title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.ระนอง และ จ.ชุมพร พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
|
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.ระนอง และ จ.ชุมพร พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดระนอง และจังหวัดชุมพร พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ จังหวัดชุมพร
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรีมีกําหนดการเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดระนอง และจังหวัดชุมพร และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ จังหวัดชุมพร ระหว่างวันที่ 20 – 21 สิงหาคม 2561
สําหรับการตรวจราชการในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญกับประเด็นดังต่อไปนี้ จังหวัดระนอง 1. การส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดระนองให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ พร้อมทั้งการส่งเสริมแพทย์ทางเลือกโดยการบําบัดและฟื้นฟูสุขภาพแบบดุลยภาพบําบัดด้วยน้ําพุร้อนตามธรรมชาติ 2. การผลักดันท่าเรือระนองเป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ชายแดนฝั่งอันดามันเพื่อรองรับ IMT-GT และกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอ่าวเบงกอล เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมโยง เส้นทางคมนาคมทั้งทางบก ทางรถไฟ ทางอากาศ และท่าเรือ 3. การรักษาฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลโดยการใช้ปะการังเทียม เพื่อเป็นแหล่งพักอาศัย แหล่งอาหารและแหล่งสืบพันธุ์ของสัตว์น้ํา อันจะเป็นการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ําตามธรรมชาติ ในส่วนของจังหวัดชุมพร 1. การบริหารจัดการน้ําตามโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดําริที่เป็นการพัฒนาแก้มลิงธรรมชาติให้สามารถใช้ในการบรรเทาอุทกภัยของชุมพรและสามารถเก็บกักน้ําไว้ใช้ในการเกษตรและอุปโภคบริโภค 2. การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนและสนับสนุนแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรในท้องถิ่นโดยการนําองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร บนแนวความคิดอย่างสร้างสรรค์ และสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของการรวมกลุ่มเชื่อมโยงเครือข่ายแลกเปลี่ยน เรียนรู้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยมีรายละเอียดงานดังต่อไปนี้
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561 เวลาประมาณ 08.45 น. นายกรัฐมนตรีพบประชาชน ณ หอประชุมพระยาดํารงสุจริตมหิศรภักดี ศูนย์ราชการจังหวัดระนอง ตําบลบางริ้น อําเภอเมือง จังหวัดระนอง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นสักขีพยานพิธีมอบสมุดประจําตัวผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน ตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวม ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าคลองลําเลียง - ละอุ่น” เนื้อที่ 511 – 3 – 33 ไร่ จํานวน 84 ราย 98 แปลง จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปต่อยังโรงพยาบาลระนอง ตําบลเขานิเวศน์ อําเภอเมือง เพื่อเยี่ยมชมบ่อน้ําพุร้อนรักษะวาริน รวมทั้งเยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยการแพทย์ทางเลือก พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการดําเนินงานของศูนย์ฯ และเยี่ยมชมศูนย์ธาราบําบัด และคลินิกแพทย์แผนไทยและฝังเข็ม เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังท่าเรือระนอง บ้านเขานางหงส์ ตําบลปากน้ํา อําเภอเมือง เพื่อเยี่ยมชมการบริหารจัดการท่าเรือระนอง พร้อมรับฟังบรรยายสรุปทิศทางการพัฒนาท่าเรือระนอง และมอบปะการังเทียมให้แก่ผู้แทนประชาชน
ช่วงบ่าย ณ จังหวัดชุมพร เวลาประมาณ 15.30 น. นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชน และเยี่ยมชมการบริหารจัดการน้ํา พร้อมทั้งเยี่ยมชมโครงการแก้มลิงหนองใหญ่และสะพานไม้เคี่ยม ณ โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดําริ ตําบลบางลึก อําเภอเมือง จังหวัดชุมพร จากนั้น นายกรัฐมนตรีสักการะอุนสรณ์สถานพลเรือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และเยี่ยมชมทิวทัศน์หาดทรายรี ณ ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตําบลหาดทรายรี อําเภอเมือง จังหวัดชุมพร
วันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2561 เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง) และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต ตรัง และสตูล) จากนั้น นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ตําบลชุมโค อําเภอปะทิว จังหวัดชุมพร
ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีร่วมกิจกรรมปล่อยลูกปูม้าจํานวน 10 ล้านตัว คืนสู่ทะเล เพื่อประกาศความอุดมสมบูรณ์ของทะเลและชายฝั่งภาคใต้ตอนบนร่วมกับพี่น้องชาวประมง กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล กลุ่มท่องเที่ยวทางทะเล และชุมชน ณ บริเวณชายหาดพระจอมเกล้าฯ จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปเพื่อเยี่ยมชมการดําเนินงานของวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ตําบลทะเลทรัพย์ อําเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
--------------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.ระนอง และ จ.ชุมพร พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.ระนอง และ จ.ชุมพร พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดระนอง และจังหวัดชุมพร พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ จังหวัดชุมพร
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรีมีกําหนดการเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดระนอง และจังหวัดชุมพร และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ จังหวัดชุมพร ระหว่างวันที่ 20 – 21 สิงหาคม 2561
สําหรับการตรวจราชการในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญกับประเด็นดังต่อไปนี้ จังหวัดระนอง 1. การส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดระนองให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ พร้อมทั้งการส่งเสริมแพทย์ทางเลือกโดยการบําบัดและฟื้นฟูสุขภาพแบบดุลยภาพบําบัดด้วยน้ําพุร้อนตามธรรมชาติ 2. การผลักดันท่าเรือระนองเป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ชายแดนฝั่งอันดามันเพื่อรองรับ IMT-GT และกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอ่าวเบงกอล เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมโยง เส้นทางคมนาคมทั้งทางบก ทางรถไฟ ทางอากาศ และท่าเรือ 3. การรักษาฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลโดยการใช้ปะการังเทียม เพื่อเป็นแหล่งพักอาศัย แหล่งอาหารและแหล่งสืบพันธุ์ของสัตว์น้ํา อันจะเป็นการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ําตามธรรมชาติ ในส่วนของจังหวัดชุมพร 1. การบริหารจัดการน้ําตามโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดําริที่เป็นการพัฒนาแก้มลิงธรรมชาติให้สามารถใช้ในการบรรเทาอุทกภัยของชุมพรและสามารถเก็บกักน้ําไว้ใช้ในการเกษตรและอุปโภคบริโภค 2. การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนและสนับสนุนแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรในท้องถิ่นโดยการนําองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร บนแนวความคิดอย่างสร้างสรรค์ และสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของการรวมกลุ่มเชื่อมโยงเครือข่ายแลกเปลี่ยน เรียนรู้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยมีรายละเอียดงานดังต่อไปนี้
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561 เวลาประมาณ 08.45 น. นายกรัฐมนตรีพบประชาชน ณ หอประชุมพระยาดํารงสุจริตมหิศรภักดี ศูนย์ราชการจังหวัดระนอง ตําบลบางริ้น อําเภอเมือง จังหวัดระนอง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นสักขีพยานพิธีมอบสมุดประจําตัวผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน ตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวม ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าคลองลําเลียง - ละอุ่น” เนื้อที่ 511 – 3 – 33 ไร่ จํานวน 84 ราย 98 แปลง จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปต่อยังโรงพยาบาลระนอง ตําบลเขานิเวศน์ อําเภอเมือง เพื่อเยี่ยมชมบ่อน้ําพุร้อนรักษะวาริน รวมทั้งเยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยการแพทย์ทางเลือก พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการดําเนินงานของศูนย์ฯ และเยี่ยมชมศูนย์ธาราบําบัด และคลินิกแพทย์แผนไทยและฝังเข็ม เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังท่าเรือระนอง บ้านเขานางหงส์ ตําบลปากน้ํา อําเภอเมือง เพื่อเยี่ยมชมการบริหารจัดการท่าเรือระนอง พร้อมรับฟังบรรยายสรุปทิศทางการพัฒนาท่าเรือระนอง และมอบปะการังเทียมให้แก่ผู้แทนประชาชน
ช่วงบ่าย ณ จังหวัดชุมพร เวลาประมาณ 15.30 น. นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชน และเยี่ยมชมการบริหารจัดการน้ํา พร้อมทั้งเยี่ยมชมโครงการแก้มลิงหนองใหญ่และสะพานไม้เคี่ยม ณ โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดําริ ตําบลบางลึก อําเภอเมือง จังหวัดชุมพร จากนั้น นายกรัฐมนตรีสักการะอุนสรณ์สถานพลเรือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และเยี่ยมชมทิวทัศน์หาดทรายรี ณ ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตําบลหาดทรายรี อําเภอเมือง จังหวัดชุมพร
วันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2561 เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง) และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต ตรัง และสตูล) จากนั้น นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ตําบลชุมโค อําเภอปะทิว จังหวัดชุมพร
ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีร่วมกิจกรรมปล่อยลูกปูม้าจํานวน 10 ล้านตัว คืนสู่ทะเล เพื่อประกาศความอุดมสมบูรณ์ของทะเลและชายฝั่งภาคใต้ตอนบนร่วมกับพี่น้องชาวประมง กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล กลุ่มท่องเที่ยวทางทะเล และชุมชน ณ บริเวณชายหาดพระจอมเกล้าฯ จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปเพื่อเยี่ยมชมการดําเนินงานของวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ตําบลทะเลทรัพย์ อําเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
--------------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14677
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 30 ธันวาคม 2559
|
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 30 ธันวาคม 2559
.......
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2559 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
นับเป็นระยะเวลา กว่า 6 ทศวรรษแล้ว ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทาน บทเพลงพระราชนิพนธ์ “พรปีใหม่” ด้วยทรงมุ่งหวังเพื่ออํานวยพร ให้พสกนิกรของพระองค์มีความสุข และเป็นระยะเวลา เกือบ 3 ทศวรรษแล้ว ที่พระองค์ ได้พระราชทาน ส.ค.ส. ให้ปวงชนชาวไทย อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากมีพระราชประสงค์ ที่จะ “ส่งความสุข” ในช่วงปีใหม่ และตลอดศกใหม่แล้ว ยังทรงให้สติ ให้ปัญญาให้ข้อคิดและแนวทางในการดํารงชีวิตรวมทั้งให้กําลังใจต่อสู้เพื่อเอาชนะต่ออุปสรรค นานัปการ อีกด้วย
ในโอกาสนี้ ผมขออัญเชิญ “พรอันประเสริฐ” เหล่านั้น มาเพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิต แด่พี่น้องประชาชนชาวไทยอีกครั้ง อันประกอบด้วย “คุณธรรม” ที่สําคัญ อาทิเช่น ความซื่อสัตย์ คิดดี ทําดี เพื่อส่วนรวม ความขยัน อดทน และมีความเพียรอันบริสุทธิ์ การอดออม ประหยัด มัธยัสถ์ และมีความพอเพียง การแสวงหาความรู้ การใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา และการฝึกฝนเพื่อพัฒนาตนเอง ความมีสติ รู้คิด และไม่ประมาท รวมทั้งความรู้รัก สามัคคี และการทํางานเป็นทีม เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะนําพาชีวิตของเรา และประเทศชาติ มีแต่ความสุข ความเจริญ และหากคนไทยทุกคน มีแต่ความยินดี และความปรารถนาดี มอบให้แก่กันแล้ว เราทุกคนก็จะมีชีวิตที่ปราศจากทุกข์ ทั้งปวง อันเป็น “สัจธรรม ความจริง” ของโลก ที่ผมอยากให้ทุกคนได้ตระหนัก เพื่อการครองชีวิต ตามครรลองที่ถูกต้องเหมาะสมอยู่เสมอด้วย
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงใส่พระทัย “ทุกข์ สุข” ของปวงชนชาวไทย โดยทรงมีกระแสพระราชดํารัส ให้น้อมนํา “ศาสตร์พระราชา” แห่งองค์สมเด็จพระบรมชนกนาถ และแนวทางพระราชทาน ตลอดระยะเวลา 7 ทศวรรษ ที่ผ่านมา ไปประยุกต์ใช้ด้วยปัญญาและความเพียรสําหรับรัฐบาลและข้าราชการ ในการบริหารราชการแผ่นดิน และสําหรับประชาชนทุกคน ในการดํารงชีวิตประจําวัน
ในการนี้ ผมขออัญเชิญ “ส.ค.ส. พระราชทาน ปีใหม่ พ.ศ.2537” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ศาสตร์พระราชา” โดยมีสาระสําคัญ ที่แสดงสัจธรรมแห่งชีวิต คือ “ยิ้มบ้าง ไม่ยิ้มบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เหมือน “จราจร” มาจากคําว่า “จร” แปลว่า แล่น “อะจร” แปลว่า ไม่แล่น ดังนั้น เมื่อสนธิเป็นคําใหม่ว่า “จราจร” จึงหมายถึง แล่นบ้าง ไม่แล่นบ้าง ให้ใจเย็น ต้องอดทน รักษาความเพียร รักษาความดี เพราะอุปสรรคเป็นเครื่องทดสอบ “คนดี” ที่จะไม่ยอมให้ความทุกข์ ความลําบาก ชักนําสู่หนทางเสื่อม” ทั้งนี้ ผมหวังว่า สัจธรรมง่ายๆ นี้ จะเป็นกําลังใจให้กับทุกคน ที่ยึดมั่นในความดี และไม่อยากให้ท้อถอย หมดกําลังใจ ตลอดปีใหม่ และตลอดไป
พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ
ในการเดินหน้าประเทศที่ผ่านมาปีหน้าและปีต่อไปนั้นเรามีความจําเป็นต้องกลับมาสํารวจตัวเองอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาไปสู่แนวทางที่ดีกว่า เพื่อลดช่องว่างและแก้ไขบกพร่องในอดีต ไม่ให้เกิดขึ้นซ้ําซากอีกต่อไป รัฐบาลเอง ก็มีการสํารวจและปรับปรุงกระบวนการ และกลไกการบริหารราชการ เป็นระยะๆ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ภาครัฐจะใช้ความพยายามมากมายเพียงใดหากไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการแล้วการก้าวไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ของเราทุกคน ทุกฝ่าย ก็ไม่อาจประสบความสําเร็จได้
รัฐบาลนี้ ได้ริเริ่มกลไก “ประชารัฐ” เพื่อสานพลังทุกภาคส่วนเหล่านั้น เข้าด้วยกัน เชื่อมโยงกัน เกื้อกูลกัน เกิดเป็น “ห่วงโซ่” ที่ไม่อาจแยกคิด แยกทําได้ อีกต่อไป ทั้งนี้ “ห่วงโซ่” ทุกห่วง ต้องเข้มแข็งไปด้วยกันเพราะเราจะวัด “ความแข็งแรงของโซ่” ณ จุดที่อ่อนแอที่สุด จึงเป็นที่มาของวลีที่ว่า “เราไม่สามารถทิ้งใครไว้ข้างหลัง” แต่เราต้องพัฒนาซึ่งกันและกัน และพัฒนาเคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมๆ กัน
สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นอุปสรรค และผมเห็นว่าเป็น “จุดอ่อน” ของประเทศไทย ก็อาจจะเกิดจากคนบางกลุ่มนั่นเองก็คือการไม่สามารถแยกแยะ และไม่เข้าใจคําสําคัญ 3 คํา คือ“สิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพ” ทั้งนี้ เมื่อกฎหมายกําหนด “สิทธิ” ให้แล้ว เราทุกคนย่อมมี “หน้าที่” ตามมา ไม่อย่างใด ก็อย่างหนึ่งเราจะเรียกร้องแต่ “สิทธิ” โดยไม่สนใจ “หน้าที่” ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะจะทําให้สังคมเกิดความสับสน อลหม่าน วุ่นวาย ทุกอย่างต้องอาศัยกฎหมายเป็นปัจจัยสําคัญเสมอ
ดังนั้น ผมขอให้ทุกคนสํารวจความเข้าใจเหล่านี้ ให้ถูกต้องช่วยกันลดจุดอ่อนในตัวเอง ขจัดจุดอ่อนของสังคมไทยด้วยการปรับทัศนะและกระบวนการคิด ในการมองโลก การปลูกจิตสํานึก ให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และการเสริมสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ เพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน “ทั้งประเทศ” สําหรับนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” นั้น นอกจากจะหมายรวมถึง การนําพาประเทศชาติ ประชาชน ไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ด้านเศรษฐกิจ แล้ว เรายังต้องพัฒนาไปสู่ “สังคม 4.0” อีกด้วย วันนี้ เรายังคงมีประชาชนหลากหลายกลุ่มอาชีพ ทั้งกลุ่มที่ใช้ความรู้จากการประกอบการ ใช้ประสบการณ์อาศัยพึ่งพิงธรรมชาติ ใช้แรงงานทั้งมีฝีมือไม่มีฝีมือ รวมทั้งกลุ่มที่เป็นอุตสาหกรรมเบา เครื่องจักรเบา เครื่องจักรหนัก ซึ่งแต่ระดับ ยังมีความแตกต่างกันอยู่ในสังคมเดียวกันอยู่ห่วงโซ่รายได้ ของประเทศเราเช่นเดียวกัน
หากพิจารณาดูให้ดีแล้วจะเห็นว่าระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ ระบบนิเวศน์ “ไม่ได้แตกต่างกัน” ในเชิงโครงสร้างและความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในระบบเศรษฐกิจใดๆ ย่อมต้องมีทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค พ่อค้าคนกลาง มีภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการบริการ อาทิเช่น มีคนปลูกข้าว คนแปรรูป คนรับไปขาย ร้านค้าปลีก ร้านค้าส่ง บริษัทส่งออก มีนายทุน แหล่งเงินทุน โรงรับจํานํา ธนาคาร กองทุน เป็นต้น แต่ทั้งหมดนั้น มีรัฐบาล มีกฎหมาย มีกติกาสากล มีพันธะสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งคอยกํากับควบคุมดูแลอยู่เสมอ เช่นเดียวกับระบบนิเวศน์ ที่ต้องมีทั้งสัตว์ใหญ่ สัตว์น้อย แมลง ลงไปจนถึงจุลินทรีย์ มีอะไรมากเกินก็ไม่ดี น้อยเกินก็เสียสมดุลทางธรรมชาติ ทั้งนี้ หากเราเข้าใจ “กฎธรรมชาติ” แล้ว ก็เป็นสิ่งไม่ยากนักที่จะทําความเข้าใจคําว่า “กฎหมาย กติกาสังคม มาตรการทางเศรษฐกิจต่าง ๆ” เราจะต้องสร้างความสมดุลในเรื่องเหล่านี้ให้ได้ ระหว่างการพัฒนากับการรักษาระบบนิเวศน์
ดังนั้น เราคงต้องมุ่งหวังจะนําพาประเทศไปสู่ “เศรษฐกิจ 4.0” ทั้งจะต้องนําพาที่อยู่ใน 1.0 2.0 3.0 ไปด้วย ก็ต้องเริ่มจากการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็น “สังคมแห่งการเรียนรู้” เพื่อการปรับปรุง และมีการพัฒนาตนเอง สําหรับในภาคเศรษฐกิจนั้น เราก็คงไม่สามารถจะทําให้ทุกคน ทุกอุตสาหกรรมเป็น 4.0 ได้ เพียงแต่จะทําอย่างไร ให้ 1.0 2.0 3.0 ของภาคอุตสาหกรรมนั้นได้รับการพัฒนาตนเอง โดยใช้ 4.0 เป็นกรอบใหญ่ ในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เพื่อจะสร้างความเชื่อมโยง เพิ่มมูลค่า และพัฒนาตนเอง เราไม่อาจทําให้ “ทุกกลุ่ม” มุ่งไปสู่การใช้หุ่นยนต์ เทคโนโลยี ระดับสูงได้ทั้งหมด เพราะภาคการเกษตรของเรายังมีอยู่มาก การผลิตและอุตสาหกรรมของเรามีหลายรูปแบบ รวมทั้งการใช้แรงงานที่ยังคงมีความสําคัญอยู่กับการจ้างงานทั้งปัจจุบันและอนาคต
สรุปง่าย ๆ บางอย่างอาจจะเป็นเพียงการปรับ การใช้เครื่องจักร เครื่องมือ กลไก ที่ทันสมัย ซึ่งสามารถจะผลิตนวัตกรรมของใช้ที่มีมูลค่าแข่งขันได้ แต่การใช้แรงงานจ้างงานก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม เพื่อจะดูแลประชาชนทุกคนหมู่เหล่า เช่น ที่เราเคยกล่าวไว้แล้วว่าเราจะต้องพัฒนาอุตสาหกรรมเดิม 5 S curve เดิม ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงหลาย 10 ปี ที่ผ่านมา ให้มีความทันสมัยขึ้นมาบ้าง ผลิตสิ่งของที่มีราคาสูงขึ้นมาบ้างแข่งขันได้ ทํานองนี้ ส่วนที่เราจะต้องนําพาไปสู่ในเรื่องของการใช้หุ่นยนต์ ส่วนใหญ่เป็นการใช้เครื่องจักรใหญ่ ๆ เครื่องจักรอัตโนมัติ ซึ่งใช้คนน้อยผลิตสินค้าที่มีราคาสูง ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ของโรงงานอุตสาหกรรมในโลกสมัยใหม่ปัจจุบัน ที่รัฐบาลกําลังเร่งส่งเสริมการลงทุนอยู่ ที่เรียกว่า 5 New S curve
ทั้งหมดนี้ สิ่งที่สําคัญที่สุดคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่จะต้องช่วยกันขับเคลื่อน มาทํางาน มาเป็นนักวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้าง “นวัตกรรมใหม่ ๆ” เราต้องพิจารณาดูว่าวันนี้มีนักวิจัย “สัญชาติไทย” ที่เพียงพอหรือยัง และมีการทํางานอยู่ในประเทศบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะที่จบจากต่างประเทศด้วย ในทุก ๆ กิจกรรมไม่ว่าจะเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมของประเทศ หากวันนี้ยังมีไม่พอ ทั้งนี้จะขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น เราต้องเร่งผลิต เร่งส่งเสริม ทั้งในระยะสั้น ระยะยาว รวมทั้ง การที่จะต่อยอดที่มีอยู่แล้ว อาจจะต้องมีการนําเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ที่พัฒนานําหน้าเรา และการถ่ายทอดเทคโนโลยี องค์ความรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพ ฝีมือของแรงงานคนไทย ทั้งนี้ การพัฒนา “ภาษาอังกฤษ ภาษาต่างประเทศ ภาษาประเทศเพื่อนบ้าน” จะต้องอยู่ ในระดับที่สามารถทํางานร่วมกันได้ รองรับทุก ๆ กิจกรรมใน 1.0 2.0 3.0 และ 4.0 สิ่งเหล่านี้นั้นเป็นความจําเป็นที่ต้องใช้ต้องพัฒนา “ทรัพยากรมนุษย์” ที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้นอีกมากมาย รวมทั้งการใช้แรงงานที่มีฝีมือเพิ่มขึ้น และที่ไม่ใช้ฝีมือ ก็ต้องมีการพัฒนายังคงมีความสําคัญอยู่ต่อไป
ในเรื่อง “เศรษฐกิจ ปากท้อง” นับเป็นเรื่องสําคัญกับโลก ประชาคมระหว่าง ประเทศ และ ประเทศไทย ในเวลานี้ รัฐบาลได้นําปัจจัยภายใน ภายนอก และข้อเท็จจริง ของระบบเศรษฐกิจไทย มาศึกษาในรายละเอียด ให้รู้และเข้าใจ ถึงปัญหาและอุปสรรค โดย รับฟังความคิด จากทุกภาคส่วน ทั้งนักธุรกิจ นักวิชาการ พ่อค้า ประชาชน ทุกกลุ่มรายได้ ทุกหน่วยสังคม ทั้งในเมืองและในชนบท สรุปปัญหาสําคัญ ได้ดังนี้
(1) ปัญหาในเรื่องโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม จําเป็นต้องจัดกลุ่มให้ชัดเจน ทั้งกลุ่มรายได้สูง ปานกลาง รายได้น้อย สําหรับนโยบายและมาตรการที่เหมาะสม ในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ก็จําเป็นต้องอาศัยรายละเอียด และข้อมูลที่ทันสมัยให้ถูกต้อง สมบูรณ์ แม่นยํา เพื่อการพัฒนาแนวทางที่ถูกต้องที่ดีที่สุด หมายถึง ตรงตามความต้องการ ขจัดปัญหาและอุปสรรคของทุกกลุ่มให้ได้ รวมทั้งคุ้มค่ากับการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐอีกด้วย ซึ่งจําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกกลุ่ม อันเป็น “แรงหนุน” การขับเคลื่อน การส่งเสริมจากภาครัฐ ไปสู่ความสําเร็จได้ ปัจจัยสําคัญก็คือ เราต้องให้ความสําคัญกับกลุ่มเกษตรกร ในภาคการผลิตที่ต้องการเร่งดําเนินการภายใต้แรงกดดันจากภาวะ การตลาด ราคา หนี้สิน
(2) ปัญหาในการสร้างความเชื่อมโยง เช่น “ต้นทาง” การผลิต การเพาะปลูก “กลางทาง” การแปรรูป การสร้างนวัตกรรม การสร้างมูลค่าเพิ่มและ“ปลายทาง” ก็คือ การตลาด เราจําเป็นต้องสร้างทางเลือก สําหรับ ประชาชน พ่อค้าคนกลาง ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ให้เป็น “ตลาดทางเลือก” ของผู้ผลิต เพาะปลูก ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มมูลค่า ให้ 4.0 ดูแล 1.0 ถึง 3.0 ให้เพิ่มมูลค่าไปด้วยกัน จาก 4.0 ถึง เศรษฐกิจฐานราก 1.0 นะครับ
(3) ปัจจัยด้านความรู้ องค์ความรู้ ในภาคการผลิต และด้านการตลาด โดยต้องนําเทคโนโลยี ดิจิทัล ออนไลน์ มาประยุกต์ใช้ให้มากขึ้น ทั้งในการเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง การพัฒนากระบวนการให้สะดวกรวดเร็วขึ้นโดยรัฐบาลได้เน้นให้ทุกคนได้เข้าถึงแหล่งข้อมูล ความรู้ ข่าวสาร บริการที่ทันสมัย เพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ รวมทั้ง มีภูมิคุ้มกันให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง จากสถานการณ์ภายใน และภายนอกประเทศในปัจจุบัน
(4) กฎหมาย และมาตรการอํานวยความสะดวกที่ยังคงล้าสมัยไม่เป็นสากลต้องได้รับการแก้ไขเพราะจะเป็นอุปสรรคในการลงทุน และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และบางครั้งอาจจะเปิดช่องทางให้เกิดการทุจริต คอร์รัปชั่นได้อีกด้วย สิ่งเหล่านี้ เป็นปัจจัยพื้นฐาน ที่กีดขวางการพัฒนา มากบ้าง น้อยบ้าง เราจําเป็นต้องรับการแก้ไขให้ได้โดยเร็ว แต่จําเป็นต้องได้รับการแก้ไขให้ได้โดยเร็ว โดยขจัดกระบวนการที่ไม่จําเป็น ลดขั้นตอนให้รวดเร็ว สะดวก แต่สามารถตรวจสอบได้ โดยการนําเทคโนโลยีสมัยใหม่ ระบบดิจิทัล เครือข่าย ออนไลน์ ที่มีมาตรฐาน รวมทั้ง การใช้ One Stop Service (ศูนย์บริการบูรณาการแบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว) มาดําเนินการให้เป็นรูปธรรมให้มากที่สุด และเข้าถึงง่ายที่สุด ซึ่งรัฐบาลกําลังเร่งดําเนินการ ผลักดันให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นําไปสู่การปฏิบัติได้ ในเร็ววัน
(5) ปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้อง เป็นการประกอบการธุรกิจที่ผิดกฎหมาย การเสียภาษีไม่ถูกต้อง การแสวงประโยชน์จากช่องว่างทางกฎหมาย การอาศัยอํานาจและผลประโยชน์ทับซ้อน การบุกรุกป่า การขายของในพื้นที่ห้ามขาย การไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกฎจราจร การขัดแย้ง การละเมิด ระหว่างสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมาย ทําให้ทุกอย่างติดขัด เกิดการแก้ปัญหาล่าช้า ไม่ได้ผลเท่าที่ควร ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง หากถูกขยายความไปมาก ๆ อาจจะโดยสื่อโซเชียลทั้งเจตนาและไม่เจตนาอาจจะมีความไม่รับผิดชอบ ไร้จรรยาบรรณ ไม่ช่วยสร้างการรับรู้ที่ดี ในสิ่งที่ควรทําหรือต้องทํา หรือช่วยกันทําให้ได้ ผลดีไปตามลําดับ หากมัวแต่จะเสนอแต่ข้อบกพร่อง จับผิดสิ่งที่เพียงแต่กําลังเริ่มต้นบนการแก้ปัญหาที่มีปัญหาซับซ้อนอยู่แล้วเดิม นําไปสู่ความขัดแย้ง บิดเบือน หรือไม่รู้จริง ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่มีเหตุผลรองรับ มาขยายความในสังคมวงกว้างสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นก็ไม่เกิดขึ้น แล้วต่างประเทศจะมีความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย ได้อย่างไร แล้วประชาชนจะมีรายได้จากสิ่งที่เรากําลังเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ได้อย่างไรก็ขออยากให้ประชาชนทุกคนช่วยกันปกป้องผลประโยชน์ของสังคมขอประเทศชาติ โดยการร่วมมือกับรัฐบาล ในการแก้ปัญหาเหล่านี้
การแก้ปัญหาจากพื้นฐานที่ขาดความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสังคมค่อนข้างจะทําได้ช้า เพราะขาดการสร้างความเข้าใจที่ดี ขาดกระบวนการเรียนรู้ ขาดข้อมูลที่ที่สําคัญและที่ไม่ถูกบิดเบือน อีกทั้งสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ซึ่งย่อมรักความสะดวก เสรีที่ไร้ขีดจํากัด ความต้องการทุกคนไม่เหมือนกัน แต่ท้ายสุดก็คือ ความสะดวกสบาย มีเงิน มีอํานาจ แต่ทุกคนต้องไม่ลืมว่า ต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องทางกฎหมาย จริยธรรมและความมีคุณธรรม เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย หากเราช่วยกัน มากบ้างน้อยบ้าง ด้วยความรัก ความสามัคคี ลดความขัดแย้ง หลายอย่างก็จะดีขึ้น เร็วขึ้น มากกว่าที่เรากําลังพยายามกันอยู่เวลานี้นะครับ
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน หน่วยงานสมาคมต่าง ๆ และประชาชนที่มี “จิตอาสา” กว่า 45,000 คน ที่ร่วมกัน “ทําดีเพื่อพ่อ” ด้วยการจัดทําถุง “ ข้าวพอเพียง” จํานวน 3 ล้านกว่าถุง ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ณ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สําหรับนําไปมอบให้กับพี่น้องประชาชน ที่เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
สําหรับห้วงเทศกาล “ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่” นี้ ผมได้สั่งการหน่วยงานต่าง ๆ ได้เตรียมความพร้อม วางมาตรการดูแลพี่น้องประชาชน ในการเดินทางกลับภูมิลําเนา และท่องเที่ยว ทั้งจุดพักรถ จุดบริการ ป้ายบอกทาง สัญญาณไฟ บริการฉุกเฉิน ตลาด รวมทั้งสายด่วนต่าง ๆ ที่ทุกคนควรบันทึกไว้ ให้สามารถเรียกใช้งานได้ทันที สําหรับการดูแลรักษาบ้านเมือง ให้มีความสงบเรียบร้อยนั้น ผมขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน และสถานประกอบการ ห้างร้านต่าง ๆ ได้ช่วยกันเฝ้าระวัง เป็นหูเป็นตา และแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ทราบ เพื่อดําเนินการป้องกัน และแก้ไขเหตุการณ์ อันไม่พึงประสงค์ ได้ทันท่วงที เพื่อลดความเสียหาย ทั้งนี้ ผู้ที่เดินทาง คนขับรถส่วนตัว รถสาธารณะ ขอให้ตรวจเช็คสภาพยานพาหนะ ให้อยู่ในสภาพที่พร้อม ก่อนการเดินทาง ที่สําคัญ “งดดื่มสุรา เมาไม่ขับ” และอย่าฝากความหวังไว้กับเจ้าหน้าที่ดูแลแต่เพียงอย่างเดียวในการบังคับใช้กฎหมาย ประชาชนเองต้องระมัดระวังอุบัติเหตุด้วย เพราะไม่มีใครดูแลตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง
ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ ทั้งฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายปกครอง ทั้งตํารวจ ทหาร และอาสาสมัคร ที่เสียสละเวลา อุทิศตน ดูแลทุกข์สุข พี่น้องประชาชน ในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ รวมทั้งบรรดาพี่น้อง พลเรือน ตํารวจ ทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกองกําลังต่าง ๆ ในพื้นที่ชายแดนนั้นด้วย ขอให้พี่น้องได้ดูแล ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ด้วยการปฏิบัติตนตามกฎหมายบ้านเมือง และกฎจราจร เอาใจใส่อย่างเคร่งครัด อย่าขึ้นรถที่คนขับดื่มสุราหรือขับรถอันตรายรถมาก คนก็มาก การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ก็เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ขอให้ทุกคนมีน้ําใจ และเข้าใจซึ่งกันและกัน นะครับ
ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุข ในวันช่วงเทศกาล “ส่งท้ายปีเก่า... ต้อนรับปีใหม่” สวัสดีครับ
---------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 30 ธันวาคม 2559
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 30 ธันวาคม 2559
.......
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2559 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
นับเป็นระยะเวลา กว่า 6 ทศวรรษแล้ว ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทาน บทเพลงพระราชนิพนธ์ “พรปีใหม่” ด้วยทรงมุ่งหวังเพื่ออํานวยพร ให้พสกนิกรของพระองค์มีความสุข และเป็นระยะเวลา เกือบ 3 ทศวรรษแล้ว ที่พระองค์ ได้พระราชทาน ส.ค.ส. ให้ปวงชนชาวไทย อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากมีพระราชประสงค์ ที่จะ “ส่งความสุข” ในช่วงปีใหม่ และตลอดศกใหม่แล้ว ยังทรงให้สติ ให้ปัญญาให้ข้อคิดและแนวทางในการดํารงชีวิตรวมทั้งให้กําลังใจต่อสู้เพื่อเอาชนะต่ออุปสรรค นานัปการ อีกด้วย
ในโอกาสนี้ ผมขออัญเชิญ “พรอันประเสริฐ” เหล่านั้น มาเพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิต แด่พี่น้องประชาชนชาวไทยอีกครั้ง อันประกอบด้วย “คุณธรรม” ที่สําคัญ อาทิเช่น ความซื่อสัตย์ คิดดี ทําดี เพื่อส่วนรวม ความขยัน อดทน และมีความเพียรอันบริสุทธิ์ การอดออม ประหยัด มัธยัสถ์ และมีความพอเพียง การแสวงหาความรู้ การใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา และการฝึกฝนเพื่อพัฒนาตนเอง ความมีสติ รู้คิด และไม่ประมาท รวมทั้งความรู้รัก สามัคคี และการทํางานเป็นทีม เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะนําพาชีวิตของเรา และประเทศชาติ มีแต่ความสุข ความเจริญ และหากคนไทยทุกคน มีแต่ความยินดี และความปรารถนาดี มอบให้แก่กันแล้ว เราทุกคนก็จะมีชีวิตที่ปราศจากทุกข์ ทั้งปวง อันเป็น “สัจธรรม ความจริง” ของโลก ที่ผมอยากให้ทุกคนได้ตระหนัก เพื่อการครองชีวิต ตามครรลองที่ถูกต้องเหมาะสมอยู่เสมอด้วย
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงใส่พระทัย “ทุกข์ สุข” ของปวงชนชาวไทย โดยทรงมีกระแสพระราชดํารัส ให้น้อมนํา “ศาสตร์พระราชา” แห่งองค์สมเด็จพระบรมชนกนาถ และแนวทางพระราชทาน ตลอดระยะเวลา 7 ทศวรรษ ที่ผ่านมา ไปประยุกต์ใช้ด้วยปัญญาและความเพียรสําหรับรัฐบาลและข้าราชการ ในการบริหารราชการแผ่นดิน และสําหรับประชาชนทุกคน ในการดํารงชีวิตประจําวัน
ในการนี้ ผมขออัญเชิญ “ส.ค.ส. พระราชทาน ปีใหม่ พ.ศ.2537” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ศาสตร์พระราชา” โดยมีสาระสําคัญ ที่แสดงสัจธรรมแห่งชีวิต คือ “ยิ้มบ้าง ไม่ยิ้มบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เหมือน “จราจร” มาจากคําว่า “จร” แปลว่า แล่น “อะจร” แปลว่า ไม่แล่น ดังนั้น เมื่อสนธิเป็นคําใหม่ว่า “จราจร” จึงหมายถึง แล่นบ้าง ไม่แล่นบ้าง ให้ใจเย็น ต้องอดทน รักษาความเพียร รักษาความดี เพราะอุปสรรคเป็นเครื่องทดสอบ “คนดี” ที่จะไม่ยอมให้ความทุกข์ ความลําบาก ชักนําสู่หนทางเสื่อม” ทั้งนี้ ผมหวังว่า สัจธรรมง่ายๆ นี้ จะเป็นกําลังใจให้กับทุกคน ที่ยึดมั่นในความดี และไม่อยากให้ท้อถอย หมดกําลังใจ ตลอดปีใหม่ และตลอดไป
พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ
ในการเดินหน้าประเทศที่ผ่านมาปีหน้าและปีต่อไปนั้นเรามีความจําเป็นต้องกลับมาสํารวจตัวเองอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาไปสู่แนวทางที่ดีกว่า เพื่อลดช่องว่างและแก้ไขบกพร่องในอดีต ไม่ให้เกิดขึ้นซ้ําซากอีกต่อไป รัฐบาลเอง ก็มีการสํารวจและปรับปรุงกระบวนการ และกลไกการบริหารราชการ เป็นระยะๆ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ภาครัฐจะใช้ความพยายามมากมายเพียงใดหากไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการแล้วการก้าวไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ของเราทุกคน ทุกฝ่าย ก็ไม่อาจประสบความสําเร็จได้
รัฐบาลนี้ ได้ริเริ่มกลไก “ประชารัฐ” เพื่อสานพลังทุกภาคส่วนเหล่านั้น เข้าด้วยกัน เชื่อมโยงกัน เกื้อกูลกัน เกิดเป็น “ห่วงโซ่” ที่ไม่อาจแยกคิด แยกทําได้ อีกต่อไป ทั้งนี้ “ห่วงโซ่” ทุกห่วง ต้องเข้มแข็งไปด้วยกันเพราะเราจะวัด “ความแข็งแรงของโซ่” ณ จุดที่อ่อนแอที่สุด จึงเป็นที่มาของวลีที่ว่า “เราไม่สามารถทิ้งใครไว้ข้างหลัง” แต่เราต้องพัฒนาซึ่งกันและกัน และพัฒนาเคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมๆ กัน
สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นอุปสรรค และผมเห็นว่าเป็น “จุดอ่อน” ของประเทศไทย ก็อาจจะเกิดจากคนบางกลุ่มนั่นเองก็คือการไม่สามารถแยกแยะ และไม่เข้าใจคําสําคัญ 3 คํา คือ“สิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพ” ทั้งนี้ เมื่อกฎหมายกําหนด “สิทธิ” ให้แล้ว เราทุกคนย่อมมี “หน้าที่” ตามมา ไม่อย่างใด ก็อย่างหนึ่งเราจะเรียกร้องแต่ “สิทธิ” โดยไม่สนใจ “หน้าที่” ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะจะทําให้สังคมเกิดความสับสน อลหม่าน วุ่นวาย ทุกอย่างต้องอาศัยกฎหมายเป็นปัจจัยสําคัญเสมอ
ดังนั้น ผมขอให้ทุกคนสํารวจความเข้าใจเหล่านี้ ให้ถูกต้องช่วยกันลดจุดอ่อนในตัวเอง ขจัดจุดอ่อนของสังคมไทยด้วยการปรับทัศนะและกระบวนการคิด ในการมองโลก การปลูกจิตสํานึก ให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และการเสริมสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ เพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน “ทั้งประเทศ” สําหรับนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” นั้น นอกจากจะหมายรวมถึง การนําพาประเทศชาติ ประชาชน ไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ด้านเศรษฐกิจ แล้ว เรายังต้องพัฒนาไปสู่ “สังคม 4.0” อีกด้วย วันนี้ เรายังคงมีประชาชนหลากหลายกลุ่มอาชีพ ทั้งกลุ่มที่ใช้ความรู้จากการประกอบการ ใช้ประสบการณ์อาศัยพึ่งพิงธรรมชาติ ใช้แรงงานทั้งมีฝีมือไม่มีฝีมือ รวมทั้งกลุ่มที่เป็นอุตสาหกรรมเบา เครื่องจักรเบา เครื่องจักรหนัก ซึ่งแต่ระดับ ยังมีความแตกต่างกันอยู่ในสังคมเดียวกันอยู่ห่วงโซ่รายได้ ของประเทศเราเช่นเดียวกัน
หากพิจารณาดูให้ดีแล้วจะเห็นว่าระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ ระบบนิเวศน์ “ไม่ได้แตกต่างกัน” ในเชิงโครงสร้างและความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในระบบเศรษฐกิจใดๆ ย่อมต้องมีทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค พ่อค้าคนกลาง มีภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการบริการ อาทิเช่น มีคนปลูกข้าว คนแปรรูป คนรับไปขาย ร้านค้าปลีก ร้านค้าส่ง บริษัทส่งออก มีนายทุน แหล่งเงินทุน โรงรับจํานํา ธนาคาร กองทุน เป็นต้น แต่ทั้งหมดนั้น มีรัฐบาล มีกฎหมาย มีกติกาสากล มีพันธะสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งคอยกํากับควบคุมดูแลอยู่เสมอ เช่นเดียวกับระบบนิเวศน์ ที่ต้องมีทั้งสัตว์ใหญ่ สัตว์น้อย แมลง ลงไปจนถึงจุลินทรีย์ มีอะไรมากเกินก็ไม่ดี น้อยเกินก็เสียสมดุลทางธรรมชาติ ทั้งนี้ หากเราเข้าใจ “กฎธรรมชาติ” แล้ว ก็เป็นสิ่งไม่ยากนักที่จะทําความเข้าใจคําว่า “กฎหมาย กติกาสังคม มาตรการทางเศรษฐกิจต่าง ๆ” เราจะต้องสร้างความสมดุลในเรื่องเหล่านี้ให้ได้ ระหว่างการพัฒนากับการรักษาระบบนิเวศน์
ดังนั้น เราคงต้องมุ่งหวังจะนําพาประเทศไปสู่ “เศรษฐกิจ 4.0” ทั้งจะต้องนําพาที่อยู่ใน 1.0 2.0 3.0 ไปด้วย ก็ต้องเริ่มจากการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็น “สังคมแห่งการเรียนรู้” เพื่อการปรับปรุง และมีการพัฒนาตนเอง สําหรับในภาคเศรษฐกิจนั้น เราก็คงไม่สามารถจะทําให้ทุกคน ทุกอุตสาหกรรมเป็น 4.0 ได้ เพียงแต่จะทําอย่างไร ให้ 1.0 2.0 3.0 ของภาคอุตสาหกรรมนั้นได้รับการพัฒนาตนเอง โดยใช้ 4.0 เป็นกรอบใหญ่ ในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เพื่อจะสร้างความเชื่อมโยง เพิ่มมูลค่า และพัฒนาตนเอง เราไม่อาจทําให้ “ทุกกลุ่ม” มุ่งไปสู่การใช้หุ่นยนต์ เทคโนโลยี ระดับสูงได้ทั้งหมด เพราะภาคการเกษตรของเรายังมีอยู่มาก การผลิตและอุตสาหกรรมของเรามีหลายรูปแบบ รวมทั้งการใช้แรงงานที่ยังคงมีความสําคัญอยู่กับการจ้างงานทั้งปัจจุบันและอนาคต
สรุปง่าย ๆ บางอย่างอาจจะเป็นเพียงการปรับ การใช้เครื่องจักร เครื่องมือ กลไก ที่ทันสมัย ซึ่งสามารถจะผลิตนวัตกรรมของใช้ที่มีมูลค่าแข่งขันได้ แต่การใช้แรงงานจ้างงานก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม เพื่อจะดูแลประชาชนทุกคนหมู่เหล่า เช่น ที่เราเคยกล่าวไว้แล้วว่าเราจะต้องพัฒนาอุตสาหกรรมเดิม 5 S curve เดิม ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงหลาย 10 ปี ที่ผ่านมา ให้มีความทันสมัยขึ้นมาบ้าง ผลิตสิ่งของที่มีราคาสูงขึ้นมาบ้างแข่งขันได้ ทํานองนี้ ส่วนที่เราจะต้องนําพาไปสู่ในเรื่องของการใช้หุ่นยนต์ ส่วนใหญ่เป็นการใช้เครื่องจักรใหญ่ ๆ เครื่องจักรอัตโนมัติ ซึ่งใช้คนน้อยผลิตสินค้าที่มีราคาสูง ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ของโรงงานอุตสาหกรรมในโลกสมัยใหม่ปัจจุบัน ที่รัฐบาลกําลังเร่งส่งเสริมการลงทุนอยู่ ที่เรียกว่า 5 New S curve
ทั้งหมดนี้ สิ่งที่สําคัญที่สุดคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่จะต้องช่วยกันขับเคลื่อน มาทํางาน มาเป็นนักวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้าง “นวัตกรรมใหม่ ๆ” เราต้องพิจารณาดูว่าวันนี้มีนักวิจัย “สัญชาติไทย” ที่เพียงพอหรือยัง และมีการทํางานอยู่ในประเทศบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะที่จบจากต่างประเทศด้วย ในทุก ๆ กิจกรรมไม่ว่าจะเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมของประเทศ หากวันนี้ยังมีไม่พอ ทั้งนี้จะขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น เราต้องเร่งผลิต เร่งส่งเสริม ทั้งในระยะสั้น ระยะยาว รวมทั้ง การที่จะต่อยอดที่มีอยู่แล้ว อาจจะต้องมีการนําเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ที่พัฒนานําหน้าเรา และการถ่ายทอดเทคโนโลยี องค์ความรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพ ฝีมือของแรงงานคนไทย ทั้งนี้ การพัฒนา “ภาษาอังกฤษ ภาษาต่างประเทศ ภาษาประเทศเพื่อนบ้าน” จะต้องอยู่ ในระดับที่สามารถทํางานร่วมกันได้ รองรับทุก ๆ กิจกรรมใน 1.0 2.0 3.0 และ 4.0 สิ่งเหล่านี้นั้นเป็นความจําเป็นที่ต้องใช้ต้องพัฒนา “ทรัพยากรมนุษย์” ที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้นอีกมากมาย รวมทั้งการใช้แรงงานที่มีฝีมือเพิ่มขึ้น และที่ไม่ใช้ฝีมือ ก็ต้องมีการพัฒนายังคงมีความสําคัญอยู่ต่อไป
ในเรื่อง “เศรษฐกิจ ปากท้อง” นับเป็นเรื่องสําคัญกับโลก ประชาคมระหว่าง ประเทศ และ ประเทศไทย ในเวลานี้ รัฐบาลได้นําปัจจัยภายใน ภายนอก และข้อเท็จจริง ของระบบเศรษฐกิจไทย มาศึกษาในรายละเอียด ให้รู้และเข้าใจ ถึงปัญหาและอุปสรรค โดย รับฟังความคิด จากทุกภาคส่วน ทั้งนักธุรกิจ นักวิชาการ พ่อค้า ประชาชน ทุกกลุ่มรายได้ ทุกหน่วยสังคม ทั้งในเมืองและในชนบท สรุปปัญหาสําคัญ ได้ดังนี้
(1) ปัญหาในเรื่องโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม จําเป็นต้องจัดกลุ่มให้ชัดเจน ทั้งกลุ่มรายได้สูง ปานกลาง รายได้น้อย สําหรับนโยบายและมาตรการที่เหมาะสม ในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ก็จําเป็นต้องอาศัยรายละเอียด และข้อมูลที่ทันสมัยให้ถูกต้อง สมบูรณ์ แม่นยํา เพื่อการพัฒนาแนวทางที่ถูกต้องที่ดีที่สุด หมายถึง ตรงตามความต้องการ ขจัดปัญหาและอุปสรรคของทุกกลุ่มให้ได้ รวมทั้งคุ้มค่ากับการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐอีกด้วย ซึ่งจําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกกลุ่ม อันเป็น “แรงหนุน” การขับเคลื่อน การส่งเสริมจากภาครัฐ ไปสู่ความสําเร็จได้ ปัจจัยสําคัญก็คือ เราต้องให้ความสําคัญกับกลุ่มเกษตรกร ในภาคการผลิตที่ต้องการเร่งดําเนินการภายใต้แรงกดดันจากภาวะ การตลาด ราคา หนี้สิน
(2) ปัญหาในการสร้างความเชื่อมโยง เช่น “ต้นทาง” การผลิต การเพาะปลูก “กลางทาง” การแปรรูป การสร้างนวัตกรรม การสร้างมูลค่าเพิ่มและ“ปลายทาง” ก็คือ การตลาด เราจําเป็นต้องสร้างทางเลือก สําหรับ ประชาชน พ่อค้าคนกลาง ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ให้เป็น “ตลาดทางเลือก” ของผู้ผลิต เพาะปลูก ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มมูลค่า ให้ 4.0 ดูแล 1.0 ถึง 3.0 ให้เพิ่มมูลค่าไปด้วยกัน จาก 4.0 ถึง เศรษฐกิจฐานราก 1.0 นะครับ
(3) ปัจจัยด้านความรู้ องค์ความรู้ ในภาคการผลิต และด้านการตลาด โดยต้องนําเทคโนโลยี ดิจิทัล ออนไลน์ มาประยุกต์ใช้ให้มากขึ้น ทั้งในการเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง การพัฒนากระบวนการให้สะดวกรวดเร็วขึ้นโดยรัฐบาลได้เน้นให้ทุกคนได้เข้าถึงแหล่งข้อมูล ความรู้ ข่าวสาร บริการที่ทันสมัย เพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ รวมทั้ง มีภูมิคุ้มกันให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง จากสถานการณ์ภายใน และภายนอกประเทศในปัจจุบัน
(4) กฎหมาย และมาตรการอํานวยความสะดวกที่ยังคงล้าสมัยไม่เป็นสากลต้องได้รับการแก้ไขเพราะจะเป็นอุปสรรคในการลงทุน และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และบางครั้งอาจจะเปิดช่องทางให้เกิดการทุจริต คอร์รัปชั่นได้อีกด้วย สิ่งเหล่านี้ เป็นปัจจัยพื้นฐาน ที่กีดขวางการพัฒนา มากบ้าง น้อยบ้าง เราจําเป็นต้องรับการแก้ไขให้ได้โดยเร็ว แต่จําเป็นต้องได้รับการแก้ไขให้ได้โดยเร็ว โดยขจัดกระบวนการที่ไม่จําเป็น ลดขั้นตอนให้รวดเร็ว สะดวก แต่สามารถตรวจสอบได้ โดยการนําเทคโนโลยีสมัยใหม่ ระบบดิจิทัล เครือข่าย ออนไลน์ ที่มีมาตรฐาน รวมทั้ง การใช้ One Stop Service (ศูนย์บริการบูรณาการแบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว) มาดําเนินการให้เป็นรูปธรรมให้มากที่สุด และเข้าถึงง่ายที่สุด ซึ่งรัฐบาลกําลังเร่งดําเนินการ ผลักดันให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นําไปสู่การปฏิบัติได้ ในเร็ววัน
(5) ปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้อง เป็นการประกอบการธุรกิจที่ผิดกฎหมาย การเสียภาษีไม่ถูกต้อง การแสวงประโยชน์จากช่องว่างทางกฎหมาย การอาศัยอํานาจและผลประโยชน์ทับซ้อน การบุกรุกป่า การขายของในพื้นที่ห้ามขาย การไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกฎจราจร การขัดแย้ง การละเมิด ระหว่างสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมาย ทําให้ทุกอย่างติดขัด เกิดการแก้ปัญหาล่าช้า ไม่ได้ผลเท่าที่ควร ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง หากถูกขยายความไปมาก ๆ อาจจะโดยสื่อโซเชียลทั้งเจตนาและไม่เจตนาอาจจะมีความไม่รับผิดชอบ ไร้จรรยาบรรณ ไม่ช่วยสร้างการรับรู้ที่ดี ในสิ่งที่ควรทําหรือต้องทํา หรือช่วยกันทําให้ได้ ผลดีไปตามลําดับ หากมัวแต่จะเสนอแต่ข้อบกพร่อง จับผิดสิ่งที่เพียงแต่กําลังเริ่มต้นบนการแก้ปัญหาที่มีปัญหาซับซ้อนอยู่แล้วเดิม นําไปสู่ความขัดแย้ง บิดเบือน หรือไม่รู้จริง ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่มีเหตุผลรองรับ มาขยายความในสังคมวงกว้างสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นก็ไม่เกิดขึ้น แล้วต่างประเทศจะมีความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย ได้อย่างไร แล้วประชาชนจะมีรายได้จากสิ่งที่เรากําลังเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ได้อย่างไรก็ขออยากให้ประชาชนทุกคนช่วยกันปกป้องผลประโยชน์ของสังคมขอประเทศชาติ โดยการร่วมมือกับรัฐบาล ในการแก้ปัญหาเหล่านี้
การแก้ปัญหาจากพื้นฐานที่ขาดความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสังคมค่อนข้างจะทําได้ช้า เพราะขาดการสร้างความเข้าใจที่ดี ขาดกระบวนการเรียนรู้ ขาดข้อมูลที่ที่สําคัญและที่ไม่ถูกบิดเบือน อีกทั้งสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ซึ่งย่อมรักความสะดวก เสรีที่ไร้ขีดจํากัด ความต้องการทุกคนไม่เหมือนกัน แต่ท้ายสุดก็คือ ความสะดวกสบาย มีเงิน มีอํานาจ แต่ทุกคนต้องไม่ลืมว่า ต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องทางกฎหมาย จริยธรรมและความมีคุณธรรม เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย หากเราช่วยกัน มากบ้างน้อยบ้าง ด้วยความรัก ความสามัคคี ลดความขัดแย้ง หลายอย่างก็จะดีขึ้น เร็วขึ้น มากกว่าที่เรากําลังพยายามกันอยู่เวลานี้นะครับ
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน หน่วยงานสมาคมต่าง ๆ และประชาชนที่มี “จิตอาสา” กว่า 45,000 คน ที่ร่วมกัน “ทําดีเพื่อพ่อ” ด้วยการจัดทําถุง “ ข้าวพอเพียง” จํานวน 3 ล้านกว่าถุง ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ณ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สําหรับนําไปมอบให้กับพี่น้องประชาชน ที่เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
สําหรับห้วงเทศกาล “ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่” นี้ ผมได้สั่งการหน่วยงานต่าง ๆ ได้เตรียมความพร้อม วางมาตรการดูแลพี่น้องประชาชน ในการเดินทางกลับภูมิลําเนา และท่องเที่ยว ทั้งจุดพักรถ จุดบริการ ป้ายบอกทาง สัญญาณไฟ บริการฉุกเฉิน ตลาด รวมทั้งสายด่วนต่าง ๆ ที่ทุกคนควรบันทึกไว้ ให้สามารถเรียกใช้งานได้ทันที สําหรับการดูแลรักษาบ้านเมือง ให้มีความสงบเรียบร้อยนั้น ผมขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน และสถานประกอบการ ห้างร้านต่าง ๆ ได้ช่วยกันเฝ้าระวัง เป็นหูเป็นตา และแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ทราบ เพื่อดําเนินการป้องกัน และแก้ไขเหตุการณ์ อันไม่พึงประสงค์ ได้ทันท่วงที เพื่อลดความเสียหาย ทั้งนี้ ผู้ที่เดินทาง คนขับรถส่วนตัว รถสาธารณะ ขอให้ตรวจเช็คสภาพยานพาหนะ ให้อยู่ในสภาพที่พร้อม ก่อนการเดินทาง ที่สําคัญ “งดดื่มสุรา เมาไม่ขับ” และอย่าฝากความหวังไว้กับเจ้าหน้าที่ดูแลแต่เพียงอย่างเดียวในการบังคับใช้กฎหมาย ประชาชนเองต้องระมัดระวังอุบัติเหตุด้วย เพราะไม่มีใครดูแลตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง
ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ ทั้งฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายปกครอง ทั้งตํารวจ ทหาร และอาสาสมัคร ที่เสียสละเวลา อุทิศตน ดูแลทุกข์สุข พี่น้องประชาชน ในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ รวมทั้งบรรดาพี่น้อง พลเรือน ตํารวจ ทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกองกําลังต่าง ๆ ในพื้นที่ชายแดนนั้นด้วย ขอให้พี่น้องได้ดูแล ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ด้วยการปฏิบัติตนตามกฎหมายบ้านเมือง และกฎจราจร เอาใจใส่อย่างเคร่งครัด อย่าขึ้นรถที่คนขับดื่มสุราหรือขับรถอันตรายรถมาก คนก็มาก การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ก็เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ขอให้ทุกคนมีน้ําใจ และเข้าใจซึ่งกันและกัน นะครับ
ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุข ในวันช่วงเทศกาล “ส่งท้ายปีเก่า... ต้อนรับปีใหม่” สวัสดีครับ
---------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1171
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัดกระทรวงยุติธรรม หารือด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศไทย – ญี่ปุ่น
|
วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561
ปลัดกระทรวงยุติธรรม หารือด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศไทย – ญี่ปุ่น
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม หารือข้อราชการร่วมกับนายฮิโรมุ โคโรกาวา (Mr. Hiromu KOROKAWA) ปลัดกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น
ในวันจันทร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๕.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมสํานักงาน UNODC ชั้น ๓ อาคารสหประชาชาติ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
หารือข้อราชการร่วมกับนายฮิโรมุ คุโรกาวา (Mr. Hiromu KUROKAWA) ปลัดกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น
ในโอกาสเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับสูง
ภายใต้หัวข้อ “การพัฒนาที่ยั่งยืน การป้องกันอาชญากรรม และสังคมที่สงบสุข”
(High Level Conference on Sustainable Development, Crime Prevention, and Safe Societies)
โดยได้หารือข้อราชการกับปลัดกระทรวงยุติธรรม ในประเด็นดังต่อไปนี้
๑. การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ครั้งที่ ๑๔
(The 14th United Nations Congress of Crime Prevention and Criminal Justice)
พ.ศ. ๒๕๖๓ ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
๒. การเสนอร่างเอกสารการลงนามความร่วมมือ (Memorandum of Cooperation - MOC)
อันเป็นผลสืบเนื่องจากการหารือร่วมระหว่างนางโยโกะ คามิกาว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น
และพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
๓. ความร่วมมือกับสถาบันป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทําผิดของสหประชาชาติ
ภาคพื้นเอเชียและตะวันออกไกล (UNAFEI)
๔. ความร่วมมือเกี่ยวกับการประชุมการออกแบบและก่อสร้าง
อาคาร สถานที่ และสถานที่ควบคุมแห่งเอเชีย
(ACCFA (Asian Conference of Correctional Facilities Architects and Planners))
และ ๕. การเชิญอธิบดีกรมราชทัณฑ์เยี่ยมชมเรือนจําญี่ปุ่นที่มีการดําเนินการระหว่างรัฐและเอกชน
(DG of the Department of Correction’s visit to PFI prisons in Japan)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัดกระทรวงยุติธรรม หารือด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศไทย – ญี่ปุ่น
วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561
ปลัดกระทรวงยุติธรรม หารือด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศไทย – ญี่ปุ่น
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม หารือข้อราชการร่วมกับนายฮิโรมุ โคโรกาวา (Mr. Hiromu KOROKAWA) ปลัดกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น
ในวันจันทร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๕.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมสํานักงาน UNODC ชั้น ๓ อาคารสหประชาชาติ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
หารือข้อราชการร่วมกับนายฮิโรมุ คุโรกาวา (Mr. Hiromu KUROKAWA) ปลัดกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น
ในโอกาสเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับสูง
ภายใต้หัวข้อ “การพัฒนาที่ยั่งยืน การป้องกันอาชญากรรม และสังคมที่สงบสุข”
(High Level Conference on Sustainable Development, Crime Prevention, and Safe Societies)
โดยได้หารือข้อราชการกับปลัดกระทรวงยุติธรรม ในประเด็นดังต่อไปนี้
๑. การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ครั้งที่ ๑๔
(The 14th United Nations Congress of Crime Prevention and Criminal Justice)
พ.ศ. ๒๕๖๓ ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
๒. การเสนอร่างเอกสารการลงนามความร่วมมือ (Memorandum of Cooperation - MOC)
อันเป็นผลสืบเนื่องจากการหารือร่วมระหว่างนางโยโกะ คามิกาว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น
และพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
๓. ความร่วมมือกับสถาบันป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทําผิดของสหประชาชาติ
ภาคพื้นเอเชียและตะวันออกไกล (UNAFEI)
๔. ความร่วมมือเกี่ยวกับการประชุมการออกแบบและก่อสร้าง
อาคาร สถานที่ และสถานที่ควบคุมแห่งเอเชีย
(ACCFA (Asian Conference of Correctional Facilities Architects and Planners))
และ ๕. การเชิญอธิบดีกรมราชทัณฑ์เยี่ยมชมเรือนจําญี่ปุ่นที่มีการดําเนินการระหว่างรัฐและเอกชน
(DG of the Department of Correction’s visit to PFI prisons in Japan)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10522
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กลาโหมฯ ร่วมน้อมรำลึก วันคล้ายวันสวรรคต "ร. 9" พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของแผ่นดินไทย
|
วันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2562
กลาโหมฯ ร่วมน้อมรําลึก วันคล้ายวันสวรรคต "ร. 9" พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของแผ่นดินไทย
เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2562
พสกนิกรทุกหมู่เหล่าล้วนมีความตั้งใจที่จะแสดงออกถึงความจงรักภักดี และรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่อย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจ บําบัดทุกข์บํารุงสุขแก่ปวงชนชาวไทยตลอดมา
ทั้งนี้ พลเอกณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย คุณรมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการ สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ร่วมประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ บริเวณท้องสนามหลวง โดยการตักบาตรสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ พระภิกษุ สามเณร 489 รูป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กลาโหมฯ ร่วมน้อมรำลึก วันคล้ายวันสวรรคต "ร. 9" พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของแผ่นดินไทย
วันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2562
กลาโหมฯ ร่วมน้อมรําลึก วันคล้ายวันสวรรคต "ร. 9" พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของแผ่นดินไทย
เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2562
พสกนิกรทุกหมู่เหล่าล้วนมีความตั้งใจที่จะแสดงออกถึงความจงรักภักดี และรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่อย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจ บําบัดทุกข์บํารุงสุขแก่ปวงชนชาวไทยตลอดมา
ทั้งนี้ พลเอกณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย คุณรมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการ สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ร่วมประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ บริเวณท้องสนามหลวง โดยการตักบาตรสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ พระภิกษุ สามเณร 489 รูป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23818
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเพื่อจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ.2563
|
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562
การประชุมเพื่อจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ.2563
นายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม เพื่อจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ.2563 พร้อมหาแนวทางในการ
ขับเคลื่อนแผนงาน/ โครงการตามงาน Agenda ที่สําคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (9 มกราคม 2562) นายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนสํานักงบประมาณ ร่วมประชุม เพื่อจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ.2563 พร้อมหาแนวทางในการ
ขับเคลื่อนแผนงาน/ โครงการตามงาน Agenda ที่สําคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเพื่อจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ.2563
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562
การประชุมเพื่อจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ.2563
นายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม เพื่อจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ.2563 พร้อมหาแนวทางในการ
ขับเคลื่อนแผนงาน/ โครงการตามงาน Agenda ที่สําคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (9 มกราคม 2562) นายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนสํานักงบประมาณ ร่วมประชุม เพื่อจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ.2563 พร้อมหาแนวทางในการ
ขับเคลื่อนแผนงาน/ โครงการตามงาน Agenda ที่สําคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18039
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมกิจกรรมบริการประชาชน แจกอาหารว่างและเครื่องดื่ม ในกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561
|
วันพุธที่ 5 ธันวาคม 2561
ก.อุตฯ ร่วมกิจกรรมบริการประชาชน แจกอาหารว่างและเครื่องดื่ม ในกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561
ก.อุตฯ ร่วมกิจกรรมบริการประชาชน แจกอาหารว่างและเครื่องดื่ม ในกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561
วันนี้ (5 ธันวาคม 2561) นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกิจกรรมบริการประชาชน แจกอาหารว่างและเครื่องดื่ม จํานวน 1,000 ชุด ในกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561 ณ ท้องสนามหลวง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมกิจกรรมบริการประชาชน แจกอาหารว่างและเครื่องดื่ม ในกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561
วันพุธที่ 5 ธันวาคม 2561
ก.อุตฯ ร่วมกิจกรรมบริการประชาชน แจกอาหารว่างและเครื่องดื่ม ในกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561
ก.อุตฯ ร่วมกิจกรรมบริการประชาชน แจกอาหารว่างและเครื่องดื่ม ในกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561
วันนี้ (5 ธันวาคม 2561) นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกิจกรรมบริการประชาชน แจกอาหารว่างและเครื่องดื่ม จํานวน 1,000 ชุด ในกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561 ณ ท้องสนามหลวง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17333
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ลงพื้นที่ติดตามการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และสุโขทัย
|
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน 2562
นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ลงพื้นที่ติดตามการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และสุโขทัย
นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ลงพื้นที่ติดตามการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และสุโขทัย
เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 62 เวลา 13.15 น. ที่ห้องประชุมสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก อําเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมพิจารณาความช่วยเหลือและแก้ไขการประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดภาคเหนือ โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมประชุมติดตามการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งมีผู้เข้าประชุม ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอําเภอ และผู้เกี่ยวข้อง
โดยก่อนการประชุม นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ได้ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานและพบปะประชาชนผู้รับบริการ ณ ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ภายในศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก
นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก รายงานว่า จังหวัดพิษณุโลกมีพื้นที่ประสบภัย รวม 5 อําเภอ 36 ตําบล 251 หมู่บ้าน 30,072 ครัวเรือน ผู้ประสบภัย 96,229 คน โดยจังหวัดได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือแล้วจํานวน 2 อําเภอ คือ อําเภอเนินมะปราง และอําเภอวังทอง ในด้านความเสียหาย มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บ้านได้รับความเสียหาย 262 หลัง ถนน 81 สาย พื้นที่เพาะปลูก 1.19 แสนไร่ ปศุสัตว์ 4.34 แสนตัว และด้านประมง 1.42 พันไร่ โดยในขณะนี้อยู่ในระหว่างการสํารวจมูลค่าความเสียหาย และในด้านการให้ความช่วยเหลือประชาชนเบื้องต้น จังหวัดได้จัดโรงครัวพระราชทาน รวมทั้งได้รับการสนับสนุนทั้งด้านเครื่องอุปโภค บริโภค เครื่องอุปกรณ์ และกําลังพลจากภาคส่วนต่าง ๆ อาทิ สภากาชาดไทย โดยเหล่ากาชาดจังหวัดพิษณุโลก และสถานีกาชาดที่ 13 จังหวัดตาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก หน่วยป้องกันรักษาป่าที่พล 1 (วังทอง) โครงการเขื่อนแควน้อยอันเนื่องมาจากพระราชดําริจังหวัดพิษณุโลก พื้นที่ 2 เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาพนมทอง อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า หน่วยป้องกันรักษาป่าที่พล 7 (บ้านแยง) เรือนจํากลางพิษณุโลก สํานักงานพาณิชย์จังหวัดพิษณุโลก หน่วยงานภาคเอกชน ภาคประชาชน และจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร.
ภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ เดินทางไปยังพื้นที่ประสบอุทกภัยอําเภอวังทอง และลงเรือตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบอุทกภัยพร้อมมอบถุงยังชีพแก่ประชาชนผู้ประสบภัย จํานวน 2,200 ชุด ณ บ้านดงพลวง หมู่ที่ 7 (คุ้งหมูศรี) ตําบลวังพิกุล อําเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
จากนั้นในเวลา 17.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะ ตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบอุทกภัย ณ ประตูระบายน้ําบ้านหาดสะพานจันทร์ อําเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ลงพื้นที่ติดตามการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และสุโขทัย
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน 2562
นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ลงพื้นที่ติดตามการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และสุโขทัย
นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ลงพื้นที่ติดตามการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และสุโขทัย
เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 62 เวลา 13.15 น. ที่ห้องประชุมสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก อําเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมพิจารณาความช่วยเหลือและแก้ไขการประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดภาคเหนือ โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมประชุมติดตามการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งมีผู้เข้าประชุม ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอําเภอ และผู้เกี่ยวข้อง
โดยก่อนการประชุม นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ได้ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานและพบปะประชาชนผู้รับบริการ ณ ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ภายในศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก
นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก รายงานว่า จังหวัดพิษณุโลกมีพื้นที่ประสบภัย รวม 5 อําเภอ 36 ตําบล 251 หมู่บ้าน 30,072 ครัวเรือน ผู้ประสบภัย 96,229 คน โดยจังหวัดได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือแล้วจํานวน 2 อําเภอ คือ อําเภอเนินมะปราง และอําเภอวังทอง ในด้านความเสียหาย มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บ้านได้รับความเสียหาย 262 หลัง ถนน 81 สาย พื้นที่เพาะปลูก 1.19 แสนไร่ ปศุสัตว์ 4.34 แสนตัว และด้านประมง 1.42 พันไร่ โดยในขณะนี้อยู่ในระหว่างการสํารวจมูลค่าความเสียหาย และในด้านการให้ความช่วยเหลือประชาชนเบื้องต้น จังหวัดได้จัดโรงครัวพระราชทาน รวมทั้งได้รับการสนับสนุนทั้งด้านเครื่องอุปโภค บริโภค เครื่องอุปกรณ์ และกําลังพลจากภาคส่วนต่าง ๆ อาทิ สภากาชาดไทย โดยเหล่ากาชาดจังหวัดพิษณุโลก และสถานีกาชาดที่ 13 จังหวัดตาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก หน่วยป้องกันรักษาป่าที่พล 1 (วังทอง) โครงการเขื่อนแควน้อยอันเนื่องมาจากพระราชดําริจังหวัดพิษณุโลก พื้นที่ 2 เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาพนมทอง อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า หน่วยป้องกันรักษาป่าที่พล 7 (บ้านแยง) เรือนจํากลางพิษณุโลก สํานักงานพาณิชย์จังหวัดพิษณุโลก หน่วยงานภาคเอกชน ภาคประชาชน และจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร.
ภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ เดินทางไปยังพื้นที่ประสบอุทกภัยอําเภอวังทอง และลงเรือตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบอุทกภัยพร้อมมอบถุงยังชีพแก่ประชาชนผู้ประสบภัย จํานวน 2,200 ชุด ณ บ้านดงพลวง หมู่ที่ 7 (คุ้งหมูศรี) ตําบลวังพิกุล อําเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
จากนั้นในเวลา 17.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะ ตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบอุทกภัย ณ ประตูระบายน้ําบ้านหาดสะพานจันทร์ อําเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22813
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 3 ธันวาคม 2562
|
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 3 ธันวาคม 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th
วันนี้ (3 ธันวาคม 2562) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง คําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 15/2562 เรื่อง กําหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 (พน.)
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดประโยชน์ของนักโทษเด็ดขาด และเงื่อนไขที่นักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับการลดวันต้องโทษจําคุกหรือการพักการลงโทษและได้รับการ ปล่อยตัวต้องปฏิบัติ พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินสนับสนุนและเงินชดเชยตามมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562)
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 จํานวน 6 ฉบับ
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดที่ตั้ง สภาพแวดล้อม ลักษณะของสถานที่ และเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ที่จําเป็นประจําสถานที่ดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทาง วิทยาศาสตร์ พ.ศ. ....
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 และแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562
รวม 4 ฉบับ
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 จํานวน 2 ฉบับ
9. เรื่อง ร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมทาง หลวงชนบท ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานทางหลวงตามกฎหมายว่าด้วย ทางหลวง พ.ศ. ....
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
11. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทาน การประดับและกรณีที่ให้ประดับเหรียญพิทักษ์เสรีชน สิทธิ บัตรประจําตัว และการเรียกเหรียญกับบัตรประจําตัวผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนคืน พ.ศ. ....
12. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเกี่ยวกับกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะตามมาตรา 7 (1) (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562
13. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงที่ต้องจัดทําตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จํานวน 3 ฉบับ
เศรษฐกิจ - สังคม
14. เรื่อง การยุบเลิกศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์
15. เรื่อง ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงชื่อตําบลและอําเภอที่ติดตั้งเครื่องเรดาร์ตรวจอากาศแบบ C Band ชนิด Dual Polarization พร้อมอุปกรณ์เชื่อมโยงและหอเรดาร์ ที่สถานีเรดาร์ตรวจอากาศหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
16. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาดําเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติครัวเรือนละ 5,000 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 และ วันที่ 7 ตุลาคม 2562
17. เรื่อง ขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลน ในทุกกรณี เพื่อดําเนินโครงการก่อสร้างระบบจําหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ําไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะพระทอง จังหวัดพังงา) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
18. เรื่อง การแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน
19. เรื่อง การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่การปฏิบัติ
20. เรื่อง แผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579)
21. เรื่อง สรุปมติประชุมคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช ครั้งที่ 2/2562
22. เรื่อง ผลิตภัณฑ์กองทุนรวมเพื่อการออมระยะยาว
ต่างประเทศ
23. เรื่อง ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกําจัด สมัยที่ 14 การประชุมรัฐภาคี อนุสัญญา
รอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสําหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ 9 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ 9
24. เรื่อง ร่างคํามั่นของประเทศไทยสําหรับการประชุมกาชาดและเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ ครั้งที่ 33
25. เรื่อง ร่างคํามั่นของไทยที่จะประกาศในการประชุมเวทีผู้ลี้ภัยโลก ครั้งที่ 1
26. เรื่อง การขอความเห็นต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562
27. เรื่อง ร่างปฏิญญาทางการเมืองระดับสูงของการประชุมทบทวนระยะกลางของแผนปฏิบัติการเวียนนาสําหรับประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลสําหรับ ทศวรรษ ค.ศ. 2014 – 2024
28. เรื่อง การเข้าร่วม Nitric Acid Climate Action Group (NACAG) Initiative ของประเทศไทย
แต่งตั้ง
29. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน
30. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติแทน ตําแหน่งที่ว่าง
31. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548
32. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการยางแห่ง ประเทศไทย
33. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
34. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง
35. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น ที่พ้นจากตําแหน่งก่อนครบวาระ
36. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการกีฬาในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
37. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านจิตวิทยาองค์การในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
38. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
40. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ในกระทรวงวัฒนธรรม
*******************
สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง คําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 15/2562 เรื่อง กําหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 (พน.)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอคําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 15/2562 เรื่อง กําหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 ซึ่งได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
โดยที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 จึงสมควรปรับปรุงคําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กําหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ซึ่งมีสาระสําคัญซ้ําซ้อนกับพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกําหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 นายกรัฐมนตรีจึงมีคําสั่งให้ปรับปรุงคําสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นคําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 15/2562 เรื่อง กําหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 สรุปการเปลี่ยนแปลงในสาระสําคัญได้ ดังนี้
1. ตัดข้อที่เกี่ยวข้องกับกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงและการดําเนินงานที่เกี่ยวกับกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงออก เนื่องจากมาตรา 54 ของพระราชบัญญัติกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ได้กําหนดให้ข้อกําหนดตามคําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงเป็นอันยกเลิก
2. ปรับปรุงหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ดังนี้
คําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 15/2562
คําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 (เดิม)
(1) กําหนดหลักเกณฑ์การคํานวณราคาและกําหนดราคาสําหรับน้ํามันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจําหน่าย ณ โรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร หรือน้ํามันเชื้อเพลิงที่นําเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(1) กําหนดหลักเกณฑ์สําหรับการคํานวณราคา และกําหนดราคาน้ํามันเชื้อเพลิงที่ทําในราชอาณาจักร ราคาน้ํามันเชื้อเพลิงที่นําเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(2) กําหนดหลักเกณฑ์การคํานวณและค่าการตลาดสําหรับการซื้อขายน้ํามันเชื้อเพลิง
(2) กําหนดค่าการตลาดสําหรับการซื้อขายน้ํามันเชื้อเพลิง
(3) กําหนดหลักเกณฑ์การคํานวณและอัตรา สําหรับค่าขนส่งน้ํามันเชื้อเพลิง หรือค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาน้ํามันเชื้อเพลิง
(3) กําหนดค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซและค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก๊าซ ณ คลังก๊าซ ตลอดจนกําหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซ เป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร
(4) กําหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสําหรับก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม ซึ่งเป็นผู้ผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติในราชอาณาจักร น้ํามันเชื้อเพลิงที่ทําในราชอาณาจักร น้ํามันเชื้อเพลิงที่นําเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร น้ํามันเชื้อเพลิงที่ส่งออก น้ํามันเชื้อเพลิงที่จําหน่ายให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร และก๊าซหุงต้มที่จําหน่ายให้แก่ประชาชน
-
(5) กําหนดชนิดของน้ํามันเชื้อเพลิงที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน หรือไม่ให้ได้รับเงินชดเชย
(4) กําหนดหลักเกณฑ์การคํานวณราคาและกําหนดราคาสําหรับราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นหรือราคาขายปลีก
(6) กําหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคํานวณราคาขายปลีก
-
(7) พิจารณากําหนดอัตราภาษีให้อยู่ในระดับ
ไม่ต่ํากว่าอัตราภาษีต่ําสุดและไม่สูงกว่าอัตราภาษีสูงสุด
(5) กําหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
(8) กําหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
(6) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามคําสั่งนี้
(9) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามคําสั่งนี้
(7) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
(10) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
3. ตัดข้อกําหนด ข้อห้ามปฏิบัติในการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง และก๊าซหุงต้มออก เนื่องจากมีสาระสําคัญอยู่ในพระราชบัญญัติกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 และกฎหมายอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องแล้ว
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน
พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กําหนดให้เครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชนให้ใช้ได้เฉพาะสายรัดข้อมือและกุญแจมือ
2. กําหนดให้สายรัดข้อมือมีชนิดเดียว คือ สายรัดข้อมือพลาสติกขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมด แบบตวัดรัดให้แน่นด้วยตัวเอง โดยใช้ปลายสายพลาสติกพันรอบข้อมือซ้ายและข้อมือขวา
3. กําหนดให้กุญแจมือมี 2 แบบ ได้แก่ กุญแจมือแบบห่วงทําด้วยโลหะมีฟันเฟืองโลหะระหว่างตัวห่วงโลหะทั้งสองข้างเชื่อมติดกันด้วยลูกโซ่โลหะ และกุญแจมือแบบห่วงทําด้วยโลหะมีฟันเฟืองโลหะระหว่างตัวล่วงโลหะทั้งสองข้างเชื่อมติดกันด้วยบานพับโลหะ
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดประโยชน์ของนักโทษเด็ดขาด และเงื่อนไขที่นักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับการ
ลดวันต้องโทษจําคุกหรือการพักการลงโทษและได้รับการปล่อยตัวต้องปฏิบัติ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดประโยชน์ของนักโทษเด็ดขาด และเงื่อนไขที่นักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับการลดวันต้องโทษจําคุกหรือการพักการลงโทษและได้รับการปล่อยตัวต้องปฏิบัติ พ.ศ. ....
ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กําหนดให้นักโทษเด็ดขาดซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความประพฤติดี มีความอุตสาหะ
มีความก้าวหน้าในการศึกษา และทําการงานเกิดผลดี หรือทําความชอบแก่ทางราชการเป็นพิเศษ อาจได้รับ
การพิจารณาเลื่อนชั้น การแต่งตั้งให้มีตําแหน่งหน้าที่ผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานเรือนจํา การลดวันต้องโทษจําคุก
การลดวันต้องโทษจําคุกลงอีกไม่เกินจํานวนวันที่ทํางานสาธารณะหรือทํางานอื่นใด เพื่อประโยชน์ของทางราชการนอกเรือนจํา การพักการลงโทษ การฝึกวิชาชีพในสถานประกอบการนอกเรือนจําหรือการรับการศึกษาอบรมนอกเรือนจํา โดยให้นําพฤติการณ์การกระทําความผิด ลักษณะความผิด ความรุนแรงของคดี และการกระทําความผิดที่ได้กระทํามาก่อนแล้ว มาประกอบการพิจารณาให้ประโยชน์ในแต่ละกรณีด้วย
2. กําหนดให้การเลื่อนชั้นนักโทษเด็ดขาดกรณีปกติ ให้เลื่อนตามลําดับชั้นครั้งละหนึ่งชั้น และ
ให้ผู้บัญชาการเรือนจําดําเนินการเลื่อนชั้นนักโทษเด็ดขาดกรณีปกติตามกําหนดเวลาและเงื่อนไขดังต่อไปนี้
2.1 นักโทษเด็ดขาดซึ่งมีกําหนดโทษจําคุกไม่เกินสามปีและต้องโทษจําคุกเพียงคดีเดียว
ให้เลื่อนชั้นได้ปีละสามครั้ง คือ ในวันสิ้นเดือนเมษายนครั้งหนึ่ง ในวันสิ้นเดือนสิงหาคมครั้งหนึ่ง และในวันสิ้นเดือนธันวาคมอีกครั้งหนึ่ง
2.2 นักโทษเด็ดขาดซึ่งมีกําหนดโทษจําคุกเกินกว่าสามปีหรือต้องโทษจําคุกหลายคดี
ให้เลื่อนชั้นได้ปีละสองครั้ง คือ ในวันสิ้นเดือนมิถุนายนครั้งหนึ่งและในวันสิ้นเดือนธันวาคมอีกครั้งหนึ่ง
3. กําหนดให้กรณีมีความจําเป็นต้องแต่งตั้งนักโทษเด็ดขาดให้มีตําแหน่งหน้าที่ผู้ช่วยเหลือ
เจ้าพนักงานเรือนจําในกิจการเรือนจํา ให้ผู้บัญชาการเรือนจําแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อคัดเลือกนักโทษเด็ดขาด ซึ่งการคัดเลือกนักโทษเด็ดขาดต้องดําเนินการตามหลักเกณฑ์ตามที่กําหนด ดังนี้
3.1 อัตราส่วนของนักโทษเด็ดขาดซึ่งผู้บัญชาการเรือนจําจะแต่งตั้งให้มีตําแหน่งหน้าที่
ผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานเรือนจําต้องไม่เกินร้อยละสามของจํานวนผู้ต้องขังในเรือนจํา
3.2 มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
(ก) เป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยม เว้นแต่มีนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยมไม่เพียงพอให้แต่งตั้งจากนักโทษเด็ดขาดชั้นดีมากหรือชั้นดีตามลําดับ
(ข) เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าที่ผู้ช่วยงานเจ้าพนักงานเรือนจําเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกําหนด
(ค) ไม่อยู่ในระหว่างถูกดําเนินการทางวินัยหรือมีประวัติถูกลงโทษทางวินัยหรือ
เคยถูกถอดถอนจากตําแหน่งหน้าที่ผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานเรือนจําหรือผู้ช่วยงานเจ้าพนักงานเรือนจํา
(ง) ไม่เป็นนักโทษเด็ดขาดซึ่งกระทําความผิดในคดีอุกฉกรรจ์ หรือเป็นอาชญากรโดยอาชีพ หรือเป็นผู้กระทําความผิดในคดียาเสพติดให้โทษที่เข้าข่ายรายสําคัญ และมีอิทธิพลตามที่อธิบดีประกาศกําหนด
4. กําหนดให้นักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับโทษจําคุกตามคําพิพากษาถึงที่สุดมาแล้วไม่น้อยกว่า
หกเดือนหรือหนึ่งในสามของกําหนดโทษตามหมายศาลในขณะนั้นแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า หรือไม่น้อยกว่า
สิบปีในกรณีที่ต้องโทษจําคุกตลอดชีวิตที่มีการเปลี่ยนโทษจําคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจําคุกมีกําหนดเวลา อาจได้รับการลดวันต้องโทษจําคุกตามชั้นและตามจํานวนวัน ได้แก่ ชั้นเยี่ยม เดือนละห้าวัน ชั้นดีมาก เดือนละสี่วัน และ
ชั้นดี เดือนละสามวัน
5. กําหนดให้นักโทษเด็ดขาดซึ่งถูกส่งออกไปทํางานสาธารณะหรือทํางานอื่นใดเพื่อประโยชน์ของทางราชการนอกเรือนจํา ให้ได้รับการลดวันต้องโทษคําคุกลงเท่าจํานวนวันที่ทํางานนั้น และคณะอนุกรรมการ
เพื่อพิจารณาคัดเลือกนักโทษเด็ดขาดที่จะสั่งให้ออกไปทํางานสาธารณะ หรือทํางานอื่นใดเพื่อประโยชน์ของทางราชการนอกเรือนจําอาจกําหนดให้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออุปกรณ์อื่นใดเพื่อสนับสนุนการควบคุมตัวนักโทษเด็ดขาดก็ได้
6. กําหนดให้นักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับโทษจําคุกตามคําพิพากษาถึงที่สุดมาแล้วไม่น้อยกว่า
หกเดือนหรือหนึ่งในสามของกําหนดโทษตามหมายศาลในขณะนั้นแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า หรือไม่น้อยกว่า
สิบปีในกรณีที่ต้องโทษจําคุกตลอดชีวิตที่มีการเปลี่ยนโทษจําคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจําคุกมีกําหนดเวลา อาจได้รับการพักการลงโทษ
7. กําหนดให้นักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับโทษจําคุกตามคําพิพากษาถึงที่สุดมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของกําหนดโทษตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในขณะนั้น และเหลือโทษจําคุกไม่เกินสามปีหกเดือน
อาจได้รับอนุญาตให้ออกไปฝึกวิชาชีพในสถานประกอบการนอกเรือนจํา และผู้บัญชาการเรือนจําอาจกําหนดให้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดเพื่อสนับสนุนการควบคุมตัวนักโทษเด็ดขาดผู้นั้นก็ได้
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินสนับสนุนและเงินชดเชยตามมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินสนับสนุนและเงินชดเชยตามมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
กําหนดให้เงินสนับสนุนและเงินชดเชยที่ผู้มีเงินได้ได้รับตามมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ อันเนื่องมาจากการซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ขายสินค้า หรือผู้ให้บริการผ่านระบบการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
ทั้งนี้ กค. รายงานว่า การเสนอร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้จะทําให้รัฐอาจสูญเสียรายได้จากการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประมาณ 5,500 ล้านบาท แต่ประโยชน์ที่จะได้รับจากการยกเว้นภาษีดังกล่าวจะทําให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัว อันเป็นผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจัดเก็บรายได้ภาษีอากร และส่งเสริมภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวให้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 จํานวน 6 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม 6 ฉบับ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
2. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดําเนินการจัดทํากฎหมายลําดับรองได้ภายในกําหนดระยะเวลาตามพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
ร่างกฎกระทรวงรวม 6 ฉบับ มีสาระสําคัญดังนี้
ร่างกฎกระทรวง
สาระสําคัญ
1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดเครื่องกําเนิดรังสีที่ต้องแจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ พ.ศ. ....
กําหนดให้เครื่องกําเนิดรังสีดังต่อไปนี้ ต้องแจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ต่อเลขาธิการสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ
(1) เครื่องกําเนิดรังสีที่มีลักษณะปิดมิดชิด สําหรับงานวิเคราะห์หรืองานตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ทางด้านการศึกษาวิจัย ด้านการเกษตรกรรม ด้านการอุตสาหกรรม และด้านความมั่นคงปลอดภัย
(fully enclosed radiation generator for analysis or inspection related to research and development, agriculture, industry, and security)
(2) เครื่องฉายรังสีทางชีวภาพโดยวิธีเอกซเรย์กําลังต่ําในลักษณะที่ปิดมิดชิด (fully enclosed low-energy x-ray biological irradiator)
(3) เครื่องเอกซเรย์ตรวจกระเป๋า (baggage inspection x-ray unit) รวมถึงเครื่องถ่ายภาพรังสีโดยอาศัยการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์
(4) เครื่องเอกซเรย์กระเจิงกลับแบบมือถือสําหรับงานรักษาความปลอดภัย (handheld backscatter x-ray security inspection unit)
(5) เครื่องเอกซเรย์สําหรับงานวิเคราะห์แบบมือถือหรือพกพา (Handheld or portable x-ray analysis unit)
(6) เครื่องวัดทางอุตสาหกรรมด้วยรังสีเอกซ์แบบติดตั้งอยู่กับที่ (fixed industrial x-ray gauges)
(7) หลอดเอกซเรย์ หรือหลอดเอกซเรย์พร้อมเรือนหลอด (tube housing) ของเครื่องกําเนิดรังสีตามรายการข้างต้น
2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและระยะเวลาในการแจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสี
พ.ศ. ....
- กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและระยะเวลาในการแจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีดังต่อไปนี้
(1) ผู้มีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 26/2 วรรคหนึ่ง ต้องยื่นคําขอแจ้งการครอบครองหรือใช้ต่อเลขาธิการสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีดังกล่าว
(2) กําหนดให้ในกรณีก่อนการใช้งานเครื่องกําเนิดรังสีครั้งแรก และทุก ๆ สองปีตลอดที่มีการใช้งานเครื่องกําเนิดรังสี ผู้แจ้งต้องยื่นสําเนารายงานผลการประเมินความปลอดภัยที่ผ่านมาตรฐานจากหน่วยงานที่สํานักงานประกาศรับรองภายในสามสิบวันหลังจากวันที่ได้รับผลการตรวจ
(3) กําหนดเงื่อนไขให้ผู้แจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีที่ประสงค์จะยกเลิกการครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีตามที่ได้แจ้งไว้จะต้องดําเนินการตามที่กําหนด เช่น การจัดการเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ ส่งออกเครื่องกําเนิดรังสี จําหน่ายหรือส่งต่อให้ผู้ที่ประสงค์จะครอบครองหรือใช้รายอื่น
3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์การจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสี พ.ศ. ....
- กําหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้รับใบอนุญาตผลิต มีไว้ในครอบครองหรือใช้วัสดุกัมมันตรังสี หรือผู้รับใบอนุญาตมีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสี ต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสีอย่างน้อยหนึ่งคนทําหน้าที่ควบคุมดูแลความปลอดภัยทางรังสีของสถานประกอบการของผู้รับใบอนุญาต ทั้งในกรณีการปฏิบัติงานปกติและเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉินทางรังสีโดยมีหลักการจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสีดังต่อไปนี้
(1) สถานประกอบการที่ใช้วัสดุกัมมันตรังสีประเภท 1 และเครื่องกําเนิดรังสี ประเภท 1 ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสีอยู่ประจําตลอดเวลาที่ใช้วัสดุกัมมันตรังสีหรือเครื่องกําเนิดรังสีนั้น
(2) สถานประกอบการที่ใช้วัสดุกัมมันตรังสีประเภท 2 3 และ 4 และเครื่องกําเนิดรังสีประเภท 2 ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสีที่พร้อมปฏิบัติหน้าที่เมื่อเรียกหา ทั้งนี้ การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวอาจมีลักษณะเป็น
การถ่ายทอดภาพและเสียงในลักษณะการประชุมทางจอภาพได้
4. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์การจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดําเนินการทางเทคนิคเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์ พ.ศ. ....
- กําหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้รับใบอนุญาตมีไว้ในครอบครองหรือใช้ นําเข้า ส่งออก หรือนําผ่านวัสดุนิวเคลียร์ ต้องจัดให้มีหน้าที่ดําเนินการทางเทคนิคตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
(1) ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดําเนินการทางเทคนิคเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์อย่างน้อยหนึ่งคนประจําสถานที่ทําการของผู้รับใบอนุญาต
(2) ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดําเนินการทางเทคนิคเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์ที่ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าที่ควบคุมดูแลความปลอดภัยและความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ของสถานที่ทําการของผู้รับใบอนุญาต จะต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่ตลอดเวลาที่เปิดทําการ
(3) ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดําเนินการทางเทคนิคเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์ที่ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าที่ควบคุมดูแลเกี่ยวกับการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ของสถานที่ทําการของผู้รับใบอนุญาตจะต้องพร้อมปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายโดยไม่จําเป็นต้องอยู่ประจําตลอดเวลาที่เปิดทําการ
(4) ผู้รับใบอนุญาตอาจมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการทางเทคนิคเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์หนึ่งคนทําหน้าที่ควบคุมดูแลทั้งความปลอดภัย ความมั่นคงปลอดภัย และการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ก็ได้
5. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์การจัดให้มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ พ.ศ. ....
- กําหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้รับใบอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ดังต่อไปนี้
(1) สถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการผลิตพลังงาน แต่ไม่รวมถึงยานหาพนะที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการผลิตพลังงานสําหรับการขับเคลื่อน
(2) สถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย
6. ร่างกฎกระทรวงความปลอดภัยทางรังสีสําหรับเครื่องกําเนิดรังสีที่ต้องแจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ พ.ศ. ....
- กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับความปลอดภัยทางรังสีเพื่อให้ผู้มีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีตามมาตรา 26/2 ต้องปฏิบัติ โดยกําหนดให้ความปลอดภัยทางรังสี หมายถึง การป้องกันประชาชนและสิ่งแวดล้อมจากความเสี่ยงทางรังสี และความปลอดภัยของสถานประกอบการหรือกิจกรรมใดๆ ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงจากรังสี ทั้งที่เกิดจากการปฏิบัติงานตามปกติและเกิดจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ใด ๆ อันอาจคาดหมายได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับความปลอดภัยทางรังสีให้ผู้แจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีตามมาตรา 26/2 ต้องปฏิบัติในเรื่องดังต่อไปนี้
(1) การดําเนินการด้านควบคุมความปลอดภัยทางรังสี โดยต้องจัดให้มีมาตรการด้านความปลอดภัยทางรังสี อุปกรณ์ เครื่องใช้ เช่น การจัดให้มีอุปกรณ์บันทึกปริมาณรังสีประจําตัวบุคคลที่เหมาะสมกับชนิดของรังสีที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน
(2) สัญลักษณ์เตือนภัยจากรังสี เช่น ต้องติดตั้งเครื่องหมายสัญลักษณ์ทางรังสีที่เห็นได้ชัดเจนที่จุดทางเข้าพื้นที่ควบคุมและพื้นที่ตรวจตรา เครื่องกําเนิดรังสีและตําแหน่งอื่นที่เหมาะสม
(3) ผู้ปฏิบัติงานทางรังสี เช่น ห้ามไม่ให้บุคคลที่มีอายุต่ํากว่าสิบหกปี เข้าไปในพื้นที่ควบคุมและพื้นที่ตรวจตราหรือปฏิบัติงานใด ๆ เกี่ยวกับรังสี
(4) จํากัดปริมาณรังสี (dose limit) เช่น การควบคุมดูแลให้ผู้ปฏิบัติงานทางรังสี ได้รับรังสีน้อยที่สุดเท่าที่จะสามารถดําเนินการได้อย่างสมเหตุสมผลตามมาตรฐานการปฏิบัติงานนั้น ๆ และต้องได้รับรังสีไม่เกินปริมาณที่กําหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงนี้
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดที่ตั้ง สภาพแวดล้อม ลักษณะของสถานที่ และเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ที่จําเป็นประจําสถานที่ดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดที่ตั้ง สภาพแวดล้อม ลักษณะของสถานที่ และเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ที่จําเป็นประจําสถานที่ดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กําหนดให้ที่ตั้งของสถานที่ดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ต้องสะอาด ปราศจาก
สิ่งรกรุงรัง หรือแหล่งสะสมของขยะ เชื้อโรค สัตว์พาหะ ฝุ่นละออง และมลพิษ หากที่ตั้งของสถานที่ดําเนินการเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ ไม่มีเส้นทางการคมนาคม ไม่สามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคที่จําเป็นได้ อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาด เป็นพื้นที่ใกล้กับแหล่งที่มาของเชื้อโรค มลพิษ เสียง ความสั่นสะเทือน หรือมีลักษณะอื่นใดที่อาจทําให้ไม่เหมาะสมต่อการดําเนินการ ให้ผู้รับผิดชอบสถานที่ดําเนินการชี้แจงเหตุผลความจําเป็นในการตั้งสถานที่ดําเนินการนั้น พร้อมแผนหรือมาตรการจัดการ
2. กําหนดให้สถานที่ดําเนินการต้องมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ (1) ลักษณะงานทางวิทยาศาสตร์ (2) ประเภท ชนิด สายพันธุ์ จํานวน และพฤติกรรมของสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ (3) วิธีการเลี้ยงหรือระบบการเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ (4) การป้องกันการติดเชื้อ การควบคุมสภาพแวดล้อม
การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค สารพิษ มลพิษ จากการเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ และ
(5) เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน
3. กําหนดให้สถานที่ดําเนินการสําหรับสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ประเภทสัตว์ทดลองต้องมีระบบการเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ระบบอนามัยเข้ม (Strict Hygienic Conventional System) ระบบปลอดเชื้อก่อโรคจําเพาะ (Specified Pathogen Free System) ระบบปลอดเชื้อสมบูรณ์ (Germ Free System) และระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในการเลี้ยงสัตว์ (Animal Biosafety) ระบบใดระบบหนึ่งหรือ
หลายระบบ
4. สถานที่ดําเนินการต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้บุคคล ยานพาหนะ ที่ไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงสิ่งรบกวนและสัตว์อื่นเข้าไปภายในสถานที่หรือบริเวณต้องห้าม และไม่ให้สัตว์ที่เลี้ยงไว้หลุดออกไปภายนอกได้
5. เครื่องมือ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ที่จําเป็นต่อการดําเนินการต่อสัตว์ เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ประจําสถานที่ดําเนินการต้องมีลักษณะและจํานวนที่เหมาะสมกับวิธีการเลี้ยง หรือระบบการเลี้ยง ประเภท ชนิด จํานวนของสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ และลักษณะของงานทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง โดยให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติการเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ที่คณะกรรมการประกาศกําหนด
6. กําหนดให้ผู้รับผิดชอบสถานที่ดําเนินการต้องจัดให้มีการประเมินความเสี่ยง แผนจัดการความเสี่ยง และแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือภัยธรรมชาติไว้ให้ชัดเจน และมีการซักซ้อมอย่างสม่ําเสมอ
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 และแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 รวม 4 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างกฎกระทรวงการจดแจ้งและการออกใบรับจดแจ้งเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ....
2. ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ....
3. ร่างกฎกระทรวงการแจ้งรายการละเอียดและการออกใบรับแจ้งรายการละเอียดเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ....
4. ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ....
และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
ร่างกฎกระทรวง
สาระสําคัญ
ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1
(1) กําหนดให้ผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าที่ประสงค์จะผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ให้ยื่นคําขออนุญาตผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์พร้อมด้วยหนังสือรับรองความสอดคล้องของผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตหรือเจ้าผลิตภัณฑ์ฉลากและเอกสารกํากับเครื่องมือแพทย์และเอกสารหรือหลักฐานอื่นตามที่กําหนดในแบบคําขอ
(2) เมื่อผู้อนุญาตได้รับคําขอแล้ว ให้ตรวจสอบคําขอ เอกสารและหลักฐานที่ผู้ยื่นคําขอส่งมอบ หากครบถ้วน ถูกต้องและชําระค่าธรรมเนียมใบรับจดแจ้งตามที่กําหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยเรื่องกําหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์แล้วให้ออกใบรับจดแจ้งไว้เป็นหลักฐาน
(3) คําขอจดแจ้งหรือรายการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามแบบที่เลขาธิการกําหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการและประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(4) การยื่นคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้ยื่น ณ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข หรือด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ หรือด้วยวิธีการอื่นใดตามที่เลขาธิการกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 2
(1) กําหนดให้ผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าที่ประสงค์จะผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ให้ยื่นคําขออนุญาตผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์พร้อมด้วยฉลากและเอกสารกํากับเครื่องมือแพทย์ และเอกสารหรือหลักฐานอื่นตามที่กําหนดในแบบคําขอ
(2) ผู้รับอนุญาตที่ประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาต ให้ยื่นคําขอต่ออายุใบอนุญาตต่อผู้อนุญาตก่อนวันที่ใบอนุญาตสิ้นอายุ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามที่กําหนดในแบบคําขอ โดยการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาต ให้กระทําโดยวิธีสลักหลังใบอนุญาตหรือจะออกใบอนุญาตให้ใหม่ก็ได้
(3) ในกรณีที่ผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้รับอนุญาตในใบจดทะเบียนสถานประกอบการผลิตเครื่องมือแพทย์หรือใบจดทะเบียนสถานประกอบการนําเข้าเครื่องมือแพทย์ ตามกรณีที่กําหนด ได้แก่ (1) ชื่อผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ (2) ชื่อหรือที่ตั้งสถานที่ผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ให้ถือว่าผู้รับอนุญาตผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์นั้น ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้รับอนุญาตในใบอนุญาตดังกล่าวนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการในใบจดทะเบียนสถานประกอบการ
(4) ผู้รับอนุญาตผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ผู้ใดประสงค์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้รับอนุญาตในกรณีอื่นๆ นอกจากข้างต้น ให้ยื่นคําขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้รับอนุญาตผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ต่อผู้อนุญาต พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามที่กําหนดใบแบบคําขอ โดยการอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไข จะแสดงไว้ในท้ายคําขอหรือใบแนบท้ายใบอนุญาตหรือแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้รับอนุญาตทราบก็ได้
(5) ในกรณีที่ใบอนุญาตชํารุด สูญหาย หรือถูกทําลาย ให้ผู้รับอนุญาตผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ยื่นคําขอรับใบแทนใบอนุญาตต่อผู้อนุญาต โดยให้ส่งคืนใบอนุญาตฉบับเดิมที่ชํารุดหรือยื่นหลักฐานการแจ้งความกรณีสูญหายหรือถูกทําลายด้วย แล้วแต่กรณี โดยใบแทนใบอนุญาต ให้ใช้แบบใบอนุญาตผลิตเครื่องมือแพทย์หรือแบบใบอนุญาตนําเข้าเครื่องมือแพทย์ แล้วแต่กรณี และให้มีคําว่า “ใบแทน” กํากับไว้ที่ด้านหน้าด้วย
(6) คําขออนุญาต ใบอนุญาต คําขอต่ออายุใบอนุญาต คําขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการในใบอนุญาตหรือรายการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และคําขอรับใบแทนใบอนุญาต ให้เป็นไปตามแบบที่เลขาธิการกําหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการและประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา
(7) การยื่นคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้ยื่น ณ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข หรือด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ หรือด้วยวิธีการอื่นใดตามที่เลขาธิการกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(8) กําหนดบทเฉพาะกาล ให้ใบอนุญาตที่ออกให้ก่อนวันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับให้ใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบอนุญาตจะสิ้นอายุ และคําขอใดๆ ที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของผู้อนุญาต ให้ถือว่าเป็นคําขอตามกฎกระทรวงนี้โดยอนุโลม ในกรณีที่คําขอดังกล่าวมีข้อแตกต่างไปจากคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้ผู้อนุญาตมีอํานาจสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติมได้ตามความจําเป็นเพื่อให้
การเป็นไปตามกฎกระทรวงนี้
ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 3
(1) กําหนดให้ผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ที่ประสงค์จะผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ให้ยื่นคําขอแจ้งรายการละเอียดผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ พร้อมด้วยฉลากและเอกสารกํากับเครื่องมือแพทย์และเอกสารหรือหลักฐานอื่นตามที่กําหนดในแบบคําขอ
(2) ผู้รับอนุญาตที่ประสงค์จะขอต่ออายุใบรับแจ้งรายการละเอียด ให้ยื่นคําร้องขอต่ออายุใบรับแจ้งรายการละเอียด ให้ยื่นคําขอต่ออายุใบรับแจ้งรายการละเอียดก่อนวันที่ใบรับแจ้งรายการละเอียดสิ้นอายุ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามที่กําหนดในแบบคําขอ โดยการอนุญาตให้ต่ออายุใบรับแจ้งรายการละเอียด ให้กระทําโดยวิธีสลักหลังใบรับแจ้งรายการละเอียดหรือจะออกใบรับแจ้งรายการละเอียดให้ใหม่ก็ได้
(3) ในกรณีที่ผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้รับอนุญาตในใบจดทะเบียนสถานประกอบการผลิตเครื่องมือแพทย์หรือใบจดทะเบียนสถานประกอบการนําเข้าเครื่องมือแพทย์ ตามกรณีที่กําหนด ได้แก่ (1) ชื่อผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ (2) ชื่อหรือที่ตั้งสถานที่ผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ ให้ถือว่าผู้แจ้งรายการละเอียดผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์นั้นได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้แจ้งไว้ในใบรับแจ้งรายการละเอียดดังกล่าวนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการในใบจดทะเบียนสถานประกอบการ
(4) ผู้แจ้งรายการละเอียดผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ผู้ใดประสงค์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้แจ้งไว้ในกรณีอื่นๆ นอกจากข้างต้น ให้ยื่นคําขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้แจ้งรายการผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ต่อผู้อนุญาต พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามที่กําหนดในแบบคําขอโดยการอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไข จะแสดงไว้ในท้ายคําขอหรือใบแนบท้ายใบรับแจ้งรายการละเอียด หรือแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้รับแจ้งรายการละเอียดทราบก็ได้
(5) ในกรณีที่ใบรับแจ้งรายการละเอียด ชํารุด สูญหาย หรือถูกทําลาย ให้แจ้งรายการละเอียดผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ยื่นคําขอรับใบแทนใบรับแจ้งรายการละเอียดต่อผู้อนุญาต โดยให้ส่งคืนใบรับแจ้งรายการละเอียดฉบับเดิมที่ชํารุดหรือยื่นหลักฐานการแจ้งความกรณีสูญหายหรือถูกทําลายด้วย แล้วแต่กรณี โดยใบแทนใบรับแจ้งรายการละเอียด ให้ใช้แบบใบรับแจ้งรายการละเอียดผลิตเครื่องมือแพทย์หรือแบบใบรับแจ้งรายการละเอียดนําเข้าเครื่องมือแพทย์แล้วแต่กรณี และให้มีคําว่า “ใบแทน” กํากับไว้ที่ด้านหน้าด้วย
(6) คําขอแจ้งรายการละเอียด ใบแจ้งรายการละเอียด คําขอต่ออายุใบรับแจ้งรายการละเอียด คําขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการในใบรับแจ้งรายการละเอียดหรือรายการ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และคําขอรับใบแทนใบรับแจ้งรายการละเอียดให้เป็นไปตามแบบที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กําหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการและประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(7) การยื่นคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้ยื่น ณ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข หรือด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ หรือด้วยวิธีการอื่นใด
ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(8) กําหนดบทเฉพาะกาล ให้ใบรับแจ้งรายการละเอียดผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ที่ออกให้ก่อนวันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับ ให้ใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบอนุญาตจะสิ้นอายุ และคําขอใด ๆ ที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับและยังอยู่ในระหว่าง
การพิจารณาของผู้อนุญาต ให้ถือว่าเป็นคําขอตามกฎกระทรวงนี้โดยอนุโลมในกรณีที่คําขอดังกล่าวมีข้อแตกต่างไปจากคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้ผู้อนุญาตมีอํานาจสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติมได้ตามความจําเป็นเพื่อให้การเป็นไปตามกฎกระทรวงนี้
ร่างกฎกระทรวง
ตามข้อ 4
ค่าธรรมเนียม
ตามร่างกฎกระทรวงฯ
(ฉบับละ/บาท)
ค่าธรรมเนียมท้าย
พระราชบัญญัติฯ
(ฉบับละ/บาท)
ให้กําหนดค่าธรรมเนียม อาทิ
(1) ใบจดทะเบียนสถานประกอบการผลิต
(2) ใบจดทะเบียนสถานประกอบการนําเข้า
(3) ใบอนุญาตผลิตเครื่องมือแพทย์
(4) ใบอนุญาตนําเข้าเครื่องมือแพทย์
(5) ใบอนุญาตขายเครื่องมือแพทย์
ฯลฯ
ฯลฯ
ฯลฯ
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 จํานวน 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 (ปรับปรุงกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการผลิตยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. 2546)
1.1 ปรับปรุงการกําหนดขั้นตอนและหลักฐานในการยื่นขอใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบัน
1.2 กําหนดเพิ่มเติมให้ผู้รับใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบันต้องดําเนินการ
1.2.1 จัดทํารายงานประจําปีเกี่ยวกับการผลิตยาที่ได้ขึ้นทะเบียนตํารับยาและรายการประจําปีเกี่ยวกับการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
1.2.2 จัดให้มีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตยา และกระจายยาตามลักษณะและจํานวนที่รัฐมนตรีกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
1.2.3 ดําเนินการผลิตยาและกระจายยาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขใน การผลิตยาและการกระจายยาแผนปัจจุบันที่รัฐมนตรีกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
1.2.4 ปฏิบัติตามเงื่อนไขและคํารับรองตามที่ให้ไว้ในทะเบียนตํารับยาของตน
1.3 เพิ่มเงื่อนไขในการต่ออายุใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบัน โดยกําหนดให้ผู้อนุญาตจะพิจารณาไม่ต่ออายุใบอนุญาต เมื่อปรากฏว่า
1.3.1 ผู้รับอนุญาตขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 14
1.3.2 ไม่ผ่านการตรวจประเมินสถานที่ผลิตยาแผนปัจจุบัน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจประเมินสถานที่ผลิตยาแผนปัจจุบัน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการผลิตยาแผนปัจจุบันที่รัฐมนตรีกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
1.3.3 ไม่ผ่านการตรวจประเมินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกระจายยาแผนปัจจุบันที่รัฐมนตรีกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
1.4 กําหนดเพิ่มเติมให้ผู้รับอนุญาตผลิตยาสามารถเพิ่มสถานที่เก็บยาได้
2. ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 (ปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2525) ออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510)
2.1 กําหนดให้รัฐมนตรีมีอํานาจประกาศกําหนดลักษณะและจํานวนอุปกรณ์ และสถานที่ที่ใช้ในการเก็บรักษายา
2.2 กําหนดให้ผู้รับใบอนุญาตดําเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
2.2.1 นําหรือสั่งยาจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการผลิตยาแผนปัจจุบัน หรือได้มาตรฐานทัดเทียมกัน
2.2.2 ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเก็บรักษายา และ
การกระจายยา
2.2.3 ปฏิบัติตามเงื่อนไขและคํารับรองที่ให้ไว้ในทะเบียนตํารับยาของตน
2.2.4 รายงานการส่งออกยาไปนอกราชอาณาจักร
2.3 เพิ่มเงื่อนไขในการต่ออายุใบอนุญาตนําหรือสั่งยาแผนปัจจุบันเข้ามาในราชอาณาจักร โดยกําหนดให้ผู้อนุญาตจะพิจารณาไม่ต่ออายุใบอนุญาต เมื่อปรากฏว่า
2.3.1 ผู้รับใบอนุญาตขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 14
2.3.2 ไม่ผ่านการตรวจประเมินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเก็บรักษายาและการกระจายยาแผนปัจจุบันที่รัฐมนตรีกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2.4 ปรับปรุงแบบท้ายกฎกระทรวงให้เหมาะสมและสอดคล้องกัน
9. เรื่อง ร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมทางหลวงชนบท ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานทางหลวงตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมทางหลวงชนบท ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานทางหลวงตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี
กําหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษข้าราชการกรมทางหลวงชนบท ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพนักงานทางหลวงตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวง
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. .... เพื่อยกเลิกคดีพิเศษที่ต้องดําเนินการตามที่กําหนดในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ รวม 13 คดีความผิด
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
ยกเลิกคดีความผิดทางอาญาที่กําหนดเพิ่มเติมในกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดคดีพิเศษเพิ่มเติม ตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และกฎกระทรวงฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 จํานวน 5 คดีความผิด ดังนี้
คดีความผิดอาญาตามกฎกระทรวงฯ
คดีความผิดอาญาตามร่างกฎกระทรวงฯ ที่ ยธ. เสนอ
(1) คดีความผิดตามประมวลรัษฎากร
(2) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
(3) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต
(4) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยสุรา
(5) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยาสูบ
(6) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(7) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
(8) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
(9) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยแร่
(10) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(11) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องสําอาง
(12) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย
(13) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยา
(14) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร
(15) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
(16) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้
(17) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ
(18) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ
(19) คดีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
(1) คดีความผิดตามประมวลรัษฎากร
(2) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
(3) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต
(4) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยสุรา
(5) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยาสูบ
(6) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(7) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
(8) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
(9) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยแร่
(10) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(11) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องสําอาง
(12) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย
(13) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยา
(14) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร
(15) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
(16) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้
(17) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ
(18) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ
(19) คดีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
11. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทาน การประดับและกรณีที่ให้ประดับเหรียญพิทักษ์เสรีชน สิทธิ บัตรประจําตัว และการเรียกเหรียญกับบัตรประจําตัวผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนคืน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทาน
การประดับและกรณีที่ให้ประดับเหรียญพิทักษ์เสรีชน สิทธิ บัตรประจําตัว และการเรียกเหรียญกับบัตรประจําตัว
ผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนคืน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย
สาระสําคัญของร่างระเบียบ
เป็นการยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทาน การประดับ และกรณีที่ให้ประดับเหรียญพิทักษ์เสรีชน สิทธิ บัตรประจําตัว และการเรียกเหรียญกับบัตรประจําตัวผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนคืน พ.ศ. 2512 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์ คุณสมบัติ วิธีการ และเงื่อนไขการขอพระราชทานการประดับและกรณีให้ประดับเหรียญพิทักษ์เสรีชน สิทธิ บัตรประจําตัว และการเรียกเหรียญกับบัตรประจําตัวผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนคืน เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติเหรียญพิทักษ์เสรีชน
พ.ศ. 2512 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเหรียญพิทักษ์เสรีชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 ซึ่งจะทําให้การขอพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนครอบคลุมถึงผู้ที่ทางราชการมีคําสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงภายใน การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การปฏิบัติการเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติในต่างประเทศ หรือปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ อันเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงของประเทศ
12. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเกี่ยวกับกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะตามมาตรา 7 (1) (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน รวม 3 ฉบับ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ ทั้ง 3 ฉบับ
1. ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ เรื่อง กิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการถนน ทางหลวง ทางพิเศษ และการขนส่งทางถนน พ.ศ. .... ได้กําหนดกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการถนน ทางหลวง ทางพิเศษ และการขนส่งถนน
ตามมาตรา 7 (1) แห่ง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ดังนี้
1.1 ให้กิจการดังต่อไปนี้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ
การดําเนินกิจการทางถนน ทางหลวง ทางพิเศษ
(1) ที่พักริมทาง
(2) ระบบควบคุมการเก็บเงินค่าใช้ทาง
(3) ระบบการสื่อสาร
(4) ระบบการควบคุมการจราจร
1.2 ให้กิจการดังต่อไปนี้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ
การดําเนินกิจการการขนส่งทางถนน
(1) สถานีขนส่งผู้โดยสาร
(2) สถานีขนส่งสัตว์และหรือสิ่งของ
(3) อู่ซ่อมรถและบริการซ่อมรถ
(4) การพัฒนาระบบตั๋วร่วม
2. ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ เรื่อง กิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการรถไฟ รถไฟฟ้า และการขนส่งทางราง พ.ศ. .... ได้กําหนดกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการรถไฟ รถไฟฟ้า และการขนส่งทางราง ตามมาตรา 7 (2) แห่ง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ดังนี้
2.1 ให้กิจการดังต่อไปนี้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการรถไฟ รถไฟฟ้า
(1) ระบบควบคุมการเดินรถ
(2) ระบบการสื่อสาร
(3) ระบบจัดเก็บค่าโดยสาร
(4) ระบบจ่ายกําลังไฟฟ้าขับเคลื่อน
(5) ศูนย์ซ่อมบํารุง
(6) สถานที่จอดยานพาหนะของผู้โดยสาร
2.2 ให้กิจการดังต่อไปนี้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการการขนส่งทางราง
(1) สถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง
(2) ย่านกองเก็บตู้สินค้า ลานบรรทุกตู้สินค้า
(3) การพัฒนาระบบตั๋วร่วม
3. ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ เรื่อง กิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการท่าเรือและการขนส่งทางน้ํา พ.ศ. .... ได้กําหนดกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการท่าเรือและการขนส่งทางน้ํา ตามมาตรา 7 (4) แห่ง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ดังนี้
3.1 ให้กิจการดังต่อไปนี้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการท่าเรือ
(1) โรงพักสินค้าเพื่อตรวจปล่อยของขาเข้าและบรรจุของขาออกที่ขนส่งโดยระบบคอนเทนเนอร์นอกเขตทําเนียบท่าเรือ
(2) สถานีตรวจและบรรจุสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์เพื่อการส่งออก
(3) ท่าเรือบก
(4) การใช้เรือลากจูง
(5) การยกตู้สินค้าโดยปั้นจั่นยกตู้สินค้า
(6) คลังสินค้า โรงเก็บรักษาสินค้า ลานวางตู้สินค้า
3.2 ให้กิจการดังต่อไปนี้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการการขนส่งทางน้ํา
(1) อู่เรือ
(2) การพัฒนาระบบตั๋วร่วม
13. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงที่ต้องจัดทําตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จํานวน 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ....
2. ร่างกฎกระทรวงการงดหรือลดเบี้ยปรับ พ.ศ. .... 3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขใน
การคํานวณมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์ พ.ศ. .... รวมจํานวน 3 ฉบับ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง จํานวน 3 ฉบับ
ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับ ดังกล่าว กําหนดขึ้นเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งเป็นผู้จัดเก็บภาษีนําไปปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสําหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างบางประเภท งดเบี้ยปรับของภาษีที่ค้างชําระกรณีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างถูกยึดหรืออายัดตามกฎหมาย รวมถึงการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการในการคํานวณราคาประเมินทุนทรัพย์สําหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์ โดยมีสาระสําคัญดังนี้
1. ร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ....
1.1 กําหนดให้ลดภาษีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างร้อยละ 50 ดังต่อไปนี้
1.1.1 ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาได้มาทางมรดก โดยใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ทั้งนี้ ต้องได้รับโอนมรดกและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมก่อนวันที่ 13 มีนาคม 2562
1.1.2 ที่ดินที่เป็นที่ตั้งของโรงผลิตไฟฟ้า และโรงผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้ ให้รวมถึงที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นที่ใช้ประโยชน์เกี่ยวเนื่องกับการผลิตไฟฟ้า
1.2 กําหนดให้ลดภาษีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างร้อยละ 90 ดังต่อไปนี้
1.2.1 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นอสังหาริมทรัพย์รอการขายของสถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น สถาบันการเงินประชาชน บริษัทบริหารสินทรัพย์ เป็นเวลา
ไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกเป็นของหน่วยงาน
1.2.2 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นโครงการจัดสรรเพื่ออยู่อาศัยหรืออุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินเป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินดังกล่าว
1.2.3 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นอาคารชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด เป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารชุดดังกล่าว
1.2.4 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว
1.2.5 ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ได้ดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน กฎหมายว่าด้วยอาคารชุด หรือกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยแล้ว ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายดังกล่าวยังไม่ได้ขายเป็นเวลาไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่ 13 มีนาคม 2562
1.2.6 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในกิจการของสถาบันอุดมศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในกิจการของโรงเรียน ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
1.2.7 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นสถานที่ให้บริการแก่ประชาชนเป็นการทั่วไป ได้แก่ เล่นกีฬา สวนสัตว์ สวนสนุกที่มีเครื่องเล่นที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
1.2.8 ที่จอดรถของการรถไฟฟ้า ที่ดินที่เป็นลานจอดรถสาธารณะในสถานีขนส่งผู้โดยสาร ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่ตั้งของถนนหรือทางยกระดับ ที่เป็นทางพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือเป็นทางหลวงสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวงสัมปทาน
2. ร่างกฎกระทรวงการงดหรือลดเบี้ยปรับ พ.ศ. .... เป็นการกําหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการของดเบี้ยปรับของภาษีที่ค้างชําระสําหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ถูกยึดหรืออายัดตามกฎหมาย
3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคํานวณมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์ พ.ศ. .... เป็นการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคํานวณมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างสําหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์กําหนด ดังนี้
3.1 กรณีที่ดิน
3.1.1 ที่ดินที่มีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทําประโยชน์ (นส. 3 ก.) ให้พนักงานประเมินเทียบเคียงราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินกับแปลงที่ดินใกล้เคียงที่มีสภาพคล้ายคลึงกัน
3.1.2 ที่ดินที่มีหนังสือสําคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินอื่น หรือที่ดินที่ไม่มีหนังสือสําคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้พนักงานประเมินใช้ราคาที่ดินตามบัญชีกําหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินรายเขตปกครองกรมธนารักษ์หรือสํานักงานกรมธนารักษ์พื้นที่จัดส่งให้เป็นฐานในการคํานวณภาษีของที่ดิน
3.2 กรณีสิ่งปลูกสร้าง ให้พนักงานประเมินใช้ราคาสิ่งปลูกสร้างตามบัญชีกําหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ของสิ่งปลูกสร้างที่กรมธนารักษ์หรือสํานักงานธนารักษ์พื้นที่จัดส่งให้ เป็นฐานในการคํานวณภาษีของสิ่งปลูกสร้าง และกรณีไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์ของสิ่งปลูกสร้างให้พนักงานประเมินเทียบเคียงราคาประเมินทุนทรัพย์ของสิ่งปลูกสร้างตามบัญชีเทียบเคียงสิ่งปลูกสร้างที่กรมธนารักษ์หรือสํานักงานธนารักษ์พื้นที่จัดส่งให้
3.3 กรณีสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะอื่นซึ่งไม่สามารถเทียบเคียงตามบัญชีกําหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ ให้พนักงานประเมินแจ้งให้เจ้าของสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวนําส่งเอกสารหรือหลักฐานแสดงมูลค่าสิ่งปลูกสร้างเพื่อประกอบการพิจารณากําหนดราคาของสิ่งปลูกสร้างต่อ อปท.
เศรษฐกิจ - สังคม
14. เรื่อง การยุบเลิกศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอการยุบเลิกศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อ อว. จะได้ดําเนินการตามข้อสังเกตของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ต่อไป
สาระสําคัญของเรื่อง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการยุบเลิกศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เนื่องจากศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ไม่มีการดําเนินงานตามวัตถุประสงค์ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 นอกจากนี้ ตามรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2557 สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีความเห็นว่า ควรยุบเลิกบัญชีเงินฝากของศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ซึ่งได้มีการปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าวไปแล้ว และในปัจจุบันศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์มิได้มีรายได้จากการดําเนินงานและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือนของบุคลากรเบิกจ่ายจากงบเงินอุดหนุนในความรับผิดชอบของสํานักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษาอยู่แล้ว การยุบเลิกหน่วยงานจึงไม่ส่งผลต่อการเงินและงบประมาณในภาพรวมของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทั้งนี้ สํานักงาน ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นชอบ
15. เรื่อง ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงชื่อตําบลและอําเภอที่ติดตั้งเครื่องเรดาร์ตรวจอากาศแบบ C Band ชนิด Dual Polarization พร้อมอุปกรณ์เชื่อมโยงและหอเรดาร์ ที่สถานีเรดาร์ตรวจอากาศหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอเปลี่ยนแปลงชื่อตําบลและอําเภอที่ติดตั้งเครื่องเรดาร์ตรวจอากาศแบบ C Band ชนิด Dual Polarization1 พร้อมอุปกรณ์เชื่อมโยงและหอเรดาร์ ที่สถานีเรดาร์ตรวจอากาศหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จากเดิม ตําบลคลองหลา อําเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา เป็น สถานีเรดาร์ตรวจอากาศหาดใหญ่ ตําบลทุ่งตําเสา อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
สาระสําคัญของเรื่อง
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเปลี่ยนแปลงชื่อตําบลและอําเภอที่ติดตั้งเครื่องเรดาร์ตรวจอากาศแบบ C Band ชนิด Dual Polarization พร้อมอุปกรณ์เชื่อมโยงและหอเรดาร์ ที่สถานีเรดาร์ตรวจอากาศหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จากเดิม ตําบลคลองหลา อําเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา เป็นสถานีเรดาร์ตรวจอากาศหาดใหญ่ ตําบลทุ่งตําเสา อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื่องจากมีการแจ้งชื่อตําบลและอําเภอคลาดเคลื่อน โดยจะดําเนินการติดตั้งเครื่องเรดาร์เพื่อทดแทนหอเรดาร์เดิมในพื้นที่เดิม โดยสํานักงบประมาณได้เห็นชอบความเหมาะสมของราคาครุภัณฑ์ ในวงเงิน 147.73 ล้านบาท ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2563 โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว จํานวน 30.26 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 117.47 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ (158.8 ล้านบาท)
_____________________________
1 เรดาร์ตรวจอากาศ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สําหรับจับตําแหน่งและทิศทางการเคลื่อนที่ของเมฆและพายุ เพื่อใช้ประกอบการพยากรณ์อากาศ
16. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาดําเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติ ครัวเรือนละ 5,000 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 และวันที่ 7 ตุลาคม 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติขยายระยะเวลาดําเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติ ครัวเรือนละ 5,000 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 และวันที่ 7 ตุลาคม 2562 จากเดิมกําหนดสิ้นสุดระยะเวลาดําเนินการในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 โดยขอขยายระยะเวลาดําเนินการออกไปถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่กระทรวงการคลัง (กค.) อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณรายการนี้
2. อนุมัติหลักการให้นํางบประมาณที่เหลือจากการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติครัวเรือนละ 5,000 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 และวันที่ 7 ตุลาคม 2562 ไปใช้ในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติที่อาจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่น ๆเช่น ภาคใต้ ภาคตะวันออก เป็นต้น โดยใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายเงินช่วยเหลือเช่นเดียวกันกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติใน
ครั้งนี้
สาระสําคัญของเรื่อง
กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบขยายระยะเวลาดําเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติครัวเรือนละ 5,000 บาทตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2565 และวันที่ 7 ตุลาคม 2562 ที่อนุมัติในหลักการกรอบวงเงินงบประมาณ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีอุทกภัยจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีพ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นเพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยครัวเรือนละ 5,000 บาท จํานวน 418,480 ครัวเรือน วงเงิน 2,092.40 ล้านบาท ใน 32 จังหวัด ที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัน โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสินซึ่งกําหนดสิ้นสุดระยะเวลาดําเนินการในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 โดย มท. ได้แจ้งว่าการดําเนินการดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้นและไม่สามารถดําเนินการได้ทันตามเวลาที่กําหนดจึงขอขยายระยะเวลาดําเนินการออกไปถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 ซึ่งกระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณนี้รวมทั้งขออนุมัติหลักการให้นํางบประมาณที่เหลือจากการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติดังกล่าวไปใช้ในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติที่อาจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่น ๆเช่น ภาคใต้ภาคตะวันออก เป็นต้น โดยใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายเงินช่วยเหลือเช่นเดียวกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติในครั้งนี้ ซึ่งผลการดําเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติดังกล่าวสรุปได้ ดังนี้
ดําเนินการแล้ว
ไม่มีครัวเรือนเสียหายตามหลักเกณฑ์
ธนาคารออมสินโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์สําเร็จใน28 จังหวัด จํานวน 49,352 ครัวเรือน เป็นเงิน 246.76 ล้านบาท แบ่งเป็น
- ดําเนินการครบถ้วนแล้วใน 7 จังหวัด ได้แก่
จังหวัดกระบี่ 2) จังหวัดเชียงใหม่ 3)
จังหวัดน่าน 4 ) จังหวัดเพชรบูรณ์ 5) จังหวัดแพร่ 6) จังหวัดเลย และ 7) จังหวัดสุโขทัย
- มีข้อมูลที่อยู่ระหว่างดําเนินการ จํานวน 4,625 ครัวเรือน ใน 21 จังหวัด
- ธนาคารออมสินส่งคืนข้อมูล เนื่องจากผู้ประสบภัยไม่ผูกพร้อมเพย์กับเลขบัตรประชาชน/ ไม่มีบัญชีธนาคารออมสิน/บัญชีธนาคารถูกปิด จํานวน 5,499 ครัวเรือน ใน 10 จังหวัด
จํานวน 4 จังหวัด ได้แก่
จังหวัดแม่ฮ่องสอน
จังหวัดหนองบัวลําภู
จังหวัดสระแก้ว
จังหวัดชัยภูมิ
17. เรื่อง ขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลน ในทุกกรณี เพื่อดําเนินโครงการก่อสร้างระบบจําหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ําไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะพระทอง จังหวัดพังงา) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 (เรื่อง การจําแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลน ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2534 (เรื่อง รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2543 (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติเรื่องการแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) และเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 3/2543 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนโครงการอําเภอคุระบุรี แปลงที่ 1 (เกาะพระทอง) บริเวณท้องที่หมู่ที่ 2 ตําบลเกาะพระทอง อําเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา เพื่อดําเนินโครงการก่อสร้างระบบจําหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ําไปยังเกาะพระทอง จังหวัดพังงา
2. ให้กระทรวงมหาดไทย กํากับ ดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคให้ดําเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อปลูกและบํารุงป่าชายเลนทดแทน ไม่น้อยกว่า 20 เท่า ของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบํารุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดําเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานรัฐที่มีความจําเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. 2556 ด้วย
สาระสําคัญของเรื่อง
เรื่องนี้เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2553 เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ดําเนินโครงการก่อสร้างระบบจําหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ําไปยังเกาะต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเกาะพระทอง จังหวัดพังงาด้วย แต่โดยที่พื้นที่ดําเนินการตามโครงการฯ บางส่วนอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าชายเลน โครงการอําเภอคุระบุรี แปลงที่หนึ่ง บริเวณท้องที่หมู่ที่ 2 ตําบลเกาะพระทอง อําเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณี ทั้งภาครัฐและเอกชน กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) จึงได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ที่ให้ระงับการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนโดยเด็ดขาด เพื่อดําเนินโครงการก่อสร้างระบบจําหน่ายด้วยว่าการวางสายเคเบิลใต้น้ําระบบ 33,000 โวลต์ ความยาว 4 กิโลเมตร จากท่าเทียบเรือบ้านทุ่งละออง (ฝั่งจังหวัดพังงา) ไปยังท่าเทียบเรือบ้านทุ่งดาบ (ฝั่งเกาะพระทอง) จังหวัดพังงา ซึ่งกระทรวงมหาดไทยแจ้งว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาแล้วเห็นว่า บริเวณดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนโครงการอําเภอคุระบุรีแปลงที่ 1 (เกาะพระทอง) บริเวณท้องที่ หมู่ที่ 2 ตําบลเกาะพระทอง อําเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาแล้วเห็นชอบและอนุญาตให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคใช้พื้นที่ดังกล่าวแล้ว โดยขอให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบมติคณะรัฐมนตรี และข้อเสนอแนะในการอนุญาตใช้พื้นที่และการบริหารจัดการโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ได้ชี้แจงการดําเนินงานตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่น การจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นการค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม ไม่น้อยกว่า 20 เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้เป็นประโยชน์ โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจัดสรรเงินรายได้ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพื่อดําเนินการ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของสํานักงบประมาณ
18. เรื่อง การแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไปตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอ
สาระสําคัญของเรื่อง
สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน (สคจ.) ซึ่งได้เดินทางมาชุมนุมบริเวณถนนลูกหลวง (ข้างกระทรวงศึกษาธิการ) ตั้งแต่วันที่ 6 - 23 ตุลาคม 2562 จํานวนประมาณ 400 คน ซึ่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้องและพบปะเจรจากับ สคจ. และได้ประชุมหารือร่วมกันหลายครั้งโดยได้ข้อสรุปผลการเจรจาแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นซึ่ง สคจ. พอใจและยุติการชุมนุมเพื่อเดินทางกลับภูมิลําเนาในวันที่ 23 ตุลาคม 2562 ในการนี้สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีได้จัดทําสรุปกรณีปัญหาและข้อเสนอเชิงนโยบายของ สคจ. รวม 35 เรื่อง แบ่งเป็น 5 กรณี ดังนี้
กรณีปัญหา/หน่วยงาน
ข้อเสนอเชิงนโยบายของ สคจ.
1. กรณีราษฎรได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนฝายและอ่างเก็บน้ํา (จํานวน 7 เรื่อง)
หน่วยงาน : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงพลังงาน
รัฐบาลต้องระงับโครงการก่อสร้างเขื่อนทุกเขื่อนในประเทศจนกว่าจะมีการปรับปรุงแก้ไขประกาศใช้กฎหมายให้คนจนมีอํานาจในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติแล้วเสร็จ
2. กรณีปัญหาราคาสินค้าเกษตร (กรณีมะพร้าวราคาตกต่ําของเครือข่ายชาวสวนมะพร้าวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์) (จํานวน 1 เรื่อง)
หน่วยงาน : กษ. กระทรวงพาณิชย์
เช่น (1) รัฐบาลต้องยกเลิกหนี้สินที่ไม่เป็นธรรมให้เกษตรที่เป็นสมาชิก สคจ. ซึ่งเกิดจากแนวทางการพัฒนาที่ผิดพลาดของรัฐ (2) รัฐบาลต้องประกันราคาพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าว อ้อย ยางพารา มะพร้าว
(3) รัฐบาลต้องยุติการนําเข้าและห้ามใช้สารเคมีอันตรายในพื้นที่เกษตร เช่น พาราควอต ไกลโฟเซต และ
คลอร์ไพริฟอส
3. กรณีราษฎรได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของรัฐด้านอุตสาหกรรมและคมนาคม (จํานวน 2 เรื่อง)
หน่วยงาน : กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลต้องยุติโครงการพัฒนาทั้งของรัฐและเอกชนที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนรวมถึงโครงการที่เข้าบุกรุก ยึดถือ ครอบครองที่ดินของรัฐ เช่น ป่าสงวนแห่งชาติ ที่สาธารณประโยชน์ พื้นที่ชุ่มน้ํา และในที่ดินที่มีการออกเอกสารสิทธิ์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
4. กรณีปัญหาที่อยู่อาศัยและทํากินในที่ดินของรัฐรวมทั้ง การประกาศพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตหวงห้ามที่ดิน (จํานวน 17 เรื่อง)
หน่วยงาน : กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงการคลัง
เช่น (1) รัฐบาลต้องยกเลิกคําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาและการบริหารที่ดิน และนโยบายทวงคืนผืนป่า
(2) รัฐบาลต้องดําเนินการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ. ศ. 2511 และดําเนินการบริหารจัดการพื้นที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินของสมาชิก สคจ. ในเขตพิพาท โดยกันออกจากเขตป่า แล้วนํามาจัดให้ประชาชนภายใต้พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ฉบับที่ปรับปรุงแก้ไข
5. กรณีปัญหาแรงงาน (จํานวน 8 เรื่อง)
หน่วยงาน : กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
เช่น (1) รัฐบาลต้องปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 และพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 [เช่น (1.1) ให้สํานักงานประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนออกจากระบบราชการ และจัดตั้งองค์กรมหาชนขึ้นมารับผิดชอบแทน คณะผู้บริหารประกันสังคมมาจากการเลือกตั้งจากลูกจ้างและนายจ้างโดยตรง (1.2) ให้จัดตั้งโรงพยาบาลและจัดให้มีแพทย์ด้านอาชีวเวชศาสตร์ประจําโรงพยาบาลเฉพาะสําหรับผู้ประกันตนให้ทั่วถึงและเพียงพอ (2) รัฐบาลต้องขึ้นค่าจ้างขั้นต่ําตามอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้น
19. เรื่อง การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่การปฏิบัติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เสนอมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2562 ดังนี้
1. เห็นชอบการกําหนดหน่วยงานเจ้าภาพและภารกิจในการขับเคลื่อนประเด็นแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ หน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนเป้าหมายระดับประเด็นของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนเป้าหมายระดับแผนย่อยของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าภาพประสานและบูรณการการดําเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาให้บรรลุเป้าหมายที่กําหนดตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
2. เห็นชอบแนวทางการจัดทําแผนระดับที่ 3 ในส่วนของแผนปฏิบัติการด้าน.... และมอบหมาย สศช. พิจารณากํากับการดําเนินการตามแนวทางดังกล่าว เพื่อให้เกิดการถ่ายระดับของแผนทั้งสามระดับอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน เร่งดําเนินการจัดทําแผนปฏิบัติราชการ แผนวิสาหกิจ และแผนปฏิบัติการ ตามลําดับ และขอความร่วมมือให้หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ ดําเนินการจัดทําแผนปฏิบัติราชการ โดยให้ใช้ชื่อตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทําให้เกิดการถ่ายทอดเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งนําเข้าแผนในระบบการติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (Electronic Monitoring and Evaluation System of National Strategy and Country Reform : eMENSCR)
3. เห็นชอบให้คณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ สํานักงบประมาณ (สงป.) สศช. ร่วมกับหน่วยงานของรัฐ ในการจัดทําโครงการสําคัญ นําไปสู่การก่อให้เกิดการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติให้บรรลุผลตามเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่วางไว้ได้อย่างเป็นรูปธรรม และใช้เป็นคําของบประมาณประจําปี 2564 ต่อไป
4. มอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการ ดังนี้
4.1 นําเข้าข้อมูลผลการดําเนินโครงการ/การดําเนินงานในความรับผิดชอบในระบบ eMENSCR ให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นเดือนธันวาคม 2562
4.2 นําเข้าข้อมูลสถิติ สถานการณ์ หรือข้อมูลอื่นใดในระบบ eMENSCR สําหรับการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ให้เกิดการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป รวมทั้งเชื่อมโยงระบบข้อมูลสารสนเทศในความรับผิดชอบ โดยเฉพาะระบบข้อมูลสารสนเทศด้านงบประมาณของ สงป. และกรมบัญชีกลางเข้ากับระบบ eMENSCR นอกจากนี้ให้หน่วยงานที่อยู่ระหว่างหรือจะดําเนินการพัฒนาระบบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลใช้ระบบ eMENSCR ในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล ก่อนที่จะมีการพัฒนาระบบ
5. เห็นชอบการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายคณะกรรมการปฏิรูปประเทศดําเนินการตามขั้นตอนและกรอบระยะเวลาของกฎหมาย ทั้งนี้ ในการรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่าง ๆ ให้ดําเนินการร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการดําเนินการ การประหยัดเวลาและงบประมาณต่อไป
20. เรื่อง แผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
สาระสําคัญของเรื่อง
กษ. เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) (แผนยุทธศาสตร์ฯ) ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2560 ที่อนุมัติแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) และมอบหมายการยางแห่งประเทศไทยนําแผนดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ซึ่งเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2561 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้พิจารณาแผนดังกล่าวแล้วมีความเห็นให้การยางแห่งประเทศไทยนําไปทบทวนแผนยุทธศาสตร์ฯ ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และการยางแห่งประเทศไทยได้มีการปรับปรุงแก้ไขตามความเห็น/ข้อเสนอแนะของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว
แผนยุทธศาสตร์ฯ มีวิสัยทัศน์ “ประเทศผู้ผลิตยางคุณภาพดี เกษตรกรมีรายได้มั่นคง” ซึ่งในการดําเนินการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติได้มีการกําหนดกรอบแนวทางในการดําเนินการ เป็น 3 ระยะ คือ (1) ระยะ 1 – 5 ปี (พ.ศ. 2560 – 2564) (2) ระยะ 6 – 10 ปี (พ.ศ. 2565 – 2569) และ (3) ระยะ 11 – 20 ปี (พ.ศ. 2570 – 2579) มีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้
1. เป้าหมายในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์
เป้าหมาย
จาก (ปี 2559)
เป็น (ปี 2579)
1. ลดจํานวนพื้นที่ปลูกยางลง
23.3 ล้านไร่
เหลือ 18.4 ล้านไร่
2. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อหน่วยพื้นที่ โดยกําหนดเป้าหมายปริมาณผลผลิตยางเพิ่มขึ้น
เฉลี่ย 224 กิโลกรัม/ไร่
เฉลี่ย 360 กิโลกรัม/ไร่
3. เพิ่มสัดส่วนการใช้ยางภายในประเทศ
ร้อยละ 13.6
ร้อยละ 35
4. เพิ่มมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพารา
250,000 ล้านบาท/ปี
800,000 ล้านบาท/ปี
5. เพิ่มรายได้จากการทําสวนยาง
11,984 บาท/ไร่
19,800 บาท/ไร่
2. ประเด็นยุทธศาสตร์ (Strategy) ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
ยุทธศาสตร์
แนวทางการพัฒนา
1. การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง
เช่น ส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนยางทําสวนยางผสมผสานตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ศึกษา ออกแบบ และพัฒนา “กองทุนรักษาเสถียรภาพรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยาง” ขึ้นในประเทศไทย ส่งเสริมและจูงใจให้เกษตรกรชาวสวนยางรวมกลุ่มกันบริหารจัดการในรูปแบบแปลงใหญ่
2. การเพิ่มประสิทธิภาพและการยกระดับคุณภาพและมาตรฐาน
เช่น บังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาสวนยางที่บุกรุกพื้นที่ป่า กําหนดเขตพื้นที่ที่เหมาะสมสําหรับเพาะปลูกยาง สนับสนุนและจูงใจให้เกษตรกรชาวสวนยางปลูกยางพันธุ์ดี ที่ให้ผลผลิตสูงและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ รวมทั้งให้ปรับปรุง/พัฒนาคุณภาพยางแปรรูปให้ได้มาตรฐาน GMP
3. การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
เช่น วิจัยและพัฒนาพันธุ์ยางที่เติบโตเร็วให้ผลผลิตสูง วิจัยและพัฒนารูปแบบการปลูกและระบบการกรีดยางเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุด สนับสนุนให้มีการกําหนดโจทย์วิจัยจากปัญหา/ความต้องการของภาคธุรกิจเอกชน และผลักดันและสร้างสิ่งจูงใจให้มีการนําเอาผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์และต่อยอดในเชิงพาณิชย์
4. การพัฒนาตลาดและช่องทางการจัดจําหน่าย
เช่น เชื่อมโยงธุรกรรมการซื้อขายยางในตลาดกลางยางพาราแต่ละแห่งเข้ากับตลาดยางท้องถิ่น เพื่อให้ทั่วโลกนําไปใช้ในการอ้างอิง ออกมาตรการด้านการเงินและการคลังเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อทดแทนการนําเข้า และสนับสนุนให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางพาราได้มีโอกาสนําสินค้าไปเปิดตลาดในต่างประเทศ
5. การพัฒนาปัจจัยสนับสนุน
เช่น เพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยางพาราโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อปลูกยางพารา ปรับปรุงและแก้ไขมาตรการส่งเสริมการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมยางพารา เร่งพัฒนานิคมอุตสาหกรรมยางพารา และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้พร้อมรองรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ ศึกษาวิเคราะห์ และจัดทําแผนความต้องการและแผนพัฒนากําลังคนด้านยางพาราของประเทศไทยและจัดกิจกรรม Road Show ในประเทศที่เป็นตลาดเป้าหมายเพื่อจูงใจแก่นักลงทุนต่างประเทศ
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติ มีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ทําหน้าที่กํากับดูแลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย และคณะทํางานด้านต่าง ๆ รับผิดชอบการขับเคลื่อนแต่ละยุทธศาสตร์ โดยทํางานภายใต้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ
21. เรื่อง สรุปมติประชุมคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช ครั้งที่ 2/2562
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 และให้ความเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช เสนอ ดังนี้
การเปิดตลาดนําเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้กรอบความตกลงการค้า WTO 3 ปี (ปี 2563 –
2565) ไม่จํากัดปริมาณ อัตราภาษีร้อยละ 0 และกรอบความตกลงการค้าอื่น ให้เป็นไปตามข้อผูกพัน และการบริหารการนําเข้าคราวละ 3 ปี (ปี 2563 - 2565)
การเปิดตลาดสินค้าน้ํามันถั่วเหลืองและแฟรกชันของน้ํามันถั่วเหลือง มะพร้าว และมะพร้าว
ฝอย เนื้อมะพราวแห้ง และน้ํามันมะพร้าวและแฟรกชันของน้ํามันมะพร้าว ภายใต้กรอบความตกลง WTO กรอบความตกลงการค้าอื่น คราวละ 3 ปี (ปี 2563 - 2565) และการบริหารการนําเข้าปีต่อปี
หลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาสินค้ามะพร้าวและมะพร้าวฝอย เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ํามัน
มะพร้าวและเฟรกชันของน้ํามันมะพร้าว ตามความตกลงการเกษตรภายใต้ WTO สําหรับปี 2563 - 2565
การเพิ่มองค์ประกอบภาคเอกชนในคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช คือ “ผู้แทนสมาคม
ผู้ผลิตอาหารสําเร็จรูป (ด้านมะพร้าว)” เป็นกรรมการในคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช (เพิ่มเติม)
22. เรื่อง ผลิตภัณฑ์กองทุนรวมเพื่อการออมระยะยาว
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอดังนี้
1. เห็นชอบการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว
2. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร จํานวน 1 ฉบับ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
สาระสําคัญ
เนื่องจากการสร้างเครื่องมือเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว สร้างวินัยการออม และมีการวางแผนทางการเงินเพื่อให้มีรายได้ที่เพียงพอในการดํารงชีวิตหลังเกษียณยังคงมีความสําคัญและสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ข้อ 5.1.4 ปฏิรูประบบการออม “โดยจัดให้มีระบบการออม เพื่อการเกษียณอายุอย่างทั่วถึง พัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนให้เป็นแหล่งเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ และเป็นช่องทางการออมของประชาชน พร้อมทั้งพัฒนาเครื่องมือทางการเงินที่จะส่งเสริม ให้คนไทยทุกคนเข้าสู่ระบบการออมและการลงทุนระยะยาวให้สามารถรองรับพฤติกรรม และวัฏจักรชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป พัฒนาระบบสถาบันการเงินให้มีเสถียรภาพและลดต้นทุน พัฒนาขีดความสามารถในการดําเนินงานขององค์กรการเงินชุมชนและสหกรณ์ทุกระดับ และพัฒนาความรู้พื้นฐานทางการเงินแก่ประชาชน ตลอดจนการกํากับดูแลระบบสถาบันการเงิน ให้มีความมั่นคง” ดังนั้น เพื่อเป็นการปรับปรุงนโยบายด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ตรงกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางถึงน้อยและผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยทํางาน ซึ่งต้องการความยืดหยุ่นในแง่ระยะเวลาการออมและจํานวนเงินที่จะออมเพื่อจูงใจให้มีการออมระยะยาวมากขึ้น กระทรวงการคลังจึงเห็นควรเสนอ ดังนี้
1. สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน LTF ให้สิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 และวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 อย่างไรก็ดี การออกกฎกระทรวงตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ยังไม่รวมถึงการกําหนดให้เงินได้จากการขายหน่วยลงทุนในกองทุน LTF ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเช่นเดียวกันกับเงินได้จากการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมอื่น ๆ ดังนั้น จึงเห็นควรแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อให้ผู้ซื้อ LTF ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ได้รับยกเว้นภาษีสําหรับกําไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน LTF
2. กําหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีสําหรับการซื้อกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund: SSF) (กองทุน SSF) ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการออมระยะยาวรูปแบบใหม่ โดยให้บุคคลธรรมดาสามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้สําหรับเงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน SSF ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยเมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ (กองทุน RMF กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเงินจ่ายเบี้ยประกันชีวิตสําหรับการประกันชีวิตแบบบํานาญ) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท ในแต่ละปีภาษี โดยกองทุนสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ทั้งนี้ ผู้ซื้อกองทุน SSF สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้เมื่อถือมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ โดยไม่กําหนดจํานวนซื้อขั้นต่ํา ไม่กําหนดเงื่อนไขในการซื้อต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมระยะยาวมากขึ้น ซึ่งการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจะเน้นไปยังกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงน้อยและผู้ที่เริ่มต้นวัยทํางานให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การกําหนดให้ลดหย่อนภาษีสูงสุดร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมินสอดคล้องกับอัตราการให้สิทธิลดหย่อนภาษีสําหรับเงินสะสมเข้ากองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ได้แก่ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการเพิ่มอัตราเงินสะสมของสมาชิกจากร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 30 ของเงินเดือน และร่างกองทุนบําเหน็จบํานาญแห่งชาติ ซึ่งกําหนดอัตราเงินสะสมของสมาชิกในร่างกฎหมายไว้ที่ร้อยละ 30 ของค่าจ้าง
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะประเมินความคุ้มค่า และผลลัพธ์ของโครงการในปีที่ 5 (2567) เพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป
3. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสําหรับการซื้อกองทุน RMF ภายใต้วงเงินเดิมในการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้
(1) ปรับสัดส่วนการหักลดหย่อนภาษีสําหรับเงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน RMF สูงสุด จากเดิมไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน เป็นร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน โดยยังคงกําหนดวงเงินหักลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ (กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ เงินจ่ายเบี้ยประกันชีวิตสําหรับการประกันชีวิตแบบบํานาญ หรือกองทุน SSF) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนออมได้มากขึ้น และสอดคล้องกับแนวทางการปรับเพิ่มเงินสะสมของกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอื่น
(2) ยกเลิกการกําหนดจํานวนขั้นต่ําในการซื้อกองทุน RMF (จากเดิมกําหนดให้ซื้อจํานวนรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของเงินได้พึงประเมิน หรือมีจํานวนไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อปี แล้วแต่จํานวนใดจะต่ํากว่า) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงน้อยสามารถซื้อกองทุน RMF ได้ โดยยังคงกําหนดให้ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี และไม่ระงับการซื้อเกิน 1 ปี ติดต่อกันเช่นเดิม
ทั้งนี้ การดําเนินการตามมาตรการข้างต้น กระทรวงการคลังสามารถดําเนินการได้โดยการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร จํานวน 1 ฉบับ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
ผลกระทบ
การดําเนินมาตรการที่เสนอเข้าข่ายลักษณะของกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามบทบัญญัติในมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ) และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง การดําเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ. 2561 ซึ่งต้องมีการนําเสนอข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตาม พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ โดยสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกรมสรรพากรได้จัดทํารายละเอียดข้อมูลที่ต้องนําเสนอตามบทบัญญัติในมาตรา 27 และมาตรา 32 เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าการดําเนินมาตรการจะก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังฯ ดังนี้
1) ประมาณการสูญเสียรายได้
จากการกําหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่กองทุน SSF และปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสําหรับกองทุน RMF จะทําให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณปีละ 14,000 ล้านบาท
2) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
การออมระยะยาวของประชาชนเพิ่มขึ้น ช่วยนําไปสู่ความมั่นคงทางรายได้เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ โดยหากมีการซื้อกองทุน RMF และกองทุน SSF เต็มเพดานที่กําหนด ผู้ที่มีรายได้เดือนละ 15,000 บาท 50,000 บาท และ 100,000 บาท จะมีเงินออมระยะยาวเพิ่มขึ้นจากเดิมได้ถึงปีละ 108,000 บาท 360,000 บาท และ 500,000 บาท ตามลําดับ
ต่างประเทศ
23. เรื่อง ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกําจัด สมัยที่ 14 การประชุมรัฐภาคี อนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสําหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ 9 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ 9
(เรื่องนี้สามารถดาวน์โหลดไฟล์)
25. เรื่อง ร่างคํามั่นของไทยที่จะประกาศในการประชุมเวทีผู้ลี้ภัยโลก ครั้งที่ 1
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างคํามั่นและให้คณะผู้แทนไทยร่วมประกาศคํามั่นดังกล่าวในที่ประชุมเวทีผู้ลี้ภัยโลก ครั้งที่ 1 ในวันที่ 17-18 ธันวาคม 2562 ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญและไม่ขัดต่อหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ก่อนประกาศคํามั่น ให้กระทรวงต่างประเทศสามารถดําเนินการได้โดยให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังตามที่กระทรวงต่างประเทศ เสนอ
สาระสําคัญของร่างคํามั่น
1. การดําเนินการต่อเนื่องเพื่อรับรองวุฒิการศึกษาและเอกสารทางการศึกษาของเด็กผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา
2. การให้โอกาสการทํางานสําหรับผู้ที่เดินทางกลับไปแล้วตามกฎระเบียบของไทยและการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าก่อนเดินทางกลับเมียนมา
3. การพัฒนาความร่วมมือในกระบวนการส่งกลับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา
4. แนวทางการใช้การพัฒนาเพื่อช่วยเตรียมความพร้อมพื้นที่รองรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาและชุมชนท้องถิ่น
5. การเสริมสร้างความสามารถและทักษะที่จําเป็นให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการนําระบบคัดกรองเพื่อคัดแยกผู้ต้องการความคุ้มครองระหว่างประเทศออกจากผู้แสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจมาปฏิบัติ
6. การนํามาตรการทางเลือกแทนการคุมขังเด็กที่ต้องการความคุ้มครองระหว่างประเทศมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. การจัดให้เด็กที่ต้องการความคุ้มครองระหว่างประเทศในประเทศไทยเข้าถึงการดูแลด้านสุขภาพที่เหมาะสม
8. การส่งเสริมการเข้าถึงกระบวนการทางอาญาโดยไม่เลือกปฏิบัติภายใต้โครงการ “ยุติธรรมใส่ใจ”
โดยเป็นการประชุมครั้งแรกที่ประเทศต่างๆแสดงความมุ่งมั่นทางการเมืองที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยตามหลักการการแบ่งเบาภาระและความรับผิดชอบผ่านการประกาศคํามั่น การร่วมประกาศคํามั่นของไทยจึงจะเป็นโอกาสแสดงบทบาทสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่การเจรจาและการรับรอง GCR ไปจนถึงการมีส่วนร่วมในการนํา GCR ไปปฏิบัติ นําเสนอแนวทางปฏิบัติที่ดีในประเด็นที่ไทยให้ความสําคัญเช่น การส่งกลับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาอย่างยั่งยืน การมีระบบคัดกรอบผู้ลี้ภัย การใช้มาตรการแทนการกักตัวเด็กในห้องกัก และส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยคณะผู้แทนไทยที่จะเข้าร่วมการประชุมเวทีผู้ลี้ภัยโลก ครั้งที่ 1 ประกอบด้วย เลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ และผู้แทนสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงมหาดไทย
26. เรื่อง การขอความเห็นต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562 ที่เจ้าหน้าที่อาวุโสต้องรับรองในนามรัฐมนตรีเอเปค จํานวน 4 ฉบับ ได้แก่ (1) แผนเอเปคว่าด้วยขยะทะเล (2) แผนเอเปคว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (3) แผนซันติอาโกเพื่อสตรีและการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม และ (4) รายงานผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562 และอนุมัติให้อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศหรือผู้แทนรับรองเอกสารดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารข้างต้นที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสําคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์สามารถดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสําคัญของเอกสาร 4 ฉบับ
1. แผนเอเปคว่าด้วยขยะทะเล จัดทําขึ้นเพื่อเป็นหลักนําในการแก้ไขปัญหาขยะทะเลของเอเปค โดยมีข้อแนะนํา 4 ด้าน ได้แก่ (ก) การพัฒนานโยบายและการประสานงาน (ข) การเสริมสร้างศักยภาพ (ค) การวิจัยและนวัตกรรม และ (ง) การสนับสนุนด้านเงินทุนและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
2. แผนเอเปคว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม มีจุดประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมศักยภาพทางเทคนิคของเขตเศรษฐกิจเอเปคในการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated หรือ IUU) และส่งเสริมศักยภาพองค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการในประเทศและระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการทําประมง IUU ในเอเปคด้วยกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพ ความช่วยเหลือทางวิชาการ และยกระดับการติดตาม การควบคุม การเฝ้าระวัง และการตรวจสอบย้อนกลับ ตามความเหมาะสม โดยมีแนวปฏิบัติที่สําคัญเพื่อให้บรรลุแผนดังกล่าว ได้แก่ (ก) ดําเนินการตามมาตรการรัฐเจ้าของท่า (ข) แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจสอบย้อนกลับและการติดตาม การควบคุม และการเฝ้าระวังกิจกรรมประมง (ค) ยกระดับความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจเอเปค (ง) ส่งเสริมความร่วมมือกับองค์กรด้านประมงที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคและระดับนานาชาติเพื่อระบุประเด็นที่เอเปคสามารถมีส่วนสนับสนุนได้ (จ) ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และ (ฉ) การเสริมสร้างศักยภาพ
3. แผนซันติอาโกเพื่อสตรีและการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางด้านนโยบายในการสนับสนุนการมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจของสตรีในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยมีแนวปฏิบัติที่สําคัญ ได้แก่ (ก) การส่งเสริมบทบาทของสตรีด้วยการเข้าถึงเงินทุนและตลาด (ข) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสตรีในการทํางาน (ค) สนับสนุนให้สตรีสามารถเข้าถึงการศึกษา การฝึกฝน และการพัฒนาทักษะ ตลอดจนงานที่มีความสําคัญ และ (ง) การจัดเก็บข้อมูลจําแนกตามเพศ โดยแผนดังกล่าวตั้งเป้าหมายที่คาดหวังให้บรรลุในปี 2573
4. รายงานผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562 เป็นรายการกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ของเอเปคที่จัดขึ้นในปี 2562
27. เรื่อง ร่างปฏิญญาทางการเมืองระดับสูงของการประชุมทบทวนระยะกลางของแผนปฏิบัติการเวียนนาสําหรับประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลสําหรับทศวรรษ ค.ศ. 2014 – 2024
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาทางการเมืองระดับสูงของการประชุมทบทวนระยะกลางของแผนปฏิบัติการเวียนนาสําหรับประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลสําหรับทศวรรษ ค.ศ. 2014 – 2024 ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดําเนินการได้ตามความเหมาะสมโดยนําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง รวมทั้งเห็นชอบให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจําสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองระดับสูงของการประชุมทบทวนระยะกลางของแผนปฏิบัติการเวียนนาสําหรับประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลสําหรับทศวรรษ ค.ศ. 2014 – 2024 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสําคัญของร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม มีเนื้อหาแสดงถึงความคืบหน้าในการดําเนินงานเพื่อบรรลุแผนปฏิบัติการเวียนนาฯ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน แนวทางความร่วมมือในอนาคตระหว่างประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลกับประเทศทางผ่าน การระดมทรัพยากรให้เพียงพอต่อการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการเวียนนาฯ การส่งเสริมการเข้าถึงตลาดสําหรับการส่งออกจากประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน การเข้าถึงแหล่งเงินลงทุนและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนา การส่งเสริมการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการสร้างความต้านทางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเชิญชวนให้สมัชชาสหประชาชาติพิจารณาจัดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ครั้งที่ 3 ในปี 2567
28. เรื่อง การเข้าร่วม Nitric Acid Climate Action Group (NACAG) Initiative ของประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วม Nitric Acid Climate Action Group (NACAG) Initiative และเห็นชอบต่อปฏิญญาว่าด้วยการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ในการผลิตกรดไนตริก (Declaration on N2O Mitigation in Nitric Acid production) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนประเทศไทย ลงนามในปฏิญญาดังกล่าวตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สาระสําคัญของเรื่อง
ปฏิญญาว่าด้วยการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ในการผลิตกรดไนตริก มีสาระสําคัญในการแสดงความตั้งใจของประเทศที่จะช่วยสร้างความมั่นใจในการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์จากการผลิตกรดไนตริกโดยมุ่งสู่การยุติการปล่อยก๊าซดังกล่าวภายในปี พ.ศ. 2563 ด้วยความตระหนักว่ายังมีความจําเป็นที่จะต้องลดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมอีก 8,000 – 10,000 ล้านตัน ภายในปี พ.ศ. 2563 เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส ตามเป้าหมายที่ประชาคมระหว่างประเทศได้ตกลงกัน เนื่องจากก๊าซ ไนตรัสออกไซด์มีค่าศักยภาพในการทําให้โลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ถึง 265 เท่า และการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ที่เกิดจากการผลิตกรดไนตริกนั้น สามารถจัดการได้ง่ายมีค่าใช้จ่ายต่ํา มีเทคโนโลยีที่รองรับการดําเนินการดังกล่าวและสามารถติดตั้งได้อย่างรวดเร็วภายในสถานประกอบการที่มีอยู่ในปัจจุบัน
แต่งตั้ง
29. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นางกฤษณา ลิ่มสุวรรณ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายในคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตําแหน่งเนื่องจากมีอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตําแหน่งที่ว่างอยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
30. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติแทนตําแหน่งที่ว่าง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ แทนตําแหน่งที่ว่าง จํานวน 2 คน ดังนี้
1. นายสุวัฒน์ มีมุข
2. นายทรงศัก สายเชื้อ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งแทนตําแหน่งที่ว่างอยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
31. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน จํานวน 13 คน ประกอบด้วยกรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชน จํานวน 10 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน 3 คน ดังนี้
1. กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชน
1.1 นายกิติศักดิ์ ขจรภัย (จังหวัดสระบุรี)
1.2 นายนฤทธิ์ คําธิศรี (จังหวัดสกลนคร)
1.3 นายแรม เชียงกา (จังหวัดกาญจนบุรี)
1.4 นางพิชชาภา พลสว่าง (จังหวัดพิจิตร)
1.5 นายเสกสรรค์ สะอาดใจ (จังหวัดเพชรบูรณ์)
1.6 นายไพฑูรย์ ฝางคํา (จังหวัดศรีสะเกษ)
1.7 นายอิทธิ แจ่มแจ้ง (จังหวัดระยอง)
1.8 นายสุริยา ศรีโพธิ์ทอง (จังหวัดสุพรรณบุรี)
1.9 นางมนัสนันท์ ปาสาวัน (จังหวัดพะเยา)
1.10 นางบังอร อภิญญาวงศ์เลิศ (จังหวัดเชียงใหม่)
2. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
2.1 นายภาคภูมิ เพิ่มมงคล (ด้านการบริหารธุรกิจ)
2.2 นายชัยวัฒน์ ปกป้อง (ด้านการเงิน)
2.3 นายวิวัฒน์ ไม้แก่นสาร (ด้านการค้าและอุตสาหกรรม)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
32. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดํารงตําแหน่งครบวาระสามปี (เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2562) รวม 8 คน ดังนี้
1. นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการ
2. นายสังข์เวิน ทวดห้อย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนเกษตรกรชาวสวนยาง)
3. นายสุนทร รักษ์ณรงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนเกษตรกรชาวสวนยาง)
4. นางสาวอรอนงค์ อารินวงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนเกษตรกรชาวสวนยาง)
5. นายสง่า ขันคํา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง)
6. นายประสิทธิ์ สืบชนะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง)
7. นางสาวสุจิตรา เลาหวัฒนภิญโญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนผู้ประกอบกิจการยางซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการค้า)
8. นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนผู้ประกอบกิจการยางซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอุตสาหกรรมยาง)
ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป ทั้งนี้ บุคคลในลําดับที่ 6 – 8 เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ
33. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ จํานวน 8 คน เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2562 ดังนี้
1. นายประทีป เจริญพร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารจัดการที่ดิน
2. รองศาสตราจารย์วิโรจ อิ่มพิทักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรดิน
3. นายธนู มีแสงเงิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการปฏิรูปที่ดิน
4. รองศาสตราจารย์เอกรินทร์ อนุกูลยุทธธน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการผังเมือง
5. นายสันติ บุญประคับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
6. นายมานัส ฉั่วสวัสดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
7. นายชนินทร์ ทินนโชติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ
8. รองศาสตราจารย์อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
34. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลตรี ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เป็นกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวงเพิ่มเติม ตามบทบัญญัติของกฎหมาย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอได้เป็นการเฉพาะราย และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งอยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
35. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น ที่พ้นจากตําแหน่งก่อนครบวาระ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
1. รับทราบกรณี นายกิตติพันธ์ ใจดี พ้นจากตําแหน่งกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นในคณะกรรมการสภาการศึกษา
2. เห็นชอบแต่งตั้ง บาทหลวงเดชา อาภรณ์รัตน์ เป็นกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการที่พ้นจากตําแหน่งก่อนครบวาระ
และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
36. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการกีฬาในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอแต่งตั้ง นางประภาศรี บุญวิเศษ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการกีฬาในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ แทนตําแหน่งที่ว่าง และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนตําแหน่งที่ว่าง อยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
37. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านจิตวิทยาองค์การในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สํานักงาน ก.พ.ร. เสนอแต่งตั้ง หม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านจิตวิทยาองค์การในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ แทนผู้ที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป โดยให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนตําแหน่งที่ว่างมีวาระการดํารงตําแหน่งเท่ากับเวลาที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ยังอยู่ในตําแหน่ง และให้สํานักงาน ก.พ.ร. ดําเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดไว้อย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง การดําเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
38. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง จํานวน 2 ราย ดังนี้
1. นายทวี เกศิสําอาง รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมทางหลวง ไปดํารงตําแหน่ง อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมท่าอากาศยาน
2. นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมการขนส่งทางราง ไปดํารงตําแหน่ง อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมการขนส่งทางราง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จํานวน 3 ราย ดังนี้
1. นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่งรองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
2. นายสุพพัต อ่องแสงคุณ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่งรองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
3. นายณรงค์ พูลพิพัฒน์ ที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
40. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ในกระทรวงวัฒนธรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ในกระทรวงวัฒนธรรม จํานวน 3 ราย ดังนี้
1. นางประนอม คลังทอง รองอธิบดีกรมศิลปากร ให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม
2. นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม
3. นายประสพ เรียงเงิน ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 3 ธันวาคม 2562
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 3 ธันวาคม 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th
วันนี้ (3 ธันวาคม 2562) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง คําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 15/2562 เรื่อง กําหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 (พน.)
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดประโยชน์ของนักโทษเด็ดขาด และเงื่อนไขที่นักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับการลดวันต้องโทษจําคุกหรือการพักการลงโทษและได้รับการ ปล่อยตัวต้องปฏิบัติ พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินสนับสนุนและเงินชดเชยตามมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562)
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 จํานวน 6 ฉบับ
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดที่ตั้ง สภาพแวดล้อม ลักษณะของสถานที่ และเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ที่จําเป็นประจําสถานที่ดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทาง วิทยาศาสตร์ พ.ศ. ....
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 และแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562
รวม 4 ฉบับ
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 จํานวน 2 ฉบับ
9. เรื่อง ร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมทาง หลวงชนบท ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานทางหลวงตามกฎหมายว่าด้วย ทางหลวง พ.ศ. ....
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
11. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทาน การประดับและกรณีที่ให้ประดับเหรียญพิทักษ์เสรีชน สิทธิ บัตรประจําตัว และการเรียกเหรียญกับบัตรประจําตัวผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนคืน พ.ศ. ....
12. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเกี่ยวกับกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะตามมาตรา 7 (1) (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562
13. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงที่ต้องจัดทําตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จํานวน 3 ฉบับ
เศรษฐกิจ - สังคม
14. เรื่อง การยุบเลิกศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์
15. เรื่อง ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงชื่อตําบลและอําเภอที่ติดตั้งเครื่องเรดาร์ตรวจอากาศแบบ C Band ชนิด Dual Polarization พร้อมอุปกรณ์เชื่อมโยงและหอเรดาร์ ที่สถานีเรดาร์ตรวจอากาศหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
16. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาดําเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติครัวเรือนละ 5,000 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 และ วันที่ 7 ตุลาคม 2562
17. เรื่อง ขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลน ในทุกกรณี เพื่อดําเนินโครงการก่อสร้างระบบจําหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ําไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะพระทอง จังหวัดพังงา) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
18. เรื่อง การแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน
19. เรื่อง การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่การปฏิบัติ
20. เรื่อง แผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579)
21. เรื่อง สรุปมติประชุมคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช ครั้งที่ 2/2562
22. เรื่อง ผลิตภัณฑ์กองทุนรวมเพื่อการออมระยะยาว
ต่างประเทศ
23. เรื่อง ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกําจัด สมัยที่ 14 การประชุมรัฐภาคี อนุสัญญา
รอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสําหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ 9 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ 9
24. เรื่อง ร่างคํามั่นของประเทศไทยสําหรับการประชุมกาชาดและเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ ครั้งที่ 33
25. เรื่อง ร่างคํามั่นของไทยที่จะประกาศในการประชุมเวทีผู้ลี้ภัยโลก ครั้งที่ 1
26. เรื่อง การขอความเห็นต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562
27. เรื่อง ร่างปฏิญญาทางการเมืองระดับสูงของการประชุมทบทวนระยะกลางของแผนปฏิบัติการเวียนนาสําหรับประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลสําหรับ ทศวรรษ ค.ศ. 2014 – 2024
28. เรื่อง การเข้าร่วม Nitric Acid Climate Action Group (NACAG) Initiative ของประเทศไทย
แต่งตั้ง
29. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน
30. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติแทน ตําแหน่งที่ว่าง
31. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548
32. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการยางแห่ง ประเทศไทย
33. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
34. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง
35. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น ที่พ้นจากตําแหน่งก่อนครบวาระ
36. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการกีฬาในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
37. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านจิตวิทยาองค์การในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
38. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
40. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ในกระทรวงวัฒนธรรม
*******************
สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง คําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 15/2562 เรื่อง กําหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 (พน.)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอคําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 15/2562 เรื่อง กําหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 ซึ่งได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
โดยที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 จึงสมควรปรับปรุงคําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กําหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ซึ่งมีสาระสําคัญซ้ําซ้อนกับพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกําหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 นายกรัฐมนตรีจึงมีคําสั่งให้ปรับปรุงคําสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นคําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 15/2562 เรื่อง กําหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 สรุปการเปลี่ยนแปลงในสาระสําคัญได้ ดังนี้
1. ตัดข้อที่เกี่ยวข้องกับกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงและการดําเนินงานที่เกี่ยวกับกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงออก เนื่องจากมาตรา 54 ของพระราชบัญญัติกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ได้กําหนดให้ข้อกําหนดตามคําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงเป็นอันยกเลิก
2. ปรับปรุงหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ดังนี้
คําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 15/2562
คําสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 (เดิม)
(1) กําหนดหลักเกณฑ์การคํานวณราคาและกําหนดราคาสําหรับน้ํามันเชื้อเพลิงที่ผลิตและจําหน่าย ณ โรงกลั่นเพื่อใช้ในราชอาณาจักร หรือน้ํามันเชื้อเพลิงที่นําเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(1) กําหนดหลักเกณฑ์สําหรับการคํานวณราคา และกําหนดราคาน้ํามันเชื้อเพลิงที่ทําในราชอาณาจักร ราคาน้ํามันเชื้อเพลิงที่นําเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
(2) กําหนดหลักเกณฑ์การคํานวณและค่าการตลาดสําหรับการซื้อขายน้ํามันเชื้อเพลิง
(2) กําหนดค่าการตลาดสําหรับการซื้อขายน้ํามันเชื้อเพลิง
(3) กําหนดหลักเกณฑ์การคํานวณและอัตรา สําหรับค่าขนส่งน้ํามันเชื้อเพลิง หรือค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาน้ํามันเชื้อเพลิง
(3) กําหนดค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซและค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก๊าซ ณ คลังก๊าซ ตลอดจนกําหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซ เป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร
(4) กําหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสําหรับก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม ซึ่งเป็นผู้ผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติในราชอาณาจักร น้ํามันเชื้อเพลิงที่ทําในราชอาณาจักร น้ํามันเชื้อเพลิงที่นําเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร น้ํามันเชื้อเพลิงที่ส่งออก น้ํามันเชื้อเพลิงที่จําหน่ายให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร และก๊าซหุงต้มที่จําหน่ายให้แก่ประชาชน
-
(5) กําหนดชนิดของน้ํามันเชื้อเพลิงที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุน หรือไม่ให้ได้รับเงินชดเชย
(4) กําหนดหลักเกณฑ์การคํานวณราคาและกําหนดราคาสําหรับราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นหรือราคาขายปลีก
(6) กําหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคํานวณราคาขายปลีก
-
(7) พิจารณากําหนดอัตราภาษีให้อยู่ในระดับ
ไม่ต่ํากว่าอัตราภาษีต่ําสุดและไม่สูงกว่าอัตราภาษีสูงสุด
(5) กําหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
(8) กําหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
(6) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามคําสั่งนี้
(9) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามคําสั่งนี้
(7) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
(10) ปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
3. ตัดข้อกําหนด ข้อห้ามปฏิบัติในการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง และก๊าซหุงต้มออก เนื่องจากมีสาระสําคัญอยู่ในพระราชบัญญัติกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 และกฎหมายอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องแล้ว
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน
พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กําหนดให้เครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชนให้ใช้ได้เฉพาะสายรัดข้อมือและกุญแจมือ
2. กําหนดให้สายรัดข้อมือมีชนิดเดียว คือ สายรัดข้อมือพลาสติกขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมด แบบตวัดรัดให้แน่นด้วยตัวเอง โดยใช้ปลายสายพลาสติกพันรอบข้อมือซ้ายและข้อมือขวา
3. กําหนดให้กุญแจมือมี 2 แบบ ได้แก่ กุญแจมือแบบห่วงทําด้วยโลหะมีฟันเฟืองโลหะระหว่างตัวห่วงโลหะทั้งสองข้างเชื่อมติดกันด้วยลูกโซ่โลหะ และกุญแจมือแบบห่วงทําด้วยโลหะมีฟันเฟืองโลหะระหว่างตัวล่วงโลหะทั้งสองข้างเชื่อมติดกันด้วยบานพับโลหะ
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดประโยชน์ของนักโทษเด็ดขาด และเงื่อนไขที่นักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับการ
ลดวันต้องโทษจําคุกหรือการพักการลงโทษและได้รับการปล่อยตัวต้องปฏิบัติ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดประโยชน์ของนักโทษเด็ดขาด และเงื่อนไขที่นักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับการลดวันต้องโทษจําคุกหรือการพักการลงโทษและได้รับการปล่อยตัวต้องปฏิบัติ พ.ศ. ....
ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กําหนดให้นักโทษเด็ดขาดซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความประพฤติดี มีความอุตสาหะ
มีความก้าวหน้าในการศึกษา และทําการงานเกิดผลดี หรือทําความชอบแก่ทางราชการเป็นพิเศษ อาจได้รับ
การพิจารณาเลื่อนชั้น การแต่งตั้งให้มีตําแหน่งหน้าที่ผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานเรือนจํา การลดวันต้องโทษจําคุก
การลดวันต้องโทษจําคุกลงอีกไม่เกินจํานวนวันที่ทํางานสาธารณะหรือทํางานอื่นใด เพื่อประโยชน์ของทางราชการนอกเรือนจํา การพักการลงโทษ การฝึกวิชาชีพในสถานประกอบการนอกเรือนจําหรือการรับการศึกษาอบรมนอกเรือนจํา โดยให้นําพฤติการณ์การกระทําความผิด ลักษณะความผิด ความรุนแรงของคดี และการกระทําความผิดที่ได้กระทํามาก่อนแล้ว มาประกอบการพิจารณาให้ประโยชน์ในแต่ละกรณีด้วย
2. กําหนดให้การเลื่อนชั้นนักโทษเด็ดขาดกรณีปกติ ให้เลื่อนตามลําดับชั้นครั้งละหนึ่งชั้น และ
ให้ผู้บัญชาการเรือนจําดําเนินการเลื่อนชั้นนักโทษเด็ดขาดกรณีปกติตามกําหนดเวลาและเงื่อนไขดังต่อไปนี้
2.1 นักโทษเด็ดขาดซึ่งมีกําหนดโทษจําคุกไม่เกินสามปีและต้องโทษจําคุกเพียงคดีเดียว
ให้เลื่อนชั้นได้ปีละสามครั้ง คือ ในวันสิ้นเดือนเมษายนครั้งหนึ่ง ในวันสิ้นเดือนสิงหาคมครั้งหนึ่ง และในวันสิ้นเดือนธันวาคมอีกครั้งหนึ่ง
2.2 นักโทษเด็ดขาดซึ่งมีกําหนดโทษจําคุกเกินกว่าสามปีหรือต้องโทษจําคุกหลายคดี
ให้เลื่อนชั้นได้ปีละสองครั้ง คือ ในวันสิ้นเดือนมิถุนายนครั้งหนึ่งและในวันสิ้นเดือนธันวาคมอีกครั้งหนึ่ง
3. กําหนดให้กรณีมีความจําเป็นต้องแต่งตั้งนักโทษเด็ดขาดให้มีตําแหน่งหน้าที่ผู้ช่วยเหลือ
เจ้าพนักงานเรือนจําในกิจการเรือนจํา ให้ผู้บัญชาการเรือนจําแต่งตั้งคณะทํางานเพื่อคัดเลือกนักโทษเด็ดขาด ซึ่งการคัดเลือกนักโทษเด็ดขาดต้องดําเนินการตามหลักเกณฑ์ตามที่กําหนด ดังนี้
3.1 อัตราส่วนของนักโทษเด็ดขาดซึ่งผู้บัญชาการเรือนจําจะแต่งตั้งให้มีตําแหน่งหน้าที่
ผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานเรือนจําต้องไม่เกินร้อยละสามของจํานวนผู้ต้องขังในเรือนจํา
3.2 มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
(ก) เป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยม เว้นแต่มีนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยมไม่เพียงพอให้แต่งตั้งจากนักโทษเด็ดขาดชั้นดีมากหรือชั้นดีตามลําดับ
(ข) เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าที่ผู้ช่วยงานเจ้าพนักงานเรือนจําเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกําหนด
(ค) ไม่อยู่ในระหว่างถูกดําเนินการทางวินัยหรือมีประวัติถูกลงโทษทางวินัยหรือ
เคยถูกถอดถอนจากตําแหน่งหน้าที่ผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานเรือนจําหรือผู้ช่วยงานเจ้าพนักงานเรือนจํา
(ง) ไม่เป็นนักโทษเด็ดขาดซึ่งกระทําความผิดในคดีอุกฉกรรจ์ หรือเป็นอาชญากรโดยอาชีพ หรือเป็นผู้กระทําความผิดในคดียาเสพติดให้โทษที่เข้าข่ายรายสําคัญ และมีอิทธิพลตามที่อธิบดีประกาศกําหนด
4. กําหนดให้นักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับโทษจําคุกตามคําพิพากษาถึงที่สุดมาแล้วไม่น้อยกว่า
หกเดือนหรือหนึ่งในสามของกําหนดโทษตามหมายศาลในขณะนั้นแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า หรือไม่น้อยกว่า
สิบปีในกรณีที่ต้องโทษจําคุกตลอดชีวิตที่มีการเปลี่ยนโทษจําคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจําคุกมีกําหนดเวลา อาจได้รับการลดวันต้องโทษจําคุกตามชั้นและตามจํานวนวัน ได้แก่ ชั้นเยี่ยม เดือนละห้าวัน ชั้นดีมาก เดือนละสี่วัน และ
ชั้นดี เดือนละสามวัน
5. กําหนดให้นักโทษเด็ดขาดซึ่งถูกส่งออกไปทํางานสาธารณะหรือทํางานอื่นใดเพื่อประโยชน์ของทางราชการนอกเรือนจํา ให้ได้รับการลดวันต้องโทษคําคุกลงเท่าจํานวนวันที่ทํางานนั้น และคณะอนุกรรมการ
เพื่อพิจารณาคัดเลือกนักโทษเด็ดขาดที่จะสั่งให้ออกไปทํางานสาธารณะ หรือทํางานอื่นใดเพื่อประโยชน์ของทางราชการนอกเรือนจําอาจกําหนดให้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออุปกรณ์อื่นใดเพื่อสนับสนุนการควบคุมตัวนักโทษเด็ดขาดก็ได้
6. กําหนดให้นักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับโทษจําคุกตามคําพิพากษาถึงที่สุดมาแล้วไม่น้อยกว่า
หกเดือนหรือหนึ่งในสามของกําหนดโทษตามหมายศาลในขณะนั้นแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า หรือไม่น้อยกว่า
สิบปีในกรณีที่ต้องโทษจําคุกตลอดชีวิตที่มีการเปลี่ยนโทษจําคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจําคุกมีกําหนดเวลา อาจได้รับการพักการลงโทษ
7. กําหนดให้นักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับโทษจําคุกตามคําพิพากษาถึงที่สุดมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของกําหนดโทษตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในขณะนั้น และเหลือโทษจําคุกไม่เกินสามปีหกเดือน
อาจได้รับอนุญาตให้ออกไปฝึกวิชาชีพในสถานประกอบการนอกเรือนจํา และผู้บัญชาการเรือนจําอาจกําหนดให้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดเพื่อสนับสนุนการควบคุมตัวนักโทษเด็ดขาดผู้นั้นก็ได้
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินสนับสนุนและเงินชดเชยตามมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินสนับสนุนและเงินชดเชยตามมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
กําหนดให้เงินสนับสนุนและเงินชดเชยที่ผู้มีเงินได้ได้รับตามมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ อันเนื่องมาจากการซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ขายสินค้า หรือผู้ให้บริการผ่านระบบการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
ทั้งนี้ กค. รายงานว่า การเสนอร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้จะทําให้รัฐอาจสูญเสียรายได้จากการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประมาณ 5,500 ล้านบาท แต่ประโยชน์ที่จะได้รับจากการยกเว้นภาษีดังกล่าวจะทําให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัว อันเป็นผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจัดเก็บรายได้ภาษีอากร และส่งเสริมภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวให้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 จํานวน 6 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม 6 ฉบับ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
2. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดําเนินการจัดทํากฎหมายลําดับรองได้ภายในกําหนดระยะเวลาตามพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
ร่างกฎกระทรวงรวม 6 ฉบับ มีสาระสําคัญดังนี้
ร่างกฎกระทรวง
สาระสําคัญ
1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดเครื่องกําเนิดรังสีที่ต้องแจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ พ.ศ. ....
กําหนดให้เครื่องกําเนิดรังสีดังต่อไปนี้ ต้องแจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ต่อเลขาธิการสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ
(1) เครื่องกําเนิดรังสีที่มีลักษณะปิดมิดชิด สําหรับงานวิเคราะห์หรืองานตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ทางด้านการศึกษาวิจัย ด้านการเกษตรกรรม ด้านการอุตสาหกรรม และด้านความมั่นคงปลอดภัย
(fully enclosed radiation generator for analysis or inspection related to research and development, agriculture, industry, and security)
(2) เครื่องฉายรังสีทางชีวภาพโดยวิธีเอกซเรย์กําลังต่ําในลักษณะที่ปิดมิดชิด (fully enclosed low-energy x-ray biological irradiator)
(3) เครื่องเอกซเรย์ตรวจกระเป๋า (baggage inspection x-ray unit) รวมถึงเครื่องถ่ายภาพรังสีโดยอาศัยการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์
(4) เครื่องเอกซเรย์กระเจิงกลับแบบมือถือสําหรับงานรักษาความปลอดภัย (handheld backscatter x-ray security inspection unit)
(5) เครื่องเอกซเรย์สําหรับงานวิเคราะห์แบบมือถือหรือพกพา (Handheld or portable x-ray analysis unit)
(6) เครื่องวัดทางอุตสาหกรรมด้วยรังสีเอกซ์แบบติดตั้งอยู่กับที่ (fixed industrial x-ray gauges)
(7) หลอดเอกซเรย์ หรือหลอดเอกซเรย์พร้อมเรือนหลอด (tube housing) ของเครื่องกําเนิดรังสีตามรายการข้างต้น
2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและระยะเวลาในการแจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสี
พ.ศ. ....
- กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและระยะเวลาในการแจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีดังต่อไปนี้
(1) ผู้มีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 26/2 วรรคหนึ่ง ต้องยื่นคําขอแจ้งการครอบครองหรือใช้ต่อเลขาธิการสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีดังกล่าว
(2) กําหนดให้ในกรณีก่อนการใช้งานเครื่องกําเนิดรังสีครั้งแรก และทุก ๆ สองปีตลอดที่มีการใช้งานเครื่องกําเนิดรังสี ผู้แจ้งต้องยื่นสําเนารายงานผลการประเมินความปลอดภัยที่ผ่านมาตรฐานจากหน่วยงานที่สํานักงานประกาศรับรองภายในสามสิบวันหลังจากวันที่ได้รับผลการตรวจ
(3) กําหนดเงื่อนไขให้ผู้แจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีที่ประสงค์จะยกเลิกการครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีตามที่ได้แจ้งไว้จะต้องดําเนินการตามที่กําหนด เช่น การจัดการเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ ส่งออกเครื่องกําเนิดรังสี จําหน่ายหรือส่งต่อให้ผู้ที่ประสงค์จะครอบครองหรือใช้รายอื่น
3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์การจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสี พ.ศ. ....
- กําหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้รับใบอนุญาตผลิต มีไว้ในครอบครองหรือใช้วัสดุกัมมันตรังสี หรือผู้รับใบอนุญาตมีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสี ต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสีอย่างน้อยหนึ่งคนทําหน้าที่ควบคุมดูแลความปลอดภัยทางรังสีของสถานประกอบการของผู้รับใบอนุญาต ทั้งในกรณีการปฏิบัติงานปกติและเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉินทางรังสีโดยมีหลักการจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสีดังต่อไปนี้
(1) สถานประกอบการที่ใช้วัสดุกัมมันตรังสีประเภท 1 และเครื่องกําเนิดรังสี ประเภท 1 ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสีอยู่ประจําตลอดเวลาที่ใช้วัสดุกัมมันตรังสีหรือเครื่องกําเนิดรังสีนั้น
(2) สถานประกอบการที่ใช้วัสดุกัมมันตรังสีประเภท 2 3 และ 4 และเครื่องกําเนิดรังสีประเภท 2 ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสีที่พร้อมปฏิบัติหน้าที่เมื่อเรียกหา ทั้งนี้ การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวอาจมีลักษณะเป็น
การถ่ายทอดภาพและเสียงในลักษณะการประชุมทางจอภาพได้
4. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์การจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดําเนินการทางเทคนิคเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์ พ.ศ. ....
- กําหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้รับใบอนุญาตมีไว้ในครอบครองหรือใช้ นําเข้า ส่งออก หรือนําผ่านวัสดุนิวเคลียร์ ต้องจัดให้มีหน้าที่ดําเนินการทางเทคนิคตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
(1) ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดําเนินการทางเทคนิคเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์อย่างน้อยหนึ่งคนประจําสถานที่ทําการของผู้รับใบอนุญาต
(2) ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดําเนินการทางเทคนิคเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์ที่ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าที่ควบคุมดูแลความปลอดภัยและความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ของสถานที่ทําการของผู้รับใบอนุญาต จะต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่ตลอดเวลาที่เปิดทําการ
(3) ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดําเนินการทางเทคนิคเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์ที่ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าที่ควบคุมดูแลเกี่ยวกับการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ของสถานที่ทําการของผู้รับใบอนุญาตจะต้องพร้อมปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายโดยไม่จําเป็นต้องอยู่ประจําตลอดเวลาที่เปิดทําการ
(4) ผู้รับใบอนุญาตอาจมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการทางเทคนิคเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์หนึ่งคนทําหน้าที่ควบคุมดูแลทั้งความปลอดภัย ความมั่นคงปลอดภัย และการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ก็ได้
5. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์การจัดให้มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ พ.ศ. ....
- กําหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้รับใบอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ดังต่อไปนี้
(1) สถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการผลิตพลังงาน แต่ไม่รวมถึงยานหาพนะที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการผลิตพลังงานสําหรับการขับเคลื่อน
(2) สถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย
6. ร่างกฎกระทรวงความปลอดภัยทางรังสีสําหรับเครื่องกําเนิดรังสีที่ต้องแจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ พ.ศ. ....
- กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับความปลอดภัยทางรังสีเพื่อให้ผู้มีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีตามมาตรา 26/2 ต้องปฏิบัติ โดยกําหนดให้ความปลอดภัยทางรังสี หมายถึง การป้องกันประชาชนและสิ่งแวดล้อมจากความเสี่ยงทางรังสี และความปลอดภัยของสถานประกอบการหรือกิจกรรมใดๆ ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงจากรังสี ทั้งที่เกิดจากการปฏิบัติงานตามปกติและเกิดจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ใด ๆ อันอาจคาดหมายได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับความปลอดภัยทางรังสีให้ผู้แจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกําเนิดรังสีตามมาตรา 26/2 ต้องปฏิบัติในเรื่องดังต่อไปนี้
(1) การดําเนินการด้านควบคุมความปลอดภัยทางรังสี โดยต้องจัดให้มีมาตรการด้านความปลอดภัยทางรังสี อุปกรณ์ เครื่องใช้ เช่น การจัดให้มีอุปกรณ์บันทึกปริมาณรังสีประจําตัวบุคคลที่เหมาะสมกับชนิดของรังสีที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน
(2) สัญลักษณ์เตือนภัยจากรังสี เช่น ต้องติดตั้งเครื่องหมายสัญลักษณ์ทางรังสีที่เห็นได้ชัดเจนที่จุดทางเข้าพื้นที่ควบคุมและพื้นที่ตรวจตรา เครื่องกําเนิดรังสีและตําแหน่งอื่นที่เหมาะสม
(3) ผู้ปฏิบัติงานทางรังสี เช่น ห้ามไม่ให้บุคคลที่มีอายุต่ํากว่าสิบหกปี เข้าไปในพื้นที่ควบคุมและพื้นที่ตรวจตราหรือปฏิบัติงานใด ๆ เกี่ยวกับรังสี
(4) จํากัดปริมาณรังสี (dose limit) เช่น การควบคุมดูแลให้ผู้ปฏิบัติงานทางรังสี ได้รับรังสีน้อยที่สุดเท่าที่จะสามารถดําเนินการได้อย่างสมเหตุสมผลตามมาตรฐานการปฏิบัติงานนั้น ๆ และต้องได้รับรังสีไม่เกินปริมาณที่กําหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงนี้
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดที่ตั้ง สภาพแวดล้อม ลักษณะของสถานที่ และเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ที่จําเป็นประจําสถานที่ดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดที่ตั้ง สภาพแวดล้อม ลักษณะของสถานที่ และเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ที่จําเป็นประจําสถานที่ดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กําหนดให้ที่ตั้งของสถานที่ดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ต้องสะอาด ปราศจาก
สิ่งรกรุงรัง หรือแหล่งสะสมของขยะ เชื้อโรค สัตว์พาหะ ฝุ่นละออง และมลพิษ หากที่ตั้งของสถานที่ดําเนินการเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ ไม่มีเส้นทางการคมนาคม ไม่สามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคที่จําเป็นได้ อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาด เป็นพื้นที่ใกล้กับแหล่งที่มาของเชื้อโรค มลพิษ เสียง ความสั่นสะเทือน หรือมีลักษณะอื่นใดที่อาจทําให้ไม่เหมาะสมต่อการดําเนินการ ให้ผู้รับผิดชอบสถานที่ดําเนินการชี้แจงเหตุผลความจําเป็นในการตั้งสถานที่ดําเนินการนั้น พร้อมแผนหรือมาตรการจัดการ
2. กําหนดให้สถานที่ดําเนินการต้องมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ (1) ลักษณะงานทางวิทยาศาสตร์ (2) ประเภท ชนิด สายพันธุ์ จํานวน และพฤติกรรมของสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ (3) วิธีการเลี้ยงหรือระบบการเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ (4) การป้องกันการติดเชื้อ การควบคุมสภาพแวดล้อม
การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค สารพิษ มลพิษ จากการเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ และ
(5) เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน
3. กําหนดให้สถานที่ดําเนินการสําหรับสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ประเภทสัตว์ทดลองต้องมีระบบการเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ระบบอนามัยเข้ม (Strict Hygienic Conventional System) ระบบปลอดเชื้อก่อโรคจําเพาะ (Specified Pathogen Free System) ระบบปลอดเชื้อสมบูรณ์ (Germ Free System) และระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในการเลี้ยงสัตว์ (Animal Biosafety) ระบบใดระบบหนึ่งหรือ
หลายระบบ
4. สถานที่ดําเนินการต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้บุคคล ยานพาหนะ ที่ไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงสิ่งรบกวนและสัตว์อื่นเข้าไปภายในสถานที่หรือบริเวณต้องห้าม และไม่ให้สัตว์ที่เลี้ยงไว้หลุดออกไปภายนอกได้
5. เครื่องมือ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ที่จําเป็นต่อการดําเนินการต่อสัตว์ เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ประจําสถานที่ดําเนินการต้องมีลักษณะและจํานวนที่เหมาะสมกับวิธีการเลี้ยง หรือระบบการเลี้ยง ประเภท ชนิด จํานวนของสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ และลักษณะของงานทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง โดยให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติการเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ที่คณะกรรมการประกาศกําหนด
6. กําหนดให้ผู้รับผิดชอบสถานที่ดําเนินการต้องจัดให้มีการประเมินความเสี่ยง แผนจัดการความเสี่ยง และแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือภัยธรรมชาติไว้ให้ชัดเจน และมีการซักซ้อมอย่างสม่ําเสมอ
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 และแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 รวม 4 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างกฎกระทรวงการจดแจ้งและการออกใบรับจดแจ้งเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ....
2. ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ....
3. ร่างกฎกระทรวงการแจ้งรายการละเอียดและการออกใบรับแจ้งรายการละเอียดเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ....
4. ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ....
และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
ร่างกฎกระทรวง
สาระสําคัญ
ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1
(1) กําหนดให้ผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าที่ประสงค์จะผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ให้ยื่นคําขออนุญาตผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์พร้อมด้วยหนังสือรับรองความสอดคล้องของผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตหรือเจ้าผลิตภัณฑ์ฉลากและเอกสารกํากับเครื่องมือแพทย์และเอกสารหรือหลักฐานอื่นตามที่กําหนดในแบบคําขอ
(2) เมื่อผู้อนุญาตได้รับคําขอแล้ว ให้ตรวจสอบคําขอ เอกสารและหลักฐานที่ผู้ยื่นคําขอส่งมอบ หากครบถ้วน ถูกต้องและชําระค่าธรรมเนียมใบรับจดแจ้งตามที่กําหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยเรื่องกําหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์แล้วให้ออกใบรับจดแจ้งไว้เป็นหลักฐาน
(3) คําขอจดแจ้งหรือรายการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามแบบที่เลขาธิการกําหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการและประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(4) การยื่นคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้ยื่น ณ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข หรือด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ หรือด้วยวิธีการอื่นใดตามที่เลขาธิการกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 2
(1) กําหนดให้ผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าที่ประสงค์จะผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ให้ยื่นคําขออนุญาตผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์พร้อมด้วยฉลากและเอกสารกํากับเครื่องมือแพทย์ และเอกสารหรือหลักฐานอื่นตามที่กําหนดในแบบคําขอ
(2) ผู้รับอนุญาตที่ประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาต ให้ยื่นคําขอต่ออายุใบอนุญาตต่อผู้อนุญาตก่อนวันที่ใบอนุญาตสิ้นอายุ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามที่กําหนดในแบบคําขอ โดยการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาต ให้กระทําโดยวิธีสลักหลังใบอนุญาตหรือจะออกใบอนุญาตให้ใหม่ก็ได้
(3) ในกรณีที่ผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้รับอนุญาตในใบจดทะเบียนสถานประกอบการผลิตเครื่องมือแพทย์หรือใบจดทะเบียนสถานประกอบการนําเข้าเครื่องมือแพทย์ ตามกรณีที่กําหนด ได้แก่ (1) ชื่อผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ (2) ชื่อหรือที่ตั้งสถานที่ผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ให้ถือว่าผู้รับอนุญาตผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์นั้น ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้รับอนุญาตในใบอนุญาตดังกล่าวนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการในใบจดทะเบียนสถานประกอบการ
(4) ผู้รับอนุญาตผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ผู้ใดประสงค์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้รับอนุญาตในกรณีอื่นๆ นอกจากข้างต้น ให้ยื่นคําขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้รับอนุญาตผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ต่อผู้อนุญาต พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามที่กําหนดใบแบบคําขอ โดยการอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไข จะแสดงไว้ในท้ายคําขอหรือใบแนบท้ายใบอนุญาตหรือแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้รับอนุญาตทราบก็ได้
(5) ในกรณีที่ใบอนุญาตชํารุด สูญหาย หรือถูกทําลาย ให้ผู้รับอนุญาตผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ยื่นคําขอรับใบแทนใบอนุญาตต่อผู้อนุญาต โดยให้ส่งคืนใบอนุญาตฉบับเดิมที่ชํารุดหรือยื่นหลักฐานการแจ้งความกรณีสูญหายหรือถูกทําลายด้วย แล้วแต่กรณี โดยใบแทนใบอนุญาต ให้ใช้แบบใบอนุญาตผลิตเครื่องมือแพทย์หรือแบบใบอนุญาตนําเข้าเครื่องมือแพทย์ แล้วแต่กรณี และให้มีคําว่า “ใบแทน” กํากับไว้ที่ด้านหน้าด้วย
(6) คําขออนุญาต ใบอนุญาต คําขอต่ออายุใบอนุญาต คําขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการในใบอนุญาตหรือรายการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และคําขอรับใบแทนใบอนุญาต ให้เป็นไปตามแบบที่เลขาธิการกําหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการและประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา
(7) การยื่นคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้ยื่น ณ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข หรือด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ หรือด้วยวิธีการอื่นใดตามที่เลขาธิการกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(8) กําหนดบทเฉพาะกาล ให้ใบอนุญาตที่ออกให้ก่อนวันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับให้ใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบอนุญาตจะสิ้นอายุ และคําขอใดๆ ที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของผู้อนุญาต ให้ถือว่าเป็นคําขอตามกฎกระทรวงนี้โดยอนุโลม ในกรณีที่คําขอดังกล่าวมีข้อแตกต่างไปจากคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้ผู้อนุญาตมีอํานาจสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติมได้ตามความจําเป็นเพื่อให้
การเป็นไปตามกฎกระทรวงนี้
ร่างกฎกระทรวงตามข้อ 3
(1) กําหนดให้ผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ที่ประสงค์จะผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ให้ยื่นคําขอแจ้งรายการละเอียดผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ พร้อมด้วยฉลากและเอกสารกํากับเครื่องมือแพทย์และเอกสารหรือหลักฐานอื่นตามที่กําหนดในแบบคําขอ
(2) ผู้รับอนุญาตที่ประสงค์จะขอต่ออายุใบรับแจ้งรายการละเอียด ให้ยื่นคําร้องขอต่ออายุใบรับแจ้งรายการละเอียด ให้ยื่นคําขอต่ออายุใบรับแจ้งรายการละเอียดก่อนวันที่ใบรับแจ้งรายการละเอียดสิ้นอายุ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามที่กําหนดในแบบคําขอ โดยการอนุญาตให้ต่ออายุใบรับแจ้งรายการละเอียด ให้กระทําโดยวิธีสลักหลังใบรับแจ้งรายการละเอียดหรือจะออกใบรับแจ้งรายการละเอียดให้ใหม่ก็ได้
(3) ในกรณีที่ผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้รับอนุญาตในใบจดทะเบียนสถานประกอบการผลิตเครื่องมือแพทย์หรือใบจดทะเบียนสถานประกอบการนําเข้าเครื่องมือแพทย์ ตามกรณีที่กําหนด ได้แก่ (1) ชื่อผู้จดทะเบียนสถานประกอบการผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ (2) ชื่อหรือที่ตั้งสถานที่ผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ ให้ถือว่าผู้แจ้งรายการละเอียดผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์นั้นได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้แจ้งไว้ในใบรับแจ้งรายการละเอียดดังกล่าวนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการในใบจดทะเบียนสถานประกอบการ
(4) ผู้แจ้งรายการละเอียดผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ผู้ใดประสงค์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้แจ้งไว้ในกรณีอื่นๆ นอกจากข้างต้น ให้ยื่นคําขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้แจ้งรายการผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ต่อผู้อนุญาต พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามที่กําหนดในแบบคําขอโดยการอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแก้ไข จะแสดงไว้ในท้ายคําขอหรือใบแนบท้ายใบรับแจ้งรายการละเอียด หรือแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้รับแจ้งรายการละเอียดทราบก็ได้
(5) ในกรณีที่ใบรับแจ้งรายการละเอียด ชํารุด สูญหาย หรือถูกทําลาย ให้แจ้งรายการละเอียดผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ยื่นคําขอรับใบแทนใบรับแจ้งรายการละเอียดต่อผู้อนุญาต โดยให้ส่งคืนใบรับแจ้งรายการละเอียดฉบับเดิมที่ชํารุดหรือยื่นหลักฐานการแจ้งความกรณีสูญหายหรือถูกทําลายด้วย แล้วแต่กรณี โดยใบแทนใบรับแจ้งรายการละเอียด ให้ใช้แบบใบรับแจ้งรายการละเอียดผลิตเครื่องมือแพทย์หรือแบบใบรับแจ้งรายการละเอียดนําเข้าเครื่องมือแพทย์แล้วแต่กรณี และให้มีคําว่า “ใบแทน” กํากับไว้ที่ด้านหน้าด้วย
(6) คําขอแจ้งรายการละเอียด ใบแจ้งรายการละเอียด คําขอต่ออายุใบรับแจ้งรายการละเอียด คําขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการในใบรับแจ้งรายการละเอียดหรือรายการ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และคําขอรับใบแทนใบรับแจ้งรายการละเอียดให้เป็นไปตามแบบที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กําหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการและประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(7) การยื่นคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้ยื่น ณ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข หรือด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ หรือด้วยวิธีการอื่นใด
ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(8) กําหนดบทเฉพาะกาล ให้ใบรับแจ้งรายการละเอียดผลิตหรือนําเข้าเครื่องมือแพทย์ที่ออกให้ก่อนวันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับ ให้ใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบอนุญาตจะสิ้นอายุ และคําขอใด ๆ ที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับและยังอยู่ในระหว่าง
การพิจารณาของผู้อนุญาต ให้ถือว่าเป็นคําขอตามกฎกระทรวงนี้โดยอนุโลมในกรณีที่คําขอดังกล่าวมีข้อแตกต่างไปจากคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้ผู้อนุญาตมีอํานาจสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติมได้ตามความจําเป็นเพื่อให้การเป็นไปตามกฎกระทรวงนี้
ร่างกฎกระทรวง
ตามข้อ 4
ค่าธรรมเนียม
ตามร่างกฎกระทรวงฯ
(ฉบับละ/บาท)
ค่าธรรมเนียมท้าย
พระราชบัญญัติฯ
(ฉบับละ/บาท)
ให้กําหนดค่าธรรมเนียม อาทิ
(1) ใบจดทะเบียนสถานประกอบการผลิต
(2) ใบจดทะเบียนสถานประกอบการนําเข้า
(3) ใบอนุญาตผลิตเครื่องมือแพทย์
(4) ใบอนุญาตนําเข้าเครื่องมือแพทย์
(5) ใบอนุญาตขายเครื่องมือแพทย์
ฯลฯ
ฯลฯ
ฯลฯ
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 จํานวน 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 (ปรับปรุงกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการผลิตยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. 2546)
1.1 ปรับปรุงการกําหนดขั้นตอนและหลักฐานในการยื่นขอใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบัน
1.2 กําหนดเพิ่มเติมให้ผู้รับใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบันต้องดําเนินการ
1.2.1 จัดทํารายงานประจําปีเกี่ยวกับการผลิตยาที่ได้ขึ้นทะเบียนตํารับยาและรายการประจําปีเกี่ยวกับการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
1.2.2 จัดให้มีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตยา และกระจายยาตามลักษณะและจํานวนที่รัฐมนตรีกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
1.2.3 ดําเนินการผลิตยาและกระจายยาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขใน การผลิตยาและการกระจายยาแผนปัจจุบันที่รัฐมนตรีกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
1.2.4 ปฏิบัติตามเงื่อนไขและคํารับรองตามที่ให้ไว้ในทะเบียนตํารับยาของตน
1.3 เพิ่มเงื่อนไขในการต่ออายุใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบัน โดยกําหนดให้ผู้อนุญาตจะพิจารณาไม่ต่ออายุใบอนุญาต เมื่อปรากฏว่า
1.3.1 ผู้รับอนุญาตขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 14
1.3.2 ไม่ผ่านการตรวจประเมินสถานที่ผลิตยาแผนปัจจุบัน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจประเมินสถานที่ผลิตยาแผนปัจจุบัน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการผลิตยาแผนปัจจุบันที่รัฐมนตรีกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
1.3.3 ไม่ผ่านการตรวจประเมินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกระจายยาแผนปัจจุบันที่รัฐมนตรีกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
1.4 กําหนดเพิ่มเติมให้ผู้รับอนุญาตผลิตยาสามารถเพิ่มสถานที่เก็บยาได้
2. ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 (ปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2525) ออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510)
2.1 กําหนดให้รัฐมนตรีมีอํานาจประกาศกําหนดลักษณะและจํานวนอุปกรณ์ และสถานที่ที่ใช้ในการเก็บรักษายา
2.2 กําหนดให้ผู้รับใบอนุญาตดําเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
2.2.1 นําหรือสั่งยาจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการผลิตยาแผนปัจจุบัน หรือได้มาตรฐานทัดเทียมกัน
2.2.2 ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเก็บรักษายา และ
การกระจายยา
2.2.3 ปฏิบัติตามเงื่อนไขและคํารับรองที่ให้ไว้ในทะเบียนตํารับยาของตน
2.2.4 รายงานการส่งออกยาไปนอกราชอาณาจักร
2.3 เพิ่มเงื่อนไขในการต่ออายุใบอนุญาตนําหรือสั่งยาแผนปัจจุบันเข้ามาในราชอาณาจักร โดยกําหนดให้ผู้อนุญาตจะพิจารณาไม่ต่ออายุใบอนุญาต เมื่อปรากฏว่า
2.3.1 ผู้รับใบอนุญาตขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 14
2.3.2 ไม่ผ่านการตรวจประเมินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเก็บรักษายาและการกระจายยาแผนปัจจุบันที่รัฐมนตรีกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2.4 ปรับปรุงแบบท้ายกฎกระทรวงให้เหมาะสมและสอดคล้องกัน
9. เรื่อง ร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมทางหลวงชนบท ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานทางหลวงตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมทางหลวงชนบท ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานทางหลวงตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี
กําหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษข้าราชการกรมทางหลวงชนบท ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพนักงานทางหลวงตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวง
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. .... เพื่อยกเลิกคดีพิเศษที่ต้องดําเนินการตามที่กําหนดในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ รวม 13 คดีความผิด
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
ยกเลิกคดีความผิดทางอาญาที่กําหนดเพิ่มเติมในกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดคดีพิเศษเพิ่มเติม ตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และกฎกระทรวงฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 จํานวน 5 คดีความผิด ดังนี้
คดีความผิดอาญาตามกฎกระทรวงฯ
คดีความผิดอาญาตามร่างกฎกระทรวงฯ ที่ ยธ. เสนอ
(1) คดีความผิดตามประมวลรัษฎากร
(2) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
(3) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต
(4) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยสุรา
(5) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยาสูบ
(6) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(7) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
(8) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
(9) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยแร่
(10) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(11) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องสําอาง
(12) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย
(13) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยา
(14) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร
(15) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
(16) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้
(17) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ
(18) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ
(19) คดีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
(1) คดีความผิดตามประมวลรัษฎากร
(2) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
(3) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต
(4) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยสุรา
(5) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยาสูบ
(6) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(7) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
(8) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
(9) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยแร่
(10) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(11) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องสําอาง
(12) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย
(13) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยา
(14) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร
(15) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
(16) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้
(17) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ
(18) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ
(19) คดีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
11. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทาน การประดับและกรณีที่ให้ประดับเหรียญพิทักษ์เสรีชน สิทธิ บัตรประจําตัว และการเรียกเหรียญกับบัตรประจําตัวผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนคืน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทาน
การประดับและกรณีที่ให้ประดับเหรียญพิทักษ์เสรีชน สิทธิ บัตรประจําตัว และการเรียกเหรียญกับบัตรประจําตัว
ผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนคืน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย
สาระสําคัญของร่างระเบียบ
เป็นการยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทาน การประดับ และกรณีที่ให้ประดับเหรียญพิทักษ์เสรีชน สิทธิ บัตรประจําตัว และการเรียกเหรียญกับบัตรประจําตัวผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนคืน พ.ศ. 2512 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์ คุณสมบัติ วิธีการ และเงื่อนไขการขอพระราชทานการประดับและกรณีให้ประดับเหรียญพิทักษ์เสรีชน สิทธิ บัตรประจําตัว และการเรียกเหรียญกับบัตรประจําตัวผู้ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนคืน เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติเหรียญพิทักษ์เสรีชน
พ.ศ. 2512 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเหรียญพิทักษ์เสรีชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 ซึ่งจะทําให้การขอพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชนครอบคลุมถึงผู้ที่ทางราชการมีคําสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงภายใน การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การปฏิบัติการเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติในต่างประเทศ หรือปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ อันเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงของประเทศ
12. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเกี่ยวกับกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะตามมาตรา 7 (1) (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน รวม 3 ฉบับ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ ทั้ง 3 ฉบับ
1. ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ เรื่อง กิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการถนน ทางหลวง ทางพิเศษ และการขนส่งทางถนน พ.ศ. .... ได้กําหนดกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการถนน ทางหลวง ทางพิเศษ และการขนส่งถนน
ตามมาตรา 7 (1) แห่ง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ดังนี้
1.1 ให้กิจการดังต่อไปนี้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ
การดําเนินกิจการทางถนน ทางหลวง ทางพิเศษ
(1) ที่พักริมทาง
(2) ระบบควบคุมการเก็บเงินค่าใช้ทาง
(3) ระบบการสื่อสาร
(4) ระบบการควบคุมการจราจร
1.2 ให้กิจการดังต่อไปนี้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ
การดําเนินกิจการการขนส่งทางถนน
(1) สถานีขนส่งผู้โดยสาร
(2) สถานีขนส่งสัตว์และหรือสิ่งของ
(3) อู่ซ่อมรถและบริการซ่อมรถ
(4) การพัฒนาระบบตั๋วร่วม
2. ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ เรื่อง กิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการรถไฟ รถไฟฟ้า และการขนส่งทางราง พ.ศ. .... ได้กําหนดกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการรถไฟ รถไฟฟ้า และการขนส่งทางราง ตามมาตรา 7 (2) แห่ง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ดังนี้
2.1 ให้กิจการดังต่อไปนี้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการรถไฟ รถไฟฟ้า
(1) ระบบควบคุมการเดินรถ
(2) ระบบการสื่อสาร
(3) ระบบจัดเก็บค่าโดยสาร
(4) ระบบจ่ายกําลังไฟฟ้าขับเคลื่อน
(5) ศูนย์ซ่อมบํารุง
(6) สถานที่จอดยานพาหนะของผู้โดยสาร
2.2 ให้กิจการดังต่อไปนี้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการการขนส่งทางราง
(1) สถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง
(2) ย่านกองเก็บตู้สินค้า ลานบรรทุกตู้สินค้า
(3) การพัฒนาระบบตั๋วร่วม
3. ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ เรื่อง กิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการท่าเรือและการขนส่งทางน้ํา พ.ศ. .... ได้กําหนดกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการท่าเรือและการขนส่งทางน้ํา ตามมาตรา 7 (4) แห่ง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ดังนี้
3.1 ให้กิจการดังต่อไปนี้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการท่าเรือ
(1) โรงพักสินค้าเพื่อตรวจปล่อยของขาเข้าและบรรจุของขาออกที่ขนส่งโดยระบบคอนเทนเนอร์นอกเขตทําเนียบท่าเรือ
(2) สถานีตรวจและบรรจุสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์เพื่อการส่งออก
(3) ท่าเรือบก
(4) การใช้เรือลากจูง
(5) การยกตู้สินค้าโดยปั้นจั่นยกตู้สินค้า
(6) คลังสินค้า โรงเก็บรักษาสินค้า ลานวางตู้สินค้า
3.2 ให้กิจการดังต่อไปนี้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดําเนินกิจการการขนส่งทางน้ํา
(1) อู่เรือ
(2) การพัฒนาระบบตั๋วร่วม
13. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงที่ต้องจัดทําตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จํานวน 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ....
2. ร่างกฎกระทรวงการงดหรือลดเบี้ยปรับ พ.ศ. .... 3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขใน
การคํานวณมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์ พ.ศ. .... รวมจํานวน 3 ฉบับ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง จํานวน 3 ฉบับ
ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับ ดังกล่าว กําหนดขึ้นเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งเป็นผู้จัดเก็บภาษีนําไปปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสําหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างบางประเภท งดเบี้ยปรับของภาษีที่ค้างชําระกรณีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างถูกยึดหรืออายัดตามกฎหมาย รวมถึงการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการในการคํานวณราคาประเมินทุนทรัพย์สําหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์ โดยมีสาระสําคัญดังนี้
1. ร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ....
1.1 กําหนดให้ลดภาษีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างร้อยละ 50 ดังต่อไปนี้
1.1.1 ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาได้มาทางมรดก โดยใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ทั้งนี้ ต้องได้รับโอนมรดกและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมก่อนวันที่ 13 มีนาคม 2562
1.1.2 ที่ดินที่เป็นที่ตั้งของโรงผลิตไฟฟ้า และโรงผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้ ให้รวมถึงที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นที่ใช้ประโยชน์เกี่ยวเนื่องกับการผลิตไฟฟ้า
1.2 กําหนดให้ลดภาษีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างร้อยละ 90 ดังต่อไปนี้
1.2.1 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นอสังหาริมทรัพย์รอการขายของสถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น สถาบันการเงินประชาชน บริษัทบริหารสินทรัพย์ เป็นเวลา
ไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกเป็นของหน่วยงาน
1.2.2 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นโครงการจัดสรรเพื่ออยู่อาศัยหรืออุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินเป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินดังกล่าว
1.2.3 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นอาคารชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด เป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารชุดดังกล่าว
1.2.4 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว
1.2.5 ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ได้ดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน กฎหมายว่าด้วยอาคารชุด หรือกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยแล้ว ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายดังกล่าวยังไม่ได้ขายเป็นเวลาไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่ 13 มีนาคม 2562
1.2.6 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในกิจการของสถาบันอุดมศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในกิจการของโรงเรียน ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
1.2.7 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นสถานที่ให้บริการแก่ประชาชนเป็นการทั่วไป ได้แก่ เล่นกีฬา สวนสัตว์ สวนสนุกที่มีเครื่องเล่นที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
1.2.8 ที่จอดรถของการรถไฟฟ้า ที่ดินที่เป็นลานจอดรถสาธารณะในสถานีขนส่งผู้โดยสาร ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่ตั้งของถนนหรือทางยกระดับ ที่เป็นทางพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือเป็นทางหลวงสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวงสัมปทาน
2. ร่างกฎกระทรวงการงดหรือลดเบี้ยปรับ พ.ศ. .... เป็นการกําหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการของดเบี้ยปรับของภาษีที่ค้างชําระสําหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ถูกยึดหรืออายัดตามกฎหมาย
3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคํานวณมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์ พ.ศ. .... เป็นการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคํานวณมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างสําหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์กําหนด ดังนี้
3.1 กรณีที่ดิน
3.1.1 ที่ดินที่มีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทําประโยชน์ (นส. 3 ก.) ให้พนักงานประเมินเทียบเคียงราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินกับแปลงที่ดินใกล้เคียงที่มีสภาพคล้ายคลึงกัน
3.1.2 ที่ดินที่มีหนังสือสําคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินอื่น หรือที่ดินที่ไม่มีหนังสือสําคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้พนักงานประเมินใช้ราคาที่ดินตามบัญชีกําหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินรายเขตปกครองกรมธนารักษ์หรือสํานักงานกรมธนารักษ์พื้นที่จัดส่งให้เป็นฐานในการคํานวณภาษีของที่ดิน
3.2 กรณีสิ่งปลูกสร้าง ให้พนักงานประเมินใช้ราคาสิ่งปลูกสร้างตามบัญชีกําหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ของสิ่งปลูกสร้างที่กรมธนารักษ์หรือสํานักงานธนารักษ์พื้นที่จัดส่งให้ เป็นฐานในการคํานวณภาษีของสิ่งปลูกสร้าง และกรณีไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์ของสิ่งปลูกสร้างให้พนักงานประเมินเทียบเคียงราคาประเมินทุนทรัพย์ของสิ่งปลูกสร้างตามบัญชีเทียบเคียงสิ่งปลูกสร้างที่กรมธนารักษ์หรือสํานักงานธนารักษ์พื้นที่จัดส่งให้
3.3 กรณีสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะอื่นซึ่งไม่สามารถเทียบเคียงตามบัญชีกําหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ ให้พนักงานประเมินแจ้งให้เจ้าของสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวนําส่งเอกสารหรือหลักฐานแสดงมูลค่าสิ่งปลูกสร้างเพื่อประกอบการพิจารณากําหนดราคาของสิ่งปลูกสร้างต่อ อปท.
เศรษฐกิจ - สังคม
14. เรื่อง การยุบเลิกศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอการยุบเลิกศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อ อว. จะได้ดําเนินการตามข้อสังเกตของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ต่อไป
สาระสําคัญของเรื่อง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการยุบเลิกศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เนื่องจากศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ไม่มีการดําเนินงานตามวัตถุประสงค์ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 นอกจากนี้ ตามรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2557 สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีความเห็นว่า ควรยุบเลิกบัญชีเงินฝากของศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ซึ่งได้มีการปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าวไปแล้ว และในปัจจุบันศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์มิได้มีรายได้จากการดําเนินงานและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือนของบุคลากรเบิกจ่ายจากงบเงินอุดหนุนในความรับผิดชอบของสํานักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษาอยู่แล้ว การยุบเลิกหน่วยงานจึงไม่ส่งผลต่อการเงินและงบประมาณในภาพรวมของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทั้งนี้ สํานักงาน ก.พ. พิจารณาแล้วเห็นชอบ
15. เรื่อง ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงชื่อตําบลและอําเภอที่ติดตั้งเครื่องเรดาร์ตรวจอากาศแบบ C Band ชนิด Dual Polarization พร้อมอุปกรณ์เชื่อมโยงและหอเรดาร์ ที่สถานีเรดาร์ตรวจอากาศหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอเปลี่ยนแปลงชื่อตําบลและอําเภอที่ติดตั้งเครื่องเรดาร์ตรวจอากาศแบบ C Band ชนิด Dual Polarization1 พร้อมอุปกรณ์เชื่อมโยงและหอเรดาร์ ที่สถานีเรดาร์ตรวจอากาศหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จากเดิม ตําบลคลองหลา อําเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา เป็น สถานีเรดาร์ตรวจอากาศหาดใหญ่ ตําบลทุ่งตําเสา อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
สาระสําคัญของเรื่อง
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเปลี่ยนแปลงชื่อตําบลและอําเภอที่ติดตั้งเครื่องเรดาร์ตรวจอากาศแบบ C Band ชนิด Dual Polarization พร้อมอุปกรณ์เชื่อมโยงและหอเรดาร์ ที่สถานีเรดาร์ตรวจอากาศหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จากเดิม ตําบลคลองหลา อําเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา เป็นสถานีเรดาร์ตรวจอากาศหาดใหญ่ ตําบลทุ่งตําเสา อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื่องจากมีการแจ้งชื่อตําบลและอําเภอคลาดเคลื่อน โดยจะดําเนินการติดตั้งเครื่องเรดาร์เพื่อทดแทนหอเรดาร์เดิมในพื้นที่เดิม โดยสํานักงบประมาณได้เห็นชอบความเหมาะสมของราคาครุภัณฑ์ ในวงเงิน 147.73 ล้านบาท ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2563 โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว จํานวน 30.26 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 117.47 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ (158.8 ล้านบาท)
_____________________________
1 เรดาร์ตรวจอากาศ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สําหรับจับตําแหน่งและทิศทางการเคลื่อนที่ของเมฆและพายุ เพื่อใช้ประกอบการพยากรณ์อากาศ
16. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาดําเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติ ครัวเรือนละ 5,000 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 และวันที่ 7 ตุลาคม 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติขยายระยะเวลาดําเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติ ครัวเรือนละ 5,000 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 และวันที่ 7 ตุลาคม 2562 จากเดิมกําหนดสิ้นสุดระยะเวลาดําเนินการในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 โดยขอขยายระยะเวลาดําเนินการออกไปถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่กระทรวงการคลัง (กค.) อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณรายการนี้
2. อนุมัติหลักการให้นํางบประมาณที่เหลือจากการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติครัวเรือนละ 5,000 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 และวันที่ 7 ตุลาคม 2562 ไปใช้ในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติที่อาจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่น ๆเช่น ภาคใต้ ภาคตะวันออก เป็นต้น โดยใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายเงินช่วยเหลือเช่นเดียวกันกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติใน
ครั้งนี้
สาระสําคัญของเรื่อง
กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบขยายระยะเวลาดําเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติครัวเรือนละ 5,000 บาทตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2565 และวันที่ 7 ตุลาคม 2562 ที่อนุมัติในหลักการกรอบวงเงินงบประมาณ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีอุทกภัยจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีพ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นเพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยครัวเรือนละ 5,000 บาท จํานวน 418,480 ครัวเรือน วงเงิน 2,092.40 ล้านบาท ใน 32 จังหวัด ที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัน โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสินซึ่งกําหนดสิ้นสุดระยะเวลาดําเนินการในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 โดย มท. ได้แจ้งว่าการดําเนินการดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้นและไม่สามารถดําเนินการได้ทันตามเวลาที่กําหนดจึงขอขยายระยะเวลาดําเนินการออกไปถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 ซึ่งกระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณนี้รวมทั้งขออนุมัติหลักการให้นํางบประมาณที่เหลือจากการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติดังกล่าวไปใช้ในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติที่อาจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่น ๆเช่น ภาคใต้ภาคตะวันออก เป็นต้น โดยใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายเงินช่วยเหลือเช่นเดียวกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติในครั้งนี้ ซึ่งผลการดําเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติดังกล่าวสรุปได้ ดังนี้
ดําเนินการแล้ว
ไม่มีครัวเรือนเสียหายตามหลักเกณฑ์
ธนาคารออมสินโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์สําเร็จใน28 จังหวัด จํานวน 49,352 ครัวเรือน เป็นเงิน 246.76 ล้านบาท แบ่งเป็น
- ดําเนินการครบถ้วนแล้วใน 7 จังหวัด ได้แก่
จังหวัดกระบี่ 2) จังหวัดเชียงใหม่ 3)
จังหวัดน่าน 4 ) จังหวัดเพชรบูรณ์ 5) จังหวัดแพร่ 6) จังหวัดเลย และ 7) จังหวัดสุโขทัย
- มีข้อมูลที่อยู่ระหว่างดําเนินการ จํานวน 4,625 ครัวเรือน ใน 21 จังหวัด
- ธนาคารออมสินส่งคืนข้อมูล เนื่องจากผู้ประสบภัยไม่ผูกพร้อมเพย์กับเลขบัตรประชาชน/ ไม่มีบัญชีธนาคารออมสิน/บัญชีธนาคารถูกปิด จํานวน 5,499 ครัวเรือน ใน 10 จังหวัด
จํานวน 4 จังหวัด ได้แก่
จังหวัดแม่ฮ่องสอน
จังหวัดหนองบัวลําภู
จังหวัดสระแก้ว
จังหวัดชัยภูมิ
17. เรื่อง ขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลน ในทุกกรณี เพื่อดําเนินโครงการก่อสร้างระบบจําหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ําไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะพระทอง จังหวัดพังงา) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 (เรื่อง การจําแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลน ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2534 (เรื่อง รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2543 (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติเรื่องการแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) และเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 3/2543 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนโครงการอําเภอคุระบุรี แปลงที่ 1 (เกาะพระทอง) บริเวณท้องที่หมู่ที่ 2 ตําบลเกาะพระทอง อําเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา เพื่อดําเนินโครงการก่อสร้างระบบจําหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ําไปยังเกาะพระทอง จังหวัดพังงา
2. ให้กระทรวงมหาดไทย กํากับ ดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคให้ดําเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อปลูกและบํารุงป่าชายเลนทดแทน ไม่น้อยกว่า 20 เท่า ของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบํารุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดําเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานรัฐที่มีความจําเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. 2556 ด้วย
สาระสําคัญของเรื่อง
เรื่องนี้เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2553 เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ดําเนินโครงการก่อสร้างระบบจําหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ําไปยังเกาะต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเกาะพระทอง จังหวัดพังงาด้วย แต่โดยที่พื้นที่ดําเนินการตามโครงการฯ บางส่วนอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าชายเลน โครงการอําเภอคุระบุรี แปลงที่หนึ่ง บริเวณท้องที่หมู่ที่ 2 ตําบลเกาะพระทอง อําเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณี ทั้งภาครัฐและเอกชน กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) จึงได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 วันที่ 23 กรกฎาคม 2534 วันที่ 22 สิงหาคม 2543 และวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ที่ให้ระงับการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนโดยเด็ดขาด เพื่อดําเนินโครงการก่อสร้างระบบจําหน่ายด้วยว่าการวางสายเคเบิลใต้น้ําระบบ 33,000 โวลต์ ความยาว 4 กิโลเมตร จากท่าเทียบเรือบ้านทุ่งละออง (ฝั่งจังหวัดพังงา) ไปยังท่าเทียบเรือบ้านทุ่งดาบ (ฝั่งเกาะพระทอง) จังหวัดพังงา ซึ่งกระทรวงมหาดไทยแจ้งว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาแล้วเห็นว่า บริเวณดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนโครงการอําเภอคุระบุรีแปลงที่ 1 (เกาะพระทอง) บริเวณท้องที่ หมู่ที่ 2 ตําบลเกาะพระทอง อําเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาแล้วเห็นชอบและอนุญาตให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคใช้พื้นที่ดังกล่าวแล้ว โดยขอให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบมติคณะรัฐมนตรี และข้อเสนอแนะในการอนุญาตใช้พื้นที่และการบริหารจัดการโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ได้ชี้แจงการดําเนินงานตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่น การจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นการค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม ไม่น้อยกว่า 20 เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้เป็นประโยชน์ โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจัดสรรเงินรายได้ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพื่อดําเนินการ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของสํานักงบประมาณ
18. เรื่อง การแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไปตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอ
สาระสําคัญของเรื่อง
สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน (สคจ.) ซึ่งได้เดินทางมาชุมนุมบริเวณถนนลูกหลวง (ข้างกระทรวงศึกษาธิการ) ตั้งแต่วันที่ 6 - 23 ตุลาคม 2562 จํานวนประมาณ 400 คน ซึ่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้องและพบปะเจรจากับ สคจ. และได้ประชุมหารือร่วมกันหลายครั้งโดยได้ข้อสรุปผลการเจรจาแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นซึ่ง สคจ. พอใจและยุติการชุมนุมเพื่อเดินทางกลับภูมิลําเนาในวันที่ 23 ตุลาคม 2562 ในการนี้สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีได้จัดทําสรุปกรณีปัญหาและข้อเสนอเชิงนโยบายของ สคจ. รวม 35 เรื่อง แบ่งเป็น 5 กรณี ดังนี้
กรณีปัญหา/หน่วยงาน
ข้อเสนอเชิงนโยบายของ สคจ.
1. กรณีราษฎรได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนฝายและอ่างเก็บน้ํา (จํานวน 7 เรื่อง)
หน่วยงาน : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงพลังงาน
รัฐบาลต้องระงับโครงการก่อสร้างเขื่อนทุกเขื่อนในประเทศจนกว่าจะมีการปรับปรุงแก้ไขประกาศใช้กฎหมายให้คนจนมีอํานาจในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติแล้วเสร็จ
2. กรณีปัญหาราคาสินค้าเกษตร (กรณีมะพร้าวราคาตกต่ําของเครือข่ายชาวสวนมะพร้าวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์) (จํานวน 1 เรื่อง)
หน่วยงาน : กษ. กระทรวงพาณิชย์
เช่น (1) รัฐบาลต้องยกเลิกหนี้สินที่ไม่เป็นธรรมให้เกษตรที่เป็นสมาชิก สคจ. ซึ่งเกิดจากแนวทางการพัฒนาที่ผิดพลาดของรัฐ (2) รัฐบาลต้องประกันราคาพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าว อ้อย ยางพารา มะพร้าว
(3) รัฐบาลต้องยุติการนําเข้าและห้ามใช้สารเคมีอันตรายในพื้นที่เกษตร เช่น พาราควอต ไกลโฟเซต และ
คลอร์ไพริฟอส
3. กรณีราษฎรได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของรัฐด้านอุตสาหกรรมและคมนาคม (จํานวน 2 เรื่อง)
หน่วยงาน : กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลต้องยุติโครงการพัฒนาทั้งของรัฐและเอกชนที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนรวมถึงโครงการที่เข้าบุกรุก ยึดถือ ครอบครองที่ดินของรัฐ เช่น ป่าสงวนแห่งชาติ ที่สาธารณประโยชน์ พื้นที่ชุ่มน้ํา และในที่ดินที่มีการออกเอกสารสิทธิ์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
4. กรณีปัญหาที่อยู่อาศัยและทํากินในที่ดินของรัฐรวมทั้ง การประกาศพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตหวงห้ามที่ดิน (จํานวน 17 เรื่อง)
หน่วยงาน : กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงการคลัง
เช่น (1) รัฐบาลต้องยกเลิกคําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาและการบริหารที่ดิน และนโยบายทวงคืนผืนป่า
(2) รัฐบาลต้องดําเนินการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ. ศ. 2511 และดําเนินการบริหารจัดการพื้นที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินของสมาชิก สคจ. ในเขตพิพาท โดยกันออกจากเขตป่า แล้วนํามาจัดให้ประชาชนภายใต้พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ฉบับที่ปรับปรุงแก้ไข
5. กรณีปัญหาแรงงาน (จํานวน 8 เรื่อง)
หน่วยงาน : กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
เช่น (1) รัฐบาลต้องปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 และพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 [เช่น (1.1) ให้สํานักงานประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนออกจากระบบราชการ และจัดตั้งองค์กรมหาชนขึ้นมารับผิดชอบแทน คณะผู้บริหารประกันสังคมมาจากการเลือกตั้งจากลูกจ้างและนายจ้างโดยตรง (1.2) ให้จัดตั้งโรงพยาบาลและจัดให้มีแพทย์ด้านอาชีวเวชศาสตร์ประจําโรงพยาบาลเฉพาะสําหรับผู้ประกันตนให้ทั่วถึงและเพียงพอ (2) รัฐบาลต้องขึ้นค่าจ้างขั้นต่ําตามอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้น
19. เรื่อง การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่การปฏิบัติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เสนอมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2562 ดังนี้
1. เห็นชอบการกําหนดหน่วยงานเจ้าภาพและภารกิจในการขับเคลื่อนประเด็นแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ หน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนเป้าหมายระดับประเด็นของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนเป้าหมายระดับแผนย่อยของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าภาพประสานและบูรณการการดําเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาให้บรรลุเป้าหมายที่กําหนดตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
2. เห็นชอบแนวทางการจัดทําแผนระดับที่ 3 ในส่วนของแผนปฏิบัติการด้าน.... และมอบหมาย สศช. พิจารณากํากับการดําเนินการตามแนวทางดังกล่าว เพื่อให้เกิดการถ่ายระดับของแผนทั้งสามระดับอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน เร่งดําเนินการจัดทําแผนปฏิบัติราชการ แผนวิสาหกิจ และแผนปฏิบัติการ ตามลําดับ และขอความร่วมมือให้หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ ดําเนินการจัดทําแผนปฏิบัติราชการ โดยให้ใช้ชื่อตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทําให้เกิดการถ่ายทอดเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งนําเข้าแผนในระบบการติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (Electronic Monitoring and Evaluation System of National Strategy and Country Reform : eMENSCR)
3. เห็นชอบให้คณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ สํานักงบประมาณ (สงป.) สศช. ร่วมกับหน่วยงานของรัฐ ในการจัดทําโครงการสําคัญ นําไปสู่การก่อให้เกิดการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติให้บรรลุผลตามเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่วางไว้ได้อย่างเป็นรูปธรรม และใช้เป็นคําของบประมาณประจําปี 2564 ต่อไป
4. มอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการ ดังนี้
4.1 นําเข้าข้อมูลผลการดําเนินโครงการ/การดําเนินงานในความรับผิดชอบในระบบ eMENSCR ให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นเดือนธันวาคม 2562
4.2 นําเข้าข้อมูลสถิติ สถานการณ์ หรือข้อมูลอื่นใดในระบบ eMENSCR สําหรับการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ให้เกิดการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป รวมทั้งเชื่อมโยงระบบข้อมูลสารสนเทศในความรับผิดชอบ โดยเฉพาะระบบข้อมูลสารสนเทศด้านงบประมาณของ สงป. และกรมบัญชีกลางเข้ากับระบบ eMENSCR นอกจากนี้ให้หน่วยงานที่อยู่ระหว่างหรือจะดําเนินการพัฒนาระบบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลใช้ระบบ eMENSCR ในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล ก่อนที่จะมีการพัฒนาระบบ
5. เห็นชอบการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายคณะกรรมการปฏิรูปประเทศดําเนินการตามขั้นตอนและกรอบระยะเวลาของกฎหมาย ทั้งนี้ ในการรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่าง ๆ ให้ดําเนินการร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการดําเนินการ การประหยัดเวลาและงบประมาณต่อไป
20. เรื่อง แผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
สาระสําคัญของเรื่อง
กษ. เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) (แผนยุทธศาสตร์ฯ) ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2560 ที่อนุมัติแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) และมอบหมายการยางแห่งประเทศไทยนําแผนดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ซึ่งเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2561 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้พิจารณาแผนดังกล่าวแล้วมีความเห็นให้การยางแห่งประเทศไทยนําไปทบทวนแผนยุทธศาสตร์ฯ ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และการยางแห่งประเทศไทยได้มีการปรับปรุงแก้ไขตามความเห็น/ข้อเสนอแนะของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว
แผนยุทธศาสตร์ฯ มีวิสัยทัศน์ “ประเทศผู้ผลิตยางคุณภาพดี เกษตรกรมีรายได้มั่นคง” ซึ่งในการดําเนินการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติได้มีการกําหนดกรอบแนวทางในการดําเนินการ เป็น 3 ระยะ คือ (1) ระยะ 1 – 5 ปี (พ.ศ. 2560 – 2564) (2) ระยะ 6 – 10 ปี (พ.ศ. 2565 – 2569) และ (3) ระยะ 11 – 20 ปี (พ.ศ. 2570 – 2579) มีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้
1. เป้าหมายในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์
เป้าหมาย
จาก (ปี 2559)
เป็น (ปี 2579)
1. ลดจํานวนพื้นที่ปลูกยางลง
23.3 ล้านไร่
เหลือ 18.4 ล้านไร่
2. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อหน่วยพื้นที่ โดยกําหนดเป้าหมายปริมาณผลผลิตยางเพิ่มขึ้น
เฉลี่ย 224 กิโลกรัม/ไร่
เฉลี่ย 360 กิโลกรัม/ไร่
3. เพิ่มสัดส่วนการใช้ยางภายในประเทศ
ร้อยละ 13.6
ร้อยละ 35
4. เพิ่มมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพารา
250,000 ล้านบาท/ปี
800,000 ล้านบาท/ปี
5. เพิ่มรายได้จากการทําสวนยาง
11,984 บาท/ไร่
19,800 บาท/ไร่
2. ประเด็นยุทธศาสตร์ (Strategy) ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
ยุทธศาสตร์
แนวทางการพัฒนา
1. การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรชาวสวนยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง
เช่น ส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนยางทําสวนยางผสมผสานตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ศึกษา ออกแบบ และพัฒนา “กองทุนรักษาเสถียรภาพรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยาง” ขึ้นในประเทศไทย ส่งเสริมและจูงใจให้เกษตรกรชาวสวนยางรวมกลุ่มกันบริหารจัดการในรูปแบบแปลงใหญ่
2. การเพิ่มประสิทธิภาพและการยกระดับคุณภาพและมาตรฐาน
เช่น บังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาสวนยางที่บุกรุกพื้นที่ป่า กําหนดเขตพื้นที่ที่เหมาะสมสําหรับเพาะปลูกยาง สนับสนุนและจูงใจให้เกษตรกรชาวสวนยางปลูกยางพันธุ์ดี ที่ให้ผลผลิตสูงและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ รวมทั้งให้ปรับปรุง/พัฒนาคุณภาพยางแปรรูปให้ได้มาตรฐาน GMP
3. การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
เช่น วิจัยและพัฒนาพันธุ์ยางที่เติบโตเร็วให้ผลผลิตสูง วิจัยและพัฒนารูปแบบการปลูกและระบบการกรีดยางเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุด สนับสนุนให้มีการกําหนดโจทย์วิจัยจากปัญหา/ความต้องการของภาคธุรกิจเอกชน และผลักดันและสร้างสิ่งจูงใจให้มีการนําเอาผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์และต่อยอดในเชิงพาณิชย์
4. การพัฒนาตลาดและช่องทางการจัดจําหน่าย
เช่น เชื่อมโยงธุรกรรมการซื้อขายยางในตลาดกลางยางพาราแต่ละแห่งเข้ากับตลาดยางท้องถิ่น เพื่อให้ทั่วโลกนําไปใช้ในการอ้างอิง ออกมาตรการด้านการเงินและการคลังเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อทดแทนการนําเข้า และสนับสนุนให้ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางพาราได้มีโอกาสนําสินค้าไปเปิดตลาดในต่างประเทศ
5. การพัฒนาปัจจัยสนับสนุน
เช่น เพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยางพาราโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อปลูกยางพารา ปรับปรุงและแก้ไขมาตรการส่งเสริมการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมยางพารา เร่งพัฒนานิคมอุตสาหกรรมยางพารา และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้พร้อมรองรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ ศึกษาวิเคราะห์ และจัดทําแผนความต้องการและแผนพัฒนากําลังคนด้านยางพาราของประเทศไทยและจัดกิจกรรม Road Show ในประเทศที่เป็นตลาดเป้าหมายเพื่อจูงใจแก่นักลงทุนต่างประเทศ
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติ มีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ทําหน้าที่กํากับดูแลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย และคณะทํางานด้านต่าง ๆ รับผิดชอบการขับเคลื่อนแต่ละยุทธศาสตร์ โดยทํางานภายใต้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ
21. เรื่อง สรุปมติประชุมคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช ครั้งที่ 2/2562
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 และให้ความเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช เสนอ ดังนี้
การเปิดตลาดนําเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้กรอบความตกลงการค้า WTO 3 ปี (ปี 2563 –
2565) ไม่จํากัดปริมาณ อัตราภาษีร้อยละ 0 และกรอบความตกลงการค้าอื่น ให้เป็นไปตามข้อผูกพัน และการบริหารการนําเข้าคราวละ 3 ปี (ปี 2563 - 2565)
การเปิดตลาดสินค้าน้ํามันถั่วเหลืองและแฟรกชันของน้ํามันถั่วเหลือง มะพร้าว และมะพร้าว
ฝอย เนื้อมะพราวแห้ง และน้ํามันมะพร้าวและแฟรกชันของน้ํามันมะพร้าว ภายใต้กรอบความตกลง WTO กรอบความตกลงการค้าอื่น คราวละ 3 ปี (ปี 2563 - 2565) และการบริหารการนําเข้าปีต่อปี
หลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาสินค้ามะพร้าวและมะพร้าวฝอย เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ํามัน
มะพร้าวและเฟรกชันของน้ํามันมะพร้าว ตามความตกลงการเกษตรภายใต้ WTO สําหรับปี 2563 - 2565
การเพิ่มองค์ประกอบภาคเอกชนในคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช คือ “ผู้แทนสมาคม
ผู้ผลิตอาหารสําเร็จรูป (ด้านมะพร้าว)” เป็นกรรมการในคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช (เพิ่มเติม)
22. เรื่อง ผลิตภัณฑ์กองทุนรวมเพื่อการออมระยะยาว
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอดังนี้
1. เห็นชอบการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว
2. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร จํานวน 1 ฉบับ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
สาระสําคัญ
เนื่องจากการสร้างเครื่องมือเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว สร้างวินัยการออม และมีการวางแผนทางการเงินเพื่อให้มีรายได้ที่เพียงพอในการดํารงชีวิตหลังเกษียณยังคงมีความสําคัญและสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ข้อ 5.1.4 ปฏิรูประบบการออม “โดยจัดให้มีระบบการออม เพื่อการเกษียณอายุอย่างทั่วถึง พัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนให้เป็นแหล่งเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ และเป็นช่องทางการออมของประชาชน พร้อมทั้งพัฒนาเครื่องมือทางการเงินที่จะส่งเสริม ให้คนไทยทุกคนเข้าสู่ระบบการออมและการลงทุนระยะยาวให้สามารถรองรับพฤติกรรม และวัฏจักรชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป พัฒนาระบบสถาบันการเงินให้มีเสถียรภาพและลดต้นทุน พัฒนาขีดความสามารถในการดําเนินงานขององค์กรการเงินชุมชนและสหกรณ์ทุกระดับ และพัฒนาความรู้พื้นฐานทางการเงินแก่ประชาชน ตลอดจนการกํากับดูแลระบบสถาบันการเงิน ให้มีความมั่นคง” ดังนั้น เพื่อเป็นการปรับปรุงนโยบายด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ตรงกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางถึงน้อยและผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยทํางาน ซึ่งต้องการความยืดหยุ่นในแง่ระยะเวลาการออมและจํานวนเงินที่จะออมเพื่อจูงใจให้มีการออมระยะยาวมากขึ้น กระทรวงการคลังจึงเห็นควรเสนอ ดังนี้
1. สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน LTF ให้สิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 และวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 อย่างไรก็ดี การออกกฎกระทรวงตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ยังไม่รวมถึงการกําหนดให้เงินได้จากการขายหน่วยลงทุนในกองทุน LTF ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเช่นเดียวกันกับเงินได้จากการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมอื่น ๆ ดังนั้น จึงเห็นควรแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อให้ผู้ซื้อ LTF ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ได้รับยกเว้นภาษีสําหรับกําไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน LTF
2. กําหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีสําหรับการซื้อกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund: SSF) (กองทุน SSF) ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการออมระยะยาวรูปแบบใหม่ โดยให้บุคคลธรรมดาสามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้สําหรับเงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน SSF ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยเมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ (กองทุน RMF กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเงินจ่ายเบี้ยประกันชีวิตสําหรับการประกันชีวิตแบบบํานาญ) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท ในแต่ละปีภาษี โดยกองทุนสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ทั้งนี้ ผู้ซื้อกองทุน SSF สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้เมื่อถือมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ โดยไม่กําหนดจํานวนซื้อขั้นต่ํา ไม่กําหนดเงื่อนไขในการซื้อต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมระยะยาวมากขึ้น ซึ่งการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจะเน้นไปยังกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงน้อยและผู้ที่เริ่มต้นวัยทํางานให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การกําหนดให้ลดหย่อนภาษีสูงสุดร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมินสอดคล้องกับอัตราการให้สิทธิลดหย่อนภาษีสําหรับเงินสะสมเข้ากองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ได้แก่ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการเพิ่มอัตราเงินสะสมของสมาชิกจากร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 30 ของเงินเดือน และร่างกองทุนบําเหน็จบํานาญแห่งชาติ ซึ่งกําหนดอัตราเงินสะสมของสมาชิกในร่างกฎหมายไว้ที่ร้อยละ 30 ของค่าจ้าง
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะประเมินความคุ้มค่า และผลลัพธ์ของโครงการในปีที่ 5 (2567) เพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป
3. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสําหรับการซื้อกองทุน RMF ภายใต้วงเงินเดิมในการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้
(1) ปรับสัดส่วนการหักลดหย่อนภาษีสําหรับเงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน RMF สูงสุด จากเดิมไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน เป็นร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน โดยยังคงกําหนดวงเงินหักลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ (กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ เงินจ่ายเบี้ยประกันชีวิตสําหรับการประกันชีวิตแบบบํานาญ หรือกองทุน SSF) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนออมได้มากขึ้น และสอดคล้องกับแนวทางการปรับเพิ่มเงินสะสมของกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอื่น
(2) ยกเลิกการกําหนดจํานวนขั้นต่ําในการซื้อกองทุน RMF (จากเดิมกําหนดให้ซื้อจํานวนรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของเงินได้พึงประเมิน หรือมีจํานวนไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อปี แล้วแต่จํานวนใดจะต่ํากว่า) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงน้อยสามารถซื้อกองทุน RMF ได้ โดยยังคงกําหนดให้ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี และไม่ระงับการซื้อเกิน 1 ปี ติดต่อกันเช่นเดิม
ทั้งนี้ การดําเนินการตามมาตรการข้างต้น กระทรวงการคลังสามารถดําเนินการได้โดยการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร จํานวน 1 ฉบับ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
ผลกระทบ
การดําเนินมาตรการที่เสนอเข้าข่ายลักษณะของกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามบทบัญญัติในมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ) และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง การดําเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ. 2561 ซึ่งต้องมีการนําเสนอข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตาม พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ โดยสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกรมสรรพากรได้จัดทํารายละเอียดข้อมูลที่ต้องนําเสนอตามบทบัญญัติในมาตรา 27 และมาตรา 32 เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าการดําเนินมาตรการจะก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังฯ ดังนี้
1) ประมาณการสูญเสียรายได้
จากการกําหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่กองทุน SSF และปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสําหรับกองทุน RMF จะทําให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณปีละ 14,000 ล้านบาท
2) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
การออมระยะยาวของประชาชนเพิ่มขึ้น ช่วยนําไปสู่ความมั่นคงทางรายได้เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ โดยหากมีการซื้อกองทุน RMF และกองทุน SSF เต็มเพดานที่กําหนด ผู้ที่มีรายได้เดือนละ 15,000 บาท 50,000 บาท และ 100,000 บาท จะมีเงินออมระยะยาวเพิ่มขึ้นจากเดิมได้ถึงปีละ 108,000 บาท 360,000 บาท และ 500,000 บาท ตามลําดับ
ต่างประเทศ
23. เรื่อง ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกําจัด สมัยที่ 14 การประชุมรัฐภาคี อนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสําหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ 9 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ 9
(เรื่องนี้สามารถดาวน์โหลดไฟล์)
25. เรื่อง ร่างคํามั่นของไทยที่จะประกาศในการประชุมเวทีผู้ลี้ภัยโลก ครั้งที่ 1
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างคํามั่นและให้คณะผู้แทนไทยร่วมประกาศคํามั่นดังกล่าวในที่ประชุมเวทีผู้ลี้ภัยโลก ครั้งที่ 1 ในวันที่ 17-18 ธันวาคม 2562 ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญและไม่ขัดต่อหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ก่อนประกาศคํามั่น ให้กระทรวงต่างประเทศสามารถดําเนินการได้โดยให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังตามที่กระทรวงต่างประเทศ เสนอ
สาระสําคัญของร่างคํามั่น
1. การดําเนินการต่อเนื่องเพื่อรับรองวุฒิการศึกษาและเอกสารทางการศึกษาของเด็กผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา
2. การให้โอกาสการทํางานสําหรับผู้ที่เดินทางกลับไปแล้วตามกฎระเบียบของไทยและการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าก่อนเดินทางกลับเมียนมา
3. การพัฒนาความร่วมมือในกระบวนการส่งกลับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา
4. แนวทางการใช้การพัฒนาเพื่อช่วยเตรียมความพร้อมพื้นที่รองรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาและชุมชนท้องถิ่น
5. การเสริมสร้างความสามารถและทักษะที่จําเป็นให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการนําระบบคัดกรองเพื่อคัดแยกผู้ต้องการความคุ้มครองระหว่างประเทศออกจากผู้แสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจมาปฏิบัติ
6. การนํามาตรการทางเลือกแทนการคุมขังเด็กที่ต้องการความคุ้มครองระหว่างประเทศมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. การจัดให้เด็กที่ต้องการความคุ้มครองระหว่างประเทศในประเทศไทยเข้าถึงการดูแลด้านสุขภาพที่เหมาะสม
8. การส่งเสริมการเข้าถึงกระบวนการทางอาญาโดยไม่เลือกปฏิบัติภายใต้โครงการ “ยุติธรรมใส่ใจ”
โดยเป็นการประชุมครั้งแรกที่ประเทศต่างๆแสดงความมุ่งมั่นทางการเมืองที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยตามหลักการการแบ่งเบาภาระและความรับผิดชอบผ่านการประกาศคํามั่น การร่วมประกาศคํามั่นของไทยจึงจะเป็นโอกาสแสดงบทบาทสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่การเจรจาและการรับรอง GCR ไปจนถึงการมีส่วนร่วมในการนํา GCR ไปปฏิบัติ นําเสนอแนวทางปฏิบัติที่ดีในประเด็นที่ไทยให้ความสําคัญเช่น การส่งกลับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาอย่างยั่งยืน การมีระบบคัดกรอบผู้ลี้ภัย การใช้มาตรการแทนการกักตัวเด็กในห้องกัก และส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยคณะผู้แทนไทยที่จะเข้าร่วมการประชุมเวทีผู้ลี้ภัยโลก ครั้งที่ 1 ประกอบด้วย เลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ และผู้แทนสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงมหาดไทย
26. เรื่อง การขอความเห็นต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562 ที่เจ้าหน้าที่อาวุโสต้องรับรองในนามรัฐมนตรีเอเปค จํานวน 4 ฉบับ ได้แก่ (1) แผนเอเปคว่าด้วยขยะทะเล (2) แผนเอเปคว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (3) แผนซันติอาโกเพื่อสตรีและการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม และ (4) รายงานผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562 และอนุมัติให้อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศหรือผู้แทนรับรองเอกสารดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารข้างต้นที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสําคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์สามารถดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสําคัญของเอกสาร 4 ฉบับ
1. แผนเอเปคว่าด้วยขยะทะเล จัดทําขึ้นเพื่อเป็นหลักนําในการแก้ไขปัญหาขยะทะเลของเอเปค โดยมีข้อแนะนํา 4 ด้าน ได้แก่ (ก) การพัฒนานโยบายและการประสานงาน (ข) การเสริมสร้างศักยภาพ (ค) การวิจัยและนวัตกรรม และ (ง) การสนับสนุนด้านเงินทุนและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
2. แผนเอเปคว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม มีจุดประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมศักยภาพทางเทคนิคของเขตเศรษฐกิจเอเปคในการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated หรือ IUU) และส่งเสริมศักยภาพองค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการในประเทศและระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการทําประมง IUU ในเอเปคด้วยกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพ ความช่วยเหลือทางวิชาการ และยกระดับการติดตาม การควบคุม การเฝ้าระวัง และการตรวจสอบย้อนกลับ ตามความเหมาะสม โดยมีแนวปฏิบัติที่สําคัญเพื่อให้บรรลุแผนดังกล่าว ได้แก่ (ก) ดําเนินการตามมาตรการรัฐเจ้าของท่า (ข) แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจสอบย้อนกลับและการติดตาม การควบคุม และการเฝ้าระวังกิจกรรมประมง (ค) ยกระดับความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจเอเปค (ง) ส่งเสริมความร่วมมือกับองค์กรด้านประมงที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคและระดับนานาชาติเพื่อระบุประเด็นที่เอเปคสามารถมีส่วนสนับสนุนได้ (จ) ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และ (ฉ) การเสริมสร้างศักยภาพ
3. แผนซันติอาโกเพื่อสตรีและการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางด้านนโยบายในการสนับสนุนการมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจของสตรีในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยมีแนวปฏิบัติที่สําคัญ ได้แก่ (ก) การส่งเสริมบทบาทของสตรีด้วยการเข้าถึงเงินทุนและตลาด (ข) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสตรีในการทํางาน (ค) สนับสนุนให้สตรีสามารถเข้าถึงการศึกษา การฝึกฝน และการพัฒนาทักษะ ตลอดจนงานที่มีความสําคัญ และ (ง) การจัดเก็บข้อมูลจําแนกตามเพศ โดยแผนดังกล่าวตั้งเป้าหมายที่คาดหวังให้บรรลุในปี 2573
4. รายงานผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562 เป็นรายการกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ของเอเปคที่จัดขึ้นในปี 2562
27. เรื่อง ร่างปฏิญญาทางการเมืองระดับสูงของการประชุมทบทวนระยะกลางของแผนปฏิบัติการเวียนนาสําหรับประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลสําหรับทศวรรษ ค.ศ. 2014 – 2024
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาทางการเมืองระดับสูงของการประชุมทบทวนระยะกลางของแผนปฏิบัติการเวียนนาสําหรับประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลสําหรับทศวรรษ ค.ศ. 2014 – 2024 ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดําเนินการได้ตามความเหมาะสมโดยนําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง รวมทั้งเห็นชอบให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจําสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองระดับสูงของการประชุมทบทวนระยะกลางของแผนปฏิบัติการเวียนนาสําหรับประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลสําหรับทศวรรษ ค.ศ. 2014 – 2024 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสําคัญของร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม มีเนื้อหาแสดงถึงความคืบหน้าในการดําเนินงานเพื่อบรรลุแผนปฏิบัติการเวียนนาฯ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน แนวทางความร่วมมือในอนาคตระหว่างประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลกับประเทศทางผ่าน การระดมทรัพยากรให้เพียงพอต่อการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการเวียนนาฯ การส่งเสริมการเข้าถึงตลาดสําหรับการส่งออกจากประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน การเข้าถึงแหล่งเงินลงทุนและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนา การส่งเสริมการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการสร้างความต้านทางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเชิญชวนให้สมัชชาสหประชาชาติพิจารณาจัดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยประเทศกําลังพัฒนาที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ครั้งที่ 3 ในปี 2567
28. เรื่อง การเข้าร่วม Nitric Acid Climate Action Group (NACAG) Initiative ของประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วม Nitric Acid Climate Action Group (NACAG) Initiative และเห็นชอบต่อปฏิญญาว่าด้วยการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ในการผลิตกรดไนตริก (Declaration on N2O Mitigation in Nitric Acid production) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนประเทศไทย ลงนามในปฏิญญาดังกล่าวตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สาระสําคัญของเรื่อง
ปฏิญญาว่าด้วยการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ในการผลิตกรดไนตริก มีสาระสําคัญในการแสดงความตั้งใจของประเทศที่จะช่วยสร้างความมั่นใจในการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์จากการผลิตกรดไนตริกโดยมุ่งสู่การยุติการปล่อยก๊าซดังกล่าวภายในปี พ.ศ. 2563 ด้วยความตระหนักว่ายังมีความจําเป็นที่จะต้องลดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมอีก 8,000 – 10,000 ล้านตัน ภายในปี พ.ศ. 2563 เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส ตามเป้าหมายที่ประชาคมระหว่างประเทศได้ตกลงกัน เนื่องจากก๊าซ ไนตรัสออกไซด์มีค่าศักยภาพในการทําให้โลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ถึง 265 เท่า และการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ที่เกิดจากการผลิตกรดไนตริกนั้น สามารถจัดการได้ง่ายมีค่าใช้จ่ายต่ํา มีเทคโนโลยีที่รองรับการดําเนินการดังกล่าวและสามารถติดตั้งได้อย่างรวดเร็วภายในสถานประกอบการที่มีอยู่ในปัจจุบัน
แต่งตั้ง
29. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นางกฤษณา ลิ่มสุวรรณ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายในคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตําแหน่งเนื่องจากมีอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตําแหน่งที่ว่างอยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
30. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติแทนตําแหน่งที่ว่าง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ แทนตําแหน่งที่ว่าง จํานวน 2 คน ดังนี้
1. นายสุวัฒน์ มีมุข
2. นายทรงศัก สายเชื้อ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งแทนตําแหน่งที่ว่างอยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
31. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน จํานวน 13 คน ประกอบด้วยกรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชน จํานวน 10 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน 3 คน ดังนี้
1. กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชน
1.1 นายกิติศักดิ์ ขจรภัย (จังหวัดสระบุรี)
1.2 นายนฤทธิ์ คําธิศรี (จังหวัดสกลนคร)
1.3 นายแรม เชียงกา (จังหวัดกาญจนบุรี)
1.4 นางพิชชาภา พลสว่าง (จังหวัดพิจิตร)
1.5 นายเสกสรรค์ สะอาดใจ (จังหวัดเพชรบูรณ์)
1.6 นายไพฑูรย์ ฝางคํา (จังหวัดศรีสะเกษ)
1.7 นายอิทธิ แจ่มแจ้ง (จังหวัดระยอง)
1.8 นายสุริยา ศรีโพธิ์ทอง (จังหวัดสุพรรณบุรี)
1.9 นางมนัสนันท์ ปาสาวัน (จังหวัดพะเยา)
1.10 นางบังอร อภิญญาวงศ์เลิศ (จังหวัดเชียงใหม่)
2. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
2.1 นายภาคภูมิ เพิ่มมงคล (ด้านการบริหารธุรกิจ)
2.2 นายชัยวัฒน์ ปกป้อง (ด้านการเงิน)
2.3 นายวิวัฒน์ ไม้แก่นสาร (ด้านการค้าและอุตสาหกรรม)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
32. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดํารงตําแหน่งครบวาระสามปี (เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2562) รวม 8 คน ดังนี้
1. นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการ
2. นายสังข์เวิน ทวดห้อย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนเกษตรกรชาวสวนยาง)
3. นายสุนทร รักษ์ณรงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนเกษตรกรชาวสวนยาง)
4. นางสาวอรอนงค์ อารินวงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนเกษตรกรชาวสวนยาง)
5. นายสง่า ขันคํา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง)
6. นายประสิทธิ์ สืบชนะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง)
7. นางสาวสุจิตรา เลาหวัฒนภิญโญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนผู้ประกอบกิจการยางซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการค้า)
8. นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนผู้ประกอบกิจการยางซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอุตสาหกรรมยาง)
ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป ทั้งนี้ บุคคลในลําดับที่ 6 – 8 เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ
33. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ จํานวน 8 คน เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2562 ดังนี้
1. นายประทีป เจริญพร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารจัดการที่ดิน
2. รองศาสตราจารย์วิโรจ อิ่มพิทักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรดิน
3. นายธนู มีแสงเงิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการปฏิรูปที่ดิน
4. รองศาสตราจารย์เอกรินทร์ อนุกูลยุทธธน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการผังเมือง
5. นายสันติ บุญประคับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
6. นายมานัส ฉั่วสวัสดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
7. นายชนินทร์ ทินนโชติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ
8. รองศาสตราจารย์อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
34. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลตรี ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เป็นกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวงเพิ่มเติม ตามบทบัญญัติของกฎหมาย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอได้เป็นการเฉพาะราย และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งอยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
35. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น ที่พ้นจากตําแหน่งก่อนครบวาระ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
1. รับทราบกรณี นายกิตติพันธ์ ใจดี พ้นจากตําแหน่งกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นในคณะกรรมการสภาการศึกษา
2. เห็นชอบแต่งตั้ง บาทหลวงเดชา อาภรณ์รัตน์ เป็นกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการที่พ้นจากตําแหน่งก่อนครบวาระ
และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
36. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการกีฬาในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอแต่งตั้ง นางประภาศรี บุญวิเศษ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการกีฬาในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ แทนตําแหน่งที่ว่าง และให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนตําแหน่งที่ว่าง อยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
37. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านจิตวิทยาองค์การในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สํานักงาน ก.พ.ร. เสนอแต่งตั้ง หม่อมหลวงพัชรภากร เทวกุล เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านจิตวิทยาองค์การในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ แทนผู้ที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป โดยให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนตําแหน่งที่ว่างมีวาระการดํารงตําแหน่งเท่ากับเวลาที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ยังอยู่ในตําแหน่ง และให้สํานักงาน ก.พ.ร. ดําเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดไว้อย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง การดําเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
38. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง จํานวน 2 ราย ดังนี้
1. นายทวี เกศิสําอาง รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมทางหลวง ไปดํารงตําแหน่ง อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมท่าอากาศยาน
2. นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมการขนส่งทางราง ไปดํารงตําแหน่ง อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมการขนส่งทางราง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
39. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จํานวน 3 ราย ดังนี้
1. นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่งรองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
2. นายสุพพัต อ่องแสงคุณ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่งรองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
3. นายณรงค์ พูลพิพัฒน์ ที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
40. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ในกระทรวงวัฒนธรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ในกระทรวงวัฒนธรรม จํานวน 3 ราย ดังนี้
1. นางประนอม คลังทอง รองอธิบดีกรมศิลปากร ให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม
2. นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม
3. นายประสพ เรียงเงิน ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
**********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24988
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
|
วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
( Novel Coronavirus 2019)
ประจําวันที่ 26 มกราคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
( Novel Coronavirus 2019)
ประจําวันที่ 26 มกราคม 2563
1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 26 มกราคม 2563
1.พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจากต่างประเทศ 8 ราย (กลับบ้านแล้ว 5 ราย อีก 3 รายนอนโรงพยาบาล ) ไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทย
2.มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 84 ราย คัดกรองจากสนามบิน 24 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 60 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 45 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรับไว้ในห้องแยกโรค 39 ราย
3.สถานการณ์ทั่วโลก ข้อมูล ตั้งแต่ 5 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 25 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 21ราย ใน 10 ประเทศ ส่วนประเทศจีน ข้อมูล ณ วันที่ 25 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 1,303 ราย เสียชีวิต 41 ราย
4. ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข สถานการณ์จะดีขึ้นด้วยความร่วมมือจากประชาชน อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ข้อมูลผู้ป่วยทางสื่อออนไลน์ เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่หลาย เกิดความตระหนก และมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โปรดติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมงหรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php และ Line@ / เพจ เฟสบุ๊ค : รู้กันทันโรค, เพจเฟสบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
2. สธ.พบผู้ป่วยยืนยันโรคปอดอักเสบ 8 ราย ทั้งหมดติดเชื้อจากต่างประเทศ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้คณะผู้เชี่ยวชาญฯได้ประกาศผลยืนยันผู้ป่วยโรคปอดอักเสบเพิ่ม รวมเป็น 8 ราย เป็นนักท่องเที่ยว ชาวจีน 7 ราย และคนไทยที่กลับจากไปเที่ยวเมืองอู่ฮั่น 1 ราย โดยผู้ป่วย 5 ราย หายดีกลับบ้านได้แล้ว อีก 3 รายยังนอนพักในห้องแยกความดันลบในโรงพยาบาล ทุกรายอาการดี รอผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการเป็นลบจึงจะให้กลับบ้านได้
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ยกระดับการเฝ้าระวัง คัดกรองผู้ป่วยสงสัยฯ จากพื้นที่แพร่ระบาดของโรค ครอบคลุมทั้ง สนามบิน สถานพยาบาลรัฐ/เอกชน และในชุมชน ให้โรงแรมที่พักเป็นจุดเฝ้าระวังด้วย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในประเทศขณะนี้ ผู้ป่วยทั้งหมดยังเป็นผู้ป่วยที่เข้ามาจากต่างประเทศ ความร่วมมือของประชาชน ผู้ประกอบการทัวร์ โรงแรม ที่พัก เป็นเรื่องสําคัญเพื่อให้การควบคุมป้องกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ผลการดําเนินงานที่ด่านควบคุมโรค
- จากการตรวจคัดกรอง 5 สนามบิน ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ ได้ตรวจคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิ สะสมตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ถึง วันที่ 25 มกราคม 2563 จํานวน 21,522 คน และเฉพาะในวันที่ 25 มกราคม 2563 ได้คัดกรองเที่ยวบินจากกวางโจว 11 เที่ยวบิน มีผู้เดินทางและลูกเรือ 1,556 คน
-นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับแจกคําแนะนํา (health beware card) จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค
4. ข้อแนะนําประจําวันในการป้องกันตนเองจากโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
สาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศปิดการเดินทางสาธารณะที่เข้าออกเมืองอู่ฮั่นและพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทุกช่องทาง และประชาชนควรปฏิบัติตามคําแนะนําดังนี้
• ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่นและเมืองที่มีการระบาดตามคําประกาศของ
ทางการจีน
• ระหว่างเดินทางในต่างประเทศขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม แนะนําควรสวมหน้ากากอนามัย
• หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรวมถึงเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกดี
• หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ํา และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นํามือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จําเป็น
• ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ํา ผ้าเช็ดตัว) เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
• รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
• หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย ภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้
• หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php และ Line@ / เพจเฟสบุ๊ค : รู้กันทันโรค เพจเฟสบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
มกราคม 5/1-2 ******************************* 26 มกราคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
( Novel Coronavirus 2019)
ประจําวันที่ 26 มกราคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
( Novel Coronavirus 2019)
ประจําวันที่ 26 มกราคม 2563
1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 26 มกราคม 2563
1.พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจากต่างประเทศ 8 ราย (กลับบ้านแล้ว 5 ราย อีก 3 รายนอนโรงพยาบาล ) ไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทย
2.มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 84 ราย คัดกรองจากสนามบิน 24 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 60 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 45 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรับไว้ในห้องแยกโรค 39 ราย
3.สถานการณ์ทั่วโลก ข้อมูล ตั้งแต่ 5 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 25 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 21ราย ใน 10 ประเทศ ส่วนประเทศจีน ข้อมูล ณ วันที่ 25 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 1,303 ราย เสียชีวิต 41 ราย
4. ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข สถานการณ์จะดีขึ้นด้วยความร่วมมือจากประชาชน อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ข้อมูลผู้ป่วยทางสื่อออนไลน์ เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่หลาย เกิดความตระหนก และมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โปรดติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมงหรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php และ Line@ / เพจ เฟสบุ๊ค : รู้กันทันโรค, เพจเฟสบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
2. สธ.พบผู้ป่วยยืนยันโรคปอดอักเสบ 8 ราย ทั้งหมดติดเชื้อจากต่างประเทศ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้คณะผู้เชี่ยวชาญฯได้ประกาศผลยืนยันผู้ป่วยโรคปอดอักเสบเพิ่ม รวมเป็น 8 ราย เป็นนักท่องเที่ยว ชาวจีน 7 ราย และคนไทยที่กลับจากไปเที่ยวเมืองอู่ฮั่น 1 ราย โดยผู้ป่วย 5 ราย หายดีกลับบ้านได้แล้ว อีก 3 รายยังนอนพักในห้องแยกความดันลบในโรงพยาบาล ทุกรายอาการดี รอผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการเป็นลบจึงจะให้กลับบ้านได้
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ยกระดับการเฝ้าระวัง คัดกรองผู้ป่วยสงสัยฯ จากพื้นที่แพร่ระบาดของโรค ครอบคลุมทั้ง สนามบิน สถานพยาบาลรัฐ/เอกชน และในชุมชน ให้โรงแรมที่พักเป็นจุดเฝ้าระวังด้วย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในประเทศขณะนี้ ผู้ป่วยทั้งหมดยังเป็นผู้ป่วยที่เข้ามาจากต่างประเทศ ความร่วมมือของประชาชน ผู้ประกอบการทัวร์ โรงแรม ที่พัก เป็นเรื่องสําคัญเพื่อให้การควบคุมป้องกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ผลการดําเนินงานที่ด่านควบคุมโรค
- จากการตรวจคัดกรอง 5 สนามบิน ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ ได้ตรวจคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิ สะสมตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ถึง วันที่ 25 มกราคม 2563 จํานวน 21,522 คน และเฉพาะในวันที่ 25 มกราคม 2563 ได้คัดกรองเที่ยวบินจากกวางโจว 11 เที่ยวบิน มีผู้เดินทางและลูกเรือ 1,556 คน
-นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับแจกคําแนะนํา (health beware card) จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค
4. ข้อแนะนําประจําวันในการป้องกันตนเองจากโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
สาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศปิดการเดินทางสาธารณะที่เข้าออกเมืองอู่ฮั่นและพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทุกช่องทาง และประชาชนควรปฏิบัติตามคําแนะนําดังนี้
• ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่นและเมืองที่มีการระบาดตามคําประกาศของ
ทางการจีน
• ระหว่างเดินทางในต่างประเทศขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม แนะนําควรสวมหน้ากากอนามัย
• หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรวมถึงเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกดี
• หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ํา และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นํามือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จําเป็น
• ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ํา ผ้าเช็ดตัว) เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
• รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
• หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย ภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้
• หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php และ Line@ / เพจเฟสบุ๊ค : รู้กันทันโรค เพจเฟสบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
มกราคม 5/1-2 ******************************* 26 มกราคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26058
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห้ามเจ้าหน้าที่รับสินบนแรงงานต่างด้าวช่วงสงกรานต์
|
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
นายกฯ ห้ามเจ้าหน้าที่รับสินบนแรงงานต่างด้าวช่วงสงกรานต์
รัฐบาลผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทาง
นายกฯ ห้ามเจ้าหน้าที่รับสินบนแรงงานต่างด้าวช่วงสงกรานต์
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทาง เพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ประจําปี 2561 ตั้งแต่วันที่ 5 - 30 เม.ย.นี้ โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ําว่าต้องไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับสินบนในการเดินทางกลับประเทศต้นทางของแรงงานต่างด้าวในช่วงที่มีการผ่อนผัน โดยหากพบการกระทําในลักษณะดังกล่าวจะเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ผู้นั้นอย่างเด็ดขาด เพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสําคัญและเอาจริงเอาจังกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน พร้อมทั้งกําชับให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องสอดส่องดูแลแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ให้เป็นตามกฎกติกาสากล เพื่อให้เกิดการยอมรับจากนานาประเทศ
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห้ามเจ้าหน้าที่รับสินบนแรงงานต่างด้าวช่วงสงกรานต์
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
นายกฯ ห้ามเจ้าหน้าที่รับสินบนแรงงานต่างด้าวช่วงสงกรานต์
รัฐบาลผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทาง
นายกฯ ห้ามเจ้าหน้าที่รับสินบนแรงงานต่างด้าวช่วงสงกรานต์
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทาง เพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ประจําปี 2561 ตั้งแต่วันที่ 5 - 30 เม.ย.นี้ โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ําว่าต้องไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับสินบนในการเดินทางกลับประเทศต้นทางของแรงงานต่างด้าวในช่วงที่มีการผ่อนผัน โดยหากพบการกระทําในลักษณะดังกล่าวจะเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ผู้นั้นอย่างเด็ดขาด เพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสําคัญและเอาจริงเอาจังกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน พร้อมทั้งกําชับให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องสอดส่องดูแลแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ให้เป็นตามกฎกติกาสากล เพื่อให้เกิดการยอมรับจากนานาประเทศ
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11286
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน รับมอบเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และเครื่องช่วยหายใจ
|
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
อนุทิน รับมอบเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และเครื่องช่วยหายใจ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ 1 ล้านขวด สําหรับ อสม.ทั่วประเทศในการลงพื้นที่ดูแลคนในชุมชน และรับมอบชุด PPE หน้ากาก KN95 และเครื่องช่วยหายใจ สําหรับโรงพยาบาลใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19
วันนี้ (24 เมษายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร รับมอบเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ขนาด 50 มล. จํานวน 1 ล้านขวด จากบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) และบริษัท พีที โกลบอลเคมิคอล จํากัด (มหาชน) ให้กับ อสม.ทั่วประเทศ รับมอบชุด PPE จํานวน 10,000 ชุด หน้ากาก KN95 จํานวน 100,000 ชิ้น จากหอการค้าไทย-จีน และรับมอบเครื่องช่วยหายใจ จํานวน 3 เครื่อง จากบริษัท ทีทีซี เพาเวอร์ทูลส์ จํากัด
นายอนุทินกล่าวว่า ในนามของรัฐบาลไทยและกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบพระคุณผู้มีจิตกุศลมอบของบริจาค ซึ่งเป็นสิ่งจําเป็นในสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งแอลกอฮอล์เจลสําหรับ อสม. ที่ทุ่มเททํางานเคาะประตูบ้านเฝ้าระวังโรคในชุมชน มอบชุด PPE. หน้ากากอนามัยให้แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ที่ต้องดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อ เพิ่มความมั่นใจขณะปฏิบัติงาน และเครื่องช่วยหายใจเพื่อใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วย
“ไทยแตกต่างจากประเทศอื่น เพราะคนไทยมีความห่วงใยซึ่งกันและกัน มีจิตสํานึกในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติในยามที่มีโรคระบาดอยู่ทั่วโลก สิ่งที่ท่านได้ทําจะเป็นกุศล เป็นประโยชน์มหาศาลกับผู้ป่วย แพทย์ พยาบาลเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขทุกคน” นายอนุทินกล่าว
******************************** 24 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน รับมอบเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และเครื่องช่วยหายใจ
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
อนุทิน รับมอบเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และเครื่องช่วยหายใจ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ 1 ล้านขวด สําหรับ อสม.ทั่วประเทศในการลงพื้นที่ดูแลคนในชุมชน และรับมอบชุด PPE หน้ากาก KN95 และเครื่องช่วยหายใจ สําหรับโรงพยาบาลใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19
วันนี้ (24 เมษายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร รับมอบเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ขนาด 50 มล. จํานวน 1 ล้านขวด จากบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) และบริษัท พีที โกลบอลเคมิคอล จํากัด (มหาชน) ให้กับ อสม.ทั่วประเทศ รับมอบชุด PPE จํานวน 10,000 ชุด หน้ากาก KN95 จํานวน 100,000 ชิ้น จากหอการค้าไทย-จีน และรับมอบเครื่องช่วยหายใจ จํานวน 3 เครื่อง จากบริษัท ทีทีซี เพาเวอร์ทูลส์ จํากัด
นายอนุทินกล่าวว่า ในนามของรัฐบาลไทยและกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบพระคุณผู้มีจิตกุศลมอบของบริจาค ซึ่งเป็นสิ่งจําเป็นในสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งแอลกอฮอล์เจลสําหรับ อสม. ที่ทุ่มเททํางานเคาะประตูบ้านเฝ้าระวังโรคในชุมชน มอบชุด PPE. หน้ากากอนามัยให้แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ที่ต้องดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อ เพิ่มความมั่นใจขณะปฏิบัติงาน และเครื่องช่วยหายใจเพื่อใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วย
“ไทยแตกต่างจากประเทศอื่น เพราะคนไทยมีความห่วงใยซึ่งกันและกัน มีจิตสํานึกในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติในยามที่มีโรคระบาดอยู่ทั่วโลก สิ่งที่ท่านได้ทําจะเป็นกุศล เป็นประโยชน์มหาศาลกับผู้ป่วย แพทย์ พยาบาลเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขทุกคน” นายอนุทินกล่าว
******************************** 24 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29729
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมบริจาคสมทบ “กองทุนฯ ผู้ประสบวาตภัยจากพายุปาบึก
|
วันอังคารที่ 8 มกราคม 2562
ก.อุตฯ ร่วมบริจาคสมทบ “กองทุนฯ ผู้ประสบวาตภัยจากพายุปาบึก
ก.อุตฯ ร่วมบริจาคสมทบ “กองทุนฯ ผู้ประสบวาตภัยจากพายุปาบึก
เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2562 นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเงินบริจาคสมทบ “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักงานนายกรัฐมนตรี” จํานวน 3,603,900 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซร้อนปาบึก” ผ่านรายการ “รวมน้ําใจไทย ช่วยวาตภัยภายใต้” โดยมีนายประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องส่ง 5 อาคารปฏิบัติการ บมจ.อสมท
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมบริจาคสมทบ “กองทุนฯ ผู้ประสบวาตภัยจากพายุปาบึก
วันอังคารที่ 8 มกราคม 2562
ก.อุตฯ ร่วมบริจาคสมทบ “กองทุนฯ ผู้ประสบวาตภัยจากพายุปาบึก
ก.อุตฯ ร่วมบริจาคสมทบ “กองทุนฯ ผู้ประสบวาตภัยจากพายุปาบึก
เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2562 นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเงินบริจาคสมทบ “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักงานนายกรัฐมนตรี” จํานวน 3,603,900 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซร้อนปาบึก” ผ่านรายการ “รวมน้ําใจไทย ช่วยวาตภัยภายใต้” โดยมีนายประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องส่ง 5 อาคารปฏิบัติการ บมจ.อสมท
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17977
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 ธันวาคม 2559
|
วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2559
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 ธันวาคม 2559
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 ธันวาคม 2559
วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2559
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 ธันวาคม 2559
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/987
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือน ระวังเด็กป่วยโรคมือ เท้า ปาก จากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71
|
วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม 2561
สธ. เตือน ระวังเด็กป่วยโรคมือ เท้า ปาก จากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71
กระทรวงสาธารณสุข เตือนผู้ปกครอง ระวังบุตรหลานป่วยมือ เท้า ปาก จากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 หมั่นสังเกตอาการบุตรหลาน ไข้สูง ซึมลง เดินเซ เหนื่อยหอบ อาเจียนมาก หากมีอาการรุนแรงอาจหมดสติได้ ให้ไปพบแพทย์ทันทีและพักรักษาจนกว่าจะหายเป็นปกติ พร้อมแนะโรงเรียนและ
กระทรวงสาธารณสุข เตือนผู้ปกครอง ระวังบุตรหลานป่วยมือ เท้า ปาก จากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 หมั่นสังเกตอาการบุตรหลาน ไข้สูง ซึมลง เดินเซ เหนื่อยหอบ อาเจียนมาก หากมีอาการรุนแรงอาจหมดสติได้ ให้ไปพบพแพทย์ทันทีและพักรักษาจนกว่าจะหายเป็นปกติ พร้อมแนะโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กทําความสะอาดของเล่น
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าโรค มือ เท้า ปาก ปกติจะไม่มีอาการรุนแรง แต่หากได้รับเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 หรือ อีวี 71 (EV 71) อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ผู้ปกครองสามารถสังเกตอาการของบุตรหลาน หากพบว่า มีไข้ขึ้นสูง ซึมลง เดินเซ ชัก เกร็ง หายใจหอบเหนื่อย อาเจียนมาก มีภาวะขาดน้ํา ความดันโลหิตต่ํา อัตราการเต้นหัวใจผิดปกติอาจ ช็อกหมดสติ และเด็กอาจมีโอกาสหัวใจวายทําให้เสียชีวิตได้ ซึ่งในบางรายไม่พบผื่นที่บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ให้เห็นชัดเจน
ทั้งนี้ วิธีการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71(EV71)ทําได้โดยสอนให้บุตรหลานรักษาความสะอาด อาทิ การล้างมือ ดูแลสุขอนามัยทั่วไป ไม่พาเด็กไปสถานที่ที่มีคนเยอะ อากาศไม่ถ่ายเท เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ในช่วงที่มีการระบาด รวมทั้งโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กควรดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขลักษณะของสถานที่อย่างสม่ําเสมอ เช่นในห้องเรียน ห้องครัว ภาชนะใส่อาหาร รวมทั้งห้องน้ํา ห้องส้วม อาคารสถานที่เครื่องเล่น หรืออุปกรณ์การเรียนการสอน ของเล่นต่างๆ ด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อโรคเป็นประจํา
จากข้อมูลเฝ้าระวังโรค สํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 6 พ.ค. 61 พบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก จํานวน 11,326 ราย จาก 76 จังหวัด กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ อายุ 1 – 3 ปี ภาคที่มีอัตราป่วยสูงสุดคือ ภาคเหนือ 28.31 ต่อแสนประชากร ภาคกลาง 22.995 ต่อแสนประชากร ภาคใต้ 10.62 ต่อแสนประชากร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8.37 ต่อแสนประชากร ตามลําดับ โดยจังหวัดที่ไม่พบผู้ป่วยคือจังหวัดอุดรธานี
ดังนั้น หากพบว่าบุตรหลานมีอาการใกล้เคียงกับการรับเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 แนะนําให้พาไปพบแพทย์โดยทันที และควรแจ้งให้ทางโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กทราบ และหยุดอยู่บ้านจนอาการและแผลทุกแห่งหายเป็นปกติ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
*********************** 14 พฤษภาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือน ระวังเด็กป่วยโรคมือ เท้า ปาก จากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71
วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม 2561
สธ. เตือน ระวังเด็กป่วยโรคมือ เท้า ปาก จากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71
กระทรวงสาธารณสุข เตือนผู้ปกครอง ระวังบุตรหลานป่วยมือ เท้า ปาก จากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 หมั่นสังเกตอาการบุตรหลาน ไข้สูง ซึมลง เดินเซ เหนื่อยหอบ อาเจียนมาก หากมีอาการรุนแรงอาจหมดสติได้ ให้ไปพบแพทย์ทันทีและพักรักษาจนกว่าจะหายเป็นปกติ พร้อมแนะโรงเรียนและ
กระทรวงสาธารณสุข เตือนผู้ปกครอง ระวังบุตรหลานป่วยมือ เท้า ปาก จากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 หมั่นสังเกตอาการบุตรหลาน ไข้สูง ซึมลง เดินเซ เหนื่อยหอบ อาเจียนมาก หากมีอาการรุนแรงอาจหมดสติได้ ให้ไปพบพแพทย์ทันทีและพักรักษาจนกว่าจะหายเป็นปกติ พร้อมแนะโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กทําความสะอาดของเล่น
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าโรค มือ เท้า ปาก ปกติจะไม่มีอาการรุนแรง แต่หากได้รับเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 หรือ อีวี 71 (EV 71) อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ผู้ปกครองสามารถสังเกตอาการของบุตรหลาน หากพบว่า มีไข้ขึ้นสูง ซึมลง เดินเซ ชัก เกร็ง หายใจหอบเหนื่อย อาเจียนมาก มีภาวะขาดน้ํา ความดันโลหิตต่ํา อัตราการเต้นหัวใจผิดปกติอาจ ช็อกหมดสติ และเด็กอาจมีโอกาสหัวใจวายทําให้เสียชีวิตได้ ซึ่งในบางรายไม่พบผื่นที่บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ให้เห็นชัดเจน
ทั้งนี้ วิธีการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71(EV71)ทําได้โดยสอนให้บุตรหลานรักษาความสะอาด อาทิ การล้างมือ ดูแลสุขอนามัยทั่วไป ไม่พาเด็กไปสถานที่ที่มีคนเยอะ อากาศไม่ถ่ายเท เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ในช่วงที่มีการระบาด รวมทั้งโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กควรดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขลักษณะของสถานที่อย่างสม่ําเสมอ เช่นในห้องเรียน ห้องครัว ภาชนะใส่อาหาร รวมทั้งห้องน้ํา ห้องส้วม อาคารสถานที่เครื่องเล่น หรืออุปกรณ์การเรียนการสอน ของเล่นต่างๆ ด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อโรคเป็นประจํา
จากข้อมูลเฝ้าระวังโรค สํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 6 พ.ค. 61 พบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก จํานวน 11,326 ราย จาก 76 จังหวัด กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ อายุ 1 – 3 ปี ภาคที่มีอัตราป่วยสูงสุดคือ ภาคเหนือ 28.31 ต่อแสนประชากร ภาคกลาง 22.995 ต่อแสนประชากร ภาคใต้ 10.62 ต่อแสนประชากร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8.37 ต่อแสนประชากร ตามลําดับ โดยจังหวัดที่ไม่พบผู้ป่วยคือจังหวัดอุดรธานี
ดังนั้น หากพบว่าบุตรหลานมีอาการใกล้เคียงกับการรับเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 แนะนําให้พาไปพบแพทย์โดยทันที และควรแจ้งให้ทางโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กทราบ และหยุดอยู่บ้านจนอาการและแผลทุกแห่งหายเป็นปกติ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
*********************** 14 พฤษภาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12211
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดพสุฯ เปิดงาน OIE Forum 2019 "สานพลัง เสริมทัพ ปรับสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะ"
|
วันพุธที่ 11 กันยายน 2562
ปลัดพสุฯ เปิดงาน OIE Forum 2019 "สานพลัง เสริมทัพ ปรับสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะ"
นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน OIE Forum 2019 "สานพลัง เสริมทัพ ปรับสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะ" ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี
วันนี้ (11 กันยายน 2562) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน OIE Forum 2019 "สานพลัง เสริมทัพ ปรับสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะ" และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่าง สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) และธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) โดยมีนายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภานุวัฒน์ ตริยางกรูศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน และมีนายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี
การจัดงานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้รวดเร็ว โดยเชื่อมโยงข้อมูลร่วมกันผ่านระบบ I-Industry ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางที่เชื่อมโยงการทํางานของหน่วยงานต่าง ๆ ในกระทรวงอุตสาหกรรมไว้ด้วยกันในลักษณะของฐานข้อมูลบิ๊กดาต้า ที่ช่วยตอบโจทย์และตรงใจ SMEs กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสําคัญกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ ควบคู่ไปกับการกระจายรายได้ไปสู่เศรษฐกิจฐานราก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเร่งขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติ ทุกสาขา ทุกระดับ และทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ภายใต้การประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา สถาบันการเงิน สื่อมวลชน รวมถึงภาคประชาชน โดยมี 5 แนวทางสําคัญคือ
1. การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve) เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นในประเทศ 2. การยกระดับผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ให้เติบโตและเข้มแข็ง พร้อมพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจที่ตอบโจทย์วิถีไทย สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก 3. การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ (Special Economic Zone & Area-based Development) เพื่อยึดโยงการพัฒนาอุตสาหกรรมกับศักยภาพเชิงพื้นที่และกระจายรายได้ไปสู่ภูมิภาค 4. การส่งเสริมการประกอบการที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Social and Environment) 5. การปฏิรูปกระทรวงอุตสาหกรรมไปสู่ Smart Government โดยเร่งนําระบบดิจิทัลมาใช้ในการบริการและปฏิบัติงานของกระทรวงอุตสาหกรรมในทุกมิติ
นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย จะเป็นมิติใหม่ของความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับสถาบันทางการเงิน ในการเชื่อมโยงข้อมูลเข้าร่วมกันผ่านระบบ i-Industry ส่งผลให้มีการให้บริการแหล่งเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมและสามารถใช้ข้อมูลจาก Big Data ในการดําเนินนโยบายและมาตรการสนับสนุนที่ตอบโจทย์และตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น #กระทรวงอุตสาหกรรม #OIEFORUM2019
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดพสุฯ เปิดงาน OIE Forum 2019 "สานพลัง เสริมทัพ ปรับสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะ"
วันพุธที่ 11 กันยายน 2562
ปลัดพสุฯ เปิดงาน OIE Forum 2019 "สานพลัง เสริมทัพ ปรับสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะ"
นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน OIE Forum 2019 "สานพลัง เสริมทัพ ปรับสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะ" ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี
วันนี้ (11 กันยายน 2562) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน OIE Forum 2019 "สานพลัง เสริมทัพ ปรับสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะ" และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่าง สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) และธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) โดยมีนายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภานุวัฒน์ ตริยางกรูศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน และมีนายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี
การจัดงานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้รวดเร็ว โดยเชื่อมโยงข้อมูลร่วมกันผ่านระบบ I-Industry ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางที่เชื่อมโยงการทํางานของหน่วยงานต่าง ๆ ในกระทรวงอุตสาหกรรมไว้ด้วยกันในลักษณะของฐานข้อมูลบิ๊กดาต้า ที่ช่วยตอบโจทย์และตรงใจ SMEs กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสําคัญกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ ควบคู่ไปกับการกระจายรายได้ไปสู่เศรษฐกิจฐานราก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเร่งขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติ ทุกสาขา ทุกระดับ และทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ภายใต้การประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา สถาบันการเงิน สื่อมวลชน รวมถึงภาคประชาชน โดยมี 5 แนวทางสําคัญคือ
1. การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve) เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นในประเทศ 2. การยกระดับผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ให้เติบโตและเข้มแข็ง พร้อมพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจที่ตอบโจทย์วิถีไทย สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก 3. การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ (Special Economic Zone & Area-based Development) เพื่อยึดโยงการพัฒนาอุตสาหกรรมกับศักยภาพเชิงพื้นที่และกระจายรายได้ไปสู่ภูมิภาค 4. การส่งเสริมการประกอบการที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Social and Environment) 5. การปฏิรูปกระทรวงอุตสาหกรรมไปสู่ Smart Government โดยเร่งนําระบบดิจิทัลมาใช้ในการบริการและปฏิบัติงานของกระทรวงอุตสาหกรรมในทุกมิติ
นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย จะเป็นมิติใหม่ของความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับสถาบันทางการเงิน ในการเชื่อมโยงข้อมูลเข้าร่วมกันผ่านระบบ i-Industry ส่งผลให้มีการให้บริการแหล่งเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมและสามารถใช้ข้อมูลจาก Big Data ในการดําเนินนโยบายและมาตรการสนับสนุนที่ตอบโจทย์และตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น #กระทรวงอุตสาหกรรม #OIEFORUM2019
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23013
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การอนามัยโลกชื่นชมประเทศไทยดูแลเรื่อง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCD ดีที่สุดในเอเชีย เทียบเท่ากับประเทศฟินแลนด์และนอร์เวย์
|
วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2560
องค์การอนามัยโลกชื่นชมประเทศไทยดูแลเรื่อง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCD ดีที่สุดในเอเชีย เทียบเท่ากับประเทศฟินแลนด์และนอร์เวย์
องค์การอนามัยโลกชื่นชมประเทศไทยจัดการเรื่องโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ดีที่สุดในเอเชีย เทียบเท่ากับประเทศฟินแลนด์และนอร์เวย์ ย้ําประชาชนต้องตระหนักถึงความเสี่ยง ไม่มีใครเป็นหมอได้ดีที่สุดเท่ากับตัวเอง
องค์การอนามัยโลกชื่นชมประเทศไทยจัดการเรื่องโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือNCDsดีที่สุดในเอเชีย เทียบเท่ากับประเทศฟินแลนด์และนอร์เวย์ ย้ําประชาชนต้องตระหนักถึงความเสี่ยง ไม่มีใครเป็นหมอได้ดีที่สุดเท่ากับตัวเอง
เช้าวันนี้(9 ตุลาคม 2560) ที่โรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์ จ.นครปฐม ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อภายใต้บริบทของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (WHO-SEAR Regional Forum to Accelerate NCDs Prevention and Control in the Context of SDGs) โดยองค์การอนามัยโลกประจําภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก(WHO-SEARO) ร่วมกับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสํานักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า130คน จาก11ประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก เพื่อเพิ่ม
ขีดความสามารถในการสร้างเสริมสุขภาพและการลดปัจจัยเสี่ยงหลักที่นําไปสู่ปัญหาโรคไม่ติดต่อ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของเครือข่ายด้านการจัดการNCDsระหว่างประเทศในภูมิภาค
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง(Non-Communicable Diseases – NCDs)นับเป็นวิกฤตที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนทั้งระดับประเทศและนานาชาติ ในแต่ละปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากถึง16ล้านคนจากโรคหัวใจ ปอด โรคหลอดเลือดในสมอง โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน ร้อยละ80
มาจากประชากรในประเทศที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง อย่างประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก จึงเป็นที่มาของการกําหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตให้ได้1ใน3ภายในปี2573การป้องกันและควบคุมNCDsต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ประชาชน โดยเฉพาะหน่วยงานท้องถิ่นที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด เพื่อความยั่งยืนของระบบสุขภาพ
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวต่อว่า ประเทศไทย มีการรณรงค์ มีการเก็บภาษีบาป มีกฎหมายเพิ่มภาษีเครื่องดื่มที่มีรสหวานและเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ช่วยกันในการรณรงค์ โดยองค์การอนามัยโลก
ได้ประกาศประเทศไทยมีการจัดการเรื่องNCDได้คะแนนเพิ่มขึ้น จาก 8 คะแนนในปี 2015 เป็น 12 คะแนน
จากคะแนนเต็ม 19 คะแนน ในปี 2017 ซึ่งเทียบเท่ากับประเทศฟินแลนด์และนอร์เวย์ และดีที่สุดในเอเชีย อย่างไรก็ตามต้องร่วมมือกันทําให้ประชาชนรับรู้ถึงความเสี่ยงต่างๆ ซึ่งไม่มีใครเป็นหมอได้ดีที่สุดเท่ากับตัวเองเป็นหมอดูแลตัวเอง แต่ละคนต้องเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยต้องเริ่มเดี๋ยวนี้
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 4 อันดับแรกได้แก่ 1.หัวใจและหลอดเลือด 2.เบาหวาน 3.โรคทางเดินหายใจอุดกั้นสําหรับคนที่สูบบุหรี่ และ
4.โรคมะเร็ง โดยมีสาเหตุจาก 4 พฤติกรรมเสี่ยงได้แก่ 1.การสูบบุหรี่ 2.กินเหล้า 3.กินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะหวาน มัน เค็ม ไม่ยับยั้ง และ 4.การไม่ออกกําลังกาย กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุดในรูปแบบคลินิกหมอครอบครัวที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ร่วมกับทีมสหวิชาชีพเพื่อดูแลสุขภาพประชาชนครอบคลุมงานส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก ให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพตนเอง ป้องกัน ควบคุมโรค มีหมอประจําตัวทุกครอบครัว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การอนามัยโลกชื่นชมประเทศไทยดูแลเรื่อง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCD ดีที่สุดในเอเชีย เทียบเท่ากับประเทศฟินแลนด์และนอร์เวย์
วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2560
องค์การอนามัยโลกชื่นชมประเทศไทยดูแลเรื่อง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCD ดีที่สุดในเอเชีย เทียบเท่ากับประเทศฟินแลนด์และนอร์เวย์
องค์การอนามัยโลกชื่นชมประเทศไทยจัดการเรื่องโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ดีที่สุดในเอเชีย เทียบเท่ากับประเทศฟินแลนด์และนอร์เวย์ ย้ําประชาชนต้องตระหนักถึงความเสี่ยง ไม่มีใครเป็นหมอได้ดีที่สุดเท่ากับตัวเอง
องค์การอนามัยโลกชื่นชมประเทศไทยจัดการเรื่องโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือNCDsดีที่สุดในเอเชีย เทียบเท่ากับประเทศฟินแลนด์และนอร์เวย์ ย้ําประชาชนต้องตระหนักถึงความเสี่ยง ไม่มีใครเป็นหมอได้ดีที่สุดเท่ากับตัวเอง
เช้าวันนี้(9 ตุลาคม 2560) ที่โรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์ จ.นครปฐม ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อภายใต้บริบทของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (WHO-SEAR Regional Forum to Accelerate NCDs Prevention and Control in the Context of SDGs) โดยองค์การอนามัยโลกประจําภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก(WHO-SEARO) ร่วมกับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสํานักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า130คน จาก11ประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก เพื่อเพิ่ม
ขีดความสามารถในการสร้างเสริมสุขภาพและการลดปัจจัยเสี่ยงหลักที่นําไปสู่ปัญหาโรคไม่ติดต่อ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของเครือข่ายด้านการจัดการNCDsระหว่างประเทศในภูมิภาค
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง(Non-Communicable Diseases – NCDs)นับเป็นวิกฤตที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนทั้งระดับประเทศและนานาชาติ ในแต่ละปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากถึง16ล้านคนจากโรคหัวใจ ปอด โรคหลอดเลือดในสมอง โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน ร้อยละ80
มาจากประชากรในประเทศที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง อย่างประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก จึงเป็นที่มาของการกําหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตให้ได้1ใน3ภายในปี2573การป้องกันและควบคุมNCDsต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ประชาชน โดยเฉพาะหน่วยงานท้องถิ่นที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด เพื่อความยั่งยืนของระบบสุขภาพ
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวต่อว่า ประเทศไทย มีการรณรงค์ มีการเก็บภาษีบาป มีกฎหมายเพิ่มภาษีเครื่องดื่มที่มีรสหวานและเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ช่วยกันในการรณรงค์ โดยองค์การอนามัยโลก
ได้ประกาศประเทศไทยมีการจัดการเรื่องNCDได้คะแนนเพิ่มขึ้น จาก 8 คะแนนในปี 2015 เป็น 12 คะแนน
จากคะแนนเต็ม 19 คะแนน ในปี 2017 ซึ่งเทียบเท่ากับประเทศฟินแลนด์และนอร์เวย์ และดีที่สุดในเอเชีย อย่างไรก็ตามต้องร่วมมือกันทําให้ประชาชนรับรู้ถึงความเสี่ยงต่างๆ ซึ่งไม่มีใครเป็นหมอได้ดีที่สุดเท่ากับตัวเองเป็นหมอดูแลตัวเอง แต่ละคนต้องเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยต้องเริ่มเดี๋ยวนี้
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 4 อันดับแรกได้แก่ 1.หัวใจและหลอดเลือด 2.เบาหวาน 3.โรคทางเดินหายใจอุดกั้นสําหรับคนที่สูบบุหรี่ และ
4.โรคมะเร็ง โดยมีสาเหตุจาก 4 พฤติกรรมเสี่ยงได้แก่ 1.การสูบบุหรี่ 2.กินเหล้า 3.กินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะหวาน มัน เค็ม ไม่ยับยั้ง และ 4.การไม่ออกกําลังกาย กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุดในรูปแบบคลินิกหมอครอบครัวที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ร่วมกับทีมสหวิชาชีพเพื่อดูแลสุขภาพประชาชนครอบคลุมงานส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก ให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพตนเอง ป้องกัน ควบคุมโรค มีหมอประจําตัวทุกครอบครัว
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7251
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อยู่ห่างกันไว้ #โควิด -19
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2563
อยู่ห่างกันไว้ #โควิด -19
สวมหน้ากากอนามัยให้เป็นนิสัย เพื่อชีวิตที่ปลอดภัยและเพื่อสังคมส่วนรวม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อยู่ห่างกันไว้ #โควิด -19
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2563
อยู่ห่างกันไว้ #โควิด -19
สวมหน้ากากอนามัยให้เป็นนิสัย เพื่อชีวิตที่ปลอดภัยและเพื่อสังคมส่วนรวม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33784
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมโครงการ PPK Cancer CONNECTs โรงพยาบาลพระปกเกล้า ศูนย์ความเป็นเลิศโรคมะเร็งภาคตะวันออก ลดรอคอยรักษา ลดอัตราตาย
|
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมโครงการ PPK Cancer CONNECTs โรงพยาบาลพระปกเกล้า ศูนย์ความเป็นเลิศโรคมะเร็งภาคตะวันออก ลดรอคอยรักษา ลดอัตราตาย
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี ว่า ขอชื่นชมโรงพยาบาลพระปกเกล้าที่สามารถทําการตรวจวินิจฉัยรักษาได้ครอบคลุมเทียบเท่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในกรุงเทพ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี ว่า ขอชื่นชมโรงพยาบาลพระปกเกล้าที่สามารถทําการตรวจวินิจฉัยรักษาได้ครอบคลุมเทียบเท่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในกรุงเทพ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานและทันสมัย ลดรอคอยเพิ่มความสะดวกการเข้าถึงบริการโดยเฉพาะแอปพลิเคชั่นPPKCancerCenterCONNECTs เป็นการนําเทคโนโลยีมาใช้ อาทิ line@ มาช่วยในการคําให้ปรึกษา คือ “line@เพื่อนคีโมพระปกเกล้า” ตลอด 4 เดือน ให้คําปรึกษาไปแล้วกว่า 500 ครั้ง ทําให้ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางเข้ามาที่โรงพยาบาลเพื่อรับการบริการสามารถลดความแออัดได้อีกทางหนึ่ง line@เพื่อนไอโอพระปกเกล้า ดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน ,line@คลินิกรวมใจ สําหรับผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลแบบประคับประคอง line@PPKCancerCenter เพื่อสื่อสาร และให้ความรู้เรื่องการป้องกันโรคมะเร็งสําหรับประชาชน
นอกจากนี้ มีการพัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อลดระยะเวลาการรอคอย และเพิ่มคุณค่าการรอคอย ได้แก่ 1.ระบบ Smart คิว เป็น application QueQ ที่แบ่งคนไข้ให้ได้รับการรักษาแบบวันเดียวกลับบ้าน เช่น คนไข้ต่างจังหวัด จะสลับการตรวจกับคนไข้ในพื้นที่เพื่อให้คนไข้สามารถมาตรวจและให้ยาเคมีบําบัด ได้ทันในวันเดียวกัน 2.Tele-Medicine : ทางศูนย์เลือกให้คําปรึกษา ผ่านทาง application ที่ได้มีประสบการณ์ในการให้บริการ telemedicine มากกว่า 7 หมื่นครั้ง ใน 1 ปีครึ่ง เพื่อทําให้ผู้ป่วยที่อยู่ไกล เช่น จ.สระแก้ว ไม่ต้องเดินทางและสามารถให้การรักษา ที่ปลอดภัยเป็นความลับผู้ป่วยรวมทั้งสั่งยาแบบ E-Prescription ได้เสมือนอายุรแพทย์มะเร็งวิทยา ที่รพ.ปลายทาง และ 3. Smiley Rabbit Score แบบประเมินความพึงพอใจ ผู้ให้บริการเมื่อมารับบริการเสร็จแล้ว ด้วยการลงคะแนนด้วยบัตร QueQ
ทั้งนี้ โรงพยาบาลพระปกเกล้า เป็นโรงพยาบาลศูนย์ 755 เตียง มีผู้ป่วยนอกใช้บริการปีละ 7 แสนราย ผู้ป่วยในกว่า 5 หมื่นราย รักษามะเร็งครบวงจรประกอบไปด้วยการผ่าตัด การให้ยาเคมี การฉายแสงรังสีรักษา และการดูแลแบบประคับประคอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเรื่องการฉายแสงรังสีรักษา ที่เริ่มฉายแสงแก่ผู้ป่วย 4 รายแรกแล้วเมื่อ 20 กันยายน 2562 และจะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2562 มีผู้ป่วยรายใหม่เข้ารับการรักษาประมาณ 1,800 ราย โรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้ป่วยชาย ได้แก่ มะเร็งปอด และตับ โรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้ป่วยหญิง ได้แก่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก
******************************************** 22 กันยายน 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมโครงการ PPK Cancer CONNECTs โรงพยาบาลพระปกเกล้า ศูนย์ความเป็นเลิศโรคมะเร็งภาคตะวันออก ลดรอคอยรักษา ลดอัตราตาย
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมโครงการ PPK Cancer CONNECTs โรงพยาบาลพระปกเกล้า ศูนย์ความเป็นเลิศโรคมะเร็งภาคตะวันออก ลดรอคอยรักษา ลดอัตราตาย
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี ว่า ขอชื่นชมโรงพยาบาลพระปกเกล้าที่สามารถทําการตรวจวินิจฉัยรักษาได้ครอบคลุมเทียบเท่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในกรุงเทพ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี ว่า ขอชื่นชมโรงพยาบาลพระปกเกล้าที่สามารถทําการตรวจวินิจฉัยรักษาได้ครอบคลุมเทียบเท่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในกรุงเทพ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานและทันสมัย ลดรอคอยเพิ่มความสะดวกการเข้าถึงบริการโดยเฉพาะแอปพลิเคชั่นPPKCancerCenterCONNECTs เป็นการนําเทคโนโลยีมาใช้ อาทิ line@ มาช่วยในการคําให้ปรึกษา คือ “line@เพื่อนคีโมพระปกเกล้า” ตลอด 4 เดือน ให้คําปรึกษาไปแล้วกว่า 500 ครั้ง ทําให้ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางเข้ามาที่โรงพยาบาลเพื่อรับการบริการสามารถลดความแออัดได้อีกทางหนึ่ง line@เพื่อนไอโอพระปกเกล้า ดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน ,line@คลินิกรวมใจ สําหรับผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลแบบประคับประคอง line@PPKCancerCenter เพื่อสื่อสาร และให้ความรู้เรื่องการป้องกันโรคมะเร็งสําหรับประชาชน
นอกจากนี้ มีการพัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อลดระยะเวลาการรอคอย และเพิ่มคุณค่าการรอคอย ได้แก่ 1.ระบบ Smart คิว เป็น application QueQ ที่แบ่งคนไข้ให้ได้รับการรักษาแบบวันเดียวกลับบ้าน เช่น คนไข้ต่างจังหวัด จะสลับการตรวจกับคนไข้ในพื้นที่เพื่อให้คนไข้สามารถมาตรวจและให้ยาเคมีบําบัด ได้ทันในวันเดียวกัน 2.Tele-Medicine : ทางศูนย์เลือกให้คําปรึกษา ผ่านทาง application ที่ได้มีประสบการณ์ในการให้บริการ telemedicine มากกว่า 7 หมื่นครั้ง ใน 1 ปีครึ่ง เพื่อทําให้ผู้ป่วยที่อยู่ไกล เช่น จ.สระแก้ว ไม่ต้องเดินทางและสามารถให้การรักษา ที่ปลอดภัยเป็นความลับผู้ป่วยรวมทั้งสั่งยาแบบ E-Prescription ได้เสมือนอายุรแพทย์มะเร็งวิทยา ที่รพ.ปลายทาง และ 3. Smiley Rabbit Score แบบประเมินความพึงพอใจ ผู้ให้บริการเมื่อมารับบริการเสร็จแล้ว ด้วยการลงคะแนนด้วยบัตร QueQ
ทั้งนี้ โรงพยาบาลพระปกเกล้า เป็นโรงพยาบาลศูนย์ 755 เตียง มีผู้ป่วยนอกใช้บริการปีละ 7 แสนราย ผู้ป่วยในกว่า 5 หมื่นราย รักษามะเร็งครบวงจรประกอบไปด้วยการผ่าตัด การให้ยาเคมี การฉายแสงรังสีรักษา และการดูแลแบบประคับประคอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเรื่องการฉายแสงรังสีรักษา ที่เริ่มฉายแสงแก่ผู้ป่วย 4 รายแรกแล้วเมื่อ 20 กันยายน 2562 และจะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2562 มีผู้ป่วยรายใหม่เข้ารับการรักษาประมาณ 1,800 ราย โรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้ป่วยชาย ได้แก่ มะเร็งปอด และตับ โรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้ป่วยหญิง ได้แก่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก
******************************************** 22 กันยายน 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23274
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจัดหลุมจอดสำหรับอากาศยานที่ต้องหยุดทำการบินชั่วคราวตามประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย [กระทรวงคมนาคม]
|
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจัดหลุมจอดสําหรับอากาศยานที่ต้องหยุดทําการบินชั่วคราวตามประกาศของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย [กระทรวงคมนาคม]
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจัดหลุมจอดสําหรับอากาศยานที่ต้องหยุดทําการบินชั่วคราวตามประกาศของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ 396/2563
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจัดหลุมจอดสําหรับอากาศยานที่ต้องหยุดทําการบินชั่วคราวตามประกาศของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม จัดหลุมจอดอากาศยานที่ต้องหยุดทําการบินชั่วคราวตามประกาศของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19)
นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อํานวยการ ทสภ. สายปฏิบัติการ 1 ทอท. กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลให้สายการบินที่ทําการบิน ณ ทสภ. ต้องหยุดทําการบินชั่วคราว ตามประกาศของ กพท. ทําให้อากาศยานต้องจอดค้าง ณ ทสภ. เป็นจํานวนมาก ส่งผลให้หลุมจอดอากาศยานที่กําหนดไว้ไม่เพียงพอต่อการให้บริการนั้น ทสภ. จึงได้จัดทําแผนการกําหนดจุดจอดอากาศยานชั่วคราว (Temporary Aircraft Parking) สําหรับจอดอากาศยานของสายการบินที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยใช้พื้นที่บนทางขับ T18 ซึ่งเป็นทางขับเส้นใหม่ที่ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนอากาศยานบริเวณอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Midfield Satellite: SAT-1) ด้านทิศเหนือ เป็นจุดจอดอากาศยานชั่วคราวสําหรับอากาศยาน Code E จํานวน 16 ลํา เพื่อลดผลกระทบการขับเคลื่อนของอากาศยานในพื้นที่ทางขับอื่น ๆ โดย ทสภ. ได้ขอความเห็นชอบการดําเนินการจาก กพท. เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2563 เวลา 14.00 น. เจ้าหน้าที่ กพท. ได้เข้าตรวจสอบความพร้อมการเปิดใช้งานทางขับเส้นดังกล่าวทั้งในด้านมาตรฐานและความปลอดภัยตามข้อกําหนดของ กพท.
ทั้งนี้ ทสภ. จะเริ่มนําอากาศยานของบริษัท การบินไทย จํากัด จํานวนทั้ง 16 ลํา เข้าจอด ณ จุดจอดอากาศยานชั่วคราว บนทางขับ T18 ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2563 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะกลับคืนสู่สภาวะปกติหรือสิ้นสุดระยะเวลาที่สายการบินได้รับอนุญาตให้หยุดทําการบินชั่วคราว โดย ทสภ. พร้อมสนับสนุนการดําเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สามารถร่วมกันผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจัดหลุมจอดสำหรับอากาศยานที่ต้องหยุดทำการบินชั่วคราวตามประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย [กระทรวงคมนาคม]
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจัดหลุมจอดสําหรับอากาศยานที่ต้องหยุดทําการบินชั่วคราวตามประกาศของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย [กระทรวงคมนาคม]
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจัดหลุมจอดสําหรับอากาศยานที่ต้องหยุดทําการบินชั่วคราวตามประกาศของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ 396/2563
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจัดหลุมจอดสําหรับอากาศยานที่ต้องหยุดทําการบินชั่วคราวตามประกาศของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม จัดหลุมจอดอากาศยานที่ต้องหยุดทําการบินชั่วคราวตามประกาศของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19)
นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อํานวยการ ทสภ. สายปฏิบัติการ 1 ทอท. กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลให้สายการบินที่ทําการบิน ณ ทสภ. ต้องหยุดทําการบินชั่วคราว ตามประกาศของ กพท. ทําให้อากาศยานต้องจอดค้าง ณ ทสภ. เป็นจํานวนมาก ส่งผลให้หลุมจอดอากาศยานที่กําหนดไว้ไม่เพียงพอต่อการให้บริการนั้น ทสภ. จึงได้จัดทําแผนการกําหนดจุดจอดอากาศยานชั่วคราว (Temporary Aircraft Parking) สําหรับจอดอากาศยานของสายการบินที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยใช้พื้นที่บนทางขับ T18 ซึ่งเป็นทางขับเส้นใหม่ที่ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนอากาศยานบริเวณอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Midfield Satellite: SAT-1) ด้านทิศเหนือ เป็นจุดจอดอากาศยานชั่วคราวสําหรับอากาศยาน Code E จํานวน 16 ลํา เพื่อลดผลกระทบการขับเคลื่อนของอากาศยานในพื้นที่ทางขับอื่น ๆ โดย ทสภ. ได้ขอความเห็นชอบการดําเนินการจาก กพท. เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2563 เวลา 14.00 น. เจ้าหน้าที่ กพท. ได้เข้าตรวจสอบความพร้อมการเปิดใช้งานทางขับเส้นดังกล่าวทั้งในด้านมาตรฐานและความปลอดภัยตามข้อกําหนดของ กพท.
ทั้งนี้ ทสภ. จะเริ่มนําอากาศยานของบริษัท การบินไทย จํากัด จํานวนทั้ง 16 ลํา เข้าจอด ณ จุดจอดอากาศยานชั่วคราว บนทางขับ T18 ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2563 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะกลับคืนสู่สภาวะปกติหรือสิ้นสุดระยะเวลาที่สายการบินได้รับอนุญาตให้หยุดทําการบินชั่วคราว โดย ทสภ. พร้อมสนับสนุนการดําเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สามารถร่วมกันผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29291
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ชวนออมเงินลุ้นโชค ผลตอบแทนสูง และยกเว้นภาษี กับ “สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี / 3 ปี” เพียงมี MyMo ฝากได้ทันที พร้อมรับของที่ระลึกมากมายในบูธงาน “มหกรรมการเงินระยอง ครั้งที่ 1”
|
วันพุธที่ 4 กันยายน 2562
ออมสิน ชวนออมเงินลุ้นโชค ผลตอบแทนสูง และยกเว้นภาษี กับ “สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี / 3 ปี” เพียงมี MyMo ฝากได้ทันที พร้อมรับของที่ระลึกมากมายในบูธงาน “มหกรรมการเงินระยอง ครั้งที่ 1”
ธนาคารออมสินนําเสนอโปรโมชั่นพิเศษทุกผลิตภัณฑ์และบริการ ในงานมหกรรมการเงินระยอง ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 6-8 ก.ย.62 จัดผลิตภัณฑ์น่าสนใจ Digital Salak on MyMo : สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี และ สลากออมสินดิจิทัล 3 ปี ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยและเงินรางวัลสูง
ธนาคารออมสินนําเสนอโปรโมชั่นพิเศษทุกผลิตภัณฑ์และบริการ ในงานมหกรรมการเงินระยอง ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 6-8 ก.ย.62 จัดผลิตภัณฑ์น่าสนใจ Digital Salak on MyMo : สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี และ สลากออมสินดิจิทัล 3 ปี ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยและเงินรางวัลสูง พร้อมยกเว้นภาษี ด้านสินเชื่อเคหะ จัดโปรฯ ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน
นายอิสระ วงศ์รุ่ง รองผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าบุคคล เปิดเผยว่า ธนาคารฯ ได้นํานวัตกรรมทางการเงินครบวงจรเข้าร่วมงานมหกรรมการเงินระยอง ครั้งที่ 1 Money Expo Rayong 2019 ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 เซ็นทรัลพลาซ่าระยอง โดยนําเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากที่น่าสนใจ คือ Digital Salak on MyMo ได้แก่ สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ฝากผ่าน Mobile Banking ของธนาคารออมสิน (MyMo) อายุสลาก 1 ปี รับฝากหน่วยละ 20 บาท ฝากครบอายุ 1 ปี ได้รับดอกเบี้ยขั้นต่ํา 0.25% ต่อปี พร้อมลุ้นถูกเลขรางวัลรวมจํานวน 12 ครั้ง ทุกวันที่ 16 ของเดือน รางวัลสูงสุดรางวัลที่ 1 จํานวน 2 ล้านบาท และ สลากออมสินดิจิทัล 3 ปี อายุสลาก 3 ปี รับฝากหน่วยละ 50 บาท ฝากครบอายุ 3 ปี ได้รับดอกเบี้ยขั้นต่ํา 0.667% ต่อปี ลุ้นถูกเลขรางวัลรวม 36 ครั้ง ทุกวันที่ 16 ของเดือน รางวัลสูงสุดรางวัลที่ 1 จํานวน 10 ล้านบาท 3 รางวัล, รางวัลที่ 2 จํานวน 1 ล้านบาท 2 รางวัล และรางวัลอื่นๆ อีก รวมถึงรางวัลเลขท้าย โดยผลตอบแทนของสลากออมสิน 2 แบบนี้ ทั้งดอกเบี้ยและเงินรางวัลได้รับยกเว้นภาษี
พร้อมกันนี้ ยังมีเงินฝากสําหรับผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป ได้แก่ ยังมีเงินฝากสําหรับผู้สูงวัย “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษผู้สูงวัย 24 เดือน” รับฝากเฉพาะบุคคลธรรมดาอายุ 60 ปีขึ้นไป เปิดได้คนละ 1 บัญชี เปิดบัญชีขั้นต่ํา 10,000 บาท ฝากสูงสุดรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ระยะเวลารับฝาก 24 เดือน อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (Step Up) เดือนที่ 1-6 = 1% ต่อปี เดือนที่ 7-12 = 1.5% ต่อปี เดือนที่ 13-18 = 2% ต่อปี และ เดือนที่ 19-24 = 3% ต่อปี คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.875% ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจํา 2.206% ต่อปี)
ด้านผลิตภัณฑ์สินเชื่อ นําเสนอ สินเชื่อเคหะ สําหรับผู้ที่กําลังตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ปลูกสร้าง ต่อเติมซ่อมแซม หรือไถ่ถอนจํานอง โดยลูกค้าทั่วไป เมื่อเลือกทําประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 100% ทั้งวงเงินกู้และระยะเวลากู้ คิดอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน เดือนที่ 7-12 MRR-5.5% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารฯ ปัจจุบัน = 6.87% ต่อปี) ปีที่ 2-3 MRR-3.1% ต่อปี ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-1.5% ต่อปี (เฉลี่ย 3 ปี = 2.742%) หากลูกค้าทั่วไป เลือกทําประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อตามเกณฑ์ธนาคาร อัตราดอกเบี้ยปีแรก MRR-6% ต่อปี ปีที่ 2-3 MRR-2.85% ต่อปี ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-1.25% ต่อปี (เฉลี่ย 3 ปี = 2.97%) และยังมี สินเชื่อที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage) นําที่อยู่อาศัย ได้แก่ บ้านพร้อมที่ดินหรือห้องชุดที่ตนเองเป็นเจ้าของมาค้ําประกันสินเชื่อ คุณสมบัติผู้กู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 80 ปี วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 0% ปีที่ 3 เป็นต้นไป MRR-1% ต่อปี (เฉลี่ย 3 ปี = 1.957%) จ่ายเงินกู้เป็นรายเดือน รวมกันสูงสุดไม่เกิน 25 ปี
ขณะเดียวกัน นําเสนอ สินเชื่อ GSB D-VERs วงเงินกู้ 1-20 ล้านบาท สําหรับผู้ประกอบการ SMEs ใช้หลักทรัพย์ค้ําประกันมากกว่า 50% และทําประกันสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก MOR/MLR-1% หลังจากนั้น MOR/MLR+1% สินเชื่อ GSB SMEs Startup สําหรับผู้ประกอบการระยะเริ่มต้น (Startup Stage) วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท หากใช้หลักทรัพย์ค้ําประกันมากกว่า 30% อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 3.99% ต่อปี
“นอกจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมายในโปรโมชั่นพิเศษที่ธนาคารออมสินนํามาเสนอเหล่านี้แล้ว เมื่อใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์ใดก็ตาม จะได้รับของที่ระลึกฟรี พร้อมกับกิจกรรมที่น่าสนใจและความบันเทิงหลากหลายไว้ให้ลูกค้าและผู้เข้าชมงานได้เพลิดเพลินตลอดทั้งงาน”รองผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ชวนออมเงินลุ้นโชค ผลตอบแทนสูง และยกเว้นภาษี กับ “สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี / 3 ปี” เพียงมี MyMo ฝากได้ทันที พร้อมรับของที่ระลึกมากมายในบูธงาน “มหกรรมการเงินระยอง ครั้งที่ 1”
วันพุธที่ 4 กันยายน 2562
ออมสิน ชวนออมเงินลุ้นโชค ผลตอบแทนสูง และยกเว้นภาษี กับ “สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี / 3 ปี” เพียงมี MyMo ฝากได้ทันที พร้อมรับของที่ระลึกมากมายในบูธงาน “มหกรรมการเงินระยอง ครั้งที่ 1”
ธนาคารออมสินนําเสนอโปรโมชั่นพิเศษทุกผลิตภัณฑ์และบริการ ในงานมหกรรมการเงินระยอง ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 6-8 ก.ย.62 จัดผลิตภัณฑ์น่าสนใจ Digital Salak on MyMo : สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี และ สลากออมสินดิจิทัล 3 ปี ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยและเงินรางวัลสูง
ธนาคารออมสินนําเสนอโปรโมชั่นพิเศษทุกผลิตภัณฑ์และบริการ ในงานมหกรรมการเงินระยอง ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 6-8 ก.ย.62 จัดผลิตภัณฑ์น่าสนใจ Digital Salak on MyMo : สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี และ สลากออมสินดิจิทัล 3 ปี ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยและเงินรางวัลสูง พร้อมยกเว้นภาษี ด้านสินเชื่อเคหะ จัดโปรฯ ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน
นายอิสระ วงศ์รุ่ง รองผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าบุคคล เปิดเผยว่า ธนาคารฯ ได้นํานวัตกรรมทางการเงินครบวงจรเข้าร่วมงานมหกรรมการเงินระยอง ครั้งที่ 1 Money Expo Rayong 2019 ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 เซ็นทรัลพลาซ่าระยอง โดยนําเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากที่น่าสนใจ คือ Digital Salak on MyMo ได้แก่ สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ฝากผ่าน Mobile Banking ของธนาคารออมสิน (MyMo) อายุสลาก 1 ปี รับฝากหน่วยละ 20 บาท ฝากครบอายุ 1 ปี ได้รับดอกเบี้ยขั้นต่ํา 0.25% ต่อปี พร้อมลุ้นถูกเลขรางวัลรวมจํานวน 12 ครั้ง ทุกวันที่ 16 ของเดือน รางวัลสูงสุดรางวัลที่ 1 จํานวน 2 ล้านบาท และ สลากออมสินดิจิทัล 3 ปี อายุสลาก 3 ปี รับฝากหน่วยละ 50 บาท ฝากครบอายุ 3 ปี ได้รับดอกเบี้ยขั้นต่ํา 0.667% ต่อปี ลุ้นถูกเลขรางวัลรวม 36 ครั้ง ทุกวันที่ 16 ของเดือน รางวัลสูงสุดรางวัลที่ 1 จํานวน 10 ล้านบาท 3 รางวัล, รางวัลที่ 2 จํานวน 1 ล้านบาท 2 รางวัล และรางวัลอื่นๆ อีก รวมถึงรางวัลเลขท้าย โดยผลตอบแทนของสลากออมสิน 2 แบบนี้ ทั้งดอกเบี้ยและเงินรางวัลได้รับยกเว้นภาษี
พร้อมกันนี้ ยังมีเงินฝากสําหรับผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป ได้แก่ ยังมีเงินฝากสําหรับผู้สูงวัย “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษผู้สูงวัย 24 เดือน” รับฝากเฉพาะบุคคลธรรมดาอายุ 60 ปีขึ้นไป เปิดได้คนละ 1 บัญชี เปิดบัญชีขั้นต่ํา 10,000 บาท ฝากสูงสุดรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ระยะเวลารับฝาก 24 เดือน อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (Step Up) เดือนที่ 1-6 = 1% ต่อปี เดือนที่ 7-12 = 1.5% ต่อปี เดือนที่ 13-18 = 2% ต่อปี และ เดือนที่ 19-24 = 3% ต่อปี คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.875% ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจํา 2.206% ต่อปี)
ด้านผลิตภัณฑ์สินเชื่อ นําเสนอ สินเชื่อเคหะ สําหรับผู้ที่กําลังตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ปลูกสร้าง ต่อเติมซ่อมแซม หรือไถ่ถอนจํานอง โดยลูกค้าทั่วไป เมื่อเลือกทําประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 100% ทั้งวงเงินกู้และระยะเวลากู้ คิดอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน เดือนที่ 7-12 MRR-5.5% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารฯ ปัจจุบัน = 6.87% ต่อปี) ปีที่ 2-3 MRR-3.1% ต่อปี ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-1.5% ต่อปี (เฉลี่ย 3 ปี = 2.742%) หากลูกค้าทั่วไป เลือกทําประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อตามเกณฑ์ธนาคาร อัตราดอกเบี้ยปีแรก MRR-6% ต่อปี ปีที่ 2-3 MRR-2.85% ต่อปี ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-1.25% ต่อปี (เฉลี่ย 3 ปี = 2.97%) และยังมี สินเชื่อที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage) นําที่อยู่อาศัย ได้แก่ บ้านพร้อมที่ดินหรือห้องชุดที่ตนเองเป็นเจ้าของมาค้ําประกันสินเชื่อ คุณสมบัติผู้กู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 80 ปี วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 0% ปีที่ 3 เป็นต้นไป MRR-1% ต่อปี (เฉลี่ย 3 ปี = 1.957%) จ่ายเงินกู้เป็นรายเดือน รวมกันสูงสุดไม่เกิน 25 ปี
ขณะเดียวกัน นําเสนอ สินเชื่อ GSB D-VERs วงเงินกู้ 1-20 ล้านบาท สําหรับผู้ประกอบการ SMEs ใช้หลักทรัพย์ค้ําประกันมากกว่า 50% และทําประกันสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก MOR/MLR-1% หลังจากนั้น MOR/MLR+1% สินเชื่อ GSB SMEs Startup สําหรับผู้ประกอบการระยะเริ่มต้น (Startup Stage) วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท หากใช้หลักทรัพย์ค้ําประกันมากกว่า 30% อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 3.99% ต่อปี
“นอกจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมายในโปรโมชั่นพิเศษที่ธนาคารออมสินนํามาเสนอเหล่านี้แล้ว เมื่อใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์ใดก็ตาม จะได้รับของที่ระลึกฟรี พร้อมกับกิจกรรมที่น่าสนใจและความบันเทิงหลากหลายไว้ให้ลูกค้าและผู้เข้าชมงานได้เพลิดเพลินตลอดทั้งงาน”รองผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22787
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดสัมมนาฯ เพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาแผนจังหวัด/กลุ่มจังหวัด เน้นการบูรณาการ และการพัฒนาเชิงพื้นที่ ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2562
มหาดไทย จัดสัมมนาฯ เพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาแผนจังหวัด/กลุ่มจังหวัด เน้นการบูรณาการ และการพัฒนาเชิงพื้นที่ ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสําคัญ
มหาดไทย จัดสัมมนาฯ เพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาแผนจังหวัด/กลุ่มจังหวัด เน้นการบูรณาการ และการพัฒนาเชิงพื้นที่ ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสําคัญ
วันนี้ (12 ก.ย. 62) เวลา 09.00 น. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้ นายทรงกลด สว่างวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ช่วยราชการสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิด “โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานจังหวัด/กลุ่มจังหวัด” ณ ห้องราชาบอลรูม ชั้น 11 โรงแรมปริ๊นซพาเลซ กรุงเทพมหานคร จัดขึ้นโดย สํานักพัฒนาและส่งเสริมการบริหารราชการจังหวัด (สบจ.) สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ระหว่างวันที่ 12-13 กันยายน 2562 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัดที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น รวมถึงทิศทางและแนวทางการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และนโยบายรัฐบาล ตลอดจนเป็นการซักซ้อมความเข้าใจเพื่อเตรียมความพร้อมในการดําเนินการของภาคีเครือข่ายในการจัดทําและขับเคลื่อนแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อให้ได้แผนที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน โดยผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการทําแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด อาทิ หัวหน้าสํานักงานจังหวัด หัวหน้ากลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค และเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการในระดับพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง รวมจํานวนกว่า 500 คน
ในโอกาสนี้ นายทรงกลด สว่างวงศ์ ได้มอบนโยบายและแนวทางการทํางาน พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ หัวข้อเรื่อง "การเตรียมความพร้อมการจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564" โดยกล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในหลายมิติ ทั้งในขั้นตอนของการวางแผน การบริหาร การติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ในการดําเนินการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดตามแนวทางของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนการปฏิรูป 11 ด้าน และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ดังนั้น การดําเนินการในปัจจุบันของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดต้องเร่งปรับตัวและเตรียมความพร้อมในการรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการจัดทําและประสานแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด รูปแบบการจัดทําคําของบประมาณ รูปแบบการรายงานผลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และในประเด็นอื่นๆ และในวันนี้ ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ภาคีเครือข่ายในการจัดทําและขับเคลื่อนแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัดได้มารับฟังข้อมูล นโยบายและแนวทางการดําเนินการจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงไม่ว่าจะเป็น สนง.สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สํานักงบประมาณ และกรมบัญชีกลาง จึงขอให้ทุกท่านใช้การสัมมนาครั้งนี้เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
สําหรับการจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ในปัจจุบันต้องคํานึงใน 4 ประเด็นหลักสําคัญ ได้แก่ 1) การจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ที่สอดรับสภาวการณ์และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น 2) การกําหนดให้มีระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ หรือ eMENSCR ที่ทุกหน่วยงานของรัฐจะต้องบันทึกข้อมูลทุกโครงการลงในระบบ eMENSCR 3) การเปลี่ยนแปลงนโยบายการจัดสรรงบประมาณและลักษณะของโครงการ และ 4) การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อ จัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้ความสําคัญกับการเชื่อมโยงการพัฒนาในทุกระดับ ทั้งในมิติภารกิจ (Function) และพื้นที่ (Area) โดยมีแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัดเป็นกลไกสําคัญในการเชื่อมโยงและนํายุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ รวมทั้งมีระบบการติดตามและประเมินผลการดําเนินงานทั้งในระดับยุทธศาสตร์ ภารกิจ และพื้นที่
นายทรงกลด กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ถือเป็นเครื่องมือชี้นําทิศทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในพื้นที่ที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสําคัญ ท้ายนี้ได้ฝากข้อเน้นย้ําของผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยในแต่ละมิติ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยเฉพาะการเร่งรัดดําเนินการงบประมาณปี 2562 ทั้งในส่วนการติดตามหน่วยดําเนินงาน การโอนเปลี่ยนแปลงโครงการ/เงินเหลือจ่ายและการกันเงินเหลื่อมปี แลการเร่งรัดการโอนสินทรัพย์ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด การจัดทํางบประมาณปี 2563 รวมถึงการจัดเตรียมแผนล่วงหน้าสําหรับงบประมาณปี 2564 ซึ่งต้องมีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่มีการเชื่อมประสานในลักษณะแผนเดียว (One Plan) ที่มีคุณภาพและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง.
กลุ่มงานเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ กองสารนิเทศ สป.มท.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดสัมมนาฯ เพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาแผนจังหวัด/กลุ่มจังหวัด เน้นการบูรณาการ และการพัฒนาเชิงพื้นที่ ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2562
มหาดไทย จัดสัมมนาฯ เพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาแผนจังหวัด/กลุ่มจังหวัด เน้นการบูรณาการ และการพัฒนาเชิงพื้นที่ ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสําคัญ
มหาดไทย จัดสัมมนาฯ เพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาแผนจังหวัด/กลุ่มจังหวัด เน้นการบูรณาการ และการพัฒนาเชิงพื้นที่ ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสําคัญ
วันนี้ (12 ก.ย. 62) เวลา 09.00 น. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้ นายทรงกลด สว่างวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ช่วยราชการสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิด “โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานจังหวัด/กลุ่มจังหวัด” ณ ห้องราชาบอลรูม ชั้น 11 โรงแรมปริ๊นซพาเลซ กรุงเทพมหานคร จัดขึ้นโดย สํานักพัฒนาและส่งเสริมการบริหารราชการจังหวัด (สบจ.) สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ระหว่างวันที่ 12-13 กันยายน 2562 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัดที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น รวมถึงทิศทางและแนวทางการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และนโยบายรัฐบาล ตลอดจนเป็นการซักซ้อมความเข้าใจเพื่อเตรียมความพร้อมในการดําเนินการของภาคีเครือข่ายในการจัดทําและขับเคลื่อนแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อให้ได้แผนที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน โดยผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการทําแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด อาทิ หัวหน้าสํานักงานจังหวัด หัวหน้ากลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค และเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการในระดับพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง รวมจํานวนกว่า 500 คน
ในโอกาสนี้ นายทรงกลด สว่างวงศ์ ได้มอบนโยบายและแนวทางการทํางาน พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ หัวข้อเรื่อง "การเตรียมความพร้อมการจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564" โดยกล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในหลายมิติ ทั้งในขั้นตอนของการวางแผน การบริหาร การติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ในการดําเนินการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดตามแนวทางของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนการปฏิรูป 11 ด้าน และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ดังนั้น การดําเนินการในปัจจุบันของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดต้องเร่งปรับตัวและเตรียมความพร้อมในการรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการจัดทําและประสานแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด รูปแบบการจัดทําคําของบประมาณ รูปแบบการรายงานผลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และในประเด็นอื่นๆ และในวันนี้ ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ภาคีเครือข่ายในการจัดทําและขับเคลื่อนแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัดได้มารับฟังข้อมูล นโยบายและแนวทางการดําเนินการจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงไม่ว่าจะเป็น สนง.สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สํานักงบประมาณ และกรมบัญชีกลาง จึงขอให้ทุกท่านใช้การสัมมนาครั้งนี้เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
สําหรับการจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ในปัจจุบันต้องคํานึงใน 4 ประเด็นหลักสําคัญ ได้แก่ 1) การจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ที่สอดรับสภาวการณ์และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น 2) การกําหนดให้มีระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ หรือ eMENSCR ที่ทุกหน่วยงานของรัฐจะต้องบันทึกข้อมูลทุกโครงการลงในระบบ eMENSCR 3) การเปลี่ยนแปลงนโยบายการจัดสรรงบประมาณและลักษณะของโครงการ และ 4) การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อ จัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้ความสําคัญกับการเชื่อมโยงการพัฒนาในทุกระดับ ทั้งในมิติภารกิจ (Function) และพื้นที่ (Area) โดยมีแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัดเป็นกลไกสําคัญในการเชื่อมโยงและนํายุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ รวมทั้งมีระบบการติดตามและประเมินผลการดําเนินงานทั้งในระดับยุทธศาสตร์ ภารกิจ และพื้นที่
นายทรงกลด กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ถือเป็นเครื่องมือชี้นําทิศทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในพื้นที่ที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสําคัญ ท้ายนี้ได้ฝากข้อเน้นย้ําของผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยในแต่ละมิติ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยเฉพาะการเร่งรัดดําเนินการงบประมาณปี 2562 ทั้งในส่วนการติดตามหน่วยดําเนินงาน การโอนเปลี่ยนแปลงโครงการ/เงินเหลือจ่ายและการกันเงินเหลื่อมปี แลการเร่งรัดการโอนสินทรัพย์ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด การจัดทํางบประมาณปี 2563 รวมถึงการจัดเตรียมแผนล่วงหน้าสําหรับงบประมาณปี 2564 ซึ่งต้องมีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่มีการเชื่อมประสานในลักษณะแผนเดียว (One Plan) ที่มีคุณภาพและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง.
กลุ่มงานเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ กองสารนิเทศ สป.มท.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23037
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา ร่วมทำบุญเนื่องในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน
|
วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา ร่วมทําบุญเนื่องในพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน
20 มค 60 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา ร่วมทําบุญเนื่องในพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน
วันที่ 20 มกราคม 2560 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา ร่วมทําบุญเนื่องในพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน ถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา ร่วมทำบุญเนื่องในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน
วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา ร่วมทําบุญเนื่องในพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน
20 มค 60 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา ร่วมทําบุญเนื่องในพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน
วันที่ 20 มกราคม 2560 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา ร่วมทําบุญเนื่องในพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน ถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1437
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมชี้แจง ข้อเรียกร้องแก้ปัญหาผู้บริโภค
|
วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2560
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมชี้แจง ข้อเรียกร้องแก้ปัญหาผู้บริโภค
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมชี้แจง ข้อเรียกร้องแก้ปัญหาผู้บริโภค
วันที่ 27 ธันวาคม 2560 นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวง ในฐานะโฆษกกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ชี้แจงกรณีข้อเรียกร้องแก้ปัญหาผู้บริโภค ตามที่นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค เผยสถานการณ์ปัญหาผู้บริโภคระหว่างเดือน ม.ค. – พ.ย. 60 มียอดร้องเรียนจํานวน 1,153 ราย ผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
ในกรณีของการโฆษณาขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ที่มีลักษณะหลอกลวงให้ผู้ซื้อหลงเชื่อ สําคัญผิดในคุณสมบัติ หรือ บรรยายสรรพคุณเกินจริง นั้น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มีการติดตามเฝ้าระวังการกระทําที่ผิดกฎหมายบนสื่อออนไลน์มาโดยตลอด หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความผิดจริง อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14 (1) อันเป็นการนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท และศาลอาจสั่งให้ระงับการเข้าถึง หรือ ลบข้อมูลหลอกลวงนั้นออกจากระบบ หรือ ดําเนินการอื่น ๆ ตามที่ศาลเห็นสมควรได้ โดยกระทรวงฯ ได้ประสานงาน กับ สคบ. สตช. และหน่วยเกี่ยวข้อง เพื่อดําเนินการตามอํานาจหน้าที่มาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อขอระงับการทําให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลโฆษณาขายสินค้าที่มีลักษณะหลอกลวงมาอย่างต่อเนื่อง ตามที่ตรวจพบหรือที่ได้รับแจ้ง นอกจากนี้ ประชาชน ก็สามารถร่วมกันสอดส่องและแจ้งเบาะแสให้หน่วยงานรัฐ หรือ ผู้ให้บริการสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ดําเนินการตรวจสอบได้อีกทางหนึ่ง เพื่อช่วยกันดูแลสิทธิของผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ขายหรือผู้ให้บริการ ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังในการรับข่าวสาร และการทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook YouTube Twitter และ เว็บไซต์สังคมออนไลน์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์
-----------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมชี้แจง ข้อเรียกร้องแก้ปัญหาผู้บริโภค
วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2560
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมชี้แจง ข้อเรียกร้องแก้ปัญหาผู้บริโภค
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมชี้แจง ข้อเรียกร้องแก้ปัญหาผู้บริโภค
วันที่ 27 ธันวาคม 2560 นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวง ในฐานะโฆษกกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ชี้แจงกรณีข้อเรียกร้องแก้ปัญหาผู้บริโภค ตามที่นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค เผยสถานการณ์ปัญหาผู้บริโภคระหว่างเดือน ม.ค. – พ.ย. 60 มียอดร้องเรียนจํานวน 1,153 ราย ผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
ในกรณีของการโฆษณาขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ที่มีลักษณะหลอกลวงให้ผู้ซื้อหลงเชื่อ สําคัญผิดในคุณสมบัติ หรือ บรรยายสรรพคุณเกินจริง นั้น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มีการติดตามเฝ้าระวังการกระทําที่ผิดกฎหมายบนสื่อออนไลน์มาโดยตลอด หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความผิดจริง อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14 (1) อันเป็นการนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท และศาลอาจสั่งให้ระงับการเข้าถึง หรือ ลบข้อมูลหลอกลวงนั้นออกจากระบบ หรือ ดําเนินการอื่น ๆ ตามที่ศาลเห็นสมควรได้ โดยกระทรวงฯ ได้ประสานงาน กับ สคบ. สตช. และหน่วยเกี่ยวข้อง เพื่อดําเนินการตามอํานาจหน้าที่มาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อขอระงับการทําให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลโฆษณาขายสินค้าที่มีลักษณะหลอกลวงมาอย่างต่อเนื่อง ตามที่ตรวจพบหรือที่ได้รับแจ้ง นอกจากนี้ ประชาชน ก็สามารถร่วมกันสอดส่องและแจ้งเบาะแสให้หน่วยงานรัฐ หรือ ผู้ให้บริการสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ดําเนินการตรวจสอบได้อีกทางหนึ่ง เพื่อช่วยกันดูแลสิทธิของผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ขายหรือผู้ให้บริการ ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังในการรับข่าวสาร และการทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook YouTube Twitter และ เว็บไซต์สังคมออนไลน์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์
-----------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9089
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผลสำรวจพบประชาชนถึงร้อยละ 4 ไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563
สธ. เผยผลสํารวจพบประชาชนถึงร้อยละ 4 ไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ. เผยผลสํารวจพบประชาชนถึงร้อยละ 4 ไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ
กระทรวงสาธารณสุขเผยผลสํารวจพฤติกรรมการสวมหน้ากากป้องกันโรคของประชาชนในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ครั้งล่าสุดพบร้อยละ 4 ระบุไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการไข้ และหวัด เช่น ไอ จาม มีน้ํามูก ชี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรกระทําเพราะเสี่ยงทั้งแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่นและรับเชื้อเพิ่ม
วันนี้ (26 เมษายน 2563) ที่ ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงที่ประชาชนเริ่มผ่อนคลายจากจํานวนผู้ป่วยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีการเดินทาง พบปะกันมากขึ้น ที่สําคัญ คือ ต้องเข้มงวดมาตรการป้องกันโรค การรักษาระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร สวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ ไม่สัมผัสจมูก ปาก หรือขยี้ตา ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคได้ทําการสํารวจพฤติกรรมการสวมหน้ากากของประชาชนในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ต่อเนื่องจํานวน 5 ครั้ง โดยครั้งที่ 5 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าเมื่อมีอาการไข้ และหวัด เช่น ไอ จาม มีน้ํามูก ประชาชนจะสวมหน้ากากป้องกันการแพร่เชื้อถึงร้อยละ 83 และสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันไม่ให้รับเชื้ออีกร้อยละ 12 แต่มีร้อยละ 4 ที่ตอบไม่สวมหน้ากากป้องกัน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงที่จะแพร่โรคให้คนอื่นได้
“ต้องขอกระตุ้นเตือนสังคม เมื่อคนกลับมาทํางาน พบปะกันมากขึ้น การสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยเป็นเรื่องที่จําเป็น ต้องทําอย่างเคร่งครัด เพราะเป็นปราการด่านสุดท้ายในการป้องกันเชื้อออกจากตัวผู้ป่วย รวมทั้งเป็นการป้องกันการรับเชื้อจากผู้อื่น” นายแพทย์โสภณกล่าว
นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า สําหรับการออกปฏิบัติการค้นหาผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อเชิงรุก โดยตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของภาคเอกชนนั้น ขอความ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผลสำรวจพบประชาชนถึงร้อยละ 4 ไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563
สธ. เผยผลสํารวจพบประชาชนถึงร้อยละ 4 ไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ. เผยผลสํารวจพบประชาชนถึงร้อยละ 4 ไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ
กระทรวงสาธารณสุขเผยผลสํารวจพฤติกรรมการสวมหน้ากากป้องกันโรคของประชาชนในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ครั้งล่าสุดพบร้อยละ 4 ระบุไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการไข้ และหวัด เช่น ไอ จาม มีน้ํามูก ชี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรกระทําเพราะเสี่ยงทั้งแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่นและรับเชื้อเพิ่ม
วันนี้ (26 เมษายน 2563) ที่ ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงที่ประชาชนเริ่มผ่อนคลายจากจํานวนผู้ป่วยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีการเดินทาง พบปะกันมากขึ้น ที่สําคัญ คือ ต้องเข้มงวดมาตรการป้องกันโรค การรักษาระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร สวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ ไม่สัมผัสจมูก ปาก หรือขยี้ตา ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคได้ทําการสํารวจพฤติกรรมการสวมหน้ากากของประชาชนในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ต่อเนื่องจํานวน 5 ครั้ง โดยครั้งที่ 5 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าเมื่อมีอาการไข้ และหวัด เช่น ไอ จาม มีน้ํามูก ประชาชนจะสวมหน้ากากป้องกันการแพร่เชื้อถึงร้อยละ 83 และสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันไม่ให้รับเชื้ออีกร้อยละ 12 แต่มีร้อยละ 4 ที่ตอบไม่สวมหน้ากากป้องกัน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงที่จะแพร่โรคให้คนอื่นได้
“ต้องขอกระตุ้นเตือนสังคม เมื่อคนกลับมาทํางาน พบปะกันมากขึ้น การสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยเป็นเรื่องที่จําเป็น ต้องทําอย่างเคร่งครัด เพราะเป็นปราการด่านสุดท้ายในการป้องกันเชื้อออกจากตัวผู้ป่วย รวมทั้งเป็นการป้องกันการรับเชื้อจากผู้อื่น” นายแพทย์โสภณกล่าว
นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า สําหรับการออกปฏิบัติการค้นหาผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อเชิงรุก โดยตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของภาคเอกชนนั้น ขอความ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29802
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2563
|
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 2 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 2 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจําวันที่2 พฤษภาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทยรายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 92.11 ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 13 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,732 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 180 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 6.07 ของผู้ป่วยทั้งหมด
ขณะนี้ จํานวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลง รายงานวันนี้ 6 ราย (ลําดับที่ 2,961 - 2,966) เป็นผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ 2 ราย พบจากการลงพื้นที่ค้นหาเชิงรุกในชุมชน จังหวัดภูเก็ต 2 ราย และพบผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้า State Quarantine 2 ราย (จากอินเดีย และญี่ปุ่น เข้า State Quarantine ที่กรุงเทพฯ) ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
จากมาตรการผ่อนปรนทําให้มีวันหยุดยาวในช่วงสัปดาห์นี้ ประชาชนจํานวนมากได้เดินทางไปยังต่างจังหวัด หรือภูมิลําเนาเพื่อพบ พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของโรคโควิด 19 แนะนําให้เข้มมาตรการ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางจากพื้นที่เสี่ยงที่พบผู้ป่วยจํานวนมาก อาทิ กรุงเทพฯ นนทบุรี ภูเก็ต เป็นต้น ขอให้ระมัดระวัง เลี่ยงการคลุกคลีสัมผัสกับผู้อื่นแบบใกล้ชิด งดการสวมกอดกัน โดยเฉพาะกับญาติผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีโรคประจําตัว เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ หากป่วยอาจเกิดอาการรุนแรงได้ ขอให้แสดงความเคารพ ความรัก ด้วยการกราบไหว้โดยเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร และทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ด้วยกัน หากรับประทานอาหารร่วมกันต้องใช้ช้อนกลางส่วนตัว หรือดีที่สุดคือการแยกสํารับอาหาร เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนในครอบครัวและคนที่รัก
สรุปภาพรวมวันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ 6 ราย กลับบ้านวันนี้ 13 ราย รวมสะสม 2,732 ราย ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 180 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 54 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 2,966 ราย
************************************** 2 พฤษภาคม2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2563
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 2 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 2 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจําวันที่2 พฤษภาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทยรายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 92.11 ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 13 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,732 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 180 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 6.07 ของผู้ป่วยทั้งหมด
ขณะนี้ จํานวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลง รายงานวันนี้ 6 ราย (ลําดับที่ 2,961 - 2,966) เป็นผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ 2 ราย พบจากการลงพื้นที่ค้นหาเชิงรุกในชุมชน จังหวัดภูเก็ต 2 ราย และพบผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้า State Quarantine 2 ราย (จากอินเดีย และญี่ปุ่น เข้า State Quarantine ที่กรุงเทพฯ) ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
จากมาตรการผ่อนปรนทําให้มีวันหยุดยาวในช่วงสัปดาห์นี้ ประชาชนจํานวนมากได้เดินทางไปยังต่างจังหวัด หรือภูมิลําเนาเพื่อพบ พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของโรคโควิด 19 แนะนําให้เข้มมาตรการ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางจากพื้นที่เสี่ยงที่พบผู้ป่วยจํานวนมาก อาทิ กรุงเทพฯ นนทบุรี ภูเก็ต เป็นต้น ขอให้ระมัดระวัง เลี่ยงการคลุกคลีสัมผัสกับผู้อื่นแบบใกล้ชิด งดการสวมกอดกัน โดยเฉพาะกับญาติผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีโรคประจําตัว เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ หากป่วยอาจเกิดอาการรุนแรงได้ ขอให้แสดงความเคารพ ความรัก ด้วยการกราบไหว้โดยเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร และทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ด้วยกัน หากรับประทานอาหารร่วมกันต้องใช้ช้อนกลางส่วนตัว หรือดีที่สุดคือการแยกสํารับอาหาร เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนในครอบครัวและคนที่รัก
สรุปภาพรวมวันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ 6 ราย กลับบ้านวันนี้ 13 ราย รวมสะสม 2,732 ราย ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 180 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 54 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 2,966 ราย
************************************** 2 พฤษภาคม2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30229
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บตท. แถลงผลงาน 3 ไตรมาส กำไรทะลุ 100 ล้าน ชูดอกเบี้ยบ้านคงที่ 10 ปี เสนอลูกค้า ลดเสี่ยงดอกเบี้ยขาขึ้น
|
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562
บตท. แถลงผลงาน 3 ไตรมาส กําไรทะลุ 100 ล้าน ชูดอกเบี้ยบ้านคงที่ 10 ปี เสนอลูกค้า ลดเสี่ยงดอกเบี้ยขาขึ้น
บตท.เผยผลงาน 3 ไตรมาส มีกําไรสุทธิ 104 ล้านบาท จากการดําเนินงานและการเร่งแก้ปัญหาหนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 57 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการปรับปรุงกระบวนการภายใน คาดว่าปี 2561 จะเป็นปีที่มีกําไรสูงที่สุดของ บตท. ตั้งแต่ก่อตั้งมา
นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ กรรมการและผู้จัดการ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) รัฐวิสาหกิจ ประเภทสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลงาน 3 ไตรมาส (มกราคม – กันยายน 2561) มีกําไรสุทธิ 104 ล้านบาท จากการดําเนินงานและการเร่งแก้ปัญหาหนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 57 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการปรับปรุงกระบวนการภายใน คาดว่าปี 2561 จะเป็นปีที่มีกําไรสูงที่สุดของ บตท. ตั้งแต่ก่อตั้งมา
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 บตท. มีสินทรัพย์ รวม 19,161 ล้านบาท มีตราสารหนี้โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์คงค้างที่เป็นหุ้นกู้มีหลักประกัน จํานวน 12,659 ล้านบาท กําไรสุทธิส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการหนี้เชิงรุก โดยเร่งรัดกระบวนการติดตามการชําระหนี้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้งการปรับปรุงเงื่อนไขชําระหนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) รวมทั้งการปรับปรุงระบบภายในเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอาทิ การพัฒนาช่องทางการชําระเงิน เช่น การชําระผ่านโมบายแบงก์กิ้ง หรือ แอปพลิเคชั่นธนาคารบนมือถือ เช่น Krungthai NEXT, K PLUS, Bualuang mBanking และ SCB EASY เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับลูกค้ารายย่อย การเตรียมความพร้อมสําหรับ IFRS 9 การพัฒนาระบบฐานข้อมูล (Big Data) นอกจากนี้ บตท. ยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยคงที่ยาวสูงสุดถึง 10 ปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยพิเศษสําหรับลูกค้าที่มีประวัติการชําระดี ช่วยลดความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวในช่วงนี้
นางวสุกานต์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา บตท. เดินหน้าทํางานตามพันธกิจและ วิสัยทัศน์ “เป็นกลไกในการจัดหาเงินทุนระยะยาว รองรับการขยายตัวของระบบสินเชื่อที่อยู่อาศัย” โดยสนับสนุนนโยบายภาครัฐและกระทรวงการคลังที่กํากับดูแล บตท. รวมถึงการทํางานตามเกณฑ์กํากับดูแลของแบงก์ชาติ และมุ่งมั่นดําเนินงานอย่างโปร่งใส ยุติธรรม ส่งผลให้การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (Integrity and Transparency Assessment หรือ ITA) ในปี 2561 บตท. ได้ผลคะแนน 93.13 เป็นอันดับที่ 7 จาก 54 รัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นผลงานที่น่าพอใจของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน บตท. ทุกคนที่ช่วยกันทํางานหนักมาตลอดปี
• ฝ่ายสื่อสารองค์กร บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) – ชิดขวัญ โทร. 02-018-3666 ต่อ 3627 หรือ E-mail : chidkwan_h@smc.or.th
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บตท. แถลงผลงาน 3 ไตรมาส กำไรทะลุ 100 ล้าน ชูดอกเบี้ยบ้านคงที่ 10 ปี เสนอลูกค้า ลดเสี่ยงดอกเบี้ยขาขึ้น
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562
บตท. แถลงผลงาน 3 ไตรมาส กําไรทะลุ 100 ล้าน ชูดอกเบี้ยบ้านคงที่ 10 ปี เสนอลูกค้า ลดเสี่ยงดอกเบี้ยขาขึ้น
บตท.เผยผลงาน 3 ไตรมาส มีกําไรสุทธิ 104 ล้านบาท จากการดําเนินงานและการเร่งแก้ปัญหาหนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 57 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการปรับปรุงกระบวนการภายใน คาดว่าปี 2561 จะเป็นปีที่มีกําไรสูงที่สุดของ บตท. ตั้งแต่ก่อตั้งมา
นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ กรรมการและผู้จัดการ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) รัฐวิสาหกิจ ประเภทสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลงาน 3 ไตรมาส (มกราคม – กันยายน 2561) มีกําไรสุทธิ 104 ล้านบาท จากการดําเนินงานและการเร่งแก้ปัญหาหนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 57 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการปรับปรุงกระบวนการภายใน คาดว่าปี 2561 จะเป็นปีที่มีกําไรสูงที่สุดของ บตท. ตั้งแต่ก่อตั้งมา
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 บตท. มีสินทรัพย์ รวม 19,161 ล้านบาท มีตราสารหนี้โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์คงค้างที่เป็นหุ้นกู้มีหลักประกัน จํานวน 12,659 ล้านบาท กําไรสุทธิส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการหนี้เชิงรุก โดยเร่งรัดกระบวนการติดตามการชําระหนี้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้งการปรับปรุงเงื่อนไขชําระหนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) รวมทั้งการปรับปรุงระบบภายในเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอาทิ การพัฒนาช่องทางการชําระเงิน เช่น การชําระผ่านโมบายแบงก์กิ้ง หรือ แอปพลิเคชั่นธนาคารบนมือถือ เช่น Krungthai NEXT, K PLUS, Bualuang mBanking และ SCB EASY เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับลูกค้ารายย่อย การเตรียมความพร้อมสําหรับ IFRS 9 การพัฒนาระบบฐานข้อมูล (Big Data) นอกจากนี้ บตท. ยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยคงที่ยาวสูงสุดถึง 10 ปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยพิเศษสําหรับลูกค้าที่มีประวัติการชําระดี ช่วยลดความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวในช่วงนี้
นางวสุกานต์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา บตท. เดินหน้าทํางานตามพันธกิจและ วิสัยทัศน์ “เป็นกลไกในการจัดหาเงินทุนระยะยาว รองรับการขยายตัวของระบบสินเชื่อที่อยู่อาศัย” โดยสนับสนุนนโยบายภาครัฐและกระทรวงการคลังที่กํากับดูแล บตท. รวมถึงการทํางานตามเกณฑ์กํากับดูแลของแบงก์ชาติ และมุ่งมั่นดําเนินงานอย่างโปร่งใส ยุติธรรม ส่งผลให้การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (Integrity and Transparency Assessment หรือ ITA) ในปี 2561 บตท. ได้ผลคะแนน 93.13 เป็นอันดับที่ 7 จาก 54 รัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นผลงานที่น่าพอใจของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน บตท. ทุกคนที่ช่วยกันทํางานหนักมาตลอดปี
• ฝ่ายสื่อสารองค์กร บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) – ชิดขวัญ โทร. 02-018-3666 ต่อ 3627 หรือ E-mail : chidkwan_h@smc.or.th
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18007
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรม "นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส.) รุ่นที่ ๑"
|
วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรม "นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส.) รุ่นที่ ๑"
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรม "นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส.) รุ่นที่ ๑"
เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีมอบวุฒิบัตรและเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะ และปิดการฝึกอบรม
"นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส.) รุ่นที่ ๑"
โดยมี นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวรายงาน
ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ สํานักงาน ป.ป.ส.
สําหรับการฝึกอบรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๓ มีนาคม - ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑
โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมฯ ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน
ที่ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด จํานวน ๔๐ คน เพื่อพัฒนาแนวคิดเชิงบริหารยุทธศาสตร์ด้านการป้องกัน
และปราบปรามยาเสพติด ซึ่งผู้บริหารระดับสูงของแต่ละองค์กรถือเป็นผู้ที่สามารถกําหนดทิศทาง
การขับเคลื่อนนโยบาย ตลอดจนผลักดันให้เกิดการนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ
พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การบริหารงาน
เพื่อสร้างเครือข่ายประสานการทํางานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ อันจะส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์
ด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรม "นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส.) รุ่นที่ ๑"
วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรม "นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส.) รุ่นที่ ๑"
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรม "นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส.) รุ่นที่ ๑"
เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีมอบวุฒิบัตรและเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะ และปิดการฝึกอบรม
"นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส.) รุ่นที่ ๑"
โดยมี นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวรายงาน
ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ สํานักงาน ป.ป.ส.
สําหรับการฝึกอบรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๓ มีนาคม - ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑
โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมฯ ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน
ที่ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด จํานวน ๔๐ คน เพื่อพัฒนาแนวคิดเชิงบริหารยุทธศาสตร์ด้านการป้องกัน
และปราบปรามยาเสพติด ซึ่งผู้บริหารระดับสูงของแต่ละองค์กรถือเป็นผู้ที่สามารถกําหนดทิศทาง
การขับเคลื่อนนโยบาย ตลอดจนผลักดันให้เกิดการนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ
พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การบริหารงาน
เพื่อสร้างเครือข่ายประสานการทํางานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ อันจะส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์
ด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12623
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิต บุคลากรทางการแพทย์ 60 ล้านบาท พร้อมเงินสนับสนุน อสม. อีก 10 ล้านบาท
|
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
นายกฯ ส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิต บุคลากรทางการแพทย์ 60 ล้านบาท พร้อมเงินสนับสนุน อสม. อีก 10 ล้านบาท
นายกฯ ส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิต บุคลากรทางการแพทย์ 60 ล้านบาท พร้อมเงินสนับสนุน อสม. อีก 10 ล้านบาท
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 24 เม.ย.63 ที่ทําเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข พร้อมมอบกองทุนสนับสนุนและเยียวยาให้กับ อสม. โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมด้วย
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การส่งมอบครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและภาคเอกชน คือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) โดย นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ ได้มอบ
1. กรมธรรม์ประกันชีวิตสําหรับแพทย์และพยาบาล จํานวน 50,000,000 บาท
2. กรมธรรม์ประกันชีวิตสําหรับผู้ช่วยพยาบาล เทคนิคการแพทย์และรังสีเทคนิค จํานวน 10,000,000 บาท
3. กองทุนสนับสนุนและเยียวยาให้แก่ อสม. จํานวนเงิน 10,000,000 บาท เพื่อเป็นการสร้างขวัญ กําลังใจ และตอบแทนการกระทําความดีของบุคลากรสาธารณสุขทั้งระบบ จํานวน 400,000 คน และ อสม. จํานวน 1,040,000 คน ที่เป็นกําลังหลักของประเทศ ในการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งและเสียสละ
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณบุคลากรทุกภาคส่วนที่ได้เสียสละ อุทิศตน ในการเฝ้าระวังคัดกรองโควิด-19 ทําให้สถานการณ์ในประทศดีขึ้น อย่างไรก็ตามทางรัฐบาลก็ไม่ได้ประมาท ได้มีการเตรียมการวางแผนร่วมกันกับทั้งภาคเอกชน สังคม อย่างต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ํา สุขภาพ สําคัญที่สุด รองลงมาคือเรื่องเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มเติมว่าเป็นที่น่าชื่นชมและขอบคุณที่บริษัท BTS ได้เข้ามาช่วยเหลือบุคลากรสาธารณสุข โดย มอบกรรมธรรม์ เงินช่วยเหลือเยียวยา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทางภาคเอกชนจะเข้ามาร่วมมือในการเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิต บุคลากรทางการแพทย์ 60 ล้านบาท พร้อมเงินสนับสนุน อสม. อีก 10 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
นายกฯ ส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิต บุคลากรทางการแพทย์ 60 ล้านบาท พร้อมเงินสนับสนุน อสม. อีก 10 ล้านบาท
นายกฯ ส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิต บุคลากรทางการแพทย์ 60 ล้านบาท พร้อมเงินสนับสนุน อสม. อีก 10 ล้านบาท
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 24 เม.ย.63 ที่ทําเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข พร้อมมอบกองทุนสนับสนุนและเยียวยาให้กับ อสม. โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมด้วย
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การส่งมอบครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและภาคเอกชน คือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) โดย นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ ได้มอบ
1. กรมธรรม์ประกันชีวิตสําหรับแพทย์และพยาบาล จํานวน 50,000,000 บาท
2. กรมธรรม์ประกันชีวิตสําหรับผู้ช่วยพยาบาล เทคนิคการแพทย์และรังสีเทคนิค จํานวน 10,000,000 บาท
3. กองทุนสนับสนุนและเยียวยาให้แก่ อสม. จํานวนเงิน 10,000,000 บาท เพื่อเป็นการสร้างขวัญ กําลังใจ และตอบแทนการกระทําความดีของบุคลากรสาธารณสุขทั้งระบบ จํานวน 400,000 คน และ อสม. จํานวน 1,040,000 คน ที่เป็นกําลังหลักของประเทศ ในการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งและเสียสละ
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณบุคลากรทุกภาคส่วนที่ได้เสียสละ อุทิศตน ในการเฝ้าระวังคัดกรองโควิด-19 ทําให้สถานการณ์ในประทศดีขึ้น อย่างไรก็ตามทางรัฐบาลก็ไม่ได้ประมาท ได้มีการเตรียมการวางแผนร่วมกันกับทั้งภาคเอกชน สังคม อย่างต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ํา สุขภาพ สําคัญที่สุด รองลงมาคือเรื่องเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มเติมว่าเป็นที่น่าชื่นชมและขอบคุณที่บริษัท BTS ได้เข้ามาช่วยเหลือบุคลากรสาธารณสุข โดย มอบกรรมธรรม์ เงินช่วยเหลือเยียวยา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทางภาคเอกชนจะเข้ามาร่วมมือในการเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29658
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. มอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคำและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดีที่กล้าหาญ เสียสละช่วยเหลือผู้อื่น ประจำปี 2561
|
วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561
มท. มอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดีที่กล้าหาญ เสียสละช่วยเหลือผู้อื่น ประจําปี 2561
มท. มอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดีที่กล้าหาญเสียสละช่วยเหลือผู้อื่น ประจําปี 2561
เช้าวันนี้ (1 เม.ย. 61) ที่กระทรวงมหาดไทยมีการจัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทยเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้มีพระบรมราชโองการจัดตั้ง
กระทรวงมหาดไทยขึ้น เมื่อวันที่ 1 เมษายนพ.ศ. 2435 โดยในปีนี้ นับเป็นการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบรอบ 126 ปีกระทรวงมหาดไทยได้จัดพิธีมอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดีโดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นประธานในพิธีฯโดยกองทุนส่งเสริมและสงเคราะห์พลเมืองดี ได้เริ่มดําเนินการตั้งแต่วันที่1 ธันวาคม 2545 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือพลเมืองดีที่ช่วยเหลือสังคมแล้วได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตให้ได้รับการดูแลช่วยเหลือที่ดีและเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติพลเมืองดีเป็นขวัญกําลังใจแก่พลเมืองดีและครอบครัว รวมทั้งเผยแพร่คุณความดีของพลเมืองดีให้เป็นที่ประจักษ์เป็นกําลังใจพลเมืองดีที่กล้าออกมาช่วยเหลือสังคมขยายผลให้สังคมไทยเป็นวงกว้างสําหรับหลักเกณฑ์การคัดเลือกตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย
ว่าด้วยกองทุนส่งเสริมและสงเคราะห์พลเมืองดี พ.ศ. 2546 หมายถึงผู้กระทําคุณความดีในการเข้าช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกอยู่ในอันตรายและต้องการความช่วยเหลือหรือการเข้าช่วยเหลือกิจกรรมของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ด้วยคุณธรรมจนเป็นที่ประจักษ์ชัดโดยมิได้คํานึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัว
ในปี 2561 มีพลเมืองดีที่กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรยกย่องเชิดชูเกียรติ
ตามหลักเกณฑ์และระเบียบของ “กองทุนส่งเสริมและสงเคราะห์พลเมืองดี” จํานวน5 ท่าน ได้รับเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณจากกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ พลเมืองดีที่เสียชีวิตจํานวน 2 ราย พลเมืองดีที่ได้รับผลกระทบ/บาดเจ็บ จํานวน 2 รายและพลเมืองดีที่ไม่ได้รับผลกระทบ จํานวน 1 ราย ดังนี้
1. นายอภิวัฒน์ ชนะปัญโญ จังหวัดนครราชสีมาพลเมืองดีเสียชีวิตจากการเข้าช่วยเหลือเด็กซึ่งกําลังจมน้ํา เมื่อวันที่ 10มีนาคม 2560 เวลาประมาณ 14.00 น.ในขณะกําลังตกปลาอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ําขนาด 200 ไร่ บ้านหนองผักแว่นหมู่ที่ 15 บ้านพิมาน ตําบลท่าช้าง อําเภอเฉลิมพระเกียรติจังหวัดนครราชสีมา ได้มีกลุ่มนักเรียนประมาณ 11 คนมาเล่นน้ําและเกิดเหตุนักเรียน 3 คน กําลังจมน้ําจึงได้เข้าช่วยเหลือสามารถช่วยเหลือได้ 1 คน ขณะกําลังช่วยเหลือนักเรียนอีก 2คนซึ่งว่ายน้ําไม่เป็น เด็กนักเรียนได้เข้ากอดนายอภิวัฒน์ ทําให้ทั้ง 3 คนจมน้ําเสียชีวิตทั้งหมด
2. นายฝน คัมภีร์ จังหวัดเพชรบูรณ์พลเมืองดีเสียชีวิตจากการเข้าช่วยเหลือเด็กซึ่งกําลังจมน้ํา เมื่อวันที่ 29ตุลาคม 2560 ขณะเดินทางกลับภูมิลําเนาจากการทําบุญที่จังหวัดขอนแก่นระหว่างทางบ้านโคกสี – บ้านบึงเรือใหญ่ ตําบลโคกสี อําเภอเมืองจังหวัดขอนแก่น ได้ยินเสียงเด็ก 3คน ซึ่งได้ลงเล่นน้ําบริเวณน้ําท่วมขังขอความช่วยเหลือจึงรีบให้การช่วยเหลือเด็ก เนื่องจากมีเด็กจมน้ําไปแล้ว 1 คนระหว่างให้ความช่วยเหลือขณะพาเด็กขึ้นฝั่ง นายฝนเกิดหมดแรงและจมน้ําเสียชีวิต ส่วนเด็กอีก 2 รายปลอดภัย
3. นายเกษม กายา จังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2560 เวลาประมาณ18.50 น. ได้เกิดเพลิงไหม้ที่บ้านเลขที่ 128 หมู่ 4 ตําบลหนองแดงอําเภอแม่จริม จังหวัดน่าน ได้เกิดเพลงไหม้บ้านนายเทียบ คําลือนายเกษมได้เห็นเหตุการณ์ได้เข้าช่วยเหลือดับเพลิงเพื่อนบ้านและบ้านใกล้เคียงและพลัดตกจากหลังคาเพื่อนบ้าน ทําให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
กระดูกข้อเท้าขวาหัก กระดูกซี่โครงหัก 2 ซี่ กระดูกสันหลังหักส่งผลให้ลําตัวช่วงล่างไม่มีความรู้สึกปัจจุบันเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
4. นายสุทธิระ นาคํา จังหวัดยโสธร เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2560เวลาประมาณ 14.00 น. ขณะเดินทางกลับบ้านบริเวณถนนในหมู่บ้านทางไปโรงเรียนบ้านนาดีคุรุประชารัฐ พบเด็กหญิงภัทราพรคุ้มผล อายุ 1 ปี 4 เดือน เดินออกจากบ้านและนั่งกลางถนนพร้อมเห็นรถบรรทุกขับมาเกรงว่าเป็นอันตรายจึงได้กระโดดลงจากรถเพื่อเข้าไปช่วยเหลือเด็กแต่นายสุทธิระ หลบไม่พ้นจึงทําให้รถบรรทุกคันดังกล่าวทับบริเวณน่องและเท้าขวาทําให้กระดูกขาขวาร้าว และเป็นแผลฉกรรจ์
5. เด็กชายรัฐภูมิ ศรีโยธา จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560เวลาประมาณ 16.00 น. ให้ความช่วยเหลือเด็กชายวรภาส ศิรินุชคํานักเรียนชั้นประศึกษาปีที่ 4/3
ซึ่งลงเล่นน้ําบริเวณบ่อเต่าเขมาภิรตารามขณะรอรถรับส่งและได้ลื่นตกไปในบ่อเต่า ซึ่งเด็กชายวรภาสว่ายน้ําไม่เป็นกําลังจะจมน้ําพลเมืองดีเห็นเหตุการณ์จึงกระโดดลงไปช่วยเหลือขึ้นมาได้อย่างปลอดภัยและนําตัวเด็กชายวรภาสไปส่งคุณครูเวรประจําโรงเรียน.
ครั้งที่ 74/2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-22224131-2
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. มอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคำและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดีที่กล้าหาญ เสียสละช่วยเหลือผู้อื่น ประจำปี 2561
วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561
มท. มอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดีที่กล้าหาญ เสียสละช่วยเหลือผู้อื่น ประจําปี 2561
มท. มอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดีที่กล้าหาญเสียสละช่วยเหลือผู้อื่น ประจําปี 2561
เช้าวันนี้ (1 เม.ย. 61) ที่กระทรวงมหาดไทยมีการจัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงมหาดไทยเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้มีพระบรมราชโองการจัดตั้ง
กระทรวงมหาดไทยขึ้น เมื่อวันที่ 1 เมษายนพ.ศ. 2435 โดยในปีนี้ นับเป็นการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบรอบ 126 ปีกระทรวงมหาดไทยได้จัดพิธีมอบเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณให้แก่พลเมืองดีโดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นประธานในพิธีฯโดยกองทุนส่งเสริมและสงเคราะห์พลเมืองดี ได้เริ่มดําเนินการตั้งแต่วันที่1 ธันวาคม 2545 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือพลเมืองดีที่ช่วยเหลือสังคมแล้วได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตให้ได้รับการดูแลช่วยเหลือที่ดีและเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติพลเมืองดีเป็นขวัญกําลังใจแก่พลเมืองดีและครอบครัว รวมทั้งเผยแพร่คุณความดีของพลเมืองดีให้เป็นที่ประจักษ์เป็นกําลังใจพลเมืองดีที่กล้าออกมาช่วยเหลือสังคมขยายผลให้สังคมไทยเป็นวงกว้างสําหรับหลักเกณฑ์การคัดเลือกตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย
ว่าด้วยกองทุนส่งเสริมและสงเคราะห์พลเมืองดี พ.ศ. 2546 หมายถึงผู้กระทําคุณความดีในการเข้าช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกอยู่ในอันตรายและต้องการความช่วยเหลือหรือการเข้าช่วยเหลือกิจกรรมของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ด้วยคุณธรรมจนเป็นที่ประจักษ์ชัดโดยมิได้คํานึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัว
ในปี 2561 มีพลเมืองดีที่กระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรยกย่องเชิดชูเกียรติ
ตามหลักเกณฑ์และระเบียบของ “กองทุนส่งเสริมและสงเคราะห์พลเมืองดี” จํานวน5 ท่าน ได้รับเข็มเชิดชูเกียรติทองคําและประกาศเกียรติคุณจากกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ พลเมืองดีที่เสียชีวิตจํานวน 2 ราย พลเมืองดีที่ได้รับผลกระทบ/บาดเจ็บ จํานวน 2 รายและพลเมืองดีที่ไม่ได้รับผลกระทบ จํานวน 1 ราย ดังนี้
1. นายอภิวัฒน์ ชนะปัญโญ จังหวัดนครราชสีมาพลเมืองดีเสียชีวิตจากการเข้าช่วยเหลือเด็กซึ่งกําลังจมน้ํา เมื่อวันที่ 10มีนาคม 2560 เวลาประมาณ 14.00 น.ในขณะกําลังตกปลาอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ําขนาด 200 ไร่ บ้านหนองผักแว่นหมู่ที่ 15 บ้านพิมาน ตําบลท่าช้าง อําเภอเฉลิมพระเกียรติจังหวัดนครราชสีมา ได้มีกลุ่มนักเรียนประมาณ 11 คนมาเล่นน้ําและเกิดเหตุนักเรียน 3 คน กําลังจมน้ําจึงได้เข้าช่วยเหลือสามารถช่วยเหลือได้ 1 คน ขณะกําลังช่วยเหลือนักเรียนอีก 2คนซึ่งว่ายน้ําไม่เป็น เด็กนักเรียนได้เข้ากอดนายอภิวัฒน์ ทําให้ทั้ง 3 คนจมน้ําเสียชีวิตทั้งหมด
2. นายฝน คัมภีร์ จังหวัดเพชรบูรณ์พลเมืองดีเสียชีวิตจากการเข้าช่วยเหลือเด็กซึ่งกําลังจมน้ํา เมื่อวันที่ 29ตุลาคม 2560 ขณะเดินทางกลับภูมิลําเนาจากการทําบุญที่จังหวัดขอนแก่นระหว่างทางบ้านโคกสี – บ้านบึงเรือใหญ่ ตําบลโคกสี อําเภอเมืองจังหวัดขอนแก่น ได้ยินเสียงเด็ก 3คน ซึ่งได้ลงเล่นน้ําบริเวณน้ําท่วมขังขอความช่วยเหลือจึงรีบให้การช่วยเหลือเด็ก เนื่องจากมีเด็กจมน้ําไปแล้ว 1 คนระหว่างให้ความช่วยเหลือขณะพาเด็กขึ้นฝั่ง นายฝนเกิดหมดแรงและจมน้ําเสียชีวิต ส่วนเด็กอีก 2 รายปลอดภัย
3. นายเกษม กายา จังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2560 เวลาประมาณ18.50 น. ได้เกิดเพลิงไหม้ที่บ้านเลขที่ 128 หมู่ 4 ตําบลหนองแดงอําเภอแม่จริม จังหวัดน่าน ได้เกิดเพลงไหม้บ้านนายเทียบ คําลือนายเกษมได้เห็นเหตุการณ์ได้เข้าช่วยเหลือดับเพลิงเพื่อนบ้านและบ้านใกล้เคียงและพลัดตกจากหลังคาเพื่อนบ้าน ทําให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
กระดูกข้อเท้าขวาหัก กระดูกซี่โครงหัก 2 ซี่ กระดูกสันหลังหักส่งผลให้ลําตัวช่วงล่างไม่มีความรู้สึกปัจจุบันเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
4. นายสุทธิระ นาคํา จังหวัดยโสธร เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2560เวลาประมาณ 14.00 น. ขณะเดินทางกลับบ้านบริเวณถนนในหมู่บ้านทางไปโรงเรียนบ้านนาดีคุรุประชารัฐ พบเด็กหญิงภัทราพรคุ้มผล อายุ 1 ปี 4 เดือน เดินออกจากบ้านและนั่งกลางถนนพร้อมเห็นรถบรรทุกขับมาเกรงว่าเป็นอันตรายจึงได้กระโดดลงจากรถเพื่อเข้าไปช่วยเหลือเด็กแต่นายสุทธิระ หลบไม่พ้นจึงทําให้รถบรรทุกคันดังกล่าวทับบริเวณน่องและเท้าขวาทําให้กระดูกขาขวาร้าว และเป็นแผลฉกรรจ์
5. เด็กชายรัฐภูมิ ศรีโยธา จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560เวลาประมาณ 16.00 น. ให้ความช่วยเหลือเด็กชายวรภาส ศิรินุชคํานักเรียนชั้นประศึกษาปีที่ 4/3
ซึ่งลงเล่นน้ําบริเวณบ่อเต่าเขมาภิรตารามขณะรอรถรับส่งและได้ลื่นตกไปในบ่อเต่า ซึ่งเด็กชายวรภาสว่ายน้ําไม่เป็นกําลังจะจมน้ําพลเมืองดีเห็นเหตุการณ์จึงกระโดดลงไปช่วยเหลือขึ้นมาได้อย่างปลอดภัยและนําตัวเด็กชายวรภาสไปส่งคุณครูเวรประจําโรงเรียน.
ครั้งที่ 74/2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-22224131-2
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11250
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank ติดอาวุธความรู้ เน้นพัฒนาตลาด E-Commerce ยุค 4.0 “เปิดลายแทงรวยออนไลน์ จาก 7,000 เป็น 13 ล้านต่อเดือน!!!” ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
|
วันอังคารที่ 25 เมษายน 2560
SME Development Bank ติดอาวุธความรู้ เน้นพัฒนาตลาด E-Commerce ยุค 4.0 “เปิดลายแทงรวยออนไลน์ จาก 7,000 เป็น 13 ล้านต่อเดือน!!!” ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
ธพว.จัดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “เปิดลายแทงรวยออนไลน์ จาก 7,000 เป็น 13 ล้านต่อเดือน!!!” ในวันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560 เวลา 8.30 – 16.45 น. ณ ห้องแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคารสํานักงานใหญ่ SME Bank Tower
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว.) จัดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “เปิดลายแทงรวยออนไลน์ จาก 7,000 เป็น 13 ล้านต่อเดือน!!!” ในวันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560 เวลา 8.30 – 16.45 น. ณ ห้องแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคารสํานักงานใหญ่ SME Bank Tower ติดสถานีรถไฟฟ้าอารีย์ เพื่อต่อยอดนโยบายรัฐ เน้นส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ผู้ประกอบการ SMEs รู้ทันกลยุทธทางการตลาดยุค E-Commerce พร้อมจัด Workshop ลงมือปฏิบัติจริงเริ่มตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน อาทิ วิธีเลือกสินค้าอย่างไรให้โดนใจยุค SMEs 4.0 วิธีเริ่มต้นการจําหน่ายบนแพลตฟอร์มใน 3 นาที เคล็ดลับการขายในโลกออนไลน์ การสร้างคีย์เวิร์ดอย่างไรให้หาเจอ และการบริหารงานหลังร้านให้เป็นระบบกําไรไม่รั่วไหล โดยวิทยากรคนรุ่นใหม่ไฟแรง คุณนัฐพล บุญภินนท์ Head of E-Commerce จาก News Step Asia ซึ่งจะนําประสบการณ์จริงมาถ่ายทอดเผยทุกเทคนิคว่าทําอย่างไรจากยอดขายเพียง 7 พันบาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 13 ล้านบาทต่อเดือนได้
ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสามารถสํารองที่นั่งได้ที่ Call Center 1357 ด่วน! รับจํานวนจํากัด ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือท่านสามารถติดตามกิจกรรมดีๆ ของธนาคารผ่านช่องทาง facebook.com/SMEDevelopmentBank
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861, 0-265-4574-5
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank ติดอาวุธความรู้ เน้นพัฒนาตลาด E-Commerce ยุค 4.0 “เปิดลายแทงรวยออนไลน์ จาก 7,000 เป็น 13 ล้านต่อเดือน!!!” ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
วันอังคารที่ 25 เมษายน 2560
SME Development Bank ติดอาวุธความรู้ เน้นพัฒนาตลาด E-Commerce ยุค 4.0 “เปิดลายแทงรวยออนไลน์ จาก 7,000 เป็น 13 ล้านต่อเดือน!!!” ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
ธพว.จัดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “เปิดลายแทงรวยออนไลน์ จาก 7,000 เป็น 13 ล้านต่อเดือน!!!” ในวันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560 เวลา 8.30 – 16.45 น. ณ ห้องแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคารสํานักงานใหญ่ SME Bank Tower
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว.) จัดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “เปิดลายแทงรวยออนไลน์ จาก 7,000 เป็น 13 ล้านต่อเดือน!!!” ในวันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560 เวลา 8.30 – 16.45 น. ณ ห้องแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคารสํานักงานใหญ่ SME Bank Tower ติดสถานีรถไฟฟ้าอารีย์ เพื่อต่อยอดนโยบายรัฐ เน้นส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ผู้ประกอบการ SMEs รู้ทันกลยุทธทางการตลาดยุค E-Commerce พร้อมจัด Workshop ลงมือปฏิบัติจริงเริ่มตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน อาทิ วิธีเลือกสินค้าอย่างไรให้โดนใจยุค SMEs 4.0 วิธีเริ่มต้นการจําหน่ายบนแพลตฟอร์มใน 3 นาที เคล็ดลับการขายในโลกออนไลน์ การสร้างคีย์เวิร์ดอย่างไรให้หาเจอ และการบริหารงานหลังร้านให้เป็นระบบกําไรไม่รั่วไหล โดยวิทยากรคนรุ่นใหม่ไฟแรง คุณนัฐพล บุญภินนท์ Head of E-Commerce จาก News Step Asia ซึ่งจะนําประสบการณ์จริงมาถ่ายทอดเผยทุกเทคนิคว่าทําอย่างไรจากยอดขายเพียง 7 พันบาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 13 ล้านบาทต่อเดือนได้
ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสามารถสํารองที่นั่งได้ที่ Call Center 1357 ด่วน! รับจํานวนจํากัด ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือท่านสามารถติดตามกิจกรรมดีๆ ของธนาคารผ่านช่องทาง facebook.com/SMEDevelopmentBank
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861, 0-265-4574-5
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3287
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.เปิดการอบรม "การพัฒนาแหล่งรวบรวมสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมต่าง ๆ ขององค์กรทางการศึกษาในระบบเว็บไซต์"
|
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561
รมช.ศธ.เปิดการอบรม "การพัฒนาแหล่งรวบรวมสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมต่าง ๆ ขององค์กรทางการศึกษาในระบบเว็บไซต์"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "การพัฒนาแหล่งรวบรวมสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมต่าง ๆ ขององค์กรทางการศึกษาในระบบเว็บไซต์"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "การพัฒนาแหล่งรวบรวมสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมต่าง ๆ ขององค์กรทางการศึกษาในระบบเว็บไซต์" ตามโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก้าวทันไทยแลนด์ 4.0เมื่อวันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561 ณ โรงแรมซีเอสปัตตานี อําเภอเมืองฯ จังหวัดปัตตานี โดยมีผู้บริหาร ตัวแทนผู้บริหาร ข้าราชการครู พนักงาน ลูกจ้าง ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และบุคลากรจากศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าอบรม
สําหรับการอบรมในครั้งนี้ เพื่อให้บุคลากรมีความรู้เกี่ยวกับเว็บไซต์www.dothaiproduct.comซึ่งเป็นตัวกลางที่ช่วยในการประสานงานระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค แต่ไม่สามารถซื้อขายผ่านทางเว็บไซต์ได้ ผู้บริโภคจะต้องติดต่อไปยังผู้ผลิตโดยตรงเพื่อรับทราบรายละเอียด และราคาข้อมูลที่ต่าง ๆ ซึ่งศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นผู้กําหนดขอบเขตการเข้าถึงและการประชาสัมพันธ์สินค้า โดยแบ่งให้หน่วยงานทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการทั้ง 5 หน่วยงานในพื้นที่กํากับดูแลผู้ใช้งาน โดยลงไปยังผู้กํากับดูแล อย่างเช่น สพป./สพม. เป็นผู้กํากับดูแล และมอบรหัสหรือโค้ดการเข้าถึงกับโรงเรียนโดยตรง เพื่อสามารถระบุตัวตนของผู้ต้องการนําเสนอสินค้าได้อย่างแม่นยํา เนื่องจากนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์สินค้าต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีปริมาณมากมีความหลากหลาย แต่ยังขาดการนําเสนอ ขาดตัวกลางในการเผยแพร่สินค้า หรือกระจายสินค้า
เว็บไซต์ www.dothaiproduct.com จึงเป็นเว็บไซต์ที่นําสินค้า ผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม หรือสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มาเป็นช่องทางในการจําหน่ายบนเว็บไซต์ เช่น หนังปลากระพงขาวทอดกรอบ ผลิตภัณฑ์จากเครื่องจักสานเส้นพลาสติก น้ํานมข้าวโพด เป็นต้น
Written byประชาสัมพันธ์ ศปบ.จชต.
Photo Creditประชาสัมพันธ์ ศปบ.จชต.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.เปิดการอบรม "การพัฒนาแหล่งรวบรวมสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมต่าง ๆ ขององค์กรทางการศึกษาในระบบเว็บไซต์"
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561
รมช.ศธ.เปิดการอบรม "การพัฒนาแหล่งรวบรวมสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมต่าง ๆ ขององค์กรทางการศึกษาในระบบเว็บไซต์"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "การพัฒนาแหล่งรวบรวมสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมต่าง ๆ ขององค์กรทางการศึกษาในระบบเว็บไซต์"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "การพัฒนาแหล่งรวบรวมสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมต่าง ๆ ขององค์กรทางการศึกษาในระบบเว็บไซต์" ตามโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก้าวทันไทยแลนด์ 4.0เมื่อวันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561 ณ โรงแรมซีเอสปัตตานี อําเภอเมืองฯ จังหวัดปัตตานี โดยมีผู้บริหาร ตัวแทนผู้บริหาร ข้าราชการครู พนักงาน ลูกจ้าง ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และบุคลากรจากศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าอบรม
สําหรับการอบรมในครั้งนี้ เพื่อให้บุคลากรมีความรู้เกี่ยวกับเว็บไซต์www.dothaiproduct.comซึ่งเป็นตัวกลางที่ช่วยในการประสานงานระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค แต่ไม่สามารถซื้อขายผ่านทางเว็บไซต์ได้ ผู้บริโภคจะต้องติดต่อไปยังผู้ผลิตโดยตรงเพื่อรับทราบรายละเอียด และราคาข้อมูลที่ต่าง ๆ ซึ่งศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นผู้กําหนดขอบเขตการเข้าถึงและการประชาสัมพันธ์สินค้า โดยแบ่งให้หน่วยงานทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการทั้ง 5 หน่วยงานในพื้นที่กํากับดูแลผู้ใช้งาน โดยลงไปยังผู้กํากับดูแล อย่างเช่น สพป./สพม. เป็นผู้กํากับดูแล และมอบรหัสหรือโค้ดการเข้าถึงกับโรงเรียนโดยตรง เพื่อสามารถระบุตัวตนของผู้ต้องการนําเสนอสินค้าได้อย่างแม่นยํา เนื่องจากนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์สินค้าต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีปริมาณมากมีความหลากหลาย แต่ยังขาดการนําเสนอ ขาดตัวกลางในการเผยแพร่สินค้า หรือกระจายสินค้า
เว็บไซต์ www.dothaiproduct.com จึงเป็นเว็บไซต์ที่นําสินค้า ผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม หรือสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มาเป็นช่องทางในการจําหน่ายบนเว็บไซต์ เช่น หนังปลากระพงขาวทอดกรอบ ผลิตภัณฑ์จากเครื่องจักสานเส้นพลาสติก น้ํานมข้าวโพด เป็นต้น
Written byประชาสัมพันธ์ ศปบ.จชต.
Photo Creditประชาสัมพันธ์ ศปบ.จชต.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17012
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนนโยบายการอำนวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน
|
วันพุธที่ 17 ตุลาคม 2561
“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนนโยบายการอํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ําให้กับประชาชน
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงยุติธรรม และชี้แจงกรอบแนวทางการดําเนินงาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
ในวันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องฟินิกซ์ บอลรูม ๑-๕ อาคารอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงยุติธรรม
และชี้แจงกรอบแนวทางการดําเนินงาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงยุติธรรมและแนวทางการดําเนินงานของคลินิกยุติธรรม ตลอดจนโครงการ
และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล
โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๖ – ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๑
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ
เรื่อง “กระทรวงยุติธรรมกับการอํานวยความเป็นธรรมในพื้นที่”
โดยมีใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรมได้มุ่งเน้นการทํางานให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล
ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการอํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ําให้กับประชาชน
โดยได้มุ่งเน้นการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงยุติธรรม ประกอบด้วย
5 จําเป็นต่อเนื่อง ได้แก่ อํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา ขจัดความทุกข์ยาก
สร้างประชาสามัคคี ส่งเสริมคนดีสู่สังคม
๔ จําเป็นเร่งด่วน ได้แก่ เร่งรัดต้านภัยยาเสพติด เร่งรัดปราบทุจริตคอร์รัปชัน คุ้มครองสิทธิเสรีภาพคู่คุณธรรม
และ ๓จําเป็นยั่งยืน ได้แก่ สร้างการรับรู้กฎ - กติกา ร่วมพัฒนาเครือข่ายอาสา มุ่งเดินหน้าสามัคคีปรองดอง
เพื่อให้ประชาชนทุกระดับสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และครอบคลุมทุกพื้นที่
โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ กระทรวงยุติธรรมยังคงดําเนินการตามภารกิจสําคัญอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนให้สามารถเข้าถึงงานบริการของกระทรวงยุติธรรมได้อย่างทั่วถึง
โดยการขับเคลื่อนผ่านโครงการและกิจกรรมต่างๆ อาทิ โครงการยุติธรรมเคลื่อนที่ โครงการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัด โครงการโรงเรียนยุติธรรมอุปถัมภ์ โครงการสายด่วนยุติธรรม ๑๑๑๑กด ๗๗เป็นต้น
นอกจากนี้ ได้มุ่งเน้นเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของบุคลากรและหน่วยงานในสังกัดในด้านต่างๆ
อาทิ การลดระยะเวลาการดําเนินงานตามกระบวนการยุติธรรม การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้เชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อลดการจัดทําสําเนาเอกสารและลดการใช้กระดาษ
การลดภาระค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดี การเพิ่มอัตรากําลังและการพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ
การเฝ้าระวังและสร้างกรอบป้องกันปัญหาด้านต่างๆ ให้กับประชาชนในชุมชน
ตลอดจนการสร้างเครือข่ายและบูรณาการการทํางานของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนนโยบายการอำนวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน
วันพุธที่ 17 ตุลาคม 2561
“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนนโยบายการอํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ําให้กับประชาชน
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงยุติธรรม และชี้แจงกรอบแนวทางการดําเนินงาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
ในวันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องฟินิกซ์ บอลรูม ๑-๕ อาคารอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงยุติธรรม
และชี้แจงกรอบแนวทางการดําเนินงาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงยุติธรรมและแนวทางการดําเนินงานของคลินิกยุติธรรม ตลอดจนโครงการ
และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล
โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๖ – ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๑
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ
เรื่อง “กระทรวงยุติธรรมกับการอํานวยความเป็นธรรมในพื้นที่”
โดยมีใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรมได้มุ่งเน้นการทํางานให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล
ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการอํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ําให้กับประชาชน
โดยได้มุ่งเน้นการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงยุติธรรม ประกอบด้วย
5 จําเป็นต่อเนื่อง ได้แก่ อํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา ขจัดความทุกข์ยาก
สร้างประชาสามัคคี ส่งเสริมคนดีสู่สังคม
๔ จําเป็นเร่งด่วน ได้แก่ เร่งรัดต้านภัยยาเสพติด เร่งรัดปราบทุจริตคอร์รัปชัน คุ้มครองสิทธิเสรีภาพคู่คุณธรรม
และ ๓จําเป็นยั่งยืน ได้แก่ สร้างการรับรู้กฎ - กติกา ร่วมพัฒนาเครือข่ายอาสา มุ่งเดินหน้าสามัคคีปรองดอง
เพื่อให้ประชาชนทุกระดับสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และครอบคลุมทุกพื้นที่
โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ กระทรวงยุติธรรมยังคงดําเนินการตามภารกิจสําคัญอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนให้สามารถเข้าถึงงานบริการของกระทรวงยุติธรรมได้อย่างทั่วถึง
โดยการขับเคลื่อนผ่านโครงการและกิจกรรมต่างๆ อาทิ โครงการยุติธรรมเคลื่อนที่ โครงการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัด โครงการโรงเรียนยุติธรรมอุปถัมภ์ โครงการสายด่วนยุติธรรม ๑๑๑๑กด ๗๗เป็นต้น
นอกจากนี้ ได้มุ่งเน้นเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของบุคลากรและหน่วยงานในสังกัดในด้านต่างๆ
อาทิ การลดระยะเวลาการดําเนินงานตามกระบวนการยุติธรรม การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้เชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อลดการจัดทําสําเนาเอกสารและลดการใช้กระดาษ
การลดภาระค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดี การเพิ่มอัตรากําลังและการพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ
การเฝ้าระวังและสร้างกรอบป้องกันปัญหาด้านต่างๆ ให้กับประชาชนในชุมชน
ตลอดจนการสร้างเครือข่ายและบูรณาการการทํางานของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16147
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ร่วมมือ สมาพันธ์ภาพยนตร์ฯ นำศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ดารา-นักร้อง-นักแสดง จัดทำคลิปขอบคุณ-ให้กำลังใจ [กระทรวงวัฒนธรรม]
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
วธ. ร่วมมือ สมาพันธ์ภาพยนตร์ฯ นําศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ดารา-นักร้อง-นักแสดง จัดทําคลิปขอบคุณ-ให้กําลังใจ [กระทรวงวัฒนธรรม]
วธ. ร่วมมือ สมาพันธ์ภาพยนตร์ฯ นําศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ดารา-นักร้อง-นักแสดง เบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย์-รอง เค้ามูลคดี-โน้ต เชิญยิ้ม-ดีใจ ดีดีดี จัดทําคลิปขอบคุณ-ให้กําลังใจ หมอ-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์ สู้วิกฤติโควิด-19
วธ. ร่วมมือ สมาพันธ์ภาพยนตร์ฯ นําศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ดารา-นักร้อง-นักแสดง
เบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย์-รอง เค้ามูลคดี-โน้ต เชิญยิ้ม-ดีใจ ดีดีดี
จัดทําคลิปขอบคุณ-ให้กําลังใจ หมอ-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์ สู้วิกฤติโควิด-19
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า จากการที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) บูรณาการความร่วมมือกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ จัดทําคลิปศิลปินแห่งชาติ ศิลปินอาวุโส ดารา นักร้อง และนักแสดง เพื่อรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนชาวไทยเกิดความตระหนักรู้ ป้องกันตนเอง ครอบครัว และสังคม ให้ห่างไกลเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) รวมทั้งมอบหมายให้สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดร่วมมือกับศิลปินพื้นบ้านจัดทําคลิปรณรงค์ในรูปแบบของเพลง-ดนตรีพื้นบ้าน โดยการปฏิบัติตนตามหลักของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ซึ่งที่ผ่านมาได้ดําเนินการเผยแพร่คลิปดังกล่าวผ่านช่องทางสื่อต่างๆ และสื่อออนไลน์ อาทิ Facebook , Twitter , Instagram เว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th นั้น
นายอิทธิพล กล่าวว่า ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันทวีความรุนแรงจนมีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจํานวนมาก ทําให้คณะแพทย์ พยาบาล และบุคคลากรทางการแพทย์ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกําลังในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ดังนั้น เพื่อเป็นการขอบคุณ และให้กําลังใจคณะแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ในความเสียสละจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดกําลัง ในการทุ่มเทแรงกาย แรงใจ รักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) กระทรวงวัฒนธรรมจึงร่วมกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ นําศิลปินแห่งชาติ ศิลปินอาวุโส ดารา นักร้อง และนักแสดง จัดทําคลิปขอบคุณและส่งกําลังใจให้คณะแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ โดยมีศิลปินที่มีชื่อเสียงจากทั่วฟ้าเมืองไทย อาทิ เบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย์ ศิลปินดารานักร้องซุปเปอร์สตาร์ , รอง เค้ามูลคดี ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์-ละครโทรทัศน์) พ.ศ. ๒๕๖๐ , เมตตา รุ่งรัตน์ ศิลปินดาราอาวุโส , ดาวใจ ไพจิตร ศิลปินนักร้องอาวุโส , บําเรอ ผ่องอินทรกุล (โน้ต เชิญยิ้ม) ศิลปินดารานักแสดง , นิรุตติ์ ศิริจรรยา ศิลปินดารานักแสดง , วิยะดา อุมารินทร์ ศิลปินดารานักแสดง , ไกรลาศ เกรียงไกร ศิลปินดารานักแสดง , ปัทมา ปานทอง ศิลปินดารานักแสดง , เป็นหนึ่ง ไชยชิต ศิลปินดารานักแสดง , วาสนา วรรณวงศ์ ศิลปินดารานักแสดง , บดินทร์ ดุ๊ก ศิลปินดารานักแสดง , ปาริฉัตร ไพรหิรัญ ศิลปินดารานักแสดง , สมมาตร ไพรหิรัญ ศิลปินดารานักแสดง , พอเจตน์ แก่นเพชร ศิลปินดารานักแสดง , ดีใจ ดีดีดี ศิลปินดารา พิธีกร , นิค โอโรโน่ ศิลปินดารา นักร้อง และพันเอกนายแพทย์ พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา นักพูดด้านธรรมะชื่อดัง ร่วมใจกันจัดทําคลิปในครั้งนี้ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้ และฟันฝ่าวิกฤติอันเลวร้ายในครั้งนี้ไปด้วยกัน ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมจะนําคลิปดังกล่าวเผยแพร่ผ่านสื่อทางช่องทางต่างๆ รวมทั้ง เว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ร่วมมือ สมาพันธ์ภาพยนตร์ฯ นำศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ดารา-นักร้อง-นักแสดง จัดทำคลิปขอบคุณ-ให้กำลังใจ [กระทรวงวัฒนธรรม]
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
วธ. ร่วมมือ สมาพันธ์ภาพยนตร์ฯ นําศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ดารา-นักร้อง-นักแสดง จัดทําคลิปขอบคุณ-ให้กําลังใจ [กระทรวงวัฒนธรรม]
วธ. ร่วมมือ สมาพันธ์ภาพยนตร์ฯ นําศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ดารา-นักร้อง-นักแสดง เบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย์-รอง เค้ามูลคดี-โน้ต เชิญยิ้ม-ดีใจ ดีดีดี จัดทําคลิปขอบคุณ-ให้กําลังใจ หมอ-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์ สู้วิกฤติโควิด-19
วธ. ร่วมมือ สมาพันธ์ภาพยนตร์ฯ นําศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ดารา-นักร้อง-นักแสดง
เบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย์-รอง เค้ามูลคดี-โน้ต เชิญยิ้ม-ดีใจ ดีดีดี
จัดทําคลิปขอบคุณ-ให้กําลังใจ หมอ-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์ สู้วิกฤติโควิด-19
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า จากการที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) บูรณาการความร่วมมือกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ จัดทําคลิปศิลปินแห่งชาติ ศิลปินอาวุโส ดารา นักร้อง และนักแสดง เพื่อรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนชาวไทยเกิดความตระหนักรู้ ป้องกันตนเอง ครอบครัว และสังคม ให้ห่างไกลเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) รวมทั้งมอบหมายให้สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดร่วมมือกับศิลปินพื้นบ้านจัดทําคลิปรณรงค์ในรูปแบบของเพลง-ดนตรีพื้นบ้าน โดยการปฏิบัติตนตามหลักของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ซึ่งที่ผ่านมาได้ดําเนินการเผยแพร่คลิปดังกล่าวผ่านช่องทางสื่อต่างๆ และสื่อออนไลน์ อาทิ Facebook , Twitter , Instagram เว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th นั้น
นายอิทธิพล กล่าวว่า ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันทวีความรุนแรงจนมีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจํานวนมาก ทําให้คณะแพทย์ พยาบาล และบุคคลากรทางการแพทย์ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกําลังในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ดังนั้น เพื่อเป็นการขอบคุณ และให้กําลังใจคณะแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ในความเสียสละจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดกําลัง ในการทุ่มเทแรงกาย แรงใจ รักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) กระทรวงวัฒนธรรมจึงร่วมกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ นําศิลปินแห่งชาติ ศิลปินอาวุโส ดารา นักร้อง และนักแสดง จัดทําคลิปขอบคุณและส่งกําลังใจให้คณะแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ โดยมีศิลปินที่มีชื่อเสียงจากทั่วฟ้าเมืองไทย อาทิ เบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย์ ศิลปินดารานักร้องซุปเปอร์สตาร์ , รอง เค้ามูลคดี ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์-ละครโทรทัศน์) พ.ศ. ๒๕๖๐ , เมตตา รุ่งรัตน์ ศิลปินดาราอาวุโส , ดาวใจ ไพจิตร ศิลปินนักร้องอาวุโส , บําเรอ ผ่องอินทรกุล (โน้ต เชิญยิ้ม) ศิลปินดารานักแสดง , นิรุตติ์ ศิริจรรยา ศิลปินดารานักแสดง , วิยะดา อุมารินทร์ ศิลปินดารานักแสดง , ไกรลาศ เกรียงไกร ศิลปินดารานักแสดง , ปัทมา ปานทอง ศิลปินดารานักแสดง , เป็นหนึ่ง ไชยชิต ศิลปินดารานักแสดง , วาสนา วรรณวงศ์ ศิลปินดารานักแสดง , บดินทร์ ดุ๊ก ศิลปินดารานักแสดง , ปาริฉัตร ไพรหิรัญ ศิลปินดารานักแสดง , สมมาตร ไพรหิรัญ ศิลปินดารานักแสดง , พอเจตน์ แก่นเพชร ศิลปินดารานักแสดง , ดีใจ ดีดีดี ศิลปินดารา พิธีกร , นิค โอโรโน่ ศิลปินดารา นักร้อง และพันเอกนายแพทย์ พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา นักพูดด้านธรรมะชื่อดัง ร่วมใจกันจัดทําคลิปในครั้งนี้ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้ และฟันฝ่าวิกฤติอันเลวร้ายในครั้งนี้ไปด้วยกัน ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมจะนําคลิปดังกล่าวเผยแพร่ผ่านสื่อทางช่องทางต่างๆ รวมทั้ง เว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28324
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ลงพื้นที่ช่วยเหลือครอบครัวเด็กชายพิการ สู้ชีวิต หารายได้เลี้ยงครอบครัว มียาย แม่ และน้องสาว ที่ป่วยหลายโรครุมเร้า
|
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560
พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ลงพื้นที่ช่วยเหลือครอบครัวเด็กชายพิการ สู้ชีวิต หารายได้เลี้ยงครอบครัว มียาย แม่ และน้องสาว ที่ป่วยหลายโรครุมเร้า
พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ลงพื้นที่ช่วยเหลือครอบครัวเด็กชายพิการ สู้ชีวิต
หารายได้เลี้ยงครอบครัว มียาย แม่ และน้องสาว ที่ป่วยหลายโรครุมเร้า
อาศัยอยู่ภายในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม ที่ย่านปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 60 เวลา 13.00 น. นางนภา เศรษฐกร รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) พร้อมเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัว และให้ความช่วยเหลือกรณีเด็กชายอายุ 15 ปี ที่ป่วยเป็นโรคหอบหืดและมีพัฒนาการทางสมองช้า แต่มีความขยัน ตั้งใจเรียน และช่วยเหลือครอบครัวด้วยการหารายได้จากการเก็บขวดพลาสติกขายและรับจ้างล้างจาน ครอบครัวมีฐานะยากจน อาศัยในบ้านพักไม่มีเลขที่ในพื้นที่อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
นางนภา กล่าวว่า จากกรณีสังคมออนไลน์ มีการแชร์เรื่องราวขอความช่วยเหลือเด็กชายดังกล่าวอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ ตนพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 และผู้ประกอบวิชาชีพสังคมสงเคราะห์รับอนุญาต รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้แก่ สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนนทบุรี (พมจ.นนทบุรี) ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดนนทบุรี บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดนนทบุรี บ้านราชาวดี(ชาย) และสถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมทั้งเร่งดําเนินการช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก ผู้พิการ และผู้สูงอายุของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ
นางนภา กล่าวต่อไปว่า จากการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า ครอบครัวของเด็กชายดังกล่าวมีสมาชิกทั้งหมด 4 คน ประกอบด้วย 1) ยายอายุ 60 ปี ประกอบอาชีพเก็บของเก่าขายและรับจ้างกวาดถนนมีปัญหาสุขภาพด้านการมองเห็น 2) ผู้เป็นแม่อายุ 39 ปี ไม่ได้ประกอบอาชีพ เนื่องจากมีความพิการทางสติปัญญา และมีโรคประจําตัว คือ โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ และไวรัสตับอักเสบบี 3) เด็กชายดังกล่าว ซึ่งเป็นมีความพิการทางสติปัญญา และ 4) น้องสาวอายุ 3 เดือน มีอาการป่วยเป็นโรคตับโต ต่อมไทรอยด์โต และมีอาการติดเชื้อไวรัสทางสมอง อีกทั้งมีใบหูซ้ายติดกับหนังศีรษะ ทั้งนี้ ครอบครัวดังกล่าวอาศัยในบ้านไม้ไม่มีเลขที่ที่มีสภาพเก่าทรุดโทรมและไม่มีห้องสุขา สําหรับแนวทางการช่วยเหลือในเบื้องต้น หลายหน่วยงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้มอบเงินสงเคราะห์ครอบครัวยากจน มอบเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวัน และถุงยังชีพและสิ่งของใช้ในชีวิตประจําวัน พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนอย่างต่อเนื่องของเด็กชายดังกล่าว การแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องการประกอบอาชีพที่เหมาะสมให้กับผู้เป็นแม่เพื่อให้มีรายได้สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างเพียงพอในระยะยาวและเรื่องการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยในครอบครัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เร่งดําเนินการปรับปรุงซ่อมแซมที่พักอาศัยให้มีสภาพแข็งแรง มั่นคง ถูกสุขลักษณะ เหมาะสมสําหรับการใช้ชีวิตประจําวันของผู้ป่วย ผู้สูงอายุและคนพิการ
"ทั้งนี้ ประชาชนผู้ประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 บริการ 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป”นางนภา กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ลงพื้นที่ช่วยเหลือครอบครัวเด็กชายพิการ สู้ชีวิต หารายได้เลี้ยงครอบครัว มียาย แม่ และน้องสาว ที่ป่วยหลายโรครุมเร้า
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560
พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ลงพื้นที่ช่วยเหลือครอบครัวเด็กชายพิการ สู้ชีวิต หารายได้เลี้ยงครอบครัว มียาย แม่ และน้องสาว ที่ป่วยหลายโรครุมเร้า
พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ลงพื้นที่ช่วยเหลือครอบครัวเด็กชายพิการ สู้ชีวิต
หารายได้เลี้ยงครอบครัว มียาย แม่ และน้องสาว ที่ป่วยหลายโรครุมเร้า
อาศัยอยู่ภายในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม ที่ย่านปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 60 เวลา 13.00 น. นางนภา เศรษฐกร รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) พร้อมเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัว และให้ความช่วยเหลือกรณีเด็กชายอายุ 15 ปี ที่ป่วยเป็นโรคหอบหืดและมีพัฒนาการทางสมองช้า แต่มีความขยัน ตั้งใจเรียน และช่วยเหลือครอบครัวด้วยการหารายได้จากการเก็บขวดพลาสติกขายและรับจ้างล้างจาน ครอบครัวมีฐานะยากจน อาศัยในบ้านพักไม่มีเลขที่ในพื้นที่อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
นางนภา กล่าวว่า จากกรณีสังคมออนไลน์ มีการแชร์เรื่องราวขอความช่วยเหลือเด็กชายดังกล่าวอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ ตนพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 และผู้ประกอบวิชาชีพสังคมสงเคราะห์รับอนุญาต รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้แก่ สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนนทบุรี (พมจ.นนทบุรี) ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดนนทบุรี บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดนนทบุรี บ้านราชาวดี(ชาย) และสถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมทั้งเร่งดําเนินการช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก ผู้พิการ และผู้สูงอายุของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ
นางนภา กล่าวต่อไปว่า จากการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า ครอบครัวของเด็กชายดังกล่าวมีสมาชิกทั้งหมด 4 คน ประกอบด้วย 1) ยายอายุ 60 ปี ประกอบอาชีพเก็บของเก่าขายและรับจ้างกวาดถนนมีปัญหาสุขภาพด้านการมองเห็น 2) ผู้เป็นแม่อายุ 39 ปี ไม่ได้ประกอบอาชีพ เนื่องจากมีความพิการทางสติปัญญา และมีโรคประจําตัว คือ โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ และไวรัสตับอักเสบบี 3) เด็กชายดังกล่าว ซึ่งเป็นมีความพิการทางสติปัญญา และ 4) น้องสาวอายุ 3 เดือน มีอาการป่วยเป็นโรคตับโต ต่อมไทรอยด์โต และมีอาการติดเชื้อไวรัสทางสมอง อีกทั้งมีใบหูซ้ายติดกับหนังศีรษะ ทั้งนี้ ครอบครัวดังกล่าวอาศัยในบ้านไม้ไม่มีเลขที่ที่มีสภาพเก่าทรุดโทรมและไม่มีห้องสุขา สําหรับแนวทางการช่วยเหลือในเบื้องต้น หลายหน่วยงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้มอบเงินสงเคราะห์ครอบครัวยากจน มอบเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวัน และถุงยังชีพและสิ่งของใช้ในชีวิตประจําวัน พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนอย่างต่อเนื่องของเด็กชายดังกล่าว การแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องการประกอบอาชีพที่เหมาะสมให้กับผู้เป็นแม่เพื่อให้มีรายได้สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างเพียงพอในระยะยาวและเรื่องการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยในครอบครัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เร่งดําเนินการปรับปรุงซ่อมแซมที่พักอาศัยให้มีสภาพแข็งแรง มั่นคง ถูกสุขลักษณะ เหมาะสมสําหรับการใช้ชีวิตประจําวันของผู้ป่วย ผู้สูงอายุและคนพิการ
"ทั้งนี้ ประชาชนผู้ประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 บริการ 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป”นางนภา กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2317
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปสถิติความคืบหน้าโครงการจัดทำระบบลงทะเบียนและติดตามประเมินผลครูผู้เข้ารับการพัฒนาครูแนวใหม่
|
วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560
สรุปสถิติความคืบหน้าโครงการจัดทําระบบลงทะเบียนและติดตามประเมินผลครูผู้เข้ารับการพัฒนาครูแนวใหม่
จากการที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะและการพัฒนาข้าราชการครูแนวใหม่ "จากพระราชกระแสฯ ... สู่การพัฒนาครูทั้งระบบ" เมื่อวันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2560 พร้อมทั้งได้จัดตั้ง "สถาบันคุรุพัฒนา" เพื่อเป็นหน่วยงานในการพัฒนาครูแนวใหม่
โดยจัดหลักสูตรอบรมให้ครูสามารถเลือกได้ตามความต้องการ โดยครูจะได้รับงบประมาณอบรมคนละ 1 หมื่นบาทต่อปีนั้น
จากข้อมูลล่าสุดของสํานักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)นับตั้งแต่เปิดระบบลงทะเบียนและติดตามประเมินผลครูผู้เข้ารับการพัฒนา เมื่อวันที่5กรกฎาคม2560จนถึงวันที่11กรกฎาคม2560ด้วยระยะเวลาเพียง6วันพบว่ามีจํานวนครูสนใจสมัครเข้ารับการอบรมแล้วจํานวน192,621คน มีจํานวนการลงทะเบียนอบรมหลักสูตร197,750คนโดยงบประมาณที่ผ่านการอนุมัติแล้วกว่า23ล้านบาท และยังมีงบประมาณที่รอการอนุมัติอีกกว่า1,073ล้านบาท
สําหรับหลักสูตรที่ครูเลือกเข้ารับการอบรมเพื่อพัฒนาตนเองนั้น ขณะนี้มีประมาณ 1,400 หลักสูตร ซึ่งหลักสูตรที่ได้รับความสนใจลงทะเบียนอบรมมากที่สุด5อันดับแรกคือ หลักสูตรส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อยกระดับทักษะพัฒนาการจัดการศึกษาในสื่อการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ หลักสูตรฝึกอบรมและการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาจากสื่อธรรมชาติ หลักสูตรการพัฒนาสมรรถนะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หลักสูตรการเสริมสร้างสมรรถนะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเขียนเชิงวิเคราะห์วิชาภาษาไทย และหลักสูตรการพัฒนาการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมโครงงานตามลําดับ
หลักสูตรที่มีการลงทะเบียนที่นั่งสํารองมากที่สุดเป็นหลักสูตรBBLออกแบบการสอน เกี่ยวกับวิชาภาษาไทย อังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และSTEM
5หน่วยงานจัดอบรมที่มีการลงทะเบียนอบรมมากที่สุดคือ ศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ รองลงมา คือ อมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์, วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา, มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีตามลําดับ
5เขตพื้นที่การศึกษาที่มีการลงทะเบียนมากที่สุดในเวลานี้คือ สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต36(เชียงราย-พะเยา) รองลงมาคือ สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เชียงใหม่ เขต3, สพม.เขต34(เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน), สพป.เชียงราย เขต3และสพป.สกลนคร เขต1ตามลําดับโดยจังหวัดที่มีการจัดอบรมมากที่สุดอยู่ที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดลําปาง ตามลําดับ
อย่างไรก็ตาม ครูที่จะเข้าสมัครการอบรม ควรตรวจสอบระบบอีเมลของตนเองด้วยว่า ถูกต้อง หรือเป็นปัจจุบัน และควรตรวจสอบการตั้งสถานะSPAM(หรืออีเมลขยะ) ของอีเมลไว้ด้วย เพราะมีจํานวนอีเมลที่ถูกตีกลับมากถึง26,691ฉบับ
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูล ณ วันที่12กรกฎาคม2560ได้มีจํานวนครูสนใจสมัครเข้ารับการอบรมแล้วจํานวน228,643คน มีจํานวนการลงทะเบียนอบรมหลักสูตร256,231คนโดยงบประมาณที่ผ่านการอนุมัติแล้วกว่า65ล้านบาท และยังมีงบประมาณที่รอการอนุมัติอีกกว่า1,409ล้านบาทโดยในห้วงเวลาการลงทะเบียน จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อาทิ10หลักสูตรที่มีการลงทะเบียนอบรมมากที่สุด, หลักสูตรที่มีการลงทะเบียนสํารอง, เขตพื้นที่การศึกษาที่มีการลงทะเบียนมากที่สุด, จังหวัดที่เป็นจุดอบรม เป็นต้น (ตามภาพ)
ด้านนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมงบประมาณเพื่อใช้ในการอบรมพัฒนาครูดังกล่าวประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นจํานวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับแต่ละปีที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการใช้งบประมาณในการอบรมประชุมสัมมนาครูกระจายไปยังสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาต่าง ๆ รวมแล้วนับหมื่นล้านบาท
นอกจากนี้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์"สํานักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ."จํานวนมากกว่า 438,000 ครั้งแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก เพราะแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงการปฏิรูปการศึกษาที่สําคัญ ว่าการมีวิทยฐานะและการพัฒนาครูต้องมีการบูรณาการไปพร้อมกัน จึงจะเกิดประสิทธิภาพส่วนที่มีข้อห่วงใยว่าอาจจะมีการเปิดธุรกิจจัดหลักสูตรอบรมครูนั้น คิดว่าคงไม่มี เนื่องจากแต่ละหลักสูตรจะมีเสียงสะท้อนจากครูด้วยกันเองว่าอบรมดีหรือไม่อย่างไร เพราะครูเป็นผู้เลือกหลักสูตรเอง และทุกหลักสูตรจะต้องผ่านการประเมินจากสถาบันคุรุพัฒนาเพื่อให้มีมาตรฐานอีกด้วย
บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปสถิติความคืบหน้าโครงการจัดทำระบบลงทะเบียนและติดตามประเมินผลครูผู้เข้ารับการพัฒนาครูแนวใหม่
วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560
สรุปสถิติความคืบหน้าโครงการจัดทําระบบลงทะเบียนและติดตามประเมินผลครูผู้เข้ารับการพัฒนาครูแนวใหม่
จากการที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะและการพัฒนาข้าราชการครูแนวใหม่ "จากพระราชกระแสฯ ... สู่การพัฒนาครูทั้งระบบ" เมื่อวันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2560 พร้อมทั้งได้จัดตั้ง "สถาบันคุรุพัฒนา" เพื่อเป็นหน่วยงานในการพัฒนาครูแนวใหม่
โดยจัดหลักสูตรอบรมให้ครูสามารถเลือกได้ตามความต้องการ โดยครูจะได้รับงบประมาณอบรมคนละ 1 หมื่นบาทต่อปีนั้น
จากข้อมูลล่าสุดของสํานักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)นับตั้งแต่เปิดระบบลงทะเบียนและติดตามประเมินผลครูผู้เข้ารับการพัฒนา เมื่อวันที่5กรกฎาคม2560จนถึงวันที่11กรกฎาคม2560ด้วยระยะเวลาเพียง6วันพบว่ามีจํานวนครูสนใจสมัครเข้ารับการอบรมแล้วจํานวน192,621คน มีจํานวนการลงทะเบียนอบรมหลักสูตร197,750คนโดยงบประมาณที่ผ่านการอนุมัติแล้วกว่า23ล้านบาท และยังมีงบประมาณที่รอการอนุมัติอีกกว่า1,073ล้านบาท
สําหรับหลักสูตรที่ครูเลือกเข้ารับการอบรมเพื่อพัฒนาตนเองนั้น ขณะนี้มีประมาณ 1,400 หลักสูตร ซึ่งหลักสูตรที่ได้รับความสนใจลงทะเบียนอบรมมากที่สุด5อันดับแรกคือ หลักสูตรส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อยกระดับทักษะพัฒนาการจัดการศึกษาในสื่อการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ หลักสูตรฝึกอบรมและการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาจากสื่อธรรมชาติ หลักสูตรการพัฒนาสมรรถนะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หลักสูตรการเสริมสร้างสมรรถนะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเขียนเชิงวิเคราะห์วิชาภาษาไทย และหลักสูตรการพัฒนาการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมโครงงานตามลําดับ
หลักสูตรที่มีการลงทะเบียนที่นั่งสํารองมากที่สุดเป็นหลักสูตรBBLออกแบบการสอน เกี่ยวกับวิชาภาษาไทย อังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และSTEM
5หน่วยงานจัดอบรมที่มีการลงทะเบียนอบรมมากที่สุดคือ ศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ รองลงมา คือ อมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์, วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา, มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีตามลําดับ
5เขตพื้นที่การศึกษาที่มีการลงทะเบียนมากที่สุดในเวลานี้คือ สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต36(เชียงราย-พะเยา) รองลงมาคือ สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เชียงใหม่ เขต3, สพม.เขต34(เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน), สพป.เชียงราย เขต3และสพป.สกลนคร เขต1ตามลําดับโดยจังหวัดที่มีการจัดอบรมมากที่สุดอยู่ที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดลําปาง ตามลําดับ
อย่างไรก็ตาม ครูที่จะเข้าสมัครการอบรม ควรตรวจสอบระบบอีเมลของตนเองด้วยว่า ถูกต้อง หรือเป็นปัจจุบัน และควรตรวจสอบการตั้งสถานะSPAM(หรืออีเมลขยะ) ของอีเมลไว้ด้วย เพราะมีจํานวนอีเมลที่ถูกตีกลับมากถึง26,691ฉบับ
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูล ณ วันที่12กรกฎาคม2560ได้มีจํานวนครูสนใจสมัครเข้ารับการอบรมแล้วจํานวน228,643คน มีจํานวนการลงทะเบียนอบรมหลักสูตร256,231คนโดยงบประมาณที่ผ่านการอนุมัติแล้วกว่า65ล้านบาท และยังมีงบประมาณที่รอการอนุมัติอีกกว่า1,409ล้านบาทโดยในห้วงเวลาการลงทะเบียน จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อาทิ10หลักสูตรที่มีการลงทะเบียนอบรมมากที่สุด, หลักสูตรที่มีการลงทะเบียนสํารอง, เขตพื้นที่การศึกษาที่มีการลงทะเบียนมากที่สุด, จังหวัดที่เป็นจุดอบรม เป็นต้น (ตามภาพ)
ด้านนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมงบประมาณเพื่อใช้ในการอบรมพัฒนาครูดังกล่าวประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นจํานวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับแต่ละปีที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการใช้งบประมาณในการอบรมประชุมสัมมนาครูกระจายไปยังสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาต่าง ๆ รวมแล้วนับหมื่นล้านบาท
นอกจากนี้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์"สํานักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ."จํานวนมากกว่า 438,000 ครั้งแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก เพราะแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงการปฏิรูปการศึกษาที่สําคัญ ว่าการมีวิทยฐานะและการพัฒนาครูต้องมีการบูรณาการไปพร้อมกัน จึงจะเกิดประสิทธิภาพส่วนที่มีข้อห่วงใยว่าอาจจะมีการเปิดธุรกิจจัดหลักสูตรอบรมครูนั้น คิดว่าคงไม่มี เนื่องจากแต่ละหลักสูตรจะมีเสียงสะท้อนจากครูด้วยกันเองว่าอบรมดีหรือไม่อย่างไร เพราะครูเป็นผู้เลือกหลักสูตรเอง และทุกหลักสูตรจะต้องผ่านการประเมินจากสถาบันคุรุพัฒนาเพื่อให้มีมาตรฐานอีกด้วย
บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5173
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดกระทรวงกลาโหม” หนุนพลังจิตอาสา เดินหน้าทำความดีในโครงการจิตอาสา “เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
|
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563
“ปลัดกระทรวงกลาโหม” หนุนพลังจิตอาสา เดินหน้าทําความดีในโครงการจิตอาสา “เราทําความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
“ปลัดกระทรวงกลาโหม” หนุนพลังจิตอาสา เดินหน้าทําความดีในโครงการจิตอาสา “เราทําความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
“ปลัดกระทรวงกลาโหม” หนุนพลังจิตอาสา เดินหน้าทําความดีในโครงการจิตอาสา “เราทําความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมกับหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จ.นนทบุรี เทศบาลนครปากเกร็ด รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และภาคเอกชน จัดกิจกรรมโครงการจิตอาสา “เราทําความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” กิจกรรมทําความสะอาด และปรับปรุงภูมิทัศน์ โดยมี พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ณ พื้นที่สวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จ.นนทบุรี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิรลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตที่ดี รวมทั้งความปลอดภัยของประชาชน และเพื่อสนับสนุนโครงการและกิจกรรมอันเนื่องมาจากพระราชปณิธานพระราชดําริ หรือพระราชกรณียกิจของพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิรลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ยังมีการมอบเครื่องปรับสภาพน้ําแบบสองระบบ ศรีสมาน 1 จํานวน 5 เครื่อง ซึ่งเป็นโครงการวิจัยของศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร เพื่อเป็นการปรับสภาพน้ําให้สะอาดซึ่งจะนําไปสู่การมีสภาพแวดล้อมที่ดี และการพัฒนาเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของประชาชน
สําหรับกิจกรรมจิตอาสาในครั้งนี้ ได้มีการปรับสภาพน้ําในคลองบ้านเก่า เป็นระยะทาง 3.4 กิโลเมตร ให้มีความใสสะอาด ด้วยการขุดลอกคูคลอง รวมทั้งปรับปรุงระบบไฟส่องแสงสว่างและระบบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ และจะช่วยพัฒนาชุมชนในพื้นที่ให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และแสดงให้เห็นถึงพลังความสามัคคีในการร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ของกําลังพล และประชาชนจิตอาสาในการบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ที่จะสืบสาน “เราทําความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ตามแนวพระราโชบายสืบไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดกระทรวงกลาโหม” หนุนพลังจิตอาสา เดินหน้าทำความดีในโครงการจิตอาสา “เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563
“ปลัดกระทรวงกลาโหม” หนุนพลังจิตอาสา เดินหน้าทําความดีในโครงการจิตอาสา “เราทําความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
“ปลัดกระทรวงกลาโหม” หนุนพลังจิตอาสา เดินหน้าทําความดีในโครงการจิตอาสา “เราทําความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
“ปลัดกระทรวงกลาโหม” หนุนพลังจิตอาสา เดินหน้าทําความดีในโครงการจิตอาสา “เราทําความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมกับหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จ.นนทบุรี เทศบาลนครปากเกร็ด รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และภาคเอกชน จัดกิจกรรมโครงการจิตอาสา “เราทําความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” กิจกรรมทําความสะอาด และปรับปรุงภูมิทัศน์ โดยมี พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ณ พื้นที่สวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จ.นนทบุรี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิรลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตที่ดี รวมทั้งความปลอดภัยของประชาชน และเพื่อสนับสนุนโครงการและกิจกรรมอันเนื่องมาจากพระราชปณิธานพระราชดําริ หรือพระราชกรณียกิจของพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิรลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ยังมีการมอบเครื่องปรับสภาพน้ําแบบสองระบบ ศรีสมาน 1 จํานวน 5 เครื่อง ซึ่งเป็นโครงการวิจัยของศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร เพื่อเป็นการปรับสภาพน้ําให้สะอาดซึ่งจะนําไปสู่การมีสภาพแวดล้อมที่ดี และการพัฒนาเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของประชาชน
สําหรับกิจกรรมจิตอาสาในครั้งนี้ ได้มีการปรับสภาพน้ําในคลองบ้านเก่า เป็นระยะทาง 3.4 กิโลเมตร ให้มีความใสสะอาด ด้วยการขุดลอกคูคลอง รวมทั้งปรับปรุงระบบไฟส่องแสงสว่างและระบบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ และจะช่วยพัฒนาชุมชนในพื้นที่ให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และแสดงให้เห็นถึงพลังความสามัคคีในการร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ของกําลังพล และประชาชนจิตอาสาในการบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ที่จะสืบสาน “เราทําความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ตามแนวพระราโชบายสืบไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33599
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการดำเนินงานพื้นที่จังหวัดน่าน ครั้งที่1/2561
|
วันเสาร์ที่ 21 เมษายน 2561
ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการดําเนินงานพื้นที่จังหวัดน่าน ครั้งที่1/2561
ทส. ร่วมดําเนินการกับภาครัฐ ภาคเอกชน ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาด้านที่ดิน ป่าไม้ และการใช้ประโยชน์ในพื้นที่จังหวัดน่าน รวมถึงการพัฒนาระบบกลไกบริหารจัดการการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ ตามแนวคิดและแผนการดําเนินงานการแก้ปัญหาป่าน่าน
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมดําเนินการกับภาครัฐ ภาคเอกชน ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาด้านที่ดิน ป่าไม้ และการใช้ประโยชน์ในพื้นที่จังหวัดน่าน รวมถึงการพัฒนาระบบกลไกบริหารจัดการการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ ตามแนวคิดและแผนการดําเนินงานการแก้ปัญหาป่าน่าน หรือการพัฒนาและรังสรรค์นวัตกรรมรูปแบบใหม่ (Sand Box) ซึ่งตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้อนุมัติให้ทํา sandbox ซึ่งใช้พื้นที่จังหวัดน่าน เป็นพื้นที่ทดลองและหากสามารถแก้ปัญหาได้ บทเรียนจาก จังหวัดน่านจะนําไปใช้ในพื้นที่อื่นได้ต่อไป
วันนี้ (20 เมษายน2561) เวลา 15.00 น. นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานกรรมการภาครัฐ พร้อมด้วย ประธานกรรมการภาคเอกชน (นายบัณฑูร ล่ําซํา) และพระครูพิทักษ์นันทคุณ ที่ปรึกษา ร่วมประชุมคณะกรรมการดําเนินงาน พื้นที่จังหวัดน่าน ครั้งที่ 1/2561 (Nan Sandbox) ณ ศูนย์การเรียนรู้และบริการวิชาการ เครือข่ายแห่งจุฬาลงกรณ ์มหาวิทยาลัย จังหวัดน่าน เพื่อรับฟังการชี้แจงวัตถุประสงค์การลงนามคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดําเนินงานพื้นที่จังหวัดน่าน ของนายกรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาที่ดิน ป่าไม้ และการใช้ประโยชน์พื้นที่จังหวัดน่าน และร่วมหารือกําหนดแผนงานและแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ ในการบริหารจัดการพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ให้สามารถทําการเกษตรโดยการปลูกพืชเศรษฐกิจ และดําเนินชีวิตอยู่ร่วมกัน ได้ ทั้งนี้ ในเบื้องต้นที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบการจัดสรรที่ดินป่าสงวนจังหวัดน่าน โดยจัดสรรพื้นที่ป่าสงวนของจังหวัดน่าน จาก 100% ดังนี้ 72% กําหนดให้เป็นพื้นที่ป่าที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่ 18% นํากลับมาเป็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ แต่อนุญาตให้ปลูกพืชเศรษฐกิจใต้ต้นไม้ใหญ่ได้ และ 10% ยอมให้ประชาชน/เกษตรกร ปลูกพืชเศรษฐกิจเต็มที่ แต่ยังคงความเป็นป่าสงวนโดยกฎหมาย โดยให้ทําเกษตรกรรมใน รูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งไม่ใช่การปลูกข้าวโพด ไม่ใช่พืชเชิงเดี่ยว และให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อดําเนินการสื่อแนวทางแก้ปัญหาป่าน่านกับผู้นําชุมชน/เกษตรกร ซึ่งการดําเนินงานในเบื้องต้นต้องสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ ทําให้ประชาชนเกิดความไว้วางใจและเห็นภาพอนาคตร่วมกัน ทั้งนี้สําหรับผลการประชุมในครั้งนี้ จะนําเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ต่อไป
ในวันเดียวกันนี้ ก่อนการประชุมฯ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้เกียรติเป็นประธานการประชุม (War Room) ศูนย์ประสานงานป่าไม้จังหวัดน่าน เพื่อติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาด้านป่าไม้ และร่วมรับฟังสรุปการบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ จังหวัดน่าน ของกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กําลังใจ พร้อมรับฟังความคิดเห็นและบรรยายสรุปผลการปฏิบัติงานด้านการป้องกันป่าและการพัฒนาเชิงพื้นที่ ของหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นน.11 (เมืองน่าน) นอกจากนี้ ได้เดินทางไปร่วมพิธีเปิด "มหกรรมวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค" ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการดำเนินงานพื้นที่จังหวัดน่าน ครั้งที่1/2561
วันเสาร์ที่ 21 เมษายน 2561
ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการดําเนินงานพื้นที่จังหวัดน่าน ครั้งที่1/2561
ทส. ร่วมดําเนินการกับภาครัฐ ภาคเอกชน ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาด้านที่ดิน ป่าไม้ และการใช้ประโยชน์ในพื้นที่จังหวัดน่าน รวมถึงการพัฒนาระบบกลไกบริหารจัดการการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ ตามแนวคิดและแผนการดําเนินงานการแก้ปัญหาป่าน่าน
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมดําเนินการกับภาครัฐ ภาคเอกชน ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาด้านที่ดิน ป่าไม้ และการใช้ประโยชน์ในพื้นที่จังหวัดน่าน รวมถึงการพัฒนาระบบกลไกบริหารจัดการการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ ตามแนวคิดและแผนการดําเนินงานการแก้ปัญหาป่าน่าน หรือการพัฒนาและรังสรรค์นวัตกรรมรูปแบบใหม่ (Sand Box) ซึ่งตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้อนุมัติให้ทํา sandbox ซึ่งใช้พื้นที่จังหวัดน่าน เป็นพื้นที่ทดลองและหากสามารถแก้ปัญหาได้ บทเรียนจาก จังหวัดน่านจะนําไปใช้ในพื้นที่อื่นได้ต่อไป
วันนี้ (20 เมษายน2561) เวลา 15.00 น. นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานกรรมการภาครัฐ พร้อมด้วย ประธานกรรมการภาคเอกชน (นายบัณฑูร ล่ําซํา) และพระครูพิทักษ์นันทคุณ ที่ปรึกษา ร่วมประชุมคณะกรรมการดําเนินงาน พื้นที่จังหวัดน่าน ครั้งที่ 1/2561 (Nan Sandbox) ณ ศูนย์การเรียนรู้และบริการวิชาการ เครือข่ายแห่งจุฬาลงกรณ ์มหาวิทยาลัย จังหวัดน่าน เพื่อรับฟังการชี้แจงวัตถุประสงค์การลงนามคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดําเนินงานพื้นที่จังหวัดน่าน ของนายกรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาที่ดิน ป่าไม้ และการใช้ประโยชน์พื้นที่จังหวัดน่าน และร่วมหารือกําหนดแผนงานและแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ ในการบริหารจัดการพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ให้สามารถทําการเกษตรโดยการปลูกพืชเศรษฐกิจ และดําเนินชีวิตอยู่ร่วมกัน ได้ ทั้งนี้ ในเบื้องต้นที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบการจัดสรรที่ดินป่าสงวนจังหวัดน่าน โดยจัดสรรพื้นที่ป่าสงวนของจังหวัดน่าน จาก 100% ดังนี้ 72% กําหนดให้เป็นพื้นที่ป่าที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่ 18% นํากลับมาเป็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ แต่อนุญาตให้ปลูกพืชเศรษฐกิจใต้ต้นไม้ใหญ่ได้ และ 10% ยอมให้ประชาชน/เกษตรกร ปลูกพืชเศรษฐกิจเต็มที่ แต่ยังคงความเป็นป่าสงวนโดยกฎหมาย โดยให้ทําเกษตรกรรมใน รูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งไม่ใช่การปลูกข้าวโพด ไม่ใช่พืชเชิงเดี่ยว และให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อดําเนินการสื่อแนวทางแก้ปัญหาป่าน่านกับผู้นําชุมชน/เกษตรกร ซึ่งการดําเนินงานในเบื้องต้นต้องสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ ทําให้ประชาชนเกิดความไว้วางใจและเห็นภาพอนาคตร่วมกัน ทั้งนี้สําหรับผลการประชุมในครั้งนี้ จะนําเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ต่อไป
ในวันเดียวกันนี้ ก่อนการประชุมฯ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้เกียรติเป็นประธานการประชุม (War Room) ศูนย์ประสานงานป่าไม้จังหวัดน่าน เพื่อติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาด้านป่าไม้ และร่วมรับฟังสรุปการบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ จังหวัดน่าน ของกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กําลังใจ พร้อมรับฟังความคิดเห็นและบรรยายสรุปผลการปฏิบัติงานด้านการป้องกันป่าและการพัฒนาเชิงพื้นที่ ของหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นน.11 (เมืองน่าน) นอกจากนี้ ได้เดินทางไปร่วมพิธีเปิด "มหกรรมวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค" ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อีกด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11659
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมประมงแจงการริบของกลางตาม พ.ร.บ.ประมง ฉบับแก้ไข ทำได้เฉพาะกรณีความผิดร้ายแรงที่กำหนดไว้เท่านั้น ชี้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น
|
วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2560
อธิบดีกรมประมงแจงการริบของกลางตาม พ.ร.บ.ประมง ฉบับแก้ไข ทําได้เฉพาะกรณีความผิดร้ายแรงที่กําหนดไว้เท่านั้น ชี้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น
อธิบดีกรมประมงแจงการริบของกลางตาม พ.ร.บ.ประมง ฉบับแก้ไข ทําได้เฉพาะกรณีความผิดร้ายแรงที่กําหนดไว้เท่านั้น ชี้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น
วันนี้ (25 กรกฎาคม 2560) นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกรณีสื่อมวลชนนําเสนอข่าวการร้องเรียนของชาวประมงว่ากฎหมายฉบับใหม่ที่ออกมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 สร้างปัญหากับชาวประมงมากแค่ทําผิดเล็กน้อยมีโทษถึงขั้นยึดเรือ ถือเป็นการเขียนกฎหมายแบบครอบจักรวาล เพราะการทําประมงผิดกฎหมายตามหลักสากล คือ การกระทําต่อทรัพยากร แต่การยึดทรัพย์ของชาวประมง ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรม โดยชี้แจงสาระสําคัญดังนี้
พ.ร.ก.ประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 169 ที่กําหนดให้เครื่องมือทําการประมง สัตว์น้ํา ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ํา เรือประมง หรือสิ่งอื่นใด ที่ใช้ในการกระทําความผิดตามพระราชกําหนดนี้ให้ริบเสียทั้งสิ้นนั้น..มีความรุนแรงและก่อให้เกิดผลกระทบมากต่อชาวประมงผู้ซึ่งอาจจะกระทําผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือโดยไม่ได้ตั้งใจหรืออาจเป็นความผิดเล็กน้อย
ดังนั้น จึงได้มีการเสนอปรับแก้ไข พ.ร.ก.ประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 ในมาตรา 169 ซึ่งประกาศใช้เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยปรับเปลี่ยนหลักการให้การริบของกลางตามกฎหมายประมง ได้แก่ เรือประมง เครื่องมือทําการประมง สัตว์น้ํา จะกระทําได้เฉพาะกรณีความผิดร้ายแรงตามกําหนดไว้ในพระราชกําหนดการประมงเท่านั้น มิใช่ริบของกลางตามความผิดทั้งหมดตามที่กําหนดไว้เช่นเดิม ซึ่งทําให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น โดยไม่ทําให้มาตรการป้องกันการทําการประมงผิดกฎหมายได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ หลักกฎหมายเกี่ยวกับอํานาจในการริบเรือประมงของกลาง ซึ่งอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 นั้น มีหลักทั่วไป ว่าการริบเรือนั้นเป็นอํานาจศาล และกําหนดให้ริบทรัพย์สินบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทําความผิด หรือทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยกระทําความผิดเท่านั้น จึงอยากให้ชาวประมง ผู้ซึ่งมิได้ตั้งใจที่จะกระทําความผิดนั้นมิต้องกังวลใจว่ากฎหมายจะไม่เป็นธรรม เพราะทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
-----------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมประมงแจงการริบของกลางตาม พ.ร.บ.ประมง ฉบับแก้ไข ทำได้เฉพาะกรณีความผิดร้ายแรงที่กำหนดไว้เท่านั้น ชี้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น
วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2560
อธิบดีกรมประมงแจงการริบของกลางตาม พ.ร.บ.ประมง ฉบับแก้ไข ทําได้เฉพาะกรณีความผิดร้ายแรงที่กําหนดไว้เท่านั้น ชี้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น
อธิบดีกรมประมงแจงการริบของกลางตาม พ.ร.บ.ประมง ฉบับแก้ไข ทําได้เฉพาะกรณีความผิดร้ายแรงที่กําหนดไว้เท่านั้น ชี้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น
วันนี้ (25 กรกฎาคม 2560) นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกรณีสื่อมวลชนนําเสนอข่าวการร้องเรียนของชาวประมงว่ากฎหมายฉบับใหม่ที่ออกมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 สร้างปัญหากับชาวประมงมากแค่ทําผิดเล็กน้อยมีโทษถึงขั้นยึดเรือ ถือเป็นการเขียนกฎหมายแบบครอบจักรวาล เพราะการทําประมงผิดกฎหมายตามหลักสากล คือ การกระทําต่อทรัพยากร แต่การยึดทรัพย์ของชาวประมง ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรม โดยชี้แจงสาระสําคัญดังนี้
พ.ร.ก.ประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 169 ที่กําหนดให้เครื่องมือทําการประมง สัตว์น้ํา ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ํา เรือประมง หรือสิ่งอื่นใด ที่ใช้ในการกระทําความผิดตามพระราชกําหนดนี้ให้ริบเสียทั้งสิ้นนั้น..มีความรุนแรงและก่อให้เกิดผลกระทบมากต่อชาวประมงผู้ซึ่งอาจจะกระทําผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือโดยไม่ได้ตั้งใจหรืออาจเป็นความผิดเล็กน้อย
ดังนั้น จึงได้มีการเสนอปรับแก้ไข พ.ร.ก.ประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 ในมาตรา 169 ซึ่งประกาศใช้เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยปรับเปลี่ยนหลักการให้การริบของกลางตามกฎหมายประมง ได้แก่ เรือประมง เครื่องมือทําการประมง สัตว์น้ํา จะกระทําได้เฉพาะกรณีความผิดร้ายแรงตามกําหนดไว้ในพระราชกําหนดการประมงเท่านั้น มิใช่ริบของกลางตามความผิดทั้งหมดตามที่กําหนดไว้เช่นเดิม ซึ่งทําให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น โดยไม่ทําให้มาตรการป้องกันการทําการประมงผิดกฎหมายได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ หลักกฎหมายเกี่ยวกับอํานาจในการริบเรือประมงของกลาง ซึ่งอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 นั้น มีหลักทั่วไป ว่าการริบเรือนั้นเป็นอํานาจศาล และกําหนดให้ริบทรัพย์สินบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทําความผิด หรือทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยกระทําความผิดเท่านั้น จึงอยากให้ชาวประมง ผู้ซึ่งมิได้ตั้งใจที่จะกระทําความผิดนั้นมิต้องกังวลใจว่ากฎหมายจะไม่เป็นธรรม เพราะทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
-----------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5448
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุม กพช. ครั้งที่ 2/2560 ณ ทำเนียบรัฐบาล
|
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
พม. ร่วมประชุม กพช. ครั้งที่ 2/2560 ณ ทําเนียบรัฐบาล
พม. ร่วมประชุม กพช. ครั้งที่ 2/2560 ณ ทําเนียบรัฐบาล มีมติไฟเขียวนโยบายส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เร่งให้เป็นรูปธรรม ภายในปี 60
วันนี้ (7 เม.ย.60) เวลา 11.30 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 60 ได้มีการจัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ หรือ กพช. ครั้งที่ 2/2560 ณ ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ โดยมี พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม และตน ในฐานะรองประธานกรรมการ เข้าร่วมประชุม พร้อมด้วยกรรมการ ประกอบด้วย นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ผู้แทนผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนองค์กรคนพิการ และนายสมชาย เจริญอํานวยสุข อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในฐานะกรรมการและเลขานุการ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า การประชุมดังกล่าว ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและมีมติเห็นชอบในประเด็นสําคัญด้านคนพิการ ดังนี้ 1.แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2560–2564 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 เห็นชอบหลักการของแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ 5 โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการตามแนวทางมาตรการของแผนฯ พร้อมทั้งขับเคลื่อนและติดตามการดําเนินงานตามแผนดังกล่าว 2.สนับสนุนการจัดบริการผู้ช่วยคนพิการ โดยสนับสนุนงบประมาณค่าตอบแทนผู้ช่วยคนพิการทั่วประเทศ ในวงเงิน 52.99 ล้านบาท ซึ่งที่ประชุม กพช. มีข้อเสนอแนะดังนี้ 1) ปรับปรุงหลักสูตรผู้ช่วยคนพิการ โดยมีหลักสูตรเฉพาะแต่ละประเภทความพิการ และให้มีการฝึกอบรมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข 2) เพิ่มค่าตอบแทนผู้ช่วยคนพิการ ชั่วโมงละ 50 - 100 บาท 3) การเพิ่มจํานวนผู้ช่วยคนพิการ โดยการอบรมขยายผลในภูมิภาคด้วย และ 4) การติดตามประเมินการบริการของผู้ช่วยคนพิการ 3.การจ้างงานคนพิการ กรณีสถานประกอบการนําชื่อคนพิการมารายงาน แต่ไม่ได้จ้างจริง หรือคนพิการยินยอม ให้นําชื่อไปรายงาน โดยไม่ได้ปฏิบัติงานจริง มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ(พก.) ดําเนินการตรวจสอบ และดําเนินคดีตามกฎหมาย รวมถึงประชาสัมพันธ์ เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการกระทําดังกล่าวต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า 4.การรับบริการทางการแพทย์ กรณีคนพิการที่เป็นผู้ประกันตน ได้รับความเดือดร้อนในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลล่วงหน้าและเบิกจ่ายภายหลัง มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน สํานักงานประกันสังคม และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกันเร่งแก้ไขปัญหา โดยไม่ต้องให้ คนพิการต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลล่วงหน้า อีกทั้ง คนพิการสามารถเลือกรับการรักษาได้ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ และเอกชน และ 5.ระบบบริการขนส่งสาธารณะ มอบหมายให้กรุงเทพมหานคร และกระทรวงมหาดไทย เร่งดําเนินการปรับปรุงทางขึ้น - ลงรถไฟฟ้า BTS เพื่อรองรับการใช้งานของคนพิการให้แล้วเสร็จภายใน 2560 และระบบขนส่งมวลชนทุกรูปแบบ จะต้องสร้างสิ่งอํานวยความสะดวกที่คนพิการและทุกคนเข้าถึง ตามหลัก Universal Design รวมถึง การปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้อง และให้คนพิการสามารถเข้าร่วมตรวจสอบการจัดทําสิ่งอํานวย ความสะดวกในบริการสาธารณะด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุม กพช. ครั้งที่ 2/2560 ณ ทำเนียบรัฐบาล
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
พม. ร่วมประชุม กพช. ครั้งที่ 2/2560 ณ ทําเนียบรัฐบาล
พม. ร่วมประชุม กพช. ครั้งที่ 2/2560 ณ ทําเนียบรัฐบาล มีมติไฟเขียวนโยบายส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เร่งให้เป็นรูปธรรม ภายในปี 60
วันนี้ (7 เม.ย.60) เวลา 11.30 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 60 ได้มีการจัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ หรือ กพช. ครั้งที่ 2/2560 ณ ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ โดยมี พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม และตน ในฐานะรองประธานกรรมการ เข้าร่วมประชุม พร้อมด้วยกรรมการ ประกอบด้วย นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ผู้แทนผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนองค์กรคนพิการ และนายสมชาย เจริญอํานวยสุข อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในฐานะกรรมการและเลขานุการ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า การประชุมดังกล่าว ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและมีมติเห็นชอบในประเด็นสําคัญด้านคนพิการ ดังนี้ 1.แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2560–2564 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 เห็นชอบหลักการของแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ 5 โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการตามแนวทางมาตรการของแผนฯ พร้อมทั้งขับเคลื่อนและติดตามการดําเนินงานตามแผนดังกล่าว 2.สนับสนุนการจัดบริการผู้ช่วยคนพิการ โดยสนับสนุนงบประมาณค่าตอบแทนผู้ช่วยคนพิการทั่วประเทศ ในวงเงิน 52.99 ล้านบาท ซึ่งที่ประชุม กพช. มีข้อเสนอแนะดังนี้ 1) ปรับปรุงหลักสูตรผู้ช่วยคนพิการ โดยมีหลักสูตรเฉพาะแต่ละประเภทความพิการ และให้มีการฝึกอบรมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข 2) เพิ่มค่าตอบแทนผู้ช่วยคนพิการ ชั่วโมงละ 50 - 100 บาท 3) การเพิ่มจํานวนผู้ช่วยคนพิการ โดยการอบรมขยายผลในภูมิภาคด้วย และ 4) การติดตามประเมินการบริการของผู้ช่วยคนพิการ 3.การจ้างงานคนพิการ กรณีสถานประกอบการนําชื่อคนพิการมารายงาน แต่ไม่ได้จ้างจริง หรือคนพิการยินยอม ให้นําชื่อไปรายงาน โดยไม่ได้ปฏิบัติงานจริง มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ(พก.) ดําเนินการตรวจสอบ และดําเนินคดีตามกฎหมาย รวมถึงประชาสัมพันธ์ เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการกระทําดังกล่าวต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า 4.การรับบริการทางการแพทย์ กรณีคนพิการที่เป็นผู้ประกันตน ได้รับความเดือดร้อนในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลล่วงหน้าและเบิกจ่ายภายหลัง มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน สํานักงานประกันสังคม และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกันเร่งแก้ไขปัญหา โดยไม่ต้องให้ คนพิการต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลล่วงหน้า อีกทั้ง คนพิการสามารถเลือกรับการรักษาได้ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ และเอกชน และ 5.ระบบบริการขนส่งสาธารณะ มอบหมายให้กรุงเทพมหานคร และกระทรวงมหาดไทย เร่งดําเนินการปรับปรุงทางขึ้น - ลงรถไฟฟ้า BTS เพื่อรองรับการใช้งานของคนพิการให้แล้วเสร็จภายใน 2560 และระบบขนส่งมวลชนทุกรูปแบบ จะต้องสร้างสิ่งอํานวยความสะดวกที่คนพิการและทุกคนเข้าถึง ตามหลัก Universal Design รวมถึง การปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้อง และให้คนพิการสามารถเข้าร่วมตรวจสอบการจัดทําสิ่งอํานวย ความสะดวกในบริการสาธารณะด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2968
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรื้อถอนพระเมรุมาศ อาคารประกอบพระเมรุมาศ และภูมิทัศน์ ครั้งที่ 1/2561
|
วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561
รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรื้อถอนพระเมรุมาศ อาคารประกอบพระเมรุมาศ และภูมิทัศน์ ครั้งที่ 1/2561
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการดําเนินการรื้อถอนย้ายพระเมรุมาศ อาคารประกอบและภูมิทัศน์
ตลอดจนการจัดเก็บงานศิลปกรรมประกอบพระเมรุมาศ ซึ่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยอย่างสมพระเกียรติ
วันนี้ (6 มิถุนายน 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรื้อถอนพระเมรุมาศ อาคารประกอบพระเมรุมาศและภูมิทัศน์ ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปผลการประชุมฯ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการดําเนินการรื้อถอนย้ายพระเมรุมาศ อาคารประกอบ และภูมิทัศน์ ตลอดจนการจัดเก็บงานศิลปกรรมประกอบพระเมรุมาศ รวมทั้งการทําลายย่อยสลายและฝังกลบเศษวัสดุ ตามที่กรมศิลปากร ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยมีรายละเอียดสําคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
งานนิทรรศการฯ จากพระที่นั่งทรงธรรม ได้นํามาจัดแสดง ณ พระที่นั่งพิมานจักรี ชั้นที่ 1 และ ชั้นที่ 2 พระราชวังพญาไท กรุงเทพมหานคร พระจิตกาธาน นําไปประดิษฐาน ณ โรงราชรถ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร งานประติมากรรม จิตรกรรม และงานประณีตศิลป์ ได้นําไปจัดเก็บรักษา ณ สํานักช่างสิบหมู่ ตําบลศาลายา จังหวัดนครปฐม และที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตําบลคลองห้า อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
สําหรับการรื้อย้ายพระเมรุมาศ อาคารประกอบและภูมิทัศน์ โดยดําเนินการการรื้อถอนเพื่อการก่อสร้าง ประกอบด้วย พระที่นั่งทรงธรรม จํานวน 1 ครั้ง ทิม ทับเกษตร ด้านทิศเหนือ 2 หลัง และพลับพลายกหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และศาลาลูกขุน 1 จํานวน 4 หลัง โดยนําไปก่อสร้างอาคารนิทรรศการถาวร ณ บริเวณหอจดหมายแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตําบลคลองห้า อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และการรื้อย้ายเพื่อจัดเก็บรักษา ประกอบด้วย พระเมรุมาศ ศาลาลูกขุน 2 จํานวน 2 หลัง ศาลาลูกขุน 3 จํานวน 5 หลัง ทิม ทับเกษตร ด้านทิศใต้ 2 หลัง พลับพลายกสนามหลวง 1 หลัง พลับพลาหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ 1 หลัง และเกยลา ทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น ให้นําไปจัดเก็บรักษา ณ อุทยานประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ตลอดจนงานรื้อย้ายภูมิทัศน์ ประกอบด้วย พันธุ์ไม้พร้อมกระถางส่งมอบและได้จัดเก็บที่วังสวนกุหลาบ กรุงเทพมหานคร พระราชวังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตําบลคลองห้า อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ตามลําดับ
รวมทั้ง งานพื้นดาดแข็ง (พื้นซีเมนต์บล็อก) ได้นําไปจัดเก็บรักษา ณ สํานักช่างสิบหมู่ ตําบลศาลายา จังหวัดนครปฐม หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมทั้ง การรื้อย้ายเพื่อสลายวัสดุก่อสร้าง ได้ดําเนินการด้วยวิธีการเผาในเตาเผาให้ถูกต้องตามกระบวนการเผา และในกรณีที่วัสดุดังกล่าวไม่สามารถย่อยสลายได้ดําเนินการด้วยวิธีฝังกลบ ณ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ทั้งนี้ การดําเนินงานดังกล่าว กรมศิลปากรพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังและเป็นไปด้วยดีอย่างสมพระเกียรติ พร้อมกันนี้ กรมศิลปากรได้ประสานมอบพื้นที่ท้องสนามหลวงคืนกลับให้แก่กรุงเทพมหานคร เพื่อปรับสภาพภูมิทัศน์พร้อมเข้าสู่สภาพที่ใช้งานในโอกาสอื่น ๆ ได้ต่อไป
...............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรื้อถอนพระเมรุมาศ อาคารประกอบพระเมรุมาศ และภูมิทัศน์ ครั้งที่ 1/2561
วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561
รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรื้อถอนพระเมรุมาศ อาคารประกอบพระเมรุมาศ และภูมิทัศน์ ครั้งที่ 1/2561
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการดําเนินการรื้อถอนย้ายพระเมรุมาศ อาคารประกอบและภูมิทัศน์
ตลอดจนการจัดเก็บงานศิลปกรรมประกอบพระเมรุมาศ ซึ่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยอย่างสมพระเกียรติ
วันนี้ (6 มิถุนายน 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรื้อถอนพระเมรุมาศ อาคารประกอบพระเมรุมาศและภูมิทัศน์ ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปผลการประชุมฯ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการดําเนินการรื้อถอนย้ายพระเมรุมาศ อาคารประกอบ และภูมิทัศน์ ตลอดจนการจัดเก็บงานศิลปกรรมประกอบพระเมรุมาศ รวมทั้งการทําลายย่อยสลายและฝังกลบเศษวัสดุ ตามที่กรมศิลปากร ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยมีรายละเอียดสําคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
งานนิทรรศการฯ จากพระที่นั่งทรงธรรม ได้นํามาจัดแสดง ณ พระที่นั่งพิมานจักรี ชั้นที่ 1 และ ชั้นที่ 2 พระราชวังพญาไท กรุงเทพมหานคร พระจิตกาธาน นําไปประดิษฐาน ณ โรงราชรถ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร งานประติมากรรม จิตรกรรม และงานประณีตศิลป์ ได้นําไปจัดเก็บรักษา ณ สํานักช่างสิบหมู่ ตําบลศาลายา จังหวัดนครปฐม และที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตําบลคลองห้า อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
สําหรับการรื้อย้ายพระเมรุมาศ อาคารประกอบและภูมิทัศน์ โดยดําเนินการการรื้อถอนเพื่อการก่อสร้าง ประกอบด้วย พระที่นั่งทรงธรรม จํานวน 1 ครั้ง ทิม ทับเกษตร ด้านทิศเหนือ 2 หลัง และพลับพลายกหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และศาลาลูกขุน 1 จํานวน 4 หลัง โดยนําไปก่อสร้างอาคารนิทรรศการถาวร ณ บริเวณหอจดหมายแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตําบลคลองห้า อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และการรื้อย้ายเพื่อจัดเก็บรักษา ประกอบด้วย พระเมรุมาศ ศาลาลูกขุน 2 จํานวน 2 หลัง ศาลาลูกขุน 3 จํานวน 5 หลัง ทิม ทับเกษตร ด้านทิศใต้ 2 หลัง พลับพลายกสนามหลวง 1 หลัง พลับพลาหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ 1 หลัง และเกยลา ทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น ให้นําไปจัดเก็บรักษา ณ อุทยานประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ตลอดจนงานรื้อย้ายภูมิทัศน์ ประกอบด้วย พันธุ์ไม้พร้อมกระถางส่งมอบและได้จัดเก็บที่วังสวนกุหลาบ กรุงเทพมหานคร พระราชวังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตําบลคลองห้า อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ตามลําดับ
รวมทั้ง งานพื้นดาดแข็ง (พื้นซีเมนต์บล็อก) ได้นําไปจัดเก็บรักษา ณ สํานักช่างสิบหมู่ ตําบลศาลายา จังหวัดนครปฐม หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมทั้ง การรื้อย้ายเพื่อสลายวัสดุก่อสร้าง ได้ดําเนินการด้วยวิธีการเผาในเตาเผาให้ถูกต้องตามกระบวนการเผา และในกรณีที่วัสดุดังกล่าวไม่สามารถย่อยสลายได้ดําเนินการด้วยวิธีฝังกลบ ณ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ทั้งนี้ การดําเนินงานดังกล่าว กรมศิลปากรพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังและเป็นไปด้วยดีอย่างสมพระเกียรติ พร้อมกันนี้ กรมศิลปากรได้ประสานมอบพื้นที่ท้องสนามหลวงคืนกลับให้แก่กรุงเทพมหานคร เพื่อปรับสภาพภูมิทัศน์พร้อมเข้าสู่สภาพที่ใช้งานในโอกาสอื่น ๆ ได้ต่อไป
...............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12802
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุม บกปภ.ช. เตรียมพร้อมรับมือพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK)
|
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
มท.1 ประชุม บกปภ.ช. เตรียมพร้อมรับมือพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK)
มท.1 ประชุม บกปภ.ช. เตรียมพร้อมรับมือพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK)
เน้นย้ํา 16 จังหวัดพื้นที่เสี่ยง (14 จังหวัดภาคใต้ รวมถึงเพชรบุรี และประจวบฯ) ต้องเฝ้าระวัง
และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมวางแผนการเผชิญเหตุให้ครอบคลุมทุกด้าน
วันนี้ (2 ม.ค. 62) เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์
เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เป็นประธานการประชุมในการเฝ้าระวัง ติดตาม และเตรียมการเผชิญเหตุกรณีพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยัง 14 จังหวัดพื้นภาคใต้ และจังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อติดตามการเตรียมความพร้อมในการรับมือพายุโซนร้อนปาบึก โดยมีผู้แทนหน่วยงานตามโครงสร้างของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (สสนก.) กรมชลประทาน ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ เข้าร่วมประชุมฯ
ในโอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกัน
และบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เปิดเผยว่า การประชุมของ บกปภ.ช. ในวันนี้ เป็นกรณีเร่งด่วน เนื่องจากมีการคาดการณ์และแนวโน้มสถานการณ์กรณีพายุโซนร้อน “ปาบึก” ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ และอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่จังหวัดภาคใต้ รวมถึงพื้นที่เสี่ยง ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี และ ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อติดตามการเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุในระดับพื้นที่ของจังหวัดต่างๆ ซึ่งจากการติดตามสภาพอากาศและปริมาณฝนของกรมอุตุนิยมวิทยา ทราบว่าในระยะนี้ภาคใต้ และพื้นที่เสี่ยง จะมีปริมาณฝนตกอย่างต่อเนื่อง และจะมีฝนมากขึ้นและฝนตกหนักบางแห่ง ในช่วงวันที่ 3-5 มกราคมนี้ รวมทั้งอาจมีคลื่นลมกําลังแรงขึ้น ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ได้รายงานการคาดการณ์และแนวโน้มของสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพายุโซร้อน “ปาบึก” และการเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุของแต่ละหน่วยงาน และจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ และพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่ง บกปภ.ช.ได้เน้นย้ําให้จังหวัดเฝ้าระวัง ติดตาม และเตรียมการเผชิญเหตุ พร้อมทั้งกําหนดแนวทางการรับมือ ป้องกัน และแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับสภาพความเสี่ยงภัยในพื้นที่ รวมทั้งให้มีการประเมินสถานการณ์ ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน ระดับน้ํา และแนวโน้มสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาน้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มในพื้นที่เสี่ยงภัย และจัดเตรียมความพร้อมให้ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านเครื่องมืออุปกรณ์ ระบบสาธารณูปโภค ด้านคมนาคม และสิ่งสาธารณประโยชน์ รวมทั้งให้จังหวัดจัดทําแผนการเผชิญเหตุ แผนอพยพ และแผนการฟื้นฟูภายหลังการเกิดเหตุให้ครอบคลุมทั้งระบบอีกด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวย้ําว่า ขอให้ทุกหน่วยนําแนวทางปฏิบัติตามที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราโชบายในการให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยมีแนวทางการปฏิบัติที่สําคัญ ได้แก่1.ให้ประชาชนที่อยู่ในภาวะทุกข์ร้อนกลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว 2.ในการทํางานทุกงานให้มีแผนเผชิญเหตุไม่ให้เกิดความซ้ําซ้อนที่จะเป็นอุปสรรคให้ เกิดความเสียหาย และมีแผนสํารองสําหรับทางออกทุกกรณี และ 3.ให้น้อมนํากระแสพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นแนวทางในการดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนแนวทางการดําเนินงานและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การปฏิบัติการช่วยเหลือ และการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ขอให้ทุกภาคส่วนได้บูรณาการทํางานร่วมกัน ทั้งการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ภัย ได้แก่ การเคลื่อนตัวของพายุ การวิเคราะห์สถานการณ์น้ําและปัจจัยเสี่ยงเชิงพื้นที่ รวมถึงการเตรียมความพร้อมปฏิบัติการในระดับพื้นที่ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเตรียมพร้อมของทุกหน่วยงานทั้งหมดนี้ จะช่วยให้การปฏิบัติการสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี รวมทั้งให้ช่วยกันสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในทุกช่องทาง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุม บกปภ.ช. เตรียมพร้อมรับมือพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK)
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
มท.1 ประชุม บกปภ.ช. เตรียมพร้อมรับมือพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK)
มท.1 ประชุม บกปภ.ช. เตรียมพร้อมรับมือพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK)
เน้นย้ํา 16 จังหวัดพื้นที่เสี่ยง (14 จังหวัดภาคใต้ รวมถึงเพชรบุรี และประจวบฯ) ต้องเฝ้าระวัง
และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมวางแผนการเผชิญเหตุให้ครอบคลุมทุกด้าน
วันนี้ (2 ม.ค. 62) เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์
เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เป็นประธานการประชุมในการเฝ้าระวัง ติดตาม และเตรียมการเผชิญเหตุกรณีพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยัง 14 จังหวัดพื้นภาคใต้ และจังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อติดตามการเตรียมความพร้อมในการรับมือพายุโซนร้อนปาบึก โดยมีผู้แทนหน่วยงานตามโครงสร้างของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (สสนก.) กรมชลประทาน ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ เข้าร่วมประชุมฯ
ในโอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกัน
และบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เปิดเผยว่า การประชุมของ บกปภ.ช. ในวันนี้ เป็นกรณีเร่งด่วน เนื่องจากมีการคาดการณ์และแนวโน้มสถานการณ์กรณีพายุโซนร้อน “ปาบึก” ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ และอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่จังหวัดภาคใต้ รวมถึงพื้นที่เสี่ยง ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี และ ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อติดตามการเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุในระดับพื้นที่ของจังหวัดต่างๆ ซึ่งจากการติดตามสภาพอากาศและปริมาณฝนของกรมอุตุนิยมวิทยา ทราบว่าในระยะนี้ภาคใต้ และพื้นที่เสี่ยง จะมีปริมาณฝนตกอย่างต่อเนื่อง และจะมีฝนมากขึ้นและฝนตกหนักบางแห่ง ในช่วงวันที่ 3-5 มกราคมนี้ รวมทั้งอาจมีคลื่นลมกําลังแรงขึ้น ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ได้รายงานการคาดการณ์และแนวโน้มของสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพายุโซร้อน “ปาบึก” และการเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุของแต่ละหน่วยงาน และจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ และพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่ง บกปภ.ช.ได้เน้นย้ําให้จังหวัดเฝ้าระวัง ติดตาม และเตรียมการเผชิญเหตุ พร้อมทั้งกําหนดแนวทางการรับมือ ป้องกัน และแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับสภาพความเสี่ยงภัยในพื้นที่ รวมทั้งให้มีการประเมินสถานการณ์ ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน ระดับน้ํา และแนวโน้มสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาน้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มในพื้นที่เสี่ยงภัย และจัดเตรียมความพร้อมให้ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านเครื่องมืออุปกรณ์ ระบบสาธารณูปโภค ด้านคมนาคม และสิ่งสาธารณประโยชน์ รวมทั้งให้จังหวัดจัดทําแผนการเผชิญเหตุ แผนอพยพ และแผนการฟื้นฟูภายหลังการเกิดเหตุให้ครอบคลุมทั้งระบบอีกด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวย้ําว่า ขอให้ทุกหน่วยนําแนวทางปฏิบัติตามที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราโชบายในการให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยมีแนวทางการปฏิบัติที่สําคัญ ได้แก่1.ให้ประชาชนที่อยู่ในภาวะทุกข์ร้อนกลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว 2.ในการทํางานทุกงานให้มีแผนเผชิญเหตุไม่ให้เกิดความซ้ําซ้อนที่จะเป็นอุปสรรคให้ เกิดความเสียหาย และมีแผนสํารองสําหรับทางออกทุกกรณี และ 3.ให้น้อมนํากระแสพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นแนวทางในการดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนแนวทางการดําเนินงานและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การปฏิบัติการช่วยเหลือ และการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ขอให้ทุกภาคส่วนได้บูรณาการทํางานร่วมกัน ทั้งการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ภัย ได้แก่ การเคลื่อนตัวของพายุ การวิเคราะห์สถานการณ์น้ําและปัจจัยเสี่ยงเชิงพื้นที่ รวมถึงการเตรียมความพร้อมปฏิบัติการในระดับพื้นที่ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเตรียมพร้อมของทุกหน่วยงานทั้งหมดนี้ จะช่วยให้การปฏิบัติการสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี รวมทั้งให้ช่วยกันสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในทุกช่องทาง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17885
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. สั่งเปิดกระทรวง พม. 11-15 มี.ค. นี้ ชวนจิตอาสาร่วมทำหน้ากากผ้าแจกประชาชน สู้ไวรัสโควิด-19
|
วันอังคารที่ 10 มีนาคม 2563
รมว.พม. สั่งเปิดกระทรวง พม. 11-15 มี.ค. นี้ ชวนจิตอาสาร่วมทําหน้ากากผ้าแจกประชาชน สู้ไวรัสโควิด-19
รมว.พม. สั่งเปิดกระทรวง พม. 11-15 มี.ค. นี้ ชวนจิตอาสาร่วมทําหน้ากากผ้าแจกประชาชน สู้ไวรัสโควิด-19
วันที่ 9 มี.ค. 63 นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการทําหน้ากากผ้าที่เย็บด้วยมือเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า ตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค. 63 เป็นต้นมา ตนได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. กว่า 400 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทุกจังหวัด เร่งทําหน้ากากผ้าที่เย็บด้วยมือ เพื่อนําไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ท้องถิ่น สําหรับในส่วนกลาง ณ กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 11 – 15 มี.ค. 63 เวลา 09.00 – 17.00 น. ได้เปิดให้อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และประชาชนจิตอาสาเข้ามามีส่วนร่วมในการทําหน้ากากผ้าที่เย็บด้วยมือ โดยเมื่อทําเสร็จแล้ว สามารถนํากลับบ้านเพื่อให้กับคนในครอบครัว และอีกส่วนหนึ่งจะนําไปแจกจ่ายให้ประชาชนที่ต้องการต่อไป
นายจุติ กล่าวด้วยว่า กระทรวง พม. ได้เตรียมเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้เพื่อสอนการทําหน้ากากผ้าสําหรับผู้ใหญ่และเด็ก และวัสดุอุปกรณ์ รวมทั้งจักรเย็บผ้า หรือจะนําวัสดุอุปกรณ์เย็บผ้ามาเองได้ นอกจากนี้ระหว่างการทําหน้ากากผ้า จะมีการขับร้องเพลงจากศิลปิน นักร้อง พร้อมบริการอาหารว่าง ทั้งนี้ตนขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกท่านเข้ามาร่วมกันทําหน้ากากผ้าที่เย็บด้วยมือของตนเอง เพื่อร่วมกันป้องกันตนเอง ครอบครัว และชุมชน จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติม โทร. 02 695 6441 และศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300
นายจุติ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวง พม. ได้ผลิตหน้ากากผ้าจากหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ รวมเป็นจํานวนทั้งสิ้นกว่า 40,000 ชิ้น นอกจากจะนําไปใช้กับคนภายในครอบครัวและชุมชนแล้ว ยังจะนําไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ต่อไป ทั้งนี้พี่น้องประชาชนในจังหวัดต่างๆ สามารถติดต่อขอรับหน้ากากผ้าสําหรับผู้ใหญ่และเด็กฟรี ครอบครัวไม่เกิน 4 ชิ้น (ระบุจํานวนผู้ใหญ่และเด็ก) โดยขอให้ติดต่อไปยัง สํานักงาน พมจ. ใกล้บ้านท่าน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. สั่งเปิดกระทรวง พม. 11-15 มี.ค. นี้ ชวนจิตอาสาร่วมทำหน้ากากผ้าแจกประชาชน สู้ไวรัสโควิด-19
วันอังคารที่ 10 มีนาคม 2563
รมว.พม. สั่งเปิดกระทรวง พม. 11-15 มี.ค. นี้ ชวนจิตอาสาร่วมทําหน้ากากผ้าแจกประชาชน สู้ไวรัสโควิด-19
รมว.พม. สั่งเปิดกระทรวง พม. 11-15 มี.ค. นี้ ชวนจิตอาสาร่วมทําหน้ากากผ้าแจกประชาชน สู้ไวรัสโควิด-19
วันที่ 9 มี.ค. 63 นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการทําหน้ากากผ้าที่เย็บด้วยมือเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า ตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค. 63 เป็นต้นมา ตนได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. กว่า 400 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทุกจังหวัด เร่งทําหน้ากากผ้าที่เย็บด้วยมือ เพื่อนําไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ท้องถิ่น สําหรับในส่วนกลาง ณ กระทรวง พม. สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 11 – 15 มี.ค. 63 เวลา 09.00 – 17.00 น. ได้เปิดให้อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และประชาชนจิตอาสาเข้ามามีส่วนร่วมในการทําหน้ากากผ้าที่เย็บด้วยมือ โดยเมื่อทําเสร็จแล้ว สามารถนํากลับบ้านเพื่อให้กับคนในครอบครัว และอีกส่วนหนึ่งจะนําไปแจกจ่ายให้ประชาชนที่ต้องการต่อไป
นายจุติ กล่าวด้วยว่า กระทรวง พม. ได้เตรียมเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้เพื่อสอนการทําหน้ากากผ้าสําหรับผู้ใหญ่และเด็ก และวัสดุอุปกรณ์ รวมทั้งจักรเย็บผ้า หรือจะนําวัสดุอุปกรณ์เย็บผ้ามาเองได้ นอกจากนี้ระหว่างการทําหน้ากากผ้า จะมีการขับร้องเพลงจากศิลปิน นักร้อง พร้อมบริการอาหารว่าง ทั้งนี้ตนขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกท่านเข้ามาร่วมกันทําหน้ากากผ้าที่เย็บด้วยมือของตนเอง เพื่อร่วมกันป้องกันตนเอง ครอบครัว และชุมชน จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติม โทร. 02 695 6441 และศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300
นายจุติ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวง พม. ได้ผลิตหน้ากากผ้าจากหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ รวมเป็นจํานวนทั้งสิ้นกว่า 40,000 ชิ้น นอกจากจะนําไปใช้กับคนภายในครอบครัวและชุมชนแล้ว ยังจะนําไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ต่อไป ทั้งนี้พี่น้องประชาชนในจังหวัดต่างๆ สามารถติดต่อขอรับหน้ากากผ้าสําหรับผู้ใหญ่และเด็กฟรี ครอบครัวไม่เกิน 4 ชิ้น (ระบุจํานวนผู้ใหญ่และเด็ก) โดยขอให้ติดต่อไปยัง สํานักงาน พมจ. ใกล้บ้านท่าน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27025
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. มท. เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อวางกรอบแนวทางในการปฏิบัติงานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน
|
วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561
รมว. มท. เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อวางกรอบแนวทางในการปฏิบัติงานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน
รมว. มท. เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อวางกรอบแนวทางในการปฏิบัติงานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน
วันนี้ (30 มกราคม 2561) เวลา 14.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อวางกรอบแนวทางในการปฏิบัติงานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงเข้าร่วมประชุม ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมรับทราบคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรีที่ 21/2561 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ และรองประธานกรรมการประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี 5 คน ได้แก่ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายวิษณุ เครืองาม และ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ กรรมการอื่น ๆ ประกอบด้วยรัฐมนตรีทุกกระทรวง ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีอํานาจหน้าที่ 1. กําหนดนโยบายและแนวทางในการบูรณาการการขับเคลื่อนงานโครงการของส่วนราชการหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีเป้าหมายดําเนินการในพื้นที่ในระดับหมู่บ้าน ชุมชนร่วมกันตามแนวทางประชารัฐ 2. อํานวยการในการพัฒนา แก้ไขปัญหาในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงในพื้นที่ 3. อํานวยการในการสร้างความตระหนักรู้ถึงบทบาทหน้าที่ของประชาชนในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย 4. สนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับจังหวัด กรุงเทพมหานคร ระดับอําเภอ/เขต และทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับตําบล/ชุมชน 5. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทํางานในการปฏิบัติงานตามที่เห็นสมควร และ 6. ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ขณะเดียวกันมีคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน ระดับจังหวัด ระดับอําเภอ และระดับตําบล ตลอดจนพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทําหน้าที่เป็นชุดปฏิบัติการในพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ในพื้นที่ รวมทั้งสร้างความตระหนักรู้ในบทบาทหน้าที่ของประชาชนในการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาประเทศ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
โดยให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการฯ ในทุกระดับอย่างเต็มที่และเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการวางกรอบแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ใน 10 เรื่อง เพื่อบูรณาการใน 4 ประเด็น ได้แก่ กลไกการทํางาน ชุดความรู้ งบประมาณ และระยะเวลาในการลงพื้นที่ ทั้งนี้ โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับภารกิจ 10 เรื่อง รายงานกรอบแนวทางในการบูรณาการในการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย (1) สัญญาประชาคมผูกใจไทยเป็นหนึ่ง ด้วยการสร้างความสามัคคีปรองดอง จัดให้มีการทําสัญญาประชาคม หรือเรียกอย่างอื่นให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายเพื่อรับรู้และปฏิบัติตามร่วมกัน (2) คนไทยไม่ทิ้งกัน ด้วยการดูแลผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (3) ชุมชนอยู่ดีมีสุข ด้านการพัฒนาความเป็นอยู่ อาชีพ และรายได้ให้แก่ประชาชน (4) วิถีไทยวิถีพอเพียง ด้วยการส่งเสริมให้นําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดําเนินชีวิต รวมทั้งเสริมสร้างวินัยการออมในทุกช่วงอายุ (5) รู้สิทธิ รู้หน้าที่ ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องสิทธิ หน้าที่ และการเป็นพลเมืองที่ดี (6) รู้กลไกการบริหารราชการ ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชน ทั้งเรื่องกลไกการบริหารราชการแผ่นดินแต่ละระดับ และการบริหารงบประมาณที่มุ่งประโยชน์แก่ประชาชน (7) รู้รักประชาธิปไตยไทยนิยม ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาล (8) รู้เท่าทันเทคโนโลยี ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับเทคโนโลยีให้ความสําคัญต่อการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกผ่านโครงการสําคัญ เช่น อินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน (9) ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติด บูรณาการดําเนินงานของทุกภาคส่วนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจร (10) งานตามภารกิจของส่วนราชการ/หน่วยงาน (Function) โดยเน้นการปฏิบัติในพื้นที่อย่างบูรณาการและตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
*****************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. มท. เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อวางกรอบแนวทางในการปฏิบัติงานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน
วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561
รมว. มท. เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อวางกรอบแนวทางในการปฏิบัติงานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน
รมว. มท. เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อวางกรอบแนวทางในการปฏิบัติงานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน
วันนี้ (30 มกราคม 2561) เวลา 14.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อวางกรอบแนวทางในการปฏิบัติงานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงเข้าร่วมประชุม ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมรับทราบคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรีที่ 21/2561 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ และรองประธานกรรมการประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี 5 คน ได้แก่ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายวิษณุ เครืองาม และ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ กรรมการอื่น ๆ ประกอบด้วยรัฐมนตรีทุกกระทรวง ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีอํานาจหน้าที่ 1. กําหนดนโยบายและแนวทางในการบูรณาการการขับเคลื่อนงานโครงการของส่วนราชการหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีเป้าหมายดําเนินการในพื้นที่ในระดับหมู่บ้าน ชุมชนร่วมกันตามแนวทางประชารัฐ 2. อํานวยการในการพัฒนา แก้ไขปัญหาในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงในพื้นที่ 3. อํานวยการในการสร้างความตระหนักรู้ถึงบทบาทหน้าที่ของประชาชนในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย 4. สนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับจังหวัด กรุงเทพมหานคร ระดับอําเภอ/เขต และทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับตําบล/ชุมชน 5. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทํางานในการปฏิบัติงานตามที่เห็นสมควร และ 6. ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ขณะเดียวกันมีคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน ระดับจังหวัด ระดับอําเภอ และระดับตําบล ตลอดจนพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทําหน้าที่เป็นชุดปฏิบัติการในพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ในพื้นที่ รวมทั้งสร้างความตระหนักรู้ในบทบาทหน้าที่ของประชาชนในการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาประเทศ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
โดยให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการฯ ในทุกระดับอย่างเต็มที่และเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการวางกรอบแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ใน 10 เรื่อง เพื่อบูรณาการใน 4 ประเด็น ได้แก่ กลไกการทํางาน ชุดความรู้ งบประมาณ และระยะเวลาในการลงพื้นที่ ทั้งนี้ โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับภารกิจ 10 เรื่อง รายงานกรอบแนวทางในการบูรณาการในการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย (1) สัญญาประชาคมผูกใจไทยเป็นหนึ่ง ด้วยการสร้างความสามัคคีปรองดอง จัดให้มีการทําสัญญาประชาคม หรือเรียกอย่างอื่นให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายเพื่อรับรู้และปฏิบัติตามร่วมกัน (2) คนไทยไม่ทิ้งกัน ด้วยการดูแลผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (3) ชุมชนอยู่ดีมีสุข ด้านการพัฒนาความเป็นอยู่ อาชีพ และรายได้ให้แก่ประชาชน (4) วิถีไทยวิถีพอเพียง ด้วยการส่งเสริมให้นําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดําเนินชีวิต รวมทั้งเสริมสร้างวินัยการออมในทุกช่วงอายุ (5) รู้สิทธิ รู้หน้าที่ ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องสิทธิ หน้าที่ และการเป็นพลเมืองที่ดี (6) รู้กลไกการบริหารราชการ ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชน ทั้งเรื่องกลไกการบริหารราชการแผ่นดินแต่ละระดับ และการบริหารงบประมาณที่มุ่งประโยชน์แก่ประชาชน (7) รู้รักประชาธิปไตยไทยนิยม ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาล (8) รู้เท่าทันเทคโนโลยี ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับเทคโนโลยีให้ความสําคัญต่อการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกผ่านโครงการสําคัญ เช่น อินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน (9) ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติด บูรณาการดําเนินงานของทุกภาคส่วนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจร (10) งานตามภารกิจของส่วนราชการ/หน่วยงาน (Function) โดยเน้นการปฏิบัติในพื้นที่อย่างบูรณาการและตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
*****************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9732
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา เยี่ยมชมนิทรรศการ "เกษตรอินทรีย์วิถีอุทัย เกษตรปลอดภัย คือความภูมิใจของเรา"
|
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563
รมช.มนัญญา เยี่ยมชมนิทรรศการ "เกษตรอินทรีย์วิถีอุทัย เกษตรปลอดภัย คือความภูมิใจของเรา"
รมช.มนัญญา เยี่ยมชมนิทรรศการ "เกษตรอินทรีย์วิถีอุทัย เกษตรปลอดภัย คือความภูมิใจของเรา" หนุนคนอุทัยธานีทําเกษตรอินทรีย์อย่างยั่งยืน
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดอุทัยธานี เยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้แนวคิด "เกษตรอินทรีย์วิถีอุทัย เกษตรปลอดภัย คือความภูมิใจของเรา" ในวันที่ 7 สิงหาคม 2563 ณ ต.อุทัยใหม่ อ.เมืองจ.อุทัยธานีซึ่งภายในงานมีการจัดแสดงพืชสมุนไพร 13 ชนิดที่มีคุณประโยชน์ผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ส่งเสริมการปลูกโกโก้และผลิตภัณฑ์ต่างๆของสหกรณ์การเกษตรจังหวัดอุทัยธานี
นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการให้ความรู้ประวัติและผลิตภัณฑ์นมวัวแดง ไทย-เดนมาร์ก ขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ฯลฯ โดยกิจกรรมครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อให้ความรู้และมุ่งส่งเสริมการทําเกษตรอินทรีย์ในท้องถิ่นของคนในชุมชน รวมถึงผลักดันให้ครัวไทยไปสู่ครัวโลกอีกด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา เยี่ยมชมนิทรรศการ "เกษตรอินทรีย์วิถีอุทัย เกษตรปลอดภัย คือความภูมิใจของเรา"
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563
รมช.มนัญญา เยี่ยมชมนิทรรศการ "เกษตรอินทรีย์วิถีอุทัย เกษตรปลอดภัย คือความภูมิใจของเรา"
รมช.มนัญญา เยี่ยมชมนิทรรศการ "เกษตรอินทรีย์วิถีอุทัย เกษตรปลอดภัย คือความภูมิใจของเรา" หนุนคนอุทัยธานีทําเกษตรอินทรีย์อย่างยั่งยืน
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดอุทัยธานี เยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้แนวคิด "เกษตรอินทรีย์วิถีอุทัย เกษตรปลอดภัย คือความภูมิใจของเรา" ในวันที่ 7 สิงหาคม 2563 ณ ต.อุทัยใหม่ อ.เมืองจ.อุทัยธานีซึ่งภายในงานมีการจัดแสดงพืชสมุนไพร 13 ชนิดที่มีคุณประโยชน์ผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ส่งเสริมการปลูกโกโก้และผลิตภัณฑ์ต่างๆของสหกรณ์การเกษตรจังหวัดอุทัยธานี
นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการให้ความรู้ประวัติและผลิตภัณฑ์นมวัวแดง ไทย-เดนมาร์ก ขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ฯลฯ โดยกิจกรรมครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อให้ความรู้และมุ่งส่งเสริมการทําเกษตรอินทรีย์ในท้องถิ่นของคนในชุมชน รวมถึงผลักดันให้ครัวไทยไปสู่ครัวโลกอีกด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34030
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเกาหลี
|
วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2560
การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเกาหลี
การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเกาหลี
ตามที่สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ โดยนายมุนแจ อิน ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใหม่ นั้น
นายกรัฐมนตรีได้มีสารแสดงความยินดีถึงนายมุนในนามของรัฐบาลและประชาชนไทย โดยได้ย้ําว่าไทยและเกาหลีใต้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดมาช้านาน และแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับนายมุนที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ดังกล่าวให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในโอกาสที่จะครบรอบ ๖๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปี ๒๕๖๑
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเกาหลี
วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2560
การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเกาหลี
การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเกาหลี
ตามที่สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ โดยนายมุนแจ อิน ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใหม่ นั้น
นายกรัฐมนตรีได้มีสารแสดงความยินดีถึงนายมุนในนามของรัฐบาลและประชาชนไทย โดยได้ย้ําว่าไทยและเกาหลีใต้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดมาช้านาน และแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับนายมุนที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ดังกล่าวให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในโอกาสที่จะครบรอบ ๖๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปี ๒๕๖๑
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3654
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ดูแลสุขภาพประชาชนประสบอุทกภัยต่อเนื่อง
|
วันพุธที่ 19 กันยายน 2561
สธ. ดูแลสุขภาพประชาชนประสบอุทกภัยต่อเนื่อง
กระทรวงสาธารณสุข ให้การดูแลสุขภาพประชาชนพื้นที่ประสบภัยน้ําท่วมต่อเนื่อง ส่งยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนพื้นที่แล้วกว่า 50,000 ชุด ส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลประชาชน และทีมหมอครอบครัวเยี่ยมบ้าน ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง กําชับสถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง พร้อมดูแล
วันนี้ (19 กันยายน 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน และพายุดีเปรสชัน เกิดทําให้หลายพื้นที่ประสบอุทกภัย ดินโคลนถล่ม น้ําป่าไหลหลาก ในการดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุข การควบคุมป้องกันโรค และการฟื้นฟูสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สํานักงานสาธารณสุขอําเภอ และโรงพยาบาลทุกแห่ง ดําเนินการตามแผนรับน้ําท่วม และส่งเจ้าหน้าที่ ทีมหมอครอบครัวให้การดูแลประชาชนในพื้นที่ประสบภัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางเช่น เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง รวมทั้งจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ ยังมีสถานการณ์น้ําท่วมใน 5 จังหวัด คือ นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สตูล และน่าน โรงพยาบาลในสังกัดให้บริการปกติ ขณะนี้รพ.สต.แหลมประดู่ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา น้ําท่วมชั้นล่างและถนนทางเข้า ย้ายจุดบริการ และรพ.สต.ฉลุง อ.ฉลุง จ.สตูล น้ําท่วมชั้นล่าง เปิดให้บริการที่ชั้น 2
นายแพทย์เจษฎากล่าวต่อว่า ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2561จนถึงปัจจุบัน ได้จัดส่งยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนพื้นที่ประสบภัย ได้แก่ ยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย จํานวน 33,100 ชุด ยารักษาน้ํากัดเท้า 12,150 หลอด ยาตําราหลวง 5,500 ชุด ยาทากันยุง 1,700 ชุด เสื้อชูชีพ 400 ตัว จัดทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลให้บริการประชาชนในพื้นที่ประสบภัยและพื้นที่เสี่ยง 76 ทีม รวมถึงให้การดูแลผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้พิการ หญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด ซึ่งขณะนี้ทีมหมอครอบครัวและ อสม. ได้ออกเยี่ยมบ้านดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ และให้ยารักษาโรคประจําตัวเพิ่มไว้ ไม่ให้มีปัญหาขาดยา
ทั้งนี้ ได้กําชับให้สถานพยาบาลทุกพื้นที่ เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ดินโคลนถล่ม น้ําป่าไหลหลาก น้ําท่วมฉับพลัน เตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยตามแผนที่วางไว้ จัดทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชนที่เข้าถึงไม่สะดวก พร้อมบริการประชาชนและให้การดูแลผู้ประสบภัยตลอด 24 ชั่วโมง
******************************19 กันยายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ดูแลสุขภาพประชาชนประสบอุทกภัยต่อเนื่อง
วันพุธที่ 19 กันยายน 2561
สธ. ดูแลสุขภาพประชาชนประสบอุทกภัยต่อเนื่อง
กระทรวงสาธารณสุข ให้การดูแลสุขภาพประชาชนพื้นที่ประสบภัยน้ําท่วมต่อเนื่อง ส่งยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนพื้นที่แล้วกว่า 50,000 ชุด ส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลประชาชน และทีมหมอครอบครัวเยี่ยมบ้าน ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง กําชับสถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง พร้อมดูแล
วันนี้ (19 กันยายน 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน และพายุดีเปรสชัน เกิดทําให้หลายพื้นที่ประสบอุทกภัย ดินโคลนถล่ม น้ําป่าไหลหลาก ในการดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุข การควบคุมป้องกันโรค และการฟื้นฟูสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สํานักงานสาธารณสุขอําเภอ และโรงพยาบาลทุกแห่ง ดําเนินการตามแผนรับน้ําท่วม และส่งเจ้าหน้าที่ ทีมหมอครอบครัวให้การดูแลประชาชนในพื้นที่ประสบภัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางเช่น เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง รวมทั้งจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ ยังมีสถานการณ์น้ําท่วมใน 5 จังหวัด คือ นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สตูล และน่าน โรงพยาบาลในสังกัดให้บริการปกติ ขณะนี้รพ.สต.แหลมประดู่ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา น้ําท่วมชั้นล่างและถนนทางเข้า ย้ายจุดบริการ และรพ.สต.ฉลุง อ.ฉลุง จ.สตูล น้ําท่วมชั้นล่าง เปิดให้บริการที่ชั้น 2
นายแพทย์เจษฎากล่าวต่อว่า ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2561จนถึงปัจจุบัน ได้จัดส่งยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนพื้นที่ประสบภัย ได้แก่ ยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย จํานวน 33,100 ชุด ยารักษาน้ํากัดเท้า 12,150 หลอด ยาตําราหลวง 5,500 ชุด ยาทากันยุง 1,700 ชุด เสื้อชูชีพ 400 ตัว จัดทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลให้บริการประชาชนในพื้นที่ประสบภัยและพื้นที่เสี่ยง 76 ทีม รวมถึงให้การดูแลผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้พิการ หญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด ซึ่งขณะนี้ทีมหมอครอบครัวและ อสม. ได้ออกเยี่ยมบ้านดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ และให้ยารักษาโรคประจําตัวเพิ่มไว้ ไม่ให้มีปัญหาขาดยา
ทั้งนี้ ได้กําชับให้สถานพยาบาลทุกพื้นที่ เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ดินโคลนถล่ม น้ําป่าไหลหลาก น้ําท่วมฉับพลัน เตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยตามแผนที่วางไว้ จัดทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชนที่เข้าถึงไม่สะดวก พร้อมบริการประชาชนและให้การดูแลผู้ประสบภัยตลอด 24 ชั่วโมง
******************************19 กันยายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15531
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.บางสะพาน คลี่คลาย ลงพื้นที่ฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ
|
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560
รพ.บางสะพาน คลี่คลาย ลงพื้นที่ฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ
กระทรวงสาธารณสุข จัดส่งยา เวชภัณฑ์ ทีมแพทย์ดูแลฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ส่วนสถานการณ์โรงพยาบาลบางสะพานเริ่มเข้าสู่ปกติ
กระทรวงสาธารณสุข จัดส่งยา เวชภัณฑ์ ทีมแพทย์ดูแลฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ส่วนสถานการณ์โรงพยาบาลบางสะพานเริ่มเข้าสู่ปกติ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ฝนตกในภาคใต้ ตามข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยายังมีพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังในบริเวณภาคใต้คือ จังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต มีฝนตกต่อเนื่องและตกหนักในบางแห่ง ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้สนับสนุนยา เวชภัณฑ์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ําท่วมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีการจัดส่งยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย 199,250 ชุด ยาทากันยุง 1,000 ชิ้น ยาทาน้ํากัดเท้า 43,500 หลอด ยาตําราหลวง 4,100 ชุด ยาสามัญประจําบ้าน 7,500 ชุด ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมสนับสนุนยา เวชภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
สําหรับสถานการณ์โรงพยาบาลบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้รับรายงานว่า ระดับน้ําคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติสภาพอากาศไม่มีเมฆฝน การให้บริการด้านสาธารณสุขเปิดรับผู้ป่วยเป็นปกติ สําหรับผู้ป่วยภาวะวิกฤตจํานวน 7 ราย ที่มีการเคลื่อนย้าย ยังคงได้รับการดูแลอยู่ที่โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์และโรงพยาบาลหัวหิน นอกจากนี้ การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พบผู้ป่วยมารับบริการด้วยโรคระบบทางเดินอาหารโรคระบบทางเดินหายใจปวดกล้ามเนื้อและน้ํากัดเท้า นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิต จํานวน 17 ราย ไม่พบภาวะซึมเศร้ามีการออกเยี่ยมบ้านให้ความรู้ แจกจ่ายยาชุดน้ําท่วม สํารวจบ่อน้ําตื้น น้ําอุปโภคบริโภค พร้อมทั้งสํารวจแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
ทั้งนี้ เป็นช่วงหลังน้ําลด ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่น้ําขัง ให้ดูแลตนเองบุตรหลานไม่ให้ถูกยุงกัด ช่วยกันทําลายแหล่งเพราะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย และระมัดระวังโรคฉี่หนู หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ําย่ําโคลนที่ชื้นแฉะ สําหรับประชาชนภาคใต้ที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงน้ําท่วม ขอให้ติดตามข้อมูลสภาพอากาศ ประกาศแจ้งเตือนภัยอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามคําเตือนอย่างเคร่งครัด และระมัดระวังอันตรายจากน้ําที่อาจท่วมอย่างฉับพลัน หากเจ็บป่วยฉุกเฉินแจ้งสายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง
***************************** 10 พฤศจิกายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.บางสะพาน คลี่คลาย ลงพื้นที่ฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560
รพ.บางสะพาน คลี่คลาย ลงพื้นที่ฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ
กระทรวงสาธารณสุข จัดส่งยา เวชภัณฑ์ ทีมแพทย์ดูแลฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ส่วนสถานการณ์โรงพยาบาลบางสะพานเริ่มเข้าสู่ปกติ
กระทรวงสาธารณสุข จัดส่งยา เวชภัณฑ์ ทีมแพทย์ดูแลฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ส่วนสถานการณ์โรงพยาบาลบางสะพานเริ่มเข้าสู่ปกติ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ฝนตกในภาคใต้ ตามข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยายังมีพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังในบริเวณภาคใต้คือ จังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต มีฝนตกต่อเนื่องและตกหนักในบางแห่ง ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้สนับสนุนยา เวชภัณฑ์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ําท่วมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีการจัดส่งยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย 199,250 ชุด ยาทากันยุง 1,000 ชิ้น ยาทาน้ํากัดเท้า 43,500 หลอด ยาตําราหลวง 4,100 ชุด ยาสามัญประจําบ้าน 7,500 ชุด ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมสนับสนุนยา เวชภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
สําหรับสถานการณ์โรงพยาบาลบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้รับรายงานว่า ระดับน้ําคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติสภาพอากาศไม่มีเมฆฝน การให้บริการด้านสาธารณสุขเปิดรับผู้ป่วยเป็นปกติ สําหรับผู้ป่วยภาวะวิกฤตจํานวน 7 ราย ที่มีการเคลื่อนย้าย ยังคงได้รับการดูแลอยู่ที่โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์และโรงพยาบาลหัวหิน นอกจากนี้ การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พบผู้ป่วยมารับบริการด้วยโรคระบบทางเดินอาหารโรคระบบทางเดินหายใจปวดกล้ามเนื้อและน้ํากัดเท้า นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิต จํานวน 17 ราย ไม่พบภาวะซึมเศร้ามีการออกเยี่ยมบ้านให้ความรู้ แจกจ่ายยาชุดน้ําท่วม สํารวจบ่อน้ําตื้น น้ําอุปโภคบริโภค พร้อมทั้งสํารวจแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
ทั้งนี้ เป็นช่วงหลังน้ําลด ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่น้ําขัง ให้ดูแลตนเองบุตรหลานไม่ให้ถูกยุงกัด ช่วยกันทําลายแหล่งเพราะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย และระมัดระวังโรคฉี่หนู หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ําย่ําโคลนที่ชื้นแฉะ สําหรับประชาชนภาคใต้ที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงน้ําท่วม ขอให้ติดตามข้อมูลสภาพอากาศ ประกาศแจ้งเตือนภัยอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามคําเตือนอย่างเคร่งครัด และระมัดระวังอันตรายจากน้ําที่อาจท่วมอย่างฉับพลัน หากเจ็บป่วยฉุกเฉินแจ้งสายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง
***************************** 10 พฤศจิกายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7991
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลใช้กลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน ขับเคลื่อนการพัฒนาตามความต้องการประชาชน
|
วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2560
รัฐบาลใช้กลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน ขับเคลื่อนการพัฒนาตามความต้องการประชาชน
รัฐบาลปฏิรูประบบการบริหารจัดการท้องถิ่น โดยใช้กลไกคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นศูนย์กลางในการดําเนินงาน เพื่อให้ได้แผนพัฒนาหมู่บ้านที่เกิดขึ้นจากประชาชนและเป็นไปตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลปฏิรูประบบการบริหารจัดการท้องถิ่น โดยใช้กลไกคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นศูนย์กลางในการดําเนินงาน เพื่อให้ได้แผนพัฒนาหมู่บ้านที่เกิดขึ้นจากประชาชนและเป็นไปตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งส่วนราชการ หน่วยงานรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะนําแผนพัฒนาของคณะกรรมการหมู่บ้านไปเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนในการพัฒนาท้องถิ่น อําเภอ จังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยให้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการทํางานของคณะกรรมการหมู่บ้านด้วย นอกจากนี้ ยังให้ส่วนราชการในพื้นที่จัดทําโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของคณะกรรมการหมู่บ้านให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้มีส่วนในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาหมู่บ้านของตนเองร่วมกัน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลใช้กลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน ขับเคลื่อนการพัฒนาตามความต้องการประชาชน
วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2560
รัฐบาลใช้กลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน ขับเคลื่อนการพัฒนาตามความต้องการประชาชน
รัฐบาลปฏิรูประบบการบริหารจัดการท้องถิ่น โดยใช้กลไกคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นศูนย์กลางในการดําเนินงาน เพื่อให้ได้แผนพัฒนาหมู่บ้านที่เกิดขึ้นจากประชาชนและเป็นไปตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลปฏิรูประบบการบริหารจัดการท้องถิ่น โดยใช้กลไกคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นศูนย์กลางในการดําเนินงาน เพื่อให้ได้แผนพัฒนาหมู่บ้านที่เกิดขึ้นจากประชาชนและเป็นไปตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งส่วนราชการ หน่วยงานรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะนําแผนพัฒนาของคณะกรรมการหมู่บ้านไปเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนในการพัฒนาท้องถิ่น อําเภอ จังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยให้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการทํางานของคณะกรรมการหมู่บ้านด้วย นอกจากนี้ ยังให้ส่วนราชการในพื้นที่จัดทําโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของคณะกรรมการหมู่บ้านให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้มีส่วนในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาหมู่บ้านของตนเองร่วมกัน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2494
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank จัดงานสัมมนา“ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน"ร่วมแชร์ไอเดียเอสเอ็มอีชี้ช่องทางรวย
|
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2560
SME Development Bank จัดงานสัมมนา“ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน"ร่วมแชร์ไอเดียเอสเอ็มอีชี้ช่องทางรวย
ธพว.จัดสัมมนา “ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน” ในวันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560 เวลา 13.30-15.30 น.ณ Co-Working Space อาคารสํานักงานใหญ่ SME Bank Tower
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย( ธพว.หรือ SME Development Bank) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดสัมมนา “ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน” ในวันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560 เวลา 13.30-15.30 น.ณ Co-Working Space อาคารสํานักงานใหญ่ SME Bank Tower ติดสถานีรถไฟฟ้าอารีย์ ไขความลับของคําว่าE-Marketing เพื่อเปลี่ยนจุดด้อย สร้างจุดเด่น และชี้ช่องรวย พร้อมนําไปผสมผสานกับธุรกิจSME ได้อย่างลงตัว จากวิทยากรที่ร่วมแชร์ไอเดียธุรกิจ นายณัฐพัชญ์ วงเหรียญทอง กูรูชื่อดังด้านการทําE-Marketing ที่ปรึกษา เทรนเนอร์ และบล็อกเกอร์ด้านการตลาดดิจิทัล ผู้วางแผนการตลาดคอนเทนต์ให้กับแบรนด์ต่างๆมากกว่า 40 แบรนด์ และเจ้าของบล๊อก nuttaputch.com ซึ่งเป็นบล๊อกการตลาดและการพัฒนาตัวเองที่มีผู้ติดตามบนFacebook มากกว่า 200,000 คน และผู้แต่งหนังสือContent Marketingเล่าให้คลิ๊ก พลิกแบรนด์ให้ดังหนังสือด้านการตลาดคอนเทนต์เริ่มแรกของประเทศไทย
ผู้สนใจเข้าร่วมงานสํารองที่นั่งด่วน โทร 02-265-3009, 098-269-8077 หรือ email: innocenter.smed@gmail.com รับจํานวนจํากัด ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : ฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 0-265-4574-5
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank จัดงานสัมมนา“ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน"ร่วมแชร์ไอเดียเอสเอ็มอีชี้ช่องทางรวย
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2560
SME Development Bank จัดงานสัมมนา“ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน"ร่วมแชร์ไอเดียเอสเอ็มอีชี้ช่องทางรวย
ธพว.จัดสัมมนา “ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน” ในวันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560 เวลา 13.30-15.30 น.ณ Co-Working Space อาคารสํานักงานใหญ่ SME Bank Tower
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย( ธพว.หรือ SME Development Bank) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดสัมมนา “ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน” ในวันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560 เวลา 13.30-15.30 น.ณ Co-Working Space อาคารสํานักงานใหญ่ SME Bank Tower ติดสถานีรถไฟฟ้าอารีย์ ไขความลับของคําว่าE-Marketing เพื่อเปลี่ยนจุดด้อย สร้างจุดเด่น และชี้ช่องรวย พร้อมนําไปผสมผสานกับธุรกิจSME ได้อย่างลงตัว จากวิทยากรที่ร่วมแชร์ไอเดียธุรกิจ นายณัฐพัชญ์ วงเหรียญทอง กูรูชื่อดังด้านการทําE-Marketing ที่ปรึกษา เทรนเนอร์ และบล็อกเกอร์ด้านการตลาดดิจิทัล ผู้วางแผนการตลาดคอนเทนต์ให้กับแบรนด์ต่างๆมากกว่า 40 แบรนด์ และเจ้าของบล๊อก nuttaputch.com ซึ่งเป็นบล๊อกการตลาดและการพัฒนาตัวเองที่มีผู้ติดตามบนFacebook มากกว่า 200,000 คน และผู้แต่งหนังสือContent Marketingเล่าให้คลิ๊ก พลิกแบรนด์ให้ดังหนังสือด้านการตลาดคอนเทนต์เริ่มแรกของประเทศไทย
ผู้สนใจเข้าร่วมงานสํารองที่นั่งด่วน โทร 02-265-3009, 098-269-8077 หรือ email: innocenter.smed@gmail.com รับจํานวนจํากัด ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : ฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 0-265-4574-5
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2605
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน อัญเชิญเครื่องราชสักการะฯ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๖๖ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
|
วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม 2561
ก.แรงงาน อัญเชิญเครื่องราชสักการะฯ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๖๖ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๘.๐๐ น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงแรงงาน ได้อัญเชิญเครื่องราชสักการะ และจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล
วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๘.๐๐ น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงแรงงาน ได้อัญเชิญเครื่องราชสักการะ และจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๖๖ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
-----------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
ชาญชัย ชาวหนองเพียร ภาพ/ข่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน อัญเชิญเครื่องราชสักการะฯ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๖๖ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม 2561
ก.แรงงาน อัญเชิญเครื่องราชสักการะฯ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๖๖ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๘.๐๐ น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงแรงงาน ได้อัญเชิญเครื่องราชสักการะ และจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล
วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๘.๐๐ น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงแรงงาน ได้อัญเชิญเครื่องราชสักการะ และจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๖๖ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
-----------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
ชาญชัย ชาวหนองเพียร ภาพ/ข่าว
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14212
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง ยังไม่เคยอนุญาตให้ปลูกกัญชาในพื้นที่เป็นไร่ตามที่เป็นข่าว
|
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง ยังไม่เคยอนุญาตให้ปลูกกัญชาในพื้นที่เป็นไร่ตามที่เป็นข่าว
กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง ที่ผ่านมา สธ.อนุญาตให้มีการครอบครองกัญชาเพื่อการศึกษาวิจัยเพื่อจะพัฒนาไปใช้ในทางการแพทย์ แต่ยังไม่เคยอนุญาตให้ปลูกกัญชาในพื้นที่เป็นไร่ตามที่เป็นข่าว
วันที่ 16 มกราคม 2561 นายแพทย์วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงตามที่มีข่าวว่ามีการอนุญาตปลูกกัญชาในพื้นที่จังหวัดสกลนคร โดยอ้างถึงกฎกระทรวงสาธารณสุขฯ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2561 โดยจะใช้พื้นที่นําร่องเขตจังหวัดสกลนคร จํานวน 5000 ไร่ นั้น อย. ขอชี้แจงดังนี้
กฎกระทรวงเกี่ยวกับการอนุญาตยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 มี 2 กฎกระทรวง คือ
1) กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จําหน่าย นําเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 4 หรือในประเภท 5 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2561 เป็นเรื่องการอนุญาตผลิต จําหน่าย นําเข้า ส่งออก ครอบครองยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เช่น กัญชา พืชกระท่อม พืชฝิ่น
โดยที่ปัจจุบันคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษซึ่งประกอบด้วยหลายภาคส่วนในสังคมได้อนุญาตให้มีการครอบครองกัญชาเพื่อการศึกษาวิจัยเพื่อจะพัฒนาไปใช้ในทางการแพทย์แล้ว แต่ยังไม่เคยอนุญาตให้มีการปลูกกัญชา
2) กฎกระทรวงการขออนุญาตผลิต จําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะเฮมพ์ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2561 เป็นกฎกระทรวงที่รองรับการปลูกเฮมพ์ในเชิงอุตสาหกรรม โดยในระยะ 3 ปีแรก อนุญาตเฉพาะหน่วยงานของรัฐเท่านั้น
การพิจารณาอนุญาตยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ทั้งสองกรณีตามกฎกระทรวงสองฉบับข้างต้น ต้องผ่านความห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีหลายภาคส่วนในสังคมร่วมเป็นกรรมการพิจารณา
กรณีข่าวนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้เลือกพื้นที่ใน จ.สกลนคร ประมาณ 5,000 ไร่ เป็นแหล่งเพาะปลูกพืชกัญชาแห่งแรกของประเทศนั้น จะต้องดําเนินการขออนุญาตตามที่กฎหมายกําหนดตามกฎกระทรวงตาม 1) ข้างต้น
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้อนุญาตให้มีการครอบครองกัญชาเพื่อการศึกษาวิจัยเพื่อจะพัฒนาไปใช้ในทางการแพทย์ แต่ยังไม่เคยอนุญาตให้ปลูกกัญชาในพื้นที่เป็นไร่ตามที่เป็นข่าว ถ้าหากมีผู้ประสงค์ขอปลูกกัญชา ต้องผ่านคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีหลายภาคส่วน ต้องพิจารณาถึงเหตุผล ความจําเป็น ประโยชน์ที่จะได้รับ ความเหมาะสม รวมถึงมาตรการในการควบคุมมิให้นํากัญชาไปใช้ในทางที่ผิด
-------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง ยังไม่เคยอนุญาตให้ปลูกกัญชาในพื้นที่เป็นไร่ตามที่เป็นข่าว
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง ยังไม่เคยอนุญาตให้ปลูกกัญชาในพื้นที่เป็นไร่ตามที่เป็นข่าว
กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง ที่ผ่านมา สธ.อนุญาตให้มีการครอบครองกัญชาเพื่อการศึกษาวิจัยเพื่อจะพัฒนาไปใช้ในทางการแพทย์ แต่ยังไม่เคยอนุญาตให้ปลูกกัญชาในพื้นที่เป็นไร่ตามที่เป็นข่าว
วันที่ 16 มกราคม 2561 นายแพทย์วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงตามที่มีข่าวว่ามีการอนุญาตปลูกกัญชาในพื้นที่จังหวัดสกลนคร โดยอ้างถึงกฎกระทรวงสาธารณสุขฯ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2561 โดยจะใช้พื้นที่นําร่องเขตจังหวัดสกลนคร จํานวน 5000 ไร่ นั้น อย. ขอชี้แจงดังนี้
กฎกระทรวงเกี่ยวกับการอนุญาตยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 มี 2 กฎกระทรวง คือ
1) กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จําหน่าย นําเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 4 หรือในประเภท 5 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2561 เป็นเรื่องการอนุญาตผลิต จําหน่าย นําเข้า ส่งออก ครอบครองยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เช่น กัญชา พืชกระท่อม พืชฝิ่น
โดยที่ปัจจุบันคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษซึ่งประกอบด้วยหลายภาคส่วนในสังคมได้อนุญาตให้มีการครอบครองกัญชาเพื่อการศึกษาวิจัยเพื่อจะพัฒนาไปใช้ในทางการแพทย์แล้ว แต่ยังไม่เคยอนุญาตให้มีการปลูกกัญชา
2) กฎกระทรวงการขออนุญาตผลิต จําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะเฮมพ์ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2561 เป็นกฎกระทรวงที่รองรับการปลูกเฮมพ์ในเชิงอุตสาหกรรม โดยในระยะ 3 ปีแรก อนุญาตเฉพาะหน่วยงานของรัฐเท่านั้น
การพิจารณาอนุญาตยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ทั้งสองกรณีตามกฎกระทรวงสองฉบับข้างต้น ต้องผ่านความห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีหลายภาคส่วนในสังคมร่วมเป็นกรรมการพิจารณา
กรณีข่าวนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้เลือกพื้นที่ใน จ.สกลนคร ประมาณ 5,000 ไร่ เป็นแหล่งเพาะปลูกพืชกัญชาแห่งแรกของประเทศนั้น จะต้องดําเนินการขออนุญาตตามที่กฎหมายกําหนดตามกฎกระทรวงตาม 1) ข้างต้น
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้อนุญาตให้มีการครอบครองกัญชาเพื่อการศึกษาวิจัยเพื่อจะพัฒนาไปใช้ในทางการแพทย์ แต่ยังไม่เคยอนุญาตให้ปลูกกัญชาในพื้นที่เป็นไร่ตามที่เป็นข่าว ถ้าหากมีผู้ประสงค์ขอปลูกกัญชา ต้องผ่านคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีหลายภาคส่วน ต้องพิจารณาถึงเหตุผล ความจําเป็น ประโยชน์ที่จะได้รับ ความเหมาะสม รวมถึงมาตรการในการควบคุมมิให้นํากัญชาไปใช้ในทางที่ผิด
-------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9432
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 17 กรกฎาคม 2561
|
วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม 2561
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 17 กรกฎาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 17 กรกฎาคม 2561
วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม 2561
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 17 กรกฎาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13913
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอนามัย – สสส. - ภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ ‘ตลาดประชานิเวศน์’ คุมเข้มมาตรการช่วงโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2563
กรมอนามัย – สสส. - ภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ ‘ตลาดประชานิเวศน์’ คุมเข้มมาตรการช่วงโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมอนามัย – สสส. - ภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ ‘ตลาดประชานิเวศน์’ คุมเข้มมาตรการช่วงโควิด-19
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก ลงพื้นที่ตลาดประชานิเวศน์คุมเข้มมาตรการ ตามคําแนะนําของกรมอนามัยในการจัดระเบียบตลาด ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
วันนี้ (27 เมษายน 2563) แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจตลาดปลอดภัย ลดเสี่ยงโควิด-19 ร่วมกับนางทิชา ณ นคร กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และผู้อํานวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก ณ ตลาดประชานิเวศน์ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ว่า จากข้อมูลการสํารวจ Thaistopcovid ของกรมอนามัยในตลาดสด พบว่า ร้อยละ 88.99 ปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing ระหว่างผู้ขายของกับผู้บริโภค นอกจากนี้พ่อค้า แม่ค้า พนักงานตลาด และผู้บริโภคได้ให้ความร่วมมือสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ร้อยละ 98.84 จัดให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่และน้ําสะอาดหรือเจลแอลกอฮอล์ ร้อยละ 96.81 และทําความสะอาดแผง โต๊ะจําหน่ายอาหารด้วยน้ํายาทําความสะอาดและน้ํายาฆ่าเชื้อทุกวัน ร้อยละ 95.65 ดังนั้น กรมอนามัยจึงขอเน้นย้ําให้ทุกตลาดได้ปฏิบัติตามข้อแนะนํา โดยให้เจ้าของตลาดจัดให้มีจุดคัดกรองพ่อค้า แม่ค้า ผู้บริโภค เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา รักษาระยะห่างระหว่างกันไม่น้อยกว่า 1-2 เมตร และจัดจุดล้างมือด้วยสบู่และน้ํา หรือเจลแอลกอฮอล์ ดูแลสถานที่ให้สะอาด ถูกสุขลักษณะ ด้วยการทําความสะอาดบริเวณพื้น ทางเดิน แผงจําหน่ายสินค้าอย่างน้อยวันละครั้ง และจัดประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ เช่น เสียงตามสาย บอร์ด ป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง
“สําหรับตลาดประชานิเวศน์ที่ได้ลงพื้นที่ในครั้งนี้ ได้ปฏิบัติตามคําแนะนําของกรมอนามัยโดยกําหนดทางเข้า-ออก เพื่อคัดกรองคนเข้าตลาด มีการวัดอุณหภูมิ จัดให้มีจุดล้างมือและบริการเจลแอลกอฮอล์ ส่วนผู้จําหน่ายอาหารและผู้ซื้อสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา และรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลและแผง 1-2 เมตร อาหารปรุงสําเร็จ ต้องมีการปกปิดและใช้อุปกรณ์การหยิบจับอาหาร รวมทั้งทําความสะอาดแผง ร้านค้า อุปกรณ์ของใช้ด้วยน้ํายาทําความสะอาดและน้ํายาฆ่าเชื้อทุกวัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่จับจ่ายสินค้าภายในตลาด สําหรับในส่วนผู้ซื้อและผู้บริโภคนั้น ควรวางแผนการซื้อ และมาตลาดอาทิตย์ละ 1-2 วัน เพื่อใช้เวลาในตลาดให้น้อยที่สุด ไม่ควรพาเด็กและผู้สูงอายุมาตลาดเนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการรับเชื้อได้ง่าย เมื่อกลับถึงบ้านควรเปลี่ยนเสื้อผ้าและอาบน้ําทันที ทั้งนี้ กรมอนามัยได้จัดทํา Application Stopcovid-19 (http://stopcovid.anamai.moph.go.th) โดยให้ผู้ประกอบการตลาดที่ปฏิบัติตามมาตรฐานประเมินตนเองและปักหมุดร้าน ส่วนผู้บริโภคสามารถตรวจสอบ เลือกการใช้บริการ และร้องเรียนเสนอแนะผ่านช่องทางเดียวกันได้” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ด้าน นางทิชา ณ นคร กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และผู้อํานวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ปัจจุบัน สสส. ได้มีนโยบายชัดเจนให้ภาคีที่รับการสนับสนุนโครงการจาก สสส. เร่งปรับแผนการทํางานเพื่อช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 อย่างเต็มที่ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมอันหนึ่งคือการสนับสนุนการจัดระเบียบตลาดสด ตลาดนัดของเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง โดยร่วมกับกรมอนามัย และกรุงเทพมหานครในรูปแบบของสื่อสปอตเสียงตามสาย ป้ายประชาสัมพันธ์ บอร์ด สติกเกอร์ ตลอดจนการสนับสนุนอ่างล้างมือเท้าเหยียบให้กับสํานักงานเขต และตลาดต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นําร่องตลาดละ 1 ชิ้น โดยในส่วนของการผลิตอ่างล้างมือเท้าเหยียบนั้นได้รับความร่วมมือจากเยาวชนศูนย์ฝึกฯบ้านกาญจนาภิเษก และรุ่นพี่ที่ออกไปประกอบอาชีพแล้วจํานวนหนึ่ง ร่วมกันทําอ่างล้างมือเท้าเหยียบ ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิตอ่างล้างมือนี้ได้มากกว่า 150 ชิ้นแล้ว ตั้งเป้าผลิตให้ได้ถึง 300 ชิ้น และกําลังทยอยส่งมอบให้กับสํานักงานเขตเพื่อส่งต่อไปยังตลาดในพื้นที่กํากับดูแล ซึ่งแต่ละตลาดสามารถนําโมเดลต้นแบบอ่างล้างมือนี้ไปดัดแปลง จัดทําเพิ่มเติมได้เองตามความเหมาะสมของพื้นที่ต่อไป
“เป็นเรื่องน่ายินดีที่โมเดลอ่างล้างมือเท้าเหยียบนี้ มีหลายพื้นที่ได้นําไปประยุกต์ ดําเนินการผลิตและติดตั้งในตลาดนอกเหนือจากกรุงเทพมหานคร เช่นวิทยาลัยเทคนิคสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช วิทยาลัยเทคนิคพังงา จังหวัดพังงา เป็นต้น โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีกับตลาดในพื้นที่ทําให้เด็กและเยาวชนได้แสดงออกในทางที่สร้างสรรค์ เข้ามามีส่วนร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 เกิดความภาคภูมิใจ เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทํา เช่นเดียวกับเยาวชนจากศูนย์ฝึกฯบ้านกาญจนาภิเษกและรุ่นพี่ที่เป็นกําลังสําคัญในการผลิตอ่างล้างมือเท้าเหยียบต้นแบบนี้” นางทิชา กล่าว
*****************
ศูนย์สื่อสารสาธารณะ/ 27 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอนามัย – สสส. - ภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ ‘ตลาดประชานิเวศน์’ คุมเข้มมาตรการช่วงโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2563
กรมอนามัย – สสส. - ภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ ‘ตลาดประชานิเวศน์’ คุมเข้มมาตรการช่วงโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมอนามัย – สสส. - ภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ ‘ตลาดประชานิเวศน์’ คุมเข้มมาตรการช่วงโควิด-19
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก ลงพื้นที่ตลาดประชานิเวศน์คุมเข้มมาตรการ ตามคําแนะนําของกรมอนามัยในการจัดระเบียบตลาด ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
วันนี้ (27 เมษายน 2563) แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจตลาดปลอดภัย ลดเสี่ยงโควิด-19 ร่วมกับนางทิชา ณ นคร กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และผู้อํานวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก ณ ตลาดประชานิเวศน์ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ว่า จากข้อมูลการสํารวจ Thaistopcovid ของกรมอนามัยในตลาดสด พบว่า ร้อยละ 88.99 ปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing ระหว่างผู้ขายของกับผู้บริโภค นอกจากนี้พ่อค้า แม่ค้า พนักงานตลาด และผู้บริโภคได้ให้ความร่วมมือสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ร้อยละ 98.84 จัดให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่และน้ําสะอาดหรือเจลแอลกอฮอล์ ร้อยละ 96.81 และทําความสะอาดแผง โต๊ะจําหน่ายอาหารด้วยน้ํายาทําความสะอาดและน้ํายาฆ่าเชื้อทุกวัน ร้อยละ 95.65 ดังนั้น กรมอนามัยจึงขอเน้นย้ําให้ทุกตลาดได้ปฏิบัติตามข้อแนะนํา โดยให้เจ้าของตลาดจัดให้มีจุดคัดกรองพ่อค้า แม่ค้า ผู้บริโภค เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา รักษาระยะห่างระหว่างกันไม่น้อยกว่า 1-2 เมตร และจัดจุดล้างมือด้วยสบู่และน้ํา หรือเจลแอลกอฮอล์ ดูแลสถานที่ให้สะอาด ถูกสุขลักษณะ ด้วยการทําความสะอาดบริเวณพื้น ทางเดิน แผงจําหน่ายสินค้าอย่างน้อยวันละครั้ง และจัดประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ เช่น เสียงตามสาย บอร์ด ป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง
“สําหรับตลาดประชานิเวศน์ที่ได้ลงพื้นที่ในครั้งนี้ ได้ปฏิบัติตามคําแนะนําของกรมอนามัยโดยกําหนดทางเข้า-ออก เพื่อคัดกรองคนเข้าตลาด มีการวัดอุณหภูมิ จัดให้มีจุดล้างมือและบริการเจลแอลกอฮอล์ ส่วนผู้จําหน่ายอาหารและผู้ซื้อสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา และรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลและแผง 1-2 เมตร อาหารปรุงสําเร็จ ต้องมีการปกปิดและใช้อุปกรณ์การหยิบจับอาหาร รวมทั้งทําความสะอาดแผง ร้านค้า อุปกรณ์ของใช้ด้วยน้ํายาทําความสะอาดและน้ํายาฆ่าเชื้อทุกวัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่จับจ่ายสินค้าภายในตลาด สําหรับในส่วนผู้ซื้อและผู้บริโภคนั้น ควรวางแผนการซื้อ และมาตลาดอาทิตย์ละ 1-2 วัน เพื่อใช้เวลาในตลาดให้น้อยที่สุด ไม่ควรพาเด็กและผู้สูงอายุมาตลาดเนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการรับเชื้อได้ง่าย เมื่อกลับถึงบ้านควรเปลี่ยนเสื้อผ้าและอาบน้ําทันที ทั้งนี้ กรมอนามัยได้จัดทํา Application Stopcovid-19 (http://stopcovid.anamai.moph.go.th) โดยให้ผู้ประกอบการตลาดที่ปฏิบัติตามมาตรฐานประเมินตนเองและปักหมุดร้าน ส่วนผู้บริโภคสามารถตรวจสอบ เลือกการใช้บริการ และร้องเรียนเสนอแนะผ่านช่องทางเดียวกันได้” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ด้าน นางทิชา ณ นคร กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และผู้อํานวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ปัจจุบัน สสส. ได้มีนโยบายชัดเจนให้ภาคีที่รับการสนับสนุนโครงการจาก สสส. เร่งปรับแผนการทํางานเพื่อช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 อย่างเต็มที่ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมอันหนึ่งคือการสนับสนุนการจัดระเบียบตลาดสด ตลาดนัดของเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง โดยร่วมกับกรมอนามัย และกรุงเทพมหานครในรูปแบบของสื่อสปอตเสียงตามสาย ป้ายประชาสัมพันธ์ บอร์ด สติกเกอร์ ตลอดจนการสนับสนุนอ่างล้างมือเท้าเหยียบให้กับสํานักงานเขต และตลาดต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นําร่องตลาดละ 1 ชิ้น โดยในส่วนของการผลิตอ่างล้างมือเท้าเหยียบนั้นได้รับความร่วมมือจากเยาวชนศูนย์ฝึกฯบ้านกาญจนาภิเษก และรุ่นพี่ที่ออกไปประกอบอาชีพแล้วจํานวนหนึ่ง ร่วมกันทําอ่างล้างมือเท้าเหยียบ ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิตอ่างล้างมือนี้ได้มากกว่า 150 ชิ้นแล้ว ตั้งเป้าผลิตให้ได้ถึง 300 ชิ้น และกําลังทยอยส่งมอบให้กับสํานักงานเขตเพื่อส่งต่อไปยังตลาดในพื้นที่กํากับดูแล ซึ่งแต่ละตลาดสามารถนําโมเดลต้นแบบอ่างล้างมือนี้ไปดัดแปลง จัดทําเพิ่มเติมได้เองตามความเหมาะสมของพื้นที่ต่อไป
“เป็นเรื่องน่ายินดีที่โมเดลอ่างล้างมือเท้าเหยียบนี้ มีหลายพื้นที่ได้นําไปประยุกต์ ดําเนินการผลิตและติดตั้งในตลาดนอกเหนือจากกรุงเทพมหานคร เช่นวิทยาลัยเทคนิคสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช วิทยาลัยเทคนิคพังงา จังหวัดพังงา เป็นต้น โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีกับตลาดในพื้นที่ทําให้เด็กและเยาวชนได้แสดงออกในทางที่สร้างสรรค์ เข้ามามีส่วนร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 เกิดความภาคภูมิใจ เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทํา เช่นเดียวกับเยาวชนจากศูนย์ฝึกฯบ้านกาญจนาภิเษกและรุ่นพี่ที่เป็นกําลังสําคัญในการผลิตอ่างล้างมือเท้าเหยียบต้นแบบนี้” นางทิชา กล่าว
*****************
ศูนย์สื่อสารสาธารณะ/ 27 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29861
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คนร. ครั้งที่ 4/59 รับทราบผลการดำเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ 7 แห่ง ในภาพรวมมีความคืบหน้าเป็นไปตามเป้าหมาย
|
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คนร. ครั้งที่ 4/59 รับทราบผลการดําเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ 7 แห่ง ในภาพรวมมีความคืบหน้าเป็นไปตามเป้าหมาย
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คนร. ครั้งที่ 4/59 รับทราบผลการดําเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ 7 แห่ง ในภาพรวมมีความคืบหน้าเป็นไปตามเป้าหมาย
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม คนร. ครั้งที่ 4/59 รับทราบผลการดําเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง โดยรัฐวิสาหกิจในภาพรวมมีความคืบหน้าในการดําเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย พร้อมเห็นชอบในหลักการการกําหนดทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญของกรรมการรัฐวิสาหกิจ เพื่อนํามาประกอบการพิจารณาสรรหากรรมการรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับความต้องการและสมรรถนะหลักของแต่ละรัฐวิสาหกิจ
วันนี้ (26 ต.ค.59) ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 4/2559 โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
ภายหลังการประชุม นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คนร. พร้อมด้วยนางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา รองผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ได้แถลงผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
คนร. มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เร่งจัดทําแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ 5 ปี ให้มีความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12โดยน้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ เพื่อเป็นแผนแม่บท (Roadmap) ที่ชัดเจนในการพัฒนารัฐวิสาหกิจต่อไป โดยให้เสนอ คนร. และคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว
ในเรื่องการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ 7 แห่ง คนร. รับทราบผลการดําเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง ตามที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจเสนอ โดยรัฐวิสาหกิจในภาพรวมมีความคืบหน้าในการดําเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายสรุปได้ดังนี้
1) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)คนร. รับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการแก้ไขปัญหาของ ธพว. โดย ธพว. มีผลการดําเนินงานในภาพรวมที่ดีขึ้น ทั้งในส่วนของการปล่อยสินเชื่อใหม่ และยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของแผนการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ หาก ธพว. มีผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ จะพิจารณานําเสนอ คนร. ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ทําหน้าที่กํากับและติดตามการดําเนินงานของ ธพว. ตามปกติต่อไป
2) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.)คนร. รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่ได้จัดตั้งแล้ว เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2559 และมอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณารายละเอียดการเพิ่มทุนเพื่อปรับโครงสร้างทางการเงิน ของ ธอท. และให้ ธอท. เร่งหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการบริการสินเชื่ออิสลามโดยเร็ว
3) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
- คนร. รับทราบความคืบหน้าการดําเนินงานของกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ในเรื่องการปฏิรูปการเดินรถโดยสารทั้งระบบในภาพรวม โดยยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2526 ส่งผลให้มีการแยกบทบาทระหว่างผู้กํากับดูแลการให้บริการรถโดยสารสาธารณะ (Regulator) และผู้ให้บริการเดินรถ (Operator) ออกจากกันอย่างชัดเจน โดยให้ ขบ. เป็นผู้กํากับดูแล (Regulator) และให้ ขสมก. เป็นเพียงผู้ให้บริการเดินรถ (Operator) เท่านั้น เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่เพียงพอ มีคุณภาพ และมีความปลอดภัยในการเดินทาง ทั้งนี้ ปัจจุบัน ขบ. อยู่ระหว่างการปฏิรูปเส้นทางรถโดยสาร และกําหนดเส้นทางการเดินรถให้แก่ ขสมก. โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2559 นอกจากนี้ ในส่วนของการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จํานวน 489 คัน ขสมก. คาดว่าจะรับรถได้ภายในเดือนธันวาคม 2559 และให้บริการได้ตั้งแต่ต้นปี 2560
- คนร. มอบหมายให้ ขสมก. เร่งจัดหารถโดยสารที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอและประเมินความคุ้มค่าของรถแต่ละประเภท รวมทั้งนําร่องให้นํารถโดยสารไฟฟ้ามาใช้ และให้มีการวิจัยพัฒนาเพื่อต่อยอดต่อไป ตลอดจนให้ ขสมก. แยกแก้ไขปัญหาออกเป็น 2 ส่วน ทั้งในการแก้ไขหนี้ที่มีอยู่เดิม และการสร้างรายได้ในอนาคตเพื่อสามารถเลี้ยงตัวเองได้ โดยกําหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน
4) บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.)คนร. รับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการแก้ไขปัญหาของ บกท. โดย บกท. มีผลประกอบการที่ดีขึ้นตามลําดับ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพในการหารายได้และสร้างความสามารถในการแข่งขันของ บกท. โดยการเริ่มนําระบบ Revenue Management System (RMS) และระบบ Network Management System (NMS) มาใช้ในการดําเนินงาน
5) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)คนร. รับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการแก้ไขปัญหาของ รฟท. ในการดําเนินการของคณะทํางานเพื่อเสนอแนะแนวทางและกํากับติดตามการพัฒนาที่ดินที่ไม่ใช้ในการเดินรถ (Non-core) ของ รฟท. ได้กําหนดขอบเขตพื้นที่เบื้องต้นที่ใช้ในการจัดทําแผนการพัฒนาที่ดิน Non-core (Roadmap) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2559 ทั้งนี้ มอบหมายให้ รฟท. สร้างความชัดเจนถึงอํานาจหน้าที่และพิจารณาดําเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ นําเสนอ คนร. ในการประชุมครั้งหน้า
6) – 7) บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที.) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน)(บมจ. กสท.)คนร. รับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการแก้ไขปัญหาของ บมจ. ทีโอที. และ บมจ. กสท. โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่ง เร่งจัดตั้งบริษัทลูกที่รัฐถือหุ้น 100% จํานวน 3 บริษัท ได้แก่ โครงข่ายบรอดแบนด์ภายในประเทศ โครงข่ายบรอดแบนด์ระหว่างประเทศ และศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต โดยให้สามารถเริ่มประกอบกิจการได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2560 ทั้งนี้ ขอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และรัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่ง แก้ไขปัญหาองค์กรให้ได้โดยเร็ว
นอกจากนี้ ในปี 2560 คนร. ได้มีการกําหนดเป้าหมายการดําเนินงานและกรอบระยะเวลาตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง และมอบหมายให้กระทรวงการคลังนําแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรดังกล่าว ไปใช้ประกอบการจัดทําตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายในการประเมินผลการดําเนินงานรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ 2560 ด้วย
พร้อมกันนี้ คนร. รับทราบความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกํากับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ....ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2559 เห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ คนร. ได้เห็นชอบกรอบระยะเวลาการนําเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่คณะอนุกรรมการเตรียมการจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเสนอ โดยเห็นควรให้มีการผลักดันร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในเดือนธันวาคม 2559
นอกจากนี้ ในเรื่องการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐ (Multi - Stakeholder Group) สําหรับโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) คนร. มีมติดังนี้
(1) คนร. รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2559 เกี่ยวกับผลการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2559 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2559 ที่เห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งคณะกรรมการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐ (Multi-Stakeholder Group : MSG) ตามหลักเกณฑ์และวิธีการในการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐ (Construction Sector Transparency Initiative : CoST) ให้มีเพียงคณะเดียว โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และให้กรมบัญชีกลางเป็นเลขานุการ เพื่อให้การเปิดเผยข้อมูลของโครงการก่อสร้างภาครัฐทั้งภาคราชการและภาครัฐวิสาหกิจมีมาตรฐานและแนวทางที่เป็นระบบ รวมทั้งกระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางยังเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างและรักษาการตามระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
(2) คนร. มีมติยกเลิกคําสั่ง คนร. ที่แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ MSG อย่างไรก็ตาม เพื่อเกิดความต่อเนื่องในการดําเนินงาน จึงได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการ MSG ชุดเดิมทําหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ของภาครัฐวิสาหกิจไปพลางก่อนจนกว่าคณะกรรมการชุดใหม่จะเริ่มดําเนินการ
คนร. ยังมีมติเห็นชอบในหลักการการกําหนดทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญของกรรมการรัฐวิสาหกิจ(Skill Matrix)เพื่อนํามาใช้ประกอบการพิจารณาสรรหากรรมการรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับความต้องการและสมรรถนะหลัก (Core Competencies) ของแต่ละรัฐวิสาหกิจ โดยมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งจัดทํา Skill Matrix ที่จําเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ โดยพิจารณาจากความรู้ทางการศึกษาและประสบการณ์การทํางานในสาขาด้านต่าง ๆ เช่น ด้านวิศวกรรม ด้านบัญชี ด้านกฎหมาย เป็นต้น เพื่อนําเสนอคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจและกระทรวงเจ้าสังกัดพิจารณาก่อนส่งให้ สคร. ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2559ทั้งนี้ ในการพิจารณาสรรหากรรมการรัฐวิสาหกิจควรมีการพิจารณาทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญที่กรรมการทั้งคณะยังขาดอยู่ เพื่อให้กรรมการรัฐวิสาหกิจทั้งคณะมีคุณสมบัติครบถ้วนทุกด้านที่จําเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งเพื่อให้ได้กรรมการรัฐวิสาหกิจที่มีคุณสมบัติตอบสนองต่อวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ของรัฐวิสาหกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป และขอให้ตรวจสอบเกี่ยวกับจริยธรรมและจรรยาบรรณของกรรมการรัฐวิสาหกิจด้วย
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ คนร.)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คนร. ครั้งที่ 4/59 รับทราบผลการดำเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ 7 แห่ง ในภาพรวมมีความคืบหน้าเป็นไปตามเป้าหมาย
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คนร. ครั้งที่ 4/59 รับทราบผลการดําเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ 7 แห่ง ในภาพรวมมีความคืบหน้าเป็นไปตามเป้าหมาย
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คนร. ครั้งที่ 4/59 รับทราบผลการดําเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ 7 แห่ง ในภาพรวมมีความคืบหน้าเป็นไปตามเป้าหมาย
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม คนร. ครั้งที่ 4/59 รับทราบผลการดําเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง โดยรัฐวิสาหกิจในภาพรวมมีความคืบหน้าในการดําเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย พร้อมเห็นชอบในหลักการการกําหนดทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญของกรรมการรัฐวิสาหกิจ เพื่อนํามาประกอบการพิจารณาสรรหากรรมการรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับความต้องการและสมรรถนะหลักของแต่ละรัฐวิสาหกิจ
วันนี้ (26 ต.ค.59) ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 4/2559 โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
ภายหลังการประชุม นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คนร. พร้อมด้วยนางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา รองผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ได้แถลงผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
คนร. มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เร่งจัดทําแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ 5 ปี ให้มีความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12โดยน้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ เพื่อเป็นแผนแม่บท (Roadmap) ที่ชัดเจนในการพัฒนารัฐวิสาหกิจต่อไป โดยให้เสนอ คนร. และคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว
ในเรื่องการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ 7 แห่ง คนร. รับทราบผลการดําเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง ตามที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจเสนอ โดยรัฐวิสาหกิจในภาพรวมมีความคืบหน้าในการดําเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายสรุปได้ดังนี้
1) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)คนร. รับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการแก้ไขปัญหาของ ธพว. โดย ธพว. มีผลการดําเนินงานในภาพรวมที่ดีขึ้น ทั้งในส่วนของการปล่อยสินเชื่อใหม่ และยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของแผนการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ หาก ธพว. มีผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ จะพิจารณานําเสนอ คนร. ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ทําหน้าที่กํากับและติดตามการดําเนินงานของ ธพว. ตามปกติต่อไป
2) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.)คนร. รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่ได้จัดตั้งแล้ว เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2559 และมอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณารายละเอียดการเพิ่มทุนเพื่อปรับโครงสร้างทางการเงิน ของ ธอท. และให้ ธอท. เร่งหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการบริการสินเชื่ออิสลามโดยเร็ว
3) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
- คนร. รับทราบความคืบหน้าการดําเนินงานของกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ในเรื่องการปฏิรูปการเดินรถโดยสารทั้งระบบในภาพรวม โดยยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2526 ส่งผลให้มีการแยกบทบาทระหว่างผู้กํากับดูแลการให้บริการรถโดยสารสาธารณะ (Regulator) และผู้ให้บริการเดินรถ (Operator) ออกจากกันอย่างชัดเจน โดยให้ ขบ. เป็นผู้กํากับดูแล (Regulator) และให้ ขสมก. เป็นเพียงผู้ให้บริการเดินรถ (Operator) เท่านั้น เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่เพียงพอ มีคุณภาพ และมีความปลอดภัยในการเดินทาง ทั้งนี้ ปัจจุบัน ขบ. อยู่ระหว่างการปฏิรูปเส้นทางรถโดยสาร และกําหนดเส้นทางการเดินรถให้แก่ ขสมก. โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2559 นอกจากนี้ ในส่วนของการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จํานวน 489 คัน ขสมก. คาดว่าจะรับรถได้ภายในเดือนธันวาคม 2559 และให้บริการได้ตั้งแต่ต้นปี 2560
- คนร. มอบหมายให้ ขสมก. เร่งจัดหารถโดยสารที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอและประเมินความคุ้มค่าของรถแต่ละประเภท รวมทั้งนําร่องให้นํารถโดยสารไฟฟ้ามาใช้ และให้มีการวิจัยพัฒนาเพื่อต่อยอดต่อไป ตลอดจนให้ ขสมก. แยกแก้ไขปัญหาออกเป็น 2 ส่วน ทั้งในการแก้ไขหนี้ที่มีอยู่เดิม และการสร้างรายได้ในอนาคตเพื่อสามารถเลี้ยงตัวเองได้ โดยกําหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน
4) บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.)คนร. รับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการแก้ไขปัญหาของ บกท. โดย บกท. มีผลประกอบการที่ดีขึ้นตามลําดับ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพในการหารายได้และสร้างความสามารถในการแข่งขันของ บกท. โดยการเริ่มนําระบบ Revenue Management System (RMS) และระบบ Network Management System (NMS) มาใช้ในการดําเนินงาน
5) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)คนร. รับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการแก้ไขปัญหาของ รฟท. ในการดําเนินการของคณะทํางานเพื่อเสนอแนะแนวทางและกํากับติดตามการพัฒนาที่ดินที่ไม่ใช้ในการเดินรถ (Non-core) ของ รฟท. ได้กําหนดขอบเขตพื้นที่เบื้องต้นที่ใช้ในการจัดทําแผนการพัฒนาที่ดิน Non-core (Roadmap) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2559 ทั้งนี้ มอบหมายให้ รฟท. สร้างความชัดเจนถึงอํานาจหน้าที่และพิจารณาดําเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ นําเสนอ คนร. ในการประชุมครั้งหน้า
6) – 7) บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที.) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน)(บมจ. กสท.)คนร. รับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการแก้ไขปัญหาของ บมจ. ทีโอที. และ บมจ. กสท. โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่ง เร่งจัดตั้งบริษัทลูกที่รัฐถือหุ้น 100% จํานวน 3 บริษัท ได้แก่ โครงข่ายบรอดแบนด์ภายในประเทศ โครงข่ายบรอดแบนด์ระหว่างประเทศ และศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต โดยให้สามารถเริ่มประกอบกิจการได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2560 ทั้งนี้ ขอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และรัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่ง แก้ไขปัญหาองค์กรให้ได้โดยเร็ว
นอกจากนี้ ในปี 2560 คนร. ได้มีการกําหนดเป้าหมายการดําเนินงานและกรอบระยะเวลาตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง และมอบหมายให้กระทรวงการคลังนําแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรดังกล่าว ไปใช้ประกอบการจัดทําตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายในการประเมินผลการดําเนินงานรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ 2560 ด้วย
พร้อมกันนี้ คนร. รับทราบความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกํากับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ....ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2559 เห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ คนร. ได้เห็นชอบกรอบระยะเวลาการนําเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่คณะอนุกรรมการเตรียมการจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเสนอ โดยเห็นควรให้มีการผลักดันร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในเดือนธันวาคม 2559
นอกจากนี้ ในเรื่องการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐ (Multi - Stakeholder Group) สําหรับโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) คนร. มีมติดังนี้
(1) คนร. รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2559 เกี่ยวกับผลการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2559 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2559 ที่เห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งคณะกรรมการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐ (Multi-Stakeholder Group : MSG) ตามหลักเกณฑ์และวิธีการในการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐ (Construction Sector Transparency Initiative : CoST) ให้มีเพียงคณะเดียว โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และให้กรมบัญชีกลางเป็นเลขานุการ เพื่อให้การเปิดเผยข้อมูลของโครงการก่อสร้างภาครัฐทั้งภาคราชการและภาครัฐวิสาหกิจมีมาตรฐานและแนวทางที่เป็นระบบ รวมทั้งกระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางยังเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างและรักษาการตามระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
(2) คนร. มีมติยกเลิกคําสั่ง คนร. ที่แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ MSG อย่างไรก็ตาม เพื่อเกิดความต่อเนื่องในการดําเนินงาน จึงได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการ MSG ชุดเดิมทําหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ของภาครัฐวิสาหกิจไปพลางก่อนจนกว่าคณะกรรมการชุดใหม่จะเริ่มดําเนินการ
คนร. ยังมีมติเห็นชอบในหลักการการกําหนดทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญของกรรมการรัฐวิสาหกิจ(Skill Matrix)เพื่อนํามาใช้ประกอบการพิจารณาสรรหากรรมการรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับความต้องการและสมรรถนะหลัก (Core Competencies) ของแต่ละรัฐวิสาหกิจ โดยมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งจัดทํา Skill Matrix ที่จําเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ โดยพิจารณาจากความรู้ทางการศึกษาและประสบการณ์การทํางานในสาขาด้านต่าง ๆ เช่น ด้านวิศวกรรม ด้านบัญชี ด้านกฎหมาย เป็นต้น เพื่อนําเสนอคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจและกระทรวงเจ้าสังกัดพิจารณาก่อนส่งให้ สคร. ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2559ทั้งนี้ ในการพิจารณาสรรหากรรมการรัฐวิสาหกิจควรมีการพิจารณาทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญที่กรรมการทั้งคณะยังขาดอยู่ เพื่อให้กรรมการรัฐวิสาหกิจทั้งคณะมีคุณสมบัติครบถ้วนทุกด้านที่จําเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งเพื่อให้ได้กรรมการรัฐวิสาหกิจที่มีคุณสมบัติตอบสนองต่อวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ของรัฐวิสาหกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป และขอให้ตรวจสอบเกี่ยวกับจริยธรรมและจรรยาบรรณของกรรมการรัฐวิสาหกิจด้วย
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ คนร.)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/606
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
|
วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2560
ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (16 พ.ค. 2560) เวลา 14.30 น. นาย Ulrich Zachau ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นําทีมวิจัยจากธนาคารโลก เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนไทย เพื่อพบปะหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมิน จัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ของประเทศไทย ณ ห้องรับรอง 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวเชื่อมั่นว่า ทีมวิจัยจากธนาคารโลกจะเล็งเห็นถึงความตั้งใจจริงในการทํางานของรัฐบาลตลอดระยะเวลากว่าสองปีที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญอย่างยิ่งต่อ “การปฎิรูป” โดยมีเป้าหมายสําคัญคือการยกระดับประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 และรัฐบาลจะต้องทํางานให้หนักยิ่งขึ้น ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก่อนถึงการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า ซึ่งภาคเอกชนเองก็ต้องเร่งปฏิรูป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มีการกําหนดยุทธศาสตร์ประเทศในระยะยาว คือ การจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี เพื่อจะเป็นการกําหนดเป้าหมายประเทศ เพื่อการปฏิรูปอย่างยั่งยืน โดยจะเป็นการปฏิรูปทั้งระบบและโครงสร้าง ทําให้ประเทศไทยสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรียังขอให้นําทีมวิจัยจากธนาคารโลกคํานึงถึงปัจจัยรอบด้านในการประเมินการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ว่า แต่ละประเทศมีความแตกต่างกันทั้งด้านโครงสร้าง ทรัพยากรบุคคล ระดับการพัฒนา วัฒนธรรม ประเพณี สําหรับประเทศไทยเป็นสังคมไทยที่มีความมิตร ภาคเอกชนต่างประเทศจํานวนมากชื่นชมที่จะพํานักอยู่ในประเทศไทย ซึ่งในอนาคตทีมวิจัยจากธนาคารโลก อาจพิจารณานําคุณภาพชีวิตและคุณภาพการใช้ชีวิตของบุคคลภาคธุรกิจ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการคํานวณเพื่อจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศด้วยได้
โอกาสนี้ ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กล่าวแสดงความประทับใจในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทําให้ทราบถึงความมุ่งมั่นและเจตนารมณ์ในการดําเนินการต่างๆของรัฐบาล รวมทั้งการเข้าเยี่ยมคารวะนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ทราบถึงการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบหลายฉบับ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินธุรกิจในประเทศไทย ทั้งนี้ จากการได้หารือกับภาคเอกชน ได้เสนอเพิ่มเติมให้รัฐบาลสร้างการรับรู้อย่างเป็นระบบ อาทิ เว็บไซต์หรือสื่อสังคมต่างๆ เพื่อเป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลและการดําเนินการต่างๆของรัฐบาล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐและเอกชนในการดําเนินการประกอบธุรกิจเช่นเดียวกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2560
ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (16 พ.ค. 2560) เวลา 14.30 น. นาย Ulrich Zachau ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นําทีมวิจัยจากธนาคารโลก เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนไทย เพื่อพบปะหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมิน จัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ของประเทศไทย ณ ห้องรับรอง 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวเชื่อมั่นว่า ทีมวิจัยจากธนาคารโลกจะเล็งเห็นถึงความตั้งใจจริงในการทํางานของรัฐบาลตลอดระยะเวลากว่าสองปีที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญอย่างยิ่งต่อ “การปฎิรูป” โดยมีเป้าหมายสําคัญคือการยกระดับประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 และรัฐบาลจะต้องทํางานให้หนักยิ่งขึ้น ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก่อนถึงการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า ซึ่งภาคเอกชนเองก็ต้องเร่งปฏิรูป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มีการกําหนดยุทธศาสตร์ประเทศในระยะยาว คือ การจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี เพื่อจะเป็นการกําหนดเป้าหมายประเทศ เพื่อการปฏิรูปอย่างยั่งยืน โดยจะเป็นการปฏิรูปทั้งระบบและโครงสร้าง ทําให้ประเทศไทยสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรียังขอให้นําทีมวิจัยจากธนาคารโลกคํานึงถึงปัจจัยรอบด้านในการประเมินการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ว่า แต่ละประเทศมีความแตกต่างกันทั้งด้านโครงสร้าง ทรัพยากรบุคคล ระดับการพัฒนา วัฒนธรรม ประเพณี สําหรับประเทศไทยเป็นสังคมไทยที่มีความมิตร ภาคเอกชนต่างประเทศจํานวนมากชื่นชมที่จะพํานักอยู่ในประเทศไทย ซึ่งในอนาคตทีมวิจัยจากธนาคารโลก อาจพิจารณานําคุณภาพชีวิตและคุณภาพการใช้ชีวิตของบุคคลภาคธุรกิจ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการคํานวณเพื่อจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศด้วยได้
โอกาสนี้ ผู้อํานวยการธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กล่าวแสดงความประทับใจในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทําให้ทราบถึงความมุ่งมั่นและเจตนารมณ์ในการดําเนินการต่างๆของรัฐบาล รวมทั้งการเข้าเยี่ยมคารวะนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ทราบถึงการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบหลายฉบับ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินธุรกิจในประเทศไทย ทั้งนี้ จากการได้หารือกับภาคเอกชน ได้เสนอเพิ่มเติมให้รัฐบาลสร้างการรับรู้อย่างเป็นระบบ อาทิ เว็บไซต์หรือสื่อสังคมต่างๆ เพื่อเป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลและการดําเนินการต่างๆของรัฐบาล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐและเอกชนในการดําเนินการประกอบธุรกิจเช่นเดียวกัน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3773
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิดคลินิกมลพิษใน 10 จังหวัดดูแลสุขภาพประชาชนช่วงค่าฝุ่นละออง PM 2.5 สูง
|
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562
สธ.เปิดคลินิกมลพิษใน 10 จังหวัดดูแลสุขภาพประชาชนช่วงค่าฝุ่นละออง PM 2.5 สูง
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมวิดีโอทางไกลนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด พร้อมดูแลสุขภาพประชาชนช่วงค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สูง เปิดคลินิกมลพิษใน 10 โรงพยาบาลใหญ่
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมวิดีโอทางไกลนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด พร้อมดูแลสุขภาพประชาชนช่วงค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สูง เปิดคลินิกมลพิษใน 10 โรงพยาบาลใหญ่
วันนี้ (17 ธันวาคม 2562) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลัง ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอ กับสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด 39 แห่ง ติดตามเฝ้าระวังผลกระทบด้านสุขภาพ จากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ของทุกปี ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ให้โรงพยาบาลศูนย์ใน 10 จังหวัดพื้นที่เสี่ยงสูง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร สมุทรปราการ สระบุรี ราชบุรี นนทบุรี นครปฐม ขอนแก่น นครราชสีมา และนครสวรรค์ เปิดคลินิกมลพิษเพื่อดูแลรักษาให้คําปรึกษาแก่ประชาชน และหากค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีปริมาณมากกว่า 75 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เกิน 3 วัน ให้จังหวัดพิจารณาเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Public Health Emergency Operation Center : PHEOC)
นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงติดตามสถานการณ์ฝุ่นละอองและปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยสามารถติดตามได้ที่แอปพลิเคชัน Air4Thai (แอร์ ฟอร์ ไทย) หรือเพจ คนรักอนามัยใส่ใจอากาศ PM 2.5 หากอยู่ในพื้นที่สีแดง สีส้ม ให้ลดเวลาทํากิจกรรมนอกบ้านและท่องเที่ยว หลีกเลี่ยงการทํากิจกรรมที่ใช้แรงมากและออกกําลังกายกลางแจ้ง เปลี่ยนมาออกกําลังกายในบ้านหรือโรงยิมแทน หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจําตัว ได้แก่ ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ/โรคหัวใจและหลอดเลือด ควรเตรียมยาและอุปกรณ์ที่จําเป็นให้พร้อม
ทั้งนี้ ได้กําชับให้ทุกจังหวัดที่มีปัญหาค่าฝุ่นละอองสูงเกินมาตรฐาน คง 5 มาตรการดูแลสุขภาพประชาชน ดังนี้ 1.เฝ้าระวังสถานการณ์ประเมินความเสี่ยง พร้อมแจ้งเตือนประชาชน 2.เฝ้าระวังการเจ็บป่วยใน 4 กลุ่มโรค ได้แก่ ระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคตา โรคผิวหนัง และอื่นๆ รายงานส่วนกลางทุกสัปดาห์และสอบสวนโรค 3.สื่อสารสร้างความรอบรู้และให้คําแนะนําในการปฏิบัติตนที่ถูกต้องกับประชาชน 4.ดูแลสุขภาพประชาชน เตรียมความพร้อม เปิดคลินิกมลพิษ เพื่อรักษา ให้คําปรึกษาแก่ประชาชน และ 5.ใช้มาตรการทางกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าฝุ่นละอองเพิ่มนายแพทย์สุขุม กล่าว
************************* 17 ธันวาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิดคลินิกมลพิษใน 10 จังหวัดดูแลสุขภาพประชาชนช่วงค่าฝุ่นละออง PM 2.5 สูง
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562
สธ.เปิดคลินิกมลพิษใน 10 จังหวัดดูแลสุขภาพประชาชนช่วงค่าฝุ่นละออง PM 2.5 สูง
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมวิดีโอทางไกลนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด พร้อมดูแลสุขภาพประชาชนช่วงค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สูง เปิดคลินิกมลพิษใน 10 โรงพยาบาลใหญ่
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมวิดีโอทางไกลนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด พร้อมดูแลสุขภาพประชาชนช่วงค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สูง เปิดคลินิกมลพิษใน 10 โรงพยาบาลใหญ่
วันนี้ (17 ธันวาคม 2562) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลัง ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอ กับสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด 39 แห่ง ติดตามเฝ้าระวังผลกระทบด้านสุขภาพ จากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ของทุกปี ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ให้โรงพยาบาลศูนย์ใน 10 จังหวัดพื้นที่เสี่ยงสูง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร สมุทรปราการ สระบุรี ราชบุรี นนทบุรี นครปฐม ขอนแก่น นครราชสีมา และนครสวรรค์ เปิดคลินิกมลพิษเพื่อดูแลรักษาให้คําปรึกษาแก่ประชาชน และหากค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีปริมาณมากกว่า 75 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เกิน 3 วัน ให้จังหวัดพิจารณาเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Public Health Emergency Operation Center : PHEOC)
นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงติดตามสถานการณ์ฝุ่นละอองและปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยสามารถติดตามได้ที่แอปพลิเคชัน Air4Thai (แอร์ ฟอร์ ไทย) หรือเพจ คนรักอนามัยใส่ใจอากาศ PM 2.5 หากอยู่ในพื้นที่สีแดง สีส้ม ให้ลดเวลาทํากิจกรรมนอกบ้านและท่องเที่ยว หลีกเลี่ยงการทํากิจกรรมที่ใช้แรงมากและออกกําลังกายกลางแจ้ง เปลี่ยนมาออกกําลังกายในบ้านหรือโรงยิมแทน หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจําตัว ได้แก่ ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ/โรคหัวใจและหลอดเลือด ควรเตรียมยาและอุปกรณ์ที่จําเป็นให้พร้อม
ทั้งนี้ ได้กําชับให้ทุกจังหวัดที่มีปัญหาค่าฝุ่นละอองสูงเกินมาตรฐาน คง 5 มาตรการดูแลสุขภาพประชาชน ดังนี้ 1.เฝ้าระวังสถานการณ์ประเมินความเสี่ยง พร้อมแจ้งเตือนประชาชน 2.เฝ้าระวังการเจ็บป่วยใน 4 กลุ่มโรค ได้แก่ ระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคตา โรคผิวหนัง และอื่นๆ รายงานส่วนกลางทุกสัปดาห์และสอบสวนโรค 3.สื่อสารสร้างความรอบรู้และให้คําแนะนําในการปฏิบัติตนที่ถูกต้องกับประชาชน 4.ดูแลสุขภาพประชาชน เตรียมความพร้อม เปิดคลินิกมลพิษ เพื่อรักษา ให้คําปรึกษาแก่ประชาชน และ 5.ใช้มาตรการทางกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าฝุ่นละอองเพิ่มนายแพทย์สุขุม กล่าว
************************* 17 ธันวาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25292
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 15 มิถุนายน 2563
|
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 15 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 15 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 15 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ และไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ ทําให้มียอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,987 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.28 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 90 ราย หรือร้อยละ 2.87 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,135 ราย
จากสถานการณ์โรคไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศที่มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลจึงได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการ และวันนี้เป็นวันแรกที่ได้ผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 ให้เปิดกิจการ/กิจกรรมในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ สถานศึกษา สถาบันกวดวิชา ร้านอาหาร สถานรับเลี้ยงเด็ก ระบบขนส่งสาธารณะ สวนสนุก สระว่ายน้ํา สนามกีฬา ลานกิจกรรม ศูนย์ประชุม กองถ่าย สปา เป็นต้น โดยผู้ประกอบการมีความสําคัญในการปรับรูปแบบกิจกรรมและสถานที่เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมาตรฐานที่ภาครัฐกําหนด ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการพื้นที่ให้เว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะ/ที่นั่ง/การเดิน การควบคุมจํานวนผู้ใช้บริการไม่ให้แออัด จัดจุดคัดกรอง จุดบริการแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ทําความสะอาดพื้นผิวที่มีผู้สัมผัสบ่อย เพื่อความปลอดภัยทั้งผู้ให้บริการและประชาชนที่มารับบริการ
อย่างไรก็ตามขอให้ประชาชนอย่าประมาทและคงเข้มในการป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา คนวัยทํางาน ตั้งแต่อายุ 20-39 ปี จากข้อมูลของกรมควบคุมโรคพบว่า กลุ่มนี้มีผู้ติดเชื้อถึงประมาณร้อยละ 50 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มอายุที่อยู่ในวัยทํางานและมีร่างกายแข็งแรง เมื่อป่วยมักจะไม่แสดงอาการนับเป็นความเสี่ยงสําคัญซึ่งอาจเป็นผู้นําเชื้อกลับไปติดคนในครอบครัวและผู้ใกล้ชิดได้ ดังนั้นการสวมหน้ากากอนามัย/ผ้า เมื่อออกจากบ้านยังมีความสําคัญและควรปฏิบัติให้เป็นความเคยชิน ร่วมกับการเว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในที่มีคนรวมกันจํานวนมาก เลี่ยงการสัมผัสพื้นผิวที่มีผู้สัมผัสบ่อย เช่น ลูกบิดประตู ปุ่มกดลิฟต์ โต๊ะ ราวบันได ราวจับต่าง ๆ ให้ล้างมือบ่อย ๆ และปฏิบัติตามข้อกําหนดของสถานที่อย่างเคร่งครัด หากใช้บริการของระบบขนส่งสาธารณะให้นั่ง/ยืนในจุดที่กําหนดไว้เพื่อลดความแออัด รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนส่วนตัว ขอเน้นย้ําว่าการสวมเฟซชิลล์โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าร่วม จะไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ สําหรับรายการเกมส์โชว์ที่ไม่สามารถสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าได้ แม้จะสวมเฟซชิลล์ต้องเว้นระยะห่างระหว่างกัน 1-2 เมตร ด้วย หากทุกคนร่วมมือกันจะช่วยลดโอกาสในการกลับมาแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกครั้ง
****************************** 15 มิถุนายน 2563
******************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 15 มิถุนายน 2563
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 15 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 15 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 15 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ และไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ ทําให้มียอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,987 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.28 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 90 ราย หรือร้อยละ 2.87 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,135 ราย
จากสถานการณ์โรคไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศที่มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลจึงได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการ และวันนี้เป็นวันแรกที่ได้ผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 ให้เปิดกิจการ/กิจกรรมในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ สถานศึกษา สถาบันกวดวิชา ร้านอาหาร สถานรับเลี้ยงเด็ก ระบบขนส่งสาธารณะ สวนสนุก สระว่ายน้ํา สนามกีฬา ลานกิจกรรม ศูนย์ประชุม กองถ่าย สปา เป็นต้น โดยผู้ประกอบการมีความสําคัญในการปรับรูปแบบกิจกรรมและสถานที่เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมาตรฐานที่ภาครัฐกําหนด ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการพื้นที่ให้เว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะ/ที่นั่ง/การเดิน การควบคุมจํานวนผู้ใช้บริการไม่ให้แออัด จัดจุดคัดกรอง จุดบริการแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ทําความสะอาดพื้นผิวที่มีผู้สัมผัสบ่อย เพื่อความปลอดภัยทั้งผู้ให้บริการและประชาชนที่มารับบริการ
อย่างไรก็ตามขอให้ประชาชนอย่าประมาทและคงเข้มในการป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา คนวัยทํางาน ตั้งแต่อายุ 20-39 ปี จากข้อมูลของกรมควบคุมโรคพบว่า กลุ่มนี้มีผู้ติดเชื้อถึงประมาณร้อยละ 50 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มอายุที่อยู่ในวัยทํางานและมีร่างกายแข็งแรง เมื่อป่วยมักจะไม่แสดงอาการนับเป็นความเสี่ยงสําคัญซึ่งอาจเป็นผู้นําเชื้อกลับไปติดคนในครอบครัวและผู้ใกล้ชิดได้ ดังนั้นการสวมหน้ากากอนามัย/ผ้า เมื่อออกจากบ้านยังมีความสําคัญและควรปฏิบัติให้เป็นความเคยชิน ร่วมกับการเว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในที่มีคนรวมกันจํานวนมาก เลี่ยงการสัมผัสพื้นผิวที่มีผู้สัมผัสบ่อย เช่น ลูกบิดประตู ปุ่มกดลิฟต์ โต๊ะ ราวบันได ราวจับต่าง ๆ ให้ล้างมือบ่อย ๆ และปฏิบัติตามข้อกําหนดของสถานที่อย่างเคร่งครัด หากใช้บริการของระบบขนส่งสาธารณะให้นั่ง/ยืนในจุดที่กําหนดไว้เพื่อลดความแออัด รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนส่วนตัว ขอเน้นย้ําว่าการสวมเฟซชิลล์โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าร่วม จะไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ สําหรับรายการเกมส์โชว์ที่ไม่สามารถสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าได้ แม้จะสวมเฟซชิลล์ต้องเว้นระยะห่างระหว่างกัน 1-2 เมตร ด้วย หากทุกคนร่วมมือกันจะช่วยลดโอกาสในการกลับมาแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกครั้ง
****************************** 15 มิถุนายน 2563
******************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32343
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม
|
วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม
วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 13.30 น. ทําเนียบรัฐบาล พลเอก โง ซวน หลิก (Ngo Xuan Lich) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนามสู่ประเทศไทย พร้อมฝากความระลึกถึงไปยัง นายเหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ซึ่งนายกรัฐมนตรีชื่นชมผลงานการทํางานของนายกรัฐมนตรีเวียดนามเป็นอย่างมาก
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ําถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการเพิ่มมูลค่าทางการค้ากับเวียดนามเป็น 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี พ.ศ. 2563 ตามที่เคยได้ตั้งเป้าและหารือร่วมกันไว้กับฝ่ายเวียดนาม
ทั้งนี้ รมว.กห.เวียดนาม ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งนายกรัฐมนตรีรู้สึกซาบซึ้งใจและขอบคุณเวียดนามที่ได้ร่วมแสดงความอาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเยือนไทยของนรม. เวียดนามเพื่อถวายสักการะพระบรมศพ รวมทั้งการลงนามแสดงความอาลัยที่ สอท. ณ กรุงฮานอย
ด้านความร่วมมือด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความสัมพันธ์ในด้านนี้มีความแน่นแฟ้น และยังเห็นพ้องให้เพิ่มช่องทางติดต่อระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองฝ่าย เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการกระชับความร่วมมือ และความสัมพันธ์ระหว่างกัน
รมว. กห. เวียดนามยังได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทยที่ให้ความร่วมมืออย่างดีกับเวียดนามมาโดยตลอด ทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นําเหล่าทัพ การแลกเปลี่ยนทุนการศึกษา และเห็นว่า จากการหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับกระทรวงกลาโหมไทยในช่วงเช้า จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการส่งเสริมความสร่วมมือ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อไปในอนาคต
************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม
วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม
วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 13.30 น. ทําเนียบรัฐบาล พลเอก โง ซวน หลิก (Ngo Xuan Lich) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนามสู่ประเทศไทย พร้อมฝากความระลึกถึงไปยัง นายเหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ซึ่งนายกรัฐมนตรีชื่นชมผลงานการทํางานของนายกรัฐมนตรีเวียดนามเป็นอย่างมาก
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ําถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการเพิ่มมูลค่าทางการค้ากับเวียดนามเป็น 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี พ.ศ. 2563 ตามที่เคยได้ตั้งเป้าและหารือร่วมกันไว้กับฝ่ายเวียดนาม
ทั้งนี้ รมว.กห.เวียดนาม ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งนายกรัฐมนตรีรู้สึกซาบซึ้งใจและขอบคุณเวียดนามที่ได้ร่วมแสดงความอาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเยือนไทยของนรม. เวียดนามเพื่อถวายสักการะพระบรมศพ รวมทั้งการลงนามแสดงความอาลัยที่ สอท. ณ กรุงฮานอย
ด้านความร่วมมือด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความสัมพันธ์ในด้านนี้มีความแน่นแฟ้น และยังเห็นพ้องให้เพิ่มช่องทางติดต่อระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองฝ่าย เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการกระชับความร่วมมือ และความสัมพันธ์ระหว่างกัน
รมว. กห. เวียดนามยังได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทยที่ให้ความร่วมมืออย่างดีกับเวียดนามมาโดยตลอด ทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นําเหล่าทัพ การแลกเปลี่ยนทุนการศึกษา และเห็นว่า จากการหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับกระทรวงกลาโหมไทยในช่วงเช้า จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการส่งเสริมความสร่วมมือ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อไปในอนาคต
************************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2004
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับสูง
|
วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560
กระทรวงเกษตรฯ จัดฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับสูง
กระทรวงเกษตรฯ จัดฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับสูง เพื่อพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักการและเทคนิคด้านการบริหาร รวมทั้งเสริมสร้างคุณลักษณะการเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลง
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับสูง : หลักสูตรฝึกอบรม นักบริหารระดับสูงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ว่า ปัจจุบันสังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอย่างรวดเร็ว ผู้บริหารในทุกภาคส่วนและทุกองค์กรจะต้องเป็นผู้นําในการปรับตัวขององค์กร เพื่อให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งภาคราชการก็จําเป็นต้องดําเนินการอย่างมีเป้าหมายและแผนงานที่ชัดเจน โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องจากเป็นกระทรวงหลักในการดูแลการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ของเกษตรกร ซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ ข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงถูกคาดหวังจากเกษตรกรว่าเป็นมืออาชีพ เป็นผู้ที่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคํานึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสําคัญ จึงจําเป็นที่นักบริหารระดับสูงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องพัฒนาศักยภาพและความสามารถในการเรียนรู้ และทําความเข้าใจสภาพความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อการบริหารและการปฏิบัติงาน ต้องก้าวตามให้ทันวิทยาการใหม่ ๆ ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมทั้งจะต้องพัฒนาตนเองให้สามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติในการเป็นผู้บริหารยุคใหม่ ซึ่งใช้ทั้งทักษะ ศิลปะ และศาสตร์ทุกแขนงที่มีอยู่ในการทํางานให้เกิดผลสําเร็จได้จริงตามเป้าหมายที่ได้กําหนดไว้
การฝึกอบรมดังกล่าว มีกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2560 - 16 กุมภาพันธ์ 2561 ประกอบด้วย ข้าราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการหรือเทียบเท่า ไม่น้อยกว่า 2 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักการและเทคนิคด้านการบริหาร รวมทั้งเสริมสร้างคุณลักษณะของการเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงที่มีความพร้อมด้านบริหารจัดการตามแนวทางการพัฒนาระบบราชการให้ประสบผลสําเร็จ เพื่อเป็นผู้บริหารที่มีความเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงที่มีความรอบรู้ รู้ลึก รู้จริง และสามารถนําไปปฏิบัติให้เกิดผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง ประโยชน์ของหน่วยงานในการพัฒนาคุณภาพของบุคลากร และประโยชน์ของประเทศและประชาชนจากการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพของบุคลากรภาครัฐ
สําหรับการฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับสูง : หลักสูตรฝึกอบรม นักบริหารระดับสูงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีเป้าหมายหลักเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการหรือเทียบเท่าในการเข้าสู่ตําแหน่งประเภทบริหาร ขยายโอกาสเข้าสู่ตําแหน่งรองอธิบดี รองเลขาธิการ หรือเทียบเท่าของผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้มีจํานวนเพิ่มขึ้น โดยจัดการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาผู้อื่น ตามบทบาทหน้าที่ทางการบริหารและการมีภาวะผู้นําในด้านต่าง ๆ
ด้านนายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักสูตรดังกล่าวได้ถูกพัฒนาขึ้น และจัดขึ้นเป็นรุ่นแรกในครั้งนี้ เพื่อขอรับการประเมินจาก ก.พ. หากผ่านการประเมินแล้ว ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมดังกล่าว และมีคุณสมบัติตามที่สํานักงาน ก.พ. กําหนด จะสามารถเข้ารับการฝึกอบรมเสริมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง (ส.นบส.) ของสํานักงาน ก.พ. และเมื่อผ่านหลักสูตร ส.นบส. แล้ว จะถือว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติเสมือนได้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง (นบส.) ของสํานักงาน ก.พ. ซึ่งปัจจุบันมีหลักสูตรที่ ก.พ. พิจารณาให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเสมือนได้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูงเพียงไม่กี่หลักสูตร ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม สถาบันพระปกเกล้า และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร บางหลักสูตรเท่านั้น
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับสูง
วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560
กระทรวงเกษตรฯ จัดฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับสูง
กระทรวงเกษตรฯ จัดฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับสูง เพื่อพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักการและเทคนิคด้านการบริหาร รวมทั้งเสริมสร้างคุณลักษณะการเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลง
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับสูง : หลักสูตรฝึกอบรม นักบริหารระดับสูงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ว่า ปัจจุบันสังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอย่างรวดเร็ว ผู้บริหารในทุกภาคส่วนและทุกองค์กรจะต้องเป็นผู้นําในการปรับตัวขององค์กร เพื่อให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งภาคราชการก็จําเป็นต้องดําเนินการอย่างมีเป้าหมายและแผนงานที่ชัดเจน โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องจากเป็นกระทรวงหลักในการดูแลการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ของเกษตรกร ซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ ข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงถูกคาดหวังจากเกษตรกรว่าเป็นมืออาชีพ เป็นผู้ที่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคํานึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสําคัญ จึงจําเป็นที่นักบริหารระดับสูงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องพัฒนาศักยภาพและความสามารถในการเรียนรู้ และทําความเข้าใจสภาพความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อการบริหารและการปฏิบัติงาน ต้องก้าวตามให้ทันวิทยาการใหม่ ๆ ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมทั้งจะต้องพัฒนาตนเองให้สามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติในการเป็นผู้บริหารยุคใหม่ ซึ่งใช้ทั้งทักษะ ศิลปะ และศาสตร์ทุกแขนงที่มีอยู่ในการทํางานให้เกิดผลสําเร็จได้จริงตามเป้าหมายที่ได้กําหนดไว้
การฝึกอบรมดังกล่าว มีกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2560 - 16 กุมภาพันธ์ 2561 ประกอบด้วย ข้าราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการหรือเทียบเท่า ไม่น้อยกว่า 2 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักการและเทคนิคด้านการบริหาร รวมทั้งเสริมสร้างคุณลักษณะของการเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงที่มีความพร้อมด้านบริหารจัดการตามแนวทางการพัฒนาระบบราชการให้ประสบผลสําเร็จ เพื่อเป็นผู้บริหารที่มีความเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงที่มีความรอบรู้ รู้ลึก รู้จริง และสามารถนําไปปฏิบัติให้เกิดผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง ประโยชน์ของหน่วยงานในการพัฒนาคุณภาพของบุคลากร และประโยชน์ของประเทศและประชาชนจากการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพของบุคลากรภาครัฐ
สําหรับการฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับสูง : หลักสูตรฝึกอบรม นักบริหารระดับสูงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีเป้าหมายหลักเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการหรือเทียบเท่าในการเข้าสู่ตําแหน่งประเภทบริหาร ขยายโอกาสเข้าสู่ตําแหน่งรองอธิบดี รองเลขาธิการ หรือเทียบเท่าของผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้มีจํานวนเพิ่มขึ้น โดยจัดการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาผู้อื่น ตามบทบาทหน้าที่ทางการบริหารและการมีภาวะผู้นําในด้านต่าง ๆ
ด้านนายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักสูตรดังกล่าวได้ถูกพัฒนาขึ้น และจัดขึ้นเป็นรุ่นแรกในครั้งนี้ เพื่อขอรับการประเมินจาก ก.พ. หากผ่านการประเมินแล้ว ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมดังกล่าว และมีคุณสมบัติตามที่สํานักงาน ก.พ. กําหนด จะสามารถเข้ารับการฝึกอบรมเสริมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง (ส.นบส.) ของสํานักงาน ก.พ. และเมื่อผ่านหลักสูตร ส.นบส. แล้ว จะถือว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติเสมือนได้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง (นบส.) ของสํานักงาน ก.พ. ซึ่งปัจจุบันมีหลักสูตรที่ ก.พ. พิจารณาให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเสมือนได้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูงเพียงไม่กี่หลักสูตร ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม สถาบันพระปกเกล้า และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร บางหลักสูตรเท่านั้น
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9061
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกสธ.แนะประชาชนเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการเดินทางกลับหลังฉลองสงกรานต์
|
วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน 2560
โฆษกสธ.แนะประชาชนเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการเดินทางกลับหลังฉลองสงกรานต์
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ห่วงประชาชนที่เดินทางกลับจากฉลองช่วงสงกรานต์ อาจเกิดอาการอ่อนเพลีย แนะเตรียมพร้อมร่างกายก่อนการเดินทางกลับ พักผ่อนให้เพียงพอไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ ให้ดื่มน้ําอุ่นแทน ร่างกายจะฟื้นตัวเร็ว รวมทั้งคนที่ต้องขับรถ หากง่วง อย่าฝืน
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ห่วงประชาชนที่เดินทางกลับจากฉลองช่วงสงกรานต์ อาจเกิดอาการอ่อนเพลียแนะเตรียมพร้อมร่างกายก่อนการเดินทางกลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ ให้ดื่มน้ําอุ่นแทน ร่างกายจะฟื้นตัวเร็ว รวมทั้งคนที่ต้องขับรถ หากง่วง อย่าฝืน ให้จอดพัก15นาที หรือเปลี่ยนคนอื่นขับ ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
วันนี้(16 เมษายน 2560)นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประชาชนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันค่อนข้างมาก วันรุ่งขึ้นร่างกายอาจเกิดอาการอ่อนเพลีย หรือที่เรียกว่า เมาค้าง วิธีการแก้ไขอาการดังกล่าวและเป็นการเตรียมความพร้อมร่างกายก่อนทํางาน คือ ควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์และดื่มน้ําเปล่าในปริมาณที่มากขึ้น เพื่อช่วยให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายทํางานดี นอกจากนี้ ควรดื่มเครื่องดื่มที่อุ่น เช่น น้ําอุ่น หรืออาหารอุ่นๆ ที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม รวมทั้งรับประทานอาหารให้พอเหมาะ ครบ5หมู่
สําหรับผู้ที่ดื่มติดต่อกันหลายวัน อาจมีอาการอดนอนสะสมทําให้สมองตื้อ อ่อนเพลีย ซึ่งเสี่ยงต่อการหลับในทําให้เกิดอุบัติเหตุง่าย แนะก่อนเดินทางกลับให้เตรียมตัวล่วงหน้า โดยเฉพาะผู้ที่ทําหน้าที่ขับรถต้องพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยเป็นเวลา 8 ชั่วโมง เพื่อลดอาการอ่อนเพลียที่เกิดจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์และให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้สัญญาณเตือนของอาการง่วงนอนหลับในมี8 ข้อสําคัญ 1.หาวบ่อยและหาวต่อเนื่อง 2.ใจลอยไม่มีสมาธิ 3.รู้สึกเหนื่อยล้า หงุดหงิด กระวนกระวาย 4.จําไม่ได้ว่าขับรถผ่านอะไรมาเมื่อ 2-3 กิโลเมตรที่ผ่านมา 5.รู้สึกหนักหนังตา ตาปรือ ลืมตาไม่ขึ้น มองเห็นภาพไม่ชัด6.รู้สึกมึน หนักศีรษะ 7.ขับรถส่ายไปส่ายมาหรือออกนอกเส้นทาง 8.มองข้ามสัญญาณไฟและป้ายจราจร หากมีอาการเหล่านี้ควรจอดพักประมาณ15นาทีก่อนขับรถต่อ ล้างหน้า ดื่มเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นแก่ร่างกาย หรือเปลี่ยนคนอื่นขับ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ และให้คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ส่วนผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์ทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้าย ให้สวมหมวกกันน็อคทุกครั้งส่วนผู้ที่มีโรคประจําตัวต้องเตรียมยาให้พร้อมสําหรับการเดินทาง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกสธ.แนะประชาชนเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการเดินทางกลับหลังฉลองสงกรานต์
วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน 2560
โฆษกสธ.แนะประชาชนเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการเดินทางกลับหลังฉลองสงกรานต์
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ห่วงประชาชนที่เดินทางกลับจากฉลองช่วงสงกรานต์ อาจเกิดอาการอ่อนเพลีย แนะเตรียมพร้อมร่างกายก่อนการเดินทางกลับ พักผ่อนให้เพียงพอไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ ให้ดื่มน้ําอุ่นแทน ร่างกายจะฟื้นตัวเร็ว รวมทั้งคนที่ต้องขับรถ หากง่วง อย่าฝืน
โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ห่วงประชาชนที่เดินทางกลับจากฉลองช่วงสงกรานต์ อาจเกิดอาการอ่อนเพลียแนะเตรียมพร้อมร่างกายก่อนการเดินทางกลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ ให้ดื่มน้ําอุ่นแทน ร่างกายจะฟื้นตัวเร็ว รวมทั้งคนที่ต้องขับรถ หากง่วง อย่าฝืน ให้จอดพัก15นาที หรือเปลี่ยนคนอื่นขับ ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
วันนี้(16 เมษายน 2560)นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประชาชนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันค่อนข้างมาก วันรุ่งขึ้นร่างกายอาจเกิดอาการอ่อนเพลีย หรือที่เรียกว่า เมาค้าง วิธีการแก้ไขอาการดังกล่าวและเป็นการเตรียมความพร้อมร่างกายก่อนทํางาน คือ ควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์และดื่มน้ําเปล่าในปริมาณที่มากขึ้น เพื่อช่วยให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายทํางานดี นอกจากนี้ ควรดื่มเครื่องดื่มที่อุ่น เช่น น้ําอุ่น หรืออาหารอุ่นๆ ที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม รวมทั้งรับประทานอาหารให้พอเหมาะ ครบ5หมู่
สําหรับผู้ที่ดื่มติดต่อกันหลายวัน อาจมีอาการอดนอนสะสมทําให้สมองตื้อ อ่อนเพลีย ซึ่งเสี่ยงต่อการหลับในทําให้เกิดอุบัติเหตุง่าย แนะก่อนเดินทางกลับให้เตรียมตัวล่วงหน้า โดยเฉพาะผู้ที่ทําหน้าที่ขับรถต้องพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยเป็นเวลา 8 ชั่วโมง เพื่อลดอาการอ่อนเพลียที่เกิดจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์และให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้สัญญาณเตือนของอาการง่วงนอนหลับในมี8 ข้อสําคัญ 1.หาวบ่อยและหาวต่อเนื่อง 2.ใจลอยไม่มีสมาธิ 3.รู้สึกเหนื่อยล้า หงุดหงิด กระวนกระวาย 4.จําไม่ได้ว่าขับรถผ่านอะไรมาเมื่อ 2-3 กิโลเมตรที่ผ่านมา 5.รู้สึกหนักหนังตา ตาปรือ ลืมตาไม่ขึ้น มองเห็นภาพไม่ชัด6.รู้สึกมึน หนักศีรษะ 7.ขับรถส่ายไปส่ายมาหรือออกนอกเส้นทาง 8.มองข้ามสัญญาณไฟและป้ายจราจร หากมีอาการเหล่านี้ควรจอดพักประมาณ15นาทีก่อนขับรถต่อ ล้างหน้า ดื่มเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นแก่ร่างกาย หรือเปลี่ยนคนอื่นขับ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ และให้คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ส่วนผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์ทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้าย ให้สวมหมวกกันน็อคทุกครั้งส่วนผู้ที่มีโรคประจําตัวต้องเตรียมยาให้พร้อมสําหรับการเดินทาง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3089
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขต รพ. ให้ จนท. - ปชช. ปลอดภัย
|
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
สธ. เข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขต รพ. ให้ จนท. - ปชช. ปลอดภัย
กระทรวงสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลทุกแห่งเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขตโรงพยาบาลเพิ่มเวรยามดูแลคนไข้-ประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล เช็คสภาพกล้องวงจรปิด
สธ. เข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขต รพ. ให้ จนท. - ปชช. ปลอดภัย
กระทรวงสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลทุกแห่งเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขตโรงพยาบาลเพิ่มเวรยามดูแลคนไข้-ประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล เช็คสภาพกล้องวงจรปิด ติดตั้งเพิ่มในจุดเสี่ยง ประสานเจ้าหน้าที่ตํารวจ เพื่อให้บุคลากรที่ปฏิบัติงาน และประชาชนปลอดภัย
วันนี้ (วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560)นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุขปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ให้สัมภาษณ์ ว่าได้รับรายงานเกิดเหตุทะเลาะวิวาทในเขตพื้นที่โรงพยาบาล ในช่วงเทศกาลวันลอยกระทง วันที่ 5 พฤศจิกายน 2560 เกิด 2 เหตุการณ์ ที่ โรงพยาบาลกระทุ่มแบน อําเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร และที่ โรงพยาบาล ดอยเต่า อําเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินของโรงพยาบาล รวมทั้งมีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้รับบริการ และบุคลากรที่ปฏิบัติงาน เบื้องต้น จึงได้สั่งการให้โรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ เฝ้าระวังและเพิ่มมาตรการในการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ดังนี้
1.เพิ่มเวรยามรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง2.ตรวจสอบกล้องวงจรปิด (CCTV) ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และติดเพิ่มในจุดเสี่ยงและสถานที่สําคัญ เช่น บริเวณโถงทางเดิน ทางเข้า-ออกโรงพยาบาลในหอผู้ป่วยทุกแผนก และกําชับให้เจ้าหน้าที่ในสถานพยาบาลทุกคนช่วยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของคนไข้และประชาชนที่มาใช้บริการอย่างดีที่สุด3.ประสานงานเจ้าหน้าที่ตํารวจ และทหารช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสําคัญต่างๆหรือที่มีการจัดงานต่างๆของแต่ละพื้นที่ 4.ปรับระบบการเข้าออกห้องฉุกเฉิน เช่น คีย์การ์ด โค้ด หรือพิมพ์ลายนิ้วมือ เพื่อคัดกรองผู้ที่จะเข้าออกห้องฉุกเฉิน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งให้โรงพยาบาลทุกแห่ง ปรับปรุงมาตรฐานห้องฉุกเฉินให้เป็นห้องฉุกเฉินคุณภาพ ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทํา “คู่มือห้องฉุกเฉินคุณภาพ” คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเวลา 3 เดือน โดยเน้นความปลอดภัยของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ (Patient and Personnel Safety :2P Safety)เช่น มีระบบรักษาความปลอดภัยในการเข้า-ออกห้องฉุกเฉินที่ได้มาตรฐาน และมีเทคโนโลยีในการรักษาและดูแลความปลอดภัยอย่างครบวงจร อาทิ รถพยาบาลปลอดภัยมีเครื่องช่วยชีวิตที่ได้มาตรฐาน มีระบบคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินชัดเจนมีมาตรฐาน ผู้ป่วยวิกฤติต้องได้รับการรักษาด่วนไม่อยู่ห้องอีอาร์นานกว่า 4 ชั่วโมง เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP)ความปลอดภัยเจ้าหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินไม่ถูกคุกคาม เป็นต้น
สําหรับเหตุการณที่โรงพยาบาลกระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตํารวจสามารถจับกุมผู้กระทําผิดได้แล้วจํานวนหนึ่ง ที่เหลืออยู่ระหว่างการติดตามจับกุม ส่วนที่โรงพยาบาลดอยเต่า จ.เชียงใหม่ อยู่ในระหว่างการติดตามจับกุม
“สถานพยาบาลเป็นสถานที่ราชการ เป็นที่สําหรับดูแลผู้เจ็บป่วย แม้ในยามศึกสงคราม ก็ยังเว้นให้โรงพยาบาล ฉะนั้นขอร้องอย่าก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลอีก เพราะผู้ที่ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลนั้นเจ็บป่วยอยู่แล้วหากมีการทะเลาะวิวาทอีกจะเป็นการสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้ผู้รับบริการและเจ้าหน้าที่ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตํารวจช่วยดําเนินการอย่างเฉียบขาดเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างและเกิดการทะเลาะวิวาท ในโรงพยาบาลอีก”นายแพทย์เจษฎา กล่าว
พฤศจิกายน1/5 ********************************* 7 พฤศจิกายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขต รพ. ให้ จนท. - ปชช. ปลอดภัย
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
สธ. เข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขต รพ. ให้ จนท. - ปชช. ปลอดภัย
กระทรวงสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลทุกแห่งเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขตโรงพยาบาลเพิ่มเวรยามดูแลคนไข้-ประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล เช็คสภาพกล้องวงจรปิด
สธ. เข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขต รพ. ให้ จนท. - ปชช. ปลอดภัย
กระทรวงสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลทุกแห่งเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขตโรงพยาบาลเพิ่มเวรยามดูแลคนไข้-ประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล เช็คสภาพกล้องวงจรปิด ติดตั้งเพิ่มในจุดเสี่ยง ประสานเจ้าหน้าที่ตํารวจ เพื่อให้บุคลากรที่ปฏิบัติงาน และประชาชนปลอดภัย
วันนี้ (วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560)นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุขปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ให้สัมภาษณ์ ว่าได้รับรายงานเกิดเหตุทะเลาะวิวาทในเขตพื้นที่โรงพยาบาล ในช่วงเทศกาลวันลอยกระทง วันที่ 5 พฤศจิกายน 2560 เกิด 2 เหตุการณ์ ที่ โรงพยาบาลกระทุ่มแบน อําเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร และที่ โรงพยาบาล ดอยเต่า อําเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินของโรงพยาบาล รวมทั้งมีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้รับบริการ และบุคลากรที่ปฏิบัติงาน เบื้องต้น จึงได้สั่งการให้โรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ เฝ้าระวังและเพิ่มมาตรการในการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ดังนี้
1.เพิ่มเวรยามรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง2.ตรวจสอบกล้องวงจรปิด (CCTV) ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และติดเพิ่มในจุดเสี่ยงและสถานที่สําคัญ เช่น บริเวณโถงทางเดิน ทางเข้า-ออกโรงพยาบาลในหอผู้ป่วยทุกแผนก และกําชับให้เจ้าหน้าที่ในสถานพยาบาลทุกคนช่วยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของคนไข้และประชาชนที่มาใช้บริการอย่างดีที่สุด3.ประสานงานเจ้าหน้าที่ตํารวจ และทหารช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสําคัญต่างๆหรือที่มีการจัดงานต่างๆของแต่ละพื้นที่ 4.ปรับระบบการเข้าออกห้องฉุกเฉิน เช่น คีย์การ์ด โค้ด หรือพิมพ์ลายนิ้วมือ เพื่อคัดกรองผู้ที่จะเข้าออกห้องฉุกเฉิน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งให้โรงพยาบาลทุกแห่ง ปรับปรุงมาตรฐานห้องฉุกเฉินให้เป็นห้องฉุกเฉินคุณภาพ ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทํา “คู่มือห้องฉุกเฉินคุณภาพ” คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเวลา 3 เดือน โดยเน้นความปลอดภัยของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ (Patient and Personnel Safety :2P Safety)เช่น มีระบบรักษาความปลอดภัยในการเข้า-ออกห้องฉุกเฉินที่ได้มาตรฐาน และมีเทคโนโลยีในการรักษาและดูแลความปลอดภัยอย่างครบวงจร อาทิ รถพยาบาลปลอดภัยมีเครื่องช่วยชีวิตที่ได้มาตรฐาน มีระบบคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินชัดเจนมีมาตรฐาน ผู้ป่วยวิกฤติต้องได้รับการรักษาด่วนไม่อยู่ห้องอีอาร์นานกว่า 4 ชั่วโมง เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP)ความปลอดภัยเจ้าหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินไม่ถูกคุกคาม เป็นต้น
สําหรับเหตุการณที่โรงพยาบาลกระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตํารวจสามารถจับกุมผู้กระทําผิดได้แล้วจํานวนหนึ่ง ที่เหลืออยู่ระหว่างการติดตามจับกุม ส่วนที่โรงพยาบาลดอยเต่า จ.เชียงใหม่ อยู่ในระหว่างการติดตามจับกุม
“สถานพยาบาลเป็นสถานที่ราชการ เป็นที่สําหรับดูแลผู้เจ็บป่วย แม้ในยามศึกสงคราม ก็ยังเว้นให้โรงพยาบาล ฉะนั้นขอร้องอย่าก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลอีก เพราะผู้ที่ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลนั้นเจ็บป่วยอยู่แล้วหากมีการทะเลาะวิวาทอีกจะเป็นการสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้ผู้รับบริการและเจ้าหน้าที่ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตํารวจช่วยดําเนินการอย่างเฉียบขาดเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างและเกิดการทะเลาะวิวาท ในโรงพยาบาลอีก”นายแพทย์เจษฎา กล่าว
พฤศจิกายน1/5 ********************************* 7 พฤศจิกายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7887
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไบโอเทค-สวทช. หนุน 2 เทคโนโลยี แก้วิกฤตการณ์ ‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’
|
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562
ไบโอเทค-สวทช. หนุน 2 เทคโนโลยี แก้วิกฤตการณ์ ‘โรคใบด่างมันสําปะหลัง’
ไบโอเทค-สวทช. หนุน 2 เทคโนโลยี แก้วิกฤตการณ์ ‘โรคใบด่างมันสําปะหลัง’
ผู้ประกอบการมันสําปะหลังไทย รับลูก เตรียมสร้างแล็บเฉพาะกิจ นํา2 เทคโนโลยีจาก ไบโอเทค สวทช. ช่วยเกษตรกรไร่มันฯ‘คัดกรองท่อนพันธุ์มันปลอดโรค’ เพื่อแก้ปัญหา ‘โรคใบด่างมันสําปะหลัง’ หวังป้องกันผลผลิตเป็นศูนย์!! หากเกษตรกรนําท่อนพันธุ์ติดโรคไปปลูกซ้ํา ช่วง พฤศจิกายน 62-มีนาคม 63 นี้
จากกรณีมีรายงานพบ‘โรคใบด่างมันสําปะหลัง’โรคอุบัติใหม่ในพื้นที่ปลูกมันสําปะหลังหลายแห่งในประเทศไทย ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดSri Lankan cassava mosaic virus(SLCMV) โดยสาเหตุสําคัญของการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว คือการนําท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคใบด่างมันสําปะหลังมาปลูก เนื่องจากเกษตรกรไม่สามารถแยกต้นที่เป็นโรคได้ เพราะท่อนพันธุ์ยังไม่มีใบให้สังเกตลักษณะผิดปกติ ทําให้เกิดการแพร่ระบาดในพื้นที่ปลูกมันสําปะหลังหลักของประเทศในกรณีที่ระบาดรุนแรงสร้างความเสียหายต่อผลผลิตได้ถึง 80-100 เปอร์เซ็นต์
เมื่อเร็วๆ นี้ศ.ดร.มรกต ตันติเจริญ ที่ปรึกษาอาวุโส สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)เป็นประธานการประชุมเพื่อนําเสนอความรู้‘เทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสําปะหลัง’และ‘เทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสําหรับผลิตท่อนพันธุ์มันสําปะหลังปลอดโรค’ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นักวิจัย สวทช. และพันธมิตร ร่วมกันคิดค้นและวิจัยขึ้นเพื่อแก้ปัญหาโรคใบด่างมันสําปะหลัง โดยมีสมาคมการค้ามันสําปะหลังไทย สมาคมแป้งมันสําปะหลังไทย สมาคมผู้ผลิตมันสําปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังไทยรวมทั้งผู้ประกอบการกว่า 30 คน เข้าร่วมรับฟังเพื่อผลักดันให้เกิดการนําเทคโนโลยีจากงานวิจัยไปประยุกต์ใช้ในการผลิตต้นพันธุ์มันสําปะหลังปลอดโรคและกระจายให้เครือข่ายเกษตรกรเพื่อแก้ปัญหาโรคใบด่างมันสําปะหลัง ณ ห้องประชุม 404 ชั้น 4 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
ศ.ดร.มรกต ที่ปรึกษาอาวุโส สวทช. เปิดเผยว่า ทีมวิจัยจากห้องปฏิบัติการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้พัฒนาน้ํายาสําหรับตรวจสอบไวรัสใบด่างมันสําปะหลัง โดยใช้เทคนิคอิไลซ่า (Elisa) ซึ่งเป็นวิธีการที่นิยมแพร่หลาย มีความถูกต้องแม่นยํา น้ํายาที่พัฒนาขึ้นมีความไวในการตรวจมากกว่าน้ํายาที่มีการขายในเชิงการค้า สามารถเตรียมตัวอย่างได้คราวละจํานวนมากกว่า 90 ตัวอย่าง และยังมีจุดเด่นที่สามารถตรวจเชื้อไวรัสจากเนื้อเยื่อบริเวณตาของท่อนพันธุ์มันสําปะหลังที่มีขนาดเล็กตั้งแต่ 0.5 เซนติเมตรมีราคาต่อตัวอย่างเฉลี่ย 13 บาท เท่านั้น ซึ่งถูกกว่าน้ํายาตรวจเชิงการค้าที่นําเข้าจากต่างประเทศหลายเท่าตัว สวทช. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยที่พัฒนาขึ้นให้แก่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีความสนใจ
นอกจากนั้นแล้วทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช.ยังสามารถพัฒนา‘เทคนิคเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมันสําปะหลัง’ที่สามารถเพิ่มปริมาณต้นมันสําปะหลังปลอดโรคได้ 3-4 เท่าภายในเวลา 4 สัปดาห์ เมื่อนําไปปลูกในสภาพแปลงผลผลิตที่ได้ไม่แตกต่างจากวิธีการปลูกของเกษตรกรที่ใช้ท่อนพันธุ์ปกติ และยังได้ประยุกต์ใช้ ‘เทคโนโลยีmini stem cutting’ในการตัดท่อนพันธุ์ให้มีขนาดเล็กเหลือเพียง 1-2 ตา (ขึ้นอยู่กับอายุของท่อนพันธุ์) เมื่อนําไปปลูกในสภาพแปลงได้ผลผลิต
ไม่แตกต่างจากวิธีการของเกษตรกรที่ใช้ท่อนพันธุ์ขนาดยาวปลูก ทั้งนี้แนวทางดังกล่าวจะเป็นการประหยัดท่อนพันธุ์มันสําปะหลังและสามารถเพิ่มปริมาณต้นพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว
นายอนุวัฒน์ ฤทัยยานนท์ นายกสมาคมแป้งมันสําปะหลังไทยเปิดเผยภายหลังการประชุมและเยี่ยมชมเทคโนโลยีจาก สวทช. ว่า ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ สมาคมแป้งมันสําปะหลังไทย ซึ่งมีโรงงานแป้งมันสําปะหลังอยู่ในสมาคมฯ มากกว่า 100 โรงงาน เตรียมการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังทั่วประเทศที่กําลังประสบปัญหาโรคใบด่างมันสําปะหลัง โดยเตรียมตั้งห้องปฏิบัติการเฉพาะกิจขึ้นมา และนําเทคโนโลยีของ สวทช. ทั้ง 2 เรื่อง คือเทคโนโลยีการคัดกรองท่อนพันธุ์ปลอดโรคใบด่าง
มันสําปะหลัง และเทคโนโลยีการขยายพันธุ์มันสําปะหลังปลอดโรคมาใช้พัฒนาท่อนพันธุ์มันสําปะหลังให้แก่เกษตรกรต่อไป เนื่องจากเกษตรชาวไร่มันฯ จําเป็นต้องใช้ท่อนพันธุ์มันสําปะหลังปลอดโรคทดแทนท่อนพันธุ์มันสําปะหลังเดิมที่ติดเชื้อโรคใบด่างมันสําปะหลังซึ่งต้องทําลายทิ้งเท่านั้น เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค
“ทางสมาคมฯ ต้องช่วยเกษตรกรคัดกรองท่อนพันธุ์มันสําปะหลังปลอดโรคอย่างเร่งด่วน เนื่องจากในช่วงเดือนพฤศจิกายน 62 - มีนาคม 63 นี้ เกษตรกรชาวไร่มันสําปะหลังเตรียมเก็บเกี่ยวมันสําปะหลัง และต้องการท่อนพันธุ์ไปปลูกต่อ ซึ่งหากนําท่อนพันธุ์มันสําปะหลังที่ไม่ได้คุณภาพและติดโรคไปปลูกซ้ําอีก ก็เสี่ยงผลผลิตเสียหายได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น จึงต้องช่วยเกษตรกรชาวไร่มันสําปะหลังคัดกรองและผลิตท่อนพันธุ์มันสําปะหลังปลอดโรคให้ได้โดยเร็วที่สุด” นายกสมาคมแป้งมันสําปะหลังไทย ระบุ
ด้านนายกิตติ สุขสมิทธิ์ บริษัทอุตสาหกรรมแป้งมันบ้านโป่ง จํากัดกล่าวว่า เทคโนโลยีทั้ง 2 เทคโนโลยี ของ สวทช. ถือเป็นมิติใหม่และเป็นประโยชน์ต่อวงการมันสําปะหลังอย่างมาก เพราะสามารถช่วยแก้ปัญหาภาวะโรคใบด่างมันสําปะหลังได้อย่างทันท่วงที เนื่องจากหากปล่อยให้เกิดการระบาดไปเรื่อยๆ จะเกิดวิกฤติภายใน 2 ปีแน่นอน โดยจะส่งผลกระทบตามโมเดลที่นักวิชาการคาดการณ์ไว้คือ จะทําให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เกิดการขาดแคลนมันสําปะหลัง สร้างปัญหาต่อทั้งผู้ผลิตผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังและผู้บริโภค ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ดังนั้นจึงอยากฝากรัฐบาลให้หามาตรการและนํานักวิชาการจากหน่วยงานต่างๆ ที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ไปช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการเป็นการเร่งด่วน
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไบโอเทค-สวทช. หนุน 2 เทคโนโลยี แก้วิกฤตการณ์ ‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562
ไบโอเทค-สวทช. หนุน 2 เทคโนโลยี แก้วิกฤตการณ์ ‘โรคใบด่างมันสําปะหลัง’
ไบโอเทค-สวทช. หนุน 2 เทคโนโลยี แก้วิกฤตการณ์ ‘โรคใบด่างมันสําปะหลัง’
ผู้ประกอบการมันสําปะหลังไทย รับลูก เตรียมสร้างแล็บเฉพาะกิจ นํา2 เทคโนโลยีจาก ไบโอเทค สวทช. ช่วยเกษตรกรไร่มันฯ‘คัดกรองท่อนพันธุ์มันปลอดโรค’ เพื่อแก้ปัญหา ‘โรคใบด่างมันสําปะหลัง’ หวังป้องกันผลผลิตเป็นศูนย์!! หากเกษตรกรนําท่อนพันธุ์ติดโรคไปปลูกซ้ํา ช่วง พฤศจิกายน 62-มีนาคม 63 นี้
จากกรณีมีรายงานพบ‘โรคใบด่างมันสําปะหลัง’โรคอุบัติใหม่ในพื้นที่ปลูกมันสําปะหลังหลายแห่งในประเทศไทย ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดSri Lankan cassava mosaic virus(SLCMV) โดยสาเหตุสําคัญของการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว คือการนําท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคใบด่างมันสําปะหลังมาปลูก เนื่องจากเกษตรกรไม่สามารถแยกต้นที่เป็นโรคได้ เพราะท่อนพันธุ์ยังไม่มีใบให้สังเกตลักษณะผิดปกติ ทําให้เกิดการแพร่ระบาดในพื้นที่ปลูกมันสําปะหลังหลักของประเทศในกรณีที่ระบาดรุนแรงสร้างความเสียหายต่อผลผลิตได้ถึง 80-100 เปอร์เซ็นต์
เมื่อเร็วๆ นี้ศ.ดร.มรกต ตันติเจริญ ที่ปรึกษาอาวุโส สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)เป็นประธานการประชุมเพื่อนําเสนอความรู้‘เทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสําปะหลัง’และ‘เทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสําหรับผลิตท่อนพันธุ์มันสําปะหลังปลอดโรค’ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นักวิจัย สวทช. และพันธมิตร ร่วมกันคิดค้นและวิจัยขึ้นเพื่อแก้ปัญหาโรคใบด่างมันสําปะหลัง โดยมีสมาคมการค้ามันสําปะหลังไทย สมาคมแป้งมันสําปะหลังไทย สมาคมผู้ผลิตมันสําปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังไทยรวมทั้งผู้ประกอบการกว่า 30 คน เข้าร่วมรับฟังเพื่อผลักดันให้เกิดการนําเทคโนโลยีจากงานวิจัยไปประยุกต์ใช้ในการผลิตต้นพันธุ์มันสําปะหลังปลอดโรคและกระจายให้เครือข่ายเกษตรกรเพื่อแก้ปัญหาโรคใบด่างมันสําปะหลัง ณ ห้องประชุม 404 ชั้น 4 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
ศ.ดร.มรกต ที่ปรึกษาอาวุโส สวทช. เปิดเผยว่า ทีมวิจัยจากห้องปฏิบัติการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้พัฒนาน้ํายาสําหรับตรวจสอบไวรัสใบด่างมันสําปะหลัง โดยใช้เทคนิคอิไลซ่า (Elisa) ซึ่งเป็นวิธีการที่นิยมแพร่หลาย มีความถูกต้องแม่นยํา น้ํายาที่พัฒนาขึ้นมีความไวในการตรวจมากกว่าน้ํายาที่มีการขายในเชิงการค้า สามารถเตรียมตัวอย่างได้คราวละจํานวนมากกว่า 90 ตัวอย่าง และยังมีจุดเด่นที่สามารถตรวจเชื้อไวรัสจากเนื้อเยื่อบริเวณตาของท่อนพันธุ์มันสําปะหลังที่มีขนาดเล็กตั้งแต่ 0.5 เซนติเมตรมีราคาต่อตัวอย่างเฉลี่ย 13 บาท เท่านั้น ซึ่งถูกกว่าน้ํายาตรวจเชิงการค้าที่นําเข้าจากต่างประเทศหลายเท่าตัว สวทช. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยที่พัฒนาขึ้นให้แก่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีความสนใจ
นอกจากนั้นแล้วทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช.ยังสามารถพัฒนา‘เทคนิคเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมันสําปะหลัง’ที่สามารถเพิ่มปริมาณต้นมันสําปะหลังปลอดโรคได้ 3-4 เท่าภายในเวลา 4 สัปดาห์ เมื่อนําไปปลูกในสภาพแปลงผลผลิตที่ได้ไม่แตกต่างจากวิธีการปลูกของเกษตรกรที่ใช้ท่อนพันธุ์ปกติ และยังได้ประยุกต์ใช้ ‘เทคโนโลยีmini stem cutting’ในการตัดท่อนพันธุ์ให้มีขนาดเล็กเหลือเพียง 1-2 ตา (ขึ้นอยู่กับอายุของท่อนพันธุ์) เมื่อนําไปปลูกในสภาพแปลงได้ผลผลิต
ไม่แตกต่างจากวิธีการของเกษตรกรที่ใช้ท่อนพันธุ์ขนาดยาวปลูก ทั้งนี้แนวทางดังกล่าวจะเป็นการประหยัดท่อนพันธุ์มันสําปะหลังและสามารถเพิ่มปริมาณต้นพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว
นายอนุวัฒน์ ฤทัยยานนท์ นายกสมาคมแป้งมันสําปะหลังไทยเปิดเผยภายหลังการประชุมและเยี่ยมชมเทคโนโลยีจาก สวทช. ว่า ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ สมาคมแป้งมันสําปะหลังไทย ซึ่งมีโรงงานแป้งมันสําปะหลังอยู่ในสมาคมฯ มากกว่า 100 โรงงาน เตรียมการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังทั่วประเทศที่กําลังประสบปัญหาโรคใบด่างมันสําปะหลัง โดยเตรียมตั้งห้องปฏิบัติการเฉพาะกิจขึ้นมา และนําเทคโนโลยีของ สวทช. ทั้ง 2 เรื่อง คือเทคโนโลยีการคัดกรองท่อนพันธุ์ปลอดโรคใบด่าง
มันสําปะหลัง และเทคโนโลยีการขยายพันธุ์มันสําปะหลังปลอดโรคมาใช้พัฒนาท่อนพันธุ์มันสําปะหลังให้แก่เกษตรกรต่อไป เนื่องจากเกษตรชาวไร่มันฯ จําเป็นต้องใช้ท่อนพันธุ์มันสําปะหลังปลอดโรคทดแทนท่อนพันธุ์มันสําปะหลังเดิมที่ติดเชื้อโรคใบด่างมันสําปะหลังซึ่งต้องทําลายทิ้งเท่านั้น เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค
“ทางสมาคมฯ ต้องช่วยเกษตรกรคัดกรองท่อนพันธุ์มันสําปะหลังปลอดโรคอย่างเร่งด่วน เนื่องจากในช่วงเดือนพฤศจิกายน 62 - มีนาคม 63 นี้ เกษตรกรชาวไร่มันสําปะหลังเตรียมเก็บเกี่ยวมันสําปะหลัง และต้องการท่อนพันธุ์ไปปลูกต่อ ซึ่งหากนําท่อนพันธุ์มันสําปะหลังที่ไม่ได้คุณภาพและติดโรคไปปลูกซ้ําอีก ก็เสี่ยงผลผลิตเสียหายได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น จึงต้องช่วยเกษตรกรชาวไร่มันสําปะหลังคัดกรองและผลิตท่อนพันธุ์มันสําปะหลังปลอดโรคให้ได้โดยเร็วที่สุด” นายกสมาคมแป้งมันสําปะหลังไทย ระบุ
ด้านนายกิตติ สุขสมิทธิ์ บริษัทอุตสาหกรรมแป้งมันบ้านโป่ง จํากัดกล่าวว่า เทคโนโลยีทั้ง 2 เทคโนโลยี ของ สวทช. ถือเป็นมิติใหม่และเป็นประโยชน์ต่อวงการมันสําปะหลังอย่างมาก เพราะสามารถช่วยแก้ปัญหาภาวะโรคใบด่างมันสําปะหลังได้อย่างทันท่วงที เนื่องจากหากปล่อยให้เกิดการระบาดไปเรื่อยๆ จะเกิดวิกฤติภายใน 2 ปีแน่นอน โดยจะส่งผลกระทบตามโมเดลที่นักวิชาการคาดการณ์ไว้คือ จะทําให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เกิดการขาดแคลนมันสําปะหลัง สร้างปัญหาต่อทั้งผู้ผลิตผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังและผู้บริโภค ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ดังนั้นจึงอยากฝากรัฐบาลให้หามาตรการและนํานักวิชาการจากหน่วยงานต่างๆ ที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ไปช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการเป็นการเร่งด่วน
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24231
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมสมัครเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) กับกรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 - 16 มกราคม 2562
|
วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2561
เตรียมสมัครเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) กับกรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 - 16 มกราคม 2562
กรมสรรพากรเปิดรับสมัครผู้สําเร็จการศึกษาปริญญาตรี (สาขาทางการบัญชี) เข้ารับการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) สมัครผ่านอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ระหว่างวันที่ 1 - 16 มกราคม 2562
กรมสรรพากรจะเปิดรับสมัครทดสอบความรู้เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) ครั้งที่ 47 (1/2562) โดยผู้ประสงค์จะเข้ารับการทดสอบต้องสําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีทางการบัญชี หรือประกาศนียบัตรทางการบัญชี ผู้สนใจสามารถยื่นคําขอเข้ารับการทดสอบผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เพียงช่องทางเดียวเท่านั้นตลอด 24 ชั่วโมงไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างวันที่ 1 - 16 มกราคม 2562 โดยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 และดําเนินการทดสอบในวันที่ 9 - 10 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ จากนั้นจะประกาศผลการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากรในวันที่ 30 เมษายน 2562 ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th
หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2272 8188 ในวันและเวลาราชการ หรือที่กองมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร ชั้น 17 อาคารกรมสรรพากร เลขที่ 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมสมัครเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) กับกรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 - 16 มกราคม 2562
วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2561
เตรียมสมัครเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) กับกรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 - 16 มกราคม 2562
กรมสรรพากรเปิดรับสมัครผู้สําเร็จการศึกษาปริญญาตรี (สาขาทางการบัญชี) เข้ารับการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) สมัครผ่านอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ระหว่างวันที่ 1 - 16 มกราคม 2562
กรมสรรพากรจะเปิดรับสมัครทดสอบความรู้เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) ครั้งที่ 47 (1/2562) โดยผู้ประสงค์จะเข้ารับการทดสอบต้องสําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีทางการบัญชี หรือประกาศนียบัตรทางการบัญชี ผู้สนใจสามารถยื่นคําขอเข้ารับการทดสอบผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เพียงช่องทางเดียวเท่านั้นตลอด 24 ชั่วโมงไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างวันที่ 1 - 16 มกราคม 2562 โดยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 และดําเนินการทดสอบในวันที่ 9 - 10 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ จากนั้นจะประกาศผลการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากรในวันที่ 30 เมษายน 2562 ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th
หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2272 8188 ในวันและเวลาราชการ หรือที่กองมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร ชั้น 17 อาคารกรมสรรพากร เลขที่ 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17793
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
|
วันพุธที่ 31 ตุลาคม 2561
รมว.ทส. ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแนวทางการดําเนินงานให้แก่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยให้ถือประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติเป็นหลักในการดําเนินงาน
รมว.ทส. ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแนวทางการดําเนินงานให้แก่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยให้ถือประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติเป็นหลักในการดําเนินงาน
วันนี้ (31 ตุลาคม 2561) เวลา 09.30 น. พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแนวทางการดําเนินงานให้แก่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยโอกาสนี้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ในสังกัด เข้าร่วมรับฟังและบรรยายสรุปความก้าวหน้าการดําเนินงาน ณ ห้องประชุมลําแพน ชั้น 9 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารบี) แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
การมอบนโยบายและให้แนวทางในการดําเนินงาน สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. การบริหารจัดการพื้นที่ทรัพยากรป่าชายเลน, พื้นที่ชายฝั่งทะเล และทรัพยากรทางทะเลให้ถือประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติเป็นหลัก
2. ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นศูนย์กลางในการจัดทําองค์ความรู้ เรื่อง ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยดําเนินการร่วมกับทุกภาคส่วน
3. ให้ดําเนินการตามเป้าหมายการดําเนินงานและแผนปฏิบัติการของกรมตามที่กําหนดไว้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
วันพุธที่ 31 ตุลาคม 2561
รมว.ทส. ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแนวทางการดําเนินงานให้แก่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยให้ถือประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติเป็นหลักในการดําเนินงาน
รมว.ทส. ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแนวทางการดําเนินงานให้แก่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยให้ถือประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติเป็นหลักในการดําเนินงาน
วันนี้ (31 ตุลาคม 2561) เวลา 09.30 น. พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแนวทางการดําเนินงานให้แก่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยโอกาสนี้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ในสังกัด เข้าร่วมรับฟังและบรรยายสรุปความก้าวหน้าการดําเนินงาน ณ ห้องประชุมลําแพน ชั้น 9 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารบี) แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
การมอบนโยบายและให้แนวทางในการดําเนินงาน สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. การบริหารจัดการพื้นที่ทรัพยากรป่าชายเลน, พื้นที่ชายฝั่งทะเล และทรัพยากรทางทะเลให้ถือประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติเป็นหลัก
2. ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นศูนย์กลางในการจัดทําองค์ความรู้ เรื่อง ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยดําเนินการร่วมกับทุกภาคส่วน
3. ให้ดําเนินการตามเป้าหมายการดําเนินงานและแผนปฏิบัติการของกรมตามที่กําหนดไว้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16472
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งรัฐกาตาร์ประจำประเทศไทย
|
วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งรัฐกาตาร์ประจําประเทศไทย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งรัฐกาตาร์ประจําประเทศไทย
ในวันจันทร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น.
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ให้การต้อนรับ เชค ญัสซิม บิน อับดุลเราะฮ์มาน บิน มุฮัมมัด อาลดับดุลเราะฮ์มาน อาลษานี
(H.E. Sheikh Jassim Bin Abdulrahman Bin Mohammed Alabdulrahman Al-Thani) พร้อมคณะ
ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือข้อราชการด้านกระบวนการยุติธรรม
โดยมีประเด็นสําคัญ อาทิ
การเสนอให้ประเทศไทยพิจารณาจัดทําความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางกฎหมาย
ระหว่างไทยกับกาตาร์ และความเป็นไปได้ในการยกร่างสนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ
นอกจากนี้ ยังได้หารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศในด้านการค้าการลงทุน
พลังงาน ความมั่นคง และการท่องเที่ยว เป็นต้น
โดยมีพลตํารวจโท วรศักดิ์ นพสิทธิพร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งรัฐกาตาร์ประจำประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งรัฐกาตาร์ประจําประเทศไทย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งรัฐกาตาร์ประจําประเทศไทย
ในวันจันทร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น.
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ให้การต้อนรับ เชค ญัสซิม บิน อับดุลเราะฮ์มาน บิน มุฮัมมัด อาลดับดุลเราะฮ์มาน อาลษานี
(H.E. Sheikh Jassim Bin Abdulrahman Bin Mohammed Alabdulrahman Al-Thani) พร้อมคณะ
ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือข้อราชการด้านกระบวนการยุติธรรม
โดยมีประเด็นสําคัญ อาทิ
การเสนอให้ประเทศไทยพิจารณาจัดทําความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางกฎหมาย
ระหว่างไทยกับกาตาร์ และความเป็นไปได้ในการยกร่างสนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ
นอกจากนี้ ยังได้หารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศในด้านการค้าการลงทุน
พลังงาน ความมั่นคง และการท่องเที่ยว เป็นต้น
โดยมีพลตํารวจโท วรศักดิ์ นพสิทธิพร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11055
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. เห็นชอบมาตรการผ่อนปรนกองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๒ ช่วงโควิด-19 ตามที่วธ.เสนอ [กระทรวงวัฒนธรรม]
|
วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563
ศบค. เห็นชอบมาตรการผ่อนปรนกองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๒ ช่วงโควิด-19 ตามที่วธ.เสนอ [กระทรวงวัฒนธรรม]
ศบค. เห็นชอบมาตรการผ่อนปรนกองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๒ ช่วงโควิด-19 ตามที่วธ.เสนอ เน้นหน้าฉากไม่เกิน ๑๐ คน กองถ่ายรวมไม่เกิน ๕๐ คน งดฉากสัมผัสใกล้ชิด-เว้นระยะห่าง-จัดจุดคัดกรอง พร้อมผ่อนปรนให้เปิดพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วประเทศ
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบมาตรการผ่อนปรนมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะที่ ๒ ในส่วนกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยวธ. ได้กําหนดมาตรการผ่อนปรนกรณีผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์ วีดิทัศน์ และโทรทัศน์ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมีเนื้อหาประกอบด้วย กิจการถ่ายทําภาพยนตร์และวีดีทัศน์ ส่วนงานหน้าฉากรวมกลุ่มได้ไม่เกิน ๑๐ คน ส่วนแผนกงานอื่นรวมกลุ่มไม่เกิน ๕ คน ได้แก่ แผนกกล้อง ช่างภาพ ช่างไฟ แผนกเสียง แผนกอุปกรณ์เคลื่อนกล้อง แผนกฉากและศิลปกรรม อุปกรณ์ประกอบฉาก แผนกเสื้อผ้า/แต่งหน้าทําผม ผู้กํากับและนักแสดง แผนกจัดการกองถ่าย/แผนกจัดการสถานที่/แผนกสวัสดิการกองถ่ายให้แยกจากส่วนงานถ่ายทํา และแยกอาหารและเครื่องดื่มรายบุคคล รวมทีมงานหน้าฉากและทุกแผนกไม่เกิน ๕๐ คน
นอกจากนี้ กําหนดให้มีการลงทะเบียนทีมงานในกองถ่ายทุกคนก่อนเข้าและออกจากกองถ่ายทํา และใช้แอพพลิเคชั่นติดตามตัวทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามความเหมาะสม รวมทั้งอาจให้มีการบันทึกข้อมูลที่เป็นประวัติเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ช่วง ๑๔ วันก่อนร่วมงาน เช่น เดินทางไปในที่ชุมนุมชน ที่สาธารณะที่มีคนรวมกันจํานวนมาก ใกล้ชิดกับผู้ป่วยปอดอักเสบหรือผู้ป่วยที่มีอาการระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้แผนกงานหลังฉาก ทั้งแผนกจัดการกองถ่าย แผนกการจัดการสถานที่ แผนกสวัสดิการกองถ่าย แผนกกล้อง และช่างภาพ ช่างไฟ ช่างเสียงและอุปกรณ์เคลื่อนกล้อง แผนกฉากและศิลปกรรม อุปกรณ์ประกอบฉากแผนกเสื้อผ้า แต่งหน้าทําผม และอื่นๆ ควรจัดให้มีการแยกการทํางานให้ห่างกันอย่างชัดเจน และลดการพูดคุยหรือสัมผัสใกล้ชิด รวมทั้งเว้นการถ่ายทําฉากที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดและเข้าถึงตัว เช่น ฉากต่อสู้ ฉากแสดงความรัก โอบกอด จูบ พูดเสียงดัง ซึ่งอาจใช้เทคนิคพิเศษแทนไปก่อน
นายอิทธิพล กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังกําหนดแนวทางการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมหลักและมาตรการเสริมสําหรับพื้นถ่ายทําภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยเจ้าของ/ผู้ควบคุมกองถ่ายต้องจัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้แก่ ๑.ให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล หรือน้ํายาฆ่าเชื้อโรค รอบบริเวณพื้นที่ปฏิบัติงาน และสามารถให้บริการได้อย่างเพียงพอ ๒.จัดให้มีจุดคัดกรองอาการป่วย ไข้ ไอ จาม หรือเป็นหวัด ๓.แจ้งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ล่วงหน้าก่อนการถ่ายทํา เพื่อให้การกํากับดูแลเป็นไปตามมาตรการฯ ที่กําหนด ๔.ควรทําสัญลักษณ์การเว้นระยะห่างระหว่างกัน ๑-๒ เมตร ในบริเวณทุกจุดที่มีที่นั่ง เช่น หน้ามอนิเตอร์ ห้องพักนักแสดงและทีมงาน จุดรับประทานอาหาร ๕.จัดให้มีการระบายอากาศที่ดีขณะถ่ายทําภายในอาคาร และเลี่ยงการถ่ายทําในบริเวณที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ๖.เลือกใช้พื้นที่ถ่ายทําที่มีบริเวณกว้างเพียงพอเพื่อให้แบ่งพื้นที่ตามส่วนงานให้ชัดเจน ในอัตราส่วน ๑ คนต่อ ๑๐ ตารางเมตร แต่ละส่วนงานห่างกันอย่างน้อย ๒ เมตร และ๗.ควรจัดให้มีจุดรับประทานอาหารที่มีอากาศถ่ายเท ไม่คับแคบจนเกินไป และให้มีการจัดอาหารและเครื่องดื่มเป็นส่วนบุคคล ไม่ให้ตักอาหารในภาชนะหรือใช้อุปกรณ์ร่วมกัน
ทั้งนี้ วธ.จะร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) จัดเจ้าหน้าที่สายตรวจร่วมกับตํารวจ ทหาร ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีได้รับแจ้งเหตุจากประชาชนว่ามีการฝ่าฝืนมาตรการ และให้มีการสุ่มตรวจทุก ๒ สัปดาห์
นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมศบค. ได้มีมติเห็นชอบมาตรการผ่อนปรน ระยะที่ ๒ ในส่วนของแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมภายใต้สังกัดวธ. อาทิ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิพิธภัณฑพื้นบ้าน หอสมุดแห่งชาติ และหอศิลป์ทั่วประเทศ โดยตนได้มอบหมายให้หน่วยงานที่กํากับดูแลแหล่งเรียนรู้ดังกล่าวเตรียมความพร้อมในการเปิดให้บริการ ในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. เห็นชอบมาตรการผ่อนปรนกองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๒ ช่วงโควิด-19 ตามที่วธ.เสนอ [กระทรวงวัฒนธรรม]
วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563
ศบค. เห็นชอบมาตรการผ่อนปรนกองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๒ ช่วงโควิด-19 ตามที่วธ.เสนอ [กระทรวงวัฒนธรรม]
ศบค. เห็นชอบมาตรการผ่อนปรนกองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๒ ช่วงโควิด-19 ตามที่วธ.เสนอ เน้นหน้าฉากไม่เกิน ๑๐ คน กองถ่ายรวมไม่เกิน ๕๐ คน งดฉากสัมผัสใกล้ชิด-เว้นระยะห่าง-จัดจุดคัดกรอง พร้อมผ่อนปรนให้เปิดพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วประเทศ
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบมาตรการผ่อนปรนมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะที่ ๒ ในส่วนกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยวธ. ได้กําหนดมาตรการผ่อนปรนกรณีผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์ วีดิทัศน์ และโทรทัศน์ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมีเนื้อหาประกอบด้วย กิจการถ่ายทําภาพยนตร์และวีดีทัศน์ ส่วนงานหน้าฉากรวมกลุ่มได้ไม่เกิน ๑๐ คน ส่วนแผนกงานอื่นรวมกลุ่มไม่เกิน ๕ คน ได้แก่ แผนกกล้อง ช่างภาพ ช่างไฟ แผนกเสียง แผนกอุปกรณ์เคลื่อนกล้อง แผนกฉากและศิลปกรรม อุปกรณ์ประกอบฉาก แผนกเสื้อผ้า/แต่งหน้าทําผม ผู้กํากับและนักแสดง แผนกจัดการกองถ่าย/แผนกจัดการสถานที่/แผนกสวัสดิการกองถ่ายให้แยกจากส่วนงานถ่ายทํา และแยกอาหารและเครื่องดื่มรายบุคคล รวมทีมงานหน้าฉากและทุกแผนกไม่เกิน ๕๐ คน
นอกจากนี้ กําหนดให้มีการลงทะเบียนทีมงานในกองถ่ายทุกคนก่อนเข้าและออกจากกองถ่ายทํา และใช้แอพพลิเคชั่นติดตามตัวทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามความเหมาะสม รวมทั้งอาจให้มีการบันทึกข้อมูลที่เป็นประวัติเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ช่วง ๑๔ วันก่อนร่วมงาน เช่น เดินทางไปในที่ชุมนุมชน ที่สาธารณะที่มีคนรวมกันจํานวนมาก ใกล้ชิดกับผู้ป่วยปอดอักเสบหรือผู้ป่วยที่มีอาการระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้แผนกงานหลังฉาก ทั้งแผนกจัดการกองถ่าย แผนกการจัดการสถานที่ แผนกสวัสดิการกองถ่าย แผนกกล้อง และช่างภาพ ช่างไฟ ช่างเสียงและอุปกรณ์เคลื่อนกล้อง แผนกฉากและศิลปกรรม อุปกรณ์ประกอบฉากแผนกเสื้อผ้า แต่งหน้าทําผม และอื่นๆ ควรจัดให้มีการแยกการทํางานให้ห่างกันอย่างชัดเจน และลดการพูดคุยหรือสัมผัสใกล้ชิด รวมทั้งเว้นการถ่ายทําฉากที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดและเข้าถึงตัว เช่น ฉากต่อสู้ ฉากแสดงความรัก โอบกอด จูบ พูดเสียงดัง ซึ่งอาจใช้เทคนิคพิเศษแทนไปก่อน
นายอิทธิพล กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังกําหนดแนวทางการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมหลักและมาตรการเสริมสําหรับพื้นถ่ายทําภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยเจ้าของ/ผู้ควบคุมกองถ่ายต้องจัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้แก่ ๑.ให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล หรือน้ํายาฆ่าเชื้อโรค รอบบริเวณพื้นที่ปฏิบัติงาน และสามารถให้บริการได้อย่างเพียงพอ ๒.จัดให้มีจุดคัดกรองอาการป่วย ไข้ ไอ จาม หรือเป็นหวัด ๓.แจ้งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ล่วงหน้าก่อนการถ่ายทํา เพื่อให้การกํากับดูแลเป็นไปตามมาตรการฯ ที่กําหนด ๔.ควรทําสัญลักษณ์การเว้นระยะห่างระหว่างกัน ๑-๒ เมตร ในบริเวณทุกจุดที่มีที่นั่ง เช่น หน้ามอนิเตอร์ ห้องพักนักแสดงและทีมงาน จุดรับประทานอาหาร ๕.จัดให้มีการระบายอากาศที่ดีขณะถ่ายทําภายในอาคาร และเลี่ยงการถ่ายทําในบริเวณที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ๖.เลือกใช้พื้นที่ถ่ายทําที่มีบริเวณกว้างเพียงพอเพื่อให้แบ่งพื้นที่ตามส่วนงานให้ชัดเจน ในอัตราส่วน ๑ คนต่อ ๑๐ ตารางเมตร แต่ละส่วนงานห่างกันอย่างน้อย ๒ เมตร และ๗.ควรจัดให้มีจุดรับประทานอาหารที่มีอากาศถ่ายเท ไม่คับแคบจนเกินไป และให้มีการจัดอาหารและเครื่องดื่มเป็นส่วนบุคคล ไม่ให้ตักอาหารในภาชนะหรือใช้อุปกรณ์ร่วมกัน
ทั้งนี้ วธ.จะร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) จัดเจ้าหน้าที่สายตรวจร่วมกับตํารวจ ทหาร ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีได้รับแจ้งเหตุจากประชาชนว่ามีการฝ่าฝืนมาตรการ และให้มีการสุ่มตรวจทุก ๒ สัปดาห์
นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมศบค. ได้มีมติเห็นชอบมาตรการผ่อนปรน ระยะที่ ๒ ในส่วนของแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมภายใต้สังกัดวธ. อาทิ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิพิธภัณฑพื้นบ้าน หอสมุดแห่งชาติ และหอศิลป์ทั่วประเทศ โดยตนได้มอบหมายให้หน่วยงานที่กํากับดูแลแหล่งเรียนรู้ดังกล่าวเตรียมความพร้อมในการเปิดให้บริการ ในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30931
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดกระบี่
|
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
รมว.ทส. ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดกระบี่
รมว.ทส. ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดกระบี่
รมว.ทส. ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดกระบี่
วันที่ 15 พ.ค. 63 เวลา 17.00 น. ณ ที่ทําการอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับฟังการบรรยายสรุปผลและตรวจติดตาม Command Center, การแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้และการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อสร้างรีสอร์ทในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ, และปัญหาการปล่อยน้ําเสียลงสู่ทะเลของผู้ประกอบการโรงแรม บริเวณอ่าวต้นไทร เกาะพีพี โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ และหน่วยงานในพื้นที่ เข้าร่วมการประชุม และได้ร่วมกันปลูกต้นจิกทะเล ในโอกาสนี้ด้วย
รมว.ทส. ได้สั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการแก้ไขเรื่องการปล่อยน้ําเสียลงสู่ทะเล บริเวณอ่าวต้นไทร เกาะพีพี ทันที ทั้งนี้ รมว.ทส. จะติดตามความคืบหน้าผลการดําเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ปกท.ทส. ได้รายงานผลการประชุมหารือกับอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อธิบดีกรมป่าไม้ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เรื่องแนวทางการปลูกป่าของกระทรวงฯ ว่า การปลูกป่าต้องมีพื้นที่ที่ชัดเจน ปลูกเท่าไหร่ และต้องคอยติดตามผล โดยให้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กําหนดพื้นที่ปลูกป่า รวมทั้งเป้าหมายการปลูกป่าที่ชัดเจน และให้ประสานผู้แทนจังหวัดเป็นเจ้าภาพร่วมในการดําเนินการในแต่ละพื้นที่ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดกระบี่
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
รมว.ทส. ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดกระบี่
รมว.ทส. ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดกระบี่
รมว.ทส. ตรวจติดตามสถานการณ์ทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดกระบี่
วันที่ 15 พ.ค. 63 เวลา 17.00 น. ณ ที่ทําการอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับฟังการบรรยายสรุปผลและตรวจติดตาม Command Center, การแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้และการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อสร้างรีสอร์ทในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ, และปัญหาการปล่อยน้ําเสียลงสู่ทะเลของผู้ประกอบการโรงแรม บริเวณอ่าวต้นไทร เกาะพีพี โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ และหน่วยงานในพื้นที่ เข้าร่วมการประชุม และได้ร่วมกันปลูกต้นจิกทะเล ในโอกาสนี้ด้วย
รมว.ทส. ได้สั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการแก้ไขเรื่องการปล่อยน้ําเสียลงสู่ทะเล บริเวณอ่าวต้นไทร เกาะพีพี ทันที ทั้งนี้ รมว.ทส. จะติดตามความคืบหน้าผลการดําเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ปกท.ทส. ได้รายงานผลการประชุมหารือกับอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อธิบดีกรมป่าไม้ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เรื่องแนวทางการปลูกป่าของกระทรวงฯ ว่า การปลูกป่าต้องมีพื้นที่ที่ชัดเจน ปลูกเท่าไหร่ และต้องคอยติดตามผล โดยให้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กําหนดพื้นที่ปลูกป่า รวมทั้งเป้าหมายการปลูกป่าที่ชัดเจน และให้ประสานผู้แทนจังหวัดเป็นเจ้าภาพร่วมในการดําเนินการในแต่ละพื้นที่ต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31065
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกำหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
|
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกําหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เพื่อรับทราบความคืบหน้าผลการดําเนินงานของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศด้านการจัดการข้อมูลลูกค้า (CRM)
รวมทั้งรับทราบผลการบริหารทรัพยากรบุคคล งบประมาณ
และการบริหารจัดการคดีประนอมข้อพิพาทตามภารกิจหลักในไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๐
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๑
ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑) แผนพัฒนาระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนทั่วไป
ในด้านการระงับข้อพิพาททางเลือก เพื่อให้มีการใช้การอนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาท
ในการระงับข้อพิพาทเพิ่มมากขึ้น และ ๒) แผนพัฒนาการให้บริการ โดยมีเป้าหมาย
เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะให้จัดทํารายละเอียดของโครงการภายใต้แผนงานต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน
โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานตามภารกิจหลัก และให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ในการสร้างการรับรู้
และสร้างความเชื่อมั่นในสถาบันอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายใช้การอนุญาโตตุลาการ
และการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งเพื่อให้การบริการระงับข้อพิพาททางเลือกแก่ประชาชนทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกำหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกําหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เพื่อรับทราบความคืบหน้าผลการดําเนินงานของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศด้านการจัดการข้อมูลลูกค้า (CRM)
รวมทั้งรับทราบผลการบริหารทรัพยากรบุคคล งบประมาณ
และการบริหารจัดการคดีประนอมข้อพิพาทตามภารกิจหลักในไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๐
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๑
ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑) แผนพัฒนาระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนทั่วไป
ในด้านการระงับข้อพิพาททางเลือก เพื่อให้มีการใช้การอนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาท
ในการระงับข้อพิพาทเพิ่มมากขึ้น และ ๒) แผนพัฒนาการให้บริการ โดยมีเป้าหมาย
เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะให้จัดทํารายละเอียดของโครงการภายใต้แผนงานต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน
โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานตามภารกิจหลัก และให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ในการสร้างการรับรู้
และสร้างความเชื่อมั่นในสถาบันอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายใช้การอนุญาโตตุลาการ
และการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งเพื่อให้การบริการระงับข้อพิพาททางเลือกแก่ประชาชนทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7308
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลง “ความร่วมมือและความมั่นคงทางทะเล” (Maritime Cooperation and Security) ส่งเสริมความร่วมมือภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
|
วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561
นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลง “ความร่วมมือและความมั่นคงทางทะเล” (Maritime Cooperation and Security) ส่งเสริมความร่วมมือภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลง “ความร่วมมือและความมั่นคงทางทะเล” (Maritime Cooperation and Security) ส่งเสริมความร่วมมือภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
วันนี้ 25 มกราคม 2561 เวลา 13.50 น. ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลง ในหัวข้อ “ความร่วมมือและความมั่นคงทางทะเล” (Maritime Cooperation and Security) อย่างไม่เป็นทางการ (Retreat) ในการประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย และเป็นแขกเกียรติยศร่วมกับผู้นําอาเซียน ในงานวันสถาปนาสาธารณรัฐอินเดีย ครั้งที่ 69 ระหว่างวันที่ 25-26 มกราคม 2561 โดยพลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการหารือเรื่องความร่วมมือและความมั่นคงทางทะเลในวันนี้เป็นเรื่องที่สําคัญและเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากพื้นที่ทางทะเลมีความสําคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ทางสังคมและความมั่นคงของอาเซียน อินเดีย และโลก เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายควรให้ความสําคัญใน ประเด็น คือ (1) การส่งเสริมเสถียรภาพในพื้นที่มหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก (2) การส่งเสริมความเชื่อมโยงทางทะเลระหว่างกันและ (3) การร่วมพัฒนาเศรษฐกิจภาคทะเลเพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
อาเซียนและอินเดียตั้งอยู่ในตําแหน่งที่มีความสําคัญในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (geo-politics) ในพื้นที่มหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ความมั่นคงและมั่งคั่งของประเทศบนสองฟากฝั่งมหาสมุทรเป็นเป้าประสงค์ร่วมกันของอาเซียนและอินเดีย และของประชาคมโลก ในช่วงที่มีความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนสูงในสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาค มีความจําเป็นที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันสร้างดุลยภาพใหม่ทางยุทธศาสตร์ (Strategic New Equilibrium) ในพื้นที่อินโด-แปซิฟิก บนพื้นฐานของหลักการ 3 M คือ การไว้เนื้อเชื่อใจกัน (mutual trust) การเคารพซึ่งกันและกัน (mutual respect) และผลประโยชน์ร่วมกัน (mutual benefit) รวมทั้ง ยึดมั่นในความเป็นแกนกลางของอาเซียนในโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาค ในการนี้ ผมเห็นว่าพวกเราควรมีจุดยืนร่วมกัน เพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน หาจุดร่วม ลดจุดต่าง เร่งร่วมมือ ลดเผชิญหน้า เพื่อให้ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกเป็นพื้นที่แห่งสันติภาพ มั่นคง มั่งคั่ง มีเสถียรภาพและยั่งยืน นอกจากนี้ การส่งเสริมเสถียรภาพในพื้นที่อินโด-แปซิฟิก จะต้องยึดหลักกฎกติกาสากล โดยเฉพาะกฎหมายระหว่างประเทศ
สําหรับข้อริเริ่มใหม่ ๆ เช่น แนวคิดอินโด-แปซิฟิก ควรเกื้อกูลกับข้อริเริ่มของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น Belt and Road Initiative (BRI) เพื่อให้เกิดพลวัตในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-อินเดีย กอปรกับความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคต่าง ๆ จะเป็นตัวเชื่อมสําคัญที่จะให้เกิดการสอดประสานกันระหว่าง BRI กับแนวคิดอินโด-แปซิฟิก นอกจากนี้ ในส่วนของการต่อต้านความท้าทายรูปแบบใหม่ เช่น ปัญหาโจรสลัด อาชญากรรมไซเบอร์ การก่อการร้ายและลัทธิสุดโต่ง การเคลื่อนย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ และอาชญากรรมข้ามชาติอื่น ๆ ควรมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาที่รากเหง้าอย่างแท้จริงโดยคํานึงถึงหลักมนุษยธรรมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
สอง อาเซียนและอินเดียควรส่งเสริมความเชื่อมโยงทางทะเลระหว่างกันซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อาเซียน-อินเดียไปข้างหน้า ผมขอชื่นชมและสนับสนุนการที่อินเดียมีนโยบาย “มุ่งตะวันออก” (Act East Policy) ที่ขยายความร่วมมือทางทะเลออกไปทางตะวันออก โดยให้ความสําคัญกับระเบียงเศรษฐกิจทางทะเล เช่น ระเบียงเศรษฐกิจแม่โขง-อินเดีย (Mekong-India Economic Corridor) ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงท่าเรือเจนไนกับท่าเรือสําคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ทวายในเมียนมา อาเซียนเองก็มีแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (MPAC 2025) และระเบียงเศรษฐกิจฝั่งใต้ (Southern Economic Corridor) ซึ่งจะทําให้สามารถขนส่งสินค้าจากอินเดียไปยังเวียดนามหรือออกทะเลผ่านแหลมฉบังในประเทศไทยเพื่อไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก และจะส่งผลให้การค้าและการลงทุนของอาเซียนและอินเดียขยายตัวได้อย่างมหาศาล ดังนั้น กลไลอาเซียน-อินเดียด้านความร่วมมือทางทะเลควรพิจารณาศึกษาโอกาสขยายความร่วมมือด้านต่าง ๆ เช่น การเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือสําคัญทางภาคตะวันออกของอินเดียและภาคตะวันตกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการเชื่อมโยงการล่องเรือสําราญทางทะเล (sea cruises) ในมหาสมุทรอินเดีย เป็นต้น
ขณะเดียวกัน การขนส่งทางบกผ่านโครงการถนนสามฝ่าย (Trilateral Highway) อินเดีย เมียนมา
และไทย จําเป็นต้องเดินหน้าต่อไป โดยหวังว่าจะสําเร็จภายใน 2 ปี ซึ่งนายกรัฐมนตรีโมดีได้เสนอการจัดตั้งคณะทํางานเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงผ่านโครงการถนนสามฝ่ายนี้ และมีเจตนารมณ์ที่จะพัฒนาโครงการนี้อย่างต่อเนื่องเชื่อมโยงไปสู่เวียดนาม สปป. ลาว และกัมพูชาด้วย ในอนาคตอาจมองถึงการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามฝ่ายจากอินเดีย เมียนมา ไทยผ่านไปยังเวียดนาม
สาม เศรษฐกิจภาคทะเล (Blue Economy) จะส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งเห็นว่าควรเร่งดําเนินการในลักษณะกิจกรรมใดพร้อมให้ดําเนินการทันที (early harvest) เช่น กิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล และการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาเซียน-อินเดียอาจร่วมกับองค์การระหว่างประเทศที่มีฐานในภูมิภาคอยู่แล้ว เช่น ยูเนสโก (UNESCO) / ไอโอซี (IOC) / เวสท์แพค (WESTPAC) โดยเน้นการวิจัยและฝึกอบรมบุคลากร ในการนี้ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน (Phuket Marine Biological Center) จังหวัดภูเก็ตของไทยมีความพร้อมที่จะร่วมมือในเรื่องนี้ และสามารถพัฒนาศูนย์นี้และศูนย์อื่น ๆ ในภูมิภาคให้เป็นเครือข่ายความร่วมมือด้านการฝึกอบรมด้านการพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีกล่าวโดยสุปว่า ความร่วมมือทางทะเลเป็นเสาหลักสําคัญประการหนึ่งของหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับอินเดียและการสร้างความไว้ใจระหว่างกันทางยุทธศาสตร์ (strategic trust) ซึ่งเป็นรากฐานในการขับเคลื่อนความร่วมมือในพื้นที่ทางทะเลให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันที่เป็นรูปธรรม และนําไปสู่การเสริมสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ การพัฒนาที่ยั่งยืนและความมั่นคงทางทะเลอย่างแท้จริงระหว่างทั้งสองฟากมหาสมุทร เพื่อประโยชน์ของประชาชนของประเทศต่าง ๆ ในอินโด-แปซิฟิก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลง “ความร่วมมือและความมั่นคงทางทะเล” (Maritime Cooperation and Security) ส่งเสริมความร่วมมือภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561
นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลง “ความร่วมมือและความมั่นคงทางทะเล” (Maritime Cooperation and Security) ส่งเสริมความร่วมมือภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลง “ความร่วมมือและความมั่นคงทางทะเล” (Maritime Cooperation and Security) ส่งเสริมความร่วมมือภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
วันนี้ 25 มกราคม 2561 เวลา 13.50 น. ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลง ในหัวข้อ “ความร่วมมือและความมั่นคงทางทะเล” (Maritime Cooperation and Security) อย่างไม่เป็นทางการ (Retreat) ในการประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย และเป็นแขกเกียรติยศร่วมกับผู้นําอาเซียน ในงานวันสถาปนาสาธารณรัฐอินเดีย ครั้งที่ 69 ระหว่างวันที่ 25-26 มกราคม 2561 โดยพลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการหารือเรื่องความร่วมมือและความมั่นคงทางทะเลในวันนี้เป็นเรื่องที่สําคัญและเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากพื้นที่ทางทะเลมีความสําคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ทางสังคมและความมั่นคงของอาเซียน อินเดีย และโลก เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายควรให้ความสําคัญใน ประเด็น คือ (1) การส่งเสริมเสถียรภาพในพื้นที่มหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก (2) การส่งเสริมความเชื่อมโยงทางทะเลระหว่างกันและ (3) การร่วมพัฒนาเศรษฐกิจภาคทะเลเพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
อาเซียนและอินเดียตั้งอยู่ในตําแหน่งที่มีความสําคัญในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (geo-politics) ในพื้นที่มหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ความมั่นคงและมั่งคั่งของประเทศบนสองฟากฝั่งมหาสมุทรเป็นเป้าประสงค์ร่วมกันของอาเซียนและอินเดีย และของประชาคมโลก ในช่วงที่มีความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนสูงในสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาค มีความจําเป็นที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันสร้างดุลยภาพใหม่ทางยุทธศาสตร์ (Strategic New Equilibrium) ในพื้นที่อินโด-แปซิฟิก บนพื้นฐานของหลักการ 3 M คือ การไว้เนื้อเชื่อใจกัน (mutual trust) การเคารพซึ่งกันและกัน (mutual respect) และผลประโยชน์ร่วมกัน (mutual benefit) รวมทั้ง ยึดมั่นในความเป็นแกนกลางของอาเซียนในโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาค ในการนี้ ผมเห็นว่าพวกเราควรมีจุดยืนร่วมกัน เพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน หาจุดร่วม ลดจุดต่าง เร่งร่วมมือ ลดเผชิญหน้า เพื่อให้ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกเป็นพื้นที่แห่งสันติภาพ มั่นคง มั่งคั่ง มีเสถียรภาพและยั่งยืน นอกจากนี้ การส่งเสริมเสถียรภาพในพื้นที่อินโด-แปซิฟิก จะต้องยึดหลักกฎกติกาสากล โดยเฉพาะกฎหมายระหว่างประเทศ
สําหรับข้อริเริ่มใหม่ ๆ เช่น แนวคิดอินโด-แปซิฟิก ควรเกื้อกูลกับข้อริเริ่มของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น Belt and Road Initiative (BRI) เพื่อให้เกิดพลวัตในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-อินเดีย กอปรกับความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคต่าง ๆ จะเป็นตัวเชื่อมสําคัญที่จะให้เกิดการสอดประสานกันระหว่าง BRI กับแนวคิดอินโด-แปซิฟิก นอกจากนี้ ในส่วนของการต่อต้านความท้าทายรูปแบบใหม่ เช่น ปัญหาโจรสลัด อาชญากรรมไซเบอร์ การก่อการร้ายและลัทธิสุดโต่ง การเคลื่อนย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ และอาชญากรรมข้ามชาติอื่น ๆ ควรมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาที่รากเหง้าอย่างแท้จริงโดยคํานึงถึงหลักมนุษยธรรมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
สอง อาเซียนและอินเดียควรส่งเสริมความเชื่อมโยงทางทะเลระหว่างกันซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อาเซียน-อินเดียไปข้างหน้า ผมขอชื่นชมและสนับสนุนการที่อินเดียมีนโยบาย “มุ่งตะวันออก” (Act East Policy) ที่ขยายความร่วมมือทางทะเลออกไปทางตะวันออก โดยให้ความสําคัญกับระเบียงเศรษฐกิจทางทะเล เช่น ระเบียงเศรษฐกิจแม่โขง-อินเดีย (Mekong-India Economic Corridor) ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงท่าเรือเจนไนกับท่าเรือสําคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ทวายในเมียนมา อาเซียนเองก็มีแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (MPAC 2025) และระเบียงเศรษฐกิจฝั่งใต้ (Southern Economic Corridor) ซึ่งจะทําให้สามารถขนส่งสินค้าจากอินเดียไปยังเวียดนามหรือออกทะเลผ่านแหลมฉบังในประเทศไทยเพื่อไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก และจะส่งผลให้การค้าและการลงทุนของอาเซียนและอินเดียขยายตัวได้อย่างมหาศาล ดังนั้น กลไลอาเซียน-อินเดียด้านความร่วมมือทางทะเลควรพิจารณาศึกษาโอกาสขยายความร่วมมือด้านต่าง ๆ เช่น การเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือสําคัญทางภาคตะวันออกของอินเดียและภาคตะวันตกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการเชื่อมโยงการล่องเรือสําราญทางทะเล (sea cruises) ในมหาสมุทรอินเดีย เป็นต้น
ขณะเดียวกัน การขนส่งทางบกผ่านโครงการถนนสามฝ่าย (Trilateral Highway) อินเดีย เมียนมา
และไทย จําเป็นต้องเดินหน้าต่อไป โดยหวังว่าจะสําเร็จภายใน 2 ปี ซึ่งนายกรัฐมนตรีโมดีได้เสนอการจัดตั้งคณะทํางานเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงผ่านโครงการถนนสามฝ่ายนี้ และมีเจตนารมณ์ที่จะพัฒนาโครงการนี้อย่างต่อเนื่องเชื่อมโยงไปสู่เวียดนาม สปป. ลาว และกัมพูชาด้วย ในอนาคตอาจมองถึงการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามฝ่ายจากอินเดีย เมียนมา ไทยผ่านไปยังเวียดนาม
สาม เศรษฐกิจภาคทะเล (Blue Economy) จะส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งเห็นว่าควรเร่งดําเนินการในลักษณะกิจกรรมใดพร้อมให้ดําเนินการทันที (early harvest) เช่น กิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล และการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาเซียน-อินเดียอาจร่วมกับองค์การระหว่างประเทศที่มีฐานในภูมิภาคอยู่แล้ว เช่น ยูเนสโก (UNESCO) / ไอโอซี (IOC) / เวสท์แพค (WESTPAC) โดยเน้นการวิจัยและฝึกอบรมบุคลากร ในการนี้ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน (Phuket Marine Biological Center) จังหวัดภูเก็ตของไทยมีความพร้อมที่จะร่วมมือในเรื่องนี้ และสามารถพัฒนาศูนย์นี้และศูนย์อื่น ๆ ในภูมิภาคให้เป็นเครือข่ายความร่วมมือด้านการฝึกอบรมด้านการพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีกล่าวโดยสุปว่า ความร่วมมือทางทะเลเป็นเสาหลักสําคัญประการหนึ่งของหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับอินเดียและการสร้างความไว้ใจระหว่างกันทางยุทธศาสตร์ (strategic trust) ซึ่งเป็นรากฐานในการขับเคลื่อนความร่วมมือในพื้นที่ทางทะเลให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันที่เป็นรูปธรรม และนําไปสู่การเสริมสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ การพัฒนาที่ยั่งยืนและความมั่นคงทางทะเลอย่างแท้จริงระหว่างทั้งสองฟากมหาสมุทร เพื่อประโยชน์ของประชาชนของประเทศต่าง ๆ ในอินโด-แปซิฟิก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9635
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดแรงงาน” เผย คุณภาพชีวิตแรงงานประมงดีขึ้น
|
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
“ปลัดแรงงาน” เผย คุณภาพชีวิตแรงงานประมงดีขึ้น
ก.แรงงาน จับมือ ILO และ EU เผยผลสํารวจแรงงานประมงและอาหารทะเล 434 ตัวอย่าง
ใน 11 จังหวัดชายทะเล พบ แรงงานได้รับค่าจ้างสูงขึ้น มีสัญญาจ้างชัดเจน การจ้างแรงงานอายุน้อยกว่า 18 ปีลดลงน้อยกว่าร้อยละ 1 เชื่อเป็นผลดีต่อแรงงาน
ก.แรงงาน จับมือ ILO และ EU เผยผลสํารวจแรงงานประมงและอาหารทะเล 434 ตัวอย่างใน 11 จังหวัดชายทะเล พบ แรงงานได้รับค่าจ้างสูงขึ้น มีสัญญาจ้างชัดเจน การจ้างแรงงานอายุน้อยกว่า 18 ปีลดลงน้อยกว่าร้อยละ 1 เชื่อเป็นผลดีต่อแรงงาน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานภาคประมงและอาหารทะเลสอดคล้องมาตรฐานสากล ตามนโยบายรัฐบาล
นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ‘งานเปิดตัวข้อค้นพบจากการศึกษาเส้นฐานเกี่ยวกับแรงงานประมงและอาหารทะเลในประเทศไทย’ ในการประชุมคณะกรรมการกํากับติดตามโครงการต่อต้านรูปแบบการทํางานที่ไม่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมประมงและอาหารทะเล ครั้งที่ 6/2561 และ ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ชั้น 1 โรงแรมสุโกศล โดยการศึกษาวิจัยในครั้งนี้เป็นงานวิจัยฉบับแรกที่ทําขึ้นในประเทศไทยครอบคลุมทั้งภาคประมง และอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ํา ภายใต้กิจกรรม“โครงการสิทธิจากเรือสู่ฝั่ง”(Ship to Shore Rights Project) เกิดจากความร่วมมือระหว่าง รัฐบาลไทย โดยกระทรวงแรงงาน สหภาพยุโรป และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ที่จะป้องกันและลดรูปแบบการทํางานที่ไม่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมประมงและแปรรูปสัตว์น้ําของประเทศไทย โดยได้ดําเนินการเมื่อเดือนมีนาคม - เมษายน 2560 จากการสัมภาษณ์แรงงานประมงและเกี่ยวเนื่อง จํานวน 434 คน ใน 11 จังหวัดชายทะเล โดยการสํารวจครอบคลุมประเด็น การจัดหางาน ค่าจ้าง ชั่วโมงการทํางาน ความปลอดภัยและสุขภาพ บริการสนับสนุน กลไกร้องทุกข์ และสภาพความเป็นอยู่ เป็นต้น สาระสําคัญการศึกษาพบว่า แรงงานประมงได้รับค่าจ้างสูงขึ้น มีสัญญาจ้างที่เป็นลายลักษณ์อักษร การจ้างงานแรงงานอายุน้อยกว่า 18 ปีมีน้อยกว่าร้อยละ 1
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่า ข้อค้นพบจากการศึกษาเส้นฐานเกี่ยวกับแรงงานประมงและอาหารทะเลในประเทศไทย ที่ได้จัดทําขึ้นนี้จะเป็นประโยชน์สําหรับทุกภาคส่วนที่จะเป็นข้อมูลสําคัญในการนํามาเป็นโจทย์วิเคราะห์แก้ไขปัญหา และเป็นข้อมูลสําหรับการวัดความก้าวหน้าในการดําเนินการได้เป็นอย่างดี เพื่อนําไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานประมงและอาหารทะเลของประเทศไทย และการทํางานที่มีคุณค่า นําไปสู่การบรรลุการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบของสหประชาชาติ หรือ SDGs โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 8 การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
“งานวิจัยข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับแรงงานประมงและอาหารทะเล เป็นความมุ่งมั่นตั้งใจของทุกหุ้นส่วนภาคีในสังคม ที่จะขับเคลื่อนการดําเนินงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานในภาคประมงและอาหารทะเลให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลไทยให้ความสําคัญ” ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวในท้ายสุด
--------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/
7 มีนาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดแรงงาน” เผย คุณภาพชีวิตแรงงานประมงดีขึ้น
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
“ปลัดแรงงาน” เผย คุณภาพชีวิตแรงงานประมงดีขึ้น
ก.แรงงาน จับมือ ILO และ EU เผยผลสํารวจแรงงานประมงและอาหารทะเล 434 ตัวอย่าง
ใน 11 จังหวัดชายทะเล พบ แรงงานได้รับค่าจ้างสูงขึ้น มีสัญญาจ้างชัดเจน การจ้างแรงงานอายุน้อยกว่า 18 ปีลดลงน้อยกว่าร้อยละ 1 เชื่อเป็นผลดีต่อแรงงาน
ก.แรงงาน จับมือ ILO และ EU เผยผลสํารวจแรงงานประมงและอาหารทะเล 434 ตัวอย่างใน 11 จังหวัดชายทะเล พบ แรงงานได้รับค่าจ้างสูงขึ้น มีสัญญาจ้างชัดเจน การจ้างแรงงานอายุน้อยกว่า 18 ปีลดลงน้อยกว่าร้อยละ 1 เชื่อเป็นผลดีต่อแรงงาน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานภาคประมงและอาหารทะเลสอดคล้องมาตรฐานสากล ตามนโยบายรัฐบาล
นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ‘งานเปิดตัวข้อค้นพบจากการศึกษาเส้นฐานเกี่ยวกับแรงงานประมงและอาหารทะเลในประเทศไทย’ ในการประชุมคณะกรรมการกํากับติดตามโครงการต่อต้านรูปแบบการทํางานที่ไม่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมประมงและอาหารทะเล ครั้งที่ 6/2561 และ ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ชั้น 1 โรงแรมสุโกศล โดยการศึกษาวิจัยในครั้งนี้เป็นงานวิจัยฉบับแรกที่ทําขึ้นในประเทศไทยครอบคลุมทั้งภาคประมง และอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ํา ภายใต้กิจกรรม“โครงการสิทธิจากเรือสู่ฝั่ง”(Ship to Shore Rights Project) เกิดจากความร่วมมือระหว่าง รัฐบาลไทย โดยกระทรวงแรงงาน สหภาพยุโรป และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ที่จะป้องกันและลดรูปแบบการทํางานที่ไม่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมประมงและแปรรูปสัตว์น้ําของประเทศไทย โดยได้ดําเนินการเมื่อเดือนมีนาคม - เมษายน 2560 จากการสัมภาษณ์แรงงานประมงและเกี่ยวเนื่อง จํานวน 434 คน ใน 11 จังหวัดชายทะเล โดยการสํารวจครอบคลุมประเด็น การจัดหางาน ค่าจ้าง ชั่วโมงการทํางาน ความปลอดภัยและสุขภาพ บริการสนับสนุน กลไกร้องทุกข์ และสภาพความเป็นอยู่ เป็นต้น สาระสําคัญการศึกษาพบว่า แรงงานประมงได้รับค่าจ้างสูงขึ้น มีสัญญาจ้างที่เป็นลายลักษณ์อักษร การจ้างงานแรงงานอายุน้อยกว่า 18 ปีมีน้อยกว่าร้อยละ 1
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่า ข้อค้นพบจากการศึกษาเส้นฐานเกี่ยวกับแรงงานประมงและอาหารทะเลในประเทศไทย ที่ได้จัดทําขึ้นนี้จะเป็นประโยชน์สําหรับทุกภาคส่วนที่จะเป็นข้อมูลสําคัญในการนํามาเป็นโจทย์วิเคราะห์แก้ไขปัญหา และเป็นข้อมูลสําหรับการวัดความก้าวหน้าในการดําเนินการได้เป็นอย่างดี เพื่อนําไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานประมงและอาหารทะเลของประเทศไทย และการทํางานที่มีคุณค่า นําไปสู่การบรรลุการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบของสหประชาชาติ หรือ SDGs โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 8 การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
“งานวิจัยข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับแรงงานประมงและอาหารทะเล เป็นความมุ่งมั่นตั้งใจของทุกหุ้นส่วนภาคีในสังคม ที่จะขับเคลื่อนการดําเนินงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานในภาคประมงและอาหารทะเลให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลไทยให้ความสําคัญ” ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวในท้ายสุด
--------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/
7 มีนาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10606
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุม ASEAN Workshop on Weather Modification 2018
|
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุม ASEAN Workshop on Weather Modification 2018
กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุม ASEAN Workshop on Weather Modification 2018 เพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านการแปรสภาพอากาศ ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางของอาเซียนภายใน 10 ปี
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการประชุม “ASEAN Workshop on Weather Modification 2018” ระหว่างวันที่ 6 – 9 สิงหาคม 2561
ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ว่า ในปีนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม และการศึกษาดูงานด้านการปฏิบัติการฝนหลวง ณ ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ และศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการดัดแปรสภาพอากาศ อุตุนิยมวิทยาจากต่างประเทศ ประกอบด้วย สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เมียนมา และองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteoralogical Organization : WMO) รวมถึงผู้แทนจากหน่วยงานของไทยที่มีความร่วมมือเกี่ยวกับการดัดแปรสภาพอากาศ
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเทคโนโลยีด้านการดัดแปรสภาพอากาศระดับภูมิภาคอาเซียน อันจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถด้านการเตือนภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่อบรรเทาความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น และนําไปสู่การแลกเปลี่ยนข้อมูลของประเทศสมาชิก รวมถึงความร่วมมือด้านงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับด้านอุตุนิยมวิทยา ธรณีฟิสิกส์ การผันแปรของสภาพอากาศ มลพิษทางอากาศ และการบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในระดับภูมิภาคอาเซียนและเอเชีย ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ในการดัดแปรสภาพอากาศ การเพิ่มปริมาณน้ําฝนในพื้นที่แห้งแล้ง การสร้างความชุ่มชื้นในพื้นที่ที่มีมลภาวะจากสถานการณ์ไฟไหม้ป่า หรือการเผาไหม้ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาภัยแล้งและหมอกควันได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ด้านนายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดประชุมดังกล่าว เป็นหนึ่งในแผนปฏิบัติการภายใต้กรอบ SCMG ระยะ 10 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 2559 – 2568) ซึ่งจะมีการนําเสนอผลงานการวิจัยด้านการดัดแปรสภาพอากาศ โดยนักวิจัยของกรมฝนหลวงฯ ผู้แทนจากหน่วยงานของไทยที่มีความร่วมมือเกี่ยวกับการดัดแปรสภาพอากาศ ผู้แทนประเทศในภูมิภาคอาเซียน และองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) โดยผู้เข้าร่วมประชุมจะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการทําฝน การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการดัดแปรสภาพอากาศ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการดัดแปรสภาพอากาศในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเป็นโอกาสอันดีที่กระทรวงเกษตรฯ จะได้เผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวกับแนวพระราชดําริฝนหลวง พร้อมกับการได้สานต่องานตามศาสตร์พระราชาในต่างแดนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนําเสนอศักยภาพการปฏิบัติงานด้านการดัดแปรสภาพอากาศตามยุทธศาสตร์ 20 ปี ในการพัฒนาความเป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการดัดแปรสภาพอากาศในอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2569 และการเป็นองค์กรชั้นนําระดับโลกด้านการดัดแปรสภาพอากาศตามศาสตร์ของพระราชา ภายในปี พ.ศ. 2579 เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ําของราษฎร ซึ่งจะเป็นการน้อมนําและขับเคลื่อนพระบรมราโชบายของที่ทรงคิดค้นเทคนิคกรรมวิธีในการประยุกต์เทคโนโลยีฝนหลวงให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และฤดูกาลของแต่ละท้องถิ่นสู่การปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณฝนลงสู่พื้นที่เป้าหมายได้อย่างแม่นยํายิ่งขึ้น และเป็นองค์ประกอบสําคัญในการเติมเต็มวงจรการบริหารจัดการน้ําของประเทศให้เกิดการบูรณาการอย่างสมบูรณ์และก่อเกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนให้มากที่สุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุม ASEAN Workshop on Weather Modification 2018
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุม ASEAN Workshop on Weather Modification 2018
กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุม ASEAN Workshop on Weather Modification 2018 เพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านการแปรสภาพอากาศ ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางของอาเซียนภายใน 10 ปี
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการประชุม “ASEAN Workshop on Weather Modification 2018” ระหว่างวันที่ 6 – 9 สิงหาคม 2561
ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ว่า ในปีนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม และการศึกษาดูงานด้านการปฏิบัติการฝนหลวง ณ ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ และศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการดัดแปรสภาพอากาศ อุตุนิยมวิทยาจากต่างประเทศ ประกอบด้วย สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เมียนมา และองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteoralogical Organization : WMO) รวมถึงผู้แทนจากหน่วยงานของไทยที่มีความร่วมมือเกี่ยวกับการดัดแปรสภาพอากาศ
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเทคโนโลยีด้านการดัดแปรสภาพอากาศระดับภูมิภาคอาเซียน อันจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถด้านการเตือนภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่อบรรเทาความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น และนําไปสู่การแลกเปลี่ยนข้อมูลของประเทศสมาชิก รวมถึงความร่วมมือด้านงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับด้านอุตุนิยมวิทยา ธรณีฟิสิกส์ การผันแปรของสภาพอากาศ มลพิษทางอากาศ และการบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในระดับภูมิภาคอาเซียนและเอเชีย ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ในการดัดแปรสภาพอากาศ การเพิ่มปริมาณน้ําฝนในพื้นที่แห้งแล้ง การสร้างความชุ่มชื้นในพื้นที่ที่มีมลภาวะจากสถานการณ์ไฟไหม้ป่า หรือการเผาไหม้ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาภัยแล้งและหมอกควันได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ด้านนายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดประชุมดังกล่าว เป็นหนึ่งในแผนปฏิบัติการภายใต้กรอบ SCMG ระยะ 10 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 2559 – 2568) ซึ่งจะมีการนําเสนอผลงานการวิจัยด้านการดัดแปรสภาพอากาศ โดยนักวิจัยของกรมฝนหลวงฯ ผู้แทนจากหน่วยงานของไทยที่มีความร่วมมือเกี่ยวกับการดัดแปรสภาพอากาศ ผู้แทนประเทศในภูมิภาคอาเซียน และองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) โดยผู้เข้าร่วมประชุมจะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการทําฝน การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการดัดแปรสภาพอากาศ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการดัดแปรสภาพอากาศในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเป็นโอกาสอันดีที่กระทรวงเกษตรฯ จะได้เผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวกับแนวพระราชดําริฝนหลวง พร้อมกับการได้สานต่องานตามศาสตร์พระราชาในต่างแดนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนําเสนอศักยภาพการปฏิบัติงานด้านการดัดแปรสภาพอากาศตามยุทธศาสตร์ 20 ปี ในการพัฒนาความเป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการดัดแปรสภาพอากาศในอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2569 และการเป็นองค์กรชั้นนําระดับโลกด้านการดัดแปรสภาพอากาศตามศาสตร์ของพระราชา ภายในปี พ.ศ. 2579 เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ําของราษฎร ซึ่งจะเป็นการน้อมนําและขับเคลื่อนพระบรมราโชบายของที่ทรงคิดค้นเทคนิคกรรมวิธีในการประยุกต์เทคโนโลยีฝนหลวงให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และฤดูกาลของแต่ละท้องถิ่นสู่การปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณฝนลงสู่พื้นที่เป้าหมายได้อย่างแม่นยํายิ่งขึ้น และเป็นองค์ประกอบสําคัญในการเติมเต็มวงจรการบริหารจัดการน้ําของประเทศให้เกิดการบูรณาการอย่างสมบูรณ์และก่อเกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนให้มากที่สุด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14372
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว.จัดเต็มขนนวัตกรรมมอบของขวัญปีใหม่คนไทย
|
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563
รมว.อว.จัดเต็มขนนวัตกรรมมอบของขวัญปีใหม่คนไทย
รมว.อว.จัดเต็มขนนวัตกรรมมอบของขวัญปีใหม่คนไทย
“สุวิทย์” จัดหนักแจกของขวัญปีใหม่ให้คนไทย มอบนวัตกรรมยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยแจก10,000 คูปองรักษาแผลเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวานยากไร้ฟรีผ่าน 14 โรงพยาบาลทั่วประเทศ และให้บริการฝังรากฟันเทียมและนวัตกรรมขาเทียมสําหรับผู้พิการราคาพิเศษ ทั้งเดินหน้าติดตั้งเครื่อง DustBoy วัดฝุ่น PM2.5 ให้โรงพยาบาลและโรงเรียน 500 แห่งทั่วประเทศ พร้อมชวนเยาวชนคนไทยเรียน-เล่นเรื่องเดียวกัน กับกิจกรรมดูดาว-เที่ยวพิพิธภัณฑ์ในสังกัดฟรี
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.)เปิดเผยว่า ปีใหม่นี้กระทรวง อว.ร่วมส่งความสุขและมอบของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทย ด้วยการมอบนวัตกรรมสุดพิเศษสําหรับคนไทยและเกษตรกรไทย เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและลดความเหลื่อมล้ํา พร้อมเปิดโอกาสให้เยาวชนและคนไทยเข้าชมฟรีกับพิพิธภัณฑ์และสถาบันของหน่วยงานในสังกัด เพื่อปลูกฝังรากฐานเยาวชนไทยและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้นอกห้องเรียนอันจะเป็นการวางรากฐานในการพัฒนาประเทศ
โดยกระทรวง อว.มอบคูปอง จํานวน 10,000 ใบ เป็นของขวัญปีใหม่สําหรับผู้ป่วยเบาหวานด้วยนวัตกรรมไทยโดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ศลช. (TCELS) สําหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานที่ยากไร้และมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านโรงพยาบาลที่ให้บริการเครื่องไบโอพลาสมา 14 แห่งทั่วประเทศ (รักษาแผลเบาหวานและแผลเรื้อรัง) ได้แก่ภาคกลาง:1.โรงพยาบาลศิริราช 2.โรงพยาบาลวชิรพยาบาล 3.โรงพยาบาลรามาธิบดี 4.โรงพยาบาลบ้านเเพ้ว 5.โรงพยาบาลราชวิถี 6.โรงพยาบาลชลประทาน 7.โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 8.โรงพยาบาลสระบุรีภาคเหนือ:1.โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์แม่ฟ้าหลวง 2.โรงพยาบาลนครพิงค์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: 1.โรงพยาบาลศรีสะเกษภาคตะวันออก: 1.โรงพยาบาลวัดญาณสังวรวรารามภาคใต้: 1.โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 2. โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
บริการฝังรากฟันเทียมราคาพิเศษ จํานวน 4,000 รากโดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ศลช. (TCELS) ฝังรากฟันเทียม เพื่อช่วยเหลือคนที่ขาดโอกาส เนื่องจากปกติการรักษารากฟันมีราคาค่ารักษาค่อนข้างสูงถึงประมาณ 50,000 - 100,000 บาทต่อราก ทําให้คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ยังไม่สามารถเข้าถึงการฝังรากฟันเทียมได้ โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.tcels.or.th ได้ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2563 หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tcels.or.th
มอบนวัตกรรมขาเทียมสําหรับผู้พิการกับโครงการ “ก้าวใหม่ด้วยนวัตกรรมขาเทียม” โดยสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สําหรับผู้ที่ขาพิการให้ผู้พิการที่รอโอกาสทั่วประเทศ ผ่านทางโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทั่วประเทศได้แก่นวัตกรรมเท้าเทียมไดนามิกส์เอสเพสS - Paceผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ที่มีความทนทาน แข็งแรง มีน้ําหนักเบา ผ่านการทดสอบความแข็งแรงตามแนวทางมาตรฐานสากล ISO10328 และนวัตกรรมเบ้าอ่อนขาเทียมแบบถุงซิลิโคน (Low Cost Local Made Silicone Liner)สําหรับผู้พิการที่ถูกตัดขาระดับใต้เข่า ผลิตจากซิลิโคนชนิด room temperature vulcanizing คุณภาพแบบ Food contact material ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยให้ผู้พิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
รวมทั้งยังได้ติดตั้งเครื่องDustBoy วัดฝุ่น PM2.5 และ PM10จํานวน 500 เครื่องให้โรงพยาบาล และโรงเรียน 500 แห่ง โดย สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สําหรับเครื่องวัดข้อมูลฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศด้วยระบบเซ็นเซอร์ เชื่อมต่อข้อมูลด้วยระบบสถาปัตยกรรมเน็ตเวิร์คอัจฉริยะ ที่มีปัญหาหมอกควันสูง ใช้เป็นเครื่องมือดูแลภาคประชาชนเตรียมพร้อมล่วงหน้า และวัดมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมและรถยนต์ โดยสามารถวัดฝุ่น PM2.5 และ PM10 โดยเทคนิคการกระเจิงแสง (Light Scattering) เพื่อให้ประชาชนไทยมีการดูแลสุขภาพที่ดี
ดร.สุวิทย์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ อว. ยังได้มอบนวัตกรรมสําหรับเกษตรกรและประชาชนทั่วไป เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ําและยกระดับคุณภาพชีวิต ได้แก่ดาวน์โหลดฟรี3 แอปพลิเคชั่นสําหรับเกษตรกรไทยและคนไทยโดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้แก่1.Chaokaset (ชาวเกษตร)แอปพลิเคชั่นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทยในการวางแผนเพาะปลูก โดยจะให้คําแนะนําเกษตรกรถึงวิธีการเพาะปลูกที่ถูกต้องตามกรอบเวลา (Crop Calendar) และวิธีปฏิบัติงานในแปลงอย่างถูกต้องและเหมาะสม เช่น การบริหารจัดการน้ํา ปุ๋ย หรือยารักษาโรคพืช เพื่อให้เกษตรกรมีผลผลิตที่ดี เพิ่มรายได้ให้สูงขึ้น2.Traffy Fondueแอปพลิเคชั่นสําหรับการแจ้งและบริหารจัดการข้อร้องเรียน หรือปัญหาผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยถ่ายรูปปัญหาบอกตําแหน่งและระบุประเภท ระบบจะทําการส่งต่อปัญหาดังกล่าวไปยังเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโดยทันที และ3.Traffy Wasteแอปพลิเคชั่นระบบจัดการการเก็บขยะ อัจฉริยะบนแอปพลิเคชั่นที่ช่วยบริหารและวางแผนการจัดเก็บขยะ เช่น เส้นทางการเก็บขยะ, ระยะเวลาในการเก็บแต่ละจุดและแต่ละรอบ, จุดเก็บบ่อย และระยะเวลารอเก็บ โดยติดตั้งระบบติดตามตําแหน่งความละเอียดสูง (GNSS) ที่รถเก็บขยะ และระบบตรวจวัดปริมาณขยะที่ถังขยะ ทําให้สามารถวางแผนการจัดเก็บขยะให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถแจ้งปัญหาขยะล้นถัง และขยะเกลื่อนกลาดผ่านแอปพลิเคชั่นได้
กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เยาวชนไทย ประกอบด้วยกิจกรรมดูดาวฟรี!! กับNARIT Public Nightโดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. จัดกิจกรรมดูดาวฟรี!! ทุกคืนวันเสาร์ เวลา 18.00 - 22.00 น. สังเกตวัตถุ ท้องฟ้าที่น่าสนใจผ่านกล้องโทรทรรศน์หลากหลายชนิด สอนการใช้แผนที่ดาว แนะนําการดูดาวด้วย ตาเปล่า เรียนรู้กลุ่มดาวที่น่าสนใจ ณ หอดูดาวอุทยานดาราศาสตร์สิรินธร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่วันนี้ - พฤษภาคม 2563 พร้อมเตรียมจัดมหกรรม ดาราศาสตร์อันยิ่งใหญ่ :NARITAstroFest 2020เฉลิมฉลองเปิดบริการอุทยานดาราศาสตร์สิรินธร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ อย่างเป็นทางการ ให้ผู้ชมได้สัมผัสหลากหลายกิจกรรมดาราศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2563ชมฟรีอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ(Space inspirium)โดยสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือGISDAเรียนรู้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับจักรวาลและอวกาศ และเทคโนโลยีภูมิสาระสนเทศใกล้ตัวเราฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึง 11 มกราคม 2563
เที่ยวฟรี4 พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์โดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรี ทั้งพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์, พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา, พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และล่าสุดเปิดตัวพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า พิพิธภัณฑ์ด้านนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมแห่งใหม่ที่สมบูรณ์แห่งหนึ่งของอาเซียน ตั้งอยู่ภายในองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เทคโนธานี ถนนรังสิต - นครนายก ตําบลคลองห้า อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว.จัดเต็มขนนวัตกรรมมอบของขวัญปีใหม่คนไทย
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563
รมว.อว.จัดเต็มขนนวัตกรรมมอบของขวัญปีใหม่คนไทย
รมว.อว.จัดเต็มขนนวัตกรรมมอบของขวัญปีใหม่คนไทย
“สุวิทย์” จัดหนักแจกของขวัญปีใหม่ให้คนไทย มอบนวัตกรรมยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยแจก10,000 คูปองรักษาแผลเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวานยากไร้ฟรีผ่าน 14 โรงพยาบาลทั่วประเทศ และให้บริการฝังรากฟันเทียมและนวัตกรรมขาเทียมสําหรับผู้พิการราคาพิเศษ ทั้งเดินหน้าติดตั้งเครื่อง DustBoy วัดฝุ่น PM2.5 ให้โรงพยาบาลและโรงเรียน 500 แห่งทั่วประเทศ พร้อมชวนเยาวชนคนไทยเรียน-เล่นเรื่องเดียวกัน กับกิจกรรมดูดาว-เที่ยวพิพิธภัณฑ์ในสังกัดฟรี
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.)เปิดเผยว่า ปีใหม่นี้กระทรวง อว.ร่วมส่งความสุขและมอบของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทย ด้วยการมอบนวัตกรรมสุดพิเศษสําหรับคนไทยและเกษตรกรไทย เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและลดความเหลื่อมล้ํา พร้อมเปิดโอกาสให้เยาวชนและคนไทยเข้าชมฟรีกับพิพิธภัณฑ์และสถาบันของหน่วยงานในสังกัด เพื่อปลูกฝังรากฐานเยาวชนไทยและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้นอกห้องเรียนอันจะเป็นการวางรากฐานในการพัฒนาประเทศ
โดยกระทรวง อว.มอบคูปอง จํานวน 10,000 ใบ เป็นของขวัญปีใหม่สําหรับผู้ป่วยเบาหวานด้วยนวัตกรรมไทยโดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ศลช. (TCELS) สําหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานที่ยากไร้และมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านโรงพยาบาลที่ให้บริการเครื่องไบโอพลาสมา 14 แห่งทั่วประเทศ (รักษาแผลเบาหวานและแผลเรื้อรัง) ได้แก่ภาคกลาง:1.โรงพยาบาลศิริราช 2.โรงพยาบาลวชิรพยาบาล 3.โรงพยาบาลรามาธิบดี 4.โรงพยาบาลบ้านเเพ้ว 5.โรงพยาบาลราชวิถี 6.โรงพยาบาลชลประทาน 7.โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 8.โรงพยาบาลสระบุรีภาคเหนือ:1.โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์แม่ฟ้าหลวง 2.โรงพยาบาลนครพิงค์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: 1.โรงพยาบาลศรีสะเกษภาคตะวันออก: 1.โรงพยาบาลวัดญาณสังวรวรารามภาคใต้: 1.โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 2. โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
บริการฝังรากฟันเทียมราคาพิเศษ จํานวน 4,000 รากโดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ศลช. (TCELS) ฝังรากฟันเทียม เพื่อช่วยเหลือคนที่ขาดโอกาส เนื่องจากปกติการรักษารากฟันมีราคาค่ารักษาค่อนข้างสูงถึงประมาณ 50,000 - 100,000 บาทต่อราก ทําให้คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ยังไม่สามารถเข้าถึงการฝังรากฟันเทียมได้ โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.tcels.or.th ได้ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2563 หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tcels.or.th
มอบนวัตกรรมขาเทียมสําหรับผู้พิการกับโครงการ “ก้าวใหม่ด้วยนวัตกรรมขาเทียม” โดยสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สําหรับผู้ที่ขาพิการให้ผู้พิการที่รอโอกาสทั่วประเทศ ผ่านทางโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทั่วประเทศได้แก่นวัตกรรมเท้าเทียมไดนามิกส์เอสเพสS - Paceผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ที่มีความทนทาน แข็งแรง มีน้ําหนักเบา ผ่านการทดสอบความแข็งแรงตามแนวทางมาตรฐานสากล ISO10328 และนวัตกรรมเบ้าอ่อนขาเทียมแบบถุงซิลิโคน (Low Cost Local Made Silicone Liner)สําหรับผู้พิการที่ถูกตัดขาระดับใต้เข่า ผลิตจากซิลิโคนชนิด room temperature vulcanizing คุณภาพแบบ Food contact material ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยให้ผู้พิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
รวมทั้งยังได้ติดตั้งเครื่องDustBoy วัดฝุ่น PM2.5 และ PM10จํานวน 500 เครื่องให้โรงพยาบาล และโรงเรียน 500 แห่ง โดย สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สําหรับเครื่องวัดข้อมูลฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศด้วยระบบเซ็นเซอร์ เชื่อมต่อข้อมูลด้วยระบบสถาปัตยกรรมเน็ตเวิร์คอัจฉริยะ ที่มีปัญหาหมอกควันสูง ใช้เป็นเครื่องมือดูแลภาคประชาชนเตรียมพร้อมล่วงหน้า และวัดมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมและรถยนต์ โดยสามารถวัดฝุ่น PM2.5 และ PM10 โดยเทคนิคการกระเจิงแสง (Light Scattering) เพื่อให้ประชาชนไทยมีการดูแลสุขภาพที่ดี
ดร.สุวิทย์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ อว. ยังได้มอบนวัตกรรมสําหรับเกษตรกรและประชาชนทั่วไป เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ําและยกระดับคุณภาพชีวิต ได้แก่ดาวน์โหลดฟรี3 แอปพลิเคชั่นสําหรับเกษตรกรไทยและคนไทยโดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้แก่1.Chaokaset (ชาวเกษตร)แอปพลิเคชั่นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทยในการวางแผนเพาะปลูก โดยจะให้คําแนะนําเกษตรกรถึงวิธีการเพาะปลูกที่ถูกต้องตามกรอบเวลา (Crop Calendar) และวิธีปฏิบัติงานในแปลงอย่างถูกต้องและเหมาะสม เช่น การบริหารจัดการน้ํา ปุ๋ย หรือยารักษาโรคพืช เพื่อให้เกษตรกรมีผลผลิตที่ดี เพิ่มรายได้ให้สูงขึ้น2.Traffy Fondueแอปพลิเคชั่นสําหรับการแจ้งและบริหารจัดการข้อร้องเรียน หรือปัญหาผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยถ่ายรูปปัญหาบอกตําแหน่งและระบุประเภท ระบบจะทําการส่งต่อปัญหาดังกล่าวไปยังเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโดยทันที และ3.Traffy Wasteแอปพลิเคชั่นระบบจัดการการเก็บขยะ อัจฉริยะบนแอปพลิเคชั่นที่ช่วยบริหารและวางแผนการจัดเก็บขยะ เช่น เส้นทางการเก็บขยะ, ระยะเวลาในการเก็บแต่ละจุดและแต่ละรอบ, จุดเก็บบ่อย และระยะเวลารอเก็บ โดยติดตั้งระบบติดตามตําแหน่งความละเอียดสูง (GNSS) ที่รถเก็บขยะ และระบบตรวจวัดปริมาณขยะที่ถังขยะ ทําให้สามารถวางแผนการจัดเก็บขยะให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถแจ้งปัญหาขยะล้นถัง และขยะเกลื่อนกลาดผ่านแอปพลิเคชั่นได้
กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เยาวชนไทย ประกอบด้วยกิจกรรมดูดาวฟรี!! กับNARIT Public Nightโดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. จัดกิจกรรมดูดาวฟรี!! ทุกคืนวันเสาร์ เวลา 18.00 - 22.00 น. สังเกตวัตถุ ท้องฟ้าที่น่าสนใจผ่านกล้องโทรทรรศน์หลากหลายชนิด สอนการใช้แผนที่ดาว แนะนําการดูดาวด้วย ตาเปล่า เรียนรู้กลุ่มดาวที่น่าสนใจ ณ หอดูดาวอุทยานดาราศาสตร์สิรินธร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่วันนี้ - พฤษภาคม 2563 พร้อมเตรียมจัดมหกรรม ดาราศาสตร์อันยิ่งใหญ่ :NARITAstroFest 2020เฉลิมฉลองเปิดบริการอุทยานดาราศาสตร์สิรินธร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ อย่างเป็นทางการ ให้ผู้ชมได้สัมผัสหลากหลายกิจกรรมดาราศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2563ชมฟรีอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ(Space inspirium)โดยสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือGISDAเรียนรู้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับจักรวาลและอวกาศ และเทคโนโลยีภูมิสาระสนเทศใกล้ตัวเราฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึง 11 มกราคม 2563
เที่ยวฟรี4 พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์โดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรี ทั้งพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์, พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา, พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และล่าสุดเปิดตัวพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า พิพิธภัณฑ์ด้านนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมแห่งใหม่ที่สมบูรณ์แห่งหนึ่งของอาเซียน ตั้งอยู่ภายในองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เทคโนธานี ถนนรังสิต - นครนายก ตําบลคลองห้า อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25742
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมพร้อมรับสถานการณ์พายุปาบึก
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม 2562
สธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมพร้อมรับสถานการณ์พายุปาบึก
กระทรวงสาธารณสุขเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) ส่วนกลาง และ 16 จังหวัด เตรียมพร้อมรับสถานการณ์พายุปาบึก ป้องกันสถานบริการ และไม่กระทบบริการประชาชน เตรียมแผนรับส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลพื้นที่ชายทะเล
กระทรวงสาธารณสุขเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) ส่วนกลาง และ 16 จังหวัด เตรียมพร้อมรับสถานการณ์พายุปาบึก ป้องกันสถานบริการ และไม่กระทบบริการประชาชน เตรียมแผนรับส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลพื้นที่ชายทะเล เช่น จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎรธานี สงขลา
บ่ายวันนี้ (3 มกราคม 2562) ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข อาคาร 5 ชั้น 7 ตึกสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) ส่วนกลาง พร้อมประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอติดตามการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์พายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK) กับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพื้นที่เสี่ยง 16 จังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ชุมพร และประจวบคีรีขันธ์
นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) ส่วนกลาง เพื่อการบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน และเป็นศูนย์ประสานงาน สื่อสาร สั่งการ เชื่อมโยงหน่วยงานสาธารณสุขทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์พายุปาบึก ประสานการทํางานกับ EOC จังหวัดแต่ละจังหวัดอย่างใกล้ชิด ให้ดําเนินการตามแผนที่กําหนดไว้ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อสถานบริการ และไม่กระทบต่อการจัดบริการประชาชน
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ได้รับรายงานว่า ขณะนี้ทั้ง 16 จังหวัด ได้เปิดศูนย์ EOC จังหวัด และดําเนินการตามแผนรับมือ เช่นโรงพยาบาลเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ย้ายผู้ป่วยหนัก 2 คนไปโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เตรียมป้องกันอาคารสถานบริการ เตรียม กระสอบทราย เครื่องสูบน้ํา เคลื่อนย้ายอุปกรณ์การแพทย์ เวชภัณฑ์ไว้ในที่สูง สํารวจความแข็งแรงรั้ว ป้ายประกาศ ไฟส่องสว่าง ตัดแต่งต้นไม้ รื้อถอนสิ่งที่เป็นอันตราย เตรียมทรัพยากรสําหรับดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล เช่น ยา เวชภัณฑ์ วัสดุการแพทย์ ออกซิเจน น้ําดื่มและอาหาร เตรียมแผนรับย้ายผู้ป่วยจากโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ทะเล เช่น โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช เตรียมรับผู้ป่วยจากโรงพยาบาลขนอม โรงพยาบาลท่าศาลา โรงพยาบาลสิชล โรงพยาบาลปากพนัง โดยประสานกับทหารและป้องกันบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่ เตรียมที่พักที่ปลอดภัยสําหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนที่ประสบภัย ประสานชุมชนและอสม.ในการดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ผู้พิการ หญิงตั้งครรภ์ใกล้คลอด และผู้ที่ต้องได้รับยาประจําให้มียาเพียงพอ และเตรียมทีมเคลื่อนที่เร็วช่วยเหลือทางการแพทย์ เช่น ชุดปฏิบัติการฉุกเฉิน (EMS) ชุดปฏิบัติการแพทย์สนามฉุกเฉินในภาวะภัยพิบัติ หรือทีมเมิร์ท (MERT : Medical Emergency Response Team) ทีมมินิ-เมิร์ท (mini- MERT) ทีมฟื้นฟูเยียวยาทางสุขภาพจิต (MCATT) ทีมอนามัยสิ่งแวดล้อมไว้พร้อมแล้ว นอกจากนี้ ที่จังหวัดสงขลา ได้จัดเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจําศูนย์อพยพ เพื่อดูแลด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ป้องกันควบคุมโรค
ทั้งนี้ ได้ให้เขตสุขภาพที่ 3 – 6 เตรียมพร้อมให้การสนับสนุนจังหวัดที่ได้รับผลกระทบหากได้รับการร้องขอทันที โดยสามารถประสานงานได้ที่เบอร์ 02 590 1934 Line ID : 09 2251 1771 และE – mail : pher.moph@gmail.com
************************************* 3 มกราคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมพร้อมรับสถานการณ์พายุปาบึก
วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม 2562
สธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมพร้อมรับสถานการณ์พายุปาบึก
กระทรวงสาธารณสุขเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) ส่วนกลาง และ 16 จังหวัด เตรียมพร้อมรับสถานการณ์พายุปาบึก ป้องกันสถานบริการ และไม่กระทบบริการประชาชน เตรียมแผนรับส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลพื้นที่ชายทะเล
กระทรวงสาธารณสุขเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) ส่วนกลาง และ 16 จังหวัด เตรียมพร้อมรับสถานการณ์พายุปาบึก ป้องกันสถานบริการ และไม่กระทบบริการประชาชน เตรียมแผนรับส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลพื้นที่ชายทะเล เช่น จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎรธานี สงขลา
บ่ายวันนี้ (3 มกราคม 2562) ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข อาคาร 5 ชั้น 7 ตึกสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) ส่วนกลาง พร้อมประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอติดตามการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์พายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK) กับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพื้นที่เสี่ยง 16 จังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ชุมพร และประจวบคีรีขันธ์
นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) ส่วนกลาง เพื่อการบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน และเป็นศูนย์ประสานงาน สื่อสาร สั่งการ เชื่อมโยงหน่วยงานสาธารณสุขทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์พายุปาบึก ประสานการทํางานกับ EOC จังหวัดแต่ละจังหวัดอย่างใกล้ชิด ให้ดําเนินการตามแผนที่กําหนดไว้ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อสถานบริการ และไม่กระทบต่อการจัดบริการประชาชน
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ได้รับรายงานว่า ขณะนี้ทั้ง 16 จังหวัด ได้เปิดศูนย์ EOC จังหวัด และดําเนินการตามแผนรับมือ เช่นโรงพยาบาลเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ย้ายผู้ป่วยหนัก 2 คนไปโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เตรียมป้องกันอาคารสถานบริการ เตรียม กระสอบทราย เครื่องสูบน้ํา เคลื่อนย้ายอุปกรณ์การแพทย์ เวชภัณฑ์ไว้ในที่สูง สํารวจความแข็งแรงรั้ว ป้ายประกาศ ไฟส่องสว่าง ตัดแต่งต้นไม้ รื้อถอนสิ่งที่เป็นอันตราย เตรียมทรัพยากรสําหรับดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล เช่น ยา เวชภัณฑ์ วัสดุการแพทย์ ออกซิเจน น้ําดื่มและอาหาร เตรียมแผนรับย้ายผู้ป่วยจากโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ทะเล เช่น โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช เตรียมรับผู้ป่วยจากโรงพยาบาลขนอม โรงพยาบาลท่าศาลา โรงพยาบาลสิชล โรงพยาบาลปากพนัง โดยประสานกับทหารและป้องกันบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่ เตรียมที่พักที่ปลอดภัยสําหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนที่ประสบภัย ประสานชุมชนและอสม.ในการดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ผู้พิการ หญิงตั้งครรภ์ใกล้คลอด และผู้ที่ต้องได้รับยาประจําให้มียาเพียงพอ และเตรียมทีมเคลื่อนที่เร็วช่วยเหลือทางการแพทย์ เช่น ชุดปฏิบัติการฉุกเฉิน (EMS) ชุดปฏิบัติการแพทย์สนามฉุกเฉินในภาวะภัยพิบัติ หรือทีมเมิร์ท (MERT : Medical Emergency Response Team) ทีมมินิ-เมิร์ท (mini- MERT) ทีมฟื้นฟูเยียวยาทางสุขภาพจิต (MCATT) ทีมอนามัยสิ่งแวดล้อมไว้พร้อมแล้ว นอกจากนี้ ที่จังหวัดสงขลา ได้จัดเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจําศูนย์อพยพ เพื่อดูแลด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ป้องกันควบคุมโรค
ทั้งนี้ ได้ให้เขตสุขภาพที่ 3 – 6 เตรียมพร้อมให้การสนับสนุนจังหวัดที่ได้รับผลกระทบหากได้รับการร้องขอทันที โดยสามารถประสานงานได้ที่เบอร์ 02 590 1934 Line ID : 09 2251 1771 และE – mail : pher.moph@gmail.com
************************************* 3 มกราคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17905
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีประดับต้นดาวเรืองของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
|
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
พิธีประดับต้นดาวเรืองของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีประดับต้นดาวเรืองของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ บริเวณลานพิธีด้านนอกอาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (11 ตุลาคม 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีประดับต้นดาวเรืองของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดําเนินการปลูกและประดับตกแต่งต้นดาวเรือง บริเวณรอบกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวรายงาน และคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ บริเวณลานพิธีด้านนอกอาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีประดับต้นดาวเรืองของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
พิธีประดับต้นดาวเรืองของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีประดับต้นดาวเรืองของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ บริเวณลานพิธีด้านนอกอาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (11 ตุลาคม 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีประดับต้นดาวเรืองของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดําเนินการปลูกและประดับตกแต่งต้นดาวเรือง บริเวณรอบกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวรายงาน และคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ บริเวณลานพิธีด้านนอกอาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7322
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.และ รมว.กห.หารือทางไกล กับรมว.กห.สหรัฐอเมริกา ถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงและการแก้ปัญหา COVID-19 [กระทรวงกลาโหม]
|
วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน 2563
นรม.และ รมว.กห.หารือทางไกล กับรมว.กห.สหรัฐอเมริกา ถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงและการแก้ปัญหา COVID-19 [กระทรวงกลาโหม]
นรม.และ รมว.กห.หารือทางไกล กับรมว.กห.สหรัฐอเมริกา ถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงและการแก้ปัญหา COVID-19
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 19 มิ.ย.63, 1800 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้หารือผ่านระบบโทรศัพท์ทางไกลกับ นาย Mark T. Esper (มาร์ค เอสเปอร์) รมว.กห.สหรัฐอเมริกา ณ ทําเนียบรัฐบาล
ทั้งสองฝ่ายได้กล่าวถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงที่เข้มแข็งระหว่างกัน และความร่วมมือกันแก้ปัญหา COVID - 19 ที่ผ่านมา โดยอยู่ระหว่างพัฒนาวัคซีนร่วมกัน เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศและสังคมโลก พร้อมทั้งได้หารือร่วมกันถึง ความร่วมมือทางทหาร ด้านการฝึกศึกษาและด้านยุทโธปกรณ์ รวมทั้งการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเล และความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง เพื่อประโยชน์และความมั่นคงของภูมิภาค
นาย Mark T. Esper ได้ชื่นชมและแสดงความยินดีกับความสําเร็จของไทยในการแก้ปัญหา COVID - 19 ที่ผ่านมาและขอบคุณชุดแพทย์ทหารไทยที่ปฏิบัติงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยสหรัฐฯพร้อมสนับสนุนไทยในการพัฒนากองทัพให้มีความเข้มแข็ง และมองว่าไทยมีบทบาทสําคัญในการเชื่อมต่อการแก้ปัญหาความมั่นคงของภูมิภาคโดยเฉพาะปัญหาทะเลจีนใต้ ขณะเดียวกันสหรัฐฯยินดีเข้ามาร่วมเสริมสร้างเสถียรภาพความมั่นคงในอนุภูมิภาคแม่น้ําโขงเพื่อผลประโยชน์ของภูมิภาคโดยรวม
พล.อ.ประยุทธ์’ ได้กล่าวแสดงความขอบคุณสหรัฐฯ ที่สนับสนุนไทยแก้ปัญหา COVID - 19 ผ่านสํานักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ( USAID ) และช่วยเหลืออํานวยความสะดวกคนไทยกว่า 2,000 คนเดินทางกลับจากสหรัฐฯที่ผ่านมา ซึ่งไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาวัคซีนและพร้อมทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งขอให้กําลังใจรัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนสหรัฐฯให้สามารถผ่านความท้าทายที่ยากลําบากและกลับมาเข้มแข็งโดยเร็ว สําหรับความมั่นคงทางทะเล ไทยพร้อมดํารงบทบาทสะพานเชื่อมระหว่างคู่พิพาทในทะเลจีนใต้ และยินดีสนับสนุนสหรัฐฯเสริมสร้างความร่วมมือในอนุภูมิภาคแม่น้ําโขงอย่างสร้างสรรค์ ผ่านกลไกที่มีอยู่ร่วมกัน
...........
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.และ รมว.กห.หารือทางไกล กับรมว.กห.สหรัฐอเมริกา ถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงและการแก้ปัญหา COVID-19 [กระทรวงกลาโหม]
วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน 2563
นรม.และ รมว.กห.หารือทางไกล กับรมว.กห.สหรัฐอเมริกา ถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงและการแก้ปัญหา COVID-19 [กระทรวงกลาโหม]
นรม.และ รมว.กห.หารือทางไกล กับรมว.กห.สหรัฐอเมริกา ถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงและการแก้ปัญหา COVID-19
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 19 มิ.ย.63, 1800 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้หารือผ่านระบบโทรศัพท์ทางไกลกับ นาย Mark T. Esper (มาร์ค เอสเปอร์) รมว.กห.สหรัฐอเมริกา ณ ทําเนียบรัฐบาล
ทั้งสองฝ่ายได้กล่าวถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงที่เข้มแข็งระหว่างกัน และความร่วมมือกันแก้ปัญหา COVID - 19 ที่ผ่านมา โดยอยู่ระหว่างพัฒนาวัคซีนร่วมกัน เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศและสังคมโลก พร้อมทั้งได้หารือร่วมกันถึง ความร่วมมือทางทหาร ด้านการฝึกศึกษาและด้านยุทโธปกรณ์ รวมทั้งการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเล และความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง เพื่อประโยชน์และความมั่นคงของภูมิภาค
นาย Mark T. Esper ได้ชื่นชมและแสดงความยินดีกับความสําเร็จของไทยในการแก้ปัญหา COVID - 19 ที่ผ่านมาและขอบคุณชุดแพทย์ทหารไทยที่ปฏิบัติงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยสหรัฐฯพร้อมสนับสนุนไทยในการพัฒนากองทัพให้มีความเข้มแข็ง และมองว่าไทยมีบทบาทสําคัญในการเชื่อมต่อการแก้ปัญหาความมั่นคงของภูมิภาคโดยเฉพาะปัญหาทะเลจีนใต้ ขณะเดียวกันสหรัฐฯยินดีเข้ามาร่วมเสริมสร้างเสถียรภาพความมั่นคงในอนุภูมิภาคแม่น้ําโขงเพื่อผลประโยชน์ของภูมิภาคโดยรวม
พล.อ.ประยุทธ์’ ได้กล่าวแสดงความขอบคุณสหรัฐฯ ที่สนับสนุนไทยแก้ปัญหา COVID - 19 ผ่านสํานักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ( USAID ) และช่วยเหลืออํานวยความสะดวกคนไทยกว่า 2,000 คนเดินทางกลับจากสหรัฐฯที่ผ่านมา ซึ่งไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาวัคซีนและพร้อมทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งขอให้กําลังใจรัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนสหรัฐฯให้สามารถผ่านความท้าทายที่ยากลําบากและกลับมาเข้มแข็งโดยเร็ว สําหรับความมั่นคงทางทะเล ไทยพร้อมดํารงบทบาทสะพานเชื่อมระหว่างคู่พิพาทในทะเลจีนใต้ และยินดีสนับสนุนสหรัฐฯเสริมสร้างความร่วมมือในอนุภูมิภาคแม่น้ําโขงอย่างสร้างสรรค์ ผ่านกลไกที่มีอยู่ร่วมกัน
...........
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32567
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน 2561
เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (19 เมษายน 2561) เวลา 10.00 น. นายไฆเม บีร์กิลิโอ นัวลาร์ต ซานเชซ (H.E. Mr. Jaime Virgilio Nualart Sánchez) เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณที่เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทยปฏิบัติหน้าที่ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเม็กซิโกอย่างแข็งขันตลอดระยะเวลา 43 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งทั้งสองฝ่ายสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูง และยินดีที่จะให้ความร่วมมือระหว่างกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันต่อไป
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวยินดี และขอบคุณที่เม็กซิโกให้ความสนใจ และขอเชิญชวนให้เม็กซิโกมาลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทยแสดงความยินดีที่จะให้ความร่วมมือสนับสนุนนักลงทุนในโครงการดังกล่าว รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลตระหนักถึงศักยภาพของเม็กซิโก ในการเป็นประตูสู่อเมริกาเหนือ และลาตินอเมริกา และทั้งสองชื่นชมที่ทั้งสองประเทศเป็นคู่ค้าที่มีสําคัญต่อกัน โดยทั้งสองฝ่ายเป็นคู่ค้าลําดับต้นๆ เม็กซิโกเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคลาตินอเมริกา และไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของเม็กซิโกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทยกล่าวเชิญชวนให้ชาวไทยเดินทางไปท่องเที่ยวเม็กซิโก เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ทางด้านวัฒนธรรม และถือว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันในระดับประชาชน นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางด้านวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ
ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเม็กซิโกที่ให้การสนับสนุนการทํางานของรัฐบาลไทย และรัฐบาลยืนยันที่จะดําเนินการตาม Roadmap จัดการเลือกตั้งตามกระบวนการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน 2561
เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (19 เมษายน 2561) เวลา 10.00 น. นายไฆเม บีร์กิลิโอ นัวลาร์ต ซานเชซ (H.E. Mr. Jaime Virgilio Nualart Sánchez) เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณที่เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทยปฏิบัติหน้าที่ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเม็กซิโกอย่างแข็งขันตลอดระยะเวลา 43 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งทั้งสองฝ่ายสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูง และยินดีที่จะให้ความร่วมมือระหว่างกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันต่อไป
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวยินดี และขอบคุณที่เม็กซิโกให้ความสนใจ และขอเชิญชวนให้เม็กซิโกมาลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทยแสดงความยินดีที่จะให้ความร่วมมือสนับสนุนนักลงทุนในโครงการดังกล่าว รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลตระหนักถึงศักยภาพของเม็กซิโก ในการเป็นประตูสู่อเมริกาเหนือ และลาตินอเมริกา และทั้งสองชื่นชมที่ทั้งสองประเทศเป็นคู่ค้าที่มีสําคัญต่อกัน โดยทั้งสองฝ่ายเป็นคู่ค้าลําดับต้นๆ เม็กซิโกเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคลาตินอเมริกา และไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของเม็กซิโกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทยกล่าวเชิญชวนให้ชาวไทยเดินทางไปท่องเที่ยวเม็กซิโก เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ทางด้านวัฒนธรรม และถือว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันในระดับประชาชน นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางด้านวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ
ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเม็กซิโกที่ให้การสนับสนุนการทํางานของรัฐบาลไทย และรัฐบาลยืนยันที่จะดําเนินการตาม Roadmap จัดการเลือกตั้งตามกระบวนการ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11602
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 26 มิถุนายน 2563
|
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 26 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (ซูดาน 2 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2 ราย) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ยอดผู้ป่วยกลับบ้าน
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจําวันที่26 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (ซูดาน 2 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2 ราย) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,040 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.14 ของผู้ป่วยทั้งหมด ผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 64 ราย หรือร้อยละ 2.02 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,162 ราย
จากข้อมูลคนผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ากักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการในสถานที่รัฐจัดให้ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงปัจจุบันมีจํานวน 46,569 ราย ในจํานวนนี้พบผู้ติดเชื้อจํานวน 225 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.48
ขณะนี้ รัฐบาลได้เตรียมผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 5 ในกลุ่มธุรกิจบริการที่มีความเสี่ยงสูง เช่น สถานบันเทิง, ผับ, บาร์, อาบ อบ นวด, ร้านเกมส์, คาราโอเกะ โดยรัฐได้กําหนดมาตรการควบคุมสําหรับกิจการ/กิจกรรมที่พร้อมเปิดให้บริการเพื่อลดความเสี่ยงแพร่กระจายเชื้อ อาทิ การสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า, การจัดพื้นที่เว้นระยะห่าง, จัดจุดบริการล้างมือ, การทําความสําอาดพื้นที่ให้บริการ, ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ บางกิจกรรมต้องทําการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในพนักงานผู้ให้บริการเป็นระยะ
แม้ว่ามาตรการผ่อนคลายต่างๆ จะทําให้การใช้ชีวิตกลับมาเกือบเป็นปกติแล้ว ขอให้ประชาชนอย่าประมาท “การ์ดอย่าตก” ต้องเข้มงวดการป้องกันตัวเอง ทําให้เป็นนิสัย หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้ามีความจําเป็นที่ต้องใส่และพกติดตัวตลอดเวลา เน้นย้ําว่าการสวมเฟซชิลล์โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าร่วม ไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ หากทุกคนร่วมมือกันจะช่วยลดโอกาสการกลับมาแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกครั้ง
****************************** 26 มิถุนายน 2563
***************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 26 มิถุนายน 2563
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 26 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (ซูดาน 2 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2 ราย) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ยอดผู้ป่วยกลับบ้าน
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจําวันที่26 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (ซูดาน 2 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2 ราย) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,040 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.14 ของผู้ป่วยทั้งหมด ผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 64 ราย หรือร้อยละ 2.02 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,162 ราย
จากข้อมูลคนผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ากักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการในสถานที่รัฐจัดให้ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงปัจจุบันมีจํานวน 46,569 ราย ในจํานวนนี้พบผู้ติดเชื้อจํานวน 225 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.48
ขณะนี้ รัฐบาลได้เตรียมผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 5 ในกลุ่มธุรกิจบริการที่มีความเสี่ยงสูง เช่น สถานบันเทิง, ผับ, บาร์, อาบ อบ นวด, ร้านเกมส์, คาราโอเกะ โดยรัฐได้กําหนดมาตรการควบคุมสําหรับกิจการ/กิจกรรมที่พร้อมเปิดให้บริการเพื่อลดความเสี่ยงแพร่กระจายเชื้อ อาทิ การสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า, การจัดพื้นที่เว้นระยะห่าง, จัดจุดบริการล้างมือ, การทําความสําอาดพื้นที่ให้บริการ, ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ บางกิจกรรมต้องทําการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในพนักงานผู้ให้บริการเป็นระยะ
แม้ว่ามาตรการผ่อนคลายต่างๆ จะทําให้การใช้ชีวิตกลับมาเกือบเป็นปกติแล้ว ขอให้ประชาชนอย่าประมาท “การ์ดอย่าตก” ต้องเข้มงวดการป้องกันตัวเอง ทําให้เป็นนิสัย หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้ามีความจําเป็นที่ต้องใส่และพกติดตัวตลอดเวลา เน้นย้ําว่าการสวมเฟซชิลล์โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าร่วม ไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ หากทุกคนร่วมมือกันจะช่วยลดโอกาสการกลับมาแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกครั้ง
****************************** 26 มิถุนายน 2563
***************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32812
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. มอบบ้านพอเพียงชนบทหลังแรกของ จ.อุบลราชธานี ให้ผู้ยากไร้ ย้ำสร้างเสร็จเพียง 5 วัน และจะสร้างอีกจนครบ 213 หลัง
|
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
รมว.พม. มอบบ้านพอเพียงชนบทหลังแรกของ จ.อุบลราชธานี ให้ผู้ยากไร้ ย้ําสร้างเสร็จเพียง 5 วัน และจะสร้างอีกจนครบ 213 หลัง
รมว.พม. มอบบ้านพอเพียงชนบทหลังแรกของ จ.อุบลราชธานี ให้ผู้ยากไร้ ย้ําสร้างเสร็จเพียง 5 วัน และจะสร้างอีกจนครบ 213 หลัง
วันที่ 1 ก.พ. 63 เวลา 14.30 น. ที่ตําบลไร่ใต้ อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นําขบวนขึ้นบ้านใหม่ พร้อมมอบบ้านพอเพียงชนบทหลังแรกในจังหวัดอุบลราชธานี จากทั้งหมด 213 หลังให้แก่ครอบครัวนางหนูจันทร์ เกาะแก้ว ชาวบ้านตําบลไร่ใต้ ซึ่งมีฐานะยากจน พร้อมทั้งมอบป้ายบ้านพอเพียงชนบท ปี 2563 จํานวน 213 หลัง ให้แก่ผู้แทนขบวนองค์กรชุมชน จังหวัดอุบลราชธานี อีกทั้งมอบบ้านเพียงพอเพียงชนบท งบประมาณซ่อมแซมบ้านผู้สูงอายุและคนพิการ งบประมาณการปรับสภาพแวดล้อมบ้านผู้สูงอายุ ส่งความสุข ลดทุกข์ปรับโถ (ซ่อมแซมห้องสุขา) และเงินสงเคราะห์
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวง พม. โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช.ได้สนับสนุนเงินซ่อมแซมบ้าน 19,000 บาท ให้ครอบครัวนางหนูจันทร์ ซึ่งสภาพบ้านทรุดโทรมและไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย แต่ไม่พอซื้อวัสดุอุปกรณ์ จึงขอความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ได้เงินบริจาคอีก 9,000 บาท รวมทั้ง ได้ช่างฝีมือจากทหารเพียง 4 นายของมณฑลทหารบกที่ 22 จังหวัดอุบลราชธานี ช่วยกันสร้างบ้านใหม่ขนาด 4X6 ตารางเมตร เป็นปูนและไม้ ก่อด้วยอิฐบล็อค พร้อมห้องน้ํานอกบ้าน จนเสร็จสมบูรณ์และเข้าอยู่ได้ในวันนี้ ภายในเวลาเพียง 5 วัน ด้วยเงินสร้างบ้านใหม่เพียง 28,000 บาท นับว่าเป็นการสร้างฝันให้เป็นจริงสําหรับผู้ยากไร้ ซึ่งต่อไป จะสร้างให้ครบ 213 หลังทั้งจังหวัดอุบลราชธานี
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับปี 2563 กระทรวง พม. โดย พอช. มีเป้าหมายในการดําเนินโครงการ บ้านพอเพียงชนบท จํานวน 11,500 ครัวเรือนด้วยการสนับสนุนงบประมาณให้ครัวเรือนหนึ่งไม่เกิน 19,000 บาท สําหรับการซ่อมแซมบ้านเรือนของครอบครัวที่มีรายได้น้อยและมีฐานะยากจนทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างดําเนินการในทุกภูมิภาค แบ่งออกเป็น 1) ภาคเหนือ 2,200 ครัวเรือน 2) ภาคอีสาน 2,700 ครัวเรือน 3) ภาคกลางและตะวันตก 2,200 ครัวเรือน 4) กรุงเทพฯ ปริมณฑล และตะวันออก 2,200 ครัวเรือน และ 5) ภาคใต้ 2,200 ครัวเรือน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. มอบบ้านพอเพียงชนบทหลังแรกของ จ.อุบลราชธานี ให้ผู้ยากไร้ ย้ำสร้างเสร็จเพียง 5 วัน และจะสร้างอีกจนครบ 213 หลัง
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
รมว.พม. มอบบ้านพอเพียงชนบทหลังแรกของ จ.อุบลราชธานี ให้ผู้ยากไร้ ย้ําสร้างเสร็จเพียง 5 วัน และจะสร้างอีกจนครบ 213 หลัง
รมว.พม. มอบบ้านพอเพียงชนบทหลังแรกของ จ.อุบลราชธานี ให้ผู้ยากไร้ ย้ําสร้างเสร็จเพียง 5 วัน และจะสร้างอีกจนครบ 213 หลัง
วันที่ 1 ก.พ. 63 เวลา 14.30 น. ที่ตําบลไร่ใต้ อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นําขบวนขึ้นบ้านใหม่ พร้อมมอบบ้านพอเพียงชนบทหลังแรกในจังหวัดอุบลราชธานี จากทั้งหมด 213 หลังให้แก่ครอบครัวนางหนูจันทร์ เกาะแก้ว ชาวบ้านตําบลไร่ใต้ ซึ่งมีฐานะยากจน พร้อมทั้งมอบป้ายบ้านพอเพียงชนบท ปี 2563 จํานวน 213 หลัง ให้แก่ผู้แทนขบวนองค์กรชุมชน จังหวัดอุบลราชธานี อีกทั้งมอบบ้านเพียงพอเพียงชนบท งบประมาณซ่อมแซมบ้านผู้สูงอายุและคนพิการ งบประมาณการปรับสภาพแวดล้อมบ้านผู้สูงอายุ ส่งความสุข ลดทุกข์ปรับโถ (ซ่อมแซมห้องสุขา) และเงินสงเคราะห์
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวง พม. โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช.ได้สนับสนุนเงินซ่อมแซมบ้าน 19,000 บาท ให้ครอบครัวนางหนูจันทร์ ซึ่งสภาพบ้านทรุดโทรมและไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย แต่ไม่พอซื้อวัสดุอุปกรณ์ จึงขอความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ได้เงินบริจาคอีก 9,000 บาท รวมทั้ง ได้ช่างฝีมือจากทหารเพียง 4 นายของมณฑลทหารบกที่ 22 จังหวัดอุบลราชธานี ช่วยกันสร้างบ้านใหม่ขนาด 4X6 ตารางเมตร เป็นปูนและไม้ ก่อด้วยอิฐบล็อค พร้อมห้องน้ํานอกบ้าน จนเสร็จสมบูรณ์และเข้าอยู่ได้ในวันนี้ ภายในเวลาเพียง 5 วัน ด้วยเงินสร้างบ้านใหม่เพียง 28,000 บาท นับว่าเป็นการสร้างฝันให้เป็นจริงสําหรับผู้ยากไร้ ซึ่งต่อไป จะสร้างให้ครบ 213 หลังทั้งจังหวัดอุบลราชธานี
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับปี 2563 กระทรวง พม. โดย พอช. มีเป้าหมายในการดําเนินโครงการ บ้านพอเพียงชนบท จํานวน 11,500 ครัวเรือนด้วยการสนับสนุนงบประมาณให้ครัวเรือนหนึ่งไม่เกิน 19,000 บาท สําหรับการซ่อมแซมบ้านเรือนของครอบครัวที่มีรายได้น้อยและมีฐานะยากจนทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างดําเนินการในทุกภูมิภาค แบ่งออกเป็น 1) ภาคเหนือ 2,200 ครัวเรือน 2) ภาคอีสาน 2,700 ครัวเรือน 3) ภาคกลางและตะวันตก 2,200 ครัวเรือน 4) กรุงเทพฯ ปริมณฑล และตะวันออก 2,200 ครัวเรือน และ 5) ภาคใต้ 2,200 ครัวเรือน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26258
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 จำนวน 79,149 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42 ของเป้าหมายทั้งปี
|
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563
สคร. จัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดิน 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 จํานวน 79,149 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42 ของเป้าหมายทั้งปี
ในเดือน ม.ค.2563 สคร.จัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ํากว่าร้อยละ 50 จํานวน 6,762 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 106 ของประมาณการ
สคร. จัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดิน 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 จํานวน 79,149 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42 ของเป้าหมายทั้งปี
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในเดือนมกราคม 2563 สคร. จัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ํากว่าร้อยละ 50 จํานวน 6,762 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 106 ของประมาณการ ส่งผลให้มีเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสม ณ สิ้นเดือนมกราคม 2563 ปีงบประมาณ 2563 จํานวน 79,149 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 109 ของประมาณการเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสม หรือคิดเป็นร้อยละ 42 ของเป้าหมายทั้งปี (เดือนตุลาคม 2562 – เดือนกันยายน 2563) จํานวน 188,800 ล้านบาท
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านการประเมินผลรัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐวิสาหกิจที่นําส่งรายได้แผ่นดินสะสมสูงสุด 10 อันดับแรก ณ สิ้นเดือนมกราคม 2563 นําส่งรายได้แผ่นดิน คิดเป็นร้อยละ 96 ของเงินนําส่งรายได้ทั้งหมด โดยสรุปได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
ลําดับที่ รัฐวิสาหกิจ เงินนําส่งรายได้แผ่นดิน
1 สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 18,717
2 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 18,301
3 บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 13,139
4 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 5,733
5 ธนาคารออมสิน 5,409
6 บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) 3,891
7 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 3,839
8 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 2,414
9 การไฟฟ้านครหลวง 2,350
10 การท่าเรือแห่งประเทศไทย 2,100
11 อื่นๆ 3,256
รวม 79,149
สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สํานักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจ
โทร. 0 2298 5880-7 ต่อ 3157
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 จำนวน 79,149 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42 ของเป้าหมายทั้งปี
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563
สคร. จัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดิน 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 จํานวน 79,149 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42 ของเป้าหมายทั้งปี
ในเดือน ม.ค.2563 สคร.จัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ํากว่าร้อยละ 50 จํานวน 6,762 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 106 ของประมาณการ
สคร. จัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดิน 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 จํานวน 79,149 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42 ของเป้าหมายทั้งปี
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในเดือนมกราคม 2563 สคร. จัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ํากว่าร้อยละ 50 จํานวน 6,762 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 106 ของประมาณการ ส่งผลให้มีเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสม ณ สิ้นเดือนมกราคม 2563 ปีงบประมาณ 2563 จํานวน 79,149 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 109 ของประมาณการเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสม หรือคิดเป็นร้อยละ 42 ของเป้าหมายทั้งปี (เดือนตุลาคม 2562 – เดือนกันยายน 2563) จํานวน 188,800 ล้านบาท
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านการประเมินผลรัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐวิสาหกิจที่นําส่งรายได้แผ่นดินสะสมสูงสุด 10 อันดับแรก ณ สิ้นเดือนมกราคม 2563 นําส่งรายได้แผ่นดิน คิดเป็นร้อยละ 96 ของเงินนําส่งรายได้ทั้งหมด โดยสรุปได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
ลําดับที่ รัฐวิสาหกิจ เงินนําส่งรายได้แผ่นดิน
1 สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 18,717
2 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 18,301
3 บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 13,139
4 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 5,733
5 ธนาคารออมสิน 5,409
6 บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) 3,891
7 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 3,839
8 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 2,414
9 การไฟฟ้านครหลวง 2,350
10 การท่าเรือแห่งประเทศไทย 2,100
11 อื่นๆ 3,256
รวม 79,149
สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สํานักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจ
โทร. 0 2298 5880-7 ต่อ 3157
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26452
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ดัน โรงงานยานยนต์สัญชาติไทย สู่ผู้ประกอบการศักยภาพผลิตรถ EV ตอบโจทย์ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอีก 5 ปี
|
วันอังคารที่ 17 มีนาคม 2563
ก.อุตฯ ดัน โรงงานยานยนต์สัญชาติไทย สู่ผู้ประกอบการศักยภาพผลิตรถ EV ตอบโจทย์ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอีก 5 ปี
กระทรวงอุตสาหกรรม ดัน โรงงานยานยนต์สัญชาติไทย สู่ผู้ประกอบการศักยภาพผลิตรถ EV ตอบโจทย์ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอีก 5 ปี
(16 มีนาคม 2563) กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้าต่อผลักดันแผน Roadmap การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย เร่งให้เกิดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ตรงตามเป้าหมาย ให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 30% ในปี 2030 โดยลงพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี เยี่ยมชมผู้ประกอบการศักยภาพที่พร้อม ตอบโจทย์การผลิตยานยนต์-ชิ้นส่วนรถ EV ตอบโจทย์นโยบายภาครัฐ เพื่อการแก้ปัญหามลพิษอย่างยั่งยืน
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1-1/2563 ซึ่งมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ดําเนินงานขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้ประเทศไทยเกิดการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายใน 5 ปี และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงานและกระทรวงคมนาคม ร่วมกันพิจารณาดําเนินการให้เกิดอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ประกอบด้วย รถยนต์ จักรยานยนต์ และรถบัสสาธารณะ เพื่อเชื่อมโยงระบบคมนาคม สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และลดปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรม
กระทรวงฯ จึงได้ลงพื้นที่ติดตามตรวจเยี่ยม บริษัท โชคนําชัยแมชชีนนิ่ง จํากัด จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นผู้ผลิตและประกอบยานพาหนะต่าง ๆ อาทิ รถยนต์ รถบัส และเรือ สัญชาติไทยรายใหญ่ของประเทศ โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในเชิงวิศวกรรม มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยมีกําลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย รถมินิบัส จํานวน 2,880 คัน / ปี เรือตรวจการณ์ จํานวน 70 ลํา / ปี เรือขนาดใหญ่ 16-20 เมตร จํานวน 30 ลํา / ปี เรือท้องแบน จํานวน 1,500 ลํา / ปี และแม่พิมพ์ชิ้นส่วนรถยนต์ 320 ชิ้น / ปี ซึ่งนับว่าเป็นสถานประกอบการที่มีศักยภาพความพร้อม สามารถต่อยอดในการผลิตชิ้นส่วนและการประกอบยานยนต์ ไฟฟ้าได้
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะได้เตรียมความพร้อมทั้งในส่วนของอุปสงค์ (ความต้องการใช้) และอุปทาน (ผู้ผลิต) เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการเชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วน และอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องในยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงผลักดันผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ เพื่อเร่งให้เกิดการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยโดยเร็ว สอดรับกับเป้าหมายในปี 2030 มุ่งให้ประเทศไทยมีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณการผลิตยานยนต์ทั้งหมด โดยแผนระยะสั้น (ปี 2020-2022) จะมีการขับเคลื่อนรถราชการ รถบัสสาธารณะ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารับจ้างสาธารณะ และรถส่วนบุคคลอื่น ๆ ประมาณ 60,000 - 110,000 คัน แผนระยะกลาง (ปี 2021-2025) เร่งให้มีรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด ECO EV และ Smart City Bus ประมาณ 250,000 คัน และแผนระยะยาวในปี 2030 จะมียานยนต์ไฟฟ้า 750,000 คัน
นอกจากนี้ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ได้เปิดให้มีการส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน รวมทั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า เพื่อเป็นการผลักดันให้ผู้ประกอบการสามารถต่อยอดการพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวทิ้งท้ายว่า การวางรากฐานให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ จะเป็นทางออกของการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ รวมถึงการแก้ปัญหามลพิษที่มีศักยภาพ ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตการจัดการปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 จะสัมฤทธิ์ผลได้อย่างยั่งยืน
--------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ดัน โรงงานยานยนต์สัญชาติไทย สู่ผู้ประกอบการศักยภาพผลิตรถ EV ตอบโจทย์ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอีก 5 ปี
วันอังคารที่ 17 มีนาคม 2563
ก.อุตฯ ดัน โรงงานยานยนต์สัญชาติไทย สู่ผู้ประกอบการศักยภาพผลิตรถ EV ตอบโจทย์ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอีก 5 ปี
กระทรวงอุตสาหกรรม ดัน โรงงานยานยนต์สัญชาติไทย สู่ผู้ประกอบการศักยภาพผลิตรถ EV ตอบโจทย์ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอีก 5 ปี
(16 มีนาคม 2563) กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้าต่อผลักดันแผน Roadmap การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย เร่งให้เกิดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ตรงตามเป้าหมาย ให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 30% ในปี 2030 โดยลงพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี เยี่ยมชมผู้ประกอบการศักยภาพที่พร้อม ตอบโจทย์การผลิตยานยนต์-ชิ้นส่วนรถ EV ตอบโจทย์นโยบายภาครัฐ เพื่อการแก้ปัญหามลพิษอย่างยั่งยืน
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1-1/2563 ซึ่งมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ดําเนินงานขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้ประเทศไทยเกิดการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายใน 5 ปี และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงานและกระทรวงคมนาคม ร่วมกันพิจารณาดําเนินการให้เกิดอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ประกอบด้วย รถยนต์ จักรยานยนต์ และรถบัสสาธารณะ เพื่อเชื่อมโยงระบบคมนาคม สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และลดปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรม
กระทรวงฯ จึงได้ลงพื้นที่ติดตามตรวจเยี่ยม บริษัท โชคนําชัยแมชชีนนิ่ง จํากัด จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นผู้ผลิตและประกอบยานพาหนะต่าง ๆ อาทิ รถยนต์ รถบัส และเรือ สัญชาติไทยรายใหญ่ของประเทศ โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในเชิงวิศวกรรม มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยมีกําลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย รถมินิบัส จํานวน 2,880 คัน / ปี เรือตรวจการณ์ จํานวน 70 ลํา / ปี เรือขนาดใหญ่ 16-20 เมตร จํานวน 30 ลํา / ปี เรือท้องแบน จํานวน 1,500 ลํา / ปี และแม่พิมพ์ชิ้นส่วนรถยนต์ 320 ชิ้น / ปี ซึ่งนับว่าเป็นสถานประกอบการที่มีศักยภาพความพร้อม สามารถต่อยอดในการผลิตชิ้นส่วนและการประกอบยานยนต์ ไฟฟ้าได้
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะได้เตรียมความพร้อมทั้งในส่วนของอุปสงค์ (ความต้องการใช้) และอุปทาน (ผู้ผลิต) เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการเชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วน และอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องในยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงผลักดันผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ เพื่อเร่งให้เกิดการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยโดยเร็ว สอดรับกับเป้าหมายในปี 2030 มุ่งให้ประเทศไทยมีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณการผลิตยานยนต์ทั้งหมด โดยแผนระยะสั้น (ปี 2020-2022) จะมีการขับเคลื่อนรถราชการ รถบัสสาธารณะ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารับจ้างสาธารณะ และรถส่วนบุคคลอื่น ๆ ประมาณ 60,000 - 110,000 คัน แผนระยะกลาง (ปี 2021-2025) เร่งให้มีรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด ECO EV และ Smart City Bus ประมาณ 250,000 คัน และแผนระยะยาวในปี 2030 จะมียานยนต์ไฟฟ้า 750,000 คัน
นอกจากนี้ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ได้เปิดให้มีการส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน รวมทั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า เพื่อเป็นการผลักดันให้ผู้ประกอบการสามารถต่อยอดการพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวทิ้งท้ายว่า การวางรากฐานให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ จะเป็นทางออกของการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ รวมถึงการแก้ปัญหามลพิษที่มีศักยภาพ ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตการจัดการปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 จะสัมฤทธิ์ผลได้อย่างยั่งยืน
--------------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27398
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสระแก้วตรวจราชการประจำปี 2562 จ.สระแก้ว
|
วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2562
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสระแก้วตรวจราชการประจําปี 2562 จ.สระแก้ว
นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสระแก้วตรวจราชการประจําปี 2562 รอบที่ 1
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2562 นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสระแก้วตรวจราชการประจําปี 2562 รอบที่ 1 โดยมีนายชวลิต ชัยนิวัฒนา อุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว ให้การต้อนรับและรายงานผลการดําเนินงานตามประเด็นการตรวจราชการ ได้แก่ การส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการขนาดเล็ก การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย การร่วมกับหน่วยงานอื่นตรวจสอบโรงงานเพื่อการเฝ้าระวังปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และได้เดินทางไปเยี่ยมชมการประกอบกิจการโรงงานของบริษัท โปรเฟสชั่นแนล เวสต์ เทคโนโลยี (1999) จํากัด (มหาชน) อําเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว ประกอบกิจการฝังกลบกากของเสียอุตสาหกรรมประเภทอันตรายและไม่อันตราย
ทั้งนี้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กําชับให้โรงงานประกอบกิจการด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะในส่วนของน้ําชะขยะที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในช่วงฤดูฝน จากนั้นได้เดินทางลงพื้นที่บริเวณเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้วที่มีพื้นที่ขนาดประมาณ 660 ไร่ มีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลัก รวมทั้งธุรกิจขนส่งและคลังสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อสู่ประเทศกัมพูชาได้ คาดว่าการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ จะแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2562 นี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสระแก้วตรวจราชการประจำปี 2562 จ.สระแก้ว
วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2562
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสระแก้วตรวจราชการประจําปี 2562 จ.สระแก้ว
นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสระแก้วตรวจราชการประจําปี 2562 รอบที่ 1
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2562 นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสระแก้วตรวจราชการประจําปี 2562 รอบที่ 1 โดยมีนายชวลิต ชัยนิวัฒนา อุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว ให้การต้อนรับและรายงานผลการดําเนินงานตามประเด็นการตรวจราชการ ได้แก่ การส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการขนาดเล็ก การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย การร่วมกับหน่วยงานอื่นตรวจสอบโรงงานเพื่อการเฝ้าระวังปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และได้เดินทางไปเยี่ยมชมการประกอบกิจการโรงงานของบริษัท โปรเฟสชั่นแนล เวสต์ เทคโนโลยี (1999) จํากัด (มหาชน) อําเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว ประกอบกิจการฝังกลบกากของเสียอุตสาหกรรมประเภทอันตรายและไม่อันตราย
ทั้งนี้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กําชับให้โรงงานประกอบกิจการด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะในส่วนของน้ําชะขยะที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในช่วงฤดูฝน จากนั้นได้เดินทางลงพื้นที่บริเวณเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้วที่มีพื้นที่ขนาดประมาณ 660 ไร่ มีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลัก รวมทั้งธุรกิจขนส่งและคลังสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อสู่ประเทศกัมพูชาได้ คาดว่าการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ จะแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2562 นี้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19120
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเห็นชอบจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 และตรวจราชการระหว่างวันที่ 29 – 30 ตุลาคม 2561 ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1
|
วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเห็นชอบจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 และตรวจราชการระหว่างวันที่ 29 – 30 ตุลาคม 2561 ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1
นายกรัฐมนตรีเห็นชอบจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ และตรวจราชการระหว่างวันที่ 29 – 30 ต.ค 2561 ในพื้นกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 พร้อมชวนคนไทยรักษาเอกลักษณ์ที่เป็นเสน่ห์ของคนไทยทั้งสถานที่สวยงาม อาหารอร่อย และรอยยิ้มของคนไทย
วันนี้ ( 10 ต.ค. 61 ) เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า ก่อนการเริ่มการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีชวนคนไทยรักษาเอกลักษณ์ที่เป็นเสน่ห์ของคนไทยทั้งสถานที่สวยงาม อาหารอร่อย และ รอยยิ้มของคนไทย
พร้อมได้กล่าวแก่คณะรัฐมนตรีก่อนเริ่มการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ประเทศไทยยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ เพราะประเทศไทยมีความโดดเด่น 3 ประการได้แก่ ธรรมชาติที่สวยงาม อาหารอร่อย และรอยยิ้มของคนไทย ที่สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปีหน้าที่ไทยจะดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน คนไทยจะต้องมีความรอบรู้มากยิ่งขึ้น เพราะโลกข้างหน้าเป็นโลกยุคไร้รอยต่อที่สามารถสื่อสารได้ถึงกัน
นอกจากนี้ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ได้รายงานแก่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเรื่องการบริหารจัดการน้ํา จากการตรวจเยี่ยมแหล่งเก็บกักน้ําที่สําคัญทั่วประเทศ พบว่า มี แหล่งเก็บกักน้ํา 6 แห่ง ได้แก่ ภาคเหนือ ได้แก่ เขื่อนแม่กวงอุดมธารา เขื่อนแม่มอก ภาคตะวันออเฉียงเหนือ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนลํานางรองภาคกลาง ได้แก่ เขื่อนกระเสียว และเขื่อนทับสะเสลา มีระดับน้ําที่เก็บกักต่ํากว่าร้อยละ 50 เมื่อฤดูฝนสิ้นสุดลงแล้ว หน่วยงานท้ายน้ํารวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการวางแผนการใช้น้ําให้เหมาะสม หากในปีหน้าฝนไม่ตกตามฤดูกาล อาจจะทําให้ประสบปัญหาได้
ด้าน พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 ว่า จากเดิมที่จะมีการเลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในเดือนตุลาคมจากวันอังคารที่ 30 ตุลาคม 25561 เป็นวันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561 นั้น ได้มีการปรับเปลี่ยนภารกิจของนายกรัฐมนตรี ทําให้วันจันทร์ที่ 29 และวันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561 ได้ปรับเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่แทนการประชุมคณะรัฐมนตรีตามปกติดังกล่าว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มีบัญชาเห็นชอบจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 และตรวจราชการระหว่างวันที่ 29 – 30 ตุลาคม 2561 ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 (เชียงราย น่าน พะเยา และ แพร่) โดยนายกรัฐมนตรีจะตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดพะเยา จังหวัดเชียงราย และจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ในวันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561 ณ จังหวัดเชียงราย
สําหรับกําหนดการและรายละเอียดของการประชุมฯ ขณะนี้คณะล่วงหน้ากําลังดําเนินการสํารวจพื้นที่ โดยหากรายละเอียดดังกล่าวมีความชัดเจนแล้วจะแจ้งให้สื่อมวลชนรับทราบในโอกาสต่อไป
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเห็นชอบจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 และตรวจราชการระหว่างวันที่ 29 – 30 ตุลาคม 2561 ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1
วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเห็นชอบจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 และตรวจราชการระหว่างวันที่ 29 – 30 ตุลาคม 2561 ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1
นายกรัฐมนตรีเห็นชอบจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ และตรวจราชการระหว่างวันที่ 29 – 30 ต.ค 2561 ในพื้นกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 พร้อมชวนคนไทยรักษาเอกลักษณ์ที่เป็นเสน่ห์ของคนไทยทั้งสถานที่สวยงาม อาหารอร่อย และรอยยิ้มของคนไทย
วันนี้ ( 10 ต.ค. 61 ) เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า ก่อนการเริ่มการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีชวนคนไทยรักษาเอกลักษณ์ที่เป็นเสน่ห์ของคนไทยทั้งสถานที่สวยงาม อาหารอร่อย และ รอยยิ้มของคนไทย
พร้อมได้กล่าวแก่คณะรัฐมนตรีก่อนเริ่มการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ประเทศไทยยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ เพราะประเทศไทยมีความโดดเด่น 3 ประการได้แก่ ธรรมชาติที่สวยงาม อาหารอร่อย และรอยยิ้มของคนไทย ที่สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปีหน้าที่ไทยจะดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน คนไทยจะต้องมีความรอบรู้มากยิ่งขึ้น เพราะโลกข้างหน้าเป็นโลกยุคไร้รอยต่อที่สามารถสื่อสารได้ถึงกัน
นอกจากนี้ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ได้รายงานแก่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเรื่องการบริหารจัดการน้ํา จากการตรวจเยี่ยมแหล่งเก็บกักน้ําที่สําคัญทั่วประเทศ พบว่า มี แหล่งเก็บกักน้ํา 6 แห่ง ได้แก่ ภาคเหนือ ได้แก่ เขื่อนแม่กวงอุดมธารา เขื่อนแม่มอก ภาคตะวันออเฉียงเหนือ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนลํานางรองภาคกลาง ได้แก่ เขื่อนกระเสียว และเขื่อนทับสะเสลา มีระดับน้ําที่เก็บกักต่ํากว่าร้อยละ 50 เมื่อฤดูฝนสิ้นสุดลงแล้ว หน่วยงานท้ายน้ํารวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการวางแผนการใช้น้ําให้เหมาะสม หากในปีหน้าฝนไม่ตกตามฤดูกาล อาจจะทําให้ประสบปัญหาได้
ด้าน พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 ว่า จากเดิมที่จะมีการเลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในเดือนตุลาคมจากวันอังคารที่ 30 ตุลาคม 25561 เป็นวันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561 นั้น ได้มีการปรับเปลี่ยนภารกิจของนายกรัฐมนตรี ทําให้วันจันทร์ที่ 29 และวันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561 ได้ปรับเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่แทนการประชุมคณะรัฐมนตรีตามปกติดังกล่าว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มีบัญชาเห็นชอบจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 และตรวจราชการระหว่างวันที่ 29 – 30 ตุลาคม 2561 ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 (เชียงราย น่าน พะเยา และ แพร่) โดยนายกรัฐมนตรีจะตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดพะเยา จังหวัดเชียงราย และจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ในวันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561 ณ จังหวัดเชียงราย
สําหรับกําหนดการและรายละเอียดของการประชุมฯ ขณะนี้คณะล่วงหน้ากําลังดําเนินการสํารวจพื้นที่ โดยหากรายละเอียดดังกล่าวมีความชัดเจนแล้วจะแจ้งให้สื่อมวลชนรับทราบในโอกาสต่อไป
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16003
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560
|
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560
รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560
รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560
วันนี้ ( 5 มิถุนายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560
ที่ประชุมรับทราบผลการดําเนินงานของคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ โดยผลการดําเนินงานในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2558-ปัจจุบัน) กดยช. ได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในหลักการโครงการเงินอุดหนุนแรกเกิดฯ ตามที่ พม. เสนอ เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐาน ลดความเหลื่อมล้ํา รวมทั้งคุ้มครองเด็กแรกเกิดและเด็กปฐมวัยให้ได้รับการดูแลและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้โครงการฯ ได้กําหนดเป้าหมายที่จะจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่เด็กแรกเกิด - 1 ปี มีสัญชาติไทย อยู่ในครัวเรือนที่ยากจนหรือครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน จํานวน 400 บาทต่อคน ต่อเดือน เป็นระยะเวลา 1 ปี
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบเรื่องการดําเนินโครงการศึกษาและพัฒนาด้านระบบสารสนเทศและฐานข้อมูลเด็กปฐมวัย โดยเป้าหมายก็เพื่อเป็นการพัฒนาระบบข้อมูลและสารสนเทศเด็กปฐมวัยแบบบูรณาการข้อมูลของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการทํางานและประเมินคุณภาพเด็กไทยในแต่ละคนว่ามีความพร้อมในการก้าวสู่อนาคตอย่างสมบูรณ์ โดยการศึกษาจะรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่จริงในระบบ เพื่อหาส่วนต่างในการพัฒนาเด็กปฐมวัยในอนาคตที่มีคุณลักษณะ ด้านทักษะ ด้านคุณภาพ ด้านสมรรถนะ และด้านปัจจัยเสี่ยง และในปัจจุบันกําลังอยู่ในช่วงของการจัดทําการบูรณาการข้อมูลที่มีอยู่จริงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยการเชื่อมโยงข้อมูลด้วยรหัสมาตรฐาน (CID) ของแต่ละคนเพื่อเฝ้าระวังและติดตามได้ตลอดทุกช่วงวัย
จากนั้น ที่ประชุมรับทราบการจัดทํามาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ เพื่อเป็นมาตรฐานกลางขั้นพื้นฐานที่ต้องเชื่อมโยงกับนโยบายและแผนยุทธศาสตร์เด็กปฐมวัย ที่จะครอบคลุมเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึงเด็กก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ 1 โดยคุณภาพเด็ก คือเป้าหมายหลักสําคัญ จากนั้นที่ประชุมรับทราบร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2560 - 2564 ซึ่งประกอบด้วย 7 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ 1 การจัดการและการให้เด็กเข้าถึงบริการที่พัฒนาเด็กปฐมวัย ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาบทบาทความเป็นพ่อเป็นแม่ การอบรมเลี้ยงดู และบทบาทของครอบครัว ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาคุณภาพให้บริการที่พัฒนาเด็กปฐมวัย ยุทธศาสตร์ที่ 4 การจัดระบบข้อมูลและตัวชี้วัด ยุทธศาสตร์ที่ 5 การปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ ที่เกี่ยวกับเด็กปฐมวัย และการดําเนินการตามกฎหมาย ยุทธศาสตร์ที่ 6 การวิจัย พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ ยุทธศาสตร์ที่ 7 การบริหารจัดการ การติดตามและประเมินผล และสร้างเครือข่ายการปฏิบัติงาน
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานเรื่อง “การปฏิรูปการจัดการดูแลพัฒนาและจัดการศึกษาปฐมวัยให้มีมาตรฐานและเอกภาพ” โดยรัฐบาลได้กําหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายในการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่ชัดเจน กําหนดนิยามของช่วงปฐมวัย ที่ครองคลุมไปถึงการดูแลเด็กในครรภ์ และให้ความสําคัญไปถึงช่วงรอยเชื่อมต่อจากวัยอนุบาล ไปถึงช่วงประถมต้น ซึ่งจะต้องสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครอบครัว ชุมชนและสังคมทั่วไปเกี่ยวกับเป้าหมายและวิธีการดูแลพัฒนาและจัดการศึกษาปฐมวัยที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยรัฐต้องสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม รวมถึงพ่อแม่ ผู้ปกครอง มาร่วมกันพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัยอย่างเข้มแข็ง ทั้งนี้ภาครัฐกําหนดให้หน่วยงานที่มีอยู่เดิมทําหน้าที่เป็นหน่วยงานกลาง รับผิดชอบการส่งเสริม ดูแล และพัฒนาเด็กปฐมวัยโดยบูรณาการกับกระทรวงที่มีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ให้เชื่อมโยงกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
***************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560
รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560
รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560
วันนี้ ( 5 มิถุนายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560
ที่ประชุมรับทราบผลการดําเนินงานของคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ โดยผลการดําเนินงานในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2558-ปัจจุบัน) กดยช. ได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในหลักการโครงการเงินอุดหนุนแรกเกิดฯ ตามที่ พม. เสนอ เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐาน ลดความเหลื่อมล้ํา รวมทั้งคุ้มครองเด็กแรกเกิดและเด็กปฐมวัยให้ได้รับการดูแลและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้โครงการฯ ได้กําหนดเป้าหมายที่จะจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่เด็กแรกเกิด - 1 ปี มีสัญชาติไทย อยู่ในครัวเรือนที่ยากจนหรือครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน จํานวน 400 บาทต่อคน ต่อเดือน เป็นระยะเวลา 1 ปี
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบเรื่องการดําเนินโครงการศึกษาและพัฒนาด้านระบบสารสนเทศและฐานข้อมูลเด็กปฐมวัย โดยเป้าหมายก็เพื่อเป็นการพัฒนาระบบข้อมูลและสารสนเทศเด็กปฐมวัยแบบบูรณาการข้อมูลของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการทํางานและประเมินคุณภาพเด็กไทยในแต่ละคนว่ามีความพร้อมในการก้าวสู่อนาคตอย่างสมบูรณ์ โดยการศึกษาจะรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่จริงในระบบ เพื่อหาส่วนต่างในการพัฒนาเด็กปฐมวัยในอนาคตที่มีคุณลักษณะ ด้านทักษะ ด้านคุณภาพ ด้านสมรรถนะ และด้านปัจจัยเสี่ยง และในปัจจุบันกําลังอยู่ในช่วงของการจัดทําการบูรณาการข้อมูลที่มีอยู่จริงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยการเชื่อมโยงข้อมูลด้วยรหัสมาตรฐาน (CID) ของแต่ละคนเพื่อเฝ้าระวังและติดตามได้ตลอดทุกช่วงวัย
จากนั้น ที่ประชุมรับทราบการจัดทํามาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ เพื่อเป็นมาตรฐานกลางขั้นพื้นฐานที่ต้องเชื่อมโยงกับนโยบายและแผนยุทธศาสตร์เด็กปฐมวัย ที่จะครอบคลุมเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึงเด็กก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ 1 โดยคุณภาพเด็ก คือเป้าหมายหลักสําคัญ จากนั้นที่ประชุมรับทราบร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2560 - 2564 ซึ่งประกอบด้วย 7 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ 1 การจัดการและการให้เด็กเข้าถึงบริการที่พัฒนาเด็กปฐมวัย ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาบทบาทความเป็นพ่อเป็นแม่ การอบรมเลี้ยงดู และบทบาทของครอบครัว ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาคุณภาพให้บริการที่พัฒนาเด็กปฐมวัย ยุทธศาสตร์ที่ 4 การจัดระบบข้อมูลและตัวชี้วัด ยุทธศาสตร์ที่ 5 การปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ ที่เกี่ยวกับเด็กปฐมวัย และการดําเนินการตามกฎหมาย ยุทธศาสตร์ที่ 6 การวิจัย พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ ยุทธศาสตร์ที่ 7 การบริหารจัดการ การติดตามและประเมินผล และสร้างเครือข่ายการปฏิบัติงาน
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานเรื่อง “การปฏิรูปการจัดการดูแลพัฒนาและจัดการศึกษาปฐมวัยให้มีมาตรฐานและเอกภาพ” โดยรัฐบาลได้กําหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายในการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่ชัดเจน กําหนดนิยามของช่วงปฐมวัย ที่ครองคลุมไปถึงการดูแลเด็กในครรภ์ และให้ความสําคัญไปถึงช่วงรอยเชื่อมต่อจากวัยอนุบาล ไปถึงช่วงประถมต้น ซึ่งจะต้องสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครอบครัว ชุมชนและสังคมทั่วไปเกี่ยวกับเป้าหมายและวิธีการดูแลพัฒนาและจัดการศึกษาปฐมวัยที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยรัฐต้องสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม รวมถึงพ่อแม่ ผู้ปกครอง มาร่วมกันพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัยอย่างเข้มแข็ง ทั้งนี้ภาครัฐกําหนดให้หน่วยงานที่มีอยู่เดิมทําหน้าที่เป็นหน่วยงานกลาง รับผิดชอบการส่งเสริม ดูแล และพัฒนาเด็กปฐมวัยโดยบูรณาการกับกระทรวงที่มีภารกิจที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ให้เชื่อมโยงกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
***************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4282
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีพาณิชย์ไทย-กัมพูชา ลงนามยุทธศาสตร์สร้างความเติบโตการค้าชายแดน ดันการค้ารวมสู่เป้า 15 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 3 ปี
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561
รัฐมนตรีพาณิชย์ไทย-กัมพูชา ลงนามยุทธศาสตร์สร้างความเติบโตการค้าชายแดน ดันการค้ารวมสู่เป้า 15 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 3 ปี
“พาณิชย์ไทย-กัมพูชา” ลงนามยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองหน้าด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6
พร้อมเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนกับกัมพูชาให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า(Joint Trade Committee:JTC)ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 21-22 กุมภาพันธ์ 2561 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ว่าการประชุมครั้งนี้ประสบผลสําเร็จอย่างดี และได้สานต่อความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจการค้าไทยกับกัมพูชาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการดําเนินการเพื่อเดินหน้าให้ไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเติบโตไปพร้อมกันตามแนวนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้นําคณะผู้แทนไทยจากภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมการประชุมJTCไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 และจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจไทย-กัมพูชา ซึ่งมีบริษัทกัมพูชาจํานวน200บริษัท และบริษัทไทยจํานวนกว่า30บริษัท เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว โดยสินค้าที่ได้รับความสนใจ ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าที่เกี่ยวกับความงาม มียอดการสั่งซื้อทันที1.5ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะมีมูลค่าการค้าการลงทุนร่วมกันกว่า30ล้านเหรียญสหรัฐ ในอีก1ปีข้างหน้า
นายสนธิรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยและกัมพูชาได้เน้นย้ําถึงการดําเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการค้าที่ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2563 โดยมีแนวทางสําคัญเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เช่น (1) ส่งเสริมการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ(MOU)ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองหน้าด่านชายแดนไทยและกัมพูชา กับนายปาน สรศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา เพื่อสร้างความมั่งคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และขยายการค้าการลงทุนระหว่างกันโดยเฉพาะบริเวณชายแดนที่มีพื้นที่ติดต่อกัน ซึ่งกําหนดให้จังหวัดชายแดนสระแก้ว-บันเตียเมียนเจย เป็นโครงการนําร่อง รวมทั้งให้จัดตั้งคณะกรรมการการค้าชายแดน ซึ่งจะมีอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศของไทย และอธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศของกัมพูชา เป็นประธานร่วม เพื่อขับเคลื่อนการเชื่อมโยงเศรษฐกิจเมืองหน้าด่านชายแดนไทยและกัมพูชาให้เป็นรูปธรรม (2) ส่งเสริมความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร โดยได้เห็นชอบจัดตั้งคณะทํางานร่วมไทย-กัมพูชา ภายใน3เดือน เพื่อพิจารณาแนวทางเพิ่มการนําเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรระหว่างกัน (3) ด้านการเชื่อมโยง สนับสนุนให้ทั้งสองฝ่ายหารือทวิภาคีเพื่อแลกเปลี่ยนสิทธิจราจรในการขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างกันเพิ่มเติมในจุดผ่านแดนที่มีศักยภาพต่อการค้าและการลงทุน (4) ส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนเช่น การจัดงานแสดงสินค้า การจับคู่ธุรกิจ การสร้างเครือข่ายระหว่างภาคเอกชนของสองประเทศผ่านโครงการYEN-D(5) ส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยไทยได้เชิญชวนให้กัมพูชาส่งผู้แทนเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น เช่น กิจกรรมภายใต้โครงการสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) และโครงการภายใต้CLMVTForumเป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้พบหารือกับประธานสภาหอการค้ากัมพูชา และคณะนักธุรกิจกัมพูชา เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงแนวทางการส่งเสริมและอํานวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งไทยได้ย้ําถึงความพร้อมในการร่วมมือกับภาคเอกชนกัมพูชา
นอกจากนี้ ยังได้มีการลงนามในMOUระหว่างอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าของกัมพูชา เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจ การจัดกิจกรรมร่วมกัน การส่งเสริมผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ การแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนการค้า การอบรมผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในเศรษฐกิจยุคใหม่ในการปรับตัวสู่ยุคอุตสาหกรรม4.0และเศรษฐกิจดิจิทัล และการอํานวยความสะดวกทางการค้า รวมทั้งผู้แทนภาคเอกชนของไทยกับกัมพูชาได้ลงนามในMOUอีก6ฉบับ เกี่ยวกับความร่วมมือในธุรกิจแฟรนไชส์2ฉบับ และความร่วมมือในธุรกิจการกระจายสินค้า4ฉบับ
ปัจจุบันกัมพูชา เป็นคู่ค้าอันดับที่ 8 ของไทยในอาเซียน และเป็นคู่ค้าอันดับที่ 21ของไทยในโลก การค้าของไทยกับกัมพูชา ในช่วง5ปีที่ผ่านมา (2555-2559) มีมูลค่าเฉลี่ยประมาณปีละ4,992.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2560 การค้ารวมไทย-กัมพูชา มีมูลค่า6,164.9ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า4,375.1ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกที่สําคัญไปกัมพูชา ได้แก่ น้ํามันสําเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องดื่ม น้ําตาลทราย รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขณะที่สินค้านําเข้าหลัก ได้แก่ ผักและผลไม้ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี สินแร่โลหะ ลวดและสายเคเบิล และเสื้อผ้าสําเร็จรูป สําหรับการค้าชายแดน ปี 2560 มีมูลค่าประมาณ 3,982 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 ของการค้ารวมไทย-กัมพูชา โดยไทยได้ดุลการค้า 2,487 ล้านเหรียญสหรัฐ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีพาณิชย์ไทย-กัมพูชา ลงนามยุทธศาสตร์สร้างความเติบโตการค้าชายแดน ดันการค้ารวมสู่เป้า 15 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 3 ปี
วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561
รัฐมนตรีพาณิชย์ไทย-กัมพูชา ลงนามยุทธศาสตร์สร้างความเติบโตการค้าชายแดน ดันการค้ารวมสู่เป้า 15 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 3 ปี
“พาณิชย์ไทย-กัมพูชา” ลงนามยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองหน้าด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6
พร้อมเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนกับกัมพูชาให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า(Joint Trade Committee:JTC)ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 21-22 กุมภาพันธ์ 2561 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ว่าการประชุมครั้งนี้ประสบผลสําเร็จอย่างดี และได้สานต่อความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจการค้าไทยกับกัมพูชาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการดําเนินการเพื่อเดินหน้าให้ไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเติบโตไปพร้อมกันตามแนวนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้นําคณะผู้แทนไทยจากภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมการประชุมJTCไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 และจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจไทย-กัมพูชา ซึ่งมีบริษัทกัมพูชาจํานวน200บริษัท และบริษัทไทยจํานวนกว่า30บริษัท เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว โดยสินค้าที่ได้รับความสนใจ ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าที่เกี่ยวกับความงาม มียอดการสั่งซื้อทันที1.5ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะมีมูลค่าการค้าการลงทุนร่วมกันกว่า30ล้านเหรียญสหรัฐ ในอีก1ปีข้างหน้า
นายสนธิรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยและกัมพูชาได้เน้นย้ําถึงการดําเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการค้าที่ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2563 โดยมีแนวทางสําคัญเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เช่น (1) ส่งเสริมการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ(MOU)ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองหน้าด่านชายแดนไทยและกัมพูชา กับนายปาน สรศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา เพื่อสร้างความมั่งคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และขยายการค้าการลงทุนระหว่างกันโดยเฉพาะบริเวณชายแดนที่มีพื้นที่ติดต่อกัน ซึ่งกําหนดให้จังหวัดชายแดนสระแก้ว-บันเตียเมียนเจย เป็นโครงการนําร่อง รวมทั้งให้จัดตั้งคณะกรรมการการค้าชายแดน ซึ่งจะมีอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศของไทย และอธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศของกัมพูชา เป็นประธานร่วม เพื่อขับเคลื่อนการเชื่อมโยงเศรษฐกิจเมืองหน้าด่านชายแดนไทยและกัมพูชาให้เป็นรูปธรรม (2) ส่งเสริมความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร โดยได้เห็นชอบจัดตั้งคณะทํางานร่วมไทย-กัมพูชา ภายใน3เดือน เพื่อพิจารณาแนวทางเพิ่มการนําเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรระหว่างกัน (3) ด้านการเชื่อมโยง สนับสนุนให้ทั้งสองฝ่ายหารือทวิภาคีเพื่อแลกเปลี่ยนสิทธิจราจรในการขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างกันเพิ่มเติมในจุดผ่านแดนที่มีศักยภาพต่อการค้าและการลงทุน (4) ส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนเช่น การจัดงานแสดงสินค้า การจับคู่ธุรกิจ การสร้างเครือข่ายระหว่างภาคเอกชนของสองประเทศผ่านโครงการYEN-D(5) ส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยไทยได้เชิญชวนให้กัมพูชาส่งผู้แทนเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น เช่น กิจกรรมภายใต้โครงการสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) และโครงการภายใต้CLMVTForumเป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้พบหารือกับประธานสภาหอการค้ากัมพูชา และคณะนักธุรกิจกัมพูชา เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงแนวทางการส่งเสริมและอํานวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งไทยได้ย้ําถึงความพร้อมในการร่วมมือกับภาคเอกชนกัมพูชา
นอกจากนี้ ยังได้มีการลงนามในMOUระหว่างอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าของกัมพูชา เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจ การจัดกิจกรรมร่วมกัน การส่งเสริมผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ การแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนการค้า การอบรมผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในเศรษฐกิจยุคใหม่ในการปรับตัวสู่ยุคอุตสาหกรรม4.0และเศรษฐกิจดิจิทัล และการอํานวยความสะดวกทางการค้า รวมทั้งผู้แทนภาคเอกชนของไทยกับกัมพูชาได้ลงนามในMOUอีก6ฉบับ เกี่ยวกับความร่วมมือในธุรกิจแฟรนไชส์2ฉบับ และความร่วมมือในธุรกิจการกระจายสินค้า4ฉบับ
ปัจจุบันกัมพูชา เป็นคู่ค้าอันดับที่ 8 ของไทยในอาเซียน และเป็นคู่ค้าอันดับที่ 21ของไทยในโลก การค้าของไทยกับกัมพูชา ในช่วง5ปีที่ผ่านมา (2555-2559) มีมูลค่าเฉลี่ยประมาณปีละ4,992.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2560 การค้ารวมไทย-กัมพูชา มีมูลค่า6,164.9ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า4,375.1ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกที่สําคัญไปกัมพูชา ได้แก่ น้ํามันสําเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องดื่ม น้ําตาลทราย รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขณะที่สินค้านําเข้าหลัก ได้แก่ ผักและผลไม้ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี สินแร่โลหะ ลวดและสายเคเบิล และเสื้อผ้าสําเร็จรูป สําหรับการค้าชายแดน ปี 2560 มีมูลค่าประมาณ 3,982 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 ของการค้ารวมไทย-กัมพูชา โดยไทยได้ดุลการค้า 2,487 ล้านเหรียญสหรัฐ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10285
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.พลิกโฉมประกันภัยไทย สู่มิติใหม่ยุคดิจิทัล เพื่อประชาชน ในงานสัปดาห์ประกันภัย 7-9 กันยายนนี้
|
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561
คปภ.พลิกโฉมประกันภัยไทย สู่มิติใหม่ยุคดิจิทัล เพื่อประชาชน ในงานสัปดาห์ประกันภัย 7-9 กันยายนนี้
• ดึงสุดยอดสตาร์ทอัพคนพันธุ์ใหม่ร่วมแข่งขันเพื่อเป็นสุดยอดผู้นํานวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยแห่งปี
เผยไฮไลท์งานสัปดาห์ประกันภัยปีนี้ เปิดฉากด้วยปาฐกถาพิเศษรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในหัวข้อ “มิติใหม่ประกันภัยไทยในยุคดิจิทัล เพื่อประชาชน”ตามด้วยพิธีการมอบรางวัลเกียรติยศ “ประกันภัยดีเด่นครบวงจร”พร้อมสร้างแรงบันดาลใจวิ่งออกกําลังกายกับ (ตูน บอดี้สแลม) และร่วมกิจกรรมดีๆ (CSR) บริจาครถพยาบาล 3 คัน โดยสํานักงาน คปภ.ร่วมกับคณะนักศึกษาวปส.รุ่นที่ 8 และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย อีกทั้งเข้มข้นกับเวทีวิชาการและตื่นตาตื่นใจไปกับนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านประกันภัยอย่างเต็มอิ่ม งานนี้ห้าม พลาด...! "มางานเดียว ทั้งคุ้ม ทั้งครบ เรื่องประกันภัย จบในที่เดียว "ระหว่างวันที่ 7-9 กันยายน 2561 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ อาคารเพลนารี 1-3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมประกันภัยมีส่วนสําคัญในการสร้างเสริมความเข้มแข็งมั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และยังเป็นเครื่องมือที่สําคัญในการสร้างหลักประกันความมั่นคงในครอบครัว การประกอบธุรกิจการค้า การลงทุนและการดําเนินชีวิตประจําวันของคนไทยทุกคน สํานักงาน คปภ. จึงได้ร่วมกับ สภาธุรกิจประกันภัยไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย และสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน จัดงาน “สัปดาห์ประกันภัย ประจําปี 2561” Thailand Insurance Expo 2018 ภายใต้ธีม “Converging Insurance Business Model with InsurTech in Digital Disruption พลิกโฉมประกันภัยไทย สู่มิติใหม่ยุคดิจิทัลเพื่อประชาชน” และพิธีมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร (Prime Minister’s Insurance Awards) ระหว่างวันที่ 7-9 กันยายน 2561 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ อาคารเพลนารี 1-3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมประกันภัยทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีเวทีร่วมกันที่จะทําให้ประชาชนตระหนักถึงความสําคัญของการบริหารความเสี่ยงภัยด้วยระบบประกันภัยเพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับครอบครัว ธุรกิจการค้าการลงทุน และให้เป็นพฤติกรรมที่ควรปฏิบัติในทุกระดับชั้นจนเป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินชีวิตที่มีความมั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเป็นรากฐานที่สําคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็ง มั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมของประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป
สําหรับไฮไลท์ที่น่าสนใจภายในงานสัปดาห์ประกันภัยปีนี้มีความแตกต่างกว่าทุกปี โดยสํานักงาน คปภ.ได้รับเกียรติจากท่านอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงานสัปดาห์ประกันภัย ประจําปี 2561 และมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีอนุญาตให้ใช้ลายมือชื่อสลักลงบนโล่เกียรติยศสําหรับรางวัลต่างๆ ได้แก่ รางวัลบริษัทประกันภัยดีเด่น ตัวแทนประกันภัย นายหน้าประกันภัยคุณภาพดีเด่น อาสาสมัครประกันภัยดีเด่น ยุวชนประกันภัยดีเด่นและยังมีการมอบรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติแก่ผู้ที่ทําคุณประโยชน์ให้กับ สํานักงาน คปภ. และอุตสาหกรรมประกันภัยด้วย ในโอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “มิติใหม่ประกันภัยไทยในยุคดิจิทัล เพื่อประชาชน”
ในส่วนของการโชว์นวัตกรรมด้านประกันภัยของสํานักงาน คปภ. ที่น่าสนใจ อาทิ การนําเสนอ Innovative Insurance Product การประกันชีวิตสําหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยให้ความคุ้มครองโรคแทรกซ้อน ซึ่งมีสาเหตุจากระดับน้ําตาลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยใช้แอพพลิเคชั่นเก็บข้อมูลสุขภาพเพื่อปรับเบี้ยประกันภัย รวมทั้งการประกันภัยรถยนต์ Pay how you drive โดยใช้อุปกรณ์ Telemetric ในการประเมินทั้งระยะทางและพฤติกรรมในการขับขี่เพื่อใช้เป็นข้อมูลให้ส่วนลดเบี้ยประกันภัยกับกลุ่มผู้ที่มีพฤติกรรมขับขี่ปลอดภัย การนําเสนอ Thai Insurance Computer Emergency Response Team (TICERT) ในการบริหารความเสี่ยงจากภัยคุกคามด้าน ไซเบอร์ โดยมีการจัดตั้ง Sector CERT เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคธุรกิจประกันภัย นอกจากนี้จะมีการนําเสนอระบบค้นหาข้อมูลกรมธรรม์ประกันภัยด้วยตนเอง เช่น การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ การประกันภัยทรัพย์สินและอัคคีภัย การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง การประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ การประกันภัยเบ็ดเตล็ด และการนําเสนอ Big Claim E-Report (BCER) ในรูปแบบของ Platform เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยรายใหญ่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทําให้สํานักงาน คปภ. สามารถกํากับติดตามและเร่งรัดบริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ประชาชนผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์และผู้เสียหายตามกรมธรรม์ประกันภัยได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งการโชว์เคสจากสุดยอดสตาร์ทอัพคนพันธุ์ใหม่ที่มีการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีการแสดงที่น่าทึ่งจาก น้องอิคคิว (ด.ช.เวธวศิน ชูใจ) มือกลองสไตล์ร็อคเกอร์ที่จะสะกดผู้เข้าร่วมงานอย่างสุดมันส์ ต่อด้วยการเสวนาสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยวิ่งออกกําลังกายจาก (ตูน บอดี้สแลม) คุณอาทิวราห์ คงมาลัย และทีมงานก้าวคนละก้าว และร่วมทํากิจกรรมดีๆ เพื่อสังคม (CSR) ด้วยการบริจาครถพยาบาลพร้อมอุปกรณ์ให้ความช่วยเหลือที่จําเป็นจํานวน 3 คัน โดยสํานักงาน คปภ.ร่วมกับ คณะนักศึกษาวปส.รุ่นที่ 8 และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ให้กับกองกํากับการตํารวจตะเวนชายแดนที่ 32 อําเภอเมือง จังหวัดพะเยา โรงพยาบาลดงเจริญ จังหวัดพิจิตร และโรงพยาบาลมายอ จังหวัดปัตตานี อีกทั้งยังเข้มข้นกับเวทีสัมมนาทางวิชาการจากคณะวิทยากรหน่วยงานกํากับการเงินและวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ อาทิ การบรรยายเรื่อง “New Business Paradigm for Digital Transformation”โดย PWC Group การบรรยายเรื่อง “GIS Technology for Insurance Business” โดย Red Planet Consulting และการบรรยายเรื่อง“The New Insurance Model of Digital Era” โดย Jaymart
รวมทั้งตื่นตาตื่นใจไปกับบูธประกันภัยยุคไฮเทคจากอุตสาหกรรมประกันภัยจํานวน 40 บูธ จาก 50 บริษัท ที่จะเสนอกรมธรรม์ประกันภัยแบบใหม่โดนใจนักช็อปความคุ้มครองให้กับตัวเองและครอบครัว ด้วยโปรโมชั่นลดเบี้ยประกันภัยแบบกระหน่ําสูงสุด 30% และพิเศษสุดๆ สําหรับประชาชนผู้เข้าร่วมงานจะได้รับกรมธรรม์ประกันภัย 10 บาท โดยมีวงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท ฟรีๆอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นภายในงานยังมีกิจกรรมอีกมากมาย อาทิ การนําเสนอเทคโนโลยีการประกันภัย การประกวดนวัตกรรมด้านการประกันภัย OIC InsurTech Awards จากทีม startups คนพันธุ์ใหม่ที่คัดมาจากทีมที่เข้าร่วมถึง 14 ทีมที่จะแข่งขันกันเป็นสุดยอดผู้นํานวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยของปีนี้ คลินิกด้านการประกันภัยเพื่อปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียนในกรณีต่างๆ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัย การต่อใบอนุญาตตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัย การจําหน่ายสินค้าเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ เช่น หมวกกันน็อคและอุปกรณ์กล้องติดรถยนต์ นอกจากนี้ผู้ที่ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยหรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินภายในงานครบ 500 บาท รับคูปองเพื่อชิงโชคของรางวัล อาทิ รถยนต์ HONDA HR-V โทรศัพท์มือถือ กล้องดิจิทัลและของรางวัลอื่นๆมากมาย อีกทั้งยังเพลิดเพลินไปกับความบันเทิงจากเหล่าดาราศิลปินด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก “คุณธาดา” ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ ปะทะ “บอสวศิน” ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ จากละครยอดฮิต (เมีย 2018)
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า ในฐานะหน่วยงานกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจึงมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะนําพาอุตสาหกรรมประกันภัยให้ก้าวข้ามความท้าทายต่างๆไปสู่เศรษฐกิจในยุคดิจิทัลด้วยบทบาทของการเป็นผู้สนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมประกันภัย รวมทั้งให้ความคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ สํานักงาน คปภ. จึงได้วางแผนพัฒนา ปรับปรุง และเตรียมความพร้อมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการสนับสนุนการดําเนินงานของสํานักงาน คปภ. และส่งเสริมอุตสาหกรรมประกันภัยในการเตรียมความพร้อม
ดังนั้นจึงขอเชิญชวนให้ประชาชนมาเที่ยวงานสัปดาห์ประกันภัย ปี 2561 ภายใต้ธีม “Converging Insurance Business Model with InsurTech in Digital Disruption พลิกโฉมประกันภัยไทย สู่มิติใหม่ยุคดิจิทัลเพื่อประชาชน” ระหว่างวันที่ 7-9 กันยายน 2561 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ อาคารเพลนารี 1-3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ นอกจากจะได้รับความรู้เกี่ยวกับประกันภัยและนวัตกรรมต่างๆ ด้านการประกันภัยแล้วยังสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยราคาพิเศษลดสูงสุด 30% และลุ้นรับของรางวัลมากมาย ตลอดจนพบกับความบันเทิงจากศิลปินดาราภายในงานสัปดาห์ประกันภัยครั้งนี้ชนิดที่เรียกว่า "มางานเดียว ทั้งคุ้ม ทั้งครบ จบในที่เดียวเรื่องประกันภัย"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.พลิกโฉมประกันภัยไทย สู่มิติใหม่ยุคดิจิทัล เพื่อประชาชน ในงานสัปดาห์ประกันภัย 7-9 กันยายนนี้
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561
คปภ.พลิกโฉมประกันภัยไทย สู่มิติใหม่ยุคดิจิทัล เพื่อประชาชน ในงานสัปดาห์ประกันภัย 7-9 กันยายนนี้
• ดึงสุดยอดสตาร์ทอัพคนพันธุ์ใหม่ร่วมแข่งขันเพื่อเป็นสุดยอดผู้นํานวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยแห่งปี
เผยไฮไลท์งานสัปดาห์ประกันภัยปีนี้ เปิดฉากด้วยปาฐกถาพิเศษรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในหัวข้อ “มิติใหม่ประกันภัยไทยในยุคดิจิทัล เพื่อประชาชน”ตามด้วยพิธีการมอบรางวัลเกียรติยศ “ประกันภัยดีเด่นครบวงจร”พร้อมสร้างแรงบันดาลใจวิ่งออกกําลังกายกับ (ตูน บอดี้สแลม) และร่วมกิจกรรมดีๆ (CSR) บริจาครถพยาบาล 3 คัน โดยสํานักงาน คปภ.ร่วมกับคณะนักศึกษาวปส.รุ่นที่ 8 และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย อีกทั้งเข้มข้นกับเวทีวิชาการและตื่นตาตื่นใจไปกับนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านประกันภัยอย่างเต็มอิ่ม งานนี้ห้าม พลาด...! "มางานเดียว ทั้งคุ้ม ทั้งครบ เรื่องประกันภัย จบในที่เดียว "ระหว่างวันที่ 7-9 กันยายน 2561 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ อาคารเพลนารี 1-3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมประกันภัยมีส่วนสําคัญในการสร้างเสริมความเข้มแข็งมั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และยังเป็นเครื่องมือที่สําคัญในการสร้างหลักประกันความมั่นคงในครอบครัว การประกอบธุรกิจการค้า การลงทุนและการดําเนินชีวิตประจําวันของคนไทยทุกคน สํานักงาน คปภ. จึงได้ร่วมกับ สภาธุรกิจประกันภัยไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย และสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน จัดงาน “สัปดาห์ประกันภัย ประจําปี 2561” Thailand Insurance Expo 2018 ภายใต้ธีม “Converging Insurance Business Model with InsurTech in Digital Disruption พลิกโฉมประกันภัยไทย สู่มิติใหม่ยุคดิจิทัลเพื่อประชาชน” และพิธีมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร (Prime Minister’s Insurance Awards) ระหว่างวันที่ 7-9 กันยายน 2561 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ อาคารเพลนารี 1-3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมประกันภัยทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีเวทีร่วมกันที่จะทําให้ประชาชนตระหนักถึงความสําคัญของการบริหารความเสี่ยงภัยด้วยระบบประกันภัยเพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับครอบครัว ธุรกิจการค้าการลงทุน และให้เป็นพฤติกรรมที่ควรปฏิบัติในทุกระดับชั้นจนเป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินชีวิตที่มีความมั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเป็นรากฐานที่สําคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็ง มั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมของประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป
สําหรับไฮไลท์ที่น่าสนใจภายในงานสัปดาห์ประกันภัยปีนี้มีความแตกต่างกว่าทุกปี โดยสํานักงาน คปภ.ได้รับเกียรติจากท่านอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงานสัปดาห์ประกันภัย ประจําปี 2561 และมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีอนุญาตให้ใช้ลายมือชื่อสลักลงบนโล่เกียรติยศสําหรับรางวัลต่างๆ ได้แก่ รางวัลบริษัทประกันภัยดีเด่น ตัวแทนประกันภัย นายหน้าประกันภัยคุณภาพดีเด่น อาสาสมัครประกันภัยดีเด่น ยุวชนประกันภัยดีเด่นและยังมีการมอบรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติแก่ผู้ที่ทําคุณประโยชน์ให้กับ สํานักงาน คปภ. และอุตสาหกรรมประกันภัยด้วย ในโอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “มิติใหม่ประกันภัยไทยในยุคดิจิทัล เพื่อประชาชน”
ในส่วนของการโชว์นวัตกรรมด้านประกันภัยของสํานักงาน คปภ. ที่น่าสนใจ อาทิ การนําเสนอ Innovative Insurance Product การประกันชีวิตสําหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยให้ความคุ้มครองโรคแทรกซ้อน ซึ่งมีสาเหตุจากระดับน้ําตาลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยใช้แอพพลิเคชั่นเก็บข้อมูลสุขภาพเพื่อปรับเบี้ยประกันภัย รวมทั้งการประกันภัยรถยนต์ Pay how you drive โดยใช้อุปกรณ์ Telemetric ในการประเมินทั้งระยะทางและพฤติกรรมในการขับขี่เพื่อใช้เป็นข้อมูลให้ส่วนลดเบี้ยประกันภัยกับกลุ่มผู้ที่มีพฤติกรรมขับขี่ปลอดภัย การนําเสนอ Thai Insurance Computer Emergency Response Team (TICERT) ในการบริหารความเสี่ยงจากภัยคุกคามด้าน ไซเบอร์ โดยมีการจัดตั้ง Sector CERT เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคธุรกิจประกันภัย นอกจากนี้จะมีการนําเสนอระบบค้นหาข้อมูลกรมธรรม์ประกันภัยด้วยตนเอง เช่น การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ การประกันภัยทรัพย์สินและอัคคีภัย การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง การประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ การประกันภัยเบ็ดเตล็ด และการนําเสนอ Big Claim E-Report (BCER) ในรูปแบบของ Platform เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยรายใหญ่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทําให้สํานักงาน คปภ. สามารถกํากับติดตามและเร่งรัดบริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ประชาชนผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์และผู้เสียหายตามกรมธรรม์ประกันภัยได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งการโชว์เคสจากสุดยอดสตาร์ทอัพคนพันธุ์ใหม่ที่มีการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีการแสดงที่น่าทึ่งจาก น้องอิคคิว (ด.ช.เวธวศิน ชูใจ) มือกลองสไตล์ร็อคเกอร์ที่จะสะกดผู้เข้าร่วมงานอย่างสุดมันส์ ต่อด้วยการเสวนาสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยวิ่งออกกําลังกายจาก (ตูน บอดี้สแลม) คุณอาทิวราห์ คงมาลัย และทีมงานก้าวคนละก้าว และร่วมทํากิจกรรมดีๆ เพื่อสังคม (CSR) ด้วยการบริจาครถพยาบาลพร้อมอุปกรณ์ให้ความช่วยเหลือที่จําเป็นจํานวน 3 คัน โดยสํานักงาน คปภ.ร่วมกับ คณะนักศึกษาวปส.รุ่นที่ 8 และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ให้กับกองกํากับการตํารวจตะเวนชายแดนที่ 32 อําเภอเมือง จังหวัดพะเยา โรงพยาบาลดงเจริญ จังหวัดพิจิตร และโรงพยาบาลมายอ จังหวัดปัตตานี อีกทั้งยังเข้มข้นกับเวทีสัมมนาทางวิชาการจากคณะวิทยากรหน่วยงานกํากับการเงินและวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ อาทิ การบรรยายเรื่อง “New Business Paradigm for Digital Transformation”โดย PWC Group การบรรยายเรื่อง “GIS Technology for Insurance Business” โดย Red Planet Consulting และการบรรยายเรื่อง“The New Insurance Model of Digital Era” โดย Jaymart
รวมทั้งตื่นตาตื่นใจไปกับบูธประกันภัยยุคไฮเทคจากอุตสาหกรรมประกันภัยจํานวน 40 บูธ จาก 50 บริษัท ที่จะเสนอกรมธรรม์ประกันภัยแบบใหม่โดนใจนักช็อปความคุ้มครองให้กับตัวเองและครอบครัว ด้วยโปรโมชั่นลดเบี้ยประกันภัยแบบกระหน่ําสูงสุด 30% และพิเศษสุดๆ สําหรับประชาชนผู้เข้าร่วมงานจะได้รับกรมธรรม์ประกันภัย 10 บาท โดยมีวงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท ฟรีๆอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นภายในงานยังมีกิจกรรมอีกมากมาย อาทิ การนําเสนอเทคโนโลยีการประกันภัย การประกวดนวัตกรรมด้านการประกันภัย OIC InsurTech Awards จากทีม startups คนพันธุ์ใหม่ที่คัดมาจากทีมที่เข้าร่วมถึง 14 ทีมที่จะแข่งขันกันเป็นสุดยอดผู้นํานวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยของปีนี้ คลินิกด้านการประกันภัยเพื่อปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียนในกรณีต่างๆ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัย การต่อใบอนุญาตตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัย การจําหน่ายสินค้าเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ เช่น หมวกกันน็อคและอุปกรณ์กล้องติดรถยนต์ นอกจากนี้ผู้ที่ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยหรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินภายในงานครบ 500 บาท รับคูปองเพื่อชิงโชคของรางวัล อาทิ รถยนต์ HONDA HR-V โทรศัพท์มือถือ กล้องดิจิทัลและของรางวัลอื่นๆมากมาย อีกทั้งยังเพลิดเพลินไปกับความบันเทิงจากเหล่าดาราศิลปินด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก “คุณธาดา” ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ ปะทะ “บอสวศิน” ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ จากละครยอดฮิต (เมีย 2018)
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า ในฐานะหน่วยงานกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจึงมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะนําพาอุตสาหกรรมประกันภัยให้ก้าวข้ามความท้าทายต่างๆไปสู่เศรษฐกิจในยุคดิจิทัลด้วยบทบาทของการเป็นผู้สนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมประกันภัย รวมทั้งให้ความคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ สํานักงาน คปภ. จึงได้วางแผนพัฒนา ปรับปรุง และเตรียมความพร้อมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการสนับสนุนการดําเนินงานของสํานักงาน คปภ. และส่งเสริมอุตสาหกรรมประกันภัยในการเตรียมความพร้อม
ดังนั้นจึงขอเชิญชวนให้ประชาชนมาเที่ยวงานสัปดาห์ประกันภัย ปี 2561 ภายใต้ธีม “Converging Insurance Business Model with InsurTech in Digital Disruption พลิกโฉมประกันภัยไทย สู่มิติใหม่ยุคดิจิทัลเพื่อประชาชน” ระหว่างวันที่ 7-9 กันยายน 2561 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ อาคารเพลนารี 1-3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ นอกจากจะได้รับความรู้เกี่ยวกับประกันภัยและนวัตกรรมต่างๆ ด้านการประกันภัยแล้วยังสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยราคาพิเศษลดสูงสุด 30% และลุ้นรับของรางวัลมากมาย ตลอดจนพบกับความบันเทิงจากศิลปินดาราภายในงานสัปดาห์ประกันภัยครั้งนี้ชนิดที่เรียกว่า "มางานเดียว ทั้งคุ้ม ทั้งครบ จบในที่เดียวเรื่องประกันภัย"
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15005
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เปิดโครงการปศุสัตว์เคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติฯ จ.พะเยา
|
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563
รมช.ธรรมนัส เปิดโครงการปศุสัตว์เคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติฯ จ.พะเยา
รมช.ธรรมนัส เปิดโครงการปศุสัตว์เคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติฯ จ.พะเยา ส่งมอบโค จากโครงการธนาคารโค - กระบือ 90 ตัว ส่งเสริมช่วยเหลือเกษตรกร
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการปศุสัตว์เคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประจําปี พ.ศ. 2563 ณ เทศบาลตําบลทุ่งรวงทอง อําเภอจุน จังหวัดพะเยา ว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ 28 กรกฎาคม 2563 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมปศุสัตว์ มีความสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่ทรงมีน้ําพระราชหฤทัยต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งทั่วประเทศ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล และร่วมเทิดพระเกียรติในเดือนมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาในปีนี้ จึงได้จัดทําโครงการปศุสัตว์เคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติฯ ขึ้น โครงการนี้จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ และสัตว์ที่ถูกทอดทิ้ง ในที่สาธารณะ ซึ่งทําให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
“การดําเนินงานโครงการปศุสัตว์เคลื่อนที่ เฉลิมพระเกียรติฯในพื้นที่จังหวัดพะเยาในวันนี้ ได้ส่งมอบโค จากโครงการธนาคารโค - กระบือ เพื่อเกษตรกร ตามพระราชดําริ ให้พี่น้องเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ จํานวน 90 ตัว เพื่อเป็นการส่งเสริมช่วยเหลือเกษตรกรให้มีโค - กระบือเป็นของตนเอง ส่งผลให้เกิดประโยชน์จากการเลี้ยงโคและกระบือได้เป็นอย่างดี เป็นการส่งเสริมในการเพิ่มประชากรของโค - กระบือในประเทศ พร้อมได้มอบอาหารสุนัขและแมวสําหรับสัตว์ด้อยโอกาส และเสบียงอาหารสัตว์ (หญ้าแห้ง) จํานวน 4,000 กิโลกรัม ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์อีกด้วย” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ด้าน นายสุรเดช สมิเปรม รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายในงานจะมีกิจกรรม ทั้งการตรวจสุขภาพ การบําบัด รักษาโรคสัตว์ป่วย การให้ความรู้เรื่องโรคและการป้องกันโรคสัตว์ และส่งเสริมสุขภาพสัตว์ เช่น การฉีดวัคซีน การผ่าตัดทําหมันสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งในสถานสงเคราะห์สัตว์ วัด ชุมชน และในที่สาธารณะ เป็นต้น การฝึกอบรมการปฏิบัติการทางการเกษตรที่ดีด้านปศุสัตว์ การให้ความรู้การจัดการอาหารสัตว์และพืชอาหารสัตว์ การปรับปรุงพันธุ์สัตว์ การสาธิตการแปรรูปผลผลิตปศุสัตว์ การจัดแสดงตลาดนัดสินค้าปศุสัตว์ การตรวจวินิจฉัยโรคทางห้องปฏิบัติการ และหน่วย Mobile lab เพื่อให้บริการตรวจด้านมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เปิดโครงการปศุสัตว์เคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติฯ จ.พะเยา
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563
รมช.ธรรมนัส เปิดโครงการปศุสัตว์เคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติฯ จ.พะเยา
รมช.ธรรมนัส เปิดโครงการปศุสัตว์เคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติฯ จ.พะเยา ส่งมอบโค จากโครงการธนาคารโค - กระบือ 90 ตัว ส่งเสริมช่วยเหลือเกษตรกร
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการปศุสัตว์เคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประจําปี พ.ศ. 2563 ณ เทศบาลตําบลทุ่งรวงทอง อําเภอจุน จังหวัดพะเยา ว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ 28 กรกฎาคม 2563 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมปศุสัตว์ มีความสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่ทรงมีน้ําพระราชหฤทัยต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งทั่วประเทศ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล และร่วมเทิดพระเกียรติในเดือนมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาในปีนี้ จึงได้จัดทําโครงการปศุสัตว์เคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติฯ ขึ้น โครงการนี้จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ และสัตว์ที่ถูกทอดทิ้ง ในที่สาธารณะ ซึ่งทําให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
“การดําเนินงานโครงการปศุสัตว์เคลื่อนที่ เฉลิมพระเกียรติฯในพื้นที่จังหวัดพะเยาในวันนี้ ได้ส่งมอบโค จากโครงการธนาคารโค - กระบือ เพื่อเกษตรกร ตามพระราชดําริ ให้พี่น้องเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ จํานวน 90 ตัว เพื่อเป็นการส่งเสริมช่วยเหลือเกษตรกรให้มีโค - กระบือเป็นของตนเอง ส่งผลให้เกิดประโยชน์จากการเลี้ยงโคและกระบือได้เป็นอย่างดี เป็นการส่งเสริมในการเพิ่มประชากรของโค - กระบือในประเทศ พร้อมได้มอบอาหารสุนัขและแมวสําหรับสัตว์ด้อยโอกาส และเสบียงอาหารสัตว์ (หญ้าแห้ง) จํานวน 4,000 กิโลกรัม ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์อีกด้วย” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ด้าน นายสุรเดช สมิเปรม รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายในงานจะมีกิจกรรม ทั้งการตรวจสุขภาพ การบําบัด รักษาโรคสัตว์ป่วย การให้ความรู้เรื่องโรคและการป้องกันโรคสัตว์ และส่งเสริมสุขภาพสัตว์ เช่น การฉีดวัคซีน การผ่าตัดทําหมันสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งในสถานสงเคราะห์สัตว์ วัด ชุมชน และในที่สาธารณะ เป็นต้น การฝึกอบรมการปฏิบัติการทางการเกษตรที่ดีด้านปศุสัตว์ การให้ความรู้การจัดการอาหารสัตว์และพืชอาหารสัตว์ การปรับปรุงพันธุ์สัตว์ การสาธิตการแปรรูปผลผลิตปศุสัตว์ การจัดแสดงตลาดนัดสินค้าปศุสัตว์ การตรวจวินิจฉัยโรคทางห้องปฏิบัติการ และหน่วย Mobile lab เพื่อให้บริการตรวจด้านมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33514
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรม
|
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรม
สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรม "สืบสานประเพณีสงกรานต์ 2560"
วันนี้ (7 เมษายน 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรม "สืบสานประเพณีสงกรานต์ 2560" โดยมีนายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมสรงน้ําพระพุทธรูปและให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม และผู้สื่อข่าวประจํากระทรวงอุตสาหกรรมรดน้ําขอพรในวันขึ้นปีใหม่ไทย ณ ห้องโถง ชั้น 1 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรม
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรม
สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรม "สืบสานประเพณีสงกรานต์ 2560"
วันนี้ (7 เมษายน 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรม "สืบสานประเพณีสงกรานต์ 2560" โดยมีนายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมสรงน้ําพระพุทธรูปและให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม และผู้สื่อข่าวประจํากระทรวงอุตสาหกรรมรดน้ําขอพรในวันขึ้นปีใหม่ไทย ณ ห้องโถง ชั้น 1 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2961
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและ รัฐมนตรีสำนักงานป่าไม้แห่งสาธารณรัฐเกาหลี ร่วมหารือความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม
|
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและ รัฐมนตรีสํานักงานป่าไม้แห่งสาธารณรัฐเกาหลี ร่วมหารือความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้การกล่าวต้อนรับ นายชิน วอน ซุฟ รัฐมนตรีสํานักงานป่าไม้แห่งสาธารณรัฐเกาหลี พร้อมด้วยคณะ เนื่องในโอกาสร่วมหารือความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) กล่าวต้อนรับ นายชิน วอน ซุฟ รัฐมนตรีสํานักงานป่าไม้แห่งสาธารณรัฐเกาหลี พร้อมด้วยนายโน กวัง-อิล เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทยและคณะ โดยประเทศไทยมีความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมหลายบริบทกับสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ลงนามในบันทึกความร่วมเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมกับสาธารณรัฐเกาหลี เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ และมีการดําเนินงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยินดีที่จะสานต่อความร่วมมือด้านป่าไม้ต่อไป นอกจากนี้ ได้ชื่นชมสาธารณรัฐเกาหลีที่สามารถฟื้นฟูและพัฒนาประเทศภายหลังสงครามไปพร้อมกับการฟื้นฟูผืนป่าจนปัจจุบันมีความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นต้นแบบที่ดีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้สําหรับประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ในการนี้ นายชิน วอน ซุฟ ได้กล่าวถึงความเป็นมาและพัฒนาการในการจัดตั้งองค์กรความร่วมมือด้านป่าไม้แห่งเอเชีย (Asian Forest Cooperation Organization: AFoCO) พร้อมเชิญชวนประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิก AFoCO และเชื่อมั่นว่าภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์และการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ตลอดจนแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้กับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้มีประเทศที่เข้าร่วมและให้สัตยาบันสารแล้ว ได้แก่ สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ราชอาณาจักรกัมพูชา ติมอร์เลสเต และราชอาณาจักรภูฏาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและ รัฐมนตรีสำนักงานป่าไม้แห่งสาธารณรัฐเกาหลี ร่วมหารือความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและ รัฐมนตรีสํานักงานป่าไม้แห่งสาธารณรัฐเกาหลี ร่วมหารือความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้การกล่าวต้อนรับ นายชิน วอน ซุฟ รัฐมนตรีสํานักงานป่าไม้แห่งสาธารณรัฐเกาหลี พร้อมด้วยคณะ เนื่องในโอกาสร่วมหารือความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) กล่าวต้อนรับ นายชิน วอน ซุฟ รัฐมนตรีสํานักงานป่าไม้แห่งสาธารณรัฐเกาหลี พร้อมด้วยนายโน กวัง-อิล เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทยและคณะ โดยประเทศไทยมีความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมหลายบริบทกับสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ลงนามในบันทึกความร่วมเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมกับสาธารณรัฐเกาหลี เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ และมีการดําเนินงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยินดีที่จะสานต่อความร่วมมือด้านป่าไม้ต่อไป นอกจากนี้ ได้ชื่นชมสาธารณรัฐเกาหลีที่สามารถฟื้นฟูและพัฒนาประเทศภายหลังสงครามไปพร้อมกับการฟื้นฟูผืนป่าจนปัจจุบันมีความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นต้นแบบที่ดีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้สําหรับประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ในการนี้ นายชิน วอน ซุฟ ได้กล่าวถึงความเป็นมาและพัฒนาการในการจัดตั้งองค์กรความร่วมมือด้านป่าไม้แห่งเอเชีย (Asian Forest Cooperation Organization: AFoCO) พร้อมเชิญชวนประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิก AFoCO และเชื่อมั่นว่าภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์และการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ตลอดจนแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้กับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้มีประเทศที่เข้าร่วมและให้สัตยาบันสารแล้ว ได้แก่ สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ราชอาณาจักรกัมพูชา ติมอร์เลสเต และราชอาณาจักรภูฏาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2359
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย เผยคนไทยจะได้ร่วมรับชมการถ่ายทอดสด โอลิมปิกฤดูร้อน (โตเกียว 2020) โอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว (โลซาน 2020)
|
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563
คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย เผยคนไทยจะได้ร่วมรับชมการถ่ายทอดสด โอลิมปิกฤดูร้อน (โตเกียว 2020) โอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว (โลซาน 2020)
คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย เผยคนไทยจะได้ร่วมรับชมการถ่ายทอดสด โอลิมปิกฤดูร้อน (โตเกียว 2020) โอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว (โลซาน 2020)
วันนี้ (23 มีนาคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 4/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปดังนี้
ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 ปี ค.ศ. 2021 จากการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 ซึ่งเมื่อได้รับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฯ แล้ว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ร่วมกับหน่วยงานเตรียมความพร้อมครบถ้วนทุกมิติ ทั้งรายละเอียด แผนงานและงบประมาณ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังรับทราบมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการถ่ายทอดสดการแข่งขันมหกรรมกีฬานานาชาติ ตามที่ รัฐบาลมีมติ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 เห็นชอบในหลักการตามแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2560 - 2564 มุ่งให้การกีฬาเป็นส่วนสําคัญของวิถีชีวิต ซึ่งการกีฬาแห่งประเทศไทยจะดําเนินการจัดซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดเกมส์การแข่งขันระดับนานาชาติที่มีความสําคัญ ระหว่างปี 2020 – 2022 จํานวน 5 รายการ ประกอบด้วย โอลิมปิกฤดูร้อน (โตเกียว 2020) โอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว (โลซาน 2020) โอลิมปิกฤดูหนาว (ปักกิ่ง 2022) โอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน (ดาการ์ 2022) และการถ่ายทอดสดกีฬาเอเชียนเกมส์ (หางโจว 2022) โดยดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อประชาชนได้มีโอกาสรับชมและร่วมส่งแรงเชียร์แรงใจให้กับนักกีฬาทีมชาติไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาในระดับนานาชาติ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการจัดหาอุปกรณ์วิทยาศาสตร์การกีฬาสําหรับป้องกันการเสียชีวิตในสนาม อาทิ การกําหนดใช้เครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติเป็นการปฐมพยาบาล เพื่อส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัยในสนามกีฬาตามมาตรการคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินที่ และเป็นอีกหนึ่งในยุทธศาสตร์การดูแลนักกีฬาและผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้มีความปลอดภัยในการฝึกซ้อมและแข่งขันกีฬา
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีย้ําการแก้ไขการเบิกจ่ายงบประมาณประจําปี พ.ศ. 2563 ว่า ให้ผู้บริหารทุกระดับของการกีฬาแห่งประเทศไทย ให้ความสําคัญ ประสานงาน ให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามแผนงานและเป้าหมายที่กําหนด สําหรับการดําเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติ (NTC) ที่ได้รับอนุมัติหลักการไว้แล้วนั้น ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 ให้วางแผนการดําเนินงาน พร้อมทั้งกําหนดผู้รับผิดชอบให้ชัดเจนและเร่งดําเนินการตามขั้นตอน เป็นไปตามแผนงานอย่างเคร่งครัด ให้แล้วเสร็จทันต่อการใช้งานในมหกรรมกีฬาต่างๆ ที่จะมีการแข่งขันเกิดขึ้นในประเทศไทยในอนาคต ได้แก่ กีฬาซีเกมส์ กีฬาเอเชี่ยนเกมส์ และกีฬาโอลิมปิกเยาวชน นอกจากนี้ การจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์กีฬาต่าง ๆ ต้องเป็นตามขั้นตอนด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่บุคลากรทางการกีฬาอย่างแท้จริง
........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย เผยคนไทยจะได้ร่วมรับชมการถ่ายทอดสด โอลิมปิกฤดูร้อน (โตเกียว 2020) โอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว (โลซาน 2020)
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563
คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย เผยคนไทยจะได้ร่วมรับชมการถ่ายทอดสด โอลิมปิกฤดูร้อน (โตเกียว 2020) โอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว (โลซาน 2020)
คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย เผยคนไทยจะได้ร่วมรับชมการถ่ายทอดสด โอลิมปิกฤดูร้อน (โตเกียว 2020) โอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว (โลซาน 2020)
วันนี้ (23 มีนาคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 4/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปดังนี้
ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 ปี ค.ศ. 2021 จากการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 ซึ่งเมื่อได้รับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฯ แล้ว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ร่วมกับหน่วยงานเตรียมความพร้อมครบถ้วนทุกมิติ ทั้งรายละเอียด แผนงานและงบประมาณ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังรับทราบมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการถ่ายทอดสดการแข่งขันมหกรรมกีฬานานาชาติ ตามที่ รัฐบาลมีมติ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 เห็นชอบในหลักการตามแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2560 - 2564 มุ่งให้การกีฬาเป็นส่วนสําคัญของวิถีชีวิต ซึ่งการกีฬาแห่งประเทศไทยจะดําเนินการจัดซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดเกมส์การแข่งขันระดับนานาชาติที่มีความสําคัญ ระหว่างปี 2020 – 2022 จํานวน 5 รายการ ประกอบด้วย โอลิมปิกฤดูร้อน (โตเกียว 2020) โอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว (โลซาน 2020) โอลิมปิกฤดูหนาว (ปักกิ่ง 2022) โอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน (ดาการ์ 2022) และการถ่ายทอดสดกีฬาเอเชียนเกมส์ (หางโจว 2022) โดยดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อประชาชนได้มีโอกาสรับชมและร่วมส่งแรงเชียร์แรงใจให้กับนักกีฬาทีมชาติไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาในระดับนานาชาติ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการจัดหาอุปกรณ์วิทยาศาสตร์การกีฬาสําหรับป้องกันการเสียชีวิตในสนาม อาทิ การกําหนดใช้เครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติเป็นการปฐมพยาบาล เพื่อส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัยในสนามกีฬาตามมาตรการคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินที่ และเป็นอีกหนึ่งในยุทธศาสตร์การดูแลนักกีฬาและผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้มีความปลอดภัยในการฝึกซ้อมและแข่งขันกีฬา
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีย้ําการแก้ไขการเบิกจ่ายงบประมาณประจําปี พ.ศ. 2563 ว่า ให้ผู้บริหารทุกระดับของการกีฬาแห่งประเทศไทย ให้ความสําคัญ ประสานงาน ให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามแผนงานและเป้าหมายที่กําหนด สําหรับการดําเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติ (NTC) ที่ได้รับอนุมัติหลักการไว้แล้วนั้น ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 ให้วางแผนการดําเนินงาน พร้อมทั้งกําหนดผู้รับผิดชอบให้ชัดเจนและเร่งดําเนินการตามขั้นตอน เป็นไปตามแผนงานอย่างเคร่งครัด ให้แล้วเสร็จทันต่อการใช้งานในมหกรรมกีฬาต่างๆ ที่จะมีการแข่งขันเกิดขึ้นในประเทศไทยในอนาคต ได้แก่ กีฬาซีเกมส์ กีฬาเอเชี่ยนเกมส์ และกีฬาโอลิมปิกเยาวชน นอกจากนี้ การจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์กีฬาต่าง ๆ ต้องเป็นตามขั้นตอนด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่บุคลากรทางการกีฬาอย่างแท้จริง
........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27697
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันวิสาขบูชา 2561
|
วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561
วันวิสาขบูชา 2561
รัฐบาลขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมน้อมนําพระโอวาทของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก
วันที่ 29 พ.ค.2561
วันวิสาขบูชา 2561
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
เนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันสําคัญสากลของโลก รัฐบาลขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมน้อมนําพระโอวาทของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ที่ทรงเตือนสติให้ประชาชนรู้เท่าทันกาย วาจา ใจ ของตน ซึ่งจะเป็นหนทางสู่ปัญญาและการหลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวงได้อย่างแท้จริง รวมทั้งควรรู้จักละกิเลส ความโลภ โกรธ หลง อันเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่ว และขอให้ชาวไทยทุกคนร่วมกันระลึกถึงความสําคัญของศาสนาพุทธ ให้ทาน รักษาศีล ประพฤติตนเป็นคนดีของสังคม พร้อมทั้งนําหลักธรรมคําสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปฏิบัติ เพื่อสร้างความสุขให้แก่ตนเอง ครอบครัว และสร้างความสงบให้แก่ประเทศชาติบ้านเมือง
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันวิสาขบูชา 2561
วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561
วันวิสาขบูชา 2561
รัฐบาลขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมน้อมนําพระโอวาทของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก
วันที่ 29 พ.ค.2561
วันวิสาขบูชา 2561
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
เนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันสําคัญสากลของโลก รัฐบาลขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมน้อมนําพระโอวาทของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ที่ทรงเตือนสติให้ประชาชนรู้เท่าทันกาย วาจา ใจ ของตน ซึ่งจะเป็นหนทางสู่ปัญญาและการหลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวงได้อย่างแท้จริง รวมทั้งควรรู้จักละกิเลส ความโลภ โกรธ หลง อันเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่ว และขอให้ชาวไทยทุกคนร่วมกันระลึกถึงความสําคัญของศาสนาพุทธ ให้ทาน รักษาศีล ประพฤติตนเป็นคนดีของสังคม พร้อมทั้งนําหลักธรรมคําสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปฏิบัติ เพื่อสร้างความสุขให้แก่ตนเอง ครอบครัว และสร้างความสงบให้แก่ประเทศชาติบ้านเมือง
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12996
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รอง นรม.พล อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้นักเรียนด้อยโอกาสในภาคเหนือ
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560
รอง นรม.พล อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้นักเรียนด้อยโอกาสในภาคเหนือ
รอง นรม.พล อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้นักเรียนด้อยโอกาสในภาคเหนือ โครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตเด็กนักเรียนโรงเรียนสบปราบพิทยาคม และโรงเรียนบ้านปงแม่แลบ
เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2560 เวลา 11.20 น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปยังโรงเรียนสบปราบพิทยาคม ตําบลสบปราบ อําเภอสบปราบ จังหวัดลําปาง เพื่อเป็นประธานในพิธีมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้นักเรียนด้อยโอกาส ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากการที่สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ร่วมกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ มูลนิธิ ชมรม บริษัทเอกชน พร้อมด้วยผู้มีจิตอันเป็นกุศล ได้ให้การสนับสนุนและดําเนินการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม มีหลักโภชนาการที่ดี มีการเสริมสร้างสุขภาพอนามัย พร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษา รวมทั้งมุ่งเน้นให้เกิดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีต่อการใช้ชีวิตของนักเรียนในโรงเรียน
โดยมี การคัดเลือกโรงเรียนในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการจํานวน 19 แห่ง เมื่อคณะของรองนายกรัฐมนตรีเดินทางไปถึงโรงเรียนสบปราบพิทยาคม นายทรงพล สวาสดิ์ธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดลําปาง ได้กล่าวต้อนรับ จากนั้น นายสายัณห์ พรมใส ผู้อํานวยการโรงเรียนสบปราบพิทยาคม ได้กล่าวบรรยายสรุปว่าโรงเรียนสบปราบพิทยาคม เป็นโรงเรียนที่ทําการเปิดสอนในระดับมัธยมศึกษา ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 3 มีนักเรียนทั้งสิ้น 864 คน และได้รับรางวัลพระราชทานให้เป็นโรงเรียนคุณภาพต้นแบบของภาคเหนือและโล่รางวัลโรงเรียนคุณธรรมพื้นฐานในระดับประเทศ
จากนั้นหม่อมราชวงศ์ ศุภดิศ ดิศกุล ประธานกรรมการบริหารกลุ่ม บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ในฐานะผู้แทนหน่วยงานหลักที่ร่วมกันให้การสนับสนุนโครงการได้กล่าวรายงานถึงการดําเนินการให้กับโรงเรียนสบปราบพิทยาคม ได้แก่ การจัดทําสวนเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้นักเรียนได้มีสถานที่ในการศึกษาเรียนรู้แนวพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
การก่อสร้างถนนคอนกรีตเชื่อมทางระหว่างบ้านวังยาวกับบ้านฮ่องปุ๊สามัคคีระยะทาง 2.35 กิโลเมตร เพื่อให้นักเรียนเดินทางมาโรงเรียนด้วยความสะดวกปลอดภัย ปรับปรุงระบบกรองน้ําดื่ม ซ่อมแซมสนามบาสเกตบอล ห้องน้ํานักเรียน และปรับปรุงบ้านพักครูเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับนักเรียนและครูผู้ซึ่งเป็นกําลังสําคัญ ในการพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพ เป็นคนดีของสังคมต่อไป
ต่อมา รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโครงการฯ และการทําพิธีมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส ปี 2560 ให้กับผู้อํานวยการโรงเรียนสบปราบพิทยาคม พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษา ทุนบํารุงห้องสมุด อุปกรณ์กีฬา เสื้อกล้ามสําหรับเด็ก ยาเวชภัณฑ์ เสื้อกีฬา หนังสือก้าวตามคําสอนพ่อ และพระราชดํารัส และพระบรมราโชวาท ด้านการสื่อสารของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขนม นมกล่อง เสร็จแล้วจึงได้เยี่ยมชมโครงการที่ได้ดําเนินการให้กับโรงเรียนสบปราบพิทยาคมดังกล่าว พร้อมทั้งปลูกต้นรวงผึ้ง ณ บริเวณ สวนเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเป็นที่ระลึกด้วย
ในช่วงบ่ายเวลาประมาณ 15.30 น. รองนายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางไปยังโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ อําเภอแม่ทา จังหวัดลาพูน เพื่อเป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส ปี 2560 โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลําพูนให้การต้อนรับและมี นางสาวเสาวภา ประพันธ์ ผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ กล่าวรายงานว่าโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ เป็นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาและมีโรงเรียนในสาขาอีก 4 โรงเรียน โดยโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ มีนักเรียนประมาณ 200 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายกระเหรี่ยง ซึ่งเป็นเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษา ขาดแคลนสื่อวัสดุอุปกรณ์การศึกษาที่ทันสมัย จากนั้น ดร.ชัยณรงค์ ณ ลําพูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จํากัด ในฐานะตัวแทนชาวลําพูนและผู้แทนหน่วยงานหลักที่ร่วมกันให้การสนับสนุนโครงการ กล่าวถึงการดําเนินการช่วยเหลือโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ ได้แก่ การปรับปรุงบ้านพักครู การปรับปรุงพื้นที่ล้างหน้า แปรงฟัน สําหรับเด็ก การปรับปรุงพื้นที่ห้องสมุดและห้องอาหาร การปรับปรุงห้องน้ําครูนักเรียน รวมทั้งการสนับสนุนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เสร็จแล้ว รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในโครงการฯ นี้และทําพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส ปี 2560 ให้กับโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ และโรงเรียนสาขาห้วยค่อม พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษา ทุนบํารุงห้องสมุด อุปกรณ์กีฬา เสื้อกล้ามสําหรับเด็ก ยาเวชภัณฑ์ เสื้อกีฬา หนังสือก้าวตามคําสอนพ่อ และพระราชดํารัส และพระบรมราโชวาทด้านการสื่อสาร ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขนม นมกล่อง ให้แก่โรงเรียน
หลังจากนั้นได้ชมการแสดงของเด็กนักเรียนและเยี่ยมชมโครงการฯ ที่ได้ดําเนินการให้กับโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ จนได้เวลาอันสมควรจึงได้เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
....................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รอง นรม.พล อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้นักเรียนด้อยโอกาสในภาคเหนือ
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560
รอง นรม.พล อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้นักเรียนด้อยโอกาสในภาคเหนือ
รอง นรม.พล อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้นักเรียนด้อยโอกาสในภาคเหนือ โครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตเด็กนักเรียนโรงเรียนสบปราบพิทยาคม และโรงเรียนบ้านปงแม่แลบ
เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2560 เวลา 11.20 น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปยังโรงเรียนสบปราบพิทยาคม ตําบลสบปราบ อําเภอสบปราบ จังหวัดลําปาง เพื่อเป็นประธานในพิธีมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้นักเรียนด้อยโอกาส ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากการที่สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ร่วมกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ มูลนิธิ ชมรม บริษัทเอกชน พร้อมด้วยผู้มีจิตอันเป็นกุศล ได้ให้การสนับสนุนและดําเนินการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม มีหลักโภชนาการที่ดี มีการเสริมสร้างสุขภาพอนามัย พร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษา รวมทั้งมุ่งเน้นให้เกิดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีต่อการใช้ชีวิตของนักเรียนในโรงเรียน
โดยมี การคัดเลือกโรงเรียนในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการจํานวน 19 แห่ง เมื่อคณะของรองนายกรัฐมนตรีเดินทางไปถึงโรงเรียนสบปราบพิทยาคม นายทรงพล สวาสดิ์ธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดลําปาง ได้กล่าวต้อนรับ จากนั้น นายสายัณห์ พรมใส ผู้อํานวยการโรงเรียนสบปราบพิทยาคม ได้กล่าวบรรยายสรุปว่าโรงเรียนสบปราบพิทยาคม เป็นโรงเรียนที่ทําการเปิดสอนในระดับมัธยมศึกษา ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 3 มีนักเรียนทั้งสิ้น 864 คน และได้รับรางวัลพระราชทานให้เป็นโรงเรียนคุณภาพต้นแบบของภาคเหนือและโล่รางวัลโรงเรียนคุณธรรมพื้นฐานในระดับประเทศ
จากนั้นหม่อมราชวงศ์ ศุภดิศ ดิศกุล ประธานกรรมการบริหารกลุ่ม บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ในฐานะผู้แทนหน่วยงานหลักที่ร่วมกันให้การสนับสนุนโครงการได้กล่าวรายงานถึงการดําเนินการให้กับโรงเรียนสบปราบพิทยาคม ได้แก่ การจัดทําสวนเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้นักเรียนได้มีสถานที่ในการศึกษาเรียนรู้แนวพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
การก่อสร้างถนนคอนกรีตเชื่อมทางระหว่างบ้านวังยาวกับบ้านฮ่องปุ๊สามัคคีระยะทาง 2.35 กิโลเมตร เพื่อให้นักเรียนเดินทางมาโรงเรียนด้วยความสะดวกปลอดภัย ปรับปรุงระบบกรองน้ําดื่ม ซ่อมแซมสนามบาสเกตบอล ห้องน้ํานักเรียน และปรับปรุงบ้านพักครูเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับนักเรียนและครูผู้ซึ่งเป็นกําลังสําคัญ ในการพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพ เป็นคนดีของสังคมต่อไป
ต่อมา รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโครงการฯ และการทําพิธีมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส ปี 2560 ให้กับผู้อํานวยการโรงเรียนสบปราบพิทยาคม พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษา ทุนบํารุงห้องสมุด อุปกรณ์กีฬา เสื้อกล้ามสําหรับเด็ก ยาเวชภัณฑ์ เสื้อกีฬา หนังสือก้าวตามคําสอนพ่อ และพระราชดํารัส และพระบรมราโชวาท ด้านการสื่อสารของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขนม นมกล่อง เสร็จแล้วจึงได้เยี่ยมชมโครงการที่ได้ดําเนินการให้กับโรงเรียนสบปราบพิทยาคมดังกล่าว พร้อมทั้งปลูกต้นรวงผึ้ง ณ บริเวณ สวนเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเป็นที่ระลึกด้วย
ในช่วงบ่ายเวลาประมาณ 15.30 น. รองนายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางไปยังโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ อําเภอแม่ทา จังหวัดลาพูน เพื่อเป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส ปี 2560 โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลําพูนให้การต้อนรับและมี นางสาวเสาวภา ประพันธ์ ผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ กล่าวรายงานว่าโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ เป็นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาและมีโรงเรียนในสาขาอีก 4 โรงเรียน โดยโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ มีนักเรียนประมาณ 200 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายกระเหรี่ยง ซึ่งเป็นเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษา ขาดแคลนสื่อวัสดุอุปกรณ์การศึกษาที่ทันสมัย จากนั้น ดร.ชัยณรงค์ ณ ลําพูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จํากัด ในฐานะตัวแทนชาวลําพูนและผู้แทนหน่วยงานหลักที่ร่วมกันให้การสนับสนุนโครงการ กล่าวถึงการดําเนินการช่วยเหลือโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ ได้แก่ การปรับปรุงบ้านพักครู การปรับปรุงพื้นที่ล้างหน้า แปรงฟัน สําหรับเด็ก การปรับปรุงพื้นที่ห้องสมุดและห้องอาหาร การปรับปรุงห้องน้ําครูนักเรียน รวมทั้งการสนับสนุนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เสร็จแล้ว รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในโครงการฯ นี้และทําพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส ปี 2560 ให้กับโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ และโรงเรียนสาขาห้วยค่อม พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษา ทุนบํารุงห้องสมุด อุปกรณ์กีฬา เสื้อกล้ามสําหรับเด็ก ยาเวชภัณฑ์ เสื้อกีฬา หนังสือก้าวตามคําสอนพ่อ และพระราชดํารัส และพระบรมราโชวาทด้านการสื่อสาร ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขนม นมกล่อง ให้แก่โรงเรียน
หลังจากนั้นได้ชมการแสดงของเด็กนักเรียนและเยี่ยมชมโครงการฯ ที่ได้ดําเนินการให้กับโรงเรียนบ้านปงแม่ลอบ จนได้เวลาอันสมควรจึงได้เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
....................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7356
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดงานเฉลิมพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 10 - วันอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา 11 ริ้วขบวน “พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม”
|
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561
รัฐบาลจัดงานเฉลิมพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 10 - วันอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา 11 ริ้วขบวน “พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม”
รัฐบาลจัดงานเฉลิมพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 10 - วันอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา
11 ริ้วขบวน “พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม”
อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ 5 ยุคให้พุทธศาสนิกชนกราบสักการะ 23-28 ก.ค.นี้ ณ สนามหลวง
รัฐบาลจัดงานเฉลิมพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 10 - วันอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา
11 ริ้วขบวน “พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม”
อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ 5 ยุคให้พุทธศาสนิกชนกราบสักการะ 23-28 ก.ค.นี้ ณ สนามหลวง
วันที่ 22 กรกฎาคม 2561 ที่บริเวณลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีปล่อยริ้วขบวน “พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม” ซึ่งเป็นกิจกรรมหลักในงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร 28 กรกฎาคม 2561 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-28 กรกฎาคม 2561 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยมีนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรี ว่ากระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนหน่วยงานต่างๆ และทูตจากประเทศต่างๆ เข้าร่วม
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ สํานักนายกรัฐมนตรี กรุงเทพมหานคร สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มหาเถรสมาคม สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และองค์กรศาสนา เป็นต้น ดําเนินการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร 28 กรกฎาคม 2561 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 - 28 กรกฎาคม 2561 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เพื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทยที่ยาวนานถึง 1,400 ปี และเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชของไทยทุกพระองค์ ตลอดจนเทิดทูนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก และทรงปกครองประเทศและดูแลพสกนิกรชาวไทยด้วยหลักทศพิธราชธรรม
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีก กิจกรรมหลักที่จัดขึ้นใช้ชื่อว่า “พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม” โดยมีริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม ตั้งแต่สมัยทวารวดีถึงรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย 11 ริ้วขบวน ได้แก่ 1.ธรรมจักรยาตรา เป็นรถขบวนอัญเชิญธงธรรมจักร ธงฉัพพรรณรังสี และรถขบวนจําลองวงล้อธรรมจักร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา 2. เทียนพรรษาเสริมศาสน์ ขบวนจําลองแห่เทียนพรรษาที่แกะสลักอย่างวิจิตรงดงามเป็นประเพณีตั้งแต่โบราณกาลในวันเข้าพรรษา 3. บรมนาถทวารวดี เป็นรถขบวนจําลองโบราณสถานวัดคูบัว จ.ราชบุรี พระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาทศิลปะแบบทวารวดี ใบเสมาที่บอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ 4. เสริมศรีโคตรบูร เป็นรถขบวนจําลองพระธาตุพนม จ.นครพนม หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย 5. เจิดจํารูญศรีวิชัย เป็นรถขบวนจําลองเจดีย์พระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฎร์ธานี พระพุทธรูปปางมารวิชัยนาคปรก แบบศิลปะศีวิชัย 6. ไตรภพลพบุรี เป็นรถขบวนจําลองพระปรางค์สามยอด จ.ลพบุรี และพระพุทธรูปทรงเครื่องปางนาคปรก
7. ธรรมวิถีล้านนา เป็นรถขบวนจําลองพระธาตุลําปางหลวง จ.ลําปาง และประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ จ.เชียงใหม่ 8. เชิดบูชาสุโขทัย เป็นรถขบวนจําลองเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ วัดมหาธาตุ ภายในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และประดิษฐานพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก 9. เกษมสมัยอยุธยา เป็นรถขบวนจําลองเจดีย์พระศรีสรรเพชญ์ พระพุทธรูปทรงเครื่อง วัดหน้าพระเมรุ จ.พระนครศรีอยุธยา 10.ธรรมารัตนโกสินทร์ เป็นรถขบวนจําลองพระศรีศากยะทศพลญาณจากพุทธมณฑล พระศรีรัตนเจดีย์ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และ11. แผ่นดินศาสนูปถัมภก โดยริ้วขบวนจะมีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุสําคัญทั้งหมด 5 ยุค ได้แก่ ทวารวดี ล้านนา สุโขทัย อยุธยาและรัตนโกสินทร์ ซึ่งขบวนเฉลิมพระเกียรติฯมีข้าราชการ ศิลปินดารา ทหารกองทัพบก กองทัพอากาศ กองทัพเรือ ตํารวจและพสกนิกร เข้าร่วมขบวน
ทั้งนี้ แต่ละริ้วขบวนมีการแสดงฟ้อนรําและระบําของแต่ละยุคที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้น โดยริ้วขบวนเคลื่อนจากบริเวณลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ผ่านถนนราชดําเนินไปยังท้องสนามหลวง เพื่อประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุแต่ละยุคไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบสักการบูชาและเวียนเทียนเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และชมนิทรรศการพระบรมสารีริกธาตุแต่ละยุค ตั้งแต่วันที่ 23-28 กรกฎาคม 2561 เวลา 08.00-20.00 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ มีกิจกรรมทางศาสนา ได้แก่ พิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชพระบรมธาตุเจดีย์หรือพระพุทธรูปสําคัญของแต่ละจังหวัด วันที่ 15-28 กรกฎาคม 2561 ณ ส่วนภูมิภาค 76 จังหวัด พิธีเจริญพระพุทธมนต์หล่อเทียนพรรษา 10 ต้น วันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง และพิธีปล่อยขบวนรถแห่เทียนพรรษา 10 ต้น วันที่ 25 กรกฎาคม 2561 เพื่อนําไปถวายยังพระอารามหลวง 10 วัด ได้แก่ 1. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม 2. วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม 3. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม 4. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม 5. วัดบุรณศิริมาตยาราม 6. วัดบวรนิเวศวิหาร 7. วัดสุทัศนเทพวราราม 8. วัดชนะสงคราม 9. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ 10. วัดปรินายก
รวมทั้ง กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม อาทิ ประกวดสวดมนต์หมู่สรรเสริญพระรัตนตรัย ทํานองสรภัญญะ ตอบปัญหาธรรมะ การสวดสาธิตโอ้เอ้วิหารราย การแสดงธรรม ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น วันที่ 23-27 กรกฎาคม 2561 ณ ท้องสนามหลวง และกิจกรรมธรรมะสู่คนทั้งมวลโดยปฏิบัติธรรม รักษาศีล เจริญจิตภาวนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล วันที่ 22-28 กรกฎาคม 2561 ณ วัดในส่วนภูมิภาค 30 จังหวัด รวมทั้งมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ วันที่ 23 กรกฎาคม 2561 เวลา 15.09 น. ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม และพิธีสวดมหามงคล 5 ศาสนาถวายพระพร ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2561 เวลา 07.00 น. ที่ทําเนียบรัฐบาล อีกทั้งจัดงานอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษาอาเซียนใน 16 จังหวัดตามแนวชายแดนของไทยที่มีพื้นที่ติดกับกลุ่มประเทศอาเซียน
ขณะเดียวกันมีกิจกรรมด้านศิลปะและวัฒนธรรม อาทิ วันที่ 24 กรกฎาคม 2561 คอนเสิร์ตชุมนุมนักร้องประสานเสียงนานาชาติ ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย วันที่ 24-26 กรกฎาคม 2561 การแสดงเฉลิมพระเกียรติ “ใต้ร่มพระมหากรุณา มหาวชิราลงกรณ” ณ โรงละครแห่งชาติ โดยวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 การแสดงรําถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร “พัทธวิสัย” มหกรรมกลอง การละเล่นของหลวง “ระเบง”และการแสดงโขน ชุดน้อมพลีกาย ถวายภักดี วันที่ 25 กรกฎาคม การแสดงรําถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร “พัทธวิสัย” การบรรเลง-ขับร้องดนตรีสากล การแสดงบัลเล่ต์มโนราห์ การละเล่นของหลวง “โมงครุ่ม กุลาตีไม้”และการแสดงโขน ชุดศึกวิรุญจําบัง และวันที่ 26 กรกฎาคม 2561 การแสดงหุ่นละครเล็กเฉลิมพระเกียรติฯ วันที่ 28 กรกฎาคม 2561 การแสดงดนตรีไทยเฉลิมพระเกียรติฯ ณ เวทีกลางแจ้ง และหอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ สถานีโทรทัศน์ Thai PBS จะบันทึกเทปการแสดงดนตรีไทยเฉลิมพระเกียรติ ฯ ในวันดังกล่าว และจะนําไปออกอากาศในวันที่ 4 สิงหาคม 2561 เวลา 12.05-16.00 น. นอกจากนี้ วันที่ 25 กรกฎาคม 2561 มีกิจกรรมเสวนาวิชาการหัวข้อ “ใต้ร่มพระมหากรุณา มหาวชิราลงกรณ” ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป อีกทั้งจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน และส่วนภูมิภาคจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ที่จ.อุบลราชธานี อุดรธานี ชลบุรี สงขลาและเชียงใหม่
รวมถึง กิจกรรมจิตอาสาเราทําความดีด้วยหัวใจ โดยจิตอาสาวัฒนธรรมร่วมทําความดีด้วยหัวใจและการทําความสะอาดโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์และศาสนสถานทั่วประเทศ และชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทั่วประเทศบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายเป็นพระราชกุศล อีกทั้ง วธ.ได้จัดทําและเผยแพร่สารคดีเฉลิมพระเกียรติฯ บทเพลงเฉลิมพระเกียรติฯ และภาพยนตร์ข่าวพระราชกรณียกิจที่สําคัญในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทั้งนี้ มีพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลและขับร้องเพลง “สดุดีจอมราชา” ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2561 เวลา 19.00 น.ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม โทร. 1765
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดงานเฉลิมพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 10 - วันอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา 11 ริ้วขบวน “พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม”
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561
รัฐบาลจัดงานเฉลิมพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 10 - วันอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา 11 ริ้วขบวน “พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม”
รัฐบาลจัดงานเฉลิมพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 10 - วันอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา
11 ริ้วขบวน “พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม”
อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ 5 ยุคให้พุทธศาสนิกชนกราบสักการะ 23-28 ก.ค.นี้ ณ สนามหลวง
รัฐบาลจัดงานเฉลิมพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 10 - วันอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา
11 ริ้วขบวน “พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม”
อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ 5 ยุคให้พุทธศาสนิกชนกราบสักการะ 23-28 ก.ค.นี้ ณ สนามหลวง
วันที่ 22 กรกฎาคม 2561 ที่บริเวณลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีปล่อยริ้วขบวน “พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม” ซึ่งเป็นกิจกรรมหลักในงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร 28 กรกฎาคม 2561 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-28 กรกฎาคม 2561 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยมีนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรี ว่ากระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนหน่วยงานต่างๆ และทูตจากประเทศต่างๆ เข้าร่วม
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ สํานักนายกรัฐมนตรี กรุงเทพมหานคร สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มหาเถรสมาคม สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และองค์กรศาสนา เป็นต้น ดําเนินการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร 28 กรกฎาคม 2561 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 - 28 กรกฎาคม 2561 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เพื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทยที่ยาวนานถึง 1,400 ปี และเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชของไทยทุกพระองค์ ตลอดจนเทิดทูนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก และทรงปกครองประเทศและดูแลพสกนิกรชาวไทยด้วยหลักทศพิธราชธรรม
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีก กิจกรรมหลักที่จัดขึ้นใช้ชื่อว่า “พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม” โดยมีริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุ พุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม ตั้งแต่สมัยทวารวดีถึงรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย 11 ริ้วขบวน ได้แก่ 1.ธรรมจักรยาตรา เป็นรถขบวนอัญเชิญธงธรรมจักร ธงฉัพพรรณรังสี และรถขบวนจําลองวงล้อธรรมจักร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา 2. เทียนพรรษาเสริมศาสน์ ขบวนจําลองแห่เทียนพรรษาที่แกะสลักอย่างวิจิตรงดงามเป็นประเพณีตั้งแต่โบราณกาลในวันเข้าพรรษา 3. บรมนาถทวารวดี เป็นรถขบวนจําลองโบราณสถานวัดคูบัว จ.ราชบุรี พระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาทศิลปะแบบทวารวดี ใบเสมาที่บอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ 4. เสริมศรีโคตรบูร เป็นรถขบวนจําลองพระธาตุพนม จ.นครพนม หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย 5. เจิดจํารูญศรีวิชัย เป็นรถขบวนจําลองเจดีย์พระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฎร์ธานี พระพุทธรูปปางมารวิชัยนาคปรก แบบศิลปะศีวิชัย 6. ไตรภพลพบุรี เป็นรถขบวนจําลองพระปรางค์สามยอด จ.ลพบุรี และพระพุทธรูปทรงเครื่องปางนาคปรก
7. ธรรมวิถีล้านนา เป็นรถขบวนจําลองพระธาตุลําปางหลวง จ.ลําปาง และประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ จ.เชียงใหม่ 8. เชิดบูชาสุโขทัย เป็นรถขบวนจําลองเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ วัดมหาธาตุ ภายในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และประดิษฐานพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก 9. เกษมสมัยอยุธยา เป็นรถขบวนจําลองเจดีย์พระศรีสรรเพชญ์ พระพุทธรูปทรงเครื่อง วัดหน้าพระเมรุ จ.พระนครศรีอยุธยา 10.ธรรมารัตนโกสินทร์ เป็นรถขบวนจําลองพระศรีศากยะทศพลญาณจากพุทธมณฑล พระศรีรัตนเจดีย์ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และ11. แผ่นดินศาสนูปถัมภก โดยริ้วขบวนจะมีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุสําคัญทั้งหมด 5 ยุค ได้แก่ ทวารวดี ล้านนา สุโขทัย อยุธยาและรัตนโกสินทร์ ซึ่งขบวนเฉลิมพระเกียรติฯมีข้าราชการ ศิลปินดารา ทหารกองทัพบก กองทัพอากาศ กองทัพเรือ ตํารวจและพสกนิกร เข้าร่วมขบวน
ทั้งนี้ แต่ละริ้วขบวนมีการแสดงฟ้อนรําและระบําของแต่ละยุคที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้น โดยริ้วขบวนเคลื่อนจากบริเวณลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ผ่านถนนราชดําเนินไปยังท้องสนามหลวง เพื่อประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุแต่ละยุคไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบสักการบูชาและเวียนเทียนเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และชมนิทรรศการพระบรมสารีริกธาตุแต่ละยุค ตั้งแต่วันที่ 23-28 กรกฎาคม 2561 เวลา 08.00-20.00 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ มีกิจกรรมทางศาสนา ได้แก่ พิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชพระบรมธาตุเจดีย์หรือพระพุทธรูปสําคัญของแต่ละจังหวัด วันที่ 15-28 กรกฎาคม 2561 ณ ส่วนภูมิภาค 76 จังหวัด พิธีเจริญพระพุทธมนต์หล่อเทียนพรรษา 10 ต้น วันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง และพิธีปล่อยขบวนรถแห่เทียนพรรษา 10 ต้น วันที่ 25 กรกฎาคม 2561 เพื่อนําไปถวายยังพระอารามหลวง 10 วัด ได้แก่ 1. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม 2. วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม 3. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม 4. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม 5. วัดบุรณศิริมาตยาราม 6. วัดบวรนิเวศวิหาร 7. วัดสุทัศนเทพวราราม 8. วัดชนะสงคราม 9. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ 10. วัดปรินายก
รวมทั้ง กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม อาทิ ประกวดสวดมนต์หมู่สรรเสริญพระรัตนตรัย ทํานองสรภัญญะ ตอบปัญหาธรรมะ การสวดสาธิตโอ้เอ้วิหารราย การแสดงธรรม ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น วันที่ 23-27 กรกฎาคม 2561 ณ ท้องสนามหลวง และกิจกรรมธรรมะสู่คนทั้งมวลโดยปฏิบัติธรรม รักษาศีล เจริญจิตภาวนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล วันที่ 22-28 กรกฎาคม 2561 ณ วัดในส่วนภูมิภาค 30 จังหวัด รวมทั้งมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ วันที่ 23 กรกฎาคม 2561 เวลา 15.09 น. ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม และพิธีสวดมหามงคล 5 ศาสนาถวายพระพร ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2561 เวลา 07.00 น. ที่ทําเนียบรัฐบาล อีกทั้งจัดงานอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษาอาเซียนใน 16 จังหวัดตามแนวชายแดนของไทยที่มีพื้นที่ติดกับกลุ่มประเทศอาเซียน
ขณะเดียวกันมีกิจกรรมด้านศิลปะและวัฒนธรรม อาทิ วันที่ 24 กรกฎาคม 2561 คอนเสิร์ตชุมนุมนักร้องประสานเสียงนานาชาติ ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย วันที่ 24-26 กรกฎาคม 2561 การแสดงเฉลิมพระเกียรติ “ใต้ร่มพระมหากรุณา มหาวชิราลงกรณ” ณ โรงละครแห่งชาติ โดยวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 การแสดงรําถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร “พัทธวิสัย” มหกรรมกลอง การละเล่นของหลวง “ระเบง”และการแสดงโขน ชุดน้อมพลีกาย ถวายภักดี วันที่ 25 กรกฎาคม การแสดงรําถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร “พัทธวิสัย” การบรรเลง-ขับร้องดนตรีสากล การแสดงบัลเล่ต์มโนราห์ การละเล่นของหลวง “โมงครุ่ม กุลาตีไม้”และการแสดงโขน ชุดศึกวิรุญจําบัง และวันที่ 26 กรกฎาคม 2561 การแสดงหุ่นละครเล็กเฉลิมพระเกียรติฯ วันที่ 28 กรกฎาคม 2561 การแสดงดนตรีไทยเฉลิมพระเกียรติฯ ณ เวทีกลางแจ้ง และหอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ สถานีโทรทัศน์ Thai PBS จะบันทึกเทปการแสดงดนตรีไทยเฉลิมพระเกียรติ ฯ ในวันดังกล่าว และจะนําไปออกอากาศในวันที่ 4 สิงหาคม 2561 เวลา 12.05-16.00 น. นอกจากนี้ วันที่ 25 กรกฎาคม 2561 มีกิจกรรมเสวนาวิชาการหัวข้อ “ใต้ร่มพระมหากรุณา มหาวชิราลงกรณ” ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป อีกทั้งจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน และส่วนภูมิภาคจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ที่จ.อุบลราชธานี อุดรธานี ชลบุรี สงขลาและเชียงใหม่
รวมถึง กิจกรรมจิตอาสาเราทําความดีด้วยหัวใจ โดยจิตอาสาวัฒนธรรมร่วมทําความดีด้วยหัวใจและการทําความสะอาดโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์และศาสนสถานทั่วประเทศ และชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทั่วประเทศบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ถวายเป็นพระราชกุศล อีกทั้ง วธ.ได้จัดทําและเผยแพร่สารคดีเฉลิมพระเกียรติฯ บทเพลงเฉลิมพระเกียรติฯ และภาพยนตร์ข่าวพระราชกรณียกิจที่สําคัญในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทั้งนี้ มีพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลและขับร้องเพลง “สดุดีจอมราชา” ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2561 เวลา 19.00 น.ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม โทร. 1765
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14045
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย [กระทรวงคมนาคม]
|
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2563
ประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย [กระทรวงคมนาคม]
เรื่อง ห้ามอากาศยานทําการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 4)
ตามที่ได้มีประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง ห้ามอากาศยานทําการบิน เข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ประกาศ ณ วันที่ 3 เมษายน 2563 ประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่ง ประเทศไทย เรื่อง ห้ามอากาศยานทําการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 2) ประกาศ ณ วันที่ 6 เมษายน 2563 และประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง ห้ามอากาศยานทําการบินเข้าสู่ ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 3) ประกาศ ณ วันที่ 15 เมษายน 2563 เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์ การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) รุนแรงมากยิ่งขึ้น และเพื่อสนับสนุนการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉินข้างต้นให้ยุติลงโดยเร็ว นั้น
ด้วยเหตุผลและความจําเป็นในการคงความต่อเนื่องของมาตรการดังกล่าวต่อไปอีกเพื่อ ประสิทธิผลในการป้องกันและควบคุมโรค อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่ง พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 ผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
1. ห้ามอากาศยานขนส่งคนโดยสารทําการบินเข้ามายังท่าอากาศยานในประเทศไทยเป็นการ ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เวลา 23.59 น.
2. การอนุญาตการบินที่สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ออกให้แก่อากาศยาน ขนส่งคนโดยสารสําหรับการบินเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงระยะเวลาตาม 1. ให้เป็นอันยกเลิก
3. ข้อห้ามตาม 1. ไม่รวมถึงอากาศยานดังต่อไปนี้
(1) อากาศยานราชการหรือที่ใช้ในราชการทหาร (State or Military aircraft)
(2) อากาศยานที่ขอลงฉุกเฉิน (Emergency landing)
(3) อากาศยานที่ขอลงทางเทคนิค (Technical landing) โดยไม่มีผู้โดยสารออกจากเครื่อง
(4) อากาศยานที่ทําการบินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมทําการบินทางการแพทย์หรือการขนส่งสิ่งของเพื่อสงเคราะห์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) (Humanitarian aid, medical and relief flights)
(5) อากาศยานที่ได้รับอนุญาตให้ทําการบินรับส่งบุคคลกลับประเทศไทยหรือกลับภูมิลําเนา (Repatriation)
(6) อากาศยานขนส่งสินค้า (Cargo aircraft)
4. บุคคลหรือผู้โดยสารบนอากาศยานตาม 3. จะอยู่ภายใต้บังคับของมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อตามที่กําหนดในกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ เช่น การกักตัวเป็นเวลา 14 วัน และบรรดาข้อกําหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
ทั้งนี้ บัดนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง
ประกาศ ณ วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย [กระทรวงคมนาคม]
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2563
ประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย [กระทรวงคมนาคม]
เรื่อง ห้ามอากาศยานทําการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 4)
ตามที่ได้มีประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง ห้ามอากาศยานทําการบิน เข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ประกาศ ณ วันที่ 3 เมษายน 2563 ประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่ง ประเทศไทย เรื่อง ห้ามอากาศยานทําการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 2) ประกาศ ณ วันที่ 6 เมษายน 2563 และประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง ห้ามอากาศยานทําการบินเข้าสู่ ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 3) ประกาศ ณ วันที่ 15 เมษายน 2563 เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์ การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) รุนแรงมากยิ่งขึ้น และเพื่อสนับสนุนการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉินข้างต้นให้ยุติลงโดยเร็ว นั้น
ด้วยเหตุผลและความจําเป็นในการคงความต่อเนื่องของมาตรการดังกล่าวต่อไปอีกเพื่อ ประสิทธิผลในการป้องกันและควบคุมโรค อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่ง พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 ผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
1. ห้ามอากาศยานขนส่งคนโดยสารทําการบินเข้ามายังท่าอากาศยานในประเทศไทยเป็นการ ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เวลา 23.59 น.
2. การอนุญาตการบินที่สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ออกให้แก่อากาศยาน ขนส่งคนโดยสารสําหรับการบินเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงระยะเวลาตาม 1. ให้เป็นอันยกเลิก
3. ข้อห้ามตาม 1. ไม่รวมถึงอากาศยานดังต่อไปนี้
(1) อากาศยานราชการหรือที่ใช้ในราชการทหาร (State or Military aircraft)
(2) อากาศยานที่ขอลงฉุกเฉิน (Emergency landing)
(3) อากาศยานที่ขอลงทางเทคนิค (Technical landing) โดยไม่มีผู้โดยสารออกจากเครื่อง
(4) อากาศยานที่ทําการบินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมทําการบินทางการแพทย์หรือการขนส่งสิ่งของเพื่อสงเคราะห์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) (Humanitarian aid, medical and relief flights)
(5) อากาศยานที่ได้รับอนุญาตให้ทําการบินรับส่งบุคคลกลับประเทศไทยหรือกลับภูมิลําเนา (Repatriation)
(6) อากาศยานขนส่งสินค้า (Cargo aircraft)
4. บุคคลหรือผู้โดยสารบนอากาศยานตาม 3. จะอยู่ภายใต้บังคับของมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อตามที่กําหนดในกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ เช่น การกักตัวเป็นเวลา 14 วัน และบรรดาข้อกําหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
ทั้งนี้ บัดนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง
ประกาศ ณ วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29846
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.ประภัตร” เดินสายสร้างการรับรู้เกษตรกรนาแปลงใหญ่
|
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562
“รมช.ประภัตร” เดินสายสร้างการรับรู้เกษตรกรนาแปลงใหญ่
“รมช.ประภัตร” เดินสายสร้างการรับรู้เกษตรกรนาแปลงใหญ่ พัฒนาระบบการผลิตข้าว เน้นผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน เตรียมเปิดขายตลาดออนไลน์ นําร่อง จ.สุพรรณบุรี
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดกิจกรรมสร้างความเข้าใจการพัฒนาระบบการผลิตตามมาตรฐาน การรับรองแบบกลุ่ม ในพื้นที่นาแปลงใหญ่ จังหวัดสุพรรณบุรีว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีนโยบายส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันผลิต จําหน่ายและบริหารจัดการร่วมกัน ทั้งในรูปของกลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชน/สหกรณ์ เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต พัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐานตามความต้องการของตลาด การเชื่อมโยงตลาด และบริหารจัดการให้เกิดความสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ของสินค้าเกษตร ทั้งนี้ นาแปลงใหญ่ เป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มผลิตและบริหารจัดการผลิตข้าว มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มเกษตรกรให้มีความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปรับเปลี่ยนห่วงโซ่การผลิตข้าวแบบเดิม โดยผสานเชื่อมโยงกันตั้งแต่การเพาะปลูกข้าวไปจนถึงการตลาด รวมทั้งการผลิตข้าวที่ได้มาตรฐาน อาทิ การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP)
ทั้งนี้ กระบวนการรับรองการผลิตข้าว มีทั้งการรับรองรายเดี่ยว และการรับรองแบบกลุ่ม ซึ่งการขอการรับรองแบบกลุ่มนั้น จะช่วยประหยัดงบประมาณและเวลา สร้างความเข็มแข็งและความยั่งยืนในการผลิตให้กับกลุ่มเกษตรกร เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถขอการรับรองได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ โดยสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)ได้ดําเนินโครงการพัฒนาระบบการผลิตตามมาตรฐานโดยใช้ระบบการรับรองแบบกลุ่ม ให้แก่กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวในพื้นที่โครงการนาแปลงใหญ่ ซึ่งบูรณาการงานร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมการข้าว เพื่อให้ความรู้และคําแนะนําแก่กลุ่มเกษตรกร ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับรองแบบกลุ่ม
“เกษตรกรเองจะต้องช่วยกันผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน Q ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค และขณะนี้กําลังส่งเสริมการขายระบบออนไลน์ โดยในวันศุกร์ที่ 4 ต.ค. 62 จะนําร่องที่หมู่บ้านอยุรักษ์ควายไทย จ.สุพรรณบุรี ก่อน โดยให้เกษตรกรนําสินค้าเกษตรของตนเองที่ได้รับรองมาตรฐาน Q มาลองขายผ่านระบบออนไลน์เป็นครั้งแรก ซึ่งจะมีการสอนโดยผู้เชี่ยวชาญ ทําให้เกษตรกรได้ขายสินค้าเกษตรของตัวเองโดยตรง ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง เชื่อว่าหากทุกอย่างมีตลาด เกษตรกรก็จะสามารถผลิตและขายได้ราคาดี” นายประภัตร กล่าว
ด้าน นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ เลขาธิการ มกอช. กล่าวเสริมว่า กระบวนการรับรองการผลิตข้าวแบบกลุ่ม เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถขอการรับรองได้รวดเร็วขึ้น โดยกลุ่มเกษตรกรต้องมีระบบการผลิตและระบบควบคุมภายในกลุ่ม (Internal Control System) ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรับรองว่า กิจกรรมการผลิตของเกษตรกรเป็นไปตามมาตรฐานที่กําหนดและเชื่อถือได้ การมีระบบควบคุมภายในของกลุ่มเกษตรกรจะช่วยให้กลุ่มมีการบริหารงานเป็นระบบในลักษณะการประกันคุณภาพของกลุ่ม โดยใช้เอกสารต่างๆ เป็นเครื่องมือ ช่วยให้กลุ่มสามารถปฏิบัติงานได้ถูกต้องตามแนวทางความยั่งยืนหรือข้อปฏิบัติของกลุ่มที่ได้ตกลงกันไว้
“ที่ผ่านมา มกอช. ได้ดําเนินโครงการพัฒนาระบบการผลิตตามมาตรฐานโดยใช้ระบบการรับรองแบบกลุ่ม ให้แก่กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อุตรดิตถ์ ยโสธร และสุรินทร์ โดยให้ความรู้และคําแนะนําแก่กลุ่มเกษตรกรให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับรองแบบกลุ่ม การพัฒนาเอกสารระบบควบคุมภายในกลุ่ม ตลอดจนส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรขอการรับรองแบบกลุ่มขอบข่าย การผลิตข้าว GAP/อินทรีย์ โดยบูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบของกรมการข้าวในพื้นที่ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กลุ่มเกษตรกรก่อนที่จะขอการรับรองแบบกลุ่มกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป”เลขาธิการ มกอช. กล่าว
สําหรับนาแปลงใหญ่ ตําบลเดิมบาง อําเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี มีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการพัฒนาระบบการผลิตตามมาตรฐานโดยใช้ระบบการรับรองแบบกลุ่ม ขอบข่ายข้าว GAP จํานวน 115 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม พื้นที่รวม 2,095 ไร่ ปลูกข้าวพันธุ์ กข 43 และปทุมธานี 1
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.ประภัตร” เดินสายสร้างการรับรู้เกษตรกรนาแปลงใหญ่
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562
“รมช.ประภัตร” เดินสายสร้างการรับรู้เกษตรกรนาแปลงใหญ่
“รมช.ประภัตร” เดินสายสร้างการรับรู้เกษตรกรนาแปลงใหญ่ พัฒนาระบบการผลิตข้าว เน้นผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน เตรียมเปิดขายตลาดออนไลน์ นําร่อง จ.สุพรรณบุรี
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดกิจกรรมสร้างความเข้าใจการพัฒนาระบบการผลิตตามมาตรฐาน การรับรองแบบกลุ่ม ในพื้นที่นาแปลงใหญ่ จังหวัดสุพรรณบุรีว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีนโยบายส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันผลิต จําหน่ายและบริหารจัดการร่วมกัน ทั้งในรูปของกลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชน/สหกรณ์ เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต พัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐานตามความต้องการของตลาด การเชื่อมโยงตลาด และบริหารจัดการให้เกิดความสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ของสินค้าเกษตร ทั้งนี้ นาแปลงใหญ่ เป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มผลิตและบริหารจัดการผลิตข้าว มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มเกษตรกรให้มีความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปรับเปลี่ยนห่วงโซ่การผลิตข้าวแบบเดิม โดยผสานเชื่อมโยงกันตั้งแต่การเพาะปลูกข้าวไปจนถึงการตลาด รวมทั้งการผลิตข้าวที่ได้มาตรฐาน อาทิ การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP)
ทั้งนี้ กระบวนการรับรองการผลิตข้าว มีทั้งการรับรองรายเดี่ยว และการรับรองแบบกลุ่ม ซึ่งการขอการรับรองแบบกลุ่มนั้น จะช่วยประหยัดงบประมาณและเวลา สร้างความเข็มแข็งและความยั่งยืนในการผลิตให้กับกลุ่มเกษตรกร เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถขอการรับรองได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ โดยสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)ได้ดําเนินโครงการพัฒนาระบบการผลิตตามมาตรฐานโดยใช้ระบบการรับรองแบบกลุ่ม ให้แก่กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวในพื้นที่โครงการนาแปลงใหญ่ ซึ่งบูรณาการงานร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมการข้าว เพื่อให้ความรู้และคําแนะนําแก่กลุ่มเกษตรกร ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับรองแบบกลุ่ม
“เกษตรกรเองจะต้องช่วยกันผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน Q ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค และขณะนี้กําลังส่งเสริมการขายระบบออนไลน์ โดยในวันศุกร์ที่ 4 ต.ค. 62 จะนําร่องที่หมู่บ้านอยุรักษ์ควายไทย จ.สุพรรณบุรี ก่อน โดยให้เกษตรกรนําสินค้าเกษตรของตนเองที่ได้รับรองมาตรฐาน Q มาลองขายผ่านระบบออนไลน์เป็นครั้งแรก ซึ่งจะมีการสอนโดยผู้เชี่ยวชาญ ทําให้เกษตรกรได้ขายสินค้าเกษตรของตัวเองโดยตรง ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง เชื่อว่าหากทุกอย่างมีตลาด เกษตรกรก็จะสามารถผลิตและขายได้ราคาดี” นายประภัตร กล่าว
ด้าน นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ เลขาธิการ มกอช. กล่าวเสริมว่า กระบวนการรับรองการผลิตข้าวแบบกลุ่ม เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถขอการรับรองได้รวดเร็วขึ้น โดยกลุ่มเกษตรกรต้องมีระบบการผลิตและระบบควบคุมภายในกลุ่ม (Internal Control System) ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรับรองว่า กิจกรรมการผลิตของเกษตรกรเป็นไปตามมาตรฐานที่กําหนดและเชื่อถือได้ การมีระบบควบคุมภายในของกลุ่มเกษตรกรจะช่วยให้กลุ่มมีการบริหารงานเป็นระบบในลักษณะการประกันคุณภาพของกลุ่ม โดยใช้เอกสารต่างๆ เป็นเครื่องมือ ช่วยให้กลุ่มสามารถปฏิบัติงานได้ถูกต้องตามแนวทางความยั่งยืนหรือข้อปฏิบัติของกลุ่มที่ได้ตกลงกันไว้
“ที่ผ่านมา มกอช. ได้ดําเนินโครงการพัฒนาระบบการผลิตตามมาตรฐานโดยใช้ระบบการรับรองแบบกลุ่ม ให้แก่กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อุตรดิตถ์ ยโสธร และสุรินทร์ โดยให้ความรู้และคําแนะนําแก่กลุ่มเกษตรกรให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับรองแบบกลุ่ม การพัฒนาเอกสารระบบควบคุมภายในกลุ่ม ตลอดจนส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรขอการรับรองแบบกลุ่มขอบข่าย การผลิตข้าว GAP/อินทรีย์ โดยบูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบของกรมการข้าวในพื้นที่ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กลุ่มเกษตรกรก่อนที่จะขอการรับรองแบบกลุ่มกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป”เลขาธิการ มกอช. กล่าว
สําหรับนาแปลงใหญ่ ตําบลเดิมบาง อําเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี มีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการพัฒนาระบบการผลิตตามมาตรฐานโดยใช้ระบบการรับรองแบบกลุ่ม ขอบข่ายข้าว GAP จํานวน 115 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม พื้นที่รวม 2,095 ไร่ ปลูกข้าวพันธุ์ กข 43 และปทุมธานี 1
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23487
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
|
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ ในวันศุกร์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๔๐๑ ชั้น ๔ อาคารสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) โดยมี พลเอก เอกชัย จันทร์ศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทําหน้าที่รองประธานคนที่ ๑ นายสมชัย มาเสถียร รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปฏิบัติหน้าที่แทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการและเลขานุการ นางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ นางประเสริฐสุข จามรมาน ผู้อํานวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ พร้อมด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมในการประชุมดังกล่าว โดยในการประชุมครั้งนี้ได้มีการพิจารณาเรื่องที่สําคัญ ๔ เรื่อง ดังนี้
๑) (ร่าง) แผนปฏิบัติการสนับสนุนการดําเนินงานตามแผนที่นําทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ซึ่งเป็นแผนที่สนับสนุนศักยภาพการดําเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยครอบคลุมข้อจํากัด ความต้องการด้านการสนับสนุน และระบบ/กรอบการติดตามและรายงานผลการดําเนินงานของมาตรการต่างๆ
๒) (ร่าง) ฐานข้อมูลและแผนที่นําทางด้านเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน ภาคของเสียและภาคกระบวนการอุตสาหกรรมของประเทศไทย ซึ่งจะสนับสนุนการดําเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศให้บรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้
๓) การจัดส่งข้อคิดเห็น (Submission) ของประเทศไทย ต่อสํานักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อนําเสนอท่าทีของไทยต่อกรอบเวลาการดําเนินงานสําหรับ NDCs และ
๔) การพัฒนาโครงสร้างเชิงสถาบันในการรายงานข้อมูลเพื่อจัดทําบัญชีก๊าซเรือนกระจกและมาตรการการลดก๊าซเรือนกระจก โดยมอบหมายหน่วยงานหลักในการรายงานข้อมูลเพื่อจัดทําบัญชีก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการรายงานผลการลดก๊าซเรือนกระจก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ ในวันศุกร์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๔๐๑ ชั้น ๔ อาคารสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) โดยมี พลเอก เอกชัย จันทร์ศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทําหน้าที่รองประธานคนที่ ๑ นายสมชัย มาเสถียร รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปฏิบัติหน้าที่แทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการและเลขานุการ นางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ นางประเสริฐสุข จามรมาน ผู้อํานวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ พร้อมด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมในการประชุมดังกล่าว โดยในการประชุมครั้งนี้ได้มีการพิจารณาเรื่องที่สําคัญ ๔ เรื่อง ดังนี้
๑) (ร่าง) แผนปฏิบัติการสนับสนุนการดําเนินงานตามแผนที่นําทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ซึ่งเป็นแผนที่สนับสนุนศักยภาพการดําเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยครอบคลุมข้อจํากัด ความต้องการด้านการสนับสนุน และระบบ/กรอบการติดตามและรายงานผลการดําเนินงานของมาตรการต่างๆ
๒) (ร่าง) ฐานข้อมูลและแผนที่นําทางด้านเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน ภาคของเสียและภาคกระบวนการอุตสาหกรรมของประเทศไทย ซึ่งจะสนับสนุนการดําเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศให้บรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้
๓) การจัดส่งข้อคิดเห็น (Submission) ของประเทศไทย ต่อสํานักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อนําเสนอท่าทีของไทยต่อกรอบเวลาการดําเนินงานสําหรับ NDCs และ
๔) การพัฒนาโครงสร้างเชิงสถาบันในการรายงานข้อมูลเพื่อจัดทําบัญชีก๊าซเรือนกระจกและมาตรการการลดก๊าซเรือนกระจก โดยมอบหมายหน่วยงานหลักในการรายงานข้อมูลเพื่อจัดทําบัญชีก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการรายงานผลการลดก๊าซเรือนกระจก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11677
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม มอบรถกอล์ฟไฟฟ้า พร้อมชุดช่างและผู้ควบคุม เพื่อสนับสนุนงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเด
|
วันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม มอบรถกอล์ฟไฟฟ้า พร้อมชุดช่างและผู้ควบคุม เพื่อสนับสนุนงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเด
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม มอบรถกอล์ฟไฟฟ้า พร้อมชุดช่างและผู้ควบคุม เพื่อสนับสนุนงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วันนี้ (24 ตุลาคม 2560) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม มอบรถกอล์ฟไฟฟ้า พร้อมชุดช่างและผู้ควบคุม เพื่อสนับสนุนงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในระหว่างวันที่ 20 – 31 ตุลาคม 2560 โดยมี พล.ต.วรการ พันธุมาตย์ รองหัวหน้าแผนกรถยนต์หลวงพระที่นั่งอัมพรสถาน ประธานคณะทํางานขนส่งจิตอาสาเฉพาะกิจถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นผู้รับมอบ ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม มอบรถกอล์ฟไฟฟ้า พร้อมชุดช่างและผู้ควบคุม เพื่อสนับสนุนงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเด
วันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม มอบรถกอล์ฟไฟฟ้า พร้อมชุดช่างและผู้ควบคุม เพื่อสนับสนุนงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเด
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม มอบรถกอล์ฟไฟฟ้า พร้อมชุดช่างและผู้ควบคุม เพื่อสนับสนุนงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วันนี้ (24 ตุลาคม 2560) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม มอบรถกอล์ฟไฟฟ้า พร้อมชุดช่างและผู้ควบคุม เพื่อสนับสนุนงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในระหว่างวันที่ 20 – 31 ตุลาคม 2560 โดยมี พล.ต.วรการ พันธุมาตย์ รองหัวหน้าแผนกรถยนต์หลวงพระที่นั่งอัมพรสถาน ประธานคณะทํางานขนส่งจิตอาสาเฉพาะกิจถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นผู้รับมอบ ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7593
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2561
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 1,074,964 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 38,063 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 1,074,964 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 38,063 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7 โดยมีสาเหตุจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ สูงกว่าประมาณการ 16,673 และ 10,169 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.5 และ 17.5 ตามลําดับ
โดยภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมายที่สําคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และภาษีรถยนต์ ที่จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 6,059 5,947 และ 4,898 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.5 283.2 และ 9.4 ตามลําดับ”
นางสาวกุลยาฯ กล่าวโดยสรุปว่า “การจัดเก็บรายได้ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561 ยังคงสูงกว่าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น การนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ และภาษีที่จัดเก็บจากฐานรายได้ของผู้ประกอบการยังคงขยายตัวได้ดี ซึ่งเป็นการสะท้อนภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สําหรับในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ กระทรวงการคลังคาดว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้”
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) และเดือนมีนาคม 2561
1. ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1,074,964 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 38,063 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.5) โดยการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าประมาณการ 16,673 และ 10,169 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.5 และ 17.5 ตามลําดับ
ผลการจัดเก็บรายได้ตามหน่วยงานจัดเก็บสรุปได้ ดังนี้
1.1 กรมสรรพากร จัดเก็บรายได้รวม 769,653 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 2,420 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.3 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.3) โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการที่สําคัญ ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 11,201 และ 2,213 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.8 (สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 5.5) และร้อยละ 1.4 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.8) ตามลําดับ อย่างไรก็ดี ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 6,059 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.5 (สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 1.4) เนื่องจากภาษีจากกําไรสุทธิ (ภ.ง.ด. 50) ภาษีจากค่าบริการและจําหน่ายกําไร (ภ.ง.ด. 54) และภาษีหัก ณ ที่จ่ายภาคเอกชน (ภ.ง.ด. 53) ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 5,947 ล้านบาท หรือร้อยละ 283.2 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 324.9) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากในช่วงที่ผ่านมามีการชําระภาษีเงินได้ปิโตรเลียมย้อนหลัง และผลประกอบการของบริษัทขุดเจาะน้ํามันปรับตัวดีขึ้น
1.2 กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้รวม 268,965 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 2,925 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.1 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.3) โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการที่สําคัญ ได้แก่ ภาษีน้ํามันฯ และภาษีเบียร์ ที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 7,476 และ 4,168 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.1 และ 11.2 ตามลําดับ เนื่องจากปริมาณน้ํามันและเบียร์ที่ชําระภาษีต่ํากว่าที่ประมาณการไว้ อย่างไรก็ดี ภาษีรถยนต์และภาษียาสูบ จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 4,898 และ 2,579 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.4 และ 8.0 ตามลําดับ เนื่องจากปริมาณรถยนต์ที่ชําระภาษีขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ที่ยังขยายตัวได้ดี และภาระภาษีต่อซองของยาสูบหลังจากพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ สูงกว่าที่ประมาณการไว้
1.3 กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้รวม 54,855 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 1,745 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.1 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 4.4) โดยเป็นผลจากการจัดเก็บอากรขาเข้าต่ํากว่าประมาณการจํานวน 2,054 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 5.6) เนื่องจากการนําเข้าสินค้าที่ใช้สิทธิพิเศษทางภาษีมีแนวโน้มสูงขึ้น ทําให้การจัดเก็บอากรขาเข้าไม่ขยายตัวตามที่ประมาณการไว้ ทั้งนี้ มูลค่าการนําเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ และในรูปเงินบาทในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 ขยายตัวร้อยละ 16.7 และ 8.2 ตามลําดับ อย่างไรก็ตาม มูลค่าการนําเข้าเมื่อหักน้ํามันดิบและทองคําในรูปดอลลาร์สหรัฐ และในรูปเงินบาทในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 ขยายตัวร้อยละ 14.8 และ 6.4 ตามลําดับ ทั้งนี้ สินค้าที่จัดเก็บอากรขาเข้าในช่วง 5 เดือนแรกได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) ยานบกและส่วนประกอบ (2) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ (3) เครื่องจักรและเครื่องใช้กล (4) ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม และ (5) พลาสติกและสินค้าจากพลาสติก
1.4 รัฐวิสาหกิจ นําส่งรายได้รวม 68,147 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 10,169 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.5 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.4) โดยรัฐวิสาหกิจที่นําส่งรายได้สูงกว่าประมาณการ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (2) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (3) บมจ.ท่าอากาศยานไทย (4) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ (5) การท่าเรือแห่งประเทศไทย
1.5 หน่วยงานอื่น จัดเก็บรายได้รวม 106,822 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 16,673 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.5 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 16.0) เนื่องจากการรับรู้ส่วนเกินจากการจําหน่ายพันธบัตร (Premium) เป็นรายได้แผ่นดิน และการส่งคืนเงินกันชดเชยให้แก่ผู้ส่งออกเป็นรายได้แผ่นดินสูงกว่าประมาณการ สําหรับกรมธนารักษ์จัดเก็บรายได้รวม 4,641 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 395 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.3 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 1.9) โดยรายได้ด้านที่ราชพัสดุจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ
1.6 การคืนภาษีของกรมสรรพากร จํานวน 145,002 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 17,793 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.9 ประกอบด้วยการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 112,549 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 19,051 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.5 และการคืนภาษีอื่น ๆ (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์) จํานวน 32,453 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1,258 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.0
1.7 อากรถอนคืนกรมศุลกากร จํานวน 8,320 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 3,220 ล้านบาท หรือร้อยละ 63.1
1.8 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด จํานวน 8,164 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 749 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.4
1.9 เงินกันชดเชยภาษีสําหรับสินค้าส่งออก จํานวน 5,474 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 3,117 ล้านบาท หรือร้อยละ 36.3 เป็นผลจากการปรับลดอัตราเงินกันชดเชยภาษีสําหรับสินค้าส่งออกจากร้อยละ 0.75 เป็นร้อยละ 0.5 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นมา
1.10 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ. กําหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอํานาจฯ งวดที่ 1 - 3 จํานวน 26,518 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 128 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.5
2. เดือนมีนาคม 2561 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 166,254 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 1,878 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.1 (ต่ํากว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 0.5) เนื่องจากการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ต่ํากว่าประมาณการ 4,729 ล้านบาท หรือร้อยละ 56.9 (ต่ํากว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 50.3) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเลื่อนการนําส่งเงินรายได้แผ่นดินของโรงงานยาสูบ และมีภาษีที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ ได้แก่ ภาษีน้ํามันฯ และภาษีเบียร์ จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 2,823 และ 1,965 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.4 (ต่ํากว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 16.4) และ 25.8 (ต่ํากว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 44.3) ตามลําดับ อย่างไรก็ดี การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล การจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการจัดเก็บภาษีรถยนต์ สูงกว่าประมาณการ 5,473 1,647 และ 1,149 ล้านบาท หรือร้อยละ 23.5 15.0 และ 11.9 ตามลําดับ
สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3573
Government’s Net Revenue Collection: The First Half of Fiscal Year 2018
Ms. Kulaya Tantitemit, Inspector General of the Ministry of Finance and Ministry of Finance’s Spokesman stated that the government’s net revenue collection in the first half of fiscal year 2018 (October 2017 – March 2018) was 1,074,964 million baht, 38,063 million baht or 3.7% above the target and 2.5% higher than the same period last year. This was mainly due to revenue collection from other agencies and remittances from state-owned enterprises exceeding the targets by 16,673 and 10,169 million baht, or 18.5% and 17.5%, respectively. Moreover, the collection of corporate income tax, petroleum tax, and automobile tax were significantly above the targets, to the tune of 6,059 5,947 and 4,898 million baht or 3.5%, 283.2%, and 9.4%, respectively.
Ms. Kulaya concluded that, “The government’s revenue collection in the first half of fiscal year 2018 was still higher than the target, supported by revenue from other agencies and state-owned enterprises. Moreover, continuous economic growth also bodes well for income-based tax collection of entrepreneurs. For this fiscal year, the Ministry of Finance expects to achieve the revenue target.”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561
วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2561
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 1,074,964 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 38,063 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จํานวน 1,074,964 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 38,063 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7 โดยมีสาเหตุจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ สูงกว่าประมาณการ 16,673 และ 10,169 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.5 และ 17.5 ตามลําดับ
โดยภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมายที่สําคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และภาษีรถยนต์ ที่จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 6,059 5,947 และ 4,898 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.5 283.2 และ 9.4 ตามลําดับ”
นางสาวกุลยาฯ กล่าวโดยสรุปว่า “การจัดเก็บรายได้ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561 ยังคงสูงกว่าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น การนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ และภาษีที่จัดเก็บจากฐานรายได้ของผู้ประกอบการยังคงขยายตัวได้ดี ซึ่งเป็นการสะท้อนภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สําหรับในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ กระทรวงการคลังคาดว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้”
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) และเดือนมีนาคม 2561
1. ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – มีนาคม 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1,074,964 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 38,063 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.5) โดยการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าประมาณการ 16,673 และ 10,169 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.5 และ 17.5 ตามลําดับ
ผลการจัดเก็บรายได้ตามหน่วยงานจัดเก็บสรุปได้ ดังนี้
1.1 กรมสรรพากร จัดเก็บรายได้รวม 769,653 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 2,420 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.3 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.3) โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการที่สําคัญ ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 11,201 และ 2,213 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.8 (สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 5.5) และร้อยละ 1.4 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.8) ตามลําดับ อย่างไรก็ดี ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 6,059 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.5 (สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 1.4) เนื่องจากภาษีจากกําไรสุทธิ (ภ.ง.ด. 50) ภาษีจากค่าบริการและจําหน่ายกําไร (ภ.ง.ด. 54) และภาษีหัก ณ ที่จ่ายภาคเอกชน (ภ.ง.ด. 53) ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 5,947 ล้านบาท หรือร้อยละ 283.2 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 324.9) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากในช่วงที่ผ่านมามีการชําระภาษีเงินได้ปิโตรเลียมย้อนหลัง และผลประกอบการของบริษัทขุดเจาะน้ํามันปรับตัวดีขึ้น
1.2 กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้รวม 268,965 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 2,925 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.1 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.3) โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการที่สําคัญ ได้แก่ ภาษีน้ํามันฯ และภาษีเบียร์ ที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 7,476 และ 4,168 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.1 และ 11.2 ตามลําดับ เนื่องจากปริมาณน้ํามันและเบียร์ที่ชําระภาษีต่ํากว่าที่ประมาณการไว้ อย่างไรก็ดี ภาษีรถยนต์และภาษียาสูบ จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 4,898 และ 2,579 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.4 และ 8.0 ตามลําดับ เนื่องจากปริมาณรถยนต์ที่ชําระภาษีขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ที่ยังขยายตัวได้ดี และภาระภาษีต่อซองของยาสูบหลังจากพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ สูงกว่าที่ประมาณการไว้
1.3 กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้รวม 54,855 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 1,745 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.1 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 4.4) โดยเป็นผลจากการจัดเก็บอากรขาเข้าต่ํากว่าประมาณการจํานวน 2,054 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 5.6) เนื่องจากการนําเข้าสินค้าที่ใช้สิทธิพิเศษทางภาษีมีแนวโน้มสูงขึ้น ทําให้การจัดเก็บอากรขาเข้าไม่ขยายตัวตามที่ประมาณการไว้ ทั้งนี้ มูลค่าการนําเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ และในรูปเงินบาทในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 ขยายตัวร้อยละ 16.7 และ 8.2 ตามลําดับ อย่างไรก็ตาม มูลค่าการนําเข้าเมื่อหักน้ํามันดิบและทองคําในรูปดอลลาร์สหรัฐ และในรูปเงินบาทในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 ขยายตัวร้อยละ 14.8 และ 6.4 ตามลําดับ ทั้งนี้ สินค้าที่จัดเก็บอากรขาเข้าในช่วง 5 เดือนแรกได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) ยานบกและส่วนประกอบ (2) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ (3) เครื่องจักรและเครื่องใช้กล (4) ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม และ (5) พลาสติกและสินค้าจากพลาสติก
1.4 รัฐวิสาหกิจ นําส่งรายได้รวม 68,147 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 10,169 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.5 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.4) โดยรัฐวิสาหกิจที่นําส่งรายได้สูงกว่าประมาณการ 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (2) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (3) บมจ.ท่าอากาศยานไทย (4) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ (5) การท่าเรือแห่งประเทศไทย
1.5 หน่วยงานอื่น จัดเก็บรายได้รวม 106,822 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 16,673 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.5 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 16.0) เนื่องจากการรับรู้ส่วนเกินจากการจําหน่ายพันธบัตร (Premium) เป็นรายได้แผ่นดิน และการส่งคืนเงินกันชดเชยให้แก่ผู้ส่งออกเป็นรายได้แผ่นดินสูงกว่าประมาณการ สําหรับกรมธนารักษ์จัดเก็บรายได้รวม 4,641 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 395 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.3 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 1.9) โดยรายได้ด้านที่ราชพัสดุจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ
1.6 การคืนภาษีของกรมสรรพากร จํานวน 145,002 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 17,793 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.9 ประกอบด้วยการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 112,549 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 19,051 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.5 และการคืนภาษีอื่น ๆ (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์) จํานวน 32,453 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1,258 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.0
1.7 อากรถอนคืนกรมศุลกากร จํานวน 8,320 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 3,220 ล้านบาท หรือร้อยละ 63.1
1.8 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด จํานวน 8,164 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 749 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.4
1.9 เงินกันชดเชยภาษีสําหรับสินค้าส่งออก จํานวน 5,474 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 3,117 ล้านบาท หรือร้อยละ 36.3 เป็นผลจากการปรับลดอัตราเงินกันชดเชยภาษีสําหรับสินค้าส่งออกจากร้อยละ 0.75 เป็นร้อยละ 0.5 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นมา
1.10 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ. กําหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอํานาจฯ งวดที่ 1 - 3 จํานวน 26,518 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 128 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.5
2. เดือนมีนาคม 2561 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 166,254 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 1,878 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.1 (ต่ํากว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 0.5) เนื่องจากการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ต่ํากว่าประมาณการ 4,729 ล้านบาท หรือร้อยละ 56.9 (ต่ํากว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 50.3) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเลื่อนการนําส่งเงินรายได้แผ่นดินของโรงงานยาสูบ และมีภาษีที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ ได้แก่ ภาษีน้ํามันฯ และภาษีเบียร์ จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 2,823 และ 1,965 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.4 (ต่ํากว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 16.4) และ 25.8 (ต่ํากว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 44.3) ตามลําดับ อย่างไรก็ดี การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล การจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการจัดเก็บภาษีรถยนต์ สูงกว่าประมาณการ 5,473 1,647 และ 1,149 ล้านบาท หรือร้อยละ 23.5 15.0 และ 11.9 ตามลําดับ
สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3573
Government’s Net Revenue Collection: The First Half of Fiscal Year 2018
Ms. Kulaya Tantitemit, Inspector General of the Ministry of Finance and Ministry of Finance’s Spokesman stated that the government’s net revenue collection in the first half of fiscal year 2018 (October 2017 – March 2018) was 1,074,964 million baht, 38,063 million baht or 3.7% above the target and 2.5% higher than the same period last year. This was mainly due to revenue collection from other agencies and remittances from state-owned enterprises exceeding the targets by 16,673 and 10,169 million baht, or 18.5% and 17.5%, respectively. Moreover, the collection of corporate income tax, petroleum tax, and automobile tax were significantly above the targets, to the tune of 6,059 5,947 and 4,898 million baht or 3.5%, 283.2%, and 9.4%, respectively.
Ms. Kulaya concluded that, “The government’s revenue collection in the first half of fiscal year 2018 was still higher than the target, supported by revenue from other agencies and state-owned enterprises. Moreover, continuous economic growth also bodes well for income-based tax collection of entrepreneurs. For this fiscal year, the Ministry of Finance expects to achieve the revenue target.”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11775
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย. พร้อมขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 เน้นรวดเร็วแต่ต้องปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563
อย. พร้อมขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 เน้นรวดเร็วแต่ต้องปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ [กระทรวงสาธารณสุข]
อย. พร้อมขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 เน้นรวดเร็วแต่ต้องปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
อย. พร้อมขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 หากประสบผลสําเร็จในการวิจัย ยินดีสนับสนุนในทุกขั้นตอนของการทดลอง กรณีการข้ามขั้นตอนเพื่อความรวดเร็วในการวิจัย อย. พร้อมพิจารณา แต่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากลและมีความปลอดภัย ขอประชาชนเชื่อมั่น อย. มีการติดตามความก้าวหน้าของการพัฒนาวัคซีนทั่วโลก เพื่อให้ประชาชนได้ใช้วัคซีนโดยเร็วที่สุด
นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาเปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ส่งผลให้หลายประเทศอยู่ระหว่างการพัฒนาวัคซีนเพื่อนํามาใช้ป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเร่งด่วน และประเทศไทยอยู่ระหว่างดําเนินการพัฒนาวัคซีนไปพร้อมกับต่างประเทศด้วยเช่นกัน ซึ่งตามประกาศขององค์การอนามัยโลก (WHO) ขณะนี้ มีรายชื่อวัคซีนที่อยู่ในกระบวนการวิจัยทดลองทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 142 รายการ โดยอยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัยทางคลินิกในมนุษย์ 13 รายการ และที่เหลืออีกจํานวน 129 รายการ อยู่ในกระบวนการวิจัยในหลอดทดลองและในสัตว์ สําหรับประเทศไทยมีวัคซีนที่อยู่ในรายชื่อตามประกาศขององค์การอนามัยโลกจํานวน 6 รายการ ซึ่งในจํานวนนี้มีวัคซีนจาก 2 หน่วยงานที่มีความก้าวหน้าในการพัฒนามากที่สุด คือ วัคซีนชนิด mRNA จากศูนย์วัคซีนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวัคซีนชนิด DNA ของบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จํากัด โดยมีผลการศึกษาในสัตว์ทดลองขั้นแรกเป็นที่น่าพอใจ และจะเริ่มวิจัยในมนุษย์ต่อไป
ทั้งนี้ อย. ได้เตรียมความพร้อมในการรองรับการขึ้นทะเบียนวัคซีน โดยยึดหลักความรวดเร็ว ขณะเดียวกันต้องเป็นไปตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และที่สําคัญต้องมีความปลอดภัย โดย อย. ได้เข้าไปร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่ดําเนินการวิจัยตั้งแต่เริ่มโครงการ และมีการติดตามความก้าวหน้าในทุกกระบวนการอย่างใกล้ชิด ทั้งการให้คําแนะนํา รวมถึงวางแผนไปจนจบกระบวนการที่จะสามารถผลิตเป็นวัคซีนออกมาได้ เพื่อให้ทุกขั้นตอนถูกต้องและเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม อย. ทราบถึงความจําเป็นของสถานการณ์การแพร่กระจายของโรคที่ต้องมีวัคซีนมาใช้โดยเร็ว กรณีบางขั้นตอนหากผู้วิจัยคิดว่าอาจจะไม่จําเป็นหรือสามารถข้ามขั้นตอนนั้นไปได้ อย. พร้อมให้การพิจารณาสนับสนุนให้การพัฒนาวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่เน้นย้ําว่าในการข้ามขั้นตอนนั้นจะต้องมีข้อมูลวิชาการมายืนยัน และต้องมีมาตรฐานไปในทิศทางเดียวกับกติกาสากลขององค์การอนามัยโลก
รองเลขาธิการฯ กล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากการสนับสนุนงานวิจัยพัฒนาวัคซีนในประเทศแล้ว อย. ยังได้ติดตามสถานการณ์การพัฒนาวัคซีนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยได้เตรียมความพร้อมในการรองรับการขึ้นทะเบียนในสถานการณ์เร่งด่วนกรณีที่มีการทดลองวัคซีนในมนุษย์สําเร็จ ทั้งนี้ ขอเน้นย้ําว่า อย. มุ่งสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนโรคโควิด-19 โดยวัคซีนต้องมีความความปลอดภัย และได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ขอให้เชื่อมั่นในขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติทะเบียนเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค
***********************************************
วันที่เผยแพร่ข่าว 30 มิถุนายน 2563 ข่าวแจก 116 /ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย. พร้อมขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 เน้นรวดเร็วแต่ต้องปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563
อย. พร้อมขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 เน้นรวดเร็วแต่ต้องปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ [กระทรวงสาธารณสุข]
อย. พร้อมขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 เน้นรวดเร็วแต่ต้องปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
อย. พร้อมขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 หากประสบผลสําเร็จในการวิจัย ยินดีสนับสนุนในทุกขั้นตอนของการทดลอง กรณีการข้ามขั้นตอนเพื่อความรวดเร็วในการวิจัย อย. พร้อมพิจารณา แต่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากลและมีความปลอดภัย ขอประชาชนเชื่อมั่น อย. มีการติดตามความก้าวหน้าของการพัฒนาวัคซีนทั่วโลก เพื่อให้ประชาชนได้ใช้วัคซีนโดยเร็วที่สุด
นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาเปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ส่งผลให้หลายประเทศอยู่ระหว่างการพัฒนาวัคซีนเพื่อนํามาใช้ป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเร่งด่วน และประเทศไทยอยู่ระหว่างดําเนินการพัฒนาวัคซีนไปพร้อมกับต่างประเทศด้วยเช่นกัน ซึ่งตามประกาศขององค์การอนามัยโลก (WHO) ขณะนี้ มีรายชื่อวัคซีนที่อยู่ในกระบวนการวิจัยทดลองทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 142 รายการ โดยอยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัยทางคลินิกในมนุษย์ 13 รายการ และที่เหลืออีกจํานวน 129 รายการ อยู่ในกระบวนการวิจัยในหลอดทดลองและในสัตว์ สําหรับประเทศไทยมีวัคซีนที่อยู่ในรายชื่อตามประกาศขององค์การอนามัยโลกจํานวน 6 รายการ ซึ่งในจํานวนนี้มีวัคซีนจาก 2 หน่วยงานที่มีความก้าวหน้าในการพัฒนามากที่สุด คือ วัคซีนชนิด mRNA จากศูนย์วัคซีนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวัคซีนชนิด DNA ของบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จํากัด โดยมีผลการศึกษาในสัตว์ทดลองขั้นแรกเป็นที่น่าพอใจ และจะเริ่มวิจัยในมนุษย์ต่อไป
ทั้งนี้ อย. ได้เตรียมความพร้อมในการรองรับการขึ้นทะเบียนวัคซีน โดยยึดหลักความรวดเร็ว ขณะเดียวกันต้องเป็นไปตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และที่สําคัญต้องมีความปลอดภัย โดย อย. ได้เข้าไปร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่ดําเนินการวิจัยตั้งแต่เริ่มโครงการ และมีการติดตามความก้าวหน้าในทุกกระบวนการอย่างใกล้ชิด ทั้งการให้คําแนะนํา รวมถึงวางแผนไปจนจบกระบวนการที่จะสามารถผลิตเป็นวัคซีนออกมาได้ เพื่อให้ทุกขั้นตอนถูกต้องและเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม อย. ทราบถึงความจําเป็นของสถานการณ์การแพร่กระจายของโรคที่ต้องมีวัคซีนมาใช้โดยเร็ว กรณีบางขั้นตอนหากผู้วิจัยคิดว่าอาจจะไม่จําเป็นหรือสามารถข้ามขั้นตอนนั้นไปได้ อย. พร้อมให้การพิจารณาสนับสนุนให้การพัฒนาวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่เน้นย้ําว่าในการข้ามขั้นตอนนั้นจะต้องมีข้อมูลวิชาการมายืนยัน และต้องมีมาตรฐานไปในทิศทางเดียวกับกติกาสากลขององค์การอนามัยโลก
รองเลขาธิการฯ กล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากการสนับสนุนงานวิจัยพัฒนาวัคซีนในประเทศแล้ว อย. ยังได้ติดตามสถานการณ์การพัฒนาวัคซีนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยได้เตรียมความพร้อมในการรองรับการขึ้นทะเบียนในสถานการณ์เร่งด่วนกรณีที่มีการทดลองวัคซีนในมนุษย์สําเร็จ ทั้งนี้ ขอเน้นย้ําว่า อย. มุ่งสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนโรคโควิด-19 โดยวัคซีนต้องมีความความปลอดภัย และได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ขอให้เชื่อมั่นในขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติทะเบียนเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค
***********************************************
วันที่เผยแพร่ข่าว 30 มิถุนายน 2563 ข่าวแจก 116 /ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32934
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สนธิรัตน์” ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์ราคาอาหารปรุงสำเร็จ
|
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2561
“สนธิรัตน์” ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์ราคาอาหารปรุงสําเร็จ
“สนธิรัตน์” นําคณะผู้บริหารพาณิชย์ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์จําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จและสินค้าอุปโภคบริโภค ไม่พบการปรับขึ้นราคา เผยได้ชี้แจงพ่อค้าแม่ค้า ราคาก๊าซหุงต้มขึ้นกระทบต้นทุนเล็กน้อย ขอให้ช่วยตรึงราคาเดิมเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค
“สนธิรัตน์” นําคณะผู้บริหารพาณิชย์ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์จําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จและสินค้าอุปโภคบริโภค ไม่พบการปรับขึ้นราคา เผยได้ชี้แจงพ่อค้าแม่ค้า ราคาก๊าซหุงต้มขึ้นกระทบต้นทุนเล็กน้อย ขอให้ช่วยตรึงราคาเดิมเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค ยันมีแผนช่วยลดค่าครองชีพ แนะประชาชนพึ่งร้านอาหารหนูณิชย์ที่มีอยู่ 1.4 หมื่นแห่งทั่วประเทศ และใช้ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐซื้อของถูก
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ได้นําคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์และสื่อมวลชน ลงพื้นที่ตรวจสอบติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารปรุงสําเร็จ ณ ศูนย์อาหารตลาดกลางบางใหญ่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อติดตามสถานการณ์หลังจากที่ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ได้ปรับขึ้นราคาเป็นถังละ 395 บาท (ถัง 15 กิโลกรัม) และการปรับขึ้นของราคาน้ํามันดีเซล เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้าแม่ค้าฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าทั้งอาหารปรุงสําเร็จและสินค้าอุปโภคบริโภค เพราะผลการศึกษาของกระทรวงพาณิชย์พบว่ามีต้นทุนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นราคาได้
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ พบว่า พ่อค้าแม่ค้ายังมีการจําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จ (จานด่วน) ในราคาเดิม ไม่มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด ซึ่งได้ขอความร่วมมือให้มีการตรึงราคาเดิมเอาไว้ เพราะก๊าซหุงต้มที่เพิ่มขึ้น มีผลการศึกษาของกรมการค้าภายในออกมาว่ากระทบต่อต้นทุนการผลิตเพียงเล็กน้อยแค่ 15-20 สตางค์เท่านั้น จึงไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นราคาได้
ส่วนสถานการณ์การจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป พบว่า ยังคงมีการจําหน่ายเป็นปกติ ไม่พบว่ามีสินค้ารายการใดปรับขึ้นราคา และจากการสอบถามพ่อค้าแม่ค้า ก็ไม่พบว่า มีการแจ้งปรับขึ้นราคาจากผู้ผลิตเข้ามาแต่อย่างใด ซึ่งสอดคล้องกับที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยืนยันจากผู้ผลิตว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นราคาในช่วงนี้ และเท่าที่ตรวจสอบกับกรมการค้าภายใน ก็ยังไม่มีผู้ผลิตรายใดยื่นเรื่องปรับขึ้นราคาเข้ามา แต่เพื่อไม่เป็นการประมาท ได้สั่งการให้มีการหารือกับผู้ผลิตสินค้า (ซัปพลายเออร์) แล้ว ซึ่งจะมีการหารือเพื่อประเมินสถานการณ์
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ในการดูแลการบริโภคอาหารปรุงสําเร็จให้กับประชาชน กระทรวงพาณิชย์ได้มีทางเลือก โดยส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคอาหารปรุงสําเร็จจากร้านอาหารหนูณิชย์ ซึ่งมีราคาจําหน่ายไม่เกินจาน/ชามละ 25-35 บาท และเป็นอาหารที่มีความสะอาด ถูกสุขลักษณะ และปิดป้ายราคาชัดเจน โดยปัจจุบันมีจํานวนร้านหนูณิชย์มากถึง 14,157 ร้าน แยกเป็นในกรุงเทพฯ 4,689 ร้าน ภูมิภาค 9,434 ร้าน โดยประชาชนสามารถเลือกบริโภคอาหารปรุงสําเร็จจากร้านที่ใกล้บ้านได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สนธิรัตน์” ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์ราคาอาหารปรุงสำเร็จ
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2561
“สนธิรัตน์” ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์ราคาอาหารปรุงสําเร็จ
“สนธิรัตน์” นําคณะผู้บริหารพาณิชย์ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์จําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จและสินค้าอุปโภคบริโภค ไม่พบการปรับขึ้นราคา เผยได้ชี้แจงพ่อค้าแม่ค้า ราคาก๊าซหุงต้มขึ้นกระทบต้นทุนเล็กน้อย ขอให้ช่วยตรึงราคาเดิมเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค
“สนธิรัตน์” นําคณะผู้บริหารพาณิชย์ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์จําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จและสินค้าอุปโภคบริโภค ไม่พบการปรับขึ้นราคา เผยได้ชี้แจงพ่อค้าแม่ค้า ราคาก๊าซหุงต้มขึ้นกระทบต้นทุนเล็กน้อย ขอให้ช่วยตรึงราคาเดิมเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค ยันมีแผนช่วยลดค่าครองชีพ แนะประชาชนพึ่งร้านอาหารหนูณิชย์ที่มีอยู่ 1.4 หมื่นแห่งทั่วประเทศ และใช้ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐซื้อของถูก
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ได้นําคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์และสื่อมวลชน ลงพื้นที่ตรวจสอบติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารปรุงสําเร็จ ณ ศูนย์อาหารตลาดกลางบางใหญ่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อติดตามสถานการณ์หลังจากที่ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ได้ปรับขึ้นราคาเป็นถังละ 395 บาท (ถัง 15 กิโลกรัม) และการปรับขึ้นของราคาน้ํามันดีเซล เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้าแม่ค้าฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าทั้งอาหารปรุงสําเร็จและสินค้าอุปโภคบริโภค เพราะผลการศึกษาของกระทรวงพาณิชย์พบว่ามีต้นทุนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นราคาได้
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ พบว่า พ่อค้าแม่ค้ายังมีการจําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จ (จานด่วน) ในราคาเดิม ไม่มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด ซึ่งได้ขอความร่วมมือให้มีการตรึงราคาเดิมเอาไว้ เพราะก๊าซหุงต้มที่เพิ่มขึ้น มีผลการศึกษาของกรมการค้าภายในออกมาว่ากระทบต่อต้นทุนการผลิตเพียงเล็กน้อยแค่ 15-20 สตางค์เท่านั้น จึงไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นราคาได้
ส่วนสถานการณ์การจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป พบว่า ยังคงมีการจําหน่ายเป็นปกติ ไม่พบว่ามีสินค้ารายการใดปรับขึ้นราคา และจากการสอบถามพ่อค้าแม่ค้า ก็ไม่พบว่า มีการแจ้งปรับขึ้นราคาจากผู้ผลิตเข้ามาแต่อย่างใด ซึ่งสอดคล้องกับที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยืนยันจากผู้ผลิตว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นราคาในช่วงนี้ และเท่าที่ตรวจสอบกับกรมการค้าภายใน ก็ยังไม่มีผู้ผลิตรายใดยื่นเรื่องปรับขึ้นราคาเข้ามา แต่เพื่อไม่เป็นการประมาท ได้สั่งการให้มีการหารือกับผู้ผลิตสินค้า (ซัปพลายเออร์) แล้ว ซึ่งจะมีการหารือเพื่อประเมินสถานการณ์
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ในการดูแลการบริโภคอาหารปรุงสําเร็จให้กับประชาชน กระทรวงพาณิชย์ได้มีทางเลือก โดยส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคอาหารปรุงสําเร็จจากร้านอาหารหนูณิชย์ ซึ่งมีราคาจําหน่ายไม่เกินจาน/ชามละ 25-35 บาท และเป็นอาหารที่มีความสะอาด ถูกสุขลักษณะ และปิดป้ายราคาชัดเจน โดยปัจจุบันมีจํานวนร้านหนูณิชย์มากถึง 14,157 ร้าน แยกเป็นในกรุงเทพฯ 4,689 ร้าน ภูมิภาค 9,434 ร้าน โดยประชาชนสามารถเลือกบริโภคอาหารปรุงสําเร็จจากร้านที่ใกล้บ้านได้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12499
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทย์ฯ เยี่ยมสถานีโทรมาตรสวนเพชรล้านนา พร้อมชมผลิตภัณฑ์ของสมาชิกสภาเกษตรกร
|
วันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทย์ฯ เยี่ยมสถานีโทรมาตรสวนเพชรล้านนา พร้อมชมผลิตภัณฑ์ของสมาชิกสภาเกษตรกร
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมคณะ เดินทางไปเยี่ยมชมสถานีโทรมาตรสวนเพชรล้านนา ต. แม่สุก อ. แจ้ห่ม จ. ลําปาง ซึ่งเป็นสถานีโทรมาตร ตรวจวัดปริมาณน้ําฝน อุณหภูมิ และความชื่น
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมคณะ เดินทางไปเยี่ยมชมสถานีโทรมาตรสวนเพชรล้านนา ต. แม่สุก อ. แจ้ห่ม จ. ลําปาง ซึ่งเป็นสถานีโทรมาตร ตรวจวัดปริมาณน้ําฝน อุณหภูมิ และความชื่น ของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ร่วมมือกับกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ ซึ่งานําข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในชุมชน เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๐
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะพยายามนําความรู้มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับเกษตรกร ซึ่งเมื่อเช้าได้มีพิธีเปิดศูนย์บริหารจัดการน้ํา สภาเกษตรกรจังหวัดลําปาง ซึ่งเรายังมีเครื่องโทรมาตร เป็นเครื่องมือวัดน้ําฝน อุณหภูมิ และความชื่น สามารถส่งข้อมูลไปยังมือถือ และ สสนก. เพื่อรวบรวมข้อมูลว่ามีฝนตกมากน้อยเพียงใด เกษตรกรสามารถนําข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งรายตัวและเป็นกลุ่ม นอกจากนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มีสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย หรือ วว. ซึ่งได้ร่วมมือกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ และ ธกส. มีโครงการ InnoAgri ที่จะช่วยเกษตรกรโดยมีการอบรม แนะนําให้เกษตรกร ซึ่งได้เปิดตัวไปแล้วที่ จ. ศรีสะเกษ
ด้าน นายองอาจ ปัญญาชาติรักษ์ ผู้จัดการฟาร์มเกษตรอินทรีย์เพชรล้านนา ผู้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลโทรมาตรฯ กล่าวว่า สถานีโทรมาตรให้ข้อมูลปริมาณฝน อุณหภูมิ และความชื่น ซึ่งสามารถนํามาปรับใช้ในฟาร์มได้เป็นอย่างดี เช่น น้ําเพียงพอที่จะเพาะกล้าทํานาหรือยัง ส่วนอุณหภูมิจะมีผลกับการเลี้ยงสัตว์ทําให้สามารถเตรียมอุปกรณ์สําหรับสัตว์ได้ เช่น การให้ความอบอุ่น กรณีอากาศเย็น อีกทั้งโทรมาตรยังช่วยในการวางแผนการใช้ปุ๋ยได้ด้วย นอกจากนี้ ยังมีการส่งต่อข้อมูลจากสถานีโทรมาตรไปยังเกตรกรในกลุ่ม และสภาเกษตรกรฯ เพื่อส่งต่อไปยังเกษตรกรสมาชิกด้วย
จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรสมาชิกสภาเกษตรฯ ซึ่งได้นําผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก วว. มาแสดงและจําหน่าย อาทิ กลุ่มสัปรดอินทรีย์ อ. เมือง ลําปาง วิสาหกิจชุมชนกลุ่มข้าวทิพย์ร่มโพธิ์ อ. เมือง ลําปาง กลุ่มลําไย จ. ลําาง โดยมีบางผลิตภัณฑ์ได้ขอรับการสนับสนุนในการต่อยอด เพื่อให้มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น กลุ่มสัปรด ขอให้ช่วยเรื่องการทําให้สัปรดออกผลผลิตพร้อมกัน เนื่องจากไม่สามารถใช้สารเคมีเร่งให้มีผลผลิตออกพร้อมกันได้ เนื่องจากเป็นการผลิตในลักษณะอินทรีย์ และการแปรรูปน้ําสัปรดที่ต้องการให้สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทย์ฯ เยี่ยมสถานีโทรมาตรสวนเพชรล้านนา พร้อมชมผลิตภัณฑ์ของสมาชิกสภาเกษตรกร
วันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทย์ฯ เยี่ยมสถานีโทรมาตรสวนเพชรล้านนา พร้อมชมผลิตภัณฑ์ของสมาชิกสภาเกษตรกร
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมคณะ เดินทางไปเยี่ยมชมสถานีโทรมาตรสวนเพชรล้านนา ต. แม่สุก อ. แจ้ห่ม จ. ลําปาง ซึ่งเป็นสถานีโทรมาตร ตรวจวัดปริมาณน้ําฝน อุณหภูมิ และความชื่น
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมคณะ เดินทางไปเยี่ยมชมสถานีโทรมาตรสวนเพชรล้านนา ต. แม่สุก อ. แจ้ห่ม จ. ลําปาง ซึ่งเป็นสถานีโทรมาตร ตรวจวัดปริมาณน้ําฝน อุณหภูมิ และความชื่น ของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ร่วมมือกับกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ ซึ่งานําข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในชุมชน เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๐
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะพยายามนําความรู้มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับเกษตรกร ซึ่งเมื่อเช้าได้มีพิธีเปิดศูนย์บริหารจัดการน้ํา สภาเกษตรกรจังหวัดลําปาง ซึ่งเรายังมีเครื่องโทรมาตร เป็นเครื่องมือวัดน้ําฝน อุณหภูมิ และความชื่น สามารถส่งข้อมูลไปยังมือถือ และ สสนก. เพื่อรวบรวมข้อมูลว่ามีฝนตกมากน้อยเพียงใด เกษตรกรสามารถนําข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งรายตัวและเป็นกลุ่ม นอกจากนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มีสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย หรือ วว. ซึ่งได้ร่วมมือกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ และ ธกส. มีโครงการ InnoAgri ที่จะช่วยเกษตรกรโดยมีการอบรม แนะนําให้เกษตรกร ซึ่งได้เปิดตัวไปแล้วที่ จ. ศรีสะเกษ
ด้าน นายองอาจ ปัญญาชาติรักษ์ ผู้จัดการฟาร์มเกษตรอินทรีย์เพชรล้านนา ผู้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลโทรมาตรฯ กล่าวว่า สถานีโทรมาตรให้ข้อมูลปริมาณฝน อุณหภูมิ และความชื่น ซึ่งสามารถนํามาปรับใช้ในฟาร์มได้เป็นอย่างดี เช่น น้ําเพียงพอที่จะเพาะกล้าทํานาหรือยัง ส่วนอุณหภูมิจะมีผลกับการเลี้ยงสัตว์ทําให้สามารถเตรียมอุปกรณ์สําหรับสัตว์ได้ เช่น การให้ความอบอุ่น กรณีอากาศเย็น อีกทั้งโทรมาตรยังช่วยในการวางแผนการใช้ปุ๋ยได้ด้วย นอกจากนี้ ยังมีการส่งต่อข้อมูลจากสถานีโทรมาตรไปยังเกตรกรในกลุ่ม และสภาเกษตรกรฯ เพื่อส่งต่อไปยังเกษตรกรสมาชิกด้วย
จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรสมาชิกสภาเกษตรฯ ซึ่งได้นําผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก วว. มาแสดงและจําหน่าย อาทิ กลุ่มสัปรดอินทรีย์ อ. เมือง ลําปาง วิสาหกิจชุมชนกลุ่มข้าวทิพย์ร่มโพธิ์ อ. เมือง ลําปาง กลุ่มลําไย จ. ลําาง โดยมีบางผลิตภัณฑ์ได้ขอรับการสนับสนุนในการต่อยอด เพื่อให้มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น กลุ่มสัปรด ขอให้ช่วยเรื่องการทําให้สัปรดออกผลผลิตพร้อมกัน เนื่องจากไม่สามารถใช้สารเคมีเร่งให้มีผลผลิตออกพร้อมกันได้ เนื่องจากเป็นการผลิตในลักษณะอินทรีย์ และการแปรรูปน้ําสัปรดที่ต้องการให้สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น เป็นต้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6269
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.