย และกําลังอยู่ระหว่างดําเนินการ 11 ราย โดยสินค้าที่วางจําหน่ายจะหมุนเวียนกันไปตามฤดูกาล เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่มีคุณภาพดีที่สุด เช่น ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง สับปะรดศรีราชา ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง กาแฟดอยช้าง กาแฟดอยตุง ข้าวแต๋นลําปาง ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ไข่เค็มไชยา มะขามหวานเพชรบูรณ์ น้ําหมากเม่าสกลนคร ฯลฯ
โดยภายในปี 2560 บริษัทวางแผนเปิด GI Corner ให้ได้ทั้งหมดใน เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต และ ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์ ซึ่งปัจจุบันมีจํานวนกว่า 100 สาขา และสั่งซื้อได้ทางออนไลน์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมกับเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และท็อปส์ ชูสินค้า GI บุกตลาดรีเทลในประเทศ เพิ่มจุดขาย “GI Corner” กว่า 100 สาขา ภายในปี 2560
วันพุธที่ 19 เมษายน 2560
กรมทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมกับเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และท็อปส์ ชูสินค้า GI บุกตลาดรีเทลในประเทศ เพิ่มจุดขาย “GI Corner” กว่า 100 สาขา ภายในปี 2560
กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ประกาศร่วมมือกับ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล และ ท็อปส์ สนับสนุนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication: GI) ของประเทศไทย เพื่อสร้างความแตกต่างให้ซูเปอร์มาร์เก็ต
พร้อมเปิดตัว “GI Corner” มุมจําหน่ายสินค้า GI นําร่องใน 2 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สาขาเซ็นทรัลชิดลม และ ท็อปส์ มาร์เก็ต สาขาเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ ตั้งเป้าขยายจุดจําหน่ายครบ 100 จุด ภายในสิ้นปี 2560 ขึ้นแท่นซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งแรกที่จําหน่ายสินค้า GI มากที่สุดจากไทย
วันที่ 18 เมษายน 2560 : ณ ท็อปส์ มาร์เก็ต สาขาเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ -นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยถึงความสําเร็จในการร่วมมือกันระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ และบริษัทเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จํากัด ในการขยายช่องทางการตลาดสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ไทย เพื่อยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการสินค้า GI ไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศและระดับสากล ตลอดจนเพื่อให้สินค้า GI ไทยนี้ เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งสอดรับกับนโยบายสําคัญของรัฐบาลในการผลักดันให้ชุมชนเข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการควบคุมคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค
กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เล็งเห็นถึงความสําคัญในส่วนนี้ จึงได้สนับสนุนการจัดทําระบบมาตรฐานสินค้า GI ที่เป็นการควบคุมคุณภาพสินค้าให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งผลิตได้ ในปี 2560 ได้สนับสนุนการจัดทําระบบมาตรฐานสินค้า GI จํานวน 20 สินค้า จาก 15 จังหวัด เช่น เนื้อโคขุนโพนยางคํา จังหวัดสกลนคร ทุเรียนป่าละอู จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล้วยเล็บมือนางชุมพร จังหวัดชุมพร กาแฟดงมะไฟ จังหวัดนครราชสีมา มะนาวเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี มะยงชิดนครนายก มะปรางหวานนครนายก จังหวัดนครนายก ส้มสีทองน่าน จังหวัดน่าน เป็นต้น โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 1,000 ราย เมื่อผู้ประกอบการผ่านการตรวจสอบมาตรฐาน GI แล้วจะสามารถใช้ตราสัญลักษณ์ GI ไทยได้ ซึ่งจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่สินค้าชุมชน
ในปีนี้กรมฯ ยังเริ่มโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคสมัยใหม่อีกด้วย ซึ่งจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 16 ราย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความต้องการและกฎระเบียบของโมเดิร์นเทรด เพื่อให้เกิดผู้ประกอบการสินค้าชุมชนที่มีความยั่งยืนในการทําตลาดสินค้าด้วยตนเองต่อไป โดยการพัฒนาสินค้า GI ในด้านต่างๆ ให้เกิดเป็นของดี ของแท้ ของหายาก ที่มีการรับรองคุณภาพผ่านตรา GI ไทย จะมีวางจําหน่ายใน เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ มาร์เก็ต ต่อไป
ปัจจุบันประเทศไทยให้ความคุ้มครองสินค้า GI ไทย 76 รายการจาก 53 จังหวัด โดยมีเป้าหมายที่จะมีสินค้า GI ครบ 77 จังหวัดในปีนี้ และในปี 2561 มีวางเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบมาตรฐานสินค้า GI ให้แก่เกษตรกร 1,250 ราย
นอกจากนี้ อยากเชิญชวนผู้บริโภคแวะชม ชิม ช๊อบ สินค้า GI ในงานต่างๆ ที่กรมฯ กําลังจะจัดขึ้น ดังนี้
1) งาน GI Market 2017 จํานวน 2 ครั้ง มีผู้ประกอบการ GI ไทยเข้าร่วมในแต่ละครั้งไม่น้อยกว่า 60 ราย ระหว่างวันที่ 27 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2560 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ และระหว่างวันที่ 1 – 7 สิงหาคม 2560 ณ เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต
2) งาน IP Fair 2017 ระหว่างวันที่ 4 -7 พฤษภาคม 2560 ณ ไบเทคบางนา
3) เข้าร่วมงาน OTOP Mid Year ระหว่างวันที่ 18 - 25 พฤษภาคม 2560
4) เข้าร่วมงาน THAIFEX 2017 ในรูปแบบ GI Pavilion ระหว่างวัน 31 พฤษภาคม – 4 มิถุนายน 2560
ทางด้าน นางสาวภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จํากัด ผู้บริหาร เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และ ท็อปส์ กล่าวว่า บริษัทได้ขยายช่องทางการตลาดสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ไทย เพื่อยกระดับผู้ประกอบการสินค้า GI ไทยให้เป็นที่รู้จัก ผ่านมุมจําหน่ายสินค้า GI หรือ GI Corner ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของสําคัญของบริษัท ในปี 2560 เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคให้ได้รับสินค้าที่ดีมีคุณภาพ
“การขึ้นทะเบียนสินค้า GI สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและความแตกต่างให้สินค้า เป็นสินค้าเฉพาะท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งในต่างประเทศให้การยอมรับ สามารถสร้างคุณค่าเพิ่มให้แบรนด์ มีจุดแข็งจุดขายที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพิ่มโอกาสในการส่งออก ตราสัญลักษณ์ GI สามารถการันตีคุณภาพและความน่าเชื่อถือให้สินค้า สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ สร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อว่าจะได้สินค้าที่ Authentic มีหน่วยงานที่ควบคุมมาตรฐานมีการตรวจสอบทุกปี ตัวสินค้าเองมีการตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability)”
การเปิด GI Corner เป็นการนําร่องโครงการความร่วมมือ ซึ่งปัจจุบันเปิดใน 2 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สาขาเซ็นทรัล ชิดลม และ ท็อปส์ มาร์เก็ต สาขาเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ โดยจําหน่ายสินค้า GI ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค จํานวน 29 รายการ เป็นสินค้าที่จดทะเบียนแล้ว 18 ราย และกําลังอยู่ระหว่างดําเนินการ 11 ราย โดยสินค้าที่วางจําหน่ายจะหมุนเวียนกันไปตามฤดูกาล เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่มีคุณภาพดีที่สุด เช่น ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง สับปะรดศรีราชา ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง กาแฟดอยช้าง กาแฟดอยตุง ข้าวแต๋นลําปาง ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ไข่เค็มไชยา มะขามหวานเพชรบูรณ์ น้ําหมากเม่าสกลนคร ฯลฯ
โดยภายในปี 2560 บริษัทวางแผนเปิด GI Corner ให้ได้ทั้งหมดใน เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต และ ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์ ซึ่งปัจจุบันมีจํานวนกว่า 100 สาขา และสั่งซื้อได้ทางออนไลน์
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3138
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิดคลินิกหมอครอบครัวหนองแก แห่งแรกของ จ.อุบลราชธานี
|
วันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560
สธ.เปิดคลินิกหมอครอบครัวหนองแก แห่งแรกของ จ.อุบลราชธานี
กระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกหมอครอบครัวหนองแก จ.อุบลราชธานี เครือข่ายโรงพยาบาล 50 พรรษาวชิราลงกรณ เผยคลินิกหมอครอบครัวช่วยลดเวลารอคอย ลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดคลินิกหมอครอบครัวหนองแก ต.แจระแม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญกับนโยบาย “คลินิกหมอครอบครัว” ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ มุ่งหวังให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพทัดเทียมกัน โดยใช้ระบบการแพทย์ปฐมภูมิดูแลประชาชนในทุกมิติสุขภาพ มีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัว และทีมสหวิชาชีพดูแลประชาชนในสัดส่วนที่เหมาะสม คือ ประชากร 10,000 คนต่อ 1 ทีม ซึ่งในปี 2559กระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินการไปแล้ว 48 ทีม ใน 16 จังหวัด ให้บริการภายใต้สโลแกน “บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี”
จากการประเมินผลการดําเนินการในพื้นที่นําร่อง ปี 2559 พบว่า คลินิกหมอครอบครัว ได้ช่วยเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพ เช่น ลดเวลารอคอยจาก172 นาทีเหลือเพียง 44 นาที ลดความแออัดในการรอรับบริการในโรงพยาบาลใหญ่ลงร้อยละ 60 ลดการนอนโรงพยาบาลที่ไม่จําเป็นร้อยละ 15 ลดการใช้บริการห้องฉุกเฉินร้อยละ 13 การเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน เช่น ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชนร้อยละ 25 และในปี 2560 นี้ ตั้งเป้าให้โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่งทั่วประเทศ จัดตั้งคลินิกหมอครอบครัวในเขตเมือง และเพิ่มในเขตชนบทอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง รวมเป็น 472 ทีม และอีก 10 ปีข้างหน้าในปี 2569 คนไทยจะมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหวิชาชีพ 6,500 ทีม ดูแลสุขภาพให้กับคนไทยทุกคน
สําหรับคลินิกหมอครอบครัวหนองแก ต.แจระแม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เป็นคลินิกหมอครอบครัวแห่งแรกของจังหวัด อยู่ในเครือข่ายโรงพยาบาล 50พรรษา มหาวชิราลงกรณ ได้ผ่านขั้นตอนการพัฒนาให้เป็น รพ.สต.ติดดาว มีทีมหมอครอบครัว ทีมสหวิชาชีพ และมีแพทย์ที่ผ่านการอบรมเวชศาสตร์ครอบครัวเป็นผู้ร่วมให้บริการและให้คําปรึกษาอยู่ประจํา ประกอบด้วย 3 ทีม ครอบคลุม รพ.สต. 7 แห่ง ดูแลประชากร 35,492 คน โดยใช้ระบบให้คําปรึกษาแบบเป็นเครือข่าย ทํางานครอบคลุมงานด้านการส่งเสริม ป้องกัน รักษา ฟื้นฟูสภาพ และส่งต่อโรงพยาบาลแม่ข่ายเมื่อเกินขีดความสามารถ มีบริการอาทิ ตรวจรักษาโรคทั่วไป โรคเรื้อรัง มีคลินิกโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไต หอบหืด จิตเวช ฝากครรภ์ วางแผนครอบครัว ฉีดวัคซีน ทันตกรรม แพทย์แผนไทย บริการเยี่ยมบ้าน เป็นต้น
******************* 28 มีนาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิดคลินิกหมอครอบครัวหนองแก แห่งแรกของ จ.อุบลราชธานี
วันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560
สธ.เปิดคลินิกหมอครอบครัวหนองแก แห่งแรกของ จ.อุบลราชธานี
กระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกหมอครอบครัวหนองแก จ.อุบลราชธานี เครือข่ายโรงพยาบาล 50 พรรษาวชิราลงกรณ เผยคลินิกหมอครอบครัวช่วยลดเวลารอคอย ลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดคลินิกหมอครอบครัวหนองแก ต.แจระแม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญกับนโยบาย “คลินิกหมอครอบครัว” ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ มุ่งหวังให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพทัดเทียมกัน โดยใช้ระบบการแพทย์ปฐมภูมิดูแลประชาชนในทุกมิติสุขภาพ มีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัว และทีมสหวิชาชีพดูแลประชาชนในสัดส่วนที่เหมาะสม คือ ประชากร 10,000 คนต่อ 1 ทีม ซึ่งในปี 2559กระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินการไปแล้ว 48 ทีม ใน 16 จังหวัด ให้บริการภายใต้สโลแกน “บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี”
จากการประเมินผลการดําเนินการในพื้นที่นําร่อง ปี 2559 พบว่า คลินิกหมอครอบครัว ได้ช่วยเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพ เช่น ลดเวลารอคอยจาก172 นาทีเหลือเพียง 44 นาที ลดความแออัดในการรอรับบริการในโรงพยาบาลใหญ่ลงร้อยละ 60 ลดการนอนโรงพยาบาลที่ไม่จําเป็นร้อยละ 15 ลดการใช้บริการห้องฉุกเฉินร้อยละ 13 การเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน เช่น ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชนร้อยละ 25 และในปี 2560 นี้ ตั้งเป้าให้โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่งทั่วประเทศ จัดตั้งคลินิกหมอครอบครัวในเขตเมือง และเพิ่มในเขตชนบทอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง รวมเป็น 472 ทีม และอีก 10 ปีข้างหน้าในปี 2569 คนไทยจะมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหวิชาชีพ 6,500 ทีม ดูแลสุขภาพให้กับคนไทยทุกคน
สําหรับคลินิกหมอครอบครัวหนองแก ต.แจระแม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เป็นคลินิกหมอครอบครัวแห่งแรกของจังหวัด อยู่ในเครือข่ายโรงพยาบาล 50พรรษา มหาวชิราลงกรณ ได้ผ่านขั้นตอนการพัฒนาให้เป็น รพ.สต.ติดดาว มีทีมหมอครอบครัว ทีมสหวิชาชีพ และมีแพทย์ที่ผ่านการอบรมเวชศาสตร์ครอบครัวเป็นผู้ร่วมให้บริการและให้คําปรึกษาอยู่ประจํา ประกอบด้วย 3 ทีม ครอบคลุม รพ.สต. 7 แห่ง ดูแลประชากร 35,492 คน โดยใช้ระบบให้คําปรึกษาแบบเป็นเครือข่าย ทํางานครอบคลุมงานด้านการส่งเสริม ป้องกัน รักษา ฟื้นฟูสภาพ และส่งต่อโรงพยาบาลแม่ข่ายเมื่อเกินขีดความสามารถ มีบริการอาทิ ตรวจรักษาโรคทั่วไป โรคเรื้อรัง มีคลินิกโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไต หอบหืด จิตเวช ฝากครรภ์ วางแผนครอบครัว ฉีดวัคซีน ทันตกรรม แพทย์แผนไทย บริการเยี่ยมบ้าน เป็นต้น
******************* 28 มีนาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2681
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยนำร่องออกใบอนุโมทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่วัดใหญ่ จ.พิษณุโลก
|
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2560
กรุงไทยนําร่องออกใบอนุโมทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่วัดใหญ่ จ.พิษณุโลก
ธนาคารกรุงไทยนําร่องออกใบอนุโทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการ e-Donation ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จ.พิษณุโลก พร้อมติดตั้ง KRUNGTHAI QR Code และแอปฯ เป๋าตุง กรุงไทยให้กับร้านค้าต่างๆ
ธนาคารกรุงไทยนําร่องออกใบอนุโทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการ e-Donation ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จ.พิษณุโลก พร้อมติดตั้ง KRUNGTHAI QR Code และแอปฯ เป๋าตุง กรุงไทยให้กับร้านค้าต่างๆ ในงานตลาดบุญวัดใหญ่ อุ่นใจไร้เงินสด โดยมี นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงาน ร่วมด้วย ดร.สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการธนาคารกรุงไทย และผู้บริหารธนาคารกรุงไทย เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2560
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดงานว่า รัฐบาลและกระทรวงการคลังมุ่งผลักดันแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment จากนโยบาย Thailand 4.0 เพื่อวางโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะยาวของประเทศ และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Digital Economy โดยงานตลาดบุญวัดใหญ่ อุ่นใจไร้เงินสด นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือครั้งสําคัญของหน่วยงานรัฐภายใต้กระทรวงการคลังในการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลอย่างจริงจัง เพื่อมุ่งสู่สังคมไร้เงินสด โดยการนําร่องรูปแบบการชําระเงินรูปแบบใหม่ให้กับร้านค้าต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้มีทางเลือกในการชําระค่าสินค้าอย่างสะดวกและรวดเร็ว รวมถึงลดความยุ่งยากของร้านค้าในการบริหาร จัดการเงินสด โดยธนาคารกรุงไทยมีส่วนร่วมในการผลักดันโครงการต่างๆ ให้สําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
ดร.สมชัย สัจจพงษ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการ e-Donation ว่า หลังจากที่ธนาคารได้ริเริ่มพัฒนาแอปพลิเคชั่นเป๋าตุง เติมบุญ เพื่ออํานวยความสะดวกในการรับบริจาคเงินเข้าบัญชีวัดทันที ไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องการบริหารจัดการเงินสด เกิดประโยชน์ในภาพรวมกับทุกภาคส่วน ซึ่งได้ให้บริการในหลายพื้นที่ เช่น วัดน้อยนพคุณ วัดครึ่งใต้ จ.เชียงราย วัดมหาธาตุแหลมสัก จ.กระบี่ ในวันนี้ได้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง โดยนําร่องออกใบอนุโทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้บริจาคเงินให้กับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จ.พิษณุโลก ผ่านอีเมลเป็นแห่งแรก และในอนาคตผู้บริจาคเงินยังจะสามารถหักลดหย่อนภาษีจากการบริจาคเงินได้อัตโนมัติตามความสมัครใจของผู้บริจาคอีกด้วย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทยได้นํา KRUNGTHAI QR Code ไปให้บริการในหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานราชการ กว่า 30 แห่ง เช่น ศูนย์อาหารและสันทนาการกระทรวงการคลัง โรงอาหารกระทรวงพาณิชย์ โรงอาหารกรมศุลกากร รวมถึงงานสําคัญต่างๆ เช่น ครม. สัญจร ที่ตลาดสามชุกและตลาดกิมหยง ตลาดนัดคลองผดุงฯ ตลาดกรุงศรี จ.พระนครศรีอยุธยา ตลอดจนตลาดเซฟวัน จ.นครราชสีมา สามแยกอู่เรือ ถนนต่อเรือ จ.พังงา ตลาดตองแปด จ.ขอนแก่น ถนนคนเดิน จ.กระบี่ ตลาดกิมหยง จ.สงขลา และพื้นที่ต่างๆใน จ.เชียงใหม่ นอกจากนี้ยังมีแผนสร้างถนนไร้เงินสดทุกจังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2561
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยนำร่องออกใบอนุโมทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่วัดใหญ่ จ.พิษณุโลก
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2560
กรุงไทยนําร่องออกใบอนุโมทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่วัดใหญ่ จ.พิษณุโลก
ธนาคารกรุงไทยนําร่องออกใบอนุโทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการ e-Donation ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จ.พิษณุโลก พร้อมติดตั้ง KRUNGTHAI QR Code และแอปฯ เป๋าตุง กรุงไทยให้กับร้านค้าต่างๆ
ธนาคารกรุงไทยนําร่องออกใบอนุโทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการ e-Donation ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จ.พิษณุโลก พร้อมติดตั้ง KRUNGTHAI QR Code และแอปฯ เป๋าตุง กรุงไทยให้กับร้านค้าต่างๆ ในงานตลาดบุญวัดใหญ่ อุ่นใจไร้เงินสด โดยมี นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงาน ร่วมด้วย ดร.สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการธนาคารกรุงไทย และผู้บริหารธนาคารกรุงไทย เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2560
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดงานว่า รัฐบาลและกระทรวงการคลังมุ่งผลักดันแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment จากนโยบาย Thailand 4.0 เพื่อวางโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะยาวของประเทศ และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Digital Economy โดยงานตลาดบุญวัดใหญ่ อุ่นใจไร้เงินสด นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือครั้งสําคัญของหน่วยงานรัฐภายใต้กระทรวงการคลังในการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลอย่างจริงจัง เพื่อมุ่งสู่สังคมไร้เงินสด โดยการนําร่องรูปแบบการชําระเงินรูปแบบใหม่ให้กับร้านค้าต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้มีทางเลือกในการชําระค่าสินค้าอย่างสะดวกและรวดเร็ว รวมถึงลดความยุ่งยากของร้านค้าในการบริหาร จัดการเงินสด โดยธนาคารกรุงไทยมีส่วนร่วมในการผลักดันโครงการต่างๆ ให้สําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
ดร.สมชัย สัจจพงษ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการ e-Donation ว่า หลังจากที่ธนาคารได้ริเริ่มพัฒนาแอปพลิเคชั่นเป๋าตุง เติมบุญ เพื่ออํานวยความสะดวกในการรับบริจาคเงินเข้าบัญชีวัดทันที ไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องการบริหารจัดการเงินสด เกิดประโยชน์ในภาพรวมกับทุกภาคส่วน ซึ่งได้ให้บริการในหลายพื้นที่ เช่น วัดน้อยนพคุณ วัดครึ่งใต้ จ.เชียงราย วัดมหาธาตุแหลมสัก จ.กระบี่ ในวันนี้ได้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง โดยนําร่องออกใบอนุโทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้บริจาคเงินให้กับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จ.พิษณุโลก ผ่านอีเมลเป็นแห่งแรก และในอนาคตผู้บริจาคเงินยังจะสามารถหักลดหย่อนภาษีจากการบริจาคเงินได้อัตโนมัติตามความสมัครใจของผู้บริจาคอีกด้วย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทยได้นํา KRUNGTHAI QR Code ไปให้บริการในหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานราชการ กว่า 30 แห่ง เช่น ศูนย์อาหารและสันทนาการกระทรวงการคลัง โรงอาหารกระทรวงพาณิชย์ โรงอาหารกรมศุลกากร รวมถึงงานสําคัญต่างๆ เช่น ครม. สัญจร ที่ตลาดสามชุกและตลาดกิมหยง ตลาดนัดคลองผดุงฯ ตลาดกรุงศรี จ.พระนครศรีอยุธยา ตลอดจนตลาดเซฟวัน จ.นครราชสีมา สามแยกอู่เรือ ถนนต่อเรือ จ.พังงา ตลาดตองแปด จ.ขอนแก่น ถนนคนเดิน จ.กระบี่ ตลาดกิมหยง จ.สงขลา และพื้นที่ต่างๆใน จ.เชียงใหม่ นอกจากนี้ยังมีแผนสร้างถนนไร้เงินสดทุกจังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2561
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8971
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ปี 2562 พลังรัฐวิสาหกิจไทย สู่มิติใหม่ด้วยดิจิทัล HONOR THROUGH DIGITAL TRANSFORMATION
|
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562
สคร. จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ปี 2562 พลังรัฐวิสาหกิจไทย สู่มิติใหม่ด้วยดิจิทัล HONOR THROUGH DIGITAL TRANSFORMATION
สคร.จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) เป็นประจําทุกปี ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และประกาศให้สาธารณชนและสังคมได้รับทราบถึงผลการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่ดีเด่นในด้านต่างๆ
สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) เป็นประจําทุกปี ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และประกาศให้สาธารณชนและสังคมได้รับทราบถึงผลการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่ดีเด่นในด้านต่างๆ อันจะเป็นการสร้างความภาคภูมิใจ สร้างขวัญและกําลังใจให้รัฐวิสาหกิจในการปฏิบัติงาน รวมทั้งช่วยส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจมีความมุ่งมั่นในการดําเนินงานเพื่อพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและนําองค์กรสู่ความเป็นเลิศ นอกจากนี้ การจัดงาน SOE Award ยังเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนได้มีส่วนในการติดตามการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจอีกด้วย โดยในปี 2562 สคร. ได้จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นภายใต้แนวคิด “พลังรัฐวิสาหกิจไทย สู่มิติใหม่ด้วยดิจิทัล – HONOR THROUGH DIGITAL TRANSFORMATION” โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2562 ณ ห้องบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ บี 2 ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลในงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) ในปี 2562 นี้
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวว่า การจัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นหรือ SOE Award ประจําปี 256๒ ภายใต้แนวคิด “พลังรัฐวิสาหกิจไทย สู่มิติใหม่ด้วยดิจิทัล – HONOR THROUGH DIGITAL TRANSFORMATION” ในปีนี้ คณะกรรมการตัดสินรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นได้กําหนดรางวัลใหม่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจดิจิทัล (Digital Transformation Initiative) เพื่อเป็นการสนับสนุนรัฐวิสาหกิจที่มีความโดดเด่นในการสร้างสรรค์และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาองค์กรในมิติต่างๆ ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ประกอบกับรางวัลดังกล่าวยังถือว่ามีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ๔.๐ ของภาครัฐอีกด้วย
สําหรับรางวัลทั้ง 10 ประเภท ประกอบด้วย 1. รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น 2.รางวัลการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น 3. รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่น 4. รางวัลผู้นําองค์กรดีเด่น 5. รางวัลการเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใสดีเด่น 6. รางวัลการดําเนินงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น (CSR) 7. รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น แบ่งเป็น 2 ประเภทรางวัล ได้แก่ ด้านความคิดสร้างสรรค์ และด้านนวัตกรรม 8. รางวัลความร่วมมือเพื่อการพัฒนาดีเด่น แบ่งเป็น 2 ประเภทรางวัล ได้แก่ ด้านการยกระดับการบริหารจัดการองค์กร และด้านความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ 9. รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจดิจิทัล (Digital Transformation Initiative) ซึ่งเป็นรางวัลใหม่ในปีนี้ และ 10. รางวัลรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยมประจําปี 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ปี 2562 พลังรัฐวิสาหกิจไทย สู่มิติใหม่ด้วยดิจิทัล HONOR THROUGH DIGITAL TRANSFORMATION
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562
สคร. จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ปี 2562 พลังรัฐวิสาหกิจไทย สู่มิติใหม่ด้วยดิจิทัล HONOR THROUGH DIGITAL TRANSFORMATION
สคร.จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) เป็นประจําทุกปี ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และประกาศให้สาธารณชนและสังคมได้รับทราบถึงผลการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่ดีเด่นในด้านต่างๆ
สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) เป็นประจําทุกปี ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และประกาศให้สาธารณชนและสังคมได้รับทราบถึงผลการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่ดีเด่นในด้านต่างๆ อันจะเป็นการสร้างความภาคภูมิใจ สร้างขวัญและกําลังใจให้รัฐวิสาหกิจในการปฏิบัติงาน รวมทั้งช่วยส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจมีความมุ่งมั่นในการดําเนินงานเพื่อพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและนําองค์กรสู่ความเป็นเลิศ นอกจากนี้ การจัดงาน SOE Award ยังเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนได้มีส่วนในการติดตามการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจอีกด้วย โดยในปี 2562 สคร. ได้จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นภายใต้แนวคิด “พลังรัฐวิสาหกิจไทย สู่มิติใหม่ด้วยดิจิทัล – HONOR THROUGH DIGITAL TRANSFORMATION” โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2562 ณ ห้องบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ บี 2 ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลในงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) ในปี 2562 นี้
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวว่า การจัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นหรือ SOE Award ประจําปี 256๒ ภายใต้แนวคิด “พลังรัฐวิสาหกิจไทย สู่มิติใหม่ด้วยดิจิทัล – HONOR THROUGH DIGITAL TRANSFORMATION” ในปีนี้ คณะกรรมการตัดสินรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นได้กําหนดรางวัลใหม่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจดิจิทัล (Digital Transformation Initiative) เพื่อเป็นการสนับสนุนรัฐวิสาหกิจที่มีความโดดเด่นในการสร้างสรรค์และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาองค์กรในมิติต่างๆ ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ประกอบกับรางวัลดังกล่าวยังถือว่ามีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ๔.๐ ของภาครัฐอีกด้วย
สําหรับรางวัลทั้ง 10 ประเภท ประกอบด้วย 1. รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น 2.รางวัลการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น 3. รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่น 4. รางวัลผู้นําองค์กรดีเด่น 5. รางวัลการเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใสดีเด่น 6. รางวัลการดําเนินงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น (CSR) 7. รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น แบ่งเป็น 2 ประเภทรางวัล ได้แก่ ด้านความคิดสร้างสรรค์ และด้านนวัตกรรม 8. รางวัลความร่วมมือเพื่อการพัฒนาดีเด่น แบ่งเป็น 2 ประเภทรางวัล ได้แก่ ด้านการยกระดับการบริหารจัดการองค์กร และด้านความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ 9. รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจดิจิทัล (Digital Transformation Initiative) ซึ่งเป็นรางวัลใหม่ในปีนี้ และ 10. รางวัลรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยมประจําปี 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25253
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการประชุม ITU Regional Development Forum for the Asia-Pacific 2018
|
วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการประชุม ITU Regional Development Forum for the Asia-Pacific 2018
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม “ITU Regional Development Forum for the Asia-Pacific 2018” (ITURDF) โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 21 - 22 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีในการหารือเพื่อปฏิบัติตามมติของที่ประชุมระดับโลกว่าด้วยการพัฒนาโทรคมนาคมปี 2560 และแผนปฏิบัติการบัวโนสไอเรส 2561-2563 โดยเปิดโอกาสให้ผู้นําประเทศ ผู้นํารัฐบาล รัฐมนตรี ผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนในระดับโลกและระดับภูมิภาค ได้ประชุมหารือและกําหนดแนวทางร่วมกันในการพัฒนาโทรคมนาคมและ ICT ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และกําหนดแผนงานจําเป็นเร่งด่วนสําหรับภูมิภาคฯ ทั้งนี้ การจัดประชุมดังกล่าวเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้ MOU ระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ และ ITU เกี่ยวกับความร่วมมือในการส่งเสริม Digital Thailand นอกจากนี้ยังมีประเด็นพิจารณาที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงดิจิทัลฯ ในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ประกอบกับกระทรวงฯ อาจใช้โอกาสนี้ในการขอเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก ITU ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในการสมัครตําแหน่งสมาชิกสภาบริหารของไทย (ITU Council) ซึ่งมีกําหนดเลือกตั้งในเดือนตุลาคม 2561 โดยการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมของกระทรวงดิจิทัลฯ ในครั้งนี้ ยังเป็นการเน้นย้ําบทบาทผู้นําของไทยในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งมีสํานักงานภูมิภาคของ ITU ตั้งอยู่ด้วย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรมเดอะ สุโกศล ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ
*********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการประชุม ITU Regional Development Forum for the Asia-Pacific 2018
วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการประชุม ITU Regional Development Forum for the Asia-Pacific 2018
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม “ITU Regional Development Forum for the Asia-Pacific 2018” (ITURDF) โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 21 - 22 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีในการหารือเพื่อปฏิบัติตามมติของที่ประชุมระดับโลกว่าด้วยการพัฒนาโทรคมนาคมปี 2560 และแผนปฏิบัติการบัวโนสไอเรส 2561-2563 โดยเปิดโอกาสให้ผู้นําประเทศ ผู้นํารัฐบาล รัฐมนตรี ผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนในระดับโลกและระดับภูมิภาค ได้ประชุมหารือและกําหนดแนวทางร่วมกันในการพัฒนาโทรคมนาคมและ ICT ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และกําหนดแผนงานจําเป็นเร่งด่วนสําหรับภูมิภาคฯ ทั้งนี้ การจัดประชุมดังกล่าวเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้ MOU ระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ และ ITU เกี่ยวกับความร่วมมือในการส่งเสริม Digital Thailand นอกจากนี้ยังมีประเด็นพิจารณาที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงดิจิทัลฯ ในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ประกอบกับกระทรวงฯ อาจใช้โอกาสนี้ในการขอเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก ITU ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในการสมัครตําแหน่งสมาชิกสภาบริหารของไทย (ITU Council) ซึ่งมีกําหนดเลือกตั้งในเดือนตุลาคม 2561 โดยการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมของกระทรวงดิจิทัลฯ ในครั้งนี้ ยังเป็นการเน้นย้ําบทบาทผู้นําของไทยในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งมีสํานักงานภูมิภาคของ ITU ตั้งอยู่ด้วย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรมเดอะ สุโกศล ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ
*********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12436
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมจัดโครงการสื่อสรรค์สร้างสังคมสมานฉันท์ เผยแพร่งานยุติธรรมผ่านคลิปวีดีโอสู่สังคม
|
วันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2562
กระทรวงยุติธรรมจัดโครงการสื่อสรรค์สร้างสังคมสมานฉันท์ เผยแพร่งานยุติธรรมผ่านคลิปวีดีโอสู่สังคม
กระทรวงยุติธรรมจัดโครงการสื่อสรรค์สร้างสังคมสมานฉันท์ เผยแพร่งานยุติธรรมผ่านคลิปวีดีโอสู่สังคม
ในวันอังคารที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ เวลา ๐๘.๓๐ น.
ณ โรงแรม ทีเค พาเลซ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพเทพมหานคร
พันตํารวจโทพงษ์ธร ธัญญสิริ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ
เป็นประธานเปิดโครงการสื่อสรรค์สร้างสังคมสมานฉันท์ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชน
ให้ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและถ่ายทอดเรื่องราวทัศนคติตลอดจนมุมมอง
ด้านเสริมสร้างความสมานฉันท์ผ่านการประกวดคลิปวีดีโอประชาสัมพันธ์
โดยมี นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนทั่วประเทศ ทั้งหมด ๑๗ ทีม เข้าร่วมฯ
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ
ร่วมมอบรางวัลการประกวดคลิปวีดีโอประชาสัมพันธ์ภายใต้หัวข้อ “ยุติธรรมชุมชน” โดยรางวัลชนะเลิศ
อันดับ ๑ จากโรงเรียนสภาราชินี จังหวัดตรัง ได้รับเงินรางวัล ๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมเกียรติบัตรและโล่จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ ๑ จากโรงเรียนปากคาดพิทยาคม จังหวัดบึงกาฬ ได้รับเงินรางวัล ๑๕,๐๐๐ บาท
พร้อมเกียรติบัตรและโล่จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ ๒ จากโรงเรียนอัสสัมชัญศึกษา กรุงเทพมหานคร ได้รับเงินรางวัล ๑๐,๐๐๐ บาท
พร้อมเกียรติบัตรและโล่จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
รวมทั้งกล่าวใจความตอนหนึ่งว่า เด็กและเยาวชน เป็นคนรุ่นใหม่ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมให้ความยุติธรรม
เกิดเป็นรูปธรรมขึ้น การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างมากกับทั้งเด็กและเยาวชน ครู
รวมถึงโรงเรียน และยังเป็นการบอกต่อถึงกิจกรรมดีดีที่เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาเด็กและเยาวชน
ในการให้ความรู้ที่ถูกต้องในการรับข้อมูลข่าวสาร อีกทั้งสามารถนําผลงานของเด็กและเยาวชนไปเผยแพร่
เพื่อส่งเสริมการรับรู้และรับทราบงานด้านกระบวนการยุติธรรมและกระบวนการเสริมสร้างความสมานฉันท์ด้วยสันติวิธีเพื่อสังคมและประเทศชาติต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมจัดโครงการสื่อสรรค์สร้างสังคมสมานฉันท์ เผยแพร่งานยุติธรรมผ่านคลิปวีดีโอสู่สังคม
วันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2562
กระทรวงยุติธรรมจัดโครงการสื่อสรรค์สร้างสังคมสมานฉันท์ เผยแพร่งานยุติธรรมผ่านคลิปวีดีโอสู่สังคม
กระทรวงยุติธรรมจัดโครงการสื่อสรรค์สร้างสังคมสมานฉันท์ เผยแพร่งานยุติธรรมผ่านคลิปวีดีโอสู่สังคม
ในวันอังคารที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ เวลา ๐๘.๓๐ น.
ณ โรงแรม ทีเค พาเลซ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพเทพมหานคร
พันตํารวจโทพงษ์ธร ธัญญสิริ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ
เป็นประธานเปิดโครงการสื่อสรรค์สร้างสังคมสมานฉันท์ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชน
ให้ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและถ่ายทอดเรื่องราวทัศนคติตลอดจนมุมมอง
ด้านเสริมสร้างความสมานฉันท์ผ่านการประกวดคลิปวีดีโอประชาสัมพันธ์
โดยมี นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนทั่วประเทศ ทั้งหมด ๑๗ ทีม เข้าร่วมฯ
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ
ร่วมมอบรางวัลการประกวดคลิปวีดีโอประชาสัมพันธ์ภายใต้หัวข้อ “ยุติธรรมชุมชน” โดยรางวัลชนะเลิศ
อันดับ ๑ จากโรงเรียนสภาราชินี จังหวัดตรัง ได้รับเงินรางวัล ๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมเกียรติบัตรและโล่จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ ๑ จากโรงเรียนปากคาดพิทยาคม จังหวัดบึงกาฬ ได้รับเงินรางวัล ๑๕,๐๐๐ บาท
พร้อมเกียรติบัตรและโล่จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ ๒ จากโรงเรียนอัสสัมชัญศึกษา กรุงเทพมหานคร ได้รับเงินรางวัล ๑๐,๐๐๐ บาท
พร้อมเกียรติบัตรและโล่จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
รวมทั้งกล่าวใจความตอนหนึ่งว่า เด็กและเยาวชน เป็นคนรุ่นใหม่ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมให้ความยุติธรรม
เกิดเป็นรูปธรรมขึ้น การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างมากกับทั้งเด็กและเยาวชน ครู
รวมถึงโรงเรียน และยังเป็นการบอกต่อถึงกิจกรรมดีดีที่เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาเด็กและเยาวชน
ในการให้ความรู้ที่ถูกต้องในการรับข้อมูลข่าวสาร อีกทั้งสามารถนําผลงานของเด็กและเยาวชนไปเผยแพร่
เพื่อส่งเสริมการรับรู้และรับทราบงานด้านกระบวนการยุติธรรมและกระบวนการเสริมสร้างความสมานฉันท์ด้วยสันติวิธีเพื่อสังคมและประเทศชาติต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22358
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"บิ๊กอู๋" เตรียมตำแหน่งงานกว่า 1 แสนอัตรารองรับแรงงานไทยลักลอบไปทำงานกลับจากเกาหลี
|
วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม 2561
"บิ๊กอู๋" เตรียมตําแหน่งงานกว่า 1 แสนอัตรารองรับแรงงานไทยลักลอบไปทํางานกลับจากเกาหลี
รมว.แรงงาน เคาะมาตรการรองรับแรงงานไทยที่ลักลอบไปทํางานกลับจากเกาหลีใต้ ตั้งศูนย์รองรับที่ด่านตรวจคนหางานสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ อํานวยความสะดวกการเดินทางกลับจากเกาหลี เตรียมตําแหน่งงานว่างทั้งในและต่างประประเทศรองรับกว่า 1 แสนอัตรา เพิ่มประสิทธิภาพ
รมว.แรงงาน เคาะมาตรการรองรับแรงงานไทยที่ลักลอบไปทํางานกลับจากเกาหลีใต้ ตั้งศูนย์รองรับที่ด่านตรวจคนหางานสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ อํานวยความสะดวกการเดินทางกลับจากเกาหลี เตรียมตําแหน่งงานว่างทั้งในและต่างประประเทศรองรับกว่า 1 แสนอัตรา เพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งแรงงานกลุ่มใหม่ที่จะเดินทางไปทํางานอย่างถูกกฎหมาย พร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนเฝ้าระวังการลักลอบไปทํางาน เข้มดําเนินการทางกฎหมายกับผู้มีพฤติกรรมหลอกลวง
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาแรงงานไทยถูกหลอกลวง และลักลอบไปทํางานในสาธารณรัฐเกาหลี ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง สถานกงสุลเกาหลีประจําประเทศไทย สํานักงาน HRD korea สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว เป็นต้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า วันนี้ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาแรงงานไทยถูกหลอกลวง และลักลอบไปทํางานในสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อรับฟังความคิดเห็น แนวทางการดําเนินการและข้อเสนอแนะ ตลอดจนการบูรณาการเพื่อเตรียมความพร้อมการรองรับคนไทยที่จะเดินทางกลับจากสาธารณรัฐเกาหลี และเตรียมการขยายตลาดแรงงาน
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงานได้กําหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาแรงงานไทยถูกหลอกลวง และลักลอบไปทํางานในสาธารณรัฐเกาหลีไว้ 3 มาตรการ ได้แก่ 1) มาตรการรองรับแรงงานที่สมัครใจกลับประเทศไทย การให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่แรงงานไทยที่จะสมัครใจรายงานตัวกลับประเทศ โดยตั้งศูนย์ช่วยเหลือดูแลแรงงานในสาธารณรัฐเกาหลีพร้อมประชาสัมพันธ์ให้แรงงานไทยในสาธารณรัฐเกาหลีรับทราบแนวทางการดําเนินการ ตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือแก่แรงงานไทยที่เดินทางกลับจากสาธารณรัฐเกาหลี ณ ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ และด่านตรวจคนหางานดอนเมืองซึ่งเปิดดําเนินการได้ภายในสัปดาห์หน้า ตั้งศูนย์จัดหางานเพื่อเตรียมตําแหน่งงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งจัดฝึกอบรมเพิ่มทักษะด้านภาษาเกาหลีให้แก่แรงงานไทยที่เดินทางกลับมาประเทศไทย ณ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งเตรียมตําแหน่งงานรองรับในประเทศจํานวน 62,174 อัตรา ตําแหน่งงานต่างประเทศ 45,000 อัตรา
นอกจากนี้ ยังมี 2) มาตรการการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งแรงงานไทยเข้าไปทํางานในสาธารณรัฐเกาหลีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยขอเพิ่มโควตาในการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้โครงการ EPS จากเดิม 5,000 อัตรา เพิ่มเป็น 15,000 อัตรา ขอขยายอายุของแรงงานไทยจากเดิมไม่เกิน 39 ปี เป็นไม่เกิน 45 ปี ขอให้ทางการสาธารณรัฐเกาหลีเพิ่มสัดส่วนการคัดเลือกแรงงานหญิงไทยเข้าไปทํางานมากขึ้น ขอขยายระยะเวลาการทํางานในสาธารณรัฐเกาหลี ที่เดิม 9 ปี 8 เดือน เป็น 14 ปี (ทํางานได้ครั้งละ 4 ปี 8 เดือน สามารถเดินทางไป-กลับ ได้ 3 รอบ) และขอลดขั้นตอนการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และ 3) มาตรการป้องกันการลักลอบไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลี โดยร่วมมือกับตํารวจตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ สมาคมการท่องเที่ยว สายการบิน สํานักงาน ป.ป.ง. ดําเนินการติดตามตรวจสอบผู้ที่มีพฤติกรรมหลอกลวงทางสื่อโซเซียล รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดําเนินการทางกฎหมาย รวมทั้งเพิ่มกําลังเจ้าหน้าที่ที่ด่านตรวจคนหางานภายในสนามบินให้สามารถตรวจตราได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น
-------------------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
กรมการจัดหางาน - ข้อมูล/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
18 ตุลาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"บิ๊กอู๋" เตรียมตำแหน่งงานกว่า 1 แสนอัตรารองรับแรงงานไทยลักลอบไปทำงานกลับจากเกาหลี
วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม 2561
"บิ๊กอู๋" เตรียมตําแหน่งงานกว่า 1 แสนอัตรารองรับแรงงานไทยลักลอบไปทํางานกลับจากเกาหลี
รมว.แรงงาน เคาะมาตรการรองรับแรงงานไทยที่ลักลอบไปทํางานกลับจากเกาหลีใต้ ตั้งศูนย์รองรับที่ด่านตรวจคนหางานสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ อํานวยความสะดวกการเดินทางกลับจากเกาหลี เตรียมตําแหน่งงานว่างทั้งในและต่างประประเทศรองรับกว่า 1 แสนอัตรา เพิ่มประสิทธิภาพ
รมว.แรงงาน เคาะมาตรการรองรับแรงงานไทยที่ลักลอบไปทํางานกลับจากเกาหลีใต้ ตั้งศูนย์รองรับที่ด่านตรวจคนหางานสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ อํานวยความสะดวกการเดินทางกลับจากเกาหลี เตรียมตําแหน่งงานว่างทั้งในและต่างประประเทศรองรับกว่า 1 แสนอัตรา เพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งแรงงานกลุ่มใหม่ที่จะเดินทางไปทํางานอย่างถูกกฎหมาย พร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนเฝ้าระวังการลักลอบไปทํางาน เข้มดําเนินการทางกฎหมายกับผู้มีพฤติกรรมหลอกลวง
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาแรงงานไทยถูกหลอกลวง และลักลอบไปทํางานในสาธารณรัฐเกาหลี ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง สถานกงสุลเกาหลีประจําประเทศไทย สํานักงาน HRD korea สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว เป็นต้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า วันนี้ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาแรงงานไทยถูกหลอกลวง และลักลอบไปทํางานในสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อรับฟังความคิดเห็น แนวทางการดําเนินการและข้อเสนอแนะ ตลอดจนการบูรณาการเพื่อเตรียมความพร้อมการรองรับคนไทยที่จะเดินทางกลับจากสาธารณรัฐเกาหลี และเตรียมการขยายตลาดแรงงาน
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงานได้กําหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาแรงงานไทยถูกหลอกลวง และลักลอบไปทํางานในสาธารณรัฐเกาหลีไว้ 3 มาตรการ ได้แก่ 1) มาตรการรองรับแรงงานที่สมัครใจกลับประเทศไทย การให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่แรงงานไทยที่จะสมัครใจรายงานตัวกลับประเทศ โดยตั้งศูนย์ช่วยเหลือดูแลแรงงานในสาธารณรัฐเกาหลีพร้อมประชาสัมพันธ์ให้แรงงานไทยในสาธารณรัฐเกาหลีรับทราบแนวทางการดําเนินการ ตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือแก่แรงงานไทยที่เดินทางกลับจากสาธารณรัฐเกาหลี ณ ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ และด่านตรวจคนหางานดอนเมืองซึ่งเปิดดําเนินการได้ภายในสัปดาห์หน้า ตั้งศูนย์จัดหางานเพื่อเตรียมตําแหน่งงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งจัดฝึกอบรมเพิ่มทักษะด้านภาษาเกาหลีให้แก่แรงงานไทยที่เดินทางกลับมาประเทศไทย ณ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งเตรียมตําแหน่งงานรองรับในประเทศจํานวน 62,174 อัตรา ตําแหน่งงานต่างประเทศ 45,000 อัตรา
นอกจากนี้ ยังมี 2) มาตรการการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งแรงงานไทยเข้าไปทํางานในสาธารณรัฐเกาหลีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยขอเพิ่มโควตาในการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้โครงการ EPS จากเดิม 5,000 อัตรา เพิ่มเป็น 15,000 อัตรา ขอขยายอายุของแรงงานไทยจากเดิมไม่เกิน 39 ปี เป็นไม่เกิน 45 ปี ขอให้ทางการสาธารณรัฐเกาหลีเพิ่มสัดส่วนการคัดเลือกแรงงานหญิงไทยเข้าไปทํางานมากขึ้น ขอขยายระยะเวลาการทํางานในสาธารณรัฐเกาหลี ที่เดิม 9 ปี 8 เดือน เป็น 14 ปี (ทํางานได้ครั้งละ 4 ปี 8 เดือน สามารถเดินทางไป-กลับ ได้ 3 รอบ) และขอลดขั้นตอนการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และ 3) มาตรการป้องกันการลักลอบไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลี โดยร่วมมือกับตํารวจตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ สมาคมการท่องเที่ยว สายการบิน สํานักงาน ป.ป.ง. ดําเนินการติดตามตรวจสอบผู้ที่มีพฤติกรรมหลอกลวงทางสื่อโซเซียล รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดําเนินการทางกฎหมาย รวมทั้งเพิ่มกําลังเจ้าหน้าที่ที่ด่านตรวจคนหางานภายในสนามบินให้สามารถตรวจตราได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น
-------------------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
กรมการจัดหางาน - ข้อมูล/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
18 ตุลาคม 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16172
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกำหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
|
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกําหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เพื่อรับทราบความคืบหน้าผลการดําเนินงานของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศด้านการจัดการข้อมูลลูกค้า (CRM)
รวมทั้งรับทราบผลการบริหารทรัพยากรบุคคล งบประมาณ
และการบริหารจัดการคดีประนอมข้อพิพาทตามภารกิจหลักในไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๐
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๑
ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑) แผนพัฒนาระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนทั่วไป
ในด้านการระงับข้อพิพาททางเลือก เพื่อให้มีการใช้การอนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาท
ในการระงับข้อพิพาทเพิ่มมากขึ้น และ ๒) แผนพัฒนาการให้บริการ โดยมีเป้าหมาย
เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะให้จัดทํารายละเอียดของโครงการภายใต้แผนงานต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน
โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานตามภารกิจหลัก และให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ในการสร้างการรับรู้
และสร้างความเชื่อมั่นในสถาบันอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายใช้การอนุญาโตตุลาการ
และการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งเพื่อให้การบริการระงับข้อพิพาททางเลือกแก่ประชาชนทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกำหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกําหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เพื่อรับทราบความคืบหน้าผลการดําเนินงานของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศด้านการจัดการข้อมูลลูกค้า (CRM)
รวมทั้งรับทราบผลการบริหารทรัพยากรบุคคล งบประมาณ
และการบริหารจัดการคดีประนอมข้อพิพาทตามภารกิจหลักในไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๐
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๑
ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑) แผนพัฒนาระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนทั่วไป
ในด้านการระงับข้อพิพาททางเลือก เพื่อให้มีการใช้การอนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาท
ในการระงับข้อพิพาทเพิ่มมากขึ้น และ ๒) แผนพัฒนาการให้บริการ โดยมีเป้าหมาย
เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะให้จัดทํารายละเอียดของโครงการภายใต้แผนงานต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน
โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานตามภารกิจหลัก และให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ในการสร้างการรับรู้
และสร้างความเชื่อมั่นในสถาบันอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายใช้การอนุญาโตตุลาการ
และการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งเพื่อให้การบริการระงับข้อพิพาททางเลือกแก่ประชาชนทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7306
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชน “ริมคลองบางหลวง” เขตภาษีเจริญ ขอให้ประชาชนช่วยกันรักษาความสะอาดของแม่น้ำ พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้เชื่อมโยงกัน
|
วันพุธที่ 15 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชน “ริมคลองบางหลวง” เขตภาษีเจริญ ขอให้ประชาชนช่วยกันรักษาความสะอาดของแม่น้ํา พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้เชื่อมโยงกัน
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชน “ริมคลองบางหลวง” เขตภาษีเจริญ ขอให้ประชาชนช่วยกันรักษาความสะอาดของแม่น้ํา พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้เชื่อมโยงกัน
วันนี้ (15 สิงหาคม 2561) เวลา 11.30 น. ณ วัดกําแพงบางจาก (คลองบางกอกใหญ่) แขวงบางจาก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไหว้พระประธานภายในอุโบสถ และถวายเครื่องไทยธรรมแด่ พระครูศรีปริยติยานุรักษ์ เจ้าอาวาสวัดกําแพงบางจาก
จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวพบปะกับประชาชนชุมชนริมคลองบางหลวงที่มาให้การต้อนรับตอนหนึ่งว่า ขอให้ช่วยกันรักษาคูคลองให้สะอาด อย่าทิ้งของเสียรวมทั้งระบายน้ําเสียลงแม่น้ํา พัฒนาต่อยอดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงใช้เป็นเส้นทางสัญจรทางน้ํา เพื่อลดปัญหาการจราจรทางบก วันนี้ลงพื้นที่มาเพื่อเยี่ยมเยียน ไม่ได้ต้องการสร้างภาระให้กับประชาชน เพื่อมาดูปัญหาการจราจรของกรุงเทพฯ และดูปริมณฑลต่างจังหวัดด้วย ต้องทําระบบขนส่งให้เชื่อมโยงกัน ส่วนใครที่เป็นหนี้นอกระบบ ขอแจ้งศูนย์ดํารงธรรม โดยเจ้าหน้าที่จะช่วยหารือประนอมหนี้ให้ ซึ่งการเก็บดอกเบี้ยเกิน 30 เปอร์เซ็นต์ทําไม่ได้ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องแก้ไขอย่างจริงจัง ส่วนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานหลายคนอาจมองว่าเป็นภาระของรัฐบาลมากไปหรือเปล่า มีรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง จากก่อนที่ไม่มี รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงที่ทําไม่ได้หวังผลกําไร แต่ทําเพื่อให้เกิดการพัฒนาสองข้างทาง และเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน แต่ปัญหาอุปสรรคคือคนไม่ค่อยเข้าใจ พูดจาให้เกิดความเสียหายตลอดเวลา
ส่วนรื่องการก่อสร้าง ถนนหนทางต้องดูว่าติดปัญหาตรงไหน ต้องทําผังเมืองทั้งหมด เวลาทําผังเมืองถ้าจะเอาแบบเดิมก็เป็นอุปสรรค ไม่ได้ต้องการไปยึดที่ใคร ขอให้เสียสละกันบ้าง ไม่อย่างนั้นปัญหาก็เกิดปัญหาอยู่แบบนี้ ซึ่งต้องมีได้บ้างเสียบ้าง แต่รัฐบาลพร้อมเยียวยาให้ เมื่อมีการลงทุนจะมีการแบ่งปันผลประโยชน์ให้ด้วย นอกจากเรื่องของราคาที่ดิน ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาขยะทุกพื้นที่ท้องถิ่นต้องกํากัดขยะเอง เอาไปทิ้งพื้นที่อื่นไม่ได้ จึงต้องแก้ไขกฎหมายผังเมืองให้สามารถสร้างโรงงานกําจัดขยะได้ ดังนั้น ขอให้ประชาชนมีภูมิต้านทานในการเสพสื่อ ซึ่งบางทีสื่อรายงานทั้งที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง แต่นายกรัฐมนตรีต้องรู้ทั้งหมด ไม่อย่างนั้นตัดสินใจอะไรไม่ได้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้สอบถามเด็กนักเรียนที่มาให้การต้อนรับว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร การเรียนต้องรู้อนาคตประเทศว่าต้องการอะไร พร้อมกับตั้งเป้าหมายอาชีพให้ชัดเจน ทุกคนต้องมีความฝัน และทําฝันให้เป็นจริง และต้องเรียนรู้มีอาชีพอื่นเพิ่ม หาพรสวรรค์ของตัวเองให้เจอ
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินเยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชน “คลองบางหลวง” ซึ่งเป็นการบริหารจัดการโครงการฟื้นวิถีชีวิตชุมชนคลองบางหลวง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมฝั่งธนบุรี โดยจะมีการเชื่อมโยงการเดินทาง ราง ล้อ เรือ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว และนําการท่องเที่ยวมาเป็น “เครื่องมือ” ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนใน ท้องถิ่น ดํารงรักษาศิลปวัฒนธรรม มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ผู้คนมีรอยยิ้มและความสุขเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชน ยึดหลักแนวทางการพัฒนาประกอบด้วย 5 แผนงาน คือ 1. แผนงานการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรทางการท่องเที่ยว 2. แผนงานพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว - สร้างสรรค์และพัฒนาทรัพยากรทางการท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสร้างคุณค่าและความน่าสนใจในอัตลักษณ์ของแต่ละพื้น 3. พัฒนาระบบการสัญจรเพื่อการท่องเที่ยวแม่น้ําลําคลองสายประวัติศาสตร์ 4.พัฒนาบริการทางการท่องเที่ยว และ 5. เสริมสร้างเครือข่ายและพัฒนาศักยภาพการจัดการการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นชุมชนเล็ก ๆ ในฝั่งธนบุรี โดยในอดีตเคยเป็นตลาดเก่าที่รุ่งเรือง มีเส้นทางคมนาคมที่สําคัญ มีวัดเก่าแก่ริมคลอง สวนสมุนไพร ประเพณีและการละเล่นดั้งเดิมที่ยังคงสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่น รวมถึงชาวบ้านต่างมีวิถีชีวิตอันเรียบง่าย
พร้อมเยี่ยมชม “บ้านศิลปิน” ซึ่งเป็นที่รวมตัวของกลุ่มศิลปินที่รักงานศิลปะทุกประเภท ที่ทุกคนสามารถสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง โดยตัวอาคารของบ้านศิลปินจะเป็นอาคารไม้ทรงมะนิลารูปตัวแอลที่สร้างล้อมรอบเจดีย์เก่า ซึ่งเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง สันนิษฐานว่าเป็นหนึ่งในสี่ของเจดีย์แต่ละทิศที่กําหนดเขตพื้นที่เก่าของวัด โดยยังคงสภาพเก่าของตัวอาคารไว้อย่างสมบูรณ์ ด้านบนของตัวอาคารเป็นแกลเลอรี่แสดงงานศิลปะมากมาย ทั้งภาพวาดและภาพถ่ายให้ได้ชมกัน ส่วนด้านล่างแบ่งเป็นพื้นที่ทํางานศิลปะต่าง ๆ โดยอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้เป็นของเก่าที่อยู่กับอาคารหลังนี้ ตั้งแต่สมัยก่อนและทุกวันนี้ยังใช้ได้จริง นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดง “หุ่นละครเล็กคลองบางหลวง” เพื่ออนุรักษ์ศิลปะการแสดงหุ่นละครเล็กให้ยืนยาว และหวังที่จะเผยแพร่อนุรักษ์ศิลปะการแสดงหุ่นละครเล็ก
เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังวัดอินทาราม (คลองบางใหญ่) โดยนายกรัฐมนตรีได้ไหว้พระประธานภายในอุโบสถ และถวายเครื่องไทยธรรมแด่ พระครูสุวิมลธรรมโสภิต เจ้าอาวาสวัดอินทาราม พร้อมสนทนาธรรมกับเจ้าอาวาส โดยเจ้าอาวาสกล่าวให้พรว่า ขอให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีบริหารประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรือง ทําให้ประชาชนมีความสุข ก่อนเดินทางกลับ
-------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชน “ริมคลองบางหลวง” เขตภาษีเจริญ ขอให้ประชาชนช่วยกันรักษาความสะอาดของแม่น้ำ พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้เชื่อมโยงกัน
วันพุธที่ 15 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชน “ริมคลองบางหลวง” เขตภาษีเจริญ ขอให้ประชาชนช่วยกันรักษาความสะอาดของแม่น้ํา พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้เชื่อมโยงกัน
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชน “ริมคลองบางหลวง” เขตภาษีเจริญ ขอให้ประชาชนช่วยกันรักษาความสะอาดของแม่น้ํา พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้เชื่อมโยงกัน
วันนี้ (15 สิงหาคม 2561) เวลา 11.30 น. ณ วัดกําแพงบางจาก (คลองบางกอกใหญ่) แขวงบางจาก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไหว้พระประธานภายในอุโบสถ และถวายเครื่องไทยธรรมแด่ พระครูศรีปริยติยานุรักษ์ เจ้าอาวาสวัดกําแพงบางจาก
จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวพบปะกับประชาชนชุมชนริมคลองบางหลวงที่มาให้การต้อนรับตอนหนึ่งว่า ขอให้ช่วยกันรักษาคูคลองให้สะอาด อย่าทิ้งของเสียรวมทั้งระบายน้ําเสียลงแม่น้ํา พัฒนาต่อยอดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงใช้เป็นเส้นทางสัญจรทางน้ํา เพื่อลดปัญหาการจราจรทางบก วันนี้ลงพื้นที่มาเพื่อเยี่ยมเยียน ไม่ได้ต้องการสร้างภาระให้กับประชาชน เพื่อมาดูปัญหาการจราจรของกรุงเทพฯ และดูปริมณฑลต่างจังหวัดด้วย ต้องทําระบบขนส่งให้เชื่อมโยงกัน ส่วนใครที่เป็นหนี้นอกระบบ ขอแจ้งศูนย์ดํารงธรรม โดยเจ้าหน้าที่จะช่วยหารือประนอมหนี้ให้ ซึ่งการเก็บดอกเบี้ยเกิน 30 เปอร์เซ็นต์ทําไม่ได้ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องแก้ไขอย่างจริงจัง ส่วนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานหลายคนอาจมองว่าเป็นภาระของรัฐบาลมากไปหรือเปล่า มีรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง จากก่อนที่ไม่มี รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงที่ทําไม่ได้หวังผลกําไร แต่ทําเพื่อให้เกิดการพัฒนาสองข้างทาง และเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน แต่ปัญหาอุปสรรคคือคนไม่ค่อยเข้าใจ พูดจาให้เกิดความเสียหายตลอดเวลา
ส่วนรื่องการก่อสร้าง ถนนหนทางต้องดูว่าติดปัญหาตรงไหน ต้องทําผังเมืองทั้งหมด เวลาทําผังเมืองถ้าจะเอาแบบเดิมก็เป็นอุปสรรค ไม่ได้ต้องการไปยึดที่ใคร ขอให้เสียสละกันบ้าง ไม่อย่างนั้นปัญหาก็เกิดปัญหาอยู่แบบนี้ ซึ่งต้องมีได้บ้างเสียบ้าง แต่รัฐบาลพร้อมเยียวยาให้ เมื่อมีการลงทุนจะมีการแบ่งปันผลประโยชน์ให้ด้วย นอกจากเรื่องของราคาที่ดิน ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาขยะทุกพื้นที่ท้องถิ่นต้องกํากัดขยะเอง เอาไปทิ้งพื้นที่อื่นไม่ได้ จึงต้องแก้ไขกฎหมายผังเมืองให้สามารถสร้างโรงงานกําจัดขยะได้ ดังนั้น ขอให้ประชาชนมีภูมิต้านทานในการเสพสื่อ ซึ่งบางทีสื่อรายงานทั้งที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง แต่นายกรัฐมนตรีต้องรู้ทั้งหมด ไม่อย่างนั้นตัดสินใจอะไรไม่ได้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้สอบถามเด็กนักเรียนที่มาให้การต้อนรับว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร การเรียนต้องรู้อนาคตประเทศว่าต้องการอะไร พร้อมกับตั้งเป้าหมายอาชีพให้ชัดเจน ทุกคนต้องมีความฝัน และทําฝันให้เป็นจริง และต้องเรียนรู้มีอาชีพอื่นเพิ่ม หาพรสวรรค์ของตัวเองให้เจอ
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินเยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชน “คลองบางหลวง” ซึ่งเป็นการบริหารจัดการโครงการฟื้นวิถีชีวิตชุมชนคลองบางหลวง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมฝั่งธนบุรี โดยจะมีการเชื่อมโยงการเดินทาง ราง ล้อ เรือ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว และนําการท่องเที่ยวมาเป็น “เครื่องมือ” ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนใน ท้องถิ่น ดํารงรักษาศิลปวัฒนธรรม มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ผู้คนมีรอยยิ้มและความสุขเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชน ยึดหลักแนวทางการพัฒนาประกอบด้วย 5 แผนงาน คือ 1. แผนงานการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรทางการท่องเที่ยว 2. แผนงานพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว - สร้างสรรค์และพัฒนาทรัพยากรทางการท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสร้างคุณค่าและความน่าสนใจในอัตลักษณ์ของแต่ละพื้น 3. พัฒนาระบบการสัญจรเพื่อการท่องเที่ยวแม่น้ําลําคลองสายประวัติศาสตร์ 4.พัฒนาบริการทางการท่องเที่ยว และ 5. เสริมสร้างเครือข่ายและพัฒนาศักยภาพการจัดการการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นชุมชนเล็ก ๆ ในฝั่งธนบุรี โดยในอดีตเคยเป็นตลาดเก่าที่รุ่งเรือง มีเส้นทางคมนาคมที่สําคัญ มีวัดเก่าแก่ริมคลอง สวนสมุนไพร ประเพณีและการละเล่นดั้งเดิมที่ยังคงสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่น รวมถึงชาวบ้านต่างมีวิถีชีวิตอันเรียบง่าย
พร้อมเยี่ยมชม “บ้านศิลปิน” ซึ่งเป็นที่รวมตัวของกลุ่มศิลปินที่รักงานศิลปะทุกประเภท ที่ทุกคนสามารถสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง โดยตัวอาคารของบ้านศิลปินจะเป็นอาคารไม้ทรงมะนิลารูปตัวแอลที่สร้างล้อมรอบเจดีย์เก่า ซึ่งเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง สันนิษฐานว่าเป็นหนึ่งในสี่ของเจดีย์แต่ละทิศที่กําหนดเขตพื้นที่เก่าของวัด โดยยังคงสภาพเก่าของตัวอาคารไว้อย่างสมบูรณ์ ด้านบนของตัวอาคารเป็นแกลเลอรี่แสดงงานศิลปะมากมาย ทั้งภาพวาดและภาพถ่ายให้ได้ชมกัน ส่วนด้านล่างแบ่งเป็นพื้นที่ทํางานศิลปะต่าง ๆ โดยอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้เป็นของเก่าที่อยู่กับอาคารหลังนี้ ตั้งแต่สมัยก่อนและทุกวันนี้ยังใช้ได้จริง นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดง “หุ่นละครเล็กคลองบางหลวง” เพื่ออนุรักษ์ศิลปะการแสดงหุ่นละครเล็กให้ยืนยาว และหวังที่จะเผยแพร่อนุรักษ์ศิลปะการแสดงหุ่นละครเล็ก
เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังวัดอินทาราม (คลองบางใหญ่) โดยนายกรัฐมนตรีได้ไหว้พระประธานภายในอุโบสถ และถวายเครื่องไทยธรรมแด่ พระครูสุวิมลธรรมโสภิต เจ้าอาวาสวัดอินทาราม พร้อมสนทนาธรรมกับเจ้าอาวาส โดยเจ้าอาวาสกล่าวให้พรว่า ขอให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีบริหารประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรือง ทําให้ประชาชนมีความสุข ก่อนเดินทางกลับ
-------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14623
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
|
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
นายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน (Mr. Brian John Davidson) เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่
วันนี้ (20 ก.ย. 59) เวลา 13.30 น. นายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องทํางานรองนายกรัฐมนตรี ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับออท.สหราชอาณาจักรฯ และแสดงความยินดีในการดํารงตําแหน่งออท.สหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย ด้านออท.สหราชอาณาจักรฯ แสดงความขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีและรู้สึกเป็นเกียรติที่รองนายกรัฐมนตรีสละเวลาให้เข้าพบ ในด้านความสัมพันธ์ทวิภาคีนั้นทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหราชอาณาจักรที่มีมายาวนาน
ออท.สหราชอาณาจักรสอบถามเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจไทยและแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาล ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าประเทศไทยอยู่ระหว่างการปฏิรูปประเทศ ซึ่งขณะนี้เราสามารถประคองเศรษฐกิจไทยให้มีพลวัตได้ แม้ในช่วงเศรษฐกิจโลกจะหยุดชะงัก รัฐบาลขับเคลื่อนให้มีการปฏิรูปด้านโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างความเชื่อมโยงทั้งด้านถนนและรถไฟ การเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยการใช้เทคโนโลยี และเศรษฐกิจดิจิทัล
ทั้งนี้ออท. สหราชอาณาจักรยินดีสนับสนุนให้นักลงทุนสหราชอาณาจักรเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเห็นว่าไทยมีบทบาทสําคัญในอาเซียน และมีศักยภาพด้านเศรษฐกิจอีกมาก ทั้งนี้นโยบายของรัฐบาลถือว่าเป็นสิ่งสําคัญ
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ามีกําหนดจะเดินทางไปเยือนฝรั่งเศสและเยอรมนีในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ และหวังว่า จะมีเวลาไปเยือนสหราชอาณาจักร และได้พบหารือกับรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ซึ่งออท. สหราชอาณาจักรกล่าวว่ายินดีต้อนรับการเยือนของรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีในการแสวงหาความร่วมมือระหว่างกัน
โอกาสนี้รองนายกรัฐมนตรีแสดงความมั่นใจในเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร แม้จะมี Brexit แต่เชื่อมั่นว่าในระยะยาวเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรจะดีขึ้น ทั้งนี้ไทยพร้อมจะร่วมมือกับสหราชอาณาจักรเพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในด้านที่มีศักยภาพ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนของทั้งสองประเทศด้วย
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรียังหวังให้สหราชอาณาจักรส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาแก่ไทย และสนับสนุนให้สหราชอาณาจักรเข้ามาเปิดสถาบันระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรของไทยต่อไป
***********
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
นายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน (Mr. Brian John Davidson) เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่
วันนี้ (20 ก.ย. 59) เวลา 13.30 น. นายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องทํางานรองนายกรัฐมนตรี ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับออท.สหราชอาณาจักรฯ และแสดงความยินดีในการดํารงตําแหน่งออท.สหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย ด้านออท.สหราชอาณาจักรฯ แสดงความขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีและรู้สึกเป็นเกียรติที่รองนายกรัฐมนตรีสละเวลาให้เข้าพบ ในด้านความสัมพันธ์ทวิภาคีนั้นทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหราชอาณาจักรที่มีมายาวนาน
ออท.สหราชอาณาจักรสอบถามเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจไทยและแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาล ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าประเทศไทยอยู่ระหว่างการปฏิรูปประเทศ ซึ่งขณะนี้เราสามารถประคองเศรษฐกิจไทยให้มีพลวัตได้ แม้ในช่วงเศรษฐกิจโลกจะหยุดชะงัก รัฐบาลขับเคลื่อนให้มีการปฏิรูปด้านโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างความเชื่อมโยงทั้งด้านถนนและรถไฟ การเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยการใช้เทคโนโลยี และเศรษฐกิจดิจิทัล
ทั้งนี้ออท. สหราชอาณาจักรยินดีสนับสนุนให้นักลงทุนสหราชอาณาจักรเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเห็นว่าไทยมีบทบาทสําคัญในอาเซียน และมีศักยภาพด้านเศรษฐกิจอีกมาก ทั้งนี้นโยบายของรัฐบาลถือว่าเป็นสิ่งสําคัญ
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ามีกําหนดจะเดินทางไปเยือนฝรั่งเศสและเยอรมนีในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ และหวังว่า จะมีเวลาไปเยือนสหราชอาณาจักร และได้พบหารือกับรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ซึ่งออท. สหราชอาณาจักรกล่าวว่ายินดีต้อนรับการเยือนของรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีในการแสวงหาความร่วมมือระหว่างกัน
โอกาสนี้รองนายกรัฐมนตรีแสดงความมั่นใจในเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร แม้จะมี Brexit แต่เชื่อมั่นว่าในระยะยาวเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรจะดีขึ้น ทั้งนี้ไทยพร้อมจะร่วมมือกับสหราชอาณาจักรเพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในด้านที่มีศักยภาพ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนของทั้งสองประเทศด้วย
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรียังหวังให้สหราชอาณาจักรส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาแก่ไทย และสนับสนุนให้สหราชอาณาจักรเข้ามาเปิดสถาบันระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรของไทยต่อไป
***********
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/489
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” รณรงค์ให้ทุกคนฟังกันมากขึ้น ในวันสุขภาพจิตโลก
|
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2562
“สาธิต” รณรงค์ให้ทุกคนฟังกันมากขึ้น ในวันสุขภาพจิตโลก
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข รณรงค์ให้ทุกคนฟังกันมากขึ้น “Talk to me “ ในวันสุขภาพจิตโลก เผยมีตัวเลข 1 ใน 5 คน มี 1 คนที่มีปัญหาสุขภาพจิต และมี 4 คนที่จะช่วยได้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข รณรงค์ให้ทุกคนฟังกันมากขึ้น “Talk to me “ ในวันสุขภาพจิตโลก เผยมีตัวเลข 1 ใน 5 คน มี 1 คนที่มีปัญหาสุขภาพจิต และมี 4 คนที่จะช่วยได้
วันนี้ (10 ตุลาคม 2562) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบจดหมายจากแกนนําเยาวชนเลิฟแคร์คลับ เครือข่ายองค์กรดําเนินงานด้านสุขภาพจิต 12 องค์กร เสนอแนวทางการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตวัยรุ่น เนื่องในวันสุขภาพจิตโลก และให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ได้รับข้อเสนอจากตัวแทนฯ 3 ข้อคือ 1.การขอให้แก้ไขมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2551 ซึ่งผมได้รับข้อมูลมาพอสมควรเรื่องการเข้าพบจิตแพทย์ในเด็กและเยาวชน และมีความชัดเจนแล้วว่าเด็กและเยาวชนสามารถเข้ารับการปรึกษาจากจิตแพทย์ได้ ที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมคือเรื่องของการให้ยา และการเข้ารับการรักษา เนื่องจากตามกฎหมายแพ่ง เด็กทํานิติกรรมได้ไม่สมบูรณ์ถ้าไม่มีผู้ปกครอง เช่น หากเด็กไปนอนพักรักษาแล้วมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เรื่องที่ 2 การขอให้มีตัวแทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาตินั้น ยินดีรับข้อเสนอ เรื่องที่ 3 การเข้ารับการรักษาในหน่วยบริการที่มีจิตแพทย์ จะหารือกับเลขาธิการ สปสช. อีกครั้ง
“เราต้องคิดในมุมใหม่ที่จะต้องเปิดทุกช่องทางให้กับเด็กและเยาวชนที่เริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพจิต ไปพบบุคคลที่เขาไว้ใจได้ในกรณีที่ครอบครัวไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้ ต้องเปิดทุกช่องไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท,แพทย์,โทรศัพท์ออนไลน์ หรืออะไรต่างๆก็จําเป็นต้องเปิดให้มากที่สุด เพื่อให้เยาวชนที่มีปัญหาสามารถเข้าถึงการพูดคุย การระบายความเครียด ความผิดหวัง หรือความเสียใจ เพื่อลดความเครียดลงให้ได้ ตรงนี้ก็จะทํา” ดร.สาธิต กล่าว
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า ขอรณรงค์ให้ทุกคนฟังกันมากขึ้น ในวันสุขภาพจิตโลกปีนี้กรมสุขภาพจิต มีคําขวัญรณรงค์ “Talk to me “ คือ รับฟังกันมากขึ้น หมายความว่า ทุกคนได้อยู่กับคนใกล้ตัว คนในครอบครัว ในสังคมได้พูดคุย และรับฟังกันมากขึ้น เพราะมีตัวเลขว่า 1ใน 5 คน มี 1 คนที่มีปัญหาสุขภาพจิต และมี 4 คนที่จะช่วยได้ ขอให้ทุกคนเป็น 4 คนที่จะช่วย 1 คนนั้นได้กลับมาเป็นคนที่มีความสุข ไม่พัฒนาไปสู่โรคซึมเศร้า ที่อาจนําไปสู่การฆ่าตัวตาย ซึ่งในไทยมีคนฆ่าตัวตายเกือบ 4,000 รายต่อปี มีผู้ฆ่าตัวตายสําเร็จเฉลี่ย 2 ชั่วโมง ต่อ 1 ราย และมีผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย เฉลี่ย 9.55 นาที ต่อ 1ราย จึงควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนที่มีความเครียดมากขึ้น ทั้งจากการเรียน ความรัก เศรษฐกิจความเป็นอยู่จึงได้ให้กรมสุขภาพจิตเพิ่มสายด่วนกรมสุขภาพจิต โทร 1323 เป็น 20 คู่สาย ให้ปรึกษาปัญหาได้มากขึ้น
*********************************10 ตุลาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” รณรงค์ให้ทุกคนฟังกันมากขึ้น ในวันสุขภาพจิตโลก
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2562
“สาธิต” รณรงค์ให้ทุกคนฟังกันมากขึ้น ในวันสุขภาพจิตโลก
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข รณรงค์ให้ทุกคนฟังกันมากขึ้น “Talk to me “ ในวันสุขภาพจิตโลก เผยมีตัวเลข 1 ใน 5 คน มี 1 คนที่มีปัญหาสุขภาพจิต และมี 4 คนที่จะช่วยได้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข รณรงค์ให้ทุกคนฟังกันมากขึ้น “Talk to me “ ในวันสุขภาพจิตโลก เผยมีตัวเลข 1 ใน 5 คน มี 1 คนที่มีปัญหาสุขภาพจิต และมี 4 คนที่จะช่วยได้
วันนี้ (10 ตุลาคม 2562) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบจดหมายจากแกนนําเยาวชนเลิฟแคร์คลับ เครือข่ายองค์กรดําเนินงานด้านสุขภาพจิต 12 องค์กร เสนอแนวทางการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตวัยรุ่น เนื่องในวันสุขภาพจิตโลก และให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ได้รับข้อเสนอจากตัวแทนฯ 3 ข้อคือ 1.การขอให้แก้ไขมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2551 ซึ่งผมได้รับข้อมูลมาพอสมควรเรื่องการเข้าพบจิตแพทย์ในเด็กและเยาวชน และมีความชัดเจนแล้วว่าเด็กและเยาวชนสามารถเข้ารับการปรึกษาจากจิตแพทย์ได้ ที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมคือเรื่องของการให้ยา และการเข้ารับการรักษา เนื่องจากตามกฎหมายแพ่ง เด็กทํานิติกรรมได้ไม่สมบูรณ์ถ้าไม่มีผู้ปกครอง เช่น หากเด็กไปนอนพักรักษาแล้วมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เรื่องที่ 2 การขอให้มีตัวแทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาตินั้น ยินดีรับข้อเสนอ เรื่องที่ 3 การเข้ารับการรักษาในหน่วยบริการที่มีจิตแพทย์ จะหารือกับเลขาธิการ สปสช. อีกครั้ง
“เราต้องคิดในมุมใหม่ที่จะต้องเปิดทุกช่องทางให้กับเด็กและเยาวชนที่เริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพจิต ไปพบบุคคลที่เขาไว้ใจได้ในกรณีที่ครอบครัวไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้ ต้องเปิดทุกช่องไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท,แพทย์,โทรศัพท์ออนไลน์ หรืออะไรต่างๆก็จําเป็นต้องเปิดให้มากที่สุด เพื่อให้เยาวชนที่มีปัญหาสามารถเข้าถึงการพูดคุย การระบายความเครียด ความผิดหวัง หรือความเสียใจ เพื่อลดความเครียดลงให้ได้ ตรงนี้ก็จะทํา” ดร.สาธิต กล่าว
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า ขอรณรงค์ให้ทุกคนฟังกันมากขึ้น ในวันสุขภาพจิตโลกปีนี้กรมสุขภาพจิต มีคําขวัญรณรงค์ “Talk to me “ คือ รับฟังกันมากขึ้น หมายความว่า ทุกคนได้อยู่กับคนใกล้ตัว คนในครอบครัว ในสังคมได้พูดคุย และรับฟังกันมากขึ้น เพราะมีตัวเลขว่า 1ใน 5 คน มี 1 คนที่มีปัญหาสุขภาพจิต และมี 4 คนที่จะช่วยได้ ขอให้ทุกคนเป็น 4 คนที่จะช่วย 1 คนนั้นได้กลับมาเป็นคนที่มีความสุข ไม่พัฒนาไปสู่โรคซึมเศร้า ที่อาจนําไปสู่การฆ่าตัวตาย ซึ่งในไทยมีคนฆ่าตัวตายเกือบ 4,000 รายต่อปี มีผู้ฆ่าตัวตายสําเร็จเฉลี่ย 2 ชั่วโมง ต่อ 1 ราย และมีผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย เฉลี่ย 9.55 นาที ต่อ 1ราย จึงควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนที่มีความเครียดมากขึ้น ทั้งจากการเรียน ความรัก เศรษฐกิจความเป็นอยู่จึงได้ให้กรมสุขภาพจิตเพิ่มสายด่วนกรมสุขภาพจิต โทร 1323 เป็น 20 คู่สาย ให้ปรึกษาปัญหาได้มากขึ้น
*********************************10 ตุลาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23741
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ยืนยันประชาชนมีน้ำใช้เพียงพอจนถึงฤดูฝนนี้
|
วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรีย้ํารัฐบาลบริหารจัดการน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ ยืนยันประชาชนมีน้ําใช้เพียงพอจนถึงฤดูฝนนี้
นายกรัฐมนตรีย้ํารัฐบาลบริหารจัดการน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ ยืนยันประชาชนมีน้ําใช้เพียงพอจนถึงฤดูฝนนี้
วันนี้ (13 มีนาคม 2563) เวลา 15.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวในรายการ Government Weekly ถึงมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ย้ํารัฐบาลเดินหน้าบริหารจัดการน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ สรุปประเด็น ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงปัญหาภัยแล้งว่า เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่รัฐบาลให้ความสําคัญเร่งแก้ปัญหา ทั้งนี้ ได้มีการประกาศเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งทั้งหมด 22 จังหวัด ทั้งเหนือ อีสานและกลาง โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทางการเกษตรที่ต้องใช้น้ํามาก ซึ่งต้องระมัดระวังเรื่องการใช้น้ําอุปโภคบริโภคเป็นอย่างมาก เพราะปริมาณน้ําในแหล่งน้ําล่าสุดมีอยู่ประมาณ 43,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นน้ําที่ใช้การได้จริง 33% ดังนั้น บางพื้นที่เขตชลประทานได้มีการจัดหาแหล่งน้ําสํารอง ขุดบ่อบาดาล ลอกคูคลองกักเก็บน้ําให้ประชาชนมีน้ําใช้ในการอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่อง และสั่งปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่สําคัญเมื่อมีสภาพอากาศอํานวยเพื่อกักเก็บน้ําในแหล่งน้ําต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีโยบายสนับสนุนการขุดบ่อแลกดิน เพื่อให้ทุกครัวเรือนทั้งประชาชน เกษตรกร มีแหล่งน้ําใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นของตนเอง
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการบริหารจัดการน้ําเพื่อการเกษตรว่า มีมาตรการควบคุมการใช้น้ําในพื้นที่ โดยขอความร่วมมือเกษตรกรเฉลี่ยการใช้น้ําอย่างเหมาะสม เพื่อลดผลกระทบจากการขาดแคลนน้ําอุปโภคบริโภค ปลูกพืชผสมผสาน โดยเกษตรกรที่ประสบความสําเร็จในการปลูกพืชผสมผสานสามารถให้คําแนะนําแก่เกษตรกรด้วยกัน สําหรับการใช้น้ําในภาคอุตสาหกรรม รัฐบาลยังเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการน้ํารีไซเคิลน้ํากลับมาใช้ใหม่ได้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอความร่วมมือประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณริมคลอง ช่วยกันรักษาความสะอาด ไม่ทิ้งขยะหรือระบายน้ําเสียลงในแม่น้ํา เพื่อลดการเน่าเสียของน้ําที่อาจจะเกิดขึ้น ร่วมกันใช้น้ําอย่างประหยัด ภาครัฐตั้งใจบริหารจัดการน้ําให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้ประชาชนมีน้ําใช้เพียงพอไปจนถึงฤดูฝนหน้า
........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ยืนยันประชาชนมีน้ำใช้เพียงพอจนถึงฤดูฝนนี้
วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรีย้ํารัฐบาลบริหารจัดการน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ ยืนยันประชาชนมีน้ําใช้เพียงพอจนถึงฤดูฝนนี้
นายกรัฐมนตรีย้ํารัฐบาลบริหารจัดการน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ ยืนยันประชาชนมีน้ําใช้เพียงพอจนถึงฤดูฝนนี้
วันนี้ (13 มีนาคม 2563) เวลา 15.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวในรายการ Government Weekly ถึงมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ย้ํารัฐบาลเดินหน้าบริหารจัดการน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ สรุปประเด็น ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงปัญหาภัยแล้งว่า เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่รัฐบาลให้ความสําคัญเร่งแก้ปัญหา ทั้งนี้ ได้มีการประกาศเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งทั้งหมด 22 จังหวัด ทั้งเหนือ อีสานและกลาง โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทางการเกษตรที่ต้องใช้น้ํามาก ซึ่งต้องระมัดระวังเรื่องการใช้น้ําอุปโภคบริโภคเป็นอย่างมาก เพราะปริมาณน้ําในแหล่งน้ําล่าสุดมีอยู่ประมาณ 43,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นน้ําที่ใช้การได้จริง 33% ดังนั้น บางพื้นที่เขตชลประทานได้มีการจัดหาแหล่งน้ําสํารอง ขุดบ่อบาดาล ลอกคูคลองกักเก็บน้ําให้ประชาชนมีน้ําใช้ในการอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่อง และสั่งปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่สําคัญเมื่อมีสภาพอากาศอํานวยเพื่อกักเก็บน้ําในแหล่งน้ําต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีโยบายสนับสนุนการขุดบ่อแลกดิน เพื่อให้ทุกครัวเรือนทั้งประชาชน เกษตรกร มีแหล่งน้ําใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นของตนเอง
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการบริหารจัดการน้ําเพื่อการเกษตรว่า มีมาตรการควบคุมการใช้น้ําในพื้นที่ โดยขอความร่วมมือเกษตรกรเฉลี่ยการใช้น้ําอย่างเหมาะสม เพื่อลดผลกระทบจากการขาดแคลนน้ําอุปโภคบริโภค ปลูกพืชผสมผสาน โดยเกษตรกรที่ประสบความสําเร็จในการปลูกพืชผสมผสานสามารถให้คําแนะนําแก่เกษตรกรด้วยกัน สําหรับการใช้น้ําในภาคอุตสาหกรรม รัฐบาลยังเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการน้ํารีไซเคิลน้ํากลับมาใช้ใหม่ได้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอความร่วมมือประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณริมคลอง ช่วยกันรักษาความสะอาด ไม่ทิ้งขยะหรือระบายน้ําเสียลงในแม่น้ํา เพื่อลดการเน่าเสียของน้ําที่อาจจะเกิดขึ้น ร่วมกันใช้น้ําอย่างประหยัด ภาครัฐตั้งใจบริหารจัดการน้ําให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้ประชาชนมีน้ําใช้เพียงพอไปจนถึงฤดูฝนหน้า
........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27149
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”บุกชลบุรี เตรียมเปิดศูนย์บริหารแรงงานแบบครบวงจร รองรับอีอีซี 16 พ.ย.นี้
|
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561
“บิ๊กอู๋”บุกชลบุรี เตรียมเปิดศูนย์บริหารแรงงานแบบครบวงจร รองรับอีอีซี 16 พ.ย.นี้
รมว.แรงงาน ลงพื้นที่ จ.ชลบุรี ตรวจสอบความพร้อมของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หวังเป็นศูนย์จัดหางานและพัฒนาแรงงานอย่างเป็นระบบและครบวงจร รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซี พร้อมให้บริการนายจ้าง ผู้สมัครงานแบบวันสต็อปเซอร์วิส
รมว.แรงงาน ลงพื้นที่ จ.ชลบุรี ตรวจสอบความพร้อมของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หวังเป็นศูนย์จัดหางานและพัฒนาแรงงานอย่างเป็นระบบและครบวงจร รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซี พร้อมให้บริการนายจ้าง ผู้สมัครงานแบบวันสต็อปเซอร์วิส ดีเดย์
เปิดบริการอย่างเป็นทางการ 16 พฤศจิกายนนี้
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมของสถานที่ตั้งศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 145 ต.หนองไม้แดง อ.เมือง จ.ชลบุรี สําหรับศูนย์ฯ แห่งนี้ กําหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ เพื่อเป็นศูนย์จัดหางานและพัฒนาแรงงานอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC โดยบริหารจัดการข้อมูลแรงงานในพื้นที่ EEC ให้บริการผู้สมัครงาน และนายจ้าง/สถานประกอบกิจการ ประสานความร่วมมือในการปฏิบัติงานในเฉพาะด้านแรงงานกับสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.)
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวว่า ศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก แห่งนี้จะให้บริการ
ในลักษณะจุดบริการแบบเบ็ดเสร็จสําหรับผู้สมัครงาน (One Stop Service) ใน 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ลงทะเบียนและสัมภาษณ์เบื้องต้น โดยกรมการจัดหางาน รับลงทะเบียนสมัครงาน/รับแจ้งตําแหน่งงานว่าง สัมภาษณ์เพื่อทราบรายละเอียดลักษณะงาน (Job Description) และคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้สมัครงาน 2)แนะแนวและทดสอบความพร้อมทางอาชีพ โดยกรมการจัดหางานจะทดสอบความถนัดของตนเอง แนะนําเส้นทางอาชีพที่เหมาะสม เตรียมความพร้อมในการสมัครและสัมภาษณ์งาน 3)จับคู่ตําแหน่งงาน โดยกรมการจัดหางานจะจับคู่ตําแหน่งงานทีเหมาะสม ส่งตัวผู้สมัครงานพบนายจ้าง 4)พัฒนาทักษะฝีมือ โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ฝึกอบรมทักษะฝีมือแรงงาน ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน ประเมินเพื่อรับรองความรู้ความสามารถ ให้คําแนะนําสถานประกอบกิจการเรื่องสิทธิประโยชน์ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ.2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประสานการพัฒนาเครือข่ายด้านการพัฒนาแรงงาน และ 5)คุ้มครองแรงงานและสิทธิประโยชน์ประกันสังคม โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและสํานักงานประกันสังคม ให้ความรู้ด้านคุ้มครองแรงงาน ส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ สวัสดิการแรงงาน ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน รับเรื่องร้องทุกข์ร้องเรียนและส่งต่อ ให้บริการตรวจสอบสิทธิ รับยื่นแบบคําขอรับสิทธิประโยชน์ ให้คําปรึกษาและให้ความรู้งานประกันสังคม เป็นต้น
สําหรับนายจ้างและผู้ประกอบกิจการ จะให้บริการตรวจลงตราและขอใบอนุญาตทํางานโดยสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองและกรมการจัดหางาน จะให้บริการตรวจลงตรา (Visa) และขอใบอนุญาตทํางาน (Work Permit) แก่ผู้บริหารช่างฝีมือ ผู้ชํานาญการตามกฎหมาย BOI การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นต้น ศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ยังเป็นศูนย์บริหารจัดการข้อมูลแรงงานในพื้นที่ EEC โดยทําหน้าที่ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อวิเคราะห์สภาวะตลาดแรงงาน แนวโน้มความต้องการแรงงานตลอดจนเป็นศูนย์ฯ ประสานความร่วมมือในการวางแผนพัฒนากําลังแรงงานในพื้นที่ EEC และให้บริการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ เอกชน และนักลงทุนในพื้นที่ EEC อีกด้วย
ปัจจุบัน พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกมีสถานประกอบการ 37,296 แห่ง ลูกจ้าง 1,549,976 คน มีความต้องการแรงงาน ณ เดือนกันยายน 61 จํานวน 14,767 อัตรา จากสถานประกอบการ 1,011 แห่ง ส่วนแนวโน้มความต้องการกําลังแรงงานในช่วง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2560 – 2564 โดยศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย จํานวน 1.77 แสนคน (ข้อมูลจากกองบริหารข้อมูลตลาดแรงงาน ณ เดือน ตุลาคม 2561) ซึ่งแผนการดําเนินระยะสั้น มีเป้าหมายจัดหาแรงงานจํานวน 14,767 อัตรา ฝึกทักษะฝีมือใหม่และฝึกเพิ่ม จํานวน 582,941 คน ส่งเสริมการทํางานของแรงงานต่างด้าวทักษะฝีมือ จํานวน 6,000 คน ส่งเสริมสวัสดิการและกํากับดูแลคุ้มครองแรงงาน จํานวน 2,196 แห่ง 23 ครั้ง 114,300 คน นอกจากนี้ แผนงานระยะสั้นยังเน้นหนัก 6 เดือนแรก แนะแนวอาชีพนักเรียน รับลงทะเบียนสมัครงาน จับคู่ตําแหน่งงาน ฝึกทักษะฝีมือแรงงานรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรรมชั้นสูง ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติและพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อรองรับการจ่ายค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ และส่งเสริมให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 100 คนขึ้นไปฝึกอบรมลูกจ้างของตนเองไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ตามที่กฎหมายกําหนด และดําเนินการต่อเนื่องในเรื่องการตรวจลงตราและออกใบอนุญาตทํางาน ให้แก่ ผู้บริหาร ช่างฝีมือ และผู้ชํานาญการตามกฎหมาย BOI การนิคม และการปิโตรเลียม การส่งเสริมการจัดสวัสดิการแรงงานแบบยืดหยุ่นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน การปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาแรงงานสัมพันธ์ในกลุ่มกิจการยานยนต์ กํากับดูแลให้แรงงานได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน การขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ผู้ประกันตนให้บริการยื่นคําขอรับประโยชน์ทดแทนผ่านตู้ TDM และให้บริการผ่านระบบ e-service e-payment Application SSO Connect Mobile เป็นต้น
แผนการดําเนินงานของศูนย์ฯ ในระยะกลาง 1-5 ปี มีเป้าหมายในการจัดหาแรงงานเข้าสู่โครงการพื้นฐานหลักของ EEC โดยการสํารวจความต้องการแรงงานจากผู้รับการประมูลงาน เชื่อมโยงข้อมูลแอพพลิเคชั่น เข้าสู่ระบบบริหารจัดการของ EEC สร้างกระบวนการแนะแนวอาชีพการปรับทัศนคติ และสร้างค่านิยมในการทํางานตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา สร้างเครือข่ายฝึกทักษะฝีมือกับสถานศึกษาและภาคเอกชน จัดเตรียมหลักสูตรการพัฒนาฝีมือให้สอดคล้องกับความต้องการและโครงสร้างพื้นฐาน ตรวจลงตราและออกใบอนุญาตทํางานด้วยระบบดิจิทัล ส่วนในระยะยาว 5-10 ปี มีเป้าหมายในการจัดหาแรงงานเข้าสู่โครงการพื้นฐานหลักของ EEC โดยการเชื่อมโยงข้อมูล Demand & Supply ด้วยระบบดิจิทัลครบวงจร มีระบบ Matching ที่สะดวกรวดเร็วทาง Online โดยสามารถหางานด้วยตนเองและระบบสนับสนุนให้บริการกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ประสานแนะแนวอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ 10 อุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมาย มีหลักสูตรการพัฒนาทักษะตามความต้องการของ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย มีระบบ Reskill และ Employment รองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานและการปรับเปลี่ยนอาชีพ
----------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
1 พฤศจิกายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”บุกชลบุรี เตรียมเปิดศูนย์บริหารแรงงานแบบครบวงจร รองรับอีอีซี 16 พ.ย.นี้
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561
“บิ๊กอู๋”บุกชลบุรี เตรียมเปิดศูนย์บริหารแรงงานแบบครบวงจร รองรับอีอีซี 16 พ.ย.นี้
รมว.แรงงาน ลงพื้นที่ จ.ชลบุรี ตรวจสอบความพร้อมของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หวังเป็นศูนย์จัดหางานและพัฒนาแรงงานอย่างเป็นระบบและครบวงจร รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซี พร้อมให้บริการนายจ้าง ผู้สมัครงานแบบวันสต็อปเซอร์วิส
รมว.แรงงาน ลงพื้นที่ จ.ชลบุรี ตรวจสอบความพร้อมของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หวังเป็นศูนย์จัดหางานและพัฒนาแรงงานอย่างเป็นระบบและครบวงจร รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซี พร้อมให้บริการนายจ้าง ผู้สมัครงานแบบวันสต็อปเซอร์วิส ดีเดย์
เปิดบริการอย่างเป็นทางการ 16 พฤศจิกายนนี้
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมของสถานที่ตั้งศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 145 ต.หนองไม้แดง อ.เมือง จ.ชลบุรี สําหรับศูนย์ฯ แห่งนี้ กําหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ เพื่อเป็นศูนย์จัดหางานและพัฒนาแรงงานอย่างเป็นระบบ รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC โดยบริหารจัดการข้อมูลแรงงานในพื้นที่ EEC ให้บริการผู้สมัครงาน และนายจ้าง/สถานประกอบกิจการ ประสานความร่วมมือในการปฏิบัติงานในเฉพาะด้านแรงงานกับสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.)
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวว่า ศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก แห่งนี้จะให้บริการ
ในลักษณะจุดบริการแบบเบ็ดเสร็จสําหรับผู้สมัครงาน (One Stop Service) ใน 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ลงทะเบียนและสัมภาษณ์เบื้องต้น โดยกรมการจัดหางาน รับลงทะเบียนสมัครงาน/รับแจ้งตําแหน่งงานว่าง สัมภาษณ์เพื่อทราบรายละเอียดลักษณะงาน (Job Description) และคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้สมัครงาน 2)แนะแนวและทดสอบความพร้อมทางอาชีพ โดยกรมการจัดหางานจะทดสอบความถนัดของตนเอง แนะนําเส้นทางอาชีพที่เหมาะสม เตรียมความพร้อมในการสมัครและสัมภาษณ์งาน 3)จับคู่ตําแหน่งงาน โดยกรมการจัดหางานจะจับคู่ตําแหน่งงานทีเหมาะสม ส่งตัวผู้สมัครงานพบนายจ้าง 4)พัฒนาทักษะฝีมือ โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ฝึกอบรมทักษะฝีมือแรงงาน ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน ประเมินเพื่อรับรองความรู้ความสามารถ ให้คําแนะนําสถานประกอบกิจการเรื่องสิทธิประโยชน์ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ.2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประสานการพัฒนาเครือข่ายด้านการพัฒนาแรงงาน และ 5)คุ้มครองแรงงานและสิทธิประโยชน์ประกันสังคม โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและสํานักงานประกันสังคม ให้ความรู้ด้านคุ้มครองแรงงาน ส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ สวัสดิการแรงงาน ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน รับเรื่องร้องทุกข์ร้องเรียนและส่งต่อ ให้บริการตรวจสอบสิทธิ รับยื่นแบบคําขอรับสิทธิประโยชน์ ให้คําปรึกษาและให้ความรู้งานประกันสังคม เป็นต้น
สําหรับนายจ้างและผู้ประกอบกิจการ จะให้บริการตรวจลงตราและขอใบอนุญาตทํางานโดยสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองและกรมการจัดหางาน จะให้บริการตรวจลงตรา (Visa) และขอใบอนุญาตทํางาน (Work Permit) แก่ผู้บริหารช่างฝีมือ ผู้ชํานาญการตามกฎหมาย BOI การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นต้น ศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ยังเป็นศูนย์บริหารจัดการข้อมูลแรงงานในพื้นที่ EEC โดยทําหน้าที่ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อวิเคราะห์สภาวะตลาดแรงงาน แนวโน้มความต้องการแรงงานตลอดจนเป็นศูนย์ฯ ประสานความร่วมมือในการวางแผนพัฒนากําลังแรงงานในพื้นที่ EEC และให้บริการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ เอกชน และนักลงทุนในพื้นที่ EEC อีกด้วย
ปัจจุบัน พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกมีสถานประกอบการ 37,296 แห่ง ลูกจ้าง 1,549,976 คน มีความต้องการแรงงาน ณ เดือนกันยายน 61 จํานวน 14,767 อัตรา จากสถานประกอบการ 1,011 แห่ง ส่วนแนวโน้มความต้องการกําลังแรงงานในช่วง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2560 – 2564 โดยศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย จํานวน 1.77 แสนคน (ข้อมูลจากกองบริหารข้อมูลตลาดแรงงาน ณ เดือน ตุลาคม 2561) ซึ่งแผนการดําเนินระยะสั้น มีเป้าหมายจัดหาแรงงานจํานวน 14,767 อัตรา ฝึกทักษะฝีมือใหม่และฝึกเพิ่ม จํานวน 582,941 คน ส่งเสริมการทํางานของแรงงานต่างด้าวทักษะฝีมือ จํานวน 6,000 คน ส่งเสริมสวัสดิการและกํากับดูแลคุ้มครองแรงงาน จํานวน 2,196 แห่ง 23 ครั้ง 114,300 คน นอกจากนี้ แผนงานระยะสั้นยังเน้นหนัก 6 เดือนแรก แนะแนวอาชีพนักเรียน รับลงทะเบียนสมัครงาน จับคู่ตําแหน่งงาน ฝึกทักษะฝีมือแรงงานรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรรมชั้นสูง ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติและพัฒนาศักยภาพแรงงานเพื่อรองรับการจ่ายค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ และส่งเสริมให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 100 คนขึ้นไปฝึกอบรมลูกจ้างของตนเองไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ตามที่กฎหมายกําหนด และดําเนินการต่อเนื่องในเรื่องการตรวจลงตราและออกใบอนุญาตทํางาน ให้แก่ ผู้บริหาร ช่างฝีมือ และผู้ชํานาญการตามกฎหมาย BOI การนิคม และการปิโตรเลียม การส่งเสริมการจัดสวัสดิการแรงงานแบบยืดหยุ่นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน การปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาแรงงานสัมพันธ์ในกลุ่มกิจการยานยนต์ กํากับดูแลให้แรงงานได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน การขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ผู้ประกันตนให้บริการยื่นคําขอรับประโยชน์ทดแทนผ่านตู้ TDM และให้บริการผ่านระบบ e-service e-payment Application SSO Connect Mobile เป็นต้น
แผนการดําเนินงานของศูนย์ฯ ในระยะกลาง 1-5 ปี มีเป้าหมายในการจัดหาแรงงานเข้าสู่โครงการพื้นฐานหลักของ EEC โดยการสํารวจความต้องการแรงงานจากผู้รับการประมูลงาน เชื่อมโยงข้อมูลแอพพลิเคชั่น เข้าสู่ระบบบริหารจัดการของ EEC สร้างกระบวนการแนะแนวอาชีพการปรับทัศนคติ และสร้างค่านิยมในการทํางานตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา สร้างเครือข่ายฝึกทักษะฝีมือกับสถานศึกษาและภาคเอกชน จัดเตรียมหลักสูตรการพัฒนาฝีมือให้สอดคล้องกับความต้องการและโครงสร้างพื้นฐาน ตรวจลงตราและออกใบอนุญาตทํางานด้วยระบบดิจิทัล ส่วนในระยะยาว 5-10 ปี มีเป้าหมายในการจัดหาแรงงานเข้าสู่โครงการพื้นฐานหลักของ EEC โดยการเชื่อมโยงข้อมูล Demand & Supply ด้วยระบบดิจิทัลครบวงจร มีระบบ Matching ที่สะดวกรวดเร็วทาง Online โดยสามารถหางานด้วยตนเองและระบบสนับสนุนให้บริการกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ประสานแนะแนวอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ 10 อุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมาย มีหลักสูตรการพัฒนาทักษะตามความต้องการของ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย มีระบบ Reskill และ Employment รองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานและการปรับเปลี่ยนอาชีพ
----------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
1 พฤศจิกายน 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16506
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการ ย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการตรวจสอบอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
|
วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561
นายกรัฐมนตรีสั่งการ ย้ําหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการตรวจสอบอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
นายกรัฐมนตรีสั่งการ ย้ําหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการตรวจสอบอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
วันนี้ (1 พฤษภาคม 2561) เวลา 13.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการหลอกขายอาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐานว่า ได้สั่งการ ย้ําเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หามาตรการเพิ่มเติมในการตรวจสอบ และปรับบุคคลากรให้มีความเพียงพอสามารถเข้าถึงปัญหาและข้อเท็จจริง ซึ่งสิ่งที่สําคัญประชาชนผู้บริโภคต้องช่วยกันตรวจสอบ ว่าสินค้าได้มาตรฐานหรือไม่ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
---------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการ ย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการตรวจสอบอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561
นายกรัฐมนตรีสั่งการ ย้ําหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการตรวจสอบอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
นายกรัฐมนตรีสั่งการ ย้ําหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการตรวจสอบอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
วันนี้ (1 พฤษภาคม 2561) เวลา 13.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการหลอกขายอาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐานว่า ได้สั่งการ ย้ําเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หามาตรการเพิ่มเติมในการตรวจสอบ และปรับบุคคลากรให้มีความเพียงพอสามารถเข้าถึงปัญหาและข้อเท็จจริง ซึ่งสิ่งที่สําคัญประชาชนผู้บริโภคต้องช่วยกันตรวจสอบ ว่าสินค้าได้มาตรฐานหรือไม่ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
---------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11890
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แอปไทยชนะ เปิดให้สาวกไอโฟนดาวน์โหลดแล้ว
|
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563
แอปไทยชนะ เปิดให้สาวกไอโฟนดาวน์โหลดแล้ว
แอปไทยชนะ เปิดให้สาวกไอโฟนดาวน์โหลดแล้ว
ศบค. เปิดให้ผู้ใช้ iOS ดาวน์โหลดแอปไทยชนะได้แล้ว ด้านกระทรวงดิจิทัลฯ ย้ําประชาชนมั่นใจนโยบายด้านรักษาความเป็นส่วนตัวและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ชี้แอปฯ นี้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาการลืมเช็คเอาท์ได้เกือบ 100% เพิ่มความแม่นยําและรวดเร็วในการระบุจํานวนผู้เสี่ยงสัมผัสกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในประเทศ ป้องกันการแพร่ระบาดระลอกที่ 2
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มีนโยบายผลักดัน การจัดทํา“ไทยชนะ” เพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค โดยได้กําชับเรื่องนโยบายด้านรักษาความเป็นส่วนตัวและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะไม่พบรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังต้องระวังไม่ให้เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดระลอกที่ 2 ซึ่งการทํางานของแพลตฟอร์มไทยชนะ และแอปไทยชนะ ได้รับการพัฒนาขึ้นมาช่วยในเรื่องนี้
ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า ขณะนี้แอปไทยชนะ พร้อมให้ดาวน์โหลดสําหรับผู้ใช้มือถือระบบ iOS แล้ว โดยดาวน์โหลดผ่าน App Store ทั้งนี้ เน้นย้ําว่าเป็นแอปจริงที่รัฐบาลให้มีการพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือสําคัญในการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ใช้ชื่อ "Thaichana - ไทยชนะ" ผู้พัฒนา คือ "Krungthai Bank PCL."
หลังจากดาวน์โหลดจะลงทะเบียนเลขหมายโทรศัพท์ที่ใช้งาน แอปไทยชนะจะขออนุญาตในการเข้าถึงข้อมูลที่จําเป็นในการควบคุมโรค เพื่อใช้เป็นเครื่องมือป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค ได้แก่ ตําแหน่ง (Location) ในการเช็คอิน, กล้อง (Camera) เอสแกนคิวอาร์โค้ดร้านค้า และการใช้ข้อมูล (Cellular Data)
ส่วนการขออนุญาตเปิดตําแหน่ง (Location) สําหรับค้นหาร้านค้าใกล้ตัว เพื่อทราบระยะทางแบบประมาณการ ส่วนการเปิด Cellular Data ก็เป็นเหมือนเปิดการใช้งาน data ให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ในลักษณะเดียวกับที่มือถือระบบแอนดรอยด์ ต้องเปิดการใช้ข้อมูลเวลาเล่นอินเทอร์เน็ต
“ยืนยันว่าแอปพลิเคชั่นไทยชนะ ไม่ได้เข้าถึงที่เก็บข้อมูล หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล รวมไปถึงไม่มีการส่งข้อมูลพิกัด Location ของผู้ใช้งานออกไปแต่อย่างใด ขณะที่ในส่วนของความปลอดภัยในเรื่องป้องกันข้อมูลรั่วไหลของแอป และมาตรฐานความปลอดภัยที่แอปมือถือต้องทํา (Certification Pinning) ซึ่งเป็นวิธีการทางเทคนิคที่ป้องกันการดักจับหรือดักเอาข้อมูล” นพ.พลวรรธน์กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากมีแอปไทยชนะสําหรับทั้งมือถือระบบแอนดรอยด์ และระบบ iOS แล้ว เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาการลืมเช็คเอาท์ได้ดียิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมาจากข้อมูลการใช้งานแอปไทยชนะบนแอนดรอยด์ พบว่ามีสัดส่วนการเช็คเอาท์ราว 90% เมื่อเทียบกับการใช้งานผ่านเว็บไซต์ไทยชนะ ที่มียอดเช็คเอาท์ประมาณครึ่งหนึ่งของการเช็คอิน ดังนั้นจึงเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า การพัฒนาแอปไทยชนะเพื่อแก้ปัญหาเช็คเอาท์มาถูกทางแล้ว
นพ.พลวรรธน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้มีการจัดทําสถานการณ์จําลองโดยใช้ข้อมูลจริงจากเบอร์โทรศัพท์เพียง 1 เลขหมายของอาสาสมัครที่เช็คอิน/เช็คเอาท์ผ่านไทยชนะแค่ 1 วัน พบว่ามีจํานวนคนที่จะเป็นผู้เสี่ยงจากการสัมผัส ถ้ามีการถูกเรียกมาสอบสวนโรค ตามมาตรฐานกรมควบคุมโรคถึงมากกว่า 500 คน ดังนั้นอยากย้ําให้เห็นความสําคัญของการเช็คเอาท์ทุกครั้งจากสถานที่ๆ เข้าไปใช้บริการ เพราะจะช่วยให้สามารถระบุจํานวนผู้เสี่ยงสัมผัสในสถานที่ดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว และจํากัดวงกลุ่มเสี่ยงให้แคบลง ลดโอกาสและความเสี่ยงสําหรับการแพร่ระบาดระลอกที่ 2
*****************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แอปไทยชนะ เปิดให้สาวกไอโฟนดาวน์โหลดแล้ว
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563
แอปไทยชนะ เปิดให้สาวกไอโฟนดาวน์โหลดแล้ว
แอปไทยชนะ เปิดให้สาวกไอโฟนดาวน์โหลดแล้ว
ศบค. เปิดให้ผู้ใช้ iOS ดาวน์โหลดแอปไทยชนะได้แล้ว ด้านกระทรวงดิจิทัลฯ ย้ําประชาชนมั่นใจนโยบายด้านรักษาความเป็นส่วนตัวและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ชี้แอปฯ นี้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาการลืมเช็คเอาท์ได้เกือบ 100% เพิ่มความแม่นยําและรวดเร็วในการระบุจํานวนผู้เสี่ยงสัมผัสกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในประเทศ ป้องกันการแพร่ระบาดระลอกที่ 2
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มีนโยบายผลักดัน การจัดทํา“ไทยชนะ” เพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค โดยได้กําชับเรื่องนโยบายด้านรักษาความเป็นส่วนตัวและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะไม่พบรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังต้องระวังไม่ให้เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดระลอกที่ 2 ซึ่งการทํางานของแพลตฟอร์มไทยชนะ และแอปไทยชนะ ได้รับการพัฒนาขึ้นมาช่วยในเรื่องนี้
ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า ขณะนี้แอปไทยชนะ พร้อมให้ดาวน์โหลดสําหรับผู้ใช้มือถือระบบ iOS แล้ว โดยดาวน์โหลดผ่าน App Store ทั้งนี้ เน้นย้ําว่าเป็นแอปจริงที่รัฐบาลให้มีการพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือสําคัญในการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ใช้ชื่อ "Thaichana - ไทยชนะ" ผู้พัฒนา คือ "Krungthai Bank PCL."
หลังจากดาวน์โหลดจะลงทะเบียนเลขหมายโทรศัพท์ที่ใช้งาน แอปไทยชนะจะขออนุญาตในการเข้าถึงข้อมูลที่จําเป็นในการควบคุมโรค เพื่อใช้เป็นเครื่องมือป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค ได้แก่ ตําแหน่ง (Location) ในการเช็คอิน, กล้อง (Camera) เอสแกนคิวอาร์โค้ดร้านค้า และการใช้ข้อมูล (Cellular Data)
ส่วนการขออนุญาตเปิดตําแหน่ง (Location) สําหรับค้นหาร้านค้าใกล้ตัว เพื่อทราบระยะทางแบบประมาณการ ส่วนการเปิด Cellular Data ก็เป็นเหมือนเปิดการใช้งาน data ให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ในลักษณะเดียวกับที่มือถือระบบแอนดรอยด์ ต้องเปิดการใช้ข้อมูลเวลาเล่นอินเทอร์เน็ต
“ยืนยันว่าแอปพลิเคชั่นไทยชนะ ไม่ได้เข้าถึงที่เก็บข้อมูล หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล รวมไปถึงไม่มีการส่งข้อมูลพิกัด Location ของผู้ใช้งานออกไปแต่อย่างใด ขณะที่ในส่วนของความปลอดภัยในเรื่องป้องกันข้อมูลรั่วไหลของแอป และมาตรฐานความปลอดภัยที่แอปมือถือต้องทํา (Certification Pinning) ซึ่งเป็นวิธีการทางเทคนิคที่ป้องกันการดักจับหรือดักเอาข้อมูล” นพ.พลวรรธน์กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากมีแอปไทยชนะสําหรับทั้งมือถือระบบแอนดรอยด์ และระบบ iOS แล้ว เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาการลืมเช็คเอาท์ได้ดียิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมาจากข้อมูลการใช้งานแอปไทยชนะบนแอนดรอยด์ พบว่ามีสัดส่วนการเช็คเอาท์ราว 90% เมื่อเทียบกับการใช้งานผ่านเว็บไซต์ไทยชนะ ที่มียอดเช็คเอาท์ประมาณครึ่งหนึ่งของการเช็คอิน ดังนั้นจึงเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า การพัฒนาแอปไทยชนะเพื่อแก้ปัญหาเช็คเอาท์มาถูกทางแล้ว
นพ.พลวรรธน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้มีการจัดทําสถานการณ์จําลองโดยใช้ข้อมูลจริงจากเบอร์โทรศัพท์เพียง 1 เลขหมายของอาสาสมัครที่เช็คอิน/เช็คเอาท์ผ่านไทยชนะแค่ 1 วัน พบว่ามีจํานวนคนที่จะเป็นผู้เสี่ยงจากการสัมผัส ถ้ามีการถูกเรียกมาสอบสวนโรค ตามมาตรฐานกรมควบคุมโรคถึงมากกว่า 500 คน ดังนั้นอยากย้ําให้เห็นความสําคัญของการเช็คเอาท์ทุกครั้งจากสถานที่ๆ เข้าไปใช้บริการ เพราะจะช่วยให้สามารถระบุจํานวนผู้เสี่ยงสัมผัสในสถานที่ดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว และจํากัดวงกลุ่มเสี่ยงให้แคบลง ลดโอกาสและความเสี่ยงสําหรับการแพร่ระบาดระลอกที่ 2
*****************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32279
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีแล้ว
|
วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560
เปิดจําหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีแล้ว
คปภ. ลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด เร่งปูพรมความรู้ประกันภัยข้าวนาปี พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลออนไลน์กับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อช่วยเหลือชาวนาเต็มพิกัด
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ. เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลเรื่องการประกันภัยข้าวนาปีในเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากที่ ครม. มีมติเห็นชอบการดําเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 สํานักงาน คปภ. ได้เร่งเตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อนําระบบประกันภัยไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวนา ซึ่งในฐานะนายทะเบียน ได้ให้ความเห็นชอบในแบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัย ข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 และอัตราเบี้ยประกันภัย แล้วเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ซึ่งให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ 7 ประเภท ได้แก่ ภัยที่เกิดขึ้นจากน้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ฝนแล้งฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น อากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ และ ไฟไหม้ จํานวนเงินความคุ้มครอง 1,260 บาทต่อไร่ สําหรับภัยที่เกิดจากศัตรูพืชหรือโรคระบาด จํานวนเงินความคุ้มครอง 630 บาทต่อไร่ ซึ่งภัยดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยมี เบี้ยประกันภัย 97.37 บาทต่อไร่ (รวมอากรแสตมป์และภาษี) ซึ่งรัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย 61.37 บาทต่อไร่ และ ธ.ก.ส. อุดหนุนส่วนที่เหลือ 36 บาทต่อไร่ ดังนั้นเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อของ ธ.ก.ส. จะไม่เสียเงินค่าเบี้ยประกันภัยเลย แต่ถ้าไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. จะจ่ายเบี้ยประกันภัยเพียง 36 บาทต่อไร่ แต่ทั้งนี้ เกษตรกรที่จะสามารถซื้อประกันภัยข้าวนาปีได้ ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร หรือปรับปรุงทะเบียน เกษตรกร ปีการผลิต 2560/2561 กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยซื้อได้ตั้งแต่ก่อนเพาะปลูกจน ถึงวันสุดท้าย ของการขายไม่เกิน 30 สิงหาคม 2560 ของทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ไม่เกินวันที่ 15 ธันวาคม 2560 โดยเกษตรกรชาวนาสามารถซื้อประกันภัยข้าวนาปีได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 เป็นต้นไป
สําหรับโครงการอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) ปี 2560 ได้เลือกจัดในจังหวัด ที่ไม่ซ้ํากับปีก่อนจํานวน 9 จังหวัด โดยได้มีการจัดไปแล้ว 6 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น นครสวรรค์ สุโขทัย ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี บุรีรัมย์ และจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดที่ 7 ต่อจากนั้นก็จะจัดที่ จังหวัดสกลนคร และปิดท้ายที่จังหวัด สงขลา ตามลําดับ
โดยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2560 ตนได้นําคณะผู้บริหารจากส่วนกลาง พร้อมด้วยผู้อํานวยการภาค 5 ผู้อํานวยการสํานักงาน คปภ. จังหวัดร้อยเอ็ด และบุคลากรในสังกัดสํานักงานคปภ.ภาค 5 ร่วมกับนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทยและคณะฯ ลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาอุปสรรค รวมทั้งข้อเสนอแนะจากเกษตรกรชาวนาในพื้นที่เกี่ยวกับโครงการประกันภัยข้าวนาปีในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังได้ชี้แจงข้อสงสัยให้กับชาวนาเกี่ยวกับขั้นตอน วิธีการในการทําประกันภัยข้าวนาปี ประจําปี 2560 ซึ่งเริ่มรับประกันภัยแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ทั้งนี้เพื่อให้ชาวนาได้เข้าใจถึงรูปแบบกรมธรรม์ ความคุ้มครอง ตลอดจนค่าเบี้ยประกันภัยตามที่รัฐบาลให้การสนับสนุนและนําข้อมูลที่ได้รับมาปรับปรุงการดําเนินงานตามโครงการฯให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีนายสมเกียรติ ขันสะอาด ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สาขาเกษตรวิสัยให้การต้อนรับและกล่าวรายงานสภาพปัญหาการรับประกันภัยนาข้าวในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีชาวนาเข้ารับฟังการชี้แจงในครั้งนี้กว่า 200 คน ณ ศาลาการเรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้านของนายแสวง มะโนลัย ตําบลดงคลั่งน้อย อําเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
“การลงพื้นที่ในแต่ละครั้ง ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากเกษตรในพื้นที่ ได้มีการตอบชี้แจง ประเด็นคําถามที่เกษตรกรไม่เข้าใจ ให้เกิดความเข้าใจ จะมีการบอกเล่าปากต่อปาก สร้างความรู้ความเข้าใจใน พื้นที่อย่างทั่วถึง อันเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์โครง การประกันภัยข้าวนาปีให้ถึงกลุ่มเป้าหมายได้มาก คําถาม เช่น ถ้าที่นาติดจํานองกับ ธ.ก.ส. สามารถทําประกันภัยข้าวนาปีได้ หรือในกรณีนาข้าวได้รับความเสียหาย เป็นวงกว้าง แต่ไม่เพียงพอที่จังหวัดจะประกาศเป็นพื้นที่เขตภัยพิบัติ ให้เกษตรกรแจ้งทางเกษตรอําเภอมา ตรวจสอบ ก่อนจะมีหนังสือแจ้งยืนยันไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยว่าเกษตรกรมีความเสียหาย เกิดขึ้นจริง เพื่อที่จะได้ดําเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าระบบประกันภัยได้เข้าไปมีส่วน ช่วยเหลือเกษตรกรหรือชาวนาไทยในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติอย่างตรงจุด และมี ประสิทธิภาพอย่างแท้จริง”
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า ส่วนในวันที่ 3 กรกฎาคม 2560 เป็นการจัดอบรมความรู้ประกันภัย ตามโครงการการอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) ซึ่งเป็นการอบรมความรู้ เพื่อสร้างวิทยากร ซึ่งเป็นตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่มีความใกล้ชิดกับเกษตร เช่น เจ้าหน้าที่จากสํานักงานเกษตรอําเภอ จังหวัด สํานักงานพัฒนาชุมชน อําเภอ จังหวัด เจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และเจ้าหน้าที่สํานักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เจ้าหน้าที่จากสํานักงาน คปภ. เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อนําองค์ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมฯไปต่อยอดความรู้ให้กับเกษตรชาวนาในพื้นที่ต่อไป ซึ่งจัดที่โรงแรมเพชรรัตน์ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมี เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานเปิดงาน และได้รับเกียรติจาก นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เข้าร่วมและกล่าวต้อนรับ และมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับการอบรมฯ ในครั้งนี้เป็นจํานวนมาก ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ได้กล่าวขอบคุณที่ สํานักงาน คปภ. เห็นความสําคัญและเลือกจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นสถานที่จัดการอบรมความรู้ประกันภัย ซึ่งโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวนาผู้ปลูกข้าวที่จะสามารถนําเอาระบบประกันภัยเข้ามาช่วยในการบริหารความเสี่ยงกับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้เพื่อจะขับเคลื่อนโครงการประกันภัยข้าวนาปีให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สํานักงาน คปภ. ยังได้มีการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลออนไลน์อย่างเป็นระบบกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรณีมีการประกาศภัยเพื่อให้ สํานักงาน คปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย รับทราบข้อมูลอย่างรวดเร็วและนําไปใช้ได้ทันที ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุดในการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่เกษตรกรต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีแล้ว
วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560
เปิดจําหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีแล้ว
คปภ. ลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด เร่งปูพรมความรู้ประกันภัยข้าวนาปี พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลออนไลน์กับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อช่วยเหลือชาวนาเต็มพิกัด
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ. เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลเรื่องการประกันภัยข้าวนาปีในเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากที่ ครม. มีมติเห็นชอบการดําเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 สํานักงาน คปภ. ได้เร่งเตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อนําระบบประกันภัยไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวนา ซึ่งในฐานะนายทะเบียน ได้ให้ความเห็นชอบในแบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัย ข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 และอัตราเบี้ยประกันภัย แล้วเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ซึ่งให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ 7 ประเภท ได้แก่ ภัยที่เกิดขึ้นจากน้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ฝนแล้งฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น อากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ และ ไฟไหม้ จํานวนเงินความคุ้มครอง 1,260 บาทต่อไร่ สําหรับภัยที่เกิดจากศัตรูพืชหรือโรคระบาด จํานวนเงินความคุ้มครอง 630 บาทต่อไร่ ซึ่งภัยดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยมี เบี้ยประกันภัย 97.37 บาทต่อไร่ (รวมอากรแสตมป์และภาษี) ซึ่งรัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย 61.37 บาทต่อไร่ และ ธ.ก.ส. อุดหนุนส่วนที่เหลือ 36 บาทต่อไร่ ดังนั้นเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อของ ธ.ก.ส. จะไม่เสียเงินค่าเบี้ยประกันภัยเลย แต่ถ้าไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. จะจ่ายเบี้ยประกันภัยเพียง 36 บาทต่อไร่ แต่ทั้งนี้ เกษตรกรที่จะสามารถซื้อประกันภัยข้าวนาปีได้ ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร หรือปรับปรุงทะเบียน เกษตรกร ปีการผลิต 2560/2561 กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยซื้อได้ตั้งแต่ก่อนเพาะปลูกจน ถึงวันสุดท้าย ของการขายไม่เกิน 30 สิงหาคม 2560 ของทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ไม่เกินวันที่ 15 ธันวาคม 2560 โดยเกษตรกรชาวนาสามารถซื้อประกันภัยข้าวนาปีได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 เป็นต้นไป
สําหรับโครงการอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) ปี 2560 ได้เลือกจัดในจังหวัด ที่ไม่ซ้ํากับปีก่อนจํานวน 9 จังหวัด โดยได้มีการจัดไปแล้ว 6 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น นครสวรรค์ สุโขทัย ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี บุรีรัมย์ และจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดที่ 7 ต่อจากนั้นก็จะจัดที่ จังหวัดสกลนคร และปิดท้ายที่จังหวัด สงขลา ตามลําดับ
โดยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2560 ตนได้นําคณะผู้บริหารจากส่วนกลาง พร้อมด้วยผู้อํานวยการภาค 5 ผู้อํานวยการสํานักงาน คปภ. จังหวัดร้อยเอ็ด และบุคลากรในสังกัดสํานักงานคปภ.ภาค 5 ร่วมกับนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทยและคณะฯ ลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาอุปสรรค รวมทั้งข้อเสนอแนะจากเกษตรกรชาวนาในพื้นที่เกี่ยวกับโครงการประกันภัยข้าวนาปีในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังได้ชี้แจงข้อสงสัยให้กับชาวนาเกี่ยวกับขั้นตอน วิธีการในการทําประกันภัยข้าวนาปี ประจําปี 2560 ซึ่งเริ่มรับประกันภัยแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ทั้งนี้เพื่อให้ชาวนาได้เข้าใจถึงรูปแบบกรมธรรม์ ความคุ้มครอง ตลอดจนค่าเบี้ยประกันภัยตามที่รัฐบาลให้การสนับสนุนและนําข้อมูลที่ได้รับมาปรับปรุงการดําเนินงานตามโครงการฯให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีนายสมเกียรติ ขันสะอาด ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สาขาเกษตรวิสัยให้การต้อนรับและกล่าวรายงานสภาพปัญหาการรับประกันภัยนาข้าวในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีชาวนาเข้ารับฟังการชี้แจงในครั้งนี้กว่า 200 คน ณ ศาลาการเรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้านของนายแสวง มะโนลัย ตําบลดงคลั่งน้อย อําเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
“การลงพื้นที่ในแต่ละครั้ง ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากเกษตรในพื้นที่ ได้มีการตอบชี้แจง ประเด็นคําถามที่เกษตรกรไม่เข้าใจ ให้เกิดความเข้าใจ จะมีการบอกเล่าปากต่อปาก สร้างความรู้ความเข้าใจใน พื้นที่อย่างทั่วถึง อันเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์โครง การประกันภัยข้าวนาปีให้ถึงกลุ่มเป้าหมายได้มาก คําถาม เช่น ถ้าที่นาติดจํานองกับ ธ.ก.ส. สามารถทําประกันภัยข้าวนาปีได้ หรือในกรณีนาข้าวได้รับความเสียหาย เป็นวงกว้าง แต่ไม่เพียงพอที่จังหวัดจะประกาศเป็นพื้นที่เขตภัยพิบัติ ให้เกษตรกรแจ้งทางเกษตรอําเภอมา ตรวจสอบ ก่อนจะมีหนังสือแจ้งยืนยันไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยว่าเกษตรกรมีความเสียหาย เกิดขึ้นจริง เพื่อที่จะได้ดําเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าระบบประกันภัยได้เข้าไปมีส่วน ช่วยเหลือเกษตรกรหรือชาวนาไทยในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติอย่างตรงจุด และมี ประสิทธิภาพอย่างแท้จริง”
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า ส่วนในวันที่ 3 กรกฎาคม 2560 เป็นการจัดอบรมความรู้ประกันภัย ตามโครงการการอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) ซึ่งเป็นการอบรมความรู้ เพื่อสร้างวิทยากร ซึ่งเป็นตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่มีความใกล้ชิดกับเกษตร เช่น เจ้าหน้าที่จากสํานักงานเกษตรอําเภอ จังหวัด สํานักงานพัฒนาชุมชน อําเภอ จังหวัด เจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และเจ้าหน้าที่สํานักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เจ้าหน้าที่จากสํานักงาน คปภ. เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อนําองค์ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมฯไปต่อยอดความรู้ให้กับเกษตรชาวนาในพื้นที่ต่อไป ซึ่งจัดที่โรงแรมเพชรรัตน์ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมี เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานเปิดงาน และได้รับเกียรติจาก นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เข้าร่วมและกล่าวต้อนรับ และมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับการอบรมฯ ในครั้งนี้เป็นจํานวนมาก ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ได้กล่าวขอบคุณที่ สํานักงาน คปภ. เห็นความสําคัญและเลือกจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นสถานที่จัดการอบรมความรู้ประกันภัย ซึ่งโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวนาผู้ปลูกข้าวที่จะสามารถนําเอาระบบประกันภัยเข้ามาช่วยในการบริหารความเสี่ยงกับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้เพื่อจะขับเคลื่อนโครงการประกันภัยข้าวนาปีให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สํานักงาน คปภ. ยังได้มีการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลออนไลน์อย่างเป็นระบบกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรณีมีการประกาศภัยเพื่อให้ สํานักงาน คปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย รับทราบข้อมูลอย่างรวดเร็วและนําไปใช้ได้ทันที ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุดในการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่เกษตรกรต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4965
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. แจง “ค่าตอบแทนผู้รับงานไปทำที่บ้าน” ต้องไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างใหม่
|
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561
กสร. แจง “ค่าตอบแทนผู้รับงานไปทําที่บ้าน” ต้องไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างใหม่
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน แจง “ค่าตอบแทนผู้รับงานไปทําที่บ้าน” ต้องไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ําใหม่ สั่งเจ้าหน้าเร่งทําความเข้าใจผู้เกี่ยวข้อง ก่อนมีผลใช้บังคับ 1 เมษายน นี้
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการค่าจ้างมีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ําระหว่าง 5 ถึง 22 บาทต่อวัน โดยทั่วประเทศมีอัตราค่าจ้างตั้งแต่ 308 ถึง 330 บาทซึ่งจะมีผลบังคับตั้งแต่ 1 เมษายน 2561 ซึ่งการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ําจะมีผลต่อลูกจ้างทั้งระบบรวมไปถึงผู้รับงานไปทําที่บ้านด้วย ทั้งนี้ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทําที่บ้าน เรื่อง อัตราค่าตอบแทนในงานที่รับไปทําที่บ้าน ได้กําหนดให้อัตราค่าตอบแทนของผู้รับงานไปทําที่บ้านต้องไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ําตามที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกําหนดไว้ โดยคํานวณได้จากอัตราค่าจ้างขั้นต่ําหารด้วยจํานวนชิ้นงานเฉลี่ยที่ลูกจ้างทําได้ภายใน 8 ชั่วโมงทํางาน ดังนั้นเมื่ออัตราค่าจ้างขั้นต่ําใหม่มีผลใช้บังคับ ผู้ว่าจ้างจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้รับงานไปทําที่บ้านไม่น้อยกว่าอัตรากว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ําของจังหวัดนั้น ๆ ด้วย หากผู้ว่าจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว มีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท จําคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือทั้งจําทั้งปรับ
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า ได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงาน เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจให้ผู้ว่าจ้าง ผู้รับงานไปทําที่บ้าน และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ เพื่อจะได้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตามที่กฎหมายกําหนด หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองคุ้มครองแรงงานนอกระบบ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2246 2707 หรือที่โทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. แจง “ค่าตอบแทนผู้รับงานไปทำที่บ้าน” ต้องไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างใหม่
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561
กสร. แจง “ค่าตอบแทนผู้รับงานไปทําที่บ้าน” ต้องไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างใหม่
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน แจง “ค่าตอบแทนผู้รับงานไปทําที่บ้าน” ต้องไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ําใหม่ สั่งเจ้าหน้าเร่งทําความเข้าใจผู้เกี่ยวข้อง ก่อนมีผลใช้บังคับ 1 เมษายน นี้
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการค่าจ้างมีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ําระหว่าง 5 ถึง 22 บาทต่อวัน โดยทั่วประเทศมีอัตราค่าจ้างตั้งแต่ 308 ถึง 330 บาทซึ่งจะมีผลบังคับตั้งแต่ 1 เมษายน 2561 ซึ่งการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ําจะมีผลต่อลูกจ้างทั้งระบบรวมไปถึงผู้รับงานไปทําที่บ้านด้วย ทั้งนี้ประกาศคณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทําที่บ้าน เรื่อง อัตราค่าตอบแทนในงานที่รับไปทําที่บ้าน ได้กําหนดให้อัตราค่าตอบแทนของผู้รับงานไปทําที่บ้านต้องไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ําตามที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกําหนดไว้ โดยคํานวณได้จากอัตราค่าจ้างขั้นต่ําหารด้วยจํานวนชิ้นงานเฉลี่ยที่ลูกจ้างทําได้ภายใน 8 ชั่วโมงทํางาน ดังนั้นเมื่ออัตราค่าจ้างขั้นต่ําใหม่มีผลใช้บังคับ ผู้ว่าจ้างจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้รับงานไปทําที่บ้านไม่น้อยกว่าอัตรากว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ําของจังหวัดนั้น ๆ ด้วย หากผู้ว่าจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว มีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท จําคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือทั้งจําทั้งปรับ
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า ได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงาน เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจให้ผู้ว่าจ้าง ผู้รับงานไปทําที่บ้าน และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ เพื่อจะได้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตามที่กฎหมายกําหนด หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองคุ้มครองแรงงานนอกระบบ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2246 2707 หรือที่โทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10014
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เร่งพัฒนาเกษตรไทยสู่ยุค 4.0 เตรียมจัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ประจำปี 2561
|
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ เร่งพัฒนาเกษตรไทยสู่ยุค 4.0 เตรียมจัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ประจําปี 2561
กระทรวงเกษตรฯ เร่งพัฒนาเกษตรไทยสู่ยุค 4.0 เตรียมจัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ประจําปี 2561 ระดม 22 หน่วยงานในสังกัด นํานวัตกรรมด้านการเกษตรจัดแสดง เชื่อมโยงศาสตร์พระราชาสู่แนวทางพัฒนาเกษตรกรไทย หวังยกระดับคุณภาพชีวิต
นายธนิตย์ เอนกวิทย์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการแถลงข่าวการจัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เตรียมจัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ภายใต้แนวคิด“ศาสตร์พระราชา พัฒนาเกษตรไทย4.0”ระหว่างวันที่26มกราคม -3กุมภาพันธ์2561ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่9และเป็นช่องทางให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา นักวิชาการ นักวิจัย และกลุ่มเกษตรกร นําเสนอผลงานด้านวิชาการ องค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยี และงานประดิษฐ์ด้านการเกษตร อีกทั้งเพื่อให้เกษตรกรเห็นความสําคัญของการทําเกษตรแบบยั่งยืน สนับสนุนการส่งเสริมอาชีพและธุรกิจด้านการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรในประเทศสามารถแข่งขันกับสินค้านําเข้าในเชิงคุณภาพได้ และนํานวัตกรรมที่ได้รับไปพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างความสําเร็จให้กับภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศต่อไป
นายวราวุธ ชูธรรมธัช รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า สําหรับภายในงานวันเกษตรแห่งชาตินั้น หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ทั้ง 22 หน่วยงาน ได้นําผลงานที่น้อมนําศาสตร์พระราชาที่เกี่ยวข้องกับงานด้านการเกษตรมาจัดแสดงและให้ความรู้ โดยมีไฮไลท์ที่สําคัญ คือ การจัดแสดงนิทรรศการศาสตร์พระราชา4โซน ประกอบด้วย 1) โซนศาสตร์พระราชาด้านพืช ได้แก่ กรมการข้าว จัดแสดงธัญโอสถทางเลือกสําหรับผู้รักสุขภาพ และนวัตกรรมข้าวไทยก้าวต่อไปไม่หยุดยั้ง กรมวิชาการเกษตร จัดแสดงโดรนเพื่อเกษตรอินทรีย์ เห็ดภูฏานลูกผสมสายพันธุ์ใหม่ ต้นพันธุ์กาแฟโรบัสต้าชุมพร84-4ต้นกาแฟอาราบิก้าเชียงใหม่ 80และพันธุ์ขมิ้นชันตรัง84-22) ด้านดิน ได้แก่ กรมพัฒนาที่ดิน และสํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) จัดแสดงพระอัจฉริยะภาพด้านการบริหารจัดการน้ํา โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ําในพื้นที่การเกษตรที่มีน้ําน้อย นวัตกรรมย้อนกลับ การแกล้งดิน เพื่อแก้ปัญหาสภาพดินเปรี้ยว ด้วยวิธีการควบคุมการให้น้ําผ่านหินปูนฝุ่น การปรับปรุงดินให้สามารถใช้ประโยชน์ทางการเกษตรอย่างยั่งยืน
3) ด้านน้ํา ได้แก่ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร องค์การสะพานปลา และกรมประมง จัดแสดงศาสตร์พระราชาปูม้า4.0ธนาคารปูไข่โซล่าเซลล์ สถานการณ์ปูม้าในประเทศรวมทั้งการนําเข้าส่งออก และวิธีการกินปูม้าอย่างถูกวิธี กรมชลประทาน จัดแสดงนวัตกรรมหมุดQR Codeใช้สําหรับการปักหมุดอ้างอิง ฝายน้ําพับได้Version 4.0และนวัตกรรมเครื่องมือวัดความชื้นในดินเพื่อการให้น้ําแก่พืช และ 4) ด้านการส่งเสริมอาชีพ รวมถึงนิทรรศการความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานเกษตร ได้แก่ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง กรมส่งเสริมการเกษตร การยางแห่งประเทศไทย องค์การส่งเสริมกิจกรรมโคนม กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ สํานักงานวิจัยการเกษตร สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร สํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ องค์การตลาดเพื่อการเกษตร กองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืน สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมหม่อนไหม จัดแสดงกี่ทอผ้าไหมแบบไม่ลอกกาว กระเป๋าผ้าไหมเปลี่ยนสีตามอุณหภูมิ และสไบคอลลาเจน กรมปศุสัตว์ จัดแสดงน้อมนําศาสตร์พระราชาพัฒนาปศุสัตว์4.0โคนมอาชีพพระราชทาน และผลผลิตปศุสัตว์4.0สํานักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จัดแสดงการเรียนรู้พระเกียรติคุณและพระอัจฉริยภาพกษัตริย์เกษตร ผ่านภาพยนตร์2มิติ นอกจากนี้ ยังมีการจําหน่ายสินค้าข้าวจากกลุ่มชาวนา และYoung Smart Farmer Farm shopให้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์การเกษตรจากผู้ผลิตได้โดยตรงด้วย
ทั้งนี้ การจัดงานวันเกษตรแห่งชาติ จะสามารถทําให้เกษตรกร และผู้เข้าชมงานสามารถมองเห็นแนวทางการพัฒนาเกษตรไทยให้ก้าวไปสู่4.0ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอเชิญชวนให้ผู้สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงานครั้งนี้ ระหว่างวันที่26มกราคม -3กุมภาพันธ์2561ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เร่งพัฒนาเกษตรไทยสู่ยุค 4.0 เตรียมจัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ประจำปี 2561
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ เร่งพัฒนาเกษตรไทยสู่ยุค 4.0 เตรียมจัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ประจําปี 2561
กระทรวงเกษตรฯ เร่งพัฒนาเกษตรไทยสู่ยุค 4.0 เตรียมจัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ประจําปี 2561 ระดม 22 หน่วยงานในสังกัด นํานวัตกรรมด้านการเกษตรจัดแสดง เชื่อมโยงศาสตร์พระราชาสู่แนวทางพัฒนาเกษตรกรไทย หวังยกระดับคุณภาพชีวิต
นายธนิตย์ เอนกวิทย์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการแถลงข่าวการจัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เตรียมจัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ภายใต้แนวคิด“ศาสตร์พระราชา พัฒนาเกษตรไทย4.0”ระหว่างวันที่26มกราคม -3กุมภาพันธ์2561ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่9และเป็นช่องทางให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา นักวิชาการ นักวิจัย และกลุ่มเกษตรกร นําเสนอผลงานด้านวิชาการ องค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยี และงานประดิษฐ์ด้านการเกษตร อีกทั้งเพื่อให้เกษตรกรเห็นความสําคัญของการทําเกษตรแบบยั่งยืน สนับสนุนการส่งเสริมอาชีพและธุรกิจด้านการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรในประเทศสามารถแข่งขันกับสินค้านําเข้าในเชิงคุณภาพได้ และนํานวัตกรรมที่ได้รับไปพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างความสําเร็จให้กับภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศต่อไป
นายวราวุธ ชูธรรมธัช รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า สําหรับภายในงานวันเกษตรแห่งชาตินั้น หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ทั้ง 22 หน่วยงาน ได้นําผลงานที่น้อมนําศาสตร์พระราชาที่เกี่ยวข้องกับงานด้านการเกษตรมาจัดแสดงและให้ความรู้ โดยมีไฮไลท์ที่สําคัญ คือ การจัดแสดงนิทรรศการศาสตร์พระราชา4โซน ประกอบด้วย 1) โซนศาสตร์พระราชาด้านพืช ได้แก่ กรมการข้าว จัดแสดงธัญโอสถทางเลือกสําหรับผู้รักสุขภาพ และนวัตกรรมข้าวไทยก้าวต่อไปไม่หยุดยั้ง กรมวิชาการเกษตร จัดแสดงโดรนเพื่อเกษตรอินทรีย์ เห็ดภูฏานลูกผสมสายพันธุ์ใหม่ ต้นพันธุ์กาแฟโรบัสต้าชุมพร84-4ต้นกาแฟอาราบิก้าเชียงใหม่ 80และพันธุ์ขมิ้นชันตรัง84-22) ด้านดิน ได้แก่ กรมพัฒนาที่ดิน และสํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) จัดแสดงพระอัจฉริยะภาพด้านการบริหารจัดการน้ํา โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ําในพื้นที่การเกษตรที่มีน้ําน้อย นวัตกรรมย้อนกลับ การแกล้งดิน เพื่อแก้ปัญหาสภาพดินเปรี้ยว ด้วยวิธีการควบคุมการให้น้ําผ่านหินปูนฝุ่น การปรับปรุงดินให้สามารถใช้ประโยชน์ทางการเกษตรอย่างยั่งยืน
3) ด้านน้ํา ได้แก่ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร องค์การสะพานปลา และกรมประมง จัดแสดงศาสตร์พระราชาปูม้า4.0ธนาคารปูไข่โซล่าเซลล์ สถานการณ์ปูม้าในประเทศรวมทั้งการนําเข้าส่งออก และวิธีการกินปูม้าอย่างถูกวิธี กรมชลประทาน จัดแสดงนวัตกรรมหมุดQR Codeใช้สําหรับการปักหมุดอ้างอิง ฝายน้ําพับได้Version 4.0และนวัตกรรมเครื่องมือวัดความชื้นในดินเพื่อการให้น้ําแก่พืช และ 4) ด้านการส่งเสริมอาชีพ รวมถึงนิทรรศการความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานเกษตร ได้แก่ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง กรมส่งเสริมการเกษตร การยางแห่งประเทศไทย องค์การส่งเสริมกิจกรรมโคนม กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ สํานักงานวิจัยการเกษตร สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร สํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ องค์การตลาดเพื่อการเกษตร กองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืน สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมหม่อนไหม จัดแสดงกี่ทอผ้าไหมแบบไม่ลอกกาว กระเป๋าผ้าไหมเปลี่ยนสีตามอุณหภูมิ และสไบคอลลาเจน กรมปศุสัตว์ จัดแสดงน้อมนําศาสตร์พระราชาพัฒนาปศุสัตว์4.0โคนมอาชีพพระราชทาน และผลผลิตปศุสัตว์4.0สํานักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จัดแสดงการเรียนรู้พระเกียรติคุณและพระอัจฉริยภาพกษัตริย์เกษตร ผ่านภาพยนตร์2มิติ นอกจากนี้ ยังมีการจําหน่ายสินค้าข้าวจากกลุ่มชาวนา และYoung Smart Farmer Farm shopให้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์การเกษตรจากผู้ผลิตได้โดยตรงด้วย
ทั้งนี้ การจัดงานวันเกษตรแห่งชาติ จะสามารถทําให้เกษตรกร และผู้เข้าชมงานสามารถมองเห็นแนวทางการพัฒนาเกษตรไทยให้ก้าวไปสู่4.0ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอเชิญชวนให้ผู้สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงานครั้งนี้ ระหว่างวันที่26มกราคม -3กุมภาพันธ์2561ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9501
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-น้ำใจคนไทยหลั่งไหล "ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ำท่วม" ได้ยอดบริจาครวมกว่า 263 ล้านบาท
|
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
น้ําใจคนไทยหลั่งไหล "ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ําท่วม" ได้ยอดบริจาครวมกว่า 263 ล้านบาท
น้ําใจคนไทยหลั่งไหล "ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ําท่วม" ได้ยอดบริจาครวมกว่า 263 ล้านบาท
รัฐบาลได้จัดรายการพิเศษ "ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ําท่วม" โดยออกอากาศทางช่อง 9 MCOT HD และ NBT2HD กรมประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่เวลา 19.30 - 22.00 น. เพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่าน "กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี" โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับมอบ พบว่ายอดบริจาคผ่านทางรายการล่าสุด ณ ขณะปิดรายการ เวลา 22.00 น. เป็นจํานวนเงิน 263,578,890 บาท
ขณะที่ยังคงมีผู้ร่วมบริจาคเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ผ่านทางบัญชี กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ทางกองทุนฯ ยังคงเปิดรับบริจาคตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยสามารถบริจาคได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา เลขที่บัญชี 067-0-06895-0 โดยผู้บริจาคสามารถนําหลักฐานไปใช้แสดงหารลดหย่อนภาษีได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หมายเลขโทรศัพท์ 0 2283 4318 24
........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-น้ำใจคนไทยหลั่งไหล "ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ำท่วม" ได้ยอดบริจาครวมกว่า 263 ล้านบาท
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
น้ําใจคนไทยหลั่งไหล "ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ําท่วม" ได้ยอดบริจาครวมกว่า 263 ล้านบาท
น้ําใจคนไทยหลั่งไหล "ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ําท่วม" ได้ยอดบริจาครวมกว่า 263 ล้านบาท
รัฐบาลได้จัดรายการพิเศษ "ร่วมใจ พี่น้องไทย ช่วยภัยน้ําท่วม" โดยออกอากาศทางช่อง 9 MCOT HD และ NBT2HD กรมประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่เวลา 19.30 - 22.00 น. เพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่าน "กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี" โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับมอบ พบว่ายอดบริจาคผ่านทางรายการล่าสุด ณ ขณะปิดรายการ เวลา 22.00 น. เป็นจํานวนเงิน 263,578,890 บาท
ขณะที่ยังคงมีผู้ร่วมบริจาคเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ผ่านทางบัญชี กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ทางกองทุนฯ ยังคงเปิดรับบริจาคตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยสามารถบริจาคได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา เลขที่บัญชี 067-0-06895-0 โดยผู้บริจาคสามารถนําหลักฐานไปใช้แสดงหารลดหย่อนภาษีได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หมายเลขโทรศัพท์ 0 2283 4318 24
........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23173
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. โหมโรงลงพื้นที่ สร้างกระแสการออมแก่ประชาชน เตือน! สังคมสูงวัยไม่ใช่เรื่องไกลตัว
|
วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2560
กอช. โหมโรงลงพื้นที่ สร้างกระแสการออมแก่ประชาชน เตือน! สังคมสูงวัยไม่ใช่เรื่องไกลตัว
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ยังคงเดินหน้าลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เร่งสร้างกระแสการออมและทําความเข้าใจแก่ประชาชนตามสิทธิประโยชน์ของกฎหมาย
นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเร่งรัดทําความเข้าใจแก่แรงงานนอกระบบที่มีสิทธิรับประโยชน์ตาม พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 พร้อมๆ กับการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจทางการเงินและการออมเพื่อการเกษียณแก่ประชาชน ที่ กอช. จัดให้มีกิจกรรมลงพื้นที่พบประชาชนในภูมิภาคต่างๆ ในลักษณะของความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายการออมหลากหลายโครงการ กว่า 50 กิจกรรม ที่ได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง อาทิ การส่งเสริมการออมกับเครือข่ายองค์กรการเงินชุมชน (Micro Finance) ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการเงินชุมชนจํานวนกว่า 73 แห่งทั่วประเทศ ที่เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการประชาชนเกี่ยวกับ กอช. ไม่ว่าจะเป็นบริการข้อมูลทั่วไป หรือการอํานวยความสะดวกในการสมัครสมาชิกและส่งเงินสะสม นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมส่งเสริมการออมในสถานศึกษา ภายใต้โครงการต้นกล้าการออม รวมถึงโครงการผู้ว่าฯ ชวนออมในจังหวัดนําร่อง 10 จังหวัดใหญ่ทุกภูมิภาค ซึ่งในแต่ละครั้งที่ กอช. ลงพื้นที่จะมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมอย่างเนืองแน่น ในหลากหลายสาขาอาชีพ
อย่างไรก็ดี การออมกับ กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ ขณะที่กลุ่มเป้าหมายของการออมเป็นแรงงานนอกระบบซึ่งประกอบอาชีพอิสระ มีรายได้ไม่แน่นอน และส่วนใหญ่มีภาระค่าใช้จ่าย มีหนี้สิน และจํานวนมากที่ยังละเลยการออมในวันนี้เพื่อใช้ประโยชน์ตอนชราภาพ เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว กอช. จึงมีภารกิจท้าทายที่จะต้องปูพื้นฐานความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนเห็นความจําเป็นของการออมเพื่อการเกษียณ โดยต้องเร่งกระตุ้นให้ประชาชนเริ่มห่วงใยถึงสภาพความเป็นอยู่ของตนเอง ภายใต้สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมในอนาคตอันใกล้ที่ประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ และให้ประชาชนหันมาปรับพฤติกรรมทางการเงินของตนเองให้มีการเตรียมความพร้อม มีการออมมากขึ้น โดยเฉพาะการออมเพื่อชีวิตยามเกษียณ โดยเร็วๆนี้ กอช. จะขยายการลงพื้นที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน และขยายผลการสร้างค่านิยมการออมแก่เยาวชน เน้นกลุ่มผู้มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ซึ่งมีสิทธิสมัครสมาชิก กอช. อีกด้วย
ปัจจุบัน กอช. มีผู้สมัครเป็นสมาชิกแล้วจํานวน 537,326 ราย เงินกองทุนรวมประมาณ 2,461 ล้านบาท (ณ วันที่ 9 ก.ค. 2560) ยังมีประชาชนอีกจํานวนมากที่ประกอบอาชีพอิสระและยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และที่สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร :
โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224
Email : info@nsf.or.th
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. โหมโรงลงพื้นที่ สร้างกระแสการออมแก่ประชาชน เตือน! สังคมสูงวัยไม่ใช่เรื่องไกลตัว
วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2560
กอช. โหมโรงลงพื้นที่ สร้างกระแสการออมแก่ประชาชน เตือน! สังคมสูงวัยไม่ใช่เรื่องไกลตัว
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ยังคงเดินหน้าลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เร่งสร้างกระแสการออมและทําความเข้าใจแก่ประชาชนตามสิทธิประโยชน์ของกฎหมาย
นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเร่งรัดทําความเข้าใจแก่แรงงานนอกระบบที่มีสิทธิรับประโยชน์ตาม พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 พร้อมๆ กับการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจทางการเงินและการออมเพื่อการเกษียณแก่ประชาชน ที่ กอช. จัดให้มีกิจกรรมลงพื้นที่พบประชาชนในภูมิภาคต่างๆ ในลักษณะของความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายการออมหลากหลายโครงการ กว่า 50 กิจกรรม ที่ได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง อาทิ การส่งเสริมการออมกับเครือข่ายองค์กรการเงินชุมชน (Micro Finance) ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการเงินชุมชนจํานวนกว่า 73 แห่งทั่วประเทศ ที่เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการประชาชนเกี่ยวกับ กอช. ไม่ว่าจะเป็นบริการข้อมูลทั่วไป หรือการอํานวยความสะดวกในการสมัครสมาชิกและส่งเงินสะสม นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมส่งเสริมการออมในสถานศึกษา ภายใต้โครงการต้นกล้าการออม รวมถึงโครงการผู้ว่าฯ ชวนออมในจังหวัดนําร่อง 10 จังหวัดใหญ่ทุกภูมิภาค ซึ่งในแต่ละครั้งที่ กอช. ลงพื้นที่จะมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมอย่างเนืองแน่น ในหลากหลายสาขาอาชีพ
อย่างไรก็ดี การออมกับ กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ ขณะที่กลุ่มเป้าหมายของการออมเป็นแรงงานนอกระบบซึ่งประกอบอาชีพอิสระ มีรายได้ไม่แน่นอน และส่วนใหญ่มีภาระค่าใช้จ่าย มีหนี้สิน และจํานวนมากที่ยังละเลยการออมในวันนี้เพื่อใช้ประโยชน์ตอนชราภาพ เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว กอช. จึงมีภารกิจท้าทายที่จะต้องปูพื้นฐานความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนเห็นความจําเป็นของการออมเพื่อการเกษียณ โดยต้องเร่งกระตุ้นให้ประชาชนเริ่มห่วงใยถึงสภาพความเป็นอยู่ของตนเอง ภายใต้สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมในอนาคตอันใกล้ที่ประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ และให้ประชาชนหันมาปรับพฤติกรรมทางการเงินของตนเองให้มีการเตรียมความพร้อม มีการออมมากขึ้น โดยเฉพาะการออมเพื่อชีวิตยามเกษียณ โดยเร็วๆนี้ กอช. จะขยายการลงพื้นที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน และขยายผลการสร้างค่านิยมการออมแก่เยาวชน เน้นกลุ่มผู้มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ซึ่งมีสิทธิสมัครสมาชิก กอช. อีกด้วย
ปัจจุบัน กอช. มีผู้สมัครเป็นสมาชิกแล้วจํานวน 537,326 ราย เงินกองทุนรวมประมาณ 2,461 ล้านบาท (ณ วันที่ 9 ก.ค. 2560) ยังมีประชาชนอีกจํานวนมากที่ประกอบอาชีพอิสระและยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และที่สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร :
โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224
Email : info@nsf.or.th
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5405
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานเปิดงาน Maintenance & Resilience Asia 2019 (MRA 2019)
|
วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2562
ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานเปิดงาน Maintenance & Resilience Asia 2019 (MRA 2019)
ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานเปิดงาน Maintenance & Resilience Asia 2019 (MRA 2019)
วันนี้ (2 ตุลาคม 2562) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Maintenance & Resilience Asia 2019 หรือ MRA 2019 จัดโดย กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ กระทรวงคมนาคม สมาคมการบริหารจัดการประเทศญี่ปุ่น (JMA) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท เอ็กซโปซิส จํากัด
สําหรับงาน Maintenance & Resilience Asia 2019 หรือ MRA 2019 ถือเป็นการจัดงานครั้งในอาเซียนและประเทศไทย โดยเป็นการจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของภาคอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐาน และการบํารุงรักษาให้มีความล้ําสมัยและยั่งยืน ภายในงานแสดงนิทรรศการ มีการจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ ระบบเครื่องจักรสมัยใหม่ ปัญญาประดิษฐ์ IoT เซ็นเซอร์ หุ่นยนต์ ฯลฯ จากหน่วยงานชั้นนําทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 200 บูธ พร้อมด้วยการสัมมนาเทคนิคและกรณีศึกษาต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมและแนวคิดเศรษฐกิจ 4.0 โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมออกบูธ และ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมจัดสัมมนาวิชาการ งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 4 ตุลาคม 2562 ณ Hall 100 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา สําหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมงานได้ฟรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานเปิดงาน Maintenance & Resilience Asia 2019 (MRA 2019)
วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2562
ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานเปิดงาน Maintenance & Resilience Asia 2019 (MRA 2019)
ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานเปิดงาน Maintenance & Resilience Asia 2019 (MRA 2019)
วันนี้ (2 ตุลาคม 2562) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Maintenance & Resilience Asia 2019 หรือ MRA 2019 จัดโดย กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ กระทรวงคมนาคม สมาคมการบริหารจัดการประเทศญี่ปุ่น (JMA) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท เอ็กซโปซิส จํากัด
สําหรับงาน Maintenance & Resilience Asia 2019 หรือ MRA 2019 ถือเป็นการจัดงานครั้งในอาเซียนและประเทศไทย โดยเป็นการจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของภาคอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐาน และการบํารุงรักษาให้มีความล้ําสมัยและยั่งยืน ภายในงานแสดงนิทรรศการ มีการจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ ระบบเครื่องจักรสมัยใหม่ ปัญญาประดิษฐ์ IoT เซ็นเซอร์ หุ่นยนต์ ฯลฯ จากหน่วยงานชั้นนําทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 200 บูธ พร้อมด้วยการสัมมนาเทคนิคและกรณีศึกษาต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมและแนวคิดเศรษฐกิจ 4.0 โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมออกบูธ และ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมจัดสัมมนาวิชาการ งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 4 ตุลาคม 2562 ณ Hall 100 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา สําหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมงานได้ฟรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23579
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยการเดินทางของประชาชน กำชับเจ้าหน้าที่ดูแลอำนวยความสะดวก เน้นรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุแทนการรายงานสถิติตัวเลข พร้อมกำหนดมาตรการสร้างความปลอดภัย แนะทุกคนให้ความร่วมมือ
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน 2561
นายกฯ ห่วงใยการเดินทางของประชาชน กําชับเจ้าหน้าที่ดูแลอํานวยความสะดวก เน้นรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุแทนการรายงานสถิติตัวเลข พร้อมกําหนดมาตรการสร้างความปลอดภัย แนะทุกคนให้ความร่วมมือ
นายกฯ ห่วงใยการเดินทางของประชาชน กําชับเจ้าหน้าที่ดูแลอํานวยความสะดวก เน้นรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุแทนการรายงานสถิติตัวเลข พร้อมกําหนดมาตรการสร้างความปลอดภัย แนะทุกคนให้ความร่วมมือ
วันที่ 12 เมษายน 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยการเดินทางของพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยได้รับรายงานว่า ขณะนี้ถนนหลายสายเริ่มมีปริมาณรถคับคั่งแล้ว โดยเฉพาะเส้นทางสายเหนือและสายอีสาน จึงได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ทหาร ตํารวจ และฝ่ายปกครอง วางแผนและจัดกําลังดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างเต็มที่
“นายกฯ กําชับว่า ไม่ต้องการให้หน่วยงานต่าง ๆ รายงานแต่เพียงตัวเลขสถิติอุบัติเหตุ จํานวนผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บเท่านั้น แต่ควรเน้นรณรงค์ให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่เหมาะสม และขับขี่อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง เช่น เมาไม่ขับ สวมหมวกกันน็อค ไม่ขับรถเร็ว คาดเข็มขัดนิรภัย และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด โดยขอให้ประชาชนร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย”
ในส่วนของรัฐบาลนั้นได้พยายามกําหนดมาตรการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุอีกทางหนึ่ง ทั้งการตั้งจุดตรวจและจุดให้บริการประชาชน ซึ่งมีกว่า 2,000 จุดทั่วประเทศ การจํากัดความเร็วของรถตู้โดยสารไม่เกิน 90 กม./ชม. การควบคุมชั่วโมงการทํางานของผู้ขับขี่ การควบคุมพฤติกรรมไม่ให้ออกนอกเส้นทางผ่านระบบจีพีเอส การตรวจเช็คสภาพรถ และขอความร่วมมือไม่ให้ใช้รถบัสโดยสาร 2 ชั้น เป็นต้น
สําหรับความปลอดภัยในแหล่งที่มีผู้โดยสายจํานวนมาก เช่น สถานีขนส่งผู้โดยสาร สถานีรถไฟ ท่าอากาศยาน หรือท่าเรือ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดกวดขันเรื่องมิจฉาชีพที่อาจแฝงตัวปะปนกับประชาชน รวมทั้งป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาตั๋วหรือเอาเปรียบประชาชน พร้อมอํานวยความสะดวกด้านต่าง ๆ แก่ผู้เดินทางทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เช่น ให้บริการข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ดูแลป้องกันเด็กพลัดหลง ฯลฯ โดยเน้นสร้างความประทับใจแก่ผู้รับบริการ
--------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยการเดินทางของประชาชน กำชับเจ้าหน้าที่ดูแลอำนวยความสะดวก เน้นรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุแทนการรายงานสถิติตัวเลข พร้อมกำหนดมาตรการสร้างความปลอดภัย แนะทุกคนให้ความร่วมมือ
วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน 2561
นายกฯ ห่วงใยการเดินทางของประชาชน กําชับเจ้าหน้าที่ดูแลอํานวยความสะดวก เน้นรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุแทนการรายงานสถิติตัวเลข พร้อมกําหนดมาตรการสร้างความปลอดภัย แนะทุกคนให้ความร่วมมือ
นายกฯ ห่วงใยการเดินทางของประชาชน กําชับเจ้าหน้าที่ดูแลอํานวยความสะดวก เน้นรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุแทนการรายงานสถิติตัวเลข พร้อมกําหนดมาตรการสร้างความปลอดภัย แนะทุกคนให้ความร่วมมือ
วันที่ 12 เมษายน 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยการเดินทางของพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยได้รับรายงานว่า ขณะนี้ถนนหลายสายเริ่มมีปริมาณรถคับคั่งแล้ว โดยเฉพาะเส้นทางสายเหนือและสายอีสาน จึงได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ทหาร ตํารวจ และฝ่ายปกครอง วางแผนและจัดกําลังดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างเต็มที่
“นายกฯ กําชับว่า ไม่ต้องการให้หน่วยงานต่าง ๆ รายงานแต่เพียงตัวเลขสถิติอุบัติเหตุ จํานวนผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บเท่านั้น แต่ควรเน้นรณรงค์ให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่เหมาะสม และขับขี่อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง เช่น เมาไม่ขับ สวมหมวกกันน็อค ไม่ขับรถเร็ว คาดเข็มขัดนิรภัย และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด โดยขอให้ประชาชนร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย”
ในส่วนของรัฐบาลนั้นได้พยายามกําหนดมาตรการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุอีกทางหนึ่ง ทั้งการตั้งจุดตรวจและจุดให้บริการประชาชน ซึ่งมีกว่า 2,000 จุดทั่วประเทศ การจํากัดความเร็วของรถตู้โดยสารไม่เกิน 90 กม./ชม. การควบคุมชั่วโมงการทํางานของผู้ขับขี่ การควบคุมพฤติกรรมไม่ให้ออกนอกเส้นทางผ่านระบบจีพีเอส การตรวจเช็คสภาพรถ และขอความร่วมมือไม่ให้ใช้รถบัสโดยสาร 2 ชั้น เป็นต้น
สําหรับความปลอดภัยในแหล่งที่มีผู้โดยสายจํานวนมาก เช่น สถานีขนส่งผู้โดยสาร สถานีรถไฟ ท่าอากาศยาน หรือท่าเรือ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดกวดขันเรื่องมิจฉาชีพที่อาจแฝงตัวปะปนกับประชาชน รวมทั้งป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาตั๋วหรือเอาเปรียบประชาชน พร้อมอํานวยความสะดวกด้านต่าง ๆ แก่ผู้เดินทางทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เช่น ให้บริการข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ดูแลป้องกันเด็กพลัดหลง ฯลฯ โดยเน้นสร้างความประทับใจแก่ผู้รับบริการ
--------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11486
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ก.อุตฯ รับข้อเสนอเอกชนอีสานใต้พร้อมเปิดโครงการ E-San Start Up สร้างผู้ประกอบการใหม่ 4.0
|
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561
รมช.ก.อุตฯ รับข้อเสนอเอกชนอีสานใต้พร้อมเปิดโครงการ E-San Start Up สร้างผู้ประกอบการใหม่ 4.0
รมช.ก.อุตฯ รับข้อเสนอเอกชนอีสานใต้พร้อมเปิดโครงการ E-San Start Up สร้างผู้ประกอบการใหม่ 4.0
วันนี้ (23 กรกฎาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนล่าง 2 หรืออีสานใต้ (จ.อุบลราชธานี จ.ยโสธร จ.ศรีสะเกษ และ จ.อํานาจเจริญ) ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561 ณ จ.อุบลราชธานี โดยมีนายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายณพพงศ์ ธีระวร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารจากภาคราชการและเอกชน ร่วมหารือ
โดยนายสมชายฯ ได้รับข้อเสนอจากภาคเอกชนในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 จํานวน 6 เรื่อง ได้แก่ 1) การผลักดันเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จ.อุบลราชธานี เพื่อสร้างฐานการผลิตเชื่อมโยงกับอาเซียน 2) โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอุบลราชธานี ในพื้นที่ ต.นากระแซง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าในระดับนานาชาติ โดยมีโครงการรถไฟทางคู่และท่าอากาศยานอุบลราชธานีที่สามารถเชื่อมโยงการค้าใน 4 ประเทศ ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน 3) โครงการ E-San Start Up เป็นโมเดลในการสร้างผู้ประกอบการใหม่ของภาคอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ภาคการค้าและภาคบริการ 4) โครงการศูนย์กลางนวัตกรรมอาหาร (Pilot Plant) ซึ่งจะทํางานในรูปแบบเครือข่ายร่วมกับอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ 5) การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพครบวงจรในพื้นที่อีสานใต้ โดยโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปในพื้นที่มีความพร้อมในการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ และ 6) โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในพื้นที่อิสานใต้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ก.อุตฯ รับข้อเสนอเอกชนอีสานใต้พร้อมเปิดโครงการ E-San Start Up สร้างผู้ประกอบการใหม่ 4.0
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561
รมช.ก.อุตฯ รับข้อเสนอเอกชนอีสานใต้พร้อมเปิดโครงการ E-San Start Up สร้างผู้ประกอบการใหม่ 4.0
รมช.ก.อุตฯ รับข้อเสนอเอกชนอีสานใต้พร้อมเปิดโครงการ E-San Start Up สร้างผู้ประกอบการใหม่ 4.0
วันนี้ (23 กรกฎาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนล่าง 2 หรืออีสานใต้ (จ.อุบลราชธานี จ.ยโสธร จ.ศรีสะเกษ และ จ.อํานาจเจริญ) ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561 ณ จ.อุบลราชธานี โดยมีนายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายณพพงศ์ ธีระวร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารจากภาคราชการและเอกชน ร่วมหารือ
โดยนายสมชายฯ ได้รับข้อเสนอจากภาคเอกชนในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 จํานวน 6 เรื่อง ได้แก่ 1) การผลักดันเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จ.อุบลราชธานี เพื่อสร้างฐานการผลิตเชื่อมโยงกับอาเซียน 2) โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอุบลราชธานี ในพื้นที่ ต.นากระแซง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าในระดับนานาชาติ โดยมีโครงการรถไฟทางคู่และท่าอากาศยานอุบลราชธานีที่สามารถเชื่อมโยงการค้าใน 4 ประเทศ ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน 3) โครงการ E-San Start Up เป็นโมเดลในการสร้างผู้ประกอบการใหม่ของภาคอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ภาคการค้าและภาคบริการ 4) โครงการศูนย์กลางนวัตกรรมอาหาร (Pilot Plant) ซึ่งจะทํางานในรูปแบบเครือข่ายร่วมกับอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ 5) การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพครบวงจรในพื้นที่อีสานใต้ โดยโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปในพื้นที่มีความพร้อมในการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ และ 6) โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในพื้นที่อิสานใต้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14052
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดโครงการส่งเสริมความร่วมมืออุตสาหกรรมยางด้านนวัตกรรมถนนผสมยางพารากับกับรัฐสุลต่านโอมาน
|
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2562
กระทรวงเกษตรฯ จัดโครงการส่งเสริมความร่วมมืออุตสาหกรรมยางด้านนวัตกรรมถนนผสมยางพารากับกับรัฐสุลต่านโอมาน
กระทรวงเกษตรฯ จัดโครงการส่งเสริมความร่วมมืออุตสาหกรรมยางด้านนวัตกรรมถนนผสมยางพารากับกับรัฐสุลต่านโอมาน ลงพื้นที่ศึกษาดูงานต้นแบบถนนยางพารา ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา มุ่งต่อยอดงานวิจัยร่วมกัน พร้อมผลักดันนวัตกรรมถนนยางพาราไทยสู่เวทีโลก
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังอนุญาตให้นายยูซุฟ บิน อลาวี บิน อับดุลลาห์ รัฐมนตรีรับผิดชอบด้านการต่างประเทศรัฐสุลต่านโอมาน เข้าพบเนื่องในโอกาสนําที่ปรึกษาการเกษตรและเจ้าหน้าที่เทคนิคด้านเทคโนโลยีการผสมยางเยือนไทย เพื่อศึกษาดูงานเทคโนโลยีการผสมยางพาราของไทย ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา ว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่รัฐมนตรีรับผิดชอบด้านการต่างประเทศรัฐสุลต่านโอมาน ในฐานะเป็นแขกของกระทรวงการต่างประเทศมีความสนใจเทคโนโลยีการผสมยางสําหรับทําถนนของไทย เนื่องจากถนนลาดยางพาราเป็นนวัตกรรมงานวิจัยที่ประเทศไทยพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มกับยางพารา เพราะประเทศไทยมียางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจและผลิตมากที่สุดในโลก ถนนผสมยางพาราได้รับการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมระดับชาติ ความโดดเด่นของการนํายางพาราผสมเพื่อทําถนนจะเป็นการเพิ่มคุณสมบัติการทนความร้อนได้มากกว่าถนนยางมะตอยปกติ และมีค่าความยืดหยุ่นและคืนตัวดีกว่า มีความแข็งแรงและอายุการใช้งานที่มากกว่า ทําให้เหมาะสมกับประเทศในเขตร้อน โดยในช่วงเช้าการยางแห่งประเทศไทยได้จัดการบรรยายรายละเอียดขั้นตอนการนํายางพารามาทําถนน 2 แบบ ประกอบด้วย 1) ถนนยางพาราซอยด์ซีเมนต์ และ 2) ถนนแอสฟัลต์คอนกรีตปรับปรุงคุณภาพด้วยยางพาราคุณภาพ และในช่วงบ่ายจะมีการลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ณ จังหวัดฉะเชิงเทราด้วย
สําหรับความก้าวหน้าการดําเนินโครงการสร้างถนน 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร ทางองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อยู่ระหว่างออกข้อบัญญัติในด้านงบประมาณ ซึ่งได้เริ่มครงการฯ ตั้งแต่กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีการใช้น้ํายางสดทําถนนไปแล้ว 30,000 ตัน หากดําเนินการไปจนถึงกันยายนนี้คาดว่าจะใช้ปริมาณน้ํายางสดไม่ต่ํากว่า 800,000 ตัน นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังมีแผนซื้อน้ํายางสดมาปรับปรุงถนนตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยางพาราภายในประเทศ อีก 40,000 ตัน ทั้งนี้ประเทศไทยมีความพร้อมในการจัดส่งพารา โดยดําเนินการผ่านหน่วยธุรกิจของการยางแห่งประเทศไทย และสหกรณ์การเกษตรยางพาราอีก 32 แห่ง
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังดําเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคายางอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย การสนับสนุนสหกรณ์ยางพาราที่มีศักยภาพในรับซื้อยางจากเกษตรกรโดยตรง นํามาแปรรูปเป็นยางก้อนส่งออกขายต่างประเทศ ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณการยางพาราภายในประเทศอีกทางหนึ่ง และมาตรการควบคุมการปลูกยางพารา 2 แนวทาง สําหรับยางพาราที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ไปปลูกพืชอื่นทดแทน เช่น โกโก้ กาแฟ และการสนับสนุนให้โค่นยางพาราบางส่วน แล้วปลูกพืชอื่นแซม มีเป้าหมาย 400,000 ไร่ อยู่ระหว่างดําเนินการ ส่วนราคายางพาราในปัจจุบันมีเสถียรภาพมากขึ้นเป็น 50 บาท/กิโลกรัม แต่ด้วยมาตรการรัฐดังกล่าวคาดว่าจะขยับขึ้นไปถึง 60 บาท/กิโลกรัม.
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดโครงการส่งเสริมความร่วมมืออุตสาหกรรมยางด้านนวัตกรรมถนนผสมยางพารากับกับรัฐสุลต่านโอมาน
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2562
กระทรวงเกษตรฯ จัดโครงการส่งเสริมความร่วมมืออุตสาหกรรมยางด้านนวัตกรรมถนนผสมยางพารากับกับรัฐสุลต่านโอมาน
กระทรวงเกษตรฯ จัดโครงการส่งเสริมความร่วมมืออุตสาหกรรมยางด้านนวัตกรรมถนนผสมยางพารากับกับรัฐสุลต่านโอมาน ลงพื้นที่ศึกษาดูงานต้นแบบถนนยางพารา ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา มุ่งต่อยอดงานวิจัยร่วมกัน พร้อมผลักดันนวัตกรรมถนนยางพาราไทยสู่เวทีโลก
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังอนุญาตให้นายยูซุฟ บิน อลาวี บิน อับดุลลาห์ รัฐมนตรีรับผิดชอบด้านการต่างประเทศรัฐสุลต่านโอมาน เข้าพบเนื่องในโอกาสนําที่ปรึกษาการเกษตรและเจ้าหน้าที่เทคนิคด้านเทคโนโลยีการผสมยางเยือนไทย เพื่อศึกษาดูงานเทคโนโลยีการผสมยางพาราของไทย ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา ว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่รัฐมนตรีรับผิดชอบด้านการต่างประเทศรัฐสุลต่านโอมาน ในฐานะเป็นแขกของกระทรวงการต่างประเทศมีความสนใจเทคโนโลยีการผสมยางสําหรับทําถนนของไทย เนื่องจากถนนลาดยางพาราเป็นนวัตกรรมงานวิจัยที่ประเทศไทยพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มกับยางพารา เพราะประเทศไทยมียางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจและผลิตมากที่สุดในโลก ถนนผสมยางพาราได้รับการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมระดับชาติ ความโดดเด่นของการนํายางพาราผสมเพื่อทําถนนจะเป็นการเพิ่มคุณสมบัติการทนความร้อนได้มากกว่าถนนยางมะตอยปกติ และมีค่าความยืดหยุ่นและคืนตัวดีกว่า มีความแข็งแรงและอายุการใช้งานที่มากกว่า ทําให้เหมาะสมกับประเทศในเขตร้อน โดยในช่วงเช้าการยางแห่งประเทศไทยได้จัดการบรรยายรายละเอียดขั้นตอนการนํายางพารามาทําถนน 2 แบบ ประกอบด้วย 1) ถนนยางพาราซอยด์ซีเมนต์ และ 2) ถนนแอสฟัลต์คอนกรีตปรับปรุงคุณภาพด้วยยางพาราคุณภาพ และในช่วงบ่ายจะมีการลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ณ จังหวัดฉะเชิงเทราด้วย
สําหรับความก้าวหน้าการดําเนินโครงการสร้างถนน 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร ทางองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อยู่ระหว่างออกข้อบัญญัติในด้านงบประมาณ ซึ่งได้เริ่มครงการฯ ตั้งแต่กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีการใช้น้ํายางสดทําถนนไปแล้ว 30,000 ตัน หากดําเนินการไปจนถึงกันยายนนี้คาดว่าจะใช้ปริมาณน้ํายางสดไม่ต่ํากว่า 800,000 ตัน นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังมีแผนซื้อน้ํายางสดมาปรับปรุงถนนตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยางพาราภายในประเทศ อีก 40,000 ตัน ทั้งนี้ประเทศไทยมีความพร้อมในการจัดส่งพารา โดยดําเนินการผ่านหน่วยธุรกิจของการยางแห่งประเทศไทย และสหกรณ์การเกษตรยางพาราอีก 32 แห่ง
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังดําเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคายางอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย การสนับสนุนสหกรณ์ยางพาราที่มีศักยภาพในรับซื้อยางจากเกษตรกรโดยตรง นํามาแปรรูปเป็นยางก้อนส่งออกขายต่างประเทศ ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณการยางพาราภายในประเทศอีกทางหนึ่ง และมาตรการควบคุมการปลูกยางพารา 2 แนวทาง สําหรับยางพาราที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ไปปลูกพืชอื่นทดแทน เช่น โกโก้ กาแฟ และการสนับสนุนให้โค่นยางพาราบางส่วน แล้วปลูกพืชอื่นแซม มีเป้าหมาย 400,000 ไร่ อยู่ระหว่างดําเนินการ ส่วนราคายางพาราในปัจจุบันมีเสถียรภาพมากขึ้นเป็น 50 บาท/กิโลกรัม แต่ด้วยมาตรการรัฐดังกล่าวคาดว่าจะขยับขึ้นไปถึง 60 บาท/กิโลกรัม.
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19252
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.