title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงเหตุผู้โดยสารขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณที่ 37 เสียชีวิตบนขบวนรถ [กระทรวงคมนาคม]
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
การรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงเหตุผู้โดยสารขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณที่ 37 เสียชีวิตบนขบวนรถ [กระทรวงคมนาคม]
การรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงเหตุผู้โดยสารขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณที่ 37 เสียชีวิตบนขบวนรถ
กรณีที่มีข่าวผู้โดยสารเสียชีวิต บนขบวนรถพิเศษทักษิณที่ 37 (กรุงเทพ – หาดใหญ่) วันที่ 30 มีนาคม 2563 ระหว่างขบวนรถจอดที่สถานีทับสะแก เพื่อให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยท้องถิ่นทําการช่วยเหลือ และปรากฏว่าผู้โดยสารได้เสียชีวิต นั้น
นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตําแหน่งผู้ว่าการรถไฟฯ เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่ามีผู้โดยสาร (ขอสงวนชื่อและนามสกุล) ถือตั๋วโดยสารรถนอนปรับอากาศชั้นที่ ๒ ขบวนด่วนพิเศษทักษิณที่ 37 วันที่ 30 มีนาคม 2563 คันที่ 4 เลขที่ 28 เดินทางจากสถานีชุมทางบางซื่อ – สุไหงโกลก เสียชีวิตบนขบวนรถ นําศพดําเนินการชันสูตรที่โรงพยาบาล อําเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขบวนรถถึงสถานีทับสะแก เวลา 22.30 น. สอบสวนเบื้องต้นได้รายละเอียดดังนี้
1. ตรวจพบหลักฐานใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาล ประเทศปากีสถาน ออกเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 เวลา 18.13 น. เวลาท้องถิ่นว่าสามารถเดินทางโดยเครื่องบิน
2. ผู้โดยสารเข้าซื้อตั๋วโดยสารดังกล่าวในวันที่ 29 มีนาคม 2563 เวลา 10.27 น. ที่สถานีชุมทางบางซื่อ เพื่อที่จะเดินทางในวันที่ 30 มีนาคม 2563
3. วันที่ 30 มีนาคม 2563 ผู้โดยสารขึ้นรถไฟตามตั๋วโดยสารที่สถานีบางซื่อ ขณะเดินทางมีอาการไอ และอาเจียน เมื่อขบวนรถถึงสถานีหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เจ้าหน้าที่สถานีหัวหินนําเจ้าหน้าที่จุดคัดกรองของเทศบาลหัวหินขึ้นตรวจสอบผู้โดยสารบนขบวนรถ ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายได้ 36 องศาเซลเซียส ไม่มีอาการไอหรืออาเจียนแล้ว และแนะนําให้ผู้โดยสารลงพักรักษาตัวที่สถานีหัวหิน แต่ผู้โดยสารยืนยันจะเดินทางต่อ จนกระทั่งเวลา ประมาณ 22.15 น. เจ้าหน้าที่บนขบวนรถพบผู้โดยสารดังกล่าว ล้มนอนอยู่บริเวณหน้าห้องน้ํา จึงแจ้งและหยุดขบวนรถที่สถานีทับสะแก เจ้าหน้าที่สถานีทับสะแกแจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยท้องถิ่นขึ้นทําการช่วยเหลือ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยท้องถิ่นว่าผู้โดยสารเสียชีวิตแล้ว จึงทําการปลดรถโดยสารคันดังกล่าวออกจากขบวนที่สถานีทับสะแก และย้ายผู้โดยสารจํานวน 15 คน โดยสารกับตู้อื่น เพื่อรอพนักงานสอบสวนดําเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย เจ้าหน้าที่ทําการชันสูตรพลิกศพแล้วนําศพ
ส่งชันสูตรหาสาเหตุการตายที่โรงพยาบาลทับสะแก
4. วันที่ 31 มีนาคม 2563 ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทับสะแกว่าผู้โดยสารเสียชีวิตด้วยโรคประจําตัว เบาหวาน แต่ได้นําสารคัดหลั่งของผู้เสียชีวิตส่งตรวจ COVID-19
5. การรถไฟฯ ได้ร่วมกับนายอําเภอ และสาธารณสุขอําเภอทับสะแก ทําการพ่นยาฆ่าเชื้อภายในรถโดยสารคันดังกล่าวเมื่อวันที่ 31มีนาคม 2563
และเมื่อวันนี้ (วันที่ 1 เมษายน 2563) สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลามีหนังสือ แจ้งว่าผู้โดยสารเดินทางกับขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณที่ 37 ในวันที่ 30 มีนาคม 2563 เป็นผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เบื้องต้น การรถไฟฯ ได้ดําเนินการตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้
1. การรถไฟฯ ร่วมกับนายอําเภอ และสาธารณสุขอําเภอทับสะแก ทําความสะอาดและพ่นยาฆ่าเชื้อภายในรถโดยสารคันดังกล่าวครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 แล้ว ขณะนี้กักรถโดยสารคันดังกล่าว
อบยาก่อนทําความสะอาด และพ่นยาฆ่าเชื้อโรคครั้งที่ 2 อีกครั้งก่อนออกให้บริการ
2. ดําเนินการตามมาตรการป้องกันโรคโดยการแจ้งรายชื่อผู้โดยสารร่วมในรถคันดังกล่าว
จํานวน 15 คน ให้สาธารณสุขจังหวัดสงขลาติดตามดําเนินการต่อไป
3. ดําเนินการกักตัวพนักงานที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดผู้เสียชีวิต ได้แก่ พนักงานสถานีรถไฟชุมทางบางซื่อจํานวน 2 นาย พนักงานรักษาความปลอดภัยของเอกชนจํานวน 1 นาย พนักงานขบวนรถจํานวน 7 นาย ตํารวจรถไฟประจําขบวน 1 นาย
4. ทําความสะอาดฆ่าเชื้อที่สถานีชุมทางบางซื่อ และสถานีทับสะแก เรียบร้อยแล้ว
สําหรับมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น การรถไฟฯ ได้มีการคัดกรองการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนใช้บริการที่สถานีรถไฟทุกครั้ง หากพบอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ขอให้ผู้โดยสารหลีกเลี่ยงการเดินทาง หากจําเป็นต้องเดินทางขอให้มีใบรับรองแพทย์แสดง และกรอกแบบประเมินและรับรองตนเองเพื่อคัดกรองและยืนยันตนก่อนการเดินทาง นอกจากนี้ ได้ข้อความร่วมมือในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ เช่น ผู้ใช้บริการที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป กลุ่มคนที่มีโรคประจําตัว และกลุ่มเด็กเล็กที่มีอายุต่ํากว่า 5 ปีลงมา ควรงดการเดินทาง เว้นแต่บุคคลกลุ่มดังกล่าวมีความจําเป็นตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการใน สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงเหตุผู้โดยสารขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณที่ 37 เสียชีวิตบนขบวนรถ [กระทรวงคมนาคม]
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
การรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงเหตุผู้โดยสารขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณที่ 37 เสียชีวิตบนขบวนรถ [กระทรวงคมนาคม]
การรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงเหตุผู้โดยสารขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณที่ 37 เสียชีวิตบนขบวนรถ
กรณีที่มีข่าวผู้โดยสารเสียชีวิต บนขบวนรถพิเศษทักษิณที่ 37 (กรุงเทพ – หาดใหญ่) วันที่ 30 มีนาคม 2563 ระหว่างขบวนรถจอดที่สถานีทับสะแก เพื่อให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยท้องถิ่นทําการช่วยเหลือ และปรากฏว่าผู้โดยสารได้เสียชีวิต นั้น
นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตําแหน่งผู้ว่าการรถไฟฯ เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่ามีผู้โดยสาร (ขอสงวนชื่อและนามสกุล) ถือตั๋วโดยสารรถนอนปรับอากาศชั้นที่ ๒ ขบวนด่วนพิเศษทักษิณที่ 37 วันที่ 30 มีนาคม 2563 คันที่ 4 เลขที่ 28 เดินทางจากสถานีชุมทางบางซื่อ – สุไหงโกลก เสียชีวิตบนขบวนรถ นําศพดําเนินการชันสูตรที่โรงพยาบาล อําเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขบวนรถถึงสถานีทับสะแก เวลา 22.30 น. สอบสวนเบื้องต้นได้รายละเอียดดังนี้
1. ตรวจพบหลักฐานใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาล ประเทศปากีสถาน ออกเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 เวลา 18.13 น. เวลาท้องถิ่นว่าสามารถเดินทางโดยเครื่องบิน
2. ผู้โดยสารเข้าซื้อตั๋วโดยสารดังกล่าวในวันที่ 29 มีนาคม 2563 เวลา 10.27 น. ที่สถานีชุมทางบางซื่อ เพื่อที่จะเดินทางในวันที่ 30 มีนาคม 2563
3. วันที่ 30 มีนาคม 2563 ผู้โดยสารขึ้นรถไฟตามตั๋วโดยสารที่สถานีบางซื่อ ขณะเดินทางมีอาการไอ และอาเจียน เมื่อขบวนรถถึงสถานีหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เจ้าหน้าที่สถานีหัวหินนําเจ้าหน้าที่จุดคัดกรองของเทศบาลหัวหินขึ้นตรวจสอบผู้โดยสารบนขบวนรถ ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายได้ 36 องศาเซลเซียส ไม่มีอาการไอหรืออาเจียนแล้ว และแนะนําให้ผู้โดยสารลงพักรักษาตัวที่สถานีหัวหิน แต่ผู้โดยสารยืนยันจะเดินทางต่อ จนกระทั่งเวลา ประมาณ 22.15 น. เจ้าหน้าที่บนขบวนรถพบผู้โดยสารดังกล่าว ล้มนอนอยู่บริเวณหน้าห้องน้ํา จึงแจ้งและหยุดขบวนรถที่สถานีทับสะแก เจ้าหน้าที่สถานีทับสะแกแจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยท้องถิ่นขึ้นทําการช่วยเหลือ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยท้องถิ่นว่าผู้โดยสารเสียชีวิตแล้ว จึงทําการปลดรถโดยสารคันดังกล่าวออกจากขบวนที่สถานีทับสะแก และย้ายผู้โดยสารจํานวน 15 คน โดยสารกับตู้อื่น เพื่อรอพนักงานสอบสวนดําเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย เจ้าหน้าที่ทําการชันสูตรพลิกศพแล้วนําศพ
ส่งชันสูตรหาสาเหตุการตายที่โรงพยาบาลทับสะแก
4. วันที่ 31 มีนาคม 2563 ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทับสะแกว่าผู้โดยสารเสียชีวิตด้วยโรคประจําตัว เบาหวาน แต่ได้นําสารคัดหลั่งของผู้เสียชีวิตส่งตรวจ COVID-19
5. การรถไฟฯ ได้ร่วมกับนายอําเภอ และสาธารณสุขอําเภอทับสะแก ทําการพ่นยาฆ่าเชื้อภายในรถโดยสารคันดังกล่าวเมื่อวันที่ 31มีนาคม 2563
และเมื่อวันนี้ (วันที่ 1 เมษายน 2563) สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลามีหนังสือ แจ้งว่าผู้โดยสารเดินทางกับขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณที่ 37 ในวันที่ 30 มีนาคม 2563 เป็นผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เบื้องต้น การรถไฟฯ ได้ดําเนินการตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้
1. การรถไฟฯ ร่วมกับนายอําเภอ และสาธารณสุขอําเภอทับสะแก ทําความสะอาดและพ่นยาฆ่าเชื้อภายในรถโดยสารคันดังกล่าวครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 แล้ว ขณะนี้กักรถโดยสารคันดังกล่าว
อบยาก่อนทําความสะอาด และพ่นยาฆ่าเชื้อโรคครั้งที่ 2 อีกครั้งก่อนออกให้บริการ
2. ดําเนินการตามมาตรการป้องกันโรคโดยการแจ้งรายชื่อผู้โดยสารร่วมในรถคันดังกล่าว
จํานวน 15 คน ให้สาธารณสุขจังหวัดสงขลาติดตามดําเนินการต่อไป
3. ดําเนินการกักตัวพนักงานที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดผู้เสียชีวิต ได้แก่ พนักงานสถานีรถไฟชุมทางบางซื่อจํานวน 2 นาย พนักงานรักษาความปลอดภัยของเอกชนจํานวน 1 นาย พนักงานขบวนรถจํานวน 7 นาย ตํารวจรถไฟประจําขบวน 1 นาย
4. ทําความสะอาดฆ่าเชื้อที่สถานีชุมทางบางซื่อ และสถานีทับสะแก เรียบร้อยแล้ว
สําหรับมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น การรถไฟฯ ได้มีการคัดกรองการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนใช้บริการที่สถานีรถไฟทุกครั้ง หากพบอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ขอให้ผู้โดยสารหลีกเลี่ยงการเดินทาง หากจําเป็นต้องเดินทางขอให้มีใบรับรองแพทย์แสดง และกรอกแบบประเมินและรับรองตนเองเพื่อคัดกรองและยืนยันตนก่อนการเดินทาง นอกจากนี้ ได้ข้อความร่วมมือในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ เช่น ผู้ใช้บริการที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป กลุ่มคนที่มีโรคประจําตัว และกลุ่มเด็กเล็กที่มีอายุต่ํากว่า 5 ปีลงมา ควรงดการเดินทาง เว้นแต่บุคคลกลุ่มดังกล่าวมีความจําเป็นตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการใน สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28357
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมยินดีโครงการ “อสม.ออนไลน์” รับรางวัลระดับโลกจาก ITU & UN
|
วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมยินดีโครงการ “อสม.ออนไลน์” รับรางวัลระดับโลกจาก ITU & UN
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมแสดงความยินดีกับโครงการ “อสม.ออนไลน์” ซึ่งได้รับรางวัลระดับโลก WSIS Project Prizes จากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) และองค์การสหประชาชาติ (UN) โดยบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุข ทั่วประเทศ พัฒนาแอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” ขึ้นเพื่อช่วยงานสาธารณสุขไทยตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 รวมทั้งเพื่อเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นให้นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการสาธารณสุข ซึ่งจะส่งเสริมคุณภาพชีวิตและพัฒนาสังคมโลกที่สอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงดิจิทัลฯ ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนในการดําเนินงานโครงการต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผู้ให้บริการระบบสื่อสารโทรคมนาคม ที่ได้ให้ความสําคัญและสร้างสรรค์นวัตกรรมในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ของประเทศ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดียิ่งขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายในการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้ก้าวเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2560 ณ ห้องโลตัส 3 – 4 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
**************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมยินดีโครงการ “อสม.ออนไลน์” รับรางวัลระดับโลกจาก ITU & UN
วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมยินดีโครงการ “อสม.ออนไลน์” รับรางวัลระดับโลกจาก ITU & UN
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมแสดงความยินดีกับโครงการ “อสม.ออนไลน์” ซึ่งได้รับรางวัลระดับโลก WSIS Project Prizes จากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) และองค์การสหประชาชาติ (UN) โดยบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุข ทั่วประเทศ พัฒนาแอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” ขึ้นเพื่อช่วยงานสาธารณสุขไทยตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 รวมทั้งเพื่อเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นให้นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการสาธารณสุข ซึ่งจะส่งเสริมคุณภาพชีวิตและพัฒนาสังคมโลกที่สอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงดิจิทัลฯ ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนในการดําเนินงานโครงการต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผู้ให้บริการระบบสื่อสารโทรคมนาคม ที่ได้ให้ความสําคัญและสร้างสรรค์นวัตกรรมในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ของประเทศ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดียิ่งขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายในการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้ก้าวเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2560 ณ ห้องโลตัส 3 – 4 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
**************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4681
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บ้านมั่นคงเฮ ! ‘จุติ ไกรฤกษ์’ รมว.พม.แจง พอช.ยืดพักชำระหนี้เพิ่มอีก 3 เดือน ช่วยชาวบ้านสู้พิษเศรษฐกิจ [รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
|
วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2563
บ้านมั่นคงเฮ ! ‘จุติ ไกรฤกษ์’ รมว.พม.แจง พอช.ยืดพักชําระหนี้เพิ่มอีก 3 เดือน ช่วยชาวบ้านสู้พิษเศรษฐกิจ [รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
บ้านมั่นคงเฮ ! ‘จุติ ไกรฤกษ์’ รมว.พม.แจง พอช.ยืดพักชําระหนี้เพิ่มอีก 3 เดือน ช่วยชาวบ้านสู้พิษเศรษฐกิจ
กระทรวง พม./ จุติ ไกรฤกษ์ รมว.พม. แจง พอช.ยืดพักชําระหนี้สมาชิกโครงการบ้านมั่งคงออกไปอีก3 เดือนจากช่วงแรกเมษายน-มิถุนายน ไปจนถึงเดือนกันยายน 2563 รวม 6 เดือน เพื่อช่วยเหลือชาวชุมชนโครงการบ้านมั่นคงที่ใช้สินเชื่อสร้างบ้านจาก พอช.ทั่วประเทศ 395 องค์กร รวม 119,956 ครัวเรือน
นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทําให้เกิดผลกระทบด้านเศรษฐกิจและรายได้ต่อประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย รัฐบาลจึงมีนโยบายให้หน่วยงานต่างๆ ออกมาตรการช่วยเหลือและลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ในส่วนของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ที่ทํางานกับชุมชนและเครือข่ายชาวบ้าน ได้มีมาตรการช่วยเหลือประชาชน โดยผ่อนผันให้สหกรณ์และสมาชิกโครงการบ้านมั่นคงทั่วประเทศที่ใช้สินเชื่อจาก พอช. ไม่ต้องชําระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ พอช.เป็นเวลา 3 เดือน ในช่วงแรกเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ได้บรรเทาความเดือดร้อนในช่วง 3 เดือนนี้แก่ขบวนองค์กรชุมชนเกือบ 1.2 แสนครัวเรือน
“ล่าสุดเมื่อวานนี้ (28 พฤษภาคม 2563) พอช.รายงานว่า ที่ประชุมบอร์ด พอช. ได้มีการลงมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาการพักชําระหนี้เพิ่มอีก 3 เดือนให้แก่สหกรณ์และสมาชิกโครงการบ้านมั่นคงทั่วประเทศ จากเดิมที่จะครบกําหนดในเดือนมิถุนายนนี้ ขยายออกไปเป็นเดือนกันยายน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อย ให้ได้มีโอกาสฟื้นฟูเรื่องอาชีพและรายได้ โดยไม่ต้องชําระเงินต้นและดอกเบี้ย ทําให้มีประชาชนที่ได้รับประโยชน์ในครั้งนี้กว่า 1 แสนครัวเรือน ร่วม 5 แสนคน” รัฐมนตรี พม.กล่าว
โดยที่ประชุมคณะกรรมการสถาบันฯ ได้พิจารณาว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 น่าจะเข้าใกล้ภาวะปกติตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจะยังคงมีต่อเนื่องไปอีกประมาณ 2 ปี โดยนอกจากมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนซึ่งกําลังดําเนินการอยู่ รัฐยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยออก พ.ร.ก.เงินกู้ วงเงิน 1.0 ล้านล้านบาท ซึ่งมีระยะเวลาการกู้เงินที่รัฐสามารถดําเนินการได้ตามความเหมาะสมจนถึง 30 กันยายน 2564
นอกจากนี้ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา กระทรวง พม. ยังได้มีมาตรการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เช่น โครงการ‘สํารวจให้พบ จบที่ชุมชน’นําร่อง 286 ชุมชนใน กทม. ตั้งครัวกลาง 38 ครัว จัดทําอาหารปรุงสุก จํานวน 88,025 กล่อง/ราย พร้อมทั้งมีการมอบถุงยังชีพ เป็นต้น
ส่วนการพักชําระหนี้โครงการบ้านมั่นคงช่วงแรก ตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน 2563 สถาบันฯ ได้อนุมัติพักชําระหนี้รวมทั้งสิ้น 395 องค์กร รวม 119,956 ครัวเรือน ต้นเงินคงเหลือ 4,009.77 ล้านบาท ประมาณการดอกเบี้ยที่สถาบันฯ จะไม่ได้รับในปี 2563 รวม 37.25 ล้านบาท และหากขยายเวลาพักชําระหนี้ออกไปอีก 3 เดือน ดอกเบี้ยที่สถาบันฯ จะไม่ได้รับจะเพิ่มเป็น 74.50 ล้านบาท หรือช่วยให้กลุ่มและองค์กรที่ใช้สินเชื่อทั่วประเทศไม่ต้องชําระดอกเบี้ยรวม 74.50 ล้านบาท
องค์กรที่ขอพักชําระหนี้ 395 องค์กร คิดเป็นร้อยละ 79.48 ขององค์กรผู้ใช้สินเชื่อที่อยู่ในเกณฑ์พักชําระหนี้ได้ (497 องค์กร) โดยมีองค์กรที่ไม่ขอพักชําระหนี้ทั้งสิ้น 102 องค์กร ซึ่งเป็นสินเชื่อในโครงการบ้านมั่นคงทั้งหมด ส่วนใหญ่ใกล้ครบกําหนดสัญญาแล้วและมีเงินทุนภายในเพียงพอในการรับภาระการชําระคืนต่อสถาบันฯ จึงไม่ขอพักชําระหนี้ตามมาตรการช่วยเหลือ และมีบางองค์กรซึ่งไม่ขอพักชําระหนี้เนื่องจากไม่ประสงค์จะปรับเปลี่ยนระบบการบริหารจัดการภายใน
นายสมชาติ ภาระสุวรรณ ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ กล่าวว่า สถาบันฯ ได้สนับสนุนสินเชื่อเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยแก่องค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชนมาอย่างต่อเนื่องสม่ําเสมอ โดยเฉพาะสินเชื่อ‘โครงการบ้านมั่นคง’ที่เริ่มดําเนินโครงการตั้งแต่ปี 2546 โดยมีเจตนารมณ์ที่จะทําให้เกิดความมั่นคงในการอยู่อาศัยและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองและชนบท โดยการใช้สินเชื่อที่สามารถแก้ปัญหาหรือพัฒนาตามแผนของชุมชน นําไปสู่การสร้างความเข้มแข็ง โดยให้ประชาชนที่เดือดร้อนรวมกลุ่มกันแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยในลักษณะต่างๆ เช่น การซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านและชุมชนใหม่ การปรับปรุงบนที่ดินเดิม ซึ่งอาจเป็นที่ดินเช่าหรือที่ดินสาธารณะที่อยู่ในการดูแลของท้องถิ่น โดยให้สินเชื่อระยะยาว ดอกเบี้ยต่ํา เป็นต้น
“ปัจจุบันโครงการบ้านมั่นคงดําเนินการไปแล้วทั่วประเทศ รวม1,231 โครงการ จํานวน 112,777 ครัวเรือน ทําให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตต่างๆ เช่น ส่งเสริมอาชีพ ปลูกผักสวนครัวเพื่อลดรายจ่าย มีกิจกรรมเด็กและเยาวชน การจัดการขยะ บําบัดน้ําเสีย การดูแลสิ่งแวดล้อม”ผอ.พอช.กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บ้านมั่นคงเฮ ! ‘จุติ ไกรฤกษ์’ รมว.พม.แจง พอช.ยืดพักชำระหนี้เพิ่มอีก 3 เดือน ช่วยชาวบ้านสู้พิษเศรษฐกิจ [รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2563
บ้านมั่นคงเฮ ! ‘จุติ ไกรฤกษ์’ รมว.พม.แจง พอช.ยืดพักชําระหนี้เพิ่มอีก 3 เดือน ช่วยชาวบ้านสู้พิษเศรษฐกิจ [รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
บ้านมั่นคงเฮ ! ‘จุติ ไกรฤกษ์’ รมว.พม.แจง พอช.ยืดพักชําระหนี้เพิ่มอีก 3 เดือน ช่วยชาวบ้านสู้พิษเศรษฐกิจ
กระทรวง พม./ จุติ ไกรฤกษ์ รมว.พม. แจง พอช.ยืดพักชําระหนี้สมาชิกโครงการบ้านมั่งคงออกไปอีก3 เดือนจากช่วงแรกเมษายน-มิถุนายน ไปจนถึงเดือนกันยายน 2563 รวม 6 เดือน เพื่อช่วยเหลือชาวชุมชนโครงการบ้านมั่นคงที่ใช้สินเชื่อสร้างบ้านจาก พอช.ทั่วประเทศ 395 องค์กร รวม 119,956 ครัวเรือน
นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทําให้เกิดผลกระทบด้านเศรษฐกิจและรายได้ต่อประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย รัฐบาลจึงมีนโยบายให้หน่วยงานต่างๆ ออกมาตรการช่วยเหลือและลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ในส่วนของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ที่ทํางานกับชุมชนและเครือข่ายชาวบ้าน ได้มีมาตรการช่วยเหลือประชาชน โดยผ่อนผันให้สหกรณ์และสมาชิกโครงการบ้านมั่นคงทั่วประเทศที่ใช้สินเชื่อจาก พอช. ไม่ต้องชําระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ พอช.เป็นเวลา 3 เดือน ในช่วงแรกเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ได้บรรเทาความเดือดร้อนในช่วง 3 เดือนนี้แก่ขบวนองค์กรชุมชนเกือบ 1.2 แสนครัวเรือน
“ล่าสุดเมื่อวานนี้ (28 พฤษภาคม 2563) พอช.รายงานว่า ที่ประชุมบอร์ด พอช. ได้มีการลงมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาการพักชําระหนี้เพิ่มอีก 3 เดือนให้แก่สหกรณ์และสมาชิกโครงการบ้านมั่นคงทั่วประเทศ จากเดิมที่จะครบกําหนดในเดือนมิถุนายนนี้ ขยายออกไปเป็นเดือนกันยายน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อย ให้ได้มีโอกาสฟื้นฟูเรื่องอาชีพและรายได้ โดยไม่ต้องชําระเงินต้นและดอกเบี้ย ทําให้มีประชาชนที่ได้รับประโยชน์ในครั้งนี้กว่า 1 แสนครัวเรือน ร่วม 5 แสนคน” รัฐมนตรี พม.กล่าว
โดยที่ประชุมคณะกรรมการสถาบันฯ ได้พิจารณาว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 น่าจะเข้าใกล้ภาวะปกติตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจะยังคงมีต่อเนื่องไปอีกประมาณ 2 ปี โดยนอกจากมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนซึ่งกําลังดําเนินการอยู่ รัฐยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยออก พ.ร.ก.เงินกู้ วงเงิน 1.0 ล้านล้านบาท ซึ่งมีระยะเวลาการกู้เงินที่รัฐสามารถดําเนินการได้ตามความเหมาะสมจนถึง 30 กันยายน 2564
นอกจากนี้ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา กระทรวง พม. ยังได้มีมาตรการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เช่น โครงการ‘สํารวจให้พบ จบที่ชุมชน’นําร่อง 286 ชุมชนใน กทม. ตั้งครัวกลาง 38 ครัว จัดทําอาหารปรุงสุก จํานวน 88,025 กล่อง/ราย พร้อมทั้งมีการมอบถุงยังชีพ เป็นต้น
ส่วนการพักชําระหนี้โครงการบ้านมั่นคงช่วงแรก ตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน 2563 สถาบันฯ ได้อนุมัติพักชําระหนี้รวมทั้งสิ้น 395 องค์กร รวม 119,956 ครัวเรือน ต้นเงินคงเหลือ 4,009.77 ล้านบาท ประมาณการดอกเบี้ยที่สถาบันฯ จะไม่ได้รับในปี 2563 รวม 37.25 ล้านบาท และหากขยายเวลาพักชําระหนี้ออกไปอีก 3 เดือน ดอกเบี้ยที่สถาบันฯ จะไม่ได้รับจะเพิ่มเป็น 74.50 ล้านบาท หรือช่วยให้กลุ่มและองค์กรที่ใช้สินเชื่อทั่วประเทศไม่ต้องชําระดอกเบี้ยรวม 74.50 ล้านบาท
องค์กรที่ขอพักชําระหนี้ 395 องค์กร คิดเป็นร้อยละ 79.48 ขององค์กรผู้ใช้สินเชื่อที่อยู่ในเกณฑ์พักชําระหนี้ได้ (497 องค์กร) โดยมีองค์กรที่ไม่ขอพักชําระหนี้ทั้งสิ้น 102 องค์กร ซึ่งเป็นสินเชื่อในโครงการบ้านมั่นคงทั้งหมด ส่วนใหญ่ใกล้ครบกําหนดสัญญาแล้วและมีเงินทุนภายในเพียงพอในการรับภาระการชําระคืนต่อสถาบันฯ จึงไม่ขอพักชําระหนี้ตามมาตรการช่วยเหลือ และมีบางองค์กรซึ่งไม่ขอพักชําระหนี้เนื่องจากไม่ประสงค์จะปรับเปลี่ยนระบบการบริหารจัดการภายใน
นายสมชาติ ภาระสุวรรณ ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ กล่าวว่า สถาบันฯ ได้สนับสนุนสินเชื่อเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยแก่องค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชนมาอย่างต่อเนื่องสม่ําเสมอ โดยเฉพาะสินเชื่อ‘โครงการบ้านมั่นคง’ที่เริ่มดําเนินโครงการตั้งแต่ปี 2546 โดยมีเจตนารมณ์ที่จะทําให้เกิดความมั่นคงในการอยู่อาศัยและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองและชนบท โดยการใช้สินเชื่อที่สามารถแก้ปัญหาหรือพัฒนาตามแผนของชุมชน นําไปสู่การสร้างความเข้มแข็ง โดยให้ประชาชนที่เดือดร้อนรวมกลุ่มกันแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยในลักษณะต่างๆ เช่น การซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านและชุมชนใหม่ การปรับปรุงบนที่ดินเดิม ซึ่งอาจเป็นที่ดินเช่าหรือที่ดินสาธารณะที่อยู่ในการดูแลของท้องถิ่น โดยให้สินเชื่อระยะยาว ดอกเบี้ยต่ํา เป็นต้น
“ปัจจุบันโครงการบ้านมั่นคงดําเนินการไปแล้วทั่วประเทศ รวม1,231 โครงการ จํานวน 112,777 ครัวเรือน ทําให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตต่างๆ เช่น ส่งเสริมอาชีพ ปลูกผักสวนครัวเพื่อลดรายจ่าย มีกิจกรรมเด็กและเยาวชน การจัดการขยะ บําบัดน้ําเสีย การดูแลสิ่งแวดล้อม”ผอ.พอช.กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31715
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เทรน แรงงานสมองกล รองรับ New normal [กระทรวงเเรงงาน]
|
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563
ก.แรงงาน เทรน แรงงานสมองกล รองรับ New normal [กระทรวงเเรงงาน]
ก.แรงงาน เทรน แรงงานสมองกล รองรับ New normal
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (MARA) เทรนแรงงานควบคุมสมองกลอัจฉริยะ ป้อนตลาด EEC
นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การพัฒนาศักยภาพแรงงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นหนึ่งในกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (MARA) เป็นศูนย์ Training Excellent Center ของ กพร.กระทรวงแรงงานเพื่อยกระดับการเรียนรู้และพัฒนากําลังแรงงานในสายการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ซึ่งเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศและตรงกับความต้องการของสถานประกอบกิจการ ตามนโยบายของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ต้องการปฏิรูปกําลังแรงงานให้มีศักยภาพรองรับนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง (High Technology) ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนกําลังคนทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงต้องปรับปรุงรูปแบบการฝึกอบรมให้เหมาะกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยภาคทฤษฎีจัดอบรมให้ความรู้แบบออนไลน์สําหรับภาคปฏิบัติจัดให้ผู้เข้าฝึกเว้นระยะห่างทางสังคม
นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน MARA ร่วมกับ EEC Automation park คณะวิศวกรรมศาสตร์ม.บูรพา และบริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค ออโตเมชั่น (ประเทศไทย) จํากัด จัดฝึกอบรมให้แก่แรงงานทั่วไปในพื้นที่ EEC สาขา การประยุกต์ใช้ PLC (Programmable Logic Control) ใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 30 ชั่วโมง ระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2563 จํานวน 11 คน ณ มหาวิทยาลัยบูรพา นอกจากนี้ ยังมีสาขาที่มีกําหนดเปิดฝึกในเดือน กรกฎาคม – สิงหาคมนี้ ได้แก่ การควบคุมหุ่นยนต์ป้อนชิ้นงาน (Handing Robotic) การควบคุมหุ่นยนต์อุตสาหกรรมสําหรับงานเชื่อมโลหะ (Welding Robot Control) การเขียนแบบเครื่องกลด้วยคอมพิวเตอร์ 3 มิติ (CAD 3D) เครื่องมือวัดทางอุตสาหกรรม Industrial Internet of Things (IIoT) และการสร้างการจําลองกระบวนการการผลิต (Plant Simulation) การฝึกอบรมในครั้งนี้ ฝึกอบรมผ่านแอปพลิเคชัน Zoom มีการเก็บคะแนน ใบงาน ส่งผลคะแนนให้ครูฝึกทําการประเมินผลรายบุคคลโดยแนบไฟล์ส่งผ่านแอปดังกล่าว ในส่วนของการทดสอบภาคปฏิบัตินั้นจะแยกห้องทดสอบ ห้องละ 2 คนเพื่อปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing หลักสูตรที่ MARA จัดอบรมนั้นส่วนใหญ่เป็นหลักสูตรยกระดับฝีมือให้กับแรงงานให้มีทักษะสูงขึ้น รวมถึงเน้นทักษะที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ อาทิ การประยุกต์ใช้ PLC ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับระบบการควบคุมหุ่นยนต์ที่จะนํามาประยุกต์ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งแต่ละหลักสูตรที่ฝึกในภาคทฤษฎีจะฝึกอบรมผ่านแอปพลิเคชัน Zoom
“สําหรับผู้สนใจที่อยู่จังหวัดอื่นๆ ติดตามหลักสูตรการฝึกอบรมหรือสมัครฝึกอบรมได้ที่เว็บไซต์ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน www.dsd.go.th หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือ MARA 0 3827 6445” อธิบดี กพร.กล่าวทิ้งท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เทรน แรงงานสมองกล รองรับ New normal [กระทรวงเเรงงาน]
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563
ก.แรงงาน เทรน แรงงานสมองกล รองรับ New normal [กระทรวงเเรงงาน]
ก.แรงงาน เทรน แรงงานสมองกล รองรับ New normal
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (MARA) เทรนแรงงานควบคุมสมองกลอัจฉริยะ ป้อนตลาด EEC
นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การพัฒนาศักยภาพแรงงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นหนึ่งในกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (MARA) เป็นศูนย์ Training Excellent Center ของ กพร.กระทรวงแรงงานเพื่อยกระดับการเรียนรู้และพัฒนากําลังแรงงานในสายการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ซึ่งเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศและตรงกับความต้องการของสถานประกอบกิจการ ตามนโยบายของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ต้องการปฏิรูปกําลังแรงงานให้มีศักยภาพรองรับนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง (High Technology) ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนกําลังคนทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงต้องปรับปรุงรูปแบบการฝึกอบรมให้เหมาะกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยภาคทฤษฎีจัดอบรมให้ความรู้แบบออนไลน์สําหรับภาคปฏิบัติจัดให้ผู้เข้าฝึกเว้นระยะห่างทางสังคม
นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน MARA ร่วมกับ EEC Automation park คณะวิศวกรรมศาสตร์ม.บูรพา และบริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค ออโตเมชั่น (ประเทศไทย) จํากัด จัดฝึกอบรมให้แก่แรงงานทั่วไปในพื้นที่ EEC สาขา การประยุกต์ใช้ PLC (Programmable Logic Control) ใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 30 ชั่วโมง ระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2563 จํานวน 11 คน ณ มหาวิทยาลัยบูรพา นอกจากนี้ ยังมีสาขาที่มีกําหนดเปิดฝึกในเดือน กรกฎาคม – สิงหาคมนี้ ได้แก่ การควบคุมหุ่นยนต์ป้อนชิ้นงาน (Handing Robotic) การควบคุมหุ่นยนต์อุตสาหกรรมสําหรับงานเชื่อมโลหะ (Welding Robot Control) การเขียนแบบเครื่องกลด้วยคอมพิวเตอร์ 3 มิติ (CAD 3D) เครื่องมือวัดทางอุตสาหกรรม Industrial Internet of Things (IIoT) และการสร้างการจําลองกระบวนการการผลิต (Plant Simulation) การฝึกอบรมในครั้งนี้ ฝึกอบรมผ่านแอปพลิเคชัน Zoom มีการเก็บคะแนน ใบงาน ส่งผลคะแนนให้ครูฝึกทําการประเมินผลรายบุคคลโดยแนบไฟล์ส่งผ่านแอปดังกล่าว ในส่วนของการทดสอบภาคปฏิบัตินั้นจะแยกห้องทดสอบ ห้องละ 2 คนเพื่อปฏิบัติตามมาตรการ Social Distancing หลักสูตรที่ MARA จัดอบรมนั้นส่วนใหญ่เป็นหลักสูตรยกระดับฝีมือให้กับแรงงานให้มีทักษะสูงขึ้น รวมถึงเน้นทักษะที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ อาทิ การประยุกต์ใช้ PLC ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับระบบการควบคุมหุ่นยนต์ที่จะนํามาประยุกต์ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งแต่ละหลักสูตรที่ฝึกในภาคทฤษฎีจะฝึกอบรมผ่านแอปพลิเคชัน Zoom
“สําหรับผู้สนใจที่อยู่จังหวัดอื่นๆ ติดตามหลักสูตรการฝึกอบรมหรือสมัครฝึกอบรมได้ที่เว็บไซต์ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน www.dsd.go.th หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือ MARA 0 3827 6445” อธิบดี กพร.กล่าวทิ้งท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32470
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถนนที่ห้ามจอตลอดเวลา จำนวน 18 สาย
|
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
ถนนที่ห้ามจอตลอดเวลา จํานวน 18 สาย
ถนนที่ห้ามจอตลอดเวลา จํานวน 18 สาย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถนนที่ห้ามจอตลอดเวลา จำนวน 18 สาย
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
ถนนที่ห้ามจอตลอดเวลา จํานวน 18 สาย
ถนนที่ห้ามจอตลอดเวลา จํานวน 18 สาย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/581
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จัดการสัมมนาแนวทางการประชาสัมพันธ์ตามยุทธศาสตร์ชาติ
|
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม จัดการสัมมนาแนวทางการประชาสัมพันธ์ตามยุทธศาสตร์ชาติ
กระทรวงอุตสาหกรรม จัดการสัมมนาแนวทางการประชาสัมพันธ์ตามยุทธศาสตร์ชาติ ณ โรงแรมเคนซิงตัน อิงลิช การ์เด้น รีสอร์ท เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
วันนี้ (24 พฤศจิกายน 2560) นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมและรองโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการสัมมนาแนวทางการประชาสัมพันธ์ตามยุทธศาสตร์ชาติของกระทรวงอุตสาหกรรม
ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 -25 พฤศจิกายน 2560 โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจากกรม รัฐวิสาหกิจ และสถาบันเครือข่ายในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม จํานวน 60 คน โดยมีนางสาวทัศนียา ลัธธนันท์ ผู้อํานวยการกองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน และนายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ให้เกียรติเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ มุมมองจากสื่อมวลชนและบุคคลภายนอกต่อการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงอุตสาหกรรม และทิศทางการปรับตัวในงานประชาสัมพันธ์ยุคโซเซียลมีเดียมาแรง ณ โรงแรมเคนซิงตัน อิงลิช การ์เด้น รีสอร์ท เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
การสัมมนาฯ ดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางการดําเนินการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องสร้างการรับรู้ สร้างควาวามเข้าใจในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างทั่งถึง เรียนรู้มุมมองจากสื่อมวลชนและบุคคลภายนอกต่อการประชาสัมพันธ์ของกระทรวง และได้เรียนรู้ทิศทางการปรับตัวในงานประชาสัมพันธ์ยุคโซเซียลมีเดียที่ผู้ปฏิบัติงานต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ ประสบการณ์ ตลอดจนทักษะด้านการประชาสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ในยุคดิจิตอล อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แลกเปลี่ยนทัศนคติ ความคิดเห็น ตลอดจนสะท้อนปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานเพื่อนําไปสู่การแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ปฏิบัติงานประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม #industryprmoi #กระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จัดการสัมมนาแนวทางการประชาสัมพันธ์ตามยุทธศาสตร์ชาติ
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม จัดการสัมมนาแนวทางการประชาสัมพันธ์ตามยุทธศาสตร์ชาติ
กระทรวงอุตสาหกรรม จัดการสัมมนาแนวทางการประชาสัมพันธ์ตามยุทธศาสตร์ชาติ ณ โรงแรมเคนซิงตัน อิงลิช การ์เด้น รีสอร์ท เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
วันนี้ (24 พฤศจิกายน 2560) นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมและรองโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการสัมมนาแนวทางการประชาสัมพันธ์ตามยุทธศาสตร์ชาติของกระทรวงอุตสาหกรรม
ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 -25 พฤศจิกายน 2560 โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจากกรม รัฐวิสาหกิจ และสถาบันเครือข่ายในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม จํานวน 60 คน โดยมีนางสาวทัศนียา ลัธธนันท์ ผู้อํานวยการกองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน และนายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ให้เกียรติเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ มุมมองจากสื่อมวลชนและบุคคลภายนอกต่อการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงอุตสาหกรรม และทิศทางการปรับตัวในงานประชาสัมพันธ์ยุคโซเซียลมีเดียมาแรง ณ โรงแรมเคนซิงตัน อิงลิช การ์เด้น รีสอร์ท เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
การสัมมนาฯ ดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางการดําเนินการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องสร้างการรับรู้ สร้างควาวามเข้าใจในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างทั่งถึง เรียนรู้มุมมองจากสื่อมวลชนและบุคคลภายนอกต่อการประชาสัมพันธ์ของกระทรวง และได้เรียนรู้ทิศทางการปรับตัวในงานประชาสัมพันธ์ยุคโซเซียลมีเดียที่ผู้ปฏิบัติงานต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ ประสบการณ์ ตลอดจนทักษะด้านการประชาสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ในยุคดิจิตอล อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แลกเปลี่ยนทัศนคติ ความคิดเห็น ตลอดจนสะท้อนปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานเพื่อนําไปสู่การแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ปฏิบัติงานประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม #industryprmoi #กระทรวงอุตสาหกรรม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8341
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.ร.อ. ณรงค์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2/2560
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม 2560
รอง นรม. พล.ร.อ. ณรงค์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2/2560
รอง นรม. พล.ร.อ. ณรงค์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2/2560
วันนี้ (6 กรกฎาคม 2560) เวลา 9.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2/2560
ที่ประชุมรับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาเบาเซลฯ สมัยที่ 13 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 8 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสต็อกโฮล์มฯ สมัยที่ 8 ระหว่างวันที่ 24 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2560 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ผลของการประชุมได้สรุปสาระสําคัญ ดังต่อไปนี้ (1) การรับรองเป้าหมาย SDGs และวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปี พ.ศ. 2573 ของสหประชาชาติ (2) การยึดมั่นการดําเนินการให้โลกปลอดมลพิษ และ (3) การลงมือปฏิบัติและดําเนินการในทันที รวมไปถึงการดําเนินการตามพันธกรณีตามอนุสัญญาเบาเซลฯ อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ และอนุสัญญาสต็อกโฮล์มฯ
ทั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบผลการประชุมของคณะทํางานอาเซียนด้านการจัดการสารเคมีและของเสีย ครั้งที่ 2 (2 Meeting of ASEAN Working Group on Chemicals and Waste : 2 AWGCW) และรับทราบผลการรายงานแนวทางการลด ละ เลิกการใช้สารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง 3 ชนิด :พาราควอต คลอร์ไพรีฟอส และไกลโฟเสต
จากนั้น ที่ประชุมรับทราบผลการประชุมหารือเกี่ยวกับการจัดทําระบบฐานข้อมูลวัตถุอันตราย โดยกรมควบคุมมลพิษดําเนินการจัดประชุมหารือ ซึ่งมีหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมประชุมทั้งสิ้น 12 หน่วยงาน อาทิ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมวิชาการเกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมธุรกิจพลังงาน กรมการอุตสาหกรรมทหาร กรมศุลกากร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สํานักงบประมาณ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และกรมควบคุมมลพิษ โดยสรุปประเด็นสําคัญดังนี้ (1) การจัดทําระบบฐานข้อมูลวัตถุอันตราย (2) การรวบรวมข้อมูลและฐานข้อมูล (3) การใช้ประโยชน์จากระบบฐานข้อมูลวัตถุอันตราย และ (4) การสนับสนุนงบประมาณ
ตอนท้ายของการประชุม ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายชื่อผู้แทนภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายสารเคมี เพื่อทําหน้าที่ทบทวนและวิเคราะห์กฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดการสารเคมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนการกําหนดกรอบการพัฒนากฎหมายสารเคมีตลอดวงจรสารเคมีอีกด้วย
*******************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.ร.อ. ณรงค์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2/2560
วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม 2560
รอง นรม. พล.ร.อ. ณรงค์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2/2560
รอง นรม. พล.ร.อ. ณรงค์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2/2560
วันนี้ (6 กรกฎาคม 2560) เวลา 9.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี ครั้งที่ 2/2560
ที่ประชุมรับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาเบาเซลฯ สมัยที่ 13 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 8 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสต็อกโฮล์มฯ สมัยที่ 8 ระหว่างวันที่ 24 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2560 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ผลของการประชุมได้สรุปสาระสําคัญ ดังต่อไปนี้ (1) การรับรองเป้าหมาย SDGs และวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปี พ.ศ. 2573 ของสหประชาชาติ (2) การยึดมั่นการดําเนินการให้โลกปลอดมลพิษ และ (3) การลงมือปฏิบัติและดําเนินการในทันที รวมไปถึงการดําเนินการตามพันธกรณีตามอนุสัญญาเบาเซลฯ อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ และอนุสัญญาสต็อกโฮล์มฯ
ทั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบผลการประชุมของคณะทํางานอาเซียนด้านการจัดการสารเคมีและของเสีย ครั้งที่ 2 (2 Meeting of ASEAN Working Group on Chemicals and Waste : 2 AWGCW) และรับทราบผลการรายงานแนวทางการลด ละ เลิกการใช้สารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง 3 ชนิด :พาราควอต คลอร์ไพรีฟอส และไกลโฟเสต
จากนั้น ที่ประชุมรับทราบผลการประชุมหารือเกี่ยวกับการจัดทําระบบฐานข้อมูลวัตถุอันตราย โดยกรมควบคุมมลพิษดําเนินการจัดประชุมหารือ ซึ่งมีหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมประชุมทั้งสิ้น 12 หน่วยงาน อาทิ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมวิชาการเกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมธุรกิจพลังงาน กรมการอุตสาหกรรมทหาร กรมศุลกากร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สํานักงบประมาณ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และกรมควบคุมมลพิษ โดยสรุปประเด็นสําคัญดังนี้ (1) การจัดทําระบบฐานข้อมูลวัตถุอันตราย (2) การรวบรวมข้อมูลและฐานข้อมูล (3) การใช้ประโยชน์จากระบบฐานข้อมูลวัตถุอันตราย และ (4) การสนับสนุนงบประมาณ
ตอนท้ายของการประชุม ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายชื่อผู้แทนภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายสารเคมี เพื่อทําหน้าที่ทบทวนและวิเคราะห์กฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดการสารเคมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนการกําหนดกรอบการพัฒนากฎหมายสารเคมีตลอดวงจรสารเคมีอีกด้วย
*******************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5059
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ กับความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือชุมชนไทยในโปแลนด์และยูเครน [กระทรวงการต่างประเทศ]
|
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ กับความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือชุมชนไทยในโปแลนด์และยูเครน [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ กับความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือชุมชนไทยในโปแลนด์และยูเครน
ข่าวประชาสัมพันธ์ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ
วันที่ 28 เมษายน 2563
เรื่อง การให้ความช่วยเหลือชุมชนไทยในโปแลนด์และยูเครน
ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ ให้ความสําคัญกับความเป็นอยู่และสุขภาพของพี่น้องคนไทยทั้งในโปแลนด์และยูเครน โดยได้แจ้งข้อมูลข่าวสารที่จําเป็นอย่างสม่ําเสมอ รวมทั้งติดตาม สอบถาม และดูแลคนไทยที่ประสบความยากลําบาก และเพื่อให้รับทราบปัญหาและข้อจํากัดต่าง ๆ ของพี่น้องชาวไทยในโปแลนด์และยูเครนเพื่อบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้าของคนไทยที่ประสบความยากลําบากในลําดับต้น ๆ สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้เปิดให้มีการลงทะเบียนเพื่อแจ้งข้อมูล อาทิ คนไทยที่ประสงค์ขอรับหน้ากาก แรงงานไทยหรือผู้ประกอบการไทยที่ประสบปัญหา คนไทยที่มีความจําเป็นเร่งด่วนต้องกลับประเทศไทย เป็นต้น และได้มีการติดตามสอบถามคนไทยที่ลงทะเบียนที่ประสบความยากลําบากเพื่อให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป
สถานเอกอัคราชทูตฯ จึงขอเรียนความคืบหน้าในการช่วยเหลือพี่น้องคนไทยในโปแลนด์และยูเครน (สถานะ ณ วันที่ 28 เมษายน 2563) ดังนี้
1. ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2563 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ทยอยจัดส่งหน้ากากผ้าให้ผู้ลงทะเบียนขอรับทั้งในโปแลนด์และยูเครน รวมจํานวน 78 คน
2. แรงงานไทยที่แจ้งว่าประสบปัญหา โดยเฉพาะที่ถูกเลิกจ้างงานหรือถูกพักงานโดยไม่มีเงินเดือน
2.1. โปแลนด์ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดส่งคูปองซื้ออาหาร (food voucher) ไปให้แรงงานไทยที่ประสบปัญหา จํานวน 11 คน
2.2. ยูเครน สถานเอกอัครราชทูตฯ กําลังประสานผู้แทนในการสั่งอาหารแห้งจากร้านค้าออนไลน์เพื่อส่งไปช่วยเหลือแรงงานไทยที่ประสบปัญหา จํานวน 37 คน
3. ผู้ประกอบการไทยที่ลงทะเบียนและมีแรงงานไทยจํานวนมาก เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2563 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดส่งชุดอาหารแห้ง (ข้าวสาร ปลาทูน่า เครื่องแกง ฯลฯ) ให้ผู้ประกอบการไทยในเมืองต่าง ๆ เช่น กรุงวอร์ซอ เมืองพอซนัน และเมืองคราคูฟ จํานวน 11 แห่ง เพื่อช่วยเหลือแรงงานไทยรวม 83 คน
4. กลุ่มนักศึกษาไทยในโปแลนด์ (ไม่มีนักศึกษาไทยในยูเครน) เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2563 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดส่งข้าวสารให้แก่กลุ่มนักเรียนไทยในกรุงวอร์ซอ เมืองลูบลิน เมืองพอซนัน เมืองวรอตซวาฟ และเมืองบิดกอชซ์ รวมจํานวน 174 คน
5. ผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งของบริษัท CPF Poland/Superdrob ซึ่งบริษัทฯ ประสงค์จะช่วยบรรเทาความยากลําบากของคนไทยในกรุงวอร์ซอและใกล้เคียง โดยมีผู้ลงทะเบียนขอรับ จํานวน 186 คน ทั้งนี้ บริษัทฯ จะส่งผลิตภัณฑ์มายังสถานเอกอัครราชทูตฯ ในวันพฤหัสบดีที่ 30 เม.ย. 63 ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตฯ จะนําส่งให้กลุ่มคนไทยที่อาศัยอยู่ร่วมกัน และได้อีเมลแจ้งผู้ที่สะดวกจะเดินทางมารับที่สถานเอกอัครราชทูตฯ แล้ว
ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ดําเนินการช่วยเหลือเฉพาะหน้าข้างต้นโดยเร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยในโปแลนด์และยูเครนที่ประสบปัญหาความยากลําบากในการดํารงชีพ และพยายามดําเนินการให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) ของโปแลนด์และยูเครน โดยพยายามจัดส่งความช่วยเหลือให้ทางไปรษณีย์หรือผ่านการจัดส่งที่เหมาะสมในกรณีที่สามารถดําเนินการได้ ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตฯ จะติดตามเพื่อให้มั่นใจว่าความช่วยเหลือต่าง ๆ ได้ถึงมือพี่น้องชาวไทยในโปแลนด์และยูเครนเรียบร้อยแล้ว หากยังไม่ได้รับการจัดส่งข้างต้นหรือมีคนไทยที่ประสบปัญหาความยากลําบากเพิ่มเติม โปรดลงทะเบียนได้ที่https://www.emailmeform.com/builder/.../F2bodzfGb9aTXNgv978I1dหรือติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ทางโทรศัพท์ฉุกฉิน หมายเลข +48 696 642 348
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ และทีมประเทศไทย พร้อมยืนหยัดกับพี่น้องไทยในโปแลนด์และยูเครนเพื่อให้เราผ่านพ้นสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ไปด้วยกัน และขอขอบคุณในน้ําใจของพี่น้องคนไทยทุกท่านที่ได้ส่งกําลังใจให้สถานเอกอัครราชทูตฯ ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมถึงขอขอบคุณสํานักงานการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงวอร์ซอ ในฐานะทีมประเทศไทย และบริษัทเอกชน ได้แก่ CPF Superdrob และ Kuchnia Świata ที่ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตฯ ในการช่วยเหลือคนไทยมา ณ โอกาสนี้ด้วย
#น้ําใจคนไทยไม่ทิ้งกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ กับความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือชุมชนไทยในโปแลนด์และยูเครน [กระทรวงการต่างประเทศ]
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ กับความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือชุมชนไทยในโปแลนด์และยูเครน [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ กับความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือชุมชนไทยในโปแลนด์และยูเครน
ข่าวประชาสัมพันธ์ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ
วันที่ 28 เมษายน 2563
เรื่อง การให้ความช่วยเหลือชุมชนไทยในโปแลนด์และยูเครน
ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ ให้ความสําคัญกับความเป็นอยู่และสุขภาพของพี่น้องคนไทยทั้งในโปแลนด์และยูเครน โดยได้แจ้งข้อมูลข่าวสารที่จําเป็นอย่างสม่ําเสมอ รวมทั้งติดตาม สอบถาม และดูแลคนไทยที่ประสบความยากลําบาก และเพื่อให้รับทราบปัญหาและข้อจํากัดต่าง ๆ ของพี่น้องชาวไทยในโปแลนด์และยูเครนเพื่อบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้าของคนไทยที่ประสบความยากลําบากในลําดับต้น ๆ สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้เปิดให้มีการลงทะเบียนเพื่อแจ้งข้อมูล อาทิ คนไทยที่ประสงค์ขอรับหน้ากาก แรงงานไทยหรือผู้ประกอบการไทยที่ประสบปัญหา คนไทยที่มีความจําเป็นเร่งด่วนต้องกลับประเทศไทย เป็นต้น และได้มีการติดตามสอบถามคนไทยที่ลงทะเบียนที่ประสบความยากลําบากเพื่อให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป
สถานเอกอัคราชทูตฯ จึงขอเรียนความคืบหน้าในการช่วยเหลือพี่น้องคนไทยในโปแลนด์และยูเครน (สถานะ ณ วันที่ 28 เมษายน 2563) ดังนี้
1. ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2563 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ทยอยจัดส่งหน้ากากผ้าให้ผู้ลงทะเบียนขอรับทั้งในโปแลนด์และยูเครน รวมจํานวน 78 คน
2. แรงงานไทยที่แจ้งว่าประสบปัญหา โดยเฉพาะที่ถูกเลิกจ้างงานหรือถูกพักงานโดยไม่มีเงินเดือน
2.1. โปแลนด์ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดส่งคูปองซื้ออาหาร (food voucher) ไปให้แรงงานไทยที่ประสบปัญหา จํานวน 11 คน
2.2. ยูเครน สถานเอกอัครราชทูตฯ กําลังประสานผู้แทนในการสั่งอาหารแห้งจากร้านค้าออนไลน์เพื่อส่งไปช่วยเหลือแรงงานไทยที่ประสบปัญหา จํานวน 37 คน
3. ผู้ประกอบการไทยที่ลงทะเบียนและมีแรงงานไทยจํานวนมาก เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2563 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดส่งชุดอาหารแห้ง (ข้าวสาร ปลาทูน่า เครื่องแกง ฯลฯ) ให้ผู้ประกอบการไทยในเมืองต่าง ๆ เช่น กรุงวอร์ซอ เมืองพอซนัน และเมืองคราคูฟ จํานวน 11 แห่ง เพื่อช่วยเหลือแรงงานไทยรวม 83 คน
4. กลุ่มนักศึกษาไทยในโปแลนด์ (ไม่มีนักศึกษาไทยในยูเครน) เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2563 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดส่งข้าวสารให้แก่กลุ่มนักเรียนไทยในกรุงวอร์ซอ เมืองลูบลิน เมืองพอซนัน เมืองวรอตซวาฟ และเมืองบิดกอชซ์ รวมจํานวน 174 คน
5. ผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งของบริษัท CPF Poland/Superdrob ซึ่งบริษัทฯ ประสงค์จะช่วยบรรเทาความยากลําบากของคนไทยในกรุงวอร์ซอและใกล้เคียง โดยมีผู้ลงทะเบียนขอรับ จํานวน 186 คน ทั้งนี้ บริษัทฯ จะส่งผลิตภัณฑ์มายังสถานเอกอัครราชทูตฯ ในวันพฤหัสบดีที่ 30 เม.ย. 63 ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตฯ จะนําส่งให้กลุ่มคนไทยที่อาศัยอยู่ร่วมกัน และได้อีเมลแจ้งผู้ที่สะดวกจะเดินทางมารับที่สถานเอกอัครราชทูตฯ แล้ว
ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ดําเนินการช่วยเหลือเฉพาะหน้าข้างต้นโดยเร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยในโปแลนด์และยูเครนที่ประสบปัญหาความยากลําบากในการดํารงชีพ และพยายามดําเนินการให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) ของโปแลนด์และยูเครน โดยพยายามจัดส่งความช่วยเหลือให้ทางไปรษณีย์หรือผ่านการจัดส่งที่เหมาะสมในกรณีที่สามารถดําเนินการได้ ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตฯ จะติดตามเพื่อให้มั่นใจว่าความช่วยเหลือต่าง ๆ ได้ถึงมือพี่น้องชาวไทยในโปแลนด์และยูเครนเรียบร้อยแล้ว หากยังไม่ได้รับการจัดส่งข้างต้นหรือมีคนไทยที่ประสบปัญหาความยากลําบากเพิ่มเติม โปรดลงทะเบียนได้ที่https://www.emailmeform.com/builder/.../F2bodzfGb9aTXNgv978I1dหรือติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ทางโทรศัพท์ฉุกฉิน หมายเลข +48 696 642 348
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ และทีมประเทศไทย พร้อมยืนหยัดกับพี่น้องไทยในโปแลนด์และยูเครนเพื่อให้เราผ่านพ้นสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ไปด้วยกัน และขอขอบคุณในน้ําใจของพี่น้องคนไทยทุกท่านที่ได้ส่งกําลังใจให้สถานเอกอัครราชทูตฯ ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมถึงขอขอบคุณสํานักงานการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงวอร์ซอ ในฐานะทีมประเทศไทย และบริษัทเอกชน ได้แก่ CPF Superdrob และ Kuchnia Świata ที่ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตฯ ในการช่วยเหลือคนไทยมา ณ โอกาสนี้ด้วย
#น้ําใจคนไทยไม่ทิ้งกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29986
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ประกาศเป้าหมายความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขทุกคนในสถานการณ์ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563
อนุทิน ประกาศเป้าหมายความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขทุกคนในสถานการณ์ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
อนุทิน ประกาศเป้าหมายความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขทุกคนในสถานการณ์ COVID-19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศเป้าหมายนโยบาย “ความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขทุกคนในสถานการณ์ COVID-19” ทุกสถานพยาบาลต้องมีแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้บุคลากรปลอดภัย มีแนวทางมั่นใจ มีการจัดการอุปกรณ์ที่พร้อมใช้ สงสัยตรวจได้ เจ็บไข้รักษาทันที มีหลักประกันคุ้มครอง
วันนี้ (17 เมษายน 2563) ที่ห้องประชุมสานใจ อาคารสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข ครั้งที่ 1/2563 พร้อมประกาศเป้าหมาย “ความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขทุกคนในสถานการณ์ COVID-19” โดยมีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข องค์กรเครือข่ายสาธารณสุข ได้แก่ สปสช. สพฉ. สช. สวรส. และสรพ. กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย สมาคม ชมรม สภาวิชาชีพ ผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมการประชุม
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ข้อมูล ณ วันที่ 15 เมษายน 2563 พบบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขติดเชื้อ 99 ราย คิดเป็นร้อยละ 3.75 ของผู้ป่วยทั้งหมด ในขณะที่ทั่วโลกพบร้อยละ 4-9 คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข จึงได้มีมติให้ประกาศเป้าหมาย เรื่องความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขในสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดทํา เพื่อให้สถานพยาบาลทุกแห่งดําเนินการสร้างความปลอดภัยแก่บุคลากรสาธารณสุขในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมั่นใจ มีสาระสําคัญ คือ ให้สถานพยาบาลทุกแห่งประกาศเป้าหมายและแนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของบุคลากร จัดสรรหน้ากากอนามัย Surgical Mask ให้เพียงพอและบริหารจัดการหน้ากาก N95 รวมถึงอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ ให้มีสํารองพร้อมใช้ หากบุคลากรสาธารณสุขมีความเสี่ยงหรือสงสัยติดเชื้อต้องได้รับการตรวจคัดกรองและรักษาทันที พร้อมตรวจคัดกรองคนในครอบครัว รวมทั้งมีหลักประกันคุ้มครองดูแลและเยียวยาบุคลากรสาธารณสุขที่ติดเชื้อจากการปฏิบัติหน้าที่ และให้มีช่องทางสื่อสารให้ความรู้ รับฟังความต้องการจากบุคลากร
“องค์การอนามัยโลกได้กําหนด Theme “World Patient Safety Day” ในปีนี้ว่า บุคลากรสาธารณสุขปลอดภัย (Health Worker Safety) ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีผู้ป่วยปลอดภัย หากบุคลากรสาธารณสุขไม่ปลอดภัย (No Patient Safety without Health Worker Safety) ซึ่งสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก ทําให้อุปกรณ์ป้องกันร่างกายขาดแคลน ทั้งหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุด PPE. จึงต้องเน้นการป้องกันควบคุมโรค เพื่อให้มีผู้ป่วยน้อยที่สุด และคัดกรองค้นหาผู้ป่วยมารับการรักษาให้เร็วที่สุด” นายอนุทินกล่าว
********************************** 17 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ประกาศเป้าหมายความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขทุกคนในสถานการณ์ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563
อนุทิน ประกาศเป้าหมายความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขทุกคนในสถานการณ์ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
อนุทิน ประกาศเป้าหมายความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขทุกคนในสถานการณ์ COVID-19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศเป้าหมายนโยบาย “ความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขทุกคนในสถานการณ์ COVID-19” ทุกสถานพยาบาลต้องมีแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้บุคลากรปลอดภัย มีแนวทางมั่นใจ มีการจัดการอุปกรณ์ที่พร้อมใช้ สงสัยตรวจได้ เจ็บไข้รักษาทันที มีหลักประกันคุ้มครอง
วันนี้ (17 เมษายน 2563) ที่ห้องประชุมสานใจ อาคารสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข ครั้งที่ 1/2563 พร้อมประกาศเป้าหมาย “ความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขทุกคนในสถานการณ์ COVID-19” โดยมีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข องค์กรเครือข่ายสาธารณสุข ได้แก่ สปสช. สพฉ. สช. สวรส. และสรพ. กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย สมาคม ชมรม สภาวิชาชีพ ผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมการประชุม
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ข้อมูล ณ วันที่ 15 เมษายน 2563 พบบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขติดเชื้อ 99 ราย คิดเป็นร้อยละ 3.75 ของผู้ป่วยทั้งหมด ในขณะที่ทั่วโลกพบร้อยละ 4-9 คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข จึงได้มีมติให้ประกาศเป้าหมาย เรื่องความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุขในสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดทํา เพื่อให้สถานพยาบาลทุกแห่งดําเนินการสร้างความปลอดภัยแก่บุคลากรสาธารณสุขในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมั่นใจ มีสาระสําคัญ คือ ให้สถานพยาบาลทุกแห่งประกาศเป้าหมายและแนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของบุคลากร จัดสรรหน้ากากอนามัย Surgical Mask ให้เพียงพอและบริหารจัดการหน้ากาก N95 รวมถึงอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ ให้มีสํารองพร้อมใช้ หากบุคลากรสาธารณสุขมีความเสี่ยงหรือสงสัยติดเชื้อต้องได้รับการตรวจคัดกรองและรักษาทันที พร้อมตรวจคัดกรองคนในครอบครัว รวมทั้งมีหลักประกันคุ้มครองดูแลและเยียวยาบุคลากรสาธารณสุขที่ติดเชื้อจากการปฏิบัติหน้าที่ และให้มีช่องทางสื่อสารให้ความรู้ รับฟังความต้องการจากบุคลากร
“องค์การอนามัยโลกได้กําหนด Theme “World Patient Safety Day” ในปีนี้ว่า บุคลากรสาธารณสุขปลอดภัย (Health Worker Safety) ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีผู้ป่วยปลอดภัย หากบุคลากรสาธารณสุขไม่ปลอดภัย (No Patient Safety without Health Worker Safety) ซึ่งสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก ทําให้อุปกรณ์ป้องกันร่างกายขาดแคลน ทั้งหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุด PPE. จึงต้องเน้นการป้องกันควบคุมโรค เพื่อให้มีผู้ป่วยน้อยที่สุด และคัดกรองค้นหาผู้ป่วยมารับการรักษาให้เร็วที่สุด” นายอนุทินกล่าว
********************************** 17 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29269
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกสร. นำผู้บริหารแสดงเจตจำนงต่อต้านทุจริต
|
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561
อธิบดีกสร. นําผู้บริหารแสดงเจตจํานงต่อต้านทุจริต
อธิบดีกสร. นําผู้บริหารแสดงเจตจํานงต่อต้านทุจริต
นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นําคณะผู้บริหารทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จํานวน 150 คน ประกาศเจตจํานงพร้อมแสดงสัญลักษณ์ในการต่อต้านการทุจริต โดยประกาศเจตจํานงว่าจะประพฤติปฏิบัติตนเป็นข้าราชการที่ดี มีวินัย ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใสตรวจสอบได้ ยึดมั่นในความถูกต้อง เป็นธรรม ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนและน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดํารงชีวิตพร้อมทําความดีด้วยหัวใจและด้วยจิตอาสา ในวันที่ 20 ธันวาคม 2561 ณ โรงแรมเดอะ พาลาสโซ่ กทม.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกสร. นำผู้บริหารแสดงเจตจำนงต่อต้านทุจริต
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561
อธิบดีกสร. นําผู้บริหารแสดงเจตจํานงต่อต้านทุจริต
อธิบดีกสร. นําผู้บริหารแสดงเจตจํานงต่อต้านทุจริต
นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นําคณะผู้บริหารทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จํานวน 150 คน ประกาศเจตจํานงพร้อมแสดงสัญลักษณ์ในการต่อต้านการทุจริต โดยประกาศเจตจํานงว่าจะประพฤติปฏิบัติตนเป็นข้าราชการที่ดี มีวินัย ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใสตรวจสอบได้ ยึดมั่นในความถูกต้อง เป็นธรรม ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนและน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดํารงชีวิตพร้อมทําความดีด้วยหัวใจและด้วยจิตอาสา ในวันที่ 20 ธันวาคม 2561 ณ โรงแรมเดอะ พาลาสโซ่ กทม.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17632
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ชวนวิ่ง ชวนช็อป ชวนออม งานวันสถาปนาครบรอบ 53 ปี และสัปดาห์วันออมแห่งชาติ
|
วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562
ธ.ก.ส. ชวนวิ่ง ชวนช็อป ชวนออม งานวันสถาปนาครบรอบ 53 ปี และสัปดาห์วันออมแห่งชาติ
ธ.ก.ส.จัดตลาดนัดประชารัฐของดีวิถีชุมชนจากทั่วประเทศ และกิจกรรมวิ่งการกุศล BAAC Charity Run@Bangkhen เพื่อศิริราชพยาบาล ในโอกาสวันสถาปนาครบรอบปีที่ 53 พร้อมจัดสัปดาห์วันออมแห่งชาติ เพื่อหนุนการออมสู่ภาคประชาชน พบกิจกรรมดีๆ และโปรโมชั่นมากมาย 28 ต.ค.62
ธ.ก.ส. จัดตลาดนัดประชารัฐของดีวิถีชุมชนจากทั่วประเทศ และกิจกรรมวิ่งการกุศล BAAC Charity Run@Bangkhen เพื่อศิริราชพยาบาล ในโอกาสวันสถาปนาครบรอบปีที่ 53 พร้อมจัดสัปดาห์วันออมแห่งชาติ เพื่อหนุนการออมสู่ภาคประชาชน พบกิจกรรมดี ๆ และโปรโมชั่นมากมาย 28 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน นี้ ณ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน และกิจกรรมการออมที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา
นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบวันสถาปนา ธ.ก.ส. ปีที่ 53 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ธ.ก.ส. ขอเชิญชวน พี่น้องประชาชนทุกท่าน ร่วมชิม ชม ช็อป ตลาดนัดประชารัฐของดีวิถีชุมชน ที่นําสินค้าคุณภาพดีจากผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชน และเกษตรกรทั่วประเทศ มาจําหน่ายกว่า 60 บูธ ณ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน ในวันที่ 30 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2562 และการจัดนิทรรศการผลงานสําคัญของ ธ.ก.ส. กิจกรรม “วิ่งเลียบคลอง ทะลุอุโมงค์” ในงาน “BAAC Charity Run 2019@Bangkhen” ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 โดยรายได้จากการจัดงานและค่าสมัครทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่าย นําไปร่วมสมทบทุน “อาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา” คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและโรงพยาบาลศิริราช รวมถึงกิจกรรมทําหมอนหลอดเพื่อผู้ป่วย ติดเตียง และกิจกรรมประมูลสิ่งของ หยิบแล้วหยอดของมูลนิธิ อาจารย์จําเนียร สาระนาค เพื่อนําเงินไปช่วยเหลือและพัฒนาเกษตรกรในชนบท เป็นต้น
นอกจากนี้ ภายในช่วงวันที่ 28 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2562 ณ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ยังจัดกิจกรรมสัปดาห์วันออมแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนทั่วประเทศสร้างภูมิคุ้มกัน ผ่านกิจกรรมการออมเงิน โดยมีผลิตภัณฑ์และโปรโมชั่นมากมาย เช่น การเปิดบัญชีหรือฝากเพิ่ม 40,000 บาทขึ้นไปและให้คงยอดเงินฝากไว้อย่างน้อย 6 เดือน รับฟรีปิ่นโตน้องหอมจัง “โครงการออมเงิน เพื่อลดภาระหนี้กับทวีโชค” ปี 2 สําหรับเกษตรกรลูกค้าที่พักชําระหนี้ ฝากเงินเพิ่มทุก ๆ 1,000 บาท ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทวีโชคเป็นระยะเวลา 6 เดือนขึ้นไป จะได้รับคูปองจับรางวัล 1,000 บาท ต่อ 1 สิทธิ์ เพื่อลุ้นของรางวัลเพิ่มเติมนอกเหนือจากรางวัล ออมทรัพย์ทวีโชคปกติ กิจกรรม “ออมเงินกับกองทุนทวีสุข” สําหรับสมาชิกกองทุนทวีสุข หัวหน้ากลุ่มลูกค้า หรือเกษตรกรลูกค้าที่ยังไม่มีบัญชีกองทุนฯ และสมาชิก อสม. ฝากเงินหรือเปิดบัญชีกับโครงการ จะได้รับกระเป๋าผ้ากองทุนทวีสุข “โครงการดีต่อใจ จัดให้ 6 เดือน” เงินฝากระยะเวลา 6 เดือน ที่ให้ดอกเบี้ยสูงสุดร้อยละ 1.20 ต่อปี และสลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน หน่วยละ 20 บาท ลุ้นรางวัลสูงสุด 2,000,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมสัปดาห์การออมกับ ธ.ก.ส. ยังได้รับของที่ระลึกและของรางวัลดี ๆ อีกมากมาย
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ในระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2562 ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกิจกรรมสัปดาห์วันออมแห่งชาติ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันทางการเงินผ่านการออม พร้อมรับของที่ระลึกและโปรโมชั่นมากมาย ร่วมวิ่งการกุศลและอุดหนุนสินค้าในงานตลาดนัดของดีวิถีชุมชนซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนเกษตรกรและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ในโอกาสครบรอบวันสถาปนา ธ.ก.ส. ปีที่ 53 ด้วยปณิธาน ธ.ก.ส. เป็นมากกว่าธนาคาร ที่พร้อมดูแลภาคเกษตรของประเทศและยังคงเดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่องต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ชวนวิ่ง ชวนช็อป ชวนออม งานวันสถาปนาครบรอบ 53 ปี และสัปดาห์วันออมแห่งชาติ
วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562
ธ.ก.ส. ชวนวิ่ง ชวนช็อป ชวนออม งานวันสถาปนาครบรอบ 53 ปี และสัปดาห์วันออมแห่งชาติ
ธ.ก.ส.จัดตลาดนัดประชารัฐของดีวิถีชุมชนจากทั่วประเทศ และกิจกรรมวิ่งการกุศล BAAC Charity Run@Bangkhen เพื่อศิริราชพยาบาล ในโอกาสวันสถาปนาครบรอบปีที่ 53 พร้อมจัดสัปดาห์วันออมแห่งชาติ เพื่อหนุนการออมสู่ภาคประชาชน พบกิจกรรมดีๆ และโปรโมชั่นมากมาย 28 ต.ค.62
ธ.ก.ส. จัดตลาดนัดประชารัฐของดีวิถีชุมชนจากทั่วประเทศ และกิจกรรมวิ่งการกุศล BAAC Charity Run@Bangkhen เพื่อศิริราชพยาบาล ในโอกาสวันสถาปนาครบรอบปีที่ 53 พร้อมจัดสัปดาห์วันออมแห่งชาติ เพื่อหนุนการออมสู่ภาคประชาชน พบกิจกรรมดี ๆ และโปรโมชั่นมากมาย 28 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน นี้ ณ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน และกิจกรรมการออมที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา
นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบวันสถาปนา ธ.ก.ส. ปีที่ 53 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ธ.ก.ส. ขอเชิญชวน พี่น้องประชาชนทุกท่าน ร่วมชิม ชม ช็อป ตลาดนัดประชารัฐของดีวิถีชุมชน ที่นําสินค้าคุณภาพดีจากผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชน และเกษตรกรทั่วประเทศ มาจําหน่ายกว่า 60 บูธ ณ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน ในวันที่ 30 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2562 และการจัดนิทรรศการผลงานสําคัญของ ธ.ก.ส. กิจกรรม “วิ่งเลียบคลอง ทะลุอุโมงค์” ในงาน “BAAC Charity Run 2019@Bangkhen” ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 โดยรายได้จากการจัดงานและค่าสมัครทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่าย นําไปร่วมสมทบทุน “อาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา” คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและโรงพยาบาลศิริราช รวมถึงกิจกรรมทําหมอนหลอดเพื่อผู้ป่วย ติดเตียง และกิจกรรมประมูลสิ่งของ หยิบแล้วหยอดของมูลนิธิ อาจารย์จําเนียร สาระนาค เพื่อนําเงินไปช่วยเหลือและพัฒนาเกษตรกรในชนบท เป็นต้น
นอกจากนี้ ภายในช่วงวันที่ 28 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2562 ณ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ยังจัดกิจกรรมสัปดาห์วันออมแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนทั่วประเทศสร้างภูมิคุ้มกัน ผ่านกิจกรรมการออมเงิน โดยมีผลิตภัณฑ์และโปรโมชั่นมากมาย เช่น การเปิดบัญชีหรือฝากเพิ่ม 40,000 บาทขึ้นไปและให้คงยอดเงินฝากไว้อย่างน้อย 6 เดือน รับฟรีปิ่นโตน้องหอมจัง “โครงการออมเงิน เพื่อลดภาระหนี้กับทวีโชค” ปี 2 สําหรับเกษตรกรลูกค้าที่พักชําระหนี้ ฝากเงินเพิ่มทุก ๆ 1,000 บาท ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทวีโชคเป็นระยะเวลา 6 เดือนขึ้นไป จะได้รับคูปองจับรางวัล 1,000 บาท ต่อ 1 สิทธิ์ เพื่อลุ้นของรางวัลเพิ่มเติมนอกเหนือจากรางวัล ออมทรัพย์ทวีโชคปกติ กิจกรรม “ออมเงินกับกองทุนทวีสุข” สําหรับสมาชิกกองทุนทวีสุข หัวหน้ากลุ่มลูกค้า หรือเกษตรกรลูกค้าที่ยังไม่มีบัญชีกองทุนฯ และสมาชิก อสม. ฝากเงินหรือเปิดบัญชีกับโครงการ จะได้รับกระเป๋าผ้ากองทุนทวีสุข “โครงการดีต่อใจ จัดให้ 6 เดือน” เงินฝากระยะเวลา 6 เดือน ที่ให้ดอกเบี้ยสูงสุดร้อยละ 1.20 ต่อปี และสลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน หน่วยละ 20 บาท ลุ้นรางวัลสูงสุด 2,000,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมสัปดาห์การออมกับ ธ.ก.ส. ยังได้รับของที่ระลึกและของรางวัลดี ๆ อีกมากมาย
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ในระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2562 ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกิจกรรมสัปดาห์วันออมแห่งชาติ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันทางการเงินผ่านการออม พร้อมรับของที่ระลึกและโปรโมชั่นมากมาย ร่วมวิ่งการกุศลและอุดหนุนสินค้าในงานตลาดนัดของดีวิถีชุมชนซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนเกษตรกรและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ในโอกาสครบรอบวันสถาปนา ธ.ก.ส. ปีที่ 53 ด้วยปณิธาน ธ.ก.ส. เป็นมากกว่าธนาคาร ที่พร้อมดูแลภาคเกษตรของประเทศและยังคงเดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่องต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24116
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีบำเพ็ญกุศลเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในงาน “ใต้ร่มพระบารมี 235 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”
|
วันพุธที่ 26 เมษายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีบําเพ็ญกุศลเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในงาน “ใต้ร่มพระบารมี 235 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”
กระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวรัจนา เนตรแสงทิพย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมพิธีบําเพ็ญกุศลเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวิชาลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในงาน “ใต้ร่มพระบารมี 235 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 30 เมษายน 2560 เพื่อเทิดพระเกียรติพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงศ์จักรี อีกทั้งเป็นการนํากิจกรรมทางศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม ในมิติต่าง ๆ มานําเสนอให้คนไทยได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์สังคมไทย ณ พระอารามหลวงที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี จํานวน 10 วัด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานสําคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและแนวทางการดําเนินงานของรัฐบาล ในการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานทุกภาคส่วน ส่งเสริมความเป็นไทย ด้วยการนําศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์สังคมไทยให้ธํารงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติให้คงอยู่คู่สังคมไทยอย่างมั่นคง ยั่งยืน โดยครั้งนี้กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพกิจกรรมดังกล่าว ณ พระอุโบสถ วัดวชิรธรรมสาธิต กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2560
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีบำเพ็ญกุศลเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในงาน “ใต้ร่มพระบารมี 235 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”
วันพุธที่ 26 เมษายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีบําเพ็ญกุศลเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในงาน “ใต้ร่มพระบารมี 235 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”
กระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวรัจนา เนตรแสงทิพย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมพิธีบําเพ็ญกุศลเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวิชาลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในงาน “ใต้ร่มพระบารมี 235 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 30 เมษายน 2560 เพื่อเทิดพระเกียรติพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงศ์จักรี อีกทั้งเป็นการนํากิจกรรมทางศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม ในมิติต่าง ๆ มานําเสนอให้คนไทยได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์สังคมไทย ณ พระอารามหลวงที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี จํานวน 10 วัด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานสําคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและแนวทางการดําเนินงานของรัฐบาล ในการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานทุกภาคส่วน ส่งเสริมความเป็นไทย ด้วยการนําศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์สังคมไทยให้ธํารงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติให้คงอยู่คู่สังคมไทยอย่างมั่นคง ยั่งยืน โดยครั้งนี้กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพกิจกรรมดังกล่าว ณ พระอุโบสถ วัดวชิรธรรมสาธิต กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2560
************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3296
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรสกัดกั้นการนำเข้ายาผิดกฎหมาย
|
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
กรมศุลกากรสกัดกั้นการนําเข้ายาผิดกฎหมาย
กรมศุลกากรได้มีนโยบายให้เพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันและสกัดกั้นยาผิดกฎหมายและยาปลอม รวมทั้งยาควบคุมพิเศษ และยาอันตราย ซึ่งมิได้มีการขออนุญาตนําเข้าตาม พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 อย่างถูกต้อง
ตามที่นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร ได้มีนโยบายให้เพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันและสกัดกั้นยาผิดกฎหมายและยาปลอม รวมทั้งยาควบคุมพิเศษ และยาอันตราย ซึ่งมิได้มีการขออนุญาตนําเข้าตาม พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 อย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันมิให้ยาเหล่านั้นถูกนําไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์และก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภคในประเทศไทย ในการนี้จึงได้มอบหมายและสั่งการให้ศูนย์ประมวลข้อมูลการข่าวทางศุลกากรทําการวิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มของการลักลอบนําเข้าสินค้าประเภทดังกล่าวมายังประเทศไทย พร้อมทั้งเสนอแนะแผนปฏิบัติเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ซึ่งจากการประมวลข้อมูลการข่าวที่เกี่ยวข้องพบว่า ในปัจจุบันการซื้อยาผ่านทางช่องทางออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากความสะดวกสบายในการสั่งซื้อและการจัดส่งที่รวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นการง่ายในการจัดหายาบางประเภทที่ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด แต่อย่างไรก็ตามกลับพบว่ายาที่ถูกส่งเข้ามายังประเทศไทยจํานวนมากเป็นยาผิดกฎหมาย กล่าวคือเป็นยาที่ทางองค์การอาหารและยาไม่ได้ให้การรับรองตํารับยาเอาไว้ หรือได้เพิกถอนตําหรับยาไปแล้วเนื่องจากพบว่าการใช้ยาชนิดดังกล่าวนั้นอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ และในหลายกรณียังพบว่ามีการนํายาบางชนิดไปใช้งานผิดประเภท
โดยเมื่อวันที่ 9 ถึง 16 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา กรมศุลกากร ภายใต้การอํานวยการของ นายสรศักดิ์ มีนะโตรี รองอธิบดีกรมศุลกากร นายชัยฤทธิ์ แพทย์สมาน ผู้อํานวยการศูนย์ประมวลข้อมูลการข่าวทางศุลกากร นางกิจจาลักษณ์ ศรีนุชศาสตร์ ผู้อํานวยการสํานักงานศุลกากรกรุงเทพ และนายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ผู้อํานวยการสํานักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวดเป็นพิเศษในการตรวจค้นพัสดุไปรษณีย์ และพัสดุเร่งด่วน ที่ส่งมาจากต้นทางประเทศที่มีความเสี่ยง พร้อมทั้งกําชับให้ดําเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
จากปฏิบัติการอย่างเข้มงวดดังกล่าว กรมศุลกากรสามารถตรวจพบยาที่ถูกลักลอบนําเข้ามาอย่างผิดกฎหมายได้เป็นจํานวนมาก มีทั้งยาควบคุมพิเศษ ยาอันตราย ยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตํารับยาในประเทศ และสารระเหยควบคุม อาทิ ยาทําแท้งชนิดเม็ด ยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศที่รู้จักติดปากกันทั่วไปในนามไวอากร้า โดยพบมากถึง 3 ชนิด ได้แก่ Sildenafil Tadalafil และ Verdenafil และยาอีทิโซแลม (Etizolam) อันเป็นยานอนหลับชนิดออกฤทธิ์รุนแรง ละลายได้เฉพาะในแอลกอฮอล์เท่านั้น ซึ่งบุคคลทั่วไปมักรู้จักยานี้ในชื่อ "Supersleep" หรือเรียกในภาษาไทยว่า "ยาเสียหนุ่ม" หรือ "ยาเสียสาว" โดยยาชนิดนี้นั้นมักถูกนํามาใช้แทนยาอี นอกจากนั้นยังได้มีการตรวจพบสารระเหยชนิด Isopropyl Nitrite ซึ่งเป็นสารระเหยควบคุมตาม พ.ร.ก. ป้องกันการใช้สารระเหย พ.ศ. 2553 ถูกบรรจุมาในขวดขนาดเล็กติดฉลากว่าเป็นน้ําหอมปรับอากาศ (Room Odoriser) โดยสารระเหยชนิดนี้จะทําให้ผู้สูดดมมีอาการเคลิบเคลิ้มมึนเมา หัวใจเต้นแรง และมีความต้องการทางเพศอย่างรุนแรง ซึ่งในกลุ่มผู้ใช้มักเรียกสารชนิดนี้ว่าปอปเปอร์ (Popper) ทั้งนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตว่ามีการตรวจพบยา Modafinil และ Armodafinil ถูกสั่งเข้ามาเป็นจํานวนมาก โดยมีปลายทางที่สําคัญเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ในประเทศไทย ซึ่งยาชนิดนี้เป็นยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคลมหลับ ออกฤทธิ์ขัดขวางการทํางานของสารเคมีในสมอง อันจะช่วยทําให้ผู้ที่ได้รับยามีความตื่นตัว ปัจจุบันวัยรุ่นต่างชาติจํานวนมากนิยมนํามาใช้เป็น “ยาคึก” ในงานปาร์ตี้แทนยาเสพติด และอยู่ในกลุ่มยาที่ใช้ทดแทนแอมเฟตามีนหรือยาบ้า
ปัจจุบันยาผิดกฎหมายจํานวนมากสามารถหาซื้อได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นในสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น เพจเฟสบุ๊ค อินสตราแกรม หรือเว็บไซต์เถื่อน (Dark web) โดยจากปฏิบัติการในช่วง 8 วันที่ผ่านมา กรมศุลกากรสามารถตรวจยึดยาผิดกฎหมายได้กว่า 50 คดี รวมมูลค่าของทั้งหมดประมาณ 500,000 บาท
อนึ่งการปฏิบัติการสกัดกั้นและกวาดล้างยาผิดกฎหมายในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการแพนเจีย (Operation Pangea) โดยปฏิบัติการดังกล่าวเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างองค์การตํารวจสากล (Interpol) และองค์การศุลกากรโลก (WCO) มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านการจําหน่ายยาปลอมและยาผิดกฎหมายผ่านทางช่องทางออนไลน์ และเป็นปฏิบัติการที่ดําเนินการพร้อมกันในหลายประเทศทั่วโลก โดยกรมศุลกากรจะนําผลการดําเนินงานจากปฏิบัติการในครั้งนี้ ไปพัฒนามาตรการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการนําเข้ายาทางไปรษณีย์และพัสดุเร่งด่วน รวมทั้งนําไปจัดทําแผนปฏิบัติการการควบคุมทางศุลกากรสําหรับไปรษณีย์ระหว่างประเทศในด้านอื่น ๆ ต่อไป
ทั้งนี้ ท่านสามารถติดตามการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของกรมศุลกากรที่ถูกต้องตรงประเด็นได้ 4 ช่องทาง ดังนี้
1. website : https://www.Customs.go.th
2. Facebook : https://www.facebook.com/customsdepartment.thai/
3. Youtube : https://www.youtube.com/theprcustoms
4. Line Official Account :Thaicustoms
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรสกัดกั้นการนำเข้ายาผิดกฎหมาย
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
กรมศุลกากรสกัดกั้นการนําเข้ายาผิดกฎหมาย
กรมศุลกากรได้มีนโยบายให้เพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันและสกัดกั้นยาผิดกฎหมายและยาปลอม รวมทั้งยาควบคุมพิเศษ และยาอันตราย ซึ่งมิได้มีการขออนุญาตนําเข้าตาม พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 อย่างถูกต้อง
ตามที่นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร ได้มีนโยบายให้เพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันและสกัดกั้นยาผิดกฎหมายและยาปลอม รวมทั้งยาควบคุมพิเศษ และยาอันตราย ซึ่งมิได้มีการขออนุญาตนําเข้าตาม พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 อย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันมิให้ยาเหล่านั้นถูกนําไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์และก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภคในประเทศไทย ในการนี้จึงได้มอบหมายและสั่งการให้ศูนย์ประมวลข้อมูลการข่าวทางศุลกากรทําการวิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มของการลักลอบนําเข้าสินค้าประเภทดังกล่าวมายังประเทศไทย พร้อมทั้งเสนอแนะแผนปฏิบัติเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ซึ่งจากการประมวลข้อมูลการข่าวที่เกี่ยวข้องพบว่า ในปัจจุบันการซื้อยาผ่านทางช่องทางออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากความสะดวกสบายในการสั่งซื้อและการจัดส่งที่รวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นการง่ายในการจัดหายาบางประเภทที่ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด แต่อย่างไรก็ตามกลับพบว่ายาที่ถูกส่งเข้ามายังประเทศไทยจํานวนมากเป็นยาผิดกฎหมาย กล่าวคือเป็นยาที่ทางองค์การอาหารและยาไม่ได้ให้การรับรองตํารับยาเอาไว้ หรือได้เพิกถอนตําหรับยาไปแล้วเนื่องจากพบว่าการใช้ยาชนิดดังกล่าวนั้นอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ และในหลายกรณียังพบว่ามีการนํายาบางชนิดไปใช้งานผิดประเภท
โดยเมื่อวันที่ 9 ถึง 16 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา กรมศุลกากร ภายใต้การอํานวยการของ นายสรศักดิ์ มีนะโตรี รองอธิบดีกรมศุลกากร นายชัยฤทธิ์ แพทย์สมาน ผู้อํานวยการศูนย์ประมวลข้อมูลการข่าวทางศุลกากร นางกิจจาลักษณ์ ศรีนุชศาสตร์ ผู้อํานวยการสํานักงานศุลกากรกรุงเทพ และนายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ผู้อํานวยการสํานักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวดเป็นพิเศษในการตรวจค้นพัสดุไปรษณีย์ และพัสดุเร่งด่วน ที่ส่งมาจากต้นทางประเทศที่มีความเสี่ยง พร้อมทั้งกําชับให้ดําเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
จากปฏิบัติการอย่างเข้มงวดดังกล่าว กรมศุลกากรสามารถตรวจพบยาที่ถูกลักลอบนําเข้ามาอย่างผิดกฎหมายได้เป็นจํานวนมาก มีทั้งยาควบคุมพิเศษ ยาอันตราย ยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตํารับยาในประเทศ และสารระเหยควบคุม อาทิ ยาทําแท้งชนิดเม็ด ยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศที่รู้จักติดปากกันทั่วไปในนามไวอากร้า โดยพบมากถึง 3 ชนิด ได้แก่ Sildenafil Tadalafil และ Verdenafil และยาอีทิโซแลม (Etizolam) อันเป็นยานอนหลับชนิดออกฤทธิ์รุนแรง ละลายได้เฉพาะในแอลกอฮอล์เท่านั้น ซึ่งบุคคลทั่วไปมักรู้จักยานี้ในชื่อ "Supersleep" หรือเรียกในภาษาไทยว่า "ยาเสียหนุ่ม" หรือ "ยาเสียสาว" โดยยาชนิดนี้นั้นมักถูกนํามาใช้แทนยาอี นอกจากนั้นยังได้มีการตรวจพบสารระเหยชนิด Isopropyl Nitrite ซึ่งเป็นสารระเหยควบคุมตาม พ.ร.ก. ป้องกันการใช้สารระเหย พ.ศ. 2553 ถูกบรรจุมาในขวดขนาดเล็กติดฉลากว่าเป็นน้ําหอมปรับอากาศ (Room Odoriser) โดยสารระเหยชนิดนี้จะทําให้ผู้สูดดมมีอาการเคลิบเคลิ้มมึนเมา หัวใจเต้นแรง และมีความต้องการทางเพศอย่างรุนแรง ซึ่งในกลุ่มผู้ใช้มักเรียกสารชนิดนี้ว่าปอปเปอร์ (Popper) ทั้งนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตว่ามีการตรวจพบยา Modafinil และ Armodafinil ถูกสั่งเข้ามาเป็นจํานวนมาก โดยมีปลายทางที่สําคัญเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ในประเทศไทย ซึ่งยาชนิดนี้เป็นยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคลมหลับ ออกฤทธิ์ขัดขวางการทํางานของสารเคมีในสมอง อันจะช่วยทําให้ผู้ที่ได้รับยามีความตื่นตัว ปัจจุบันวัยรุ่นต่างชาติจํานวนมากนิยมนํามาใช้เป็น “ยาคึก” ในงานปาร์ตี้แทนยาเสพติด และอยู่ในกลุ่มยาที่ใช้ทดแทนแอมเฟตามีนหรือยาบ้า
ปัจจุบันยาผิดกฎหมายจํานวนมากสามารถหาซื้อได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นในสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น เพจเฟสบุ๊ค อินสตราแกรม หรือเว็บไซต์เถื่อน (Dark web) โดยจากปฏิบัติการในช่วง 8 วันที่ผ่านมา กรมศุลกากรสามารถตรวจยึดยาผิดกฎหมายได้กว่า 50 คดี รวมมูลค่าของทั้งหมดประมาณ 500,000 บาท
อนึ่งการปฏิบัติการสกัดกั้นและกวาดล้างยาผิดกฎหมายในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการแพนเจีย (Operation Pangea) โดยปฏิบัติการดังกล่าวเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างองค์การตํารวจสากล (Interpol) และองค์การศุลกากรโลก (WCO) มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านการจําหน่ายยาปลอมและยาผิดกฎหมายผ่านทางช่องทางออนไลน์ และเป็นปฏิบัติการที่ดําเนินการพร้อมกันในหลายประเทศทั่วโลก โดยกรมศุลกากรจะนําผลการดําเนินงานจากปฏิบัติการในครั้งนี้ ไปพัฒนามาตรการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการนําเข้ายาทางไปรษณีย์และพัสดุเร่งด่วน รวมทั้งนําไปจัดทําแผนปฏิบัติการการควบคุมทางศุลกากรสําหรับไปรษณีย์ระหว่างประเทศในด้านอื่น ๆ ต่อไป
ทั้งนี้ ท่านสามารถติดตามการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของกรมศุลกากรที่ถูกต้องตรงประเด็นได้ 4 ช่องทาง ดังนี้
1. website : https://www.Customs.go.th
2. Facebook : https://www.facebook.com/customsdepartment.thai/
3. Youtube : https://www.youtube.com/theprcustoms
4. Line Official Account :Thaicustoms
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16180
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอร่วมพิธีลงนามสัญญาพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา
|
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563
บีโอไอร่วมพิธีลงนามสัญญาพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา
บีโอไอร่วมพิธีลงนามสัญญาพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา
เมื่อเร็วๆนี้ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (กลาง) ได้เข้าร่วมพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ระหว่างสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด (ชื่อเดิม คือ กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส) ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอร่วมพิธีลงนามสัญญาพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563
บีโอไอร่วมพิธีลงนามสัญญาพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา
บีโอไอร่วมพิธีลงนามสัญญาพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา
เมื่อเร็วๆนี้ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (กลาง) ได้เข้าร่วมพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ระหว่างสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด (ชื่อเดิม คือ กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส) ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32699
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ภาครัฐพร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะทุกประเภท อาทิ มาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานอุดหนุนราคา CNG ประสานบริษัท Leasing พักชำระหนี้ 3-6 เดือน [กระทรวงคมนาคม]
|
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
ภาครัฐพร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะทุกประเภท อาทิ มาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานอุดหนุนราคา CNG ประสานบริษัท Leasing พักชําระหนี้ 3-6 เดือน [กระทรวงคมนาคม]
ภาครัฐพร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะทุกประเภท อาทิ มาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานอุดหนุนราคา CNG ประสานบริษัท Leasing พักชําระหนี้ 3-6 เดือน
กรมการขนส่งทางบก ยืนยัน!! ภาครัฐพร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะทุกประเภท อาทิ มาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานอุดหนุนราคา CNG ประสานบริษัท Leasing พักชําระหนี้ 3-6 เดือน หรือขยายเวลาผ่อนชําระ ด้านผู้ขับรถแท็กซี่ ขอให้ผู้โดยสารมั่นใจ ทําความสะอาดฆ่าเชื้อภายในรถทุกวัน คนขับรถสวมหน้ากากตลอดเวลาให้บริการ
.
.
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะ โดยเฉพาะผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติงดการเดินทาง ผู้โดยสารคนไทยก็มีจํานวนน้อยลงเพราะเริ่มทํางานที่บ้านมากขึ้น ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบก ได้เสนอมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานให้กับผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะ ซึ่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติให้ขยายการช่วยเหลือด้านพลังงาน โดยให้บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ขยายระยะเวลาในการอุดหนุนราคา CNG สําหรับรถโดยสารสาธารณะ (รถบัส) รถตู้โดยสารสาธารณะ รถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) รถสามล้อรับจ้าง ที่ถือบัตรส่วนลด ที่ 10.62 บาทต่อกิโลกรัม เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 – 30 มิถุนายน 2563 ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะได้
.
นอกจากนี้ จากการหารือร่วมกับ สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และสมาคมประกันวินาศภัย กรมการขนส่งทางบกได้ข้อสรุปมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะ ดังนี้ สถาบันการเงินภายใต้การกํากับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีมาตรการพักชําระหนี้ได้ระยะเวลา 6 เดือน และสามารถขอขยายเวลาชําระหนี้ออกไปอีกได้ไม่เกิน 96 เดือน โดยรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆ เป็นไปตามที่ ธปท. กําหนด สําหรับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (NON-BANK) หรือบริษัท Leasing ที่ปล่อยกู้กับผู้เช่าซื้อรถยนต์ เบื้องต้นจํานวน 15 แห่ง มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านสินเชื่อ ทั้งการพักชําระหนี้ 3-6 เดือน และขยายเวลาผ่อนชําระไม่เกิน 96 เดือน ตามข้อเสนอของกรมการขนส่งทางบกและผู้ประกอบการขนส่ง ครอบคลุมรถโดยสารและรถบรรทุก ทั้งประเภทไม่ประจําทางและประจําทาง รวมถึงรถแท็กซี่ และรถรับจ้างประเภทอื่นๆ ด้วย ทั้งนี้เงื่อนไขมาตรการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวขึ้นอยู่กับศักยภาพของสถาบันการเงินแต่ละรายด้วย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการอาจแจ้งการหยุดใช้รถในช่วงนี้ เพื่อขอรับเบี้ยประกันภัยในช่วงเวลาที่หยุดใช้รถคืนหรือผู้ประกอบการอาจตกลงกับบริษัทผู้รับประกันเพื่อนําเบี้ยประกันภัยที่ได้รับคืนมาขยายระยะเวลาคุ้มครองได้ โดยสมาคมประกันวินาศภัยไทย แจ้งปรับหลักเกณฑ์การแจ้งหยุดใช้รถตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ให้ผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะ สามารถทําหนังสือถึงบริษัทประกันภัยเพื่อแจ้งหยุดใช้รถได้โดยตรงกับบริษัทประกันภัย โดยมีเงื่อนไขระยะเวลาในการแจ้งหยุดใช้รถต้องไม่น้อยกว่า 30 วัน นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการชดเชยรายได้ผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 สําหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งรวมถึงผู้ขับรถแท็กซี่ด้วย โดยสามารถลงทะเบียนใช้สิทธิได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.comอีกทั้งกรมการขนส่งทางบกอยู่ระหว่างขอให้กรมบัญชีกลางพิจารณาให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้ได้กับผู้ประกอบการขนส่งภาคเอกชน (รถร่วม)
.
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้การให้บริการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะยังคงให้บริการประชาชน โดยทุกฝ่ายทั้งผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ขับรถ และผู้โดยสารต้องปฏิบัติตามมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด ซึ่งกลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ได้มีมาตรการเพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อโรคภายในรถ จัดให้มีแอลกอฮอล์เจลสําหรับล้างมือภายในรถ และสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดระยะเวลาให้บริการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและป้องกันทั้งผู้ขับรถและผู้โดยสารจากเชื้อไวรัส ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกพร้อมดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเพื่อพิจารณามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่ง เพื่อสู้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ภาครัฐพร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะทุกประเภท อาทิ มาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานอุดหนุนราคา CNG ประสานบริษัท Leasing พักชำระหนี้ 3-6 เดือน [กระทรวงคมนาคม]
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
ภาครัฐพร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะทุกประเภท อาทิ มาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานอุดหนุนราคา CNG ประสานบริษัท Leasing พักชําระหนี้ 3-6 เดือน [กระทรวงคมนาคม]
ภาครัฐพร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะทุกประเภท อาทิ มาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานอุดหนุนราคา CNG ประสานบริษัท Leasing พักชําระหนี้ 3-6 เดือน
กรมการขนส่งทางบก ยืนยัน!! ภาครัฐพร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะทุกประเภท อาทิ มาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานอุดหนุนราคา CNG ประสานบริษัท Leasing พักชําระหนี้ 3-6 เดือน หรือขยายเวลาผ่อนชําระ ด้านผู้ขับรถแท็กซี่ ขอให้ผู้โดยสารมั่นใจ ทําความสะอาดฆ่าเชื้อภายในรถทุกวัน คนขับรถสวมหน้ากากตลอดเวลาให้บริการ
.
.
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะ โดยเฉพาะผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติงดการเดินทาง ผู้โดยสารคนไทยก็มีจํานวนน้อยลงเพราะเริ่มทํางานที่บ้านมากขึ้น ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบก ได้เสนอมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานให้กับผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะ ซึ่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติให้ขยายการช่วยเหลือด้านพลังงาน โดยให้บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ขยายระยะเวลาในการอุดหนุนราคา CNG สําหรับรถโดยสารสาธารณะ (รถบัส) รถตู้โดยสารสาธารณะ รถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) รถสามล้อรับจ้าง ที่ถือบัตรส่วนลด ที่ 10.62 บาทต่อกิโลกรัม เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 – 30 มิถุนายน 2563 ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะได้
.
นอกจากนี้ จากการหารือร่วมกับ สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และสมาคมประกันวินาศภัย กรมการขนส่งทางบกได้ข้อสรุปมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะ ดังนี้ สถาบันการเงินภายใต้การกํากับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีมาตรการพักชําระหนี้ได้ระยะเวลา 6 เดือน และสามารถขอขยายเวลาชําระหนี้ออกไปอีกได้ไม่เกิน 96 เดือน โดยรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆ เป็นไปตามที่ ธปท. กําหนด สําหรับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (NON-BANK) หรือบริษัท Leasing ที่ปล่อยกู้กับผู้เช่าซื้อรถยนต์ เบื้องต้นจํานวน 15 แห่ง มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านสินเชื่อ ทั้งการพักชําระหนี้ 3-6 เดือน และขยายเวลาผ่อนชําระไม่เกิน 96 เดือน ตามข้อเสนอของกรมการขนส่งทางบกและผู้ประกอบการขนส่ง ครอบคลุมรถโดยสารและรถบรรทุก ทั้งประเภทไม่ประจําทางและประจําทาง รวมถึงรถแท็กซี่ และรถรับจ้างประเภทอื่นๆ ด้วย ทั้งนี้เงื่อนไขมาตรการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวขึ้นอยู่กับศักยภาพของสถาบันการเงินแต่ละรายด้วย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการอาจแจ้งการหยุดใช้รถในช่วงนี้ เพื่อขอรับเบี้ยประกันภัยในช่วงเวลาที่หยุดใช้รถคืนหรือผู้ประกอบการอาจตกลงกับบริษัทผู้รับประกันเพื่อนําเบี้ยประกันภัยที่ได้รับคืนมาขยายระยะเวลาคุ้มครองได้ โดยสมาคมประกันวินาศภัยไทย แจ้งปรับหลักเกณฑ์การแจ้งหยุดใช้รถตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ให้ผู้ประกอบการขนส่งและผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะ สามารถทําหนังสือถึงบริษัทประกันภัยเพื่อแจ้งหยุดใช้รถได้โดยตรงกับบริษัทประกันภัย โดยมีเงื่อนไขระยะเวลาในการแจ้งหยุดใช้รถต้องไม่น้อยกว่า 30 วัน นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการชดเชยรายได้ผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 สําหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งรวมถึงผู้ขับรถแท็กซี่ด้วย โดยสามารถลงทะเบียนใช้สิทธิได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.comอีกทั้งกรมการขนส่งทางบกอยู่ระหว่างขอให้กรมบัญชีกลางพิจารณาให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้ได้กับผู้ประกอบการขนส่งภาคเอกชน (รถร่วม)
.
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้การให้บริการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะยังคงให้บริการประชาชน โดยทุกฝ่ายทั้งผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ขับรถ และผู้โดยสารต้องปฏิบัติตามมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด ซึ่งกลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ได้มีมาตรการเพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อโรคภายในรถ จัดให้มีแอลกอฮอล์เจลสําหรับล้างมือภายในรถ และสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดระยะเวลาให้บริการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและป้องกันทั้งผู้ขับรถและผู้โดยสารจากเชื้อไวรัส ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกพร้อมดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเพื่อพิจารณามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่ง เพื่อสู้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28481
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ “หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกับการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคม”
|
วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2560
นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ “หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกับการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคม”
นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ “หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกับการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคม”
วันนี้ (พุธ 31 พฤษภาคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกับการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคม” ในการเปิดสัมมนาวิชาการเพื่อเผยแพร่และขับเคลื่อนหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประกอบธุรกิจโดยเคารพในสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยชนนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องทางศีลธรรม และเป็นโอกาสนําประเทศสู่ “ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพราะธุรกิจคือพลังขับเคลื่อนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และสิทธิมนุษยชนคือ การดูแลคนทุกคนให้สามารถดํารงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีความปลอดภัยในชีวิต มีมาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสม มีโอกาสเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการของรัฐ และได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม ดังนั้น ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนก็คือการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นธรรมทางสังคม
รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศด้วยความมุ่งมั่นเพื่อยุติความขัดแย้งและวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาวเพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงและมีความเจริญก้าวหน้าทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ให้ประชาชนกินดีอยู่ดี ภาคธุรกิจจึงมีบทบาทสําคัญในการช่วยพัฒนาประเทศ ทําให้เกิดการจ้างงาน ส่งผลให้ประชาชนสามารถยกระดับมาตรฐานการดํารงชีวิตของตนและครอบครัว และดํารงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี ตลอดจนช่วยบรรเทาปัญหาสังคม นําพาประเทศชาติสู่ความมั่นคงและเจริญก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืน
การที่สหประชาชาติให้การรับรองหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน จึงเป็นจุดเปลี่ยนสําคัญเพราะเป็นครั้งแรกที่ประชาคมโลกมีความพยายามในการสนับสนุนให้การกําหนดความรับผิดชอบของธุรกิจในการเคารพสิทธิมนุษยชนได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ แม้จะยังไม่ได้กําหนดความรับผิดชอบของภาคธุรกิจไว้ในลักษณะเป็นข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดก็ตาม แต่ระบุว่าเป็นความรับผิดชอบของภาคธุรกิจที่ต้องดําเนินการถือเป็นการวางบรรทัดฐานสําหรับภาคเอกชนในการเคารพสิทธิมนุษยชนในการดําเนิน
หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่สหประชาชาติให้การรับรองนี้ไม่เพียงแต่กล่าวถึงบทบาทของภาคธุรกิจในการเคารพสิทธิมนุษยชนเท่านั้น ยังเชื่อมโยงบทบาทของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันเกิดจากการประกอบธุรกิจด้วย ทั้งบทบาทภาครัฐและบทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย โดยได้วางกรอบของการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในบริบทของการประกอบธุรกิจไว้ 3 ประการหรือที่เราเรียกว่า “เสาหลัก” ได้แก่ เสาหลักด้านการคุ้มครอง เสาหลักด้านการเคารพ และเสาหลักด้านการเยียวยา
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการทําให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชนในการดําเนินธุรกิจได้จริงนั้น ทุกภาคส่วนที่มีหน้าที่ต้องตระหนักและเข้าใจบทบาทของตนตาม 3 เสาหลักของหลักการชี้แนะ เพื่อให้เป็นที่รับรู้และมีการนําไปปฏิบัติในประเทศต่างๆ ทั่วโลก คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติจึงได้มีมติจัดตั้งคณะทํางานว่าด้วยสิทธิมนุษยชนกับบรรษัทข้ามชาติและธุรกิจอื่นๆ หรือที่เรียกย่อๆ ว่า คณะทํางานว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เพื่อทําหน้าที่ส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการชี้แนะดังกล่าว สนับสนุนการดําเนินการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการนําหลักการชี้แนะฯ ไปปฏิบัติ ตลอดจนให้คําแนะนําที่เป็นประโยชน์ และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับรัฐบาล บริษัทธุรกิจทุกประเภท สถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในประเทศต่าง ๆ ภาคประชาสังคม และภาคประชาชนซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิ และซึ่งในวันนี้ สมาชิกของคณะทํางานฯ 2 ท่านคือ มิสเตอร์ไมเคิล อัดโด (Mr. Michael Addo) ประธานคณะทํางานฯ และมิสเตอร์ดานเต้ เปชเช (Mr. Dante Pesce) สมาชิกคณะทํางานฯ เข้าร่วมการสัมมนาและเป็นผู้บรรยายพิเศษในหัวข้อเรื่อง “สหประชาชาติกับการขับเคลื่อนหลักการชี้แนะเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน และบทบาทของภาคส่วนต่างๆ ตามเสาหลักของหลักการชี้แนะฯ” ด้วย
รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่ผลักดันให้ประเทศไทยมีการดําเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการเคารพในสิทธิมนุษยชน โดยยึดหลักการชี้แนะฯ ทั้งเสาหลัก 3 ประการ คือ เสาหลักด้านการคุ้มครอง ด้านการเคารพ และด้านการเยียวยา
เสาหลักด้านการคุ้มครอง เป็นบทบาทหน้าที่ของภาครัฐโดยตรงในการดูแลมิให้บุคคลได้รับผลกระทบจากการดําเนินการของภาคธุรกิจตามหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่หลายฉบับนั้น รัฐบาลได้ออกกฎระเบียบ นโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุม กํากับดูแล การบังคับใช้กฎหมาย และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเคารพสิทธิมนุษยชน จัดทําแนวทางหรือข้อเสนอแนะแก่ภาคธุรกิจว่าควรมีการปฏิบัติอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการดําเนินกิจการของตน นอกจากนี้ รัฐยังต้องดูแลให้นโยบายและการปฏิบัติหน้าที่ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนกํากับดูแลให้หน่วยงานของรัฐที่ดําเนินธุรกิจ เช่น ปตท. การบินไทย บขส. กสท. และ TOT ตลอดจนรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ต้องเคารพสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกับบริษัทเอกชนด้วย เพื่อเป็นผู้นําและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ภาคเอกชนในการดําเนินการเรื่องนี้
สําหรับหน้าที่ของรัฐด้านการคุ้มครองนี้ ประเทศไทยได้มีการดําเนินการแล้วในหลายส่วน เช่น กฎหมายคุ้มครองแรงงานเพื่อให้คนทํางานได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ไม่มีการบังคับใช้แรงงาน ได้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม กฎหมายที่ให้หลักประกันทางสังคมแก่คนที่ทํางานทั้งที่เป็นลูกจ้างในบริษัทเอกชนและผู้ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว กฎหมายคุ้มครองแรงงานเด็ก กฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และกฎหมายอื่นๆ อีกหลายฉบับ ซึ่งรัฐบาลยังต้องพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายเป็นระยะ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และมาตรฐานระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งมีพลวัตอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้พยายามปรับปรุงในจุดที่เป็นปัญหา อาทิ การแก้ไขเรื่องการค้ามนุษย์ เป็นตัวอย่างที่ดีในการแสดงถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะคุ้มครองบุคคลจากการตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์และถูกเอารัดเอาเปรียบโดยถูกบังคับให้ทํางานในสภาพที่เลวร้ายเช่นในเรือประมง จึงได้ประกาศนโยบาย “ขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้น” ให้เป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่ปี 2557 และสั่งการให้หน่วยงานมีมาตรการเข้มงวดในการตรวจเรือประมงและแรงงานบนเรือ รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพในการดําเนินคดีต่อผู้กระทําผิดโดยได้มีการแก้ไขกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์และมีการจัดตั้งแผนกคดีค้ามนุษย์ในศาลขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้การดําเนินคดีเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
ระดับนโยบาย ประเทศไทยได้ให้คํามั่นต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในการพิจารณาสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 ว่าจะดําเนินการจัดทําแผนปฏิบัติการระดับชาติเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จะเป็นหน่วยงานหลักในการดําเนินการและประสานงานกับกระทรวงอื่นๆ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจของเอกชนในทุกๆ ด้าน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงความสําคัญของการเคารพสิทธิมนุษยชนในการประกอบธุรกิจ รวมทั้งให้คําปรึกษาแนะนําปรึกษาแก่ผู้ประกอบการเพื่อให้การดําเนินธุรกิจมีความสอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าว
นายกรัฐมนตรียังให้แนวทางในการจัดทําแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านสิทธิมนุษยชนแก่กระทรวงยุติธรรม ซึ่งจะเป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักว่า แผนที่จะจัดทําขึ้นควรมุ่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหรือที่อาจจะเกิดขึ้น โดยควรเป็นมาตรการที่ตอบสนองปัญหาได้ตรงจุด สามารถนําไปปฏิบัติได้จริง และก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกได้ในวงกว้าง เป็นไปอย่างโปร่งใสและเปิดให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม อันเป็นเงื่อนไขสําคัญที่จะทําให้ผู้ที่เกี่ยวข้องนําแผนไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างแท้จริง
เสาหลักที่สองด้านการเคารพ เกี่ยวกับภาคธุรกิจโดยตรง เนื่องจากหลักการชี้แนะฯ ระบุถึงความรับผิดชอบของภาคธุรกิจในการเคารพสิทธิมนุษยชน โดยเสนอว่าภาคธุรกิจควรหลีกเลี่ยงการดําเนินการใดที่จะละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม อันเกิดจากหุ้นส่วนทางธุรกิจ และ/หรือ ห่วงโซ่การผลิต โดยควรพยายามแสวงหาหนทางที่จะป้องกันหรือบรรเทาผลกระทบทางลบที่เกิดจากการดําเนินธุรกิจ การผลิตผลิตภัณฑ์ หรือการให้บริการ
สิทธิมนุษยชนที่ภาคธุรกิจพึงให้ความสําคัญในลําดับแรก คือ สิทธิของแรงงาน เนื่องจากเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกที่ภาคธุรกิจพึ่งพิงในการดําเนินธุรกิจให้ประสบความสําเร็จและยั่งยืน หากภาคธุรกิจปฏิบัติต่อแรงงานอย่างดี ดูแลสวัสดิการและให้ความเป็นธรรม ก็เชื่อได้ว่า แรงงานเหล่านี้ก็จะตั้งใจทํางาน สร้างผลผลิตที่ดีมีคุณภาพแก่ภาคธุรกิจ ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจของประเทศมีความเจริญก้าวหน้า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิแรงงาน เช่น การคุ้มครองแรงงานในเรื่องของค่าจ้าง วันหยุด และการดูแลความปลอดภัยในการทํางาน เป็นต้น ซึ่งครอบคลุมทั้งแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านและเป็นไปตามหลักสากลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ
นอกจากการดูแลสวัสดิการของแรงงานแล้ว คนอีกกลุ่มที่ภาคธุรกิจพึงให้ความสําคัญ คือ ชุมชนในพื้นที่ ซึ่งภาคธุรกิจพึงระมัดระวังมิให้การดําเนินธุรกิจส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมในชุมชน เช่น การประกอบอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยสารพิษหรือของเสียที่เป็นพิษ ควรใช้ความระมัดระวังและมีกระบวนการกําจัดสารพิษอย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ หากประชาชนในพื้นที่เดือดร้อนและมีการประท้วงการประกอบธุรกิจของท่าน ธุรกิจของท่านก็อาจต้องสะดุดหยุดลงและเกิดความเสียหายได้ในที่สุด
ภาคเอกชนควรผนวกเอาหลักการชี้แนะฯ เป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินธุรกิจทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ รวมถึงการจัดให้มีกระบวนการตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อให้สามารถทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วหรือปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และหาวิธีในการป้องกันหรือบรรเทาปัญหา รวมถึงเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น
เสาหลักที่สาม คือการเข้าถึงการเยียวยาของผู้ได้รับผลกระทบจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ กลไกหลักที่สําคัญในการเยียวยา คือ กลไกของรัฐ ซึ่งได้แก่ระบบศาลในกระบวนการยุติธรรม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยรองรับสิทธิของบุคคลในการเรียกร้องให้มีการชดเชยความเสียหายที่เกิดจากการกระทําผิดในกรณีต่างๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้ หลักการชี้แนะฯ ยังได้เสนอให้มีการพิจารณาประเด็นที่อาจเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชนและหาแนวทางแก้ไข เช่น ค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดีและกระบวนการขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน
นายกรัฐมนตรียังได้ขอให้หน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรมที่เข้าร่วมการสัมมนาช่วยพิจารณาทบทวนดูว่ากระบวนการดําเนินคดีเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าเสียหายที่เป็นอยู่สามารถให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนได้อย่างเหมาะสมเป็นธรรมแล้วหรือไม่อย่างไร เพื่อปรับปรุงพัฒนากระบวนการเพื่อสามารถให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนที่เดือดร้อนได้อย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาโดยกระบวนการยุติธรรมมักต้องใช้เวลา บางครั้งอาจไม่สามารถบรรเทาความเดือดร้อนผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างทันท่วงที ดังนั้น จึงต้องมีกลไกอื่นๆ เข้ามาเสริม โดยเฉพาะช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนและไกล่เกลี่ยของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐซึ่งมีอยู่หลายแห่ง ทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ อีกทั้ง รัฐบาลมีศูนย์ดํารงธรรมในทุกหมู่บ้าน ตําบลและจังหวัด ที่จะช่วยรับเรื่องราวร้องทุกข์และแก้ไขปัญหาสําหรับประชาชนในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องปัญหาการถูกละเมิดด้านสิทธิแรงงาน สิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นอีกองค์กรหนึ่งที่จะรับเรื่องร้องเรียนและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบได้
นายกรัฐมนตรียังเสนอให้บริษัทหรือผู้ประกอบการจัดให้มีช่องทางรับเรื่องร้องเรียนในสถานประกอบการของตนเพื่อแก้ไขปัญหาหรือบรรเทาผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นโดยตรง เพื่อให้ข้อร้องเรียนต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขและเกิดความยุติธรรมในระดับสถานประกอบการซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งผู้ประกอบการและแรงงานเอง
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนนั้นมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเมื่อเดือนกันยายน 2558 ที่นครนิวยอร์ก นายกรัฐมนตรีร่วมกับผู้นําของประเทศสมาชิกสหประชาชาติจํานวน 193 ประเทศรวมทั้งได้ร่วมกันรับรองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเปรียบเสมือนแผนแม่บทระดับโลกที่จะกําหนดทิศทางการพัฒนาในระยะ 15 ปีข้างหน้า โดยการกําหนดเป้าหมายเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้อง ภายใต้หลักการไม่เลือกปฏิบัติ การสร้างโอกาสที่เท่าเทียมและการไม่ทิ้งบุคคลใดไว้เบื้องหลัง
เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนยังได้ระบุถึงบทบาทของภาคเอกชนในการประกอบกิจกรรมธุรกิจ การลงทุน และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ถือเป็นตัวผลักดันที่สําคัญต่อการสร้างผลผลิต การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีส่วนร่วม และการสร้างงาน ภาคธุรกิจที่มีการบริหารจัดการที่ดีจะต้องให้ความเคารพสิทธิแรงงาน สิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรฐานทางด้านสุขอนามัยที่สอดคล้องกับมาตรฐานและความตกลงในระดับสากล ดังเช่นหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานแรงงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ
นายกรัฐมนตรีแสดงความเชื่อมั่นว่า การทําธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชนจะเป็นผลดีต่อธุรกิจในระยะยาว สอดคล้องกับทิศทางความต้องการของตลาด และช่วยให้การพัฒนาประเทศมีความยั่งยืนสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในมุมธุรกิจ การมีกระบวนการภายในเพื่อประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน จะทําให้ผู้ประกอบการต้องคิดหาวิธีป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหา หรือหาแนวทางแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะลุกลามบานปลายและมีผลกระทบต่อธุรกิจเอง เป็นการลดความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ ในปัจจุบันการซื้อสินค้าหรือบริการของผู้บริโภคโดยเฉพาะผู้บริโภคในประเทศตะวันตก ไม่ได้คํานึงถึงเพียงคุณภาพของสินค้าหรือบริการเท่านั้น แต่ยังดูว่ากระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการมีการเอารัดเอาเปรียบแรงงานหรือทําให้ชุมชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ หากบริษัทใดมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกระบวนการผลิต ผู้บริโภคก็อาจไม่สนับสนุนสินค้านั้นแม้ว่าจะมีคุณภาพดีก็ตาม ดังนั้น การเคารพสิทธิมนุษยชนจึงเป็นผลดีแก่ธุรกิจในระยะยาว
รัฐบาลเห็นว่า การประกอบธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชนจะช่วยลดปัญหาสังคมในด้านต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของปัญหาแรงงาน ช่วยลดข้อพิพาท ความขัดแย้งระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง รวมทั้ง ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่กระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่ คนในสังคมก็จะอยู่ร่วมกันได้โดยไม่เกิดความขัดแย้ง ช่วยลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมในสังคม หลักการชี้แนะฯ จึงเป็นการให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และเป็นแนวทางที่จะช่วยให้ประเทศต่างๆ สามารถสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมได้อย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า สิทธิมนุษยชนจะยังคงเป็นประเด็นสําคัญในการค้าระหว่างประเทศต่อไปในอนาคตและอาจมีความเข้มข้นมากขึ้น ขณะนี้ หลักการชี้แนะฯ ยังไม่ได้มีผลผูกพันทางกฎหมายเช่นความตกลงหรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศ จึงเป็นโอกาสที่ภาคธุรกิจเอกชนของไทยไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใด จะได้มีเวลาในการปรับแนวทางการประกอบธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทางของหลักการชี้แนะฯ อย่างค่อยเป็นค่อยไปได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย ทั้งนี้ที่ผ่านมา หน่วยงานของรัฐก็ได้มีมาตรการเพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจมีการประกอบกิจการที่เคารพสิทธิมนุษยชนอยู่บ้างแล้ว เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้มีการเตรียมความพร้อมให้แก่บริษัทจดทะเบียนและองค์กรธุรกิจทั่วไปในการพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน โดยมีแนวทางปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเคารพสิทธิมนุษยชนของบริษัทครอบคลุมตั้งแต่การจัดทํานโยบายด้านสิทธิมนุษยชนให้เป็นไปตามข้อกําหนดของมาตรฐานสากล การบริหารจัดการและประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการมีกลไกคุ้มครองและเยียวยา นอกจากนี้ บริษัทจะต้องมีการจัดทํารายงานความยั่งยืน เพื่อเปิดเผยผลกระทบและผลลัพธ์ทั้งเชิงบวกและลบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการดําเนินกิจการด้วย
ทั้งนี้ การทําให้หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติมีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทยนั้นจําเป็นต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม การจัดสัมมนาวิชาการในวันนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทุกภาคส่วนจะได้มารับรู้ร่วมกันว่าการทําธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร แต่ละคนมีบทบาทหน้าที่อะไรในการส่งเสริมให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชนในการประกอบธุรกิจ และหากมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากการประกอบธุรกิจ ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือผู้เสียหายจะไปร้องเรียนได้ที่ใดและจะได้รับการเยียวยาอย่างไร
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การสัมมนาครั้งนี้จะช่วยให้เรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางมากขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคธุรกิจซึ่งมีบทบาทที่สําคัญทั้งในการป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ การที่องค์กรภาคธุรกิจหลักของประเทศ ทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย รวมทั้งเครือข่าย โกลบอลคอมแพ็กประเทศไทย ซึ่งเป็นเครือข่ายในระดับประเทศของโกลบอลคอมแพ็กของสหประชาชาติที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของบริษัทชั้นนําของไทย 15 บริษัท ซึ่งได้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการสัมมนานับเป็นหลักประกันว่าจะมีการเผยแพร่หลักการชี้แนะฯ ให้แก่ผู้ประกอบการของไทยในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ประกอบการรายใหญ่อาจแนะนําช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของตนในการปฏิบัติตามหลักการชี้แนะฯ ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐและ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพร้อมจะสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการนําหลักการชี้แนะฯ ไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวยินดีที่จะมีการลงนามปฏิญญาความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคธุรกิจ และ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทุกฝ่ายจะมาร่วมกันสร้างสังคมที่เคารพสิทธิมนุษยชน สําหรับการประชุมสัมมนาวิชาการในวันนี้ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐจะรักษาพันธสัญญาในการทําหน้าที่เพื่อให้ความเคารพ และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งคุ้มครองปัจเจกบุคคลและชุมชนจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากบุคคลที่สาม ภาคธุรกิจเอกชนจะเข้ามามีบทบาทและรับผิดชอบในการเคารพสิทธิมนุษยชนและป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากการประกอบกิจการของตนเองมากยิ่งขึ้น การดําเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนจะช่วยส่งเสริมปัจจัยในการกระตุ้นการผลิต ขวัญและกําลังใจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตลอดจนการแสวงหาตลาดใหม่ๆ ลูกค้า ผู้บริโภค เสริมสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีและความมั่นคงในการประกอบกิจการ รวมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน และที่สําคัญสร้างชื่อเสียงและผลประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนโดยรวมเพื่อ “ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ “หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกับการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคม”
วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2560
นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ “หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกับการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคม”
นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ “หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกับการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคม”
วันนี้ (พุธ 31 พฤษภาคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกับการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคม” ในการเปิดสัมมนาวิชาการเพื่อเผยแพร่และขับเคลื่อนหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประกอบธุรกิจโดยเคารพในสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยชนนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องทางศีลธรรม และเป็นโอกาสนําประเทศสู่ “ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพราะธุรกิจคือพลังขับเคลื่อนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และสิทธิมนุษยชนคือ การดูแลคนทุกคนให้สามารถดํารงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีความปลอดภัยในชีวิต มีมาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสม มีโอกาสเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการของรัฐ และได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม ดังนั้น ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนก็คือการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นธรรมทางสังคม
รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศด้วยความมุ่งมั่นเพื่อยุติความขัดแย้งและวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาวเพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงและมีความเจริญก้าวหน้าทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ให้ประชาชนกินดีอยู่ดี ภาคธุรกิจจึงมีบทบาทสําคัญในการช่วยพัฒนาประเทศ ทําให้เกิดการจ้างงาน ส่งผลให้ประชาชนสามารถยกระดับมาตรฐานการดํารงชีวิตของตนและครอบครัว และดํารงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี ตลอดจนช่วยบรรเทาปัญหาสังคม นําพาประเทศชาติสู่ความมั่นคงและเจริญก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืน
การที่สหประชาชาติให้การรับรองหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน จึงเป็นจุดเปลี่ยนสําคัญเพราะเป็นครั้งแรกที่ประชาคมโลกมีความพยายามในการสนับสนุนให้การกําหนดความรับผิดชอบของธุรกิจในการเคารพสิทธิมนุษยชนได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ แม้จะยังไม่ได้กําหนดความรับผิดชอบของภาคธุรกิจไว้ในลักษณะเป็นข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดก็ตาม แต่ระบุว่าเป็นความรับผิดชอบของภาคธุรกิจที่ต้องดําเนินการถือเป็นการวางบรรทัดฐานสําหรับภาคเอกชนในการเคารพสิทธิมนุษยชนในการดําเนิน
หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่สหประชาชาติให้การรับรองนี้ไม่เพียงแต่กล่าวถึงบทบาทของภาคธุรกิจในการเคารพสิทธิมนุษยชนเท่านั้น ยังเชื่อมโยงบทบาทของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันเกิดจากการประกอบธุรกิจด้วย ทั้งบทบาทภาครัฐและบทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย โดยได้วางกรอบของการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในบริบทของการประกอบธุรกิจไว้ 3 ประการหรือที่เราเรียกว่า “เสาหลัก” ได้แก่ เสาหลักด้านการคุ้มครอง เสาหลักด้านการเคารพ และเสาหลักด้านการเยียวยา
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการทําให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชนในการดําเนินธุรกิจได้จริงนั้น ทุกภาคส่วนที่มีหน้าที่ต้องตระหนักและเข้าใจบทบาทของตนตาม 3 เสาหลักของหลักการชี้แนะ เพื่อให้เป็นที่รับรู้และมีการนําไปปฏิบัติในประเทศต่างๆ ทั่วโลก คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติจึงได้มีมติจัดตั้งคณะทํางานว่าด้วยสิทธิมนุษยชนกับบรรษัทข้ามชาติและธุรกิจอื่นๆ หรือที่เรียกย่อๆ ว่า คณะทํางานว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เพื่อทําหน้าที่ส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการชี้แนะดังกล่าว สนับสนุนการดําเนินการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการนําหลักการชี้แนะฯ ไปปฏิบัติ ตลอดจนให้คําแนะนําที่เป็นประโยชน์ และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับรัฐบาล บริษัทธุรกิจทุกประเภท สถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในประเทศต่าง ๆ ภาคประชาสังคม และภาคประชาชนซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิ และซึ่งในวันนี้ สมาชิกของคณะทํางานฯ 2 ท่านคือ มิสเตอร์ไมเคิล อัดโด (Mr. Michael Addo) ประธานคณะทํางานฯ และมิสเตอร์ดานเต้ เปชเช (Mr. Dante Pesce) สมาชิกคณะทํางานฯ เข้าร่วมการสัมมนาและเป็นผู้บรรยายพิเศษในหัวข้อเรื่อง “สหประชาชาติกับการขับเคลื่อนหลักการชี้แนะเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน และบทบาทของภาคส่วนต่างๆ ตามเสาหลักของหลักการชี้แนะฯ” ด้วย
รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่ผลักดันให้ประเทศไทยมีการดําเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการเคารพในสิทธิมนุษยชน โดยยึดหลักการชี้แนะฯ ทั้งเสาหลัก 3 ประการ คือ เสาหลักด้านการคุ้มครอง ด้านการเคารพ และด้านการเยียวยา
เสาหลักด้านการคุ้มครอง เป็นบทบาทหน้าที่ของภาครัฐโดยตรงในการดูแลมิให้บุคคลได้รับผลกระทบจากการดําเนินการของภาคธุรกิจตามหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่หลายฉบับนั้น รัฐบาลได้ออกกฎระเบียบ นโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุม กํากับดูแล การบังคับใช้กฎหมาย และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเคารพสิทธิมนุษยชน จัดทําแนวทางหรือข้อเสนอแนะแก่ภาคธุรกิจว่าควรมีการปฏิบัติอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการดําเนินกิจการของตน นอกจากนี้ รัฐยังต้องดูแลให้นโยบายและการปฏิบัติหน้าที่ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนกํากับดูแลให้หน่วยงานของรัฐที่ดําเนินธุรกิจ เช่น ปตท. การบินไทย บขส. กสท. และ TOT ตลอดจนรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ต้องเคารพสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกับบริษัทเอกชนด้วย เพื่อเป็นผู้นําและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ภาคเอกชนในการดําเนินการเรื่องนี้
สําหรับหน้าที่ของรัฐด้านการคุ้มครองนี้ ประเทศไทยได้มีการดําเนินการแล้วในหลายส่วน เช่น กฎหมายคุ้มครองแรงงานเพื่อให้คนทํางานได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ไม่มีการบังคับใช้แรงงาน ได้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม กฎหมายที่ให้หลักประกันทางสังคมแก่คนที่ทํางานทั้งที่เป็นลูกจ้างในบริษัทเอกชนและผู้ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว กฎหมายคุ้มครองแรงงานเด็ก กฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และกฎหมายอื่นๆ อีกหลายฉบับ ซึ่งรัฐบาลยังต้องพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายเป็นระยะ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และมาตรฐานระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งมีพลวัตอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้พยายามปรับปรุงในจุดที่เป็นปัญหา อาทิ การแก้ไขเรื่องการค้ามนุษย์ เป็นตัวอย่างที่ดีในการแสดงถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะคุ้มครองบุคคลจากการตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์และถูกเอารัดเอาเปรียบโดยถูกบังคับให้ทํางานในสภาพที่เลวร้ายเช่นในเรือประมง จึงได้ประกาศนโยบาย “ขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้น” ให้เป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่ปี 2557 และสั่งการให้หน่วยงานมีมาตรการเข้มงวดในการตรวจเรือประมงและแรงงานบนเรือ รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพในการดําเนินคดีต่อผู้กระทําผิดโดยได้มีการแก้ไขกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์และมีการจัดตั้งแผนกคดีค้ามนุษย์ในศาลขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้การดําเนินคดีเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
ระดับนโยบาย ประเทศไทยได้ให้คํามั่นต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในการพิจารณาสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 ว่าจะดําเนินการจัดทําแผนปฏิบัติการระดับชาติเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จะเป็นหน่วยงานหลักในการดําเนินการและประสานงานกับกระทรวงอื่นๆ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจของเอกชนในทุกๆ ด้าน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงความสําคัญของการเคารพสิทธิมนุษยชนในการประกอบธุรกิจ รวมทั้งให้คําปรึกษาแนะนําปรึกษาแก่ผู้ประกอบการเพื่อให้การดําเนินธุรกิจมีความสอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าว
นายกรัฐมนตรียังให้แนวทางในการจัดทําแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านสิทธิมนุษยชนแก่กระทรวงยุติธรรม ซึ่งจะเป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักว่า แผนที่จะจัดทําขึ้นควรมุ่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหรือที่อาจจะเกิดขึ้น โดยควรเป็นมาตรการที่ตอบสนองปัญหาได้ตรงจุด สามารถนําไปปฏิบัติได้จริง และก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกได้ในวงกว้าง เป็นไปอย่างโปร่งใสและเปิดให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม อันเป็นเงื่อนไขสําคัญที่จะทําให้ผู้ที่เกี่ยวข้องนําแผนไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างแท้จริง
เสาหลักที่สองด้านการเคารพ เกี่ยวกับภาคธุรกิจโดยตรง เนื่องจากหลักการชี้แนะฯ ระบุถึงความรับผิดชอบของภาคธุรกิจในการเคารพสิทธิมนุษยชน โดยเสนอว่าภาคธุรกิจควรหลีกเลี่ยงการดําเนินการใดที่จะละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม อันเกิดจากหุ้นส่วนทางธุรกิจ และ/หรือ ห่วงโซ่การผลิต โดยควรพยายามแสวงหาหนทางที่จะป้องกันหรือบรรเทาผลกระทบทางลบที่เกิดจากการดําเนินธุรกิจ การผลิตผลิตภัณฑ์ หรือการให้บริการ
สิทธิมนุษยชนที่ภาคธุรกิจพึงให้ความสําคัญในลําดับแรก คือ สิทธิของแรงงาน เนื่องจากเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกที่ภาคธุรกิจพึ่งพิงในการดําเนินธุรกิจให้ประสบความสําเร็จและยั่งยืน หากภาคธุรกิจปฏิบัติต่อแรงงานอย่างดี ดูแลสวัสดิการและให้ความเป็นธรรม ก็เชื่อได้ว่า แรงงานเหล่านี้ก็จะตั้งใจทํางาน สร้างผลผลิตที่ดีมีคุณภาพแก่ภาคธุรกิจ ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจของประเทศมีความเจริญก้าวหน้า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิแรงงาน เช่น การคุ้มครองแรงงานในเรื่องของค่าจ้าง วันหยุด และการดูแลความปลอดภัยในการทํางาน เป็นต้น ซึ่งครอบคลุมทั้งแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านและเป็นไปตามหลักสากลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ
นอกจากการดูแลสวัสดิการของแรงงานแล้ว คนอีกกลุ่มที่ภาคธุรกิจพึงให้ความสําคัญ คือ ชุมชนในพื้นที่ ซึ่งภาคธุรกิจพึงระมัดระวังมิให้การดําเนินธุรกิจส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมในชุมชน เช่น การประกอบอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยสารพิษหรือของเสียที่เป็นพิษ ควรใช้ความระมัดระวังและมีกระบวนการกําจัดสารพิษอย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ หากประชาชนในพื้นที่เดือดร้อนและมีการประท้วงการประกอบธุรกิจของท่าน ธุรกิจของท่านก็อาจต้องสะดุดหยุดลงและเกิดความเสียหายได้ในที่สุด
ภาคเอกชนควรผนวกเอาหลักการชี้แนะฯ เป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินธุรกิจทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ รวมถึงการจัดให้มีกระบวนการตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อให้สามารถทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วหรือปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และหาวิธีในการป้องกันหรือบรรเทาปัญหา รวมถึงเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น
เสาหลักที่สาม คือการเข้าถึงการเยียวยาของผู้ได้รับผลกระทบจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ กลไกหลักที่สําคัญในการเยียวยา คือ กลไกของรัฐ ซึ่งได้แก่ระบบศาลในกระบวนการยุติธรรม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยรองรับสิทธิของบุคคลในการเรียกร้องให้มีการชดเชยความเสียหายที่เกิดจากการกระทําผิดในกรณีต่างๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้ หลักการชี้แนะฯ ยังได้เสนอให้มีการพิจารณาประเด็นที่อาจเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชนและหาแนวทางแก้ไข เช่น ค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดีและกระบวนการขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน
นายกรัฐมนตรียังได้ขอให้หน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรมที่เข้าร่วมการสัมมนาช่วยพิจารณาทบทวนดูว่ากระบวนการดําเนินคดีเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าเสียหายที่เป็นอยู่สามารถให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนได้อย่างเหมาะสมเป็นธรรมแล้วหรือไม่อย่างไร เพื่อปรับปรุงพัฒนากระบวนการเพื่อสามารถให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนที่เดือดร้อนได้อย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาโดยกระบวนการยุติธรรมมักต้องใช้เวลา บางครั้งอาจไม่สามารถบรรเทาความเดือดร้อนผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างทันท่วงที ดังนั้น จึงต้องมีกลไกอื่นๆ เข้ามาเสริม โดยเฉพาะช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนและไกล่เกลี่ยของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐซึ่งมีอยู่หลายแห่ง ทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ อีกทั้ง รัฐบาลมีศูนย์ดํารงธรรมในทุกหมู่บ้าน ตําบลและจังหวัด ที่จะช่วยรับเรื่องราวร้องทุกข์และแก้ไขปัญหาสําหรับประชาชนในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องปัญหาการถูกละเมิดด้านสิทธิแรงงาน สิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นอีกองค์กรหนึ่งที่จะรับเรื่องร้องเรียนและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบได้
นายกรัฐมนตรียังเสนอให้บริษัทหรือผู้ประกอบการจัดให้มีช่องทางรับเรื่องร้องเรียนในสถานประกอบการของตนเพื่อแก้ไขปัญหาหรือบรรเทาผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นโดยตรง เพื่อให้ข้อร้องเรียนต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขและเกิดความยุติธรรมในระดับสถานประกอบการซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งผู้ประกอบการและแรงงานเอง
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนนั้นมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเมื่อเดือนกันยายน 2558 ที่นครนิวยอร์ก นายกรัฐมนตรีร่วมกับผู้นําของประเทศสมาชิกสหประชาชาติจํานวน 193 ประเทศรวมทั้งได้ร่วมกันรับรองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเปรียบเสมือนแผนแม่บทระดับโลกที่จะกําหนดทิศทางการพัฒนาในระยะ 15 ปีข้างหน้า โดยการกําหนดเป้าหมายเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้อง ภายใต้หลักการไม่เลือกปฏิบัติ การสร้างโอกาสที่เท่าเทียมและการไม่ทิ้งบุคคลใดไว้เบื้องหลัง
เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนยังได้ระบุถึงบทบาทของภาคเอกชนในการประกอบกิจกรรมธุรกิจ การลงทุน และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ถือเป็นตัวผลักดันที่สําคัญต่อการสร้างผลผลิต การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีส่วนร่วม และการสร้างงาน ภาคธุรกิจที่มีการบริหารจัดการที่ดีจะต้องให้ความเคารพสิทธิแรงงาน สิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรฐานทางด้านสุขอนามัยที่สอดคล้องกับมาตรฐานและความตกลงในระดับสากล ดังเช่นหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานแรงงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ
นายกรัฐมนตรีแสดงความเชื่อมั่นว่า การทําธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชนจะเป็นผลดีต่อธุรกิจในระยะยาว สอดคล้องกับทิศทางความต้องการของตลาด และช่วยให้การพัฒนาประเทศมีความยั่งยืนสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในมุมธุรกิจ การมีกระบวนการภายในเพื่อประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน จะทําให้ผู้ประกอบการต้องคิดหาวิธีป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหา หรือหาแนวทางแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะลุกลามบานปลายและมีผลกระทบต่อธุรกิจเอง เป็นการลดความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ ในปัจจุบันการซื้อสินค้าหรือบริการของผู้บริโภคโดยเฉพาะผู้บริโภคในประเทศตะวันตก ไม่ได้คํานึงถึงเพียงคุณภาพของสินค้าหรือบริการเท่านั้น แต่ยังดูว่ากระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการมีการเอารัดเอาเปรียบแรงงานหรือทําให้ชุมชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ หากบริษัทใดมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกระบวนการผลิต ผู้บริโภคก็อาจไม่สนับสนุนสินค้านั้นแม้ว่าจะมีคุณภาพดีก็ตาม ดังนั้น การเคารพสิทธิมนุษยชนจึงเป็นผลดีแก่ธุรกิจในระยะยาว
รัฐบาลเห็นว่า การประกอบธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชนจะช่วยลดปัญหาสังคมในด้านต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของปัญหาแรงงาน ช่วยลดข้อพิพาท ความขัดแย้งระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง รวมทั้ง ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่กระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่ คนในสังคมก็จะอยู่ร่วมกันได้โดยไม่เกิดความขัดแย้ง ช่วยลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมในสังคม หลักการชี้แนะฯ จึงเป็นการให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และเป็นแนวทางที่จะช่วยให้ประเทศต่างๆ สามารถสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมได้อย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า สิทธิมนุษยชนจะยังคงเป็นประเด็นสําคัญในการค้าระหว่างประเทศต่อไปในอนาคตและอาจมีความเข้มข้นมากขึ้น ขณะนี้ หลักการชี้แนะฯ ยังไม่ได้มีผลผูกพันทางกฎหมายเช่นความตกลงหรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศ จึงเป็นโอกาสที่ภาคธุรกิจเอกชนของไทยไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใด จะได้มีเวลาในการปรับแนวทางการประกอบธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทางของหลักการชี้แนะฯ อย่างค่อยเป็นค่อยไปได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย ทั้งนี้ที่ผ่านมา หน่วยงานของรัฐก็ได้มีมาตรการเพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจมีการประกอบกิจการที่เคารพสิทธิมนุษยชนอยู่บ้างแล้ว เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้มีการเตรียมความพร้อมให้แก่บริษัทจดทะเบียนและองค์กรธุรกิจทั่วไปในการพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน โดยมีแนวทางปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเคารพสิทธิมนุษยชนของบริษัทครอบคลุมตั้งแต่การจัดทํานโยบายด้านสิทธิมนุษยชนให้เป็นไปตามข้อกําหนดของมาตรฐานสากล การบริหารจัดการและประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการมีกลไกคุ้มครองและเยียวยา นอกจากนี้ บริษัทจะต้องมีการจัดทํารายงานความยั่งยืน เพื่อเปิดเผยผลกระทบและผลลัพธ์ทั้งเชิงบวกและลบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการดําเนินกิจการด้วย
ทั้งนี้ การทําให้หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติมีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทยนั้นจําเป็นต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม การจัดสัมมนาวิชาการในวันนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทุกภาคส่วนจะได้มารับรู้ร่วมกันว่าการทําธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร แต่ละคนมีบทบาทหน้าที่อะไรในการส่งเสริมให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชนในการประกอบธุรกิจ และหากมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากการประกอบธุรกิจ ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือผู้เสียหายจะไปร้องเรียนได้ที่ใดและจะได้รับการเยียวยาอย่างไร
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การสัมมนาครั้งนี้จะช่วยให้เรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางมากขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคธุรกิจซึ่งมีบทบาทที่สําคัญทั้งในการป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ การที่องค์กรภาคธุรกิจหลักของประเทศ ทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย รวมทั้งเครือข่าย โกลบอลคอมแพ็กประเทศไทย ซึ่งเป็นเครือข่ายในระดับประเทศของโกลบอลคอมแพ็กของสหประชาชาติที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของบริษัทชั้นนําของไทย 15 บริษัท ซึ่งได้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการสัมมนานับเป็นหลักประกันว่าจะมีการเผยแพร่หลักการชี้แนะฯ ให้แก่ผู้ประกอบการของไทยในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ประกอบการรายใหญ่อาจแนะนําช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของตนในการปฏิบัติตามหลักการชี้แนะฯ ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐและ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพร้อมจะสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการนําหลักการชี้แนะฯ ไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวยินดีที่จะมีการลงนามปฏิญญาความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคธุรกิจ และ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทุกฝ่ายจะมาร่วมกันสร้างสังคมที่เคารพสิทธิมนุษยชน สําหรับการประชุมสัมมนาวิชาการในวันนี้ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐจะรักษาพันธสัญญาในการทําหน้าที่เพื่อให้ความเคารพ และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งคุ้มครองปัจเจกบุคคลและชุมชนจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากบุคคลที่สาม ภาคธุรกิจเอกชนจะเข้ามามีบทบาทและรับผิดชอบในการเคารพสิทธิมนุษยชนและป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากการประกอบกิจการของตนเองมากยิ่งขึ้น การดําเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนจะช่วยส่งเสริมปัจจัยในการกระตุ้นการผลิต ขวัญและกําลังใจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตลอดจนการแสวงหาตลาดใหม่ๆ ลูกค้า ผู้บริโภค เสริมสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีและความมั่นคงในการประกอบกิจการ รวมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน และที่สําคัญสร้างชื่อเสียงและผลประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนโดยรวมเพื่อ “ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4157
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยอำนวยความสะดวกประชาชนผู้ประสบภัย
|
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562
กระทรวงมหาดไทยอํานวยความสะดวกประชาชนผู้ประสบภัย
กระทรวงมหาดไทยอํานวยความสะดวกประชาชนผู้ประสบภัย "ปาบึก" 12 จังหวัด
ขยายกําหนดเวลาขอมีบัตรประชาชนโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมถึง 3 มีนาคม 2562
เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 62 ที่กระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายกําหนดเวลาการขอมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตร สําหรับผู้ประสบภัยธรรมชาติ (อุทกภัยและวาตภัย) ในท้องที่ 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ ชุมพร ตรัง นราธิวาส นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี พัทลุง ยะลา ระนอง สงขลา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งได้ขยายกําหนดเวลาการขอมีบัตร การขอมีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรแก่ผู้ถือบัตรของผู้ที่มีชื่อยู่ในทะเบียนบ้านในท้องที่ประสบภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น จากภายในกําหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ต้องมีบัตร มีบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตรเป็นภายในวันที่ 3 มีนาคม 2562 และให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการมีบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตร กรณี บัตรหาย หรือถูกทําลาย หรือชํารุด เพื่อเป็นการดูแลช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน
ผู้ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “ปาบึก”
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า ภายหลังจากเหตุอุทกภัย วาตภัย และน้ําป่าไหลหลาก ซึ่งเป็นผลกระทบจากอิทธิพล พายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK) เมื่อช่วงวันที่ 3 – 7 มกราคม 2562 ซึ่งเป็นเหตุให้หลายจังหวัด
เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินเป็นจํานวนมาก อาทิ สิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหาย เสาไฟฟ้าหักโค่น ถนนถูกตัดขาด น้ําท่วมขังเป็นบริเวณกว้างทั้งที่พักอาศัยและพื้นที่การเกษตร ทําให้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนและส่งผล
ต่อทุกภาคส่วนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะภาคการเกษตร และภาคธุรกิจ ขณะนี้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานภาครัฐเร่งดําเนินการฟื้นฟูซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้าง และเยียวยาผู้ประสบภัยตามระเบียบทางราชการ รวมทั้งกํากับดูแลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อย่างดีที่สุด เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีไฟฟ้าและสิ่งอํานวยความสะดวกใช้ได้ตามปกติ และเพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาแก่พี่น้องประชาชนภาคใต้ กระทรวงมหาดไทยจึงได้พิจารณาขยายกําหนดเวลาการขอมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตร เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน โดย ผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในท้องที่ทุกอําเภอ ใน 12 จังหวัด สามารถขอรับบริการได้ที่ สํานักทะเบียนอําเภอ และสํานักทะเบียนท้องถิ่นทั่วประเทศ
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยถือเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนตามปณิธานแห่งการ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” ซึ่งพร้อมจะช่วยเหลือประชาชนในทุกด้าน
เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนตลอดไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยอำนวยความสะดวกประชาชนผู้ประสบภัย
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562
กระทรวงมหาดไทยอํานวยความสะดวกประชาชนผู้ประสบภัย
กระทรวงมหาดไทยอํานวยความสะดวกประชาชนผู้ประสบภัย "ปาบึก" 12 จังหวัด
ขยายกําหนดเวลาขอมีบัตรประชาชนโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมถึง 3 มีนาคม 2562
เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 62 ที่กระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายกําหนดเวลาการขอมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตร สําหรับผู้ประสบภัยธรรมชาติ (อุทกภัยและวาตภัย) ในท้องที่ 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ ชุมพร ตรัง นราธิวาส นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี พัทลุง ยะลา ระนอง สงขลา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งได้ขยายกําหนดเวลาการขอมีบัตร การขอมีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรแก่ผู้ถือบัตรของผู้ที่มีชื่อยู่ในทะเบียนบ้านในท้องที่ประสบภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น จากภายในกําหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ต้องมีบัตร มีบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตรเป็นภายในวันที่ 3 มีนาคม 2562 และให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการมีบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตร กรณี บัตรหาย หรือถูกทําลาย หรือชํารุด เพื่อเป็นการดูแลช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน
ผู้ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “ปาบึก”
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า ภายหลังจากเหตุอุทกภัย วาตภัย และน้ําป่าไหลหลาก ซึ่งเป็นผลกระทบจากอิทธิพล พายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK) เมื่อช่วงวันที่ 3 – 7 มกราคม 2562 ซึ่งเป็นเหตุให้หลายจังหวัด
เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินเป็นจํานวนมาก อาทิ สิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหาย เสาไฟฟ้าหักโค่น ถนนถูกตัดขาด น้ําท่วมขังเป็นบริเวณกว้างทั้งที่พักอาศัยและพื้นที่การเกษตร ทําให้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนและส่งผล
ต่อทุกภาคส่วนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะภาคการเกษตร และภาคธุรกิจ ขณะนี้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานภาครัฐเร่งดําเนินการฟื้นฟูซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้าง และเยียวยาผู้ประสบภัยตามระเบียบทางราชการ รวมทั้งกํากับดูแลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อย่างดีที่สุด เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีไฟฟ้าและสิ่งอํานวยความสะดวกใช้ได้ตามปกติ และเพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาแก่พี่น้องประชาชนภาคใต้ กระทรวงมหาดไทยจึงได้พิจารณาขยายกําหนดเวลาการขอมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตร เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน โดย ผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในท้องที่ทุกอําเภอ ใน 12 จังหวัด สามารถขอรับบริการได้ที่ สํานักทะเบียนอําเภอ และสํานักทะเบียนท้องถิ่นทั่วประเทศ
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยถือเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนตามปณิธานแห่งการ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” ซึ่งพร้อมจะช่วยเหลือประชาชนในทุกด้าน
เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนตลอดไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18559
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ส่งสารอวยพรปีใหม่นายจ้าง ลูกจ้าง
|
วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม 2560
รมว.แรงงาน ส่งสารอวยพรปีใหม่นายจ้าง ลูกจ้าง
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ส่งสารอวยพรปีใหม่ถึงนายจ้าง ลูกจ้าง ย้ํา ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ละทิ้งความขัดแย้ง ร่วมพัฒนาแรงงานไทย เน้นเพิ่มศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบการในทุกด้านสอดคล้องทิศทางการพัฒนาประเทศ
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2561พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ส่งสารอวยพรปีใหม่ถึงพี่น้องผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ โดยมีสาระสําคัญดังนี้ “กระทรวงแรงงานมีความมุ่งมั่นและมีภารกิจหลักในการบริหารจัดการแรงงาน ซึ่งเป็นภารกิจที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ทั้งมิติด้านความมั่นคง เศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาปัจจุบันเป็นห้วงเวลาแห่งการปฏิรูปประเทศ ทุกฝ่ายต้อง ละทิ้ง ความขัดแย้ง และต้องร่วมมือกันทํางานอย่างทุ่มเท เสียสละ ซึ่งกระทรวงแรงงานได้กําหนดกรอบแนวทาง ในการทํางานร่วมกันกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาแรงงานไทยให้มีความก้าวหน้า มั่งคง และยั่งยืน
อธิบดีกสร. กล่าวต่อว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เน้นย้ําการเพิ่มศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบการให้พร้อมรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ มีการคุ้มครองและส่งเสริมให้แรงงานมีความมั่นคงในการทํางาน มีหลักประกันและมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีการพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรธรรมาภิบาล รวมถึงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างบูรณาการ เพื่อการบริหารจัดการ และให้บริการด้านแรงงานมีประสิทธิภาพต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ส่งสารอวยพรปีใหม่นายจ้าง ลูกจ้าง
วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม 2560
รมว.แรงงาน ส่งสารอวยพรปีใหม่นายจ้าง ลูกจ้าง
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ส่งสารอวยพรปีใหม่ถึงนายจ้าง ลูกจ้าง ย้ํา ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ละทิ้งความขัดแย้ง ร่วมพัฒนาแรงงานไทย เน้นเพิ่มศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบการในทุกด้านสอดคล้องทิศทางการพัฒนาประเทศ
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2561พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ส่งสารอวยพรปีใหม่ถึงพี่น้องผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ โดยมีสาระสําคัญดังนี้ “กระทรวงแรงงานมีความมุ่งมั่นและมีภารกิจหลักในการบริหารจัดการแรงงาน ซึ่งเป็นภารกิจที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ทั้งมิติด้านความมั่นคง เศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาปัจจุบันเป็นห้วงเวลาแห่งการปฏิรูปประเทศ ทุกฝ่ายต้อง ละทิ้ง ความขัดแย้ง และต้องร่วมมือกันทํางานอย่างทุ่มเท เสียสละ ซึ่งกระทรวงแรงงานได้กําหนดกรอบแนวทาง ในการทํางานร่วมกันกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาแรงงานไทยให้มีความก้าวหน้า มั่งคง และยั่งยืน
อธิบดีกสร. กล่าวต่อว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เน้นย้ําการเพิ่มศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบการให้พร้อมรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ มีการคุ้มครองและส่งเสริมให้แรงงานมีความมั่นคงในการทํางาน มีหลักประกันและมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีการพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรธรรมาภิบาล รวมถึงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างบูรณาการ เพื่อการบริหารจัดการ และให้บริการด้านแรงงานมีประสิทธิภาพต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9101
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล ขอความร่วมมือ งดแชร์ ส่งต่อภาพความรุนแรง
|
วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563
รัฐบาล ขอความร่วมมือ งดแชร์ ส่งต่อภาพความรุนแรง
รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชนและสื่อมวลชนให้งดเผยแพร่ แชร์ ภาพ คลิปวิดีโอ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง
9 ก.พ. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลขอแสดงความเสียใจต่อญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน จ.นครราชสีมา และขอความร่วมมือประชาชนและสื่อมวลชนให้งดเผยแพร่ แชร์ ภาพ คลิปวิดีโอ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง รวมถึงภาพและคลิปดีโอของผู้ที่เสียชีวิต เพื่อป้องกันผลกระทบอันจะเกิดต่อจิตใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ญาติหรือคนใกล้ชิดของผู้สูญเสีย ซึ่งขณะนี้อยู่ในสภาวะเศร้าเสียใจ ทั้งยังเป็นการป้องกันการส่งต่อความรุนแรงไปสู่เด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของชาติด้วย ดังนั้น จึงไม่ควรเผยแพร่ แชร์ภาพและวิดีโอคลิปที่ไม่เหมาะสม
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อดูแลสภาพจิตใจของประชาชน กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งทีมแพทย์ลงพื้นที่พูดคุยให้คําปรึกษา ดูแลสภาพจิตใจของประชาชนอย่างเร่งด่วนแล้ว โดยได้กําหนดแผนการเยียวยาไว้ 4 ระยะ ตั้งแต่ระยะฉุกเฉิน สั้น กลาง ยาว
นอกจากนี้ ยังแนะนํา 5 วิธีเพื่อดูแลสุขภาพจิตตัวเอง 1.พยายามรับประทานอาหาร นอนหลับพักผ่อน ออกกําลัง และใช้ชีวิตปกติ 2.ให้ความสําคัญกับอารมณ์ของตนเอง 3. หมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และความรู้สึกตัวเอง 4. หลีกเลี่ยงการรับข่าวที่มากเกินไป 5. ติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว ให้ผ่านช่วงที่ยากลําบาก
6. เพิ่มการพูดคุยและติดต่อกับผู้อื่นเท่าที่ทําได้ เพื่อระบายความรู้สึก
....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล ขอความร่วมมือ งดแชร์ ส่งต่อภาพความรุนแรง
วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563
รัฐบาล ขอความร่วมมือ งดแชร์ ส่งต่อภาพความรุนแรง
รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชนและสื่อมวลชนให้งดเผยแพร่ แชร์ ภาพ คลิปวิดีโอ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง
9 ก.พ. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลขอแสดงความเสียใจต่อญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน จ.นครราชสีมา และขอความร่วมมือประชาชนและสื่อมวลชนให้งดเผยแพร่ แชร์ ภาพ คลิปวิดีโอ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง รวมถึงภาพและคลิปดีโอของผู้ที่เสียชีวิต เพื่อป้องกันผลกระทบอันจะเกิดต่อจิตใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ญาติหรือคนใกล้ชิดของผู้สูญเสีย ซึ่งขณะนี้อยู่ในสภาวะเศร้าเสียใจ ทั้งยังเป็นการป้องกันการส่งต่อความรุนแรงไปสู่เด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของชาติด้วย ดังนั้น จึงไม่ควรเผยแพร่ แชร์ภาพและวิดีโอคลิปที่ไม่เหมาะสม
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อดูแลสภาพจิตใจของประชาชน กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งทีมแพทย์ลงพื้นที่พูดคุยให้คําปรึกษา ดูแลสภาพจิตใจของประชาชนอย่างเร่งด่วนแล้ว โดยได้กําหนดแผนการเยียวยาไว้ 4 ระยะ ตั้งแต่ระยะฉุกเฉิน สั้น กลาง ยาว
นอกจากนี้ ยังแนะนํา 5 วิธีเพื่อดูแลสุขภาพจิตตัวเอง 1.พยายามรับประทานอาหาร นอนหลับพักผ่อน ออกกําลัง และใช้ชีวิตปกติ 2.ให้ความสําคัญกับอารมณ์ของตนเอง 3. หมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และความรู้สึกตัวเอง 4. หลีกเลี่ยงการรับข่าวที่มากเกินไป 5. ติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว ให้ผ่านช่วงที่ยากลําบาก
6. เพิ่มการพูดคุยและติดต่อกับผู้อื่นเท่าที่ทําได้ เพื่อระบายความรู้สึก
....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26399
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของ องค์การสวนพฤกษศาสตร์
|
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562
รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของ องค์การสวนพฤกษศาสตร์
รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของ องค์การสวนพฤกษศาสตร์
รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของ องค์การสวนพฤกษศาสตร์
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562 เวลา 14.30 น. ณ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อําเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ พร้อมมอบนโยบายเพื่อเป็นแนวทางในการดําเนินงานและให้กําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ร่วมกันปฏิบัติงานในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรพรรณพืชให้คนรุ่นหลังได้เห็นคุณค่าความสําคัญและตระหนักที่จะร่วมกันอนุรักษ์ โดยมี นายรณรงค์ เส็งเอี่ยม ผู้อํานวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ นายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหาร และบุคลากรจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้การต้อนรับ
จากนั้นเข้าเยี่ยมชมการอนุรักษ์ทรัพยากรพรรณพืชภายในเส้นทางศึกษาธรรมชาติเหนือเรือนยอดไม้ Canopy walks ชมพันธุ์ไม้หายากภายในกลุ่มอาคารเรือนกระจกเฉลิมพระเกียรติ และปลูกต้นพญาไม้ ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ป่าหายาก และรับฟังรายงานความก้าวหน้าในการดําเนินงานทางด้านวิชาการขององค์การสวนพฤกษศาสตร์ ในด้านต่างๆ อาทิ งานวิจัยเพื่อการพัฒนาและสร้างผลิตภัณฑ์ งานวิจัยพฤกษเคมี ผลิตภัณฑ์ต่อยอดจากงานวิจัยที่ได้รับการจดอนุสิทธิบัตร การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชวงศ์ขิง-ข่า งานนิเวศวิทยา พร้อมกับเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการทางพฤกษศาสตร์ โอกาสนี้ รมว.ทส. ได้ทดลองผสมเกสรดอกกล้วยไม้สกุลแวนด้า และนํากล้วยไม้เอื้องสามปอยหลวงออกจากขวด ซึ่งเป็นกล้วยไม้ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ ขยายพันธุ์พืชและนํากลับคืนสู่ป่าธรรมชาติ
องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มุ่งเป็นแหล่งอนุรักษ์และวิจัยพันธุ์พืชนอกถิ่นกําเนิดอันดับหนึ่งของประเทศ เพื่อความมั่นคงของทรัพยากรพันธุ์พืช ประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในการบริหารจัดการและสร้างมูลค่าเพิ่มจากการประกอบกิจการ นําไปสู่ความมั่นคง ยั่งยืน ด้านทรัพยากรพันธุ์พืชและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเสริมสร้างแหล่งเรียนรู้ด้านพืชและสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรพันธุ์พืชและสิ่งแวดล้อม โดยมีสวนพฤกษศาสตร์สาขาในสังกัด 5 แห่ง ได้แก่ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จังหวัดเชียงใหม่ สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า พิษณุโลก ในพระราชดําริ สวนพฤกษศาสตร์ระยอง สวนพฤกษศาสตร์ขอนแก่น และสวนพฤกษศาสตร์พระแม่ย่า สุโขทัย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของ องค์การสวนพฤกษศาสตร์
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562
รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของ องค์การสวนพฤกษศาสตร์
รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของ องค์การสวนพฤกษศาสตร์
รมว.ทส.ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของ องค์การสวนพฤกษศาสตร์
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562 เวลา 14.30 น. ณ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อําเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ พร้อมมอบนโยบายเพื่อเป็นแนวทางในการดําเนินงานและให้กําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ร่วมกันปฏิบัติงานในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรพรรณพืชให้คนรุ่นหลังได้เห็นคุณค่าความสําคัญและตระหนักที่จะร่วมกันอนุรักษ์ โดยมี นายรณรงค์ เส็งเอี่ยม ผู้อํานวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ นายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหาร และบุคลากรจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้การต้อนรับ
จากนั้นเข้าเยี่ยมชมการอนุรักษ์ทรัพยากรพรรณพืชภายในเส้นทางศึกษาธรรมชาติเหนือเรือนยอดไม้ Canopy walks ชมพันธุ์ไม้หายากภายในกลุ่มอาคารเรือนกระจกเฉลิมพระเกียรติ และปลูกต้นพญาไม้ ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ป่าหายาก และรับฟังรายงานความก้าวหน้าในการดําเนินงานทางด้านวิชาการขององค์การสวนพฤกษศาสตร์ ในด้านต่างๆ อาทิ งานวิจัยเพื่อการพัฒนาและสร้างผลิตภัณฑ์ งานวิจัยพฤกษเคมี ผลิตภัณฑ์ต่อยอดจากงานวิจัยที่ได้รับการจดอนุสิทธิบัตร การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชวงศ์ขิง-ข่า งานนิเวศวิทยา พร้อมกับเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการทางพฤกษศาสตร์ โอกาสนี้ รมว.ทส. ได้ทดลองผสมเกสรดอกกล้วยไม้สกุลแวนด้า และนํากล้วยไม้เอื้องสามปอยหลวงออกจากขวด ซึ่งเป็นกล้วยไม้ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ ขยายพันธุ์พืชและนํากลับคืนสู่ป่าธรรมชาติ
องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มุ่งเป็นแหล่งอนุรักษ์และวิจัยพันธุ์พืชนอกถิ่นกําเนิดอันดับหนึ่งของประเทศ เพื่อความมั่นคงของทรัพยากรพันธุ์พืช ประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในการบริหารจัดการและสร้างมูลค่าเพิ่มจากการประกอบกิจการ นําไปสู่ความมั่นคง ยั่งยืน ด้านทรัพยากรพันธุ์พืชและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเสริมสร้างแหล่งเรียนรู้ด้านพืชและสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรพันธุ์พืชและสิ่งแวดล้อม โดยมีสวนพฤกษศาสตร์สาขาในสังกัด 5 แห่ง ได้แก่ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จังหวัดเชียงใหม่ สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า พิษณุโลก ในพระราชดําริ สวนพฤกษศาสตร์ระยอง สวนพฤกษศาสตร์ขอนแก่น และสวนพฤกษศาสตร์พระแม่ย่า สุโขทัย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22137
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต ตั้งเป้าไทยสู่การเป็น SMART EOC ในปี 2580
|
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
รมช.สาธิต ตั้งเป้าไทยสู่การเป็น SMART EOC ในปี 2580
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการสัมมนาเครือข่ายด้านการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ระดับนานาชาติ ตั้งเป้าหมายประเทศไทยเป็น SMART EOC ปี 2580
มีสมรรถนะและความสามารถในการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขครบตามเกณฑ์กฎอนามัยระหว่างประเทศสามารถจัดการกับทุกโรคได้อย่างรวดเร็ว
วันนี้ (23 กันยายน 2562) ที่ โรงแรมดิเอ็มเพรส จ.เชียงใหม่ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดการสัมมนาเครือข่ายด้านการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ระดับนานาชาติ (Public Health Emergency Operation Centers Network (EOC-NET) Annual Meeting 2019) โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้รับเกียรติจากองค์การอนามัยโลกให้จัดสัมมนาระหว่างวันที่ 23 – 25 กันยายน 2562 มีผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญจาก EOC-NET และตัวแทนจากประเทศสมาชิกทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน เข้าร่วมสัมมนาประมาณ 300 คน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจัดการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (EOC)จากทั่วโลก
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ กล่าวว่า รัฐบาลไทยให้ความสําคัญและยินดีสนับสนุนการพัฒนาด้านการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขของประเทศ มีเจตนารมณ์อย่างชัดเจนที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพระดับมาตรฐานสากล ส่งเสริมการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน และระบบบัญชาการเหตุการณ์ ให้บรรลุผลสําเร็จตามกรอบแนวทางขององค์การอนามัยโลก ทําให้การจัดการภัยพิบัติต่างๆ ทางสาธารณสุขสามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยเหลือกัน สําหรับในกลุ่มอาเซียน ประเทศไทยและมาเลเซียจะสร้างเครือข่ายร่วมกับประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) ในปีหน้าร่วมกับองค์การอนามัยโลก
“จากการที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่มีความเข้มแข็ง ทําให้ พญ.มากาเร็ต ชาน (Dr.Margaret Chan) ได้ส่งจดหมายถึง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2558 แสดงความชื่นชมต่อความสําเร็จในการควบคุมสถานการณ์โรคเมอร์สของประเทศไทยที่สามารถควบคุมไม่ให้มีผู้ป่วยรายใหม่และไม่มีการระบาด ซึ่งสะท้อนถึงความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทย ทั้งด้านการบริหารจัดการ การเฝ้าระวังทีมบุคลากรที่มีศักยภาพและความพร้อมสูง เป็นผลจากการให้ความสําคัญและพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี
ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สําคัญให้กับเครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทั้งในประเทศ และต่างประเทศในความร่วมมือและประสานเครือข่ายการทํางานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) ให้มีประสิทธิภาพตามที่องค์การอนามัยโลกกําหนด” ดร.สาธิต กล่าว
ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กําหนดให้กรมควบคุมโรค พัฒนาระบบการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข และจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน สนับสนุนการพัฒนาเครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operations Center : EOC) และระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Incident Command System : ICS) โดยวางกรอบการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทั้งในระดับส่วนกลาง ระดับเขต และระดับจังหวัด ให้มีสมรรถนะและขีดความสามารถในการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขครบตามเกณฑ์ของกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR 2005) เพื่อมุ่งสู่การเป็น SMART EOC ภายในปี 2580 ให้สามารถจัดการกับทุกโรคและภัยสุขภาพได้อย่างรวดเร็ว เป็นระบบ มีความเป็นเอกภาพ มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและพัฒนาสู่แนวหน้าของภูมิภาค และของโลก
******************************************** 23 กันยายน 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต ตั้งเป้าไทยสู่การเป็น SMART EOC ในปี 2580
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
รมช.สาธิต ตั้งเป้าไทยสู่การเป็น SMART EOC ในปี 2580
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการสัมมนาเครือข่ายด้านการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ระดับนานาชาติ ตั้งเป้าหมายประเทศไทยเป็น SMART EOC ปี 2580
มีสมรรถนะและความสามารถในการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขครบตามเกณฑ์กฎอนามัยระหว่างประเทศสามารถจัดการกับทุกโรคได้อย่างรวดเร็ว
วันนี้ (23 กันยายน 2562) ที่ โรงแรมดิเอ็มเพรส จ.เชียงใหม่ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเปิดการสัมมนาเครือข่ายด้านการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ระดับนานาชาติ (Public Health Emergency Operation Centers Network (EOC-NET) Annual Meeting 2019) โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้รับเกียรติจากองค์การอนามัยโลกให้จัดสัมมนาระหว่างวันที่ 23 – 25 กันยายน 2562 มีผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญจาก EOC-NET และตัวแทนจากประเทศสมาชิกทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน เข้าร่วมสัมมนาประมาณ 300 คน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจัดการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (EOC)จากทั่วโลก
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ กล่าวว่า รัฐบาลไทยให้ความสําคัญและยินดีสนับสนุนการพัฒนาด้านการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขของประเทศ มีเจตนารมณ์อย่างชัดเจนที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพระดับมาตรฐานสากล ส่งเสริมการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน และระบบบัญชาการเหตุการณ์ ให้บรรลุผลสําเร็จตามกรอบแนวทางขององค์การอนามัยโลก ทําให้การจัดการภัยพิบัติต่างๆ ทางสาธารณสุขสามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยเหลือกัน สําหรับในกลุ่มอาเซียน ประเทศไทยและมาเลเซียจะสร้างเครือข่ายร่วมกับประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) ในปีหน้าร่วมกับองค์การอนามัยโลก
“จากการที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่มีความเข้มแข็ง ทําให้ พญ.มากาเร็ต ชาน (Dr.Margaret Chan) ได้ส่งจดหมายถึง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2558 แสดงความชื่นชมต่อความสําเร็จในการควบคุมสถานการณ์โรคเมอร์สของประเทศไทยที่สามารถควบคุมไม่ให้มีผู้ป่วยรายใหม่และไม่มีการระบาด ซึ่งสะท้อนถึงความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทย ทั้งด้านการบริหารจัดการ การเฝ้าระวังทีมบุคลากรที่มีศักยภาพและความพร้อมสูง เป็นผลจากการให้ความสําคัญและพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี
ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สําคัญให้กับเครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทั้งในประเทศ และต่างประเทศในความร่วมมือและประสานเครือข่ายการทํางานศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) ให้มีประสิทธิภาพตามที่องค์การอนามัยโลกกําหนด” ดร.สาธิต กล่าว
ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กําหนดให้กรมควบคุมโรค พัฒนาระบบการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข และจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน สนับสนุนการพัฒนาเครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operations Center : EOC) และระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Incident Command System : ICS) โดยวางกรอบการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทั้งในระดับส่วนกลาง ระดับเขต และระดับจังหวัด ให้มีสมรรถนะและขีดความสามารถในการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขครบตามเกณฑ์ของกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR 2005) เพื่อมุ่งสู่การเป็น SMART EOC ภายในปี 2580 ให้สามารถจัดการกับทุกโรคและภัยสุขภาพได้อย่างรวดเร็ว เป็นระบบ มีความเป็นเอกภาพ มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและพัฒนาสู่แนวหน้าของภูมิภาค และของโลก
******************************************** 23 กันยายน 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23304
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ออมสิน แจ้งปิดปรับปรุงระบบพร้อมเพย์ชั่วคราว 18 ถึง 20 ตุลาคม 2562 เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ
|
วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2562
ธ.ออมสิน แจ้งปิดปรับปรุงระบบพร้อมเพย์ชั่วคราว 18 ถึง 20 ตุลาคม 2562 เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ
ธ.ออมสินปิดปรับปรุงระบบงาน PromptPay (PP Gateway) ชั่วคราว เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น ใน 2 ช่วงเวลา คือ วันศุกร์ที่ 18 ต.ค.2562 เวลา 23.00 น. ถึงวันเสาร์ที่ 19 ต.ค.2562 เวลา 06.00 น.
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินมีการปิดปรับปรุงระบบงาน PromptPay (PP Gateway) เป็นการชั่วคราว เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของธนาคารให้ดียิ่งขึ้น ใน 2 ช่วงเวลา คือ ในวันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 23.00 น. ถึงวันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2562 เวลา 06.00 น. และวันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 23.00 น. ถึงวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562 เวลา 06.00 น. ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการระบบ PromptPay ได้ ในช่วงเวลาดังกล่าว ผ่านช่องทาง MyMo, Internet Banking และ ATM ในบางธุรกรรม ได้แก่ บริการโอนเงินระหว่างธนาคารและเติมเงินพร้อมเพย์, บริการโอนเงินพร้อมเพย์และชําระสินค้าและบริการ PromptPay Bill Payment, บริการเตือนเพื่อจ่าย (Request to Pay) และบริการตรวจสอบการรับเงิน (Check e-Slip) จึงขออภัยลูกค้าทุกท่านในความไม่สะดวกในครั้งนี้ด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Line Official, Facebook : GSB Society หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ออมสิน แจ้งปิดปรับปรุงระบบพร้อมเพย์ชั่วคราว 18 ถึง 20 ตุลาคม 2562 เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ
วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2562
ธ.ออมสิน แจ้งปิดปรับปรุงระบบพร้อมเพย์ชั่วคราว 18 ถึง 20 ตุลาคม 2562 เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ
ธ.ออมสินปิดปรับปรุงระบบงาน PromptPay (PP Gateway) ชั่วคราว เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น ใน 2 ช่วงเวลา คือ วันศุกร์ที่ 18 ต.ค.2562 เวลา 23.00 น. ถึงวันเสาร์ที่ 19 ต.ค.2562 เวลา 06.00 น.
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินมีการปิดปรับปรุงระบบงาน PromptPay (PP Gateway) เป็นการชั่วคราว เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของธนาคารให้ดียิ่งขึ้น ใน 2 ช่วงเวลา คือ ในวันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 23.00 น. ถึงวันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2562 เวลา 06.00 น. และวันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 23.00 น. ถึงวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562 เวลา 06.00 น. ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการระบบ PromptPay ได้ ในช่วงเวลาดังกล่าว ผ่านช่องทาง MyMo, Internet Banking และ ATM ในบางธุรกรรม ได้แก่ บริการโอนเงินระหว่างธนาคารและเติมเงินพร้อมเพย์, บริการโอนเงินพร้อมเพย์และชําระสินค้าและบริการ PromptPay Bill Payment, บริการเตือนเพื่อจ่าย (Request to Pay) และบริการตรวจสอบการรับเงิน (Check e-Slip) จึงขออภัยลูกค้าทุกท่านในความไม่สะดวกในครั้งนี้ด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Line Official, Facebook : GSB Society หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23877
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ยืนยัน 2 พ.ค. 2563 ออกรางวัลสลากออมทรัพย์ รับชมการถ่ายทอดสดทาง FB Live ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เวลา 14:00 น.
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563
ธอส. ยืนยัน 2 พ.ค. 2563 ออกรางวัลสลากออมทรัพย์ รับชมการถ่ายทอดสดทาง FB Live ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เวลา 14:00 น.
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จะจัดให้มีการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. งวดประจําวันที่ 16 เมษายน 2563 ตามที่เคยประกาศเลื่อนวันออกรางวัลไว้ก่อนหน้านี้
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จะจัดให้มีการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. งวดประจําวันที่ 16 เมษายน 2563 ตามที่เคยประกาศเลื่อนวันออกรางวัลไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งจะประกอบด้วยการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ชุดวิมานเมฆ(หน่วยละ 1 ล้านบาท) ชุดพราวพิมาน(หน่วยละ 10 ล้านบาท) และชุดพิมานมาศ (หน่วยละ 50,000 บาท) โดยเปลี่ยนเวลาการออกรางวัลเป็น 14.00 น. จากเดิม 17.00 น. ซึ่งลูกค้าประชาชนสามารถติดตามรับชมการถ่ายทอดสดการออกรางวัลได้ทาง Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทั้งนี้ ผู้ซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส. ทุกหน่วย จะยังคงได้รับผลตอบแทน และมีโอกาสในการถูกรางวัลตามเงื่อนไขเดิมของสลากออมทรัพย์ ธอส. แต่ละชุด และเมื่อถูกรางวัลธนาคารจะโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของผู้ที่ถูกรางวัลในวันถัดจากวันออกรางวัลทันที สอบถามรายละเอียดหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbank.co.th หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร.0-2645-9000
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ยืนยัน 2 พ.ค. 2563 ออกรางวัลสลากออมทรัพย์ รับชมการถ่ายทอดสดทาง FB Live ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เวลา 14:00 น.
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563
ธอส. ยืนยัน 2 พ.ค. 2563 ออกรางวัลสลากออมทรัพย์ รับชมการถ่ายทอดสดทาง FB Live ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เวลา 14:00 น.
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จะจัดให้มีการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. งวดประจําวันที่ 16 เมษายน 2563 ตามที่เคยประกาศเลื่อนวันออกรางวัลไว้ก่อนหน้านี้
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จะจัดให้มีการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. งวดประจําวันที่ 16 เมษายน 2563 ตามที่เคยประกาศเลื่อนวันออกรางวัลไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งจะประกอบด้วยการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ชุดวิมานเมฆ(หน่วยละ 1 ล้านบาท) ชุดพราวพิมาน(หน่วยละ 10 ล้านบาท) และชุดพิมานมาศ (หน่วยละ 50,000 บาท) โดยเปลี่ยนเวลาการออกรางวัลเป็น 14.00 น. จากเดิม 17.00 น. ซึ่งลูกค้าประชาชนสามารถติดตามรับชมการถ่ายทอดสดการออกรางวัลได้ทาง Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทั้งนี้ ผู้ซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส. ทุกหน่วย จะยังคงได้รับผลตอบแทน และมีโอกาสในการถูกรางวัลตามเงื่อนไขเดิมของสลากออมทรัพย์ ธอส. แต่ละชุด และเมื่อถูกรางวัลธนาคารจะโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของผู้ที่ถูกรางวัลในวันถัดจากวันออกรางวัลทันที สอบถามรายละเอียดหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbank.co.th หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร.0-2645-9000
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29201
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สงกรานต์คึกคักในประเทศเพื่อนบ้าน สร้างโอกาสธุรกิจไทย
|
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
สงกรานต์คึกคักในประเทศเพื่อนบ้าน สร้างโอกาสธุรกิจไทย
สงกรานต์คึกคักในประเทศเพื่อนบ้าน สร้างโอกาสธุรกิจไทย โดย ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)
เมื่อเริ่มเข้าสู่เดือนเมษายน นอกจากอากาศที่ร้อนระอุขึ้นแล้ว หลายคนมักนึกถึงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งไม่เพียงเป็นหนึ่งในเทศกาลเฉลิมฉลองสําคัญประจําปีของไทย แต่ยังเป็นเทศกาลสําคัญของประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLM (กัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา) ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีโบราณที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน สันนิษฐานว่าจุดเริ่มต้นมาจากประเทศอินเดียภายใต้แบบแผนของพราหมณ์/ฮินดู ก่อนจะแพร่หลายไปสู่ดินแดนอุษาคเนย์ โดยเฉพาะบริเวณประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และไทยในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม แม้จุดเริ่มต้นประเพณีสงกรานต์มาจากรากฐานวัฒนธรรมเดียวกัน แต่ปัจจุบันประเพณีและการจัดงานเทศกาลสงกรานต์ในแต่ละประเทศมีทั้งความเหมือนและความต่างที่น่าสนใจจะนํามาเล่าสู่กันฟัง รวมถึงหากวิเคราะห์เจาะลึกกันให้ดี เทศกาลนี้จะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการไทยได้อีกมาก
ขอเริ่มต้นที่เทศกาลสงกรานต์ในกัมพูชาเป็นที่แรก เทศกาลสงกรานต์ในกัมพูชามีวันสําคัญรวม 3 วัน ยกเว้นในบางปีอาจมี 4 วัน ขึ้นอยู่กับจันทรคติ โดยวันแรกเรียกว่า “Moha Songkran” ในวันนี้ชาวกัมพูชาจะจัดพิธีสังเวยเทวดาใหม่ หลังจากนั้นจะไปทําบุญและฟังธรรมเทศนาต่อที่วัด วันที่สองเรียกว่า “Wanabat” (บางปีวันนี้อาจมีสองวัน) ชาวกัมพูชาจะจัดสํารับอาหารให้แก่บิดามารดาปู่ย่าตายายพร้อมขอพรจากท่าน ก่อนจะไปทําบุญพร้อมถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่วัด และวันที่สามเรียกว่า “Tanai Lieang Saka” ช่วงเช้ายังคงทําบุญถวายอาหารพระสงฆ์ หลังจากนั้นช่วงบ่ายจะสรงน้ําพระพุทธรูปและพระสงฆ์ รวมถึงผู้สูงอายุและผู้มีพระคุณ ก่อนที่จะเล่นสาดน้ํากัน ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ชาวกัมพูชามีความเชื่อว่าห้ามทํางาน ทําให้ในเมืองหลวงอย่างกรุงพนมเปญแทบจะเป็นเมืองร้าง ร้านค้าและสถานที่ทํางานต่างๆ ล้วนปิดทําการ ชาวกัมพูชาส่วนใหญ่จะเดินทางกลับบ้านในต่างจังหวัด ทําให้ความคึกคักของเทศกาลสงกรานต์มักอยู่ตามต่างจังหวัดและเมืองใหญ่ในภาคต่างๆ ของกัมพูชา อาทิ พระตะบอง บันเตียเมียนเจย รวมถึงเสียมราฐที่จัดงานเทศกาลสงกรานต์ใหญ่ที่สุดในประเทศ เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวสําคัญ โดยพื้นที่จัดงานจะอยู่บริเวณนครวัด ซึ่งจากข้อมูลของทางการจังหวัดเสียมราฐระบุว่า มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ในเสียมราฐมากกว่า 5 แสนคนต่อปี มีเม็ดเงินสะพัดปีละไม่น้อยกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สําหรับเทศกาลสงกรานต์ใน สปป.ลาว มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยบริเวณนครหลวงเวียงจันทน์มักนิยมจัดงานประเพณีสงกรานต์แบบดั้งเดิมควบคู่ไปกับกิจกรรมบันเทิงสมัยใหม่ โดยบริเวณจัดงานหลักจะอยู่ริมถนน Setthathilath และบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ ชาว สปป.ลาว ยังนิยมเดินทางข้ามโขงมาเล่นน้ําสงกรานต์ในจังหวัดหนองคายและอุดรธานีของไทยด้วย ขณะที่เมืองหลวงพระบางจะเน้นจัดงานพิธีทางศาสนาและงานรื่นเริงตามขนบธรรมเนียมประเพณีแบบดั้งเดิม ในวันแรกเรียกว่า “วันสังขารล่อง” ชาวหลวงพระบางนิยมซื้อธงที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา อาทิ ธงรูปพระพุทธเจ้า ธงตัวเพิ่ง (สัตว์ประจําปีนักษัตร) เพื่อนําไปปักไว้บนพระธาตุทราย วันที่สองเรียกว่า “วันเนา” จะมีขบวนแห่เกี้ยวของพระสงฆ์ นางสงกรานต์ รวมถึงมีการแห่สิงห์แก้ว สิงห์คํา และปู่เยอ ย่าเยอ (เทวดาผู้ปกปักษ์รักษาเมือง) และวันที่สามเรียกว่า “วันสังขารขึ้น” ในตอนเช้าจะวางดอกไม้ธูปเทียนไว้หน้าบ้านเพื่อทําความเคารพเจ้าที่เจ้าทาง หลังจากนั้นจะร่วมกันทําบุญตักบาตรข้าวเหนียว
เทศกาลสงกรานต์ในเมียนมา เรียกว่า “Thingyan” ซึ่งถือเป็นช่วงวันหยุดยาวช่วงหนึ่งของเมียนมา มีทั้งการจัดกิจกรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม รวมถึงการทําบุญตามวัดวาอารามต่างๆ ที่มีอยู่เป็นจํานวนมาก และกิจกรรมบันเทิงสมัยใหม่ซึ่งสถานที่จัดงานรื่นเริงส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณถนน Kaba Aye Pagoda และ Kandawgyi รวมถึงบริเวณรอบเจดีย์ชเวดากองที่มักมีหนุ่มสาวรวมตัวกันเล่นน้ําบริเวณนี้เป็นจํานวนมาก นอกจากนี้ บริเวณเมืองชายแดน อาทิ เมืองเมียวดีที่อยู่ติดกับอําเภอแม่สอด จังหวัดตาก ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่จัดกิจกรรมสงกรานต์อย่างใหญ่โต เนื่องจากอยู่ติดกับประเทศไทย ทําให้รูปแบบการเล่นน้ําและกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ใกล้เคียงกับไทยมาก
จะเห็นได้ว่า กิจกรรมในเทศกาลสงกรานต์ของประเทศเพื่อนบ้านแม้มีบางอย่างที่แตกต่างจากไทย แต่ก็มีหลายส่วนที่คล้ายคลึงกัน โดยกิจกรรมหลักๆ ยังคงเป็นพิธีกรรมทางศาสนาและการทําบุญ รวมถึงการจัดงานรื่นเริงเล่นสาดน้ําของหนุ่มสาว ตลอดจนการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง ทั้งนี้ ดังที่ทราบกันดีว่าสินค้าและบริการของไทยได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับเป็นอย่างดีในตลาดประเทศเพื่อนบ้าน เทศกาลสงกรานต์ซึ่งเป็นหนึ่งในเทศกาลใหญ่ประจําปีของประเทศเพื่อนบ้าน จึงมีเม็ดเงินสะพัดเป็นจํานวนมาก ย่อมเป็นอีกหนึ่งโอกาสสําคัญของธุรกิจไทย สังเกตได้จากในเดือนมีนาคมของทุกปี มูลค่าส่งออกของไทยไปกลุ่มประเทศ CLM มักสูงเป็นอันดับ 2 เมื่อเทียบกับมูลค่าส่งออกรวมไปกลุ่มประเทศ CLM ทั้งปี เป็นรองเพียงช่วงปลายปีเท่านั้น สะท้อนว่าผู้นําเข้าในประเทศเพื่อนบ้านเร่งนําเข้าสินค้าไทยเพื่อเตรียมจําหน่ายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยกลุ่มสินค้าไทยที่มีโอกาสทําตลาดได้ดีในช่วงเทศกาลนี้ อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะน้ําอัดลมและเครื่องดื่มชูกําลัง (ชาวเมียนมานิยมดื่มเครื่องดื่มชูกําลังเพื่อดับกระหาย) อุปกรณ์ที่ใช้เล่นน้ําสงกรานต์ ไม่ว่าจะเป็นซอง/กระเป๋าพลาสติก ปืนฉีดน้ํา แว่นตากันน้ํา ซึ่งสินค้าหลายอย่างนําเข้าจากไทย ตลอดจนเสื้อผ้า/เครื่องประดับที่นิยมซื้อให้กันเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งสินค้าแบรนด์ไทยยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ รวมถึงหลอดไฟที่นิยมซื้อไปประดับประดาตกแต่งบ้านในช่วงเทศกาลนี้ด้วย และที่ลืมไม่ได้คือสินค้าที่เป็นปัจจัยและเครื่องใช้สําหรับพระภิกษุสงฆ์ (มีดโกน ช้อนส้อม แปรง/ยาสีฟัน ขันน้ํา) เนื่องจากในช่วงเทศกาลนี้มักมีการทําบุญกันอย่างต่อเนื่อง สําหรับธุรกิจบริการของไทยที่มีโอกาสทําตลาดสูง ได้แก่ ร้านอาหารและร้านกาแฟไทย ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างดีและอยู่ในตลาดกลางค่อนบนของผู้บริโภคในประเทศเพื่อนบ้าน ช่วงเทศกาลนี้ย่อมเป็นจังหวะที่ดีในการจัดโปรโมชันเพื่อโปรโมทอาหารและเครื่องดื่มสไตล์ไทย ท้ายที่สุดขอฝากคําแนะนําว่า แม้สินค้าและบริการของไทยจะได้รับการตอบรับที่ดีจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่หากผู้ประกอบการไทยหมั่นศึกษาถึงพฤติกรรมและความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคในประเทศเหล่านี้ ก็จะทําให้สามารถทําตลาดและเพิ่มยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-6
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สงกรานต์คึกคักในประเทศเพื่อนบ้าน สร้างโอกาสธุรกิจไทย
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
สงกรานต์คึกคักในประเทศเพื่อนบ้าน สร้างโอกาสธุรกิจไทย
สงกรานต์คึกคักในประเทศเพื่อนบ้าน สร้างโอกาสธุรกิจไทย โดย ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)
เมื่อเริ่มเข้าสู่เดือนเมษายน นอกจากอากาศที่ร้อนระอุขึ้นแล้ว หลายคนมักนึกถึงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งไม่เพียงเป็นหนึ่งในเทศกาลเฉลิมฉลองสําคัญประจําปีของไทย แต่ยังเป็นเทศกาลสําคัญของประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLM (กัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา) ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีโบราณที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน สันนิษฐานว่าจุดเริ่มต้นมาจากประเทศอินเดียภายใต้แบบแผนของพราหมณ์/ฮินดู ก่อนจะแพร่หลายไปสู่ดินแดนอุษาคเนย์ โดยเฉพาะบริเวณประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และไทยในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม แม้จุดเริ่มต้นประเพณีสงกรานต์มาจากรากฐานวัฒนธรรมเดียวกัน แต่ปัจจุบันประเพณีและการจัดงานเทศกาลสงกรานต์ในแต่ละประเทศมีทั้งความเหมือนและความต่างที่น่าสนใจจะนํามาเล่าสู่กันฟัง รวมถึงหากวิเคราะห์เจาะลึกกันให้ดี เทศกาลนี้จะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการไทยได้อีกมาก
ขอเริ่มต้นที่เทศกาลสงกรานต์ในกัมพูชาเป็นที่แรก เทศกาลสงกรานต์ในกัมพูชามีวันสําคัญรวม 3 วัน ยกเว้นในบางปีอาจมี 4 วัน ขึ้นอยู่กับจันทรคติ โดยวันแรกเรียกว่า “Moha Songkran” ในวันนี้ชาวกัมพูชาจะจัดพิธีสังเวยเทวดาใหม่ หลังจากนั้นจะไปทําบุญและฟังธรรมเทศนาต่อที่วัด วันที่สองเรียกว่า “Wanabat” (บางปีวันนี้อาจมีสองวัน) ชาวกัมพูชาจะจัดสํารับอาหารให้แก่บิดามารดาปู่ย่าตายายพร้อมขอพรจากท่าน ก่อนจะไปทําบุญพร้อมถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่วัด และวันที่สามเรียกว่า “Tanai Lieang Saka” ช่วงเช้ายังคงทําบุญถวายอาหารพระสงฆ์ หลังจากนั้นช่วงบ่ายจะสรงน้ําพระพุทธรูปและพระสงฆ์ รวมถึงผู้สูงอายุและผู้มีพระคุณ ก่อนที่จะเล่นสาดน้ํากัน ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ชาวกัมพูชามีความเชื่อว่าห้ามทํางาน ทําให้ในเมืองหลวงอย่างกรุงพนมเปญแทบจะเป็นเมืองร้าง ร้านค้าและสถานที่ทํางานต่างๆ ล้วนปิดทําการ ชาวกัมพูชาส่วนใหญ่จะเดินทางกลับบ้านในต่างจังหวัด ทําให้ความคึกคักของเทศกาลสงกรานต์มักอยู่ตามต่างจังหวัดและเมืองใหญ่ในภาคต่างๆ ของกัมพูชา อาทิ พระตะบอง บันเตียเมียนเจย รวมถึงเสียมราฐที่จัดงานเทศกาลสงกรานต์ใหญ่ที่สุดในประเทศ เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวสําคัญ โดยพื้นที่จัดงานจะอยู่บริเวณนครวัด ซึ่งจากข้อมูลของทางการจังหวัดเสียมราฐระบุว่า มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ในเสียมราฐมากกว่า 5 แสนคนต่อปี มีเม็ดเงินสะพัดปีละไม่น้อยกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สําหรับเทศกาลสงกรานต์ใน สปป.ลาว มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยบริเวณนครหลวงเวียงจันทน์มักนิยมจัดงานประเพณีสงกรานต์แบบดั้งเดิมควบคู่ไปกับกิจกรรมบันเทิงสมัยใหม่ โดยบริเวณจัดงานหลักจะอยู่ริมถนน Setthathilath และบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ ชาว สปป.ลาว ยังนิยมเดินทางข้ามโขงมาเล่นน้ําสงกรานต์ในจังหวัดหนองคายและอุดรธานีของไทยด้วย ขณะที่เมืองหลวงพระบางจะเน้นจัดงานพิธีทางศาสนาและงานรื่นเริงตามขนบธรรมเนียมประเพณีแบบดั้งเดิม ในวันแรกเรียกว่า “วันสังขารล่อง” ชาวหลวงพระบางนิยมซื้อธงที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา อาทิ ธงรูปพระพุทธเจ้า ธงตัวเพิ่ง (สัตว์ประจําปีนักษัตร) เพื่อนําไปปักไว้บนพระธาตุทราย วันที่สองเรียกว่า “วันเนา” จะมีขบวนแห่เกี้ยวของพระสงฆ์ นางสงกรานต์ รวมถึงมีการแห่สิงห์แก้ว สิงห์คํา และปู่เยอ ย่าเยอ (เทวดาผู้ปกปักษ์รักษาเมือง) และวันที่สามเรียกว่า “วันสังขารขึ้น” ในตอนเช้าจะวางดอกไม้ธูปเทียนไว้หน้าบ้านเพื่อทําความเคารพเจ้าที่เจ้าทาง หลังจากนั้นจะร่วมกันทําบุญตักบาตรข้าวเหนียว
เทศกาลสงกรานต์ในเมียนมา เรียกว่า “Thingyan” ซึ่งถือเป็นช่วงวันหยุดยาวช่วงหนึ่งของเมียนมา มีทั้งการจัดกิจกรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม รวมถึงการทําบุญตามวัดวาอารามต่างๆ ที่มีอยู่เป็นจํานวนมาก และกิจกรรมบันเทิงสมัยใหม่ซึ่งสถานที่จัดงานรื่นเริงส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณถนน Kaba Aye Pagoda และ Kandawgyi รวมถึงบริเวณรอบเจดีย์ชเวดากองที่มักมีหนุ่มสาวรวมตัวกันเล่นน้ําบริเวณนี้เป็นจํานวนมาก นอกจากนี้ บริเวณเมืองชายแดน อาทิ เมืองเมียวดีที่อยู่ติดกับอําเภอแม่สอด จังหวัดตาก ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่จัดกิจกรรมสงกรานต์อย่างใหญ่โต เนื่องจากอยู่ติดกับประเทศไทย ทําให้รูปแบบการเล่นน้ําและกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ใกล้เคียงกับไทยมาก
จะเห็นได้ว่า กิจกรรมในเทศกาลสงกรานต์ของประเทศเพื่อนบ้านแม้มีบางอย่างที่แตกต่างจากไทย แต่ก็มีหลายส่วนที่คล้ายคลึงกัน โดยกิจกรรมหลักๆ ยังคงเป็นพิธีกรรมทางศาสนาและการทําบุญ รวมถึงการจัดงานรื่นเริงเล่นสาดน้ําของหนุ่มสาว ตลอดจนการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง ทั้งนี้ ดังที่ทราบกันดีว่าสินค้าและบริการของไทยได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับเป็นอย่างดีในตลาดประเทศเพื่อนบ้าน เทศกาลสงกรานต์ซึ่งเป็นหนึ่งในเทศกาลใหญ่ประจําปีของประเทศเพื่อนบ้าน จึงมีเม็ดเงินสะพัดเป็นจํานวนมาก ย่อมเป็นอีกหนึ่งโอกาสสําคัญของธุรกิจไทย สังเกตได้จากในเดือนมีนาคมของทุกปี มูลค่าส่งออกของไทยไปกลุ่มประเทศ CLM มักสูงเป็นอันดับ 2 เมื่อเทียบกับมูลค่าส่งออกรวมไปกลุ่มประเทศ CLM ทั้งปี เป็นรองเพียงช่วงปลายปีเท่านั้น สะท้อนว่าผู้นําเข้าในประเทศเพื่อนบ้านเร่งนําเข้าสินค้าไทยเพื่อเตรียมจําหน่ายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยกลุ่มสินค้าไทยที่มีโอกาสทําตลาดได้ดีในช่วงเทศกาลนี้ อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะน้ําอัดลมและเครื่องดื่มชูกําลัง (ชาวเมียนมานิยมดื่มเครื่องดื่มชูกําลังเพื่อดับกระหาย) อุปกรณ์ที่ใช้เล่นน้ําสงกรานต์ ไม่ว่าจะเป็นซอง/กระเป๋าพลาสติก ปืนฉีดน้ํา แว่นตากันน้ํา ซึ่งสินค้าหลายอย่างนําเข้าจากไทย ตลอดจนเสื้อผ้า/เครื่องประดับที่นิยมซื้อให้กันเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งสินค้าแบรนด์ไทยยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ รวมถึงหลอดไฟที่นิยมซื้อไปประดับประดาตกแต่งบ้านในช่วงเทศกาลนี้ด้วย และที่ลืมไม่ได้คือสินค้าที่เป็นปัจจัยและเครื่องใช้สําหรับพระภิกษุสงฆ์ (มีดโกน ช้อนส้อม แปรง/ยาสีฟัน ขันน้ํา) เนื่องจากในช่วงเทศกาลนี้มักมีการทําบุญกันอย่างต่อเนื่อง สําหรับธุรกิจบริการของไทยที่มีโอกาสทําตลาดสูง ได้แก่ ร้านอาหารและร้านกาแฟไทย ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างดีและอยู่ในตลาดกลางค่อนบนของผู้บริโภคในประเทศเพื่อนบ้าน ช่วงเทศกาลนี้ย่อมเป็นจังหวะที่ดีในการจัดโปรโมชันเพื่อโปรโมทอาหารและเครื่องดื่มสไตล์ไทย ท้ายที่สุดขอฝากคําแนะนําว่า แม้สินค้าและบริการของไทยจะได้รับการตอบรับที่ดีจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่หากผู้ประกอบการไทยหมั่นศึกษาถึงพฤติกรรมและความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคในประเทศเหล่านี้ ก็จะทําให้สามารถทําตลาดและเพิ่มยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-6
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2997
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัยเปิดโครงการคุ้มครองสิทธิ เพื่อสร้างวิถีชีวิตแห่งความเท่าเทียม พร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา
|
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562
รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัยเปิดโครงการคุ้มครองสิทธิ เพื่อสร้างวิถีชีวิตแห่งความเท่าเทียม พร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการคุ้มครองสิทธิ เพื่อสร้างวิถีชีวิตแห่งความเท่าเทียม
ในวันเสาร์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการคุ้มครองสิทธิ เพื่อสร้างวิถีชีวิตแห่งความเท่าเทียม โดยมี นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นายสมณ์ พรหมรส อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย เข้าร่วมฯ ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า นับตั้งแต่เข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม
๒๕๖๒ ทําให้ได้รู้และเข้าใจบทบาทภารกิจของกระทรวงยุติธรรมมากขึ้น ในด้านการอํานวยความยุติธรรมและการพัฒนาพฤตินิสัย รวมถึงเผยแพร่ความรู้ทางด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้ประชาชนได้รับรู้และรับทราบ เข้าถึงประชาชนทุกคน ทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยให้ได้รับความยุติธรรม อีกทั้งการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้ได้รับความเป็นธรรม อย่างเท่าเทียม ผ่านกองทุนยุติธรรม การพัฒนา แก้ไข บําบัด ฟื้นฟูผู้กระทําผิด รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดําเนินการไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส รวดเร็ว และทั่วถึง และกล่าวถึงปัญหายาเสพติด ที่ทุกหน่วยงานต้องเร่งหาวิธีการป้องกัน ควบคู่ไปพร้อมกับการปราบปรามยาเสพติด
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ฯได้มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา ที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ ภายใต้พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ ๒๕๔๔และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ๒) พ.ศ . ๒๕๕๙
ให้ประชาชนในพื้นที่ จังหวัดสุโขทัย จังหวัดกําแพงเพชร จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัด นครสวรรค์ จํานวน ๗๑ ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๘๒๑,๙๘๔ บาท เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพให้แก่ประชาชน สร้างสังคมที่เป็นธรรม และเกิดความเสมอภาคอย่างแท้จริง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัยเปิดโครงการคุ้มครองสิทธิ เพื่อสร้างวิถีชีวิตแห่งความเท่าเทียม พร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562
รมว.ยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัยเปิดโครงการคุ้มครองสิทธิ เพื่อสร้างวิถีชีวิตแห่งความเท่าเทียม พร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการคุ้มครองสิทธิ เพื่อสร้างวิถีชีวิตแห่งความเท่าเทียม
ในวันเสาร์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการคุ้มครองสิทธิ เพื่อสร้างวิถีชีวิตแห่งความเท่าเทียม โดยมี นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นายสมณ์ พรหมรส อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย เข้าร่วมฯ ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า นับตั้งแต่เข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม
๒๕๖๒ ทําให้ได้รู้และเข้าใจบทบาทภารกิจของกระทรวงยุติธรรมมากขึ้น ในด้านการอํานวยความยุติธรรมและการพัฒนาพฤตินิสัย รวมถึงเผยแพร่ความรู้ทางด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้ประชาชนได้รับรู้และรับทราบ เข้าถึงประชาชนทุกคน ทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยให้ได้รับความยุติธรรม อีกทั้งการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้ได้รับความเป็นธรรม อย่างเท่าเทียม ผ่านกองทุนยุติธรรม การพัฒนา แก้ไข บําบัด ฟื้นฟูผู้กระทําผิด รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดําเนินการไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส รวดเร็ว และทั่วถึง และกล่าวถึงปัญหายาเสพติด ที่ทุกหน่วยงานต้องเร่งหาวิธีการป้องกัน ควบคู่ไปพร้อมกับการปราบปรามยาเสพติด
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ฯได้มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา ที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ ภายใต้พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ ๒๕๔๔และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ๒) พ.ศ . ๒๕๕๙
ให้ประชาชนในพื้นที่ จังหวัดสุโขทัย จังหวัดกําแพงเพชร จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัด นครสวรรค์ จํานวน ๗๑ ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๘๒๑,๙๘๔ บาท เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพให้แก่ประชาชน สร้างสังคมที่เป็นธรรม และเกิดความเสมอภาคอย่างแท้จริง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23278
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานประกาศผลและมอบรางวัล “Thailand ICT Excellence Awards 2018”
|
วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานประกาศผลและมอบรางวัล “Thailand ICT Excellence Awards 2018”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีประกาศผลและมอบรางวัล “Thailand ICT Excellence Awards 2018” ในโครงการ Thailand ICT Management Forum & Thailand ICT Excellence Awards 2018 ปีที่ 10 โดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย และวิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดขึ้น เพื่อให้การยกย่องและสนับสนุนองค์กรที่มีความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ และส่งเสริมให้สามารถยกระดับมาตรฐานและนําการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ได้อย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น สอดรับกับกรอบนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของกระทรวงดิจิทัลฯ ที่เน้นในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ เสริมสร้างบทบาทและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ นอกจากนี้การสร้างความร่วมมือทางด้านวิชาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ถือเป็นแนวทางการผลักดันประเทศสู่ยุค “ไทยแลนด์ 4.0” ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561 ณ ห้องคริสตัล ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัลเมอริเดียน ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานประกาศผลและมอบรางวัล “Thailand ICT Excellence Awards 2018”
วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานประกาศผลและมอบรางวัล “Thailand ICT Excellence Awards 2018”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีประกาศผลและมอบรางวัล “Thailand ICT Excellence Awards 2018” ในโครงการ Thailand ICT Management Forum & Thailand ICT Excellence Awards 2018 ปีที่ 10 โดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย และวิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดขึ้น เพื่อให้การยกย่องและสนับสนุนองค์กรที่มีความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ และส่งเสริมให้สามารถยกระดับมาตรฐานและนําการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ได้อย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น สอดรับกับกรอบนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของกระทรวงดิจิทัลฯ ที่เน้นในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ เสริมสร้างบทบาทและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ นอกจากนี้การสร้างความร่วมมือทางด้านวิชาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ถือเป็นแนวทางการผลักดันประเทศสู่ยุค “ไทยแลนด์ 4.0” ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561 ณ ห้องคริสตัล ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัลเมอริเดียน ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
*******************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11262
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยการออกคำสั่งตามมาตรา 44 ชะลอการลงโทษ พ.ร.ก.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 เพื่อแก้ไขปัญหาการเสียผลประโยชน์ภายในประเทศ ไม่ใช่ยอมทำตามใคร
|
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560
นายกรัฐมนตรีเผยการออกคําสั่งตามมาตรา 44 ชะลอการลงโทษ พ.ร.ก.การทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 เพื่อแก้ไขปัญหาการเสียผลประโยชน์ภายในประเทศ ไม่ใช่ยอมทําตามใคร
นายกรัฐมนตรีเผยการออกคําสั่งตามมาตรา 44 ชะลอการลงโทษ พ.ร.ก.การทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 เพื่อแก้ไขปัญหาการเสียผลประโยชน์ภายในประเทศ ไม่ใช่ยอมทําตามใคร
วันนี้ (4 กรกฎาคม 2560) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เห็นชอบการออกคําสั่งตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ชะลอการลงโทษตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ว่า เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ประเด็นสําคัญคือทําอย่างไรจะไม่ให้เสียผลประโยชน์อย่างอื่นไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจภายในประเทศ รวมถึงการขาดแคลนแรงงานในอาชีพบางประเภท แต่ไม่ใช่ยอมทําตามใคร และที่สําคัญต้องดูเรื่องของการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นพันธสัญญาโลก ต่อไปถ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และแรงงานเถื่อนในประเทศได้จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น ทําให้ต่างประเทศไม่ซื้อสินค้าของประเทศไทย ผลกระทบที่เกิดขึ้นต้องแก้ไขภายในให้ได้เพื่อตอบสนองโจทก์
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทํา MOU กับประเทศเพื่อนบ้านเกี่ยวกับแรงงาน คือต้องจดทะเบียนแรงงานให้ถูกต้อง และต้องมาพิสูจน์สัญชาติ โดยส่งเจ้าหน้าที่ของแต่ละประเทศมาพิสูจน์สัญชาติแรงงานในประเทศไทย ทําให้การพิสูจน์สัญชาติที่ผ่านมาสามารถทําได้จํานวนไม่มาก ประเทศเพื่อนบ้านรวมถึงประเทศไทยจึงต้องการจะแก้ไขปัญหาส่วนนี้คือให้มีการจดทะเบียนและพิสูจน์สัญชาติที่ชายแดนให้เรียบร้อย ซึ่งต้องแก้ไขปัญหาภายในประเทศ รวมถึงปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย การประมงที่ขาดการรายงาน และการประมงที่ขาดการควบคุม ทั้งนี้ ทุกคนต้องร่วมมือกันทําให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบขึ้นมาอีก
------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยการออกคำสั่งตามมาตรา 44 ชะลอการลงโทษ พ.ร.ก.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 เพื่อแก้ไขปัญหาการเสียผลประโยชน์ภายในประเทศ ไม่ใช่ยอมทำตามใคร
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560
นายกรัฐมนตรีเผยการออกคําสั่งตามมาตรา 44 ชะลอการลงโทษ พ.ร.ก.การทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 เพื่อแก้ไขปัญหาการเสียผลประโยชน์ภายในประเทศ ไม่ใช่ยอมทําตามใคร
นายกรัฐมนตรีเผยการออกคําสั่งตามมาตรา 44 ชะลอการลงโทษ พ.ร.ก.การทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 เพื่อแก้ไขปัญหาการเสียผลประโยชน์ภายในประเทศ ไม่ใช่ยอมทําตามใคร
วันนี้ (4 กรกฎาคม 2560) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เห็นชอบการออกคําสั่งตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ชะลอการลงโทษตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ว่า เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ประเด็นสําคัญคือทําอย่างไรจะไม่ให้เสียผลประโยชน์อย่างอื่นไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจภายในประเทศ รวมถึงการขาดแคลนแรงงานในอาชีพบางประเภท แต่ไม่ใช่ยอมทําตามใคร และที่สําคัญต้องดูเรื่องของการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นพันธสัญญาโลก ต่อไปถ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และแรงงานเถื่อนในประเทศได้จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น ทําให้ต่างประเทศไม่ซื้อสินค้าของประเทศไทย ผลกระทบที่เกิดขึ้นต้องแก้ไขภายในให้ได้เพื่อตอบสนองโจทก์
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทํา MOU กับประเทศเพื่อนบ้านเกี่ยวกับแรงงาน คือต้องจดทะเบียนแรงงานให้ถูกต้อง และต้องมาพิสูจน์สัญชาติ โดยส่งเจ้าหน้าที่ของแต่ละประเทศมาพิสูจน์สัญชาติแรงงานในประเทศไทย ทําให้การพิสูจน์สัญชาติที่ผ่านมาสามารถทําได้จํานวนไม่มาก ประเทศเพื่อนบ้านรวมถึงประเทศไทยจึงต้องการจะแก้ไขปัญหาส่วนนี้คือให้มีการจดทะเบียนและพิสูจน์สัญชาติที่ชายแดนให้เรียบร้อย ซึ่งต้องแก้ไขปัญหาภายในประเทศ รวมถึงปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย การประมงที่ขาดการรายงาน และการประมงที่ขาดการควบคุม ทั้งนี้ ทุกคนต้องร่วมมือกันทําให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบขึ้นมาอีก
------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4998
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษก รบ.ย้ำ แบนพาราควอต- คลอร์ไพริสฟอส 1 มิ.ย.นี้ แนะเกษตรกร มีไว้ครอบครอง ให้ส่งคืนภายใน 90 วัน
|
วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2563
รองโฆษก รบ.ย้ํา แบนพาราควอต- คลอร์ไพริสฟอส 1 มิ.ย.นี้ แนะเกษตรกร มีไว้ครอบครอง ให้ส่งคืนภายใน 90 วัน
รองโฆษก รบ.ย้ํา แบนพาราควอต- คลอร์ไพริสฟอส 1 มิ.ย.นี้ แนะเกษตรกร มีไว้ครอบครอง ให้ส่งคืนภายใน 90 วัน
เมื่อวันที่30พ.ค.น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่านับตั้งแต่วันที่1มิ.ย.เป็นต้นไปประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายฉบับที่6พ.ศ.2563จะมีผลบังคับใช้โดยห้ามให้มีการผู้ผลิตนําเข้าส่งออกและมีไว้ครอบครองสารเคมีทางการเกษตรเพื่อกําจัดศัตรูพืช5รายการประกอบด้วย1.คอลร์ไพริฟอส2.คลอร์ไพริสฟอส-เมทิล3.พาราควอต4.พาราควอตไดคลอไรด์และ5.พาราควอตไดคลอไรด์โดยก่อนหน้านี้กรมวิชาการเกษตรได้ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ต่อกับทุกภาคส่วนแล้วพร้อมกันนี้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรยังได้ลงนามในคําสั่งเพื่อดําเนินการตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งผู้มีไว้ในครอบครองเพื่อใช้กําจัดศัตรูพืชในการประกอบการเกษตรกรรมต้องส่งมอบคืนวัตถุอันตรายดังกล่าวแก่ผู้ขายที่ซื้อมาภายใน90หรือไม่เกินวันที่29ส.ค.2563ส่วนผู้ขายต้องรับคืนจากผู้ซื้อแล้วรวบรวมข้อมูลการครอบครองส่งให้เจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตรภายใน120หรือไม่เกิน28ก.ย.2563
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่ารัฐบาลคํานึงถึงสุขภาพที่ดีของประชาชนซึ่งการห้ามใช้สารเคมีดังกล่าวเนื่องด้วยเป็นสารเคมีความเสี่ยงสูงเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อมและทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคจึงได้ห้ามไม่ให้มีการใช้โดยผ่านความเห็นชอบจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงอุตสาหกรรมคณะกรรมการวัตถุอันตรายรวมถึงภาคีเครือข่ายเกษตรกรต่างๆ
"ส่วนสารทดแทนกรมวิชาการเกษตรได้เตรียมสารทดแทนรวมถึงข้อเสนอเกี่ยวกับการกําจัดศัตรูพืชแบบธรรมชาติไว้แล้วเพื่อรองรับผลกระทบที่จะมีต่อเกษตรกรขอให้มั่นใจว่าการห้ามใช้สารเคมีดังกล่าวเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชนเกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน"น.ส.ไตรสุลีกล่าว
.......................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษก รบ.ย้ำ แบนพาราควอต- คลอร์ไพริสฟอส 1 มิ.ย.นี้ แนะเกษตรกร มีไว้ครอบครอง ให้ส่งคืนภายใน 90 วัน
วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2563
รองโฆษก รบ.ย้ํา แบนพาราควอต- คลอร์ไพริสฟอส 1 มิ.ย.นี้ แนะเกษตรกร มีไว้ครอบครอง ให้ส่งคืนภายใน 90 วัน
รองโฆษก รบ.ย้ํา แบนพาราควอต- คลอร์ไพริสฟอส 1 มิ.ย.นี้ แนะเกษตรกร มีไว้ครอบครอง ให้ส่งคืนภายใน 90 วัน
เมื่อวันที่30พ.ค.น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่านับตั้งแต่วันที่1มิ.ย.เป็นต้นไปประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายฉบับที่6พ.ศ.2563จะมีผลบังคับใช้โดยห้ามให้มีการผู้ผลิตนําเข้าส่งออกและมีไว้ครอบครองสารเคมีทางการเกษตรเพื่อกําจัดศัตรูพืช5รายการประกอบด้วย1.คอลร์ไพริฟอส2.คลอร์ไพริสฟอส-เมทิล3.พาราควอต4.พาราควอตไดคลอไรด์และ5.พาราควอตไดคลอไรด์โดยก่อนหน้านี้กรมวิชาการเกษตรได้ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ต่อกับทุกภาคส่วนแล้วพร้อมกันนี้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรยังได้ลงนามในคําสั่งเพื่อดําเนินการตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งผู้มีไว้ในครอบครองเพื่อใช้กําจัดศัตรูพืชในการประกอบการเกษตรกรรมต้องส่งมอบคืนวัตถุอันตรายดังกล่าวแก่ผู้ขายที่ซื้อมาภายใน90หรือไม่เกินวันที่29ส.ค.2563ส่วนผู้ขายต้องรับคืนจากผู้ซื้อแล้วรวบรวมข้อมูลการครอบครองส่งให้เจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตรภายใน120หรือไม่เกิน28ก.ย.2563
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่ารัฐบาลคํานึงถึงสุขภาพที่ดีของประชาชนซึ่งการห้ามใช้สารเคมีดังกล่าวเนื่องด้วยเป็นสารเคมีความเสี่ยงสูงเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อมและทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคจึงได้ห้ามไม่ให้มีการใช้โดยผ่านความเห็นชอบจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงอุตสาหกรรมคณะกรรมการวัตถุอันตรายรวมถึงภาคีเครือข่ายเกษตรกรต่างๆ
"ส่วนสารทดแทนกรมวิชาการเกษตรได้เตรียมสารทดแทนรวมถึงข้อเสนอเกี่ยวกับการกําจัดศัตรูพืชแบบธรรมชาติไว้แล้วเพื่อรองรับผลกระทบที่จะมีต่อเกษตรกรขอให้มั่นใจว่าการห้ามใช้สารเคมีดังกล่าวเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชนเกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน"น.ส.ไตรสุลีกล่าว
.......................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31703
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ. บรรยาย “การปฏิรูปการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย”
|
วันอังคารที่ 8 สิงหาคม 2560
รมว.ศธ. บรรยาย “การปฏิรูปการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย”
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นองค์ปาฐกในงานสัมมนาทันเศรษฐกิจ ในหัวข้อ "การปฏิรูปการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย"
ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี418/2560
รมว.ศธ. บรรยาย “การปฏิรูปการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย”
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นองค์ปาฐกในงานสัมมนาทันเศรษฐกิจ ในหัวข้อ "การปฏิรูปการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย" เมื่อวันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560 ณ ห้องประชุมภัทรรวมใจ อาคาร 2ธนาคารแห่งประเทศไทย สํานักงานใหญ่จัดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจต่อเป้าหมายและแนวทางปฏิรูปการศึกษาของไทย นําสู่การประสานความร่วมมือเชิงนโยบายเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย โดยมีนักวิชาการ นักธุรกิจภาคเอกชน ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ ธปท. เข้าร่วมกว่า 250 คน
ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวต้อนรับว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยตระหนักดีถึงความสําคัญของการศึกษา ที่เป็นรากฐานสําคัญของการพัฒนาประเทศทุกด้าน ทั้งการลดความเหลื่อมล้ํา การสร้างศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ที่จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจให้ก้าวหน้าไปด้วย เป็นต้น ดังนั้นการปฏิรูปการศึกษาจึงมีความสําคัญต่อความมั่นคงของประเทศ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะสามารถปฏิรูปการศึกษาให้ประสบความสําเร็จ แม้ว่าจะมีผู้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาจํานวนมากก็ตาม อาทิ การพัฒนาโรงเรียนให้ดีมีคุณภาพ การพัฒนาครูให้มีความรู้ความสามารถ ปรับหลักสูตรเนื้อหาให้เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งถือว่าทุกแนวคิดเกิดจากความหวังดีและเป็นเรื่องที่มีความถูกต้องทั้งสิ้น
แต่โจทย์ใหญ่ของการยกระดับการศึกษาคือ จะจัดลําดับความสําคัญเพื่อนําแนวคิดต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้เพื่อปฏิรูปการศึกษาได้อย่างเหมาะสม ถูกที่ถูกเวลา และสร้างความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีตามความคาดหวังของผู้คนได้อย่างไร นั่นถือเป็นเรื่องที่มีความยากกว่า และเชื่อว่าในวงการการศึกษาก็พยายามที่จะดําเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวตอนหนึ่งว่า เมื่อเข้ามาดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เล็งเห็นปัญหาทางด้านการศึกษาในหลายส่วนที่จะต้องดําเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน บางเรื่องต้องปรับปรุงระเบียบหลักเกณฑ์เพื่อให้การทํางานคล่องตัวและราบรื่นมากขึ้น และหลายเรื่องต้องปรับวิธีคิดใหม่ พร้อมกําหนดแนวทางการทํางานให้ตอบโจทย์การพัฒนากําลังคนของประเทศให้ตรงจุดมากที่สุด ทั้งการลดความเหลื่อมล้ําและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษา การยกระดับผลสัมฤทธิ์ผู้เรียน การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ความสามารถและมีจํานวนเพียงพอกับความต้องการ รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีช่องทางสําหรับคนดีคนเก่ง หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการพัฒนาประเทศเข้ามาในระบบการศึกษามากขึ้น
ทั้งหมดนี้คือการวางระบบ หาแนวทาง เพื่อกําหนดเป้าหมายและจุดเน้นที่เหมาะสมกับในแต่ละประเด็นและให้ทันกรอบเวลาของการปฏิรูปการศึกษาตอบโจทย์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่ทุกประเทศทั่วโลกต่างให้ความสําคัญและลงทุนเพื่อพัฒนาคน เพื่อให้คนไปพัฒนาประเทศ ซึ่งจุดเน้นสําคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คือการลงทุนในเรื่องที่สามารถวัดได้เป็นรูปธรรม พร้อม ๆ กับส่งเสริมทักษะจําเป็นบางอย่างให้มีความชัดเจนมากขึ้น เช่น ทักษะการทํางาน (SoftSkills), การสื่อสารสร้างการรับรู้ เป็นต้น
โดยส่วนตัวมีความพึงพอใจต่อความก้าวหน้าการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในหลายส่วนทั้งการปรับปรุงวิธีการทํางานให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น การที่สามารถแก้ไขปัญหาที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลายาวนานให้ประสบความสําเร็จได้ เช่น การพัฒนาครูทั้งระบบ ตลอดจนการเข้าสู่ตําแหน่งระดับผู้บริหารโรงเรียน ได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์ใหม่ ถือเป็นการพลิกโฉมรูปแบบการพัฒนาครูตามความต้องการของครูเอง โดยกระทรวงศึกษาธิการจัดสรรงบประมาณสําหรับครูเลือกอบรมได้ตามความต้องการ 10,000 บาทต่อคน พร้อมทําหน้าที่ควบคุมมาตรฐานของหลักสูตรการอบรมโดยสถาบันคุรุพัฒนา, โครงการ Education to Employment (E to E) โดยร่วมมือกับภาคเอกชนและสถานประกอบการในการฝึกอบรมพัฒนาทักษะวิชาชีพจากการปฏิบัติจริง ทั้งในสถานศึกษา ในสถานประกอบการ และในโรงงาน, การยกระดับภาษาอังกฤษ ทั้งการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาครูแกนนําด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (Boot Camp) สําหรับครู สพฐ. และการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ (Vocational English Camp) สําหรับครูอาชีวศึกษา โดยวิทยากรชาวต่างชาติ ตลอดจนจัดทําแอพพลิเคชั่นภาษาอังกฤษ (Echo English) สําหรับคนไทยฝึกฝนเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา และโครงการ "ผลิตสื่อการเรียนรู้และฝึกทักษะภาษาอังกฤษการสื่อสาร เพื่อก้าวสู่อาชีพ" (Echo VE), การปรับปรุงการทํางานในระดับพื้นที่ โดยกําหนดให้มีศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด ตลอดจนคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด เพื่อช่วยขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ได้ตรงตามบริบทและความต้องการแต่ละพื้นที่ รวมทั้งการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ STEM ที่มีความก้าวหน้าการดําเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามลําดับ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้ดําเนินงานที่มีความก้าวหน้าในอีกหลายส่วนคือ การตั้งคณะกรรมการอิสระปฏิรูปการศึกษา, การจัดการศึกษาปฐมวัย, การเพิ่มวิชาภูมิศาสตร์และ ICT, การจัดสอบแบบอัตนัยในวิชาภาษาไทย, การปรับปรุงมาตรฐานตําราและระบบการใช้หนังสือยืมเรียน, การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีน, โครงการโรงเรียนแม่เหล็ก เพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก, โรงเรียนคุณธรรม, โรงเรียนและห้องเรียนกีฬา, การบูรณาการระบบ ICT ของกระทรวง เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา, การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม, การแก้ไขธรรมาภิบาลในสถานศึกษา, ปรับระบบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา, ปรับเกณฑ์การประกันคุณภาพสถานศึกษา ตลอดจนการแก้ไขปัญหาทุจริตด้านการศึกษา
อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการพยายามจะดําเนินการปฏิรูปการศึกษาให้ทันตามกรอบเวลาการปฏิรูปประเทศอย่างเต็มความสามารถโดยวางแผนยุทธศาสตร์ จัดระบบการทํางานแบบบูรณาการอย่างแท้จริง ทั้งในหน่วยงานสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน สถานประกอบการ ชุมชน นักเรียน นิสิตนักศึกษา ตลอดจนผู้ปกครอง พร้อมตั้งเป้าหมายไว้ที่ประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสําคัญ
ในขณะเดียวกันจะลดงานหรือโครงการในลักษณะ CentralPlanning เนื่องจากเป็นวิธีที่ล้มเหลวและไม่เอื้อต่อการปฏิรูปการศึกษาของไทย ซึ่งมีบริบทที่หลากหลาย มีความต้องการ จุดแข็งโอกาสในการพัฒนาแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน ดังนั้นในปีงบประมาณนี้ กระทรวงศึกษาธิการจึงเริ่มต้นโดยการนํางบประมาณเหลือจ่ายคืนกลับให้ครู เพื่อนําไปฝึกอบรมพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถตามความต้องการได้อย่างเต็มศักยภาพ ที่จะส่งผลต่อการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของเด็กและเยาวชนต่อไป
นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ. บรรยาย “การปฏิรูปการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย”
วันอังคารที่ 8 สิงหาคม 2560
รมว.ศธ. บรรยาย “การปฏิรูปการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย”
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นองค์ปาฐกในงานสัมมนาทันเศรษฐกิจ ในหัวข้อ "การปฏิรูปการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย"
ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี418/2560
รมว.ศธ. บรรยาย “การปฏิรูปการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย”
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นองค์ปาฐกในงานสัมมนาทันเศรษฐกิจ ในหัวข้อ "การปฏิรูปการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย" เมื่อวันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560 ณ ห้องประชุมภัทรรวมใจ อาคาร 2ธนาคารแห่งประเทศไทย สํานักงานใหญ่จัดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจต่อเป้าหมายและแนวทางปฏิรูปการศึกษาของไทย นําสู่การประสานความร่วมมือเชิงนโยบายเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย โดยมีนักวิชาการ นักธุรกิจภาคเอกชน ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ ธปท. เข้าร่วมกว่า 250 คน
ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวต้อนรับว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยตระหนักดีถึงความสําคัญของการศึกษา ที่เป็นรากฐานสําคัญของการพัฒนาประเทศทุกด้าน ทั้งการลดความเหลื่อมล้ํา การสร้างศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ที่จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจให้ก้าวหน้าไปด้วย เป็นต้น ดังนั้นการปฏิรูปการศึกษาจึงมีความสําคัญต่อความมั่นคงของประเทศ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะสามารถปฏิรูปการศึกษาให้ประสบความสําเร็จ แม้ว่าจะมีผู้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาจํานวนมากก็ตาม อาทิ การพัฒนาโรงเรียนให้ดีมีคุณภาพ การพัฒนาครูให้มีความรู้ความสามารถ ปรับหลักสูตรเนื้อหาให้เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งถือว่าทุกแนวคิดเกิดจากความหวังดีและเป็นเรื่องที่มีความถูกต้องทั้งสิ้น
แต่โจทย์ใหญ่ของการยกระดับการศึกษาคือ จะจัดลําดับความสําคัญเพื่อนําแนวคิดต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้เพื่อปฏิรูปการศึกษาได้อย่างเหมาะสม ถูกที่ถูกเวลา และสร้างความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีตามความคาดหวังของผู้คนได้อย่างไร นั่นถือเป็นเรื่องที่มีความยากกว่า และเชื่อว่าในวงการการศึกษาก็พยายามที่จะดําเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวตอนหนึ่งว่า เมื่อเข้ามาดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เล็งเห็นปัญหาทางด้านการศึกษาในหลายส่วนที่จะต้องดําเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน บางเรื่องต้องปรับปรุงระเบียบหลักเกณฑ์เพื่อให้การทํางานคล่องตัวและราบรื่นมากขึ้น และหลายเรื่องต้องปรับวิธีคิดใหม่ พร้อมกําหนดแนวทางการทํางานให้ตอบโจทย์การพัฒนากําลังคนของประเทศให้ตรงจุดมากที่สุด ทั้งการลดความเหลื่อมล้ําและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษา การยกระดับผลสัมฤทธิ์ผู้เรียน การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ความสามารถและมีจํานวนเพียงพอกับความต้องการ รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีช่องทางสําหรับคนดีคนเก่ง หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการพัฒนาประเทศเข้ามาในระบบการศึกษามากขึ้น
ทั้งหมดนี้คือการวางระบบ หาแนวทาง เพื่อกําหนดเป้าหมายและจุดเน้นที่เหมาะสมกับในแต่ละประเด็นและให้ทันกรอบเวลาของการปฏิรูปการศึกษาตอบโจทย์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่ทุกประเทศทั่วโลกต่างให้ความสําคัญและลงทุนเพื่อพัฒนาคน เพื่อให้คนไปพัฒนาประเทศ ซึ่งจุดเน้นสําคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คือการลงทุนในเรื่องที่สามารถวัดได้เป็นรูปธรรม พร้อม ๆ กับส่งเสริมทักษะจําเป็นบางอย่างให้มีความชัดเจนมากขึ้น เช่น ทักษะการทํางาน (SoftSkills), การสื่อสารสร้างการรับรู้ เป็นต้น
โดยส่วนตัวมีความพึงพอใจต่อความก้าวหน้าการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในหลายส่วนทั้งการปรับปรุงวิธีการทํางานให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น การที่สามารถแก้ไขปัญหาที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลายาวนานให้ประสบความสําเร็จได้ เช่น การพัฒนาครูทั้งระบบ ตลอดจนการเข้าสู่ตําแหน่งระดับผู้บริหารโรงเรียน ได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์ใหม่ ถือเป็นการพลิกโฉมรูปแบบการพัฒนาครูตามความต้องการของครูเอง โดยกระทรวงศึกษาธิการจัดสรรงบประมาณสําหรับครูเลือกอบรมได้ตามความต้องการ 10,000 บาทต่อคน พร้อมทําหน้าที่ควบคุมมาตรฐานของหลักสูตรการอบรมโดยสถาบันคุรุพัฒนา, โครงการ Education to Employment (E to E) โดยร่วมมือกับภาคเอกชนและสถานประกอบการในการฝึกอบรมพัฒนาทักษะวิชาชีพจากการปฏิบัติจริง ทั้งในสถานศึกษา ในสถานประกอบการ และในโรงงาน, การยกระดับภาษาอังกฤษ ทั้งการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาครูแกนนําด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (Boot Camp) สําหรับครู สพฐ. และการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ (Vocational English Camp) สําหรับครูอาชีวศึกษา โดยวิทยากรชาวต่างชาติ ตลอดจนจัดทําแอพพลิเคชั่นภาษาอังกฤษ (Echo English) สําหรับคนไทยฝึกฝนเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา และโครงการ "ผลิตสื่อการเรียนรู้และฝึกทักษะภาษาอังกฤษการสื่อสาร เพื่อก้าวสู่อาชีพ" (Echo VE), การปรับปรุงการทํางานในระดับพื้นที่ โดยกําหนดให้มีศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด ตลอดจนคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด เพื่อช่วยขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ได้ตรงตามบริบทและความต้องการแต่ละพื้นที่ รวมทั้งการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ STEM ที่มีความก้าวหน้าการดําเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามลําดับ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้ดําเนินงานที่มีความก้าวหน้าในอีกหลายส่วนคือ การตั้งคณะกรรมการอิสระปฏิรูปการศึกษา, การจัดการศึกษาปฐมวัย, การเพิ่มวิชาภูมิศาสตร์และ ICT, การจัดสอบแบบอัตนัยในวิชาภาษาไทย, การปรับปรุงมาตรฐานตําราและระบบการใช้หนังสือยืมเรียน, การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีน, โครงการโรงเรียนแม่เหล็ก เพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก, โรงเรียนคุณธรรม, โรงเรียนและห้องเรียนกีฬา, การบูรณาการระบบ ICT ของกระทรวง เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา, การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม, การแก้ไขธรรมาภิบาลในสถานศึกษา, ปรับระบบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา, ปรับเกณฑ์การประกันคุณภาพสถานศึกษา ตลอดจนการแก้ไขปัญหาทุจริตด้านการศึกษา
อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการพยายามจะดําเนินการปฏิรูปการศึกษาให้ทันตามกรอบเวลาการปฏิรูปประเทศอย่างเต็มความสามารถโดยวางแผนยุทธศาสตร์ จัดระบบการทํางานแบบบูรณาการอย่างแท้จริง ทั้งในหน่วยงานสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน สถานประกอบการ ชุมชน นักเรียน นิสิตนักศึกษา ตลอดจนผู้ปกครอง พร้อมตั้งเป้าหมายไว้ที่ประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสําคัญ
ในขณะเดียวกันจะลดงานหรือโครงการในลักษณะ CentralPlanning เนื่องจากเป็นวิธีที่ล้มเหลวและไม่เอื้อต่อการปฏิรูปการศึกษาของไทย ซึ่งมีบริบทที่หลากหลาย มีความต้องการ จุดแข็งโอกาสในการพัฒนาแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน ดังนั้นในปีงบประมาณนี้ กระทรวงศึกษาธิการจึงเริ่มต้นโดยการนํางบประมาณเหลือจ่ายคืนกลับให้ครู เพื่อนําไปฝึกอบรมพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถตามความต้องการได้อย่างเต็มศักยภาพ ที่จะส่งผลต่อการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของเด็กและเยาวชนต่อไป
นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5774
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ยืนยันกระบวนการสอบสวนโรคสามารถตีกรอบพื้นที่ ช่วงเวลาและสถานที่เสี่ยง วอนประชาชนระยองตื่นตัวในการป้องกัน ขออย่าตื่นตระหนก
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม 2563
โฆษก ศบค. ยืนยันกระบวนการสอบสวนโรคสามารถตีกรอบพื้นที่ ช่วงเวลาและสถานที่เสี่ยง วอนประชาชนระยองตื่นตัวในการป้องกัน ขออย่าตื่นตระหนก
โฆษก ศบค. ยืนยันกระบวนการสอบสวนโรคสามารถตีกรอบพื้นที่ ช่วงเวลาและสถานที่เสี่ยง วอนประชาชนระยองตื่นตัวในการป้องกัน ขออย่าตื่นตระหนก
วันนี้ (16 ก.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนที่สอบถามผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีกลุ่มผู้ที่ผ่านการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วยังไม่พบผู้ติดเชื้อ แต่ต้องติดตามสังเกตอาการต่อไปอีก 14 วัน ในสถานที่กักกันต่าง ๆ ผู้ปฏิบัติงานใกล้ชิดคณะอุปทูตอาจต้องกักตัวสังเกตอาการที่สถานเอกอัครราชทูต ส่วนกลุ่มผู้ปฏิบัติงานในโรงแรม ณ จังหวัดระยอง อาจต้องกักตัวในพื้นที่ของสาธารณสุขประจําจังหวัดเพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง หรืออาจใช้วิธีการกักตัวสังเกตอาการที่บ้าน Home Quarantine สําหรับ ห้างสรรพสินค้าแหลมทอง ห้างสรรพสินค้า Passion ได้ทําความสะอาดฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว ประชาชนสามารถกลับไปใช้บริการได้เหมือนเดิม กรณีเด็กหญิงวัย 9 ปี จากคณะอุปทูตประเทศซูดาน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังขอเวลาในการวิเคราะห์ผลทางพันธุกรรมเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่าเป็นสายพันธุ์ G หรือไม่ โดยจะรีบนํามารายงานในภายหลัง
โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดระยองหลายแห่งปิดการเรียนการสอน รวมถึงโรงแรมและสถานที่ก็ปิดการให้บริการชั่วคราวเพื่อเป็นการเฝ้าระวัง ว่า ประชาชนสามารถระมัดระวังได้แต่ขออย่าตื่นตระหนกเพราะอาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคมีกระบวนการสอบสวนโรคที่สามารถตีกรอบพื้นที่เสี่ยง ทั้งช่วงเวลาและสถานที่ บางสถานที่จึงไม่จําเป็นต้องปิดให้บริการ เมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการได้รับทราบชุดข้อมูลต่าง ๆ สั่งการผ่านศบค. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ตามมาตรการ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดระยองในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัดจะเรียกประชุมเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับสถานที่ต่อไป
โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีสายการบินเช่าเหมาลํา Thai Lion Air และสายการบิน Air Asia X เดินทางไปยังประเทศจีน และแวะจอดที่ประเทศไทยตามเส้นทางเพื่ออนุญาตเข้าประเทศจีน พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โฆษก ศบค. ชี้แจงโดยยืนยันว่าทั้งลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมดไม่ได้ลงจากเครื่องบิน ยืนยันไม่มีชาวต่างชาติเข้าไทยจาก 2 เที่ยวบินนี้ ทั้งนี้ โฆษก ศบค. ชี้แจงเพิ่มเติมในส่วนของกลุ่ม Medical and Wellness Tourismว่า ไม่ได้จัดอยู่ในส่วนของการทบทวนมาตรการการอนุญาตเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติ ซึ่งยังคงดําเนินการตามปกติ โดยปฏิบัติตามมาตรการอย่างเข้มงวด ทั้งในส่วนของผู้ติดตาม สถานที่พัก รวมทั้งไม่อนุญาตให้บุคคลในกลุ่มดังกล่าวเดินทางไปยังพื้นที่สาธารณะด้วย
........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ยืนยันกระบวนการสอบสวนโรคสามารถตีกรอบพื้นที่ ช่วงเวลาและสถานที่เสี่ยง วอนประชาชนระยองตื่นตัวในการป้องกัน ขออย่าตื่นตระหนก
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม 2563
โฆษก ศบค. ยืนยันกระบวนการสอบสวนโรคสามารถตีกรอบพื้นที่ ช่วงเวลาและสถานที่เสี่ยง วอนประชาชนระยองตื่นตัวในการป้องกัน ขออย่าตื่นตระหนก
โฆษก ศบค. ยืนยันกระบวนการสอบสวนโรคสามารถตีกรอบพื้นที่ ช่วงเวลาและสถานที่เสี่ยง วอนประชาชนระยองตื่นตัวในการป้องกัน ขออย่าตื่นตระหนก
วันนี้ (16 ก.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนที่สอบถามผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีกลุ่มผู้ที่ผ่านการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วยังไม่พบผู้ติดเชื้อ แต่ต้องติดตามสังเกตอาการต่อไปอีก 14 วัน ในสถานที่กักกันต่าง ๆ ผู้ปฏิบัติงานใกล้ชิดคณะอุปทูตอาจต้องกักตัวสังเกตอาการที่สถานเอกอัครราชทูต ส่วนกลุ่มผู้ปฏิบัติงานในโรงแรม ณ จังหวัดระยอง อาจต้องกักตัวในพื้นที่ของสาธารณสุขประจําจังหวัดเพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง หรืออาจใช้วิธีการกักตัวสังเกตอาการที่บ้าน Home Quarantine สําหรับ ห้างสรรพสินค้าแหลมทอง ห้างสรรพสินค้า Passion ได้ทําความสะอาดฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว ประชาชนสามารถกลับไปใช้บริการได้เหมือนเดิม กรณีเด็กหญิงวัย 9 ปี จากคณะอุปทูตประเทศซูดาน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังขอเวลาในการวิเคราะห์ผลทางพันธุกรรมเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่าเป็นสายพันธุ์ G หรือไม่ โดยจะรีบนํามารายงานในภายหลัง
โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดระยองหลายแห่งปิดการเรียนการสอน รวมถึงโรงแรมและสถานที่ก็ปิดการให้บริการชั่วคราวเพื่อเป็นการเฝ้าระวัง ว่า ประชาชนสามารถระมัดระวังได้แต่ขออย่าตื่นตระหนกเพราะอาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคมีกระบวนการสอบสวนโรคที่สามารถตีกรอบพื้นที่เสี่ยง ทั้งช่วงเวลาและสถานที่ บางสถานที่จึงไม่จําเป็นต้องปิดให้บริการ เมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการได้รับทราบชุดข้อมูลต่าง ๆ สั่งการผ่านศบค. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ตามมาตรการ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดระยองในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัดจะเรียกประชุมเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับสถานที่ต่อไป
โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีสายการบินเช่าเหมาลํา Thai Lion Air และสายการบิน Air Asia X เดินทางไปยังประเทศจีน และแวะจอดที่ประเทศไทยตามเส้นทางเพื่ออนุญาตเข้าประเทศจีน พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โฆษก ศบค. ชี้แจงโดยยืนยันว่าทั้งลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมดไม่ได้ลงจากเครื่องบิน ยืนยันไม่มีชาวต่างชาติเข้าไทยจาก 2 เที่ยวบินนี้ ทั้งนี้ โฆษก ศบค. ชี้แจงเพิ่มเติมในส่วนของกลุ่ม Medical and Wellness Tourismว่า ไม่ได้จัดอยู่ในส่วนของการทบทวนมาตรการการอนุญาตเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติ ซึ่งยังคงดําเนินการตามปกติ โดยปฏิบัติตามมาตรการอย่างเข้มงวด ทั้งในส่วนของผู้ติดตาม สถานที่พัก รวมทั้งไม่อนุญาตให้บุคคลในกลุ่มดังกล่าวเดินทางไปยังพื้นที่สาธารณะด้วย
........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33435
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือเครือข่าย MOU พัฒนาชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลอง
|
วันอังคารที่ 16 มกราคม 2561
พม. จับมือเครือข่าย MOU พัฒนาชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลอง
พม. จับมือเครือข่าย MOU พัฒนาชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลอง
วันที่ 15 ม.ค. 61เวลา 14.30 น.นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด.พม.)เป็นประธานในพิธีพร้อมร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนาชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสํานักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สํานัก 3) และเครือข่ายชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารฝึกประสบการณ์วิชาชีพเชิงบูรณาการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร เขตบางเขน กรุงเทพฯ
นายพุฒิพัฒน์กล่าวว่า การจัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพกลไกของชุมชนในการสนับสนุนระบบการจัดการชุมชนและสร้างเครือข่ายชุมชนริมคลองในการพัฒนาคุณภาพชีวิต 2) เพื่อส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครร่วมกับชุมชนริมคลองในการออกแบบระบบจัดการชุมชนโดยการใช้องค์ความรู้จากสหวิทยาการและภูมิปัญญาของชุมชน 3) เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศและมีการใช้ข้อมูลในกระบวนการจัดทําแผนพัฒนาชุมชนและการออกแบบระบบการจัดการชุมชน รวมถึงการทํางานร่วมกับเครือข่ายชุมชนริมคลอง และ 4) เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนาชุมชน โดยความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน และเครือข่ายชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่
บันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว เป็นความร่วมมือในการทํางานแบบบูรณาการร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยแต่ละฝ่ายจะมีบทบาทหน้าที่ ดังนี้ 1) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ส่งเสริม สนับสนุน ช่วยเหลือ พัฒนาผู้อยู่อาศัยในชุมชนริมคลอง ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาทางสังคมและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ 2) มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สนับสนุนด้านการศึกษาวิจัย การบริการวิชาการการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม รวมทั้ง มีบทบาทในการจัดกระบวนการเรียนรู้ การจัดทําข้อมูลสารสนเทศและการจัดทําแผนพัฒนาชุมชนการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมในชุมชนเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมของชุมชนริมคลอง 3) เครือข่ายชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ จะรวมกลุ่มกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาชุมชน จัดเก็บข้อมูล วางแผนพัฒนาชุมชน ดําเนินกิจกรรมการพัฒนาชุมชนตามแผน พัฒนาระบบบริหารจัดการชุมชน เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาศักยภาพ ศึกษาดูงาน เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเพื่อการเรียนรู้และหนุนช่วยซึ่งกันและกัน 4) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. สนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยและสินเชื่อชุมชน การจัดทําแผนการพัฒนาชุมชน การพัฒนากลุ่มองค์กรชุมชน การบริหารจัดการสหกรณ์เคหสถาน การพัฒนาศักยภาพผู้นําและเครือข่ายชุมชน เพื่อให้องค์กรชุมชนมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นและเป็นแกนหลักในการบริหารจัดการชุมชน ประสานการทํางานกับภาคีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชนริมคลองตลอดจนการจัดกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาศูนย์เรียนรู้การสื่อสารสาธารณะเพื่อนําไปสู่เป้าหมายชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ และ 5) สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสํานักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สํานัก 3) สนับสนุนการดําเนินเพื่อให้ชุมชนริมคลอง มีสภาพแวดล้อมที่ดีเหมาะสมในการอยู่อาศัย คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ และมีการใช้ข้อมูลในกระบวนการจัดทําแผนพัฒนาชุมชน และการออกแบบระบบการจัดการของชุมชน ผ่านโครงการสนับสนุนการพัฒนาตนเองของชุมชนริมคลองน่าอยู่
"ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวง พม. ได้บูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ ด้วยเจตนารมณ์ในการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ชุมชนริมคลองให้มีความน่าอยู่ อาทิ การทําข้อมูลอย่างเป็นระบบ การออกแบบเพื่อคนทั้งมวล (Universal Design) กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต การเสริมสร้างสุขภาวะของคนในชุมชน ปรับแนวคิดและมุมมองของชาวชุมชนริมคลองให้ร่วมกันสร้างคลองสะอาด พัฒนาพื้นที่ริมคลองให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นแหล่งสาธารณะประโยชน์ร่วมกัน จนคลองกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เรียกว่า "บ้านที่มากกว่าบ้าน” กับ "คลองที่มากกว่าคลอง” โดยการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนชุมชนริมคลองมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป”นายพุฒิพัฒน์กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือเครือข่าย MOU พัฒนาชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลอง
วันอังคารที่ 16 มกราคม 2561
พม. จับมือเครือข่าย MOU พัฒนาชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลอง
พม. จับมือเครือข่าย MOU พัฒนาชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลอง
วันที่ 15 ม.ค. 61เวลา 14.30 น.นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด.พม.)เป็นประธานในพิธีพร้อมร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนาชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสํานักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สํานัก 3) และเครือข่ายชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารฝึกประสบการณ์วิชาชีพเชิงบูรณาการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร เขตบางเขน กรุงเทพฯ
นายพุฒิพัฒน์กล่าวว่า การจัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพกลไกของชุมชนในการสนับสนุนระบบการจัดการชุมชนและสร้างเครือข่ายชุมชนริมคลองในการพัฒนาคุณภาพชีวิต 2) เพื่อส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครร่วมกับชุมชนริมคลองในการออกแบบระบบจัดการชุมชนโดยการใช้องค์ความรู้จากสหวิทยาการและภูมิปัญญาของชุมชน 3) เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศและมีการใช้ข้อมูลในกระบวนการจัดทําแผนพัฒนาชุมชนและการออกแบบระบบการจัดการชุมชน รวมถึงการทํางานร่วมกับเครือข่ายชุมชนริมคลอง และ 4) เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนาชุมชน โดยความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน และเครือข่ายชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่
บันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว เป็นความร่วมมือในการทํางานแบบบูรณาการร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยแต่ละฝ่ายจะมีบทบาทหน้าที่ ดังนี้ 1) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ส่งเสริม สนับสนุน ช่วยเหลือ พัฒนาผู้อยู่อาศัยในชุมชนริมคลอง ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาทางสังคมและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ 2) มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สนับสนุนด้านการศึกษาวิจัย การบริการวิชาการการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม รวมทั้ง มีบทบาทในการจัดกระบวนการเรียนรู้ การจัดทําข้อมูลสารสนเทศและการจัดทําแผนพัฒนาชุมชนการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมในชุมชนเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมของชุมชนริมคลอง 3) เครือข่ายชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ จะรวมกลุ่มกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาชุมชน จัดเก็บข้อมูล วางแผนพัฒนาชุมชน ดําเนินกิจกรรมการพัฒนาชุมชนตามแผน พัฒนาระบบบริหารจัดการชุมชน เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาศักยภาพ ศึกษาดูงาน เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเพื่อการเรียนรู้และหนุนช่วยซึ่งกันและกัน 4) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. สนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยและสินเชื่อชุมชน การจัดทําแผนการพัฒนาชุมชน การพัฒนากลุ่มองค์กรชุมชน การบริหารจัดการสหกรณ์เคหสถาน การพัฒนาศักยภาพผู้นําและเครือข่ายชุมชน เพื่อให้องค์กรชุมชนมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นและเป็นแกนหลักในการบริหารจัดการชุมชน ประสานการทํางานกับภาคีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชนริมคลองตลอดจนการจัดกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาศูนย์เรียนรู้การสื่อสารสาธารณะเพื่อนําไปสู่เป้าหมายชุมชนริมคลองน่ามองน่าอยู่ และ 5) สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสํานักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สํานัก 3) สนับสนุนการดําเนินเพื่อให้ชุมชนริมคลอง มีสภาพแวดล้อมที่ดีเหมาะสมในการอยู่อาศัย คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ และมีการใช้ข้อมูลในกระบวนการจัดทําแผนพัฒนาชุมชน และการออกแบบระบบการจัดการของชุมชน ผ่านโครงการสนับสนุนการพัฒนาตนเองของชุมชนริมคลองน่าอยู่
"ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวง พม. ได้บูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ ด้วยเจตนารมณ์ในการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ชุมชนริมคลองให้มีความน่าอยู่ อาทิ การทําข้อมูลอย่างเป็นระบบ การออกแบบเพื่อคนทั้งมวล (Universal Design) กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต การเสริมสร้างสุขภาวะของคนในชุมชน ปรับแนวคิดและมุมมองของชาวชุมชนริมคลองให้ร่วมกันสร้างคลองสะอาด พัฒนาพื้นที่ริมคลองให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นแหล่งสาธารณะประโยชน์ร่วมกัน จนคลองกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เรียกว่า "บ้านที่มากกว่าบ้าน” กับ "คลองที่มากกว่าคลอง” โดยการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนชุมชนริมคลองมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป”นายพุฒิพัฒน์กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9408
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขยายการตรวจและเฝ้าระวังเข้มข้นค้นหาผู้ป่วย โควิด-19 เชิงรุกในพื้นที่รายงานผู้ป่วยจำนวนมาก [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
สธ.ขยายการตรวจและเฝ้าระวังเข้มข้นค้นหาผู้ป่วย โควิด-19 เชิงรุกในพื้นที่รายงานผู้ป่วยจํานวนมาก [กระทรวงสาธารณสุข]
กระทรวงสาธารณสุข ชี้เป้าหมายให้พื้นที่ขยายการตรวจและเฝ้าระวังเข้มข้น เน้นค้นหาผู้ป่วยโควิด-19 เชิงรุกในพื้นที่ที่มีรายงานผู้ป่วยจํานวนมาก อาทิ กรุงเทพฯ นนทบุรี ภูเก็ต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อการป้องกันควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ
กระทรวงสาธารณสุข ชี้เป้าหมายให้พื้นที่ขยายการตรวจและเฝ้าระวังเข้มข้น เน้นค้นหาผู้ป่วยโควิด-19 เชิงรุกในพื้นที่ที่มีรายงานผู้ป่วยจํานวนมาก อาทิ กรุงเทพฯ นนทบุรี ภูเก็ต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อการป้องกันควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ พร้อมสนับสนุนมาตรการจํากัดการเข้าออกในบางพื้นที่อย่างเคร่งครัด
วันนี้ (8 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ว่า ในวันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 111 ราย โดย 69 ราย เป็นกลุ่มที่อยู่ในระบบเฝ้าระวังอยู่เดิม กว่าร้อยละ 50 เป็นกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ ซึ่งได้ให้ความสําคัญและออกค้นหาเชิงรุก (Active case finding) อย่างเต็มที่ เพื่อควบคุมการระบาด และมีกลุ่มที่น่าจับตามองคือ กลุ่มคนไทยที่กลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการคุมเข้ม ป้องกันการนําเชื้อเข้าประเทศ ล่าสุดมีคนไทยกลับจากอินโดนีเซียตรวจพบเชื้อ 42 ราย จากผู้ป่วยที่มีอาการ 52 ราย คิดเป็นร้อยละ 80 ได้นําส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษา ส่วนที่เหลือขณะนี้อยู่ที่ State Quarantine ทั้งหมด ไม่มีใครได้กลับบ้าน ขอให้มั่นใจว่าทั้งหมดจะไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้
“มาตรการที่จะต้องเข้มข้นในขณะนี้คือ จะขยายการตรวจและการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นเชิงรุก มุ่งเน้นไปยังพื้นที่ที่มีรายงานผู้ป่วยจํานวนมาก เช่น กรุงเทพฯ นนทบุรี ภูเก็ต และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น โดยกรมควบคุมโรคจะชี้เป้าหมายให้กับพื้นที่เพื่อดําเนินการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคอย่างเต็มที่ และสนับสนุนมาตรการจํากัดการเข้าออกในบางพื้นที่อย่างเคร่งครัด” นายแพทย์สุวรรณชัยกล่าว
โดยที่จังหวัดภูเก็ตเริ่มพบการระบาดตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2563 จนถึงปัจจุบันพบผู้ป่วยทั้งสิ้น 158 ราย ร้อยละ 84 อยู่ในวัยทํางาน เป็นคนไทย 119 ราย ต่างชาติ 39 ราย เป็นบุคลากรทางการแพทย์ 1 ราย ปัจจัยเสี่ยงหลักที่พบ ได้แก่ อาชีพที่มีการติดต่อกับนักท่องเที่ยวหรือคนจํานวนมาก และติดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้า มีชาวต่างชาติเดินทางมาจากพื้นที่ระบาด จังหวัดได้มีมาตรการปิดสถานบันเทิง ร้านนวดบริเวณ ขยายทั้งจังหวัดและมีการปิดช่องทางเข้าออกจังหวัดแต่ ยังพบมีผู้ป่วย จากการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกเพิ่มเติมในชุมชน ดังนั้นสิ่งสําคัญคือ จะเฝ้าระวังผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ติดตามอาการ และกักกันให้ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อต่อไป
สําหรับกรุงเทพฯ ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของการระบาดตั้งแต่ผู้ป่วยรายแรกในประเทศจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เนื่องจากผู้ป่วยที่พบในปัจจุบันเป็นกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้เป็นหลัก แสดงให้เห็นว่า มาตรการที่รัฐบาลทํามาได้ผลในการควบคุมในระดับชุมชน สถานที่ชุมนุมชน แต่ยังมีการแพร่เชื้อในกลุ่มผู้ใกล้ชิด ดังนั้นการทํา Social Distancing จึงต้องเข้มข้น ทั้งในบ้าน และที่ทํางาน หรือในที่ที่มีผู้คนไปรวมตัวกัน อย่างไรก็ตาม การที่จะควบคุมป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่ทุกคน
************************************** 8 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขยายการตรวจและเฝ้าระวังเข้มข้นค้นหาผู้ป่วย โควิด-19 เชิงรุกในพื้นที่รายงานผู้ป่วยจำนวนมาก [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
สธ.ขยายการตรวจและเฝ้าระวังเข้มข้นค้นหาผู้ป่วย โควิด-19 เชิงรุกในพื้นที่รายงานผู้ป่วยจํานวนมาก [กระทรวงสาธารณสุข]
กระทรวงสาธารณสุข ชี้เป้าหมายให้พื้นที่ขยายการตรวจและเฝ้าระวังเข้มข้น เน้นค้นหาผู้ป่วยโควิด-19 เชิงรุกในพื้นที่ที่มีรายงานผู้ป่วยจํานวนมาก อาทิ กรุงเทพฯ นนทบุรี ภูเก็ต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อการป้องกันควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ
กระทรวงสาธารณสุข ชี้เป้าหมายให้พื้นที่ขยายการตรวจและเฝ้าระวังเข้มข้น เน้นค้นหาผู้ป่วยโควิด-19 เชิงรุกในพื้นที่ที่มีรายงานผู้ป่วยจํานวนมาก อาทิ กรุงเทพฯ นนทบุรี ภูเก็ต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อการป้องกันควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ พร้อมสนับสนุนมาตรการจํากัดการเข้าออกในบางพื้นที่อย่างเคร่งครัด
วันนี้ (8 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ว่า ในวันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 111 ราย โดย 69 ราย เป็นกลุ่มที่อยู่ในระบบเฝ้าระวังอยู่เดิม กว่าร้อยละ 50 เป็นกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ ซึ่งได้ให้ความสําคัญและออกค้นหาเชิงรุก (Active case finding) อย่างเต็มที่ เพื่อควบคุมการระบาด และมีกลุ่มที่น่าจับตามองคือ กลุ่มคนไทยที่กลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการคุมเข้ม ป้องกันการนําเชื้อเข้าประเทศ ล่าสุดมีคนไทยกลับจากอินโดนีเซียตรวจพบเชื้อ 42 ราย จากผู้ป่วยที่มีอาการ 52 ราย คิดเป็นร้อยละ 80 ได้นําส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษา ส่วนที่เหลือขณะนี้อยู่ที่ State Quarantine ทั้งหมด ไม่มีใครได้กลับบ้าน ขอให้มั่นใจว่าทั้งหมดจะไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้
“มาตรการที่จะต้องเข้มข้นในขณะนี้คือ จะขยายการตรวจและการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นเชิงรุก มุ่งเน้นไปยังพื้นที่ที่มีรายงานผู้ป่วยจํานวนมาก เช่น กรุงเทพฯ นนทบุรี ภูเก็ต และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น โดยกรมควบคุมโรคจะชี้เป้าหมายให้กับพื้นที่เพื่อดําเนินการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคอย่างเต็มที่ และสนับสนุนมาตรการจํากัดการเข้าออกในบางพื้นที่อย่างเคร่งครัด” นายแพทย์สุวรรณชัยกล่าว
โดยที่จังหวัดภูเก็ตเริ่มพบการระบาดตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2563 จนถึงปัจจุบันพบผู้ป่วยทั้งสิ้น 158 ราย ร้อยละ 84 อยู่ในวัยทํางาน เป็นคนไทย 119 ราย ต่างชาติ 39 ราย เป็นบุคลากรทางการแพทย์ 1 ราย ปัจจัยเสี่ยงหลักที่พบ ได้แก่ อาชีพที่มีการติดต่อกับนักท่องเที่ยวหรือคนจํานวนมาก และติดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้า มีชาวต่างชาติเดินทางมาจากพื้นที่ระบาด จังหวัดได้มีมาตรการปิดสถานบันเทิง ร้านนวดบริเวณ ขยายทั้งจังหวัดและมีการปิดช่องทางเข้าออกจังหวัดแต่ ยังพบมีผู้ป่วย จากการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกเพิ่มเติมในชุมชน ดังนั้นสิ่งสําคัญคือ จะเฝ้าระวังผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ติดตามอาการ และกักกันให้ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อต่อไป
สําหรับกรุงเทพฯ ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของการระบาดตั้งแต่ผู้ป่วยรายแรกในประเทศจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เนื่องจากผู้ป่วยที่พบในปัจจุบันเป็นกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้เป็นหลัก แสดงให้เห็นว่า มาตรการที่รัฐบาลทํามาได้ผลในการควบคุมในระดับชุมชน สถานที่ชุมนุมชน แต่ยังมีการแพร่เชื้อในกลุ่มผู้ใกล้ชิด ดังนั้นการทํา Social Distancing จึงต้องเข้มข้น ทั้งในบ้าน และที่ทํางาน หรือในที่ที่มีผู้คนไปรวมตัวกัน อย่างไรก็ตาม การที่จะควบคุมป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่ทุกคน
************************************** 8 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28656
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมระบบจัดการผู้ป่วยโควิด-19 โรงพยาบาลราชวิถี
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมระบบจัดการผู้ป่วยโควิด-19 โรงพยาบาลราชวิถี
นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมระบบจัดการผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจและผู้ป่วยสงสัยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โรงพยาบาลราชวิถี สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน พร้อมให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากศูนย์ข้อมูลฯของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข
นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมระบบจัดการผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจและผู้ป่วยสงสัยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โรงพยาบาลราชวิถี สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน พร้อมให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากศูนย์ข้อมูลฯของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข
บ่ายวันนี้ (12 มีนาคม 2563) ที่โรงพยาบาลราชวิถี กทม. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ด้านการวินิจฉัยรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และคณะผู้บริหารร่วมให้การต้อนรับ
โดยนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมจุดคัดกรองและห้องตรวจบริเวณชั้น 1 อาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถีทั้งนี้ ผู้เข้ามารับบริการในโรงพยาบาลราชวิถีทุกคนต้องเดินผ่านเครื่องเทอร์โมสแกน หากมีไข้จะวัดไข้ซ้ํา พร้อมแยกออกจากผู้ป่วยอื่น ให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ จากนั้นได้เยี่ยมชมห้องตรวจแยกโรคระบบทางเดินหายใจ (ARI) ซึ่งเป็นพื้นที่เฉพาะโซนสีแดงรองรับผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจและผู้ป่วยสงสัยเข้าข่ายโรคโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยของผู้ให้บริการและผู้รับบริการ
นอกจากนี้ ได้ติดตามอาการผู้ป่วยที่รักษาอยู่ในห้องแยกโรค ตึกอายุรกรรม ชั้น 3 ผ่านกล้องวงจรปิดพร้อมมอบยาต้านไวรัส Favipilavir จํานวน 10,000 เม็ด ให้โรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ กรุงเทพมหานคร และเครือข่ายโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความเชื่อมั่นในระบบการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลที่ได้ตรวจเยี่ยมมาแล้ว ทั้งสถาบันบําราศนราดูรและโรงพยาบาลราชวิถี มั่นใจตั้งแต่การคัดกรองที่สนามบิน การส่งเข้ารักษากรณีป่วยหรือสงสัยว่าป่วย รวมทั้งการส่งตัวผู้เดินทางจากพื้นที่ระบาดของโรคต่อเนื่องกลับไปกักกันตัวเองที่บ้านให้ครบ 14 วัน ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) โดยมีโปรแกรมและแอปพลิเคชันติดตามตัว ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากศูนย์ข้อมูลโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 ของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น
********************* 12 มีนาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมระบบจัดการผู้ป่วยโควิด-19 โรงพยาบาลราชวิถี
วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมระบบจัดการผู้ป่วยโควิด-19 โรงพยาบาลราชวิถี
นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมระบบจัดการผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจและผู้ป่วยสงสัยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โรงพยาบาลราชวิถี สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน พร้อมให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากศูนย์ข้อมูลฯของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข
นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมระบบจัดการผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจและผู้ป่วยสงสัยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โรงพยาบาลราชวิถี สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน พร้อมให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากศูนย์ข้อมูลฯของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข
บ่ายวันนี้ (12 มีนาคม 2563) ที่โรงพยาบาลราชวิถี กทม. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ด้านการวินิจฉัยรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และคณะผู้บริหารร่วมให้การต้อนรับ
โดยนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมจุดคัดกรองและห้องตรวจบริเวณชั้น 1 อาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถีทั้งนี้ ผู้เข้ามารับบริการในโรงพยาบาลราชวิถีทุกคนต้องเดินผ่านเครื่องเทอร์โมสแกน หากมีไข้จะวัดไข้ซ้ํา พร้อมแยกออกจากผู้ป่วยอื่น ให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ จากนั้นได้เยี่ยมชมห้องตรวจแยกโรคระบบทางเดินหายใจ (ARI) ซึ่งเป็นพื้นที่เฉพาะโซนสีแดงรองรับผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจและผู้ป่วยสงสัยเข้าข่ายโรคโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยของผู้ให้บริการและผู้รับบริการ
นอกจากนี้ ได้ติดตามอาการผู้ป่วยที่รักษาอยู่ในห้องแยกโรค ตึกอายุรกรรม ชั้น 3 ผ่านกล้องวงจรปิดพร้อมมอบยาต้านไวรัส Favipilavir จํานวน 10,000 เม็ด ให้โรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ กรุงเทพมหานคร และเครือข่ายโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความเชื่อมั่นในระบบการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลที่ได้ตรวจเยี่ยมมาแล้ว ทั้งสถาบันบําราศนราดูรและโรงพยาบาลราชวิถี มั่นใจตั้งแต่การคัดกรองที่สนามบิน การส่งเข้ารักษากรณีป่วยหรือสงสัยว่าป่วย รวมทั้งการส่งตัวผู้เดินทางจากพื้นที่ระบาดของโรคต่อเนื่องกลับไปกักกันตัวเองที่บ้านให้ครบ 14 วัน ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) โดยมีโปรแกรมและแอปพลิเคชันติดตามตัว ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากศูนย์ข้อมูลโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 ของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น
********************* 12 มีนาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27125
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ
|
วันพุธที่ 13 กันยายน 2560
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ
ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี 481/2560
มติ ครม.12กันยายน 2560
-อนุมัติปรับค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน
-เห็นชอบแต่งตั้งกรรมการสภาการศึกษา
-อนุมัติเพิ่มค่าเช่าบ้านข้าราชการ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่12กันยายน 2560 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ คืออนุมัติปรับค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน เห็นชอบแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา และอนุมัติหลักการเพิ่มค่าเช่าบ้านข้าราชการให้สูงขึ้น
● อนุมัติปรับค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ปรับค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชนให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเพิ่มพิเศษในอัตราคนละ 2,500 บาทต่อเดือน เช่นเดียวกับครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนรัฐตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2560 เป็นต้นไป สําหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้ดําเนินการตามความเห็นของสํานักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้ ศธ. พิจารณาความเป็นไปได้ในการดําเนินการเรื่องการปรับค่าอัตราตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนของรัฐและเอกชนให้เป็นภาพรวมทั้งระบบแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวเดียวกันต่อไป
สาระสําคัญของเรื่อง
1. คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)ได้ออกระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยเงินเพิ่มสําหรับตําแหน่งที่มีเหตุพิเศษของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่สอนคนพิการ พ.ศ. 2556 ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2556 โดยกําหนดให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ปฏิบัติหน้าที่สอนคนพิการในสถานศึกษาได้รับเงินเพิ่มในอัตราเดือนละ 2,500 บาท ทําให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่สอนคนพิการในโรงเรียนของรัฐได้รับค่าตอบแทนพิเศษเดือนละ 2,500 บาท ในขณะที่ครูโรงเรียนเอกชนที่สอนนักเรียนพิการยังคงได้รับค่าตอบแทนพิเศษเดือนละ 2,000 บาท
2. ครูที่สอนนักเรียนพิการ เป็นบุคคลที่ทุ่มเทเสียสละแรงกายแรงใจให้แก่นักเรียนพิการมากกว่าครูที่สอนนักเรียนปกติเพราะคนพิการมีข้อจํากัดในหลายด้านไม่สามารถเรียนรู้ได้เช่นเดียวกับนักเรียนปกติ ครูที่สอนนักเรียนพิการจึงต้องมีความรู้ ศึกษาค้นคว้าหรือฝึกอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการเรียนรู้สําหรับนักเรียนพิการ ลักษณะของความพิการแต่ละประเภท เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้และให้ความช่วยเหลือ ให้คําปรึกษาชี้แนะแนวทางการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนพิการได้อย่างเหมาะสม จึงเห็นว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือครูที่นักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่ ศธ. กําหนด ให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเพิ่มพิเศษในอัตราคนละ 2,500 บาทต่อเดือน เช่นเดียวกับครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนของรัฐ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
●เห็นชอบแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา จํานวน28 คน/รูปดังนี้
1. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรเอกชนนายอรรถการ ตฤษณารังสี
2. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา
3. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรวิชาชีพนายวรชาติ เฉิดชมจันทร์
4. กรรมการที่เป็นพระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์
4.1 พระพรหมมุนี (สุชิน อคฺคชิโน)
4.2 พระราชวรมุนี (พล อาภากโร)
5. กรรมการที่เป็นผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยรองศาสตราจารย์วินัย ดะห์ลัน
6. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นนายปานชัย สิงห์สัจเทพ
7. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
7.1 ศาสตราจารย์ชุติมา สัจจานนท์ ด้านการศึกษา
7.2 นายสุภกร บัวสาย ด้านการศึกษา
7.3 รองศาสตราจารย์อนุชาติ พวงสําลี ด้านการศึกษา
7.4 นายกิตติศักดิ์ มังคละคีรี ด้านกฎหมาย
7.5 นายอภิมุข สุขประสิทธิ์ ด้านกฎหมาย
7.6 นายอํานาจ บัวศิริ ด้านศาสนา วัฒนธรรม และภูมิปัญญา
7.7 นางจรวยพร ธรณินทร์ ด้านการกีฬา กิจการเยาวชน ลูกเสือ ยุวกาชาด และเนตรนารี
8. รองศาสตราจารย์จีรเดช อู่สวัสดิ์ ด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา และการวัดและประเมินผล การศึกษา
9. ศาสตราจารย์ชนิตา รักษ์พลเมืองด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพ การศึกษา และการวัด และประเมินผล การศึกษา
10. นายกอบศักดิ์ ภูตระกูลด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และบริการ
11. นายนนทวัฒน์ สุขผลด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
12. นายบดินทร์ อูนากูลด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
13. นายสุกิจ อุทินทุด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
14. นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ด้านพัฒนาสังคมและสิทธิมนุษยชน
15. ศาสตราจารย์สุพจน์ หารหนองบัวด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการสื่อสาร
16. นายธาดา เศวตศิลาด้านสื่อสารมวลชน
17. นายเกียรติชัย โสภาเสถียรพงศ์ด้านการเมืองการปกครอง
18. รองศาสตราจารย์บัณฑิต ทิพากรด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
19. นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
20. พลเอก พหล สง่าเนตรด้านส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
21. นายกิติ มาดิลกโกวิทด้านการผลิตและพัฒนากําลังคน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2560 เป็นต้นไป
●อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
กค. เสนอว่า เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้บัญญัติไว้โดยสรุปว่า ข้าราชการผู้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านให้เบิกจ่ายได้อย่างสูงไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกาซึ่งอัตราค่าเช่าบ้านที่กําหนดให้มีอัตราเริ่มต้นไม่เกินเดือนละ 800 บาท ถึงอัตราค่าเช่าบ้านสูงสุดในอัตราไม่เกินเดือนละ 4,000 บาทนั้นได้กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2552 ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯโดยมิได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นระยะเวลานาน จึงเห็นสมควรปรับปรุงแก้ไขอัตราค่าเช่าบ้านให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันประกอบกับบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 1 ท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ 3)ฯ ไม่สอดคล้องกับการปรับปรุงกําหนดตําแหน่งและค่าตอบแทนของข้าราชการประเภทต่าง ๆ ทําให้เกิดปัญหาการเทียบอัตราค่าเช่าบ้านเพื่อเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านให้กับข้าราชการประเภทต่าง ๆ
สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กําหนดให้ข้าราชการผู้ใดได้รับคําสั่งให้เดินทางไปประจําสํานักงานในต่างท้องที่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้าน แต่อย่างสูงไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ หรือบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ กค. กําหนด
2. กําหนดให้ข้าราชการซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการอยู่แล้วภายหลังได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นให้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้านอย่างสูงไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระรากฤษฎีกานี้ หรือบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ กค. กําหนด
3. กําหนดให้ในกรณีที่ข้าราชการซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกานี้ได้เช่าซื้อหรือผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านที่ค้างชําระอยู่ในท้องที่ที่ไปประจําสํานักงานใหม่ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและได้อาศัยอยู่จริงในบ้านนั้น ให้ข้าราชการผู้นั้นมีสิทธินําหลักฐานชําระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้ดังกล่าวมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการได้ไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ หรือบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ กค. กําหนด
4. กําหนดให้ข้าราชการฝ่ายรัฐสภา ข้าราชการศาลยุติธรรม และข้าราชการธุรการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 7 ตั้งแต่วันที่ข้าราชการแต่ละประเภท ได้ปรับเปลี่ยนการกําหนดตําแหน่งและการให้ได้รับเงินเดือนและเงินประจําตําแหน่งใหม่ เช่นเดียวกับกําหนดตําแหน่งและการให้ได้รับเงินเดือนและเงินประจําตําแหน่งใหม่ของข้าราชการพลเรือนตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
5. กําหนดให้สิทธิการได้รับอัตราค่าเช่าบ้านของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาในช่วงที่มีสิทธิได้รับเงินเดือนภายใต้ กฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยกําหนดบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2553 ที่ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2553 เป็นต้นไป และกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการกําหนดบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2554 ที่ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 เป็นต้นไป ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ มีผลใช้บังคับ ให้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 7 ตั้งแต่วันที่ กฎ ก.พ.อ. ดังกล่าวใช้บังคับ
6. กําหนดให้สิทธิการได้รับค่าเช่าบ้านสําหรับข้าราชการตํารวจในแต่ละบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 จนถึงก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้ข้าราชการตํารวจ ผู้นั้นมีสิทธิได้รับอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 4 สําหรับข้าราชการตํารวจท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 ตามบัญชีเงินเดือนข้าราชการตํารวจพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 แต่ให้นําจํานวนเงินเดือนที่ได้รับมาเทียบอัตราค่าเช่าบ้านกับการปรับเงินเดือนของข้าราชการตํารวจแต่ละบุคคลที่ได้รับเสมือนหนึ่งว่า บุคคลนั้น ๆ ได้รับเงินเดือนตามมาตรา 67 วรรคห้า และมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554
7. กําหนดให้สิทธิการได้รับค่าเช่าบ้านสําหรับข้าราชการทหารในแต่ละบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 จนถึงก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้ข้าราชการทหารผู้นั้น มีสิทธิได้รับอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 5 สําหรับข้าราชการทหารท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 ตามบัญชีเงินเดือนข้าราชการทหารตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2558 แต่ให้นําจํานวนเงินเดือนที่ได้รับมาเทียบอัตราค่าเช่าบ้านกับการปรับเงินเดือนข้าราชการทหารแต่ละบุคคลที่ได้รับเสมือนหนึ่งว่า บุคคลนั้น ๆ ได้รับเงินเดือนตามมาตรา 12 วรรคห้า และมาตรา 12 ทวิ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2551 และ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2551 และ (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2556
8. กําหนดให้ยกเลิกบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 1 ถึง 7ท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2552 และให้ใช้บัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 1 ถึง 7 ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้แทน
นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ
วันพุธที่ 13 กันยายน 2560
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ
ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี 481/2560
มติ ครม.12กันยายน 2560
-อนุมัติปรับค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน
-เห็นชอบแต่งตั้งกรรมการสภาการศึกษา
-อนุมัติเพิ่มค่าเช่าบ้านข้าราชการ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่12กันยายน 2560 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ คืออนุมัติปรับค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน เห็นชอบแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา และอนุมัติหลักการเพิ่มค่าเช่าบ้านข้าราชการให้สูงขึ้น
● อนุมัติปรับค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ปรับค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชนให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเพิ่มพิเศษในอัตราคนละ 2,500 บาทต่อเดือน เช่นเดียวกับครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนรัฐตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2560 เป็นต้นไป สําหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้ดําเนินการตามความเห็นของสํานักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้ ศธ. พิจารณาความเป็นไปได้ในการดําเนินการเรื่องการปรับค่าอัตราตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนของรัฐและเอกชนให้เป็นภาพรวมทั้งระบบแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวเดียวกันต่อไป
สาระสําคัญของเรื่อง
1. คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)ได้ออกระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยเงินเพิ่มสําหรับตําแหน่งที่มีเหตุพิเศษของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่สอนคนพิการ พ.ศ. 2556 ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2556 โดยกําหนดให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ปฏิบัติหน้าที่สอนคนพิการในสถานศึกษาได้รับเงินเพิ่มในอัตราเดือนละ 2,500 บาท ทําให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่สอนคนพิการในโรงเรียนของรัฐได้รับค่าตอบแทนพิเศษเดือนละ 2,500 บาท ในขณะที่ครูโรงเรียนเอกชนที่สอนนักเรียนพิการยังคงได้รับค่าตอบแทนพิเศษเดือนละ 2,000 บาท
2. ครูที่สอนนักเรียนพิการ เป็นบุคคลที่ทุ่มเทเสียสละแรงกายแรงใจให้แก่นักเรียนพิการมากกว่าครูที่สอนนักเรียนปกติเพราะคนพิการมีข้อจํากัดในหลายด้านไม่สามารถเรียนรู้ได้เช่นเดียวกับนักเรียนปกติ ครูที่สอนนักเรียนพิการจึงต้องมีความรู้ ศึกษาค้นคว้าหรือฝึกอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการเรียนรู้สําหรับนักเรียนพิการ ลักษณะของความพิการแต่ละประเภท เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้และให้ความช่วยเหลือ ให้คําปรึกษาชี้แนะแนวทางการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนพิการได้อย่างเหมาะสม จึงเห็นว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือครูที่นักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่ ศธ. กําหนด ให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเพิ่มพิเศษในอัตราคนละ 2,500 บาทต่อเดือน เช่นเดียวกับครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนของรัฐ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
●เห็นชอบแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา จํานวน28 คน/รูปดังนี้
1. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรเอกชนนายอรรถการ ตฤษณารังสี
2. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา
3. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรวิชาชีพนายวรชาติ เฉิดชมจันทร์
4. กรรมการที่เป็นพระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์
4.1 พระพรหมมุนี (สุชิน อคฺคชิโน)
4.2 พระราชวรมุนี (พล อาภากโร)
5. กรรมการที่เป็นผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยรองศาสตราจารย์วินัย ดะห์ลัน
6. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นนายปานชัย สิงห์สัจเทพ
7. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
7.1 ศาสตราจารย์ชุติมา สัจจานนท์ ด้านการศึกษา
7.2 นายสุภกร บัวสาย ด้านการศึกษา
7.3 รองศาสตราจารย์อนุชาติ พวงสําลี ด้านการศึกษา
7.4 นายกิตติศักดิ์ มังคละคีรี ด้านกฎหมาย
7.5 นายอภิมุข สุขประสิทธิ์ ด้านกฎหมาย
7.6 นายอํานาจ บัวศิริ ด้านศาสนา วัฒนธรรม และภูมิปัญญา
7.7 นางจรวยพร ธรณินทร์ ด้านการกีฬา กิจการเยาวชน ลูกเสือ ยุวกาชาด และเนตรนารี
8. รองศาสตราจารย์จีรเดช อู่สวัสดิ์ ด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา และการวัดและประเมินผล การศึกษา
9. ศาสตราจารย์ชนิตา รักษ์พลเมืองด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพ การศึกษา และการวัด และประเมินผล การศึกษา
10. นายกอบศักดิ์ ภูตระกูลด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และบริการ
11. นายนนทวัฒน์ สุขผลด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
12. นายบดินทร์ อูนากูลด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
13. นายสุกิจ อุทินทุด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
14. นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ด้านพัฒนาสังคมและสิทธิมนุษยชน
15. ศาสตราจารย์สุพจน์ หารหนองบัวด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการสื่อสาร
16. นายธาดา เศวตศิลาด้านสื่อสารมวลชน
17. นายเกียรติชัย โสภาเสถียรพงศ์ด้านการเมืองการปกครอง
18. รองศาสตราจารย์บัณฑิต ทิพากรด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
19. นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
20. พลเอก พหล สง่าเนตรด้านส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
21. นายกิติ มาดิลกโกวิทด้านการผลิตและพัฒนากําลังคน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2560 เป็นต้นไป
●อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
กค. เสนอว่า เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้บัญญัติไว้โดยสรุปว่า ข้าราชการผู้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านให้เบิกจ่ายได้อย่างสูงไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกาซึ่งอัตราค่าเช่าบ้านที่กําหนดให้มีอัตราเริ่มต้นไม่เกินเดือนละ 800 บาท ถึงอัตราค่าเช่าบ้านสูงสุดในอัตราไม่เกินเดือนละ 4,000 บาทนั้นได้กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2552 ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯโดยมิได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นระยะเวลานาน จึงเห็นสมควรปรับปรุงแก้ไขอัตราค่าเช่าบ้านให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันประกอบกับบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 1 ท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ 3)ฯ ไม่สอดคล้องกับการปรับปรุงกําหนดตําแหน่งและค่าตอบแทนของข้าราชการประเภทต่าง ๆ ทําให้เกิดปัญหาการเทียบอัตราค่าเช่าบ้านเพื่อเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านให้กับข้าราชการประเภทต่าง ๆ
สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กําหนดให้ข้าราชการผู้ใดได้รับคําสั่งให้เดินทางไปประจําสํานักงานในต่างท้องที่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้าน แต่อย่างสูงไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ หรือบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ กค. กําหนด
2. กําหนดให้ข้าราชการซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการอยู่แล้วภายหลังได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นให้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้านอย่างสูงไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระรากฤษฎีกานี้ หรือบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ กค. กําหนด
3. กําหนดให้ในกรณีที่ข้าราชการซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกานี้ได้เช่าซื้อหรือผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านที่ค้างชําระอยู่ในท้องที่ที่ไปประจําสํานักงานใหม่ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและได้อาศัยอยู่จริงในบ้านนั้น ให้ข้าราชการผู้นั้นมีสิทธินําหลักฐานชําระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้ดังกล่าวมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการได้ไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ หรือบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านที่ กค. กําหนด
4. กําหนดให้ข้าราชการฝ่ายรัฐสภา ข้าราชการศาลยุติธรรม และข้าราชการธุรการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 7 ตั้งแต่วันที่ข้าราชการแต่ละประเภท ได้ปรับเปลี่ยนการกําหนดตําแหน่งและการให้ได้รับเงินเดือนและเงินประจําตําแหน่งใหม่ เช่นเดียวกับกําหนดตําแหน่งและการให้ได้รับเงินเดือนและเงินประจําตําแหน่งใหม่ของข้าราชการพลเรือนตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
5. กําหนดให้สิทธิการได้รับอัตราค่าเช่าบ้านของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาในช่วงที่มีสิทธิได้รับเงินเดือนภายใต้ กฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยกําหนดบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2553 ที่ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2553 เป็นต้นไป และกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการกําหนดบัญชีเงินเดือนขั้นต่ําขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2554 ที่ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 เป็นต้นไป ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ มีผลใช้บังคับ ให้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 7 ตั้งแต่วันที่ กฎ ก.พ.อ. ดังกล่าวใช้บังคับ
6. กําหนดให้สิทธิการได้รับค่าเช่าบ้านสําหรับข้าราชการตํารวจในแต่ละบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 จนถึงก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้ข้าราชการตํารวจ ผู้นั้นมีสิทธิได้รับอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 4 สําหรับข้าราชการตํารวจท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 ตามบัญชีเงินเดือนข้าราชการตํารวจพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 แต่ให้นําจํานวนเงินเดือนที่ได้รับมาเทียบอัตราค่าเช่าบ้านกับการปรับเงินเดือนของข้าราชการตํารวจแต่ละบุคคลที่ได้รับเสมือนหนึ่งว่า บุคคลนั้น ๆ ได้รับเงินเดือนตามมาตรา 67 วรรคห้า และมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554
7. กําหนดให้สิทธิการได้รับค่าเช่าบ้านสําหรับข้าราชการทหารในแต่ละบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 จนถึงก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้ข้าราชการทหารผู้นั้น มีสิทธิได้รับอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 5 สําหรับข้าราชการทหารท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 ตามบัญชีเงินเดือนข้าราชการทหารตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2558 แต่ให้นําจํานวนเงินเดือนที่ได้รับมาเทียบอัตราค่าเช่าบ้านกับการปรับเงินเดือนข้าราชการทหารแต่ละบุคคลที่ได้รับเสมือนหนึ่งว่า บุคคลนั้น ๆ ได้รับเงินเดือนตามมาตรา 12 วรรคห้า และมาตรา 12 ทวิ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2551 และ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2551 และ (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2556
8. กําหนดให้ยกเลิกบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 1 ถึง 7ท้ายพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2552 และให้ใช้บัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการหมายเลข 1 ถึง 7 ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้แทน
นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6637
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจรับรอง สร้างความเชื่อมั่นมาตรฐานแรงงานไทย [กระทรวงแรงงาน]
|
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563
กสร. เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจรับรอง สร้างความเชื่อมั่นมาตรฐานแรงงานไทย [กระทรวงแรงงาน]
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดอบรมเพิ่มประสิทธิภาพหัวหน้าผู้ประเมินมาตรฐานแรงงานไทย เน้นคุณภาพการตรวจรับรอง สร้างความเชื่อมั่นสถานประกอบกิจการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานแรงงานไทย มีความรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงาน
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ประกาศใช้มาตรฐานแรงงานไทย (มรท.) ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือให้สถานประกอบกิจการนําไปใช้ในการบริหารจัดการด้านแรงงานให้มีการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบทางสังคมด้านแรงงานของสถานประกอบกิจการ ซึ่งจะส่งให้คู่ค้ามีความเชื่อมั่นและลดอุปสรรคในการกีดกันทางการค้า ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการที่ได้รับรองมาตรฐานแรงงานไทยจะต้องผ่านการตรวจประเมินตามเกณฑ์ที่กําหนด เพื่อให้การตรวจประเมินเพื่อการรับรองมาตรฐานแรงงานไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับสถานประกอบกิจการที่ขอการรับรองและผู้เกี่ยวข้อง กสร.ได้จัดการอบรมโครงการพัฒนาสมรรถนะผู้ประเมินมาตรฐานแรงงานไทย หลักสูตรหัวหน้าผู้ประเมินมาตรฐานแรงงานไทยขึ้น ระหว่างวันที่ 16 ถึง 20 มีนาคม 2563 ณ โรงแรมฮิพ รัชดา กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วย หัวหน้าผู้ตรวจประเมินจากภาครัฐและภาคเอกชนที่มีประสบการณ์ในการตรวจประเมินและผ่านการอบรมหลักสูตรผู้ประเมินมาตรฐานแรงงานไทยแล้ว จํานวน 25 คน
นายอภิญญา กล่าวต่อว่า กสร.เชื่อมั่นว่าหัวหน้าผู้ประเมินที่ผ่านการอบรมจะสามารถทําหน้าที่ ในการนําตรวจประเมินเพื่อการรับรองและให้คําแนะนําแก่สถานประกอบกิจในการพัฒนาการบริหารจัดการแรงงานได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของมาตรฐานแรงงานไทย ซึ่งจะส่งผลให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสถานประกอบกิจการต่อไป
ข้อมูล ณ วันที่ 16 มีนาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจรับรอง สร้างความเชื่อมั่นมาตรฐานแรงงานไทย [กระทรวงแรงงาน]
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563
กสร. เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจรับรอง สร้างความเชื่อมั่นมาตรฐานแรงงานไทย [กระทรวงแรงงาน]
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดอบรมเพิ่มประสิทธิภาพหัวหน้าผู้ประเมินมาตรฐานแรงงานไทย เน้นคุณภาพการตรวจรับรอง สร้างความเชื่อมั่นสถานประกอบกิจการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานแรงงานไทย มีความรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงาน
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ประกาศใช้มาตรฐานแรงงานไทย (มรท.) ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือให้สถานประกอบกิจการนําไปใช้ในการบริหารจัดการด้านแรงงานให้มีการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบทางสังคมด้านแรงงานของสถานประกอบกิจการ ซึ่งจะส่งให้คู่ค้ามีความเชื่อมั่นและลดอุปสรรคในการกีดกันทางการค้า ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการที่ได้รับรองมาตรฐานแรงงานไทยจะต้องผ่านการตรวจประเมินตามเกณฑ์ที่กําหนด เพื่อให้การตรวจประเมินเพื่อการรับรองมาตรฐานแรงงานไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับสถานประกอบกิจการที่ขอการรับรองและผู้เกี่ยวข้อง กสร.ได้จัดการอบรมโครงการพัฒนาสมรรถนะผู้ประเมินมาตรฐานแรงงานไทย หลักสูตรหัวหน้าผู้ประเมินมาตรฐานแรงงานไทยขึ้น ระหว่างวันที่ 16 ถึง 20 มีนาคม 2563 ณ โรงแรมฮิพ รัชดา กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วย หัวหน้าผู้ตรวจประเมินจากภาครัฐและภาคเอกชนที่มีประสบการณ์ในการตรวจประเมินและผ่านการอบรมหลักสูตรผู้ประเมินมาตรฐานแรงงานไทยแล้ว จํานวน 25 คน
นายอภิญญา กล่าวต่อว่า กสร.เชื่อมั่นว่าหัวหน้าผู้ประเมินที่ผ่านการอบรมจะสามารถทําหน้าที่ ในการนําตรวจประเมินเพื่อการรับรองและให้คําแนะนําแก่สถานประกอบกิจในการพัฒนาการบริหารจัดการแรงงานได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของมาตรฐานแรงงานไทย ซึ่งจะส่งผลให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสถานประกอบกิจการต่อไป
ข้อมูล ณ วันที่ 16 มีนาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27344
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-5 มาตรการ การ์ดต้องไม่ตก
|
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
5 มาตรการ การ์ดต้องไม่ตก
มีอะไรบ้างนะ
5 มาตรการ การ์ดต้องไม่ตก มีดังนี้
1.ทําความสะอาด
2.สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
3.บริการจุดล้างมือ
4.เว้นระยะห่าง
5.ควบคุมจํานวนคน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-5 มาตรการ การ์ดต้องไม่ตก
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
5 มาตรการ การ์ดต้องไม่ตก
มีอะไรบ้างนะ
5 มาตรการ การ์ดต้องไม่ตก มีดังนี้
1.ทําความสะอาด
2.สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
3.บริการจุดล้างมือ
4.เว้นระยะห่าง
5.ควบคุมจํานวนคน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31069
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล
|
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล
นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ณ จุดรับเรื่องร้องทุกข์ หนองใหญ่ (แก้มลิง) จังหวัดชุมพร
วันนี้ (20 สิงหาคม 2561) นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายสกล กาญจนรังษี อุตสาหกรรมจังหวัดชุมพร นางพงษ์ศิริ วรรณศรี ผู้อํานวยการกองตรวจราชการ สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ณ จุดรับเรื่องร้องทุกข์ หนองใหญ่ (แก้มลิง) จังหวัดชุมพร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล
นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ณ จุดรับเรื่องร้องทุกข์ หนองใหญ่ (แก้มลิง) จังหวัดชุมพร
วันนี้ (20 สิงหาคม 2561) นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายสกล กาญจนรังษี อุตสาหกรรมจังหวัดชุมพร นางพงษ์ศิริ วรรณศรี ผู้อํานวยการกองตรวจราชการ สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ณ จุดรับเรื่องร้องทุกข์ หนองใหญ่ (แก้มลิง) จังหวัดชุมพร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14748
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.(นพ.อุดม คชินทร) มอบนโยบายการประชุมเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาค
|
วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2561
รมช.ศธ.(นพ.อุดม คชินทร) มอบนโยบายการประชุมเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาค
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพร้อมมอบนโยบายในการประชุมเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาค 9 เครือข่าย เมื่อวันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องประชุมประเสริฐ ณ นคร สํานักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.)
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพร้อมมอบนโยบายในการประชุมเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาค 9 เครือข่าย เมื่อวันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องประชุมประเสริฐ ณ นคร สํานักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) โดยมีนายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, ผู้บริหารสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, ประธานเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาค 9 เครือข่าย, ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา และคณาจารย์ เข้าร่วมประชุม
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทรกล่าวว่า รัฐบาลเล็งเห็นความสําคัญของการอุดมศึกษาซึ่งเปรียบเสมือนหัวรถจักรในการพัฒนาประเทศ และเพื่อให้มีความอิสระต่อการบริหารงาน จึงแยก สกอ. ออกจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอกฎหมาย พร้อมกําหนดรายละเอียดขอบเขตการทํางานของแต่ละหน่วยงานให้ชัดเจน เพื่อลดความซ้ําซ้อนที่จะช่วยให้การทํางานรวดเร็วขึ้น
จึงขอฝากให้มหาวิทยาลัยเตรียมความพร้อมรองรับความท้าทายและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆอาทิ จํานวนผู้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยลดลง, กระบวนการเรียนรู้สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก, การบ่มเพาะทักษะ สมรรถนะ และอุปนิสัยในการทํางาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีสอนเด็กไม่ได้ พร้อมปรับตัวเป็นแหล่งเรียนรู้สําหรับคนทุกวัย เฟ้นหาจุดแข็งของตนเองเพื่อช่วยพัฒนาการศึกษาในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นสอนให้เด็กมีหลักคิดที่ถูกต้อง เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี กระตุ้นการใฝ่รู้ใฝ่เรียนเพื่อติดอาวุธให้เด็กสามารถใช้ชีวิตอยู่ในโลกได้ทุกสถานการณ์ และการแทนที่คนด้วยเทคโนโลยี
สําหรับรูปแบบการดําเนินงานของเครือข่ายอุดมศึกษาถือว่าสอดคล้องกับการดําเนินงานของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ที่มีเครือข่ายอุดมศึกษาเช่นกัน ซึ่งการช่วยกันเติมเต็มการทํางาน ถือเป็นสิ่งสําคัญ เพราะคงไม่มีใครเก่งในทุกเรื่อง มหาวิทยาลัยในเครือข่ายจึงต้องช่วยเหลือกัน เพื่อให้การดําเนินงานต่าง ๆ สําเร็จและเป็นประโยชน์กับประเทศได้อย่างรวดเร็ว
ในส่วนของรัฐบาลยินดีที่จะสนับสนุนงบประมาณ สําหรับโครงการที่มีเป้าหมายสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ อาทิ โครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ซึ่งเปิดสอนหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการพัฒนาประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ เครือข่ายอุดมสามารถเสนอโครงการที่เป็นจุดเด่นของมหาวิทยาลัยในเครือข่าย เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป
นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการ กกอ.กล่าวเพิ่มเติมถึงเครือข่ายเพื่อการพัฒนาอุดมศึกษาด้วยว่า เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2546 โดยมีรูปแบบโครงสร้าง 3 ระดับ คือ เครือข่ายอํานวยการ (เครือข่าย A), เครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาค (เครือข่าย B) และเครือข่ายเชิงประเด็น (เครือข่าย C) ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการส่งผ่านนโยบายของ สกอ. ไปสู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่ โดยมีเครือข่ายอุดมศึกษา 9 เครือข่าย ที่ตั้งอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
โดยการประชุมครั้งนี้ ประธานเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาคทั้ง 9 เครือข่าย ได้รายงานผลการดําเนินงาน ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ดังนี้
เครือข่ายภาคเหนือตอนบน: มีสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสมาชิก จํานวน 16 แห่ง และมีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นประธาน โดยได้รับความร่วมมือจากสภาหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ในการส่งเสริมหลักสูตรสหกิจศึกษา เช่น การจัดกิจกรรมค้นหาทักษะและคุณลักษณะของบัณฑิตที่ผู้ประกอบการต้องการ, การอบรมเชิงปฏิบัติการ, คณาจารย์นิเทศสหกิจศึกษา เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ดําเนินโครงการมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง มุ่งเน้น STEM Education ภาษาอังกฤษ และคุณธรรมจริยธรรม, โครงการพัฒนาและสร้างงานวิจัยให้สอดคล้องกับชุมชนเศรษฐกิจฐานราก เน้นการวิจัยแบบมีส่วนร่วมเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมีผลงานเด่นชัด อาทิ วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต เป็นต้น สําหรับอุปสรรคในการดําเนินงาน คือจํานวนงบประมาณและความต่อเนื่องของการสนับสนุนงบประมาณในการดําเนินโครงการต่าง ๆ
เครือข่ายภาคเหนือตอนล่าง: มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นประธาน โดยได้ดําเนินโครงการที่สําคัญ ดังนี้ โครงการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชนฐานราก (8 โครงการ), โครงการปรับปรุงพันธุ์สตรอเบอร์รี่ภายใต้โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาภาครัฐร่วมภาคเอกชนเชิงพาณิชย์, จัดอบรมทักษะอาชีพในโครงการสนับสนุนหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator: UBI), การพัฒนาหลักสูตรสหกิจศึกษา, การแลกเปลี่ยนเรียนรู้การอนุรักษ์พันธุกรรมพืช, การป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา พร้อมถอดบทเรียน Drug Free University, โครงการมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงที่ดูแลโรงเรียนกว่า 200 แห่ง ทั้งด้านการพัฒนาทักษะวิชาการ และการพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอน เป็นต้น
เครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน: มีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นประธาน ซึ่งได้ดําเนินโครงการมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง โดยมีสถาบันอุดมศึกษา 14 แห่ง ร่วมดูแลโรงเรียน 286 แห่ง ด้วยการพัฒนาครูและนักเรียนผ่านโครงการ KKU Smart Learning มุ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้ให้ครูผู้สอนโดยใช้สื่อดิจิทัลที่พัฒนาขึ้น นอกจากนี้ ยังมีโครงการด้านอื่น ๆ อาทิ โครงการวิจัยภายใต้เครือข่ายการบริหารการวิจัย จํานวน 14 โครงการ, โครงการป้องกันยาเสพติดในสถาบันอุดมศึกษา เน้นการอบรมนักศึกษาแกนนํา เพื่อสร้างเครือข่ายและผลิตสื่อป้องกันยาเสพติด, หลักสูตรสหกิจศึกษาอาเซียน เป็นต้น ส่วนปัญหาที่พบระหว่างการดําเนินงาน คือการได้รับงบประมาณในระยะเวลาที่กระชั้นชิด อีกทั้งการสื่อสารระหว่างเครือข่าย เขตพื้นที่ และต้นสังกัดของนักวิจัย ทําให้การดําเนินงานเกิดความล่าช้าดําเนินงาน และขาดการสนับสนุนด้านการประเมินผล
เครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง: มีสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสมาชิก จํานวน 17 แห่ง และมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เป็นประธาน โดยดําเนินโครงการด้านต่าง ๆ อาทิ การสนับสนุนหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator: UBI) จํานวน 33โครงการ, เครือข่ายสหกิจศึกษา มีนักศึกษาในหลักสูตร จํานวน 4,500 คน และมีองค์กรภาคเอกชนเข้าร่วม 1,445 องค์กร ตลอดจนมีพันธมิตรสหกิจนานาชาติด้วย, โครงการป้องกันยาเสพติดในสถาบันอุดมศึกษา จํานวน 14 โครงการ, โครงการมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงดูแลโรงเรียน 300 แห่ง นักเรียน 15,000 คน ทั้งนี้ ขอฝากข้อคิดเห็นเกี่ยวกับความชัดเจนของกรอบการดําเนินงานเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาคให้มากขึ้น ทั้งในส่วนของระยะเวลา และการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดําเนินงานให้เกิดความต่อเนื่องต่อไป
เครือข่ายภาคกลางตอนบน: มีสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสมาชิก จํานวน 47 แห่ง และมีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธาน โดยเครือข่ายเชิงประเด็นได้มีการหารือร่วมกันเพื่อริเริ่มที่จะพัฒนางานในหลายส่วน อาทิ เครือข่ายพัฒนาอาจารย์ เครือข่ายปฏิรูปการศึกษา เครือข่ายเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา เป็นต้น พร้อมกําหนดให้มีการประชุมติดตามความก้าวหน้างานทุก 3 เดือน ตลอดจนแลกเปลี่ยน Best Practice ร่วมกัน โดยมีโครงการที่น่าสนใจ อาทิ มหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงที่ดูแลโรงเรียน 330 แห่ง, ระบบการศึกษาแบบเปิด หรือ Thai MOOC (Thailand Massive Open Online Course) เป็นต้น ในส่วนของปัญหาและอุปสรรคก็คือ ความไม่ชัดเจนของแนวทางการดําเนินงานเครือข่ายอุดมศึกษา เช่น กรอบระยะเวลาการดําเนินงาน เป็นต้น เพื่อมหาวิทยาลัยเครือข่ายจะได้ร่วมกันวางกรอบและแนวทางการดําเนินงานที่สอดคล้องต่อไป
เครือข่ายภาคกลางตอนล่าง: โดยมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นประธาน และมีความก้าวหน้าการดําเนินงานด้านการวิจัยหลายส่วน ทั้งศูนย์นวัตกรรมด้านการสร้างสรรค์, สร้างเครือข่ายนักวิจัยให้มีความเข้มแข็ง เป็นต้น ในส่วนของการสนับสนุนหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator: UBI) ได้สร้างผู้ประกอบการใหม่ตามเป้าหมาย พร้อมสร้างคู่มือการเริ่มต้นธุรกิจและพันธมิตรทางธุรกิจ ที่มีการส่งเสริมความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ด้วย นอกจากนี้ ยังได้ดําเนินหลักสูตรสหกิจศึกษา, โครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่, โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ, สถาบันศึกษาพี่เลี้ยง, การศึกษาดูงานข้ามเครือข่าย การจัดตั้งกลุ่มการวิจัย, การสร้างความร่วมมือกับชุมชน และการป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา ร่วมกับมหาวิทยาลัย 30 แห่ง และมีนักศึกษาเข้าร่วมกว่า 2.5 แสนคน พร้อมขยายผลโครงการไปสู่ชุมชนด้วย ทั้งนี้ ยังมีปัญหาเรื่องความต่อเนื่องของโครงการ จึงได้กําหนดวิสัยทัศน์ของเครือข่ายร่วมกัน เพื่อความเป็นเอกภาพในการทํางาน และส่งเสริมการส่งต่องานจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อความต่อเนื่องด้วย
เครือข่ายภาคใต้ตอนบน: มีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เป็นประธาน และมีความก้าวหน้าการดําเนินงานของเครือข่ายเชิงประเด็นที่หลากหลาย อาทิ การผลิตบัณฑิต, มหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย, การทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น รวมทั้งมีการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ในโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา, โครงการสนับสนุนหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator: UBI) จํานวน 13 โครงการ, หลักสูตรสหกิจศึกษาสู่ความเป็นเลิศ ในระดับประเทศและระดับนานาชาติ, การสร้างจิตสํานึกในการอนุรักษ์ทรัพยากร, สถาบันอุดมศึกษาพี่เลี้ยง เน้นพัฒนาทักษะภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เป็นต้น ทั้งนี้ มีตัวอย่างความสําเร็จในโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาภาครัฐร่วมเอกชนเชิงพาณิชย์ที่โดดเด่น อาทิ การพัฒนาเครื่องอบแห้งรังนกด้วยคลื่นไมโครเวฟ, Creative Innovation Hub เป็นต้น ในส่วนของปัญหาจากการดําเนินการ พบว่า การสนับสนุนงบประมาณลดลงอย่างต่อเนื่อง, ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการไทยแลนด์ 4.0 ยังไม่เพียงพอต่อการปรับเปลี่ยนวิธีการสอนของอาจารย์ และในส่วนของนิสิตนักศึกษายังไม่ให้ความสนใจเรื่องวิสาหกิจชุมชนเท่าที่ควร
เครือข่ายภาคใต้ตอนล่าง: มีสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสมาชิก จํานวน 14 แห่ง และมีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นประธาน โดยได้ดําเนินงานด้านเครือข่ายบริหารการวิจัย อาทิ การลงทุนร่วมกับภาคเอกชน, การนําเสนอผลงานวิจัยในวันนักประดิษฐ์, การเป็นเจ้าภาพจัดประชุมวิชาการระดับชาติเครือข่ายวิจัยสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ, จัดกิจกรรมป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา, โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาท้องถิ่นโดยมีสถาบันอุดมศึกษาเป็นพี่เลี้ยงดูแลโรงเรียน 218 แห่ง มีครูเข้าร่วม 2,594 คน และมีนักเรียนในโครงการ 18,004 คน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมโครงการสนับสนุนหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator: UBI) เพื่อสร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้ประกอบการในสถานศึกษา พร้อมเปิดสอนหลักสูตรสหกิจศึกษาและร่วมมือกับสถานประกอบการด้วย สําหรับปัญหาและอุปสรรคอยู่ที่ความไม่ต่อเนื่องของผู้รับผิดชอบโครงการ, ที่ตั้งของโรงเรียนบางแห่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ตลอดจนความพร้อมของสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ เป็นต้น
เครือข่ายภาคตะวันออก: มีสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสมาชิก จํานวน 10 แห่ง และมีมหาวิทยาลัยบูรพา เป็นประธาน โดยได้ดําเนินการด้านเครือข่ายบริหารการวิจัย อาทิ โครงการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชนฐานราก, โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาภาครัฐร่วมเอกชนเชิงพาณิชย์ เป็นต้น พร้อมดําเนินงานเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาในหลายโครงการ อาทิ โครงการสนับสนุนหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator: UBI) เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ในชุมชน พร้อมเปิดสอนหลักสูตรสหกิจศึกษารวม 49 หลักสูตรใน 4 มหาวิทยาลัย, การศึกษาร่วมกับองค์กรภาคธุรกิจ จํานวน 1,035 แห่ง โดยมีนักศึกษาในหลักสูตร จํานวน 2,990 คน, โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริฯ, โครงการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา, โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาท้องถิ่นโดยมีสถาบันอุดมศึกษาเป็นพี่เลี้ยงด้วย ในส่วนของปัญหาจากการดําเนินงาน พบว่า การสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัยที่กระจายให้ทุกมหาวิทยาลัยในเครือข่ายยังมีจํานวนน้อย, การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา, การเปิดปิดภาคเรียนที่ไม่ตรงกันของสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่ง ส่งผลต่อช่วงเวลาในการจัดกิจกรรม เป็นต้น
Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditสุรัตน์ ภู่สุวรรณ
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.(นพ.อุดม คชินทร) มอบนโยบายการประชุมเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาค
วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2561
รมช.ศธ.(นพ.อุดม คชินทร) มอบนโยบายการประชุมเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาค
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพร้อมมอบนโยบายในการประชุมเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาค 9 เครือข่าย เมื่อวันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องประชุมประเสริฐ ณ นคร สํานักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.)
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพร้อมมอบนโยบายในการประชุมเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาค 9 เครือข่าย เมื่อวันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องประชุมประเสริฐ ณ นคร สํานักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) โดยมีนายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, ผู้บริหารสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, ประธานเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาค 9 เครือข่าย, ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา และคณาจารย์ เข้าร่วมประชุม
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทรกล่าวว่า รัฐบาลเล็งเห็นความสําคัญของการอุดมศึกษาซึ่งเปรียบเสมือนหัวรถจักรในการพัฒนาประเทศ และเพื่อให้มีความอิสระต่อการบริหารงาน จึงแยก สกอ. ออกจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอกฎหมาย พร้อมกําหนดรายละเอียดขอบเขตการทํางานของแต่ละหน่วยงานให้ชัดเจน เพื่อลดความซ้ําซ้อนที่จะช่วยให้การทํางานรวดเร็วขึ้น
จึงขอฝากให้มหาวิทยาลัยเตรียมความพร้อมรองรับความท้าทายและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆอาทิ จํานวนผู้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยลดลง, กระบวนการเรียนรู้สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก, การบ่มเพาะทักษะ สมรรถนะ และอุปนิสัยในการทํางาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีสอนเด็กไม่ได้ พร้อมปรับตัวเป็นแหล่งเรียนรู้สําหรับคนทุกวัย เฟ้นหาจุดแข็งของตนเองเพื่อช่วยพัฒนาการศึกษาในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นสอนให้เด็กมีหลักคิดที่ถูกต้อง เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี กระตุ้นการใฝ่รู้ใฝ่เรียนเพื่อติดอาวุธให้เด็กสามารถใช้ชีวิตอยู่ในโลกได้ทุกสถานการณ์ และการแทนที่คนด้วยเทคโนโลยี
สําหรับรูปแบบการดําเนินงานของเครือข่ายอุดมศึกษาถือว่าสอดคล้องกับการดําเนินงานของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ที่มีเครือข่ายอุดมศึกษาเช่นกัน ซึ่งการช่วยกันเติมเต็มการทํางาน ถือเป็นสิ่งสําคัญ เพราะคงไม่มีใครเก่งในทุกเรื่อง มหาวิทยาลัยในเครือข่ายจึงต้องช่วยเหลือกัน เพื่อให้การดําเนินงานต่าง ๆ สําเร็จและเป็นประโยชน์กับประเทศได้อย่างรวดเร็ว
ในส่วนของรัฐบาลยินดีที่จะสนับสนุนงบประมาณ สําหรับโครงการที่มีเป้าหมายสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ อาทิ โครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ซึ่งเปิดสอนหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการพัฒนาประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ เครือข่ายอุดมสามารถเสนอโครงการที่เป็นจุดเด่นของมหาวิทยาลัยในเครือข่าย เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป
นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการ กกอ.กล่าวเพิ่มเติมถึงเครือข่ายเพื่อการพัฒนาอุดมศึกษาด้วยว่า เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2546 โดยมีรูปแบบโครงสร้าง 3 ระดับ คือ เครือข่ายอํานวยการ (เครือข่าย A), เครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาค (เครือข่าย B) และเครือข่ายเชิงประเด็น (เครือข่าย C) ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการส่งผ่านนโยบายของ สกอ. ไปสู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่ โดยมีเครือข่ายอุดมศึกษา 9 เครือข่าย ที่ตั้งอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
โดยการประชุมครั้งนี้ ประธานเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาคทั้ง 9 เครือข่าย ได้รายงานผลการดําเนินงาน ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ดังนี้
เครือข่ายภาคเหนือตอนบน: มีสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสมาชิก จํานวน 16 แห่ง และมีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นประธาน โดยได้รับความร่วมมือจากสภาหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ในการส่งเสริมหลักสูตรสหกิจศึกษา เช่น การจัดกิจกรรมค้นหาทักษะและคุณลักษณะของบัณฑิตที่ผู้ประกอบการต้องการ, การอบรมเชิงปฏิบัติการ, คณาจารย์นิเทศสหกิจศึกษา เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ดําเนินโครงการมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง มุ่งเน้น STEM Education ภาษาอังกฤษ และคุณธรรมจริยธรรม, โครงการพัฒนาและสร้างงานวิจัยให้สอดคล้องกับชุมชนเศรษฐกิจฐานราก เน้นการวิจัยแบบมีส่วนร่วมเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมีผลงานเด่นชัด อาทิ วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต เป็นต้น สําหรับอุปสรรคในการดําเนินงาน คือจํานวนงบประมาณและความต่อเนื่องของการสนับสนุนงบประมาณในการดําเนินโครงการต่าง ๆ
เครือข่ายภาคเหนือตอนล่าง: มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นประธาน โดยได้ดําเนินโครงการที่สําคัญ ดังนี้ โครงการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชนฐานราก (8 โครงการ), โครงการปรับปรุงพันธุ์สตรอเบอร์รี่ภายใต้โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาภาครัฐร่วมภาคเอกชนเชิงพาณิชย์, จัดอบรมทักษะอาชีพในโครงการสนับสนุนหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator: UBI), การพัฒนาหลักสูตรสหกิจศึกษา, การแลกเปลี่ยนเรียนรู้การอนุรักษ์พันธุกรรมพืช, การป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา พร้อมถอดบทเรียน Drug Free University, โครงการมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงที่ดูแลโรงเรียนกว่า 200 แห่ง ทั้งด้านการพัฒนาทักษะวิชาการ และการพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอน เป็นต้น
เครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน: มีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นประธาน ซึ่งได้ดําเนินโครงการมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง โดยมีสถาบันอุดมศึกษา 14 แห่ง ร่วมดูแลโรงเรียน 286 แห่ง ด้วยการพัฒนาครูและนักเรียนผ่านโครงการ KKU Smart Learning มุ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้ให้ครูผู้สอนโดยใช้สื่อดิจิทัลที่พัฒนาขึ้น นอกจากนี้ ยังมีโครงการด้านอื่น ๆ อาทิ โครงการวิจัยภายใต้เครือข่ายการบริหารการวิจัย จํานวน 14 โครงการ, โครงการป้องกันยาเสพติดในสถาบันอุดมศึกษา เน้นการอบรมนักศึกษาแกนนํา เพื่อสร้างเครือข่ายและผลิตสื่อป้องกันยาเสพติด, หลักสูตรสหกิจศึกษาอาเซียน เป็นต้น ส่วนปัญหาที่พบระหว่างการดําเนินงาน คือการได้รับงบประมาณในระยะเวลาที่กระชั้นชิด อีกทั้งการสื่อสารระหว่างเครือข่าย เขตพื้นที่ และต้นสังกัดของนักวิจัย ทําให้การดําเนินงานเกิดความล่าช้าดําเนินงาน และขาดการสนับสนุนด้านการประเมินผล
เครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง: มีสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสมาชิก จํานวน 17 แห่ง และมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เป็นประธาน โดยดําเนินโครงการด้านต่าง ๆ อาทิ การสนับสนุนหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator: UBI) จํานวน 33โครงการ, เครือข่ายสหกิจศึกษา มีนักศึกษาในหลักสูตร จํานวน 4,500 คน และมีองค์กรภาคเอกชนเข้าร่วม 1,445 องค์กร ตลอดจนมีพันธมิตรสหกิจนานาชาติด้วย, โครงการป้องกันยาเสพติดในสถาบันอุดมศึกษา จํานวน 14 โครงการ, โครงการมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงดูแลโรงเรียน 300 แห่ง นักเรียน 15,000 คน ทั้งนี้ ขอฝากข้อคิดเห็นเกี่ยวกับความชัดเจนของกรอบการดําเนินงานเครือข่ายอุดมศึกษาภูมิภาคให้มากขึ้น ทั้งในส่วนของระยะเวลา และการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดําเนินงานให้เกิดความต่อเนื่องต่อไป
เครือข่ายภาคกลางตอนบน: มีสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสมาชิก จํานวน 47 แห่ง และมีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธาน โดยเครือข่ายเชิงประเด็นได้มีการหารือร่วมกันเพื่อริเริ่มที่จะพัฒนางานในหลายส่วน อาทิ เครือข่ายพัฒนาอาจารย์ เครือข่ายปฏิรูปการศึกษา เครือข่ายเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา เป็นต้น พร้อมกําหนดให้มีการประชุมติดตามความก้าวหน้างานทุก 3 เดือน ตลอดจนแลกเปลี่ยน Best Practice ร่วมกัน โดยมีโครงการที่น่าสนใจ อาทิ มหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงที่ดูแลโรงเรียน 330 แห่ง, ระบบการศึกษาแบบเปิด หรือ Thai MOOC (Thailand Massive Open Online Course) เป็นต้น ในส่วนของปัญหาและอุปสรรคก็คือ ความไม่ชัดเจนของแนวทางการดําเนินงานเครือข่ายอุดมศึกษา เช่น กรอบระยะเวลาการดําเนินงาน เป็นต้น เพื่อมหาวิทยาลัยเครือข่ายจะได้ร่วมกันวางกรอบและแนวทางการดําเนินงานที่สอดคล้องต่อไป
เครือข่ายภาคกลางตอนล่าง: โดยมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นประธาน และมีความก้าวหน้าการดําเนินงานด้านการวิจัยหลายส่วน ทั้งศูนย์นวัตกรรมด้านการสร้างสรรค์, สร้างเครือข่ายนักวิจัยให้มีความเข้มแข็ง เป็นต้น ในส่วนของการสนับสนุนหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator: UBI) ได้สร้างผู้ประกอบการใหม่ตามเป้าหมาย พร้อมสร้างคู่มือการเริ่มต้นธุรกิจและพันธมิตรทางธุรกิจ ที่มีการส่งเสริมความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ด้วย นอกจากนี้ ยังได้ดําเนินหลักสูตรสหกิจศึกษา, โครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่, โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ, สถาบันศึกษาพี่เลี้ยง, การศึกษาดูงานข้ามเครือข่าย การจัดตั้งกลุ่มการวิจัย, การสร้างความร่วมมือกับชุมชน และการป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา ร่วมกับมหาวิทยาลัย 30 แห่ง และมีนักศึกษาเข้าร่วมกว่า 2.5 แสนคน พร้อมขยายผลโครงการไปสู่ชุมชนด้วย ทั้งนี้ ยังมีปัญหาเรื่องความต่อเนื่องของโครงการ จึงได้กําหนดวิสัยทัศน์ของเครือข่ายร่วมกัน เพื่อความเป็นเอกภาพในการทํางาน และส่งเสริมการส่งต่องานจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อความต่อเนื่องด้วย
เครือข่ายภาคใต้ตอนบน: มีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เป็นประธาน และมีความก้าวหน้าการดําเนินงานของเครือข่ายเชิงประเด็นที่หลากหลาย อาทิ การผลิตบัณฑิต, มหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย, การทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น รวมทั้งมีการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ในโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา, โครงการสนับสนุนหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator: UBI) จํานวน 13 โครงการ, หลักสูตรสหกิจศึกษาสู่ความเป็นเลิศ ในระดับประเทศและระดับนานาชาติ, การสร้างจิตสํานึกในการอนุรักษ์ทรัพยากร, สถาบันอุดมศึกษาพี่เลี้ยง เน้นพัฒนาทักษะภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เป็นต้น ทั้งนี้ มีตัวอย่างความสําเร็จในโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาภาครัฐร่วมเอกชนเชิงพาณิชย์ที่โดดเด่น อาทิ การพัฒนาเครื่องอบแห้งรังนกด้วยคลื่นไมโครเวฟ, Creative Innovation Hub เป็นต้น ในส่วนของปัญหาจากการดําเนินการ พบว่า การสนับสนุนงบประมาณลดลงอย่างต่อเนื่อง, ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการไทยแลนด์ 4.0 ยังไม่เพียงพอต่อการปรับเปลี่ยนวิธีการสอนของอาจารย์ และในส่วนของนิสิตนักศึกษายังไม่ให้ความสนใจเรื่องวิสาหกิจชุมชนเท่าที่ควร
เครือข่ายภาคใต้ตอนล่าง: มีสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสมาชิก จํานวน 14 แห่ง และมีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นประธาน โดยได้ดําเนินงานด้านเครือข่ายบริหารการวิจัย อาทิ การลงทุนร่วมกับภาคเอกชน, การนําเสนอผลงานวิจัยในวันนักประดิษฐ์, การเป็นเจ้าภาพจัดประชุมวิชาการระดับชาติเครือข่ายวิจัยสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ, จัดกิจกรรมป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา, โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาท้องถิ่นโดยมีสถาบันอุดมศึกษาเป็นพี่เลี้ยงดูแลโรงเรียน 218 แห่ง มีครูเข้าร่วม 2,594 คน และมีนักเรียนในโครงการ 18,004 คน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมโครงการสนับสนุนหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator: UBI) เพื่อสร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้ประกอบการในสถานศึกษา พร้อมเปิดสอนหลักสูตรสหกิจศึกษาและร่วมมือกับสถานประกอบการด้วย สําหรับปัญหาและอุปสรรคอยู่ที่ความไม่ต่อเนื่องของผู้รับผิดชอบโครงการ, ที่ตั้งของโรงเรียนบางแห่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ตลอดจนความพร้อมของสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ เป็นต้น
เครือข่ายภาคตะวันออก: มีสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสมาชิก จํานวน 10 แห่ง และมีมหาวิทยาลัยบูรพา เป็นประธาน โดยได้ดําเนินการด้านเครือข่ายบริหารการวิจัย อาทิ โครงการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชนฐานราก, โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาภาครัฐร่วมเอกชนเชิงพาณิชย์ เป็นต้น พร้อมดําเนินงานเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาในหลายโครงการ อาทิ โครงการสนับสนุนหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator: UBI) เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ในชุมชน พร้อมเปิดสอนหลักสูตรสหกิจศึกษารวม 49 หลักสูตรใน 4 มหาวิทยาลัย, การศึกษาร่วมกับองค์กรภาคธุรกิจ จํานวน 1,035 แห่ง โดยมีนักศึกษาในหลักสูตร จํานวน 2,990 คน, โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริฯ, โครงการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา, โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาท้องถิ่นโดยมีสถาบันอุดมศึกษาเป็นพี่เลี้ยงด้วย ในส่วนของปัญหาจากการดําเนินงาน พบว่า การสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัยที่กระจายให้ทุกมหาวิทยาลัยในเครือข่ายยังมีจํานวนน้อย, การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา, การเปิดปิดภาคเรียนที่ไม่ตรงกันของสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่ง ส่งผลต่อช่วงเวลาในการจัดกิจกรรม เป็นต้น
Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditสุรัตน์ ภู่สุวรรณ
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13829
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล ( ค.ต.น.) ครั้งที่ 6/2560
|
วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน 2560
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล ( ค.ต.น.) ครั้งที่ 6/2560
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการผลักดัน โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงของกระทรวงคมนาคม
วันนี้ (1 มิถุนายน 2560) เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ชั้น 3 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล ( ค.ต.น.) ครั้งที่ 6/2560 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการผลักดัน โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงของกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นโครงการภายใต้แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 – 2563 ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง (โครงการภายใต้ความร่วมมือ ไทย – จีน) โดยมีความคืบหน้าตามลําดับ และเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 ที่ประชุมคณะกรรมการผู้ชํานาญการได้พิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมมีมติให้โครงการความร่วมมือด้านรถไฟฟ้าไทย – จีน ช่วงกรุงเทพ – นครราชสีมาให้รายงานข้อมูลเพิ่มเติม และคาดว่าจะสามารถนําเสนอโครงการฯ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ภายในเดือนมิถุนายน 2560 ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง (โครงการภายใต้ความร่วมมือไทย – ญี่ปุ่น) ช่วงกรุงเทพ – เชียงใหม่ อยู่ในระหว่างดําเนินการศึกษาวิเคราะห์โครงการของฝ่ายญี่ปุ่นคาดว่าจบแล้วเสร็จภายในปี 2560 รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายกรุงเทพ – ระยอง ขณะนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่ในระหว่างปรับปรุงข้อมูลในส่วนผลของการทดสอบความสนใจของนักลงทุน และพิจารณาความเหมาะสมของเส้นทาง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน มิถุนายน 2560
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการขับเคลื่อนโครงการนําสายไฟฟ้าลงดิน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเพื่อให้กรุงเทพเป็นมหานครแห่งอาเซียน ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ การไฟฟ้านครหลวง สังกัดกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการสํารวจ และจัดทําแผนการนําสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ รวมทั้งสายเคเบิ้ลลงใต้ดิน โดยให้จัดทําแผนการดําเนินงานประกอบด้วยแนวเขตพื้นที่การดําเนินการระยะเวลา ขั้นตอนการดําเนินงาน งบประมาณ และผลกระทบที่มีต่อพื้นที่ ประกอบด้วย 5 โครงการ ได้แก่โครงการนนทรี โครงการพระราม 3 โครงการรัชดาภิเษก – พระราม 9 โครงการรัชดาภิเษก – อโศก และโครงการเพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียน ทั้งนี้ มอบหมายให้นําแผนงานของการไฟฟ้านครหลวงเป็นแผนงานหลัก โดยร่วมดําเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบบูรณาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กรุงเทพมหานคร รวบรวมแผนงานการนําสายสาธารณูปโภคต่าง ๆ ใน กทม. ลงใต้ดิน พร้อมติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างสาธารณะตามเส้นทางโครงการทั้ง 5 โครงการ โครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน ภายในเดือนมิถุนายน 2560
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการจ้างงานผู้พิการในหน่วยงานของรัฐและสถานประกอบการต่าง ๆ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งกระทรวงแรงงานได้รายงานผลความก้าวหน้าในการติดตามและตรวจสอบการจ้างคนพิการเข้าทํางานของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการต่าง ๆ ให้มีการดําเนินการที่ถูกต้องและเป็นไปตามกฎกระทรวงกําหนดจํานวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ เผยหน่วยงานของภาครัฐจะต้องรับเข้าทํางานและจํานวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนําส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ พ.ศ. 2554 ทั้งนี้ เพื่อให้คนพิการได้เข้าทํางานจริงในสถานประกอบการ พร้อมเปิดโอกาสให้ได้รับการพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพและเป็นที่ยอมรับของสังคมต่อไป
ตอนท้ายของการประชุม ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการให้ความสนับสนุนในการเรียกเก็บชําระหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ของกระทรวงการคลังตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี โดยกระทรวงการคลังได้รายงานความก้าวหน้าในการดําเนินงานด้วยการเสนอพระราชบัญญัติกองทุนฯ ดังกล่าว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 เพื่อรวมกองทุนเงินให้กู้ยืม เพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ให้เป็นหน่วยงานเดียวกัน ซึ่งมีหลักการสําคัญ 3 ประเด็น ได้แก่ (1) กําหนดให้นายจ้างมีหน้าที่หักเงินเดือนของผู้กู้ยืม (2) มีอํานาจตามกฎหมายในการขอข้อมูลผู้กู้ยืม พร้อมทั้งมีอํานาจเปิดเผยข้อมูลของผู้กู้ยืมด้วย และ (3) ผู้กู้ยืมมีหน้าที่แจ้งการเป็นผู้กู้ยืมต่อนายจ้าง พร้อมให้ความยินยอมหักเงินเดือนกองทุนฯ ในขณะที่ทําสัญญากู้และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลการกู้ยืมเงินด้วย
อีกทั้ง ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ โครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งประสงค์ให้มีการขับเคลื่อนด้านที่อยู่อาศัย ภายใต้นโยบายการแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความเป็นธรรมในสังคม พร้อมสร้างโอกาสการเข้าถึงสวัสดิการสังคมและที่อยู่อาศัย สําหรับผู้มีรายได้น้อย กลุ่มข้าราชการพลเรือน ทหาร ตํารวจ และครูทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้รายงานความคืบหน้าในการดําเนินงานตามแผนพัฒนาที่อยู่อาศับ 10 ปี (2559 – 2568) ในรูปแบบสวัสดิการตั้งแต่ปี 2559 – 2560 จํานวน 25,000 หน่วย
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวในระยะเร่งด่วนปีงบประมาณ 2559 จะดําเนินการ 783 หน่วย รวม 13 โครงการ กระจายในพื้นที่กรุงเทพ (ทุ่งสีกัน 5 ดอนเมือง และพุทธมณฑลสาย 3 ) จังหวัดสมุทรสาคร (กระทุ่มแบน) จังหวัดนนทบุรี (สนามบินน้ํา) จังหวัดขอนแก่น จังหวัดนครพนม และจังหวัดปราจีนบุรี ตามลําดับ โดยจะเริ่มดําเนินการภายในปี 2560 นี้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมคาดหวังว่าบุคลากรภาครัฐจะได้มีโอกาสมีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ใกล้สถานที่ทํางานในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอํานวยความสะดวกทั้งสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ เป็นการสร้างความมั่นคงในด้านที่พักอาศัย ก่อให้เกิดขวัญและกําลังใจในการปฏิบัติงาน ส่งผลให้ปฏิบัติงานได้เต็มกําลังความสามารถมากยิ่งขึ้น
..................................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล ( ค.ต.น.) ครั้งที่ 6/2560
วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน 2560
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล ( ค.ต.น.) ครั้งที่ 6/2560
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการผลักดัน โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงของกระทรวงคมนาคม
วันนี้ (1 มิถุนายน 2560) เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ชั้น 3 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล ( ค.ต.น.) ครั้งที่ 6/2560 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการผลักดัน โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงของกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นโครงการภายใต้แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 – 2563 ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง (โครงการภายใต้ความร่วมมือ ไทย – จีน) โดยมีความคืบหน้าตามลําดับ และเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 ที่ประชุมคณะกรรมการผู้ชํานาญการได้พิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมมีมติให้โครงการความร่วมมือด้านรถไฟฟ้าไทย – จีน ช่วงกรุงเทพ – นครราชสีมาให้รายงานข้อมูลเพิ่มเติม และคาดว่าจะสามารถนําเสนอโครงการฯ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ภายในเดือนมิถุนายน 2560 ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง (โครงการภายใต้ความร่วมมือไทย – ญี่ปุ่น) ช่วงกรุงเทพ – เชียงใหม่ อยู่ในระหว่างดําเนินการศึกษาวิเคราะห์โครงการของฝ่ายญี่ปุ่นคาดว่าจบแล้วเสร็จภายในปี 2560 รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายกรุงเทพ – ระยอง ขณะนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่ในระหว่างปรับปรุงข้อมูลในส่วนผลของการทดสอบความสนใจของนักลงทุน และพิจารณาความเหมาะสมของเส้นทาง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน มิถุนายน 2560
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการขับเคลื่อนโครงการนําสายไฟฟ้าลงดิน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเพื่อให้กรุงเทพเป็นมหานครแห่งอาเซียน ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ การไฟฟ้านครหลวง สังกัดกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการสํารวจ และจัดทําแผนการนําสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ รวมทั้งสายเคเบิ้ลลงใต้ดิน โดยให้จัดทําแผนการดําเนินงานประกอบด้วยแนวเขตพื้นที่การดําเนินการระยะเวลา ขั้นตอนการดําเนินงาน งบประมาณ และผลกระทบที่มีต่อพื้นที่ ประกอบด้วย 5 โครงการ ได้แก่โครงการนนทรี โครงการพระราม 3 โครงการรัชดาภิเษก – พระราม 9 โครงการรัชดาภิเษก – อโศก และโครงการเพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียน ทั้งนี้ มอบหมายให้นําแผนงานของการไฟฟ้านครหลวงเป็นแผนงานหลัก โดยร่วมดําเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบบูรณาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กรุงเทพมหานคร รวบรวมแผนงานการนําสายสาธารณูปโภคต่าง ๆ ใน กทม. ลงใต้ดิน พร้อมติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างสาธารณะตามเส้นทางโครงการทั้ง 5 โครงการ โครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน ภายในเดือนมิถุนายน 2560
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการจ้างงานผู้พิการในหน่วยงานของรัฐและสถานประกอบการต่าง ๆ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งกระทรวงแรงงานได้รายงานผลความก้าวหน้าในการติดตามและตรวจสอบการจ้างคนพิการเข้าทํางานของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการต่าง ๆ ให้มีการดําเนินการที่ถูกต้องและเป็นไปตามกฎกระทรวงกําหนดจํานวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ เผยหน่วยงานของภาครัฐจะต้องรับเข้าทํางานและจํานวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนําส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ พ.ศ. 2554 ทั้งนี้ เพื่อให้คนพิการได้เข้าทํางานจริงในสถานประกอบการ พร้อมเปิดโอกาสให้ได้รับการพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพและเป็นที่ยอมรับของสังคมต่อไป
ตอนท้ายของการประชุม ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการให้ความสนับสนุนในการเรียกเก็บชําระหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ของกระทรวงการคลังตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี โดยกระทรวงการคลังได้รายงานความก้าวหน้าในการดําเนินงานด้วยการเสนอพระราชบัญญัติกองทุนฯ ดังกล่าว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 เพื่อรวมกองทุนเงินให้กู้ยืม เพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ให้เป็นหน่วยงานเดียวกัน ซึ่งมีหลักการสําคัญ 3 ประเด็น ได้แก่ (1) กําหนดให้นายจ้างมีหน้าที่หักเงินเดือนของผู้กู้ยืม (2) มีอํานาจตามกฎหมายในการขอข้อมูลผู้กู้ยืม พร้อมทั้งมีอํานาจเปิดเผยข้อมูลของผู้กู้ยืมด้วย และ (3) ผู้กู้ยืมมีหน้าที่แจ้งการเป็นผู้กู้ยืมต่อนายจ้าง พร้อมให้ความยินยอมหักเงินเดือนกองทุนฯ ในขณะที่ทําสัญญากู้และยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลการกู้ยืมเงินด้วย
อีกทั้ง ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ โครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งประสงค์ให้มีการขับเคลื่อนด้านที่อยู่อาศัย ภายใต้นโยบายการแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความเป็นธรรมในสังคม พร้อมสร้างโอกาสการเข้าถึงสวัสดิการสังคมและที่อยู่อาศัย สําหรับผู้มีรายได้น้อย กลุ่มข้าราชการพลเรือน ทหาร ตํารวจ และครูทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้รายงานความคืบหน้าในการดําเนินงานตามแผนพัฒนาที่อยู่อาศับ 10 ปี (2559 – 2568) ในรูปแบบสวัสดิการตั้งแต่ปี 2559 – 2560 จํานวน 25,000 หน่วย
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวในระยะเร่งด่วนปีงบประมาณ 2559 จะดําเนินการ 783 หน่วย รวม 13 โครงการ กระจายในพื้นที่กรุงเทพ (ทุ่งสีกัน 5 ดอนเมือง และพุทธมณฑลสาย 3 ) จังหวัดสมุทรสาคร (กระทุ่มแบน) จังหวัดนนทบุรี (สนามบินน้ํา) จังหวัดขอนแก่น จังหวัดนครพนม และจังหวัดปราจีนบุรี ตามลําดับ โดยจะเริ่มดําเนินการภายในปี 2560 นี้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมคาดหวังว่าบุคลากรภาครัฐจะได้มีโอกาสมีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ใกล้สถานที่ทํางานในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอํานวยความสะดวกทั้งสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ เป็นการสร้างความมั่นคงในด้านที่พักอาศัย ก่อให้เกิดขวัญและกําลังใจในการปฏิบัติงาน ส่งผลให้ปฏิบัติงานได้เต็มกําลังความสามารถมากยิ่งขึ้น
..................................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4201
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันเกษตรกร ประจำปี 2561 วันที่ 13 พฤษภาคม 2561 ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
|
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2561
คําปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันเกษตรกร ประจําปี 2561 วันที่ 13 พฤษภาคม 2561 ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
คําปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันเกษตรกร ประจําปี 2561 วันที่ 13 พฤษภาคม 2561 ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
พี่น้องเกษตรกรและประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน
เนื่องในโอกาสวันเกษตรกรได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่งในวันนี้ ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องเกษตรกรไทยทุกท่าน
ประเทศไทยของเราเป็นประเทศเกษตรกรรมเพราะเรามีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์เป็นต้นทุนเกษตรกรถือเป็นกลุ่มบุคคลที่สําคัญในการนําต้นทุนทางทรัพยากรทางธรรมชาติเหล่านั้นมาก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และช่วยขับเคลื่อนในการพัฒนาประเทศ แต่ในปัจจุบันสังคมกําลังก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลทําให้เกษตรกรไทยต้องมีองค์ความรู้ด้านการทําเกษตรกรรมแบบผสมผสาน โดยการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต และเพิ่มมูลค่าผลผลิต รวมถึงต้องปรับตัวไปสู่การเป็นผู้ประกอบการด้านการเกษตร ที่มีความรู้ความเข้าใจในระบบตลาดเพื่อสามารถผลิตสินค้าออกมาได้ตามที่ตลาดต้องการ
ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้มุ่งมั่นที่จะพัฒนาภาคเกษตรกรรมของไทยไปสู่การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการส่งเสริมองค์ความรู้ภายใต้แนวคิดศาสตร์พระราชาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่จําเป็นต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องเกษตรกรทั้งในด้านการบริหารจัดการ การยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรด้วยการนําวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและทรัพยากรที่จําเป็น สามารถลดต้นทุนการผลิตและสร้างรายได้ที่เพียงพอต่อการดําเนินชีวิต
ผมในนามของรัฐบาล ผมขอขอบคุณพี่น้องเกษตรกรที่เป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศชาติมาโดยตลอดและขอให้พี่น้องเกษตรกรที่เคารพรักทุกท่าน เชื่อมั่นว่ารัฐบาลได้มุ่งมั่นทํางานอย่างเอาจริงเอาจังในการที่จะแก้ไขปัญหาให้สําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์ กับพี่น้องเกษตรกรอย่างแท้จริง
เนื่องในโอกาสวันเกษตรกร ประจําปี 2561 นี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดอภิบาลประทานพรให้พี่น้องเกษตรกรทุกท่าน พร้อมทั้งครอบครัวประสบความสุข ความเจริญ และก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ขอบคุณครับ
...........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันเกษตรกร ประจำปี 2561 วันที่ 13 พฤษภาคม 2561 ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2561
คําปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันเกษตรกร ประจําปี 2561 วันที่ 13 พฤษภาคม 2561 ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
คําปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันเกษตรกร ประจําปี 2561 วันที่ 13 พฤษภาคม 2561 ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
พี่น้องเกษตรกรและประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน
เนื่องในโอกาสวันเกษตรกรได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่งในวันนี้ ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องเกษตรกรไทยทุกท่าน
ประเทศไทยของเราเป็นประเทศเกษตรกรรมเพราะเรามีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์เป็นต้นทุนเกษตรกรถือเป็นกลุ่มบุคคลที่สําคัญในการนําต้นทุนทางทรัพยากรทางธรรมชาติเหล่านั้นมาก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และช่วยขับเคลื่อนในการพัฒนาประเทศ แต่ในปัจจุบันสังคมกําลังก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลทําให้เกษตรกรไทยต้องมีองค์ความรู้ด้านการทําเกษตรกรรมแบบผสมผสาน โดยการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต และเพิ่มมูลค่าผลผลิต รวมถึงต้องปรับตัวไปสู่การเป็นผู้ประกอบการด้านการเกษตร ที่มีความรู้ความเข้าใจในระบบตลาดเพื่อสามารถผลิตสินค้าออกมาได้ตามที่ตลาดต้องการ
ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้มุ่งมั่นที่จะพัฒนาภาคเกษตรกรรมของไทยไปสู่การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการส่งเสริมองค์ความรู้ภายใต้แนวคิดศาสตร์พระราชาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่จําเป็นต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องเกษตรกรทั้งในด้านการบริหารจัดการ การยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรด้วยการนําวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและทรัพยากรที่จําเป็น สามารถลดต้นทุนการผลิตและสร้างรายได้ที่เพียงพอต่อการดําเนินชีวิต
ผมในนามของรัฐบาล ผมขอขอบคุณพี่น้องเกษตรกรที่เป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศชาติมาโดยตลอดและขอให้พี่น้องเกษตรกรที่เคารพรักทุกท่าน เชื่อมั่นว่ารัฐบาลได้มุ่งมั่นทํางานอย่างเอาจริงเอาจังในการที่จะแก้ไขปัญหาให้สําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์ กับพี่น้องเกษตรกรอย่างแท้จริง
เนื่องในโอกาสวันเกษตรกร ประจําปี 2561 นี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดอภิบาลประทานพรให้พี่น้องเกษตรกรทุกท่าน พร้อมทั้งครอบครัวประสบความสุข ความเจริญ และก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ขอบคุณครับ
...........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12202
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมหารือร่วม ซุปเปอร์บอร์ดการศึกษา และ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา
|
วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560
นายกรัฐมนตรีประชุมหารือร่วม ซุปเปอร์บอร์ดการศึกษา และ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา (ซุปเปอร์บอร์ดการศึกษา) กับคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา
โดย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้บริหารองค์กรหลัก เข้าร่วมประชุม
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมในครั้งนี้ว่า เป็นการหารือเรื่องการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะปรับระบบการศึกษาของไทยให้เข้ารูปเข้ารอย เพราะเป็นสิ่งที่สําคัญกับการปฏิรูปประเทศ ซึ่งส่วนตัวได้ศึกษาในทุกเรื่องเพื่อหาแนวทางว่าจะทําอย่างไรที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการประสานสอดคล้อง เบื้องต้นได้อ่านข้อมูลมาแล้ว มีความพอใจและทุกอย่างมีความครอบคลุม
ในส่วนของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560จึงต้องทํางานให้สอดคล้องกับแผนปฏิรูปการศึกษาของกระทรวง โดยจะต้องนําข้อมูลจากทุกภาคส่วนเข้ามาพิจารณา ซึ่งเป็นหลักสําคัญของการทํางานที่จะต้องกว้างขวาง รอบคอบ และนําไปสู่การใช้ได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่พูดหลักการและนามธรรมไปทุกเรื่อง เพราะเวลาเป็นเรื่องสําคัญในการทํางานที่จะนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพและมีผลสัมฤทธิ์ และไม่มีใครขัดแย้งกัน เพราะวันนี้ปัญหาของการปฏิรูปคือการขัดแย้งไปหมดทุกเรื่องจึงต้องหาวิธีการเพื่อลดปัญหาเหล่านี้ อะไรทําได้ก็เร่งทํา อะไรที่ยังทําไม่ได้ต้องหารือกันต่อไป การศึกษาอาจจะไม่สามารถที่จะแก้ไขได้รวดเร็วมากนักในทุกเรื่อง ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้ให้ความสําคัญในเรื่องนี้มานานมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขององค์กรหรือกฎหมาย
ภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ได้นําคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษาทั้ง 2 ชุด คือ คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา (ซุปเปอร์บอร์ดการศึกษา) และคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษามาหารือร่วมกันเพื่อทํางานคู่ขนานและประสานงานให้สอดคล้อง เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ประเด็นสําคัญของการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ จึงจําเป็นต้องเร่งรัดให้ดําเนินการปฏิรูปให้เห็นความชัดเจนเกิดขึ้นให้ได้ ทั้งในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการและประเด็นปัญหาในระบบการศึกษาที่มีหลายเรื่อง ทั้งการผลิตครู การเรียนการสอน การสอบ และการประเมินผล การสร้างกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งวันนี้การสอนไม่ใช่ให้รู้แต่วิชาการอย่างเดียว แต่จะต้องคิดวิเคราะห์เป็น สามารถเป็นนักวิจัยและพัฒนาได้ในอนาคต ต้องเรียนรู้ขั้นพื้นฐานตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ก่อนจะมาเรียนตามหลักสูตรที่กําหนดไว้ และต้องคํานึงถึงระบบการศึกษานอกโรงเรียนด้วย เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา
ในส่วนของการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐจะต้องดูให้เกิดความชัดเจนเพื่อให้รู้ว่างบประมาณที่ใช้ไปในช่วงเวลาที่ผ่านมาตรงเป้าหมายหรือไม่ และใช้ซ้ําซ้อนกันหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณของครูหรือนักเรียน โดยเฉพาะเรื่องบัตรประจําตัวนักเรียน อาจจะต้องมีการใช้ระบบไอทีเข้ามาช่วย เพื่อตรวจสอบให้ได้ว่างบประมาณที่ลงไปถูกต้องและใช้ตามเป้าหมายหรือไม่ หากไม่ใช้ระบบไอทีจะทําให้ติดตามยาก เพราะเด็กนักเรียนจะย้ายสถานที่เรียน ขณะที่โรงเรียนเดิมยังไม่จําหน่วยตัวนักเรียน ทําให้ยังสามารถเบิกงบประมาณไปใช้ได้อยู่ ซึ่งต้องทํางานลงรายละเอียดให้มากขึ้น
ดังนั้นในเวลา 1 ปีที่เหลืออยู่ของรัฐบาลนี้ จะพยายามทําในส่วนที่เป็นโครงสร้าง และเริ่มแก้ปัญหาที่สาหัสก่อนให้ได้โดยเร็วส่วนที่เหลือหากยังทําไม่ได้ ให้วางไว้ในแผนแม่บทของระบบการศึกษาในทุก 5 ปี ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่วางแนวทางไว้เพื่อตอบคําถามที่เป็นประเด็นได้ดังนั้นการศึกษาไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลกับใครเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกัน เช่นในอดีตที่ใช้คําว่า “บ้าน วัด โรงเรียน” รวมทั้งต้องนําศาสตร์พระราชามาขับเคลื่อนให้ได้ สิ่งสําคัญวันนี้จะต้องพัฒนาคนไปสู่อนาคต ถ้ายังคิดแบบเดิมคงไม่ได้ เพราะโลกเปลี่ยนตลอดแล้วเราจะไม่เปลี่ยนเลยเหรอ การปฏิรูปต่าง ๆ จะทําได้หรือไม่อยู่ตรงนี้ หลักคิดต้องไปด้วยกันให้ได้ ถ้าไปด้วยกันไม่ได้ก็ขัดแย้งกันทุกเรื่อง จะทําอะไรไม่ได้เลย และปฏิรูปไม่ได้ เพราะทุกคนมีความเห็นส่วนตัวหมด ทุกคนตกลงด้วยความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ นั่นคือประชาธิปไตย ส่วนใหญ่ว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น หากที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นชอบก็ต้องเห็นชอบตาม เพราะเป็นการประชุมหรือการเลือกตั้งอะไรก็แล้วแต่ แต่จะต้องไม่มีกระบวนการที่ทําให้ไม่ถูกต้อง จนกระทั่งได้มาซึ่งความไม่ชอบธรรม
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวด้วยว่า การหารือครั้งนี้ส่วนใหญ่หารือร่วมกันถึงการปฏิรูปการศึกษา โดยเฉพาะในส่วนของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งตามมาตรา 261 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มีองค์ประกอบ 25 คน เพื่อดําเนินการศึกษาและจัดทําข้อเสนอแนะ ตลอดจนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายสําคัญ ซึ่งกําหนดเป้าหมายที่จะดําเนินการให้เสร็จภายใน 1 ปีหลายประการ อาทิ การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย, ตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์, ลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา, พัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพของครู ให้มีความรู้ความสามารถ และได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม เป็นต้น
อีกทั้งในขณะนี้ คณะกรรมการได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจํานวน 5 คณะ เพื่อดําเนินการเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงสร้าง คณะอนุกรรมการกองทุนการศึกษา คณะอนุกรรมการพัฒนาเด็กเล็ก คณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพครู และคณะอนุกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน
นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ขอบคุณภาพถ่าย:"ถนนข่าว follow up 4.0"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมหารือร่วม ซุปเปอร์บอร์ดการศึกษา และ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา
วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560
นายกรัฐมนตรีประชุมหารือร่วม ซุปเปอร์บอร์ดการศึกษา และ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา (ซุปเปอร์บอร์ดการศึกษา) กับคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา
โดย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้บริหารองค์กรหลัก เข้าร่วมประชุม
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมในครั้งนี้ว่า เป็นการหารือเรื่องการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะปรับระบบการศึกษาของไทยให้เข้ารูปเข้ารอย เพราะเป็นสิ่งที่สําคัญกับการปฏิรูปประเทศ ซึ่งส่วนตัวได้ศึกษาในทุกเรื่องเพื่อหาแนวทางว่าจะทําอย่างไรที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการประสานสอดคล้อง เบื้องต้นได้อ่านข้อมูลมาแล้ว มีความพอใจและทุกอย่างมีความครอบคลุม
ในส่วนของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560จึงต้องทํางานให้สอดคล้องกับแผนปฏิรูปการศึกษาของกระทรวง โดยจะต้องนําข้อมูลจากทุกภาคส่วนเข้ามาพิจารณา ซึ่งเป็นหลักสําคัญของการทํางานที่จะต้องกว้างขวาง รอบคอบ และนําไปสู่การใช้ได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่พูดหลักการและนามธรรมไปทุกเรื่อง เพราะเวลาเป็นเรื่องสําคัญในการทํางานที่จะนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพและมีผลสัมฤทธิ์ และไม่มีใครขัดแย้งกัน เพราะวันนี้ปัญหาของการปฏิรูปคือการขัดแย้งไปหมดทุกเรื่องจึงต้องหาวิธีการเพื่อลดปัญหาเหล่านี้ อะไรทําได้ก็เร่งทํา อะไรที่ยังทําไม่ได้ต้องหารือกันต่อไป การศึกษาอาจจะไม่สามารถที่จะแก้ไขได้รวดเร็วมากนักในทุกเรื่อง ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้ให้ความสําคัญในเรื่องนี้มานานมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขององค์กรหรือกฎหมาย
ภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ได้นําคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษาทั้ง 2 ชุด คือ คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา (ซุปเปอร์บอร์ดการศึกษา) และคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษามาหารือร่วมกันเพื่อทํางานคู่ขนานและประสานงานให้สอดคล้อง เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ประเด็นสําคัญของการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ จึงจําเป็นต้องเร่งรัดให้ดําเนินการปฏิรูปให้เห็นความชัดเจนเกิดขึ้นให้ได้ ทั้งในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการและประเด็นปัญหาในระบบการศึกษาที่มีหลายเรื่อง ทั้งการผลิตครู การเรียนการสอน การสอบ และการประเมินผล การสร้างกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งวันนี้การสอนไม่ใช่ให้รู้แต่วิชาการอย่างเดียว แต่จะต้องคิดวิเคราะห์เป็น สามารถเป็นนักวิจัยและพัฒนาได้ในอนาคต ต้องเรียนรู้ขั้นพื้นฐานตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ก่อนจะมาเรียนตามหลักสูตรที่กําหนดไว้ และต้องคํานึงถึงระบบการศึกษานอกโรงเรียนด้วย เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา
ในส่วนของการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐจะต้องดูให้เกิดความชัดเจนเพื่อให้รู้ว่างบประมาณที่ใช้ไปในช่วงเวลาที่ผ่านมาตรงเป้าหมายหรือไม่ และใช้ซ้ําซ้อนกันหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณของครูหรือนักเรียน โดยเฉพาะเรื่องบัตรประจําตัวนักเรียน อาจจะต้องมีการใช้ระบบไอทีเข้ามาช่วย เพื่อตรวจสอบให้ได้ว่างบประมาณที่ลงไปถูกต้องและใช้ตามเป้าหมายหรือไม่ หากไม่ใช้ระบบไอทีจะทําให้ติดตามยาก เพราะเด็กนักเรียนจะย้ายสถานที่เรียน ขณะที่โรงเรียนเดิมยังไม่จําหน่วยตัวนักเรียน ทําให้ยังสามารถเบิกงบประมาณไปใช้ได้อยู่ ซึ่งต้องทํางานลงรายละเอียดให้มากขึ้น
ดังนั้นในเวลา 1 ปีที่เหลืออยู่ของรัฐบาลนี้ จะพยายามทําในส่วนที่เป็นโครงสร้าง และเริ่มแก้ปัญหาที่สาหัสก่อนให้ได้โดยเร็วส่วนที่เหลือหากยังทําไม่ได้ ให้วางไว้ในแผนแม่บทของระบบการศึกษาในทุก 5 ปี ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่วางแนวทางไว้เพื่อตอบคําถามที่เป็นประเด็นได้ดังนั้นการศึกษาไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลกับใครเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกัน เช่นในอดีตที่ใช้คําว่า “บ้าน วัด โรงเรียน” รวมทั้งต้องนําศาสตร์พระราชามาขับเคลื่อนให้ได้ สิ่งสําคัญวันนี้จะต้องพัฒนาคนไปสู่อนาคต ถ้ายังคิดแบบเดิมคงไม่ได้ เพราะโลกเปลี่ยนตลอดแล้วเราจะไม่เปลี่ยนเลยเหรอ การปฏิรูปต่าง ๆ จะทําได้หรือไม่อยู่ตรงนี้ หลักคิดต้องไปด้วยกันให้ได้ ถ้าไปด้วยกันไม่ได้ก็ขัดแย้งกันทุกเรื่อง จะทําอะไรไม่ได้เลย และปฏิรูปไม่ได้ เพราะทุกคนมีความเห็นส่วนตัวหมด ทุกคนตกลงด้วยความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ นั่นคือประชาธิปไตย ส่วนใหญ่ว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น หากที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นชอบก็ต้องเห็นชอบตาม เพราะเป็นการประชุมหรือการเลือกตั้งอะไรก็แล้วแต่ แต่จะต้องไม่มีกระบวนการที่ทําให้ไม่ถูกต้อง จนกระทั่งได้มาซึ่งความไม่ชอบธรรม
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวด้วยว่า การหารือครั้งนี้ส่วนใหญ่หารือร่วมกันถึงการปฏิรูปการศึกษา โดยเฉพาะในส่วนของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งตามมาตรา 261 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มีองค์ประกอบ 25 คน เพื่อดําเนินการศึกษาและจัดทําข้อเสนอแนะ ตลอดจนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายสําคัญ ซึ่งกําหนดเป้าหมายที่จะดําเนินการให้เสร็จภายใน 1 ปีหลายประการ อาทิ การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย, ตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์, ลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา, พัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพของครู ให้มีความรู้ความสามารถ และได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม เป็นต้น
อีกทั้งในขณะนี้ คณะกรรมการได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจํานวน 5 คณะ เพื่อดําเนินการเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงสร้าง คณะอนุกรรมการกองทุนการศึกษา คณะอนุกรรมการพัฒนาเด็กเล็ก คณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพครู และคณะอนุกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน
นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ขอบคุณภาพถ่าย:"ถนนข่าว follow up 4.0"
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5330
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-FACE SHIELD 1,000 ชิ้นล๊อตแรก พร้อมแล้ว!!!
|
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
FACE SHIELD 1,000 ชิ้นล๊อตแรก พร้อมแล้ว!!!
FACE SHIELD 1,000 ชิ้นล๊อตแรก พร้อมแล้ว!!!
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดยสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า ได้ออกแบบและพัฒนาอุปกรณ์สําหรับใช้ในการผลิต Face Shield ด้วย 3D Printing ภายใต้ "โครงการพัฒนาอุปกรณ์ป้องกันภัยโควิด-19 (COVID2019) เพื่อสนับสนุนสถานพยาบาล" และได้ผลิตเป็น Face Shield ที่สมบูรณ์แบบเรียบร้อยแล้ว โดยล๊อตแรกมีจํานวน 1,000 ชิ้น เพื่อส่งมอบให้แก่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ในการกระจายต่อโรงพยาบาลต่าง ๆ ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งถือเป็นพื้นที่เสี่ยงน่าจับตามองเป็นพิเศษ และหน่วยงาน สถานพยาบาลในพื้นที่อื่นๆ เพื่อร่วมกันป้องกันและลดอัตราการแพร่เชื้อโควิด-19 (COVID-19) ทั้งนี้ Face Shield ที่จิสด้าออกแบบและพัฒนานั้น ถือว่ามีโครงสร้างที่มีความแข็งแรง ทนต่อการใช้งาน และมีความเหมาะสมกับสรีระของคนเอเชีย โดยเป้าหมายการผลิตทั้งหมดอยู่ที่ 34,000 ชิ้น และจะทําการทะยอยส่งมอบให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศต่อไป หากหน่วยงานใดที่ต้องการอุปกรณ์ Face Shield เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานและป้องกันไวรัส โควิด-19 (COVID-19) สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 081-9207683 และ 086-4090678 เพื่อจะได้รวบรวมอุปกรณ์ และส่งมอบให้ในโอกาสต่อไป
ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-FACE SHIELD 1,000 ชิ้นล๊อตแรก พร้อมแล้ว!!!
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
FACE SHIELD 1,000 ชิ้นล๊อตแรก พร้อมแล้ว!!!
FACE SHIELD 1,000 ชิ้นล๊อตแรก พร้อมแล้ว!!!
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดยสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า ได้ออกแบบและพัฒนาอุปกรณ์สําหรับใช้ในการผลิต Face Shield ด้วย 3D Printing ภายใต้ "โครงการพัฒนาอุปกรณ์ป้องกันภัยโควิด-19 (COVID2019) เพื่อสนับสนุนสถานพยาบาล" และได้ผลิตเป็น Face Shield ที่สมบูรณ์แบบเรียบร้อยแล้ว โดยล๊อตแรกมีจํานวน 1,000 ชิ้น เพื่อส่งมอบให้แก่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ในการกระจายต่อโรงพยาบาลต่าง ๆ ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งถือเป็นพื้นที่เสี่ยงน่าจับตามองเป็นพิเศษ และหน่วยงาน สถานพยาบาลในพื้นที่อื่นๆ เพื่อร่วมกันป้องกันและลดอัตราการแพร่เชื้อโควิด-19 (COVID-19) ทั้งนี้ Face Shield ที่จิสด้าออกแบบและพัฒนานั้น ถือว่ามีโครงสร้างที่มีความแข็งแรง ทนต่อการใช้งาน และมีความเหมาะสมกับสรีระของคนเอเชีย โดยเป้าหมายการผลิตทั้งหมดอยู่ที่ 34,000 ชิ้น และจะทําการทะยอยส่งมอบให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศต่อไป หากหน่วยงานใดที่ต้องการอุปกรณ์ Face Shield เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานและป้องกันไวรัส โควิด-19 (COVID-19) สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 081-9207683 และ 086-4090678 เพื่อจะได้รวบรวมอุปกรณ์ และส่งมอบให้ในโอกาสต่อไป
ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31535
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2558 เวลา 20.20 น.
|
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
อีก 2 วัน ประชาชนชนชาวไทยก็จะได้ร่วมใจกันทํากิจกรรม “Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่” เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงเป็นเสมือน “แม่ของแผ่นดิน” อีกทั้งเป็นการแสดงพลังความรู้รักสามัคคีของคนไทยทุกคนโดยพร้อมเพรียงกันทั่วทั้งประเทศ ในวันที่ 16 สิงหาคม วันอาทิตย์นี้ ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป
เราจะร่วมกิจกรรมประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ ทางกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกับ “กินเนสส์บุ๊ค เวิลด์ เรคคอร์ด” ได้มีการจัดทําสถิติ ความร่วมมือร่วมใจของปวงชนชาวไทย ในกิจกรรมปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติครั้งนี้อีกด้วย ทั้งนี้จะเป็นการประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าคนไทยรัก “แม่ของแผ่นดิน” ของเรามากเพียงใด
อีกกิจกรรมหนึ่ง “คู่ขนาน” ที่กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดขึ้นสําหรับพี่น้องประชาชน ที่อาจจะไม่ถนัดในเรื่องของการปั่นจักรยาน แต่ก็มีใจรักในงานศิลปะ ภาพถ่ายได้ให้มามีส่วนร่วม ในการบันทึกเหตุการณ์สําคัญของชาติ และของโลกในครั้งนี้ โดยการร่วมส่งภาพ ในกิจกรรม “Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่” ที่ถ่ายทอดแนวคิด และก็สื่อความหมายภายใต้แนวคิด “ความรัก ความสามัคคี ความกตัญญู ลูกทําเพื่อแม่ และความมุ่งมั่น” เพื่อชิงโล่พระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ภายในวันที่ 23 สิงหาคม 2558 ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ ด้านล่างนี้ (www.Bikeformom2015.com และเฟซบุ๊ค bikeformom2015 )
สําหรับการจราจรบนเส้นทางและพื้นที่โดยรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้วงเวลาจัดกิจกรรมครั้งนี้ อาจจะมีผลกระทบบ้างต่อการจราจร แม้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ วันอาทิตย์ ก็ขอทําความเข้าใจ ขอความร่วมมือ จากพี่น้องประชาชน ในการสนับสนุนกิจกรรมฯ หลีกเลี่ยงการใช้เส้นทาง ของการปั่นจักรยานในช่วงนั้นด้วย โดยท่านสามารถขึ้นทางยกระดับอุตราภิมุข (ทางด่วนโทลล์เวย์) ฟรี ระหว่างเวลา 12.00-23.00 น. และ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้มีการปรับเปลี่ยนเส้นทางรถประจําทาง จํานวน 36 เส้นทาง มีการจัดรถเสริมในจุดต่าง ๆ ด้วย ขอให้ตรวจสอบเส้นทาง และวางแผนการเดินทางไว้ล่วงหน้า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร. 1348 ได้
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งสําหรับคนไทยและประเทศไทย ก็คือการที่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) เตรียมทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล “ความเป็นเลิศด้าน การสร้างสรรค์” แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 27 สิงหาคม นี้ โดย WIPO ได้ตระหนักถึงพระปรีชาสามารถ ด้านการสร้างสรรค์ผลงานทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการพัฒนา อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ทรงมีผลงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับการจดข้อมูลด้านลิขสิทธิ์ ถึง 354 ผลงาน ซึ่งรวมถึงงานด้านศิลปกรรมฝีพระหัตถ์ งานพระราชนิพนธ์ กลอน หนังสือ เพลง การสนับสนุนการขึ้นทะเบียนงานฝีมือของชนเผ่าพื้นเมืองของไทย การอนุรักษ์ทรัพยากรพันธุกรรม อีกทั้งยังทรงเป็นนักดนตรีที่เปี่ยมความสามารถและพรสวรรค์ ทั้งดนตรีพื้นบ้านและดนตรีพื้นเมือง ซึ่งนับว่าทรงเป็นเจ้าหญิงพระองค์แรกของโลก ที่ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลดังกล่าว ที่สําคัญคือปีนี้เป็นปีมหามงคลที่พระองค์เจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ 60 พรรษา และที่ผ่านมา เมื่อปี 2552 WIPO ได้เคยทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญรางวัล “ผู้นําโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญา” ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแล้วด้วยเช่นกัน
สําหรับเรื่องที่สําคัญที่ผมอยากจะทําความเข้าใจ เรื่องแรกคือ เรื่องคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่คณะกรรมาธิการ ได้เสนอไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ น่าจะมีความสําคัญในการที่จะกําหนดแนวทางในการปฏิรูป ปรองดอง ขจัดความขัดแย้ง ซึ่งคงจะต้องมีทั้งอํานาจและหน้าที่ และกลไกที่จะสามารถอํานวยการปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกในการขจัดความขัดแย้ง ความรุนแรง ที่รัฐบาลปกติ กฎหมายปกติ อาจจะไม่สามารถแก้ไข ขับเคลื่อนประเทศได้ อย่างเช่น สถานการณ์ในห้วงที่ผ่านมา
เรื่องการทําประชามติ เป็นอีกประเด็นที่มีความสําคัญมาก เป็นเรื่องของประชาชนทุกคนต้องร่วมกันในการตัดสินใจ ไม่ใช่ตัดสินใจเพื่อผม เพื่อรัฐบาล เพื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่ให้ทุกคนคํานึงถึงเพื่อประเทศชาติ และอนาคตของลูกหลานต่อไป เราจะปฏิรูปบ้านเมืองกันได้อย่างไรด้วย
เรื่องแนวทางการปฏิรูป 11 ด้าน ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะนี้ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้ และจะส่งต่อให้คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูป 200 คน ที่เราจะต้องจัดตั้งขึ้นใหม่ ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว (ฉบับแก้ไข) ให้พิจารณาอีกครั้ง และคงจะต้องลงลึกในการจัดทําแผนปฏิบัติการเพื่อกําหนดระดับ ความสําคัญ ความเร่งด่วนว่าจะทําทันที ปานกลาง หรือระยะยาว ให้มีความเหมาะสม จากนั้นจะต้องมีผลในทางกฎหมายด้วย ก็คงจะต้องนําเข้าไปพิจารณาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อจะได้ให้รัฐบาลต่อไป ได้นําไปสู่การปฏิบัติ เราคงจําเป็นจะต้องมีคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ อํานวยการ ปฏิบัติ และคงไม่สามารถที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการปกติของรัฐบาล
สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผมและผู้แทนระดับสูงของรัฐบาลได้มีโอกาสให้การต้อนรับ และหารือกับผู้แทนคณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯอาเซียนกว่า 70 คน จากบริษัทชั้นนําของสหรัฐอเมริกา 29 บริษัท ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พลังงาน การเงิน โลจิสติกส์ ยานยนต์ การก่อสร้าง เคมีภัณฑ์ ยา และเวชภัณฑ์ ยาสูบ เป็นต้น
โดยนักธุรกิจเอกชนสหรัฐฯ เห็นพ้องกันว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่โดดเด่นในภูมิภาค พร้อมที่จะสนับสนุนการปฏิรูปประเทศของไทย และต้องการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยของเราอีกด้วย
สิ่งที่ผมเห็นจากนักลงทุนชาวต่างชาติที่เขาต้องการหลัก ๆ คือความมั่นคง ความมีเสถียรภาพทางการเมือง และนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการค้า การลงทุน ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันและปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชั่น และการปรับกฎ ระเบียบ กติกา มาตรการอํานวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อจะทําให้การดําเนินธุรกรรมนั้นง่ายขึ้น ลดขั้นตอน รวมทั้งต้องการให้รัฐบาลมีวิสัยทัศน์ มียุทธศาสตร์ของชาติที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นเครื่องสร้างความเชื่อมั่น มั่นใจ ในการประกอบธุรกิจภายในประเทศของเรา ซึ่ง คสช. กับรัฐบาลนี้ ได้พยายามวางรากฐานเอาไว้ให้แล้ว อาทิ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการฯ พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ โดยได้นํา “สัญญาคุณธรรม” ระบบ CoST และ ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อการบูรณาการมาใช้ด้วย
ผมได้แสดงให้นักลงทุนต่างชาติเหล่านั้นทุกประเทศ ให้เขาเห็นถึงขีดความสามารถในการแข่งขัน จุดแข็ง และศักยภาพของประเทศไทย ในการที่จะสร้างความเชื่อมั่น และพยายามให้เขาเห็นว่าไทยมีความพร้อมในการรองรับการลงทุนต่าง ๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเป็นศูนย์กลาง (Hub) ในอาเซียน และด้านการค้า การลงทุนและกิจกรรมเศรษฐกิจ โดยมีนโยบายส่งเสริมการส่งออกและจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเชื่อมโยงในประเทศกับภูมิภาค ทั้งทางบก – ทะเล –อากาศ
เรื่องต่อไปคือการเตรียมการปรับเปลี่ยนเป็นเศรษฐกิจดิจิตอล โดยเฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT Infrastructure) การปรับโครงสร้างทางภาษี และมาตรการทางภาษี เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ มาจัดตั้งสํานักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters: IHQ) และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Center: ITC) ในบ้านเรา การส่งเสริมและขยายความร่วมมือภาคเอกชนกับภาครัฐ ในรูปแบบการเป็นหุ้นส่วน (Public-Private Partnership : PPP) ทั้งในด้านการลงทุน การศึกษาวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ และด้านนวัตกรรม และอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของศักยภาพของประเทศด้านการเกษตรและสินค้าเกษตร การบริการ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ด้านสาธารณสุข และอัญมณี ฯลฯ ที่จะเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หากได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ก็สามารถผลักดันให้เราเป็นศูนย์กลางในอาเซียนได้เช่นกัน
ช่วงที่ผ่านมา ในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจประเทศไทยเรานั้น ยังคงต้องเร่งพัฒนาหลายด้านด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งนี้เพื่อจะเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ รัฐบาลนี้ให้ความสําคัญในการผลักดันมาตรการและงบประมาณ ในการที่จะนําองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Science based) ไปสู่ภาคการผลิต หรือห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้นอกจากการสร้างคุณค่ามูลค่าเพิ่มในการผลิตสินค้าหรือบริการแล้ว ยังจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเจริญเติบโตเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุน ซึ่งจะเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนให้เรานั้นสามารถที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน หลุดพ้นกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงได้
ทั้งนี้ ในการประชุมของคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ (กพน.) ที่ผ่านมา ได้ผลักดันมาตรการสําคัญ ๆ หลายอย่าง เช่น 1. การจับคู่ระหว่างความต้องการและนวัตกรรมที่ผลิตในประเทศ และภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อนํามาสู่การใช้งานจริง 2. การจัดตั้งกองทุนเงินร่วมลงทุนเพื่อธุรกิจฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Fund of Funds) ในรูปแบบของ Private Equity หรือ Venture Capital เพื่อสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยี 3. เรื่องการจัดทําบัญชีนวัตกรรมของไทย โดยมี พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐฯ รองรับให้สามารถนําผลงานที่วิจัยในประเทศ มาสู่การรับรองมาตรฐาน สามารถนํามาผลิตใช้ในหน่วยงานภาครัฐได้ และ 4. การส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อจะผลิตเอง ใช้เอง และจําหน่ายต่อไปในอนาคต
สําหรับ เรื่องปัญหาปากท้องของประชาชน ปัจจุบันอาจจะไม่ได้เกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจหรือผลผลิตทางการเกษตรตกต่ําอย่างเดียวเท่านั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ “กระแสวัตถุนิยม” ซึ่งอาจจะทําให้พี่น้องประชาชนก่อหนี้สินผูกพันโดยไม่จําเป็น หาทางออกไม่ได้ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทาน “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” แก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อเป็นแนวทางในการดํารงชีวิตให้สามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว – ชุมชน – ประเทศ รัฐบาลนี้ได้น้อมนํามาเป็นแนวทางไปสู่การพัฒนาและบริหารประเทศ เพื่อให้ดําเนินการไปได้ใน “ทางสายกลาง” ด้วย
ปัจจุบันรัฐบาลได้ให้การดูแลหนี้สินกับพี่น้องเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ผู้ที่เป็นหนี้นอกระบบ อย่างไรก็ตามเราก็ยังห่วงใยพี่น้อง “ข้าราชการ” ที่เรียกว่ามนุษย์เงินเดือน ที่มีรายได้น้อยเมื่อเทียบกับเอกชน ทั้งนี้ ภาระหนี้สินของกําลังพลของลูกน้อง ผมเห็นว่าเป็นหน้าที่หนึ่งของหัวหน้าหน่วยงาน – ผู้บังคับบัญชา ที่ตื่นเช้าขึ้นมาในแต่ละวัน นอกจากจะต้องคิดว่าจะทํางานอย่างไร จะรับใช้ประเทศชาติอย่างไร และดูแลประชาชนได้มากเพียงใด ก็ต้องคิดเสมอว่า เราจะช่วยลูกน้องเราให้สามารถทํางานอย่างมีความสุขได้อย่างไรด้วย
โครงการหนึ่งที่ผมอยากเอามาเล่าให้ฟัง เป็นโครงการที่กองทัพบกตั้งแต่อดีตและปัจจุบันได้ดําเนินการเพื่อช่วยบริหารจัดการหนี้สินครอบครัวกําลังพลในกองทัพ ซึ่งประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ด้วยการนําหลักพื้นฐานของ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี มาใช้ในการดําเนินการ สําหรับวิธีการดําเนินโครงการแบ่งเป็นส่วน ๆ ดังนี้ 1. การสร้างความตระหนักต่อตนและครอบครัวถึงภาระหนี้สิน เพื่อให้รู้ด้วยตนเองว่าภาระที่จะต้องจ่าย ในแต่ละเดือน มีอะไรบ้าง 2. การจัดทํา“บัญชีครัวเรือน” อันจะเป็นเครื่องมือสําคัญ เพื่อช่วยในการปรับปรุงพฤติกรรม “ลดรายจ่าย” ที่ไม่จําเป็น และ “เพิ่มรายได้” ด้วยอาชีพเสริม โดยไม่เบียดบังเวลาราชการ และไม่เป็นงานที่หนักเกินไป ไม่กระทบกับสุขภาพและการทํางานราชการ 3. การ รีไฟแนนซ์ โดยหาแหล่งเงินทุนที่ดอกเบี้ยถูกกว่า หรือการเลือกชําระดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าก่อน 4. การขายสิ่งที่ไม่จําเป็นออกไป คือการตัดภาระสิ่งที่ไม่จําเป็น รวมถึงการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน และ 5. ที่สําคัญคือ การควบคุมตนเองไม่ให้มีการก่อหนี้ซ้ําอีก
ทั้งนี้ หากข้าราชการสามารถแก้ปัญหาหนี้สินของตนเองได้ในระดับครอบครัว และหัวหน้าส่วนราชการสามารถดูแลให้ข้าราชการในสังกัดได้แก้ไขปัญหาหนี้สินเป็นส่วนรวมได้แล้ว รัฐบาลก็จะมีทรัพยากรบุคคล ที่มีความพร้อมในการให้บริการแก่พี่น้องประชาชน อย่างเต็มความสามารถ ปราศจากเรื่องกังวล หนี้สิน ภาระ ซึ่งอาจจะคอยฉุดรั้งประสิทธิภาพในการทํางานให้กับประเทศชาติ
รัฐบาลนี้ให้ความสําคัญอย่างมากกับการพัฒนาที่ยั่งยืนและ “การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” โดยได้กําหนดให้การจัดการขยะมูลฝอยเป็น “วาระแห่งชาติ” ซึ่งมีกรอบแนวคิดหลักในการสร้างสังคมรีไซเคิล ตามหลักการ 3R (Reduce + Reuse + Recycle) โดยเฉพาะการรณรงค์ “ลดการใช้ถุงพลาสติกและโฟม” ซึ่งจะเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายยาก มีระยะเวลานานกว่า 450 ปี ยิ่งกว่านั้นข้อมูลทางสถิติที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก คือ มีขยะพลาสติกและโฟม จํานวน 2.7 ล้านตัน หรือเฉลี่ย 7,000 ตัน/วัน เกิดจากน้ํามือพวกเรา ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพมนุษย์ สัตว์ สิ่งที่มีชีวิต และสิ่งแวดล้อม โดยรวม ตลอดกระบวนการผลิต ไปจนถึงการกําจัด โดยก่อให้เกิด “ก๊าซเรือนกระจก” อันเป็นสาเหตุหนึ่งของ “ภาวะโลกร้อน” ในปัจจุบัน
ดังนั้น เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการสร้างวินัยคนในชาติ ที่จะมุ่งไปสู่การจัดการขยะที่ยั่งยืน ผมในนามของรัฐบาล พร้อมทั้งภาคธุรกิจเอกชน ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าศูนย์การค้า และร้านสะดวกซื้อ 15 หน่วยงาน อยากจะขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในการเตรียมถุงผ้า กระเป๋า สําหรับหอบหิ้วสินค้า แทนการขอรับถุงพลาสติกในวันที่ 15 ของทุกเดือน หรือมากกว่านั้น หรือทุก ๆ วันก็ได้ เราจะเริ่มดําเนินการพร้อมกันในวันพรุ่งนี้ (15 สิงหาคม 2558) ทั้งนี้ การปฏิเสธการรับถุงพลาสติกจากห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อเพียงคนละ 1 ใบ/วัน ก็จะทําให้ประเทศไทยลดปริมาณขยะจากถุงพลาสติกได้ราว70 ล้านใบ/วัน
ผมขอขอบคุณ และขอชื่นชมผู้ประกอบการทั้ง 15 หน่วยงาน ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน เห็นคุณค่าของการสร้างวินัยการปลูกจิตสํานึกในการจัดการขยะของบ้านเมืองอย่างจริงจัง เริ่มจากเรื่องใกล้ตัว เพื่อให้เกิดผลอย่างยั่งยืน พี่น้องประชาชนก็ต้องช่วยกัน สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับบุตรหลานด้วย
ขอให้ทุกมีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ เตรียมตัวให้พร้อมสําหรับการขี่จักรยาน “Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่” ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แม่แห่งแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ประจําปี 2558 ขอให้ทุกคนปั่นจักรยานด้วยความสุข ข้อสําคัญคือความปลอดภัยด้วย ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2558 เวลา 20.20 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
อีก 2 วัน ประชาชนชนชาวไทยก็จะได้ร่วมใจกันทํากิจกรรม “Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่” เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงเป็นเสมือน “แม่ของแผ่นดิน” อีกทั้งเป็นการแสดงพลังความรู้รักสามัคคีของคนไทยทุกคนโดยพร้อมเพรียงกันทั่วทั้งประเทศ ในวันที่ 16 สิงหาคม วันอาทิตย์นี้ ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป
เราจะร่วมกิจกรรมประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ ทางกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกับ “กินเนสส์บุ๊ค เวิลด์ เรคคอร์ด” ได้มีการจัดทําสถิติ ความร่วมมือร่วมใจของปวงชนชาวไทย ในกิจกรรมปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติครั้งนี้อีกด้วย ทั้งนี้จะเป็นการประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าคนไทยรัก “แม่ของแผ่นดิน” ของเรามากเพียงใด
อีกกิจกรรมหนึ่ง “คู่ขนาน” ที่กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดขึ้นสําหรับพี่น้องประชาชน ที่อาจจะไม่ถนัดในเรื่องของการปั่นจักรยาน แต่ก็มีใจรักในงานศิลปะ ภาพถ่ายได้ให้มามีส่วนร่วม ในการบันทึกเหตุการณ์สําคัญของชาติ และของโลกในครั้งนี้ โดยการร่วมส่งภาพ ในกิจกรรม “Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่” ที่ถ่ายทอดแนวคิด และก็สื่อความหมายภายใต้แนวคิด “ความรัก ความสามัคคี ความกตัญญู ลูกทําเพื่อแม่ และความมุ่งมั่น” เพื่อชิงโล่พระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ภายในวันที่ 23 สิงหาคม 2558 ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ ด้านล่างนี้ (www.Bikeformom2015.com และเฟซบุ๊ค bikeformom2015 )
สําหรับการจราจรบนเส้นทางและพื้นที่โดยรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้วงเวลาจัดกิจกรรมครั้งนี้ อาจจะมีผลกระทบบ้างต่อการจราจร แม้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ วันอาทิตย์ ก็ขอทําความเข้าใจ ขอความร่วมมือ จากพี่น้องประชาชน ในการสนับสนุนกิจกรรมฯ หลีกเลี่ยงการใช้เส้นทาง ของการปั่นจักรยานในช่วงนั้นด้วย โดยท่านสามารถขึ้นทางยกระดับอุตราภิมุข (ทางด่วนโทลล์เวย์) ฟรี ระหว่างเวลา 12.00-23.00 น. และ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้มีการปรับเปลี่ยนเส้นทางรถประจําทาง จํานวน 36 เส้นทาง มีการจัดรถเสริมในจุดต่าง ๆ ด้วย ขอให้ตรวจสอบเส้นทาง และวางแผนการเดินทางไว้ล่วงหน้า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร. 1348 ได้
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งสําหรับคนไทยและประเทศไทย ก็คือการที่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) เตรียมทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล “ความเป็นเลิศด้าน การสร้างสรรค์” แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 27 สิงหาคม นี้ โดย WIPO ได้ตระหนักถึงพระปรีชาสามารถ ด้านการสร้างสรรค์ผลงานทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการพัฒนา อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ทรงมีผลงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับการจดข้อมูลด้านลิขสิทธิ์ ถึง 354 ผลงาน ซึ่งรวมถึงงานด้านศิลปกรรมฝีพระหัตถ์ งานพระราชนิพนธ์ กลอน หนังสือ เพลง การสนับสนุนการขึ้นทะเบียนงานฝีมือของชนเผ่าพื้นเมืองของไทย การอนุรักษ์ทรัพยากรพันธุกรรม อีกทั้งยังทรงเป็นนักดนตรีที่เปี่ยมความสามารถและพรสวรรค์ ทั้งดนตรีพื้นบ้านและดนตรีพื้นเมือง ซึ่งนับว่าทรงเป็นเจ้าหญิงพระองค์แรกของโลก ที่ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลดังกล่าว ที่สําคัญคือปีนี้เป็นปีมหามงคลที่พระองค์เจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ 60 พรรษา และที่ผ่านมา เมื่อปี 2552 WIPO ได้เคยทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญรางวัล “ผู้นําโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญา” ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแล้วด้วยเช่นกัน
สําหรับเรื่องที่สําคัญที่ผมอยากจะทําความเข้าใจ เรื่องแรกคือ เรื่องคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่คณะกรรมาธิการ ได้เสนอไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ น่าจะมีความสําคัญในการที่จะกําหนดแนวทางในการปฏิรูป ปรองดอง ขจัดความขัดแย้ง ซึ่งคงจะต้องมีทั้งอํานาจและหน้าที่ และกลไกที่จะสามารถอํานวยการปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกในการขจัดความขัดแย้ง ความรุนแรง ที่รัฐบาลปกติ กฎหมายปกติ อาจจะไม่สามารถแก้ไข ขับเคลื่อนประเทศได้ อย่างเช่น สถานการณ์ในห้วงที่ผ่านมา
เรื่องการทําประชามติ เป็นอีกประเด็นที่มีความสําคัญมาก เป็นเรื่องของประชาชนทุกคนต้องร่วมกันในการตัดสินใจ ไม่ใช่ตัดสินใจเพื่อผม เพื่อรัฐบาล เพื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่ให้ทุกคนคํานึงถึงเพื่อประเทศชาติ และอนาคตของลูกหลานต่อไป เราจะปฏิรูปบ้านเมืองกันได้อย่างไรด้วย
เรื่องแนวทางการปฏิรูป 11 ด้าน ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะนี้ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้ และจะส่งต่อให้คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูป 200 คน ที่เราจะต้องจัดตั้งขึ้นใหม่ ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว (ฉบับแก้ไข) ให้พิจารณาอีกครั้ง และคงจะต้องลงลึกในการจัดทําแผนปฏิบัติการเพื่อกําหนดระดับ ความสําคัญ ความเร่งด่วนว่าจะทําทันที ปานกลาง หรือระยะยาว ให้มีความเหมาะสม จากนั้นจะต้องมีผลในทางกฎหมายด้วย ก็คงจะต้องนําเข้าไปพิจารณาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อจะได้ให้รัฐบาลต่อไป ได้นําไปสู่การปฏิบัติ เราคงจําเป็นจะต้องมีคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ อํานวยการ ปฏิบัติ และคงไม่สามารถที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการปกติของรัฐบาล
สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผมและผู้แทนระดับสูงของรัฐบาลได้มีโอกาสให้การต้อนรับ และหารือกับผู้แทนคณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯอาเซียนกว่า 70 คน จากบริษัทชั้นนําของสหรัฐอเมริกา 29 บริษัท ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พลังงาน การเงิน โลจิสติกส์ ยานยนต์ การก่อสร้าง เคมีภัณฑ์ ยา และเวชภัณฑ์ ยาสูบ เป็นต้น
โดยนักธุรกิจเอกชนสหรัฐฯ เห็นพ้องกันว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่โดดเด่นในภูมิภาค พร้อมที่จะสนับสนุนการปฏิรูปประเทศของไทย และต้องการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยของเราอีกด้วย
สิ่งที่ผมเห็นจากนักลงทุนชาวต่างชาติที่เขาต้องการหลัก ๆ คือความมั่นคง ความมีเสถียรภาพทางการเมือง และนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการค้า การลงทุน ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันและปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชั่น และการปรับกฎ ระเบียบ กติกา มาตรการอํานวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อจะทําให้การดําเนินธุรกรรมนั้นง่ายขึ้น ลดขั้นตอน รวมทั้งต้องการให้รัฐบาลมีวิสัยทัศน์ มียุทธศาสตร์ของชาติที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นเครื่องสร้างความเชื่อมั่น มั่นใจ ในการประกอบธุรกิจภายในประเทศของเรา ซึ่ง คสช. กับรัฐบาลนี้ ได้พยายามวางรากฐานเอาไว้ให้แล้ว อาทิ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการฯ พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ โดยได้นํา “สัญญาคุณธรรม” ระบบ CoST และ ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อการบูรณาการมาใช้ด้วย
ผมได้แสดงให้นักลงทุนต่างชาติเหล่านั้นทุกประเทศ ให้เขาเห็นถึงขีดความสามารถในการแข่งขัน จุดแข็ง และศักยภาพของประเทศไทย ในการที่จะสร้างความเชื่อมั่น และพยายามให้เขาเห็นว่าไทยมีความพร้อมในการรองรับการลงทุนต่าง ๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเป็นศูนย์กลาง (Hub) ในอาเซียน และด้านการค้า การลงทุนและกิจกรรมเศรษฐกิจ โดยมีนโยบายส่งเสริมการส่งออกและจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเชื่อมโยงในประเทศกับภูมิภาค ทั้งทางบก – ทะเล –อากาศ
เรื่องต่อไปคือการเตรียมการปรับเปลี่ยนเป็นเศรษฐกิจดิจิตอล โดยเฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT Infrastructure) การปรับโครงสร้างทางภาษี และมาตรการทางภาษี เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ มาจัดตั้งสํานักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters: IHQ) และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Center: ITC) ในบ้านเรา การส่งเสริมและขยายความร่วมมือภาคเอกชนกับภาครัฐ ในรูปแบบการเป็นหุ้นส่วน (Public-Private Partnership : PPP) ทั้งในด้านการลงทุน การศึกษาวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ และด้านนวัตกรรม และอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของศักยภาพของประเทศด้านการเกษตรและสินค้าเกษตร การบริการ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ด้านสาธารณสุข และอัญมณี ฯลฯ ที่จะเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หากได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ก็สามารถผลักดันให้เราเป็นศูนย์กลางในอาเซียนได้เช่นกัน
ช่วงที่ผ่านมา ในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจประเทศไทยเรานั้น ยังคงต้องเร่งพัฒนาหลายด้านด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งนี้เพื่อจะเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ รัฐบาลนี้ให้ความสําคัญในการผลักดันมาตรการและงบประมาณ ในการที่จะนําองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Science based) ไปสู่ภาคการผลิต หรือห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้นอกจากการสร้างคุณค่ามูลค่าเพิ่มในการผลิตสินค้าหรือบริการแล้ว ยังจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเจริญเติบโตเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุน ซึ่งจะเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนให้เรานั้นสามารถที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน หลุดพ้นกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงได้
ทั้งนี้ ในการประชุมของคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ (กพน.) ที่ผ่านมา ได้ผลักดันมาตรการสําคัญ ๆ หลายอย่าง เช่น 1. การจับคู่ระหว่างความต้องการและนวัตกรรมที่ผลิตในประเทศ และภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อนํามาสู่การใช้งานจริง 2. การจัดตั้งกองทุนเงินร่วมลงทุนเพื่อธุรกิจฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Fund of Funds) ในรูปแบบของ Private Equity หรือ Venture Capital เพื่อสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยี 3. เรื่องการจัดทําบัญชีนวัตกรรมของไทย โดยมี พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐฯ รองรับให้สามารถนําผลงานที่วิจัยในประเทศ มาสู่การรับรองมาตรฐาน สามารถนํามาผลิตใช้ในหน่วยงานภาครัฐได้ และ 4. การส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อจะผลิตเอง ใช้เอง และจําหน่ายต่อไปในอนาคต
สําหรับ เรื่องปัญหาปากท้องของประชาชน ปัจจุบันอาจจะไม่ได้เกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจหรือผลผลิตทางการเกษตรตกต่ําอย่างเดียวเท่านั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ “กระแสวัตถุนิยม” ซึ่งอาจจะทําให้พี่น้องประชาชนก่อหนี้สินผูกพันโดยไม่จําเป็น หาทางออกไม่ได้ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทาน “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” แก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อเป็นแนวทางในการดํารงชีวิตให้สามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว – ชุมชน – ประเทศ รัฐบาลนี้ได้น้อมนํามาเป็นแนวทางไปสู่การพัฒนาและบริหารประเทศ เพื่อให้ดําเนินการไปได้ใน “ทางสายกลาง” ด้วย
ปัจจุบันรัฐบาลได้ให้การดูแลหนี้สินกับพี่น้องเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ผู้ที่เป็นหนี้นอกระบบ อย่างไรก็ตามเราก็ยังห่วงใยพี่น้อง “ข้าราชการ” ที่เรียกว่ามนุษย์เงินเดือน ที่มีรายได้น้อยเมื่อเทียบกับเอกชน ทั้งนี้ ภาระหนี้สินของกําลังพลของลูกน้อง ผมเห็นว่าเป็นหน้าที่หนึ่งของหัวหน้าหน่วยงาน – ผู้บังคับบัญชา ที่ตื่นเช้าขึ้นมาในแต่ละวัน นอกจากจะต้องคิดว่าจะทํางานอย่างไร จะรับใช้ประเทศชาติอย่างไร และดูแลประชาชนได้มากเพียงใด ก็ต้องคิดเสมอว่า เราจะช่วยลูกน้องเราให้สามารถทํางานอย่างมีความสุขได้อย่างไรด้วย
โครงการหนึ่งที่ผมอยากเอามาเล่าให้ฟัง เป็นโครงการที่กองทัพบกตั้งแต่อดีตและปัจจุบันได้ดําเนินการเพื่อช่วยบริหารจัดการหนี้สินครอบครัวกําลังพลในกองทัพ ซึ่งประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ด้วยการนําหลักพื้นฐานของ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี มาใช้ในการดําเนินการ สําหรับวิธีการดําเนินโครงการแบ่งเป็นส่วน ๆ ดังนี้ 1. การสร้างความตระหนักต่อตนและครอบครัวถึงภาระหนี้สิน เพื่อให้รู้ด้วยตนเองว่าภาระที่จะต้องจ่าย ในแต่ละเดือน มีอะไรบ้าง 2. การจัดทํา“บัญชีครัวเรือน” อันจะเป็นเครื่องมือสําคัญ เพื่อช่วยในการปรับปรุงพฤติกรรม “ลดรายจ่าย” ที่ไม่จําเป็น และ “เพิ่มรายได้” ด้วยอาชีพเสริม โดยไม่เบียดบังเวลาราชการ และไม่เป็นงานที่หนักเกินไป ไม่กระทบกับสุขภาพและการทํางานราชการ 3. การ รีไฟแนนซ์ โดยหาแหล่งเงินทุนที่ดอกเบี้ยถูกกว่า หรือการเลือกชําระดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าก่อน 4. การขายสิ่งที่ไม่จําเป็นออกไป คือการตัดภาระสิ่งที่ไม่จําเป็น รวมถึงการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน และ 5. ที่สําคัญคือ การควบคุมตนเองไม่ให้มีการก่อหนี้ซ้ําอีก
ทั้งนี้ หากข้าราชการสามารถแก้ปัญหาหนี้สินของตนเองได้ในระดับครอบครัว และหัวหน้าส่วนราชการสามารถดูแลให้ข้าราชการในสังกัดได้แก้ไขปัญหาหนี้สินเป็นส่วนรวมได้แล้ว รัฐบาลก็จะมีทรัพยากรบุคคล ที่มีความพร้อมในการให้บริการแก่พี่น้องประชาชน อย่างเต็มความสามารถ ปราศจากเรื่องกังวล หนี้สิน ภาระ ซึ่งอาจจะคอยฉุดรั้งประสิทธิภาพในการทํางานให้กับประเทศชาติ
รัฐบาลนี้ให้ความสําคัญอย่างมากกับการพัฒนาที่ยั่งยืนและ “การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” โดยได้กําหนดให้การจัดการขยะมูลฝอยเป็น “วาระแห่งชาติ” ซึ่งมีกรอบแนวคิดหลักในการสร้างสังคมรีไซเคิล ตามหลักการ 3R (Reduce + Reuse + Recycle) โดยเฉพาะการรณรงค์ “ลดการใช้ถุงพลาสติกและโฟม” ซึ่งจะเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายยาก มีระยะเวลานานกว่า 450 ปี ยิ่งกว่านั้นข้อมูลทางสถิติที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก คือ มีขยะพลาสติกและโฟม จํานวน 2.7 ล้านตัน หรือเฉลี่ย 7,000 ตัน/วัน เกิดจากน้ํามือพวกเรา ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพมนุษย์ สัตว์ สิ่งที่มีชีวิต และสิ่งแวดล้อม โดยรวม ตลอดกระบวนการผลิต ไปจนถึงการกําจัด โดยก่อให้เกิด “ก๊าซเรือนกระจก” อันเป็นสาเหตุหนึ่งของ “ภาวะโลกร้อน” ในปัจจุบัน
ดังนั้น เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการสร้างวินัยคนในชาติ ที่จะมุ่งไปสู่การจัดการขยะที่ยั่งยืน ผมในนามของรัฐบาล พร้อมทั้งภาคธุรกิจเอกชน ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าศูนย์การค้า และร้านสะดวกซื้อ 15 หน่วยงาน อยากจะขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในการเตรียมถุงผ้า กระเป๋า สําหรับหอบหิ้วสินค้า แทนการขอรับถุงพลาสติกในวันที่ 15 ของทุกเดือน หรือมากกว่านั้น หรือทุก ๆ วันก็ได้ เราจะเริ่มดําเนินการพร้อมกันในวันพรุ่งนี้ (15 สิงหาคม 2558) ทั้งนี้ การปฏิเสธการรับถุงพลาสติกจากห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อเพียงคนละ 1 ใบ/วัน ก็จะทําให้ประเทศไทยลดปริมาณขยะจากถุงพลาสติกได้ราว70 ล้านใบ/วัน
ผมขอขอบคุณ และขอชื่นชมผู้ประกอบการทั้ง 15 หน่วยงาน ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน เห็นคุณค่าของการสร้างวินัยการปลูกจิตสํานึกในการจัดการขยะของบ้านเมืองอย่างจริงจัง เริ่มจากเรื่องใกล้ตัว เพื่อให้เกิดผลอย่างยั่งยืน พี่น้องประชาชนก็ต้องช่วยกัน สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับบุตรหลานด้วย
ขอให้ทุกมีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ เตรียมตัวให้พร้อมสําหรับการขี่จักรยาน “Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่” ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แม่แห่งแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ประจําปี 2558 ขอให้ทุกคนปั่นจักรยานด้วยความสุข ข้อสําคัญคือความปลอดภัยด้วย ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแต่งตั้งบุคคลรักษาราชการแทนรัฐมนตรี 4 คน ที่ได้ยื่นหนังสือขอลาออก
|
วันอังคารที่ 29 มกราคม 2562
การแต่งตั้งบุคคลรักษาราชการแทนรัฐมนตรี 4 คน ที่ได้ยื่นหนังสือขอลาออก
การแต่งตั้งบุคคลรักษาราชการแทนรัฐมนตรี 4 คน ที่ได้ยื่นหนังสือขอลาออก
วันนี้ (29 ม.ค 62) เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า
สืบเนื่องจากที่ รัฐมนตรี 4 ท่าน ได้ยื่นหนังสือขอลาออกเพื่อไปดําเนินกิจกรรมทางการเมืองนั้น ได้แต่งตั้งบุคคลรักษาราชการแทนดังนี้
1) ตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน หากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ไปต่างประเทศหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทน
2) ตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาราชการแทน หากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปต่างประเทศหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทน
3) ตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาราชการแทน
4) ตําแหน่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทน
..........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแต่งตั้งบุคคลรักษาราชการแทนรัฐมนตรี 4 คน ที่ได้ยื่นหนังสือขอลาออก
วันอังคารที่ 29 มกราคม 2562
การแต่งตั้งบุคคลรักษาราชการแทนรัฐมนตรี 4 คน ที่ได้ยื่นหนังสือขอลาออก
การแต่งตั้งบุคคลรักษาราชการแทนรัฐมนตรี 4 คน ที่ได้ยื่นหนังสือขอลาออก
วันนี้ (29 ม.ค 62) เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า
สืบเนื่องจากที่ รัฐมนตรี 4 ท่าน ได้ยื่นหนังสือขอลาออกเพื่อไปดําเนินกิจกรรมทางการเมืองนั้น ได้แต่งตั้งบุคคลรักษาราชการแทนดังนี้
1) ตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทน หากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ไปต่างประเทศหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทน
2) ตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาราชการแทน หากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปต่างประเทศหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทน
3) ตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาราชการแทน
4) ตําแหน่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทน
..........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18423
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ สวทช.-อพวช. เจ้าภาพร่วมจัดประชุมนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิรุ่นใหม่ทั่วโลก ครั้งแรกในเอเชีย
|
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2559
ก.วิทย์ สวทช.-อพวช. เจ้าภาพร่วมจัดประชุมนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิรุ่นใหม่ทั่วโลก ครั้งแรกในเอเชีย
นักวิทยาศาสตร์หัวกะทิรุ่นใหม่ทั่วโลก
15 ธันวาคม 2559 / กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) โดย สํานักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเครือข่ายบุคลากรวิจัยรุ่นใหม่ของกลุ่มประเทศในเอเชีย 1thAsian Nationat Young Academy Meeting “Advancing Synergies in Asian NYAs” ระหว่างวันที่ 15-16 ธันวาคม 2559 โดยมี ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธาน ณ อาคารจามจุรีสแควร์
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับสมาชิก GloBal Young Academy โดยส่วนใหญ่จะเป็นนักวิจัย และนักวิชาการรุ่นเยาว์จากทั่วโลกกว่า 20 ประเทศ ซึ่งเป็นการจัดประชุมครั้งแรกในประเทศไทยและในเอเชีย เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ รวมทั้งการวางแผนร่วมกันกับนักวิจัยรุ่นเยาว์ของโลกว่าจะมีการทําอะไรกันต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้ร่วมกัน การเข้ามาแบ่งปันการวิจัยร่วมกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์มาก เพราะหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยเริ่มเข้าช่วงประชาชนเข้าสู่สังคมสูงอายุ ดังนั้นเราต้องรีบทําให้วัย 20 กว่าๆ ได้มีเครือข่ายการทํางานเชื่อมโยงกันมากขึ้น
ดร.พิเชฐ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันกลุ่ม GloBal Young Academy มีหน่วยงานกลางอยู่ที่เยอรมนี ซึ่งประเทศไทยก็มีสถาบันบัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มีหน่วยย่อยนักวิจัยรุ่นใหม่ และวันนี้ก็มีตัวแทนนักวิจัยรุ่นใหม่จากประเทศไทย 2 ท่าน เข้าร่วมประชุมโดยการประชุมในครั้งนี้จะใช้เวลา 2 วันในการหารือที่จะนําไปสู่ผลเชิงปฏิบัติในอนาคต และเป็นครั้งแรกที่สมาชิกทั้งหลายได้พบกันเนื่องจากเป็นการจัดประชุมครั้งแรก มีหลายประเทศและหลายทวีป ในขนาดเดียวกันก็จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยที่จะสามารถทําให้เราพัฒนาไปได้หลายด้านโดยเฉพาะไทยแลนด์ 4.0 จําเป็นที่จะต้องมีเลือดชิ้นใหม่ขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการวิจัย และการพัฒนา
สําหรับการจัดประชุมครั้งนี้มีคณะผู้แทนเครือข่ายบุคลากรวิจัยรุ่นใหม่ในเอเชีย และทีมบริหารขององค์การเครือข่ายนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นรุ่นใหม่ของโลก GloBal Young Academy (GYA) มีผู้เข้าเข้าร่วมประชุมทั้งหมด 22 ประเทศได้แก่ อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, กัมพูชา, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, ไต้หวัน, ปากีสถาน, ทาจิกิสถาน,สาธารณรัฐเกาหลี, ญี่ปุ่น, อิสราเอล, ออสเตรเลีย, แคนนาดา, เยอรมัน, ตุรกี, สหราชอาณาจักร, อเมริกา, สก๊อตแลนด์, เคนย่า, มอริเซียส
ทั้งนี้ ในการจัดประชุมคาดหวังว่าหลังจากการประชุมเสร็จสิ้นแล้ว จะเกิดแผนการทํางานและโครงการความร่วมมือระหว่างผู้เข้าร่วมประชุม ในเวทีการระดมสมองแนวทางการสร้างความเข้มแข็งแก่เครือข่ายบุคลากรวิจัยทั้งภายในและนอกภูมิภาคเอเชีย ซึ่งครอบคลุมทั้งความร่วมมือวิจัยเชิงเทคนิคและเชิงนโยบายระดับภูมิภาคและนานาชาติต่อไป
ข่าวโดย : นางสาวศิริวรรณ หมินหมัน
ภาพโดยและวีดิโอ : นายธนฉัตร มาลาเจริญ นายสุเมธ บุญเอื้อ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728-3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail:pr@most.go.thFacebook : sciencethailand
Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ สวทช.-อพวช. เจ้าภาพร่วมจัดประชุมนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิรุ่นใหม่ทั่วโลก ครั้งแรกในเอเชีย
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2559
ก.วิทย์ สวทช.-อพวช. เจ้าภาพร่วมจัดประชุมนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิรุ่นใหม่ทั่วโลก ครั้งแรกในเอเชีย
นักวิทยาศาสตร์หัวกะทิรุ่นใหม่ทั่วโลก
15 ธันวาคม 2559 / กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) โดย สํานักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเครือข่ายบุคลากรวิจัยรุ่นใหม่ของกลุ่มประเทศในเอเชีย 1thAsian Nationat Young Academy Meeting “Advancing Synergies in Asian NYAs” ระหว่างวันที่ 15-16 ธันวาคม 2559 โดยมี ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธาน ณ อาคารจามจุรีสแควร์
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับสมาชิก GloBal Young Academy โดยส่วนใหญ่จะเป็นนักวิจัย และนักวิชาการรุ่นเยาว์จากทั่วโลกกว่า 20 ประเทศ ซึ่งเป็นการจัดประชุมครั้งแรกในประเทศไทยและในเอเชีย เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ รวมทั้งการวางแผนร่วมกันกับนักวิจัยรุ่นเยาว์ของโลกว่าจะมีการทําอะไรกันต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้ร่วมกัน การเข้ามาแบ่งปันการวิจัยร่วมกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์มาก เพราะหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยเริ่มเข้าช่วงประชาชนเข้าสู่สังคมสูงอายุ ดังนั้นเราต้องรีบทําให้วัย 20 กว่าๆ ได้มีเครือข่ายการทํางานเชื่อมโยงกันมากขึ้น
ดร.พิเชฐ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันกลุ่ม GloBal Young Academy มีหน่วยงานกลางอยู่ที่เยอรมนี ซึ่งประเทศไทยก็มีสถาบันบัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มีหน่วยย่อยนักวิจัยรุ่นใหม่ และวันนี้ก็มีตัวแทนนักวิจัยรุ่นใหม่จากประเทศไทย 2 ท่าน เข้าร่วมประชุมโดยการประชุมในครั้งนี้จะใช้เวลา 2 วันในการหารือที่จะนําไปสู่ผลเชิงปฏิบัติในอนาคต และเป็นครั้งแรกที่สมาชิกทั้งหลายได้พบกันเนื่องจากเป็นการจัดประชุมครั้งแรก มีหลายประเทศและหลายทวีป ในขนาดเดียวกันก็จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยที่จะสามารถทําให้เราพัฒนาไปได้หลายด้านโดยเฉพาะไทยแลนด์ 4.0 จําเป็นที่จะต้องมีเลือดชิ้นใหม่ขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการวิจัย และการพัฒนา
สําหรับการจัดประชุมครั้งนี้มีคณะผู้แทนเครือข่ายบุคลากรวิจัยรุ่นใหม่ในเอเชีย และทีมบริหารขององค์การเครือข่ายนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นรุ่นใหม่ของโลก GloBal Young Academy (GYA) มีผู้เข้าเข้าร่วมประชุมทั้งหมด 22 ประเทศได้แก่ อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, กัมพูชา, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, ไต้หวัน, ปากีสถาน, ทาจิกิสถาน,สาธารณรัฐเกาหลี, ญี่ปุ่น, อิสราเอล, ออสเตรเลีย, แคนนาดา, เยอรมัน, ตุรกี, สหราชอาณาจักร, อเมริกา, สก๊อตแลนด์, เคนย่า, มอริเซียส
ทั้งนี้ ในการจัดประชุมคาดหวังว่าหลังจากการประชุมเสร็จสิ้นแล้ว จะเกิดแผนการทํางานและโครงการความร่วมมือระหว่างผู้เข้าร่วมประชุม ในเวทีการระดมสมองแนวทางการสร้างความเข้มแข็งแก่เครือข่ายบุคลากรวิจัยทั้งภายในและนอกภูมิภาคเอเชีย ซึ่งครอบคลุมทั้งความร่วมมือวิจัยเชิงเทคนิคและเชิงนโยบายระดับภูมิภาคและนานาชาติต่อไป
ข่าวโดย : นางสาวศิริวรรณ หมินหมัน
ภาพโดยและวีดิโอ : นายธนฉัตร มาลาเจริญ นายสุเมธ บุญเอื้อ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728-3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail:pr@most.go.thFacebook : sciencethailand
Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 1313
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1111
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการ คปภ. กระตุ้นธุรกิจประกันภัยไทยปรับโมเดลธุรกิจพร้อมเร่งสปีดศักยภาพสู่ยุคดิจิทัล
|
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2562
เลขาธิการ คปภ. กระตุ้นธุรกิจประกันภัยไทยปรับโมเดลธุรกิจพร้อมเร่งสปีดศักยภาพสู่ยุคดิจิทัล
• เตรียมทําคลอดแผนพัฒนาการประกันภัย (ฉบับที่ 4) ต่อยอดธุรกิจประกันภัยไทยเติบโตอย่างยั่งยืน และนําเทคโนโลยีมาใช้เป็นรูปธรรม ควบคู่กับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภคในทุกมิติ
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดงานเสวนาวิชาการในหัวข้อ“เหลียวหลัง แลหน้าธุรกิจประกันภัยไทย” ซึ่งจัดโดยนิตยสาร Thailand Insurance สมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย เพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางของธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย และสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนา ส่งเสริมธุรกิจประกันภัย ตลอดจนการสร้างความรู้ ความเข้าใจในธุรกิจประกันภัยให้กับประชาชน เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2562 ณ อาคารสํานักงานแห่งใหม่ สมาคมประกันวินาศภัยไทย (ซอยปุณวิถี) เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้ปาฐกถาพิเศษโดยฉายภาพทิศทางนโยบายของ สํานักงาน คปภ. ที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ในบริบทของการ “เหลียวหลัง” ด้วยการมองย้อนกลับไปดูทิศทางและกรอบการดําเนินงานตามแผนพัฒนาการประกันภัยที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นจากแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2549-2554) แต่บังคับใช้แค่ 4 ปี (พ.ศ.2549-2552) เพื่อปรับปรุงให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาระบบสถาบันทางการเงินและแผนพัฒนาตลาดทุนไทย โดยแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 1 มุ่งเน้นการปรับโครงสร้างการกํากับดูแลธุรกิจประกันภัยให้มีมาตรฐาน มีศักยภาพและขีดความสามารถพร้อมแข่งขัน มีการบริหารจัดการและการให้บริการตามมาตรฐานสากล โดยมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการกํากับดูแลธุรกิจประกันภัยจากกรมการประกันภัย เป็นสํานักงาน คปภ. รวมถึงปรับปรุงพระราชบัญญัติประกันชีวิตและพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทด้านการประกันภัย และได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สอดคล้องกับความต้องการและสภาพความเสี่ยงในขณะนั้น
ต่อมาเมื่อเข้าสู่แผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2553-2557) สํานักงาน คปภ. ได้วางกรอบการพัฒนาธุรกิจประกันภัยต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานการกํากับและตรวจสอบตามความเสี่ยง เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้ธุรกิจประกันภัย มีเงินกองทุนเพียงพอรองรับความเสี่ยงจากการดําเนินธุรกิจ และความท้าทายจากสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นที่มาของการนํามาตรฐานการดํารงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Capital: RBC) และระบบสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System: EWS) มาใช้ร่วมกับการเร่งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย และการพัฒนาฐานข้อมูลกลางด้านการประกันภัย รวมทั้งจัดตั้งสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูงเพื่อเป็นศูนย์กลางด้านวิชาการประกันภัยให้แก่ประชาชนและบุคลากรประกันภัย โดยเมื่อจบแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 2 ธุรกิจประกันภัยไทย ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า สามารถก้าวผ่านบททดสอบสําคัญได้อย่างราบรื่น จากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี 2554 ที่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศมหาศาล และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยกว่า 4 แสนล้านบาท โดยที่บริษัทประกันภัยยังมีความมั่นคง
เมื่อก้าวเข้าสู่แผนพัฒนาการประกันภัย (ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2559 –2563) ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ตนเข้ารับตําแหน่งเลขาธิการ คปภ. (คนที่3) ของสํานักงาน คปภ. ในขณะที่อุตสาหกรรมประกันภัยไทยพบกับบททดสอบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม ระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่บริบทการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ (New Normal) ระบบการเงินโลกมีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทย การขาดแคลนแรงงาน การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม (Climate Change) และการพัฒนาของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแบบก้าวหน้า สํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกํากับดูแลจึงขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยตามแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 3 เพื่อให้ระบบประกันภัยไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากประชาชนด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย มีการจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยขึ้นเป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียนทําให้ประชาชนที่มาร้องเรียนมีทางเลือกในการระงับข้อพิพาทด้านประกันภัยโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด มีการเสริมสร้างความรู้และการเข้าถึงการประกันภัย ด้วยการให้ความรู้เชิงรุกผ่านโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน โครงการอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the trainers) โดยนําภาคอุตสาหกรรมประกันภัยร่วมลงพื้นที่รณรงค์สร้างความรู้ ความเข้าใจด้านการประกันภัยเชิงรุกแก่ชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สอดคล้องกับความต้องการและความเสี่ยง อาทิ การประกันภัยสําหรับรายย่อย (Micro Insurance) ที่มีเบี้ยประกันภัยราคาถูกและความคุ้มครองเข้าใจง่าย เช่น การประกันภัยข้าวนาปี การประกันภัยลําไย การประกันภัยประมงเรือพื้นบ้าน การประกันภัยอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่
นอกจากนี้ ยังมีการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขัน และสนับสนุนบริษัทประกันภัยที่มีศักยภาพออกไปลงทุนในต่างประเทศ และเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย เพื่อยกระดับบุคลากรประกันภัยด้วยการจัดทําหลักสูตรและการอบรมต่างๆ เช่น หลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง หรือ หลักสูตร วปส. ซึ่งเป็นหลักสูตรสหวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยอย่างรอบด้าน รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการประกันภัย เพื่อให้ระบบประกันภัยมีฐานข้อมูลกลางด้านการประกันภัย (Insurance Bureau System) และการเชื่อมโยงข้อมูลที่สามารถรองรับการดําเนินงานของหน่วยงานกํากับบริษัทประกันภัย หน่วยงานเครือข่าย และประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการพัฒนา OIC Gateway เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลกับบริษัทประกันภัยกว่า 80 แห่งเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อบริการประชาชนผ่านระบบกลางที่เดียว และต่อยอดให้เกิดความร่วมมือทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมประกันภัยในอนาคต มีการจัดตั้ง Center of InsurTech, Thailand (CIT) เพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการประกันภัย (InsurTech) และเทคโนโลยีประกันภัยในการกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย (Supervisory Technology : SupTech) ให้ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้งผลักดันให้ประเทศไทยเป็น InsurTech Startup Hub โดยศูนย์ CIT จะขยายบทบาทในการร่วมพัฒนา RegTech และ SupTech ให้การกํากับดูแลมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็น One Stop Services ศูนย์กลางในคําปรึกษา และคําแนะนําให้แก่บริษัทประกันภัย และ Startup ในทุกมิติ เพื่อรองรับการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในอนาคต
อีกเรื่องหนึ่งถือเป็นผลสําเร็จที่น่ายินดี คือ ผลการประเมินภาคการเงินสาขาการประกันภัย (Financial Sector Assessment Program – FSAP) ซึ่งได้ดําเนินการแล้วเสร็จไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเข้ารับการประเมินภาคประกันภัยเป็นครั้งแรก และได้ผลลัพธ์ที่ดีมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง โดยผลการประเมินได้คะแนนเป็นอันดับที่ 3 ในทวีปเอเชีย และเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นผลดีต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบประกันภัยของประเทศไทยแสดงให้เห็นว่าทิศทางการพัฒนาธุรกิจประกันภัย is on the right track ภาคประกันภัยของไทย มีมาตรฐานสากล สามารถเทียบชั้นได้กับต่างประเทศ
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า สําหรับดําเนินงานของ สํานักงาน คปภ. ในบริบท “แลหน้าธุรกิจประกันภัยไทย” คือ การมองอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจประกันภัยไทยนั้น เนื่องจากแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 3 กําลังจะสิ้นสุดลงในปี 2563 ดังนั้นในปีนี้ สํานักงาน คปภ. จึงได้เตรียมการในการจัดทําแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2564-2568) โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมประกันภัยให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรักษาสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนและการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัย มีศักยภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมทั้งส่งเสริมบทบาทของธุรกิจประกันภัยไทยให้เป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล และเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับบริบทด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในมุมของธุรกิจประกันภัยจะต้องมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดําเนินธุรกิจใหม่ๆ อาทิ บริษัท Sunday หนึ่งใน InsurTech ของไทย ที่สร้างจุดขายด้วยจัดทํา Application ด้วยการนําปัญญาประดิษฐ์ (AI) Machine Learning เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Real-Time ในการคํานวณอัตราเบี้ยประกันภัยทั้งการประกันภัยรถและการประกันสุขภาพที่เหมาะสมตามความเสี่ยงของลูกค้า
และอีกประเด็นที่ต้องพูดถึง คือ การเปิดตัวของ Facebook ในการสร้างสกุลเงินดิจิทัลใหม่ล่าสุดของโลกที่มีชื่อว่า ลิบร้า (Libra) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นสกุลเงินของโลก (Global Currency) ดําเนินงานอยู่บนระบบบล็อกเชน และ Libra อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ Cryptocurrency กลายเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้จริง บน Platform ของ Facebook ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก และโดยส่วนตัวมองว่า Libra ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ภาคการเงิน แต่กระทบภาคประกันภัยและธุรกิจอื่นๆ ด้วย โดยในอนาคต Libra อาจไม่ได้เป็นแค่เงินสกุลที่ใช้ในการชําระเบี้ยประกันภัยและชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ Libra จะทําให้การซื้อขายสินค้าและบริการ รวมถึงประกันภัยข้ามพรมแดนบน Facebook เกิดขึ้นได้โดยไม่ยากอีกต่อไป ซึ่งเป็นโจทย์ที่ ทั้งภาคธุรกิจ หน่วยงานกํากับดูแลที่เกี่ยวข้องต้องหาทางรับมือกันต่อไป
นอกจากนี้ บทบาทการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการลงทุนจะก่อให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งบริษัทประกันภัยต่างชาติมีความได้เปรียบในเรื่อง know-how ที่สามารถนํามาปรับใช้ให้เกิดประสิทธิผลในประเทศไทย ส่งผลให้บริษัทประกันภัยในประเทศต้องปรับตัวเพื่อหากลุ่มผู้เอาประกันภัยใหม่ๆ และยกระดับการประกันภัยเพื่อให้สามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคได้ ซึ่ง protection gap ในประเทศไทยเกิดจากผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยง และต้องการความคุ้มครองมากที่สุด ในขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มคนจํานวนมากของประเทศที่ระบบประกันภัยเข้าไปบริหารความเสี่ยงภัยไม่ทั่วถึง ซึ่งถือเป็นโอกาสของบริษัทประกันภัยไทยที่จะเข้าไปรับประกันภัย เช่น การประกันภัยพืชผลตามฤดูกาล การประกันภัยทางการเกษตรแบบเป็น package ร่วมกับกรมธรรม์ประเภทอื่น หรือแม้กระทั้งการประกันภัยแบบครัวเรือน ที่ไม่ได้คุ้มครองแค่ผู้เอาประกันภัยแต่คุ้มครองทั้งครอบครัว ดังนั้นการขยายฐานผู้เอาประกันภัยจึงมีความสําคัญควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีราคาไม่แพง โดยเฉพาะการประกันภัยสุขภาพที่คุ้มครองเฉพาะโรค ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรมีการเก็บข้อมูลที่แยกตามความคุ้มครองที่แม่นยําและมีระบบการบริหารจัดการที่เหมาะสมอีกด้วย
“ผมได้มองย้อนอดีตและส่องอนาคตของธุรกิจประกันภัยไทย โดยฉายภาพพัฒนาการของการกํากับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัยให้เห็นแล้วว่าผ่านอะไรมาบ้าง บทเรียนที่ได้เรียนรู้คืออะไร และอะไรคือความท้าทายและโอกาสของภาคธุรกิจที่จะปรับตัวให้เข้าสู่การประกันภัยแบบใหม่ ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค กระแส InsurTech และการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น ธุรกิจประกันภัยอาจจําเป็นต้องปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจใหม่ให้เหมาะสมกับบริบทการเปลี่ยนแปลงต่างๆโดยต้องไม่ติดกับดักของโมเดลธุรกิจประกันภัยแบบเดิมๆ หากใครไม่ปรับตัวหรือปรับตัวไม่เพียงพออาจจะถูกdisrupted ได้ ในขณะเดียวกัน สํานักงาน คปภ. ไม่สามารถเดินหน้าหรือผลักดันมาตรการต่างๆ ไปสู่จุดหมายใหม่ได้โดยลําพัง ผมจึงคาดหวังว่าจะได้รับความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ในการผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายสําคัญต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนต่ออุตสาหกรรมประกันภัย อันจะนําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่ยั่งยืนต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการ คปภ. กระตุ้นธุรกิจประกันภัยไทยปรับโมเดลธุรกิจพร้อมเร่งสปีดศักยภาพสู่ยุคดิจิทัล
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2562
เลขาธิการ คปภ. กระตุ้นธุรกิจประกันภัยไทยปรับโมเดลธุรกิจพร้อมเร่งสปีดศักยภาพสู่ยุคดิจิทัล
• เตรียมทําคลอดแผนพัฒนาการประกันภัย (ฉบับที่ 4) ต่อยอดธุรกิจประกันภัยไทยเติบโตอย่างยั่งยืน และนําเทคโนโลยีมาใช้เป็นรูปธรรม ควบคู่กับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภคในทุกมิติ
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดงานเสวนาวิชาการในหัวข้อ“เหลียวหลัง แลหน้าธุรกิจประกันภัยไทย” ซึ่งจัดโดยนิตยสาร Thailand Insurance สมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย เพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางของธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย และสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนา ส่งเสริมธุรกิจประกันภัย ตลอดจนการสร้างความรู้ ความเข้าใจในธุรกิจประกันภัยให้กับประชาชน เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2562 ณ อาคารสํานักงานแห่งใหม่ สมาคมประกันวินาศภัยไทย (ซอยปุณวิถี) เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้ปาฐกถาพิเศษโดยฉายภาพทิศทางนโยบายของ สํานักงาน คปภ. ที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ในบริบทของการ “เหลียวหลัง” ด้วยการมองย้อนกลับไปดูทิศทางและกรอบการดําเนินงานตามแผนพัฒนาการประกันภัยที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นจากแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2549-2554) แต่บังคับใช้แค่ 4 ปี (พ.ศ.2549-2552) เพื่อปรับปรุงให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาระบบสถาบันทางการเงินและแผนพัฒนาตลาดทุนไทย โดยแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 1 มุ่งเน้นการปรับโครงสร้างการกํากับดูแลธุรกิจประกันภัยให้มีมาตรฐาน มีศักยภาพและขีดความสามารถพร้อมแข่งขัน มีการบริหารจัดการและการให้บริการตามมาตรฐานสากล โดยมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการกํากับดูแลธุรกิจประกันภัยจากกรมการประกันภัย เป็นสํานักงาน คปภ. รวมถึงปรับปรุงพระราชบัญญัติประกันชีวิตและพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทด้านการประกันภัย และได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สอดคล้องกับความต้องการและสภาพความเสี่ยงในขณะนั้น
ต่อมาเมื่อเข้าสู่แผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2553-2557) สํานักงาน คปภ. ได้วางกรอบการพัฒนาธุรกิจประกันภัยต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานการกํากับและตรวจสอบตามความเสี่ยง เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้ธุรกิจประกันภัย มีเงินกองทุนเพียงพอรองรับความเสี่ยงจากการดําเนินธุรกิจ และความท้าทายจากสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นที่มาของการนํามาตรฐานการดํารงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Capital: RBC) และระบบสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System: EWS) มาใช้ร่วมกับการเร่งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย และการพัฒนาฐานข้อมูลกลางด้านการประกันภัย รวมทั้งจัดตั้งสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูงเพื่อเป็นศูนย์กลางด้านวิชาการประกันภัยให้แก่ประชาชนและบุคลากรประกันภัย โดยเมื่อจบแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 2 ธุรกิจประกันภัยไทย ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า สามารถก้าวผ่านบททดสอบสําคัญได้อย่างราบรื่น จากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี 2554 ที่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศมหาศาล และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยกว่า 4 แสนล้านบาท โดยที่บริษัทประกันภัยยังมีความมั่นคง
เมื่อก้าวเข้าสู่แผนพัฒนาการประกันภัย (ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2559 –2563) ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ตนเข้ารับตําแหน่งเลขาธิการ คปภ. (คนที่3) ของสํานักงาน คปภ. ในขณะที่อุตสาหกรรมประกันภัยไทยพบกับบททดสอบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม ระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่บริบทการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ (New Normal) ระบบการเงินโลกมีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทย การขาดแคลนแรงงาน การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม (Climate Change) และการพัฒนาของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแบบก้าวหน้า สํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกํากับดูแลจึงขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยตามแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 3 เพื่อให้ระบบประกันภัยไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากประชาชนด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย มีการจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยขึ้นเป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียนทําให้ประชาชนที่มาร้องเรียนมีทางเลือกในการระงับข้อพิพาทด้านประกันภัยโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด มีการเสริมสร้างความรู้และการเข้าถึงการประกันภัย ด้วยการให้ความรู้เชิงรุกผ่านโครงการ คปภ. เพื่อชุมชน โครงการอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the trainers) โดยนําภาคอุตสาหกรรมประกันภัยร่วมลงพื้นที่รณรงค์สร้างความรู้ ความเข้าใจด้านการประกันภัยเชิงรุกแก่ชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สอดคล้องกับความต้องการและความเสี่ยง อาทิ การประกันภัยสําหรับรายย่อย (Micro Insurance) ที่มีเบี้ยประกันภัยราคาถูกและความคุ้มครองเข้าใจง่าย เช่น การประกันภัยข้าวนาปี การประกันภัยลําไย การประกันภัยประมงเรือพื้นบ้าน การประกันภัยอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์และปีใหม่
นอกจากนี้ ยังมีการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขัน และสนับสนุนบริษัทประกันภัยที่มีศักยภาพออกไปลงทุนในต่างประเทศ และเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย เพื่อยกระดับบุคลากรประกันภัยด้วยการจัดทําหลักสูตรและการอบรมต่างๆ เช่น หลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง หรือ หลักสูตร วปส. ซึ่งเป็นหลักสูตรสหวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยอย่างรอบด้าน รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการประกันภัย เพื่อให้ระบบประกันภัยมีฐานข้อมูลกลางด้านการประกันภัย (Insurance Bureau System) และการเชื่อมโยงข้อมูลที่สามารถรองรับการดําเนินงานของหน่วยงานกํากับบริษัทประกันภัย หน่วยงานเครือข่าย และประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการพัฒนา OIC Gateway เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลกับบริษัทประกันภัยกว่า 80 แห่งเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อบริการประชาชนผ่านระบบกลางที่เดียว และต่อยอดให้เกิดความร่วมมือทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมประกันภัยในอนาคต มีการจัดตั้ง Center of InsurTech, Thailand (CIT) เพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการประกันภัย (InsurTech) และเทคโนโลยีประกันภัยในการกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย (Supervisory Technology : SupTech) ให้ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้งผลักดันให้ประเทศไทยเป็น InsurTech Startup Hub โดยศูนย์ CIT จะขยายบทบาทในการร่วมพัฒนา RegTech และ SupTech ให้การกํากับดูแลมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็น One Stop Services ศูนย์กลางในคําปรึกษา และคําแนะนําให้แก่บริษัทประกันภัย และ Startup ในทุกมิติ เพื่อรองรับการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในอนาคต
อีกเรื่องหนึ่งถือเป็นผลสําเร็จที่น่ายินดี คือ ผลการประเมินภาคการเงินสาขาการประกันภัย (Financial Sector Assessment Program – FSAP) ซึ่งได้ดําเนินการแล้วเสร็จไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเข้ารับการประเมินภาคประกันภัยเป็นครั้งแรก และได้ผลลัพธ์ที่ดีมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง โดยผลการประเมินได้คะแนนเป็นอันดับที่ 3 ในทวีปเอเชีย และเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นผลดีต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบประกันภัยของประเทศไทยแสดงให้เห็นว่าทิศทางการพัฒนาธุรกิจประกันภัย is on the right track ภาคประกันภัยของไทย มีมาตรฐานสากล สามารถเทียบชั้นได้กับต่างประเทศ
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า สําหรับดําเนินงานของ สํานักงาน คปภ. ในบริบท “แลหน้าธุรกิจประกันภัยไทย” คือ การมองอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจประกันภัยไทยนั้น เนื่องจากแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 3 กําลังจะสิ้นสุดลงในปี 2563 ดังนั้นในปีนี้ สํานักงาน คปภ. จึงได้เตรียมการในการจัดทําแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2564-2568) โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมประกันภัยให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรักษาสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนและการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัย มีศักยภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมทั้งส่งเสริมบทบาทของธุรกิจประกันภัยไทยให้เป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล และเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับบริบทด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในมุมของธุรกิจประกันภัยจะต้องมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดําเนินธุรกิจใหม่ๆ อาทิ บริษัท Sunday หนึ่งใน InsurTech ของไทย ที่สร้างจุดขายด้วยจัดทํา Application ด้วยการนําปัญญาประดิษฐ์ (AI) Machine Learning เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Real-Time ในการคํานวณอัตราเบี้ยประกันภัยทั้งการประกันภัยรถและการประกันสุขภาพที่เหมาะสมตามความเสี่ยงของลูกค้า
และอีกประเด็นที่ต้องพูดถึง คือ การเปิดตัวของ Facebook ในการสร้างสกุลเงินดิจิทัลใหม่ล่าสุดของโลกที่มีชื่อว่า ลิบร้า (Libra) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นสกุลเงินของโลก (Global Currency) ดําเนินงานอยู่บนระบบบล็อกเชน และ Libra อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ Cryptocurrency กลายเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้จริง บน Platform ของ Facebook ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก และโดยส่วนตัวมองว่า Libra ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ภาคการเงิน แต่กระทบภาคประกันภัยและธุรกิจอื่นๆ ด้วย โดยในอนาคต Libra อาจไม่ได้เป็นแค่เงินสกุลที่ใช้ในการชําระเบี้ยประกันภัยและชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ Libra จะทําให้การซื้อขายสินค้าและบริการ รวมถึงประกันภัยข้ามพรมแดนบน Facebook เกิดขึ้นได้โดยไม่ยากอีกต่อไป ซึ่งเป็นโจทย์ที่ ทั้งภาคธุรกิจ หน่วยงานกํากับดูแลที่เกี่ยวข้องต้องหาทางรับมือกันต่อไป
นอกจากนี้ บทบาทการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการลงทุนจะก่อให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งบริษัทประกันภัยต่างชาติมีความได้เปรียบในเรื่อง know-how ที่สามารถนํามาปรับใช้ให้เกิดประสิทธิผลในประเทศไทย ส่งผลให้บริษัทประกันภัยในประเทศต้องปรับตัวเพื่อหากลุ่มผู้เอาประกันภัยใหม่ๆ และยกระดับการประกันภัยเพื่อให้สามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคได้ ซึ่ง protection gap ในประเทศไทยเกิดจากผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยง และต้องการความคุ้มครองมากที่สุด ในขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มคนจํานวนมากของประเทศที่ระบบประกันภัยเข้าไปบริหารความเสี่ยงภัยไม่ทั่วถึง ซึ่งถือเป็นโอกาสของบริษัทประกันภัยไทยที่จะเข้าไปรับประกันภัย เช่น การประกันภัยพืชผลตามฤดูกาล การประกันภัยทางการเกษตรแบบเป็น package ร่วมกับกรมธรรม์ประเภทอื่น หรือแม้กระทั้งการประกันภัยแบบครัวเรือน ที่ไม่ได้คุ้มครองแค่ผู้เอาประกันภัยแต่คุ้มครองทั้งครอบครัว ดังนั้นการขยายฐานผู้เอาประกันภัยจึงมีความสําคัญควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีราคาไม่แพง โดยเฉพาะการประกันภัยสุขภาพที่คุ้มครองเฉพาะโรค ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรมีการเก็บข้อมูลที่แยกตามความคุ้มครองที่แม่นยําและมีระบบการบริหารจัดการที่เหมาะสมอีกด้วย
“ผมได้มองย้อนอดีตและส่องอนาคตของธุรกิจประกันภัยไทย โดยฉายภาพพัฒนาการของการกํากับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัยให้เห็นแล้วว่าผ่านอะไรมาบ้าง บทเรียนที่ได้เรียนรู้คืออะไร และอะไรคือความท้าทายและโอกาสของภาคธุรกิจที่จะปรับตัวให้เข้าสู่การประกันภัยแบบใหม่ ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค กระแส InsurTech และการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น ธุรกิจประกันภัยอาจจําเป็นต้องปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจใหม่ให้เหมาะสมกับบริบทการเปลี่ยนแปลงต่างๆโดยต้องไม่ติดกับดักของโมเดลธุรกิจประกันภัยแบบเดิมๆ หากใครไม่ปรับตัวหรือปรับตัวไม่เพียงพออาจจะถูกdisrupted ได้ ในขณะเดียวกัน สํานักงาน คปภ. ไม่สามารถเดินหน้าหรือผลักดันมาตรการต่างๆ ไปสู่จุดหมายใหม่ได้โดยลําพัง ผมจึงคาดหวังว่าจะได้รับความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ในการผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายสําคัญต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนต่ออุตสาหกรรมประกันภัย อันจะนําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่ยั่งยืนต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21661
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดประชุมเผยแพร่ผลการศึกษาและระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการจัดทำตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว ภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2
|
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562
สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดประชุมเผยแพร่ผลการศึกษาและระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว ภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2
นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมเผยแพร่ผลการศึกษาและระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2 ประจําปีงบประมาณ 2562
จังหวัดชลบุรี : วันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมเผยแพร่ผลการศึกษาและระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2 ประจําปีงบประมาณ 2562 โดยการจัดประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงรูปแบบแนวทางการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว Green GDP ภาคอุตสาหกรรม และรูปแบบการประเมินมูลค่าผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมสําหรับการประเมิน Green GDP ภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งผลการจัดทํา Green GDP ภาคอุตสาหกรรมจังหวัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมประชุม ณ ห้องสามมุข โรงแรมคามิโอ โฮเต็ล อมตะ บางประกง จังหวัดชลบุรี
ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากคุณธีรทัศน์ อิศรางกูล ณ อยุธยา ผู้อํานวยการกองสารสนเทศและดัชนีอุตสาหกรรม สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม บรรยายในหัวข้อ Industrial Transformation Platform for Thai Industry คุณวิกานดา วราห์บัณฑูรวิทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บรรยายในหัวข้อแบบจําลองการประเมิน Green GDP ภาคอุตสาหกรรม คุณกฤษดา บํารุงวงศ์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ บรรยายในหัวข้อการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมสําหรับการประเมิน Green GDP ภาคอุตสาหกรรม คุณอธิวัตร จิรจริยาเวช ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ บรรยายในหัวข้อผลการจัดทํา Green GDP กลุ่มอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษและกระดาษ และคุณเอกพร นวภานันท์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บรรยายในหัวข้อผลการจัดทํา Green GDP ภาคอุตสาหกรรมจังหวัดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีผู้แทนจากสถานประกอบการ อุตสาหกรรมจังหวัดและผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมกว่า 80 คน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดประชุมเผยแพร่ผลการศึกษาและระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการจัดทำตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว ภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562
สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดประชุมเผยแพร่ผลการศึกษาและระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว ภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2
นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมเผยแพร่ผลการศึกษาและระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2 ประจําปีงบประมาณ 2562
จังหวัดชลบุรี : วันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมเผยแพร่ผลการศึกษาและระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว (Green GDP) ภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2 ประจําปีงบประมาณ 2562 โดยการจัดประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงรูปแบบแนวทางการจัดทําตัวชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียว Green GDP ภาคอุตสาหกรรม และรูปแบบการประเมินมูลค่าผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมสําหรับการประเมิน Green GDP ภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งผลการจัดทํา Green GDP ภาคอุตสาหกรรมจังหวัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมประชุม ณ ห้องสามมุข โรงแรมคามิโอ โฮเต็ล อมตะ บางประกง จังหวัดชลบุรี
ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากคุณธีรทัศน์ อิศรางกูล ณ อยุธยา ผู้อํานวยการกองสารสนเทศและดัชนีอุตสาหกรรม สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม บรรยายในหัวข้อ Industrial Transformation Platform for Thai Industry คุณวิกานดา วราห์บัณฑูรวิทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บรรยายในหัวข้อแบบจําลองการประเมิน Green GDP ภาคอุตสาหกรรม คุณกฤษดา บํารุงวงศ์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ บรรยายในหัวข้อการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมสําหรับการประเมิน Green GDP ภาคอุตสาหกรรม คุณอธิวัตร จิรจริยาเวช ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ บรรยายในหัวข้อผลการจัดทํา Green GDP กลุ่มอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษและกระดาษ และคุณเอกพร นวภานันท์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บรรยายในหัวข้อผลการจัดทํา Green GDP ภาคอุตสาหกรรมจังหวัดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีผู้แทนจากสถานประกอบการ อุตสาหกรรมจังหวัดและผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมกว่า 80 คน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24423
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชื่นชมแนวคิด การผลิตหน้ากากอนามัยกันน้ำ ลดเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19
|
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรีชื่นชมแนวคิด การผลิตหน้ากากอนามัยกันน้ํา ลดเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19
นายกรัฐมนตรีชื่นชมแนวคิด การผลิตหน้ากากอนามัยกันน้ํา ลดเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19
วันที่ 11 มี.ค.63 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชื่นชมแนวคิดของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (SCI-TU) และคณะทํางานป้องกันและควบคุมโรคไวรัสโคโรนา 19 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ที่ผลิตหน้ากากอนามัยกันน้ํา THAMMASK โดยใช้ผ้าฝ้ายผสมโพลิเอสเตอร์ (Cotton-Silk) ไม่ดูดซับความชื้น ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ COVID-19 ในภาวะขาดแคลนให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ด้วยเทคโนโลยีสะท้อนน้ํา จากการเคลือบด้วยสาร NUVA – 1811 ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการวิจัยเพื่อเตรียมทดสอบความสามารถในการสะท้อนน้ําและความคงทนของเส้นใย คาดว่าจะแล้วเสร็จและผลิตล็อตแรก 1,000 ชิ้น ได้ในสิ้นเดือนมีนาคมนี้
“การผลิตหน้ากากอนามัยกันน้ํา ถือเป็นแนวคิดที่ดีมีประโยชน์อย่างมากต่อบุคลากรทางการแพทย์ ในส่วนของรัฐบาลต้องขอขอบคุณ พร้อมให้การสนับสนุน โดยจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปประสาน และให้ต่อยอดถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ประชาชนได้นําไปเป็นวิธีในการตัดเย็บใช้เองต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชื่นชมแนวคิด การผลิตหน้ากากอนามัยกันน้ำ ลดเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรีชื่นชมแนวคิด การผลิตหน้ากากอนามัยกันน้ํา ลดเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19
นายกรัฐมนตรีชื่นชมแนวคิด การผลิตหน้ากากอนามัยกันน้ํา ลดเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19
วันที่ 11 มี.ค.63 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชื่นชมแนวคิดของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (SCI-TU) และคณะทํางานป้องกันและควบคุมโรคไวรัสโคโรนา 19 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ที่ผลิตหน้ากากอนามัยกันน้ํา THAMMASK โดยใช้ผ้าฝ้ายผสมโพลิเอสเตอร์ (Cotton-Silk) ไม่ดูดซับความชื้น ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ COVID-19 ในภาวะขาดแคลนให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ด้วยเทคโนโลยีสะท้อนน้ํา จากการเคลือบด้วยสาร NUVA – 1811 ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการวิจัยเพื่อเตรียมทดสอบความสามารถในการสะท้อนน้ําและความคงทนของเส้นใย คาดว่าจะแล้วเสร็จและผลิตล็อตแรก 1,000 ชิ้น ได้ในสิ้นเดือนมีนาคมนี้
“การผลิตหน้ากากอนามัยกันน้ํา ถือเป็นแนวคิดที่ดีมีประโยชน์อย่างมากต่อบุคลากรทางการแพทย์ ในส่วนของรัฐบาลต้องขอขอบคุณ พร้อมให้การสนับสนุน โดยจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปประสาน และให้ต่อยอดถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ประชาชนได้นําไปเป็นวิธีในการตัดเย็บใช้เองต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27285
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รชอ. ผนึกพลังวางแผนมาตรการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม 2561
รชอ. ผนึกพลังวางแผนมาตรการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
รชอ. ผนึกพลังวางแผนมาตรการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
อยุธยา : 8 สิงหาคม 2561 เวลา 13.30 น. ดร.สมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เรียกประชุมมาตรการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่จะกระทบต่อโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร และสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ณ ห้องประชุมสํานักงานนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน โดยมี นายไพรัตน์ เพชรยวน นายอําเภอบางปะอิน ให้การต้อนรับและร่วมให้ข้อมูล และมีนายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายโบว์แดง ทาแก้ว ผอ.ชลประทานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายประทีป บริบูรณ์รัตน์ หน.สํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายประเสริฐ โฆษิตพิรุณ อุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายสหวัฒน์ โสภา อุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี นางกรกฏ รัศมี ผอ.นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นายสุโชติ ศิริยานนท์ ผอ.นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้าไฮเทค นายคณพศ ขุนทอง ผอ.นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร นายเสรี กิ้มจ้อง ผู้จัดการสวนอุตสาหกรรมโรจนะ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
การประชุมดังกล่าว นิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม ส่วนราชการในพื้นที่จังหวัด ได้ให้ความมั่นใจว่ามาตรการที่กําหนดสามารถป้องกันเหตุอุทกภัยได้ หากมีเหตุสุดวิสัย ทางจังหวัดจะมีการประชุมและรายงานเป็นระยะ ทั้งนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ได้สั่งการและมอบหมายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรมฯ สวนอุตสาหกรรม บูรณาการจัดทําแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ําท่วมประจําปี 2561 เพื่อนําเสนอ รวอ. ในโอกาสต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รชอ. ผนึกพลังวางแผนมาตรการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม 2561
รชอ. ผนึกพลังวางแผนมาตรการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
รชอ. ผนึกพลังวางแผนมาตรการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
อยุธยา : 8 สิงหาคม 2561 เวลา 13.30 น. ดร.สมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เรียกประชุมมาตรการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่จะกระทบต่อโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร และสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ณ ห้องประชุมสํานักงานนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน โดยมี นายไพรัตน์ เพชรยวน นายอําเภอบางปะอิน ให้การต้อนรับและร่วมให้ข้อมูล และมีนายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายโบว์แดง ทาแก้ว ผอ.ชลประทานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายประทีป บริบูรณ์รัตน์ หน.สํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายประเสริฐ โฆษิตพิรุณ อุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายสหวัฒน์ โสภา อุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี นางกรกฏ รัศมี ผอ.นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นายสุโชติ ศิริยานนท์ ผอ.นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้าไฮเทค นายคณพศ ขุนทอง ผอ.นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร นายเสรี กิ้มจ้อง ผู้จัดการสวนอุตสาหกรรมโรจนะ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
การประชุมดังกล่าว นิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม ส่วนราชการในพื้นที่จังหวัด ได้ให้ความมั่นใจว่ามาตรการที่กําหนดสามารถป้องกันเหตุอุทกภัยได้ หากมีเหตุสุดวิสัย ทางจังหวัดจะมีการประชุมและรายงานเป็นระยะ ทั้งนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ได้สั่งการและมอบหมายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรมฯ สวนอุตสาหกรรม บูรณาการจัดทําแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ําท่วมประจําปี 2561 เพื่อนําเสนอ รวอ. ในโอกาสต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14466
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ปลัดแรงงาน’ เผย 7 วัน นายจ้าง - ลูกจ้าง ผ่านการคัดกรองความสัมพันธ์แล้วกว่า 1.2 แสนราย
|
วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2560
‘ปลัดแรงงาน’ เผย 7 วัน นายจ้าง - ลูกจ้าง ผ่านการคัดกรองความสัมพันธ์แล้วกว่า 1.2 แสนราย
ปลัดแรงงาน เปิดเผย ผ่านไป 7 วัน ตรวจสอบขั้นตอนการคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้าง - ลูกจ้าง ลูกจ้างผ่านการสัมภาษณ์แล้วกว่า 120,000 ราย ไม่ผ่านเกณฑ์กว่า 2,200 ราย เนื่องจากต้องตรวจมวลกระดูกเพื่อระบุอายุตามที่กฎหมายกําหนด ป้องกันการใช้แรงงานเด็ก และการค้ามนุษ
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากตรวจเยี่ยมการตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์ นายจ้าง - ลูกจ้าง ที่ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว บริเวณชั้นล่างอาคารกระทรวงแรงงาน วันนี้ (15 ส.ค. 60) โดยกล่าวว่า "ผ่านมา 7 วัน ของขั้นตอนการคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้าง - ลูกจ้าง เพื่อออกเอกสารรับรองให้นายจ้างพาแรงงานต่างด้าวไปตรวจสัญชาติของแต่ละประเทศเพื่อออกใบอนุญาตทํางานตามสถานที่ที่กําหนด ซึ่งผ่านมา 7 วัน พบว่า ทั่วประเทศมีลูกจ้างเข้ารับการตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์กับนายจ้างแล้ว 19% เป็นจํานวน 122,959 คน ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองประมาณ 2,286 คน สาเหตุส่วนใหญ่เนื่องจากคนต่างด้าวมีอายุต่ํากว่าหรือมากกว่าเกณฑ์ที่กําหนด ซึ่งต้องผ่านการตรวจมวลกระดูกจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและนําผลมายืนยันต่อเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน เพื่อป้องกันการใช้แรงงานเด็ก และการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน จากการลงพื้นที่ ไม่พบปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินการ ระบบสามารถใช้งานได้ตามปกติ ซึ่งต่างด้าวแต่ละคนจะใช้เวลาสัมภาษณ์ไม่เกิน 10 นาที ทั้งนี้ พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เน้นย้ําแก่ ทุกส่วนราชการ ไม่ให้เกิดการเรียกรับสินบนจากแรงงานต่างด้าวโดยเด็ดขาด โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องมีการตรวจอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะถ้าตรวจพบเจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงานรับส่วยจากแรงงานต่างด้าว ต้องถูกลงโทษ /สอบทางวินัยและอาญาอย่างแน่นอน"
นายสมบูรณ์ ปิยทับทิม เจ้าของกิจการร้านอาหาร ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า “วันนี้นําลูกจ้างสัญชาติเมียนมา มาตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์ จํานวน 12 คน ซึ่งสามารถดําเนินการเสร็จทุกขั้นตอนเรียบร้อย โดยใช้เวลาเพียง 10 นาที เท่านั้น ขอชื่นชมว่าทางกระทรวงแรงงาน มีเจ้าหน้าที่เพียงพอต่อการสัมภาษณ์ ดําเนินการตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์ นายจ้าง – ลูกจ้าง ได้อย่างรวดเร็วมาก”
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ข่าว
สมภพ ศีลบุตร ภาพ
15 สิงหาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ปลัดแรงงาน’ เผย 7 วัน นายจ้าง - ลูกจ้าง ผ่านการคัดกรองความสัมพันธ์แล้วกว่า 1.2 แสนราย
วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2560
‘ปลัดแรงงาน’ เผย 7 วัน นายจ้าง - ลูกจ้าง ผ่านการคัดกรองความสัมพันธ์แล้วกว่า 1.2 แสนราย
ปลัดแรงงาน เปิดเผย ผ่านไป 7 วัน ตรวจสอบขั้นตอนการคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้าง - ลูกจ้าง ลูกจ้างผ่านการสัมภาษณ์แล้วกว่า 120,000 ราย ไม่ผ่านเกณฑ์กว่า 2,200 ราย เนื่องจากต้องตรวจมวลกระดูกเพื่อระบุอายุตามที่กฎหมายกําหนด ป้องกันการใช้แรงงานเด็ก และการค้ามนุษ
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากตรวจเยี่ยมการตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์ นายจ้าง - ลูกจ้าง ที่ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว บริเวณชั้นล่างอาคารกระทรวงแรงงาน วันนี้ (15 ส.ค. 60) โดยกล่าวว่า "ผ่านมา 7 วัน ของขั้นตอนการคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้าง - ลูกจ้าง เพื่อออกเอกสารรับรองให้นายจ้างพาแรงงานต่างด้าวไปตรวจสัญชาติของแต่ละประเทศเพื่อออกใบอนุญาตทํางานตามสถานที่ที่กําหนด ซึ่งผ่านมา 7 วัน พบว่า ทั่วประเทศมีลูกจ้างเข้ารับการตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์กับนายจ้างแล้ว 19% เป็นจํานวน 122,959 คน ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองประมาณ 2,286 คน สาเหตุส่วนใหญ่เนื่องจากคนต่างด้าวมีอายุต่ํากว่าหรือมากกว่าเกณฑ์ที่กําหนด ซึ่งต้องผ่านการตรวจมวลกระดูกจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและนําผลมายืนยันต่อเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน เพื่อป้องกันการใช้แรงงานเด็ก และการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน จากการลงพื้นที่ ไม่พบปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินการ ระบบสามารถใช้งานได้ตามปกติ ซึ่งต่างด้าวแต่ละคนจะใช้เวลาสัมภาษณ์ไม่เกิน 10 นาที ทั้งนี้ พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เน้นย้ําแก่ ทุกส่วนราชการ ไม่ให้เกิดการเรียกรับสินบนจากแรงงานต่างด้าวโดยเด็ดขาด โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องมีการตรวจอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะถ้าตรวจพบเจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงานรับส่วยจากแรงงานต่างด้าว ต้องถูกลงโทษ /สอบทางวินัยและอาญาอย่างแน่นอน"
นายสมบูรณ์ ปิยทับทิม เจ้าของกิจการร้านอาหาร ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า “วันนี้นําลูกจ้างสัญชาติเมียนมา มาตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์ จํานวน 12 คน ซึ่งสามารถดําเนินการเสร็จทุกขั้นตอนเรียบร้อย โดยใช้เวลาเพียง 10 นาที เท่านั้น ขอชื่นชมว่าทางกระทรวงแรงงาน มีเจ้าหน้าที่เพียงพอต่อการสัมภาษณ์ ดําเนินการตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์ นายจ้าง – ลูกจ้าง ได้อย่างรวดเร็วมาก”
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ข่าว
สมภพ ศีลบุตร ภาพ
15 สิงหาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5934
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการประกวดสื่อสร้างสรรค์ ภายใต้หัวข้อ “ความเป็นไทยกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ถ่ายทอดผ่านบทกลอน เพลง และคลิปวิดีโอ
|
วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561
โครงการประกวดสื่อสร้างสรรค์ ภายใต้หัวข้อ “ความเป็นไทยกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ถ่ายทอดผ่านบทกลอน เพลง และคลิปวิดีโอ
โครงการประกวดสื่อสร้างสรรค์ ภายใต้หัวข้อ “ความเป็นไทยกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ถ่ายทอดผ่านบทกลอน เพลง และคลิปวิดีโอ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการประกวดสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้หัวข้อ “ความเป็นไทยกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” เพื่อส่งเสริมความตระหนักและจิตสํานึกด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชนและประชาชนผ่านบทประพันธ์หรือการสื่อสารตามรูปแบบของศิลปวัฒนธรรมไทย ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน พร้อมร่วมเสวนาในหัวข้อ “คันฉ่องส่องธรณิน ดนตรีกวีศิลป์ สิ่งแวดล้อมไทย” พร้อมกับ ดร.พจน์ ใจชาญสุขกิจ นายกสมาคมประชาสัมพันธ์ไทยและกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเอกลักษณ์ไทยในอาเซียน คุณณรงค์ฤทธิ์ โตสง่า หรือ ขุนอิน ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทย ไตรและแมค สองเหลนหน้าม่านจากรายการคุณพระช่วย รวมถึง 2 นักแสดงจากละครบุพเพสันนิวาส พระเพทราชาและพระนารายณ์นอกจากนี้ยังมีการแสดง “ขุนอิน เดี่ยวระนาด” และการแสดงเพลงฉ่อย เชิญชวนเยาวชนร่วมประกวดผลงานบทร้อยกรองและบทเพลงจาก ไตรและแมค สองเหลนหน้าม่าน
โครงการประกวดดังกล่าว กําหนดแบ่งเป็น 2 ช่วงระยะโครงการ คือ ช่วงระยะที่ 1 การจัดประกวดร้อยกรองและบทเพลง ภายใต้หัวข้อ “พลังคนรุ่นใหม่ สวมหัวใจไทย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” และช่วงระยะที่ 2 การประกวดคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการลดการใช้พลาสติก ภายใต้หัวข้อ “ลดขยะ ลดพลาสติก แบบเทคนิคไทยๆ” จึงขอเชิญชวนทุกท่านที่สนใจร่วมสร้างสื่อสร้างสรรค์ส่งผลงานเข้าประกวด เพื่อรณรงค์สร้างจิตสํานึกด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สืบสานและรักษาวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามให้คงอยู่คู่กับสังคมไทยต่อไป โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม www.deqp.go.thหรือ ทางหมายเลขโทรศัพท์ 0 2298 5630
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการประกวดสื่อสร้างสรรค์ ภายใต้หัวข้อ “ความเป็นไทยกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ถ่ายทอดผ่านบทกลอน เพลง และคลิปวิดีโอ
วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561
โครงการประกวดสื่อสร้างสรรค์ ภายใต้หัวข้อ “ความเป็นไทยกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ถ่ายทอดผ่านบทกลอน เพลง และคลิปวิดีโอ
โครงการประกวดสื่อสร้างสรรค์ ภายใต้หัวข้อ “ความเป็นไทยกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ถ่ายทอดผ่านบทกลอน เพลง และคลิปวิดีโอ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการประกวดสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้หัวข้อ “ความเป็นไทยกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” เพื่อส่งเสริมความตระหนักและจิตสํานึกด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชนและประชาชนผ่านบทประพันธ์หรือการสื่อสารตามรูปแบบของศิลปวัฒนธรรมไทย ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน พร้อมร่วมเสวนาในหัวข้อ “คันฉ่องส่องธรณิน ดนตรีกวีศิลป์ สิ่งแวดล้อมไทย” พร้อมกับ ดร.พจน์ ใจชาญสุขกิจ นายกสมาคมประชาสัมพันธ์ไทยและกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเอกลักษณ์ไทยในอาเซียน คุณณรงค์ฤทธิ์ โตสง่า หรือ ขุนอิน ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทย ไตรและแมค สองเหลนหน้าม่านจากรายการคุณพระช่วย รวมถึง 2 นักแสดงจากละครบุพเพสันนิวาส พระเพทราชาและพระนารายณ์นอกจากนี้ยังมีการแสดง “ขุนอิน เดี่ยวระนาด” และการแสดงเพลงฉ่อย เชิญชวนเยาวชนร่วมประกวดผลงานบทร้อยกรองและบทเพลงจาก ไตรและแมค สองเหลนหน้าม่าน
โครงการประกวดดังกล่าว กําหนดแบ่งเป็น 2 ช่วงระยะโครงการ คือ ช่วงระยะที่ 1 การจัดประกวดร้อยกรองและบทเพลง ภายใต้หัวข้อ “พลังคนรุ่นใหม่ สวมหัวใจไทย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” และช่วงระยะที่ 2 การประกวดคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการลดการใช้พลาสติก ภายใต้หัวข้อ “ลดขยะ ลดพลาสติก แบบเทคนิคไทยๆ” จึงขอเชิญชวนทุกท่านที่สนใจร่วมสร้างสื่อสร้างสรรค์ส่งผลงานเข้าประกวด เพื่อรณรงค์สร้างจิตสํานึกด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สืบสานและรักษาวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามให้คงอยู่คู่กับสังคมไทยต่อไป โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม www.deqp.go.thหรือ ทางหมายเลขโทรศัพท์ 0 2298 5630
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11719
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ลงพื้นที่ชุมชนเขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ตรวจติดตามการใช้ถังดักไขมันที่ได้รับจากกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อดักจับไขมันก่อนปล่อยน้ำลงสู่ท่อระบายน้ำเสีย
|
วันอังคารที่ 7 มกราคม 2563
ก.อุตฯ ลงพื้นที่ชุมชนเขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ตรวจติดตามการใช้ถังดักไขมันที่ได้รับจากกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อดักจับไขมันก่อนปล่อยน้ําลงสู่ท่อระบายน้ําเสีย
นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย รักษาการ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ชุมชนเขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ตรวจติดตามการใช้ถังดักไขมันที่ได้รับจากกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อดักจับไขมันก่อนปล่อยน้ําลงสู่ท่อระบายน้ําเสีย
วันนี้ (6 มกราคม 2562) เวลา 13.00 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย รักษาการ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ชุมชนเขตหลักสี่ กรุงเทพฯ เพื่อตรวจติดตามร้านค้า ร้านอาหาร บ้านเรือนที่ได้รับถังดักไขมันจากกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อดักจับไขมันก่อนปล่อยน้ําลงสู่ท่อระบายน้ําเสีย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ลงพื้นที่ชุมชนเขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ตรวจติดตามการใช้ถังดักไขมันที่ได้รับจากกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อดักจับไขมันก่อนปล่อยน้ำลงสู่ท่อระบายน้ำเสีย
วันอังคารที่ 7 มกราคม 2563
ก.อุตฯ ลงพื้นที่ชุมชนเขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ตรวจติดตามการใช้ถังดักไขมันที่ได้รับจากกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อดักจับไขมันก่อนปล่อยน้ําลงสู่ท่อระบายน้ําเสีย
นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย รักษาการ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ชุมชนเขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ตรวจติดตามการใช้ถังดักไขมันที่ได้รับจากกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อดักจับไขมันก่อนปล่อยน้ําลงสู่ท่อระบายน้ําเสีย
วันนี้ (6 มกราคม 2562) เวลา 13.00 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย รักษาการ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ชุมชนเขตหลักสี่ กรุงเทพฯ เพื่อตรวจติดตามร้านค้า ร้านอาหาร บ้านเรือนที่ได้รับถังดักไขมันจากกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อดักจับไขมันก่อนปล่อยน้ําลงสู่ท่อระบายน้ําเสีย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25643
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เทรนแรงงานทำเกษตรในเขตชุมชนเมือง กู้วิกฤติโควิด-19 [กระทรวงเเรงงาน]
|
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563
ก.แรงงาน เทรนแรงงานทําเกษตรในเขตชุมชนเมือง กู้วิกฤติโควิด-19 [กระทรวงเเรงงาน]
ก.แรงงาน เทรนแรงงานทําเกษตรในเขตชุมชนเมือง กู้วิกฤติโควิด-19
กระทรวงแรงงาน นําร่องฝึกอบรมทักษะฝีมือเพื่อเพิ่มศักยภาพแรงงานนอกระบบ ในเขตชุมชนเมืองกรุงเทพมหานคร แก่ผู้ถูกเลิกจ้าง ว่างงาน ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19ให้มีความรู้ สามารถนําไปประกอบอาชีพ มีรายได้เลี้ยงดูตนเอง
วันที่ 9 มิถุนายน 2563 เวลา 11.00 น. ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมทักษะฝีมือเพื่อเพิ่มศักยภาพแรงงานนอกระบบ รองรับสถานการณ์ COVID-19 ณ อาคารวิทยาลัยการแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และชมกิจกรรมการฝึกอบรมผ่าน Video Conference Zoom เขตทวีวัฒนา และเขตบึงกุ่ม ฝึกอาชีพแก่ผู้ถูกเลิกจ้าง ว่างงาน ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 นําร่องฝึกในเขตกรุงเทพมหานคร 4 เขต โดยมีนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ให้เกียรติเข้าร่วมพิธีเปิดงานในครั้งนี้ด้วย
ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน เปิดเผยหลังจากเปิดฝึกอบรมดังกล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ส่งผลให้แรงงานได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้าง ว่างงาน จึงมีมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ให้มีความรู้ สามารถนําไปประกอบอาชีพ มีรายได้เลี้ยงดูตนเอง ตามนโยบายของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่เน้นย้ําให้ฝึกทักษะแก่แรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดหรือนําไปประกอบอาชีพได้ ซึ่งปัจจุบันประชาชนปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตแบบใหม่ (New Normal) นิยมบริโภคอาหารและซื้อสินค้าออนไลน์ให้ความสําคัญกับสุขภาพมากขึ้น อีกทั้ง กระแสความนิยมการรับประทานผักปลอดสารพิษมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นด้วย จึงมอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) จัดฝึกอบรมการปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ปลอดสารพิษ และการประกอบอาหารไทยเชิงธุรกิจออนไลน์ ประเภทอาหารจานเดียว ซึ่งทั้ง 2 หลักสูตรจะช่วยให้ผู้ผ่านการอบรม สามารถนําความรู้ไปประกอบอาชีพอิสระได้ทันทีเมื่อจบฝึก สามารถทําได้ที่บ้านเหมาะกับแรงงานที่อาศัยอยู่ในชุมชนเมือง จึงนําร่องการฝึกในเขตกรุงเทพมหานคร 4 เขต ได้แก่ เขตทวีวัฒนา เขตบึงกุ่ม เขตราชเทวี และเขตดินแดง ณ วิทยาลัยการแรงงานมีระยะเวลาการฝึก 15 วัน เป้าหมายจํานวน 7 รุ่นๆ ละ 20 คน รวม 140 คน
นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดี กพร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 13 กรุงเทพมหานคร ดําเนินการ ปัจจุบันเริ่มฝึกอบรมแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 ถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2563 ได้แก่ เขตบึงกุ่ม ณ ชุมชนหมู่บ้านคลองกุ่มพิเวศร ฝึกอบรมการปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ปลอดสารพิษ อีก 1 ชุมชนใช้พื้นที่โรงเรียนคลองกุ่ม ฝึกอบรมการประกอบอาหารไทยเชิงธุรกิจออนไลน์ ประเภทอาหารจานเดียว ส่วนเขตทวีวัฒนา ณ วัดโกมุทพุทธรังสี เป็นสถานที่ฝึกการปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ปลอดสารพิษ ณ ชุมชนหมู่บ้านร่วมเกื้อ เป็นสถานที่ฝึกการประกอบอาหารไทยเชิงธุรกิจออนไลน์ และเขตดินแดง ณ วิทยาลัยการแรงงาน จัดฝึกทั้ง 2 สาขาเช่นกัน โดยเริ่มฝึกตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2563 และจะฝึกเสร็จสิ้นในวันที่ 24 มิถุนายน 2563
การปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ปลอดสารพิษนั้น ผู้เข้ารับการฝึกได้เรียนรู้เกี่ยวกับ การเลือกชนิดเมล็ดพันธุ์ที่นิยมใช้ในการเพาะปลูก ขั้นตอนการเพาะปลูก การเตรียมโรงเรือนแปลงเพาะปลูก การบํารุงดูแล การควบคุมปริมาณน้ํา การเก็บผลผลิต การบรรจุ และการจัดจําหน่าย โดยในพื้นที่เพาะปลูกขนาด 2 x 4 เมตร ใช้งบประมาณ 2,000 บาท ยกตัวอย่าง ผักกรีนโอ๊ค ระยะเวลาการเพาะปลูก 30 วัน สามารถนําไปจําหน่ายได้ราคาประมาณ 500 – 650 บาท/ครั้ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับราคาตลาด สถานที่วางจําหน่ายและบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า
นางสาวธนพร มากศักดา (หมู) อายุ 47 ปี เล่าว่า ปัจจุบันช่วยครอบครัวเปิดร้านจําหน่ายอาหารเพื่อสุขภาพ อาทิ ไข่เค็มสมุนไพร เผือกนึ่ง มันนึ่ง ผักปลอดสารพิษ จําหน่ายในตลาด Green Market เนื่องจากกระแสคนรักสุขภาพมากขึ้น การรับประทานผักปลอดสารพิษจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงสนใจหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ปลอดสารพิษ เพื่อนําไปต่อยอดทําจําหน่ายสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เทรนแรงงานทำเกษตรในเขตชุมชนเมือง กู้วิกฤติโควิด-19 [กระทรวงเเรงงาน]
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563
ก.แรงงาน เทรนแรงงานทําเกษตรในเขตชุมชนเมือง กู้วิกฤติโควิด-19 [กระทรวงเเรงงาน]
ก.แรงงาน เทรนแรงงานทําเกษตรในเขตชุมชนเมือง กู้วิกฤติโควิด-19
กระทรวงแรงงาน นําร่องฝึกอบรมทักษะฝีมือเพื่อเพิ่มศักยภาพแรงงานนอกระบบ ในเขตชุมชนเมืองกรุงเทพมหานคร แก่ผู้ถูกเลิกจ้าง ว่างงาน ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19ให้มีความรู้ สามารถนําไปประกอบอาชีพ มีรายได้เลี้ยงดูตนเอง
วันที่ 9 มิถุนายน 2563 เวลา 11.00 น. ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมทักษะฝีมือเพื่อเพิ่มศักยภาพแรงงานนอกระบบ รองรับสถานการณ์ COVID-19 ณ อาคารวิทยาลัยการแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และชมกิจกรรมการฝึกอบรมผ่าน Video Conference Zoom เขตทวีวัฒนา และเขตบึงกุ่ม ฝึกอาชีพแก่ผู้ถูกเลิกจ้าง ว่างงาน ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 นําร่องฝึกในเขตกรุงเทพมหานคร 4 เขต โดยมีนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ให้เกียรติเข้าร่วมพิธีเปิดงานในครั้งนี้ด้วย
ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน เปิดเผยหลังจากเปิดฝึกอบรมดังกล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ส่งผลให้แรงงานได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้าง ว่างงาน จึงมีมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ให้มีความรู้ สามารถนําไปประกอบอาชีพ มีรายได้เลี้ยงดูตนเอง ตามนโยบายของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่เน้นย้ําให้ฝึกทักษะแก่แรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดหรือนําไปประกอบอาชีพได้ ซึ่งปัจจุบันประชาชนปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตแบบใหม่ (New Normal) นิยมบริโภคอาหารและซื้อสินค้าออนไลน์ให้ความสําคัญกับสุขภาพมากขึ้น อีกทั้ง กระแสความนิยมการรับประทานผักปลอดสารพิษมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นด้วย จึงมอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) จัดฝึกอบรมการปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ปลอดสารพิษ และการประกอบอาหารไทยเชิงธุรกิจออนไลน์ ประเภทอาหารจานเดียว ซึ่งทั้ง 2 หลักสูตรจะช่วยให้ผู้ผ่านการอบรม สามารถนําความรู้ไปประกอบอาชีพอิสระได้ทันทีเมื่อจบฝึก สามารถทําได้ที่บ้านเหมาะกับแรงงานที่อาศัยอยู่ในชุมชนเมือง จึงนําร่องการฝึกในเขตกรุงเทพมหานคร 4 เขต ได้แก่ เขตทวีวัฒนา เขตบึงกุ่ม เขตราชเทวี และเขตดินแดง ณ วิทยาลัยการแรงงานมีระยะเวลาการฝึก 15 วัน เป้าหมายจํานวน 7 รุ่นๆ ละ 20 คน รวม 140 คน
นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดี กพร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 13 กรุงเทพมหานคร ดําเนินการ ปัจจุบันเริ่มฝึกอบรมแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 ถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2563 ได้แก่ เขตบึงกุ่ม ณ ชุมชนหมู่บ้านคลองกุ่มพิเวศร ฝึกอบรมการปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ปลอดสารพิษ อีก 1 ชุมชนใช้พื้นที่โรงเรียนคลองกุ่ม ฝึกอบรมการประกอบอาหารไทยเชิงธุรกิจออนไลน์ ประเภทอาหารจานเดียว ส่วนเขตทวีวัฒนา ณ วัดโกมุทพุทธรังสี เป็นสถานที่ฝึกการปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ปลอดสารพิษ ณ ชุมชนหมู่บ้านร่วมเกื้อ เป็นสถานที่ฝึกการประกอบอาหารไทยเชิงธุรกิจออนไลน์ และเขตดินแดง ณ วิทยาลัยการแรงงาน จัดฝึกทั้ง 2 สาขาเช่นกัน โดยเริ่มฝึกตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2563 และจะฝึกเสร็จสิ้นในวันที่ 24 มิถุนายน 2563
การปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ปลอดสารพิษนั้น ผู้เข้ารับการฝึกได้เรียนรู้เกี่ยวกับ การเลือกชนิดเมล็ดพันธุ์ที่นิยมใช้ในการเพาะปลูก ขั้นตอนการเพาะปลูก การเตรียมโรงเรือนแปลงเพาะปลูก การบํารุงดูแล การควบคุมปริมาณน้ํา การเก็บผลผลิต การบรรจุ และการจัดจําหน่าย โดยในพื้นที่เพาะปลูกขนาด 2 x 4 เมตร ใช้งบประมาณ 2,000 บาท ยกตัวอย่าง ผักกรีนโอ๊ค ระยะเวลาการเพาะปลูก 30 วัน สามารถนําไปจําหน่ายได้ราคาประมาณ 500 – 650 บาท/ครั้ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับราคาตลาด สถานที่วางจําหน่ายและบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า
นางสาวธนพร มากศักดา (หมู) อายุ 47 ปี เล่าว่า ปัจจุบันช่วยครอบครัวเปิดร้านจําหน่ายอาหารเพื่อสุขภาพ อาทิ ไข่เค็มสมุนไพร เผือกนึ่ง มันนึ่ง ผักปลอดสารพิษ จําหน่ายในตลาด Green Market เนื่องจากกระแสคนรักสุขภาพมากขึ้น การรับประทานผักปลอดสารพิษจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงสนใจหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ปลอดสารพิษ เพื่อนําไปต่อยอดทําจําหน่ายสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32124
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ออกมาตรการพิเศษ “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 2% ต่อปี” พร้อมขยายเงื่อนไขคุ้มครองการส่งออกไปทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 [กระทรวงการคลัง]
|
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
EXIM BANK ออกมาตรการพิเศษ “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา 2% ต่อปี” พร้อมขยายเงื่อนไขคุ้มครองการส่งออกไปทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 [กระทรวงการคลัง]
EXIM BANK ออก “มาตรการเอ็กซิมดอกเบี้ยต่ําช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19” สินเชื่อระยะยาว 7 ปี วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2% ต่อปีในปีที่ 1-2 ใช้หมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก
EXIM BANK ออกมาตรการพิเศษ “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา 2% ต่อปี” พร้อมขยายเงื่อนไขคุ้มครองการส่งออกไปทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
EXIM BANK ออก “มาตรการเอ็กซิมดอกเบี้ยต่ําช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19” สินเชื่อระยะยาว 7 ปี วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2% ต่อปีในปีที่ 1-2 ใช้หมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก พร้อมปรับปรุงมาตรการช่วยเหลือลูกค้าปัจจุบัน โดยขยายระยะเวลาการชําระเงินที่ให้ความคุ้มครองภายใต้ประกันการส่งออกสูงสุด 270 วัน สําหรับการส่งออกไปยังผู้ซื้อในจีนและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามประกาศของ WHO นอกเหนือจากการพักชําระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุด 6 เดือน
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ออก “มาตรการเอ็กซิมดอกเบี้ยต่ําช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19” เป็นสินเชื่อระยะยาว วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ 2% ต่อปีในปีที่ 1-2 ส่วนปีที่ 3-4 อยู่ที่ Prime Rate -1.25% และปีที่ 5-7 อยู่ที่ Prime Rate -0.25% (Prime Rate ณ 31 มีนาคม 2563 เท่ากับ 5.75%) ระยะเวลาชําระคืนสูงสุด 7 ปี ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ําประกัน บสย. 2 ปีแรก และฟรี! ค่าธรรมเนียม Front-end Fee เพื่อให้ผู้ประกอบการ นําไปใช้หมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกซึ่งได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจาก COVID-19 ติดต่อขอรับบริการได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 ธันวาคม 2563
นอกจากนี้ EXIM BANK ได้ขยายเงื่อนไขมาตรการ EXIM ลดภาระผู้ส่งออกไทย สู้ภัยไวรัสโคโรนา ให้แก่ลูกค้า
• ด้านสินเชื่อ พักชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน เพื่อลดภาระลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อระยะยาวและระยะสั้นที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ได้ภายใน 31 ธันวาคม 2563
• ด้านรับประกันการส่งออก ขยายระยะเวลาการชําระเงินที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด 270 วัน แก่ผู้ส่งออกที่ถือกรมธรรม์ประกันการส่งออกของ EXIM BANK และส่งออกไปทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ได้ภายใน 31 กรกฎาคม 2563
- กรณีไม่เกิน 180 วัน ไม่ต้องชําระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม
- กรณีมากกว่า 180 วัน แต่ไม่เกิน 270 วัน ชําระค่าเบี้ยประกันเพียง 50%
ทั้งนี้ ฟรี! คุ้มครองการส่งออกสินค้าเน่าเสียง่าย กรณีผู้ซื้อในจีนไม่รับมอบสินค้า สูงสุด 50% ของมูลค่าใบกํากับสินค้า และลดระยะเวลาพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีผู้ซื้อในจีนไม่รับมอบสินค้า
“การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทุกภาคส่วน EXIM BANK จึงติดตามสถานการณ์และออกมาตรการใหม่ ๆ รวมทั้งโปรแกรมสินเชื่อพิเศษต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าและผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs รับมือกับสถานการณ์และประคับประคองธุรกิจให้ดําเนินไปได้ ลดผลกระทบต่อการจ้างงานและการผลิตสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคภายในและต่างประเทศ เพื่อเยียวยาภาคธุรกิจและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันและระยะถัดไป” นายพิศิษฐ์ กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand Launches Special Scheme “2% Interest Soft Loan” and Extend Payment Term of Insurance Coverage for Export to All Countries Affected by COVID-19
EXIM Thailand has rolled out “EXIM Soft Loan for Entrepreneurs Affected by COVID-19” as a 7-year term credit facility with a maximum credit line of 20 million baht per entrepreneur at a special interest rate of 2% per annum in the first two years for use as revolving fund in export-related businesses. The Bank has also revised scheme for the existing customers with extension of exporters’ payment term under insurance coverage for a maximum of 270 days for export to buyers in countries that have been affected by the COVID-19 outbreak according to the WHO situation report in addition to suspension of principal and interest debt payment for up to 6 months.
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that, EXIM Thailand has launched “EXIM Soft Loan for Entrepreneurs Affected by COVID-19” as a long-term credit facility with a maximum credit line of 20 million baht per entrepreneur at a special interest rate of 2% per annum in the 1st and 2nd years, prime rate -1.25% in the 3rd and 4th years, and prime rate -0.25% in the 5th and 6th years (prime rate as of March 31, 2020 is 5.75%), and maximum repayment period of 7 years, as well as free! a TCG guarantee fee in the first 2 years and free! a front-end fee, for entrepreneurs to use as revolving fund in export-related businesses hit directly or indirectly by COVID-19. Entrepreneurs may apply for the service from today until December 30, 2020.
Besides, EXIM Thailand has expanded criteria under Debt Suspension Scheme for Exporters amid Coronavirus Outbreak as follows:
• Credit facility Suspension of principal and interest debt payment for 6 months for customers with long-term and short-term credit lines and affected by the COVID-19 spread. Clients may apply for the service from today until December 31, 2020.
• Export credit insurance facility Extension of payment term under insurance coverage for a total period of up to 270 days for export credit insurance clients with export to the countries affected by the COVID-19 spread according to the report of World Health Organization (WHO). Clients may inform the Bank of the intention to take this offer from today until July 31, 2020.
- In case of not exceeding 180 days, no additional insurance premium is required.
- In case of extension of more than 180 days, but not more than 270 days, additional insurance premium of 50% is required.
Free! additional coverage for perishable exported goods shipped to and rejected by Chinese buyers as a special case at a rate of 50% of the value of invoice, and shortening of the period for considering payment of insurance claims compensation in case of delivered goods rejection by buyers in China.
“The COVID-19 pandemic has significantly ravaged all sectors. We have thus kept abreast of the situation and worked out new measures including special credit programs to assist customers and Thai entrepreneurs, SMEs in particular, in dealing with the situation and sustain their business, relieve impact on labor employment, and manufacturing of consumer goods both domestically and overseas to heal the business sectors and ease impacts on Thai and global economies now and looking forward,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ออกมาตรการพิเศษ “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 2% ต่อปี” พร้อมขยายเงื่อนไขคุ้มครองการส่งออกไปทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 [กระทรวงการคลัง]
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
EXIM BANK ออกมาตรการพิเศษ “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา 2% ต่อปี” พร้อมขยายเงื่อนไขคุ้มครองการส่งออกไปทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 [กระทรวงการคลัง]
EXIM BANK ออก “มาตรการเอ็กซิมดอกเบี้ยต่ําช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19” สินเชื่อระยะยาว 7 ปี วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2% ต่อปีในปีที่ 1-2 ใช้หมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก
EXIM BANK ออกมาตรการพิเศษ “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา 2% ต่อปี” พร้อมขยายเงื่อนไขคุ้มครองการส่งออกไปทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
EXIM BANK ออก “มาตรการเอ็กซิมดอกเบี้ยต่ําช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19” สินเชื่อระยะยาว 7 ปี วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2% ต่อปีในปีที่ 1-2 ใช้หมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก พร้อมปรับปรุงมาตรการช่วยเหลือลูกค้าปัจจุบัน โดยขยายระยะเวลาการชําระเงินที่ให้ความคุ้มครองภายใต้ประกันการส่งออกสูงสุด 270 วัน สําหรับการส่งออกไปยังผู้ซื้อในจีนและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามประกาศของ WHO นอกเหนือจากการพักชําระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุด 6 เดือน
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ออก “มาตรการเอ็กซิมดอกเบี้ยต่ําช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19” เป็นสินเชื่อระยะยาว วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ 2% ต่อปีในปีที่ 1-2 ส่วนปีที่ 3-4 อยู่ที่ Prime Rate -1.25% และปีที่ 5-7 อยู่ที่ Prime Rate -0.25% (Prime Rate ณ 31 มีนาคม 2563 เท่ากับ 5.75%) ระยะเวลาชําระคืนสูงสุด 7 ปี ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ําประกัน บสย. 2 ปีแรก และฟรี! ค่าธรรมเนียม Front-end Fee เพื่อให้ผู้ประกอบการ นําไปใช้หมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกซึ่งได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจาก COVID-19 ติดต่อขอรับบริการได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 ธันวาคม 2563
นอกจากนี้ EXIM BANK ได้ขยายเงื่อนไขมาตรการ EXIM ลดภาระผู้ส่งออกไทย สู้ภัยไวรัสโคโรนา ให้แก่ลูกค้า
• ด้านสินเชื่อ พักชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน เพื่อลดภาระลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อระยะยาวและระยะสั้นที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ได้ภายใน 31 ธันวาคม 2563
• ด้านรับประกันการส่งออก ขยายระยะเวลาการชําระเงินที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด 270 วัน แก่ผู้ส่งออกที่ถือกรมธรรม์ประกันการส่งออกของ EXIM BANK และส่งออกไปทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ได้ภายใน 31 กรกฎาคม 2563
- กรณีไม่เกิน 180 วัน ไม่ต้องชําระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม
- กรณีมากกว่า 180 วัน แต่ไม่เกิน 270 วัน ชําระค่าเบี้ยประกันเพียง 50%
ทั้งนี้ ฟรี! คุ้มครองการส่งออกสินค้าเน่าเสียง่าย กรณีผู้ซื้อในจีนไม่รับมอบสินค้า สูงสุด 50% ของมูลค่าใบกํากับสินค้า และลดระยะเวลาพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีผู้ซื้อในจีนไม่รับมอบสินค้า
“การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทุกภาคส่วน EXIM BANK จึงติดตามสถานการณ์และออกมาตรการใหม่ ๆ รวมทั้งโปรแกรมสินเชื่อพิเศษต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าและผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs รับมือกับสถานการณ์และประคับประคองธุรกิจให้ดําเนินไปได้ ลดผลกระทบต่อการจ้างงานและการผลิตสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคภายในและต่างประเทศ เพื่อเยียวยาภาคธุรกิจและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันและระยะถัดไป” นายพิศิษฐ์ กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4
EXIM Thailand Launches Special Scheme “2% Interest Soft Loan” and Extend Payment Term of Insurance Coverage for Export to All Countries Affected by COVID-19
EXIM Thailand has rolled out “EXIM Soft Loan for Entrepreneurs Affected by COVID-19” as a 7-year term credit facility with a maximum credit line of 20 million baht per entrepreneur at a special interest rate of 2% per annum in the first two years for use as revolving fund in export-related businesses. The Bank has also revised scheme for the existing customers with extension of exporters’ payment term under insurance coverage for a maximum of 270 days for export to buyers in countries that have been affected by the COVID-19 outbreak according to the WHO situation report in addition to suspension of principal and interest debt payment for up to 6 months.
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that, EXIM Thailand has launched “EXIM Soft Loan for Entrepreneurs Affected by COVID-19” as a long-term credit facility with a maximum credit line of 20 million baht per entrepreneur at a special interest rate of 2% per annum in the 1st and 2nd years, prime rate -1.25% in the 3rd and 4th years, and prime rate -0.25% in the 5th and 6th years (prime rate as of March 31, 2020 is 5.75%), and maximum repayment period of 7 years, as well as free! a TCG guarantee fee in the first 2 years and free! a front-end fee, for entrepreneurs to use as revolving fund in export-related businesses hit directly or indirectly by COVID-19. Entrepreneurs may apply for the service from today until December 30, 2020.
Besides, EXIM Thailand has expanded criteria under Debt Suspension Scheme for Exporters amid Coronavirus Outbreak as follows:
• Credit facility Suspension of principal and interest debt payment for 6 months for customers with long-term and short-term credit lines and affected by the COVID-19 spread. Clients may apply for the service from today until December 31, 2020.
• Export credit insurance facility Extension of payment term under insurance coverage for a total period of up to 270 days for export credit insurance clients with export to the countries affected by the COVID-19 spread according to the report of World Health Organization (WHO). Clients may inform the Bank of the intention to take this offer from today until July 31, 2020.
- In case of not exceeding 180 days, no additional insurance premium is required.
- In case of extension of more than 180 days, but not more than 270 days, additional insurance premium of 50% is required.
Free! additional coverage for perishable exported goods shipped to and rejected by Chinese buyers as a special case at a rate of 50% of the value of invoice, and shortening of the period for considering payment of insurance claims compensation in case of delivered goods rejection by buyers in China.
“The COVID-19 pandemic has significantly ravaged all sectors. We have thus kept abreast of the situation and worked out new measures including special credit programs to assist customers and Thai entrepreneurs, SMEs in particular, in dealing with the situation and sustain their business, relieve impact on labor employment, and manufacturing of consumer goods both domestically and overseas to heal the business sectors and ease impacts on Thai and global economies now and looking forward,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28170
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรมแถลงข่าวพิธีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 34 ประจำปี 2562
|
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563
กระทรวงวัฒนธรรมแถลงข่าวพิธีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคํา ครั้งที่ 34 ประจําปี 2562
กระทรวงวัฒนธรรมแถลงข่าวพิธีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคํา ครั้งที่ 34 ประจําปี 2562 พร้อมประกาศเกียรติคุณผู้ได้รับ “รางวัลเกียรติยศคนทีวี” ประจําปี 25632 “Life Time Achievement Awards” ซึ่งเป็นผู้ที่มีผลงานคุณภาพและมีคุณูปการต่อวงการโทรทัศน์ไทยทั้งเบื้อ
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์ประชุม ชั้น 8 กระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมมอบหมายให้ นายประสพ เรียงเงิน ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในงานแถลงข่าวพิธีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคํา ครั้งที่ 34 ประจําปี 2562 ร่วมด้วยคณะกรรมการโทรทัศน์ทองคํา นําโดย พยงค์ คชาลัย ประธานมูลนิธิ จํานง รังสิกุล และ ประธานคณะกรรมการตัดสิน พร้อมด้วย ดร. ณ ฤดี เคียงศิริ ประธานคณะกรรมการอํานวยการจัดงานโทรทัศน์ทองคํา
รศ.อรุณีประภา หอมเศรษฐี ประธานคณะกรรมการคัดเลือก และ นคร วีระประวัติ รองประธานคณะกรรมการอํานวยการฯ ร่วมกับ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จับมือแถลงข่าวการจัดงานพิธีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคํา ครั้งที่ 34 ประจําปี 2562 ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงวัฒนธรรม
พร้อมทั้ง ประกาศเกียรติคุณผู้ได้รับ “รางวัลเกียรติยศคนทีวี” ประจําปี 25632 “Life Time Achievement Awards” ซึ่งเป็นผู้ที่มีผลงานคุณภาพและมีคุณูปการต่อวงการโทรทัศน์ไทยทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง พร้อมเปิดโผผู้เข้าชิงรางวัล ผู้ที่มีผลงานเข้มข้น ทั้งสาระและความบันเทิง
ทั้งนี้ พิธีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคํา ครั้งที่ 34 ประจําปี 2562 จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 17.00 น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และออกอากาศเวลา 22.45 น. ทางช่อง 3 กด 33 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรสายด่วนวัฒนธรรม 1765
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรมแถลงข่าวพิธีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 34 ประจำปี 2562
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563
กระทรวงวัฒนธรรมแถลงข่าวพิธีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคํา ครั้งที่ 34 ประจําปี 2562
กระทรวงวัฒนธรรมแถลงข่าวพิธีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคํา ครั้งที่ 34 ประจําปี 2562 พร้อมประกาศเกียรติคุณผู้ได้รับ “รางวัลเกียรติยศคนทีวี” ประจําปี 25632 “Life Time Achievement Awards” ซึ่งเป็นผู้ที่มีผลงานคุณภาพและมีคุณูปการต่อวงการโทรทัศน์ไทยทั้งเบื้อ
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์ประชุม ชั้น 8 กระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมมอบหมายให้ นายประสพ เรียงเงิน ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในงานแถลงข่าวพิธีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคํา ครั้งที่ 34 ประจําปี 2562 ร่วมด้วยคณะกรรมการโทรทัศน์ทองคํา นําโดย พยงค์ คชาลัย ประธานมูลนิธิ จํานง รังสิกุล และ ประธานคณะกรรมการตัดสิน พร้อมด้วย ดร. ณ ฤดี เคียงศิริ ประธานคณะกรรมการอํานวยการจัดงานโทรทัศน์ทองคํา
รศ.อรุณีประภา หอมเศรษฐี ประธานคณะกรรมการคัดเลือก และ นคร วีระประวัติ รองประธานคณะกรรมการอํานวยการฯ ร่วมกับ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จับมือแถลงข่าวการจัดงานพิธีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคํา ครั้งที่ 34 ประจําปี 2562 ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงวัฒนธรรม
พร้อมทั้ง ประกาศเกียรติคุณผู้ได้รับ “รางวัลเกียรติยศคนทีวี” ประจําปี 25632 “Life Time Achievement Awards” ซึ่งเป็นผู้ที่มีผลงานคุณภาพและมีคุณูปการต่อวงการโทรทัศน์ไทยทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง พร้อมเปิดโผผู้เข้าชิงรางวัล ผู้ที่มีผลงานเข้มข้น ทั้งสาระและความบันเทิง
ทั้งนี้ พิธีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคํา ครั้งที่ 34 ประจําปี 2562 จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 17.00 น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และออกอากาศเวลา 22.45 น. ทางช่อง 3 กด 33 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรสายด่วนวัฒนธรรม 1765
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26470
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. แนะนายจ้างจัดอุปกรณ์ป้องกันสารมลพิษทางอากาศให้ลูกจ้าง ในพื้นที่ตรวจพบค่าฝุ่นพิษ PM2.5 เกินมาตรฐาน หวั่นได้รับกระทบสุขภาพ
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2563
กสร. แนะนายจ้างจัดอุปกรณ์ป้องกันสารมลพิษทางอากาศให้ลูกจ้าง ในพื้นที่ตรวจพบค่าฝุ่นพิษ PM2.5 เกินมาตรฐาน หวั่นได้รับกระทบสุขภาพ
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ห่วงลูกจ้างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ตรวจพบค่าฝุ่นพิษ PM 2.5 เกินมาตรฐาน
แนะนายจ้างจัดหาหน้ากากกรองฝุ่นละอองให้ลูกจ้างที่ปฏิบัติงานพื้นที่โล่งแจ้ง พร้อมกําชับให้สวมใส่ตลอดระยะเวลาปฏิบัติงาน และระหว่างการเดินทาง หวั่นได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า จากรายงาน การตรวจสอบคุณภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 72 สถานี ทั้งของกรมควบคุมมลพิษ และกรุงเทพมหานคร พบว่าสารมลพิษทางอากาศที่ตรวจพบเกินมาตรฐานได้แก่ ฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ตรวจพบค่าระหว่าง 39-71 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยในเขตกรุงเทพมหานครมีฝุ่นพิษปกคลุมกระทบ 33 พื้นที่ อาทิ เขตบางขุนเทียน เขตบางนา เขตปทุมวัน เขตธนบุรี เขตวังทองหลาง เป็นต้น และในเขตปริมณฑลอีก 8 พื้นที่ อาทิ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้างผู้ใช้แรงงานที่ต้องปฏิบัติงานภายนอกอาคารเป็นเวลานาน ๆ เช่น ลูกจ้างในงานก่อสร้าง งานในที่โล่งแจ้ง ลูกจ้างที่ต้องขับขี่ยานพาหนะ จึงขอแนะนําให้นายจ้างและผู้ประกอบการต้องให้ความสําคัญในเรื่องดังกล่าว รวมถึงให้การคุ้มครอง ดูแลลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงต่อการสูดดมฝุ่นละออง เพื่อป้องกันมิให้ เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้าง โดยจัดหน้ากากที่กรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ให้ลูกจ้าง และกําชับให้สวมใส่ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานรวมถึงระหว่างการเดินทางไปกลับจากที่พัก และที่ทํางานด้วย เพื่อความปลอดภัยในการทํางานและสุขภาพอนามัยที่ดีของลูกจ้างเอง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. แนะนายจ้างจัดอุปกรณ์ป้องกันสารมลพิษทางอากาศให้ลูกจ้าง ในพื้นที่ตรวจพบค่าฝุ่นพิษ PM2.5 เกินมาตรฐาน หวั่นได้รับกระทบสุขภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2563
กสร. แนะนายจ้างจัดอุปกรณ์ป้องกันสารมลพิษทางอากาศให้ลูกจ้าง ในพื้นที่ตรวจพบค่าฝุ่นพิษ PM2.5 เกินมาตรฐาน หวั่นได้รับกระทบสุขภาพ
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ห่วงลูกจ้างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ตรวจพบค่าฝุ่นพิษ PM 2.5 เกินมาตรฐาน
แนะนายจ้างจัดหาหน้ากากกรองฝุ่นละอองให้ลูกจ้างที่ปฏิบัติงานพื้นที่โล่งแจ้ง พร้อมกําชับให้สวมใส่ตลอดระยะเวลาปฏิบัติงาน และระหว่างการเดินทาง หวั่นได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า จากรายงาน การตรวจสอบคุณภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 72 สถานี ทั้งของกรมควบคุมมลพิษ และกรุงเทพมหานคร พบว่าสารมลพิษทางอากาศที่ตรวจพบเกินมาตรฐานได้แก่ ฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ตรวจพบค่าระหว่าง 39-71 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยในเขตกรุงเทพมหานครมีฝุ่นพิษปกคลุมกระทบ 33 พื้นที่ อาทิ เขตบางขุนเทียน เขตบางนา เขตปทุมวัน เขตธนบุรี เขตวังทองหลาง เป็นต้น และในเขตปริมณฑลอีก 8 พื้นที่ อาทิ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้างผู้ใช้แรงงานที่ต้องปฏิบัติงานภายนอกอาคารเป็นเวลานาน ๆ เช่น ลูกจ้างในงานก่อสร้าง งานในที่โล่งแจ้ง ลูกจ้างที่ต้องขับขี่ยานพาหนะ จึงขอแนะนําให้นายจ้างและผู้ประกอบการต้องให้ความสําคัญในเรื่องดังกล่าว รวมถึงให้การคุ้มครอง ดูแลลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงต่อการสูดดมฝุ่นละออง เพื่อป้องกันมิให้ เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้าง โดยจัดหน้ากากที่กรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ให้ลูกจ้าง และกําชับให้สวมใส่ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานรวมถึงระหว่างการเดินทางไปกลับจากที่พัก และที่ทํางานด้วย เพื่อความปลอดภัยในการทํางานและสุขภาพอนามัยที่ดีของลูกจ้างเอง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25679
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจแก่บุคลากร เจ้าหน้าที่ พร้อมบรรยายพิเศษ “กำเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ อุดรธานี
|
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่บุคลากร เจ้าหน้าที่ พร้อมบรรยายพิเศษ “กําเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ อุดรธานี
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่บุคลากร เจ้าหน้าที่ พร้อมบรรยายพิเศษ “กําเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ อุดรธานี
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่แคณะผู้บริหาร ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ และฝ่ายปกครองพร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นครูพิเศษบรรยายในวิชา “กําเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดอุดรธานี ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จังหวัดอุดรธานี อําเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า “การดําเนินการของสถานพินิจฯ แห่งนี้ นอกจากจะดําเนินการตามคําสั่งของศาลและนโยบายของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรมแล้วยังมีแนวทางการทํางานและกิจกรรมต่างๆ ที่มีส่วนสําคัญในการอบรมกล่อมเกลาเด็กและเยาวชน อันได้แก่ : ๑. การฝึกทําสบู่จากกากกาแฟเด็กดีสถานพินิจฯ อุดรธานี เพื่อต้องการฝึกทักษะวิชาชีพเด็กและเยาวชน โดยใช้ของที่มีอยู่ เช่น กากกาแฟสดเพื่อลดต้นทุนการผลิต และสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองได้ ภายหลังการปล่อยตัวแล้ว โดยยึดถือปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหัวใจในการครองตน ๒. ข้าวโพดคั่ว ฝึกทักษะวิชาชีพให้เยาวชนโดยใช้อุปกรณ์ที่มีในครัวเรือนไม่ต้องหาซื้อ และต้นทุนต่ํา สามารถจําหน่ายได้ง่าย ๓. สถานพินิจฯ อุดรธานี เน้นให้ความสําคัญกับเรื่องกีฬา ด้วยกีฬาสร้างระเบียบวินัย และความรู้รักสามัคคี ได้รับรางวัลชนะเลิศกีฬาฟุตบอลสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ
เช้าวันนี้ ลูกหลานสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดอุดรธานี มีความสนใจ ในการตั้งคําถามและตอบคําถามในวิชาที่ได้มีการถกแถลง ซึ่ง ม.ล.ปนัดดาฯ ในฐานะครูพิเศษประจําวัน ได้กล่าวชื่นชมกระบวนการมีส่วนร่วมของลูกหลานสถานพินิจฯ ทุกคน โดยกล่าวว่า “ความกล้าในการแสดงออกของลูกหลานที่ได้แลเห็นวันนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นตั้งใจที่แต่ละคนมีความเพียรพยายามที่จะหาวิชาความรู้ ความมุ่งมั่นที่จะเป็นคนดีของสังคมและชาติบ้านเมือง เป็นความภูมิใจของครอบครัว ความกล้ามีไว้เพื่อให้กระทําในสิ่งที่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมหาใช่เพื่อกระทําความไม่ดี ขัดต่อกฎระเบียบของแผ่นดิน ผมมีความยินดีที่ได้มาพบปะและพูดคุยกับลูกหลานทุกคน อยากบอกว่า ทุกๆ คน คือ ความหวังของครอบครัวและของชาติ ต้องไม่ทําให้บุพการีและประชาชนคนไทยผิดหวัง การกระทําที่ผ่านไปถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจ แต่ต้องไม่กระทําผิดซ้ํา ความผิดกับความชั่วไม่เหมือนกัน ความดีความถูกต้องเกิดขึ้นโดยตัวเราเองทั้งสิ้น อย่าให้ใครผู้ใดมาครอบงําหรือพาเราเดินไปในทางที่ผิดอีกต่อไป”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจแก่บุคลากร เจ้าหน้าที่ พร้อมบรรยายพิเศษ “กำเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ อุดรธานี
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่บุคลากร เจ้าหน้าที่ พร้อมบรรยายพิเศษ “กําเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ อุดรธานี
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่บุคลากร เจ้าหน้าที่ พร้อมบรรยายพิเศษ “กําเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ อุดรธานี
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่แคณะผู้บริหาร ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ และฝ่ายปกครองพร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นครูพิเศษบรรยายในวิชา “กําเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดอุดรธานี ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จังหวัดอุดรธานี อําเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า “การดําเนินการของสถานพินิจฯ แห่งนี้ นอกจากจะดําเนินการตามคําสั่งของศาลและนโยบายของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรมแล้วยังมีแนวทางการทํางานและกิจกรรมต่างๆ ที่มีส่วนสําคัญในการอบรมกล่อมเกลาเด็กและเยาวชน อันได้แก่ : ๑. การฝึกทําสบู่จากกากกาแฟเด็กดีสถานพินิจฯ อุดรธานี เพื่อต้องการฝึกทักษะวิชาชีพเด็กและเยาวชน โดยใช้ของที่มีอยู่ เช่น กากกาแฟสดเพื่อลดต้นทุนการผลิต และสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองได้ ภายหลังการปล่อยตัวแล้ว โดยยึดถือปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหัวใจในการครองตน ๒. ข้าวโพดคั่ว ฝึกทักษะวิชาชีพให้เยาวชนโดยใช้อุปกรณ์ที่มีในครัวเรือนไม่ต้องหาซื้อ และต้นทุนต่ํา สามารถจําหน่ายได้ง่าย ๓. สถานพินิจฯ อุดรธานี เน้นให้ความสําคัญกับเรื่องกีฬา ด้วยกีฬาสร้างระเบียบวินัย และความรู้รักสามัคคี ได้รับรางวัลชนะเลิศกีฬาฟุตบอลสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ
เช้าวันนี้ ลูกหลานสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดอุดรธานี มีความสนใจ ในการตั้งคําถามและตอบคําถามในวิชาที่ได้มีการถกแถลง ซึ่ง ม.ล.ปนัดดาฯ ในฐานะครูพิเศษประจําวัน ได้กล่าวชื่นชมกระบวนการมีส่วนร่วมของลูกหลานสถานพินิจฯ ทุกคน โดยกล่าวว่า “ความกล้าในการแสดงออกของลูกหลานที่ได้แลเห็นวันนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นตั้งใจที่แต่ละคนมีความเพียรพยายามที่จะหาวิชาความรู้ ความมุ่งมั่นที่จะเป็นคนดีของสังคมและชาติบ้านเมือง เป็นความภูมิใจของครอบครัว ความกล้ามีไว้เพื่อให้กระทําในสิ่งที่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมหาใช่เพื่อกระทําความไม่ดี ขัดต่อกฎระเบียบของแผ่นดิน ผมมีความยินดีที่ได้มาพบปะและพูดคุยกับลูกหลานทุกคน อยากบอกว่า ทุกๆ คน คือ ความหวังของครอบครัวและของชาติ ต้องไม่ทําให้บุพการีและประชาชนคนไทยผิดหวัง การกระทําที่ผ่านไปถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจ แต่ต้องไม่กระทําผิดซ้ํา ความผิดกับความชั่วไม่เหมือนกัน ความดีความถูกต้องเกิดขึ้นโดยตัวเราเองทั้งสิ้น อย่าให้ใครผู้ใดมาครอบงําหรือพาเราเดินไปในทางที่ผิดอีกต่อไป”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11667
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ.จับมือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนากฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรมให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
ยธ.จับมือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนากฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรมให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐
เพื่อพิจารณากรอบแนวทางการดําเนินการพัฒนากฎหมายด้านกระบวนการยุติธรรม
ให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ
รวมทั้งพิจารณาเกี่ยวกับการยกร่างพระราชบัญญัติโนตารี พ.ศ. ....
และร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขึ้นทะเบียนล่ามในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. ....
โดยมีนายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม
นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม เข้าร่วมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
ทั้งนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบแนวทางสาขาของกฎหมายที่ต้องมีการพัฒนาให้สอดคล้อง
กับทิศทางการพัฒนาประเทศ จํานวน ๕ สาขา ประกอบด้วย
๑. กฎหมายที่สามารถเสริมสร้างการแข่งขันให้กับประเทศ
๒. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกติการะหว่างประเทศ
๓. การปฏิรูปองค์กรและระบบในกระบวนการยุติธรรม
๔. กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
และ ๕. กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พร้อมกันนี้ยังเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติโนตารี พ.ศ. ....
และร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขึ้นทะเบียนล่ามในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. ....
โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อปรับปรุงเนื้อหาก่อนนําเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ.จับมือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนากฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรมให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
ยธ.จับมือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนากฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรมให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐
เพื่อพิจารณากรอบแนวทางการดําเนินการพัฒนากฎหมายด้านกระบวนการยุติธรรม
ให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ
รวมทั้งพิจารณาเกี่ยวกับการยกร่างพระราชบัญญัติโนตารี พ.ศ. ....
และร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขึ้นทะเบียนล่ามในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. ....
โดยมีนายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม
นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม เข้าร่วมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
ทั้งนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบแนวทางสาขาของกฎหมายที่ต้องมีการพัฒนาให้สอดคล้อง
กับทิศทางการพัฒนาประเทศ จํานวน ๕ สาขา ประกอบด้วย
๑. กฎหมายที่สามารถเสริมสร้างการแข่งขันให้กับประเทศ
๒. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกติการะหว่างประเทศ
๓. การปฏิรูปองค์กรและระบบในกระบวนการยุติธรรม
๔. กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
และ ๕. กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พร้อมกันนี้ยังเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติโนตารี พ.ศ. ....
และร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขึ้นทะเบียนล่ามในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. ....
โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อปรับปรุงเนื้อหาก่อนนําเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3523
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เทศกาลฮัจย์” มีสิทธิ์ลุ้นบิน!...ทำฮัจย์ฟรีๆกับไอแบงก์”
|
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560
“เทศกาลฮัจย์” มีสิทธิ์ลุ้นบิน!...ทําฮัจย์ฟรีๆกับไอแบงก์”
ไอแบงก์ร่วมต้อนรับเทศกาลฮัจย์ ประจําปี ฮ.ศ.1438 ขอเชิญชวนลูกค้ามุสลิมเปิดบัญชีเงินฝาก ประเภทบัญชี อัล-ฮัจย์ รับผลตอบแทนทุกสิ้นเดือน และประเภทบัญชี อัลฮัจย์ V.2 เปิดบัญชีขั้นต่ํา 500 บาท รับผลตอบแทนทุกสิ้นเดือนมิ.ย.และธ.ค.
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ร่วมต้อนรับเทศกาลฮัจย์ ประจําปี ฮ.ศ.1438 ขอเชิญชวนลูกค้ามุสลิมเปิดบัญชีเงินฝาก ประเภทบัญชี อัล-ฮัจย์ เปิดบัญชีขั้นต่ํา 2,500 บาท รับผลตอบแทนทุกสิ้นเดือน และประเภทบัญชี อัลฮัจย์ V.2 เปิดบัญชีขั้นต่ํา 500 บาท รับผลตอบแทนทุกสิ้นเดือนมิ.ย.และธ.ค. เพื่อเตรียมความพร้อมในการออมเงิน สู่การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ นครมักกะห์ ประเทศซาอุดิอารเบีย พิเศษ! กับกิจกรรมสัมมนาคุณ ธนาคารขอมอบรางวัลให้กับผู้โชคดีทําฮัจย์ ฟรี! ท่านละ 1 รางวัล รางวัลละ 180,000 บาท รวม 8 รางวัล รวมมูลค่าทั้งสิ้น 1,440,000 บาท เพียงมียอดเงินฝากข้างต้นไม่ต่ํากว่า 2,000 บาท ต่อบัญชีต่อเดือน
สามารถเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 สิงหาคม ศกนี้ เท่านั้น! และจับรางวัลผู้โชคดีในวันที่ 25 ธันวาคม 2560 ณ สํานักงานใหญ่ อาคารคิวเฮ้าส์ อโศก พร้อมประกาศผู้โชคดีในวันที่ 10 มกราคม 2561 ผ่านสาขาของธนาคารและ www.ibank.co.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1302
....มาเป็นครอบครัวไอแบงก์ เพื่อรับสิทธิ์เดินทางไปทําฮัจย์กับเราสิครับ...
ขอขอบคุณในความอนุเคราะห์เผยแพร่ข่าวสาร
ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เทศกาลฮัจย์” มีสิทธิ์ลุ้นบิน!...ทำฮัจย์ฟรีๆกับไอแบงก์”
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560
“เทศกาลฮัจย์” มีสิทธิ์ลุ้นบิน!...ทําฮัจย์ฟรีๆกับไอแบงก์”
ไอแบงก์ร่วมต้อนรับเทศกาลฮัจย์ ประจําปี ฮ.ศ.1438 ขอเชิญชวนลูกค้ามุสลิมเปิดบัญชีเงินฝาก ประเภทบัญชี อัล-ฮัจย์ รับผลตอบแทนทุกสิ้นเดือน และประเภทบัญชี อัลฮัจย์ V.2 เปิดบัญชีขั้นต่ํา 500 บาท รับผลตอบแทนทุกสิ้นเดือนมิ.ย.และธ.ค.
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ร่วมต้อนรับเทศกาลฮัจย์ ประจําปี ฮ.ศ.1438 ขอเชิญชวนลูกค้ามุสลิมเปิดบัญชีเงินฝาก ประเภทบัญชี อัล-ฮัจย์ เปิดบัญชีขั้นต่ํา 2,500 บาท รับผลตอบแทนทุกสิ้นเดือน และประเภทบัญชี อัลฮัจย์ V.2 เปิดบัญชีขั้นต่ํา 500 บาท รับผลตอบแทนทุกสิ้นเดือนมิ.ย.และธ.ค. เพื่อเตรียมความพร้อมในการออมเงิน สู่การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ นครมักกะห์ ประเทศซาอุดิอารเบีย พิเศษ! กับกิจกรรมสัมมนาคุณ ธนาคารขอมอบรางวัลให้กับผู้โชคดีทําฮัจย์ ฟรี! ท่านละ 1 รางวัล รางวัลละ 180,000 บาท รวม 8 รางวัล รวมมูลค่าทั้งสิ้น 1,440,000 บาท เพียงมียอดเงินฝากข้างต้นไม่ต่ํากว่า 2,000 บาท ต่อบัญชีต่อเดือน
สามารถเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 สิงหาคม ศกนี้ เท่านั้น! และจับรางวัลผู้โชคดีในวันที่ 25 ธันวาคม 2560 ณ สํานักงานใหญ่ อาคารคิวเฮ้าส์ อโศก พร้อมประกาศผู้โชคดีในวันที่ 10 มกราคม 2561 ผ่านสาขาของธนาคารและ www.ibank.co.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1302
....มาเป็นครอบครัวไอแบงก์ เพื่อรับสิทธิ์เดินทางไปทําฮัจย์กับเราสิครับ...
ขอขอบคุณในความอนุเคราะห์เผยแพร่ข่าวสาร
ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5079
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.และ รมว.กห. ขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมดูแลความมั่นคงปลอดภัย
|
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
รอง นรม.และ รมว.กห. ขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมดูแลความมั่นคงปลอดภัย
รอง นรม.และ รมว.กห. ขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมดูแลความมั่นคงปลอดภัย และการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ย้ําแม้ตัวเลขอุบัติเหตุลดลง ยังจําเป็นต้องเข้มแก้ปัญหาต่อเนื่องทั้งปี โดยถือเป็นวาระสําคัญ
4 ม.ค.61 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม.และรมว.กห.ได้กล่าวแสดงความขอบคุณและเป็นกําลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ที่ร่วมกันทําหน้าที่อย่างเต็มกําลังในการดูแลความมั่นคงปลอดภัยของสังคม และการป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา. พร้อมทั้ง ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่มีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือกับมาตรการดูแลความปลอดภัยต่างๆ ของภาครัฐ เป็นผลให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดวันหยุดยาวที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ําทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ถือเป็นวาระสําคัญที่ต้องคงความต่อเนื่องในการมุ่งสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยมุ่งเน้นความยั่งยืน แม้สถิติอุบัติเหตุและความสูญเสียที่เกิดขึ้นจะลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยต้องนําข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนน มาวิเคราะห์และบริหารจัดการ กําหนดมาตรการต่างๆ ให้ครอบคลุมกับปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง พร้อมทั้ง ขอให้มีการรณรงค์สร้างการรับรู้และจิตสํานึกการรักษาวินัยจราจรควบคู่กันไป. และกําหนดให้มีการประชุมติดตามความคืบหน้าทุก 3 เดือน เพื่อลดการสูญเสียชีวิตและการบาดเจ็บของประชาชนบนท้องถนนในแต่ละปีให้ได้มากที่สุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.และ รมว.กห. ขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมดูแลความมั่นคงปลอดภัย
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
รอง นรม.และ รมว.กห. ขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมดูแลความมั่นคงปลอดภัย
รอง นรม.และ รมว.กห. ขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมดูแลความมั่นคงปลอดภัย และการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ย้ําแม้ตัวเลขอุบัติเหตุลดลง ยังจําเป็นต้องเข้มแก้ปัญหาต่อเนื่องทั้งปี โดยถือเป็นวาระสําคัญ
4 ม.ค.61 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม.และรมว.กห.ได้กล่าวแสดงความขอบคุณและเป็นกําลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ที่ร่วมกันทําหน้าที่อย่างเต็มกําลังในการดูแลความมั่นคงปลอดภัยของสังคม และการป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา. พร้อมทั้ง ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่มีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือกับมาตรการดูแลความปลอดภัยต่างๆ ของภาครัฐ เป็นผลให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดวันหยุดยาวที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ําทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ถือเป็นวาระสําคัญที่ต้องคงความต่อเนื่องในการมุ่งสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยมุ่งเน้นความยั่งยืน แม้สถิติอุบัติเหตุและความสูญเสียที่เกิดขึ้นจะลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยต้องนําข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนน มาวิเคราะห์และบริหารจัดการ กําหนดมาตรการต่างๆ ให้ครอบคลุมกับปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง พร้อมทั้ง ขอให้มีการรณรงค์สร้างการรับรู้และจิตสํานึกการรักษาวินัยจราจรควบคู่กันไป. และกําหนดให้มีการประชุมติดตามความคืบหน้าทุก 3 เดือน เพื่อลดการสูญเสียชีวิตและการบาดเจ็บของประชาชนบนท้องถนนในแต่ละปีให้ได้มากที่สุด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9187
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SN Smart Talented students competitions
|
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
SN Smart Talented students competitions
นายไกรเสริม โตทับเที่ยง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน SN Smart Talented students competitions ครั้งที่ 2 ประจําปีการศึกษา 2562
เมื่อวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2562 นายไกรเสริม โตทับเที่ยง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน SN Smart Talented students competitions ครั้งที่ 2 ประจําปีการศึกษา 2562 โดยมี ดร.กนิษฐา ทองเลิศ รองผู้อํานวยการเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2, นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตคลองเตย, ดร.กัญญาพัชญ์ กานต์ภูวนันต์ ผู้อํานวยการโรงเรียนสายน้ําผึ้งในพระอุปถัมภ์ฯ คณะครู และนักเรียน เข้าร่วมงาน ณ โรงเรียนสายน้ําผึ้งในพระอุปถัมภ์ฯ เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
ดร.กัญญาพัชญ์ กานต์ภูวนันต์ ผู้อํานวยการโรงเรียนสายน้ําผึ้งในพระอุปถัมภ์ฯ กล่าวว่า กิจกรรม “SN Smart Talented students competitions ครั้งที่ 2 ประจําปี 2562” จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความสามารถ และพัฒนาศักยภาพผู้เรียนสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ ตลอดจนเพื่อค้นหาตัวแทนนักเรียน สําหรับเตรียมตัวในการแข่งขันงานศิลปะหัตกรรม ระดับเขตพื้นที่ แบ่งตามกลุ่มสาระการเรียนรู้และกลุ่มงาน รวมทั้งสิ้น 104 รายการ
ซึ่งโรงเรียนตระหนักถึงความสําคัญ ของการเตรียมความพร้อมด้านวิชาการแก่ผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยบูรณาการความรู้เชิงวิชาการ วิทยาการ และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ สร้างทักษะการเรียนรู้แก่นักเรียน ให้สามารถวางแผนพัฒนาตนเอง และแก้ไขปัญหาได้ด้วย
เลขานุการ รมว.ศธ. กล่าวแสดงความรู้สึกประทับใจ ในการจัดงาน SN smart talented students competition ที่มิใช่กิจกรรมส่งเสริมผู้เรียนทั่วไป แต่เป็นการประกวดแข่งขันทางวิชาการ ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนในโรงเรียนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง โดยมีนักเรียนและครูร่วมแข่งขันตามความสมัครใจ และศักยภาพของตนเอง จํานวนถึง 2,523 คน จึงรู้สึกชื่นชมโรงเรียน ครูประจําชั้น หัวหน้าหน่วยงาน ครูและบุคลากรของโรงเรียน และนักเรียนทุกคน
และเมื่อพูดถึงหัวข้อการประกวด ที่เน้นคําว่า “Smart” และ “Talented” ซึ่ง “Smart” หมายถึง ความรู้ ความคิด ความสามารถ ที่โรงเรียนจะช่วยสร้างเสริม เพิ่มเติมให้กับนักเรียน เพื่อนําไปฝึกฝนต่อตามความถนัด พร้อม ๆ กับความสามารถพิเศษที่ทุกคนมีอยู่ หรือ “Talented” ที่จะเห็นถึงโอกาส เห็นศักยภาพในตัวเอง ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี และเข้ากับยุคสมัยของการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด และสังคมที่มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ การมีความรู้ความสามารถอย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอ เราจึงจําเป็นที่จะต้องพัฒนาศักยภาพของตนเอง และดึงเอาความสามารถพิเศษออกมาให้ได้มากที่สุด
"ท้ายสุดนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีความรู้สึกยินดี ที่โรงเรียนจัดงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และงานครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ให้นักเรียนได้เรียนรู้ ฝึกฝนตนเอง และค้นพบสิ่งที่สนใจและทําได้ เพื่อพัฒนาต่อยอดต่อไป ทั้งยังได้เรียนรู้กระบวนการค้นคว้าหาข้อมูล และฝึกฝนให้ดีที่สุด จึงขอยกให้เป็น “สายน้ําผึ้งโมเดล” เพื่อเป็นแบบอย่างให้โรงเรียนอื่น ๆ มาเรียนรู้รูปแบบการจัดการเพื่อสร้างประสบการณ์แก่ผู้เรียนอย่างเต็มที่
ซึ่งแน่นอนว่า "แพ้" หรือ "ชนะ" ไม่ใช่คําตอบสุดท้าย แต่เป็นเพียงผลของการแข่งขัน สิ่งที่ทุกคนจะได้รับมากกว่านั้น คือ ประสบการณ์ เป็นสิ่งสําคัญที่สุดที่หาที่ไหนไม่ได้ นอกจากครูอาจารย์ทุกคนของโรงเรียนแห่งนี้ ที่พร้อมจะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่นักเรียนทุกคน เช่นเดียวกับกระทรวงศึกษาธิการ ที่พร้อมจะเดินหน้าเพื่อที่จะพัฒนาเด็กไทยทุกคน ให้เป็นกําลังคนที่มีความพร้อมก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 และสามารถแข่งขันได้ในวันข้างหน้า" ลก.รมว.ศธ. กล่าว
อิทธิพล รุ่งก่อน, นวรัตน์ รามสูต: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SN Smart Talented students competitions
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
SN Smart Talented students competitions
นายไกรเสริม โตทับเที่ยง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน SN Smart Talented students competitions ครั้งที่ 2 ประจําปีการศึกษา 2562
เมื่อวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2562 นายไกรเสริม โตทับเที่ยง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน SN Smart Talented students competitions ครั้งที่ 2 ประจําปีการศึกษา 2562 โดยมี ดร.กนิษฐา ทองเลิศ รองผู้อํานวยการเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2, นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตคลองเตย, ดร.กัญญาพัชญ์ กานต์ภูวนันต์ ผู้อํานวยการโรงเรียนสายน้ําผึ้งในพระอุปถัมภ์ฯ คณะครู และนักเรียน เข้าร่วมงาน ณ โรงเรียนสายน้ําผึ้งในพระอุปถัมภ์ฯ เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
ดร.กัญญาพัชญ์ กานต์ภูวนันต์ ผู้อํานวยการโรงเรียนสายน้ําผึ้งในพระอุปถัมภ์ฯ กล่าวว่า กิจกรรม “SN Smart Talented students competitions ครั้งที่ 2 ประจําปี 2562” จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความสามารถ และพัฒนาศักยภาพผู้เรียนสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ ตลอดจนเพื่อค้นหาตัวแทนนักเรียน สําหรับเตรียมตัวในการแข่งขันงานศิลปะหัตกรรม ระดับเขตพื้นที่ แบ่งตามกลุ่มสาระการเรียนรู้และกลุ่มงาน รวมทั้งสิ้น 104 รายการ
ซึ่งโรงเรียนตระหนักถึงความสําคัญ ของการเตรียมความพร้อมด้านวิชาการแก่ผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยบูรณาการความรู้เชิงวิชาการ วิทยาการ และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ สร้างทักษะการเรียนรู้แก่นักเรียน ให้สามารถวางแผนพัฒนาตนเอง และแก้ไขปัญหาได้ด้วย
เลขานุการ รมว.ศธ. กล่าวแสดงความรู้สึกประทับใจ ในการจัดงาน SN smart talented students competition ที่มิใช่กิจกรรมส่งเสริมผู้เรียนทั่วไป แต่เป็นการประกวดแข่งขันทางวิชาการ ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนในโรงเรียนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง โดยมีนักเรียนและครูร่วมแข่งขันตามความสมัครใจ และศักยภาพของตนเอง จํานวนถึง 2,523 คน จึงรู้สึกชื่นชมโรงเรียน ครูประจําชั้น หัวหน้าหน่วยงาน ครูและบุคลากรของโรงเรียน และนักเรียนทุกคน
และเมื่อพูดถึงหัวข้อการประกวด ที่เน้นคําว่า “Smart” และ “Talented” ซึ่ง “Smart” หมายถึง ความรู้ ความคิด ความสามารถ ที่โรงเรียนจะช่วยสร้างเสริม เพิ่มเติมให้กับนักเรียน เพื่อนําไปฝึกฝนต่อตามความถนัด พร้อม ๆ กับความสามารถพิเศษที่ทุกคนมีอยู่ หรือ “Talented” ที่จะเห็นถึงโอกาส เห็นศักยภาพในตัวเอง ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี และเข้ากับยุคสมัยของการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด และสังคมที่มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ การมีความรู้ความสามารถอย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอ เราจึงจําเป็นที่จะต้องพัฒนาศักยภาพของตนเอง และดึงเอาความสามารถพิเศษออกมาให้ได้มากที่สุด
"ท้ายสุดนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีความรู้สึกยินดี ที่โรงเรียนจัดงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และงานครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ให้นักเรียนได้เรียนรู้ ฝึกฝนตนเอง และค้นพบสิ่งที่สนใจและทําได้ เพื่อพัฒนาต่อยอดต่อไป ทั้งยังได้เรียนรู้กระบวนการค้นคว้าหาข้อมูล และฝึกฝนให้ดีที่สุด จึงขอยกให้เป็น “สายน้ําผึ้งโมเดล” เพื่อเป็นแบบอย่างให้โรงเรียนอื่น ๆ มาเรียนรู้รูปแบบการจัดการเพื่อสร้างประสบการณ์แก่ผู้เรียนอย่างเต็มที่
ซึ่งแน่นอนว่า "แพ้" หรือ "ชนะ" ไม่ใช่คําตอบสุดท้าย แต่เป็นเพียงผลของการแข่งขัน สิ่งที่ทุกคนจะได้รับมากกว่านั้น คือ ประสบการณ์ เป็นสิ่งสําคัญที่สุดที่หาที่ไหนไม่ได้ นอกจากครูอาจารย์ทุกคนของโรงเรียนแห่งนี้ ที่พร้อมจะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่นักเรียนทุกคน เช่นเดียวกับกระทรวงศึกษาธิการ ที่พร้อมจะเดินหน้าเพื่อที่จะพัฒนาเด็กไทยทุกคน ให้เป็นกําลังคนที่มีความพร้อมก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 และสามารถแข่งขันได้ในวันข้างหน้า" ลก.รมว.ศธ. กล่าว
อิทธิพล รุ่งก่อน, นวรัตน์ รามสูต: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22704
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฟังความเห็น พรบ.การศึกษาฯ
|
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562
ฟังความเห็น พรบ.การศึกษาฯ
สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โดยสํานักพัฒนากฎหมายการศึกษา และสํานักงานเลขานุการ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา จัดโครงการสัมมนารับฟังความคิดเห็น (ร่าง) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ....
สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โดยสํานักพัฒนากฎหมายการศึกษา และสํานักงานเลขานุการ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา จัดโครงการสัมมนารับฟังความคิดเห็น (ร่าง) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ซึ่งได้รับเกียรติจากคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 ณ โรงแรมปรินซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 850 คน ประกอบด้วย นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการสภาการศึกษา ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตลอดจนผู้บริหารสถานศึกษา ครูอาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา นักเรียนนักศึกษา ประชาชน และสถานประกอบการ
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ถือว่ามีความสําคัญต่อการพิจารณา (ร่าง) พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่จะใช้เป็นกฎหมายแม่บทหรือธรรมนูญการศึกษา ในการวางรากฐานด้านการศึกษาใหม่ให้เหมาะสมกับประชากรทุกช่วงวัย และสอดคล้องกับบริบทของสังคมและโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ดังคําปรารภของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย “การปกครองของประเทศไทยได้ดํารงเจตนารมณ์ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อเนื่องมาโดยตลอด แม้ได้มีการยกเลิก แก้ไขเพิ่มเติมและประกาศใช้รัฐธรรมนูญ เพื่อจัดระเบียบการปกครองให้เหมาะสมหลายครั้ง แต่การปกครองก็มิได้มีเสถียรภาพหรือราบรื่นเรียบร้อย เพราะยังคงประสบปัญหาและข้อขัดแย้งต่างๆ.......จําต้องป้องกันและแก้ไขด้วยการปฏิรูปการศึกษาและการบังคับใช้กฎหมายและเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบคุณธรรมและจริยธรรม”
โดยการเปิดรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ถือเป็นรับฟังความคิดเห็นและพิจารณาทบทวนประเด็นเนื้อหาต่าง ๆ ให้มีความครบถ้วนและถูกต้องตามหลักของกฎหมาย รวมทั้งข้อเรียกร้องขององค์กรครูด้วย จากนั้นจึงจะเสนอให้คณะกรรมการสภาการศึกษาพิจารณาเพิ่มเติม ก่อนรวบรวมความเห็นส่งไปยังสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ประกอบการพิจารณาทบทวน (ร่าง) พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ต่อไป
“การเตรียมคนสู่ศตวรรษที่ 21 ทั้งการสร้างเด็ก ครู ผู้ปกครอง ผู้สูงอายุ ตลอดจนประชาชน เป็นเรื่องสําคัญและเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยเฉพาะการสร้างพื้นฐานการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบให้กับเด็ก ด้วยการจัดการเรียนรู้ภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) ที่จะเป็นการปฏิรูปการศึกษาที่ตัวเด็กโดยตรง และการเรียนรู้ภาษาร่วมสมัย ทั้งทักษะการอ่าน เขียน ตลอดจนปลูกฝังจิตสํานึกของความเป็นไทยและประวัติศาสตร์ของชาติ เพื่อเป็นรากฐานในการสร้างคน ให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี ที่มีความรู้ มีงานทําและทํางานเป็น และสิ่งสําคัญคือ พร้อมคืนประโยชน์สู่สังคมและประเทศชาติ” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ทบทวน (ร่าง) พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... พร้อมมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดําเนินการ สํานักงานเลขาสภาการศึกษา จึงได้ดําเนินการจัดประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชนที่มีต่อประเด็นเนื้อหาของ (ร่าง) พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเห็นชอบให้รับฟังความคิดเห็นจากของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงกว้างให้ได้มากที่สุด ก่อนรวบรวมข้อเสนอส่งไปยังสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ต่อไป เพื่อรับฟังความคิดเห็นในประเด็นเนื้อหา และจัดทําข้อเสนอประกอบการแก้ไข พ.ร.บ. ตลอดจนเผยแพร่และสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยแบ่งกลุ่มอภิปรายในประเด็นความคิดเห็นจากกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกจากผู้ปฏิบัติ
นวรัตน์ รามสูต/ณรีรัตน์ บุญหลัง : สรุป
นวรัตน์ รามสูต : เรียบเรียง
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว : ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ. : รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฟังความเห็น พรบ.การศึกษาฯ
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562
ฟังความเห็น พรบ.การศึกษาฯ
สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โดยสํานักพัฒนากฎหมายการศึกษา และสํานักงานเลขานุการ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา จัดโครงการสัมมนารับฟังความคิดเห็น (ร่าง) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ....
สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โดยสํานักพัฒนากฎหมายการศึกษา และสํานักงานเลขานุการ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา จัดโครงการสัมมนารับฟังความคิดเห็น (ร่าง) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ซึ่งได้รับเกียรติจากคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 ณ โรงแรมปรินซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 850 คน ประกอบด้วย นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการสภาการศึกษา ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตลอดจนผู้บริหารสถานศึกษา ครูอาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา นักเรียนนักศึกษา ประชาชน และสถานประกอบการ
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ถือว่ามีความสําคัญต่อการพิจารณา (ร่าง) พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่จะใช้เป็นกฎหมายแม่บทหรือธรรมนูญการศึกษา ในการวางรากฐานด้านการศึกษาใหม่ให้เหมาะสมกับประชากรทุกช่วงวัย และสอดคล้องกับบริบทของสังคมและโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ดังคําปรารภของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย “การปกครองของประเทศไทยได้ดํารงเจตนารมณ์ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อเนื่องมาโดยตลอด แม้ได้มีการยกเลิก แก้ไขเพิ่มเติมและประกาศใช้รัฐธรรมนูญ เพื่อจัดระเบียบการปกครองให้เหมาะสมหลายครั้ง แต่การปกครองก็มิได้มีเสถียรภาพหรือราบรื่นเรียบร้อย เพราะยังคงประสบปัญหาและข้อขัดแย้งต่างๆ.......จําต้องป้องกันและแก้ไขด้วยการปฏิรูปการศึกษาและการบังคับใช้กฎหมายและเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบคุณธรรมและจริยธรรม”
โดยการเปิดรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ถือเป็นรับฟังความคิดเห็นและพิจารณาทบทวนประเด็นเนื้อหาต่าง ๆ ให้มีความครบถ้วนและถูกต้องตามหลักของกฎหมาย รวมทั้งข้อเรียกร้องขององค์กรครูด้วย จากนั้นจึงจะเสนอให้คณะกรรมการสภาการศึกษาพิจารณาเพิ่มเติม ก่อนรวบรวมความเห็นส่งไปยังสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ประกอบการพิจารณาทบทวน (ร่าง) พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ต่อไป
“การเตรียมคนสู่ศตวรรษที่ 21 ทั้งการสร้างเด็ก ครู ผู้ปกครอง ผู้สูงอายุ ตลอดจนประชาชน เป็นเรื่องสําคัญและเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยเฉพาะการสร้างพื้นฐานการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบให้กับเด็ก ด้วยการจัดการเรียนรู้ภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) ที่จะเป็นการปฏิรูปการศึกษาที่ตัวเด็กโดยตรง และการเรียนรู้ภาษาร่วมสมัย ทั้งทักษะการอ่าน เขียน ตลอดจนปลูกฝังจิตสํานึกของความเป็นไทยและประวัติศาสตร์ของชาติ เพื่อเป็นรากฐานในการสร้างคน ให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี ที่มีความรู้ มีงานทําและทํางานเป็น และสิ่งสําคัญคือ พร้อมคืนประโยชน์สู่สังคมและประเทศชาติ” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ทบทวน (ร่าง) พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... พร้อมมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดําเนินการ สํานักงานเลขาสภาการศึกษา จึงได้ดําเนินการจัดประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชนที่มีต่อประเด็นเนื้อหาของ (ร่าง) พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเห็นชอบให้รับฟังความคิดเห็นจากของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงกว้างให้ได้มากที่สุด ก่อนรวบรวมข้อเสนอส่งไปยังสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ต่อไป เพื่อรับฟังความคิดเห็นในประเด็นเนื้อหา และจัดทําข้อเสนอประกอบการแก้ไข พ.ร.บ. ตลอดจนเผยแพร่และสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยแบ่งกลุ่มอภิปรายในประเด็นความคิดเห็นจากกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกจากผู้ปฏิบัติ
นวรัตน์ รามสูต/ณรีรัตน์ บุญหลัง : สรุป
นวรัตน์ รามสูต : เรียบเรียง
ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว : ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ. : รายงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23515
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ เปิดการประชุมวิชาการกรมการข้าว ประจำปี 2562
|
วันพุธที่ 13 มีนาคม 2562
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ เปิดการประชุมวิชาการกรมการข้าว ประจําปี 2562
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ เปิดการประชุมวิชาการกรมการข้าว ประจําปี 2562 ภายใต้หัวข้อเรื่อง “บูรณาการเทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาข้าว”
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดการประชุมวิชาการกรมการข้าว ประจําปี 2562 ภายใต้หัวข้อเรื่อง “บูรณาการเทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาข้าว” ณ โรงแรมมารวยการ์เด้น ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานที่ทํางานใกล้ชิดกับเกษตรกร ดําเนินการบําบัดทุกข์บํารุงสุขให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ทุกโครงการที่ดําเนินการในพื้นที่เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก การปฏิรูประบบภาคการเกษตร เพื่อสร้างอาชีพ ความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกร รวมทั้งมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้มีรายได้มั่นคงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ งานวิจัยต่าง ๆ ที่กรมการข้าวได้ดําเนินการเพื่อให้ได้นวัตกรรมใหม่ ๆ ในการผลิตข้าว ได้มีส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่เกษตรกร ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเกษตรของประเทศ
อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนระบบการผลิตภาคการเกษตรโดยเฉพาะสินค้าข้าว ซึ่งเป็นสินค้าปฐมภูมิและมีมูลค่าต่ํา ให้ได้รับการพัฒนาในการสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวให้ประสบผลสําเร็จ โดยการการบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาการผลิตข้าว และการสร้างมูลค่าเพิ่มที่มีเป้าหมายในการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตข้าว โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเปลี่ยนข้าวให้เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง ทําให้เป็นอาหารสุขภาพหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีมูลค่าสูง รวมทั้งเปลี่ยนการผลิตข้าวแบบดั้งเดิมให้เป็นแบบสมัยใหม่ที่มีความแม่นยํา ตลอดจนมีความสมดุลกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้หลักการ “การตลาดนําการผลิต”
ทั้งนี้ รัฐบาลปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนนโยบายด้านข้าว โดยจัดทํา “แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร” ได้สร้างเสถียรภาพราคาข้าวให้กับพี่น้องชาวนาไทย ทําให้ราคาข้าวดีขึ้นตามลําดับอย่างชัดเจน มีการรวมกลุ่มทํานาแปลงใหญ่ ซึ่งนับเป็นกลยุทธ์ที่จะทําให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มสร้างความเข้มแข็ง มีการนําความรู้สู่การปฏิบัติ การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิตสินค้าเกษตรคุณภาพมาตรฐาน และทําให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ เปิดการประชุมวิชาการกรมการข้าว ประจำปี 2562
วันพุธที่ 13 มีนาคม 2562
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ เปิดการประชุมวิชาการกรมการข้าว ประจําปี 2562
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ เปิดการประชุมวิชาการกรมการข้าว ประจําปี 2562 ภายใต้หัวข้อเรื่อง “บูรณาการเทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาข้าว”
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดการประชุมวิชาการกรมการข้าว ประจําปี 2562 ภายใต้หัวข้อเรื่อง “บูรณาการเทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาข้าว” ณ โรงแรมมารวยการ์เด้น ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานที่ทํางานใกล้ชิดกับเกษตรกร ดําเนินการบําบัดทุกข์บํารุงสุขให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ทุกโครงการที่ดําเนินการในพื้นที่เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก การปฏิรูประบบภาคการเกษตร เพื่อสร้างอาชีพ ความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกร รวมทั้งมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้มีรายได้มั่นคงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ งานวิจัยต่าง ๆ ที่กรมการข้าวได้ดําเนินการเพื่อให้ได้นวัตกรรมใหม่ ๆ ในการผลิตข้าว ได้มีส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่เกษตรกร ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเกษตรของประเทศ
อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนระบบการผลิตภาคการเกษตรโดยเฉพาะสินค้าข้าว ซึ่งเป็นสินค้าปฐมภูมิและมีมูลค่าต่ํา ให้ได้รับการพัฒนาในการสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวให้ประสบผลสําเร็จ โดยการการบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาการผลิตข้าว และการสร้างมูลค่าเพิ่มที่มีเป้าหมายในการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตข้าว โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเปลี่ยนข้าวให้เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง ทําให้เป็นอาหารสุขภาพหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีมูลค่าสูง รวมทั้งเปลี่ยนการผลิตข้าวแบบดั้งเดิมให้เป็นแบบสมัยใหม่ที่มีความแม่นยํา ตลอดจนมีความสมดุลกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้หลักการ “การตลาดนําการผลิต”
ทั้งนี้ รัฐบาลปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนนโยบายด้านข้าว โดยจัดทํา “แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร” ได้สร้างเสถียรภาพราคาข้าวให้กับพี่น้องชาวนาไทย ทําให้ราคาข้าวดีขึ้นตามลําดับอย่างชัดเจน มีการรวมกลุ่มทํานาแปลงใหญ่ ซึ่งนับเป็นกลยุทธ์ที่จะทําให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มสร้างความเข้มแข็ง มีการนําความรู้สู่การปฏิบัติ การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิตสินค้าเกษตรคุณภาพมาตรฐาน และทําให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19302
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งพัฒนาศักยภาพ รพ.สต.พื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร
|
วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2561
สธ.เร่งพัฒนาศักยภาพ รพ.สต.พื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลพื้นที่ห่างไกลแนวชายแดน ทุรกันดาร พื้นที่เกาะ/พื้นที่สูง 31จังหวัด เพิ่มประสิทธิภาพระบบสาธารณูปโภคและการสื่อสารด้วยระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบอินเทอร์เน็ต
สธ.เร่งพัฒนาศักยภาพ รพ.สต.พื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลพื้นที่ห่างไกลแนวชายแดน ทุรกันดาร พื้นที่เกาะ/พื้นที่สูง 31จังหวัด เพิ่มประสิทธิภาพระบบสาธารณูปโภคและการสื่อสารด้วยระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบอินเทอร์เน็ต
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า พลเอก ฉัตรชัย สาลิกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญและสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) ซึ่งหัวใจสําคัญของระบบสุขภาพปฐมภูมิที่เน้นการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค การรักษาพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเจ็บป่วย เป็นที่พึ่งแก่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและการสื่อสารแก่รพ.สต. ที่อยู่ในพื้นที่แนวชายแดน ทุรกันดาร พื้นที่เกาะ/พื้นที่สูง จํานวน 31จังหวัด เพื่อเพิ่มคุณภาพ และความสะดวก รวดเร็วในการบริการประชาชน โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพลังงานในการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ในรพ.สต. 227 แห่ง เพื่อให้ไฟฟ้ามีความเสถียร ระบบความเย็นของตู้เย็นที่ใช้เก็บรักษาวัคซีน ยา มีอุณหภูมิคงที่ สามารถทําหัตถการฉุกเฉินในเวลากลางคืน รวมทั้งบุคลากรและผู้บริการมีความปลอดภัย
สําหรับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้สนับสนุนระบบอินเทอร์เน็ตแบบสายเคเบิ้ล ในรพ.สต.รวม 360 แห่ง ที่ยังไม่มีระบบอินเทอร์เน็ต หรือที่ใช้ระบบดาวเทียม เพื่อให้สามารถขอรับคําปรึกษาผ่านระบบออนไลน์ แอปพลิเคชันต่าง ๆ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ/โรงพยาบาลแม่ข่าย แบบเห็นภาพชัด ทันท่วงที หรือส่งต่อผู้ป่วยได้ตลอด 24 ชั่วโมง รายงานสถานการณ์/การขอความช่วยเหลือทันต่อสถานการณ์ ประสานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินไปรับผู้ป่วยและดูแลปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนส่งต่อ
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทําแผนการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล พ.ศ.2561-2565แบ่งการพัฒนาเป็น3กลุ่ม ได้แก่พัฒนาต่อยอด รพ.สต.ที่ผ่านเกณฑ์ติดดาวไปสู่ดิจิทัล การเพิ่มเติมส่วนที่ขาดในพื้นที่ทุรกันดาร ทั้งด้านโครงสร้างครุภัณฑ์ การพัฒนาคุณภาพ รพ.สต.ให้ผ่านเกณฑ์ รพ.สต.ติดดาว 5ดาว5ดี คือบริหารดีประสานงานดี บุคลากรดี บริการดีและประชาชนสุขภาพดี
*****************************7 ตุลาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งพัฒนาศักยภาพ รพ.สต.พื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร
วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2561
สธ.เร่งพัฒนาศักยภาพ รพ.สต.พื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลพื้นที่ห่างไกลแนวชายแดน ทุรกันดาร พื้นที่เกาะ/พื้นที่สูง 31จังหวัด เพิ่มประสิทธิภาพระบบสาธารณูปโภคและการสื่อสารด้วยระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบอินเทอร์เน็ต
สธ.เร่งพัฒนาศักยภาพ รพ.สต.พื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลพื้นที่ห่างไกลแนวชายแดน ทุรกันดาร พื้นที่เกาะ/พื้นที่สูง 31จังหวัด เพิ่มประสิทธิภาพระบบสาธารณูปโภคและการสื่อสารด้วยระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบอินเทอร์เน็ต
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า พลเอก ฉัตรชัย สาลิกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญและสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) ซึ่งหัวใจสําคัญของระบบสุขภาพปฐมภูมิที่เน้นการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค การรักษาพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเจ็บป่วย เป็นที่พึ่งแก่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและการสื่อสารแก่รพ.สต. ที่อยู่ในพื้นที่แนวชายแดน ทุรกันดาร พื้นที่เกาะ/พื้นที่สูง จํานวน 31จังหวัด เพื่อเพิ่มคุณภาพ และความสะดวก รวดเร็วในการบริการประชาชน โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพลังงานในการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ในรพ.สต. 227 แห่ง เพื่อให้ไฟฟ้ามีความเสถียร ระบบความเย็นของตู้เย็นที่ใช้เก็บรักษาวัคซีน ยา มีอุณหภูมิคงที่ สามารถทําหัตถการฉุกเฉินในเวลากลางคืน รวมทั้งบุคลากรและผู้บริการมีความปลอดภัย
สําหรับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้สนับสนุนระบบอินเทอร์เน็ตแบบสายเคเบิ้ล ในรพ.สต.รวม 360 แห่ง ที่ยังไม่มีระบบอินเทอร์เน็ต หรือที่ใช้ระบบดาวเทียม เพื่อให้สามารถขอรับคําปรึกษาผ่านระบบออนไลน์ แอปพลิเคชันต่าง ๆ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ/โรงพยาบาลแม่ข่าย แบบเห็นภาพชัด ทันท่วงที หรือส่งต่อผู้ป่วยได้ตลอด 24 ชั่วโมง รายงานสถานการณ์/การขอความช่วยเหลือทันต่อสถานการณ์ ประสานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินไปรับผู้ป่วยและดูแลปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนส่งต่อ
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทําแผนการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล พ.ศ.2561-2565แบ่งการพัฒนาเป็น3กลุ่ม ได้แก่พัฒนาต่อยอด รพ.สต.ที่ผ่านเกณฑ์ติดดาวไปสู่ดิจิทัล การเพิ่มเติมส่วนที่ขาดในพื้นที่ทุรกันดาร ทั้งด้านโครงสร้างครุภัณฑ์ การพัฒนาคุณภาพ รพ.สต.ให้ผ่านเกณฑ์ รพ.สต.ติดดาว 5ดาว5ดี คือบริหารดีประสานงานดี บุคลากรดี บริการดีและประชาชนสุขภาพดี
*****************************7 ตุลาคม 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15922
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วม “กิจกรรมการเฉลิมฉลองวัน International Girls in ICT Day 2020” ของ ITU
|
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2563
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วม “กิจกรรมการเฉลิมฉลองวัน International Girls in ICT Day 2020” ของ ITU
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วม “กิจกรรมการเฉลิมฉลองวัน International Girls in ICT Day 2020” ของ ITU
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงานเฉลิมฉลองวัน Girls in ICT Day 2020 ในประเทศไทย ซึ่งจัดโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) โดยมีหน่วยงานพันธมิตรที่ร่วมจัดกิจกรรมดังกล่าว ได้แก่ สํานักงาน กสทช., UNESCAP, UNESCO, FAO, องค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APT), Cisco System Thailand, DTAC และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช โดยปลัดกระทรวงฯ ได้กล่าวถึงความสําคัญ บทบาทของสตรี รวมถึงประโยชน์ของการเรียนรู้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในยุคดิจิทัล และได้เชิญชวนให้เยาวสตรีเข้าร่วมกิจกรรมของ ITU ระหว่างเดือนสิงหาคม – กันยายน ๒๕๖๓ ในหัวข้อ Smart Farming, Cybersecurity และ Artificial Intelligence (AI) ในรูปแบบการฝึกอบรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในโอกาสนี้ยังได้รับเชิญให้เข้าร่วมรายการ “Leadership Programme: ผู้หญิงต้นแบบ” ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของงานเฉลิมฉลองวัน Girls in ICT Day 2020 ในฐานะผู้หญิงต้นแบบที่ประสบความสําเร็จและทํางานในสาขาวิศวกรรมศาสตร์และ ICT โดยได้ให้คําแนะนําในเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่น การพัฒนาตัวเอง ใฝ่หาความรู้ เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมี นางสาวอารีวรรณ ฮาวรังษี เลขาธิการองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APT) เป็นผู้ดําเนินรายการ ณ บริษัท Cisco System ประเทศไทย สํานักงานเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 28 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2563
***************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วม “กิจกรรมการเฉลิมฉลองวัน International Girls in ICT Day 2020” ของ ITU
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2563
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วม “กิจกรรมการเฉลิมฉลองวัน International Girls in ICT Day 2020” ของ ITU
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วม “กิจกรรมการเฉลิมฉลองวัน International Girls in ICT Day 2020” ของ ITU
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงานเฉลิมฉลองวัน Girls in ICT Day 2020 ในประเทศไทย ซึ่งจัดโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) โดยมีหน่วยงานพันธมิตรที่ร่วมจัดกิจกรรมดังกล่าว ได้แก่ สํานักงาน กสทช., UNESCAP, UNESCO, FAO, องค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APT), Cisco System Thailand, DTAC และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช โดยปลัดกระทรวงฯ ได้กล่าวถึงความสําคัญ บทบาทของสตรี รวมถึงประโยชน์ของการเรียนรู้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในยุคดิจิทัล และได้เชิญชวนให้เยาวสตรีเข้าร่วมกิจกรรมของ ITU ระหว่างเดือนสิงหาคม – กันยายน ๒๕๖๓ ในหัวข้อ Smart Farming, Cybersecurity และ Artificial Intelligence (AI) ในรูปแบบการฝึกอบรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในโอกาสนี้ยังได้รับเชิญให้เข้าร่วมรายการ “Leadership Programme: ผู้หญิงต้นแบบ” ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของงานเฉลิมฉลองวัน Girls in ICT Day 2020 ในฐานะผู้หญิงต้นแบบที่ประสบความสําเร็จและทํางานในสาขาวิศวกรรมศาสตร์และ ICT โดยได้ให้คําแนะนําในเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่น การพัฒนาตัวเอง ใฝ่หาความรู้ เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมี นางสาวอารีวรรณ ฮาวรังษี เลขาธิการองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APT) เป็นผู้ดําเนินรายการ ณ บริษัท Cisco System ประเทศไทย สํานักงานเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 28 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2563
***************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34302
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560
|
วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560
ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560
ที่ประชุมรับทราบผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2560-2564)
วันนี้ (30 มิถุนายน 2560) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560
ที่ประชุมรับทราบผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2560-2564) โดยกําหนดวิธีการติดตามผลเป็น 2 รูปแบบ คือ 1) ประชุมเชิงปฏิบัติการติดตามและประเมินผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2558-2560) โดยมี ผู้แทนองค์กรภาครัฐ ภาคธุรกิจ สถาบันการศึกษา ซึ่งมีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับภารกิจความรับผิดชอบต่อสังคมมาติดตามผลการดําเนินงาน และให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม และ 2) การขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์สวัสดิการสังคมจังหวัด ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2560-2564) โดยสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ แจ้งให้จังหวัดต่าง ๆ ทราบและดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ และกลยุทธ์ของแต่ละจังหวัด โดยมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน
ที่ประชุมรับทราบภาพรวมยุทธศาสตร์สวัสดิการสังคมจังหวัด ดังกล่าว มีการดําเนินการในมิติต่าง ๆ ดังนี้ 1. การพัฒนาระบบการจัดสวัสดิการสังคมในมิติต่างๆ 2. การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานด้านการจัดสวัสดิการสังคม 3. มุ่งเน้นการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา 4. ส่งเสริมให้เครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคม 5. การพัฒนาศักยภาพเครือข่ายให้เป็นหุ้นส่วนในการจัดสวัสดิการสังคมร่วมกับภาครัฐ 6. การทํางานในรูปแบบประชารัฐตามแนวนโยบายของรัฐบาลอย่างเข้มแข็ง 7. การจัดสวัสดิการสังคมร่วมกับกลุ่มประเทศอาเซียน 8. การนํางบประมาณมาใช้ในการจัดสวัสดิการสังคมแก่ผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ และ 9. การระดมทุนเพื่อร่วมการจัดสวัสดิการสังคมจากภาคส่วนต่างๆ
****************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560
วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560
ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560
ที่ประชุมรับทราบผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2560-2564)
วันนี้ (30 มิถุนายน 2560) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560
ที่ประชุมรับทราบผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2560-2564) โดยกําหนดวิธีการติดตามผลเป็น 2 รูปแบบ คือ 1) ประชุมเชิงปฏิบัติการติดตามและประเมินผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2558-2560) โดยมี ผู้แทนองค์กรภาครัฐ ภาคธุรกิจ สถาบันการศึกษา ซึ่งมีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับภารกิจความรับผิดชอบต่อสังคมมาติดตามผลการดําเนินงาน และให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม และ 2) การขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์สวัสดิการสังคมจังหวัด ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2560-2564) โดยสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ แจ้งให้จังหวัดต่าง ๆ ทราบและดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ และกลยุทธ์ของแต่ละจังหวัด โดยมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน
ที่ประชุมรับทราบภาพรวมยุทธศาสตร์สวัสดิการสังคมจังหวัด ดังกล่าว มีการดําเนินการในมิติต่าง ๆ ดังนี้ 1. การพัฒนาระบบการจัดสวัสดิการสังคมในมิติต่างๆ 2. การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานด้านการจัดสวัสดิการสังคม 3. มุ่งเน้นการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา 4. ส่งเสริมให้เครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคม 5. การพัฒนาศักยภาพเครือข่ายให้เป็นหุ้นส่วนในการจัดสวัสดิการสังคมร่วมกับภาครัฐ 6. การทํางานในรูปแบบประชารัฐตามแนวนโยบายของรัฐบาลอย่างเข้มแข็ง 7. การจัดสวัสดิการสังคมร่วมกับกลุ่มประเทศอาเซียน 8. การนํางบประมาณมาใช้ในการจัดสวัสดิการสังคมแก่ผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ และ 9. การระดมทุนเพื่อร่วมการจัดสวัสดิการสังคมจากภาคส่วนต่างๆ
****************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4919
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฝรั่งเศสพร้อมเพิ่มพูนมูลค่าการค้า การลงทุนกับประเทศไทย และสนใจที่จะลงทุนในพื้นที่ EEC
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม 2562
ฝรั่งเศสพร้อมเพิ่มพูนมูลค่าการค้า การลงทุนกับประเทศไทย และสนใจที่จะลงทุนในพื้นที่ EEC
ฝรั่งเศสพร้อมเพิ่มพูนมูลค่าการค้า การลงทุนกับประเทศไทย และสนใจที่จะลงทุนในพื้นที่ EEC
วันนี้ (3 มกราคม 2562) เวลา 13.00 น. นายฌาก ลาปูฌ (H.E. Mr. Jacques Lapouge) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีที่นายนายฌาก ลาปูฌ ได้รับแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจําประเทศไทย ทั้งนี้ ในช่วงปี 2561 ที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอบคุณที่ทางการฝรั่งเศสให้การต้อนรับอบอุ่น ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศส เมื่อเดือน มิถุนายน 2561 และงานวันรําลึกการครบรอบ 100 ปี การยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 และพิธีเปิดการประชุมสันติภาพปารีส เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2561ซึ่งการเยือนดังกล่าวส่งผลให้พลวัตของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นในทุกมิติ
โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจําประเทศไทยยินดีที่จะสนับสนุนการจัดทําข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) ระหว่าง ไทย-สหภาพยุโรป เพื่อผลักดันมูลค่าการค้า การลงทุน ระหว่างกัน ทั้งนี้มีภาคเอกชนชั้นนําของฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในหลายสาขา อาทิ ด้านการบิน และด้านการบริหารจัดการน้ํา รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่สําคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายความเชื่อมโยง (Connectivity) โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นนโยบายที่สําคัญของรัฐบาล รวมถึงโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา การจัดตั้งศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul: MRO) ที่จะเชื่อมโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศ นอกจากนี้ฝรั่งเศสสามารถใช้ประโยชน์จากสถานที่ตั้งของไทยที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง สามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้ด้วย
ในตอนท้าย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรียินดีที่ภาคเอกชนไทย-ฝรั่งเศส โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และสภานายจ้างฝรั่งเศส (MEDEF International) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อพัฒนาความร่วมมือ โดยได้จัดตั้ง France Thailand Business Forum (FTBF) ขึ้นร่วมกันเพื่อเป็นเวทีสําหรับการแลกเปลี่ยนและพัฒนาความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจําประเทศไทยกล่าวว่าระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 1 กุมภาพันธ์ 2562 คณะผู้แทน FTBF ฝ่ายฝรั่งเศส จะเดินทางเยือน ประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมประจําปีกับสมาชิก FTBF ฝ่ายไทย และจะเยี่ยมชมพื้นที่โครงการ EEC ซึ่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนกลไกดังกล่าวอย่างเต็มที่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฝรั่งเศสพร้อมเพิ่มพูนมูลค่าการค้า การลงทุนกับประเทศไทย และสนใจที่จะลงทุนในพื้นที่ EEC
วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม 2562
ฝรั่งเศสพร้อมเพิ่มพูนมูลค่าการค้า การลงทุนกับประเทศไทย และสนใจที่จะลงทุนในพื้นที่ EEC
ฝรั่งเศสพร้อมเพิ่มพูนมูลค่าการค้า การลงทุนกับประเทศไทย และสนใจที่จะลงทุนในพื้นที่ EEC
วันนี้ (3 มกราคม 2562) เวลา 13.00 น. นายฌาก ลาปูฌ (H.E. Mr. Jacques Lapouge) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีที่นายนายฌาก ลาปูฌ ได้รับแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจําประเทศไทย ทั้งนี้ ในช่วงปี 2561 ที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอบคุณที่ทางการฝรั่งเศสให้การต้อนรับอบอุ่น ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศส เมื่อเดือน มิถุนายน 2561 และงานวันรําลึกการครบรอบ 100 ปี การยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 และพิธีเปิดการประชุมสันติภาพปารีส เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2561ซึ่งการเยือนดังกล่าวส่งผลให้พลวัตของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นในทุกมิติ
โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจําประเทศไทยยินดีที่จะสนับสนุนการจัดทําข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) ระหว่าง ไทย-สหภาพยุโรป เพื่อผลักดันมูลค่าการค้า การลงทุน ระหว่างกัน ทั้งนี้มีภาคเอกชนชั้นนําของฝรั่งเศสสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในหลายสาขา อาทิ ด้านการบิน และด้านการบริหารจัดการน้ํา รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่สําคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายความเชื่อมโยง (Connectivity) โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นนโยบายที่สําคัญของรัฐบาล รวมถึงโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา การจัดตั้งศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul: MRO) ที่จะเชื่อมโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศ นอกจากนี้ฝรั่งเศสสามารถใช้ประโยชน์จากสถานที่ตั้งของไทยที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง สามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้ด้วย
ในตอนท้าย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรียินดีที่ภาคเอกชนไทย-ฝรั่งเศส โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และสภานายจ้างฝรั่งเศส (MEDEF International) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อพัฒนาความร่วมมือ โดยได้จัดตั้ง France Thailand Business Forum (FTBF) ขึ้นร่วมกันเพื่อเป็นเวทีสําหรับการแลกเปลี่ยนและพัฒนาความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจําประเทศไทยกล่าวว่าระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 1 กุมภาพันธ์ 2562 คณะผู้แทน FTBF ฝ่ายฝรั่งเศส จะเดินทางเยือน ประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมประจําปีกับสมาชิก FTBF ฝ่ายไทย และจะเยี่ยมชมพื้นที่โครงการ EEC ซึ่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนกลไกดังกล่าวอย่างเต็มที่
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17897
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 มุ่งส่งเสริมเป็นพลเมืองเด็กดี เด็กยุคดิจิตอล และเด็กรักสิ่งแวดล้อม สู่สุดยอดเด็กไทย
|
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563
พม. จัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 มุ่งส่งเสริมเป็นพลเมืองเด็กดี เด็กยุคดิจิตอล และเด็กรักสิ่งแวดล้อม สู่สุดยอดเด็กไทย
พม. จัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 มุ่งส่งเสริมเป็นพลเมืองเด็กดี เด็กยุคดิจิตอล และเด็กรักสิ่งแวดล้อม สู่สุดยอดเด็กไทย
วันที่ 11 ม.ค. 63 เวลา 09.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ภายใต้แนวคิด สุดยอดเด็กไทย พร้อมมอบโอวาทเนื่องในวันเด็กแห่งชาติประจําปี 2563 อีกทั้งมอบเกียรติบัตรเด็กดีเด่นให้กับเด็กในอุปการะการดูแลของกระทรวง พม. และจับฉลากมอบของรางวัลพิเศษให้เด็กที่เข้าร่วมกิจกรรมภายในงาน นอกจากนี้ ได้เดินเยี่ยมชมบูธกิจกรรมต่างๆ โดยมีของขวัญสําหรับเด็กที่เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,500 ชิ้น ทั้งนี้ มีนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เด็กในความอุปการะการดูแลของกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) เด็กและผู้ปกครองในพื้นที่ใกล้เคียง เข้าร่วมงาน ณ บริเวณสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า ด้วยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507 กําหนดให้วันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติ โดยมีหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมจัดกิจกรรมในวันดังกล่าว สําหรับวันเด็กแห่งชาติ ปี 2563 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้คําขวัญว่า "เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย" โดยใช้ "ฮีโร่ตัวจิ๋ว" เป็นตราสัญลักษณ์ในการจัดงานวันเด็กแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2561 - 2565 ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) เป็นเจ้าภาพในการจัดงานวันเด็กแห่งชาติเป็นประจําทุกปีในภาพรวมของกระทรวง พม. ร่วมกับหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ได้แก่ สํานักงานปลัดกระทรวง พม. กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) การเคหะแห่งชาติ (กคช.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และสํานักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) รวมทั้งหน่วยงานภาคเอกชน จัดกิจกรรมต่างๆ ในงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ภายใต้แนวคิด "สุดยอดเด็กไทย" ประกอบด้วย 3 เรื่อง คือ 1) พลเมืองเด็กดี 2) เด็กยุคดิจิตอล และ3) เด็กรักสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และสังคมในปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาตนเอง ผ่านการเรียนรู้จากกิจกรรมควบคู่ไปกับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ส่งผลให้เด็กกล้าคิด กล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ และเหมาะสมตามวัย
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับกิจกรรมภายในงาน แบ่งออกเป็น 5 โซน ได้แก่ 1) โซนกิจกรรมสร้างสรรค์ (KID THINK) ประกอบด้วยกิจกรรมจากหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. การแสดงความสามารถของนักฟุตบอลเยาวชนชาย - หญิง จากสถานสงเคราะห์เยาวชนมูลนิธิมหาราชและสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี 2) โซนกิจกรรมภาคเอกชนและองค์กรเครือข่าย ประกอบด้วย กิจกรรมจาก บริษัท ซี พี แรม จํากัด บริษัท ธนชาติโบรกเกอร์ จํากัด บริษัท ไทยน้ําทิพย์ จํากัด มูลนิธิลมหายใจ ไร้มลทิน บริษัท แลคตาซอย จํากัด และสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 3) โซนกิจกรรมกลางแจ้ง (HAPPY KID) ประกอบด้วยเครื่องเล่นสําหรับเด็ก ได้แก่ ผาจําลองบ้านลม รถไฟเด็ก และปีนผาจําลอง 4) โซนกิจกรรมบนเวที (KID STAGE) ประกอบด้วย การแสดงบนเวทีของเด็กในสถานรองรับสังกัดกระทรวง พม. สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ตัวแทนเครือข่ายเด็กและเยาวชน และศิลปินนักร้อง อาทิ ใบเฟิร์น ไมค์ทองคํา และเอ อภิรักษ์ ไมค์ทองคํา และ 5) โซนอาหารและเครื่องดื่ม บริการฟรีสําหรับเด็กและผู้ปกครอง เช่น ไส้กรอก เฟรนฟราย ลูกชิ้นทอด และข้าวผัด เป็นต้น
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ นับเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ใหญ่ทุกคน ครอบครัว และสังคมได้ร่วมมือกันในการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่นศึกษาหาความรู้ใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ ประพฤติ และปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบ ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต มีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นมีจิตใจที่เสียสละ มุ่งบําเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวมตามกําลังความสามารถของตนเอง ทั้งนี้ ขอให้เด็กทุกคนมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง และพัฒนาตนเอง ให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสังคมโลก เพื่อให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 มุ่งส่งเสริมเป็นพลเมืองเด็กดี เด็กยุคดิจิตอล และเด็กรักสิ่งแวดล้อม สู่สุดยอดเด็กไทย
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563
พม. จัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 มุ่งส่งเสริมเป็นพลเมืองเด็กดี เด็กยุคดิจิตอล และเด็กรักสิ่งแวดล้อม สู่สุดยอดเด็กไทย
พม. จัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 มุ่งส่งเสริมเป็นพลเมืองเด็กดี เด็กยุคดิจิตอล และเด็กรักสิ่งแวดล้อม สู่สุดยอดเด็กไทย
วันที่ 11 ม.ค. 63 เวลา 09.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ภายใต้แนวคิด สุดยอดเด็กไทย พร้อมมอบโอวาทเนื่องในวันเด็กแห่งชาติประจําปี 2563 อีกทั้งมอบเกียรติบัตรเด็กดีเด่นให้กับเด็กในอุปการะการดูแลของกระทรวง พม. และจับฉลากมอบของรางวัลพิเศษให้เด็กที่เข้าร่วมกิจกรรมภายในงาน นอกจากนี้ ได้เดินเยี่ยมชมบูธกิจกรรมต่างๆ โดยมีของขวัญสําหรับเด็กที่เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,500 ชิ้น ทั้งนี้ มีนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เด็กในความอุปการะการดูแลของกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) เด็กและผู้ปกครองในพื้นที่ใกล้เคียง เข้าร่วมงาน ณ บริเวณสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า ด้วยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507 กําหนดให้วันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติ โดยมีหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมจัดกิจกรรมในวันดังกล่าว สําหรับวันเด็กแห่งชาติ ปี 2563 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้คําขวัญว่า "เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย" โดยใช้ "ฮีโร่ตัวจิ๋ว" เป็นตราสัญลักษณ์ในการจัดงานวันเด็กแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2561 - 2565 ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) เป็นเจ้าภาพในการจัดงานวันเด็กแห่งชาติเป็นประจําทุกปีในภาพรวมของกระทรวง พม. ร่วมกับหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ได้แก่ สํานักงานปลัดกระทรวง พม. กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) การเคหะแห่งชาติ (กคช.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และสํานักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) รวมทั้งหน่วยงานภาคเอกชน จัดกิจกรรมต่างๆ ในงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ภายใต้แนวคิด "สุดยอดเด็กไทย" ประกอบด้วย 3 เรื่อง คือ 1) พลเมืองเด็กดี 2) เด็กยุคดิจิตอล และ3) เด็กรักสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และสังคมในปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาตนเอง ผ่านการเรียนรู้จากกิจกรรมควบคู่ไปกับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ส่งผลให้เด็กกล้าคิด กล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ และเหมาะสมตามวัย
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับกิจกรรมภายในงาน แบ่งออกเป็น 5 โซน ได้แก่ 1) โซนกิจกรรมสร้างสรรค์ (KID THINK) ประกอบด้วยกิจกรรมจากหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. การแสดงความสามารถของนักฟุตบอลเยาวชนชาย - หญิง จากสถานสงเคราะห์เยาวชนมูลนิธิมหาราชและสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี 2) โซนกิจกรรมภาคเอกชนและองค์กรเครือข่าย ประกอบด้วย กิจกรรมจาก บริษัท ซี พี แรม จํากัด บริษัท ธนชาติโบรกเกอร์ จํากัด บริษัท ไทยน้ําทิพย์ จํากัด มูลนิธิลมหายใจ ไร้มลทิน บริษัท แลคตาซอย จํากัด และสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 3) โซนกิจกรรมกลางแจ้ง (HAPPY KID) ประกอบด้วยเครื่องเล่นสําหรับเด็ก ได้แก่ ผาจําลองบ้านลม รถไฟเด็ก และปีนผาจําลอง 4) โซนกิจกรรมบนเวที (KID STAGE) ประกอบด้วย การแสดงบนเวทีของเด็กในสถานรองรับสังกัดกระทรวง พม. สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ตัวแทนเครือข่ายเด็กและเยาวชน และศิลปินนักร้อง อาทิ ใบเฟิร์น ไมค์ทองคํา และเอ อภิรักษ์ ไมค์ทองคํา และ 5) โซนอาหารและเครื่องดื่ม บริการฟรีสําหรับเด็กและผู้ปกครอง เช่น ไส้กรอก เฟรนฟราย ลูกชิ้นทอด และข้าวผัด เป็นต้น
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ นับเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ใหญ่ทุกคน ครอบครัว และสังคมได้ร่วมมือกันในการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่นศึกษาหาความรู้ใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ ประพฤติ และปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบ ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต มีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นมีจิตใจที่เสียสละ มุ่งบําเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวมตามกําลังความสามารถของตนเอง ทั้งนี้ ขอให้เด็กทุกคนมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง และพัฒนาตนเอง ให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสังคมโลก เพื่อให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25748
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมจัดงานวันสตรีสากล ปี 2562 พร้อมชูแนวคิด “การเสริมพลังสตรีและเด็กหญิง สู่การพัฒนาที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
|
วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2562
พม. เตรียมจัดงานวันสตรีสากล ปี 2562 พร้อมชูแนวคิด “การเสริมพลังสตรีและเด็กหญิง สู่การพัฒนาที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
พม. เตรียมจัดงานวันสตรีสากล ปี 2562 พร้อมชูแนวคิด “การเสริมพลังสตรีและเด็กหญิง สู่การพัฒนาที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
วันนี้ (4 มี.ค. 62) เวลา 11.00 น. บริเวณโถง ชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานวันสตรีสากล ประจําปี 2562 ภายใต้แนวคิด “การเสริมพลังสตรีและเด็กหญิง สู่การพัฒนาที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติแก่สตรี บุคคล หน่วยงานที่มีผลงานดีเด่นด้านการพัฒนาศักยภาพสตรี ตลอดจนผสานพลังกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคม สร้างการมีส่วนร่วมของสตรีในการพัฒนาประเทศ อันจะนําไปสู่สังคมความเสมอภาคและสันติสุขอย่างยั่งยืน
นายปรเมธี กล่าวว่า ด้วยองค์การสหประชาชาติ กําหนดให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปี เป็นวันสตรีสากล และเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกจัดกิจกรรมเพื่อร่วมเฉลิมฉลองและรําลึกถึงการต่อสู้ของสตรี เพื่อการได้มาซึ่งความยุติธรรม ความเสมอภาค และสันติภาพ รวมทั้งนําไปสู่การทบทวนความก้าวหน้าในการดําเนินงานทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ตลอดจนสิทธิมนุษยชนของสตรีและประชาชนทุกคน ทั้งนี้ ประเทศไทยในฐานะสมาชิกสหประชาชาติได้ร่วมแสดงเจตนารมณ์ในการปฏิบัติตามพันธสัญญาต่อเวทีโลก ที่มุ่งเน้นให้ความสําคัญกับการพัฒนาสถานภาพสตรี และการสร้างความเสมอภาคระหว่างเพศ โดยได้ดําเนินการจัดงานวันสตรีสากลในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2532 เป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อกระตุ้นให้สังคมไทยได้ตระหนักถึงศักยภาพและสิทธิมนุษยชนของสตรี และให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภารกิจด้านการพัฒนาสถานภาพสตรีในประเทศไทยให้มากขึ้น รวมทั้งยกระดับการพัฒนาสตรีให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยมีการจัดกิจกรรมวันสตรีสากลไปพร้อมกันทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค
นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดําเนินภารกิจหลักในการส่งเสริมศักยภาพสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ การคุ้มครองพิทักษ์สิทธิสตรี และการส่งเสริมการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการรับฟังความคิดเห็นของสตรีจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคม จึงได้กําหนดจัดงานวันสตรีสากล ประจําปี 2562 ในวันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2562 ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพคฟอรั่ม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ภายใต้แนวคิด (Theme) “การเสริมพลังสตรีและเด็กหญิง สู่การพัฒนาที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” สอดคล้องกับหัวข้อหลักในการประชุมของคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรี (Commission on the Status of Women - CSW) สมัยที่ 63 และเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals –SDGs) เป้าหมายที่ 5 เพื่อบรรลุความเท่าเทียมทางเพศ พัฒนาบทบาทสตรีและเด็กผู้หญิง ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรีที่สําคัญของรัฐบาลในการเสริมพลัง เพิ่มบทบาท และพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่สตรีทุกกลุ่มและทุกระดับ เพื่อส่งเสริมให้สตรีมีความเข้มแข็ง และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับงานวันสตรีสากล ประจําปี 2562 ประกอบด้วยกิจกรรมสําคัญ อาทิ 1) พิธีเปิดงานวันสตรีสากล ประจําปี 2562 โดยมี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้กับสตรี บุคคล และหน่วยงานองค์กรที่มีผลงานดีเด่นที่ดําเนินงานด้านการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย การพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของสตรี หรือด้านการพัฒนาศักยภาพสตรี จํานวน 15 สาขา รวม 45 รางวัล อาทิ นางเกษสุดา ไรวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จํากัด (มหาชน) และบริษัท เอส แอนด์ พี โกลเบิล จํากัด นางกานต์มณี ปะนัดตา พนักงานเก็บค่าโดยสารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เขตการเดินรถที่ 2 เป็นต้น พร้อมทั้งปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “การเสริมพลังสตรีและเด็กหญิง สู่การพัฒนาที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” 2) การสัมมนาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อการพัฒนาสถานภาพสตรี ใน 3 หัวข้อ ได้แก่ 2.1) “สตรีไทยในสังคมยุคใหม่: ความท้าทาย” 2.2) “สังคมไทยไร้ความรุนแรงได้จริงหรือ” และ 2.3) “ระบบการคุ้มครองทางสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืน” และ 3) การนําเสนอวีดิทัศน์ เรื่อง “เสริมสตรีก้าวหน้า สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการวิชาการเนื่องในวันสตรีสากล ผลงานของสตรี บุคคล หน่วยงาน และองค์กรดีเด่น และหน่วยงานภาคีเครือข่าย เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมงานวันสตรีสากล ประจําปี 2562 ในวันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพคฟอรั่ม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมจัดงานวันสตรีสากล ปี 2562 พร้อมชูแนวคิด “การเสริมพลังสตรีและเด็กหญิง สู่การพัฒนาที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2562
พม. เตรียมจัดงานวันสตรีสากล ปี 2562 พร้อมชูแนวคิด “การเสริมพลังสตรีและเด็กหญิง สู่การพัฒนาที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
พม. เตรียมจัดงานวันสตรีสากล ปี 2562 พร้อมชูแนวคิด “การเสริมพลังสตรีและเด็กหญิง สู่การพัฒนาที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
วันนี้ (4 มี.ค. 62) เวลา 11.00 น. บริเวณโถง ชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานวันสตรีสากล ประจําปี 2562 ภายใต้แนวคิด “การเสริมพลังสตรีและเด็กหญิง สู่การพัฒนาที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติแก่สตรี บุคคล หน่วยงานที่มีผลงานดีเด่นด้านการพัฒนาศักยภาพสตรี ตลอดจนผสานพลังกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคม สร้างการมีส่วนร่วมของสตรีในการพัฒนาประเทศ อันจะนําไปสู่สังคมความเสมอภาคและสันติสุขอย่างยั่งยืน
นายปรเมธี กล่าวว่า ด้วยองค์การสหประชาชาติ กําหนดให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปี เป็นวันสตรีสากล และเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกจัดกิจกรรมเพื่อร่วมเฉลิมฉลองและรําลึกถึงการต่อสู้ของสตรี เพื่อการได้มาซึ่งความยุติธรรม ความเสมอภาค และสันติภาพ รวมทั้งนําไปสู่การทบทวนความก้าวหน้าในการดําเนินงานทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ตลอดจนสิทธิมนุษยชนของสตรีและประชาชนทุกคน ทั้งนี้ ประเทศไทยในฐานะสมาชิกสหประชาชาติได้ร่วมแสดงเจตนารมณ์ในการปฏิบัติตามพันธสัญญาต่อเวทีโลก ที่มุ่งเน้นให้ความสําคัญกับการพัฒนาสถานภาพสตรี และการสร้างความเสมอภาคระหว่างเพศ โดยได้ดําเนินการจัดงานวันสตรีสากลในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2532 เป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อกระตุ้นให้สังคมไทยได้ตระหนักถึงศักยภาพและสิทธิมนุษยชนของสตรี และให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภารกิจด้านการพัฒนาสถานภาพสตรีในประเทศไทยให้มากขึ้น รวมทั้งยกระดับการพัฒนาสตรีให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยมีการจัดกิจกรรมวันสตรีสากลไปพร้อมกันทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค
นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดําเนินภารกิจหลักในการส่งเสริมศักยภาพสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ การคุ้มครองพิทักษ์สิทธิสตรี และการส่งเสริมการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการรับฟังความคิดเห็นของสตรีจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคม จึงได้กําหนดจัดงานวันสตรีสากล ประจําปี 2562 ในวันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2562 ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพคฟอรั่ม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ภายใต้แนวคิด (Theme) “การเสริมพลังสตรีและเด็กหญิง สู่การพัฒนาที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” สอดคล้องกับหัวข้อหลักในการประชุมของคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรี (Commission on the Status of Women - CSW) สมัยที่ 63 และเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals –SDGs) เป้าหมายที่ 5 เพื่อบรรลุความเท่าเทียมทางเพศ พัฒนาบทบาทสตรีและเด็กผู้หญิง ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรีที่สําคัญของรัฐบาลในการเสริมพลัง เพิ่มบทบาท และพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่สตรีทุกกลุ่มและทุกระดับ เพื่อส่งเสริมให้สตรีมีความเข้มแข็ง และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับงานวันสตรีสากล ประจําปี 2562 ประกอบด้วยกิจกรรมสําคัญ อาทิ 1) พิธีเปิดงานวันสตรีสากล ประจําปี 2562 โดยมี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้กับสตรี บุคคล และหน่วยงานองค์กรที่มีผลงานดีเด่นที่ดําเนินงานด้านการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย การพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของสตรี หรือด้านการพัฒนาศักยภาพสตรี จํานวน 15 สาขา รวม 45 รางวัล อาทิ นางเกษสุดา ไรวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จํากัด (มหาชน) และบริษัท เอส แอนด์ พี โกลเบิล จํากัด นางกานต์มณี ปะนัดตา พนักงานเก็บค่าโดยสารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เขตการเดินรถที่ 2 เป็นต้น พร้อมทั้งปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “การเสริมพลังสตรีและเด็กหญิง สู่การพัฒนาที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” 2) การสัมมนาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อการพัฒนาสถานภาพสตรี ใน 3 หัวข้อ ได้แก่ 2.1) “สตรีไทยในสังคมยุคใหม่: ความท้าทาย” 2.2) “สังคมไทยไร้ความรุนแรงได้จริงหรือ” และ 2.3) “ระบบการคุ้มครองทางสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืน” และ 3) การนําเสนอวีดิทัศน์ เรื่อง “เสริมสตรีก้าวหน้า สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการวิชาการเนื่องในวันสตรีสากล ผลงานของสตรี บุคคล หน่วยงาน และองค์กรดีเด่น และหน่วยงานภาคีเครือข่าย เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมงานวันสตรีสากล ประจําปี 2562 ในวันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพคฟอรั่ม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19103
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยก.อุตฯ เป็นประธานเปิดงานศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) จ.อุบลราชธานี
|
วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561
รัฐมนตรีช่วยก.อุตฯ เป็นประธานเปิดงานศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) จ.อุบลราชธานี
รัฐมนตรีช่วยก.อุตฯ เป็นประธานเปิดงานศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) จ.อุบลราชธานี
วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) (Industry Transformation Center: ITC) จังหวัดอุบลราชธานี และเยี่ยมชมการจัดแสดงนิทรรศการ “ITC SMART SME ด้วยเทคโนโลยี 4.0” โดยหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ โดยมีนางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายเฉลิมพล มั่งคั่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บริหารสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย สถาบันการศึกษาต่างๆสื่อมวลชนร่วมเปิดงาน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดตั้ง “ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม หรือ Industry Transformation Center (ITC)” เพื่อทําหน้าที่เชื่อมโยงหน่วยงานวิจัย หน่วยงานการศึกษา ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบัน และนักนวัตกรรมหรือผู้ประกอบการที่เป็น Start Up ต่างๆ โดยการทํางานของศูนย์ ITC นั้นจะเป็นการทํางานในลักษณะประชารัฐ คือ นําผู้ประกอบการตั้งแต่ ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา มาทํางานร่วมกับหน่วยงานวิจัย หรือเจ้าของเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนและตอบโจทย์ผู้ประกอบการ นักนวัตกรรมหรือ Start Up
ซึ่งในเบื้องต้นศูนย์ ITC แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อให้บริการเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อแสดงให้เห็นถึงภาครัฐได้บูรณาการการทํางานแล้วอย่างเป็นรูปธรรม และพร้อมที่จะให้บริการแก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าด้วย นอกจากนี้การทํางานของศูนย์ยังจะเชื่อมโยงกับหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์(CIV) จึงขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมาใช้บริการของศูนย์นี้ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 ถนนคลังอาวุธ ตําบลขามใหญ่ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี #industryprmoi #กระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยก.อุตฯ เป็นประธานเปิดงานศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) จ.อุบลราชธานี
วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561
รัฐมนตรีช่วยก.อุตฯ เป็นประธานเปิดงานศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) จ.อุบลราชธานี
รัฐมนตรีช่วยก.อุตฯ เป็นประธานเปิดงานศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) จ.อุบลราชธานี
วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) (Industry Transformation Center: ITC) จังหวัดอุบลราชธานี และเยี่ยมชมการจัดแสดงนิทรรศการ “ITC SMART SME ด้วยเทคโนโลยี 4.0” โดยหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ โดยมีนางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายเฉลิมพล มั่งคั่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บริหารสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย สถาบันการศึกษาต่างๆสื่อมวลชนร่วมเปิดงาน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดตั้ง “ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม หรือ Industry Transformation Center (ITC)” เพื่อทําหน้าที่เชื่อมโยงหน่วยงานวิจัย หน่วยงานการศึกษา ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบัน และนักนวัตกรรมหรือผู้ประกอบการที่เป็น Start Up ต่างๆ โดยการทํางานของศูนย์ ITC นั้นจะเป็นการทํางานในลักษณะประชารัฐ คือ นําผู้ประกอบการตั้งแต่ ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา มาทํางานร่วมกับหน่วยงานวิจัย หรือเจ้าของเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนและตอบโจทย์ผู้ประกอบการ นักนวัตกรรมหรือ Start Up
ซึ่งในเบื้องต้นศูนย์ ITC แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อให้บริการเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อแสดงให้เห็นถึงภาครัฐได้บูรณาการการทํางานแล้วอย่างเป็นรูปธรรม และพร้อมที่จะให้บริการแก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าด้วย นอกจากนี้การทํางานของศูนย์ยังจะเชื่อมโยงกับหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์(CIV) จึงขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมาใช้บริการของศูนย์นี้ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 ถนนคลังอาวุธ ตําบลขามใหญ่ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี #industryprmoi #กระทรวงอุตสาหกรรม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10120
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเน้นย้ำกระชับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนระดับภูมิภาค
|
วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2562
ไทยเน้นย้ํากระชับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนระดับภูมิภาค
ไทยเน้นย้ํากระชับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนระดับภูมิภาค
วันนี้ (วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562) เวลา 09.00 น. ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม Impact เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษ งาน ASEAN Business and Investment Summit 2019 (ABIS) โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้แก่ สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ภายหลังเสร็จสิ้น ศาตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายยกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน ASEAN Business and Investment 2019 ซึ่งสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ASEAN Business Advisory Council (ASEAN-BAC) รวมกับกระทรวงการต่างประเทศจัดขึ้นในวันนี้ โดยในปีนี้ถือว่าเป็นปีที่สําคัญของประเทศไทยนอกจากได้ดํารงตําแหน่งเป็นประธานอาเซียน ยังเป็นปีที่ภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะองค์กรชั้นนําได้จัดเวทีเสวนาระดับนานาชาติภายใต้หัวข้อหลัก “สร้างพลังอาเซียน 4.0” เพื่อติดอาวุธทางปัญญาและปูแนวทางไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในยุค 4.0 ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้ให้ความสําคัญและผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบธุรกิจใหม่ ใช้นวัตกรรมเป็นตัวช่วยยกระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งระดับมหภาคและจุลภาคของประเทศ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด และการมีประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาที่ยั่งยืน
รัฐบาลไทยและภาคธุรกิจได้ดําเนินการร่วมกันในหลายด้าน 1. มิติด้านความมั่นคง รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 2. มิติด้านเศรษฐกิจ การลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน (Public and private partnership or PPP) มีการร่วมทุนขนาดใหญ่ในโครงการEastern Economy Corridor (EEC) หลายโครงการ 3. มิติด้านสังคม การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นปัจจัยเร่งให้ประเทศไทยต้องปรับตัวด้วยการนํานวัตกรรมเข้ามารองรับสังคมรูปแบบใหม่
การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลก็เป็นอีกปัจจัยที่มีความสําคัญอย่างยิ่งที่ทุกประเทศจะต้องเตรียมความพร้อม โดยการติดต่อผ่านดิจิทัลจําเป็นต้องใช้เครือข่ายการประกอบธุรกิจในประเทศและระหว่างประเทศที่เข้มแข็ง ภาครัฐจึงต้องช่วยสนับสนุน นอกจากนี้รัฐบาลไทยยังให้ความสําคัญกับความร่วมมือระดับภูมิภาคได้แก่ ACMECS RCEP และ GMS ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างรัฐบาล และสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียนจึงมีความสําคัญมากในการเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการพบปะหารือนําเสนอข้อคิดเห็นในเชิงเศรษฐกิจเพื่อให้ภาครัฐได้นํามาพิจารณาปรับใช้กับยุทธศาสตร์ นายกรัฐมนตรีหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อคิดเห็นในหลายเรื่อง และจะเป็นเครื่องมือนําเสนอพัฒนาการในระบบการค้าและการลงทุนของโลก รวมถึงนําเสนอข้อเสนอแนะในการวางยุทธศาสตร์และแผนการรองรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความพร้อมให้อาเซียนสามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะเศรษฐกิจของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีชื่นชมการจัดงานและอวยพรให้การจัดงานประสบความสําเร็จมีผลเป็นรูปธรรมเพื่อเสริมสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็งยั่งยืนพร้อมก้าวทันสู่สังคมดิจิทัล
*************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเน้นย้ำกระชับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนระดับภูมิภาค
วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2562
ไทยเน้นย้ํากระชับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนระดับภูมิภาค
ไทยเน้นย้ํากระชับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนระดับภูมิภาค
วันนี้ (วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562) เวลา 09.00 น. ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม Impact เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษ งาน ASEAN Business and Investment Summit 2019 (ABIS) โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้แก่ สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ภายหลังเสร็จสิ้น ศาตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายยกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน ASEAN Business and Investment 2019 ซึ่งสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ASEAN Business Advisory Council (ASEAN-BAC) รวมกับกระทรวงการต่างประเทศจัดขึ้นในวันนี้ โดยในปีนี้ถือว่าเป็นปีที่สําคัญของประเทศไทยนอกจากได้ดํารงตําแหน่งเป็นประธานอาเซียน ยังเป็นปีที่ภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะองค์กรชั้นนําได้จัดเวทีเสวนาระดับนานาชาติภายใต้หัวข้อหลัก “สร้างพลังอาเซียน 4.0” เพื่อติดอาวุธทางปัญญาและปูแนวทางไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในยุค 4.0 ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้ให้ความสําคัญและผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบธุรกิจใหม่ ใช้นวัตกรรมเป็นตัวช่วยยกระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งระดับมหภาคและจุลภาคของประเทศ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด และการมีประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาที่ยั่งยืน
รัฐบาลไทยและภาคธุรกิจได้ดําเนินการร่วมกันในหลายด้าน 1. มิติด้านความมั่นคง รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 2. มิติด้านเศรษฐกิจ การลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน (Public and private partnership or PPP) มีการร่วมทุนขนาดใหญ่ในโครงการEastern Economy Corridor (EEC) หลายโครงการ 3. มิติด้านสังคม การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นปัจจัยเร่งให้ประเทศไทยต้องปรับตัวด้วยการนํานวัตกรรมเข้ามารองรับสังคมรูปแบบใหม่
การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลก็เป็นอีกปัจจัยที่มีความสําคัญอย่างยิ่งที่ทุกประเทศจะต้องเตรียมความพร้อม โดยการติดต่อผ่านดิจิทัลจําเป็นต้องใช้เครือข่ายการประกอบธุรกิจในประเทศและระหว่างประเทศที่เข้มแข็ง ภาครัฐจึงต้องช่วยสนับสนุน นอกจากนี้รัฐบาลไทยยังให้ความสําคัญกับความร่วมมือระดับภูมิภาคได้แก่ ACMECS RCEP และ GMS ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างรัฐบาล และสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียนจึงมีความสําคัญมากในการเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการพบปะหารือนําเสนอข้อคิดเห็นในเชิงเศรษฐกิจเพื่อให้ภาครัฐได้นํามาพิจารณาปรับใช้กับยุทธศาสตร์ นายกรัฐมนตรีหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อคิดเห็นในหลายเรื่อง และจะเป็นเครื่องมือนําเสนอพัฒนาการในระบบการค้าและการลงทุนของโลก รวมถึงนําเสนอข้อเสนอแนะในการวางยุทธศาสตร์และแผนการรองรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความพร้อมให้อาเซียนสามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะเศรษฐกิจของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีชื่นชมการจัดงานและอวยพรให้การจัดงานประสบความสําเร็จมีผลเป็นรูปธรรมเพื่อเสริมสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็งยั่งยืนพร้อมก้าวทันสู่สังคมดิจิทัล
*************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24247
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หารือถึงความเหมาะสมกรณีนักเรียนมุสลิมบางส่วนของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ขอแต่งกายตามหลักศาสนา
|
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรีสั่งการให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หารือถึงความเหมาะสมกรณีนักเรียนมุสลิมบางส่วนของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ขอแต่งกายตามหลักศาสนา
นายกรัฐมนตรีสั่งการให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หารือถึงความเหมาะสมกรณีนักเรียนมุสลิมบางส่วนของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ขอแต่งกายตามหลักศาสนา
วันนี้ (14 สิงหาคม 2561) เวลา 13.05 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณี นักเรียนมุสลิมบางส่วนของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ขอแต่งกายตามหลักศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับระเบียบการแต่งกายของโรงเรียน จนกลายเป็นปมขัดแย้ง ทําให้ผู้ปกครองนักเรียนที่เป็นชาวพุทธบางส่วน ให้บุตรหลานแต่งชุดอยู่บ้านมาโรงเรียนว่า ได้สั่งการให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไปประชุมชี้แจงอีกครั้งหนึ่งว่ามีความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร ซึ่งอะไรที่เป็นระเบียบ ต่างคนต่างปฏิบัติตามก็จะไม่เกิดปัญหา แต่ ถ้าไปสู่ความขัดแย้งก็ขัดแย้งกันไม่จบไม่สิ้นทุกเรื่อง
----------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หารือถึงความเหมาะสมกรณีนักเรียนมุสลิมบางส่วนของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ขอแต่งกายตามหลักศาสนา
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรีสั่งการให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หารือถึงความเหมาะสมกรณีนักเรียนมุสลิมบางส่วนของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ขอแต่งกายตามหลักศาสนา
นายกรัฐมนตรีสั่งการให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หารือถึงความเหมาะสมกรณีนักเรียนมุสลิมบางส่วนของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ขอแต่งกายตามหลักศาสนา
วันนี้ (14 สิงหาคม 2561) เวลา 13.05 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณี นักเรียนมุสลิมบางส่วนของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ขอแต่งกายตามหลักศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับระเบียบการแต่งกายของโรงเรียน จนกลายเป็นปมขัดแย้ง ทําให้ผู้ปกครองนักเรียนที่เป็นชาวพุทธบางส่วน ให้บุตรหลานแต่งชุดอยู่บ้านมาโรงเรียนว่า ได้สั่งการให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไปประชุมชี้แจงอีกครั้งหนึ่งว่ามีความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร ซึ่งอะไรที่เป็นระเบียบ ต่างคนต่างปฏิบัติตามก็จะไม่เกิดปัญหา แต่ ถ้าไปสู่ความขัดแย้งก็ขัดแย้งกันไม่จบไม่สิ้นทุกเรื่อง
----------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14592
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Official Line ที่ชื่อว่า ‘ไทยชนะ’ เป็นของภาครัฐหรือไม่ ??
|
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
Official Line ที่ชื่อว่า ‘ไทยชนะ’ เป็นของภาครัฐหรือไม่ ??
Official Line ‘ไทยชนะ’ เป็นของรัฐหรือไม่ ??
Q : Official Line ที่ชื่อว่า ‘ไทยชนะ’ เป็นของภาครัฐหรือไม่ ??
A :ใช่ ประชาชนที่สนใจสามารถเพิ่มเพื่อนได้ โดย Official Line ‘ไทยชนะ’ เป็นช่องทางสําหรับการติดต่อ แจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉินของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมใช้สื่อสารข้อมูลจากภาครัฐอีกทางหนึ่งด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Official Line ที่ชื่อว่า ‘ไทยชนะ’ เป็นของภาครัฐหรือไม่ ??
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
Official Line ที่ชื่อว่า ‘ไทยชนะ’ เป็นของภาครัฐหรือไม่ ??
Official Line ‘ไทยชนะ’ เป็นของรัฐหรือไม่ ??
Q : Official Line ที่ชื่อว่า ‘ไทยชนะ’ เป็นของภาครัฐหรือไม่ ??
A :ใช่ ประชาชนที่สนใจสามารถเพิ่มเพื่อนได้ โดย Official Line ‘ไทยชนะ’ เป็นช่องทางสําหรับการติดต่อ แจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉินของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมใช้สื่อสารข้อมูลจากภาครัฐอีกทางหนึ่งด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31083
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ชี้แจงกรณีการสร้างบ้านมั่นคงริมคลองไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตชาวบ้านชุมชนร่วมใจพิบูล 2
|
วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560
พม. ชี้แจงกรณีการสร้างบ้านมั่นคงริมคลองไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตชาวบ้านชุมชนร่วมใจพิบูล 2
พม. ชี้แจงกรณีการสร้างบ้านมั่นคงริมคลองไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตชาวบ้านชุมชนร่วมใจพิบูล 2
เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 60 เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายณรงค์ คงคํา ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ ชี้แจงกรณีที่มีการนําเสนอข่าวทางสื่อมวลชนว่า ชาวชุมชนร่วมใจพิบูล 2 เขตห้วยขวาง แสดงความคิดเห็นว่าการสร้างบ้านมั่นคงริมคลองไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตชาวบ้าน เนื่องจากบ้านมีขนาดเล็ก นั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนชาวชุมชนริมคลองตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง มีสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมอบหมายให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) เป็นหน่วยงานหลัก ดําเนินงานร่วมกับหลายหน่วยงาน ทั้งนี้ ชุมชนร่วมใจพิบูล 2 มีทั้งหมด 245 ครัวเรือน ปัจจุบันมีสมาชิกเข้าร่วมโครงการแล้ว 206 ครัวเรือน และยังไม่เข้าร่วมโครงการอีก 39 ครัวเรือน แต่เนื่องจากพื้นที่ของชุมชนที่เหลือจากแนวก่อสร้างเขื่อนระบายน้ําเพื่อป้องกันน้ําท่วมของกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่จํากัด ดังนั้น การออกแบบที่อยู่อาศัยจึงต้องใช้พื้นที่ที่เหลือเป็นตัวตั้ง และเพื่อให้ชาวชุมชนที่เข้าร่วมโครงการสามารถอยู่อาศัยในชุมชนเดิมได้ การแบ่งพื้นที่ที่อยู่อาศัยของทุกครัวเรือนจึงได้รับสิทธิ์และขนาดเท่ากัน คือ เป็นบ้านแถว 2 ชั้น ขนาด 3.5 x 7 ตารางเมตร จํานวน 206 ครัวเรือน
นายณรงค์ กล่าวต่อไปว่า จากกรณีข่าวที่ออกไปนั้น อาจจะมาจากชาวบ้านที่เคยมีบ้านหลังใหญ่ เมื่อต้องเสียสละและแบ่งปันที่ดินให้เท่ากับคนอื่นๆ อาจยังทําใจได้ยาก ทั้งนี้ทุกคนควรยอมรับในเงื่อนไขการอยู่ในที่ดินเดิมที่มีอยู่อย่างจํากัด ยอมรับที่ต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นข้อตกลงที่ชาวชุมชนมีความเห็นตรงกัน นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกอื่น ที่จะตอบสนองความต้องการขนาดบ้านที่ใหญ่ขึ้นได้ เช่น เข้าร่วมกับชุมชนที่ต้องการซื้อที่ดินใหม่บริเวณบึงนายพล เขตมีนบุรี แต่อาจจะมีเรื่องของภาระการผ่อนชําระของชาวบ้านเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยขณะนี้มีชาวชุมชนร่วมใจพิบูล 2 เลือกที่จะไปอยู่ที่บึงนายพลแล้ว จํานวน 9 ครัวเรือน
"ทั้งนี้ พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้สั่งการให้ พอช. และกองอํานวยการร่วมพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองและริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา (กอร.ชค.) ลงพื้นที่เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ให้กับประชาชนในชุมชนที่ยังสงสัย ไม่เข้าใจ ได้รับรู้และเข้าร่วมแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยของรัฐบาล โดยเร่งด่วนเรียบร้อยแล้ว” นายณรงค์ กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ชี้แจงกรณีการสร้างบ้านมั่นคงริมคลองไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตชาวบ้านชุมชนร่วมใจพิบูล 2
วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560
พม. ชี้แจงกรณีการสร้างบ้านมั่นคงริมคลองไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตชาวบ้านชุมชนร่วมใจพิบูล 2
พม. ชี้แจงกรณีการสร้างบ้านมั่นคงริมคลองไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตชาวบ้านชุมชนร่วมใจพิบูล 2
เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 60 เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายณรงค์ คงคํา ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ ชี้แจงกรณีที่มีการนําเสนอข่าวทางสื่อมวลชนว่า ชาวชุมชนร่วมใจพิบูล 2 เขตห้วยขวาง แสดงความคิดเห็นว่าการสร้างบ้านมั่นคงริมคลองไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตชาวบ้าน เนื่องจากบ้านมีขนาดเล็ก นั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนชาวชุมชนริมคลองตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง มีสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมอบหมายให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) เป็นหน่วยงานหลัก ดําเนินงานร่วมกับหลายหน่วยงาน ทั้งนี้ ชุมชนร่วมใจพิบูล 2 มีทั้งหมด 245 ครัวเรือน ปัจจุบันมีสมาชิกเข้าร่วมโครงการแล้ว 206 ครัวเรือน และยังไม่เข้าร่วมโครงการอีก 39 ครัวเรือน แต่เนื่องจากพื้นที่ของชุมชนที่เหลือจากแนวก่อสร้างเขื่อนระบายน้ําเพื่อป้องกันน้ําท่วมของกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่จํากัด ดังนั้น การออกแบบที่อยู่อาศัยจึงต้องใช้พื้นที่ที่เหลือเป็นตัวตั้ง และเพื่อให้ชาวชุมชนที่เข้าร่วมโครงการสามารถอยู่อาศัยในชุมชนเดิมได้ การแบ่งพื้นที่ที่อยู่อาศัยของทุกครัวเรือนจึงได้รับสิทธิ์และขนาดเท่ากัน คือ เป็นบ้านแถว 2 ชั้น ขนาด 3.5 x 7 ตารางเมตร จํานวน 206 ครัวเรือน
นายณรงค์ กล่าวต่อไปว่า จากกรณีข่าวที่ออกไปนั้น อาจจะมาจากชาวบ้านที่เคยมีบ้านหลังใหญ่ เมื่อต้องเสียสละและแบ่งปันที่ดินให้เท่ากับคนอื่นๆ อาจยังทําใจได้ยาก ทั้งนี้ทุกคนควรยอมรับในเงื่อนไขการอยู่ในที่ดินเดิมที่มีอยู่อย่างจํากัด ยอมรับที่ต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นข้อตกลงที่ชาวชุมชนมีความเห็นตรงกัน นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกอื่น ที่จะตอบสนองความต้องการขนาดบ้านที่ใหญ่ขึ้นได้ เช่น เข้าร่วมกับชุมชนที่ต้องการซื้อที่ดินใหม่บริเวณบึงนายพล เขตมีนบุรี แต่อาจจะมีเรื่องของภาระการผ่อนชําระของชาวบ้านเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยขณะนี้มีชาวชุมชนร่วมใจพิบูล 2 เลือกที่จะไปอยู่ที่บึงนายพลแล้ว จํานวน 9 ครัวเรือน
"ทั้งนี้ พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้สั่งการให้ พอช. และกองอํานวยการร่วมพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองและริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา (กอร.ชค.) ลงพื้นที่เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ให้กับประชาชนในชุมชนที่ยังสงสัย ไม่เข้าใจ ได้รับรู้และเข้าร่วมแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยของรัฐบาล โดยเร่งด่วนเรียบร้อยแล้ว” นายณรงค์ กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3629
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีอนุทินฯ รับข้อเสนอสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงฯ ย้ำรัฐบาลพยายามช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม คำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ
|
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563
รองนายกรัฐมนตรีอนุทินฯ รับข้อเสนอสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงฯ ย้ํารัฐบาลพยายามช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม คํานึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสําคัญ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับข้อเสนอสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงฯ ย้ํารัฐบาลพยายามช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม คํานึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสําคัญ
วันนี้ (30 มิ.ย.63) เวลา14.30น.ณ ห้องรับรอง1ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้คณะสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทยเข้าพบ นําโดยนายคฑาวุธ ทองไทย ประธานสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมศิลป์หอไตรนายบริพันธ์ ชัยภูมิ นายกสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์นายกิตติ ปักษีนายกสมาคมศิลปินตลก(ประเทศไทย) นายประยงค์ ชื่นเย็นศิลปินแห่งชาติเพื่อยื่นหนังสือข้อเสนอถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.)ประกอบด้วย1.ขอให้รัฐบาลเชื่อมั่นผู้ประกอบการสถานบันเทิง ผับ บาร์ ที่ได้ตระหนัก และเตรียมการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19เช่นเดียวกับผู้ประกอบกิจการกิจกรรมอื่น ๆ ที่ได้รับการผ่อนปรนไปก่อนหน้านี้2. ทบทวนการสนับสนุนเงินเยียวยาเพื่อให้กลุ่มคนบันเทิงได้รับสิทธิเยียวยาหรือมีมาตรการอื่นในการช่วยเหลือ3.รัฐบาลควรสนับสนุนเงินทุนให้กับคนบันเทิงให้สามารถกู้เงินไปสร้างงานอื่น หรือฟื้นฟูกิจการ แบบปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ํา
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จะนําข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาดําเนินการตามความเหมาะสมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ยืนยันรัฐบาลมีความพยายามอย่างเต็มที่ที่จะช่วยเหลือบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากแพร่ระบาดโรคโควิด-19รวมถึงกลุ่มสถานบันเทิงต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ได้มีการปลดล็อกสถานบันเทิง ผับ บาร์ให้สามารถดําเนินการเปิดกิจการได้แล้ว เพียงแต่ขอความร่วมมือผู้ประกอบการสถานบันเทิงรวมทั้งกิจกรรมการแสดงดนตรีหรือการร้องเพลงในสถานบันเทิง ยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐกําหนด ทั้งเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลในการเข้าไปในพื้นที่สถานบันเทิง ผับ และบาร์ ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลไม่ใช้ภาชนะหรือแก้วเครื่องดื่มร่วมกัน การแสดงดนตรี ร้องเพลงต้องเป็นไปในลักษณะชอร์ฟ ผ่อนคลายเบา ๆ ไม่ครึกครื้นจนเกินไป เพื่อไม่ให้ผู้ชมส่งเสียงกรี๊ดและมีการเต้นเบียดเสียดกัน หลีกเลี่ยงการกระจายและการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19ได้ เพราะหากมีการติดเชื้อก็จะต้องสั่งปิดทันทีสําหรับการผ่อนปรนการแสดงคอนเสิร์ตเอาท์ดอร์หรือคอนเสิร์ตกลางแจ้งนั้น จะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงของการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ขึ้นมาอีก ทั้งนี้มาตรการของรัฐบาลคํานึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนในประเทศเป็นสําคัญ
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีอนุทินฯ รับข้อเสนอสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงฯ ย้ำรัฐบาลพยายามช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม คำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563
รองนายกรัฐมนตรีอนุทินฯ รับข้อเสนอสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงฯ ย้ํารัฐบาลพยายามช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม คํานึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสําคัญ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับข้อเสนอสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงฯ ย้ํารัฐบาลพยายามช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม คํานึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสําคัญ
วันนี้ (30 มิ.ย.63) เวลา14.30น.ณ ห้องรับรอง1ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้คณะสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทยเข้าพบ นําโดยนายคฑาวุธ ทองไทย ประธานสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมศิลป์หอไตรนายบริพันธ์ ชัยภูมิ นายกสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์นายกิตติ ปักษีนายกสมาคมศิลปินตลก(ประเทศไทย) นายประยงค์ ชื่นเย็นศิลปินแห่งชาติเพื่อยื่นหนังสือข้อเสนอถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.)ประกอบด้วย1.ขอให้รัฐบาลเชื่อมั่นผู้ประกอบการสถานบันเทิง ผับ บาร์ ที่ได้ตระหนัก และเตรียมการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19เช่นเดียวกับผู้ประกอบกิจการกิจกรรมอื่น ๆ ที่ได้รับการผ่อนปรนไปก่อนหน้านี้2. ทบทวนการสนับสนุนเงินเยียวยาเพื่อให้กลุ่มคนบันเทิงได้รับสิทธิเยียวยาหรือมีมาตรการอื่นในการช่วยเหลือ3.รัฐบาลควรสนับสนุนเงินทุนให้กับคนบันเทิงให้สามารถกู้เงินไปสร้างงานอื่น หรือฟื้นฟูกิจการ แบบปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ํา
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จะนําข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาดําเนินการตามความเหมาะสมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ยืนยันรัฐบาลมีความพยายามอย่างเต็มที่ที่จะช่วยเหลือบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากแพร่ระบาดโรคโควิด-19รวมถึงกลุ่มสถานบันเทิงต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ได้มีการปลดล็อกสถานบันเทิง ผับ บาร์ให้สามารถดําเนินการเปิดกิจการได้แล้ว เพียงแต่ขอความร่วมมือผู้ประกอบการสถานบันเทิงรวมทั้งกิจกรรมการแสดงดนตรีหรือการร้องเพลงในสถานบันเทิง ยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐกําหนด ทั้งเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลในการเข้าไปในพื้นที่สถานบันเทิง ผับ และบาร์ ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลไม่ใช้ภาชนะหรือแก้วเครื่องดื่มร่วมกัน การแสดงดนตรี ร้องเพลงต้องเป็นไปในลักษณะชอร์ฟ ผ่อนคลายเบา ๆ ไม่ครึกครื้นจนเกินไป เพื่อไม่ให้ผู้ชมส่งเสียงกรี๊ดและมีการเต้นเบียดเสียดกัน หลีกเลี่ยงการกระจายและการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19ได้ เพราะหากมีการติดเชื้อก็จะต้องสั่งปิดทันทีสําหรับการผ่อนปรนการแสดงคอนเสิร์ตเอาท์ดอร์หรือคอนเสิร์ตกลางแจ้งนั้น จะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงของการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ขึ้นมาอีก ทั้งนี้มาตรการของรัฐบาลคํานึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนในประเทศเป็นสําคัญ
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32955
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ลธน.ม.เรณูฯ เป็นประธานในพิธีปิดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมข้างทำเนียบรัฐบาล “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 310 ล้านบาท
|
วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2559
รอง ลธน.ม.เรณูฯ เป็นประธานในพิธีปิดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมข้างทําเนียบรัฐบาล “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 310 ล้านบาท
นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานในพิธีปิดตลาด “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงฯ สร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 310 ล้านบาท
วันนี้ (23 ธันวาคม 2559) เวลา 12.00 น. ณ เวทีกลางตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานในพิธีปิดตลาด “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงฯ สร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 310 ล้านบาท
โอกาสนี้ นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้กล่าวรายงานว่ากระทรวงการคลังด้วยความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกันจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ภายใต้แนวคิด “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงฯ สร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” ระหว่างวันที่ 1 - 23 ธันวาคม 2559 ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนที่มาชมงานเป็นอย่างดี มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 310 ล้านบาท
จากนั้น รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ได้มอบป้ายประกาศนียบัตรแก่หน่วยงานต่าง ๆ และได้กล่าวปิดงานว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีนโยบายให้ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมเป็นตลาดตามแนวทางประชารัฐ ผลของการดําเนินงานที่ผ่านมาประสบความสําเร็จเป็นอย่างดียิ่ง ส่งผลให้พี่น้องประชาชนในบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้าจากผู้ผลิตได้โดยตรง และที่สําคัญยังทําให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสินค้ารายย่อยได้มีแหล่งจําหน่ายสินค้าและช่วยสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเดือนธันวาคมนี้ยอดรายได้ทําได้สมความภาคภูมิและถือเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่ให้กับพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการทุกคน และทั้งนี้ พร้อมส่งเสริมให้ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของคนกรุงเทพมหานคร
หลังจากที่ตัวแทนผู้บริหารกระทรวงการคลังมอบป้ายตลาดคลองผดุงกรุงเกษมแก่ประธานในพิธีซึ่งได้มอบต่อให้ตัวแทนผู้บริหารกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว ตัวแทนผู้บริหารกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้กล่าวประชาสัมพันธ์งานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ในเดือนมกราคม 2560 ว่ามติที่ประชุมคณะกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งมีนางสาวเรณู ตังคจิวางกูร เป็นประธานการประชุมฯ ได้มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วยความร่วมมือของสํานักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดงาน “ตลาดนัดวิถีวิทย์ 2560” ระหว่างวันที่ 9 - 29 มกราคม 2560
วัตถุประสงค์การจัดงาน ก็เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ฝีมือคนไทย ทั้งของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และหน่วยงานเครือข่ายที่ได้รับการสนับสนุนจาก วท. ซึ่งภายในงานได้คัดสรรผลงานและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ กว่า 240 รายการ มาจัดแสดงและจัดจําหน่ายหรือให้บริการ เพื่อจะได้เป็นการช่วยเหลือชุมชน วิสาหกิจชุมชน รวมถึงผู้ประกอบการต่าง ๆ เพื่อจะได้เป็นการเพิ่มรายได้และอาชีพให้กับพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานพันธมิตรที่มาร่วมจัดงานได้แก่ อาทิ ธนาคารพาณิชย์ สํานักงานสถิติแห่งชาติ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ร่วมออกบูธกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนด้วย
ในส่วนกิจกรรม (HILIGHT) และผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ได้แบ่งงานออกเป็น 3 แนวทางที่น่าสนใจ ได้แก่
- วิถีวิทย์สร้างความสุข ซึ่งได้น้อมนําพระอัจริยภาพทางด้านดนตรีในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ทั้งหมด 48 บทเพลง มาถ่ายทอดให้ประชาชนได้รับรู้ถึง พระอัจริยภาพด้านดนตรีของพระองค์
- วิถีวิทย์สร้างความรู้ โดยเชิญเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และหน่วยงานเครือข่ายของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
- วิถีวิทย์โอกาสดีนาทีทอง โดยนําสินค้าจากผู้ประกอบการที่มาจําหน่ายภายในงาน มาจัดโปรโมชั่นราคาพิเศษ พร้อมจัดพื้นที่สําหรับสินค้าจากร้านประชารัฐมาจําหน่ายในราคาประหยัดอีกด้วย
ทั้งนี้ ภายในงานยังมีการอบรมอาชีพ 20 หลักสูตรแก่ประชาชนฟรี เช่น อบรมการทําสบู่ธรรมชาติ สลัดผักปูอัดรักสุขภาพ ขนมเค้กสีสัน เทียนหอมลายดอกไม้ ขนมหวานคอนเฟล็ค ผ้าถักใส่ของ เป็นต้น อีกทั้งยังมีการนําเครื่องจักรเทคโนโลยีและนวัตกรรมคนไทย เช่น เครื่องขายขวดพลาสติกอัตโนมัติ เรือดูดตะกอนเลนอเนกประสงค์ หุ่นยนต์ดินสอ (ตัวล่าสุด) สําหรับบริการเสิร์ฟอาหาร เครื่องอบปลาแดดเดียวอินฟาเรด เป็นต้น ด้านผลิตภัณฑ์ เน้นจัดแสดงและจําหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนวิสาหกิจที่ได้มาตรฐาน สะอาดปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม ผักผลไม้ สมุนไพร แบ่งพื้นที่เป็นกลุ่มชัดเจน เครื่องสําอาง เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม งานฝีมือ กิจกรรมหมู่บ้านวิถีพอเพียง กิจกรรมเวทีเพื่อสาธิตการถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยี ฝึกอบรมอาชีพ และกิจกรรมสนุกสนานพร้อมของสมนาคุณอีกมากมาย จึงขอเชิญชวนประชาชนมาร่วมชม ชิม ช้อป ระหว่างวันที่ 9 - 29 มกราคม 2559 เวลา 10.00 - 19.00 น. ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล
*******************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ลธน.ม.เรณูฯ เป็นประธานในพิธีปิดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมข้างทำเนียบรัฐบาล “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 310 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2559
รอง ลธน.ม.เรณูฯ เป็นประธานในพิธีปิดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมข้างทําเนียบรัฐบาล “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 310 ล้านบาท
นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานในพิธีปิดตลาด “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงฯ สร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 310 ล้านบาท
วันนี้ (23 ธันวาคม 2559) เวลา 12.00 น. ณ เวทีกลางตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานในพิธีปิดตลาด “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงฯ สร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 310 ล้านบาท
โอกาสนี้ นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้กล่าวรายงานว่ากระทรวงการคลังด้วยความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกันจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ภายใต้แนวคิด “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงฯ สร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” ระหว่างวันที่ 1 - 23 ธันวาคม 2559 ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนที่มาชมงานเป็นอย่างดี มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 310 ล้านบาท
จากนั้น รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ได้มอบป้ายประกาศนียบัตรแก่หน่วยงานต่าง ๆ และได้กล่าวปิดงานว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีนโยบายให้ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมเป็นตลาดตามแนวทางประชารัฐ ผลของการดําเนินงานที่ผ่านมาประสบความสําเร็จเป็นอย่างดียิ่ง ส่งผลให้พี่น้องประชาชนในบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้าจากผู้ผลิตได้โดยตรง และที่สําคัญยังทําให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสินค้ารายย่อยได้มีแหล่งจําหน่ายสินค้าและช่วยสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเดือนธันวาคมนี้ยอดรายได้ทําได้สมความภาคภูมิและถือเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่ให้กับพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการทุกคน และทั้งนี้ พร้อมส่งเสริมให้ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของคนกรุงเทพมหานคร
หลังจากที่ตัวแทนผู้บริหารกระทรวงการคลังมอบป้ายตลาดคลองผดุงกรุงเกษมแก่ประธานในพิธีซึ่งได้มอบต่อให้ตัวแทนผู้บริหารกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว ตัวแทนผู้บริหารกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้กล่าวประชาสัมพันธ์งานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ในเดือนมกราคม 2560 ว่ามติที่ประชุมคณะกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งมีนางสาวเรณู ตังคจิวางกูร เป็นประธานการประชุมฯ ได้มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วยความร่วมมือของสํานักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดงาน “ตลาดนัดวิถีวิทย์ 2560” ระหว่างวันที่ 9 - 29 มกราคม 2560
วัตถุประสงค์การจัดงาน ก็เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ฝีมือคนไทย ทั้งของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และหน่วยงานเครือข่ายที่ได้รับการสนับสนุนจาก วท. ซึ่งภายในงานได้คัดสรรผลงานและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ กว่า 240 รายการ มาจัดแสดงและจัดจําหน่ายหรือให้บริการ เพื่อจะได้เป็นการช่วยเหลือชุมชน วิสาหกิจชุมชน รวมถึงผู้ประกอบการต่าง ๆ เพื่อจะได้เป็นการเพิ่มรายได้และอาชีพให้กับพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานพันธมิตรที่มาร่วมจัดงานได้แก่ อาทิ ธนาคารพาณิชย์ สํานักงานสถิติแห่งชาติ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ร่วมออกบูธกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนด้วย
ในส่วนกิจกรรม (HILIGHT) และผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ได้แบ่งงานออกเป็น 3 แนวทางที่น่าสนใจ ได้แก่
- วิถีวิทย์สร้างความสุข ซึ่งได้น้อมนําพระอัจริยภาพทางด้านดนตรีในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ทั้งหมด 48 บทเพลง มาถ่ายทอดให้ประชาชนได้รับรู้ถึง พระอัจริยภาพด้านดนตรีของพระองค์
- วิถีวิทย์สร้างความรู้ โดยเชิญเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และหน่วยงานเครือข่ายของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
- วิถีวิทย์โอกาสดีนาทีทอง โดยนําสินค้าจากผู้ประกอบการที่มาจําหน่ายภายในงาน มาจัดโปรโมชั่นราคาพิเศษ พร้อมจัดพื้นที่สําหรับสินค้าจากร้านประชารัฐมาจําหน่ายในราคาประหยัดอีกด้วย
ทั้งนี้ ภายในงานยังมีการอบรมอาชีพ 20 หลักสูตรแก่ประชาชนฟรี เช่น อบรมการทําสบู่ธรรมชาติ สลัดผักปูอัดรักสุขภาพ ขนมเค้กสีสัน เทียนหอมลายดอกไม้ ขนมหวานคอนเฟล็ค ผ้าถักใส่ของ เป็นต้น อีกทั้งยังมีการนําเครื่องจักรเทคโนโลยีและนวัตกรรมคนไทย เช่น เครื่องขายขวดพลาสติกอัตโนมัติ เรือดูดตะกอนเลนอเนกประสงค์ หุ่นยนต์ดินสอ (ตัวล่าสุด) สําหรับบริการเสิร์ฟอาหาร เครื่องอบปลาแดดเดียวอินฟาเรด เป็นต้น ด้านผลิตภัณฑ์ เน้นจัดแสดงและจําหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนวิสาหกิจที่ได้มาตรฐาน สะอาดปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม ผักผลไม้ สมุนไพร แบ่งพื้นที่เป็นกลุ่มชัดเจน เครื่องสําอาง เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม งานฝีมือ กิจกรรมหมู่บ้านวิถีพอเพียง กิจกรรมเวทีเพื่อสาธิตการถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยี ฝึกอบรมอาชีพ และกิจกรรมสนุกสนานพร้อมของสมนาคุณอีกมากมาย จึงขอเชิญชวนประชาชนมาร่วมชม ชิม ช้อป ระหว่างวันที่ 9 - 29 มกราคม 2559 เวลา 10.00 - 19.00 น. ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล
*******************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1097
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดโครงการอุปสมบทหมู่ ถวายเป็นพระราชกุศลรัชกาลที่ 9 เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ 26 ตุลาคม 2560
|
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดโครงการอุปสมบทหมู่ ถวายเป็นพระราชกุศลรัชกาลที่ 9 เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ 26 ตุลาคม 2560
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดโครงการอุปสมบทหมู่ ถวายเป็นพระราชกุศลรัชกาลที่ 9 เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ 26 ตุลาคม 2560
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีกราบลาอุปสมบทหมู่ ถวายเป็นพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ว่า ตลอดระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชย์ ทรงเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรในทุกหนแห่ง ทรงพบเห็นความเดือดร้อนของราษฎร พระองค์ทรงคิดค้นหนทางในการแก้ปัญหา จนเกิดเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ มากกว่า4,000โครงการ ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาทิเช่น การพัฒนาแหล่งน้ํา การปฏิบัติการฝนหลวง การอนุรักษ์ดินและน้ํา เกษตรทฤษฎีใหม่ การพัฒนาพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ และพันธุ์ปลา การส่งเสริมกิจการโคนม การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นต้น ก่อให้เกิดความอยู่ดี กินดี และ ความสุขอย่างยั่งยืนกับราษฎรอย่างทั่วถึง ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้น้อมนําพระราชปณิธานของพระองค์ท่านมาดําเนินการอย่างต่อเนื่อง และเนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในวันที่26ตุลาคม2560นี้ จึงเป็นโอกาสที่ตัวแทน ของข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานต่าง ๆ จะได้แสดงออกซึ่งความจงรักภักดี และทําความดีตามแนวทางของชาวพุทธ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน โดยการอุปสมบทศึกษาพระธรรมวินัย และปฏิบัติตามหลักธรรมคําสั่งสอนในพระพุทธศาสนา ในช่วงระยะเวลา10วัน
ด้าน นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า การอุปสมบทหมู่ในครั้งนี้ จะมีพิธีอุปสมบทในวันที่22ตุลาคม2560ณ วัดใหม่ศรีร่มเย็น อําเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และกําหนดลาสิกขาบทในวันที่31ตุลาคม2560ซึ่งมีข้าราชการ ลูกจ้างประจํา และพนักงานราชการจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานต่างๆ สมัครเข้าร่วมโครงการ จํานวน59ราย ประกอบด้วย กรมฝนหลวงและการบินเกษตร จํานวน39ราย กรมชลประทาน จํานวน2ราย กรมปศุสัตว์ จํานวน3ราย กรมวิชาการเกษตร จํานวน5ราย องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย จํานวน7ราย ข้าราชการบํานาญกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จํานวน2ราย และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม จํานวน1ราย โดยความหมายของผู้อุปสมบท จํานวน59รูป มีที่มาคือ เลข5มาจากกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ก้าวเข้าสู่ปีที่5ของการยกระดับเป็นกรม และเลข9มาจาก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และผู้ที่เข้าร่วมอุปสมบททุกท่านจะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัยปฏิบัติตามหลักธรรมคําสอนในพระพุทธศาสนา อันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาจิตใจให้มีคุณธรรมเป็นการสร้างความรัก ความสามัคคี ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย และจะได้ยึดมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และศาสตร์ของพระราชา ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสืบต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดโครงการอุปสมบทหมู่ ถวายเป็นพระราชกุศลรัชกาลที่ 9 เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ 26 ตุลาคม 2560
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดโครงการอุปสมบทหมู่ ถวายเป็นพระราชกุศลรัชกาลที่ 9 เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ 26 ตุลาคม 2560
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดโครงการอุปสมบทหมู่ ถวายเป็นพระราชกุศลรัชกาลที่ 9 เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ 26 ตุลาคม 2560
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีกราบลาอุปสมบทหมู่ ถวายเป็นพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ว่า ตลอดระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชย์ ทรงเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรในทุกหนแห่ง ทรงพบเห็นความเดือดร้อนของราษฎร พระองค์ทรงคิดค้นหนทางในการแก้ปัญหา จนเกิดเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ มากกว่า4,000โครงการ ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาทิเช่น การพัฒนาแหล่งน้ํา การปฏิบัติการฝนหลวง การอนุรักษ์ดินและน้ํา เกษตรทฤษฎีใหม่ การพัฒนาพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ และพันธุ์ปลา การส่งเสริมกิจการโคนม การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นต้น ก่อให้เกิดความอยู่ดี กินดี และ ความสุขอย่างยั่งยืนกับราษฎรอย่างทั่วถึง ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้น้อมนําพระราชปณิธานของพระองค์ท่านมาดําเนินการอย่างต่อเนื่อง และเนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในวันที่26ตุลาคม2560นี้ จึงเป็นโอกาสที่ตัวแทน ของข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานต่าง ๆ จะได้แสดงออกซึ่งความจงรักภักดี และทําความดีตามแนวทางของชาวพุทธ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน โดยการอุปสมบทศึกษาพระธรรมวินัย และปฏิบัติตามหลักธรรมคําสั่งสอนในพระพุทธศาสนา ในช่วงระยะเวลา10วัน
ด้าน นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า การอุปสมบทหมู่ในครั้งนี้ จะมีพิธีอุปสมบทในวันที่22ตุลาคม2560ณ วัดใหม่ศรีร่มเย็น อําเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และกําหนดลาสิกขาบทในวันที่31ตุลาคม2560ซึ่งมีข้าราชการ ลูกจ้างประจํา และพนักงานราชการจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานต่างๆ สมัครเข้าร่วมโครงการ จํานวน59ราย ประกอบด้วย กรมฝนหลวงและการบินเกษตร จํานวน39ราย กรมชลประทาน จํานวน2ราย กรมปศุสัตว์ จํานวน3ราย กรมวิชาการเกษตร จํานวน5ราย องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย จํานวน7ราย ข้าราชการบํานาญกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จํานวน2ราย และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม จํานวน1ราย โดยความหมายของผู้อุปสมบท จํานวน59รูป มีที่มาคือ เลข5มาจากกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ก้าวเข้าสู่ปีที่5ของการยกระดับเป็นกรม และเลข9มาจาก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และผู้ที่เข้าร่วมอุปสมบททุกท่านจะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัยปฏิบัติตามหลักธรรมคําสอนในพระพุทธศาสนา อันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาจิตใจให้มีคุณธรรมเป็นการสร้างความรัก ความสามัคคี ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย และจะได้ยึดมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และศาสตร์ของพระราชา ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสืบต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7342
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ร่วมประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน เตรียมพร้อมสำหรับการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียน AMRDPE
|
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2563
มหาดไทย ร่วมประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน เตรียมพร้อมสําหรับการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียน AMRDPE
มหาดไทย ร่วมประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน เตรียมพร้อมสําหรับการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียน AMRDPE
วันนี้ (18 ส.ค. 2563) เวลา 13.15 น. ณ ห้องประชุมดํารงธรรม อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้รับมอบหมายจาก นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้แทนเข้าร่วม การประชุมเตรียมการระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (Preparatory Senior Officials Meeting of The Asian Ministerial Meeting on Rural Development and Poverty Eradication : PrepSOMRDPE) ภายใต้แนวคิด “การลดความยากจนและการสร้างความเข้มแข็ง การฟื้นฟูในสถานการณ์โควิด-19” ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเป็นประธานการประชุมในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนในการรับมือกับการแก้ไขปัญหาความยากจนที่มีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้นอันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และเตรียมพร้อมสําหรับ การประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (ASEAN Ministerial Meeting on Rural Development and Poverty Eradication : AMRDPE) ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (19 สิงหาคม 2563)
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม เปิดเผยว่า สําหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนในวันพรุ่งนี้ เป็นการประชุมภายใต้หัวข้อ “การลดความยากจนและเสริมสร้างศักยภาพในการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในช่วงฟื้นฟูประเทศจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19” โดยประเทศไทยได้ขับเคลื่อนมาตรการหลักคือ1. มาตรการทางการเงินโดยการจ่ายเงินเยียวยาให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย 2. มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ ภายใต้พระราชกําหนดฯ เงินกู้ 400,000 ล้านบาท ซึ่งมีแนวทางการดําเนินงานเพื่อฟื้นฟูประเทศ ได้แก่ 1) ขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศบนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน 2) สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ โดยมุ่งเน้นการสร้างงาน 3) ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ และ 4) สร้างระบบการเรียนรู้สําหรับประชาชนในการพัฒนา/ปรับเปลี่ยนทักษะให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ร่วมประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน เตรียมพร้อมสำหรับการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียน AMRDPE
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2563
มหาดไทย ร่วมประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน เตรียมพร้อมสําหรับการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียน AMRDPE
มหาดไทย ร่วมประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน เตรียมพร้อมสําหรับการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียน AMRDPE
วันนี้ (18 ส.ค. 2563) เวลา 13.15 น. ณ ห้องประชุมดํารงธรรม อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้รับมอบหมายจาก นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้แทนเข้าร่วม การประชุมเตรียมการระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (Preparatory Senior Officials Meeting of The Asian Ministerial Meeting on Rural Development and Poverty Eradication : PrepSOMRDPE) ภายใต้แนวคิด “การลดความยากจนและการสร้างความเข้มแข็ง การฟื้นฟูในสถานการณ์โควิด-19” ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเป็นประธานการประชุมในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนในการรับมือกับการแก้ไขปัญหาความยากจนที่มีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้นอันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และเตรียมพร้อมสําหรับ การประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (ASEAN Ministerial Meeting on Rural Development and Poverty Eradication : AMRDPE) ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (19 สิงหาคม 2563)
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม เปิดเผยว่า สําหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนในวันพรุ่งนี้ เป็นการประชุมภายใต้หัวข้อ “การลดความยากจนและเสริมสร้างศักยภาพในการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในช่วงฟื้นฟูประเทศจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19” โดยประเทศไทยได้ขับเคลื่อนมาตรการหลักคือ1. มาตรการทางการเงินโดยการจ่ายเงินเยียวยาให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย 2. มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ ภายใต้พระราชกําหนดฯ เงินกู้ 400,000 ล้านบาท ซึ่งมีแนวทางการดําเนินงานเพื่อฟื้นฟูประเทศ ได้แก่ 1) ขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศบนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน 2) สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ โดยมุ่งเน้นการสร้างงาน 3) ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ และ 4) สร้างระบบการเรียนรู้สําหรับประชาชนในการพัฒนา/ปรับเปลี่ยนทักษะให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34311
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตำบลบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนายกรัฐมนตรี
|
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตําบลบ้านโพน อําเภอคําม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนายกรัฐมนตรี
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตําบลบ้านโพน อําเภอคําม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (12 ธันวาคม 2560) นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายรังสรรค์ สิงหบุตร อุตสาหกรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ นายศักดิ์สิทธิ์ สิงห์สีนีย์ อุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น และเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ตําบลบ้านโพน อําเภอคําม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเตรียมความพร้อมการพัฒนาผู้ประกอบการท้องถิ่น SMEs ผ้าไหมแพรวาของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการ ในวันพุธที่ 13 ธันวาคม 2560 นี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตำบลบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนายกรัฐมนตรี
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตําบลบ้านโพน อําเภอคําม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนายกรัฐมนตรี
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตําบลบ้านโพน อําเภอคําม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (12 ธันวาคม 2560) นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายรังสรรค์ สิงหบุตร อุตสาหกรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ นายศักดิ์สิทธิ์ สิงห์สีนีย์ อุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น และเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ตําบลบ้านโพน อําเภอคําม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเตรียมความพร้อมการพัฒนาผู้ประกอบการท้องถิ่น SMEs ผ้าไหมแพรวาของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการ ในวันพุธที่ 13 ธันวาคม 2560 นี้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8716
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รัฐบาลปลด ธงเหลือง IUU"
|
วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562
"รัฐบาลปลด ธงเหลือง IUU"
"รัฐบาลปลด ธงเหลือง IUU"
4 ปี ของความพยายามร่วมกันของทุกฝ่าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รัฐบาลปลด ธงเหลือง IUU"
วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562
"รัฐบาลปลด ธงเหลือง IUU"
"รัฐบาลปลด ธงเหลือง IUU"
4 ปี ของความพยายามร่วมกันของทุกฝ่าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18077
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ลงพื้นที่ให้ความรู้ด้านการประกันภัยข้าวนาปีในจังหวัดพะเยา
|
วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม 2561
คปภ. ลงพื้นที่ให้ความรู้ด้านการประกันภัยข้าวนาปีในจังหวัดพะเยา
• ผลักดันชาวนาใช้เป็นเครื่องมือเพิ่มความคุ้มกันรับมือกับความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติปีนี้
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ.ได้เดินหน้าขับเคลื่อนกลไกการประกันภัยพืชผล เพื่อผลักดันให้เกษตรกรไทยบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยการประกันภัยข้าวนาปี พร้อมดําเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 ที่มอบหมายให้สํานักงาน คปภ.เป็นหน่วยงานดําเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัยให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านโครงการ “อบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers)” ระหว่างวันที่ 21-22 พฤษภาคม 2561 จังหวัดพะเยา โดยสํานักงาน คปภ.ได้ลงพื้นที่เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและรับฟังข้อคิดเห็น ตลอดจนข้อเสนอแนะจากเกษตรกรผู้ทําประกันภัยข้าวนาปีในพื้นที่จังหวัดพะเยา ซึ่งถือเป็นการลงพื้นที่เป็นจังหวัดที่ 4 สําหรับปีนี้ หลังจากลงพื้นที่ไปก่อนหน้านี้แล้วที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลพบุรี และจังหวัดกําแพงเพชร
ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ศึกษาดูงานและเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้โดยเกษตรกรต้นแบบ ที่ศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านบัว และพบปะเกษตรกรเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการประกันภัยข้าวนาปี ณ วัดดอกบัว ตําบลบ้านตุ่น อําเภอเมืองพะเยา ซึ่งมีเกษตรกรให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจํานวนกว่า 300 คน รวมทั้งจากการรายงานข้อมูลของสํานักงาน คปภ. จังหวัดพะเยา พบว่าในปี 2560 จังหวัดพะเยา มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งสิ้น 617,214 ไร่ และมีการเอาประกันภัยข้าวนาปีจํานวน 313,223 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 50.75% ของพื้นที่เพาะปลูกในจังหวัด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศที่มีอยู่ร้อยละ 44.94 โดยได้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนไปแล้วทั้งสิ้น 13,584,847 บาท เมื่อเทียบกับเบี้ยประกันภัยสุทธิ 24,753,399 บาท สําหรับการลงพื้นที่ครั้งนี้ พบว่าเกษตรกรยังขาดความเข้าใจในเงื่อนไขการรับประกันภัยและความคุ้มครองจากการประกันภัยข้าวนาปี
ดังนั้น เพื่อให้เกษตรกรมีความเข้าใจและเห็นถึงความจําเป็นในการนําระบบประกันภัยมาเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ จึงได้อบรมความรู้การประกันภัยข้าวนาปี “Training for the Trainers” ประจําปี 2561 โดย นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ให้การต้อนรับ และกล่าวขอบคุณที่สํานักงาน คปภ. ได้จัดอบรมความรู้ให้กับเกษตรกรจังหวัดพะเยา ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เกษตรจังหวัด เกษตรอําเภอ นายอําเภอ ปลัดอําเภอ หัวหน้าสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดและเจ้าหน้าที่ กํานัน นายกองค์การบริหารส่วนตําบล ผู้อํานวยการศูนย์วิจัยข้าวจังหวัดและเจ้าหน้าที่ ประชาสัมพันธ์จังหวัด อาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจําหมู่บ้านและชุมชน สื่อมวลชน นักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ท้องถิ่น ผู้อํานวยการสํานักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจังหวัด และผู้จัดการสาขา และผู้อํานวยการสํานักงาน คปภ.ภาค/จังหวัด เพื่อจะได้นําความรู้ไปถ่ายทอดต่อให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีต่อไป
“สํานักงาน คปภ.หวังเป็นอย่างยิ่งว่า “โครงการประกันภัยข้าวนาปี” จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวนาไทย และทําให้เกษตรกรเล็งเห็นความสําคัญของการประกันภัยมากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนในการปฏิรูปนโยบายการประกันภัยพืชผล ซึ่งนําไปสู่การสร้างความมั่นคงในชีวิตและยกระดับรายได้ของเกษตรกรในประเทศต่อไป”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ลงพื้นที่ให้ความรู้ด้านการประกันภัยข้าวนาปีในจังหวัดพะเยา
วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม 2561
คปภ. ลงพื้นที่ให้ความรู้ด้านการประกันภัยข้าวนาปีในจังหวัดพะเยา
• ผลักดันชาวนาใช้เป็นเครื่องมือเพิ่มความคุ้มกันรับมือกับความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติปีนี้
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ.ได้เดินหน้าขับเคลื่อนกลไกการประกันภัยพืชผล เพื่อผลักดันให้เกษตรกรไทยบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยการประกันภัยข้าวนาปี พร้อมดําเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 ที่มอบหมายให้สํานักงาน คปภ.เป็นหน่วยงานดําเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัยให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านโครงการ “อบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers)” ระหว่างวันที่ 21-22 พฤษภาคม 2561 จังหวัดพะเยา โดยสํานักงาน คปภ.ได้ลงพื้นที่เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและรับฟังข้อคิดเห็น ตลอดจนข้อเสนอแนะจากเกษตรกรผู้ทําประกันภัยข้าวนาปีในพื้นที่จังหวัดพะเยา ซึ่งถือเป็นการลงพื้นที่เป็นจังหวัดที่ 4 สําหรับปีนี้ หลังจากลงพื้นที่ไปก่อนหน้านี้แล้วที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลพบุรี และจังหวัดกําแพงเพชร
ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ศึกษาดูงานและเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้โดยเกษตรกรต้นแบบ ที่ศูนย์เรียนรู้ชุมชนบ้านบัว และพบปะเกษตรกรเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการประกันภัยข้าวนาปี ณ วัดดอกบัว ตําบลบ้านตุ่น อําเภอเมืองพะเยา ซึ่งมีเกษตรกรให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจํานวนกว่า 300 คน รวมทั้งจากการรายงานข้อมูลของสํานักงาน คปภ. จังหวัดพะเยา พบว่าในปี 2560 จังหวัดพะเยา มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งสิ้น 617,214 ไร่ และมีการเอาประกันภัยข้าวนาปีจํานวน 313,223 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 50.75% ของพื้นที่เพาะปลูกในจังหวัด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศที่มีอยู่ร้อยละ 44.94 โดยได้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนไปแล้วทั้งสิ้น 13,584,847 บาท เมื่อเทียบกับเบี้ยประกันภัยสุทธิ 24,753,399 บาท สําหรับการลงพื้นที่ครั้งนี้ พบว่าเกษตรกรยังขาดความเข้าใจในเงื่อนไขการรับประกันภัยและความคุ้มครองจากการประกันภัยข้าวนาปี
ดังนั้น เพื่อให้เกษตรกรมีความเข้าใจและเห็นถึงความจําเป็นในการนําระบบประกันภัยมาเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ จึงได้อบรมความรู้การประกันภัยข้าวนาปี “Training for the Trainers” ประจําปี 2561 โดย นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ให้การต้อนรับ และกล่าวขอบคุณที่สํานักงาน คปภ. ได้จัดอบรมความรู้ให้กับเกษตรกรจังหวัดพะเยา ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เกษตรจังหวัด เกษตรอําเภอ นายอําเภอ ปลัดอําเภอ หัวหน้าสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดและเจ้าหน้าที่ กํานัน นายกองค์การบริหารส่วนตําบล ผู้อํานวยการศูนย์วิจัยข้าวจังหวัดและเจ้าหน้าที่ ประชาสัมพันธ์จังหวัด อาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจําหมู่บ้านและชุมชน สื่อมวลชน นักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ท้องถิ่น ผู้อํานวยการสํานักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจังหวัด และผู้จัดการสาขา และผู้อํานวยการสํานักงาน คปภ.ภาค/จังหวัด เพื่อจะได้นําความรู้ไปถ่ายทอดต่อให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีต่อไป
“สํานักงาน คปภ.หวังเป็นอย่างยิ่งว่า “โครงการประกันภัยข้าวนาปี” จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวนาไทย และทําให้เกษตรกรเล็งเห็นความสําคัญของการประกันภัยมากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนในการปฏิรูปนโยบายการประกันภัยพืชผล ซึ่งนําไปสู่การสร้างความมั่นคงในชีวิตและยกระดับรายได้ของเกษตรกรในประเทศต่อไป”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12430
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเผยลงทะเบียนผู้ค้าตลาดประชารัฐคึกคัก ยอดรวมลงทะเบียนกว่า 6.2 หมื่นคน เชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนในช่วง 8 วันสุดท้าย
|
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560
มหาดไทยเผยลงทะเบียนผู้ค้าตลาดประชารัฐคึกคัก ยอดรวมลงทะเบียนกว่า 6.2 หมื่นคน เชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนในช่วง 8 วันสุดท้าย
มหาดไทยเผยลงทะเบียนผู้ค้าตลาดประชารัฐคึกคัก ยอดรวมลงทะเบียนกว่า 6.2 หมื่นคน เชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนในช่วง 8 วันสุดท้าย
วันนี้ (23 พ.ย.60)นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดรับลงทะเบียนผู้ประกอบการโครงการตลาดประชารัฐ รวม 9 ประเภท ณ ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ และสํานักงานเขตทั้ง 50 เขตในกรุงเทพมหานคร เพื่อเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชน เกษตรกร พ่อค้า แม่ค้า ผู้มีรายได้น้อย และผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการไม่มีสถานที่ค้าขาย ได้ลงทะเบียนจับจองพื้นที่ตลาดประชารัฐ อันเป็นการสร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน โดยเปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นมา พบว่าตลอด 13 วันที่ผ่านมา (10-22 พ.ย.60) มีพี่น้องประชาชนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง และเดินทางมาลงทะเบียนกันอย่างคับคั่งเป็นจํานวนมาก โดยมียอดสะสมของผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น62,730 รายซึ่งตลาดที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 ลําดับแรก คือ 1. ตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้ 38,680 ราย 2. ตลาดประชารัฐท้องถิ่นสุขใจ 31,585 ราย และ 3. ตลาดประชารัฐของดีจังหวัด 14,692 ราย
ด้านของประเภทสินค้าที่ประชาชนประสงค์จะนํามาจําหน่าย 3 ลําดับแรก ได้แก่ 1. สินค้าเกษตร 14,735 ราย 2. อาหารพร้อมรับประทาน ข้าวแกง 14,617 ราย และ 3. ผัก ผลไม้ปลอดภัย 12,085 ราย
ในส่วนของประเภทผู้ประกอบการ ได้แก่ 1. พ่อค้า/แม่ค้า 30,278 ราย 2. เกษตรกร 14,730 ราย และ 3. ผู้มีรายได้น้อย 6,859 ราย
สําหรับพื้นที่/จังหวัดที่มีผู้มาลงทะเบียนสูงสุด คือ 1. กรุงเทพมหานคร 4,392 ราย 2. จังหวัดศรีสะเกษ 3,369 ราย 3. จังหวัดนครราชสีมา 3,160 ราย 4. จังหวัดสกลนคร 2,084 ราย และ 5. จังหวัดบุรีรัมย์ 1,583 ราย
นายนิสิตฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้เหลือเวลาการรับลงทะเบียนอีก 8 วัน ทั้งนี้ พี่น้องประชาชน เกษตรกร พ่อค้า แม่ค้า ผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการไม่มีสถานที่ค้าขาย สามารถนําบัตรประจําตัวประชาชน หรือบัตรที่มีเลขประจําตัวประชาชน 13 หลักที่ทางราชการออกให้ เดินทางไปลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการตลาดประชารัฐได้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 นี้ ที่ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ ทั่วประเทศ และสํานักงานเขตทั้ง 50 เขตในกรุงเทพมหานคร
ครั้งที่ 179/2560
กลุ่มงานเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ กองสารนิเทศ สป.มท.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเผยลงทะเบียนผู้ค้าตลาดประชารัฐคึกคัก ยอดรวมลงทะเบียนกว่า 6.2 หมื่นคน เชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนในช่วง 8 วันสุดท้าย
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560
มหาดไทยเผยลงทะเบียนผู้ค้าตลาดประชารัฐคึกคัก ยอดรวมลงทะเบียนกว่า 6.2 หมื่นคน เชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนในช่วง 8 วันสุดท้าย
มหาดไทยเผยลงทะเบียนผู้ค้าตลาดประชารัฐคึกคัก ยอดรวมลงทะเบียนกว่า 6.2 หมื่นคน เชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนในช่วง 8 วันสุดท้าย
วันนี้ (23 พ.ย.60)นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดรับลงทะเบียนผู้ประกอบการโครงการตลาดประชารัฐ รวม 9 ประเภท ณ ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ และสํานักงานเขตทั้ง 50 เขตในกรุงเทพมหานคร เพื่อเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชน เกษตรกร พ่อค้า แม่ค้า ผู้มีรายได้น้อย และผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการไม่มีสถานที่ค้าขาย ได้ลงทะเบียนจับจองพื้นที่ตลาดประชารัฐ อันเป็นการสร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน โดยเปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นมา พบว่าตลอด 13 วันที่ผ่านมา (10-22 พ.ย.60) มีพี่น้องประชาชนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง และเดินทางมาลงทะเบียนกันอย่างคับคั่งเป็นจํานวนมาก โดยมียอดสะสมของผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น62,730 รายซึ่งตลาดที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 ลําดับแรก คือ 1. ตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้ 38,680 ราย 2. ตลาดประชารัฐท้องถิ่นสุขใจ 31,585 ราย และ 3. ตลาดประชารัฐของดีจังหวัด 14,692 ราย
ด้านของประเภทสินค้าที่ประชาชนประสงค์จะนํามาจําหน่าย 3 ลําดับแรก ได้แก่ 1. สินค้าเกษตร 14,735 ราย 2. อาหารพร้อมรับประทาน ข้าวแกง 14,617 ราย และ 3. ผัก ผลไม้ปลอดภัย 12,085 ราย
ในส่วนของประเภทผู้ประกอบการ ได้แก่ 1. พ่อค้า/แม่ค้า 30,278 ราย 2. เกษตรกร 14,730 ราย และ 3. ผู้มีรายได้น้อย 6,859 ราย
สําหรับพื้นที่/จังหวัดที่มีผู้มาลงทะเบียนสูงสุด คือ 1. กรุงเทพมหานคร 4,392 ราย 2. จังหวัดศรีสะเกษ 3,369 ราย 3. จังหวัดนครราชสีมา 3,160 ราย 4. จังหวัดสกลนคร 2,084 ราย และ 5. จังหวัดบุรีรัมย์ 1,583 ราย
นายนิสิตฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้เหลือเวลาการรับลงทะเบียนอีก 8 วัน ทั้งนี้ พี่น้องประชาชน เกษตรกร พ่อค้า แม่ค้า ผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการไม่มีสถานที่ค้าขาย สามารถนําบัตรประจําตัวประชาชน หรือบัตรที่มีเลขประจําตัวประชาชน 13 หลักที่ทางราชการออกให้ เดินทางไปลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการตลาดประชารัฐได้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 นี้ ที่ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ ทั่วประเทศ และสํานักงานเขตทั้ง 50 เขตในกรุงเทพมหานคร
ครั้งที่ 179/2560
กลุ่มงานเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ กองสารนิเทศ สป.มท.
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8328
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ย้ำเป้าหมาย! อยากเห็นผู้ใช้รถร้อยละ100 ทำประกันภัย พ.ร.บ. เดินหน้าถ่ายทอดความรู้ผ่านโครงประกวดสารคดีสั้น ประจำปี 2561 ภายใต้ธีม “พ.ร.บ.เคียงข้าง...ทุกการเดินทาง”
|
วันพุธที่ 31 ตุลาคม 2561
คปภ. ย้ําเป้าหมาย! อยากเห็นผู้ใช้รถร้อยละ100 ทําประกันภัย พ.ร.บ. เดินหน้าถ่ายทอดความรู้ผ่านโครงประกวดสารคดีสั้น ประจําปี 2561 ภายใต้ธีม “พ.ร.บ.เคียงข้าง...ทุกการเดินทาง”
คปภ.จัดโครงการประกวดสารคดีสั้น ประจําปี 2561 ขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ภายใต้แนวคิด “พ.ร.บ. เคียงข้าง..ทุกการเดินทาง”
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่าปัจจุบันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนมีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น จากสถิติของศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ ทุกๆ 1 นาทีจะมีคนไทยได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน และทุกๆ ชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิตถึง 2 คน บนถนนประเทศไทย ซึ่งเป็นผลมาจากหลายๆ ปัจจัย โดยกลุ่มเยาวชนถือเป็นหนึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงเป็นอันดับต้นๆ นอกจากนั้นจากข้อมูลของสํานักงาน คปภ. เทียบกับข้อมูลจํานวนรถจดทะเบียนสะสมจากกรมขนส่งทางบกพบว่าเมื่อสิ้นปี 2560 มีจํานวนรถยนต์และรถจักรยานยนต์จดทะเบียนทั้งสิ้น 38,308,763 คัน แต่มีจํานวนกรมธรรม์ประกันภัยรถ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 หรือ ประกันภัย พ.ร.บ. ที่มีผลบังคับเพียง 31,071,319 กรมธรรม์ เท่ากับว่ามีรถที่ไม่ได้ทํา ประกันภัย พ.ร.บ. ถึง 7,237,444 คัน ซึ่งนอกจากจะผิดกฎหมายแล้วยังก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องแบกรับค่าใช้จ่ายไว้เอง ดังนั้น ภารกิจสําคัญของ สํานักงาน คปภ. คือการเร่งรณรงค์และประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนเกิดการตระหนักรู้ถึงความสําคัญของการประกันภัย เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากระบบประกันภัยในการบริหารความเสี่ยงภัยให้แก่ตนเองและครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกันภัย พ.ร.บ.
สํานักงาน คปภ. เล็งเห็นความสําคัญในการส่งเสริมและปลูกจิตสํานึกให้ประชาชน เจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถตระหนักถึงความสําคัญของการประกันภัย พ.ร.บ. และร่วมกันแสดงความรับผิดชอบที่ดีต่อสังคมผ่านการใช้ระบบประกันภัยในการบริหารความเสี่ยง จึงได้จัดโครงการประกวดสารคดีสั้น ประจําปี 2561 ขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ภายใต้แนวคิด “พ.ร.บ. เคียงข้าง..ทุกการเดินทาง” ซึ่งปีนี้ถือได้ว่ามีความพิเศษกว่าในปีที่ผ่านๆ มา เพราะนอกจากจะมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกวดให้นอกจากนิสิต นักศึกษาแล้ว ประชาชนทั่วไปที่สนใจสามารถมีส่วนร่วม และส่งผลงานสารคดีสั้น ความยาว 7-12 นาที เข้าร่วมประกวดได้แล้ว สํานักงาน คปภ. ยังได้มีการบูรณาการความร่วมมือกับ จส.100 ในการดําเนินโครงการประกวดสารคดีในครั้งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับการประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับการประกันภัย พ.ร.บ. ให้สามารถเข้าถึงประชาชนในวงกว้างมากยิ่งขึ้น และสามารถสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นผู้ใช้ถนนใช้ถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สํานักงาน คปภ. จึงขอเชิญชวนประชาชนทั่วไป อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปร่วมส่งผลงานเข้าประกวดได้จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน นี้ โดยจะสมัครเดี่ยวหรือเป็นทีมก็ได้ ซึ่งรอบแรกคณะกรรมการจะคัดเลือกจากผลงานร่างบทและสตอรี่บอร์ด โดย 10 ผลงานที่ผ่านรอบคัดเลือกจะได้รับทุนสนับสนุนการผลิตสารคดีสั้นผลงานละ 10,000 บาท เพื่อส่งผลงานให้คณะกรรมตัดสินในรอบชิงชนะเลิศ สําหรับรางวัลมีทั้งสิ้น 6 รางวัลประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ จะได้รับโล่รางวัลเกียรติบัตร และเงินรางวัล จํานวน 100,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จะได้รับ โล่รางวัลเกียรติบัตร และเงินรางวัล จํานวน 70,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จะได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จํานวน 50,000 บาท รางวัลชมเชย จํานวน 2 รางวัล ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล จํานวน 20,000 บาท และรางวัล Popular จะได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล จํานวน 10,000 บาท ผู้สนใจสามารถส่งผลงานเข้าร่วมประกวดที่ E-mail : oicshortfilm@gmail.com หรือส่งทางไปรษณีย์มาที่ สํานักงาน คปภ. เลขที่ 22/79 ถนนรัชดาภิเษก เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 วงเล็บมุมซองว่า “ประกวดสารคดีสั้น” ได้จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186 หรือ สถานีวิทยุ จส.100 โทร. 1137 หรือ *1808 ตลอด 24 ชั่วโมง
“การประกันภัยรถภาคบังคับ หรือที่เรียกว่า “ประกันภัย พ.ร.บ.” คือ การทําประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 โดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เพราะเหตุ ประสบภัยจากรถให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที กรณีบาดเจ็บ หรือช่วยเป็นค่าปลงศพ กรณีเสียชีวิต และที่ผ่านมาสํานักงาน คปภ. ให้ความสําคัญกับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้กับประชาชน ตลอดจนมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยมาอย่างต่อเนื่อง และได้มีการปรับเพิ่มความคุ้มครองการประกันภัยตาม พ.ร.บ. โดยปัจจุบันมีความคุ้มครอง กรณีบาดเจ็บได้รับค่ารักษาพยาบาล จํานวน 80,000 บาท/คน กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร ได้รับค่าสินไหมทดแทน จํานวน 300,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ ได้รับค่าสินไหมทดแทน จํานวนระหว่าง 200,000-300,000 บาทต่อคน ค่าชดเชยรายวันจํานวน 200 บาทไม่เกิน 20 วัน สําหรับโครงการประกวดสารคดีสั้นในครั้งนี้ถือเป็นเครื่องมือในการสื่อสารถึงความสําคัญของการประกันภัย พ.ร.บ. ให้ประชาชนในวงกว้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นเจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถที่ยังละเลยการทําประกันภัย พ.ร.บ. ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และหันมาปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดมากขึ้น” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ย้ำเป้าหมาย! อยากเห็นผู้ใช้รถร้อยละ100 ทำประกันภัย พ.ร.บ. เดินหน้าถ่ายทอดความรู้ผ่านโครงประกวดสารคดีสั้น ประจำปี 2561 ภายใต้ธีม “พ.ร.บ.เคียงข้าง...ทุกการเดินทาง”
วันพุธที่ 31 ตุลาคม 2561
คปภ. ย้ําเป้าหมาย! อยากเห็นผู้ใช้รถร้อยละ100 ทําประกันภัย พ.ร.บ. เดินหน้าถ่ายทอดความรู้ผ่านโครงประกวดสารคดีสั้น ประจําปี 2561 ภายใต้ธีม “พ.ร.บ.เคียงข้าง...ทุกการเดินทาง”
คปภ.จัดโครงการประกวดสารคดีสั้น ประจําปี 2561 ขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ภายใต้แนวคิด “พ.ร.บ. เคียงข้าง..ทุกการเดินทาง”
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่าปัจจุบันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนมีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น จากสถิติของศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ ทุกๆ 1 นาทีจะมีคนไทยได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน และทุกๆ ชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิตถึง 2 คน บนถนนประเทศไทย ซึ่งเป็นผลมาจากหลายๆ ปัจจัย โดยกลุ่มเยาวชนถือเป็นหนึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงเป็นอันดับต้นๆ นอกจากนั้นจากข้อมูลของสํานักงาน คปภ. เทียบกับข้อมูลจํานวนรถจดทะเบียนสะสมจากกรมขนส่งทางบกพบว่าเมื่อสิ้นปี 2560 มีจํานวนรถยนต์และรถจักรยานยนต์จดทะเบียนทั้งสิ้น 38,308,763 คัน แต่มีจํานวนกรมธรรม์ประกันภัยรถ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 หรือ ประกันภัย พ.ร.บ. ที่มีผลบังคับเพียง 31,071,319 กรมธรรม์ เท่ากับว่ามีรถที่ไม่ได้ทํา ประกันภัย พ.ร.บ. ถึง 7,237,444 คัน ซึ่งนอกจากจะผิดกฎหมายแล้วยังก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องแบกรับค่าใช้จ่ายไว้เอง ดังนั้น ภารกิจสําคัญของ สํานักงาน คปภ. คือการเร่งรณรงค์และประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนเกิดการตระหนักรู้ถึงความสําคัญของการประกันภัย เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากระบบประกันภัยในการบริหารความเสี่ยงภัยให้แก่ตนเองและครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกันภัย พ.ร.บ.
สํานักงาน คปภ. เล็งเห็นความสําคัญในการส่งเสริมและปลูกจิตสํานึกให้ประชาชน เจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถตระหนักถึงความสําคัญของการประกันภัย พ.ร.บ. และร่วมกันแสดงความรับผิดชอบที่ดีต่อสังคมผ่านการใช้ระบบประกันภัยในการบริหารความเสี่ยง จึงได้จัดโครงการประกวดสารคดีสั้น ประจําปี 2561 ขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ภายใต้แนวคิด “พ.ร.บ. เคียงข้าง..ทุกการเดินทาง” ซึ่งปีนี้ถือได้ว่ามีความพิเศษกว่าในปีที่ผ่านๆ มา เพราะนอกจากจะมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกวดให้นอกจากนิสิต นักศึกษาแล้ว ประชาชนทั่วไปที่สนใจสามารถมีส่วนร่วม และส่งผลงานสารคดีสั้น ความยาว 7-12 นาที เข้าร่วมประกวดได้แล้ว สํานักงาน คปภ. ยังได้มีการบูรณาการความร่วมมือกับ จส.100 ในการดําเนินโครงการประกวดสารคดีในครั้งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับการประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับการประกันภัย พ.ร.บ. ให้สามารถเข้าถึงประชาชนในวงกว้างมากยิ่งขึ้น และสามารถสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นผู้ใช้ถนนใช้ถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สํานักงาน คปภ. จึงขอเชิญชวนประชาชนทั่วไป อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปร่วมส่งผลงานเข้าประกวดได้จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน นี้ โดยจะสมัครเดี่ยวหรือเป็นทีมก็ได้ ซึ่งรอบแรกคณะกรรมการจะคัดเลือกจากผลงานร่างบทและสตอรี่บอร์ด โดย 10 ผลงานที่ผ่านรอบคัดเลือกจะได้รับทุนสนับสนุนการผลิตสารคดีสั้นผลงานละ 10,000 บาท เพื่อส่งผลงานให้คณะกรรมตัดสินในรอบชิงชนะเลิศ สําหรับรางวัลมีทั้งสิ้น 6 รางวัลประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ จะได้รับโล่รางวัลเกียรติบัตร และเงินรางวัล จํานวน 100,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จะได้รับ โล่รางวัลเกียรติบัตร และเงินรางวัล จํานวน 70,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จะได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล จํานวน 50,000 บาท รางวัลชมเชย จํานวน 2 รางวัล ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล จํานวน 20,000 บาท และรางวัล Popular จะได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล จํานวน 10,000 บาท ผู้สนใจสามารถส่งผลงานเข้าร่วมประกวดที่ E-mail : oicshortfilm@gmail.com หรือส่งทางไปรษณีย์มาที่ สํานักงาน คปภ. เลขที่ 22/79 ถนนรัชดาภิเษก เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 วงเล็บมุมซองว่า “ประกวดสารคดีสั้น” ได้จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186 หรือ สถานีวิทยุ จส.100 โทร. 1137 หรือ *1808 ตลอด 24 ชั่วโมง
“การประกันภัยรถภาคบังคับ หรือที่เรียกว่า “ประกันภัย พ.ร.บ.” คือ การทําประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 โดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เพราะเหตุ ประสบภัยจากรถให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที กรณีบาดเจ็บ หรือช่วยเป็นค่าปลงศพ กรณีเสียชีวิต และที่ผ่านมาสํานักงาน คปภ. ให้ความสําคัญกับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้กับประชาชน ตลอดจนมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยมาอย่างต่อเนื่อง และได้มีการปรับเพิ่มความคุ้มครองการประกันภัยตาม พ.ร.บ. โดยปัจจุบันมีความคุ้มครอง กรณีบาดเจ็บได้รับค่ารักษาพยาบาล จํานวน 80,000 บาท/คน กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร ได้รับค่าสินไหมทดแทน จํานวน 300,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ ได้รับค่าสินไหมทดแทน จํานวนระหว่าง 200,000-300,000 บาทต่อคน ค่าชดเชยรายวันจํานวน 200 บาทไม่เกิน 20 วัน สําหรับโครงการประกวดสารคดีสั้นในครั้งนี้ถือเป็นเครื่องมือในการสื่อสารถึงความสําคัญของการประกันภัย พ.ร.บ. ให้ประชาชนในวงกว้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นเจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถที่ยังละเลยการทําประกันภัย พ.ร.บ. ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และหันมาปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดมากขึ้น” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16465
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล เร่งปฏิรูปภาคการเกษตร โดยกระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายการตลาดนำการผลิต เชื่อมั่นสามารถสร้างสมดุลทางการตลาด สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2561
รัฐบาล เร่งปฏิรูปภาคการเกษตร โดยกระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายการตลาดนําการผลิต เชื่อมั่นสามารถสร้างสมดุลทางการตลาด สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
กระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายการตลาดนําการผลิต มีความเชื่อมั่นสามารถสร้างสมดุลทางการตลาด เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร อีกทั้งเชื่อมโยงภาครัฐและเอกชน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
วันนี้ (26 เม.ย. 61) เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ร่วมกันแถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “ปฏิรูปภาคการเกษตร”
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่างาน Meet the Press ในครั้งนี้ได้เชิญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาแถลงถึงผลงานต่าง ๆ ที่อยู่ในระหว่างการดําเนินงานอยู่ในขณะนี้ ซึ่งประเทศไทยกําลังจะเข้าสู่ฤดูการเพาะปลูกพืชทางการเกษตรและใกล้จะถึงวันพืชมงคล 14 พฤษภาคม 2561 อีกด้วย
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในปี 2561 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กําหนดนโยบาย “การตลาดนําการผลิต” เป็นแนวคิดด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรแบบใหม่ ในการวางแผนการผลิตให้อุปสงค์และอุปทานของสินค้าเกษตรเกิดความสมดุลกัน โดยสนับสนุนให้เกษตรกรดําเนินการเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้ง ภาครัฐ และภาคเอกชน รวมทั้งสหกรณ์การเกษตร และผู้ค้า ส่งผลให้สามารถสร้างความเชื่อมโยงกับสหกรณ์ได้ 518 แห่ง กับภาคเอกชนอีก 109 แห่ง ห้างโมเดิร์นเทรด 30 แห่ง พร้อมส่งออกไปจําหน่ายยังต่างประเทศได้อีกกว่า 28 ประเทศ คิดเป็นมูลค่ากว่าหลายพันล้านบาท ซึ่งมีการดําเนินงานโครงการสําคัญกว่า 15 โครงการ อาทิ
1. ระบบส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ พื้นที่แปลงใหญ่ทั้ง 3.72 ล้านไร่ รวม 3,029 แปลง แบ่งเป็น พืช 2,786 แปลง ปศุสัตว์ 164 แปลง ประมง 52 แปลง แมลงเศรษฐกิจ 26 แปลง และอื่นๆ (นาเกลือ) 1 แปลง โดยมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 277,127 ราย ผลิตสินค้า 74 ชนิด เกษตรกรสามารถสร้างมูลค่าผลผลิตรวม 6,075 ล้านบาท ซึ่งมีการวางแผนการผลิตและการตลาดครบวงจรร่วมกับจังหวัด แบบกลไกประชารัฐ
2. เกษตรอินทรีย์ ด้วยการสนับสนุนเกษตรกรปลูกข้าวอินทรีย์ในพื้นที่ 120,000 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 36,149 ราย พื้นที่ 126,870 ไร่ ต้นทุนลดลง 169 บาทต่อไร่ ขายข้าวอินทรีย์ได้ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป ตันละ 2,000 - 8,000 บาท
3. ตลาดสินค้าเกษตร มีการจัดตลาดสินค้าเกษตรที่ตลาด อ.ต.ก. และ มินิ อ.ต.ก. ใน 38 จังหวัด มูลค่ารวมกว่า 400 ล้านบาท เป็นต้น
ในส่วนด้านการดําเนินงานที่สนับสนุนนโยบายไทยนิยม ยั่งยืน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดําเนินการ 2 แผนงาน 22 โครงการ ประกอบด้วย 1. แผนงานยุทธศาสตร์ปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาศักยภาพการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด มีเป้าหมายพัฒนาเกษตรกรและสถาบันเกษตร 1.96 ล้านราย ให้มีความเข้มแข็ง มีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และผลิตภาพภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 69,000 ล้านบาท โดยดําเนินการตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางของการผลิตภาคการเกษตร ซึ่งผลจากการดําเนินการตามแผนงานจะทําให้ สถาบันเกษตรกรได้รับประโยชน์ 344 กลุ่ม/สหกรณ์ และ 9,101 ชุมชน สามารถสร้างแหล่งน้ํา/ฝาย 2,937 แห่ง เกษตรกรได้รับประโยชน์ 891,396 ราย มีพื้นที่เกษตรได้รับประโยชน์ จํานวนกว่า 2 ล้านไร่ นอกจากนี้ ยังมีการอบรมเพื่อเพิ่มทักษะอาชีพให้เกษตรกรอีก 1.9 ล้านราย 2. แผนงานยุทธศาสตร์เสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อยกระดับสวัสดิการ ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ สร้างโอกาสในอาชีพและการจ้างงาน ส่งผลให้มีการจ้างงานเกษตรกร 7,520 ราย และเกษตรกรได้รับการอบรมสร้างทักษะอาชีพอีกกว่า 4 แสนราย
ขณะเดียวกัน คณะทํางานด้านการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ (D6) ซึ่งเป็นกลไกร่วมกันระหว่างภาครัฐกับเอกชน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหัวหน้าทีมภาครัฐ และนายอิสระ ว่องกุศลกิจ (บจก.น้ําตาลมิตรผล) เป็นหัวหน้าทีมภาคเอกชน โดยภาครัฐมีบทบาทสนับสนุนอํานวยความสะดวกตามภารกิจพื้นฐานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนภาคเอกชนมีบทบาทในการจัดหาตลาดและเพิ่มช่องทางการตลาดมากขึ้น มีความก้าวหน้าในการดําเนินงาน 2 ส่วน คือ
1. โครงการแปลงใหญ่ประชารัฐเกษตรสมัยใหม่ (ภาคเอกชน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมการข้าว กรมประมง และกรมปศุสัตว์) ซึ่งปัจจุบันแปลงใหญ่ประชารัฐเกษตรสมัยใหม่ จํานวน 85 แปลง พื้นที่ 159,114 ไร่ สร้างมูลค่ารวม 631.50 ล้านบาท/ปี และ 2. การนําเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารมาพัฒนา Application เพื่อการเกษตร โดยคณะกรรมการพัฒนาเกษตรสมัยใหม่แบบดิจิทัลได้ออกแบบ Application for Smart Farmer 2 ส่วน คือ ด้านการให้ข่าวสารและความรู้แก่เกษตรกร ตลอดจนด้านการเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้วางแผนการดําเนินงานและทิศทางในการขับเคลื่อนในระยะต่อไป 3 แผนงาน คือ แผนงาน 1. การขยายผลการดําเนินงานแปลงใหญ่ประชารัฐเกษตรสมัยใหม่ ให้มีความเชื่อมโยงกับการตลาดและเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเชื่อมโยงกับโครงการ BOI ที่จะส่งเสริม SME ภาคเกษตร ที่เป็น Agri-Solution Provider รวมทั้งการขยายเครือข่ายภาคเอกชนรายใหม่ที่จะเข้ามาดําเนินการโครงการแปลงใหญ่ประชารัฐ แผนงาน 2 : พัฒนาอาชีพและยกระดับเป็นเกษตรแปลงใหญ่ ในการจัดที่ดินทํากินรวมทั้งได้ผ่านคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ซึ่งมีแผนในการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย และ แผนงาน 3 : การพัฒนาเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer ผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าเกษตร (ศพก.) โดยมีแผนงานในการพัฒนา ศพก. ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ผ่านระบบ IT เพื่อพัฒนาเกษตรกรเป็น Smart Farmer
ในตอนท้ายของการแถลงข่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตสินค้าเกษตรตกต่ํา ได้เร่งลงพื้นที่ เพื่อรับทราบปัญหา ซึ่งพบ 3 ปัญหาหลัก ๆ คือ 1. ด้านทุน เกษตรกรขาดต้นทุนในการผลิต รวมถึงเงินทุน เครื่องมือ และที่ดินทรัพย์สิน ซึ่งเป็นปัญหาหลัก 2. ด้านความรู้เกี่ยวกับการเกษตร ยังใช้วิธีการเดิม ๆ ซึ่งปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลง เช่นด้านแรงงานการเกษตรมีลดน้องลง จําเป็นต้องเปลี่ยงแปลงเพื่อทันต่อสถานการณ์ และ 3. ด้านการตลาด เกษตรกรไทยมีความขยันอยู่แล้ว แต่ขายได้น้อยจําเป็นต้องขยายช่องทางการตลาดให้มากยิ่งขึ้นรวมถึงการตลาดด้านออนไลน์ และได้ย้ําว่าไม่มีนโยบายตัดต้นยางพาราทิ้ง แต่ตัดในส่วนที่อายุต้นเกิน 25 ปี แล้วปลูกทดแทนใหม่ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยสามารถผลิตยางพาราได้ 1.5 แสนล้านตันต่อปี เร่งสนับสนุนการปลูกพืชเสริมในสวนยางพารา โดยได้มีการรวมตัวจัดตั้งภาคียางระหว่างประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อกําหนดทิศทางราคาตลาดร่วมกัน รวมถึงการนําไปใช้ในการสร้างถนน โดยกระทรวงคมนาคม (กรมทางทางหลวงชนบท) ทั้งนี้อยู่ในระหว่างการดําเนินการศึกษาความคุ้มค่า ซึ่งสามารถใช้น้ํายางสดมาเป็นส่วนผสมในการทําถนนได้แล้ว คาดว่ายางจะราคาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
..............................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล เร่งปฏิรูปภาคการเกษตร โดยกระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายการตลาดนำการผลิต เชื่อมั่นสามารถสร้างสมดุลทางการตลาด สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2561
รัฐบาล เร่งปฏิรูปภาคการเกษตร โดยกระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายการตลาดนําการผลิต เชื่อมั่นสามารถสร้างสมดุลทางการตลาด สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
กระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายการตลาดนําการผลิต มีความเชื่อมั่นสามารถสร้างสมดุลทางการตลาด เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร อีกทั้งเชื่อมโยงภาครัฐและเอกชน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
วันนี้ (26 เม.ย. 61) เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ร่วมกันแถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “ปฏิรูปภาคการเกษตร”
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่างาน Meet the Press ในครั้งนี้ได้เชิญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาแถลงถึงผลงานต่าง ๆ ที่อยู่ในระหว่างการดําเนินงานอยู่ในขณะนี้ ซึ่งประเทศไทยกําลังจะเข้าสู่ฤดูการเพาะปลูกพืชทางการเกษตรและใกล้จะถึงวันพืชมงคล 14 พฤษภาคม 2561 อีกด้วย
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในปี 2561 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กําหนดนโยบาย “การตลาดนําการผลิต” เป็นแนวคิดด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรแบบใหม่ ในการวางแผนการผลิตให้อุปสงค์และอุปทานของสินค้าเกษตรเกิดความสมดุลกัน โดยสนับสนุนให้เกษตรกรดําเนินการเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้ง ภาครัฐ และภาคเอกชน รวมทั้งสหกรณ์การเกษตร และผู้ค้า ส่งผลให้สามารถสร้างความเชื่อมโยงกับสหกรณ์ได้ 518 แห่ง กับภาคเอกชนอีก 109 แห่ง ห้างโมเดิร์นเทรด 30 แห่ง พร้อมส่งออกไปจําหน่ายยังต่างประเทศได้อีกกว่า 28 ประเทศ คิดเป็นมูลค่ากว่าหลายพันล้านบาท ซึ่งมีการดําเนินงานโครงการสําคัญกว่า 15 โครงการ อาทิ
1. ระบบส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ พื้นที่แปลงใหญ่ทั้ง 3.72 ล้านไร่ รวม 3,029 แปลง แบ่งเป็น พืช 2,786 แปลง ปศุสัตว์ 164 แปลง ประมง 52 แปลง แมลงเศรษฐกิจ 26 แปลง และอื่นๆ (นาเกลือ) 1 แปลง โดยมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 277,127 ราย ผลิตสินค้า 74 ชนิด เกษตรกรสามารถสร้างมูลค่าผลผลิตรวม 6,075 ล้านบาท ซึ่งมีการวางแผนการผลิตและการตลาดครบวงจรร่วมกับจังหวัด แบบกลไกประชารัฐ
2. เกษตรอินทรีย์ ด้วยการสนับสนุนเกษตรกรปลูกข้าวอินทรีย์ในพื้นที่ 120,000 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 36,149 ราย พื้นที่ 126,870 ไร่ ต้นทุนลดลง 169 บาทต่อไร่ ขายข้าวอินทรีย์ได้ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป ตันละ 2,000 - 8,000 บาท
3. ตลาดสินค้าเกษตร มีการจัดตลาดสินค้าเกษตรที่ตลาด อ.ต.ก. และ มินิ อ.ต.ก. ใน 38 จังหวัด มูลค่ารวมกว่า 400 ล้านบาท เป็นต้น
ในส่วนด้านการดําเนินงานที่สนับสนุนนโยบายไทยนิยม ยั่งยืน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดําเนินการ 2 แผนงาน 22 โครงการ ประกอบด้วย 1. แผนงานยุทธศาสตร์ปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาศักยภาพการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด มีเป้าหมายพัฒนาเกษตรกรและสถาบันเกษตร 1.96 ล้านราย ให้มีความเข้มแข็ง มีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และผลิตภาพภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 69,000 ล้านบาท โดยดําเนินการตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางของการผลิตภาคการเกษตร ซึ่งผลจากการดําเนินการตามแผนงานจะทําให้ สถาบันเกษตรกรได้รับประโยชน์ 344 กลุ่ม/สหกรณ์ และ 9,101 ชุมชน สามารถสร้างแหล่งน้ํา/ฝาย 2,937 แห่ง เกษตรกรได้รับประโยชน์ 891,396 ราย มีพื้นที่เกษตรได้รับประโยชน์ จํานวนกว่า 2 ล้านไร่ นอกจากนี้ ยังมีการอบรมเพื่อเพิ่มทักษะอาชีพให้เกษตรกรอีก 1.9 ล้านราย 2. แผนงานยุทธศาสตร์เสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อยกระดับสวัสดิการ ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ สร้างโอกาสในอาชีพและการจ้างงาน ส่งผลให้มีการจ้างงานเกษตรกร 7,520 ราย และเกษตรกรได้รับการอบรมสร้างทักษะอาชีพอีกกว่า 4 แสนราย
ขณะเดียวกัน คณะทํางานด้านการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ (D6) ซึ่งเป็นกลไกร่วมกันระหว่างภาครัฐกับเอกชน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหัวหน้าทีมภาครัฐ และนายอิสระ ว่องกุศลกิจ (บจก.น้ําตาลมิตรผล) เป็นหัวหน้าทีมภาคเอกชน โดยภาครัฐมีบทบาทสนับสนุนอํานวยความสะดวกตามภารกิจพื้นฐานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนภาคเอกชนมีบทบาทในการจัดหาตลาดและเพิ่มช่องทางการตลาดมากขึ้น มีความก้าวหน้าในการดําเนินงาน 2 ส่วน คือ
1. โครงการแปลงใหญ่ประชารัฐเกษตรสมัยใหม่ (ภาคเอกชน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมการข้าว กรมประมง และกรมปศุสัตว์) ซึ่งปัจจุบันแปลงใหญ่ประชารัฐเกษตรสมัยใหม่ จํานวน 85 แปลง พื้นที่ 159,114 ไร่ สร้างมูลค่ารวม 631.50 ล้านบาท/ปี และ 2. การนําเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารมาพัฒนา Application เพื่อการเกษตร โดยคณะกรรมการพัฒนาเกษตรสมัยใหม่แบบดิจิทัลได้ออกแบบ Application for Smart Farmer 2 ส่วน คือ ด้านการให้ข่าวสารและความรู้แก่เกษตรกร ตลอดจนด้านการเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้วางแผนการดําเนินงานและทิศทางในการขับเคลื่อนในระยะต่อไป 3 แผนงาน คือ แผนงาน 1. การขยายผลการดําเนินงานแปลงใหญ่ประชารัฐเกษตรสมัยใหม่ ให้มีความเชื่อมโยงกับการตลาดและเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเชื่อมโยงกับโครงการ BOI ที่จะส่งเสริม SME ภาคเกษตร ที่เป็น Agri-Solution Provider รวมทั้งการขยายเครือข่ายภาคเอกชนรายใหม่ที่จะเข้ามาดําเนินการโครงการแปลงใหญ่ประชารัฐ แผนงาน 2 : พัฒนาอาชีพและยกระดับเป็นเกษตรแปลงใหญ่ ในการจัดที่ดินทํากินรวมทั้งได้ผ่านคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ซึ่งมีแผนในการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย และ แผนงาน 3 : การพัฒนาเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer ผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าเกษตร (ศพก.) โดยมีแผนงานในการพัฒนา ศพก. ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ผ่านระบบ IT เพื่อพัฒนาเกษตรกรเป็น Smart Farmer
ในตอนท้ายของการแถลงข่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตสินค้าเกษตรตกต่ํา ได้เร่งลงพื้นที่ เพื่อรับทราบปัญหา ซึ่งพบ 3 ปัญหาหลัก ๆ คือ 1. ด้านทุน เกษตรกรขาดต้นทุนในการผลิต รวมถึงเงินทุน เครื่องมือ และที่ดินทรัพย์สิน ซึ่งเป็นปัญหาหลัก 2. ด้านความรู้เกี่ยวกับการเกษตร ยังใช้วิธีการเดิม ๆ ซึ่งปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลง เช่นด้านแรงงานการเกษตรมีลดน้องลง จําเป็นต้องเปลี่ยงแปลงเพื่อทันต่อสถานการณ์ และ 3. ด้านการตลาด เกษตรกรไทยมีความขยันอยู่แล้ว แต่ขายได้น้อยจําเป็นต้องขยายช่องทางการตลาดให้มากยิ่งขึ้นรวมถึงการตลาดด้านออนไลน์ และได้ย้ําว่าไม่มีนโยบายตัดต้นยางพาราทิ้ง แต่ตัดในส่วนที่อายุต้นเกิน 25 ปี แล้วปลูกทดแทนใหม่ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยสามารถผลิตยางพาราได้ 1.5 แสนล้านตันต่อปี เร่งสนับสนุนการปลูกพืชเสริมในสวนยางพารา โดยได้มีการรวมตัวจัดตั้งภาคียางระหว่างประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อกําหนดทิศทางราคาตลาดร่วมกัน รวมถึงการนําไปใช้ในการสร้างถนน โดยกระทรวงคมนาคม (กรมทางทางหลวงชนบท) ทั้งนี้อยู่ในระหว่างการดําเนินการศึกษาความคุ้มค่า ซึ่งสามารถใช้น้ํายางสดมาเป็นส่วนผสมในการทําถนนได้แล้ว คาดว่ายางจะราคาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
..............................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11796
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเดินหน้าจำกัดส่งออกยางช่วง 3 เดือน ร่วมกับมาเลย์ และอินโด อย่างจริงจัง
|
วันพุธที่ 24 มกราคม 2561
ไทยเดินหน้าจํากัดส่งออกยางช่วง 3 เดือน ร่วมกับมาเลย์ และอินโด อย่างจริงจัง
ไทยเดินหน้าจํากัดส่งออกยางช่วง 3 เดือน ร่วมกับมาเลย์ และอินโด อย่างจริงจังย้ําพร้อมประสานพณ.ตรวจสอบปริมาณยาง
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า ในฐานะประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกยางพารารายใหญ่ของโลก ร่วมกับประเทศสมาชิกผู้ผลิตยางทั้งมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ในการควบคุมปริมาณการส่งออกยางพาราในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2561คิดเป็นจํานวนรวมประมาณ 350,000 ตันเป็นการลดปริมาณยางพาราในตลาดโลกลงอย่างเฉียบพลัน โดยทั้งสามประเทศจะใช้กฎหมายในการดําเนินการของแต่ละประเทศสมาชิกอย่างจริงจัง อย่างกรณีประเทศไทย ได้ออกประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2561 เรื่อง กําหนดปริมาณจัดสรรเนื้อยางสําหรับการส่งออก พ.ศ.2561 โดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 และประเทศมาเลเซียจะดําเนินการภายใต้ Malaysia Rubber Board ซึ่งมีกฎหมายควบคุมการส่งออกเช่นเดียวกับประเทศไทย และด้านประเทศอินโดนีเซียดําเนินการโดย Gabungan Perusahaan Karet Indonesia Rubber Association of Indonesia: GAPKINDO ร่วมกับกระทรวงต่างประเทศ ทั้งนี้ แต่ละประเทศจะมีสัดส่วนในการควบคุมการส่งออกซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณพื้นที่ปลูกและผลิตของแต่ละประเทศ สําหรับประเทศไทยจะลดสัดส่วนการส่งออกยางอยู่ที่ประมาณ 2.3 แสนตัน ทั้งสามประเทศจะดําเนินการอย่างจริงจังภายใต้กฎหมายในการควบคุมที่ใช้มาตรการดังกล่าวของแต่ละประเทศ
นายกฤษฎากล่าวเพิ่มเติมว่าในขณะเดียวกันทั้งประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลก มีเป้าหมายในการเพิ่มการใช้ยางภายในประเทศตนเองมากขึ้น จะเห็นได้ว่า ด้านมาเลเซียนําร่องเป็นประเทศผู้ผลิตที่นําร่องแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมากขึ้น จนเป็นผู้นําด้านการส่งออกถุงมือยางของโลก และทางรัฐบาลไทยมีนโยบายเร่งเร่งส่งเสริมนวัตกรรม และสนับสนุนให้มีการใช้ยางพาราภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ขณะนี้ มีหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานของรัฐที่ตอบรับนํายางพาราไปใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่น ถนนยางพารา สนามกีฬา บล็อกปูพื้น ปูสระน้ํา รวมถึงที่นอน และหมอนจากยางพารา เป็นต้น ตั้งเป้าการใช้ยางของหน่วยงานรัฐประมาณ 200,000 ตัน ในปี2561 นี้
“ระหว่างการจํากัดลดส่งออกยาง ใน 3 เดือนนั้น (มกราคม-มีนาคม 2561) มีมาตรการออกมาผ่านมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการในมาตรการต่างๆ อาทิ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง(ยางแห้ง) วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท โดยชดเชยดอกเบี้ยไม่เกิน 3% ต่อปี และโครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานของรัฐ เป้าหมาย 2 แสนตัน โดยมาตรการต่างๆ เหล่านี้เพื่อให้เกิดการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้น ย้ําว่าบริษัทใดได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ขอให้แจ้งมาที่รัฐมนตรีได้โดยตรงซึ่งกระทรวงเกษตรฯ จะประสานกระทรวงพาณิชย์เข้าไปตรวจสอบปริมาณยางในสต๊อกพร้อมทั้งหาราคาต้นทุนที่เป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการที่ร้องเรียนขอความเป็นธรรมที่รับผลกระทบจากนโยบายลดการส่งออกด้วยทุกราย”นายกฤษฎากล่าวย้ํา
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเดินหน้าจำกัดส่งออกยางช่วง 3 เดือน ร่วมกับมาเลย์ และอินโด อย่างจริงจัง
วันพุธที่ 24 มกราคม 2561
ไทยเดินหน้าจํากัดส่งออกยางช่วง 3 เดือน ร่วมกับมาเลย์ และอินโด อย่างจริงจัง
ไทยเดินหน้าจํากัดส่งออกยางช่วง 3 เดือน ร่วมกับมาเลย์ และอินโด อย่างจริงจังย้ําพร้อมประสานพณ.ตรวจสอบปริมาณยาง
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า ในฐานะประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกยางพารารายใหญ่ของโลก ร่วมกับประเทศสมาชิกผู้ผลิตยางทั้งมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ในการควบคุมปริมาณการส่งออกยางพาราในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2561คิดเป็นจํานวนรวมประมาณ 350,000 ตันเป็นการลดปริมาณยางพาราในตลาดโลกลงอย่างเฉียบพลัน โดยทั้งสามประเทศจะใช้กฎหมายในการดําเนินการของแต่ละประเทศสมาชิกอย่างจริงจัง อย่างกรณีประเทศไทย ได้ออกประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2561 เรื่อง กําหนดปริมาณจัดสรรเนื้อยางสําหรับการส่งออก พ.ศ.2561 โดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 และประเทศมาเลเซียจะดําเนินการภายใต้ Malaysia Rubber Board ซึ่งมีกฎหมายควบคุมการส่งออกเช่นเดียวกับประเทศไทย และด้านประเทศอินโดนีเซียดําเนินการโดย Gabungan Perusahaan Karet Indonesia Rubber Association of Indonesia: GAPKINDO ร่วมกับกระทรวงต่างประเทศ ทั้งนี้ แต่ละประเทศจะมีสัดส่วนในการควบคุมการส่งออกซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณพื้นที่ปลูกและผลิตของแต่ละประเทศ สําหรับประเทศไทยจะลดสัดส่วนการส่งออกยางอยู่ที่ประมาณ 2.3 แสนตัน ทั้งสามประเทศจะดําเนินการอย่างจริงจังภายใต้กฎหมายในการควบคุมที่ใช้มาตรการดังกล่าวของแต่ละประเทศ
นายกฤษฎากล่าวเพิ่มเติมว่าในขณะเดียวกันทั้งประเทศผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลก มีเป้าหมายในการเพิ่มการใช้ยางภายในประเทศตนเองมากขึ้น จะเห็นได้ว่า ด้านมาเลเซียนําร่องเป็นประเทศผู้ผลิตที่นําร่องแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมากขึ้น จนเป็นผู้นําด้านการส่งออกถุงมือยางของโลก และทางรัฐบาลไทยมีนโยบายเร่งเร่งส่งเสริมนวัตกรรม และสนับสนุนให้มีการใช้ยางพาราภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ขณะนี้ มีหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานของรัฐที่ตอบรับนํายางพาราไปใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่น ถนนยางพารา สนามกีฬา บล็อกปูพื้น ปูสระน้ํา รวมถึงที่นอน และหมอนจากยางพารา เป็นต้น ตั้งเป้าการใช้ยางของหน่วยงานรัฐประมาณ 200,000 ตัน ในปี2561 นี้
“ระหว่างการจํากัดลดส่งออกยาง ใน 3 เดือนนั้น (มกราคม-มีนาคม 2561) มีมาตรการออกมาผ่านมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการในมาตรการต่างๆ อาทิ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง(ยางแห้ง) วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท โดยชดเชยดอกเบี้ยไม่เกิน 3% ต่อปี และโครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานของรัฐ เป้าหมาย 2 แสนตัน โดยมาตรการต่างๆ เหล่านี้เพื่อให้เกิดการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้น ย้ําว่าบริษัทใดได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ขอให้แจ้งมาที่รัฐมนตรีได้โดยตรงซึ่งกระทรวงเกษตรฯ จะประสานกระทรวงพาณิชย์เข้าไปตรวจสอบปริมาณยางในสต๊อกพร้อมทั้งหาราคาต้นทุนที่เป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการที่ร้องเรียนขอความเป็นธรรมที่รับผลกระทบจากนโยบายลดการส่งออกด้วยทุกราย”นายกฤษฎากล่าวย้ํา
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9593
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การระดมทุนผ่านระบบ e-Bidding ครั้งแรกของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
|
วันพุธที่ 25 กันยายน 2562
การระดมทุนผ่านระบบ e-Bidding ครั้งแรกของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2562 กฟภ.ได้ระดมทุนโดยการออกพันธบัตร กฟภ. กระทรวงการคลังไม่ค้ําประกัน เพื่อเสนอขายต่อนักลงทุนสถาบัน (Institutional Investor : II) และนักลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth : HNW) ดยวิธีการประมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding) ของ ธปท.
เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2562 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ระดมทุนโดยการออกพันธบัตร กฟภ. กระทรวงการคลังไม่ค้ําประกัน เพื่อเสนอขายต่อนักลงทุนสถาบัน (Institutional Investor : II) และนักลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth : HNW) โดยวิธีการประมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นครั้งแรกของพันธบัตรรัฐวิสาหกิจในกลุ่มที่กระทรวงการคลังไม่ค้ําประกันที่ดําเนินการผ่านระบบ e-Bidding ด้วยรุ่นอายุที่ยาวถึง 15 ปี (PEA349A) วงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.20 ต่อปี ซึ่งผลการประมูลพันธบัตร กฟภ. ดังกล่าว ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ส่งผลให้ Bid Coverage Ratio (BCR) เท่ากับ 2.53 เท่า โดยมีอัตราผลตอบแทนระหว่างร้อยละ 2.2000 – 2.3670 ต่อปี ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจกลุ่มที่กระทรวงการคลังไม่ค้ําประกันเงินกู้ ประมูลพันธบัตรผ่านระบบ e-Bidding ซึ่งเป็นการพัฒนาให้เป็นแนวทางเดียวกับการประมูลพันธบัตรรัฐบาลที่มีการนํานวัตกรรมและระบบการทํางานที่เป็นดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ และเป็นการสนับสนุนการขยายฐานนักลงทุน ลดขั้นตอนและระยะเวลาในการประมูลพันธบัตร รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้สถาบันการเงินและนักลงทุนรายใหญ่ (Institutional Investor and High Net Worth : II & HNW) สามารถเข้าถึงตราสารหนี้ชั้นดี (Rating AAA) ในอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสม
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 นักลงทุนและคู่ค้าสามารถติดตามแผนการออกพันธบัตร กฟภ. จากแผนการกู้เงินรายไตรมาสของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังจัดหาได้จากเว็บไซต์สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (www.pdmo.go.th) ทั้งนี้ ขอขอบคุณสําหรับความร่วมมือด้วยดีเสมอมา หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อสงสัยประการใด สามารถสอบถามได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 02-265-8050 ต่อ 5406 และ 5420
สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02-265-8050 ต่อ 5406 และ 5420
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การระดมทุนผ่านระบบ e-Bidding ครั้งแรกของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
วันพุธที่ 25 กันยายน 2562
การระดมทุนผ่านระบบ e-Bidding ครั้งแรกของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2562 กฟภ.ได้ระดมทุนโดยการออกพันธบัตร กฟภ. กระทรวงการคลังไม่ค้ําประกัน เพื่อเสนอขายต่อนักลงทุนสถาบัน (Institutional Investor : II) และนักลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth : HNW) ดยวิธีการประมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding) ของ ธปท.
เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2562 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ระดมทุนโดยการออกพันธบัตร กฟภ. กระทรวงการคลังไม่ค้ําประกัน เพื่อเสนอขายต่อนักลงทุนสถาบัน (Institutional Investor : II) และนักลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth : HNW) โดยวิธีการประมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นครั้งแรกของพันธบัตรรัฐวิสาหกิจในกลุ่มที่กระทรวงการคลังไม่ค้ําประกันที่ดําเนินการผ่านระบบ e-Bidding ด้วยรุ่นอายุที่ยาวถึง 15 ปี (PEA349A) วงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.20 ต่อปี ซึ่งผลการประมูลพันธบัตร กฟภ. ดังกล่าว ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ส่งผลให้ Bid Coverage Ratio (BCR) เท่ากับ 2.53 เท่า โดยมีอัตราผลตอบแทนระหว่างร้อยละ 2.2000 – 2.3670 ต่อปี ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจกลุ่มที่กระทรวงการคลังไม่ค้ําประกันเงินกู้ ประมูลพันธบัตรผ่านระบบ e-Bidding ซึ่งเป็นการพัฒนาให้เป็นแนวทางเดียวกับการประมูลพันธบัตรรัฐบาลที่มีการนํานวัตกรรมและระบบการทํางานที่เป็นดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ และเป็นการสนับสนุนการขยายฐานนักลงทุน ลดขั้นตอนและระยะเวลาในการประมูลพันธบัตร รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้สถาบันการเงินและนักลงทุนรายใหญ่ (Institutional Investor and High Net Worth : II & HNW) สามารถเข้าถึงตราสารหนี้ชั้นดี (Rating AAA) ในอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสม
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 นักลงทุนและคู่ค้าสามารถติดตามแผนการออกพันธบัตร กฟภ. จากแผนการกู้เงินรายไตรมาสของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังจัดหาได้จากเว็บไซต์สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (www.pdmo.go.th) ทั้งนี้ ขอขอบคุณสําหรับความร่วมมือด้วยดีเสมอมา หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อสงสัยประการใด สามารถสอบถามได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 02-265-8050 ต่อ 5406 และ 5420
สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02-265-8050 ต่อ 5406 และ 5420
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23399
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ แถลงใหญ่ “มอบของขวัญปีใหม่ การขับเคลื่อนภาคการเกษตร ปี 2563”
|
วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ แถลงใหญ่ “มอบของขวัญปีใหม่ การขับเคลื่อนภาคการเกษตร ปี 2563”
กระทรวงเกษตรฯ แถลงใหญ่ “มอบของขวัญปีใหม่ การขับเคลื่อนภาคการเกษตร ปี 2563”
เน้นทํางานเชิงรุก แก้ปัญหาปากท้องเกษตรกรครบทุกมิติ
กระทรวงเกษตรฯ แถลงใหญ่ “มอบของขวัญปีใหม่ การขับเคลื่อนภาคการเกษตร ปี 2563”
เน้นทํางานเชิงรุก แก้ปัญหาปากท้องเกษตรกรครบทุกมิติ
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแถลงข่าว “มอบของขวัญปีใหม่ การขับเคลื่อนภาคการเกษตร ปี 2563” ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญเพื่อขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยไปสู่อนาคตอย่างมั่นคง และยั่งยืน โดยยึดหลักบูรณาการการทํางานร่วมกัน และดําเนินการเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องเกษตรกรอย่างเร่งด่วน รวมถึงการเตรียมมาตรการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่กําลังจะเกิดขึ้นและอาจส่งผลกระทบกับเกษตรกรและประชาชนโดยตรง ซึ่งในวันนี้ กระทรวงเกษตรฯ เตรียมขับเคลื่อนนโยบายและแผนงานที่สําคัญในปี 2563 ประกอบด้วย
1. การบริหารจัดการแหล่งน้ําทั้งระบบ
- ก่อสร้างแหล่งน้ําขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็กและแก้มลิง โดยจะดําเนินการในปี 2563 รวมทั้งสิ้น 421 โครงการ เมื่อดําเนินการแล้วเสร็จทั้งโครงการจะเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 1,232,121 ไร่ และปริมาตรเก็บกัก 942.00 ล้าน ลบ.ม. สําหรับในปี 2563 โครงการที่ดําเนินการแล้วเสร็จจะได้พื้นที่ชลประทาน 176,968 ไร่ และปริมาตรน้ําเก็บกัก 199.54 ล้าน ลบ.ม.
- ปัจจุบันสภาพฝนมีความผันแปรสูงมาก ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ําท่าและน้ําในแหล่งเก็บกักน้ําโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2562 ในลุ่มน้ําเจ้าพระยามีปริมาณน้ําไม่เพียงพอต่อความต้องการ มีการใช้น้ําเกินแผนที่ได้จัดสรรไว้ ทําให้เกิดปัญหาการรุกล้ําของน้ําเค็ม ส่งผลต่อระบบนิเวศและคุณภาพน้ําด้าน การเกษตรกรรม – อุปโภคบริโภค จึงมีแผนการผันน้ําจากลุ่มน้ําแม่กลองมาลุ่มน้ําเจ้าพระยาตอนล่างในฤดูแล้ง ปี 2562/2563 จํานวน 850 ล้าน ลบ.ม. สําหรับในอนาคตจะพิจารณาผันน้ํามาสนับสนุนลุ่มน้ําเจ้าพระยา
- ปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกพืช ป่าไม้ และเพิ่มน้ําในเขื่อนและอ่างเก็บน้ํา โดยมีศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจําภาคทั้ง 5 ศูนย์ และได้ดําเนินการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็ว เพื่อติดตาม เฝ้าระวังสภาพอากาศ และสามารถปฏิบัติการฝนหลวงได้เมื่อสภาพอากาศเอื้ออํานวยในการช่วยเหลือพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภค เกษตรกรรม การเติมน้ําต้นทุนให้กับเขื่อนและอ่างเก็บน้ํา รวมทั้งการบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า และจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จํานวน 11 - 13 หน่วยปฏิบัติการ เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงให้ครอบคลุม 25 ลุ่มน้ําหลักในพื้นที่ 77 จังหวัด ซึ่งจะมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 230 ล้านไร่
- การบริหารจัดการน้ําในช่วงฤดูแล้ง โดยกรมชลประทาน ได้วางแผนการจัดสรรน้ําทั้งประเทศในช่วงฤดูแล้งปี 2562/63 ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 - 30 เมษายน 2563 จํานวน 17,699 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็น อุปโภค-บริโภค 2,300 ล้าน ลบ.ม. รักษาระบบนิเวศและอื่น ๆ 7,006 ล้าน ลบ.ม. สํารองน้ําต้นฤดูฝนปี 2563 (พ.ค.-ก.ค. 63) รวม 10,540 ล้านลูกบาศก์เมตร เกษตรฤดูแล้งปี 2562/63 7,874 ล้าน ลบ.ม. อุตสาหกรรม 519 ล้าน ลบ.ม. รวมถึงได้ทําการประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเกษตรกรรับทราบ สถานการณ์น้ําต้นทุน แนวทางการบริหารจัดการน้ํา ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก มาเป็นการปลูกพืชใช้น้ําน้อยให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 22 จังหวัด ในเขตลุ่มน้ําเจ้าพระยา
- ขุดสระน้ําในไร่นานอกเขตชลประทาน ขนาด 1,260 ลบ.ม.ให้เกษตรกรที่ขอรับการสนับสนุนทั่วประเทศ จํานวน 40,000 บ่อ เพื่อกักเก็บน้ํา บรรเทาและชะลอความแห้งแล้ง เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ดินในฤดูฝนทิ้งช่วงหรือฤดูแล้งในระดับไร่นา ให้เกษตรกรสามารถมีน้ําไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง สําหรับปลูกพืชผักแบบผสมผสานเลี้ยงปลา ตกกล้า ซึ่งเป็นการทําการเกษตรแบบใช้น้ําน้อย
2. ส่งเสริมการเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์
ส่งเสริมเกษตรยั่งยืนด้วยศาสตร์พระราชา
- ส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ 354,614 ราย เกษตรกรรมทางเลือก/เกษตรผสมผสาน 16,110 ราย ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพด้านการเกษตร 44,780 ราย
ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์
- การผลิตพืชในระบบเกษตรปลอดภัย หรือเกษตรอินทรีย์ สนับสนุนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ได้แก่ การใช้พืชปุ๋ยสด ชนิดต่าง ๆ อาทิ ปอเทือง ถั่วพร้า ถั่วพุ่ม มะแฮะ ส่งเสริมการทําปุ๋ยหมัก น้ําหมักชีวภาพ รวมทั้งใช้จุลินทรีย์เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืช โดยปี 2563 มีเป้าหมายสนับสนุนกลุ่มเกษตรอินทรีย์ 3 ระดับ ดังนี้ กลุ่มเตรียมความพร้อม สนับสนุนปัจจัยการปรับปรุงดิน และกระบวนการรับรองมาตรฐานแบบมีส่วนร่วม (PGS) 1,575 ราย พื้นที่ 15,750 ไร่
- จัดทําแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2560-2565 โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ พร้อมทั้งผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ไปใช้เป็นกรอบในการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ ไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านไร่ และเพิ่มจํานวนเกษตรกรที่ทําเกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 80,000 ราย ภายในปี 2565
- การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่กระบวนการผลิตทั้งพืช ปศุสัตว์ และประมง จํานวน 481,000 ไร่ และอบรมให้ความรู้การผลิตเกษตรอินทรีย์ด้านพืช ประมง หม่อนไหม บัญชี และการใช้ชีวินทรีย์ รวม 10,550 ราย ตรวจรับรองแปลงพืชอินทรีย์ 3,200 ฟาร์ม โรงงานแปรรูป/คัดบรรจุ/โรงรม จําหน่ายพืชอินทรีย์ 80 ฟาร์ม พร้อมรับรองสถานที่จําหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ 2 แห่ง
- ขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์แบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน โดยยึดพื้นที่เป็นหลัก (Area base) เช่น(1) พื้นที่ใกล้โรงเรียน (2) พื้นที่ใกล้โรงแรม (3) พื้นที่ใกล้โรงพยาบาล จัดทําโครงการ “โรงพยาบาลอาหารปลอดภัย”จํานวน 896 แห่ง ทั่วประเทศ โดยสนับสนุนการจัดซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์ เพื่อทําอาหารปลอดภัยให้กับผู้ป่วย และจัดให้มีการจําหน่ายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ในโรงพยาบาล
- สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคเข้าใจเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและการตัดสินใจเลือกซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์
ส่งเสริมเกษตรปลอดภัย
- ตรวจสอบปัจจัยการผลิต/ศัตรูพืช การออกใบรับรอง และควบคุมกํากับดูแล พ.ร.บ. โดยตรวจสอบปัจจัยการผลิต/สินค้าพืช/ผลิตภัณฑ์ผลผลิตทางการเกษตร 150,000 ตัวอย่าง ออกใบรับรองสุขอนามัย (ปลอดศัตรูพืช) 300,000 ฉบับ ใบรับรองสุขอนามัยพืช/สารพิษตกค้าง/สารปนเปื้อน 63,000 ฉบับ ใบอนุญาตตามกฎหมาย 100,000 ฉบับ และตรวจสอบร้านค้า/สินค้าเกษตร 52,000 ราย
- กําหนดและจัดทํามาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร โดยการกําหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร 15 เรื่อง การพัฒนาระบบสารสนเทศ 3 ระบบ การรับรองและตรวจติดตามหน่วยงานตรวจสอบรับรองตามมาตรฐานสากล 24 หน่วย-ขอบข่าย การกํากับ ดูแลและควบคุมมาตรฐานสินค้าเกษตร 3 กลุ่มสินค้า และการประชุมเจรจาเพื่อสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร 20 ครั้ง
มาตรการลด ละ เลิก การใช้สารเคมี ผ่านการประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรรับรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมี
โดยจัดทําอินโฟกราฟิกและคลิปวีดีโอ เรื่อง การใช้สารเคมีทางการเกษตรตามความจําเป็น และการใช้วิธีการกําจัดวัชพืชและป้องกันกําจัดโรคพืชโดยวิธีอื่น เช่น เครื่องจักรกลเกษตรและสารชีวภัณฑ์ การให้ความรู้กับเกษตรกรผ่านเวทีโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ สนับสนุนปัจจัยการผลิตเกี่ยวกับสารอินทรีย์ต่าง ๆ ได้แก่ สนับสนุนการใช้ปุ๋ยพืชสดในการปรับปรุงบํารุงดิน ส่งเสริมการผลิตปุ๋ยหมัก พด. ส่งเสริมการผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง และมาตรการพัฒนาระบบปลูกพืชและเขตกรรมที่เหมาะสม
การพัฒนาสารชีวภัณฑ์และฮอร์โมนพืช ด้านควบคุมพืช ด้านรักษาสิ่งแวดล้อม
โดยในปี 2563 มีการผลิตสารเร่งจุลินทรีย์ พด. 6,733,500 ซอง รวมถึงสร้างศูนย์บ่มเพาะในส่วนราชการและกลุ่มเกษตรกรให้เป็นศูนย์เรียนรู้และกระจายชีวภัณฑ์ เพื่อสนับสนุนและให้บริการในด้านวิชาการและผลิตชีวภัณฑ์ใช้เอง พร้อมถ่ายทอดชีวภัณฑ์ใช้ในการกําจัดศัตรูพืช 17 ชนิด อาทิ เชื้อราไตรโคเดอร์มา แบคทีเรียบาซิลลัส ซับทิลิส (Bs) เหยื่อโปรโตซัวกําจัดหนู ไส้เดือนฝอยศัตรูแมลง
ดําเนินมาตรการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรแทนแรงงานเกษตร
สร้างช่างเกษตรท้องถิ่น ด้วยการร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานด้านพัฒนาฝีมือแรงงานและภาคเอกชน ในการสนับสนุนให้เกษตรกรได้พัฒนาทักษะและเทคนิคการซ่อมแซมเครื่องยนต์เกษตร 4,700 ราย
3. ใช้ระบบตลาดนําการผลิต เพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา/ล้นตลาด
ขยายช่องทางตลาดเกษตรกร /จัดหาตลาดใหม่เพิ่ม
- โดยการเข้าร่วมกิจกรรม/งานเทศกาลยังต่างประเทศ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรคุณภาพมาตรฐานของไทย ร่วมมือกับชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด (ชสท.) ส่งเสริมให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตสินค้าที่ดี มีคุณภาพ นําผลิตภัณฑ์สินค้าจําหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ ภายใต้ชื่อ “Co-op click” รวมถึง นโยบายขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการเกษตรของกระทรวงเกษตรฯ สู่ไทยแลนด์ 4.0 และเกษตร 4.0 ในการเพิ่มช่องทางและโอกาสทางการตลาดที่สําคัญตามแนวทางนโยบายตลาดนําการเกษตร เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถซื้อขายสินค้าเกษตรออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ DGTFarm หรือ ดิจิตอลฟาร์ม ผ่านทาง www.dgtfarm.com และ อตก. เดลิเวอรี่ ผ่านทาง www.ortorkor.com
- เปิดตลาดการค้าสัตว์ปีกในสาธารณรัฐประชาชนจีน ภูมิภาคตะวันออกกลางเพิ่มนอกเหนือจากสหรัฐอาหรับอามิเรต และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะสหภาพยุโรปคาดว่าปริมาณการส่งออกสัตว์ปีกจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1 โดยส่งออกเนื้อไก่ จํานวน 970,770 ตัน มูลค่า 116,589 ล้านบาท
สร้างตลาดออนไลน์โดยร่วมมือกับ LAZADA Thailand (Kick off ม.ค. 63)
กระทรวงเกษตรฯ ขยายความร่วมมือสู่แพลตฟอร์มลาซาด้า ผู้นําอีคอมเมิร์ชในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีการหารือกับทีมบริหารงานผู้ขายลาซาด้าเพื่อสร้างโอกาสร่วมกันให้กับสินค้าเกษตรและเกษตรกรไทยให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี พัฒนาความรู้แบบยั่งยืนโดย สามารถเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มลาซาด้า เพื่อนําสินค้าเกษตรเข้าสู่ช่องทางออนไลน์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากจะช่วยในเรื่องการเพิ่มช่องทางการตลาด ให้เกษตรกรได้กระจายผลผลิตในช่วงผลผลิตออกตลาดมากแล้ว ยังช่วยให้เกษตรกรขยายฐานกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างไม่จํากัด สามารถทําความรู้จักกับกลุ่มลูกค้าของตัวเอง ทําการซื้อขายกับผู้ซื้อ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาสินค้าเกษตรที่ตรงกับความต้องการของตลาด ลดความเหลื่อมล้ํา และยังสามารถนําเสนอสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่ดี จากเกษตรกรสู่ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งในเบื้องต้นจะเน้นจัดกิจกรรมอบรมทักษะให้แก่กลุ่มเกษตรกรในระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตรและกลุ่มYoung Smart Farmer
พัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง Smart Farmer
พัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง โดยสร้างและพัฒนาเกษตรกรให้มีศักยภาพในการประกอบอาชีพด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ ด้านการผลิต การแปรรูปและการตลาด รวมถึงได้รับการพัฒนาสู่การเป็นผู้ผลิต ผู้ประกอบการด้านนวัตกรรม นําไปสู่การลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันพร้อมสู่ การเป็นผู้ประกอบการด้านเกษตร รวมทั้งสิ้น 84,312 ราย
เสริมสร้างความเข้มแข็งวิสาหกิจชุมชน/สหกรณ์
- พัฒนาวิสาหกิจสู่ความเป็นมืออาชีพ 444 แห่ง ด้วยการสอนแนะการจัดทําบัญชีแก่วิสาหกิจชุมชน การจัดทํางบการเงิน การใช้ข้อมูลทางบัญชีในการบริหารจัดการ กํากับแนะนําการจัดทําบัญชี และติดตามผลการจัดทําบัญชี
- พัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรและบริการ 154 แห่ง ด้วยการส่งเสริมกิจการวิสาหกิจชุมชนและสนับสนุนความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม คุณภาพมาตรฐานการผลิตและผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการธุรกิจ และการแข่งขันทางการตลาด เพื่อให้กิจการวิสาหกิจชุมชนมีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้
- ยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าและบริการ ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการของผู้ประกอบการให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน และเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการเพื่อนําไปสู่การขยายโอกาสทางการตลาด
- พัฒนาระบบสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร โดยส่งเสริมแนะนําการบริหารจัดการการวางแผนการดําเนินงานดําเนินธุรกิจ ส่งเสริมหลักการอุดมการณ์ วิธีการสหกรณ์ และกํากับควบคุมดูแลให้ปฏิบัติตามระเบียบคําสั่งและกฎหมาย 12,958 แห่ง
- บริหารจัดการด้านการเงินการบัญชีให้มีคุณภาพ โดยการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของสหกรณ์และสถาบันเกษตรกร ด้วยการตรวจสอบบัญชีประจําปีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 11,800 แห่ง ตรวจสอบความถูกต้องในการทําธุรกรรมทางการเงินระหว่างสหกรณ์และสมาชิก 24,500 ราย ฝึกอบรมเศรษฐกิจการเงินขั้นพื้นฐานแก่สมาชิกสหกรณ์ 10,000 ราย พัฒนาศักยภาพด้านการบัญชีแก่สมาชิกสหกรณ์และประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 24,000 ราย พัฒนามาตรฐานการบัญชีแก่สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 500 แห่ง และพัฒนาศักยภาพสหกรณ์ตั้งใหม่ 100 แห่ง
ส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร
- พัฒนาศักยภาพการแปรรูปข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าว การแปรรูปสัตว์น้ํา พร้อมทั้งพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าและเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการเพื่อนําไปสู่การขยายโอกาสทางการตลาด
4. ลดต้นทุนการผลิต
ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน (ปุ๋ยสั่งตัด) เพื่อเป็นการลดต้นทุนค่าปุ๋ยลง 30%
- ตรวจวิเคราะห์ดินรายแปลง เพื่อแนะนําการใช้ปุ๋ยตามชนิดของดิน พืช ในอัตราที่เหมาะสม จะได้ผลผลิตสูง และมีคุณภาพ พร้อมทั้งเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน โดยตั้งกลุ่มการทําและใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการปลดปล่อย ธาตุอาหารพืช และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
- อบรมส่งเสริมปุ๋ยผสมใช้เองผ่านสหกรณ์การเกษตร เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกร โดยการวิเคราะห์ดิน และให้คําแนะนําการใช้ปุ๋ยแก่สมาชิกสหกรณ์เข้าร่วมโครงการ จํานวน 150 แห่ง สมาชิกจํานวน 7,500 ราย และอบรมสมาชิกกลุ่มเป้าหมายในสถาบันเกษตรกร 150 แห่ง แห่งละ 50 ราย จํานวน 7,500 ราย พร้อมด้วยอุดหนุนเครื่องผสมปุ๋ยแก่สหกรณ์ 16 แห่ง
ส่งเสริมให้ความรู้เกษตรกรในการผลิตปุ๋ยใช้เอง (ปุ๋ยหมัก/ชีวภาพ)
- เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ด้วยปัญหาราคาผลผลิตตกต่ําและต้นทุนการผลิตสูงทําให้เกษตรกรประสบปัญหามีความเสี่ยงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมส่งผลกระทบต่อรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกร กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงได้ประสานความร่วมมือกับกรมพัฒนาที่ดินที่จะดําเนินการขับเคลื่อนการส่งเสริมปุ๋ยผสมใช้เองผ่านสหกรณ์การเกษตรเพื่อลดต้นทุนการผลิต 400 แห่ง/เกษตรกร 40,000 ราย ทั่วประเทศ โดยคาดหวังว่าเกษตรกรจะสามารถลดต้นทุนการผลิต ผลผลิตมีคุณภาพ และยังเป็นการส่งเสริมให้มีการปรับปรุงบํารุงดินอีกทั้งผลักดันให้สถาบันเกษตรกรเป็นศูนย์บริการตรวจและพัฒนาดินลดต้นทุนการผลิต
ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการผลิต และพัฒนาพันธุ์พืชเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ตรงตามความต้องการของตลาดและสอดคล้องสภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง
- พัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช ด้วยการฝึกอบรมด้านเกษตรอัจฉริยะและจัดสัมมนาเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตข้าว 3 เทคโนโลยี ประกอบด้วย 1) การสร้าง Application Programming Interface เพื่อพัฒนา ความเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ด้านข้าว 2) การจัดทํา WebGis เพื่อประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่ และการเตือนภัย การปลูกข้าว 3) การพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมตรวจวัดเพื่อการพัฒนาระบบเตือนภัยและประเมินผลผลิตของข้าวด้วยการใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ
- พัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับการวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตกัญชา ด้วยการก่อสร้างอาคารวิจัยกัญชาและจัดเตรียมสถานที่การเก็บรักษา การควบคุมการใช้และการปลูกกัญชา สําหรับใช้ในการวิจัยและปลูกกัญชาให้เป็นไปตามมาตรฐาน ในจังหวัดเชียงราย
- ส่งเสริมการทําระบบฟาร์มอัจฉริยะ ด้วยการพัฒนาระบบข้อมูลข้าวอัจฉริยะ 1 ระบบ เป็นการพัฒนาระบบข้อมูล Big data ด้านข้าวและชาวนา
- การพัฒนาระบบตรวจสอบติดตามออกซิเจนในบ่อเลี้ยงปลากะพงขาวระบบหมุนเวียนโดยใช้ Programmable Logic Controller (PLC) และพัฒนาระบบตรวจติดตามคุณภาพน้ําแบบเวลาจริง (Real-time) ในแหล่งเลี้ยงปลาในกระชัง ซึ่งเป็นการนําเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) มาประยุกต์ใช้กับระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา
สนับสนุนโลจิสติกส์การเกษตร
โดยแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตร เพื่อกําหนดกรอบการจัดทําแผนพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตร ปี 2563 – 2565 เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์สินค้าเกษตร ลดการสูญเสียและเพิ่มการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น และได้แต่งตั้งคณะทํางานภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อน 3 คณะ ได้แก่ (1) คณะทํางานโครงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เกษตรอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาระบบอํานวยความสะดวกและบริการทางการค้าสินค้าเกษตรแปรรูป เช่น การพัฒนาระบบ E-Certify และ E-Passport สําหรับส่งออกผลิตภัณฑ์ข้าวเหนียวมูนพร้อมมะม่วงน้ําดอกไม้สีทอง ไปยังสิบเมืองเอกของประเทศจีน (2) คณะทํางานโครงการพัฒนาระบบกระจายและขนส่งสินค้าเกษตร เพื่อขยายช่องทางตลาดสําหรับสินค้าเกษตรไปยังต่างประเทศ เช่น การพัฒนาระบบกระจายและขนส่งสินค้าผลไม้ เช่น มะม่วงและทุเรียน โดยใช้ดูไบเป็นศูนย์กลาง (Hub) กระจายและขนส่งสินค้าเกษตร เนื่องจากดูไบเป็นศูนย์กลางการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบใน 6 ทวีป 78 ท่าเรือ มี free zone มากกว่า 24 แห่ง และ (3) คณะทํางานโครงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เกษตรชุมชน เพื่อกําหนดแนวทางหรือรูปแบบการบริหารจัดการที่เชื่อมโยงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตรใน 3 ระดับ ได้แก่ โลจิสติกส์ระดับท้องถิ่น (Domestic Logistics) โลจิสติกส์ระดับภูมิภาค (Regional Logistics) และโลจิสติกส์ระดับสากล (Global Logistics) ซึ่งผลการดําเนินงานที่เกิดขึ้นจะนําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างยั่งยืน และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าสินค้าเกษตร
ส่งเสริมการปลูกพืชพลังงานทดแทน
- มันสําปะหลัง โดยผลิตพันธุ์มันสําปะหลังคุณภาพดี 20 ล้านท่อน และส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรมันสําปะหลัง
- ปาล์มน้ํามัน โดยผลิตพันธุ์ปาล์มน้ํามันคุณภาพดี 300,000 ต้น 500,000 เมล็ดงอก และส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรปาล์มน้ํามัน
5. การบริหารจัดการประมงอย่างยั่งยืน
การแก้ไขปัญหา IUU
การป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทําประมง IUU เป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลไทยให้ความสําคัญ เพื่ออนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรประมงทะเลให้เกิดความยั่งยืนและรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมตามกฎเกณฑ์และแนวทางมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้ดําเนินการปรับปรุงแก้ไขมาตรการต่าง ๆ และจัดทําโครงการเพื่อเยียวยา/ลดผลกระทบที่เกิดจากการแก้ไขปัญหา IUU ดังนี้
1) การปรับปรุงการกําหนดหลักเกณฑ์ในการจัดสรรใบอนุญาตทําการประมงพาณิชย์ ให้สอดคล้องกับวิถีการทําประมงมากขึ้น เช่น การขอเปลี่ยนพื้นที่ทําการประมง ขอเปลี่ยนพื้นที่ทําการประมง โดย ต้องผ่านการรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย และไม่กระทบกับปริมาณสัตว์น้ําสูงสุดที่จะอนุญาตให้ทําการประมงได้อย่างยั่งยืน การปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการขอใช้เครื่องมือทําการประมงต่อเรือประมง 1 ลํา สําหรับเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพต่ํา สามารถขอได้ไม่เกิน 3 เครื่องมือ (ไม่รวมเบ็ดมือ) โดยให้ทําประมงได้ ครั้งละ 1 เครื่องมือ
2) การนําเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน ระยะที่ 2 โดยมีเรือประมงที่จะเข้าร่วมโครงการฯ จํานวนทั้งสิ้น 2,768 ลํา
3) การเพิ่มวันทําการประมง กรมประมงได้ออกประกาศ เรื่อง การจัดสรรเพิ่มวันทําการประมงให้ผู้ได้รับใบอนุญาตทําการประมงพาณิชย์ สําหรับปีการประมง พ.ศ. 2562 ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2562 จัดสรรวันทําการประมงทะเลอ่าวไทยและอันดามันเพิ่ม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวประมงพาณิชย์บางส่วนที่เหลือวันทําประมงไม่เพียงพอไปจนสิ้นสุดรอบปีการประมง 2562 (31 มีนาคม 2563) โดย(1) ฝั่งอ่าวไทย: เรือประมงอวนล้อม เรือประมงอวนล้อมจับปลากะตัก อวนครอบปลากะตัก และอวนช้อน/ยกปลากะตัก ให้สามารถทําการประมงได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 โดยไม่นับจํานวนวันทําการประมง: ส่วนเรืออวนลาก จะได้รับวันทําการประมงเพิ่มอีกลําละ 30 วัน (2) ฝั่งทะเลอันดามัน : เรือทั้งหมดสามารถออกทําการประมงได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563โดยไม่นับจํานวนวันทําการประมง
4) การสร้างความเข้มแข็งกลุ่มการผลิตด้านการเกษตร ในปีงบประมาณ 2563 มีเป้าหมายดําเนินการส่งเสริม พัฒนา องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น ในพื้นที่ 22 จังหวัดชายทะเล จํานวน 144 ชุมชน
จัดตั้งกองทุนประมงแห่งชาติ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงหรือดําเนินการทางกฎหมายด้านการประมง ซึ่งได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างพระราชบัญญัติสภาการประมง พ.ศ.... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนประมง พ.ศ.... มีนายอรรถพร พลบุตร คณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานอนุกรรมการ ผู้แทนจากผู้ประกอบการประมงทุกภาคส่วนเป็นอนุกรรมการ ทั้งนี้ ได้ 34 มาตรา 6 หมวดประกอบด้วย1) การจัดตั้งกองทุน 2) การบริหารกิจการของกองทุน 3) สํานักงานกองทุนการประมงแห่งชาติ 4) การบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผล 5) การประเมินผลการดําเนินงานของกองทุนและ 6) การกํากับและดูแล ทั้งนี้ กองทุนประมงมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
การส่งเสริมอาชีพและการจัดหาตลาด
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมประมงได้ส่งเสริมอาชีพโดยมุ่งเน้นที่จะเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ําให้เพียงพอต่อการบริโภคและสร้างรายได้ โดยการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้แก่เกษตรกรทุกระดับ ทั้งด้านการประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา การแปรรูป ตั้งแต่เพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน จําหน่ายเป็นเป็นรายได้เสริมและสามารถประกอบเป็นอาชีพได้อย่างมั่งคง โดยการฝึกอบรมให้ความรู้ ถ่ายทอดเทคโนโลยี และสนับสนุนปัจจัยการผลิต แบ่งเป็น 2 กิจกรรม คือ ด้านการทําการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา
การขึ้นทะเบียนประมง
- จากการที่รัฐบาลเปิดให้จดทะเบียนเรือประมงแก่ชาวประมงพื้นบ้าน ในครั้งนี้ โดยมีการบูรณาการทํางานระหว่างกรมประมงและกรมเจ้าท่าในพื้นที่ อํานวยความสะดวกแก่ชาวประมงทั้งในพื้นที่ชายฝั่งทะเล เกาะแก่งต่าง ๆ ในทุกช่องทาง เพื่อให้เรือทุกลําได้รับการจดทะเบียนเบียนเรือทั้ง 22 จังหวัด
- หลังจากปิดรับคําขอในวันที่ 27 ธันวาคม 2562 มีเจ้าของเรือประมงพื้นบ้านมาขอรับหนังสือรับรองจากกรมประมงเพื่อประกอบการจดทะเบียนกับกรมเจ้าท่ากว่า 33,710 ลํา ส่วนเรือที่มีทะเบียนเรือแล้วได้ไปแจ้งขอตรวจวัดและจัดทําอัตลักษณ์เรือกับกรมเจ้าท่า 17,180 ลํา รวมแล้วกองเรือประมงพื้นบ้านน่าจะมี ประมาณ 50,000 กว่าลํา ส่วนผู้ตกหล่นกรมประมงจะพิจารณาร่วมกับกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคมเป็นรายกรณีต่อไป ส่วนประมงพาณิชย์จะเร่งส่งเสริมให้รักษาสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล เพื่อให้สามารถทําประมงได้อย่างยืนต่อไป
การฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ําในแหล่งน้ําธรรมชาติ
เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรประมงในแหล่งน้ําธรรมชาติ ให้คงความอุดมสมบูรณ์ โดยการผลิตพันธุ์สัตว์น้ําเพื่อปล่อย ให้เป็นแหล่งอาหารโปรตีน และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่รอบแหล่งน้ําจํานวน 550 ล้านตัว แบ่งเป็น สัตว์น้ําจืด 400 ล้านตัว สัตว์น้ําชายฝั่ง 150 ล้านตัว
6. การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เกษตรกร
การจ้างงานของกรมชลประทานในหน้าแล้ง
- กรมชลประทานประเมินการจ้างแรงงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (งบลงทุน) สําหรับงานซ่อมแซม บํารุงรักษา ขุดลอก ปรับปรุงงานชลประทาน ก่อสร้างแหล่งน้ําระบบส่งน้ําเพื่อชุมชน แก้มลิง การจัดการคุณภาพน้ําและโครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ํา ซึ่งดําเนินการจ้างแรงงานทั่วทุกภาค ของประเทศ วงเงินประมาณ 3,100 ล้านบาท สามารถจ้างแรงงานได้ไม่น้อยกว่า 41,000 คน ระยะเวลาระหว่าง 3-7 เดือน เกษตรกรจะได้ค่าจ้างแรงงานอยู่ระหว่าง 24,000-58,000 บาท /คน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานที่ดําเนินการ ซึ่งเป็นมาตรการสนับสนุนช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาระยะสั้นในฤดูแล้งนี้
การจัดที่ดินทํากิน (สปก.) ให้แก่เกษตรกร
- ดําเนินการตรวจสอบการถือครองที่ดินฯ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ใน 69 จังหวัด จํานวน 397,235 ราย 519,087 แปลง เนื้อที่ 5,303,031 ไร่
- มีแผนงานจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรในปี 2563 จํานวน 62,000 ราย ขณะนี้ดําเนินการไปแล้ว2,350 ราย 2,846 แปลง 26,763.48 ไร่
การส่งเสริมการเลี้ยงปศุสัตว์ที่มีความต้องการของตลาด (โค/กระบือ/แพะ)
- โดยสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU)
ระหว่าง กรมปศุสัตว์ และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ โคเนื้อ กระบือ (ควาย) แพะเนื้อ และไก่พื้นเมือง รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง ในภาคปศุสัตว์ ฟื้นฟูอาชีพแก่เกษตรกร บรรเทาความเดือดร้อนเสียหายอันเนื่องมาจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ และผลกระทบจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ํา และเพื่อเป็นการสร้างอาชีพทางเลือกใหม่ด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมมาเลี้ยงสัตว์จําหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ ประกอบด้วย 1)โครงการส่งเสริมการผลิตโคเนื้อ กิจกรรมการเลี้ยงโคขุน 2) โครงการส่งเสริมการผลิตกระบือ 3) โครงการส่งเสริมการผลิตแพะเนื้อ 4) โครงการการส่งเสริมการผลิตไก่พื้นเมือง 5) กิจการที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งสามารถดําเนินการได้ทั่วประเทศตามศักยภาพและแผนธุรกิจที่มีความชัดเจน ได้แก่ ธุรกิจศูนย์ผลิตอาหารสัตว์ (Feed Center) การผลิตพืชอาหารสัตว์ การผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ ธุรกิจการส่งขนและการกระจายสินค้า (Logistics) เป็นต้น โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้รายละ ไม่เกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยล้านละ 100 บาท/ปี กลุ่มละไม่เกิน 10 ล้านบาท
การควบคุมและป้องกันโรคสัตว์
- การควบคุมและป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) โดยร่วมบูรณาการการทํางานร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และทุกภาคส่วน ในการป้องกันโรคในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนําสุกรและผลิตภัณฑ์สุกรเข้ามาในประเทศ จัดทําแผนเตรียมความพร้อมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค ASF และแนวเวชปฏิบัติ รวมถึงยกระดับแผนฯ เสนอให้ ครม. เห็นชอบเป็นวาระแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 เม.ย.62 จัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ X-Ray เคาะประตูบ้าน เฝ้าระวังทางอาการ ขึ้นทะเบียน และประเมินความเสี่ยงด้วย Mobile Application “e-SmartPlus” จัดตั้ง war room ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนมาตรการ ซ้อมแผนรับมือโรคทุกจังหวัดทั่วประเทศ ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ OIE และ FAO ดําเนินการเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์แนวโน้มการแพร่ระบาดของโรคอย่างใกล้ชิด
- การควบคุมและป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า โดยรณรงค์ฉีดวัคซีนฟรีป้องกันโรคทั่วประเทศ ระหว่างเดือน มีค. – มิย. 63 จะมีการ kick off ทั่วประเทศ (พิธีเปิดการรณรงค์) ในช่วงต้นเดือน มี.ค. 63 รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมจํานวนประชากรสุนัขและแมวจรจัดและด้อยโอกาสสัตว์พาหะนําโรคพิษสุนัขบ้า จากเดิมปี 2562 จํานวน 300,000 ตัว/ปี เป็นจํานวน 600,000 ตัว/ปี คิดเป็น 20% ของสัตว์จรจัดและด้อยโอกาส
7. จัดทําข้อมูลสารสนเทศด้านการเกษตรแห่งชาติ (National Agriculture Big Data) และศูนย์เทคโนโลยีทางการเกษตร (Agri-technology and innovation center: AIC)
จัดตั้งศูนย์ Big Data ด้านการเกษตร
สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้จัดทําโครงการพัฒนาฐานข้อมูลด้านการเกษตรแห่งชาติ หรือ National Agricultural Big Data ขึ้น เพื่อต้องการเชื่อมโยงและบูรณาการฐานข้อมูลภาคการเกษตรอย่างครบวงจร ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา ของระบบการผลิตด้านการเกษตร ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งระบบฐานข้อมูลการเกษตรแห่งชาตินี้ เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากการบูรณาการฐานข้อมูลเกษตรกรกลาง (Farmer ONE) และBig Data ด้านสินค้าเกษตร ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้ประกอบในงานเชิงนโยบายและการกําหนดยุทธศาสตร์ของผู้บริหารภาครัฐ แต่วิวัฒนาการทางด้านการเกษตรมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามการเปลี่ยนแปลงโลกตามยุคของการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี หรือ Disruptive Technology ส่งผลให้การบริหารจัดการภาคการเกษตร ต้องอาศัยข้อมูลที่ดี มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะนําไปสู่การทําการเกษตรแม่นยํา Precision Farming และหลักการตลาดนําการเกษตร
การบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสินค้าเกษตร ทั้งภายในและหน่วยงานภายนอกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวม 10 หน่วยงาน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาฐานข้อมูลด้านการเกษตรอัจฉริยะ13 สินค้า ประกอบด้วย 1) ข้าว 2) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3) สับปะรดโรงงาน 4) มันสําปะหลังโรงงาน 5) อ้อยโรงงาน 6) ยางพารา 7) ปาล์มน้ํามัน 8) ลําไย 9) เงาะ 10) มังคุด 11) ทุเรียน 12) มะพร้าว และ 13) กาแฟโดยมีรายละเอียดของข้อมูลตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง สามารถเข้าใช้งานได้ที่ bigdata.oae.go.thทั้งนี้ จะสามารถเปิดให้หน่วยงานและประชาชนทั่วไปเข้าดูรายงานและใช้ข้อมูลในส่วนที่เพิ่มขึ้นจากหน่วยงานต่าง ๆ ตามสิทธิ์การเข้าถึง โดยกําหนดให้สามารถใช้งานได้ในเดือนมีนาคม 2563
จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agri-technology and innovation center: AIC)
โดยมีเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2563 ซึ่งรูปแบบจะเป็นการทํางานลักษณะศูนย์ Agritechในระดับภูมิภาค บูรณาการร่วมกันใน 6 ภาคี คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกร ภาควิชาการ และภาคเอกชน ซึ่งมีรูปแบบโครงสร้างเป็นแบบ 1 จังหวัด 1 ศูนย์ รวม 77 จังหวัด ซึ่งจะตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่ได้รับการคัดเลือก โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีกับเครือข่ายสถาบันการศึกษา ได้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เครือข่ายมหาวิทยาลัยราชมงคล 9 แห่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนโดยมีรูปแบบเป็น Center Excellent เน้นการส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม ในรูปแบบต่าง ๆ โดยใช้ฐานข้อมูลเดิมที่มีอยู่ ผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน มีการรวบรวม
ช่างเกษตร ปราชญ์เกษตร ซึ่งเป็นเกษตรกรต้นแบบตัวอย่างที่ประสบความสําเร็จในการใช้เทคโนโลยีที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ เน้นการบริหารจัดการในพื้นที่แปลงใหญ่ ดึง Smart และ Young Smart Farmer เข้าร่วม เสริมความรู้ e-commerce รวมถึงมาตรการ กฎระเบียบการรับรองต่าง ๆ เพื่อให้ก้าวสู่ศูนย์เกษตร 4.0 ในระดับภูมิภาคให้ได้ภายในปี 2563 นี้
ตรวจสอบศักยภาพพื้นที่โดยใช้ Agri-Map เพื่อจัดทํา Zoning
กําหนดเขตการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) โดยการบูรณาการข้อมูลพื้นฐานด้านการเกษตรจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้เกิดความสมดุลทั้งอุปสงค์และอุปทานของสินค้าเกษตร โดยจัดทําระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) เป็นเครื่องมือในการวางแผนบริหารจัดการสินค้าเกษตรที่สําคัญ โดยคํานึงถึงความเหมาะสมด้านกายภาพ และด้านเศรษฐกิจ ซึ่งด้านกายภาพใช้ข้อมูลพื้นที่ความเหมาะสมของดิน
ด้านเศรษฐกิจใช้ข้อมูลต้นทุน ผลตอบแทน แหล่งรับซื้อ โรงงาน การตลาด โดยในปี 2563 จัดทําแผนการบริหารจัดการสินค้าเกษตรที่สําคัญครบวงจร จํานวน 7 สินค้า และศึกษาสินค้าหรือกิจกรรมทางเลือก เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ โดยใช้หลักการตลาดนําการผลิต รวมถึงสนับสนุนมาตรการจูงใจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกร เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชเดิมไปปลูกพืชที่มีศักยภาพในพื้นที่เหมาะสมน้อยและไม่เหมาะสม เป้าหมาย จํานวน 100,000 ไร่ และผลักดันการปลูกพืชในพื้นที่เหมาะสม เพื่อยกระดับรายได้ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มผลผลิต และลดต้นทุนการผลิต
8. พัฒนาศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.)
จํานวน 882 ศูนย์หลัก ทุกอําเภอทั่วประเทศ เป็นหน่วยขับเคลื่อนนโยบายการเกษตร องค์ความรู้ด้านการผลิต
การแปรรูป การตลาด แก่เกษตรกร ร่วมกับศูนย์ปราชญ์ชาวบ้าน.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ แถลงใหญ่ “มอบของขวัญปีใหม่ การขับเคลื่อนภาคการเกษตร ปี 2563”
วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ แถลงใหญ่ “มอบของขวัญปีใหม่ การขับเคลื่อนภาคการเกษตร ปี 2563”
กระทรวงเกษตรฯ แถลงใหญ่ “มอบของขวัญปีใหม่ การขับเคลื่อนภาคการเกษตร ปี 2563”
เน้นทํางานเชิงรุก แก้ปัญหาปากท้องเกษตรกรครบทุกมิติ
กระทรวงเกษตรฯ แถลงใหญ่ “มอบของขวัญปีใหม่ การขับเคลื่อนภาคการเกษตร ปี 2563”
เน้นทํางานเชิงรุก แก้ปัญหาปากท้องเกษตรกรครบทุกมิติ
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแถลงข่าว “มอบของขวัญปีใหม่ การขับเคลื่อนภาคการเกษตร ปี 2563” ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญเพื่อขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยไปสู่อนาคตอย่างมั่นคง และยั่งยืน โดยยึดหลักบูรณาการการทํางานร่วมกัน และดําเนินการเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องเกษตรกรอย่างเร่งด่วน รวมถึงการเตรียมมาตรการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่กําลังจะเกิดขึ้นและอาจส่งผลกระทบกับเกษตรกรและประชาชนโดยตรง ซึ่งในวันนี้ กระทรวงเกษตรฯ เตรียมขับเคลื่อนนโยบายและแผนงานที่สําคัญในปี 2563 ประกอบด้วย
1. การบริหารจัดการแหล่งน้ําทั้งระบบ
- ก่อสร้างแหล่งน้ําขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็กและแก้มลิง โดยจะดําเนินการในปี 2563 รวมทั้งสิ้น 421 โครงการ เมื่อดําเนินการแล้วเสร็จทั้งโครงการจะเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 1,232,121 ไร่ และปริมาตรเก็บกัก 942.00 ล้าน ลบ.ม. สําหรับในปี 2563 โครงการที่ดําเนินการแล้วเสร็จจะได้พื้นที่ชลประทาน 176,968 ไร่ และปริมาตรน้ําเก็บกัก 199.54 ล้าน ลบ.ม.
- ปัจจุบันสภาพฝนมีความผันแปรสูงมาก ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ําท่าและน้ําในแหล่งเก็บกักน้ําโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2562 ในลุ่มน้ําเจ้าพระยามีปริมาณน้ําไม่เพียงพอต่อความต้องการ มีการใช้น้ําเกินแผนที่ได้จัดสรรไว้ ทําให้เกิดปัญหาการรุกล้ําของน้ําเค็ม ส่งผลต่อระบบนิเวศและคุณภาพน้ําด้าน การเกษตรกรรม – อุปโภคบริโภค จึงมีแผนการผันน้ําจากลุ่มน้ําแม่กลองมาลุ่มน้ําเจ้าพระยาตอนล่างในฤดูแล้ง ปี 2562/2563 จํานวน 850 ล้าน ลบ.ม. สําหรับในอนาคตจะพิจารณาผันน้ํามาสนับสนุนลุ่มน้ําเจ้าพระยา
- ปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกพืช ป่าไม้ และเพิ่มน้ําในเขื่อนและอ่างเก็บน้ํา โดยมีศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจําภาคทั้ง 5 ศูนย์ และได้ดําเนินการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็ว เพื่อติดตาม เฝ้าระวังสภาพอากาศ และสามารถปฏิบัติการฝนหลวงได้เมื่อสภาพอากาศเอื้ออํานวยในการช่วยเหลือพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภค เกษตรกรรม การเติมน้ําต้นทุนให้กับเขื่อนและอ่างเก็บน้ํา รวมทั้งการบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า และจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จํานวน 11 - 13 หน่วยปฏิบัติการ เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงให้ครอบคลุม 25 ลุ่มน้ําหลักในพื้นที่ 77 จังหวัด ซึ่งจะมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 230 ล้านไร่
- การบริหารจัดการน้ําในช่วงฤดูแล้ง โดยกรมชลประทาน ได้วางแผนการจัดสรรน้ําทั้งประเทศในช่วงฤดูแล้งปี 2562/63 ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 - 30 เมษายน 2563 จํานวน 17,699 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็น อุปโภค-บริโภค 2,300 ล้าน ลบ.ม. รักษาระบบนิเวศและอื่น ๆ 7,006 ล้าน ลบ.ม. สํารองน้ําต้นฤดูฝนปี 2563 (พ.ค.-ก.ค. 63) รวม 10,540 ล้านลูกบาศก์เมตร เกษตรฤดูแล้งปี 2562/63 7,874 ล้าน ลบ.ม. อุตสาหกรรม 519 ล้าน ลบ.ม. รวมถึงได้ทําการประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเกษตรกรรับทราบ สถานการณ์น้ําต้นทุน แนวทางการบริหารจัดการน้ํา ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก มาเป็นการปลูกพืชใช้น้ําน้อยให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 22 จังหวัด ในเขตลุ่มน้ําเจ้าพระยา
- ขุดสระน้ําในไร่นานอกเขตชลประทาน ขนาด 1,260 ลบ.ม.ให้เกษตรกรที่ขอรับการสนับสนุนทั่วประเทศ จํานวน 40,000 บ่อ เพื่อกักเก็บน้ํา บรรเทาและชะลอความแห้งแล้ง เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ดินในฤดูฝนทิ้งช่วงหรือฤดูแล้งในระดับไร่นา ให้เกษตรกรสามารถมีน้ําไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง สําหรับปลูกพืชผักแบบผสมผสานเลี้ยงปลา ตกกล้า ซึ่งเป็นการทําการเกษตรแบบใช้น้ําน้อย
2. ส่งเสริมการเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์
ส่งเสริมเกษตรยั่งยืนด้วยศาสตร์พระราชา
- ส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ 354,614 ราย เกษตรกรรมทางเลือก/เกษตรผสมผสาน 16,110 ราย ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพด้านการเกษตร 44,780 ราย
ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์
- การผลิตพืชในระบบเกษตรปลอดภัย หรือเกษตรอินทรีย์ สนับสนุนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ได้แก่ การใช้พืชปุ๋ยสด ชนิดต่าง ๆ อาทิ ปอเทือง ถั่วพร้า ถั่วพุ่ม มะแฮะ ส่งเสริมการทําปุ๋ยหมัก น้ําหมักชีวภาพ รวมทั้งใช้จุลินทรีย์เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืช โดยปี 2563 มีเป้าหมายสนับสนุนกลุ่มเกษตรอินทรีย์ 3 ระดับ ดังนี้ กลุ่มเตรียมความพร้อม สนับสนุนปัจจัยการปรับปรุงดิน และกระบวนการรับรองมาตรฐานแบบมีส่วนร่วม (PGS) 1,575 ราย พื้นที่ 15,750 ไร่
- จัดทําแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2560-2565 โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ พร้อมทั้งผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ไปใช้เป็นกรอบในการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ ไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านไร่ และเพิ่มจํานวนเกษตรกรที่ทําเกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 80,000 ราย ภายในปี 2565
- การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่กระบวนการผลิตทั้งพืช ปศุสัตว์ และประมง จํานวน 481,000 ไร่ และอบรมให้ความรู้การผลิตเกษตรอินทรีย์ด้านพืช ประมง หม่อนไหม บัญชี และการใช้ชีวินทรีย์ รวม 10,550 ราย ตรวจรับรองแปลงพืชอินทรีย์ 3,200 ฟาร์ม โรงงานแปรรูป/คัดบรรจุ/โรงรม จําหน่ายพืชอินทรีย์ 80 ฟาร์ม พร้อมรับรองสถานที่จําหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ 2 แห่ง
- ขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์แบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน โดยยึดพื้นที่เป็นหลัก (Area base) เช่น(1) พื้นที่ใกล้โรงเรียน (2) พื้นที่ใกล้โรงแรม (3) พื้นที่ใกล้โรงพยาบาล จัดทําโครงการ “โรงพยาบาลอาหารปลอดภัย”จํานวน 896 แห่ง ทั่วประเทศ โดยสนับสนุนการจัดซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์ เพื่อทําอาหารปลอดภัยให้กับผู้ป่วย และจัดให้มีการจําหน่ายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ในโรงพยาบาล
- สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคเข้าใจเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและการตัดสินใจเลือกซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์
ส่งเสริมเกษตรปลอดภัย
- ตรวจสอบปัจจัยการผลิต/ศัตรูพืช การออกใบรับรอง และควบคุมกํากับดูแล พ.ร.บ. โดยตรวจสอบปัจจัยการผลิต/สินค้าพืช/ผลิตภัณฑ์ผลผลิตทางการเกษตร 150,000 ตัวอย่าง ออกใบรับรองสุขอนามัย (ปลอดศัตรูพืช) 300,000 ฉบับ ใบรับรองสุขอนามัยพืช/สารพิษตกค้าง/สารปนเปื้อน 63,000 ฉบับ ใบอนุญาตตามกฎหมาย 100,000 ฉบับ และตรวจสอบร้านค้า/สินค้าเกษตร 52,000 ราย
- กําหนดและจัดทํามาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร โดยการกําหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร 15 เรื่อง การพัฒนาระบบสารสนเทศ 3 ระบบ การรับรองและตรวจติดตามหน่วยงานตรวจสอบรับรองตามมาตรฐานสากล 24 หน่วย-ขอบข่าย การกํากับ ดูแลและควบคุมมาตรฐานสินค้าเกษตร 3 กลุ่มสินค้า และการประชุมเจรจาเพื่อสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร 20 ครั้ง
มาตรการลด ละ เลิก การใช้สารเคมี ผ่านการประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรรับรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมี
โดยจัดทําอินโฟกราฟิกและคลิปวีดีโอ เรื่อง การใช้สารเคมีทางการเกษตรตามความจําเป็น และการใช้วิธีการกําจัดวัชพืชและป้องกันกําจัดโรคพืชโดยวิธีอื่น เช่น เครื่องจักรกลเกษตรและสารชีวภัณฑ์ การให้ความรู้กับเกษตรกรผ่านเวทีโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ สนับสนุนปัจจัยการผลิตเกี่ยวกับสารอินทรีย์ต่าง ๆ ได้แก่ สนับสนุนการใช้ปุ๋ยพืชสดในการปรับปรุงบํารุงดิน ส่งเสริมการผลิตปุ๋ยหมัก พด. ส่งเสริมการผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง และมาตรการพัฒนาระบบปลูกพืชและเขตกรรมที่เหมาะสม
การพัฒนาสารชีวภัณฑ์และฮอร์โมนพืช ด้านควบคุมพืช ด้านรักษาสิ่งแวดล้อม
โดยในปี 2563 มีการผลิตสารเร่งจุลินทรีย์ พด. 6,733,500 ซอง รวมถึงสร้างศูนย์บ่มเพาะในส่วนราชการและกลุ่มเกษตรกรให้เป็นศูนย์เรียนรู้และกระจายชีวภัณฑ์ เพื่อสนับสนุนและให้บริการในด้านวิชาการและผลิตชีวภัณฑ์ใช้เอง พร้อมถ่ายทอดชีวภัณฑ์ใช้ในการกําจัดศัตรูพืช 17 ชนิด อาทิ เชื้อราไตรโคเดอร์มา แบคทีเรียบาซิลลัส ซับทิลิส (Bs) เหยื่อโปรโตซัวกําจัดหนู ไส้เดือนฝอยศัตรูแมลง
ดําเนินมาตรการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรแทนแรงงานเกษตร
สร้างช่างเกษตรท้องถิ่น ด้วยการร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานด้านพัฒนาฝีมือแรงงานและภาคเอกชน ในการสนับสนุนให้เกษตรกรได้พัฒนาทักษะและเทคนิคการซ่อมแซมเครื่องยนต์เกษตร 4,700 ราย
3. ใช้ระบบตลาดนําการผลิต เพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา/ล้นตลาด
ขยายช่องทางตลาดเกษตรกร /จัดหาตลาดใหม่เพิ่ม
- โดยการเข้าร่วมกิจกรรม/งานเทศกาลยังต่างประเทศ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรคุณภาพมาตรฐานของไทย ร่วมมือกับชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด (ชสท.) ส่งเสริมให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตสินค้าที่ดี มีคุณภาพ นําผลิตภัณฑ์สินค้าจําหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ ภายใต้ชื่อ “Co-op click” รวมถึง นโยบายขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการเกษตรของกระทรวงเกษตรฯ สู่ไทยแลนด์ 4.0 และเกษตร 4.0 ในการเพิ่มช่องทางและโอกาสทางการตลาดที่สําคัญตามแนวทางนโยบายตลาดนําการเกษตร เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถซื้อขายสินค้าเกษตรออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ DGTFarm หรือ ดิจิตอลฟาร์ม ผ่านทาง www.dgtfarm.com และ อตก. เดลิเวอรี่ ผ่านทาง www.ortorkor.com
- เปิดตลาดการค้าสัตว์ปีกในสาธารณรัฐประชาชนจีน ภูมิภาคตะวันออกกลางเพิ่มนอกเหนือจากสหรัฐอาหรับอามิเรต และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะสหภาพยุโรปคาดว่าปริมาณการส่งออกสัตว์ปีกจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1 โดยส่งออกเนื้อไก่ จํานวน 970,770 ตัน มูลค่า 116,589 ล้านบาท
สร้างตลาดออนไลน์โดยร่วมมือกับ LAZADA Thailand (Kick off ม.ค. 63)
กระทรวงเกษตรฯ ขยายความร่วมมือสู่แพลตฟอร์มลาซาด้า ผู้นําอีคอมเมิร์ชในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีการหารือกับทีมบริหารงานผู้ขายลาซาด้าเพื่อสร้างโอกาสร่วมกันให้กับสินค้าเกษตรและเกษตรกรไทยให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี พัฒนาความรู้แบบยั่งยืนโดย สามารถเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มลาซาด้า เพื่อนําสินค้าเกษตรเข้าสู่ช่องทางออนไลน์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากจะช่วยในเรื่องการเพิ่มช่องทางการตลาด ให้เกษตรกรได้กระจายผลผลิตในช่วงผลผลิตออกตลาดมากแล้ว ยังช่วยให้เกษตรกรขยายฐานกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างไม่จํากัด สามารถทําความรู้จักกับกลุ่มลูกค้าของตัวเอง ทําการซื้อขายกับผู้ซื้อ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาสินค้าเกษตรที่ตรงกับความต้องการของตลาด ลดความเหลื่อมล้ํา และยังสามารถนําเสนอสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่ดี จากเกษตรกรสู่ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งในเบื้องต้นจะเน้นจัดกิจกรรมอบรมทักษะให้แก่กลุ่มเกษตรกรในระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตรและกลุ่มYoung Smart Farmer
พัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง Smart Farmer
พัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง โดยสร้างและพัฒนาเกษตรกรให้มีศักยภาพในการประกอบอาชีพด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ ด้านการผลิต การแปรรูปและการตลาด รวมถึงได้รับการพัฒนาสู่การเป็นผู้ผลิต ผู้ประกอบการด้านนวัตกรรม นําไปสู่การลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันพร้อมสู่ การเป็นผู้ประกอบการด้านเกษตร รวมทั้งสิ้น 84,312 ราย
เสริมสร้างความเข้มแข็งวิสาหกิจชุมชน/สหกรณ์
- พัฒนาวิสาหกิจสู่ความเป็นมืออาชีพ 444 แห่ง ด้วยการสอนแนะการจัดทําบัญชีแก่วิสาหกิจชุมชน การจัดทํางบการเงิน การใช้ข้อมูลทางบัญชีในการบริหารจัดการ กํากับแนะนําการจัดทําบัญชี และติดตามผลการจัดทําบัญชี
- พัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรและบริการ 154 แห่ง ด้วยการส่งเสริมกิจการวิสาหกิจชุมชนและสนับสนุนความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม คุณภาพมาตรฐานการผลิตและผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการธุรกิจ และการแข่งขันทางการตลาด เพื่อให้กิจการวิสาหกิจชุมชนมีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้
- ยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าและบริการ ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการของผู้ประกอบการให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน และเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการเพื่อนําไปสู่การขยายโอกาสทางการตลาด
- พัฒนาระบบสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร โดยส่งเสริมแนะนําการบริหารจัดการการวางแผนการดําเนินงานดําเนินธุรกิจ ส่งเสริมหลักการอุดมการณ์ วิธีการสหกรณ์ และกํากับควบคุมดูแลให้ปฏิบัติตามระเบียบคําสั่งและกฎหมาย 12,958 แห่ง
- บริหารจัดการด้านการเงินการบัญชีให้มีคุณภาพ โดยการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของสหกรณ์และสถาบันเกษตรกร ด้วยการตรวจสอบบัญชีประจําปีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 11,800 แห่ง ตรวจสอบความถูกต้องในการทําธุรกรรมทางการเงินระหว่างสหกรณ์และสมาชิก 24,500 ราย ฝึกอบรมเศรษฐกิจการเงินขั้นพื้นฐานแก่สมาชิกสหกรณ์ 10,000 ราย พัฒนาศักยภาพด้านการบัญชีแก่สมาชิกสหกรณ์และประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 24,000 ราย พัฒนามาตรฐานการบัญชีแก่สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 500 แห่ง และพัฒนาศักยภาพสหกรณ์ตั้งใหม่ 100 แห่ง
ส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร
- พัฒนาศักยภาพการแปรรูปข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าว การแปรรูปสัตว์น้ํา พร้อมทั้งพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าและเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการเพื่อนําไปสู่การขยายโอกาสทางการตลาด
4. ลดต้นทุนการผลิต
ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน (ปุ๋ยสั่งตัด) เพื่อเป็นการลดต้นทุนค่าปุ๋ยลง 30%
- ตรวจวิเคราะห์ดินรายแปลง เพื่อแนะนําการใช้ปุ๋ยตามชนิดของดิน พืช ในอัตราที่เหมาะสม จะได้ผลผลิตสูง และมีคุณภาพ พร้อมทั้งเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน โดยตั้งกลุ่มการทําและใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการปลดปล่อย ธาตุอาหารพืช และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
- อบรมส่งเสริมปุ๋ยผสมใช้เองผ่านสหกรณ์การเกษตร เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกร โดยการวิเคราะห์ดิน และให้คําแนะนําการใช้ปุ๋ยแก่สมาชิกสหกรณ์เข้าร่วมโครงการ จํานวน 150 แห่ง สมาชิกจํานวน 7,500 ราย และอบรมสมาชิกกลุ่มเป้าหมายในสถาบันเกษตรกร 150 แห่ง แห่งละ 50 ราย จํานวน 7,500 ราย พร้อมด้วยอุดหนุนเครื่องผสมปุ๋ยแก่สหกรณ์ 16 แห่ง
ส่งเสริมให้ความรู้เกษตรกรในการผลิตปุ๋ยใช้เอง (ปุ๋ยหมัก/ชีวภาพ)
- เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ด้วยปัญหาราคาผลผลิตตกต่ําและต้นทุนการผลิตสูงทําให้เกษตรกรประสบปัญหามีความเสี่ยงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมส่งผลกระทบต่อรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกร กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงได้ประสานความร่วมมือกับกรมพัฒนาที่ดินที่จะดําเนินการขับเคลื่อนการส่งเสริมปุ๋ยผสมใช้เองผ่านสหกรณ์การเกษตรเพื่อลดต้นทุนการผลิต 400 แห่ง/เกษตรกร 40,000 ราย ทั่วประเทศ โดยคาดหวังว่าเกษตรกรจะสามารถลดต้นทุนการผลิต ผลผลิตมีคุณภาพ และยังเป็นการส่งเสริมให้มีการปรับปรุงบํารุงดินอีกทั้งผลักดันให้สถาบันเกษตรกรเป็นศูนย์บริการตรวจและพัฒนาดินลดต้นทุนการผลิต
ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการผลิต และพัฒนาพันธุ์พืชเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ตรงตามความต้องการของตลาดและสอดคล้องสภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง
- พัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช ด้วยการฝึกอบรมด้านเกษตรอัจฉริยะและจัดสัมมนาเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตข้าว 3 เทคโนโลยี ประกอบด้วย 1) การสร้าง Application Programming Interface เพื่อพัฒนา ความเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ด้านข้าว 2) การจัดทํา WebGis เพื่อประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่ และการเตือนภัย การปลูกข้าว 3) การพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมตรวจวัดเพื่อการพัฒนาระบบเตือนภัยและประเมินผลผลิตของข้าวด้วยการใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ
- พัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับการวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตกัญชา ด้วยการก่อสร้างอาคารวิจัยกัญชาและจัดเตรียมสถานที่การเก็บรักษา การควบคุมการใช้และการปลูกกัญชา สําหรับใช้ในการวิจัยและปลูกกัญชาให้เป็นไปตามมาตรฐาน ในจังหวัดเชียงราย
- ส่งเสริมการทําระบบฟาร์มอัจฉริยะ ด้วยการพัฒนาระบบข้อมูลข้าวอัจฉริยะ 1 ระบบ เป็นการพัฒนาระบบข้อมูล Big data ด้านข้าวและชาวนา
- การพัฒนาระบบตรวจสอบติดตามออกซิเจนในบ่อเลี้ยงปลากะพงขาวระบบหมุนเวียนโดยใช้ Programmable Logic Controller (PLC) และพัฒนาระบบตรวจติดตามคุณภาพน้ําแบบเวลาจริง (Real-time) ในแหล่งเลี้ยงปลาในกระชัง ซึ่งเป็นการนําเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) มาประยุกต์ใช้กับระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา
สนับสนุนโลจิสติกส์การเกษตร
โดยแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตร เพื่อกําหนดกรอบการจัดทําแผนพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตร ปี 2563 – 2565 เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์สินค้าเกษตร ลดการสูญเสียและเพิ่มการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น และได้แต่งตั้งคณะทํางานภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อน 3 คณะ ได้แก่ (1) คณะทํางานโครงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เกษตรอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาระบบอํานวยความสะดวกและบริการทางการค้าสินค้าเกษตรแปรรูป เช่น การพัฒนาระบบ E-Certify และ E-Passport สําหรับส่งออกผลิตภัณฑ์ข้าวเหนียวมูนพร้อมมะม่วงน้ําดอกไม้สีทอง ไปยังสิบเมืองเอกของประเทศจีน (2) คณะทํางานโครงการพัฒนาระบบกระจายและขนส่งสินค้าเกษตร เพื่อขยายช่องทางตลาดสําหรับสินค้าเกษตรไปยังต่างประเทศ เช่น การพัฒนาระบบกระจายและขนส่งสินค้าผลไม้ เช่น มะม่วงและทุเรียน โดยใช้ดูไบเป็นศูนย์กลาง (Hub) กระจายและขนส่งสินค้าเกษตร เนื่องจากดูไบเป็นศูนย์กลางการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบใน 6 ทวีป 78 ท่าเรือ มี free zone มากกว่า 24 แห่ง และ (3) คณะทํางานโครงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เกษตรชุมชน เพื่อกําหนดแนวทางหรือรูปแบบการบริหารจัดการที่เชื่อมโยงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตรใน 3 ระดับ ได้แก่ โลจิสติกส์ระดับท้องถิ่น (Domestic Logistics) โลจิสติกส์ระดับภูมิภาค (Regional Logistics) และโลจิสติกส์ระดับสากล (Global Logistics) ซึ่งผลการดําเนินงานที่เกิดขึ้นจะนําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างยั่งยืน และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าสินค้าเกษตร
ส่งเสริมการปลูกพืชพลังงานทดแทน
- มันสําปะหลัง โดยผลิตพันธุ์มันสําปะหลังคุณภาพดี 20 ล้านท่อน และส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรมันสําปะหลัง
- ปาล์มน้ํามัน โดยผลิตพันธุ์ปาล์มน้ํามันคุณภาพดี 300,000 ต้น 500,000 เมล็ดงอก และส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรปาล์มน้ํามัน
5. การบริหารจัดการประมงอย่างยั่งยืน
การแก้ไขปัญหา IUU
การป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทําประมง IUU เป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลไทยให้ความสําคัญ เพื่ออนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรประมงทะเลให้เกิดความยั่งยืนและรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมตามกฎเกณฑ์และแนวทางมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้ดําเนินการปรับปรุงแก้ไขมาตรการต่าง ๆ และจัดทําโครงการเพื่อเยียวยา/ลดผลกระทบที่เกิดจากการแก้ไขปัญหา IUU ดังนี้
1) การปรับปรุงการกําหนดหลักเกณฑ์ในการจัดสรรใบอนุญาตทําการประมงพาณิชย์ ให้สอดคล้องกับวิถีการทําประมงมากขึ้น เช่น การขอเปลี่ยนพื้นที่ทําการประมง ขอเปลี่ยนพื้นที่ทําการประมง โดย ต้องผ่านการรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย และไม่กระทบกับปริมาณสัตว์น้ําสูงสุดที่จะอนุญาตให้ทําการประมงได้อย่างยั่งยืน การปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการขอใช้เครื่องมือทําการประมงต่อเรือประมง 1 ลํา สําหรับเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพต่ํา สามารถขอได้ไม่เกิน 3 เครื่องมือ (ไม่รวมเบ็ดมือ) โดยให้ทําประมงได้ ครั้งละ 1 เครื่องมือ
2) การนําเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน ระยะที่ 2 โดยมีเรือประมงที่จะเข้าร่วมโครงการฯ จํานวนทั้งสิ้น 2,768 ลํา
3) การเพิ่มวันทําการประมง กรมประมงได้ออกประกาศ เรื่อง การจัดสรรเพิ่มวันทําการประมงให้ผู้ได้รับใบอนุญาตทําการประมงพาณิชย์ สําหรับปีการประมง พ.ศ. 2562 ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2562 จัดสรรวันทําการประมงทะเลอ่าวไทยและอันดามันเพิ่ม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวประมงพาณิชย์บางส่วนที่เหลือวันทําประมงไม่เพียงพอไปจนสิ้นสุดรอบปีการประมง 2562 (31 มีนาคม 2563) โดย(1) ฝั่งอ่าวไทย: เรือประมงอวนล้อม เรือประมงอวนล้อมจับปลากะตัก อวนครอบปลากะตัก และอวนช้อน/ยกปลากะตัก ให้สามารถทําการประมงได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 โดยไม่นับจํานวนวันทําการประมง: ส่วนเรืออวนลาก จะได้รับวันทําการประมงเพิ่มอีกลําละ 30 วัน (2) ฝั่งทะเลอันดามัน : เรือทั้งหมดสามารถออกทําการประมงได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563โดยไม่นับจํานวนวันทําการประมง
4) การสร้างความเข้มแข็งกลุ่มการผลิตด้านการเกษตร ในปีงบประมาณ 2563 มีเป้าหมายดําเนินการส่งเสริม พัฒนา องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น ในพื้นที่ 22 จังหวัดชายทะเล จํานวน 144 ชุมชน
จัดตั้งกองทุนประมงแห่งชาติ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงหรือดําเนินการทางกฎหมายด้านการประมง ซึ่งได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างพระราชบัญญัติสภาการประมง พ.ศ.... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนประมง พ.ศ.... มีนายอรรถพร พลบุตร คณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานอนุกรรมการ ผู้แทนจากผู้ประกอบการประมงทุกภาคส่วนเป็นอนุกรรมการ ทั้งนี้ ได้ 34 มาตรา 6 หมวดประกอบด้วย1) การจัดตั้งกองทุน 2) การบริหารกิจการของกองทุน 3) สํานักงานกองทุนการประมงแห่งชาติ 4) การบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผล 5) การประเมินผลการดําเนินงานของกองทุนและ 6) การกํากับและดูแล ทั้งนี้ กองทุนประมงมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
การส่งเสริมอาชีพและการจัดหาตลาด
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมประมงได้ส่งเสริมอาชีพโดยมุ่งเน้นที่จะเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ําให้เพียงพอต่อการบริโภคและสร้างรายได้ โดยการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้แก่เกษตรกรทุกระดับ ทั้งด้านการประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา การแปรรูป ตั้งแต่เพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน จําหน่ายเป็นเป็นรายได้เสริมและสามารถประกอบเป็นอาชีพได้อย่างมั่งคง โดยการฝึกอบรมให้ความรู้ ถ่ายทอดเทคโนโลยี และสนับสนุนปัจจัยการผลิต แบ่งเป็น 2 กิจกรรม คือ ด้านการทําการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา
การขึ้นทะเบียนประมง
- จากการที่รัฐบาลเปิดให้จดทะเบียนเรือประมงแก่ชาวประมงพื้นบ้าน ในครั้งนี้ โดยมีการบูรณาการทํางานระหว่างกรมประมงและกรมเจ้าท่าในพื้นที่ อํานวยความสะดวกแก่ชาวประมงทั้งในพื้นที่ชายฝั่งทะเล เกาะแก่งต่าง ๆ ในทุกช่องทาง เพื่อให้เรือทุกลําได้รับการจดทะเบียนเบียนเรือทั้ง 22 จังหวัด
- หลังจากปิดรับคําขอในวันที่ 27 ธันวาคม 2562 มีเจ้าของเรือประมงพื้นบ้านมาขอรับหนังสือรับรองจากกรมประมงเพื่อประกอบการจดทะเบียนกับกรมเจ้าท่ากว่า 33,710 ลํา ส่วนเรือที่มีทะเบียนเรือแล้วได้ไปแจ้งขอตรวจวัดและจัดทําอัตลักษณ์เรือกับกรมเจ้าท่า 17,180 ลํา รวมแล้วกองเรือประมงพื้นบ้านน่าจะมี ประมาณ 50,000 กว่าลํา ส่วนผู้ตกหล่นกรมประมงจะพิจารณาร่วมกับกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคมเป็นรายกรณีต่อไป ส่วนประมงพาณิชย์จะเร่งส่งเสริมให้รักษาสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล เพื่อให้สามารถทําประมงได้อย่างยืนต่อไป
การฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ําในแหล่งน้ําธรรมชาติ
เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรประมงในแหล่งน้ําธรรมชาติ ให้คงความอุดมสมบูรณ์ โดยการผลิตพันธุ์สัตว์น้ําเพื่อปล่อย ให้เป็นแหล่งอาหารโปรตีน และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่รอบแหล่งน้ําจํานวน 550 ล้านตัว แบ่งเป็น สัตว์น้ําจืด 400 ล้านตัว สัตว์น้ําชายฝั่ง 150 ล้านตัว
6. การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เกษตรกร
การจ้างงานของกรมชลประทานในหน้าแล้ง
- กรมชลประทานประเมินการจ้างแรงงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (งบลงทุน) สําหรับงานซ่อมแซม บํารุงรักษา ขุดลอก ปรับปรุงงานชลประทาน ก่อสร้างแหล่งน้ําระบบส่งน้ําเพื่อชุมชน แก้มลิง การจัดการคุณภาพน้ําและโครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ํา ซึ่งดําเนินการจ้างแรงงานทั่วทุกภาค ของประเทศ วงเงินประมาณ 3,100 ล้านบาท สามารถจ้างแรงงานได้ไม่น้อยกว่า 41,000 คน ระยะเวลาระหว่าง 3-7 เดือน เกษตรกรจะได้ค่าจ้างแรงงานอยู่ระหว่าง 24,000-58,000 บาท /คน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานที่ดําเนินการ ซึ่งเป็นมาตรการสนับสนุนช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาระยะสั้นในฤดูแล้งนี้
การจัดที่ดินทํากิน (สปก.) ให้แก่เกษตรกร
- ดําเนินการตรวจสอบการถือครองที่ดินฯ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ใน 69 จังหวัด จํานวน 397,235 ราย 519,087 แปลง เนื้อที่ 5,303,031 ไร่
- มีแผนงานจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรในปี 2563 จํานวน 62,000 ราย ขณะนี้ดําเนินการไปแล้ว2,350 ราย 2,846 แปลง 26,763.48 ไร่
การส่งเสริมการเลี้ยงปศุสัตว์ที่มีความต้องการของตลาด (โค/กระบือ/แพะ)
- โดยสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU)
ระหว่าง กรมปศุสัตว์ และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ โคเนื้อ กระบือ (ควาย) แพะเนื้อ และไก่พื้นเมือง รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง ในภาคปศุสัตว์ ฟื้นฟูอาชีพแก่เกษตรกร บรรเทาความเดือดร้อนเสียหายอันเนื่องมาจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ และผลกระทบจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ํา และเพื่อเป็นการสร้างอาชีพทางเลือกใหม่ด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมมาเลี้ยงสัตว์จําหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ ประกอบด้วย 1)โครงการส่งเสริมการผลิตโคเนื้อ กิจกรรมการเลี้ยงโคขุน 2) โครงการส่งเสริมการผลิตกระบือ 3) โครงการส่งเสริมการผลิตแพะเนื้อ 4) โครงการการส่งเสริมการผลิตไก่พื้นเมือง 5) กิจการที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งสามารถดําเนินการได้ทั่วประเทศตามศักยภาพและแผนธุรกิจที่มีความชัดเจน ได้แก่ ธุรกิจศูนย์ผลิตอาหารสัตว์ (Feed Center) การผลิตพืชอาหารสัตว์ การผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ ธุรกิจการส่งขนและการกระจายสินค้า (Logistics) เป็นต้น โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้รายละ ไม่เกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยล้านละ 100 บาท/ปี กลุ่มละไม่เกิน 10 ล้านบาท
การควบคุมและป้องกันโรคสัตว์
- การควบคุมและป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) โดยร่วมบูรณาการการทํางานร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และทุกภาคส่วน ในการป้องกันโรคในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนําสุกรและผลิตภัณฑ์สุกรเข้ามาในประเทศ จัดทําแผนเตรียมความพร้อมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค ASF และแนวเวชปฏิบัติ รวมถึงยกระดับแผนฯ เสนอให้ ครม. เห็นชอบเป็นวาระแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 เม.ย.62 จัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ X-Ray เคาะประตูบ้าน เฝ้าระวังทางอาการ ขึ้นทะเบียน และประเมินความเสี่ยงด้วย Mobile Application “e-SmartPlus” จัดตั้ง war room ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนมาตรการ ซ้อมแผนรับมือโรคทุกจังหวัดทั่วประเทศ ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ OIE และ FAO ดําเนินการเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์แนวโน้มการแพร่ระบาดของโรคอย่างใกล้ชิด
- การควบคุมและป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า โดยรณรงค์ฉีดวัคซีนฟรีป้องกันโรคทั่วประเทศ ระหว่างเดือน มีค. – มิย. 63 จะมีการ kick off ทั่วประเทศ (พิธีเปิดการรณรงค์) ในช่วงต้นเดือน มี.ค. 63 รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมจํานวนประชากรสุนัขและแมวจรจัดและด้อยโอกาสสัตว์พาหะนําโรคพิษสุนัขบ้า จากเดิมปี 2562 จํานวน 300,000 ตัว/ปี เป็นจํานวน 600,000 ตัว/ปี คิดเป็น 20% ของสัตว์จรจัดและด้อยโอกาส
7. จัดทําข้อมูลสารสนเทศด้านการเกษตรแห่งชาติ (National Agriculture Big Data) และศูนย์เทคโนโลยีทางการเกษตร (Agri-technology and innovation center: AIC)
จัดตั้งศูนย์ Big Data ด้านการเกษตร
สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้จัดทําโครงการพัฒนาฐานข้อมูลด้านการเกษตรแห่งชาติ หรือ National Agricultural Big Data ขึ้น เพื่อต้องการเชื่อมโยงและบูรณาการฐานข้อมูลภาคการเกษตรอย่างครบวงจร ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา ของระบบการผลิตด้านการเกษตร ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งระบบฐานข้อมูลการเกษตรแห่งชาตินี้ เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากการบูรณาการฐานข้อมูลเกษตรกรกลาง (Farmer ONE) และBig Data ด้านสินค้าเกษตร ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้ประกอบในงานเชิงนโยบายและการกําหนดยุทธศาสตร์ของผู้บริหารภาครัฐ แต่วิวัฒนาการทางด้านการเกษตรมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามการเปลี่ยนแปลงโลกตามยุคของการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี หรือ Disruptive Technology ส่งผลให้การบริหารจัดการภาคการเกษตร ต้องอาศัยข้อมูลที่ดี มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะนําไปสู่การทําการเกษตรแม่นยํา Precision Farming และหลักการตลาดนําการเกษตร
การบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสินค้าเกษตร ทั้งภายในและหน่วยงานภายนอกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวม 10 หน่วยงาน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาฐานข้อมูลด้านการเกษตรอัจฉริยะ13 สินค้า ประกอบด้วย 1) ข้าว 2) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3) สับปะรดโรงงาน 4) มันสําปะหลังโรงงาน 5) อ้อยโรงงาน 6) ยางพารา 7) ปาล์มน้ํามัน 8) ลําไย 9) เงาะ 10) มังคุด 11) ทุเรียน 12) มะพร้าว และ 13) กาแฟโดยมีรายละเอียดของข้อมูลตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง สามารถเข้าใช้งานได้ที่ bigdata.oae.go.thทั้งนี้ จะสามารถเปิดให้หน่วยงานและประชาชนทั่วไปเข้าดูรายงานและใช้ข้อมูลในส่วนที่เพิ่มขึ้นจากหน่วยงานต่าง ๆ ตามสิทธิ์การเข้าถึง โดยกําหนดให้สามารถใช้งานได้ในเดือนมีนาคม 2563
จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agri-technology and innovation center: AIC)
โดยมีเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2563 ซึ่งรูปแบบจะเป็นการทํางานลักษณะศูนย์ Agritechในระดับภูมิภาค บูรณาการร่วมกันใน 6 ภาคี คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกร ภาควิชาการ และภาคเอกชน ซึ่งมีรูปแบบโครงสร้างเป็นแบบ 1 จังหวัด 1 ศูนย์ รวม 77 จังหวัด ซึ่งจะตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่ได้รับการคัดเลือก โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีกับเครือข่ายสถาบันการศึกษา ได้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เครือข่ายมหาวิทยาลัยราชมงคล 9 แห่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่ง และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนโดยมีรูปแบบเป็น Center Excellent เน้นการส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม ในรูปแบบต่าง ๆ โดยใช้ฐานข้อมูลเดิมที่มีอยู่ ผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน มีการรวบรวม
ช่างเกษตร ปราชญ์เกษตร ซึ่งเป็นเกษตรกรต้นแบบตัวอย่างที่ประสบความสําเร็จในการใช้เทคโนโลยีที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ เน้นการบริหารจัดการในพื้นที่แปลงใหญ่ ดึง Smart และ Young Smart Farmer เข้าร่วม เสริมความรู้ e-commerce รวมถึงมาตรการ กฎระเบียบการรับรองต่าง ๆ เพื่อให้ก้าวสู่ศูนย์เกษตร 4.0 ในระดับภูมิภาคให้ได้ภายในปี 2563 นี้
ตรวจสอบศักยภาพพื้นที่โดยใช้ Agri-Map เพื่อจัดทํา Zoning
กําหนดเขตการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) โดยการบูรณาการข้อมูลพื้นฐานด้านการเกษตรจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้เกิดความสมดุลทั้งอุปสงค์และอุปทานของสินค้าเกษตร โดยจัดทําระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) เป็นเครื่องมือในการวางแผนบริหารจัดการสินค้าเกษตรที่สําคัญ โดยคํานึงถึงความเหมาะสมด้านกายภาพ และด้านเศรษฐกิจ ซึ่งด้านกายภาพใช้ข้อมูลพื้นที่ความเหมาะสมของดิน
ด้านเศรษฐกิจใช้ข้อมูลต้นทุน ผลตอบแทน แหล่งรับซื้อ โรงงาน การตลาด โดยในปี 2563 จัดทําแผนการบริหารจัดการสินค้าเกษตรที่สําคัญครบวงจร จํานวน 7 สินค้า และศึกษาสินค้าหรือกิจกรรมทางเลือก เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ โดยใช้หลักการตลาดนําการผลิต รวมถึงสนับสนุนมาตรการจูงใจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกร เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชเดิมไปปลูกพืชที่มีศักยภาพในพื้นที่เหมาะสมน้อยและไม่เหมาะสม เป้าหมาย จํานวน 100,000 ไร่ และผลักดันการปลูกพืชในพื้นที่เหมาะสม เพื่อยกระดับรายได้ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มผลผลิต และลดต้นทุนการผลิต
8. พัฒนาศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.)
จํานวน 882 ศูนย์หลัก ทุกอําเภอทั่วประเทศ เป็นหน่วยขับเคลื่อนนโยบายการเกษตร องค์ความรู้ด้านการผลิต
การแปรรูป การตลาด แก่เกษตรกร ร่วมกับศูนย์ปราชญ์ชาวบ้าน.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25598
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบแนวทางการดำเนินงานแก่ผู้บริหารกรมทางหลวง ประจำปีงบประมาณ 2561
|
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบแนวทางการดําเนินงานแก่ผู้บริหารกรมทางหลวง ประจําปีงบประมาณ 2561
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบแนวทาง
การดําเนินงานให้กับผู้บริหารกรมทางหลวง ในการสัมมนาผู้บริหารกรมทางหลวง ประจําปีงบประมาณ 2561 ซึ่งจัดภายใต้หัวข้อ “ความท้าทายในการบริหารทางหลวงภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลง”
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2560 โดยมี นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง และคณะผู้บริหารกรมทางหลวง ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ การสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้ผู้บริหารทุกระดับของกรมทางหลวงได้รับทราบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานที่สําคัญ สามารถนําไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปในทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน รวมถึงได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบริบทในการบริหารงานที่เปลี่ยนแปลงไป สามารถปรับเปลี่ยนแนวคิด ทัศนคติ วิสัยทัศน์ให้กว้างไกล ก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนมีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ปัญหา และอุปสรรคระหว่างกัน นําไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการดําเนินงานของกรมทางหลวง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า กรมทางหลวงได้ปฏิบัติภารกิจสําคัญจํานวนมาก ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทางบก เพื่อรองรับการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะการสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและการพัฒนาระบบโครงข่ายทางหลวง เพื่อเชื่อมระเบียงเศรษฐกิจ และเชื่อมโยงระบบการขนส่งของไทยสู่นานาประเทศ ดังนั้น การบริหารงานปัจจุบันภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลง มีความท้าทายที่ควรตระหนักและให้ความสําคัญ ประกอบด้วย 1. การเพิ่มประสิทธิภาพของทางหลวงให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง คือ ทําให้ประชาชนได้รับการตอบสนองความต้องการ มีความสุข สะดวก สบาย และได้รับความปลอดภัยสูงสุด 2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัย 3. การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมสําหรับคนทุกคน และ 4. การนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการก่อสร้าง วิจัยและพัฒนาสายทางให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาประเทศ
นายธานินทร์ สมบูรณ์ กล่าวว่า กรมทางหลวงจะดําเนินงานสู่เป้าหมายและวิสัยทัศน์ คือ “ระบบทางหลวงที่สะดวก ปลอดภัย เชื่อมโยงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ” เพื่อตอบสนองทุกนโยบายและยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การเป็นผู้บริหารที่ดีจําเป็นต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ยึดมั่นต่อการทํางานตามหลักธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และให้ความสําคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบแนวทางการดำเนินงานแก่ผู้บริหารกรมทางหลวง ประจำปีงบประมาณ 2561
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบแนวทางการดําเนินงานแก่ผู้บริหารกรมทางหลวง ประจําปีงบประมาณ 2561
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบแนวทาง
การดําเนินงานให้กับผู้บริหารกรมทางหลวง ในการสัมมนาผู้บริหารกรมทางหลวง ประจําปีงบประมาณ 2561 ซึ่งจัดภายใต้หัวข้อ “ความท้าทายในการบริหารทางหลวงภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลง”
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2560 โดยมี นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง และคณะผู้บริหารกรมทางหลวง ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ การสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้ผู้บริหารทุกระดับของกรมทางหลวงได้รับทราบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานที่สําคัญ สามารถนําไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปในทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน รวมถึงได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบริบทในการบริหารงานที่เปลี่ยนแปลงไป สามารถปรับเปลี่ยนแนวคิด ทัศนคติ วิสัยทัศน์ให้กว้างไกล ก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนมีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ปัญหา และอุปสรรคระหว่างกัน นําไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการดําเนินงานของกรมทางหลวง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า กรมทางหลวงได้ปฏิบัติภารกิจสําคัญจํานวนมาก ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทางบก เพื่อรองรับการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะการสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและการพัฒนาระบบโครงข่ายทางหลวง เพื่อเชื่อมระเบียงเศรษฐกิจ และเชื่อมโยงระบบการขนส่งของไทยสู่นานาประเทศ ดังนั้น การบริหารงานปัจจุบันภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลง มีความท้าทายที่ควรตระหนักและให้ความสําคัญ ประกอบด้วย 1. การเพิ่มประสิทธิภาพของทางหลวงให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง คือ ทําให้ประชาชนได้รับการตอบสนองความต้องการ มีความสุข สะดวก สบาย และได้รับความปลอดภัยสูงสุด 2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัย 3. การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมสําหรับคนทุกคน และ 4. การนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการก่อสร้าง วิจัยและพัฒนาสายทางให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาประเทศ
นายธานินทร์ สมบูรณ์ กล่าวว่า กรมทางหลวงจะดําเนินงานสู่เป้าหมายและวิสัยทัศน์ คือ “ระบบทางหลวงที่สะดวก ปลอดภัย เชื่อมโยงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ” เพื่อตอบสนองทุกนโยบายและยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การเป็นผู้บริหารที่ดีจําเป็นต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ยึดมั่นต่อการทํางานตามหลักธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และให้ความสําคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8795
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หมอฟัน แนะ 5 วิธีลดอาการเสียวฟัน
|
วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2561
หมอฟัน แนะ 5 วิธีลดอาการเสียวฟัน
ทันตแพทย์เผยดื่มน้ําอัดลม ทานอาหารรสเปรี้ยว แปรงฟันไม่ถูกวิธีอย่างสม่ําเสมอ เป็นปัจจัยเสริมทําให้เกิดอาการเสียวฟัน แนะ 5 วิธีช่วยลดอาการเสียวฟัน ลดการสูญเสียฟัน
ทันตแพทย์หญิงปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อํานวยการสํานักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กล่าวว่า อาการเสียว ฟันเป็นปัญหาทันตกรรมที่เกิดจากภาวะเหงือกร่นและเคลือบฟันสึกกร่อน มักพบในคนอายุระหว่าง 20-50 ปี ซึ่งพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสริมทําให้เกิดอาการเสียวฟัน เช่น ดื่มน้ําอัดลม รับประทานอาหารรสเปรี้ยว รับประทานอาหารแข็งและเหนียว แปรงฟันไม่ถูกวิธี แปรงฟันแรงเกินไปอย่างสม่ําเสมอ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ทําให้เคลือบฟันสึกและบางลงจนถึงชั้นเนื้อฟันที่อยู่ใกล้กับโพรงประสาทฟันมีเส้นประสาทเป็นจํานวนมาก ของเหลวในท่อเนื้อฟันจะไปกระตุ้นปลายประสาทฟันก็จะทําให้เกิดอาการเสียวฟัน
อาการเสียวฟันยังอาจเกิดจากฟันแตก หรือฟันร้าว ซึ่งในบางครั้งมีขนาดเล็กมากสังเกตไม่เห็นหรือมีการสะสมของคราบจุลินทรีย์และแบคทีเรียทําให้เป็นโรคเหงือกอักเสบหรือฟันผุลึกถึงชั้นเนื้อฟัน อาจมีอาการเสียวฟันร่วมกับการปวดฟัน ซึ่งอาการเหล่านี้หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจเกิดการลุกลามทําให้สูญเสียฟันได้
สําหรับการป้องกันและลดอาการเสียวฟันมี 5 วิธี ได้แก่ 1.ใช้ยาสีฟันพิเศษ ที่มีสารโปแทสเซียมไนเตรต หรือสตรอนเทียม อะซิเตตผสมอยู่ จะช่วยป้องกันไม่ให้เส้นประสาทถูกกระตุ้นบรรเทาอาการเสียวฟันได้ 2.ใช้แปรงสีฟันขนอ่อนนุ่มและแปรงฟันให้ถูกวิธี ควรขอคําแนะนําจากทันตแพทย์เกี่ยวกับวิธีแปรงฟันให้ถูกวิธี 3.อย่าเคี้ยวของแข็ง เพราะการกัดของแข็งอาจทําให้ฟันแตกหรือหักเป็นรอยร้าวขนาดเล็กได้ 4.งดดื่มน้ําผลไม้รสเปรี้ยวและน้ําอัดลม เช่น น้ํามะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด หากบริโภคบ่อยและติดต่อกันนานเกินไป อาจทําให้เกิดการละลายตัวของเคลือบฟัน 5.แปรงฟันอย่างถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันทําความสะอาดฟันหลังแปรงฟันทุกครั้ง เพื่อลดคราบจุลินทรีย์บริเวณซอกฟันที่จะทําให้เกิดโรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ และถ้าทํา 5 วิธีข้างต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ให้รีบปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อรับการรักษาให้ถูกต้องตามต้นเหตุ เช่น การใช้ฟลูออไรด์ที่มีความเข้มข้นสูง การอุดฟัน การครอบฟัน และการรักษาโรคเหงือก เป็นต้น
********************************* 18 มีนาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หมอฟัน แนะ 5 วิธีลดอาการเสียวฟัน
วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2561
หมอฟัน แนะ 5 วิธีลดอาการเสียวฟัน
ทันตแพทย์เผยดื่มน้ําอัดลม ทานอาหารรสเปรี้ยว แปรงฟันไม่ถูกวิธีอย่างสม่ําเสมอ เป็นปัจจัยเสริมทําให้เกิดอาการเสียวฟัน แนะ 5 วิธีช่วยลดอาการเสียวฟัน ลดการสูญเสียฟัน
ทันตแพทย์หญิงปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อํานวยการสํานักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กล่าวว่า อาการเสียว ฟันเป็นปัญหาทันตกรรมที่เกิดจากภาวะเหงือกร่นและเคลือบฟันสึกกร่อน มักพบในคนอายุระหว่าง 20-50 ปี ซึ่งพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสริมทําให้เกิดอาการเสียวฟัน เช่น ดื่มน้ําอัดลม รับประทานอาหารรสเปรี้ยว รับประทานอาหารแข็งและเหนียว แปรงฟันไม่ถูกวิธี แปรงฟันแรงเกินไปอย่างสม่ําเสมอ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ทําให้เคลือบฟันสึกและบางลงจนถึงชั้นเนื้อฟันที่อยู่ใกล้กับโพรงประสาทฟันมีเส้นประสาทเป็นจํานวนมาก ของเหลวในท่อเนื้อฟันจะไปกระตุ้นปลายประสาทฟันก็จะทําให้เกิดอาการเสียวฟัน
อาการเสียวฟันยังอาจเกิดจากฟันแตก หรือฟันร้าว ซึ่งในบางครั้งมีขนาดเล็กมากสังเกตไม่เห็นหรือมีการสะสมของคราบจุลินทรีย์และแบคทีเรียทําให้เป็นโรคเหงือกอักเสบหรือฟันผุลึกถึงชั้นเนื้อฟัน อาจมีอาการเสียวฟันร่วมกับการปวดฟัน ซึ่งอาการเหล่านี้หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจเกิดการลุกลามทําให้สูญเสียฟันได้
สําหรับการป้องกันและลดอาการเสียวฟันมี 5 วิธี ได้แก่ 1.ใช้ยาสีฟันพิเศษ ที่มีสารโปแทสเซียมไนเตรต หรือสตรอนเทียม อะซิเตตผสมอยู่ จะช่วยป้องกันไม่ให้เส้นประสาทถูกกระตุ้นบรรเทาอาการเสียวฟันได้ 2.ใช้แปรงสีฟันขนอ่อนนุ่มและแปรงฟันให้ถูกวิธี ควรขอคําแนะนําจากทันตแพทย์เกี่ยวกับวิธีแปรงฟันให้ถูกวิธี 3.อย่าเคี้ยวของแข็ง เพราะการกัดของแข็งอาจทําให้ฟันแตกหรือหักเป็นรอยร้าวขนาดเล็กได้ 4.งดดื่มน้ําผลไม้รสเปรี้ยวและน้ําอัดลม เช่น น้ํามะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด หากบริโภคบ่อยและติดต่อกันนานเกินไป อาจทําให้เกิดการละลายตัวของเคลือบฟัน 5.แปรงฟันอย่างถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันทําความสะอาดฟันหลังแปรงฟันทุกครั้ง เพื่อลดคราบจุลินทรีย์บริเวณซอกฟันที่จะทําให้เกิดโรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ และถ้าทํา 5 วิธีข้างต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ให้รีบปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อรับการรักษาให้ถูกต้องตามต้นเหตุ เช่น การใช้ฟลูออไรด์ที่มีความเข้มข้นสูง การอุดฟัน การครอบฟัน และการรักษาโรคเหงือก เป็นต้น
********************************* 18 มีนาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10842
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ “ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ผู้ทำหน้าที่จัดการศึกษาในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน”
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ “ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ผู้ทําหน้าที่จัดการศึกษาในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน”
ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ “ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ผู้ทําหน้าที่จัดการศึกษาในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน”
เมื่อวันอังคารที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม
บรรยายพิเศษ เรื่อง “ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาครูในกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน”
แก่บุคลากรที่ทําหน้าที่จัดการศึกษาของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จาก 76 จังหวัด
และกรุงเทพมหานคร ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่ทําหน้าที่จัดการศึกษาในสถานพินิจ
และคุ้มครองเด็กและเยาวชน ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมเด็กและเยาวชน
ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านอุเบกขา อําเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า “ความเป็นครูอาจารย์ของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ได้ฝึกฝนทั้งหลักวิชาการที่ท่านเรียนสําเร็จกันมา
ได้เรียนรู้วิชาสังคมจิตวิทยา วิชาประสบการณ์ชีวิต อันมีความหลากหลายทางปัญหา
ประการนี้ ครูอาจารย์ทุกท่าน ได้กุศลใหญ่หลวงในการช่วยแก้ไขปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น
และสร้างขึ้นโดยสังคมภายนอก แต่เราทั้งหลายต้องมาปรับปรุงแก้ไขจากภายในที่เป็นปลายทาง
เพื่อให้ลูก ๆ หลาน ๆ ก้าวเดินกลับสู่สังคมที่ดีกว่า มีคุณภาพกว่า เมื่อแรกเดินเข้ามายังสถานพินิจฯ
และศูนย์ฝึกอบรมฯ สังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งของเราและประชาคมโลก การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน
จะเป็นประเทศเล็กประเทศใหญ่ ย่อมมีตรรกะแห่งคุณความดี และความถูกต้องเดียวกัน
กล่าวคือ คุณธรรมจริยธรรม เป็นเรื่องค้ําจุนความอยู่รอดของบ้านเมือง
และลูกหลานเยาวชน ที่ผมขอฝากครูอาจารย์ได้ช่วยกันอบรมสั่งสอนให้เด็ก ๆ ทั้งหลายกลับตัวกลับใจ
มีอุดมการณ์ของความรับผิดชอบและรักชาติบ้านเมืองเป็นอนาคตอันสําคัญของชาติสืบไปในวันข้างหน้า”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ “ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ผู้ทำหน้าที่จัดการศึกษาในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน”
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ “ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ผู้ทําหน้าที่จัดการศึกษาในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน”
ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ “ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ผู้ทําหน้าที่จัดการศึกษาในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน”
เมื่อวันอังคารที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม
บรรยายพิเศษ เรื่อง “ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาครูในกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน”
แก่บุคลากรที่ทําหน้าที่จัดการศึกษาของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จาก 76 จังหวัด
และกรุงเทพมหานคร ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่ทําหน้าที่จัดการศึกษาในสถานพินิจ
และคุ้มครองเด็กและเยาวชน ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมเด็กและเยาวชน
ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านอุเบกขา อําเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า “ความเป็นครูอาจารย์ของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ได้ฝึกฝนทั้งหลักวิชาการที่ท่านเรียนสําเร็จกันมา
ได้เรียนรู้วิชาสังคมจิตวิทยา วิชาประสบการณ์ชีวิต อันมีความหลากหลายทางปัญหา
ประการนี้ ครูอาจารย์ทุกท่าน ได้กุศลใหญ่หลวงในการช่วยแก้ไขปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น
และสร้างขึ้นโดยสังคมภายนอก แต่เราทั้งหลายต้องมาปรับปรุงแก้ไขจากภายในที่เป็นปลายทาง
เพื่อให้ลูก ๆ หลาน ๆ ก้าวเดินกลับสู่สังคมที่ดีกว่า มีคุณภาพกว่า เมื่อแรกเดินเข้ามายังสถานพินิจฯ
และศูนย์ฝึกอบรมฯ สังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งของเราและประชาคมโลก การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน
จะเป็นประเทศเล็กประเทศใหญ่ ย่อมมีตรรกะแห่งคุณความดี และความถูกต้องเดียวกัน
กล่าวคือ คุณธรรมจริยธรรม เป็นเรื่องค้ําจุนความอยู่รอดของบ้านเมือง
และลูกหลานเยาวชน ที่ผมขอฝากครูอาจารย์ได้ช่วยกันอบรมสั่งสอนให้เด็ก ๆ ทั้งหลายกลับตัวกลับใจ
มีอุดมการณ์ของความรับผิดชอบและรักชาติบ้านเมืองเป็นอนาคตอันสําคัญของชาติสืบไปในวันข้างหน้า”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10955
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน มอบนโยบายผู้บริหารทั่วประเทศ รับมือการผ่อนปรนระยะ 4 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563
อนุทิน มอบนโยบายผู้บริหารทั่วประเทศ รับมือการผ่อนปรนระยะ 4 [กระทรวงสาธารณสุข]
อนุทิน มอบนโยบายผู้บริหารทั่วประเทศ รับมือการผ่อนปรนระยะ 4
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ รับมือเตรียมการรองรับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หลังมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 ส่วนนโยบายการจับคู่เดินทาง คํานึงถึงความปลอดภัยประชาชนเป็นสําคัญ
วันนี้ (17 มิถุนายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายการเตรียมการรองรับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หลังมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 แก่ผู้บริหารระดับสูง ผู้ตรวจราชการ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป/ โรงพยาบาลชุมชน และให้สัมภาษณ์ว่า ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้ทุ่มเททํางานร่วมกับทุกภาคส่วน จนทําให้ประเทศไทยควบคุมการระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี ไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศติดต่อกันหลายวัน มีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ แต่ไม่สามารถประมาทได้ เพราะโรคนี้คือโรคระบาดที่สร้างผลกระทบกับคนทั้งโลก จําเป็นต้องวางแผนไว้สําหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ด้วย
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ได้กําชับให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามเรื่องการบรรจุข้าราชการใหม่ในกลุ่มบุคลากรที่ทํางานต่อสู้โควิด เพื่อให้มีขวัญกําลังใจ ตอบแทนความทุ่มเททํางาน รวมทั้งมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด จัดลําดับความสําคัญโครงการงบประมาณ พ.ร.ก.เงินกู้ ที่กระทรวงสาธารณสุขได้รับจัดสรรกรอบวงเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท บริหารให้มีประสิทธิภาพ ให้มั่นใจว่าจะนําไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับภารกิจ เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการประชาชน
ส่วนความคืบหน้าการจับคู่เดินทางระหว่างประเทศที่มีความเสี่ยงจากโควิด 19 ในระดับต่ํา ได้มอบหมายให้กรมควบคุมโรค และนพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข หารือกับทูตประเทศต่าง ๆ เป็นรายประเทศ โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของประเทศไทย คํานึงถึงความปลอดภัยประชาชนเป็นสําคัญ นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ โดยต้องทํา MOU กําหนดข้อตกลงร่วมกันระหว่างสองประเทศ หากปฏิบัติไม่ตรงกับ MOU สามารถยกเลิกสัญญาได้ เริ่มในกลุ่มนักธุรกิจ วิศวกร และครู โรงเรียนนานาชาติ เพื่อให้มีการเดินทางได้ภายใต้กรอบที่เราวางเอาไว้ เกิดความปลอดภัยและมั่นใจว่าไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อ โดยมาตรการและหลักปฏิบัติจะเสนอ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือประชาชนอย่าประมาท การ์ดอย่าตก สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ หลีกเลี่ยงไปในที่คนแออัด เพราะโรคนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคมเป็นวงกว้าง
ส่วนมาตรการ “ไทยเที่ยวไทย” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) ได้รับสิทธิเที่ยวฟรี ตามเงื่อนไขที่กําหนดในแพ็คเกจ “กําลังใจ” นั้น นายอนุทินกล่าวว่า สนับสนุนโครงการที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างขวัญและกําลังใจให้กับคนทํางาน และเมื่อนําเงินไทยใช้ในประเทศไทย ก็เป็นการหมุนเงินในระบบเศรษฐกิจไทย ย่อมเป็นผลดีต่อภาพรวม ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบ ซึ่งคิดว่า ภาครัฐไม่ได้ปล่อยปละละเลย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน มอบนโยบายผู้บริหารทั่วประเทศ รับมือการผ่อนปรนระยะ 4 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563
อนุทิน มอบนโยบายผู้บริหารทั่วประเทศ รับมือการผ่อนปรนระยะ 4 [กระทรวงสาธารณสุข]
อนุทิน มอบนโยบายผู้บริหารทั่วประเทศ รับมือการผ่อนปรนระยะ 4
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ รับมือเตรียมการรองรับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หลังมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 ส่วนนโยบายการจับคู่เดินทาง คํานึงถึงความปลอดภัยประชาชนเป็นสําคัญ
วันนี้ (17 มิถุนายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบนโยบายการเตรียมการรองรับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หลังมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 แก่ผู้บริหารระดับสูง ผู้ตรวจราชการ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป/ โรงพยาบาลชุมชน และให้สัมภาษณ์ว่า ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้ทุ่มเททํางานร่วมกับทุกภาคส่วน จนทําให้ประเทศไทยควบคุมการระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี ไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศติดต่อกันหลายวัน มีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ แต่ไม่สามารถประมาทได้ เพราะโรคนี้คือโรคระบาดที่สร้างผลกระทบกับคนทั้งโลก จําเป็นต้องวางแผนไว้สําหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ด้วย
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ได้กําชับให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามเรื่องการบรรจุข้าราชการใหม่ในกลุ่มบุคลากรที่ทํางานต่อสู้โควิด เพื่อให้มีขวัญกําลังใจ ตอบแทนความทุ่มเททํางาน รวมทั้งมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด จัดลําดับความสําคัญโครงการงบประมาณ พ.ร.ก.เงินกู้ ที่กระทรวงสาธารณสุขได้รับจัดสรรกรอบวงเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท บริหารให้มีประสิทธิภาพ ให้มั่นใจว่าจะนําไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับภารกิจ เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการประชาชน
ส่วนความคืบหน้าการจับคู่เดินทางระหว่างประเทศที่มีความเสี่ยงจากโควิด 19 ในระดับต่ํา ได้มอบหมายให้กรมควบคุมโรค และนพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข หารือกับทูตประเทศต่าง ๆ เป็นรายประเทศ โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของประเทศไทย คํานึงถึงความปลอดภัยประชาชนเป็นสําคัญ นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ โดยต้องทํา MOU กําหนดข้อตกลงร่วมกันระหว่างสองประเทศ หากปฏิบัติไม่ตรงกับ MOU สามารถยกเลิกสัญญาได้ เริ่มในกลุ่มนักธุรกิจ วิศวกร และครู โรงเรียนนานาชาติ เพื่อให้มีการเดินทางได้ภายใต้กรอบที่เราวางเอาไว้ เกิดความปลอดภัยและมั่นใจว่าไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อ โดยมาตรการและหลักปฏิบัติจะเสนอ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือประชาชนอย่าประมาท การ์ดอย่าตก สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ หลีกเลี่ยงไปในที่คนแออัด เพราะโรคนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคมเป็นวงกว้าง
ส่วนมาตรการ “ไทยเที่ยวไทย” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) ได้รับสิทธิเที่ยวฟรี ตามเงื่อนไขที่กําหนดในแพ็คเกจ “กําลังใจ” นั้น นายอนุทินกล่าวว่า สนับสนุนโครงการที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างขวัญและกําลังใจให้กับคนทํางาน และเมื่อนําเงินไทยใช้ในประเทศไทย ก็เป็นการหมุนเงินในระบบเศรษฐกิจไทย ย่อมเป็นผลดีต่อภาพรวม ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบ ซึ่งคิดว่า ภาครัฐไม่ได้ปล่อยปละละเลย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32453
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรขอชี้แจงเรื่องการขอเอกสารประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2560 เพิ่มเติม
|
วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561
กรมสรรพากรขอชี้แจงเรื่องการขอเอกสารประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2560 เพิ่มเติม
ตามที่ปรากฏว่ามีผู้เสียภาษีบางรายได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หัวเรื่อง เรื่องการขอเอกสารประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2560 เพิ่มเติม โดยขอให้ผู้เสียภาษีส่งหลักฐานประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พร้อมสําเนาบัตรประชาชน
ตามที่ปรากฏว่ามีผู้เสียภาษีบางรายได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หัวเรื่อง เรื่องการขอเอกสารประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2560 เพิ่มเติม โดยขอให้ผู้เสียภาษีส่งหลักฐานประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พร้อมสําเนาบัตรประจําตัวประชาชน โดยให้นําส่งเอกสารผ่านทาง www.e-revenue.go.th พร้อมกรอกข้อมูลหมายเลขบัตรประชาชน และเบอร์โทรศัพท์ นั้น
กรมสรรพากรขอเรียนว่า ในกรณีการขอหลักฐานประกอบการพิจารณาคืนภาษี กรมสรรพากร ไม่มีนโยบายการขอสําเนาบัตรประชาชนจากผู้เสียภาษี และหากมีการขอหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณาคืนภาษี กรมสรรพากรกําหนดให้ผู้เสียภาษีนําส่งเอกสารหลักฐานผ่าน 4 ช่องทาง ดังนี้
1 ทางโทรสาร ตามหมายเลขที่ได้รับแจ้ง
2. ทางไปรษณีย์
3. ด้วยตนเอง
4. เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ด้วยรหัสผู้ใช้และรหัสผ่านเดียวกับการยื่นแบบฯ ผ่านอินเทอร์เน็ต
หากผู้เสียภาษีได้รับจดหมายขอให้ส่งหลักฐานประกอบการพิจารณาคืนภาษีในลักษณะดังกล่าว โปรดอย่าหลงเชื่อ สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยขอให้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161 สํานักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศ ในวันและเวลาราชการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรขอชี้แจงเรื่องการขอเอกสารประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2560 เพิ่มเติม
วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561
กรมสรรพากรขอชี้แจงเรื่องการขอเอกสารประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2560 เพิ่มเติม
ตามที่ปรากฏว่ามีผู้เสียภาษีบางรายได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หัวเรื่อง เรื่องการขอเอกสารประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2560 เพิ่มเติม โดยขอให้ผู้เสียภาษีส่งหลักฐานประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พร้อมสําเนาบัตรประชาชน
ตามที่ปรากฏว่ามีผู้เสียภาษีบางรายได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หัวเรื่อง เรื่องการขอเอกสารประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2560 เพิ่มเติม โดยขอให้ผู้เสียภาษีส่งหลักฐานประกอบการพิจารณาคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พร้อมสําเนาบัตรประจําตัวประชาชน โดยให้นําส่งเอกสารผ่านทาง www.e-revenue.go.th พร้อมกรอกข้อมูลหมายเลขบัตรประชาชน และเบอร์โทรศัพท์ นั้น
กรมสรรพากรขอเรียนว่า ในกรณีการขอหลักฐานประกอบการพิจารณาคืนภาษี กรมสรรพากร ไม่มีนโยบายการขอสําเนาบัตรประชาชนจากผู้เสียภาษี และหากมีการขอหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณาคืนภาษี กรมสรรพากรกําหนดให้ผู้เสียภาษีนําส่งเอกสารหลักฐานผ่าน 4 ช่องทาง ดังนี้
1 ทางโทรสาร ตามหมายเลขที่ได้รับแจ้ง
2. ทางไปรษณีย์
3. ด้วยตนเอง
4. เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ด้วยรหัสผู้ใช้และรหัสผ่านเดียวกับการยื่นแบบฯ ผ่านอินเทอร์เน็ต
หากผู้เสียภาษีได้รับจดหมายขอให้ส่งหลักฐานประกอบการพิจารณาคืนภาษีในลักษณะดังกล่าว โปรดอย่าหลงเชื่อ สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยขอให้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161 สํานักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศ ในวันและเวลาราชการ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11985
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายชื่อห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อ SARS-CoV-2
|
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
รายชื่อห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อ SARS-CoV-2
ที่ผ่านการทดสอบความชํานาญทางห้องปฏิบัติการในเครือข่ายรัฐและเอกชน
รายชื่อห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อ SARS-CoV-2ที่ผ่านการทดสอบความชํานาญทางห้องปฏิบัติการในเครือข่ายรัฐและเอกชน รวม 35 แห่ง
1.คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
2. คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี
3. คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
4.รพ.ราชวิถี
5. สถาบันบําราศนราดูร
6. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
7. รพ.บํารุงราษฎร์
8. คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
9. รพ.มหาราชนครราชสีมา
10. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
11. รพ.ศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
12. ศูนย์วิจัยมาลาเรียโซโคล ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา
13. รพ.ลําปาง
14. รพ.สวรรค์ประชารักษ์
15. บริษัท ไบโอ โมเลกุลาร์ แลบบอราทอรีส์ (ประเทศไทย)
16.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (ฝ่ายไทย)
17.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (ฝ่ายสหรัฐอเมริกา)
18. สํานักป้องกันและควบคุมโรคเขตเมือง
19. สํานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 สระบุรี
20. รพ.นครปฐม
21. สถาบันวิทยาศาสตร์สาธารณสุข (ส่วนกลาง)
22. ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 14 แห่ง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายชื่อห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อ SARS-CoV-2
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
รายชื่อห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อ SARS-CoV-2
ที่ผ่านการทดสอบความชํานาญทางห้องปฏิบัติการในเครือข่ายรัฐและเอกชน
รายชื่อห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อ SARS-CoV-2ที่ผ่านการทดสอบความชํานาญทางห้องปฏิบัติการในเครือข่ายรัฐและเอกชน รวม 35 แห่ง
1.คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
2. คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี
3. คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
4.รพ.ราชวิถี
5. สถาบันบําราศนราดูร
6. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
7. รพ.บํารุงราษฎร์
8. คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
9. รพ.มหาราชนครราชสีมา
10. คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
11. รพ.ศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
12. ศูนย์วิจัยมาลาเรียโซโคล ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา
13. รพ.ลําปาง
14. รพ.สวรรค์ประชารักษ์
15. บริษัท ไบโอ โมเลกุลาร์ แลบบอราทอรีส์ (ประเทศไทย)
16.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (ฝ่ายไทย)
17.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (ฝ่ายสหรัฐอเมริกา)
18. สํานักป้องกันและควบคุมโรคเขตเมือง
19. สํานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 สระบุรี
20. รพ.นครปฐม
21. สถาบันวิทยาศาสตร์สาธารณสุข (ส่วนกลาง)
22. ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 14 แห่ง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27217
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม ปี 2562 และเรื่องที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน
|
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563
สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม ปี 2562 และเรื่องที่ต้องทําอย่างเร่งด่วน
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลให้ความสําคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยมี 4 เรื่องที่ต้องดําเนินการอย่างเร่งด่วน คือ การแก้ไขปัญหาค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM2.5 การจัดการขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ และการกัดเซาะชายฝั่ง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วางมาตรการบริหารจัดการปัญหาทั้งระยะสั้น และระยะยาว เช่น เชื่อมโยงระบบขนส่งสาธารณะ กําหนดเขตพื้นที่จํากัดปริมาณรถยนต์ ส่งเสริมการรวมกลุ่มในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยด้วยวิธีที่เหมาะสม และพัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเป็นภาคีความร่วมมือในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นต้น
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม ปี 2562 และเรื่องที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563
สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม ปี 2562 และเรื่องที่ต้องทําอย่างเร่งด่วน
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลให้ความสําคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยมี 4 เรื่องที่ต้องดําเนินการอย่างเร่งด่วน คือ การแก้ไขปัญหาค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM2.5 การจัดการขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ และการกัดเซาะชายฝั่ง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วางมาตรการบริหารจัดการปัญหาทั้งระยะสั้น และระยะยาว เช่น เชื่อมโยงระบบขนส่งสาธารณะ กําหนดเขตพื้นที่จํากัดปริมาณรถยนต์ ส่งเสริมการรวมกลุ่มในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยด้วยวิธีที่เหมาะสม และพัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเป็นภาคีความร่วมมือในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นต้น
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26016
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เดินหน้ามาตรการช่วยเหลือและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62
|
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561
รัฐมนตรีเกษตรฯ เดินหน้ามาตรการช่วยเหลือและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62
รัฐมนตรีเกษตรฯ เดินหน้ามาตรการช่วยเหลือและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 ตั้งเป้าเกษตรกรขายข้าวได้ราคาที่เป็นธรรมผ่านระบบสหกรณ์ที่เข้มแข็ง
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดชัยนาท ว่า การลงพื้นที่ในวันนี้เป็นการติดตามความก้าวหน้าการใช้งบประมาณตามโครงการไทยนิยมยั่งยืนของสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จํากัด พร้อมพบปะสมาชิกสหกรณ์ในพื้นที่ โดยสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จํากัด ได้รับงบประมาณ 20 ล้านบาท และสหกรณ์ได้สมทบเพิ่มเติมอีกจํานวน 2 ล้านบาท เพื่อสร้างโกดังเก็บผลผลิต ขนาด 7,000 ตัน จํานวน 2 แห่ง เพื่อทดแทนโกดังเก่าที่ทรุดโทรม
"ขณะนี้มีความก้าวหน้าในการก่อสร้างกว่า 90% คาดว่าจะแล้วเสร็จตามกําหนดภายในสิงหาคมนี้ ซึ่งจะทําให้สหกรณ์มีความพร้อมในการบริการสมาชิก สามารถรวบรวมข้าวเปลือกเจ้ามาเก็บสต๊อกไว้เพื่อรอเข้าสู่โรงสีแปรรูปเป็นข้าวเปลือก เพื่อเพิ่มมูลค่า ทําให้สมาชิกมีความพึงพอใจกับการนําข้าวเปลือกมาขายให้กับสหกรณ์ เพราะนอกจากจะได้รับค่าข้าวเป็นเงินสดในราคานําตลาด 100 บาท/ตันแล้ว หากสหกรณ์ขายข้าวได้กําไร จะมีการปันผลคืนสู่สมาชิกด้วยอีกต่อหนึ่ง"
ในโอกาสนี้ ได้ร่วมประชุมชี้แจงมาตรการช่วยเหลือและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 กับตัวแทนสหกรณ์ในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง 190 แห่ง จาก 23 จังหวัด โดยมาตรการดังกล่าว ภายใต้โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเปลือก ซึ่ง ธ.ก.ส. จะให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอการจําหน่ายผลผลิตข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวเปลือกเจ้า และข้าวเปลือกปทุมธานี 1 โดยให้ค่าบริหารจัดการแก่สถาบันเกษตรกรตันละ 1,500 บาท และให้สินเชื่อเพื่อสร้าง ยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร มีเป้าหมายช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่ขึ้นทะเบียน กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกข้าวจริง ไร่ละ 1,500 บาท รายละไม่เกิน 12 ไร่ หรือไม่เกินครัวเรือนละ 18,000 บาท ซึ่งจะเป็นมาตรการด้านการตลาดที่กระทรวงเกษตรฯ ต้องเร่งขับเคลื่อนการดําเนินงานเพื่อช่วยเหลือสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และเกษตรกรรายย่อย ให้มีโอกาสได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐ และสามารถจําหน่ายข้าวเปลือกในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรมผ่านระบบสหกรณ์ที่เข้มแข็ง
ด้านนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับข้าวนาปีในฤดูการผลิต ปี 2561/62 ได้เตรียมความพร้อมให้สหกรณ์โดยการสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนจากรัฐภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในการก่อสร้างปัจจัยพื้นฐานเพื่อจัดเก็บข้าวเปลือก โดยวางเป้าหมายที่จะดําเนินการรวบรวมข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านตัน แบ่งเป็นการรวบรวมเพื่อแปรรูป ประมาณ 70,000 ตัน และรวบรวมเพื่อจําหน่าย จํานวน 1.93 ล้านตัน ซึ่งในส่วนนี้จะมีการเก็บรวบรวมเพื่อชะลอการจําหน่ายประมาณ 529,500 ตัน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เดินหน้ามาตรการช่วยเหลือและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561
รัฐมนตรีเกษตรฯ เดินหน้ามาตรการช่วยเหลือและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62
รัฐมนตรีเกษตรฯ เดินหน้ามาตรการช่วยเหลือและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 ตั้งเป้าเกษตรกรขายข้าวได้ราคาที่เป็นธรรมผ่านระบบสหกรณ์ที่เข้มแข็ง
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดชัยนาท ว่า การลงพื้นที่ในวันนี้เป็นการติดตามความก้าวหน้าการใช้งบประมาณตามโครงการไทยนิยมยั่งยืนของสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จํากัด พร้อมพบปะสมาชิกสหกรณ์ในพื้นที่ โดยสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จํากัด ได้รับงบประมาณ 20 ล้านบาท และสหกรณ์ได้สมทบเพิ่มเติมอีกจํานวน 2 ล้านบาท เพื่อสร้างโกดังเก็บผลผลิต ขนาด 7,000 ตัน จํานวน 2 แห่ง เพื่อทดแทนโกดังเก่าที่ทรุดโทรม
"ขณะนี้มีความก้าวหน้าในการก่อสร้างกว่า 90% คาดว่าจะแล้วเสร็จตามกําหนดภายในสิงหาคมนี้ ซึ่งจะทําให้สหกรณ์มีความพร้อมในการบริการสมาชิก สามารถรวบรวมข้าวเปลือกเจ้ามาเก็บสต๊อกไว้เพื่อรอเข้าสู่โรงสีแปรรูปเป็นข้าวเปลือก เพื่อเพิ่มมูลค่า ทําให้สมาชิกมีความพึงพอใจกับการนําข้าวเปลือกมาขายให้กับสหกรณ์ เพราะนอกจากจะได้รับค่าข้าวเป็นเงินสดในราคานําตลาด 100 บาท/ตันแล้ว หากสหกรณ์ขายข้าวได้กําไร จะมีการปันผลคืนสู่สมาชิกด้วยอีกต่อหนึ่ง"
ในโอกาสนี้ ได้ร่วมประชุมชี้แจงมาตรการช่วยเหลือและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2561/62 กับตัวแทนสหกรณ์ในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง 190 แห่ง จาก 23 จังหวัด โดยมาตรการดังกล่าว ภายใต้โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเปลือก ซึ่ง ธ.ก.ส. จะให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพื่อชะลอการจําหน่ายผลผลิตข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวเปลือกเจ้า และข้าวเปลือกปทุมธานี 1 โดยให้ค่าบริหารจัดการแก่สถาบันเกษตรกรตันละ 1,500 บาท และให้สินเชื่อเพื่อสร้าง ยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร มีเป้าหมายช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่ขึ้นทะเบียน กับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกข้าวจริง ไร่ละ 1,500 บาท รายละไม่เกิน 12 ไร่ หรือไม่เกินครัวเรือนละ 18,000 บาท ซึ่งจะเป็นมาตรการด้านการตลาดที่กระทรวงเกษตรฯ ต้องเร่งขับเคลื่อนการดําเนินงานเพื่อช่วยเหลือสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และเกษตรกรรายย่อย ให้มีโอกาสได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐ และสามารถจําหน่ายข้าวเปลือกในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรมผ่านระบบสหกรณ์ที่เข้มแข็ง
ด้านนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับข้าวนาปีในฤดูการผลิต ปี 2561/62 ได้เตรียมความพร้อมให้สหกรณ์โดยการสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนจากรัฐภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในการก่อสร้างปัจจัยพื้นฐานเพื่อจัดเก็บข้าวเปลือก โดยวางเป้าหมายที่จะดําเนินการรวบรวมข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านตัน แบ่งเป็นการรวบรวมเพื่อแปรรูป ประมาณ 70,000 ตัน และรวบรวมเพื่อจําหน่าย จํานวน 1.93 ล้านตัน ซึ่งในส่วนนี้จะมีการเก็บรวบรวมเพื่อชะลอการจําหน่ายประมาณ 529,500 ตัน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14326
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2562 ของสมาคมรถบรรทุกภาคตะวันตก
|
วันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2563
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดการประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2562 ของสมาคมรถบรรทุกภาคตะวันตก
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดการประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2562 ของสมาคมรถบรรทุกภาคตะวันตก
นายถาวรเสนเนียมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธานเปิดการประชุมใหญ่สามัญประจําปี2562ของสมาคมรถบรรทุกภาคตะวันตกภายใต้ชื่องานThe 5th Western Motor Expo 2020โดยมีพ.ท.ดร.สินธพแก้วพิจิตรสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต1จังหวัดนครปฐมและนายกสมาคมรถบรรทุกภาคตะวันตกนายชาญนะเอี่ยมแสงผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมคณะกรรมการสมาชิกสมาคมฯและผู้ประกอบการรถบรรทุกร่วมงานเพื่อให้ผู้บริหารคณะกรรมการและสมาชิกได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันเยี่ยมชมการแสดงสินค้ากิจกรรมต่างๆและเพื่อการรณรงค์ปลูกจิตสํานึกด้านการรักษาความปลอดภัยบนท้องถนนเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในวันที่18มกราคม2563เวลา09.30น.ณบริเวณองค์พระปฐมเจดีย์(ฝั่งประตูโพธิ์ทอง)จังหวัดนครปฐม
นายถาวรเสนเนียมกล่าวว่าการขนส่งทางถนนเป็นการขนส่งรูปแบบหลักโดยมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ80เมื่อเทียบกับการขนส่งในรูปแบบอื่นๆจึงส่งผลให้การเกิดอุบัติเหตุทางถนนมีจํานวนสูงขึ้นตามไปด้วยจากสถิติของกระทรวงคมนาคมโดยกรมการขนส่งทางบกที่ได้รวบรวมรายงานการเกิดอุบัติเหตุจากรถบรรทุกในช่วงเทศกาลต่างๆส่วนใหญ่มีสาเหตุจากพฤติกรรมเสี่ยงในการขับขี่แต่สถิติการเกิดอุบัติเหตุจากรถบรรทุกช่วงเทศกาลต่างๆที่ผ่านมามีสัดส่วนลดลงปัจจัยสําคัญเนื่องจากผู้ประกอบการขนส่งให้ความร่วมมือในการหลีกเลี่ยงการขนส่งสินค้าในช่วงเทศกาลเป็นอย่างดีตามแนวทางดําเนินงานของกระทรวงคมนาคมซึ่งได้กําหนดมาตรการสําคัญในการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนโดยขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการขนส่งประชาสัมพันธ์ไปยังเครือข่ายสมาชิกให้ช่วยกันปฏิบัติตามแนวทางเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลและขอขอบคุณภาคีเครือข่ายขนส่งทุกภาคส่วนที่ให้ความสําคัญกับภาครัฐในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทั้งนี้การประชุมใหญ่สามัญประจําปีของสมาคมในครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีที่กระทรวงคมนาคมจะได้สื่อสารถึงผู้ประกอบการขนส่งทุกภาคส่วนว่ากระทรวงคมนาคมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมสร้างเครือข่ายรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างเข้มแข็งต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2562 ของสมาคมรถบรรทุกภาคตะวันตก
วันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2563
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดการประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2562 ของสมาคมรถบรรทุกภาคตะวันตก
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดการประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2562 ของสมาคมรถบรรทุกภาคตะวันตก
นายถาวรเสนเนียมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธานเปิดการประชุมใหญ่สามัญประจําปี2562ของสมาคมรถบรรทุกภาคตะวันตกภายใต้ชื่องานThe 5th Western Motor Expo 2020โดยมีพ.ท.ดร.สินธพแก้วพิจิตรสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต1จังหวัดนครปฐมและนายกสมาคมรถบรรทุกภาคตะวันตกนายชาญนะเอี่ยมแสงผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมคณะกรรมการสมาชิกสมาคมฯและผู้ประกอบการรถบรรทุกร่วมงานเพื่อให้ผู้บริหารคณะกรรมการและสมาชิกได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันเยี่ยมชมการแสดงสินค้ากิจกรรมต่างๆและเพื่อการรณรงค์ปลูกจิตสํานึกด้านการรักษาความปลอดภัยบนท้องถนนเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในวันที่18มกราคม2563เวลา09.30น.ณบริเวณองค์พระปฐมเจดีย์(ฝั่งประตูโพธิ์ทอง)จังหวัดนครปฐม
นายถาวรเสนเนียมกล่าวว่าการขนส่งทางถนนเป็นการขนส่งรูปแบบหลักโดยมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ80เมื่อเทียบกับการขนส่งในรูปแบบอื่นๆจึงส่งผลให้การเกิดอุบัติเหตุทางถนนมีจํานวนสูงขึ้นตามไปด้วยจากสถิติของกระทรวงคมนาคมโดยกรมการขนส่งทางบกที่ได้รวบรวมรายงานการเกิดอุบัติเหตุจากรถบรรทุกในช่วงเทศกาลต่างๆส่วนใหญ่มีสาเหตุจากพฤติกรรมเสี่ยงในการขับขี่แต่สถิติการเกิดอุบัติเหตุจากรถบรรทุกช่วงเทศกาลต่างๆที่ผ่านมามีสัดส่วนลดลงปัจจัยสําคัญเนื่องจากผู้ประกอบการขนส่งให้ความร่วมมือในการหลีกเลี่ยงการขนส่งสินค้าในช่วงเทศกาลเป็นอย่างดีตามแนวทางดําเนินงานของกระทรวงคมนาคมซึ่งได้กําหนดมาตรการสําคัญในการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนโดยขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการขนส่งประชาสัมพันธ์ไปยังเครือข่ายสมาชิกให้ช่วยกันปฏิบัติตามแนวทางเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลและขอขอบคุณภาคีเครือข่ายขนส่งทุกภาคส่วนที่ให้ความสําคัญกับภาครัฐในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทั้งนี้การประชุมใหญ่สามัญประจําปีของสมาคมในครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีที่กระทรวงคมนาคมจะได้สื่อสารถึงผู้ประกอบการขนส่งทุกภาคส่วนว่ากระทรวงคมนาคมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมสร้างเครือข่ายรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างเข้มแข็งต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25893
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”โชว์ผลจับขายหน้ากาก-เจลล้างมือแพงอีก 13 ราย ตามเจอทั้งในไลน์ เฟซบุ๊ก ร้านค้า [กระทรวงพาณิชย์]
|
วันเสาร์ที่ 11 เมษายน 2563
“พาณิชย์”โชว์ผลจับขายหน้ากาก-เจลล้างมือแพงอีก 13 ราย ตามเจอทั้งในไลน์ เฟซบุ๊ก ร้านค้า [กระทรวงพาณิชย์]
“พาณิชย์”โชว์ผลจับขายหน้ากาก-เจลล้างมือแพงอีก 13 ราย ตามเจอทั้งในไลน์ เฟซบุ๊ก ร้านค้า
“พาณิชย์”แถลงผลจับกุมผู้กระทําความผิดจําหน่ายหนากากอนามัย เจลล้างมือแพงเกินสมควรรวม 13 ราย เจอในกรุงเทพฯ 8 ราย ต่างจังหวัด 5 ราย เผยได้ทําการล่อซื้อและจับกุมได้ทั้งการขายผ่านไลน์ เฟซบุ๊ก ร้านค้าทั่วไป และทางโทรศัพท์ ทํายอดจับกุมรวม 298 ราย พร้อมแจ้งประชาชน หากพบเห็นการกระทําความผิด ให้แจ้งสายด่วน 1569
นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์และหัวหน้าฝ่ายสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ศูนย์ปฏิบัติการด้านการควบคุมสินค้า (ศปส)เปิดเผยว่า ณ วันที่ 10 เม.ย.2563 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 สามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์เพิ่มอีก 13 ราย โดยเป็นการจับกุมในเขตกรุงเทพฯ 8 ราย และต่างจังหวัด 5 ราย ทําให้ยอดจับกุมรวมเพิ่มขึ้นเป็น 298 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 148 ราย และต่างจังหวัด 150 ราย
ทั้งนี้ ในส่วนของกรุงเทพฯ 8 ราย แบ่งเป็นผู้กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางออนไลน์ จํานวน 3 ราย เป็นผู้จําหน่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย โดยทําการล่อซื้อและจับกุม พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 675บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13.50 บาท รวม 10,800 ชิ้น แจ้งข้อหากระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินสมควร และเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิตต่อคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ตามมาตรา 25 (5) จับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊ก 1 ราย จําหน่ายหน้ากากอนามัยกล่องละ 50 ชิ้นในราคากล่องละ 850บาท เฉลี่ยชิ้นละ 17บาท รวม 11,745 ชิ้น กระทําความผิดข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาควบคุมและราคาสูงเกินสมควร ตามมาตรา 25 (1) และมาตรา 29 อีก 1 ราย ทําการล่อซื้อผ่านทางโทรศัพท์ พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 680 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13.60 บาท แจ้งข้อหาจําหน่ายราคาสูงเกินสมควร ตามมาตรา 29 ที่เหลืออีก 5 ราย เป็นร้านค้าทั่วไป โดยทําการล่อซื้อและจับกุมร้านค้าจําหน่ายหน้ากากอนามัยนําเข้าจากประเทศเวียดนามและจีน 1 ราย จําหน่ายหน้ากากอนามัยบรรจุกล่องละ 50 ชิ้น จํานวน 41 กล่อง รวม 2,050 ชิ้น กระทําความผิดข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิตตามมาตรา 25 (5) และเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งชื่อ ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ต่อ กกร. ตามมาตรา 26
นอกจากนี้ ยังสามารถจับกุมร้านค้าทั่วไปจําหน่ายเจลล้างมือและแอลกอฮอล์ พบการกระทําความผิดในข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคา ตามมาตรา 28 จํานวน 3 ราย และอีก 1 ราย พบจําหน่ายเจลล้างมือและแอลกอฮอล์ แพงเกินราคาควบคุม ตามมาตรา 25 (1)
ส่วนในต่างจังหวัดจับกุมเพิ่ม 5 ราย ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี 1 ราย เป็นร้านค้าออนไลน์ โดยเจ้าหน้าที่ทําการการล่อซื้อและจับกุม พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคา กล่องละ 680 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13.60 บาท รวม 2,500 ชิ้นจังหวัดนครราชสีมา 1 ราย เป็นร้านค้าทั่วไปจําหน่ายหน้ากากอนามัย 10 ชิ้นต่อแพก ในราคา 200 บาท ทั้ง 2 ราย กระทําความผิดข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร ตามมาตรา 29 จังหวัดสมุทรสาคร 1 ราย เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบบริษัทผลิตเจลล้างมือ พบการกระทําความผิดข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิตต่อ กกร. ตามมาตรา 25 (5) จังหวัดเชียงใหม่ 1 ราย เป็นร้านค้าทั่วไป เจ้าหน้าที่ทําการจับกุมและยึดของกลางเป็นหน้ากากอนามัย จํานวน 50,000 ชิ้น กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยสูงเกินราคาควบคุม ตามมาตรา 25 และจังหวัดพิษณุโลก 1 ราย เป็นร้านค้าทั่วไปจําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาชิ้นละ 15.00 บาท แจ้งข้อหากระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินสมควร และไม่ปิดป้ายแสดงราคาตามมาตรา 28 และมาตรา 29
ทั้งนี้ โทษที่ผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่แจ้งต้นทุนราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิต ปริมาณคงเหลือ ตามมาตรา 25 (5) มีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะแจ้ง มาตรา 26 ข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งชื่อ ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย มาตรา 28 ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และมาตรา 29 ข้อหาขายแพงเกินสมควรมีอัตราโทษจําคุก ไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ยังคงเดินหน้าตรวจสอบและจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ และสินค้าอื่นๆ ที่กระทําความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็นสินค้าที่มีความจําเป็นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หากผู้บริโภคพบเห็นการณ์กักตุนหรือค้ากําไรเกินควร ร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด จะมีการเข้าไปตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิดทันที
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”โชว์ผลจับขายหน้ากาก-เจลล้างมือแพงอีก 13 ราย ตามเจอทั้งในไลน์ เฟซบุ๊ก ร้านค้า [กระทรวงพาณิชย์]
วันเสาร์ที่ 11 เมษายน 2563
“พาณิชย์”โชว์ผลจับขายหน้ากาก-เจลล้างมือแพงอีก 13 ราย ตามเจอทั้งในไลน์ เฟซบุ๊ก ร้านค้า [กระทรวงพาณิชย์]
“พาณิชย์”โชว์ผลจับขายหน้ากาก-เจลล้างมือแพงอีก 13 ราย ตามเจอทั้งในไลน์ เฟซบุ๊ก ร้านค้า
“พาณิชย์”แถลงผลจับกุมผู้กระทําความผิดจําหน่ายหนากากอนามัย เจลล้างมือแพงเกินสมควรรวม 13 ราย เจอในกรุงเทพฯ 8 ราย ต่างจังหวัด 5 ราย เผยได้ทําการล่อซื้อและจับกุมได้ทั้งการขายผ่านไลน์ เฟซบุ๊ก ร้านค้าทั่วไป และทางโทรศัพท์ ทํายอดจับกุมรวม 298 ราย พร้อมแจ้งประชาชน หากพบเห็นการกระทําความผิด ให้แจ้งสายด่วน 1569
นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์และหัวหน้าฝ่ายสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ศูนย์ปฏิบัติการด้านการควบคุมสินค้า (ศปส)เปิดเผยว่า ณ วันที่ 10 เม.ย.2563 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 สามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์เพิ่มอีก 13 ราย โดยเป็นการจับกุมในเขตกรุงเทพฯ 8 ราย และต่างจังหวัด 5 ราย ทําให้ยอดจับกุมรวมเพิ่มขึ้นเป็น 298 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 148 ราย และต่างจังหวัด 150 ราย
ทั้งนี้ ในส่วนของกรุงเทพฯ 8 ราย แบ่งเป็นผู้กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางออนไลน์ จํานวน 3 ราย เป็นผู้จําหน่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย โดยทําการล่อซื้อและจับกุม พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 675บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13.50 บาท รวม 10,800 ชิ้น แจ้งข้อหากระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินสมควร และเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิตต่อคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ตามมาตรา 25 (5) จับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊ก 1 ราย จําหน่ายหน้ากากอนามัยกล่องละ 50 ชิ้นในราคากล่องละ 850บาท เฉลี่ยชิ้นละ 17บาท รวม 11,745 ชิ้น กระทําความผิดข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาควบคุมและราคาสูงเกินสมควร ตามมาตรา 25 (1) และมาตรา 29 อีก 1 ราย ทําการล่อซื้อผ่านทางโทรศัพท์ พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 680 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13.60 บาท แจ้งข้อหาจําหน่ายราคาสูงเกินสมควร ตามมาตรา 29 ที่เหลืออีก 5 ราย เป็นร้านค้าทั่วไป โดยทําการล่อซื้อและจับกุมร้านค้าจําหน่ายหน้ากากอนามัยนําเข้าจากประเทศเวียดนามและจีน 1 ราย จําหน่ายหน้ากากอนามัยบรรจุกล่องละ 50 ชิ้น จํานวน 41 กล่อง รวม 2,050 ชิ้น กระทําความผิดข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิตตามมาตรา 25 (5) และเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งชื่อ ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ต่อ กกร. ตามมาตรา 26
นอกจากนี้ ยังสามารถจับกุมร้านค้าทั่วไปจําหน่ายเจลล้างมือและแอลกอฮอล์ พบการกระทําความผิดในข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคา ตามมาตรา 28 จํานวน 3 ราย และอีก 1 ราย พบจําหน่ายเจลล้างมือและแอลกอฮอล์ แพงเกินราคาควบคุม ตามมาตรา 25 (1)
ส่วนในต่างจังหวัดจับกุมเพิ่ม 5 ราย ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี 1 ราย เป็นร้านค้าออนไลน์ โดยเจ้าหน้าที่ทําการการล่อซื้อและจับกุม พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคา กล่องละ 680 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13.60 บาท รวม 2,500 ชิ้นจังหวัดนครราชสีมา 1 ราย เป็นร้านค้าทั่วไปจําหน่ายหน้ากากอนามัย 10 ชิ้นต่อแพก ในราคา 200 บาท ทั้ง 2 ราย กระทําความผิดข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร ตามมาตรา 29 จังหวัดสมุทรสาคร 1 ราย เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบบริษัทผลิตเจลล้างมือ พบการกระทําความผิดข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิตต่อ กกร. ตามมาตรา 25 (5) จังหวัดเชียงใหม่ 1 ราย เป็นร้านค้าทั่วไป เจ้าหน้าที่ทําการจับกุมและยึดของกลางเป็นหน้ากากอนามัย จํานวน 50,000 ชิ้น กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยสูงเกินราคาควบคุม ตามมาตรา 25 และจังหวัดพิษณุโลก 1 ราย เป็นร้านค้าทั่วไปจําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาชิ้นละ 15.00 บาท แจ้งข้อหากระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินสมควร และไม่ปิดป้ายแสดงราคาตามมาตรา 28 และมาตรา 29
ทั้งนี้ โทษที่ผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่แจ้งต้นทุนราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิต ปริมาณคงเหลือ ตามมาตรา 25 (5) มีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะแจ้ง มาตรา 26 ข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งชื่อ ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย มาตรา 28 ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และมาตรา 29 ข้อหาขายแพงเกินสมควรมีอัตราโทษจําคุก ไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ยังคงเดินหน้าตรวจสอบและจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ และสินค้าอื่นๆ ที่กระทําความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็นสินค้าที่มีความจําเป็นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หากผู้บริโภคพบเห็นการณ์กักตุนหรือค้ากําไรเกินควร ร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด จะมีการเข้าไปตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิดทันที
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28866
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง
|
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ ในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง
รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ ในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง
วันนี้ (16 ตุลาคม 2560) เวลา 14.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี อนุญาตให้
นายลง วิซาโล เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ ณ ห้องรับรอง 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่นายลง วิซาโล เข้ารับตําแหน่งเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจําประเทศไทย ซึ่งเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ กล่าวขอบคุณที่รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้เข้าพบในวันนี้ รองนายกรัฐมนตรียืนยันถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่แน่นแฟ้น โดยเมื่อวันที่ 8 – 9 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวาย ณ วัดพระพุทธโฆสาจารย์ กรุงพนมเปญ และได้มีโอกาสพบกับสมเด็จพิชัยเสนา เตีย บัณห์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา พร้อมทั้งแสดงความยินดีกับสมเด็จพิชัยเสนา เตีย บัณห์ ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสมาคมมิตรภาพกัมพูชา – ไทย (ฝ่ายกัมพูชา)
ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ความสัมพันธ์ทวิภาคี เอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ แสดงความประสงค์ให้ทั้งสองฝ่ายใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสนับสนุนให้มีการเปิดจุดผ่านแดน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้มีพัฒนาการที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยรองนายกรัฐมนตรีรับไว้พิจารณา และกล่าวสนับสนุนให้ทั้งสองประเทศยกระดับความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ ด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะกระชับความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่าง โดยจะผลักดันเป้าหมายการค้าให้ได้ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2563 การท่องเที่ยว รองนายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณที่ประชาชนกัมพูชาเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยเป็นจํานวนมาก และจะส่งเสริมให้ประชาชนชาวไทยเดินทางไปกัมพูชาเช่นกัน พร้อมเน้นย้ําว่ารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว อาทิ 2 Kingdoms 1 Destination ที่จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศให้เพิ่มมากขึ้น ด้านวัฒนธรรม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ขยายความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรมระหว่างไทย – กัมพูชา อาทิ การทอดกฐิน และมวย โดยรองนายกรัฐมนตรีได้แจ้งว่า มีกําหนดจะเดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดรายการมวยไทย Thai Fight ณ กัมพูชา ในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2560 ต้องการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนไทย – กัมพูชา ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ไทย – กัมพูชา มีความสัมพันธ์ที่ดีและใกล้ชิดกัน และมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับ พร้อมยังมีความร่วมมือต่าง ๆ ดําเนินอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลไทยจะสนับสนุนการทํางานและให้ความร่วมมือแก่เอกอัครราชทูต และฝ่ายกัมพูชาอย่างเต็มที่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ ในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง
รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ ในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง
วันนี้ (16 ตุลาคม 2560) เวลา 14.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี อนุญาตให้
นายลง วิซาโล เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ ณ ห้องรับรอง 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่นายลง วิซาโล เข้ารับตําแหน่งเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจําประเทศไทย ซึ่งเอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ กล่าวขอบคุณที่รองนายกรัฐมนตรีอนุญาตให้เข้าพบในวันนี้ รองนายกรัฐมนตรียืนยันถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่แน่นแฟ้น โดยเมื่อวันที่ 8 – 9 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวาย ณ วัดพระพุทธโฆสาจารย์ กรุงพนมเปญ และได้มีโอกาสพบกับสมเด็จพิชัยเสนา เตีย บัณห์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา พร้อมทั้งแสดงความยินดีกับสมเด็จพิชัยเสนา เตีย บัณห์ ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสมาคมมิตรภาพกัมพูชา – ไทย (ฝ่ายกัมพูชา)
ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ความสัมพันธ์ทวิภาคี เอกอัครราชทูตกัมพูชาฯ แสดงความประสงค์ให้ทั้งสองฝ่ายใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสนับสนุนให้มีการเปิดจุดผ่านแดน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้มีพัฒนาการที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยรองนายกรัฐมนตรีรับไว้พิจารณา และกล่าวสนับสนุนให้ทั้งสองประเทศยกระดับความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ ด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะกระชับความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่าง โดยจะผลักดันเป้าหมายการค้าให้ได้ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2563 การท่องเที่ยว รองนายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณที่ประชาชนกัมพูชาเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยเป็นจํานวนมาก และจะส่งเสริมให้ประชาชนชาวไทยเดินทางไปกัมพูชาเช่นกัน พร้อมเน้นย้ําว่ารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว อาทิ 2 Kingdoms 1 Destination ที่จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศให้เพิ่มมากขึ้น ด้านวัฒนธรรม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ขยายความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรมระหว่างไทย – กัมพูชา อาทิ การทอดกฐิน และมวย โดยรองนายกรัฐมนตรีได้แจ้งว่า มีกําหนดจะเดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดรายการมวยไทย Thai Fight ณ กัมพูชา ในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2560 ต้องการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนไทย – กัมพูชา ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ไทย – กัมพูชา มีความสัมพันธ์ที่ดีและใกล้ชิดกัน และมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับ พร้อมยังมีความร่วมมือต่าง ๆ ดําเนินอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลไทยจะสนับสนุนการทํางานและให้ความร่วมมือแก่เอกอัครราชทูต และฝ่ายกัมพูชาอย่างเต็มที่
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7440
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 2/2561
|
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 2/2561
รมต. นร. สุวพันธุ์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 2/2561 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทาง กรณีฟ้องคดี 22 เรื่อง และยุติคดี 18 เรื่อง
วันนี้ (10 พฤษภาคม 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 2/2561 สรุปสาระการประชุม ดังนี้
ที่ประชุมรับทราบผลการดําเนินกิจกรรม "ตรวจสอบความปลอดภัย เพื่อป้องกันและปราบปรามการละเมิดสิทธ์ผู้บริโภค (ช่วงเทศการสงกรานต์และปิดภาคการศึกษา)" โดยประธานพร้อมคณะผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคและสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ออกไปตรวจเยี่ยมการให้บริการเครื่องเล่นแก่ผู้บริโภค เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2561 ณ สวนสยาม เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ผลการตรวจสอบพบว่าการดูแลความปลอดภัยของเครื่องเล่นภายในสวนน้ําและสวนสนุก มีมาตรฐานตามที่กําหนดไว้ โดยมีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอย่างสม่ําเสมอ และหากมีกรณีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นจากการใช้บริการของผู้ประกอบการ ทางสวนสยาม จะมอบหมายเจ้าหน้าที่ให้ดําเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้กับผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ได้มีการกําชับให้บริษัทฯ มีการตรวจสอบความปลอดภัยของเครื่องเล่นต่าง ๆ ภายในสวนสยามอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภค เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยอย่างครบถ้วน
พร้อมกันนี้ มีมติเห็นชอบแนวทางการประชาสัมพันธ์ของสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีประเด็นสําคัญได้แก่ การประชาสัมพันธ์เชิงป้องกัน เพื่อสร้างมาตรการให้ความรู้กับผู้ประกอบธุรกิจไม่ให้กระทําผิดกฎหมาย รวมทั้ง สร้างความตระหนักรู้ให้ผู้บริโภครักษาสิทธิ์ของตนเอง รวมทั้งเสริมสร้างภาพลักษณ์ของสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะเป็นผู้ที่พิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคด้วยการสร้างเครือข่ายจากภาคประชาชนในรูปแบบ "สคบ. อาสา" ซึ่งจะมีบัตรประจําตัว สคบ. อาสา เพื่อความถูกต้องและชัดเจนในการออกไปปฏิบัติงานฯ ในการช่วยเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแส ซึ่งเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนผู้ประกอบการ และเครือข่าย สคบ. อาสา ครอบคลุมกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑลตลอดจะมีต่อยอดขยายผลไปสู่ต่างจังหวัดครอบคลุมทุกภาคของประเทศ
ตลอดจนการให้ความสําคัญกับเนื้อหาและรูปแบบของการสื่อสารงานคุ้มครองผู้บริโภคด้วยการนําเสนอที่ใช้ถ้อยคําสื่อสารไปยังผู้บริโภคด้วยข้อความประชาสัมพันธ์ที่สั้น กระชับ และเข้าใจง่ายแก่ผู้บริโภคผ่านสื่อทุกช่องทางอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ดําเนินคดีกับผู้ประกาอบธุรกิจด้านสินค้าและบริการทั่วไป เช่น ธุรกิจด้านให้สถานบริการการออกกําลังกาย บริการเสริมความงาม ธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ธุรกิจซื้อขายรถยนต์ และอุปกรณ์เครื่องครัว เป็นต้น จํานวน 18 เรื่อง รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวกับบ้านจัดสรรและคอนโด จํานวน 22 เรื่อง อีกด้วย
ตอนท้ายของการประชุม ประธานกล่าวชื่นชมที่มีการบูรณาการร่วมระหว่าง สคบ. อย. และ สตช. ที่จะให้ความคุ้มครองผู้บริโภคมีผลรวดเร็ว โดย Action Plan พร้อม กสทช. ส่งผลให้มีการระงับโฆษณาเกินจริงได้รวดเร็ว ทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้งการรีวิวสินค้าหรือบริการที่เกินจริง ซึ่งถูกระงับไปอย่างรวดเร็วสอดคล้องกับการดําเนินงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนผู้บริโภคอย่างเป็นรูปธรรม
...........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 2/2561
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 2/2561
รมต. นร. สุวพันธุ์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 2/2561 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทาง กรณีฟ้องคดี 22 เรื่อง และยุติคดี 18 เรื่อง
วันนี้ (10 พฤษภาคม 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 2/2561 สรุปสาระการประชุม ดังนี้
ที่ประชุมรับทราบผลการดําเนินกิจกรรม "ตรวจสอบความปลอดภัย เพื่อป้องกันและปราบปรามการละเมิดสิทธ์ผู้บริโภค (ช่วงเทศการสงกรานต์และปิดภาคการศึกษา)" โดยประธานพร้อมคณะผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคและสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ออกไปตรวจเยี่ยมการให้บริการเครื่องเล่นแก่ผู้บริโภค เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2561 ณ สวนสยาม เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ผลการตรวจสอบพบว่าการดูแลความปลอดภัยของเครื่องเล่นภายในสวนน้ําและสวนสนุก มีมาตรฐานตามที่กําหนดไว้ โดยมีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอย่างสม่ําเสมอ และหากมีกรณีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นจากการใช้บริการของผู้ประกอบการ ทางสวนสยาม จะมอบหมายเจ้าหน้าที่ให้ดําเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้กับผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ได้มีการกําชับให้บริษัทฯ มีการตรวจสอบความปลอดภัยของเครื่องเล่นต่าง ๆ ภายในสวนสยามอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภค เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยอย่างครบถ้วน
พร้อมกันนี้ มีมติเห็นชอบแนวทางการประชาสัมพันธ์ของสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีประเด็นสําคัญได้แก่ การประชาสัมพันธ์เชิงป้องกัน เพื่อสร้างมาตรการให้ความรู้กับผู้ประกอบธุรกิจไม่ให้กระทําผิดกฎหมาย รวมทั้ง สร้างความตระหนักรู้ให้ผู้บริโภครักษาสิทธิ์ของตนเอง รวมทั้งเสริมสร้างภาพลักษณ์ของสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะเป็นผู้ที่พิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคด้วยการสร้างเครือข่ายจากภาคประชาชนในรูปแบบ "สคบ. อาสา" ซึ่งจะมีบัตรประจําตัว สคบ. อาสา เพื่อความถูกต้องและชัดเจนในการออกไปปฏิบัติงานฯ ในการช่วยเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแส ซึ่งเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนผู้ประกอบการ และเครือข่าย สคบ. อาสา ครอบคลุมกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑลตลอดจะมีต่อยอดขยายผลไปสู่ต่างจังหวัดครอบคลุมทุกภาคของประเทศ
ตลอดจนการให้ความสําคัญกับเนื้อหาและรูปแบบของการสื่อสารงานคุ้มครองผู้บริโภคด้วยการนําเสนอที่ใช้ถ้อยคําสื่อสารไปยังผู้บริโภคด้วยข้อความประชาสัมพันธ์ที่สั้น กระชับ และเข้าใจง่ายแก่ผู้บริโภคผ่านสื่อทุกช่องทางอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ดําเนินคดีกับผู้ประกาอบธุรกิจด้านสินค้าและบริการทั่วไป เช่น ธุรกิจด้านให้สถานบริการการออกกําลังกาย บริการเสริมความงาม ธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ธุรกิจซื้อขายรถยนต์ และอุปกรณ์เครื่องครัว เป็นต้น จํานวน 18 เรื่อง รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวกับบ้านจัดสรรและคอนโด จํานวน 22 เรื่อง อีกด้วย
ตอนท้ายของการประชุม ประธานกล่าวชื่นชมที่มีการบูรณาการร่วมระหว่าง สคบ. อย. และ สตช. ที่จะให้ความคุ้มครองผู้บริโภคมีผลรวดเร็ว โดย Action Plan พร้อม กสทช. ส่งผลให้มีการระงับโฆษณาเกินจริงได้รวดเร็ว ทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้งการรีวิวสินค้าหรือบริการที่เกินจริง ซึ่งถูกระงับไปอย่างรวดเร็วสอดคล้องกับการดําเนินงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนผู้บริโภคอย่างเป็นรูปธรรม
...........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12125
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 14 ปี ที่คิดฆ่าตัวตาย สาเหตุจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ที่ จ.ชลบุรี พร้อมกำชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยดินโคลนถล่ม ที่ จ.แม่ฮ่องสอน
|
วันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561
พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 14 ปี ที่คิดฆ่าตัวตาย สาเหตุจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ที่ จ.ชลบุรี พร้อมกําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยดินโคลนถล่ม ที่ จ.แม่ฮ่องสอน
พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 14 ปี ที่คิดฆ่าตัวตาย สาเหตุจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ที่ จ.ชลบุรี พร้อมกําชับทีม One Home เร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม ที่ จ.แม่ฮ่องสอน
วันนี้ (21 ก.ย. 61) เวลา 08.30 น.นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 121/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จากกรณีเด็กหญิงวัย 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่ง มีอาการเป็นโรคซึมเศร้า คิดสั้นพยายามจะกระโดดสะพานลอยเพื่อฆ่าตัวตาย สาเหตุเกิดจากภาวะเครียดที่พ่อ-แม่ทะเลาะกันบ่อยครั้ง และมีปากเสียงกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน อีกทั้งยังโดนครูที่โรงเรียนดุ ที่จังหวัดชลบุรี นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชลบุรี (พมจ.ชลบุรี) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น ให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุด อีกทั้ง ให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องการสร้างความอบอุ่นในครอบครัว และไม่ใช้ความรุนแรงในครอบครัว อันเป็นสาเหตุในเด็กเกิดภาวะเครียด
ทั้งนี้ ปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก และคนในครอบครัว เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องรายวัน จึงขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง บุคคลใกล้ชิดในครอบครัว และทุกคนในสังคม ช่วยกันเฝ้าระวังและติดตามดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด หากประชาชนพบเห็นเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว หรือประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง
อีกกรณีกรณีเกิดเหตุการณ์น้ําป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มทับบ้านผู้อพยพศูนย์พักพิงผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ บ้านแม่ละอูน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ศพ และสูญหายอีก 3 ราย นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน (พมจ.แม่ฮ่องสอน) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. โดยเฉพาะกุลุ่มเป้าหมายของกระทรวงฯ ได้แก่ เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส
สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ กรณีเด็กชายวัย 8 ขวบ ที่กําพร้าพ่อ-แม่ และพี่ชาย จากอุบัติเหตุ ที่จังหวัดระยอง นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมพิจารณาช่วยเหลือเงินค่าเลี้ยงดูเด็กแบบครอบครัวอุปถัมภ์ระยะยาว อีกทั้ง ให้คําปรึกษา แนะนําแก่ผู้เป็นป้าที่ประสงค์จะรับตัวเด็กชายคนดังกล่าวไปดูแลต่อ เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กในภาวะซึมเศร้าอย่างถูกต้อง พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กชายอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เด็กมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น สามารถใช้ชีวิตในสังคม ได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุดต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 14 ปี ที่คิดฆ่าตัวตาย สาเหตุจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ที่ จ.ชลบุรี พร้อมกำชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยดินโคลนถล่ม ที่ จ.แม่ฮ่องสอน
วันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561
พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 14 ปี ที่คิดฆ่าตัวตาย สาเหตุจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ที่ จ.ชลบุรี พร้อมกําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยดินโคลนถล่ม ที่ จ.แม่ฮ่องสอน
พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 14 ปี ที่คิดฆ่าตัวตาย สาเหตุจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ที่ จ.ชลบุรี พร้อมกําชับทีม One Home เร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม ที่ จ.แม่ฮ่องสอน
วันนี้ (21 ก.ย. 61) เวลา 08.30 น.นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 121/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จากกรณีเด็กหญิงวัย 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่ง มีอาการเป็นโรคซึมเศร้า คิดสั้นพยายามจะกระโดดสะพานลอยเพื่อฆ่าตัวตาย สาเหตุเกิดจากภาวะเครียดที่พ่อ-แม่ทะเลาะกันบ่อยครั้ง และมีปากเสียงกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน อีกทั้งยังโดนครูที่โรงเรียนดุ ที่จังหวัดชลบุรี นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชลบุรี (พมจ.ชลบุรี) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น ให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุด อีกทั้ง ให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องการสร้างความอบอุ่นในครอบครัว และไม่ใช้ความรุนแรงในครอบครัว อันเป็นสาเหตุในเด็กเกิดภาวะเครียด
ทั้งนี้ ปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก และคนในครอบครัว เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องรายวัน จึงขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง บุคคลใกล้ชิดในครอบครัว และทุกคนในสังคม ช่วยกันเฝ้าระวังและติดตามดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด หากประชาชนพบเห็นเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว หรือประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง
อีกกรณีกรณีเกิดเหตุการณ์น้ําป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มทับบ้านผู้อพยพศูนย์พักพิงผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ บ้านแม่ละอูน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ศพ และสูญหายอีก 3 ราย นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน (พมจ.แม่ฮ่องสอน) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. โดยเฉพาะกุลุ่มเป้าหมายของกระทรวงฯ ได้แก่ เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส
สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ กรณีเด็กชายวัย 8 ขวบ ที่กําพร้าพ่อ-แม่ และพี่ชาย จากอุบัติเหตุ ที่จังหวัดระยอง นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมพิจารณาช่วยเหลือเงินค่าเลี้ยงดูเด็กแบบครอบครัวอุปถัมภ์ระยะยาว อีกทั้ง ให้คําปรึกษา แนะนําแก่ผู้เป็นป้าที่ประสงค์จะรับตัวเด็กชายคนดังกล่าวไปดูแลต่อ เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กในภาวะซึมเศร้าอย่างถูกต้อง พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กชายอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เด็กมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น สามารถใช้ชีวิตในสังคม ได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุดต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15565
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.