title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” ย้ำ ขรก.แรงงานต้องเข้มแข้ง เร่งบูรณาการสร้างศักยภาพคน ขับเคลื่อนประเทศ
|
วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2560
“บิ๊กอู๋” ย้ํา ขรก.แรงงานต้องเข้มแข้ง เร่งบูรณาการสร้างศักยภาพคน ขับเคลื่อนประเทศ
รมว.แรงงาน มอบนโยบาย กสร. ย้ํา ทุกหน่วยงานในสังกัดบูรณาการทํางานให้เกิดเอกภาพ กําหนดแผนงาน มีเป้าหมาย ประสานทุกภาคส่วนขับเคลื่อนนโยบายทุกระดับสร้างศักยภาพคน ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนาสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานประจําปีงบประมาณ 2561 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ โดยกล่าวว่า รัฐบาลได้กําหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 -2579) ซึ่งกําหนดวิสัยทัศน์ว่า ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยได้พัฒนากรอบแนวทางการพัฒนาไว้ 6 ยุทธศาสตร์ คือ 1) ด้านความมั่นคง 2) การสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนเน้นการสร้างคนให้มีประสิทธิภาพ คิดวิเคราะห์ สร้างข้าราชการให้เก่งให้ดีในทุกระดับ 4) การสร้างโอกาสความเสมอภาคเท่าเทียมกันทางสังคม 5) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 6) การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า หลักการสําคัญในการบริหารกระทรวงจะต้องมีแผนปฏิบัติการมีหน่วยงานเจ้าภาพ มีเป้าหมาย บูรณาการการทํางานให้เกิดประสิทธิภาพในการขับเคลื่อน หน่วยงานของกระทรวงทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ต้องคุยกันในการบูรณาการทํางานให้เกิดเอกภาพเพื่อให้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการในการบังคับบัญชาได้ ทํางานด้วยแนวทางประชารัฐ ยึดหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ชัดเจน เกิดความคุ้มค่า ขณะเดียวกันจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยการดึงทุกภาคส่วนทั้งภาคประชาชนและประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วม พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ยังได้เน้นย้ําถึงนโยบายเร่งด่วนโดยเฉพาะการเร่งรัดการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่ได้รับการผ่อนผันให้มีเอกสารยืนยันตัวบุคคลให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกําหนด โดยจะต้องมีเจ้าภาพรับผิดชอบเพื่อจัดระบบคิวให้การพิสูจน์สัญชาติแรงงานเกิดความคล่องตัวขึ้น นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําว่า นโยบายจะดีไม่ดีอยู่ที่คนทําและขึ้นอยู่กับผู้นําหน่วยที่จะกําหนดเป้าหมายและสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้มีประสิทธิภาพ ส่วนศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงานที่กําลังดําเนินการอยู่ในขณะนี้จะเป็นเครื่องมือสําคัญในการบริหารและเฝ้าระวังจากทุกระบบเพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายในทุกระดับมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สําหรับการสัมมนาในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างโครงการสัมมนาสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ปี 2561 และโครงการสร้างจิตสํานึกด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมตามหลักธรรมาภิบาลและประมวลจริยธรรม มุ่งสู่สังคมไม่ทนต่อการทุจริต โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาผู้บริหารกรมทุกระดับทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ประกอบด้วย อธิบดี รองอธิบดี ผู้ตรวจราชการกรม ผู้อํานวยการสํานัก/กอง/กลุ่ม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสิ้น 170 คน
-----------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/
22 ธันวาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” ย้ำ ขรก.แรงงานต้องเข้มแข้ง เร่งบูรณาการสร้างศักยภาพคน ขับเคลื่อนประเทศ
วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2560
“บิ๊กอู๋” ย้ํา ขรก.แรงงานต้องเข้มแข้ง เร่งบูรณาการสร้างศักยภาพคน ขับเคลื่อนประเทศ
รมว.แรงงาน มอบนโยบาย กสร. ย้ํา ทุกหน่วยงานในสังกัดบูรณาการทํางานให้เกิดเอกภาพ กําหนดแผนงาน มีเป้าหมาย ประสานทุกภาคส่วนขับเคลื่อนนโยบายทุกระดับสร้างศักยภาพคน ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนาสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานประจําปีงบประมาณ 2561 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ โดยกล่าวว่า รัฐบาลได้กําหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 -2579) ซึ่งกําหนดวิสัยทัศน์ว่า ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยได้พัฒนากรอบแนวทางการพัฒนาไว้ 6 ยุทธศาสตร์ คือ 1) ด้านความมั่นคง 2) การสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนเน้นการสร้างคนให้มีประสิทธิภาพ คิดวิเคราะห์ สร้างข้าราชการให้เก่งให้ดีในทุกระดับ 4) การสร้างโอกาสความเสมอภาคเท่าเทียมกันทางสังคม 5) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 6) การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า หลักการสําคัญในการบริหารกระทรวงจะต้องมีแผนปฏิบัติการมีหน่วยงานเจ้าภาพ มีเป้าหมาย บูรณาการการทํางานให้เกิดประสิทธิภาพในการขับเคลื่อน หน่วยงานของกระทรวงทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ต้องคุยกันในการบูรณาการทํางานให้เกิดเอกภาพเพื่อให้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการในการบังคับบัญชาได้ ทํางานด้วยแนวทางประชารัฐ ยึดหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ชัดเจน เกิดความคุ้มค่า ขณะเดียวกันจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยการดึงทุกภาคส่วนทั้งภาคประชาชนและประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วม พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ยังได้เน้นย้ําถึงนโยบายเร่งด่วนโดยเฉพาะการเร่งรัดการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่ได้รับการผ่อนผันให้มีเอกสารยืนยันตัวบุคคลให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกําหนด โดยจะต้องมีเจ้าภาพรับผิดชอบเพื่อจัดระบบคิวให้การพิสูจน์สัญชาติแรงงานเกิดความคล่องตัวขึ้น นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําว่า นโยบายจะดีไม่ดีอยู่ที่คนทําและขึ้นอยู่กับผู้นําหน่วยที่จะกําหนดเป้าหมายและสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้มีประสิทธิภาพ ส่วนศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงานที่กําลังดําเนินการอยู่ในขณะนี้จะเป็นเครื่องมือสําคัญในการบริหารและเฝ้าระวังจากทุกระบบเพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายในทุกระดับมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สําหรับการสัมมนาในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างโครงการสัมมนาสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ปี 2561 และโครงการสร้างจิตสํานึกด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมตามหลักธรรมาภิบาลและประมวลจริยธรรม มุ่งสู่สังคมไม่ทนต่อการทุจริต โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาผู้บริหารกรมทุกระดับทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ประกอบด้วย อธิบดี รองอธิบดี ผู้ตรวจราชการกรม ผู้อํานวยการสํานัก/กอง/กลุ่ม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสิ้น 170 คน
-----------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/
22 ธันวาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8951
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ.กำชับสถานบริการใน 14 จังหวัดภาคใต้เสี่ยงน้ำท่วมจากฝนตกหนัก พร้อมให้บริการประชาชน
|
วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560
รมว.สธ.กําชับสถานบริการใน 14 จังหวัดภาคใต้เสี่ยงน้ําท่วมจากฝนตกหนัก พร้อมให้บริการประชาชน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กําชับสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และสถานบริการสาธารณสุขใน 14 จังหวัดภาคใต้ที่อาจเกิดน้ําท่วม น้ําป่าไหลหลากจากฝนตกหนัก เตรียมพร้อมแผนรับมือน้ําท่วม พร้อมให้บริการประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ ขณะนี้ยังไม่มีร
รมว.สธ.กําชับสถานบริการใน 14 จังหวัดภาคใต้เสี่ยงน้ําท่วมจากฝนตกหนัก พร้อมให้บริการประชาชน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กําชับสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และสถานบริการสาธารณสุขใน 14 จังหวัดภาคใต้ที่อาจเกิดน้ําท่วม น้ําป่าไหลหลากจากฝนตกหนัก เตรียมพร้อมแผนรับมือน้ําท่วม พร้อมให้บริการประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานสถานบริการสาธารณสุขถูกน้ําท่วม
วันนี้ (3 พฤศจิกายน 2560) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์คลินิค เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ตามที่กรมอุตุวิทยาได้ประกาศเตือนจะมีฝนตกหนักใน 14 จังหวัดภาคใต้ อาจทําให้เกิดน้ําป่าไหลหลาก น้ําท่วมบ้านเรือนประชาชนในช่วงสัปดาห์นี้ได้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลทุกแห่ง เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่อยู่ในพื้นที่น้ําท่วมซ้ําซาก เช่น โรงพยาบาลบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โรงพยาบาลหลังสวน จ.ชุมพร และโรงพยาบาลมหาราช โรงพยาบาลชะอวด จ.นครศรีธรรมราชในวันนี้ได้รับรายงานว่า ยังไม่มีน้ําท่วมสถานบริการ และทุกแห่งมีการเตรียมความพร้อมป้องกันน้ําท่วมสถานบริการ และแผนการจัดบริการประชาชนกรณีไม่สามารถเปิดบริการได้ และแผนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย โดยจ.นครศรีธรรมราช ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่สํานักงานจังหวัดแล้วทั้งนี้ ได้กําชับให้สํารวจผู้ป่วยที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ และไม่สามารถเดินทางมาสถานบริการได้ เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง และจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการ ให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
ศาสตราจารย์คลินิค เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวต่อว่า สําหรับสถานการณ์น้ําท่วมที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคมจนถึงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2560 ยังคงมีสถานการณ์อยู่ใน 15 จังหวัด คือ พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ขอนแก่น กาฬสินธุ์หนองบัวล้าภู มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุโขทัย ปทุมธานี สุพรรณบุรี มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลที่ได้รับผลกระทบและย้ายจุดให้บริการ 13 แห่ง อยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 5 แห่ง และสิงห์บุรี 8 แห่ง ทีมแพทย์ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 119 ทีม ผู้รับบริการ รวม 8,906 ราย ออกเยี่ยมบ้าน 831 ราย ส่งต่อรักษาในโรงพยาบาล 14 ราย แจกยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย183,550 ชุด ยาทาน้ํากัดเท้า 43,400 หลอด ยาตําราหลวง 4,000 ชุด ยาทากันยุง 1,000 ชิ้นและยาสามัญประจําบ้าน 7,400 ชุด
*********************************** 3 พฤศจิกายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ.กำชับสถานบริการใน 14 จังหวัดภาคใต้เสี่ยงน้ำท่วมจากฝนตกหนัก พร้อมให้บริการประชาชน
วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560
รมว.สธ.กําชับสถานบริการใน 14 จังหวัดภาคใต้เสี่ยงน้ําท่วมจากฝนตกหนัก พร้อมให้บริการประชาชน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กําชับสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และสถานบริการสาธารณสุขใน 14 จังหวัดภาคใต้ที่อาจเกิดน้ําท่วม น้ําป่าไหลหลากจากฝนตกหนัก เตรียมพร้อมแผนรับมือน้ําท่วม พร้อมให้บริการประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ ขณะนี้ยังไม่มีร
รมว.สธ.กําชับสถานบริการใน 14 จังหวัดภาคใต้เสี่ยงน้ําท่วมจากฝนตกหนัก พร้อมให้บริการประชาชน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กําชับสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และสถานบริการสาธารณสุขใน 14 จังหวัดภาคใต้ที่อาจเกิดน้ําท่วม น้ําป่าไหลหลากจากฝนตกหนัก เตรียมพร้อมแผนรับมือน้ําท่วม พร้อมให้บริการประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานสถานบริการสาธารณสุขถูกน้ําท่วม
วันนี้ (3 พฤศจิกายน 2560) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์คลินิค เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ตามที่กรมอุตุวิทยาได้ประกาศเตือนจะมีฝนตกหนักใน 14 จังหวัดภาคใต้ อาจทําให้เกิดน้ําป่าไหลหลาก น้ําท่วมบ้านเรือนประชาชนในช่วงสัปดาห์นี้ได้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลทุกแห่ง เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่อยู่ในพื้นที่น้ําท่วมซ้ําซาก เช่น โรงพยาบาลบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โรงพยาบาลหลังสวน จ.ชุมพร และโรงพยาบาลมหาราช โรงพยาบาลชะอวด จ.นครศรีธรรมราชในวันนี้ได้รับรายงานว่า ยังไม่มีน้ําท่วมสถานบริการ และทุกแห่งมีการเตรียมความพร้อมป้องกันน้ําท่วมสถานบริการ และแผนการจัดบริการประชาชนกรณีไม่สามารถเปิดบริการได้ และแผนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย โดยจ.นครศรีธรรมราช ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่สํานักงานจังหวัดแล้วทั้งนี้ ได้กําชับให้สํารวจผู้ป่วยที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ และไม่สามารถเดินทางมาสถานบริการได้ เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง และจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการ ให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
ศาสตราจารย์คลินิค เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวต่อว่า สําหรับสถานการณ์น้ําท่วมที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคมจนถึงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2560 ยังคงมีสถานการณ์อยู่ใน 15 จังหวัด คือ พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ขอนแก่น กาฬสินธุ์หนองบัวล้าภู มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุโขทัย ปทุมธานี สุพรรณบุรี มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลที่ได้รับผลกระทบและย้ายจุดให้บริการ 13 แห่ง อยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 5 แห่ง และสิงห์บุรี 8 แห่ง ทีมแพทย์ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 119 ทีม ผู้รับบริการ รวม 8,906 ราย ออกเยี่ยมบ้าน 831 ราย ส่งต่อรักษาในโรงพยาบาล 14 ราย แจกยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย183,550 ชุด ยาทาน้ํากัดเท้า 43,400 หลอด ยาตําราหลวง 4,000 ชุด ยาทากันยุง 1,000 ชิ้นและยาสามัญประจําบ้าน 7,400 ชุด
*********************************** 3 พฤศจิกายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7782
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจ ก.อุตฯ ตรวจราชการเมืองละโว้
|
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561
ผู้ตรวจ ก.อุตฯ ตรวจราชการเมืองละโว้
ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจราชการรอบที่ 1/2561 ของสํานักงานอุตสาหกรรมลพบุรี ณ ห้องประชุม สอจ.ลพบุรี
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2561/ จ.ลพบุรี เวลา 08.30-12.00 น. นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจราชการรอบที่ 1/2561 ของสํานักงานอุตสาหกรรมลพบุรี โดยมีนายวรกร บํารุงชีพโชต อุตสาหกรรมจังหวัดลพบุรี และหัวหน้ากลุ่ม เจ้าหน้าที่ในสํานักงานฯ พร้อมกับ นายพิสุทธิ์ รัตนวิลัย ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดลพบุรี นายไพฑูรย์ สิงห์ไข่มุก ที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนด้านเศรษฐกิจ ร่วมประชุมด้วย โดยได้ให้ข้อเสนอแนะตามประเด็นตรวจราชการใหม่ ณ ห้องประชุม สอจ.ลพบุรี
เวลา 13.00-17.00น. คณะผู้ตรวจฯ ลงพื้นที่ติดตามนโยบายเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ณ กลุ่มวิสาหกิจท่องเที่ยววิธีชุมชนเชิงเกษตรบ้านมหาสอน ต.มหาสอน อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้เพาะเลี้ยงกุ้งกล้ามแดง ทําไข่เค็มพอกดินสอพอง แช่สปามือเท้าสมุนไพร ชมบ้านทรงไทยโบราณ และนั่งรถอีแต๋นสํารวจเส้นทางท่องเที่ยว เป็นต้น โดยมี น.ส.อิงณภัสร์ วงษ์สิทธิชัย ประธานกลุ่มฯ ให้การต้อนรับ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจ ก.อุตฯ ตรวจราชการเมืองละโว้
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561
ผู้ตรวจ ก.อุตฯ ตรวจราชการเมืองละโว้
ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจราชการรอบที่ 1/2561 ของสํานักงานอุตสาหกรรมลพบุรี ณ ห้องประชุม สอจ.ลพบุรี
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2561/ จ.ลพบุรี เวลา 08.30-12.00 น. นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจราชการรอบที่ 1/2561 ของสํานักงานอุตสาหกรรมลพบุรี โดยมีนายวรกร บํารุงชีพโชต อุตสาหกรรมจังหวัดลพบุรี และหัวหน้ากลุ่ม เจ้าหน้าที่ในสํานักงานฯ พร้อมกับ นายพิสุทธิ์ รัตนวิลัย ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดลพบุรี นายไพฑูรย์ สิงห์ไข่มุก ที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนด้านเศรษฐกิจ ร่วมประชุมด้วย โดยได้ให้ข้อเสนอแนะตามประเด็นตรวจราชการใหม่ ณ ห้องประชุม สอจ.ลพบุรี
เวลา 13.00-17.00น. คณะผู้ตรวจฯ ลงพื้นที่ติดตามนโยบายเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ณ กลุ่มวิสาหกิจท่องเที่ยววิธีชุมชนเชิงเกษตรบ้านมหาสอน ต.มหาสอน อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้เพาะเลี้ยงกุ้งกล้ามแดง ทําไข่เค็มพอกดินสอพอง แช่สปามือเท้าสมุนไพร ชมบ้านทรงไทยโบราณ และนั่งรถอีแต๋นสํารวจเส้นทางท่องเที่ยว เป็นต้น โดยมี น.ส.อิงณภัสร์ วงษ์สิทธิชัย ประธานกลุ่มฯ ให้การต้อนรับ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11059
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ดีเดย์เดินหน้ามาตรการช่วยเหลือเกษตรกร
|
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ ดีเดย์เดินหน้ามาตรการช่วยเหลือเกษตรกร
กระทรวงเกษตรฯ ดีเดย์เดินหน้ามาตรการช่วยเหลือเกษตรกร “โครงการจ้างแรงงานเกษตรกรทั่วประเทศ บรรเทาผลกระทบจากภัยแล้ง” ใน 208 โครงการของกรมชลประทาน จ้างงานได้ถึง 10,674 คน เริ่มเดือนมีนาคมนี้ จะช่วยเกษตรกรให้มีรายได้ตลอดระยะเวลาการจ้างแรงงานอยู่ระหว่าง 24
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่ นายเฉลิมชัยศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความห่วงใยเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งจึงได้กําหนดนโยบายการช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรทั่วประเทศ โดยมอบหมายให้
กรมชลประทาน ดําเนินการตามนโยบายการช่วยเหลือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้วยการดําเนินโครงการจ้างแรงงานในปีงบประมาณ 2563 สําหรับงานซ่อมแซม บํารุงรักษา ขุดลอก ปรับปรุงงานชลประทาน ก่อสร้างแหล่งน้ําระบบส่งน้ําเพื่อชุมชน แก้มลิง การจัดการคุณภาพน้ําและโครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ํา โดยจะดําเนินการจ้างแรงงานทั่วทุกภาคของประเทศ ในวงเงินงบประมาณ 3,100 ล้านบาท ซึ่งสามารถจ้างแรงงานได้ไม่น้อยกว่า 41,000 คน ระยะเวลา
ในการจ้าง 3 - 7 เดือน
นายอลงกรณ์กล่าว ต่อไปว่า จากนโยบายการช่วยเหลือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังกล่าว จะทําให้เกษตรกรจะได้ค่าจ้างแรงงานวันละ 377 บาท หรือประมาณเดือนละ 8,000 บาท รายได้ตลอดระยะเวลาการจ้างแรงงานอยู่ระหว่าง 24,000-58,000 บาท/คน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานที่ทํา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตามมาตรการสนับสนุนช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาระยะสั้นในฤดูแล้ง โดยคาดว่าจะเริ่มโครงการจ้างแรงงานตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะจ้างแรงงานได้ประมาณ 10,674 คน โดยกรมชลประทานจะประกาศรับสมัครการจ้างแรงงานเกษตรกรทั่วประเทศ ในเขตพื้นที่โครงการชลประทานทุกโครงการรวมทั้งสิ้น 208 โครงการฯ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ว่าต้องเป็นเกษตรกรกลุ่มผู้ใช้น้ําที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้วในพื้นที่ และเสียโอกาสจากการทํานาปรังในฤดูแล้งนี้ หากเกษตรกรท่านใดสนใจ สามารถสอบถามไปยังโครงการชลประทานใกล้บ้าน
“สําหรับสถานการณ์น้ําในปัจจุบัน อ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศว่า ปัจจุบัน (18มี.ค.63) มีปริมาณน้ํารวมกันประมาณ 39,694 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 52 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ําใช้การได้ประมาณ 15,972 ล้าน ลบ.ม. สําหรับสถานการณ์น้ําใน 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อย
บํารุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ําในอ่างฯรวมกัน 9,581 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 39 ของความจุอ่างฯ
มีปริมาณน้ําใช้การได้ประมาณ 2,885 ล้าน ลบ.ม. ส่วนผลการจัดสรรน้ําฤดูแล้งปี 2562 ทั้งประเทศ ล่าสุด(18 มี.ค.63)
มีการใช้น้ําไปแล้วประมาณ 12,790 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 72 ของแผนฯ เฉพาะลุ่มน้ําเจ้าพระยา มีการใช้น้ําไปแล้วประมาณ 3,457 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 77 ของแผนฯ” นายอลงกรณ์กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ดีเดย์เดินหน้ามาตรการช่วยเหลือเกษตรกร
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ ดีเดย์เดินหน้ามาตรการช่วยเหลือเกษตรกร
กระทรวงเกษตรฯ ดีเดย์เดินหน้ามาตรการช่วยเหลือเกษตรกร “โครงการจ้างแรงงานเกษตรกรทั่วประเทศ บรรเทาผลกระทบจากภัยแล้ง” ใน 208 โครงการของกรมชลประทาน จ้างงานได้ถึง 10,674 คน เริ่มเดือนมีนาคมนี้ จะช่วยเกษตรกรให้มีรายได้ตลอดระยะเวลาการจ้างแรงงานอยู่ระหว่าง 24
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่ นายเฉลิมชัยศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความห่วงใยเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งจึงได้กําหนดนโยบายการช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรทั่วประเทศ โดยมอบหมายให้
กรมชลประทาน ดําเนินการตามนโยบายการช่วยเหลือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้วยการดําเนินโครงการจ้างแรงงานในปีงบประมาณ 2563 สําหรับงานซ่อมแซม บํารุงรักษา ขุดลอก ปรับปรุงงานชลประทาน ก่อสร้างแหล่งน้ําระบบส่งน้ําเพื่อชุมชน แก้มลิง การจัดการคุณภาพน้ําและโครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ํา โดยจะดําเนินการจ้างแรงงานทั่วทุกภาคของประเทศ ในวงเงินงบประมาณ 3,100 ล้านบาท ซึ่งสามารถจ้างแรงงานได้ไม่น้อยกว่า 41,000 คน ระยะเวลา
ในการจ้าง 3 - 7 เดือน
นายอลงกรณ์กล่าว ต่อไปว่า จากนโยบายการช่วยเหลือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังกล่าว จะทําให้เกษตรกรจะได้ค่าจ้างแรงงานวันละ 377 บาท หรือประมาณเดือนละ 8,000 บาท รายได้ตลอดระยะเวลาการจ้างแรงงานอยู่ระหว่าง 24,000-58,000 บาท/คน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานที่ทํา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตามมาตรการสนับสนุนช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาระยะสั้นในฤดูแล้ง โดยคาดว่าจะเริ่มโครงการจ้างแรงงานตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะจ้างแรงงานได้ประมาณ 10,674 คน โดยกรมชลประทานจะประกาศรับสมัครการจ้างแรงงานเกษตรกรทั่วประเทศ ในเขตพื้นที่โครงการชลประทานทุกโครงการรวมทั้งสิ้น 208 โครงการฯ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ว่าต้องเป็นเกษตรกรกลุ่มผู้ใช้น้ําที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้วในพื้นที่ และเสียโอกาสจากการทํานาปรังในฤดูแล้งนี้ หากเกษตรกรท่านใดสนใจ สามารถสอบถามไปยังโครงการชลประทานใกล้บ้าน
“สําหรับสถานการณ์น้ําในปัจจุบัน อ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศว่า ปัจจุบัน (18มี.ค.63) มีปริมาณน้ํารวมกันประมาณ 39,694 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 52 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ําใช้การได้ประมาณ 15,972 ล้าน ลบ.ม. สําหรับสถานการณ์น้ําใน 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อย
บํารุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ําในอ่างฯรวมกัน 9,581 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 39 ของความจุอ่างฯ
มีปริมาณน้ําใช้การได้ประมาณ 2,885 ล้าน ลบ.ม. ส่วนผลการจัดสรรน้ําฤดูแล้งปี 2562 ทั้งประเทศ ล่าสุด(18 มี.ค.63)
มีการใช้น้ําไปแล้วประมาณ 12,790 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 72 ของแผนฯ เฉพาะลุ่มน้ําเจ้าพระยา มีการใช้น้ําไปแล้วประมาณ 3,457 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 77 ของแผนฯ” นายอลงกรณ์กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27455
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตฯหารือร่วมภาครัฐ เอกชนเกี่ยวกับการจัดตั้ง Food Valley และสิทธิประโยชน์ต่างๆ
|
วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2561
กระทรวงอุตฯหารือร่วมภาครัฐ เอกชนเกี่ยวกับการจัดตั้ง Food Valley และสิทธิประโยชน์ต่างๆ
นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมหารือแนวทางการจัดตั้ง Food Valley และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ร่วมกับภาคเอกชน ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ กระทรวงอุตสาหกรรม
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2561 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายยงยุทธ เสาวพฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันอาหาร นายบวร กิติไพศาลนนท์ สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นําทีมหารือแนวทางการจัดตั้ง Food Valley และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ร่วมกับภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จํากัด บริษัท ปาร์ค อินดัสตรี จํากัด บริษัท ทีซีซีภูมิพัฒน์ จํากัด (ในเครือไทยเบฟฯ) ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ กระทรวงอุตสาหกรรม
โดยได้มีการหารือรวมกันเกี่ยวกับแนวทางการทํางานร่วมภาครัฐ เอกชน มาตรการและสิทธิประโยชน์ตต่างๆ ในการดําเนินงานโครงการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตฯหารือร่วมภาครัฐ เอกชนเกี่ยวกับการจัดตั้ง Food Valley และสิทธิประโยชน์ต่างๆ
วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2561
กระทรวงอุตฯหารือร่วมภาครัฐ เอกชนเกี่ยวกับการจัดตั้ง Food Valley และสิทธิประโยชน์ต่างๆ
นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมหารือแนวทางการจัดตั้ง Food Valley และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ร่วมกับภาคเอกชน ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ กระทรวงอุตสาหกรรม
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2561 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายยงยุทธ เสาวพฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันอาหาร นายบวร กิติไพศาลนนท์ สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นําทีมหารือแนวทางการจัดตั้ง Food Valley และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ร่วมกับภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จํากัด บริษัท ปาร์ค อินดัสตรี จํากัด บริษัท ทีซีซีภูมิพัฒน์ จํากัด (ในเครือไทยเบฟฯ) ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ กระทรวงอุตสาหกรรม
โดยได้มีการหารือรวมกันเกี่ยวกับแนวทางการทํางานร่วมภาครัฐ เอกชน มาตรการและสิทธิประโยชน์ตต่างๆ ในการดําเนินงานโครงการ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17695
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ด นโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย กำหนดกรอบมาตรการในการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.
|
วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ด นโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย กําหนดกรอบมาตรการในการดําเนินงานตาม พ.ร.บ.
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม กกข. ครั้งที่ 1/60 กําหนดกรอบมาตรการในการทํางานตาม พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560
วันนี้ (31 มี.ค.60) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (กกข.) ครั้งที่ 1/2560 โดยมีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
ภายหลังการประชุม นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมว่า การประชุมครั้งแรกของ กกข. ในวันนี้เพื่อกําหนดกรอบมาตรการในการทํางานตาม พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560 ที่มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยสาระสําคัญของ พ.ร.บ. การเพิ่มขีดความสามารถฯ ได้กําหนดสิทธิประโยชน์สําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลถึง 15 ปี ซึ่งมากกว่าสิทธิประโยชน์ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน ที่กําหนดให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ที่ไม่เกิน 13 ปี และ พ.ร.บ. การเพิ่มขีดความสามารถฯ ยังมีกองทุนจํานวน 10,000 ล้านบาทสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุน การวิจัยและพัฒนา การส่งเสริมนวัตกรรม หรือการพัฒนาบุคลากรเฉพาะด้าน
สําหรับโครงสร้างการบริหารงาน กกข. มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นรองประธาน เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็น เลขานุการ กรรมการประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ โดย กกข. มีอํานาจหน้าที่ในการกําหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนงาน ประกาศกําหนดประเภทและลักษณะของกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกาศกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้สิทธิประโยชน์ กําหนดกรอบแนวทางการสรรหาและเจรจา ออกระเบียบเกี่ยวกับการรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงินกองทุน นอกจากนี้ยังมีอํานาจในการอนุมัติและเพิกถอนสิทธิประโยชน์ รวมทั้งกําหนดเงื่อนไขแก่ผู้ได้รับการส่งเสริม และประเมินผลการดําเนินงานของกองทุน ประเมินความคุ้มค่าในการให้สิทธิเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรี โดยจะมีคณะอนุกรรมการสรรหาและเจรจา ทําหน้าที่ดําเนินการสรรหาและเจรจาตามกรอบแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายกําหนด และเสนอบันทึกผลการเจรจาต่อคณะกรรมการนโยบายเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ผู้ขอรับการส่งเสริมได้รับสิทธิประโยชน์ ตามกรอบที่คณะกรรมการได้กําหนด
ทั้งนี้ ที่ประชุม กกข. ได้มีการกําหนดลักษณะกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างกว้าง ๆ โดยเริ่มจาก 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้มีการประกาศไปแล้ว และอาจมีอุตสาหกรรมอื่นเพิ่มเติมตามการเปลี่ยนแปลงไปของโลก นอกจากนี้ลักษณะของกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย จะต้องมีลักษณะเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ยังไม่เคยมีการผลิต หรือให้บริการในประเทศมาก่อน หรือมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ หรือใช้ความรู้ในการผลิตขั้นสูง และควรเป็นอุตสาหกรรมที่ทําให้เกิดผลกระทบในเชิงกว้าง นอกจากนี้ จะต้องมีผลประโยชน์ต่อสาธารณะ เช่น จะต้องเสนอแผนความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย โดยต้องมีการพัฒนาบุคลากรในภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน เนื่องจากปัญหาที่ผ่านมาของประเทศในเวลาที่ดึงดูดอุตสาหกรรมเข้ามา สิ่งที่ได้คือโรงงานและการจ้างงานเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาในเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้ ที่ประชุมยังไม่ได้กําหนดหลักเกณฑ์ของลักษณะอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างชัดเจน รวมทั้งกรอบของการเจรจาว่าควรจะเป็นในลักษณะใด เพราะสถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับบีโอไอ เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน แล้วนํากลับมาเสนอต่อที่ประชุมในการประชุมครั้งต่อไป
“เนื่องจากอุตสาหกรรมแต่ละด้านไม่เหมือนกัน ดังนั้น จึงควรจะต้องเปิดช่องในการเจรจามากขึ้น จุดที่อยากจะย้ําคือเรื่องของการประเมินผลการดําเนินงาน ที่สุดท้ายจะต้องมีการรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อประเมินผลเป็นระยะ ๆ ว่าสิ่งที่ให้ไปนั้นมีความคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ําว่าอยากจะเห็นการประเมินอย่างน้อยทุก ๆ ปี” นายณัฐพร กล่าว
-------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ด นโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย กำหนดกรอบมาตรการในการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.
วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ด นโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย กําหนดกรอบมาตรการในการดําเนินงานตาม พ.ร.บ.
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม กกข. ครั้งที่ 1/60 กําหนดกรอบมาตรการในการทํางานตาม พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560
วันนี้ (31 มี.ค.60) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (กกข.) ครั้งที่ 1/2560 โดยมีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
ภายหลังการประชุม นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมว่า การประชุมครั้งแรกของ กกข. ในวันนี้เพื่อกําหนดกรอบมาตรการในการทํางานตาม พ.ร.บ.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560 ที่มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยสาระสําคัญของ พ.ร.บ. การเพิ่มขีดความสามารถฯ ได้กําหนดสิทธิประโยชน์สําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลถึง 15 ปี ซึ่งมากกว่าสิทธิประโยชน์ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน ที่กําหนดให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ที่ไม่เกิน 13 ปี และ พ.ร.บ. การเพิ่มขีดความสามารถฯ ยังมีกองทุนจํานวน 10,000 ล้านบาทสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุน การวิจัยและพัฒนา การส่งเสริมนวัตกรรม หรือการพัฒนาบุคลากรเฉพาะด้าน
สําหรับโครงสร้างการบริหารงาน กกข. มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นรองประธาน เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็น เลขานุการ กรรมการประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ โดย กกข. มีอํานาจหน้าที่ในการกําหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนงาน ประกาศกําหนดประเภทและลักษณะของกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกาศกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้สิทธิประโยชน์ กําหนดกรอบแนวทางการสรรหาและเจรจา ออกระเบียบเกี่ยวกับการรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงินกองทุน นอกจากนี้ยังมีอํานาจในการอนุมัติและเพิกถอนสิทธิประโยชน์ รวมทั้งกําหนดเงื่อนไขแก่ผู้ได้รับการส่งเสริม และประเมินผลการดําเนินงานของกองทุน ประเมินความคุ้มค่าในการให้สิทธิเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรี โดยจะมีคณะอนุกรรมการสรรหาและเจรจา ทําหน้าที่ดําเนินการสรรหาและเจรจาตามกรอบแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายกําหนด และเสนอบันทึกผลการเจรจาต่อคณะกรรมการนโยบายเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ผู้ขอรับการส่งเสริมได้รับสิทธิประโยชน์ ตามกรอบที่คณะกรรมการได้กําหนด
ทั้งนี้ ที่ประชุม กกข. ได้มีการกําหนดลักษณะกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างกว้าง ๆ โดยเริ่มจาก 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้มีการประกาศไปแล้ว และอาจมีอุตสาหกรรมอื่นเพิ่มเติมตามการเปลี่ยนแปลงไปของโลก นอกจากนี้ลักษณะของกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย จะต้องมีลักษณะเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ยังไม่เคยมีการผลิต หรือให้บริการในประเทศมาก่อน หรือมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ หรือใช้ความรู้ในการผลิตขั้นสูง และควรเป็นอุตสาหกรรมที่ทําให้เกิดผลกระทบในเชิงกว้าง นอกจากนี้ จะต้องมีผลประโยชน์ต่อสาธารณะ เช่น จะต้องเสนอแผนความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย โดยต้องมีการพัฒนาบุคลากรในภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน เนื่องจากปัญหาที่ผ่านมาของประเทศในเวลาที่ดึงดูดอุตสาหกรรมเข้ามา สิ่งที่ได้คือโรงงานและการจ้างงานเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาในเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้ ที่ประชุมยังไม่ได้กําหนดหลักเกณฑ์ของลักษณะอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างชัดเจน รวมทั้งกรอบของการเจรจาว่าควรจะเป็นในลักษณะใด เพราะสถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับบีโอไอ เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน แล้วนํากลับมาเสนอต่อที่ประชุมในการประชุมครั้งต่อไป
“เนื่องจากอุตสาหกรรมแต่ละด้านไม่เหมือนกัน ดังนั้น จึงควรจะต้องเปิดช่องในการเจรจามากขึ้น จุดที่อยากจะย้ําคือเรื่องของการประเมินผลการดําเนินงาน ที่สุดท้ายจะต้องมีการรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อประเมินผลเป็นระยะ ๆ ว่าสิ่งที่ให้ไปนั้นมีความคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ําว่าอยากจะเห็นการประเมินอย่างน้อยทุก ๆ ปี” นายณัฐพร กล่าว
-------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2818
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.หารือกับผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ
|
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560
รมว.ศธ.หารือกับผู้อํานวยการสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนายกวาง-โจ คิม (HE Mr Gwang-jo Kim) ผู้อํานวยการสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการกําลังดําเนินการจัดทําฐานข้อมูลด้านการศึกษาในทุกระดับการศึกษาตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนถึงระดับอุดมศึกษา อาทิ อัตราการเข้าศึกษา, อัตราการสําเร็จการศึกษา, อัตราการมีงานทําภายหลังสําเร็จการศึกษา เป็นต้น โดยข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดความสําเร็จในการจัดการศึกษาของประเทศไทยจึงขอความร่วมมือองค์การยูเนสโกให้ความช่วยเหลือกระทรวงศึกษาธิการในการรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทําฐานข้อมูลดังกล่าวเนื่องจากองค์การยูเนสโกเป็นหน่วยงานที่มีความสามารถเรื่องการจัดเก็บข้อมูล รวมทั้งการจัดการฐานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่ได้จะมีความน่าเชื่อถือ และสามารถนํามาพัฒนาการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ สํานักงานเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาฯ สหประชาชาติ ซึ่งมีรัฐมนตรีกว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม มีกําหนดจัดการสัมมนาวิชาการระดับภูมิภาคในหัวข้อการจัดการแหล่งมรดกโลกที่เกี่ยวข้องกับศาสนา(Regional Workshop on the Management of the World Heritage of Religious Interest) ระหว่างวันที่ 17-19 พฤษภาคม 2560 ที่จังหวัดนครพนม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการดําเนินงาน และการจัดการแหล่งมรดกโลกที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนา เพื่อนํามาปรับใช้กับการเสนอให้พระธาตุพนมเป็นมรดกโลกในอนาคต จึงขอความร่วมมือจากองค์การยูเนสโกในการสนับสนุนการจัดสัมมนาดังกล่าวด้วย
นายกวาง-โจ คิมกล่าวว่า ประเทศไทยและองค์การยูเนสโกมีความร่วมมือในด้านต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้องค์การยูเนสโกพยายามจัดทําหนังสือประวัติศาสตร์ที่จะใช้ร่วมกันระหว่างประเทศในอาเซียน ซึ่งมีรายละเอียดและแนวทางการดําเนินงานหลายขั้นตอน โดยจะแจ้งความก้าวหน้าของการจัดทําให้รับทราบต่อไป
สําหรับความร่วมมือในการจัดทําฐานข้อมูลด้านการศึกษาของประเทศไทยนั้น องค์ยูเนสโกยินดีให้ความร่วมมือโดยจะประสานข้อมูลกับสํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อหารือในรายละเอียดการดําเนินงานต่อไป
ทั้งนี้ ได้เรียนเชิญ รมว.ศึกษาธิการ เข้าร่วมการประชุมหรือส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ ขององค์การยูเนสโก อาทิ การประชุมระดับรัฐมนตรีเอเชีย-แปซิฟิก ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา 2017 จัดโดยสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ และรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ 11-12 พฤษภาคม 2560 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี เป็นต้น พร้อมทั้งเรียนเชิญ รมว.ศึกษาธิการ เข้าเยี่ยมชมการดําเนินงานของสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ ในโอกาสต่อไปด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.หารือกับผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560
รมว.ศธ.หารือกับผู้อํานวยการสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนายกวาง-โจ คิม (HE Mr Gwang-jo Kim) ผู้อํานวยการสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการกําลังดําเนินการจัดทําฐานข้อมูลด้านการศึกษาในทุกระดับการศึกษาตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนถึงระดับอุดมศึกษา อาทิ อัตราการเข้าศึกษา, อัตราการสําเร็จการศึกษา, อัตราการมีงานทําภายหลังสําเร็จการศึกษา เป็นต้น โดยข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดความสําเร็จในการจัดการศึกษาของประเทศไทยจึงขอความร่วมมือองค์การยูเนสโกให้ความช่วยเหลือกระทรวงศึกษาธิการในการรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทําฐานข้อมูลดังกล่าวเนื่องจากองค์การยูเนสโกเป็นหน่วยงานที่มีความสามารถเรื่องการจัดเก็บข้อมูล รวมทั้งการจัดการฐานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่ได้จะมีความน่าเชื่อถือ และสามารถนํามาพัฒนาการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ สํานักงานเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาฯ สหประชาชาติ ซึ่งมีรัฐมนตรีกว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม มีกําหนดจัดการสัมมนาวิชาการระดับภูมิภาคในหัวข้อการจัดการแหล่งมรดกโลกที่เกี่ยวข้องกับศาสนา(Regional Workshop on the Management of the World Heritage of Religious Interest) ระหว่างวันที่ 17-19 พฤษภาคม 2560 ที่จังหวัดนครพนม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการดําเนินงาน และการจัดการแหล่งมรดกโลกที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนา เพื่อนํามาปรับใช้กับการเสนอให้พระธาตุพนมเป็นมรดกโลกในอนาคต จึงขอความร่วมมือจากองค์การยูเนสโกในการสนับสนุนการจัดสัมมนาดังกล่าวด้วย
นายกวาง-โจ คิมกล่าวว่า ประเทศไทยและองค์การยูเนสโกมีความร่วมมือในด้านต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้องค์การยูเนสโกพยายามจัดทําหนังสือประวัติศาสตร์ที่จะใช้ร่วมกันระหว่างประเทศในอาเซียน ซึ่งมีรายละเอียดและแนวทางการดําเนินงานหลายขั้นตอน โดยจะแจ้งความก้าวหน้าของการจัดทําให้รับทราบต่อไป
สําหรับความร่วมมือในการจัดทําฐานข้อมูลด้านการศึกษาของประเทศไทยนั้น องค์ยูเนสโกยินดีให้ความร่วมมือโดยจะประสานข้อมูลกับสํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อหารือในรายละเอียดการดําเนินงานต่อไป
ทั้งนี้ ได้เรียนเชิญ รมว.ศึกษาธิการ เข้าร่วมการประชุมหรือส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ ขององค์การยูเนสโก อาทิ การประชุมระดับรัฐมนตรีเอเชีย-แปซิฟิก ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา 2017 จัดโดยสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ และรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ 11-12 พฤษภาคม 2560 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี เป็นต้น พร้อมทั้งเรียนเชิญ รมว.ศึกษาธิการ เข้าเยี่ยมชมการดําเนินงานของสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ ในโอกาสต่อไปด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2293
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม หารือแนวทางการส่งเสริมการใช้อนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาทฯของหน่วยงานภาครัฐ
|
วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2559
กระทรวงยุติธรรม หารือแนวทางการส่งเสริมการใช้อนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาทฯของหน่วยงานภาครัฐ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการส่งเสริมการใช้อนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทของหน่วยงานภาครัฐ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๐๙.๓๐ น.
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการส่งเสริมการใช้อนุญาโตตุลาการ
และการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทของหน่วยงานภาครัฐ
เพื่อพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการใช้อนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาท
ในการระงับข้อพิพาทของหน่วยงานภาครัฐ
โดยมี นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร ผู้อํานวยการสถาบันอนุญาโตตุลาการ
พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
ณ โรงแรมเอทัส ลุมพินี กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม หารือแนวทางการส่งเสริมการใช้อนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาทฯของหน่วยงานภาครัฐ
วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2559
กระทรวงยุติธรรม หารือแนวทางการส่งเสริมการใช้อนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาทฯของหน่วยงานภาครัฐ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการส่งเสริมการใช้อนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทของหน่วยงานภาครัฐ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๐๙.๓๐ น.
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการส่งเสริมการใช้อนุญาโตตุลาการ
และการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทของหน่วยงานภาครัฐ
เพื่อพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการใช้อนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาท
ในการระงับข้อพิพาทของหน่วยงานภาครัฐ
โดยมี นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร ผู้อํานวยการสถาบันอนุญาโตตุลาการ
พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
ณ โรงแรมเอทัส ลุมพินี กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/894
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สสจ.กาญจนบุรี มุ่งสู่ “องค์กรอัจฉริยะ” ทำฐานข้อมูลออนไลน์ ประชาชนสืบค้นข้อมูลง่าย
|
วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562
สสจ.กาญจนบุรี มุ่งสู่ “องค์กรอัจฉริยะ” ทําฐานข้อมูลออนไลน์ ประชาชนสืบค้นข้อมูลง่าย
สาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งสู่การเป็นองค์กรอัจฉริยะ พัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านอาหาร ยา สถานบริการ จัดเก็บงานเป็นอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์ สืบค้นข้อมูลง่าย สะดวก รวดเร็ว ลดการใช้กระดาษ ลดขั้นตอนการให้บริการประชาชน
สาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งสู่การเป็นองค์กรอัจฉริยะ พัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านอาหาร ยา สถานบริการ จัดเก็บงานเป็นอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์ สืบค้นข้อมูลง่าย สะดวก รวดเร็ว ลดการใช้กระดาษ ลดขั้นตอนการให้บริการประชาชน
นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่ากระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายผลักดันให้นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบสาธารณสุข สนองนโยบายดิจิทัลไทยแลนด์ของรัฐบาล โดยให้หน่วยงานในสังกัดเป็นสมาร์ทออฟฟิศ (Smart Office)ลดการใช้กระดาษ เก็บสํารองข้อมูลที่สําคัญไว้ในระบบออนไลน์(Cloud storage)และเชื่อมโยงฐานข้อมูลให้เป็นระบบเดียวกันในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Big Data) เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลสะดวก ประชาชนได้รับบริการที่รวดเร็ว ลดแออัด ลดรอคอย
นายแพทย์ไพศาล กล่าวต่อว่า จากการเยี่ยมสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี พบว่า ได้มีการปรับภาพลักษณ์สถานบริการให้เป็นองค์กรอัจฉริยะ (Smart Organization) เก็บข้อมูล เอกสาร หนังสือราชการทั้งหมดในระบบออนไลน์ (Cloud storage) ทําให้สืบค้นเอกสารได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว รวมถึงพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านอาหาร ยา สถานบริการให้มีมาตรฐาน จัดเก็บเอกสารทั้งหมดในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์ และหากต้องการแก้ไขเอกสารคําขออนุญาตในภายหลังสามารถสืบค้นข้อมูลง่าย รวดเร็ว ซึ่งจากเดิม เก็บในรูปแบบเอกสารทําให้เสียเวลาในการสืบค้น ประชาชนได้รับบริการที่ สะดวก รวดเร็ว ทันใจ
“นอกจากนี้ หลังการตรวจเยี่ยมสถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนสถานบริการ ผลิต บรรจุ จําหน่าย จะทําการปักหมุดพิกัด (GIS Map) เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าตรวจสถานประกอบการในครั้งถัดไป ใช้คิวอาร์โค้ดแทนการพิมพ์เอกสาร ทําให้ลดปริมาณการใช้กระดาษ ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงปรับปรุงภูมิทัศน์สถานที่ให้ดูทันสมัย สะอาด น่าทํางาน ประชาชนสามารถสืบค้นสถานประกอบการต่าง ๆ ที่ขึ้นทะเบียนในพื้นที่ได้ด้วยตนเองจากหน้าเว็บไซต์ ของสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรีwww.kanpho.go.th”
********************** 9 กุมภาพันธ์2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สสจ.กาญจนบุรี มุ่งสู่ “องค์กรอัจฉริยะ” ทำฐานข้อมูลออนไลน์ ประชาชนสืบค้นข้อมูลง่าย
วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562
สสจ.กาญจนบุรี มุ่งสู่ “องค์กรอัจฉริยะ” ทําฐานข้อมูลออนไลน์ ประชาชนสืบค้นข้อมูลง่าย
สาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งสู่การเป็นองค์กรอัจฉริยะ พัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านอาหาร ยา สถานบริการ จัดเก็บงานเป็นอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์ สืบค้นข้อมูลง่าย สะดวก รวดเร็ว ลดการใช้กระดาษ ลดขั้นตอนการให้บริการประชาชน
สาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งสู่การเป็นองค์กรอัจฉริยะ พัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านอาหาร ยา สถานบริการ จัดเก็บงานเป็นอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์ สืบค้นข้อมูลง่าย สะดวก รวดเร็ว ลดการใช้กระดาษ ลดขั้นตอนการให้บริการประชาชน
นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่ากระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายผลักดันให้นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบสาธารณสุข สนองนโยบายดิจิทัลไทยแลนด์ของรัฐบาล โดยให้หน่วยงานในสังกัดเป็นสมาร์ทออฟฟิศ (Smart Office)ลดการใช้กระดาษ เก็บสํารองข้อมูลที่สําคัญไว้ในระบบออนไลน์(Cloud storage)และเชื่อมโยงฐานข้อมูลให้เป็นระบบเดียวกันในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Big Data) เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลสะดวก ประชาชนได้รับบริการที่รวดเร็ว ลดแออัด ลดรอคอย
นายแพทย์ไพศาล กล่าวต่อว่า จากการเยี่ยมสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี พบว่า ได้มีการปรับภาพลักษณ์สถานบริการให้เป็นองค์กรอัจฉริยะ (Smart Organization) เก็บข้อมูล เอกสาร หนังสือราชการทั้งหมดในระบบออนไลน์ (Cloud storage) ทําให้สืบค้นเอกสารได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว รวมถึงพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านอาหาร ยา สถานบริการให้มีมาตรฐาน จัดเก็บเอกสารทั้งหมดในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์ และหากต้องการแก้ไขเอกสารคําขออนุญาตในภายหลังสามารถสืบค้นข้อมูลง่าย รวดเร็ว ซึ่งจากเดิม เก็บในรูปแบบเอกสารทําให้เสียเวลาในการสืบค้น ประชาชนได้รับบริการที่ สะดวก รวดเร็ว ทันใจ
“นอกจากนี้ หลังการตรวจเยี่ยมสถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนสถานบริการ ผลิต บรรจุ จําหน่าย จะทําการปักหมุดพิกัด (GIS Map) เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าตรวจสถานประกอบการในครั้งถัดไป ใช้คิวอาร์โค้ดแทนการพิมพ์เอกสาร ทําให้ลดปริมาณการใช้กระดาษ ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงปรับปรุงภูมิทัศน์สถานที่ให้ดูทันสมัย สะอาด น่าทํางาน ประชาชนสามารถสืบค้นสถานประกอบการต่าง ๆ ที่ขึ้นทะเบียนในพื้นที่ได้ด้วยตนเองจากหน้าเว็บไซต์ ของสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรีwww.kanpho.go.th”
********************** 9 กุมภาพันธ์2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18670
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดเวทีเสวนากิจการดาวเทียมในยุค Disruption และธุรกิจรูปแบบใหม่ สอดรับนโยบายให้ดาวเทียมต่างชาติเข้าตลาดไทยได้ หวังกระตุ้นการลงทุนรองรับธุรกิจในอนาคต
|
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดเวทีเสวนากิจการดาวเทียมในยุค Disruption และธุรกิจรูปแบบใหม่ สอดรับนโยบายให้ดาวเทียมต่างชาติเข้าตลาดไทยได้ หวังกระตุ้นการลงทุนรองรับธุรกิจในอนาคต
กระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: justify; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมหารือ เรื่อง กิจการดาวเทียมในยุค Disruption และธุรกิจรูปแบบใหม่ (The Changing Environment of Satellite Industry: Disruption and New Business Model) พร้อมร่วมฟังเสวนาเรื่องอนาคตกิจการดาวเทียมในยุค Disruption และธุรกิจรูปแบบใหม่ ณ ห้องประชุม MDES ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์เรื่องกิจการดาวเทียมให้รองรับแนวโน้มเทคโนโลยีสมัยใหม่ การสร้างบริการและโอกาสธุรกิจใหม่ๆ สอดรับนโยบายให้ดาวเทียมต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ และเพื่อรองรับธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ด้านบริษัทผู้ให้บริการประกันภัยดาวเทียมระดับโลก มีความมั่นใจว่านโยบายนี้จะช่วยหนุนจีดีพีประเทศให้ขยายตัว จากการเพิ่มโอกาสคนในชนบทได้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ จากผลการศึกษาถ้าประเทศใดสามารถทําให้ประชากรเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น 10% จะสร้างการเติบโตให้กับจีดีพีของประเทศอีก 1.5% ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานด้านดาวเทียม เป็นสิ่งที่จะช่วยให้คนทั่วทุกภาคส่วนของประเทศไทย สามารถเชื่อมต่อกับทั่วโลกผ่านอินเทอร์เน็ตได้ ทําให้สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา การเกษตรเชิงพยากรณ์ บริการสาธารณสุข และโอกาสทางธุรกิจ เป็นต้น อีกทั้งทําให้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันของไทย และขับเคลื่อนประเทศตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0” ต่อไป
**************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดเวทีเสวนากิจการดาวเทียมในยุค Disruption และธุรกิจรูปแบบใหม่ สอดรับนโยบายให้ดาวเทียมต่างชาติเข้าตลาดไทยได้ หวังกระตุ้นการลงทุนรองรับธุรกิจในอนาคต
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดเวทีเสวนากิจการดาวเทียมในยุค Disruption และธุรกิจรูปแบบใหม่ สอดรับนโยบายให้ดาวเทียมต่างชาติเข้าตลาดไทยได้ หวังกระตุ้นการลงทุนรองรับธุรกิจในอนาคต
กระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: justify; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมหารือ เรื่อง กิจการดาวเทียมในยุค Disruption และธุรกิจรูปแบบใหม่ (The Changing Environment of Satellite Industry: Disruption and New Business Model) พร้อมร่วมฟังเสวนาเรื่องอนาคตกิจการดาวเทียมในยุค Disruption และธุรกิจรูปแบบใหม่ ณ ห้องประชุม MDES ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์เรื่องกิจการดาวเทียมให้รองรับแนวโน้มเทคโนโลยีสมัยใหม่ การสร้างบริการและโอกาสธุรกิจใหม่ๆ สอดรับนโยบายให้ดาวเทียมต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ และเพื่อรองรับธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ด้านบริษัทผู้ให้บริการประกันภัยดาวเทียมระดับโลก มีความมั่นใจว่านโยบายนี้จะช่วยหนุนจีดีพีประเทศให้ขยายตัว จากการเพิ่มโอกาสคนในชนบทได้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ จากผลการศึกษาถ้าประเทศใดสามารถทําให้ประชากรเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น 10% จะสร้างการเติบโตให้กับจีดีพีของประเทศอีก 1.5% ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานด้านดาวเทียม เป็นสิ่งที่จะช่วยให้คนทั่วทุกภาคส่วนของประเทศไทย สามารถเชื่อมต่อกับทั่วโลกผ่านอินเทอร์เน็ตได้ ทําให้สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา การเกษตรเชิงพยากรณ์ บริการสาธารณสุข และโอกาสทางธุรกิจ เป็นต้น อีกทั้งทําให้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันของไทย และขับเคลื่อนประเทศตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0” ต่อไป
**************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17062
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ร่วมกับคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การสร้างรายได้เกษตรกรฐานราก” นำร่องสกลนครโมเดล เตรียมขยายผลทั่วประเทศ
|
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562
กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ร่วมกับคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การสร้างรายได้เกษตรกรฐานราก” นําร่องสกลนครโมเดล เตรียมขยายผลทั่วประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ร่วมกับคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การสร้างรายได้เกษตรกรฐานราก” นําร่องสกลนครโมเดล เตรียมขยายผลทั่วประเทศ
วันที่ 7 ธันวาคม 2562 นายจําลอง พรมสวัสดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เข้าร่วมการสัมมนาและศึกษาดูงานเรื่อง “ปัญหาการเข้าถึงองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมของเกษตรกร” และอภิปรายเรื่อง “ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กับคณะกรรมาธิการ เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก” ในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการหัวข้อเรื่อง “การสร้างรายได้เกษตรกรฐานราก” จัดโดยคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นได้รับการพัฒนาอาชีพและรายได้ให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนโดยการนนําองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมให้เกิดมูลค่าเพิ่ม พร้อมกับรับฟังปัญหาและอุปสรรคในเรื่องต่าง ๆ เชิงปฏิบัติการร่วมกับการศึกษาประเด็นที่เกี่ยวข้องอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพที่ให้คนในชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งตนเองได้ในสภาวการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ณ วัดป่าสมณวงศ์ ตําบลหนองแวง อําเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร
นายจําลอง พรมสวัสดิ์ กล่าวว่า ในนามของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) ได้มอบหมายให้ลงพื้นที่ร่วมกับคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม เพื่อเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การสร้างรายได้เกษตรกรฐานราก” ซึ่งหน่วยงานในสังกัด อว. ได้หารือร่วมกันจะดําเนินการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG Model ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลในการสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้ยั่งยืนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเดิมประเทศไทยพึ่งพาต่างประเทศมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเชิญนักลงทุนมาร่วมลงทุนในประเทศ หรือการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ แต่เมื่อเกิดภาวะการ Disrupt หรือโลกป่วน ทําให้เกิดความไม่ยั่งยืนทางเศรษฐกิจ จึงต้องหันกลับมาตระหนักถึงความสําคัญของเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีทรัพยากรการเกษตร มีความหลายกลายชีวภาพ และหลากหลายวัฒนธรรม ดังนั้น รมว.อว. จึงให้ความสําคัญในการผลักดันเรื่องนี้ โดยร่วมมือกับคณะกรรมาธิการฯ ในการสนับสนุนให้เกิดรายได้กับเกษตรกรเพื่อตอบโจทย์รัฐบาล ได้แก่ (1) แก้ปัญหาความยากจน (2) ลดความเหลื่อมล้ําสังคม และ (3) คุณภาพชีวิตของประชาชนต้องดีขึ้น
สําหรับการจัดสัมมนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นได้รับการพัฒนาอาชีพและรายได้ให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนโดยการนําองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมให้เกิดมูลค่าเพิ่ม พร้อมกับรับฟังปัญหาและอุปสรรคในเรื่องต่าง ๆ เชิงปฏิบัติการร่วมกับการศึกษาประเด็นที่เกี่ยวข้องอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพที่ให้คนในชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งตนเองได้ในสภาวการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประกอบกับสานประโยชน์ร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่นช่วยเหลือผลักดันสินค้า ราคาและผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่เป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นเกิดมูลค่าและมีมูลค่าเพิ่ม Value Added ที่โดดเด่นและสร้างนวัตกรรมที่แตกต่างหลากหลายรูปแบบให้เกิดมิติของสินค้าแบบใหม่ ๆ ออกสู่ท้องตลาดที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้นตามภายใต้เอกลักษณ์ประจําพื้นที่นั้น ๆ นอกจากนั้น ยังสร้างเสริมองค์ความรู้ภายในชุมชนท้องถิ่นระดับฐานรากที่รู้จักใช้ รู้จักรักษาและตระหนักเมื่อนําทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เพื่อให้เกิดคุ้มค่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงสร้างความเข้าใจการสมดุลของระบบนิเวศทั้งทางพื้นดิน พื้นน้ํา พื้นใต้ทะเลลึก และทางอากาศให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
ในการนี้ คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่าจังหวัดสกลนครมีความหลากหลายทางชีวภาพที่สร้างมูลค่าเพิ่มในเรื่องของสินค้าที่ได้มาจากพืชทางการเกษตร เช่น ข้าว อ้อย มันสําปะหลัง และพืชชนิดตระกูลถั่ว เช่น คราม รวมถึงพืชเสริมอย่างมะเม่า เห็ด สมุนไพร และเม็ดบัวหลวง เป็นต้น สามารถสร้างรายได้และอาชีพให้กับคนในพื้นที่จนมีชื่อเสียงและใช้ภูมิปัญญาจนสามารถนําพืชมาแปรรูปให้เกิดมูลค่าที่หลากหลายชนิด และยังสร้างแบรนด์ไทยสู่โกอินเตอร์เป็นที่รู้จักในนามว่า คราม (INDIGO) ที่เกิดมูลค่าและสร้างรายได้ส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยคุณสมบัติครามเป็นพืชที่ต้องใช้หลักทางวิทยาศาสตร์และวิจัย และองค์ความรู้จากภูมิปัญญาชาวบ้านจนเกิดเป็นสีครามสวยงามนําไปย้อมเสื้อผ้า กระเป๋า และสินค้าอื่น ๆ ได้อย่างแปลกตาเป็นสีธรรมชาติเป็นมรดกภูมิปัญญาอย่างเช่นผ้าฝ้ายย้อมคราม แต่ในขณะเดียวกันสินค้าชนิดต่าง ๆ ที่ผลิตออกมาในแต่ละชุมชนท้องถิ่น เมื่อนิยมในห้วงเวลาหนึ่งหากไม่มีการพัฒนาหรือต่อยอด ย่อมส่งผลต่อรายได้ที่เคยได้รับหรือเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม อีกทั้งการสร้างมาตรฐานและคุณภาพที่ดีย่อมได้รับการส่งเสริม สนับสนุนจากภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะต้องรับรู้รับทราบ เข้าถึงปัญหา รวมถึงสร้างสินค้าให้มีความทันสมัย ให้เกิดรายได้ที่ยั่งยืน มีอาชีพที่มั่นคงอย่างมีกลยุทธ์ต่อไป
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ร่วมกับคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การสร้างรายได้เกษตรกรฐานราก” นำร่องสกลนครโมเดล เตรียมขยายผลทั่วประเทศ
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562
กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ร่วมกับคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การสร้างรายได้เกษตรกรฐานราก” นําร่องสกลนครโมเดล เตรียมขยายผลทั่วประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ร่วมกับคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การสร้างรายได้เกษตรกรฐานราก” นําร่องสกลนครโมเดล เตรียมขยายผลทั่วประเทศ
วันที่ 7 ธันวาคม 2562 นายจําลอง พรมสวัสดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เข้าร่วมการสัมมนาและศึกษาดูงานเรื่อง “ปัญหาการเข้าถึงองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมของเกษตรกร” และอภิปรายเรื่อง “ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กับคณะกรรมาธิการ เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก” ในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการหัวข้อเรื่อง “การสร้างรายได้เกษตรกรฐานราก” จัดโดยคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นได้รับการพัฒนาอาชีพและรายได้ให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนโดยการนนําองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมให้เกิดมูลค่าเพิ่ม พร้อมกับรับฟังปัญหาและอุปสรรคในเรื่องต่าง ๆ เชิงปฏิบัติการร่วมกับการศึกษาประเด็นที่เกี่ยวข้องอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพที่ให้คนในชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งตนเองได้ในสภาวการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ณ วัดป่าสมณวงศ์ ตําบลหนองแวง อําเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร
นายจําลอง พรมสวัสดิ์ กล่าวว่า ในนามของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) ได้มอบหมายให้ลงพื้นที่ร่วมกับคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม เพื่อเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การสร้างรายได้เกษตรกรฐานราก” ซึ่งหน่วยงานในสังกัด อว. ได้หารือร่วมกันจะดําเนินการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG Model ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลในการสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้ยั่งยืนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเดิมประเทศไทยพึ่งพาต่างประเทศมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเชิญนักลงทุนมาร่วมลงทุนในประเทศ หรือการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ แต่เมื่อเกิดภาวะการ Disrupt หรือโลกป่วน ทําให้เกิดความไม่ยั่งยืนทางเศรษฐกิจ จึงต้องหันกลับมาตระหนักถึงความสําคัญของเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีทรัพยากรการเกษตร มีความหลายกลายชีวภาพ และหลากหลายวัฒนธรรม ดังนั้น รมว.อว. จึงให้ความสําคัญในการผลักดันเรื่องนี้ โดยร่วมมือกับคณะกรรมาธิการฯ ในการสนับสนุนให้เกิดรายได้กับเกษตรกรเพื่อตอบโจทย์รัฐบาล ได้แก่ (1) แก้ปัญหาความยากจน (2) ลดความเหลื่อมล้ําสังคม และ (3) คุณภาพชีวิตของประชาชนต้องดีขึ้น
สําหรับการจัดสัมมนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นได้รับการพัฒนาอาชีพและรายได้ให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนโดยการนําองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรมให้เกิดมูลค่าเพิ่ม พร้อมกับรับฟังปัญหาและอุปสรรคในเรื่องต่าง ๆ เชิงปฏิบัติการร่วมกับการศึกษาประเด็นที่เกี่ยวข้องอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพที่ให้คนในชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งตนเองได้ในสภาวการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประกอบกับสานประโยชน์ร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่นช่วยเหลือผลักดันสินค้า ราคาและผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่เป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นเกิดมูลค่าและมีมูลค่าเพิ่ม Value Added ที่โดดเด่นและสร้างนวัตกรรมที่แตกต่างหลากหลายรูปแบบให้เกิดมิติของสินค้าแบบใหม่ ๆ ออกสู่ท้องตลาดที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้นตามภายใต้เอกลักษณ์ประจําพื้นที่นั้น ๆ นอกจากนั้น ยังสร้างเสริมองค์ความรู้ภายในชุมชนท้องถิ่นระดับฐานรากที่รู้จักใช้ รู้จักรักษาและตระหนักเมื่อนําทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เพื่อให้เกิดคุ้มค่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงสร้างความเข้าใจการสมดุลของระบบนิเวศทั้งทางพื้นดิน พื้นน้ํา พื้นใต้ทะเลลึก และทางอากาศให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
ในการนี้ คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่าจังหวัดสกลนครมีความหลากหลายทางชีวภาพที่สร้างมูลค่าเพิ่มในเรื่องของสินค้าที่ได้มาจากพืชทางการเกษตร เช่น ข้าว อ้อย มันสําปะหลัง และพืชชนิดตระกูลถั่ว เช่น คราม รวมถึงพืชเสริมอย่างมะเม่า เห็ด สมุนไพร และเม็ดบัวหลวง เป็นต้น สามารถสร้างรายได้และอาชีพให้กับคนในพื้นที่จนมีชื่อเสียงและใช้ภูมิปัญญาจนสามารถนําพืชมาแปรรูปให้เกิดมูลค่าที่หลากหลายชนิด และยังสร้างแบรนด์ไทยสู่โกอินเตอร์เป็นที่รู้จักในนามว่า คราม (INDIGO) ที่เกิดมูลค่าและสร้างรายได้ส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยคุณสมบัติครามเป็นพืชที่ต้องใช้หลักทางวิทยาศาสตร์และวิจัย และองค์ความรู้จากภูมิปัญญาชาวบ้านจนเกิดเป็นสีครามสวยงามนําไปย้อมเสื้อผ้า กระเป๋า และสินค้าอื่น ๆ ได้อย่างแปลกตาเป็นสีธรรมชาติเป็นมรดกภูมิปัญญาอย่างเช่นผ้าฝ้ายย้อมคราม แต่ในขณะเดียวกันสินค้าชนิดต่าง ๆ ที่ผลิตออกมาในแต่ละชุมชนท้องถิ่น เมื่อนิยมในห้วงเวลาหนึ่งหากไม่มีการพัฒนาหรือต่อยอด ย่อมส่งผลต่อรายได้ที่เคยได้รับหรือเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม อีกทั้งการสร้างมาตรฐานและคุณภาพที่ดีย่อมได้รับการส่งเสริม สนับสนุนจากภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะต้องรับรู้รับทราบ เข้าถึงปัญหา รวมถึงสร้างสินค้าให้มีความทันสมัย ให้เกิดรายได้ที่ยั่งยืน มีอาชีพที่มั่นคงอย่างมีกลยุทธ์ต่อไป
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25219
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ย้ำลูกจ้างต้องได้พัก 20 นาที ก่อนทำโอที
|
วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561
กสร. ย้ําลูกจ้างต้องได้พัก 20 นาที ก่อนทําโอที
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ย้ํานายจ้างให้ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานกรณีให้ลูกจ้างทํางานล่วงเวลาต่อจากเวลาทํางานปกติไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง ต้องให้ลูกจ้างพักอย่างน้อย 20 นาที ก่อนเริ่มทํางานล่วงเวลา ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 2 หมื่นบาท
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 กําหนดให้นายจ้างที่ให้ลูกจ้างทํางานล่วงเวลาต่อจากเวลาทํางานปกติไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง จะต้องจัดเวลาพักให้ลูกจ้างก่อนเริ่มทํางานล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 20 นาที เพื่อให้ลูกจ้างได้หยุดพักผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยและความเครียดก่อนที่จะทํางานต่อไป เพื่อป้องกันการประสบอันตรายจากการทํางานอย่างไรก็ตามนายจ้างอาจไม่ต้องจัดเวลาพักให้แก่ลูกจ้างได้ ถ้าลูกจ้างทํางานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานต้องทําติดต่อกันไปโดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างแล้ว เช่น งานเฝ้าสถานที่ หรือกรณีที่เป็นงานฉุกเฉิน
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กสร.จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากฝ่าฝืนจะมีความผิดโดยมีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท สําหรับนายจ้างและลูกจ้างที่ต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน สามารถสอบถามได้ที่สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ย้ำลูกจ้างต้องได้พัก 20 นาที ก่อนทำโอที
วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561
กสร. ย้ําลูกจ้างต้องได้พัก 20 นาที ก่อนทําโอที
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ย้ํานายจ้างให้ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานกรณีให้ลูกจ้างทํางานล่วงเวลาต่อจากเวลาทํางานปกติไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง ต้องให้ลูกจ้างพักอย่างน้อย 20 นาที ก่อนเริ่มทํางานล่วงเวลา ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 2 หมื่นบาท
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 กําหนดให้นายจ้างที่ให้ลูกจ้างทํางานล่วงเวลาต่อจากเวลาทํางานปกติไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง จะต้องจัดเวลาพักให้ลูกจ้างก่อนเริ่มทํางานล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 20 นาที เพื่อให้ลูกจ้างได้หยุดพักผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยและความเครียดก่อนที่จะทํางานต่อไป เพื่อป้องกันการประสบอันตรายจากการทํางานอย่างไรก็ตามนายจ้างอาจไม่ต้องจัดเวลาพักให้แก่ลูกจ้างได้ ถ้าลูกจ้างทํางานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานต้องทําติดต่อกันไปโดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างแล้ว เช่น งานเฝ้าสถานที่ หรือกรณีที่เป็นงานฉุกเฉิน
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กสร.จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากฝ่าฝืนจะมีความผิดโดยมีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท สําหรับนายจ้างและลูกจ้างที่ต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน สามารถสอบถามได้ที่สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14431
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เฉลิมชัย" นำทีมลุยบุรีรัมย์ มั่นใจน้ำอุปโภคเพียงพอ
|
วันพุธที่ 29 มกราคม 2563
"เฉลิมชัย" นําทีมลุยบุรีรัมย์ มั่นใจน้ําอุปโภคเพียงพอ
"เฉลิมชัย" นําทีมลุยบุรีรัมย์ มั่นใจน้ําอุปโภคเพียงพอ ย้ําชลประทานเร่งสํารวจพื้นที่เก็บกักน้ําไว้ใช้ในฤดูแล้ง
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภค-บริโภคเมืองบุรีรัมย์ พร้อมด้วยนายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะทํางาน โดยมีนายเกียรติศักดิ์ หนูแก้ว ผู้อํานวยการสํานักงานชลประทานที่ 8 และนายเทิดพงษ์ ไทอุดม ผู้อํานวยการโครงการชลประทานบุรีรัมย์ ร่วมให้การต้อนรับและบรรยายสรุปสถานการณ์น้ํา พร้อมกันนี้ รมว.เกษตรฯ ได้มอบนโยบายแนวทางการทํางานต่อเจ้าหน้าที่ของกรมชลประทาน ณ โครงการชลประทานบุรีรัมย์ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ภาพรวมน้ําอุปโภคบริโภคใน จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ จ.ศรีสะเกษ และ จ.นครราชสีมา นั้นยืนยันว่ามีเพียงพอ ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจ ซึ่งกรมชลประทานมีการวางแผนบริหารจัดการน้ําไม่ให้ขาดแคลน ในส่วนภาคเกษตรต้องขอความร่วมมือเกษตรกรงดปลูกพืชใช้น้ําเยอะ เนื่องจากฝนทิ้งช่วงทําให้น้ําต้นทุนมีน้อย ทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมมาตรการในการช่วยเหลือ อาทิ การส่งเสริมอาชีพเลี้ยงสัตว์ การส่งเสริมปลูกพืชใช้น้ําน้อย โดยสนับสนุนบ่อบาดาลส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ ตลอดจนการจ้างแรงงาน เป็นต้น
นอกจากนี้ได้เน้นย้ําให้ชลประทานทุกพื้นที่บริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนล่วงหน้า มีแผนที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ผ่านวิกฤติไปได้ น้ําอุปโภคบริโภคเป็นเรื่องสําคัญที่หล่อเลี้ยงคนทั้งประเทศ จึงต้องบริหารจัดการไม่ให้ขาดแคลนน้ํา ซึ่งได้มอบนโยบายให้เพิ่มพื้นที่เก็บกักน้ํา ในส่วนของอ่างที่ตื้นเขินให้สํารวจเพื่อจัดทําแผนของบขุดลอกเพิ่มพื้นที่ปริมาตรน้ําให้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันในส่วนของลุ่มน้ําต่างๆ ที่สามารถทําแก้มลิงได้ให้ดําเนินการทําแผนได้ทันที เพื่อเก็บกักน้ําให้เพียงพอไว้ใช้ในฤดูแล้ง อย่างไรก็ตามได้กําชับและขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือให้พร้อมรับมือสถานการณ์
ด้านนายเกียรติศักดิ์ หนูแก้ว ผู้อํานวยการสํานักงานชลประทานที่ 8 กรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ําในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ว่า ปัจจุบันสถานการณ์น้ําในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ (ณ 27 ม.ค. 63) มีปริมาณน้ําใช้การได้รวมกันประมาณ 63 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) จากความจุใช้การได้ 279 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 23 ของความจุใช้การของอ่างฯรวมกัน (ปริมาณน้ําเก็บกักสูงสุดในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์รวมกันประมาณ 295.39 ล้าน ลบ.ม.) จากปริมาณน้ําใช้การได้ดังกล่าว มีแนวโน้มที่จะไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนน้ําเพื่อผลิตประปา จําเป็นต้องหาแนวทางในการสํารองน้ําไว้เพิ่มเติม เพื่อให้เพียงพอใช้ตลอดฤดูแล้งนี้ไปจนถึงต้นฤดูฝนปีหน้าด้วย
ทั้งนี้ ปริมาณน้ําอ่างห้วยจระเข้มากและอ่างห้วยตลาดมีน้ํารวม 2.028 ล้าน ลบ.ม. และจากการประชุมร่วมพิจารณาสถานการณ์น้ําในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ระหว่างสํานักชลประทานที่ 8 และการประปาส่วนภูมิภาคเขต 8 เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 63 ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคยืนยันว่าน้ําในอ่างทั้ง 2 แห่ง จะสามารถรองรับการผลิตประปาได้ถึงวันที่ 30 มีนาคม 2563
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน จะบริหารจัดการน้ําให้เป็นไปตามแผนที่กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด และแม้ว่าขณะนี้ยังมีปริมาณน้ําเพียงพอสําหรับการอุปโภคบริโภคตลอดฤดูแล้ง แต่ยังคงต้องสํารองน้ําต้นทุนไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนด้วย หากเกิดกรณีฝนมาล่าช้า จึงต้องขอความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมใจกันใช้น้ําอย่างประหยัดให้ถึงที่สุด รวมทั้งสร้างการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของทรัพยากรน้ํา เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาการขาดแคลนน้ําในอนาคต
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เฉลิมชัย" นำทีมลุยบุรีรัมย์ มั่นใจน้ำอุปโภคเพียงพอ
วันพุธที่ 29 มกราคม 2563
"เฉลิมชัย" นําทีมลุยบุรีรัมย์ มั่นใจน้ําอุปโภคเพียงพอ
"เฉลิมชัย" นําทีมลุยบุรีรัมย์ มั่นใจน้ําอุปโภคเพียงพอ ย้ําชลประทานเร่งสํารวจพื้นที่เก็บกักน้ําไว้ใช้ในฤดูแล้ง
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภค-บริโภคเมืองบุรีรัมย์ พร้อมด้วยนายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะทํางาน โดยมีนายเกียรติศักดิ์ หนูแก้ว ผู้อํานวยการสํานักงานชลประทานที่ 8 และนายเทิดพงษ์ ไทอุดม ผู้อํานวยการโครงการชลประทานบุรีรัมย์ ร่วมให้การต้อนรับและบรรยายสรุปสถานการณ์น้ํา พร้อมกันนี้ รมว.เกษตรฯ ได้มอบนโยบายแนวทางการทํางานต่อเจ้าหน้าที่ของกรมชลประทาน ณ โครงการชลประทานบุรีรัมย์ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ภาพรวมน้ําอุปโภคบริโภคใน จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ จ.ศรีสะเกษ และ จ.นครราชสีมา นั้นยืนยันว่ามีเพียงพอ ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจ ซึ่งกรมชลประทานมีการวางแผนบริหารจัดการน้ําไม่ให้ขาดแคลน ในส่วนภาคเกษตรต้องขอความร่วมมือเกษตรกรงดปลูกพืชใช้น้ําเยอะ เนื่องจากฝนทิ้งช่วงทําให้น้ําต้นทุนมีน้อย ทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมมาตรการในการช่วยเหลือ อาทิ การส่งเสริมอาชีพเลี้ยงสัตว์ การส่งเสริมปลูกพืชใช้น้ําน้อย โดยสนับสนุนบ่อบาดาลส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ ตลอดจนการจ้างแรงงาน เป็นต้น
นอกจากนี้ได้เน้นย้ําให้ชลประทานทุกพื้นที่บริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนล่วงหน้า มีแผนที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ผ่านวิกฤติไปได้ น้ําอุปโภคบริโภคเป็นเรื่องสําคัญที่หล่อเลี้ยงคนทั้งประเทศ จึงต้องบริหารจัดการไม่ให้ขาดแคลนน้ํา ซึ่งได้มอบนโยบายให้เพิ่มพื้นที่เก็บกักน้ํา ในส่วนของอ่างที่ตื้นเขินให้สํารวจเพื่อจัดทําแผนของบขุดลอกเพิ่มพื้นที่ปริมาตรน้ําให้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันในส่วนของลุ่มน้ําต่างๆ ที่สามารถทําแก้มลิงได้ให้ดําเนินการทําแผนได้ทันที เพื่อเก็บกักน้ําให้เพียงพอไว้ใช้ในฤดูแล้ง อย่างไรก็ตามได้กําชับและขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือให้พร้อมรับมือสถานการณ์
ด้านนายเกียรติศักดิ์ หนูแก้ว ผู้อํานวยการสํานักงานชลประทานที่ 8 กรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ําในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ว่า ปัจจุบันสถานการณ์น้ําในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ (ณ 27 ม.ค. 63) มีปริมาณน้ําใช้การได้รวมกันประมาณ 63 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) จากความจุใช้การได้ 279 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 23 ของความจุใช้การของอ่างฯรวมกัน (ปริมาณน้ําเก็บกักสูงสุดในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์รวมกันประมาณ 295.39 ล้าน ลบ.ม.) จากปริมาณน้ําใช้การได้ดังกล่าว มีแนวโน้มที่จะไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนน้ําเพื่อผลิตประปา จําเป็นต้องหาแนวทางในการสํารองน้ําไว้เพิ่มเติม เพื่อให้เพียงพอใช้ตลอดฤดูแล้งนี้ไปจนถึงต้นฤดูฝนปีหน้าด้วย
ทั้งนี้ ปริมาณน้ําอ่างห้วยจระเข้มากและอ่างห้วยตลาดมีน้ํารวม 2.028 ล้าน ลบ.ม. และจากการประชุมร่วมพิจารณาสถานการณ์น้ําในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ระหว่างสํานักชลประทานที่ 8 และการประปาส่วนภูมิภาคเขต 8 เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 63 ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคยืนยันว่าน้ําในอ่างทั้ง 2 แห่ง จะสามารถรองรับการผลิตประปาได้ถึงวันที่ 30 มีนาคม 2563
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน จะบริหารจัดการน้ําให้เป็นไปตามแผนที่กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด และแม้ว่าขณะนี้ยังมีปริมาณน้ําเพียงพอสําหรับการอุปโภคบริโภคตลอดฤดูแล้ง แต่ยังคงต้องสํารองน้ําต้นทุนไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนด้วย หากเกิดกรณีฝนมาล่าช้า จึงต้องขอความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมใจกันใช้น้ําอย่างประหยัดให้ถึงที่สุด รวมทั้งสร้างการตระหนักรู้ถึงคุณค่าของทรัพยากรน้ํา เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาการขาดแคลนน้ําในอนาคต
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26131
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 3/2563 ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
ทส. ประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 3/2563 ติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทส. ประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 3/2563 ติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทส. ประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 3/2563 ติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
วันนี้(10 กรกฎาคม 2563) เวลา 15.00 น.นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 3/ 2563 เพื่อทราบและพิจารณาความคืบหน้าการดําเนินงานโครงการ "พลิกฟื้นผืนป่า สืบสาน รักษา ต่อยอด สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน" การดําเนินงานสําคัญและเร่งด่วน ในรอบ 1 ปี ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมการติดตามความก้าวหน้าเรื่องแผนปฎิรูปประเทศด้านทรัพยากรด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โอกาสนี้ รมว.ทส. ได้กล่าวขอบคุณผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ทุกท่านที่ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาได้ร่วมกันทํางานจนทําให้ผลงานของกระทรวงฯ เป็นที่ประจักษ์และเกิดประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติ ทั้งนี้ในเบื้องต้น รมว.ทส. ได้ฝากเรื่องที่ต้องให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เร่งดําเนินงานในการฟื้นฟูดิน น้ํา ป่า สิ่งแวดล้อม เพื่อเป้าหมายให้ "คนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืน" อาทิ การดําเนินงานใต้เบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ การเร่งรัดการใช้งบประมาณประจําปี พ.ศ.2563 การเร่งรัดการดําเนินงานทั้งในเรื่องกฎหมายหลักและกฎหมายรอง รวมถึงระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การปรับโครงสร้างหน่วยงานให้เหมาะสม การทําความเข้าใจและการปรับทัศนคติการทํางานของเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ การจัดทําฐานข้อมูล (Big Data) ให้มีความถูกต้องและชัดเจน การสร้างเครือข่ายและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทํางาน การบริหารจัดการพื้นที่เขตชายฝั่งให้มีความชัดเจน เป็นต้น
ทั้งนี้ การประชุมในครั้งนี้ มีนายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองปลัดกระทรวงฯ ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ หัวหน้าหน่วยงานและรองหัวหน้าในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 3/2563 ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
ทส. ประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 3/2563 ติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทส. ประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 3/2563 ติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทส. ประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 3/2563 ติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
วันนี้(10 กรกฎาคม 2563) เวลา 15.00 น.นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 3/ 2563 เพื่อทราบและพิจารณาความคืบหน้าการดําเนินงานโครงการ "พลิกฟื้นผืนป่า สืบสาน รักษา ต่อยอด สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน" การดําเนินงานสําคัญและเร่งด่วน ในรอบ 1 ปี ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมการติดตามความก้าวหน้าเรื่องแผนปฎิรูปประเทศด้านทรัพยากรด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โอกาสนี้ รมว.ทส. ได้กล่าวขอบคุณผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ทุกท่านที่ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาได้ร่วมกันทํางานจนทําให้ผลงานของกระทรวงฯ เป็นที่ประจักษ์และเกิดประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติ ทั้งนี้ในเบื้องต้น รมว.ทส. ได้ฝากเรื่องที่ต้องให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เร่งดําเนินงานในการฟื้นฟูดิน น้ํา ป่า สิ่งแวดล้อม เพื่อเป้าหมายให้ "คนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืน" อาทิ การดําเนินงานใต้เบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ การเร่งรัดการใช้งบประมาณประจําปี พ.ศ.2563 การเร่งรัดการดําเนินงานทั้งในเรื่องกฎหมายหลักและกฎหมายรอง รวมถึงระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การปรับโครงสร้างหน่วยงานให้เหมาะสม การทําความเข้าใจและการปรับทัศนคติการทํางานของเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ การจัดทําฐานข้อมูล (Big Data) ให้มีความถูกต้องและชัดเจน การสร้างเครือข่ายและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทํางาน การบริหารจัดการพื้นที่เขตชายฝั่งให้มีความชัดเจน เป็นต้น
ทั้งนี้ การประชุมในครั้งนี้ มีนายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองปลัดกระทรวงฯ ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ หัวหน้าหน่วยงานและรองหัวหน้าในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33293
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561
|
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม ศกนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และแสดงความจงรักภักดี รัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน เข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ พิธีบําเพ็ญพระราชกุศล อุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมทั้งเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 21 กรกฎาคม พรุ่งนี้ เวลา 18 นาฬิกา ณ พระลานพระราชวังดุสิต สําหรับในวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม นี้ “ช่วงเช้า” เวลา 6 นาฬิกา จะมีพิธีทําบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง แด่พระสงฆ์และสามเณร ทั้งในกรุงเทพมหานคร และทุกจังหวัด และวัดไทยทั่วโลก “ช่วงเย็น” เวลา 19 นาฬิกา จะมีพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล อย่างพร้อมเพรียงกัน “ทั่วประเทศ” โดยส่วนกลาง ณ ท้องสนามหลวง และส่วนภูมิภาค ณ ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่จังหวัดกําหนดรวมทั้งในต่างประเทศ ณ เวลาและสถานที่ ที่สถานเอกอัคร ราชทูต “ทั่วโลก” กําหนด
ในโอกาสเดียวกันนี้ รัฐบาลได้ประกาศให้ ช่วงวันที่ 22 - 28 กรกฎาคม ศกนี้ เป็น “สัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา” เนืองในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา” โดยมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา จะสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ที่มีอย่างยาวนานถึง 1,400 ปี และกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราช ของไทยทุกพระองค์ ตลอดจน เทิดทูนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเป็นพุทธมามกะ และอัครศาสนูปถัมภก โดยทรงปกครองบ้านเมืองด้วย “หลักทศพิธราชธรรม”
ทั้งนี้ กิจกรรมหลัก ได้แก่ การจัด 11 ริ้วขบวน“พระบรมธาตุพุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม” นับเป็นครั้งแรก ที่จะมีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุตั้งแต่สมัยทวารวดีถึงรัตนโกสินทร์ และพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ มาให้ประชาชนได้เรียนรู้ ถึงความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนา ซึ่งสถาบันกษัตริย์ และพุทธศาสนิกชน ได้ช่วยกันทํานุบํารุงและสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ก็ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ได้ร่วมแต่งกาย “ชุดสีขาว” เพื่อชมความงดงามตระการตาของริ้วขบวนดังกล่าว ซึ่งจะเคลื่อนจากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ไปยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในวันที่ 22 กรกฎาคม อีกทั้ง ยังมีการร่วมกันสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่จะประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง จนถึงวันที่ 28 กรกฎาคม เพื่อน้อมสักการะถวายเป็นพระราชกุศล แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองด้วย
นอกจากนั้น รัฐบาลขอเชิญชวนปวงชนชาวไทย ทุกหมู่เหล่า ได้รวมพลังแสดงความจงรักภักดี และร่วมสดุดีพระเกียรติคุณสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นแบบอย่างของความกตัญญู โดยทรงมีพระราชปณิธานในการ “สืบสาน รักษา ต่อยอด”โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ ศาสตร์พระราชา และเจริญรอยตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบําบัดทุกข์ บํารุงสุข ให้ปวงพสกนิกรของพระองค์ ด้วยการร่วมกันประกอบกิจกรรมจิตอาสา “เราทําความ ดี ด้วยหัวใจ” ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม ตามเวลาและสถานที่ที่ได้นัดหมายกันไว้
สําหรับ "วันเข้าพรรษา" ของทุกปี เราถือว่าเป็น "วันงดดื่มสุราแห่งชาติ" ด้วย ซึ่งการดื่มสุรา – เครื่องดองของเมา นอกจากจะเป็นการละเมิด "ศีล 5" แล้ว ยังก่อให้เกิดผลเสียอื่น ๆ อีกมากมาย ตามมาต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ ทั้งในเรื่องของสุขภาพ จะก่อให้เกิดโรคภัย กว่า 200 ชนิด ประสิทธิภาพในการทํางาน ไปจนถึง "อุบัติเหตุ" ที่สร้างความสูญเสีย ทั้งชีวิต และทรัพย์สิน โดยเฉพาะ "ทรัพยากรมนุษย์" ที่สําคัญที่สุด ต่อการพัฒนาประเทศ ผมได้กําหนดให้คําขวัญวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ในปีนี้ ว่า "ลด ละ เลิกสุรา พาครอบครัวเป็นสุข" ขอเชิญชวนให้ใช้โอกาสการเข้าพรรษา 3 เดือนนี้ ร่วมกันปฏิญาณตน "งดดื่มเหล้า" และ ขยายเวลาการสร้างกุศลนี้ ออกไปอีกให้มากที่สุด
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
สําหรับปัญหามลพิษทางน้ําที่เกิดจากการปล่อยน้ําเสีย จากบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรม อุตสาหกรรม ธุรกิจการท่องเที่ยว วันนี้ประเทศไทย มีระบบการบําบัดน้ําเสีย อาจจะยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะน้ําเสียจากชุมชน ที่มีปริมาณราว 10 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีอยู่ 100 แห่งทั่วประเทศนั้น สามารถบําบัดน้ําเสียที่เข้าสู่ระบบ ได้เพียง 3.2 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เป็นเหตุให้มีน้ําเสียลงสู่ธรรมชาติกว่า 7 ล้านลูกบาศก์ เมตรต่อวัน ส่งผลให้ปัญหานั้น จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลจึงได้ริเริ่ม โครงการจิตอาสา เพื่อการพัฒนาลําน้ํากับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง ตามแนวพระราชดําริ มีเป้าหมายก็เพื่อจะปลูกจิตสํานึก จิตสาธารณะ ให้ประชาชนร่วมแรงร่วมใจ ในการรวมพลังเป็นหนึ่งเดียว สร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่ชุมชนและประเทศชาติโดยคํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวมนะครับ เหนือประโยชน์ส่วนตน ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสําคัญอย่างยิ่ง ที่จะทําให้สังคมมีความสุข อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน นอกจากนั้นจะเป็น “ภูมิคุ้มกัน” ให้แก่ชุมชนด้วย สร้างความเข้มแข็งให้ทุกภาคส่วน ตามหลักการของ “ศาสตร์พระราชา”ที่เราต้องแก้ปัญหาจากฐานราก จากกระบวนการภายใน โดยการพึ่งตนเอง ทําให้ชุมชนและหมู่บ้านมีพื้นฐานที่มั่นคง ในครั้งนี้เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างพร้อมเพรียงกัน “ทั่วประเทศ” จึงจัดให้ดําเนินโครงการต่าง ๆ มากมาย ที่เกี่ยวข้องกับลําน้ํา กว่า 606 โครงการ นะครับ ครอบคลุม 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ด้วย
สิ่งสําคัญที่สุดคือ เมื่อเราทําแล้ววันนี้ จะต้องมีความก้าวหน้า มีความต่อเนื่อง ชุมชนต้องดําเนินการต่อไปเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและสวยงาม ไม่ว่าจะหน้าบ้าน หรือหลังบ้าน ที่มีคลอง ลําน้ํา มีถนน ก็ต้องช่วยรักษาความสะอาดสุขอนามัย ทําให้สวยงามก็อยากให้ทุกคนได้สืบสานสิ่งเหล่านี้ต่อไป ก็ขอให้ทุกคนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐ - ท้องถิ่น - ภาคประชาชน ได้ติดตาม กํากับดูแล และขอความร่วมมือ ในเรื่องการระบายน้ําเสียลงสู่ลําน้ําสาธารณะ ให้มีที่ดักไขมัน หรือกรองน้ําเสียก่อน ตามกฎหมาย เราต้องช่วยกันรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของเรา คนละไม้ คนละมือ หวังให้รัฐแต่เพียงอย่างเดียวคงไม่มีวันประสบความสําเร็จ “สมบูรณ์” ได้ ต้องร่วมมือกัน
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
ผมอยากให้พวกเราทุกคน ได้ใช้โอกาสมหามงคลนี้ เป็น “จุดเริ่มต้น” ที่เอาจริงเอาจัง ในการร่วมกันทํากิจกรรม “จิตอาสา” ที่เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเราร่วมกับชาวโลกอีกกว่า 7,000 ล้านคน ในการจะป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกและโฟม 20 ปีที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยมีการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว จํานวน 45,000 ล้านใบต่อปี โฟมบรรจุอาหาร เกือบ 7,000 ล้านใบต่อปี แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว เกือบ 10,000 ล้านใบต่อปี ทั้งนี้ เราทุกคนต่างก็รู้ดีว่า พลาสติกและโฟม นั้นเป็นวัสดุที่ย่อยสลายยาก และใช้เวลาหลายร้อยปี หากไม่มีการบริหารจัดการที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วตั้งแต่วันนี้ จะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม ทั้งทางบกและทางทะเลในภายหลัง ที่เกินกว่าจะควบคุมดูแล สําหรับประเทศไทยของเรานั้น ถูกระบุว่ามีปัญหาขยะทางทะเล เป็นอันดับ 6 ของโลก และตามที่ปรากฏในข่าวว่า มีวาฬและเต่าทะเล “ตาย...เพราะกินถุงพลาสติก” ที่ลอยในทะเล เป็นต้น คงไม่ได้มีผลกระทบเฉพาะมนุษย์เท่านั้นนะครับ สัตว์บก สัตว์น้ํา มีผลกระทบทั้งสิ้น อันตราย
ที่ผ่านมานั้น รัฐบาล โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็ได้รณรงค์เพื่อการลดขยะและพลาสติก ไม่ให้ลงมาในแม่น้ํา ลําคลอง และทะเล อาทิ การลดใช้ถุงพลาสติกในห้างสรรพสินค้าการเลิกใช้พลาสติกหุ้มฝาขวด (แคปซีล) การติดตั้งทุ่นลอยดักขยะปากแม่น้ําและลําคลอง รวมทั้งมาตรการชายหาดปลอดบุหรี่ ในพื้นที่ 24 จังหวัดชายทะเล เป็นต้น
วันนี้ ผมขอขยายผลการดําเนินงานทั่วประเทศ ในการลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และโฟมบรรจุอาหาร อย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” โดยบูรณาการ “พลังประชารัฐ” ร่วมไม้ ร่วมมือ ร่วมใจกัน ภาครัฐ - เอกชน - และประชาชน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาพลาสติก ให้เป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพ รัฐบาลได้กําหนดให้ดําเนินการพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นไป เช่น
(1) กิจกรรมการลดและคัดแยกขยะมูลฝอย ในหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนและภาคเอกชน
(2) กิจกรรม “ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” โดยส่งเสริม ห้างสรรพ สินค้า ร้านสะดวกซื้อ ตลาดสดทั่วประเทศ ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและงดใช้โฟมบรรจุอาหาร พร้อม ๆ กับการสร้างความรู้ - ความเข้าใจกับประชาชน “ผู้บริโภค”เพื่อนําไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้บรรจุภัณฑ์ หรือภาชนะที่ใช้ซ้ําได้เช่น การพกถุงผ้ามาจ่ายตลาด การใส่ของรวมกันในถุงเดียวเพื่อลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติก
(3) กิจกรรมการลดใช้ถุง - ขวดน้ํา - แก้วน้ําพลาสติก และกล่องโฟม ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และสวนสัตว์ ทั่วประเทศ รวมทั้ง จัดให้มีการคัดแยกขยะมูลฝอยด้วย
และ (4) กิจกรรมการจัดการขยะบกสู่ทะเล ในพื้นที่ 24 จังหวัดชายทะเลเป็นต้น
ผมขอเชิญชวนทุกท่านร่วมทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก ในตลาดสดซึ่งจะเริ่มพร้อมกัน ทั่วประเทศ“พรุ่งนี้” วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม นี้ เป็นต้นไป การรณรงค์แยกขยะและการลดใช้ถุงพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จําเป็นนี้ นอกจากจะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย ยังจะช่วยให้ประเทศประหยัดงบประมาณในการกําจัดขยะมูลฝอยอีกด้วย ปี ๆ หนึ่ง รัฐบาลต้องใช้งบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาทในการจัดการขยะมูลฝอย ขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดเก็บค่าจัดการขยะได้ปีละเพียง 3,000 ล้านบาท เราจะได้มีเงินเหลือ มาใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ อีกด้วย อย่างไรก็ตาม มาตรการที่กล่าวมานั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็น “ฝ่ายผู้บริโภค”ในขณะที่ผมเห็นว่า “ฝ่ายผู้ให้บริการ” แม่ค้า ร้านขายปลีก ร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ไปจนถึงห้างร้าน ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เราสามารถร่วมรับผิดชอบกับสังคม และโลกของเรา ได้ด้วยเช่นกัน
เราอาจจะหามาตรการจูงใจ กระตุ้นการ “ลดรับถุงพลาสติก” เช่น การลดราคาให้บ้างการสะสมคะแนน หรือมีการโปรโมชั่นอื่นๆ ตามที่จะริเริ่มสร้างสรรค์กันขึ้นมาได้ เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใกล้ตัว และอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะตามมาได้อีกแล้ว
นอกจากนี้ ผมได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งรัดดําเนินการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย “ทั้งระบบ” ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ที่ชัดเจนได้โดยเร็ว เป็นการจัดตั้ง “ศูนย์กําจัดขยะมูลฝอย แบบครบวงจร” ในทุกกลุ่มพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จํานวน 7,800 กว่าแห่ง ที่มีการรวมกลุ่มเพื่อกําจัดขยะมูลฝอย - ภูเขาขยะ324 ลูก ทั่วประเทศ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือนโดยขอให้พิจารณาขนาด และที่ตั้ง ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ของแต่ละพื้นที่เป็นสําคัญ อีกทั้งให้ดําเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ
แม้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ จะดีขึ้น แต่ปัญหาปากท้อง โดยเฉพาะเรื่องหนี้ครัวเรือน ในประเทศไทย ช่วง 3 เดือนแรกของปี 2561 นั้น เรายังถือว่า “ทรงตัว” จากช่วงปลายปี 2560 ที่ผ่านมา ตัวเลขสัดส่วนมูลค่าหนี้ครัวเรือน เมื่อเทียบกับGDPหรือ “รายได้รวมของประเทศ” จะลดมาเพียงเล็กน้อย จากร้อยละ 78 เหลือร้อยละ 77.6 ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับต่างประเทศ รวมถึงความสามารถในการชําระหนี้ของพี่น้องประชาชนนั้น ยังไม่กระเตื้องขึ้นมากนัก เพราะสัดส่วนหนี้เสียยังไม่ปรับตัวลดลง ภาครัฐเองก็มีความห่วงใย เพราะถือเป็นภาระในการดํารงชีวิตของประชาชน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ได้ติดตามประเด็นนี้ อย่างใกล้ชิด และได้เร่งดําเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มที่เป็นหนี้ในระบบสถาบันการเงินและ หนี้นอกระบบ ที่เป็นภาระและส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยเป็นอย่างมาก
การแก้ไขปัญหา “หนี้นอกระบบ” นั้น รัฐบาลและ คสช. ได้เร่งดําเนินการอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรมมาอย่างต่อเนื่อง ได้จัดสร้างกลไกการทํางานแบบบูรณาการ ของ กอ.รมน. - ตํารวจ - ทหาร และส่วนราชการในพื้นที่ลงไปเพื่อจะลงไปช่วยแก้ไขปัญหา ให้ตรงจุดมากขึ้น เพื่อจะให้ความเป็นธรรมแก่พี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึง ที่ผ่านมาก็มีสถิติจํานวนนายทุนปล่อยหนี้เงินกู้นอกระบบ ทั้งสิ้น 15,000 กว่าราย มีลูกหนี้รวม มากกว่า 350,000 ราย คิดมูลค่าหนี้ทั้งหมดเกินกว่า 21,000 ล้านบาท การแก้ปัญหาดังกล่าวนั้น เราจะต้องเริ่มจากการจําแนกสภาพหนี้ เข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย หรือทําการประนอมหนี้ หรือปรับโครงสร้างของหนี้ และการชําระหนี้ เช่น ขยายระยะเวลาชําระให้ยาวนานออกไป หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยยึดหลักการว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งลูกหนี้ และเจ้าหนี้ หากลูกหนี้ที่ไม่สามารถชําระหนี้ได้ ทางทีมงาน ก็จะประสานขอสินเชื่อจากภาครัฐให้ ในขณะที่เจ้าหนี้ที่ไม่ให้ความร่วมมือในการสร้างความเป็นธรรม จะใช้มาตรการทางกฎหมายในการดําเนินการให้ถูกต้องต่อไป
สําหรับผลการดําเนินงานที่ผ่านมานั้น พบว่าลูกหนี้ส่วนใหญ่ ที่ประสบปัญหา เป็นกลุ่มเกษตรกรที่ผลผลิตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทําให้อาจต้อง “ขายฝาก” โฉนดที่ดินกับเจ้าหนี้นอกระบบ เมื่อมีปัญหาในการชําระหนี้ ก็จะลุกลามเป็นภาระมากขึ้น ไม่สามารถใช้ที่ดินทํามาหากินได้ เช่นเดิม ลูกหนี้อีกส่วนหนึ่ง เป็นกลุ่มที่กู้เงินมาใช้จ่าย ในสิ่งที่ไม่จําเป็น ไม่พอเพียง ไม่เป็นการลงทุน หรือสร้างรายได้ในอนาคต ก็ทําให้ยากที่จะนําเงินมาชําระหนี้ ได้ตามกําหนด ทั้งนี้ จากลูกหนี้นอกระบบทั้งหมดในฐานข้อมูลของภาครัฐ ประมาณ 350,000 ราย ได้รับการช่วยไกล่เกลี่ยไปแล้ว หรือทําข้อตกลงประนอมหนี้ไปแล้ว กว่า 55,000 ราย ที่เหลือก็จะได้ดําเนินการอย่างเร่งด่วน ต่อเนื่องรายที่ได้รับการช่วยเหลือแล้ว ก็มีการติดตามดูแล ไม่ให้กลับมาเป็นหนี้จนเกินตัวอีกดังนั้น พี่น้องประชาชนที่ยังเป็นหนี้นอกระบบ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องการความช่วยเหลือและ ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการก็สามารถติดต่อ ณ ศูนย์ดํารงธรรม หรือเจ้าหน้าที่ภาครัฐในพื้นที่ได้นะครับ
สําหรับด้าน “หนี้ในระบบ” ธนาคารปัจจุบันนั้น ภาครัฐมีโครงการคลินิกแก้หนี้ เพื่อช่วยเหลือประชาชนรายย่อย ที่มีปัญหาหนี้บัตรเครดิตบัตรกดเงินสด หรือหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ที่ไม่มีหลักประกัน จนกลายเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่สามารถชําระหนี้ได้ ภายใน 90 วัน และเป็นหนี้เสียอยู่กับธนาคารพาณิชย์ ตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไป ก็สามารถมาขอรับความช่วยเหลือในการประนอมหนี้ เพื่อดูแลปัญหาให้ได้ข้อยุติในคราวเดียวได้ รวมถึงเพื่อให้สามารถบริหารจัดการชําระหนี้ของตนเองได้อย่างเหมาะสม ตามความสามารถที่แท้จริง ควบคู่กับการได้รับความรู้ เสริมสร้างวินัยทางการเงินที่ดีต่อไป เป็นเรื่องน่ายินดีว่า ล่าสุดได้มีการปรับคุณสมบัติของผู้ที่เข้าร่วมโครงการนี้ ให้สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ “มากขึ้น”อาทิ ให้ครอบคลุมผู้ประกอบ “อาชีพอิสระ” ที่มีรายได้ด้วยและขยายขอบเขตให้ครอบคลุม “หนี้เสีย” ที่เกิดขึ้นก่อน 1 เมษายน 2561 นี้ อีกทั้ง ผ่อนผันให้ลูกหนี้ ที่แม้จะถูกดําเนินคดีแล้ว แต่ยังไม่มีคําพิพากษา ก็สามารถสมัครเข้าโครงการได้เช่นกัน โดยผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ หรือต้องการข้อมูลความรู้ทางการเงิน การบริหารจัดการหนี้รวมถึงการออม สามารถติดต่อสอบถาม ตามรายละเอียดที่แสดงอยู่บนหน้าจอนี้ได้
ทั้งนี้ การดําเนินโครงการคลินิกแก้หนี้ เราจะไม่ทําหน้าที่ปล่อยเงินกู้เพื่อนําไปชดใช้หนี้ที่ค้างชําระ แต่ให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชําระได้ตามกําลังของตนเอง โดยมีบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จํากัด (SAM) เป็นหน่วยงานกลาง คิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน 4 - 7% ต่อปี ด้วยระยะเวลาการผ่อนชําระหนี้สูงสุด ไม่เกิน 10 ปี อีกทั้ง การให้ความรู้ด้านการเงิน เพื่อนําไปเสริมสร้างวินัยทางการเงินที่ดีให้กับตนเอง และไม่กลับมาอยู่ในวังวนปัญหาหนี้สินเหล่านี้อีกในอนาคต
นอกจากโครงการคลินิกแก้หนี้ดังกล่าวที่จะช่วยบรรเทาปัญหาภาระหนี้ของพี่น้องประชาชนทั่วไป รัฐบาลยังพยายามที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้ของผู้ประกอบวิชาชีพต่าง ๆ โดยเฉพาะอีกด้วย อาทิ หนี้ใน “กลุ่มครู” ที่เป็นบุคลากรที่มีความสําคัญต่อการพัฒนาประเทศ และ การปฏิรูปการศึกษา เพื่อจะลดความกังวล และภาระ ในการดํารงชีวิต ที่สามารถทําหน้าที่การเป็น “แม่พิมพ์” ที่ดีของเด็ก ๆ ได้เต็มศักยภาพ เนื่องจากที่ผ่านมา พบว่ามีครูเป็นหนี้ ทั้งในและนอกระบบ และมีมูลค่าหนี้อยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งเป็นหนี้สิน ของโครงการสวัสดิการเงินกู้สมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ที่มีผู้กู้อยู่กว่า 5 แสนราย คิดเป็นเงินกว่า 4 แสนล้านบาท โดยเป็นหนี้เสีย มากกว่า 5,000 ล้านบาท
ช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้พยายามใช้มาตรการต่าง ๆ เข้ามาช่วยเหลือ และแบ่งเบาภาระ ให้กับ “แม่พิมพ์ของชาติ” ที่มีหนี้ มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการลดภาระหนี้ ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2559 โดยการให้เงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ํา ร้อยละ 4 เพื่อนําไปชําระหนี้โครงการ ช.พ.ค. เดิม และเพื่อนําไปชําระดอกเบี้ยเงินกู้รายเดือน แต่ยังมีผู้มาร่วมโครงการไม่มากนัก นอกจากนี้ ในปี 2560 ที่ผ่านมา ก็มีโครงการปรับโครงสร้างหนี้ ให้โอกาสลูกหนี้ ที่มีปัญหาผ่อนชําระจนกลายเป็น “หนี้เสีย” สามารถผ่อนปรนเงื่อนไขการชําระหนี้ แล้วก็พักชําระ “เงินต้น” ไม่เกิน 3 ปี แต่ยังชําระ “ดอกเบี้ย” บางส่วน หรือเต็มจํานวน เพื่อให้สามารถกลับมาเป็นหนี้ปกติได้ ล่าสุดสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ก็ได้ให้ธนาคารออมสิน นําเงินสนับสนุนที่เคยได้รับจากโครงการ ช.พ.ค. ไปช่วยลดอัตราดอกเบี้ย ให้แก่ผู้กู้ที่มีวินัยดี ไม่มีหนี้ค้างชําระ ซึ่งทําให้อัตราดอกเบี้ยลดลงจากเดิม ร้อยละ 0.5 - 1.0 คิดเป็นเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท ด้วย
สําหรับโครงการคลินิกแก้หนี้ และ มาตรการแก้ไขหนี้ต่าง ๆ ที่รัฐบาลนี้ ได้ริเริ่มขึ้นนั้น เป็นเพียงการพยายามแบ่งเบาภาระ และช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ “ปลายเหตุ” เท่านั้น ด้วยการช่วยเข้าไปผ่อนผัน ให้สามารถชําระหนี้ได้ตามความสามารถ โดยไม่ได้รับความเดือดร้อนจนเกินไป แต่ก็ยังคงเป็นภาระของพี่น้องประชาชนในการดํารงชีวิตอยู่ดีดังนั้น การแก้ปัญหาการก่อหนี้เกินตัวที่ “ต้นเหตุ” จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะไม่ส่งผลเสียอื่นๆ ลุกลามเป็นลูกโซ่ คือการพยายามไม่เข้าสู่ “วงจร” การเป็นหนี้ โดยต้องเริ่มจากตัวเราทุกคนเอง ภาครัฐก็จะมีบทบาทในการสนับสนุนอีกแรงหนึ่งนะครับทั้งนี้เราต้องยอมรับกันว่า การก่อหนี้ในหลายกรณีเป็นความจําเป็น โดยเฉพาะจากความเดือดร้อนที่เป็นผลจากภัยธรรมชาติ ทําให้ผลผลิตเสียหาย เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ภาครัฐเองก็ได้พยายามเข้าไปดูแลอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา แต่ยังมีกรณีการกู้ยืมทั่วไป ที่อาจไม่ใช่เพื่อการใช้จ่ายที่จําเป็น ซึ่งทําอย่างไร เราจะป้องกันการเป็นหนี้ในลักษณะเช่นนี้ ที่อาจกลับมาเป็นภาระกับเรา “โดยไม่จําเป็น”
หลาย ๆ คนพูดกันถึงเรื่องการมีวินัยทางการเงิน และการออมเพื่อวันหน้า แต่สําหรับหลายครัวเรือน ของผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว ฟังดูเหมือนจะทําได้ยาก สําหรับผม สิ่งที่ทําได้ง่ายที่สุดคือ การน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นหนึ่งใน “ศาสตร์พระราชา” ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้ให้กับปวงชนชาวไทย มาใช้เป็นหลักในการดํารงชีวิต เริ่มจากการมีสัมมาอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ และหาทางเพิ่มรายได้ เมื่อมีโอกาส พยายามใช้จ่ายอย่างพอเพียง เท่าที่จําเป็น มีการทําบัญชีครัวเรือน เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวเห็นรายได้ และรายจ่ายแต่ละรายการ สามารถจะวางแผนการใช้จ่ายและ การสร้างรายได้ ในอนาคตได้ แล้วก็เตรียมการเรื่องเงินออมด้วย
สิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนมองว่า ความแน่นอน ก็คือความไม่แน่นอนของชีวิต ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะมีเหตุ ให้ต้องจับจ่าย เจ็บป่วย ในเรื่องฉุกเฉินใช้สอยต่าง ๆ เมื่อใด การรู้จักใช้ รู้จักออม จะช่วยให้เราสามารถรองรับความไม่แน่นอนของชีวิตได้ดีขึ้นหากเราไม่เป็นหนี้ พอมีสินทรัพย์ พอมีเงินออม ก็อาจทําให้เราสบายใจ นอนหลับได้สบายขึ้น หากมีเหตุสุดวิสัย ก็พอมีทุนรอนพอรองรับไปได้บ้างการออมนี้สามารถทําได้หลายแบบ ทั้งการออมเงินสดในบัญชีการซื้อหุ้นการซื้อประกันชีวิต หรือแม้กระทั่ง การปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งรัฐบาลกําลังผลักดันให้มีกฎหมายรองรับให้ถือเป็นสินทรัพย์ และหลักประกันได้ ลองมอง และวางแผนชีวิตให้ยาวขึ้นดู
สุดท้ายนี้ ผมอยากให้พี่น้องประชาชน นักท่องเที่ยว ตามป่าเขา - น้ําตก - ทะเล ได้ติดตามพยากรณ์อากาศ ของกรมอุตอนิยมวิทยาด้วย เนื่องจากมีพายุโซนร้อน “เซินติญ” จากทะเลจีนใต้ ที่ส่งผลกระทบต่อฟ้าฝน - ลมฟ้าอากาศบ้านเรา อาจมีน้ําท่วมฉับพลัน - น้ําป่าไหลหลาก - คลื่นลมแปรปรวน ได้เสมอ ในกรุงเทพมหานครก็ด้วย ระมัดระวังแผ่นป้ายโฆษณาต่าง ๆ หลังคาตามบ้านต่าง ๆ ด้วย ส่วนหน่วยงานภาครัฐ ก็ขอให้เตรียมการในเรื่องการช่วยเหลือ - กู้ภัย มีแผนเผชิญเหตุ ที่ได้กําหนดไว้ล่วงหน้า สามารถปฏิบัติได้อย่างทันท่วงทีด้วย
ขอบคุณครับขอให้ “ทุกคน” รักษาสุขภาพ และ “ทุกครอบครัว” มีความสุข ช่วยกันทําความดีด้วยหัวใจ ต่อ ๆ ไป เพื่อความสุข สงบ ยั่งยืนและปลอดภัยของทุกคนสวัสดีครับ
.....................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม ศกนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และแสดงความจงรักภักดี รัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน เข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ พิธีบําเพ็ญพระราชกุศล อุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมทั้งเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 21 กรกฎาคม พรุ่งนี้ เวลา 18 นาฬิกา ณ พระลานพระราชวังดุสิต สําหรับในวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม นี้ “ช่วงเช้า” เวลา 6 นาฬิกา จะมีพิธีทําบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง แด่พระสงฆ์และสามเณร ทั้งในกรุงเทพมหานคร และทุกจังหวัด และวัดไทยทั่วโลก “ช่วงเย็น” เวลา 19 นาฬิกา จะมีพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล อย่างพร้อมเพรียงกัน “ทั่วประเทศ” โดยส่วนกลาง ณ ท้องสนามหลวง และส่วนภูมิภาค ณ ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่จังหวัดกําหนดรวมทั้งในต่างประเทศ ณ เวลาและสถานที่ ที่สถานเอกอัคร ราชทูต “ทั่วโลก” กําหนด
ในโอกาสเดียวกันนี้ รัฐบาลได้ประกาศให้ ช่วงวันที่ 22 - 28 กรกฎาคม ศกนี้ เป็น “สัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา” เนืองในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา” โดยมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา จะสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ที่มีอย่างยาวนานถึง 1,400 ปี และกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราช ของไทยทุกพระองค์ ตลอดจน เทิดทูนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเป็นพุทธมามกะ และอัครศาสนูปถัมภก โดยทรงปกครองบ้านเมืองด้วย “หลักทศพิธราชธรรม”
ทั้งนี้ กิจกรรมหลัก ได้แก่ การจัด 11 ริ้วขบวน“พระบรมธาตุพุทธศิลป์ แผ่นดินพระทรงธรรม” นับเป็นครั้งแรก ที่จะมีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุตั้งแต่สมัยทวารวดีถึงรัตนโกสินทร์ และพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ มาให้ประชาชนได้เรียนรู้ ถึงความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนา ซึ่งสถาบันกษัตริย์ และพุทธศาสนิกชน ได้ช่วยกันทํานุบํารุงและสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ก็ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ได้ร่วมแต่งกาย “ชุดสีขาว” เพื่อชมความงดงามตระการตาของริ้วขบวนดังกล่าว ซึ่งจะเคลื่อนจากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ไปยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในวันที่ 22 กรกฎาคม อีกทั้ง ยังมีการร่วมกันสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่จะประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง จนถึงวันที่ 28 กรกฎาคม เพื่อน้อมสักการะถวายเป็นพระราชกุศล แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองด้วย
นอกจากนั้น รัฐบาลขอเชิญชวนปวงชนชาวไทย ทุกหมู่เหล่า ได้รวมพลังแสดงความจงรักภักดี และร่วมสดุดีพระเกียรติคุณสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นแบบอย่างของความกตัญญู โดยทรงมีพระราชปณิธานในการ “สืบสาน รักษา ต่อยอด”โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ ศาสตร์พระราชา และเจริญรอยตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบําบัดทุกข์ บํารุงสุข ให้ปวงพสกนิกรของพระองค์ ด้วยการร่วมกันประกอบกิจกรรมจิตอาสา “เราทําความ ดี ด้วยหัวใจ” ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม ตามเวลาและสถานที่ที่ได้นัดหมายกันไว้
สําหรับ "วันเข้าพรรษา" ของทุกปี เราถือว่าเป็น "วันงดดื่มสุราแห่งชาติ" ด้วย ซึ่งการดื่มสุรา – เครื่องดองของเมา นอกจากจะเป็นการละเมิด "ศีล 5" แล้ว ยังก่อให้เกิดผลเสียอื่น ๆ อีกมากมาย ตามมาต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ ทั้งในเรื่องของสุขภาพ จะก่อให้เกิดโรคภัย กว่า 200 ชนิด ประสิทธิภาพในการทํางาน ไปจนถึง "อุบัติเหตุ" ที่สร้างความสูญเสีย ทั้งชีวิต และทรัพย์สิน โดยเฉพาะ "ทรัพยากรมนุษย์" ที่สําคัญที่สุด ต่อการพัฒนาประเทศ ผมได้กําหนดให้คําขวัญวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ในปีนี้ ว่า "ลด ละ เลิกสุรา พาครอบครัวเป็นสุข" ขอเชิญชวนให้ใช้โอกาสการเข้าพรรษา 3 เดือนนี้ ร่วมกันปฏิญาณตน "งดดื่มเหล้า" และ ขยายเวลาการสร้างกุศลนี้ ออกไปอีกให้มากที่สุด
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
สําหรับปัญหามลพิษทางน้ําที่เกิดจากการปล่อยน้ําเสีย จากบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรม อุตสาหกรรม ธุรกิจการท่องเที่ยว วันนี้ประเทศไทย มีระบบการบําบัดน้ําเสีย อาจจะยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะน้ําเสียจากชุมชน ที่มีปริมาณราว 10 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีอยู่ 100 แห่งทั่วประเทศนั้น สามารถบําบัดน้ําเสียที่เข้าสู่ระบบ ได้เพียง 3.2 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เป็นเหตุให้มีน้ําเสียลงสู่ธรรมชาติกว่า 7 ล้านลูกบาศก์ เมตรต่อวัน ส่งผลให้ปัญหานั้น จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลจึงได้ริเริ่ม โครงการจิตอาสา เพื่อการพัฒนาลําน้ํากับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง ตามแนวพระราชดําริ มีเป้าหมายก็เพื่อจะปลูกจิตสํานึก จิตสาธารณะ ให้ประชาชนร่วมแรงร่วมใจ ในการรวมพลังเป็นหนึ่งเดียว สร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่ชุมชนและประเทศชาติโดยคํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวมนะครับ เหนือประโยชน์ส่วนตน ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสําคัญอย่างยิ่ง ที่จะทําให้สังคมมีความสุข อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน นอกจากนั้นจะเป็น “ภูมิคุ้มกัน” ให้แก่ชุมชนด้วย สร้างความเข้มแข็งให้ทุกภาคส่วน ตามหลักการของ “ศาสตร์พระราชา”ที่เราต้องแก้ปัญหาจากฐานราก จากกระบวนการภายใน โดยการพึ่งตนเอง ทําให้ชุมชนและหมู่บ้านมีพื้นฐานที่มั่นคง ในครั้งนี้เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างพร้อมเพรียงกัน “ทั่วประเทศ” จึงจัดให้ดําเนินโครงการต่าง ๆ มากมาย ที่เกี่ยวข้องกับลําน้ํา กว่า 606 โครงการ นะครับ ครอบคลุม 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ด้วย
สิ่งสําคัญที่สุดคือ เมื่อเราทําแล้ววันนี้ จะต้องมีความก้าวหน้า มีความต่อเนื่อง ชุมชนต้องดําเนินการต่อไปเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและสวยงาม ไม่ว่าจะหน้าบ้าน หรือหลังบ้าน ที่มีคลอง ลําน้ํา มีถนน ก็ต้องช่วยรักษาความสะอาดสุขอนามัย ทําให้สวยงามก็อยากให้ทุกคนได้สืบสานสิ่งเหล่านี้ต่อไป ก็ขอให้ทุกคนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐ - ท้องถิ่น - ภาคประชาชน ได้ติดตาม กํากับดูแล และขอความร่วมมือ ในเรื่องการระบายน้ําเสียลงสู่ลําน้ําสาธารณะ ให้มีที่ดักไขมัน หรือกรองน้ําเสียก่อน ตามกฎหมาย เราต้องช่วยกันรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของเรา คนละไม้ คนละมือ หวังให้รัฐแต่เพียงอย่างเดียวคงไม่มีวันประสบความสําเร็จ “สมบูรณ์” ได้ ต้องร่วมมือกัน
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
ผมอยากให้พวกเราทุกคน ได้ใช้โอกาสมหามงคลนี้ เป็น “จุดเริ่มต้น” ที่เอาจริงเอาจัง ในการร่วมกันทํากิจกรรม “จิตอาสา” ที่เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเราร่วมกับชาวโลกอีกกว่า 7,000 ล้านคน ในการจะป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกและโฟม 20 ปีที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยมีการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว จํานวน 45,000 ล้านใบต่อปี โฟมบรรจุอาหาร เกือบ 7,000 ล้านใบต่อปี แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว เกือบ 10,000 ล้านใบต่อปี ทั้งนี้ เราทุกคนต่างก็รู้ดีว่า พลาสติกและโฟม นั้นเป็นวัสดุที่ย่อยสลายยาก และใช้เวลาหลายร้อยปี หากไม่มีการบริหารจัดการที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วตั้งแต่วันนี้ จะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม ทั้งทางบกและทางทะเลในภายหลัง ที่เกินกว่าจะควบคุมดูแล สําหรับประเทศไทยของเรานั้น ถูกระบุว่ามีปัญหาขยะทางทะเล เป็นอันดับ 6 ของโลก และตามที่ปรากฏในข่าวว่า มีวาฬและเต่าทะเล “ตาย...เพราะกินถุงพลาสติก” ที่ลอยในทะเล เป็นต้น คงไม่ได้มีผลกระทบเฉพาะมนุษย์เท่านั้นนะครับ สัตว์บก สัตว์น้ํา มีผลกระทบทั้งสิ้น อันตราย
ที่ผ่านมานั้น รัฐบาล โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็ได้รณรงค์เพื่อการลดขยะและพลาสติก ไม่ให้ลงมาในแม่น้ํา ลําคลอง และทะเล อาทิ การลดใช้ถุงพลาสติกในห้างสรรพสินค้าการเลิกใช้พลาสติกหุ้มฝาขวด (แคปซีล) การติดตั้งทุ่นลอยดักขยะปากแม่น้ําและลําคลอง รวมทั้งมาตรการชายหาดปลอดบุหรี่ ในพื้นที่ 24 จังหวัดชายทะเล เป็นต้น
วันนี้ ผมขอขยายผลการดําเนินงานทั่วประเทศ ในการลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และโฟมบรรจุอาหาร อย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” โดยบูรณาการ “พลังประชารัฐ” ร่วมไม้ ร่วมมือ ร่วมใจกัน ภาครัฐ - เอกชน - และประชาชน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาพลาสติก ให้เป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพ รัฐบาลได้กําหนดให้ดําเนินการพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นไป เช่น
(1) กิจกรรมการลดและคัดแยกขยะมูลฝอย ในหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนและภาคเอกชน
(2) กิจกรรม “ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” โดยส่งเสริม ห้างสรรพ สินค้า ร้านสะดวกซื้อ ตลาดสดทั่วประเทศ ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและงดใช้โฟมบรรจุอาหาร พร้อม ๆ กับการสร้างความรู้ - ความเข้าใจกับประชาชน “ผู้บริโภค”เพื่อนําไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้บรรจุภัณฑ์ หรือภาชนะที่ใช้ซ้ําได้เช่น การพกถุงผ้ามาจ่ายตลาด การใส่ของรวมกันในถุงเดียวเพื่อลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติก
(3) กิจกรรมการลดใช้ถุง - ขวดน้ํา - แก้วน้ําพลาสติก และกล่องโฟม ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และสวนสัตว์ ทั่วประเทศ รวมทั้ง จัดให้มีการคัดแยกขยะมูลฝอยด้วย
และ (4) กิจกรรมการจัดการขยะบกสู่ทะเล ในพื้นที่ 24 จังหวัดชายทะเลเป็นต้น
ผมขอเชิญชวนทุกท่านร่วมทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก ในตลาดสดซึ่งจะเริ่มพร้อมกัน ทั่วประเทศ“พรุ่งนี้” วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม นี้ เป็นต้นไป การรณรงค์แยกขยะและการลดใช้ถุงพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จําเป็นนี้ นอกจากจะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย ยังจะช่วยให้ประเทศประหยัดงบประมาณในการกําจัดขยะมูลฝอยอีกด้วย ปี ๆ หนึ่ง รัฐบาลต้องใช้งบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาทในการจัดการขยะมูลฝอย ขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดเก็บค่าจัดการขยะได้ปีละเพียง 3,000 ล้านบาท เราจะได้มีเงินเหลือ มาใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ อีกด้วย อย่างไรก็ตาม มาตรการที่กล่าวมานั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็น “ฝ่ายผู้บริโภค”ในขณะที่ผมเห็นว่า “ฝ่ายผู้ให้บริการ” แม่ค้า ร้านขายปลีก ร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ไปจนถึงห้างร้าน ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เราสามารถร่วมรับผิดชอบกับสังคม และโลกของเรา ได้ด้วยเช่นกัน
เราอาจจะหามาตรการจูงใจ กระตุ้นการ “ลดรับถุงพลาสติก” เช่น การลดราคาให้บ้างการสะสมคะแนน หรือมีการโปรโมชั่นอื่นๆ ตามที่จะริเริ่มสร้างสรรค์กันขึ้นมาได้ เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใกล้ตัว และอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะตามมาได้อีกแล้ว
นอกจากนี้ ผมได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งรัดดําเนินการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย “ทั้งระบบ” ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ที่ชัดเจนได้โดยเร็ว เป็นการจัดตั้ง “ศูนย์กําจัดขยะมูลฝอย แบบครบวงจร” ในทุกกลุ่มพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จํานวน 7,800 กว่าแห่ง ที่มีการรวมกลุ่มเพื่อกําจัดขยะมูลฝอย - ภูเขาขยะ324 ลูก ทั่วประเทศ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือนโดยขอให้พิจารณาขนาด และที่ตั้ง ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ของแต่ละพื้นที่เป็นสําคัญ อีกทั้งให้ดําเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ
แม้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ จะดีขึ้น แต่ปัญหาปากท้อง โดยเฉพาะเรื่องหนี้ครัวเรือน ในประเทศไทย ช่วง 3 เดือนแรกของปี 2561 นั้น เรายังถือว่า “ทรงตัว” จากช่วงปลายปี 2560 ที่ผ่านมา ตัวเลขสัดส่วนมูลค่าหนี้ครัวเรือน เมื่อเทียบกับGDPหรือ “รายได้รวมของประเทศ” จะลดมาเพียงเล็กน้อย จากร้อยละ 78 เหลือร้อยละ 77.6 ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับต่างประเทศ รวมถึงความสามารถในการชําระหนี้ของพี่น้องประชาชนนั้น ยังไม่กระเตื้องขึ้นมากนัก เพราะสัดส่วนหนี้เสียยังไม่ปรับตัวลดลง ภาครัฐเองก็มีความห่วงใย เพราะถือเป็นภาระในการดํารงชีวิตของประชาชน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ได้ติดตามประเด็นนี้ อย่างใกล้ชิด และได้เร่งดําเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มที่เป็นหนี้ในระบบสถาบันการเงินและ หนี้นอกระบบ ที่เป็นภาระและส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยเป็นอย่างมาก
การแก้ไขปัญหา “หนี้นอกระบบ” นั้น รัฐบาลและ คสช. ได้เร่งดําเนินการอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรมมาอย่างต่อเนื่อง ได้จัดสร้างกลไกการทํางานแบบบูรณาการ ของ กอ.รมน. - ตํารวจ - ทหาร และส่วนราชการในพื้นที่ลงไปเพื่อจะลงไปช่วยแก้ไขปัญหา ให้ตรงจุดมากขึ้น เพื่อจะให้ความเป็นธรรมแก่พี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึง ที่ผ่านมาก็มีสถิติจํานวนนายทุนปล่อยหนี้เงินกู้นอกระบบ ทั้งสิ้น 15,000 กว่าราย มีลูกหนี้รวม มากกว่า 350,000 ราย คิดมูลค่าหนี้ทั้งหมดเกินกว่า 21,000 ล้านบาท การแก้ปัญหาดังกล่าวนั้น เราจะต้องเริ่มจากการจําแนกสภาพหนี้ เข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย หรือทําการประนอมหนี้ หรือปรับโครงสร้างของหนี้ และการชําระหนี้ เช่น ขยายระยะเวลาชําระให้ยาวนานออกไป หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยยึดหลักการว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งลูกหนี้ และเจ้าหนี้ หากลูกหนี้ที่ไม่สามารถชําระหนี้ได้ ทางทีมงาน ก็จะประสานขอสินเชื่อจากภาครัฐให้ ในขณะที่เจ้าหนี้ที่ไม่ให้ความร่วมมือในการสร้างความเป็นธรรม จะใช้มาตรการทางกฎหมายในการดําเนินการให้ถูกต้องต่อไป
สําหรับผลการดําเนินงานที่ผ่านมานั้น พบว่าลูกหนี้ส่วนใหญ่ ที่ประสบปัญหา เป็นกลุ่มเกษตรกรที่ผลผลิตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทําให้อาจต้อง “ขายฝาก” โฉนดที่ดินกับเจ้าหนี้นอกระบบ เมื่อมีปัญหาในการชําระหนี้ ก็จะลุกลามเป็นภาระมากขึ้น ไม่สามารถใช้ที่ดินทํามาหากินได้ เช่นเดิม ลูกหนี้อีกส่วนหนึ่ง เป็นกลุ่มที่กู้เงินมาใช้จ่าย ในสิ่งที่ไม่จําเป็น ไม่พอเพียง ไม่เป็นการลงทุน หรือสร้างรายได้ในอนาคต ก็ทําให้ยากที่จะนําเงินมาชําระหนี้ ได้ตามกําหนด ทั้งนี้ จากลูกหนี้นอกระบบทั้งหมดในฐานข้อมูลของภาครัฐ ประมาณ 350,000 ราย ได้รับการช่วยไกล่เกลี่ยไปแล้ว หรือทําข้อตกลงประนอมหนี้ไปแล้ว กว่า 55,000 ราย ที่เหลือก็จะได้ดําเนินการอย่างเร่งด่วน ต่อเนื่องรายที่ได้รับการช่วยเหลือแล้ว ก็มีการติดตามดูแล ไม่ให้กลับมาเป็นหนี้จนเกินตัวอีกดังนั้น พี่น้องประชาชนที่ยังเป็นหนี้นอกระบบ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องการความช่วยเหลือและ ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการก็สามารถติดต่อ ณ ศูนย์ดํารงธรรม หรือเจ้าหน้าที่ภาครัฐในพื้นที่ได้นะครับ
สําหรับด้าน “หนี้ในระบบ” ธนาคารปัจจุบันนั้น ภาครัฐมีโครงการคลินิกแก้หนี้ เพื่อช่วยเหลือประชาชนรายย่อย ที่มีปัญหาหนี้บัตรเครดิตบัตรกดเงินสด หรือหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ที่ไม่มีหลักประกัน จนกลายเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่สามารถชําระหนี้ได้ ภายใน 90 วัน และเป็นหนี้เสียอยู่กับธนาคารพาณิชย์ ตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไป ก็สามารถมาขอรับความช่วยเหลือในการประนอมหนี้ เพื่อดูแลปัญหาให้ได้ข้อยุติในคราวเดียวได้ รวมถึงเพื่อให้สามารถบริหารจัดการชําระหนี้ของตนเองได้อย่างเหมาะสม ตามความสามารถที่แท้จริง ควบคู่กับการได้รับความรู้ เสริมสร้างวินัยทางการเงินที่ดีต่อไป เป็นเรื่องน่ายินดีว่า ล่าสุดได้มีการปรับคุณสมบัติของผู้ที่เข้าร่วมโครงการนี้ ให้สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ “มากขึ้น”อาทิ ให้ครอบคลุมผู้ประกอบ “อาชีพอิสระ” ที่มีรายได้ด้วยและขยายขอบเขตให้ครอบคลุม “หนี้เสีย” ที่เกิดขึ้นก่อน 1 เมษายน 2561 นี้ อีกทั้ง ผ่อนผันให้ลูกหนี้ ที่แม้จะถูกดําเนินคดีแล้ว แต่ยังไม่มีคําพิพากษา ก็สามารถสมัครเข้าโครงการได้เช่นกัน โดยผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ หรือต้องการข้อมูลความรู้ทางการเงิน การบริหารจัดการหนี้รวมถึงการออม สามารถติดต่อสอบถาม ตามรายละเอียดที่แสดงอยู่บนหน้าจอนี้ได้
ทั้งนี้ การดําเนินโครงการคลินิกแก้หนี้ เราจะไม่ทําหน้าที่ปล่อยเงินกู้เพื่อนําไปชดใช้หนี้ที่ค้างชําระ แต่ให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชําระได้ตามกําลังของตนเอง โดยมีบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จํากัด (SAM) เป็นหน่วยงานกลาง คิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน 4 - 7% ต่อปี ด้วยระยะเวลาการผ่อนชําระหนี้สูงสุด ไม่เกิน 10 ปี อีกทั้ง การให้ความรู้ด้านการเงิน เพื่อนําไปเสริมสร้างวินัยทางการเงินที่ดีให้กับตนเอง และไม่กลับมาอยู่ในวังวนปัญหาหนี้สินเหล่านี้อีกในอนาคต
นอกจากโครงการคลินิกแก้หนี้ดังกล่าวที่จะช่วยบรรเทาปัญหาภาระหนี้ของพี่น้องประชาชนทั่วไป รัฐบาลยังพยายามที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้ของผู้ประกอบวิชาชีพต่าง ๆ โดยเฉพาะอีกด้วย อาทิ หนี้ใน “กลุ่มครู” ที่เป็นบุคลากรที่มีความสําคัญต่อการพัฒนาประเทศ และ การปฏิรูปการศึกษา เพื่อจะลดความกังวล และภาระ ในการดํารงชีวิต ที่สามารถทําหน้าที่การเป็น “แม่พิมพ์” ที่ดีของเด็ก ๆ ได้เต็มศักยภาพ เนื่องจากที่ผ่านมา พบว่ามีครูเป็นหนี้ ทั้งในและนอกระบบ และมีมูลค่าหนี้อยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งเป็นหนี้สิน ของโครงการสวัสดิการเงินกู้สมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ที่มีผู้กู้อยู่กว่า 5 แสนราย คิดเป็นเงินกว่า 4 แสนล้านบาท โดยเป็นหนี้เสีย มากกว่า 5,000 ล้านบาท
ช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้พยายามใช้มาตรการต่าง ๆ เข้ามาช่วยเหลือ และแบ่งเบาภาระ ให้กับ “แม่พิมพ์ของชาติ” ที่มีหนี้ มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการลดภาระหนี้ ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2559 โดยการให้เงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ํา ร้อยละ 4 เพื่อนําไปชําระหนี้โครงการ ช.พ.ค. เดิม และเพื่อนําไปชําระดอกเบี้ยเงินกู้รายเดือน แต่ยังมีผู้มาร่วมโครงการไม่มากนัก นอกจากนี้ ในปี 2560 ที่ผ่านมา ก็มีโครงการปรับโครงสร้างหนี้ ให้โอกาสลูกหนี้ ที่มีปัญหาผ่อนชําระจนกลายเป็น “หนี้เสีย” สามารถผ่อนปรนเงื่อนไขการชําระหนี้ แล้วก็พักชําระ “เงินต้น” ไม่เกิน 3 ปี แต่ยังชําระ “ดอกเบี้ย” บางส่วน หรือเต็มจํานวน เพื่อให้สามารถกลับมาเป็นหนี้ปกติได้ ล่าสุดสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ก็ได้ให้ธนาคารออมสิน นําเงินสนับสนุนที่เคยได้รับจากโครงการ ช.พ.ค. ไปช่วยลดอัตราดอกเบี้ย ให้แก่ผู้กู้ที่มีวินัยดี ไม่มีหนี้ค้างชําระ ซึ่งทําให้อัตราดอกเบี้ยลดลงจากเดิม ร้อยละ 0.5 - 1.0 คิดเป็นเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท ด้วย
สําหรับโครงการคลินิกแก้หนี้ และ มาตรการแก้ไขหนี้ต่าง ๆ ที่รัฐบาลนี้ ได้ริเริ่มขึ้นนั้น เป็นเพียงการพยายามแบ่งเบาภาระ และช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ “ปลายเหตุ” เท่านั้น ด้วยการช่วยเข้าไปผ่อนผัน ให้สามารถชําระหนี้ได้ตามความสามารถ โดยไม่ได้รับความเดือดร้อนจนเกินไป แต่ก็ยังคงเป็นภาระของพี่น้องประชาชนในการดํารงชีวิตอยู่ดีดังนั้น การแก้ปัญหาการก่อหนี้เกินตัวที่ “ต้นเหตุ” จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะไม่ส่งผลเสียอื่นๆ ลุกลามเป็นลูกโซ่ คือการพยายามไม่เข้าสู่ “วงจร” การเป็นหนี้ โดยต้องเริ่มจากตัวเราทุกคนเอง ภาครัฐก็จะมีบทบาทในการสนับสนุนอีกแรงหนึ่งนะครับทั้งนี้เราต้องยอมรับกันว่า การก่อหนี้ในหลายกรณีเป็นความจําเป็น โดยเฉพาะจากความเดือดร้อนที่เป็นผลจากภัยธรรมชาติ ทําให้ผลผลิตเสียหาย เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ภาครัฐเองก็ได้พยายามเข้าไปดูแลอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา แต่ยังมีกรณีการกู้ยืมทั่วไป ที่อาจไม่ใช่เพื่อการใช้จ่ายที่จําเป็น ซึ่งทําอย่างไร เราจะป้องกันการเป็นหนี้ในลักษณะเช่นนี้ ที่อาจกลับมาเป็นภาระกับเรา “โดยไม่จําเป็น”
หลาย ๆ คนพูดกันถึงเรื่องการมีวินัยทางการเงิน และการออมเพื่อวันหน้า แต่สําหรับหลายครัวเรือน ของผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว ฟังดูเหมือนจะทําได้ยาก สําหรับผม สิ่งที่ทําได้ง่ายที่สุดคือ การน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นหนึ่งใน “ศาสตร์พระราชา” ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้ให้กับปวงชนชาวไทย มาใช้เป็นหลักในการดํารงชีวิต เริ่มจากการมีสัมมาอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ และหาทางเพิ่มรายได้ เมื่อมีโอกาส พยายามใช้จ่ายอย่างพอเพียง เท่าที่จําเป็น มีการทําบัญชีครัวเรือน เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวเห็นรายได้ และรายจ่ายแต่ละรายการ สามารถจะวางแผนการใช้จ่ายและ การสร้างรายได้ ในอนาคตได้ แล้วก็เตรียมการเรื่องเงินออมด้วย
สิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนมองว่า ความแน่นอน ก็คือความไม่แน่นอนของชีวิต ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะมีเหตุ ให้ต้องจับจ่าย เจ็บป่วย ในเรื่องฉุกเฉินใช้สอยต่าง ๆ เมื่อใด การรู้จักใช้ รู้จักออม จะช่วยให้เราสามารถรองรับความไม่แน่นอนของชีวิตได้ดีขึ้นหากเราไม่เป็นหนี้ พอมีสินทรัพย์ พอมีเงินออม ก็อาจทําให้เราสบายใจ นอนหลับได้สบายขึ้น หากมีเหตุสุดวิสัย ก็พอมีทุนรอนพอรองรับไปได้บ้างการออมนี้สามารถทําได้หลายแบบ ทั้งการออมเงินสดในบัญชีการซื้อหุ้นการซื้อประกันชีวิต หรือแม้กระทั่ง การปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งรัฐบาลกําลังผลักดันให้มีกฎหมายรองรับให้ถือเป็นสินทรัพย์ และหลักประกันได้ ลองมอง และวางแผนชีวิตให้ยาวขึ้นดู
สุดท้ายนี้ ผมอยากให้พี่น้องประชาชน นักท่องเที่ยว ตามป่าเขา - น้ําตก - ทะเล ได้ติดตามพยากรณ์อากาศ ของกรมอุตอนิยมวิทยาด้วย เนื่องจากมีพายุโซนร้อน “เซินติญ” จากทะเลจีนใต้ ที่ส่งผลกระทบต่อฟ้าฝน - ลมฟ้าอากาศบ้านเรา อาจมีน้ําท่วมฉับพลัน - น้ําป่าไหลหลาก - คลื่นลมแปรปรวน ได้เสมอ ในกรุงเทพมหานครก็ด้วย ระมัดระวังแผ่นป้ายโฆษณาต่าง ๆ หลังคาตามบ้านต่าง ๆ ด้วย ส่วนหน่วยงานภาครัฐ ก็ขอให้เตรียมการในเรื่องการช่วยเหลือ - กู้ภัย มีแผนเผชิญเหตุ ที่ได้กําหนดไว้ล่วงหน้า สามารถปฏิบัติได้อย่างทันท่วงทีด้วย
ขอบคุณครับขอให้ “ทุกคน” รักษาสุขภาพ และ “ทุกครอบครัว” มีความสุข ช่วยกันทําความดีด้วยหัวใจ ต่อ ๆ ไป เพื่อความสุข สงบ ยั่งยืนและปลอดภัยของทุกคนสวัสดีครับ
.....................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14009
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานการประชุมจัดทำโครงการ สนองนโยบายการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศไทย ภายใต้กลไกประชารัฐ
|
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2559
รมว.มท. เป็นประธานการประชุมจัดทําโครงการ สนองนโยบายการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศไทย ภายใต้กลไกประชารัฐ
รมว.มท. เป็นประธานการประชุมจัดทําโครงการ สนองนโยบายการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศไทย ภายใต้กลไกประชารัฐ
วันนี้ (เสาร์ 3 ธ.ค.59) ณ ห้องประชุม 1 กระทรวงมหาดไทย พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือการดําเนินการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศไทยภายใต้กลไกประชารัฐ ผ่านระบบวีดีทัศน์ทางไกล video conferenceไปยัง 76 จังหวัด โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมในส่วนกลาง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดี หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในพื้นที่ประกอบด้วย หัวหน้ากลุ่มจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าสํานักงานจังหวัดและเชิญภาคเอกชนในพื้นที่ ประกอบด้วย ประธานหอการค้าจังหวัด ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัด ประธานชมรมธนาคารจังหวัด นายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวจังหวัด บริษัทประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด จํากัด มหาวิทยาลัยสภาเกษตรกรจังหวัดและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่เข้าร่วมการประชุม
โอกาสนี้ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเปิดการประชุมและมอบแนวทางการดําเนินงานให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง 76 จังหวัดโดยมีสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1.ที่มาของการประชุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในส่วนภูมิภาคทั้ง 76 จังหวัด
มุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนาศักยภาพของจังหวัด กลุ่มจังหวัดเน้นการยกระดับอาชีพ รายได้ คุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกภูมิภาคอย่างเท่าเทียมเพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมซึ่งรัฐบาลมีนโยบายที่จะจัดสรรงบประมาณให้ลงไปสู่พื้นที่จังหวัดและกลุ่มจังหวัดโดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ขับเคลื่อนที่สําคัญ โดยจังหวัดและกลุ่มจังหวัดจะต้องจัดทําโครงการขึ้นมารองรับตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณและจัดสรรเม็ดเงินลงไปในพื้นที่จังหวัดและกลุ่มจังหวัดต่อไป ดังนั้น ในการดําเนินตามแนวทางสร้างความเข้มแข็งฯ จึงต้องมีกรอบและแนวทางที่ชัดเจน และจําเป็นจะต้องมีการซักซ้อมร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. ข้อเแนะนําในการจัดทําโครงการ เน้นย้ําว่าจะต้องเป็นการทํางานในลักษณะบูรณาการ ทุกภาคส่วนในรูปแบบสมาร์ท กบก. (คณะกรรมการบริหารกลุ่มจังหวัด) ต้องมีการปรึกษาหารือร่วมกันทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคมว่าจะจัดทําโครงการอย่างไรให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และเป็นไปตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก โดยอาจเชื่อมโยงในหลากหลายมิติ เช่น ในมิติลักษณะพื้นที่ หรือ เชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่า เพื่อเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจในพื้นที่ให้เพิ่มขึ้น เป็นต้น
จากนั้นที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัดได้ซักถามถึงแนวทางในการจัดทําโครงการ และได้มีการกําหนดที่จะจัดประชุมอีกครั้งผ่านระบบvideo conferenceในวันที่ 12-13 ธันวาคมนี้เพื่อพิจารณาแนวทางการจัดทําโครงการตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด และให้กลุ่มจังหวัดทั้ง 18 กลุ่มได้นําเสนอโครงการในรูปแบบห่วงโซ่คุณค่า Value Chain ที่สามารถเชื่อมโยงทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ก่อนนําโครงการที่ผ่านความเห็นชอบ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่ารัฐบาลจะเน้นให้ความสําคัญกับการพัฒนาในมิติเชิงพื้นที่ให้สอดคล้องกับความต้องการของพี่น้องประชาชนมีเป้าหมายขจัดความเหลื่อมล้ําให้ประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมโดยในการจัดทําโครงการขอให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้ความสําคัญถึงหลักการเหตุผล และที่มาของโครงการที่จะต้องเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งจะต้องมีการประเมินผล อย่างมีมาตรฐาน มีผลการดําเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม และมีการใช้จ่ายงบประมาณทั้งหมดอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ไม่ซ้ําซ้อน สามารถสร้างความเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน.
ครั้งที่ 228/2559
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานการประชุมจัดทำโครงการ สนองนโยบายการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศไทย ภายใต้กลไกประชารัฐ
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2559
รมว.มท. เป็นประธานการประชุมจัดทําโครงการ สนองนโยบายการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศไทย ภายใต้กลไกประชารัฐ
รมว.มท. เป็นประธานการประชุมจัดทําโครงการ สนองนโยบายการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศไทย ภายใต้กลไกประชารัฐ
วันนี้ (เสาร์ 3 ธ.ค.59) ณ ห้องประชุม 1 กระทรวงมหาดไทย พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือการดําเนินการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศไทยภายใต้กลไกประชารัฐ ผ่านระบบวีดีทัศน์ทางไกล video conferenceไปยัง 76 จังหวัด โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมในส่วนกลาง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดี หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในพื้นที่ประกอบด้วย หัวหน้ากลุ่มจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าสํานักงานจังหวัดและเชิญภาคเอกชนในพื้นที่ ประกอบด้วย ประธานหอการค้าจังหวัด ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัด ประธานชมรมธนาคารจังหวัด นายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวจังหวัด บริษัทประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด จํากัด มหาวิทยาลัยสภาเกษตรกรจังหวัดและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่เข้าร่วมการประชุม
โอกาสนี้ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเปิดการประชุมและมอบแนวทางการดําเนินงานให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง 76 จังหวัดโดยมีสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1.ที่มาของการประชุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในส่วนภูมิภาคทั้ง 76 จังหวัด
มุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนาศักยภาพของจังหวัด กลุ่มจังหวัดเน้นการยกระดับอาชีพ รายได้ คุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกภูมิภาคอย่างเท่าเทียมเพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมซึ่งรัฐบาลมีนโยบายที่จะจัดสรรงบประมาณให้ลงไปสู่พื้นที่จังหวัดและกลุ่มจังหวัดโดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ขับเคลื่อนที่สําคัญ โดยจังหวัดและกลุ่มจังหวัดจะต้องจัดทําโครงการขึ้นมารองรับตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณและจัดสรรเม็ดเงินลงไปในพื้นที่จังหวัดและกลุ่มจังหวัดต่อไป ดังนั้น ในการดําเนินตามแนวทางสร้างความเข้มแข็งฯ จึงต้องมีกรอบและแนวทางที่ชัดเจน และจําเป็นจะต้องมีการซักซ้อมร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. ข้อเแนะนําในการจัดทําโครงการ เน้นย้ําว่าจะต้องเป็นการทํางานในลักษณะบูรณาการ ทุกภาคส่วนในรูปแบบสมาร์ท กบก. (คณะกรรมการบริหารกลุ่มจังหวัด) ต้องมีการปรึกษาหารือร่วมกันทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคมว่าจะจัดทําโครงการอย่างไรให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และเป็นไปตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก โดยอาจเชื่อมโยงในหลากหลายมิติ เช่น ในมิติลักษณะพื้นที่ หรือ เชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่า เพื่อเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจในพื้นที่ให้เพิ่มขึ้น เป็นต้น
จากนั้นที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัดได้ซักถามถึงแนวทางในการจัดทําโครงการ และได้มีการกําหนดที่จะจัดประชุมอีกครั้งผ่านระบบvideo conferenceในวันที่ 12-13 ธันวาคมนี้เพื่อพิจารณาแนวทางการจัดทําโครงการตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด และให้กลุ่มจังหวัดทั้ง 18 กลุ่มได้นําเสนอโครงการในรูปแบบห่วงโซ่คุณค่า Value Chain ที่สามารถเชื่อมโยงทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ก่อนนําโครงการที่ผ่านความเห็นชอบ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่ารัฐบาลจะเน้นให้ความสําคัญกับการพัฒนาในมิติเชิงพื้นที่ให้สอดคล้องกับความต้องการของพี่น้องประชาชนมีเป้าหมายขจัดความเหลื่อมล้ําให้ประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมโดยในการจัดทําโครงการขอให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้ความสําคัญถึงหลักการเหตุผล และที่มาของโครงการที่จะต้องเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งจะต้องมีการประเมินผล อย่างมีมาตรฐาน มีผลการดําเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม และมีการใช้จ่ายงบประมาณทั้งหมดอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ไม่ซ้ําซ้อน สามารถสร้างความเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน.
ครั้งที่ 228/2559
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/959
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เสริมศักยภาพบุคลากร ชู GLP มุ่งดูแลแรงงานทั้งระบบ
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561
ก.แรงงาน เสริมศักยภาพบุคลากร ชู GLP มุ่งดูแลแรงงานทั้งระบบ
กระทรวงแรงงาน มุ่งดูแลแรงงานทั้งระบบ ใช้ GLP ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานและเพิ่มโอกาส ทางการค้า ตั้งเป้าส่งเสริม 12,000 แห่ง พร้อมเสริมศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสําคัญและกําหนดเป็นนโยบายเน้นหนักในการผลักดันและเร่งรัดแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การทําประมงผิดกฎหมายด้านแรงงาน แรงงานบังคับ และแรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่ส่งผลกระทบไปถึงการส่งออกสินค้าของไทย จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันยกระดับมาตรฐานด้านแรงงานให้เป็นไปตามหลักสากล เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงาน แนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (GLP) จะเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่สถานประกอบกิจการสามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงสภาพการจ้าง สภาพการทํางาน และยังเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติตามมาตรฐานทางกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมา กสร.ได้ส่งเสริมสถานประกอบกิจการในอุตสาหกรรมประมงทะเลและกิจการที่เกี่ยวข้อง และฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้ง อุตสาหกรรมสัตว์ปีก สําหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จะมุ่งเน้นการจัดทํา GLP สําหรับสถานประกอบกิจการทั่วไป โดยตั้งเป้าส่งเสริมสถานประกอบกิจการเพื่อนํา GLP ไปใช้ในการบริหารจัดการแรงงาน 12,000 แห่ง
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า การดําเนินงานส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการนํา GLP ไปใช้ในการบริหารจัดการแรงงาน จึงมีความจําเป็นที่เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ GLP ทุกด้าน กสร. จึงได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มสมรรถนะให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค รวม 100 คน เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ GLP และฝึกเป็นวิทยากรเพื่อเป็นที่ปรึกษาให้คําแนะนําสถานประกอบกิจการได้อย่างถูกต้องจนสามารถปรับปรุงสภาพการจ้างและสภาพการทํางานได้สอดคล้องกับกฎหมาย และสามารถขยายผลการนําไปใช้และเข้าสู่ระบบมาตรฐานแรงงานให้ได้อย่างกว้างขวางต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เสริมศักยภาพบุคลากร ชู GLP มุ่งดูแลแรงงานทั้งระบบ
วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561
ก.แรงงาน เสริมศักยภาพบุคลากร ชู GLP มุ่งดูแลแรงงานทั้งระบบ
กระทรวงแรงงาน มุ่งดูแลแรงงานทั้งระบบ ใช้ GLP ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานและเพิ่มโอกาส ทางการค้า ตั้งเป้าส่งเสริม 12,000 แห่ง พร้อมเสริมศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสําคัญและกําหนดเป็นนโยบายเน้นหนักในการผลักดันและเร่งรัดแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การทําประมงผิดกฎหมายด้านแรงงาน แรงงานบังคับ และแรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่ส่งผลกระทบไปถึงการส่งออกสินค้าของไทย จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันยกระดับมาตรฐานด้านแรงงานให้เป็นไปตามหลักสากล เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงาน แนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (GLP) จะเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่สถานประกอบกิจการสามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงสภาพการจ้าง สภาพการทํางาน และยังเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติตามมาตรฐานทางกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมา กสร.ได้ส่งเสริมสถานประกอบกิจการในอุตสาหกรรมประมงทะเลและกิจการที่เกี่ยวข้อง และฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้ง อุตสาหกรรมสัตว์ปีก สําหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จะมุ่งเน้นการจัดทํา GLP สําหรับสถานประกอบกิจการทั่วไป โดยตั้งเป้าส่งเสริมสถานประกอบกิจการเพื่อนํา GLP ไปใช้ในการบริหารจัดการแรงงาน 12,000 แห่ง
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า การดําเนินงานส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการนํา GLP ไปใช้ในการบริหารจัดการแรงงาน จึงมีความจําเป็นที่เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ GLP ทุกด้าน กสร. จึงได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มสมรรถนะให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค รวม 100 คน เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ GLP และฝึกเป็นวิทยากรเพื่อเป็นที่ปรึกษาให้คําแนะนําสถานประกอบกิจการได้อย่างถูกต้องจนสามารถปรับปรุงสภาพการจ้างและสภาพการทํางานได้สอดคล้องกับกฎหมาย และสามารถขยายผลการนําไปใช้และเข้าสู่ระบบมาตรฐานแรงงานให้ได้อย่างกว้างขวางต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9314
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ เปิด 'วังวรดิศ' รำลึก ๔๐ ปี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ณ วั
|
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ เปิด 'วังวรดิศ' รําลึก ๔๐ ปี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ณ วั
ม.ล.ปนัดดาฯ เปิด 'วังวรดิศ' รําลึก ๔๐ ปี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ณ วังวรดิศ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๐๐ น.
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม
ในฐานะประธานพิพิธภัณฑ์และหอสมุดสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ เปิด 'วังวรดิศ'
รําลึกครบรอบ ๔๐ ปี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ
ณ วังวรดิศ ถนนหลานหลวง ให้กับครูอาจารย์ นักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้าเยี่ยมชมวังวรดิศ
และรับฟังการบรรยายพิเศษ เรื่อง 'ประเทศชาติอยู่รอดได้ด้วยคุณธรรมจริยธรรม'
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวในความตอนหนึ่งของการบรรยายพิเศษว่า "เสมือน ๔๐ ปีเพิ่งผ่านพ้นไป
ผมยังจดจําได้แม่นยํา แม้ขณะนั้นยังเป็นนักศึกษาเรียนปริญญาโท แต่การที่พ่อตั้งใจจะทําอะไรสักอย่าง
เพื่อประโยชน์สุขแก่ส่วนรวม พ่อจะไม่เคยเว้นว่าง เสียสละทุกอย่างด้วยคํานึงถึงเกียรติยศของครอบครัว
และวงศ์ตระกูล เป็นที่มาของการเปิดวังวรดิศ วังซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ตราบจนสิ้นพระชนม์ ขึ้นเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า
'โรงเรียนดํารงราชานุภาพ' แหล่งเรียนรู้คุณธรรม ผ่านพ้นไป ๔๐ ปี ตั้งแต่บุพการียังอยู่กับเรา
จนกระทั่งท่านจากไป ดํารงไว้แต่คุณงามความดีให้เรารักและคิดถึง"
ทุกวันนี้ ภริยาของ ม.ล.ปนัดดา คือ คุณอัมพร ดิศกุล ณ อยุธยา และบุตรชาย ได้เป็นกําลังใจอันสําคัญ
ให้กับ ม.ล.ปนัดดา ทั้งในเรื่องหน้าที่ราชการและการดํารงรักษาวังวรดิศ ตลอดรวมถึงครูอาจารย์
และข้าราชการบํานาญกระทรวงมหาดไทยหลายท่านที่มีรักความความผูกพันกับวังวรดิศและบิดา
ของ ม.ล.ปนัดดา ต่างกรุณามาช่วยกันต้อนรับแขกเหรื่อและลูกหลานเยาวชน
ในการมาทัศนศึกษาวังบุคคลสําคัญของโลกแห่งนี้
"สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงมีพระกรุณาธิคุณ
กับบุพการีของผมอย่างหาที่สุดมิได้ ในวันเสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์วังวรดิศ
ได้ทรงมีรับสั่งชมเชยถึงความเสียสละของคุณพ่อในการดํารงรักษาวังวรดิศเป็นพระเกียรติยศ
ถวายสมเด็จปู่ของพ่อ ผมและครอบครัวมีความปลาบปลื้มใจสุดพรรณนา"
ในช่วงท้ายของการบรรยายพิเศษ เรื่อง 'คุณธรรมจริยธรรม' ม.ล.ปนัดดา กล่าวกับครูอาจารย์
ลูกหลานเยาวชนและผู้เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วังวรดิศว่า "การกระทําสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตั้งแต่เรื่องใกล้ตัว
จนกระทั่งไกลตัว จําต้องมีความเพียรพยายามอย่างมาก เพื่อให้งานเกิดความสําเร็จ ยิ่งงานนั้น
เป็นเรื่องของคุณงามความดี ไม่มีเรื่องผลประโยชน์อื่นใดมาข้องเกี่ยว เรายิ่งมีความเพียร
และทําด้วยใจบริสุทธิ์ เพื่อผลดีผลได้แก่องค์กรและสังคม ผู้อื่นมองแล้วมีความเชื่อมั่นศรัทธา
สิ่งนี้ที่เรียกว่า 'ธรรมชาติของมนุษย์' (Human Nature) คือ การทําความดี โดยไม่ต้องให้ใคร
มามอบคํานิยมหรือความชื่นชมใดๆ ในทางกลับกัน สิ่งใดก็ตามแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์
มีนอกมีใน ผู้กระทํามักรีบเร่งเป็นพิรุธ มีความร้อนอกร้อนใจ ลึกลับซับซ้อน งานในลักษณะนี้เรียกว่า
เป็นปมด้อย (Inferiority) แก่ผู้กระทํา มักมองคนอื่นเป็นศัตรูที่จะมาคอยจับผิด ซึ่งในหลายกรณี
มักจะคิดไปเอง ทุกข์ใจไปเอง มองผู้อื่นในเชิงลบ ซึ่งสิ่งนี้เขาเรียกว่าหลงตน กระทั่งหลงทาง กู่ไม่กลับ
เหมือนกับความหมาย 'กระทงหลงทาง' (be misguided)
คุณธรรมจริยธรรมจึงถือเป็นเรื่องค้ําจุนความอยู่รอดปลอดภัยของครอบครัว องค์กร และบ้านเมือง
ที่คิดจะกระทําอะไรแต่ละคราวต้องคํานึงถึงความถูกต้อง สิ่งอันพึงปฏิบัติ หรือไม่พึงปฏิบัติ
จะทําให้บุคคลตกน้ําไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ผู้ใหญ่ท่านสอนกันมาเช่นนี้ เพื่ออยากให้สังคมของเรา
ดํารงอยู่ด้วยความดี มีความร่มเย็นเป็นสุข"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ เปิด 'วังวรดิศ' รำลึก ๔๐ ปี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ณ วั
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ เปิด 'วังวรดิศ' รําลึก ๔๐ ปี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ณ วั
ม.ล.ปนัดดาฯ เปิด 'วังวรดิศ' รําลึก ๔๐ ปี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ณ วังวรดิศ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๐๐ น.
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม
ในฐานะประธานพิพิธภัณฑ์และหอสมุดสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ เปิด 'วังวรดิศ'
รําลึกครบรอบ ๔๐ ปี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ
ณ วังวรดิศ ถนนหลานหลวง ให้กับครูอาจารย์ นักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้าเยี่ยมชมวังวรดิศ
และรับฟังการบรรยายพิเศษ เรื่อง 'ประเทศชาติอยู่รอดได้ด้วยคุณธรรมจริยธรรม'
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวในความตอนหนึ่งของการบรรยายพิเศษว่า "เสมือน ๔๐ ปีเพิ่งผ่านพ้นไป
ผมยังจดจําได้แม่นยํา แม้ขณะนั้นยังเป็นนักศึกษาเรียนปริญญาโท แต่การที่พ่อตั้งใจจะทําอะไรสักอย่าง
เพื่อประโยชน์สุขแก่ส่วนรวม พ่อจะไม่เคยเว้นว่าง เสียสละทุกอย่างด้วยคํานึงถึงเกียรติยศของครอบครัว
และวงศ์ตระกูล เป็นที่มาของการเปิดวังวรดิศ วังซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ตราบจนสิ้นพระชนม์ ขึ้นเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า
'โรงเรียนดํารงราชานุภาพ' แหล่งเรียนรู้คุณธรรม ผ่านพ้นไป ๔๐ ปี ตั้งแต่บุพการียังอยู่กับเรา
จนกระทั่งท่านจากไป ดํารงไว้แต่คุณงามความดีให้เรารักและคิดถึง"
ทุกวันนี้ ภริยาของ ม.ล.ปนัดดา คือ คุณอัมพร ดิศกุล ณ อยุธยา และบุตรชาย ได้เป็นกําลังใจอันสําคัญ
ให้กับ ม.ล.ปนัดดา ทั้งในเรื่องหน้าที่ราชการและการดํารงรักษาวังวรดิศ ตลอดรวมถึงครูอาจารย์
และข้าราชการบํานาญกระทรวงมหาดไทยหลายท่านที่มีรักความความผูกพันกับวังวรดิศและบิดา
ของ ม.ล.ปนัดดา ต่างกรุณามาช่วยกันต้อนรับแขกเหรื่อและลูกหลานเยาวชน
ในการมาทัศนศึกษาวังบุคคลสําคัญของโลกแห่งนี้
"สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงมีพระกรุณาธิคุณ
กับบุพการีของผมอย่างหาที่สุดมิได้ ในวันเสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์วังวรดิศ
ได้ทรงมีรับสั่งชมเชยถึงความเสียสละของคุณพ่อในการดํารงรักษาวังวรดิศเป็นพระเกียรติยศ
ถวายสมเด็จปู่ของพ่อ ผมและครอบครัวมีความปลาบปลื้มใจสุดพรรณนา"
ในช่วงท้ายของการบรรยายพิเศษ เรื่อง 'คุณธรรมจริยธรรม' ม.ล.ปนัดดา กล่าวกับครูอาจารย์
ลูกหลานเยาวชนและผู้เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วังวรดิศว่า "การกระทําสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตั้งแต่เรื่องใกล้ตัว
จนกระทั่งไกลตัว จําต้องมีความเพียรพยายามอย่างมาก เพื่อให้งานเกิดความสําเร็จ ยิ่งงานนั้น
เป็นเรื่องของคุณงามความดี ไม่มีเรื่องผลประโยชน์อื่นใดมาข้องเกี่ยว เรายิ่งมีความเพียร
และทําด้วยใจบริสุทธิ์ เพื่อผลดีผลได้แก่องค์กรและสังคม ผู้อื่นมองแล้วมีความเชื่อมั่นศรัทธา
สิ่งนี้ที่เรียกว่า 'ธรรมชาติของมนุษย์' (Human Nature) คือ การทําความดี โดยไม่ต้องให้ใคร
มามอบคํานิยมหรือความชื่นชมใดๆ ในทางกลับกัน สิ่งใดก็ตามแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์
มีนอกมีใน ผู้กระทํามักรีบเร่งเป็นพิรุธ มีความร้อนอกร้อนใจ ลึกลับซับซ้อน งานในลักษณะนี้เรียกว่า
เป็นปมด้อย (Inferiority) แก่ผู้กระทํา มักมองคนอื่นเป็นศัตรูที่จะมาคอยจับผิด ซึ่งในหลายกรณี
มักจะคิดไปเอง ทุกข์ใจไปเอง มองผู้อื่นในเชิงลบ ซึ่งสิ่งนี้เขาเรียกว่าหลงตน กระทั่งหลงทาง กู่ไม่กลับ
เหมือนกับความหมาย 'กระทงหลงทาง' (be misguided)
คุณธรรมจริยธรรมจึงถือเป็นเรื่องค้ําจุนความอยู่รอดปลอดภัยของครอบครัว องค์กร และบ้านเมือง
ที่คิดจะกระทําอะไรแต่ละคราวต้องคํานึงถึงความถูกต้อง สิ่งอันพึงปฏิบัติ หรือไม่พึงปฏิบัติ
จะทําให้บุคคลตกน้ําไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ผู้ใหญ่ท่านสอนกันมาเช่นนี้ เพื่ออยากให้สังคมของเรา
ดํารงอยู่ด้วยความดี มีความร่มเย็นเป็นสุข"
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13111
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย กทม.สนองนโยบายนายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดเดินเรือคลองผดุง ก.ย.นี้ มุ่งระบายรถบนถนน เชื่อมหัวลำโพง-เจ้าพระยา ควบคู่แผนส่งเสริมการค้าการท่องเที่ยว ฟื้นฟูวิถีชีวิตไทย
|
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559
โฆษกรัฐบาลเผย กทม.สนองนโยบายนายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดเดินเรือคลองผดุง ก.ย.นี้ มุ่งระบายรถบนถนน เชื่อมหัวลําโพง-เจ้าพระยา ควบคู่แผนส่งเสริมการค้าการท่องเที่ยว ฟื้นฟูวิถีชีวิตไทย
โฆษกรัฐบาลเผย กทม.สนองนโยบายนายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดเดินเรือคลองผดุง ก.ย.นี้ มุ่งระบายรถบนถนน เชื่อมหัวลําโพง-เจ้าพระยา ควบคู่แผนส่งเสริมการค้าการท่องเที่ยว ฟื้นฟูวิถีชีวิตไทย
พลตรี สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในเดือนกันยายนนี้ กทม.จะเริ่มนําร่องให้บริการเรือโดยสารในคลองผดุงกรุงเกษม จากท่าเรือหัวลําโพงถึงท่าเรือเทเวศน์ ระยะทาง 5 กม.ตามนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อระบายการจราจรทางถนนที่คับคั่งจากสถานีรถไฟหัวลําโพงไปยังแม่น้ําเจ้าพระยา และส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ํา
“การดําเนินงานแบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 จะดําเนินการก่อสร้างท่าเรือใหม่ในคลองผดุง 1 ท่าเรือ คือ ท่าเรือเทวราชกุญชร ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย.นี้ รวมทั้งปรับปรุงเรือของสํานักระบายน้ํา จํานวน 4 ลํา โดยใส่หลังคาคลุมกันแดดและฝน จัดที่นั่ง และอุปกรณ์ความปลอดภัย เพื่อให้บริการประชาชน เดินทางเชื่อมต่อสถานีรถไฟหัวลําโพง สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีหัวลําโพง กับเรือด่วนเจ้าพระยาที่ท่าเรือเทเวศร์
ระยะที่ 2 จะดําเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองผดุงกรุงเกษม ขุดลอก ดูดเลนในคลองและซ่อมแซมผนังเขื่อนตามแนวคลอง พร้อมทั้งจัดหาเรือโดยสารเพิ่มเติม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพาณิชย์ โดยคาดว่าจะเริ่มเดินเรือในคลองได้ราว เดือน มี.ค.60"
พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีฝากขอบคุณ กทม. ที่ได้นํานโยบายไปสู่การปฏิบัติจนเกิดผล โดยอยากให้ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน คํานึงถึงความสะดวกของประชาชน รวมทั้งกําชับให้ดูแลเรื่องของสภาพเรือ และจิตสํานึกของคนขับ เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร
“ท่านนายกฯ ย้ําว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งในเมือง เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดหนาแน่น โดยเร่งรัดโครงการก่อสร้างทางพิเศษ รถไฟฟ้า รวมถึงเรือโดยสารในแม่น้ําลําคลองต่าง ๆ
โดยเฉพาะการสัญจรทางน้ํานั้น ขอให้คิดเพิ่มเติมเรื่องการฟื้นฟูวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย เช่น การขายสินค้า อาหารในเรือ การเดินทางท่องเที่ยวสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ริมน้ํา เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ด้วย”
--------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย กทม.สนองนโยบายนายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดเดินเรือคลองผดุง ก.ย.นี้ มุ่งระบายรถบนถนน เชื่อมหัวลำโพง-เจ้าพระยา ควบคู่แผนส่งเสริมการค้าการท่องเที่ยว ฟื้นฟูวิถีชีวิตไทย
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559
โฆษกรัฐบาลเผย กทม.สนองนโยบายนายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดเดินเรือคลองผดุง ก.ย.นี้ มุ่งระบายรถบนถนน เชื่อมหัวลําโพง-เจ้าพระยา ควบคู่แผนส่งเสริมการค้าการท่องเที่ยว ฟื้นฟูวิถีชีวิตไทย
โฆษกรัฐบาลเผย กทม.สนองนโยบายนายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดเดินเรือคลองผดุง ก.ย.นี้ มุ่งระบายรถบนถนน เชื่อมหัวลําโพง-เจ้าพระยา ควบคู่แผนส่งเสริมการค้าการท่องเที่ยว ฟื้นฟูวิถีชีวิตไทย
พลตรี สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในเดือนกันยายนนี้ กทม.จะเริ่มนําร่องให้บริการเรือโดยสารในคลองผดุงกรุงเกษม จากท่าเรือหัวลําโพงถึงท่าเรือเทเวศน์ ระยะทาง 5 กม.ตามนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อระบายการจราจรทางถนนที่คับคั่งจากสถานีรถไฟหัวลําโพงไปยังแม่น้ําเจ้าพระยา และส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ํา
“การดําเนินงานแบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 จะดําเนินการก่อสร้างท่าเรือใหม่ในคลองผดุง 1 ท่าเรือ คือ ท่าเรือเทวราชกุญชร ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย.นี้ รวมทั้งปรับปรุงเรือของสํานักระบายน้ํา จํานวน 4 ลํา โดยใส่หลังคาคลุมกันแดดและฝน จัดที่นั่ง และอุปกรณ์ความปลอดภัย เพื่อให้บริการประชาชน เดินทางเชื่อมต่อสถานีรถไฟหัวลําโพง สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีหัวลําโพง กับเรือด่วนเจ้าพระยาที่ท่าเรือเทเวศร์
ระยะที่ 2 จะดําเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองผดุงกรุงเกษม ขุดลอก ดูดเลนในคลองและซ่อมแซมผนังเขื่อนตามแนวคลอง พร้อมทั้งจัดหาเรือโดยสารเพิ่มเติม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพาณิชย์ โดยคาดว่าจะเริ่มเดินเรือในคลองได้ราว เดือน มี.ค.60"
พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีฝากขอบคุณ กทม. ที่ได้นํานโยบายไปสู่การปฏิบัติจนเกิดผล โดยอยากให้ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน คํานึงถึงความสะดวกของประชาชน รวมทั้งกําชับให้ดูแลเรื่องของสภาพเรือ และจิตสํานึกของคนขับ เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร
“ท่านนายกฯ ย้ําว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งในเมือง เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดหนาแน่น โดยเร่งรัดโครงการก่อสร้างทางพิเศษ รถไฟฟ้า รวมถึงเรือโดยสารในแม่น้ําลําคลองต่าง ๆ
โดยเฉพาะการสัญจรทางน้ํานั้น ขอให้คิดเพิ่มเติมเรื่องการฟื้นฟูวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย เช่น การขายสินค้า อาหารในเรือ การเดินทางท่องเที่ยวสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ริมน้ํา เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ด้วย”
--------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/269
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2561
|
วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2561
รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รัก ทุกท่าน
เนื่องในโอกาสเทศกาล “ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่” ที่กําลังจะมาถึงนี้ ผมขออัญเชิญข้อความพระราชทานพร ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในบัตรอวยพรปีใหม่ ความว่า “สวัสดี สุขสันต์ สู่ปีใหม่ ด้วยการบํารุงรักษาสุขภาพอนามัย ด้วยร่างกายที่แข็งแรง จิตใจที่สดใสเข้มแข็ง ด้วยการเล่นกีฬาและออกกําลังกายในแบบต่าง ๆ” ที่สะท้อนให้เห็นถึง พระองค์ท่านทรงให้ความสําคัญกับสถาบันครอบครัว ความเอาใจใส่ต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ และหวังให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสําคัญของการมีสุขภาพที่ดี ด้วยการออกกําลังกาย อันเป็นกิจกรรมดี ๆ ที่สมาชิกในครอบครัว สามารถทําร่วมกันได้ ทั้งที่บ้านหรือสถานที่อื่น ๆ
นอกจากนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทาน ส.ค.ส. เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่นี้ เป็นภาพฝีพระหัตถ์ “ปีกุน หมูอยู่ยั่งยืน” พร้อมข้อความพรปีใหม่พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย สรุปใจความได้ว่า “ให้คนไทยใช้ปัญญา ในการพิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ” ซึ่งผมขออัญเชิญ “พรอันประเสริฐ” ของทั้ง 2 พระองค์ มาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต สําหรับพี่น้องประชาชนชาวไทย ทุก ๆ คน โดยขอให้น้อมนําไปใช้ในการดํารงชีวิตประจําวัน เพื่อสร้างความสงบ ความสุข สําหรับตนเองและครอบครัว รวมทั้งประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติภารกิจน้อย-ใหญ่ เพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้า สําหรับสังคมและบ้านเมืองด้วย ซึ่งผมเห็นว่าทั้งการออกกําลังกายและการดูแลรักษาสุขภาพ การใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา อีกทั้งการให้ความสําคัญกับการสร้างความอบอุ่น มั่นคงของสถาบันครอบครัวนั้น จะเป็นประโยชน์อย่างมาก สําหรับพวกเราทุกคน ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงของโลกในวันข้างหน้า ในมิติต่าง ๆ รวมไปจนถึงความผันแปรทางธรรมชาติ และทางเทคโนโลยีด้วยนะครับ
พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ
อีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว ประเทศไทยของเรา ก็จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่การเป็นประธานอาเซียนอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 ไปจนครบหนึ่งขวบปีเต็ม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ซึ่งในโอกาสที่เลขาธิการอาเซียน เดินทางมาเยือนประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้จัดงาน “รวมใจประสาน สู่ประธานอาเซียน” ขึ้น ณ ทําเนียบรัฐบาล ถือเป็นการเปิดตัว และแสดงออกถึงความพร้อมของไทย สําหรับการเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า ด้วยความมุ่งมั่น สําหรับการจัดงานครั้งสําคัญนี้ ได้รับความร่วมมือ ร่วมใจ จากผู้แทนทุกภาคส่วน ทั้งคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน เยาวชน นักศึกษา ภาคเอกชน ศิลปิน ดารา ผู้มีชื่อเสียง นักกีฬา รวมไปถึงผู้ที่ทํางานเกี่ยวข้องกับอาเซียนโดยตรง ต่างได้มาร่วมกิจกรรม ด้วยความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน หรือเป็น “ทีมประเทศไทย” เพื่อร่วมมือกันขับเคลื่อนความร่วมมือด้านต่าง ๆ ของอาเซียน และเป็นเจ้าบ้านที่ดี ให้สอดคล้องกับแนวคิดหลักในการเป็นประธานอาเซียนของไทย ที่ตั้งไว้ คือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน”
ทั้งนี้ อาเซียนถูกก่อตั้งขึ้นที่กรุงเทพฯ ในปี 2510 ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 5 ทศวรรษมาแล้ว โดยอาเซียนได้เติบโต เป็นประชาคมในภูมิภาคที่มีสันติภาพและความมั่นคง โดยเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นลําดับ 6 ของโลก ที่มีแนวโน้มที่จะก้าวไปสู่ลําดับที่ 4 ของโลก ภายในปี ค.ศ. 2030 หรือประมาณ 10 ปีข้างหน้า ซึ่งที่ผ่านมา อาเซียนมีบทบาทเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ และมีการค้าการลงทุนที่เติบโตขึ้นมากภายใต้ความตกลงอาเซียน อย่างไรก็ดี อาเซียนกําลังเผชิญหน้ากับความท้าทายหลายประเด็น อาทิ การแข่งขันทางการค้า เทคโนโลยีก้าวกระโดด อาชญากรรมข้ามชาติ ความเหลื่อมล้ํา และความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมในภูมิภาค ทําให้เราทั้ง 10 ประเทศ ต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นบนพื้นฐานของ “เอกภาพอาเซียน” และหลักการ “สามเอ็ม” (3Ms) คือ การไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน (Mutual trust) ความเคารพซึ่งกันและกัน (Mutual respect) และผลประโยชน์ร่วมกัน (Mutual benefit) เพื่อนําไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม สามารถรองรับความท้าทาย พร้อมทั้งเสริมสร้างความยั่งยืน ให้กับอาเซียน ในทุกมิติ
สําหรับการเป็นประธานอาเซียนนั้น นับเป็นโอกาสของประเทศที่จะเกิดขึ้นเพียง 1 ครั้งเท่านั้นในทุก ๆ 10 ปี โดยในช่วงเวลาหนึ่งปีนี้ ประเทศไทยและพี่น้องประชาชนชาวไทย ควรใช้โอกาสนี้ ในการช่วยกันผนึกพลังขับเคลื่อนให้ประชาคมอาเซียนมีความเติบโตก้าวหน้า มีนวัตกรรม สร้างอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียว มีความเชื่อมโยง ทั้งในและนอกภูมิภาค เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้ง ยกระดับบทบาทของประเทศไทยในภูมิภาค โดยการทําหน้าที่ประธานอาเซียนของสิงคโปร์ ในปี 2561 ที่กําลังจะหมดลง นับได้ว่าประสบความสําเร็จอย่างมากในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนให้มีความเข้มแข็ง และสร้างนวัตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประเทศไทยจะสานต่อประเด็นที่อาเซียนได้ให้ความสําคัญในปีนี้ โดยเฉพาะเรื่องเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน เพื่อสร้างความต่อเนื่องและให้เกิดผลอย่างยั่งยืนให้กับประชาคมอาเซียน นอกจากนี้ ประเทศไทยจะมุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภูมิภาค พยายามแก้ไขข้ออุปสรรคที่ทําให้ความร่วมมือต่าง ๆ เป็นไปอย่างล่าช้า ผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว รวมทั้งการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนใน ASEAN และภาคีภายนอก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอาเซียน อาทิ เป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมองไปในอนาคต เพื่อให้เกิดการเติบโตและพัฒนาการที่ยั่งยืนนะครับ
ผมขอเรียนว่า ในการทําหน้าที่ประธานอาเซียนนี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกว่า 180 การประชุม ทั้งในกรุงเทพฯ เมืองหลัก และเมืองรองทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังจะสร้างประโยชน์ จากความร่วมมือด้านต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนในหลากหลายกลุ่ม ทั้งภาคธุรกิจ ภาครัฐ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ซึ่งการเดินทางเข้ามาเห็น เข้ามาสัมผัสกับคนไทย ธุรกิจไทย สถานที่ท่องเที่ยวไทย ก็จะเอื้อต่อการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ และประชาชนได้ดีขึ้น ผมจึงอยากขอให้คนไทยทุกคนเตรียมตัวเปิดบ้านของเรา เป็นเจ้าบ้านที่ดี ในการต้อนรับผู้นําและผู้เข้าร่วมประชุม ที่แขกต่างบ้านต่างเมือง ทั้งเพื่อนอาเซียนและประเทศคู่เจรจาอาเซียนจากทั่วโลก เพื่อให้การประชุมต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้ผลอย่างที่มุ่งหวัง และยังสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน จนอยากจะหวนกลับมาเยือนบ้านเราอีก ซึ่งถือเป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศและการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ผมขอให้ทุกภาคส่วนเข้าร่วมเป็นพลังของการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนในทุกมิติ โดยร่วมกันผลักดันการพัฒนาอาเซียนไปพร้อม ๆ กับประเทศสมาชิก โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อสร้างสังคมอาเซียนที่สงบสุข เข้มแข็ง และก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ การเป็นประธานอาเซียนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลจะสามารถขับเคลื่อนให้ลุล่วงเพียงฝ่ายเดียวได้ แต่เป็นเรื่องของคนไทยทุกคน เราในฐานะคนไทย ต่างมีส่วนที่จะช่วยสร้างความประทับใจให้ผู้มาเยือน ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินทางมาถึง ด้วยการให้บริการ และการแสดงน้ําใจ อาทิ “อาเซียน เลน” สําหรับการบริการและการอํานวยความสะดวกในการเดินทาง การให้บริการอื่น ๆ สําหรับอาคันตุกะ นอกจากจะต้องซื่อตรงแล้ว ควรคํานึงถึงความสะดวกสบาย สะอาด และเป็นระเบียบเรียบร้อย ชาวบ้าน ร้านรวง ต้องดูแลรักษาหน้าบ้านให้น่ามอง ไม่มีขยะ ร้านอาหาร ร้านขายของ ซึ่งปัจจุบันทราบว่าพยายามรณรงค์ “งด ลด เลิก” พลาสติก - โฟม ได้เป็นจํานวนมาก พร้อมหันมาใช้วัสดุรีไซเคิล เพื่อลดปริมาณขยะและลดโลกร้อน ซึ่งสอดรับกับแนวความคิดของไทยในฐานะประธานอาเซียนในครั้งนี้ ที่ต้องการจัดการประชุมแบบ “Green Meeting” เพื่อให้สมาชิกอาเซียนและคู่เจรจาทั่วโลกที่มาเยือน ได้เห็นความร่วมมือร่วมใจ ของเรานะครับ
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
จากการที่ไทยจะเป็นประธานอาเซียนในปีหน้านี้ รัฐบาลได้มีแผนงานโครงการจํานวนมากของหน่วยงานต่าง ๆ และกระทรวงที่เกี่ยวข้องที่ได้ตระเตรียมไว้ เพื่อชาวอาเซียนในภาพรวม อาทิ การประกาศให้ปี 2562 เป็นปีวัฒนธรรมอาเซียน โดยกระทรวงวัฒนธรรมได้จัดทําแผนงาน กิจกรรม และโครงการต่าง ๆ ตลอดทั้งปี ทั้งในอาเซียนและทั่วโลก เพื่อส่งเสริมบทบาทของไทย และเชิดชูเกียรติภูมิของอาเซียน ด้วยมิติทางวัฒนธรรม โดยมีประเทศไทยเป็นผู้ประสานงานความร่วมมือกับ ประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจา และเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมอาเซียนในเวทีโลก อาทิ หนังสือวิวิธอาเซียน ฉบับภาษาอังกฤษ และหนังสือมรดกอาเซียน มรดกโลก ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติที่สําคัญของอาเซียน เทศกาลภาพยนตร์อาเซียน เทศกาลหุ่นอาเซียน และเปิดตัวภาพยนตร์ แอนิเมชั่น เรื่อง “รามเกียรติ์” (หรือ รามายณะ) อันเป็นมรดกร่วม ทางวัฒนธรรมของอาเซียน งานเทศกาลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มหกรรมวัฒนธรรมอาเซียน ในโอกาสเฉลิมฉลอง 237 ปีกรุงรัตนโกสินทร์ กิจกรรมวัฒนธรรมสัญจรอาเซียนสู่โลก โดยจะจัดการแสดงศิลปวัฒนธรรมร่วมกันในยุโรปและเอเชีย รวมทั้งนิทรรศการ ASEAN Street Food อีกด้วยทั้งหมดนี้ เรามีวัตถุประสงค์เพื่อใช้มิติทางวัฒนธรรมในการส่งเสริมบทบาทของไทย ในฐานะประธานอาเซียน ภายใต้นโยบายการทูตทางวัฒนธรรม เพื่อผสานอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียว ด้วยอัตลักษณ์ที่งดงาม และความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเชิดชูเกียรติภูมิของอาเซียน ให้โดดเด่นเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก นอกจากนี้จะเป็นการผนึกกําลังของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อจะสร้างบทบาทเชิงรุกในประชาคมโลกต่อไปด้วย
“พลังทางวัฒนธรรม” นั้น แม้จะเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ แต่เราสามารถจะรับรู้ได้ถึงพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ นอกจากจะสะท้อนให้ถึงความเป็นชาติแล้ว ยังเป็นตัวชี้วัดความเข้มแข็งของคนในชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรมนุษย์ได้อีกด้วย ดังนั้น ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นประธานในพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณสุดยอดวัฒนธรรมสร้างสรรค์แห่งปี พ.ศ. 2561 และขอหยิบยกมากล่าวซ้ํา อีกครั้ง เพื่อย้ําเตือนถึงความสําคัญของแต่ละรางวัล อาทิ รางวัลบุคคลแห่งปี ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์นํามาซึ่งชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศไทย และปฏิบัติตนเป็นที่ยอมรับของสังคมได้แก่ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) คนไทยคนแรก ที่ได้รับรางวัลผู้อุปถัมภ์ UNHCR ด้านสันติภาพและเมตตาธรรม ศาสตราจารย์ ประเสริฐ ณ นคร เป็นผู้ชําระประวัติศาสตร์ แปลศิลาจารึก ศาสตรเมธี ดร.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ผู้สร้างวัดร่องขุน ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมไทย ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น และเป็นที่รู้จักทั่วโลก โดยได้รวบรวมพลังศิลปินขัวศิลปะเชียงราย เขียนภาพ The Hero และสละกําลังทรัพย์จัดตั้งพิพิธภัณฑ์จ่าแซมที่อุทยานถ้ําหลวงขุนน้ํานางนอน อีกด้วย นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการร่วมค้นหาผู้สูญหาย ในอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ซึ่งได้ทํางานอย่างทุ่มเท เสียสละ เป็นนักบริหารจัดการที่ดี สามารถช่วยเหลือ 13 ชีวิต ทีมหมูป่าออกมาจากถ้ําหลวงได้อย่างปลอดภัย ทําให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ นาวาตรี สมาน กุนัน (จ่าแซม) อดีตนักทําลายใต้น้ําจู่โจม ซึ่งเป็นผู้มีจิตอาสา มาช่วยเหลือ 13 ชีวิต ทีมหมูป่า จนหมดสติ และเสียชีวิตลง นับว่าเป็นผู้กล้า ผู้เสียสละ เป็นวีรบุรุษแห่งถ้ําหลวงขุนน้ํานางนอน ที่ยิ่งใหญ่ และนายอาทิวราห์ คงมาลัย (ตูน บอดี้สแลม) ต้นแบบของเด็กและเยาวชน และประชาชน ในการช่วยเหลือสังคม มีผลงานที่โดดเด่นในโครงการก้าวคนละก้าว เพื่อระดมทุนจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และสร้างโรงพยาบาลเป็นเงินมากกว่า 1,000 ล้านบาท ทําให้ประชาชนได้รับการบริการด้านสาธารณสุขอย่างทั่วถึง เป็นต้น
ทั้งนี้ ผมขอแสดงความยินดี และขอให้พวกเราทุกคนได้ยกย่องเป็นต้นแบบแห่งความดีงาม และความเป็นไทย ที่ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของเรา และอยากประกาศแก่นานาประเทศทั่วโลก ให้ได้รับรู้ว่าคนไทยมีความรู้ ความสามารถ มีความรัก ความสามัคคี มีความเสียสละ มีจิตอาสา ที่สําคัญ เราทุกคนมีหัวใจที่เข้มแข็งในการทําความดีเพื่อสังคม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ซึ่งถือเป็นการสนองพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงได้พระราชทานโครงการจิตอาสา เราทําความ ดี ด้วยหัวใจ ที่ทรงมีพระราชปรารถนา ให้ประชาชนชาวไทยเป็นผู้มีจิตสาธารณะ และมีส่วนร่วมในการทําคุณประโยชน์แก่สังคม ชุมชน และประเทศชาติด้วย
สุดท้ายนี้ เนื่องในเทศกาลปีใหม่ที่พี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ จะได้เฉลิมฉลองศกใหม่ กับครอบครัว และญาติมิตรตามวิถีไทยที่งดงาม และครรลองของบ้านเมือง ที่เหมาะสม ผมขอให้ผู้ที่ต้องเดินทางกลับภูมิลําเนา หรือท่องเที่ยว ขอให้เดินทางไปและกลับ โดยสวัสดิภาพ มีสติ ไม่ประมาท ไม่ดื่มสุรา และคํานึงถึงความปลอดภัยของทุกคนเป็นที่ตั้งนะครับ
สําหรับชาวกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้ไปไหนไกล นอกจากจะมีการจัดกิจกรรม Count down แล้วยังมีงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์” ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่าซึ่งมีกิจกรรมการกุศลมากมาย เหมาะสําหรับการใช้เวลาร่วมกันของทุกคนในครอบครัว นอกจากนี้ ผมขอแนะนําให้ลองไปท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์และพหุวัฒนธรรม อีกทั้งการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นเกาะในแม่น้ําเจ้าพระยา โดยเป็นถิ่นฐานของชุมชนชาวมอญที่รักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมมอญไว้อย่างเหนียวแน่น นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชนริมแม่น้ําเจ้าพระยา วัดสําคัญต่าง ๆ รวมทั้งการเลือกซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์สินค้าต่าง ๆ ที่หลากหลาย โดยเฉพาะเครื่องปั้นดินเผา และเซรามิกรูปร่างต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังเป็นชุมชนต้นแบบอารยสถาปัตย์ ตามโครงการเกาะเกร็ดโมเดล ที่คนพิการและทุกคนในสังคม สามารถดํารงชีวิต และเดินทางได้อย่างอิสระ สะดวก ปลอดภัย สําหรับของดีเมืองนนท์ นอกจากสวน “ทุเรียนนนท์” ที่มีชื่อเสียงแล้ว ก็ยังมีโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีที่มีเสน่ห์ จากภูมิปัญญา วิถีชีวิต วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ สามารถแปลงเป็นอาชีพ สร้างรายได้ โดยมีเส้นทางท่องเที่ยวหมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี 6 อําเภอ 30 หมู่บ้าน เชื่อมโยงการท่องเที่ยวใน 3 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางน้ํา เส้นทางธรรมชาติ และเส้นทางวัฒนธรรม
อีกจังหวัด ที่ก็ไม่ไกลเลย เป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ และพหุวัฒนธรรมและการส่งเสริมเส้นทางปั่นจักรยาน บริเวณ คุ้งบางกะเจ้า อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ นับว่าเป็นแหล่งโอโซนใหญ่ในเมืองที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ยังมีสภาพเป็นป่าธรรมชาติ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และพรั่งพร้อมด้วยวิถีวัฒนธรรม ภูมิปัญญา เคยได้รับการยกย่องจากนิตยสารไทม์ส (Times) ให้เป็น “ปอดกลางเมือง” ที่ดีที่สุดของเอเชียอีกด้วย อีกทั้ง ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ป้อมพระจุลจอมเกล้า สถานตากอากาศบางปู เมืองโบราณ และฟาร์มจระเข้ เป็นต้น
ขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพ สมบูรณ์ แข็งแรง มีสวัสดิภาพ ในการเดินทางไป - กลับและทุกครอบครัวมีความสุขนะครับ สวัสดีครับ
.................................................................................
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2561
วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2561
รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รัก ทุกท่าน
เนื่องในโอกาสเทศกาล “ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่” ที่กําลังจะมาถึงนี้ ผมขออัญเชิญข้อความพระราชทานพร ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในบัตรอวยพรปีใหม่ ความว่า “สวัสดี สุขสันต์ สู่ปีใหม่ ด้วยการบํารุงรักษาสุขภาพอนามัย ด้วยร่างกายที่แข็งแรง จิตใจที่สดใสเข้มแข็ง ด้วยการเล่นกีฬาและออกกําลังกายในแบบต่าง ๆ” ที่สะท้อนให้เห็นถึง พระองค์ท่านทรงให้ความสําคัญกับสถาบันครอบครัว ความเอาใจใส่ต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ และหวังให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสําคัญของการมีสุขภาพที่ดี ด้วยการออกกําลังกาย อันเป็นกิจกรรมดี ๆ ที่สมาชิกในครอบครัว สามารถทําร่วมกันได้ ทั้งที่บ้านหรือสถานที่อื่น ๆ
นอกจากนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทาน ส.ค.ส. เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่นี้ เป็นภาพฝีพระหัตถ์ “ปีกุน หมูอยู่ยั่งยืน” พร้อมข้อความพรปีใหม่พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย สรุปใจความได้ว่า “ให้คนไทยใช้ปัญญา ในการพิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ” ซึ่งผมขออัญเชิญ “พรอันประเสริฐ” ของทั้ง 2 พระองค์ มาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต สําหรับพี่น้องประชาชนชาวไทย ทุก ๆ คน โดยขอให้น้อมนําไปใช้ในการดํารงชีวิตประจําวัน เพื่อสร้างความสงบ ความสุข สําหรับตนเองและครอบครัว รวมทั้งประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติภารกิจน้อย-ใหญ่ เพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้า สําหรับสังคมและบ้านเมืองด้วย ซึ่งผมเห็นว่าทั้งการออกกําลังกายและการดูแลรักษาสุขภาพ การใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา อีกทั้งการให้ความสําคัญกับการสร้างความอบอุ่น มั่นคงของสถาบันครอบครัวนั้น จะเป็นประโยชน์อย่างมาก สําหรับพวกเราทุกคน ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงของโลกในวันข้างหน้า ในมิติต่าง ๆ รวมไปจนถึงความผันแปรทางธรรมชาติ และทางเทคโนโลยีด้วยนะครับ
พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ
อีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว ประเทศไทยของเรา ก็จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่การเป็นประธานอาเซียนอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 ไปจนครบหนึ่งขวบปีเต็ม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ซึ่งในโอกาสที่เลขาธิการอาเซียน เดินทางมาเยือนประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้จัดงาน “รวมใจประสาน สู่ประธานอาเซียน” ขึ้น ณ ทําเนียบรัฐบาล ถือเป็นการเปิดตัว และแสดงออกถึงความพร้อมของไทย สําหรับการเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า ด้วยความมุ่งมั่น สําหรับการจัดงานครั้งสําคัญนี้ ได้รับความร่วมมือ ร่วมใจ จากผู้แทนทุกภาคส่วน ทั้งคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน เยาวชน นักศึกษา ภาคเอกชน ศิลปิน ดารา ผู้มีชื่อเสียง นักกีฬา รวมไปถึงผู้ที่ทํางานเกี่ยวข้องกับอาเซียนโดยตรง ต่างได้มาร่วมกิจกรรม ด้วยความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน หรือเป็น “ทีมประเทศไทย” เพื่อร่วมมือกันขับเคลื่อนความร่วมมือด้านต่าง ๆ ของอาเซียน และเป็นเจ้าบ้านที่ดี ให้สอดคล้องกับแนวคิดหลักในการเป็นประธานอาเซียนของไทย ที่ตั้งไว้ คือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน”
ทั้งนี้ อาเซียนถูกก่อตั้งขึ้นที่กรุงเทพฯ ในปี 2510 ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 5 ทศวรรษมาแล้ว โดยอาเซียนได้เติบโต เป็นประชาคมในภูมิภาคที่มีสันติภาพและความมั่นคง โดยเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นลําดับ 6 ของโลก ที่มีแนวโน้มที่จะก้าวไปสู่ลําดับที่ 4 ของโลก ภายในปี ค.ศ. 2030 หรือประมาณ 10 ปีข้างหน้า ซึ่งที่ผ่านมา อาเซียนมีบทบาทเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ และมีการค้าการลงทุนที่เติบโตขึ้นมากภายใต้ความตกลงอาเซียน อย่างไรก็ดี อาเซียนกําลังเผชิญหน้ากับความท้าทายหลายประเด็น อาทิ การแข่งขันทางการค้า เทคโนโลยีก้าวกระโดด อาชญากรรมข้ามชาติ ความเหลื่อมล้ํา และความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมในภูมิภาค ทําให้เราทั้ง 10 ประเทศ ต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นบนพื้นฐานของ “เอกภาพอาเซียน” และหลักการ “สามเอ็ม” (3Ms) คือ การไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน (Mutual trust) ความเคารพซึ่งกันและกัน (Mutual respect) และผลประโยชน์ร่วมกัน (Mutual benefit) เพื่อนําไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม สามารถรองรับความท้าทาย พร้อมทั้งเสริมสร้างความยั่งยืน ให้กับอาเซียน ในทุกมิติ
สําหรับการเป็นประธานอาเซียนนั้น นับเป็นโอกาสของประเทศที่จะเกิดขึ้นเพียง 1 ครั้งเท่านั้นในทุก ๆ 10 ปี โดยในช่วงเวลาหนึ่งปีนี้ ประเทศไทยและพี่น้องประชาชนชาวไทย ควรใช้โอกาสนี้ ในการช่วยกันผนึกพลังขับเคลื่อนให้ประชาคมอาเซียนมีความเติบโตก้าวหน้า มีนวัตกรรม สร้างอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียว มีความเชื่อมโยง ทั้งในและนอกภูมิภาค เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้ง ยกระดับบทบาทของประเทศไทยในภูมิภาค โดยการทําหน้าที่ประธานอาเซียนของสิงคโปร์ ในปี 2561 ที่กําลังจะหมดลง นับได้ว่าประสบความสําเร็จอย่างมากในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนให้มีความเข้มแข็ง และสร้างนวัตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประเทศไทยจะสานต่อประเด็นที่อาเซียนได้ให้ความสําคัญในปีนี้ โดยเฉพาะเรื่องเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน เพื่อสร้างความต่อเนื่องและให้เกิดผลอย่างยั่งยืนให้กับประชาคมอาเซียน นอกจากนี้ ประเทศไทยจะมุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภูมิภาค พยายามแก้ไขข้ออุปสรรคที่ทําให้ความร่วมมือต่าง ๆ เป็นไปอย่างล่าช้า ผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว รวมทั้งการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนใน ASEAN และภาคีภายนอก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอาเซียน อาทิ เป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมองไปในอนาคต เพื่อให้เกิดการเติบโตและพัฒนาการที่ยั่งยืนนะครับ
ผมขอเรียนว่า ในการทําหน้าที่ประธานอาเซียนนี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกว่า 180 การประชุม ทั้งในกรุงเทพฯ เมืองหลัก และเมืองรองทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังจะสร้างประโยชน์ จากความร่วมมือด้านต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนในหลากหลายกลุ่ม ทั้งภาคธุรกิจ ภาครัฐ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ซึ่งการเดินทางเข้ามาเห็น เข้ามาสัมผัสกับคนไทย ธุรกิจไทย สถานที่ท่องเที่ยวไทย ก็จะเอื้อต่อการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ และประชาชนได้ดีขึ้น ผมจึงอยากขอให้คนไทยทุกคนเตรียมตัวเปิดบ้านของเรา เป็นเจ้าบ้านที่ดี ในการต้อนรับผู้นําและผู้เข้าร่วมประชุม ที่แขกต่างบ้านต่างเมือง ทั้งเพื่อนอาเซียนและประเทศคู่เจรจาอาเซียนจากทั่วโลก เพื่อให้การประชุมต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้ผลอย่างที่มุ่งหวัง และยังสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน จนอยากจะหวนกลับมาเยือนบ้านเราอีก ซึ่งถือเป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศและการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ผมขอให้ทุกภาคส่วนเข้าร่วมเป็นพลังของการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนในทุกมิติ โดยร่วมกันผลักดันการพัฒนาอาเซียนไปพร้อม ๆ กับประเทศสมาชิก โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อสร้างสังคมอาเซียนที่สงบสุข เข้มแข็ง และก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ การเป็นประธานอาเซียนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลจะสามารถขับเคลื่อนให้ลุล่วงเพียงฝ่ายเดียวได้ แต่เป็นเรื่องของคนไทยทุกคน เราในฐานะคนไทย ต่างมีส่วนที่จะช่วยสร้างความประทับใจให้ผู้มาเยือน ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินทางมาถึง ด้วยการให้บริการ และการแสดงน้ําใจ อาทิ “อาเซียน เลน” สําหรับการบริการและการอํานวยความสะดวกในการเดินทาง การให้บริการอื่น ๆ สําหรับอาคันตุกะ นอกจากจะต้องซื่อตรงแล้ว ควรคํานึงถึงความสะดวกสบาย สะอาด และเป็นระเบียบเรียบร้อย ชาวบ้าน ร้านรวง ต้องดูแลรักษาหน้าบ้านให้น่ามอง ไม่มีขยะ ร้านอาหาร ร้านขายของ ซึ่งปัจจุบันทราบว่าพยายามรณรงค์ “งด ลด เลิก” พลาสติก - โฟม ได้เป็นจํานวนมาก พร้อมหันมาใช้วัสดุรีไซเคิล เพื่อลดปริมาณขยะและลดโลกร้อน ซึ่งสอดรับกับแนวความคิดของไทยในฐานะประธานอาเซียนในครั้งนี้ ที่ต้องการจัดการประชุมแบบ “Green Meeting” เพื่อให้สมาชิกอาเซียนและคู่เจรจาทั่วโลกที่มาเยือน ได้เห็นความร่วมมือร่วมใจ ของเรานะครับ
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
จากการที่ไทยจะเป็นประธานอาเซียนในปีหน้านี้ รัฐบาลได้มีแผนงานโครงการจํานวนมากของหน่วยงานต่าง ๆ และกระทรวงที่เกี่ยวข้องที่ได้ตระเตรียมไว้ เพื่อชาวอาเซียนในภาพรวม อาทิ การประกาศให้ปี 2562 เป็นปีวัฒนธรรมอาเซียน โดยกระทรวงวัฒนธรรมได้จัดทําแผนงาน กิจกรรม และโครงการต่าง ๆ ตลอดทั้งปี ทั้งในอาเซียนและทั่วโลก เพื่อส่งเสริมบทบาทของไทย และเชิดชูเกียรติภูมิของอาเซียน ด้วยมิติทางวัฒนธรรม โดยมีประเทศไทยเป็นผู้ประสานงานความร่วมมือกับ ประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจา และเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมอาเซียนในเวทีโลก อาทิ หนังสือวิวิธอาเซียน ฉบับภาษาอังกฤษ และหนังสือมรดกอาเซียน มรดกโลก ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติที่สําคัญของอาเซียน เทศกาลภาพยนตร์อาเซียน เทศกาลหุ่นอาเซียน และเปิดตัวภาพยนตร์ แอนิเมชั่น เรื่อง “รามเกียรติ์” (หรือ รามายณะ) อันเป็นมรดกร่วม ทางวัฒนธรรมของอาเซียน งานเทศกาลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มหกรรมวัฒนธรรมอาเซียน ในโอกาสเฉลิมฉลอง 237 ปีกรุงรัตนโกสินทร์ กิจกรรมวัฒนธรรมสัญจรอาเซียนสู่โลก โดยจะจัดการแสดงศิลปวัฒนธรรมร่วมกันในยุโรปและเอเชีย รวมทั้งนิทรรศการ ASEAN Street Food อีกด้วยทั้งหมดนี้ เรามีวัตถุประสงค์เพื่อใช้มิติทางวัฒนธรรมในการส่งเสริมบทบาทของไทย ในฐานะประธานอาเซียน ภายใต้นโยบายการทูตทางวัฒนธรรม เพื่อผสานอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียว ด้วยอัตลักษณ์ที่งดงาม และความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเชิดชูเกียรติภูมิของอาเซียน ให้โดดเด่นเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก นอกจากนี้จะเป็นการผนึกกําลังของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อจะสร้างบทบาทเชิงรุกในประชาคมโลกต่อไปด้วย
“พลังทางวัฒนธรรม” นั้น แม้จะเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ แต่เราสามารถจะรับรู้ได้ถึงพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ นอกจากจะสะท้อนให้ถึงความเป็นชาติแล้ว ยังเป็นตัวชี้วัดความเข้มแข็งของคนในชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรมนุษย์ได้อีกด้วย ดังนั้น ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นประธานในพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณสุดยอดวัฒนธรรมสร้างสรรค์แห่งปี พ.ศ. 2561 และขอหยิบยกมากล่าวซ้ํา อีกครั้ง เพื่อย้ําเตือนถึงความสําคัญของแต่ละรางวัล อาทิ รางวัลบุคคลแห่งปี ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์นํามาซึ่งชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศไทย และปฏิบัติตนเป็นที่ยอมรับของสังคมได้แก่ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) คนไทยคนแรก ที่ได้รับรางวัลผู้อุปถัมภ์ UNHCR ด้านสันติภาพและเมตตาธรรม ศาสตราจารย์ ประเสริฐ ณ นคร เป็นผู้ชําระประวัติศาสตร์ แปลศิลาจารึก ศาสตรเมธี ดร.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ผู้สร้างวัดร่องขุน ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมไทย ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น และเป็นที่รู้จักทั่วโลก โดยได้รวบรวมพลังศิลปินขัวศิลปะเชียงราย เขียนภาพ The Hero และสละกําลังทรัพย์จัดตั้งพิพิธภัณฑ์จ่าแซมที่อุทยานถ้ําหลวงขุนน้ํานางนอน อีกด้วย นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการร่วมค้นหาผู้สูญหาย ในอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ซึ่งได้ทํางานอย่างทุ่มเท เสียสละ เป็นนักบริหารจัดการที่ดี สามารถช่วยเหลือ 13 ชีวิต ทีมหมูป่าออกมาจากถ้ําหลวงได้อย่างปลอดภัย ทําให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ นาวาตรี สมาน กุนัน (จ่าแซม) อดีตนักทําลายใต้น้ําจู่โจม ซึ่งเป็นผู้มีจิตอาสา มาช่วยเหลือ 13 ชีวิต ทีมหมูป่า จนหมดสติ และเสียชีวิตลง นับว่าเป็นผู้กล้า ผู้เสียสละ เป็นวีรบุรุษแห่งถ้ําหลวงขุนน้ํานางนอน ที่ยิ่งใหญ่ และนายอาทิวราห์ คงมาลัย (ตูน บอดี้สแลม) ต้นแบบของเด็กและเยาวชน และประชาชน ในการช่วยเหลือสังคม มีผลงานที่โดดเด่นในโครงการก้าวคนละก้าว เพื่อระดมทุนจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และสร้างโรงพยาบาลเป็นเงินมากกว่า 1,000 ล้านบาท ทําให้ประชาชนได้รับการบริการด้านสาธารณสุขอย่างทั่วถึง เป็นต้น
ทั้งนี้ ผมขอแสดงความยินดี และขอให้พวกเราทุกคนได้ยกย่องเป็นต้นแบบแห่งความดีงาม และความเป็นไทย ที่ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของเรา และอยากประกาศแก่นานาประเทศทั่วโลก ให้ได้รับรู้ว่าคนไทยมีความรู้ ความสามารถ มีความรัก ความสามัคคี มีความเสียสละ มีจิตอาสา ที่สําคัญ เราทุกคนมีหัวใจที่เข้มแข็งในการทําความดีเพื่อสังคม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ซึ่งถือเป็นการสนองพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงได้พระราชทานโครงการจิตอาสา เราทําความ ดี ด้วยหัวใจ ที่ทรงมีพระราชปรารถนา ให้ประชาชนชาวไทยเป็นผู้มีจิตสาธารณะ และมีส่วนร่วมในการทําคุณประโยชน์แก่สังคม ชุมชน และประเทศชาติด้วย
สุดท้ายนี้ เนื่องในเทศกาลปีใหม่ที่พี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ จะได้เฉลิมฉลองศกใหม่ กับครอบครัว และญาติมิตรตามวิถีไทยที่งดงาม และครรลองของบ้านเมือง ที่เหมาะสม ผมขอให้ผู้ที่ต้องเดินทางกลับภูมิลําเนา หรือท่องเที่ยว ขอให้เดินทางไปและกลับ โดยสวัสดิภาพ มีสติ ไม่ประมาท ไม่ดื่มสุรา และคํานึงถึงความปลอดภัยของทุกคนเป็นที่ตั้งนะครับ
สําหรับชาวกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้ไปไหนไกล นอกจากจะมีการจัดกิจกรรม Count down แล้วยังมีงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์” ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่าซึ่งมีกิจกรรมการกุศลมากมาย เหมาะสําหรับการใช้เวลาร่วมกันของทุกคนในครอบครัว นอกจากนี้ ผมขอแนะนําให้ลองไปท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์และพหุวัฒนธรรม อีกทั้งการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นเกาะในแม่น้ําเจ้าพระยา โดยเป็นถิ่นฐานของชุมชนชาวมอญที่รักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมมอญไว้อย่างเหนียวแน่น นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชนริมแม่น้ําเจ้าพระยา วัดสําคัญต่าง ๆ รวมทั้งการเลือกซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์สินค้าต่าง ๆ ที่หลากหลาย โดยเฉพาะเครื่องปั้นดินเผา และเซรามิกรูปร่างต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังเป็นชุมชนต้นแบบอารยสถาปัตย์ ตามโครงการเกาะเกร็ดโมเดล ที่คนพิการและทุกคนในสังคม สามารถดํารงชีวิต และเดินทางได้อย่างอิสระ สะดวก ปลอดภัย สําหรับของดีเมืองนนท์ นอกจากสวน “ทุเรียนนนท์” ที่มีชื่อเสียงแล้ว ก็ยังมีโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีที่มีเสน่ห์ จากภูมิปัญญา วิถีชีวิต วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ สามารถแปลงเป็นอาชีพ สร้างรายได้ โดยมีเส้นทางท่องเที่ยวหมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี 6 อําเภอ 30 หมู่บ้าน เชื่อมโยงการท่องเที่ยวใน 3 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางน้ํา เส้นทางธรรมชาติ และเส้นทางวัฒนธรรม
อีกจังหวัด ที่ก็ไม่ไกลเลย เป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ และพหุวัฒนธรรมและการส่งเสริมเส้นทางปั่นจักรยาน บริเวณ คุ้งบางกะเจ้า อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ นับว่าเป็นแหล่งโอโซนใหญ่ในเมืองที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ยังมีสภาพเป็นป่าธรรมชาติ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และพรั่งพร้อมด้วยวิถีวัฒนธรรม ภูมิปัญญา เคยได้รับการยกย่องจากนิตยสารไทม์ส (Times) ให้เป็น “ปอดกลางเมือง” ที่ดีที่สุดของเอเชียอีกด้วย อีกทั้ง ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ป้อมพระจุลจอมเกล้า สถานตากอากาศบางปู เมืองโบราณ และฟาร์มจระเข้ เป็นต้น
ขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพ สมบูรณ์ แข็งแรง มีสวัสดิภาพ ในการเดินทางไป - กลับและทุกครอบครัวมีความสุขนะครับ สวัสดีครับ
.................................................................................
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17829
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสนับสนุนแล็บประชารัฐยกระดับมาตรฐานสินค้าท้องถิ่นไทย
|
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
รัฐบาลสนับสนุนแล็บประชารัฐยกระดับมาตรฐานสินค้าท้องถิ่นไทย
เพื่อให้ชุมชนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้องค์ความรู้และงานวิจัยมาช่วยเพิ่มมูลค่า ให้ได้มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลสนับสนุนการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการหรือแล็บประชารัฐ ช่วยยกระดับมาตรฐานและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าอาหารและเกษตร และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค โดยเตรียมมอบคูปองตรวจวิเคราะห์มาตรฐานสินค้าและผลิตภัณฑ์มูลค่า 5,000 บาท ให้กับผู้ประกอบการ SMEs OTOP วิสาหกิจชุมชน และเกษตรกร เพื่อให้บริการตรวจวัดสารปนเปื้อน ตรวจวิเคราะห์ตามมาตรฐานภาครัฐ ตรวจฉลากโภชนาการ และให้คําปรึกษาด้านมาตรฐานการผลิตอาหาร สําหรับผู้ประกอบการที่สนใจติดต่อได้ที่สํานักงานแล็บประชารัฐ จ.เชียงใหม่ ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา สมุทรสาคร สงขลา และกทม. หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.centrallabthai.com หรือโทรศัพท์ 08 9249 0665
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสนับสนุนแล็บประชารัฐยกระดับมาตรฐานสินค้าท้องถิ่นไทย
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
รัฐบาลสนับสนุนแล็บประชารัฐยกระดับมาตรฐานสินค้าท้องถิ่นไทย
เพื่อให้ชุมชนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้องค์ความรู้และงานวิจัยมาช่วยเพิ่มมูลค่า ให้ได้มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลสนับสนุนการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการหรือแล็บประชารัฐ ช่วยยกระดับมาตรฐานและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าอาหารและเกษตร และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค โดยเตรียมมอบคูปองตรวจวิเคราะห์มาตรฐานสินค้าและผลิตภัณฑ์มูลค่า 5,000 บาท ให้กับผู้ประกอบการ SMEs OTOP วิสาหกิจชุมชน และเกษตรกร เพื่อให้บริการตรวจวัดสารปนเปื้อน ตรวจวิเคราะห์ตามมาตรฐานภาครัฐ ตรวจฉลากโภชนาการ และให้คําปรึกษาด้านมาตรฐานการผลิตอาหาร สําหรับผู้ประกอบการที่สนใจติดต่อได้ที่สํานักงานแล็บประชารัฐ จ.เชียงใหม่ ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา สมุทรสาคร สงขลา และกทม. หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.centrallabthai.com หรือโทรศัพท์ 08 9249 0665
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9193
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- " ยุติธรรม " ขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์ภายใต้โครงการประชุมเครือข่ายความร่วมมือด้านการสื่อสารงานยุติธรรมสู่ประชาชน
|
วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2562
" ยุติธรรม " ขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์ภายใต้โครงการประชุมเครือข่ายความร่วมมือด้านการสื่อสารงานยุติธรรมสู่ประชาชน
นายวัลลภ นาคบัว รองโฆษกกระทรวงยุติธรรม ปฏิบัติหน้าที่แทนโฆษกกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์กระทรวงยุติธรรม ภายใต้โครงการประชุมเครือข่ายความร่วมมือด้านสื่อสารงานยุติธรรมสู่ประชาชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
ในวันศุกร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๖ ชั้น ๙
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายวัลลภ นาคบัว รองโฆษกกระทรวงยุติธรรม
ปฏิบัติหน้าที่แทนโฆษกกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์กระทรวงยุติธรรม
ภายใต้โครงการประชุมเครือข่ายความร่วมมือด้านสื่อสารงานยุติธรรมสู่ประชาชน
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
เพื่อรับทราบแนวทางการดําเนินการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงยุติธรรม
ตามนโยบายของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
และการเสนอชื่อโฆษกและรองโฆษกกระทรวงยุติธรรม
ตลอดจนรายชื่อโฆษกของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
พร้อมทั้งสรุปช่องทางการส่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงยุติธรรม
และข่าวที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม
ในการนี้ ได้พิจารณาแนวทางการชี้แจงประเด็นสําคัญที่ทันต่อสถานการณ์ (IO)
ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
ตามกรอบนโยบายการปฏิบัติการข่าวสารของรัฐบาล
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- " ยุติธรรม " ขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์ภายใต้โครงการประชุมเครือข่ายความร่วมมือด้านการสื่อสารงานยุติธรรมสู่ประชาชน
วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2562
" ยุติธรรม " ขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์ภายใต้โครงการประชุมเครือข่ายความร่วมมือด้านการสื่อสารงานยุติธรรมสู่ประชาชน
นายวัลลภ นาคบัว รองโฆษกกระทรวงยุติธรรม ปฏิบัติหน้าที่แทนโฆษกกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์กระทรวงยุติธรรม ภายใต้โครงการประชุมเครือข่ายความร่วมมือด้านสื่อสารงานยุติธรรมสู่ประชาชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
ในวันศุกร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๖ ชั้น ๙
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายวัลลภ นาคบัว รองโฆษกกระทรวงยุติธรรม
ปฏิบัติหน้าที่แทนโฆษกกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์กระทรวงยุติธรรม
ภายใต้โครงการประชุมเครือข่ายความร่วมมือด้านสื่อสารงานยุติธรรมสู่ประชาชน
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
เพื่อรับทราบแนวทางการดําเนินการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงยุติธรรม
ตามนโยบายของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
และการเสนอชื่อโฆษกและรองโฆษกกระทรวงยุติธรรม
ตลอดจนรายชื่อโฆษกของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
พร้อมทั้งสรุปช่องทางการส่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงยุติธรรม
และข่าวที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม
ในการนี้ ได้พิจารณาแนวทางการชี้แจงประเด็นสําคัญที่ทันต่อสถานการณ์ (IO)
ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
ตามกรอบนโยบายการปฏิบัติการข่าวสารของรัฐบาล
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23644
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสอ.ชูกองทุน 3 พันล้าน ไร้ดอก 7 ปี เร่งปรับหนี้เสีย พร้อมยกระดับเอสเอ็มอี เตรียมส่งทีมโค้ชชิ่งผู้ประกอบการไม่ให้เกิด NPL เพิ่ม
|
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560
กสอ.ชูกองทุน 3 พันล้าน ไร้ดอก 7 ปี เร่งปรับหนี้เสีย พร้อมยกระดับเอสเอ็มอี เตรียมส่งทีมโค้ชชิ่งผู้ประกอบการไม่ให้เกิด NPL เพิ่ม
กสอ.ชูกองทุน 3 พันล้าน ไร้ดอก 7 ปี เร่งปรับหนี้เสีย พร้อมยกระดับเอสเอ็มอี เตรียมส่งทีมโค้ชชิ่งผู้ประกอบการไม่ให้เกิด NPL เพิ่ม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสอ.ชูกองทุน 3 พันล้าน ไร้ดอก 7 ปี เร่งปรับหนี้เสีย พร้อมยกระดับเอสเอ็มอี เตรียมส่งทีมโค้ชชิ่งผู้ประกอบการไม่ให้เกิด NPL เพิ่ม
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560
กสอ.ชูกองทุน 3 พันล้าน ไร้ดอก 7 ปี เร่งปรับหนี้เสีย พร้อมยกระดับเอสเอ็มอี เตรียมส่งทีมโค้ชชิ่งผู้ประกอบการไม่ให้เกิด NPL เพิ่ม
กสอ.ชูกองทุน 3 พันล้าน ไร้ดอก 7 ปี เร่งปรับหนี้เสีย พร้อมยกระดับเอสเอ็มอี เตรียมส่งทีมโค้ชชิ่งผู้ประกอบการไม่ให้เกิด NPL เพิ่ม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4280
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายดรุณ แสงฉาย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน ติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา
|
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
นายดรุณ แสงฉาย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน ติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา
นายดรุณ แสงฉาย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยผู้บริหารกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ติดตามความคืบหน้า และเร่งรัดโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 26 - 28 พฤษภาคม 2560 และประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระสําคัญดังนี้
1. ให้เจ้าหน้าที่ ทย. ผู้ควบคุมงานก่อสร้างในพื้นที่ประสานงานกับกองกํากับการตํารวจตระเวนชายแดนที่ 44 ยะลา ขอความอนุเคราะห์ให้จัดกําลังในการตั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยและลาดตระเวนบริเวณทางเข้าพื้นที่ก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยและมีความอ่อนไหว เพื่อให้การปฏิบัติงานมีความปลอดภัย และป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแผนประเมินความเสี่ยง
2. ในระหว่างการก่อสร้าง ให้บริษัทที่ปรึกษาควบคุมงานดําเนินการจัดทําแผนความปลอดภัย ในการก่อสร้าง และควบคุมให้เป็นไปตามแผนที่กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด
3. ให้บริษัทที่ปรึกษาจัดทําแนวทางการป้องกันการก่อสร้างไม่ให้เกิดผลกระทบจากการไหลของน้ําที่เปลี่ยนทิศทางเข้าไปพื้นที่ของประชาชน พร้อมทั้งให้ตรวจสอบจํานวนครัวเรือนที่จะได้รับผลกระทบ และพบปะเพื่อสร้างความเข้าใจ และหาแนวทางแก้ไขหากประชาชนได้รับผลกระทบ โดยต้องดําเนินการให้มีผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด
4. การจัดซื้อที่ดินที่ยังไม่สามารถจัดซื้อได้ จํานวน 5 แปลง จากเจ้าของที่ดิน 3 ราย จํานวน 9 ไร่ ให้ดําเนินการบูรณาการร่วมระหว่าง ทย. กับอําเภอเบตง และฝ่ายความมั่นคง ในการนี้ นายดรุณ แสงฉาย ได้หารือกับ นายดํารงค์ ดีสกูล นายอําเภอเบตง ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยนายอําเภอเบตง เจ้าหน้าที่ ทย. จะเชิญเจ้าของที่ดินมาเจราจรเรื่องการซื้อที่ดินอีกครั้ง ในวันที่ 2 มิถุนายน 2560
5. การปรับแผนงานจ้างเหมาก่อสร้าง ทางวิ่งทางขับ และอาคารที่พักผู้โดยสาร จํานวน 2 สัญญา เพื่อเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2559 - 2560 โดยให้บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จํากัด (มหาชน) ปรับแผนการดําเนินงานจากเดิมแล้วเสร็จตามสัญญา ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 เป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ซึ่งเร็วกว่าสัญญาประมาณ 200 วัน และขอให้ปรับแผนการใช้เงิน แสดงวิธีการเบิกจ่ายเงิน จํานวน 413.9841 ล้านบาท ให้ได้ภายในวันที่ 15 กันยายน 2560 ซึ่งค่างานตามสัญญาเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 1,316,732,396.16 บาท
ประกอบด้วย งานจ้างเหมาก่อสร้างทางวิ่ง ทางขับ ลานจอดเครื่องบิน ระบบไฟฟ้าสนามบิน ถนนภายในและองค์ประกอบอื่น ๆ ของท่าอากาศยาน
6. มอบให้บริษัทที่ปรึกษา Ultimate Master Plan วางแผนการพัฒนาท่าอากาศยานเบตง 20 ปีข้างหน้า โครงการสิ่งก่อสร้างที่จําเป็นในอนาคต เช่น การจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อขยายความยาวทางวิ่งเป็น 2,100 เมตร เป็นต้น โดยให้ศึกษาความเหมาะสมและวางแผนเตรียมความพร้อม เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการดําเนินการในอนาคต
7. มอบให้กองก่อสร้างและบํารุงรักษา ทย. ประสานงานกับกรมทางหลวงชนบท จัดทําแผนการขยายถนนทางเข้าสู่ท่าอากาศยานเบตง เพื่อเตรียมความพร้อมแบบบูรณาการร่วมกันและประสานงานกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อวางแผนการจัดรถขนส่งสาธารณะถึงท่าอากาศยานเบตงในอนาคต โดยให้ศึกษาเส้นทางรอบท่าอากาศยานรัศมี 100 กิโลเมตร และเส้นทางไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองเบตง เพื่อเข้าสู่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย One Transport ของกระทรวงคมนาคม
นอกจากนี้ นายดรุณ แสงฉาย ได้พบและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมงานในพื้นที่และเน้นย้ําเรื่องความปลอดภัย และเป็นมิตรกับชุมชน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายดรุณ แสงฉาย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน ติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
นายดรุณ แสงฉาย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน ติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา
นายดรุณ แสงฉาย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยผู้บริหารกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ติดตามความคืบหน้า และเร่งรัดโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 26 - 28 พฤษภาคม 2560 และประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระสําคัญดังนี้
1. ให้เจ้าหน้าที่ ทย. ผู้ควบคุมงานก่อสร้างในพื้นที่ประสานงานกับกองกํากับการตํารวจตระเวนชายแดนที่ 44 ยะลา ขอความอนุเคราะห์ให้จัดกําลังในการตั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยและลาดตระเวนบริเวณทางเข้าพื้นที่ก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยและมีความอ่อนไหว เพื่อให้การปฏิบัติงานมีความปลอดภัย และป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแผนประเมินความเสี่ยง
2. ในระหว่างการก่อสร้าง ให้บริษัทที่ปรึกษาควบคุมงานดําเนินการจัดทําแผนความปลอดภัย ในการก่อสร้าง และควบคุมให้เป็นไปตามแผนที่กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด
3. ให้บริษัทที่ปรึกษาจัดทําแนวทางการป้องกันการก่อสร้างไม่ให้เกิดผลกระทบจากการไหลของน้ําที่เปลี่ยนทิศทางเข้าไปพื้นที่ของประชาชน พร้อมทั้งให้ตรวจสอบจํานวนครัวเรือนที่จะได้รับผลกระทบ และพบปะเพื่อสร้างความเข้าใจ และหาแนวทางแก้ไขหากประชาชนได้รับผลกระทบ โดยต้องดําเนินการให้มีผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด
4. การจัดซื้อที่ดินที่ยังไม่สามารถจัดซื้อได้ จํานวน 5 แปลง จากเจ้าของที่ดิน 3 ราย จํานวน 9 ไร่ ให้ดําเนินการบูรณาการร่วมระหว่าง ทย. กับอําเภอเบตง และฝ่ายความมั่นคง ในการนี้ นายดรุณ แสงฉาย ได้หารือกับ นายดํารงค์ ดีสกูล นายอําเภอเบตง ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยนายอําเภอเบตง เจ้าหน้าที่ ทย. จะเชิญเจ้าของที่ดินมาเจราจรเรื่องการซื้อที่ดินอีกครั้ง ในวันที่ 2 มิถุนายน 2560
5. การปรับแผนงานจ้างเหมาก่อสร้าง ทางวิ่งทางขับ และอาคารที่พักผู้โดยสาร จํานวน 2 สัญญา เพื่อเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2559 - 2560 โดยให้บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จํากัด (มหาชน) ปรับแผนการดําเนินงานจากเดิมแล้วเสร็จตามสัญญา ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 เป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ซึ่งเร็วกว่าสัญญาประมาณ 200 วัน และขอให้ปรับแผนการใช้เงิน แสดงวิธีการเบิกจ่ายเงิน จํานวน 413.9841 ล้านบาท ให้ได้ภายในวันที่ 15 กันยายน 2560 ซึ่งค่างานตามสัญญาเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 1,316,732,396.16 บาท
ประกอบด้วย งานจ้างเหมาก่อสร้างทางวิ่ง ทางขับ ลานจอดเครื่องบิน ระบบไฟฟ้าสนามบิน ถนนภายในและองค์ประกอบอื่น ๆ ของท่าอากาศยาน
6. มอบให้บริษัทที่ปรึกษา Ultimate Master Plan วางแผนการพัฒนาท่าอากาศยานเบตง 20 ปีข้างหน้า โครงการสิ่งก่อสร้างที่จําเป็นในอนาคต เช่น การจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อขยายความยาวทางวิ่งเป็น 2,100 เมตร เป็นต้น โดยให้ศึกษาความเหมาะสมและวางแผนเตรียมความพร้อม เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการดําเนินการในอนาคต
7. มอบให้กองก่อสร้างและบํารุงรักษา ทย. ประสานงานกับกรมทางหลวงชนบท จัดทําแผนการขยายถนนทางเข้าสู่ท่าอากาศยานเบตง เพื่อเตรียมความพร้อมแบบบูรณาการร่วมกันและประสานงานกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อวางแผนการจัดรถขนส่งสาธารณะถึงท่าอากาศยานเบตงในอนาคต โดยให้ศึกษาเส้นทางรอบท่าอากาศยานรัศมี 100 กิโลเมตร และเส้นทางไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองเบตง เพื่อเข้าสู่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย One Transport ของกระทรวงคมนาคม
นอกจากนี้ นายดรุณ แสงฉาย ได้พบและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมงานในพื้นที่และเน้นย้ําเรื่องความปลอดภัย และเป็นมิตรกับชุมชน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4318
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงน้ำท่วมเหนือ อีสาน หลังกรมอุตุประกาศเตือน กำชับทุกหน่วยเฝ้าระวัง พร้อมปฏิบัติการ 24 ชั่วโมง ย้ำให้แก้น้ำมากเผื่อน้ำน้อย มองปัญหาครบวงจร แนะประชาชนระมัดระวัง
|
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงน้ําท่วมเหนือ อีสาน หลังกรมอุตุประกาศเตือน กําชับทุกหน่วยเฝ้าระวัง พร้อมปฏิบัติการ 24 ชั่วโมง ย้ําให้แก้น้ํามากเผื่อน้ําน้อย มองปัญหาครบวงจร แนะประชาชนระมัดระวัง
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงน้ําท่วมเหนือ อีสาน หลังกรมอุตุประกาศเตือน กําชับทุกหน่วยเฝ้าระวัง พร้อมปฏิบัติการ 24 ชั่วโมง ย้ําให้แก้น้ํามากเผื่อน้ําน้อย มองปัญหาครบวงจร แนะประชาชนระมัดระวังตัว
วันนี้ (14ก.ย.59) พลตรี สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงสถานการณ์น้ําในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะปัญหาน้ําท่วมในหลายจังหวัด ภายหลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนว่า พายุโซนร้อนราอีจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงนี้
“ท่านนายกฯ ขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังอันตรายจากน้ําท่วม น้ําป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม ไม่ออกนอกบ้านในช่วงที่ฝนตกหนักหรือมีพายุ รวมทั้งเก็บข้าวของทรัพย์สินมีค่าขึ้นที่สูง พร้อมทั้งกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง และเตรียมออกปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนตลอด 24 ชม. กรณีเกิดความเสียหายจากพายุที่รุนแรง
นอกจากนี้ ยังให้กรมชลประชาชน หน่วยงานด้านน้ําอื่น ๆ และแต่ละจังหวัดที่พายุจะพาดผ่าน ปรับแผนบริหารจัดการน้ําในภาพรวม และพื้นที่รับผิดชอบให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด โดยนอกจากจะต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องน้ําท่วมแล้ว จะต้องวางแผนกักเก็บน้ําไว้ใช้ในฤดูแล้งปีหน้าอย่างครบวงจรด้วย”
พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ทุกหน่วยงาน ทั้ง กษ ทส มท วท ทก คสช ได้วางแผนและเชื่อมโยงการทํางานร่วมกัน เพื่อรับมือกับปัญหาน้ําท่วมแล้ว โดยเบื้องต้นได้คาดการณ์สภาพฝนและส่งข้อมูลแก่กัน รวมทั้งประเมินสถานการณ์น้ําทั้งในและนอกเขตชลประทาน
นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียมรถแจกน้ํากว่า 1,900 คัน และเครื่องสูบน้ํา 1,500 เครื่อง สําหรับประชาชนที่ขาดแคลนน้ําอุปโภคบริโภค และพื้นที่น้ําท่วมขัง ตลอดจนกําลังพลและเครื่องมือที่พร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน ครอบคลุม 30 จังหวัด ที่อาจได้รับผลกระทบจากพายุ
“มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ําท่วมในภาคเหนือบริเวณลุ่มน้ํายม จะมีการลดระดับน้ําเหนือประตูระบายน้ําบ้านหาดสะพานจันทร์ จ.สุโขทัย ให้มีพื้นที่รองรับน้ําเพิ่มเมื่อมีฝนตกหนัก และผันน้ําเข้าคลองฝั่งซ้ายและขวาของแม่น้ํายม ส่วนในภาคกลางได้เตรียมพร่องน้ําในคลองชัยนาท-ป่าสัก และเขื่อนพระรามหก จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อรองรับการระบายน้ําจากภาคเหนือ และเตรียมสถานีสูบน้ําให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ํา”
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงน้ำท่วมเหนือ อีสาน หลังกรมอุตุประกาศเตือน กำชับทุกหน่วยเฝ้าระวัง พร้อมปฏิบัติการ 24 ชั่วโมง ย้ำให้แก้น้ำมากเผื่อน้ำน้อย มองปัญหาครบวงจร แนะประชาชนระมัดระวัง
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงน้ําท่วมเหนือ อีสาน หลังกรมอุตุประกาศเตือน กําชับทุกหน่วยเฝ้าระวัง พร้อมปฏิบัติการ 24 ชั่วโมง ย้ําให้แก้น้ํามากเผื่อน้ําน้อย มองปัญหาครบวงจร แนะประชาชนระมัดระวัง
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงน้ําท่วมเหนือ อีสาน หลังกรมอุตุประกาศเตือน กําชับทุกหน่วยเฝ้าระวัง พร้อมปฏิบัติการ 24 ชั่วโมง ย้ําให้แก้น้ํามากเผื่อน้ําน้อย มองปัญหาครบวงจร แนะประชาชนระมัดระวังตัว
วันนี้ (14ก.ย.59) พลตรี สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงสถานการณ์น้ําในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะปัญหาน้ําท่วมในหลายจังหวัด ภายหลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนว่า พายุโซนร้อนราอีจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงนี้
“ท่านนายกฯ ขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังอันตรายจากน้ําท่วม น้ําป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม ไม่ออกนอกบ้านในช่วงที่ฝนตกหนักหรือมีพายุ รวมทั้งเก็บข้าวของทรัพย์สินมีค่าขึ้นที่สูง พร้อมทั้งกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง และเตรียมออกปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนตลอด 24 ชม. กรณีเกิดความเสียหายจากพายุที่รุนแรง
นอกจากนี้ ยังให้กรมชลประชาชน หน่วยงานด้านน้ําอื่น ๆ และแต่ละจังหวัดที่พายุจะพาดผ่าน ปรับแผนบริหารจัดการน้ําในภาพรวม และพื้นที่รับผิดชอบให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด โดยนอกจากจะต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องน้ําท่วมแล้ว จะต้องวางแผนกักเก็บน้ําไว้ใช้ในฤดูแล้งปีหน้าอย่างครบวงจรด้วย”
พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ทุกหน่วยงาน ทั้ง กษ ทส มท วท ทก คสช ได้วางแผนและเชื่อมโยงการทํางานร่วมกัน เพื่อรับมือกับปัญหาน้ําท่วมแล้ว โดยเบื้องต้นได้คาดการณ์สภาพฝนและส่งข้อมูลแก่กัน รวมทั้งประเมินสถานการณ์น้ําทั้งในและนอกเขตชลประทาน
นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียมรถแจกน้ํากว่า 1,900 คัน และเครื่องสูบน้ํา 1,500 เครื่อง สําหรับประชาชนที่ขาดแคลนน้ําอุปโภคบริโภค และพื้นที่น้ําท่วมขัง ตลอดจนกําลังพลและเครื่องมือที่พร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน ครอบคลุม 30 จังหวัด ที่อาจได้รับผลกระทบจากพายุ
“มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ําท่วมในภาคเหนือบริเวณลุ่มน้ํายม จะมีการลดระดับน้ําเหนือประตูระบายน้ําบ้านหาดสะพานจันทร์ จ.สุโขทัย ให้มีพื้นที่รองรับน้ําเพิ่มเมื่อมีฝนตกหนัก และผันน้ําเข้าคลองฝั่งซ้ายและขวาของแม่น้ํายม ส่วนในภาคกลางได้เตรียมพร่องน้ําในคลองชัยนาท-ป่าสัก และเขื่อนพระรามหก จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อรองรับการระบายน้ําจากภาคเหนือ และเตรียมสถานีสูบน้ําให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ํา”
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/352
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. มุ่งเน้นการสร้างจิตสำนึกให้คนดูแลตัวเอง เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุและการสูญเสียช่วงเทศกาล
|
วันพุธที่ 19 เมษายน 2560
นรม. มุ่งเน้นการสร้างจิตสํานึกให้คนดูแลตัวเอง เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุและการสูญเสียช่วงเทศกาล
นายกรัฐมนตรีเผยต้องสร้างจิตสํานึกให้คนดูแลตัวเอง ลดอุบัติเหตุ ลดการสูญเสียช่วงเทศกาล
วันนี้ (18 เมษายน 2560) เวลา 13.20 น. ณ บริเวณห้องโถงตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีว่า วันนี้เป็นการประชุมนัดแรกหลังวันหยุดสงกรานต์ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นทํางานช่วงปีใหม่ไทย ดังนั้น จึงได้ทําความเข้าใจกับรัฐมนตรีต่าง ๆ ว่าต้องทําอย่างไรบ้างเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และเพื่อให้เป็นไปตามโรดแมปนําไปสู่การเลือกตั้ง
นายกรัฐมนตรีต่อไปว่า สําหรับรายงานการสูญเสียในเทศกาลสงกรานต์นั้น มีผู้เสียชีวิตจํานวน 390 คน และผู้บาดเจ็บ จํานวน 3,808 คน ส่วนสาเหตุเหมือนเดิม คือ เมาแล้วขับ ขับรถเร็ว และไม่สวมหมวกกันน็อค ส่วนประเภทรถที่ประสบอุบัติเหตุ สูญเสียมากที่สุด คือ รถจักรยานยนต์ รองลงมาคือ รถกระบะขับเร็วจนเกิดอุบัติเหตุ ทั้งนี้ กฎหมายที่ผ่อนปรนในช่วงเทศกาลที่ผ่านมายังคงใช้อยู่ ดังนั้น อย่าเพิ่งยกเป็นประเด็นสร้างความขัดแย้ง โดยรัฐบาลเข้าใจว่าประชาชนต้องใช้เวลาปรับตัว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การบาดเจ็บและการสูญเสียครั้งนี้ แม้จะมียอดลดลง ไม่ใช่ไม่พอใจเจ้าหน้าที่ แต่เจ้าหน้าที่ทําได้แค่นี้ เพราะเป็นการบังคับใช้กฎหมาย ส่วนสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุก็ต้องช่วยกันแก้ปัญหา ต่อไป เช่น ไม่กินเหล้าเวลาขับรถ ขับรถให้ช้าลง และต้องดูแลตัวเอง ซึ่งไม่มีใครจะดูแลชีวิตของเราได้ดีเท่ากับตัวเราเอง โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจ และเจ้าหน้าที่ทหารมีหน้าที่คอยอํานวยความสะดวกด้านการจราจร
ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาวในการสูญเสียของเทศกาลสงกรานต์ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ ต้องสร้างจิตสํานึกของคน เพราะบ้านเมืองค่อนข้างขาดในเรื่องนี้ ว่าจะทําอย่างไรให้สังคมตลอดจนญาติพี่น้องปลอดภัย อีกทั้ง การใช้รถใช้ถนน และการดํารงชีวิต วันนี้คนใจร้อนขึ้นทุกวัน เพราะเคยชินกับการสื่อสารที่รุนแรง ขาดการยับยั้งชั่งใจจนทําให้การสื่อสารในโซเชียลเกิดความขัดแย้ง
ทั้งนี้ การเสนอข่าวต่าง ๆ ขอให้เสนอในทางที่บวก ถึงแม้จะมีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ต้องสอนคนว่าทําแบบนี้ไม่เหมาะสม อย่างเช่นเมื่อสักครู่ ได้สั่งการไปแล้วเรื่องเต้นไม่สุภาพ เปลือย เปิดอก ต้องจับให้ได้ คือไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่มีความอาย ซึ่งสังคมอยู่แบบนี้ไม่ได้ หลายปัญหาต้องแก้ไข และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการตามกฎหมายแล้ว
------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. มุ่งเน้นการสร้างจิตสำนึกให้คนดูแลตัวเอง เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุและการสูญเสียช่วงเทศกาล
วันพุธที่ 19 เมษายน 2560
นรม. มุ่งเน้นการสร้างจิตสํานึกให้คนดูแลตัวเอง เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุและการสูญเสียช่วงเทศกาล
นายกรัฐมนตรีเผยต้องสร้างจิตสํานึกให้คนดูแลตัวเอง ลดอุบัติเหตุ ลดการสูญเสียช่วงเทศกาล
วันนี้ (18 เมษายน 2560) เวลา 13.20 น. ณ บริเวณห้องโถงตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีว่า วันนี้เป็นการประชุมนัดแรกหลังวันหยุดสงกรานต์ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นทํางานช่วงปีใหม่ไทย ดังนั้น จึงได้ทําความเข้าใจกับรัฐมนตรีต่าง ๆ ว่าต้องทําอย่างไรบ้างเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และเพื่อให้เป็นไปตามโรดแมปนําไปสู่การเลือกตั้ง
นายกรัฐมนตรีต่อไปว่า สําหรับรายงานการสูญเสียในเทศกาลสงกรานต์นั้น มีผู้เสียชีวิตจํานวน 390 คน และผู้บาดเจ็บ จํานวน 3,808 คน ส่วนสาเหตุเหมือนเดิม คือ เมาแล้วขับ ขับรถเร็ว และไม่สวมหมวกกันน็อค ส่วนประเภทรถที่ประสบอุบัติเหตุ สูญเสียมากที่สุด คือ รถจักรยานยนต์ รองลงมาคือ รถกระบะขับเร็วจนเกิดอุบัติเหตุ ทั้งนี้ กฎหมายที่ผ่อนปรนในช่วงเทศกาลที่ผ่านมายังคงใช้อยู่ ดังนั้น อย่าเพิ่งยกเป็นประเด็นสร้างความขัดแย้ง โดยรัฐบาลเข้าใจว่าประชาชนต้องใช้เวลาปรับตัว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การบาดเจ็บและการสูญเสียครั้งนี้ แม้จะมียอดลดลง ไม่ใช่ไม่พอใจเจ้าหน้าที่ แต่เจ้าหน้าที่ทําได้แค่นี้ เพราะเป็นการบังคับใช้กฎหมาย ส่วนสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุก็ต้องช่วยกันแก้ปัญหา ต่อไป เช่น ไม่กินเหล้าเวลาขับรถ ขับรถให้ช้าลง และต้องดูแลตัวเอง ซึ่งไม่มีใครจะดูแลชีวิตของเราได้ดีเท่ากับตัวเราเอง โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจ และเจ้าหน้าที่ทหารมีหน้าที่คอยอํานวยความสะดวกด้านการจราจร
ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาวในการสูญเสียของเทศกาลสงกรานต์ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ ต้องสร้างจิตสํานึกของคน เพราะบ้านเมืองค่อนข้างขาดในเรื่องนี้ ว่าจะทําอย่างไรให้สังคมตลอดจนญาติพี่น้องปลอดภัย อีกทั้ง การใช้รถใช้ถนน และการดํารงชีวิต วันนี้คนใจร้อนขึ้นทุกวัน เพราะเคยชินกับการสื่อสารที่รุนแรง ขาดการยับยั้งชั่งใจจนทําให้การสื่อสารในโซเชียลเกิดความขัดแย้ง
ทั้งนี้ การเสนอข่าวต่าง ๆ ขอให้เสนอในทางที่บวก ถึงแม้จะมีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ต้องสอนคนว่าทําแบบนี้ไม่เหมาะสม อย่างเช่นเมื่อสักครู่ ได้สั่งการไปแล้วเรื่องเต้นไม่สุภาพ เปลือย เปิดอก ต้องจับให้ได้ คือไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่มีความอาย ซึ่งสังคมอยู่แบบนี้ไม่ได้ หลายปัญหาต้องแก้ไข และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการตามกฎหมายแล้ว
------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3122
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเตรียมเชื่อมโยงข้อมูลการรับชำระเงินรายได้กับระบบ Biz Portal ของสำนักงาน ก.พ.ร.
|
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562
กรมบัญชีกลางเตรียมเชื่อมโยงข้อมูลการรับชําระเงินรายได้กับระบบ Biz Portal ของสํานักงาน ก.พ.ร.
กรมบัญชีกลางพัฒนาระบบการรับชําระเงินกลางฯ ให้เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) ของสํานักงาน ก.พ.ร. ซึ่งเป็นระบบกลางการให้บริการด้านการออกเอกสารต่าง ๆ แบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์
กรมบัญชีกลางพัฒนาระบบการรับชําระเงินกลางฯ ให้เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) ของสํานักงาน ก.พ.ร. ซึ่งเป็นระบบกลางการให้บริการด้านการออกเอกสารต่าง ๆ แบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนหรือผู้ประกอบการ
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ดําเนินโครงการระบบการรับชําระเงินกลางของบริการภาครัฐ (e-Payment Portal of Government) ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการรับชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) ของรัฐบาล เพื่อเพิ่มช่องทางการรับชําระเงินรายได้และเงินอื่นจากประชาชนและภาคธุรกิจ ให้กับหน่วยงานภาครัฐ และนําเงินดังกล่าวส่งคลังหรือฝากคลังด้วยอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมทั้งบันทึกข้อมูลการรับเงินและนําเงินส่งคลังหรือฝากคลังในระบบ GFMIS โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดขั้นตอนในการปฏิบัติงานให้แก่เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการ และได้เริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2562 เป็นต้นมา โดยมีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และกรมธนารักษ์ เป็นหน่วยงานนําร่องในการรับเงินและนําเงินส่งคลังผ่านระบบการรับชําระเงินกลางฯ ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0402.2/ว 31 ลงวันที่ 17 เมษายน 2562 และเตรียมขยายผลให้ส่วนราชการต่าง ๆ ต่อไป
นอกจากนี้ กรมบัญชีกลางยังได้พัฒนาระบบการรับชําระเงินกลางฯ ให้เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) ของสํานักงาน ก.พ.ร. ซึ่งเป็นระบบกลางในการให้บริการด้านการออกหนังสือรับรอง ใบอนุญาต และเอกสารต่าง ๆ แบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนหรือผู้ประกอบการ ตั้งแต่การขอยื่นคําขอและเอกสารประกอบ การชําระค่าธรรมเนียม การออกใบอนุญาตผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการบูรณาการทํางานร่วมกันโดยทั้ง 2 ระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลกันในขั้นตอนการรับชําระเงิน กล่าวคือ ผู้รับบริการจะยื่นคําขออนุญาตและเอกสารที่เกี่ยวข้องผ่านระบบ Biz Portal เมื่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลถูกต้องแล้ว หน่วยงานภาครัฐสามารถสร้างใบแจ้งการชําระ (Bill Payment) ที่มีรหัสอ้างอิงของระบบการรับชําระเงินกลางฯ ส่งให้ผู้รับบริการทาง e-Mail เพื่อให้ผู้รับบริการนําไปชําระเงินค่าธรรมเนียมการขอใบอนุญาตดังกล่าวผ่านช่องทางที่กําหนด โดยระบบการรับชําระเงินกลางฯ จะส่งข้อมูลการรับชําระเงินกลับไปยังระบบ Biz Portal เพื่อให้หน่วยงานออกเอกสารต่าง ๆ ให้แก่ผู้รับบริการ ในขณะเดียวกัน ระบบจะนําเงินรายได้หรือเงินอื่นดังกล่าวส่งคลังหรือฝากคลัง พร้อมทั้งบันทึกบัญชีในระบบ GFMIS ให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ได้คัดเลือกกรมปศุสัตว์ และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นหน่วยงานนําร่องในการเชื่อมโยงข้อมูลการรับชําระเงินรายได้และเงินอื่นของระบบการรับชําระเงินกลางฯ กับระบบ Biz Portal และจะขยายผลการใช้ระบบงานให้กับหน่วยงานภายใต้ระบบ Biz Portal ต่อไป
ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการรับเงินและการนําเงินส่งคลังสําหรับส่วนราชการที่ใช้บริการด้านการออกหนังสือรับรอง ใบอนุญาต และเอกสารต่าง ๆ ในระบบ Biz Portal ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0402.2/ว 80 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 แล้ว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเตรียมเชื่อมโยงข้อมูลการรับชำระเงินรายได้กับระบบ Biz Portal ของสำนักงาน ก.พ.ร.
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562
กรมบัญชีกลางเตรียมเชื่อมโยงข้อมูลการรับชําระเงินรายได้กับระบบ Biz Portal ของสํานักงาน ก.พ.ร.
กรมบัญชีกลางพัฒนาระบบการรับชําระเงินกลางฯ ให้เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) ของสํานักงาน ก.พ.ร. ซึ่งเป็นระบบกลางการให้บริการด้านการออกเอกสารต่าง ๆ แบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์
กรมบัญชีกลางพัฒนาระบบการรับชําระเงินกลางฯ ให้เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) ของสํานักงาน ก.พ.ร. ซึ่งเป็นระบบกลางการให้บริการด้านการออกเอกสารต่าง ๆ แบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนหรือผู้ประกอบการ
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ดําเนินโครงการระบบการรับชําระเงินกลางของบริการภาครัฐ (e-Payment Portal of Government) ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการรับชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) ของรัฐบาล เพื่อเพิ่มช่องทางการรับชําระเงินรายได้และเงินอื่นจากประชาชนและภาคธุรกิจ ให้กับหน่วยงานภาครัฐ และนําเงินดังกล่าวส่งคลังหรือฝากคลังด้วยอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมทั้งบันทึกข้อมูลการรับเงินและนําเงินส่งคลังหรือฝากคลังในระบบ GFMIS โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดขั้นตอนในการปฏิบัติงานให้แก่เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการ และได้เริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2562 เป็นต้นมา โดยมีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และกรมธนารักษ์ เป็นหน่วยงานนําร่องในการรับเงินและนําเงินส่งคลังผ่านระบบการรับชําระเงินกลางฯ ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0402.2/ว 31 ลงวันที่ 17 เมษายน 2562 และเตรียมขยายผลให้ส่วนราชการต่าง ๆ ต่อไป
นอกจากนี้ กรมบัญชีกลางยังได้พัฒนาระบบการรับชําระเงินกลางฯ ให้เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) ของสํานักงาน ก.พ.ร. ซึ่งเป็นระบบกลางในการให้บริการด้านการออกหนังสือรับรอง ใบอนุญาต และเอกสารต่าง ๆ แบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนหรือผู้ประกอบการ ตั้งแต่การขอยื่นคําขอและเอกสารประกอบ การชําระค่าธรรมเนียม การออกใบอนุญาตผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการบูรณาการทํางานร่วมกันโดยทั้ง 2 ระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลกันในขั้นตอนการรับชําระเงิน กล่าวคือ ผู้รับบริการจะยื่นคําขออนุญาตและเอกสารที่เกี่ยวข้องผ่านระบบ Biz Portal เมื่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลถูกต้องแล้ว หน่วยงานภาครัฐสามารถสร้างใบแจ้งการชําระ (Bill Payment) ที่มีรหัสอ้างอิงของระบบการรับชําระเงินกลางฯ ส่งให้ผู้รับบริการทาง e-Mail เพื่อให้ผู้รับบริการนําไปชําระเงินค่าธรรมเนียมการขอใบอนุญาตดังกล่าวผ่านช่องทางที่กําหนด โดยระบบการรับชําระเงินกลางฯ จะส่งข้อมูลการรับชําระเงินกลับไปยังระบบ Biz Portal เพื่อให้หน่วยงานออกเอกสารต่าง ๆ ให้แก่ผู้รับบริการ ในขณะเดียวกัน ระบบจะนําเงินรายได้หรือเงินอื่นดังกล่าวส่งคลังหรือฝากคลัง พร้อมทั้งบันทึกบัญชีในระบบ GFMIS ให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ได้คัดเลือกกรมปศุสัตว์ และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นหน่วยงานนําร่องในการเชื่อมโยงข้อมูลการรับชําระเงินรายได้และเงินอื่นของระบบการรับชําระเงินกลางฯ กับระบบ Biz Portal และจะขยายผลการใช้ระบบงานให้กับหน่วยงานภายใต้ระบบ Biz Portal ต่อไป
ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการรับเงินและการนําเงินส่งคลังสําหรับส่วนราชการที่ใช้บริการด้านการออกหนังสือรับรอง ใบอนุญาต และเอกสารต่าง ๆ ในระบบ Biz Portal ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0402.2/ว 80 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 แล้ว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22499
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรกรกฟก.เตรียมเฮ บอร์ดเฉพาะกิจเห็นชอบซื้อหนี้ล็อตแรกแล้ว พร้อมดึงเกษตรกรเข้าระบบการฟื้นฟูหลังได้รับการซื้อหนี้
|
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560
เกษตรกรกฟก.เตรียมเฮ บอร์ดเฉพาะกิจเห็นชอบซื้อหนี้ล็อตแรกแล้ว พร้อมดึงเกษตรกรเข้าระบบการฟื้นฟูหลังได้รับการซื้อหนี้
เกษตรกรกฟก.เตรียมเฮ บอร์ดเฉพาะกิจเห็นชอบซื้อหนี้ล็อตแรกแล้ว 739 ราย สั่งเร่งทยอยซื้อหนี้ที่ผ่านคุณสมบัติ พร้อมดึงเกษตรกรเข้าระบบการฟื้นฟูหลังได้รับการซื้อหนี้ ส่วนเกษตรกรที่ยังตกสํารวจบอร์ดสั่งขยายสํารวจหนี้ระยะ 2 ถึงสิ้นพย.นี้
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ ครั้งที่ 5/2560 ว่า หลังจากคสช.มีคําสั่งแต่งตั้งบอร์ดเฉพาะกิจ กฟก.เมื่อวันที่ 18 พ.ค.60 ปฏิบัติหน้าที่ 180 วัน ผ่านมาแล้ว 5 เดือน การดําเนินการจัดการหนี้ของเกษตรกรมีความคืบหน้าการดําเนินงานตามลําดับ ตั้งแต่การขึ้นทะเบียนเกษตรกรและตรวจสอบข้อมูลหนี้ จากเกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 465,925 ราย มายืนยันตัวตน 290,657 ราย ประสงค์ให้ กฟก.จัดการหนี้ 164,360 ราย ตรวจสอบข้อมูลแล้ว โดยผ่านเงื่อนไข 16 ขั้นตอน 85,864 ราย และมีการจัดการหนี้ โดยเจรจากับสถาบันการเงินกําหนดหลักเกณฑ์การซื้อหนี้ ซึ่งทั้งสองสถาบันการเงินถือเป็นเงื่อนไขการชําระหนี้แทนที่ถูกที่สุดตั้งแต่มีการชําระหนี้แทน
สําหรับการซื้อหนี้สินเกษตรกรบอร์ดอนุมัติซื้อหนี้ล็อตแรกกลุ่มที่จัดการหนี้ได้โดยหลักเกณฑ์ กฟก. จํานวน 739 ราย มูลหนี้ 135,457,984.46 บาท แบ่งเป็น ธกส. 716 ราย มูลหนี้ 129.4 ล้านบาท โดยชําระหนี้แทนในเงื่อนไข 50% ของเงินต้น ตัดดอกเบี้ยและค่าปรับสหกรณ์การเกษตร 23 ราย มูลหนี้ 5.9 ล้านบาท ชําระหนี้แทนในเงื่อนไข 100% ของเงินต้น ตัดดอกเบี้ยและค่าปรับ
นอกจากนี้ บอร์ดยังมีมติรับทราบ กลุ่มที่รอการเจรจาระยะต่อไป ซึ่งคุณสมบัติครบในการจัดการหนี้ได้ 9,942 ราย มูลหนี้ 2,870 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าต่อจากนี้ทุกการประชุมประจําเดือนจะสามารถจัดการหนี้ของเกษตรกรได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเจ้าหนี้ได้แจ้งความจํานงมาแล้วว่าพร้อมจะให้ กฟก.ชําระหนี้แทน อย่างไรก็ตาม เกษตรกรที่ยังไม่มายืนยันสิทธิ 255,816 ราย ทางรัฐบาล โดย กษ. และ กฟก. จะเปิดให้มีการสํารวจข้อมูลอีกรอบในวันที่ 1-30 พ.ย. นี้เพื่อให้เกิดความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ถือว่ากฟก.เฉพาะกิจ เข้ามาทําหน้าที่บริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สามารถจัดการหนี้ได้ภายในระยะเวลาเพียง 5 เดือน
พลเอกฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการฟื้นฟูเกษตรกรหลังจัดการหนี้ ที่คาดว่ากระบวนการจัดการหนี้ กฟก.จะใช้ระยะเวลาดําเนินการประมาณ 1 เดือน ซึ่งเกษตรกรที่ได้รับการจัดการหนี้แล้ว จะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูเพื่อประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน สามารถชําระหนี้คืนให้ กฟก.ได้ ในระยะเวลาอันสั้น โดยจะเชื่อมโยงกับ ศพก. เพื่อให้ความรู้เสริมสร้างประสบการณ์ จนเข้าไปสู่การรวมตัวเป็นเกษตรกรกลุ่มแปลงใหญ่ในพื้นที่ หรือยกระดับไปสู่ GAP อินทรีย์ ต่อไป
สําหรับงบประมาณการจัดการหนี้ โดยงบประมาณกฟก.ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1,300 ล้านบาท หากมีการชําระหนี้แทนจากมูลหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 2,870 ล้านบาท หลังเจรจาสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การเจรจาซื้อหนี้ (ลดต้น) คาดว่างบประมาณเบื้องต้นยังสามารถใช้งบประมาณของ กฟก. จัดการหนี้ได้เพียงพอ แต่ทั้งนี้ ได้สั่งการ กฟก.เตรียมแผนเสนอขอใช้งบประมาณเข้าสู่บอร์ดครั้งต่อไปให้ความเห็นชอบ กรณีหากงบประมาณจัดการหนี้ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
และประเด็นสาระสําคัญที่คกก.ได้พิจารณา คือการขอขยายเวลาบอร์ด กฟก.อีก 180 วัน โดยเตรียมเสนอครม.เห็นชอบตามคําสั่ง คสช.ที่ 26 /2560 วันที่ 18 พ.ค.60 (ข้อ 8 )ในการขอขยายเวลาการปฏิบัติงานของคกก.กองทุนฟื้นฟูเฉพาะกิจออกไปอีก 180 วันซึ่งเดิมกําหนดให้ดําเนินให้ดําเนินการภายใน 180 วันที่จะครบกําหนดในวันที่ 14 พ.ย.นี้เพื่อดําเนินการจัดการหนี้ /เจรจาซื้อหนี้/ สํารวจหนี้ที่ยังค้างอยู่ประมาณ 2 แสนราย รวมทั้งฟื้นฟูเกษตรกรได้ตามเป้าหมาย รวมถึงเร่งกระบวนการสร้างความเข้าใจและการรับรู้กับเกษตรกรในกองทุนฟื้นฟูให้รับทราบกรอบแนวทางการดําเนินการของ กฟก. โดยจะมีการจัดเวทีชี้แจง การรับรู้ เสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการฯ โดยจัดเวที 18 เวที ตามเขตจังหวัดราชการ โดยเชิญผู้นําเกษตรกรเข้าร่วม
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรกรกฟก.เตรียมเฮ บอร์ดเฉพาะกิจเห็นชอบซื้อหนี้ล็อตแรกแล้ว พร้อมดึงเกษตรกรเข้าระบบการฟื้นฟูหลังได้รับการซื้อหนี้
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560
เกษตรกรกฟก.เตรียมเฮ บอร์ดเฉพาะกิจเห็นชอบซื้อหนี้ล็อตแรกแล้ว พร้อมดึงเกษตรกรเข้าระบบการฟื้นฟูหลังได้รับการซื้อหนี้
เกษตรกรกฟก.เตรียมเฮ บอร์ดเฉพาะกิจเห็นชอบซื้อหนี้ล็อตแรกแล้ว 739 ราย สั่งเร่งทยอยซื้อหนี้ที่ผ่านคุณสมบัติ พร้อมดึงเกษตรกรเข้าระบบการฟื้นฟูหลังได้รับการซื้อหนี้ ส่วนเกษตรกรที่ยังตกสํารวจบอร์ดสั่งขยายสํารวจหนี้ระยะ 2 ถึงสิ้นพย.นี้
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ ครั้งที่ 5/2560 ว่า หลังจากคสช.มีคําสั่งแต่งตั้งบอร์ดเฉพาะกิจ กฟก.เมื่อวันที่ 18 พ.ค.60 ปฏิบัติหน้าที่ 180 วัน ผ่านมาแล้ว 5 เดือน การดําเนินการจัดการหนี้ของเกษตรกรมีความคืบหน้าการดําเนินงานตามลําดับ ตั้งแต่การขึ้นทะเบียนเกษตรกรและตรวจสอบข้อมูลหนี้ จากเกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 465,925 ราย มายืนยันตัวตน 290,657 ราย ประสงค์ให้ กฟก.จัดการหนี้ 164,360 ราย ตรวจสอบข้อมูลแล้ว โดยผ่านเงื่อนไข 16 ขั้นตอน 85,864 ราย และมีการจัดการหนี้ โดยเจรจากับสถาบันการเงินกําหนดหลักเกณฑ์การซื้อหนี้ ซึ่งทั้งสองสถาบันการเงินถือเป็นเงื่อนไขการชําระหนี้แทนที่ถูกที่สุดตั้งแต่มีการชําระหนี้แทน
สําหรับการซื้อหนี้สินเกษตรกรบอร์ดอนุมัติซื้อหนี้ล็อตแรกกลุ่มที่จัดการหนี้ได้โดยหลักเกณฑ์ กฟก. จํานวน 739 ราย มูลหนี้ 135,457,984.46 บาท แบ่งเป็น ธกส. 716 ราย มูลหนี้ 129.4 ล้านบาท โดยชําระหนี้แทนในเงื่อนไข 50% ของเงินต้น ตัดดอกเบี้ยและค่าปรับสหกรณ์การเกษตร 23 ราย มูลหนี้ 5.9 ล้านบาท ชําระหนี้แทนในเงื่อนไข 100% ของเงินต้น ตัดดอกเบี้ยและค่าปรับ
นอกจากนี้ บอร์ดยังมีมติรับทราบ กลุ่มที่รอการเจรจาระยะต่อไป ซึ่งคุณสมบัติครบในการจัดการหนี้ได้ 9,942 ราย มูลหนี้ 2,870 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าต่อจากนี้ทุกการประชุมประจําเดือนจะสามารถจัดการหนี้ของเกษตรกรได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเจ้าหนี้ได้แจ้งความจํานงมาแล้วว่าพร้อมจะให้ กฟก.ชําระหนี้แทน อย่างไรก็ตาม เกษตรกรที่ยังไม่มายืนยันสิทธิ 255,816 ราย ทางรัฐบาล โดย กษ. และ กฟก. จะเปิดให้มีการสํารวจข้อมูลอีกรอบในวันที่ 1-30 พ.ย. นี้เพื่อให้เกิดความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ถือว่ากฟก.เฉพาะกิจ เข้ามาทําหน้าที่บริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สามารถจัดการหนี้ได้ภายในระยะเวลาเพียง 5 เดือน
พลเอกฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการฟื้นฟูเกษตรกรหลังจัดการหนี้ ที่คาดว่ากระบวนการจัดการหนี้ กฟก.จะใช้ระยะเวลาดําเนินการประมาณ 1 เดือน ซึ่งเกษตรกรที่ได้รับการจัดการหนี้แล้ว จะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูเพื่อประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน สามารถชําระหนี้คืนให้ กฟก.ได้ ในระยะเวลาอันสั้น โดยจะเชื่อมโยงกับ ศพก. เพื่อให้ความรู้เสริมสร้างประสบการณ์ จนเข้าไปสู่การรวมตัวเป็นเกษตรกรกลุ่มแปลงใหญ่ในพื้นที่ หรือยกระดับไปสู่ GAP อินทรีย์ ต่อไป
สําหรับงบประมาณการจัดการหนี้ โดยงบประมาณกฟก.ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1,300 ล้านบาท หากมีการชําระหนี้แทนจากมูลหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 2,870 ล้านบาท หลังเจรจาสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์การเจรจาซื้อหนี้ (ลดต้น) คาดว่างบประมาณเบื้องต้นยังสามารถใช้งบประมาณของ กฟก. จัดการหนี้ได้เพียงพอ แต่ทั้งนี้ ได้สั่งการ กฟก.เตรียมแผนเสนอขอใช้งบประมาณเข้าสู่บอร์ดครั้งต่อไปให้ความเห็นชอบ กรณีหากงบประมาณจัดการหนี้ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
และประเด็นสาระสําคัญที่คกก.ได้พิจารณา คือการขอขยายเวลาบอร์ด กฟก.อีก 180 วัน โดยเตรียมเสนอครม.เห็นชอบตามคําสั่ง คสช.ที่ 26 /2560 วันที่ 18 พ.ค.60 (ข้อ 8 )ในการขอขยายเวลาการปฏิบัติงานของคกก.กองทุนฟื้นฟูเฉพาะกิจออกไปอีก 180 วันซึ่งเดิมกําหนดให้ดําเนินให้ดําเนินการภายใน 180 วันที่จะครบกําหนดในวันที่ 14 พ.ย.นี้เพื่อดําเนินการจัดการหนี้ /เจรจาซื้อหนี้/ สํารวจหนี้ที่ยังค้างอยู่ประมาณ 2 แสนราย รวมทั้งฟื้นฟูเกษตรกรได้ตามเป้าหมาย รวมถึงเร่งกระบวนการสร้างความเข้าใจและการรับรู้กับเกษตรกรในกองทุนฟื้นฟูให้รับทราบกรอบแนวทางการดําเนินการของ กฟก. โดยจะมีการจัดเวทีชี้แจง การรับรู้ เสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการฯ โดยจัดเวที 18 เวที ตามเขตจังหวัดราชการ โดยเชิญผู้นําเกษตรกรเข้าร่วม
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7540
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 และการจัดทำโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย
|
วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560
รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 และการจัดทําโครงการสํารวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ระหว่างวันที่ 3 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2560 และการจัดทําโครงการสํารวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ระหว่างวันที่ 3 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2560 และการจัดทําโครงการสํารวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้
1. รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560
1.1 เมื่อสิ้นสุดโครงการฯ มีผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น 14,180,336 คน โดยเป็นการลงทะเบียนผ่าน ธ.ก.ส. จํานวน 7,723,748 คน ธ.ออมสิน จํานวน 3,719,717 คน ธ.กรุงไทย จํานวน 2,392,017 คน สํานักงานคลังจังหวัด จํานวน 180,194 คน และสํานักงานเขตกรุงเทพมหานคร จํานวน 164,660 คน
1.2 ในระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2560 กระทรวงการคลัง (กค.) เปิดให้ผู้ลงทะเบียนตรวจสอบการมีชื่อในระบบการลงทะเบียน ผ่านทางเว็บไซต์อีเปย์เม้นท์ (www.epayment.go.th) เว็บไซต์ กค. (www.mof.go.th) และเว็บไซต์ สศค. (www.fpo.go.th) นอกจากนี้ยังมีสายด่วน (Call Center) ของ สศค. 1359 และของทั้ง 5 หน่วยงานที่รับลงทะเบียน ร่วมอํานวยความสะดวกแก่ผู้ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนฯ ทั้งนี้ หากไม่ปรากฏชื่อในระบบให้ผู้ลงทะเบียนสามารถนําหลักฐานท้ายแบบฟอร์มไปติดต่อหน่วยงานรับลงทะเบียนเพื่อทําความเข้าใจหรือเพิ่มเติมชื่อภายในวันที่ 2 มิถุนายน 2560 ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อ ชื่อกลาง และนามสกุล หลังปิดโครงการลงทะเบียน ให้แจ้งที่หน่วยลงทะเบียนภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560
1.3 ในระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 กค. จะดําเนินการจัดทําฐานข้อมูล และนําส่งให้หน่วยงานตรวจสอบ ได้แก่ กรมการปกครองและกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย กรมสรรพากร กค. ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รับฝากเงินจากประชาชน เพื่อนําไปตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดซึ่งคาดว่า จะตรวจคุณสมบัติแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 และเผยแพร่ผลการตรวจสอบผ่านช่องทางที่ระบุในข้อ 1.2 ต่อไป
2. โครงการสํารวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2560 เห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) จัดทําโครงการสํารวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้ทราบถึงสภาพความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งความต้องการสวัสดิการและการช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งจะช่วยให้การจัดสวัสดิการและการช่วยเหลือของภาครัฐมีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่มีความแตกต่างกัน และนําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ในเบื้องต้น กค. ได้ประสานกับ สสช. ในการจัดทําโครงการสํารวจฯ โดยมีสาระสําคัญของโครงการสํารวจฯ ดังนี้
2.1 วัตถุประสงค์ : เพื่อสํารวจสภาพความเป็นอยู่และความต้องการสวัสดิการจากภาครัฐของผู้มีรายได้น้อยซึ่งครอบคลุมผู้ที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2560
2.2 กรอบระยะเวลา : ให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2560 เพื่อให้สามารถใช้ประกอบการจัดทําโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ
2.3 หน่วยงานรับผิดชอบ : ดศ. โดย สสช. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออํานวยความสะดวกในการดําเนินโครงการสํารวจฯ
2.4 เจ้าหน้าที่สํารวจ : นักศึกษาในจังหวัดต่าง ๆ ทั้งในระดับอุดมศึกษาและอาชีวะศึกษา ที่อยู่ในจังหวัดภูมิลําเนาของตัวเอง และในจังหวัดใกล้เคียง หรือจังหวัดที่สถานศึกษาของตัวเองตั้งอยู่ เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงปิดภาคเรียน และต้องใช้เจ้าหน้าที่สํารวจจํานวนมากเพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ตามที่ได้มีการลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2560
หลังสิ้นสุดโครงการสํารวจฯ กค. คาดว่า จะสามารถนําข้อมูลมาประมวลผลเพื่อจัดสวัสดิการให้แก่ผู้มีรายได้น้อยได้อย่างถูกต้องและตรงตามสิ่งที่มุ่งหวังโดยใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3505
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 และการจัดทำโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย
วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560
รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 และการจัดทําโครงการสํารวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ระหว่างวันที่ 3 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2560 และการจัดทําโครงการสํารวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ระหว่างวันที่ 3 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2560 และการจัดทําโครงการสํารวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้
1. รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560
1.1 เมื่อสิ้นสุดโครงการฯ มีผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น 14,180,336 คน โดยเป็นการลงทะเบียนผ่าน ธ.ก.ส. จํานวน 7,723,748 คน ธ.ออมสิน จํานวน 3,719,717 คน ธ.กรุงไทย จํานวน 2,392,017 คน สํานักงานคลังจังหวัด จํานวน 180,194 คน และสํานักงานเขตกรุงเทพมหานคร จํานวน 164,660 คน
1.2 ในระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2560 กระทรวงการคลัง (กค.) เปิดให้ผู้ลงทะเบียนตรวจสอบการมีชื่อในระบบการลงทะเบียน ผ่านทางเว็บไซต์อีเปย์เม้นท์ (www.epayment.go.th) เว็บไซต์ กค. (www.mof.go.th) และเว็บไซต์ สศค. (www.fpo.go.th) นอกจากนี้ยังมีสายด่วน (Call Center) ของ สศค. 1359 และของทั้ง 5 หน่วยงานที่รับลงทะเบียน ร่วมอํานวยความสะดวกแก่ผู้ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนฯ ทั้งนี้ หากไม่ปรากฏชื่อในระบบให้ผู้ลงทะเบียนสามารถนําหลักฐานท้ายแบบฟอร์มไปติดต่อหน่วยงานรับลงทะเบียนเพื่อทําความเข้าใจหรือเพิ่มเติมชื่อภายในวันที่ 2 มิถุนายน 2560 ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อ ชื่อกลาง และนามสกุล หลังปิดโครงการลงทะเบียน ให้แจ้งที่หน่วยลงทะเบียนภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560
1.3 ในระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 กค. จะดําเนินการจัดทําฐานข้อมูล และนําส่งให้หน่วยงานตรวจสอบ ได้แก่ กรมการปกครองและกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย กรมสรรพากร กค. ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รับฝากเงินจากประชาชน เพื่อนําไปตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดซึ่งคาดว่า จะตรวจคุณสมบัติแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 และเผยแพร่ผลการตรวจสอบผ่านช่องทางที่ระบุในข้อ 1.2 ต่อไป
2. โครงการสํารวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2560 เห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) จัดทําโครงการสํารวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้ทราบถึงสภาพความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งความต้องการสวัสดิการและการช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งจะช่วยให้การจัดสวัสดิการและการช่วยเหลือของภาครัฐมีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่มีความแตกต่างกัน และนําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ในเบื้องต้น กค. ได้ประสานกับ สสช. ในการจัดทําโครงการสํารวจฯ โดยมีสาระสําคัญของโครงการสํารวจฯ ดังนี้
2.1 วัตถุประสงค์ : เพื่อสํารวจสภาพความเป็นอยู่และความต้องการสวัสดิการจากภาครัฐของผู้มีรายได้น้อยซึ่งครอบคลุมผู้ที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2560
2.2 กรอบระยะเวลา : ให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2560 เพื่อให้สามารถใช้ประกอบการจัดทําโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ
2.3 หน่วยงานรับผิดชอบ : ดศ. โดย สสช. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออํานวยความสะดวกในการดําเนินโครงการสํารวจฯ
2.4 เจ้าหน้าที่สํารวจ : นักศึกษาในจังหวัดต่าง ๆ ทั้งในระดับอุดมศึกษาและอาชีวะศึกษา ที่อยู่ในจังหวัดภูมิลําเนาของตัวเอง และในจังหวัดใกล้เคียง หรือจังหวัดที่สถานศึกษาของตัวเองตั้งอยู่ เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงปิดภาคเรียน และต้องใช้เจ้าหน้าที่สํารวจจํานวนมากเพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ตามที่ได้มีการลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2560
หลังสิ้นสุดโครงการสํารวจฯ กค. คาดว่า จะสามารถนําข้อมูลมาประมวลผลเพื่อจัดสวัสดิการให้แก่ผู้มีรายได้น้อยได้อย่างถูกต้องและตรงตามสิ่งที่มุ่งหวังโดยใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3505
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4515
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 มอบนโยบายแนวทางปฏิบัติมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 เน้นย้ำ “ต้องช่วยกันทำเพื่อชาติ เศรษฐกิจต้องเดิน คนต้องมีรายได้” [กระทรวงมหาดไทย]
|
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
มท.1 มอบนโยบายแนวทางปฏิบัติมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 เน้นย้ํา “ต้องช่วยกันทําเพื่อชาติ เศรษฐกิจต้องเดิน คนต้องมีรายได้” [กระทรวงมหาดไทย]
มท.1 มอบนโยบายแนวทางปฏิบัติมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 เน้นย้ํา “ต้องช่วยกันทําเพื่อชาติ เศรษฐกิจต้องเดิน คนต้องมีรายได้”
วันนี้ (16 มิ.ย. 63) เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VCS) เพื่อซักซ้อมแนวทางปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)โดยมี นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกรุงเทพมหานคร ผู้แทนศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ผู้แทนกรมควบคุมโรค ร่วมประชุม และเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ไปยังศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัดผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในจังหวัด นายอําเภอ และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ร่วมประชุม
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่าวันนี้เป็นการหารือซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติตามข้อกําหนดผ่อนคลายการบังคับใช้บางมาตรการในการป้องกันโรคโควิด-19 ระยะที่ 4 ซึ่งในขณะนี้ สถานการณ์การควบคุมแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของประเทศไทย ไม่มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นเวลา 22 วันแล้ว ด้วยความร่วมมือกันของทุกฝ่ายทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค รวมทั้งประชาชนคนไทยทุกคน ทําให้เราสามารถควบคุมได้สําเร็จในช่วงที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ ได้เกิดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในด้านเศรษฐกิจสูงมาก หลายคนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ยังไม่มีรายได้ ซึ่งระยะต่อจากนี้ถือเป็นช่วงที่สําคัญที่ต้องเตรียมการเพื่อช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชน คือ การท่องเที่ยว และเพื่อให้การเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคตต่อไปเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน จึงให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดเตรียมการและเร่งสร้างการรับรู้ความเข้าใจและรณรงค์ให้ประชาชนดําเนินชีวิตด้านเศรษฐกิจและรักษาสุขอนามัยเป็นพื้นฐานสําคัญใน 3 เรื่องคือ1) ต้องรักษาสุขอนามัยสูงสุด “อย่าการ์ดตก”สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ รักษาระยะห่างทางสังคม ให้เป็นมาตรการพื้นฐานอย่างเข้มแข็ง2) การกักกันโรค (Quarantine) ต้องเข้มแข็งและ3) รณรงค์ให้ประชาชนและผู้ประกอบการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้งที่ใช้บริการให้เป็นชีวิตปกติแนวใหม่ เพื่อประโยชน์ในการตามสืบสวนโรคได้อย่างรวดเร็วทุกคนต้องช่วยกันทําเพื่อชาติ“เศรษฐกิจต้องเดิน คนต้องมีรายได้”
นายนิพนธ์ บุญญามณี กล่าวว่าในขณะนี้เริ่มมีการเปิดสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและชายหาดซึ่งพบว่าบางพื้นที่ยังมีการคัดกรองไม่เข้มงวด จึงขอให้ในแต่ละพื้นที่ได้พิจารณาการจัดตั้งจุดคัดกรองเพิ่มเติม โดยเฉพาะชายหาดที่มีประชาชนนิยมไปพักผ่อนจํานวนมาก และขอให้ทุกจังหวัดส่งเสริมให้ประชาชนได้ทําเศรษฐกิจชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมให้ประชาชนทําการเกษตรที่สามารถจะเพิ่มผลผลิต สร้างรายได้ในครัวเรือนอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างรายได้ให้ครอบครัวได้
จากนั้นผู้แทน ศบค. ผู้แทนกระทรวง DES ผู้แทนกรมควบคุมโรค และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ได้นําเสนอแนวทางปฏิบัติและมาตรการการดําเนินการที่เกี่ยวข้องอาทิ กรอบแนวคิดการผ่อนคลายการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร แนวทางปฏิบัติการผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมตามมาตรการผ่อนคลายที่กําหนด มาตรการควบคุมการเดินทางเข้าราชอาณาจักรทั้งทางบก/น้ํา/อากาศ การเตรียมความพร้อมเปิดสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้นและผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และเพชรบุรี ได้รายงานการดําเนินการจัดระเบียบสถานที่ท่องเที่ยวชายหาดและการสร้างการรับรู้กับประชาชน และผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วและจังหวัดตาก รายงานการดําเนินงานพื้นที่ชายแดนและการจัดการศึกษา
นอกจากนี้ผู้แทนสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้แทนสํานักงบประมาณ ได้ชี้แจงแนวทางการจัดทําโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)และกรอบระยะเวลาดําเนินการโดยทุกจังหวัดต้องส่งรายละเอียดโครงการตามแบบฟอร์มที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมายังสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติภายในวันที่ 18 มิถุนายน 2563 เพื่อคณะอนุกรรมการพิจารณารายละเอียดโครงการ และคณะกรรมการพิจารณาผลการกลั่นกรองโครงการของคณะอนุกรรมการ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่าในเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นโอกาสอย่างยิ่งที่ต้องใช้ในการแก้สถานการณ์เศรษฐกิจซึ่งมีผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และผลกระทบด้านอื่น ๆ จึงขอฝากให้คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) พิจารณาให้ดีว่าโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริงนอกจากนี้ในเรื่องการบริหารโครงการต้องเกิดความโปร่งใส และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะใช้เงินงบประมาณนี้ทําให้ประชาชนมีหนทางใช้ชีวิตที่ดีขึ้นในการทํามาหากิน ประกอบอาชีพ สร้างสรรค์สิ่งที่ดี สร้างโอกาสที่ดีต่อไป
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่างบประมาณที่ได้รับตามโครงการฯ เป็นงบประมาณที่รัฐบาลได้จัดสรรผ่านช่องทางคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) โดยส่วนราชการในสังกัดทุกกระทรวงมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนทุกระดับ และองค์กรภาคประชาชนและประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน โดยทุกโครงการที่เสนอขอรับงบประมาณต้องเป็นโครงการที่เป็นความต้องการของประชาชนในพื้นที่
สุดท้ายพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับเรื่องสาธารณภัย ขณะนี้เรามีทั้งพายุฝนและภัยแล้ง สําหรับภัยแล้ง สถานการณ์คลี่คลายไป 15 จังหวัด ยังคงมีจังหวัดประสบภัยแล้ง 14 จังหวัด กระจายในหลายพื้นที่ จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยกันดูแลพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ สําหรับสถานการณ์พายุฝนในพื้นที่ 8 จังหวัด โดยเฉพาะในเขตเมือง ขอให้เตรียมการระบายน้ํา การพร่องน้ํา การขุดลอกคู คลองให้มีความพร้อม และในพื้นที่ภูเขา หากเกิดฝนตกหนักติดต่อกัน ต้องเตรียมการแจ้งเตือน ติดตาม และประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมให้อพยพคนออกโดยทันทีก่อนจะเกิดภัย เรือเล็กห้ามออกจากฝั่ง เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 มอบนโยบายแนวทางปฏิบัติมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 เน้นย้ำ “ต้องช่วยกันทำเพื่อชาติ เศรษฐกิจต้องเดิน คนต้องมีรายได้” [กระทรวงมหาดไทย]
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
มท.1 มอบนโยบายแนวทางปฏิบัติมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 เน้นย้ํา “ต้องช่วยกันทําเพื่อชาติ เศรษฐกิจต้องเดิน คนต้องมีรายได้” [กระทรวงมหาดไทย]
มท.1 มอบนโยบายแนวทางปฏิบัติมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 เน้นย้ํา “ต้องช่วยกันทําเพื่อชาติ เศรษฐกิจต้องเดิน คนต้องมีรายได้”
วันนี้ (16 มิ.ย. 63) เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VCS) เพื่อซักซ้อมแนวทางปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)โดยมี นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกรุงเทพมหานคร ผู้แทนศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ผู้แทนกรมควบคุมโรค ร่วมประชุม และเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ไปยังศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัดผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในจังหวัด นายอําเภอ และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ร่วมประชุม
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่าวันนี้เป็นการหารือซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติตามข้อกําหนดผ่อนคลายการบังคับใช้บางมาตรการในการป้องกันโรคโควิด-19 ระยะที่ 4 ซึ่งในขณะนี้ สถานการณ์การควบคุมแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของประเทศไทย ไม่มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นเวลา 22 วันแล้ว ด้วยความร่วมมือกันของทุกฝ่ายทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค รวมทั้งประชาชนคนไทยทุกคน ทําให้เราสามารถควบคุมได้สําเร็จในช่วงที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ ได้เกิดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในด้านเศรษฐกิจสูงมาก หลายคนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ยังไม่มีรายได้ ซึ่งระยะต่อจากนี้ถือเป็นช่วงที่สําคัญที่ต้องเตรียมการเพื่อช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชน คือ การท่องเที่ยว และเพื่อให้การเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคตต่อไปเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน จึงให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดเตรียมการและเร่งสร้างการรับรู้ความเข้าใจและรณรงค์ให้ประชาชนดําเนินชีวิตด้านเศรษฐกิจและรักษาสุขอนามัยเป็นพื้นฐานสําคัญใน 3 เรื่องคือ1) ต้องรักษาสุขอนามัยสูงสุด “อย่าการ์ดตก”สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ รักษาระยะห่างทางสังคม ให้เป็นมาตรการพื้นฐานอย่างเข้มแข็ง2) การกักกันโรค (Quarantine) ต้องเข้มแข็งและ3) รณรงค์ให้ประชาชนและผู้ประกอบการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้งที่ใช้บริการให้เป็นชีวิตปกติแนวใหม่ เพื่อประโยชน์ในการตามสืบสวนโรคได้อย่างรวดเร็วทุกคนต้องช่วยกันทําเพื่อชาติ“เศรษฐกิจต้องเดิน คนต้องมีรายได้”
นายนิพนธ์ บุญญามณี กล่าวว่าในขณะนี้เริ่มมีการเปิดสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและชายหาดซึ่งพบว่าบางพื้นที่ยังมีการคัดกรองไม่เข้มงวด จึงขอให้ในแต่ละพื้นที่ได้พิจารณาการจัดตั้งจุดคัดกรองเพิ่มเติม โดยเฉพาะชายหาดที่มีประชาชนนิยมไปพักผ่อนจํานวนมาก และขอให้ทุกจังหวัดส่งเสริมให้ประชาชนได้ทําเศรษฐกิจชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมให้ประชาชนทําการเกษตรที่สามารถจะเพิ่มผลผลิต สร้างรายได้ในครัวเรือนอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างรายได้ให้ครอบครัวได้
จากนั้นผู้แทน ศบค. ผู้แทนกระทรวง DES ผู้แทนกรมควบคุมโรค และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ได้นําเสนอแนวทางปฏิบัติและมาตรการการดําเนินการที่เกี่ยวข้องอาทิ กรอบแนวคิดการผ่อนคลายการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร แนวทางปฏิบัติการผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมตามมาตรการผ่อนคลายที่กําหนด มาตรการควบคุมการเดินทางเข้าราชอาณาจักรทั้งทางบก/น้ํา/อากาศ การเตรียมความพร้อมเปิดสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้นและผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และเพชรบุรี ได้รายงานการดําเนินการจัดระเบียบสถานที่ท่องเที่ยวชายหาดและการสร้างการรับรู้กับประชาชน และผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วและจังหวัดตาก รายงานการดําเนินงานพื้นที่ชายแดนและการจัดการศึกษา
นอกจากนี้ผู้แทนสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้แทนสํานักงบประมาณ ได้ชี้แจงแนวทางการจัดทําโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)และกรอบระยะเวลาดําเนินการโดยทุกจังหวัดต้องส่งรายละเอียดโครงการตามแบบฟอร์มที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมายังสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติภายในวันที่ 18 มิถุนายน 2563 เพื่อคณะอนุกรรมการพิจารณารายละเอียดโครงการ และคณะกรรมการพิจารณาผลการกลั่นกรองโครงการของคณะอนุกรรมการ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่าในเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นโอกาสอย่างยิ่งที่ต้องใช้ในการแก้สถานการณ์เศรษฐกิจซึ่งมีผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และผลกระทบด้านอื่น ๆ จึงขอฝากให้คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) พิจารณาให้ดีว่าโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริงนอกจากนี้ในเรื่องการบริหารโครงการต้องเกิดความโปร่งใส และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะใช้เงินงบประมาณนี้ทําให้ประชาชนมีหนทางใช้ชีวิตที่ดีขึ้นในการทํามาหากิน ประกอบอาชีพ สร้างสรรค์สิ่งที่ดี สร้างโอกาสที่ดีต่อไป
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่างบประมาณที่ได้รับตามโครงการฯ เป็นงบประมาณที่รัฐบาลได้จัดสรรผ่านช่องทางคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) โดยส่วนราชการในสังกัดทุกกระทรวงมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนทุกระดับ และองค์กรภาคประชาชนและประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน โดยทุกโครงการที่เสนอขอรับงบประมาณต้องเป็นโครงการที่เป็นความต้องการของประชาชนในพื้นที่
สุดท้ายพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับเรื่องสาธารณภัย ขณะนี้เรามีทั้งพายุฝนและภัยแล้ง สําหรับภัยแล้ง สถานการณ์คลี่คลายไป 15 จังหวัด ยังคงมีจังหวัดประสบภัยแล้ง 14 จังหวัด กระจายในหลายพื้นที่ จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยกันดูแลพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ สําหรับสถานการณ์พายุฝนในพื้นที่ 8 จังหวัด โดยเฉพาะในเขตเมือง ขอให้เตรียมการระบายน้ํา การพร่องน้ํา การขุดลอกคู คลองให้มีความพร้อม และในพื้นที่ภูเขา หากเกิดฝนตกหนักติดต่อกัน ต้องเตรียมการแจ้งเตือน ติดตาม และประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมให้อพยพคนออกโดยทันทีก่อนจะเกิดภัย เรือเล็กห้ามออกจากฝั่ง เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32388
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กฤษฎา”เผยอินโดนีเซียสนใจมาตรการลดกรีด 3 เดือน หลังเชิญ 4 ประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลกร่วมหารือ
|
วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561
“กฤษฎา”เผยอินโดนีเซียสนใจมาตรการลดกรีด 3 เดือน หลังเชิญ 4 ประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลกร่วมหารือ
“กฤษฎา”เผยอินโดนีเซียสนใจมาตรการลดกรีด 3 เดือน หลังเชิญ 4 ประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลกร่วมหารือครั้งแรก เพื่อติดตามมาตรการควบคุมโควตาส่งออก หวังสร้างเสถียรภาพราคา
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับเอกอัครราชทูตและผู้แทนจากประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลก ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ร่วมประชุมหารือความร่วมมือด้านยางพารา เพื่อจะสร้างเสถียรภาพด้านราคา และพัฒนาอาชีพการทําสวนยาง ตลอดจนอุตสาหกรรมยางให้มีความมั่นคงและยั่งยืน และยังเป็นการส่งเสริมด้านความร่วมมือและความความสัมพันธ์อันดีในฐานะประเทศผู้ผลิตยางด้วย โดยครั้งนี้เป็นการติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานมาตรการควบคุมปริมาณการส่งออกยางพารา (AETS) ครั้งที่ 5 ภายใต้ข้อตกลงสภาไตรภาคียางพาราระหว่างประเทศ (ITRC) ประกอบด้วย ประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย โดยกําหนดการลดโควตาการส่งออกยางพาราร่วมกันของ 3 ประเทศสมาชิก ITRC จํานวน 350,000 ตัน ที่แก้ไขปัญหาราคายางในระยะสั้น ภายในระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2561 ซึ่งนับจากนี้ยังเหลือเวลาในการดําเนินมาตรการนี้อีกประมาณ 1 เดือน ในการควบคุมปริมาณยางในตลาดให้ลดลง ทั้งสามประเทศยืนยันที่จะดําเนินการอย่างเข้มงวดและจริงจังมากขึ้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเกิดความต้องการใช้ยางในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น จะส่งผลให้ราคายางปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยของแต่ละประเทศซึ่งจะมีรายได้ที่สูงขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ การดําเนินการมาตรการนี้ ประเทศเวียดนาม ในฐานะประเทศผู้ผลิตยาง ยังช่วยสนับสนุนมาตรการครั้งนี้สัมฤทธิ์ผลควบคู่ด้วยดังกล่าวร่วมด้วย ซึ่งเวียดนามมีท่าทีอย่างไม่เป็นทางการในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ (ITRC) ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปลายปีนี้
สําหรับประเทศสําคัญที่ไทยนําเสนอในที่ประชุมครั้งนี้ คือมาตรการที่ไทยดําเนินการและระหว่างพิจารณารวม 5 มาตรการ คือ มาตรการและแนวทางอื่นในการสร้างเสถียรภาพราคายาง 1. มาตรการบริหารจัดการการผลิต โดยบริหารผลผลิตและความต้องการใช้ยางของแต่ละประเทศได้อย่างสมดุล โดยไทยนโยบายในการลดพื้นที่ปลูกยางในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมด้วยการโค่นยางเพื่อไปปลูกพืชอื่น ซึ่งจะจํากัดปริมาณผลผลิตให้มีความสมดุลกับความต้องการใช้ ปีละ 200,000 ไร่ ปัจจุบัน ปี 2560 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยาง 23.113 ล้านไร่ และคาดว่าในปี 2561 จากมาตรการนโยบายของรัฐบาล จะช่วยให้พื้นที่ปลูกยางในประเทศหายไปประมาณ 200,000 ไร่ จะเหลือเป็นพื้นที่ปลูกยางในประเทศไทย ประมาณ 22.913 ล้านไร่ 2. มาตรการการปลูกยางพาราร่วมกับพืชเศรษฐกิจอื่น 3. เพิ่มการใช้ยางในประเทศ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยปัจจุบันมีการรณรงค์ให้หน่วยงานภาครัฐ เพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศสามารถนําไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ เพื่อพัฒนาประเทศ และประโยชน์ต่อประชาชน อาทิ สระน้ํา ยางปูพื้น ถนนยางพารา เป็นต้น4. มาตรการหยุดกรีด ที่ไทยมีนโยบายให้พื้นที่ปลูกยางในหน่วยงานภาครัฐ ยกเว้นพื้นที่สวนยางที่ใช้ในการวิจัย หยุดกรีดยางเป็นระยะเวลา 3 เดือน ในระหว่าง ม.ค.-มี.ค. 2561 คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 100,000 ไร่ เพื่อลดปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาด นอกจากนี้ ไทยยังมีแนวคิดในการลดพื้นที่กรีดยาง 2 แนวทาง เพื่อลดปริมาณยางในตลาด ได้แก่ 1. หยุดกรีดยาง 3 ล้านไร่ เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ พ.ค.-ก.ค.61 คาดว่าจะลดปริมาณยางได้ประมาณ 200,000 ตัน 2. หยุดกรีดยางทุกไร่ แต่กรีดแบบวันเว้นวันหรือกรีดยาง 15 วัน หยุดกรีดยาง 15 วัน และ 5. มาตรการการควบคุมการผลิต-ราคายางพาราที่ปัจจุบัน ยางพาราของประเทศไทย เป็นสินค้าควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ปี 2542 โดยจะมีกระทรวงพาณิชย์เข้ามาดูกลไกราคายางพารา ดังนั้น มีนโยบายในการจัดตั้งคณะกรรมการยางพาราควบคุมการผลิต-ราคายางพารา ซึ่งคณะกรรมการฯ จะประกอบด้วยผู้ที่เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย ได้แก่ ภาคราชการ เอกชน และชาวสวนยางพารา มีอํานาจหน้าที่ในการไปดูต้นทุนยางพารา ดูการผลิตยางว่าราคาใดเหมาะสมกับการรับซื้อ หรือราคาใดเหมาะสมกับการส่งออก เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่เกษตรกร
อย่างไรก็ตาม สองมาตรการหลังนั้นไทยได้ขอให้ประเทศสมาชิกรับไปพิจารณา คือ มาตรการหยุดกรีดยาง และคณะกรรมการราคายางระหว่างประเทศ ซึ่งเบื้องต้นจากการหารือนั้นอินโดนีเซียสนใจมากที่สุดกับมาตรการขอความร่วมมือลดกรีดยางนี้ แต่ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกจะรับข้อเสนอของไทยไปพิจารณาเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กฤษฎา”เผยอินโดนีเซียสนใจมาตรการลดกรีด 3 เดือน หลังเชิญ 4 ประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลกร่วมหารือ
วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561
“กฤษฎา”เผยอินโดนีเซียสนใจมาตรการลดกรีด 3 เดือน หลังเชิญ 4 ประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลกร่วมหารือ
“กฤษฎา”เผยอินโดนีเซียสนใจมาตรการลดกรีด 3 เดือน หลังเชิญ 4 ประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลกร่วมหารือครั้งแรก เพื่อติดตามมาตรการควบคุมโควตาส่งออก หวังสร้างเสถียรภาพราคา
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับเอกอัครราชทูตและผู้แทนจากประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลก ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ร่วมประชุมหารือความร่วมมือด้านยางพารา เพื่อจะสร้างเสถียรภาพด้านราคา และพัฒนาอาชีพการทําสวนยาง ตลอดจนอุตสาหกรรมยางให้มีความมั่นคงและยั่งยืน และยังเป็นการส่งเสริมด้านความร่วมมือและความความสัมพันธ์อันดีในฐานะประเทศผู้ผลิตยางด้วย โดยครั้งนี้เป็นการติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานมาตรการควบคุมปริมาณการส่งออกยางพารา (AETS) ครั้งที่ 5 ภายใต้ข้อตกลงสภาไตรภาคียางพาราระหว่างประเทศ (ITRC) ประกอบด้วย ประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย โดยกําหนดการลดโควตาการส่งออกยางพาราร่วมกันของ 3 ประเทศสมาชิก ITRC จํานวน 350,000 ตัน ที่แก้ไขปัญหาราคายางในระยะสั้น ภายในระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2561 ซึ่งนับจากนี้ยังเหลือเวลาในการดําเนินมาตรการนี้อีกประมาณ 1 เดือน ในการควบคุมปริมาณยางในตลาดให้ลดลง ทั้งสามประเทศยืนยันที่จะดําเนินการอย่างเข้มงวดและจริงจังมากขึ้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเกิดความต้องการใช้ยางในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น จะส่งผลให้ราคายางปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยของแต่ละประเทศซึ่งจะมีรายได้ที่สูงขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ การดําเนินการมาตรการนี้ ประเทศเวียดนาม ในฐานะประเทศผู้ผลิตยาง ยังช่วยสนับสนุนมาตรการครั้งนี้สัมฤทธิ์ผลควบคู่ด้วยดังกล่าวร่วมด้วย ซึ่งเวียดนามมีท่าทีอย่างไม่เป็นทางการในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ (ITRC) ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปลายปีนี้
สําหรับประเทศสําคัญที่ไทยนําเสนอในที่ประชุมครั้งนี้ คือมาตรการที่ไทยดําเนินการและระหว่างพิจารณารวม 5 มาตรการ คือ มาตรการและแนวทางอื่นในการสร้างเสถียรภาพราคายาง 1. มาตรการบริหารจัดการการผลิต โดยบริหารผลผลิตและความต้องการใช้ยางของแต่ละประเทศได้อย่างสมดุล โดยไทยนโยบายในการลดพื้นที่ปลูกยางในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมด้วยการโค่นยางเพื่อไปปลูกพืชอื่น ซึ่งจะจํากัดปริมาณผลผลิตให้มีความสมดุลกับความต้องการใช้ ปีละ 200,000 ไร่ ปัจจุบัน ปี 2560 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยาง 23.113 ล้านไร่ และคาดว่าในปี 2561 จากมาตรการนโยบายของรัฐบาล จะช่วยให้พื้นที่ปลูกยางในประเทศหายไปประมาณ 200,000 ไร่ จะเหลือเป็นพื้นที่ปลูกยางในประเทศไทย ประมาณ 22.913 ล้านไร่ 2. มาตรการการปลูกยางพาราร่วมกับพืชเศรษฐกิจอื่น 3. เพิ่มการใช้ยางในประเทศ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยปัจจุบันมีการรณรงค์ให้หน่วยงานภาครัฐ เพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศสามารถนําไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ เพื่อพัฒนาประเทศ และประโยชน์ต่อประชาชน อาทิ สระน้ํา ยางปูพื้น ถนนยางพารา เป็นต้น4. มาตรการหยุดกรีด ที่ไทยมีนโยบายให้พื้นที่ปลูกยางในหน่วยงานภาครัฐ ยกเว้นพื้นที่สวนยางที่ใช้ในการวิจัย หยุดกรีดยางเป็นระยะเวลา 3 เดือน ในระหว่าง ม.ค.-มี.ค. 2561 คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 100,000 ไร่ เพื่อลดปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาด นอกจากนี้ ไทยยังมีแนวคิดในการลดพื้นที่กรีดยาง 2 แนวทาง เพื่อลดปริมาณยางในตลาด ได้แก่ 1. หยุดกรีดยาง 3 ล้านไร่ เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ พ.ค.-ก.ค.61 คาดว่าจะลดปริมาณยางได้ประมาณ 200,000 ตัน 2. หยุดกรีดยางทุกไร่ แต่กรีดแบบวันเว้นวันหรือกรีดยาง 15 วัน หยุดกรีดยาง 15 วัน และ 5. มาตรการการควบคุมการผลิต-ราคายางพาราที่ปัจจุบัน ยางพาราของประเทศไทย เป็นสินค้าควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ปี 2542 โดยจะมีกระทรวงพาณิชย์เข้ามาดูกลไกราคายางพารา ดังนั้น มีนโยบายในการจัดตั้งคณะกรรมการยางพาราควบคุมการผลิต-ราคายางพารา ซึ่งคณะกรรมการฯ จะประกอบด้วยผู้ที่เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย ได้แก่ ภาคราชการ เอกชน และชาวสวนยางพารา มีอํานาจหน้าที่ในการไปดูต้นทุนยางพารา ดูการผลิตยางว่าราคาใดเหมาะสมกับการรับซื้อ หรือราคาใดเหมาะสมกับการส่งออก เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่เกษตรกร
อย่างไรก็ตาม สองมาตรการหลังนั้นไทยได้ขอให้ประเทศสมาชิกรับไปพิจารณา คือ มาตรการหยุดกรีดยาง และคณะกรรมการราคายางระหว่างประเทศ ซึ่งเบื้องต้นจากการหารือนั้นอินโดนีเซียสนใจมากที่สุดกับมาตรการขอความร่วมมือลดกรีดยางนี้ แต่ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกจะรับข้อเสนอของไทยไปพิจารณาเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10533
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางเตรียมข้ามพร้อมของสถานศึกษาในการเปิดภาคเรียน
|
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563
แนวทางเตรียมข้ามพร้อมของสถานศึกษาในการเปิดภาคเรียน
รู้ทันป้องกันโควิด-19
-มีมาตรการคัดกรอง
-สวมหน้ากากอนามัย
-มีจุดบริการล้างมือ
-เว้นระยะห่าง
-ทําความสะอาดพื้นผิว
-ลดความแออัด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางเตรียมข้ามพร้อมของสถานศึกษาในการเปิดภาคเรียน
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563
แนวทางเตรียมข้ามพร้อมของสถานศึกษาในการเปิดภาคเรียน
รู้ทันป้องกันโควิด-19
-มีมาตรการคัดกรอง
-สวมหน้ากากอนามัย
-มีจุดบริการล้างมือ
-เว้นระยะห่าง
-ทําความสะอาดพื้นผิว
-ลดความแออัด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31379
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.ปนัดดา พบปะครูผู้ช่วยบรรจุใหม่ จ.ประจวบคีรีขันธ์
|
วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560
รมช.ศธ.ปนัดดา พบปะครูผู้ช่วยบรรจุใหม่ จ.ประจวบคีรีขันธ์
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายและการปฏิบัติงานสําหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย พ.ศ.2560 ที่บรรจุใหม่ จ.ประจวบคีรีขันธ์
รวมทั้งพบสนทนากับผู้บริหาร คณาจารย์ และนักศึกษาคณะอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี คณะบริหารธุรกิจ และอุตสาหกรรมโรงแรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) รัตนโกสินทร์เมื่อวันพฤหัสบดีที่28กันยายน2560ณห้องรัตนโกสินทร์ บอลรูม มทร.รัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล อ.หัวหิน
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวตอนหนึ่งว่าขอแสดงความยินดีกับข้าราชการครูบรรจุใหม่ทุกสังกัดของจ.ประจวบคีรีขันธ์ เพราะการเข้ารับราชการถือเป็นเกียรติยศ ความภาคภูมิใจทั้งตนเองและครอบครัว จงมีความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของความเป็นข้าราชการของพระมหากษัตริย์ และร่วมกันทุ่มเทในความรับผิดชอบใหญ่หลวงในหน้าที่ราชการทางการศึกษา สนองพระมหากรุณาธิคุณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูอาจารย์ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้มีบุญคุณใหญ่หลวงต่อลูกศิษย์แล้ว ครูคือผู้เป็นมิตรแท้และเข้าใจได้อย่างถ่องแท้กับศิษย์ ถือเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่แก่ศิษย์ จึงขอให้ครูบรรจุใหม่ประพฤติปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดี (Role Model) ให้แก่ศิษย์ และฝากหน่วยงานต้นสังกัดให้คําแนะนําเกี่ยวกับความก้าวหน้าในชีวิตราชการ รวมทั้งดูแลขวัญกําลังใจและสวัสดิการแก่ครู เพราะอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีความเสียสละอย่างแท้จริง
สําหรับนักเรียนนักศึกษาซึ่งเกิดมาในรัชกาลที่9ต้องการให้ลูกหลานได้ยึดมั่นในหลักคุณธรรม เพราะจะเป็นส่วนสําคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้ามีระเบียบวินัยและรับผิดชอบต่อหน้าที่ ซึ่งถือเป็นหลักคุณธรรมพื้นฐานที่ช่วยให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้ ยึดมั่นหน้าที่พลเมืองอันดี ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ไม่ให้ร้ายป้ายสีผู้อื่น ไม่กล่าวคําเท็จ และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบของตนให้ดีที่สุด
อีกทั้งขอให้น้อมนํากระแสพระราชดํารัส หรือพระบรมราโชวาทของในหลวงมาประพฤติปฏิบัติเช่น
"การให้ความรู้นั้นมีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทอง"หรือ
“เราทั้งหลายเฉพาะได้เกิดมาในประเทศนี้รวมกันแล้ว บางคนก็ต้องอยู่ในตําแหน่งอันใหญ่ บางคนก็อยู่ในตําแหน่งอันน้อย แต่แม้ว่าจะมียศตําแหน่งแปลกกันในระหว่างพวกเราฉันใดก็ดี ก็ยังมีหน้าที่อันหนึ่งซึ่งเราทั้งหลายย่อมมีอยู่เหมือนกันหมด คือ ว่ามีหน้าที่ที่จะต้องมีรักซึ่งกันและกัน แลจะต้องกระทําการตามกําลังของตนที่จะกระทําได้ เพื่อให้บ้านเมืองของเรามีความสุข รุ่งเรืองขึ้น”ซึ่งเป็นพระบรมราโชวาทในรัชกาลที่5
ประการสําคัญ คือ น้อมนํา "ศาสตร์พระราชา" ในหลวงรัชกาลที่9ที่เป็นหัวใจของนักการศึกษาคือ "รู้ รัก สามัคคี และเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" เพราะเมื่อทุกอย่างเริ่มจากการรู้จริง ก็จะทําให้เกิดความเข้าใจและรักที่จะทํา และเมื่อเรารักสิ่งใด ก็จะเข้าถึงสิ่งนั้นได้ง่าย เมื่อเราสามัคคีก็จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ ม.ล.ปนัดดาได้ขอความร่วมมือจากครู อาจารย์ และนักศึกษา ได้ร่วมกันขับเคลื่อนกรอบแนวคิดที่สําคัญของโรงเรียนคุณธรรม 5 ข้อ ได้แก่ 1) ความพอเพียง 2) ความกตัญญู 3) ความซื่อสัตย์สุจริต 4) ความรับผิดชอบ 5) อุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม ตลอดจนรักษาเอกลักษณ์ของชนชาติไทย ทั้งการไหว้ การวางตัวให้เหมาะสม และการอ่อนน้อมถ่อมตนและช่วยกันขยายผลในเรื่องของโรงเรียนคุณธรรมไปสู่สถานศึกษาอื่น ๆ เพื่อเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9
บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.ปนัดดา พบปะครูผู้ช่วยบรรจุใหม่ จ.ประจวบคีรีขันธ์
วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560
รมช.ศธ.ปนัดดา พบปะครูผู้ช่วยบรรจุใหม่ จ.ประจวบคีรีขันธ์
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายและการปฏิบัติงานสําหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย พ.ศ.2560 ที่บรรจุใหม่ จ.ประจวบคีรีขันธ์
รวมทั้งพบสนทนากับผู้บริหาร คณาจารย์ และนักศึกษาคณะอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี คณะบริหารธุรกิจ และอุตสาหกรรมโรงแรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) รัตนโกสินทร์เมื่อวันพฤหัสบดีที่28กันยายน2560ณห้องรัตนโกสินทร์ บอลรูม มทร.รัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล อ.หัวหิน
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวตอนหนึ่งว่าขอแสดงความยินดีกับข้าราชการครูบรรจุใหม่ทุกสังกัดของจ.ประจวบคีรีขันธ์ เพราะการเข้ารับราชการถือเป็นเกียรติยศ ความภาคภูมิใจทั้งตนเองและครอบครัว จงมีความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของความเป็นข้าราชการของพระมหากษัตริย์ และร่วมกันทุ่มเทในความรับผิดชอบใหญ่หลวงในหน้าที่ราชการทางการศึกษา สนองพระมหากรุณาธิคุณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูอาจารย์ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้มีบุญคุณใหญ่หลวงต่อลูกศิษย์แล้ว ครูคือผู้เป็นมิตรแท้และเข้าใจได้อย่างถ่องแท้กับศิษย์ ถือเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่แก่ศิษย์ จึงขอให้ครูบรรจุใหม่ประพฤติปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดี (Role Model) ให้แก่ศิษย์ และฝากหน่วยงานต้นสังกัดให้คําแนะนําเกี่ยวกับความก้าวหน้าในชีวิตราชการ รวมทั้งดูแลขวัญกําลังใจและสวัสดิการแก่ครู เพราะอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีความเสียสละอย่างแท้จริง
สําหรับนักเรียนนักศึกษาซึ่งเกิดมาในรัชกาลที่9ต้องการให้ลูกหลานได้ยึดมั่นในหลักคุณธรรม เพราะจะเป็นส่วนสําคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้ามีระเบียบวินัยและรับผิดชอบต่อหน้าที่ ซึ่งถือเป็นหลักคุณธรรมพื้นฐานที่ช่วยให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้ ยึดมั่นหน้าที่พลเมืองอันดี ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ไม่ให้ร้ายป้ายสีผู้อื่น ไม่กล่าวคําเท็จ และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบของตนให้ดีที่สุด
อีกทั้งขอให้น้อมนํากระแสพระราชดํารัส หรือพระบรมราโชวาทของในหลวงมาประพฤติปฏิบัติเช่น
"การให้ความรู้นั้นมีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทอง"หรือ
“เราทั้งหลายเฉพาะได้เกิดมาในประเทศนี้รวมกันแล้ว บางคนก็ต้องอยู่ในตําแหน่งอันใหญ่ บางคนก็อยู่ในตําแหน่งอันน้อย แต่แม้ว่าจะมียศตําแหน่งแปลกกันในระหว่างพวกเราฉันใดก็ดี ก็ยังมีหน้าที่อันหนึ่งซึ่งเราทั้งหลายย่อมมีอยู่เหมือนกันหมด คือ ว่ามีหน้าที่ที่จะต้องมีรักซึ่งกันและกัน แลจะต้องกระทําการตามกําลังของตนที่จะกระทําได้ เพื่อให้บ้านเมืองของเรามีความสุข รุ่งเรืองขึ้น”ซึ่งเป็นพระบรมราโชวาทในรัชกาลที่5
ประการสําคัญ คือ น้อมนํา "ศาสตร์พระราชา" ในหลวงรัชกาลที่9ที่เป็นหัวใจของนักการศึกษาคือ "รู้ รัก สามัคคี และเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" เพราะเมื่อทุกอย่างเริ่มจากการรู้จริง ก็จะทําให้เกิดความเข้าใจและรักที่จะทํา และเมื่อเรารักสิ่งใด ก็จะเข้าถึงสิ่งนั้นได้ง่าย เมื่อเราสามัคคีก็จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ ม.ล.ปนัดดาได้ขอความร่วมมือจากครู อาจารย์ และนักศึกษา ได้ร่วมกันขับเคลื่อนกรอบแนวคิดที่สําคัญของโรงเรียนคุณธรรม 5 ข้อ ได้แก่ 1) ความพอเพียง 2) ความกตัญญู 3) ความซื่อสัตย์สุจริต 4) ความรับผิดชอบ 5) อุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม ตลอดจนรักษาเอกลักษณ์ของชนชาติไทย ทั้งการไหว้ การวางตัวให้เหมาะสม และการอ่อนน้อมถ่อมตนและช่วยกันขยายผลในเรื่องของโรงเรียนคุณธรรมไปสู่สถานศึกษาอื่น ๆ เพื่อเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9
บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7060
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกวิถีใหม่ ปลอดภัยทั้งผู้รับและผู้ให้บริการ
|
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563
สธ. ปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกวิถีใหม่ ปลอดภัยทั้งผู้รับและผู้ให้บริการ
กระทรวงสาธารณสุข ปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกวิถีใหม่ เพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ลดแออัด คัดกรองผ่านแอปพลิเคชันก่อนมาโรงพยาบาล แยกโซนบริการตามความเสี่ยง
กระทรวงสาธารณสุข ปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกวิถีใหม่ เพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ลดแออัด คัดกรองผ่านแอปพลิเคชันก่อนมาโรงพยาบาล แยกโซนบริการตามความเสี่ยง
วันนี้ (18 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ แถลงข่าว New normal OPD กรมการแพทย์ ว่า ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ทําให้มีความจําเป็นต้องมีการปรับระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ โดยเฉพาะแผนกผู้ป่วยนอก (OPD) ที่มีผู้ป่วยมาใช้บริการมากที่สุด กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์ร่วมกับภาคีเครือข่าย จึงได้พัฒนาระบบบริการผู้ป่วยนอกวิถีใหม่ เพื่อความปลอดภัยของผู้มารับบริการและบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน ลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย และลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเสมอภาค ได้รับบริการที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับภาวะความเจ็บป่วยที่แตกต่างกันในแต่ละราย
ในส่วนความปลอดภัยลดโอกาสติดเชื้อของผู้มารับบริการและบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน สามารถคัดกรองผู้ป่วยก่อนมาโรงพยาบาลผ่านแอปพลิเคชัน มีจุดคัดกรองที่โรงพยาบาล และจัดจุดบริการผู้ป่วยที่อาจติดเชื้อแยกจากผู้ป่วยอื่น เมื่อไปพบแพทย์ที่ห้องตรวจ จัดสถานที่/ที่นั่งให้มีการเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร มีจุดล้างมือ/ แอลกอฮอล์เจล ผู้รับบริการและเจ้าหน้าที่ต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลา ทําความสะอาดจุดเสี่ยงสัมผัสต่างๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวจับ เก้าอี้พักคอย ปุ่มลิฟต์ เครื่องวัดความดันโลหิตด้วยน้ํายาฆ่าเชื้ออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ฉากพลาสติก ฉากอะคริลิคป้องกันขณะให้บริการ ปรับโครงสร้างและระบบไหลเวียนอากาศให้ถ่ายเทตามมาตรฐานการควบคุมโรค แยกโซนบริการตามความเสี่ยงของผู้ป่วย และใช้ระบบลดการสัมผัสต่างๆ เช่น ประตูอัตโนมัติ การจ่ายเงินผ่าน QR code เป็นต้น
สําหรับการลดความแออัดและลดระยะเวลาการรอคอย โดยจํากัดจํานวนญาติ ไม่ควรเกิน 2 คน (หากไม่จําเป็น) การลงทะเบียน/ตรวจสอบสิทธิ์/นัดเวลาตรวจ online ก่อนมาโรงพยาบาล หรือผ่าน kiosk เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้ว มีระบบตรวจรักษาทางไกลสําหรับผู้ป่วยเก่าควบคุมโรคได้ดี การรับยาผ่านช่องทางด่วนในกรณีนัดที่ไม่ต้องพบแพทย์ การรับยาร้านยาใกล้บ้าน การส่งยาทางไปรษณีย์ การรับยาแบบ drive thru หรือ อสม.ส่งยาถึงบ้าน ขึ้นกับความพร้อมของแต่ละหน่วยบริการ ขณะนี้ ดําเนินการแล้วในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ และในโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนหลายแห่ง ซึ่งจะมีผลในการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพิ่มความสะดวกรวดเร็วแก่ผู้มารับบริการ
นายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อํานวยการสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ กล่าวว่า สําหรับการแยกโซนบริการตามความเสี่ยง จะแบ่งเป็น คลินิกทั่วไปที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่ํา (สีเขียว) เช่น คลินิกโรคเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง คลินิกที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อสูง (สีแดง) เช่น คลินิกโรคทางเดินหายใจ และคลินิกผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ําซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย (สีเหลือง) เช่น คลินิกโรคมะเร็ง คลินิกปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ป่วยรับยากดภูมิคุ้มกัน ทุกโซนจัดการตามมาตรฐานการควบคุมโรค และจัดบริการที่แตกต่างกันตามสภาวะของผู้ป่วย
******************************* 18 มิถุนายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกวิถีใหม่ ปลอดภัยทั้งผู้รับและผู้ให้บริการ
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563
สธ. ปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกวิถีใหม่ ปลอดภัยทั้งผู้รับและผู้ให้บริการ
กระทรวงสาธารณสุข ปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกวิถีใหม่ เพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ลดแออัด คัดกรองผ่านแอปพลิเคชันก่อนมาโรงพยาบาล แยกโซนบริการตามความเสี่ยง
กระทรวงสาธารณสุข ปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกวิถีใหม่ เพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ลดแออัด คัดกรองผ่านแอปพลิเคชันก่อนมาโรงพยาบาล แยกโซนบริการตามความเสี่ยง
วันนี้ (18 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ แถลงข่าว New normal OPD กรมการแพทย์ ว่า ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ทําให้มีความจําเป็นต้องมีการปรับระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ โดยเฉพาะแผนกผู้ป่วยนอก (OPD) ที่มีผู้ป่วยมาใช้บริการมากที่สุด กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์ร่วมกับภาคีเครือข่าย จึงได้พัฒนาระบบบริการผู้ป่วยนอกวิถีใหม่ เพื่อความปลอดภัยของผู้มารับบริการและบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน ลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย และลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเสมอภาค ได้รับบริการที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับภาวะความเจ็บป่วยที่แตกต่างกันในแต่ละราย
ในส่วนความปลอดภัยลดโอกาสติดเชื้อของผู้มารับบริการและบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน สามารถคัดกรองผู้ป่วยก่อนมาโรงพยาบาลผ่านแอปพลิเคชัน มีจุดคัดกรองที่โรงพยาบาล และจัดจุดบริการผู้ป่วยที่อาจติดเชื้อแยกจากผู้ป่วยอื่น เมื่อไปพบแพทย์ที่ห้องตรวจ จัดสถานที่/ที่นั่งให้มีการเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร มีจุดล้างมือ/ แอลกอฮอล์เจล ผู้รับบริการและเจ้าหน้าที่ต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลา ทําความสะอาดจุดเสี่ยงสัมผัสต่างๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวจับ เก้าอี้พักคอย ปุ่มลิฟต์ เครื่องวัดความดันโลหิตด้วยน้ํายาฆ่าเชื้ออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ฉากพลาสติก ฉากอะคริลิคป้องกันขณะให้บริการ ปรับโครงสร้างและระบบไหลเวียนอากาศให้ถ่ายเทตามมาตรฐานการควบคุมโรค แยกโซนบริการตามความเสี่ยงของผู้ป่วย และใช้ระบบลดการสัมผัสต่างๆ เช่น ประตูอัตโนมัติ การจ่ายเงินผ่าน QR code เป็นต้น
สําหรับการลดความแออัดและลดระยะเวลาการรอคอย โดยจํากัดจํานวนญาติ ไม่ควรเกิน 2 คน (หากไม่จําเป็น) การลงทะเบียน/ตรวจสอบสิทธิ์/นัดเวลาตรวจ online ก่อนมาโรงพยาบาล หรือผ่าน kiosk เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้ว มีระบบตรวจรักษาทางไกลสําหรับผู้ป่วยเก่าควบคุมโรคได้ดี การรับยาผ่านช่องทางด่วนในกรณีนัดที่ไม่ต้องพบแพทย์ การรับยาร้านยาใกล้บ้าน การส่งยาทางไปรษณีย์ การรับยาแบบ drive thru หรือ อสม.ส่งยาถึงบ้าน ขึ้นกับความพร้อมของแต่ละหน่วยบริการ ขณะนี้ ดําเนินการแล้วในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ และในโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนหลายแห่ง ซึ่งจะมีผลในการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพิ่มความสะดวกรวดเร็วแก่ผู้มารับบริการ
นายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อํานวยการสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ กล่าวว่า สําหรับการแยกโซนบริการตามความเสี่ยง จะแบ่งเป็น คลินิกทั่วไปที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่ํา (สีเขียว) เช่น คลินิกโรคเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง คลินิกที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อสูง (สีแดง) เช่น คลินิกโรคทางเดินหายใจ และคลินิกผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ําซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย (สีเหลือง) เช่น คลินิกโรคมะเร็ง คลินิกปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ป่วยรับยากดภูมิคุ้มกัน ทุกโซนจัดการตามมาตรฐานการควบคุมโรค และจัดบริการที่แตกต่างกันตามสภาวะของผู้ป่วย
******************************* 18 มิถุนายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32481
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ รับโล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณวิศวจุฬาดีเด่น ครั้งที่ 16
|
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ รับโล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณวิศวจุฬาดีเด่น ครั้งที่ 16
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ รับโล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณวิศวจุฬาดีเด่น ครั้งที่ 16
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมงานประกาศเกียรติคุณวิศวจุฬากิตติคุณอาวุโสดีเด่น ครั้งที่ 7 และวิศวจุฬาดีเด่น ครั้งที่ 16 ประจําปี 2562 ณ ห้อง Grand Hall โรงแรมเดอะ แอทธินี กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2562 จัดโดยสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้เข้าร่วมรับโล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณวิศวจุฬาดีเด่น ซึ่งเป็นบุคลากรที่ประสบความสําเร็จและโดดเด่นด้านการงานเป็นที่ประจักษ์ ทั้งยังสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ นายกสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานในงาน
*****************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ รับโล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณวิศวจุฬาดีเด่น ครั้งที่ 16
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ รับโล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณวิศวจุฬาดีเด่น ครั้งที่ 16
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ รับโล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณวิศวจุฬาดีเด่น ครั้งที่ 16
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมงานประกาศเกียรติคุณวิศวจุฬากิตติคุณอาวุโสดีเด่น ครั้งที่ 7 และวิศวจุฬาดีเด่น ครั้งที่ 16 ประจําปี 2562 ณ ห้อง Grand Hall โรงแรมเดอะ แอทธินี กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2562 จัดโดยสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้เข้าร่วมรับโล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณวิศวจุฬาดีเด่น ซึ่งเป็นบุคลากรที่ประสบความสําเร็จและโดดเด่นด้านการงานเป็นที่ประจักษ์ ทั้งยังสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ นายกสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานในงาน
*****************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22289
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” จัดประชุม กพยช.ขับเคลื่อนการบริหารงานยุติธรรมของประเทศ
|
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561
“ยุติธรรม” จัดประชุม กพยช.ขับเคลื่อนการบริหารงานยุติธรรมของประเทศ
กระทรวงยุติธรรม จัดประชุม กพยช.ขับเคลื่อนการบริหารงานยุติธรรมของประเทศ
เมื่อวันพุธที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑
โดยมี คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
โดยที่ประชุมได้รับทราบวาระเพื่อทราบตามที่ฝ่ายเลขานุการนําเสนอ ดังนี้
๑. สรุปสาระสําคัญ”เวทีสาธารณะว่าด้วยหลักนิติธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน”
๒. ผลการดําเนินงานตามมติที่ประชุม กพยช.
๓. ความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการระหว่างเดือนพฤษภาคม-ปัจจุบัน
๔. การประชุมหารือแนวทางการดําเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมภายใต้กรอบการขับเคลื่อนภารกิจของ กพยช.
๕. สรุปผลการประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่๑๖ “พัฒนากระบวนการยุติธรรม
ลดความเหลื่อมล้ํา นําความยุติธรรมสู่ประชาชน”
๖. ผลการดําเนินงานคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด (กพยจ.)
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ร่วมกันพิจารณา และมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะให้ฝ่ายเลขานุการ นําไปพิจารณาดําเนินการในประเด็นต่างๆ ตามวาระเพื่อพิจารณา ดังนี้
๑. การปกปิดประวัติความผิดอาญาของเด็กและเยาวชนและการจัดการข้อมูลประวัติการกระทําความผิด
ในกรณีทั่วไป
๒. สถานการณ์ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม
๓. รายงานผลการดําเนินโครงการจัดทําตัวชี้วัดประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
๔. แนวทางการสร้างขวัญกําลังใจและแรงจูงใจในการปฎิบัติหน้าที่ของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม
ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการจะได้นําข้อเสนอแนะ/ข้อสังเกตของที่ประชุมไปดําเนินการ
ให้เป็นไปตามมติที่ประชุมต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” จัดประชุม กพยช.ขับเคลื่อนการบริหารงานยุติธรรมของประเทศ
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561
“ยุติธรรม” จัดประชุม กพยช.ขับเคลื่อนการบริหารงานยุติธรรมของประเทศ
กระทรวงยุติธรรม จัดประชุม กพยช.ขับเคลื่อนการบริหารงานยุติธรรมของประเทศ
เมื่อวันพุธที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑
โดยมี คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
โดยที่ประชุมได้รับทราบวาระเพื่อทราบตามที่ฝ่ายเลขานุการนําเสนอ ดังนี้
๑. สรุปสาระสําคัญ”เวทีสาธารณะว่าด้วยหลักนิติธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน”
๒. ผลการดําเนินงานตามมติที่ประชุม กพยช.
๓. ความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการระหว่างเดือนพฤษภาคม-ปัจจุบัน
๔. การประชุมหารือแนวทางการดําเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมภายใต้กรอบการขับเคลื่อนภารกิจของ กพยช.
๕. สรุปผลการประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่๑๖ “พัฒนากระบวนการยุติธรรม
ลดความเหลื่อมล้ํา นําความยุติธรรมสู่ประชาชน”
๖. ผลการดําเนินงานคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด (กพยจ.)
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ร่วมกันพิจารณา และมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะให้ฝ่ายเลขานุการ นําไปพิจารณาดําเนินการในประเด็นต่างๆ ตามวาระเพื่อพิจารณา ดังนี้
๑. การปกปิดประวัติความผิดอาญาของเด็กและเยาวชนและการจัดการข้อมูลประวัติการกระทําความผิด
ในกรณีทั่วไป
๒. สถานการณ์ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม
๓. รายงานผลการดําเนินโครงการจัดทําตัวชี้วัดประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
๔. แนวทางการสร้างขวัญกําลังใจและแรงจูงใจในการปฎิบัติหน้าที่ของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม
ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการจะได้นําข้อเสนอแนะ/ข้อสังเกตของที่ประชุมไปดําเนินการ
ให้เป็นไปตามมติที่ประชุมต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15013
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมการประชุมเต็มคณะ (Plenary)
|
วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2561
นายกรัฐมนตรีร่วมการประชุมเต็มคณะ (Plenary)
ของการประชุมสุดยอดผู้นาแผนงานความร่วมมือทาง เศรษฐกิจในอนุลุ่มแม่น้าโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 6
วันนี้ (วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2561) เวลา 10.50 น. นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมเต็มคณะ (Plenary) ของการประชุมสุดยอดผู้น้าแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุลุ่มแม่น้้าโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 6 ใน หัวข้อ “การใช้ประโยชน์ของความร่วมมือและการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อบูรณาการให้เกิดความมั่งคั่งร่วมกัน ในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา” (Leveraging on 25 Years of Cooperation, and Building a Sustainable, Integrated, and Prosperous GMS) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติเวียดนาม
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลง เน้นย้้าถึงบทบาทและความสําเร็จของ GMS ที่มีมาอย่างต่อเนื่องถึง 25 ปี เพราะวิสัยทัศน์ 3C ของ GMS ที่ได้วางไว้ และเพราะการทํางานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา GMS ประสบความสําเร็จสําคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อมุ่งเชื่อมโยงประชาชน 340 ล้านคน ของทั้ง 6 ประเทศรวมทั้งบูรณาการการพัฒนาเชิงพื้นที่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor) เพื่อยกระดับรายได้ ลดความยากจน และลดความเหลื่อมล้้าของประชาชน
และในโอกาสเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีไดเ้สนอแผนการทํางานที่ให้ความสําคัญใน 3 ประเด็น ได้แก่
การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งให้มีคุณภาพเพื่อการเชื่อมโยงอย่างมีคุณภาพไร้รอยต่อ(connectivity) ไทยได้เร่งพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งไปยังประตูเชื่อมโยง (Gateway) ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะการพัฒนาเมืองในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงผ่านประเทศไทยไปถึงโครงข่ายที่สําคัญภายใต้กรอบความร่วมมือ IMT-GT ทางตอนใต้ของประเทศไทย
เรง่พัฒนาอย่างรอบด้านเพื่อมุ่งสู่อนุภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง(competitiveness)ไทยกําลังเร่งพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาเชิงพื้นที่ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อผลักดันให้ไทยเข้าสู่ยุค 4.0 อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกภายใต้โคงการ EEC ให้สามารถสนับสนุนการเชื่อมโยงการผลิตกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคและโลกจึงขอให้ประเทศสมาชิกแผนงาน GMS ยึดหลัก 3M ได้แก่ ความไว้เนื่อเชื่อใจ(Mutual Trust) การเคารพซึ่งกันและกัน(Mutual Respect) และการมีผลประโยชน์ร่วมกัน(Mutual Benefit)
เราต้องผลักดันให้GMS เป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน มีความตั้งใจ และยั่งยืน (Community)การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะด้านทักษะและสุขภาพ เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยไทยมีนโยบายประเทศไทย 4.0 โดยจะเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตลอดจนการจะมุ่งสู่ประชาคม GMS ที่มั่งคั่ง ยั่งยืน จะต้องมีการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
ซึ่งในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณธนาคารพัฒนาเอเชียที่ได้สนับสนุนการเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาที่สําคัญของแผนงานความร่วมมือของ GMS ตลอดระยะเวลากว่า 25 ปีที่ผ่านมา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมการประชุมเต็มคณะ (Plenary)
วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2561
นายกรัฐมนตรีร่วมการประชุมเต็มคณะ (Plenary)
ของการประชุมสุดยอดผู้นาแผนงานความร่วมมือทาง เศรษฐกิจในอนุลุ่มแม่น้าโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 6
วันนี้ (วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2561) เวลา 10.50 น. นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมเต็มคณะ (Plenary) ของการประชุมสุดยอดผู้น้าแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุลุ่มแม่น้้าโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 6 ใน หัวข้อ “การใช้ประโยชน์ของความร่วมมือและการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อบูรณาการให้เกิดความมั่งคั่งร่วมกัน ในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา” (Leveraging on 25 Years of Cooperation, and Building a Sustainable, Integrated, and Prosperous GMS) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติเวียดนาม
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลง เน้นย้้าถึงบทบาทและความสําเร็จของ GMS ที่มีมาอย่างต่อเนื่องถึง 25 ปี เพราะวิสัยทัศน์ 3C ของ GMS ที่ได้วางไว้ และเพราะการทํางานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา GMS ประสบความสําเร็จสําคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อมุ่งเชื่อมโยงประชาชน 340 ล้านคน ของทั้ง 6 ประเทศรวมทั้งบูรณาการการพัฒนาเชิงพื้นที่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor) เพื่อยกระดับรายได้ ลดความยากจน และลดความเหลื่อมล้้าของประชาชน
และในโอกาสเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีไดเ้สนอแผนการทํางานที่ให้ความสําคัญใน 3 ประเด็น ได้แก่
การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งให้มีคุณภาพเพื่อการเชื่อมโยงอย่างมีคุณภาพไร้รอยต่อ(connectivity) ไทยได้เร่งพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งไปยังประตูเชื่อมโยง (Gateway) ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะการพัฒนาเมืองในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงผ่านประเทศไทยไปถึงโครงข่ายที่สําคัญภายใต้กรอบความร่วมมือ IMT-GT ทางตอนใต้ของประเทศไทย
เรง่พัฒนาอย่างรอบด้านเพื่อมุ่งสู่อนุภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง(competitiveness)ไทยกําลังเร่งพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาเชิงพื้นที่ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อผลักดันให้ไทยเข้าสู่ยุค 4.0 อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกภายใต้โคงการ EEC ให้สามารถสนับสนุนการเชื่อมโยงการผลิตกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคและโลกจึงขอให้ประเทศสมาชิกแผนงาน GMS ยึดหลัก 3M ได้แก่ ความไว้เนื่อเชื่อใจ(Mutual Trust) การเคารพซึ่งกันและกัน(Mutual Respect) และการมีผลประโยชน์ร่วมกัน(Mutual Benefit)
เราต้องผลักดันให้GMS เป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน มีความตั้งใจ และยั่งยืน (Community)การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะด้านทักษะและสุขภาพ เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยไทยมีนโยบายประเทศไทย 4.0 โดยจะเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตลอดจนการจะมุ่งสู่ประชาคม GMS ที่มั่งคั่ง ยั่งยืน จะต้องมีการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
ซึ่งในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณธนาคารพัฒนาเอเชียที่ได้สนับสนุนการเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาที่สําคัญของแผนงานความร่วมมือของ GMS ตลอดระยะเวลากว่า 25 ปีที่ผ่านมา
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11231
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกันภัยพืชไร่ สบายใจหายห่วง !!
|
วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม 2561
ประกันภัยพืชไร่ สบายใจหายห่วง !!
--
ฟ้าฝนเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และคาดเดาได้ยาก...
“การทําประกันภัยพื้นที่เกษตรกรรม” จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลส่งเสริม เพราะจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร หากผลผลิตได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ โดยได้รับการชดเชยตามประเภทความเสียหาย
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้จัดทําโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้อย่างต่อเนื่อง
แต่อย่างที่ว่า...ถ้าจู่ ๆ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลูกเกิดได้รับความเสียหายจากฟ้าฝนขึ้นมา ก็จะต้องช่วยเหลือดูแลกัน
ล่าสุดรัฐบาลได้อนุมัติการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้แก่พี่น้องเกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2561 ที่ผ่านมา
มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ระบบประกันภัยเข้ามาดูแลความเสี่ยงภัยธรรมชาติ รูปแบบเดียวกับโครงการประกันภัยข้าวนาปี และคุ้มครองต้นทุนการผลิตของเกษตรกร
โดยรัฐบาลจะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันให้แก่เกษตรกร ในอัตราไร่ละ 65 บาท สําหรับพื้นที่เป้าหมาย 2 ล้านไร่ ใน 33 จังหวัด แบ่งเป็น ภาคเหนือ 15 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 15 จังหวัด ภาคกลาง 1 จังหวัด และภาคตะวันออก 1 จังหวัด
ครอบคลุมเกษตรกรประมาณ 150,000 ราย และให้ ธ.ก.ส.เป็นตัวกลางระหว่างเกษตรกรผู้เอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัย
หากมีความเสียหายเกิดขึ้น ความคุ้มครองที่เกษตรกรจะได้รับ คือ
1. กรณีเสียหายจากน้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ หรือภัยจากช้างป่า จะได้รับเงินชดเชย 1,500 บาท/ไร่
2. กรณีเสียหายจากศัตรูพืช หรือ โรคพืชระบาด เกษตรกรจะได้รับเงินชดเชย 750 บาท/ไร่
เมื่อรวมกับความช่วยเหลือตามระเบียบของกระทรวงการคลังที่มีอยู่เดิม กรณีพืชไร่ประสบภัยพิบัติจนตาย หรือได้รับความเสียหาย เกษตรกรจะได้รับเงินช่วยเหลือในอัตรา 1,148 บาท/ไร่ รายละไม่เกิน 30 ไร่
ดังนั้น เกษตรกรจะได้รับค่าชดเชยรวมกันในอัตรา 2,648 บาท/ไร่ ช่วยให้เกษตรกรมีเงินหมุนเวียน จนฟื้นตัว และประกอบอาชีพต่อไปได้
สําหรับระยะเวลาเอาประกันภัยนั้น เริ่มตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา ถึงวันสุดท้ายที่ต้นข้าวโพด ปี 2561/2562 ยังคงยืนต้นอยู่ในแปลงเพาะปลูกก่อนเก็บเกี่ยว (วันเพาะปลูกไม่เกิน 15 มกราคม 2562)
ผู้รับประกันหรือรัฐบาลจะจ่ายสินไหมทดแทนจากแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงที่เจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบแล้ว
เห็นแล้วนะครับว่า...การทําประกันภัยพื้นที่ทางการเกษตรจะช่วยสร้างความอุ่นใจให้แก่เกษตรกรได้อย่างไร และทั้งหมดคือความห่วงใยและปรารถนาดีจากรัฐบาล
---------------------
ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกันภัยพืชไร่ สบายใจหายห่วง !!
วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม 2561
ประกันภัยพืชไร่ สบายใจหายห่วง !!
--
ฟ้าฝนเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และคาดเดาได้ยาก...
“การทําประกันภัยพื้นที่เกษตรกรรม” จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลส่งเสริม เพราะจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร หากผลผลิตได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ โดยได้รับการชดเชยตามประเภทความเสียหาย
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้จัดทําโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้อย่างต่อเนื่อง
แต่อย่างที่ว่า...ถ้าจู่ ๆ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลูกเกิดได้รับความเสียหายจากฟ้าฝนขึ้นมา ก็จะต้องช่วยเหลือดูแลกัน
ล่าสุดรัฐบาลได้อนุมัติการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้แก่พี่น้องเกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2561 ที่ผ่านมา
มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ระบบประกันภัยเข้ามาดูแลความเสี่ยงภัยธรรมชาติ รูปแบบเดียวกับโครงการประกันภัยข้าวนาปี และคุ้มครองต้นทุนการผลิตของเกษตรกร
โดยรัฐบาลจะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันให้แก่เกษตรกร ในอัตราไร่ละ 65 บาท สําหรับพื้นที่เป้าหมาย 2 ล้านไร่ ใน 33 จังหวัด แบ่งเป็น ภาคเหนือ 15 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 15 จังหวัด ภาคกลาง 1 จังหวัด และภาคตะวันออก 1 จังหวัด
ครอบคลุมเกษตรกรประมาณ 150,000 ราย และให้ ธ.ก.ส.เป็นตัวกลางระหว่างเกษตรกรผู้เอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัย
หากมีความเสียหายเกิดขึ้น ความคุ้มครองที่เกษตรกรจะได้รับ คือ
1. กรณีเสียหายจากน้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ หรือภัยจากช้างป่า จะได้รับเงินชดเชย 1,500 บาท/ไร่
2. กรณีเสียหายจากศัตรูพืช หรือ โรคพืชระบาด เกษตรกรจะได้รับเงินชดเชย 750 บาท/ไร่
เมื่อรวมกับความช่วยเหลือตามระเบียบของกระทรวงการคลังที่มีอยู่เดิม กรณีพืชไร่ประสบภัยพิบัติจนตาย หรือได้รับความเสียหาย เกษตรกรจะได้รับเงินช่วยเหลือในอัตรา 1,148 บาท/ไร่ รายละไม่เกิน 30 ไร่
ดังนั้น เกษตรกรจะได้รับค่าชดเชยรวมกันในอัตรา 2,648 บาท/ไร่ ช่วยให้เกษตรกรมีเงินหมุนเวียน จนฟื้นตัว และประกอบอาชีพต่อไปได้
สําหรับระยะเวลาเอาประกันภัยนั้น เริ่มตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา ถึงวันสุดท้ายที่ต้นข้าวโพด ปี 2561/2562 ยังคงยืนต้นอยู่ในแปลงเพาะปลูกก่อนเก็บเกี่ยว (วันเพาะปลูกไม่เกิน 15 มกราคม 2562)
ผู้รับประกันหรือรัฐบาลจะจ่ายสินไหมทดแทนจากแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงที่เจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบแล้ว
เห็นแล้วนะครับว่า...การทําประกันภัยพื้นที่ทางการเกษตรจะช่วยสร้างความอุ่นใจให้แก่เกษตรกรได้อย่างไร และทั้งหมดคือความห่วงใยและปรารถนาดีจากรัฐบาล
---------------------
ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16317
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายการขับเคลื่อนการปฏิบัติราชการแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เน้นย้ำผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดต้อง "สร้างสมดุลในพื้นที่"
|
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561
ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายการขับเคลื่อนการปฏิบัติราชการแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เน้นย้ําผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดต้อง "สร้างสมดุลในพื้นที่"
ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายการขับเคลื่อนการปฏิบัติราชการแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เน้นย้ําผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดต้อง "สร้างสมดุลในพื้นที่"
เมื่อวันที่9 ก.ย. 61 เวลา 12.00 น. ณ ห้องเมจิก 3 ชั้น 2 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ นายปวิณ ชํานิประศาสน์ นายประยูร รัตนเสนีย์ และนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติราชการตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยมี ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมรับฟังจํานวน 162 คน
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้บัญชาการพื้นที่แทนรัฐบาล (Area Manager) ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดต้องบริหารราชการแผ่นดิน และปฏิบัติราชการให้เป็นตามกฎหมาย ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะหัวหน้าส่วนราชการระดับภูมิภาค มีอํานาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับระเบียบกฎหมายกว่า 300 ฉบับ จึงต้องใช้หลักรัฐศาสตร์ในการทําให้เกิดความสงบสุขเพื่อ "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" ให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ และผู้ว่าราชการจังหวัดต้องให้ความสําคัญกับนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และต้อง "สร้างสมดุลในพื้นที่" รับฟังความต้องการของประชาชน ปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย และปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล
จากนั้น ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายต่อผู้ว่าราชการจังหวัด โดยขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดส่งเสริมการดําเนินงานโครงการ "จิตอาสาเราทําความ ดี ด้วยหัวใจ" ให้เป็นไปตามพระราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในด้านการเตรียมความพร้อมการจัดการเลือกตั้ง ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มอบหมายข้าราชการและผู้เกี่ยวข้องดําเนินการตามกฏหมาย ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่รับผิดชอบโดยสรุปจํานวน 4 เรื่อง คือ ระบบทะเบียนราษฎร การอํานวยการด้านการบริหารจัดการเลือกตั้งตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องขอตามกฎหมาย การรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ และการสร้างการรับรู้องค์ความรู้ในเรื่องการเลือกตั้งให้ประชาชนมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้
ด้านการปฏิบัติการสื่อสารและการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสาร กระทรวงมหาดไทยจะบูรณาการทุกกระทรวง กรม ดําเนินการพัฒนาให้หอกระจายข่าว และระบบเตือนภัยของหน่วยงานในสังกัดกว่า 80,000 แห่ง เป็นระบบสื่อสารของรัฐบาลเพื่อสื่อสารข้อมูลข่าวสารและสร้างการรับรู้ไปสู่ประชาชน
ในด้านการยกเลิกใช้สําเนาในการติดต่อราชการ ขอให้ทุกหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทย และทุกจังหวัด ดําเนินการบริหารจัดการอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน
สําหรับการเตรียมความพร้อมรับการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดให้ความสําคัญกับการตรวจราชการและการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ เพื่อให้เกิดการสะท้อนปัญหาความต้องการของประชาชนและทุกภาคส่วนไปยังรัฐบาล
ในส่วนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เน้นย้ํากับหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ดําเนินการให้เป็นไปตามกรอบกฎหมาย และระเบียบปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ด้านการจัดการภัยพิบัติ ต้องดําเนินการตามขั้นตอนปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และบูรณาการทั้งท้องที่ ท้องถิ่น และภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย
จากนั้น รองปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดี และหัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ได้มอบนโยบายและเร่งรัดการดําเนินงานให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล และภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย อาทิ การปฏิบัติการสื่อสาร การเบิกจ่ายงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด การบริหารราชการแผ่นดิน การกํากับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการสนับสนุนการปฏิบัติราชการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ให้ความสําคัญกับ "สถาบันฝ่ายปกครอง" ซึ่งบุคลากรทุกคนเป็นกลไกสําคัญของการบริหารราชการแผ่นดินในพื้นที่และใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ดังนั้น "คนมหาดไทย" จะต้องเสียสละ และทุ่มเทกําลังกายและใจ เพื่อทําหน้าที่ "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" ให้กับประชาชน และสร้างความผาสุกให้เกิดขึ้นในทุกพื้นที่อย่างยั่งยืน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายการขับเคลื่อนการปฏิบัติราชการแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เน้นย้ำผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดต้อง "สร้างสมดุลในพื้นที่"
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561
ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายการขับเคลื่อนการปฏิบัติราชการแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เน้นย้ําผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดต้อง "สร้างสมดุลในพื้นที่"
ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายการขับเคลื่อนการปฏิบัติราชการแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เน้นย้ําผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดต้อง "สร้างสมดุลในพื้นที่"
เมื่อวันที่9 ก.ย. 61 เวลา 12.00 น. ณ ห้องเมจิก 3 ชั้น 2 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ นายปวิณ ชํานิประศาสน์ นายประยูร รัตนเสนีย์ และนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติราชการตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยมี ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมรับฟังจํานวน 162 คน
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้บัญชาการพื้นที่แทนรัฐบาล (Area Manager) ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดต้องบริหารราชการแผ่นดิน และปฏิบัติราชการให้เป็นตามกฎหมาย ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะหัวหน้าส่วนราชการระดับภูมิภาค มีอํานาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับระเบียบกฎหมายกว่า 300 ฉบับ จึงต้องใช้หลักรัฐศาสตร์ในการทําให้เกิดความสงบสุขเพื่อ "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" ให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ และผู้ว่าราชการจังหวัดต้องให้ความสําคัญกับนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และต้อง "สร้างสมดุลในพื้นที่" รับฟังความต้องการของประชาชน ปฏิบัติราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย และปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล
จากนั้น ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายต่อผู้ว่าราชการจังหวัด โดยขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดส่งเสริมการดําเนินงานโครงการ "จิตอาสาเราทําความ ดี ด้วยหัวใจ" ให้เป็นไปตามพระราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในด้านการเตรียมความพร้อมการจัดการเลือกตั้ง ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มอบหมายข้าราชการและผู้เกี่ยวข้องดําเนินการตามกฏหมาย ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่รับผิดชอบโดยสรุปจํานวน 4 เรื่อง คือ ระบบทะเบียนราษฎร การอํานวยการด้านการบริหารจัดการเลือกตั้งตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องขอตามกฎหมาย การรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ และการสร้างการรับรู้องค์ความรู้ในเรื่องการเลือกตั้งให้ประชาชนมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้
ด้านการปฏิบัติการสื่อสารและการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสาร กระทรวงมหาดไทยจะบูรณาการทุกกระทรวง กรม ดําเนินการพัฒนาให้หอกระจายข่าว และระบบเตือนภัยของหน่วยงานในสังกัดกว่า 80,000 แห่ง เป็นระบบสื่อสารของรัฐบาลเพื่อสื่อสารข้อมูลข่าวสารและสร้างการรับรู้ไปสู่ประชาชน
ในด้านการยกเลิกใช้สําเนาในการติดต่อราชการ ขอให้ทุกหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทย และทุกจังหวัด ดําเนินการบริหารจัดการอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน
สําหรับการเตรียมความพร้อมรับการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดให้ความสําคัญกับการตรวจราชการและการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ เพื่อให้เกิดการสะท้อนปัญหาความต้องการของประชาชนและทุกภาคส่วนไปยังรัฐบาล
ในส่วนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เน้นย้ํากับหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ดําเนินการให้เป็นไปตามกรอบกฎหมาย และระเบียบปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ด้านการจัดการภัยพิบัติ ต้องดําเนินการตามขั้นตอนปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และบูรณาการทั้งท้องที่ ท้องถิ่น และภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย
จากนั้น รองปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดี และหัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ได้มอบนโยบายและเร่งรัดการดําเนินงานให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล และภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย อาทิ การปฏิบัติการสื่อสาร การเบิกจ่ายงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด การบริหารราชการแผ่นดิน การกํากับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการสนับสนุนการปฏิบัติราชการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ให้ความสําคัญกับ "สถาบันฝ่ายปกครอง" ซึ่งบุคลากรทุกคนเป็นกลไกสําคัญของการบริหารราชการแผ่นดินในพื้นที่และใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ดังนั้น "คนมหาดไทย" จะต้องเสียสละ และทุ่มเทกําลังกายและใจ เพื่อทําหน้าที่ "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" ให้กับประชาชน และสร้างความผาสุกให้เกิดขึ้นในทุกพื้นที่อย่างยั่งยืน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15266
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อดีตรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขอังกฤษชื่นชมการจัดการโควิด-19 ของไทย
|
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563
อดีตรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขอังกฤษชื่นชมการจัดการโควิด-19 ของไทย
อดีตรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขอังกฤษชื่นชมการจัดการโควิด-19 ของไทย
วันที่ (13 มีนาคม 2563) สํานักข่าว independent.co.uk เผยแพร่คําสัมภาษณ์ และคลิปการสัมภาษณ์ นายเจเรมี ฮันต์ (Jeremy Hunt) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระหว่างปี2555-2561ไม่เห็นด้วยกับการดําเนินการของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และชื่นชมไทยว่าประสบความสําเร็จอย่างยอดเยี่ยม
โดยนายเจเรมี ฮันต์ วิพากวิจารณ์การจัดการโควิด-19 ของ นายบอริส จอห์นสัน (Boris Johnson) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ว่าไม่มีการจัดการที่รวดเร็วเพียงพอ โดยเป็นการวิจารณ์ภายหลังนายกรัฐมนตรีอังกฤษแถลงว่าไวรัสโคโรนาเป็นวิกฤติสาธารณสุขที่เลวร้าย แต่ไม่ได้ดําเนินการจัดการที่เด็ดขาด อาทิ ยกเลิกการชุมนุมขนาดใหญ่ และปิดโรงเรียน เพื่อลดภาระของเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข
ทั้งนี้ นายเจเรมี ฮันต์ เห็นว่าการระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้เป็น “สถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ” และคิดว่า อังกฤษมีระยะเวลาเหลือเพียง 4 สัปดาห์ที่จะไปถึงการระบาดเช่นเดียวกับอิตาลี ช่วงเวลานี้จึงสําคัญและควรดําเนินนโยบายสําคัญเพื่อชะลอการแพร่ระบาดของไวรัส โดยเขาระบุว่า “ประชาชนประหลาดใจและกังวลใจว่ารัฐบาลไม่ได้เคลื่อนไหวเร็วกว่านี้
ซี่งประเทศที่ดูเหมือนจะประสบความสําเร็จอย่างยอดเยี่ยมในการรับมือกับไวรัส คือ ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศแรกนอกประเทศจีนที่ได้รับเชื้อไวรัส ขณะนี้ มีรายงานเพียง 59 รายเท่านั้น และไต้หวัน ประเทศใกล้เคียงกับจีน ที่มีจํานวนผู้รับเชื้อเพียง 49 ราย”
ที่มา https://www.independent.co.uk/news/uk/politics/coronavirus-uk-boris-johnson-jeremy-hunt-pandemic-nhs-covid-19-a9399076.html
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อดีตรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขอังกฤษชื่นชมการจัดการโควิด-19 ของไทย
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563
อดีตรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขอังกฤษชื่นชมการจัดการโควิด-19 ของไทย
อดีตรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขอังกฤษชื่นชมการจัดการโควิด-19 ของไทย
วันที่ (13 มีนาคม 2563) สํานักข่าว independent.co.uk เผยแพร่คําสัมภาษณ์ และคลิปการสัมภาษณ์ นายเจเรมี ฮันต์ (Jeremy Hunt) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระหว่างปี2555-2561ไม่เห็นด้วยกับการดําเนินการของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และชื่นชมไทยว่าประสบความสําเร็จอย่างยอดเยี่ยม
โดยนายเจเรมี ฮันต์ วิพากวิจารณ์การจัดการโควิด-19 ของ นายบอริส จอห์นสัน (Boris Johnson) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ว่าไม่มีการจัดการที่รวดเร็วเพียงพอ โดยเป็นการวิจารณ์ภายหลังนายกรัฐมนตรีอังกฤษแถลงว่าไวรัสโคโรนาเป็นวิกฤติสาธารณสุขที่เลวร้าย แต่ไม่ได้ดําเนินการจัดการที่เด็ดขาด อาทิ ยกเลิกการชุมนุมขนาดใหญ่ และปิดโรงเรียน เพื่อลดภาระของเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข
ทั้งนี้ นายเจเรมี ฮันต์ เห็นว่าการระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้เป็น “สถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ” และคิดว่า อังกฤษมีระยะเวลาเหลือเพียง 4 สัปดาห์ที่จะไปถึงการระบาดเช่นเดียวกับอิตาลี ช่วงเวลานี้จึงสําคัญและควรดําเนินนโยบายสําคัญเพื่อชะลอการแพร่ระบาดของไวรัส โดยเขาระบุว่า “ประชาชนประหลาดใจและกังวลใจว่ารัฐบาลไม่ได้เคลื่อนไหวเร็วกว่านี้
ซี่งประเทศที่ดูเหมือนจะประสบความสําเร็จอย่างยอดเยี่ยมในการรับมือกับไวรัส คือ ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศแรกนอกประเทศจีนที่ได้รับเชื้อไวรัส ขณะนี้ มีรายงานเพียง 59 รายเท่านั้น และไต้หวัน ประเทศใกล้เคียงกับจีน ที่มีจํานวนผู้รับเชื้อเพียง 49 ราย”
ที่มา https://www.independent.co.uk/news/uk/politics/coronavirus-uk-boris-johnson-jeremy-hunt-pandemic-nhs-covid-19-a9399076.html
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27354
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมว. ดิจิทัลฯ ร่วมงานครบรอบความสัมพันธ์ 160 ปี ประเทศไทย-เดนมาร์ก
|
วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561
ผู้ช่วย รมว. ดิจิทัลฯ ร่วมงานครบรอบความสัมพันธ์ 160 ปี ประเทศไทย-เดนมาร์ก
ผู้ช่วย รมว. ดิจิทัลฯ
ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมงานครบรอบความสัมพันธ์ 160 ปี ประเทศไทย-เดนมาร์ก เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ณ สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจําประเทศไทย ถนนสาทร กรุงเทพฯ โดยประเทศไทยและเดนมาร์กได้เริ่มมีการติดต่อกันตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้มีความสัมพันธ์อันดีในทุกๆ ด้านจนถึงปัจจุบัน สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์ก ประจําประเทศไทยจึงได้จัดงาน “Thai-Danish Panel debates: Looking to the Future” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ 160 ปี ของทั้งสองประเทศ ซึ่งภายในงานมีผู้แทนจากภาครัฐและภาคเอกชนจากทั้งไทยและเดนมาร์กเข้าร่วมเป็นจํานวนมาก ในโอกาสนี้ ดร.พันธ์ศักดิ์ ฯ กล่าวปาฐกถาว่า ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินการและโครงการที่สําคัญของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขับเคลื่อนประเทศไทยทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมตามนโยบายประเทศไทย 4.0 พร้อมทั้งได้แนะนําโอกาส ให้แก่ประเทศเดนมาร์กในการเข้ามาสร้างความร่วมมือ เพื่อดําเนินธุรกิจและลงทุนในประเทศไทย ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมว. ดิจิทัลฯ ร่วมงานครบรอบความสัมพันธ์ 160 ปี ประเทศไทย-เดนมาร์ก
วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561
ผู้ช่วย รมว. ดิจิทัลฯ ร่วมงานครบรอบความสัมพันธ์ 160 ปี ประเทศไทย-เดนมาร์ก
ผู้ช่วย รมว. ดิจิทัลฯ
ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมงานครบรอบความสัมพันธ์ 160 ปี ประเทศไทย-เดนมาร์ก เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ณ สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจําประเทศไทย ถนนสาทร กรุงเทพฯ โดยประเทศไทยและเดนมาร์กได้เริ่มมีการติดต่อกันตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้มีความสัมพันธ์อันดีในทุกๆ ด้านจนถึงปัจจุบัน สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์ก ประจําประเทศไทยจึงได้จัดงาน “Thai-Danish Panel debates: Looking to the Future” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ 160 ปี ของทั้งสองประเทศ ซึ่งภายในงานมีผู้แทนจากภาครัฐและภาคเอกชนจากทั้งไทยและเดนมาร์กเข้าร่วมเป็นจํานวนมาก ในโอกาสนี้ ดร.พันธ์ศักดิ์ ฯ กล่าวปาฐกถาว่า ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินการและโครงการที่สําคัญของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขับเคลื่อนประเทศไทยทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมตามนโยบายประเทศไทย 4.0 พร้อมทั้งได้แนะนําโอกาส ให้แก่ประเทศเดนมาร์กในการเข้ามาสร้างความร่วมมือ เพื่อดําเนินธุรกิจและลงทุนในประเทศไทย ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก
************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17507
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” หารือการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรมฯ
|
วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561
“ยุติธรรม” หารือการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรมฯ
กระทรวงยุติธรรม หารือการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรมฯ
ในวันจันทร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๔ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
พร้อมด้วย ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาเสนอกฎหมายที่ต้องจัดทําใหม่
เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ
และนายศราวุฒิ ประทุมราช นักวิชาการปฏิรูปกฎหมายอาวุโส สํานักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
เข้าร่วมการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ.๒๕๕๘
เพื่อรองรับสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมาย (Legal Aid)
ระหว่างกระทรวงยุติธรรมและสํานักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.)
โดยที่ประชุมมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรมฯ ในประเด็นต่างๆ อาทิ
การเสนอให้ปรับแก้ไขชื่อพระราชบัญญัติ การเพิ่มหลักการในร่างพระราชบัญญัติ
การเพิ่มภารกิจกองทุนยุติธรรมและการใช้จ่ายเงินกองทุน
การเพิ่มเติมหลักการให้คณะกรรมการเป็นหน่วยงานระดับชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
โดยเพิ่มสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนและที่มาของผู้ทรงคุณวุฒิจากการคัดเลือกอย่างโปร่งใส
การเพิ่มเติมอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุน การเพิ่มหลักการในการเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมาย
ให้เป็นสิทธิของทุกคน โดยไม่เลือกปฏิบัติและครอบคลุมกลุ่มด้อยโอกาสต่างๆ
การเพิ่มเติมการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายให้ครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือด้านล่าม และหน่วยงานช่วยเหลือ
ทางกฎหมายทั้งท้องถิ่น มหาวิทยาลัย ตลอดจนการให้ประชาชนมีสิทธิเลือกทนายความของตนเอง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” หารือการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรมฯ
วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561
“ยุติธรรม” หารือการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรมฯ
กระทรวงยุติธรรม หารือการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรมฯ
ในวันจันทร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๔ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
พร้อมด้วย ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาเสนอกฎหมายที่ต้องจัดทําใหม่
เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ
และนายศราวุฒิ ประทุมราช นักวิชาการปฏิรูปกฎหมายอาวุโส สํานักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
เข้าร่วมการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ.๒๕๕๘
เพื่อรองรับสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมาย (Legal Aid)
ระหว่างกระทรวงยุติธรรมและสํานักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.)
โดยที่ประชุมมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรมฯ ในประเด็นต่างๆ อาทิ
การเสนอให้ปรับแก้ไขชื่อพระราชบัญญัติ การเพิ่มหลักการในร่างพระราชบัญญัติ
การเพิ่มภารกิจกองทุนยุติธรรมและการใช้จ่ายเงินกองทุน
การเพิ่มเติมหลักการให้คณะกรรมการเป็นหน่วยงานระดับชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
โดยเพิ่มสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนและที่มาของผู้ทรงคุณวุฒิจากการคัดเลือกอย่างโปร่งใส
การเพิ่มเติมอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุน การเพิ่มหลักการในการเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมาย
ให้เป็นสิทธิของทุกคน โดยไม่เลือกปฏิบัติและครอบคลุมกลุ่มด้อยโอกาสต่างๆ
การเพิ่มเติมการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายให้ครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือด้านล่าม และหน่วยงานช่วยเหลือ
ทางกฎหมายทั้งท้องถิ่น มหาวิทยาลัย ตลอดจนการให้ประชาชนมีสิทธิเลือกทนายความของตนเอง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10377
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ส่งกลอนบทใหม่ “ประชารัฐ ไทยนิยม” วอนคนไทยคิดถึงส่วนรวม ร่วมปฏิรูปบ้านเมือง นำพาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า
|
วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2561
นายกฯ ส่งกลอนบทใหม่ “ประชารัฐ ไทยนิยม” วอนคนไทยคิดถึงส่วนรวม ร่วมปฏิรูปบ้านเมือง นําพาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า
นายกฯ ส่งกลอนบทใหม่ “ประชารัฐ ไทยนิยม” วอนคนไทยคิดถึงส่วนรวม ร่วมปฏิรูปบ้านเมือง นําพาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า
วันนี้ (16 มิถุนายน 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประพันธ์บทกลอนชุดใหม่ถ่ายทอดความรู้สึกจากใจไปสู่พี่น้องประชาชนว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นตั้งใจ และทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างที่สุดที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมือง และพัฒนาประเทศทุกด้านเพื่อให้คนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ความสําเร็จทั้งหลายนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดความเข้าใจและร่วมแรงร่วมใจของทุกคน
“ปัญหาทั้งหมดกําลังได้รับการแก้ไข ทั้งการกระจายรายได้ การบริหารจัดการภาครัฐ การกระจายอํานาจลงสู่ท้องถิ่น การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน และอีกหลายปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องปฏิรูปทั้งหมด และจําเป็นต้องใช้เวลา"
ที่สําคัญ คือ ประชาชนทุกระดับจะต้องรู้จักพัฒนาตนเอง แสวงหาความรู้ และปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น
----------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ส่งกลอนบทใหม่ “ประชารัฐ ไทยนิยม” วอนคนไทยคิดถึงส่วนรวม ร่วมปฏิรูปบ้านเมือง นำพาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า
วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2561
นายกฯ ส่งกลอนบทใหม่ “ประชารัฐ ไทยนิยม” วอนคนไทยคิดถึงส่วนรวม ร่วมปฏิรูปบ้านเมือง นําพาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า
นายกฯ ส่งกลอนบทใหม่ “ประชารัฐ ไทยนิยม” วอนคนไทยคิดถึงส่วนรวม ร่วมปฏิรูปบ้านเมือง นําพาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า
วันนี้ (16 มิถุนายน 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประพันธ์บทกลอนชุดใหม่ถ่ายทอดความรู้สึกจากใจไปสู่พี่น้องประชาชนว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นตั้งใจ และทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างที่สุดที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมือง และพัฒนาประเทศทุกด้านเพื่อให้คนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ความสําเร็จทั้งหลายนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดความเข้าใจและร่วมแรงร่วมใจของทุกคน
“ปัญหาทั้งหมดกําลังได้รับการแก้ไข ทั้งการกระจายรายได้ การบริหารจัดการภาครัฐ การกระจายอํานาจลงสู่ท้องถิ่น การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน และอีกหลายปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องปฏิรูปทั้งหมด และจําเป็นต้องใช้เวลา"
ที่สําคัญ คือ ประชาชนทุกระดับจะต้องรู้จักพัฒนาตนเอง แสวงหาความรู้ และปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น
----------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13106
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ใช้มาตรการเชิงรุก เพื่อจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การดำเนินงานของ "ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข" ตามนโยบายของรัฐมนตรี
|
วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562
กระทรวงยุติธรรม ใช้มาตรการเชิงรุก เพื่อจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การดําเนินงานของ "ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข" ตามนโยบายของรัฐมนตรี
กระทรวงยุติธรรม ใช้มาตรการเชิงรุก เพื่อจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การดําเนินงานของ "ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข" ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ในวันอังคารที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พันตํารวจเอก สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมอนุกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ประจํากระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๓ โดยมีคณะอนุกรรมการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม
ที่ประชุมรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมได้ดําเนินการเปิด “ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข” ตามนโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ต้องการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมด้านความมั่นคงให้สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน หรือเหยื่ออาชญากรรมให้มีความรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสังคม และมีความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บทต่างๆ ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมได้แต่งตั้งอนุกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ประจํากระทรวงยุติธรรม โดยบูรณาการการดําเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สํานักงานอัยการสูงสุด สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงาน ปปง. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีอํานาจหน้าที่ในการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์ในการอํานวยความยุติธรรมตามคําร้องทุกข์ของประชาชน และมีหน้าที่ในการตรวจสอบ วิเคราะห์ปัญหาอาชญากรรมสําคัญที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม และปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในด้านต่างๆ ที่จําเป็นต้องแก้ไขโดยเร่งด่วนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากคณะอนุกรรมการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนํามากําหนดรูปแบบ และวิธีการปฏิบัติงานในการขับเคลื่อนให้ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุขเป็นหน่วยงานที่สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนทุกด้าน โดยเน้นการทํางานเชิงรุกในเรื่องที่มีความพิเศษ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงานในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน โดยมีกรอบระยะเวลาการปฏิบัติงานที่ชัดเจน รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ใช้มาตรการเชิงรุก เพื่อจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การดำเนินงานของ "ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข" ตามนโยบายของรัฐมนตรี
วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562
กระทรวงยุติธรรม ใช้มาตรการเชิงรุก เพื่อจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การดําเนินงานของ "ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข" ตามนโยบายของรัฐมนตรี
กระทรวงยุติธรรม ใช้มาตรการเชิงรุก เพื่อจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การดําเนินงานของ "ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข" ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ในวันอังคารที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พันตํารวจเอก สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมอนุกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ประจํากระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๓ โดยมีคณะอนุกรรมการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม
ที่ประชุมรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมได้ดําเนินการเปิด “ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข” ตามนโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ต้องการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมด้านความมั่นคงให้สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน หรือเหยื่ออาชญากรรมให้มีความรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสังคม และมีความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนแม่บทต่างๆ ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมได้แต่งตั้งอนุกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ประจํากระทรวงยุติธรรม โดยบูรณาการการดําเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สํานักงานอัยการสูงสุด สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงาน ปปง. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีอํานาจหน้าที่ในการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์ในการอํานวยความยุติธรรมตามคําร้องทุกข์ของประชาชน และมีหน้าที่ในการตรวจสอบ วิเคราะห์ปัญหาอาชญากรรมสําคัญที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม และปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในด้านต่างๆ ที่จําเป็นต้องแก้ไขโดยเร่งด่วนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากคณะอนุกรรมการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนํามากําหนดรูปแบบ และวิธีการปฏิบัติงานในการขับเคลื่อนให้ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุขเป็นหน่วยงานที่สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนทุกด้าน โดยเน้นการทํางานเชิงรุกในเรื่องที่มีความพิเศษ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงานในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน โดยมีกรอบระยะเวลาการปฏิบัติงานที่ชัดเจน รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24165
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมธนารักษ์เปิดประมูลสรรหาผู้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และมุกดาหาร
|
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560
กรมธนารักษ์เปิดประมูลสรรหาผู้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และมุกดาหาร
กรมธนารักษ์เปิดประมูลสรรหาผู้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และมุกดาหาร
วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2560) ณ กรมธนารักษ์ นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่มุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่บริเวณเขตการค้าชายแดนที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน และที่สําคัญรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงได้ประกาศเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 10 พื้นที่ ได้แก่ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก สระแก้ว สงขลา มุกดาหาร ตราด หนองคาย เชียงราย นครพนม กาญจนบุรี นราธิวาส โดยรัฐบาลได้มีมาตรการสนับสนุนและส่งเสริมต่างๆ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การให้สิทธิประโยชน์การลงทุนทั้งที่เป็นรูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี และการตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน และมาตรการอํานวยความสะดวกอื่นๆ และกรมธนารักษ์ ได้ดําเนินการจัดให้เช่าไปแล้ว 2 พื้นที่ ประกอบด้วย พื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว เนื้อที่ประมาณ 660-2-23 ไร่ ได้จัดทําสัญญาเช่ากับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 และพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด เนื้อที่ประมาณ 895-0-44 ไร่ ได้จัดทําสัญญาเช่ากับบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จํากัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2559
อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวต่อว่า ในขณะนี้กรมธนารักษ์มีความพร้อมในการเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมประมูลเสนอโครงการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และมุกดาหาร โดยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย มีเนื้อที่ทั้งแปลง 718-0-46 ไร่ ตั้งอยู่ตําบลสระใคร อําเภอสระใคร รัฐบาลมีโครงการรถไฟความเร็วจีน-หนองคาย เพื่อรองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานภายนอกโครงการ ศักยภาพของที่ดิน เป็นช่องทางการค้าชายแดนของไทยกับ สปป.ลาว มีมูลค่าการค้าชายแดนสูงสุด เมื่อเทียบกับการค้าชายแดนอื่นๆ และพื้นที่อยู่ใกล้สนามบินอุดรธานีเพียง 60 กิโลเมตร
สําหรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร เนื้อที่สองแปลงรวม 1,080-3-18.7 ไร่ ตั้งอยู่ตําบลคําอาฮวน อําเภอเมืองมุกดาหาร มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานภายนอกโครงการ เขตชายแดนมุกดาหารเป็นจุดผ่านแดนถาวร เชื่อมต่อกับแขวงสะ-หวัน-นะ-เขต สปป.ลาว มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับลาว เป็นอันดับสองของประเทศ ศักยภาพของที่ดินอยู่บนแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก ตะวันตก เชื่อมโยงเข้าสู่ลาวและเวียดนาม เป็นช่องทางที่สําคัญในการขนส่งสินค้าไปยังเวียดนามและจีนตอนใต้
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการลงทุน โดยข้อเสนอทางเทคนิค โดยต้องนําเสนอแผนการพัฒนาพื้นที่ที่ขอลงทุน แนวคิดในการจัดทําแผนแม่บทเบื้องต้น การจัดทําโครงสร้างพื้นฐานภายในโครงการ ระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ รูปแบบอาคารที่โดดเด่นทันสมัย และมีนวัตกรรมเชื่อมโยงไทยแลนด์ 4.0 การจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs รูปแบบจําลองเชิงธุรกิจ กรอบระยะเวลาดําเนินการ และความเป็นไปได้ในเชิงการเงิน ตลอดจนข้อเสนอเงินค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่าขั้นต่ําที่ทางราชการกําหนด
ข้อแตกต่างของจุดเด่นเงื่อนไขเสนอการลงทุน ที่นอกเหนือจากการเปิดประมูลสรรหาผู้ลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ผ่านมา คือ 1) เพิ่มเติมจากเดิม “ประสบการณ์ในการพัฒนาที่ดินลักษณะนิคม....” เป็น “ประสบการณ์ในลักษณะการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การค้า / การลงทุน / Logistics / บริการ หรือภาคการผลิต (อุตสาหกรรมทั่วไป / นิคมอุตสาหกรรม) 2) ปรับเพิ่มระยะเวลาจัดทําข้อเสนอโครงการลงทุน จากเดิม “ระยะเวลา 60 วัน” เป็น “ระยะเวลา 90 วัน” และ 3) Business Model ปรับแก้ “การใช้รูปแบบ BOQ สําหรับราคาค่าก่อสร้าง” เป็น “ใช้ราคาค่าก่อสร้างต่อตารางเมตรแบบ unit Replace” ทั้งนี้ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ได้กําหนดระยะเวลาเช่า 50 ปี นําไปจัดให้เช่าช่วงได้ กรรมสิทธิ์อาคารเป็นของผู้เช่า และนําสิทธิการเช่าไปขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้ และยังได้รับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรมศุลกากร กรมสรรพากร ในอัตราพิเศษมากกว่าปกติเพื่อจูงใจให้นักลงทุนเข้าร่วมลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมโยงการค้า การลงทุน ไปยังภูมิภาคเศรษฐกิจอาเซียน อันจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงขอเชิญชวนนักลงทุนชาวไทย และต่างประเทศ เข้าร่วมเสนอโครงการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และมุกดาหาร โดยขอซื้อเอกสารการลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 21 มีนาคม 2560 ได้ที่กองบริหารที่ราชพัสดุภูมิภาค กรมธนารักษ์ (ชั้น 5 อาคาร 72 ปี) สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2298 5361 หรือ โทร. 0 2278 3483 หรือเว็บไซต์ www.treasury.go.th
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมธนารักษ์เปิดประมูลสรรหาผู้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และมุกดาหาร
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560
กรมธนารักษ์เปิดประมูลสรรหาผู้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และมุกดาหาร
กรมธนารักษ์เปิดประมูลสรรหาผู้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และมุกดาหาร
วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2560) ณ กรมธนารักษ์ นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่มุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่บริเวณเขตการค้าชายแดนที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน และที่สําคัญรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงได้ประกาศเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 10 พื้นที่ ได้แก่ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก สระแก้ว สงขลา มุกดาหาร ตราด หนองคาย เชียงราย นครพนม กาญจนบุรี นราธิวาส โดยรัฐบาลได้มีมาตรการสนับสนุนและส่งเสริมต่างๆ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การให้สิทธิประโยชน์การลงทุนทั้งที่เป็นรูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี และการตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน และมาตรการอํานวยความสะดวกอื่นๆ และกรมธนารักษ์ ได้ดําเนินการจัดให้เช่าไปแล้ว 2 พื้นที่ ประกอบด้วย พื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว เนื้อที่ประมาณ 660-2-23 ไร่ ได้จัดทําสัญญาเช่ากับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 และพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด เนื้อที่ประมาณ 895-0-44 ไร่ ได้จัดทําสัญญาเช่ากับบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จํากัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2559
อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวต่อว่า ในขณะนี้กรมธนารักษ์มีความพร้อมในการเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมประมูลเสนอโครงการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และมุกดาหาร โดยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย มีเนื้อที่ทั้งแปลง 718-0-46 ไร่ ตั้งอยู่ตําบลสระใคร อําเภอสระใคร รัฐบาลมีโครงการรถไฟความเร็วจีน-หนองคาย เพื่อรองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานภายนอกโครงการ ศักยภาพของที่ดิน เป็นช่องทางการค้าชายแดนของไทยกับ สปป.ลาว มีมูลค่าการค้าชายแดนสูงสุด เมื่อเทียบกับการค้าชายแดนอื่นๆ และพื้นที่อยู่ใกล้สนามบินอุดรธานีเพียง 60 กิโลเมตร
สําหรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร เนื้อที่สองแปลงรวม 1,080-3-18.7 ไร่ ตั้งอยู่ตําบลคําอาฮวน อําเภอเมืองมุกดาหาร มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานภายนอกโครงการ เขตชายแดนมุกดาหารเป็นจุดผ่านแดนถาวร เชื่อมต่อกับแขวงสะ-หวัน-นะ-เขต สปป.ลาว มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับลาว เป็นอันดับสองของประเทศ ศักยภาพของที่ดินอยู่บนแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก ตะวันตก เชื่อมโยงเข้าสู่ลาวและเวียดนาม เป็นช่องทางที่สําคัญในการขนส่งสินค้าไปยังเวียดนามและจีนตอนใต้
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการลงทุน โดยข้อเสนอทางเทคนิค โดยต้องนําเสนอแผนการพัฒนาพื้นที่ที่ขอลงทุน แนวคิดในการจัดทําแผนแม่บทเบื้องต้น การจัดทําโครงสร้างพื้นฐานภายในโครงการ ระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ รูปแบบอาคารที่โดดเด่นทันสมัย และมีนวัตกรรมเชื่อมโยงไทยแลนด์ 4.0 การจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs รูปแบบจําลองเชิงธุรกิจ กรอบระยะเวลาดําเนินการ และความเป็นไปได้ในเชิงการเงิน ตลอดจนข้อเสนอเงินค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่าขั้นต่ําที่ทางราชการกําหนด
ข้อแตกต่างของจุดเด่นเงื่อนไขเสนอการลงทุน ที่นอกเหนือจากการเปิดประมูลสรรหาผู้ลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ผ่านมา คือ 1) เพิ่มเติมจากเดิม “ประสบการณ์ในการพัฒนาที่ดินลักษณะนิคม....” เป็น “ประสบการณ์ในลักษณะการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การค้า / การลงทุน / Logistics / บริการ หรือภาคการผลิต (อุตสาหกรรมทั่วไป / นิคมอุตสาหกรรม) 2) ปรับเพิ่มระยะเวลาจัดทําข้อเสนอโครงการลงทุน จากเดิม “ระยะเวลา 60 วัน” เป็น “ระยะเวลา 90 วัน” และ 3) Business Model ปรับแก้ “การใช้รูปแบบ BOQ สําหรับราคาค่าก่อสร้าง” เป็น “ใช้ราคาค่าก่อสร้างต่อตารางเมตรแบบ unit Replace” ทั้งนี้ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ได้กําหนดระยะเวลาเช่า 50 ปี นําไปจัดให้เช่าช่วงได้ กรรมสิทธิ์อาคารเป็นของผู้เช่า และนําสิทธิการเช่าไปขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้ และยังได้รับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรมศุลกากร กรมสรรพากร ในอัตราพิเศษมากกว่าปกติเพื่อจูงใจให้นักลงทุนเข้าร่วมลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมโยงการค้า การลงทุน ไปยังภูมิภาคเศรษฐกิจอาเซียน อันจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงขอเชิญชวนนักลงทุนชาวไทย และต่างประเทศ เข้าร่วมเสนอโครงการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และมุกดาหาร โดยขอซื้อเอกสารการลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 21 มีนาคม 2560 ได้ที่กองบริหารที่ราชพัสดุภูมิภาค กรมธนารักษ์ (ชั้น 5 อาคาร 72 ปี) สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2298 5361 หรือ โทร. 0 2278 3483 หรือเว็บไซต์ www.treasury.go.th
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1972
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2561
|
วันพุธที่ 11 เมษายน 2561
โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2561
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี (โครงการฯ) ปีการผลิต 2561 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติให้แก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปี
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี (โครงการฯ) ปีการผลิต 2561 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติให้แก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวได้มีมติเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต 2561 ในการประชุมครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561 โดยมีหลักการและรายละเอียดของการรับประกันภัย ดังนี้
1. พื้นที่เป้าหมายเอาประกันภัย สูงสุดจํานวนไม่เกิน 30 ล้านไร่ ประกอบด้วย
1.1 พื้นที่เป้าหมายเอาประกันภัยจํานวนไม่เกิน 29 ล้านไร่ สําหรับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทุกราย ซึ่งประกอบด้วย ลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่ได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจาก ธ.ก.ส. และลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่มีความประสงค์จะขอเอาประกันภัยเพิ่มเติม โดยจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยเอง
1.2 พื้นที่เป้าหมายเอาประกันภัยจํานวนไม่เกิน 1 ล้านไร่ สําหรับเกษตรกรทั่วไปที่เพาะปลูกข้าวนาปีและไม่ใช่ลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส.
2. เงื่อนไขในการรับประกันภัย
2.1 ผู้เอาประกันภัย คือ เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร (ทบก.) กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในปีการผลิต 2561/62
2.2 รูปแบบการเอาประกันภัย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
(1) กลุ่มเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 ของ ธ.ก.ส. ดําเนินการในรูปแบบการประกันภัยกลุ่ม โดย ธ.ก.ส. เป็นผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัย
(2) กลุ่มเกษตรกรทั่วไปที่เพาะปลูกข้าวนาปีและไม่ใช่ลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ดําเนินการในรูปแบบการประกันภัยรายบุคคล
2.3 อัตราเบี้ยประกันภัย อัตราเบี้ยประกันภัย 90 บาทต่อไร่ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) หรือคิดเป็นอัตรา 97.37 บาทต่อไร่ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) ซึ่งเป็นอัตราเดียวทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
2.4 วงเงินความคุ้มครอง เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ปีการผลิต 2561 จะได้รับวงเงินความคุ้มครองสูงสุด 1,260 บาทต่อไร่ สําหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 6 ประเภท ได้แก่ น้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ และไฟไหม้ และวงเงินความคุ้มครองสูงสุด 630 บาทต่อไร่ สําหรับภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด
3. การอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยของรัฐบาล สําหรับโครงการฯ ปีการผลิต 2561 รัฐบาลยังคงอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกรายในอัตรา 61.37 บาทต่อไร่ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) และ ธ.ก.ส. จะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนที่เหลืออีก 36 บาทต่อไร่ สําหรับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 ของ ธ.ก.ส. เฉพาะพื้นที่เพาะปลูกส่วนที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อ
4. งบประมาณ การดําเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2561 กระทรวงการคลังประเมินในเบื้องต้นว่า จะมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ ตามเป้าหมาย ดังนั้น จึงอนุมัติวงเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยสําหรับพื้นที่เป้าหมายเอาประกันภัยที่จํานวนสูงสุด 30 ล้านไร่ คิดเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 1,841,100,000 บาท
สํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3691
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2561
วันพุธที่ 11 เมษายน 2561
โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2561
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี (โครงการฯ) ปีการผลิต 2561 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติให้แก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปี
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี (โครงการฯ) ปีการผลิต 2561 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติให้แก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวได้มีมติเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต 2561 ในการประชุมครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561 โดยมีหลักการและรายละเอียดของการรับประกันภัย ดังนี้
1. พื้นที่เป้าหมายเอาประกันภัย สูงสุดจํานวนไม่เกิน 30 ล้านไร่ ประกอบด้วย
1.1 พื้นที่เป้าหมายเอาประกันภัยจํานวนไม่เกิน 29 ล้านไร่ สําหรับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทุกราย ซึ่งประกอบด้วย ลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่ได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจาก ธ.ก.ส. และลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่มีความประสงค์จะขอเอาประกันภัยเพิ่มเติม โดยจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยเอง
1.2 พื้นที่เป้าหมายเอาประกันภัยจํานวนไม่เกิน 1 ล้านไร่ สําหรับเกษตรกรทั่วไปที่เพาะปลูกข้าวนาปีและไม่ใช่ลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส.
2. เงื่อนไขในการรับประกันภัย
2.1 ผู้เอาประกันภัย คือ เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร (ทบก.) กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในปีการผลิต 2561/62
2.2 รูปแบบการเอาประกันภัย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
(1) กลุ่มเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 ของ ธ.ก.ส. ดําเนินการในรูปแบบการประกันภัยกลุ่ม โดย ธ.ก.ส. เป็นผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัย
(2) กลุ่มเกษตรกรทั่วไปที่เพาะปลูกข้าวนาปีและไม่ใช่ลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ดําเนินการในรูปแบบการประกันภัยรายบุคคล
2.3 อัตราเบี้ยประกันภัย อัตราเบี้ยประกันภัย 90 บาทต่อไร่ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) หรือคิดเป็นอัตรา 97.37 บาทต่อไร่ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) ซึ่งเป็นอัตราเดียวทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
2.4 วงเงินความคุ้มครอง เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ปีการผลิต 2561 จะได้รับวงเงินความคุ้มครองสูงสุด 1,260 บาทต่อไร่ สําหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 6 ประเภท ได้แก่ น้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ และไฟไหม้ และวงเงินความคุ้มครองสูงสุด 630 บาทต่อไร่ สําหรับภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด
3. การอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยของรัฐบาล สําหรับโครงการฯ ปีการผลิต 2561 รัฐบาลยังคงอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกรายในอัตรา 61.37 บาทต่อไร่ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) และ ธ.ก.ส. จะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนที่เหลืออีก 36 บาทต่อไร่ สําหรับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 ของ ธ.ก.ส. เฉพาะพื้นที่เพาะปลูกส่วนที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อ
4. งบประมาณ การดําเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2561 กระทรวงการคลังประเมินในเบื้องต้นว่า จะมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ ตามเป้าหมาย ดังนั้น จึงอนุมัติวงเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยสําหรับพื้นที่เป้าหมายเอาประกันภัยที่จํานวนสูงสุด 30 ล้านไร่ คิดเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 1,841,100,000 บาท
สํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3691
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11460
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะทำงานโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP
|
วันพุธที่ 31 ตุลาคม 2561
คณะทํางานโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP
คณะทํางานโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร ทบทวนการพิจารณาสัดส่วนการส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรป (EU) ที่ได้รับการจัดสรรโควตา
นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทํางานโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร ณ กรมการข้าว ว่า ตามที่คณะทํางานฯ ดังกล่าว ได้มีมติเห็นชอบขยายปริมาณจัดสรรโควตาส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรป (EU) ในปี 2561/62 จากเดิม 2,000 ตัน เป็น 2,600 ตัน (เพิ่ม 600 ตัน คิดเป็นร้อยละ 25 ของปริมาณการส่งออกข้าวอินทรีย์ไปสหภาพยุโรป) โดยโควตาจํานวน 2,000 ตันแรก จะจัดสรรให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งส่งออกข้าวชนิดใดก็ได้ตามเงื่อนไขไปสหภาพยุโรป
สําหรับโควตาจํานวน 600 ตันที่เพิ่มขึ้นในปี 2561/62 จะจัดสรรให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ และต้องใช้โควตาเพื่อการส่งออกข้าวอินทรีย์ ซึ่งรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร เท่านั้น อีกทั้งต้องผ่านมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากสหภาพยุโรปด้วย ทั้งนี้ ในช่วงแรกที่โครงการมีข้าวอินทรีย์ไม่เพียงพอ จะอนุญาตให้ใช้ข้าวอินทรีย์นอกโครงการได้ และระยะต่อไปซึ่งจะมีโควตาส่วนนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มากกว่า 600 ตัน ต้องเป็นข้าวอินทรีย์ที่ได้มาตรฐาน Organic Thailand และของสหภาพยุโรปควบคู่กัน
ทั้งนี้ ในการจัดสรรโควตาจะพิจารณาโดยใช้เกณฑ์พื้นที่และผลผลิตข้าวที่ผู้ประกอบการค้าข้าวนํามาเชื่อมโยงการตลาดกับเกษตรกรในโครงการฯ โดยคํานึงถึงศักยภาพในการส่งออกข้าวไปตลาดสหภาพยุโรปด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะทำงานโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP
วันพุธที่ 31 ตุลาคม 2561
คณะทํางานโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP
คณะทํางานโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร ทบทวนการพิจารณาสัดส่วนการส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรป (EU) ที่ได้รับการจัดสรรโควตา
นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทํางานโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร ณ กรมการข้าว ว่า ตามที่คณะทํางานฯ ดังกล่าว ได้มีมติเห็นชอบขยายปริมาณจัดสรรโควตาส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรป (EU) ในปี 2561/62 จากเดิม 2,000 ตัน เป็น 2,600 ตัน (เพิ่ม 600 ตัน คิดเป็นร้อยละ 25 ของปริมาณการส่งออกข้าวอินทรีย์ไปสหภาพยุโรป) โดยโควตาจํานวน 2,000 ตันแรก จะจัดสรรให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งส่งออกข้าวชนิดใดก็ได้ตามเงื่อนไขไปสหภาพยุโรป
สําหรับโควตาจํานวน 600 ตันที่เพิ่มขึ้นในปี 2561/62 จะจัดสรรให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ และต้องใช้โควตาเพื่อการส่งออกข้าวอินทรีย์ ซึ่งรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ และข้าว GAP ครบวงจร เท่านั้น อีกทั้งต้องผ่านมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากสหภาพยุโรปด้วย ทั้งนี้ ในช่วงแรกที่โครงการมีข้าวอินทรีย์ไม่เพียงพอ จะอนุญาตให้ใช้ข้าวอินทรีย์นอกโครงการได้ และระยะต่อไปซึ่งจะมีโควตาส่วนนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มากกว่า 600 ตัน ต้องเป็นข้าวอินทรีย์ที่ได้มาตรฐาน Organic Thailand และของสหภาพยุโรปควบคู่กัน
ทั้งนี้ ในการจัดสรรโควตาจะพิจารณาโดยใช้เกณฑ์พื้นที่และผลผลิตข้าวที่ผู้ประกอบการค้าข้าวนํามาเชื่อมโยงการตลาดกับเกษตรกรในโครงการฯ โดยคํานึงถึงศักยภาพในการส่งออกข้าวไปตลาดสหภาพยุโรปด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16462
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ทล. 3467 ตอน นครหลวง - ท่าเรือ)
|
วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ทล. 3467 ตอน นครหลวง - ท่าเรือ)
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2560 พร้อมด้วย นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม โดยมี นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ฯ ให้การต้อนรับ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคม โดย กรมทางหลวง (ทล.) ดําเนินโครงการจ้างเหมาเพื่อปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 3467 จากผิวทางแอสฟัสต์เป็นผิวทางคอนกรีต ขนาด 2 ช่อง จราจร ตอน นครหลวง - ท่าเรือ ระหว่าง กม.0+000.000 - 9+400.000 ระยะทางยาวประมาณ 9.400 กิโลเมตร มาตรฐานทางขนาด 2 ช่องจราจร ผิวทางคอนกรีต หนา 28 เซนติเมตร งบประมาณ 90,880,000 บาท กําหนดแล้วเสร็จในปี 2561 ลักษณะโครงการฯ ทําการปรับปรุงก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยปรับปรุงผิวทางเดิมจากผิวแอสฟัลต์คอนกรีตเปลี่ยนเป็นผิวคอนกรีตซึ่งมีความหนา 28 เซนติเมตร พร้อมติดตั้งการ์ดเรลและติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างชนิดกิ่งเดี่ยว ความสูง 9.00 เมตร ทั้งนี้ ระหว่างดําเนินโครงการฯ พบปัญหารถบรรทุกวิ่งในสายทางเป็นจํานวนมาก ทําให้พื้นที่การทํางานแคบและไม่สะดวก ซึ่ง ทล. ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาโดยติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์โครงการฯ เชิญผู้ประกอบการ และหน่วยงานในพื้นที่ประชุมหาแนวทางแก้ไขปัญหาจราจร รวมทั้งแนะนําให้ผู้ใช้ถนนหลีกเลี่ยงการก่อสร้าง
เมื่อโครงการแล้วเสร็จในปี 2561 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสายทาง รองรับการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ระหว่างทางถนนและการขนส่งทางน้ําตลอดลําน้ําป่าสัก ซึ่งมีท่าเรือขนส่งสินค้าเป็นจํานวนมาก ช่วยเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากท่าเรือมายังทางหลวงหมายเลข 33 ทางหลวงสายเอเชียและเชื่อมโยงไปยังจังหวัดสระบุรีและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ทล. 3467 ตอน นครหลวง - ท่าเรือ)
วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ทล. 3467 ตอน นครหลวง - ท่าเรือ)
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2560 พร้อมด้วย นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม โดยมี นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ฯ ให้การต้อนรับ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคม โดย กรมทางหลวง (ทล.) ดําเนินโครงการจ้างเหมาเพื่อปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 3467 จากผิวทางแอสฟัสต์เป็นผิวทางคอนกรีต ขนาด 2 ช่อง จราจร ตอน นครหลวง - ท่าเรือ ระหว่าง กม.0+000.000 - 9+400.000 ระยะทางยาวประมาณ 9.400 กิโลเมตร มาตรฐานทางขนาด 2 ช่องจราจร ผิวทางคอนกรีต หนา 28 เซนติเมตร งบประมาณ 90,880,000 บาท กําหนดแล้วเสร็จในปี 2561 ลักษณะโครงการฯ ทําการปรับปรุงก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยปรับปรุงผิวทางเดิมจากผิวแอสฟัลต์คอนกรีตเปลี่ยนเป็นผิวคอนกรีตซึ่งมีความหนา 28 เซนติเมตร พร้อมติดตั้งการ์ดเรลและติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างชนิดกิ่งเดี่ยว ความสูง 9.00 เมตร ทั้งนี้ ระหว่างดําเนินโครงการฯ พบปัญหารถบรรทุกวิ่งในสายทางเป็นจํานวนมาก ทําให้พื้นที่การทํางานแคบและไม่สะดวก ซึ่ง ทล. ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาโดยติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์โครงการฯ เชิญผู้ประกอบการ และหน่วยงานในพื้นที่ประชุมหาแนวทางแก้ไขปัญหาจราจร รวมทั้งแนะนําให้ผู้ใช้ถนนหลีกเลี่ยงการก่อสร้าง
เมื่อโครงการแล้วเสร็จในปี 2561 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสายทาง รองรับการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ระหว่างทางถนนและการขนส่งทางน้ําตลอดลําน้ําป่าสัก ซึ่งมีท่าเรือขนส่งสินค้าเป็นจํานวนมาก ช่วยเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากท่าเรือมายังทางหลวงหมายเลข 33 ทางหลวงสายเอเชียและเชื่อมโยงไปยังจังหวัดสระบุรีและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6797
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank สรุปข้อมูลวิจัยโครงการ“ฮักTAXI” ดันออกแนวทางหนุน “3 เติม”พลิกโฉมวงการประกอบอาชีพขับแท็กซี่
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม 2562
SME D Bank สรุปข้อมูลวิจัยโครงการ“ฮักTAXI” ดันออกแนวทางหนุน “3 เติม”พลิกโฉมวงการประกอบอาชีพขับแท็กซี่
SME D Bank เผยความคืบหน้าโครงการ “ฮัก TAXI” ยอดแสดงเจตจํานงล่าสุดหลังผ่านตรวจสอบ 7,400 ราย สรุปผลงานวิจัยให้เสร็จภายในสัปดาห์หน้า เพื่อนํามาออกแบบกระบวนการทํางาน คุณสมบัติ และผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ให้เสร็จภายใน 45 วัน
SME D Bank เผยความคืบหน้าโครงการ “ฮัก TAXI” ยอดแสดงเจตจํานงล่าสุดหลังผ่านตรวจสอบ 7,400 ราย สรุปผลงานวิจัยให้เสร็จภายในสัปดาห์หน้า เพื่อนํามาออกแบบกระบวนการทํางาน คุณสมบัติ และผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ให้เสร็จภายใน 45 วัน ภายใต้แนวทาง “3 เติม” ได้แก่ เติมทักษะ เติมทุน และเติมคุณภาพชีวิต ช่วยยกระดับพลิกโฉมวงการประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ ลั่นเดินหน้าจัดกิจกรรมให้ความรู้ทันที
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เผยว่า จากเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2561ที่ผ่านมา ธนาคารได้เปิดให้ผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ แสดงเจตจํานงเข้าร่วมโครงการ “ฮัก TAXI" เสริมแกร่งแท็กซี่ไทยซึ่งในวันดังกล่าวมียอดผู้แสดงเจตจํานง กว่า 6,000 ราย หลังจากนั้น เปิดให้แสดงเจตจํานงผ่านทางออนไลน์ต่อเนื่อง นับถึงวันที่ 2 มกราคม 2562 มียอดแสดงเจตจํานงเพิ่มเติมอีกกว่า 3,500 ราย รวมแล้ว มียอดผู้แสดงเจตจํานงเข้าร่วมโครงการกว่า 9,500 ราย และเมื่อตรวจสอบความถูกต้อง และตัดผู้แสดงเจตจํานงซ้ําซ้อนออกไป เหลือจํานวนทั้งสิ้นประมาณ 7,400 ราย ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ สามารถแสดงเจตจํานงได้อีกจนกว่าจะครบ 10,000 คนตามกําหนดวงเงินของโครงการ 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธนาคารได้นําข้อมูลของผู้แสดงเจตจํานงต้องการร่วมโครงการ“ฮัก TAXI” ทั้งในวันที่ 27 ธ.ค. และผ่านออนไลน์ เพื่อสรุปเป็นงานวิจัยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้น ธนาคารจะนําผลงานวิจัยมาออกแบบเป็นแนวทางการดําเนินโครงการ คุณสมบัติผู้กู้ และออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน หรือประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยอยู่ภายใต้หลักสําคัญ“3เติม” ได้แก่
1. เติมทักษะ ช่วยเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และยกระดับงานบริการด้วยเทคโนโลยี โดยผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ที่แสดงเจตจํานงเข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับทุกคน เช่น อบรมการให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน การอบรมการให้บริการ และอบรมการใช้ภาษาต่างประเทศ เพื่อการสื่อสาร รวมถึง ได้รับการแนะนําและสนับสนุนเข้าถึงกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
2. เติมทุน รูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ผ่อนถูกกว่าการเช่ารถ และได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถ ผ่อนชําระได้ตั้งแต่ 4-7 ปี ขึ้นอยู่ความสามารถในการหารายได้ ประเภท ราคายี่ห้อรถยนต์ วินัยการเงินของผู้ที่มีความตั้งใจประกอบอาชีพอย่างมืออาชีพ ผ่านสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) และกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ซึ่งผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ที่จะได้รับเงินทุนนั้น ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขและคุณสมบัติที่ธนาคารกําหนด
3. เติมคุณภาพชีวิต สิทธิ์ประโยชน์ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างความมั่นคงในอาชีพ ลดภาระให้ครอบครัว และเข้าถึงสวัสดิการที่ดี เช่น ได้รับประโยชน์การคุ้มครองจากสํานักงานประกันสังคม (สปส.) ตามมาตรา 40 เข้าถึงกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เงินสงเคราะห์บุตร ค่าฌาปนกิจสงเคราะห์ รวมถึง ได้รับเงินทุนผ่านสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) และกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ซึ่งผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้ จะต้องมีวินัยการเงิน ตั้งใจประกอบอาชีพขับแท็กซี่อย่างมืออาชีพตามหลักเกณฑ์ของโครงการ “ฮัก TAXI”
ในระหว่างสรุปข้อมูลวิจัยเพื่อกําหนดแนวทางการดําเนินโครงการและออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ โดยมี บสย. เป็นผู้ค้ําประกันสินเชื่อ ธนาคารจะเริ่มจัดกิจกรรมเติมทักษะเพื่อยกระดับการให้บริการในลําดับแรกก่อน โดยไม่ต้องรอถึง 45 วัน รวมถึงจะมีการแจ้งข่าวสารความคืบหน้าให้ผู้แสดงความจํานงทราบอย่างต่อเนื่อง
“ผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ที่แสดงเจตจํานงร่วมโครงการ“ฮักTAXI” ส่วนใหญ่สิ่งแรกที่ต้องการ คือ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ําเพื่อนําไปซื้อรถใหม่ อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์การทํางานที่ผ่านมาของ SME D Bank พบว่า หากให้แต่เงิน จะไม่ก่อให้เกิดความยั่งยืน จําเป็นต้องให้ความรู้ควบคู่ไปด้วย ดังนั้น แนวทางการดําเนินโครงการ“ฮักTAXI” สิ่งสําคัญที่สุด มุ่งให้ผู้ประกอบอาชีพที่แสดงเจตจํานงเข้าโครงการทุกรายได้รับการเติมทักษะ ซึ่งจะช่วยให้สามารถประกอบอาชีพขับแท็กซี่ได้อย่างยั่งยืน มีรายได้เพิ่ม ลดรายได้ สร้างความพึงพอใจแก่ผู้โดยสาร นําไปสู่การเปลี่ยนแปลงยกระดับบริการแท็กซี่ได้ทั้งระบบ” นายมงคล กล่าวเสริม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank สรุปข้อมูลวิจัยโครงการ“ฮักTAXI” ดันออกแนวทางหนุน “3 เติม”พลิกโฉมวงการประกอบอาชีพขับแท็กซี่
วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม 2562
SME D Bank สรุปข้อมูลวิจัยโครงการ“ฮักTAXI” ดันออกแนวทางหนุน “3 เติม”พลิกโฉมวงการประกอบอาชีพขับแท็กซี่
SME D Bank เผยความคืบหน้าโครงการ “ฮัก TAXI” ยอดแสดงเจตจํานงล่าสุดหลังผ่านตรวจสอบ 7,400 ราย สรุปผลงานวิจัยให้เสร็จภายในสัปดาห์หน้า เพื่อนํามาออกแบบกระบวนการทํางาน คุณสมบัติ และผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ให้เสร็จภายใน 45 วัน
SME D Bank เผยความคืบหน้าโครงการ “ฮัก TAXI” ยอดแสดงเจตจํานงล่าสุดหลังผ่านตรวจสอบ 7,400 ราย สรุปผลงานวิจัยให้เสร็จภายในสัปดาห์หน้า เพื่อนํามาออกแบบกระบวนการทํางาน คุณสมบัติ และผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ให้เสร็จภายใน 45 วัน ภายใต้แนวทาง “3 เติม” ได้แก่ เติมทักษะ เติมทุน และเติมคุณภาพชีวิต ช่วยยกระดับพลิกโฉมวงการประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ ลั่นเดินหน้าจัดกิจกรรมให้ความรู้ทันที
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เผยว่า จากเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2561ที่ผ่านมา ธนาคารได้เปิดให้ผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ แสดงเจตจํานงเข้าร่วมโครงการ “ฮัก TAXI" เสริมแกร่งแท็กซี่ไทยซึ่งในวันดังกล่าวมียอดผู้แสดงเจตจํานง กว่า 6,000 ราย หลังจากนั้น เปิดให้แสดงเจตจํานงผ่านทางออนไลน์ต่อเนื่อง นับถึงวันที่ 2 มกราคม 2562 มียอดแสดงเจตจํานงเพิ่มเติมอีกกว่า 3,500 ราย รวมแล้ว มียอดผู้แสดงเจตจํานงเข้าร่วมโครงการกว่า 9,500 ราย และเมื่อตรวจสอบความถูกต้อง และตัดผู้แสดงเจตจํานงซ้ําซ้อนออกไป เหลือจํานวนทั้งสิ้นประมาณ 7,400 ราย ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ สามารถแสดงเจตจํานงได้อีกจนกว่าจะครบ 10,000 คนตามกําหนดวงเงินของโครงการ 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธนาคารได้นําข้อมูลของผู้แสดงเจตจํานงต้องการร่วมโครงการ“ฮัก TAXI” ทั้งในวันที่ 27 ธ.ค. และผ่านออนไลน์ เพื่อสรุปเป็นงานวิจัยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้น ธนาคารจะนําผลงานวิจัยมาออกแบบเป็นแนวทางการดําเนินโครงการ คุณสมบัติผู้กู้ และออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน หรือประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยอยู่ภายใต้หลักสําคัญ“3เติม” ได้แก่
1. เติมทักษะ ช่วยเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และยกระดับงานบริการด้วยเทคโนโลยี โดยผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ที่แสดงเจตจํานงเข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับทุกคน เช่น อบรมการให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน การอบรมการให้บริการ และอบรมการใช้ภาษาต่างประเทศ เพื่อการสื่อสาร รวมถึง ได้รับการแนะนําและสนับสนุนเข้าถึงกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
2. เติมทุน รูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ผ่อนถูกกว่าการเช่ารถ และได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถ ผ่อนชําระได้ตั้งแต่ 4-7 ปี ขึ้นอยู่ความสามารถในการหารายได้ ประเภท ราคายี่ห้อรถยนต์ วินัยการเงินของผู้ที่มีความตั้งใจประกอบอาชีพอย่างมืออาชีพ ผ่านสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) และกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ซึ่งผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ที่จะได้รับเงินทุนนั้น ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขและคุณสมบัติที่ธนาคารกําหนด
3. เติมคุณภาพชีวิต สิทธิ์ประโยชน์ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างความมั่นคงในอาชีพ ลดภาระให้ครอบครัว และเข้าถึงสวัสดิการที่ดี เช่น ได้รับประโยชน์การคุ้มครองจากสํานักงานประกันสังคม (สปส.) ตามมาตรา 40 เข้าถึงกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เงินสงเคราะห์บุตร ค่าฌาปนกิจสงเคราะห์ รวมถึง ได้รับเงินทุนผ่านสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) และกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ซึ่งผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้ จะต้องมีวินัยการเงิน ตั้งใจประกอบอาชีพขับแท็กซี่อย่างมืออาชีพตามหลักเกณฑ์ของโครงการ “ฮัก TAXI”
ในระหว่างสรุปข้อมูลวิจัยเพื่อกําหนดแนวทางการดําเนินโครงการและออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ โดยมี บสย. เป็นผู้ค้ําประกันสินเชื่อ ธนาคารจะเริ่มจัดกิจกรรมเติมทักษะเพื่อยกระดับการให้บริการในลําดับแรกก่อน โดยไม่ต้องรอถึง 45 วัน รวมถึงจะมีการแจ้งข่าวสารความคืบหน้าให้ผู้แสดงความจํานงทราบอย่างต่อเนื่อง
“ผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ที่แสดงเจตจํานงร่วมโครงการ“ฮักTAXI” ส่วนใหญ่สิ่งแรกที่ต้องการ คือ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ําเพื่อนําไปซื้อรถใหม่ อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์การทํางานที่ผ่านมาของ SME D Bank พบว่า หากให้แต่เงิน จะไม่ก่อให้เกิดความยั่งยืน จําเป็นต้องให้ความรู้ควบคู่ไปด้วย ดังนั้น แนวทางการดําเนินโครงการ“ฮักTAXI” สิ่งสําคัญที่สุด มุ่งให้ผู้ประกอบอาชีพที่แสดงเจตจํานงเข้าโครงการทุกรายได้รับการเติมทักษะ ซึ่งจะช่วยให้สามารถประกอบอาชีพขับแท็กซี่ได้อย่างยั่งยืน มีรายได้เพิ่ม ลดรายได้ สร้างความพึงพอใจแก่ผู้โดยสาร นําไปสู่การเปลี่ยนแปลงยกระดับบริการแท็กซี่ได้ทั้งระบบ” นายมงคล กล่าวเสริม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17903
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สศค.และ UNICEF ในการพัฒนาประสิทธิภาพระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระบบบำเหน็จบำนาญ และการประเมินผลนโยบายทางสังคมของรัฐบาลต่อเศรษฐกิจ
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562
พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สศค.และ UNICEF ในการพัฒนาประสิทธิภาพระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระบบบําเหน็จบํานาญ และการประเมินผลนโยบายทางสังคมของรัฐบาลต่อเศรษฐกิจ
การลงนามบันทึกความเข้าใจ ระหว่าง สศค. และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาตินการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค เรื่อง “การกําหนดนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การทบทวนระบบบําเหน็จบํานาญของประเทศ และการรายงานการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ และตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจ
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 19 กันยายน 2562 สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ระหว่าง สศค. และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Children’s Fund : UNICEF) ในการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค เรื่อง “การกําหนดนโยบายบัตรสวัสดิการ แห่งรัฐ การทบทวนระบบบําเหน็จบํานาญของประเทศ และการรายงานการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ และตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจจากการดําเนินนโยบายทางสังคมของรัฐบาล” โดยมีผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และ Mr. Thomas Davin ผู้แทนองค์การ UNICEF ประเทศไทย เป็นผู้ร่วมลงนามทั้ง 2 ฝ่าย โดยบันทึกความเข้าใจมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
การให้ความช่วยเหลือของ UNICEF เป็นการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ โดยจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคนิคในการพัฒนาประสิทธิภาพของภาครัฐในการกําหนดนโยบายทางสังคมและระบบการคุ้มครองทางสังคมรวมถึงการนําเงินโอนทางสังคม (Social Cash Transfer) มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภาคประชาสังคม ให้มีความเข้มแข็งอย่างทั่วถึงและยั่งยืนสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน ที่เน้นการให้ความสําคัญต่อการพัฒนาคน ดังนั้น จึงได้กําหนดหัวข้อของความร่วมมือ ได้แก่ 1) การกําหนดนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2) การทบทวนระบบบําเหน็จบํานาญของประเทศไทย และ 3) การรายงานการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและตัวคูณทางเศรษฐกิจจากการดําเนินนโยบายทางสังคมของรัฐบาล ซึ่งการจัดทําบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และ UNICEF ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีประสบการณ์ที่กว้างขวาง ซึ่ง สศค. จะสามารถนําความรู้ที่ได้ ไปใช้ประโยชน์ในการเสนอแนะนโยบายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตประชาชนในอนาคตต่อไป
สํานักนโยบายการออมและการลงทุน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3644
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สศค.และ UNICEF ในการพัฒนาประสิทธิภาพระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระบบบำเหน็จบำนาญ และการประเมินผลนโยบายทางสังคมของรัฐบาลต่อเศรษฐกิจ
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562
พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สศค.และ UNICEF ในการพัฒนาประสิทธิภาพระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระบบบําเหน็จบํานาญ และการประเมินผลนโยบายทางสังคมของรัฐบาลต่อเศรษฐกิจ
การลงนามบันทึกความเข้าใจ ระหว่าง สศค. และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาตินการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค เรื่อง “การกําหนดนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การทบทวนระบบบําเหน็จบํานาญของประเทศ และการรายงานการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ และตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจ
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 19 กันยายน 2562 สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ระหว่าง สศค. และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Children’s Fund : UNICEF) ในการให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค เรื่อง “การกําหนดนโยบายบัตรสวัสดิการ แห่งรัฐ การทบทวนระบบบําเหน็จบํานาญของประเทศ และการรายงานการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ และตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจจากการดําเนินนโยบายทางสังคมของรัฐบาล” โดยมีผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และ Mr. Thomas Davin ผู้แทนองค์การ UNICEF ประเทศไทย เป็นผู้ร่วมลงนามทั้ง 2 ฝ่าย โดยบันทึกความเข้าใจมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
การให้ความช่วยเหลือของ UNICEF เป็นการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ โดยจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคนิคในการพัฒนาประสิทธิภาพของภาครัฐในการกําหนดนโยบายทางสังคมและระบบการคุ้มครองทางสังคมรวมถึงการนําเงินโอนทางสังคม (Social Cash Transfer) มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภาคประชาสังคม ให้มีความเข้มแข็งอย่างทั่วถึงและยั่งยืนสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน ที่เน้นการให้ความสําคัญต่อการพัฒนาคน ดังนั้น จึงได้กําหนดหัวข้อของความร่วมมือ ได้แก่ 1) การกําหนดนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2) การทบทวนระบบบําเหน็จบํานาญของประเทศไทย และ 3) การรายงานการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและตัวคูณทางเศรษฐกิจจากการดําเนินนโยบายทางสังคมของรัฐบาล ซึ่งการจัดทําบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และ UNICEF ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีประสบการณ์ที่กว้างขวาง ซึ่ง สศค. จะสามารถนําความรู้ที่ได้ ไปใช้ประโยชน์ในการเสนอแนะนโยบายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตประชาชนในอนาคตต่อไป
สํานักนโยบายการออมและการลงทุน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3644
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23235
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมร้านค้าตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรมเมืองสี่แคว จ.นครสวรรค์
|
วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมร้านค้าตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรมเมืองสี่แคว จ.นครสวรรค์
นายกฯ เยี่ยมชมร้านค้าตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรมเมืองสี่แคว จ.นครสวรรค์ ชื่นชมการรักษาวัฒนธรรมไทย ที่แสดงให้เห็นความเข้มแข็งของชุมชน สามารถนําวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม มาเป็นทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน และสามารถพัฒนาต่อยอดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม
วันนี้ (11 มิ.ย. 61) เวลา 18.30 น. ณ เวทีต้นแม่น้ําเจ้าพระยา บริเวณถนนคนเดิน เทศบาลนครนครสวรรค์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ เยี่ยมชมร้านค้าตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรมเมืองสี่แคว ต้นแม่น้ําเจ้าพระยา โดยมีนายธนาคม จงจิระ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ ผู้บริหารจังหวัด ผู้ประกอบการร้านค้า และประชาชนมารอให้การต้อนรับ
เมื่อนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางมาถึง ได้ชมการแสดงเชิดสิงโตจากคณะสิงโตกว๋องสิวนครสวรรค์ เพื่อแสดงความเคารพและอวยพรให้นายกรัฐมนตรี จากนั้น น้องโนเกีย ลิเกรุ่นจิ๋ว จากคณะศรรามน้ําเพ็ชร เป็นตัวแทนลิเก 4 จังหวัด ร้องกลอนลิเกต้อนรับนายกรัฐมนตรี ต่อด้วยชมการแสดงจากชมรมวัฒนธรรมไทยจากนักเรียนโรงเรียนต่าง ๆ ของจังหวัดนครสวรรค์ การแสดงอังกะลุง ของชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตําบลมหาโพธิ์ พร้อมกันนี้ นางสาวนฤมล วิชาพร นักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 5 จากโรงเรียนนครสวรรค์ ได้มอบภาพวาดเหมือนจริงให้แก่นายกรัฐมนตรี ก่อนที่นายกรัฐมนตรีและคณะจะเยี่ยมชมตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมชาวจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ที่ได้มีการรักษาวัฒนธรรมไทย อาทิ การแสดงลิเก การแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงรําวงย้อนยุคซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของชุมชน ที่สามารถนําวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรม มาเป็นทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน และสามารถพัฒนาต่อยอดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้ โดยสอดคล้องกับโครงการตลาดประชารัฐ เป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาล ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ และการพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น รวมทั้งต่อยอดสู่การสร้างงานและรายได้ที่ยั่งยืนของชุมชน
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินมายังบริเวณเวทีต้นแม่น้ําเจ้าพระยา เพื่อชมการแสดงพื้นบ้าน (ลิเก) รําถวายมือ และชมการแสดงลิเกของคณะลิเก 4 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี พิจิตร และกําแพงเพชร ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เดินพบปะทักทายผู้ประกอบการร้านค้า และประชาชนที่มารอให้การต้อนรับตลอดเส้นทางของร้านค้าตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรมเมืองสี่แคว อย่างเป็นกันเอง
สําหรับโครงการตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรมเมืองสี่แควแห่งนี้ เป็นการพัฒนาพื้นที่ถนนสายวัฒนธรรมเปิดตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ในจังหวัดนครสวรรค์ ให้เป็นต้นแบบของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของท้องถิ่น และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกระทรวงวัฒนธรรม ว่าด้วยการนําทุนทางวัฒนธรรมมาพัฒนาสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเติมทางเศรษฐกิจ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนให้แก่ชุมชน ตามนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ในการจัดโครงการตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมตลาดสินค้าทางวัฒนธรรม กระตุ้นเศรษฐกิจและธุรกิจการท่องเที่ยว สร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนท้องถิ่น เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้งานศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริมเยาวชน ให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สร้างรายได้ช่วยเหลือครอบครัว ส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมถ่ายทอดวิถีชีวิตชุมชนให้เป็นที่รู้จักและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมชุมชน เปิดโอกาสให้ประชาชนมีพื้นที่ในการจําหน่ายสินค้า ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนกินดีอยู่ดี สร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาล อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวตลาดเก่าที่มีเรื่องราวอันเป็นประวัติศาสตร์สืบทอดกันมายาวนาน ที่สามารถสร้างกระแสการท่องเที่ยวถนนสายวัฒนธรรมให้เป็นที่รู้จักได้
....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมร้านค้าตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรมเมืองสี่แคว จ.นครสวรรค์
วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมร้านค้าตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรมเมืองสี่แคว จ.นครสวรรค์
นายกฯ เยี่ยมชมร้านค้าตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรมเมืองสี่แคว จ.นครสวรรค์ ชื่นชมการรักษาวัฒนธรรมไทย ที่แสดงให้เห็นความเข้มแข็งของชุมชน สามารถนําวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม มาเป็นทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน และสามารถพัฒนาต่อยอดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม
วันนี้ (11 มิ.ย. 61) เวลา 18.30 น. ณ เวทีต้นแม่น้ําเจ้าพระยา บริเวณถนนคนเดิน เทศบาลนครนครสวรรค์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ เยี่ยมชมร้านค้าตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรมเมืองสี่แคว ต้นแม่น้ําเจ้าพระยา โดยมีนายธนาคม จงจิระ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ ผู้บริหารจังหวัด ผู้ประกอบการร้านค้า และประชาชนมารอให้การต้อนรับ
เมื่อนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางมาถึง ได้ชมการแสดงเชิดสิงโตจากคณะสิงโตกว๋องสิวนครสวรรค์ เพื่อแสดงความเคารพและอวยพรให้นายกรัฐมนตรี จากนั้น น้องโนเกีย ลิเกรุ่นจิ๋ว จากคณะศรรามน้ําเพ็ชร เป็นตัวแทนลิเก 4 จังหวัด ร้องกลอนลิเกต้อนรับนายกรัฐมนตรี ต่อด้วยชมการแสดงจากชมรมวัฒนธรรมไทยจากนักเรียนโรงเรียนต่าง ๆ ของจังหวัดนครสวรรค์ การแสดงอังกะลุง ของชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตําบลมหาโพธิ์ พร้อมกันนี้ นางสาวนฤมล วิชาพร นักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 5 จากโรงเรียนนครสวรรค์ ได้มอบภาพวาดเหมือนจริงให้แก่นายกรัฐมนตรี ก่อนที่นายกรัฐมนตรีและคณะจะเยี่ยมชมตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมชาวจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ที่ได้มีการรักษาวัฒนธรรมไทย อาทิ การแสดงลิเก การแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงรําวงย้อนยุคซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของชุมชน ที่สามารถนําวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรม มาเป็นทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน และสามารถพัฒนาต่อยอดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้ โดยสอดคล้องกับโครงการตลาดประชารัฐ เป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาล ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ และการพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น รวมทั้งต่อยอดสู่การสร้างงานและรายได้ที่ยั่งยืนของชุมชน
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินมายังบริเวณเวทีต้นแม่น้ําเจ้าพระยา เพื่อชมการแสดงพื้นบ้าน (ลิเก) รําถวายมือ และชมการแสดงลิเกของคณะลิเก 4 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี พิจิตร และกําแพงเพชร ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เดินพบปะทักทายผู้ประกอบการร้านค้า และประชาชนที่มารอให้การต้อนรับตลอดเส้นทางของร้านค้าตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรมเมืองสี่แคว อย่างเป็นกันเอง
สําหรับโครงการตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรมเมืองสี่แควแห่งนี้ เป็นการพัฒนาพื้นที่ถนนสายวัฒนธรรมเปิดตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ในจังหวัดนครสวรรค์ ให้เป็นต้นแบบของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของท้องถิ่น และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกระทรวงวัฒนธรรม ว่าด้วยการนําทุนทางวัฒนธรรมมาพัฒนาสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเติมทางเศรษฐกิจ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนให้แก่ชุมชน ตามนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ในการจัดโครงการตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมตลาดสินค้าทางวัฒนธรรม กระตุ้นเศรษฐกิจและธุรกิจการท่องเที่ยว สร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนท้องถิ่น เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้งานศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริมเยาวชน ให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สร้างรายได้ช่วยเหลือครอบครัว ส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมถ่ายทอดวิถีชีวิตชุมชนให้เป็นที่รู้จักและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมชุมชน เปิดโอกาสให้ประชาชนมีพื้นที่ในการจําหน่ายสินค้า ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนกินดีอยู่ดี สร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาล อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวตลาดเก่าที่มีเรื่องราวอันเป็นประวัติศาสตร์สืบทอดกันมายาวนาน ที่สามารถสร้างกระแสการท่องเที่ยวถนนสายวัฒนธรรมให้เป็นที่รู้จักได้
....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12945
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปูพรมสร้างการรับรู้ใช้บัตรประชาชนเบิกจ่ายตรงค่ารักษาประเภทผู้ป่วยนอก
|
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561
กรมบัญชีกลางปูพรมสร้างการรับรู้ใช้บัตรประชาชนเบิกจ่ายตรงค่ารักษาประเภทผู้ป่วยนอก
กรมบัญชีกลางเร่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก โดยใช้บัตรประจําตัวประชาชน ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนทั่วประเทศ และเร่งติดตั้งเครื่อง EDC ให้เสร็จภายในต้นเดือนเมษายนนี้
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ประชุมชี้แจงแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก โดยใช้บัตรประจําตัวประชาชน ให้กับหมอคลังอุ่นใจ วิทยากรตัวคูณ และ Call Center ของกรมบัญชีกลาง ในระหว่างวันที่ 20-23 มีนาคม 2561
เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยกรมบัญชีกลางได้มอบหมายให้หมอคลังอุ่นใจเดินหน้าถ่ายทอดและสร้างการรับรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้กับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว นายทะเบียนของส่วนราชการ เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนระบบ สร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้เกิดการยอมรับ สามารถใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
ในส่วนของวิทยากรตัวคูณ ได้มอบหมายให้จัดโครงการร่วมกับส่วนราชการในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อถ่ายทอดความรู้ในลักษณะเดียวกับที่หมอคลังอุ่นใจดําเนินการ โดยให้จัดบรรยายที่ส่วนราชการแต่ละแห่งโดยตรง ตามวันเวลาและสถานที่ที่ส่วนราชการจะกําหนดต่อไป
สําหรับเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลของทางราชการและเอกชน กรมบัญชีกลางได้จัดโครงการสร้างการรับรู้ให้เป็นพิเศษ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลเป็นหัวใจสําคัญของโครงการนี้ ซึ่งเป็นบุคคลที่ต้องให้บริการกับผู้มีสิทธิจึงต้องทราบข้อมูลทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยจะจัดที่ส่วนกลาง จํานวน 6 รุ่น ในระหว่างวันที่ 29 มีนาคม – 9 เมษายน 2561 ทั้งนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลอบรมเสร็จเรียบร้อย ก็จะเป็นเวลาที่ดําเนินการติดตั้งเครื่องอ่านบัตรประจําตัวประชาชน (EDC) แล้วเสร็จพอดี
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า กรมบัญชีกลางได้จัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบ Infographic และคู่มือแนวปฏิบัติโดยละเอียด ซึ่งได้เผยแพร่ไว้ที่เว็บไซต์ www.cgd.go.th/เรื่องที่น่าสนใจ/CGDInfographic และ Facebook กรมบัญชีกลาง รวมทั้งยังสามารถสแกน QR Code จากแผ่นประชาสัมพันธ์ได้อีกช่องทางหนึ่ง เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางจะประชาสัมพันธ์ข่าวสารอย่างต่อเนื่อง โดยผู้มีสิทธิสามารถสอบถามรายละเอียดหรือปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับการใช้สิทธิกับ Call Center ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2270-6400
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปูพรมสร้างการรับรู้ใช้บัตรประชาชนเบิกจ่ายตรงค่ารักษาประเภทผู้ป่วยนอก
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561
กรมบัญชีกลางปูพรมสร้างการรับรู้ใช้บัตรประชาชนเบิกจ่ายตรงค่ารักษาประเภทผู้ป่วยนอก
กรมบัญชีกลางเร่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก โดยใช้บัตรประจําตัวประชาชน ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนทั่วประเทศ และเร่งติดตั้งเครื่อง EDC ให้เสร็จภายในต้นเดือนเมษายนนี้
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ประชุมชี้แจงแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายตรงเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก โดยใช้บัตรประจําตัวประชาชน ให้กับหมอคลังอุ่นใจ วิทยากรตัวคูณ และ Call Center ของกรมบัญชีกลาง ในระหว่างวันที่ 20-23 มีนาคม 2561
เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยกรมบัญชีกลางได้มอบหมายให้หมอคลังอุ่นใจเดินหน้าถ่ายทอดและสร้างการรับรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้กับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว นายทะเบียนของส่วนราชการ เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนระบบ สร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้เกิดการยอมรับ สามารถใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
ในส่วนของวิทยากรตัวคูณ ได้มอบหมายให้จัดโครงการร่วมกับส่วนราชการในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อถ่ายทอดความรู้ในลักษณะเดียวกับที่หมอคลังอุ่นใจดําเนินการ โดยให้จัดบรรยายที่ส่วนราชการแต่ละแห่งโดยตรง ตามวันเวลาและสถานที่ที่ส่วนราชการจะกําหนดต่อไป
สําหรับเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลของทางราชการและเอกชน กรมบัญชีกลางได้จัดโครงการสร้างการรับรู้ให้เป็นพิเศษ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลเป็นหัวใจสําคัญของโครงการนี้ ซึ่งเป็นบุคคลที่ต้องให้บริการกับผู้มีสิทธิจึงต้องทราบข้อมูลทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยจะจัดที่ส่วนกลาง จํานวน 6 รุ่น ในระหว่างวันที่ 29 มีนาคม – 9 เมษายน 2561 ทั้งนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลอบรมเสร็จเรียบร้อย ก็จะเป็นเวลาที่ดําเนินการติดตั้งเครื่องอ่านบัตรประจําตัวประชาชน (EDC) แล้วเสร็จพอดี
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า กรมบัญชีกลางได้จัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบ Infographic และคู่มือแนวปฏิบัติโดยละเอียด ซึ่งได้เผยแพร่ไว้ที่เว็บไซต์ www.cgd.go.th/เรื่องที่น่าสนใจ/CGDInfographic และ Facebook กรมบัญชีกลาง รวมทั้งยังสามารถสแกน QR Code จากแผ่นประชาสัมพันธ์ได้อีกช่องทางหนึ่ง เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางจะประชาสัมพันธ์ข่าวสารอย่างต่อเนื่อง โดยผู้มีสิทธิสามารถสอบถามรายละเอียดหรือปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับการใช้สิทธิกับ Call Center ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2270-6400
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11006
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานเศรษฐกิจการคลังชี้แจง กรณีระบบพร้อมเพย์ขัดข้อง
|
วันพุธที่ 3 มกราคม 2561
สํานักงานเศรษฐกิจการคลังชี้แจง กรณีระบบพร้อมเพย์ขัดข้อง
สํานักงานเศรษฐกิจการคลังชี้แจง กรณีระบบพร้อมเพย์ขัดข้อง
วันที่ 3 มกราคม 2561 นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ชี้แจงตามที่เว็บไซต์พันทิปมีการตั้งกระทู้ร้องระบบโอนเงินพร้อมเพย์ ที่บริหารงานระบบกลางโดยบริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ จํากัด เกิดขัดข้องตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 31 ธ.ค. 60 ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 2 ม.ค. 61 ยังพบว่าการโอนเงินบางรายการเงินก็ยังไปไม่ถึงผู้รับ ซึ่งสมาชิกผู้ใช้เว็บไซต์พันทิปได้เรียกร้องขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประชาชน
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ขอข้อเท็จจริงว่า กระทรวงการคลังได้ประสานให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงประเด็นระบบพร้อมเพย์ขัดข้องแล้ว โดย ธปท. ได้ชี้แจงว่า ตามที่ได้เกิดปัญหาการโอนเงินระหว่างธนาคารผ่านบริการพร้อมเพย์ ในช่วงเช้าของวันที่ 31 ธันวาคม 2560 นั้น บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จํากัด (บริษัทฯ) และธนาคารผู้ให้บริการได้รับทราบปัญหาการโอนเงินข้ามธนาคารผ่านบริการพร้อมเพย์ จึงได้ตรวจสอบหาสาเหตุและขอปิดการให้บริการเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 11:45 น. เพื่อแก้ไขปัญหาและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้ใช้บริการ จากการตรวจสอบ พบว่า โปรแกรมการประมวลผลค่าวันที่สิ้นปีผิดพลาด ทําให้ไม่สามารถโอนเงินไปยังธนาคารปลายทางได้ ดังนั้น บริษัทฯ ได้ร่วมกับผู้พัฒนาระบบเร่งดําเนินการแก้ไข โดยระบบสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ในเวลา 14:45 น. ในวันเดียวกัน สําหรับรายการโอนเงินที่ลูกค้าไม่ได้รับเงินภายในวันเดียวกันนั้น มีจํานวน 20,000 รายการ ซึ่งธนาคารต่าง ๆ และ บริษัทฯ ได้ดําเนินการแก้ไขนําเงินเข้าบัญชีลูกค้าผู้รับครบถ้วนทุกรายแล้ว ซึ่งทุกธนาคารได้เร่งแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ บริการพร้อมเพย์เริ่มให้บริการมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีการโอนเงินระหว่างธนาคารเกือบ 70 ล้านรายการ โดยจํานวนโอนเงินสูงสุด 700,000 รายการต่อวัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยตลอด
นอกจากนี้ สมาคมธนาคารไทยได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์นี้นับเป็นครั้งแรกของบริการพร้อมเพย์ที่ให้บริการมาตั้งแต่เดือนมกราคมของปีที่ผ่านมา โดยเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการเขียนโปรแกรม และหลังจากการแก้ไขในครั้งนี้แล้ว เชื่อว่าจะไม่เกิดปัญหาอีก และเพื่อรองรับผลกระทบที่เกิดกับลูกค้าที่ต้องโอนเงินข้ามธนาคารผ่านช่องทางอื่นแทนพร้อมเพย์ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียม ธนาคารผู้ให้บริการทุกธนาคารจะคืนเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้แก่ลูกค้าทุกราย
---------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานเศรษฐกิจการคลังชี้แจง กรณีระบบพร้อมเพย์ขัดข้อง
วันพุธที่ 3 มกราคม 2561
สํานักงานเศรษฐกิจการคลังชี้แจง กรณีระบบพร้อมเพย์ขัดข้อง
สํานักงานเศรษฐกิจการคลังชี้แจง กรณีระบบพร้อมเพย์ขัดข้อง
วันที่ 3 มกราคม 2561 นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ชี้แจงตามที่เว็บไซต์พันทิปมีการตั้งกระทู้ร้องระบบโอนเงินพร้อมเพย์ ที่บริหารงานระบบกลางโดยบริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ จํากัด เกิดขัดข้องตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 31 ธ.ค. 60 ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 2 ม.ค. 61 ยังพบว่าการโอนเงินบางรายการเงินก็ยังไปไม่ถึงผู้รับ ซึ่งสมาชิกผู้ใช้เว็บไซต์พันทิปได้เรียกร้องขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประชาชน
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ขอข้อเท็จจริงว่า กระทรวงการคลังได้ประสานให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงประเด็นระบบพร้อมเพย์ขัดข้องแล้ว โดย ธปท. ได้ชี้แจงว่า ตามที่ได้เกิดปัญหาการโอนเงินระหว่างธนาคารผ่านบริการพร้อมเพย์ ในช่วงเช้าของวันที่ 31 ธันวาคม 2560 นั้น บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จํากัด (บริษัทฯ) และธนาคารผู้ให้บริการได้รับทราบปัญหาการโอนเงินข้ามธนาคารผ่านบริการพร้อมเพย์ จึงได้ตรวจสอบหาสาเหตุและขอปิดการให้บริการเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 11:45 น. เพื่อแก้ไขปัญหาและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้ใช้บริการ จากการตรวจสอบ พบว่า โปรแกรมการประมวลผลค่าวันที่สิ้นปีผิดพลาด ทําให้ไม่สามารถโอนเงินไปยังธนาคารปลายทางได้ ดังนั้น บริษัทฯ ได้ร่วมกับผู้พัฒนาระบบเร่งดําเนินการแก้ไข โดยระบบสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ในเวลา 14:45 น. ในวันเดียวกัน สําหรับรายการโอนเงินที่ลูกค้าไม่ได้รับเงินภายในวันเดียวกันนั้น มีจํานวน 20,000 รายการ ซึ่งธนาคารต่าง ๆ และ บริษัทฯ ได้ดําเนินการแก้ไขนําเงินเข้าบัญชีลูกค้าผู้รับครบถ้วนทุกรายแล้ว ซึ่งทุกธนาคารได้เร่งแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ บริการพร้อมเพย์เริ่มให้บริการมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีการโอนเงินระหว่างธนาคารเกือบ 70 ล้านรายการ โดยจํานวนโอนเงินสูงสุด 700,000 รายการต่อวัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยตลอด
นอกจากนี้ สมาคมธนาคารไทยได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์นี้นับเป็นครั้งแรกของบริการพร้อมเพย์ที่ให้บริการมาตั้งแต่เดือนมกราคมของปีที่ผ่านมา โดยเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการเขียนโปรแกรม และหลังจากการแก้ไขในครั้งนี้แล้ว เชื่อว่าจะไม่เกิดปัญหาอีก และเพื่อรองรับผลกระทบที่เกิดกับลูกค้าที่ต้องโอนเงินข้ามธนาคารผ่านช่องทางอื่นแทนพร้อมเพย์ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียม ธนาคารผู้ให้บริการทุกธนาคารจะคืนเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้แก่ลูกค้าทุกราย
---------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9170
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. รายงานจำนวนผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลในไทย ต่ำกว่าพันราย สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง
|
วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563
โฆษก ศบค. รายงานจํานวนผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลในไทย ต่ํากว่าพันราย สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง
โฆษก ศบค. รายงานจํานวนผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลในไทย ต่ํากว่าพันราย สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง
วันนี้ (19 เม.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในนามโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ประจําวัน สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย
สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย มีผู้ที่หายป่วยแล้วเพิ่มขึ้น 141 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้วจํานวน 1,928 ราย พบผู้ป่วยใหม่ 32 ราย ซึ่งในนี้ 4 รายอยู่ในระบบ State Quarantine รวมผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,765 ราย และไม่พบมีผู้เสียชีวิต ทําให้จํานวนผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ที่ 47 ราย กลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี ทําให้อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยลดต่ําลงอยู่ที่ 39 ปี ซึ่งมีจํานวน 658 หรือ 1 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อ ขณะนี้จํานวนผู้ป่วยรักษามีเพียง 790 กว่าราย ซึ่งเป็นตัวเลขต่ํากว่าพัน ทําให้การใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ลดน้อยลง สําหรับผู้ป่วยที่หายกลับบ้านทั้ง 1928 รายนั้น เป็นบุคคลที่ปลอดภัยและมีภูมิคุ้มกัน สามารถบริจาคพลาสมาให้กับสภากาชาดไทย เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยคนอื่นต่อไป
สําหรับผู้ป่วยเพิ่มเติม 32 รายโดยเป็นผู้ป่วยอยู่ในระบบเฝ้า ระวัง 28 ราย และอยู่ในระบบ State Quarantine จํานวน 4 ราย รวมทั้งหมด 32 ราย แบ่งแยกเป็นกลุ่มผู้ใกล้ชิดหรือสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้า จํานวน 18 ราย ไปชุมนุม ตลาดนัด จํานวน 2 ราย อาชีพเสี่ยง 3 ราย อยู่ระหว่างการตรวจสอบโรค 5 ราย และเป็นผู้ป่วยที่กลับมาจากต่างประเทศ จํานวน 4 ราย คือ จากอินโดนิเซียเพิ่มขึ้นอีก 1 ราย เป็น 62 จาก 70 กว่าราย สหรัฐอเมริการเพิ่มขึ้นอีก 1 เป็น 3 ราย จากอังกฤษ 2 ราย ซึ่งเป็นความสําคัญของการมีระบบ State Quarantine ทําให้ผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศจะไม่ไปแพร่เชื้อ
จากพื้นที่แสดงจังหวัดยืนยันรับผู้ป่วยยืนยันสะสม โดยกรุงเทพ ฯ ยังเป็นอันดับหนึ่งที่มีผู้ป่วยยืนยันอยู่ ที่ 1,425 ราย ตามมาด้วย ภูเก็ต นนทบุรี สมุทรปราการ ยะลา ส่วน 10 จังหวัดที่มีอัต
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. รายงานจำนวนผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลในไทย ต่ำกว่าพันราย สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง
วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563
โฆษก ศบค. รายงานจํานวนผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลในไทย ต่ํากว่าพันราย สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง
โฆษก ศบค. รายงานจํานวนผู้ป่วยต้องรักษาในโรงพยาบาลในไทย ต่ํากว่าพันราย สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง
วันนี้ (19 เม.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในนามโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ประจําวัน สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย
สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย มีผู้ที่หายป่วยแล้วเพิ่มขึ้น 141 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้วจํานวน 1,928 ราย พบผู้ป่วยใหม่ 32 ราย ซึ่งในนี้ 4 รายอยู่ในระบบ State Quarantine รวมผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,765 ราย และไม่พบมีผู้เสียชีวิต ทําให้จํานวนผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ที่ 47 ราย กลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี ทําให้อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยลดต่ําลงอยู่ที่ 39 ปี ซึ่งมีจํานวน 658 หรือ 1 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อ ขณะนี้จํานวนผู้ป่วยรักษามีเพียง 790 กว่าราย ซึ่งเป็นตัวเลขต่ํากว่าพัน ทําให้การใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ลดน้อยลง สําหรับผู้ป่วยที่หายกลับบ้านทั้ง 1928 รายนั้น เป็นบุคคลที่ปลอดภัยและมีภูมิคุ้มกัน สามารถบริจาคพลาสมาให้กับสภากาชาดไทย เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยคนอื่นต่อไป
สําหรับผู้ป่วยเพิ่มเติม 32 รายโดยเป็นผู้ป่วยอยู่ในระบบเฝ้า ระวัง 28 ราย และอยู่ในระบบ State Quarantine จํานวน 4 ราย รวมทั้งหมด 32 ราย แบ่งแยกเป็นกลุ่มผู้ใกล้ชิดหรือสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้า จํานวน 18 ราย ไปชุมนุม ตลาดนัด จํานวน 2 ราย อาชีพเสี่ยง 3 ราย อยู่ระหว่างการตรวจสอบโรค 5 ราย และเป็นผู้ป่วยที่กลับมาจากต่างประเทศ จํานวน 4 ราย คือ จากอินโดนิเซียเพิ่มขึ้นอีก 1 ราย เป็น 62 จาก 70 กว่าราย สหรัฐอเมริการเพิ่มขึ้นอีก 1 เป็น 3 ราย จากอังกฤษ 2 ราย ซึ่งเป็นความสําคัญของการมีระบบ State Quarantine ทําให้ผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศจะไม่ไปแพร่เชื้อ
จากพื้นที่แสดงจังหวัดยืนยันรับผู้ป่วยยืนยันสะสม โดยกรุงเทพ ฯ ยังเป็นอันดับหนึ่งที่มีผู้ป่วยยืนยันอยู่ ที่ 1,425 ราย ตามมาด้วย ภูเก็ต นนทบุรี สมุทรปราการ ยะลา ส่วน 10 จังหวัดที่มีอัต
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29340
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดสุรพลฯ พร้อมคณะผู้บริหารลงพื้นที่สมุทรสาคร สุ่มตรวจโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่สุ่มเสี่ยง
|
วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
รองปลัดสุรพลฯ พร้อมคณะผู้บริหารลงพื้นที่สมุทรสาคร สุ่มตรวจโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่สุ่มเสี่ยง
นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร สุ่มตรวจโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่สุ่มเสี่ยง
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2562 นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชษฐ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร สุ่มตรวจโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่สุ่มเสี่ยง โดยซึ่งในจุดแรกได้ลงตรวจสอบ บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น จํากัด ตําบลท่าทราย อําเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ทะเบียนโรงงานเลขที่ 3-13(2)-2/27สค ประกอบกิจการทําซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดํา น้ําจิ้มไก่ เต้าหู้ยี้ ซอสพริก เต้าเจี้ยว ซอยหอยนางรม
บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น จํากัด เป็นโรงงานที่ใช้หม้อไอน้ํา จํานวน 5 เครื่อง (4 เครื่องมีอัตราการผลิตไอ 6,000 kg/hr /เครื่อง และใช้น้ํามันเตาเป็นเชื้อเพลิง และอีก 1 เครื่อง มีอัตราการผลิตไอ 16,000 kg/hr ใช้ถ่านหิน Subituminus เป็นเชื้อเพลิง) ซึ่งผลจากตรวจวัดอากาศที่ปล่องของระบบหม้อไอน้ําของโรงงาน มีค่าไม่เกินมาตรฐานของกรมโรงงานอุตสาหกรรมกําหนด โดยค่าก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซค์ ได้ค่า 55.6 PPM (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 690 PPM STD) ค่าออกไซค์ของไนโตรเจน ได้ค่า 119.9 PPM (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 400 PPM STD) ค่าก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซค์ ได้ค่า 42 PPM (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 700 PPM STD) ซึ่งค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ผลจะออกในวันพรุ่งนี้
นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ยังได้ออกตรวจโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่สุ่มเสี่ยงในตําบลอ้อมน้อย อําเภอกระทุ่งเบน และอําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นโรงงานที่ใช้น้ํามันเตา/แก็ส/ถ่านหิน/ชีวมวล เป็นเชื้อเพลิงหลักสําคัญในกระบวนการผลิต ประมาณ 500 โรงงาน อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ได้ขอความร่วมมือให้โรงงานในพื้นที่ระมัดระวังในการประกอบกิจการไม่ให้เกิดมลพิษที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการเกิดมลภาวะทางอากาศอีกด้วย #สุ่มตรวจโรงงานอุตสาหกรรม #กระทรวงอุตสาหกรรม #Industryprmoi
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดสุรพลฯ พร้อมคณะผู้บริหารลงพื้นที่สมุทรสาคร สุ่มตรวจโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่สุ่มเสี่ยง
วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
รองปลัดสุรพลฯ พร้อมคณะผู้บริหารลงพื้นที่สมุทรสาคร สุ่มตรวจโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่สุ่มเสี่ยง
นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร สุ่มตรวจโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่สุ่มเสี่ยง
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2562 นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชษฐ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร สุ่มตรวจโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่สุ่มเสี่ยง โดยซึ่งในจุดแรกได้ลงตรวจสอบ บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น จํากัด ตําบลท่าทราย อําเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ทะเบียนโรงงานเลขที่ 3-13(2)-2/27สค ประกอบกิจการทําซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดํา น้ําจิ้มไก่ เต้าหู้ยี้ ซอสพริก เต้าเจี้ยว ซอยหอยนางรม
บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น จํากัด เป็นโรงงานที่ใช้หม้อไอน้ํา จํานวน 5 เครื่อง (4 เครื่องมีอัตราการผลิตไอ 6,000 kg/hr /เครื่อง และใช้น้ํามันเตาเป็นเชื้อเพลิง และอีก 1 เครื่อง มีอัตราการผลิตไอ 16,000 kg/hr ใช้ถ่านหิน Subituminus เป็นเชื้อเพลิง) ซึ่งผลจากตรวจวัดอากาศที่ปล่องของระบบหม้อไอน้ําของโรงงาน มีค่าไม่เกินมาตรฐานของกรมโรงงานอุตสาหกรรมกําหนด โดยค่าก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซค์ ได้ค่า 55.6 PPM (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 690 PPM STD) ค่าออกไซค์ของไนโตรเจน ได้ค่า 119.9 PPM (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 400 PPM STD) ค่าก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซค์ ได้ค่า 42 PPM (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 700 PPM STD) ซึ่งค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ผลจะออกในวันพรุ่งนี้
นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ยังได้ออกตรวจโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่สุ่มเสี่ยงในตําบลอ้อมน้อย อําเภอกระทุ่งเบน และอําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นโรงงานที่ใช้น้ํามันเตา/แก็ส/ถ่านหิน/ชีวมวล เป็นเชื้อเพลิงหลักสําคัญในกระบวนการผลิต ประมาณ 500 โรงงาน อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ได้ขอความร่วมมือให้โรงงานในพื้นที่ระมัดระวังในการประกอบกิจการไม่ให้เกิดมลพิษที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการเกิดมลภาวะทางอากาศอีกด้วย #สุ่มตรวจโรงงานอุตสาหกรรม #กระทรวงอุตสาหกรรม #Industryprmoi
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18504
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. รายงานมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 3 ราย ระบุการเดินทางข้ามจังหวัด ยังมีความเสี่ยงแพร่เชื้อ ขอบคุณคนไทยและกิจการต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือ ดำเนินชีวิตวิถีใหม่โดยการใช้เทคโนโลยี
|
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563
โฆษก ศบค. รายงานมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 3 ราย ระบุการเดินทางข้ามจังหวัด ยังมีความเสี่ยงแพร่เชื้อ ขอบคุณคนไทยและกิจการต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือ ดําเนินชีวิตวิถีใหม่โดยการใช้เทคโนโลยี
โฆษก ศบค. รายงานมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 3 ราย ระบุการเดินทางข้ามจังหวัด ยังมีความเสี่ยงแพร่เชื้อ ขอบคุณคนไทยและกิจการต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือ ดําเนินชีวิตวิถีใหม่โดยการใช้เทคโนโลยี
วันนี้ (18 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ประเทศไทย มีผู้ป่วยใหม่ 3 ราย ตัวเลขผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,031 ราย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 1 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,857 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ยังคงที่ 56 ราย ผู้ที่รักษาตัวในโรงพยาบาล 118 ราย สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ มี 2 รายที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยรายยืนยันก่อนหน้านี้ โดยรายแรกเป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 29 ปี มีประวัติกับผู้ป่วยยืนยันที่ทํางานในกรุงเทพมหานคร ด้วยอาการถ่ายเหลว เข้ารับการตรวจหาเชื้อวันที่ 15 พฤษภาคม 63 รักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลในจังหวัดนนทบุรี รายที่ 2 สืบเนื่องในกลุ่มเดียวกัน เป็นชายไทยอายุ 55 ปี มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันในที่ทํางานเดียวกันกับผู้ป่วยรายแรก เข้ารับการตรวจหาเชื้อวันที่ 15 พฤษภาคม 63 รักษาต่อในโรงพยาบาลเดียวกันกับผู้ป่วยรายแรก ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มก้อนนี้เกิดขึ้นในที่ทํางานเดียวกันที่พบผู้ป่วยแล้วรวม 6 ราย โดยสองรายล่าสุดนี้เกิดขึ้นใหม่ จากการติดตามของกรมควบคุมโรค ซึ่งจะมีการขยายผลตรวจผู้ที่ใกล้ชิดกับสองรายนี้ให้ได้รับการตรวจเพิ่มเติมอีก และรายที่ 3 เป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 27 ปี ภูมิลําเนาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต อาชีพพนักงานขายสินค้า มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายที่อยู่จังหวัดปราจีนบุรี เข้ารับการตรวจหาเชื้อวันที่ 15 พฤษภาคม 63 รักษาต่อที่โรงพยาบาลในจังหวัดภูเก็ต
โฆษก ศบค. กล่าววิเคราะห์กรณีมีผู้ป่วยที่เดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ต แล้วไปพบผลตรวจยืนยันที่จังหวัดปราจีนบุรี 1 ราย และที่จังหวัดเชียงใหม่ 1 ราย เพื่อให้เห็นภาพของทิศทางการสอบสวนโรค ว่า มีผู้ที่เดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตไปในเดือนมีนาคม 7 ราย และเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตในเดือนเมษายน ไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก แบ่งเป็น 2 กลุ่ม รวมทั้งเดินทางไปในเดือนพฤษภาคม ที่ปรากฏผู้ป่วยในจังหวัดปราจีนบุรีและเชียงใหม่ โดยผู้ป่วยที่พบนี้มีความเชื่อมโยงกับการเดินทางข้ามจังหวัด ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เวลามีโรคระบาดโรคติดต่อจะเกิดลักษณะอย่างนี้ โดยไม่ได้เป็นประเด็นของจังหวัดแต่อย่างใด ประชาชนมีอิสระเสรีที่จะเดินทางไปได้ทุกที่ แต่ต้องมีความเข้าใจถึงความเสี่ยงของตัวเอง เมื่อมีอาการขึ้นมา ต้องรีบเข้ารับการรักษา รีบขอรับการตรวจโดยเร็วถึงจะไม่มีอาการอะไร หรือแค่จมูกไม่ได้กลิ่น มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้หรือประวัติมีไข้ ก็ให้ไปตรวจได้ ถ้าเจอโรคได้เร็วจะรีบรักษาได้เร็ว ขอขอบคุณประชาชนจังหวัดภูเก็ตที่พยายามดูแลตัวเอง ทั้งระดับฝ่ายปกครองและประชาชนที่ทํางานกันอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ถ้าจังหวัดภูเก็ตได้มีการดูแลอย่างดีแล้วเชื่อว่าตัวเลขจะน้อยลงเรื่อย ๆ
ทั้งนี้ เมื่อ 1 มีนาคม 63 ที่ผ่านมา มีผู้ที่ติดเชื้อจํานวนน้อยไม่กี่จังหวัด จากนั้นมา 1 เมษายน 63 มีการติดเชื้อไปทั่วประเทศ การแพร่กระจายของเชื้อใช้เวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น แต่เมื่อมีการประกาศ พรก. ฉุกเฉินเมื่อ 26 มีนาคม 63 ถึง 17 พฤษภาคม 63 อัตราการติดเชื้อได้ลดน้อยลง ซึ่งการลดลงของการติดเชื้อ ใช้เวลามากกว่าการติดเชื้อ เพราะฉะนั้น อย่าให้เกิดการติดเชื้อเลย เพราะจะต้องทุ่มเทสรรพกําลังและลงทุนต่าง ๆ ซึ่งการใช้มาตรการล็อคดาวน์ทําให้สูญเสียด้านเศรษฐกิจอยู่บ้าง แต่ตัวเลขของการสูญเสียทั้งการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของไทยก็น้อยกว่าประเทศอื่น ๆ
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก
สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,800,000 กว่าราย เสียชีวิตไป 316,000 ราย โดยขณะนี้ประเทศไทยลงอยู่ในอันดับที่ 70 ของโลก
โฆษก ศบค. กล่าวถึงประเด็นข่าวที่น่าสนใจในต่างประเทศว่า นายกรัฐมนตรีอิตาลีแถลงการณ์ระบุว่าการผ่อนปรนมาตรการปิดเมืองและกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง อาจจะเสี่ยงต่อการเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรควิด-19 ระลอกที่ 2 และเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องยอมรับหากเกิดขึ้น โดยรัฐบาลจําเป็นจะต้องดําเนินการปิดเมืองอีกครั้งหนึ่งมีหากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ทั้งนี้ อิตาลีเตรียมอนุญาตให้ร้านอาหาร ร้านกาแฟ สถานเสริมความงาม และพิพิธภัณฑ์ เปิดทําการในวันพรุ่งนี้ ส่วนสถานที่ออกกําลังกาย สระว่ายน้ําจะอนุญาตเป็นลําดับถัดไป ซึ่งตรงนี้ทําคล้ายกับประเทศไทยที่ค่อย ๆ ทยอยผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ออกมาแต่ก็ยังต้องระมัดระวังด้วย อินเดียต้องขยายล็อคดาวน์ไปถึง 31 พฤษภาคม 2563 ซึ่งมาตรการดังกล่าวเริ่มแต่ 25 มีนาคม 2563 และคาดว่าจะหมดในอีก 1-2 วันนี้ จึงต้องมีการขยายมาตรการล็อคดาวน์อีก เพราะมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้น 90,000 ราย รวมทั้งกระทรวงมหาดไทยยังต้องสั่งปิดโรงเรียนและห้างสรรพสินค้า และสถานที่สาธารณะ
เกาหลีใต้ ผู้อํานวยการศูนย์ควบคุมโรคของเกาหลีใต้ระบุว่าการหย่อนวินัยเป็นอุปสรรคสําคัญที่สุดในการต่อสู้กับโรคนี้ จึงได้มีการบังคับให้ทุกคนที่ใช้บริการขนส่งสาธารณะในเมืองแทกู ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน ถ้าไม่ใส่หน้ากากปรับสูงสุดถึง 50,000 บาท นอกจากนี้กรุงโซลยังปิดสถานบันเทิงทุกแห่งซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดระลอกที่ 2 หลังจากเกิดการแพร่ระบาดในย่านอิแทวอน และล่าสุดมีผู้ติดเชื้อในกรณีนี้ไปแล้ว 168 ราย
3. การดําเนินการตามมาตรการ
รายงานสรุปผลการเฝ้าระวังตามมาตรการป้องกันโรค COVID – 19 (มาตรการหลัก) ทําการสํารวจ 6 กลุ่มกิจการ ระหว่าง 7-15 พฤษภาคม จํานวน 2,375 แห่งทั่วประเทศ พบว่า 1. ตลาด การใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทําได้ดี แต่ควรเน้นย้ําเรื่อง การกําหนดจํานวนคนต่อพื้นที่ การกําหนดระยะเวลาที่ใช้บริการ การทําความสะอาด และการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 2. ร้านอาหาร/แผงลอย มาตรการที่ทําได้ดีคือ มีจุดล้างมือ แต่ควรเน้นย้ําเรื่องการทําความสะอาดพื้นผิว 3. ซูเปอร์มาร์เก็ต/มินิมาร์ท มาตรการที่ทําได้ดีคือการเว้นระยะห่างและการล้างมือ แต่ควรเน้นย้ําเรื่องการทําความสะอาดพื้นผิว 4. สวนสาธารณะ/กีฬา มาตรการที่ทําได้ดี คือการใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย การทําความสะอาด และการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล แต่ควรเน้นย้ําเรื่องการทําความสะอาดวัสดุอุปกรณ์กีฬา ม้านั่ง ถังขยะ และควรมีจุดล่างมือเพิ่มขึ้น 5. ร้านเสริมสวย/ร้านตัดผม มาตรการที่ทําได้ดีคือ การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล และการทําความสะอาดอุปกรณ์ แต่ควรเน้นย้ําเรื่องการสวมหน้ากาก และภาชนะรองรับขยะ 6. ร้านตัดขนสัตว์และรับฝากสัตว์ มาตรการที่ทําได้ดีคือ การล้างมือ การทําความสะอาดเป็นประจําทุกวัน และการจํากัดจํานวนผู้มารับบริการ แต่ควรเน้นย้ําเรื่องการทําความสะอาดพื้นที่และอุปกรณ์ การสวมหน้ากาก และจุดล้างมือ โฆษก ศบค. ย้ําว่า ขอความร่วมมือให้สถานประกอบกิจการ/กิจกรรม พัฒนาและดําเนินการตามมาตรการด้วย
รายงานข้อมูลจาก www.ไทยชนะ.com ซึ่งเป็น Platform ที่ทางการไทยให้การรับรอง และเป็น Platform เดียวที่ครอบคลุมทั้งประเทศในการลงทะเบียนของผู้ดําเนินกิจการและผู้ใช้บริการ รวมถึงการให้ rating ในการประเมินสถานประกอบกิจการ/กิจกรรม พบว่า มีร้านค้าที่ลงทะเบียน 44,386 ร้าน ผู้ใช้งาน 2,002,897 คน แบ่งจํานวนการใช้ออกเป็น เช็คอิน 2,658,754 ครั้ง เช็คเอ้าท์ 1,845,191 ครั้ง และการประเมินร้าน 1,258,261 ครั้ง โดย 10 จังหวัด ผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนร้านค้าสูงสุด ได้แก่ 1. กรุงเทพมหานคร 2. ชลบุรี 3. นนทบุรี 4. สมุทรปราการ 5. ปทุมธานี 6. เชียงใหม่ 7. นครราชสีมา 8. ภูเก็ต 9. สุราษฎร์ธานี และ 10. ขอนแก่น ตามลําดับ
ผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนร้านค้าสูงสุด 10 ประเภทกิจการได้แก่ 1. ร้านอาหาร/เครื่องดื่มฯ 2. ห้างสรรพสินค้าฯ 3. ซูเปอร์มาร์เก็ตฯ 4. การจําหน่ายสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค 5. การให้บริการ 6. ร้านขายปลีกธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม 7. สินค้าเบ็ดเตล็ดที่จําเป็นต่อการใช้ชีวิต 8. คลินิกเสริมความงาม/ร้านเสริมสวย 9. ธนาคาร และ 10. ร้านขายยา 661 ร้าน ตามลําดับ
ผู้รับบริการเข้าใช้บริการสูงสุด 10 ประเภทกิจการได้แก่ 1. ห้างสรรพสินค้าฯ 2. ซูเปอร์มาร์เก็ตฯ 3. ร้านอาหาร/เครื่องดื่ม 4. การจําหน่ายสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค 5. ร้านขายปลีกธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม 6. การให้บริการ 7. ธนาคาร 8. สินค้าเบ็ดเตล็ดที่จําเป็นต่อการใช้ชีวิต 9. ร้านขายยา และ 10. คลินิกเสริมความงาม/ร้านเสริมสวย ตามลําดับ โดยจังหวัดที่มีผู้รับบริการเข้าใช้บริการสูงสุด 10 จังหวัด ได้แก่ 1. กรุงเทพมหานคร 2. ชลบุรี 3. สมุทรปราการ 4. นนทบุรี 5.ปทุมธานี 6. นครราชสีมา 7. เชียงใหม่ 8. สงขลา 9. ภูเก็ต และ 10.นครปฐม ตามลําดับ
โฆษก ศบค. ได้อธิบายในเรื่องจํานวนส่วนต่างในการเช็คอิน – เช็คเอ้าท์ สาเหตุมาจากผู้ใช้บริการเช็คอินเข้ารับบริการและลืมเช็คเอ้าท์ คาดว่าเป็นปัญหาจากการใช้แอพพลิเคชันวันแรก โดยหากผู้ใดที่ลืมเช็คเอาท์ ชื่อของผู้นั้นจะยังคงอยู่ในร้านค้านั้น ๆ
สําหรับ 10 ประเภทกิจการ ที่ผู้รับบริการประเมินร้านค้าได้แก่ 1. ร้านอาหาร/เครื่องดื่มฯ 2. ห้างสรรพสินค้าฯ 3. ซูเปอร์มาร์เก็ตฯ 4. การจําหน่ายสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค 5. ร้านขายปลีกธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม 6. การให้บริการ 7. ธนาคาร 8. คลินิกเสริมความงาม/ร้านเสริมสวย 9. สินค้าเบ็ดเตล็ดที่จําเป็นต่อการใช้ชีวิต และ 10.ร้านขายยา ตามลําดับ
ข้อมูลล่าสุดวันที่ 18 พ.ค. 63 เวลา 06.00 น. มีจํานวนร้านค้าลงทะเบียน 46,744 ร้าน และจํานวนผู้ใช้บริการ 2,725,877 คน ขอบคุณพี่น้องประชาชนคนไทย รวมถึงกิจการทั้งหลายที่ให้ความร่วมมือในการดําเนินชีวิตวิถีใหม่โดยการใช้เทคโนโลยี
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. รายงานมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 3 ราย ระบุการเดินทางข้ามจังหวัด ยังมีความเสี่ยงแพร่เชื้อ ขอบคุณคนไทยและกิจการต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือ ดำเนินชีวิตวิถีใหม่โดยการใช้เทคโนโลยี
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563
โฆษก ศบค. รายงานมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 3 ราย ระบุการเดินทางข้ามจังหวัด ยังมีความเสี่ยงแพร่เชื้อ ขอบคุณคนไทยและกิจการต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือ ดําเนินชีวิตวิถีใหม่โดยการใช้เทคโนโลยี
โฆษก ศบค. รายงานมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 3 ราย ระบุการเดินทางข้ามจังหวัด ยังมีความเสี่ยงแพร่เชื้อ ขอบคุณคนไทยและกิจการต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือ ดําเนินชีวิตวิถีใหม่โดยการใช้เทคโนโลยี
วันนี้ (18 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ประเทศไทย มีผู้ป่วยใหม่ 3 ราย ตัวเลขผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,031 ราย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 1 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,857 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ยังคงที่ 56 ราย ผู้ที่รักษาตัวในโรงพยาบาล 118 ราย สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ มี 2 รายที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยรายยืนยันก่อนหน้านี้ โดยรายแรกเป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 29 ปี มีประวัติกับผู้ป่วยยืนยันที่ทํางานในกรุงเทพมหานคร ด้วยอาการถ่ายเหลว เข้ารับการตรวจหาเชื้อวันที่ 15 พฤษภาคม 63 รักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลในจังหวัดนนทบุรี รายที่ 2 สืบเนื่องในกลุ่มเดียวกัน เป็นชายไทยอายุ 55 ปี มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันในที่ทํางานเดียวกันกับผู้ป่วยรายแรก เข้ารับการตรวจหาเชื้อวันที่ 15 พฤษภาคม 63 รักษาต่อในโรงพยาบาลเดียวกันกับผู้ป่วยรายแรก ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มก้อนนี้เกิดขึ้นในที่ทํางานเดียวกันที่พบผู้ป่วยแล้วรวม 6 ราย โดยสองรายล่าสุดนี้เกิดขึ้นใหม่ จากการติดตามของกรมควบคุมโรค ซึ่งจะมีการขยายผลตรวจผู้ที่ใกล้ชิดกับสองรายนี้ให้ได้รับการตรวจเพิ่มเติมอีก และรายที่ 3 เป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 27 ปี ภูมิลําเนาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต อาชีพพนักงานขายสินค้า มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายที่อยู่จังหวัดปราจีนบุรี เข้ารับการตรวจหาเชื้อวันที่ 15 พฤษภาคม 63 รักษาต่อที่โรงพยาบาลในจังหวัดภูเก็ต
โฆษก ศบค. กล่าววิเคราะห์กรณีมีผู้ป่วยที่เดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ต แล้วไปพบผลตรวจยืนยันที่จังหวัดปราจีนบุรี 1 ราย และที่จังหวัดเชียงใหม่ 1 ราย เพื่อให้เห็นภาพของทิศทางการสอบสวนโรค ว่า มีผู้ที่เดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตไปในเดือนมีนาคม 7 ราย และเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตในเดือนเมษายน ไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก แบ่งเป็น 2 กลุ่ม รวมทั้งเดินทางไปในเดือนพฤษภาคม ที่ปรากฏผู้ป่วยในจังหวัดปราจีนบุรีและเชียงใหม่ โดยผู้ป่วยที่พบนี้มีความเชื่อมโยงกับการเดินทางข้ามจังหวัด ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เวลามีโรคระบาดโรคติดต่อจะเกิดลักษณะอย่างนี้ โดยไม่ได้เป็นประเด็นของจังหวัดแต่อย่างใด ประชาชนมีอิสระเสรีที่จะเดินทางไปได้ทุกที่ แต่ต้องมีความเข้าใจถึงความเสี่ยงของตัวเอง เมื่อมีอาการขึ้นมา ต้องรีบเข้ารับการรักษา รีบขอรับการตรวจโดยเร็วถึงจะไม่มีอาการอะไร หรือแค่จมูกไม่ได้กลิ่น มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้หรือประวัติมีไข้ ก็ให้ไปตรวจได้ ถ้าเจอโรคได้เร็วจะรีบรักษาได้เร็ว ขอขอบคุณประชาชนจังหวัดภูเก็ตที่พยายามดูแลตัวเอง ทั้งระดับฝ่ายปกครองและประชาชนที่ทํางานกันอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ถ้าจังหวัดภูเก็ตได้มีการดูแลอย่างดีแล้วเชื่อว่าตัวเลขจะน้อยลงเรื่อย ๆ
ทั้งนี้ เมื่อ 1 มีนาคม 63 ที่ผ่านมา มีผู้ที่ติดเชื้อจํานวนน้อยไม่กี่จังหวัด จากนั้นมา 1 เมษายน 63 มีการติดเชื้อไปทั่วประเทศ การแพร่กระจายของเชื้อใช้เวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น แต่เมื่อมีการประกาศ พรก. ฉุกเฉินเมื่อ 26 มีนาคม 63 ถึง 17 พฤษภาคม 63 อัตราการติดเชื้อได้ลดน้อยลง ซึ่งการลดลงของการติดเชื้อ ใช้เวลามากกว่าการติดเชื้อ เพราะฉะนั้น อย่าให้เกิดการติดเชื้อเลย เพราะจะต้องทุ่มเทสรรพกําลังและลงทุนต่าง ๆ ซึ่งการใช้มาตรการล็อคดาวน์ทําให้สูญเสียด้านเศรษฐกิจอยู่บ้าง แต่ตัวเลขของการสูญเสียทั้งการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของไทยก็น้อยกว่าประเทศอื่น ๆ
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก
สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,800,000 กว่าราย เสียชีวิตไป 316,000 ราย โดยขณะนี้ประเทศไทยลงอยู่ในอันดับที่ 70 ของโลก
โฆษก ศบค. กล่าวถึงประเด็นข่าวที่น่าสนใจในต่างประเทศว่า นายกรัฐมนตรีอิตาลีแถลงการณ์ระบุว่าการผ่อนปรนมาตรการปิดเมืองและกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง อาจจะเสี่ยงต่อการเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรควิด-19 ระลอกที่ 2 และเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องยอมรับหากเกิดขึ้น โดยรัฐบาลจําเป็นจะต้องดําเนินการปิดเมืองอีกครั้งหนึ่งมีหากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ทั้งนี้ อิตาลีเตรียมอนุญาตให้ร้านอาหาร ร้านกาแฟ สถานเสริมความงาม และพิพิธภัณฑ์ เปิดทําการในวันพรุ่งนี้ ส่วนสถานที่ออกกําลังกาย สระว่ายน้ําจะอนุญาตเป็นลําดับถัดไป ซึ่งตรงนี้ทําคล้ายกับประเทศไทยที่ค่อย ๆ ทยอยผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ออกมาแต่ก็ยังต้องระมัดระวังด้วย อินเดียต้องขยายล็อคดาวน์ไปถึง 31 พฤษภาคม 2563 ซึ่งมาตรการดังกล่าวเริ่มแต่ 25 มีนาคม 2563 และคาดว่าจะหมดในอีก 1-2 วันนี้ จึงต้องมีการขยายมาตรการล็อคดาวน์อีก เพราะมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้น 90,000 ราย รวมทั้งกระทรวงมหาดไทยยังต้องสั่งปิดโรงเรียนและห้างสรรพสินค้า และสถานที่สาธารณะ
เกาหลีใต้ ผู้อํานวยการศูนย์ควบคุมโรคของเกาหลีใต้ระบุว่าการหย่อนวินัยเป็นอุปสรรคสําคัญที่สุดในการต่อสู้กับโรคนี้ จึงได้มีการบังคับให้ทุกคนที่ใช้บริการขนส่งสาธารณะในเมืองแทกู ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน ถ้าไม่ใส่หน้ากากปรับสูงสุดถึง 50,000 บาท นอกจากนี้กรุงโซลยังปิดสถานบันเทิงทุกแห่งซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดระลอกที่ 2 หลังจากเกิดการแพร่ระบาดในย่านอิแทวอน และล่าสุดมีผู้ติดเชื้อในกรณีนี้ไปแล้ว 168 ราย
3. การดําเนินการตามมาตรการ
รายงานสรุปผลการเฝ้าระวังตามมาตรการป้องกันโรค COVID – 19 (มาตรการหลัก) ทําการสํารวจ 6 กลุ่มกิจการ ระหว่าง 7-15 พฤษภาคม จํานวน 2,375 แห่งทั่วประเทศ พบว่า 1. ตลาด การใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทําได้ดี แต่ควรเน้นย้ําเรื่อง การกําหนดจํานวนคนต่อพื้นที่ การกําหนดระยะเวลาที่ใช้บริการ การทําความสะอาด และการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 2. ร้านอาหาร/แผงลอย มาตรการที่ทําได้ดีคือ มีจุดล้างมือ แต่ควรเน้นย้ําเรื่องการทําความสะอาดพื้นผิว 3. ซูเปอร์มาร์เก็ต/มินิมาร์ท มาตรการที่ทําได้ดีคือการเว้นระยะห่างและการล้างมือ แต่ควรเน้นย้ําเรื่องการทําความสะอาดพื้นผิว 4. สวนสาธารณะ/กีฬา มาตรการที่ทําได้ดี คือการใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย การทําความสะอาด และการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล แต่ควรเน้นย้ําเรื่องการทําความสะอาดวัสดุอุปกรณ์กีฬา ม้านั่ง ถังขยะ และควรมีจุดล่างมือเพิ่มขึ้น 5. ร้านเสริมสวย/ร้านตัดผม มาตรการที่ทําได้ดีคือ การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล และการทําความสะอาดอุปกรณ์ แต่ควรเน้นย้ําเรื่องการสวมหน้ากาก และภาชนะรองรับขยะ 6. ร้านตัดขนสัตว์และรับฝากสัตว์ มาตรการที่ทําได้ดีคือ การล้างมือ การทําความสะอาดเป็นประจําทุกวัน และการจํากัดจํานวนผู้มารับบริการ แต่ควรเน้นย้ําเรื่องการทําความสะอาดพื้นที่และอุปกรณ์ การสวมหน้ากาก และจุดล้างมือ โฆษก ศบค. ย้ําว่า ขอความร่วมมือให้สถานประกอบกิจการ/กิจกรรม พัฒนาและดําเนินการตามมาตรการด้วย
รายงานข้อมูลจาก www.ไทยชนะ.com ซึ่งเป็น Platform ที่ทางการไทยให้การรับรอง และเป็น Platform เดียวที่ครอบคลุมทั้งประเทศในการลงทะเบียนของผู้ดําเนินกิจการและผู้ใช้บริการ รวมถึงการให้ rating ในการประเมินสถานประกอบกิจการ/กิจกรรม พบว่า มีร้านค้าที่ลงทะเบียน 44,386 ร้าน ผู้ใช้งาน 2,002,897 คน แบ่งจํานวนการใช้ออกเป็น เช็คอิน 2,658,754 ครั้ง เช็คเอ้าท์ 1,845,191 ครั้ง และการประเมินร้าน 1,258,261 ครั้ง โดย 10 จังหวัด ผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนร้านค้าสูงสุด ได้แก่ 1. กรุงเทพมหานคร 2. ชลบุรี 3. นนทบุรี 4. สมุทรปราการ 5. ปทุมธานี 6. เชียงใหม่ 7. นครราชสีมา 8. ภูเก็ต 9. สุราษฎร์ธานี และ 10. ขอนแก่น ตามลําดับ
ผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนร้านค้าสูงสุด 10 ประเภทกิจการได้แก่ 1. ร้านอาหาร/เครื่องดื่มฯ 2. ห้างสรรพสินค้าฯ 3. ซูเปอร์มาร์เก็ตฯ 4. การจําหน่ายสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค 5. การให้บริการ 6. ร้านขายปลีกธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม 7. สินค้าเบ็ดเตล็ดที่จําเป็นต่อการใช้ชีวิต 8. คลินิกเสริมความงาม/ร้านเสริมสวย 9. ธนาคาร และ 10. ร้านขายยา 661 ร้าน ตามลําดับ
ผู้รับบริการเข้าใช้บริการสูงสุด 10 ประเภทกิจการได้แก่ 1. ห้างสรรพสินค้าฯ 2. ซูเปอร์มาร์เก็ตฯ 3. ร้านอาหาร/เครื่องดื่ม 4. การจําหน่ายสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค 5. ร้านขายปลีกธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม 6. การให้บริการ 7. ธนาคาร 8. สินค้าเบ็ดเตล็ดที่จําเป็นต่อการใช้ชีวิต 9. ร้านขายยา และ 10. คลินิกเสริมความงาม/ร้านเสริมสวย ตามลําดับ โดยจังหวัดที่มีผู้รับบริการเข้าใช้บริการสูงสุด 10 จังหวัด ได้แก่ 1. กรุงเทพมหานคร 2. ชลบุรี 3. สมุทรปราการ 4. นนทบุรี 5.ปทุมธานี 6. นครราชสีมา 7. เชียงใหม่ 8. สงขลา 9. ภูเก็ต และ 10.นครปฐม ตามลําดับ
โฆษก ศบค. ได้อธิบายในเรื่องจํานวนส่วนต่างในการเช็คอิน – เช็คเอ้าท์ สาเหตุมาจากผู้ใช้บริการเช็คอินเข้ารับบริการและลืมเช็คเอ้าท์ คาดว่าเป็นปัญหาจากการใช้แอพพลิเคชันวันแรก โดยหากผู้ใดที่ลืมเช็คเอาท์ ชื่อของผู้นั้นจะยังคงอยู่ในร้านค้านั้น ๆ
สําหรับ 10 ประเภทกิจการ ที่ผู้รับบริการประเมินร้านค้าได้แก่ 1. ร้านอาหาร/เครื่องดื่มฯ 2. ห้างสรรพสินค้าฯ 3. ซูเปอร์มาร์เก็ตฯ 4. การจําหน่ายสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค 5. ร้านขายปลีกธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม 6. การให้บริการ 7. ธนาคาร 8. คลินิกเสริมความงาม/ร้านเสริมสวย 9. สินค้าเบ็ดเตล็ดที่จําเป็นต่อการใช้ชีวิต และ 10.ร้านขายยา ตามลําดับ
ข้อมูลล่าสุดวันที่ 18 พ.ค. 63 เวลา 06.00 น. มีจํานวนร้านค้าลงทะเบียน 46,744 ร้าน และจํานวนผู้ใช้บริการ 2,725,877 คน ขอบคุณพี่น้องประชาชนคนไทย รวมถึงกิจการทั้งหลายที่ให้ความร่วมมือในการดําเนินชีวิตวิถีใหม่โดยการใช้เทคโนโลยี
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31033
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ร่วมมือ Google นำเทคโนโลยี Google for Education พัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
|
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561
ศธ.ร่วมมือ Google นําเทคโนโลยี Google for Education พัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" เปิดอบรมเชิงปฏิบัติการ "พลิกโฉมและยกระดับคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยี Google for Education" จัดโดย Google ประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" เปิดอบรมเชิงปฏิบัติการ "พลิกโฉมและยกระดับคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยี Google for Education" จัดโดย Google ประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ หวังยกระดับการศึกษาไทยแบบพลิกโฉม ด้วยการนําเทคโนโลยีดิจิทัลและแอพพลิเคชั่น "G-Suite for Education" ให้บริการไม่จํากัดพื้นที่ฟรี เพื่อจัดเก็บข้อมูลสําหรับสถานศึกษาทั่วประเทศไทย พร้อมสนับสนุนการอบรมพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาเพื่อเสริมสมรรถนะการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ต่อยอดสู่การสร้างชุมชนครูเพื่อการเรียนรู้เทคโนโลยี เริ่มต้นโครงการในโรงเรียนประถม-มัธยมพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 705 โรงเรียน ก่อนขยายผลต่อไป
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2561 ณ หอประชุมแหล่งสมาคมนายทหารสัญญาบัตร อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร "พลิกโฉมและยกระดับคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยี Google for Education" รุ่นที่ 1 ตามโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีผู้บริหารเข้าร่วมพิธีเปิด อาทิ พล.ต.ต.ธัมมศักดิ์ วาสะศิริ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายอดินันท์ ปากบารา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายสนิท แย้มเกษร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, น.ส.ศุภธิดา พรหมพยัคฆ์ ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายเรวัฒน์ เพ็ชรสงฆ์ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งผู้บริหารสถานศึกษาที่เข้าอบรม
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวในพิธีเปิดตอนหนึ่งว่า การทําให้ประเทศไทยเป็น 4.0 ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่กับนวัตกรรม ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการได้นําเทคโนโลยีมาช่วยจัดการศึกษาอย่างต่อเนื่องทั้ง DLTV, DLIT, TEPEOnline ประกอบกับการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ แบบบูรณาการ ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนปฏิรูปการศึกษา รวมทั้งแผนบูรณาการการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นที่มาของการประกาศนโยบายให้ "ปี 2561 เป็นปีแห่งการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มุ่งเน้นให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม" โดยศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) เป็นหน่วยงานหลักในการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง
สําหรับการอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ ถือเป็นอีกโครงการที่มีคุณค่าในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลและแอพพลิเคชั่นเพื่อการศึกษา (G-Suite for Education) มาประยุกต์ใช้ผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาอย่างบูรณาการ โดยมีวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญมาให้ความรู้ด้านวิชาการและใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ ทั้งต่อความเข้าใจในหลักการ และการนําไปใช้บริหารงานของผู้อํานวยการโรงเรียน การพัฒนาครูให้มีความรู้ความสามารถในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถบูรณาการในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนนําไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาแนวคิดในการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งเชื่อมโยงไปสู่การสอบ การวัด และประเมินผลในอนาคต
ดังนั้น การจะใช้คําว่า "พลิกโฉม" คงไม่เกินเลยจากความเป็นจริง เพราะผลสัมฤทธิ์มาจากการที่ทุกคนและทุกภาคส่วนได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนเกิดเป็นภาพความสําเร็จแล้วในหลายส่วน โดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนในเรื่องของเทคโนโลยีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประเทศไทย 4.0 ขึ้นได้ พัฒนาด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เทคโนโลยี ดําเนินการอย่างต่อเนื่องในหลาย ๆ ระบบ ควบคู่ไปกับการดําเนินการในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษานําร่องของจังหวัดปัตตานี ตามมติคณะกรรมการซุปเปอร์บอร์ด ที่ให้นําร่องเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาครบ 6 ภาคๆ ละ 1 จังหวัดทั่วประเทศ คือ ภาคใต้ ที่สตูล, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ศรีสะเกษ, ภาคตะวันออก ที่ระยอง, ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่, ภาคกลาง ที่กาญจนบุรี และภาคใต้ชายแดน ที่ปัตตานี เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา พัฒนากําลังคน จบแล้วมีรายได้ มีงานทํา
นอกจากนั้น ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อมีการดําเนินการอย่างต่อเนื่องเข้มแข็ง ผลการประเมินจึงมีผลในทางที่ดี ประชาชนเกิดความพึงพอใจ และต้องการให้การศึกษาเกิดคุณภาพอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง สร้างโอกาสทางการศึกษา เช่น ทุนการศึกษา การดูแลผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โรงเรียนประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ 64 แห่ง แบบอยู่ประจํา โดยสนับสนุนทั้งในเรื่องการเรียน อาหาร และที่พัก และอีก 4 สถานศึกษาสังกัดอาชีวะ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ก็คือ "นวัตกรรมทางการศึกษา" เมื่อรวมกับ "เทคโนโลยีสารสนเทศ" แล้ว ก็คือการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0
โอกาสนี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ ได้กล่าวน้อมนําพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) มาถ่ายทอดแก่ผู้เข้ารับการอบรมทุกคน ความว่า "งานด้านการศึกษาเป็นงานสําคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชาติ เพราะความเจริญและความเสื่อมของชาตินั้น ขึ้นอยู่กับการศึกษาของพลเมืองเป็นข้อใหญ่ ดังนั้น จึงต้อง จัดการศึกษาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น" (ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตวิทยาลัยวิชาการศึกษา ประสานมิตร 12 ธันวาคม 2512) และพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10) ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอดศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมมีพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ที่มุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน ได้แก่ การสร้างทัศนคติที่ดีต่อบ้านเมือง, การสร้างลักษณะพื้นฐานที่มั่นคง มีคุณธรรม, เรียนแล้วมีงานทํา มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง
นายจิระวัฒน์ ภูมิศรีแก้ว ผู้จัดการฝ่ายนโยบายและความสัมพันธ์ภาครัฐ บริษัท กูเกิ้ล (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า Google ต้องการสนับสนุนกระทรวงศึกษาธิการเพื่อยกระดับการศึกษาไทยแบบพลิกโฉม ด้วยการนําเทคโนโลยีดิจิทัล และแอพพลิเคชั่นเพื่อการศึกษา (G-Suite for Education) มาประยุกต์ใช้ผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาอย่างบูรณาการ พร้อมสนับสนุนการอบรมพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเสริมสมรรถนะการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ต่อยอดสู่การสร้างชุมชนครูเพื่อการเรียนรู้เทคโนโลยี โดยกลุ่มเป้าหมายในครั้งนี้คือ โรงเรียนระดับประถมฯ และมัธยมฯ ในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ จํานวน 705 โรงเรียน พร้อมสนับสนุนขยายผลครอบคลุมทุกโรงเรียนในจังหวัดชายแดนใต้ต่อไป
"Google พร้อมจะสนับสนุนแอพพลิเคชั่นดังกล่าว ซึ่งให้บริการที่ไม่จํากัดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลให้กับสถานศึกษาทั่วประเทศไทยฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย และสนับสนุนการอบรมให้ความรู้พัฒนาบุคคลกรในจังหวัดชายแดนใต้ โดยระยะเวลาของเริ่มต้นโครงการ เริ่มตั้งแต่กันยายน 2561 - มีนาคม 2562 ซึ่งทีมงานของ Google จะให้คําปรึกษาและช่วยเหลือทางเทคโนโลยีเบื้องต้น จัดหาผู้เชี่ยวชาญในการฝึกอบรม จัดข้อมูลการใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อการศึกษาออนไลน์เพื่อให้ครูและนักเรียนสามารถศึกษาการใช้ Google Apps for Education ด้วยตนเองทางออนไลน์ (www.google.com/edu/) รวมทั้งบน Google+ อีกทั้งจะสนับสนุนชุมชนครู Google Educator Group ให้สามารถขยายผลกันเองได้ เพื่อความยั่งยืน” นายจิระวัฒน์ กล่าว
Written by นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo Credit ปกรณ์ เรืองยิ่ง VDO, อิทธิพล รุ่งก่อน Photo
Rewriter นวรัตน์ รามสูต
Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ร่วมมือ Google นำเทคโนโลยี Google for Education พัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561
ศธ.ร่วมมือ Google นําเทคโนโลยี Google for Education พัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" เปิดอบรมเชิงปฏิบัติการ "พลิกโฉมและยกระดับคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยี Google for Education" จัดโดย Google ประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" เปิดอบรมเชิงปฏิบัติการ "พลิกโฉมและยกระดับคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยี Google for Education" จัดโดย Google ประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ หวังยกระดับการศึกษาไทยแบบพลิกโฉม ด้วยการนําเทคโนโลยีดิจิทัลและแอพพลิเคชั่น "G-Suite for Education" ให้บริการไม่จํากัดพื้นที่ฟรี เพื่อจัดเก็บข้อมูลสําหรับสถานศึกษาทั่วประเทศไทย พร้อมสนับสนุนการอบรมพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาเพื่อเสริมสมรรถนะการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ต่อยอดสู่การสร้างชุมชนครูเพื่อการเรียนรู้เทคโนโลยี เริ่มต้นโครงการในโรงเรียนประถม-มัธยมพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 705 โรงเรียน ก่อนขยายผลต่อไป
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2561 ณ หอประชุมแหล่งสมาคมนายทหารสัญญาบัตร อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร "พลิกโฉมและยกระดับคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยี Google for Education" รุ่นที่ 1 ตามโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีผู้บริหารเข้าร่วมพิธีเปิด อาทิ พล.ต.ต.ธัมมศักดิ์ วาสะศิริ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายอดินันท์ ปากบารา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายสนิท แย้มเกษร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, น.ส.ศุภธิดา พรหมพยัคฆ์ ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายเรวัฒน์ เพ็ชรสงฆ์ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งผู้บริหารสถานศึกษาที่เข้าอบรม
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวในพิธีเปิดตอนหนึ่งว่า การทําให้ประเทศไทยเป็น 4.0 ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่กับนวัตกรรม ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการได้นําเทคโนโลยีมาช่วยจัดการศึกษาอย่างต่อเนื่องทั้ง DLTV, DLIT, TEPEOnline ประกอบกับการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ แบบบูรณาการ ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนปฏิรูปการศึกษา รวมทั้งแผนบูรณาการการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นที่มาของการประกาศนโยบายให้ "ปี 2561 เป็นปีแห่งการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มุ่งเน้นให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม" โดยศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) เป็นหน่วยงานหลักในการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง
สําหรับการอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ ถือเป็นอีกโครงการที่มีคุณค่าในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลและแอพพลิเคชั่นเพื่อการศึกษา (G-Suite for Education) มาประยุกต์ใช้ผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาอย่างบูรณาการ โดยมีวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญมาให้ความรู้ด้านวิชาการและใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ ทั้งต่อความเข้าใจในหลักการ และการนําไปใช้บริหารงานของผู้อํานวยการโรงเรียน การพัฒนาครูให้มีความรู้ความสามารถในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถบูรณาการในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนนําไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาแนวคิดในการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งเชื่อมโยงไปสู่การสอบ การวัด และประเมินผลในอนาคต
ดังนั้น การจะใช้คําว่า "พลิกโฉม" คงไม่เกินเลยจากความเป็นจริง เพราะผลสัมฤทธิ์มาจากการที่ทุกคนและทุกภาคส่วนได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนเกิดเป็นภาพความสําเร็จแล้วในหลายส่วน โดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนในเรื่องของเทคโนโลยีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประเทศไทย 4.0 ขึ้นได้ พัฒนาด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เทคโนโลยี ดําเนินการอย่างต่อเนื่องในหลาย ๆ ระบบ ควบคู่ไปกับการดําเนินการในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษานําร่องของจังหวัดปัตตานี ตามมติคณะกรรมการซุปเปอร์บอร์ด ที่ให้นําร่องเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาครบ 6 ภาคๆ ละ 1 จังหวัดทั่วประเทศ คือ ภาคใต้ ที่สตูล, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ศรีสะเกษ, ภาคตะวันออก ที่ระยอง, ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่, ภาคกลาง ที่กาญจนบุรี และภาคใต้ชายแดน ที่ปัตตานี เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา พัฒนากําลังคน จบแล้วมีรายได้ มีงานทํา
นอกจากนั้น ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อมีการดําเนินการอย่างต่อเนื่องเข้มแข็ง ผลการประเมินจึงมีผลในทางที่ดี ประชาชนเกิดความพึงพอใจ และต้องการให้การศึกษาเกิดคุณภาพอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง สร้างโอกาสทางการศึกษา เช่น ทุนการศึกษา การดูแลผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โรงเรียนประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ 64 แห่ง แบบอยู่ประจํา โดยสนับสนุนทั้งในเรื่องการเรียน อาหาร และที่พัก และอีก 4 สถานศึกษาสังกัดอาชีวะ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ก็คือ "นวัตกรรมทางการศึกษา" เมื่อรวมกับ "เทคโนโลยีสารสนเทศ" แล้ว ก็คือการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0
โอกาสนี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ ได้กล่าวน้อมนําพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) มาถ่ายทอดแก่ผู้เข้ารับการอบรมทุกคน ความว่า "งานด้านการศึกษาเป็นงานสําคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชาติ เพราะความเจริญและความเสื่อมของชาตินั้น ขึ้นอยู่กับการศึกษาของพลเมืองเป็นข้อใหญ่ ดังนั้น จึงต้อง จัดการศึกษาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น" (ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตวิทยาลัยวิชาการศึกษา ประสานมิตร 12 ธันวาคม 2512) และพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10) ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอดศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมมีพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ที่มุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน ได้แก่ การสร้างทัศนคติที่ดีต่อบ้านเมือง, การสร้างลักษณะพื้นฐานที่มั่นคง มีคุณธรรม, เรียนแล้วมีงานทํา มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง
นายจิระวัฒน์ ภูมิศรีแก้ว ผู้จัดการฝ่ายนโยบายและความสัมพันธ์ภาครัฐ บริษัท กูเกิ้ล (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า Google ต้องการสนับสนุนกระทรวงศึกษาธิการเพื่อยกระดับการศึกษาไทยแบบพลิกโฉม ด้วยการนําเทคโนโลยีดิจิทัล และแอพพลิเคชั่นเพื่อการศึกษา (G-Suite for Education) มาประยุกต์ใช้ผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาอย่างบูรณาการ พร้อมสนับสนุนการอบรมพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเสริมสมรรถนะการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ต่อยอดสู่การสร้างชุมชนครูเพื่อการเรียนรู้เทคโนโลยี โดยกลุ่มเป้าหมายในครั้งนี้คือ โรงเรียนระดับประถมฯ และมัธยมฯ ในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ จํานวน 705 โรงเรียน พร้อมสนับสนุนขยายผลครอบคลุมทุกโรงเรียนในจังหวัดชายแดนใต้ต่อไป
"Google พร้อมจะสนับสนุนแอพพลิเคชั่นดังกล่าว ซึ่งให้บริการที่ไม่จํากัดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลให้กับสถานศึกษาทั่วประเทศไทยฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย และสนับสนุนการอบรมให้ความรู้พัฒนาบุคคลกรในจังหวัดชายแดนใต้ โดยระยะเวลาของเริ่มต้นโครงการ เริ่มตั้งแต่กันยายน 2561 - มีนาคม 2562 ซึ่งทีมงานของ Google จะให้คําปรึกษาและช่วยเหลือทางเทคโนโลยีเบื้องต้น จัดหาผู้เชี่ยวชาญในการฝึกอบรม จัดข้อมูลการใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อการศึกษาออนไลน์เพื่อให้ครูและนักเรียนสามารถศึกษาการใช้ Google Apps for Education ด้วยตนเองทางออนไลน์ (www.google.com/edu/) รวมทั้งบน Google+ อีกทั้งจะสนับสนุนชุมชนครู Google Educator Group ให้สามารถขยายผลกันเองได้ เพื่อความยั่งยืน” นายจิระวัฒน์ กล่าว
Written by นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo Credit ปกรณ์ เรืองยิ่ง VDO, อิทธิพล รุ่งก่อน Photo
Rewriter นวรัตน์ รามสูต
Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15483
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดกิจกรรม “ร่วมมือ ร่วมใจ ป้องกัน COVID-19”
|
วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563
สธ.จัดกิจกรรม “ร่วมมือ ร่วมใจ ป้องกัน COVID-19”
กระทรวงสาธารณสุข จัดกิจกรรม “ร่วมมือ ร่วมใจ ป้องกัน COVID-19” ชวนประชาชนป้องกันตนเองตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข เรียนรู้การทําหน้ากากผ้า เจลแอลกอฮอล์ การทําความสะอาดและล้างมือที่ถูกวิธี
กระทรวงสาธารณสุข จัดกิจกรรม “ร่วมมือ ร่วมใจ ป้องกัน COVID-19” ชวนประชาชนป้องกันตนเองตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข เรียนรู้การทําหน้ากากผ้า เจลแอลกอฮอล์ การทําความสะอาดและล้างมือที่ถูกวิธี
วันนี้ (6 มีนาคม 2563) ที่ลานอเนกประสงค์ ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 10 และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหาร และนายนาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จํากัด ผู้บริหารจัดการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เปิดกิจกรรม “ร่วมมือ ร่วมใจ ป้องกัน COVID-19”
ดร.สาธิตกล่าวว่า จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีการแพร่ระบาดไปในหลายประเทศทั่วโลก กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการเฝ้าระวังและติดตามตั้งแต่เริ่มมีข้อมูลการระบาดในต่างประเทศ และปรับมาตรการในการป้องกันควบคุมโรคสอดรับกับสถานการณ์มาโดยตลอด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับองค์กรสื่อมวลชนช่วยเผยแพร่ความรู้ให้ประชาชนสามารถป้องกันตนเองและครอบครัว สําหรับกิจกรรมในวันนี้ กรมต่างๆ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรม ได้ร่วมกับบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จํากัด จัดกิจกรรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ประชาชนและชาวต่างชาติที่มารับบริการ ซึ่งมีจํานวนวันละกว่า 20,000 คน อาทิ สอนการเย็บหน้ากากผ้า การทําเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ การล้างมือที่ถูกวิธี การทําความสะอาดพื้นผิวที่เป็นจุดเสี่ยงแพร่กระจายเชื้อ ให้ความรู้และคําปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญของหน่วยงาน เป็นต้น เพื่อช่วยกันเผยแพร่ต่อไปยังประชาชน สร้างความเข้าใจต่อสถานการณ์โรค มีความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันตัวอย่างถูกต้อง เกิดความตระหนัก ลดความตระหนก ต่อสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทย
“ขอเชิญชวนประชาชนป้องกันตนเองตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข ตระหนักได้ แต่อย่าตระหนกติดตามสถานการณ์ทาง Line official /FB Fanpageรู้กันทันโรค(กดดู รู้โรค), สายด่วน 1422, ChatBot 1422 ทาง Line officialKor-Ror-OK, TikTok/ Twitterไทยรู้สู้โควิดหากทุกคนร่วมมือร่วมใจกัน ไม่ว่าสถานการณ์จะยากลําบากเพียงใด เราก็จะสามารถผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา” ดร.สาธิตกล่าว
**************************************** 6 มีนาคม 2563
**************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดกิจกรรม “ร่วมมือ ร่วมใจ ป้องกัน COVID-19”
วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563
สธ.จัดกิจกรรม “ร่วมมือ ร่วมใจ ป้องกัน COVID-19”
กระทรวงสาธารณสุข จัดกิจกรรม “ร่วมมือ ร่วมใจ ป้องกัน COVID-19” ชวนประชาชนป้องกันตนเองตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข เรียนรู้การทําหน้ากากผ้า เจลแอลกอฮอล์ การทําความสะอาดและล้างมือที่ถูกวิธี
กระทรวงสาธารณสุข จัดกิจกรรม “ร่วมมือ ร่วมใจ ป้องกัน COVID-19” ชวนประชาชนป้องกันตนเองตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข เรียนรู้การทําหน้ากากผ้า เจลแอลกอฮอล์ การทําความสะอาดและล้างมือที่ถูกวิธี
วันนี้ (6 มีนาคม 2563) ที่ลานอเนกประสงค์ ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 10 และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหาร และนายนาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จํากัด ผู้บริหารจัดการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เปิดกิจกรรม “ร่วมมือ ร่วมใจ ป้องกัน COVID-19”
ดร.สาธิตกล่าวว่า จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีการแพร่ระบาดไปในหลายประเทศทั่วโลก กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการเฝ้าระวังและติดตามตั้งแต่เริ่มมีข้อมูลการระบาดในต่างประเทศ และปรับมาตรการในการป้องกันควบคุมโรคสอดรับกับสถานการณ์มาโดยตลอด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับองค์กรสื่อมวลชนช่วยเผยแพร่ความรู้ให้ประชาชนสามารถป้องกันตนเองและครอบครัว สําหรับกิจกรรมในวันนี้ กรมต่างๆ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรม ได้ร่วมกับบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จํากัด จัดกิจกรรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ประชาชนและชาวต่างชาติที่มารับบริการ ซึ่งมีจํานวนวันละกว่า 20,000 คน อาทิ สอนการเย็บหน้ากากผ้า การทําเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ การล้างมือที่ถูกวิธี การทําความสะอาดพื้นผิวที่เป็นจุดเสี่ยงแพร่กระจายเชื้อ ให้ความรู้และคําปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญของหน่วยงาน เป็นต้น เพื่อช่วยกันเผยแพร่ต่อไปยังประชาชน สร้างความเข้าใจต่อสถานการณ์โรค มีความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันตัวอย่างถูกต้อง เกิดความตระหนัก ลดความตระหนก ต่อสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทย
“ขอเชิญชวนประชาชนป้องกันตนเองตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข ตระหนักได้ แต่อย่าตระหนกติดตามสถานการณ์ทาง Line official /FB Fanpageรู้กันทันโรค(กดดู รู้โรค), สายด่วน 1422, ChatBot 1422 ทาง Line officialKor-Ror-OK, TikTok/ Twitterไทยรู้สู้โควิดหากทุกคนร่วมมือร่วมใจกัน ไม่ว่าสถานการณ์จะยากลําบากเพียงใด เราก็จะสามารถผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา” ดร.สาธิตกล่าว
**************************************** 6 มีนาคม 2563
**************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26959
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังเปิดตัวดิจิทัลแพลตฟอร์ม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ชมชน นำร่องจัดทำระบบบล็อกเชน 8 โครงการ
|
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562
คลังเปิดตัวดิจิทัลแพลตฟอร์ม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ชมชน นําร่องจัดทําระบบบล็อกเชน 8 โครงการ
กระทรวงการคลัง ยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพหน่วยงานในสังกัด นําดิจิทัลแพลตฟอร์ม วางโครงสร้างระบบงานผ่านบล็อกเชน เดินหน้า 8 โครงการ
กระทรวงการคลัง ยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพหน่วยงานในสังกัด นําดิจิทัลแพลตฟอร์ม วางโครงสร้างระบบงานผ่านบล็อกเชน เดินหน้า 8 โครงการ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การออมผ่านพันธบัตรรัฐบาล การคืนภาษีของนักท่องเที่ยว การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สิทธิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ และระบบราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ โดยมีรัฐมตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การดําเนินโครงการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานสถาปัตยกรรม ในการรองรับภารกิจของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง ระหว่าง 9 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง ประกอบด้วย สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง กรมธนารักษ์ กรมบัญชีกลาง กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมสรรพากร สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สํานักงานบริการหนี้สาธารณะ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และธนาคากรุงไทย ภายใต้งาน MOF Digital Platform is Now : กระทรวงการคลังนําดิจิทัลสร้างเศรษฐกิจสู่ชุมชน เน้น 4 แกนหลักนําบล็อกเชนมาใช้พัฒนาระบบงาน การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล การหาแหล่งเงินทุน การบริหารทรัพย์สินและการประมูลงาน ยกระดับประสิทธิภาพระบบงาน ลดขั้นตอน รวดเร็ว ปลอดภัย โปร่งใส ตรวจสอบได้
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากที่เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี ประเทศชั้นนําของโลกได้เปลี่ยนแปลงประเทศสู่ Smart Country ด้วยการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาเป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศ กระทรวงการคลังได้ผลักดันนโยบาย National e- Payment เพื่อก้าวสู่Thailand 4.0 โดยเริ่มจากโครงการพร้อมเพย์ และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
กระทรวงการคลัง มีภารกิจหลักในการบริหารงบประมาณแผ่นดิน บริหารทรัพย์สิน และการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ โดยกระทรวงการคลังให้ความสําคัญอย่างมากในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ และตรวจสอบธุรกรรมข้อมูลของประเทศ รวมทั้งยกระดับประสิทธิภาพของโครงสร้างระบบงานของหน่วยงานในสังกัด กระทรวงการคลังได้ผลักดันให้มีการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างโอกาสใหม่ๆ โดยเฉพาะบล็อกเชน ซึ่งเป็นเทคโนโลยี สําหรับระบบการจัดเก็บและตรวจสอบธุรกรรมข้อมูลที่สามารถตอบโจทย์เรื่องความรวดเร็ว ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ที่สําคัญสามารถเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจองค์รวมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นกระทรวงแรกของประเทศ ในการนําบล็อกเชนมาใช้ในหน่วยงานต่างๆของกระทรวง อีกทั้งอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนและผู้มาติดต่อขอใช้บริการต่างๆ
กระทรวงการคลังจะนําบล็อกเชน มาพัฒนาระบบงานในหน่วยงานต่างๆ ครอบคลุมถึงหน่วยงาน การจัดเก็บรายได้ การบริหารทรัพย์สิน บริหารรายจ่ายตามงบประมาณ ระบบการออม และระบบสวัสดิการต่างๆของประชาชน ซึ่งในระยะแรกนี้ประกอบด้วย 8 โครงการ ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Government Procurement : e-GP) โดยบล็อกเชนของ e-GP มีการรวบรวมข้อมูลประวัติของผู้ประกอบการนิติบุคคล รวมถึงระบบ Rating ของผู้ประกอบการตามผลงานในการทํางานกับภาครัฐ สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการลดระยะเวลา และภาระของผู้ประกอบการในการจัดเตรียมเอกสาร เพื่อขอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการและการยื่นเสนอราคา โดยจากข้อมูล ปี2562 ภาครัฐมีการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 3.6 ล้านโครงการ วงเงินรวมกว่า1.4 ล้านล้านบาท ลดภาระให้ผู้ประกอบการกว่า 270,000 ราย เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความโปร่งใสของระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งช่วยผลักดันการใช้งบประมาณในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่รากหญ้าให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมโยงกับระบบของสถาบันการเงิน และระบบการประเมินคุณภาพแบบบูรณาการของผู้ประกอบการที่ร่วมงานกับภาครัฐได้อีกด้วย
การคืนภาษีของนักท่องเที่ยว (VAT Refunds for Tourists) ระบบบล็อกเชนได้นํามาใช้ปฎิวัติระบบการคืนภาษีให้กับนักท่องเที่ยว โดยเชื่อมโยงระบบบล็อกเชน โมบายแอพพลิเคชั่น ระบบยืนยันตัวตนของนักท่องเที่ยว รวมถึง e-Tax Invoice ของร้านค้าเพื่อใช้ในระบบภาษี มาเชื่อมต่อกับกระบวนการต่างๆ ในประเทศ และระบบ Payment and Settlement ต่างประเทศ เช่น AliPay WeChat Visa และ Master เป็นต้น เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวโดยสามารถเช็คยอดคืนภาษี ขอคืนภาษีได้ทันที รับภาษีคืนได้ภายใน 3 วันทําการ จากปกติใช้เวลา 34 วันทําการ ไม่ต้องถือเงินสดกลับประเทศ ได้รับอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าตลาด ไม่ต้องเข้าคิวสําแดงสินค้าที่กรมศุลกากรที่มีมากกว่า 7 แสนคนต่อปี และไม่ต้องเข้าคิวขอคืนภาษีที่มีมากกว่า 2 ล้านคนต่อปี นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการของภาครัฐ โดยช่วยลดเรื่องการตรวจเอกสาร ลดการใช้กระดาษได้สูงสุด 10 ล้านใบต่อปี ลดต้นทุนในการจัดการ ลดความหนาแน่นของคิวที่สนามบิน ลดต้นทุนในการบริหารจัดการเงินสด และสามารถคัดแบบข้อมูลการเดินทางเข้า-ออกได้ทันที จากเดิมใช้เวลาประมาณ 2 เดือน เหล่านี้ล้วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของประเทศ การกระจายรายได้ไปยังผู้ประกอบการรายย่อย การสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนระดับรากหญ้า
การออมผ่านพันธบัตรรัฐบาล ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Scripless Bond) จะช่วยให้การออกพันธบัตรรัฐบาล การจําหน่าย รวมถึงการรับฝากทรัพย์สิน โดยระบบสามารถออกพันธบัตรหน่วยย่อยที่ 1 บาทต่อ1 พันธบัตร ทําให้ประชาชนทุกระดับชั้นสามารถเข้าถึงการออมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมให้เกิดความคล่องตัวทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง เสริมสร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ด้วยระบบจองก่อนได้ก่อน (First Come First Serve) ในการจัดจําหน่าย และช่วยลดขั้นตอนในกระบวนการต่างๆให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยระบบจะเชื่อมต่อกับตลาดหลัก และตลาดรอง รวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถขยายไปยังระบบการค้าระหว่างเขตชายแดน ( Cross Border Trading ) และในอนาคตสามารถขยายไปสู่นวัตกรรมอื่นๆต่อไป
ทั้งนี้ ระบบบล็อกเชน นอกจากจะช่วยลดต้นทุนในการเดินทางของประชาชนในการเข้ามาจองซื้อพันธบัตรที่สาขา ยังช่วยสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการจองซื้อพันธบัตร เพิ่มความสะดวกในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนในพันธบัตรของประชาชน โดยในแอพพลิเคชั่นนอกจากจะมีการอํานวยความสะดวกด้านข้อมูลการถือครองพันธบัตรของประชาชนแล้ว ยังมีข้อมูลบทความที่เป็นประโยชน์ในการลงทุนให้กับประชาชนอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยลดระยะเวลาในการออกใบพันธบัตรตจากเดิม 4 วันเหลือเพียงไม่ถึงวัน
การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ระบบบล็อกเชนจะช่วย Centralize and Digitize เอกสารทุกประเภทที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การสั่งสินค้า การผลิต การนําเข้า การส่งออก จนกระทั่งสินค้าถึงมือผู้รับ โดยใช้ Digital Document ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงเอกสารได้ตามสิทธิ เป็น One Single Document โดยช่วยให้กระทรวงการคลังสามารถประมาณรายได้การจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง ความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการผลิต การนําเข้า และการส่งออก
โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Welfare) เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูล เรื่อง Identity จากทุกภาคส่วน มาเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทะเบียนผู้รับสวัสดิการ และใช้คุณสมบัตรของบล็อกเชนในการอัพเดทและแชร์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อป้องกันการใช้สวัสดิการในทางที่ผิดและลดทุจริตจากผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ
สิทธิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ (Healthcare) ระบบบล็อกเชนเข้ามาช่วยเชื่อมโยงข้อมูลของกระทรวงสาธารณะสุข และโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อนํามาใช้ในการยืนยันตัวตนและใช้สิทธิตามกรอบที่ได้ รวมทั้งต่อยอดคุณสมบัติของบล็อกเชนที่สามารถอัพเดทและแชร์ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยสร้างความโปร่งใสและถูกต้องของผู้ใช้สิทธิ อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพของระบบรักษาพยาบาลในประเทศ
การจัดทําราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ เป็นการเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกําหนดราคาประเมินที่ดินทั่วประเทศ ซึ่งจะทําให้การเก็บภาษีจากการซื้อขายและถือครองที่ดินได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และสามารถขยายขอบเขตไปถึงการจัดทําโฉนดที่ดินอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะส่งผลให้การประเมินราคา และกระบวนการเก็บภาษีที่ดิน มีความโปร่งใส และถูกต้อง รวมทั้งอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน และกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันสถาบันการเงิน สามารถป้องกันการทุจริตจาก Double Financing
นับเป็นก้าวแรกที่กระทรวงการคลังนําดิจิทัลสร้างเศรษฐกิจสู่ชุมชน และก้าวที่สําคัญในการบูรณการความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงการคลัง และองค์กรชั้นนําที่สําคัญของประเทศที่ให้เกียรติมาร่วมงานในครั้งนี้ เพื่อร่วมกันสร้างความแข็งแกร่ง ด้วยการนํานวัตกรรม และเทคโนโลยีบล็อกเชน มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและประเทศชาติ เข้าสู่ Thailand 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ
สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร 0-2126-5800
บมจ.ธนาคารกรุงไทย โทร 0-2255-2222 , 0-2111-1111
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังเปิดตัวดิจิทัลแพลตฟอร์ม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ชมชน นำร่องจัดทำระบบบล็อกเชน 8 โครงการ
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562
คลังเปิดตัวดิจิทัลแพลตฟอร์ม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ชมชน นําร่องจัดทําระบบบล็อกเชน 8 โครงการ
กระทรวงการคลัง ยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพหน่วยงานในสังกัด นําดิจิทัลแพลตฟอร์ม วางโครงสร้างระบบงานผ่านบล็อกเชน เดินหน้า 8 โครงการ
กระทรวงการคลัง ยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพหน่วยงานในสังกัด นําดิจิทัลแพลตฟอร์ม วางโครงสร้างระบบงานผ่านบล็อกเชน เดินหน้า 8 โครงการ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การออมผ่านพันธบัตรรัฐบาล การคืนภาษีของนักท่องเที่ยว การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สิทธิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ และระบบราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ โดยมีรัฐมตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การดําเนินโครงการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานสถาปัตยกรรม ในการรองรับภารกิจของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง ระหว่าง 9 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง ประกอบด้วย สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง กรมธนารักษ์ กรมบัญชีกลาง กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมสรรพากร สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สํานักงานบริการหนี้สาธารณะ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และธนาคากรุงไทย ภายใต้งาน MOF Digital Platform is Now : กระทรวงการคลังนําดิจิทัลสร้างเศรษฐกิจสู่ชุมชน เน้น 4 แกนหลักนําบล็อกเชนมาใช้พัฒนาระบบงาน การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล การหาแหล่งเงินทุน การบริหารทรัพย์สินและการประมูลงาน ยกระดับประสิทธิภาพระบบงาน ลดขั้นตอน รวดเร็ว ปลอดภัย โปร่งใส ตรวจสอบได้
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากที่เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี ประเทศชั้นนําของโลกได้เปลี่ยนแปลงประเทศสู่ Smart Country ด้วยการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาเป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศ กระทรวงการคลังได้ผลักดันนโยบาย National e- Payment เพื่อก้าวสู่Thailand 4.0 โดยเริ่มจากโครงการพร้อมเพย์ และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
กระทรวงการคลัง มีภารกิจหลักในการบริหารงบประมาณแผ่นดิน บริหารทรัพย์สิน และการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ โดยกระทรวงการคลังให้ความสําคัญอย่างมากในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ และตรวจสอบธุรกรรมข้อมูลของประเทศ รวมทั้งยกระดับประสิทธิภาพของโครงสร้างระบบงานของหน่วยงานในสังกัด กระทรวงการคลังได้ผลักดันให้มีการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างโอกาสใหม่ๆ โดยเฉพาะบล็อกเชน ซึ่งเป็นเทคโนโลยี สําหรับระบบการจัดเก็บและตรวจสอบธุรกรรมข้อมูลที่สามารถตอบโจทย์เรื่องความรวดเร็ว ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ที่สําคัญสามารถเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจองค์รวมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นกระทรวงแรกของประเทศ ในการนําบล็อกเชนมาใช้ในหน่วยงานต่างๆของกระทรวง อีกทั้งอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนและผู้มาติดต่อขอใช้บริการต่างๆ
กระทรวงการคลังจะนําบล็อกเชน มาพัฒนาระบบงานในหน่วยงานต่างๆ ครอบคลุมถึงหน่วยงาน การจัดเก็บรายได้ การบริหารทรัพย์สิน บริหารรายจ่ายตามงบประมาณ ระบบการออม และระบบสวัสดิการต่างๆของประชาชน ซึ่งในระยะแรกนี้ประกอบด้วย 8 โครงการ ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Government Procurement : e-GP) โดยบล็อกเชนของ e-GP มีการรวบรวมข้อมูลประวัติของผู้ประกอบการนิติบุคคล รวมถึงระบบ Rating ของผู้ประกอบการตามผลงานในการทํางานกับภาครัฐ สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการลดระยะเวลา และภาระของผู้ประกอบการในการจัดเตรียมเอกสาร เพื่อขอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการและการยื่นเสนอราคา โดยจากข้อมูล ปี2562 ภาครัฐมีการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 3.6 ล้านโครงการ วงเงินรวมกว่า1.4 ล้านล้านบาท ลดภาระให้ผู้ประกอบการกว่า 270,000 ราย เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความโปร่งใสของระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งช่วยผลักดันการใช้งบประมาณในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่รากหญ้าให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมโยงกับระบบของสถาบันการเงิน และระบบการประเมินคุณภาพแบบบูรณาการของผู้ประกอบการที่ร่วมงานกับภาครัฐได้อีกด้วย
การคืนภาษีของนักท่องเที่ยว (VAT Refunds for Tourists) ระบบบล็อกเชนได้นํามาใช้ปฎิวัติระบบการคืนภาษีให้กับนักท่องเที่ยว โดยเชื่อมโยงระบบบล็อกเชน โมบายแอพพลิเคชั่น ระบบยืนยันตัวตนของนักท่องเที่ยว รวมถึง e-Tax Invoice ของร้านค้าเพื่อใช้ในระบบภาษี มาเชื่อมต่อกับกระบวนการต่างๆ ในประเทศ และระบบ Payment and Settlement ต่างประเทศ เช่น AliPay WeChat Visa และ Master เป็นต้น เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวโดยสามารถเช็คยอดคืนภาษี ขอคืนภาษีได้ทันที รับภาษีคืนได้ภายใน 3 วันทําการ จากปกติใช้เวลา 34 วันทําการ ไม่ต้องถือเงินสดกลับประเทศ ได้รับอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าตลาด ไม่ต้องเข้าคิวสําแดงสินค้าที่กรมศุลกากรที่มีมากกว่า 7 แสนคนต่อปี และไม่ต้องเข้าคิวขอคืนภาษีที่มีมากกว่า 2 ล้านคนต่อปี นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการของภาครัฐ โดยช่วยลดเรื่องการตรวจเอกสาร ลดการใช้กระดาษได้สูงสุด 10 ล้านใบต่อปี ลดต้นทุนในการจัดการ ลดความหนาแน่นของคิวที่สนามบิน ลดต้นทุนในการบริหารจัดการเงินสด และสามารถคัดแบบข้อมูลการเดินทางเข้า-ออกได้ทันที จากเดิมใช้เวลาประมาณ 2 เดือน เหล่านี้ล้วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของประเทศ การกระจายรายได้ไปยังผู้ประกอบการรายย่อย การสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนระดับรากหญ้า
การออมผ่านพันธบัตรรัฐบาล ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Scripless Bond) จะช่วยให้การออกพันธบัตรรัฐบาล การจําหน่าย รวมถึงการรับฝากทรัพย์สิน โดยระบบสามารถออกพันธบัตรหน่วยย่อยที่ 1 บาทต่อ1 พันธบัตร ทําให้ประชาชนทุกระดับชั้นสามารถเข้าถึงการออมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมให้เกิดความคล่องตัวทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง เสริมสร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ด้วยระบบจองก่อนได้ก่อน (First Come First Serve) ในการจัดจําหน่าย และช่วยลดขั้นตอนในกระบวนการต่างๆให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยระบบจะเชื่อมต่อกับตลาดหลัก และตลาดรอง รวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถขยายไปยังระบบการค้าระหว่างเขตชายแดน ( Cross Border Trading ) และในอนาคตสามารถขยายไปสู่นวัตกรรมอื่นๆต่อไป
ทั้งนี้ ระบบบล็อกเชน นอกจากจะช่วยลดต้นทุนในการเดินทางของประชาชนในการเข้ามาจองซื้อพันธบัตรที่สาขา ยังช่วยสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการจองซื้อพันธบัตร เพิ่มความสะดวกในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนในพันธบัตรของประชาชน โดยในแอพพลิเคชั่นนอกจากจะมีการอํานวยความสะดวกด้านข้อมูลการถือครองพันธบัตรของประชาชนแล้ว ยังมีข้อมูลบทความที่เป็นประโยชน์ในการลงทุนให้กับประชาชนอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยลดระยะเวลาในการออกใบพันธบัตรตจากเดิม 4 วันเหลือเพียงไม่ถึงวัน
การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ระบบบล็อกเชนจะช่วย Centralize and Digitize เอกสารทุกประเภทที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การสั่งสินค้า การผลิต การนําเข้า การส่งออก จนกระทั่งสินค้าถึงมือผู้รับ โดยใช้ Digital Document ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงเอกสารได้ตามสิทธิ เป็น One Single Document โดยช่วยให้กระทรวงการคลังสามารถประมาณรายได้การจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง ความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการผลิต การนําเข้า และการส่งออก
โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Welfare) เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูล เรื่อง Identity จากทุกภาคส่วน มาเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทะเบียนผู้รับสวัสดิการ และใช้คุณสมบัตรของบล็อกเชนในการอัพเดทและแชร์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อป้องกันการใช้สวัสดิการในทางที่ผิดและลดทุจริตจากผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ
สิทธิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ (Healthcare) ระบบบล็อกเชนเข้ามาช่วยเชื่อมโยงข้อมูลของกระทรวงสาธารณะสุข และโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อนํามาใช้ในการยืนยันตัวตนและใช้สิทธิตามกรอบที่ได้ รวมทั้งต่อยอดคุณสมบัติของบล็อกเชนที่สามารถอัพเดทและแชร์ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยสร้างความโปร่งใสและถูกต้องของผู้ใช้สิทธิ อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพของระบบรักษาพยาบาลในประเทศ
การจัดทําราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ เป็นการเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกําหนดราคาประเมินที่ดินทั่วประเทศ ซึ่งจะทําให้การเก็บภาษีจากการซื้อขายและถือครองที่ดินได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และสามารถขยายขอบเขตไปถึงการจัดทําโฉนดที่ดินอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะส่งผลให้การประเมินราคา และกระบวนการเก็บภาษีที่ดิน มีความโปร่งใส และถูกต้อง รวมทั้งอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน และกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันสถาบันการเงิน สามารถป้องกันการทุจริตจาก Double Financing
นับเป็นก้าวแรกที่กระทรวงการคลังนําดิจิทัลสร้างเศรษฐกิจสู่ชุมชน และก้าวที่สําคัญในการบูรณการความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงการคลัง และองค์กรชั้นนําที่สําคัญของประเทศที่ให้เกียรติมาร่วมงานในครั้งนี้ เพื่อร่วมกันสร้างความแข็งแกร่ง ด้วยการนํานวัตกรรม และเทคโนโลยีบล็อกเชน มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและประเทศชาติ เข้าสู่ Thailand 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ
สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร 0-2126-5800
บมจ.ธนาคารกรุงไทย โทร 0-2255-2222 , 0-2111-1111
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23455
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ลักษณ์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 40
|
วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2561
รมช.ลักษณ์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 40
รมช.ลักษณ์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 40
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 40 (ASEAN Ministers on Agriculture and Forestry: 40th AMAF) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 61 ที่ผ่านมา ได้มีการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการพัฒนาระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินการตามแผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปี 2568 และรับทราบความสําเร็จในการดําเนินงานด้านอาหาร เกษตร และป่าไม้ ในปี 2560 - 2561 ภายใต้วิสัยทัศน์และแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมืออาเซียนด้านอาหารการเกษตรและป่าไม้ ปี 2559 – 2568 โดยในที่ประชุม ได้มีการรายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานภายใต้กรอบนโยบายบูรณาการความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน และแผนกลยุทธ์ความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน ปี 2558 - 2563 และให้ความเห็นชอบกรอบแนวคิดหลายสาขาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านเกษตรและป่าไม้ ที่มีต่อความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเกิดความมั่นคงด้านอาหาร โดยการใช้ประโยชน์จากที่ดิน ป่าไม้ น้ํา และแหล่งน้ําอย่างยั่งยืน ให้มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สําหรับการดําเนินงานในด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ในปี 2561 มีความสําเร็จของผลงานสําคัญ 6 ด้าน ประกอบด้วย 1) แนวปฏิบัติของอาเซียนในการเสริมสร้างศักยภาพในการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบในภาคอาหารเกษตรและป่าไม้ 2) แนวทางการดําเนินการของรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้เกี่ยวกับการบรรจุเรื่องมิติด้านเพศในภาคอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ของอาเซียน 3) ค่าสารพิษตกค้างสูงสุดและค่ามาตรฐานของอาเซียน 4) นโยบายในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสาขาป่าไม้และสาขาอื่น ๆ ของอาเซียน 5) มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสุกรของอาเซียน 6) แผนงานอาเซียนเพื่อเสริมสร้างบทบาทของสหกรณ์การเกษตรในห่วงโซ่คุณค่าอาหารของโลกด้านการเกษตร ปี 2561 – 2568
“ความสําคัญของการผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยภาคการเกษตรต้องสามารถเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าของโลกได้ จะต้องใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีส่งเสริมเกษตรสีเขียวและเกษตรอัจฉริยะ รวมทั้งส่งเสริมให้เยาวชนรุ่นใหม่เข้าสู่ภาคเกษตรได้มากยิ่งขึ้น และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาลกับเอกชน (PPP) อีกทั้งขอให้ตระหนักถึงความสําคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งได้เสนอให้ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมมือกันภายใต้กรอบแนวคิดหลายสาขาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านเกษตรและป่าไม้ที่มีต่อความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการ ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้ภาคการเกษตรสามารถปรับตัวและบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ได้เน้นย้ําให้ประเทศสมาชิกอาเซียนแลกเปลี่ยนข้อมูลภายใต้ระบบแจ้งเตือนความปลอดภัยอาหารและอาหารสัตว์ของอาเซียน (ASEAN Rapid Alert System for Food and Feed: ARASFF) เพื่อติดตามสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยทางด้านอาหาร และใช้มาตรการที่รวดเร็วและเหมาะสมในการคุ้มครองผู้บริโภค และขอให้ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมมือกันให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมและพัฒนาสินค้าปลาทูน่าของภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน และมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสุกรของอาเซียนเพื่อให้เกษตรกรสามารถผลิตสุกรที่ปลอดภัยต่อการบริโภค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน” นายลักษณ์ กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ลักษณ์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 40
วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2561
รมช.ลักษณ์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 40
รมช.ลักษณ์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 40
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 40 (ASEAN Ministers on Agriculture and Forestry: 40th AMAF) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 61 ที่ผ่านมา ได้มีการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการพัฒนาระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินการตามแผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปี 2568 และรับทราบความสําเร็จในการดําเนินงานด้านอาหาร เกษตร และป่าไม้ ในปี 2560 - 2561 ภายใต้วิสัยทัศน์และแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมืออาเซียนด้านอาหารการเกษตรและป่าไม้ ปี 2559 – 2568 โดยในที่ประชุม ได้มีการรายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานภายใต้กรอบนโยบายบูรณาการความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน และแผนกลยุทธ์ความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน ปี 2558 - 2563 และให้ความเห็นชอบกรอบแนวคิดหลายสาขาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านเกษตรและป่าไม้ ที่มีต่อความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเกิดความมั่นคงด้านอาหาร โดยการใช้ประโยชน์จากที่ดิน ป่าไม้ น้ํา และแหล่งน้ําอย่างยั่งยืน ให้มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สําหรับการดําเนินงานในด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ในปี 2561 มีความสําเร็จของผลงานสําคัญ 6 ด้าน ประกอบด้วย 1) แนวปฏิบัติของอาเซียนในการเสริมสร้างศักยภาพในการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบในภาคอาหารเกษตรและป่าไม้ 2) แนวทางการดําเนินการของรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้เกี่ยวกับการบรรจุเรื่องมิติด้านเพศในภาคอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ของอาเซียน 3) ค่าสารพิษตกค้างสูงสุดและค่ามาตรฐานของอาเซียน 4) นโยบายในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสาขาป่าไม้และสาขาอื่น ๆ ของอาเซียน 5) มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสุกรของอาเซียน 6) แผนงานอาเซียนเพื่อเสริมสร้างบทบาทของสหกรณ์การเกษตรในห่วงโซ่คุณค่าอาหารของโลกด้านการเกษตร ปี 2561 – 2568
“ความสําคัญของการผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยภาคการเกษตรต้องสามารถเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าของโลกได้ จะต้องใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีส่งเสริมเกษตรสีเขียวและเกษตรอัจฉริยะ รวมทั้งส่งเสริมให้เยาวชนรุ่นใหม่เข้าสู่ภาคเกษตรได้มากยิ่งขึ้น และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาลกับเอกชน (PPP) อีกทั้งขอให้ตระหนักถึงความสําคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งได้เสนอให้ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมมือกันภายใต้กรอบแนวคิดหลายสาขาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านเกษตรและป่าไม้ที่มีต่อความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการ ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้ภาคการเกษตรสามารถปรับตัวและบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ได้เน้นย้ําให้ประเทศสมาชิกอาเซียนแลกเปลี่ยนข้อมูลภายใต้ระบบแจ้งเตือนความปลอดภัยอาหารและอาหารสัตว์ของอาเซียน (ASEAN Rapid Alert System for Food and Feed: ARASFF) เพื่อติดตามสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยทางด้านอาหาร และใช้มาตรการที่รวดเร็วและเหมาะสมในการคุ้มครองผู้บริโภค และขอให้ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมมือกันให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมและพัฒนาสินค้าปลาทูน่าของภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน และมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสุกรของอาเซียนเพื่อให้เกษตรกรสามารถผลิตสุกรที่ปลอดภัยต่อการบริโภค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน” นายลักษณ์ กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16089
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. มีมติยกเลิกเคอร์ฟิว พร้อมเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 4 มีผลตั้งแต่ 15 มิถุนายน 63
|
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563
ศบค. มีมติยกเลิกเคอร์ฟิว พร้อมเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 4 มีผลตั้งแต่ 15 มิถุนายน 63
ศบค. มีมติยกเลิกเคอร์ฟิว พร้อมเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 4 มีผลตั้งแต่ 15 มิถุนายน 63
วันนี้ (12 มิถุนายน 2563) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการหารือโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.) สรุปสาระสําคัญดังนี้
โฆษก ศบค. เผย ที่ประชุม ศบค. มีมติให้ยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถาน แต่ยังคงมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกราชอาณาจักรทั้งทางบก/น้ํา/อากาศ เห็นชอบมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 4 โดยจะมีการบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน โดยรายละเอียดของการผ่อนผัน ผ่อนคลาย ได้แก่ การผ่อนผันการใช้อาคารสถานที่โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการ หน่วยงานในกํากับของรัฐ สําหรับการเรียน การสอน อบรม สัมมนา ในรูปแบบวิถีใหม่ ให้การใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนประเภทนานาชาติ หรือสถาบันการศึกษาหลักสูตรนานาชาติ และโรงเรียนนอกระบบ ประเภทกวดวิชา สามารถเปิดทําการได้ โดยการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในระบบที่มีนักเรียนรวมทั้งโรงเรียนไม่เกิน 120 คน รวมถึงโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดน และสามารถเปิดการใช้อาคารสถานที่ของหน่วยงานราชการและหน่วยงานในกํากับของรัฐเพื่อการสอน สัมมนาในหลักสูตรฝึกอบรมที่หน่วยงานจัดขึ้นได้
สําหรับกิจการ/กิจกรรมที่ผ่อนคลายในระยะที่ 4 ประกอบด้วย
1. กิจกรรมด้านเศรษฐกิจและการดําเนินชีวิต
(ก) การจัดประชุม การอบรม การสัมมนา การจัดนิทรรศการ งานพิธี การจัดเลี้ยง การแสดงดนตรี นาฏศิลป์ คอนเสิร์ต หรือการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในโรงแรม โรงมหรสพ ห้องประชุม ศูนย์ประชุม ศูนย์การแสดงสินค้า โรงภาพยนตร์ หรือในสถานที่อื่น ๆ โดยการประชุม อบรม สัมมนา ให้ใช้เกณฑ์ 4 ตร.ม./คน งานจัดเลี้ยง อีเว้นท์ เปิดตัวสินค้า ประกวด แข่งขันกีฬา ให้นั่ง-ยืนเว้นระยะห่าง 1 เมตร และงานดนตรี คอนเสิร์ต ให้ลดความหนาแน่น-ไร้ระเบียบ โดยใช้เกณฑ์ 5 ตร.ม./คน
(ข) การบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในภัตตาคาร สวนอาหาร ศูนย์อาหาร โรงแรม ร้านอาหาร หรือเครื่องดื่มทั่วไป หรือในสถานที่ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และได้ผ่อนคลายให้เปิดดําเนินการอยู่ก่อนแล้ว ให้สามารถทําได้ ยกเว้นในส่วนของสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ และโรงเบียร์ ยังไม่อนุญาตให้ดําเนินการ
(ค) สถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เด็กก่อนวัยเรียน ศูนย์เด็กพิเศษ สถานดูแลผู้สูงอายุ สถานที่บริการดูแล สถานที่พํานักอาศัย หรือสถานสงเคราะห์อื่นที่จัดสวัสดิการให้แก่เด็กหรือผู้สูงอายุ โดยเด็กเล็กแบ่งกลุ่มเล็ก โดยใช้เกณฑ์ 2 ตร.ม./คน และผู้สูงวัย ให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ คัดกรองไข้ และผู้ป่วย
(ง) ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา อุทยานวิทยาศาสตร์ ศูนย์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม กรณีเข้าชมเป็นกลุ่ม ให้แบ่งเป็นกลุ่มเล็ก และเข้าชมเป็นรอบ
(จ) การถ่ายทํารายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวีดีทัศน์ ให้กองถ่ายทํารวมทุกแผนกไม่เกิน 150 คน และมีผู้เข้าชมไม่เกิน 50 คน
2. กิจกรรมด้านการออกกําลังกาย การดูแลสุขภาพหรือสันทนาการ
(ก) การอบตัว อบสมุนไพร หรืออบไอน้ําแบบรวมในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ สปา หรือสถานประกอบการนวดแผนไทย ยกเว้นในส่วนของสถานประกอบกิจการอาบน้ํา สถานประกอบกิจการอาบ อบ นวด ยังไม่อนุญาตให้เปิดดําเนินการ เน้นให้บริการแบบแยกห้องเดี่ยว ส่วนห้องรวม หรือบ่อออนเซ็นรวม ให้ควบคุมจํานวนผู้ใช้บริการ โดยจํากัดจํานวนผู้ใช้บริการต่อรอบ คิดเกณฑ์ 5 ตร.ม./คน
(ข) การออกกําลังกายแบบกลุ่มในสวนสาธารณะ ลานกิจกรรม พื้นที่กิจกรรมสาธารณะหรือลานกีฬากลางแจ้ง ให้จํากัดการรวมกลุ่ม คิดเกณฑ์ 5 ตร.ม./คน และให้รวมกันได้ไม่เกิน 50 คน
(ค) สวนน้ํา สนามเด็กเล่น สวนสนุก ยกเว้นการใช้เครื่องเล่นในลักษณะที่เป็นการติดตั้งชั่วคราวหรือเครื่องเล่นที่มีพื้นผิวสัมผัสมาก ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อการติดโรคในเด็ก เช่นบ้านบอล บ้านลม โดยกรณีสวนน้ํา ให้คิดเกณฑ์ 4 ตร.ม. ต่อผู้ใช้บริการ 1 คน
(ง) สนามกีฬาหรือสถานที่เพื่อการออกกําลังกาย ลานเล่นกีฬา หรือเพื่อการเรียนการสอนในทุกประเภทกีฬา โดยสามารถจัดการแข่งขันและจัดให้มีการถ่ายทอดโทรทัศน์การแข่งขันกีฬาได้ แต่ต้องไม่มีผู้ชมอยู่ในสนามแข่งขัน และผู้จัดการแข่งขันต้องดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่ทางราชการกําหนดด้วย
(จ) ตู้เกม เครื่องเล่นหยอดเหรียญที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายและตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ให้เปิดบริการได้
การขนส่งสาธารณะข้ามเขตจังหวัด กรณีการเดินทางโดยเครื่องบินสามารถที่จะให้บริการได้เกือบปกติ ไม่จําเป็นต้องเว้นที่นั่ง เนื่องจากที่นั่งมีจํานวนน้อยและระยะเวลาการเดินทางไม่ถึง 1 ชั่วโมง แต่จะต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ขึ้นเครื่องบิน ในส่วนการโดยสารประเภทอื่น ๆ เช่น รถโดยสารประจําทาง รถปรับอากาศ รถตู้ระหว่างจังหวัด รถไฟ ให้ผู้โดยสารนั่งติดกัน 2 ที่นั่ง เว้น 1 ที่นั่ง จํากัดจํานวนไม่เกินร้อยละ 70 และให้รถโดยสารสาธารณะทางไกลจอดพักรถทุก 2 ชั่วโมง โดยจะต้องมีการลงทะเบียนเพื่อติดตามตัว
โฆษก ศบค. ได้อธิบายถึงมาตรการควบคุมสําหรับทุกกิจการกิจกรรม ได้แก่ 1. ทําความสะอาดบริเวณพื้นผิวสัมผัสร่วม ห้องสุขา ก่อน-หลัง กิจกรรม 2. กําจัดขยะมูลฝอยทุกวัน 3. ผู้ให้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา 4. ผู้ใช้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัย ทั้งก่อนและหลังกิจกรรม 5. ให้ลงทะเบียนยืนยันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค 6. ควบคุมการเข้า-ออก 7. ลงทะเบียนด้วย Platform “ไทยชนะ” 8. ให้จํานวนผู้ดูแลตามมาตรฐานที่กําหนด และ 9. ให้มีจุดล้างมือบริการเพียงพอ
ในการประชุม นายกรัฐมนตรียังให้ข้อคิดเห็นยังกล่าวถึงการรายงานของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงว่า การตรวจประเมินกิจการ/กิจกรรม ให้ไปในแต่ละสถานที่ต้องเปิดเผย มีกิริยามารยาทที่ดี รับฟังและอดทน หากแนะนําแล้วปรับปรุงไม่ได้ก็อาจจะต้องมีการปิดสถานที่นั้น หากกระทําซ้ําหรือมีเจตนาที่ไม่ดี ก็ต้องใช้มาตรการที่เข้มขึ้น ทั้งลงโทษหรือดําเนินคดี เพื่อให้มาตรการเป็นที่เชื่อถือและประชาชนมั่นใจ
โอกาสนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้นําเสนอ Travel Bubble หรือ การเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวอย่างจํากัด โดยเริ่มต้นด้วยการเลือกเป้าหมายประเทศที่มีความสามารถในการควบคุมการระบาดที่ดี มีการตรวจเชื้ออย่างเข้มงวดตั้งแต่ก่อนออกประเทศและตรวจซ้ําเมื่อถึงประเทศเรา ผู้ที่เดินทางต้องซื้อประกันสุขภาพ เบื้องต้นอาจเป็นนักธุรกิจหรือนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเฉพาะเจาะจง เช่น นักท่องเที่ยวที่จะมาเล่นกอล์ฟ เข้าพักในโรงแรมที่อยู่ในสนามกอล์ฟแล้วเดินทางกลับประเทศสามารถติดตามได้ เรียกว่า Track and Press ซึ่งติดตามผ่านการใช้โทรศัพท์มือถือหรือมีที่อยู่ติดต่อสามารถติดตามได้ทุกคน กลุ่มเป้าหมายคือ 1. กลุ่มนักธุรกิจที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายที่สูง มีการตัดสินใจเดินทางวางแผนเป็นลําดับและมีหนังสือรับรองจากบริษัทสามารถติดตามตัวได้ 2. กลุ่มที่มารับบริการการตรวจรักษาทางการแพทย์ หรือ Medical Tourist ที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายเฉลี่ยสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป มีความจําเป็นในการเดินทางเข้ามา สามารถติดตามจากประวัติการตรวจรักษาและหนังสือรับรองจากโรงพยาบาล ด้านประเทศกลุ่มเป้าหมาย เช่น จีน ฮ่องกง มาเก๊า เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา ตะวันออกกลางบางประเทศ
ทั้งนี้ ผอ. ศบค. เห็นชอบในหลักการ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการชุดย่อยหารือร่วมกันในการลงรายละเอียดตามมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งวิธีการ เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนชาวไทยจะต้องได้รับผลประโยชน์จากการดําเนินการนี้ รวมทั้งประชาชนจะต้องเข้าใจด้วย เพราะเมื่อนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวเดินทางเข้ามาแล้วจะทําให้เกิดรายได้ แต่ก็ต้องมีการควบคุมโรคด้วย ไม่ใช่การนําเชื้อมาติดคนในประเทศ
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. มีมติยกเลิกเคอร์ฟิว พร้อมเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 4 มีผลตั้งแต่ 15 มิถุนายน 63
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563
ศบค. มีมติยกเลิกเคอร์ฟิว พร้อมเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 4 มีผลตั้งแต่ 15 มิถุนายน 63
ศบค. มีมติยกเลิกเคอร์ฟิว พร้อมเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 4 มีผลตั้งแต่ 15 มิถุนายน 63
วันนี้ (12 มิถุนายน 2563) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการหารือโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.) สรุปสาระสําคัญดังนี้
โฆษก ศบค. เผย ที่ประชุม ศบค. มีมติให้ยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถาน แต่ยังคงมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าออกราชอาณาจักรทั้งทางบก/น้ํา/อากาศ เห็นชอบมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 4 โดยจะมีการบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน โดยรายละเอียดของการผ่อนผัน ผ่อนคลาย ได้แก่ การผ่อนผันการใช้อาคารสถานที่โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการ หน่วยงานในกํากับของรัฐ สําหรับการเรียน การสอน อบรม สัมมนา ในรูปแบบวิถีใหม่ ให้การใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนประเภทนานาชาติ หรือสถาบันการศึกษาหลักสูตรนานาชาติ และโรงเรียนนอกระบบ ประเภทกวดวิชา สามารถเปิดทําการได้ โดยการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในระบบที่มีนักเรียนรวมทั้งโรงเรียนไม่เกิน 120 คน รวมถึงโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดน และสามารถเปิดการใช้อาคารสถานที่ของหน่วยงานราชการและหน่วยงานในกํากับของรัฐเพื่อการสอน สัมมนาในหลักสูตรฝึกอบรมที่หน่วยงานจัดขึ้นได้
สําหรับกิจการ/กิจกรรมที่ผ่อนคลายในระยะที่ 4 ประกอบด้วย
1. กิจกรรมด้านเศรษฐกิจและการดําเนินชีวิต
(ก) การจัดประชุม การอบรม การสัมมนา การจัดนิทรรศการ งานพิธี การจัดเลี้ยง การแสดงดนตรี นาฏศิลป์ คอนเสิร์ต หรือการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในโรงแรม โรงมหรสพ ห้องประชุม ศูนย์ประชุม ศูนย์การแสดงสินค้า โรงภาพยนตร์ หรือในสถานที่อื่น ๆ โดยการประชุม อบรม สัมมนา ให้ใช้เกณฑ์ 4 ตร.ม./คน งานจัดเลี้ยง อีเว้นท์ เปิดตัวสินค้า ประกวด แข่งขันกีฬา ให้นั่ง-ยืนเว้นระยะห่าง 1 เมตร และงานดนตรี คอนเสิร์ต ให้ลดความหนาแน่น-ไร้ระเบียบ โดยใช้เกณฑ์ 5 ตร.ม./คน
(ข) การบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในภัตตาคาร สวนอาหาร ศูนย์อาหาร โรงแรม ร้านอาหาร หรือเครื่องดื่มทั่วไป หรือในสถานที่ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และได้ผ่อนคลายให้เปิดดําเนินการอยู่ก่อนแล้ว ให้สามารถทําได้ ยกเว้นในส่วนของสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ และโรงเบียร์ ยังไม่อนุญาตให้ดําเนินการ
(ค) สถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เด็กก่อนวัยเรียน ศูนย์เด็กพิเศษ สถานดูแลผู้สูงอายุ สถานที่บริการดูแล สถานที่พํานักอาศัย หรือสถานสงเคราะห์อื่นที่จัดสวัสดิการให้แก่เด็กหรือผู้สูงอายุ โดยเด็กเล็กแบ่งกลุ่มเล็ก โดยใช้เกณฑ์ 2 ตร.ม./คน และผู้สูงวัย ให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ คัดกรองไข้ และผู้ป่วย
(ง) ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา อุทยานวิทยาศาสตร์ ศูนย์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม กรณีเข้าชมเป็นกลุ่ม ให้แบ่งเป็นกลุ่มเล็ก และเข้าชมเป็นรอบ
(จ) การถ่ายทํารายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวีดีทัศน์ ให้กองถ่ายทํารวมทุกแผนกไม่เกิน 150 คน และมีผู้เข้าชมไม่เกิน 50 คน
2. กิจกรรมด้านการออกกําลังกาย การดูแลสุขภาพหรือสันทนาการ
(ก) การอบตัว อบสมุนไพร หรืออบไอน้ําแบบรวมในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ สปา หรือสถานประกอบการนวดแผนไทย ยกเว้นในส่วนของสถานประกอบกิจการอาบน้ํา สถานประกอบกิจการอาบ อบ นวด ยังไม่อนุญาตให้เปิดดําเนินการ เน้นให้บริการแบบแยกห้องเดี่ยว ส่วนห้องรวม หรือบ่อออนเซ็นรวม ให้ควบคุมจํานวนผู้ใช้บริการ โดยจํากัดจํานวนผู้ใช้บริการต่อรอบ คิดเกณฑ์ 5 ตร.ม./คน
(ข) การออกกําลังกายแบบกลุ่มในสวนสาธารณะ ลานกิจกรรม พื้นที่กิจกรรมสาธารณะหรือลานกีฬากลางแจ้ง ให้จํากัดการรวมกลุ่ม คิดเกณฑ์ 5 ตร.ม./คน และให้รวมกันได้ไม่เกิน 50 คน
(ค) สวนน้ํา สนามเด็กเล่น สวนสนุก ยกเว้นการใช้เครื่องเล่นในลักษณะที่เป็นการติดตั้งชั่วคราวหรือเครื่องเล่นที่มีพื้นผิวสัมผัสมาก ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อการติดโรคในเด็ก เช่นบ้านบอล บ้านลม โดยกรณีสวนน้ํา ให้คิดเกณฑ์ 4 ตร.ม. ต่อผู้ใช้บริการ 1 คน
(ง) สนามกีฬาหรือสถานที่เพื่อการออกกําลังกาย ลานเล่นกีฬา หรือเพื่อการเรียนการสอนในทุกประเภทกีฬา โดยสามารถจัดการแข่งขันและจัดให้มีการถ่ายทอดโทรทัศน์การแข่งขันกีฬาได้ แต่ต้องไม่มีผู้ชมอยู่ในสนามแข่งขัน และผู้จัดการแข่งขันต้องดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่ทางราชการกําหนดด้วย
(จ) ตู้เกม เครื่องเล่นหยอดเหรียญที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายและตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ให้เปิดบริการได้
การขนส่งสาธารณะข้ามเขตจังหวัด กรณีการเดินทางโดยเครื่องบินสามารถที่จะให้บริการได้เกือบปกติ ไม่จําเป็นต้องเว้นที่นั่ง เนื่องจากที่นั่งมีจํานวนน้อยและระยะเวลาการเดินทางไม่ถึง 1 ชั่วโมง แต่จะต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ขึ้นเครื่องบิน ในส่วนการโดยสารประเภทอื่น ๆ เช่น รถโดยสารประจําทาง รถปรับอากาศ รถตู้ระหว่างจังหวัด รถไฟ ให้ผู้โดยสารนั่งติดกัน 2 ที่นั่ง เว้น 1 ที่นั่ง จํากัดจํานวนไม่เกินร้อยละ 70 และให้รถโดยสารสาธารณะทางไกลจอดพักรถทุก 2 ชั่วโมง โดยจะต้องมีการลงทะเบียนเพื่อติดตามตัว
โฆษก ศบค. ได้อธิบายถึงมาตรการควบคุมสําหรับทุกกิจการกิจกรรม ได้แก่ 1. ทําความสะอาดบริเวณพื้นผิวสัมผัสร่วม ห้องสุขา ก่อน-หลัง กิจกรรม 2. กําจัดขยะมูลฝอยทุกวัน 3. ผู้ให้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา 4. ผู้ใช้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัย ทั้งก่อนและหลังกิจกรรม 5. ให้ลงทะเบียนยืนยันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค 6. ควบคุมการเข้า-ออก 7. ลงทะเบียนด้วย Platform “ไทยชนะ” 8. ให้จํานวนผู้ดูแลตามมาตรฐานที่กําหนด และ 9. ให้มีจุดล้างมือบริการเพียงพอ
ในการประชุม นายกรัฐมนตรียังให้ข้อคิดเห็นยังกล่าวถึงการรายงานของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงว่า การตรวจประเมินกิจการ/กิจกรรม ให้ไปในแต่ละสถานที่ต้องเปิดเผย มีกิริยามารยาทที่ดี รับฟังและอดทน หากแนะนําแล้วปรับปรุงไม่ได้ก็อาจจะต้องมีการปิดสถานที่นั้น หากกระทําซ้ําหรือมีเจตนาที่ไม่ดี ก็ต้องใช้มาตรการที่เข้มขึ้น ทั้งลงโทษหรือดําเนินคดี เพื่อให้มาตรการเป็นที่เชื่อถือและประชาชนมั่นใจ
โอกาสนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้นําเสนอ Travel Bubble หรือ การเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวอย่างจํากัด โดยเริ่มต้นด้วยการเลือกเป้าหมายประเทศที่มีความสามารถในการควบคุมการระบาดที่ดี มีการตรวจเชื้ออย่างเข้มงวดตั้งแต่ก่อนออกประเทศและตรวจซ้ําเมื่อถึงประเทศเรา ผู้ที่เดินทางต้องซื้อประกันสุขภาพ เบื้องต้นอาจเป็นนักธุรกิจหรือนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเฉพาะเจาะจง เช่น นักท่องเที่ยวที่จะมาเล่นกอล์ฟ เข้าพักในโรงแรมที่อยู่ในสนามกอล์ฟแล้วเดินทางกลับประเทศสามารถติดตามได้ เรียกว่า Track and Press ซึ่งติดตามผ่านการใช้โทรศัพท์มือถือหรือมีที่อยู่ติดต่อสามารถติดตามได้ทุกคน กลุ่มเป้าหมายคือ 1. กลุ่มนักธุรกิจที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายที่สูง มีการตัดสินใจเดินทางวางแผนเป็นลําดับและมีหนังสือรับรองจากบริษัทสามารถติดตามตัวได้ 2. กลุ่มที่มารับบริการการตรวจรักษาทางการแพทย์ หรือ Medical Tourist ที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายเฉลี่ยสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป มีความจําเป็นในการเดินทางเข้ามา สามารถติดตามจากประวัติการตรวจรักษาและหนังสือรับรองจากโรงพยาบาล ด้านประเทศกลุ่มเป้าหมาย เช่น จีน ฮ่องกง มาเก๊า เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา ตะวันออกกลางบางประเทศ
ทั้งนี้ ผอ. ศบค. เห็นชอบในหลักการ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการชุดย่อยหารือร่วมกันในการลงรายละเอียดตามมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งวิธีการ เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนชาวไทยจะต้องได้รับผลประโยชน์จากการดําเนินการนี้ รวมทั้งประชาชนจะต้องเข้าใจด้วย เพราะเมื่อนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวเดินทางเข้ามาแล้วจะทําให้เกิดรายได้ แต่ก็ต้องมีการควบคุมโรคด้วย ไม่ใช่การนําเชื้อมาติดคนในประเทศ
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32269
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม พิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือชุมชนชาวเลหาดราไวย์
|
วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2559
กระทรวงยุติธรรม พิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือชุมชนชาวเลหาดราไวย์
พันตํารวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปัญหาด้านคดีความ กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๙ เวลา ๑๑.๐๐ น.
พันตํารวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปัญหาด้านคดีความ กฎหมาย
และกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙
เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ
รวมทั้งการพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือชุมชนชาวเลหาดราไวย์
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม พิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือชุมชนชาวเลหาดราไวย์
วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2559
กระทรวงยุติธรรม พิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือชุมชนชาวเลหาดราไวย์
พันตํารวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปัญหาด้านคดีความ กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๙ เวลา ๑๑.๐๐ น.
พันตํารวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปัญหาด้านคดีความ กฎหมาย
และกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙
เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ
รวมทั้งการพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือชุมชนชาวเลหาดราไวย์
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1096
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. หนุนใช้การแพทย์แม่นยำคัดกรอง ตรวจ รักษาเฉพาะบุคคล ลดสูญเสียสุขภาพ ลดการเสียชีวิต
|
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562
สธ. หนุนใช้การแพทย์แม่นยําคัดกรอง ตรวจ รักษาเฉพาะบุคคล ลดสูญเสียสุขภาพ ลดการเสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุข หนุนใช้การแพทย์แม่นยําคัดกรอง ตรวจ รักษาเฉพาะบุคคลเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการแพทย์ เข้าถึงยาและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับพันธุกรรมของแต่ละบุคคล ลดภาวะแทรกซ้อน ลดต้นทุน ลดสูญเสียสุขภาพและลดการเสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุข หนุนใช้การแพทย์แม่นยําคัดกรอง ตรวจ รักษาเฉพาะบุคคลเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการแพทย์ เข้าถึงยาและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับพันธุกรรมของแต่ละบุคคล ลดภาวะแทรกซ้อน ลดต้นทุน ลดสูญเสียสุขภาพและลดการเสียชีวิต
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดประชุมสัมมนาวิชาการ การบริหารจัดการโรงพยาบาล ครั้งที่ 5 ภายใต้หัวข้อ “การสาธารณสุขแม่นยําและการแพทย์แม่นยํา” (Precision Public Health & Precision Medicine) ที่อิมแพค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เพื่อพัฒนาด้านการบริหารจัดการโรงพยาบาลให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง สร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในระดับนานาชาติ โดยมีผู้บริหารและบุคลากรจากโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน และคณะกรรมการบริหารสมาคมนักบริหารเข้าร่วมประชุมกว่า 300 คน ทั้งนี้ภายในงานมีการมอบรางวัลนักบริหารโรงพยาบาลดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2562 ให้แก่นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และรางวัลนักบริหารโรงพยาบาลดีเด่น ประจําปี 2562 จํานวน 8 ประเภท แก่ผู้บริหารและบุคลากรด้านสาธารณสุขที่ประสบความสําเร็จในการบริหารโรงพยาบาล และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ เป็นที่ยอมรับและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สาธารณชน จํานวน 18 ราย
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า ขณะนี้ความคืบหน้าของการขับเคลื่อนเรื่องการสาธารณสุขแม่นยําและการแพทย์แม่นยําในประเทศไทย มีหลายหน่วยงานที่ได้ดําเนินการ เช่น 1.โครงการ Genomic Thailand เป็นความร่วมมือของ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศึกษาธิการ และสาธารณสุข นําข้อมูลทางพันธุกรรมมนุษย์มาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งเป็นการดูแลรักษาและป้องกันโรคที่มุ่งเน้นตามความแตกต่างทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละคน ทําให้สามารถเข้าถึงยาและนวัตกรรมการรักษาที่เหมาะสม เป็นการเพิ่มโอกาสการรักษาช่วยให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้นและลดค่าใช้จ่าย 2.โครงการรักษาโรคมะเร็ง โดยการใช้เทคโนโลยีทางอณูพันธุศาสตร์ เพื่อคัดกรองผู้ป่วยในระยะเริ่มต้น หากสามารถตรวจพบได้เร็ว จะช่วยป้องกันการเข้าสู่ระยะสุดท้ายได้ 3.โครงการวิจัยเกี่ยวกับการรักษาด้วยการแพทย์แม่นยําในโรคมะเร็งกระดูก และ 4.การเลือกการรักษาทางการแพทย์และการให้ยาในปริมาณที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วยแบบจําเพาะต่อบุคคลในผู้ป่วยโรคไต (Personalized Medicine in Kidney Diseases) ซึ่งพบว่า การตรวจปัสสาวะหรือเลือดโดยไม่ต้องเจาะไต สามารถทํานายโอกาสเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของไต ทํานายการดําเนินโรคไปสู่ไตเรื้อรังระยะสุดท้าย และพยากรณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนของหัวใจและหลอดเลือดได้
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตการสาธารณสุขแม่นยําและการแพทย์แม่นยําจะต้องถูกพัฒนาและนํามาใช้ในระบบอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยลดความซ้ําซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการดําเนินการวินิจฉัยและรักษาโรคที่ไวกว่าเดิม รักษาตั้งแต่ยังไม่มีอาการ โอกาสรักษาหายจึงสูงขึ้น
****************************** 28 กุมภาพันธ์ 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. หนุนใช้การแพทย์แม่นยำคัดกรอง ตรวจ รักษาเฉพาะบุคคล ลดสูญเสียสุขภาพ ลดการเสียชีวิต
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562
สธ. หนุนใช้การแพทย์แม่นยําคัดกรอง ตรวจ รักษาเฉพาะบุคคล ลดสูญเสียสุขภาพ ลดการเสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุข หนุนใช้การแพทย์แม่นยําคัดกรอง ตรวจ รักษาเฉพาะบุคคลเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการแพทย์ เข้าถึงยาและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับพันธุกรรมของแต่ละบุคคล ลดภาวะแทรกซ้อน ลดต้นทุน ลดสูญเสียสุขภาพและลดการเสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุข หนุนใช้การแพทย์แม่นยําคัดกรอง ตรวจ รักษาเฉพาะบุคคลเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการแพทย์ เข้าถึงยาและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับพันธุกรรมของแต่ละบุคคล ลดภาวะแทรกซ้อน ลดต้นทุน ลดสูญเสียสุขภาพและลดการเสียชีวิต
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดประชุมสัมมนาวิชาการ การบริหารจัดการโรงพยาบาล ครั้งที่ 5 ภายใต้หัวข้อ “การสาธารณสุขแม่นยําและการแพทย์แม่นยํา” (Precision Public Health & Precision Medicine) ที่อิมแพค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เพื่อพัฒนาด้านการบริหารจัดการโรงพยาบาลให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง สร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในระดับนานาชาติ โดยมีผู้บริหารและบุคลากรจากโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน และคณะกรรมการบริหารสมาคมนักบริหารเข้าร่วมประชุมกว่า 300 คน ทั้งนี้ภายในงานมีการมอบรางวัลนักบริหารโรงพยาบาลดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2562 ให้แก่นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และรางวัลนักบริหารโรงพยาบาลดีเด่น ประจําปี 2562 จํานวน 8 ประเภท แก่ผู้บริหารและบุคลากรด้านสาธารณสุขที่ประสบความสําเร็จในการบริหารโรงพยาบาล และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ เป็นที่ยอมรับและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สาธารณชน จํานวน 18 ราย
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า ขณะนี้ความคืบหน้าของการขับเคลื่อนเรื่องการสาธารณสุขแม่นยําและการแพทย์แม่นยําในประเทศไทย มีหลายหน่วยงานที่ได้ดําเนินการ เช่น 1.โครงการ Genomic Thailand เป็นความร่วมมือของ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศึกษาธิการ และสาธารณสุข นําข้อมูลทางพันธุกรรมมนุษย์มาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งเป็นการดูแลรักษาและป้องกันโรคที่มุ่งเน้นตามความแตกต่างทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละคน ทําให้สามารถเข้าถึงยาและนวัตกรรมการรักษาที่เหมาะสม เป็นการเพิ่มโอกาสการรักษาช่วยให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้นและลดค่าใช้จ่าย 2.โครงการรักษาโรคมะเร็ง โดยการใช้เทคโนโลยีทางอณูพันธุศาสตร์ เพื่อคัดกรองผู้ป่วยในระยะเริ่มต้น หากสามารถตรวจพบได้เร็ว จะช่วยป้องกันการเข้าสู่ระยะสุดท้ายได้ 3.โครงการวิจัยเกี่ยวกับการรักษาด้วยการแพทย์แม่นยําในโรคมะเร็งกระดูก และ 4.การเลือกการรักษาทางการแพทย์และการให้ยาในปริมาณที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วยแบบจําเพาะต่อบุคคลในผู้ป่วยโรคไต (Personalized Medicine in Kidney Diseases) ซึ่งพบว่า การตรวจปัสสาวะหรือเลือดโดยไม่ต้องเจาะไต สามารถทํานายโอกาสเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของไต ทํานายการดําเนินโรคไปสู่ไตเรื้อรังระยะสุดท้าย และพยากรณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนของหัวใจและหลอดเลือดได้
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตการสาธารณสุขแม่นยําและการแพทย์แม่นยําจะต้องถูกพัฒนาและนํามาใช้ในระบบอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยลดความซ้ําซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการดําเนินการวินิจฉัยและรักษาโรคที่ไวกว่าเดิม รักษาตั้งแต่ยังไม่มีอาการ โอกาสรักษาหายจึงสูงขึ้น
****************************** 28 กุมภาพันธ์ 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19050
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
|
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
นายยุทธพล อังกินันท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายโสภณ ทองดี โฆษกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเจ้าหน้าที่สํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดขอนแก่น ได้ลงพื้นที่ บ้านชีกกค้อ ตําบลเมืองเ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2562 กระทรวงทรัพยากรธรรมขาติและสิ่งแวดล้อม โดย นายยุทธพล อังกินันท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายโสภณ ทองดี โฆษกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่สํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดขอนแก่น และเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด ทส. ในพื้นที่ ได้ลงพื้นที่ บ้านชีกกค้อ ตําบลเมืองเพีย อําเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย มอบถุงยังชีพ น้ําดื่ม และตรวจเยี่ยมจุดบริการประชาชน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมขาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ในครั้งนี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
นายยุทธพล อังกินันท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายโสภณ ทองดี โฆษกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเจ้าหน้าที่สํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดขอนแก่น ได้ลงพื้นที่ บ้านชีกกค้อ ตําบลเมืองเ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2562 กระทรวงทรัพยากรธรรมขาติและสิ่งแวดล้อม โดย นายยุทธพล อังกินันท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายโสภณ ทองดี โฆษกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่สํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดขอนแก่น และเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด ทส. ในพื้นที่ ได้ลงพื้นที่ บ้านชีกกค้อ ตําบลเมืองเพีย อําเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย มอบถุงยังชีพ น้ําดื่ม และตรวจเยี่ยมจุดบริการประชาชน ของกระทรวงทรัพยากรธรรมขาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ในครั้งนี้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22698
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงกรณีการให้วงเงินชำระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ
|
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561
ชี้แจงกรณีการให้วงเงินชําระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ
ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวสารในสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการให้วงเงินชําระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ นั้น
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวสารในสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการให้วงเงินชําระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ ดังนี้
1. วงเงินที่ได้รับในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถนําไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้เฉพาะสินค้าที่มีจําหน่ายในร้านธงฟ้าประชารัฐที่ติดตั้งเครื่องรับชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) เท่านั้น ทําให้ไม่สามารถนําไปชําระค่าสินค้าอื่น ๆ ได้ เช่น ก๋วยเตี๋ยว เผือกทอด กล้วยฉาบ เป็นต้น
2. ร้านธงฟ้าประชารัฐมีจํานวนน้อย ทําให้ประชาชนไม่สะดวกต่อการเดินทาง
3. ร้านค้าที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐได้รับผลกระทบ เนื่องจากประชาชนไปซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐแทน
4. สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีจําหน่ายในร้านธงฟ้าประชารัฐส่วนใหญ่เป็นสินค้าของผู้ผลิตขนาดใหญ่ ดังนั้น การที่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถซื้อสินค้าได้เฉพาะในร้านธงฟ้าประชารัฐเท่านั้น เท่ากับเป็นการอุดหนุนซื้อสินค้าจากผู้ผลิตขนาดใหญ่
5. มีสินค้าโอทอป (OTOP) จําหน่ายในร้านธงฟ้าประชารัฐจํานวนไม่มาก จึงไม่เป็นการสนับสนุนสินค้าชุมชน
6. ผลประกอบการของร้านธงฟ้าประชารัฐไม่มีกําไร เนื่องจากจําหน่ายสินค้าได้น้อย และมีต้นทุน ด้านบุคลากรและการดําเนินงาน
7. การชําระค่าสินค้าด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีการคิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.5 - 3
8. การจัดซื้อจัดจ้างในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีแนวโน้มว่ามีการทุจริต
กระทรวงการคลังขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ของการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการชําระค่าสินค้าหรือบริการที่ร้านค้าหรือหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการแล้ว ยังช่วยให้ภาครัฐสามารถติดตามและประเมินผลการให้สวัสดิการที่ให้การช่วยเหลือได้ ซึ่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถนําไปใช้จ่าย เพื่อชําระค่าสินค้าที่จําเป็นในชีวิตประจําวันที่ประชาชนอุปโภคบริโภคอยู่แล้ว เช่น ข้าวสาร เครื่องปรุงรส เป็นต้น ในวงเงินเดือนละไม่เกิน 300 บาท ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนจะมีการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าเหล่านี้ในจํานวนที่สูงกว่าวงเงินข้างต้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของครัวเรือน จึงเท่ากับว่าการให้วงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 300 บาท ทําให้ประชาชนมีเงินคงเหลือเพิ่มขึ้น 300 บาท เพื่อนําไปใช้ซื้อสินค้าอื่นๆ ได้ตามที่ต้องการ รวมถึงก๋วยเตี๋ยว เผือกทอด เป็นต้น รวมทั้งเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนในการชําระค่าสินค้าและบริการในชีวิตประจําวันด้วยเงินสดเป็นหลัก ไปสู่ระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และลดปริมาณเอกสารทางการเงินเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society)
2. กรมบัญชีกลางได้ดําเนินการติดตั้งเครื่อง EDC ณ ร้านธงฟ้าประชารัฐแล้วจํานวน 18,806 ร้านค้า และพร้อมจะติดตั้งเครื่อง EDC ให้อีก 20,000 ร้านค้าทั่วประเทศภายในเดือนพฤษภาคม 2561 ประกอบด้วยร้านธงฟ้าประชารัฐ 10,000 เครื่อง และร้านประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (ร้านค้าชุมชน) 10,000 เครื่อง โดยได้ติดตั้งเครื่อง EDC ในร้านธงฟ้าประชารัฐระหว่างวันที่ 8 - 12 พฤษภาคม 2561 ไปแล้วจํานวน 9,051 ร้านค้า ซึ่งเป็นการทํางานร่วมกันระหว่างกรมบัญชีกลางและกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะพิจารณาคัดเลือกที่ตั้งร้านธงฟ้าประชารัฐเพื่อติดตั้งเครื่อง EDC ให้มีความครอบคลุมพื้นที่และสอดคล้องกับจํานวนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในทุกพื้นที่ ซึ่งเป็นการอํานวยความสะดวกให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
3. ร้านค้าชุมชนอื่น ๆ ที่มองว่าอาจได้รับผลกระทบจากการถูกแย่งลูกค้าของร้านธงฟ้าประชารัฐนั้น หากร้านค้าชุมชนนั้น ๆ มีความประสงค์เข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐก็สามารถทําได้ และการเข้าร่วมโครงการยังอาจได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนด้วย แต่หากไม่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ ร้านค้าชุมชนอาจปรับเปลี่ยนไปจําหน่ายสินค้าประเภทอื่น ๆ ที่ยังเป็นที่ต้องการของชุมชน เพื่อสามารถแข่งขันกับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐได้
4. - 5. ร้านธงฟ้าประชารัฐมีความหลากหลายของสินค้า ทั้งด้านยี่ห้อ คุณภาพ และราคา ซึ่งสินค้าที่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อส่วนใหญ่เป็นสินค้าจําเป็นในชีวิตประจําวันที่ปกติมีการซื้อในร้านค้าทั่วไปอยู่แล้วแม้ไม่มีโครงการนี้ ขณะเดียวกันร้านธงฟ้าประชารัฐยังมีสินค้าชุมชนวางจําหน่ายด้วย รวมทั้งปัจจุบันมีร้านค้าชุมชนที่ได้รับการติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้วยแล้ว ทั้งนี้ ร้านธงฟ้าประชารัฐแต่ละร้านจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าควรจะนําสินค้าใดมาจําหน่ายในร้านค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในชุมชนนั้น
6. ที่ผ่านมากรมบัญชีกลางได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อรับชําระค่าสินค้า ดังนั้น จึงมิได้เป็นการเพิ่มต้นทุนให้แก่ร้านค้า ในทางตรงกันข้ามร้านค้ายังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการรับชําระค่าสินค้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกเหนือจากการรับชําระค่าสินค้าด้วยเงินสดตามปกติ
7. การเข้าร่วมเป็นร้านธงฟ้าประชารัฐนั้น ร้านค้าต้องไม่จําหน่ายสินค้าในราคาที่เกินกว่าราคาขายปลีกที่กําหนดไว้ ในกรณีที่ร้านค้าได้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้านค้าต้องแสดง ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภพ. 20) ณ สถานประกอบการในที่เปิดเผย ซึ่งเห็นได้ง่าย และหากร้านค้ายังไม่ได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มในราคาสินค้า ร้านค้าสามารถเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เพิ่มเติมจากราคาสินค้าที่ยังมิได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มได้ในอัตราร้อยละ 7 โดยต้องจําหน่ายสินค้าในราคาเดียวกันแก่ผู้ซื้อทุกราย (ซึ่งในประเด็นนี้กระทรวงการคลังได้มีการชี้แจงในรายละเอียดแล้ว ปรากฏตามเอกสารแถลงข่าวกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 75/2561 ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2561)
8. สําหรับประเด็นการจัดซื้อจัดจ้างบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กรมบัญชีกลางได้มีการตรวจสอบแล้วไม่พบมีการทุจริต
รองโฆษกกระทรวงการคลัง เน้นย้ําว่า “การดําเนินการให้ความช่วยเหลือโดยดําเนินการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นการดําเนินการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระดับชาติ คือ การมุ่งสู่สังคมไร้เงินสด นอกจากนี้ยังมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้เนื่องจากเป็นการให้วงเงินใช้จ่ายในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถึงมือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยตรง” และในส่วนของร้านธงฟ้าประชารัฐนั้น จุดประสงค์ของการจัดตั้งโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐก็เพื่อเป็นทางเลือกในการซื้อสินค้า และลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็นให้แก่ประชาชน อย่างไรก็ดี หากพบเห็นร้านธงฟ้าประชารัฐฉวยโอกาสหรือเอาเปรียบประชาชน ขอให้แจ้งเบาะแสชื่อร้านค้าและที่ตั้งร้านค้า ได้ที่กรมสรรพากร สํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ สายด่วน 1569 กรมการค้าภายใน หรือสํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3509
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงกรณีการให้วงเงินชำระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561
ชี้แจงกรณีการให้วงเงินชําระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ
ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวสารในสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการให้วงเงินชําระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ นั้น
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวสารในสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการให้วงเงินชําระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ ดังนี้
1. วงเงินที่ได้รับในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถนําไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้เฉพาะสินค้าที่มีจําหน่ายในร้านธงฟ้าประชารัฐที่ติดตั้งเครื่องรับชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) เท่านั้น ทําให้ไม่สามารถนําไปชําระค่าสินค้าอื่น ๆ ได้ เช่น ก๋วยเตี๋ยว เผือกทอด กล้วยฉาบ เป็นต้น
2. ร้านธงฟ้าประชารัฐมีจํานวนน้อย ทําให้ประชาชนไม่สะดวกต่อการเดินทาง
3. ร้านค้าที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐได้รับผลกระทบ เนื่องจากประชาชนไปซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐแทน
4. สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีจําหน่ายในร้านธงฟ้าประชารัฐส่วนใหญ่เป็นสินค้าของผู้ผลิตขนาดใหญ่ ดังนั้น การที่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถซื้อสินค้าได้เฉพาะในร้านธงฟ้าประชารัฐเท่านั้น เท่ากับเป็นการอุดหนุนซื้อสินค้าจากผู้ผลิตขนาดใหญ่
5. มีสินค้าโอทอป (OTOP) จําหน่ายในร้านธงฟ้าประชารัฐจํานวนไม่มาก จึงไม่เป็นการสนับสนุนสินค้าชุมชน
6. ผลประกอบการของร้านธงฟ้าประชารัฐไม่มีกําไร เนื่องจากจําหน่ายสินค้าได้น้อย และมีต้นทุน ด้านบุคลากรและการดําเนินงาน
7. การชําระค่าสินค้าด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีการคิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.5 - 3
8. การจัดซื้อจัดจ้างในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีแนวโน้มว่ามีการทุจริต
กระทรวงการคลังขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ของการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการชําระค่าสินค้าหรือบริการที่ร้านค้าหรือหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการแล้ว ยังช่วยให้ภาครัฐสามารถติดตามและประเมินผลการให้สวัสดิการที่ให้การช่วยเหลือได้ ซึ่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถนําไปใช้จ่าย เพื่อชําระค่าสินค้าที่จําเป็นในชีวิตประจําวันที่ประชาชนอุปโภคบริโภคอยู่แล้ว เช่น ข้าวสาร เครื่องปรุงรส เป็นต้น ในวงเงินเดือนละไม่เกิน 300 บาท ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนจะมีการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าเหล่านี้ในจํานวนที่สูงกว่าวงเงินข้างต้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของครัวเรือน จึงเท่ากับว่าการให้วงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 300 บาท ทําให้ประชาชนมีเงินคงเหลือเพิ่มขึ้น 300 บาท เพื่อนําไปใช้ซื้อสินค้าอื่นๆ ได้ตามที่ต้องการ รวมถึงก๋วยเตี๋ยว เผือกทอด เป็นต้น รวมทั้งเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนในการชําระค่าสินค้าและบริการในชีวิตประจําวันด้วยเงินสดเป็นหลัก ไปสู่ระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และลดปริมาณเอกสารทางการเงินเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society)
2. กรมบัญชีกลางได้ดําเนินการติดตั้งเครื่อง EDC ณ ร้านธงฟ้าประชารัฐแล้วจํานวน 18,806 ร้านค้า และพร้อมจะติดตั้งเครื่อง EDC ให้อีก 20,000 ร้านค้าทั่วประเทศภายในเดือนพฤษภาคม 2561 ประกอบด้วยร้านธงฟ้าประชารัฐ 10,000 เครื่อง และร้านประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (ร้านค้าชุมชน) 10,000 เครื่อง โดยได้ติดตั้งเครื่อง EDC ในร้านธงฟ้าประชารัฐระหว่างวันที่ 8 - 12 พฤษภาคม 2561 ไปแล้วจํานวน 9,051 ร้านค้า ซึ่งเป็นการทํางานร่วมกันระหว่างกรมบัญชีกลางและกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะพิจารณาคัดเลือกที่ตั้งร้านธงฟ้าประชารัฐเพื่อติดตั้งเครื่อง EDC ให้มีความครอบคลุมพื้นที่และสอดคล้องกับจํานวนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในทุกพื้นที่ ซึ่งเป็นการอํานวยความสะดวกให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
3. ร้านค้าชุมชนอื่น ๆ ที่มองว่าอาจได้รับผลกระทบจากการถูกแย่งลูกค้าของร้านธงฟ้าประชารัฐนั้น หากร้านค้าชุมชนนั้น ๆ มีความประสงค์เข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐก็สามารถทําได้ และการเข้าร่วมโครงการยังอาจได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนด้วย แต่หากไม่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ ร้านค้าชุมชนอาจปรับเปลี่ยนไปจําหน่ายสินค้าประเภทอื่น ๆ ที่ยังเป็นที่ต้องการของชุมชน เพื่อสามารถแข่งขันกับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐได้
4. - 5. ร้านธงฟ้าประชารัฐมีความหลากหลายของสินค้า ทั้งด้านยี่ห้อ คุณภาพ และราคา ซึ่งสินค้าที่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อส่วนใหญ่เป็นสินค้าจําเป็นในชีวิตประจําวันที่ปกติมีการซื้อในร้านค้าทั่วไปอยู่แล้วแม้ไม่มีโครงการนี้ ขณะเดียวกันร้านธงฟ้าประชารัฐยังมีสินค้าชุมชนวางจําหน่ายด้วย รวมทั้งปัจจุบันมีร้านค้าชุมชนที่ได้รับการติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้วยแล้ว ทั้งนี้ ร้านธงฟ้าประชารัฐแต่ละร้านจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าควรจะนําสินค้าใดมาจําหน่ายในร้านค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในชุมชนนั้น
6. ที่ผ่านมากรมบัญชีกลางได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อรับชําระค่าสินค้า ดังนั้น จึงมิได้เป็นการเพิ่มต้นทุนให้แก่ร้านค้า ในทางตรงกันข้ามร้านค้ายังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการรับชําระค่าสินค้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกเหนือจากการรับชําระค่าสินค้าด้วยเงินสดตามปกติ
7. การเข้าร่วมเป็นร้านธงฟ้าประชารัฐนั้น ร้านค้าต้องไม่จําหน่ายสินค้าในราคาที่เกินกว่าราคาขายปลีกที่กําหนดไว้ ในกรณีที่ร้านค้าได้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้านค้าต้องแสดง ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภพ. 20) ณ สถานประกอบการในที่เปิดเผย ซึ่งเห็นได้ง่าย และหากร้านค้ายังไม่ได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มในราคาสินค้า ร้านค้าสามารถเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เพิ่มเติมจากราคาสินค้าที่ยังมิได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มได้ในอัตราร้อยละ 7 โดยต้องจําหน่ายสินค้าในราคาเดียวกันแก่ผู้ซื้อทุกราย (ซึ่งในประเด็นนี้กระทรวงการคลังได้มีการชี้แจงในรายละเอียดแล้ว ปรากฏตามเอกสารแถลงข่าวกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 75/2561 ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2561)
8. สําหรับประเด็นการจัดซื้อจัดจ้างบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กรมบัญชีกลางได้มีการตรวจสอบแล้วไม่พบมีการทุจริต
รองโฆษกกระทรวงการคลัง เน้นย้ําว่า “การดําเนินการให้ความช่วยเหลือโดยดําเนินการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นการดําเนินการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระดับชาติ คือ การมุ่งสู่สังคมไร้เงินสด นอกจากนี้ยังมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้เนื่องจากเป็นการให้วงเงินใช้จ่ายในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถึงมือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยตรง” และในส่วนของร้านธงฟ้าประชารัฐนั้น จุดประสงค์ของการจัดตั้งโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐก็เพื่อเป็นทางเลือกในการซื้อสินค้า และลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็นให้แก่ประชาชน อย่างไรก็ดี หากพบเห็นร้านธงฟ้าประชารัฐฉวยโอกาสหรือเอาเปรียบประชาชน ขอให้แจ้งเบาะแสชื่อร้านค้าและที่ตั้งร้านค้า ได้ที่กรมสรรพากร สํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ สายด่วน 1569 กรมการค้าภายใน หรือสํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3509
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12174
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เปิดงานศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี ปี 2561 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 19 สิงหาคมนี้ ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี
|
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรี เปิดงานศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี ปี 2561 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 19 สิงหาคมนี้ ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี
นายกรัฐมนตรี เปิดงานศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี ปี 2561 เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 19 สิงหาคมนี้ ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี
วันนี้ (13 ส.ค.61) เวลา17.30น. ณ เวทีกลาง อาคารชาเลนเจอร์2ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีเปิดงานศิลปาชีพ ประทีปไทยOTOPก้าวไกลด้วยพระบารมี ปี พ.ศ.2561 ครั้งที่ 7 ภายใต้แนวคิด “การส่งเสริมงานศิลปาชีพ”เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย ที่ทรงส่งเสริมอาชีพและช่วยเหลือราษฎรให้มีอาชีพเสริม เพิ่มรายได้อย่างกว้างขวาง ภายใต้โครงการส่งเสริมศิลปาชีพ และมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานศิลปาชีพให้พสกนิกรชาวไทยได้สํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อการอนุรักษ์และส่งเสริมฝีมือภูมิปัญญาของคนไทย ก่อให้เกิดช่องทางการตลาดและสร้างรายได้ให้กับชุมชน ซึ่งการดําเนินงานโครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ถือเป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก เพื่อเพิ่มรายได้และลดความเหลื่อมล้ําของประชาชนซึ่งมีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจแต่ละภูมิภาค รัฐบาล โดยกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย จึงได้จัดงานดังกล่าวขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 19 สิงหาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1- 3 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยพิธีเปิดฯ มีผู้เข้าร่วมงาน ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี อาทิ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ฯลฯคณะทูตานุทูต ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการอํานวยการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ผู้ว่าราชการจังหวัด พัฒนาการจังหวัด ผู้บริหารกรมพัฒนาชุมชน ตลอดจนประชาชนและสื่อมวลชนจํานวนกว่า 1,000 คน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี และภริยา ได้ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พร้อมลงนามถวายพระพร และชมการแสดงชุด “สืบสานศิลปาชีพ เทิดไท้แม่แห่งแผ่นดิน” โดยคณะเพชรจรัสแสง
พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงานว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ โดยมุ่งเน้นการกระจายรายได้สู่ประชาชนในระดับฐานราก โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนประชาชนในกลุ่มต่าง ๆ ทั้งผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้สูง เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงอย่างระบบเป็นห่วงโซ่ในการสร้างมูลค่า เพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม ด้วยการสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในชุมชน ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมผลิตภัณฑ์OTOPซึ่งเป็นการขยายผลและสนับสนุนโครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และพัฒนายกระดับผลิตภัณฑ์OTOPภูมิปัญญาท้องถิ่นให้มีคุณค่ามากขึ้น มีมูลค่าเพิ่มและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคและตลาดโลกขณะที่การพัฒนาผู้ผลิต และผู้ประกอบการ ก็จะเป็นการยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ระดับ 1–3ดาวเพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้กว้างและก้าวไกลสู่สากลมากยิ่งขึ้นทั้งตลาดต่างประเทศและตลาดออนไลน์
สําหรับการจัดงาน ศิลปาชีพ ประทีปไทยOTOPก้าวไกล ด้วยพระบารมี ครั้งนี้ เป็นวาระสําคัญยิ่งที่ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่ทรงมีพระราชปณิธานสืบสานงานตามโครงการตามพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้นโดยเฉพาะทรงให้การสนับสนุน ส่งเสริม ฟื้นฟู อนุรักษ์ อุปภัมภ์งานศิลปะของแผ่นดินไทย ทั้งงานศิลปะพื้นบ้าน และงานหัตถศิลป์อันงดงามหลากหลายสาขาอาทิ ผ้าไทยที่มีทั้งคุณค่าและความปราณีตงดงาม ได้แก่ งานผ้าไหม ผ้าทอ ผ้าปัก
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่า การดําเนินการทุกอย่างต้องมีการสืบสานต่อยอดต่อไป โดยเฉพาะปัจจุบันต้องนําความเป็นไทยและอัตลักษณ์ของท้องถิ่นผสมผสานประยุกต์กับความเป็นสากลให้เกิดความสวยงามที่สอดคลองลงตัวมีความเป็นเอกลักณ์เฉพาะตัวของตนเองให้เกิดความภาคภูมิใจร่วมกันเพื่อพัฒนาประเทศไปสู่อนาคต
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงความเป็นมาเกี่ยวกับการก่อเกิดเป็น“มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ”ว่าเมื่อปี 2513 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในจังหวัดนครพนมพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดําเนินเยี่ยมราษฎร เพื่อพระราชทานสิ่งของและเครื่องอุปโภคบริโภคบรรเทาความเดือดร้อนและพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระราชปรารภว่าการนําสิ่งของไปแจกเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่จะทําอย่างไร จึงจะทําให้ชาวบ้านช่วยเหลือตนเองได้ในระยะยาวสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9ทอดพระเนตรเห็นชาวบ้านที่มารับเสด็จ แต่งกายนุ่งซิ่นไหมมัดหมี่ที่มีความสวยงามจึงทรงให้การส่งเสริมการทอผ้าไหมมัดหมี่ไว้เป็นอาชีพเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวของประชาชนและได้ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการซื้อผ้าไหมมัดหมี่จากประชาชนจากนั้นจึงก่อเกิดเป็น“มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ”และทําให้งานจากภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่นกลายเป็นผลิตภัณฑ์OTOPที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยจากชุมชนให้อยู่ในระดับแนวหน้าของประเทศ ซึ่งการก่อเกิด“มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ”นับตั้งแต่ปี 2513 จนถึงปัจจุบันใช้เวลาหลายสิบปี และหากไม่มีวันนั้นก็ไม่มีวันนี้ จึงฝากให้ทุกคนได้ตระหนักและนึกถึงความเป็นมาและประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นทุกเรื่อง เพื่อจะได้เห็นที่มาซึ่งนํามาสู่ความสําเร็จที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้
ทั้งนี้ ปัจจุบันได้มีการจัดทําข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการส่งเสริมผลิตภัณฑ์OTOPศิลปาชีพให้มีตลาดที่หลากหลายและช่องทางการจําหน่ายที่กว้างขวางมากขึ้น ได้แก่กรมการพัฒนาชุมชน กรมพัฒนาธุรกิจการค้าบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด(มหาชน) บริษัทไปรษณีย์ไทยจํากัด (มหาชน) บริษัท คิงพาวเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัดบริษัท มอลล์ (ไทยแลนด์) จํากัด (มหาชน) รวมทั้ง ยังมีช่องทางการจําหน่ายผ่านแคตตาล็อกและเว็บไซต์Thailandmall.comด้วย
พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําถึงผลิตภัณฑ์OTOPที่ประสบความสําเร็จว่า คือการนําผลิตภัณฑ์OTOPไปจําหน่ายบนเครื่องบินสายการบินไทย ทั้งผลิตภัณฑ์OTOPประเภทอาหารพร้อมเสิร์ฟบนเครื่องบิน บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ผลิตภัณฑ์OTOPที่จําหน่ายของบริษัท คิงพาวเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ผลิตภัณฑ์OTOPที่จําหน่ายผ่านแคตตาล็อกที่จัดวางไว้หน้าที่นั่งผู้โดยสาร ผลิตภัณฑ์OTOPที่จําหน่ายผ่านผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นช่องทางโดยตรงที่สามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ไปสู่สากล ได้อย่างน่าภาคภูมิทั้งนี้ สิ่งสําคัญของการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP คือ ต้องดําเนินการให้ครอบคลุมทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ไปจนถึงปลายทาง โดยเฉพาะศึกษาเรื่องการตลาดให้ชัดเจน เพื่อใช้การตลาดนําการผลิต ซึ่งจะนําไปสู่การผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและตลาด ทําให้ผลิตภัณฑ์ OTOP และสินค้าทางการเกษตรได้ราคาที่เหมาะสม ป้องกันราคาตกต่ําอีกด้วย
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงาน ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี ครั้งที่ 7 นี้ ยังเป็นโอกาสดีที่ประชาชนไทยจะได้ร่วมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2561 “องค์อัคราภิรักษ์ศิลปิน” มิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย และเลือกซื้อสินค้าชุมชนที่ดีที่สุด เป็นผลิตภัณฑ์จากชุมชนที่เป็นผลิตภัณฑ์ฝีมือคนไทย อันทรงคุณค่าด้วยภูมิปัญญาไทย อีกทั้งยังตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศมีความมั่นคงอย่างยั่งยืน และเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งสิ่งสําคัญคือจะทําอย่างไรที่จะเผยแพร่งานศิลปาชีพให้พสกนิกรชาวไทยและทั่วโลกได้รับรู้อย่างกว้างขวางว่าอะไรคือ OTOP อะไรคืองานศิลปาชีพ ตลอดจนการหาแนวทางที่จะรักษาบุคลากรที่มีคุณค่าและความสามารถในงานด้านศิลป์ต่าง ๆ ให้คงอยู่ตลอดไปและทําให้ประชาชนในห่วงโซ่ดังกล่าวมีรายได้ที่มากขึ้น รวมทั้งการดําเนินการทุกอย่างต้องคํานึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าที่สุด เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ OTOP ไปสู่การท่องเที่ยวในท้องถิ่น โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเข้มแข็ง
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณคณะทูตานุทูตทุกประเทศ คณะกรรมการอํานวยการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หัวหน้าหน่วยงานราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคเอกชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันจัดงานครั้งนี้ให้มีความยิ่งใหญ่ รวมทั้งกระทรวงมหาดไทย กรมพัฒนาชุมชน ตลอดจนประชาชนทุกสาขาอาชีพที่ได้มาร่วมงานฯ และขอให้การจัดงานครั้งนี้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกประการ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา ได้ทําพิธีเปิดงานด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงการที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP และสินค้าของไทยขยายสู่สากล โดยมีคณะรัฐมนตรี และคณะผู้จัดงาน ร่วมทําพิธีเปิดงานฯ ด้วย
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา และคณะ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการจากหน่วยงานภาคี เช่น มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยได้พูดคุยสอบถามกับผู้ผลิต และผู้ประกอบการที่นําสินค้ามาแสดและจัดจําหน่ายด้วยความสนใจ พร้อมให้กําลังใจกับผู้ประกอบการ OTOP ทั่วประเทศในการต่อยอดสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นให้ร่วมสมัย สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและตลาด สามารถขยายไปสู่สากลได้มากขึ้น
อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมการนําน้ํายางมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ถุงมือยางเคลือบยางธรรมชาติ เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ในชุมชนแทนการขายน้ํายางดิบเพียงอย่างเดียว ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์ถุงมือเคลือบยางธรรมชาติได้มีการส่งออกไปจําหน่ายในต่างประเทศเดือนละ 2,000 คู่ อย่างต่อเนื่องทุกเดือน เช่น ที่ประเทศอิสราเอล เป็นต้น ขณะที่ในส่วนของผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าท้องถิ่น นายกรัฐมนตรี แนะนําให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยการผสมผสานระหว่างความเป็นไทยกับความเป็นสากลเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย 1) โซนนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 2) การจัดแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ 3) การจัดแสดงและจําหน่ายผลงานของศิลปิน OTOP จํานวน 100 ราย 4) การจัดแสดงและจําหน่ายเสน่ห์ผ้าไทย ซึ่งมีให้เลือกกว่า 1 แสนผืน เช่น ผ้าฝ้ายตามโครงการผ้าทออีสานสู่สากล ผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน ฯลฯ 5) การจัดแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนของหมู่บ้านข้างพระตําหนัก 4 ภูมิภาค 6) การจัดแสดงและจําหน่ายสินค้า OTOP Signature และผลิตภัณฑ์ OTOP รวมกว่า 2,000 บูธ เช่น OTOP Classic/ OTOP Premium/ OTOP ของที่ระลึก 76 จังหวัด และ Street Food ซึ่งครั้งนี้ให้ความสําคัญกับอาหารที่ปลอดภัยไร้ไขมันทรานส์ โดยมีสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่า “ผลิตภัณฑ์นี้ปลอดภัยไร้ไขมันทรานส์” โดยได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขปิดประกาศและแสดงให้เห็นที่ผลิตภัณฑ์ชัดเจนด้วย นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เช่น การเดินแฟชั่นโชว์ผ้าไทย การแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงคอนเสิร์ต รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการขาย อาทิ การมอบรางวัลแม่ลูกที่ซื้อสินค้า OTOP ในงานและถ่ายรูปกับคุณแม่ พร้อมโชว์สินค้าแล้วโพสต์ภาพลงใน Facebook ติด#OTOP บอกรักแม่แล้วนําไปโชว์ที่กองอํานวยการเพื่อรับรางวัล กิจกรรมสินค้านาทีทองทุกวัน ๆ ละ 2 รอบ การจับสลากมอบสร้างคอทองคําให้กับผู้โชคดีภายในงานทุกวัน และได้ลุ้นเพิ่มรางวัลใหญ่ในวันสุดท้าย สูงสุดถึง 100,000 บาท จํานวน 3 รางวัล ได้แก่ ทองคํา ชุดเครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือ IPHOEN และ IPAD รวมมูลค่าทั้งสิ้น 300,000 บาท
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เปิดงานศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี ปี 2561 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 19 สิงหาคมนี้ ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรี เปิดงานศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี ปี 2561 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 19 สิงหาคมนี้ ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี
นายกรัฐมนตรี เปิดงานศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี ปี 2561 เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 19 สิงหาคมนี้ ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี
วันนี้ (13 ส.ค.61) เวลา17.30น. ณ เวทีกลาง อาคารชาเลนเจอร์2ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีเปิดงานศิลปาชีพ ประทีปไทยOTOPก้าวไกลด้วยพระบารมี ปี พ.ศ.2561 ครั้งที่ 7 ภายใต้แนวคิด “การส่งเสริมงานศิลปาชีพ”เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย ที่ทรงส่งเสริมอาชีพและช่วยเหลือราษฎรให้มีอาชีพเสริม เพิ่มรายได้อย่างกว้างขวาง ภายใต้โครงการส่งเสริมศิลปาชีพ และมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานศิลปาชีพให้พสกนิกรชาวไทยได้สํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อการอนุรักษ์และส่งเสริมฝีมือภูมิปัญญาของคนไทย ก่อให้เกิดช่องทางการตลาดและสร้างรายได้ให้กับชุมชน ซึ่งการดําเนินงานโครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ถือเป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก เพื่อเพิ่มรายได้และลดความเหลื่อมล้ําของประชาชนซึ่งมีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจแต่ละภูมิภาค รัฐบาล โดยกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย จึงได้จัดงานดังกล่าวขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 19 สิงหาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1- 3 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยพิธีเปิดฯ มีผู้เข้าร่วมงาน ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี อาทิ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ฯลฯคณะทูตานุทูต ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการอํานวยการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ผู้ว่าราชการจังหวัด พัฒนาการจังหวัด ผู้บริหารกรมพัฒนาชุมชน ตลอดจนประชาชนและสื่อมวลชนจํานวนกว่า 1,000 คน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี และภริยา ได้ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พร้อมลงนามถวายพระพร และชมการแสดงชุด “สืบสานศิลปาชีพ เทิดไท้แม่แห่งแผ่นดิน” โดยคณะเพชรจรัสแสง
พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงานว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ โดยมุ่งเน้นการกระจายรายได้สู่ประชาชนในระดับฐานราก โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนประชาชนในกลุ่มต่าง ๆ ทั้งผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้สูง เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงอย่างระบบเป็นห่วงโซ่ในการสร้างมูลค่า เพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม ด้วยการสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในชุมชน ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมผลิตภัณฑ์OTOPซึ่งเป็นการขยายผลและสนับสนุนโครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และพัฒนายกระดับผลิตภัณฑ์OTOPภูมิปัญญาท้องถิ่นให้มีคุณค่ามากขึ้น มีมูลค่าเพิ่มและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคและตลาดโลกขณะที่การพัฒนาผู้ผลิต และผู้ประกอบการ ก็จะเป็นการยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ระดับ 1–3ดาวเพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้กว้างและก้าวไกลสู่สากลมากยิ่งขึ้นทั้งตลาดต่างประเทศและตลาดออนไลน์
สําหรับการจัดงาน ศิลปาชีพ ประทีปไทยOTOPก้าวไกล ด้วยพระบารมี ครั้งนี้ เป็นวาระสําคัญยิ่งที่ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่ทรงมีพระราชปณิธานสืบสานงานตามโครงการตามพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้นโดยเฉพาะทรงให้การสนับสนุน ส่งเสริม ฟื้นฟู อนุรักษ์ อุปภัมภ์งานศิลปะของแผ่นดินไทย ทั้งงานศิลปะพื้นบ้าน และงานหัตถศิลป์อันงดงามหลากหลายสาขาอาทิ ผ้าไทยที่มีทั้งคุณค่าและความปราณีตงดงาม ได้แก่ งานผ้าไหม ผ้าทอ ผ้าปัก
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่า การดําเนินการทุกอย่างต้องมีการสืบสานต่อยอดต่อไป โดยเฉพาะปัจจุบันต้องนําความเป็นไทยและอัตลักษณ์ของท้องถิ่นผสมผสานประยุกต์กับความเป็นสากลให้เกิดความสวยงามที่สอดคลองลงตัวมีความเป็นเอกลักณ์เฉพาะตัวของตนเองให้เกิดความภาคภูมิใจร่วมกันเพื่อพัฒนาประเทศไปสู่อนาคต
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงความเป็นมาเกี่ยวกับการก่อเกิดเป็น“มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ”ว่าเมื่อปี 2513 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในจังหวัดนครพนมพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดําเนินเยี่ยมราษฎร เพื่อพระราชทานสิ่งของและเครื่องอุปโภคบริโภคบรรเทาความเดือดร้อนและพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระราชปรารภว่าการนําสิ่งของไปแจกเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่จะทําอย่างไร จึงจะทําให้ชาวบ้านช่วยเหลือตนเองได้ในระยะยาวสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9ทอดพระเนตรเห็นชาวบ้านที่มารับเสด็จ แต่งกายนุ่งซิ่นไหมมัดหมี่ที่มีความสวยงามจึงทรงให้การส่งเสริมการทอผ้าไหมมัดหมี่ไว้เป็นอาชีพเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวของประชาชนและได้ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการซื้อผ้าไหมมัดหมี่จากประชาชนจากนั้นจึงก่อเกิดเป็น“มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ”และทําให้งานจากภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่นกลายเป็นผลิตภัณฑ์OTOPที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยจากชุมชนให้อยู่ในระดับแนวหน้าของประเทศ ซึ่งการก่อเกิด“มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ”นับตั้งแต่ปี 2513 จนถึงปัจจุบันใช้เวลาหลายสิบปี และหากไม่มีวันนั้นก็ไม่มีวันนี้ จึงฝากให้ทุกคนได้ตระหนักและนึกถึงความเป็นมาและประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นทุกเรื่อง เพื่อจะได้เห็นที่มาซึ่งนํามาสู่ความสําเร็จที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้
ทั้งนี้ ปัจจุบันได้มีการจัดทําข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการส่งเสริมผลิตภัณฑ์OTOPศิลปาชีพให้มีตลาดที่หลากหลายและช่องทางการจําหน่ายที่กว้างขวางมากขึ้น ได้แก่กรมการพัฒนาชุมชน กรมพัฒนาธุรกิจการค้าบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด(มหาชน) บริษัทไปรษณีย์ไทยจํากัด (มหาชน) บริษัท คิงพาวเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัดบริษัท มอลล์ (ไทยแลนด์) จํากัด (มหาชน) รวมทั้ง ยังมีช่องทางการจําหน่ายผ่านแคตตาล็อกและเว็บไซต์Thailandmall.comด้วย
พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําถึงผลิตภัณฑ์OTOPที่ประสบความสําเร็จว่า คือการนําผลิตภัณฑ์OTOPไปจําหน่ายบนเครื่องบินสายการบินไทย ทั้งผลิตภัณฑ์OTOPประเภทอาหารพร้อมเสิร์ฟบนเครื่องบิน บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ผลิตภัณฑ์OTOPที่จําหน่ายของบริษัท คิงพาวเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ผลิตภัณฑ์OTOPที่จําหน่ายผ่านแคตตาล็อกที่จัดวางไว้หน้าที่นั่งผู้โดยสาร ผลิตภัณฑ์OTOPที่จําหน่ายผ่านผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นช่องทางโดยตรงที่สามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ไปสู่สากล ได้อย่างน่าภาคภูมิทั้งนี้ สิ่งสําคัญของการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP คือ ต้องดําเนินการให้ครอบคลุมทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ไปจนถึงปลายทาง โดยเฉพาะศึกษาเรื่องการตลาดให้ชัดเจน เพื่อใช้การตลาดนําการผลิต ซึ่งจะนําไปสู่การผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและตลาด ทําให้ผลิตภัณฑ์ OTOP และสินค้าทางการเกษตรได้ราคาที่เหมาะสม ป้องกันราคาตกต่ําอีกด้วย
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงาน ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี ครั้งที่ 7 นี้ ยังเป็นโอกาสดีที่ประชาชนไทยจะได้ร่วมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2561 “องค์อัคราภิรักษ์ศิลปิน” มิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย และเลือกซื้อสินค้าชุมชนที่ดีที่สุด เป็นผลิตภัณฑ์จากชุมชนที่เป็นผลิตภัณฑ์ฝีมือคนไทย อันทรงคุณค่าด้วยภูมิปัญญาไทย อีกทั้งยังตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศมีความมั่นคงอย่างยั่งยืน และเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งสิ่งสําคัญคือจะทําอย่างไรที่จะเผยแพร่งานศิลปาชีพให้พสกนิกรชาวไทยและทั่วโลกได้รับรู้อย่างกว้างขวางว่าอะไรคือ OTOP อะไรคืองานศิลปาชีพ ตลอดจนการหาแนวทางที่จะรักษาบุคลากรที่มีคุณค่าและความสามารถในงานด้านศิลป์ต่าง ๆ ให้คงอยู่ตลอดไปและทําให้ประชาชนในห่วงโซ่ดังกล่าวมีรายได้ที่มากขึ้น รวมทั้งการดําเนินการทุกอย่างต้องคํานึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าที่สุด เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ OTOP ไปสู่การท่องเที่ยวในท้องถิ่น โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเข้มแข็ง
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณคณะทูตานุทูตทุกประเทศ คณะกรรมการอํานวยการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หัวหน้าหน่วยงานราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคเอกชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันจัดงานครั้งนี้ให้มีความยิ่งใหญ่ รวมทั้งกระทรวงมหาดไทย กรมพัฒนาชุมชน ตลอดจนประชาชนทุกสาขาอาชีพที่ได้มาร่วมงานฯ และขอให้การจัดงานครั้งนี้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกประการ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา ได้ทําพิธีเปิดงานด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงการที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP และสินค้าของไทยขยายสู่สากล โดยมีคณะรัฐมนตรี และคณะผู้จัดงาน ร่วมทําพิธีเปิดงานฯ ด้วย
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา และคณะ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการจากหน่วยงานภาคี เช่น มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยได้พูดคุยสอบถามกับผู้ผลิต และผู้ประกอบการที่นําสินค้ามาแสดและจัดจําหน่ายด้วยความสนใจ พร้อมให้กําลังใจกับผู้ประกอบการ OTOP ทั่วประเทศในการต่อยอดสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นให้ร่วมสมัย สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและตลาด สามารถขยายไปสู่สากลได้มากขึ้น
อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมการนําน้ํายางมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ถุงมือยางเคลือบยางธรรมชาติ เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ในชุมชนแทนการขายน้ํายางดิบเพียงอย่างเดียว ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์ถุงมือเคลือบยางธรรมชาติได้มีการส่งออกไปจําหน่ายในต่างประเทศเดือนละ 2,000 คู่ อย่างต่อเนื่องทุกเดือน เช่น ที่ประเทศอิสราเอล เป็นต้น ขณะที่ในส่วนของผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าท้องถิ่น นายกรัฐมนตรี แนะนําให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยการผสมผสานระหว่างความเป็นไทยกับความเป็นสากลเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย 1) โซนนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 2) การจัดแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ 3) การจัดแสดงและจําหน่ายผลงานของศิลปิน OTOP จํานวน 100 ราย 4) การจัดแสดงและจําหน่ายเสน่ห์ผ้าไทย ซึ่งมีให้เลือกกว่า 1 แสนผืน เช่น ผ้าฝ้ายตามโครงการผ้าทออีสานสู่สากล ผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน ฯลฯ 5) การจัดแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนของหมู่บ้านข้างพระตําหนัก 4 ภูมิภาค 6) การจัดแสดงและจําหน่ายสินค้า OTOP Signature และผลิตภัณฑ์ OTOP รวมกว่า 2,000 บูธ เช่น OTOP Classic/ OTOP Premium/ OTOP ของที่ระลึก 76 จังหวัด และ Street Food ซึ่งครั้งนี้ให้ความสําคัญกับอาหารที่ปลอดภัยไร้ไขมันทรานส์ โดยมีสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่า “ผลิตภัณฑ์นี้ปลอดภัยไร้ไขมันทรานส์” โดยได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขปิดประกาศและแสดงให้เห็นที่ผลิตภัณฑ์ชัดเจนด้วย นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เช่น การเดินแฟชั่นโชว์ผ้าไทย การแสดงศิลปวัฒนธรรม การแสดงคอนเสิร์ต รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการขาย อาทิ การมอบรางวัลแม่ลูกที่ซื้อสินค้า OTOP ในงานและถ่ายรูปกับคุณแม่ พร้อมโชว์สินค้าแล้วโพสต์ภาพลงใน Facebook ติด#OTOP บอกรักแม่แล้วนําไปโชว์ที่กองอํานวยการเพื่อรับรางวัล กิจกรรมสินค้านาทีทองทุกวัน ๆ ละ 2 รอบ การจับสลากมอบสร้างคอทองคําให้กับผู้โชคดีภายในงานทุกวัน และได้ลุ้นเพิ่มรางวัลใหญ่ในวันสุดท้าย สูงสุดถึง 100,000 บาท จํานวน 3 รางวัล ได้แก่ ทองคํา ชุดเครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือ IPHOEN และ IPAD รวมมูลค่าทั้งสิ้น 300,000 บาท
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางแจงแนวทางการดำเนินการตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560
กรมบัญชีกลางแจงแนวทางการดําเนินการตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ
กรมบัญชีกลางแจงแนวทางในการดําเนินการตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 กรณีดําเนินการก่อน พ.ร.บ.ฯ มีผลใช้บังคับ หากเกิดปัญหาหรือต้องการผ่อนผัน ให้เสนอ กวพ.อ. พิจารณา
กรมบัญชีกลางแจงแนวทางในการดําเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 กรณีดําเนินการก่อน พ.ร.บ.ฯ มีผลใช้บังคับ หากเกิดปัญหาหรือต้องการผ่อนผัน ให้เสนอ กวพ.อ. พิจารณา และกรณีมีผู้ยื่นข้อเสนอรายเดียวให้หน่วยงานของรัฐลงนามในสัญญาได้โดยไม่ต้องรอเวลาอุทธรณ์
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้ชี้แจงแนวทางในการดําเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง
ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คือก่อนวันที่ 24 สิงหาคม 2560 ให้ดําเนินการตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 หรือระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ. 2549 หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากเกิดปัญหาข้อหารือหรือต้องขออนุมัติยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบฯ ใดๆ ในช่วงระหว่างที่การดําเนินการไม่แล้วเสร็จ กล่าวคือ ยังไม่ได้มีการตรวจรับและจ่ายเงิน ให้เป็นอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือผู้มีอํานาจหน้าที่ตามระเบียบดังกล่าว แล้วแต่กรณี ที่จะพิจารณาข้อหารือหรืออนุมัติยกเว้นผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบนั้นๆ
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า นอกจากนี้ กรณีที่หน่วยงานของรัฐได้จัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปหรือวิธีคัดเลือกแล้ว พบว่าการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนั้นมีผู้ยื่นข้อเสนอและผ่านการพิจารณาเพียงรายเดียว รวมทั้งหน่วยงานของรัฐพิจารณาแล้วเห็นควรให้ผู้ยื่นข้อเสนอรายนั้นเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐได้ กรณีนี้ เห็นควรให้หน่วยงานของรัฐสามารถลงนามในสัญญาได้โดยไม่ต้องรอให้พ้นระยะเวลาอุทธรณ์ เพื่อไม่ให้การจัดซื้อจัดจ้างล่าช้า
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวทิ้งท้ายว่า การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้างในแต่ละกรณี ต้องการให้การปฏิบัติงานมีความคล่องตัว และคุ้มค่ามากขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางแจงแนวทางการดำเนินการตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ
วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560
กรมบัญชีกลางแจงแนวทางการดําเนินการตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ
กรมบัญชีกลางแจงแนวทางในการดําเนินการตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 กรณีดําเนินการก่อน พ.ร.บ.ฯ มีผลใช้บังคับ หากเกิดปัญหาหรือต้องการผ่อนผัน ให้เสนอ กวพ.อ. พิจารณา
กรมบัญชีกลางแจงแนวทางในการดําเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 กรณีดําเนินการก่อน พ.ร.บ.ฯ มีผลใช้บังคับ หากเกิดปัญหาหรือต้องการผ่อนผัน ให้เสนอ กวพ.อ. พิจารณา และกรณีมีผู้ยื่นข้อเสนอรายเดียวให้หน่วยงานของรัฐลงนามในสัญญาได้โดยไม่ต้องรอเวลาอุทธรณ์
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้ชี้แจงแนวทางในการดําเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง
ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คือก่อนวันที่ 24 สิงหาคม 2560 ให้ดําเนินการตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 หรือระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ. 2549 หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากเกิดปัญหาข้อหารือหรือต้องขออนุมัติยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบฯ ใดๆ ในช่วงระหว่างที่การดําเนินการไม่แล้วเสร็จ กล่าวคือ ยังไม่ได้มีการตรวจรับและจ่ายเงิน ให้เป็นอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือผู้มีอํานาจหน้าที่ตามระเบียบดังกล่าว แล้วแต่กรณี ที่จะพิจารณาข้อหารือหรืออนุมัติยกเว้นผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบนั้นๆ
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า นอกจากนี้ กรณีที่หน่วยงานของรัฐได้จัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปหรือวิธีคัดเลือกแล้ว พบว่าการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนั้นมีผู้ยื่นข้อเสนอและผ่านการพิจารณาเพียงรายเดียว รวมทั้งหน่วยงานของรัฐพิจารณาแล้วเห็นควรให้ผู้ยื่นข้อเสนอรายนั้นเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐได้ กรณีนี้ เห็นควรให้หน่วยงานของรัฐสามารถลงนามในสัญญาได้โดยไม่ต้องรอให้พ้นระยะเวลาอุทธรณ์ เพื่อไม่ให้การจัดซื้อจัดจ้างล่าช้า
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวทิ้งท้ายว่า การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้างในแต่ละกรณี ต้องการให้การปฏิบัติงานมีความคล่องตัว และคุ้มค่ามากขึ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8760
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเปิดศูนย์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำน่าน หน่วยที่ 1
|
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559
รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเปิดศูนย์ฟื้นฟูป่าต้นน้ําน่าน หน่วยที่ 1
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเปิดศูนย์ฟื้นฟูป่าต้นน้ําน่าน หน่วยที่ 1 ตําบลป่าแลวหลวง อําเภอสันติสุข จังหวัดน่าน
วันที่ 16 ธันวาคม 2559 พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเปิดศูนย์ฟื้นฟูป่าต้นน้ําน่าน หน่วยที่ 1 ตําบลป่าแลวหลวง อําเภอสันติสุข จังหวัดน่าน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 66,240 ไร่ ประกอบด้วย ฐานปฏิบัติการฟื้นฟูป่าต้นน้ําน่าน ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่น้ําน่านฝั่งตะวันออกตอนใต้ โครงการส่งเสริมการปลูกป่าเศรษฐกิจชุมชน อบต.ป่าแลวหลวง โครงการป่าชุมชนตําบลป่าแลวหลวง โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) ตําบลป่าแลวหลวง 962 แปลง พื้นที่ 10,452 ไร่ แปลงเพาะชํากล้าไม้ บ้านน่านมั่นคง เพื่อส่งเสริมการปลูกต้นไม้เพื่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ในโอกาสตรวจเยี่ยมฐานปฏิบัติการบนเขา พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบเสื้อแจ็คเก็ตกันหนาวให้เจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติงานประจําฐาน และได้ปลูกต้นยางนาเป็นที่ระลึก และในโอกาสนี้ ผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมการปลูกป่า ได้บรรยายสรุปแผนงานการปลูกฟื้นฟูป่าต้นน้ําเสื่อมสภาพบนพื้นที่สูงชัน จังหวัดน่าน จากนั้น นายชลธิศ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ ได้รายงานความก้าวหน้าของผลงานการปลูกฟื้นฟูป่าต้นน้ําที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าน้ําว้า บ้านขึ่งใต้ อําเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2559 ณ บ้านน่านมั่นคง ตําบลป่าแลวหลวง อําเภอสันติสุข จังหวัดน่าน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเปิดศูนย์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำน่าน หน่วยที่ 1
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559
รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเปิดศูนย์ฟื้นฟูป่าต้นน้ําน่าน หน่วยที่ 1
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเปิดศูนย์ฟื้นฟูป่าต้นน้ําน่าน หน่วยที่ 1 ตําบลป่าแลวหลวง อําเภอสันติสุข จังหวัดน่าน
วันที่ 16 ธันวาคม 2559 พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเปิดศูนย์ฟื้นฟูป่าต้นน้ําน่าน หน่วยที่ 1 ตําบลป่าแลวหลวง อําเภอสันติสุข จังหวัดน่าน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 66,240 ไร่ ประกอบด้วย ฐานปฏิบัติการฟื้นฟูป่าต้นน้ําน่าน ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่น้ําน่านฝั่งตะวันออกตอนใต้ โครงการส่งเสริมการปลูกป่าเศรษฐกิจชุมชน อบต.ป่าแลวหลวง โครงการป่าชุมชนตําบลป่าแลวหลวง โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) ตําบลป่าแลวหลวง 962 แปลง พื้นที่ 10,452 ไร่ แปลงเพาะชํากล้าไม้ บ้านน่านมั่นคง เพื่อส่งเสริมการปลูกต้นไม้เพื่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ในโอกาสตรวจเยี่ยมฐานปฏิบัติการบนเขา พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบเสื้อแจ็คเก็ตกันหนาวให้เจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติงานประจําฐาน และได้ปลูกต้นยางนาเป็นที่ระลึก และในโอกาสนี้ ผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมการปลูกป่า ได้บรรยายสรุปแผนงานการปลูกฟื้นฟูป่าต้นน้ําเสื่อมสภาพบนพื้นที่สูงชัน จังหวัดน่าน จากนั้น นายชลธิศ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ ได้รายงานความก้าวหน้าของผลงานการปลูกฟื้นฟูป่าต้นน้ําที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าน้ําว้า บ้านขึ่งใต้ อําเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2559 ณ บ้านน่านมั่นคง ตําบลป่าแลวหลวง อําเภอสันติสุข จังหวัดน่าน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1054
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ห่วงผู้สูงอายุติดโควิด-19 จากบุตรหลาน แนะ 3 ล. “ลด-เลี่ยง-ดูแล” [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563
สธ. ห่วงผู้สูงอายุติดโควิด-19 จากบุตรหลาน แนะ 3 ล. “ลด-เลี่ยง-ดูแล” [กระทรวงสาธารณสุข]
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงใยผู้สูงอายุติดโควิด-19 จากบุตรหลาน แนะ 3 ล. ลด-เลี่ยง-ดูแล หลังพบผู้สูงอายุป่วยโควิด-19 เสียชีวิต ร้อยละ 39
วันนี้ (6 เมษายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดี กรมอนามัย ให้สัมภาษณ์ว่า ผู้สูงอายุมีโอกาสติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่นส่วนมากจะติดเชื้อมาจากบุตรหลานวัยทํางานที่มีอัตราการป่วยสูง ที่สําคัญผู้สูงอายุที่ติดเชื้อมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 39 (จากจํานวนผู้เสียชีวิตโควิด-19 ในประเทศไทย 26 ราย) ดังนั้น ในช่วงเดือนเมษายนที่มีประเพณีสงกรานต์ บุตรหลานวัยทํางานไม่ควรกลับไปเยี่ยมพ่อ แม่ หรือผู้สูงอายุที่ภูมิลําเนา เพราะอาจนําเชื้อโรคไปสู่ท่านได้แนะเปลี่ยนวิธีด้วยการสื่อสารช่องทางต่างๆ เช่น โทรศัพท์ ไลน์ หรือเฟซบุค สําหรับผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุอยู่ที่บ้านให้ยึดหลัก 3 ล. ปฏิบัติ ป้องกันติดโรโควิด-19 คือลดความเสี่ยงจากการสัมผัส ล้างมือด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ และลดการแพร่เชื้อ อยู่บ้านให้สวมหน้ากากผ้า เลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค คนหนาแน่น เลี่ยงการใช้มือสัมผัสหน้า และดูแลสุขภาพตนเอง ใช้ช้อนกลางส่วนตัว ล้างมือบ่อยๆ ออกกําลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และรับผิดชอบต่อสังคม หากกลับจากพื้นที่เสี่ยง ต้องแยกสังเกตอาการไม่น้อยกว่า 14 วัน
ทั้งนี้เพื่อลดโอกาสการรับเชื้อ แนะนําผู้สูงอายุควรงดออกนอกบ้าน หมั่นล้างมือด้วยน้ําและสบู่ ก่อนรับประทานอาหารและหลังใช้ห้องส้วม ไม่ใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก แยกสํารับอาหารและแยกของใช้ส่วนตัวที่จําเป็น อยู่ห่างจากบุตรหลานและผู้อื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร และเปลี่ยนวิธีการติดต่อสื่อสารกับบุตรหลานด้วยการใช้ โทรศัพท์ ไลน์ ทั้งนี้ สําหรับบุตรหลานวัยทํางานที่ออกนอกบ้านมีโอกาสรับเชื้อโรค เมื่อกลับเข้าบ้านควรอาบน้ําทําความสะอาดร่างกายทันที ไม่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้สูงอายุและเด็กเล็ก เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อ
สําหรับข้อแนะนําการใช้หน้ากากอนามัย ประชาชนทั่วไป ถือเป็นขยะทั่วไป ให้จํากัดโดยจับสายรัดและถอดหน้ากากอนามัยจากด้านหลัง (ไม่สัมผัสตัวหน้ากาก) ทิ้งในถังขยะที่มีฝาปิดที่ใกล้ที่สุดทันที จากนั้นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ และแนะนําให้ใช้หน้ากากผ้า โดยล้างมือให้สะอาดก่อนสวมอย่างถูกวิธี หลังใช้ซักด้วยผงซักฟอก ตากแดดจนแห้ง และเปลี่ยนทุกวัน หากเป็นผู้ป่วยหรือต้องดูแลผู้ป่วยในบ้าน เลือกใช้หน้ากากอนามัย หลังใช้ล้างมือให้สะอาดและทิ้งหน้ากากอนามัยลงถังที่มีฝาปิดมิดชิด ส่วนผู้อยู่ในข่ายเฝ้าระวังที่ต้องกักกันตัวเองที่บ้าน (Self-Home Quarantine) และอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ที่ติดตามผู้กักกันตัวเองที่บ้าน หน้ากากอนามัยอาจปนเปื้อนเชื้อโรคจากน้ํามูก น้ําลาย เสมหะ เมื่อใช้งานแล้วให้จับสายรัดและถอดหน้ากากอนามัยจากด้านหลัง (ไม่สัมผัสตัวหน้ากาก) เก็บใส่ถุงขยะ 2 ชั้น และทําลายเชื้อเบื้องต้น โดยราดน้ํายาฟอกขาวมัดปากถุงให้แน่น ทิ้งรวมกับขยะทั่วไป ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ทันที
สําหรับหน้ากากอนามัยของบุคลากรทางการแพทย์ เป็นขยะติดเชื้อ ต้องล้างมือให้สะอาด สวมอย่างถูกวิธี ใช้ครั้งเดียว และทิ้งลงถังขยะติดเชื้อ ก่อนนําไปทําลายอย่างถูกวิธี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ห่วงผู้สูงอายุติดโควิด-19 จากบุตรหลาน แนะ 3 ล. “ลด-เลี่ยง-ดูแล” [กระทรวงสาธารณสุข]
วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563
สธ. ห่วงผู้สูงอายุติดโควิด-19 จากบุตรหลาน แนะ 3 ล. “ลด-เลี่ยง-ดูแล” [กระทรวงสาธารณสุข]
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงใยผู้สูงอายุติดโควิด-19 จากบุตรหลาน แนะ 3 ล. ลด-เลี่ยง-ดูแล หลังพบผู้สูงอายุป่วยโควิด-19 เสียชีวิต ร้อยละ 39
วันนี้ (6 เมษายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดี กรมอนามัย ให้สัมภาษณ์ว่า ผู้สูงอายุมีโอกาสติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่นส่วนมากจะติดเชื้อมาจากบุตรหลานวัยทํางานที่มีอัตราการป่วยสูง ที่สําคัญผู้สูงอายุที่ติดเชื้อมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 39 (จากจํานวนผู้เสียชีวิตโควิด-19 ในประเทศไทย 26 ราย) ดังนั้น ในช่วงเดือนเมษายนที่มีประเพณีสงกรานต์ บุตรหลานวัยทํางานไม่ควรกลับไปเยี่ยมพ่อ แม่ หรือผู้สูงอายุที่ภูมิลําเนา เพราะอาจนําเชื้อโรคไปสู่ท่านได้แนะเปลี่ยนวิธีด้วยการสื่อสารช่องทางต่างๆ เช่น โทรศัพท์ ไลน์ หรือเฟซบุค สําหรับผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุอยู่ที่บ้านให้ยึดหลัก 3 ล. ปฏิบัติ ป้องกันติดโรโควิด-19 คือลดความเสี่ยงจากการสัมผัส ล้างมือด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ และลดการแพร่เชื้อ อยู่บ้านให้สวมหน้ากากผ้า เลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค คนหนาแน่น เลี่ยงการใช้มือสัมผัสหน้า และดูแลสุขภาพตนเอง ใช้ช้อนกลางส่วนตัว ล้างมือบ่อยๆ ออกกําลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และรับผิดชอบต่อสังคม หากกลับจากพื้นที่เสี่ยง ต้องแยกสังเกตอาการไม่น้อยกว่า 14 วัน
ทั้งนี้เพื่อลดโอกาสการรับเชื้อ แนะนําผู้สูงอายุควรงดออกนอกบ้าน หมั่นล้างมือด้วยน้ําและสบู่ ก่อนรับประทานอาหารและหลังใช้ห้องส้วม ไม่ใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก แยกสํารับอาหารและแยกของใช้ส่วนตัวที่จําเป็น อยู่ห่างจากบุตรหลานและผู้อื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร และเปลี่ยนวิธีการติดต่อสื่อสารกับบุตรหลานด้วยการใช้ โทรศัพท์ ไลน์ ทั้งนี้ สําหรับบุตรหลานวัยทํางานที่ออกนอกบ้านมีโอกาสรับเชื้อโรค เมื่อกลับเข้าบ้านควรอาบน้ําทําความสะอาดร่างกายทันที ไม่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้สูงอายุและเด็กเล็ก เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อ
สําหรับข้อแนะนําการใช้หน้ากากอนามัย ประชาชนทั่วไป ถือเป็นขยะทั่วไป ให้จํากัดโดยจับสายรัดและถอดหน้ากากอนามัยจากด้านหลัง (ไม่สัมผัสตัวหน้ากาก) ทิ้งในถังขยะที่มีฝาปิดที่ใกล้ที่สุดทันที จากนั้นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ และแนะนําให้ใช้หน้ากากผ้า โดยล้างมือให้สะอาดก่อนสวมอย่างถูกวิธี หลังใช้ซักด้วยผงซักฟอก ตากแดดจนแห้ง และเปลี่ยนทุกวัน หากเป็นผู้ป่วยหรือต้องดูแลผู้ป่วยในบ้าน เลือกใช้หน้ากากอนามัย หลังใช้ล้างมือให้สะอาดและทิ้งหน้ากากอนามัยลงถังที่มีฝาปิดมิดชิด ส่วนผู้อยู่ในข่ายเฝ้าระวังที่ต้องกักกันตัวเองที่บ้าน (Self-Home Quarantine) และอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ที่ติดตามผู้กักกันตัวเองที่บ้าน หน้ากากอนามัยอาจปนเปื้อนเชื้อโรคจากน้ํามูก น้ําลาย เสมหะ เมื่อใช้งานแล้วให้จับสายรัดและถอดหน้ากากอนามัยจากด้านหลัง (ไม่สัมผัสตัวหน้ากาก) เก็บใส่ถุงขยะ 2 ชั้น และทําลายเชื้อเบื้องต้น โดยราดน้ํายาฟอกขาวมัดปากถุงให้แน่น ทิ้งรวมกับขยะทั่วไป ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ทันที
สําหรับหน้ากากอนามัยของบุคลากรทางการแพทย์ เป็นขยะติดเชื้อ ต้องล้างมือให้สะอาด สวมอย่างถูกวิธี ใช้ครั้งเดียว และทิ้งลงถังขยะติดเชื้อ ก่อนนําไปทําลายอย่างถูกวิธี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28529
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัล นำคณะมาพบ นรม.เพื่อโปรโมทงานดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2017 ชูสโลแกน “โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน 2560 ณ อิมแพคเมืองทองธานี
|
วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560
รมว.ดิจิทัล นําคณะมาพบ นรม.เพื่อโปรโมทงานดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2017 ชูสโลแกน “โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน 2560 ณ อิมแพคเมืองทองธานี
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) โดย สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เจ้าภาพการจัดงานทิทรรศการนานาชาติ Digital Thailand Big Bang 2017 มหกรรมการแสดงนิทรรศการนานาชาติเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
วันนี้ (12 กันยายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นําคณะผู้บริหารและผู้ประกอบการ มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์งาน “ดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2017” ภายใต้สโลแกน “Digital Transformation โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน” ซึ่งเป็นมหกรรมการแสดงนิทรรศการนานาชาติเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-2 ศูนย์ประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวรายงานว่า การจัดงานดิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2017เป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์และความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรฐกิจและสังคมเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะได้ประกาศศักยภาพในการเป็นผู้นําเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งเป็นการผลักดันทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ให้เกิดความพร้อมนําประเทศไทยสู่ “Thailand 4.0” เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ด้วยการนําเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้อย่างสร้างสรรค์ และสามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพในทุกมิติ รวมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีสุดทันสมัย ที่คิดค้นโดยคนไทยและต่างชาติกว่า 200 ราย และสุดยอดไฮไลท์การจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมสุดล้ําที่จะเผยอนาคตด้านดิจิทัลในไทยเป็นครั้งแรกกับ 4 โซนหลักได้แก่ Digital Ecosystem Digital Community and Smart City Digital Park และ Digital Playground ตามลําดับ ซึ่งเป็นการแสดงนิทรรศการที่จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี พร้อมสื่อดิจิทัลเพื่อนําไปสู่การคิดค้นสร้างสิ่งใหม่ ๆ ในอนาคต
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรได้เยื่ยมชมนิทรรศการที่มาจัดแสดงด้วยความสนใจ พร้อมเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อนําไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
อนึ่ง สําหรับผู้สนใจจะเข้าร่วมจัดนิทรรศการภายในงาน สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.digitalthailandbigbang.com งานนี้เข้าชมและร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ฟรีตลอด 4 วัน ซึ่งงานนิทรรศการ Digital Thailand Big Bang 2017 นั้น จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน 2560 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร02141-7158 ในวันและเวลาราชการ
....................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัล นำคณะมาพบ นรม.เพื่อโปรโมทงานดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2017 ชูสโลแกน “โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน 2560 ณ อิมแพคเมืองทองธานี
วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560
รมว.ดิจิทัล นําคณะมาพบ นรม.เพื่อโปรโมทงานดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2017 ชูสโลแกน “โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน 2560 ณ อิมแพคเมืองทองธานี
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) โดย สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เจ้าภาพการจัดงานทิทรรศการนานาชาติ Digital Thailand Big Bang 2017 มหกรรมการแสดงนิทรรศการนานาชาติเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
วันนี้ (12 กันยายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นําคณะผู้บริหารและผู้ประกอบการ มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์งาน “ดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2017” ภายใต้สโลแกน “Digital Transformation โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน” ซึ่งเป็นมหกรรมการแสดงนิทรรศการนานาชาติเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-2 ศูนย์ประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวรายงานว่า การจัดงานดิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2017เป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์และความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรฐกิจและสังคมเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะได้ประกาศศักยภาพในการเป็นผู้นําเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งเป็นการผลักดันทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ให้เกิดความพร้อมนําประเทศไทยสู่ “Thailand 4.0” เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ด้วยการนําเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้อย่างสร้างสรรค์ และสามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพในทุกมิติ รวมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีสุดทันสมัย ที่คิดค้นโดยคนไทยและต่างชาติกว่า 200 ราย และสุดยอดไฮไลท์การจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมสุดล้ําที่จะเผยอนาคตด้านดิจิทัลในไทยเป็นครั้งแรกกับ 4 โซนหลักได้แก่ Digital Ecosystem Digital Community and Smart City Digital Park และ Digital Playground ตามลําดับ ซึ่งเป็นการแสดงนิทรรศการที่จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี พร้อมสื่อดิจิทัลเพื่อนําไปสู่การคิดค้นสร้างสิ่งใหม่ ๆ ในอนาคต
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรได้เยื่ยมชมนิทรรศการที่มาจัดแสดงด้วยความสนใจ พร้อมเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อนําไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
อนึ่ง สําหรับผู้สนใจจะเข้าร่วมจัดนิทรรศการภายในงาน สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.digitalthailandbigbang.com งานนี้เข้าชมและร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ฟรีตลอด 4 วัน ซึ่งงานนิทรรศการ Digital Thailand Big Bang 2017 นั้น จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน 2560 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร02141-7158 ในวันและเวลาราชการ
....................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6614
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ขนส่ง จำกัด ได้รับคะแนนประเมินคุณภาพและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ปี 2559 จากสำนักงาน ป.ป.ช. 89.11 คะแนน
|
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560
บริษัท ขนส่ง จํากัด ได้รับคะแนนประเมินคุณภาพและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ปี 2559 จากสํานักงาน ป.ป.ช. 89.11 คะแนน
บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม ได้รับการตรวจประเมินคุณภาพและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ปี 2559 จากสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(สํานักงาน ป.ป.ช.) มีผลคะแนนการประเมินฯ 89.11 คะแนน อยู่ในระดับมีคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานสูงมาก
บขส. ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างสํานักงาน ป.ป.ช. สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ รวม 55 แห่ง เพื่อแสดงเจตนารมณ์การใช้ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติร่วมกัน รวมถึงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติฯ และมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดย บขส. ได้เข้าร่วมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment : ITA) ตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งได้รับการประเมินฯ 65.78 คะแนน ปี 2558 ได้รับการประเมินฯ 78.04 คะแนน คะแนนที่ได้รับอยู่ในระดับมีคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานสูง สําหรับปี 2559 บขส. ได้รับการประเมินฯ 89.11 คะแนน อยู่ในระดับมีคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานสูงมาก และเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา คะแนนที่ได้รับมีแนวโน้มดีขึ้นตามลําดับ แสดงถึงความร่วมแรงร่วมใจของผู้บริหารและพนักงาน ด้านความโปร่งใส คุณธรรม จริยธรรม รวมถึงความมุ่งมั่นที่จะกระทําตนให้เป็นประโยชน์แก่องค์กรและประเทศชาติด้วยความซื่อสัตย์
ทั้งนี้ โครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปี 2559 มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในหน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมิน และเพื่อให้ข้อเสนอแนะการปรับปรุงและพัฒนาคุณธรรมและความโปร่งใส ซึ่งสํานักงาน ป.ป.ช. ได้ประเมินหน่วยงานภาครัฐที่อยู่ในความรับผิดชอบ จํานวนทั้งสิ้น 140 หน่วยงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ขนส่ง จำกัด ได้รับคะแนนประเมินคุณภาพและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ปี 2559 จากสำนักงาน ป.ป.ช. 89.11 คะแนน
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560
บริษัท ขนส่ง จํากัด ได้รับคะแนนประเมินคุณภาพและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ปี 2559 จากสํานักงาน ป.ป.ช. 89.11 คะแนน
บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม ได้รับการตรวจประเมินคุณภาพและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ปี 2559 จากสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(สํานักงาน ป.ป.ช.) มีผลคะแนนการประเมินฯ 89.11 คะแนน อยู่ในระดับมีคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานสูงมาก
บขส. ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างสํานักงาน ป.ป.ช. สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ รวม 55 แห่ง เพื่อแสดงเจตนารมณ์การใช้ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติร่วมกัน รวมถึงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติฯ และมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดย บขส. ได้เข้าร่วมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment : ITA) ตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งได้รับการประเมินฯ 65.78 คะแนน ปี 2558 ได้รับการประเมินฯ 78.04 คะแนน คะแนนที่ได้รับอยู่ในระดับมีคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานสูง สําหรับปี 2559 บขส. ได้รับการประเมินฯ 89.11 คะแนน อยู่ในระดับมีคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานสูงมาก และเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา คะแนนที่ได้รับมีแนวโน้มดีขึ้นตามลําดับ แสดงถึงความร่วมแรงร่วมใจของผู้บริหารและพนักงาน ด้านความโปร่งใส คุณธรรม จริยธรรม รวมถึงความมุ่งมั่นที่จะกระทําตนให้เป็นประโยชน์แก่องค์กรและประเทศชาติด้วยความซื่อสัตย์
ทั้งนี้ โครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปี 2559 มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในหน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมิน และเพื่อให้ข้อเสนอแนะการปรับปรุงและพัฒนาคุณธรรมและความโปร่งใส ซึ่งสํานักงาน ป.ป.ช. ได้ประเมินหน่วยงานภาครัฐที่อยู่ในความรับผิดชอบ จํานวนทั้งสิ้น 140 หน่วยงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4338
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ไทย สนับสนุนปฏิญญารัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20
|
วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562
สธ.ไทย สนับสนุนปฏิญญารัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20
กระทรวงสาธารณสุขไทย ร่วมสนับสนุนการรับรองปฏิญญาโอกายามะในการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20 (G20) แสดงความมุ่งมั่นสนับสนุนการดําเนินงานให้บรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพและสวัสดิการที่ดี
กระทรวงสาธารณสุขไทย ร่วมสนับสนุนการรับรองปฏิญญาโอกายามะในการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20 (G20) แสดงความมุ่งมั่นสนับสนุนการดําเนินงานให้บรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพและสวัสดิการที่ดี จัดการความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ
วันนี้ (20 ตุลาคม 2562) นายแพทย์สําเริง แหยงกระโทก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20 (G20) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 ตุลาคม 2562 ณ เมืองโอกายามะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรีสาธารณสุขไทยได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20 ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียนปี 2562 โดยได้ร่วมสนับสนุนการรับรองปฏิญญาโอกายามะของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20 ซึ่งเป็นการแสดงความมุ่งมั่นสนับสนุนการดําเนินงานให้บรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพและสวัสดิการที่ดี จัดการความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ ซึ่งไทยสามารถใช้ปฏิญญานี้มาสนับสนุนการพัฒนาความร่วมมือด้านสุขภาพระหว่างภูมิภาคอาเซียนกับกลุ่ม 20 ในอนาคต
นายแพทย์สําเริงกล่าวต่อว่า ได้ร่วมแลกเปลี่ยนประเด็นความสําเร็จของการดําเนินงานเพื่อบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งประกอบด้วย การขับเคลื่อนให้เป็นประเด็นทางการเมือง การมีส่วนร่วมของหลายภาคส่วน และความร่วมมือของประชาชน โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม UHC Forum ในการประชุมวิชาการรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจําปี 2563 (Prince Mahidol Award Conference, PMAC 2020) ปลายเดือนมกราคม 2563 และจะเปิดศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม (ASEAN Centre for Active Aging and Innovation, ACAI) เป็นศูนย์กลางอาเซียนในการสร้างองค์ความรู้ พัฒนาศักยภาพและนวัตกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ระหว่างวันที่ 2-4 พฤศจิกายน 2562 ส่วนการจัดการความเสี่ยงและความมั่นคงด้านสุขภาพ จะต้องดําเนินการตามกลไกกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR 2005) และการดําเนินการในประเทศ รวมทั้งมีการลงทุนในนวัตกรรมทางสังคมที่ช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม ทั้งในคน สัตว์ และพืช
นอกจากนี้ ได้ร่วมซ้อมแผนการจัดการการระบาดของโรคติดต่อในสถานที่ที่มีการรวมตัวของคนจํานวนมาก (The public health emergency during mass gathering simulation exercise) กับสมาชิกของกลุ่ม20 ประกอบด้วย ผู้แทนสหภาพยุโรป และ19 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร แคนาดา ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา บราซิล จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกา เกาหลีใต้ และตุรกี โดยขนาดเศรษฐกิจของสมาชิกกลุ่ม 20 คิดเป็นร้อยละ 90 ของเศรษฐกิจโลก และมีประชากรรวมกันประมาณ 2 ใน 3 ของโลก
********************************* 20 ตุลาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ไทย สนับสนุนปฏิญญารัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20
วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562
สธ.ไทย สนับสนุนปฏิญญารัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20
กระทรวงสาธารณสุขไทย ร่วมสนับสนุนการรับรองปฏิญญาโอกายามะในการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20 (G20) แสดงความมุ่งมั่นสนับสนุนการดําเนินงานให้บรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพและสวัสดิการที่ดี
กระทรวงสาธารณสุขไทย ร่วมสนับสนุนการรับรองปฏิญญาโอกายามะในการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20 (G20) แสดงความมุ่งมั่นสนับสนุนการดําเนินงานให้บรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพและสวัสดิการที่ดี จัดการความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ
วันนี้ (20 ตุลาคม 2562) นายแพทย์สําเริง แหยงกระโทก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20 (G20) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 ตุลาคม 2562 ณ เมืองโอกายามะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรีสาธารณสุขไทยได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20 ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียนปี 2562 โดยได้ร่วมสนับสนุนการรับรองปฏิญญาโอกายามะของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขกลุ่ม 20 ซึ่งเป็นการแสดงความมุ่งมั่นสนับสนุนการดําเนินงานให้บรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพและสวัสดิการที่ดี จัดการความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ ซึ่งไทยสามารถใช้ปฏิญญานี้มาสนับสนุนการพัฒนาความร่วมมือด้านสุขภาพระหว่างภูมิภาคอาเซียนกับกลุ่ม 20 ในอนาคต
นายแพทย์สําเริงกล่าวต่อว่า ได้ร่วมแลกเปลี่ยนประเด็นความสําเร็จของการดําเนินงานเพื่อบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งประกอบด้วย การขับเคลื่อนให้เป็นประเด็นทางการเมือง การมีส่วนร่วมของหลายภาคส่วน และความร่วมมือของประชาชน โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม UHC Forum ในการประชุมวิชาการรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจําปี 2563 (Prince Mahidol Award Conference, PMAC 2020) ปลายเดือนมกราคม 2563 และจะเปิดศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม (ASEAN Centre for Active Aging and Innovation, ACAI) เป็นศูนย์กลางอาเซียนในการสร้างองค์ความรู้ พัฒนาศักยภาพและนวัตกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ระหว่างวันที่ 2-4 พฤศจิกายน 2562 ส่วนการจัดการความเสี่ยงและความมั่นคงด้านสุขภาพ จะต้องดําเนินการตามกลไกกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR 2005) และการดําเนินการในประเทศ รวมทั้งมีการลงทุนในนวัตกรรมทางสังคมที่ช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม ทั้งในคน สัตว์ และพืช
นอกจากนี้ ได้ร่วมซ้อมแผนการจัดการการระบาดของโรคติดต่อในสถานที่ที่มีการรวมตัวของคนจํานวนมาก (The public health emergency during mass gathering simulation exercise) กับสมาชิกของกลุ่ม20 ประกอบด้วย ผู้แทนสหภาพยุโรป และ19 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร แคนาดา ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา บราซิล จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกา เกาหลีใต้ และตุรกี โดยขนาดเศรษฐกิจของสมาชิกกลุ่ม 20 คิดเป็นร้อยละ 90 ของเศรษฐกิจโลก และมีประชากรรวมกันประมาณ 2 ใน 3 ของโลก
********************************* 20 ตุลาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23931
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ให้ความรู้ด้าน “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาเยาวชน” ในสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างเยาวชนต้นแบบ
|
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ให้ความรู้ด้าน “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาเยาวชน” ในสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างเยาวชนต้นแบบ
ม.ล.ปนัดดาฯ ให้ความรู้ด้าน “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาเยาวชน” ในสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างเยาวชนต้นแบบ
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษ เรื่อง “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาเยาวชน” แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ – ๕เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษ เรื่อง “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาเยาวชน” แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ – ๕จาก ๒๓ สถาบัน นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม คณะครูที่ปรึกษา และสภาเยาวชน ในการอบรมเชิงปฏิบัติการภายใต้โครงการสร้างเยาวชนต้นแบบ (เยาวชน ๔.๐) เฉลิมพระเกียรติฯซึ่งจัดโดยชมรมคนรักในหลวงจังหวัดนครปฐม คณะกรรมการจริยธรรมประจําจังหวัดนครปฐม และหอการค้าจังหวัดนครปฐม ณ ห้องประชุมโรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย อําเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า "วิทยากรในฐานะอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมเมื่อ ๙ ปีก่อน มีความยินดีจากใจจริงที่จังหวัดนครปฐม โดยหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ให้ความสําคัญกับปัญหาของสังคมปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมากอย่างน่าห่วงใย สังคมขาดความอบอุ่น ปราศจากความจริงใจ นิยมการเอารัดเอาเปรียบ ให้ร้ายผู้อื่นอันถือเป็นบาป เข้าทํานอง 'เอาความดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น' ที่นับวันยิ่งทวีคูณความน่าห่วงใย การสร้างภูมิคุ้มกันแก่เด็กและเยาวชนว่าด้วยศาสตร์พระราชา แน่นอนที่สุด จะเป็นการเสริมสร้างสังคมที่น่าอยู่อันพึงปรารถนาของทุกๆ คน ที่จะไม่ใช่สังคมของความเสี่ยงภัยและท้าทายการดํารงอยู่จนเกินเหตุ ที่จะก่อให้เกิดสภาพการณ์ทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นภยันตรายและปราศจากคุณภาพแก่สังคมของเด็กและเยาวชนในวันนี้และวันข้างหน้า
ผู้ใหญ่เองต้องนึกอยู่โดยตลอดเวลาว่า ตนนั้นคือ 'ต้นแบบหรือแบบอย่าง' ที่ใกล้ตัวและยั่งยืนที่สุดของลูกหลาน ดีไม่ดีเห็นกันชัดๆ ตรงนี้ ต้นแบบคือสิ่งที่มีความสําคัญเป็นอันดับแรก ได้แก่ บุพการี ครูอาจารย์ บุคคลในสังคม อาจเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานัน-ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารเอกชน ฯลฯ เพื่อประกันความไม่หลงทางในการดําเนินชีวิต ประกันความไม่พลาดพลั้งในช่วงหนึ่งช่วงใดในชีวิต ที่เราเกิดมาเป็นคนไทยใต้ร่มพระบารมี ต้องไม่กระทําสิ่งใดๆ ให้ประเทศชาติและพี่น้องคนไทยเสียชื่อ จึงจะสมกับที่เราได้เกิดมาเป็นประชาชนชาวไทย ที่จะเพียรพยายามทําทุกอย่างเพื่อรักษาชื่อเสียงเกียรติยศของประเทศ
คําว่า 'การปกครอง' ถือเป็นคําคู่ขนานกับคําว่า 'คุณธรรมจริยธรรม' ที่จะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ประชาธิปไตยจึงเปรียบเข้ากับแนวคิดดังกล่าวหรือผสานไปกับหลักคิดนี้ ทําอย่างไรที่จะให้เกิดธรรมาภิบาลประชาธิปไตย หรือธรรมาภิบาลทางการปกครอง ส่วนสําคัญมาจากการไม่ทุจริตคดโกง ไม่กล่าวคําเท็จไม่ว่าจะเรียกว่าโกหกสีขาวสีดําอะไรก็ตามแต่ และไม่ถือพรรคถือพวกจนกระทั่งเลยเถิด แม้แต่ระบบวงศาคณาญาติ อยากเล่นอะไรเช่นนี้ โกหกสีขาวสีดําอะไรเช่นนั้น ต้องไปเป็นซีอีโอบริษัทของตนเอง จะมาใช้ภาษีอากรประชาชนหรืออํานาจรัฐกระทําการไม่ได้ มันผิดด้วยจรรยาบรรณทางการปกครองและระบอบประชาธิปไตยอันยึดมั่นหลักธรรมาภิบาลทางการปกครอง
ในการทําความดี ไม่ต้องไปเที่ยวป่าวประกาศ เมื่อคนเขารู้ย่อมชื่นชมผู้กระทํา นี่คือธรรมชาติของการบําเพ็ญความดีที่เป็นศรีสง่าทั้งแก่ตัวและประเทศชาติ แต่หากไม่มีใครผู้ใดรู้ ก็ไม่เป็นที่วิตกเรียกว่า 'เป็นการปิดทองหลังพระ'วันหนึ่งจนได้ที่แผ่นทองนั้นต้องเพิ่มพูนมาข้างหน้าเองโดยธรรมชาติเช่นกัน ความสม่ําเสมอ ความยั่งยืนในการดํารงคุณงามความดีถือเป็นหัวใจของมนุษยชาติ คนที่สอบไม่ผ่านเรื่องนี้ มักมีที่มาจากการขาดองค์ประกอบสําคัญของชีวิต คือ 'หลักคุณธรรมจริยธรรม' ที่พระองค์ท่านได้ทรงพระกรุณาพระราชทานสอนแก่ปวงชนชาวไทยมาโดยตลอดรัชสมัย"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ให้ความรู้ด้าน “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาเยาวชน” ในสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างเยาวชนต้นแบบ
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ให้ความรู้ด้าน “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาเยาวชน” ในสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างเยาวชนต้นแบบ
ม.ล.ปนัดดาฯ ให้ความรู้ด้าน “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาเยาวชน” ในสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างเยาวชนต้นแบบ
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษ เรื่อง “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาเยาวชน” แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ – ๕เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษ เรื่อง “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาเยาวชน” แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ – ๕จาก ๒๓ สถาบัน นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม คณะครูที่ปรึกษา และสภาเยาวชน ในการอบรมเชิงปฏิบัติการภายใต้โครงการสร้างเยาวชนต้นแบบ (เยาวชน ๔.๐) เฉลิมพระเกียรติฯซึ่งจัดโดยชมรมคนรักในหลวงจังหวัดนครปฐม คณะกรรมการจริยธรรมประจําจังหวัดนครปฐม และหอการค้าจังหวัดนครปฐม ณ ห้องประชุมโรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย อําเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า "วิทยากรในฐานะอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมเมื่อ ๙ ปีก่อน มีความยินดีจากใจจริงที่จังหวัดนครปฐม โดยหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ให้ความสําคัญกับปัญหาของสังคมปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมากอย่างน่าห่วงใย สังคมขาดความอบอุ่น ปราศจากความจริงใจ นิยมการเอารัดเอาเปรียบ ให้ร้ายผู้อื่นอันถือเป็นบาป เข้าทํานอง 'เอาความดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น' ที่นับวันยิ่งทวีคูณความน่าห่วงใย การสร้างภูมิคุ้มกันแก่เด็กและเยาวชนว่าด้วยศาสตร์พระราชา แน่นอนที่สุด จะเป็นการเสริมสร้างสังคมที่น่าอยู่อันพึงปรารถนาของทุกๆ คน ที่จะไม่ใช่สังคมของความเสี่ยงภัยและท้าทายการดํารงอยู่จนเกินเหตุ ที่จะก่อให้เกิดสภาพการณ์ทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นภยันตรายและปราศจากคุณภาพแก่สังคมของเด็กและเยาวชนในวันนี้และวันข้างหน้า
ผู้ใหญ่เองต้องนึกอยู่โดยตลอดเวลาว่า ตนนั้นคือ 'ต้นแบบหรือแบบอย่าง' ที่ใกล้ตัวและยั่งยืนที่สุดของลูกหลาน ดีไม่ดีเห็นกันชัดๆ ตรงนี้ ต้นแบบคือสิ่งที่มีความสําคัญเป็นอันดับแรก ได้แก่ บุพการี ครูอาจารย์ บุคคลในสังคม อาจเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานัน-ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารเอกชน ฯลฯ เพื่อประกันความไม่หลงทางในการดําเนินชีวิต ประกันความไม่พลาดพลั้งในช่วงหนึ่งช่วงใดในชีวิต ที่เราเกิดมาเป็นคนไทยใต้ร่มพระบารมี ต้องไม่กระทําสิ่งใดๆ ให้ประเทศชาติและพี่น้องคนไทยเสียชื่อ จึงจะสมกับที่เราได้เกิดมาเป็นประชาชนชาวไทย ที่จะเพียรพยายามทําทุกอย่างเพื่อรักษาชื่อเสียงเกียรติยศของประเทศ
คําว่า 'การปกครอง' ถือเป็นคําคู่ขนานกับคําว่า 'คุณธรรมจริยธรรม' ที่จะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ประชาธิปไตยจึงเปรียบเข้ากับแนวคิดดังกล่าวหรือผสานไปกับหลักคิดนี้ ทําอย่างไรที่จะให้เกิดธรรมาภิบาลประชาธิปไตย หรือธรรมาภิบาลทางการปกครอง ส่วนสําคัญมาจากการไม่ทุจริตคดโกง ไม่กล่าวคําเท็จไม่ว่าจะเรียกว่าโกหกสีขาวสีดําอะไรก็ตามแต่ และไม่ถือพรรคถือพวกจนกระทั่งเลยเถิด แม้แต่ระบบวงศาคณาญาติ อยากเล่นอะไรเช่นนี้ โกหกสีขาวสีดําอะไรเช่นนั้น ต้องไปเป็นซีอีโอบริษัทของตนเอง จะมาใช้ภาษีอากรประชาชนหรืออํานาจรัฐกระทําการไม่ได้ มันผิดด้วยจรรยาบรรณทางการปกครองและระบอบประชาธิปไตยอันยึดมั่นหลักธรรมาภิบาลทางการปกครอง
ในการทําความดี ไม่ต้องไปเที่ยวป่าวประกาศ เมื่อคนเขารู้ย่อมชื่นชมผู้กระทํา นี่คือธรรมชาติของการบําเพ็ญความดีที่เป็นศรีสง่าทั้งแก่ตัวและประเทศชาติ แต่หากไม่มีใครผู้ใดรู้ ก็ไม่เป็นที่วิตกเรียกว่า 'เป็นการปิดทองหลังพระ'วันหนึ่งจนได้ที่แผ่นทองนั้นต้องเพิ่มพูนมาข้างหน้าเองโดยธรรมชาติเช่นกัน ความสม่ําเสมอ ความยั่งยืนในการดํารงคุณงามความดีถือเป็นหัวใจของมนุษยชาติ คนที่สอบไม่ผ่านเรื่องนี้ มักมีที่มาจากการขาดองค์ประกอบสําคัญของชีวิต คือ 'หลักคุณธรรมจริยธรรม' ที่พระองค์ท่านได้ทรงพระกรุณาพระราชทานสอนแก่ปวงชนชาวไทยมาโดยตลอดรัชสมัย"
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13121
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 สั่งการทุกจังหวัดเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พุทธศักราช 2562
|
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2562
มท.1 สั่งการทุกจังหวัดเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พุทธศักราช 2562
มท.1 สั่งการทุกจังหวัดเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พุทธศักราช 2562
วันนี้ (1 ส.ค. 62) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามมติที่ประชุมหารือการจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปีพุทธศักราช 2562 เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปีพุทธศักราช 2562 ในส่วนภูมิภาค
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการทุกจังหวัดให้ดําเนินการ ดังนี้ กิจกรรมในระหว่างวันที่ 5 – 19 สิงหาคม 2562 ให้ทุกจังหวัดประดับพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัด พร้อมประดับธงชาติไทยร่วมกับธงตราสัญลักษณ์
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และธงอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. พร้อมเชิญชวนบริษัท ห้างร้าน และประชาชนดําเนินการดังกล่าวด้วย พร้อมทั้งให้ทุกจังหวัดจัดสถานที่สําหรับให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า ร่วมลงนาม
ถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด รวมถึงสถานที่ราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่งรวมทั้งประดับไฟบริเวณศาลากลางจังหวัดและสถานที่สําคัญของจังหวัดให้สวยงาม
สําหรับกิจกรรมในวันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2562 จะเริ่มตั้งแต่เวลา 07.15 น. พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จํานวน 88 รูป หรือจํานวนตามที่จังหวัดเห็นว่าเหมาะสม ต่อจากนั้นเวลา 09.00 น. พิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคลฯ เวลา 18.30 น. พิธีถวายเครื่องราชสักการะ และในเวลา 19.30 น. พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล นอกจากนั้น ในวันดังกล่าวแต่ละจังหวัดจะจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาลําน้ํา ลําคลอง จิตอาสาพัฒนาถนนสายหลัก และจิตอาสาพัฒนาสวนสาธารณะ เพื่อถวายพระราชกุศล และจัดกิจกรรมสาธารณกุศลอื่นๆ เช่น การพัฒนาอาชีพผู้ด้อยโอกาส การจัดบริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในพื้นที่ห่างไกล การเลี้ยงอาหารกลางวันผู้ด้อยโอกาส คนชรา หรือกิจกรรมอื่นๆ ตามที่แต่ละจังหวัดกําหนด รวมถึงจัดกิจกรรมดังกล่าวพร้อมกันในทุกอําเภอ อย่างสมพระเกียรติ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องในโอกาสอันเป็นมงคลยิ่งนี้ กระทรวงมหาดไทยขอเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่าเข้าร่วมกิจกรรมฯ ตามวัน เวลา และสถานที่ตามที่แต่ละจังหวัดกําหนด เพื่อน้อมสํานึกใน
พระมหากรุณาธิคุณและแสดงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 สั่งการทุกจังหวัดเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พุทธศักราช 2562
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2562
มท.1 สั่งการทุกจังหวัดเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พุทธศักราช 2562
มท.1 สั่งการทุกจังหวัดเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พุทธศักราช 2562
วันนี้ (1 ส.ค. 62) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามมติที่ประชุมหารือการจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปีพุทธศักราช 2562 เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปีพุทธศักราช 2562 ในส่วนภูมิภาค
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการทุกจังหวัดให้ดําเนินการ ดังนี้ กิจกรรมในระหว่างวันที่ 5 – 19 สิงหาคม 2562 ให้ทุกจังหวัดประดับพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัด พร้อมประดับธงชาติไทยร่วมกับธงตราสัญลักษณ์
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และธงอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. พร้อมเชิญชวนบริษัท ห้างร้าน และประชาชนดําเนินการดังกล่าวด้วย พร้อมทั้งให้ทุกจังหวัดจัดสถานที่สําหรับให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า ร่วมลงนาม
ถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด รวมถึงสถานที่ราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่งรวมทั้งประดับไฟบริเวณศาลากลางจังหวัดและสถานที่สําคัญของจังหวัดให้สวยงาม
สําหรับกิจกรรมในวันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2562 จะเริ่มตั้งแต่เวลา 07.15 น. พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จํานวน 88 รูป หรือจํานวนตามที่จังหวัดเห็นว่าเหมาะสม ต่อจากนั้นเวลา 09.00 น. พิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคลฯ เวลา 18.30 น. พิธีถวายเครื่องราชสักการะ และในเวลา 19.30 น. พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล นอกจากนั้น ในวันดังกล่าวแต่ละจังหวัดจะจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาลําน้ํา ลําคลอง จิตอาสาพัฒนาถนนสายหลัก และจิตอาสาพัฒนาสวนสาธารณะ เพื่อถวายพระราชกุศล และจัดกิจกรรมสาธารณกุศลอื่นๆ เช่น การพัฒนาอาชีพผู้ด้อยโอกาส การจัดบริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในพื้นที่ห่างไกล การเลี้ยงอาหารกลางวันผู้ด้อยโอกาส คนชรา หรือกิจกรรมอื่นๆ ตามที่แต่ละจังหวัดกําหนด รวมถึงจัดกิจกรรมดังกล่าวพร้อมกันในทุกอําเภอ อย่างสมพระเกียรติ
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องในโอกาสอันเป็นมงคลยิ่งนี้ กระทรวงมหาดไทยขอเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่าเข้าร่วมกิจกรรมฯ ตามวัน เวลา และสถานที่ตามที่แต่ละจังหวัดกําหนด เพื่อน้อมสํานึกใน
พระมหากรุณาธิคุณและแสดงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21915
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลไทย สั่งซื้อยา Favipiravir รักษาผู้ป่วยโควิด-19 จากญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย สั่งซื้อยา Favipiravir รักษาผู้ป่วยโควิด-19 จากญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด [กระทรวงสาธารณสุข]
รัฐบาลไทย มอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายา Favipiravir โดยสั่งซื้อจาก 2 แหล่งหลักคือญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด กระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12 เขตสุขภาพ รักษาผู้ป่วยโควิด-19 องค์การเภสัชกรรมพร้อมจัดหาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลไทย มอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายา Favipiravir โดยสั่งซื้อจาก 2 แหล่งหลักคือญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด กระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12 เขตสุขภาพ รักษาผู้ป่วยโควิด-19 องค์การเภสัชกรรมพร้อมจัดหาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยมอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ซึ่งเป็นยาสําคัญสําหรับผู้ติดเชื้อโควิด -19 มีแหล่งผลิตอยู่ 2 แหล่งหลัก คือญี่ปุ่นเจ้าของลิขสิทธิ์และจีนซึ่งได้รับลิขสิทธิ์จากญี่ปุ่น รวมได้รับยามาแล้ว 87,000 เม็ด โดย เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2563 กรมควบคุมโรคได้นําเข้ายาจากประเทศญี่ปุ่นจํานวน 5,000 เม็ด เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 รัฐบาลจีนได้บริจาคให้รัฐบาลไทยจํานวน 2,000 เม็ด เมื่อ 12 มีนาคม 2563 กรมควบคุมโรคนําเข้ายาจากประเทศญี่ปุ่นจํานวน 40,000 เม็ด ส่งมอบให้สถาบันบําราศนราดูร ,กรมการแพทย์ ,โรงพยาบาลใน 12 เขตสุขภาพแล้ว และเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2563 องค์การเภสัชกรรมได้จัดซื้อจากญี่ปุ่น 40,000 เม็ด ส่งให้โรงพยาบาลราชวิถี 18,000 เม็ด เพื่อกระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12เขตสุขภาพ จํานวน 18,000 เม็ด เพื่อจัดสรรให้กับโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน เหลือไว้สํารองสําหรับจัดสรรกรณีจําเป็นเร่งด่วนอีกจํานวน 4,000 เม็ด
ปัจจุบันได้มีการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ กับผู้ป่วยแล้ว จํานวน 515 ราย ใช้ไปแล้ว 48,875 เม็ดเหลืออยู่ 38,126 เม็ด สามารถมีใช้ได้อย่างต่อเนื่องอีกถึง 4-5 เดือน ล่าสุดเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2563 องค์การเภสัชกรรม ได้สั่งซื้อจากจีนและญี่ปุ่นเพิ่ม 200,000 เม็ด โดยจะมีการจัดส่งยาภายในเดือนเมษายนนี้ รวมแล้ว 287,000 เม็ด และจะมีการสั่งซื้อเพื่อสํารองเพิ่ม
“การจัดหายาต้านไวรัสในครั้งนี้ มีความยากลําบากเนื่องจากเป็นที่ต้องการของทุกประเทศ ต้องใช้การดําเนินการทุกวิถีทาง ทั้งการเจรจาผ่านสถานฑูตญี่ปุ่นและจีนทั้งในแง่ของการซื้อและบริจาคมาโดยตลอด เพื่อสวัสดิภาพ ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวไทยเราไม่รอเด็ดขาด ส่วนกรณีข่าวญี่ปุ่นจะบริจาคยาให้ 30 ประเทศนั้น ในเบื้องต้นทราบว่าญี่ปุ่นจะบริจาคสําหรับโครงการวิจัยเท่านั้น ซึ่งทั้งนี้หากประเทศใดต้องการบริจาคยาประเทศไทยยินดีรับการสนับสนุน เพื่อให้มียาช่วยรักษาชีวิตของประชาชนชาวไทยอย่างเร่งด่วน” นายแพทย์วิฑูรย์ กล่าว
***************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลไทย สั่งซื้อยา Favipiravir รักษาผู้ป่วยโควิด-19 จากญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย สั่งซื้อยา Favipiravir รักษาผู้ป่วยโควิด-19 จากญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด [กระทรวงสาธารณสุข]
รัฐบาลไทย มอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายา Favipiravir โดยสั่งซื้อจาก 2 แหล่งหลักคือญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด กระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12 เขตสุขภาพ รักษาผู้ป่วยโควิด-19 องค์การเภสัชกรรมพร้อมจัดหาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลไทย มอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายา Favipiravir โดยสั่งซื้อจาก 2 แหล่งหลักคือญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด กระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12 เขตสุขภาพ รักษาผู้ป่วยโควิด-19 องค์การเภสัชกรรมพร้อมจัดหาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยมอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ซึ่งเป็นยาสําคัญสําหรับผู้ติดเชื้อโควิด -19 มีแหล่งผลิตอยู่ 2 แหล่งหลัก คือญี่ปุ่นเจ้าของลิขสิทธิ์และจีนซึ่งได้รับลิขสิทธิ์จากญี่ปุ่น รวมได้รับยามาแล้ว 87,000 เม็ด โดย เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2563 กรมควบคุมโรคได้นําเข้ายาจากประเทศญี่ปุ่นจํานวน 5,000 เม็ด เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 รัฐบาลจีนได้บริจาคให้รัฐบาลไทยจํานวน 2,000 เม็ด เมื่อ 12 มีนาคม 2563 กรมควบคุมโรคนําเข้ายาจากประเทศญี่ปุ่นจํานวน 40,000 เม็ด ส่งมอบให้สถาบันบําราศนราดูร ,กรมการแพทย์ ,โรงพยาบาลใน 12 เขตสุขภาพแล้ว และเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2563 องค์การเภสัชกรรมได้จัดซื้อจากญี่ปุ่น 40,000 เม็ด ส่งให้โรงพยาบาลราชวิถี 18,000 เม็ด เพื่อกระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12เขตสุขภาพ จํานวน 18,000 เม็ด เพื่อจัดสรรให้กับโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน เหลือไว้สํารองสําหรับจัดสรรกรณีจําเป็นเร่งด่วนอีกจํานวน 4,000 เม็ด
ปัจจุบันได้มีการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ กับผู้ป่วยแล้ว จํานวน 515 ราย ใช้ไปแล้ว 48,875 เม็ดเหลืออยู่ 38,126 เม็ด สามารถมีใช้ได้อย่างต่อเนื่องอีกถึง 4-5 เดือน ล่าสุดเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2563 องค์การเภสัชกรรม ได้สั่งซื้อจากจีนและญี่ปุ่นเพิ่ม 200,000 เม็ด โดยจะมีการจัดส่งยาภายในเดือนเมษายนนี้ รวมแล้ว 287,000 เม็ด และจะมีการสั่งซื้อเพื่อสํารองเพิ่ม
“การจัดหายาต้านไวรัสในครั้งนี้ มีความยากลําบากเนื่องจากเป็นที่ต้องการของทุกประเทศ ต้องใช้การดําเนินการทุกวิถีทาง ทั้งการเจรจาผ่านสถานฑูตญี่ปุ่นและจีนทั้งในแง่ของการซื้อและบริจาคมาโดยตลอด เพื่อสวัสดิภาพ ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวไทยเราไม่รอเด็ดขาด ส่วนกรณีข่าวญี่ปุ่นจะบริจาคยาให้ 30 ประเทศนั้น ในเบื้องต้นทราบว่าญี่ปุ่นจะบริจาคสําหรับโครงการวิจัยเท่านั้น ซึ่งทั้งนี้หากประเทศใดต้องการบริจาคยาประเทศไทยยินดีรับการสนับสนุน เพื่อให้มียาช่วยรักษาชีวิตของประชาชนชาวไทยอย่างเร่งด่วน” นายแพทย์วิฑูรย์ กล่าว
***************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28479
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งสร้างความรอบรู้ การป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละออง PM 2.5
|
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2562
สธ.เร่งสร้างความรอบรู้ การป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละออง PM 2.5
กระทรวงสาธารณสุข เร่งสร้างความตระหนักรับรู้เรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 จัดทําชุดความรู้ที่ถูกต้อง ให้ประชาชนและกลุ่มเสี่ยงมีความรู้ในการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ ช่วยกันรณรงค์ลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ
วันนี้ (17 มกราคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงบทบาทของกระทรวงสาธารณสุขต่อปัญหาสุขภาพ ฝุ่นละออง PM 2.5 ในการเปิดเสวนา เรื่อง ฝุ่นละออง PM 2.5 ปัญหาสุขภาพและแนวทางการแก้ไข จัดโดยแพทยสภาและกระทรวงสาธารณสุข ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการดําเนินการเพื่อลดผลกระทบสุขภาพประชาชนจากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในกทม.และปริมณฑล โดย 1.เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) ระดับกระทรวงติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ 2.เร่งสร้างความรอบรู้แก่ประชาชน สื่อสารความรู้ผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งสื่อหลัก สื่อโซเชียล เว็บไซต์ของหน่วยงานในสังกัด 3.ให้ความรู้เชิงรุก จัดทีมพยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขออกให้ความรู้ประชาชนทั่วไป กลุ่มเสี่ยงเช่น ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน โรงพยาบาล สถานีตํารวจ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
4.จัดประชุมผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขได้แก่ กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมการแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เพื่อจัดทําชุดความรู้ที่ถูกต้องสําหรับประชาชนและกลุ่มเสี่ยง 5.รณรงค์สร้างความตระหนักแก่ประชาชน เด็กนักเรียน ลดการเผาขยะในที่โล่งแจ้งในเขตกทม.และปริมณฑล ไม่ใช้รถควันดํา 6.เฝ้าระวังผู้ป่วย โรคระบบทางเดินหายใจ โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ในโรงพยาบาลเครือข่ายกรุงเทพมหานครและปริมณฑลรวม 22 แห่ง และ 7.เตรียมโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งให้พร้อมดูแลประชาชน ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
“ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลการดูแลตนเองจากเว็บไซต์กรมอนามัยwww.anamai.moph.go.th คลิ๊กที่หัวข้อ “ภัยสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 (กทม. และปริมณฑล) เพื่อดูระดับความเสี่ยงที่และวิธีการปฏิบัติตัว” หากมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจติดขัด แน่นหน้าอก วิงเวียนศีรษะ ให้รีบไปพบแพทย์” นายแพทย์สุขุมกล่าว
จากนั้นได้ลงพื้นที่สร้างความตระหนักรับรู้เรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 และแจกหน้ากากอนามัย ที่สถานีตํารวจนครบาลพญาไท สํานักงานเขตราชเทวี และด่านการทางพิเศษดินแดง โดยมอบสื่อรณรงค์เรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 และหน้ากากอนามัย ให้กับผู้ว่าการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และประทานบอร์ดการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
************************************ 17 มกราคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งสร้างความรอบรู้ การป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละออง PM 2.5
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2562
สธ.เร่งสร้างความรอบรู้ การป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละออง PM 2.5
กระทรวงสาธารณสุข เร่งสร้างความตระหนักรับรู้เรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 จัดทําชุดความรู้ที่ถูกต้อง ให้ประชาชนและกลุ่มเสี่ยงมีความรู้ในการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ ช่วยกันรณรงค์ลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ
วันนี้ (17 มกราคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงบทบาทของกระทรวงสาธารณสุขต่อปัญหาสุขภาพ ฝุ่นละออง PM 2.5 ในการเปิดเสวนา เรื่อง ฝุ่นละออง PM 2.5 ปัญหาสุขภาพและแนวทางการแก้ไข จัดโดยแพทยสภาและกระทรวงสาธารณสุข ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการดําเนินการเพื่อลดผลกระทบสุขภาพประชาชนจากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในกทม.และปริมณฑล โดย 1.เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) ระดับกระทรวงติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ 2.เร่งสร้างความรอบรู้แก่ประชาชน สื่อสารความรู้ผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งสื่อหลัก สื่อโซเชียล เว็บไซต์ของหน่วยงานในสังกัด 3.ให้ความรู้เชิงรุก จัดทีมพยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขออกให้ความรู้ประชาชนทั่วไป กลุ่มเสี่ยงเช่น ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน โรงพยาบาล สถานีตํารวจ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
4.จัดประชุมผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขได้แก่ กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมการแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เพื่อจัดทําชุดความรู้ที่ถูกต้องสําหรับประชาชนและกลุ่มเสี่ยง 5.รณรงค์สร้างความตระหนักแก่ประชาชน เด็กนักเรียน ลดการเผาขยะในที่โล่งแจ้งในเขตกทม.และปริมณฑล ไม่ใช้รถควันดํา 6.เฝ้าระวังผู้ป่วย โรคระบบทางเดินหายใจ โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ในโรงพยาบาลเครือข่ายกรุงเทพมหานครและปริมณฑลรวม 22 แห่ง และ 7.เตรียมโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งให้พร้อมดูแลประชาชน ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
“ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลการดูแลตนเองจากเว็บไซต์กรมอนามัยwww.anamai.moph.go.th คลิ๊กที่หัวข้อ “ภัยสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 (กทม. และปริมณฑล) เพื่อดูระดับความเสี่ยงที่และวิธีการปฏิบัติตัว” หากมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจติดขัด แน่นหน้าอก วิงเวียนศีรษะ ให้รีบไปพบแพทย์” นายแพทย์สุขุมกล่าว
จากนั้นได้ลงพื้นที่สร้างความตระหนักรับรู้เรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 และแจกหน้ากากอนามัย ที่สถานีตํารวจนครบาลพญาไท สํานักงานเขตราชเทวี และด่านการทางพิเศษดินแดง โดยมอบสื่อรณรงค์เรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 และหน้ากากอนามัย ให้กับผู้ว่าการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และประทานบอร์ดการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
************************************ 17 มกราคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18192
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คืน VAT ผู้มีรายได้น้อย 6 เดือน ผ่านบัตรสวัสดิการฯ เพิ่มกำลังซื้อ หนุนการออม
|
วันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561
คืน VAT ผู้มีรายได้น้อย 6 เดือน ผ่านบัตรสวัสดิการฯ เพิ่มกําลังซื้อ หนุนการออม
--
มาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐที่ออกมาภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่ 1 ต.ค. 60 นั้น ได้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้มีรายได้น้อย โดยเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ผู้มีรายได้น้อยได้รับอานิสงส์จากมาตรการของภาครัฐคิดเป็นมูลค่าถึง 38,000 ล้านบาท
หนึ่งในมาตรการที่ว่านี้ คือ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าในชีวิตประจําวันผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
แต่เมื่อผู้มีรายได้น้อยนําบัตรไปรูดซื้อของกับร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็ยังต้องเสียภาษี VAT ซึ่งรวมอยู่ในราคาสินค้าแต่ละชนิดให้กับรัฐอยู่ดี
ดังนั้น...รัฐบาลจึงได้นําข้อจํากัดนี้ไปพัฒนาต่อยอดเพื่อผู้มีรายได้น้อย เพราะแม้แต่การเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยังเรียกเก็บตามฐานรายได้ของแต่ละคน แล้วทําไมภาษี VAT จึงยังเก็บที่ 7% เท่ากัน
ล่าสุด ครม.ได้เห็นชอบมาตรการชดเชยเงินภาษี VAT สําหรับผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สําหรับการจับจ่ายซื้อสินค้าในระยะเวลา 6 เดือน หรือ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 61 – 30 เม.ย.62 โดยมีขั้นตอน ดังนี้
1. กรมบัญชีกลางและธนาคารกรุงไทย จะเร่งติดตั้งเครื่องบันทึกการเก็บเงิน ที่เรียกว่า POS ในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและมีเครื่อง EDC อยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 3,000 ร้าน
2. เครื่อง POS นี้จะช่วยบันทึกข้อมูลการขาย รายละเอียดสินค้า ยอดการขาย พิมพ์ใบกํากับภาษี และยังสามารถแยกข้อมูลภาษี VAT ออกจากราคาสินค้า เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่กรมบัญชีกลาง
3. ไม่ว่าเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะมาจากส่วนไหน เช่น จากวงเงินที่รัฐจัดให้สําหรับซื้อสินค้าในชีวิตประจําวัน หรือจากเงินในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ทั้งเบี้ยผู้สูงอายุ เงินจากการฝึกอาชีพ เงินที่ผู้ถือบัตรเติมเข้าไปเอง รวมถึงเงินจากการคืน VAT ก็จะถูกเครื่อง POS บันทึกไว้ทุกครั้งที่มีการรูดซื้อสินค้า
4. ข้อมูลที่ได้จากเครื่อง POS จะถูกส่งต่อไปยังกรมบัญชีกลาง โดยจะแบ่งภาษี VAT ที่ต้องจ่าย 7% ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1 จํานวน 1% เก็บเป็นภาษี VAT เข้ารัฐตามปกติ
ส่วนที่ 2 จํานวน 5% โอนกลับคืนไปใน e-Money ของผู้ถือบัตร ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ซึ่งผู้ถือบัตร สามารถนําไปรูดซื้อสินค้า หรือกดออกมาเป็นเงินสดไว้ใช้จ่ายได้
ส่วนที่ 3 จํานวน 1% โอนเข้าไปในบัญชีกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ของผู้ถือบัตร เพื่อเติมเงินในกองทุนเป็นหลักประกันในชีวิตหลังวัยเกษียณ
ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก กอช. โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุไม่เกิน 60 ปี จึงต้องรีบไปสมัครให้เรียบร้อยโดยเร็ว เพื่อให้มีบัญชีรองรับเงินโอนส่วนนี้ ซึ่งถือเป็นมาตรการจูงใจให้ผู้มีรายได้น้อยสมัครเข้าเป็นสมาชิก กอช. อีกทางหนึ่ง เพื่อประโยชน์ของผู้มีรายได้น้อยเองในระยะยาว
ส่วนผู้ถือบัตรที่ไม่สามารถสมัครเป็นสมาชิก หรือเปิดบัญชี กอช. ได้ เนื่องจากคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ที่ กอช. กําหนด ให้กระทรวงการคลังหรือกับธนาคารต่าง ๆ เพื่อเปิดบัญชีเงินฝากระยะยาว รองรับการโอนเงินเข้าบัญชี โดยให้ธนาคารพิจารณาผลตอบแทนที่เหมาะสม และยกเว้นค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชีด้วย
แต่! เงินในส่วนที่ 2 และ 3 รวมกันแล้วจะต้องไม่เกิน 500 บาท/คน/เดือน
สําหรับร้านธงฟ้าประชารัฐ ที่ต้องการติดตั้งเครื่อง POS ให้แจ้งความประสงค์ได้ที่เว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th และสํานักงานคลังจังหวัด ภายในวันที่ 1 ต.ค. 61 นี้
เห็นไหมครับว่า วิธีการนี้จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของครัวเรือน ส่งเสริมให้เกิดการออมในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และยังช่วยกระตุ้นให้ร้านค้าหันไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ช่วยสร้างฐานภาษีที่ยั่งยืนให้กับประเทศ และที่สําคัญยังช่วยลดการใช้เงินสดตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะทําให้ต้นทุนการบริหารจัดการเงินลดลง และสร้างความโปร่งใสในการประกอบธุรกิจอีกด้วย
แบบนี้เรียกว่า ยิงปืนนัดเดียว ได้นก 2 – 3 ตัว เลยทีเดียว!!
--------------------------------------------------
ภาพ/ข่าว กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คืน VAT ผู้มีรายได้น้อย 6 เดือน ผ่านบัตรสวัสดิการฯ เพิ่มกำลังซื้อ หนุนการออม
วันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561
คืน VAT ผู้มีรายได้น้อย 6 เดือน ผ่านบัตรสวัสดิการฯ เพิ่มกําลังซื้อ หนุนการออม
--
มาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐที่ออกมาภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่ 1 ต.ค. 60 นั้น ได้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้มีรายได้น้อย โดยเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ผู้มีรายได้น้อยได้รับอานิสงส์จากมาตรการของภาครัฐคิดเป็นมูลค่าถึง 38,000 ล้านบาท
หนึ่งในมาตรการที่ว่านี้ คือ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าในชีวิตประจําวันผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
แต่เมื่อผู้มีรายได้น้อยนําบัตรไปรูดซื้อของกับร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็ยังต้องเสียภาษี VAT ซึ่งรวมอยู่ในราคาสินค้าแต่ละชนิดให้กับรัฐอยู่ดี
ดังนั้น...รัฐบาลจึงได้นําข้อจํากัดนี้ไปพัฒนาต่อยอดเพื่อผู้มีรายได้น้อย เพราะแม้แต่การเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยังเรียกเก็บตามฐานรายได้ของแต่ละคน แล้วทําไมภาษี VAT จึงยังเก็บที่ 7% เท่ากัน
ล่าสุด ครม.ได้เห็นชอบมาตรการชดเชยเงินภาษี VAT สําหรับผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สําหรับการจับจ่ายซื้อสินค้าในระยะเวลา 6 เดือน หรือ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 61 – 30 เม.ย.62 โดยมีขั้นตอน ดังนี้
1. กรมบัญชีกลางและธนาคารกรุงไทย จะเร่งติดตั้งเครื่องบันทึกการเก็บเงิน ที่เรียกว่า POS ในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและมีเครื่อง EDC อยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 3,000 ร้าน
2. เครื่อง POS นี้จะช่วยบันทึกข้อมูลการขาย รายละเอียดสินค้า ยอดการขาย พิมพ์ใบกํากับภาษี และยังสามารถแยกข้อมูลภาษี VAT ออกจากราคาสินค้า เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่กรมบัญชีกลาง
3. ไม่ว่าเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะมาจากส่วนไหน เช่น จากวงเงินที่รัฐจัดให้สําหรับซื้อสินค้าในชีวิตประจําวัน หรือจากเงินในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ทั้งเบี้ยผู้สูงอายุ เงินจากการฝึกอาชีพ เงินที่ผู้ถือบัตรเติมเข้าไปเอง รวมถึงเงินจากการคืน VAT ก็จะถูกเครื่อง POS บันทึกไว้ทุกครั้งที่มีการรูดซื้อสินค้า
4. ข้อมูลที่ได้จากเครื่อง POS จะถูกส่งต่อไปยังกรมบัญชีกลาง โดยจะแบ่งภาษี VAT ที่ต้องจ่าย 7% ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1 จํานวน 1% เก็บเป็นภาษี VAT เข้ารัฐตามปกติ
ส่วนที่ 2 จํานวน 5% โอนกลับคืนไปใน e-Money ของผู้ถือบัตร ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ซึ่งผู้ถือบัตร สามารถนําไปรูดซื้อสินค้า หรือกดออกมาเป็นเงินสดไว้ใช้จ่ายได้
ส่วนที่ 3 จํานวน 1% โอนเข้าไปในบัญชีกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ของผู้ถือบัตร เพื่อเติมเงินในกองทุนเป็นหลักประกันในชีวิตหลังวัยเกษียณ
ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก กอช. โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุไม่เกิน 60 ปี จึงต้องรีบไปสมัครให้เรียบร้อยโดยเร็ว เพื่อให้มีบัญชีรองรับเงินโอนส่วนนี้ ซึ่งถือเป็นมาตรการจูงใจให้ผู้มีรายได้น้อยสมัครเข้าเป็นสมาชิก กอช. อีกทางหนึ่ง เพื่อประโยชน์ของผู้มีรายได้น้อยเองในระยะยาว
ส่วนผู้ถือบัตรที่ไม่สามารถสมัครเป็นสมาชิก หรือเปิดบัญชี กอช. ได้ เนื่องจากคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ที่ กอช. กําหนด ให้กระทรวงการคลังหรือกับธนาคารต่าง ๆ เพื่อเปิดบัญชีเงินฝากระยะยาว รองรับการโอนเงินเข้าบัญชี โดยให้ธนาคารพิจารณาผลตอบแทนที่เหมาะสม และยกเว้นค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชีด้วย
แต่! เงินในส่วนที่ 2 และ 3 รวมกันแล้วจะต้องไม่เกิน 500 บาท/คน/เดือน
สําหรับร้านธงฟ้าประชารัฐ ที่ต้องการติดตั้งเครื่อง POS ให้แจ้งความประสงค์ได้ที่เว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th และสํานักงานคลังจังหวัด ภายในวันที่ 1 ต.ค. 61 นี้
เห็นไหมครับว่า วิธีการนี้จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของครัวเรือน ส่งเสริมให้เกิดการออมในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และยังช่วยกระตุ้นให้ร้านค้าหันไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ช่วยสร้างฐานภาษีที่ยั่งยืนให้กับประเทศ และที่สําคัญยังช่วยลดการใช้เงินสดตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะทําให้ต้นทุนการบริหารจัดการเงินลดลง และสร้างความโปร่งใสในการประกอบธุรกิจอีกด้วย
แบบนี้เรียกว่า ยิงปืนนัดเดียว ได้นก 2 – 3 ตัว เลยทีเดียว!!
--------------------------------------------------
ภาพ/ข่าว กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15568
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้ 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 สูงกว่าประมาณการ 20%”
|
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562
“รัฐวิสาหกิจนําส่งรายได้ 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 สูงกว่าประมาณการ 20%”
ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (เดือนตุลาคม 2561 – เดือนกุมภาพันธ์ 2562) สคร. สามารถจัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ํากว่าร้อยละ 50 จํานวน 86,614 ล้านบาท
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (เดือนตุลาคม 2561 – เดือนกุมภาพันธ์ 2562) สคร. สามารถจัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ํากว่าร้อยละ 50 จํานวน 86,614 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสมจํานวน 14,262 ล้านบาท หรือร้อยละ 20 ของประมาณการสะสม
รายได้นําส่งสะสม
(ต.ค. 61 – ก.พ. 62)
ประมาณการสะสม (ล้านบาท) 72,352
จัดเก็บจริง (ล้านบาท) 86,614
ร้อยละของประมาณการสะสม (%) 120
รัฐวิสาหกิจที่นําส่งรายได้แผ่นดินสูงสุด 5 อันดับแรก ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 ได้แก่ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) และธนาคารออมสิน รวมจํานวน 63,223 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 73 ของเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสมทั้งหมด
รัฐวิสาหกิจที่นําส่งเงินรายได้แผ่นดินสะสมสูงสุด 5 อันดับแรก ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (ต.ค. 61 – ก.พ. 62)
รัฐวิสาหกิจ รายได้นําส่ง (ล้านบาท)
1. สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 18,850
2. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 12,924
3. บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 11,679
4. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) 10,500
5. ธนาคารออมสิน 9,270
อื่นๆ 23,391
รวมทั้งหมด 86,614
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้ 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 สูงกว่าประมาณการ 20%”
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562
“รัฐวิสาหกิจนําส่งรายได้ 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 สูงกว่าประมาณการ 20%”
ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (เดือนตุลาคม 2561 – เดือนกุมภาพันธ์ 2562) สคร. สามารถจัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ํากว่าร้อยละ 50 จํานวน 86,614 ล้านบาท
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (เดือนตุลาคม 2561 – เดือนกุมภาพันธ์ 2562) สคร. สามารถจัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ํากว่าร้อยละ 50 จํานวน 86,614 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสมจํานวน 14,262 ล้านบาท หรือร้อยละ 20 ของประมาณการสะสม
รายได้นําส่งสะสม
(ต.ค. 61 – ก.พ. 62)
ประมาณการสะสม (ล้านบาท) 72,352
จัดเก็บจริง (ล้านบาท) 86,614
ร้อยละของประมาณการสะสม (%) 120
รัฐวิสาหกิจที่นําส่งรายได้แผ่นดินสูงสุด 5 อันดับแรก ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 ได้แก่ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) และธนาคารออมสิน รวมจํานวน 63,223 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 73 ของเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสมทั้งหมด
รัฐวิสาหกิจที่นําส่งเงินรายได้แผ่นดินสะสมสูงสุด 5 อันดับแรก ในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (ต.ค. 61 – ก.พ. 62)
รัฐวิสาหกิจ รายได้นําส่ง (ล้านบาท)
1. สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 18,850
2. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 12,924
3. บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 11,679
4. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) 10,500
5. ธนาคารออมสิน 9,270
อื่นๆ 23,391
รวมทั้งหมด 86,614
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19369
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2/2561
|
วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561
รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2/2561
ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรเงินกองทุน ประจําปีงบประมาณ 2562 เพื่อเน้นประสิทธิภาพการใช้พลังงานฯ และพลังงานทดแทนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
วันนี้ (30 พ.ค. 61) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรเงินกองทุน ประจําปีงบประมาณ 2562 ประกอบด้วย แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานฯ แผนพลังงานทดแทน และแผนบริหารทางกลยุทธ์ ตลอดจนแผนพลังงานที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และโครงการไทยนิยม ยั่งยืนด้วย พร้อมปฏิทินการดําเนินงานของกองทุนฯ อย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ สํานักงานบริหารกองทุนฯ พร้อมรับข้อเสนอจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีสถานะเป็นนิติบุคคล โดยสามารถยื่นเรื่องหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานฯ และแผนพลังงานทดแทน มายังสํานักงานบริหารกองทุนฯ ตั้งแต่วันที่
15 มิถุนายน 2561 – 15 กรกฎาคม 2561 โดยหน่วยภาครัฐและภาคเอกสารที่สนใจ สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ www.enconfund.go.th หรือหมายเลขโทรศัพท์ 02-612-1555 ต่อ 370 (ในวันและเวลาราชการ)
...................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2/2561
วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561
รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2/2561
ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรเงินกองทุน ประจําปีงบประมาณ 2562 เพื่อเน้นประสิทธิภาพการใช้พลังงานฯ และพลังงานทดแทนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
วันนี้ (30 พ.ค. 61) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรเงินกองทุน ประจําปีงบประมาณ 2562 ประกอบด้วย แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานฯ แผนพลังงานทดแทน และแผนบริหารทางกลยุทธ์ ตลอดจนแผนพลังงานที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และโครงการไทยนิยม ยั่งยืนด้วย พร้อมปฏิทินการดําเนินงานของกองทุนฯ อย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ สํานักงานบริหารกองทุนฯ พร้อมรับข้อเสนอจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีสถานะเป็นนิติบุคคล โดยสามารถยื่นเรื่องหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานฯ และแผนพลังงานทดแทน มายังสํานักงานบริหารกองทุนฯ ตั้งแต่วันที่
15 มิถุนายน 2561 – 15 กรกฎาคม 2561 โดยหน่วยภาครัฐและภาคเอกสารที่สนใจ สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ www.enconfund.go.th หรือหมายเลขโทรศัพท์ 02-612-1555 ต่อ 370 (ในวันและเวลาราชการ)
...................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12645
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายเป็นพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วโลก และลงนามถวายพระพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2562
|
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายเป็นพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วโลก และลงนามถวายพระพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2562
กระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายเป็นพระราชกุศล และเสริมสิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2562 เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ณ วัดผาสุกมณีจักร อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยมีนางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ตรวจราชกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมในพิธีดังกล่าว และในวันที่ 1 มกราคม 2562 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย นาวาอากาศเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายขจิต สุขุม ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมลงนามถวายพระพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2562 ณ พระบรมมหาราชวัง
*************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายเป็นพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วโลก และลงนามถวายพระพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2562
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายเป็นพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วโลก และลงนามถวายพระพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2562
กระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายเป็นพระราชกุศล และเสริมสิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2562 เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ณ วัดผาสุกมณีจักร อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยมีนางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ตรวจราชกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมในพิธีดังกล่าว และในวันที่ 1 มกราคม 2562 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย นาวาอากาศเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายขจิต สุขุม ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมลงนามถวายพระพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2562 ณ พระบรมมหาราชวัง
*************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17878
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปกท. วท. เข้าเยี่ยมเผ่าชาติพันธุ์ พร้อมให้การตรวจผู้ป่วย หลังจากเดินทางเคารพพระบรมศพ
|
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม 2559
ปกท. วท. เข้าเยี่ยมเผ่าชาติพันธุ์ พร้อมให้การตรวจผู้ป่วย หลังจากเดินทางเคารพพระบรมศพ
ปกท. วท. เข้าเยี่ยมเผ่าชาติพันธุ์ พร้อมให้การตรวจผู้ป่วย หลังจากเดินทางเคารพพระบรมศพ
12 พฤศจิกายน 2559 ณ ราชตฤณมัยสมาคมฯ/ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เดินทางมายังราชตฤณมัยสมาคมฯ (สนามม้านางเลิ้ง) เพื่อเยี่ยมเยือนกลุ่มชาติพันธุ์กว่า 5,000 ชีวิตจากทั่วประเทศ ที่เดินทางมาถวายราชสักการะ พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น. รศ.นพ.สรนิต เดินทางมาถึงราชตฤณมัยสมาคมพร้อมคณะผู้ติดตาม เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจแก่กลุ่มชาติพันธุ์และเจ้าหน้าที่ที่คอยอํานวยความสะดวก ให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์ที่เดินทางเข้าพักที่สนามม้านางเลิ้ง ซึ่งการมาของกลุ่มชาติพันธ์จากทั่วประเทศกว่า 5,000 คน นับเป็นประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองที่มารวมตัวกัน ณ สนามม้านางเลิ้งนั้น มาจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ อาทิ กระเหรี่ยง,ม้ง,มูเซอ,อีก้อ,ไทยใหญ่,จีนยูนาน เป็นต้น ซึ่งทุกเผ่าพันธุ์แต่งกายชุดประจําเผ่า เพื่อเดินทางไปกราบพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิดุลยเดช แสดงความสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นอย่างหาที่สุดไม่ได้ ที่ทรงมีต่อชนเผ่าต่างๆ ทั้งในพื้นที่ทุรกันดาร และห่างไกล เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กลุ่มเผ่าพันธุ์ มีความเป็นอยู่ดีขึ้น สนับสนุนการหาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกพืชและนําเอาผลผลิตที่ได้มาขายสู่ท้องตลาด พระองค์ทรงงานหนัก ในการพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ ในการนี้กลุ่มชาติพันธุ์กว่า 5,000 ชีวิต จึงพร้อมใจเดินทางมาเพื่อกราบพระบรมศพ และน้อมนําคําสั่งสอนที่พระองค์เคยสอนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป
ทั้งนี้ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ได้พูดคุย ให้กําลังใจ แก่ชาวเขาเผ่าต่างๆ ในแต่ละส่วนที่พักที่ ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดเตรียมไว้ให้ รวมทั้งตรวจเยี่ยมการบริการด้านต่างๆ อาทิ ด้านการปฐมพยาบาล ด้านอาหารการกิน ด้านห้องน้ําห้องสุขา เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์ให้ดีที่สุด ภายหลังจาก รศ.นพ.สรนิต ตรวจเยี่ยมกลุ่มชาติพันธ์ในส่วนที่พักต่างๆ ได้มีกลุ่มชาติพันธ์ุทยอยเดินทางกลับมาจากกราบพระบรมศพ จัดเตรียมข้าวของของตน เพื่อเดินทางกลับภูมิลําเนา ทั้งนี้ ได้พูดคุยถึงความรู้สึกของกลุ่มชาติพันธ์ ภายหลังจากได้กราบพระบรมศพ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้สึกปลื้มปิติที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสมาถวายราชสักการะท่าน
นอกจากนี้ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ได้ทําการตรวจดูแลผู้ป่วย จากชนเผ่าต่างๆ ที่เจ็บป่วยระหว่างเดินทางไปกราบพระบรมศพ พร้อมทั้งให้คําแนะนํา และการปฏิบัติตัว เพื่อให้หายกลับมาเป็นปกติ และส่งกลุ่มชนเผ่าต่างๆกลับถิ่นภูมิลําเนาโดยสวัสดิภาพ
ข่าวโดย : นายปวีณ ควรแย้ม
ภาพโดย :นางสาวพจนพร แสงสว่าง
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร.02 333 3728 – 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-mail :pr@most.go.th Facebook : sciencethailand
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปกท. วท. เข้าเยี่ยมเผ่าชาติพันธุ์ พร้อมให้การตรวจผู้ป่วย หลังจากเดินทางเคารพพระบรมศพ
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม 2559
ปกท. วท. เข้าเยี่ยมเผ่าชาติพันธุ์ พร้อมให้การตรวจผู้ป่วย หลังจากเดินทางเคารพพระบรมศพ
ปกท. วท. เข้าเยี่ยมเผ่าชาติพันธุ์ พร้อมให้การตรวจผู้ป่วย หลังจากเดินทางเคารพพระบรมศพ
12 พฤศจิกายน 2559 ณ ราชตฤณมัยสมาคมฯ/ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เดินทางมายังราชตฤณมัยสมาคมฯ (สนามม้านางเลิ้ง) เพื่อเยี่ยมเยือนกลุ่มชาติพันธุ์กว่า 5,000 ชีวิตจากทั่วประเทศ ที่เดินทางมาถวายราชสักการะ พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น. รศ.นพ.สรนิต เดินทางมาถึงราชตฤณมัยสมาคมพร้อมคณะผู้ติดตาม เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจแก่กลุ่มชาติพันธุ์และเจ้าหน้าที่ที่คอยอํานวยความสะดวก ให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์ที่เดินทางเข้าพักที่สนามม้านางเลิ้ง ซึ่งการมาของกลุ่มชาติพันธ์จากทั่วประเทศกว่า 5,000 คน นับเป็นประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองที่มารวมตัวกัน ณ สนามม้านางเลิ้งนั้น มาจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ อาทิ กระเหรี่ยง,ม้ง,มูเซอ,อีก้อ,ไทยใหญ่,จีนยูนาน เป็นต้น ซึ่งทุกเผ่าพันธุ์แต่งกายชุดประจําเผ่า เพื่อเดินทางไปกราบพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิดุลยเดช แสดงความสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นอย่างหาที่สุดไม่ได้ ที่ทรงมีต่อชนเผ่าต่างๆ ทั้งในพื้นที่ทุรกันดาร และห่างไกล เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กลุ่มเผ่าพันธุ์ มีความเป็นอยู่ดีขึ้น สนับสนุนการหาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกพืชและนําเอาผลผลิตที่ได้มาขายสู่ท้องตลาด พระองค์ทรงงานหนัก ในการพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ ในการนี้กลุ่มชาติพันธุ์กว่า 5,000 ชีวิต จึงพร้อมใจเดินทางมาเพื่อกราบพระบรมศพ และน้อมนําคําสั่งสอนที่พระองค์เคยสอนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป
ทั้งนี้ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ได้พูดคุย ให้กําลังใจ แก่ชาวเขาเผ่าต่างๆ ในแต่ละส่วนที่พักที่ ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดเตรียมไว้ให้ รวมทั้งตรวจเยี่ยมการบริการด้านต่างๆ อาทิ ด้านการปฐมพยาบาล ด้านอาหารการกิน ด้านห้องน้ําห้องสุขา เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์ให้ดีที่สุด ภายหลังจาก รศ.นพ.สรนิต ตรวจเยี่ยมกลุ่มชาติพันธ์ในส่วนที่พักต่างๆ ได้มีกลุ่มชาติพันธ์ุทยอยเดินทางกลับมาจากกราบพระบรมศพ จัดเตรียมข้าวของของตน เพื่อเดินทางกลับภูมิลําเนา ทั้งนี้ ได้พูดคุยถึงความรู้สึกของกลุ่มชาติพันธ์ ภายหลังจากได้กราบพระบรมศพ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้สึกปลื้มปิติที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสมาถวายราชสักการะท่าน
นอกจากนี้ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ได้ทําการตรวจดูแลผู้ป่วย จากชนเผ่าต่างๆ ที่เจ็บป่วยระหว่างเดินทางไปกราบพระบรมศพ พร้อมทั้งให้คําแนะนํา และการปฏิบัติตัว เพื่อให้หายกลับมาเป็นปกติ และส่งกลุ่มชนเผ่าต่างๆกลับถิ่นภูมิลําเนาโดยสวัสดิภาพ
ข่าวโดย : นายปวีณ ควรแย้ม
ภาพโดย :นางสาวพจนพร แสงสว่าง
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร.02 333 3728 – 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-mail :pr@most.go.th Facebook : sciencethailand
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1017
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์เผยอาเซียนบรรลุผลการจัดทำความตกลง 3 ฉบับ หวังขยายฐานการค้า การลงทุนทุกช่องทาง ขับเคลื่อนภูมิภาคไปสู่การเติบโตอย่างทั่วถึง
|
วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน 2561
พาณิชย์เผยอาเซียนบรรลุผลการจัดทําความตกลง 3 ฉบับ หวังขยายฐานการค้า การลงทุนทุกช่องทาง ขับเคลื่อนภูมิภาคไปสู่การเติบโตอย่างทั่วถึง
อาเซียนบรรลุผลการจัดทําความตกลง 3 ฉบับด้านการค้าบริการ การลงทุน และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นพื้นฐานสําคัญในการขยายการค้า การลงทุน และหวังให้เกิดการลดช่องว่างของระดับการพัฒนา และขับเคลื่อนภูมิภาคไปสู่การเติบโตอย่างทั่วถึง
นางสาวชุติมาบุณยประภัศรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยจากสิงคโปร์ในระหว่างการประชุม สุดยอดอาเซียน ครั้งที่33ว่า เมื่อวันที่12พฤศจิกายน2561รัฐมนตรีเศรษฐกิจจาก10ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันลงนามความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน (ASEAN Agreement on Electronic Commerce) ซึ่งมีสาระสําคัญต้องการให้เกิดการอํานวยความสะดวกการทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนสร้างสภาพแวดล้อมทําให้เกิดความเชื่อมั่นในการทําธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ผ่านกลไกต่างๆ เช่นการคุ้มครองผู้บริโภคการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ตลอดจนมุ่งให้เกิดการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดความแตกต่างของระดับการพัฒนาประเทศ โดยผ่านความร่วมมือต่างๆ อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การส่งเสริมการศึกษาและเทคโนโลยี และการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างด้านดิจิทัล และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียน
นางสาวชุติมา กล่าวเสริมว่า ความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ฉบับนี้ถือเป็นความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ฉบับแรกของอาเซียน ซึ่งหลังจากการลงนามในวันที่12พฤศจิกายน2561คาดว่าจะสามารถมีผลใช้บังคับในช่วงต้นปี2562หลังจากสมาชิกอาเซียน10ประเทศให้สัตยาบันความตกลงฉบับนี้ โดยความตกลงฯ จะเป็นพื้นฐานให้สมาชิกอาเซียนมีกลไกการค้าขายทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนเร่งให้อาเซียนที่ยังไม่มีกฎระเบียบในด้านนี้ อาทิ กัมพูชา เมียนมา และ สปป. ลาว มีกฎระเบียบด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีมาตรฐานทัดเทียมประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคของไทย และช่วยให้การค้าผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนขยายตัวมากขึ้น
นางสาวชุติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนยังประสบความสําเร็จในการจัดทําเอกสารอีก2ฉบับ คือ ความตกลงการค้าบริการอาเซียน(ASEAN Trade in Services Agreement: ATISA)และเอกสารปรับปรุงความตกลงการลงทุนอาเซียน(ASEAN Comprehensive Investment Agreement: ACIA)ทั้งนี้ATISAจะใช้แทนกรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียนฉบับปัจจุบันที่จัดทํามาตั้งแต่ปี2538โดยได้ปรับปรุงให้เป็นความตกลงที่ทันสมัย เพิ่มหลักเกณฑ์ที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานการจัดทํากฎระเบียบด้านบริการของสมาชิกอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่เป็นอุปสรรคทางการค้าเกินความจําเป็น ซึ่งน่าจะช่วยให้บริการในสาขาที่ไทยมีศักยภาพสามารถเติบโตมากขึ้นในประเทศอาเซียน เช่น บริการด้านสุขภาพ บริการด้านการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร บริการด้านก่อสร้าง บริการด้านการจัดประชุม และการจัดนิทรรศการ เป็นต้น รวมทั้งยังช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการใช้มาตรการทางการค้าบริการของสมาชิกอาเซียน เพราะกําหนดให้สมาชิกอาเซียนต้องเผยแพร่ระเบียบกฎเกณฑ์ด้านการลงทุนต่อสาธารณะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของนักลงทุน สําหรับACIAฉบับปรับปรุงมีสาระสําคัญ คือ การขยายขอบเขตการห้ามกําหนดเงื่อนไขต่อ นักลงทุนในการที่จะเข้าไปลงทุนในอีกประเทศ แต่ก็ยังเปิดช่องให้สมาชิกอาเซียนสามารถบริหารจัดการนโยบายของตนได้ โดยสามารถสงวนมาตรการที่มีความอ่อนไหว ซึ่งเป็นหนึ่งในการดําเนินการที่เป็นพื้นฐานที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุน สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และอํานวยความสะดวกการลงทุนในภูมิภาคต่อไป
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี2557มูลค่าการค้าของไทยผ่านอีคอมเมิร์ซขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี ในปี2560มีมูลค่าสูงถึง2.81ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ9.86มูลค่าการค้าขายที่ทํารายได้สูงอยู่ในอุตสาหกรรมค้าปลีก/ค้าส่ง การให้บริการที่พัก การผลิต ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร และการขนส่ง เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์เผยอาเซียนบรรลุผลการจัดทำความตกลง 3 ฉบับ หวังขยายฐานการค้า การลงทุนทุกช่องทาง ขับเคลื่อนภูมิภาคไปสู่การเติบโตอย่างทั่วถึง
วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน 2561
พาณิชย์เผยอาเซียนบรรลุผลการจัดทําความตกลง 3 ฉบับ หวังขยายฐานการค้า การลงทุนทุกช่องทาง ขับเคลื่อนภูมิภาคไปสู่การเติบโตอย่างทั่วถึง
อาเซียนบรรลุผลการจัดทําความตกลง 3 ฉบับด้านการค้าบริการ การลงทุน และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นพื้นฐานสําคัญในการขยายการค้า การลงทุน และหวังให้เกิดการลดช่องว่างของระดับการพัฒนา และขับเคลื่อนภูมิภาคไปสู่การเติบโตอย่างทั่วถึง
นางสาวชุติมาบุณยประภัศรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยจากสิงคโปร์ในระหว่างการประชุม สุดยอดอาเซียน ครั้งที่33ว่า เมื่อวันที่12พฤศจิกายน2561รัฐมนตรีเศรษฐกิจจาก10ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันลงนามความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน (ASEAN Agreement on Electronic Commerce) ซึ่งมีสาระสําคัญต้องการให้เกิดการอํานวยความสะดวกการทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนสร้างสภาพแวดล้อมทําให้เกิดความเชื่อมั่นในการทําธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ผ่านกลไกต่างๆ เช่นการคุ้มครองผู้บริโภคการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ตลอดจนมุ่งให้เกิดการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดความแตกต่างของระดับการพัฒนาประเทศ โดยผ่านความร่วมมือต่างๆ อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การส่งเสริมการศึกษาและเทคโนโลยี และการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างด้านดิจิทัล และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียน
นางสาวชุติมา กล่าวเสริมว่า ความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ฉบับนี้ถือเป็นความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ฉบับแรกของอาเซียน ซึ่งหลังจากการลงนามในวันที่12พฤศจิกายน2561คาดว่าจะสามารถมีผลใช้บังคับในช่วงต้นปี2562หลังจากสมาชิกอาเซียน10ประเทศให้สัตยาบันความตกลงฉบับนี้ โดยความตกลงฯ จะเป็นพื้นฐานให้สมาชิกอาเซียนมีกลไกการค้าขายทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนเร่งให้อาเซียนที่ยังไม่มีกฎระเบียบในด้านนี้ อาทิ กัมพูชา เมียนมา และ สปป. ลาว มีกฎระเบียบด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีมาตรฐานทัดเทียมประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคของไทย และช่วยให้การค้าผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนขยายตัวมากขึ้น
นางสาวชุติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนยังประสบความสําเร็จในการจัดทําเอกสารอีก2ฉบับ คือ ความตกลงการค้าบริการอาเซียน(ASEAN Trade in Services Agreement: ATISA)และเอกสารปรับปรุงความตกลงการลงทุนอาเซียน(ASEAN Comprehensive Investment Agreement: ACIA)ทั้งนี้ATISAจะใช้แทนกรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียนฉบับปัจจุบันที่จัดทํามาตั้งแต่ปี2538โดยได้ปรับปรุงให้เป็นความตกลงที่ทันสมัย เพิ่มหลักเกณฑ์ที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานการจัดทํากฎระเบียบด้านบริการของสมาชิกอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่เป็นอุปสรรคทางการค้าเกินความจําเป็น ซึ่งน่าจะช่วยให้บริการในสาขาที่ไทยมีศักยภาพสามารถเติบโตมากขึ้นในประเทศอาเซียน เช่น บริการด้านสุขภาพ บริการด้านการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร บริการด้านก่อสร้าง บริการด้านการจัดประชุม และการจัดนิทรรศการ เป็นต้น รวมทั้งยังช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการใช้มาตรการทางการค้าบริการของสมาชิกอาเซียน เพราะกําหนดให้สมาชิกอาเซียนต้องเผยแพร่ระเบียบกฎเกณฑ์ด้านการลงทุนต่อสาธารณะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของนักลงทุน สําหรับACIAฉบับปรับปรุงมีสาระสําคัญ คือ การขยายขอบเขตการห้ามกําหนดเงื่อนไขต่อ นักลงทุนในการที่จะเข้าไปลงทุนในอีกประเทศ แต่ก็ยังเปิดช่องให้สมาชิกอาเซียนสามารถบริหารจัดการนโยบายของตนได้ โดยสามารถสงวนมาตรการที่มีความอ่อนไหว ซึ่งเป็นหนึ่งในการดําเนินการที่เป็นพื้นฐานที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุน สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และอํานวยความสะดวกการลงทุนในภูมิภาคต่อไป
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี2557มูลค่าการค้าของไทยผ่านอีคอมเมิร์ซขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี ในปี2560มีมูลค่าสูงถึง2.81ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ9.86มูลค่าการค้าขายที่ทํารายได้สูงอยู่ในอุตสาหกรรมค้าปลีก/ค้าส่ง การให้บริการที่พัก การผลิต ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร และการขนส่ง เป็นต้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16754
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมงาน United as One "รวมใจเป็นหนึ่งเดียว"
|
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมงาน United as One "รวมใจเป็นหนึ่งเดียว"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมงาน United as One "รวมใจเป็นหนึ่งเดียว"
เมื่อวันที่6 ก.ย. 61 เวลา 17.30 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย คณะรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมงาน “รวมใจเป็นหนึ่งเดียว” (United as One) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อขอบคุณผู้ปฏิบัติงานช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอนทีมหมูป่าอะคาเดมี่ออกจากถ้ําหลวง เขตวนอุทยานถ้ําหลวง - ขุนน้ํานางนอน อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมีคณะทูตานุทูต หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน อาสาสมัคร สมาคม มูลนิธิ ผู้ปฏิบัติงาน และผู้เกี่ยวข้องทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เข้าร่วมงานจํานวนกว่า 7,000 คน
การจัดงานเลี้ยงขอบคุณครั้งนี้ รัฐบาลได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้พระลานพระราชวังดุสิตเป็นสถานที่จัดงาน พระราชทานอาหารจัดเลี้ยง เป็นอาหารไทยและอาหารนานาชาติ และรัฐบาลได้จัดพิธีรับพระราชทานพระราชกระแสทรงขอบใจเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นํามาซึ่งความปลื้มปีติและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้แก่ผู้ปฏิบัติงานและครอบครัว
โอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้พบปะและขอบคุณผู้ปฏิบัติงานทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ที่ได้เสียสละทั้งกําลังกาย กําลังทรัพย์ และกําลังสติปัญญา เดินหน้าปฏิบัติงานช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอนทีมหมูป่าอะคาเดมี่ออกจากถ้ําหลวง เขตวนอุทยานถ้ําหลวง - ขุนน้ํานางนอน อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย อย่างต่อเนื่องตลอด 17 วัน แสดงให้เห็นถึงพลังความสามัคคีของคนทั่วโลกในการร่วมปฏิบัติงานครั้งนี้ รวมทั้งร่วมสดุดีวีรกรรมของ นาวาตรี สมาน กุนัน วีรบุรุษถ้ําหลวง ผู้สละชีพในการปฏิบัติงานดังกล่าวด้วย
ในช่วงท้ายของการจัดงาน พลเอก อนุพงษ์ฯ และผู้บริหารระดับสูง ร่วมขับร้องเพลงสามัคคีชุมนุม และเพลงสรรเสริญพระบารมี และพบปะน้องๆ ทีมหมูป่าอะคาเดมี่พร้อมให้กําลังใจในการตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพื่อเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศชาติในอนาคตต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมงาน United as One "รวมใจเป็นหนึ่งเดียว"
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมงาน United as One "รวมใจเป็นหนึ่งเดียว"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมงาน United as One "รวมใจเป็นหนึ่งเดียว"
เมื่อวันที่6 ก.ย. 61 เวลา 17.30 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย คณะรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมงาน “รวมใจเป็นหนึ่งเดียว” (United as One) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อขอบคุณผู้ปฏิบัติงานช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอนทีมหมูป่าอะคาเดมี่ออกจากถ้ําหลวง เขตวนอุทยานถ้ําหลวง - ขุนน้ํานางนอน อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมีคณะทูตานุทูต หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน อาสาสมัคร สมาคม มูลนิธิ ผู้ปฏิบัติงาน และผู้เกี่ยวข้องทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เข้าร่วมงานจํานวนกว่า 7,000 คน
การจัดงานเลี้ยงขอบคุณครั้งนี้ รัฐบาลได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้พระลานพระราชวังดุสิตเป็นสถานที่จัดงาน พระราชทานอาหารจัดเลี้ยง เป็นอาหารไทยและอาหารนานาชาติ และรัฐบาลได้จัดพิธีรับพระราชทานพระราชกระแสทรงขอบใจเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นํามาซึ่งความปลื้มปีติและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้แก่ผู้ปฏิบัติงานและครอบครัว
โอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้พบปะและขอบคุณผู้ปฏิบัติงานทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ที่ได้เสียสละทั้งกําลังกาย กําลังทรัพย์ และกําลังสติปัญญา เดินหน้าปฏิบัติงานช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกสอนทีมหมูป่าอะคาเดมี่ออกจากถ้ําหลวง เขตวนอุทยานถ้ําหลวง - ขุนน้ํานางนอน อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย อย่างต่อเนื่องตลอด 17 วัน แสดงให้เห็นถึงพลังความสามัคคีของคนทั่วโลกในการร่วมปฏิบัติงานครั้งนี้ รวมทั้งร่วมสดุดีวีรกรรมของ นาวาตรี สมาน กุนัน วีรบุรุษถ้ําหลวง ผู้สละชีพในการปฏิบัติงานดังกล่าวด้วย
ในช่วงท้ายของการจัดงาน พลเอก อนุพงษ์ฯ และผู้บริหารระดับสูง ร่วมขับร้องเพลงสามัคคีชุมนุม และเพลงสรรเสริญพระบารมี และพบปะน้องๆ ทีมหมูป่าอะคาเดมี่พร้อมให้กําลังใจในการตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพื่อเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศชาติในอนาคตต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15240
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายเพิ่มสุข หน.ผตร.อว. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทำความสะอาดศาสนสถาน ถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระ
|
วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562
นายเพิ่มสุข หน.ผตร.อว. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระ
นายเพิ่มสุข หน.ผตร.อว. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อวันที่18 ตุลาคม2562 เวลา09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ในกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ วัดโสมนัสวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร โดยมีคณะรัฐมนตรี คณะผู้บริหาร องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และกระทรวง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ พร้อมจิตอาสาพระราชทาน904 วปร. ในการนี้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์) เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงฯ เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายเพิ่มสุข หน.ผตร.อว. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทำความสะอาดศาสนสถาน ถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระ
วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562
นายเพิ่มสุข หน.ผตร.อว. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระ
นายเพิ่มสุข หน.ผตร.อว. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อวันที่18 ตุลาคม2562 เวลา09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน ในกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ วัดโสมนัสวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร โดยมีคณะรัฐมนตรี คณะผู้บริหาร องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และกระทรวง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ พร้อมจิตอาสาพระราชทาน904 วปร. ในการนี้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์) เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงฯ เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24062
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตเดนมาร์ก สร้างความร่วมมือด้าน E-commerce
|
วันพุธที่ 27 กันยายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตเดนมาร์ก สร้างความร่วมมือด้าน E-commerce
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ นายอุฟเฟอ โวล์ฟเฮซเชิล (H.E. Mr. Uffe Wolffhechel) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเดนมาร์กประจําประเทศไทย และ นายเรเน่ ฟิล พีเดอเซ่น (Mr. Rene Piil Pedersen) ตําแหน่ง Group Representative Singapore/Asia-Pacific Maersk Group & Managing Director, A.P. Moller Singapore Pte. Ltd. ในโอกาสการเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมทั้งได้ร่วมหารือเกี่ยวกับการสร้างความร่วมมือด้าน E-commerce ระหว่างประเทศไทยและเดนมาร์ก โดยบริษัท A.P. Moller-Maersk ของประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นบริษัทด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ชั้นนําของโลก ได้มีการวางแผนขยายธุรกิจสู่ธุรกิจ Cross-border E-commerce ซึ่งมีการขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วในทุกภูมิภาคทั่วโลกโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ทั้งนี้ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค บริษัทฯ จึงมีความสนใจในการสร้างความร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจ SME และ Startup ของไทย รวมทั้งประสงค์ร่วมสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมต่อธุรกิจ E-commerce ในภูมิภาคนี้ และขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยในการดําเนินธุรกิจใหม่ด้วย เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2560 ณ ห้อง MDES 2 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิม พระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตเดนมาร์ก สร้างความร่วมมือด้าน E-commerce
วันพุธที่ 27 กันยายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตเดนมาร์ก สร้างความร่วมมือด้าน E-commerce
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ นายอุฟเฟอ โวล์ฟเฮซเชิล (H.E. Mr. Uffe Wolffhechel) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเดนมาร์กประจําประเทศไทย และ นายเรเน่ ฟิล พีเดอเซ่น (Mr. Rene Piil Pedersen) ตําแหน่ง Group Representative Singapore/Asia-Pacific Maersk Group & Managing Director, A.P. Moller Singapore Pte. Ltd. ในโอกาสการเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมทั้งได้ร่วมหารือเกี่ยวกับการสร้างความร่วมมือด้าน E-commerce ระหว่างประเทศไทยและเดนมาร์ก โดยบริษัท A.P. Moller-Maersk ของประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นบริษัทด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ชั้นนําของโลก ได้มีการวางแผนขยายธุรกิจสู่ธุรกิจ Cross-border E-commerce ซึ่งมีการขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วในทุกภูมิภาคทั่วโลกโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ทั้งนี้ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค บริษัทฯ จึงมีความสนใจในการสร้างความร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจ SME และ Startup ของไทย รวมทั้งประสงค์ร่วมสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมต่อธุรกิจ E-commerce ในภูมิภาคนี้ และขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยในการดําเนินธุรกิจใหม่ด้วย เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2560 ณ ห้อง MDES 2 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิม พระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7015
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอาใจ แรงงานนอกระบบ กรมการจัดหางาน ปล่อยให้กู้ยืมกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านสูงสุด 3 แสนบาท
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563
เอาใจ แรงงานนอกระบบ กรมการจัดหางาน ปล่อยให้กู้ยืมกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้านสูงสุด 3 แสนบาท
อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย กรมการจัดหางาน มีมาตรการดูแลแรงงานนอกระบบ ซึ่งเป็นผู้รับงาน /กลุ่มผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน เปิดโอกาสให้กู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้านสําหรับประเภทบุคคล วงเงินกู้ไม่เกิน 50,000 บาท และวงเงิน
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน เร่งส่งเสริมอาชีพให้กับแรงงานนอกระบบ ที่ว่างงาน ในรูปแบบของการรับงานไปทําที่บ้าน โดยให้ผู้ที่สนใจเป็นผู้รับงานได้รวมกลุ่มกัน โดยผู้จ้างงานจะส่งงานให้ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้ทําการผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อมหรือแปรรูปสิ่งของ ตามที่ได้ตกลงกับผู้จ้างงานไว้ที่บ้านของตนเองหรือสถานที่ที่มิใช่สถานประกอบกิจการของผู้จ้างงาน ซึ่งเมื่อทําเสร็จแล้วจะส่งคืนสิ่งของหรือผลิตภัณฑ์ให้กับผู้จ้างงาน และได้รับค่าตอบแทนจากผู้จ้างงาน ลักษณะงานจะเป็นงานที่ไม่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน เรียนรู้ง่าย ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้แรงงานคนทําการผลิตมากกว่าเครื่องจักร เป็นการผลิตในครัวเรือนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการให้งานของผู้จ้างงานจะเป็นการตัดขั้นตอนบางขั้นตอนหรือชิ้นส่วนของงานบางชิ้นจากกระบวนการผลิตในสถานประกอบกิจการไปทําการผลิตหรือผลิตทั้งหมด เช่น งานตัดเย็บ (เสื้อผ้า กระเป๋า ผ้าห่ม พรมเช็ดเท้า เสื้อผ้าตุ๊กตา ถุงมือ เปล เครื่องนอน เป็นต้น) งานประดิษฐ์ (ดอกไม้ประดิษฐ์ ตุ๊กตา เครื่องประดับ ร้อยลูกปัด) งานปัก ถัก ทอ (ถักวิกผม ทอผ้า ทอพรม ทอเสื่อ ปักผ้าคลุมผม ปักเลื่อม เป็นต้น) งานหัตถกรรม (จักสานต่างๆ ทําไม้กวาด เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น) อุปโภค/บริโภค รวมทั้งของใช้อื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้าน ซึ่งเป็นกองทุนหมุนเวียนเพื่อให้ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้กู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์การผลิต หรือขยายการผลิตเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน โดยคุณสมบัติของผู้กู้จะต้องเป็นผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน และมีผลการดําเนินการและมีรายได้จากการรับงานไปทําที่บ้านหรือมีหลักฐานการรับงานไปทําที่บ้านจากผู้จ้างงาน ซึ่งมีทั้งประเภทบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยประเภทบุคคลต้องมีทรัพย์สินหรือเงินทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาท ส่วนประเภทกลุ่มบุคคลจะต้องมีผู้นํากลุ่มและสมาชิกกลุ่มกู้ร่วมกันไม่น้อยกว่า 5 คน มีทรัพย์สินหรือเงินทุนในการดําเนินกิจกรรมของกลุ่มรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท วงเงินกู้สําหรับบุคคลไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาชําระคืนภายใน 2 ปี ขณะที่กลุ่มบุคคลมีวงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลาชําระคืนภายใน 5 ปี อัตราดอกเบี้ยต่ําร้อยละ 3 ต่อปี และมีระยะเวลาพักชําระหนี้เงินต้นไม่เกิน 4 เดือน
“ตั้งแต่ปี 2548 ที่เริ่มดําเนินการ จนถึงขณะนี้ มีผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางานแล้วจํานวน 947 ราย/กลุ่ม (292ราย 655 กลุ่ม) สมาชิกรวมจํานวน 5,904 คน ปล่อยกู้ไปแล้ว 451 ราย/กลุ่ม (17 ราย 434 กลุ่ม) จํานวนเงิน 44,686,000 บาท สําหรับปี 2563 นี้ ได้รับอนุมัติให้ปล่อยกู้ จํานวน 7,000,000 บาท ปล่อยกู้ไปแล้ว 14 ราย/กลุ่ม (5 ราย 9 กลุ่ม จํานวนเงิน 1,740,000 บาท) ยังมีเงินคงเหลือที่สามารถปล่อยกู้ได้อีกจํานวน 5,260,000 บาท ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สํานักงานจัดหางานจังหวัดในท้องที่ที่ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอาใจ แรงงานนอกระบบ กรมการจัดหางาน ปล่อยให้กู้ยืมกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านสูงสุด 3 แสนบาท
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563
เอาใจ แรงงานนอกระบบ กรมการจัดหางาน ปล่อยให้กู้ยืมกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้านสูงสุด 3 แสนบาท
อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย กรมการจัดหางาน มีมาตรการดูแลแรงงานนอกระบบ ซึ่งเป็นผู้รับงาน /กลุ่มผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน เปิดโอกาสให้กู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้านสําหรับประเภทบุคคล วงเงินกู้ไม่เกิน 50,000 บาท และวงเงิน
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน เร่งส่งเสริมอาชีพให้กับแรงงานนอกระบบ ที่ว่างงาน ในรูปแบบของการรับงานไปทําที่บ้าน โดยให้ผู้ที่สนใจเป็นผู้รับงานได้รวมกลุ่มกัน โดยผู้จ้างงานจะส่งงานให้ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้ทําการผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อมหรือแปรรูปสิ่งของ ตามที่ได้ตกลงกับผู้จ้างงานไว้ที่บ้านของตนเองหรือสถานที่ที่มิใช่สถานประกอบกิจการของผู้จ้างงาน ซึ่งเมื่อทําเสร็จแล้วจะส่งคืนสิ่งของหรือผลิตภัณฑ์ให้กับผู้จ้างงาน และได้รับค่าตอบแทนจากผู้จ้างงาน ลักษณะงานจะเป็นงานที่ไม่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน เรียนรู้ง่าย ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้แรงงานคนทําการผลิตมากกว่าเครื่องจักร เป็นการผลิตในครัวเรือนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการให้งานของผู้จ้างงานจะเป็นการตัดขั้นตอนบางขั้นตอนหรือชิ้นส่วนของงานบางชิ้นจากกระบวนการผลิตในสถานประกอบกิจการไปทําการผลิตหรือผลิตทั้งหมด เช่น งานตัดเย็บ (เสื้อผ้า กระเป๋า ผ้าห่ม พรมเช็ดเท้า เสื้อผ้าตุ๊กตา ถุงมือ เปล เครื่องนอน เป็นต้น) งานประดิษฐ์ (ดอกไม้ประดิษฐ์ ตุ๊กตา เครื่องประดับ ร้อยลูกปัด) งานปัก ถัก ทอ (ถักวิกผม ทอผ้า ทอพรม ทอเสื่อ ปักผ้าคลุมผม ปักเลื่อม เป็นต้น) งานหัตถกรรม (จักสานต่างๆ ทําไม้กวาด เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น) อุปโภค/บริโภค รวมทั้งของใช้อื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้าน ซึ่งเป็นกองทุนหมุนเวียนเพื่อให้ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้กู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์การผลิต หรือขยายการผลิตเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน โดยคุณสมบัติของผู้กู้จะต้องเป็นผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน และมีผลการดําเนินการและมีรายได้จากการรับงานไปทําที่บ้านหรือมีหลักฐานการรับงานไปทําที่บ้านจากผู้จ้างงาน ซึ่งมีทั้งประเภทบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยประเภทบุคคลต้องมีทรัพย์สินหรือเงินทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาท ส่วนประเภทกลุ่มบุคคลจะต้องมีผู้นํากลุ่มและสมาชิกกลุ่มกู้ร่วมกันไม่น้อยกว่า 5 คน มีทรัพย์สินหรือเงินทุนในการดําเนินกิจกรรมของกลุ่มรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท วงเงินกู้สําหรับบุคคลไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาชําระคืนภายใน 2 ปี ขณะที่กลุ่มบุคคลมีวงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลาชําระคืนภายใน 5 ปี อัตราดอกเบี้ยต่ําร้อยละ 3 ต่อปี และมีระยะเวลาพักชําระหนี้เงินต้นไม่เกิน 4 เดือน
“ตั้งแต่ปี 2548 ที่เริ่มดําเนินการ จนถึงขณะนี้ มีผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางานแล้วจํานวน 947 ราย/กลุ่ม (292ราย 655 กลุ่ม) สมาชิกรวมจํานวน 5,904 คน ปล่อยกู้ไปแล้ว 451 ราย/กลุ่ม (17 ราย 434 กลุ่ม) จํานวนเงิน 44,686,000 บาท สําหรับปี 2563 นี้ ได้รับอนุมัติให้ปล่อยกู้ จํานวน 7,000,000 บาท ปล่อยกู้ไปแล้ว 14 ราย/กลุ่ม (5 ราย 9 กลุ่ม จํานวนเงิน 1,740,000 บาท) ยังมีเงินคงเหลือที่สามารถปล่อยกู้ได้อีกจํานวน 5,260,000 บาท ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สํานักงานจัดหางานจังหวัดในท้องที่ที่ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27868
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมจัดกิจกรรม “GENDER MATTERS” ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ
|
วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2561
กระทรวงยุติธรรม ร่วมจัดกิจกรรม “GENDER MATTERS” ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ
กระทรวงยุติธรรม ร่วมจัดกิจกรรม “GENDER MATTERS” ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ
ในวันเสาร์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องกมลทิพย์ ๑ และ ๒ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ ฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ H.E. Ms. Donica Pottie เอกอัครราชทูตแคนาดาประจําประเทศไทย ร่วมพิธีเปิดงาน “GENDER METTERS" ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวกระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สถานเอกอัครราชทูตแคนาดาประจําประเทศไทย และสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย จัดขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักถึงความเท่าเทียมกันทางเพศ ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการสมรสของคนเพศเดียวกัน และการร่วมกันพิจารณาความเป็นไปได้ของประเทศไทยในการผลักดันร่างพระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิต พ.ศ. ....
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า จากการสํารวจสถิติประชากรในประเทศ พบว่า ประเทศไทยมีโครงสร้างประชากรชาย จํานวนประมาณ 32 ล้านคน และประชากรหญิง จํานวนประมาณ 33 ล้านคน ซึ่งในความเป็นจริงกลุ่มประชากรของประเทศไม่ได้จํากัดแค่ชายและหญิงเท่านั้น แต่ยังประกอบไปด้วยกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศอีกจํานวนมาก
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีภารกิจในการส่งเสริม คุ้มครอง และสร้างหลักประกันสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ได้ตระหนักถึงความสําคัญของการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยที่ผ่านมา ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดกิจกรรมส่งเสริมสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากกหลายทางเพศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องสิทธิในการแต่งงาน และการมีชีวิตครอบครัว ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่กระทรวงยุติธรรมให้ความสําคัญ เนื่องจากเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ได้รับรองไว้ในหลักการสิทธิมนุษยชนสากลหลายฉบับ เช่น กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) ที่ไทยได้เข้าเป็นภาคี และหลักการยอกยาการ์ตาว่าด้วยการปรับใช้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในประเด็นวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ ค.ศ. 2006 ทั้งยังสอดคล้องกับแผนการดําเนินงานที่กําหนดไว้ในแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ในส่วนของแผนสิทธิมนุษยชนของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ/อัตลักษณ์ทางเพศ
ดังนั้น กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จึงได้ริเริ่มในการจัดทําร่างพระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิต พ.ศ. .... ขึ้น เพื่อรับรองสิทธิและความสัมพันธ์ของคู่รักเพศเดียวกัน ตามกฎหมายและเป็นจุดเริ่มต้นในการรับรองสิทธิต่างๆ ที่บุคคลสองคนในฐานะคู่ชีวิตพึงได้รับตามกฎหมาย สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของหลายประเทศที่ได้รับรองกฎหมายในทํานองเดียวกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมจัดกิจกรรม “GENDER MATTERS” ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ
วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2561
กระทรวงยุติธรรม ร่วมจัดกิจกรรม “GENDER MATTERS” ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ
กระทรวงยุติธรรม ร่วมจัดกิจกรรม “GENDER MATTERS” ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ
ในวันเสาร์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องกมลทิพย์ ๑ และ ๒ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ ฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ H.E. Ms. Donica Pottie เอกอัครราชทูตแคนาดาประจําประเทศไทย ร่วมพิธีเปิดงาน “GENDER METTERS" ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวกระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สถานเอกอัครราชทูตแคนาดาประจําประเทศไทย และสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย จัดขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักถึงความเท่าเทียมกันทางเพศ ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการสมรสของคนเพศเดียวกัน และการร่วมกันพิจารณาความเป็นไปได้ของประเทศไทยในการผลักดันร่างพระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิต พ.ศ. ....
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า จากการสํารวจสถิติประชากรในประเทศ พบว่า ประเทศไทยมีโครงสร้างประชากรชาย จํานวนประมาณ 32 ล้านคน และประชากรหญิง จํานวนประมาณ 33 ล้านคน ซึ่งในความเป็นจริงกลุ่มประชากรของประเทศไม่ได้จํากัดแค่ชายและหญิงเท่านั้น แต่ยังประกอบไปด้วยกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศอีกจํานวนมาก
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีภารกิจในการส่งเสริม คุ้มครอง และสร้างหลักประกันสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ได้ตระหนักถึงความสําคัญของการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยที่ผ่านมา ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดกิจกรรมส่งเสริมสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากกหลายทางเพศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องสิทธิในการแต่งงาน และการมีชีวิตครอบครัว ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่กระทรวงยุติธรรมให้ความสําคัญ เนื่องจากเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ได้รับรองไว้ในหลักการสิทธิมนุษยชนสากลหลายฉบับ เช่น กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) ที่ไทยได้เข้าเป็นภาคี และหลักการยอกยาการ์ตาว่าด้วยการปรับใช้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในประเด็นวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ ค.ศ. 2006 ทั้งยังสอดคล้องกับแผนการดําเนินงานที่กําหนดไว้ในแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ในส่วนของแผนสิทธิมนุษยชนของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ/อัตลักษณ์ทางเพศ
ดังนั้น กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จึงได้ริเริ่มในการจัดทําร่างพระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิต พ.ศ. .... ขึ้น เพื่อรับรองสิทธิและความสัมพันธ์ของคู่รักเพศเดียวกัน ตามกฎหมายและเป็นจุดเริ่มต้นในการรับรองสิทธิต่างๆ ที่บุคคลสองคนในฐานะคู่ชีวิตพึงได้รับตามกฎหมาย สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของหลายประเทศที่ได้รับรองกฎหมายในทํานองเดียวกัน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13674
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ
|
วันอังคารที่ 11 เมษายน 2560
รมว.พม. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ
รมว.พม. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ เพื่อเร่งผลักดันร่างยุทธศาสตร์คุ้มครองเด็กแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564
และแนวทางการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามแนวพื้นที่ตะเข็บชายแดนใน อ.แม่สอด จ.ตาก
วันนี้ (11 เม.ย. 60) ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 ว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมครั้งแรกของปี 2560 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมรวมทั้งนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง เพื่อกําหนดนโยบายและกรอบแนวทางการดําเนินงานคุ้มครองเด็ก รวมทั้งติดตามผลการดําเนินงานที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าในการดําเนินงานที่สําคัญของคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ได้แก่ 1) การจัดทําร่างยุทธศาสตร์คุ้มครองเด็กแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2564 2) การดําเนินการพัฒนาระบบคุ้มครองเด็กแบบบูรณาการ 3) การดําเนินโครงการศึกษาวิเคราะห์เพื่อจัดทําร่างต้นแบบการจัดการฐานข้อมูลด้านการคุ้มครองเด็กของประเทศไทย 4) การปรับปรุงหลักสูตรพนักงานเจ้าหน้าที่ในการสงเคราะห์เด็กและคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก 5) ผลการประเมินผลการดําเนินงานคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด และ 6) การจัดทําแนวปฏิบัติงานร่วมกันและหลักสูตรการปฏิบัติต่อเด็กผู้ต้องหาที่มีอายุก่อนถึงเกณฑ์การรับโทษทางอาญา เป็นต้น
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อว่า การประชุมครั้งนี้ มีการพิจารณาร่วมกันในเรื่องสําคัญ ดังนี้ 1) การพิจารณาร่างยุทธศาสตร์คุ้มครองเด็กแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564 ซึ่งประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) การเสริมพลังบุคคลในสังคมแวดล้อมเด็กให้มีความสามารถในการปกป้องคุ้มครองเด็ก 2) การเพิ่มพูนขีดความสามารถของผู้ประกอบวิชาชีพ และบูรณาการการทํางานร่วมกันของทีมสหวิชาชีพเพื่อปกป้องคุ้มครองเด็ก 3) การระดมสรรพกําลังและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่ายจิตอาสาภาคสังคมในการปกป้องคุ้มครองเด็ก 4) การยกระดับมาตรฐานและขีดความสามารถในการจัดบริการที่สอดคล้องต่อสภาพปัญหาและความต้องการต่อเนื่องและครบวงจร 5) การพัฒนาระบบและกลไกการบริหารจัดการเพื่อสนับสนุนการดําเนินงาน การกํากับติดตามและประเมินผล การถ่ายทอดและจัดการองค์ความรู้ และ 6) การสร้างความร่วมมือและกลไกการประสานงานระหว่างประเทศในการปกป้องคุ้มครองเด็ก โดยมีเป้าหมาย คือ “เด็กทุกคนอยู่ดี มีสุข ปลอดภัย ในครอบครัว ชุมชน และสังคมแวดล้อมที่คุ้มครองและดูแล” ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบต่อร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าว และจะได้นําเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณามอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบ จัดทําแผนปฏิบัติการของกระทรวงและแผนปฏิบัติการประจําปี และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เป็นระยะ และรายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า 2) การพิจารณาร่างหลักสูตรการอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ในการสงเคราะห์เด็กและคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบร่างหลักสูตรฯ ซึ่งได้ปรับปรุงให้มีความเป็นปัจจุบันและเน้นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติมากขึ้น และได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยสถาบันพระประชาบดีร่วมกับ ดย. จัดทําแผนการอบรมและดําเนินการจัดอบรม รวมทั้งประสาน สถ. พัทยา และ กทม. เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดอบรมให้กับบุคลากรผู้ปฏิบัติงานในท้องถิ่นต่อไป และ 3) การพิจารณาร่างแนวทางการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กในพื้นที่อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งประกอบด้วย การยกระดับการดําเนินงานของสถานรองรับเด็กเอกชน การคุ้มครองสิทธิของเด็กเคลื่อนย้ายในภาพรวมทุกมิติ และการพัฒนากลไกความร่วมมือกับประเทศต้นทางว่าด้วยการคุ้มครองเด็กเคลื่อนย้าย ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการร่างแนวทางดังกล่าว และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดย ดย. ร่วมกับคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด ขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแนวทางดังกล่าวในพื้นที่ที่มีสถานการณ์เด็กเคลื่อนย้าย สําหรับในพื้นที่อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก จะได้ดําเนินการตามแผนการดําเนินงานที่ได้กําหนดไว้ คือ พัฒนาศักยภาพ กํากับดูแล และติดตามการดําเนินงานของสถานรองรับเด็กเอกชนให้สามารถดําเนินงานได้อย่างมีมาตรฐาน โดยมีการจัดเก็บข้อมูลประวัติเด็กรายบุคคล รวมทั้งใช้กลไกระดับพื้นที่ ได้แก่ “ศูนย์ชุมชนคุ้มครองเด็ก” เพื่อดําเนินงานคุ้มครองเด็กในระดับตําบลและชุมชน รวมทั้งหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการพัฒนาความร่วมมือว่าด้วยการคุ้มครองเด็กเคลื่อนย้ายกับประเทศต้นทาง ทั้งในระดับนโยบาย (ไทย – เมียนมา) และพื้นที่ (ตาก – เมียวดี) ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ
วันอังคารที่ 11 เมษายน 2560
รมว.พม. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ
รมว.พม. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ เพื่อเร่งผลักดันร่างยุทธศาสตร์คุ้มครองเด็กแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564
และแนวทางการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามแนวพื้นที่ตะเข็บชายแดนใน อ.แม่สอด จ.ตาก
วันนี้ (11 เม.ย. 60) ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 ว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมครั้งแรกของปี 2560 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมรวมทั้งนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง เพื่อกําหนดนโยบายและกรอบแนวทางการดําเนินงานคุ้มครองเด็ก รวมทั้งติดตามผลการดําเนินงานที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าในการดําเนินงานที่สําคัญของคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ได้แก่ 1) การจัดทําร่างยุทธศาสตร์คุ้มครองเด็กแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2564 2) การดําเนินการพัฒนาระบบคุ้มครองเด็กแบบบูรณาการ 3) การดําเนินโครงการศึกษาวิเคราะห์เพื่อจัดทําร่างต้นแบบการจัดการฐานข้อมูลด้านการคุ้มครองเด็กของประเทศไทย 4) การปรับปรุงหลักสูตรพนักงานเจ้าหน้าที่ในการสงเคราะห์เด็กและคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก 5) ผลการประเมินผลการดําเนินงานคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด และ 6) การจัดทําแนวปฏิบัติงานร่วมกันและหลักสูตรการปฏิบัติต่อเด็กผู้ต้องหาที่มีอายุก่อนถึงเกณฑ์การรับโทษทางอาญา เป็นต้น
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อว่า การประชุมครั้งนี้ มีการพิจารณาร่วมกันในเรื่องสําคัญ ดังนี้ 1) การพิจารณาร่างยุทธศาสตร์คุ้มครองเด็กแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564 ซึ่งประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) การเสริมพลังบุคคลในสังคมแวดล้อมเด็กให้มีความสามารถในการปกป้องคุ้มครองเด็ก 2) การเพิ่มพูนขีดความสามารถของผู้ประกอบวิชาชีพ และบูรณาการการทํางานร่วมกันของทีมสหวิชาชีพเพื่อปกป้องคุ้มครองเด็ก 3) การระดมสรรพกําลังและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่ายจิตอาสาภาคสังคมในการปกป้องคุ้มครองเด็ก 4) การยกระดับมาตรฐานและขีดความสามารถในการจัดบริการที่สอดคล้องต่อสภาพปัญหาและความต้องการต่อเนื่องและครบวงจร 5) การพัฒนาระบบและกลไกการบริหารจัดการเพื่อสนับสนุนการดําเนินงาน การกํากับติดตามและประเมินผล การถ่ายทอดและจัดการองค์ความรู้ และ 6) การสร้างความร่วมมือและกลไกการประสานงานระหว่างประเทศในการปกป้องคุ้มครองเด็ก โดยมีเป้าหมาย คือ “เด็กทุกคนอยู่ดี มีสุข ปลอดภัย ในครอบครัว ชุมชน และสังคมแวดล้อมที่คุ้มครองและดูแล” ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบต่อร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าว และจะได้นําเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณามอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบ จัดทําแผนปฏิบัติการของกระทรวงและแผนปฏิบัติการประจําปี และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เป็นระยะ และรายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า 2) การพิจารณาร่างหลักสูตรการอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ในการสงเคราะห์เด็กและคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบร่างหลักสูตรฯ ซึ่งได้ปรับปรุงให้มีความเป็นปัจจุบันและเน้นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติมากขึ้น และได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยสถาบันพระประชาบดีร่วมกับ ดย. จัดทําแผนการอบรมและดําเนินการจัดอบรม รวมทั้งประสาน สถ. พัทยา และ กทม. เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดอบรมให้กับบุคลากรผู้ปฏิบัติงานในท้องถิ่นต่อไป และ 3) การพิจารณาร่างแนวทางการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กในพื้นที่อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งประกอบด้วย การยกระดับการดําเนินงานของสถานรองรับเด็กเอกชน การคุ้มครองสิทธิของเด็กเคลื่อนย้ายในภาพรวมทุกมิติ และการพัฒนากลไกความร่วมมือกับประเทศต้นทางว่าด้วยการคุ้มครองเด็กเคลื่อนย้าย ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการร่างแนวทางดังกล่าว และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดย ดย. ร่วมกับคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด ขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแนวทางดังกล่าวในพื้นที่ที่มีสถานการณ์เด็กเคลื่อนย้าย สําหรับในพื้นที่อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก จะได้ดําเนินการตามแผนการดําเนินงานที่ได้กําหนดไว้ คือ พัฒนาศักยภาพ กํากับดูแล และติดตามการดําเนินงานของสถานรองรับเด็กเอกชนให้สามารถดําเนินงานได้อย่างมีมาตรฐาน โดยมีการจัดเก็บข้อมูลประวัติเด็กรายบุคคล รวมทั้งใช้กลไกระดับพื้นที่ ได้แก่ “ศูนย์ชุมชนคุ้มครองเด็ก” เพื่อดําเนินงานคุ้มครองเด็กในระดับตําบลและชุมชน รวมทั้งหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการพัฒนาความร่วมมือว่าด้วยการคุ้มครองเด็กเคลื่อนย้ายกับประเทศต้นทาง ทั้งในระดับนโยบาย (ไทย – เมียนมา) และพื้นที่ (ตาก – เมียวดี) ต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3038
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) ของ 5 จังหวัดชายแดนภาคอีสานตอนเหนือ ที่มีพื้นที่ติดกับลาว (2/2)
|
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560
รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) ของ 5 จังหวัดชายแดนภาคอีสานตอนเหนือ ที่มีพื้นที่ติดกับลาว (2/2)
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับฟังผลการประชุมและเป็นประธานปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) ของ 5 จังหวัดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
ที่มีพื้นที่ติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) คือ นครพนม มุกดาหาร เลย หนองคาย และบึงกาฬเมื่อวันเสาร์ที่3มิถุนายน2560ณ โรงแรมฟอร์จูน ริเวอร์วิว อําเภอเมืองนครพนม
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในทุกระดับโดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลด้วยจากสถิติผลการวิเคราะห์พบว่ามีคุณภาพการศึกษาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับต่ํากว่าพื้นที่อื่น ๆ เป็นอย่างมาก
กระทรวงศึกษาธิการจึงได้มอบให้สํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สนย.สป.) เป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมข้อมูลและเตรียมแผนดําเนินงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ชายแดนแต่หากจะจัดการประชุมจัดทําแผนในจังหวัดชายแดนทั่วประเทศที่มีจํานวนทั้งสิ้น27จังหวัด105อําเภอ (ไม่นับรวมพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะได้ดําเนินการมาก่อนแล้ว) ก็จะใช้เวลามาก จึงได้รวมกลุ่มจังหวัดจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) โดยกําหนดเป็น6ครั้ง คือ
ครั้งแรกเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน 2560 ที่ จ.เชียงใหม่ ประกอบด้วย4จังหวัดชายแดนภาคเหนือ ติดกับเมียนมาและลาว
ครั้งที่ 2วันที่27-28 เมษายน 2560 ที่ จ.จันทบุรี ประกอบด้วย 3 จังหวัดชายแดนภาคตะวันออก ติดกับกัมพูชา
ครั้งที่ 3วันที่ 11-12พฤษภาคม 2560 ที่ จ.อุบลราชธานี ประกอบด้วย 5 จังหวัดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ติดกับลาวและกัมพูชา
ครั้งที่ 4วันที่ 19-20พฤษภาคม 2560 ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วย 6 จังหวัดชายแดนด้านตะวันตกแถบเทือกเขาบรรทัดติดกับเมียนมา
ครั้งที่ 5วันที่26-27 พฤษภาคม 2560 ที่ จ.พิษณุโลก ประกอบด้วย 4 จังหวัดชายแดนภาคเหนือ ติดกับลาว
ครั้งที่ 6วันที่ 2-3มิถุนายน 2560 ที่ จ.นครพนม ประกอบด้วย 5 จังหวัดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ติดกับลาว
จากนั้นจึงได้จัดประชุมผู้รับผิดชอบเพื่อเตรียมการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2560 เพื่อสร้างกลไกในการปฏิบัติงานตามแผนแต่ละห้วงเวลาทั้งระยะสั้น ระยะยาว และระยะเร่งด่วนในการจัดทําแผนการศึกษาของจังหวัดที่มีพื้นที่ชายแดนทั้ง 27 จังหวัด 105 อําเภอทั่วประเทศ โดยการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน กําหนดไว้ในช่วงปี 2560-2564 แต่เน้นวิธีคิดให้เกิดผลในทางปฏิบัติภายในปี 2560 โดยยึดหลัก "ทําก้าวแรก" ให้เข้มแข็งมั่นคง เพื่อขยายสู่ "ก้าวต่อไป" ได้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นจึงจะขยายผลการดําเนินงานจากอําเภอชายแดนไปยังอําเภอใกล้เคียง จนกระทั่งในท้ายที่สุดก็จะขยายผลไปทั้งจังหวัด
ทั้งนี้ เมื่อ สนย.สป.และจังหวัดต่าง ๆ ได้ร่วมประชุมหารือ จนกระทั่งรับทราบปัญหาด้านการศึกษาในพื้นที่ชายแดนร่วมกันแล้ว จึงได้สร้างกลไกการปฏิบัติตามระบบการบริหารราชการ ซึ่งจะดูแลกันเป็นชั้น ๆได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการทําหน้าที่ในระดับอํานวยการ, ปลัดกระทรวงและรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการทําหน้าที่ระดับดําเนินงานในส่วนกลาง, ศึกษาธิการภาคดําเนินงานในระดับภาค และคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดดําเนินงานในระดับจังหวัด โดยจะเน้นไปที่การดําเนินงานของจังหวัด เพราะแต่ละจังหวัดต้องมีแผนพัฒนายุทธศาสตร์การศึกษาอยู่แล้ว และต้องให้ความสําคัญกับเรื่องของพื้นที่และเวลาด้วยซึ่งในการประชุมชี้แจงครั้งนั้น ได้เน้นย้ําด้วยว่า ขอให้นําแผนการศึกษาพื้นที่ชายแดนไปดําเนินการให้สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี, แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12, แผนการศึกษาแห่งชาติ, และแผนของแต่ละจังหวัด ตามกรอบและบริบทของพื้นที่ พร้อมจัดประชุมกลุ่มทุกภูมิภาค 6 จุด เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเกิดประโยชน์ซึ่งกันและกัน
โอกาสนี้พล.อ.สุรเชษฐ์ได้มอบแนวทางการดําเนินงาน คือ"คิดให้ครบทบทวนเป็นห้วง ๆ ห่วงการรับรู้บูรณาการทํางานสืบสานศาสตร์พระราชา"
คิดให้ครบ: การคิดให้ครอบคลุม และครบทุกด้าน โดยพยายามคิดให้ครบทั้งระบบ ให้ครอบคุลมการจัดการศึกษาเรียนรู้ทุกช่วงวัย เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนในพื้นที่ได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ได้อย่างครบถ้วนทุกระดับทุกประเภท ตั้งแต่ปฐมวัย-ผู้สูงวัย พระภิกษุสามเณร ตลอดจนผู้พิการ ทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ อีกทั้งครบถ้วนในมิติทางศาสนา ครอบคลุมภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดการศึกษาเรียนรู้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม สร้างโอกาส และลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา ตลอดจนประสานความร่วมมือภายในหน่วยงานด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.), สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
ทบทวนเป็นห้วง ๆ:ในช่วงของการดําเนินงานตามแผน เรียกได้ว่าต้องทําไปแก้ปัญหาไป เพื่อช่วยทบทวนการทํางานให้มีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่กําหนด พร้อมกับทํางานเชิงรุกในส่วนที่เป็นจุดแข็ง/โอกาสในคราวเดียวกัน หรืออาจขยายพื้นที่การดําเนินงานล่วงหน้าไปก่อนได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียง ในจังหวัดหรืออําเภอที่ติดกัน เพื่อให้การพัฒนาตามแผนก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าใน 5 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนที่มีพื้นที่ติดกับลาว มีมูลค่าการค้าการลงทุนที่สูงมาก หากสามารถพัฒนาจังหวัดให้มีศักยภาพทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ที่เอื้อต่อการค้าขายได้ดี ทําให้ประชาชนมีรายได้ เมื่อนั้นเราก็จะหลุดพ้นจากการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ประชาชนก็จะมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย
ดังนั้น ขอให้ช่วยกันติดตามสถานการณ์ ความเป็นไป ทั้งภายในจังหวัดและในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อตอบสนองความต้องการและรองรับการพัฒนาอย่างรอบด้าน เป็นการมองไปข้างหน้าที่จะเป็นประโยชน์กับการวางแผนการทํางานต่อไป อาทิ สะพานข้ามฝั่งแห่งใหม่ ความต้องการและความนิยมของผู้ซื้อ ระบบคมนาคมขนส่งที่ทันสมัย ฯลฯ
ห่วงการรับรู้:โดยเริ่มจากการสร้างการรับรู้และทําความเข้าใจภายในองค์กรก่อน เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้แผนการทํางานและเกิดการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละคนอย่างสอดคล้อง เชื่อมโยงและต่อเนื่อง จากนั้นจึงจะสร้างความเข้าใจกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด อาทิ ครู-บุคลากรทางการศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครอง ประชาชน ชุมชน เมื่อรู้ก็จะเกิดความต้องการที่จะสนับสนุน เกิดความร่วมมือร่วมใจและการต่อยอดการดําเนินงานในภาพรวมต่อไป
บูรณาการทํางาน: ต้องยอมรับว่าเมื่อทุกภาคส่วนมีความเข้าใจเกี่ยวกับแผนงานแล้ว ความร่วมมือหรือการทํางานเชิงบูรณาการจะตามมาเองจากหลากหลายฝ่าย ทั้งภายในหน่วยงาน ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ตลอดจนภาคประชาสังคม อันจะเกิดความกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียว หรือที่เรียกอีกอย่างว่า สานพลังประชารัฐ นั่นเอง
สืบสานศาสตร์พระราชา: ขอให้น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่มีคุณค่ามหาศาลต่อปวงชนชาวไทย เป็นหลักในการสอดแทรกไว้ในแผนการศึกษาและการดําเนินชีวิต ซึ่งเชื่อว่าคนส่วนใหญ่รู้อยู่แล้ว และมีหลายคนที่นําไปปฏิบัติแล้วส่งผลดีต่อชีวิตและการทํางาน นอกจากนี้ยังมีอีกกว่า 20 ประเทศ ที่ได้ศึกษาและนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อช่วยในการวางแผนพัฒนาประเทศ โดยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย "3 ห่วง 2 เงื่อนไข" กล่าวคือ 1) ห่วงความพอประมาณ-ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น 2) ห่วงความมีเหตุผล-การตัดสินใจอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคํานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 3) ห่วงการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว-การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคํานึงถึงและคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วน 2 เงื่อนไข คือ 1) เงื่อนไขความรู้-ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ อย่างรอบด้าน เชื่อมโยงความรู้ประกอบการวางแผนอย่างรอบคอบ 2) เงื่อนไขคุณธรรม-ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความพากเพียร และใช้สติปัญญาในการดําเนินชีวิต
พล.อ.สุรเชษฐ์ยังได้กล่าวฝากข้อคิดประจําใจ เพื่อปรับใช้ในการดํารงชีวิตและการทํางานคือความพยายามอยู่ที่ไหนความสําเร็จอยู่ที่นั่น, ความพยายามและความมุ่งมั่น เป็นพลังอันยิ่งใหญ่, งานจะสําเร็จได้ ต้อง “ตั้งใจทํา นําเพียรคิด จิตฝักใฝ่ หมั่นไตร่ตรอง” พร้อมเสนอให้นําระบบ After Action Review (AAR)มาใช้เพื่อทบทวนการทํางาน เพื่อนําไปสู่การแก้ปัญหา ปรับปรุง พัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น ถือเป็นหลักปฏิบัติที่สามารถนํามาใช้ในการทํางานของทุกส่วนได้ เพื่อก้าวไปสู่ความสําเร็จ
นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการจัดทําแผน กับการนําแผนไปสู่ปฏิบัติ เพื่อให้สําเร็จตามเป้าหมายแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ ระดับที่ 1 แผนดี-ปฏิบัติดี งานมีความสําเร็จสูง, ระดับที่ 2 แผนไม่ดี-ปฏิบัติดี งานจะสําเร็จได้ หากมองเห็นและแก้ไขปรับปรุง, ระดับที่ 3 แผนดี-ปฏิบัติไม่ดี งานสําเร็จได้ยาก เพราะขาดความตั้งใจ ไม่สร้างการรับรู้ ไม่มีกลไกขับเคลื่อน และระดับที่ 4 แผนไม่ดี-ปฏิบัติไม่ดี งานไม่สําเร็จตามเป้าหมาย
พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่ากระทรวงศึกษาธิการมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทําให้นักเรียนนักศึกษาประชาชนในพื้นที่ชายแดน มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง มีคุณภาพ มีความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ํา ตลอดจนสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ อยู่ร่วมกันเพื่อความมั่นคงและยั่งยืน พร้อมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางดําเนินชีวิต โดยยินดีที่จะให้การสนับสนุนการดําเนินงานตามแผน และติดตามการดําเนินงานเป็นห้วง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ มอบหมายให้นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการภาค 11 เป็นกรณีพิเศษ ที่จะต้องพิจารณาแผนงานหรือโครงการพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดนเพื่อให้การสนับสนุนงบประมาณต่อไป
ขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วม และขอแสดงความชื่นชมกับการนําเสนอแผนของทั้ง 5 จังหวัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและพยายามร่วมขับเคลื่อนการจัดการศึกษาในพื้นที่ชายแดนไปสู่ความสําเร็จ อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนตุลาคมนี้จะจัดให้มีประชุมทบทวนแผนการทํางาน เพื่อปรับให้มีความเหมาะสมและให้สามารถนําไปใช้ได้ทันในช่วงเปิดภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2560 ต่อไป
สําหรับพิธีปิดการประชุมครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมกว่า 250 คน อาทิ นายสมชาย วิทย์ดํารง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม, พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการภาค 11, นายปริญญา ธรเสนา ศึกษาธิการจังหวัดนครพนม, นายเสถียร แสนอุบล ศึกษาธิการจังหวัดมุกดาหาร, นายสุภชัย จันปุ่ม ศึกษาธิการจังหวัดเลย, นายชาตรี ม่วงสว่าง ศึกษาธิการจังหวัดหนองคาย, นายธีรพงษ์ สารแสน ศึกษาธิการจังหวัดบึงกาฬ, คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด, ผู้บริหารสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา และผู้อํานวยการสถานศึกษา พร้อมทั้งผศ.ดร.บรรพต วิรุณราช คณบดีวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ และพ.อ.ดร.ขจรศักดิ์ ไทยประยูร จากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกรวมทั้งคณะวิทยากรจากมหาวิทยาลัยบูรพาและมหาวิทยาลัยนครพนม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) ของ 5 จังหวัดชายแดนภาคอีสานตอนเหนือ ที่มีพื้นที่ติดกับลาว (2/2)
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560
รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) ของ 5 จังหวัดชายแดนภาคอีสานตอนเหนือ ที่มีพื้นที่ติดกับลาว (2/2)
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับฟังผลการประชุมและเป็นประธานปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) ของ 5 จังหวัดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
ที่มีพื้นที่ติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) คือ นครพนม มุกดาหาร เลย หนองคาย และบึงกาฬเมื่อวันเสาร์ที่3มิถุนายน2560ณ โรงแรมฟอร์จูน ริเวอร์วิว อําเภอเมืองนครพนม
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในทุกระดับโดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลด้วยจากสถิติผลการวิเคราะห์พบว่ามีคุณภาพการศึกษาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับต่ํากว่าพื้นที่อื่น ๆ เป็นอย่างมาก
กระทรวงศึกษาธิการจึงได้มอบให้สํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สนย.สป.) เป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมข้อมูลและเตรียมแผนดําเนินงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ชายแดนแต่หากจะจัดการประชุมจัดทําแผนในจังหวัดชายแดนทั่วประเทศที่มีจํานวนทั้งสิ้น27จังหวัด105อําเภอ (ไม่นับรวมพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะได้ดําเนินการมาก่อนแล้ว) ก็จะใช้เวลามาก จึงได้รวมกลุ่มจังหวัดจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) โดยกําหนดเป็น6ครั้ง คือ
ครั้งแรกเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน 2560 ที่ จ.เชียงใหม่ ประกอบด้วย4จังหวัดชายแดนภาคเหนือ ติดกับเมียนมาและลาว
ครั้งที่ 2วันที่27-28 เมษายน 2560 ที่ จ.จันทบุรี ประกอบด้วย 3 จังหวัดชายแดนภาคตะวันออก ติดกับกัมพูชา
ครั้งที่ 3วันที่ 11-12พฤษภาคม 2560 ที่ จ.อุบลราชธานี ประกอบด้วย 5 จังหวัดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ติดกับลาวและกัมพูชา
ครั้งที่ 4วันที่ 19-20พฤษภาคม 2560 ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วย 6 จังหวัดชายแดนด้านตะวันตกแถบเทือกเขาบรรทัดติดกับเมียนมา
ครั้งที่ 5วันที่26-27 พฤษภาคม 2560 ที่ จ.พิษณุโลก ประกอบด้วย 4 จังหวัดชายแดนภาคเหนือ ติดกับลาว
ครั้งที่ 6วันที่ 2-3มิถุนายน 2560 ที่ จ.นครพนม ประกอบด้วย 5 จังหวัดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ติดกับลาว
จากนั้นจึงได้จัดประชุมผู้รับผิดชอบเพื่อเตรียมการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2560 เพื่อสร้างกลไกในการปฏิบัติงานตามแผนแต่ละห้วงเวลาทั้งระยะสั้น ระยะยาว และระยะเร่งด่วนในการจัดทําแผนการศึกษาของจังหวัดที่มีพื้นที่ชายแดนทั้ง 27 จังหวัด 105 อําเภอทั่วประเทศ โดยการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน กําหนดไว้ในช่วงปี 2560-2564 แต่เน้นวิธีคิดให้เกิดผลในทางปฏิบัติภายในปี 2560 โดยยึดหลัก "ทําก้าวแรก" ให้เข้มแข็งมั่นคง เพื่อขยายสู่ "ก้าวต่อไป" ได้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นจึงจะขยายผลการดําเนินงานจากอําเภอชายแดนไปยังอําเภอใกล้เคียง จนกระทั่งในท้ายที่สุดก็จะขยายผลไปทั้งจังหวัด
ทั้งนี้ เมื่อ สนย.สป.และจังหวัดต่าง ๆ ได้ร่วมประชุมหารือ จนกระทั่งรับทราบปัญหาด้านการศึกษาในพื้นที่ชายแดนร่วมกันแล้ว จึงได้สร้างกลไกการปฏิบัติตามระบบการบริหารราชการ ซึ่งจะดูแลกันเป็นชั้น ๆได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการทําหน้าที่ในระดับอํานวยการ, ปลัดกระทรวงและรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการทําหน้าที่ระดับดําเนินงานในส่วนกลาง, ศึกษาธิการภาคดําเนินงานในระดับภาค และคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดดําเนินงานในระดับจังหวัด โดยจะเน้นไปที่การดําเนินงานของจังหวัด เพราะแต่ละจังหวัดต้องมีแผนพัฒนายุทธศาสตร์การศึกษาอยู่แล้ว และต้องให้ความสําคัญกับเรื่องของพื้นที่และเวลาด้วยซึ่งในการประชุมชี้แจงครั้งนั้น ได้เน้นย้ําด้วยว่า ขอให้นําแผนการศึกษาพื้นที่ชายแดนไปดําเนินการให้สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี, แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12, แผนการศึกษาแห่งชาติ, และแผนของแต่ละจังหวัด ตามกรอบและบริบทของพื้นที่ พร้อมจัดประชุมกลุ่มทุกภูมิภาค 6 จุด เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเกิดประโยชน์ซึ่งกันและกัน
โอกาสนี้พล.อ.สุรเชษฐ์ได้มอบแนวทางการดําเนินงาน คือ"คิดให้ครบทบทวนเป็นห้วง ๆ ห่วงการรับรู้บูรณาการทํางานสืบสานศาสตร์พระราชา"
คิดให้ครบ: การคิดให้ครอบคลุม และครบทุกด้าน โดยพยายามคิดให้ครบทั้งระบบ ให้ครอบคุลมการจัดการศึกษาเรียนรู้ทุกช่วงวัย เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนในพื้นที่ได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ได้อย่างครบถ้วนทุกระดับทุกประเภท ตั้งแต่ปฐมวัย-ผู้สูงวัย พระภิกษุสามเณร ตลอดจนผู้พิการ ทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ อีกทั้งครบถ้วนในมิติทางศาสนา ครอบคลุมภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดการศึกษาเรียนรู้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม สร้างโอกาส และลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา ตลอดจนประสานความร่วมมือภายในหน่วยงานด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.), สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
ทบทวนเป็นห้วง ๆ:ในช่วงของการดําเนินงานตามแผน เรียกได้ว่าต้องทําไปแก้ปัญหาไป เพื่อช่วยทบทวนการทํางานให้มีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่กําหนด พร้อมกับทํางานเชิงรุกในส่วนที่เป็นจุดแข็ง/โอกาสในคราวเดียวกัน หรืออาจขยายพื้นที่การดําเนินงานล่วงหน้าไปก่อนได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียง ในจังหวัดหรืออําเภอที่ติดกัน เพื่อให้การพัฒนาตามแผนก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าใน 5 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนที่มีพื้นที่ติดกับลาว มีมูลค่าการค้าการลงทุนที่สูงมาก หากสามารถพัฒนาจังหวัดให้มีศักยภาพทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ที่เอื้อต่อการค้าขายได้ดี ทําให้ประชาชนมีรายได้ เมื่อนั้นเราก็จะหลุดพ้นจากการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ประชาชนก็จะมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย
ดังนั้น ขอให้ช่วยกันติดตามสถานการณ์ ความเป็นไป ทั้งภายในจังหวัดและในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อตอบสนองความต้องการและรองรับการพัฒนาอย่างรอบด้าน เป็นการมองไปข้างหน้าที่จะเป็นประโยชน์กับการวางแผนการทํางานต่อไป อาทิ สะพานข้ามฝั่งแห่งใหม่ ความต้องการและความนิยมของผู้ซื้อ ระบบคมนาคมขนส่งที่ทันสมัย ฯลฯ
ห่วงการรับรู้:โดยเริ่มจากการสร้างการรับรู้และทําความเข้าใจภายในองค์กรก่อน เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้แผนการทํางานและเกิดการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละคนอย่างสอดคล้อง เชื่อมโยงและต่อเนื่อง จากนั้นจึงจะสร้างความเข้าใจกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด อาทิ ครู-บุคลากรทางการศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครอง ประชาชน ชุมชน เมื่อรู้ก็จะเกิดความต้องการที่จะสนับสนุน เกิดความร่วมมือร่วมใจและการต่อยอดการดําเนินงานในภาพรวมต่อไป
บูรณาการทํางาน: ต้องยอมรับว่าเมื่อทุกภาคส่วนมีความเข้าใจเกี่ยวกับแผนงานแล้ว ความร่วมมือหรือการทํางานเชิงบูรณาการจะตามมาเองจากหลากหลายฝ่าย ทั้งภายในหน่วยงาน ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ตลอดจนภาคประชาสังคม อันจะเกิดความกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียว หรือที่เรียกอีกอย่างว่า สานพลังประชารัฐ นั่นเอง
สืบสานศาสตร์พระราชา: ขอให้น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่มีคุณค่ามหาศาลต่อปวงชนชาวไทย เป็นหลักในการสอดแทรกไว้ในแผนการศึกษาและการดําเนินชีวิต ซึ่งเชื่อว่าคนส่วนใหญ่รู้อยู่แล้ว และมีหลายคนที่นําไปปฏิบัติแล้วส่งผลดีต่อชีวิตและการทํางาน นอกจากนี้ยังมีอีกกว่า 20 ประเทศ ที่ได้ศึกษาและนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อช่วยในการวางแผนพัฒนาประเทศ โดยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย "3 ห่วง 2 เงื่อนไข" กล่าวคือ 1) ห่วงความพอประมาณ-ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น 2) ห่วงความมีเหตุผล-การตัดสินใจอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคํานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 3) ห่วงการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว-การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคํานึงถึงและคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วน 2 เงื่อนไข คือ 1) เงื่อนไขความรู้-ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ อย่างรอบด้าน เชื่อมโยงความรู้ประกอบการวางแผนอย่างรอบคอบ 2) เงื่อนไขคุณธรรม-ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความพากเพียร และใช้สติปัญญาในการดําเนินชีวิต
พล.อ.สุรเชษฐ์ยังได้กล่าวฝากข้อคิดประจําใจ เพื่อปรับใช้ในการดํารงชีวิตและการทํางานคือความพยายามอยู่ที่ไหนความสําเร็จอยู่ที่นั่น, ความพยายามและความมุ่งมั่น เป็นพลังอันยิ่งใหญ่, งานจะสําเร็จได้ ต้อง “ตั้งใจทํา นําเพียรคิด จิตฝักใฝ่ หมั่นไตร่ตรอง” พร้อมเสนอให้นําระบบ After Action Review (AAR)มาใช้เพื่อทบทวนการทํางาน เพื่อนําไปสู่การแก้ปัญหา ปรับปรุง พัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น ถือเป็นหลักปฏิบัติที่สามารถนํามาใช้ในการทํางานของทุกส่วนได้ เพื่อก้าวไปสู่ความสําเร็จ
นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการจัดทําแผน กับการนําแผนไปสู่ปฏิบัติ เพื่อให้สําเร็จตามเป้าหมายแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ ระดับที่ 1 แผนดี-ปฏิบัติดี งานมีความสําเร็จสูง, ระดับที่ 2 แผนไม่ดี-ปฏิบัติดี งานจะสําเร็จได้ หากมองเห็นและแก้ไขปรับปรุง, ระดับที่ 3 แผนดี-ปฏิบัติไม่ดี งานสําเร็จได้ยาก เพราะขาดความตั้งใจ ไม่สร้างการรับรู้ ไม่มีกลไกขับเคลื่อน และระดับที่ 4 แผนไม่ดี-ปฏิบัติไม่ดี งานไม่สําเร็จตามเป้าหมาย
พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่ากระทรวงศึกษาธิการมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทําให้นักเรียนนักศึกษาประชาชนในพื้นที่ชายแดน มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง มีคุณภาพ มีความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ํา ตลอดจนสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ อยู่ร่วมกันเพื่อความมั่นคงและยั่งยืน พร้อมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางดําเนินชีวิต โดยยินดีที่จะให้การสนับสนุนการดําเนินงานตามแผน และติดตามการดําเนินงานเป็นห้วง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ มอบหมายให้นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการภาค 11 เป็นกรณีพิเศษ ที่จะต้องพิจารณาแผนงานหรือโครงการพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดนเพื่อให้การสนับสนุนงบประมาณต่อไป
ขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วม และขอแสดงความชื่นชมกับการนําเสนอแผนของทั้ง 5 จังหวัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและพยายามร่วมขับเคลื่อนการจัดการศึกษาในพื้นที่ชายแดนไปสู่ความสําเร็จ อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนตุลาคมนี้จะจัดให้มีประชุมทบทวนแผนการทํางาน เพื่อปรับให้มีความเหมาะสมและให้สามารถนําไปใช้ได้ทันในช่วงเปิดภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2560 ต่อไป
สําหรับพิธีปิดการประชุมครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมกว่า 250 คน อาทิ นายสมชาย วิทย์ดํารง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม, พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการภาค 11, นายปริญญา ธรเสนา ศึกษาธิการจังหวัดนครพนม, นายเสถียร แสนอุบล ศึกษาธิการจังหวัดมุกดาหาร, นายสุภชัย จันปุ่ม ศึกษาธิการจังหวัดเลย, นายชาตรี ม่วงสว่าง ศึกษาธิการจังหวัดหนองคาย, นายธีรพงษ์ สารแสน ศึกษาธิการจังหวัดบึงกาฬ, คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด, ผู้บริหารสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา และผู้อํานวยการสถานศึกษา พร้อมทั้งผศ.ดร.บรรพต วิรุณราช คณบดีวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ และพ.อ.ดร.ขจรศักดิ์ ไทยประยูร จากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกรวมทั้งคณะวิทยากรจากมหาวิทยาลัยบูรพาและมหาวิทยาลัยนครพนม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4260
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับข้อเสนอของคณะผู้แทนสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ พร้อมหารือร่วมกันถึงแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุในภาพรวม
|
วันอังคารที่ 3 ตุลาคม 2560
รมว.พม. รับข้อเสนอของคณะผู้แทนสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ พร้อมหารือร่วมกันถึงแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุในภาพรวม
รมว.พม. รับข้อเสนอของคณะผู้แทนสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ พร้อมหารือร่วมกันถึงแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุในภาพรวม
วันที่ 2 ต.ค. 60เวลา 11.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ให้การต้อนรับนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานกรรมการบริหารสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี พร้อมคณะ ซึ่งเข้าพบเนื่องในโอกาสวันผู้สูงอายุสากล และร่วมหารือถึงแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า เนื่องด้วยองค์การสหประชาชาติกําหนดให้ทุกวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี เป็น ”วันผู้สูงอายุสากล” เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของผู้สูงอายุในสังคม ซึ่งในโอกาสนี้ สมาคมสภาผู้สูงอายุ แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้เดินทางมายังกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหน่วยงานหลักของรัฐบาลที่ดําเนินการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงของประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอต่างๆ ไปยังรัฐบาล และหารือเกี่ยวกับข้อเสนอดังกล่าว ทั้งนี้ ทางสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ ได้แสดงความขอบคุณรัฐบาลภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้ดําเนินการขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในหลายเรื่อง อาทิ 1) นโยบายขยายการจ้างงานของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด ทําให้ผู้สูงอายุมีคุณค่าและสามารถพึ่งตนเองได้มากขึ้น เป็นภาระต่อครอบครัวและสังคมน้อยลง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Active Aging ของสหประชาชาติ 2) นโยบายเพิ่มสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุที่ยากลําบาก โดยจัดเก็บค่าธรรมเนียม จากภาษีบาปปีละ 4 พันล้านบาท และนโยบายจูงใจผู้สูงอายุที่มีฐานะดีให้บริจาคเบี้ยยังชีพ แก่ผู้สูงอายุที่ยากลําบาก ซึ่งเป็นการเพิ่มตาข่ายนิรภัยสังคมให้แก่ผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนยากจนถึงร้อยละ 34.3 3) การเพิ่มงบประมาณประจําปีในการสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุที่ติดบ้าน ติดเตียง
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า งบประมาณดังกล่าวนอกจากเป็นการช่วยให้ผู้สูงอายุติดบ้าน ติดเตียง ร้อยละประมาณ 10 - 15 ได้รับการดูแลแล้ว ยังสามารถเกิดการจ้างงานในชนบทได้ประมาณ 10,000 - 15,000 คน ซึ่งนโยบายดังกล่าวยังมีปัญหาอุปสรรคจากระเบียบปฏิบัติของบางหน่วยงาน ซึ่งทางสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่ง ประเทศไทยฯ จึงได้เสนอให้ทางรัฐบาลเร่งรัดให้มีการแก้ไขระเบียบและวิธีการปฏิบัติด้านงบประมาณ เพื่อให้ผู้สูงอายุ ติดบ้าน ติดเตียงได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนโดยเร็ว และเพิ่มการจ้างงานในชนบทได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ยังได้เสนอให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมสมัชชาผู้สูงอายุโลกครั้งที่ 3 ในปี 2565 เนื่องจากประเทศไทย มีความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเป็นการส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ
"ทั้งนี้ จากข้อเสนอดังกล่าวกระทรวง พม. จะได้พิจารณาเพื่อนําไปปรับใช้ในการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุในภาพรวมของประเทศ โดยเน้นการขับเคลื่อนงานด้วยการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุอย่างมคุณภาพต่อไป”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับข้อเสนอของคณะผู้แทนสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ พร้อมหารือร่วมกันถึงแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุในภาพรวม
วันอังคารที่ 3 ตุลาคม 2560
รมว.พม. รับข้อเสนอของคณะผู้แทนสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ พร้อมหารือร่วมกันถึงแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุในภาพรวม
รมว.พม. รับข้อเสนอของคณะผู้แทนสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ พร้อมหารือร่วมกันถึงแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุในภาพรวม
วันที่ 2 ต.ค. 60เวลา 11.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ให้การต้อนรับนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานกรรมการบริหารสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี พร้อมคณะ ซึ่งเข้าพบเนื่องในโอกาสวันผู้สูงอายุสากล และร่วมหารือถึงแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า เนื่องด้วยองค์การสหประชาชาติกําหนดให้ทุกวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี เป็น ”วันผู้สูงอายุสากล” เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของผู้สูงอายุในสังคม ซึ่งในโอกาสนี้ สมาคมสภาผู้สูงอายุ แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้เดินทางมายังกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหน่วยงานหลักของรัฐบาลที่ดําเนินการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงของประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอต่างๆ ไปยังรัฐบาล และหารือเกี่ยวกับข้อเสนอดังกล่าว ทั้งนี้ ทางสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ ได้แสดงความขอบคุณรัฐบาลภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้ดําเนินการขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในหลายเรื่อง อาทิ 1) นโยบายขยายการจ้างงานของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด ทําให้ผู้สูงอายุมีคุณค่าและสามารถพึ่งตนเองได้มากขึ้น เป็นภาระต่อครอบครัวและสังคมน้อยลง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Active Aging ของสหประชาชาติ 2) นโยบายเพิ่มสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุที่ยากลําบาก โดยจัดเก็บค่าธรรมเนียม จากภาษีบาปปีละ 4 พันล้านบาท และนโยบายจูงใจผู้สูงอายุที่มีฐานะดีให้บริจาคเบี้ยยังชีพ แก่ผู้สูงอายุที่ยากลําบาก ซึ่งเป็นการเพิ่มตาข่ายนิรภัยสังคมให้แก่ผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนยากจนถึงร้อยละ 34.3 3) การเพิ่มงบประมาณประจําปีในการสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุที่ติดบ้าน ติดเตียง
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า งบประมาณดังกล่าวนอกจากเป็นการช่วยให้ผู้สูงอายุติดบ้าน ติดเตียง ร้อยละประมาณ 10 - 15 ได้รับการดูแลแล้ว ยังสามารถเกิดการจ้างงานในชนบทได้ประมาณ 10,000 - 15,000 คน ซึ่งนโยบายดังกล่าวยังมีปัญหาอุปสรรคจากระเบียบปฏิบัติของบางหน่วยงาน ซึ่งทางสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่ง ประเทศไทยฯ จึงได้เสนอให้ทางรัฐบาลเร่งรัดให้มีการแก้ไขระเบียบและวิธีการปฏิบัติด้านงบประมาณ เพื่อให้ผู้สูงอายุ ติดบ้าน ติดเตียงได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนโดยเร็ว และเพิ่มการจ้างงานในชนบทได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ยังได้เสนอให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมสมัชชาผู้สูงอายุโลกครั้งที่ 3 ในปี 2565 เนื่องจากประเทศไทย มีความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเป็นการส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ
"ทั้งนี้ จากข้อเสนอดังกล่าวกระทรวง พม. จะได้พิจารณาเพื่อนําไปปรับใช้ในการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุในภาพรวมของประเทศ โดยเน้นการขับเคลื่อนงานด้วยการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุอย่างมคุณภาพต่อไป”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7149
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ไทย ประชุมทางไกลกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและอาเซียนบวกสาม หารือความร่วมมือตอบโต้ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
สธ.ไทย ประชุมทางไกลกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและอาเซียนบวกสาม หารือความร่วมมือตอบโต้ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
กระทรวงสาธารณสุขไทย ร่วมประชุมทางไกลกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและอาเซียนบวก 3 แลกเปลี่ยนข้อมูล และหารือมาตรการสร้างความร่วมมือและการประสานงานในการตอบโต้การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในอาเซียน
กระทรวงสาธารณสุขไทย ร่วมประชุมทางไกลกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและอาเซียนบวก 3 แลกเปลี่ยนข้อมูล และหารือมาตรการสร้างความร่วมมือและการประสานงานในการตอบโต้การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในอาเซียน
นายแพทย์สําเริง แหยงกระโทก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนทางไกลสมัยพิเศษ ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือในการตอบโต้โรคติดเชื้อโคโรนา 2019 (COVID-19) ร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน ประกอบด้วย บรูไน ดารุสซาลาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม รวมทั้งผู้แทนองค์การอนามัยโลกภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก ร่วมแลกเปลี่ยนมาตรการของไทยที่ให้ความสําคัญกับการค้นหาผู้ติดเชื้อตั้งแต่ระยะแรก และการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในวงกว้าง ได้เสนอให้ยกระดับความร่วมมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมการระบาดของโรคในภูมิภาค และสร้างความมั่นใจว่ามาตรการจํากัดการเดินทาง จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการขนส่งยา วัคซีน และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จําเป็นในการปกป้องชีวิตผู้ป่วย รวมทั้งเมื่อมียาและวัคซีนแล้ว ขอให้จัดสรรให้ประเทศสมาชิกอย่างเท่าเทียม ซึ่งปัจจัยสําคัญที่ทําให้อาเซียนเอาชนะโรคนี้ได้ คือความพร้อมเพรียงในการตอบโต้ COVID-19 ของประเทศสมาชิก
นอกจากนี้ รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนได้รับรองแถลงการณ์ร่วมเพื่อร่วมมือกันจัดการกับ COVID-19 ในภูมิภาค โดยจะยกระดับการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านกลไกอาเซียน การสื่อสารความเสี่ยงร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างรวดเร็ว การเข้าถึงบริการสุขภาพที่จําเป็นของผู้ที่ติดเชื้อ การประสานความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาอื่นๆ ทั้งในภูมิภาคและระดับโลกในการสร้างศักยภาพในการตอบโต้ COVID-19
ทั้งนี้ ในช่วงบ่าย ได้มีการหารือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศบวกสาม ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดยไทยได้เสนอให้ที่ประชุมร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้โรค COVID-19 แลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และสร้างช่องทางการสื่อสารระหว่างรัฐมนตรีสาธารณสุขของประเทศอาเซียนบวกสาม เพื่อการประสานงานอย่างรวดเร็ว และที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบต่อแถลงการณ์ร่วมในการร่วมมือกันโต้ตอบต่อการแพร่ระบาดของ COVID-19 เน้นการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน (Whole society approach) รวมทั้งภาคเอกชนในการตอบโต้ COVID-19 และการเยียวยาผลกระทบในทุกมิติ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ไทย ประชุมทางไกลกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและอาเซียนบวกสาม หารือความร่วมมือตอบโต้ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
สธ.ไทย ประชุมทางไกลกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและอาเซียนบวกสาม หารือความร่วมมือตอบโต้ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
กระทรวงสาธารณสุขไทย ร่วมประชุมทางไกลกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและอาเซียนบวก 3 แลกเปลี่ยนข้อมูล และหารือมาตรการสร้างความร่วมมือและการประสานงานในการตอบโต้การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในอาเซียน
กระทรวงสาธารณสุขไทย ร่วมประชุมทางไกลกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและอาเซียนบวก 3 แลกเปลี่ยนข้อมูล และหารือมาตรการสร้างความร่วมมือและการประสานงานในการตอบโต้การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในอาเซียน
นายแพทย์สําเริง แหยงกระโทก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนทางไกลสมัยพิเศษ ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือในการตอบโต้โรคติดเชื้อโคโรนา 2019 (COVID-19) ร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน ประกอบด้วย บรูไน ดารุสซาลาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม รวมทั้งผู้แทนองค์การอนามัยโลกภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก ร่วมแลกเปลี่ยนมาตรการของไทยที่ให้ความสําคัญกับการค้นหาผู้ติดเชื้อตั้งแต่ระยะแรก และการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในวงกว้าง ได้เสนอให้ยกระดับความร่วมมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมการระบาดของโรคในภูมิภาค และสร้างความมั่นใจว่ามาตรการจํากัดการเดินทาง จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการขนส่งยา วัคซีน และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จําเป็นในการปกป้องชีวิตผู้ป่วย รวมทั้งเมื่อมียาและวัคซีนแล้ว ขอให้จัดสรรให้ประเทศสมาชิกอย่างเท่าเทียม ซึ่งปัจจัยสําคัญที่ทําให้อาเซียนเอาชนะโรคนี้ได้ คือความพร้อมเพรียงในการตอบโต้ COVID-19 ของประเทศสมาชิก
นอกจากนี้ รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนได้รับรองแถลงการณ์ร่วมเพื่อร่วมมือกันจัดการกับ COVID-19 ในภูมิภาค โดยจะยกระดับการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านกลไกอาเซียน การสื่อสารความเสี่ยงร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างรวดเร็ว การเข้าถึงบริการสุขภาพที่จําเป็นของผู้ที่ติดเชื้อ การประสานความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาอื่นๆ ทั้งในภูมิภาคและระดับโลกในการสร้างศักยภาพในการตอบโต้ COVID-19
ทั้งนี้ ในช่วงบ่าย ได้มีการหารือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศบวกสาม ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดยไทยได้เสนอให้ที่ประชุมร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้โรค COVID-19 แลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และสร้างช่องทางการสื่อสารระหว่างรัฐมนตรีสาธารณสุขของประเทศอาเซียนบวกสาม เพื่อการประสานงานอย่างรวดเร็ว และที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบต่อแถลงการณ์ร่วมในการร่วมมือกันโต้ตอบต่อการแพร่ระบาดของ COVID-19 เน้นการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน (Whole society approach) รวมทั้งภาคเอกชนในการตอบโต้ COVID-19 และการเยียวยาผลกระทบในทุกมิติ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28634
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก มอบถุงยังชีพจำนวน 60 ชุด ให้แก่ชุมชนคนไทยในกรุงซันติอาโกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 [กระทรวงการต่างประเทศ]
|
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก มอบถุงยังชีพจํานวน 60 ชุด ให้แก่ชุมชนคนไทยในกรุงซันติอาโกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก มอบถุงยังชีพจํานวน 60 ชุด ให้แก่ชุมชนคนไทยในกรุงซันติอาโกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
"มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมต้าน เดินหน้าก้าวผ่าน ไม่ทอดทิ้งกัน"
นางศริกานต์ พลมณี เอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก นําทีมข้าราชการสถานเอกอัครราชทูตฯ มอบถุงยังชีพแก่พี่น้องชาวไทย ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยเริ่มจากชุมชนคนไทยในกรุงซันติอาโก ซึ่งมีจํานวนมากที่สุดในชิลี และได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการล็อคดาวน์ การรักษาระยะห่างทางสังคม และเคอร์ฟิวของรัฐบาล ทําให้ร้านอาหาร ร้านสปาของไทยต้องปิดลงชั่วคราว เช่นเดียวกับร้านค้าต่าง ๆ ของชาวชิลีเอง ซึ่งกระทบต่อรายได้ของแรงงานไทย
สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้สนองนโยบายของรัฐบาลในการหาทางบรรเทาทุกข์ให้แก่พี่น้องชาวไทยในยามนี้ โดยจัดส่งหน้ากากผ้า และต่อมาได้มอบถุงยังชีพให้แก่คนไทยที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากวิกฤตโควิด-19 (ในแง่รายได้) รวมไปถึงนักท่องเที่ยว และนักเรียนที่ยังกลับบ้านไม่ได้ ตามจํานวนที่ได้แจ้งลงทะเบียนไว้ ซึ่งขณะนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดส่งให้แล้ว 60 ชุด
สําหรับพี่น้องคนไทยที่ยังไม่ได้รับถุงยังชีพ สถานเอกอัครราชทูตฯ จะทยอยจัดส่งให้ทางไปรษณีย์ด่วนต่อไป ดังนั้น หากท่านที่ยังไม่เคยลงทะเบียนกับสถานเอกอัครราชทูตฯ ขอให้ท่านติดต่อฝ่ายกงสุลได้ทาง inbox เฟซบุ๊ก หรือทางอีเมล์ at.khonwai@mfa.mail.go.th พร้อม แจ้งชื่อภาษาไทยและอังกฤษ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ไว้ เพื่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ดําเนินการจัดส่งถุงยังชีพให้ต่อไป
ด้วยความรักและปรารถนาดีจากทีมสถานเอกอัครราชทูตฯ
#คนแปลกหน้าที่ดูแลคุณ #คนไทยไม่ทิ้งกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก มอบถุงยังชีพจำนวน 60 ชุด ให้แก่ชุมชนคนไทยในกรุงซันติอาโกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 [กระทรวงการต่างประเทศ]
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก มอบถุงยังชีพจํานวน 60 ชุด ให้แก่ชุมชนคนไทยในกรุงซันติอาโกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก มอบถุงยังชีพจํานวน 60 ชุด ให้แก่ชุมชนคนไทยในกรุงซันติอาโกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
"มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมต้าน เดินหน้าก้าวผ่าน ไม่ทอดทิ้งกัน"
นางศริกานต์ พลมณี เอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก นําทีมข้าราชการสถานเอกอัครราชทูตฯ มอบถุงยังชีพแก่พี่น้องชาวไทย ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยเริ่มจากชุมชนคนไทยในกรุงซันติอาโก ซึ่งมีจํานวนมากที่สุดในชิลี และได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการล็อคดาวน์ การรักษาระยะห่างทางสังคม และเคอร์ฟิวของรัฐบาล ทําให้ร้านอาหาร ร้านสปาของไทยต้องปิดลงชั่วคราว เช่นเดียวกับร้านค้าต่าง ๆ ของชาวชิลีเอง ซึ่งกระทบต่อรายได้ของแรงงานไทย
สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้สนองนโยบายของรัฐบาลในการหาทางบรรเทาทุกข์ให้แก่พี่น้องชาวไทยในยามนี้ โดยจัดส่งหน้ากากผ้า และต่อมาได้มอบถุงยังชีพให้แก่คนไทยที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากวิกฤตโควิด-19 (ในแง่รายได้) รวมไปถึงนักท่องเที่ยว และนักเรียนที่ยังกลับบ้านไม่ได้ ตามจํานวนที่ได้แจ้งลงทะเบียนไว้ ซึ่งขณะนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดส่งให้แล้ว 60 ชุด
สําหรับพี่น้องคนไทยที่ยังไม่ได้รับถุงยังชีพ สถานเอกอัครราชทูตฯ จะทยอยจัดส่งให้ทางไปรษณีย์ด่วนต่อไป ดังนั้น หากท่านที่ยังไม่เคยลงทะเบียนกับสถานเอกอัครราชทูตฯ ขอให้ท่านติดต่อฝ่ายกงสุลได้ทาง inbox เฟซบุ๊ก หรือทางอีเมล์ at.khonwai@mfa.mail.go.th พร้อม แจ้งชื่อภาษาไทยและอังกฤษ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ไว้ เพื่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ดําเนินการจัดส่งถุงยังชีพให้ต่อไป
ด้วยความรักและปรารถนาดีจากทีมสถานเอกอัครราชทูตฯ
#คนแปลกหน้าที่ดูแลคุณ #คนไทยไม่ทิ้งกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29790
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ลงพื้นที่ชายแดนใต้ ที่ปัตตานี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ภาคใต้
|
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560
นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ลงพื้นที่ชายแดนใต้ ที่ปัตตานี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ภาคใต้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช. ศธ. ฯลฯ
จังหวัดปัตตานี -พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ฯลฯพบปะหารือและรับฟังความคิดเห็นของผู้นําชุมชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในระหว่างการลงพื้นที่ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ เมื่อวันจันทร์ที่27พฤศจิกายน2560ณ ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย อําเภอหนองจิก
ในการพบปะครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับฟังความคิดเห็นของตัวแทนผู้นําชุมชน จํานวน42คนในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสจํานวน5กลุ่ม คือ กลุ่มผู้นําศาสนา ผู้นําท้องถิ่น ผู้นําไทยพุทธ ผู้นํากลุ่มกํานันผู้ใหญ่บ้าน และภาคประชาสังคม
นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําถึงนโยบายของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาสทางการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังคงมีความขัดแย้งและสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ซึ่งทุกคนทุกฝ่ายต้องช่วยกันดูแลพื้นที่ด้วยสันติวิธีมากกว่าที่จะใช้ความรุนแรง โดยจะใช้ศาสนาเป็นเหตุแห่งความขัดแย้งไม่ได้ เพราะเมื่อเกิดเหตุความไม่สงบ นอกจากจะส่งผลกระทบต่อโอกาสและคุณภาพการศึกษาแล้ว ก็จะนําไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น ด้านการลงทุน เศรษฐกิจ ความมั่นคง การท่องเที่ยว การประกอบอาชีพของประชาชน ฯลฯ
ในส่วนของการศึกษาในพื้นที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้จําเป็นต้องมีการปรับให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกให้ได้ ซึ่งในพื้นที่มีการจัดการศึกษาที่หลากหลาย ทั้งการศึกษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการที่รัฐบาลเข้าไปสนับสนุนและดูแลสถาบันศึกษาปอเนาะ ศูนย์การศึกษาอิสลามประจํามัสยิด โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดสรรเงินสมทบรายหัว เงินพัฒนาหลักสูตร และได้ย้ําถึงความสําคัญของหลักสูตรการศึกษาที่จําเป็นต้องมุ่งเน้นให้ครอบคลุมทั้งสองด้านคือ ด้านศาสนาและอาชีพ คือจบแล้วสามารถเลือกเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นจนถึงปริญญาหรือออกไปประกอบอาชีพได้การจัดทําหลักสูตรหรือส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อในสถาบันศึกษาต่างประเทศจะต้องเป็นหลักสูตรที่ไม่ส่งผลต่อการเทียบวุฒิการศึกษาในบ้านเรา เพราะส่งผลให้เกิดข้อจํากัดในการเลือกประกอบอาชีพและที่สําคัญคือโครงการที่ดี ๆในการผลิตและพัฒนาครูสู่ท้องถิ่นเช่น คุรุทายาท หรือเพชรในตม จะทําให้ผู้เรียนจบแล้วกลับมาพัฒนาท้องถิ่นได้ อันจะช่วยแก้ไขปัญหาการโยกย้ายและขาดแคลนบุคลากรในพื้นที่ได้
นอกจากนี้ ขอให้จัดลําดับความจําเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารหรือมัสยิดต่าง ๆ รวมทั้งการสนับสนุนให้มีเครือข่ายประชาสังคมและเครือข่ายการมีส่วนร่วมของลูกหลานเยาวชนซึ่งนอกจากเรื่องการศึกษาที่ได้รับฟังแล้ว ยังมีเรื่องของความมั่นคง สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจการค้าการลงทุน ฯลฯ โดยในระหว่างการรับฟัง นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รัฐมนตรีและจังหวัดรับเรื่องต่าง ๆ ไปพิจารณาดําเนินการต่อไป
ภายหลังการพบปะหารือ นายกรัฐมนตรี และ รมช.ศึกษาธิการ ได้ให้เกียรติถ่ายภาพหมู่ร่วมกับข้าราชการของกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) และข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ
อนึ่ง ในการลงพื้นที่จังหวัดปัตตานีครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เป็นประธานเปิดป้ายตลาดกลางปศุสัตว์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่บริเวณริมถนนสายปัตตานี-หาดใหญ่ ต.บ่อทอง อ.หนองจิก พร้อมทั้งเยี่ยมชมพื้นที่อุตสาหกรรมแปรรูปโรงงานน้ํามันปาล์ม, ติดตามการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงาน ทั้งเรื่องการพัฒนาขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”, ประชุมติดตามงานด้านความมั่นคงและการพัฒนา รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน กลุ่มผู้นําท้องถิ่น ภาคเอกชน ในพื้นที่จังหวัด 3 จังหวัดชายแดนใต้
จงจิตร ฟองละแอ,บัลลังก์ โรหิตเสถียร:สรุป
ธเนศ งามสถิร:ถ่ายภาพ
กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.:รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ลงพื้นที่ชายแดนใต้ ที่ปัตตานี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ภาคใต้
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560
นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ลงพื้นที่ชายแดนใต้ ที่ปัตตานี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ภาคใต้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช. ศธ. ฯลฯ
จังหวัดปัตตานี -พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ฯลฯพบปะหารือและรับฟังความคิดเห็นของผู้นําชุมชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในระหว่างการลงพื้นที่ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ เมื่อวันจันทร์ที่27พฤศจิกายน2560ณ ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย อําเภอหนองจิก
ในการพบปะครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับฟังความคิดเห็นของตัวแทนผู้นําชุมชน จํานวน42คนในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสจํานวน5กลุ่ม คือ กลุ่มผู้นําศาสนา ผู้นําท้องถิ่น ผู้นําไทยพุทธ ผู้นํากลุ่มกํานันผู้ใหญ่บ้าน และภาคประชาสังคม
นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําถึงนโยบายของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาสทางการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังคงมีความขัดแย้งและสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ซึ่งทุกคนทุกฝ่ายต้องช่วยกันดูแลพื้นที่ด้วยสันติวิธีมากกว่าที่จะใช้ความรุนแรง โดยจะใช้ศาสนาเป็นเหตุแห่งความขัดแย้งไม่ได้ เพราะเมื่อเกิดเหตุความไม่สงบ นอกจากจะส่งผลกระทบต่อโอกาสและคุณภาพการศึกษาแล้ว ก็จะนําไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น ด้านการลงทุน เศรษฐกิจ ความมั่นคง การท่องเที่ยว การประกอบอาชีพของประชาชน ฯลฯ
ในส่วนของการศึกษาในพื้นที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้จําเป็นต้องมีการปรับให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกให้ได้ ซึ่งในพื้นที่มีการจัดการศึกษาที่หลากหลาย ทั้งการศึกษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการที่รัฐบาลเข้าไปสนับสนุนและดูแลสถาบันศึกษาปอเนาะ ศูนย์การศึกษาอิสลามประจํามัสยิด โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดสรรเงินสมทบรายหัว เงินพัฒนาหลักสูตร และได้ย้ําถึงความสําคัญของหลักสูตรการศึกษาที่จําเป็นต้องมุ่งเน้นให้ครอบคลุมทั้งสองด้านคือ ด้านศาสนาและอาชีพ คือจบแล้วสามารถเลือกเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นจนถึงปริญญาหรือออกไปประกอบอาชีพได้การจัดทําหลักสูตรหรือส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อในสถาบันศึกษาต่างประเทศจะต้องเป็นหลักสูตรที่ไม่ส่งผลต่อการเทียบวุฒิการศึกษาในบ้านเรา เพราะส่งผลให้เกิดข้อจํากัดในการเลือกประกอบอาชีพและที่สําคัญคือโครงการที่ดี ๆในการผลิตและพัฒนาครูสู่ท้องถิ่นเช่น คุรุทายาท หรือเพชรในตม จะทําให้ผู้เรียนจบแล้วกลับมาพัฒนาท้องถิ่นได้ อันจะช่วยแก้ไขปัญหาการโยกย้ายและขาดแคลนบุคลากรในพื้นที่ได้
นอกจากนี้ ขอให้จัดลําดับความจําเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารหรือมัสยิดต่าง ๆ รวมทั้งการสนับสนุนให้มีเครือข่ายประชาสังคมและเครือข่ายการมีส่วนร่วมของลูกหลานเยาวชนซึ่งนอกจากเรื่องการศึกษาที่ได้รับฟังแล้ว ยังมีเรื่องของความมั่นคง สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจการค้าการลงทุน ฯลฯ โดยในระหว่างการรับฟัง นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รัฐมนตรีและจังหวัดรับเรื่องต่าง ๆ ไปพิจารณาดําเนินการต่อไป
ภายหลังการพบปะหารือ นายกรัฐมนตรี และ รมช.ศึกษาธิการ ได้ให้เกียรติถ่ายภาพหมู่ร่วมกับข้าราชการของกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) และข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ
อนึ่ง ในการลงพื้นที่จังหวัดปัตตานีครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เป็นประธานเปิดป้ายตลาดกลางปศุสัตว์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่บริเวณริมถนนสายปัตตานี-หาดใหญ่ ต.บ่อทอง อ.หนองจิก พร้อมทั้งเยี่ยมชมพื้นที่อุตสาหกรรมแปรรูปโรงงานน้ํามันปาล์ม, ติดตามการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงาน ทั้งเรื่องการพัฒนาขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”, ประชุมติดตามงานด้านความมั่นคงและการพัฒนา รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน กลุ่มผู้นําท้องถิ่น ภาคเอกชน ในพื้นที่จังหวัด 3 จังหวัดชายแดนใต้
จงจิตร ฟองละแอ,บัลลังก์ โรหิตเสถียร:สรุป
ธเนศ งามสถิร:ถ่ายภาพ
กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.:รายงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8402
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.ประวิตร’ จี้ช่วยเหลือชาวบ้านเอาที่ดินคืน เล็งเอาผิด “ฉ้อโกงประชาชน” เจ้าหนี้นอกระบบหลอกทำสัญญานิติกรรมอำพราง
|
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561
พล.อ.ประวิตร’ จี้ช่วยเหลือชาวบ้านเอาที่ดินคืน เล็งเอาผิด “ฉ้อโกงประชาชน” เจ้าหนี้นอกระบบหลอกทําสัญญานิติกรรมอําพราง
เมื่อ 20 ก.ค. 61 : 1000 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้เดินทางไป จว.ขอนแก่น เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบตามนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่ภาคอีสานตอนบน
เมื่อ 20 ก.ค. 61 : 1000 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้เดินทางไป จว.ขอนแก่น เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบตามนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่ภาคอีสานตอนบน โดยภาพรวมพบว่า 12 จว.ในพื้นที่ กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 4 ( บชภ.4 ) มีประชาชนร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากการเป็นหนี้นอกระบบจํานวนมาก โดยถูกเจ้าหนี้/ผู้ปล่อยกู้ จัดทําสัญญาเอารัดเอาเปรียบ ไม่เป็นธรรม ในลักษณะนิติกรรมอําพรางหลายรูปแบบ เช่น สัญญากู้เงินที่ลงนามร่วมกันโดยไม่ลงจํานวนเงิน, การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา, การบังคับจํานองหรือขายฝาก, การลงนามในเอกสารเท็จ โดยมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน เช่น โฉนดที่ดิน เป็นต้น ซึ่งเมื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายแล้ว ลูกหนี้มักเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และถูกข่มขู่ คุกคามใช้ความรุนแรงตามมา มีผลต่อสุขภาพจิตและบั่นทอนคุณภาพชีวิตครอบครัวอย่างมาก ฝ่ายความมั่นคง โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจ ได้ใช้ความพยายามขยายผล สืบสวนลูกหนี้ โดยสามารถเอาผิดกับผู้ปล่อยกู้ ในข้อหา “ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนด และร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม” ซึ่งมีผลบังคับทั้งกฎหมายฟอกเงิน สู่การยึดทรัพย์และมาตรการทางภาษีตามมา โดยที่ผ่านมา การปฏิบัติการในพื้นที่ จว.ขอนแก่นและอุดรธานี สามารถช่วยเหลือและมอบโฉนดที่ดิน คืนให้กับผู้เสียหายได้แล้วกว่า 150 ราย มูลค่าเกือบ 140 ล้านบาท พล.อ.ประวิตร ได้ร่วมมอบโฉนดที่ดินคืนแก่ชาวบ้านและเกษตรกร กว่า 150 ราย หลังจากนั้น ได้กล่าวชื่นชมการปฏิบัติงานของ บชภ.4 ที่ริเริ่มจัดตั้ง “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” และร่วมกันใช้ความพยายาม ขยายผลสืบสวนข้อเท็จจริง จนสามารถเอาผิดกับผู้ปล่อยกู้นอกระบบและคืนที่ดินทํากินจํานวนมาก กลับสู่เจ้าของในที่สุด พร้อมกับย้ําว่า การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญและถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมในสังคม ช่วยเหลือและให้โอกาสกัน เพื่อให้ทุคนกลับมายืนและร่วมเดินหน้าเข้มแข็งไปด้วยกัน โดยขอให้ ฝ่ายปกครอง ทหารและตํารวจ ร่วมทํางานเป็นหนึ่งเดียว ให้ความเป็นธรรมในการไกล่เกลี่ย ประนอมหนี้ รวมทั้งให้คําแนะนําและช่วยเหลือทางกฎหมาย เพื่อความชัดเจนของมูลหนี้และการชําระ สําหรับกรณีที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดกฎหมาย ให้ส่งเจ้าหน้าที่ตํารวจ สืบสวนขยายผล เอาผิดทางกฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมทั้งได้สั่งการให้ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ พิจารณานําแนวทาง “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” ไปปรับใช้กับทุกสถานีตํารวจในพื้นที่ โดยให้เร่งรัดขับเคลื่อนคลี่คลายแก้ปัญหาหนี้นอกระบบในภาพรวมไปพร้อมๆกัน และที่สําคัญ ต้องช่วยเหลือนําคืนที่ดินทํากินของเกษตรกร หรือชาวบ้าน ที่ตกไปอยู่กับนายทุนปล่อยกู้เถื่อนที่เอารัดเอาเปรียบให้ได้เมื่อ 20 ก.ค. 61 : 1000 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้เดินทางไป จว.ขอนแก่น เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบตามนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่ภาคอีสานตอนบน
โดยภาพรวมพบว่า 12 จว.ในพื้นที่ กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 4 ( บชภ.4 ) มีประชาชนร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากการเป็นหนี้นอกระบบจํานวนมาก โดยถูกเจ้าหนี้/ผู้ปล่อยกู้ จัดทําสัญญาเอารัดเอาเปรียบ ไม่เป็นธรรม ในลักษณะนิติกรรมอําพรางหลายรูปแบบ เช่น สัญญากู้เงินที่ลงนามร่วมกันโดยไม่ลงจํานวนเงิน, การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา, การบังคับจํานองหรือขายฝาก, การลงนามในเอกสารเท็จ โดยมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน เช่น โฉนดที่ดิน เป็นต้น ซึ่งเมื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายแล้ว ลูกหนี้มักเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และถูกข่มขู่ คุกคามใช้ความรุนแรงตามมา มีผลต่อสุขภาพจิตและบั่นทอนคุณภาพชีวิตครอบครัวอย่างมาก
ฝ่ายความมั่นคง โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจ ได้ใช้ความพยายามขยายผล สืบสวนลูกหนี้ โดยสามารถเอาผิดกับผู้ปล่อยกู้ ในข้อหา “ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนด และร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม” ซึ่งมีผลบังคับทั้งกฎหมายฟอกเงิน สู่การยึดทรัพย์และมาตรการทางภาษีตามมา โดยที่ผ่านมา การปฏิบัติการในพื้นที่ จว.ขอนแก่นและอุดรธานี สามารถช่วยเหลือและมอบโฉนดที่ดิน คืนให้กับผู้เสียหายได้แล้วกว่า 150 ราย มูลค่าเกือบ 140 ล้านบาท
พล.อ.ประวิตร ได้ร่วมมอบโฉนดที่ดินคืนแก่ชาวบ้านและเกษตรกร กว่า 150 ราย หลังจากนั้น ได้กล่าวชื่นชมการปฏิบัติงานของ บชภ.4 ที่ริเริ่มจัดตั้ง “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” และร่วมกันใช้ความพยายาม ขยายผลสืบสวนข้อเท็จจริง จนสามารถเอาผิดกับผู้ปล่อยกู้นอกระบบและคืนที่ดินทํากินจํานวนมาก กลับสู่เจ้าของในที่สุด พร้อมกับย้ําว่า การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญและถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมในสังคม ช่วยเหลือและให้โอกาสกัน เพื่อให้ทุคนกลับมายืนและร่วมเดินหน้าเข้มแข็งไปด้วยกัน
โดยขอให้ ฝ่ายปกครอง ทหารและตํารวจ ร่วมทํางานเป็นหนึ่งเดียว ให้ความเป็นธรรมในการไกล่เกลี่ย ประนอมหนี้ รวมทั้งให้คําแนะนําและช่วยเหลือทางกฎหมาย เพื่อความชัดเจนของมูลหนี้และการชําระ สําหรับกรณีที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดกฎหมาย ให้ส่งเจ้าหน้าที่ตํารวจ สืบสวนขยายผล เอาผิดทางกฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมทั้งได้สั่งการให้ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ พิจารณานําแนวทาง “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” ไปปรับใช้กับทุกสถานีตํารวจในพื้นที่ โดยให้เร่งรัดขับเคลื่อนคลี่คลายแก้ปัญหาหนี้นอกระบบในภาพรวมไปพร้อมๆกัน และที่สําคัญ ต้องช่วยเหลือนําคืนที่ดินทํากินของเกษตรกร หรือชาวบ้าน ที่ตกไปอยู่กับนายทุนปล่อยกู้เถื่อนที่เอารัดเอาเปรียบให้ได้
เมื่อ 20 ก.ค. 61 : 1000 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้เดินทางไป จว.ขอนแก่น เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบตามนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่ภาคอีสานตอนบน
โดยภาพรวมพบว่า 12 จว.ในพื้นที่ กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 4 ( บชภ.4 ) มีประชาชนร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากการเป็นหนี้นอกระบบจํานวนมาก โดยถูกเจ้าหนี้/ผู้ปล่อยกู้ จัดทําสัญญาเอารัดเอาเปรียบ ไม่เป็นธรรม ในลักษณะนิติกรรมอําพรางหลายรูปแบบ เช่น สัญญากู้เงินที่ลงนามร่วมกันโดยไม่ลงจํานวนเงิน, การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา, การบังคับจํานองหรือขายฝาก, การลงนามในเอกสารเท็จ โดยมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน เช่น โฉนดที่ดิน เป็นต้น ซึ่งเมื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายแล้ว ลูกหนี้มักเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และถูกข่มขู่ คุกคามใช้ความรุนแรงตามมา มีผลต่อสุขภาพจิตและบั่นทอนคุณภาพชีวิตครอบครัวอย่างมาก
ฝ่ายความมั่นคง โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจ ได้ใช้ความพยายามขยายผล สืบสวนลูกหนี้ โดยสามารถเอาผิดกับผู้ปล่อยกู้ ในข้อหา “ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนด และร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม” ซึ่งมีผลบังคับทั้งกฎหมายฟอกเงิน สู่การยึดทรัพย์และมาตรการทางภาษีตามมา โดยที่ผ่านมา การปฏิบัติการในพื้นที่ จว.ขอนแก่นและอุดรธานี สามารถช่วยเหลือและมอบโฉนดที่ดิน คืนให้กับผู้เสียหายได้แล้วกว่า 150 ราย มูลค่าเกือบ 140 ล้านบาท
พล.อ.ประวิตร ได้ร่วมมอบโฉนดที่ดินคืนแก่ชาวบ้านและเกษตรกร กว่า 150 ราย หลังจากนั้น ได้กล่าวชื่นชมการปฏิบัติงานของ บชภ.4 ที่ริเริ่มจัดตั้ง “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” และร่วมกันใช้ความพยายาม ขยายผลสืบสวนข้อเท็จจริง จนสามารถเอาผิดกับผู้ปล่อยกู้นอกระบบและคืนที่ดินทํากินจํานวนมาก กลับสู่เจ้าของในที่สุด พร้อมกับย้ําว่า การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญและถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมในสังคม ช่วยเหลือและให้โอกาสกัน เพื่อให้ทุคนกลับมายืนและร่วมเดินหน้าเข้มแข็งไปด้วยกัน
โดยขอให้ ฝ่ายปกครอง ทหารและตํารวจ ร่วมทํางานเป็นหนึ่งเดียว ให้ความเป็นธรรมในการไกล่เกลี่ย ประนอมหนี้ รวมทั้งให้คําแนะนําและช่วยเหลือทางกฎหมาย เพื่อความชัดเจนของมูลหนี้และการชําระ สําหรับกรณีที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดกฎหมาย ให้ส่งเจ้าหน้าที่ตํารวจ สืบสวนขยายผล เอาผิดทางกฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมทั้งได้สั่งการให้ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ พิจารณานําแนวทาง “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” ไปปรับใช้กับทุกสถานีตํารวจในพื้นที่ โดยให้เร่งรัดขับเคลื่อนคลี่คลายแก้ปัญหาหนี้นอกระบบในภาพรวมไปพร้อมๆกัน และที่สําคัญ ต้องช่วยเหลือนําคืนที่ดินทํากินของเกษตรกร หรือชาวบ้าน ที่ตกไปอยู่กับนายทุนปล่อยกู้เถื่อนที่เอารัดเอาเปรียบให้ได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.ประวิตร’ จี้ช่วยเหลือชาวบ้านเอาที่ดินคืน เล็งเอาผิด “ฉ้อโกงประชาชน” เจ้าหนี้นอกระบบหลอกทำสัญญานิติกรรมอำพราง
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561
พล.อ.ประวิตร’ จี้ช่วยเหลือชาวบ้านเอาที่ดินคืน เล็งเอาผิด “ฉ้อโกงประชาชน” เจ้าหนี้นอกระบบหลอกทําสัญญานิติกรรมอําพราง
เมื่อ 20 ก.ค. 61 : 1000 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้เดินทางไป จว.ขอนแก่น เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบตามนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่ภาคอีสานตอนบน
เมื่อ 20 ก.ค. 61 : 1000 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้เดินทางไป จว.ขอนแก่น เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบตามนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่ภาคอีสานตอนบน โดยภาพรวมพบว่า 12 จว.ในพื้นที่ กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 4 ( บชภ.4 ) มีประชาชนร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากการเป็นหนี้นอกระบบจํานวนมาก โดยถูกเจ้าหนี้/ผู้ปล่อยกู้ จัดทําสัญญาเอารัดเอาเปรียบ ไม่เป็นธรรม ในลักษณะนิติกรรมอําพรางหลายรูปแบบ เช่น สัญญากู้เงินที่ลงนามร่วมกันโดยไม่ลงจํานวนเงิน, การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา, การบังคับจํานองหรือขายฝาก, การลงนามในเอกสารเท็จ โดยมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน เช่น โฉนดที่ดิน เป็นต้น ซึ่งเมื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายแล้ว ลูกหนี้มักเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และถูกข่มขู่ คุกคามใช้ความรุนแรงตามมา มีผลต่อสุขภาพจิตและบั่นทอนคุณภาพชีวิตครอบครัวอย่างมาก ฝ่ายความมั่นคง โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจ ได้ใช้ความพยายามขยายผล สืบสวนลูกหนี้ โดยสามารถเอาผิดกับผู้ปล่อยกู้ ในข้อหา “ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนด และร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม” ซึ่งมีผลบังคับทั้งกฎหมายฟอกเงิน สู่การยึดทรัพย์และมาตรการทางภาษีตามมา โดยที่ผ่านมา การปฏิบัติการในพื้นที่ จว.ขอนแก่นและอุดรธานี สามารถช่วยเหลือและมอบโฉนดที่ดิน คืนให้กับผู้เสียหายได้แล้วกว่า 150 ราย มูลค่าเกือบ 140 ล้านบาท พล.อ.ประวิตร ได้ร่วมมอบโฉนดที่ดินคืนแก่ชาวบ้านและเกษตรกร กว่า 150 ราย หลังจากนั้น ได้กล่าวชื่นชมการปฏิบัติงานของ บชภ.4 ที่ริเริ่มจัดตั้ง “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” และร่วมกันใช้ความพยายาม ขยายผลสืบสวนข้อเท็จจริง จนสามารถเอาผิดกับผู้ปล่อยกู้นอกระบบและคืนที่ดินทํากินจํานวนมาก กลับสู่เจ้าของในที่สุด พร้อมกับย้ําว่า การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญและถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมในสังคม ช่วยเหลือและให้โอกาสกัน เพื่อให้ทุคนกลับมายืนและร่วมเดินหน้าเข้มแข็งไปด้วยกัน โดยขอให้ ฝ่ายปกครอง ทหารและตํารวจ ร่วมทํางานเป็นหนึ่งเดียว ให้ความเป็นธรรมในการไกล่เกลี่ย ประนอมหนี้ รวมทั้งให้คําแนะนําและช่วยเหลือทางกฎหมาย เพื่อความชัดเจนของมูลหนี้และการชําระ สําหรับกรณีที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดกฎหมาย ให้ส่งเจ้าหน้าที่ตํารวจ สืบสวนขยายผล เอาผิดทางกฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมทั้งได้สั่งการให้ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ พิจารณานําแนวทาง “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” ไปปรับใช้กับทุกสถานีตํารวจในพื้นที่ โดยให้เร่งรัดขับเคลื่อนคลี่คลายแก้ปัญหาหนี้นอกระบบในภาพรวมไปพร้อมๆกัน และที่สําคัญ ต้องช่วยเหลือนําคืนที่ดินทํากินของเกษตรกร หรือชาวบ้าน ที่ตกไปอยู่กับนายทุนปล่อยกู้เถื่อนที่เอารัดเอาเปรียบให้ได้เมื่อ 20 ก.ค. 61 : 1000 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้เดินทางไป จว.ขอนแก่น เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบตามนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่ภาคอีสานตอนบน
โดยภาพรวมพบว่า 12 จว.ในพื้นที่ กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 4 ( บชภ.4 ) มีประชาชนร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากการเป็นหนี้นอกระบบจํานวนมาก โดยถูกเจ้าหนี้/ผู้ปล่อยกู้ จัดทําสัญญาเอารัดเอาเปรียบ ไม่เป็นธรรม ในลักษณะนิติกรรมอําพรางหลายรูปแบบ เช่น สัญญากู้เงินที่ลงนามร่วมกันโดยไม่ลงจํานวนเงิน, การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา, การบังคับจํานองหรือขายฝาก, การลงนามในเอกสารเท็จ โดยมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน เช่น โฉนดที่ดิน เป็นต้น ซึ่งเมื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายแล้ว ลูกหนี้มักเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และถูกข่มขู่ คุกคามใช้ความรุนแรงตามมา มีผลต่อสุขภาพจิตและบั่นทอนคุณภาพชีวิตครอบครัวอย่างมาก
ฝ่ายความมั่นคง โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจ ได้ใช้ความพยายามขยายผล สืบสวนลูกหนี้ โดยสามารถเอาผิดกับผู้ปล่อยกู้ ในข้อหา “ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนด และร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม” ซึ่งมีผลบังคับทั้งกฎหมายฟอกเงิน สู่การยึดทรัพย์และมาตรการทางภาษีตามมา โดยที่ผ่านมา การปฏิบัติการในพื้นที่ จว.ขอนแก่นและอุดรธานี สามารถช่วยเหลือและมอบโฉนดที่ดิน คืนให้กับผู้เสียหายได้แล้วกว่า 150 ราย มูลค่าเกือบ 140 ล้านบาท
พล.อ.ประวิตร ได้ร่วมมอบโฉนดที่ดินคืนแก่ชาวบ้านและเกษตรกร กว่า 150 ราย หลังจากนั้น ได้กล่าวชื่นชมการปฏิบัติงานของ บชภ.4 ที่ริเริ่มจัดตั้ง “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” และร่วมกันใช้ความพยายาม ขยายผลสืบสวนข้อเท็จจริง จนสามารถเอาผิดกับผู้ปล่อยกู้นอกระบบและคืนที่ดินทํากินจํานวนมาก กลับสู่เจ้าของในที่สุด พร้อมกับย้ําว่า การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญและถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมในสังคม ช่วยเหลือและให้โอกาสกัน เพื่อให้ทุคนกลับมายืนและร่วมเดินหน้าเข้มแข็งไปด้วยกัน
โดยขอให้ ฝ่ายปกครอง ทหารและตํารวจ ร่วมทํางานเป็นหนึ่งเดียว ให้ความเป็นธรรมในการไกล่เกลี่ย ประนอมหนี้ รวมทั้งให้คําแนะนําและช่วยเหลือทางกฎหมาย เพื่อความชัดเจนของมูลหนี้และการชําระ สําหรับกรณีที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดกฎหมาย ให้ส่งเจ้าหน้าที่ตํารวจ สืบสวนขยายผล เอาผิดทางกฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมทั้งได้สั่งการให้ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ พิจารณานําแนวทาง “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” ไปปรับใช้กับทุกสถานีตํารวจในพื้นที่ โดยให้เร่งรัดขับเคลื่อนคลี่คลายแก้ปัญหาหนี้นอกระบบในภาพรวมไปพร้อมๆกัน และที่สําคัญ ต้องช่วยเหลือนําคืนที่ดินทํากินของเกษตรกร หรือชาวบ้าน ที่ตกไปอยู่กับนายทุนปล่อยกู้เถื่อนที่เอารัดเอาเปรียบให้ได้
เมื่อ 20 ก.ค. 61 : 1000 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้เดินทางไป จว.ขอนแก่น เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบตามนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่ภาคอีสานตอนบน
โดยภาพรวมพบว่า 12 จว.ในพื้นที่ กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 4 ( บชภ.4 ) มีประชาชนร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากการเป็นหนี้นอกระบบจํานวนมาก โดยถูกเจ้าหนี้/ผู้ปล่อยกู้ จัดทําสัญญาเอารัดเอาเปรียบ ไม่เป็นธรรม ในลักษณะนิติกรรมอําพรางหลายรูปแบบ เช่น สัญญากู้เงินที่ลงนามร่วมกันโดยไม่ลงจํานวนเงิน, การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา, การบังคับจํานองหรือขายฝาก, การลงนามในเอกสารเท็จ โดยมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน เช่น โฉนดที่ดิน เป็นต้น ซึ่งเมื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายแล้ว ลูกหนี้มักเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และถูกข่มขู่ คุกคามใช้ความรุนแรงตามมา มีผลต่อสุขภาพจิตและบั่นทอนคุณภาพชีวิตครอบครัวอย่างมาก
ฝ่ายความมั่นคง โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจ ได้ใช้ความพยายามขยายผล สืบสวนลูกหนี้ โดยสามารถเอาผิดกับผู้ปล่อยกู้ ในข้อหา “ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนด และร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม” ซึ่งมีผลบังคับทั้งกฎหมายฟอกเงิน สู่การยึดทรัพย์และมาตรการทางภาษีตามมา โดยที่ผ่านมา การปฏิบัติการในพื้นที่ จว.ขอนแก่นและอุดรธานี สามารถช่วยเหลือและมอบโฉนดที่ดิน คืนให้กับผู้เสียหายได้แล้วกว่า 150 ราย มูลค่าเกือบ 140 ล้านบาท
พล.อ.ประวิตร ได้ร่วมมอบโฉนดที่ดินคืนแก่ชาวบ้านและเกษตรกร กว่า 150 ราย หลังจากนั้น ได้กล่าวชื่นชมการปฏิบัติงานของ บชภ.4 ที่ริเริ่มจัดตั้ง “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” และร่วมกันใช้ความพยายาม ขยายผลสืบสวนข้อเท็จจริง จนสามารถเอาผิดกับผู้ปล่อยกู้นอกระบบและคืนที่ดินทํากินจํานวนมาก กลับสู่เจ้าของในที่สุด พร้อมกับย้ําว่า การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญและถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมในสังคม ช่วยเหลือและให้โอกาสกัน เพื่อให้ทุคนกลับมายืนและร่วมเดินหน้าเข้มแข็งไปด้วยกัน
โดยขอให้ ฝ่ายปกครอง ทหารและตํารวจ ร่วมทํางานเป็นหนึ่งเดียว ให้ความเป็นธรรมในการไกล่เกลี่ย ประนอมหนี้ รวมทั้งให้คําแนะนําและช่วยเหลือทางกฎหมาย เพื่อความชัดเจนของมูลหนี้และการชําระ สําหรับกรณีที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดกฎหมาย ให้ส่งเจ้าหน้าที่ตํารวจ สืบสวนขยายผล เอาผิดทางกฎหมายอย่างจริงจัง พร้อมทั้งได้สั่งการให้ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ พิจารณานําแนวทาง “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” ไปปรับใช้กับทุกสถานีตํารวจในพื้นที่ โดยให้เร่งรัดขับเคลื่อนคลี่คลายแก้ปัญหาหนี้นอกระบบในภาพรวมไปพร้อมๆกัน และที่สําคัญ ต้องช่วยเหลือนําคืนที่ดินทํากินของเกษตรกร หรือชาวบ้าน ที่ตกไปอยู่กับนายทุนปล่อยกู้เถื่อนที่เอารัดเอาเปรียบให้ได้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13981
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ชี้แจงกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่
|
วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2561
กสร. ชี้แจงกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ชี้แจงร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มาจากการพิจารณายกร่างโดยคณะกรรมการไตรภาคี และเปิดรับฟังความคิดเห็นวิเคราะห์อย่างรอบคอบโดยคํานึงถึงทุกฝ่าย เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สร้างความเข้าใจแก่นายจ้าง ลูกจ้าง
นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวถึงประเด็นที่มีข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีความเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2561 โดยชี้แจงว่า การยกร่างกฎหมายดังกล่าวทําโดยคณะกรรมการไตรภาคี ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายภาครัฐ และได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแล้ว เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 ณ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นจากหน่วยงานภาคเอกชน ภาครัฐ และประชาชนทั่วไป จํานวน 297 คน รวมทั้งได้เปิดรับฟังผ่านทางเว็บไชต์กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (www.labour.go.th) ในช่วงระหว่างวันที่ 24 เมษายน ถึง 26 พฤษภาคม 2560 มีผู้สนใจเข้าชมเพื่อศึกษาร่างกฎหมาย จํานวน 235 คน โดยความเห็นที่ผ่านทั้งสองช่องทางส่วนใหญ่เห็นด้วยในหลักการเนื่องจากเป็นการขยายการคุ้มครองลูกจ้างมากขึ้น แม้ว่าจะมีบางส่วนที่เห็นว่าอาจเพิ่มภาระให้นายจ้าง ซึ่งก็ได้นําผลการรับฟังมาวิเคราะห์ผลกระทบและจัดทําคําชี้แจงเหตุผลและเปิดเผยให้ประชาชนทราบทางเว็บไซต์กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมาโดยตลอด นอกจากนี้ ในการพิจารณาร่างของสภานิติบัญญัติก็ได้นําผลการรับฟังความคิดเห็นมาประกอบการพิจารณาด้วย
ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวจะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมสิทธิของผู้ทํางานที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานโดยคํานึงถึงผู้ที่ทํางานกับนายจ้างมาเป็นเวลายาวนาน 20 ปีขึ้นไปให้ได้ค่าชดเชย ที่เหมาะสมและเป็นหลักประกันในกรณีที่ต้องออกจากงานในขณะที่เป็นผู้สูงวัย รวมทั้งเพิ่มสิทธิให้ลูกจ้างลากิจได้ปีละ 3 วันโดยได้รับค่าจ้าง และคุ้มครองดูแลสิทธิของแรงงานสตรีให้ได้รับค่าจ้างเท่าเทียมกับแรงงานชายหากทํางานที่มีค่าเท่าเทียมกัน ตลอดจนดูแลแรงงานสตรีที่มีครรภ์ โดยเพิ่มจํานวนวันลาคลอดเพื่อให้ครอบคลุมช่วงการตรวจครรภ์ด้วย
นายวิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับบทบัญญัติบางประการ อาทิ การเพิ่มสิทธิค่าชดเชย 400 วันให้ลูกจ้างที่อายุงาน 20 ปีขึ้นไปและถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด อาจจะเป็นการเพิ่มภาระให้นายจ้างบ้างแต่เป็นหลักการที่ให้ความสําคัญกับการดูแลลูกจ้างที่ทํางานมายาวนาน มีอายุมาก หากถูกเลิกจ้างหรือเกษียณอายุตามข้อบังคับของนายจ้างให้สามารถดํารงชีพได้ภายหลังจากออกจากงานไปแล้วและอาจหางานใหม่ได้ยาก อย่างไรก็ตามหลังจากที่พระราชบัญญัติดังกล่าวได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและก่อนที่กฎหมายฉบับแก้ไขนี้จะมีผลลบังคับใช้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะได้เร่งสร้างความเข้าใจแก่นายจ้างและลูกจ้างทั่วประเทศทั้งในส่วนของหลักการและเหตุผลของกฎหมาย และแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายที่ได้มีการปรับปรุงเพื่อให้นายจ้าง ลูกจ้างสามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้องภายใต้ความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ชี้แจงกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่
วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2561
กสร. ชี้แจงกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ชี้แจงร่างพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มาจากการพิจารณายกร่างโดยคณะกรรมการไตรภาคี และเปิดรับฟังความคิดเห็นวิเคราะห์อย่างรอบคอบโดยคํานึงถึงทุกฝ่าย เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สร้างความเข้าใจแก่นายจ้าง ลูกจ้าง
นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวถึงประเด็นที่มีข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีความเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2561 โดยชี้แจงว่า การยกร่างกฎหมายดังกล่าวทําโดยคณะกรรมการไตรภาคี ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายภาครัฐ และได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแล้ว เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 ณ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นจากหน่วยงานภาคเอกชน ภาครัฐ และประชาชนทั่วไป จํานวน 297 คน รวมทั้งได้เปิดรับฟังผ่านทางเว็บไชต์กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (www.labour.go.th) ในช่วงระหว่างวันที่ 24 เมษายน ถึง 26 พฤษภาคม 2560 มีผู้สนใจเข้าชมเพื่อศึกษาร่างกฎหมาย จํานวน 235 คน โดยความเห็นที่ผ่านทั้งสองช่องทางส่วนใหญ่เห็นด้วยในหลักการเนื่องจากเป็นการขยายการคุ้มครองลูกจ้างมากขึ้น แม้ว่าจะมีบางส่วนที่เห็นว่าอาจเพิ่มภาระให้นายจ้าง ซึ่งก็ได้นําผลการรับฟังมาวิเคราะห์ผลกระทบและจัดทําคําชี้แจงเหตุผลและเปิดเผยให้ประชาชนทราบทางเว็บไซต์กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมาโดยตลอด นอกจากนี้ ในการพิจารณาร่างของสภานิติบัญญัติก็ได้นําผลการรับฟังความคิดเห็นมาประกอบการพิจารณาด้วย
ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวจะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมสิทธิของผู้ทํางานที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานโดยคํานึงถึงผู้ที่ทํางานกับนายจ้างมาเป็นเวลายาวนาน 20 ปีขึ้นไปให้ได้ค่าชดเชย ที่เหมาะสมและเป็นหลักประกันในกรณีที่ต้องออกจากงานในขณะที่เป็นผู้สูงวัย รวมทั้งเพิ่มสิทธิให้ลูกจ้างลากิจได้ปีละ 3 วันโดยได้รับค่าจ้าง และคุ้มครองดูแลสิทธิของแรงงานสตรีให้ได้รับค่าจ้างเท่าเทียมกับแรงงานชายหากทํางานที่มีค่าเท่าเทียมกัน ตลอดจนดูแลแรงงานสตรีที่มีครรภ์ โดยเพิ่มจํานวนวันลาคลอดเพื่อให้ครอบคลุมช่วงการตรวจครรภ์ด้วย
นายวิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับบทบัญญัติบางประการ อาทิ การเพิ่มสิทธิค่าชดเชย 400 วันให้ลูกจ้างที่อายุงาน 20 ปีขึ้นไปและถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด อาจจะเป็นการเพิ่มภาระให้นายจ้างบ้างแต่เป็นหลักการที่ให้ความสําคัญกับการดูแลลูกจ้างที่ทํางานมายาวนาน มีอายุมาก หากถูกเลิกจ้างหรือเกษียณอายุตามข้อบังคับของนายจ้างให้สามารถดํารงชีพได้ภายหลังจากออกจากงานไปแล้วและอาจหางานใหม่ได้ยาก อย่างไรก็ตามหลังจากที่พระราชบัญญัติดังกล่าวได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและก่อนที่กฎหมายฉบับแก้ไขนี้จะมีผลลบังคับใช้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะได้เร่งสร้างความเข้าใจแก่นายจ้างและลูกจ้างทั่วประเทศทั้งในส่วนของหลักการและเหตุผลของกฎหมาย และแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายที่ได้มีการปรับปรุงเพื่อให้นายจ้าง ลูกจ้างสามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้องภายใต้ความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17527
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ประกอบการ
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
ผู้ประกอบการ
มาตรการเพื่อรองรับผลกระทบที่สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้านการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจสําหรับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
ทั่วไป
1.ด้านภาษี
-หักเพิ่มภาษีดอกเบี้ยจ่ายจาก 1 เท่า เป็น 1.5 เท่า (Soft Loan 150,000 ล้านบาท (กค. ระยะที่ 1)
-คืนสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการในประเทศ (กค. ระยะที่ 1)
-เร่งคืน VAT ให้แก่ผู้ประกอบการส่งออก (กค. ระยะที่ 1)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-เลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นําส่ง และชําระภาษีทุกประเภท (กค. ระยะที่ 2)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีของสถาบันบริการ/ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมน้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน (กค. ระยะที่ 2)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-ยกเว้นอากรขาเข้าสินค้าเกี่ยวกับการป้องกันและรักษา COVID-19 (กค. ระยะที่ 2)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
2.การเงิน/สินเชื่อ/หนี้
- สินเชื่อฉุกเฉิน
- ธนาคารออมสิน คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
- ธ.ก.ส.คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-สินเชื่อพิเศษเพิ่มเติมวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท (ธนาคารออมสิน)
-สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (สธค.)
-สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (ธพว.)
-พักคืนเงินลดดอกเบี้ยและขยายระยะเวลาชําระหนี้ (SFls)
-ปรับลดอัตราเงินนําส่งจากสถาบันการเงินเป็นการชั่วคราว
3.บรรเทาภาระค่าธรรมเนียม ค่าเช่า ค่าตอบแทนการใช้บริการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ (กค. ระยะที่ 1)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
4.เพิ่มประสิทธิภาพใช้จ่ายเงินงบประมาณ ปี 2563 (กค. ระยะที่ 1) กรมบัญชีกลางผ่อนปรนหลักเกณฑ์และขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
5.ไม่ปลดแรงงาน (กค. ระยะที่ 1) หักรายจ่ายค่าจ้างงานได้ 3 เท่า
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
6.พ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. ...... (กค. ระยะที่ 3)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
7.พ.ร.ฎ. กําหนดจํานวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ. ........ (กค. ระยะที่ 3)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
SMEs
1.ลดภาระดอกเบี้ยจ่าย หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่า สําหรับรายจ่ายดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31 ธ.ค. 2563
2.บรรเทาการจ่าย ค่าน้ํา ค่าไฟ ค่าประกันการใช้ไฟ (กค. ระยะที่ 1)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
3.บรรเทาภาระค่าธรรมเนียม ค่าเช่า ค่าตอบแทนการให้บริการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ (กค. ระยะที่ 1)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
4.สินเชื่อรายย่อยไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย (กค. ระยะที่ 1) เลื่อนจ่ายค่าเช่าที่ราชพัสดุสําหรับผู้ประกอบการ SMEs และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
5. สินเชื่อรายย่อยไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย (กค. ระยะที่ 2)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
6.ยืดการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (กค. ระยะที่ 2)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
7.ยืดการเสียภาษีสรรพากร เช่น VAT ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอื่นๆ (กค. ระยะที่ 2)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
8.พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. ........ (ธปท. ระยะที่ 3)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
ท่องเที่ยว
1.ภาษี
-ปรับปรุงกิจการโรงแรม
-จัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ
-ลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ํามันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นถึง 30 ก.ย. 2563 (กค. ระยะที่ 1)คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-ยืดการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (กค. ระยะที่ 2)คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-ยืดการเสียภาษีสรรพากร เช่น VAT ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอื่นๆ (กค. ระยะที่ 2)คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-ยืดการเสียภาษีสรรพาสามิตให้กิจการสถานบริการ (กค. ระยะที่ 2)คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
2.เลื่อนการจ่ายค่าเช่นที่ราชพัสดุไปจนถึง ก.ย. 2563
3.สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย เช่น ชัวร์ สปา บ.นําเที่ยว โรงแรม อัตราดอกเบี้ย 3% สําหรับ 2 ปีแรก (กค. ระยะที่ 2)คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
Non Bank
1.ยกเว้นภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ (กค. ระยะที่ 2)คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
2.สินเชื่อ Soft Loan วงเงิน 80,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี ระยะเวลา 2 ปี (ธ.ออมสิน ระยะที่ 3)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ประกอบการ
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
ผู้ประกอบการ
มาตรการเพื่อรองรับผลกระทบที่สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้านการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจสําหรับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
ทั่วไป
1.ด้านภาษี
-หักเพิ่มภาษีดอกเบี้ยจ่ายจาก 1 เท่า เป็น 1.5 เท่า (Soft Loan 150,000 ล้านบาท (กค. ระยะที่ 1)
-คืนสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการในประเทศ (กค. ระยะที่ 1)
-เร่งคืน VAT ให้แก่ผู้ประกอบการส่งออก (กค. ระยะที่ 1)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-เลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นําส่ง และชําระภาษีทุกประเภท (กค. ระยะที่ 2)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีของสถาบันบริการ/ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมน้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน (กค. ระยะที่ 2)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-ยกเว้นอากรขาเข้าสินค้าเกี่ยวกับการป้องกันและรักษา COVID-19 (กค. ระยะที่ 2)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
2.การเงิน/สินเชื่อ/หนี้
- สินเชื่อฉุกเฉิน
- ธนาคารออมสิน คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
- ธ.ก.ส.คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-สินเชื่อพิเศษเพิ่มเติมวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท (ธนาคารออมสิน)
-สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (สธค.)
-สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (ธพว.)
-พักคืนเงินลดดอกเบี้ยและขยายระยะเวลาชําระหนี้ (SFls)
-ปรับลดอัตราเงินนําส่งจากสถาบันการเงินเป็นการชั่วคราว
3.บรรเทาภาระค่าธรรมเนียม ค่าเช่า ค่าตอบแทนการใช้บริการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ (กค. ระยะที่ 1)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
4.เพิ่มประสิทธิภาพใช้จ่ายเงินงบประมาณ ปี 2563 (กค. ระยะที่ 1) กรมบัญชีกลางผ่อนปรนหลักเกณฑ์และขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
5.ไม่ปลดแรงงาน (กค. ระยะที่ 1) หักรายจ่ายค่าจ้างงานได้ 3 เท่า
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
6.พ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. ...... (กค. ระยะที่ 3)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
7.พ.ร.ฎ. กําหนดจํานวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ. ........ (กค. ระยะที่ 3)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
SMEs
1.ลดภาระดอกเบี้ยจ่าย หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่า สําหรับรายจ่ายดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31 ธ.ค. 2563
2.บรรเทาการจ่าย ค่าน้ํา ค่าไฟ ค่าประกันการใช้ไฟ (กค. ระยะที่ 1)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
3.บรรเทาภาระค่าธรรมเนียม ค่าเช่า ค่าตอบแทนการให้บริการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ (กค. ระยะที่ 1)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
4.สินเชื่อรายย่อยไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย (กค. ระยะที่ 1) เลื่อนจ่ายค่าเช่าที่ราชพัสดุสําหรับผู้ประกอบการ SMEs และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
5. สินเชื่อรายย่อยไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย (กค. ระยะที่ 2)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
6.ยืดการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (กค. ระยะที่ 2)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
7.ยืดการเสียภาษีสรรพากร เช่น VAT ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอื่นๆ (กค. ระยะที่ 2)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
8.พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. ........ (ธปท. ระยะที่ 3)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
ท่องเที่ยว
1.ภาษี
-ปรับปรุงกิจการโรงแรม
-จัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ
-ลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ํามันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นถึง 30 ก.ย. 2563 (กค. ระยะที่ 1)คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-ยืดการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (กค. ระยะที่ 2)คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-ยืดการเสียภาษีสรรพากร เช่น VAT ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอื่นๆ (กค. ระยะที่ 2)คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
-ยืดการเสียภาษีสรรพาสามิตให้กิจการสถานบริการ (กค. ระยะที่ 2)คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
2.เลื่อนการจ่ายค่าเช่นที่ราชพัสดุไปจนถึง ก.ย. 2563
3.สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย เช่น ชัวร์ สปา บ.นําเที่ยว โรงแรม อัตราดอกเบี้ย 3% สําหรับ 2 ปีแรก (กค. ระยะที่ 2)คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
Non Bank
1.ยกเว้นภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ (กค. ระยะที่ 2)คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
2.สินเชื่อ Soft Loan วงเงิน 80,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี ระยะเวลา 2 ปี (ธ.ออมสิน ระยะที่ 3)
คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30010
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน มอบรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่น ร่วมพัฒนาแรงงานสู่ไทยแลนด์ 4.0
|
วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2560
ก.แรงงาน มอบรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่น ร่วมพัฒนาแรงงานสู่ไทยแลนด์ 4.0
กระทรวงแรงงานมอบรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานประจําปี พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อเชิดชูเกียรติสถานประกอบกิจการที่ส่งเสริมพัฒนาฝีมือแรงงาน และร่วมสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจและสังคม
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานมอบรางวัลโครงการสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ประจําปี พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อประกาศเกียรติคุณแก่สถานประกอบกิจการที่ประสบความสําเร็จด้านการส่งเสริมพัฒนาฝีมือแรงงาน ณ ห้องบอลรูม ๒ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร วันนี้ ( ๑ ก.ย. ๖๐) โดยกล่าวว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกฎหมายที่ส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการมีส่วนร่วมในการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อให้ลูกจ้างของตนและบุคคลที่จะรับเข้าทํางานมีทักษะฝีมือสูงขึ้น สอดคล้องกับตลาดแรงงาน และนโยบายของกระทรวงแรงงานด้านการเพิ่มผลิตภาพแรงงานสู่ไทยแลนด์ 4.0 ของพลเอกศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยพ.ร.บ.ดังกล่าวมีมาตรการจูงใจในการยกเว้นภาษีสําหรับค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม และสิทธิประโยชน์ด้านต่างๆ จึงมีสถานประกอบกิจการจากทั่วประเทศจํานวนมาก ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณแก่สถานประกอบกิจการที่ประสบความสําเร็จในด้านการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน กพร. จึงได้ดําเนินการจัดทํา “โครงการสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานประจํา พ.ศ.๒๕๕๙” ขึ้น ในการคัดเลือกสถานประกอบกิจการที่มีคุณสมบัติที่พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ กําหนด
นายธีรพล ขุนเมือง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับคุณสมบัติประกอบด้วย ๕ ด้าน ดังนี้ ด้านที่ ๑ สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ ๑๐๐ คนขึ้นไป ที่ดําเนินการฝึกอบรมให้กับพนักงานของตนเองครบถ้วนตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ เป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๕๙) โดยพิจารณาจากหลักสูตรการฝึกเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพของพนักงาน สร้างขวัญและกําลังใจให้กับพนักงาน ด้านที่ ๒ สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างต่ํากว่า ๑๐๐ คน และมีการพัฒนาฝีมือให้กับพนักงานของตนเองตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๘ – ๒๕๕๙) ซึ่งสถานประกอบกิจการที่มีพนักงานไม่ถึง ๑๐๐ คนนั้น ไม่อยู่ในข่ายบังคับตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ แต่ยังให้ความสําคัญกับการพัฒนาพนักงาน ด้านที่ ๓ สถานประกอบกิจการที่รับนักเรียน นิสิต นักศึกษา จากสถานศึกษา หรือบุคคลที่ทางราชการส่งมาฝึก เข้ารับการฝึกเตรียมเข้าทํางานตามหลักสูตรที่ขอรับรอง โดยจ่ายเบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการ ด้านที่ ๔ สถานประกอบกิจการที่จัดทํามาตรฐานฝีมือแรงงานของตนเอง ไม่น้อยกว่า ๑ สาขาในรอบปีที่ผ่านมา และต้องนํามาตรฐานฯ ไปจัดทําหลักสูตรการฝึกอบรม พร้อมนําหลักสูตรไปใช้ในการฝึกอบรมแก่พนักงานของตนเองด้วย ด้านสุดท้าย สถานประกอบกิจการที่มีการดําเนินการที่แสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนในการรองรับนโยบาย Thailand 4.0 หรือมีผลงานโดดเด่นที่ได้รับรางวัลจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในระดับประเทศหรือนานาชาติ
“มีสถานประกอบกิจการได้รับการคัดเลือกดีเด่น จํานวน ๕๙ แห่ง แบ่งเป็นเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๑๔ แห่ง และในภูมิภาค ๔๕ แห่ง จะได้รับโล่และใบเกียรติบัตรแสดงถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนากําลังแรงงานของประเทศ ให้มีทั้งทักษะและทัศนคติที่ดีต่อการทํางาน ซึ่งจะส่งผลในภาพรวมของประเทศในด้านเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและเพิ่มความมั่นคงด้านเศรษฐกิจด้วย ปัจจุบันสถานประกอบกิจการได้พัฒนาแรงงานแล้วกว่า ๓,๖๘๑,๐๓๗ คน ค่าใช้จ่ายที่สามารถนําไปลดหย่อนภาษีได้ ๑,๘๔๑,๔๑๙,๘๔๐.๖๖ บาท และในปีต่อๆ ไปหวังเป็นอย่างยิ่งจะมีสถานประกอบกิจการดีเด่นเพิ่มขึ้นทุกปี” นายธีรพลฯ กล่าวในท้ายที่สุด
+++++++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ /
๑ กันยายน ๒๕๖๐
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน มอบรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่น ร่วมพัฒนาแรงงานสู่ไทยแลนด์ 4.0
วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2560
ก.แรงงาน มอบรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่น ร่วมพัฒนาแรงงานสู่ไทยแลนด์ 4.0
กระทรวงแรงงานมอบรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานประจําปี พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อเชิดชูเกียรติสถานประกอบกิจการที่ส่งเสริมพัฒนาฝีมือแรงงาน และร่วมสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจและสังคม
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานมอบรางวัลโครงการสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ประจําปี พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อประกาศเกียรติคุณแก่สถานประกอบกิจการที่ประสบความสําเร็จด้านการส่งเสริมพัฒนาฝีมือแรงงาน ณ ห้องบอลรูม ๒ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร วันนี้ ( ๑ ก.ย. ๖๐) โดยกล่าวว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกฎหมายที่ส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการมีส่วนร่วมในการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อให้ลูกจ้างของตนและบุคคลที่จะรับเข้าทํางานมีทักษะฝีมือสูงขึ้น สอดคล้องกับตลาดแรงงาน และนโยบายของกระทรวงแรงงานด้านการเพิ่มผลิตภาพแรงงานสู่ไทยแลนด์ 4.0 ของพลเอกศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยพ.ร.บ.ดังกล่าวมีมาตรการจูงใจในการยกเว้นภาษีสําหรับค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม และสิทธิประโยชน์ด้านต่างๆ จึงมีสถานประกอบกิจการจากทั่วประเทศจํานวนมาก ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณแก่สถานประกอบกิจการที่ประสบความสําเร็จในด้านการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน กพร. จึงได้ดําเนินการจัดทํา “โครงการสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานประจํา พ.ศ.๒๕๕๙” ขึ้น ในการคัดเลือกสถานประกอบกิจการที่มีคุณสมบัติที่พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ กําหนด
นายธีรพล ขุนเมือง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับคุณสมบัติประกอบด้วย ๕ ด้าน ดังนี้ ด้านที่ ๑ สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ ๑๐๐ คนขึ้นไป ที่ดําเนินการฝึกอบรมให้กับพนักงานของตนเองครบถ้วนตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ เป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๕๙) โดยพิจารณาจากหลักสูตรการฝึกเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพของพนักงาน สร้างขวัญและกําลังใจให้กับพนักงาน ด้านที่ ๒ สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างต่ํากว่า ๑๐๐ คน และมีการพัฒนาฝีมือให้กับพนักงานของตนเองตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๘ – ๒๕๕๙) ซึ่งสถานประกอบกิจการที่มีพนักงานไม่ถึง ๑๐๐ คนนั้น ไม่อยู่ในข่ายบังคับตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ แต่ยังให้ความสําคัญกับการพัฒนาพนักงาน ด้านที่ ๓ สถานประกอบกิจการที่รับนักเรียน นิสิต นักศึกษา จากสถานศึกษา หรือบุคคลที่ทางราชการส่งมาฝึก เข้ารับการฝึกเตรียมเข้าทํางานตามหลักสูตรที่ขอรับรอง โดยจ่ายเบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการ ด้านที่ ๔ สถานประกอบกิจการที่จัดทํามาตรฐานฝีมือแรงงานของตนเอง ไม่น้อยกว่า ๑ สาขาในรอบปีที่ผ่านมา และต้องนํามาตรฐานฯ ไปจัดทําหลักสูตรการฝึกอบรม พร้อมนําหลักสูตรไปใช้ในการฝึกอบรมแก่พนักงานของตนเองด้วย ด้านสุดท้าย สถานประกอบกิจการที่มีการดําเนินการที่แสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนในการรองรับนโยบาย Thailand 4.0 หรือมีผลงานโดดเด่นที่ได้รับรางวัลจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในระดับประเทศหรือนานาชาติ
“มีสถานประกอบกิจการได้รับการคัดเลือกดีเด่น จํานวน ๕๙ แห่ง แบ่งเป็นเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๑๔ แห่ง และในภูมิภาค ๔๕ แห่ง จะได้รับโล่และใบเกียรติบัตรแสดงถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนากําลังแรงงานของประเทศ ให้มีทั้งทักษะและทัศนคติที่ดีต่อการทํางาน ซึ่งจะส่งผลในภาพรวมของประเทศในด้านเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและเพิ่มความมั่นคงด้านเศรษฐกิจด้วย ปัจจุบันสถานประกอบกิจการได้พัฒนาแรงงานแล้วกว่า ๓,๖๘๑,๐๓๗ คน ค่าใช้จ่ายที่สามารถนําไปลดหย่อนภาษีได้ ๑,๘๔๑,๔๑๙,๘๔๐.๖๖ บาท และในปีต่อๆ ไปหวังเป็นอย่างยิ่งจะมีสถานประกอบกิจการดีเด่นเพิ่มขึ้นทุกปี” นายธีรพลฯ กล่าวในท้ายที่สุด
+++++++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ /
๑ กันยายน ๒๕๖๐
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6364
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการหารือข้อราชการเต็มคณะไทย-มาเลเซีย
|
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
ผลการหารือข้อราชการเต็มคณะไทย-มาเลเซีย
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หารือข้อราชการกับ ดาโต๊ะ ซรี โมฮัมหมัด นาจิบ บิน ตุน อับดุล ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในโอกาสการเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และเพื่อเข้าร่วมการประชุมประจําปีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ครั้งที่ 6
วันนี้ (9 ก.ย. 59) เวลา 16.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รอให้การต้อนรับ ดาโต๊ะ ซรี โมฮัมหมัด นาจิบ บิน ตุน อับดุล ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในโอกาสการเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และเพื่อเข้าร่วมการประชุมประจําปีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ครั้งที่ 6
นายกรัฐมนตรีทั้งสองได้ร่วมหารือข้อราชการ ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พร้อมด้วยคระรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่าย ประกอบด้วย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา ฝ่ายมาเลเซีย อาทิ ดาโต๊ะ ซรี อะนิฟาห์ บิน ฮัจญี อามาน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ดาโต๊ะ มุสตาปา โมฮาเหม็ด รัฐมนตรีกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม ดาโต๊ะ ซรี อาหมัด ชาเบรี ชีค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นต้น
โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้ต้อนรับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และคณะในการเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการเพื่อเข้าร่วมการประชุมประจําปี ครั้งที่ 6 ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียรู้สึกเป็นเกียรติและขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
ความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน มีความใกล้ชิดรอบด้าน มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และประชาชนในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศมีความผูกพันกันฉันญาติมิตร โดยในปี 2560 ทั้งสองประเทศจะเฉลิมฉลองการครบรอบ 60 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอีกด้วย ดังนั้น การประชุมครั้งนี้จึงมีความสําคัญอย่างยิ่ง ในการกระชับความสัมพันธ์และเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกัน โดยยกระดับความเป็นหุ้นส่วนความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ความร่วมมือด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรีเห็นว่าความมั่นคงเป็นรากฐานสําคัญของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งของประเทศ ไทยและมาเลเซียต่างเผชิญกับประเด็นท้าทายความมั่นคงจากการก่อการร้ายระหว่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่าทั้งสองฝ่ายควรกระชับความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและข่าวกรองให้มากขึ้น
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในการดําเนินบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพในจังหวัดชายแดนใต้ โดยย้ําว่ารัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธีและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเห็นว่ากระบวนการพูดคุยยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญของการกําหนดทิศทางของการพูดคุยในระยะต่อไป โดยต้องอาศัยเวลาและความจริงใจกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สําหรับเรื่องบุคคลสองสัญชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่คั่งค้างมานาน ทั้งสองฝ่ายยังจะร่วมมือกันเพื่อพิจารณาจัดทํา MOU ความร่วมมือด้านการตรวจคนเข้าเมืองเพื่อช่วยตรวจตราและสอดส่องดูแลการสัญจรข้ามแดนไปมาของประชาชนทั้งสองประเทศ
ความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรียืนยันความตั้งใจของรัฐบาลไทยที่จะร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการค้ามูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2561 โดยเห็นว่าภาคเอกชนทั้งสองประเทศมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่มีการจัดตั้งสภาธุรกิจมาเลเซีย-ไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ซึ่งจะมีส่วนสําคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนและเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างสองประเทศ
ด้านการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายพร้อมร่วมมือกันส่งเสริมการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวระหว่างกัน และสนับสนุนการเปิดเที่ยวบินต้นทุนต่ําให้บริการเพื่อเชื่อมโยงสถานที่ท่องเที่ยวสําคัญระหว่างกัน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยพร้อมสนับสนุนมาเลเซียในการเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2017 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ด้วย
การส่งเสริมความร่วมมือด้านพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมและการเชื่อมโยงในพื้นที่ชายแดน ทั้งสองฝ่ายมุ่งหวังพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชายแดนเพื่อส่งเสริมความกินดีอยู่ดีของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งไทยและมาเลเซียต่างยินดีที่โครงการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนสําคัญมีความคืบหน้า อาทิ การขยายด่านศุลกากรสะเดา-จังหวัดสงขลา-บูกิตกายูฮิตัม โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ําโกลกสองแห่ง ด่านศุลกากรบ้านประกอบ จังหวัดสงขลา-ดุเรียนบุหรง รัฐเกดะห์ การเชื่อมโยงโครงการเมืองยางพารา (Rubber City)
ความร่วมมือด้านการศึกษา นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณมาเลเซียที่มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยมุสลิมจากจังหวัดชายแดนใต้ พร้อมขอบคุณมาเลเซียที่สนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนใต้ด้วย
ความร่วมมือด้านแรงงาน นายกรัฐมนตรีพร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลมาเลเซียในการจดทะเบียนแรงงานต่างชาติที่ทํางานในมาเลเซียอย่างผิดกฏหมาย และแสดงความยินดีกับการพิจารณาของฝ่ายมาเลเซียในการออกใบอนุญาตทํางานพิเศษแก่แรงงานไทยในร้านอาหารไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ไทยพร้อมจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทํางานร่วมด้านแรงงานระหว่างไทยกับมาเลเซียในโอกาสแรก
ความร่วมมือด้านอาหารฮาลาล ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าการค้าและอุตสาหกรรมฮาลาลเป็นสาขาที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพทางความร่วมมือระหว่างไทยกับมาเลเซีย พร้อมยินดีที่มีการหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาธุรกิจฮาลาลระหว่างมาเลเซียกับไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับความสําเร็จของมาเลเซียในการจัดงาน World Halal Conference 2016 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ก่อนจบการหารือนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียตอบรับเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD Summit) ครั้งที่ 2 ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพ ในเดือนตุลาคมนี้ด้วย
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือข้อราชการ นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือโครงการนิคมอุตสาหกรรมยางพารา (Rubber City) สงขลา และนิคมอุตสาหกรรมยางพารา โกตา ปุตรา ระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และบริษัทเทรดวินส์ แพลนเทชั่น เบอร์หาด จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันแถลงข่าว ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
โดยในช่วงค่ําวันเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ําแด่ดาโต๊ะ ซรี โมฮัมหมัด นาจิบ บิน ตุน อับดุล ราซัค และ ภริยา ในโอกาสเดินทางมาเยือนเพื่อเข้าร่วมการประชุมประจําปีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ครั้งที่ 6 ด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการหารือข้อราชการเต็มคณะไทย-มาเลเซีย
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
ผลการหารือข้อราชการเต็มคณะไทย-มาเลเซีย
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หารือข้อราชการกับ ดาโต๊ะ ซรี โมฮัมหมัด นาจิบ บิน ตุน อับดุล ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในโอกาสการเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และเพื่อเข้าร่วมการประชุมประจําปีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ครั้งที่ 6
วันนี้ (9 ก.ย. 59) เวลา 16.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รอให้การต้อนรับ ดาโต๊ะ ซรี โมฮัมหมัด นาจิบ บิน ตุน อับดุล ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในโอกาสการเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และเพื่อเข้าร่วมการประชุมประจําปีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ครั้งที่ 6
นายกรัฐมนตรีทั้งสองได้ร่วมหารือข้อราชการ ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พร้อมด้วยคระรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่าย ประกอบด้วย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา ฝ่ายมาเลเซีย อาทิ ดาโต๊ะ ซรี อะนิฟาห์ บิน ฮัจญี อามาน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ดาโต๊ะ มุสตาปา โมฮาเหม็ด รัฐมนตรีกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม ดาโต๊ะ ซรี อาหมัด ชาเบรี ชีค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นต้น
โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้ต้อนรับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และคณะในการเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการเพื่อเข้าร่วมการประชุมประจําปี ครั้งที่ 6 ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียรู้สึกเป็นเกียรติและขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
ความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน มีความใกล้ชิดรอบด้าน มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และประชาชนในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศมีความผูกพันกันฉันญาติมิตร โดยในปี 2560 ทั้งสองประเทศจะเฉลิมฉลองการครบรอบ 60 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอีกด้วย ดังนั้น การประชุมครั้งนี้จึงมีความสําคัญอย่างยิ่ง ในการกระชับความสัมพันธ์และเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกัน โดยยกระดับความเป็นหุ้นส่วนความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ความร่วมมือด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรีเห็นว่าความมั่นคงเป็นรากฐานสําคัญของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งของประเทศ ไทยและมาเลเซียต่างเผชิญกับประเด็นท้าทายความมั่นคงจากการก่อการร้ายระหว่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่าทั้งสองฝ่ายควรกระชับความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและข่าวกรองให้มากขึ้น
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในการดําเนินบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพในจังหวัดชายแดนใต้ โดยย้ําว่ารัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธีและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเห็นว่ากระบวนการพูดคุยยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญของการกําหนดทิศทางของการพูดคุยในระยะต่อไป โดยต้องอาศัยเวลาและความจริงใจกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สําหรับเรื่องบุคคลสองสัญชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่คั่งค้างมานาน ทั้งสองฝ่ายยังจะร่วมมือกันเพื่อพิจารณาจัดทํา MOU ความร่วมมือด้านการตรวจคนเข้าเมืองเพื่อช่วยตรวจตราและสอดส่องดูแลการสัญจรข้ามแดนไปมาของประชาชนทั้งสองประเทศ
ความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรียืนยันความตั้งใจของรัฐบาลไทยที่จะร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการค้ามูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2561 โดยเห็นว่าภาคเอกชนทั้งสองประเทศมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่มีการจัดตั้งสภาธุรกิจมาเลเซีย-ไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ซึ่งจะมีส่วนสําคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนและเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างสองประเทศ
ด้านการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายพร้อมร่วมมือกันส่งเสริมการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวระหว่างกัน และสนับสนุนการเปิดเที่ยวบินต้นทุนต่ําให้บริการเพื่อเชื่อมโยงสถานที่ท่องเที่ยวสําคัญระหว่างกัน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยพร้อมสนับสนุนมาเลเซียในการเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2017 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ด้วย
การส่งเสริมความร่วมมือด้านพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมและการเชื่อมโยงในพื้นที่ชายแดน ทั้งสองฝ่ายมุ่งหวังพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชายแดนเพื่อส่งเสริมความกินดีอยู่ดีของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งไทยและมาเลเซียต่างยินดีที่โครงการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนสําคัญมีความคืบหน้า อาทิ การขยายด่านศุลกากรสะเดา-จังหวัดสงขลา-บูกิตกายูฮิตัม โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ําโกลกสองแห่ง ด่านศุลกากรบ้านประกอบ จังหวัดสงขลา-ดุเรียนบุหรง รัฐเกดะห์ การเชื่อมโยงโครงการเมืองยางพารา (Rubber City)
ความร่วมมือด้านการศึกษา นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณมาเลเซียที่มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยมุสลิมจากจังหวัดชายแดนใต้ พร้อมขอบคุณมาเลเซียที่สนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนใต้ด้วย
ความร่วมมือด้านแรงงาน นายกรัฐมนตรีพร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลมาเลเซียในการจดทะเบียนแรงงานต่างชาติที่ทํางานในมาเลเซียอย่างผิดกฏหมาย และแสดงความยินดีกับการพิจารณาของฝ่ายมาเลเซียในการออกใบอนุญาตทํางานพิเศษแก่แรงงานไทยในร้านอาหารไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ไทยพร้อมจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทํางานร่วมด้านแรงงานระหว่างไทยกับมาเลเซียในโอกาสแรก
ความร่วมมือด้านอาหารฮาลาล ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าการค้าและอุตสาหกรรมฮาลาลเป็นสาขาที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพทางความร่วมมือระหว่างไทยกับมาเลเซีย พร้อมยินดีที่มีการหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาธุรกิจฮาลาลระหว่างมาเลเซียกับไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับความสําเร็จของมาเลเซียในการจัดงาน World Halal Conference 2016 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ก่อนจบการหารือนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียตอบรับเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD Summit) ครั้งที่ 2 ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพ ในเดือนตุลาคมนี้ด้วย
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือข้อราชการ นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือโครงการนิคมอุตสาหกรรมยางพารา (Rubber City) สงขลา และนิคมอุตสาหกรรมยางพารา โกตา ปุตรา ระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และบริษัทเทรดวินส์ แพลนเทชั่น เบอร์หาด จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันแถลงข่าว ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
โดยในช่วงค่ําวันเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ําแด่ดาโต๊ะ ซรี โมฮัมหมัด นาจิบ บิน ตุน อับดุล ราซัค และ ภริยา ในโอกาสเดินทางมาเยือนเพื่อเข้าร่วมการประชุมประจําปีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ครั้งที่ 6 ด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/339
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยนำคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562
|
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
ปลัดกระทรวงมหาดไทยนําคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562
ปลัดกระทรวงมหาดไทยนําคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562
เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 62 เวลา 08.30 น. ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นําคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารส่วนราชการระดับกรม และผู้บริหารหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 ในสมุดลงนามหลวง โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมลงนามถวายพระพร เพื่อแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อบําบัดทุกข์ บํารุงสุข พสกนิกรชาวไทย อีกทั้งเนื่องในเทศกาลปีใหม่ ได้ทรงพระราชทานพรปีใหม่เพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่ปวงชนชาวไทยนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
ทั้งนี้ สํานักพระราชวังได้เปิดพระบรมมหาราชวังให้ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพระราชวงศ์ องคมนตรี ลงพระนามและลงนามถวายพระพร ในสมุดลงนามหลวงที่ห้องมุขกระสันตะวันออกชั้นล่าง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในส่วนของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ข้าราชการระดับสูง นักการเมือง ตลอดจนคณะทูตานุทูต ลงนามถวายพระพร ณ อาคารหน่วยข้าราชการในพระองค์ 904 ข้าราชการลงนามถวายพระพร
ที่ศาลาสหทัยสมาคม และจุดลงนามถวายพระพรของประชาชน คือ เต็นท์สีขาวบริเวณสนามหญ้าหน้าศาลาลูกขุน
โดยเปิดให้ประชาชนลงนามตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.
อนึ่ง ในวันเดียวกันนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาต ให้สาธุชนเข้าถวายบังคมสมเด็จพระบูรพามหากษัตริยาธิราช ที่ปราสาทพระเทพบิดร ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยนำคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
ปลัดกระทรวงมหาดไทยนําคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562
ปลัดกระทรวงมหาดไทยนําคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562
เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 62 เวลา 08.30 น. ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นําคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารส่วนราชการระดับกรม และผู้บริหารหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562 ในสมุดลงนามหลวง โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมลงนามถวายพระพร เพื่อแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อบําบัดทุกข์ บํารุงสุข พสกนิกรชาวไทย อีกทั้งเนื่องในเทศกาลปีใหม่ ได้ทรงพระราชทานพรปีใหม่เพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่ปวงชนชาวไทยนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
ทั้งนี้ สํานักพระราชวังได้เปิดพระบรมมหาราชวังให้ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพระราชวงศ์ องคมนตรี ลงพระนามและลงนามถวายพระพร ในสมุดลงนามหลวงที่ห้องมุขกระสันตะวันออกชั้นล่าง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในส่วนของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ข้าราชการระดับสูง นักการเมือง ตลอดจนคณะทูตานุทูต ลงนามถวายพระพร ณ อาคารหน่วยข้าราชการในพระองค์ 904 ข้าราชการลงนามถวายพระพร
ที่ศาลาสหทัยสมาคม และจุดลงนามถวายพระพรของประชาชน คือ เต็นท์สีขาวบริเวณสนามหญ้าหน้าศาลาลูกขุน
โดยเปิดให้ประชาชนลงนามตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.
อนึ่ง ในวันเดียวกันนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาต ให้สาธุชนเข้าถวายบังคมสมเด็จพระบูรพามหากษัตริยาธิราช ที่ปราสาทพระเทพบิดร ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561
การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561
การประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินการและแนวทางการขับเคลื่อนตามแผนการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นของประเทศไทย (พ.ศ. 2559 – 2564) ตลอดช่วงปี 2560 จนถึงปัจจุบัน
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) (คณะกรรมการฯ) ได้เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินการและแนวทางการขับเคลื่อนตามแผนการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นของประเทศไทย (พ.ศ. 2559 – 2564) ตลอดช่วงปี 2560 จนถึงปัจจุบัน โดยมีประเด็นที่สําคัญ ดังนี้
1. โครงการ Startup Club ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา/อาชีวศึกษา (โครงการ Startup Club) โครงการ Startup Club ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามดําริของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) มีความคืบหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบัน มีโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา/อาชีวศึกษาได้เข้าร่วมโครงการ Startup Club แล้วรวม 116 สถาบันใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้ดําเนินโครงการอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการดําเนินโครงการ Startup Club ดังนี้
1.1 โครงการการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาด้านมายเซ็ตการประกอบการ
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาโครงการการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาด้านมายเซ็ตการประกอบการ ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ให้แก่ครู และ/หรือเจ้าหน้าที่ในสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ Startup Club และผู้บริหารและ/หรือเจ้าหน้าที่ของคณะผู้บริหารการคลังประจําจังหวัด รวมทั้งสิ้นประมาณ 280 คน โดยจะแบ่งกลุ่มการเข้าร่วมโครงการออกเป็น 6 กลุ่มตามภูมิภาคต่าง ๆ ดังนี้ 1) กรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียง 2) ภาคกลางตอนบนและภาคตะวันตก 3) ภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 4) ภาคเหนือ 5) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และ 6) ภาคใต้ โดยมีธนาคารออมสินเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการจัดอบรมที่จังหวัดเชียงใหม่ (กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ) ระหว่างวันที่ 22 - 23 มีนาคม 2561 และจังหวัดอุดรธานี (กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน) ระหว่างวันที่ 2 - 3 เมษายน 2561 และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการจัดอบรมที่จังหวัดสงขลา (กลุ่มจังหวัดภาคใต้) ระหว่างวันที่ 7 - 8 พฤษภาคม 2561
1.2 Facebook Page “Startup Club Thailand”
ในช่วงเดือนธันวาคม 2560 - กุมภาพันธ์ 2561 โครงการ Startup Club ร่วมกับโครงการ Startup Mobile ได้ถ่ายทอดสด (Live) การสัมภาษณ์ผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญในวงการ Startup ผ่าน Facebook Page “Startup Club Thailand” (https://www.facebook.com/startupclubth) โดยผู้ที่สนใจสามารถรับชมย้อนหลัง รวมทั้ง ติดตามข่าวสารและกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Startup ได้จาก Facebook Page ดังกล่าว
2. การจัดพิมพ์หนังสือหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการสําหรับนักเรียนมัธยมศึกษา (หนังสือสูตรลับผู้ประกอบการ ฉบับนักเรียน)
การจัดพิมพ์หนังสือหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการสําหรับนักเรียนมัธยมศึกษา (หนังสือสูตรลับผู้ประกอบการ ฉบับนักเรียน) จํานวน 5,000 เล่ม โดยคาดว่าจะจัดพิมพ์แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 เพื่อส่งมอบให้กับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ Startup Club และส่งมอบให้กับกระทรวงศึกษาธิการดําเนินการเผยแพร่ให้แก่โรงเรียนต่าง ๆ ต่อไป นอกจากนี้ จะมีการเผยแพร่ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) เพื่อประชาชนที่สนใจสามารถดาวน์โหลดได้
3. การดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่นักลงทุน (Angel Investor)
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณามติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 ที่อนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร [มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่นักลงทุนที่ลงทุนในวิสาหกิจเริ่มต้น (Angel Investor)] ตามที่กระทรวงการคลังเสนอและ ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาดําเนินการในประเด็นต่าง ๆ โดยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการฯ ที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะทํางานเพื่อสร้างความตระหนักและการรับรู้เพื่อส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (คณะทํางานชุดที่ 1) พิจารณาจัดทําระบบจดทะเบียนให้กับนักลงทุน (Angel Investor) ในเว็บไซต์ http://startupthailand.org เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายใหม่ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น และขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกันเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ไปยังประชาชนและชุมชนให้มากขึ้น
ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการรายงานภาพรวมของโครงการ/มาตรการสนับสนุนกิจการ Startup ที่ดําเนินการอยู่ในปัจจุบันของหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงมีการนําเสนอผู้ประกอบการที่ประสบความสําเร็จจากการได้รับการสนับสนุนผ่านโครงการ/มาตรการสนับสนุนกิจการ Startup ของหน่วยงานภาครัฐดังกล่าว อาทิ (1) บริษัท คิว คิว (ประเทศไทย) จํากัด ซึ่งประกอบธุรกิจที่ดําเนินการด้านการพัฒนาระบบคิวให้กับธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงสถานพยาบาล สถานที่ราชการ และหน่วยงานบริการประชาชน โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการ NIA Venture ของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2) บริษัท เอเชีย วัน คลิก จํากัด ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาระบบจองตั๋ว และซื้อตั๋วเครื่องบิน โดยได้เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะวิสาหกิจเริ่มต้น “SPARK Global Acceleration Program” และโครงการ NIA Venture ของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ (3) บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จํากัด ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการ visual effect ในภาพยนตร์โฆษณา และเกมส์ โดยเป็นโปรดักชั่นเฮาส์ระดับแนวหน้าของประเทศที่มีแผนร่วมกับกิจการระดับโลกของสหรัฐอเมริกา เพื่อผลิตภาพยนตร์คอมพิวเตอร์แอนิเมชั่น เป็นธุรกิจที่ธนาคารออมสินได้เข้าร่วมลงทุนในรูปแบบกองทุนร่วมลงทุนตามมาตรการสนับสนุน Small and Medium Enterprises ผ่านการร่วมลงทุน
สํานักนโยบายการออมและการลงทุน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3638, 3650, 3654
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561
วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561
การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561
การประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินการและแนวทางการขับเคลื่อนตามแผนการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นของประเทศไทย (พ.ศ. 2559 – 2564) ตลอดช่วงปี 2560 จนถึงปัจจุบัน
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) (คณะกรรมการฯ) ได้เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินการและแนวทางการขับเคลื่อนตามแผนการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นของประเทศไทย (พ.ศ. 2559 – 2564) ตลอดช่วงปี 2560 จนถึงปัจจุบัน โดยมีประเด็นที่สําคัญ ดังนี้
1. โครงการ Startup Club ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา/อาชีวศึกษา (โครงการ Startup Club) โครงการ Startup Club ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามดําริของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) มีความคืบหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบัน มีโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา/อาชีวศึกษาได้เข้าร่วมโครงการ Startup Club แล้วรวม 116 สถาบันใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้ดําเนินโครงการอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการดําเนินโครงการ Startup Club ดังนี้
1.1 โครงการการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาด้านมายเซ็ตการประกอบการ
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาโครงการการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาด้านมายเซ็ตการประกอบการ ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ให้แก่ครู และ/หรือเจ้าหน้าที่ในสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ Startup Club และผู้บริหารและ/หรือเจ้าหน้าที่ของคณะผู้บริหารการคลังประจําจังหวัด รวมทั้งสิ้นประมาณ 280 คน โดยจะแบ่งกลุ่มการเข้าร่วมโครงการออกเป็น 6 กลุ่มตามภูมิภาคต่าง ๆ ดังนี้ 1) กรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียง 2) ภาคกลางตอนบนและภาคตะวันตก 3) ภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 4) ภาคเหนือ 5) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และ 6) ภาคใต้ โดยมีธนาคารออมสินเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการจัดอบรมที่จังหวัดเชียงใหม่ (กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ) ระหว่างวันที่ 22 - 23 มีนาคม 2561 และจังหวัดอุดรธานี (กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน) ระหว่างวันที่ 2 - 3 เมษายน 2561 และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนในการจัดอบรมที่จังหวัดสงขลา (กลุ่มจังหวัดภาคใต้) ระหว่างวันที่ 7 - 8 พฤษภาคม 2561
1.2 Facebook Page “Startup Club Thailand”
ในช่วงเดือนธันวาคม 2560 - กุมภาพันธ์ 2561 โครงการ Startup Club ร่วมกับโครงการ Startup Mobile ได้ถ่ายทอดสด (Live) การสัมภาษณ์ผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญในวงการ Startup ผ่าน Facebook Page “Startup Club Thailand” (https://www.facebook.com/startupclubth) โดยผู้ที่สนใจสามารถรับชมย้อนหลัง รวมทั้ง ติดตามข่าวสารและกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Startup ได้จาก Facebook Page ดังกล่าว
2. การจัดพิมพ์หนังสือหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการสําหรับนักเรียนมัธยมศึกษา (หนังสือสูตรลับผู้ประกอบการ ฉบับนักเรียน)
การจัดพิมพ์หนังสือหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการสําหรับนักเรียนมัธยมศึกษา (หนังสือสูตรลับผู้ประกอบการ ฉบับนักเรียน) จํานวน 5,000 เล่ม โดยคาดว่าจะจัดพิมพ์แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 เพื่อส่งมอบให้กับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ Startup Club และส่งมอบให้กับกระทรวงศึกษาธิการดําเนินการเผยแพร่ให้แก่โรงเรียนต่าง ๆ ต่อไป นอกจากนี้ จะมีการเผยแพร่ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) เพื่อประชาชนที่สนใจสามารถดาวน์โหลดได้
3. การดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่นักลงทุน (Angel Investor)
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณามติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 ที่อนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร [มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่นักลงทุนที่ลงทุนในวิสาหกิจเริ่มต้น (Angel Investor)] ตามที่กระทรวงการคลังเสนอและ ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาดําเนินการในประเด็นต่าง ๆ โดยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการฯ ที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะทํางานเพื่อสร้างความตระหนักและการรับรู้เพื่อส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (คณะทํางานชุดที่ 1) พิจารณาจัดทําระบบจดทะเบียนให้กับนักลงทุน (Angel Investor) ในเว็บไซต์ http://startupthailand.org เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายใหม่ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น และขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกันเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ไปยังประชาชนและชุมชนให้มากขึ้น
ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการรายงานภาพรวมของโครงการ/มาตรการสนับสนุนกิจการ Startup ที่ดําเนินการอยู่ในปัจจุบันของหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงมีการนําเสนอผู้ประกอบการที่ประสบความสําเร็จจากการได้รับการสนับสนุนผ่านโครงการ/มาตรการสนับสนุนกิจการ Startup ของหน่วยงานภาครัฐดังกล่าว อาทิ (1) บริษัท คิว คิว (ประเทศไทย) จํากัด ซึ่งประกอบธุรกิจที่ดําเนินการด้านการพัฒนาระบบคิวให้กับธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงสถานพยาบาล สถานที่ราชการ และหน่วยงานบริการประชาชน โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการ NIA Venture ของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2) บริษัท เอเชีย วัน คลิก จํากัด ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาระบบจองตั๋ว และซื้อตั๋วเครื่องบิน โดยได้เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะวิสาหกิจเริ่มต้น “SPARK Global Acceleration Program” และโครงการ NIA Venture ของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ (3) บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จํากัด ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการ visual effect ในภาพยนตร์โฆษณา และเกมส์ โดยเป็นโปรดักชั่นเฮาส์ระดับแนวหน้าของประเทศที่มีแผนร่วมกับกิจการระดับโลกของสหรัฐอเมริกา เพื่อผลิตภาพยนตร์คอมพิวเตอร์แอนิเมชั่น เป็นธุรกิจที่ธนาคารออมสินได้เข้าร่วมลงทุนในรูปแบบกองทุนร่วมลงทุนตามมาตรการสนับสนุน Small and Medium Enterprises ผ่านการร่วมลงทุน
สํานักนโยบายการออมและการลงทุน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3638, 3650, 3654
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10275
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.