title
stringlengths 1
182
| text
stringlengths 1
45.8M
| source
stringclasses 5
values | __index_level_0__
int64 0
197k
|
---|---|---|---|
6 มิถุนายน
|
วันที่ 6 มิถุนายน เป็นวันที่ 157 ของปี (วันที่ 158 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 208 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2187 (ค.ศ. 1644) - ทหารแมนจูนำโดยตัวเอ่อร์กุ่น ผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิซุ่นจื้อ บุกเข้ายึดครองกรุงปักกิ่ง เป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์หมิงของประเทศจีน
พ.ศ. 2197 (ค.ศ. 1654) - พระเจ้าชาลส์ที่ 10 กุสตาฟแห่งสวีเดน เสด็จขึ้นครองราชย์
พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) - สงครามโลกครั้งที่สอง : ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ดเริ่มขึ้นเมื่อกองทัพสัมพันธมิตรกว่า 156,000 นาย ยกพลขึ้นบกที่ชายหาดนอร์ม็องดี ประเทศฝรั่งเศส เป็นการยกพลขึ้นบกครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การทหาร
พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - สมาคมบาสเกตบอลแห่งสหรัฐอเมริกาก่อตั้งขึ้นที่นครนิวยอร์ก
พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) - โครงการโซยุซ: สหภาพโซเวียตส่งยานโซยุซ 11 ขึ้นสู่อวกาศ
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - สงครามในเลบานอนเริ่มขึ้น เมื่อทหารอิสราเอลราว 60,000 นาย รุกเข้าไปในตอนใต้ของเลบานอน
พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - ประเทศมองโกเลียจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - ดาวเคราะห์น้อยขนาดประมาณ 10 เมตร ระเบิดเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้วยความรุนแรงราว 12 กิโลตันของระเบิดทีเอ็นที
พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) - เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคาร ๒ ของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ในเวลาเช้ามืด
พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) - สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานเปิดอาคารเรียนเซนต์ปีเตอร์และอาคารโกลเด้นจูบิลี่ ณ โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2045 (ค.ศ. 1502) - พระเจ้าจอห์นที่ 3 แห่งโปรตุเกส (สวรรคต 11 มิถุนายน พ.ศ. 2100)
พ.ศ. 2142 (ค.ศ. 1829) - เดียโก เบลัซเกซ จิตรกรชาวสเปน (ถึงแก่กรรม 6 สิงหาคม พ.ศ. 2203)
พ.ศ. 2372 (ค.ศ. 1829) - สุซาคุ โฮอินโบ นักเล่นหมากล้อมชาวญี่ปุ่น (ถึงแก่กรรม 10 สิงหาคม พ.ศ. 2405)
พ.ศ. 2400 (ค.ศ. 1857) - อเล็กซานเดอร์ เลียปูนอพ นักคณิตศาสตร์ชาวรัสเซีย (ถึงแก่กรรม 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461)
พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868) - โรเบิร์ต ฟัลคอน สกอตต์ นักสำรวจชาวอังกฤษ (ถึงแก่กรรม 29 มีนาคม พ.ศ. 2454)
พ.ศ. 2415 (ค.ศ. 1872) - จักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย (สวรรคต 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2461)
พ.ศ. 2444 (ค.ศ. 1901) - ซูการ์โน ประธานาธิบดีคนแรกของอินโดนีเซีย (ถึงแก่กรรม 21 มิถุนายน พ.ศ. 2513)
พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) - ศิริมาบังอร เหรียญสุวรรณ พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (สิ้นชีพิตักษัย 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518)
พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) - สมเด็จพระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 2 แห่งเบลเยียม
พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - ชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และรองนายกรัฐมนตรีของไทย (ถึงแก่กรรม 21 มกราคม พ.ศ. 2556)
พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) - เบอร์นาเบ้ วิลลาแคมโป นักมวยชาวฟิลิปปินส์
พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) - ดู๋ ดอกกระโดน นักแสดงตลกชาวไทย
พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) - บียอร์น บอร์ก นักเทนนิสชาวสวีเดน
พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) - ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์ ผู้กำกับละคร นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) - เจสัน ไอแซ็กส์ นักแสดงชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - เด่นชัย สายสุพรรณ นักร้องลูกทุ่งชาวไทย
พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) - ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - จามจุรี เชิดโฉม นักแสดงและนางแบบหญิงชาวไทย
พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - สมเด็จพระราชินีอินคอซิกาติ ลามัตเซบูลา
พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - อานนท์ สายแสงจันทร์ นักร้อง , นักแต่งเพลง นักดนตรี และนักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) -
* ซอนยา วาลเกอร์ นักแสดงชาวอังกฤษ
* รัตนพล ส.วรพิน นักมวยชาวไทย
พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - พนมกร ตังทัตสวัสดิ์ นักแสดงชายไทย และนักร้องชาวไทย
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - แจ็กซ์สัน ไรเกอร์ นักแสดง, นักเพาะกายและนักมวยปล้ำอาชีพชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) -
* วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย
* ธนา ชะนะบุตร นักฟุตบอลชาวไทย
* อตันด์วา กานี นักแสดงชาวแอฟริกาใต้
พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - เซบาสเตียน ลาร์สสัน นักฟุตบอลชาวสวีเดน
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) -
* คิมฮยอนจุง หัวหน้าวง SS501 และนักแสดง ชาวเกาหลีใต้
* ซิกปวน โซฟี หลุยส์ โยฮันส์สัน
พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - รูบิน โอโคเทีย นักฟุตบอลชาวออสเตรีย
พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) -
* ธีรศิลป์ แดงดา นักฟุตบอลทีมชาติไทย
* เนหา กักกร นักร้องหญิงชาวอินเดีย
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) -
* เกวิน ฮอยต์ นักฟุตบอลทีมชาติตรินิแดดและโตเบโก
* ไรอัน ฮิกา ยูทูเบอร์สัญชาติอเมริกัน
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ซนดงอุน นักร้องวง BEAST ชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - คิมฮยอนอา นักร้องวง 4Minute ชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - ไอแซค ฮันนี นักฟุตบอลอาชีพชาวกานา
พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - จูเลียน กรีน นักฟุตบอลชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - ชานน สันตินธรกุล นักแสดงชายชาวไทย
พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - อีดงฮยอก (แฮชาน) นักร้องชาวเกาหลีใต้ วงเอ็นซีที,เอ็นซีที 127,เอ็นซีทีดรีม
พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - ธีรภัทร พุทธานุ นักแสดงชายชาวไทย
พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ นักแสดงหญิงชาวไทย
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 2342 (ค.ศ. 1799) - แพทริก เฮนรี นักการเมืองชาวอเมริกัน (เกิด 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2279)
พ.ศ. 2404 (ค.ศ. 1861) - คามิลโล เบนโซ ดิ คาวัวร์ นายกรัฐมนตรีอิตาลี (เกิด 10 สิงหาคม พ.ศ. 2353)
พ.ศ. 2419 (ค.ศ. 1876) - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบงเบิกบาน พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ประสูติ 1 มีนาคม พ.ศ. 2402)
พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) - หยวน ซื่อไข่ ประธานาธิบดีคนที่ 2 แห่งสาธารณรัฐจีน (เกิด 16 กันยายน พ.ศ. 2402)
พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - แกร์ฮาร์ท โยฮัน โรแบร์ท เฮาพ์ทมันน์ นักเขียนชาวเยอรมัน (เกิด 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2405)
พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) - ไฮแรม บิงแฮม นักโบราณคดีและนักการเมืองชาวอเมริกัน (เกิด 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2418)
พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - คาร์ล ยุง นักจิตวิทยาและจิตแพทย์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ (เกิด 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2418)
พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - หม่อมเจ้าชัชวลิต เกษมสันต์ นายกสมาคมฟุตบอลไทย (ประสูติ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2437)
พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - ทวี ณ บางช้าง ผู้กำกับภาพยนตร์และนักแต่งเพลงชาวไทย
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - สแตน เก็ตส์ นักดนตรีชาวอเมริกัน (เกิด 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469)
พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) - สัมพันธ์ พันธุ์มณี ศิลปินผู้มีความรู้ความสามารถในด้านนาฏศิลป์ไทย (เกิด 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2470)
พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) - คิมโบ สไลซ์ นักต่อสู้แบบผสมชาวอเมริกันเชื้อสายบาฮามาส (เกิด 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517)
พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) - เออิจิ เนงิชิ นักเคมีชาวญี่ปุ่น (เกิด 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2478)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
วันชาติสวีเดน
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
มิถุนายน 06
มิถุนายน
|
thaiwikipedia
| 2,003 |
ขงจื๊อ
|
ขงจื๊อ (; Confucius ; ภาษาไทยมีเรียกกันหลายชื่อ เช่น ขงฟู่จื่อ ขงบรมครูจื่อ ข่งชิว) (ตามธรรมเนียม, 8 กันยายน 551 – 479 ปีก่อน ค.ศ.) 8 ปีก่อนพุทธศักราช หรือ วันที่ 27 เดือน 8 (八月廿七日) ตามปฏิทินทางจันทรคติของจีน ชื่อรอง จ้งหนี เป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมที่มีชื่อเสียงของจีน คำสอนของขงจื๊อนั้น ฝังรากอิทธิพลลึกลงไปในสังคมเอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาถึง 20 ศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อนั้นเน้นเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนตัว และศีลธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะสมของความสัมพันธ์ในสังคม และ ความยุติธรรมและบริสุทธิ์ใจ
== ชีวประวัติโดยสังเขป ==
บรรพชนของขงจื๊อสืบเชื้อสายจากเจ้าผู้ครองแคว้นซ่ง(宋国)ซึ่งเป็นหนึ่งในสายราชนิกุลแห่งราชวงศ์ซาง(商朝)บรรพชนรุ่นต่อมาได้รับราชการเป็นขุนนางชั้นสูงของแคว้นซ่งมาหลายชั่วคน แต่ด้วยเหตุความวุ่นวายทางการเมืองจึงลี้ภัยมาอยู่ที่แคว้นหลู่(鲁国)บิดาของขงจื๊อมีนามว่า ข่งเหอ(孔纥)หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ซูเหลียงเหอ(叔梁纥)เป็นผู้มีการศึกษาและชำนาญยุทธ์รูปร่างสูงใหญ่กำยำ รับราชการในแคว้นหลู่ และเคยเข้าร่วมกับกองทัพปกป้องบ้านเมืองจาการรุกรานของต่างแว่นแคว้นถึง 2 ครั้ง เขามีภรรยา 3 คน ภรรยาคนแรกให้กำเนิดบุตรสาว 9 คน ส่วนภรรยาคนที่สอง ถึงแม้จะให้กำเนิดบุตรชายคนแรก แต่ก็พิการทางขาตั้งแต่ยังเด็ก ซูเหลียงเหอในวัย 66 ปีจึงต้องแต่ง เหยียนเจิงไจ้(颜征在 บางตำราเขียนว่า 颜征)เป็นภรรยาคนที่สาม เพื่อมีทายาทสืบสกุลอย่างสมบูรณ์
ขงจื๊อเดิมชื่อว่า ชิว(丘)ชื่อรอง จ้งหนี(仲尼) เป็นชาวเมืองโจวอี้(陬义)ในแคว้นหลู่ ปัจจุบันคือเมืองชวีฟู่(曲阜)ในมณฑลซานตง[(山东)ท่านเกิดในยุคชุนชิว(春秋)เมื่อ 551 ปีก่อนคริสตกาล (8 ปีก่อนพ.ศ.) ถึงแก่กรรมเมื่อ 479 ปีก่อนคริสตกาล (พ.ศ. 64) สิริอายุ 73 ปี
ใน ‘บันทึกประวัติศาตร์สื่อจี้ บทตระกูลขงจื๊อ’ >ได้บันทึกไว้ว่า ขงจื๊อสูงประมาณ 2 เมตร เรียกได้ว่าเป็น ‘ผู้สูงใหญ่’ อย่างแท้จริง ตามคำร่ำลือกำลังแขนของขงจื๊อแข็งแรงยิ่งนัก คุณลักษณะทางกายภาพเหล่านี้ ขงจื๊อได้รับถ่ายทอดจากผู้เป็นบิดาซึ่งไม่ตรงกับภาพลักษณ์ที่คนรุ่นหลังกล่าวกันว่า ขงจื๊อเป็นปัญญาชนที่ร่างกายอ่อนแอ เพราะท่านชำนาญทั้งเกาทัณฑ์และขี่ม้า นอกจากนี้ ความสามารถในการดื่มสุราก็เหนือกว่าใคร
เมื่อขงจื๊ออายุได้ 3 ขวบ บิดาก็เสียชีวิต เหยียนเจิงไจ้ทนการกดขี่ของภรรยาหลวงไม่ไหว จึงพาบุตรชายสองคนไปใช้ชีวิตตามลำพัง นางอบรมเลี้ยงดูบุตรทั้งสองอย่างดี ให้ความสำคัญกับการศึกษาหาความรู้ โดยได้รับความช่วยเหลือจากบิดาของนาง มารดาและผู้เป็นตาจึงเป็นผู้ปลูกฝังความใฝ่รู้ให้กับขงจื๊อตั้งแต่ยังเยาว์วัย สิ่งที่ขงจื๊อเล่าเรียนในขณะนั้นคือ จารีต ประเพณี ธรรมเนียมปฏิบัติ และพิธีกรรมของชนชั้นสูงและผู้มีฐานะในสังคมสมัยราชวงศ์โจว เมื่อขงจื๊ออายุ 15 ปี ก็ตั้งปณิธานใฝ่ศึกษาศิลปวิชาแขนงต่าง ๆ ดังที่มีบันทึกในหนังสือ ‘วาทะวิจารณ์ของขงจื๊อ’ > ว่า “ข้าอายุ 15 ก็ตั้งมั่นในการศึกษา” (吾十有五而志于学)
พออายุ 17 ผู้เป็นมารดาจากไป ขงจื๊อเลี้ยงชีพด้วยการเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในแคว้นหลู่ ทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานดูแลคลังเสบียงและเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ ตามลำดับ นอกจากนี้ จวนขุนนางหรือคหบดีคนใดมีงานมงคลหรืออวมงคล ก็จะไปเป็นผู้ทำพิธีกรรมให้ ด้วยอุปนิสัยที่ใฝ่รู้ท่านจึงมุ่งมานะหมั่นศึกษามาโดยตลอด อายุ 20 กว่าก็สนใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง มักถกปัญหาและให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับบ้านเมืองแก่บรรดานักปกครอง จนได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ผู้รอบรู้และสันทัดในนิติธรรมเนียม (礼)’ ดังเช่น ครั้นเมื่อเจ้าผู้ครองแคว้นฉี พระนามว่า ‘ฉีจิ่งกง’ (齐景公) เดินทางมาเยือนแคว้นหลู่ พร้อมกับเสนาบดีผู้กระเดื่องนามในประวัติศาตร์นามว่า ‘เยี่ยนอิง’(晏婴)ทั้งสองได้เชิญขงจื๊อเข้าพบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมือง
ขงจื๊อถนัดในการศึกษาเรียนรู้ข้อดีของคนอื่น ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า “สามคนร่วมเดิน จักต้องมีอาจารย์ของเราเป็นแน่ จงเลือกที่ดีเพื่อเอาอย่าง ส่วนที่ไม่ดีก็จงนำมาแก้ไขปรับปรุงตน”(三人行,必有一师焉。择其善者而从之,其不善者而改之)และยังเห็นว่า “ผู้มีความรู้ต้องพร้อมด้วยวรยุทธ์ ผุ้มีวรยุทธ์ต้องพร้อมด้วยความรู้”(有文事者必有武备,有武事者必有文备)ซึ่งก็ต้องเป็นผุ้รอบรู้นั่นเอง ความขยันหมั่นเพียรศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่เยาว์วัย เป็นการสั่งสมความรู้ความสามารถสำหรับการสร้างระบบแนวคิด และปูพื้นฐานที่มั่นคงในการถ่ายทอดความรู้แก่ลูกศินย์ ทำให้ขงจื๊อเป็นผู้รอบรู้ในยุคสมัยนั้นและมีผู้มาฝากตัวเป็นศินย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ครั้นอายุ 35 แคว้นหลู่เกิดศึกการเมืองภายในจากการแย่งชิงอำนาจกันเองของผู้ปกครอง ขงจื๊อจึงเดินทางไปยังแคว้นฉีด้วยความคาดหวังว่า เจ้าผุ้ปกครองแคว้นฉีจะสนใจแนวคิดการปกครองของตน แต่ต้องผิดหวังที่เจ้าผู้ปกครองแคว้นไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควร ทั้งยังมีขุนนางคอยกลั่นแกล้งและกีดกัน ท่านจึงกลับมายังแคว้นหลู่หลังจากที่อยู่แคว้นฉีได้ราวหนึ่งปี และดำเนินชีวิตเป็นครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่บรรดาสานุศินย์ทั้งหลาย
ขงจื๊อในวัย 51-54 ปีใช้ชีวิตวัยกลางคนคลุกคลีกับการปกครองบ้านเมืองอย่างเต็มตัว ด้วยการดูแลท้องที่เล็ก ๆ แห่งหนึ่งจากนั้นไม่นานก็ได้เป็นผู้คุมการโยธา และผู้ดูแลกฎหมายและการลงทัณฑ์ของแคว้นหลู่ ตามลำดับ ท่านทุ่มเทกับงานและปรารถนาให้มีการปกครองที่ดี บ้านเมืองสงบสุข แต่ต้องผิดหวังกับการเมืองภายในแคว้น จึงได้ลาออกและเดินทางเยือนแว่นแคว้นต่าง ๆ เผยแพร่แนวความคิดทางการปกครอง ด้วยความคาดหวังให้บรรดาผู้ปกครองยึดหลักธรรมในการบริหารบ้านเมือง สังคมเป็นระเบียบแบบแผนและสงบสุข แม้จะรู้ว่าเป้นไปได้ยากในสภาพบ้านเมืองเวลา 14 ปี จนกระทั่งอายุได้ 67 ปี จึงเดินทางกลับแคว้นหลู่ และเสียชีวิตเมื่ออายุ 73 ปี
ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่เดินทางเยือนผู้ปกครองของแว่นแคว้นต่าง ๆ เพื่อแนะแนวทางการบริหารบ้านเมือง ขงจื๊อประสบกับอุปสรรคนานัปการ ไม่ว่าจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ใส่ร้ายป้ายสี ปองร้าย ควบคุมตัว และแนวความคิดก็ไม่เป็นที่ยอมรับ เนื่องจากสวนทางกับสภาพบ้านเมืองและสังคมในขณะนั้นที่เจ้าครองแคว้นต่างคำนึงถึงผลประโยชน์ความอยู่รอดของแคว้นตน แต่ท่านก็ไม่ลดละความมุ่งมั่นและความกระตือรือร้นที่ต้องการมีส่วนร่วมสร้างสังคมที่ดี ยินดีที่จะอุทิศตนเพื่อประชาชน ท่านกล่าวว่า “ผู้มีปณิธานและมนุษยธรรมจะไม่ทำลายมนุษยธรรมเพียงเพื่อแลกกับการมีชีวิต จะมีแต่อุทิศชีวิตตนเพื่อให้บรรลุมนุษยธรรม”
== หลักความรู้ ==
ศาสตร์สี่แขนง : ที่ขงจื๊อวางรากฐานไว้ ได้แก่ วัฒนธรรม ความประพฤติ ความจงรักภักดี และ ความซื่อสัตย์ โดยวัฒนธรรมเน้นถึงการเคารพบรรพบุรุษและพิธีการโบราณ ยึดถือผู้อาวุโสเป็นหลัก แต่ไม่ยึดติดหรืออายที่จะหาความรู้จากคนที่ต่ำชั้นหรืออายุน้อยกว่า
แปดหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้ : ได้แก่ สำรวจตรวจสอบ ขยายพรมแดนความรู้ จริงใจ แก้ไขดัดแปลงตน บ่มความรู้ ประพฤติตามกฎบ้านเมือง ประเทศต้องได้รับการดูแล นำความสงบสุขมาสู่โลก
ลำดับการเรียนรู้ : ได้แก่ พิธีกรรม ดนตรี ยิงธนู ขี่ม้า ประวัติศาสตร์ และ คณิตศาสตร์
คุณธรรมทั้งสาม : ที่ได้จากการเรียนรู้ ได้แก่ ภูมิปัญญา เมตตากรุณา และความกล้าหาญ
สี่ขั้นตอนหลักการสอน : ได้แก่ ตั้งจิตใจไว้บนมรรควิธี ตั้งตนในคุณธรรม อาศัยหลักเมตตาเกื้อกูล สร้างสรรค์ศิลปะใหม่
สี่ลำดับการสอน : ได้แก่ คุณธรรมและความประพฤติ ภาษาและการพูดจา รัฐบาลและกิจการบ้านเมือง และสุดท้ายคือวรรณคดี
== เนื้อหาปรัชญาของขงจื๊อ ==
ปรัชญาปัจเจกชน :
ขงจื๊อสอนว่า ความเจริญหรือความเสื่อมของโลก ของสังคมเกิดมาจากปัจเจกชนหรือแต่ละบุคคลเป็นรากฐาน เพราะฉะนั้นรัฐจะต้องพัฒนาคนให้ดีเสียก่อน แล้วสังคม ประเทศ ตลอดถึงโลกก็จะดีขึ้นตามโดยอัตโนมัติ ขงจื๊อเชื่อว่า การที่จะเป็นคนดีได้นั้น ประการแรก จะต้องได้รับการศึกษา การได้รับการศึกษาจากสถาบันการศึกษาหรือจะศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองก็ได้ การศึกษาก็จะทำให้คนฉลาดขึ้น สามารถแยกแยะระหว่างสิ่งดีและสิ่งชั่วร้าย ว่าสิ่งไหนควรทำและไม่ควรทำ อะไรเป็นไปเพื่อความเจริญ อะไรเป็นไปเพื่อความเสื่อม เมื่อรู้แล้วก็จะหาทางหลีกเลี่ยงความเสื่อมแล้วดำเนินไปสู่ความเจริญ ขงจื๊อเชื่อว่าทุกคนมีอัธยาศัยใกล้เคียงกัน แต่ที่มาแตกต่างกัน เป็นคนดี คนชั่ว คนฉลาด คนโง่ ก็เพราะการศึกษาอบรม อย่างเช่น คนที่มีการศึกษาอบรม ก็ย่อมจะรู้จักปรับปรุงตนให้ดีขึ้น สละความไม่ดีทิ้งออกไป เหล่านี้เป็นต้น ก็จะเป็นผลให้เป็นคนดี แต่ถ้าไม่เป็นตามนี้ ก็เป็นคนชั่ว ดังที่ขงจื๊อ กล่าวว่า
“การไม่อบรมตนให้มีคุณธรรมหนึ่ง การไม่เสาะแสวงหาความรู้หนึ่ง ประสบความชอบธรรมแล้วไม่อนุวัตรตามความชอบธรรมนั้นหนึ่ง การไม่สละความผิดด้วยการปรับปรุงตนใหม่หนึ่ง ทั้งหมดนี้เป็นความทุกข์ของฉัน”
คนที่ฉลาดย่อมปรับปรุงตนเองให้สูงขึ้นอยู่เสนอ ทั้งสามารถหาสาระได้จากสิ่งที่ไม่น่ามีสาระ อย่างที่ขงจื้อกล่าวว่า “ในจำนวนคน 3 คนที่เดินมาด้วยกัน จะต้องมีคนที่สามารถเป็นครูของฉันได้ จงเลือกเอาแต่จุดที่ดีของเขามาปฏิบัติ ส่วนจุดที่เสียก็จงละเว้น” หรือขงจื๊อกล่าวไว้ว่า
“จงร่อนเอาความดีออกจากสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านได้ยิน และปฏิบัติตามความดีเหล่านั้น จงร่อนเอาความดีออกจากสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านได้เห็นและจำความดีเอาไว้”
ขงจื๊อมีความเห็นว่า คนดีจะต้องช่วยกันรักษาจารีตประเพณีตลอดถึงมารยาทที่ดีงามไว้ เพราะเรื่องเหล่านี้ได้ผ่านการกลั่นกรองและทดสอบด้วยกาลเวลามาแล้ว จารีตประเพณีตลอดถึงมารยาทที่ดีงามจะทำให้เป็นอารยชน ไม่ป่าเถื่อน และจะช่วยให้คนก้าวหน้าไปสู่ความเจริญยิ่งขึ้นต่อไป และที่สำคัญยิ่ง คนดีจะต้องมีหลักธรรมประจำใจ ยึดมั่นในคุณธรรม เช่น ความขยันหมั่นเพียร ความซื่อสัตย์สุจริต ความยุติธรรม ความกล้าหาญ ความเมตตากรุณา เป็นต้น คนดีจะต้องเทิดทูนคุณธรรมไว้ยิ่งชีวิต ดังที่ขงจื้อกล่าวว่า “บัณฑิตย่อมเห็นแก่คุณธรรมยิ่งกว่าปากท้อง” หรือ “บัณฑิตผู้มีธรรม ย่อมไม่ทำลายธรรมเพราะเห็นแก่ชีวิต แต่ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมไว้”
ขงจื๊อสนับสนุนให้คนเทิดทูนธรรมยิ่งกว่าชีวิต ข้อนี้ตรงกับโซเครตีส นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ของกรีก และตัวโซเครตีสเอง ก็ได้ปฏิบัติเป็นตัวอย่างมาแล้ว หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเชิดชูคุณธรรมเช่นกัน แสดงว่าคุณธรรมมีคุณค่าเหนือสิ่งใด ๆ ขงจื๊อได้กล่าวถึงคุณธรรมที่เป็นไปเพื่อความสุข ความเจริญไว้เป็นอเนกนัย เช่น
“สิ่งเหล่านี้บัณฑิตคอยต่อต้าน คือ กามตัณหาในเนื้อหนังในวัยหนุ่ม การระรานในวัยฉกรรจ์ และความละโมบในวัยชรา”
“บัณฑิตย่อมคิดถึงแต่อุปนิสัยของตน ส่วนคนพาลคิดแต่ตำแหน่งของตน ฝ่ายแรกคิดหาวิธีแก้ไขความผิด แต่ฝ่ายหลังคิดถึงแต่ความโปรดปราน”
“บัณฑิตแสวงหาสิ่งที่เป็นความถูกต้อง ส่วนคนพาลเสาะแสวงหาแต่ผลประโยชน์”
“คุณสมบัติแก่นสาร 4 อย่างของวีรชน คือ เขาเป็นคนถ่อมตน เคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ มีความกรุณาต่อคนทั่วไป และเป็นคนยุติธรรมเสมอ”
ปรัชญาสังคม :
สังคมมิใช่อื่นไกล ก็คือการรวมตัวของปัจเจกชนนั่นเอง คนเรามิใช่อยู่โดดเดี่ยว จะต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นด้วย เมื่อมีความเกี่ยวข้องกัน สังคมก็เกิดขึ้น และเมื่อมีความเกี่ยวข้องกัน ก็จำเป็นต้องมีหลักในการปฏิบัติต่อกัน เป็นเหตุให้เกิดปรัชญาสังคมขึ้นมา ขงจื๊อได้จัดความเกี่ยวข้องหรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 5 ประเภท พร้อมทั้งหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติต่อกันดังต่อไปนี้
1. ผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้การปกครอง โดยผู้ปกครองผู้ปกครองแสดงความนับถือให้เกียรติ ส่วนผู้อยู่ใต้ปกครองก็ต้องจงรักภักดี
2. บิดามารดากับบุตรธิดา โดยบิดามารดาให้ความเมตตากรุณา ส่วนบุตรธิดาก็มีความกตัญญูกตเวที
3. สามีกับภรรยา โดยสามี มีคุณธรรม ฝ่ายภรรยาก็ต้องเชื่อฟัง
4. พี่กับน้อง โดยที่วางตัวให้สมกับเป็นพี่ ส่วนน้องก็เคารพเชื่อฟัง
5. เพื่อนกับเพื่อน ต่างก็ต้องทำตัวให้น่าเชื่อถือและไว้วางใจกันได้
ขงจื๊อมีความเห็นว่า ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นในสังคม ก็เพราะคนไม่ทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ เช่น บิดามารดาไม่เลี้ยงดูบุตรธิดาให้ดี บุตรธิดาก็ไม่มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา สามีกับภรรยาต่างนอกใจกัน เป็นต้น ผลก็คือความเดือดร้อนต่าง ๆ ก็จะมาตกแก่สังคม ทำให้สังคมเดือดร้อน แต่ตรงกันข้าม หากทุกคนทำตามหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ปัญหาความวุ่นวายของสังคมก็จะหมดไป เพราะฉะนั้นการทำหน้าที่ของตนให้ดีจึงสำคัญ ดังที่ขงจื๊อว่า “กษัตริย์ต้องทำหน้าที่ของกษัตริย์ให้สมบูรณ์ ขุนนางต้องทำหน้าที่ขุนนางให้สมบูรณ์ บิดามารดาทำหน้าที่บิดามารดาให้สมบูรณ์ บุตรธิดาก็ทำหน้าที่บุตรธิดาให้สมบูรณ์”
การที่แต่ละคนจะทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ได้ ก็เพราะมีใจตั้งอยู่บนคุณธรรมพื้นฐาน คือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นสัตว์อื่นก็ฉันนั้น การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ภาษาจีนเรียกว่า “ซู่” (恕) อย่างเช่น ครั้งหนึ่งจื้อกงถามขงจื๊อว่า “จะมีคำสักคำไหมที่จะนำมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต”
ปรัชญาสังคมของขงจื๊อ ก็ทำนองเดียวกับคำสอนในพุทธศาสนาที่เรียกว่า คิหิปฏิบัติ ตอนที่ว่าด้วยทิศ 6 ได้แก่ ทิศตะวันออก คือบิดามารดา ทิศใต้ คือ ครู-อาจารย์ ทิศตะวันตก บุตร ภรรยา ทิศเหนือ มิตรสหาย ทิศเบื้องบน นักบวช และทิศเบื้องต่ำ ข้าทาส บริสาร หรือผู้น้อย ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ย่อมจะมีความเกี่ยวข้องกันในฐานะใด ฐานะหนึ่ง หรือหลายฐานะ ใครอยู่ในฐานะไหนก็ต้องทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ อย่างเช่น
บิดา มารดา มีหน้าที่ต้องทำต่อบุตรธิดา คือ
1.ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว
2.ให้ตั้งอยู่ในความดี
3.ให้การศึกษาศิลปวิทยา
4.หาคู่ครองที่สมควรให้
5.มอบมรดกให้เมื่อถึงเวลา
ส่วนบุตรธิดา ก็ต้องทำหน้าที่ของตนต่อบิดามารดา คือ
1.เลี้ยงดูท่านตอบ
2.ช่วยทำกิจธุระของท่าน
3.ดำรงวงศ์ตระกูลของท่าน
4.ประพฤติตัวให้สมควรรับมรดก
5.เมื่อบิดามารดาสิ้นชีพไปแล้วก็หมั่นทำบุญอุทิศไปให้ท่าน เหล่านี้เป็นต้น
ปรัชญาด้านการเมือง :
สังคมทั้งหลายเมื่อมารวมกัน ก็เป็นเหตุให้เกิดรัฐขึ้นมา เมื่อมีรัฐหรือประเทศก็ต้องมีผู้ปกครองหรือรัฐบาล คอยปกครองดูแลสังคมให้เป็นไปอย่างปกติสุขและเจริญก้าวหน้าต่อไป แต่ก็เป็นความจริงว่า ยังมีผู้ปกครองหรือรัฐบาลที่ไม่ดีอยู่มาก ใช้วิธีกดขี่ทารุณประชาชน ทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อนมาก อย่างเช่น คราวหนึ่งขงจื๊อพาคณะเดินทางไปรัฐฉี (齐国) ขณะที่ผ่านป่าใหญ่ใกล้เชิงเขาไท่ซาน (泰山) ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของหญิงคนหนึ่ง ขงจื๊อจึงพูดขึ้นว่า ”เสียงร้องไห้ ฟังโหยหวนโศกาดูรยิ่งนัก หญิงผู้นั้นคงจะมีทุกข์หนักเป็นแน่แท้” จึงใช้ให้จื่อก้งไปถาม หญิงคงนั้นได้ตอบจื่อก้งว่า “น้าชายของฉันถูกเสือกัดตายไม่นานนี้ ต่อมาสามีของฉันก็ถูกเสือกัดตาย ครั้นมาบัดนี้ลูกชายของฉันต้องมาตายเพราะถูกเสือกัดอีก”
จื่อก้ง “ก็ทำไมไม่ย้ายบ้านหนีไปเล่า”
หญิงคนนั้นตอบว่า “ก็ที่นี่ไม่มีรัฐบาลที่กดขี่ทารุณนะซี”
จื่อก้งจึงนำความมาบอกขงจื๊อ ขงจื๊อฟังด้วยความสลดใจ ได้กล่าวขึ้นว่า “ศิษย์ทั้งหลาย จงจำไว้เถิด อันรัฐบาลที่กดขี่ทารุณนั้น มันร้ายยิ่งกว่าเสือเสียอีก”
ขงจื๊อได้รับความกระทบกระเทือนใจมากจากเรื่องที่ฟังมา จึงคิดหาทางที่จะให้มีนักปกครองหรือรัฐบาลที่ดีให้จงได้ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปรัชญารัฐหรือปรัชญาการเมืองขึ้นมา โดยส่วนตัว ขงจื๊อนิยมชมชอบรัฐศาสตร์จารีต นิติธรรมเนียมโบราณ สมัยพระเจ้าเงี้ยว พระเจ้าซุ่น พระเจ้าอู๊ และราชวงศ์โจว โดยเฉพาะก็ โจงกง รัฐบุรุษเชื้อสายราชวงศ์โจวเป็นบุคคลแบบอย่างในอุดมคติของขงจื๊อ ขงจื๊อจึงพยายามบำเพ็ญตนให้เหมือนโจวกง ทั้งเทิดทูลพระเกียรติคุณของกษัตริย์ดังกล่าวมานั้น ขงจื๊อได้เสนอปรัชญาการเมืองขึ้นมา มีเป้าหมายเพื่อนำสันติสุขและความเจริญมาให้ประชาชนเป็นที่ตั้ง เหตุที่สำคัญที่จะบันดาลให้บรรลุถึงผลดังกล่าวได้ก็อยู่ที่ตัวผู้นำ หากได้ผู้นำเป็นคนดีมีความรู้ก็สามารถทำให้สัมฤทธิผลได้ เพราะฉะนั้นขงจื๊อจึงให้ความสำคัญในการพัฒนาผู้นำเป็นการใหญ่ แต่ทำอย่างไรจึงจะสามารถสร้างผู้นำที่ดีให้เกิดมีขึ้น
ขงจื๊อเชื่อว่า การที่จะสร้างให้เป็นคนดี ประการแรกจะต้องให้การศึกษาอบรมเสียก่อน วิชาที่ขงจื๊อสอนมีหลายวิชา หรือที่เรียกว่าศาสตร์ทั้ง 6 ซึ่งก็มีประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ธรรมชาติวิทยา นิติธรรมเนียม กวีนิพนธ์ ดนตรี เพราะนิติธรรมเนียมประเพณีตลอดถึงมารยาททางสังคมเป็นแนวทางให้คนดำเนินไปสู่ความเป็นอารยชนเป็นคนเมือง มิใช่คนป่า ส่วนวิชากวีนิพนธ์ก็เพื่อให้ใจเห็นความงามและเป็นระเบียบ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจนำไปสู่การคิดคำนึงถึงความทรงจำเก่า ๆ ทั้งเป็นการเสริมสร้างการสมาคมและเป็นการระบายความไม่สมหวังของคนได้ด้วย ส่วนวิชาดนตรีก็เพื่อให้ซาบซึ้งถึงความไพเราะ ความกลมกลืนกัน ดนตรีมิเพียงแต่ทำความรู้สึกนึกคิดให้กลมกลืนกันเท่านั้น แต่ยังนำความสับสนวุ่นวายของสังคมไปสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย วิชาทั้ง 3 นี้ เป็นไปเพื่อกล่อมเกลาใจคนให้อ่อนโยนละมุนละไม เหมาะที่จะปลูกให้มีคุณธรรมต่อไป ขงจื๊อได้กล่าวว่า “อุปนิสัยของคนอาจปลูกฝังขึ้นได้ด้วยกวีนิพนธ์เสริมสร้างให้มั่งคงด้วยจารีตประเพณี และทำให้สมบูรณ์ได้ด้วยดนตรี”
ความเป็นไปของขงจื๊อหลายอย่างคล้ายกับโซเครตีส อย่างเช่น ขงจื๊อและโซเครตีสชอบเสาะแสวงหาความรู้อย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งพยายามสั่งสอนอบรมคนอย่างไม่เบื่อหน่าย โซเครตีสกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้อย่างเดียวว่าข้าพเจ้าไม่รู้” ("I know that I know nothing" หรือ "I know one thing: that I know nothing") ส่วนขงจื๊อก็กล่าวว่า “ลักษณะผู้รู้คือผู้รู้ตัวว่ารู้อะไรบ้างและไม่รู้อะไรบ้าง“ ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า เมื่อข้าพเจ้าสอนอะไร หากท่านรู้ก็บอกว่ารู้ เมื่อไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ นั่นแหละคือความรู้ (”知之为知之,不知为不知,是知也”)ข้อนี้ก็ตรงกับคำสอนในศาสนาคริสต์ ที่พระเยซูสอนไม่ให้สบถสาบาน แต่ให้พูดตามความจริง ถ้าใช่ก็ว่าใช่ ถ้าไม่ก็ว่าไม่พูดเท่านี้พอแล้ว คำพูดที่เกินกว่านี้ย่อมมาจากความชั่ว (มัทธิว ๕ : ๓๓-๓๗) โซเครติสเที่ยวสั่งสอนอบรมคนให้เป็นฉลาดและเป็นคนดี ดังที่เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะอยู่ในกรุงเอเธนส์ตามเทวบัญชา จะคอยชักนำชาวเอเธนส์ให้ทำความดีตลอดเวลา จะอยู่กับท่านไม่จากไป ดุจตัวไรไม่พรากไปจากม้า… ข้าพเจ้าทำตัวเหมือนบิดาหรือพี่ชายใหญ่ คอยให้โอวาทเพื่อดำเนินชีวิตไปในทางที่ชอบ พยายามให้แต่ละคนเลิกคิดถึงเรื่องว่าคนมีอะไร แต่ให้คิดเสียใหม่ว่าตนคืออะไร ให้ศึกษาทางที่จะเป็นคนฉลาดและเป็นคนดี…” ส่วนขงจื๊อก็เที่ยวสั่งสอนอบรมคนให้เป็นคนฉลาดและคนดีเช่นกัน และการใช้ดนตรีและกวีนิพนธ์มาเป็นหลักสูตรในการศึกษาของขงจื๊อ ก็เหมือนกับวิธีการของเพลโต้ ศิษย์เอกของโซเครตีส เพลโต้ถือว่าดนตรีและกวีนิพนธ์มีอานุภาพช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้อ่อนโยนควรที่จะรับคุณธรรมต่อไป ดนตรีทำให้วิญญาณได้ส่วน ทำนองเดียวกับกายบริหารทำให้ร่างกายได้สัดส่วนฉันนั้น ขงจื๊อก็เช่นกัน ถือว่ากวีนิพนธ์และดนตรีเป็นเครื่องมือในการกล่อมเกลาอารมณ์ให้สงบประณีตได้อย่างดี
ขงจื๊อเป็นคนรักดนตรีอย่างยิ่ง จนได้รับเกียรติว่าเป็นปรมาจารย์แห่งดนตรี เมื่อเขาเดินทางไปอาศัยรัฐฉี (齐国) ขงจื๊อได้ศึกษาดนตรีของนครฉี จนลืมรสอาหารถึง 3 เดือน ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยสดับเสียงดนตรีที่ไพเราะเสนาะโสตอย่างนี้เลย” ตลอดชีวิตของท่านได้อาศัยกวีนิพนธ์และดนตรีเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากก็ว่าได้ ขงจื๊อได้วิจารณ์ดนตรีสมัยพระเจ้าซุ่นว่า ทั้งไพเราะทั้งดีงาม ทั้งนี้ก็เพราะมีเนื้อและทำนองนุ่มนวลสงบเย็น ผิดกับดนตรีสมัยพระเจ้าโจวอู่อ๋อง(周武王)ซึ่งก็ไพเราะ แต่ขาดความดีงาม เพราะเนื้อและทำนองรวดเร็ว รุนแรงแบบรบพุ่งปราบปราม วิชาดนตรีและกวีนิพนธ์จึงเป็นหลักสูตรสำคัญยิ่งที่นักศึกษาทุกคนจะต้องเรียนในมหาวิทยาลัยขงจื๊อ
การศึกษาวิชาการต่าง ๆ ผู้ศึกษาจะต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ใช่ศึกษาว่าตาม ๆ กันโดยไม่คิดนึกตรึกตรองให้เห็นอย่างถ่องแท้ ถ้าศึกษาแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ในทำนองเดียวกัน การคิดเอาเองโดยไม่เรียนก็ไม่ดีเช่นกัน ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า “การศึกษาโดยปราศจากความคิดก็ไร้ประโยชน์ ทำนองเดียวกัน ความคิดที่ปราศจากการศึกษาก็เป็นอันตราย”
ขงจื๊อให้ความสำคัญต่อการศึกษามาก คนที่ได้รับการศึกษาแล้วไม่ได้รับประโยชน์นั้นไม่มี เพราะฉะนั้นทุกคนควรศึกษาเล่าเรียนไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน แต่ปฐมวัยดูจะเหมาะกว่า ดังมีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งขงจื๊อถูกถามว่า “การศึกษาดีสำหรับคนทุกคนหรือไม่” ก็ได้รับคำตอบว่า “คนที่ศึกษาได้ 3 ปี แล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการศึกษานั้นหายากเหลือเกิน” ขงจื๊อถูกถามอีกว่า “การศึกษาดีทุกเวลาทุกวัยหรือไม่” ก็ได้รับคำตอบว่า “การศึกษาดีทุกเวลาและทุกวัย แต่ถ้าได้รับการศึกษาเมื่อยังหนุ่มย่อมดีกว่า”
ขงจื๊อมีความเชื่อว่า ทุกคนมีอัธยาศัยคล้ายกันโดยธรรมชาติคืออยากเป็นคนดี ไม่อยากเป็นคนชั่ว แต่ที่ต้องถลำตัวเป็นคนชั่วก็เพราะ 2 สาเหตุ คือ 1. ไม่ได้รับการศึกษาอบรม จึงทำให้ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว 2. ความจำเป็นบังคับ เช่น ความอดอยากยากจน หากรัฐสามารถแก้เหตุทั้ง 2 อย่างนี้ได้ก็จะไม่มีคนชั่วอีกต่อไป ขงจื๊อได้พิสูจน์ถึงทฤษฎีนี้แล้ว ได้ผลสมความมุ่งหมาย เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ขงจื๊อกำลังมีชีวิตรุ่งโรจน์ในทางการเมืองในแคว้นหลู่ โดยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ขงจื๊อได้ใช้อำนาจหน้าที่ออกระเบียบแก้ไขนักโทษล้นคุก ดังต่อไปนี้ ประการแรก ขงจื๊อได้ทำการศึกษาประวัตินักโทษแต่ละคนตลอดถึงครอบครัวของเขา ประการถัดมา ขงจื๊อได้เชิญนักกฎหมายและผู้พิพากษามาพบ ขงจื๊อได้กล่าวแก่นักกฎหมายและผู้พิพากษาว่า ตนได้ศึกษาประวัตินักโทษแต่ละคนแล้ว พบว่านักโทษเกือบทั้งหมดเป็นคนเขลา เพราะไม่ได้รับการศึกษาอบรม และเป็นคนยากจนหรือเป็นลูกของคนเขลาและยากจน คนรวยมักจะได้รับการศึกษา จึงมีความสามารถที่จะประกอบอาชีพเลี้ยงชีวิตได้ เมื่อคนรวยทำอาชญากรรมก็อาจหลบเลี่ยงโทษทัณฑ์ โดยให้สินบนแก่ผู้พิพากษา เพราะฉะนั้นงานที่จะต้องทำรีบด่วนก็คือ ขจัดความโง่เขลาโดยให้การศึกษา และขจัดความยากจนโดยช่วยให้เขามีความสามารถประกอบอาชีพที่ซื่อสัตย์สุจริต
นักกฎหมายและผู้พิพากษาถามว่า “เราจะเริ่มต้นที่ไหนดี”
ขงจื๊อตอบว่า “เริ่มที่ตัวเรา พวกท่านเป็นนักกฎหมายและผู้พิพากษา ก็ขออย่าพลิกกลับความยุติธรรม มีการตัดสินสำหรับคนจนอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งสำหรับคนรวย กฎข้อแรกของพวกท่าน ก็คืออย่าทำอะไรแก่ผู้อื่นอย่างที่ท่านก็ไม่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นทำกับท่าน”
ผลการทดลองตามทฤษฏีของขงจื๊อ ปรากฏว่า ต่อมาอีก 2 ปี เรือนจำในแคว้นหลู่ว่างเปล่า ไม่มีนักโทษอยู่เลย
ความเชื่อของขงจื๊อที่ว่าทุกคนไม่อยากเป็นคนชั่ว ก็ตรงกับความเชื่อของโซเครตีส กล่าวคือ โซเครตีสเชื่อว่า ทุกคนอยากเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่หันไปทำความชั่วก็เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นความดี อะไรเป็นความชั่ว หากรู้ว่าอะไรเป็นความชั่วแล้ว ก็จะไม่มีใครหันไปทำความชั่วอย่างแน่นอน เพราะการทำความชั่วทั้ง ๆ ที่รู้นั้นไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ หรือหากถูกบังคับให้เลือกทำความชั่ว 2 อย่าง ก็จะไม่มีใครที่เลือกทำความชั่วชนิดที่หนักกว่าเลย
โซเครตีสเชื่อว่า คุณธรรมจะคอยควบคุมไม่ให้คนทำความชั่ว สมมุติว่าถ้าจะทำความชั่ว โซเครติสก็ยังมีความเห็นว่า ถ้าบุคคลทำความชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นความชั่วก็ยังดีกว่า คนที่ทำความชั่วโดยยังไม่รู้ว่าชั่ว เพราะฝ่ายแรกยังมีความรู้ว่าอะไรดี ยังมีภาวะแห่งความดีเป็นสาระอยู่ในตัว ผิดกับฝ่ายหลังยังไม่มีภาวะดังกล่าวเลยก็มีหวังทำความชั่วต่อไปเรื่อย ๆ
ขงจื๊อเชื่อว่า หากได้ผู้นำที่ดีเด่นทั้งความรู้และคุณธรรมมาปกครองประเทศแล้วไซร้ ก็จะบันดาลความผาสุกและเจริญรุ่งเรืองให้เกิดขึ้นแก่พลเมืองได้เป็นแน่แท้ ขงจื๊อให้ความสำคัญต่อผู้นำประเทศชาติมาก เป็นกัปตันที่จะพารัฐนาวาไปถึงจุดหมายปลายทาง คือ ความสุข ความเจริญรุ่งเรือง เพราะความรู้ความสามารถและคุณธรรมที่สูงส่งของผู้นำบันดาลให้เกิด ทั้งความดีของผู้นำก็ช่วยดึงดูดจิตใจของพลเมืองให้เอาแบบอย่างด้วย ขงจื๊อได้วางหลักสูตรสำหรับผู้ปกครองไว้ 9 ประการ คือ
1. การอบรมตนให้มีคุณธรรม
2. การยกย่องผู้มีความรู้ความสามารถ
3. การปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด ตามความสามารถเหมาะสมกับฐานะบุคคลในสังคม
4. การยกย่องขุนนางผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจในแผ่นดิน
5. การแผ่พระคุณไปในหมู่ขุนนางผู้น้อง
6. การแผ่ความรักไปในหมู่ราษฎร ดุจบุตรธิดาในอุทร
7. การสนับสนุนส่งเสริมศิลปวิทยาและอาชีพต่าง ๆ ให้เจริญ
8. การต้อนรับชาวต่างชาติที่เข้ามาค้าขายหรือสวามิภักดิ์
9. การผูกมัดน้ำใจเจ้าครองนครทั้งหลายด้วยไมตรี
สูตรทั้ง 9 ข้อนี้ มีทั้งนโยบายปกครองตน ปกครองประชาชน ปกครองราชการ นโยบายการศึกษา เศรษฐกิจ ตลอดถึงนโยบายต่างประเทศ และสูตรทั้ง 9 ข้อนี้ สามารถย่อยลงในคำพูด 2 คำ คือ เจิ้งหมิง (正名) ซึ่งแปลว่า การปฏิบัติงานให้ถูกต้องกับฐานะและชื่อเสียงของตน
ขงจื๊อมีความเห็นว่า ในการปกครองประเทศ ผู้ปกครองอย่าใช้พระเดชนำหน้า เพราะการใช้พระเดชอาจทำให้ราษฎรเกรงกลัวได้ก็จริง แต่รัฐก็ได้รับความเกลียดชังจากราษฎรเช่นกัน เพราะกลัวกับการเกลียดนั้นอยู่ใกล้กัน การใช้กำลังถึงจะเอาชนะได้ก็เพียงชนะภายนอก ไม่สามารถเอาชนะจิตใจราษฎรได้ เมื่อราษฎรไม่พอใจมากก็จะคิดต่อต้าน หรืออย่างน้อยก็ไม่ให้ความร่วมมือ แต่ตรงกันข้ามหากรัฐบาลใช้พระคุณนำหน้า พลเมืองก็จะนิยมชมชอบและให้การสนับสนุน ดังที่ ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า
“ในการปกครอง หากใช้แต่กฎหมายอย่างเดียวปกครองประชาชน สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยอาชญาแล้วไซร้ ประชาชนไม่เพียงจักหลบเลี่ยงละเมิดกฎหมายเท่านั้น ยังจะไม่มีความละอายต่อความชั่วด้วยความรู้สึกผิดชอบของตน แต่ตรงกันข้าม หากปกครองโดยใช้คุณธรรมนำประชาชน สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยนิติธรรมเนียม จารีตประเพณี ประชาชนก็จักมีความละอายต่อความชั่วด้วยความรู้สึกผิดชอบของตนเอง ทั้งยังจะก้าวหน้าไปสู่ความดีเบื้องสูงอีกด้วย”
ผู้ปกครองหรือรัฐที่ฉลาด จะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ตนตกเป็นเป้าสายตาของประชาชน หากทำดีให้ประชาชนเห็น ประชาชนก็จะยกย่อง แต่ถ้าทำไม่ดีให้ประชาชนเห็น ประชาชนก็จะเหยียบย่ำ เพราะฉะนั้นผู้นำหรือรัฐบาลที่ดีที่ฉลาดจะต้องทำตัวเป็นตัวอย่างในทางดีเพื่อให้ประชาชนเห็น ดังที่จื่อลู่กับขงจื๊อสนทนากันดังต่อไปนี้
จื่อลู่ “นักปกครองที่ดีนั้นเป็นอย่างไร”
ขงจื๊อ “นักปกครองที่ดี ย่อมทำตนให้เป็นตัวอย่างของประชาชน ในงานที่ต้องเกณฑ์ประชาชนทำอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็จงเป็นผู้เนื่องเสียก่อนเขาเหล่านั้น”
ขงจื๊อกล่าวถึงวิธีสัมฤทธิผลของการปกครองไว้ 5 ประการคือ
1. มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อประชาชน ประชาชนก็จะให้เกียรติเขา
2. มีความโอบอ้อมอารีต่อประชาชน ประชาชนก็ย่อมจะภักดีต่อเขา
3. มีความซื่อสัตย์ต่อประชาชน ประชาชนก็จะเกิดความมั่นใจในผู้นำนั้น
4. ทำงานอย่างเข้มแข็งจริงจัง ก็ย่อมมีผลงานปรากฏอยู่เสมอ
5. สร้างพระคุณให้ประชาชน ประชาชนก็พร้อมที่จะสนับสนุน
เมื่อผู้นำหรือรัฐบาลดี เป็นที่พอใจของประชาชนแล้ว ประชาชนก็จะรักเทิดทูนผู้นำหรือรัฐบาลนั้น ทั้งจะถือผู้นำหรือรัฐบาลคนนั้นเป็นแบบอย่าง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้นำหรือรัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องใช้พระเดชปกครองบ้านเมือง ความดีของผู้นำหรือรัฐบาลจะเป็นหลักประกัน เกิดเป็นแรงดึงดูดให้ประชาชนทำตาม ดุจฝูงโคก็ย่อมไปตามจ่าฝูง ฉันนั้น ดังที่หลีคังจื้อถามขงจื๊อว่า “จะฆ่าพวกทุจริตให้หมด เพื่อรักษาคนสุจริตให้อยู่อย่างปกติสุขจะดีหรือไม่”
ขงจื๊อ “ถ้าท่านเป็นผู้ปกครองที่ดี ทำไมจะต้องใช้วิธีฆ่าฟันกันด้วยเล่า ถ้าท่านทำตัวให้ดี ประชาชนก็จะถือเอาเป็นแบบอย่างเอง ผู้ปกครองเหมือนลม ประชาชนดุจหญ้า ธรรมดาหญ้าย่อมลู่ไปตามลม”
ขงจื๊อมีความเห็นว่า ผู้ปกครองที่ดีจะต้องฟังเสียงประชาชนถือเสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ ประชาชนต้องการอะไร ก็ต้องตอบสนองอย่างนั้น เป็นฝ่ายประชาชนตลอดเวลา ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า “สิ่งใดที่ประชาชนพอใจ เราจงพอใจ สิ่งใดที่ประชาชนเกลียดชัง เราก็จงเกลียดชัง ผู้ใดทำอย่างนี้ ผู้นั้นเชื่อว่าเป็นบิดามารดาของประชาชน” ถ้าใครทำได้ดังกล่าว ก็จะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้นาน เพราะไม่ถูกเล่นงานจากประชาชน แต่ถ้าทำตรงกันข้ามก็จะหลุดจากตำแหน่งในเร็ววัน ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า “ผู้ที่ได้ประชาชนไว้ก็เท่ากับได้รัฐไว้ ส่วนผู้ที่ละทิ้งประชาชนก็เท่ากับเสียรัฐไปด้วย”
ข้อนี้แสดงว่า เสียงประชาชนมีความสำคัญกว่าสิ่งใดหมด ผู้นำหรือรัฐบาลก็ต้องฟังเสียงประชาชน ใช้เสียงประชาชนเป็นปรอทวัดอุณหภูมิของการปกครอง ตัดอย่างอื่นพอตัดได้ แต่จะตัดเสียงประชาชนนั้นไม่ได้ ดังที่จื่อก้งถามขงจื๊อ ดังต่อไปนี้
จื่อก้ง “จะปกครองรัฐอย่างไรจึงจะดี”
ขงจื๊อ “จงปกครองให้ประชาชนมีอาหารกินสมบูรณ์ มีกองทัพเข้มแข็ง และให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในรัฐบาล
จื่อก้ง “หากจำเป็นต้องตัดออกสัก 1 ข้อ จะตัดข้อไหนก่อน”
ขงจื๊อ “ตัดกองทัพออก”
จื่อก้ง “หากจำต้องตัดอีก 1 ใน 2 ข้อ จะตัดข้อไหน”
ขงจื๊อ “ตัดอาหารออก เพราะมนุษย์มีความตายเป็นธรรมดา ต้องตายทุกคน แม้จะต้องอดอาหารตาย ก็ยังดีกว่ารัฐบาลที่ประชาชนเขาไม่นิยมนับถือ ประเทศที่มีรัฐบาลอย่างนี้จักตั้งมั่นได้อย่างไร”
ปรัชญาจริยธรรม :
ขงจื๊อมองสังคมของมนุษย์ในแง่ของความสัมพันธ์ตามทฤษฎีแบบ Organism คือสังคมประกอบขึ้นจากหน่วยย่อย คือ ปัจเจกชนแต่ละคน ถ้าแต่ละคนเป็นคนดี สังคมก็จะดีด้วย การกระทำของแต่ละคนย่อมกระทบกระเทือนต่อสังคมเหมือนร่างกายเราประกอบขึ้นด้วยอวัยวะ (Organs) ต่าง ๆ ถ้าอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งได้รับอันตรายย่อมกระทบต่ออวัยวะส่วนสวม (Organism)
อนึ่ง ขงจื๊อมีความเห็นว่า บุคคลแต่ละคนย่อมจะมีความสัมพันธ์ต่อกันไม่โดยฐานใดก็ฐานะหนึ่ง และความสันพันธ์ขึ้นมูลฐานในสังคมที่ควรจะได้รับการปรับปรุง พัฒนามีอยู่หลายประการ คือ
1. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง
2. ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตรธิดา
3. ความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยา
4. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่
5. ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนต่อเพื่อน
ในความสัมพันธ์ 5 ประการนี้ ขงจื๊อได้วางหลักจริยธรรมสำหรับปฏิบัติ ในฐานะนั้น ๆ ไว้ดังนี้
ความสัมพันธ์ประเภทที่หนึ่ง เมตตา, สุจริต จงรักภักดี
ความสัมพันธ์ประเภทที่สอง เมตตา, กตัญญูกตเวที
ความสัมพันธ์ประเภทที่สาม รัก, ซื่อสัตย์, รับผิดชอบในหน้าที่แห่งตน
ความสัมพันธ์ประเภทที่สี่ คารวธรรม
ความสัมพันธ์ประเภทที่ห้า ความจริงใจ
ขงจื๊อย้ำว่าในการอยู่ร่วมกัน จะต้องปรับปรุงความสัมพันธ์ขั้นมูลฐานนี้ให้ดีเสียก่อน สังคมส่วนใหญ่จะเป็นอยู่เป็นสุข (Ordered Society) และนอกเนือไปจากนี้ ปัจเจกชนแต่ละคนต้องปฏิบัติตามหลักจริยธรรมดังต่อไปนี้
1. จริยธรรมทางกาย (Morality in Action)
หมายถึง จริยธรรมที่ควรปฏิบัติเพื่อประโยชน์ต่อตัวเองและสังคม จริยธรรมนี้มีชื่อว่า เจิ้งหมิง (正名) คือการปฏิบัติให้สมกับที่ตัวเป็น (Rectification of the name) หมายความว่าแต่ละคนย่อยจะมีความเป็น เช่น เป็นตำรวจ เป็นครู เป็นนายกรัฐมนตรี ฯลฯ ความเป็นแต่ละอย่าง (ชื่อ) ย่อมบ่งยอกถึงหน้าที่และความรับผิดชอบ ฉะนั้น เมื่อเราเป็นอะไร ต้องทำหน้าที่และมีความรับผิดชอบนั้น ๆ อย่างสมบูรณ์ ขงจื๊อกล่าวว่า “ความยุ่งยากในสังคมเกิดขึ้น เพราะคนไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ ส่วนมากเป็นเต่เพียงในนาม”
2. จริยธรรมทางใจ (Morality in Cultivation)
คือหลักปฏิบัติเพื่อพัฒนาจิตใจของตัวเอง ได้แก่
2.1 ความรักใครเมตตา (Human Heartedness) หรือเหริน(任)หมายถึงความรักโดยไม่จำกัดขอบเขต ไม่มีการแบ่งแยก เช่นเดียวกับหลักเมตตาในพระพุทธศาสนา และหลักความรักแห่งพระเจ้า(Divine Love)ในศาสนาคริสต์
2.2 สัมมาปฏิบัติ (Rightousness) หรืออี้ (义)ได้แก่การกระทำในสิ่งที่เห็นว่าถูกหรือควร โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน หรือโดยแรงบังคับภายนอกที่พูดกันสั้น ๆ ว่า ทำความดีเพื่อความดี (Do good for the good’s sake) ขงจื๊อย้ำว่าในการกระทำของเราแม้จะกระทำในสิ่งที่ดี แต่ถ้าทำเพราะหวังสิ่งตอบแทนอย่างอื่น เช่น ชื่อเสียง เงินทอง จะจัดว่าเป็นสัมมาปฏิบัติ (Rightous Action) ไม่ได้ เราจะต้องกระทำความดีนั้นเพื่อความดี เพราะความดีมีค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว ความดีมิได้อยู่ที่ผลที่ได้รับ (The Value of doing what we ought to do lies in doing itself and not in the external result)
การปฏิบัติตามหลักธรรมดังกล่าวอาจจะเป็นการยาก ขงจื๊อจึงวางหลักปฏิบัติสั้น ๆ เพื่อการก้าวหน้าไปสู่จริยธรรมดังกล่าวข้างต้นไว้ หลักปฏิบัตินี้คือ
1. ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่ท่านปรารถนาจะให้คนอื่นปฏิบัติต่อท่าน
2. จงอย่าปฏิบัติต่อผู้อื่นในสิ่งที่ท่านไม่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน
อนึ่ง ขงจื๊อกล่าวว่า ผู้ที่จะปฏิบัติตามหลักจริยธรรมต่าง ๆ ได้อย่างไม่ท้อถอย จะต้องเป็นผู้ที่รู้จัก มิ่ง (命) คำว่า มิ่ง มีความหมายว่า “โชคชะตา” หรือโองการสวรรค์ ขงจื๊อให้ความหมายว่าการดำเนินชีวิตนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่พ้นวิสัยที่เราจะควบคุมหรือลิขิต มันเป็นอย่างที่มันจะเป็นเช่นเดียวกับที่ชาวพุทธพูดกันว่า “มันเป็นกรรม” ฉะนั้นในการครองชีวิตเราจะต้องเข้าใจในสิ่งนี้ เพื่อมิให้เกิดความท้อแท้ในการประกอบความดี
ปรัชญาด้านการศึกษา :
อุดมคติความเป็นครู
โดยปฏิปทาของขงจื๊อเราสามารถที่จะมองเห็นอุดมคติในความเป็นครูอยู่หลายประการ ซึ่งอาจจะแยกแยะให้เห็นได้ดังนี้
1. การไม่หวงวิชา ความยิ่งใหญ่ของขงจื๊อประการหนึ่งนั้น เห็นได้จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์คือนับตั้งแต่สมัยขงจื๊อเป็นต้นมา การศึกษาได้กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนหนุ่มผู้มีสติปัญญาทั้งหลาย เพราะโดยการศึกษานั้นพวกเขาสามารถที่จะยกฐานะของตนเองจากกำเนิดอันต่ำต้อยไปสู่ความเป็นผู้มีศักดิ์สูงได้ แสดงให้เห็นว่าขงจื๊อไม่หวังความเป็นเลิศทางวิชาการไว้เพื่อศักดิ์ศรีและความยิ่งใหญ่ของตัวเองแต่ผู้เดียว ขงจื๊อเองกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าไม่เคยปฏิเสธที่จะอบรมสั่งสอนวิชาความรู้ให้แก่ใคร ๆ ผู้ที่มีความกระหายอยากจะเรียนรู้เลย แม้ว่าเขาจะยากจนซึ่งอาจจะหาได้เพียงเนื้อแห้งมัดเดียว เพื่อที่จะนำมาเป็นเครื่องตอบแทนน้ำใจ”
2. ไม่หลงตัวเอง เพิ่มพูนความรู้อยู่เสมอ ดังคำกล่าวที่ขงจื๊ออธิบายดังที่ขงจื๊ออธิบายลักษณะของตนเองในฐานะที่เป็นครูว่า “ไตร่ตรองสิ่งทั้งหลายด้วยดวงจิตที่สงบ เพิ่มพูนความรู้ให้สูงขึ้น แม้จะศึกษารู้มาแล้วมากมาย....”
3. มีฉันทะหรือความเต็มใจในการสอน ข้อความวรรคท้ายของคำกว่างที่ขงจื๊ออธบายลักษณะของตนเองในฐานะที่เป็นครูมีอยู่ว่า “ไม่เคยเบื่อหน่ายในการถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ผู้อื่นเลย” ข้อความนี้แสดงให้เห็นความรักความเต็มใจในหน้าที่ ซึ่งเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งของคามเป็นครู
4. ประพฤติแต่สิ่งที่ดีงาม ขงจื๊อเป็นนักการศึกษาที่สนใจในจริยธรรมและใช้ชีวิตตารมแนวจริยธรรมหรือความดีงามที่ได้เห็นแจ้งแล้วโดยมีสติปัญญา ในกรณีนี้ขงจื๊อกล่าวว่า
“มีคนมากมายที่กระทำอะไรลงไป โดยไม่รู้ว่าทำไมจึงต้องทำเช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าไม่เหมือนผู้คนเหล่านั้น ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามากเหลือสรรเอาแต่สิ่งที่ดีงานแล้วปฏิบัติตามข้าพเจ้าก็เห็นมาก็มาก ศึกษาสิ่งเหล่านั้นแล้วจดจำไว้ นี่เองทำให้ข้าพเจ้าเข้าไปใกล้กับความรู้ที่แท้จริง”
วิชาที่สอนและวัตถุประสงค์
กล่าวอย่างรวม ๆ การศึกษาที่ขงจื้อให้กับประชาชนนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจริยธรรมและศิลปะในด้านศิลปะนั้น จารีตประเพณี(礼)ดนตรี(乐)กวีนิพนธ์(诗) เป็นวิชาพื้นฐาน ตามทัศนะขงจื้อนั้น จารีตประเพณีในฐานะที่เป็น “สถาบัน” มีส่วนช่วยควบคุมจิตใจและนำความปรารถนาให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกที่ควร ดนตรีเป็นเสมือนพลังอารยะ ( A Civilizing Force) ที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกอันดีงามและผ่อนคลายความกำหนัดร้อนรน (Passions) กวีนิพนธ์เป็นพลังจริยธรรม (A Moral Force) ที่ช่วยกล่อมเกลาธรรมชาติของคนและบันดาลใจให้เกิดความรู้สึกดีงามในด้านจริยธรรม ขงจื้อกล่าวว่า
“อุปนิสัย (Character) ของคนเรานั้นปลูกฝังขึ้นได้โดยอาศัยกวีนิพนธ์รักษาให้มั่นคงสืบไปได้ด้วยจารีตประเพณีและทำให้สมบูรณ์ได้ด้วยดนตรี”
กล่าวโดยสรุปวิชาที่สอนรวมอยู่ในวรรณกรรมหรือวิทยา ๖ ประการ (The Six Classies) อันเป็นที่รวมแห่งมรดาทางวัฒนธรรมดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่องว่าด้วยวรรณกรรมขงจื้อวัตถุประสงค์เฉพาะ (The Specific Purpose) ของการศึกษาวิชาการทั้ง ๖ มีปรากฏอยู่ในบทนิพนธ์ขงจื้อ (Chuang Tzu) ดังนี้
กวีนิพนธ์ เพื่อสอนอุดมคติ
ประวัติศาสตร์ เพื่อสอนเหตุการณ์ต่าง ๆ
จารีตประเพณี เพื่อสอนจรรยาความประพฤติ
ดนตรี เพื่อสอนความสอดคล้องสัมพันธ์
ธรรมชาติวิทยา เพื่อสอนหลักพลังคู่ของสากลจักรวาล
ซุนชิว เพื่อสอนหลักการอันสำคัญของเกียรติยศและหน้าที่
วัตถุประสงค์อันสำคัญนอกเหนือจากจุดประสงค์เฉพาะวิชาดังกล่าว ขงจื้อยังถือหลักว่าการศึกษานั้นย้ำความสำคัญในเรื่อง การศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลมากกว่าการศึกษาเพื่อความรู้และประโยชน์ของความรู้แต่เพียงด้านเดียว ให้การศึกษาเพื่อบุคคลจะได้เลือกสรรเอาสิ่งที่ดีงาม การเลือกเอาแต่สิ่งที่ดีงามนั้นเป็นการปรับปรุงชีวิตของตนเองและของมนุษยชาติโดยส่วนรวม
วิธีการศึกษา
เกี่ยวกับวิธีการศึกษานั้นขงจื้อให้หลักสำคัญพื้นฐานไว้ ๒ ประการ คือ
1. ศึกษาโดยใช้ความคิดหรือเหตุผล นั่นคือในการศึกษาหาความรู้บุคคลจะต้องรู้จักคิดแยกแยะ มิใช่การจำแล้วทำตามและโดยนัยเดียวกันการศึกษานั่นเองจะช่วยให้บุคคลรู้จักคิด ดังคำกล่าวของขงจื้อที่ว่า
“การศึกษาที่ปราศจากความคิด ไร้ประโยชน์ความคิดปราศจากการศึกษา เป็นอันตราย”
(Study without thought is in vain ; Thought without study is dangerous)
2. กล้าเผชิญกับความเป็นจริงของตัวเอง หมายความว่าผู้ศึกษาจะต้องยอมรับความเป็นจริงในแง่ที่ว่ารู้หรือไม่รู้ อาจจะกล่าวได้ว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองศึกษา อย่ามีลักษณะที่ไม่รู้แล้วแสร้งทำเป็นรู้ หรือรู้แต่เพียงผิวเผินแต่ทำตัวเป็นผู้รู้เจนจบ ความนี้ปรากฏชัดในคำกล่าวของขงจื้อว่า
“ขอให้ข้าพเจ้าได้ชี้ทางแห่งความรู้แก่ท่านขอเพียงบอกว่า รู้ เมื่อท่านรู้จริง ๆ และยอมรับว่าไม่รู้ในสิ่งที่ท่านไม่รู้ นี่คือหนทางไปสู่ความรู้”
== ผลงานของขงจื๊อ ==
ผลงานของขงจื๊อ
งานทางด้านการเขียนของขงจื๊อปรากฏอยู่ในหนังสือ สังเขปการสอนของขงจื๊อ หรือที่จีนเรียกว่า “หลุน-อฺวี่ (论语) ” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบันทึกและเรื่องราวต่าง ๆ เช่น คำพูด คำสอนของขงจื๊อและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ลูกศิษย์ของท่านได้ช่วยกันงรวบรวมขึ้นหลังจากการจากไปของขงจื๊อส่วนวรรณกรรมที่ท่านได้รวบรวมขึ้นมีดังนี้
1. ชุนชิว (春秋)
2. ซือจิง (诗经)
เป็นหนังสือเกี่ยวกับบทกวีนิพนธ์ต่าง ๆ หนังสือเล่มนี้สามารถนำไปเปรียบเทียบกับ Song of Solomon ในคัมภีร์ไบเบิ้ล โคลงต่าง ๆ เป็นเพลงพื้นเมืองที่ร้องกันในสมัยแรก ๆ โดยทั่วไปแล้วเป็นบทพรรณนาถึงหนุ่ม ๆ สาว ที่กำลังร้องรำทำเพลงและเล่นหยอกล้อกันด้วยความเสน่หาในฤดูใบไม้ผลิและในฤดูเก็บเกี่ยว
3. ซูจิง(书经)
เป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่ารวมโดยขงจื๊อเอง ดังนั้นจึงมีความสำคัญอย่างลึงซึ้ง เป็นการประมวลคำปราศรัย คำสัตย์ปฏิญาณในพิธีกรรม
4. อิ้จิง (易经)
เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเป็นตำนานลึกลับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอำนาจศักดิ์สิทธิ์และพลังแห่งจุดหมายปลายทาง เป็นงานชิ้นแรกซึ่งได้รับความนิยมและจัดเข้าเป็นขั้นคลาสิคในสมัยต่อ ๆ มา ลักษณะเด่นตำราเล่มนี้คือ ปากัวหรือรอยสลักแปดตัวซึ่งโหรจีนให้ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ และเอ้อหยา ซึ่งเป็นปทานุกรมฉบับแรกที่พยายามอธิบายความมืดมนของตำราว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงและตำราว่าด้วยพิธีกรรม
5. หลี่จี้(礼记)
เป็นหนังสือเกี่ยวกับพิธีการต่าง ๆ เป็นการสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น วิธีที่ควรจะถือและเหนี่ยวคันศรในระหว่างที่แสดงศิลปะของสุภาพบุรุษในการยิง นอกจากนั้นก็กล่าวถึงการเรียกอันยิ่งใหญ่และทฤษฎีแห่งมัชฌิม
เมื่อพวกมองโกลเข้ายึดจีนได้ในราว ค.ศ. 1278-1368 จักรพรรดิกุบไล่ข่านก็มิได้ขัดขวางลัทธินี้ ทรงยึดหลักของขงจื๊อ ต่อมาในสมัยราชวงศ์เหม็งได้พยายามล้มล้างอิทธิพลของพวกมองโกล และรื้อฟื้นการตั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ตลอดจนมีพิธีการบูชาขงจื๊อและเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาตำราขงจื๊อเป็นอย่างมาก
สมัยราชวงศ์เหม็งได้รื้อฟื้นการสอบแบบขงจื๊อคือเปิดให้มีการสอบชั้นสูงถึง 89 ครั้ง มีผู้สอบผ่านการสอบชั้นสูงเพียง 280 คน มีการยกส่วนต่าง ๆ ของตำราขงจื๊อมาเขียนตีความและวิจารณ์ โดยยึดแบบของชูชีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ้องเป็นหลัก
ลัทธิขงจื๊อนี้มีชื่อเสียงมาก และเผยแพร่เข้าไปในหมู่พวกแมนจูโดยพวกแมนจูใช้หลักของขงจื๊อในการปกครองจีน จะเห็นได้ว่าไม่ว่าพวกมองโกลหรือแมนจูก็ตามที่มีอำนาจยึดครองจีนได้ ต่างก็ตระหนักดีว่า การที่จะปกครองจีนได้จะต้องธำรงไว้ซึ่งอารยธรรมตลอดจนลัทธิขงจื๊อที่ชาวจีนยึดถือปฏิบัติกัน
== อิทธิพลของปรัชญาขงจื๊อ ==
ปรัชญาขงจื๊อ ได้มีอิทธิพลต่อชาวจีนอย่างใหญ่หลวงรอบด้าน คำสอนของขงจื๊อถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต และเป็นมาตรฐานของสังคม ความรู้สึกนึกคิดของชาวจีนจะแนบแน่นอยู่กับปรัชญาขงจื๊อ งานนิพนธ์ของขงจื๊อ ถือกันว่าเป็นวรรณกรรมชั้นสูง และเป็นหลักสูตรใช้ศึกษากันในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ อีกทั้งเป็นวิชาสำหรับสอบไล่ของทางราชการอีกด้วย ปรัชญาขงจื๊อทำให้ชาวจีนมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนหลายอย่าง เช่น
1. ชาวจีนให้ความสำคัญในเรื่องครอบครัวมาก ถือว่าครอบครัวเป็นรากฐานของสังคม จึงพยายามสร้างครอบครัวให้เป็นปึกแผ่น เป็นครอบครัวใหญ่ ประกอบด้วยคนหลายรุ่น ทั้งพ่อ แม่ ปู่ ย่า ลูก หลาน เหลน ทั้งในภาษาจีนก็เอื้ออำนวย คือมีคำบอกลำดับญาติไว้อย่างชัดเจน ว่าใครมีความสัมพันธ์กันอย่างไร มาจากสายไหน สืบสายมาจากบิดา หรือมารดา ดุจคำว่าน้าและอา ในภาษาไทยฉันนั้น รวมความแล้ว ชาวจีนให้ความสำคัญต่อญาติมาก
2. ชาวจีนให้เกียรติผู้สูงอายุ ทั้งใช้สรรพนามให้เหมาะสมกับวัย เรียกพี่ ป้า น้า อา เป็นต้น แม้ต่อคนที่ไม่ใช่ญาติ ดุจเดียวกับธรรมเนียมไทย คนจีนมีลูกหลานแล้วมักจะไว้หนวดเพื่อแสดงว่าตัวแก่แล้ว
3. ชาวจีนให้ความสำคัญต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว จะต้องดูแลสถานที่ฝังศพบรรพบุรุษให้ดี ตลอดถึงคอยเซ่นไหว้อยู่เสมอ และให้ดีด้วย
4. ชาวจีนนิยมยกย่องครูบาอาจารย์ไว้สูง แต่ไม่นิยมยกย่องทหาร ชาวจีนให้ความสำคัญต่อผู้ใช้ความรู้มากกว่าผู้ใช้กำลัง ตามคำสอนของขงจื๊อ
5. ชาวจีนไม่ชอบมีเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาล แต่จะพยายามตกลงปรองดองกันให้ได้
เหล่านี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นปรัชญาขงจื๊อจึงเป็นแม่แห่งวัฒนธรรมจีนตลอดมากว่า 2,000 ปี ส่วนสาเหตุที่ทำให้อิทธิพลของปรัชญาขงจื๊อต้องเสื่อมไปก็มี 2 ครั้งใหญ่ คือ
ครั้งที่ 1 เมื่อขงจื๊อสิ้นชีพแล้วได้ 200 ปีเศษ หรือพุทธศตวรรษที่ 3 จิ๋นซีฮ่องเต้ กษัตริย์แห่งนครฉี ทรงปราบรัฐใหญ่ ๆ 6 รัฐหมดแล้ว จึงปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ปกครองประเทศจีนแต่เพียงพระองค์เดียว พระองค์ปรารถนาจะให้ราชบัลลังก์ของพระองค์ยั่งยืนอยู่ชั่วกาลนาน ทรงเห็นชอบกับคำแนะนำของ หลีซือ นายกรัฐมนตรีว่า บรรดาศาสนาและปรัชญาต่าง ๆ ทำให้คนฉลาดและมีความคิดเห็นแตกต่างกัน ยากที่จะปกครอง ควรที่จะล้มเลิกศาสนาและปรัชญาเหล่านั้น จิ๋นซีฮ่องเต้จึงทรงรับสั่งให้นำคัมภีร์ของศาสนาและปรัชญาทั้งหมดมารวมกันแล้วเผาทำลายทั้งหมด กล่าวกันว่า กองไฟเผาคัมภีร์เหล่านี้ลุกโชติช่วงติดต่อกันไม่ดับเป็นเวลา 3 เดือน พวกนักปราชญ์ของศาสนาและปรัชญาถูกฆ่าถึง 460 คนเศษ ลัทธิขงจื๊อและม่อจื๊อ ได้รับความกระทบกระเทือนมากที่สุด เพราะรัฐบาลเห็นว่าเป็นศัตรูหมายเลข 1 แต่ความหวังของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่จะให้ราชวงศ์ของพระองค์ยั่งยืนเป็นหมื่นปีก็พังลง เพราะหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วก็ได้เกิดกบฏล้มราชบัลลังก์ โดย หลิวปัง ขุนพลคนหนึ่งเป็นหัวหน้า ทำการได้สำเร็จจึงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ พระนามว่า พระเจ้าฮั่นเกาจู่ ตั้งราชวงศ์ฮั่น สืบสันตติวงศ์ต่อมา ราชวงศ์ฮั่นได้ปกครองบ้านเมืองมาตามลำดับ จนถึงพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 5 ทรงฟื้นฟูปรัชญาขงจื๊อขึ้นใหม่ และทรงให้การสนับสนุนเป็นการใหญ่ ปรัชญาขงจื๊อจึงได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งที่ 2 เมื่อประเทศจีนเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบคอมมิวนิสต์ ศาสนาขงจื๊อได้รับความกระทบกระเทือนมากในยุคนี้ บางครั้งทางการได้รณรงค์ให้กำจัดศาสนา โดยเฉพาะศาสนาขงจื๊อทางการถือว่าเป็นศัตรูหมายเลข 1 เพราะขงจื๊อสอนให้อนุรักษ์จารีตประเพณี และเน้นเรื่องความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ
ศาสนิกชนศาสนาขงจื๊อไม่กล้าแสดงตนอย่างเปิดเผย เกรงมีภัยต่อตนเอง อิทธิพลของศาสนาขงจื๊อจึงลดลงตามลำดับ แต่ถึงอย่างนั้นในส่วนลึกของหัวใจ คนส่วนใหญ่ก็ยังนับถือศาสนาขงจื๊ออยู่ อิทธิพลของศาสนาขงจื๊อถึงจะเสื่อมไปจากแผ่นดินใหญ่ แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ในประเทศจีนคณะชาติ เพราะรัฐบาลของประเทศจีนคณะชาติบนเกาะไต้หวัน ได้ให้เกียรติยกย่องขงจื๊อ เช่น พ.ศ. 2495 รัฐบาลได้เปลี่ยนวันครูแห่งชาติ จากวันที่ 17 สิงหาคม มาใช้วันเกิดของขงจื๊อ คือวันที่ 28 กันยายน แทน และเมื่อถึงวันนี้ทางการจะหยุดงาน 1 วัน เพื่อให้เกียรติต่อศาสดาของศาสนาขงจื๊อ นอกจากนี้ยังได้ให้เงินเดือนเป็นค่าครองชีพแก่ผู้สืบสกุลขงจื๊ออีกด้วย
== 72 ศิษย์เอกขงจื๊อ ==
ชั่วชีวิตของขงจื๊อมีลูกศิษย์ทั้งสิ้นกว่าสามพันคน ในจำนวนนี้มีลูกศิษย์เอก 72 คน
เหยียน หุย (颜回, Yan Hui)
หมิ่น สุ่น (Min Sun)
หย่าน เกิง (Ran Geng)
หย่าน หยง (Ran Yong)
หย่าน ฉิว (Ran Qiu)
ตวนมู่ ซื่อ (Duanmu Ci)
จ้ง โหยว (仲由,Zhòngyóu)
จ่าย อวี๋ (Zai Yu)
เอี๋ยน เอี่ยน (Yan Yan)
ปู่ ซาง (Pu Shang)
จวนซุน ซือ (颛孙师,Zhuānsūn Shī)
เจิง ชาน (Zeng Shen)
ต้านไถ เมี่ยหมิง (Dantai Mieming)
ฟู่ ปู้ฉี (Fu Buji)
เอี๋ยน จี๋ (Yan Zu)
หยวน เซี่ยน (Yuan Xian)
กงเหยี่ย ฉาง (公冶长,Gōngyě Cháng)
หนานกง ควา (Nangong Kuo)
กงซี อาย (Gongxi Ai)
เจิง เตี่ยน (Zeng Dian)
เอี๋ยน อู๋หยาว (Yan Wuyao)
สูจ้ง หุ้ย (Shuzhung Hui)
ซาง ฉวี (Shang Zhu)
เกา ไฉ (Gao Chai)
ชีเตียว คาย (Qidiao Kai)
กงป๋อ เหลียว (Gongbo Liao)
ซือหม่า เกิง (Sima Geng)
ฝาน ซวี (Fan Xu)
โหย่ว ยั่ว (You Ruo)
กงซี ฉื้อ (Gongxi Chi)
อูหม่า ซือ (Wuma Shi)
เหลียง จาน (Liang Zhan)
เอี๋ยน ซิ่ง (Yan Xing)
หย่าน หยู (Ran Ru)
เฉา ซวี่ (Cao Xu)
ป๋อ เฉียน (Bo Qian)
กงซุน หลง (Gongsun Long)
ซี หยงเตี่ยน (Xi Yongdian)
หย่าน จี้ (Ran Ji)
กงจู่ จวี้จือ (Gongzu Gouzi)
ซือ จือชาง (Shi Zhichang)
ฉิน จู่ (Qin Zu)
ซีเตียว ตัว (Qidiao Chi)
เอี๋ยน เกา (Yan Gao)
ซีเตียว ถูฝู้ (Qidiao Dufu)
หย่าง ซื่อชื่อ (Zeng Sichi)
ซาง เจ๋อ (Shang Zhai)
สือ จั้ว (Shi Zuo)
เยิ่น ปู้ฉี (Ren Buji)
โห้ว ชู่ (Hou Chu)
ฉิน หย่าน (Qin Ran)
ฉิน ซาง (Qin Shang)
เซิน ต่าง (Shen Dang)
เอี๋ยน จือผู (Yan Zhipo)
หยง ฉี (Yan Zhi)
เซี่ยน เฉิง (Xian Chang)
จั่ว เหยินอิ่ง (Zuo Renying)
เจิ้ง กั๋ว (Zhang Guo)
ฉิน เฟย (Qin Fei)
เอี๋ยน ขว้าย (Yan Kuai)
ปู้ สูเฉิง (Bu Shusheng)
เยว่ เขอ (Yue Ke)
เหลียน เจี๋ย (Lian Jie)
ตี๋ เฮย (Di Hei)
ปาน ซวิ่น (Kui [al. Bang] Sun)
ขง จง (Kong Zhong)
กงซี เตี่ยน (Gongxi Dian)
จวี้ อ้าย
ฉิน เหลา
หลิน ฟ่าง (Lin Fang)
เฉิง ค่าง (Chan Kang)
เซิน เฉิง
== ดูเพิ่ม ==
หลุน-อฺวี่ คัมภีร์พื้นฐานของสำนักปรัชญาขงจื๊อ
เม่งจื๊อ ศิษย์ของขงจื๊อ ผู้เชื่อว่าโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ทุกคนมีพื้นฐานเป็นคนดีมาแต่กำเนิด
ซุนจื๊อ ศิษย์ของขงจื๊อ ผู้เชื่อว่าตามธรรมชาติแล้วมนุษย์ชั่วร้าย ซึ่งเกิดจากกิเลสอยากได้อยากมี
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
ประวัติขงจื๊อ จากเว็บกองทัพบกไทย
ห้านักปราชญ์ซึ่งถือเป็นผู้นำทางความคิดในสมัยชุนชิวจั้นกว๋อได้แก่ เหลาจื่อ สวินจื่อ จวงจื่อ ม่อจื่อและขงจื่อ จากเว็บผู้จัดการ
หนังสือ กระแสธารปรัชญาจีน ข้อโต้แย้งเรื่องธรรมชาติ อำนาจ และจารีต, สุวรรณา สถาอานันท์, สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หนังสือ ปรัชญาจีน , น้อย พงษ์สนิท, ศูนย์หนังสือเชียงใหม่
หนังสือ ปวงปรัชญาจีน , น้อย พงษ์สนิท, ศูนย์หนังสือเชียงใหม่
ทฤษฎีการศึกษา
ลัทธิขงจื๊อ
บุคคลในศาสนา
นักปรัชญาชาวจีน
บุคคลในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล
บุคคลในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล
บุคคลในยุคราชวงศ์โจว
ศาสดา
นักปรัชญาในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล
|
thaiwikipedia
| 2,004 |
จังหวัดร้อยเอ็ด
|
ร้อยเอ็ด (เดิมสะกดว่า ร้อยเอ็จ) เป็นจังหวัดบริเวณลุ่มแม่น้ำชีในภาคอีสานตอนกลางของประเทศไทย
ประวัติ
เคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยปรากฏชื่อในตำนานอุรังคธาตุว่า สาเกตนคร หรือ เมืองร้อยเอ็ดประตู อันเนื่องมาจากเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรื่องโดยที่มีเมืองขึ้นจำนวนมาก การตั้งชื่อเมืองว่า "ร้อยเอ็ดประตู" นั้น น่าจะเป็นการตั้งชื่อเชิงอุปมาอุปไมยให้เป็นศิริมงคลและแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองมากกว่าการที่เมืองจะมีประตูเมืองอยู่จริงถึงร้อยเอ็ดประตู ซึ่งการตั้งชื่อเพื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองผ่านการมีประตูเมืองจำนวนมากนั้น น่าจะได้รับอิทธิพลหรือแบบอย่างมาจากเมืองหรืออาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองในสมัยโบราณอย่างทวารวดีซึ่งมีความหมายว่าเมืองที่มีประตูล้อมรอบเป็นกำแพง หรืออย่างเมืองหงสาวดีที่มีประตูเมืองรายล้อมกำแพงเมืองอยู่ยี่สิบประตู ซึ่งแต่ละประตูนั้นจะตั้งชื่อตามเมืองขึ้นของตน เช่น เชียงใหม่ อโยธยา จังหวัดนครราชสีมา เป็นต้น นอกจากนั้นการตั้งชื่อเมืองให้ดูยิ่งใหญ่เกินจริงเพื่อความเป็นสิริมงคลก็ถือเป็นธรรมดาของการตั้งชื่อเมืองหรืออาณาจักรในสมัยโบราณ
ส่วนข้อสันนิษฐานที่ว่าเมืองร้อยเอ็ดน่าจะมีเพียงสิบเอ็ดหัวเมือง อันเนื่องมาจากการเขียนจำนวนตามแบบภาษาลาวโบราณ โดยเลขสิบเอ็ดจะประกอบไปด้วยเลขสิบกับเลขหนึ่ง (10+1 =101) ทำให้เกิดการอ่านที่ผิดเพี้ยนเป็นคำว่าร้อยเอ็ดนั้น น่าจะเป็นสมมุติฐานที่คลาดเคลื่อน เพราะจากการตรวจสอบข้อความตัวอักษรธรรมในต้นฉบับใบลานเรื่องอุรังคธาตุไม่ปรากฏว่ามีจุดไหนที่เขียนชื่อเมืองร้อยเอ็ดเป็นตัวเลข แต่กลับมีการเขียนถึงเมืองร้อยเอ็ดเป็นตัวอักษรทุกจุด (มีทั้งหมด 59 จุด) และไม่มีข้อความตอนใดที่บรรยายแจกแจงรายชื่อหัวเมืองทั้ง 11 แห่ง (อ่านเพิ่มเติมที่ ร้อยเอ็ด คือ ร้อยเอ็ด มิใช่สิบเอ็ด หรือ 10 + 1 โดย สุวัฒน์ ลีขจร)
ประกอบกับตามธรรมดาของการตั้งชื่อต่างๆไม่ว่าจะคนหรือเมืองนั้น จะต้องมีการออกเสียงก่อนถึงจะมีการเขียนเป็นตัวอักษรหรือตัวเลข ซึ่งหากชื่อเมืองแต่เดิมชื่อว่าเมืองสิบเอ็ดประตูแล้ว จึงมีการจารึกชื่อเป็นตัวเลขอย่าง 101 นั้น คำว่าสิบเอ็ดก็ไม่น่าจะออกเสียงเพี้ยนจนมาเป็นคำว่าร้อยเอ็ดอย่างในปัจจุบันได้ ดังนั้นชื่อเมืองร้อยเอ็ดหรือเมืองร้อยเอ็ดประตูจึงน่าจะเป็นชื่อเมืองที่มีมาอยู่แต่แรกเริ่มดังปรากฏในหลักฐานสำคัญ คือ ตำนานอุรังคธาตุฉบับกรมศิลป์ฯ
สรุปความหมาย ก็คือ มีคำ 2 คำที่ต้องทำความเข้าใจ คำแรก คือคำว่า ร้อยเอ็ด แปลว่าจำนวนที่มากมายจนนับไม่ถ้วน และ อีกคำหนึ่ง ก็คือ คำว่า เมืองร้อยเอ็ดประตู ซึ่งมีนักวิชาการ ได้ตีความว่าน่าจะหมายถึง ทวารวดี เพราะ ทวาร แปลว่า ช่อง, รู, ประตู วติ หรือ วดี แปลว่า เขต หรือ รั้ว ทวารดี จึงแปลว่า เมืองที่มีประตูเป็นรั้ว ซึ่งเปรียบเทียบแล้วน่าจะมีความหมายที่ใกล้เคียงกับคำว่าเมืองร้อยเอ็ดประตูที่สุด
== ประวัติศาสตร์ ==
=== สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ===
พบหลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั่วไปในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด มีการขุดพบแหล่งโบราณคดีบ้านเมืองบัวซึ่งสันนิษฐานว่า ชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ค้นพบมีอายุประมาณ 1,800-2,500 ปีมาแล้ว และมักมีถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มน้ำกับใกล้แหล่งเกลือสินเธาว์ อิทธิพลของพุทธศาสนาภายใต้วัฒนธรรมทวารวดีได้เข้ามาเมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 12-15 มีหลักฐานสมัยทวารวดีที่สำคัญ เช่น คูเมืองร้อยเอ็ด เจดีย์เมืองหงส์ในเขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน กลุ่มใบเสมาบริเวณหนองศิลาเลขในเขตอำเภอพนมไพร และพระพิมพ์ดินเผาปางนาคปรกที่เมืองไพรในเขตอำเภอเสลภูมิ
วัฒนธรรมจากอาณาจักรขอมได้แพร่เข้ามาในพุทธศตวรรษที่ 16 ปรากฏหลักฐานอยู่มาก เช่น สถาปัตยกรรมในรูปแบบของปราสาทหิน เช่น กู่กาสิงห์ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย ปรางค์กู่ในเขตอำเภอธวัชบุรี กู่พระโกนาในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ และประติมากรรมที่เป็นรูปเคารพทางศาสนาที่เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่ทำจากหินทรายและโลหะเป็นจำนวนมาก
==== สมัยทวารวดี ====
การตั้งถิ่นฐานของชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ต่อเนื่องถึงสมัยทวารวดี เมืองที่สร้างขึ้นมีรูปร่างและที่ตั้งไม่แน่นอน แต่มีลักษณะที่สำคัญคือ มีคูน้ำและคันดิน ล้อมรอบชุมชน ร่องรอยที่ยังเห็นอยู่ของคูเมืองและคันดินได้แก่บริเวณด้านตะวันออกของวัดบูรพาภิราม ด้านใต้ของเมืองบริเวณโรงเรียนสตรีศึกษา นอกจากนี้ยังพบอยู่ในอำเภอต่าง ๆ ของร้อยเอ็ด ได้แก่ บ้านเมืองไพร (เขตอำเภอเสลภูมิ) บ้านเมืองหงส์ (เขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน) บ้านสีแก้ว (เขตอำเภอเมืองร้อยเอ็ด) หนองศิลาเลข บ้านชะโด (เขตอำเภอพนมไพร) และบ้านดงสิงห์ (เขตอำเภอจังหาร)
==== สมัยลพบุรี ====
พบโบราณสถานและโบราณวัตถุสมัยลพบุรีหรือละโว้ที่เป็นที่รู้จักดี ได้แก่ ปราสาทหินกู่กาสิงห์ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย กู่พระโกนาในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ ปรางค์กู่ในเขตอำเภอธวัชบุรี กู่โพนระฆัง กู่โพนวิท กู่บ้านเมืองบัวในเขตอำเภอเกษตรวิสัย กู่คันทนามในเขตอำเภอโพนทราย สำหรับโบราณวัตถุ ได้แก่ รูปเคารพและเครื่องมือเครื่องใช้ในศาสนา เช่นพระพุทธรูป เทวรูป ศิวลึงค์ ภาชนะดินเผา คันฉ่องสำริด กำไลสำริด เป็นต้น
=== สมัยอาณาจักรล้านช้าง ===
ได้ปรากฏชื่อเมืองร้อยเอ็ดในเอกสารของลาวว่า พระเจ้าฟ้างุ้มเมื่อดำรงตำแหน่งเป็นบุตรเขยเมืองขอม ได้นำไพร่พลมารวมกำลังกันอยู่ที่เมืองร้อยเอ็ด ก่อนยกกำลังไปยึดเมืองเชียงทอง (หลวงพระบาง) ได้สำเร็จแล้วจึงได้สถาปนาอาณาจักรล้านช้าง
หลักฐานเกี่ยวกับเมืองร้อยเอ็ดขาดหายไปประมาณ 400 ปี จนถึงประมาณปี พ.ศ. 2231 เมืองเวียงจันทน์เกิดความไม่สงบ พระครูโพนสะเม็ดพร้อมผู้คนประมาณ 3,000 คนได้เชิญเจ้าหน่อกษัตริย์อพยพลงมาตามแม่น้ำโขง แล้วมาตั้งมั่นอยู่ที่บริเวณเมืองจำปาศักดิ์ ผู้ปกครองเมืองจำปาศักดิ์มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระครูโพนสะเม็ด จึงได้นิมนต์ให้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและปกครองเมืองจำปาศักดิ์ ต่อมาเจ้าหน่อกษัตริย์ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์พระนามว่า เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร ได้ขยายอิทธิพลไปในดินแดนต่าง ๆ เหนือสองฝั่งแม่น้ำโขง ได้ตั้งเมืองใหม่ขึ้นหลายแห่งและส่งบริวารไปปกครอง เช่น เมืองเชียงแตง เมืองสีทันดร เมืองรัตนบุรี เมืองคำทอง เมืองสาละวัน และเมืองอัตตะปือ เป็นต้น
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2256 เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรได้มอบหมายให้เจ้าจารย์แก้วหรือเจ้าแก้วมงคล เจ้านายผู้มีเชื้อสายแห่งราชวงศ์ลาวล้านช้าง ควบคุมไพร่พลประมาณ 3,000 คน มาสร้างเมืองขึ้นใหม่ในดินแดนภาคอีสานตอนกลาง เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของอาณาจักรล้านช้างจำปาสัก เรียกว่า เมืองท่งศรีภูมิ ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำเสียว โดยมีแม่น้ำชีเป็นเขตแดนด้านตะวันออก (เขตนครหลวงจำปาสัก) และแม่น้ำมูลเป็นเขตแดนด้านทิศใต้ กั้นระหว่างเขตเมืองนครราชสีมา (เมืองในเขตอาณาจักรอยุธยา) (ปัจจุบันพื้นที่แม่น้ำชีตกแม่น้ำมูลซึ่งเป็นปลายอาณาเขตของเมืองท่งที่อยู่ทางทิศตะวันออกและทิศใต้สุด ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่รอยต่อระหว่าง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ อำเภอวารินชำราบ และอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี) ด้านทิศเหนือชนแดนเขตอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ บริเวณเมืองผาขาว (บ้านผ้าขาว ตำบลม่วงไข่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร) เมืองพันนา (บ้านพันนา ตำบลพันนา อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร) สนามหมากหญ้า (เขตรอยต่อ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดขอนแก่นในปัจจุบัน) ภูเม็ง (เขตอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น) ฝายพญานาค (รอยต่ออำเภอหนองเรือ และอำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่นในปัจจุบัน) หรือกล่าวโดยสรุปคือ เมืองท่งศรีภูมิเคยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมากโดยครอบคลุมพื้นที่กลุ่มจังหวัดร้อยแก่นสารสินธ์ุ แทบจะทั้งหมด และบางส่วนของจังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ ยโสธร อุบลราชธานี ชัยภูมิ อุดรธานี โดยมีพื้นที่ทั้งหมดโดยประมาณ 31,000 ตารางกิโลเมตร อนึ่งเจ้าแก้วมงคลยังเป็นปฐมบรรพบุรุษของเจ้าเมืองทั่วภาคอีสานที่ส่งลูกหลานไปปกครองหัวเมืองอีสานกว่า 20 หัวเมือง ภาคเหนือ 1 หัวเมือง และสปป.ลาว 1 หัวเมือง ได้แก่ เมืองสุวรรณภูมิราชบุรียประเทศราช (เมืองสุวรรณภูมิ) เมืองร้อยเอ็ด เมืองชลบทวิบูลย์ เมืองขอนแก่น เมืองเพี้ย เมืองรัตนนคร เมืองมหาสารคาม เมืองศีร์ษะเกษ เมืองโกสุมพิสัย เมืองกันทรวิชัย (เมืองโคกพระ) เมืองวาปีปทุม เมืองหนองหาน (เมืองหนองหานน้อย) เมืองโพนพิสัย เมืองพุทไธสง (เมืองผไทสมัน) เมืองบุรีรัมย์ (เมืองแปะ) เมืองเกษตรวิสัย เมืองพนมไพรแดนมฤค เมืองธวัชบุรี เมืองพยัคฆภูมิพิสัย (เมืองเสือ) เมืองจตุรพักตรพิมาน (เมืองหงษ์) เมืองขามเฒ่า เมืองเปือยใหญ่ (บ้านค้อ) เมืองนันทบุรี (เมืองน่าน) เมืองรัตนบุรี (เมืองศรีนครเตา) เมืองเดชอุดม เมืองราษีไศล (เมืองคง) เมืองรัตนวาปี เมืองสนม และเมืองประชุมพนาลัย (เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว)
เจ้าแก้วมงคลปกครองเมืองท่งอยู่ได้นาน 12 ปีก็ถึงแก่พิราลัย ในปีพ.ศ. 2268 เจ้าแก้วมงคลมีโอรสสองคน อันเกิดจากพระชายาคนที่ 2 ที่อพยพติดตามกันมาด้วย ได้แก่ เจ้ามืดคำดลและเจ้าสุทนต์มณี พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรจึงทรงแต่งตั้งเจ้ามืดผู้พี่เป็นเจ้าเมืองท่ง ท่านที่ 2 และเจ้าทนเป็นอุปราช เมื่อเจ้ามืดถึงแก่พิราลัย ในปีพ.ศ. 2306 เจ้าทนจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองท่งแทนพี่ชาย เจ้ามืดมีโอรส 3 คน คือ เจ้าเชียง เจ้าสูน และเจ้าอุ่น (ภายหลังถูกส่งไปทำราชการและไปเป็นกรมการเมืองที่เมืองขุขันธ์) ต่อมาในปีพ.ศ. 2308 เจ้าเชียง เจ้าสูน ทั้งสองคนไม่พอใจที่ไม่ได้เป็นเจ้าเมืองสืบแทนบิดา จึงได้คบคิดกับกรมการเมืองที่เป็นสมัครพรรคพวกของตน เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 (พระที่นั่งสุริยามรินทร์หรือเจ้าฟ้าเอกทัศน์ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) แห่งกรุงศรีอยุธยาและได้นำทองคำแท่งจำนวนมากไปถวายในคราวเข้าเฝ้า พร้อมกับทูลขอกองทัพจากกรุงศรีอยุธยาไปช่วยรบกับเจ้าทน สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพรหมกับพระยากรมท่าเป็นแม่ทัพเดินทางมาพร้อมกับเจ้าเชียงและเจ้าสูน เมื่อเดินทางใกล้ถึงเมืองท่ง เจ้าทนทราบข่าว จึงพาครอบครัวและไพร่พลอพยพไปอยู่ ณ บ้านกุดจอก (ในพื้นที่อำเภออาจสามารถ) เมื่อพระยาพรหมและพระยากรมท่าเข้าเมืองแล้ว ได้ติดตามไปนำตัวเจ้าทนมาว่ากล่าวตักเตือนให้คืนดีกันกับเจ้าเชียงและเจ้าสูนผู้เป็นหลาน เจ้าเชียงกับเจ้าสูนก็ได้ครองเมืองท่งและเมืองท่งจึงขาดจากการปกครองของนครจำปาศักดิ์ มาขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่บัดนั้น
=== สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ ===
ปี พ.ศ. 2318 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยากรมท่าและพระยาพรหมเดินทางมาดูแลหัวเมืองในภาคอีสาน ท้าวทนจึงได้เข้ามาขออ่อนน้อม พระยาทั้งสองจึงมีใบบอกไปยังกรุงธนบุรีขอตั้งท้าวทน (ต้นตระกูล ณ ร้อยเอ็จ) เป็นเจ้าเมือง โดยยกบ้านกุ่มฮ้างขึ้นเป็น เมืองร้อยเอ็ด ตามนามเดิม แยกอาณาเขตออกจากเมืองสุวรรณภูมิ ท้าวทนได้รับแต่งตั้งเป็นพระขัติยะวงษา นับว่าเป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนแรก ส่วนเมืองท่งศรีภูมินั้นบรรดากรมการเมืองเห็นว่าเป็นชัยภูมิที่ไม่เหมาะสม จึงได้ย้ายไปตั้งบริเวณดงท้าวสาร และให้ชื่อว่า เมืองสุวรรณภูมิ ในปีพ.ศ. 2315 (ซึ่งต่อมา ในสมัย ร.1 เปลี่ยนชื่อเป็น เมืองสุวรรณภูมิราชบุรินทร์หรือเมืองสุวรรณภูมิราชบุรียประเทศราช) นับแต่นั้นมาทั้งเมืองร้อยเอ็ดและเมืองสุวรรณภูมิต่างมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชขึ้นตรงต่อกรุงธนบุรีเช่นเดียวกัน (กรณีเมืองสุวรรณภูมิราชบุรินทร์การแต่งตั้งเจ้าเมืองจะถูกจารึกด้วยพระสุพรรณบัฏ) โดยเมืองร้อยเอ็ดกับเมืองสุวรรณภูมิได้มีการปักปันเขตแดนกันทั้งหมด ดังนี้ ตั้งแต่ปากน้ำลำพาชี (น้ำชี) ตกลำน้ำมูลขึ้นมาตามลำน้ำพาชี ถึงปากห้วยดางเดียวขึ้นไปทุ่งลาดไถ ไปบ้านดงขี้เหล็ก บ้านแก่งทรายหินตั้งแต่ถ้ำเต่า เหวฮวด ดงสวนอ้อย บึงกุย ศาลาอีเก้ง ภูเม็ง หนองม่วงคลุ้ม กุ่มปัก ศาลาหักมูลเค็ง ประจบปากน้ำลำพาชีตกลำน้ำมูลเป็นเขตเมืองสุวรรณภูมิ (มีพื้นที่โดยประมาณ 16,500 ตารางกิโลเมตร) ตั้งแต่ลำน้ำยัง ตกลำน้ำพาชีขึ้นไปภูดอกซ้อน หินทอดยอดยัง ดู่สามต้น อ้นสามขวาย สนามหมากหญ้า ผาขาวพันนา ฝายพญานาค ภูเม็ง มาประจบหนองแก้ว ศาลาอีเก้งมาบึงกุยเป็นอาณาเขตเมืองร้อยเอ็ด (มีพื้นที่โดยประมาณ 14,500 ตารางกิโลเมตร)
พ.ศ. 2321 เจ้าโสมพมิตร นำไพร่พลอพยพข้ามภูพานจากบ้านพรรณา (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร) เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอาณาเขตของเมืองร้อยเอ็ด (พื้นที่จังหวัดกาฬสินธ์ุในปัจจุบัน) ตั้งเป็นบ้านแก่งสำโรงซึ่งขณะนั้นยังคงเป็นเขตแดนของเมืองร้อยเอ็ด
พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแห่งใหม่ ทำให้เมืองร้อยเอ็ดและบรรดาหัวเมืองอีสานล้วนต้องขึ้นตรงต่อกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนเมืองร้อยเอ็ดก็ได้มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจนมีฐานะทางการเมืองและความสำคัญเหนือเมืองสุวรรณภูมิในเวลาต่อมา
พ.ศ. 2326 พระขัติยะวงษา (ท้าวทน) ถึงแก่กรรม ท้าวสีลังบุตรคนโตได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระขัติยะวงษา เจ้าเมืองร้อยเอ็ดสืบแทน
ต่อมาในปีพ.ศ. 2336 พระขัติยะวงษา (สีลัง ธนสีลังกูร) ได้ให้การช่วยเหลือแเก่เจ้าโสมพมิตรโดยการนำพาเข้าเฝ้าฯ ถวายสวามิภักดิ์ ต่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือ รัชกาลที่ 1 บ้านแก่งสำโรงจึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเมืองกาฬสินธุ์
== การคมนาคม ==
ทางรถยนต์: ห่างจากกรุงเทพมหานคร ระยะทางประมาณ 520 กม. เส้นทางที่สะดวกคือใช้เส้นทางถนนพหลโยธินเข้าสู่สระบุรี และเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนมิตรภาพ ผ่านจังหวัดนครราชสีมา อำเภอพล อำเภอบ้านไผ่ แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 23 ถนนแจ้งสนิท ผ่านจังหวัดมหาสารคาม แล้วเข้าสู่จังหวัดร้อยเอ็ด
ทางรถโดยสารประจำทาง:โดยที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดร้อยเอ็ด
**และยังมีหลายบริษัทที่เปิดให้บริการ โดยผ่านจังหวัดร้อยเอ็ด หลายบริษัท
*ในอำเภอต่างๆ มีรถประจำทางบริการ ได้แก่ อำเภอจังหาร อำเภอโพนทอง อำเภอหนองพอก อำเภอเสลภูมิ อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสุวรรณภูมิ อำเภอพนมไพร อำเภอปทุมรัตต์ อำเภอศรีสมเด็จ อำเภอโพนทราย เป็นต้น
*นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารประจำทางไปในจังหวัดต่างๆด้วย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดอุดรธานี จังหวัดขอนแก่น จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น
ทางรถไฟ: จังหวัดร้อยเอ็ดนั้น ปัจจุบันยังไม่มีทางรถไฟตัดผ่าน อย่างไรก็ตามสามารถใช้บริการได้ที่สถานีรถไฟขอนแก่น ในอำเภอเมืองขอนแก่น ดังนี้
* สถานีรถไฟขอนแก่น จากนั้นเดินทางต่อด้วยรถยนต์มาจังหวัดร้อยเอ็ด (อำเภอเมืองร้อยเอ็ด)
* สำหรับในอนาคต มีโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่ ร้อยเอ็ด มุกดาหาร นครพนม และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดพื้นที่ดินที่จะเวนคืน
ทางเครื่องบิน: ท่าอากาศยานร้อยเอ็ด หรือ สนามบินร้อยเอ็ด (Roi Et Airport ; รหัสสนามบิน : ROI) ตั้งอยู่เลขที่ 135 ถนนร้อยเอ็ด-โพนทอง (ทางหลวงหมายเลข 2044) ตำบลมะอึ และตำบลหนองพอก อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ห่างจากตัวเมืองประมาณ 11 กิโลเมตร เป็นท่าอากาศยานในสังกัดกรมการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม[1] ประกอบด้วยอาคารที่พักผู้โดยสารขนาด 3,013 ตารางเมตร ประตูผู้โดยสารขาเข้าและขาออกอยู่ชั้นเดียวกัน ทางวิ่ง (รันเวย์) 45 x 2,100 เมตร ท่าอากาศยานร้อยเอ็ด มีสายการบินที่ให้บริการอยู่ 3 สายการบิน
ให้บริการระหว่างท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานร้อยเอ็ด
*สายการบินนกแอร์ ให้บริการทุกวันๆละ 2 เที่ยวบิน
*สายการบินไทยแอร์เอเชีย ให้บริการทุกวันๆละ 4 เที่ยวบิน
รวมวันละ 6 เที่ยวบิน
และ สายการบินไทยสมายล์ ให้บริการระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานร้อยเอ็ด
การคมนาคมภายในจังหวัด
*ในการเดินทางภายในจังหวัดก็มีรถโดยสารประจำทางให้บริการ และรถสองแถว มอเตอร์ไซค์รับจ้าง สามล้อรับจ้าง และรถแท็กซี่มิเตอร์ (2 กม. แรก 30 บาท กม.ต่อไป 4 บาท)
ระยะทางจากตัวจังหวัดไปอำเภอต่างๆ
*โดยอำเภอที่อยู่ใกล้ที่สุด คือ อำเภอธวัชบุรี ระยะทาง 12 กิโลเมตร ใช้เวลา 18 นาที ส่วนอำเภอที่อยู่ไกลที่สุด คือ อำเภอโพนทราย ระยะทาง 84 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที ต่อไปเป็นระยะทางของแต่ละอำเภอ
อำเภอธวัชบุรี 12 กิโลเมตร
อำเภอจังหาร 14 กิโลเมตร
อำเภอเชียงขวัญ 21 กิโลเมตร
อำเภอศรีสมเด็จ 26 กิโลเมตร
อำเภอจตุรพักตร์พิมาน 27 กิโลเมตร
อำเภอเมืองสรวง 28 กิโลเมตร
อำเภอทุ่งเขาหลวง 29 กิโลเมตร
อำเภอเสลภูมิ 32 กิโลเมตร
อำเภออาจสามารถ 36 กิโลเมตร
อำเภอโพธิ์ชัย 40 กิโลเมตร
อำเภอเกษตรวิสัย 49 กิโลเมตร
อำเภอโพนทอง 49 กิโลเมตร
อำเภอสุวรรณภูมิ 54 กิโลเมตร
อำเภอปทุมรัตต์ 66 กิโลเมตร
อำเภอพนมไพร 67 กิโลเมตร
อำเภอเมยวดี 73 กิโลเมตร
อำเภอหนองฮี 74 กิโลเมตร
อำเภอหนองพอก 75 กิโลเมตร
อำเภอโพนทราย 84 กิโลเมตร
== การเมืองการปกครอง ==
=== การปกครองส่วนภูมิภาค ===
จังหวัดร้อยเอ็ดแบ่งออกเป็น 20 อำเภอ 192 ตำบล 2,446 หมู่บ้าน
=== การปกครองส่วนท้องถิ่น ===
จังหวัดร้อยเอ็ดมีองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด 203 แห่ง แบ่งออกเป็น 1 เทศบาลเมือง 72 เทศบาลตำบล 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด และ 129 องค์การบริหารส่วนตำบล โดยมีรายชื่อเทศบาลดังนี้
อำเภอเมืองร้อยเอ็ด
เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด
เทศบาลตำบลโนนตาล
เทศบาลตำบลปอภาร
เทศบาลตำบลสีแก้ว
อำเภอเกษตรวิสัย
เทศบาลตำบลกู่กาสิงห์
เทศบาลตำบลเกษตรวิสัย
เทศบาลตำบลเมืองบัว
อำเภอปทุมรัตต์
เทศบาลตำบลปทุมรัตต์
เทศบาลตำบลโพนสูง
เทศบาลตำบลโนนสวรรค์
อำเภอจตุรพักตรพิมาน
เทศบาลตำบลจตุรพักตรพิมาน
เทศบาลตำบลหนองผือ
เทศบาลตำบลหัวช้าง
เทศบาลตำบลดงแดง
เทศบาลตำบลโคกล่าม
เทศบาลตำบลเมืองหงส์
เทศบาลตำบลลิ้นฟ้า
อำเภอพนมไพร
เทศบาลตำบลพนมไพร
เทศบาลตำบลโพธิ์ชัย
อำเภอธวัชบุรี
เทศบาลตำบลบ้านนิเวศน์
เทศบาลตำบลนิเวศน์
เทศบาลตำบลธงธานี
เทศบาลตำบลอุ้มเม้า
เทศบาลตำบลมะอึ
อำเภอโพนทอง
เทศบาลตำบลโพนทอง
เทศบาลตำบลโคกสูง
เทศบาลตำบลโคกกกม่วง
เทศบาลตำบลโนนชัยศรี
เทศบาลตำบลโพธิ์ทอง
เทศบาลตำบลแวง
อำเภอเสลภูมิ
เทศบาลตำบลเสลภูมิ
เทศบาลตำบลขวาว
เทศบาลตำบลเมืองไพร
เทศบาลตำบลนาแซง
เทศบาลตำบลนาเมือง
เทศบาลตำบลวังหลวง
เทศบาลตำบลเกาะแก้ว
เทศบาลตำบลหนองหลวง
เทศบาลตำบลพรสวรรค์
เทศบาลตำบลท่าม่วง
อำเภอโพธิ์ชัย
เทศบาลตำบลชัยวารี
เทศบาลตำบลเชียงใหม่
เทศบาลตำบลคำพอุง
เทศบาลตำบลอัคคะคำ
อำเภอหนองพอก
เทศบาลตำบลหนองพอก
เทศบาลตำบลท่าสีดา
อำเภอสุวรรณภูมิ
เทศบาลตำบลสุวรรณภูมิ
เทศบาลตำบลจำปาขัน
เทศบาลตำบลหินกอง
เทศบาลตำบลทุ่งกุลา
เทศบาลตำบลทุ่งหลวง
เทศบาลตำบลดอกไม้
อำเภอเมืองสรวง
เทศบาลตำบลเมืองสรวง
เทศบาลตำบลหนองหิน
เทศบาลตำบลคูเมือง
เทศบาลตำบลกุกกง
อำเภอโพนทราย
เทศบาลตำบลโพนทราย
เทศบาลตำบลสามขา
อำเภออาจสามารถ
เทศบาลตำบลอาจสามารถ
เทศบาลตำบลโพนเมือง
อำเภอเมยวดี
เทศบาลตำบลชุมพร
เทศบาลตำบลเมยวดี
เทศบาลตำบลบุ่งเลิศ
เทศบาลตำบลชมสะอาด
อำเภอศรีสมเด็จ
เทศบาลตำบลศรีสมเด็จ
เทศบาลตำบลโพธิ์ทอง
เทศบาลตำบลบ้านบาก
อำเภอจังหาร
เทศบาลตำบลจังหาร
เทศบาลตำบลดินดำ
เทศบาลตำบลดงสิงห์
เทศบาลตำบลผักแว่น
อำเภอหนองฮี
เทศบาลตำบลหนองฮี
อำเภอเชียงขวัญ
เทศบาลตำบลเชียงขวัญ
อำเภอทุ่งเขาหลวง
ไม่มีเทศบาล
== ประชากรศาสตร์ ==
มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 1,310,259 คน แยกเป็นชาย 654,508 คน หญิง 655,751 คน โดยมีอำเภอที่มีประชากรมากที่สุดได้แก่ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด 118,789 คน รองลงมาได้แก่ อำเภอเสลภูมิ มีจำนวน 108,063 คน และอำเภอสุวรรณภูมิ มีจำนวน 106,451 คน สำหรับอำเภอที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุด คือ อำเภอจังหาร โดยมีอัตราความหนาแน่น 295 คนต่อตารางกิโลเมตร รองลงมาได้แก่ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด มีอัตราความหนาแน่น 240 คนต่อตารางกิโลเมตร และอำเภอเชียงขวัญมีอัตราความหนาแน่น 215 คนต่อตารางกิโลเมตร โดยอัตราความหนาแน่นโดยเฉลี่ยของจังหวัดอยู่ในระดับ 158 คนต่อตารางกิโลเมตร
โดยประชากรมีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
กลุ่มภาษาไทย-ลาว เป็นคนกลุ่มหลักในจังหวัดร้อยเอ็ด แบ่งย่อยเป็น 2 กลุ่มได้แก่ 1. ชาวไทยอีสานเดิม คนกลุ่มนี้มีภาษาไทยที่เป็นเอกลักษณ์เรียกว่า "สำเนียงร้อยเอ็ด" ไม่พบการใช้สำเนียงนี้ในที่อื่นนอกจากร้อยเอ็ด เป็นกลุ่มภาษาเดียวในภาคอีสานที่จังหวัดอื่นไม่มี สันนิฐานว่าเป็นชนพื้นเมืองร้อยเอ็ดในรุ่นแรกที่เข้ามาอาศัยไม่ต่ำกว่า 500 ปี จนวิวัฒธนาการมีภาษาและสำเนียงของตน ทางประเทศลาวได้กำหนดภาษาลาวไว้ 6 สำเนียง โดยสำเนียงร้อยเอ็ดนี้ทางประเทศลาวได้จัดให้เป็นภาษาลาวตะวันตก มีในเฉพาะในจังหวัดร้อยเอ็ดเท่านั้นและไม่พบการพูดสำเนียงนี้ในที่อื่นๆรวมถึงประเทศลาว แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ภาษาลาวจัดอยู่ตระกูลภาษาขร้า-ไท เช่นเดียวกับภาษาไทยทุกสำเนียง แต่ที่ถูกเรียกเป็นภาษาลาวเพราะทางการลาวใช้สำเนียงเวียงจันทน์เป็นภาษากลางในการจำแนก จึงทำให้สำเนียงร้อยเอ็ดถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มลูกของภาษาลาว เนื่องจากมีความใกล้กับภาษาเวียงจันทน์มากกว่าทางกรุงเทพมหานคร 2. ชาวไทยอีสานใหม่ เป็นกลุ่มชาวไทยอีสานที่โยกย้ายกันในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นยุคสงครามหรือการเมือง คนไทยอีสานในกลุ่มนี้ไม่ได้ใช้สำเนียงร้อยเอ็ด แต่ใช้ภาษาอีสานที่มีในอีสานเหนือ, อีสานกลาง รวมถึงสำเนียงลาวใต้ที่พบในแขวงจำปาศักดิ์, แขวงอัตตะปือ อีกทั้งมีการพบสำเนียงลาวเวียงจันทน์ที่โย้ยย้ายเข้ามาช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
กลุ่มภาษาเขมร เป็นคนพื้นเมืองร้อยเอ็ด แต่มีบรรพบุรุษเชื้อสายเขมร อยู่ในอำเภอสุวรรณภูมิ และอำเภอเกษตรวิสัย กลุ่มคนเหล่านี้มีภาษาใกล้เคียงกับชาวเขมรในอีสานใต้ หรือที่เรียกกันว่าภาษาเขมรสูง แยกเป็นอีกสำเนียงหนึ่งในตระกูลภาษาเขมร โดยคนกัมพูชาฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ชาวเขมรสูงในประเทศไทยสามารถฟังภาษาเขมรในกัมพูชาแตกฉาน
กลุ่มภาษาส่วย-กูย เป็นคนที่อยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด มีเชื่อสายเป็นชาวส่วยหรือกูย อยู่บริเวณอำเภอสุวรรณภูมิ, อำเภอปทุมรัตต์ และอำเภอโพนทราย ติดต่อกับจังหวัดศรีสะเกษ ภาษากูยจัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก เช่นเดียวกับกลุ่มภาษามอญ-เขมร แต่ชาวกูยแยกสายออกมาเป็นเวลานานมากจึงทำให้มีภาษาใหม่ ปัจจุบันภาษากูยถูกแยกย่อยเป็นอีกกลุ่มภาษาคือกลุ่มภาษากะตู ภาษาย่อยกูย
กลุ่มภูไทหรือผู้ไท เป็นกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานในเขตอำเภอเมยวดี, อำเภอหนองพอก ซึ่งติดต่อกับจังหวัดกาฬสินธุ์, ยโสธร และมุกดาหาร คนกลุ่มนี้เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ยาวจนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 โดยในปัจจุบันคือแขวงหัวพัน, แขวงเชียงขวาง, แขวงพงสาลี รวมถึงดินแดนสิบสองจุไท หรือในปัจจุบันคือจังหวัดเดียนเบียนฟูในประเทศเวียดนาม พูดภาษาผู้ไท และเรียกตนเองว่าไทนำหน้า เช่น ไทดำ นอกจากนี้ภาษาใกล้เคียงมากกับชาวไทพวน โดย "พวน" คือชื่อเมือง
กลุ่มไทย้อ เป็นกลุ่มที่มีเชื้อสายมาจากแขวงคำมวน ประเทศลาว อาศัยอยู่ในเขตอำเภอโพธิ์ชัย ภาษาไทญ้อจัดอยู่ในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ ในประเทศไทยมีจำนวนกว่า 50,000 คน ถึงแม้ในอดีตจะมาจากฝั่งประเทศลาว แต่ชาติพันธุ์ไทญ้อไม่ได้ถูกนับรวมกับกลุ่มภาษาลาวทั้ง 6 สำเนียงจากทางการ ภาษาไทญ้อใกล้เคียงกับภาษาภูไท, ผู้ไท, พวน, ลาวโซ่ง และไทดำ
นอกจากนั้นยังมีกลุ่มคนอพยพเข้ามาอาศัยในจังหวัดร้อยเอ็ดในภายหลัง ได้แก่ กลุ่มชาวจีน, ชาวเวียดนาม, แขก
== การศึกษา ==
การศึกษาในจังหวัดร้อยเอ็ดได้ริเริ่มอย่างแบบตะวันตกนั้นได้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2453 โดยพระครูเอกุตรสตาธิคุณ (โมง) เจ้าอาวาสวัดศรีมงคล (ปัจจุบันคือวัดสระทอง) อำเภอเมืองร้อยเอ็ด ตรงกับช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มขยายการศึกษาไปสู่หัวเมืองต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2454 รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้ราชบุรุษจันทร์มาเปิดโรงเรียนอย่างเป็นทางการที่วัดศรีมงคลโดยได้ตั้งชื่อว่า โรงเรียนวัดศรีมงคล ปลาย พ.ศ. 2456 จึงได้ย้ายมาทำการสอนที่อาคารที่ว่าการอำเภอเก่าริมคูเมือง พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนประจำมณฑลร้อยเอ็ด และตั้งเป็นโรงเรียนประจำมณฑลร้อยเอ็ด (ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และกาฬสินธุ์) ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย
เนื่องจากโรงเรียนประจำมณฑลร้อยเอ็ดเปิดสอนเฉพาะนักเรียนชาย จึงได้มีการจัดตั้งโรงเรียนประจำมณฑลหญิงขึ้นในปี พ.ศ. 2462 โดยได้แยกออกมาทำการเรียนการสอนบริเวณนอกคูเมืองทางทิศใต้ ซึ่งปัจจุบันคือ โรงเรียนสตรีศึกษา ต่อมารัฐก็ได้พยายามส่งเสริมการศึกษาระดับมัธยมศึกษามากขึ้น โดยได้จัดตั้งโรงเรียนวิสามัญประอำเภอจนครบทุกอำเภอในปี พ.ศ. 2513 จนกระทั่งปัจจุบันจังหวัดร้อยเอ็ดมีการจัดการศึกษาในทุกระดับการศึกษาทั้งระดับอุมศึกษา อาชีวศึกษา การศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษานอกโรงเรียน ทั้งในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ดูที่ รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดร้อยเอ็ด
ระดับอุดมศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ร้อยเอ็ด
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอิสาน วิทยาเขตร้อยเอ็ด ณ ทุ่งกุลาร้องไห้
สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
== สัญลักษณ์ ==
ไฟล์:Seal Roi Et.png|ตราประจำจังหวัดร้อยเอ็ด
ไฟล์:Flowers & leaves I IMG 1864.jpg|อินทนิลบก ดอกไม้ประจำจังหวัด
ไฟล์:Wot.jpg|โหวด
ตราประจำจังหวัด : ประกอบด้วยสัญลักษณ์ที่สำคัญคือรูปบึงพลาญชัย ศาลหลักเมือง พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ตัวเลข ๑๐๑ และรวงข้าวหอมมะลิ ตราที่ใช้ในปัจจุบันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ ปี พ.ศ. 2545 ออกแบบโดย นายรังสรรค์ ต้นทัพไทย
คำขวัญประจำจังหวัด : สิบเอ็ดประตูเมืองงาม เรืองนามพระสูงใหญ่ ผ้าไหมสาเกต บุญผะเหวดประเพณี มหาเจดีย์ชัยมงคล งามน่ายลบึงพลาญชัย เขตกว้างไกลทุ่งกุลา โลกลือชาข้าวหอมมะลิ
ต้นไม้ประจำจังหวัด : ต้นกระบก (Irvingia malayana)
ดอกไม้ประจำจังหวัด : ดอกอินทนิลบก (Lagerstroemia macrocarpa)
สัตว์น้ำประจำจังหวัด : ปลาหลดจุด (Macrognathus siamensis)
เครื่องดนตรีประจำจังหวัด : โหวด
== แหล่งท่องเที่ยว ==
=== บึงพลาญชัย ===
บึงพลาญชัยตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองร้อยเอ็ด ถือเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด มีลักษณะเป็นเกาะอยู่กลางบึงน้ำขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 2 แสนตารางเมตร เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ตกแต่งเป็นสวนไม้ดอกขนาดใหญ่ มีพรรณไม้ต่าง ๆ ร่มรื่น และในบึงน้ำมีปลาชนิดต่าง ๆ หลายพันธุ์ มีเรือจักรยานน้ำและเรือพายไว้บริการประชาชนพายเล่นในบึง นอกจากนั้นยังใช้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลของจังหวัด รวมทั้งจัดมหรสพต่าง ๆ ภายในบึงพลาญชัยยังมีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจคือ
ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เป็นของคู่บ้านคู่เมืองที่ชาวร้อยเอ็ดเคารพนับถือ และเชื่อว่าเจ้าพ่อจะช่วยดลบันดาลให้ชาวเมืองมีความสุข คิดสิ่งใดสมปรารถนา จึงเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ชาวเมืองร้อยเอ็ดจะพากันมากราบนมัสการขอพรเป็นประจำ
พระพุทธรูปปางลีลาขนาดใหญ่ กลางสวนดอกไม้
พานรัฐธรรมนูญ และนาฬิกาดอกไม้
ภูพลาญชัย มีลักษณะเป็นน้ำตกจำลอง และรูปปั้นสัตว์ต่าง ๆ คล้ายสวนสัตว์
สนามเด็กเล่น และ สวนสุขภาพ เป็นสวนออกกำลังกาย เพื่อให้ประชาชนได้ออกกำลังกาย อันเป็นการเสริมสร้างพลานามัยแก่ชาวร้อยเอ็ด
น้ำพุดนตรี
=== หอโหวดร้อยเอ็ด ===
หอชมเมืองร้อยเอ็ด หรือ หอโหวด ๑๐๑ (Roi Et Tower) เป็นหอคอยชมเมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองร้อยเอ็ด ตั้งอยู่ภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ร้อยเอ็ด บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดและบึงพลาญชัย เปิดทำการเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2563 มีพื้นที่ใช้สอยจริงจำนวน 12 ชั้น เทียบเท่าความสูงของตึก 35 ชั้น มีความสูง 123 เมตร นับได้ว่าเป็นหอคอยชมเมืองที่สูงที่สุดในภาคอีสาน ของประเทศไทย ณ.ปัจจุบัน รวมพื้นที่ทั้งหมด 3,621 ตารางเมตร หอชมเมืองสร้างตามยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองร้อยเอ็ด 4.0 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชื่อ "โครงการสามเหลี่ยมการท่องเที่ยวสาเกตนคร" โดยมีการเชื่อม 3 อำเภอเข้าด้วยกัน ได้แก่ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด อำเภอธวัชบุรี และอำเภอหนองพอก หอชมเมืองหรือหอโหวด ๑๐๑ ตั้งชื่อตามเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสาน "โหวด" ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประจำจังหวัดและถูกนำมาออกแบบเป็นรูปทรงของอาคาร และชื่อจังหวัด "๑๐๑" ภายในอาคารประดับตกแต่งโดยสอดแทรกเรื่องราวท้องถิ่นกับความร่วมสมัย เช่น ดอกอินทนิลบก ดอกไม้ประจำจังหวัด ที่ทำจากคริสตัล เป็นต้น
โดยพื้นที่ภายในอาคารของแต่ละชั้นจะมีดังนี้
ชั้นที่ 1 สำนักงานโครงการหอชมเมือง ห้องควบคุมต่างๆ
ชั้นที่ 2 ทางเข้าหลักประชาชนทั่วไป เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
ชั้นที่ 3 ร้านขายของสินค้าที่ระลึก สินค้าพื้นเมือง ร้านกาแฟ
ชั้นที่ 4 ร้านอาหาร ชมทัศนียภาพ
ชั้นที่ 28 ฟิตเนส
ชั้นที่ 29 ร้านขายอาหารว่าง
ชั้นที่ 30 ร้านอาหาร
ชั้นที่ 31 พื้นที่ชมวิว 360 องศา (ภายใน)
ชั้นที่ 32 พื้นที่ชมวิว ห้องพักเจ้าหน้าที่
ชั้นที่ 33 พิพิธภัณฑ์เมืองร้อยเอ็ด
ชั้นที่ 34 พื้นที่ชมวิว 360 องศา (ภายนอก) พื้นกระจกลอยฟ้า Sky Walk กิจกรรมการนั่งกระเช้าห้อยลวดสลิง และกิจกรรมโรยตัวจากชั้น 34 ไปที่บึงพลาญชัย
ชั้นที่ 35 เป็นหอพระซึ่งประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธมิ่งเมืองมงคล พระพุทธรูปประจำจังหวัดร้อยเอ็ด
=== พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ===
พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ตั้งอยู่บริเวณวัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วราราม ตำบลโคกสว่าง อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ระยะทางจากตัวเมืองร้อยเอ็ดประมาณ 80 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ที่วิจิตรพิสดาร ใช้ศิลปกรรมร่วมสมัยระหว่างภาคกลางและภาคอีสานเป็นการผสมกันระหว่างพระปฐมเจดีย์และพระธาตุพนม ใช้งบประมาณก่อสร้างถึงปัจจุบันกว่า 3,000 ล้านบาท ดำเนินการสร้างโดย “พระอาจารย์ศรี มหาวิโร” ซึ่งเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
พระมหาเจดีย์นี้ออกแบบโดยกรมศิลปากรเป็นสีขาวตกแต่งลวดลายตระการตาด้วยสีทองเหลืองอร่าม รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กทั้ง 8 ทิศ สร้างในเนื้อที่ 101 ไร่ กว้าง 101 เมตร ยาว 101 เมตร ความสูง 101 เมตร รวมยอดทองคำเป็น 109 เมตร ใช้ทองคำหนัก 4,750 บาท หรือประมาณ 60 กิโลกรัม ภายในองค์พระมหาเจดีย์เหมือนอยู่บนวิมานแดนสวรรค์
ชั้นที่ 1 เป็นห้องโถงกว้างใหญ่ โอ่อ่า ผนังจารึกนามทานาธิบดีต่าง ๆ ใช้เป็นห้องประชุม บำเพ็ญบุญ
ชั้นที่ 2 เป็นห้องโถงโอ่อ่าเช่นกัน ผนังติดตั้งรูปพระพุทธประวัติ ลวดลาย ไทยวิจิตรพิสดาร
ชั้นที่ 3 เป็นที่ประดิษฐานรูปพระณาจารย์ ปราชญ์อีสานในอดีต เป็นรูปเหมือนสลักหินอ่อน และหุ่นรูปเหมือนพระสุปฏิปันโน 101 องค์
ชั้นที่ 4 จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวัดวาอาราม สถานปฏิบัติสมถะวิปัสสนา กรรมฐานที่หลวงปู่ศรี เคยบำเพ็ญธรรมมา
ชั้นที่ 5 บันไดเวียน 119 ชั้น เป็นห้องโถงรูประฆัง 8 เหลี่ยมบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
=== ทุ่งกุลาร้องไห้ ===
ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นที่ราบขนาดใหญ่มีพื้นที่ประมาณ 2 ล้านไร่ อยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดร้อยเอ็ด การที่ได้ชื่อว่าทุ่งกุลาร้องไห้ มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ชนเผ่ากุลาซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยจากเมืองเมาะตะมะ ประเทศพม่า ได้เดินทางมาค้าขายผ่านทุ่งแห่งนี้ ต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน ไม่พบหมู่บ้านใด ๆ เลย น้ำก็ไม่มีดื่ม ต้นไม้ก็ไม่มีที่จะให้ร่มเงา มีแต่ทุ่งหญ้าเต็มไปหมด พื้นดินเป็นทราย เดินทางยากลำบากเหมือนอยู่กลางทะเลทราย ทำให้คนพวกนี้ถึงกับร้องไห้
ในอดีตทุ่งกุลาร้องไห้ในฤดูแล้ง พื้นที่ส่วนใหญ่จะแห้งแล้งมาก ส่วนในฤดูฝนน้ำจะท่วมทุกปี ใต้พื้นดินลงไปเป็นน้ำเค็ม ไม่สามารถทำการเกษตรได้ หลังจากที่ได้มีการพัฒนาที่ดินแล้ว ทุ่งกุลาร้องไห้ได้กลายเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่สำคัญของประเทศ และกลายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่มีชื่อเสียงของไทย
===น้ำตกถ้ำโสดา===
เป็นน้ำตกจากหน้าผาสูง50เมตร ลดหลั่นหลายชั้น มีความสวยงานตระการตา บริเวณหน้าผามีม่านน้ำตกสวยงาม และเป็นชะง่อนถ้ำ มีพระพุทธรูปใว้สักการะบูชา
===พระพุทธรัตนมงคลมหามุนี===
พระพุทธรูปที่สูงที่สุดอันดับที่สองของประเทศไทย ตั้งอยู่ในวัดบูรพาภิราม อำเภอเมือง
== ประเพณี วัฒนธรรม ==
=== ประเพณีบุญผะเหวด ===
งานบุญพระเวสสันดรชาดก หรือบุญผะเหวดในภาษาอีสาน เป็นบุญประเพณีที่มีการเทศน์มหาชาติเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของจังหวัดร้อยเอ็ด โดยเฉพาะจังหวัดได้กำหนดให้เป็นงานประเพณีประจำปีของจังหวัดและจัดได้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามฮีต 12 คือหมายถึงเดือนสี่มีการทำบุญผะเหวดดังคำกล่าวไว้ในฮีตว่า
===ประเพณีบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ (ลายศรีภูมิ)===
เป็นงานบุญประเพณีที่สำคัญของจังหวัด อีกหนึ่งงาน ที่มีการจัดอย่างต่อเนื่องและมีความเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย (ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2256 เป็นต้นมา) อีกทั้งยังเป็นงานประเพณีบุญบั้งไฟ 1 ใน 4 แห่งที่มีชื่อเสียงและมีการจัดงานยิ่งใหญ่ในระดับประเทศ โดยมีเอกลักษณ์ คือ ประกวดแข่งขัน การเอ้ บั้งไฟ ประเภท ลายกรรไกรตัด หรือ "บั้งไฟลายศรีภูมิ" เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย โดย ทั่วไปพื้นที่อื่นๆ การตกแต่งตัวบั้งไฟ จะใช้ลายสับ ทั้งนี้ ในเขตเทศบาลตำบลสุวรรณภูมิ และอำเภอสุวรรณภูมิ มีช่างเอ้ ช่างตัดลายบั้งไฟที่มีชื่อเสียง และถ่ายทอดภูมิปัญญา มาไม่น้อยกว่า 309 ปี และที่มีบันทึกทางวิชาการ ลวดลายกระดาษ โดยช่างมีฝีมือ ที่มีหลักฐานสืบต้นทางวิชาการ ที่มีพัฒนาการและนวัตกรรม การตัดลายกระดาษ "ลายศรีภูมิ" ระหว่าง 70 - 90 ปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานบั้งไฟลายศรีภูมิ นั้น เป็นที่ทราบกันดีของช่างบั้งไฟเอ้ ทั่วจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดในภาคอีสาน ว่า งานประเพณีบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ เป็นงาน ที่รวบรวมช่างฝีมือการเอ้บั้งไฟและการตกแต่งเครื่องล่าง มาร่วมแข่งขันบั้งไฟเอ้สวยงามขนาดใหญ่ มากที่สุดในประเทศไทย โดย การจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ จะจัดทุกวัน เสาร์ อาทิตย์แรก ของเดือนมิถุนายน ของทุกปี
===ประเพณีบุญบั้งไฟพนมไพร===
เป็นงานประเพณีบุญบั้งไฟ 1 ใน 4 แห่งที่มีชื่อเสียงและมีการจัดงานยิ่งใหญ่ในระดับประเทศ ในการจัดการแข่งขันบั้งไฟมีขบวนแห่ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาสยามบรมราชกุมารี และมีการจัดตามฮีตสิบสองคองสิบสี่ โดยยึดวัน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 เป็นการจัดงานในทุกปี และมีการจุดบั้งไฟถวย (ถวาย) องค์พระมหาธาตุวัดกลางอุดมเวทย์ ซึ่ง มีบั้งไฟแสน รวมบั้งไฟขนาดอื่นๆ รวมกันมากกว่า 1,000 บั้ง และมีการจุดมากที่สุดในประเทศไทย
=== ประเพณีบุญบั้งไฟโพนทราย ===
===ประเพณีลอยกระทง (สมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป)===
เป็นงานประเพณีลอยกระทงที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสานและติด 1 ใน 5 ของงานประเพณีลอยกระทงที่มีอัตลักษณ์และจัดได้ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ ถือเป็นตัวแทนจัดงานลอยกระทงของภาคตะวันออกเฉียงเหนือใช้ชื่อว่า “สมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป” มีการแห่กระทงประทีป 12 หัวเมือง การประกวดกระทงอนุรักษ์ธรรมชาติ ฯลฯ งานประเพณีลอยกระทง "สมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป” เป็นเอกลักษณ์ เป็นการขอขมาพระแม่คงคาในคืนวันเพ็ญเดือน 12 โดยจัดขึ้นที่บึงพลาญชัยและสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด ภายในงานสามารถร่วมลอยกระทงรวงข้าวซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของงานลอยกระทงของจังหวัดร้อยเอ็ดเนื่องด้วยจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน และร่วมชมประทีปพระราชทาน การประกวดกระทงอนุรักษ์ การประกวดขบวนแห่ การประกวดกระทงประทีปใหญ่ชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ การประกวดธิดาสาเกตนคร และการแสดงแสง เสียงตำนานเมืองร้อยเอ็ด (สาเกตนคร)
== ชาวจังหวัดร้อยเอ็ดที่มีชื่อเสียง ==
จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดที่ก่อกำเนิดศิลปินนักร้องมากมาย
=== บุคคลในประวัติศาสตร์ ===
เจ้าแก้วมงคล เจ้าเมืองท่งศรีภูมิท่านแรก
เจ้ามืดคำดล เจ้าเมืองท่งศรีภูมิท่านที่ 2
พระขัติยวงษา (เจ้าสุทนต์มณี) เจ้าเมืองท่งศรีภูมิท่านที่ 3 เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านแรก
พระรัตนวงษา (เจ้าเซียง) เจ้าเมืองท่งศรีภูมิท่านที่ 4
พระรัตนาวงษามหาขัติยราช (อ่อน) เจ้าเมืองท่งศรีภูมิท่านที่ 6
พระยารัตนวงษา มหาขัติยราช (คำผาย) เจ้าเมืองท่งศรีภูมิท่านที่ 11
พระยารัตนวงษา (คำสิงห์) เจ้าเมืองท่งศรีภูมิท่านที่ 12
พระยาขัติยวงษาพิสุทธิบดี (สีลัง ธนสีลังกูร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ 2
พระยาขัติยะวงษาเอกธิกะสตานันท์ (เหลา ณ ร้อยเอ็ด) ผู้ว่าราชการเมืองร้อยเอ็ดท่านสุดท้าย
พระเจริญราชเดช (กวด ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม) เจ้าเมืองมหาสารคามท่านแรก ปัจจุบันคือ จังหวัดมหาสารคาม
พระสุนทรพิพิธ (เสือ) เจ้าเมืองโกสุมพิสัยท่านแรก ปัจจุบันคือ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
พระพิทักษ์นรากร (บุญมี) เจ้าเมืองวาปีปทุมท่านแรก ปัจจุบันคือ อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
พระศรีเกษตราวิชัย (เหง้า) เจ้าเมืองเกษตรวิสัยท่านแรก
พระดำรงฤทธิไกร (บุญตา) เจ้าเมืองพนมไพรแดนมฤคท่านแรก
พระธาดาอำนวยเดช (สุพรหม) เจ้าเมืองจตุรพักตรพิมานท่านแรก
พระศรีสุวรรณวงษา (เทศ) เจ้าเมืองพยัคฆภูมิพิสัยท่านแรก ปัจจุบันคือ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
พระนิคมบริรักษ์ (เสน ประทุมทิพย์) เจ้าเมืองเสลภูมินิคมท่านแรก
พระธำรงไชยธวัช (โพธิราช) เจ้าเมืองธวัชบุรีท่านแรก
พระพิชัยสุริยะวงศ์ (ตาดี) เจ้าเมืองโพนพิสัยท่านแรก ปัจจุบันคือ อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
พระพิทักษ์เขื่อนขันธ์ (เพ) เจ้าเมืองหนองหานหรือหนองหานน้อยท่านแรก ปัจจุบันคือ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
พระจันตะประเทศ (คำพาวเมืองแสน) เจ้าเมืองชลบถวิบูลย์หรือชนบทท่านแรก ปัจจุบันคือ อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น
พระนครศรีบริรักษ์ (ศักดิ์) เจ้าเมืองขอนแก่นหรือขรแก่นท่านแรก ปัจจุบันคือ จังหวัดขอนแก่น
พระยาเสนาสงคราม (เพี้ยศรีปาก) เจ้าเมืองพุทไธสงหรือไผทสมันต์ท่านแรก ปัจจุบันคือ อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์
พระนครภักดี (เพี้ยเหล็กสะท้อน) เจ้าเมืองแปะหรือบุรีรัมย์ท่านแรก ปัจจุบันคือ จังหวัดบุรีรัมย์
พระรัตนวงษา (อุ่น) เจ้าเมืองศีร์ษะเกษท่านแรก ปัจจุบันคือ จังหวัดศรีสะเกษ
พระปทุมวิเศษ (คำมูล) เจ้าเมืองกันทรวิชัยท่านแรก ปัจจุบันคือ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
พระปทุมวิเศษ (ทองคำ) เจ้าเมืองกันทรวิชัยท่านที่ 2 ปัจจุบันคือ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
พระศรีนครชัย (บุญจันทร์) เจ้าเมืองรัตนบุรีหรือศรีนครเตาท่านที่ 2 ปัจจุบันคือ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์
=== พระภิกษุสงฆ์===
พระธรรมโสภิต (หลวงปู่โส ธมฺมปาโล) สำนักตักกศิลาบ้านฟ้าเหลื่อม จังหวัดร้อยเอ็ด
พระพรหมวชิรโสภณ (ศรีจันทร์ ปุญฺญรโต) พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 ธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดบึงพระลานชัย พระอารามหลวง ร้อยเอ็ด
พระพรหมวชิรธีรคุณ (สมคิด เขมจารี) ป.ธ.9 พระราชาคณะเจ้าคณะรอง เจ้าคณะภาค 11 เจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ กรุงเทพมหานคร
พระศรีอรรถเมธี (หลวงปู่มหาเคน อตฺถกาโม ป.ธ.๘)อดีตเจ้าคณะจังหวัดเลย รูปที่2
หลวงปู่ทองมา ถาวโร
พระมงคลญาณเถร หลวงปู่มา ญาณวโร
พระเทพวิสุทธิมงคล วิ. หลวงปู่ศรี มหาวีโร
พระราชวีราภรณ์ (หลวงปู่ใหญ่เสาร์ อภินนฺโท ป.ธ.๗) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเลย
พระวิสุทธิญาณเถร (สมชาย ฐิตวิริโย)
หลวงปู่จันทา ถาวโร
พระราชธรรมานุวัตร (เลื่อน สุกวโร)
พระราชวัชรสารบัณฑิต (ประสาร จนฺทสาโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
พระครูศรีธีราภรณ์ (หลวงพ่อมหาบุญมี ยโสธร) ป.ธ.๖ รองเจ้าคณะจังหวัดเลย
พระศรีธีรพงษ์ (อุดม สารเมธี) ป.ธ.9 เลขานุการเจ้าคณะภาค 11,เจ้าคณะเขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร
พระครูสมุทรธรรมสุนทร (สุด สิริธโร)
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ
พระอาจารย์ดี ฉนฺโน
===ข้าราชการ/นักการเมือง/นักเคลื่อนไหวทางการเมือง/นักกฎหมาย===
ถวิล อุดล นักการเมือง
เชาวน์ สายเชื้อ ประธานศาลรัฐธรรมนูญคนแรก
เอกภาพ พลซื่อ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด
อนุรักษ์ จุรีมาศ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์คนแรก และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
สุรพร ดนัยตั้งตระกูล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด
ศักดา คงเพชร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
วราวงษ์ พันธุ์ศิลา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด เขต 1
บุญเติม จันทะวัฒน์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด
นิรันดร์ นาเมืองรักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด อดีตผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย
นิรมิต สุจารี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด เขต 3
นันทโชติ ชัยรัตน์ อดีตที่ปรึกษาสมัชชาคนจน
ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ฉลาด ขามช่วง ประธานกรรมาธิการแก้ไขปัญหาหนี้สินแห่งชาติ
ขจรศักดิ์ ศรีสวาสดิ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด 6 สมัย
กิตติ สมทรัพย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด เขต 6
ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์ เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และเป็นอดีตอธิบดีกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
อานนท์ นำภา ทนายความ
เวียง วรเชษฐ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด 4 สมัย
จิราพร สินธุไพร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 5 จังหวัดร้อยเอ็ด คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน
ชัชวาลย์ ชมภูแดง อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
นิสิต สินธุไพร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช.
วิรุฬห์ พื้นแสน อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ อดีตนายตำรวจราชองครักษ์พิเศษ[1]และอดีตสมาชิกวุฒิสภา
เอมอร สินธุไพร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด เขต 5
ระวี มาศฉมาดล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ อดีตเลขาธิการพรรคพลังธรรม
ระวี หิรัญโชติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
อุ่นเรือน อารีเอื้อ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด 1 สมัย
อำพัน หิรัญโชติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด 4 สมัย และอดีตนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด
เขมชาติ บุณยรัตพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
รัชนี พลซื่อ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด
บุญช่วย ศรีสารคาม อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์,ขอนแก่น, อุบลราชธานี, ชลบุรี, และจันทบุรี
พลตำรวจตรี เอกพงษ์ ทิปะณี (สารวัตรต้น) อดีต ผบ.หมู่ สว.สส.สภ.เมืองยโสธร
ชญาภา สินธุไพร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 8 จังหวัดร้อยเอ็ด
===นักกีฬา===
รัชนก อินทนนท์ นักกีฬาแบดมินตัน
ทัดดาว นึกแจ้ง นักกีฬาวอลเลย์บอล
แซมซั่น กระทิงแดงยิม นักมวย
หงส์ขาว ม.ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (นิติยาภรณ์ ศรีไสล (แนน)) นักกีฬามวยไทย
อุ่นจิตร ทรงกิตรัตน์ นักมวย
เพชร ซีพีเฟรชมาร์ท นักมวย
เม็ดเงิน กระทิงแดงยิม นักมวย
ก้องนภา วัชรวิทย์ นักมวย
เสนีย์ แก้วนาม นักกีฬาฟุตบอล
สุมัญญา ปุริสาย นักกีฬาฟุตบอล
สนธยา แก้วบัณฑิต นักกีฬาวอลเลย์บอล
ศักดิ์ แกแล็คซี่ นักมวย
วิชิต เมืองร้อยเอ็ด นักมวย
วรุตม์ บุญสุข นักกีฬาฟุตบอล
ยอดขุนพล ศิษย์ไตรภูมิ นักมวย
ฟ้าสั่ง ป.พงษ์สว่าง นักมวย
ฟ้าเพชรน้อย ส.จิตรพัฒนา นักมวย
พิชัย สายโยธา นักมวย
ปัจจัย ยงยุทธยิม นักมวย
นพพล พลคำ นักกีฬาฟุตบอล
นพพล ปิตะฝ่าย นักกีฬาฟุตบอล
ธีระพล เยาะเย้ย นักกีฬาฟุตบอล
เด็ดดวง ป.พงษ์สว่าง นักมวย
ดีเด่น เก่งการุณ นักมวย
ฉัตรเพชร ศิษย์หมอเส็ง นักมวย
จุฑาธิป มณีพันธุ์ นักกีฬาปั่นจักรยาน
แก้วฟ้า ต.บัวมาศ นักมวย
เกรียงไกร พิมพ์รัตน์ นักกีฬาฟุตบอล
กวนอู ภารสมบูรณ์ นักมวย
เกษตรชัย สุวรรณธาดา นักกีฬาฟุตบอล เจ้าของฉายา "หนูถีบจักร"
ปริมประภา เเก้วคำไสย์ นักตระกร้อหญิงทีมชาติไทย
===นักร้อง/นักดนตรี/นักแสดง===
ฉวีวรรณ ดำเนิน ราชินีหมอลำคนแรกของประเทศไทย ศิลปินเเห่งชาติ พำนักอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ดแต่เกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี
คำหมา แสงงาม ครูช่างศิลป์ ครูช่างทำนกหัสดีลิงค์ ศิลปินเเห่งชาติ พำนักเเละมีครอบครัวอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ดแต่เกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี
จินตหรา พูนลาภ นักร้อง นักแสดง ราชินีลูกทุ่งหมอลำ
รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย นักร้องหมอลำ
สุภาพ ดาวดวงเด่น นักร้องหมอลำ
พิมพ์ใจ เพชรพลาญชัย นักร้องหมอลำ ราชินีลำเพลิน
รัชฎา ผลาผล นักร้องหมอลำ อดีตนางเอกหมอลำคณะนกยูงทอง คณะระเบียบวาทะศิลป์ คณะเสียงอิสาน
ดวงเนตร วาสนา นักร้องหมอลำเพลิน
ยุพิน สายใจ นักร้องหมอลำเพลิน ฉายาราชินีหมอลำเพลินคนที่ 2
ศิระ รัตนโภคาสถิต นักแสดง ผู้ผ่านเข้ารอบ 12 คนสุดท้าย ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่นที่ 3
เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช นักร้อง นักแสดง รองชนะเลิศอันดับที่ 1 เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 6
เอกราช สุวรรณภูมิ นักร้อง
ลำไย ไหทองคำ นักร้อง นักแสดง พิธีกร ราชินีอินดี้
ขวัญชัย เพชรร้อยเอ็ด นักร้อง
ร้อยเอ็ด เพชรสยาม นักร้อง
กัญญาวีร์ สองเมือง นักแสดง
เวียง นฤมล นักร้อง นักแสดง
ธาราทิพย์ สุขดรุณพัฒน์ นักแสดง นักร้อง นางงาม มิสบุรีรัมย์ยูไนเต็ด 2013 มิสซูปราเนชันแนลไทยแลนด์ 2015
เจมส์ จตุรงค์ นักร้องลูกทุ่ง หมอลำ นักแสดง แชมป์ ศึกวันดวลเพลง 10 สมัย แชมป์ ศึกวันดวลเพลง เสาร์ ๕ ฤดูกาลที่ 1 แชมป์ ศึกวันดวลเพลง ซูเปอร์แชมป์
เทพ โพธิ์งาม นักแสดงตลก
เดชา โคนาโล นักดนตรี
เต๊ะ ตระกูลตอ นักร้อง
บอย พนมไพร นักร้อง
เพียว เอกพันธ์ วรรณสุทธิ์ นักร้อง แชมป์ The Voice All Star คนแรก แชมป์ เคพีเอ็น อวอร์ด ครั้งที่ 19
แอนดริว เกร้กสัน นักแสดง
มันนี่ กิจจำนง นักแสดง
ศักดิ์ สระแก้ว นายแบบ
โจอี้ ภูวศิษฐ์ นักร้อง เจ้าชายแห่งวงการเสียงสูง รองชนะเลิศอันดับที่ 2 เดอะวอยซ์ไทยแลนด์ ฤดูกาลที่ 7
บู๊ท จักรพันธ์ ลำเพลิน ซานเล้าบันเทิงศิลป์ อดีตพระเอกหมอลำคณะระเบียบวาทะศิลป์ หัวหน้าวงซานเล้าบันเทิงศิลป์
ธัญญ่า อาร์สยาม นักร้อง นักแสดง
เอม อภัสรา นักร้อง
สาวแย้ เจติยา นักร้อง
ดาว ชลิตา นักร้อง
แอนนา อริสา นักร้อง
จันทร์เพ็ญ ศิริเทพ หมอลำ
ชินธันย์ เธียรกิตติพงษ์ นักแสดงประกอบค่ายอิสระ
โยชิ รินรดา ธุระพันธ์ นักแสดง, เนตไอดอล,มิสทิฟฟานี่ยูนิเวิร์ส 2017 และ รองอับดับ2มิสอินเตอร์เนชั่นแนลควีน
มงคล อุทก นักดนตรี
แสงธรรม ชูมีชัย นักแสดง รองนางสาวไทย ประจำปี 2547
มณีรัตน์ คำอ้วน นักแสดง
พัชรา แวงวรรณ นักร้อง
สิทธิพร สุนทรพจน์ นักร้อง
หญิง ฐิติกานต์ นักร้อง
เจ้สี่ พลล้ำ อดีตนักแสดงตลกคณะระเบียบวาทะศิลป์
บี ประภาพร ขวัญใจแฟนแฟน นางเอกหมอลำสังกัดคณะหมอลำขวัญใจแฟนแฟน แมน จักรพันธ์
บานเย็น ศรีวงษา หมอลำ
ต้าร์ ตจว. นักร้อง
ไอออน กลวัชร ข้าวสารแลนด์ นักร้อง พระเอกหมอลำคณะซานเล้าบันเทิงศิลป์
ตาต้า สุภาพร แปดแสนซาวด์ นักร้อง
จิ๋ว ขุมดิน อินดี้ลายไทย นักร้อง
โบว์ดำ ลำซิ่ง อาร์สยาม นักร้อง
สนุ๊ก สิงห์มาตร นักร้อง
เรย์ แมคโดนัลด์ นักแสดง พิธีกร
เผ่าทอง ทองเจือ นักแสดง พิธีกร นักวิชาการ ข้าหลวงในพระองค์สมเด็จพระพันปีหลวง
แพทริค ณัฐวรรธ์ ฟิงค์เลอร์ นักแสดง นักร้อง ผู้ผ่านการคัดเลือก 1 ใน 11 คน จากรายการ CHUANG 2021 หรือ พรอดิวซ์แคมป์ 2021ของประเทศจีน
ด้งเด้ง ณัฐวุฒิ แสนยะบุตร นักแสดง
ฟิฟิม สิริอมร อ่อนคูณ นักแสดง
เฟิร์ส ธนาดล บัวระบัติ นักแสดง
คำตัน จินดามล นักแสดง
ต้องเต ธิติ ศรีนวล นักแสดง ผู้กำกับภาพยนตร์ โปรดิวเซอร์ (กำกับภาพยนต์ดัง อาทิ สัปเหร่อ เป็นต้น)
วัชรพงษ์ ปัทมะ ผู้กำกับภาพยนตร์ นักแสดง (ร่วมกำกับภาพยนต์ดัง อาทิ แดง พระโขนง เป็นต้น)
หนึ่ง พลาญชัย ท็อปไลน์ พระเอกหมอลำคณะคำผุนร่วมมิตร
ภานุวัฒน์ วิเศษวงษา นักเเต่งเพลง (เเต่งเพลงดัง อาทิ บ่เป็นหยังเขาเข้าใจ ซังได้ซังเเล้ว ห้ามตั๋ว นางไอ่ของอ้าย เพิ่นบ่แม่นผู้สาวเฮา เป็นต้น)
===ผู้ดำเนินรายการ/ผู้สื่อข่าว===
สุวิช สุทธิประภา ผู้ประกาศข่าว
กรองทอง จันทะบุรม ผู้ประกาศข่าวภาคสนาม
รัชนีย์ สุทธิธรรม ผู้ประกาศข่าว
===นักธุรกิจ===
ธีรายุทธ ศิริวัฒนาเลิศ นักธุรกิจ
วิทูร สุริยวนากุล นักธุรกิจ
จักรพงษ์ สุริยวนากุล นักธุรกิจ
===นักเขียน/กวี===
สิลา วีระวงส์ กวี นักเขียน ศิลปินมรดกอีสาน นักปราชญ์คนสำคัญของชาวลาว
เดช ภูสองชั้น นักเขียน ผู้เขียน "คนทุ่งกุลา"
===วีรบุรุษ===
นาวาตรี สมาน กุนัน วีรบุรุษถ้ำหลวง
=== ศิลปินแห่งชาติ ===
ทรงศักดิ์ ประทุมสินธุ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีพื้นบ้านอีสาน) ประจำปีพุทธศักราช 2562 ผู้พัฒนาเครื่องดนตรี โหวด เครื่องดนตรีประจำจังหวัดร้อยเอ็ด
ไพวรินทร์ ขาวงาม กวี นักเขียน ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ กวีนิพนธ์ พุทธศักราช 2558 ผู้เขียน ม้าก้านกล้วย
=== นักวิชาการ ปราชญ์ชุมชน พื้นบ้าน ===
ยุทธพงศ์ มาตย์วิเศษ นักวิชาการ ศิลปินมรดกอีสาน ครูช่างเมรุนกหัสดีลิงค์ ผู้ที่ปริวรรตใบลานอุรังคธาตุนิทานฉบับที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก
สมัยลี สร้อยศิลา ปราชญ์พื้นบ้าน ด้านทัศนศิลป์ ครูช่างตัดแต่งลายเอ้บั้งไฟ ลายศรีภูมิ
ล้อม ปราสาร ปราชญ์ชุมชน ด้านศาสนพิธี พิธีกรรม ครูช่างทอผ้าไหมลายศรีภูมิดั้งเดิม
เลียบ แจ้งสนาม ศิลปินพื้นบ้าน ด้านทัศนศิลป์ ครูช่างตัดแต่งลายเอ้บั้งไฟ ลายศรีภูมิ ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม ของ สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม
ครุธ ภูมิแสนโคตร ปราชญ์พื้นบ้าน ด้านทัศนศิลป์ ครูช่างตัดแต่งลายเอ้บั้งไฟ ศิลปินมรดกอีสาน
สุมิตรา ทองเภ้า ช่างทอผ้ายกดอกลายโบราณจังหวัดร้อยเอ็ด ครูช่างศิลป์ บุคคลต้นแบบของการพัฒนาเชิงสร้างสรรค์
เลื่อน สามาลา ปราชญ์พื้นบ้าน ด้านทัศนศิลป์ ครูช่างตัดแต่งลายเอ้บั้งไฟ ช่างออกแบบและก่อสร้างสถาปัตยกรรมไทย
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
รายชื่อวัดในจังหวัดร้อยเอ็ด
รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดร้อยเอ็ด
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด
จังหวัดร้อยเอ็ด - อีสานร้อยแปด
|
thaiwikipedia
| 2,005 |
เสาชิงช้า
|
เสาชิงช้า เป็น สถาปัตยกรรม ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้า ใน พระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย ของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยทั่วไปหมายถึงเสาชิงช้าที่ตั้งอยู่หน้า วัดสุทัศน์เทพวราราม และลานหน้า ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (ลานคนเมือง) ใกล้กับ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ในพื้นที่แขวงเสาชิงช้าและแขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ กรุงเทพมหานคร แม้พิธีโล้ชิงช้าได้เลิกไปแล้วตั้งแต่สมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ก็ตาม
นอกจากนี้ ใน ประเทศไทย ยังมีเสาชิงช้าอีกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ หน้าหอพระอิศวร เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งมีการประกอบพิธีโล้ชิงช้ามาแต่โบราณเช่นกัน แต่ได้เลิกไปก่อนที่จะมีการก่อสร้างขึ้นใหม่ในภายหลัง โดยจำลองแบบมาจากเสาชิงช้าที่ กรุงเทพมหานคร
เสาชิงช้าที่ กรุงเทพมหานคร แห่งนี้ มีลักษณะเป็นเสาชิงช้าขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนแท่นหินขนาดใหญ่ สูง 21.15 ม. เส้นผ่านศูนย์กลาง ฐานกลมประมาณ 10.50 ม. ฐานกลมก่อเป็นฐานปัทม์ทำด้วยหินล้างสีขาว พื้นบนปูกระเบื้องดินเผาสีแดง มีบันได 2 ขั้น ทั้ง 2 ด้าน ตามแนวโค้งของฐานติดแผ่นจารึกประวัติเสาชิงช้า เสาไม้แกนกลางคู่และเสาตะเกียบ 2 คู่ เป็นเสาหัวเม็ด ล้วนทำด้วยไม้สักกลึงกลม โครงยึดหัวเสาทั้งคู่แกะสลักอย่างสวยงาม กระจังและหูช้างไม้เป็นลวดลายไทย ทั้งหมดทา สีแดงชาด ติด สายล่อฟ้า จากลวดลายกระจังด้านบนลงดิน
กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเสาชิงช้าเป็น โบราณสถาน สำคัญของชาติเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 นับตั้งแต่สร้างครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2327 จนถึงการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดซึ่งเสาชิงช้าคู่เดิมถูกถอดเปลี่ยนเมื่อปี พ.ศ. 2549 เสาชิงช้ามีอายุรวมประมาณ 222 ปี
== การก่อสร้าง ==
จดหมายเหตุกรุงรัตนโกสินทร์บันทึกไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้างเสาชิงช้าในพระนครขึ้นตรงหน้าเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เมื่อวันพุธ เดือน 5 แรม 4 ค่ำ ปีมะโรง บริเวณลานด้านเหนือของวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ต่อมาย้ายมาสร้างใหม่ ณ ที่ตั้งปัจจุบันบริเวณหน้าวัดสุทัศน์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากข้อจำกัดด้านสถานที่
== พิธีโล้ชิงช้า ==
พิธีโล้ชิงช้า เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย เป็นการต้อนรับพระอิศวรซึ่งเป็นหนึ่งในสามเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อกันว่าพระอิศวรจะเสด็จลงสู่โลกในวันขึ้นเจ็ดค่ำเดือนยี่ วันนั้นจะมีการแห่พระเป็นเจ้าไปถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อพระเป็นเจ้าเสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์ก็ได้เชิญเทวดาองค์อื่นๆ มาเฝ้าและมาร่วมพิธีด้วย ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระคงคา และพระธรณี พราหมณ์จะแกะรูปสัญลักษณ์ของเทวดาแต่ละองค์เป็นเทวรูปลงในไม้กระดานสามแผ่นเพื่อทำการบูชาในเทวสถาน แล้วจากนั้นจะนำไปปักในหลุมหน้าโรงพิธีนั่งดูโล้ชิงช้า หันหน้ากระดานเข้าหาตำแหน่งที่มีพระยายืนชิงช้านั่ง เรียกว่ากระดานลงหลุม ในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือนยี่
พระราชพิธีตรียัมปวายนี้จะกระทำในเทวสถานสำหรับพระนคร 3 เทวสถาน คือ เทวสถานพระอิศวร เทวสถานพระมหาวิฆเนศวร และเทวสถานพระนารายณ์ โลกบาลทั้งสี่ (พระยายืนชิงช้า และนาลิวัน) จึงต้องโล้ชิงช้าถวายและรับน้ำเทพมนตร์ด้วย
แต่เดิมนั้นพระราชพิธีตรียัมปวายจะจัดในเดือนอ้าย (ประมาณเดือนธันวาคม) ครั้นล่วงเข้าสู่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้เปลี่ยนมาจัดในเดือนยี่ (ประมาณเดือนมกราคม) พิธีนี้ถือเป็นพิธีขึ้นปีใหม่ของพราหมณ์ซึ่งในหนึ่งปีพระอิศวรจะเสด็จมาเยี่ยมโลก 10 วัน พราหมณ์จะประชุมที่เทวสถานพระอิศวร แล้วผูกพรตชำระกายสระเกล้าเตรียมรับเสด็จพระอิศวร
ตำนานพระราชพิธีตรียัมปวาย
พิธีโล้ชิงช้ามีที่มาจากคัมภีร์เฉลิมไตรภพกล่าวไว้ว่าพระอุมาเทวีทรงมีความปริวิตกว่าโลกจะถึงกาลวิบัติ พระนางจึงทรงพนันกับพระอิศวร โดยให้พญานาคขึงตนระหว่างต้นพุทราที่แม่น้ำ แล้วให้พญานาคแกว่งไกวตัวโดยพระอิศวรทรงยืนขาเดียวในลักษณะไขว่ห้าง เมื่อพญานาคไกวตัว เท้าพระอิศวรไม่ตกลงแสดงว่าโลกที่ทรงสร้างนั้นมั่นคงแข็งแรง พระอิศวรจึงทรงชนะพนัน
ดังนั้นพิธีโล้ชิงช้าจึงเปรียบเสาชิงช้าเป็น "ต้นพุทรา" ช่วงระหว่างเสาคือ "แม่น้ำ" นาลิวันผู้โล้ชิงช้าคือ "พญานาค" โดยมีพระยายืนชิงช้านั่งไขว่ห้างอยู่บนไม้เบญจมาศ
พิธีโล้ชิงช้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีได้ยกเลิกไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ปัจจุบันการประกอบพระราชพิธีนี้จะกระทำเป็นการภายในเทวสถานเท่านั้น
== การบูรณปฏิสังขรณ์ ==
ล่วงสู่สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 บริษัทหลุยส์ ที.เลียวโนเวนส์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าไม้ได้มอบซุงไม้สักสำหรับสร้างเสาชิงช้าใหม่ ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2463 นับเป็นการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งแรก และบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่อีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2502 ครั้งนั้นเสาชิงช้ามีส่วนสูงทั้งสิ้น 21.15 เมตร
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2490 เกิดไฟไหม้เสาชิงช้าเนื่องจากมีผู้จุดธูปกราบไหว้ ไฟจากธูปตกลงในรอยแตกและลามจนไหม้ จึงต้องบูรณปฏิสังขรณ์ชั่วคราว จนถึง พ.ศ. 2513 เสาชิงช้าชำรุดทรุดโทรมมากต้องเปลี่ยนเสาใหม่ โดยการบูรณะได้พยายามรักษาลักษณะเดิมไว้ทุกประการ
กระทั่งวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2539 มีการบูรณปฏิสังขรณ์อีกครั้งโดยสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ใช้สายเหล็กรัดเป็นโครงเหล็กประกับ คล้ายลักษณะเข้าเฝือกไม้ยึดโครงสร้างหลัก
ล่าสุดเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 พบว่าเสาชิงช้ามีความชำรุดทรุดโทรมมาก ปรากฏรอยผุแตกเป็นร่องลึกตลอดแนวยาว โดยเฉพาะรอยต่อเสากลาง กทม. จึงได้ทำหนังสือขออนุญาตกรมศิลปากร เพื่อดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ด้วยการเปลี่ยนเป็นเสาใหม่ทั้งหมด เน้นการแก้ไขการผุกร่อนในระยะยาว เนื่องจากสาเหตุที่เสาชิงช้าผุกร่อนได้ง่ายนั้น เป็นเพราะเสาหลักทั้งสองต้นใช้ไม้ยาวท่อนละประมาณ 7 เมตร ทำสลักเดือยต่อกันถึง 3 ท่อน ทำให้น้ำซึมเข้าในรอยต่อจนไม้ผุได้ง่าย ทางกทม. ตั้งเป้าไว้ว่าเสาชิงช้าใหม่ หากได้รับการดูแลบำรุงรักษาอย่างดีจะมีความมั่นคง แข็งแรงต่อไปได้ถึง 100 ปี เมื่อเทียบกับการบูรณะครั้งก่อนหน้าที่ทำให้เสาชิงช้ามีอายุการใช้งานเพียงมากกว่า 35 ปี
== ความสำคัญทางโบราณคดี ==
การรื้อถอนเสาชิงช้าคู่เดิมเมื่อปี พ.ศ. 2549 เป็นโอกาสที่ทำให้มีการศึกษาทางโบราณคดีของเสาชิงช้ามากขึ้น โดยเฉพาะร่องรอยแนวถนนและท่อน้ำเดิม เนื่องจากการรื้อถอนหรือก่อสร้างโบราณสถานในเขตเมืองพระนครต้องได้รับความเห็นชอบจากกรมศิลปากรในการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบและดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่นั้นๆ
นักโบราณคดีได้ทำการขุดแต่งในระดับแนวพื้นเดิมที่ยังเหลือร่องรอย และแต่งด้านหน้าติดกันด้านทิศใต้ (ด้านวัดสุทัศน์) และทิศเหนือ (ด้านศาลาว่าการ กทม.) ในการตรวจสอบชั้นดินเบื้องต้น ได้เชิญนายชาติชาย ร่มสน ผู้เชี่ยวชาญชั้นดินทางวัฒนธรรมมาช่วยในการวิเคราะห์ สรุปรายละเอียดเบื้องต้นได้ดังนี้
ชั้นดินด้านทิศใต้ (ด้านวัดสุทัศน์) ปรากฏลักษณะร่องรอยกิจกรรม 3 สมัย กล่าวคือ
* สมัยที่ 1 เป็นชั้นแนวอิฐขนาดใหญ่ เรียงสลับตามแนวนอน ก่อซ้อนกันประมาณ 3 ชั้น และมีการก่ออิฐในแนวตั้งยกเป็นขอบ ใต้ชั้นแนวอิฐเป็นชั้นดินเหนียว
* สมัยที่ 2 เป็นชั้นพื้นปรากฏเป็นแนวในแกนตะวันออก-ตะวันตก ลักษณะเป็นหินกรวดหลายขนาดผสมปูนขาว เทปูเป็นพื้น ใต้ลงไปเป็นชั้นอิฐบดวางทับอยู่บนชั้นดินเหนียว
* สมัยที่ 3 เป็นท่อน้ำเหล็กที่วางอยู่ในชั้นอิฐสมัยที่ 1 เป็นลักษณะเจาะชั้นอิฐลงไปเพื่อวางท่อเหล็ก
ชั้นดินด้านทิศเหนือ(ด้านศาลาว่าการ กทม.) ปรากฏร่องรอยกิจกรรม 2 สมัย คือ
* สมัยที่ 1 (ตรงกับสมัยที่สองของชั้นดินด้านทิศเหนือ) เป็นชั้นพื้น ลักษณะการเรียงตัวของชั้นดิน คล้ายสมัยที่สองด้านเหนือ คือชั้นบนสุดเป็นหินกรวดผสมปูนรองลงไปเป็นชั้นปูนขาว ใต้ชั้นปูนขาวเป็นอิฐก่อสอปูนวางแนวเหนือ-ใต้ ประมาณ 9-11 ชั้น
* สมัยที่ 2 (ตรงกับสมัยที่สามของชั้นดินด้านทิศเหนือ) เป็นส่วนของท่อน้ำเหล็ก ปรากฏลักษณะการตัดเป็นช่องสี่เหลี่ยมลงไปในชั้นดินสมัยที่หนึ่ง เพื่อวางท่อน้ำ
ในรายงานดังกล่าวตั้งข้อสังเกตด้วยว่าพบแนวอิฐด้านนอกวางตัวในแนวตะวันออก-ตะวันตก 1 แผ่น โดยแนวดังกล่าวจะเว้นช่องว่าง จากนั้นจึงก่อแนวอิฐอีก 1 ชั้น วางตัวในลักษณะเดียวกัน โดยชั้นบนสุดจะใช้อิฐก่อตะแคงปิดด้านบนของช่องดังกล่าว
สรุปชั้นดินเบื้องต้นได้ว่าแนวอิฐในสมัยที่ 1 (ด้านวัดสุทัศน์) น่าจะเป็นแนวถนนเดิมที่มีมาก่อนสมัย รัชกาลที่ 4 ส่วนแนวพื้นสมัยที่ 2 (ด้านวัดสุทัศน์) น่าจะเป็นแนวถนนที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมีรางระบายน้ำอยู่ขอบถนน อาจมีการปรับพื้นที่ด้วยการอัดดินเหนียวเพื่อให้ได้ระดับแล้วจึงเทชั้นถนน ส่วนท่อเหล็กสมัยที่สามน่าจะเป็นท่อประปาที่สร้างขึ้นในสมัยหลังคือสมัย รัชกาลที่ 5 สร้างขึ้นหลังจากมีการสร้างถนนแล้ว
ช่วงท้ายของรายงานชี้แจงว่าได้มีการบันทึกภาพถ่ายพร้อมทั้งรายละเอียดทุกขั้นตอน นอกจากนี้ยังได้ทำแผนผังหลุม แผนผังชั้นดิน ลายเส้นแนวอิฐ รวมถึงเก็บตัวอย่างดินในแต่ละชั้นและอิฐ เพื่อนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ หลังจากนั้นจึงจะนำผลวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการมาวิเคราะห์ร่วมกับหลักฐานอื่น เช่น เอกสาร แผนผังและรูปถ่ายโบราณ เพื่อจะประมวลเป็นรายงานเบื้องต้นต่อไป
การค้นพบร่องรอยแนวถนนโบราณก่อนสมัยรัชกาลที่ 4 และท่อน้ำเหล็กสมัยรัชกาลที่ 5 อันเนื่องมาจากการรื้อถอนเสาชิงช้าเมื่อปี พ.ศ. 2549 จึงเป็นผลดีสำหรับการเพิ่มเติมข้อมูลวิชาการโบราณคดีเมือง และหากเป็นไปตามเป้าประสงค์ของ กทม. โอกาสที่ผืนดินนี้จะถูกขุดแต่งทางโบราณคดีอีกครั้งก็น่าจะเป็นเวลากว่า 1 ศตวรรษข้างหน้า
== ภูมิทัศน์โดยรอบเสาชิงช้า ==
พื้นผิวการจราจรบริเวณเสาชิงช้าในปัจจุบันเป็นทางแยกบนถนนบำรุงเมืองที่ต่อเนื่องกัน 2 แยก ได้แก่ทางแยกด้านทิศตะวันตก เป็นจุดบรรจบระหว่างถนนบำรุงเมือง, ถนนตีทอง และถนนดินสอ และด้านทิศตะวันออก เป็นจุดบรรจบระหว่างถนนบำรุงเมือง, ถนนอุณากรรณ และถนนศิริพงษ์ โดยมีฐานเสาชิงช้าทำหน้าที่คล้ายวงเวียนขนาดเล็กตั้งอยู่ระหว่างทางแยกทั้งสอง ตรงกับด้านหน้าวัดสุทัศนเทพวรารามและลานหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร หรือลานคนเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งกว้างสำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ ด้านล่างมีที่จอดรถใต้ดินของ กทม. บนลานคนเมืองด้านที่ติดกับเสาชิงช้ามีประติมากรรมและป้ายแสดงชื่อเต็มของกรุงเทพมหานคร จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในงานฉลอง 220 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2545
บริเวณย่านเสาชิงช้าเป็นย่านเก่าแก่แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่จำนวนมากโดยเฉพาะอาคารพาณิชย์สองฝั่งถนนบำรุงเมืองรอบเสาชิงช้า ระหว่างแยกสี่กั๊กเสาชิงช้าและแยกสำราญราษฎร์ ถือเป็นย่านจำหน่ายสังฆภัณฑ์ที่สำคัญของกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ โดยรอบยังมีศาสนสถาน ที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอยู่หลายแห่ง ได้แก่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์, วัดเทพมณเฑียร และศาลพระนารายณ์ ซึ่งสร้างขึ้นภายหลังบริเวณเกาะกลางถนนอุณากรรณ-ถนนศิริพงษ์ ข้างวัดสุทัศน์
== สถานที่สำคัญใกล้เคียง ==
วัดสุทัศนเทพวราราม
ลานคนเมือง และศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
เทวสถานโบสถ์พราหมณ์
โรงเรียนเบญจมราชาลัย
วัดเทพมณเฑียร สมาคมฮินดูสมาช และโรงเรียนภารตวิทยาลัย
ศาลเจ้าพ่อเสือ
== รถประจำทางเข้าสู่เสาชิงช้า ==
12 = ตลาดห้วยขวาง - ปากคลองตลาด
42 = วนขวา เสาชิงช้า - ท่าพระ
508 = ปากน้ำ - ท่าราชวรดิษฐ์
508 = เมกาบางนา - ท่าราชวรดิษฐ์
3-37 (12 เดิม) = ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - MRT สนามไชย
3-53 = ARL หัวหมาก - เสาชิงช้า
4-10 (42 เดิม) = วนซ้าย ท่าพระ - เสาชิงช้า
== เชิงอรรถ ==
== อ้างอิง ==
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
ทางแยกในเขตพระนคร
โบราณสถานในเขตพระนคร
|
thaiwikipedia
| 2,006 |
7 มิถุนายน
|
วันที่ 7 มิถุนายน เป็นวันที่ 158 ของปี (วันที่ 159 ในปีอธิกสุรหาจนาทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 207 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 1642 (ค.ศ. 1099) - ทหารในสงครามครูเสดครั้งที่ 1 เดินทางถึงเยรูซาเลม และเริ่มการโอบล้อมเยรูซาเลม นาน 5 สัปดาห์
พ.ศ. 2197 (ค.ศ. 1654) - พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส
พ.ศ. 2405 (ค.ศ. 1862) - สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร เห็นชอบที่จะยกเลิกการค้าทาส
พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) - นครรัฐวาติกันกลายเป็นรัฐเอกราช
พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) - สงครามโลกครั้งที่สอง : ยุทธภูมิมิดเวย์ยุติลง
พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) - ทหารนาซีประหารชีวิตเชลยสงครามชาวแคนาดา 23 คน ที่นอร์ม็องดี
พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) - แอ็ดวาร์ต แบแน็ช ลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งเชโกสโลวาเกีย
พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) - ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีหะยีสุหลง ให้จำคุกหะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ 4 ปี 8 เดือน ส่วนจำเลยอื่นยืนตามศาลชั้นต้น
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - กองทัพอากาศอิสราเอล บุกโจมตีและทำลายเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในอิรัก
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ภูเขาไฟปินาตุโบบนเกาะลูซอนของฟิลิปปินส์ปะทุอย่างรุนแรง พ่นเถ้าถ่านสูง 7 กม. ขึ้นไปในอากาศ
พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) - พรรคแรงงานนำโดย โทนี แบลร์ ได้รับเลือกตั้งเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2 ในสหราชอาณาจักร
พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย : กลุ่มคนร้ายพร้อมอาวุธสงคราม บุกเข้าปล้นอาวุธปืนของทางราชการในบ้านพักของอาสาสมัครป้องกันตนเอง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ซึ่งมีทั้งปืนเอ็ม 16 พร้อมแม็กกาซีนและกระสุนปืน
พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) - เริ่มการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2008 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และประเทศออสเตรีย
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2391 (ค.ศ. 1848) - พอล โกแกง จิตรกรชาวฝรั่งเศส (ถึงแก่กรรม 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2446)
พ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905) - เริงจิตร์แจรง อาภากร พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (สิ้นชีพิตักษัย 19 สิงหาคม พ.ศ. 2536)
พ.ศ. 2452 (ค.ศ. 1909) - เจสซิกา แทนดี้ นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2537)
พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917) - ดีน มาร์ติน นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 25 ธันวาคม พ.ศ. 2538)
พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1933) - สีเทา เพ็ชรเจริญ นักแสดงตลกชาวไทย (ถึงแก่กรรม 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559)
พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1935) - ไชยา สุริยัน นักแสดงชาวไทย (ถึงแก่กรรม 26 ตุลาคม พ.ศ. 2533)
พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) - ชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรองนายกรัฐมนตรีของไทย
พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1952) -
* เลียม นีสัน นักแสดงชายชาวไอร์แลนด์เหนือ
* ฟิลิป เดวิส นายกรัฐมนตรีบาฮามาสคนที่ 5
พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) - ออร์ฮัน ปามุก นักเขียนชาวตุรกี
พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) - โน้ต เชิญยิ้ม นักแสดงตลกชาวไทย
พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) -
* สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นักการเมืองชาวไทย
* พรินซ์ นักร้องชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 21 เมษายน พ.ศ. 2559)
พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) - ไมก์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 48
พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - พรพิมล ธรรมสาร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี เขต 5
พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - กาฟู อดีตนักฟุตบอลชาวบราซิล
พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - ธนากร โปษยานนท์ นักแสดง/นายแบบ/ดีเจ/นักพากย์ชาวไทย
พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) -
* นุสบา วานิชอังกูร นักแสดงชาวไทย
* แบร์ กริล นักผจญภัยชาวอังกฤษ
* โหน่ง ชะชะช่า นักแสดงตลกชาวไทย
พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - เดฟ ฟิโลนี ผู้กำกับภาพยนตร์
พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - อัลเลน ไอเวอร์สัน นักบาสเกตบอลชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) -
* กัญญา ไรวินท์ นักจัดรายการวิทยุชาวไทย
* เขมสรณ์ หนูขาว พิธีกรหญิงชาวไทย
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) -
* เพทาย พลอยมีค่า นักร้อง/นักแสดงชาวไทย
* แอนนา คูร์นิโควา นักเทนนิสชาวรัสเซีย
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - มารีออน อัฟโฟลเทอร์ นักแสดง ผู้สื่อข่าว และนางแบบชาวไทย
พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - โรเบิร์ต คัลเลน นักฟุตบอลลูกครึ่งญี่ปุ่น
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) -
*วิศว ไทยานนท์ นักร้องลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น
* อิกกี อะเซเลีย ศิลปินด้านดนตรีชาวออสเตรเลีย
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - แจงค์ โทซุน นักฟุตบอลชาวตุรกี
พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) -
* จอร์จ เอซรา นักร้อง นักแต่งเพลง และนักดนตรีชาวอังกฤษ
* พัก จี-ย็อน นักร้อง/นักแสดงชาวเกาหลี
*สว ลี ศิลปิน แร็ปเปอร์ นักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - ต็องกี นีย็องซู นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) - แอลัน ทัวริง นักคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษ (เกิด 23 มิถุนายน พ.ศ. 2455)
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - หม่อมหลวงบุญเหลือ เทพยสุวรรณ นักเขียนและนักวิชาการชาวไทย (เกิด 13 ธันวาคม พ.ศ. 2454)
พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) - คริสโตเฟอร์ ลี นักแสดงชาวอังกฤษ (เกิด 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2465)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
มิถุนายน 07
มิถุนายน
|
thaiwikipedia
| 2,007 |
สมุดตราไปรษณียากร
|
สมุดตราไปรษณียากรเล่มเล็ก (stamp booklet) ประกอบขึ้นจาก แสตมป์แผงเล็ก ๆ ปกติมีแสตมป์อยู่ระหว่าง 10 ถึง 20 ดวง พับและติดอยู่บนกระดาษ ผู้ซื้อสามารถฉีกแสตมป์ออกมาใช้เป็นค่าไปรษณีย์ได้ ส่วน สมุดตราไปรษณียากร เป็นคำที่มีความหมายกว้างกว่า ครอบคลุมทั้งสมุดตราไปรษณียากรเล่มเล็ก หรือเล่มที่รวบรวมแสตมป์ชุดต่าง ๆ จำหน่ายโดยไปรษณีย์ (เช่น สมุดตราไปรษณียากรประจำปี ซึ่งรวบรวมแสตมป์ทุกชุดที่ออกในปีหนึ่ง ๆ) ไปจนถึง อัลบั้มแสตมป์
สมุดตราไปรษณียากรเล่มเล็กเป็นรูปแบบการจำหน่ายแสตมป์ที่นิยมมากแบบหนึ่ง โดยเฉพาะการจำหน่ายจากตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติ และตามร้านสะดวกซื้อ
แผงแสตมป์ที่ติดอยู่ในสมุดตราไปรษณียากรเล่มเล็กอาจจะฉีกออกจากแผ่นใหญ่ (sheet หรือ pane) หรือ พิมพ์เป็นพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ ในกรณีหลัง แสตมป์อาจไม่มีการปรุรูครบทั้งสี่ด้านของแสตมป์
==ในประเทศไทย==
สำหรับประเทศไทย เริ่มมีการจำหน่ายสมุดตราไปรษณียากรเล่มเล็กเป็นครั้งแรกเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2474 ในสมัยรัชกาลที่ 7 ภายในมีแสตมป์ราคา 2, 3, 5 และ 10 สตางค์ อย่างละ 6 ดวง แต่ไม่ได้รับความนิยมและหยุดไปจนกระทั่ง 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 จึงมีการจำหน่ายใหม่ (มีแสตมป์ราคา 75 สตางค์ 10 ดวง)
ในช่วงนี้ มีการจัดทำสมุดตราไปรษณียากรเล่มเล็กสำหรับการสะสมด้วย โดยการนำแสตมป์ที่ระลึกเฉพาะราคาค่าส่งจดหมายมาใส่ (ถ้าเป็นราคา 1 และ 2 บาทจะมีจำนวน 5 ดวง ส่วนชุดเก่า ๆ เมื่ออัตราค่าส่ง 1.25 บาท จะมี 4 ดวงในเล่ม) และออกพร้อมกับแสตมป์ที่ระลึกอย่างสม่ำเสมอ หลายชุดมีการประทับตราวันแรกจำหน่ายที่ด้านปกด้วย ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้วเนื่องจากไม่ได้รับความนิยม โดยชุดสุดท้ายคือ ชุดสัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมาย พ.ศ. 2544 เมื่อปรับอัตราค่าส่งจดหมายในประเทศจาก 2 บาท เป็น 3 บาท
ปัจจุบันคงเหลือแต่แบบที่ใช้สำหรับใช้งานเท่านั้น ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น มีทั้งราคา 30 บาท (แสตมป์ 3 บาท 10 ดวง) และ 150 บาท (แสตมป์ 15 บาท 10 ดวง สำหรับติดโปสการ์ดไปต่างประเทศ)
{|
|
|
|}
==อ้างอิง==
นายแพทย์ภิเษก ยิ้มแย้ม, แสตมป์พระรูปในสมุดแสตมป์เล่มเล็กของไทย, วารสารตราไปรษณียากร, กรกฎาคม พ.ศ. 2550
==แหล่งข้อมูลอื่น==
สแสตมป์
|
thaiwikipedia
| 2,008 |
8 มิถุนายน
|
วันที่ 8 มิถุนายน เป็นวันที่ 159 ของปี (วันที่ 160 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 206 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2326 (ค.ศ. 1783) - ภูเขาไฟลาไค ในประเทศไอซ์แลนด์ปะทุนานประมาณ 8 เดือน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 9,000 ราย และเกิดภาวะทุพภิกขภัยถึง 7 ปี
พ.ศ. 2404 (ค.ศ. 1861) - สงครามกลางเมืองอเมริกา : เทนเนสซีประกาศถอนตัวออกจากสมาชิกของกลุ่มสหภาพ (Union) อย่างเป็นทางการ
พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - สงครามโลกครั้งที่สอง : ฝ่ายสัมพันธมิตรบุกเข้าโจมตีซีเรียและเลบานอน
พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) - หนึ่งเก้าแปดสี่ นวนิยายการเมือง ประพันธ์โดยจอร์จ ออร์เวลล์ ตีพิมพ์ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) - พายุทอร์นาโดถล่มเมืองฟลินต์ รัฐมิชิแกน คร่าชีวิตประชาชน 115 คน และเป็นทอร์นาโดครั้งสุดท้ายที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คน
พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - สหภาพโซเวียตส่งยานเวเนรา 9 ขึ้นสู่อวกาศ เพื่อเดินทางไปสำรวจดาวศุกร์
พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - เกิดปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ครั้งแรกในคริสต์สหัสวรรษที่ 3
พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) - เกิดเหตุการก่อการร้ายในท่าอากาศยานนานาชาติจินนาห์ในปากีสถาน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 29 ศพ
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2168 (ค.ศ. 1625) - โจวันนี โดเมนีโก กัสซีนี นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี-ฝรั่งเศส (ถึงแก่กรรม 14 กันยายน พ.ศ. 2255)
พ.ศ. 2353 (ค.ศ. 1810) - โรเบิร์ต อะเล็กซานเดอร์ ชูมันน์ คีตกวีและนักเปียโนชาวเยอรมัน (ถึงแก่กรรม 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2399)
พ.ศ. 2406 (ค.ศ. 1863) - พระองค์เจ้ากาญจนากร (สิ้นพระชนม์ 21 กันยายน พ.ศ. 2475)
พ.ศ. 2410 (ค.ศ. 1867) - แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ สถาปนิกชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 9 เมษายน พ.ศ. 2502)
พ.ศ. 2417 (ค.ศ. 1874) - กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (สิ้นพระชนม์ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2474)
พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) - ฟรานซิส คริก นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ (ถึงแก่กรรม 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2547)
พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) - ซูฮาร์โต อดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย (ถึงแก่กรรม 27 มกราคม พ.ศ. 2551)
พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) - บาร์บารา บุช อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ
พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) - โรเบิร์ต ฟลอยด์ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 25 กันยายน พ.ศ. 2544)
พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - แนนซี ซินาตรา นักร้อง นักแสดงอเมริกัน
พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) - โซเนีย บรากา นักแสดงหญิงชาวบราซิล
พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) - เป็ด เชิญยิ้ม นักแสดงตลกชาวไทย
พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955)
* โฆเซ อันโตนิโอ กามาโช นักฟุตบอลชาวสเปน
* ทิม เบอร์เนิร์ส-ลี นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) - สกอตต์ แอดัมส์ นักวาดการ์ตูนชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) - แฟรงก์ กริลโล นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) - สมจริง ศรีสุภาพ ผู้กำกับภาพยนตร์และผู้จัดละครชาวไทย
พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) - แดน ฟุตเตอร์แมน นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - วิทิตนันท์ โรจนพานิช ชาวไทยคนแรกที่ปีนยอดเขาเอเวอร์เรสต์สำเร็จ
พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - ตู้ เหวินเจ๋อ นักแสดงชาวฮ่องกง
พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - ศิลปา เศฏฏี นักแสดงและนางแบบชาวอินเดีย
พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - คอนเย เวสต์ นักร้องชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - วรชาติ ธรรมวิจินต์ ดีเจ/วีเจ/พิธีกร/นักร้อง/และนักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - ไอ โนนากะ นักพากย์ชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - นาเดีย เพโทรวา นักเทนนิสชาวรัสเซีย
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983)
* ฟลอเรนซ์ วนิดา เฟเวอร์ นักแสดงและนางแบบชาวไทย-ฝรั่งเศส
* คิม ไคลจ์สเตอร์ส นักเทนนิสชาวเบลเยียม
พ.ศ. 2527 - คาเบียร์ มาเชราโน นักฟุตบอลชาวสเปน
พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - ภคมน บุณยะภูติ นักร้องหญิงชาวไทย (AF4)
พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - มาร์เกลย์ ซังตูส นักฟุตบอลกองหน้าชาวบราซิล
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990)
* นนทนันท์ อัญชุลีประดิษฐ์ นักร้องชาวไทย
* อนิสา นูกราฮา นางแบบและนักแสดงชาวไทย-อินโดนีเซีย
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - อรวิสา ทิวไผ่งาม นักแสดงหญิงชาวไทย
พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995)
* แฟร์ล็อง แมนดี นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส
* สกลรัฐ พันเทศ นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - อี จิน-ฮย็อก นักร้อง และนักแสดงชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - ธมลวรรณ กอบลาภธนากูล นักร้องหญิงชาวไทย
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) -ลิต า จันทร์วราภา นักแสดงหญิงชาวไทย
พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - เคาน์เตสอิโลอีสแห่งออเรนจ์-นัสเซา
พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - ฟรานเชสกา คาพัลดี้ นักแสดงชาวอเมริกัน
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 1175 (ค.ศ. 632) - มุฮัมมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม (เกิดราว พ.ศ. 1113)
พ.ศ. 2338 (ค.ศ. 1795) - พระเจ้าหลุยส์ที่ 17 แห่งฝรั่งเศส (พระราชสมภพ 27 มีนาคม พ.ศ. 2327)
พ.ศ. 2352 (ค.ศ. 1809) - โทมัส เพน นักปฏิวัติและนักเขียนชาวอเมริกัน (เกิด 29 มกราคม พ.ศ. 2279)
พ.ศ. 2388 (ค.ศ. 1845) - แอนดรูว์ แจ็กสัน ประธานาธิบดีคนที่ 7 ของสหรัฐอเมริกา (เกิด 15 มีนาคม พ.ศ. 2309)
พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) - เซอร์โจเซฟ แพกซ์ตัน สถาปนิก ภูมิสถาปนิกชาวอังกฤษ (เกิด 3 สิงหาคม พ.ศ. 2346)
พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - เมอเรย์ ไลน์สเตอร์ นักเขียนชาวอเมริกัน (เกิด 16 มิถุนายน พ.ศ. 2439)
พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) - เสกสรรค์ ภู่ประดิษฐ์ พิธีกรรายการโลกดนตรี (เกิด 4 มิถุนายน พ.ศ. 2486)
พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) - ไตรรงค์ อินทรทัต อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก (เกิด 1 กันยายน พ.ศ. 2492)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
วันมหาสมุทรโลก
วันชาติเกาะนอร์ฟอล์ก
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
มิถุนายน 08
มิถุนายน
|
thaiwikipedia
| 2,009 |
9 มิถุนายน
|
วันที่ 9 มิถุนายน เป็นวันที่ 160 ของปี (วันที่ 161 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 205 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 133 (411 ปีก่อนคริสตกาล) - การรัฐประหารในเอเธนส์ประสบความสำเร็จ ก่อให้เกิดคณาธิปไตยที่มีอายุสั้น
พ.ศ. 596 (ค.ศ. 53) - จักรพรรดิแนโร อภิเษกสมรสกับเกลาเดีย อ็อคตาวีอา พระราชธิดาของจักรพรรดิเกลาดิอุส
พ.ศ. 611 (ค.ศ. 68) - จักรพรรดิแนโรสวรรคตด้วยการปลงพระชนม์ชีพพระองค์เอง เป็นการสิ้นสุดราชวงศ์ยูลิอุส-เกลาดิอุส และเริ่มสงครามกลางเมืองที่เรียกว่า ปีสี่จักรพรรดิ
พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) - โดนัลด์ ดั๊ก ปรากฏตัวครั้งแรกในการ์ตูนชุด Silly Symphonies
พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ขณะมีพระชนมายุได้ 21 พรรษา ทรงครองสิริราชสมบัติได้ 12 ปี และรัฐสภาลงมติเป็นเอกฉันท์อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขณะมีพระชนมายุได้ 18 พรรษา ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อไป และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - สงครามคอซอวอ : สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียและองค์การนาโตร่วมลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ
พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) - พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี : พระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช และเสด็จออกมหาสมาคม พ.ศ. 2549 ณ พลับพลาพิธีพระที่นั่งอนันตสมาคม และเสด็จออกมหาสมาคมรับการถวายพระพรชัยมงคล ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2215 (ค.ศ. 1672) - จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย (ปีเตอร์มหาราช) (สวรรคต 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2268)
พ.ศ. 2425 (ค.ศ. 1882) -
*สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ (สิ้นพระชนม์ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2442)
*พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธวิไลยลักษณา (สิ้นพระชนม์ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2467)
พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) - โรเบิร์ต แม็คนามารา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา และอดีตประธานธนาคารโลก (ถึงแก่กรรม 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552)
พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) - แจ็กกี วิลสัน นักร้องชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 21 มกราคม พ.ศ. 2527)
พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - สุทิศา พัฒนุช นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) - ประกายเพชร สรหงส์ นักร้องชาวไทย
พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - บรูซ เฮส (นักภาษาศาสตร์) นักภาษาศาสตร์
พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) - ไมเคิล เจ. ฟอกซ์ นักแสดงชาวอเมริกัน/แคนาดา
พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) - จอห์นนี เดปป์ นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - กลอเรีย รูเบน นักแสดง, โปรดิวเซอร์และนักร้องชาวแคนาดา
พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) - จิรายุส วรรธนะสิน นักร้องนักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) -
* มีโรสลัฟ โคลเซอ นักฟุตบอลชาวเยอรมัน
* เฮเทอร์ มิตต์ส นักฟุตบอลอาชีพชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - นพพล พิทักษ์โล่พานิช นักแสดง
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) -
* นาตาลี พอร์ตแมน นักแสดงชาวอเมริกัน
* นิพนธ์ สนธิ นักร้อง - นักดนตรีชาวไทย
* ปริญญา เจริญผล นักมวยและนักแสดงชาวไทย
* อนุษกา ศังกร นักเล่นซีตาร์และนักประพันธ์ชาวอินเดีย
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) -
* กิตติคุณ แจ่มสุวรรณ นักฟุตบอลชาวไทย
* เวสลีย์ สไนเดอร์ นักฟุตบอลชาวเนเธอร์แลนด์
พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) -
* โซกราติส ปาปัสตาโทปูโลส นักฟุตบอลชาวกรีซ
* อณัชช์ เจตสมมา นักร้องชาวไทย
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - นิชา ปาลวัฒน์วิไชย (แพร) นักแสดงหญิงชาวไทย
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - จุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ นักร้องชาวไทย
พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - ฮย็อนซ็อง นักร้องชาวเกาหลี
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) -
* มาสุ จรรยางค์ดีกุล นักแสดงและนายแบบชาวไทย
* สหรัฐ กันยะโรจน์ นักฟุตบอลอาชีพชาวไทย
พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - ไทย์นารา คอนที นักมวยปล้ำอาชีพและอดีตนักยูโดชาวบราซิล
พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - ยู จ็อง-ย็อน นักร้องเคป็อปและนักแสดงชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - อาทิตยา ตรีบุดารักษ์ นักร้อง และนักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) -
* กรภัทร์ นิลประภา อดีตสมาชิกวง BNK48
* เจมี โบว์เดน นักฟุตบอลอาชีพชาวไอริช
* โชโล มาริดูเอญญา นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - จักรภัทร วรรธนะสิน นักร้องชายชาวไทย
พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ นักร้อง นักแสดง นักพากย์ และนางแบบชาวไทย
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 1891 (ค.ศ. 1348) - อัมโบรจิโอ ลอเร็นเซ็ตติ จิตรกรสมัยกอธิคชาวอิตาลีของตระกูลการเขียนภาพแบบเซียนนา
พ.ศ. 2413 (ค.ศ. 1870) - ชาลส์ ดิคคินส์ นักประพันธ์ชาวอังกฤษ (เกิด ค.ศ. 1812)
พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) - เจ้าจอมมารดาตลับ ในรัชกาลที่ 5 (เกิด พ.ศ. 2395)
พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (พระราชสมภพ 20 กันยายน พ.ศ. 2468)
พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) - อดัม เวสต์ นักแสดงที่รับบทเป็นแบทแมนในภาพยนตร์ซีรีส์ทางโทรทัศน์ในคริสต์ทศวรรษ 1960 (เกิด 19 กันยายน ค.ศ. 1928)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
ประเทศไทย - วันอานันทมหิดล (วันที่ระลึกคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร)
วันเถลิงถวัลยราชสมบัติ (วันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
Today in History: June 9
มิถุนายน 09
มิถุนายน
|
thaiwikipedia
| 2,010 |
ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์
|
ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ (Transit of Venus) เป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ ที่เกิดขึ้นเมื่อดาวศุกร์เคลื่อนที่ผ่านแนวเส้นตรงที่เชื่อมระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ คนบนโลกจะเห็นดาวศุกร์เป็นดวงกลมดำขนาดเล็กเคลื่อนที่ผ่านดวงอาทิตย์ การผ่านหน้าคล้ายกับสุริยุปราคาที่เกิดจากดวงจันทร์บดบังดวงอาทิตย์ ต่างกันตรงที่ดาวศุกร์อยู่ห่างจากโลกมากกว่าดวงจันทร์ (แม้ว่าจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า) เราจึงมองเห็นดาวศุกร์มีขนาดเล็กมาก ในอดีตนักดาราศาสตร์ใช้ปรากฏการณ์นี้ในการวัดระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์โดยอาศัยการเกิดแพรัลแลกซ์
เจเรไมอาห์ ฮอร์รอกส์ นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษเป็นคนแรกที่ได้คำนวณและสังเกตเห็นการเคลื่อนตัวในวงโคจรของดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ดังกล่าวเมื่อเวลาตั้งแต่ 15.15 น. จนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2182
ปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5–6 มิถุนายน พ.ศ. 2555 และเป็นครั้งสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 21 โดยครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 10–11 ธันวาคม พ.ศ. 2660 และวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2668
=10ส.ค2546
= อ้างอิง ==
Horrocks2019
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Transits of Venus, Six Millennium Catalog: 2000 BCE to 4000 CE
HM Nautical Almanac Office, Transits of Venus 1000 AD - 2700 AD
[http://skyandtelescope.com/observing/objects/sun/article_1187_1.asp Reanimating the 1882 Transit of Venus, in Sky and Telescope
June 5/6, 2012: Venus Transit
Transit of Venus
Transit of Venus
ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์: 8 มิถุนายน 2547
ดาวศุกร์
มาตรดาราศาสตร์
ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์
|
thaiwikipedia
| 2,011 |
แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์
|
แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ (Frank Lloyd Wright) (8 มิถุนายน พ.ศ. 2410 — 9 เมษายน พ.ศ. 2502) สถาปนิกคนสำคัญคนหนึ่งของโลกในศตวรรษที่ 20
แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ เกิดที่ เมืองริชแลนด์เซนเตอร์ ใน รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา เข้าเรียนสาขาวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน และลาออกไปทำงานด้านสถาปัตยกรรมทั้งที่เรียนไม่จบ เขาอาศัยและตั้งสำนักงานอยู่ที่เมืองโอกพาร์ก บริเวณชานเมืองชิคาโก ในรัฐอิลลินอย ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมที่สำคัญ เนื่องจากเป็นที่รวบรวมบ้านพักที่เขาออกแบบไว้กว่า 50 หลังรวมทั้งตัวสำนักงานและบ้านพักของเขาด้วย ผลงานการออกแบบในช่วงแรกของไรต์มีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า "Prairie Houses" ไรต์มีผลงานทั้งหมด 362 ชิ้น และประมาณการว่ายังคงอยู่ในปัจจุบัน (ปี 2005) ประมาณ 300 ชิ้น
== ผลงานที่มีชื่อเสียง ==
บ้านรอบี (Robie House)
ฟอลลิงวอเทอร์ (Fallingwater)
อาคารจอห์นสัน แวกซ์ (Johnson Wax Building)
พิพิธภัณฑ์ โซโลมอน อาร์. กุกเกนไฮม์ (Solomon R. Guggenheim Museum)
สถาปัตยกรรมศตวรรษที่ 20 ของแฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ อาคารที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ภาพ:Guggenheim museum exterior.jpg|พิพิธภัณฑ์ โซโลมอน อาร์. กุกเกนไฮม์
ภาพ:FLW-house.jpg|บ้านและสำนักงานของแฟรงค์ ลอยด์ ไรต์ ที่โอกพาร์ก
== อ้างอิง ==
Frank Lloyd Wright: Architect, by the Museum of Modern Art (1994, ISBN 0-87070-642-X)
Frank Lloyd Wright Companion, The, by William Allin Storrer (2006 Rev. Ed., University of Chicago Press; ISBN 0-226-77621-2)
Frank Lloyd Wright: Masterworks, by Bruce Brooks Pfeiffer (1993, Rizzoli; ISBN 0-8478-1715-6)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
มูลนิธิ แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์
บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2410
สถาปนิกชาวอเมริกัน
บุคคลจากรัฐวิสคอนซิน
บุคคลจากรัฐอิลลินอย
วิศวกรชาวอเมริกัน
มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน
ชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ
นักออกแบบเครื่องเรือนชาวอเมริกัน
|
thaiwikipedia
| 2,012 |
อำเภอแม่ใจ
|
แม่ใจ (50px) เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดพะเยา มีชื่อเสียงด้านการผลิตสินค้าเกษตร ได้แก่ ลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวย ซึ่งมีคุณภาพดีที่สุดในประเทศและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
== ที่ตั้งและอาณาเขต ==
อำเภอแม่ใจตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอพาน (จังหวัดเชียงราย)
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอป่าแดด (จังหวัดเชียงราย) อำเภอภูกามยาว และอำเภอเมืองพะเยา
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอเมืองพะเยา
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอวังเหนือ (จังหวัดลำปาง) และอำเภอพาน (จังหวัดเชียงราย)
== การแบ่งเขตการปกครอง ==
=== การปกครองส่วนภูมิภาค ===
อำเภอแม่ใจแบ่งเขตการปกครองย่อยเป็น 6 ตำบล 66 หมู่บ้าน ได้แก่
{|class="wikitable"
|- style=
! ที่ !! ชื่อตำบล !! ตัวเมือง !! อักษรโรมัน !! จำนวนหมู่บ้าน !! จำนวนครัวเรือน!!จำนวนประชากร
|- style="background: #ffffff;"
||1.||แม่ใจ||33px||Mae Chai||10||1,877||4,840
|-style="background: #ffffff;"
||2.||ศรีถ้อย||33px||Si Thoi||13||2,714||7,169
|-style="background: #ffffff;"
||3.||แม่สุก||43px||Mae Suk||10||2,327||5,594
|-style="background: #ffffff;"
||4.||ป่าแฝก||40px||Pa Faek||11||1,924||5,323
|-style="background: #ffffff;"
||5.||บ้านเหล่า||43px||Ban Lao||14||2,641||7,982
|-style="background: #ffffff;"
||6.||เจริญราษฎร์||53px||Charoen Rat||8||1,523||4,002
|}
=== การปกครองส่วนท้องถิ่น ===
ท้องที่อำเภอแม่ใจประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7 แห่ง ได้แก่
เทศบาลตำบลแม่ใจ ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลแม่ใจและบางส่วนของตำบลศรีถ้อย
เทศบาลตำบลบ้านเหล่า ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านเหล่าทั้งตำบล
เทศบาลตำบลรวมใจพัฒนา ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแม่ใจ (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลแม่ใจ)
เทศบาลตำบลป่าแฝก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลป่าแฝกทั้งตำบล
เทศบาลตำบลเจริญราษฎร์ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเจริญราษฎร์ทั้งตำบล
เทศบาลตำบลศรีถ้อย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลศรีถ้อย (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลแม่ใจ)
องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สุก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแม่สุกทั้งตำบล
== สถานที่ท่องเที่ยว ==
บ้านปางปูเลาะ อยู่ห่างจากตัวอำเภอแม่ใจ 12 กิโลเมตร มีหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่าเย้าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านปางปูเลาะซึ่งยังคงเป็นชนเผ่าที่รักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมที่ยังคงปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างเหนียวแน่น ที่สำคัญบ้านปางปูเลาะยังเป็นแหล่งผลิตลิ้นจี่ที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของจังหวัด
อุทยานแห่งชาติแม่ปืม มีอาณาเขตครอบคลุม อำเภอแม่ใจ อำเภอพาน อำเภอป่าแดด อำเภอเมืองเชียงราย โดยอุทยานแห่งชาติแม่ปืมมีป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรังปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ มีอ่างเก็บน้ำแม่ปืมอยู่บริเวณบ้านแม่ปืม อำเภอแม่ใจ
หนองเล็งทราย เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ของชาวอำเภอแม่ใจที่ชาวบ้านสามารถประกอบอาชีพจับปลาในหนอง โดยบริเวณรอบ ๆ หนองเล็งทรายจะมีร้านอาหารและคาราโอเกะให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวได้ใช้บริการกันหลายร้าน
มะพร้าวเผา มะพร้าวที่นี่จะมีกลิ่นหอมและรสชาติดี เป็นที่นิยมดื่ม ภายในร้านมีสินค้าที่กลุ่มแม่บ้านทำวางขายจะเป็นสินค้าพื้นบ้าน เช่น กระเป๋าและเครื่องดนตรีประจำท้องถิ่น เช่น สะล้อ ซอ และขลุ่ย
== อ้างอิง ==
ม่แใจ
|
thaiwikipedia
| 2,013 |
รัฐเท็กซัส
|
เท็กซัส (Texas, ) เป็นรัฐที่อยู่ทางใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐ มีพื้นที่ทั้งหมด 695,622 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 29 ล้านคน เท็กซัสเป็นรัฐที่ใหญ่เป็นอันดับสองทั้งพื้นที่ และอักษรย่อของที่ทำการไปรษณีย์สหรัฐคือ TX
== ประวัติ ==
ในอดีตรัฐเท็กซัสเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเม็กซิโก ต่อมาเนื่องจากความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศเม็กซิโก ทำให้รัฐเท็กซัสแยกตัวออกจากเม็กซิโก และ ตั้งตนเองเป็นสาธารณรัฐเท็กซัส จากสภาพการเมืองในรัฐเท็กซัส นักการเมืองเท็กซัสต้องการรวมชาติเข้ากับสหรัฐมากกว่าที่จะอยู่เป็นประเทศเดี่ยว ต่อมาในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1845 รัฐสภาสหรัฐผ่านกฎหมายที่อนุญาตให้สหรัฐสามารถผนวกสาธารณรัฐเท็กซัสเข้าไปเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐได้ สาธารณรัฐเท็กซัสจึงรวมเข้ากับสหรัฐเป็นรัฐในลำดับที่ 28 ในปี ค.ศ. 1845 ซึ่งทำให้ประเทศเม็กซิโกไม่พอใจจนเกิดสงครามเม็กซิโก–อเมริกา ซึ่งผลลัพธ์คือสหรัฐชนะ ทำให้รักษารัฐเท็กซัสเอาไว้ได้
== เมืองสำคัญ ==
ฮิวสตัน (ใหญ่ที่สุด)
แซนแอนโทนีโอ
แดลลัส
ออสติน (เมืองหลวงของรัฐ)
== สถาปัตยกรรม ==
มีงานสถาปัตยกรรมที่สำคัญหลายแห่งรวมถึงตึกระฟ้าในเท็กซัสทั้งสถาปัตยกรรมเดิมและสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ซึ่งก่อสร้างโดยสถาปนิกระดับโลกได้แก่ อาคาร 4 แห่งของ แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ พิพิธภัณฑ์ออกแบบโดย ทาดาโอะ อันโด พิพิธภัณฑ์ศิลปะคิมเบลล์ ออกแบบโดย ลุยส์ คาฮ์น ที่เมืองฟอร์ตเวิร์ธ นอกจากนี้มีผลงานของ ไอ.เอ็ม. เป, ฟิลิป จอห์นสัน, นอร์แมน ฟอสเตอร์, ริชาร์ด ไมเยอร์, มีส ฟาน เดอ โร, อิซามุ โนงุจิ, ราฟาเอล มอนีโอ, และสถาปนิกชื่อดังอีกหลายท่าน
== กีฬา ==
ทีมกีฬาที่มีชื่อเสียง
ดัลลัส คาวบอย
ดัลลัส แมฟเวอริกส์
เท็กซัส เรนเจอร์
ฮิวสตัน แอสโตร
ฮิวสตัน เทกซัน
ซานแอนโตนิโอ สเปอรส์
ฮิวสตัน รอกเก็ตส์
== มหาวิทยาลัย ==
มหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสติน
มหาวิทยาลัยเท็กซัส อาร์ลิงก์ตัน
มหาวิทยาลัยเท็กซัสเอแอนด์เอ็ม
มหาวิทยาลัยเท็กซัส เทค
มหาวิทยาลัยฮิวสตัน
มหาวิทยาลัยไรซ์
มหาวิทยาลัยนอร์ทเท็กซัส
== เขตการปกครองในในรัฐ ==
ดูที่ เขตการปกรองของรัฐเท็กซัส
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บท่าเกี่ยวกับเท็กซัสอย่างเป็นทางการ
เท็กซัส
อดีตอาณานิคมของสเปน
ภาคใต้ของสหรัฐ
ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐ
|
thaiwikipedia
| 2,014 |
รัฐฮาวาย
|
ฮาวาย (Hawaii, ; Hawai, หรือ ) เป็นรัฐหนึ่งในภาคตะวันตกของสหรัฐ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากแผ่นดินใหญ่สหรัฐออกไปประมาณ 3,200 กิโลเมตร (2,000 ไมล์) เป็นรัฐเดียวของสหรัฐที่เป็นกลุ่มเกาะ เป็นรัฐเดียวที่ตั้งอยู่นอกทวีปอเมริกาเหนือ และเป็นรัฐเดียวที่ตั้งอยู่ในเขตร้อน
รัฐฮาวายประกอบด้วยเกาะภูเขาไฟ 137 เกาะที่ประกอบเป็นส่วนใหญ่ของกลุ่มเกาะฮาวายและวางตัวเรียงรายเป็นระยะทาง 2,400 กิโลเมตร (1,500 ไมล์) โดยเป็นส่วนหนึ่งของอนุภูมิภาคพอลินีเชียของเขตโอเชียเนียในทางภูมิศาสตร์กายภาพและชาติพันธุ์วิทยา แนวชายฝั่งมหาสมุทรของฮาวายจึงมีความยาวเป็นอันดับที่ 4 ของสหรัฐ กล่าวคือ ประมาณ 1,210 กิโลเมตร (750 ไมล์) เกาะหลัก 8 เกาะจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปทิศตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ นีเฮา, คาไว, โอวาฮู, โมโลไก, ลานาอี, กาโฮโอลาเว, เมาวี และฮาวายซึ่งเป็นที่มาของชื่อรัฐ และมักเรียกว่า "เกาะใหญ่" หรือ "เกาะฮาวาย" เพื่อไม่ให้สับสนกับรัฐฮาวายหรือกลุ่มเกาะฮาวาย หมู่เกาะฮาวายตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งไม่มีผู้คนอาศัยอยู่นั้นประกอบเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของอนุสรณ์สถานแห่งชาติทางทะเลปาปาฮาเนาโมกูวาเกยา ซึ่งเป็นพื้นที่คุ้มครองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐและใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก
ในบรรดา 50 รัฐของสหรัฐ ฮาวายเป็นรัฐที่มีพื้นที่น้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 8 และมีประชากรน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 11 แต่ด้วยจำนวนผู้อยู่อาศัย 1.4 ล้านคน จึงอยู่ในอันดับที่ 13 ในแง่ความหนาแน่นของประชากร ชาวฮาวายประมาณสองในสามอาศัยอยู่บนเกาะโอวาฮูซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐอย่างโฮโนลูลู ฮาวายเป็นหนึ่งในรัฐที่มีความหลากหลายมากที่สุดของประเทศ เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิกและมีการอพยพย้ายถิ่นมานานกว่าสองศตวรรษ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหกรัฐที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยของสหรัฐ ฮาวายเป็นรัฐเดียวที่มีชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเป็นชนกลุ่มใหญ่ มีชุมชนชาวพุทธที่ใหญ่ที่สุด และมีประชากรหลายเชื้อชาติในสัดส่วนที่มากที่สุดในสหรัฐ ด้วยเหตุนี้ ฮาวายจึงเป็นแหล่งหลอมรวมวัฒนธรรมอเมริกาเหนือกับเอเชียตะวันออกเข้าด้วยกันอย่างมีลักษณะเฉพาะ นอกเหนือจากมรดกของชนพื้นเมืองฮาวายเอง
หลังจากที่ชาวพอลินีเชียเข้ามาตั้งรกรากในช่วงใดช่วงหนึ่งระหว่าง ค.ศ. 1000 ถึง ค.ศ. 1200 ฮาวายก็กลายเป็นที่ตั้งของเขตหัวหน้าเผ่าจำนวนมาก ใน ค.ศ. 1778 เจมส์ คุก นักสำรวจชาวอังกฤษ เป็นบุคคลแรก (เท่าที่ทราบ) ที่ไม่ใช่ชาวพอลินีเชียที่มาถึงกลุ่มเกาะนี้ อิทธิพลของอังกฤษในยุคแรกเริ่มสะท้อนให้เห็นในธงประจำรัฐซึ่งมียูเนียนแจ็กอยู่ด้วย ในไม่ช้าบรรดานักสำรวจ พ่อค้า และนักล่าวาฬชาวยุโรปและอเมริกันก็หลั่งไหลเข้ามาและนำโรคต่าง ๆ ติดตัวมาด้วย เช่น ซิฟิลิส วัณโรค ฝีดาษ โรคหัด ส่งผลให้ชนพื้นเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่โดดเดี่ยวเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ประชากรฮาวายพื้นเมืองลดลงจากระหว่าง 300,000 ถึง 1,000,000 คน เหลือไม่ถึง 40,000 คนเมื่อถึง ค.ศ. 1890
ฮาวายกลายเป็นราชอาณาจักรที่เป็นปึกแผ่นและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติใน ค.ศ. 1810 และยังคงเป็นอิสระจนกระทั่งนักธุรกิจและทหารชาวอเมริกันและชาวยุโรปล้มล้างระบอบราชาธิปไตยใน ค.ศ. 1893 นำไปสู่การผนวกฮาวายเข้ากับสหรัฐใน ค.ศ. 1898 ในฐานะดินแดนสหรัฐที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ฮาวายถูกญี่ปุ่นโจมตีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ส่งผลให้กลุ่มเกาะนี้เป็นที่จับตามองในระดับโลกและในประวัติศาสตร์ และมีส่วนทำให้สหรัฐเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัว ฮาวายเป็นรัฐล่าสุดที่เข้าร่วมกับสหรัฐเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1959 ใน ค.ศ. 1993 รัฐบาลสหรัฐกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการกับบทบาทของตนในการโค่นล้มรัฐบาลฮาวาย ซึ่งกระตุ้นความเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชฮาวายและนำไปสู่ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการชดเชยแก่ประชากรพื้นเมือง
เศรษฐกิจฮาวายในอดีตขึ้นอยู่กับการทำไร่ขนาดใหญ่ และในปัจจุบันรัฐนี้ยังคงเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่เนื่องจากดินที่อุดมสมบูรณ์และภูมิอากาศเขตร้อนที่ไม่เหมือนใครในสหรัฐ เศรษฐกิจฮาวายเริ่มมีความหลากหลายตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยการท่องเที่ยวและกลาโหมกลายเป็นภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดสองภาค รัฐนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยว นักโต้คลื่น และนักวิทยาศาสตร์ด้วยทัศนียภาพทางธรรมชาติที่หลากหลาย ภูมิอากาศเขตร้อนอันอบอุ่น ชายหาดสาธารณะที่มีอยู่มากมาย สภาพแวดล้อมแบบมหาสมุทร ภูเขาไฟที่ยังมีพลัง และท้องฟ้าแจ่มใสบนเกาะใหญ่ ฮาวายเป็นที่ตั้งของทัพเรือแปซิฟิกของสหรัฐซึ่งเป็นหน่วยบัญชาการกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่พำนักของลูกจ้างกระทรวงกลาโหมประมาณ 75,000 คน
ทำเลที่ตั้งอันห่างไกลของฮาวายส่งผลให้รัฐนี้เป็นหนึ่งในรัฐที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ฮาวายเป็นรัฐที่มีความมั่งคั่งมากเป็นอันดับที่ 3 และผู้อยู่อาศัยของรัฐมีอายุคาดเฉลี่ยยืนยาวที่สุดในบรรดารัฐใด ๆ ของสหรัฐ อยู่ที่ 80.7 ปี
==ศัพทมูลวิทยา==
ชื่อรัฐฮาวายตั้งตามชื่อเกาะฮาวายหรือฮาไวอี (Hawai) เกาะขนาดใหญ่สุดของรัฐ โดยทั่วไปอธิบายว่าชื่อเกาะแผลงมาจากชื่อของฮาไวอีโลอา (Hawai) บุคคลจากประเพณีมุขปาฐะฮาวาย กล่าวกันว่าเขาเป็นผู้ค้นพบหมู่เกาะนี้ระหว่างการเข้ามาตั้งถิ่นฐานในยุคเริ่มแรก
คำว่า Hawai ในภาษาฮาวายมีความคล้ายคลึงกับคำว่า *Sawaiki ในภาษาพอลินีเชียดั้งเดิมซึ่งมีความหมายที่สืบสร้างขึ้นว่า "บ้านเกิด" คำร่วมเชื้อสายของคำว่า Hawai สามารถพบได้ในภาษากลุ่มพอลินีเชียอื่น ๆ เช่น ภาษามาวรี (Hawaiki), ภาษาราโรโตงา และภาษาซามัว (
|
thaiwikipedia
| 2,015 |
การปฏิสนธินอกร่างกาย
|
การปฏิสนธินอกร่างกาย หรือ เด็กหลอดแก้ว (in vitro fertilisation/fertilization - IVF) คือเทคนิคของการปฏิสนธิสังเคราะห์ โดยการนำเซลล์ไข่ซึ่งถูกปฏิสนธิภายนอกร่างกายของผู้หญิง วิธีการนี้คือวิธีหลักๆ ในการแก้ไขปัญหาการที่ผู้หญิงนั้นไม่สามารถมีบุตรได้ (Infertility) โดยสรุปแล้ว กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการควบคุมกระบวนการการผลิตไข่ของสตรี ด้วยการนำไข่ออกมาจากผู้หญิง และปล่อยให้สเปิร์ม นั้นทำปฏิสนธิกับไข่ของเพศหญิงภายในภาชนะบรรจุของเหลว หลังจากนั้น จึงถ่ายไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว หรือเอ็มบริโอ ไปยังมดลูกของผู้ป่วย เพื่อทำให้การตั้งครรภ์นั้นสมบูรณ์
"In Vitro" เป็นภาษาละตินแปลว่า "ภายนอกสิ่งมีชีวิต" (ในที่นี้มักถูกแปลว่าอยู่ภายในแก้ว หรือภายในหลอดทดลอง) ซึ่งตรงข้ามกับ in vivo แปลว่า "ภายในสิ่งมีชีวิต" แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้งแก้วและหลอดทดลองต่างไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการทำเด็กหลอดแก้ว
== การทำเด็กหลอดแก้ว ==
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า การรักษาภาวะมีบุตรยากที่ให้ผลสำเร็จดี คือ การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ร่วมกับการใส่ตัวอ่อนกลับในระยะ blastocyst (5 วันหลังการปฏิสนธิ) การเลี้ยงตัวอ่อนจนถึงระยะฝังตัว (Blastocyst) เป็นกระบวนการที่นำไข่และอสุจิมาทำการปฏิสนธิภายนอกร่างกายและเลี้ยงตัวอ่อนภายนอกร่างกายนาน 5 วัน ให้ตัวอ่อนเจริญเติบโตจนถึงระยะพร้อมจะฝังตัว ที่เรียกว่า Blastocyst ก่อนจะใส่คืนเข้าไปในโพรงมดลูก
== เด็กหลอดแก้วคืออะไร ==
เป็นการรักษาภาวะการมีบุตรยากด้วยการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์โดยนำไข่ที่ดีและตัวอสุจิที่แข็งแรงมาช่วยทำการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย ในห้องปฏิบัติการ (IVF) เพื่อให้เกิดตัวอ่อน (EMBRYO) ของทารก จากนั้นย้ายตัวอ่อนกลับเข้าโพรงมดลูกเพื่อการฝังตัว
== เราจะเลือกวิธีนี้เมื่อไร ==
การเลือกการรักษาโดยการทำเด็กหลอดแก้ว จะพิจารณาจากปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะมีบุตรยากในคู่สมรสได้แก่
ระบบท่อนำไข่ เช่น มีการอุดตัน หรือเคยรับการผ่าตัด
เชื้ออสุจิผิดปกติ เช่น จำนวนน้อย รูปร่างผิดปกติ การเคลื่อนไหวน้อย
ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
ระบบฮอร์โมนรังไข่ เช่น ภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การทำผสมเทียมไม่สำเร็จ
ความจำเป็นในการรักษาโดยใช้ไข่หรือตัวอ่อนบริจาค
การรักษาโรคทางพันธุกรรมโดยการทำ EMBRYO BIOPSY
ภาวะที่ไม่ทราบสาเหตุของการมีบุตรยาก
== ขั้นตอนการรักษา ==
การเตรียมพร้อมก่อนการรักษาโดยการสรุปประวัติการรักษา การตรวจร่างกาย ระบบฮอร์โมนรังไข่ การตรวจอัลตราซาวด์มดลูกและรังไข่ การตรวจความแข็งแรงของเชื้ออสุจิ
การวางแผนการรักษาร่วมกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วย
การกระตุ้นรังไข่โดยใช้ยาฮอร์โมน
การตรวจติดตามการเจริญเติบโตของไข่ด้วยอัลตราซาวนด์
การเก็บไข่เพื่อทำการปฏิสนธินอกร่างกายพร้อมการเก็บเชื้ออสุจิ
การเพาะเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการ
การย้ายตัวอ่อนเพื่อฝังตัวในโพรงมดลูก
การตรวจระดับฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์
== ปัญหาในการรักษาที่อาจเกิดขึ้น ==
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นขณะรักษา เช่น ภาวะรังไข่ตอบสนองฮอร์โมนมากผิดปกติ การตั้งครรภ์แฝด การติดเชื้อ ภาวะแท้ง ความสำเร็จในการรักษาในแต่ละราย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สาเหตุของการมีบุตรยาก การตอบสนองของรังไข่ การปฏิสนธิ ความแข็งแรงของตัวอ่อน
ภาวะเจริญพันธุ์
การสืบพันธุ์
สูติศาสตร์
นรีเวชวิทยา
เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
|
thaiwikipedia
| 2,016 |
การแปลงเชิงปริพันธ์
|
การแปลงเชิงปริพันธ์ (integral transform) ในทางคณิตศาสตร์ หมายถึง การแปลง T ใดๆ ที่อยู่ในรูป
(Tf)(u) = \int_{t_1}^{t_2} f(t)\, K(t, u)\, dt.
โดยส่งผ่านฟังก์ชัน f เข้าสู่การแปลง และได้ผลลัพธ์ออกมาในรูป Tf การแปลงเชิงปริพันธ์นี้เป็นตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ชนิดหนึ่ง
การแปลงเชิงปริพันธ์ที่มีประโยชน์นั้นมีอยู่หลายชนิด ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันสองตัวแปร K ที่เลือกใช้ ฟังก์ชัน K นี้เรียกว่า เคอร์เนลของการแปลง (kernel of the transform) หรือ นิวเคลียส ของการแปลง
เคอร์เนลบางตัวนั้นมี เคอร์เนลอินเวอร์ส K^{-1}(u,t) ซึ่งให้การแปลงกลับ:
f(t) = \int_{u_1}^{u_2} K^{-1}(u,t)\, (Tf)(u)\, du.
เคอร์เนลที่สมมาตร (symmetric kernel) คือ เคอร์เนลที่มีหน้าตาเหมือนกัน เมื่อสลับที่ตัวแปรทั้งสอง
== สิ่งจูงใจ ==
หากไม่กล่าวถึงเรื่องประโยชน์ที่ได้จากการใช้รูปแบบเครื่องหมาย สิ่งจูงใจของการใช้การแปลงเชิงปริพันธ์ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ในบางปัญหาทางคณิตศาสตร์ซึ่งมีรูปแบบดั้งเดิมยากแก่การแก้ปัญหา การใช้การแปลงเชิงปริพันธ์เพื่อทำการแปลง รูปแบบของสมการจากในโดเมนดั้งเดิม ไปยังอีกโดเมนหนึ่งนั้น จะช่วยทำให้การจัดรูปและแก้ปัญหาสมการนั้นง่ายขึ้น หลังจากแก้ปัญหาสมการในโดเมนของการแปลงแล้ว ก็ทำการแปลงกลับให้มาอยู่ในโดเมนดั้งเดิมได้
การแปลงเชิงปริพันธ์ ใช้หลักการของการแยกองค์ประกอบสเปกตรัม (spectral factorization) ตาม ฐานเชิงตั้งฉากปรกติ (หรือ หมายความง่าย ๆ ว่า เราสามารถเขียนฟังก์ชันที่ซับซ้อน ให้อยู่ในรูปผลบวกของฟังก์ชันที่ซับซ้อนน้อยกว่านั่นเอง
== ประวัติ ==
การแปลงเชิงปริพันธ์ นั้นมีประวัติความเป็นมาเริ่มต้นจากการเขียนแทนฟังก์ชันในช่วงจำกัด ในรูปอนุกรมฟูรีเย และพัฒนาต่อมาเป็นการแปลงฟูรีเย เพื่อใช้สำหรับฟังก์ชันในช่วงไม่จำกัด
การเขียนฟังก์ชันในรูปอนุกรมฟูรีเย ฟังก์ชันจะถูกเขียนอยู่ในรูปผลบวกของฟังก์ชันไซน์ และ โคไซน์ ที่มีขนาด และ ตำแหน่ง ต่าง ๆ โดยฟังก์ชันไซน์ และ โคไซน์ นี้ก็เป็นตัวอย่างของฐานเชิงตั้งฉากปรกติ
== ความสำคัญของฐานที่ตั้งฉาก ==
ฟังก์ชันฐานที่ตั้งฉาก (orthogonal) นั้นหมายถึง ปริพันธ์ของผลคูณของสองฟังก์ชันฐานที่ต่างกัน ตลอดทั้งช่วงโดเมนของมันจะต้องมีค่าเป็นศูนย์ การแปลงเชิงปริพันธ์นั้นเพียงเป็นการเปลี่ยนรูปฟังก์ชันจากที่แสดงโดยฐานเชิงตั้งฉากปรกติหนึ่ง เป็นอีกฐานเชิงตั้งฉากปรกติหนึ่งเท่านั้น ค่าที่แต่ละจุดของฟังก์ชันในโดเมนของการแปลงคือ ค่าขนาดของฟังก์ชันฐานเชิงตั้งฉากปรกติหนึ่ง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบของการกระจายฟังก์ชันจากการแปลง กระบวนการกระจายฟังก์ชันจากรูปแบบมาตรฐาน เป็นผลบวกของฟังก์ชันฐานเชิงตั้งฉากปรกติ ซึ่งอาจถูกปรับขนาด และ ตำแหน่ง เรียกว่า การแยกองค์ประกอบสเปกตรัม (spectral factorization) กระบวนการนี้คล้ายกับหลักการของการแทนจุดใด ๆ ในปริภูมิ 3 มิติ ด้วยค่าตามแกน x, y, z ซึ่งค่าแต่ละแกนจะตั้งฉากกัน และเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน ในการหาขนาดองค์ประกอบในการแยกองค์ประกอบสเปกตรัมของฟังก์ชัน F ตามฟังก์ชันฐานเชิงตั้งฉากปรกติหนึ่ง ๆ นั้นจะใช้คำว่า โพรเจกชัน (projection) ของ F ไปบนฟังก์ชันฐานนั้น เช่นเดียวกับในกรณีของเวกเตอร์
เราสามารถมองกราฟของฟังก์ชันบนพิกัดคาร์ทีเซียน เหมือนกับเป็นการกระจายบนฐานเชิงตั้งฉากปรกติเช่นกัน โดยแต่ละจุดบนกราฟจะเป็นองค์ประกอบของแต่ละฟังก์ชันฐานเชิงตั้งฉากปรกติ เช่นจุด (3,5) บนกราฟ หมายถึง องค์ประกอบ ของฟังก์ชันฐานเชิงตั้งฉากปรกติ δ(x-3) โดยที่ "δ" คือ ฟังก์ชันครอเนกเคอร์เดลต้า (Kronecker delta function) ที่มีขนาดเท่ากับ 5 หากมองเช่นนี้แล้ว กราฟต่อเนื่องของฟังก์ชันจำนวนจริงบนระนาบ ก็คือผลรวมของฟังก์ชันฐานจำนวนไม่จำกัด เพราะหากฟังก์ชันฐานมีจำนวนจำกัด เส้นกราฟก็ควรจะมีรูปร่างเป็นจุด ๆ แทนที่จะเป็นเส้นต่อเนื่อง
== ตารางการแปลงเชิงปริพันธ์ ==
ตารางการแปลงเชิงปริพันธ์
การแปลง
สัญลักษณ์
K
t1
t2
K^{-1}
u1
u2
การแปลงฟูรีเย (Fourier transform)
\mathcal{F}
\frac{e^{-iut}}{\sqrt{2 \pi}}
-\infty\,
\infty\,
\frac{e^{+iut}}{\sqrt{2 \pi}}
-\infty\,
\infty\,
การแปลงฮาร์ทลีย์ (Hartley transform)
\mathcal{H}
\frac{\cos(ut)+\sin(ut)}{\sqrt{2 \pi}}
-\infty\,
\infty\,
\frac{\cos(ut)+\sin(ut)}{\sqrt{2 \pi}}
-\infty\,
\infty\,
การแปลงเมลลิน (Mellin transform)
\mathcal{M}
t^{u-1}\,
0\,
\infty\,
\frac{t^{-u}}{2\pi i}\,
c\!-\!i\infty
c\!+\!i\infty
การแปลงลาปลาสสองด้าน (Two-sided Laplacetransform)
\mathcal{B}
e^{-ut}\,
-\infty\,
\infty\,
\frac{e^{+ut}}{2\pi i}
c\!-\!i\infty
c\!+\!i\infty
การแปลงลาปลาส (Laplace transform)
\mathcal{L}
e^{-ut}\,
0\,
\infty\,
\frac{e^{+ut}}{2\pi i}
c\!-\!i\infty
c\!+\!i\infty
การแปลงแฮงเคิล (Hankel transform)
t\,J_\nu(ut)
0\,
\infty\,
u\,J_\nu(ut)
0\,
\infty\,
การแปลงอาเบล (Abel transform)
\frac{2t}{\sqrt{t^2-u^2}}
u\,
\infty\,
\frac{-1}{\pi\sqrt{u^2\!-\!t^2}}\frac{d}{du}
t\,
\infty\,
การแปลงฮิลเบิร์ต (Hilbert transform)
\mathcal{H}il
\frac{1}{\pi}\frac{1}{u-t}
-\infty\,
\infty\,
\frac{1}{\pi}\frac{1}{u-t}
-\infty\,
\infty\,
การแปลงเอกลักษณ์ (Identity transform)
\delta (u-t)\,
t_1
t_2>u\,
\delta (t-u)\,
u_1\!
u_2\!>\!t
ในการแปลงกลับ ค่า c เป็นค่าคงที่ซึ่งขึ้นกับฟังก์ชันของการแปลง เช่น สำหรับการแปลงลาปลาสด้านเดียว และสองด้าน c จะต้องมีค่ามากกว่า ค่าส่วนจำนวนจริงที่มากที่สุดของค่าศูนย์(zero) ฟังก์ชันของการแปลง
== ดูเพิ่ม ==
รายชื่อการแปลง (คณิตศาสตร์)
การแปลงเชิงปริพันธ์
คณิตวิเคราะห์
|
thaiwikipedia
| 2,017 |
รัฐโอไฮโอ
|
รัฐโอไฮโอ (Ohio, ) รวมเข้ากับสหรัฐเป็นลำดับที่ 17 ใน พ.ศ. 2346 อักษรย่อของที่ทำการไปรษณีย์สหรัฐคือ OH และเป็นรัฐที่มีป่าไม้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ รองจากรัฐอะแลสกา
== สัญลักษณ์ของรัฐ ==
ต้นไม้ประจำรัฐ:ต้นบั๊กอาย (เป็นพืชชนิดหนึ่ง อยู่ในจำพวก Aeculus)
สัตว์ประจำรัฐ: กวางขาว
นกประจำรัฐ:นกคาร์ดินาล
เครื่องดื่ม:น้ำมะเขือเทศ
เพลงประจำรัฐ:"Beautiful Ohio"
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์โอไฮโออย่างเป็นทางการ
โอไฮโอ
ภาคตะวันตกกลางของสหรัฐ
แอปพาเลเชีย
อดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส
อดีตอาณานิคมและรัฐในอารักขาของอังกฤษในทวีปอเมริกา
|
thaiwikipedia
| 2,018 |
รายชื่อการแปลง (คณิตศาสตร์)
|
รายชื่อการแปลง ในทางคณิตศาสตร์ ที่มีในวิกิพีเดีย
== การแปลงเชิงปริพันธ์ (Integral transforms) ==
การแปลงฟูรีเย (Fourier transform)
* การแปลงฟูรีเยช่วงเวลาสั้น (Short-time Fourier transform)
การแปลงลาปลาส (Laplace transform)
* การแปลงกลับลาปลาส (Inverse Laplace transform)
การแปลงลาปลาสสองด้าน (Two-sided Laplace transform)
* การแปลงกลับลาปลาสสองด้าน (Inverse two-sided Laplace transform)
การแปลงลาปลาส-สตีลเจส (Laplace-Stieltjes transform)
การแปลงเมลลิน (Mellin transform)
* การแปลงกลับเมลลิน (Inverse Mellin transform)
การแปลงฮิลเบิร์ต (Hilbert transform)
การแปลงอาเบล (Abel transform)
การแปลงแฮงเคิล (Hankel transform)
การแปลงฮาร์ทลีย์ (Hartley transform)
การแปลงเรดอน (Radon transform)
การแปลงเวฟเลท (Wavelet transform)
== การแปลงไม่ต่อเนื่อง (Discrete transforms) ==
การแปลงฟูรีเยไม่ต่อเนื่อง (Discrete Fourier transform)
* การแปลงฟูรีเยอย่างเร็ว (Fast Fourier transform)
การแปลงโคไซน์ไม่ต่อเนื่อง (Discrete cosine transform)
* การแปลงโคไซน์ไม่ต่อเนื่องแบบดัดแปลง (Modified discrete cosine transform)
การแปลงฮาร์ทลีย์ไม่ต่อเนื่อง (Discrete Hartley transform)
การแปลงไซน์ไม่ต่อเนื่อง (Discrete sine transform)
การแปลงถ่วงน้ำหนักจำนวนอตรรกยะไม่ต่อเนื่อง (Irrational base discrete weighted transform)
การแปลงทฤษฎีจำนวน (Number-theoretic transform)
การแปลงสเตอร์ลิง (Stirling transform)
การแปลง Z (Z-transform)
*การแปลง Z ขั้นสูง (Advanced Z-transform)
== การแปลงที่ขึ้นกับข้อมูล ==
การแปลงคาฮูเนิน-เลิฟ (Principal component analysis หรือ Karhunen-Loève transform)
== การแปลงอื่นๆ ==
การแปลงบัคลุนด์ (Bäcklund transform)
การแปลงไบลิเนียร์ (Bilinear transform)
การแปลงบ็อกซ์-มูลเลอร์ (Box-Muller transform)
การแปลงเบอร์โรส์-วีลเลอร์ (Burrows-Wheeler transform) ใน การบีบอัดข้อมูล
การแปลงระยะทาง (Distance transform)
การแปลงแฟรกทัล (Fractal transform)
การแปลงฮาดามาร์ด (Hadamard transform)
การแปลงฮัฟ (Hough transform) ใน การประมวลผลภาพดิจิทัล
การแปลงเลอช็องดร์ (Legendre transform)
การแปลงโมเบียส (Möbius transform)
การแปลงมุมมอง (Perspective transform) ใน เรขภาพคอมพิวเตอร์
การแปลง วาย-เดลต้า (Y-delta transform) ใน วงจรไฟฟ้า
== ทั่วไป ==
ดู รายชื่อการแปลงที่สัมพันธ์กับการแปลงฟูรีเย (List of Fourier-related transforms)
การเข้ารหัสโดยการแปลง (Transform coding)
การแปลง
การประมวลผลภาพ
|
thaiwikipedia
| 2,019 |
สงครามคอซอวอ
|
สงครามคอซอวอ (Kosovo War) มักจะกล่าวรวมถึงเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคอซอวอ เขตที่อยู่ทางตอนใต้ของเซอร์เบีย คือ:
พ.ศ. 2539 – พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1996–99) ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนชาวแอลเบเนียนที่เรียกว่า KLA หรือ UČK กับฝ่ายรัฐบาลยูโกสลาเวียที่จังหวัดคอซอวอ ซึ่งในขณะนั้นพลเมืองส่วนใหญ่ที่อาศัยในคอซอวอมีเชื้อสายแอลเบเนีย ปัญหานี้เป็นปัญหาเรื้อรังเนื่องจากความขัดแย้งและต้องการแยกประเทศตั้งแต่ปี 1995 ที่โครเอเชีย สโลวีเนีย มาซิโดเนีย และบอสเนียฯ สามารถแยกประเทศได้ทำให้กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในคอซอวอต้องการแยกประเทศเพื่อไปรวมกับแอลเบเนียบ้าง
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) สงครามต่อเนื่องระหว่างยูโกสลาเวียกับนาโต ในช่วง 24 มีนาคม ถึง 10 มิถุนายน ค.ศ. 1999 มีการทิ้งระเบิดของทางนาโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการโจมตีกลับของทางฝ่าย UČK ทำให้รัฐบาลยูโกสลาเวียในขณะนั้นสั่งถอนกำลังทัพออกจากพื้นที่
== บทนำ ==
บนดินแดนแห่งความขัดแย้งทางเชื้อชาติของชาวยูโกสลาเวียเดิม (ประกอบด้วยเซอร์เบีย โครเอเชีย สโลวีเนีย มาซิโดเนีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา จังหวัดปกครองตนเองวอยวอดีนา และจังหวัดปกครองตนเองคอซอวอ) รัฐเซอร์เบียมีเชื้อสายส่วนใหญ่เป็นชาวเซิร์บเชื้อสายเดียวกับสลาฟ (ใกล้ชิดกับรัสเซียนับถือคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์) และมีชนกลุ่มน้อยที่เป็นมุสลิมอันได้แก่ มาซิโดเนีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และคอซอวอ
ในอดีตที่ผ่านมายูโกสลาเวียปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ มีผู้นำที่มีความสามารถในการปกครองและผสานความเป็นสมานฉันท์ระหว่างเชื้อชาติ คือจอมพลยอซีป บรอซ ตีโต ทำให้ความขัดแย้งทางเชื้อชาติไม่มีปัญหามากนัก จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงผู้นำเมื่อตีโตถึงแก่กรรม ผู้นำที่ขึ้นมาสืบทอดตำแหน่ง คือ สโลโบดัน มิโลเชวิช ซึ่งเป็นคนเชื้อสายเซิร์บหัวรุนแรง ทำให้ก่อชนวนปัญหาเชื้อชาติเกิดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อระบบคอมมิวนิสต์ในรัสเซียล่มสลายปลายปี พ.ศ. 2534 ทำให้ก่อเกิดสาธารณรัฐที่ต้องการแยกเป็นอิสระ ซึ่งประเทศที่สามารถแยกตัวได้สำเร็จได้แก่ โครเอเชีย สโลวีเนีย มาซิโดเนีย และบอสเนียฯ ตามลำดับ
== ช่วงสงคราม ==
ประเทศที่แยกตัวไปส่วนใหญ่จะมีปัญหาเนื่องจากชนเชื้อสายเซิร์บในประเทศไม่ต้องการแยกประเทศทำให้เกิดการปะทะในหลายพื้นที่ แต่ท้ายที่สุด โครเอเชีย สโลวีเนีย มาซิโดเนีย ก็สามารถแยกตัวได้สำเร็จและได้รับรองจากนานาชาติในการจัดตั้งรัฐบาลของตนเอง
บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเองก็ต้องการแยกตัวออกไปเป็นประเทศใหม่ แต่ก็เป็นประเทศที่มีปัญหามากที่สุดเพราะชาวเซิร์บที่อยู่ในประเทศนั้นมีจำนวนมากกว่าประเทศอื่น ๆ จึงมีการรวมกำลังต่อต้านการแยกประเทศเพื่อจะเข้ารวมกับรัฐเซอร์เบีย ท้ายสุดปัญหาก็รุนแรงมากในช่วงปี พ.ศ. 2538 ซึ่งการต่อต้านและปะทะกันอย่างรุนแรงนั้นนำมาสู่การสังหารหมู่เพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จนสหประชาชาติต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยและยุติศึก
มาถึงคราวของคอซอวอจะแยกตัวบ้างเพื่อไปรวมกับแอลเบเนีย ทางรัฐบาลเซิร์บไม่ยินยอม จึงทำการโจมตีและขับไล่ชาวมุสลิมเชื้อสายแอลเบเนียในคอซอวออย่างโหดร้ายทารุณ ในปี พ.ศ. 2542 ทำให้กองกำลังชาติพันธมิตรนำโดยนาโตและสหรัฐอเมริกาเข้ายับยั้ง โดยทำการโจมตียูโกสลาเวียทางอากาศอย่างหนักหน่วงเป็นเวลากว่า 90 วัน กดดันให้นายมีโลเซวิชยอมถอนทหาร และอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมเชื้อสายแอลเบเนียกลับเข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่ได้ โดยมีกองกำลังชาติพันธมิตรคุ้มครองจนกระทั่งปัจจุบัน แต่ปัญหาความรุนแรงในคอซอวอก็ยังไม่จบสิ้น แม้ว่านายมีโลเซวิชจะถูกจับกุม และตัดสินลงโทษโดยศาลโลกในฐานะอาชญากรสงครามแล้วก็ตาม การก่อวินาศกรรมในคอซอวอยังมีอยู่ต่อเนื่อง
== หนังสืออ่านเพิ่ม ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Indictment of Milosevic United Nations
Video on Kosovo War from the Dean Peter Krogh Foreign Affairs Digital Archives
Text of Rambouillet Treaty – "Interim Agreement for Peace and Self-Government In Kosovo, Rambouillet, France – February 23, 1999," including Appendix B University of Pittsburgh Jurist
Beginning of discussion (May 14, 1999 to June 8, 1999, specifically) of Appendix B of the Rambouillet Treaty on H-Diplo, the diplomatic history forum H-Net
Through My Eyes website Imperial War Museum — Online Exhibition (Including images, videos and interviews with refugees from the war)
=== รายงาน ===
UNDER ORDERS: War Crimes in Kosovo Human Rights Watch
Organization for Security and Co-operation in Europe
Operation Allied Force NATO
Humanitarian law violations in Kosovo HRW (1998)
Abuses against Serbs and Roma in the new Kosovo HRW (1999)
The Ethnic Cleansing of Kosovo U.S. State Department
Ethnic Cleansing in Kosovo: An Accounting U.S. State Department
War and mortality in Kosovo, 1998 99: an epidemiological testimony The Lancet (PDF)
Trebinje danas.com K. Mitrovica: Više od 100 povrijeđenih Srba, UNMIK policajaca i Kfora
=== สื่อ ===
War in Europe PBS Frontline
Kosovo fact files BBC News
Focus on Kosovo CNN
=== แผนที่ ===
Maps of Kosovo, Perry-Castañeda Library Map Collection
สงครามในคริสต์ศตวรรษที่ 20
ประวัติศาสตร์เซอร์เบีย
กองโจร
|
thaiwikipedia
| 2,020 |
บุรุเซะระ
|
บุรุเซะระ มาจากคำเต็มว่า บุรุมาโตะเซราฟุกุ (ブルマーとセーラー服) เป็นคำเรียกร้านที่จำหน่ายเครื่องแบบหรือชุดชั้นในที่ใช้แล้ว ของนักเรียนสาวมัธยมในประเทศญี่ปุ่น
"บุรุ" มาจากคำว่า บลูเมอร์ (ブルマー, บุรุมา) ที่เป็นกางเกงพละของนักเรียนหญิง และ เซะระ มาจากลักษณะเสื้อชุดนักเรียนหญิงแบบเซเลอร์ (セーラー服, เซราฟุกุ) หรือแบบคอปกกะลาสี นอกจากนี้ยังมีเครื่องแบบนักเรียนลักษณะอื่นๆ เช่น ชุดว่ายน้ำโรงเรียน ชุดนักเรียนแบบเบลเซอร์ (blazer) หรือชุดนักเรียนแบบสูทคอปกแบะ ซึ่งมีการจัดสรรเพิ่มเติมตามกระแสนิยมเรื่องแบบโรงเรียนแต่ละโรงเรียนมีเครื่องแบบแตกต่างกันไป เครื่องแบบนักเรียนมักทำให้นักเรียนที่จบไปแล้วหวนรำลึกถึงความหลังอันเป็นสัญลักษณ์ของวัยเด็กอันสดใส นักเรียนบางคนดัดแปลงเครื่องแบบเพื่อสร้างความเป็นตัวของตัวเอง เช่น ทำกระโปรงให้สั้นลงหรือยาวขึ้น ไม่ผูกริบบิ้น ซ่อนตราโรงเรียนไว้ในปกเสื้อ ฯลฯ
เนื่องจากเครื่องแบบนักเรียนหญิงเป็นสัญลักษณ์ที่ให้ความรู้สึกทางเพศอย่างหนึ่ง จึงมีการขายชุดนักเรียนหญิงที่ใช้แล้วตามร้านค้าที่เรียกว่า บุรุเซะระ แม้ว่าปัจจุบันการขายเช่นนี้จะเป็นสิ่งผิดกฎหมายก็ตาม เครื่องแบบนักเรียนหญิงยังมีบทบาทอย่างมากในวัฒนธรรมโอะตะกุ สื่อบันเทิงประเภทอนิเมะและมังกะมักจะมีตัวละครในชุดเครื่องแบบนักเรียนอยู่ด้วยเสมอ
สินค้าหลักของร้านคือ กางเกงในที่ใช้แล้วและยังไม่ผ่านการซัก ราคาจะอยู่ในช่วง 5,000-10,000 เยน (ประมาณ 2,000 - 4,000 บาท) ลักษณะการวางขายคล้ายกับสินค้าในซูเปอร์มาร์เกตทั่วไป โดยนิยมบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใสวางหรือแขวนอยู่บนแผง และอาจมีการติดรูปเจ้าของชุดโชว์อยู่ด้วย ในบางแห่งมีเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ โดยซื้อผ่านการยอดเหรียญ
== นะมะเซะระ ==
นะมะเซะระ (なまセラ) เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของร้านบุรุเซะระ โดยคำว่า "นะมะ" ในภาษาญี่ปุ่น แปลว่า "สด" (fresh) ซึ่งนะมะเซะระเป็นร้านที่มีการถอดชุดชั้นในจากตัวเด็กสาวแล้วขายให้ในขณะนั้น หรืออาจจะมีการบริการเพิ่ม โดยให้ลูกค้าสามารถดูเด็กสาวขณะถอดชุดชั้นใน นอกจากนี้มีบริการให้เด็กสาวสวมชุดอื่นนอกเหนือจากเครื่องแบบนักเรียน เช่น บิกินี คอสเพลย์ หรือการแต่งกายเลียนแบบตัวละครการ์ตูน ชุดนางพยาบาล ชุดตำรวจหญิง ขึ้นอยู่กับทางร้านจัดให้
== กฎหมาย ==
ในปี พ.ศ. 2547 ญี่ปุ่นออกกฎหมายว่าการขายชุดชั้นในใช้แล้วของเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทำให้กิจการในลักษณะนี้ลดลง
แฟชั่น
ความคลั่งไคล้ทางเพศในวัตถุ
การเกิดอารมณ์เพศที่สัมพันธ์กับแฟชั่น
อุตสาหกรรมทางเพศ
การค้าประเวณีในประเทศญี่ปุ่น
ความใคร่เด็ก
|
thaiwikipedia
| 2,021 |
บลูเซเลอร์
|
redirect บุรุเซะระ
|
thaiwikipedia
| 2,022 |
นามาเซรา
|
redirect บุรุเซะระ
|
thaiwikipedia
| 2,023 |
นะมะเซระ
|
redirect บุรุเซะระ
|
thaiwikipedia
| 2,024 |
คอเรลดรอว์
|
คอเรลดรอว์ (CorelDRAW) คือโปรแกรมประยุกต์ที่มีความสามารถในการสร้างและแก้ไขข้อมูลภาพกราฟิกส์เวกเตอร์ ผลิตโดยบริษัทคอเรล (Corel) แคนาดา
CorelDRAW รุ่นล่าสุดคือรุ่น 2019 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ PC Windows, Mac และเว็บ แถลงข่าววันที่ 13 มีนาคม 2562 เป็นโปรแกรมหนึ่งในโปรแกรมชุด CorelDRAW Graphics Suite 2019
ในชุดโปรแกรม คอเรลดรอว์กราฟิกส์สวีท X8 ประกอบด้วย
CorelDRAW X8: แอ็พพลิเคชั่นสำหรับสร้างภาพอิลลัสเตรตแบบเวกเตอร์ และ จัดวางเลย์เอ๊าท์
Corel® PHOTO-PAINT® X8: แอ็พพลิเคชั่นในการตกแต่งแก้ไขรูปภาพระดับมือ
Corel Font Manager™: สำหรับจัดการฟอนท์
Corel® PowerTRACE® X8: เครื่องมือลอกลายเส้นจาก ภาพบิตแม็พไปเป็นเว็คเตอร์ (รวมอยู่ใน คอเรลดรอว์ X8)
Corel® CONNECT™ X8: สำหรับสืบค้น เนื้อหาดิจิตอลคอนเท้นท์ ที่อยู่ใน คอนเท้นท์เอ๊กเชนจ์ (Content Exchange) และภายในคอมพิวเตอร์ของเรา
Corel® Website Creator™: แอ็พพลิเคชั่นสำหรับ ออกแบบเว็บไซต์
Corel® CAPTURE™ X8: เครื่องมือจับภาพหน้าจอในคลิกเดียว
PhotoZoom Pro 4: ปลั๊กอินสำหรับ เอ๊กซ์พอร์ต (export) และขยายขนาดไฟล์รูปภาพดิจิตอลออกจาก คอเรลโฟโต้เพ้นท์
สำหรับ เวอร์ชันก่อนหน้า หรือ ชุดโปรแกรม คอเรลดรอว์กราฟิกส์สวีท X7 ประกอบด้วย:
CorelDRAW X7
Corel® PHOTO-PAINT™ X7
Corel® PowerTRACE™ X7
Corel® CONNECT™ X7
Corel® Website Creator™
Corel® CAPTURE™ X7
PhotoZoom Pro 3
ConceptShare™
โปรแกรมกราฟิกของบริษัทคอเรล เป็นคู่แข่งโดยตรงกับโปรแกรมของบริษัทอะโดบี (Adobe) เช่น โปรแกรม อะโดบี อิลลัสเตรเตอร์ , โฟโตชอป และ อะโดบี อินดีไซน์
ในประเทศไทย CorelDRAW เป็นที่นิยมตั้งแต่เวอร์ชัน 3 บนแพลตฟอร์ม ไมโครซอฟท์วินโดวส์ (PC Windows 3.1) ซึ่งเป็นช่วงที่เครื่องพีซี มีระบบปฏิบัติการแบบกราฟิก และใช้เมาส์ (ระบบวินโดวส์) เป็นที่นิยมสำหรับผู้ใช้ทั้งตามบ้าน และสถานที่ทำงาน เพราะเครื่องพีซีประกอบเองจากห้างพันธุ์ทิพย์ ผู้ซื้อสามารถเลือกชิ้นส่วนตามงบประมาณที่ต้องการได้ แถมความเร็วยังเหนือกว่าเครื่องแมคอินทอช อีกทั้งกฎหมายลิขสิทธิ์ยังไม่เข้มข้น ผู้ที่ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี มักจะได้รับซอฟต์แวร์คอเรล แถมมากับเครื่องเสมอ เพื่อใช้ทำงานด้านกราฟิกและตกแต่งภาพ ในขณะที่ ระบบปฏิบัติการแมคอินทอชใช้โปรแกรมจำพวก อัลดัสเพจเมคเกอร์ อัลดัสฟรีแฮนด์ และอิลลัสเตรเตอร์ และโฟโต้ช้อป หลายซอฟต์แวร์ร่วมกันเพื่อทำงานกราฟิกสักชิ้น และยังไม่ได้เข้ามาทำตลาดบนแพลตฟอร์มวินโดวส์ แต่ คอเรลดรอว์ และ คอเรลโฟโต้เพ้นท์ มีฟีเจอร์ที่หลากหลายกว่า และมีหลายฟีเจอร์เหนือกว่า เช่นการหมุนวัตถุได้ทีละองศา (ของคู่แข่งหมุนได้ทีละ 90 องศา) การลอกลายเส้นโลโก้ การปรับโหนด การทำเงาใต้ภาพ การเบล็นด์กราฟิกรวมกัน (morphing) การทำแอนิเมชันง่ายๆ การเพิ่มมิติ ความหนา-หมุน-และแสงเงา ให้กับกราฟิกสองมิติจนคล้ายเป็นวัตถุสามมิติ การอิมพอร์ต-เอ๊กซ์พอร์ตไฟล์ต่างชนิดเพื่อใช้ข้ามระบบ การแยกสี ฯลฯ รองรับการใช้เมาส์คลิกขวา เพื่อสั่งงานโปรแกรมได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และคอเรลดรอว์ตัวเดียวสามารถทำงานจัดหน้า และออกแบบกราฟิก ตกแต่งภาพง่าย ๆ ได้ในโปรแกรมเดียว ไม่ต้องเปิด-ปิด ใช้หลายโปรแกรม อีกทั้งซอฟต์แวร์แพ็คเกจคอเรลดรอว์ บนวินโดวส์ ราคาถูกกว่า คู่แข่งบนแมคอินทอช และให้ของแถม สต็อคภาพถ่าย ภาพเวกเตอร์ ฟอนท์ ฯลฯ มากมายหลายสิบแผ่น โดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม
และตัวแปรที่สำคัญคือ การเอ้าทพุทงาน โดยร้านแยกสี ยิงฟิล์ม โรงพิมพ์ ต่างก็มี มินิคอมพิวเตอร์ และเวิร์กสเตชันแบบ พีซี วินโดวส์ เพราะราคาประหยัดกว่า ทำให้ผู้ใช้งานคอเรล สามารถส่งงานที่ทำจากคอเรลไปพิมพ์ได้ผลงานสำเร็จทั้งหมด โดยไม่ต้องใช้เครื่องแมคอินทอชแต่อย่างใด
นักเรียน นิสิตนักศึกษา และผู้ใช้งานตามออฟฟิส และตามบ้านทั่วไป จึงคุ้นเคยกับการทำงานกราฟิกด้วยโปรแกรมคอเรลดรอว์มากขึ้น ตามความนิยมของเครื่องพีซีที่ขายได้ จึงเกิดกลุ่มผู้ใช้งานคอเรลมากขึ้นเรื่อย ๆ
ความนิยมของซอฟต์แวร์กราฟิกฝั่งแมคอินทอช เริ่มมากขึ้น เมื่อมีการพอร์ทมาทำงานบน วินโดวส์ และออกเวอร์ชันใหม่พร้อม ๆ กับเวอร์ชันบนแมคอินทอช, คอเรลดรอว์ก็ไปบุกตลาดจำหน่ายเวอร์ชันสำหรับแมคอินทอช เช่นกัน ต่อมา บริษัทอะโดบี กว้านซื้อ ซอฟต์แวร์ด้านกราฟิกแทบทุกตัว แล้วยุบรวม ออกมาเหลือเพียง อิลลัสเตรเตอร์ โฟโต้ช้อป และ อินดีไซน์ โดยจัดวางเมนู ทูลบาร์ ให้เหมือน ๆ กันทุกโปรแกรม ทำให้ผู้ใช้งานสะดวกคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น อีกทั้งราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ และความเร็ว แทบไม่ต่างกันมาก จึงทำให้ซอฟต์แวร์คู่แข่งจากอะโดบีแย่งส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น
คอเรลดรอว์ เวอร์ชัน 3 บนพีซีวินโดวส์ (ปี 1992) มาเหนือกว่าคู่แข่ง ในแบบ รวมชุดหลายโปรแกรม (กราฟิกส์สวีท) คือมีหลายโปรแกรมให้มาในแพ็คเกจ เช่น
คอเรลดรอว์ สำหรับทำงานกราฟิกส์เวกเตอร์ ลายเส้น โลโก้ คู่แข่งกับ อัลดัสฟรีแฮนด์, อะโดบี อิลลัสเตรเตอร์
คอเรลโฟโต้เพ้นท์ สำหรับงานตกแต่งรีทัชรูปภาพ คู่แข่งกับ อะโดบี โฟโตชอป
คอเรลแคปเจอร์ สำหรับจับภาพหน้าจอ
คอเรลเทรซ สำหรับลอกลายเส้น จากภาพบิตแม็พ
ในแพ็คเกจยังให้ สต็อคภาพถ่ายคุณภาพสูง สิบกว่าแผ่น, ทรูไทป์ฟอนท์มาตรฐานอีกหลายร้อยฟอนท์แบบครบทั้งแฟมมิลี่, ลวดลายกราฟิกส์เวกเตอร์สำเร็จรูปอีกมหาศาล อาทิ สัตว์ พืช ผัก ต้นไม้ ดอกไม้, ภาพกราฟิกส์เวกเตอร์ใบหน้าบุคคลสำคัญแห่งยุค, เท็มพลตการจัดเอกสาร ฯลฯ เรียกได้ว่าครบเครื่อง โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อหาเพิ่มจากผู้ผลิตภายนอกแต่อย่างใด เหนือกว่าบริษัทคู่แข่งอื่น ๆ ทั้งหมด
คอเรลดรอว์ มักจะออกเวอร์ชันปรับเปลี่ยนหน้าตา เพิ่มสิ่งใหม่ ประมาณปีละครั้ง พร้อมฟีเจอร์แปลกใหม่ที่มักจะล้ำนำหน้าคู่แข่ง บางเวอร์ชันก็เป็นที่นิยม บางเวอร์ชันก็มีปัญหาเยอะ ถัดจากเวอร์ชัน 10 (ค.ศ. 2000) ก็ออกใหม่โดยเว้นระยะประมาณ สองปี (เวอร์ชัน 11 ออกปี คศ. 2002) ฟีเจอร์ที่เพิ่มมาใหม่ก็ไม่มากนัก ช่วงระยะเวลาการเรียนรู้เพิ่มเติมแต่ละเวอร์ชันใช้เวลาไม่มากนัก
การทำงานกับไฟล์ข้อมูลรูปภาพของ CorelDRAW นั้น ส่วนใหญ่จะทำงานกับไฟล์ข้อมูลรูปภาพแบบเวกเตอร์ ที่จัดเก็บข้อมูลรูปภาพในแบบ 2 มิติ (2D) มากกว่า 3 มิติ (3D) (ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีคำสั่งสำหรับการทำงานกับไฟล์ข้อมูลรูปภาพ 3 มิติบ้างแล้วก็ตาม) โดยไฟล์ที่ CorelDRAW จัดเก็บในรูปแบบเฉพาะของตัวโปรแกรมเอง จะใช้นามสกุลของไฟล์ว่า CDR, ซึ่งไฟล์ CDR นี้ จะสามารถจัดเก็บคุณลักษณะพิเศษของไฟล์ที่เป็นของ CorelDRAW ได้ครบถ้วน
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
PDF ข่าวการวางจำหน่าย คอเรลดรอว์ x8 15 มีนาคม 2559
CorelDRAW เว็บของซอฟต์แวร์คอเรลดรอว์
PDF ข่าวการวางจำหน่าย คอเรลดรอว์ x7 27 มีนาคม 2557
ข่าวประชาสัมพันธ์ การวางจำหน่าย คอเรลดรอว์ X6 วันที่ 20 มีนาคม 2555
เอกสาร PDF รีวิวซอฟต์แวร์ คอเรลดรอว์ X6
ประวัติย่นย่อของคอเรลดรอว์ ตั้งแต่เวอร์ชันแรก ถึงปัจจุบัน
ซอฟต์แวร์กราฟิกส์
|
thaiwikipedia
| 2,025 |
นามาเซระ
|
redirect บุรุเซะระ
|
thaiwikipedia
| 2,026 |
ด็อพเพิลเก็งเงอร์
|
ด็อพเพิลเก็งเงอร์ (Doppelgänger) เป็นความเชื่อ โดย doppel มีความหมายเดียวกับคำว่า double ในภาษาอังกฤษหรือแปลได้ว่า "ซ้ำสอง" ส่วนคำว่า gänger หมายถึง "goer"
มีคำเรียกอีกอย่างว่า evil twin (แฝดปีศาจ) หรือ bilocation (การปรากฏตนในสองสถานที่) ซึ่งมีที่มาจากเรื่องเล่าขานพื้นบ้านของเยอรมัน
นิยามกว้าง ๆ ของด็อพเพิลเก็งเงอร์ กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่มีการพบเห็นบุคคลหนึ่งผู้ในเวลาเดียวกันแต่ต่างสถานที่ ศัพท์นี้ได้ถูกนำมาใช้มากที่สุดกับกรณีของฝาแฝดผู้ชั่วร้าย ซึ่งปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปในวรรณกรรมและภาพยนตร์แนวลึกลับต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้วด็อพเพิลเก็งเงอร์ถูกถือเป็นสัญญาณแห่งความโชคร้าย ความเจ็บป่วยหรือภยันตรายจะเกิดขึ้นหากเพื่อนฝูงหรือเครือญาติได้พบเห็น ในขณะที่การพบเห็นด็อพเพิลเก็งเงอร์ของตนจะนำมาซึ่งความตาย ถึงกระนั้น รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่ว่านี้นั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นไปในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจงดังกล่าว เนื่องจากเรื่องราวและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับคำนี้มีขอบเขตที่กว้างกว่านั้นมาก
ด็อพเพิลเก็งเงอร์ เป็นคำที่ใช้เรียกกรณีที่มนุษย์คนหนึ่งได้ปรากฏตัวตนเพิ่มขึ้นมาจากเดิมอีกคนหนึ่งซึ่งจะมีลักษณะภายนอกเหมือนกันทุกประการ
ตามเรื่องราวที่เล่าขานกันมาด็อพเพิลเก็งเงอร์นั้นจะไม่มีเงาของตนเอง รวมทั้งไม่มีภาพสะท้อนบนกระจกหรือผิวน้ำ มันอาจจะให้คำแนะนำอะไรบางอย่างกับบุคคลต้นแบบของมันด้วยเจตนาร้ายซึ่งยุแยงให้เกิดความเข้าใจผิดต่าง ๆ หรืออาจจะปรากฏตัวต่อหน้าญาติมิตรเพื่อทำให้เกิดความสับสน และมันอาจจะปรากฏตัวในลักษณะที่สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ยามที่บุคคลต้นแบบของมันเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเกิดความคิดของมนุษย์ตัวจริงได้ไม่ดีหรือคิดชั่วร้าย มนุษย์ที่เป็นด็อพเพิลเก็งเงอร์จะกลืนกินความชั่วนั่นมาเก็บไว้ที่ตัวเอง ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าปรากฏการณ์ด็อพเพิลเก็งเงอร์นั้นเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด ความเชื่อบางประเภทนั้นยึดหลักที่ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกจะมีฝาแฝดของตนอยู่ หากบุคคลนั้นเป็นคนดี ฝาแฝดก็จะชั่วร้าย หากบุคคลนั้นเป็นคนชั่วร้าย ฝาแฝดก็จะเป็นไปในทางกลับกัน และการที่ฝาแฝดทั้งสองมาพบกันนั้นก็จะยังผลให้ทั้งคู่ต้องพบกับจุดจบของชีวิต บ้างก็เชื่อว่าด็อพเพิลเก็งเงอร์เป็นภูตผีปีศาจในรูปแบบหนึ่งที่จะปรากฏตัวขึ้นเพื่อบ่งบอกถึงลางร้าย หากพวกมันไม่ได้นำพามาซึ่งลางร้ายเสียเอง นอกเหนือไปจากนี้แล้ว บุคคลบางกลุ่มมีความเห็นเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่ว่านี้ว่าน่าจะเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้พลังจิตที่มีชื่อเรียกว่า "Out-of-Body Experience" หรือ "Astral Projection" ในกรณีนี้มีการกล่าวอ้างว่ามีหลายคนพบเห็นพราหมณ์บางคนหลายสถานที่ในเวลาเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่พราหมณ์ผู้นั้นกำลังนอนอยู่
== อ้างอิง ==
ด็อพเพิลเก็งเงอร์
ผี
คำและวลีภาษาเยอรมัน
|
thaiwikipedia
| 2,027 |
Burusera
|
redirect บุรุเซะระ
|
thaiwikipedia
| 2,028 |
จังหวัดศรีสะเกษ
|
ความหมายอื่นของ ศรีสะเกษ ดูได้ที่ ศรีสะเกษ (แก้ความกำกวม)
ศรีสะเกษ เป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ลักษณะภูมิประเทศทางตอนใต้เป็นที่สูง และค่อย ๆ ลาดต่ำไปทางเหนือลงสู่ลุ่มแม่น้ำมูลซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัด ปัจจุบันมีเนื้อที่ 8,840 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยอำเภอ 22 อำเภอ มีประชากรราว 1.47 ล้านคน ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย ซึ่งพูดภาษาถิ่นต่าง ๆ กัน อาทิ ภาษาลาว (สำเนียงลาวใต้ซึ่งใช้ครอบคลุมทั้งฝั่งอุบลราชธานีและจำปาศักดิ์) ภาษากูย ภาษาเยอ และภาษาเขมรถิ่นไทย ส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชนและนับถือผีมาแต่เดิม
มีการตั้งถิ่นฐานในจังหวัดศรีสะเกษมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จนเกิดพัฒนาการที่เข้มข้นในสมัยอาณาจักรขอมซึ่งได้ทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมหลายประการไว้ เช่น ปราสาทหินและปรางค์กู่ ครั้นในสมัยอาณาจักรอยุธยาตอนปลาย ได้มีการยกบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน(บริเวณใกล้ ๆ ปราสาทกุด หรือปราสาทสี่เหลียมโคกลำดวน วัดเจ็ก อำเภอขุขันธ์ ในปัจจุบัน) เป็นเมืองขุขันธ์ พ.ศ. 2449 ได้มีการย้ายเฉพาะ ศาลากลางเมืองขุขันธ์ จากที่ตั้งเดิม คืออำเภอเมืองขุขันธ์ ไปตั้งบริเวณศาลากลางเมืองศีร์ษะเกษ แต่ยังคงใช้ชื่อ ศาลากลางเมืองขุขันธ์ ส่วนพื้นที่ อำเภอเมืองขุขันธ์ เมืองขุขันธ์ ประเทศสยาม ยังอยู่ที่ตั้งแห่งเดิม โดยเหตุผลที่ย้ายเฉพาะ ศาลากลางเมืองขุขันธ์ จากที่ตั้งเดิมก็เพื่อความมั่นคง กล่าวคือ
พื้นที่ซึ่งจะยกฐานะหรือตั้งเป็นจังหวัด มักจะไม่ตั้งในพื้นที่ติดพรมแดนของประเทศเพื่อนบ้าน
เพื่อป้องกันการแสวงหาเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจผู้ล่าเมืองขึ้น โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น
เพื่อรองรับความเจริญที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะยุคนั้น จะสร้างเส้นทางรถไฟจากโคราชสู่ปลายทางอุบลราชธานี
เพื่อให้ห่างไกลจากการรบกวนของผู้ที่ยังเคารพศรัทธาท้าวบุญจันทร์(น้องชายเจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ ๙) ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎซึ่งถูกปราบและเสียชีวิต
พ.ศ. 2459 ตรงกับวันที่ วันที่ 19 พฤษภาคม 2459 ร. 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" ผู้ว่าราชการเมือง เรียกว่า "ผู้ว่าราชการจังหวัด" เมืองขุขันธ์ จึงเปลี่ยนนามจากเดิมเป็น จังหวัดขุขันธ์
พ.ศ. 2460 พื้นที่ของ อำเภอเมืองขุขันธ์ จังหวัดขุขันธ์ ประเทศสยาม ยังคงอยู่ที่ตั้งเดิม แต่ต่อมาวันที่ 29 เมษายน 2460 อำเภอเมืองขุขันธ์ ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอห้วยเหนือ และอำเภอเมืองศีร์ษะเกษ ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอศีร์ษะเกษ (ที่มา : ราชกิจจานุเบกษาเล่ม 34 หน้า 40 วันที่ 29 เม.ย. 2460)
พ.ศ. 2481 เปลี่ยนชื่อจังหวัดขุขันธ์ เป็นชื่อ จังหวัดศีร์ษะเกษ เปลี่ยนชื่อ อำเภอห้วยเหนือ เป็นชื่อ อำเภอขุขันธ์ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษจิกายน 2481 เป็นต้นมา
แหล่งท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญในจังหวัดศรีสะเกษ เช่น อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ผามออีแดง สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ศรีสะเกษ ปรางค์กู่ ปราสาทสระกำแพงน้อย ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ปราสาทเยอ ปราสาทบ้านปราสาท ปราสาทโดนตวล บึงนกเป็ดน้ำไพรบึง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยศาลา ส่วนด้านเศรษฐกิจนั้นพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าวหอมมะลิ ผลไม้ เช่น ทุเรียน และเงาะ พืชสวน เช่น หอมแดง กระเทียม และยางพารา ตลอดจนพืชไร่ เป็นต้นว่า มันสำปะหลัง และถั่วลิสง
== ประวัติศาสตร์ ==
=== ก่อนประวัติศาสตร์ ===
หลักฐานทางโบราณคดีในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ แสดงให้เห็นการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในพื้นที่นี้ย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (สมัยก่อนที่จะมีการใช้ตัวอักษรหรือภาษาเขียน จารึกเรื่องราวต่างๆในสังคมมนุษย์) ตอนปลาย ในยุคเหล็กราว 2,500 ปีมาแล้ว เช่น แหล่งภาพสลักบริเวณผาเขียน-ผาจันทน์แดง ในเขตอำเภอขุนหาญ ตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก อันเป็นเขตพื้นที่สูงทางตอนใต้ของจังหวัดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นอกจากนั้นยังร่องรอยชุมชนสมัยเหล็กอยู่ในบริเวณพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำมูล ทางตอนเหนือของจังหวัด เช่น กลุ่มชุมชนโบราณในเขตอำเภอราษีไศล ซึ่งปรากฏร่องรอยชุมชนที่มีหลักฐานโครงกระดูกมนุษย์ ที่ได้รับการฝังศพพร้อมกับวัตถุอุทิศอันเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยเหล็กและภาชนะดินเผา ตลอดจนแบบแผนพิธีกรรมฝังศพแบบวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมูล-ชี หรือที่เรียกว่า"วัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้"
=== สมัยทวารวดี ===
ต่อมาในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-16 (ประมาณ 1,400 - 1,200 ปีมาแล้ว) ชุมชนสมัยเหล็ก (โดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำมูล ทางตอนเหนือของจังหวัด) ได้มีพัฒนาการต่อมาเป็นชุมชนในพุทธศาสนา นิกายเถรวาทหรือหินยาน มีการจารึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ด้วยตัวอักษรหรือภาษาเขียนแบบโบราณ จึงจัดเป็นช่วง "ยุคหรือสมัยประวัติศาสตร์" ตอนต้น รวมทั้งมีการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ โดยการขุดคูน้ำและสร้างคันดินล้อมรอบเมือง เพื่อใช้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำในฤดูแล้งและใช้เป็นแนวป้องกันน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก ชุมชนโบราณสำคัญที่มีลักษณะผังเมืองดังกล่าวนี้ เช่น เมืองโบราณที่มีคูน้ำ-คันดินในเขตอำเภอราษีไศล, เมืองโบราณโคกขัณฑ์(គោកខណ្ឌ)ซึ่งเป็นที่ตั้งตัวอำเภอขุขันธ์ในปัจจุบัน
=== สมัยขอมหรือเขมรโบราณ ===
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 13-17 (ประมาณ 1,300 - 900 ปีมาแล้ว) ก็มีชุมชนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งได้รับกระแสวัฒนธรรมแบบขอมโบราณตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตตอนกลางและตอนล่างของพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่นับถือเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 13-16) และพุทธศาสนา นิกายมหายาน (ช่วงพุทธศตวรรษที่ 17) โดยปรากฏเป็นชุมชนขนาดน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง หลายชุมชมมีการก่อสร้างศาสนาสถานซึ่งเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันคือปราสาทหินโบราณ เช่น ปราสาทหินสระกำแพงใหญ่ ปราสาทหินสระกำแพงน้อย ใน เขตอำเภออุทุมพรพิสัย ปราสาทบ้านปราสาท อำเภอห้วยทับทัน ปราสาทกู่สมบูรณ์ อำเภอบึงบูรพ์ ปราสาททามจาน(หรือปราสาทบ้านสมอ) ปราสาทปรางค์กู่ อำเภอปรางค์กู่ ปราสาทตาเล็ง อำเภอขุขันธ์ ปราสาทเยอ อำเภอไพรบึง ปราสาทภูฝ้าย ปราสาทพระวิหารและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บริเวณพะลานหินเขตผามออีแดง ปราสาทโดนตวล อำเภอกันทรลักษ์ ปราสาทหนองปราสาท ปราสาทตำหนักไทร อำเภอขุนหาญ เป็นต้น โบราณสถานที่เรียกว่าปราสาทหินแบบศิลปะขอมที่พบเป็นจำนวนมากในจังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้จังหวัดศรีสะเกษได้รับสมญานามว่า "เมืองปรางค์ร้อยกู่" หรือ "นครร้อยปราสาท"
=== สมัยอยุธยา ===
การสร้างบ้านแปงเมืองซึ่งเป็นต้นเค้าของการพัฒนามาเป็นจังหวัดศรีสะเกษ ได้ปรากฏชัดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ตั้งแต่ พ.ศ. 2232 ในระยะนั้น เดิมเมืองขุขันธ์ หรือพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษปัจจุบัน มีกลุ่มชนเผ่าที่ถูกราชสำนักกรุงเทพ เรียกว่า เขมรป่าดง จำนวน 6 กลุ่ม อาศัยอยู่กันมานานแล้วและได้ตั้งเป็นชุมชน ต่าง ๆ ดังนี้
ตากะจะ(หรือตาไกร) และ เชียงขันธ์ มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน (บริเวณใกล้ปราสาทกุด หรือปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน วัดเจ็ก ในเขตอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบัน)
เชียงปุม มาตั้งถิ่นฐานอยู่บ้านเมืองที ต่อมาได้สร้างบ้านเมืองอยู่ที่บ้านคูปทายและยกเป็นปทายสมันต์ (จังหวัดสุรินทร์ในปัจจุบัน)ส่วนเมืองทีให้เชียงปิดน้องชายเป็นหัวหน้าปกครอง
เชียงฆะ มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านอัจจะปนึง หรือเมืองดงยาง (ในอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบัน)
เชียงชัย มาตั้งถิ่นฐานอยู่บ้านจารพัต (ในเขตอำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบัน)
เชียงสง มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านเมืองลิง (ในเขตอำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบัน)
เชียงสี (ตากะอาม) มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่กุดหวาย (อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบัน)
ชุมชนชาวเขมรป่าดงดังกล่าวได้อยู่อาศัยเรื่อยมาจนล่วงเข้าสู่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ใน พ.ศ. 2302 รัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ พญาช้างเผือกมงคลในราชสำนักแตกโรงมาจากจากกรุงศรีอยุธยา หนีเข้าป่าไปรวมอยู่กับโขลงช้างป่าในเทือกเขาพนมดงรัก ตากะจะหรือตาไกรและเชียงขัน พร้อมด้วยหัวหน้าชนเผ่าเขมรป่าดงได้รับอาสาตามจับพญาช้างเผือกได้แล้วนำส่งถึงกรุงศรีอยุธยา ด้วยความชอบในครั้งนี้จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ "ตากะจะ" หรือ "ตาไกร" เป็น "หลวงแก้วสุวรรณ" ตำแหน่งหัวหน้านายกอง ปกครองหมู่บ้าน โดยโปรดให้ยก บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวนขึ้นเป็น เมือง "ขุขันธ์" ซึ่งอยู่ที่บริเวณใกล้ปราสาทกุด หรือปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน วัดเจ็ก อำเภอขุขันธ์ในปัจจุบัน จนล่วง พ.ศ. 2306 หลวงแก้วสุวรรณนำเครื่องบรรณาการถวายพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงศรีอยุธยา ความชอบครั้งนี้ได้โปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์ให้หลวงแก้วสุวรรณ เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน ตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์คนแรก
หม่อมอมรวงศ์วิจิตร กล่าวไว้ในพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสานกล่าวว่า เดิมพื้นที่ในมณฑลลาวทางนี้ เมื่อก่อนจุลศักราชได้ 1,000 ปี ก็เป็นทำเลป่าดง (เป็นการเรียกไปเองของสมัยกรุงศรีอยุธยา) ซึ่งเป็นที่อาศัยของพวกคนอันสืบเชื้อสายมาแต่ขอม ต่อมาเรียกกันว่า "กูย (กวย)" ซึ่งยังมีอาศัยอยู่ในฝั่งโขงตะวันออก ซึ่งปรากฏหลักฐานการสร้างปราสาทหิน และจากอิฐดินเผาจำนวนมากมีกระจายอยู่ทั่วไปในแถบอิสานใต้ ละโว้ (ลพบุรี) ไปจนถึงในเขตภาคกลาง (สมัยกรุงศรีอยุธยา หรือสมัยอาณาจักรทาวราวดี) และภาคเหนือตอนล่าง
เมืองศรีสะเกษมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานตั้งแต่ยุคขอมเรืองอำนาจแต่ที่นี้จะกล่าวถึงประวัติเมืองศรีสะเกษในช่วงที่เริ่มสร้างบ้านแปลงเมืองใหม่และเริ่มเป็นที่รู้จัก เมืองศรีสะเกศ เมืองศีร์ษะเกษหรือเมืองศรีสะเกษ ในเอกสารบางฉบับอาจจะสะกดแตกต่างกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทางภาษาในยุคสมัยนั้น ๆ ซึ่งในปัจจุบันใช้คำสะกดว่า “ศรีสะเกษ”
เมืองศรีสะเกศปรากฏความในตำนานเอกสารโบราณของอาณาจักรล้านช้างเกี่ยวกับการกำเนิดอาณาจักรล้านช้างร่มขาวจำปาศักดิ์ สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ทางการเมืองทำให้อาณาจักรล้านช้างแบ่งออกเป็น 3 อาณาจักร คือ อาณาจักรล้านช้างร่มขาวเวียงจันทน์ อาณาจักรล้านช้างร่มขาวหลวงพระบาง และอาณาจักรล้านช้างร่มขาวจำปาศักดิ์ ปรากฏความเมื่อพุทธศักราช 2237 อาณาจักรล้านช้างเกิดความระส่ำระสาย มีความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้น เนื่องจากพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชเจ้านครหลวงเวียงจันทน์สวรรคต พระยาเมืองจันทน์เป็นขบถแย่งชิงราชสมบัติ และต้องการได้พระนางมังคลา ราชธิดาของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชมาเป็นมเหสี แต่พระนางไม่ยินยอมจึงได้หนีไปอาศัยอยู่กับพระครูยอดแก้ว แห่งวัดโพนเสม็ดหรือที่เรารู้จักกันในนาม เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (ญาคูขี้หอม) ขณะนั้นพระนางกำลังทรงพระครรภ์ ท่านพระครูยอดแก้วจึงส่งไปอยู่ภูชะง่อนหอคำ ได้ประสูติพระโอรสทรงพระนามว่า “เจ้าหน่อกษัตริย์” ฝ่ายพระยาเมืองจันทน์เห็นราษฎรนับถือท่านพระครูยอดแก้วมากจึงคิดกำจัด ท่านพระครูยอดแก้วได้ทราบจึงพาราษฎรพร้อมทั้งศิษยานุศิษย์ประมาณ 3,000 คน อพยพหนีจากเวียงจันทน์ไปอยู่ที่บ้านงิ้วพันลำสมสนุก แขวงเมืองนครพนม แล้วให้คนเชิญเอาเจ้าหน่อกษัตริย์ที่ภูชะง่อนหอคำไปอยู่ด้วย เมื่อพระครูไปถึงตำบลใดก็มีราษฎรนิยมนับถือเข้าเป็นพวกด้วยเป็นอันมาก ท่านพระครูได้พาเหล่าราษฎรผู้ติดตามลงไปถึงแดนเขมร แขวงเมืองบันทายเพชร แสดงความจำนงจะอยู่ในเขตแดนเขมร แต่ขุนนางท้องถิ่นกลับเรียกเอาเงินครอบครัวละ 8 บาท ท่านพระครูเห็นว่าจะเป็นการเดือดร้อนแก่ราษฎร จึงอพยพขึ้นตามลำน้ำโขงถึงนครกาละจำปานาคบุรีศรี จึงหยุดตั้งพักอยู่ที่เมืองนั้น ราษฎรที่อพยพตามมาก็แยกย้ายกันไปอยู่ตามหมู่บ้านต่าง ๆ ปะปนกับพวกข่าส่วยเขมรซึ่งเป็นชนเผ่าดั้งเดิม ฝ่ายเจ้านางแพง เป็นผู้ปกครองนครกาละจำปานาคบุรีศรี เห็นผู้คนนับถือพระครูเป็นจำนวนมาก ประกอบกับ เจ้านางแพงเป็นสตรีจึงมอบอำนาจการปกครองให้ท่านพระครูยอดแก้วเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ท่านพระครูยอดแก้วเห็นว่า กิจการบ้านการเมืองเป็นเรื่องของฆราวาส ไม่เหมาะสมแก่สมณวิสัย จนถึงพุทธศักราช 2252 เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม มีการทะเลาะวิวาทกันขึ้น ท่านพระครูจึงให้อำมาตย์ไปเชิญเจ้าหน่อกษัตริย์กับพระมารดาซึ่งอยู่บ้านงิ้วสมสนุกลงไปยังเมืองกาละจำปานาคบุรีศรี พระครูพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ จึงอัญเชิญเจ้าหน่อกษัตริย์ขึ้นครองราชสมบัติเป็นเอกราชตามราชประเพณี และเปลี่ยนนามเมืองนคร กาละจำปานาคบุรีศรี เป็นนครจำปาศักดิ์นัคบุรีศรี เมื่อพุทธศักราช 2256 ทรงพระนามว่า เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร
เมื่อเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรขึ้นครองราชสมบัติแล้วจึงได้รีบจัดการปกครองบ้านเมือง ตั้งตำแหน่งท้าวพระยาเสนาซ้ายขวา ตามแบบกรุงศรีสัตนาคนหุตครบทุกตำแหน่ง และทรงสร้างวัดหลวงแห่งใหม่เรียกว่า "วัดหลวงใหม่" แล้วนิมนต์ท่านพระครูยอดแก้วเข้าไปปกครองวัดนั้น พระครูยอดแก้วจึงได้รับการยกย่องเป็นเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก เมื่อส่งมอบหน้าที่ปกครองบ้านเมืองแก่เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรแล้ว เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กจึงจัดส่งศิษย์ที่มีความรู้ความสามารถออกไปรักษาดินแดนและตั้งเมืองต่าง ๆ โดยให้ขึ้นตรงต่ออำนาจปกครองของนครจำปาศักดิ์ ตั้งแต่บัดนั้นอาณาเขตนครจำปาศักดิ์จึงแผ่ครอบคลุมบริเวณพื้นที่อีสานตอนใต้ ได้แก่บริเวณจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์ ในปัจจุบัน สำหรับศิษย์เอกที่เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กแห่งนครจำปาศักดิ์ ส่งออกไปหาที่สร้างบ้านแปลงเมืองปรากฏตามหลักฐานมีหลายท่าน ดังนี้
จารย์หวด ไปรักษาด่านบ้านดอนโขงในลำน้ำโขง เรียกว่าดอนโขง เป็นเจ้าเมืองโขง
ท้าวสุด เป็นพระยาไชยเชษฐา ไปรักษาบ้านหางโคกปากน้ำเซทางฝั่งโขงตะวันออก เป็นเจ้าเมืองเชียงแตง
จารย์แก้ว ไปรักษาบ้านทม เป็นเจ้าเมืองสุวรรณภูมิ
ท้าวมั่น ข้าหลวงเดิมของนางแพนเป็นหลวงเอก ไปรักษาบ้านโพน เป็นเจ้าเมืองสาระวัน
จารย์เชียง เป็นเจ้าเมืองศรีนครเขต อยู่ในเขตจังหวัดศรีสะเกษปัจจุบัน
ท้าวพรหม เป็นราชบุตรโคตร ไปรักษาด่านบ้านแก้วอาเฮิม เป็นเจ้าเมืองคำทองใหญ่
จันทรสุริยวงศ์ ไปรักษาด่านบ้านโพนสิม เป็นเจ้าเมืองตะโป ปัจจุบันอยู่ในแขวงสุวรรณเขต
จารย์สม ไปรักษาบ้านทุ่งอิฐกระบือ เป็นเจ้าเมืองอัตปือ
บุตรพะละงุม เป็นขุนหนักเฒ่า ไปรักษาบ้านโคงเจียง เป็นเจ้าเมืองเชียงเจียง อำเภอโขงเจียม ในปัจจุบัน
หลังจากที่เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กส่งศิษย์เอกไปปกครองเมืองต่าง ๆ แล้ว ในส่วนของจารย์เชียง ที่ได้ปกครองเมืองศรีนครเขต (อยู่ในเขตจังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) ก็ไม่ปรากฏเรื่องราวของเมืองศรีนครเขตอีกเลย พบเป็นเมืองร้างที่ถูกทิ้งร้างไว้จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแล้ว
=== สมัยธนบุรี ===
ลุถึงสมัยกรุงธนบุรี ระหว่างปี พ.ศ. 2319–2321 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) โปรดเกล้าฯ มีรับสั่งให้พระยาจักรี (ทองด้วง) ไปทำศึกปราบกบฏกับเวียงจันทน์ พระไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) และหลวงปราบ ได้เกณฑ์กำลังไปช่วยรบอย่างเข้มแข็งจนได้รับชัยชนะทุกครั้ง ถือว่ามีความดีความชอบจึงได้โปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน
=== สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ===
ใน พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดให้แยกบ้านโนนสามขาสระกำแพงออกจากเมืองขุขันธ์ แล้วตั้งเป็นเมืองใหม่คือ เมืองศรีสะเกษ ต่อมาใน พ.ศ. 2354 เมืองขุขันธ์ ขอพระราชทานพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ยกบ้านลังเสนเป็น เมืองกันทรลักษณ์ แล้วย้ายเมืองกันทรลักษณ์มาอยู่ที่บ้านลาวเดิม และยกบ้านแบบเป็น เมืองอุทุมพรพิสัย แล้วย้ายไปอยู่ที่บ้านปรือ ต่อมาใน พ.ศ. 2386 ได้จัดตั้งบ้านลำโดมใหญ่ เป็น เมืองเดชอุดม ขึ้นกับเมืองขุขันธ์ ต่อมาใน พ.ศ. 2388 ได้ตั้งบ้านไพรตระหมักและบ้านตาสี เป็น เมืองมโนไพร ขึ้นกับเมืองขุขันธ์ (ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศกัมพูชา เรียกว่า เมืองมะลูเปรย)
ต่อมาจะกล่าวถึงประวัติเมืองศรีสะเกษควบคู่กับประวัติเมืองขุขันธ์ เนื่องจากเป็นเมืองเก่าที่คู่กับอำเภอเมืองของจังหวัดศรีสะเกษมาอย่างช้านาน
ในปีพุทธศักราช 2325 พระภักดีภูธรสงคราม (ท้าวอุ่น) ปลัดเมืองขุขันธ์ ซึ่งสืบเชื้อสายของจารย์แก้วหรือเจ้าแก้วมงคลได้ขอตั้งบ้านโนนสามขาสระกำแพง ขึ้นเป็นเมืองแยกออกจากเมืองขุขันธ์ จากหนังสือพงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาณ ของหม่อมอมรวงษ์วิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจร) เรียบเรียง ได้ระบุถึงสาเหตุของพระภักดีภูธรสงคราม (ท้าวอุ่น) ที่ขอตั้งเมืองใหม่ขึ้นนั้น เนื่องจากพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (เชียงขันธ์) ได้มีใบบอกกราบบังคมทูลข้อตั้งท้าวบุญจันทร์ บุตรเลี้ยงเป็นพระไกร ผู้ช่วยเมืองขุขันธ์ อยู่มาวันหนึ่งพระยาขุขันธ์ (เชียงขันธ์) เผลอเรียกพระไกร (ท้าวบุญจันทร์) ว่า ลูกเชลย พระไกร (ท้าวบุญจันทร์) จึงโกรธ และผูกพยาบาท ภายหลังมีพ่อค้าญวน 30 คน มาซื้อโคกระบือที่เมืองขุขันธ์ พระยาขุขันธ์ (เชียงขันธ์) จึงอำนวยความสะดวกพร้อมทั้งจัดที่พักให้ญวนตลอดจนให้ไพร่นำทางกลุ่มพวกญวนไปช่องโพย ให้พวกญวนนำโค กระบือไปยังเมืองพนมเปญได้สะดวก พระไกรจึงได้กล่าวโทษมายังกรุงเทพฯ จากเหตุการณ์ที่พระไกร ได้กล่าวหาพระยาขุขันธ์ (เชียงขันธ์) ในข้อหากบฏคบคิดร่วมกับญวน จนเป็นเหตุให้พระยาขุขันธ์ (เชียงขันธ์) ถูกปลดออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองขุขันธ์ และพระไกรได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 3 แทนนั้น ทำให้พระภักดีภูธรสงคราม (ท้าวอุ่น) ปลัดเมืองขุขันธ์ ในขณะนั้นไม่พอใจ เนื่องจากพระภักดีภูธรสงคราม (ท้าวอุ่น) มีศักดิ์เป็นหลานของพระยาขุขันธ์ (เชียงขันธ์) อีกทั้งเกิดความระแวงเกรงกลัวว่าตัวท่านอาจจะไม่มีความปลอดภัยในชีวิตตนเองและครอบครัวในฐานะที่อยู่ในตำแหน่งปลัดเมืองขุขันธ์ จึงต้องตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อกราบบังคมทูลขอแยกพื้นที่เมืองขุขันธ์บางส่วนแยกตั้งเป็นเมืองใหม่ โดยกราบบังคมทูลขอแยกบ้านโนนสามขาสระกำแพง และทูลขอเป็นเจ้าเมืองด้วยตนเอง ในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเห็นพระทัยและเห็นว่ามีความชอบธรรมมีเหตุมีผล จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านโนนสามขาสระกำแพง ขึ้นเป็น เมืองศีรษะเกศ ในปีพุทธศักราช 2325 และพระภักดีภูธรสงคราม (ท้าวอุ่น) ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยารัตนวงษา เจ้าเมืองศรีสะเกศท่านแรก (บรรดาศักดิ์และราชทินนามที่ได้รับเป็นสัญลักษณ์ที่ลูกหลานเหลนเจ้าเมืองสุวรรณภูมิ เมืองร้อยเอ็ด เมืองมหาสารคาม ที่มีเชื้อสายสืบต่อกันมาทุกวันนี้เล่าต่อ ๆ กันมาว่า ลูกหลานของเจ้าแก้วมงคลหรือจารย์แก้ว เจ้าเมืองท่งศรีภูมิท่านแรก (สุวรรณภูมิ) ที่ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวง พระ พระยา ในราชทินนามรัตนวงศา คงหมายถึงต้นตระกูลที่ชื่อว่า แก้ว)
เมื่อพระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นเจ้าเมืองแล้ว พร้อมกันนั้นโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวชม บุตรพระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) เป็นปลัดเมือง และให้ท้าวบุญจันทร์ บุตรท้าวด้วง หลานท้าวชม เป็นยกบัตรเมืองศรีสะเกศ ทำราชการการขึ้นต่อกรุงเทพฯ เมื่อพระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) ตั้งเมืองอยู่ที่บ้านโนนสามขาสระกำแพง แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะกันดารน้ำ ไม่เหมาะสมที่จะขยายเป็นเมืองใหญ่ในอนาคตได้ ต่อมาพุทธศักราช 2328 จึงได้เลือกที่ตั้งเมืองแห่งใหม่เป็นที่สูง มีบริเวณกว้างขวาง ใกล้ลำน้ำแห่งหนึ่งบริเวณแห่งนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ลำน้ำนั้นก็มีความเย็นใสสะอาดดี และท่านให้ชื่อลำน้ำนั้นว่าห้วยสำราญ ซึ่งอยู่บริเวณบ้านพันทาเจียงอี (เขตเทศบาลเมืองศรีสะเกษทุกวันนี้) จึงได้ย้ายเมืองศรีสะเกศไปตั้งที่บ้านหนองพันทาเจียงอี ตั้งศาลากลางที่ริมน้ำห้วยสำราญ (บริเวณศาลากลางในปัจจุบัน) ปลูกสร้างบ้านพักข้าราชการ ขุนนางเรียงรายไปทางด้านหน้าและหลังศาลากลาง เรียกว่าคุ้มโฮงหรือคุ้มเมืองเก่าเลยหมู่บ้านพักข้าราชการออกไป เรียกว่า คุ้มตลาดนอก เลยคุ้มตลาดนอกออกไปเป็นโรงช้าง (ตรงวัดป่ามิ่งเมืองทุกวันนี้) เมื่อช้างเชือกใดเจ็บป่วยก็แยกออกไปรักษาที่หนองผักแว่นหรือหนองช้างโซ ต่อมาก็เรียกบ้านเจียงอี (เป็นภาษาส่วย แปลว่า ช้างป่วย) แล้วเรียกว่าเมืองศรีสะเกศตามเดิม ในส่วนที่ตั้งเมืองเดิมบ้านโนน สามขาสระกำแพงก็คงเรียกบ้านสระกำแพงอยู่จนเท่าทุกวันนี้
จากบันทึกของคุณสุนทร สุริยุทธ เครือญาติสายสัมพันธ์กับสกุลเจ้าเมืองศรีสะเกษได้บันทึกเกี่ยวกับเมืองศรีสะเกษว่า เมืองศรีสะเกษปัจจุบันปรากฏว่ามีคุ้มเมืองเก่ามาแต่พร้อมเมืองศรีสะเกษ เรื่องนี้ได้รับคำบอกเล่าจากคุณย่า คือ นางทา สุริยุทธ บุตรีหลวงสุริยะ กรมการเมืองศรีสะเกศ สมัยพระยาวิเศษภักดี (ท้าวโท) เป็นเจ้าเมืองศรีสะเกศท่านสุดท้าย เล่าว่าพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) สร้างเมืองขุขันธ์ขึ้นที่บ้านดวนใหญ่ มีภรรยามาจากไหน ชื่ออะไรไม่ทราบ ทราบแต่ว่ามีบุตร 3 คน คนใหญ่เป็นหญิงชื่อ วันนา คนน้องเป็นชายชื่อท้าวอุ่น คนสุดท้องเป็นชายชื่ออะไรไม่ปรากฏ สอดคล้องกับหนังสือเมืองขุขันธ์ ของสภาวัฒนธรรมเมืองขุขันธ์ ที่ระบุว่าพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) มีบุตรที่พอปรากฏเป็นหลักฐาน คือ พระรัตนวงษา (ท้าวอุ่น) ปลัดเมืองขุขันธ์ ภายหลังมีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองศรีสะเกศท่านแรก พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ใน) เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 5 และพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (นวน) เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านที่ 6 แต่ในหนังสือเมืองขุขันธ์ ของสภาวัฒนธรรมเมืองขุขันธ์กลับไม่ปรากฏชื่อ นางวันนา เป็นธิดาของพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) ด้วย ซึ่งขัดแย้งกับบันทึกส่วนตัวของคุณยายแสง โกมณเฑียร บุตรีของญาพ่อทอง สุวรรณวิเศษ ทายาทของพระยาวิเศษภักดี (ท้าวโท) เจ้าเมืองศรีสะเกศท่านสุดท้าย ได้ระบุไว้ว่า พระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) เป็นชาติลาว อพยพมาจากเมืองเวียงจันทน์ตั้งแต่เป็นหนุ่มกับบิดา มาตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ที่เมืองขุขันธ์ บิดามารดาได้ฝากเข้าทำงานกับเจ้าเมืองขุขันธ์ พระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) ยังโสดจึงได้แต่งงานกับลูกสาวเจ้าเมืองขุขันธ์ ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองศรีสะเกศท่านแรก ซึ่งสอดคล้องกับหนังสือเชียงปุม ณ สุรินทร์ ของสุนัย ราชภัณฑารักษ์ ระบุว่า พระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) เป็นบุตรเจ้ามืดคำดล เจ้าผู้ครองท่านที่ 2 (ระหว่างพุทธศักราช 2268 - 2306) ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นของนครจำปาศักดิ์ ท้าวมืดนั้นเป็นบุตรของจารย์แก้วหรือเจ้าแก้วมงคล เจ้าผู้ครองเมืองท่งศรีภูมิท่านแรก ตรงกับสมัยอาณาจักรอยุธยา (ระหว่างพุทธศักราช 2256 – 2268) ซึ่งเจ้าแก้วมงคลเป็นโอรสของเจ้าศรีวิชัย และเจ้าศรีวิชัยเป็นพระราชนัดดาพระเจ้าวรวงศาธรรมิกราช พระมหากษัตริย์อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์พระองค์ที่ 26 ซึ่งมีพระราชมารดาเป็นพระขนิษฐาของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แต่ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่ง หากท่านพระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) ไม่ได้เป็นบุตรของพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) แล้ว ทำไมท่านเจ้าเมืองขุขันธ์จึงต้องแต่งตั้งให้ท้าวอุ่นเป็นพระภักดีภูธรสงคราม ปลัดเมืองขุขันธ์ เพราะตำแหน่งปลัดเมืองมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนี้มักจะเป็นบุตรของเจ้าเมือง โดยตำแหน่งปลัดเมืองเมื่อเทียบกับระบบการปกครองแบบอาญาสี่ของล้านช้างแล้ว เทียบได้กับตำแหน่งอุปราช (อุปฮาด) หรือว่าที่เจ้าเมืองคนต่อไป
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าพระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) สืบเชื้อสายมาจากเจ้าแก้วมงคลและมีสายสัมพันธ์ด้วยกับพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) และข้อสังเกตอีกประการที่สนับสนุนว่าพระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) สืบเชื้อสายมาจากเจ้าแก้วมงคล คือ ราชทินนามที่ปรากฏเฉพาะลูกหลานของเจ้าแก้วมงคล คือ ราชทินนาม "รัตนวงษา" ดังนั้น เมื่อเรียบเรียงเอกสารต่าง ๆ จะพบว่า พระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) มีพี่น้องปรากฏนาม ดังนี้
นางวันนา สมรสกับ จารย์ศรีธรรมา ช่างหลวงนครจำปาศักดิ์ ผู้บูรณะวัดพระโต เมืองศรีสะเกศ
พระรัตนวงษา (ท้าวเซียง) เจ้าเมืองท่งศรีภูมิ (สุวรรณภูมิ) ท่านที่ 4
พระรัตนวงษา (ท้าวสูน) เจ้าเมืองท่งศรีภูมิ (สุวรรณภูมิ) ท่านที่ 5
พระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) เจ้าเมืองศรีสะเกศท่านแรก
หลังจากที่พระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) สมรสกับธิดาคนโตของพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) เจ้าเมืองขุขันธ์ท่านแรก เมื่อสมรสแล้วก็ได้อพยพมาตั้งเมืองใหม่ขึ้นที่บ้านดวนใหญ่ ท้าวอุ่นก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนางที่พระภักดีภูธรสงคราม ปลัดเมืองขุขันธ์ ต่อมาได้อพยพจากบ้านดวนใหญ่ มาตั้งเมืองใหม่ที่บ้านโนนสามขาสระกำแพง (ดังที่เล่าประวัติไว้ข้างต้น) ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือเมืองศรีสะเกศปัจจุบัน และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยารัตนวงษา ปกครองเมืองศรีสะเกศสืบต่อไป พระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) เป็นเจ้าเมืองศรีสะเกศอยู่ได้ 3 ปี ถึงแก่กรรมในพุทธศักราช 2328
พระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) มีบุตรชาย 2 ท่าน ได้แก่
พระจันตะประเทศ (ท้าวคำพาวเมืองแสน) เจ้าเมืองชลบถวิบูลย์ท่านแรก ปัจจุบันคือ อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น
พระยาวิเศษภักดี (ท้าวชม) เจ้าเมืองศรีสะเกศท่านที่ 2
หลังจากที่พระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) ถึงแก่กรรม ท้าวชม ผู้เป็นบุตรชาย ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองสืบต่อมา และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาวิเศษภักดี เป็นเจ้าเมืองศรีสะเกศ ท่านที่ 2 และท้าวด้วง ยกบัตรเมืองศรีสะเกศ ได้เป็นพระภักดีโยธา ปลัดเมืองศรีสะเกศ ส่วนหลวงวิเศษ บุตรพระยาวิเศษภักดี (ท้าวชม) เป็นยกบัตรเมืองศรีสะเกศ
พระยาวิเศษภักดี (ท้าวชม) มีบุตรเท่าที่ปรากฏนาม 2 ท่าน คือ
ท้าวด้วง ต่อมาเป็น พระยาวิเศษภักดี (ท้าวด้วง) เจ้าเมืองศรีสะเกศ ท่านที่ 3
หลวงวิเศษ ต่อมาเป็น พระภักดีโยธา ปลัดเมืองศรีสะเกศ
ช่วงที่พระยาวิเศษภักดี (ท้าวชม) ปกครองเมืองศรีสะเกศไม่ปรากฏเหตุการณ์ใดสำคัญมากนัก แต่พบเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องในพระพุทธศาสนาในเอกสารประวัติวัดมหาพุทธารามกล่าวถึง พุทธศักราช 2328 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระยาวิเศษภักดี (ท้าวชม) ได้ย้ายเมืองศรีสะเกศจากที่ตั้งเดิมบ้านโนนสามขาสระกำแพงมาตั้งที่บริเวณที่เป็นศาลหลักเมืองในปัจจุบัน ในขณะที่สร้างเมืองนั้นมีคนไปพบหลวงพ่อโต ภายในใจกลางป่าแดง สภาพที่พบนั้นเป็นตุ๊กตาหินที่มีลักษณะคล้ายพระพุทธรูป ชาวบ้านเล่ากันว่า ตุ๊กตาหินองค์นี้มีอภินิหาร กล่าวคือ หากมองดูจะเห็นเป็นรูปเล็ก ๆ เท่าแขนคนธรรมดา แต่พอเข้าไปโอบกอดด้วยแขนกลับโอบไม่รอบ ราษฎรจึงพากันฉงนใจไปบอกกับจารย์ศรีธรรมา ช่างหลวงเมืองจำปาศักดิ์ พี่เขยพระยารัตนวงษา (ท้าวอุ่น) เจ้าเมืองศรีสะเกศท่านแรก จึงได้มีการสมโภชกันขนานใหญ่และได้อุปถัมภ์บำรุง โดยให้สร้างวัดขึ้นบริเวณที่พบหลวงพ่อโต พร้อมทั้งนำอิฐปูนมาสร้างเสริมให้ใหญ่จริง ๆ ดังเห็นในปัจจุบัน ตั้งชื่อว่า วัดพระโตหรือวัดป่าแดง ปัจจุบัน คือ วัดมหาพุทธาราม เมื่อสร้างวัดแห่งนี้แล้ว พระยาวิเศษภักดี (ท้าวชม) จึงได้จัดหาพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิมาปกครอง ก่อสร้างเสนาสนะที่จำเป็นต่าง ๆ และเจ้าเมืองศรีสะเกศคนต่อ ๆ มาไม่ว่า พระยาวิเศษภักดี (ท้าวบุญจันทร์) พระยาวิเศษภักดี (ท้าวโท) ก็ได้อุปถัมภ์เอาใจใส่บำรุงวัดพระโตเสมือนเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองศรีสะเกศตลอดมา และในปีเดียวกันนั้นพระยาวิเศษภักดี (ท้าวชม) ได้ทำการชักชวนราษฎร ขุนนาง บริจาคทรัพย์สร้างวัดคู่เมืองศรีสระเกศ และได้ตั้งนามวัดว่า วัดหลวงสุมังค์ ปัจจุบัน คือ วัดหลวงสุมังคลาราม เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่บิดา คือ พระยารัตนวงศา (ท้าวอุ่น) ขอแยกจากเมืองขุขันธ์มาตั้งจังหวัดศรีสะเกษ ณ ปัจจุบัน วัดหลวงสุมังค์นี้ปรากฏมี พระวิเศษมิ่งเมือง เป็นพระพุทธรูปสำคัญของเมืองศรีสะเกศเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ที่สร้างขึ้นพร้อมเมืองศรีสะเกศประดิษฐานหลังจากที่พระยาวิเศษภักดี (ท้าวชม) เจ้าเมืองศรีสะเกศ ท่านที่ 2 ถึงแก่กรรม ท้าวด้วงจึงได้เป็น เจ้าเมืองแทนบิดา และใช้ราชทินนามเดิมของบิดาสืบต่อมา เป็นพระยาวิเศษภักดี (ท้าวด้วง) เจ้าเมืองศรีสะเกศ ท่านที่ 3 (ในพงศาวดารอีสานไม่ได้กล่าวถึงเจ้าเมืองศรีสะเกศลำดับต่อมาอีกเลย มากล่าวตอนสิ้นรัชกาลที่ 2 และต้นรัชกาลที่ 3 ทีเดียว) และในปีเดียวกันนี้ ปรากฏเหตุการณ์สำคัญในพงศาวดารว่า “ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงแยกย้ายกันขึ้นไปตรวจสำรวจสำมะโนครัว แลตั้งกองสักเลกอยู่ตามหัวเมืองมณฑลอีสานบางเมือง มีเมืองกาฬสินธุ์ สุวรรณภูมิ ร้อยเอ็ด เป็นต้น แลให้เรียกส่วยผลเร่ว เป็นธรรมเนียมแต่นั้นมา ในระหว่างนั้นพระยาวิเศษภักดี เจ้าเมืองศรีสะเกศถึงแก่กรรม”
ดังนั้น ช่วงปลายพุทธศักราช 2367 หลังจากพระยาวิเศษภักดี (ท้าวด้วง) เป็นเจ้าเมืองได้ไม่ถึงปีจึงถึงแก่กรรมอย่างกะทันหันเป็นผลให้ในช่วงต้นปีพุทธศักราช 2368 พระภักดีโยธา (ท้าวบุญจันทร์) ปลัดเมือง บุตรชายของพระยาวิเศษภักดี (ท้าวด้วง) ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นพระยาวิเศษภักดี เจ้าเมืองศรีสะเกศท่านที่ 4 และโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนหลวงวิเศษ ยกกระบัตรเมืองศรีสะเกศเป็นที่พระภักดีโยธา ปลัดเมืองศรีสะเกศแทน ส่วนราชบุตรเป็นหลวงยกกระบัตรแทน ทิดอูดเป็นหลวงมหาดไทย และขุนไชยณรงค์เป็นหลวงธิเบศร์ ต่อมาเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงกับหลวงธิเบศร์ หลวงมหาดไทย และหลวงอภัย กรมการเมืองศรีสะเกศ ซึ่งเป็นเผ่าลาวทั้งสามคนจึงได้อพยพครอบครัว และบ่าวไพร่ จำนวน 2,756 คน ยกไปตั้ง ณ บ้านลำโดมใหญ่ ซึ่งเป็นตั้งอยู่ระหว่างหว่างเขตเมืองศรีสะเกศกับเมืองนครจำปาศักดิ์ และเมืองอุบลราชธานี บ้านลำโดมใหญ่ ปรากฏมีชายฉกรรจ์ จำนวน 606 คน สำมะโนครัว 2,150 คน ต่อมาทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านลำโดมใหญ่ขึ้นเป็นเมืองขนานนามว่า "เมืองเดชอุดม" (ปัจจุบัน คืออำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี) ในวันเสาร์ แรม 5 ค่ำ เดือน 8 พุทธศักราช 2388 ตามคำขอของหลวงธิเบศร์ที่กราบบังคมทูลขอตั้งบ้านลำโดมใหญ่ขึ้นเป็นเมือง จึงทรง โปรดเกล้าฯ ให้หลวงธิเบศร์ เป็นพระศรีสุระสงคราม เจ้าเมืองเดชอุดม ให้หลวงมหาดไทยเป็นอุปฮาด ให้หลวงอภัยเป็นราชวงศ์ ให้หลวงวิเศษเป็นราชบุตร รักษาราชการแขวง เมืองเดชอุดมทิศเหนือตั้งแต่ลำห้วยเท้าสารฝั่งใต้ ทิศตะวันตกตั้งแต่ลำห้วยเท้าสารไปถึงเชิงเขาเพียงลำน้ำซอง (ฤๅซอม) โอบตามเชิงเขาไปถึงโดมน้อย ทิศตะวันออกตั้งแต่ลำโดมน้อยฟากทิศตะวันตกไปจนถึงลำน้ำมูล ทำราชการขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร
พุทธศักราช 2406 จีนหอยพ่อค้าเมืองอุบลราชธานีออกไปตั้งค้าขายอยู่บ้านเหมือดแอ่ริมน้ำห้วยขะยูง ได้ถูกผู้ร้ายปล้นชิงทรัพย์แล้วฆ่าตาย ญาติของจีนหอยได้ไปร้องต่อเมืองอุบลราชธานี ฝ่ายเมืองอุบลราชธานีแจ้งว่าเป็นเขตของเมืองสุวรรณภูมิ ครั้นไปร้องต่อเมืองสุวรรณภูมิ ฝ่ายเมืองสุวรรณภูมิก็แจ้งว่าเป็นเขตของเมืองศรีสะเกศ ญาติของจีนหอยจึงได้ไปร้องต่อพระยากำแหงสงคราม เจ้าเมืองนครราชสีมา พระยากำแหงสงครามจึงได้เรียกเจ้าเมืองอุบลราชธานี เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ และเจ้าเมืองศรีสะเกศมาพร้อมกัน แล้วมีบัญชาว่า ความเรื่องนี้เกิดฆ่ากันตายใกล้เขตเมืองอุบลราชธานี เมืองสุวรรณภูมิ และเมืองศรีสะเกศ ถ้าเมืองใดจับคนร้ายได้จะยกตำบลนี้ให้ขึ้นกับเมืองนั้น ถ้าจับคนร้ายไม่ได้ให้เฉลี่ยกันออกเงินให้ญาติของจีนหอยเป็นเงิน 5 ชั่ง หรือถ้าหัวเมืองใดยินยอมชำระเงิน 5 ชั่ง ให้ญาติของจีนหอยก็จะยกตำบลนี้ให้ขึ้นกับหัวเมืองนั้น เจ้าเมืองอุบลราชธานีจึงยินยอมชำระเงิน 5 ชั่งให้แก่ญาติของจีนหอย ตำบลที่พิพาทกันจึงตกเป็นของเมืองอุบลราชธานีตามคำตัดสินของพระยากำแหงสงคราม เจ้าเมืองนครราชสีมา
พระยาวิเศษภักดี (ท้าวบุญจันทร์) ปกครองเมืองศรีสะเกศนานถึง 56 ปี ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2368 – 2424 ปรากฏว่าเมื่อวันพุธ แรม 14 ค่ำ เดือน 10 พุทธศักราช 2424 พระยาวิเศษภักดี (ท้าวบุญจันทร์) ได้นำบ่าวไพร่ออกไปชมการทำนาที่บ้านโนนจาน ตำบลน้ำคำ (ตำบลน้ำคำปัจจุบัน) เวลาค่ำพระยาวิเศษภักดี (บุญจันทร์) ลงอาบน้ำที่ห้วยสำราญ ดำน้ำครู่หนึ่งเป็นลมหน้ามืดจมน้ำ บุตรภรรยา บ่าวไพร่ช่วยเหลือไม่ทัน (ตำราพื้นเมืองเขาว่าเงือกฉก) ครั้นรุ่งขึ้นจึงพบศพ
พระยาวิเศษภักดี (ท้าวบุญจันทร์) มีบุตรเท่าที่ปรากฏนาม คือ ท้าวคำปาน ผู้ช่วยเมืองศรีสะเกศ พระภักดีโยธา (ท้าวเหง้า) ผู้ว่าราชการจังหวัดศีร์ษะเกษท่านแรก พระวิเศษฯ (ท้าวศร) ปลัดเมืองศีร์ษะเกษและมีบุตรหญิงคนหนึ่งชื่อ นางคำ นางคำได้แต่งงานกับท้าวสุริยา หลังจากที่พระยาวิเศษภักดี (ท้าวบุญจันทร์) ถึงแก่กรรมแล้ว ปรากฏว่าพระพรหมภักดี (ท้าวโท) ยกกระบัตรเมืองศีร์ษะเกษ บุตรชายหลวงวิเศษ และท้าวคำปาน ผู้ช่วยราชการเมืองศีร์ษะเกษ บุตรชายพระยาวิเศษภักดี (ท้าวบุญจันทร์) ลงมาเฝ้าทูลละอองธุลี พระบาท เพื่อแย่งกันขอเป็นเจ้าเมือง แต่พอไปถึงกรุงเทพฯ ท้าวคำปาน ผู้ช่วยราชการเมืองศีร์ษะเกษ ได้ป่วยและถึงแก่กรรมเสียก่อน
=== สมัยรัชกาลที่ 5 ถึงปัจจุบัน ===
ใน พ.ศ. 2418 เมืองหนองคายเกิดกบฏโดยกลุ่มฮ่อ โปรดเกล้าฯ ให้แม่ทัพคุมกองทัพจากนครราชสีมา และกองทัพจากเมืองต่างๆ รวมทั้ง เมืองขุขันธ์ เมืองเดชอุดม และเมืองศรีสะเกษ ไปปราบกบฏฮ่อที่หนองคาย สามารถตีกลุ่มกบฏฮ่อแตกพ่ายยับเยิน ที่เหลือก็ถูกจับเป็นเชลยทั้งหมด ต่อมาใน พ.ศ. 2424 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ เริ่มใช้นโยบายเลิกทาส มีสารตรา ไปยังหัวเมืองด้านตะวันออก ห้ามมิให้จับข่า มาทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนและใช้สอยการงานต่าง ๆ และส่วนผู้ใดได้ซื้อหามาจากผู้ใดอยู่ก่อนนั้น ก็ให้อยู่กับผู้นั้นต่อไป เพราะถ้าจะให้ข้าทาสนั้นหลุดพ้นค่าตัวไปก็จะเป็นเหตุเดือดร้อนแก่มูลนายซึ่งเป็นผู้ซื้อและแลกเปลี่ยนมาก่อนนั้น นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดเกล้าฯ ให้วางโครงข่ายระบบโทรเลขจากเมืองขุขันธ์ไปยังเมืองต่าง ๆ 2 สายคือ สร้างทางสายโทรเลขขุขันธ์-จำปาศักดิ์ และสร้างทางสายโทรเลขจากเมืองขุขันธ์-มโนไพร-เมืองเสียมราฐ นอกจากนี้ยังจัดตั้งบ้านโนนหินกอง เป็น เมืองราษีไศล ขึ้นกับเมืองศรีสะเกษ
พุทธศักราช 2432 กรมการเมืองสุวรรณภูมิ มีใบบอกได้กล่าวโทษพระเจริญราชเดช (ท้าวฮึง) เจ้าเมืองมหาสารคาม พระยาสุรินทรภักดีศรีปะทายสมัน (ม่วง) เจ้าเมืองสุรินทร์ และพระยาวิเศษภักดี (ท้าวโท) เจ้าเมืองศีร์ษะเกษ ว่ากระทำการอันมิชอบ คือ ได้ทำการแย่งชิงแบ่งเอาดินแดนที่เป็นเขตของเมืองสุวรรณภูมิบางส่วนไปตั้งเป็นเมืองขึ้นใหม่ โดยเจ้าเมืองมหาสารคามได้เอาบ้านนาเลา ตั้งเป็นเมืองวาปีปทุม เจ้าเมืองสุรินทร์ได้เอาบ้านทัพค่าย ขอตั้งเป็นเมืองชุมพลบุรี ส่วนพระวิเศษภักดี (ท้าวโท) เจ้าเมืองศีร์ษะเกษ ได้เอาบ้านโนนหินกองขอตั้งเป็นเมืองราษีไศล จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าหลวงกำกับเมืองจำปาศักดิ์และข้าหลวงกำกับเมืองบริเวณอุบลราชธานีร่วมคณะไปสอบสวนหาข้อเท็จจริง ผลการสอบสวนได้คำสัตย์จริงดังที่เจ้าเมืองสุวรรณภูมิกล่าวโทษ แต่เนื่องจากพระองค์เห็นว่าการกระทำของเจ้าเมืองทั้ง 3 ดังกล่าว ได้สำเร็จและล่วงเลยมานานแล้ว ยากที่จะรื้อถอนได้ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้คงเป็นเมืองขึ้นของทั้ง 3 เมืองตามเดิม และในปีนี้ภาคตะวันออกได้เกิดแห้งแล้ง ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล ราษฎรไม่ได้ทำไร่ทำนาเป็นเวลาติดต่อกันมาหลายปี ราษฎรได้รับความอดอยาก กินหัวเผือก หัวมันแทนข้าว ในปีนี้ข้าวเปลือกมีราคาสูงถึงเกวียนละ 1 ชั่ง 8 ตำลึง
ใน พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนออกไปตั้งอยู่ ณ เมืองนครจำปาศักดิ์ กองหนึ่งให้เรียกว่า ข้าหลวงหัวเมืองลาวกาว ให้เมืองนครจำปาศักดิ์ เมืองเชียงแตง เมืองแสนปาง เมืองสีทันดร เมืองสาลวัน เมืองอัตตะปือ เมืองคำทองใหญ่ เมืองสุรินทร์ เมืองสังฆะ เมืองขุขันธ์ เมืองเดชอุดม เมืองศีร์ษะเกษ เมืองอุบล เมืองยโสธร เมืองเขมราฐ เมืองกมลาไสย เมืองสุวรรณภูมิ เมืองกาฬสินธุ์ เมืองภูแล่นช้าง เมืองร้อยเอ็ด เมืองมหาสารคาม ทั้งหมดนี้เป็นเมืองใหญ่ 21 เมือง นอกจากนี้ยังมีเมืองขึ้น 43 เมือง อยู่ในบังคับบัญชาข้าหลวงเมืองลาวกาว และในปีถัดมา พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จัดรูปการปกครองแบบมณทลขึ้น โดยให้เมืองศรีสะเกษขึ้นอยู่กับมณฑลอีสาน
ในปีเดียวกัน พระพรหมภักดี (ท้าวโท) ยกกระบัตรเมืองศีร์ษะเกษจึงได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นพระยาวิเศษภักดี เจ้าเมืองศีร์ษะเกษ ท่านที่ 5 ถือศักดินา 3,000 ส่วนท้าวเหง้าบุตรพระยาวิเศษภักดี (ท้าวบุญจันทร์) เจ้าเมืองศีร์ษะเกษท่านที่ 4 เป็น พระภักดีโยธา ปลัดเมือง ถือศักดินา 600 ให้ราชวงศ์ (ปัญญา) บุตรหลวงไชย (สุก) เป็น พระพรหมภักดี ยกกระบัตรเมือง ถือศักดินา 500 และท้าวเกษ บุตรของพระยาวิเศษภักดี (ท้าวโท) รับราชการตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองศีร์ษะเกษ ในปีนี้เจ้าเมืองและกรมการเมือง ได้ขอตั้งบ้านโนนหินกองซึ่งอยู่ในเขตเมืองสุวรรณภูมิ เป็นเมืองราษีไศล และให้เมืองราษีไศลนั้นขึ้นแก่เมืองศีร์ษะเกษ ให้พระพลราชวงศา (จันศรี) บุตรหลวงอภัย กรมการเมือง เป็นพระประจนปัจจนึก เจ้าเมืองราษีไศลคนแรก ถือศักดินา 800 ขึ้นตรงต่อเมืองศีร์ษะเกษแต่นั้นมา และมีตราพระราชสีห์ โปรดเกล้าฯ ตั้งหลวงแสง (จัน) น้องชายของพระประจนปัจจนึก เป็นหลวงหาญศึกพินาศ ปลัดเมือง ให้ท้าวคำเม็ก บุตรเจ้าเมืองราษีไศลพระประจนปัจจนึก เป็นหลวงพิฆาตไพรี ยกกระบัตรเมืองราษีไศล ขึ้นต่อเมืองศีร์ษะเกษ และในปีนี้มีท้องตราราชสีห์ถึงหัวเมืองตะวันออกให้ราษฎรซื้อขายให้ปันสัตว์พาหนะแก่กัน ทำตั๋วพิมพ์รูปพรรณเป็นหลักฐานแก่กัน ห้ามมิให้ทำหนังสือเดินทางแก่พวกพ่อค้าที่ไล่ต้อนสัตว์พาหนะไปขาย โดยไม่มีตั๋วพิมพ์รูปพรรณ
ใน พ.ศ. 2436 ฝรั่งเศสได้ยกทัพขึ้นทางเมืองเชียงแตง เมืองสีทันดร และเมืองสมโบก ซึ่งสมันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรในฐานะผู้สำเร็จราชการข้าหลวงใหญ่มณฑลอีสานได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการป้องกันราชอาณาจักร ให้เกณฑ์กำลังหัวเมืองสุรินทร์ เมืองศรีสะเกษ เมืองขุขันธ์ เมืองมหาสารคาม และเมืองร้อยเอ็ด เมืองละ 800 เมืองสุวรรณภูมิ และเมืองยโสธร เมืองละ 500 ฝึกการรบแล้วส่งกำลังรบเหล่านี้เข้าตรึงการรุกรานของฝรั่งเศสทุกจุด สถานการณ์สงครามสงบลงในเดือนตุลาคม พุทธศักราช 2436 ต่างฝ่ายต่างถอนกำลังรบ กำลังรบของเมืองขุขันธ์ เมืองศรีสะเกษ จึงได้กลับคืนบ้านเมือง อาจกล่าวได้ว่านับแต่ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อเกิดศึกสงครามจากข้าศึกนอกราชอาณาจักร ชาวขุขันธ์และชาวศรีสะเกษจะมีบทบาทในการป้องกันบ้านเมืองด้วยเสมอ โดยในระยะเวลาดังกล่าวนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อจัดการปกครองภายในหัวเมืองตะวันออกเฉียงเหนือให้เป็นระเบียบแบบแผนยิ่งขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นข้าหลวงใหญ่ประจำหัวเมืองลาวกาวและเปลี่ยนชื่อใหม่ว่ามณฑลลาวกาว สืบแทนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีพิทักษ์ (หว่าง) เป็นข้าหลวงเมืองขุขันธ์ โดยรวมเมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์และเมืองสังขะ เป็นบริเวณเดียวกัน ตั้งที่ทำการข้าหลวง ณ เมืองขุขันธ์
พุทธศักราช 2428 – 2450 เป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงอันมีผลต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริจัดการปฏิรูปการปกครองตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้รวมศูนย์กลางเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เนื่องจากสมัยก่อนจะมีตำแหน่งเจ้าเมือง ปกครองมีอำนาจในการปกครองท้องถิ่น มีอิทธิพลในท้องถิ่นนั้น ๆ ในหัวเมืองใหญ่นอกราชอาณาเขตหรือบางเมืองเจ้าเมืองหรือเจ้าผู้ครองนครสามารถแต่งตั้งขุนนางเองได้ และเมื่อเจ้าเมืองหรือเจ้าผู้ครองนครถึงแก่กรรม บุตรหลานผู้สืบสกุลก็สามารถเป็นเจ้าเมืองครองอำนาจในเมืองนั้น ๆ สืบต่อไปได้ ด้วยความที่ทรงไม่ไว้วางพระทัยในความไม่มั่นคงของราชอาณาจักร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ จึงทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตำแหน่งข้าหลวงประจำเมืองใหญ่ ๆ และมีความสำคัญในแต่ละภูมิภาคจากส่วนกลางมากำกับดูแลเมืองสำคัญและเมืองบริวารอีกชั้นหนึ่งด้วย
สำหรับเมืองศีร์ษะเกษในสมัยนั้นปรากฏชื่อหลวงจำนงยุทธกิจ (อิ่ม) และขุนไผทไทยพิทักษ์ (เกลื่อน) คณะข้าหลวงเมืองศีร์ษะเกษที่ปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าเมืองศรีสะเกษ ในปีพุทธศักราช 2433 - 2443 และในปีพุทธศักราช 2443 – 2450 พระภักดีโยธา (ท้าวเหง้า) ปลัดเมืองศีร์ษะเกษ บุตรชายพระยาวิเศษภักดี (ท้าวบุญจันทร์) เจ้าเมืองศีร์ษะเกษท่านที่ 4 ได้รับการแต่งตั้งเป็น ผู้ว่าราชการเมืองศีร์ษะเกษท่านแรก
พุทธศักราช 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ออกพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 ยกเลิกการปกครองแบบอาชญา 4 แบ่งการปกครองเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เมือง มณฑล ตำแหน่งที่ถูกยกเลิกไป คือ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร โดยเปลี่ยนเป็นผู้ว่าราชการเมืองปลัดเมือง ยกกระบัตรเมือง และผู้ช่วยผู้ว่าราชการเมืองตามลำดับ ตำแหน่งท้าวฝ่ายหรือนายเส้น ตาแสง จ่าบ้าน นายบ้าน ซึ่งเดิมเจ้าเมืองแต่งตั้งขึ้นเพื่อปกครองท้องที่ต้องถูกยกเลิกไปด้วย ผู้ครองเมืองเล็ก ๆ ที่ถูกยุบลงเป็นอำเภอหรือตำบล เป็นกลุ่มที่ไม่อาจปรับเข้ากับการปกครองแบบใหม่ได้ นอกจากนี้ยังได้มีการยกเลิกการปกครองโดยการสืบสกุลด้วย ทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งเดิมที่ไม่อาจปรับเข้ากับตำแหน่งใหม่ได้ต้องถูกลดความสำคัญลง ดังนั้นเพื่อเป็นการชดเชยและรักษาเกียรติยศของผู้ปกครองเดิมไว้ จึงได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานศักดินาเจ้านาย พระยา ท้าว แสน เมืองประเทศราชในเดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2442 และในปีเดียวกันนี้ได้โปรดเกล้าฯเปลี่ยนชื่อมณฑลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและชื่อบริเวณในมณฑลนครราชสีมา
เมืองขุขันธ์ขณะที่ยกเป็นผู้ว่าราชการเมือง มีพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ปัญญา) เป็นผู้ว่าราชการเมืองร่วมกับเมืองต่าง ๆ ในมณฑลลาวกาวอีก 17 เมือง และเป็นผู้ว่าราชการเมืองคนเดียวในมณฑลนี้ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา ขณะที่เมืองสำคัญต่าง ๆ เช่น เมืองอุบลราชธานี เมืองร้อยเอ็ด เมืองสุรินทร์ เมืองยโสธร เมืองสุวรรณภูมิ เมืองวารินชำราบ เมืองศีขรภูมิ ฯลฯ ผู้ว่าราชการเมืองมีบรรดาศักดิ์ชั้นพระเท่านั้นส่วนเมืองศีร์ษะเกษไม่มีผู้เหมาะสมกับตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองจึงได้ว่างตำแหน่งไว้ นัยว่าพระภักดีโยธา (ท้าวเหง้า) ปลัดเมืองศีร์ษะเกษ มีความชอบพอกับเสือยงที่ทางราชการปราบปรามได้เมื่อพุทธศักราช 2437 เมืองศีร์ษะเกษจึงว่างผู้ว่าราชการเมือง
พุทธศักราช 2443 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ตรากฎกระทรวง ชื่อ กฎข้อบังคับเรื่องเปลี่ยนชื่อมณฑล 4 มณฑล เป็นผลให้ชื่อมณฑลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเปลี่ยนไป คือ มณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นมณฑลอีสาน มณฑลฝ่ายเหนือ เป็นมณฑลอุดร
สำหรับมณฑลอีสานนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพประสิทธิประสงค์ ดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ สำเร็จราชการมณฑลอิสาณ ได้จัดแบ่งการปกครองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล ออกเป็น 5 บริเวณ 14 เมือง 37 อำเภอ คือ บริเวณเมืองนครจำปาศักดิ์ บริเวณอุบลราชธานี บริเวณร้อยเอ็ด บริเวณสุรินทร์ และบริเวณขุขันธ์
บริเวณเมืองนครจำปาศักดิ์ มี 1 เมือง คือ เมืองนครจำปาศักดิ์ กับเมืองอื่น ที่ขึ้นกับเมืองนครจำปาศักดิ์ ยุบลงเป็นอำเภอมี 11 อำเภอ คือ อำเภอเมืองนครจำปาศักดิ์ อำเภอสยามโภค อำเภอธาราบริวัฒน์อำเภอพระพิพัฒน์ อำเภอเซลำเภา อำเภอสะพังภูยา อำเภอมูลป่าโมกข์ อำเภอสุขุมา อำเภอโพนทอง อำเภอบัว และอำเภอโดมประดิษฐ์
ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช 2446 เมืองนครจำปาศักดิ์ตกเป็นของลาวในอารักขาของฝรั่งเศส ยกเว้นอำเภอบัวเป็นของไทยและขึ้นอยู่กับเมืองเดชอุดม
บริเวณอุบลราชธานีมี 3 เมือง คือ เมืองอุบลราชธานี เมืองยโสธร และเมืองเขมราฐ และเมืองอื่น ๆ ที่ขึ้นกับเมืองเหล่านี้ ยุบลงเป็นอำเภอ ระยะแรกมี 19 อำเภอ
บริเวณสุรินทร์ มี 2 เมือง คือ เมืองสุรินทร์กับเมืองสังฆะบุรี และเมืองอื่นที่ขึ้นกับเมืองเหล่านี้ยุบลงเป็นอำเภอ ระยะแรกมี 7 อำเภอ
บริเวณขุขันธุ์ มี 3 เมือง คือ เมืองขุขันธ์ เมืองศีร์สะเกษ และเมืองเดชอุดม มีพระยาบำรุงบุระประจันต์ (จันดี) เป็นข้าหลวงบริเวณ
เมืองขุขันธ์ ระยะแรกมี 5 อำเภอ คือ อำเภอขุขันธ์ อำเภอกันทรลักษ์ อำเภอทุมพรพิสัย อำเภอกันทรารมณ์ และอำเภอมโนไพร มีพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน (ปัญญา) เป็นว่าที่ผู้ว่าราชการเมือง
เมืองศีร์สะเกษ ระยะแรกมี 4 อำเภอ คือ อำเภอกลางศีร์สะเกษ อำเภออุทัยศีร์สะเกษ อำเภอ ปจิมศีร์สะเกษ และอำเภอราษีไศล มีพระภักดีโยธา (เหง้า) เป็นผู้ว่าราชการเมือง
เมืองเดชอุดม ระยะแรกมี 3 อำเภอ คือ อำเภอกลางเดชอุดม อำเภออุทัยเดชอุดม และอำเภอปจิมเดชอุดม มีพระสุรเดชอุดมมาภิรักษ์ (ทองปัญญา) เป็นผู้ว่าราชการเมือง
พุทธศักราช 2447 มีการยุบอำเภอกันทรลักษ์ โดยส่วนหนึ่งไปรวมกับอำเภออุทุมพรพิสัย ส่วนหนึ่งไปรวมกับอำเภอห้วยเหนือ สาเหตุเนื่องจากเป็นที่ซ่องสุมผู้คนของท้าวบุญจันทร์ และในปีเดียวกันนี้พระยาบำรุงบุรประจันต์ (จันดี) ได้ย้ายศาลากลางเมืองขุขันธ์ ไปตั้งที่อำเภอกลางศีร์ษะเกษเป็นที่ตั้งปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องมาจากเหตุผลความปลอดภัยจากความตึงเครียดกรณีกบฏท้าวบุญจันทร์
พุทธศักราช 2448 มีการย้ายที่ว่าการอำเภอปจิมศีร์ษะเกษ ไปตั้งที่บ้านสำโรงใหญ่ ตำบลสำโรง เรียกว่าอำเภอสำโรงใหญ่
พุทธศักราช 2449 ที่ทำการบริเวณขุขันธ์ ตั้งอยู่ที่เมืองขุขันธ์ ได้ย้ายไปตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองศีร์สะเกษ ทั้งนี้เพราะทราบว่ารัฐบาลจะตัดทางรถไฟผ่านอำเภอเมืองศีร์สะเกษและในปีนี้ให้โอนเมืองกันทรารมณ์ที่อยู่ในความปกครองเมืองสังฆะบุรี ไปขึ้นอยู่ในปกครองเมืองขุขันธ์ แล้วยุบเมืองกันทรารมณ์ลงเป็นตำบลกันทรารมณ์ และในปีเดียวกันนี้ย้ายที่ว่าการอำเภออุทัยศีร์ษะเกษ ไปตั้งที่บ้านหนองกก ตำบลยาง
พุทธศักราช 2450 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงการปกครองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยคงจัดเป็นมณฑล แต่แบ่งการปกครองมณฑลเป็นบริเวณ ดังนี้
มณฑลอีสาน แบ่งการปกครองเป็น 4 บริเวณ คือ บริเวณอุบลราชธานี บริเวณขุขันธ์ บริเวณสุรินทร์ และบริเวณร้อยเอ็ด บริเวณขุขันธ์ประกอบด้วย เมืองขุขันธ์ เมืองศีร์ษะเกษ และเมืองเดชอุดม
มณฑลอุดร แบ่งการปกครองเป็น 5 บริเวณ คือ บริเวณหมากแข้ง บริเวณธาตุพนม บริเวณสกลนคร บริเวณภาชี และบริเวณน้ำเหือง
มณฑลนครราชสีมา แบ่งการปกครองเป็น 3 เมือง คือ เมืองนครราชสีมา เมืองบุรีรัมย์ และเมืองชัยภูมิ
พุทธศักราช 2452 ย้ายที่ว่าการอำเภออุทุมพรพิสัยมาอยู่ที่บ้านชนา ตำบลน้ำอ้อม เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอน้ำอ้อม และย้ายที่ว่าการอำเภอน้ำอ้อมมาตั้งที่บ้านโนนสว่าง ตำบลน้ำอ้อม
พุทธศักราช 2455 มีการประกาศแบ่งมณฑลอีสาน ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่ออกเป็น 2 มณฑล คือ มณฑลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ด เมืองขุขันธ์ เมืองศีร์ษะเกษและเมืองเดชอุดม อยู่ในการปกครองของมณฑลอุบลราชธานี และมีการปรับบริเวณเมืองให้รวมเมืองขุขันธ์ เมืองศีร์ษะเกษ และเมืองเดชอุดม ซึ่งเรียกว่า บริเวณขุขันธ์เป็นเมืองเดียวกัน เรียกว่า เมืองขุขันธ์ มีศาลากลางอยู่ที่อำเภอกลางศีร์ษะเกษ ในปีเดียวกันนี้ได้ยุบอำเภอกันทรารมย์ลงเป็นตำบลกันทรารมย์ และเปลี่ยนชื่ออำเภอขุขันธ์เป็นอำเภอห้วยเหนือ ต่อมาในปีเดียวกันได้มีการยุบอำเภอกลางเดชอุดม อำเภออุทัยเดชอุดม และอำเภอปจิมเดชอุดม ลงเป็นอำเภอเดชอุดม ขึ้นกับเมืองขุขันธ์
พุทธศักราช 2456 เปลี่ยนชื่ออำเภอกลางศีร์ษะเกษ เป็นอำเภอศีร์ษะเกษ และเปลี่ยนชื่ออำเภอสำโรงใหญ่ เป็นอำเภออุทุมพรพิสัย เพื่อรักษานามเมืองอุทุมพรพิสัยเดิมที่ถูกยุบไป (ที่ตั้งเมืองอุทุมพรพิสัยเดิมนั้นปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศกัมพูชาและอำเภอกันทรลักษ์บางส่วน) เปลี่ยนชื่ออำเภอราษีไศล เป็นอำเภอคง ตามชื่อตำบลที่ตั้งและนามเมืองเดิม
ดังนั้น ระหว่างปีพุทธศักราช 2447 – 2450 ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองศีร์ษะเกษว่างลง และในปีพุทธศักราช 2450 เมืองบริเวณขุขันธ์ถูกยุบรวม คือ เมืองขุขันธ์ เมืองศีร์ษะเกษ และเมืองเดชอุดม ถูกยุบรวมเป็นเมืองเดียวกันรวมเรียกว่า เมืองขุขันธ์ เป็นผลทำให้อำเภอทุกอำเภอที่ขึ้นต่อเมืองศีร์ษะเกษ เมืองเดชอุดม และขึ้นต่อเมืองขุขันธ์ ให้ขึ้นและอยู่ในการปกครองของเมืองขุขันธ์ทั้งสิ้น ดังนั้น ชื่อคำว่า เมืองศีร์ษะเกษ ได้เปลี่ยนแปลงไป และลดฐานะเป็นอำเภอกลางศีร์ษะเกษ และชื่อคำว่าเมืองเดชอุดม ได้เปลี่ยนและลดฐานะเป็นอำเภอกลางเดชอุดม ทำให้ชื่อคำว่าเมืองศีร์ษะเกษ และชื่อคำว่าเมืองเดชอุดม สิ้นสุดและสิ้นสภาพของความเป็นเมืองตั้งแต่บัดนั้นมา
พุทธศักราช 2459 ได้มี "ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่าเมือง ให้เรียกว่าจังหวัด ลงวันที่ 19 พฤษภาคม พุทธศักราช 2459" มีสาระสำคัญว่า “…เพื่อความเข้าใจง่ายในการปกครอง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่า เมือง ให้เรียกว่าจังหวัด ผู้ว่าราชการเมือง ให้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัด ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 33, 2459 หน้า 51…” ดังนั้นเมืองขุขันธ์จึงเปลี่ยนเป็น“จังหวัดขุขันธ์”ตั้งแต่วันที่19 พฤษภาคม พุทธศักราช 2459 เป็นต้นมา โดยเริ่มแรกมี 7 อำเภอ คือ อำเภอศีร์ษะเกษ อำเภอห้วยเหนือ อำเภออุทุมพรพิสัย อำเภอท่าช้าง อำเภอน้ำอ้อม อำเภอคง และอำเภอเดชอุดม มีที่ตั้งศาลากลางจังหวัดที่อำเภอศีร์ษะเกษ ต่อมามีการเพิ่มอีก 1 กิ่งอำเภอ เป็นผลให้เขตการปกครองของจังหวัดขุขันธ์ในอดีตมี 7 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอซึ่งมีรายชื่อดังต่อไปนี้สะกดชื่อตามราชกิจจานุเบกษา ฉบับวันที่ 29 เมษายน พุทธศักราช 2460 ได้แก่ อำเภอเมืองขุขันธ์ อำเภอศีร์ษะเกษ อำเภอราษีไศล (อำเภอคง) อำเภอรัตนบุรี (ต่อมาถูกโอนไปขึ้นกับจังหวัดสุรินทร์) อำเภอกันทรลักษ์ (อำเภอน้ำอ้อม) อำเภออุทุมพรพิสัย อำเภอเดชอุดม (ต่อมาได้รับการโอนไปขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานีใน พุทธศักราช 2472) กิ่งอำเภอบัวบุณฑริก (หรืออีกชื่อหนึ่งคือกิ่งอำเภอโพนงาม ซึ่งแยกออกมาจาก อำเภอเดชอุดม ในปีพุทธศักราช 2466 ต่อมาได้รับการโอนไปขึ้นกับ จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกับอำเภอเดชอุดม)
พุทธศักราช 2465 มีการปรับปรุงการบริหารงานส่วนภูมิภาคใหม่ โดยรวมมณฑลหลายมณฑลเข้าเป็นภาค และโปรดเกล้าฯ ให้รวมมณฑลอุดร มณฑลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ด ขึ้นเป็นภาคอีสาน โดยมีอุปฮาด ทำหน้าที่ตรวจการบริหารราชการเหนือสมุหเทศาภิบาล และทำหน้าที่สมุหเทศาภิบาลประจำมณฑล ซึ่งที่ทำการภาคตั้งอยู่ด้วย โดยขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ ไม่ต้องอยู่ในปกครองของกระทรวงมหาดไทย
เพื่อให้การสั่งงานเป็นไปโดยรวดเร็วยิ่งขึ้น พุทธศักราช 2468 มีการยุบเลิกมณฑลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ด ให้ไปขึ้นกับมณฑลนครราชสีมา จังหวัดขุขันธ์จึงขึ้นกับมณฑลนครราชสีมา
พุทธศักราช 2470 มีการยุบเลิกมณฑลทั่วประเทศ จังหวัดขุขันธ์จึงขึ้นต่อการบริหารส่วนกลาง ต่อมามีการโอนตำบลต่าง ๆ ในเขตจังหวัดอุบลราชธานีไปขึ้นในการปกครองของจังหวัดขุขันธ์ คือ
โอนพื้นที่ส่วนหนึ่งของตำบลโพนค้อ อำเภอวารินชำราบ ไปขึ้นกับอำเภอน้ำอ้อม ต่อมาเป็นตำบลเสียว ตำบลหนองหว้า ตำบลท่าคล้อ และตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเบญจลักษ์
โอนพื้นที่ส่วนหนึ่งของตำบลโพนค้อ อำเภอวารินชำราบ ไปขึ้นกับอำเภอกันทรารมย์ ต่อมาเป็นตำบลโนนค้อ และตำบลหนองกุง อำเภอโนนคูณ
โอนพื้นที่ตำบลหนองแก้ว ตำบลทาม ตำบลละทาย ตำบลเมืองน้อย และตำบลหนองแวง อำเภอเขื่องใน ไปขึ้นกับอำเภอกันทรารมย์
พุทธศักราช 2471 จังหวัดขุขันธ์ได้โอนพื้นที่อำเภอเดชอุดม และกิ่งอำเภอโพนงามไปขึ้นกับจังหวัดอุบลราชธานี
พุทธศักราช 2476 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม โดยจัดระเบียบราชการส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ให้จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน มีตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร เป็นผลให้ภาคและมณฑลต้องถูกยุบเลิกไป ในปีเดียวกันนี้มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีก โดยแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัด ให้จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล อำนาจการบริหารที่อยู่กับกรมการจังหวัดเปลี่ยนมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจแต่ผู้เดียว โดยมีกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษา ต่อมามีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยทางอ้อม โดยการเลือกผู้แทนตำบลไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกต่อหนึ่ง ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พุทธศักราช 2476 ปรากฏว่าผู้แทนราษฎรจังหวัดขุขันธ์ คือ ขุนพิเคราะห์คดี (อินทร์ อินตะนัย) บุตรญาแม่มาศ หลานพระยาวิเศษภักดี (ท้าวโท) เจ้าเมืองศีร์ษะเกษท่านสุดท้าย เป็นผู้แทนราษฎรท่านแรกของจังหวัดขุขันธ์
วันที่ 11 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2481 คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ได้ตรา “พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนนามจังหวัดและอำเภอบางแห่ง” โดยในมาตรา 3 กำหนดให้เปลี่ยนชื่อ “จังหวัดขุขันธ์” เป็น จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนชื่ออำเภอ คือ อำเภอห้วยเหนือเป็นอำเภอขุขันธ์ อำเภอน้ำอ้อมเป็นอำเภอกันทรลักษ์ อำเภอคงเป็นอำเภอราษีไศล และอำเภอศีร์ษะเกษเป็นอำเภอเมืองศรีสะเกษ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและสากลเหมือนกันทั่วประเทศ ชื่อจังหวัดศรีสะเกษจึงยึดตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 55 หน้า 664 หลังจากที่มีการเขียนไม่เหมือนกันมาจึงเป็นที่ยุติว่า“จังหวัดศรีสะเกษ” ตลอดมาจนปัจจุบัน
== ภูมิศาสตร์ ==
=== อาณาเขต ===
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดยโสธร และจังหวัดร้อยเอ็ด
ทิศตะวันออก ติดต่อกับจังหวัดอุบลราชธานี
ทิศใต้ ติดต่อกับประเทศกัมพูชา
ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดร้อยเอ็ด
=== ภูมิประเทศ ===
จังหวัดศรีสะเกษนั้น ตอนใต้มีทิวเขาพนมดงรักซึ่งทอดตัวในแนวตะวันออก-ตะวันตกเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ยาว 127 กิโลเมตร ยอดเขาสูงสุดในจังหวัดชื่อ "พนมตาเมือน" สูง 673 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง โดยตั้งอยู่ในเขตอำเภอกันทรลักษ์ จากเขาพนมตาเมือนนี้ พื้นที่ค่อย ๆ ลาดต่ำลงไปทางเหนือเข้าสู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำมูล
ภูมิประเทศส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ทางตอนกลางและตอนเหนือของจังหวัดมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มลอนลาด มีระดับความสูงระหว่าง 150-200 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง มีลำน้ำหลายสายไหลผ่านพื้นที่ราบนี้ลงไปยังแม่น้ำมูล ลำน้ำสายสำคัญได้แก่ ห้วยทับทัน ห้วยสำราญ และห้วยขะยุง
เทศบาลเมืองศรีสะเกษในปัจจุบันตั้งอยู่ริมฝั่งห้วยสำราญ ห้วยน้ำคำ และห้วยขะยุง ห่างจากแม่น้ำมูลไปทางทิศใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร และอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 126 เมตร
จังหวัดศรีสะเกษ มีแหล่งน้ำที่สำคัญและมีผลต่อกิจกรรมการเกษตร การประมง ดังนี้
แม่น้ำมูล ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาดงพญาเย็นในท้องที่อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมาไหลเข้าสู่จังหวัดศรีสะเกษ บริเวณอำเภอราษีไศล ไหลผ่านอำเภอยางชุมน้อย อำเภอเมืองศรีสะเกษ และอำเภอกันทรารมย์ แล้วไหลไปบรรจบแม่น้ำชีที่จังหวัดอุบลราชธานี เป็นระยะทางยาวประมาณ 120 กิโลเมตร พื้นที่ทางทิศเหนือของแม่น้ำมูลลักษณะเป็นที่ราบลุ่มมีสภาวะน้ำท่วมขังในฤดูฝน โดยถือเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ที่สุดของจังหวัด เนื่องจากเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่อันอยู่สูงจากระดับทะเลปานกลางประมาณ 115–130 เมตร
ห้วยทับทัน ไหลมาจากอำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดศรีสะเกษในเขตอำเภออุทุมพรพิสัย ไหลลงไปบรรจบแม่น้ำมูลบริเวณ
|
thaiwikipedia
| 2,029 |
รัฐอะแลสกา
|
อะแลสกา (Alaska, ) รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสหรัฐอเมริกา นับเป็นรัฐที่ 49 มีจำนวนประชากร 626,932 คน (ค.ศ. 2000) ชื่อ อะแลสกา นั้นน่าจะเพี้ยนมาจากคำในภาษาอะลิวต์ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น แปลว่า "ดินแดนที่ไม่ใช่เกาะ"
== ประวัติศาสตร์ ==
18 ตุลาคม ค.ศ. 1867 หรือเมื่อประมาณ 145 ปีที่แล้ว เป็นวันที่อะแลสกาของรัสเซียเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐโดยสมบูรณ์ โดยในวันนั้น ที่เมือง โนวา - อาร์คานเกลสค์ เมืองหลวงอะแลสกาของรัสเซีย ที่ต่อมาถูกเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิมคือ ซิทกา ได้มีพิธีส่งมอบคาบสมุทรแห่งนี้ให้กับสหรัฐ
ตามประวัติเชื่อว่าคนเชื้อสายเอเชียอพยพข้ามช่องแคบเบริง เข้ามาลงหลักปักฐานที่อะแลสการาวเมื่อ 1 หมื่น 2 พันปีก่อน การเข้าไปติดต่อกับคนที่นี่ของชาวยุโรป เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1741 เมื่อ วิตุส เบริง เดินทางไปที่นั่นกับเรือเซ็นต์ปีเตอร์ เพื่อทำการสำรวจให้กับกองทัพเรือรัสเซีย และเมื่อคณะสำรวจกลับออกมา ขนสัตว์จากที่นั่นก็ได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพดีเยี่ยม คณะนักค้าขนสัตว์เล็ก ๆ จึงเริ่มมาที่อะแลสกา โดยหลักฐานการตั้งหลักฐานของชาวยุโรปที่นี่ว่าเกิดขึ้นในปี 1784
ตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 1800 รัสเซียและสหรัฐเริ่มเข้ามาสำรวจอะแลสกาเพื่อโครงการขยายอาณานิคม แต่รัสเซียไม่เคยผนวกอะแลสกาเป็นอาณานิคมโดยสมบูรณ์ และก็ไม่ได้หาประโยชน์จากดินแดนแห่งนี้มากนัก ผิดกับฝ่ายสหรัฐที่ได้แสดงความสนใจในดินแดนแห่งนี้
ข้อตกลงเรื่องการขายอะแลสกา ลงนามโดยนายวิลเลียม เอช. ซูเวิร์ด รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเมื่อ 30 มีนาคม ค.ศ. 1867 ฝ่ายสหรัฐต้องจ่ายเป็นค่าดินแดนขนาด 1 ล้าน 5 แสนตารางกิโลเมตรเพียง 7 ล้าน 2 แสนดอลลาร์ หรือเทียบเท่ากับ 11 ล้านรูเบิลทองคำ
นักประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบันหลายคนตำหนิการตัดสินพระทัยของจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 2 แห่งรัสเซียว่ามองการณ์ใกล้และไม่รักชาติ เนื่องจากในพื้นที่มีประชากรชาวรัสเซียอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งมองว่าในสมัยที่ตัดสินพระทัยขายนั้นมีชาวรัสเซียในพื้นที่อะแลสกาเพียงไม่กี่ร้อยคน และยังไม่มีการค้นพบทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ
ส่วนทางฝ่ายสหรัฐ หลายคนในยุคนั้นมองไม่เห็นประโยชน์ของการซื้ออะแลสกาซึ่งอยู่ห่างไกลและไม่มีผู้อยู่อาศัย สื่อมวลชนในยุคนั้นก็ล้อเลียนรัฐบาลว่าเสียเงินไปมากมายเพื่อซื้อก้อนน้ำแข็ง ถึงขั้นมีข่าวลือว่านักการทูตรัสเซียติดสินบนข้าราชการสหรัฐเดินเรื่องเพื่อให้มีการซื้อขาย เพิ่งจะปลายศตวรรษที่ 19 เท่านั้นที่เริ่มมีการค้นพบทองคำ ต่อมาก็ยังพบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอีกมากมายมหาศาล
ตอนแรกเมื่อมาอยู่กับสหรัฐนั้น อะแลสกาอยู่ในการดูแลของกระทรวงการทหาร ต่อมาก็ถูกยกระดับสถานะเรื่อยมา จนได้เป็นรัฐที่ 49 ของสหรัฐ เมื่อปี 1959
== ภูมิประเทศ ==
รัฐอะแลสกามีพื้นที่ทางตะวันออกติดต่อกับดินแดนยูคอนและรัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดา ทางใต้ติดต่อกับอ่าวอะแลสกาและมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันตกติดกับทะเลเบริง ช่องแคบเบริง และทะเลชุกชี ส่วนทางเหนือติดกับทะเลโบฟอร์ตและมหาสมุทรอาร์กติก อะแลสกาเป็นรัฐที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่ไม่มีเขตแดนติดกับอเมริกาแผ่นดินใหญ่โดยสิ้นเชิง
อะแลสกามีภูเขาไฟอยู่ 41 ลูก ที่อันตรายที่สุดคือภูเขาออกัสติน
== การเมืองการปกครอง ==
คล้ายกับรัฐอื่น ๆ ของสหรัฐอเมริกา รัฐอะแลสกาปกครองแบบสาธารณรัฐ ด้านการปกครองแบ่งเป็นสามส่วน คือ ด้านการบริหารประกอบด้วยผู้ว่าการรัฐและเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้ง ด้านกฎหมายประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และด้านศาลปกครองประกอบด้วยศาลสูงและศาลล่าง
== ภาษี ==
รายได้หลักของอะแลสกามาจากน้ำมันและเงินอุดหนุนของรัฐ ทำให้รัฐกำหนดให้รัฐอะแลสกามีฐานภาษีรายได้ต่ำมากที่สุดรัฐหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่อะแลสกาไม่มีการคิดภาษีจากการขายสินค้า แต่เมือง 89 เมืองของรัฐมีการเก็บภาษีสินค้าในอัตรา 1-7.5% ซึ่งเมืองในรัฐอื่นเก็บภาษีที่ 3-5% สินค้าที่มีการเก็บภาษี ได้แก่ ปลาสด โรงแรม ที่พัก ภาษีจากจำนวนเตียงของการบริการที่พักแบบ bed-and-breakfast ภาษีจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไม่หมุนเวียน (severance taxes) เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ยาสูบ เกม pull tab ยางรถยนต์ และการขนถ่ายน้ำมัน นอกจากนี้รายได้บางส่วนยังเก็บจากภาษีของรัฐและค่าลิขสิทธิ์รวมกันร่วมกับเมืองต่างๆ ในรัฐอะแลสกา
เมือง Fairbanks มีการเก็บภาษีที่ดินที่แพงที่สุดในรัฐอะแลสกา ขณะที่ไม่มีการเก็บภาษีจากการขายสินค้าหรือภาษีเงินได้
ในปี 2008 องค์กรด้านภาษี (Tax Foundation) ได้จัดอันดับรัฐอะแลสกาให้เป็นอันดับที่ 4 ของการมีนโยบายด้านภาษีที่ "เป็นมิตรต่อธุรกิจ" ส่วนรัฐอันดับอื่นๆ ที่มีความเป็นมิตร คือ รัฐไวโอมิ่ง รัฐเนวาดา และรัฐเซาธ์ดาโกต้า
== เศรษฐกิจ ==
ในปี 2007 ผลิตภัณฑ์มวลรวมของรัฐ (gross state product) เท่ากับ 44.9 พันล้านเหรียญสหรัฐนับเป็นอันดับที่ 45 ของประเทศ รายได้ส่วนบุคคลเป็น 40,042 เหรียญสหรัฐจัดเป็นอันดับที่ 15 ของประเทศ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นอุตสาหกรรมหลักของรัฐอะแลสกา และมากกว่า 80% ของรายได้ของรัฐมาจากการกลั่นนํ้ามัน ส่วนผลิตภัณฑ์การส่งออกอื่นๆ (นอกเหนือจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) คือ อาหารทะเล แซลมอน ปลาคอด ปลา pollock และปู
การเกษตรมีผลต่อเศรษฐกิจถือเป็นอัตราส่วนที่น้อย การเกษตรกรรมส่วนใหญ่เพื่อการบริโภคภายในรัฐเอง รวมถึงการเลี้ยงสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม ผัก และปศุสัตว์ ด้านโรงงานการผลิตสินค้ามีไม่มาก อาหารสัตว์ส่วนใหญ่และอาหารทั่วไปถูกนำเข้าจากที่อื่น
การจ้างงานโดยหลักแล้วอยู่ในองค์กรของรัฐและอุตสาหกรรรม ตัวอย่างเช่น การกลั่นน้ำมัน การเดินเรือ และการขนส่ง มีการตั้งเขตทหารในบริเวณ Fairbanks และ Anchorage นอกจากนี้ เงินอุดหนุนจากรัฐบาลถือเป็นส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของอะแลสกา โดยมีกฎหมายของรัฐในระบบการจัดเก็บภาษีที่ต่ำ มีการเติบโตของด้านการบริการและการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวบางส่วนได้มีการสร้างที่พักชุมชนเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของรัฐ
== วัฒนธรรม ==
ส่วนใหญ่จะมีการรวบรวมวัฒนธรรมของทุกรัฐในสหรัฐอเมริกากับวัฒนธรรมชาวพื้นเมืองอะแลสกา โดยมีงาน Alaska Native Heritage Center จัดทุกปีมีจุดประสงค์ของงานคือเพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตนเองของชาวพื้นเมืองและเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้ามวัฒนธรรมของคนทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีเทศกาล เป็นการแข็งความแข็งแรงของสุนัขในเมืองหนาว โดยเริ่มที่เมือง Achorage และสิ้นสุดที่เมือง Nome และยังมีการแข่งขัน World Ice Art Championships เป็นการแข่งขันทำศิลปะจากหิมะจากทั่วทุกมุมโลก
== ดูเพิ่ม ==
กองทุนถาวรอะแลสกา
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของรัฐอะแลสกา
รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2502
ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐ
อดีตอาณานิคมของรัสเซีย
|
thaiwikipedia
| 2,030 |
10 มิถุนายน
|
วันที่ 10 มิถุนายน เป็นวันที่ 161 ของปี (วันที่ 162 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 204 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 221 (ก่อนค.ศ. 323 ปี) - พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ที่นครบาบิโลน ด้วยพระชนมายุเพียง 33 พรรษา
พ.ศ. 1214 (ค.ศ. 671) - จักรพรรดิเท็นจิแนะนำนาฬิกาน้ำ ที่เรียกว่าโรโกกุ (漏刻) เครื่องมือซึ่งใช้วัดเวลาและระบุชั่วโมงที่ตั้งอยู่ในโอตสึ
พ.ศ. 1733 (ค.ศ. 1190) - สงครามครูเสดครั้งที่ 3: จักรพรรดิฟรีดริชที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ สวรรคตจากการจมน้ำในแม่น้ำแห่งหนึ่ง ณ ดินแดนอนาโตเลีย ขณะนำทัพมุ่งหน้าไปยังเยรูซาเลม
พ.ศ. 2066 (ค.ศ. 1523) - โคเปนเฮเกนถูกล้อมโดยกองทัพของพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 1 แห่งเดนมาร์ก และทางเมืองไม่ยอมรับว่าพระองค์เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของพระเจ้าคริสเตียนที่ 2 แห่งเดนมาร์ก
พ.ศ. 2167 (ค.ศ. 1624) - การลงนามในสนธิสัญญากงเปียญระหว่างฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์
พ.ศ. 2325 (ค.ศ. 1782) - พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พ.ศ. 2372 (ค.ศ. 1829) - มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดเอาชนะมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในการแข่งเรือประเพณีออกซฟอร์ด-เคมบริดจ์ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 2389 (ค.ศ. 1846) - สงครามเม็กซิโก-อเมริกา: สาธารณรัฐแคลิฟอร์เนียประกาศเอกราชจากเม็กซิโก
พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896) -
* การไฟฟ้านครหลวงเปิดบริการแก่ประชาชนวันนี้
* แบ่งแยกเมืองเชียงแขงเป็นสองส่วนตามแนวแม่น้ำโขง ฝั่งซ้ายเป็นของฝรั่งเศส ฝั่งขวาเป็นของอังกฤษ
พ.ศ. 2441 (ค.ศ. 1898) - นาวิกโยธินสหรัฐฯ เดินทางถึงประเทศคิวบาในระหว่างสงครามเม็กซิโก-อเมริกา
พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) -
* สงครามโลกครั้งที่สอง: อิตาลีประกาศสงครามกับฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร
* สงครามโลกครั้งที่สอง: ทหารเยอรมันเดินทางถึงช่องแคบอังกฤษ
* สงครามโลกครั้งที่สอง: แคนาดาประกาศสงครามกับอิตาลี
* สงครามโลกครั้งที่สอง: นอร์เวย์ยอมแพ้ต่อกองกำลังเยอรมนี
พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1969) -พระราชพิธีอภิเษกสมรสของ เจ้าฟ้าหญิงมาร์เกรเธอ มกุฎราชกุมารีแห่งเดนมาร์ก กับ เค้านเฮนริก อองรี มงเปอซา ปัจจุบันทั้ง 2 พระองค์มีพระราชโอรสด้วยกัน 2 พระองค์ คือ เจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก และ เจ้าชายโจอาคิมแห่งเดนมาร์ก
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - นายอานันท์ ปันยารชุน ได้รับโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี เป็นสมัยที่ 2 ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - สงครามคอซอวอ: นาโตระงับการโจมตีทางอากาศ หลังจากสลอบอดัน มีลอเชวิช ยอมถอนทหารเซอร์เบียออกจากคอซอวอ
พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) - งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ : พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖o ปี ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง
พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) - อาคารคายันทาวเวอร์ในนครดูไบเปิดทำการเป็นครั้งแรก
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2438 (ค.ศ. 1895) - แฮตตี แม็กแดเนียล นักแสดงชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 26 ตุลาคม พ.ศ. 2495)
พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) - สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา (สิ้นพระชนม์ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2518)
พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) - เจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินบะระ พระราชสวามีใน สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร (สิ้นพระชนม์ 9 เมษายน พ.ศ. 2564)
พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) - จูดี การ์แลนด์ นักร้อง/นักแสดงชาวอเมริกัน (เสียชีวิต 22 มิถุนายน พ.ศ. 2512)
พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) - รุ่งกานดา เบญจมาภรณ์ นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - พีรพันธุ์ พาลุสุข นักการเมืองชาวไทย (ถึงแก่กรรม 30 เมษายน พ.ศ. 2557)
พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) -
* เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีของไทย
* ยุริโกะ ฮิชิมิ นักแสดงหญิงและนักพากย์ชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) - นิกโก้ โธมัส แชมป์โลกมวยสากลชาวอินโดนีเซีย
พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - ยาว ลูกหยี นักแสดงตลกชาวไทย
พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - คริส โคลแมน อดีตนักฟุตบอลอาชีพชาวเวลส์
พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) - ทะดะชิ นะกะมุระ (นักฟุตบอล) อดีตนักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) - ทะกะโกะ มะสึ นักแสดงชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) - เชน เวสต์ นักแสดง, นักดนตรี, นักแต่งเพลง, นักเขียน และโปรดิวเซอร์ชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - โจนาธาน เบนเนตต์ นักแสดงและพิธีกรชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982)
* เจ้าหญิงมาเดอลีน ดัชเชสแห่งเฮลซิงลันด์และเยสตริคลันด์
* อคัมย์สิริ สุวรรณศุข (จักจั่น) นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - ฮาจิเมะ โฮโซกาอิ นักฟุตบอลอาชีพชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - มาร์ทีน ฮาร์นิค นักฟุตบอลชาวออสเตรีย
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - ธาราเขต เพ็ชร์สุกใส (เขต) นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - เคธี่ แปซิฟิก ดีเจ/นักร้องชาวไทย
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - ฌอร์ลชัญ วรรณปกาสิต นักแสดง/นางงามชาวไทย
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994)
* ฟิลิป โรลเลอร์ นักฟุตบอลชาวไทย
* สุวรรณภัทร กิ่งแก้ว นักฟุตบอลชาวไทย
* สหรัฐ สิทธิปัญญา โปรแกรมเมอร์ชาวไทย
พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - เหวิน จุนฮุย นักร้อง, นักแสดง และนักแต่งเพลงชาวจีน
พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - ชนัญญา แสนเดช นักร้อง/นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) - วิลเลียม ไวเดอร์เฌอ นักฟุตบอลลูกครึ่งไทย-สวีเดน
พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - อาเลกซียา เกอรุตซาชู นักวอลเลย์บอลหญิงชาวโรมาเนีย
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 221 (323 ปีก่อนค.ศ.) - อเล็กซานเดอร์มหาราช (ประสูติ พ.ศ. 188)
พ.ศ. 766 (ค.ศ.223) - เล่าปี่ จักรพรรดิแห่งจ๊กก๊ก
พ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910) - พระยาจุฬาราชมนตรี (สิน อหะหมัดจุฬา) (เกิด พ.ศ. 2391)
พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) - คริสตินา กริมมี นักร้องชาวอเมริกัน (เกิด 12 มีนาคม พ.ศ. 2537)
พ.ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) - ลือชัย นฤนาท ชื่อจริง พิชัย จิตรีขันธ์ นักแสดงชาวไทย พระเอกภาพยนตร์ไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยม (เกิด 30 มิถุนายน พ.ศ. 2475)
พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) - ศรัณยู วงศ์กระจ่าง นักแสดง/พิธีกร/นักเคลื่อนไหวทางการเมือง (เกิด 17 ตุลาคม พ.ศ. 2503)
พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) - ดิงโก สิงห์ นักมวยสากลสมัครเล่นชาวอินเดีย (เกิด 1 มกราคม พ.ศ. 2522)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
โปรตุเกส - วันชาติ
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
Today in History: June 10
มิถุนายน 10
มิถุนายน
|
thaiwikipedia
| 2,031 |
Henry Ford
|
redirect เฮนรี ฟอร์ด
|
thaiwikipedia
| 2,032 |
แมคอินทอช
|
แมคอินทอช (Macintosh) และมีชื่อย่อว่า แมค Mac เป็นชื่อของผลิตภัณฑ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่พัฒนา ออกแบบ และจำหน่ายโดยบริษัทแอปเปิล แมคอินทอชเครื่องแรกออกวางจำหน่ายเมื่อ 24 มกราคม พ.ศ. 2527 ออกแบบโดย เจฟ ราสกิน แต่ปัจจุบันโจนาธาน ไอฟ์ได้มารับช่วงต่อ โดยถือว่าเป็นระบบคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีส่วนติดต่อผู้ใช้แบบกราฟิก และเมาส์ ซึ่งไม่ได้ใช้คอมมานด์ไลน์เหมือนคอมพิวเตอร์ทั่วไปในขณะนั้น โดยในส่วนประเทศไทย บริษัท สหวิริยา โอเอ จำกัด เป็นผู้นำเข้าและเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายรายแรก ซึ่ง แมคอินทอชรุ่นแรกที่ บริษัท สหวิริยา ได้เปิดตัวและทำตลาดเป็นรุ่นแรกคือ Macintosh Plus ซึ่งตลาดที่ บริษัท สหวิริยา ทำในขณะนั้น ส่วนใหญ่เป็น สำนักพิมพ์ นิตยสาร โรงพิมพ์ บริษัท ออกแบบ และบริษัท โฆษณา ซึ่งนับได้ว่า Macintosh เป็นผู้เริ่มพลิกวงการพิมพ์ และออกแบบ โดยใช้ ระบบปฏิบัติการ ที่ถือว่า ฉลาด และเป็นมิตร กับ ผู้ใช้งาน (user) มากที่สุดในขณะนั้น แต่เนื่องจากราคาที่สูงมากในขณะนั้น (ราคา 2,495 ดอลลาร์) ทำให้ยังไม่แพร่หลายในหมู่ ผู้ใช้ทั่วไป
เครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชปัจจุบันมีผู้ควบคุมการออกแบบ โดยมีผลิตภัณฑ์หลักในชื่อสายการผลิต แมคมินิ ไอแมค และแมคโปร สำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แมคบุ๊ก แมคบุ๊กแอร์ และแมคบุ๊กโปร สำหรับคอมพิวเตอร์พกพา
เครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชจะมีการติดตั้งซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเฉพาะในชื่อแมคโอเอส ซึ่งรุ่นปัจจุบันคือ macOS 10.13 (High Sierra) ปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชซึ่งเปลี่ยนมาใช้ หน่วยประมวลผลกลางของอินเทลสามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการอื่นเช่น ลินุกซ์ หรือ วินโดวส์ได้
== แมคอินทอชรุ่นต่าง ๆ ==
ยุคแรกเริ่ม
ค.ศ. 1984 Macintosh 128K, Macintosh 512K
ค.ศ. 1986 Macintosh Plus
ค.ศ. 1987 Macintosh II, Macintosh SE
ค.ศ. 1988 Macintosh iOS os x 1000 IIx
ค.ศ. 1989 Macintosh SE/30, Macintosh IIcx, Macintosh IIci, Macintosh Portable
ค.ศ. 1990 Macintosh IIfx, Macintosh Classic, Macintosh IIsi, Macintosh LC series
ค.ศ. 1991 Macintosh Quadra, PowerBook
ค.ศ. 1992 Macintosh IIvx, PowerBook Duo
ค.ศ. 1993 Macintosh Centris, Macintosh Color Classic, Macintosh Performa, Macintosh TV
ค.ศ. 1994 Power Macintosh
ค.ศ. 1997 Power Macintosh G3, PowerBook G3
ยุคที่สอง
ค.ศ. 1998 iMac G3,All New Power Macintosh G3
ค.ศ. 1999 iBook, Power Macintosh G4
ค.ศ. 2000 Power Mac G4 Cube
ค.ศ. 2001 PowerBook G4
ค.ศ. 2002 eMac, iMac G4
ค.ศ. 2003 Xserve, Power Mac G5
ค.ศ. 2004 iMac G5
ค.ศ. 2005 Mac mini
Mac ที่ใช้ Intel Processor
ค.ศ. 2006 MacBook Pro, MacBook, iMac, Mac mini ที่ใช้ชิป Intel Core Duo
ค.ศ. 2006 MacPro, Xserve ที่ใช้ชิป Intel Xeon
ค.ศ. 2006 MacBook Pro, MacBook, iMac ที่ใช้ชิป Intel Core 2 Duo
ค.ศ. 2007 MacBook Pro, MacBook ที่ใช้ชิป Intel Core 2 Duo และ Base บน Santa-Rosa Platform
ค.ศ. 2007 iMac ใหม่ (ขอบดำ)
ค.ศ. 2008 MacBook Air
ค.ศ. 2008 MacBook Pro, MacBook (ขอบดำ)
ค.ศ. 2009 MacBook White Unibody, iMac ใหม่ เพิ่มขนาดจอ 27 นิ้วเข้ามา ใช้ชิป Intel Core i Series (ในรุ่นใหญ่สุด)
ค.ศ. 2010 Mac mini ใหม่ (ตัวเครื่องบางลง), MacBook Air ใหม่ (รุ่นที่ใช้SSD และเพิ่มรุ่น11.6นิ้วเข้ามา)
ค.ศ. 2011 MacBook Pro, MacBook, iMac, Mac mini, Mac Pro และ MacBook Air พร้อมระบบ Mac OS 10.6 Snow Leopard
ค.ศ. 2012 MacBook Pro with Retina display พร้อมระบบ Mac OS 10.8 Mountain Lion
ค.ศ. 2013 MacBook Pro, MacBook Air (Mid 2013), iMac (Late 2013), MacBook Pro with Retina display (Late 2013) และ Mac Pro (Late 2013)
ค.ศ. 2014 iMac ขนาดจอ 21.5-นิ้ว, iMac ขนาดจอ 27-นิ้ว, Retina
ค.ศ. 2015 MacBook Retina, iMac Retina
ค.ศ. 2016 MacBook Retina 2016, MacBook Pro และ MacBook Pro with Touch Bar
ค.ศ. 2017 iMac Pro
ค.ศ. 2018 Mac Mini 2018
ค.ศ. 2019 MacBook Pro with Two Thunderbolt 3 Ports, MacBook Pro with Magic Keyboard และ Mac Pro 2019
Mac ที่ใช้ Apple Silicon
ค.ศ. 2020 MacBook Air, MacBook Pro ขนาดจอ 13-นิ้ว, Mac mini (ที่ใช้ชิป แอปเปิล เอ็ม 1)
ค.ศ. 2021 iMac ขนาดจอ 24-นิ้ว (เป็นครั้งแรกกลับมาเปิดตัวหลายสีอีกครั้งตั้งแต่รุ่น iMac G3 เมื่อ 22 ปี ทั้งหมด 7 สี และ ที่ใช้ชิป แอปเปิล เอ็ม 1), MacBook Pro ขนาดจอ 14-นิ้ว และ 16-นิ้ว (ที่ใช้ชิป แอปเปิล เอ็ม 1 โปร และ แอปเปิล เอ็ม 1 แม็กซ์)
ค.ศ. 2022 Mac Studio (ที่ใช้ชิป แอปเปิล เอ็ม 1 แม็กซ์ และ แอปเปิล เอ็ม 1 อัลตรา), MacBook Air, MacBook Pro ขนาดจอ 13-นิ้ว (ที่ใช้ชิป แอปเปิล เอ็ม 2)
== อ้างอิง ==
Apple & Raskin, Jef (1992). Macintosh Human Interface Guidelines. Addison-Wesley Professional. ISBN 0-201-62216-5.
Deutschman, Alan (2001). The Second Coming of Steve Jobs. Broadway. ISBN 0-7679-0433-8.
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
Welcome to MacIntosh (ภาพยนตร์เต็ม)
MacHEADs (ภาพยนตร์เต็ม)
แมคอินทอช
ผลิตภัณฑ์ที่ออกในปี พ.ศ. 2527
สตีฟ จอบส์
|
thaiwikipedia
| 2,033 |
ประเทศออสเตรีย
|
ออสเตรีย มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐออสเตรีย เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของยุโรปกลาง โดยเป็นสหพันธรัฐที่แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 9 รัฐ โดยหนึ่งในเก้ารัฐนั้นคือเวียนนาซึ่งทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ ออสเตรียมีพรมแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับเยอรมนี ทางทิศเหนือติดกับเช็กเกีย ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับสโลวาเกีย ทางทิศตะวันออกติดกับฮังการี ทางทิศใต้ติดกับสโลวีเนียและอิตาลี และทางทิศตะวันตกติดกับสวิตเซอร์แลนด์และลีชเทินชไตน์ ออสเตรียมีเนื้อที่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และมีประชากร 9 ล้านคน
ออสเตรียเกิดขึ้นมาจากพื้นที่ส่วนที่เหลือของแคว้นชายแดนตะวันออกและแคว้นชายแดนฮังการีในช่วงปลายคริสต์สหัสวรรษที่ 1 เดิมนั้นเป็นแคว้นชายแดนของไบเอิร์น ซึ่งในเวลาต่อมาได้พัฒนากลายเป็นดัชชีของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใน ค.ศ. 1156 และกลายเป็นอาร์ชดัชชีใน ค.ศ. 1453 ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 กรุงเวียนนาได้ทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงฝ่ายบริหารของจักรวรรดิ และออสเตรียจึงกลายเป็นดินแดนศูนย์กลางแห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค หลังจากที่จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ถูกยุบลงใน ค.ศ. 1806 ออสเตรียได้สถาปนาจักรวรรดิเป็นของตนเองซึ่งได้กลายเป็นมหาอำนาจและเป็นสมาชิกที่มีบทบาทสำคัญในสมาพันธรัฐเยอรมัน ความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิออสเตรียในสงครามออสเตรีย-ปรัสเซียใน ค.ศ. 1866 นำไปสู่จุดสิ้นสุดของสมาพันธรัฐ และได้ปูทางให้กับการสถาปนาจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในปีต่อมา
ภายหลังการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดีนันท์ ใน ค.ศ. 1914 จักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟ ทรงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย ซึ่งในท้ายที่สุดก็ได้ทวีความรุนแรงกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ความพ่ายแพ้และการล่มสลายของจักรวรรดิในเวลาต่อมาได้นำไปสู่การสถาปนาสาธารณรัฐเยอรมันออสเตรียใน ค.ศ. 1918 และในเวลาต่อเป็นสาธารณรัฐออสเตรียที่หนึ่งใน ค.ศ. 1919 ในสมัยระหว่างสงคราม ทัศนคติต่อต้านระบบรัฐสภาก็มาถึงจุดสูงสุด จนนำไปสู่การก่อตั้งระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ออสเตรียภายใต้การนำของเอ็งเงิลแบร์ท ด็อลฟูส ใน ค.ศ. 1934 ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองเป็นเวลาหนึ่งปี ออสเตรียถูกผนวกเข้ากับนาซีเยอรมนีโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และได้กลายเป็นเขตการปกครองในระดับต่ำกว่าชาติ หลังการปลดปล่อยออสเตรียใน ค.ศ. 1945 และการถูกฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครองเป็นเวลายาวนาน ประเทศก็ได้รับอำนาจอธิปไตยกลับคืนมาอีกครั้ง และได้ประกาศความเป็นกลางอย่างถาวรใน ค.ศ. 1955
ออสเตรียเป็นประเทศประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนโดยมีประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นประมุขแห่งรัฐ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าฝ่ายบริหาร พื้นที่เมืองขนาดใหญ่ ได้แก่ เวียนนา กราทซ์ ลินทซ์ ซัลทซ์บวร์ค และอินส์บรุค ออสเตรียได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีมาตรฐานการครองชีพสูงสุด และได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 18 ของโลก ในดัชนีการพัฒนามนุษย์ใน ค.ศ. 2020
ออสเตรียเป็นสมาชิกของสหประชาชาติมาตั้งแต่ ค.ศ. 1955 และเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปมาตั้งแต่ ค.ศ. 1995 เป็นที่ตั้งขององค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรปและองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก ออสเตรียเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจและองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่สำหรับการลงนามความตกลงเชงเกนใน ค.ศ. 1995 และออสเตรียใช้สกุลเงินยูโรใน ค.ศ. 1999
== ศัพทมูลวิทยา ==
ชื่อของประเทศออสเตรียในภาษาเยอรมัน (Österreich) มาจากคำในภาษาเยอรมันสูงเก่าว่า Ostarrîchi ซึ่งแปลว่า "อาณาจักรทางตะวันออก" และปรากฏเป็นครั้งแรกใน "เอกสารอาณาจักรทางตะวันออก" (Ostarrîchi document) จาก ค.ศ. 996 คำดังกล่าวอาจเป็นคำแปลของวลีในภาษาละตินสมัยกลางว่า Marchia orientalis มาเป็นภาษาท้องถิ่น (ไบเอิร์น) อีกทอดหนึ่ง
ออสเตรียเป็นจังหวัดหนึ่งของไบเอิร์นซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นใน ค.ศ. 976 คำว่า ออสเตรีย เป็นชื่อในภาษาเยอรมันที่แผลงเป็นภาษาละตินและได้รับการบันทึกไว้เป็นครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในขณะนั้น พื้นที่บริเวณลุ่มน้ำดานูบของออสเตรีย (พื้นที่โอแบร์เอิสเตอร์ไรช์และนีเดอร์เอิสเตอร์ไรช์) เป็นอาณาเขตทางตะวันออกสุดของไบเอิร์น
== ประวัติศาสตร์ ==
== การแบ่งเขตการปกครอง ==
ออสเตรียเป็นสหพันธรัฐที่ประกอบด้วย 9 รัฐท้องถิ่น รัฐเหล่านี้แบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น เขต (Bezirke) และ นคร (Statutarstädte) ซึ่งในเขตแต่ละแห่งยังแบ่งออกเป็นเทศบาล (Gemeinden)
รัฐคารินเทีย (Kärnten)
รัฐซัลทซ์บวร์ค (Salzburg)
รัฐทีโรล (Tirol)
รัฐบัวร์เกินลันท์ (Burgenland)
รัฐฟอร์อาร์ลแบร์ค (Vorarlberg)
รัฐนีเดอร์เอิสเตอร์ไรช์ (Niederösterreich )
รัฐเวียนนา (Wien)
รัฐสตีเรีย (Styria)
รัฐโอแบร์เอิสเตอร์ไรช์ (Oberösterreich)
== ภูมิศาสตร์ ==
ประเทศออสเตรียในปัจจุบัน ตามแผนที่ประเทศออสเตรียมีความกว้างจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตกมากกว่า 575 กิโลเมตร มีความยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้มากกว่า 294 กิโลเมตร
ประมาณ 60% ของสภาพภูมิประเทศของประเทศออสเตรียมีลักษณะเป็นภูเขาและเนินเขา ซึ่งได้รับการขานนามให้เป็น "ดินแดนแห่งขุนเขา" ประเทศออสเตรียมีการพาดผ่านของเส้นทาง "แม่น้ำดานูบ" (Donau) โดยผ่านรัฐโลเวอร์ออสเตรียหรือนีเดอร์เอิสเทอร์ไรช์ (Lower Austria; Niederösterreich) และรัฐอัปเปอร์ออสเตรียหรือโอเบอร์เอิสเทอร์ไรช์ (Upper Austria; Oberösterreich) ก่อนไหลต่อไปยังประเทศเช็กเกีย ภูมิประเทศของประเทศออสเตรียแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ
ภูเขา (Berge) : ภูเขาสูงในประเทศออสเตรียมีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 3,000 เมตร ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศออสเตรียตั้งอยู่ทางเทือกเขาด้านตะวันออก (Ostalpen) ด้วยความสูง 3,798 เมตร มีชื่อว่า โกรสส์กล็อกเนอร์ (Großglockner) ยอดเขาที่สูงรองลงมาคือ วิลด์ชปิทเซอ (Wildspitze) ด้วยความสูง 3,774 เมตร และยอดเขาที่สูงเป็นอันดับที่สามของประเทศออสเตรยคือ ไวสส์คูเกิล (Weißkugel) ด้วยความสูง 3,738 เมตร ด้วยลักษณะของภูเขาเป็นจุดสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบกีฬาฤดูหนาว (Wintersport) ยกตัวอย่างเช่น สกี สโนว์บอร์ด เป็นต้น ส่วนในฤดูร้อน ก็ยังสามารถที่จะท่องเที่ยวชื่นชมสภาพป่า และการปีนเขา อีกด้วย
ทะเลสาบ (Seen): ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรียมีชื่อว่า นอยซีดเลอร์เซ (Neusiedler See) โดยมีพื้นที่ประมาณ 77% หรือประมาณ 315 ตารางกิโลเมตร อยู่ที่รัฐบูร์เกนลันด์ (Burgenland) ส่วนพื้นที่อีกประมาณ 33% ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของประเทศฮังการี และยังมีทะเลสาบอื่นๆ ที่มีความสำคัญคือ อัทเทอร์เซ (Attersee) ด้วยพื้นที่ประมาณ 46 ตารางกิโลเมตร และเทราน์เซ (Traunsee) อยู่ในพื้นที่รัฐอัปเปอร์ออสเตรีย และทะเลสาบอื่น ๆ อีกมากมายที่มีความสำคัญมากสำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อน เช่น โบเดินเซ (Bodensee), ซัลซ์คัมเมอร์กูทส์ (Salzkammerguts), โวทเฮอร์ซี (Wörthersee), มิลล์ชเตทเทอร์เซ (Millstätter See), ออสเซียเคอร์เซ (Ossiacher See), ไวส์เซินเซ (Weißensee), โมนด์เซ (Mondsee), วอล์ฟกังเซ (Wolfgangsee) เป็นต้น
แม่น้ำ (Flüsse) :
== เศรษฐกิจ ==
เป็นแบบเสรีนิยมผสมสังคมนิยม โดยรัฐมีบทบาทในอุตสาหกรรม และวิสาหกิจหลัก เช่น อุตสาหกรรมขั้นปฐม การผลิตกระแสไฟฟ้า ธนาคาร และกิจการสาธารณูปโภค สาเหตุที่รัฐได้เข้ามาจัดการบริหารแบบรวมศูนย์ ก็เพื่อป้องกันการครอบครองจากโซเวียตภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ออสเตรียจึงเริ่มแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และได้พัฒนาเศรษฐกิจแบบตลาดได้สำเร็จ ซึ่งทำให้ประชาชนมีมาตรฐานความเป็นอยู่สูง รัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพรรคขวา ได้มีแผนที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจการของรัฐเพิ่มเติม อันจะทำให้รัฐบาลออสเตรียมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจลดลง และในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างแบบ Social Partnership ในช่วงทศวรรษที่ 60 และ 70 ได้ลดน้อยลงตามเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เปลี่ยนไป รัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งนำโดยพรรคฝ่ายซ้ายสังคมนิยมจึงมีนโยบายชะลอการแปรรูปรัฐวิสาหกิจลง และเป็นที่คาดว่า จะมีนโนบายที่ทำให้ความสัมพันธ์ของนายจ้างและลูกจ้างในภาคอุตสาหกรรมเป็นไปแบบ Social Partnership ต่อไป
== ประชากร ==
สถิติออสเตรีย (Statistik Austria) รายงานว่าประชากรออสเตรียมีประมาณเกือบ 9 ล้านคน (8.9) ใน ค.ศ. 2020 โดยประชากรในเวียนนา เมืองหลวงของประเทศ มีมากกว่า 1.9 ล้านคน (รวมชานเมืองที่มีประชากร 2.6 ล้านคน) ซึ่งเท่ากับหนึ่งส่วนสี่ของประชากรทั้งประเทศ
เวียนนาเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ รองลงมาคือกราทซ์ที่มีประชากร 291,007 คน หลังจากนั้นคือลินทซ์ (206,604), ซัลทซ์บวร์ค (155,031), อินส์บรุค (131,989) และคลาเกินฟวร์ท (101,303) เมืองอื่น ๆ มีประชากรน้อยกว่า 100,000 คน
ตามรายงานจาก Eurostat ใน ค.ศ. 2018 มีพลเมืองต่างชาติในประเทศออสเตรียที่ 1.69 ล้านคน ซึ่งเท่ากับ 19.2% ของประชากรทั้งหมด แบ่งเป็น 928,700 คน (10.5%) ที่ถือกำเนิดนอกสหภาพยุโรป และ 762,000 คน (8.6%) ถือกำเนิดในรัฐสมาชิกสหภาพยุโรป มีลูกหลานของชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้มากกว่า 483,100 คน ชาวเติร์กเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีมากที่สุดในประเทศออสเตรีย โดยมีจำนวนประมาณ 350,000 คน
มีการประมาณอัตราการเจริญพันธุ์โดยรวม (TFR) ใน ค.ศ. 2017 ที่เด็ก 1.52 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคน ซึ่งต่ำกว่าอัตราการทดแทนที่ 2.1 และยังคงต่ำกว่าจำนวนเด็ก 4.83 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคนใน ค.ศ. 1873 ออสเตรียมีประชากรที่อยู่ในวัยชรามากเป็นอันดับ 12 ของโลก โดยชาวออสเตรียมีอายุเฉลี่ยที่ 44.2 ปี การคาดหมายคงชีพใน ค.ศ. 2016 อยู่ที่ประมาณ 81.5 ปี (ชาย 78.9 ปี หญิง 84.3 ปี)
สถิติออสเตรียประมาณการว่าใน ค.ศ. 2080 จะมีประชากรอาศัยอยู่ในประเทศนี้เกือบ 10 ล้านคน
===เมืองใหญ่สุด===
===ศาสนา===
ใน ค.ศ. 2001 ประชากรออสเตรียประมาณ 74% ระบุตนเองว่านับถือโรมันคาทอลิก ในขณะที่ประมาณ 5% ระบุตนเองเป็นโปรเตสแตนต์ ชาวออสเตรียที่นับถือศาสนาคริสต์ทั้งนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์จำเป็นต้องจ่ายค่าสมาชิกบังคับ (คำนวณตามรายได้—ประมาณ 1%) ให้กับคริสต์จักร การชำระเงินนี้มีชื่อเรียกว่า "Kirchenbeitrag" ("คุณูปการคริสตจักร") เนื่องจากในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีผู้นับถือและผู้เข้าโบสถ์น้อยลง ข้อมูลจากรายชื่อสมาชิก 5,050,000 คน หรือ 56.9% ของประชากรทั้งประเทศ ของคริสตจักรโรมัคาทอลิกออสเตรียใน ค.ศ. 2018 มีผู้เข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์ที่ 605,828 คน หรือ 7% ของประชากรทั้งประเทศใน ค.ศ. 2015 คริสตจักรลูเทอแรนก็รายงานว่าสูญเสียผู้นับถือ 74,421 คนในช่วง ค.ศ. 2001 ถึง 2016
รายงานสำมะโน ค.ศ. 2001 ระบุว่ามีประชากรประมาณ 12% ที่ประกาศว่าตนไม่มีศาสนา
ตามรายงานจากโพล Eurobarometer ใน ค.ศ. 2010
พลเมืองออสเตรีย 44% ตอบว่า "พวกเขาเชื่อว่ามีพระเจ้า"
38% ตอบว่า "พวกเขาเชื่อว่ามีวิญญาณหรือพลังชีวิต"
12% ตอบว่า "พวกเขาไม่เชื่อว่ามีวิญญาณ พระเจ้า หรือพลังชีวิต"
== วัฒนธรรม ==
== หมายเหตุ ==
==อ้างอิง==
===บรรณานุกรม===
Rathkolb, Oliver. The Paradoxical Republic: Austria, 1945–2005 (Berghahn Books; 2010, 301 pages). Translation of 2005 study of paradoxical aspects of Austria's political culture and society.
==แหล่งข้อมูลอื่น==
Austria. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
Austria entry at Encyclopædia Britannica
Austria information from the United States Department of State
Austria at UCB Libraries GovPubs
Information on Austria Sorted by regions. Choose from 5 languages.
Austria profile from the BBC News
Key Development Forecasts for Austria from International Futures
รัฐบาล
Federal Chancellery of Austria official government portal
AEIOU Austria Albums (in German, English)
Chief of State and Cabinet Members
Austrian Law Information on Austrian Law
การค้า
World Bank Summary Trade Statistics Austria
การท่องเที่ยว
Austria.info Official homepage of the Austrian National Tourist Office
TourMyCountry.com Website on Austrian culture, cuisine and tourist attractions
Europe Pictures – Austria
อ
ประเทศในระบบซีวิลลอว์
อ
รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2498
|
thaiwikipedia
| 2,034 |
กฎหมาย
|
กฎหมาย เป็นระบบของกฎและแบบแผนแนวทางปฏิบัติซึ่งบังคับใช้ผ่านสถาบันทางสังคมเพื่อควบคุมพฤติกรรม ในทุกที่ที่เป็นไปได้ กฎหมายก่อร่างการเมือง เศรษฐศาสตร์และสังคมในหลายวิถีทาง และใช้เป็นสื่อกลางความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในทางสังคม กฎหมายว่าด้วยสัญญาวางระเบียบทุกอย่างตั้งแต่การซื้อตั๋วรถโดยสารประจำทางถึงการซื้อขายบนตลาดตราสารอนุพันธ์ กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินนิยามสิทธิและหนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับการโอนและกรรมสิทธิ์ของสังหาชิดมทรัพย์ส่วนตัวและอสังหาริมทรัพย์ กฎหมายทรัสต์ (Trust law) ใช้กับสินทรัพย์ที่ถือไว้เพื่อการลงทุนและความมั่นคงทางการเงิน ขณะที่กฎหมายละเมิด (tort) อนุญาตให้เรียกร้องให้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหากสิทธิหรือทรัพย์สินของบุคคลได้รับความเสียหาย หากความเสียหายนั้นถูกประกาศว่า มิชอบด้วยกฎหมายในบทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎหมายอาญาให้วิธีการซึ่งรัฐสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้ กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดกรอบสำหรับการบัญญัติกฎหมาย การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และการเลือกตั้งผู้แทนทางการเมือง กฎหมายปกครองใช้เพื่อทบทวนการวินิจฉัยของหน่วยงานภาครัฐ ขณะที่กฎหมายระหว่างประเทศควบคุมกิจการระหว่างรัฐเอกราชในกิจกรรมตั้งแต่การค้าไปจนถึงระเบียบทางสิ่งแวดล้อมหรือการปฏิบัติทางทหาร นักปรัชญากรีก อริสโตเติล เขียนไว้เมื่อ 350 ปีก่อนคริสตกาลว่า "นิติธรรมดีกว่าการปกครองของปัจเจกบุคคลใด ๆ"
ระบบกฎหมายกล่าวถึงสิทธิและความรับผิดชอบในหลายวิถีทาง ความแตกต่างทั่วไปสามารถตัดสินได้ระหว่างเขตอำนาจซีวิลลอว์ ซึ่งประมวลกฎหมายของตน และระบบคอมมอนลอว์ ที่ซึ่งผู้พิพากษาบัญญัติกฎหมายนั้นไม่ถูกรวบรวม ในบางประเทศ ศาสนาเป็นที่มาของกฎหมาย กฎหมายเป็นบ่อเกิดอันมีคุณค่าของการสอบสวนอย่างคงแก่เรียน ไปยังประวัติศาสตร์กฎหมาย ปรัชญา การวิเคราะห์เศรษฐกิจหรือสังคมวิทยา กฎหมายนั้นยังยกประเด็นที่สำคัญและซับซ้อนเกี่ยวข้องกับความเสมอภาค ความเป็นธรรมและความยุติธรรม ผู้ประพันธ์ อานาตอล ฟร็องส์ กล่าวใน ค.ศ. 1894 ว่า "ในความเสมอภาคอันสูงส่งของมัน กฎหมายห้ามมิให้ทั้งคนรวยและจนนอนใต้สะพาน ขอทานบนท้องถนนและขโมยแถวขนมปังอย่างเดียวกัน" ในประชาธิปไตยตามแบบ สถาบันกลางสำหรับการตีความและบัญญัติกฎหมาย คือ สามฝ่ายหลักของรัฐบาล ได้แก่ ฝ่ายตุลาการอันไม่ลำเอียง ฝ่ายนิติบัญญัติอันเป็นประชาธิปไตย และฝ่ายบริหารที่รับผิดชอบ ในการนำกฎหมายไปปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนให้บริการแก่สาธารณชน ระบบราชการหรือรัฐการของรัฐบาล คือ ทหารและตำรวจนั้นสำคัญ แม้องค์กรของรัฐทั้งหมดเหล่านี้เป็นสิ่งซึ่งถูกสร้างขึ้นจากกฎหมายและถูกผูกพันด้วยกฎหมาย แต่วิชาชีพทางกฎหมายอิสระและประชาสังคมก็แจ้งและสนับสนุนความก้าวหน้าขององค์กรเหล่านี้
== ปัญหาข้อกฎหมาย ==
ปัญหาข้อกฎหมาย คือ การนำข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วมาปรับกับตัวบทกฎหมาย แล้ววินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงนั้นมีผลทางกฎหมายเป็นอย่างไร เช่น การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ ผิดฐานใด เป็นการกระทำโดยพลาดหรือไม่ คดีขาดอายุ ความหรือไม่ เป็นการร้องทุกข์หรือไม่ เป็นผู้เสียหายหรือไม่ เป็นต้น
== อ้างอิง ==
สังคมศาสตร์
มนุษยศาสตร์
มโนทัศน์
|
thaiwikipedia
| 2,035 |
สถาปัตยกรรม
|
สถาปัตยกรรม (architecture; จากคำละติน architectura; จากคำกรีก ἀρχιτέκτων arkhitekton "architect", จาก ἀρχι- "ผู้นำ" และ τέκτων "ผู้สร้าง") เป็นกระบวนการและผลผลิตของการวางแผน การออกแบบ และการก่อสร้างอาคารหรือสิ่งก่อสร้าง ผลผลิตทางสถาปัตยกรรมในรูปของอาคาร มักได้รับการถือเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและงานศิลปะ อารยธรรมเก่าแก่มักถูกเรียกตามสิ่งก่อสร้างที่หลงเหลืออยู่ของอารยธรรมนั้น
== อ้างอิง ==
|
thaiwikipedia
| 2,036 |
รายการสาขาวิชา
|
thumb
รายชื่อสาขาวิชา หรือ สาขาการศึกษา (academic discipline หรือ field of study) หมายถึงสาขาความรู้ หรือ การวิจัยที่เปิดสอนในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย คำว่า สาขาวิชา ได้รับการนิยามและยอมรับโดย วารสารวิชาการที่ตีพิมพ์ผลงานวิจัย และโดยสมาคมผู้รู้ (learned societies) และโดยภาควิชาหรือคณะวิชาที่บุคคลผู้อยู่ในสาขาวิชานั้น ๆ สังกัด โดยปกติ สาขาการศึกษาต่าง ๆ มักมีสาขาย่อยหรือแขนงวิชาแตกออกไป เส้นแบ่งระหว่างสาขาย่อยมักยังมีความคลุมเครือและมีกฎเกณฑ์ที่ไม่ชัดเจน
ในยุโรปสมัยกลางซึ่งขณะนั้นยังมีการแบ่งคณะวิชาออกเป็น 4 คณะหรือสายวิชา ได้แก่เทววิทยา การแพทย์ ธรรมศาสตร์ นิติศาสตร์ และศิลปะ โดยคณะวิชาหลังมีสถานะไม่สูงเท่า 3 สาขาแรก การแบ่งสาขาวิชาในมหาวิทยาลัยสมัยนั้นมีรากสืบทอดมาจากขบวนการแยกอาณาจักรออกจากศาสนจักร (Secularization) ของมหาวิทยาลัยซึ่งเกิดขึ้นราวสมัยกลางช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ประมาณ พ.ศ. 2390 – พ.ศ. 2440) โดยได้เพิ่มวิชาภาษาศาสตร์ที่ไม่ใช่คลาสสิก วรรณคดี และวิชาสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยาและวิศวกรรมศาสตร์เสริมเข้าไปในหลักสูตรแบบประเพณีโบราณ
ในต้นคริสต์ศตวรรษ ที่ 20 (ประมาณ พ.ศ. 2440 – พ.ศ. 2475) ได้มีการเพิ่มสาขาวิชาใหม่ ๆ เช่น การศึกษา สังคมวิทยา และจิตวิทยา ในมหาวิทยาลัยต่างๆ และในช่วงประมาณ พ.ศ. 2513 – พ.ศ. 2523) ได้เกิดปรากฏการณ์ "การระเบิด" ของสาขาวิชาใหม่ ๆ ที่เน้นเนื้อหาเฉพาะเจาะจง เช่น สื่อศึกษา สตรีศึกษา และชนผิวดำศึกษา สาขาใหม่ๆ เหล่านี้จัดขึ้นในมหาวิทยาลัยเพื่อรองรับอาชีพและวิชาชีพต่าง ๆ เช่น การพยาบาล การจัดการโรงพยาบาล การราชทัณฑ์ และหลังสุดก็ได้เห็นสาขาวิชาที่เป็นลักษณะ "สหสาขาวิชา" เช่น ชีวเคมี และ ธรณีฟิสิกส์เกิดเพิ่มขึ้นและได้รับการยอมรับว่าสาขาวิชาใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้ช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้กว้างขวางขึ้น
เครื่องหมายดอกจัน * แสดงเป็นหมายเหตุว่าสาขาวิชานั้นยังเป็นที่ถกเถียงถึงสถานภาพว่าควรนับไว้ในสายวิชาใด เช่น วิชามานุษยวิทยา และวิชาภาษาศาสตร์ควรจัดไว้ในกลุ่มสังคมศาสตร์ หรือ มนุษยศาสตร์ เป็นที่สังเกตได้ว่าบางท่าน โดยเฉพาะนักทฤษฎีวิจารณ์มักให้ความสำคัญในการบ่งชี้การจัดกลุ่มที่เข้มงวดในทุกสายวิชา รวมทั้งความชัดเจนของโครงสร้างของแนวคิดโดยรวมของแต่ละวิชาซึ่งยังเป็นถกเถียงได้มากสำหรับบางคน
== มนุษยศาสตร์ (Humanities) ==
=== ประวัติศาสตร์ (History) ===
ประวัติศาสตร์อเมริกัน (American history)
ประวัติศาสตร์โบราณ (Ancient history)
ประวัติศาสตร์จีน
ประวัติศาสตร์การทูต (Diplomatic history)
ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ (Ethnohistory)
ประวัติศาสตร์ยุโรป (European history)
ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (History of science and technology)
ประวัติศาสตร์การทหาร (Military history)
ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (Modern history)
ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา (Intellectual History)
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม (Cultural History)
ประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์ (Economic History)
ประวัติศาสตร์ไทย (Thai History)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาประวัติศาสตร์ (List of basic history topics)
=== ปรัชญา (Philosophy) ===
อภิปรัชญา (Metaphysics)
* ภววิทยา (Ontology)
ญาณวิทยา หรือ ทฤษฎีความรู้ (Epistemology)
ปรัชญาแห่งจิต (Philosophy of mind)
ปรัชญาภาษา (Philosophy of language)
ตรรกะเชิงปรัชญา (Philosophical logic)
สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics)
จริยศาสตร์ (Ethics)
อรรถปริวรรตศาสตร์ (Hermeneutics)
ปรัชญาการเมือง (Political philosophy)
ประเพณีและกลุ่มแนวคิดของปรัชญา (Philosophical traditions and schools)
* ปรัชญาเชิงวิเคราะห์ (Analytic philosophy)
* ปรัชญาภาคพื้นทวีปยุโรป (Continental philosophy)
* ปรัชญาตะวันออก (Eastern philosophy)
* ปรัชญาสตรี (Feminist philosophy)
ประวัติศาสตร์ปรัชญา (History of philosophy)
ปรัชญาประยุกต์ (Applied philosophy)
* ปรัชญาประวัติศาสตร์ (Philosophy of history)
* ปรัชญาศาสนา (Philosophy of religion)
* ปรัชญาการศึกษา (Philosophy of education)
* ปรัชญาจิต (Philosophy of mind)
* ปรัชญาคณิตศาสตร์ (Philosophy of mathematics)
* ปรัชญาวิทยาศาสตร์ (Philosophy of science)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาปรัชญา (List of basic philosophy topics)
=== ศาสนศึกษา (Religious studies) ===
ดูบทความประกอบ: รายชื่อศาสนา (List of religions and spiritual traditions)
กฎหมายศาสนจักร (Canon law)
ศาสนาอับราฮัม (Abrahamic religions)
* ศาสนาคริสต์ (Christianity)
** เทววิทยาศาสนาคริสต์ (Christian theology)
** คาทอลิกศึกษา (Catholic studies)
** กฎหมายศาสนจักร (Canon law)
** วรรณกรรมนักบุญ (Hagiography)
* ไญยนิยม (Gnosticism)
* ศาสนาอิสลาม / อิสลามศึกษา (en:Islam) / Islamic studies
** หะดีษ (Hadith)
** ประวัติศาสตร์อิสลาม (Islamic history)
** หลักนิติศาสตร์อิสลาม (Islamic jurisprudence)
** อัลกุรอาน (Qur'an)
* ศาสนายูดาห์ / (Judaism) / Jewish studies
** ยิวศึกษา (Jewish Studies)
** คัมภีร์ไบเบิล (Bible)
** กฎหมายคัมภีร์ยิวโบราณ (Halacha)
** ประวัติศาสตร์ยิว (Jewish history)
** ปรัชญายิว (Jewish philosophy)
** วรรณกรรมยิว (Jewish literature)
* ศาสนาบาไฮ (Bahá'í)
ศาสนาแบบอินเดีย (Indian religions)
* พุทธศาสนศึกษา (Budish studies)
* ศาสนาฮินดู (Hinduism)
* ศาสนาเชน (Jainism)
* ศาสนาซิกข์ (Sikhism)
ศาสนาเอเชียตะวันออก (Taoic religions)
* ศาสนาพื้นบ้านจีน (Chinese folk religion)
* ลัทธิขงจื๊อ (Confucianism)
* ลัทธิชินโต (Shinto)
* ลัทธิเต๋า (Taoism)
* ลัทธิอนุตตรธรรม (I-Kuan Tao)
กลุ่มศาสนาอื่น
* ศาสนาในแอฟริกา (African religions)
* ศาสนาอียิปต์โบราณ (Ancient Egyptian religion)
* ศาสนาของชนพื้นถิ่นอเมริกัน (Native American religions)
* ขบวนการศาสนาใหม่ (New Religious Movements)
* ศาสนาของชาวซูเมอร์ (Sumerian religion)
* ศาสนาโซโรอัสเตอร์ (Zoroastrianism)
อเทวนิยม (Atheism) และ มนุษยนิยม (Humanism)
ปรัมปราวิทยา (Mythology) และ นิยายพื้นบ้าน (Folklore)
เทววิทยา (Theology)
* โหราศาสตร์* (Astrology)
* คริสตวิทยา (Christology)
* ความเชื่อทางไสยศาสร์ (Kabbalah)
* การแปลคัมภีร์ไบเบิลของชาวยิว (Midrash)
* เทววิทยาศีลธรรม (Moral theology)
* เทววิทยาเชิงรหัสยะ (Mystical theology)
* เลขโหรวิทยา * (Numerology)
* จิตวิญญาณ (Spirituality)
* ทาลมุด (Talmud)
ศาสนาเปรียบเทียบ (Comparative religion)
=== ภาษา (Languages) และ ภาษาศาสตร์ (Linguistics) ===
ภาษาศาสตร์เชิงคำนวณ (Computational linguistics) / ภาษา (Natural language processing)
ภาษาศาสตร์คลังข้อมูล (Corpus linguistics)
สัมพันธสารวิเคราะห์ (Discourse analysis)
ภาษาศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์ (Historical linguistics)
ประวัติศาสตร์ภาษาศาสตร์ (History of linguistics)
อันตรภาษาศาสตร์ (Interlinguistics)
วิทยาหน่วยคำ (Morphology)
นิรุกติศาสตร์ (Philology)
สัทศาสตร์ (Phonetics)
สัทวิทยา (Phonology)
วัจนปฏิบัติศาสตร์ (Pragmatics)
อรรถศาสตร์ (Semantics)
สัญวิทยา (Semiotics) จำแนกไว้ในหมวดวารสารศาสตร์ด้วย
* ธัชวิทยา (Vexillology)
ภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics)
วากยสัมพันธ์ (Syntax)
เรียงความศึกษา (Composition studies)
วาทศาสตร์ (Rhetoric)
คลาสสิก (Classics)
* ภาษาอังกฤษมาตรฐาน (Standard English)
* ภาษาอังกฤษธุรกิจ (Business English)
* ภาษาอังกฤษโลก (World Englishes)
* ภาษาสมัยใหม่ (Modern Languages)
ดูบทความประกอบ: แขนงของวิชาภาษา (List of Languages) , แขนงของวิชาภาษาศาสตร์ (List of basic linguistics topics) , แขนงของสาขาวิชาภาษาศาสตร์มานุษยวิทยา (Anthropological Linguistics)
==== วรรณกรรม (Literatures) ====
==== วรรณคดีไทย (Thai literature) ====
ดู รายชื่อวรรณคดีไทย
==== วรรณคดีอังกฤษ (English ) ====
วรรณคดีอเมริกัน (American literature)
* วรรณคดีแอฟริกัน-อเมริกัน (African-American literature)
* วรรณคดียิว-อเมริกัน (Jewish American literature)
* วรรณคดีอเมริกันใต้ (Southern literature)
วรรณคดีออสเตรเลีย (Australian literature)
วรรณคดีบริเทน (British literature)
* วรรณคดีอังกฤษ (English literature)
* วรรคดีไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland literature)
* วรรณคดีสกอต (Scottish literature)
* วรรณคดีเวลช์ (Welsh literature)
วรณคดีแคนาดา (Canadian literature)
วรรณคดีอินเดีย (Indian literature)
วรรณคดีไอริช (Irish literature)
วรรณคดีนิวซีแลนด์ (New Zealand literature)
วรรณคดีหลังยุคอาณานิคม (post-colonial literature)
วรรณคดีหลังยุคสมัยใหม่ (post-modern literature)
วรรณคดีไทย (Thai literature)
==== วรรณคดีโลก (World literatures) ====
วรรณคดีคลาสสิก (Classics)
วรรณคดีเปรียบเทียบ (Comparative literature)
วรรณคดีฝรั่งเศส (French literature)
วรรณคดีชนชาติเกลต์ (Gaelic literature)
วรรณคดีเยอรมัน (German literature)
วรรณกรรมฮินดู (Hindi literature)
วรรณคดีฮีบรูสมัยใหม่ (Modern Hebrew Literature)
วรรณคดีละตินอเมริกัน (Latin American literature)
วรรณคดีโปรตุเกส และ วรรณคดีบราซิล (Portuguese) & (Brazilian literature)
วรรณคดีรัสเซีย (Russian literature)
วรรณคดีสเปน (Spanish literature)
วรรณกรรมยิดดิช (Yiddish literature)
วรรณคดีโลก (other literatures)
==== ทฤษฎีวรรณคดี (Literary theory) ====
ทฤษฎีการวิจารณ์ (Critical theory)
วรรณคดีวิจารณ์ (Literary criticism)
บทกวี (Poetics)
วาทศาสตร์ (Rhetoric)
=== ทัศนศิลป์ (Visual arts) ===
อักษรวิจิตร (Creative Arts)
ศิลปะเชิงสร้างสรรค์ (Creative Arts)
การวาดเส้น (Drawing)
วิจิตรศิลป์ (Fine Arts)
จิตรกรรม (Painting)
ภาพถ่าย (Photography)
ภาพพิมพ์ (Printmaking)
ศิลปะจากห้องวาด (Studio art)
ประติมากรรม (Sculpture)
=== สถาปัตยกรรม (Architecture) การออกแบบ (Design) และ ศิลปะประยุกต์ (Applied Arts) ===
สถาปัตยกรรม (Architecture) และ การออกแบบที่เกี่ยวข้อง (Design)
* สถาปัตยกรรม (Architecture)
** สถาปัตยกรรมไทย (Thai Architecture)
** สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น (Vernacular Architecture)
** การอนุรักษ์สถาปัตยกรรม (Architectural conservation)
* การวางผังภาค (Regional planning)
* การวางผังเมือง (Urban planning และ City planning)
* การออกแบบชุมชนเมือง (Urban design)
* เคหการ (Housing)
* ภูมิสถาปัตยกรรม (Landscape architecture)
** การวางแผนภูมิทัศน์ (Landscape planning)
** ภูมิทัศน์ชุมชน (Urban landscape)
** ภูมิทัศน์วัฒนธรรม (Cultural Landscape)
* สถาปัตยกรรมภายใน (Interior architecture)
* การออกแบบภายใน (Interior design) และ มัณฑนศิลป์ ( Interior decoration)
การออกแบบอุตสาหกรรม (Industrial design)
* การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product design)
* การออกแบบแฟชั่น (Fasion design)
* การออกแบบสิ่งทอ (Textile design)
นิเทศศิลป์ (Visual communication)
* การออกแบบเรขนะ (Graphic design)
* การออกแบบตัวต่อประสานผู้ใช้ (User interface design)
=== ศิลปะการแสดง (Performing arts) ===
==== ดนตรี (Music) ====
การบรรเลงประกอบ (Accompanying)
ดนตรีเชมเบอร์ (Chamber music)
ผู้นำวงการดนตรี (Arts leadership)
ดนตรีโบสถ์ (Church music)
บทประพันธ์เพลง (Musical composition)
การอำนวยเพลง (Conducting)
* การอำนวยเพลงประสานเสียง (Choral conducting)
* การอำนวยเพลงดุริยางค์ (Orchestral conducting)
* การอำนวยเพลงวงเครื่องลม (Wind ensemble conducting)
ดนตรีโบราณ (Early music)
แจ๊สศึกษาและสื่อใหม่ (Jazz studies and new media)
ดนตรีศึกษา (Music education)
* การสอนทฤษฎีดนตรี (Music theory pedagodgy)
ประวัติศาสตร์ดนตรี (Music history)
ทฤษฎีดนตรี (Music theory)
ดุริยางคศาสตร์ (Musicology)
* ดนตรีวิทยาชาติพันธ์ (Ethnomusicology)
กฤตกรรมและวรรณกรรม (Performance and literature)
* ออร์แกน (Organ) และคีย์บอร์ดประวัติศาสตร์ (historical keyboards)
* เปียโน (Piano)
* เครื่องสาย (Strings) ฮาร์ป (harp) และกีตาร์ (guitar))
* เสียง (Voice)
* เครื่องลมไม้ (Woodwinds) เครื่องทองเหลือง (brass) และ เครื่องจังหวะ (percussion)
ดุริยางคศึกษา (Orchestral studies)
==== นาฏศิลป์ (Dance) ====
ศิลปะการร่ายรำ (Choreography)
การวิเคราะห์การร่ายรำ (Dance analysis)
สัญกรณ์การร่ายรำ (Dance notation)
การร่ายรำศึกษา (Dance studies)
การร่ายรำพื้นบ้าน (Ethnochoreology)
ประวัติศาสตร์การร่ายรำ (History of dance)
การฝึกร่างกาย (somatic practice)
==== ภาพยนตร์ (Film) และ โทรทัศน์ (Television) ====
ชีวลักษณ์ (Animation)
ภาพยนตร์ (Film)
การวิจารณ์ภาพยนตร์ (Film criticism)
ทฤษฎีภาพยนตร์ (Film theory)
โทรทัศน์ศึกษา (Television studies)
==== การละคร (Theatre) ====
การจัดการศิลปะการแสดง (Performing arts management)
ประวัติศาสตร์การละคร (History of theatre)
การฝึกเสียง (Voice training)
การเคลื่อนไหว (Movement)
* การแสดง (Acting)
การกำกับการแสดง (Directing)
* การออกแบบเพื่อการแสดง Theatre design)
ศิลปะการเขียนบทและสร้าง (Dramaturgy)
== สังคมศาสตร์ (Social sciences) ==
=== มานุษยวิทยา (Anthropology) ===
มานุษยวิทยาชีวภาพ (Biological anthropology)
* มานุษยวิทยากายภาพ (Physical Anthropology)
* มานุษยวิทยานิติเวช (Forensic anthropology)
* วิวัฒนาการร่วมยีน-วัฒนธรรม (Gene-culture coenolution)
* นิเวศวิทยาพฤติกรรมมนุษย์ (Human behavioral ecology)
* วิวัฒนาการมนุษย์ (Human evolution)
* มานุษยวิทยาบรรพกาล, มานุษยวิทยาดึกดำบรรพ์ (Paleoanthropology)
* พันธุศาสตร์ประชากร (Population genetics)
* วานรวิทยา, ไพรเมตวิทยา (Primatology)
* พฤติกรรมวานร, พฤติกรรมไพรเมต (Primate behavior)
* พันธุศาสตร์ประชากร (Population genetics)
ภาษาศาสตร์มานุษยวิทยา (Anthropological linguistics)
* ภาษาศาสตร์เฉพาะสมัย (Synchronic linguistics หรือ Descriptive linguistics)
* ภาษาศาสตร์ข้ามสมัย (Diachronic linguisticDiachronic linguistics) หรือ (Historical linguistics)
* การศึกษา (Educational)
* ภาษาศาสตร์ชาติพันธุ์ (Ethnolinguistics)
* ภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics)
มานุษยวิทยาวัฒนธรรม (Cultural anthropology)
* มานุษยวิทยาในศาสนา (Anthropology of religion)
* มานุษยวิทยาในเทคโนโลยี (Anthropology of technology)
* ชาติพันธุ์วรรณา (Ethnography)
* ชาติพันธุ์วิทยา (Ethnology)
* ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ (Ethnohistory)
* พงศาวลีวิทยา (genealogy)
* ชาติพันธ์ดนตรีวิทยา (Ethnomusicology)
* คติชาวบ้าน (Folklore)
* เทพนิยายวิทยา (Mythology)
* มานุษยวิทยารัฐศาสตร์ (Political anthropology)
* มานุษยวิทยาจิตวิทยา (Psychological anthropology)
* มานุษยวิทยาชุมชนเมือง (Urban anthropology)
มานุษยวิทยาเชิงประวัติศาสตร์ (Historical Urban anthropology)
* มานุษยวิทยาเศรษฐศาสตร์ (Economic anthropology)
* มานุษยวิทยาการแพทย์ (Medical anthropology)
* มานุษยวิทยาประจักษ์ (Visual Anthropology)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชามานุษยวิทยา (Branches of Anthropology)
=== โบราณคดี (Archaeology) ===
โบราณคดีคลาสสิก (Classical archaeology)
อีจิปต์วิทยา (Egyptology)
โบราณคดีเชิงทดลอง
โบราณคดีใต้น้ำ (Maritime archaeology)
โบราณคดีตะวันออกใกล้ (Near Eastern archaeology)
โบราณคดีดึกดำบรรพ์ (Paleoanthropology)
โบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ (Prehistoric archaeology)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาโบราณคดี Branches of Archaeology
=== ภูมิภาคศึกษา (Area studies) ===
อเมริกันศึกษา (American studies)
แอปปาลาเชียนศึกษา (Appalachian studies)
แอฟริกันศึกษา (African studies)
เอเชียศึกษา (Asian studies)
แคนาดาศึกษา (Canadian studies)
เซลติกศึกษา (Celtic studies)
จีนศึกษา (Chinese studies หรือ Sinology)
ยุโรปตะวันออกศึกษา (Eastern European studies)
ยุโรปศึกษา (European studies)
เยอรมันศึกษา (German studies)
อินเดียศึกษา (Indian Studies) และ อินเดียวิทยา (Indology)
อิหร่านศึกษา (Iranian Studies)
ญี่ปุ่นศึกษา (Japanese studies)
ลาตินอเมริกันศึกษา (Latin American studies)
รัสเซียศึกษา (Russian studies)
สแกนดิเนเวียศึกษา (Scandinavian studies)
สลาวิกศึกษา (Slavic studies)
ไทยศึกษา (Thai studies)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาภูมิภาคศึกษา (Branches of Area Studies)
=== เศรษฐศาสตร์ (Economics) ===
เศรษฐศาสตร์การเกษตร (Agricultural Economics)
เศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม (Behavioural economics)
ชีวเศรษฐศาสตร์ (Bioeconomics)
เศรษฐศาสตร์การคอมพิวเตอร์ (Computational economics)
เศรษฐศาสตร์ผู้บริโภค (Consumer Economics)
เศรษฐศาสตร์การพัฒนา (Development economics)
มิติเศรษฐศาสตร์ (Econometrics)
ภูมิศาสตร์เศรษฐศาสตร์ (Economic geography)
ประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์ (Economic history)
สังคมวิทยาเศรษฐศาสตร์ (Economic sociology)
เศรษฐศาสตร์การพลังงาน (Energy economics)
เศรษฐศาสตร์ผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Economics)
เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental economics)
เศรษฐศาสตร์วิวัฒนาการ (Evolutionary economics)
เศรษฐศาสตร์เชิงทดลอง (Experimental economics)
เศรษฐศาสตร์สตรี (Feminist economics)
เศรษฐศาสตร์การเงิน (Financial economics)
ทฤษฎีเกม (Game theory)
เศรษฐศาสตร์เขียว (Green economics)
ทฤษฎีการพัฒนาของมนุษย์ (Human development theory)
การจัดองค์การเศรษฐศาสตร์ (Industrial organization)
เศรษฐศาสตร์สถาบัน
เศรษฐศาสตร์สากล (International economics)
เศรษฐศาสตร์อิสลาม (Islamic economics)
เศรษฐศาสตร์แรงงาน (Labor economics)
กฎหมายและเศรษฐศาสตร์ (Law and Economics)
เศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics)
เศรษฐศาสตร์การจัดการ (Managerial economics)
เศรษฐศาสตร์เชิงคณิตศาสตร์ (Mathematical economics)
เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomics)
เศรษฐศาสตร์ (Monetary economics)
เศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์การเมือง (Political economy)
การเงินสาธารณะ
เศรษฐศาสตร์สาธารณะ (Public economics)
เศรษฐศาสตร์ (Platform economics)
เศรษฐศาสตร์อสังหาริมทรัพย์ (Real estate economics)
เศรษฐศาสตร์ทรัพยากร (Resource economics)
เศรษฐศาสตร์สังคมนิยม (Socialist economics)
เศรษฐศาสตร์สังคมวิทยา (Socioeconomics)
เศรษฐศาสตร์การขนส่ง (Transport economics)
เศรษฐศาสตร์สวัสดิการ (Welfare economics)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ (Branches of Economics)
=== กลุ่มชาติพันธุ์ศึกษา (ethnic studies) ===
เอเชียนอเมริกันศึกษา (Asian American studies)
ชนผิวดำศึกษา (Black studies) และ อัฟริกันอเมริกันศึกษา (African American Studies)
ชิคาโนศึกษา (Chicano studies)
ชนพื้นเมืองอเมริกันศึกษา (Native American studies)
แคทอลิกศึกษา (Catholic studies)
ยุโรปตะวันออกศึกษา (Eastern European studies)
ภาษาเอสเปอรานโดศึกษา (Esperanto studies)
ลาตินศึกษา (Latino/Latina studies)
ลาตินอเมริกันศึกษา (Latin American studies)
อิสลามศึกษา (Islamic studies)
ยิวศึกษา (Jewish studies)
=== ลิงก์และเพศสภาพศึกษา (Gender and Sexuality studies) ===
เพศสภาพศึกษา (Sexuality studies)
ประเด็นเพศศึกษา? (Queer studies)
ทฤษฎีประเด็นเพศ? (Queer theory)
เกย์และเลสเบียนศึกษา (Gay and lesbian studies)
ทฤษฎีอินเทอร์เซกชัน (Intersection theory)
ลิงก์ศึกษา (Gender studies)
สตรีศึกษา (Women's studies)
บุรุษศึกษา (Men's studies)
ทฤษฎีลิงก์ (Gender theory)
ทฤษฎีวิกฤติ (Critical theory)
=== ภูมิศาสตร์ (Geography) ===
การทำแผนที่ (Cartography)
ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม (Cultural geography)
ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ Economic geography)
ภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental geography)
ภูมิศาสตร์มนุษย์ (Human geography)
ภูมิศาสตร์กายภาพ (Physical geography)
ภูมิศาสตร์มนุษย์ (Human geography)
* ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม (Cultural geography)
** ภูมิศาสตร์สตรีนิยม (Feminist geography)
* ภูมิศาสตร์เศรษฐศาสตร์ (Economic geography)
** ภูมิศาสตร์การพัฒนา (Development geography)
* ภูมิศาสตร์เชิงประวัติ (Historical geography)
** ภูมิศาสตร์เชิงเวลา (Time geography)
* ภูมิศาสตร์การเมือง (Political geography) และ ภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics)
** ภูมิศาสตร์การทหาร (Military geography)
** ภูมิศาสตร์ยุทธวิธี (Strategic geography)
* ภูมิศาสตร์ประชากร (Population geography)
* ภูมิศาสตร์สังคม (Social geography)
** ภูมิศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral geography)
** ภูมิศาสตร์เด็ก (Children's geographies)
** ภูมิศาสตร์สุขภาพ (Health geography)
** ภูมิศาสตร์การท่องเที่ยว (Tourism geography)
ภูมิศาสตร์เมือง (Urban geography)
ภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental geography)
ภูมิศาสตร์กายภาพ (Physical geography)
* ชีวภูมิศาสตร์ (Biogeography)
* ภูมิอากาศวิทยา (Climatology)
** ภูมิอากาศบรรพกาลวิทยา (Palaeoclimatology)
* ภูมิศาสตร์ชายฝั่ง (Coastal geography)
* ธรณีสัณฐานวิทยา (Geomorphology)
* ภูมิมาตรศาสตร์ (Geodesy)
* อุทกวิทยา/อุทกศาสตร์ (Hydrology) (Hydrography)
** ชลธารวิทยา (Limnology)
** สมุทรศาสตร์ (Oceanography)
* นิเวศวิทยาภูมิทัศน์ (Landscape ecology)
* ภูมิศาสตร์บรรพกาล (Palaeogeography)
ภูมิศาสตร์ภูมิภาค (Regional geography)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาภูมิศาสตร์ (Branches of Geography)
=== รัฐศาสตร์ (Political science) ===
การเมืองอเมริกัน (American politics)
หน้าที่พลเมือง (Civics)
การเมืองเปรียบเทียบ (Comparative politics)
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International relations)
การวิเคราะห์นโยบาย (Policy analysis) และ นโยบายศึกษา (Policy studies)
เศรษฐศาสตร์การเมือง (Political economy)
ปรัชญาการเมือง (Political philosophy)
วิทยาการเลือกตั้ง (Psephology)
นโยบายสาธารณะ (Public policy)
รัฐประศาสนศาสตร์ (Public administration)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชารัฐศาสตร์ (Branches of Political Science)
=== จิตวิทยา (Psychology) ===
จิตวิทยาอวกาศ* (Astropsychology)
จิตวิทยาอปรกติ (Abnormal psychology)
จิตวิทยาประยุกต์ (Applied psychology)
จิตวิทยาเชิงพฤติกรรม (Behavioural psychology)
พฤติกรรมศาสตร์ (Behavioural science)
จิตวิทยาเชิงชีววิทยา (Biological psychology)
จิตวิทยาคลินิก (Clinical psychology)
* การประเมินทางจิตวิทยา (Psychological assessment)
* จิตบำบัด (Psychotherapy)
** จิตบำบัดช่วงสั้น (Brief psychotherapy)
** การบำบัดเชิงพฤติกรรมปริชาน (Cognitive behavioral therapy)
** การบำบัดอย่างครอบครัว (Family therapy)
** การบำบัดแบบเกสทอลต์ (Gestalt therapy)
** การบำบัดแบบกลุ่ม (Group therapy)
** การบำบัดแบบเล่น (Play therapy)
** Psychodrama
จิตวิทยาปริชาน (Cognitive psychology)
ปริชานศาสตร์ (Cognitive science)
จิตวิทยาชุมชน (Community Psychology)
จิตวิทยาความแตกต่าง (Differential psychology)
จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental psychology)
จิตวิทยาการศึกษา (Educational psychology)
อารมณ์ (Emotion)
จิตวิทยาวิวัฒนาการ (Evolutionary psychology)
* จิตวิทยาพัฒนาเชิงวิวัฒนาการ (Evolutionary developmental psychology)
* จิตวิทยาการศึกษาเชิงวิวัฒนาการ (Evolutionary educational psychology)
จิตวิทยาการทดลอง (Experimental psychology)
นิตจิตวิทยา (Forensic psychology)
จิตวิทยาสุขภาพ (Health psychology)
การสื่อสารภายบุคคล (Intrapersonal communications)
จิตวิทยาและกฎหมาย (Legal psychology) (Psychology & Law)
ประสาทจิตวิทยา (Neuropsychology)
จิตวิทยาองค์การ Organisational psychology)
จิตวิทยาในการทำงาน
ปรจิตวิทยา* (Parapsychology)
จิตวิทยาบุคลิกภาพ (Personality psychology)
จิตวิทยาเชิงบวก (Positive psychology)
จิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis)
จิตวิทยามิติ (Psychometry)
จิตวิทยาฟิสิกส์ (Psychophysics)
จิตวิทยาเชิงปริมาณ (Quantitative psychology)
จิตวิทยาสังคม (Social psychology)
จิตวิทยาการกีฬา (Sport psychology)
ดูบทความประกอบ แขนงของสาขาวิชาจิตวิทยา (Branches of Psychology) , ประเภทของจิตบำบัด (Types of psychotherapy)
=== สังคมวิทยา (Sociology) ===
พฤติกรรมร่วม (Collective behavior)
สนเทศศาสตร์ชุมชน (Community informatics)
สังคมวิทยาเชิงคอมพิวเตอร์ (Computational sociology)
วัฒนธรรมศึกษา (Cultural Studies)
อาชญวิทยา (Criminology)
สังคมวิทยาสิ่งแวดล้อม
ปฏิสัมพันธ์นิยม (Interactionism)
การพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic development)
สังคมวิทยาเศรษฐศาสตร์ (Economic sociology)
สังคมวิทยาสตรี (Feminist sociology)
สังคมวิทยาประโยชน์นิยม (Functionalism)
อนาคตศึกษา (Future studies)
นิเวศวิทยามนุษย์ (Human ecology)
สังคมวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial sociology)
สังคมวิทยาสื่อ (Media Sociology)
สังคมวิทยาการแพทย์ (Medical sociology)
สังคมวิทยาการเมือง (Political sociology)
การวิเคราะห์โปรแกรม (Program evaluation)
สังคมวิทยาสาธารณะ (Public sociology)
สังคมวิทยาบริสุทธิ์ (Pure sociology)
สังคมวิทยาชนบท (Rural Sociology)
วิทยาศาสตร์ศึกษา (Science studies)
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีศึกษา (Science and technology studies)
การเปลี่ยนแปลงของสังคม (Social change)
ประชากรศาสตร์สังคม (Social demography)
ภาวะไม่เท่าเทียมทางสังคม (Social inequality)
ขบวนการสังคม (Social movements)
ทฤษฎีสังคม (Social Theory)
ทฤษฎีสังคมวิทยา (Sociological Theory)
ชีวสังคมวิทยา] (Sociobiology)
สังคมวิทยานิยันตศาสตร์ (Sociocybernetics)
สังคมวิทยาแห่งวัฒนธรรม (Sociology of culture)
สังคมวิทยาแห่งความขัดแย้ง (Sociology of conflict)
สังคมวิทยาพวกแปลกแยก (Sociology of deviance)
สังคมวิทยาแห่งอุบัติภัย (Sociology of disaster)
สังคมวิทยาครอบครัว (Sociology of the family)
สังคมวิทยาการตลาด (Sociology of markets)
สังคมวิทยาศาสนา (Sociology of religion)
สังคมวิทยาการกีฬา (Sociology of sport)
นาครศึกษา (Urban studies) Urban sociology)
สังคมวิทยาวิทัศน์ (Visual sociology)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาสังคมวิทยา (Branches of Sociology)
== วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural sciences) ==
=== วิทยาศาสตร์ปริภูมิ หรือ วิทยาศาสตร์อวกาศ (Space sciences) ===
ดาราศาสตร์ (Astronomy)
ดาราศาสตร์ชีววิทยา (Astrobiology)
ดาราศาสตร์ฟิสิกส์ (Astrophysics)
* ต้นตอจักรวาลวิทยา (Cosmogony)
* จักรวาลวิทยา (Cosmology)
* ดาราศาสตร์ความโน้มถ่วง (Gravitational astronomy)
** หลุมดำ (Black holes)
* มัชชิมระหว่างดวงดาว (Interstellar medium)
* การจำลองเชิงตัวเลข (Numerical simulations)
** ดาราศาสตร์ฟิสิกส์พลาสมา (Astrophysical plasma)
** การเกิดดาราจักรและวิวัฒนาการ (Galaxy formation and evolution)
** ฟิสกส์ดาราศาสตร์พลังสูง (High-energy astrophysics)
** อุทกพลศาสตร์ (Hydrodynamics)
** อุทกพลศาสตร์เชิงแม่เหล็ก (Magnetohydrodynamics)
** การเกิดดาว (Star formation)
* จักรวาลวิทยาเชิงฟิสิกส์ (Physical cosmology)
* ดาราศาสตร์ฟิสิกส์ดาว (Stellar astrophysics)
** วิทยาแผ่นดินไหวบนดวงอาทิตย์ (Helioseismology)
** วิวัฒนาการดวงดาว (Stellar evolution)
** การสังเคราะห์นิคลีโอดาว (Stellar nucleosynthesis)
ดาราศาสตร์เชิงสังเกตการณ์ (Observational astronomy)
* ดาราศาสตร์รังสีแกมมา (Gamma ray astronomy)
* ดาราศาสตร์อินฟราเรด (Infrared astronomy)
* ดาราศาสตร์ไมโครเวฟ (Microwave astronomy)
* ดารศาสตร์เชิงแสง (Optical astronomy)
* ดาราศาสตร์วิทยุ (Radio astronomy)
* ดาราศาสตร์ยูวี (UV astronomy)
* ดาราศาสตร์เอ็กซ์เรย์ (X-ray astronomy)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาดาราศาสตร์ (Branches of Astronomy)
=== วิทยาศาสตร์โลก (Earth Science) ===
บรรยากาศศาสตร์ (Atmospheric science)
* พลวัตบรรยากาศ (Atmospheric dynamics)
* ฟิสิกส์บรรยากาศ (Atmospheric physics)
* ภูมิอากาศวิทยา (Climatology)
ปฐพีวิทยาประยุกต์ (Edaphology)
วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental science)
ภูมิมาตรศาสตร์ (Geodesy)
อัญมณีวิทยา (Gemology)
ภูมิศาสตร์ (Geography)
ธรณีวิทยา (Geology)
ธรณีเคมี (Geochemistry)
ธรณีสัณฐานวิทยา (Geomorphology)
ธรณีฟิสิกส์ (Geophysics)
วิทยาธารน้ำแข็ง (Glaciology)
ธรณีอุกทกวิทยา (Hydrogeology)
อุทกวิทยา (Hydrology)
อุตุนิยมวิทยา (Meteorology)
วิทยาแร่ (Mineralogy)
สมุทรศาสตร์ (Oceanography)
ปฐพีวิทยา (Pedology)
บรรพชีวินวิทยา (Paleontology)
* บรรพชีวินชีววิทยา (Paleobiology)
วิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ (Planetary science)
ตะกอนวิทยา (Sedimentology)
ปฐพีศาสตร์ (Soil science)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาวิทยาศาสตร์โลก (Branches of Earth Sciences)
=== วิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิต (Life sciences) ===
ชีววิทยาชีวากาศ (Aerobiology)
กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy)
* กายวิภาคเปรียบเทียบ (Comparative anatomy)
* กายวิภาคมนุษย์ (Human anatomy)
* กายวิภาคศาสตร์สัตว์
* กายวิภาคศาสตร์พืช (phytonomy)
การสื่อสารของสัตว์ (Animal communications)
ชีวเคมี (Biochemistry)
ชีวสารสนเทศศาสตร์ (Bioinformatics)
ชีวฟิสิกส์ (Biophysics)
พฤกษศาสตร์ (Botany)
ชีววิทยาของเซลล์ (Cell biology)
ชีววิทยาลำดับเวลา (Chronobiology)
อติสิตชีววิทยา (Cryobiology)
นิเวศวิทยา (Ecology)
* นิเวศวิทยามนุษย์ (Human ecology)
* นิเวศวิทยาภูมิทัศน์ (Landscape ecology)
วิทยาต่อมไร้ท่อ (Endocrinology)
กีฏวิทยา (Entomology)
ชีววิทยาวิวัฒนาการ (Evolutionary biology)
พันธุศาสตร์ (Genetics)
ชีววิทยามนุษย์ (Human biology)
* กายวิภาคมนุษย์ (Human anatomy)
ชลธารวิทยา (Limnology)
อนุกรมวิธานลินเนียน (Linnaean taxonomy)
ชีววิทยาทางทะเล (Marine biology)
จุลชีววิทยา (Microbiology)
ชีววิทยาระดับโมเลกุล (enMolecular biology)
วิทยาเห็ดรา (Mycology)
ประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience)
บรรพชีวินชีววิทยา (Paleobiology)
* บรรพชีวินวิทยา (Paleontology)
ปรสิตวิทยา (Parasitology)
พยาธิวิทยา (Pathology)
วิทยาสาหร่าย (Phycology)
สรีรวิทยา (Physiology)
* สรีรวิทยามนุษย์ (Human physiology)
อนุกรมวิธาน (Systematics/Taxonomy)
ไวรัสวิทยา (Virology)
* ไวรัสวิทยาโมเลกุล (Molecular Virology)
* ไวรัสวิทยาโรคระบาด (Epidemial Virology)
ชีววิทยาแปลกปลอม (Xenobiology)
สัตววิทยา (Zoology)
* วิทยาสัตว์ลึกลับ (Cryptozoology)
* กีฏวิทยา (Entomology)
* กีฏวิทยาการแพทย์ (Medical entomology)
* พฤติกรรมวิทยา (Ethology)
* วิทยาสัตว์เลื้อยคลาน (Herpetology)
* มัจฉาวิทยา (Ichthyology)
* ไข่วิทยา (Oology)
* ปักษาวิทยา (Ornithology)
* วานรวิทยา (Primatology)
* สัตวกายวิภาคศาสตร์ (Zootomy)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิต และ จิตวิทยา
=== เคมี (Chemistry) ===
การเล่นแร่แปรธาตุ (Alchemy)
เคมีวิเคราะห์ (Analytical chemistry)
ชีวเคมี (Biochemistry)
วัสดุศาสตร์ (Material science)
เคมีวิเคราะห์ (Analytical chemistry)
สนเทศศาสตร์เคมี (Cheminfomatics)
เคมีการคำนวณ (Computational chemistry)
เคมีควอนตัม (Quantum Chemistry)
เคมีอนินทรีย์ (Inorganic chemistry)
เคมีอินทรีย์ (Organic chemistry)
เคมีฟิสิกส์ (Physical chemistry)
เคมีทฤษฎี (Theoretical chemistry)
เคมีไฟฟ้า (Electrochemistry)
จลนพลศาสตร์เคมี (Chemical kinetics)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาเคมี Branches of Chemistry)
=== ฟิสิกส์ (Physics) ===
สวนศาสตร์-อ่านว่าสะวะนะสาด (Acoustics)
ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ (Astrophysics)
ฟิสิกส์อะตอม โมเลกุลและทัศนศาสตร์
ชีวฟิสิกส์ (Biophysics)
ฟิสิกส์เชิงคำนวณ (Computational physics)
ฟิสิกส์สสารอัดแน่น (Condensed matter physics)
อติสีตศาสตร์ (Cryogenics)
วิชาแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetism)
ฟิสิกส์อนุภาคมูลฐาน (Elementary particle physics)
พลศาสตร์ของไหล (Fluid dynamics)
ธรณีฟิสิกส์ (Geophysics)
ฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์ (Mathematical physics)
ฟิสิกส์การแพทย์ (Medical physics)
วัสดุศาสตร์ (Material science)
กลศาสตร์ (Mechanics)
กลศาสตร์ดั้งเดิม (Newtonian Mechanics) (บางครั้งเรียกว่า กลศาสตร์คลาสสิก หรือ กลศาสตร์ของนิวตัน)
ฟิสิกส์โมเลกุล (Molecular physics)
ฟิสิกส์นิวเคลียร์ (Nuclear physics)
พลศาสตร์นิวตัน (Newtonian dynamics)
ทัศนศาสตร์
ฟิสิกส์พลาสม่า (Plasma physics)
ฟิสิกส์ควอนตัม (Quantum physics)
ฟิสิกส์ของแข็ง (Solid state physics)
กลศาสตร์เชิงสถิติ (Statistical mechanics)
พลศาสตร์ยานยนต์
ฟิสิกส์อนุภาค (Particle physics)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาฟิสิกส์ (Branches of Physics)
== วิทยาศาสตร์รูปนัย (Formal science) ==
=== คณิตศาสตร์ (Mathematics) ===
พีชคณิต (Algebra)
* ทฤษฎีกลุ่ม (Group theory)
* ทฤษฎีตัวแทนกลุ่ม (Group presentation theory)
* ทฤษฎีวงแหวน (Ring hteory)
* ทฤษฎีสนาม (Field theory)
* พีชคณิตเชิงเส้น (Linear algebra) และ ปริภูมิเวกเตอร์ (Vector space)
* พีชคณิตเชิงหลายเส้น (Multiinear algebra)
* พีชคณิตเชิงนอน (Lie algebra)
* พีชคณิตการเปลี่ยนหมู่ (Asociative algebra)
* พีชคณิตการไม่เปลี่ยนหมู่ (Non-asociative algebra)
* พีชคณิตสากลลักษณ์ (Universal algebra)
* พีชคณิตโฮโมลอจิก (Homological algebra)
* ทฤษฎีเชิงประเภท (Category algebra)
* ทฤษฎีแลตทิซ (Lattice theory)
* พีชคณิตเชิงอนุพันธ์ (Differential algebra)
การวิเคราะห์ (Analysis)
* การวิเคราะห์เชิงจริง (Real analysis)
** แคลคูลัส (Calculus)
* การวิเคราะห์เชิงซ้อน (Complex anlysis)
* การวิเคราะห์เชิงหน้าที่ (Fuctional anlysis)
** ทฤษฎีตัวดำเนินการ (Operator theory)
* การวิเคราะห์เชิงไม่มาตรฐาน (Non-standard analysis)
* การวิเคราะห์ฮาร์โมนิก (Harmonic analysis)
* การวิเคราะห์พี-เอดิก (p-adic analysis)
* สมการเชิงอนุพันธ์ปกติ (Ordinary differential equations)
* สมการเชิงอนุพันธ์บางส่วน (Partial differential equations)
ทฤษฏีความน่าจะเป็น (Probability Theory)
* ทฤษฎีเมเชอร์ (Measure theory)
* ทฤษฎีเออร์โกดิก (Ergodic theory)
* กระบวนการเฟ้นกลุ่ม (Stochastic process)
เรขาคณิต (Geometry) และ ทอพอโลยี (Topology)
* ทอพอโลยีทั่วไป (General topology)
* ทอพอโลยีพีชคณิต (Algebraic topology)
* ทอพอโลยีเรขาคณิต (Geometric topology)
* ทอพอโลยีเชิงอนุพันธ์ (Differential topology)
* เรขาคณิตเชิงพีชคณิต (Algebraic geometry)
* เรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ (Differential geometry)
* เรขาคณิตเชิงฉายภาพ (Projective geometry)
* เรขาคณิตสัมพรรค (Affine geometry)
* เรขาคณิตนอกแบบยุคลิด (Non-Euclidean geometry)
* เรขาคณิตคอนเวกซ์ (Convex geometry)
* เรขาคณิตวิยุต (Discrete geometry)
ทฤษฎีจำนวน (Number theory)
* ทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์ (Analytic number theory)
* ทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์ (Algebraic number theory)
* ทฤษฎีจำนวนเชิงเรขาคณิต (Geometric number theory)
ตรรกวิทยา (Logic) และ พื้นฐานแห่งคณิตศาสตร์ (Foundations of mathematics)
* ทฤษฎีเซต (Set theory)
* ทฤษฎีพิสูจน์ (Proof theory)
* ทฤษฎีแบบจำลอง (Model theory)
* ทฤษฎีการเกิดซ้ำ (Recursion theory)
* ตรรกวิทยาอัญรูป (Modal logic)
* ตรรกวิทยาสหัชญาณนิยม (Intuitionistic logic)
คณิตศาสตร์ประยุกต์ (Applied mathematics)
* สถิติ (Statistics)
** สถิติเชิงคณิศาสตร์ (Mathematical statistics)
** เศรษฐมิติ (Econometrics)
** คณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuarial science)
** ประชากรศาสตร์ (Demography)
* ทฤษฎีการประมาณ (Approximation theory)
* การวิเคราะห์เชิงตัวเลข (Numerical analysis)
* กำหนดการเชิงคณิตศาสตร์ (Optimization (Mathematical programming))
** การวิจัยดำเนินการ (Operations research)
** กำหนดการเชิงเส้น (Linear programming)
* ระบบเชิงพลวัต (Dynamical systems)
** ทฤษฎีความอลวล (Chaos theory)
** เรขาคณิตสาทิสรูป (Fractal geometry)
* ฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์ (Mathematical physics)
** ทฤษฎีภาคสนามควอนตัม (Quantum field theory)
* ทฤษฎีการคณนา (Theory of computation)
** ทฤษฏีเชิงซ้อนการคณนา (Computational complexity theory)
* ทฤษฎีสารสนเทศ (Information theory)
* วิทยาการรหัสลับ (Cryptography)
* คณิตศาสตร์เชิงการจัด (Combinatorics)
** ทฤษฎีรหัส (Coding theory)
* ทฤษฎีกราฟ (Graph theory)
* ทฤษฎีเกม (Game Theory)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาคณิตศาสตร์ (Branches of Mathematics) และ AMS Mathematics Subject Classification
=== วิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) และ วิทยาการสารสนเทศ (Informatics/Information science) ===
วิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer science)
วิทยาการสารสนเทศ/สารสนเทศศาสตร์ (Informatics/Information science)
ทฤษฎีการคำนวณ (Theory of computation)
ทฤษฎีความซับซ้อน (Complexity theory)
การคำนวณ (Computing)
* ทฤษฎีออโตมาตา (Automata theory) และ (ภาษาทางการ (Formal languages)
* ทฤษฎีภาวะคำนวณได้ (Computability theory)
* ทฤษฎีภาวะคำนวณได้เชิงซ้อน (Computational complexity theory)
* ทฤษฎีภาวะพร้อมกัน (Concurrency theory)
ขั้นตอนวิธี (Algorithm)
* ขั้นตอนวิธีเชิงสุ่ม (Randomized algorithms)
* ขั้นตอนวิธีเชิงกระจาย (Distributed algorithms)
* ขั้นตอนวิธีเชิงขนาน (Parallel algorithms)
โครงสร้างข้อมูล (Data structures)
สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ (Computer architecture)
* การออกแบบวีแอลเอสไอ (VLSI design)
ระบบปฏิบัติการ (Operating systems)
การสื่อสารคอมพิวเตอร์ (โครงข่าย) (Computer communications (networks))
* ทฤษฎีข้อมูล (Information theory)
* อินเทอร์เน็ต (Internet) และ เวิลด์ไวด์เว็บ (World wide web)
* การคอมพิวเตอร์ไร้สาย (Wireless computing) และ (การคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่) (Mobile computing)
ความมั่นคงคอมพิวเตอร์ (Computer security) และ ความเชื่อถือได้ (reliability)
วิทยาการอำพรางข้อมูล
* วิทยาการรหัสลับ (Cryptography)
* การคอมพิวเตอร์ทานต่อความผิดพร่อง (Fault-tolerant computing)
การคอมพิวเตอร์แบบกระจาย (Distributed computing)
* การคอมพิวเตอร์แบบกริด (Grid computing)
การคอมพิวเตอร์แบบขนาน (Parallel computing)
* การคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (High-performance computing)
การคอมพิวเตอร์ควอนตัม (Quantum computing)
เรขภาพคอมพิวเตอร์ (Computer graphics)
* การประมวลผลภาพ (Image processing)
* การสร้างภาพนามธรรมชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific visualization)
* เรขาคณิตการคอมพิวเตอร์ (Computational geometry)
วิศวกรรมซอฟต์แวร์ (Software engineering)
* วิธีเชิงรูปนัย (Formal methods) และ การทวนสอบเชิงรูปนัย (Formal verification)
ภาษาโปรแกรม (Programming languages)
* แบบอย่างโปรแกรม (Programming paradigms)
** การทำโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object-oriented programming)
** โปรแกรมเชิงหน้าที่ (Functional programming)
* อรรถศาสตร์โปรแกรม (Program semantics)
* ทฤษฎีแบบ (Type theory)
* ตัวแปลโปรแกรม (Compilers)
* ภาษาโปรแกรมพ้อง (Concurrent programming languages)
วิทยาการสารสนเทศ (Information science)
* ฐานข้อมูล (Database)
** ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational database)
** ฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distributed database)
** ฐานข้อมูลจุดหมาย (Object database)
* สื่อผสม (Multimedia) , สื่อหลายมิติ (hypermedia)
* การทำเหมืองข้อมูล (Data mining)
* การค้นคืนสารสนเทศ (Information retrieval)
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence)
* ปริชานศาสตร์ (Cognitive science)
** การรู้เหตุผลอัตโนมัติ (Automated reasoning)
** การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning)
*** โครงข่ายประสาทประดิษฐ์ (Artificial neural network)
** การประมวลผลภาษาแบบธรรมชาติ (Natural language processing) และ (Computational linguistics (ภาษาศาสตร์เชิงคำนวณ)
** คอมพิวเตอร์วิทัศน์ (Computer vision)
* ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert systems)
* วิทยาการหุ่นยนต์ (Robotics)
ปฏิสัมพันธ์มนุษย์-คอมพิวเตอร์ (Human-computer interaction)
การคอมพิวเตอร์ใน คณิตศาสตร์ (Mathematics) วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural sciences) วิศวกรรม (Engineering) และ การแพทย์ (Medicine)
* การวิเคราะห์จำนวน (Numerical analysis)
* คอมพิวเตอร์เชิงพีชคณิต (Algebraic (symbolic) computation)
* ทฤษฎีจำนวนเชิงคอมพิมเตอร์ (Computational number theory)
* คณิตศาสตร์เชิงคอมพิวเตอร์ (Computational mathematics)
* การคอมพิวเตอร์เชิงวิทยาศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์เชิงคอมพิวเตอร์ (Scientific computing (Computational science))
* ชีวสารสนเทศศาสตร์ (Computational biology (bioinformatics))
* ฟิสิกส์เชิงคอมพิวเตอร์ (Computational physics)
* เคมีเชิงคอมพิวเตอร์ (Computational chemistry)
* ประสาทวิทยาศาสตร์เชิงคอมพิวเตอร์ (Computational neuroscience)
* งานวิศวกรรมใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (Computer-aided engineering)
** การวิเคราะห์ชิ้นประกอบจำกัด (Finite element analysis)
** พลศาสตร์ของไหลเชิงคอมพิวเตอร์ (Computational fluid dynamics)
คอมพิวเตอร์ในสังคมศาสตร์ (Social sciences) ศิลปะ (Arts) วิชาชีพ (Professions) และ มนุษยศาสตร์ (Humanities)
* เศรษฐศาสตร์เชิงคอมพิวเตอร์ (Computational economics)
* สังคมวิทยาเชิงคอมพิวเตอร์ (Computational sociology)
* การเงินเชิงคอมพิวเตอร์ (Computational finance)
* การคอมพิวเตอร์เชิงมนุษยศาสตร์ (Humanities computing (Digital Humanities))
ระบบสารสนเทศ (Information systems) (สนเทศศาสตร์ธุรกิจ (Business informatics))
* เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information technology)
* ระบบสารสนเทศการจัดการ (Management information systems)
* สนเทศศาสตร์สุขภาพ (Health informatics)
คอมพิวเตอร์กับสังคม
* ประวัติศาสตร์การคอมพิวเตอร์ (History of computing)
* สนเทศศาสตร์มนุษยนิยม (Humanistic informatics)
* สนเทศศาสตร์ชุมชน (Community informatics)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาวิทยาการคอมพิมเตอร์พื้นฐาน (Branches of Computer Science) และที่ ACM Computing Classification System
== วิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Applied science) ==
=== เกษตรศาสตร์ (Agriculture) ประมง (Fisheries) และ วนศาสตร์ (forestry) ===
เกษตรวิทยา (Agrology)
พืชสวน (Horticulture)
พืชไร่ (Agronomy)
พืชศาสตร์ (Plant science)
สัตวศาสตร์ (Animal science)
เศรษฐศาสตร์เกษตร (Agricultural economics)
การเพาะเลี้ยงผึ้ง (Apiculture)
การเลี้ยงไหม (Sericulture)
วาริชกรรมเพาะเลี้ยง,เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Aquaculture)
ประมง (Fisheries) ประมงศาสตร์ และ วาริชศาสตร์ Fisheries science)
ผลิตภัณฑ์ประมง (Fishery products,Fish products)
การป่าไม้ (Forestry)
การรักษาป่าไม้ (Silviculture)
องค์กรการป่าไม้ (Forestry organisation)
วนารักษศาสตร์ (Silviculture)
=== ธุรกิจ (Business) ===
วิชาการบัญชี (Accounting scholarship)
การบริหารการศิลปะ (Arts administration (as a subfield of Business Administration)
การบริหารธุรกิจ (Business Administration)
จรรยาบรรณในธุรกิจ (Business ethics)
การเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship)
การเงิน (Finance)
การบริหารโรงพยาบาล (Hospitality management)
การบริหารโรงแรม (hotel management)
อุตสาหกรรมและแรงงานสัมพันธ์ (Industrial and labor relations:)
ธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business)
* การร่วมเจรจาต่อรอง (Collective bargaining)
* ทรัพยากรบุคคล (Human resources)
** พฤติกรรมองค์กร (Organizational behavior)
* แรงงานนานาชาติและแรงงานเปรียบเทียบ (International and comparative labor)
* เศรษฐศาสตร์แรงงาน (Labor economics)
* ประวัติศาสตร์แรงงาน (Labor history)
* สถิติศาสตร์แรงงาน (Labor statistics)
ระบบสารสนเทศ (Information systems)
การจัดการ (Management)
การตลาด (Marketing)
การผลิต (Manufacturing)
อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)
การบริหารความเสี่ยงและการประกัน (Risk Management & Insurance)
การจัดการการดำเนินงาน (Operations Management)
=== การศึกษา (Education) ===
การบริหารการศึกษา (Educational administration)
จิตวิทยาการศึกษา (Educational psychology)
หลักสูตรและการสอน (Curriculum and instruction)
* การศึกษาปฐมวัย (Elementary Education) หรือ (Primary education) และ (Intermediate education)
* การศึกษาระดับมัธยมต้น (Middle school education)
* มัธยมศึกษา (Secondary education)
* อุดมศึกษา (Higher education)
* พลศึกษา (Adapted physical education)
* เกษตรกรรมการศึกษา (Agricultural education)
* ศิลปะการศึกษา (Art education)
* การศึกษาแบบสองภาษา (Bilingual education)
* เคมีการศึกษา (Chemistry education)
* ภาษาการศึกษา (Language education)
* กฎหมายการศึกษา (Legal education)
* คณิตศาสตรศึกษา (Mathematics education)
* แพทยศาสตรศึกษา (Medical education)
* การศึกษาการทหารและการฝึก (Military education and training)
* ดนตรีการศึกษา (Music education)
* พยาบาลการศึกษา (Nursing education)
* สันติภาพการศึกษา (Peace education)
* พลศึกษา (Physical education)
* สุขศึกษา (Health education))
* ฟิสิกส์การศึกษา (Physics education)
* การศึกษาการอ่าน (Reading education)
* ศาสนการศึกษา (Religious education)
* วิทยาศาสตร์การศึกษา (Science education)
* เพศศึกษา (Sex education)
* การศึกษาเทคโนโลยี (Technology education)
* อาชีวศึกษา (Vocational education)
ภาวะผู้นำด้านการศึกษา (Educational leadership)
จิตวิทยาการศึกษา (Educational psychology)
เทคโนโลยีการศึกษา (Educational technology)
วิชาครูสอนการคิด (Critical pedagogy)
=== วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) ===
วิศวกรรมสวนศาสตร์ (Acoustic engineering)
วิศวกรรมการเดินอากาศ (Aeronautical engineering)
วิศวกรรมเกษตร (Agricultural engineering)
สถาปัตยวิศวกรรม (Architectural engineering)
ชีววิศวกรรม (Bioengineering)
* ชีววัสดุวิศวกรรม (Biomaterials engineering)
* วิศวกรรมชีวกลศาสตร์ (Biomechanical engineering)
* วิศวกรรมชีวเวช (Biomedical engineering)
วิศวกรรมเคมี (Chemical engineering)
วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (Computer engineering)
วิศวกรรมระบบอุปกรณ์และการควบคุม (Control systems engineering)
วิศวกรรมไฟฟ้า (Electrical engineering)
วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic engineering)
วิศวกรรมโยธา (Civil engineering)
* วิศวกรรมขนส่ง (Transportation engineering)
* วิศวกรรมเทคโนโลยีธรณี (Geotechnical engineering)
วิศวกรรมการรบ (Combat engineering)
วิศวกรรมศาสตร์ (Computer science and engineering)
* ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)
วิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ (Robotics)
วิศวกรรมระบบควบคุม (Control systems engineering)
วิศวกรรมนิเวศวิทยา (Ecological engineering)
วิศวกรรมไฟฟ้า (Electrical engineering)
วิศวกรรมอีเลกทรอนิกส์ (Electronic engineering)
* จุลอีเล็กทรอนิกส์ (Microelectronics และ semiconductor engineering)
วิศวกรรมการสื่อสาร (Communication engineering)
วิศวกรรมการเครื่องมือ (Instrumentation engineering)
วิศวกรรมพลังงาน (Energy engineering)
ฟิสิกส์วิศวกรรม (Engineering physics)
วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม (Environmental engineering)
วิศวกรรมอุตสาหการ (Industrial engineering)
* วิศวกรรมการผลิต (Manufacturing engineering)
* วิศวกรรมการจัดการ (Management engineering)
* การยศาสตร์ (Ergonomics)
วิศวกรรมวัสดุ (Materials engineering)
* วิศวกรรมเซรามิก (Ceramic engineering)
* วิศวกรรมโลหการ (Metallurgical engineering)
* วิศวกรรมพอลิเมอร์ (Polymer engineering)
วิศวกรรมเครื่องกล (Mechanical engineering)
* วิศวกรรมอุณหภาพ (Thermal engineering)
* วิศวกรรมการออกแบบ (Design engineering)
วิศวกรรมเหมืองแร่ (Mining engineering)
นาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology)
* นาโนอิเล็กทรอนิกส์ (Nanoelectronics)
* นาโนเทคโนโลยีชีวภาพ (Bionanotechnology)
* นาโนเซนเซอร์ (Nanosensor)
* การแพทย์นาโน (Nanomedicine)
* ท่อนาโน (Nanotube)
* นาโนมอเตอร์ (Nanomotor)
* โรงงานนาโน (Nanofactory)
วิศวกรรมนิวเคลียร์ (Nuclear engineering)
วิศวกรรมสมุทรศาสตร์ (Ocean engineering)
วิศวกรรมทัศนศาสตร์ (Optical engineering)
วิศวกรรมประกันคุณภาพ (Quality assurance engineering)
* วิศวกรรมปิโตรเลียม (Petroleum engineering)
วิศวกรรมความปลอดภัย (Safety engineering)
วิศวกรรมซอฟต์แวร์ (Software engineering)
วิศวกรรมโทรคมนาคม (Telecommunications engineering)
วิศวกรรมการขนส่ง (Transportation engineering)
* วิศวกรรมอวกาศ (Aerospace engineering)
* วิศวกรรมยานยนต์ (Automotive systems engineering)
นาวิกวิศวกรรม (Naval engineering)
** วิศวกรรมทางทะเล (Marine engineering)
** นาวิกสถาปัตยกรรม (Naval architecture)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาวิศวกรรม (Branches of Engineering)
=== วิทยาศาสตร์ครอบครัวและการบริโภค (Family and consumer science) ===
การศึกษาผู้บริโภค (Consumer education)
เคหการ (Housing)
การออกแบบภายใน (Interior design)
โภชนาการ (Nutrition)
สิ่งทอ (Textiles)
=== วิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health sciences) ===
วิทยาศาสตร์สุขภาพที่เกี่ยวพัน (Allied Health Sciences)
* การพยาบาล (Nursing)
** ทฤษฎีการพยาบาล (Nursing Theories)
** การผดุงครรภ์ (Midwifery)
* โภชนาการและการกำหนดอาหาร (Nutrition) & (Dietetics)
* ทัศนมาตรศาสตร์ (Optometry)
* กายภาพบำบัด (Physiotherapy)
* พยาธิวิทยาการพูด-ภาษา (Speech-Language Pathology)
* เทคนิคการแพทย์
* รังสีเทคนิค (Radiological technology)
* กายอุปกรณ์
* กิจกรรมบำบัด
วิทยาศาสตร์การแพทย์ (Medical Sciences)
* วิสัญญีวิทยา (Anaesthetics)
* หทัยวิทยา (Cardiology)
* ทันตแพทยศาสตร์ (Dentistry)
** อนามัยฟัน (Dental hygiene) และ วิทยาการระบาด (Epidemiology)
* ทันตกรรมคลองรากฟัน (Endodontics)
* ทันตกรรมจัดฟัน (Orthodontics)
* กุมารทันตศาสตร์ (Pediodontics)
* ปริทันตวิทยา (Periodontics)
* วิชาทันตกรรมประดิษฐ์ (Prosthodontics)
** ทันตศัลยกรรม (Dental surgery)
** ทันตกรรมบูรณะ (Restorative dentistry) และ เอนโดดอนติกส์ (Endodontics)
** ศัลยกรรมปากและใบหน้าขากรรไกร (Oral and maxillofacial surgery)
** เพโดดอนติกส์ (Pedodontics) กันตกรรมกุมาร (Pediatric dentistry)
** ปริทันตวิทยา (Periodontics)
** ทัตกรรมประดิษฐ์ (Prosthodontics)
** ทันตกรรมรากฟันเทียม
* เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (Emergency Medicine)
** การแพทย์ภัยพิบัติ (Disaster Medicine)
** พิษวิทยาฉุกเฉิน (Emergency Toxicology)
** การแพทย์สังเกตการณ์ (Observation Medicine)
** การดูแลก่อนเข้าโรงพยาบาล (en:Pre-hospital Care)
** การแพทย์ยุทธวิธีฉุกเฉิน (Tactical Emergency Medicine)
* วิทยาต่อมไร้ท่อ (Endocrinology)
** วิทยาโรคเบาหวาน (Diabetology)
* วิทยาการระบาด (Epidemiology)
* นิติเวชศาสตร์
* เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ (Geriatrics)
* นรีเวชวิทยา (Gynaecology)
* โลหิตวิทยา (Hematology)
* อายุรศาสตร์ (Internal medicine) หรือ (General medicine)
* การแพทย์นานาชาติและมนุษยธรรม (International and Humanitarian Medicine)
* วักกวิทยา (Nephrology)
* ประสาทวิทยา (Neurology)
* ประสาทกายวิภาคศาสตร์ (Neuroanatomy)
* ประสาทศัลยศาสตร์ (Neurosurgery)
* สูติศาสตร์ (Obstetrics)
* วิทยามะเร็ง (Oncology)
* จักษุวิทยา (Ophthalmology)
* ศัลยกรรมกระดูก (Orthopedic surgery)
* โสตศอนาสิกวิทยา (Otolaryngology)
* มิญชวิทยา
** มิญชพยาธิวิทยา
* พยาธิวิทยา (Pathology)
** พยาธิกายวิภาค
** พยาธิวิทยาคลินิค เวชศาสตร์ชันสูตร
* กุมารเวชศาสตร์ (Pediatrics)
* บาทาเวชศาสตร์ (Podiatry)
* บริบาลเบื้องต้น (Primary care)
** เวชปฏิบัติทั่วไป (General Practice)
* สาธารณสุข (Public health)
* จิตเวชศาสตร์ (Psychiatry)
** การแพทย์เกี่ยวกับการติดยา (Addiction Medicine)
* จิตวิทยา (Psychology)
** จิตวิทยาคลินิก (Clinical Psychology)
** จิตวิทยาอุปนิเทศ (Counseling psychology)
* รังสีวิทยา (Radiology)
* เวชศาสตร์คลินิก (clinical medicine)
* เวชศาสตร์ฟื้นฟู (Rehabilitation Medicine)
* เวชศาสตร์ทางเดินหายใจ (Respiratory medicine)
** โรคปอดวิทยา (Pulmonology)
** เวชศาสตร์ภาวะหลับ (Sleep Medicine)
* วิทยารูมาติก (Rheumatology)
* เวชศาสตร์การกีฬา (Sports Medicine)
* ศัลยกรรม (Surgery)
** ศัลยกรรมโรคอ้วน (Bariatric Surgery)
** ศัลยกรรมทรวงอก (Cardiothoracic Surgery)
** ศัลยกรรมประสาท (Neurosurgery)
** ศัลยกรรมตกแต่ง (Plastic Surgery)
* วิทยาการบาดเจ็บ หรือ วิทยาการอุบัติเหตุ (Traumatology)
* วิทยาทางเดินปัสาวะ (Urology)
** วิทยาเพศชาย (Andrology)
เภสัชวิทยา (Pharmaconomy)
เภสัชศาสตร์ (Pharmacy)
สัตวแพทยศาสตร์ (Veterinary medicine)
ดูบทความประกอบ: แขนงของสาขาวิชาการแพทย์ (Branches of Medicine)
=== วารสารศาสตร์ (Journalism) สื่อ (media) และ การสื่อสาร (communication) ===
วารสารศาสตร์ (Journalism)
* วารสารศาสตร์การออกอากาศ (Broadcast journalism)
* วารสารศาสตร์วรรณกรรม (Literary journalism)
* วารสารศาสตร์สื่อนฤมิต (New media journalism)
* วารสารศาสตร์สิ่งพิมพ์ (Print journalism)
สื่อศึกษา (Media studies)
* สื่อมวลชน (Mass media)
* วิทยุ (Radio)
* โทรทัศน์ (Television)
** โทรทัศน์ศึกษา (Television studies)
การสื่อสาร (Communication)
* สัญญาณศาสตร์ (Semiotics)
** ธัชวิทยา (Vexillology)
* การสื่อความของสัตว์ (Animal communications)
* ทฤษฎีสารสนเทศ (Information theory)
* การโฆษณา (Advertising)
* การออกแบบเพื่อการสื่อสาร (Communication design)
* การตลาด (Marketing)
* การสื่อสารมวลชน (Mass communication)
* การโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)
* การประชาสัมพันธ์ (Public relations)
* การเรียงความเชิงเทคนิค (Technical Writing)
* การสื่อสารโดยไม่ใช้วาจา (Nonverbal communication) s
* การสื่อความทางสุนทรพจน์ (Speech communication) s
* การสื่อความผ่านคอมพิวเตอร์ (Computer-mediated communications)
=== นิติศาสตร์ (Law) ===
ประมวลกฎหมายโรมันเกี่ยวกับศาสนา (Canon law)
กฎหมายเปรียบเทียบ (Comparative law)
กฎหมายรัฐธรรมนูญ (Constitutional law)
กฎหมายแพ่ง (Civil law)
* กฎหมายแพ่ง (Accounting law)
* กฎหมายพาณิชยนาวี (Admiralty law)
* กฎหมายธุรกิจ? (Corporations)
* วิธีพิจารณาความแพ่ง (Civil procedure)
* สัญญา (Contracts)
* กฎหมายสิ่งแวดล้อม (Environmental law)
* กฎหมายระหว่างประเทศ (International law)
* กฎหมายแรงงาน (Labor law)
* กฎหมายทรัพย์สิน (Property law)
* กฎหมายภาษี (Tax law)
* การละเมิด (Torts)
กฎหมายอาญา (Criminal law)
* วิธีพิจารณาความอาญา (Criminal procedure)
* งานยุติธรรม (Criminal justice) - ดู (Public Affairs) และ ข้างล่าง) (Community Service)
** วิทยาศาสตร์การตำรวจ (Police science)
** นิติเวชศาสตร์ (Forensics)
กฎหมายอิสลาม (Islamic law)
กฎหมายยิว (Jewish law)
นิติธรรม (Jurisprudence)
กฎหมายแมนซ์? (Manx law)
ปรัชญากฎหมาย (Philosophy of law)
=== บรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ (Library and information science) และ พิพิธภัณฑ์ศึกษา (museum studies) ===
วิทยาศาสตร์จดหมายเหตุ (Archival science)
ดัชนีวรรณกรรม (Bibliometrics)
* การวิเคราะห์การอ้างอิง (Citation analysis)
สนเทศศาสตร์ (Informatics)
สถาปัตยกรรมสารสนเทศ (Information architecture)
พิพิธภัณฑวิทยา (Museology)
* การบริหารงานพิพิธภัณฑ์ (Museum administration)
=== วิทยาศาสตร์การทหาร (Military Science) ===
เหล่าทหารปืนใหญ่ (Artillery)
กองทัพอากาศศึกษา (Air force studies)
การต่อสู้ (Campaigning)
วิศวกรรมการรบ (Combat engineering)
ระบบการทหารเชิงเปรียบเทียบ (Comparative military systems)
ลัทธิ (Doctrine)
การวางแผนกองกำลัง (Force planning)
ทฤษฎีเกมส์ (Game theory)
การนำทัพ (Generalship)
สงครามร่วมศึกษา (Joint warfare studies)
ภาวะผู้นำ (Leadership)
การส่งกำลังบำรุง (Logisticscs)
จริยธรรมทหาร (Military ethics)
ประวัติศาสตร์การทหาร (Military history)
ข่าวกรองทางการทหาร (Military intelligence)
กฎหมายทหาร (Military law)
การแพทย์ทหาร (Military medicine)
นาวิกศาสตร์ (Naval science)
* นาวิกวิศวกรรม (Naval engineering)
* ยุทธวิธีนาวี (Naval tactics)
* นาวิกสถาปัตยกรรม (Naval architecture)
* ระบบอาวุธ (Weapons systems)
ปฏิบัติการพิเศษและการประทะอย่างเบาบาง (Special operations and low intensity conflict)
ยุทธศาสตร์ Strategy)
ยุทธวิธี (Tactics)
* ยุทธวิธีนาวี (Naval tactics)
=== กิจการสาธารณะ (Public affairs) ===
การราชทัณฑ์ (Corrections)
งานยุติธรรม (Criminal justice)
ความปลอดภัยด้านอัคคีภัย (การป้องกันอัคคีภัย) (Fire Safety หรือ Fire protection)
กิจการของรัฐ? (Governmental affairs)
การบริหารกิจการไม่แสวงกำไร (Nonprofit administration)
การจัดการสวนสาธาณะและนันทนาการ (Parks and recreation management)
รัฐประศาสนศาสตร์ (Public administration)
นโยบายสาธารณะ (Public policy)
=== สังคมสงเคราะห์ (Social work) ===
สวัสดิการเด็ก (Child welfare)
ปฏิบัติการชุมชน (Community practice)
* การจัดชุมชน (Community organizing)
* นโยบายสังคม (Social policy)
* การจัดการบริการมนุษย์ (Human services management)
* การจัดการงานไม่แสวงกำไร (Nonprofit management)
การราชทัณฑ์ (Corrections)
การบริการครอบครัวและเด็ก (Family and children's services)
ชราภาพวิทยา (Gerontology)
สังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ (Medical social work)
สุขภาพจิต (Mental health)
นักสังคมสงเคราะห์โรงเรียน (School social work)
== ดูเพิ่ม ==
รายชื่อหัวข้อวิชาทางวิทยาศาสตร์ (List of science topics)
สหวิทยาการ (Interdisciplinary)
รายชื่อสาขาการศึกษาระดับปริญญาเอก (List of fields of doctoral studies)
การร่วมจำแนกวิชาเชิงวิชาการ (Joint Academic Classification of Subjects)
รายชื่อหัวข้อวิชาสาขาครุศาสตร์ (Education topics)
สายวิชาทางวิทยาศาสตร์ (Fields of science)
ชุมชนวิชาการ (Academia)
สหสาขาวิชา (Interdisciplinarity)
รายชื่อวิชาที่ลงท้ายด้วย -ology หรือ -วิทยา (ologies)
การข้ามสาขาศึกษา (Transdisciplinary Studies)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
การจำแนกโปรแกรมการสอน (Classification of Instructional Programs) -CIP 2000): พัฒนาโดยศูนย์สถิติการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นอนุกรมวิธานที่จะให้การสนับสนุนการติดตาม ประเมินและรายงานสาขาการศึกษาและการกิจกรรมการศึกษาได้สมบูรณ์และแม่นยำขึ้น
Complete JACS (Joint Academic Classification of Subjects) จากสำนักงานสถิติการอุดมศึกษา (Higher Education Statistics Agency) (HESA) ใน สหราชอาณาจักร
รายชื่อ
สาขาวิชาการ
การศึกษา
|
thaiwikipedia
| 2,037 |
11 มิถุนายน
|
วันที่ 11 มิถุนายน เป็นวันที่ 162 ของปี (วันที่ 163 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 203 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2052 (ค.ศ. 1509) - พระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ อภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงแคทารีนแห่งอรากอน
พ.ศ. 2270 (ค.ศ. 1727) -
*พระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่ เสด็จสวรรคต
*พระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่ เสด็จขึ้นครองราชย์
พ.ศ. 2313 (ค.ศ. 1770) - กัปตันเจมส์ คุก แล่นเรือเกยตื้นโขดหินปะการังเกรตแบริเออร์รีฟ ณ ชายฝั่งออสเตรเลีย
พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) - สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง: รัฐบาลจีนสร้างเหตุการณ์อุทกภัยแม่น้ำเหลืองปี 1938 เพื่อหยุดยั้งการบุกของกองทัพญี่ปุ่น ส่งผลให้พลเรือนจีนเสียชีวิตกว่า 500,000-900,000 คน
พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - สงครามโลกครั้งที่สอง: กองทัพของสหราชอาณาจักรทิ้งระเบิดใส่เมืองตูรินและเจนัวในประเทศอิตาลี
พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - แผนกฝึกหัดครูมัธยม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สมทบเข้าเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาลัยวิชาการศึกษา เรียกว่า วิทยาลัยวิชากาศึกษา ปทุมวัน (ต่อมาพัฒนาเป็น มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน และถูกยุบรวมกับวิทยาเขตกลางตามมติคณะรัฐมลตรี เหลือไว้แต่โรงเรียนสาธิต มศว ปทุมวัน ในพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคหัวใจ ขณะลี้ภัยไปอยู่ในประเทศญี่ปุ่น
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - การรถไฟแห่งประเทศไทย เริ่มเปิดเดินขบวนรถด่วนพิเศษสปรินเตอร์ โดยใช้รถดีเซลรางรุ่น บริติช เรล คลาส 158 ทำขบวน
พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - บริษัทคอมแพคจ่ายเงิน 9000 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ เพื่อเข้าครอบครองบริษัทเดค (DEC:Digital Equipment Corporation) นับเป็นการซื้อขายเทคโนโลยีไฮเทคที่มีมูลค่าสูงสุดขณะนั้น
พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - ยานแคสซินี-ฮอยเกนส์เข้าถึงฟีบี (ดวงจันทร์ของดาวเสาร์) ในตำแหน่งที่ใกล้ที่สุด
พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) - ฟุตบอลโลก 2010: พิธีเปิดและการแข่งขันรอบแรกเริ่มขึ้น
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2020 (ค.ศ. 2563) - สมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเปที่ 6 (สิ้นพระชนม์ 16 มีนาคม พ.ศ. 2035)
พ.ศ. 2385 (ค.ศ. 1842) - คาร์ล ฟอน ลินเดอร์ วิศวกรและนักอุตสาหกรรมชาวเยอรมัน (เสียชีวิต ค.ศ. 1934)
พ.ศ. 2421 (ค.ศ. 1878) - ครูบาศรีวิชัย พระครูล้านนา (มรณภาพ พ.ศ. 2481)
พ.ศ. 2428 (ค.ศ. 1885) - พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล (สิ้นพระชนม์ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506)
พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) - สมเด็จพระราชินีฟาบิโอลาแห่งเบลเยียม (สวรรคต 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557)
พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) - เจ้าชายเฮนริกแห่งเดนมาร์ก พระราชสวามี (สวรรคต 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561)
พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) - ฮิว ลอรี นักเขียน นักพากย์ นักแสดงตลก นักแสดง และนักดนตรีชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - เจ้าชายอาล็อยส์ เจ้าชายรัชทายาทแห่งลิกเตนสไตน์ รัชทายาทแห่งลิกเตนสไตน์และผู้สำเร็จราชการแห่งลิกเตนสไตน์
พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - คัง โฮ ดง นักแสดง พิธีกร ตลก ชาวเกาหลี
พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - เมทินี กิ่งโพยม นางแบบ นักแสดง พิธีกรชาวไทย
พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - ชเว จี-อู นักแสดงหญิงชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) - โจชัว แจ็กสัน นักแสดงชาวแคนาดา-อเมริกัน
พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - ภัทรกร ตั้งอนุรัตน์ นักฟุตบอลชาวไทย
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - วรัทยา นิลคูหา นักแสดงและพิธีกรชาวไทย
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - เมริสซ่า รอส นักร้อง และนักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - ไชอา เลอบัฟ นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) -
* ชลวิทย์ มีทองคำ นักแสดง, นายแบบ ชาวไทย
* ดาวีเด ซัปปากอสตา นักฟุตบอลชาวอิตาลี
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - คริสติน่า โรมาโนวา นางแบบและนักกิจกรรมแฟชั่นชาวรัสเซีย
พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - กัสตอน เปเรย์โร นักฟุตบอลชาวอุรุกวัย
พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - เกษรา วัฒนสังข์ นักแสดง นางแบบชาวไทย
พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) -
* โกดัก แบล็ก แร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน
* อูไน ซิมอน นักฟุตบอลอาชีพชาวสเปน
พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - สุภัคชญา รัตนใหม่ นักร้องลูกทุ่งธชย
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - ไค ฮาเวิทซ์ นักฟุตบอลชาวเยอรมัน
พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001)
* บิลลี กิลมอร์ นักฟุตบอลชาวสกอตแลนด์
* กันณทร ชะระภิญโญ นักแสดงชายชาวไทย
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 1726 (ค.ศ. 1183) - เฮนรียุวกษัตริย์ (พระราชสมภพ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 1698)
พ.ศ. 2031 (ค.ศ. 1488) - พระเจ้าเจมส์ที่ 3 แห่งสกอตแลนด์
พ.ศ. 2100 (ค.ศ. 1557) - พระเจ้าฌูเอาที่ 3 แห่งโปรตุเกส (พระราชสมภพ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2045)
พ.ศ. 2270 (ค.ศ. 1727) - พระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่ (พระราชสมภพ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2203)
พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903) - พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งเซอร์เบีย (พระราชสมภพ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2419)
พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) - จีน เว็บสเตอร์ นักเขียนชาวอเมริกัน (เกิด 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2419)
พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - พระองค์เจ้าเฉิดโฉม (ประสูติ 12 เมษายน พ.ศ. 2399)
พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) - ทิก กว๋าง ดึ๊ก ภิกษุนิกายมหายานชาวเวียดนามที่เผาตัวเองจนมรณภาพ (เกิดปี พ.ศ. 2440)
พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 3 (เกิด 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2440)
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - จอห์น เวย์น นักแสดงชาวอเมริกัน (เกิด ค.ศ. 1907)
พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) - ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ นักการเมืองชาวไทย (เกิด 8 ตุลาคม พ.ศ. 2490)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
คริสตจักรโรมันคาทอลิก - วันฉลองนักบุญบารนาบัส
คริสตจักรตะวันออก - วันฉลองนักบุญบารโธโลมิวอัครทูต
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
Today in History: June 11
มิถุนายน 11
มิถุนายน
|
thaiwikipedia
| 2,038 |
จังหวัดหนองคาย
|
หนองคาย เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดบึงกาฬ จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดเลย และยังมีชายแดนติดต่อกับแขวงเวียงจันทน์ นครหลวงเวียงจันทน์ และแขวงบอลิคำไซของประเทศลาว จังหวัดหนองคายมีพื้นที่แคบแต่ยาว และมีชื่อเสียงด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการชมบั้งไฟพญานาคในเทศกาลวันออกพรรษา
== ประวัติศาสตร์ ==
เมืองหนองคายมีชื่อปรากฏอยู่ในพงศาวดารล้านช้างตลอดยุคสมัย ดังเช่นปรากฏเป็นชื่อเมืองเวียงคุก เมืองปะโค เมืองปากห้วยหลวง (อำเภอโพนพิสัยในปัจจุบัน) และนอกจากนี้ยังปรากฏในศิลาจารึกจำนวนมากที่กษัตริย์แห่งเวียงจันทน์ได้สร้างไว้ในบริเวณจังหวัดหนองคาย โดยเฉพาะเมืองปากห้วยหลวงเป็นเมืองลูกหลวง นอกจากนี้ในรัชสมัยพระเจ้าวรรัตนธรรมประโชติฯ พระราชโอรสในพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ได้ตั้งสมเด็จพระสังฆราชวัดมุจลินทรอารามอยู่ที่เมืองห้วยหลวง และยังพบจารึกที่วัดจอมมณี ลงศักราช พ.ศ. 2098 จารึกวัดศรีเมือง พ.ศ. 2109 จารึกวัดศรีบุญเรือง พ.ศ. 2151 เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบโบราณสถานอิทธิพลล้านช้างจำนวนมาก เช่น พระธาตุต่าง ๆ โดยเฉพาะพระธาตุบังพวน สร้างก่อน พ.ศ. 2106 จารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหา (อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู) ลงศักราช พ.ศ. 2106 กล่าวถึงพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ได้อุทิศข้าทาสและที่ดินแก่วัดถ้ำสุวรรณคูหา และได้สร้างพระพุทธรูปไว้ที่พระธาตุบังพวนอีกด้วย และบริเวณที่ตั้งเมืองหนองคายหรือจังหวัดหนองคาย ในยุคก่อนจะตั้งเมืองหนองคายขึ้น แต่เดิม บริเวณพื้นที่แห่งนี้เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ นามว่า บ้านไผ่หรือบ้านหนองไผ่ ซึ่งไม่ได้มีความสำคัญเท่าไหร่นักและขึ้นตรงกับนครหลวงเวียงจันทน์
ต่อมาจะกล่าวถึงที่มาของดินแดนแถบนี้ที่ถูกขนานนามว่า "เมืองปากห้วยหลวง 3 กษัตริย์" บริเวณที่ตั้งอำเภอโพนพิสัยปัจจุบัน เป็นเมืองเก่าตามพงศาวดารล้านช้างเรียกว่า "เมืองปากห้วยหลวง" พ.ศ. 1901 พระเจ้าฟ้างุ้มมหาราช เริ่มก่อตั้งอาณาจักรล้านช้าง และตีเมืองนี้ได้ และมีฐานะเป็น "เมืองหลวง" ซึ่งส่งเจ้าชายในราชวงศ์ล้านช้างมาครองเป็น "พญาปากห้วยหลวง" บางพระองค์ได้มีโอกาสไปครองราชย์ที่ นครเชียงทอง ถึง 2 พระองค์ด้วยกัน คือ หลังจากพระเจ้าสามแสนไทสวรรคต พ.ศ. 1958 แล้ว พระเจ้าล้านคำแดงโอรสได้ครองราชย์ต่อถึง พ.ศ. 1970 จึงสวรรคตโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่โบราณราชประเพณีไทย-ลาว สตรีจะครองราชย์ไม่ได้ เจ้าคำเต็ม พญาปากห้วยหลวง พระสวามีเจ้าหญิงจึงครองแทนพักหนึ่ง แล้วหนีกลับเมืองปากห้วยหลวงดังเดิม นางแก้วพิมพาซึ่งมีอำนาจมากในราชสำนักได้เชิญเจ้านายในราชวงศ์ครองราชย์ต่อหลายพระองค์ ระหว่าง พ.ศ. 1971-1980 ครั้นจุบรรลุพระราชนิติภาวะก็มีเหตุสวรรคตติด ๆ กันถึง 5-6 พระองค์ จนมาเชิญ เจ้าคำเกิด โอรสพญาปากห้วยหลวง (คาดว่าเป็นโอรสพระเจ้าคำเต็มจากชายาอื่น) ไปครองราชย์อีกและสวรรคต พ.ศ. 1983 อีก คราวนี้พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดีทนไม่ไหว จับพระนางแก้วพิมพาถ่วงแม่น้ำคาน ทางเหนือนครหลวงพระบางเสียและเชิญเจ้าไชยครองราชย์ พระเจ้าไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ว สืบมา
เมืองปากห้วยหลวง เกิดช้างเผือกอีกเชือกหนึ่ง เมื่อหลังสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 1 มหาราช พ.ศ. 2114 พระเจ้าบุเรงนองผู้ชนะสิบทิศพิชิตเวียงจันทน์ ได้นำพระหน่อแก้วกุมาร ราชโอรสไปเมืองหงสาวดีเป็นตัวประกัน พระชันษาเพียง 5 ปี แล้วให้ตาสำเร็จราชการ"อาณาจักร์ล้านช้าง"แทน จารึกว่าพระยาแสนสุรินทร์ขว้างฟ้าสุมังโดอัยโกโพธิสัตว์ อดีตพระยาปากห้วยหลวง พงศาวดารว่าท่านเป็นบุตรกวานบ้านฝั่งขวา (ผู้ใหญ่บ้าน) รับราชการทหาร รบเก่งและคงถวายบุตรสาวเป็นสนมด้วย ดังนั้นที่ชาวหนองคายเชื่อกันมาจึงมิใช่เรื่องเหลวไหล โดยนางสนม (ไม่ทราบ) อาจมีพระราชธิดาโอรส 4 พระองค์ คือ "พระสุก พระเสริม พระใส" ซึ่งสร้างฉลองพระองค์ ส่วนองค์สุดท้ายคือพระราชโอรสชันษา 5 ปี พระหน่อแก้วกุมาร พม่าจึงต้องให้ตาสำเร็จราชการให้หลานจึงมี "อัยโก" (ตา) ต่อท้าย นับว่าพญาปากห้วยหลวงเป็นกษัตริย์ล้านช้าง (หลวงพระบาง) 2 พระองค์ และผู้สำเร็จราชการ (เวียงจันทน์) อีก 1 ท่าน รวม 3 กษัตริย์
พ.ศ. 2103 เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 1 มหาราช ถอยทัพหนีพม่าล่องมาจากเชียงใหม่ และหลวงพระบาง หลังจากนั้นเมืองปากห้วยหลวงก็ค่อย ๆ ลดความสำคัญลง คาดว่าเพราะการวิวาทกันภายในราชวงศ์ล้านช้าง ตั้งแต่พระบรมราชาแห่งนครพนม พระราชโอรส พระเจ้านันทราชกรีพาทัพมาปราบ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 พ.ศ. 2241 ถึงเมืองคุกชายฟอง (เวียงคุก-บ้านทรายฟอง) และกวาดต้อนผู้คนกลับ และต่อมาบริเวณจังหวัดหนองคาย ได้มีกลุ่มผู้คนอพยพมาตั้งชุมชนและเมืองขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่ๆและสำคัญอยู่ 2 กลุ่ม กล่าวคือ สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ พ.ศ. 2250 สมเด็จเจ้าราชครูวัดโพนสเม็ก (ญาคูขี้หอม) อพยพคนไปซ่อมพระธาตุพนมครั้งที่ 4 ล่องไปจนตั้งอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ เมื่อญาคูขี้หอมอพยพผู้คนไปภาคใต้นั้น ศิษย์เอกสำคัญท่านหนึ่ง คือ จารย์แก้ว หรือ เจ้าแก้วมงคล(เจ้าแก้วบูลม บูฮม) ได้ตั้ง '"เมืองทุ่ง"' (ท่ง) หรือ เมืองสุวรรณภูมิ (อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด) เป็นเมืองด่านหน้ายันกับเวียงจันทน์ เชื้อสายของท่านได้แยกย้ายสร้างบ้านแปงเมืองหรือปกครองเมืองมากมาย เช่น จังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคาม ขอนแก่น เป็นต้น และภายหลังกลุ่มพระวอ และพระตา ผู้เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ในราชสำนักเวียงจันทน์ มีความขัดแย้งกับพระเจ้าสิริบุญสาร ด้วยสาเหตุไม่แจ้งชัด ได้พาเอาไพร่พลกองครัวญาติพี่น้อง อพยพหนีจากเวียงจันทน์ไปตั้งเมืองอยู่ที่หนองบัวลำภู และถอยร่นลงไปยังดอนมดแดงและตั้งเป็นจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ เป็นต้น ที่กล่าวถึงกลุ่มเจ้าจารย์แก้วและกลุ่มพระวอพระตา เนื่องจากทั้ง2กลุ่มล้วนมีบทบาทสำคัญในการก่อร่างสร้างเมืองต่างๆภายในจังหวัดหนองคายในปัจจุบัน
เมื่อ พ.ศ. 2322 กองทัพสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ชัยชนะกรุงศรีสัตนาคนหุตเวียงจันทน์แล้ว พื้นที่บริเวณเมืองหนองคายยังอยู่ใต้ความควบคุมของนครหลวงเวียงจันทน์เช่นเดิม รวมถึงเมืองปากห้วยหลวงเดิมด้วย
ครั้น พ.ศ. 2369 – 2370 พระเจ้าไชยเชยเชษฐาธิราชที่ 3 (เจ้าอนุวงศ์) แห่งเวียงจันทน์ แข็งเมืองบุกมาถึงนครราชสีมา และถูกยันทัพกลับไปล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 โปรดให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ เป็นแม่ทัพหลวง พระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) ่ต่อมาได้รับการพระราชทานอวยยศเป็น เจ้าพระยาราชสุภาวดี ว่าที่อัครมหาเสนาบดีสมุหนายก เป็นแม่ทัพหน้าปราบเวียงจันทน์ได้ครั้งที่ 1 แต่เจ้าอนุวงศ์หนีไปได้ ต่อมาล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระแสงดาบอาสิทธิ์ให้ เจ้าพระยาราชสุภาวดี อัครมหาเสนาบดีสมุหนายก ต่อมาได้รับการพระราชทานราชทินนามเป็น เจ้าพระยาบดินทรเดชา เป็นแม่ทัพยกทัพปราบครั้ง 2 ตั้งทัพอยู่ค่ายพานพร้าว (บริเวณ นปข.ปัจจุบัน) และถูกหลอกล่อจนค่ายแตกหนีไปเมืองยโสธร คู่อริต่อเวียงจันทน์ดั้งเดิมจึงตามมาสมทบ เช่น บุตรหลานพระวอ-พระตา แห่งอุบลราชธานี และบุตรหลานจารย์แก้วแห่งสุวรรณภูมิ ช่วยเจ้าคุณสมุหนายกถล่มเวียงจันทน์จน "ฮ้างดังโนนขี้หมาจอก" หน่วยโสถิ่ม (กล้าตาย) นำโดย ท้าวสุวอธรรม (บุญมา) อุปฮาดยโสธร หลังศึกเจ้าอนุวงศ์ ฝ่ายกรุงเทพฯ มีนโยบายอพยพผู้คนมาฝั่งภาคอีสานจึงยุบเมืองเวียงจันทน์ปล่อยให้เป็นเมืองร้าง ชาวเมืองเวียงจันทน์บางส่วนก็อพยพมาภาคกลางและบางส่วนก็อยู่ที่บริเวณเมืองเวียงคุก เมืองปะโค (อำเภอเมืองหนองคายในปัจจุบัน) เมื่อจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว เจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาขอตั้งบ้านไผ่หรือบ้านหนองไผ่ ขึ้นเป็นเมืองหนองค่าย(คำว่า "หนองคาย" ถูกเรียกเพี้ยนมาจากคำว่า "หนองค่าย" ซึ่งมีความหมายโดยตรงว่า "หนองน้ำบริเวณที่ตั้งของค่ายทหาร" ซึ่งคำว่าหนองค่ายถูกเรียกเพี้ยนเป็น"หนองคาย"ใน สมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งแต่นั้นมา) ต่อมาโปรดเกล้าให้ ท้าวสุวอธรรม (บุญมา) เป็น พระปทุมเทวาภิบาลที่ 1 แห่งเมืองหนองคาย ต้นตระกูล ณ หนองคาย และ ท้าวตาดี บุตร พระยาขัติยวงษา (สีลัง) แห่งเมืองร้อยเอ็ด เชื้อสายเจ้าจารย์แก้ว ได้เป็นเจ้าเมืองโพนพิสัยคนแรก จากความดีความชอบที่ได้รับบัญชาจากเจ้าคุณแม่ทัพมาสกัดเจ้าอนุวงศ์ เพื่อมิให้หนีไปญวนอีก โดยตั้งทัพอยู่บ้านโพนแพง จึงเรียกกันว่า "เจ้าโพนแพง" ครั้นเสร็จศึกจึงยกเป็น "เมืองโพนแพง" ท้าวตาดีได้เป็น พระยาพิสัยสรเดช เจ้าเมืองคนแรก ต่อมายังรุ่นลูกรุ่นหลาน เมื่อ พ.ศ. 2373 ต้นตระกูล พิสัยพันธ์,สิงคศิริ,สิมะสิงห์,สิริสิงห์ สืบมาจะเป็นด้วยเหตุใดไม่ชัดแจ้ง พระพิสัยสรเดช (ตาดี) ได้ย้ายที่ตั้งเมืองจากโพนแพงมาอยู่ ณ เมืองปากห้วยหลวงเก่า ซึ่งคงจะร้างในสมัยนั้น และเอาชื่อเมืองโพนพิสัยมาตั้งที่นี่ พื้นที่ตำบลโพนแพงก็ห่างไกล จึงขอยก " บ้านหนองแก้ว" ขึ้นเป็น"เมืองรัตนวาปี" อีกเมืองหนึ่ง หลังจากเสร็จศึกเจ้าอนุวงศ์และก่อตั้งเมืองหนองคายได้ไม่นาน เมืองหนองคายได้รับฐานะเป็นเมืองประเทศราช โดยยุบเมืองเวียงจันทน์(ร้าง)ซึ่งพึ่งถูกทัพสยามทำลายไปให้มาขึ้นกับเมืองหนองคาย และ ณ. ขณะนั้น ทั้งเมืองหนองคาย และ เมืองโพนพิสัย ไม่ได้ขึ้นตรงต่อกัน แต่ล้วนเป็นเมืองเอกขึ้นกับกรุงเทพทั้งคู่ โดยเมืองโพนพิสัยมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ อำเภอโพนพิสัย,อำเภอรัตนวาปี,อำเภอเฝ้าไร่ ของจังหวัดหนองคาย อำเภอเพ็ญ,อำเภอสร้างคอม ของจังหวัดอุดรธานี และ อำเภอโซ่พิสัย,อำเภอปากคาด ของจังหวัดบึงกาฬในปัจจุบัน
ต่อมาเมืองหนองคาย มีเจ้าเมืองอีก 2 คน คือ พระปทุมเทวาภิบาล (เคน ณ หนองคาย) ผู้เป็นบุตรและพระยาปทุมเทวาภิบาล (เสือ ณ หนองคาย) ผู้เป็นหลาน
พ.ศ. 2380 พระประทุมเทวาภิบาล (ท้าวสุวอ) ผู้เป็นเจ้าเมืองถึงแก่กรรมอุปฮาด (เคน) ได้เป็นเจ้าเมืองหนองคาย ในปี พ.ศ. 2383 และมีบรรดาศักดิ์เป็นพระปทุมเทวาภิบาลเหมือนกัน
ทางฝั่งเมืองโพนพิสัย ในปีพ.ศ. 2389 วันจันทร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 3 พระยาขัติยวงษาสีลัง เจ้าเมืองร้อยเอ็ด ป่วยและถึงแก่กรรม อุปฮาดสิงห์ ราชวงศ์อินบุตร จึงพาเจ้าเพี้ยลงมากรุงเทพฯ พบกับพระยาพิสัยสรเดช(ท้าวตาดี)เจ้าเมืองโพนพิสัย ซึ่งเป็นพี่ชายของพระขัติยวงษาอินทร์และอุปฮาดสิงห์ และเป็นบุตรของพระยาขัติยวงษาสีลัง พระยาพิสัยสรเดชจึงพาอุปฮาดราชวงศ์ท้าวเพี้ย กรมการเมืองร้อยเอ็ด ลงมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพิสัยสรเดชเจ้าเมืองโพนพิสัย กลับไปรักษาราชการเมืองร้อยเอ็ด พระยาพิสัยสรเดชจึงให้บุตรหลานรักษาการเมืองโพนพิสัยแทน ครั้นพระยาพิสัยสรเดชลงไปถึงเมืองร้อยเอ็ด จัดการเผาศพพระยาขัติยวงษาสีลังพระบิดาเสร็จแล้ว คืนวันหนึ่งอุปฮาดสิงห์ผู้เป็นน้องชายได้ตั้งบ่อนโป นัดให้พระยาพิสัยสรเดชกับพวกนักเลงมาเล่นที่หอนั่งบ้านพระยาขัติยวงษา ครั้นเวลาดึกมีคนมาลอบแทงพระยาพิสัยสรเดชถูกที่สีข้างซ้าย ถึงแก่กรรม ได้ความว่าอุปฮาดสิงห์เกี่ยวข้องในคดีนี้ ครั้นความทราบถึงกรุงเทพฯ จึงมีตราโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าเมืองสุวรรณภูมิส่งตัวอุปฮาดสิงห์และบรรดาบุตรหลานของพระยาขัติยวงษา ลงมากรุงเทพฯ โปรดเกล้าฯให้ตุลาการชำระคดี อุปฮาดสิงห์ พิจารณาได้ความเป็นสัตย์ว่าอุปฮาดสิงห์เป็นผู้ใช้ให้จีนจั้นมาแทงพระยาพิสัยสรเดช อุปฮาดสิงห์เลยต้องถูกจำคุกตายอยู่ในที่คุมขัง พระยาพิสัยสรเดชซึ่งป็นพี่ชายต่างมารดากับอุปฮาดสิงห์และราชวงศ์อินทร์ ราชวงศอินทร์ภายหลังเป็นพระยาขัติยวงษา(อินทร์ ธนสีลังกูร)เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ 3 อีกทั้งพระยาพิสัยสรเดช(ท้าวตาดี)ยังเป็นน้องร่วมมารดากับญาแม่ปทุมมา ซึ่งเป็นย่าของพระเจริญราชเดช (ท้าวอุ่น ภวภูตานนท์) เจ้าเมืองมหาสารคามคนที่ 3 ต่อมาได้มีการสืบสวนข้อเท็จจริงจากหลักฐานที่พึงเชื่อถือได้แน่นอน ปรากฏว่าอุปฮาดสิงห์หาได้เป็นผู้วางแผนฆ่าพระยาพิสัยฯ ตามที่เล่ามานั้นไม่ เมื่อพิจารณาจากเหตุผลจากสิ่งแวดล้อมต่างๆแล้ว เห็นว่ามีอยู่หลายกรณีที่อ้างอิงประกอบได้ เช่น คราวที่พระยาพิสัยฯ พร้อมอุปฮาดสิงห์ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบังคมทูลข่าวการอสัญกรรมของพระยาขัติยวงษาสีลังผู้บิดานั้น อุปฮาดสิงห์ก็ได้กราบบังคมทูลสนับสนุนพี่ชายเป็นอย่างดี จนได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพิสัยสรเดชกลับมารับราชการเมืองร้อยเอ็ด และโดยปกติสองพี่น้องนี้มีความรักใคร่ปรองดองกันดีมาก นอกจากนี้ยังปรากฏว่าจีนจั้นผู้แทงพระยาพิสัยฯ ก็เคยมีอริวิวาทกันกับพระยาพิสัยฯ มาช้านาน อนึ่งตามเนื้อเรื่องที่ว่า “พิจารณาได้ความเป็นสัตย์ว่าอุปฮาดสิงห์ ได้ให้จีนจั้นแทงพระยาพิสัยฯ และอุปฮาดสิงห์เลยต้องจำตายอยู่ในที่คุมขัง” จากข้อเท็จจริงโดยคำยืนยันของพระเจริญราชเดช (อุ่น) หลานญาแม่ปทุมมาซึ่งเป็นพี่สาวของพระยาพิสัยฯ เอง ได้ความชัดว่าอุปฮาดสิงห์ได้ดื่มยาพิษถึงแก่กรรมในระหว่างทางก่อนจะถึงกรุงเทพฯ ใกล้เมืองนครราชสีมา และญาติได้ค้นพบจดหมายลาตาย ถึงภรรยาว่า “เราไม่เคยคิดขบถต่อเจ้าพี่โพนแพงเลย ตายเองดีกว่าที่จะถูกคนอื่นประหาร เลี้ยงลูกใหดีจนได้ไปตั้งเมืองใหม่ขึ้นอีก” ส่วนจีนจั้นนั้นรับสารภาพและไม่มีการซัดทอดผู้ใดเลย เป็นอันว่าอุปฮาดสิงห์เป็นผู้บริสุทธิ์โดยแท้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงระบบการพิจารณาคดีของสยามหรือไทยในสมัยก่อนที่ยังมีข้อบกพร่องในการหาหลักฐานและความไม่ชัดเจนในการตัดสินคดีอยู่พอสมควร
มาทางฝั่งเมืองหนองคาย ในสมัยที่พระปทุมเทวาภิบาล (เคน) เป็นเจ้าเมืองนี้เองก็เกิดศึกสำคัญขึ้นเรียกกันว่าศึกฮ่อ ครั้งแรกเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2420 แต่ในระยะนี้พระประทุมเทวาภิบาล (เคน) ไม่ได้อยู่ในหนองคายมีราชการต้องมาต้อนรับพระยามหาอำมาตย์เสียที่เมืองอุบลราชธานีและได้มอบกิจการบ้านเมืองให้ท้าวจันทรศรีสุราช (ชื่น) รักษาราชการแทน พวกฮ่อได้ตีหัวเมืองลายทางเรื่อยมาจนเข้ายึดเอาเวียงจันทร์ไว้ได้ พวกกรมการเมืองหนองคายแทนที่จะหาทางป้องกันข้าศึกกับคิดอพยพหนีพวกฮ่อ โดยท้าวจันทรศรีสุราชกับครอบครัวหนีไปอยู่บ้านพรานพร้าวอุดรธานี เมื่อตัวนายไม่คิดสู้พวกราษฎร์ก็พลอยขวัญเสียอพยพออกจากเมืองบางเหตุการณ์ในตอนนี้ถึงกับทำให้เมืองหนองคายตกอยู่ในสภาพเป็นเมืองร้างนอกนี้เมืองใกล้ ๆ กัน คือเมืองโพนพิสัยก็พลอยไม่คิดสู้ขี้นมาอีก พระพิไสยสรเดช (หนู) เจ้าเมืองอพยพครอบครัวหนีไปอยู่บึงกาฬ ส่วน ราชวงศ์เมืองหนองคาย ซึ่งถูกส่งมารักษาการแทนกับพระพิสัยสรเดช (หนู) ถูกพวกฮ่อฆ่าตาย ทางกรุงเทพจึงได้มีพระบรมราชองค์การให้พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น) ซึ่งไปราชการ ณ เมืองอุบลราชธานี นั้น เกณฑ์ทัพเข้าปราบฮ่อกองทัพของพระยามหาอำมาตย์ได้ยกเข้ามาตั้งพักอยู่ที่เมืองหนองคายแล้วก็สั่งให้จับเอาเท้าจันทรศรีสุราชและพระยาพิไสยสรเดช(หนู)ไปประหารชีวิตเสียทั้งคู่เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบต่อไปจากนี้ก็เกณฑ์คนในเมืองต่าง ๆ คือ นครพนม มุกดาหาร เขมราฐ อุบลและร้อยเอ็ด เข้าสมทบกับกองทัพเมืองหนองคาย รวมพลได้ทั้งสิ้นประมาณ 20,000 คน แล้วยกออกไปตีเมืองเวียงจันทร์ซึ่งพวกฮ่อสู้ไม่ได้แตกและทิ้งกรุงเวียงจันทร์ไป กองทัพของพระยามหาอำมาตย์ก็กลับมาพักที่หนองคายจัดกิจกรรมบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็กลับกรุงเทพฯ ครั้งนี้พระประทุมเทวาภิบาล (เคน) เจ้าเมืองหนองคายได้ติดตามลงมากรุงเทพฯ ด้วย
เมื่อ พ.ศ. 2428 เกิดสงครามปราบฮ่อครั้งที่สองในบริเวณทุ่งไหหิน (ทุ่งเชียงคำ) พวกฮ่อกำเริบตีมาจนถึงเวียงจันทน์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบข่าวศึกฮ่อ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมขณะดำรงพระอิสริยศเป็น กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพปราบฮ่อครั้งนั้นจนพวกฮ่อแตกหนี และสร้างอนุสาวรีย์ปราบฮ่อไว้ที่เมืองหนองคาย
ส่วนทางฝั่งเมืองโพนพิสัย หลังเสร็จศึกปราบฮ่อ ท้าวคำสิงห์ ซึ่งขณะนั้นมีราชทินนามเป็น พระศรีสุรศักดิ์สุนทร เจ้าเมืองรัตนวาปี อดีตเจ้าเมืองประชุมพนาลัย (เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว) ขึ้นเเขวงเมืองโพนพิสัย ซึ่งเป็นบุตรหลานของพระพิสัยสรเดชท่านแรก (ท้าวตาดี) ได้รับแต่งตั้งเป็น "พระรัตนเขตรักษา" เจ้าเมืองโพนพิสัยแทนเจ้าเมืองเดิมสืบต่อมา ซึ่งท่านได้แสดงความกล้าหาญรบพุ่งกับฮ่อหลายครั้ง จนได้ราชทินนามเป็น พระยาพิสัยสรเดช (คำสิงห์ สิงหศิริ) เป็นต้นตระกูล สิงหศิริ จึงเห็นได้ว่า ทุกครั้งที่เกิดศึกและเกิดเหตุข้าศึกศัตรูเข้ามารุกราน ทั้งเมืองหนองคายและเมืองโพนพิสัยล้วนเป็นพันธมิตรร่วมกันต่อสู้ เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาโดยตลอด
เมื่อ พ.ศ. 2429 ต่อมาใน พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมดำรงตำแหน่งข้าหลวงมณฑลลาวพวน (ภายหลังเปลี่ยนเป็นมณฑลอุดร) ได้ตั้งที่ทำการที่เมืองหนองคาย โดย ก่อน พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112) เมืองหนองคายเป็นเมืองเอกมี เมืองโท ตรี จัตวา ขึ้นตรง ได้แก่ เมืองเวียงจันทน์(ขณะนั้นร้างและไม่มีสภาพความเป็นเมือง), เชียงคาน, พานพร้าว, ธุรคมสิงห์สถิตย์, กุมภวาปี(ถูกโอนพื้นที่มาจากเมืองหนองหานซึ่งมีฐานะเป็นเมืองเอก), รัตนวาปี ส่วนเมืองโพนพิสัย มีฐานะเป็นเมืองเอก แต่ไม่มีเมืองขึ้น ครั้นเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 หรือในปี พ.ศ. 2436 ไทยถูกกำหนดเขตปลอดทหารภายในรัศมี 50 กิโลเมตรจากชายแดน จึงย้ายกองบัญชาการมลฑลลาวพวนมาตั้งที่ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
พ.ศ. 2450 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีกระแสพระบรมราชโองการให้จัดตั้งเมืองอุดรธานีขึ้นที่บ้านหมากแข้ง เป็นศูนย์กลางของมณฑลอุดร ครอบคลุม จังหวัด อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย เลย หนองบัวลำภู บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหารในสมัยนั้น ซึ่ง มณฑลอุดร แบ่งการปกครองเป็น 5 บริเวณ คือ บริเวณหมากแข้ง บริเวณธาตุพนม บริเวณสกลนคร บริเวณภาชี และบริเวณน้ำเหือง ในปีเดียวกัน ได้โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยรวมเมืองต่าง ๆ ในบริเวณบ้านหมากแข้งตั้งเป็นเมืองจัตวา เรียกว่า "เมืองอุดรธานี" ส่วนเมืองในสังกัดบริเวณให้มีฐานะเป็นอำเภอ ได้แก่ เมืองหนองคาย เมืองกมุทธาสัย(หนองบัวลำภู) เมืองกุมภวาปี เมืองหนองหาน เมืองโพนพิสัย เมืองรัตนวาปี เป็น อำเภอหนองคาย อำเภอหนองบัวลำภู อำเภอกุมภวาปี อำเภอหนองหาน อำเภอโพนพิสัย อำเภอรัตนวาปี ขึ้นกับเมืองอุดรธานี สังกัดมณฑลอุดร
พ.ศ. 2457 มีการปรับปรุงเขตอำเภอสำหรับการปกครองในมณฑลอุดรได้กล่าวถึง อำเภอไชยบุรี สังกัดเมืองนครพนม ให้ตัดท้องที่ของอำเภอโพนพิสัยบางส่วน ของเมืองอุดรธานี ไปรวมกับท้องที่อำเภอไชยบุรี และให้ย้ายที่ว่าการอำเภอไชยบุรีมาตั้งที่บ้านบึงกาญจน์จรดริมแม่น้ำของ(โขง)ฝั่งตรงข้ามเมืองบริคันฑ์ แขวงเวียงจันทน์ เพราะเป็นศูนย์กลางเหมาะแก่การปกครองท้องที่อำเภอ และอำเภอไชยบุรีก็ยังคงขึ้นเมืองนครพนมตามเดิม
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติปกครองพื้นที่ขึ้นโดยให้ยกเลิกระบอบเจ้าปกครองทั่วประเทศ ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ 2458 กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีคำสั่งสถาปนาเมืองข้าหลวงปกครอง ซึ่งต่อมาเรียกว่าผู้ว่าราชการจังหวัด แยกอำเภอหนองคายออกมาจากเมืองอุดรธานี ตั้งเป็นจังหวัดหนองคาย
และโอนอำเภอโพนพิสัย ของเมืองอุดรธานี และยุบอำเภอรัตนวาปีเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอโพนพิสัย แล้วจึงโอนมาขึ้นกับจังหวัดหนองคาย(ขณะนั้นมีการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นจังหวัดและอำเภอแล้วแต่ยังไม่มีการบังคับใช้และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย) แรกเริ่มจังหวัดหนองคายมีอำเภอขึ้นตรง ดังนี้คือ อ.โพนพิสัย อ.สังคม อ.บ้านผือ อ.ท่าบ่อ อ.พานพร้าว และอ.น้ำโมง และมีการปรับยุบเมืองที่เคยเป็นอำเภอลดฐานะลงเป็นตำบลแทน เช่น อำเภอมีชัย เมืองหนองคาย เป็น "ตำบลมีชัย" อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย เป็นต้น
ครั้นในปีต่อมา พ.ศ. 2459 โอนอำเภอไชยบุรีของจังหวัดนครพนม มาขึ้นจังหวัดหนองคาย เนื่องจาก มีท้องที่และระยะทางห่างไกลจากจังหวัดนครพนมมาก ลำบากต่อการเดินทาง และทั้งไม่เหมาะแก่การปกครอง ในปี พ.ศ. 2475 เปลี่ยนชื่ออำเภอไชยบุรีเป็น "อำเภอบึงกาญจน์
และในปี พ.ศ. 2476 ได้มีการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัดและอำเภออย่างเป็นทางการ หนองคายจึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัดอย่างเป็นทางการ
ในปี พ.ศ. 2554 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มีพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554 มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2554 โดยให้แยกอำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย ไปตั้งเป็นจังหวัดบึงกาฬ
== ภูมิศาสตร์ ==
=== ที่ตั้งและอาณาเขต ===
จังหวัดหนองคาย มีเนื้อที่ประมาณ 3,026.534 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,891,583 ไร่ (นับเป็นจังหวัดที่มีขนาดเล็กที่สุดของภาคอีสาน โดยพื้นที่ทั้งหมดก่อนที่จังหวัดบึงกาฬจะแยกตัวไป มีประมาณ 7,332 ตารางกิโลเมตร) ลักษณะเป็นรูปยาวเรียงทอดไปตามลำน้ำโขง ซึ่งเป็นเส้นกั้นเขตแดนกับประเทศลาว มีความยาวทั้งสิ้น 195 กิโลเมตร ความกว้างของพื้นที่ที่ทอดขนานไปตาม ลำน้ำโขงโดยเฉลี่ย 20 - 25 กิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพมหานครตามทางหลวงแผ่นดินสาย 2 (มิตรภาพ) ประมาณ 615 กิโลเมตร และมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียงดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับกำแพงนครเวียงจันทน์ เขตเมืองหลวงของประเทศลาว โดยมีแม่น้ำโขงเป็นแนวพรมแดน
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอปากคาด และอำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร อำเภอเพ็ญ อำเภอสร้างคอม อำเภอบ้านดุง อำเภอนายูง และอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอปากชม จังหวัดเลย
=== ภูมิประเทศและภูมิอากาศ ===
สภาพภูมิประเทศของจังหวัดหนองคายมีลักษณะทอดยาวตามลำน้ำโขง จังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดชายแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีอาณาเขตติดกับกรุงเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศลาว โดยมีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นเขตแดน จังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดชายแดนที่มีเอกลักษณ์พิเศษโดยมีพื้นที่ทอดขนานยาวไปตามลำน้ำโขง ความกว้างของพื้นที่ทอดขนานไปตามลำน้ำโขงโดยเฉลี่ยประมาณ 20 – 25 กิโลเมตร ช่วงที่กว้างที่สุดอยู่ที่อำเภอเฝ้าไร่ และช่วงที่แคบที่สุดอยู่ที่อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคายมีอำเภอที่อยู่ติดกับลำน้ำโขง 6 อำเภอ คือ อำเภอสังคม อำเภอท่าบ่อ อำเภอศรีเชียงใหม่ อำเภอเมือง อำเภอโพนพิสัย และอำเภอรัตนวาปี และมีอาณาเขตติดต่อกับ ประเทศลาว คือ แขวงเวียงจันทน์ นครหลวงเวียงจันทน์ และแขวงบอลิคำไซ
จังหวัดหนองคายมีจุดผ่านแดนไป ประเทศลาว รวม 6 จุด เป็นจุดผ่านแดนถาวร 2 จุด และจุดผ่อนปรน 4 จุด จุดผ่านแดนที่สำคัญและเป็นสากล คือ ด่านสะพานมิตรภาพไทย - ลาว ซึ่งรัฐบาลออสเตรเลีย-ไทย-ประเทศลาว ร่วมมือกันสร้างและเป็นประตูไปสู่อินโดจีน
ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง แยกได้เป็น 4 บริเวณ คือ
พื้นที่ค่อนข้างราบ ได้แก่ เขตอำเภอเมืองหนองคาย อำเภอท่าบ่อ และอำเภอศรีเชียงใหม่ ซึ่งใช้ประโยชน์ในการทำนา และปลูกพืชบริเวณริมน้ำโขง
พื้นที่เป็นคลื่นลอนลาด กระจายอยู่ทุกอำเภอเป็นหย่อมๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ทำนาและปลูกพืชไร่ พืชสวนและป่าธรรมชาติ
พื้นที่เป็นคลื่นลอนชันและเป็นเขาเป็นป่าธรรมชาติ เช่น ป่าไม้เต็งรัง เบญจพรรณ พบในเขตอำเภอสังคม
สภาพพื้นที่เป็นภูเขาที่มีความสูงชัน จากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 200 เมตร เป็นบริเวณเทือกเขาต่างๆ ทางทิศตะวันตกในเขตอำเภอสังคม
เนื่องจากแม่น้ำโขงไหลผ่านอำเภอต่างๆ เกือบทุกอำเภอ จึงก่อให้เกิดประโยชน์ในการเกษตรกรรม ราษฎรได้อาศัยแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่ใช้เพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะราษฎรที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง จะได้รับประโยชน์มากกว่าราษฎรที่อยู่ลึกเข้าไปจากแม่น้ำโขง นอกจากนี้สำนักงานพลังงานแห่งชาติได้จัดตั้งสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า ในพื้นที่ 9 อำเภอ รวมทั้งสิ้น 82 สถานี เพื่อทำการสูบน้ำจากแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำอื่น ๆ ขึ้นมาใช้เพื่อการเกษตรกรรม
ลักษณะอากาศจัดอยู่ในจำพวกฝนแถบร้อนและแห้งแล้ง (ธ.ค. - ม.ค.) ในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิจะเริ่มลดในเดือนพฤศจิกายนและต่ำสุดในช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคม ในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม เป็นช่วงเปลี่ยนฤดู อุณหภูมิจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือนมีนาคม และร้อนจัดในเดือนเมษายน ในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ (มิ.ย.- ก.ค.) อุณหภูมิโดยทั่วไปจะลดลง และในเดือนตุลาคมอุณหภูมิจะเริ่มลดลงจนอากาศหนาวเย็น
อุณหภูมิต่ำสุดรายปีอยู่ที่ 9.50 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดรายปีอยู่ที่ 40.60 องศาเซลเซียสเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 26.46 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนทั้งปีอยู่ที่ 1,843.6 มิลลิเมตรต่อปี
== การเมืองการปกครอง ==
=== การปกครองส่วนภูมิภาค ===
การปกครองแบ่งออกเป็น 9 อำเภอ 62 ตำบล 678 หมู่บ้าน มีรายชื่ออำเภอตามหมายเลขในแผนที่ดังนี้
=== การปกครองส่วนท้องถิ่น ===
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดหนองคาย ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองคาย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับล่าง 66 แห่ง ประกอบด้วย เทศบาล 19 แห่ง แบ่งเป็นเทศบาลเมือง 2 แห่ง (ซึ่งคือเทศบาลเมืองหนองคาย และเทศบาลเมืองท่าบ่อ) และเทศบาลตำบล 17 แห่ง ที่เหลือเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลจำนวน 48 แห่ง โดยเทศบาลทั้งหมดแบ่งตามอำเภอในจังหวัดหนองคาย มีดังนี้
อำเภอเมืองหนองคาย
* เทศบาลเมืองหนองคาย
* เทศบาลตำบลเวียงคุก
* เทศบาลตำบลหนองสองห้อง
* เทศบาลตำบลหาดคำ
* เทศบาลตำบลโพธิ์ชัย
* เทศบาลตำบลกวนวัน
* เทศบาลตำบลวัดธาตุ
* เทศบาลตำบลปะโค
* เทศบาลตำบลบ้านเดื่อ
อำเภอท่าบ่อ
* เทศบาลเมืองท่าบ่อ
* เทศบาลตำบลโพนสา
* เทศบาลตำบลบ้านถ่อน
* เทศบาลตำบลกองนาง
อำเภอโพนพิสัย
* เทศบาลตำบลโพนพิสัย
* เทศบาลตำบลสร้างนางขาว
อำเภอศรีเชียงใหม่
* เทศบาลตำบลศรีเชียงใหม่
* เทศบาลตำบลหนองปลาปาก
อำเภอสังคม
* เทศบาลตำบลสังคม
อำเภอเฝ้าไร่
* เทศบาลตำบลเฝ้าไร่
=== รายชื่อเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการ ===
== ประชากร ==
=== กลุ่มชาติพันธุ์ ===
เนื่องจากจังหวัดหนองคายมีชายแดนติดต่อกับประเทศลาวกว่า 200.82 กิโลเมตร และเป็นเมืองหน้าด่านในการทำสงครามในสมัยก่อน จึงทำให้มีการกวาดต้อนอพยพผู้คนจากทั้งฝั่งประเทศลาวและไทย (ในปัจจุบัน) ข้ามไปมา จึงทำให้มีกลุ่มคนหลายชาติพันธุ์ในจังหวัดหนองคาย แต่อย่างไรก็ตามในบันทึกทางประวัติศาสตร์ ได้บ่งบอกว่ามีกลุ่มคนที่อาศัยเป็นเมืองอยู่ในบริเวณนี้อยู่เดิม ได้แก่ เมืองพานพร้าว (อำเภอศรีเชียงใหม่) และเมืองปากห้วยหลวง (อำเภอโพนพิสัย) ซึ่งเป็นหนึ่งในอาณาจักรล้านช้าง
การอพยพครั้งที่สำคัญ มีดังต่อไปนี้
เจ้าพระยาจักรี (รัชกาลที่ 1) ในสมัยกรุงธนบุรี ได้ตีเมืองเวียงจันทน์ ต่อมาใน พ.ศ. 2321 ได้กวาดต้อนผู้คนจากเวียงจันทน์ มาไว้ที่พานพร้าว ปะโค เวียงคุก
สมัยเจ้าอนุวงศ์ พ.ศ. 2369 มีการกวาดต้อนผู้คนในเขตหัวเมือง ไปไว้ที่เวียงจันทน์
พ.ศ. 2371 เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) รบชนะเจ้าอนุวงศ์ กวาดต้อนผู้คนกลับมาไว้ฝั่งไทย
สมัยสงครามอินโดจีน พ.ศ. 2436 มีการอพยพมาอยู่ฝั่งไทยเกือบครึ่งเมือง โดยพระยาศรีสุรศักดิ์ เจ้าเมืองบริคัณฑนิคม มาอยู่บ้านหนองแก้ว (ปัจจุบันคือ อำเภอรัตนวาปี) และพระกุประดิษฐ์บดี เจ้าเมืองจันทบุรี อพยพมาบ้านท่าบ่อเกลือ (ปัจจุบันคือ อำเภอท่าบ่อ)
ในปัจจุบันกลุ่มคนที่อพยพมาอยู่ในเขตจังหวัดหนองคาย ได้มีการปรับตัวและปรับเปลี่ยนเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กลมกลืนกับชาวพื้นเมืองที่ตั้งถิ่นฐานอยู่เดิมจนแทบไม่เห็นความแตกต่าง ทั้งการแต่งกาย ที่อยู่อาศัย ประเพณีต่าง ๆ จะสังเกตได้เฉพาะสำเนียงของภาษาพูด ที่ยังคงเหลือเค้าให้ทราบว่า เดิมเป็นชนเผ่าไหน ซึ่งพอจำแนก ได้ดังนี้
กลุ่มชาวลาวเวียงจันทน์ เนื่องจากมีอาณาเขตที่ใกล้เคียงกับเวียงจันทร์ จึงน่าจะเรียกว่าชาวเวียงจันทน์ ถือว่าเป็นกลุ่มชนที่มากที่สุดในจังหวัดหนองคาย โดยเฉพาะท้องที่อำเภอ อำเภอเมืองหนองคาย, อำเภอท่าบ่อ, อำเภอศรีเชียงใหม่, อำเภอโพธิ์ตาก และอำเภอโพนพิสัย
กลุ่มชาวไทอีสาน/ลาวอีสาน เนื่องจากเดิมเป็นอาณาจักรล้านช้างจึงนับเป็นกลุ่มลาวล้านช้างด้วยแต่ถึงอย่างไร หน้าตา ผิวพรรณ สำเนียงการพูด ก็แตกต่างจากชาวลาวเวียงจันทน์
กลุ่มไทพวน มีถิ่นฐานเดิมจากเมืองพวน แขวงเชียงขวาง ประเทศลาว อาศัยอยู่ที่อำเภอศรีเชียงใหม่
กลุ่มไทลื้อ/ไทด่าน/ไทเหนือ เป็นกลุ่มที่อพยพมาจากเมืองหลวงพระบางและอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ปัจจุบันอยู่ที่อำเภอสังคมและอำเภอโพธิ์ตาก
กลุ่มคนญวน อพยพมาในสมัยสงครามอินโดจีน พร้อมๆ กับเจ้าเมืองจันทบุรี มาอยู่ที่อำเภอท่าบ่อ
ตามประวัติศาสตร์เดิม มีกลุ่มคนที่เป็นชาติพันธุ์ต่างๆ อพยพมาที่จังหวัดหนองคายมากกว่านี้ แต่ปัจจุบัน ไม่สามารถหาหลักฐาน หรือ สิ่งบอกเหตุว่าเป็นชนกลุ่มนั้นๆ หรือไม่ เนื่องจากมีการกลมกลืนกันเป็นไทอีสาน เกือบหมดแล้ว และมีบางส่วนที่เป็นกลุ่มคนที่อพยพมาจากจังหวัดอื่นๆ มาตั้งถิ่นฐานในอำเภอรัตนวาปี และอำเภอโพนพิสัย ซึ่งเรียกว่า ไทครัว เพราะในหมู่บ้านหนึ่งๆ จะมาจากหลากหลายจังหวัดและไม่สามารถสืบสานชาติพันธุ์ได้และปัจจุบันก็กลมกลืนกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่เดิมเกือบหมดแล้ว
=== การศึกษา ===
จังหวัดหนองคาย มีสถาบันการศึกษาหลายแห่ง โดยแบ่งเป็นระดับประถมศึกษา ทั้งหมด 2 เขต และมัธยมศึกษาอีก 1 เขต ซึ่งครอบคลุมโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดหนองคายทั้งหมด 31 แห่ง นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนมัธยมศึกษาในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองคายอีก 1 แห่ง
สถานศึกษาในระดับอาชีวศึกษาทั้งรัฐและเอกชน ปัจจุบันอยู่ในกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรรมการการอาชีวศึกษาทั้งหมด ส่วนสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่สำคัญ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ศูนย์หนองคาย, สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1, มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตหนองคาย
=== สาธารณสุข ===
โรงพยาบาลทั่วไป
โรงพยาบาลหนองคาย
โรงพยาบาลชุมชน
โรงพยาบาลหนองคาย 2
โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ
โรงพยาบาลโพนพิสัย
โรงพยาบาลศรีเชียงใหม่
โรงพยาบาลสระใคร
โรงพยาบาลสังคม
โรงพยาบาลโพธิ์ตาก
โรงพยาบาลเฝ้าไร่
โรงพยาบาลรัตนวาปี
โรงพยาบาลเอกชน
โรงพยาบาลรวมแพทย์ อำเภอเมืองหนองคาย
โรงพยาบาลหนองคาย - วัฒนา อำเภอเมืองหนองคาย
โรงพยาบาลพิสัยเวช อำเภอโพนพิสัย
== เศรษฐกิจ ==
=== เกษตรกรรม ===
ประชากรโดยส่วนมากจะประกอบอาชีพทางการเกษตร เช่น ทำนา ทำสวน ทำไร่ ใช้ประโยชน์ที่ดินส่วนใหญ่เพื่อการเกษตร คิดเป็นร้อยละ 57.29 ของพื้นที่จังหวัด หรือ 2,625,441 ไร่ ซึ่งพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว (นาปี) และยางพารา
นอกจากนั้น ยังมีการเลี้ยงปศุสัตว์และการทำประมง โดยปศุสัตว์ที่มีมูลค่าผลผลิตมากที่สุด คือ ไก่ไข่ สุกร โคพื้นเมือง เป็ดไข่ ไก่เนื้อ กระบือ เป็ดเนื้อ และโคพันธุ์ ส่วนด้านการประมงนั้น มีทั้งการเลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อดิน บ่อซีเมนต์ กระชัง การจับสัตว์น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ การจับสัตว์น้ำในแม่น้ำโขง และการจับสัตว์น้ำในแหล่งน้ำอื่นๆ
=== อุตสาหกรรม ===
ทางด้านอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมที่สำคัญของจังหวัดหนองคาย คือ โรงสีข้าว อุตสาหกรรมยางพารา และอุตสาหกรรมแปรูปไม้ นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมอื่นๆ คือ อัดเศษโลหะ อัดเศษกระดาษและบดย่อยพลาสติก ซ่อมรถยนต์ ทำน้ำแข็งก้อนเล็ก ห้องเย็นทำวงกบประตูหน้าต่าง และเครื่องเรือนเครื่องใช้จากไม้ และในอนาคต จังหวัดหนองคายยังได้ถูกให้พัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษในระยะที่ 2 ซึ่งจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมนั้นเจริญเติบโตมากขึ้น
== การขนส่ง ==
=== ทางถนน ===
รถยนต์
จากกรุงเทพมหานคร ใช้ถนนพหลโยธินจนถึงจังหวัดสระบุรี บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 107 แล้วแยกขวาเข้าถนนมิตรภาพ ผ่านจังหวัดนครราชสีมา} จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดอุดรธานี จนไปถึงจังหวัดหนองคาย
รถโดยสารประจำทาง
สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดหนองคาย มีบริการรถโดยสารประจำทางทั้งรถโดยสารธรรมดาและปรับอากาศ ทั้งรถที่มาจากกรุงเทพฯ และจากหนองคายไปยังจังหวัดต่างๆ ผู้ให้บริการรถโดยสารที่สำคัญ อาทิ ชาญทัวร์, แอร์อุดร, เชิดชัยทัวร์, 407 พัฒนา, บุษราคัมทัวร์, รุ่งประเสริฐทัวร์, ชัยภูมิจงเจริญขนส่ง และนครชัยแอร์ นอกจากนี้ บริษัท ขนส่ง จำกัด ยังให้บริการรถโดยสารระหว่างประเทศอยู่สองเส้นทาง ดังนี้
สายที่ 1 หนองคาย - เวียงจันทน์
สายที่ 9 อุดรธานี - หนองคาย - วังเวียง
ในปัจจุบัน จังหวัดหนองคายมีสถานีขนส่งผู้โดยสารทั้งหมด 2 แห่ง ได้แก่
สถานีขนส่งผู้โดยสารเทศบาลเมืองหนองคาย ตั้งอยู่ที่ถนนประจักษ์ศิลปาคม ตำบลในเมือง อำเภอเมืองหนองคาย
สถานีขนส่งผู้โดยสารเทศบาลตำบลโพนพิสัย ตั้งอยู่ที่ถนนภิรมยาราม ตำบลจุมพล อำเภอโพนพิสัย
การขนส่งในตัวจังหวัดหนองคาย ประกอบไปด้วย รถสองแถวกับรถสามล้อเครื่อง (รถเหมา) ซึ่งคิดค่าโดยสารตามระยะทาง และแท็กซี่ ซึ่งคิดค่าโดยสารตามระยะทางบนมิเตอร์
=== ทางราง ===
การรถไฟแห่งประเทศไทยให้บริการขบวนรถไฟจากกรุงเทพฯ มายังสถานีรถไฟหนองคายทุกวัน โดยขบวนรถไฟที่มีศักย์สูงที่สุดคือรถด่วนพิเศษอีสานมรรคา ซึ่งเป็นรถไฟกลางคืนที่ให้บริการมาตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2559
=== ทางอากาศ ===
จังหวัดหนองคายไม่มีท่าอากาศยาน โดยท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานีเป็นท่าอากาศยานที่อยู่ใกล้กับตัวจังหวัดที่สุด ห่างจากตัวจังหวัดหนองคายเป็นระยะทาง 51 กิโลเมตร
== วัฒนธรรม ==
ประชาชนชาวจังหวัดหนองคาย ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีเหมือนคนไทยทั่วไปในภาคอีสาน คือ ฮีตสิบสอง คลองสิบสี่ เป็นแนวทางการดำรงชีวิตซึ่งทำให้แดนอีสานอยู่กันด้วยความผาสุก ร่มเย็นตลอดมา โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับปีฮีดสิบสอง ดังนี้ เดือนอ้ายบุญเข้ากรรม เดือนยี่บุญคูณลาน เดือนสามบุญข้าวจี่ เดือนสี่บุญพระเวส เดือนห้าบุญสรงน้ำหรือบุญตรุษสงกรานต์ เดือนหกบุญบั้งไฟ เดือนเจ็ดบุญชำฮะ เดือนแปดบุญเข้าพรรษา เดือนเก้าบุญข้าวประดับดิน เดือนสิบบุญข้าวสาก เดือนสิบเอ็ดบุญออกพรรษา และเดือนสิบสองบุญกฐิน
เทศกาลและงานประเพณีที่สำคัญ ได้แก่
ประเพณีสงกรานต์ จัดขึ้นที่วัดโพธิ์ชัย ในวันที่ 13 เมษายนของทุกปี
งานนมัสการหลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อ จัดขึ้นที่วัดศรีชมภูองค์ตื้อ อำเภอท่าบ่อ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4
งานอนุสาวรีย์ปราบฮ่อ จัดประมาณเดือนมีนาคมของทุกปี ที่บริเวณอนุสาวรีย์ปราบฮ่อ
ประเพณีบุญบั้งไฟ จัดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 6 (พฤษภาคม) และวันเพ็ญเดือน 7 (มิถุนายน) ของทุกปี
งานแห่เทียนเข้าพรรษา จัดขึ้นก่อนวันเข้าพรรษา หรือวันอาสาฬบูชา ของทุกปี
ประเพณีแข่งเรือ จัดขึ้นก่อนวันออกพรรษา โดยมีการแข่งเรือยาวในลำน้ำโขง ประชาชนได้จัดเรือแข่งจากอำเภอต่าง ๆ และบางปีก็มีเรือจากประเทศลาวมาร่วมการแข่งขันด้วย
ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง จัดให้มีขึ้นควบคู่กันกับงานแข่งเรือ เพื่อนมัสการพระธาตุหล้าหนอง
วันออกพรรษา เป็นวันทำบุญประจำของท้องถิ่น โดยมีการตักบาตรเทโวภายในเขตอำเภอเมือง
ประเพณีลอยเรือไฟบูชาพญานาค จัดขึ้นในคืนวันเพ็ญ เดือน 11 หรือแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ณ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงใกล้วัดสิริมหากัจจายน์ (วัดธาตุ)
== บุคคลที่มีชื่อเสียง ==
พระสงฆ์
พระอนุชาติวุฒาธิคุณ (แพ ณ หนองคาย)
นักการเมือง
กฤษฎา ตันเทอดทิตย์
ฉัตรชัย เอียสกุล
เฉลิมชัย เอียสกุล
ชนก จันทาทอง
ชื่น ระวิวรรณ
ทรงยศ รามสูต
ธเนตร เอียสกุล
วงศ์ พลนิกร
สุ่ม โพธิเสน
เอกธนัช อินทร์รอด
นักกีฬา
จักรพันธ์ พรใส
ศราวุฒิ มาสุข
หนองคาย ส.ประภัสสร
นักพัฒนาชุมชน
นาวาโทรุ่งเพชร ศรีหลิ่ง
ศิลปินแห่งชาติ
ทนง โคตรชมพู
นักร้อง
เกียรติศักดิ์ เวทีวุฒาจารย์
พงษ์สิทธิ์ คำภีร์
ปอยฝ้าย มาลัยพร
ธีรนัยน์ ณ หนองคาย
ศิรประภา แสงพันตาพานิช (ไฮเวย์ Last Idol)
พลพล พลกองเส็ง
เศก ศักดิ์สิทธิ์
ณัฏฐธิดา อาสนานิ (ยาหยี) สมาชิกวง BNK48 รุ่น 3
นักแสดง
กวินตรา โพธิจักร
ดารุณี กฤตบุญญาลัย
วิศรุต หิมรัตน์
อัญษนา บุรานันท์
== ดูเพิ่ม ==
สะพานมิตรภาพ 1 (หนองคาย-เวียงจันทน์)
รายชื่อวัดในจังหวัดหนองคาย
รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดหนองคาย
รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดหนองคาย
รายชื่อศูนย์การค้าในจังหวัดหนองคาย
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด
จังหวัดหนองคาย - อีสานร้อยแปด
|
thaiwikipedia
| 2,039 |
จังหวัดมหาสารคาม
|
มหาสารคาม (เดิมชื่อ มหาสาลคาม) เป็นจังหวัดหนึ่งทางตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีอาณาเขตติดกับจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดขอนแก่น
เมืองศูนย์กลางของจังหวัด คือ เทศบาลเมืองมหาสารคาม ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
== ประวัติศาสตร์ ==
จังหวัดมหาสารคามนอกจากจะมีฉายาเป็น "ดินแดนแห่งสะดืออีสาน" หรืออยู่จุดกึ่งกลางของภาคอีสานแล้ว (จุดกึ่งกลางของภาคอีสาน ตั้งอยู่ที่ บึงกุย หมู่ 13 ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย)นอกจากนี้ยังมีฉายาอีกว่า "ตักสิลานคร" หรือแปลตามตัวคือนครแห่งการศึกษา หรือเมืองแห่งการศึกษาของภาคอีสาน มีสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพและระดับสูงสุดอยู่หลายแห่งและมีมากที่สุดแห่งหนึ่งของภาคอีสาน อีกทั้งยังมีมากเป็นอันดับต้นๆของประเทศไทย
=== กำเนิดชนชาติลาวล้านช้าง ก่อตั้งอาณาจักรและความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรโบราณ ===
ขุนบรม ปฐมกษัตริย์ แห่งอาณาจักรแถน หรืออาณาจักรอ้ายลาว(ใหม่) แห่งดินแดนนาน้อยอ้อยหนู (เดียนเบียนฟู ประเทศเวียดนามในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นยุคก่อนจะกำเนิดอาณาจักรสุโขทัยของไทย ได้ส่งพระราชโอรสองค์ใหญ่ พระนามว่า “ขุนลอ” มาครองเมือง ”ซวา” หรือ เมือง”เซ่า” ขับไล่ชาวข่า,ลัวะ,ขมุ ที่เคยครอบครองถิ่นและเมืองนี้มาก่อนให้ออกไปจากเมือง และ ให้นามเมืองใหม่ว่า เมือง ”เชียงดงเชียงทอง” (ต่อมา มีการ เปลี่ยนชื่อมาเป็น “หลวงพระบาง” ในภายหลัง) ต่อมามีกษัตริย์ซึ่งสืบมาจากขุนลอ ครองเมืองถึง 22 พระองค์ จนกระทั่งพระเจ้าฟ้างุ้มมหาราชได้ตั้งตัวเป็นมหากษัตริย์(เชื้อสายขุนลอ) แห่งเมืองเชียงทอง ในปี พ.ศ. 1869 ต่อมาพระเจ้าฟ้างุ้ม ทรงพัฒนาเมืองเชียงทอง ให้กลายมาเป็นอาณาจักรล้านช้างที่ยิ่งใหญ่ และเป็นอาณาจักรอิสระมานับแต่บัดนั้น
แรกเริ่มล้านช้างมีความสัมพันธ์อันดีกับจักรวรรดิขอม โดย พระเจ้าฟ้างุ้มมีพระมเหสีเอกเป็นธิดากษัตริย์ขอม แต่ต่อมาภายหลังอาณาจักรล้านช้างได้เกี่ยวดองกันทางเครือญาติและหันมาเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรอยุธยา (แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ ของขุนหลวงพะงั่ว) เพื่อต่อต้านอำนาจของขอม จนอยุธยาสามารถปราบขอมจนสิ้นซาก ในสมัยเจ้าสามพระยา จักรวรรดิขอมที่ยิ่งใหญ่จึงล่มสลายมาตั้งแต่บัดนั้น โดยอาณาจักรอยุธยาได้ครอบครองศูนย์กลางของขอมอย่างเมืองพระนคร ส่วนอาณาจักรล้านช้างได้ขยายอาณาเขตลงมาครอบครองดินแดนบางส่วนของขอมเดิม ประชิดเขตแดนที่บริเวณเมืองพิมายของอยุธยา (ก่อนหน้านั้น เมืองพิมายขึ้นกับขอม) ความสัมพันธ์ระหว่างล้านช้างและอยุธยาจึงเป็นความสัมพันธ์ที่ดีนับตั้งแต่นั้นมา
จนกระทั่งสมัยพระเจ้าโพธิสาลราช พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง ได้เกี่ยวดองและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรล้านนา แห่งราชวงศ์มังราย โดยการเสกสมรสกับเจ้าหญิงเมืองเชียงใหม่ และได้ส่งกองกำลังทัพล้านช้างเข้าไปช่วยเชียงใหม่รบกับพม่า (ไทใหญ่) และอยุธยาอยู่หลายครั้ง และชนะทุกครั้ง ภายหลังขุนนางเชียงใหม่เสนอให้พระเจ้าโพธิสาลราชไปเป็นกษัตริย์เมืองเชียงใหม่ แต่พระเจ้าโพธิสาลราชทรงปฏิเสธ แต่ทรงเสนอให้พระราชโอรสของท่านซึ่งกำเนิดแต่ธิดากษัตริย์เมืองเชียงใหม่ไปครองเมืองเชียงใหม่แทนนามว่า “พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช”
ต่อมาในปีพ.ศ. 2093 พระเจ้าโพธิสารทรงสวรรคต พระราชโอรสองค์รองอันเกิดแต่พระเหสีองค์รองต่างแก่งแย่งกันขึ้นเป็นกษัตริย์ อาณาจักรล้านช้าง ณ.ขนะนั้นจึงเกิดความวุ่นวายแบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่าย เหล่าขุนนางจึงอัญเชิญพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชให้กลับไปครองหลวงพระบาง (ล้านช้าง) เพื่อระงับเหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้น พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจึงฝากให้สมเด็จย่า (จิรปภามหาเทวี) รักษาการเมืองเชียงใหม่แทนพระองค์ พร้อมทั้งยังได้อัญเชิญพระแก้วมรกตย้ายไปที่เมืองหลวงพระบางด้วย ต่อมาจึงได้ยกทัพ เข้ายึดอำนาจและบีบพระอนุชาทั้ง 2 ให้ยอมยกราชสมบัติให้แก่ตน จนได้ครองอาณาจักรล้านช้าง ส่วนทางเมืองเชียงใหม่ หลังจากพระเจ้าไชยเชษฐา ไม่ยอมกลับไปครองเมืองเชียงใหม่ต่อซักที ขุนนางจึงอัญเชิญพระเจ้าเมกุติ เจ้าเมืองนาย (เชื้อสายไทยใหญ่ และยังเป็นเชื้อสายราชวงศ์มังราย) ให้ไปเป็นกษัตริย์ครองเมืองเชียงใหม่แทน ต่อมาพระเจ้าบุเรงนองมหาราช พระมหากษัตริย์อาณาจักรพม่า แห่งราชวงศ์ตองอู แผ่อำนาจมายังหัวเมืองไทใหญ่ แล้วจึงผ่านเข้ามาตีเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าเมกุติ สู้ไม่ได้ จึงยอมอ่อนน้อมและยอมส่งบรรณาการทุกปีแก่พม่า เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาทรงทราบข่าว จึงนำกองทัพจะเข้าบุกยึดเมืองเชียงใหม่จากพระเมกุติ ซึ่งขณะนั้นบุเรงนองได้ยกทัพออกไปจากเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว พระเมกุติเมื่อทราบว่าทัพล้านช้างพยายามจะบุกจึงส่งพระราชสาส์นไปยังบุเรงนองให้ส่งกองกำลังกลับมาช่วยตนขับไล่ทัพล้านช้าง บุเรงนองจึงยกทัพกลับไปยังเมืองเชียงใหม่ และส่งกองทัพขับไล่ทัพของพระเจ้าไชยเชษฐาให้กลับไปยังเขตล้านช้าง พระเจ้าไชยเชษฐาเมื่อทราบว่าเชียงใหม่ขึ้นกับบุเรงนองเรียบร้อยแล้ว จึงเลิกทัพหนีกลับไปยังเมืองหลวงพระบาง ต่อมา พระไชยเชษฐาธิราชได้เป็นพันธมิตรกับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อช่วยกันต่อต้านพระเจ้าบุเรงนองซึ่งกำลังขยายอิทธิพลมาทางดินแดนแถบนี้ ในปี พ.ศ. 2103
หลังจากนั้นพระเจ้าไชยเชษฐาทรงย้ายราชธานีจากเมืองหลวงพระบางไปเมืองเวียงจันทน์อย่างเป็นทางการ ในปี 2106 (สมัยพระเจ้าโพธิสาลราชเคยย้ายลงมาชั่วคราว เพื่อทำศึกกับเมืองพวน) นอกจากนี้ท่านยังสร้างวัดพระแก้วและพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ขึ้น ต่อมาพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ส่งกองทัพไปช่วยอยุธยาอยู่หลายครั้งหลายหน แต่เนื่องจากกองทัพพม่ามีกำลังพลที่มากมหาศาลและแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ส่งผลให้อาณาจักรอยุธยาเสียเอกราชให้แก่พม่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2112 ต่อมาบุเรงนองมีความเคียดแค้นต่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชซึ่งได้ยกทัพลาวเข้าช่วยกองทัพกรุงศรีอยุธยาต่อต้านกองทัพพม่าของตนอยู่หลายครั้ง จึงยกทัพพยายามตีเมืองเวียงจันทน์ ศึกครั้งแรก บุกเข้าเมืองเวียงจันทน์ได้แต่ไม่ได้ตัวของพระเจ้าไชยเชษฐา เนื่องจากท่านไม่ได้อยู่ในเมือง ไปทำธุระทางตอนใต้ของอาณาจักร์ แต่พม่าสามารถจับเชื้อพระวงศ์ได้เป็นจำนวนมาก เช่น เจ้าอุปราชวรวังโส (พระอนุชา) นางคำไบ (พระขนิษฐา) พระหน่อแก้ว (พระราชบุตร) พระราชธิดาทั้ง 3 พระองค์ (สุก เสริม ใส) พระมเหสี เป็นต้น จึงนำตัวส่งลงไปยังกรุงหงสาวดี ศึกครั้งนี้จึงยังไม่อาจพิชิตพระเจ้ากรุงล้านช้างและอาณาจักร์ล้านช้างได้ ต่อมาศึกครั้งที่ 2 บุเรงนองได้นำกองทัพพยายามบุกเวียงจันทน์อีกครั้ง (บุเรงนองบัญชาการนำทัพเอง) แต่ครั้งนี้พระเจ้าไชยเชษฐาทรงพำนักอยู่ที่กรุงเวียงจันทน์เมื่อทรงทราบข่าวว่าทัพพม่ากำลังจะมาบุก พระเจ้าไชยเชษฐาจึงทำการอพยพพลเมืองออกจากเมืองให้หมดและให้ไปหลบซ่อนตัวในสถานที่ที่ปลอดภัย และวางแผนกลยุทธ์แบบกองโจรหรือป่าล้อมเมือง โดยการล่อให้ทัพพม่าเข้าไปในเมือง แล้วจึงให้ทัพลาวเข้าโจมตีแบบกองโจร จนในที่สุดเสบียงอาหารของทางฝั่งพม่าเริ่มร่อยหรอลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทหารพม่าเริ่มไม่มีแรงและกำลังใจที่จะทำศึกต่อไป ทัพพม่าบุเรงนองจึงทำการถอยทัพออกจากเวียงจันทน์และอาณาเขตล้านช้างในที่สุด ถือว่าครั้งนี้เป็นชัยชนะของทางฝั่งล้านช้างที่นำโดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่เหนือกว่าทางฝั่งทัพพม่าที่นำโดยบุเรงนองอย่างชัดเจน และต่อมาศึกครั้งที่ 3 ทัพพม่ายังไม่ยอมรามือที่จะบุกยึดล้านช้าง จึงส่งกองทัพมาบุกเวียงจันทน์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้พระเจ้าไชยเชษฐาได้หายสาบสูญไปที่เมืองโองการ (คาดว่าน่าจะอยู่ใน แขวงอัตปือ สปป.ลาวในปัจจุบัน) พระยาแสนสุรินทร์ลือชัยจึงสำเร็จราชการแทนและแต่งทัพออกสู้กับกองทัพพม่า แต่กองทัพที่ไร้การนำของพระเจ้าไชยเชษฐาก็ถูกทัพพม่าที่มีจำนวนมหาศาลตีจนแตกและสามารถเข้ายึดเมืองเวียงจันทน์ได้อย่างง่ายดาย ล้านช้างจึงตกเป็นเมืองขึ้นของพม่ามาตั้งแต่บัดนั้น ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2118
ต่อมาในระหว่างล้านช้างตกเป็นเมืองประเทศราชของพม่า พม่าก็ได้ส่งเชื้อพระวงศ์ล้านช้างที่ถูกจับตัวไปเป็นองค์ประกันให้กลับไปครองอาณาจักรล้านช้างอยู่เป็นเนืองๆ ต่อมาสิ้นยุคบุเรงนองเข้าสู่ยุคนันทบุเรง อำนาจและอิทธิพลของพม่าก็เสื่อมถอยลง อันเนื่องมาจาก มีการทำสงครามกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชซึ่งพยายามปลดเอกราชออกจากพม่า ประมาณ ปี พ.ศ. 2133 – พ.ศ. 2148 เป็นผลให้ล้านช้างปลอดภัยจากอิทธิพลของพม่าในช่วงเวลาขณะนั้น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2134 นันทบุเรง จึงส่งพระหน่อแก้วกุมาร พระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชกลับไปเป็นกษัตริย์ล้านช้าง เมื่อกลับล้านช้างได้ไม่นานพระหน่อแก้วกุมารจึงทรงได้ประกาศอิสรภาพออกจากพม่า เป็นเอกราชไม่ขึ้นตรงกับพม่าอีกต่อไป หลังจากนี้อาณาจักรล้านช้างจึงเป็นเอกราชและสงบร่มเย็น ปลอดภัยจากการรุกรานของข้าศึกศัตรูยาวนานมาตลอดกว่าร้อยปี
=== การล่มสลายของอาณาจักรล้านช้าง และ การอพยพของกลุ่มเจ้านายล้านช้างลงไปตั้งเมืองท่งศรีภูมิ เมืองบรรพชนของชาวอีสาน (ขึ้นต่ออาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์และกรุงศรีอยุธยา) ===
เมื่อประมาณพุทธศักราช 2231 หลังการสวรรคตของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช มหาราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง อันมีกรุงเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวง ตรงกับ สมัยของสมเด็จพระเพทราชา แห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เกิดการแย่งชิงอำนาจกันขึ้นภายในอาณาจักร เนื่องจากพระองค์ทรงประหารชีวิตองค์รัชทายาท และไม่มีผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ฝ่ายทายาทและขุนนางต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพื่อแย่งกันเป็นใหญ่ จนในที่สุดอาณาจักรล้านช้างที่ยิ่งใหญ่จึงถึงคราวล่มสลาย โดยแตกแยกออกเป็น 3 อาณาจักรเล็กอาณาจักรน้อย ได้แก่ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์ พระเจ้าสุริยวงศาธรรมิราช พระองค์ทรงมีพระราชโอรส พระองค์หนึ่งนามว่า “เจ้าองค์หล่อ” อันเกิดแต่พระนางสุมังคละ พระมเหสี ขณะนั้นมีพระชนมายุได้ 3 พรรษา อีกทั้งพระนางสุมังคละ กำลังทรงตั้งพระครรภ์ ขณะนั้นมีขุนนางเสนาบดี นามว่า พระยาเมืองแสน ผู้มีอำนาจบาดใหญ่ สนับสนุนให้เจ้าองค์หล่อได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์หุ่นเชิดของตน โดยให้ตัวเองเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทน และใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบ ภายหลังเมื่อเจ้าองค์หล่อเติบใหญ่ขึ้น พระยาเมืองแสนไม่ยอมคืนอำนาจให้ อีกทั้งยังขับเจ้าองค์หล่อออกจากราชบัลลังก์โดยมิให้ใครรู้ ต่อมาคิดที่จะบีบบังคับให้พระนางสุมังคละมาเป็นภรรยาของตน แต่พระนางไม่ยอม พระนางจึงพาเจ้าองค์หล่อ อพยพหนีไปพึ่งเจ้าราชครูหลวงโพนเสม็ก (พระสังฆราช แห่งเวียงจันทน์) ซึ่งเป็นที่นับถือของเหล่าบรรดาลูกศิษย์และเชื้อพระวงศ์เป็นจำนวนมาก จึงมีบรรดาเชื้อพระวงศ์มาขอเป็นลูกศิษย์ของท่านมากมาย ซึ่งในนั้นมีเจ้าแก้วมงคลและเจ้าจันทรสุริยวงศ์ เชื้อสายกษัตริย์ราชวงศ์ล้านช้าง พระญาติผู้ใหญ่ของเจ้าองค์หล่อ เป็นศิษย์เอกอยู่ด้วย ต่อมาเจ้าราชครูหลวงคิดว่าถ้าหากให้พระนางมาอาศัยอยู่ด้วยก็เกรงผู้อื่นจะครหานินทา อันเนื่องจากความไม่เหมาะสมและสถานที่อาศัยอยู่โจ่งแจ้งเกินไปและไม่ค่อยปลอดภัยจึงส่งไปไว้ที่ตำบลภูชะง้อหอคำ ต่อมาพระนางสุมังคละทรงได้ประสูติพระโอรสอีกองค์หนึ่ง โดยตั้งพระนามว่า “เจ้าหน่อกษัตริย์” ณ.ที่นั้น
ต่อมาฝ่ายพระยาเมืองแสนเห็นว่า เจ้าราชครูหลวงมีผู้ติดตามและมีผู้เคารพนับถือเป็นจำนวนมาก คิดเกรงกลัวไปเองว่าท่านจะนำศิษย์ซ่องสุมที่จะแย่งชิงอำนาจไปจากตน จึงคิดที่จะกำจัดทิ้ง แต่ทางเจ้าราชครูหลวงโพนเสม็กรู้ตัวเสียก่อน จึงนำลูกศิษย์ลูกหาและผู้ศรัทธากว่า 3,000 ชีวิต ลี้ภัยหนีลงใต้ ระหว่างทางก็มีผู้คนมาสมัครขอเข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก เมื่อเดินไปถึงเขตแดนเมืองบันทายเพชร์ ซึ่งเป็นดินแดนของอาณาจักรเขมรอุดง เมื่อข่าวไปถึงหูกษัตริย์เขมร กษัตริย์เขมรจึงมีการสั่งให้กลุ่มเจ้าราชครูหลวงจ่ายค่าทำเนียม ครัวละ 2 ตำลึง จึงจะสามารถไปตั้งถิ่นฐานที่นั้นได้ เจ้าราชครูหลวงจึงเห็นว่า เป็นการเดือดร้อนแก่ผู้ติดตาม อีกทั้งยังเป็นการขูดเลือดขูดเนื้อมากจนเกินไป ท่านจึงสั่งอพยพขึ้นไปทางเหนือ จนถึงบริเวณเมืองเก่าทางตอนใต้ของอาณาจักรล้านช้าง ซึ่งเคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดจนถึงขั้นเคยเป็นศูนย์กลางของเขมรโบราณในช่วงยุคเจนละมาก่อน นามว่า “เมืองเศรษฐปุระ” จนผ่านมาหลายยุคหลายสมัย จนมีนามเมืองว่า “เมืองนครกาละจำบากนาคบุรีศรี” ในการเดินทางอพยพลี้ภัยลงมายังดินแดนลาวใต้จนถึงถิ่นเมืองเก่าแห่งนี้นี้เอง เจ้าราชครูหลวงโพนเสม็กมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยศิษย์เอก อย่าง เจ้าแก้วมงคล เป็นแม่กองใหญ่ และจารย์หวด เป็น รองแม่กอง คอยควบคุมดูแลบริวารและไพร่พลของท่านมาตลอดทาง
ภายหลังการมาถึงของกลุ่มเจ้าราชครูหลวงโพนเสม็ก นางแพง นางเภา คู่แม่ลูก ผู้ครองเมืองอยู่ขณะนั้น ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อเจ้าราชครูหลวง จึงพากันอาราธนาเจ้าราชครูหลวงให้มาปกครองเมืองแทนพวกตนโดยให้ท่านได้ใช้หลักธรรมค้ำจุนเหล่าชาวเมือง ต่อมาเมื่อเจ้าองค์หล่อเติบโตขึ้นได้ไปพำนักที่แดนญวน ภายหลังได้กองกำลังสนับสนุนกลับไปยึดเมืองเวียงจันทน์คืน ได้เป็นผลสำเร็จ ประมาณปี พ.ศ. 2245 แล้วทรงจับพระยาเมืองแสนสำเร็จโทษ เจ้าองค์หล่อจึงได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์อาณาจักรล้านช้างสืบต่อมา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2252 เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นที่นครกาละจำบากนาคบุรีศรี เจ้าราชครูหลวงพยายามจัดการปัญหาด้วยวิธีละมุนละม่อมโดยใช้หลักการทางศาสนาแต่กลับไม่เป็นผล ท่านจึงส่งจารย์จันทร์ให้ไปอัญเชิญเจ้าหน่อกษัตริย์ซึ่งอยู่ที่ตำบลงิ้วพันลำน้ำโสมสนุก ให้ลงมาปกครองเมืองนครกาละจำบากนาคบุรีศรี อภิเสกขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการ เจ้าราชครูหลวงถวายพระนามท่านว่า “พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร” และได้เปลี่ยนนามเมือง ว่า “นครจำปาศักดิ์นัคบุรีศรี” และให้ชื่ออาณาจักรคือ “อาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์” เป็นเอกเทศต่างหากจากเวียงจันทน์ มีกษัตริย์เอกราช ปกครองด้วยระบอบการปกครองเช่นกับอาณาจักรล้านช้างโบราณทุกประการ (ระบบอาญาสี่) หลังจากท่านได้เป็นกษัตริย์ได้ไม่นานก็สามารถปราบปรามปัญหาความวุ่นวายลงได้อย่างง่ายดาย โดยการช่วยของเจ้าจารย์แก้ว (เจ้าแก้วมงคล) เป็นกำลังสำคัญในการปราบปรามปัญหาความวุ่นวายภายในอาณาจักรจนเป็นผลสำเร็จ
ภายหลังอาณาจักรสงบสุขเรียบร้อยแล้ว เพื่อสร้างความมั่นคงและความเข้มแข็งของอาณาจักร พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร จึงขยายอำนาจโดยการส่งเหล่าบรรดาขุนนางและพระญาติไปสร้างเมืองขึ้นใหม่และให้ปกครองเมืองนั้นๆ โดย ให้จารย์หวดไปสร้างเมืองโขง ให้เจ้าจันทร์สุริยวงศ์ (นับว่าเป็นน้องเจ้าจารย์แก้ว และเป็นบรรพบุรุษของสายเจ้าเมืองมุกดาหาร) ไปรักษาเมืองตะโปน เมืองพิน เมืองนอง ส่วนเจ้าจารย์แก้วหรือเจ้าแก้วมงคลให้ไปสร้างเมืองท่งศรีภูมิ (ปัจจุบันคืออำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งทรัพยากรเกลือสินเธาว์ที่สำคัญของโลก 1 ใน 5 แห่ง และใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ (เป็นแหล่งทรัพยากรที่หล่อเลี้ยงชาวอาณาจักรเจนละหรือเศรษฐปุระ จนพัฒนาก่อเกิดเป็นจักรวรรดิขอมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจักรวรรดิหนึ่งของภูมิภาคเอเชียอาคเณย์) โดยให้จารย์แก้วเป็นเจ้าผู้ครองเมืองเสมอกษัตริย์ประเทศราช มีอำนาจสิทธิ์ขาดจัดราชการบริหารบ้านเมืองตามแบบอาญาสี่เช่นเดียวกับนครจำปาศักดิ์ทุกประการและมีการตรากฎหมายหรืออาณาจักร์หลักคำไว้ใช้ในการปกครองบ้านเมืองของตนเอง (พระนามของเจ้าแก้วมงคลภายหลังมีการได้นำมาใช้เป็นชื่อเจ้าเมือง คือ “รัตนวงษา”) และแต่งตั้งให้เจ้ามืดคำดลเป็นเจ้าอุปราช
ต่อมา เจ้าแก้วมงคลผู้ครองเมืองท่งศรีภูมิได้ถึงแก่พิราลัยลง ในปีพ.ศ. 2268 มีพระโอรสรวม 3 ท่าน คือ
1) เจ้าองค์หล่อหน่อคำ (หลานเจ้านครน่าน) เกิดแต่พระชายาท่านแรกซึ่งเป็นเจ้าหญิงนครน่าน เมื่อครั้ง พระเจ้าวิชัยหรือศรีวิชัย กษัตริย์ล้านช้าง พระองค์ที่ 30 ได้ส่งพระราชโอรส ก็คือ เจ้าแก้วมงคล ไปเกี่ยวดองกับกษัตริย์นครน่าน เพื่อกระชับอำนาจระหว่างทั้ง 2 นครรัฐ ต่อมาเจ้าองค์หล่อหน่อคำได้ไปปกครองนครน่าน และได้เปลี่ยนพระนามเมื่อครั้งได้ครองเมืองน่าน ภายหลังเกิดภัยการเมืองถูกพระยาเมืองแสนยึดอำนาจพระเจ้าวิชัยพร้อมด้วยเจ้าแก้วมงคลและเจ้าจันทร์สุริยวงศ์ จึงลี้ภัยไปพึ่งเจ้าราชครูหลวงโพนสเม็กและออกผนวช พร้อมทั้งพากันเปลี่ยนพระนามเพื่อหลีกเลี่ยงฝ่ายพระยาเมืองแสนจากการถูกปองร้ายหรือถูกตามลอบปลงพระชนม์ ซึ่งเนื้อความที่เกี่ยวข้องกับเจ้าองค์หล่อหน่อคำ มีการระบุใน "พงศาวดารภาคอีสาน ฉะบับของ พระยาขัติยวงษา (เหลา ณร้อยเอ็จ)" หรือพระยาขัติยวงศา เอกาธิกสตานันท์ ผู้สำเร็จราชการเมืองร้อยเอ็จ เชื้อสายเจ้าเมืองร้อยเอ็ดซึ่งสืบเชื้อสายมาแต่เจ้าจารย์แก้ว โดยแต่เดิม ท่านได้เขียนมอบถึงหลวงจรูญชวนะพัฒน์ ข้าหลวงธรรมการ มณฑลอิสาน อุบลฯ พิมพ์ครั้งแรกในงานปลงศพนางศรีสุภา (โต เอี่ยมศิริ) มารดาของหลวงจรูญชวนะพัฒน์ ณ เชิงบรมบรรพต วัดสระเกศ ปีมะเส็ง พ.ศ. 2472 ได้กล่าวถึง สระสี่แจ่ง แฮ้งสี่ตัว แม่หญิงเอาผัว พ่อชายออกลูก ไว้ว่า ".........ครั้นต่อมา เจ้าองค์หล่อหน่อคำ ซึ่งเป็นบุตรจารแก้ว หลานเจ้าเมืองน่าน พาไพร่พลมาสืบหาบิดา ซึ่งรู้ข่าวว่าบิดามาเป็นเจ้าเมือง อยู่ริมสระสี่แจ่ง แฮ้งสี่ตัว แม่หญิงเอาผัว พ่อชายออกลูก ครั้นมาถึงเขตต์เมืองทุ่ง ตั้งค่ายอยู่ระหว่างปากเสียวน้อย ซึ่งเรียกว่าวังหม่านจนบัดนี้นั้น เจ้าองค์หล่อจับได้เพี้ยบุตรตะพานบ้านโนนสูง กวนหมื่นหน้าบ้านเบน ซึ่งยกทัพออกมาต่อสู้กันนอกเมือง เมื่อได้ตัวแม่ทัพสองคนนี้แล้ว จึงซักไล่ไต่ถามหาสระสี่แจง แฮ้งสี่ตัว แม่หญิงเอาผัว พ่อชายออกลูก แม่ทัพทั้งสองได้แจ้งความให้เจ้าองค์หล่อหน่อคำทราบตลอดแต่ต้นจนถึงปลาย เจ้าอค์หล่อหน่อคำจึงได้ทราบว่าเป็นเมืองบิดาของตน แล้วปล่อยให้แม่ทัพสองคนเข้าไปบอกแก่ท้าวมืดน้องชายให้ทราบทุกประการโดยแน่นอนแล้ว ท้าวมืดรู้ว่าพี่ชายแห่งตน จึงได้แต่งให้แสนท้าวออกไปอัญเชิญเจ้าองค์หล่อหน่อคำให้เข้ามายังเมืองทุ่ง แล้วจัดการรับรองให้เป็นเกียรติยศอันดี แล้วท้าวมืดพร้อมกับเจ้าองค์หล่อหน่อคำ จัดการปลงศพจารแก้วผู้เป็นบิดาตามประเพณีผู้ครองบ้านเมืองมาแต่ก่อน เสร็จแล้วเจ้าองค์หล่อหน่อคำก็ลาท้าวมืดน้องชายกลับคืนไปเมืองน่านตามเดิม........." จึงสรุปได้ดังนี้จากประโยคที่ว่า “สระสี่แจ่ง แฮ้งสี่ตัว แม่หญิงเอาผัว พ่อชายออกลูก” เป็นการกล่าวถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ของท้องถิ่นเมืองท่งตามกุศโลบายวิธีทางภาษาของชาวลาว-อีสาน
2) เจ้ามืดดำดล หรือ ท้าวมืด เกิดแต่พระชายาท่านที่ 2 ชาวเวียงจันทน์
3) เจ้าสุทนต์มณี หรือท้าวทนต์ เกิดแต่พระชายาท่านที่ 2 ชาวเวียงจันทน์
หลังจากการพิราลัยของเจ้าแก้วมงคล เจ้ามืดดำดลจึงได้ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองเมืองแทนพระบิดา ส่วนเจ้าสุทนต์มณีเป็นเจ้าอุปราช ปกครองเมืองท่ง หลังจากได้ครองเมืองท่ง เจ้ามืดคำดลได้ตั้งแข็งเมืองเป็น เอกราช ไม่ได้ขึ้นแก่นครจำปาศักดิ์ เพราะเหตุว่านครจำปาศักดิ์พี่กับน้องเกิดวิวาทเเย่งชิงสมบัติแก่กันจึงหาได้ติดตามมาว่ากล่าวเอาส่วยสาอากรไม่ ต่อมา เจ้ามืดดำดลผู้พี่ถึงแก่พิราลัยลง เจ้าสุทนต์มณีผู้น้อง จึงได้เป็นเจ้าเมืองท่งสืบต่อแทน
ต่อมาในปีพ.ศ 2308 เจ้าเซียง พระโอรสองค์โตของเจ้ามืด เป็นเจ้าอุปราช และให้เจ้าสูนพระโอรสองค์รองของเจ้ามืด เป็นราชวงศ์ ซึ่งทั้งคู่ล้วนเป็นหลานชายของเจ้าทนต์ ทั้งคู่ต่างมีความอิจฉาเจ้าอาว์ที่ได้เป็นเจ้าเมืองและร่วมมือกันนำเอาทองคำแท่งไปขอสวามิภักดิ์ต่อ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์อยุธยาพระองค์สุดท้าย เพื่อขอกองทัพจากอยุธยาให้ไปช่วยยึดเมืองท่งจากเจ้าอาว์ของพวกตน พระเจ้าเอกทัศ จึงโปรดเกล้าส่ง พระยาพรหม พระยากรมท่า ออกไปรวบรวมกำลังพลจากหัวเมืองขึ้นใกล้บริเวณ (เมืองท่ง) ของกรุงศรีอยุธยา เมื่อรวบรวมกำลังพลได้แล้วจึงเข้าไปสมทบกับกองทัพของเจ้าเซียงและเจ้าสูน เพื่อที่จะยึดเมืองจากเจ้าทนต์ ทางฝ่ายเจ้าทนต์เจ้าเมืองท่ง ขณะนั้น เมื่อทราบข่าวว่าหลานร่วมมือกับกองทัพอยุธยาจะเข้ามาตีเมืองท่ง เจ้าทนต์เมื่อเห็นว่ากำลังของพวกตนไม่น่าจะพอสู้ได้ อีกทั้งเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร กษัตริย์ล้านช้างจำปาศักดิ์ ทรงพระประชวร (อ่อนแอ) ไม่สามารถส่งกองกำลังมาช่วยเจ้าทนต์ได้ เจ้าทนต์จึงได้พาไพร่พลของตนอพยพหลบหนีออกจากเมือง ไปซ่อนตัวที่บ้านดงเมืองจอก (ในพื้นที่ของอำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด ในปัจจุบัน) ซึ่งขณะนั้นเป็นเขตแดนของเมืองท่ง ต่อมาฝ่ายเจ้าเซียงและทัพอยุธยาสามารถบุกเข้ายึดเมืองท่งได้อย่างง่ายดาย (เจ้าเมืองหนีไปแล้ว) ภายหลังจึงมีใบบอกตั้งให้เจ้าเซียงเป็นเจ้าผู้ครองเมือง ท่านที่ 4 และเจ้าสูนเป็นเจ้าอุปราช ครองเมืองท่งสืบต่อมา เมืองท่งศรีภูมิจึงกลายมาเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา และส่งบรรณาการแก่อยุธยา และตัดขาดจากอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์มานับแต่บัดนั้น เมื่อเรียบร้อยแล้ว พระยาพรหม พระยากรมท่า จึงตั้งสำนักที่ทุ่งสนามโนนกระเบาซึ่งอยู่ในท้องที่เมืองท่ง เพื่อคอยสังเกตการณ์เจ้าเซียงและเจ้าทนต์ 2 อาว์หลาน ต่อมา ทัพพม่าราชวงศ์คองบอง สามารถตีกรุงศรีอยุธยาแตก อาณาจักรอยุธยาจึงเสียกรุง ในปี พ.ศ. 2310
=== ยุครัฐอิสระ และภายใต้อาณาจักรกรุงธนบุรี ===
หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า ในปีพ.ศ. 2310 ส่งผลให้เมืองท่งศรีภูมิ จึงกลายเป็น รัฐอิสระ อย่างน้อย 7 เดือน เนื่องจากพม่ารุกรานเข้ามาไม่ถึงถิ่นเมืองท่ง พม่ารุกรานเพียงแต่ทางฝั่งเมืองหลวง อย่างกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น และเนื่องจากการล่มสลายของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เมืองขึ้นที่สำคัญต่างๆซึ่งเคยขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา ต่างล้วนแยกตนเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกันและกัน จึงเกิดเป็นก๊กต่างๆหรือชุมนุมขึ้น ได้แก่ ชุมนุมเจ้าพิมาย ชุมนุมเจ้าพระฝาง ชุมนุมพระยาตาก (เป็นก๊กที่แข็งแกร่งที่สุด) ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก และชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช ซึ่งก๊กต่างๆเหล่านี้ (ยกเว้นชุมนุมพระยาตาก) ต่างพยายามแข็งเมืองต่อกลุ่มอำนาจใหม่ที่แข็งแกร่งของพระยาตาก ซึ่งเป็นกลุ่มอำนาจที่พยายามจะรวบรวมชาติขึ้นใหม่ให้เป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวอีกครั้ง ณ.เวลานี้เมืองท่งศรีภูมิ จึงเปรียบเหมือนเป็นอีกรัฐหรืออีกประเทศหนึ่งที่มีอิสรภาพอย่างโดดเดี่ยวไม่ได้ขึ้นตรงกับรัฐอื่นรัฐใด เจ้าเซียงจึงเป็นเจ้าผู้ครองรัฐอิสระซึ่งมีอำนาจในการบริหารจัดการและปกครองบ้านเมือง-ประชาชนของตนเองได้อย่างเต็มที่ และมีการตรากฎหมายไว้ใช้ในรัฐของตน ซึ่งเรียกว่า "อาณาจักร์หลักคำเมืองสุวรรณภูมิ" ซึ่งถูกตราขึ้นมาครั้งแรกโดยเจ้าสุทนต์มณี เจ้าเมืองท่งคนที่ 3 ในปีพ.ศ. 2307 โดยดัดแปลงมาจาก คัมภีร์โบราณธรรมศาสตร์หลวง กฎหมายล้านช้างโบราณ ซึ่งถูกตราขึ้นโดยพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช มหาราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง จึงบอกได้ว่าตั้งแต่สร้างเมืองท่งศรีภูมิในปีพ.ศ. 2256 ในยุคเจ้าจารย์แก้ว จนถึงปีพ.ศ. 2307 มีการใช้กฎหมายล้านช้างโบราณอย่างคำภีร์โบราณธรรมศาสตร์หลวงในการปกครองบ้านเมือง และจึงมีการตราเป็นรูปแบบของตัวเองอย่างเป็นทางการหลังจากปีพ.ศ. 2307 เป็นต้นมา ซึ่งอาณาจักร์หลักคำเมืองสุวรรณภูมินี้เองยังเป็นต้นแบบของ หลักคำเมืองร้อยเอ็ด หรือ กฎหมายของเมืองร้อยเอ็ดในเวลาต่อมา โดยหลักคำเมืองสุวรรณภูมิมีการใช้งานและมีความสำคัญมาโดยตลอดจนถึงยุคร.5 เมื่อยุบเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมืองจึงมีการเลิกใช้อาณาจักร์หลักคำและหันมาใช้กฎหมายจากส่วนกลางแทน
ในระหว่างปี พ.ศ. 2310-2311 รัฐท่งศรีภูมิในขณะนั้นมีฐานะเทียบเท่ารัฐเอกราชอื่นๆทุกประการ และต่อมาเมืองท่งได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับก๊กพิมาย เพื่อหาพันธมิตรและกำลังสนับสนุนมาคานอำนาจและป้องกันปัญหาเมื่อหากถูกรุกรานจากข้าศึกหรือศัตรูเก่า โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าอาว์หรือกลุ่มเจ้าสุทนต์มณีที่ยังคงฝักใฝ่และจงรักภักดีกับพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารแห่งนครจำปาสักซึ่งยังคงที่จะซ่องสุมกำลังและรอคอยโอกาศเพื่อที่จะทวง (ยึด) เมืองคืน นอกจากนี้ก็อาจยังมีกลุ่มจากทางอาณาจักร์ล้านช้างจำปาศักดิ์โดยตรงและอาณาจักร์ล้านเวียงจันทน์ของพระเจ้าสิริบุญสารที่ควรระแวดระวังเป็นพิเศษ ซึ่งแต่เดิมก็มีปัญหากันมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ซึ่งอาจจะสบโอกาสแว้งมารุกรานและบีบบังคับให้เมืองท่งกลับไปขึ้นต่ออำนาจอาณาจักร์ของตน ในเวลาเมื่อใดไม่ทราบก็เป็นได้ (ซึ่งในเวลาต่อมา ประมาณประมาณปีพ.ศ. 2314 ทางกรุงเวียงจันทน์ได้ร่วมมือกับกองทัพพม่าคองบองจากเชียงใหม่ ทำลายเมืองหนองบัวลำภู และสังหารพระตาซึ่งเป็นเสนาบดีเก่าของเวียงจันทน์และมีปัญหาความบาดหมางกันมาก่อนตายคาสนามรบ) ถือว่าเป็นความฉลาดหลักแหลมของเจ้าผู้ครองเมืองอย่างเจ้าเซียงในการป้องกันและบริหารจัดการบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข จึงทำให้ในเวลาตลอดเกือบกว่า 1 ปี เมืองท่งศรีภูมิรอดพ้นจากภัยข้าศึกศัตรูรอบข้างที่อาจจะเข้ามารุกราน
จนกระทั่ง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สามารถกู้กรุงสำเร็จ และทำลายก๊กพิมายหรือชุมนุมพิมายและเมืองพิมาย จับตัวกรมหมื่นเทพพิพิธ เจ้าเมืองพิมาย ซึ่งเป็นเจ้าชายอยุธยา เชื้อกษัตริย์อยุธยา ได้ พระยาตากจึงเกลี้ยกล่อมให้กรมหมื่นเทพพิพิธสวามิภักดิ์แก่ตน แต่กรมหมื่นเทพพิพิธไม่ยอมสวามิภักดิ์จึงถูกพระยาตากสำเร็จโทษ (ประหารชีวิต) ต่อมาไม่นานพระยาตากสามารถรวบรวมก๊กต่างๆที่กระจัดกระจายให้กลับมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้เป็นผลสำเร็จ และสถาปนาอาณาจักร์ขึ้นใหม่นามว่า "อาณาจักร์กรุงธนบุรี" และสถาปนาตนเองเป็นพระมหากษัตริย์ซึ่งมีพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" และในปีเดียวกันนั้น หลังจากเมืองท่งศรีภูมิ เป็น อิสระ ได้ไม่นาน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้สถาปนาอาณาจักรธนบุรี เสร็จสิ้นแล้ว จึงรับสั่งให้เมืองประเทศราชทุกเมือง ที่เคยสวามิภักดิ์ ต่อ อาณาจักรอยุธยา ให้อยู่ภายใต้อำนาจดังเดิม เจ้าเซียง จึงได้สวามิภักดิ์ขอเป็นเจ้าเมืองประเทศราช ดังเดิม ต่อมา พระยาพรหม พระยากรมท่า ได้ปรึกษากับเจ้าเซียงเจ้าเมืองท่ง ได้ความว่า ที่ตั้งของเมืองท่งศรีภูมิเดิม มีน้ำกัดเซาะ และมีปัญหาน้ำท่วมเกือบทุกปี อันเนื่องมาจากที่ตั้งเมืองใกล้ลำน้ำเสียวมากเกินไป จึงเป็นการดีถ้าหากมีการย้ายที่ตั้งเมืองไปยังดงเท้าสาร (ที่ตั้งที่ทำการอำเภอสุวรรณภูมิ ในปัจจุบัน) เนื่องจากพื้นที่บริเวณนั้นเป็นดินเนินสูง ปลอดภัยจากภัยพิบัติน้ำท่วม จึงมีใบบอกขอโปรดเกล้าให้ย้ายที่ตั้งเมืองใหม่ พระเจ้าตากจึงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตามดังนั้น และได้พระราชทานนามเมืองใหม่ ว่า “เมืองสุวรรณภูมิราชบุรินทร์ประเทศราช” พร้อมทั้งสถาปนาพระยศ ให้แก่เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ อย่าง เจ้าเซียง เป็นที่ "พระรัตนวงษา" และให้ใช้พระนามดังกล่าวแก่เจ้าเมืองสุวรรณภูมิทุกท่านที่ได้สืบต่อเป็นเจ้าเมืองสืบต่อไป (ซึ่งพระยศนี้หมายถึง ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าแก้วมงคล ผู้เป็นปฐมราชวงศ์เจ้าผู้ครองเมืองท่งศรีภูมิ พระองค์แรก)
ส่วนทางฝั่งเจ้าสุทนต์มณีซึ่งยังคงมีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ล้านช้างจำปาศักดิ์อยู่เนืองๆ นับตั้งแต่หลังพ่ายแพ้สงครามและเสียเมืองท่งให้แก่หลานของตนจึงยังคงกบดานอยู่แถวบริเวณบ้านดงเมืองจอก (บริเวณ ตำบลบ้านดู่ อำเภออาจสามมารถ จังหวัดร้อยเอ็ด) ซึ่งยังอยู่ในอาณาเขตของเมืองท่งศรีภูมิ ผ่านเลยจากยุคอยุธยาตอนปลาย ยุครัฐอิสระ จนถึงยุคกรุงธนบุรี ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2308 - พ.ศ. 2318 รวมระยะเวลากว่า 10 ปี
=== สร้างเมืองร้อยเอ็ด (สมัยกรุงธนบุรี) ===
ต่อมาในปี พ.ศ. 2318 ต่อมาไม่นาน พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงโปรดเกล้า ส่งพระยาพรหม พระยากรมท่า ขึ้นมาที่ตั้งสำนัก (ทุ่งสนามโนนกระเบา) อีกครั้ง เพื่อให้มาว่ากล่าวประนีประนอมให้อาว์ (เจ้าทนต์) หลาน (เจ้าเซียงและเจ้าสูน) คืนดีต่อกันและกัน จนเป็นผลสำเร็จ อีกทั้ง พระยาพรหม พระยากรมท่าเล็งเห็นว่าเจ้าสุทนต์มณี เป็นผู้มีความสามารถ มีผู้จงรักภักดีและมีไพร่พลในสังกัดเป็นจำนวนมาก และคาดว่าน่าจะเป็นกำลังสำคัญต่อกรุงธนบุรีได้ในอนาคต จึงมีใบบอกโปรดเกล้าตั้ง บ้านกุ่มฮ้างซึ่งเคยเป็นที่ตั้งเมืองโบราณและรกร้างไป อย่าง “เมืองสาเกตุนครร้อยเอ็ดผักตู” ขึ้นเป็นเมืองใหม่ ให้นามว่า เมือง “ร้อยเอ็ด” ส่วนชาวท้องถิ่นมักเรียกว่า “ฮ้อยเอ็ด” ตามแบบภาษาไท-ลาว โดยแยกเอาดินแดนทิศเหนือจากเมืองสุวรรณภูมิทั้งหมด แล้วยกฐานะเป็นเมืองประเทศราช ขึ้นต่อกรุงเทพฯ และโปรดเกล้าให้เจ้าสุทนต์มณีเป็นเจ้าเมือง มีพระยศว่า “พระขัติยะวงศา” อันหมายถึง ผู้ที่สืบเชื้อสายมาแต่พระมหากษัตริย์ (เจ้าแก้วมงคลพระบิดาสืบมาแต่กษัตริย์ล้านช้าง) ซึ่งเมืองร้อยเอ็ด ณ.ขณะนี้ จึงมีฐานะเป็นเมืองประเทศราช ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เทียบเท่ากับเมืองท่งศรีภูมิหรือเมืองสุวรรณภูมิราชบุรินทร์ประเทศราช เมืองแม่มาแต่เดิม นับแต่บัดนั้น ต่อมาเจ้าทนต์ได้มีการสร้างวัดวาอาราม ปกครองและปรับปรุงบ้านเมืองให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข โดยเจ้าสุทนต์มณีได้มีการตรากฎหมายขึ้นมาใหม่ ใช้ในการปกครองเมืองร้อยเอ็ดโดยเฉพาะ เรียกว่า “หลักคำเมืองร้อยเอ็ด” อันดัดแปลงและได้รับอิทธิพลมาจาก อาณาจักร์หลักคำเมืองสุวรรณภูมิ (กฎหมายเมืองท่ง) และ คัมภีร์โบราณธรรมศาสตร์หลวง (กฎหมายล้านช้างโบราณ)
=== สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ===
เจ้าทนต์ หลังจากปกครองเมืองร้อยเอ็ดเกือบ 10 ปี จึงแก่ชราภาพ ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าเมืองอีกต่อไปได้ จึงลาออกจากราชการ ในปีพ.ศ. 2326 รัชการที่ 1 จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าทนต์ เป็นที่ “พระนิคมจางวาง” และโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวสีลัง บุตรชายของเจ้าทนต์ เป็นที่ “พระขัติยวงศา” เจ้าเมืองร้อยเอ็ด คนที่ 2 แต่งตั้งให้ท้าวภูเป็นเจ้าอุปราช และท้าวอ่อนเป็นราชวงศ์ ต่อมาท้าวสีลัง มีความชอบจากการช่วยราชการสงคราม จึงโปรดเกล้า ให้เลื่อนพระยศเป็นที่ “พระยาขัติยะวงศาพิสุทธาธิบดี”
ต่อมาทางฝั่งเมืองสุวรรณภูมิ ในปี พ.ศ. 2330 หลังจากเจ้าสูนได้เป็นเจ้าเมืองสุวรรณภูมิ คนที่ 5 เจ้าสูนจึงส่งท้าวเพ บุตรชายของเจ้าเซียง และแบ่งไพร่พล ให้ จำนวน 600 คน ไปตั้งเมืองบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งถิ่นฐานโบราณ อย่าง เมืองหนองหานน้อยและชุมชนเก่า(ชุมชนเก่าบ้านเชียง) แยกออกไปตั้งเมืองใหม่ ให้ชื่อเมืองว่า “เมืองหนองหาน” (อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี) โดยขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เพื่อป้องกันไม่ให้หลานของตนคิดที่จะแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเมือง ต่อมา ในปี พ.ศ. 2335 เจ้าสูนถูกทิดโคตรลอบฟันจนถึงแก่พิราลัย ตำแหน่งเจ้าเมืองจึงว่าง
ต่อมาท้าวอ่อนผู้เป็นบุตรของเจ้าทนต์ได้รับโปรดเกล้าให้ไปเป็นเจ้าเมืองสุวรรณภูมิ แทนที่เจ้าสูนเจ้าเมืองเดิมที่พึ่งถูกทิตโคตรลอบสังหารจนถึงแก่พิราลัยจึงส่งผลให้ขั้วการเมืองสุวรรณภูมิถูกเปลี่ยนจากฝ่ายเจ้าเซียงเปลี่ยนเป็นฝ่ายเจ้าสุทนต์มณี อันเป็นผลให้ ลูกหลานเจ้าเซียง เจ้าเมืองท่งศรีภูมิ ท่านที่ 4 ไม่พอใจ และรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อครอบรัวของตน (เกรงว่าทางฝ่ายเจ้าสุทนต์จะกลับมาแก้แค้น) จึงต่างพร้อมใจพากันไม่สมัครทำราชการขึ้นต่อท้าวอ่อน ในสมัยนี้จึงมีการแยกกันไปสร้างเมืองที่สำคัญขึ้นใหม่หลายแห่ง เช่น เมืองชลบทวิบูลย์ (อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น) ในปีพ.ศ. 2335 เมืองขอนแก่น (จังหวัดขอนแก่น) ในปีพ.ศ. 2340 เมืองพุทไธสง (อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์) ในปีพ.ศ. 2342 เป็นต้น
ต่อมาหลังจากเสร็จศึกปราบกบฎเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ในปี พ.ศ. 2371 ต่อมาในปี พ.ศ. 2372 รัชการที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้า ให้ท้าวภู บุตรชายของเจ้าทนต์และยังเป็นน้องชายของท้าวสีลังและท้าวอ่อนไปเป็นเจ้าเมืองสุวรรณภูมิ สืบต่อมา เนื่องด้วยความดีความชอบจากการช่วยราชการสงครามครั้งไปช่วยรบในคราวศึกปราบเจ้าอนุวงศ์
=== สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนปลาย และสร้างเมืองมหาสารคามแยกออกจากเมืองร้อยเอ็ด (รัชกาลที่4) ===
หลังจากที่พระยาขัติยะวงศา(สีลัง) ถึงแก่พิราลัย เจ้าอุปราชสิงห์ พร้อมด้วยราชวงศ์อิน กรมการเมืองร้อยเอ็ด บุตรชายท้าวสีลัง ได้นำใบบอกไปขอศิลาหน้าเพลิง ที่กรุงเทพฯ และโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพิสัยสรเดช (ท้าวตาดี) เจ้าเมืองโพนพิสัยคนแรก (ปัจจุบันคือ อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย) ซึ่งถูกเรียกลงไปยังกรุงเทพ ให้ไปเป็นผู้รักษาราชการเมืองร้อยเอ็ดแทนพระบิดาของตน (ท้าวตาดี เป็นบุตรชายคนโตของท้าวสีลัง) ต่อมาหลังจากจัดการพระราชทานเพลิงศพท้าวสีลัง พระบิดาของพวกตน เรียบร้อยแล้ว เจ้าอุปราชสิงห์ได้มีการจัดให้มีการเล่นโปขึ้น ที่หอนั่งในจวนเจ้าเมือง อุปราชสิงห์จึงชักชวนให้พระพิสัยฯ (พี่ชาย) ให้ไปร่วมเล่นด้วย พระยาพิสัยฯจึงตอบตกลง ระหว่างที่กำลังเล่นกันอยู่นั้นก็มีคนร้ายลอบแทงพระยาพิสัยฯ โดนที่สีข้างด้านซ้ายจนถึงแก่ความตาย ซึ่งในขณะเดียวกัน ท้าวภู หรือพระรัตนวงษา(ภู) เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ น้องชายของท้าวสีลัง ก็ขึ้นมาปลงพระศพของผู้เป็นพี่ชายด้วย ท้าวภูจึงพร้อมกับกรมการเมืองได้พยายามทำการสืบหาเสาะหวตัวคนร้าย จึงได้ความว่า มีชายเชื้อสายจีนคนหนึ่งนามว่า “จั๊น” หรือมีฉายาว่า ”เจ๊กจั๊น” ซึ่งเคยเป็นคู่อริกับพระพิสัยฯมาก่อนหน้านั้น เป็นคนร้ายที่ลอบแทงพระพิสัยฯจนถึงแก่ความตาย อีกทั้งท้าวภู มีความสงสัยในเจ้าอุปราชสิงห์หลานชายของตน เนื่องจากเป็นผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์และเป็นผู้จัดงานในการเล่นโปจนเป็นที่มาของเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นนี้ และท้าวภูยังคิดว่าการที่ท้าวตาดีซึ่งได้เป็นเจ้าเมืองโพนพิสัยอยู่แล้วกลับได้รักษาการเมืองร้อยเอ็ด แทนที่จะเป็นอุปราชสิงห์ อาจเป็นเหตุให้เจ้าอุปราชสิงห์มีความอิจฉาและอาจวางแผนที่จะสังหารพี่ชายของตน จึงจับตัวท้าวสิงห์พร้อมกับเจ๊กจั๊นส่งลงไปยังกรุงเทพฯ ระหว่างการเดินทางใกล้ที่จะถึงเมืองนครราชสีมานั้น ท้าวสิงห์ได้กินยาพิษจนถึงแก่ความตายก่อน ซึ่งยังไม่ได้มีการไต่สวนพิพากษาคดีให้ชัดแจ้งแต่ประการใด คดีจึงเป็นอันระงับและเป็นที่กังขาต่อลูกหลานของท่านตลอดมา
ต่อมาท้าวกวดบุตรชายของท้าวสิงห์ ซึ่งมีอายุ 11 ขวบ ในขณะที่บิดาของตนกำลังถูกส่งไปยังกรุงเทพฯ (ไปไม่ถึงกรุงเทพฯ) ผู้เป็นมารดาและญาติที่ใกล้ชิดหวาดระแวงและเกรงกลัวว่าท้าวกวดจะได้รับอันตรายตามบิดาของตนไปด้วย จึงส่งตัวท่านให้ไปอยู่ที่เมืองสุวรรณภูมิ ต่อมาพระญาติเกรงว่าถ้าหากท้าวกวดยังอยู่ใกล้กับถิ่นฐานของตนมากเกินไปอาจจะเกิดภัยอันตรายขึ้นได้ง่าย (อาจมีคนที่ใกล้ชิดคิดปองร้าย) ท้าวกวดจึงถูกส่งตัวไปยังเขตแขวงเมืองยโสธรโดยพระญาติมิได้มีการฝากฝังไว้กับใครเลย ท้าวกวดจึงกลายเป็นคนพเนจร เดินทางอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง อาศัยนอน กิน อยู่ตามถนนหนทาง และศาลาวัด (วัดใกล้เมืองยโสธร) ขอเศษข้าวเศษอาหารจากญาติโยมที่เอานำไปถวายวัด ไปวันๆ มีความทุกข์ทรมาณ จากลูกผู้ดี ชนชั้นเจ้านาย มีอันจะกิน ต้องตกระกำลำบาก เช่นนี้ นานถึง 6 เดือนกว่า จึงจะโชคดี และได้พบกับสมภารทองสุก (ชาวยโสธร) ขณะที่ ท้าวกวดกำลังนอนหลับบนศาลา สมภารทองสุกจึงปลุกและถามสารทุกข์สุขดิบกับท้าวกวดว่าเหตุใดจึงมานอนบนศาลาเช่นนี้ ท้าวกวดจึงเล่าความจริงให้แก่สมภารทองสุกให้ได้ทราบ สมภารทองสุกจึงเกิดความสงสาร จึงได้ทำการบรรพชาให้ท้าวกวดเป็นสามเณร เล่าเรียนภาษาบาลีและภาษาไทย ศึกษาพระธรรมวินัย จนรู้ลึกและแตกฉาน ต่อมาได้อุปสมบทต่อได้ประมาณ 2 พรรษา ก็ได้ลาสิกขา ออกไปทำราชการขึ้นกับเมืองอุบลราชธานี ได้รับการดูแลอย่างดีจากกรมการเมืองอุบลฯ จนมีความดีความชอบจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ “ท้าวมหาชัย”
จนต่อมา ท้าวกวดได้รับจดหมายจากพระขัติยะวงศา (จันทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ด เรียกตัวให้กลับไปทำงานรับราชการที่เมืองร้อยเอ็ดท้าวกวดจึงได้กลับไปรับราชการที่เมืองร้อยเอ็ดและอยู่กับพระญาติของตน เมื่อราวประมาณปี พ.ศ. 2399 และในปีพ.ศ. 2402 รัชการที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ข้าหลวงกองสักออกไปสักเลขทางหัวเมืองตะวันออกเฉียงเหนือ กรมการเมืองร้อยเอ็ดได้นำตัวเลขไปสัก ปรากฏว่ามีจำนวนมากถึง 13,000 คนเศษ ท้าวจันทร์ เจ้าเมืองร้อยเอ็ดจึงคิดว่า พลเมืองของเมืองร้อยเอ็ดมีจำนวนมากอีกทั้งท้าวกวดมีความชอบในราชการมากมาย ทั้งซื่อสัตย์ มีสติปัญญาที่ดี สมควรได้แยกออกไปตั้งเมืองใหม่ เป็นเจ้าเมือง ท้าวจันทร์จึงถกกันกับกรมการเมืองร้อยเอ็ด ผลปรากฏว่า ต่างเห็นดีเห็นชอบให้แยกออกไปตั้งเมืองใหม่ ท้าวจันทร์เจ้าเมืองร้อยเอ็ดจึงเห็นชอบ ให้ท้าวกวดแยกออกไปตั้งเมืองใหม่ขึ้น ซึ่งท้าวมหาชัยหรือกวดนี้เอง เป็นต้นตระกูล ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม
ภายหลังจากการเห็นดีเห็นชอบ ต่อมาท้าวกวดตัดสินใจเสนอที่ตั้งเมืองในสองบริเวณ คือ บ้านลาดและกุดยางใหญ่ ขึ้นเป็นเมืองมหาสารคาม โดยคำว่า ”กุด” ภาษาลาวอีสานโบราณแปลว่า “แหล่งน้ำ” ดังนัน กุดยางใหญ่ จึงแปลว่า แหล่งน้ำที่เต็มไปด้วยต้นยางขนาดใหญ่ ส่วนบ้านลาดนั้นเป็นบริเวณที่น้ำท่วมไม่ถึงเนื่องจากเป็นเนินดินสูง ต่อมา รัชกาลที่ 4 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยก “บ้านลาดกุดยางใหญ่” หรือที่แผลงมาเป็น “บ้านลาดกุดนางใย” เป็น เมืองมหาสาลคาม (ภายหลังถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น “มหาสารคาม”) แปลงจากชื่อภาษาไท-ลาว เป็น ภาษาบาลี-สันสกฤต ซึ่งแปลตามตัวได้ดังนี้ มหา แปลว่า “ใหญ่” สาล แปลว่า ต้นยาง และ คาม แปลว่า “กุฏิ” หรือที่อยู่อาศัย แต่ส่วนกลางน่าจะเข้าใจผิด เข้าใจไปเองว่า กุด แปลว่า “กุฏิ” แต่แท้ที่จริง กุด แปลว่า “แหล่งน้ำ” ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้ ท้าวมหาชัย (กวด) เป็นที่ พระเจริญราชเดช (กวด) เจ้าเมืองมหาสารคามท่านแรก โดยตั้งให้ ท้าวบัวทอง (พานทอง) เป็นอรรคฮาช ท้าวไชยวงศา (ฮึง) ซึ่งเป็นบุตรท้าวสีลัง เป็นอรรควงศ์ ท้าวเถื่อน ซึ่งเป็นบุตรท้าวจันทร์ เป็นอรรคบุตร ยกเมืองมหาสารคาม เป็นเมืองขึ้นของเมืองร้อยเอ็ด ในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2408
ต่อมาในปี พ.ศ. 2412 ให้แยกเมืองมหาสารคามออกจากเมืองร้อยเอ็ดและยกฐานะเมืองมหาสารคามขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร และเปลี่ยนตำแหน่งยศ ของอรรคฮาช อรรควงศ์ และ อรรคบุตรให้เลื่อนขึ้นเป็นอุปฮาช(อุปราช) ราชวงศ์ ราชบุตร ตามลำดับ
=== ศึกปราบฮ่อที่เมืองหนองคาย และการยกฐานะเมืองมหาสารคามเป็นเมืองประเทศราชของกรุงรัตนโกสินทร์ตอนปลาย ===
ต่อมา พ.ศ. 2418 พวกฮ่อได้ยกทัพมาตีหัวเมืองขึ้นและประเทศราชของไทย ยึดเมืองหลวงพระบางและเมืองพวนได้จึงรุกต่อมาจะยึดบริเวณที่เคยเป็นเมืองเวียงจันทน์ (เดิม) แต่ร้างไป ซึ่งเป็นเขตแดนของเมืองหนองคายในขณะนั้นและจะยึดเมืองหนองคายอย่างต่อเนื่อง รัชการที่ 5 ทรงโปรดเกล้าให้ พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น) ขึ้นไปปราบโจรฮ่อที่เมืองหนองคาย พระยามหาอำมาเขา (ชื่น) ได้สั่งให้พระเจริญราชเดช (กวด) เป็นแม่ทัพหน้า และให้ราชบุตรเสือ เมืองร้อยเอ็ดเป็นนายกองผู้ช่วยพระเจริญราชเดช (กวด) เกณฑ์กำลังเมืองร้อยเอ็ด เมืองมหาสารคาม ยกไปสมทบกับทัพเมืองอุบลราชธานีและเมืองกาฬสินธุ์ ทัพไทยได้ยกไปตีจนฮ่อแตกพ่าย ซึ่งระหว่างการทำศึก ราชบุตร (เสือ) ถูกฮ่อยิงโดนมือขวาจนเลือดไหล ไพร่พลจึงช่วยกันพยุงพากลับเมือง ส่วนทางฝั่งพระเจริญราชเดช (กวด) ได้ถูกฮ่อยิงที่แขนซ้ายและต้นขาซ้าย อาการสาหัส ไพร่พลจึงพากันช่วยพยุงจะพากลับ แต่พระเจริญราชเดช (กวด) ไม่ยอมกลับ อ้างว่า “กลับไปก็อายเขา เมื่อถึงที่ตายก็ขอให้ตายในที่รบ” จึงสั่งให้ไพร่พลพาขึ้นหลังม้าและออกไปรบต่อ
ต่อมากองทัพไทยได้ชัยชนะ ตีพวกฮ่อจนแตกหนีไป ทัพไทยจับพวกฮ่อเป็นเชลยได้จำนวนมากพร้อมอาวุธมากมาย หลังจากเสร็จศึกปราบฮ่อเรียบร้อยแล้ว. พระยามหาอำมาตย์(ชื่น) ข้าหลวงใหญ่ภาคอีสานกลับไปจัดราชการอยู่ที่เมืองร้อยเอ็ดต่อ ส่วนพระเจริญราชเดช (กวด) ซึ่งถูกยิงจนอาการสาหัส มีอาการป่วยได้กลับมาพักรักษาตัวที่เมืองมหาสารคาม
ด้วยคุณงามความดีของท่าน รัชการที่ 5 จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเลื่อนฐานะของท้าวกวด ให้เทียบเท่าเจ้าเมืองประเทศราช ยกฐานะเมืองมหาสารคามเป็นเมืองประเทศราช พระราชทานนามบรรดาศักดิ์ ให้แก่ พระเจริญราชเดช (มหาชัยกวด) เป็นที่ พระเจริญราชเดชวรเชษฐมหาขัติยพงศ์สุรชาติ ประเทศราชธำรงค์รักษ์ ศักดิ์กิติยศเกรียงไกร ศรีพิชัยเทพวราฤทธิ์พิษณุพงศ์ปรีชา สิงหบุตรสุวัฒนา นคราภิบาล ถือได้ว่าท่านได้รับพระราชทินนามที่สมศักดิ์ศรีของเจ้าเมืองประเทศราชที่ได้กระทำคุณงามความดีให้แก่แผ่นดินไทย และต่อมา เป็นผลมาจากความบอบช้ำสาหัสจากสงคราม ท่านจึงได้ถึงแก่พิราลัยลง ในปีพ.ศ. 2421 สิริมายุรวม 43 ปี พระเจริญูราชเดช หรือท้าวมหาชัย (กวด) มีอีกพระนามว่า "อาชญาพ่อหลวงมหาชัย" อันเนื่องมาจากท่านเป็นที่เคารพนับถือของลูกหลานชาวมหาสารคาม จากคุณงามความดีที่ท่านได้ทำไว้แก่ชาติบ้านเมือง ปกป้องบ้านเมืองด้วยชีวิต อย่างกล้าหาญและไม่กลัวตาย
=== หลังศึกปราบฮ่อ ===
ต่อมา เจ้าอุปราชฮึง เล็งเห็นว่า ท้าวสุพรรณ บุตรพระเจริญราชเดชสมควรที่จะขึ้นเป็นเจ้าเมืองต่อไป จึงร่วมกันปรึกษากับกรมการเมือง จึงเป็นที่แน่ชัดว่าควรให้ท้าวสุพรรณลงไปกรุงเทพฯ เพื่อขอพระราชทานเป็นเจ้าเมือง แต่ปรากฏว่าระหว่างการเดินทางลงกรุงเทพท้าวสุพรรณได้ถึงแก่กรรมเสียก่อนในระหว่างทาง ตำแหน่งเจ้าเมืองมหาสารคามจึงได้ว่างเว้นไปถึง 2 ปี โดยมีผู้รักษาการคือเจ้าอุปราช(ฮึง)
พ.ศ. 2422 ขุนหลวงสุวรรณพันธนากร (คำภา) และขุนสุนทรภักดี ผู้ที่หลอกตัวเองว่าเป็นข้าหลวงเชิญท้องตราราชสีห์เที่ยวอ้างไปทั่ว โดยอ้างว่าตนขึ้นมาช่วยชำระคดีแก่ราษฎร เจ้าอุปราช (ฮึง) ไม่เชื่อจึงจับตัวทั้งคู่ ส่งตัวลงไปยังกรุงเทพฯ ในปีเดียวกัน ผลปรากฏว่าเป็นพวกหลอกลวงต้มตุ๋นจริง จากความดีความชอบ รัชการที่ 5 จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เจ้าอุปราช (ฮึง) ขึ้นเป็นเจ้าเมืองมหาสารคาม เป็นที่ “พระเจริญราชเดช” (ฮึง) และในปีเดียวกันได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองพยัคฆภูมิพิสัย ขึ้นเป็นเมืองชั้นตรีขึ้นกับเมืองชั้นเอกอย่างเมืองสุวรรณภูมิ แรกเริ่มตั้งเมืองเลยเขตแดนมายังเขตเมืองมหาสารคาม ภายหลังถูกเจ้าเมืองมหาสารคามท้วงติง จึงถอยกลับไปตั้งเมืองในเขตแดนเมืองสุวรรณภูมิแทน เนื่องด้วยสาเหตุดังกล่าว เพื่อความได้เปรียบในการรับรองเขตแดน
ปี พ.ศ. 2425 เจ้าเมืองมหาสารคาม มีใบบอกขอโปรดเกล้า ยกบ้านนาเลาขึ้นเป็นเมือง “วาปีปทุม” แต่ไม่ได้ไปตั้งเมืองที่บ้านนาเลา ตามที่ร้องขอไว้ แต่กลับไปตั้งที่บ้านหนองแสงแทน (แย่งเขตแดนของเมืองสุวรรณภูมิ) และต่อมาโปรดเกล้า ให้ยกบ้านวังทาหอขวาง (บึงกุย) ขึ้นเป็นเมือง “โกสุมพิสัย”
ต่อมาในปี พ.ศ. 2432 เจ้าอุปราชเมืองสุวรรณภูมิ (รักษาการ) มีใบบอกกล่าวโทษต่อ เมืองมหาสารคาม เมืองศรีสะเกษ เมืองสุรินทร์ ว่าแย่งเอาเขตของตนไปตั้งเป็นเมือง กล่าวคือ เมืองมหาสารคาม ขอเอาบ้านนาเลาตั้งเป็นเมืองวาปีปทุมขึ้นเมืองมหาสารคาม (ซึ่งไม่ได้ตั้งตามที่ขอไว้ แต่ไปตั้งเมืองล้ำเข้าไปในเขตเมืองสุวรรณภูมิจริง) เมืองศรีสะเกษ ขอเอาบ้านโนนหินกองตั้งเป็นเมืองราษีไศลขึ้นเมืองศรีสะเกษ และเมืองสุรินทร์ ขอเอาบ้านทัพค่ายตั้งเป็นเมืองชุมพลบุรีขึ้นเมืองสุรินทร์ จึงได้โปรดเกล้า ให้ข้าหลวงนครจำปาศักดิ์ ข้าหลวงอุบลราชธานี ให้ทำการไต่สวนว่ากล่าวในเรื่องนี้ ผลการสอบสวนปรากฏว่าได้คำสัตย์จริงดังที่เจ้าเมืองสุวรรณภูมิได้กล่าวโทษไว้ แต่เมืองเหล่านี้ได้ตั้งมานานหลายปีแล้ว อีกทั้งยังมีชุมชนตั้งเป็นหลักเป็นแหล่งอย่างเข้มแข็ง จึงรื้อถอนได้ยาก จึงทรงโปรดเกล้า ให้เมืองวาปีปทุม เมืองราษีไศล เมืองชุมพลบุรี เป็นเมืองขึ้นของเมืองมหาสารคาม เมืองศรีสะเกษ เมืองสุรินทร์ ตามลำดับตามเดิม โดยมิให้โยกย้ายหรือรื้อถอนแต่ประการใด
=== การลดทอนอำนาจของเจ้าเมืองประเทศราชและเมืองขึ้นในดินแดนภาคอีสานให้มาอยู่ในการกำกับดูแลของข้าหลวงต่างพระองค์ และการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ===
ต่อมาในปีพ.ศ. 2433 โปรดเกล้า ส่งข้าหลวงใหญ่ต่างพระองค์ ไปกำกับราชการ(หัวเมืองตะวันออก) แบ่งออกแป็น 4 ส่วน คือ 1.หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ 2.หัวเมืองลาวฝ่ายกลาง 3.หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก 4.หัวเมืองลาวตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเมืองมหาสารคามขึ้นกับหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ โดยข้าหลวงถูกส่งมาจากส่วนกลางให้มาช่วยกำกับดูแลเจ้าเมือง (การจะกระทำการอันใดจะต้องผ่านความเห็นชอบของข้าหลวงกำกับเมืองด้วย จึงจะพึงปฏิบัติได้) ถือว่าเป็นการลดทอนอำนาจของเจ้าเมืองพื้นถิ่นลงไปอย่างมาก กล่าวคือ เมืองประเทศราชหรือฐานะของความเป็นเมืองประเทศราชของเมืองต่างๆภายในภาคอีสานต่างถูกยุบและยกเลิกอย่างเป็นทางการและขึ้นกับส่วนกลางโดยตรงตั้งแต่ครั้งที่ส่วนกลางส่งข้าหลวงมากำกับดูแลเจ้าเมืองนั้นเอง (ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2433 เป็นต้นมา) ส่วนข้าหลวงกำกับเมืองก็ขึ้นตรงกับข้าหลวงใหญ่แต่ละฝ่าย และข้าหลวงใหญ่ขึ้นตรงกับส่วนกลางอีกที ซึ่ง เมืองมหาสารคาม ร้อยเอ็ด และเมืองกาฬสินธุ์ ขึ้นอยู่ในความปกครองของข้าหลวงเมืองอุบลฯ(ในกรณีเมืองชั้นเอกจะขึ้นกับทั้งข้าหลวงที่ถูกส่งไปกำกับและขึ้นกับกรุงเทพควบคู่กัน ในส่วนเมืองชั้นตรีโทจัตวาจะขึ้นกับเมืองชั้นเอกอีกทีหนึ่ง และเมืองชั้นเอกไม่ได้ขึ้นตรงต่อกันและกันแม้ว่าเมืองชั้นเอกเมืองใดจะเป็นที่ตั้งศูนย์บัญชาการข้าหลวงก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น เมืองกาฬสินธุ์ซึ่งเป็นเมืองชั้นเอกขึ้นกับข้าหลวงเมืองอุบลโดยข้าหลวงท่านหนึ่งสามารถกำกับและมีเจ้าเมืองชั้นเอกขึ้นตรงได้หลายเมือง แต่เมืองกาฬสินธุ์ไม่ได้ขึ้นกับเมืองอุบลราชธานีแต่ขึ้นกับกรุงเทพฯ (เพราะเมืองอุบลราชธานีก็คือเมืองชั้นเอกที่ต้องขึ้นกับข้าหลวงกำกับและขึ้นกับกรุงเทพฯด้วยเช่นกัน) และเมืองกุดสิมนารายณ์ซึ่งเป็นเมืองชั้นตรีก็ขึ้นกับเมืองกาฬสินธ์อีกที เป็นต้น ดังนั้น ตำแหน่งข้าหลวงกำกับชื่อเมืองนั้นๆ,ข้าหลวงใหญ่,ข้าหลวงประจำบริเวณหรือมณฑลนั้นๆที่มีชื่อต่อท้ายด้วยชื่อเมืองนั้นๆ จึงเป็นเพียงแค่การใช้พื้นที่หรือเขตแดนของเมืองนั้นๆบางส่วนไปตั้งกองบัญชาการข้าหลวง (ศูนย์กลาง) ขึ้นและเมืองหรือเจ้าเมืองที่กองบัญชาการข้าหลวงนั้นๆได้ไปตั้งก็ต้องขึ้นกับกองข้าหลวงนั้นๆที่ได้ไปตั้งในพื้นที่เมืองของตนด้วยเฉกเช่นเดียวกัน)
ต่อมา ส่วนกลางส่งให้นายรองชิต (เลื่อง ณ นคร ) เป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองร้อยเอ็ดและเมืองมหาสารคาม ซึ่งตั้งที่ทำการข้าหลวงอยู่ที่เมืองมหาสารคาม ในปี พ.ศ. 2435 (เป็นครั้งแรก)
พ.ศ. 2437 มีการโอนเมืองชุมพลบุรีจากแขวงเมืองสุรินทร์ให้มาขึ้นตรงต่อเมืองมหาสารคามชั่วคราว ต่อมาประมาณ 6 ปี จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2443 มีการยุบเมืองชุมพลบุรีเป็นอำเภอชุมพลบุรีแล้วจึงโอนย้ายกลับไปขึ้นกับเมืองสุรินทร์เหมือนเดิม) ในปีเดียวกันนั้น มีการแบ่งหัวเมืองในมณฑลอีสานออกเป็นบริเวณ 5 บริเวณ(ซึ่งเมืองในสังกัดบริเวณไม่จำเป็นจะต้องขึ้นตรงหรือกลายเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองที่ถูกตั้งเป็นศูนย์กลางบริเวณเสมอไป) โดยแบ่งออกเป็นได้ดังนี้ คือ 1) บริเวณอุบล 2) บริเวณจำปาศักดิ์ 3) บริเวณร้อยเอ็ด 4) บริเวณบริเวณขุขันธ์ 5) บริเวณสุรินทร์ โดยที่บริเวณร้อยเอ็ดมีเมืองที่สังกัดต่อข้าหลวงประจำบริเวณ ทั้งหมด คือ 5 หัวเมือง คือ 1) เมืองร้อยเอ็ด 2) เมืองมหาสารคาม 3) เมืองกาฬสินธุ์ (ถูกยุบลงเป็นอำเภออุทัยกาฬสินธุ์ขึ้นกับจังหวัดร้อยเอ็ด ภายหลังเมื่อมีการตั้งมณฑลร้อยเอ็ดขึ้น จึงถูกยกฐานะเป็นจังหวัดอุทัยกาฬสินธุ์ แล้วต่อมาถูกยุบเป็นอำเภอหลุบขึ้นกับจังหวัดมหาสารคาม อีกครั้งใน ปี 2474 ในยุคข้าวยากหมากแพง แล้ว กลับตั้งเป็นจังหวัดกาฬสินธุ์ขึ้นใหม่ เมื่อปี 2490) 4) เมืองสุวรรณภูมิ (ภายหลังถูกยุบลงเป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดร้อยเอ็ด) 5) เมืองกมลาไสย (ภายหลังถูกยุบลงเป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดกาฬสินธุ์)
ในปี พ.ศ. 2440 ได้มีการให้ยุบตำแหน่งเจ้าเมือง เป็น ผู้ว่าราชการเมือง ลดบทบาทเจ้าเมืองลงให้มาขึ้นกับส่วนกลางอย่างเต็มที่
พ.ศ. 2443 อุปฮาด (เถื่อน รักษิกจันทร์) ได้รักษาการเมืองมหาสารคาม เป็นผู้ว่าราชการเมือง หรือ เจ้าเมืองคนที่ 3
พ.ศ. 2444 เมืองมหาสารคาม มีอำเภอภายใต้การปกครอง ทั้งหมด 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภออุทัยสารคาม อำเภอประจิมสารคาม อำเภอโกสุมพิสัย และอำเภอวาปีปทุม
พ.ศ. 2446 มีการยุบตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการเมืองทิ้ง และในปีเดียวกัน พระพิทักษ์นรากร(อุ่น) ได้เป็นผู้ว่าราชการเมือง ต่อมาภายหลัง ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองมหาสารคามคนที่ 4 มีทินนามว่า "พระเจริญราชเดช(อุ่น)"
พ.ศ. 2451 ส่วนกลางเปลี่ยน บริเวณ เป็น เมือง กล่าวคือ ให้บางบริเวณที่เป็นที่ตั้งศูนย์กลางบริเวณ (เมืองใหญ่ที่สุดในบริเวณ) ให้เปลี่ยนเป็นเมือง (เทียบเท่าจังหวัด) และให้เมืองบริวาร (เมืองรองในบริเวณ) ลดฐานะเป็นอำเภอขึ้นกับเมืองที่เป็นที่ตั้งศูนย์กลางบริเวณ และในปีเดียวกัน ภายหลังมีการยุบเมืองสุวรรณภูมิให้กลายเป็นอำเภอขึ้นตรงต่อจังหวัดร้อยเอ็ด จึงมีการโอนอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของเมืองสุวรรณภูมิ ให้โอนไปขึ้นกับจังหวัดร้อยเอ็ด
ในปี พ.ศ. 2456 มีการเปลี่ยน ที่ว่าการเมือง เป็น ศาลากลางจังหวัด และเปลี่ยนคุ้มของเจ้าเมือง เป็น จวนผู้ว่าราชการเมือง
พ.ศ. 2454 ย้ายอำเภอประจิมสารคาม ไปทางทิศตะวันตก และเปลี่ยนนาม เป็น อำเภอท่าขอนยาง และเปลี่ยนนามอำเภออุทัยสารคาม เป็น อำเภอเมืองมหาสารคาม
พ.ศ. 2459 มีการยกเลิกตำแหน่งปลัดมณฑลประจำจังหวัด และในปีเดียวกัน มีการเปลี่ยนชื่อผู้ว่าราชการเมือง เป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด
พ.ศ. 2456 รัชการที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งมณฑลใหม่ขึ้นเป็น ”มณฑลร้อยเอ็ด” ตั้งที่ทำการมณฑลที่เมืองร้อยเอ็ด ซึ่งมณฑลร้อยเอ็ดประกอบด้วย จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดกาฬสินธุ์ ในปีนี้ได้มีการจัดตั้งศาลยุติธรรมขึ้นเป็นครั้งแรกของจังหวัดมหาสารคาม มีการโอนอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยจากจังหวัดร้อยเอ็ดให้มาขึ้นกับจังหวัดมหาสารคาม และโอนอำเภอกันทรวิชัย (อำเภอโคกพระ) จากจังหวัดกาฬสินธุ์ให้มาขึ้นกับจังหวัดมหาสารคาม ในปีเดียวกันนี้ จังหวัดมหาสารคามจึงมีอำเภอภายใต้การปกครองรวมทั้งหมด 6 อำเภอ ได้แก่ 1) อำเภอเมืองมหาสารคาม 2) อำเภอโกสุมพิสัย 3) อำเภอเมืองวาปีปทุม 4) พยัคฆภูมิพิสัย 5) อำเภอท่าขอนยาง (อำเภอบรบือ) 6) อำเภอกันทรวิชัย (อำเภอโคกพระ)
ในปี พ.ศ. 2457 ได้มีการสร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นใหม่ ก่อสร้างเสร็จในปี 2467
ต่อมา พ.ศ. 2468 โปรดเกล้าฯ ให้ยุบมณฑลร้อยเอ็ดเป็นจังหวัด โอนจังหวัดทั้งหมดที่เคยขึ้นตรงต่อมณฑลร้อยเอ็ด คือ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดกาฬสินธุ์ ให้ไปขึ้นอยู่กับมณฑลนครราชสีมา
พ.ศ. 2474 ในยุคข้าวยากหมากแพง ส่งผลให้ต้องมีการลดค่าใช้จ่ายและงบประมาณลง จึงได้มีการยุบจังหวัดกาฬสินธุ์ (หรืออุทัยกาฬสินธุ์) ลงเป็นอำเภอ ให้มารวมกับจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งอำเภอเมืองอุทัยกาฬสินธ์จึงเปลี่ยนชื่อเป็น ”อำเภอหลุบ” ขึ้นกับจังหวัดมหาสารคาม และโอนอำเภอที่เคยขึ้นต่อจังหวัดกาฬสินธุ์มาขึ้นกับจังหวัดมหาสารคามทั้งหมด รวมอำเภอที่ขึ้นกับจังหวัดมหาสารคามได้ทั้งหมดเป็น 11 อำเภอ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่อาณาเขตของจังหวัดมหาสารคามมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา (รวมพื้นที่ทั้งจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดกาฬสินธุ์ในปัจจุบัน)
=== การเปลี่ยนแปลงการปกครองหลัง การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ===
ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็น ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยคณะราษฎร์ ซึ่งนำโดย พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาทรงสุรเดช และพระยาฤทธิอาคเณ
ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 รัชการที่ 7 ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ชาวสยาม ในปีเดียวกัน จังหวัดมหาสารคามได้จัดตั้ง “สาขาสมาคมคณะราษฎร์” ประจำจังหวัดมหาสารคาม ขึ้นเป็นครั้งแรก
ในปี พ.ศ. 2476 เดือนกันยายน จังหวัดมหาสารคาม มีการจัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนตำบล เป็นครั้งแรก และ ในปีเดียวกัน เดือน พฤศจิกายน จังหวัดมหาสารคาม มีการจัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร เป็นครั้งแรก โดยให้ผู้แทนตำบลทั่วทั้งจังหวัดเป็นผู้ลงคะแนนเลือกตั้ง และต่อมา ได้เปลี่ยน ”ผู้ว่าราชการจังหวัด” เป็น “ข้าหลวงประจำจังหวัด” ภายหลังได้เปลี่ยนกลับมาใช้คำว่า” ผู้ว่าราชการจังหวัด” อีกครั้ง
ในปีพ.ศ. 2490 แยกอำเภอกาฬสินธุ์(หลุบ) และบางอำเภอ ออกจากจังหวัดมหาสารคาม และยกฐานะอำเภอกาฬสินธุ์ขึ้นเป็นจังหวัดกาฬสินธุ์มาตั้งแต่บัดนั้น
ต่อมาใน พ.ศ. 2496 ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม สร้างเสร็จสิ้น และใช้งานเรื่อยมาจนจวบปัจจุบัน โดยจังหวัดมหาสารคาม ในปีเดียวกันนี้ มีเขตการปกครอง ทั้งหมด 10 แห่ง โดย แบ่งเป็น อำเภอ 9 แห่ง และกิ่งอำเภอ 1 แห่ง ได้แก่ 1.อำเภอเมืองมหาสารคาม 2.อำเภอบรบือ 3.อำเภอกันทรวิชัย 4.อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย 5.อำเภอนาดูน 6.อำเภอวาปีปทุม 7.อำเภอนาเชือก 8.อำเภอเชียงยืน 9.อำเภอโกสุมพิสัย 10.กิ่งอำเภอแกดำ (ต่อมาได้ยกฐานะเป็นอำเภอแกดำ)
เมืองมหาสารคามได้สร้างวัดดอนเมือง ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น วัดข้าวฮ้าว (วัดธัญญาวาส) และได้ย้ายกองบัญชาการไปอยู่ริมหนองกระทุ่มด้านเหนือของวัดโพธิ์ศรีปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2456 หม่อมเจ้านพมาศ นวรัตน์ เป็นปลัดมณฑลประจำจังหวัด โดยความเห็นชอบของพระมหาอำมาตยาธิบดี (เส็ง วิริยะศิริ) ได้ย้ายศาลากลางไปอยู่ที่ตั้งศาลากลางหลังเดิม (ที่ว่าการอำเภอเมืองมหาสารคามปัจจุบัน) และในปี พ.ศ. 2542 ได้ย้ายศาลากลางไปอยู่ ณ ที่ตั้งปัจจุบัน มีผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมือง หรือผู้ว่าราชการจังหวัด รวม 46 คน
== ความเปลี่ยนแปลง ==
สรุปความเปลี่ยนแปลงเด่นๆของเมืองมหาสารคาม ระหว่างปี พ.ศ. 2408-2500
นับจากวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2408 ถึงปี พ.ศ. 2500 เมืองมหาสารคามมีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการคือ
พ.ศ. 2408 ขึ้นกับเมืองร้อยเอ็ด
พ.ศ. 2412 ขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร
พ.ศ. 2419 ยกฐานะเมืองมหาสารคามเป็นเมืองประเทศราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เลื่อนฐานะท้าวมหาชัย (กวด) เป็น เจ้าผู้ครองเมืองประเทศราช ให้มีพระราชทินนามว่า พระเจริญราชเดช วีรเชษฐ์มหาขัติยพงศ์ รวิวงศ์สุรชาติ ประเทศราชธำรงรักษ์ ศักดิ์กิติยศเกรียงไกร ศรีพิชัยเทพวรฤทธิ์ พิศอนุพงศ์ปรีชา สิงหบุตรสุวัฒนา นคราภิบาล ชาญพิชัยสงคราม
พ.ศ. 2422 พระเจริญราชเดช (ฮึง) เป็นเจ้าเมืองมหาสารคาม คนที่ 2
พ.ศ. 2425 ตั้งบ้านนาเลาขึ้นเป็นเมืองวาปีปทุม และตั้งบริเวณบึงกุย เป็นเมืองโกสุมพิสัย ขึ้นกับเมืองมหาสารคาม
พ.ศ. 2443 ส่วนกลางให้ยุบตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง(ลดทอนอำนาจของเจ้านายท้องถิ่น) ในปีเดียวกันนั้นได้มีการแบ่งเมืองมหาสารคามออกเป็น 2 อำเภอ คือ อำเภออุทัยสารคาม และอำเภอประจิมสารคาม
พ.ศ. 2446 พระพิทักษ์นรากร(อุ่น) ได้เป็นผู้ว่าราชการเมือง ต่อมาภายหลัง ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองมหาสารคามคนที่ 4 มีทินนามว่า "พระเจริญราชเดช(อุ่น)"
พ.ศ. 2455 ยุบตำแหน่งผู้ว่าราชการเมือง เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด โดยมี หม่อมเจ้านพมาศ นวรัตน์ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามคนแรก
พ.ศ. 2475 เปลี่ยนระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และในปีเดียวกันนั้น ให้ยุบจังหวัดอุทัยกาฬสินธุ์ให้ลงเป็นอำเภอหลุบขึ้นกับจังหวัดมหาสารคาม และโอนทุกอำเภอที่เคยขึ้นกับจังหวัดอุทัยกาฬสินธ์ให้โอนมาเป็นอำเภอขึ้นตรงต่อจังหวัดมหาสารคาม
พ.ศ. 2477 มีการขุดคลองสมถวิล เพื่อสร้างเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญ ของชาวชุมชนเมืองมหาสารคาม
พ.ศ. 2478 จังหวัดมหาสารคามมีการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคามขึ้น
พ.ศ. 2490 แยกอำเภอกาฬสินธุ์(หลุบ) และบางอำเภอ ออกจากจังหวัดมหาสารคาม และยกฐานะอำเภอกาฬสินธุ์ขึ้นเป็นจังหวัดกาฬสินธุ์มาตั้งแต่บัดนั้น
พ.ศ. 2498 จังหวัดมหาสารคามมีการจัดตั้งเทศบาลเมืองมหาสารคาม
พ.ศ. 2500 มีการสร้างหอนาฬิกาขึ้นเพื่อเป็นแลนด์มาร์กใจกลางตัวเมืองของจังหวัด
== ภูมิศาสตร์ ==
=== ที่ตั้งและอาณาเขต ===
จังหวัดมหาสารคามตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ประมาณ 5,300 ตารางกิโลเมตร (3,307,300 ไร่) ระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานคร 475 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดกาฬสินธุ์
ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์
ทิศตะวันออก ติดต่อกับจังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดร้อยเอ็ด
ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดบุรีรัมย์
จังหวัดมหาสารคามมีฉายาเป็น "ดินแดนแห่งสะดืออีสาน" เนื่องจากตั้งอยู่ที่จุดกึ่งกลางของภาคอีสาน ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านบึงกุย หมู่ 13 ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย)
=== ภูมิประเทศ ===
โดยทั่วไป จังหวัดมหาสารคามมีพื้นที่ค่อนข้างราบเรียบถึงลูกคลื่นลอนลาด สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 130 – 230 เมตร ทิศตะวันตกและทิศเหนือเป็นที่สูงในเขตอำเภอโกสุมพิสัย อำเภอเชียงยืน และอำเภอกันทรวิชัย ครอบคลุมพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของจังหวัด และค่อย ๆ เทลาดมาทางทิศตะวันออกและทิศใต้
สภาพพื้นที่แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ
พื้นที่ราบเรียบถึงค่อนข้างราบเรียบ — ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มริมน้ำ เช่น ที่ราบลุ่มริมแม่น้ำชี ในบริเวณอำเภอเมืองมหาสารคาม อำเภอโกสุมพิสัย และทางตอนใต้ของจังหวัดแถบชายทุ่งกุลาร้องไห้
พื้นที่ค่อนข้างราบเรียบสลับกับลูกคลื่นลอนลาด — ตอนเหนือของอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย เป็นแนวยาวไปทางตะวันออก ถึงอำเภอเมืองมหาสารคาม]
พื้นที่ลูกคลื่นลอนลาดสลับกับพื้นที่ลูกคลื่นลอนชัน — ตอนเหนือและตะวันตกของจังหวัด บริเวณนี้มีเนื้อที่ประมาณครึ่งหนึ่งของจังหวัด
=== ภูมิอากาศ ===
ลักษณะภูมิอากาศในเขตจังหวัดมหาสารคาม เป็นแบบมรสุมเมืองร้อน มีฝนตกสลับกับอากาศแห้ง ในปี พ.ศ. 2555 มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายเดือน 118.1 มิลลิเมตร และปริมาณน้ำฝนมากที่สุดที่ 414.9 มิลลิเมตร ในเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนมกราคม-กรกฎาคม ที่ 27.91 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 39.3 องศาเซลเซียส ในเดือนเมษายน และอุณหภูมิต่ำสุด 15.0 องศาเซลเซียส ในเดือนมกราคม ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ย ประมาณ 73.55 % (เดือนมกราคม - กรกฎาคม)
== การเมืองการปกครอง ==
=== การปกครองส่วนภูมิภาค ===
จังหวัดมหาสารคามแบ่งการปกครองออกเป็น 13 อำเภอ, 133 ตำบล, 1,804 หมู่บ้าน มีรายชื่ออำเภอดังนี้
=== การปกครองส่วนท้องถิ่น ===
จังหวัดมหาสารคามมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด 143 แห่ง เป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับล่าง ประกอบด้วย เทศบาล 47 แห่ง เป็นเทศบาลเมือง 1 แห่ง คือเทศบาลเมืองมหาสารคาม และเทศบาลตำบล 18 แห่ง ที่เหลือเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลจำนวน 123 แห่ง โดยเทศบาลทั้งหมดแบ่งตามอำเภอในจังหวัดมหาสารคาม มีดังนี้
อำเภอเมืองมหาสารคาม
* เทศบาลเมืองมหาสารคาม
* เทศบาลตำบลแวงน่าง
อำเภอโกสุมพิสัย
*เทศบาลตำบลโกสุมพิสัย
อำเภอกันทรวิชัย
* เทศบาลตำบลโคกพระ
* เทศบาลตำบลขามเรียง
* เทศบาลตำบลท่าขอนยาง
อำเภอเชียงยืน
* เทศบาลตำบลเชียงยืน
* เทศบาลตำบลโพนทอง
อำเภอชื่นชม
* เทศบาลตำบลหนองกุง
* เทศบาลตำบลกุดปลาดุก
อำเภอแกดำ
* เทศบาลตำบลแกดำ
* เทศบาลตำบลมิตรภาพ
อำเภอนาดูน
* เทศบาลตำบลนาดูน
* เทศบาลตำบลหนองไผ่
* เทศบาลตำบลหัวดง
อำเภอบรบือ
* เทศบาลตำบลบรบือ
อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย
* เทศบาลตำบลพยัคฆภูมิพิสัย
อำเภอวาปีปทุม
* เทศบาลตำบลวาปีปทุม
อำเภอนาเชือก
* เทศบาลตำบลนาเชือก
=== รายชื่อเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัด ===
== การคมนาคม ==
=== ทางบก ===
รถยนต์ส่วนตัว
เส้นทางที่สะดวกและสั้นที่สุด คือใช้เส้นทางถนนพหลโยธินเข้าสู่จังหวัดสระบุรี และเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนมิตรภาพ ผ่านจังหวัดนครราชสีมา เข้าสู่จังหวัดขอนแก่น แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนแจ้งสนิท จนกระทั่งเข้าสู่จังหวัดมหาสารคาม
รถโดยสารประจำทาง
สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดมหาสารคาม ตั้งอยู่บริเวณถนนเลียบคลองสมถวิล ผู้ให้บริการรถโดยสารจากกรุงเทพฯ อาทิ บริษัท ขนส่ง จำกัด, นครชัยแอร์, เชิดชัยทัวร์, รุ่งประเสริฐทัวร์ และชาญทัวร์ นอกจากนี้ยังมีผู้ให้บริการรถโดยสารไปยังจังหวัดข้างเคียง อาทิ สหพันธ์ร้อยเอ็ดทัวร์, แสงประทีปทัวร์ และอื่น ๆ
จากอำเภอเมืองมหาสารคาม มีรถโดยสารประจำทางให้บริการไปยังอำเภอต่าง ๆ ได้แก่ พยัคฆภูมิพิสัย วาปีปทุม นาดูน นาเชือก บรบือ กุดรัง และเชียงยืน
จังหวัดมหาสารคามมีสถานีขนส่งผู้โดยสารหลายแห่ง ได้แก่ที่เทศบาลเมืองมหาสารคาม, บรบือ, พยัคฆภูมิพิสัย, วาปีปทุม และโกสุมพิสัย
ทางรถไฟ
ในปัจจุบัน จังหวัดมหาสารคามยังไม่มีทางรถไฟตัดผ่าน สถานีรถไฟที่อยู่ใกล้ที่สุด ได้แก่ สถานีรถไฟขอนแก่น (71 กิโลเมตร) และสถานีรถไฟบ้านไผ่ (69 กิโลเมตร) ซึ่งทั้งสองสถานีนั้นอยู่ในจังหวัดขอนแก่น
ในอนาคต จะมีโครงการรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-นครพนม ซึ่งจะผ่านหลายจังหวัดในอีสานตอนกลาง รวมถึงมหาสารคามด้วย
=== ทางอากาศ ===
จังหวัดมหาสารคามไม่มีท่าอากาศยาน จึงต้องใช้บริการท่าอากาศยานของจังหวัดข้างเคียง ได้แก่ ท่าอากาศยานขอนแก่น (82 กิโลเมตร), ท่าอากาศยานร้อยเอ็ด (59 กิโลเมตร) และท่าอากาศยานบุรีรัมย์ (121 กิโลเมตร)
==เศรษฐกิจ==
==ประเพณีและวัฒนธรรม==
==สถานที่สำคัญ==
===โบราณสถาน===
ดูเพิ่มเติมที่หัวข้อ รายชื่อโบราณสถานในจังหวัดมหาสารคาม
=== พระอารามหลวง ===
วัดมหาชัย (พระอารามหลวง) พระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดสามัญ
===สถานที่ท่องเที่ยว===
อำเภอเมืองมหาสารคาม
* ปรางค์กู่บ้านเขวา
* อ่างเก็บน้ำหนองแวง
* หมู่บ้านหัตถกรรมบ้านหนองเขื่อนช้าง
* แก่งเลิงจาน
* วัดมหาชัย (พระอารามหลวง)
* พิพิธภัณฑ์เมืองมหาสารคาม เทศบาลเมืองมหาสารคาม
* ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมอีสาน
* สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน
* พระพุทธกันทรวิชัยอภิสมัยธรรมนายก
* หอเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550
* หมู่บ้านปั้นหม้อ
* อุทยานมัจฉาโขงกุดหวาย
* วัดป่าวังน้ำเย็น (พระธาตุศรีสารคาม)
===สถานที่สำคัญอื่น===
====เขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม====
วัดอุทัยทิศ
กุดนางใย
เสาหงส์
โฮงเจ้าเมืองคนที่ 1 ที่ตั้งเมืองและศูนย์ราชการ
คลองสมถวิล
วัดนาควิชัย
วัดอภิสิทธิ์
เดิ่นบ้านใหญ่
ตึกดินอาคารพาณิชย์แห่งแรก
ตลาดสี่กั๊ก
โฮงเจ้าเมืองคนที่ 2
โฮงเจ้าเมืองคนที่ 3
ตลาดเจริญ
วัดโพธิ์ศรี
วัดมหาชัย (พระอารามหลวง)
ตลาดสดเมืองมหาสารคาม
หอนาฬิกา
โรงเรียนสารคามพิทยาคม
โรงเรียนเมืองมหาสารคาม(โรงเรียนมหาวิชานุกูล/โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยมหาสารคาม)าง
ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
วัดธัญญาวาส
แก่งเลิงจาน
อนุเสาวรีย์เทอดรัฐธรรมนูญ
====อำเภอกันทรวิชัย====
พระพุทธรูปยืนมงคล
พระพุทธมิ่งเมือง
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดพุทธมงคล
หลวงปู่ชินวรณ์
ขุนตาสำราญ
ยาตาพิลือ
====อำเภอบรบือ====
ปรางค์กู่บัวมาศ
หนองบ่อ
====อำเภอแกดำ====
อ่างเก็บน้ำห้วยแอ่ง
====อำเภอโกสุมพิสัย====
บึงบอน
วนอุทยานโกสัมพี
บึงกุย
====อำเภอวาปีปทุม====
กู่บ้านแดง
งานกลองยาว
====อำเภอนาเชือก====
อ่างเก็บน้ำห้วยค้อ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดูนลำพัน
====อำเภอนาดูน====
พระธาตุนาดูน
พุทธมณฑลอีสาน
พิพิธภัณฑ์นครจัมปาศรี
พิพิธภัณฑ์บ้านอีสาน
สถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
กู่สันตรัตน์
กู่น้อย
ศาลานางขาว
ฮูปแต้มสิมวัดโพธาราม
====อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย====
ศูนย์ศิลปาชีพดอนลี่
== สถานพยาบาล ==
โรงพยาบาลมหาสารคาม (โรงพยาบาลทั่วไปขนาด 580 เตียง)
โรงพยาบาลสุทธาเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
โรงพยาบาลมหาสารคามอินเตอร์เนชั่นแนล (เอกชน)
== สถานศึกษา ==
ดูเพิ่มเติมที่หัวข้อ หมวดหมู่: สถาบันการศึกษา, สถาบันอุดมศึกษา ในจังหวัดมหาสารคาม,รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดมหาสารคาม
จังหวัดมหาสารคามมีฉายาว่าเป็น "ตักสิลานคร" หรือแปลตามตัวคือ นครแห่งการศึกษา หรือเมืองแห่งการศึกษาของภาคอีสาน เนื่องจากมีสถาบันการศึกษาอยู่หลายแห่งและมีมากที่สุดแห่งหนึ่งของภาคอีสาน อีกทั้งยังมีมากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ทำให้เป็นจังหวัดที่ได้รับความนิยมจากประชาชนในภาคอีสานทางด้านการศึกษา
ระดับอุดมศึกษา
* มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
* มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
* มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตมหาสารคาม
* วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม
* วิทยาลัยสงฆ์มหาสารคาม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาลัย
* วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม
* วิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม
* วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม
* วิทยาลัยสารพัดช่างมหาสารคาม
* วิทยาลัยเทคนิควาปีปทุม
* วิทยาลัยการอาชีพพยัคฆภูมิพิสัย
* วิทยาลัยเทคโนโลยีเอเชียแปซิฟิก
* วิทยาลัยอาชีวศึกษาเอเชียอาคเนย์
โรงเรียนมัธยม
ดูเพิ่มเติมที่หัวข้อ รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดมหาสารคาม
== บุคคลที่มีชื่อเสียง ==
===พระภิกษุสงฆ์===
พระธรรมวัชราจารย์ (น้อย ญาณวุฑฺโฒ) เจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม ฝ่ายมหานิกาย
พระเทพสิทธิมงคล (พรหมา จนฺทโสภโณ) ป.ธ.5 อดีตเจ้าคณะจังหวัดเลย
พระวชิรญาณวิศิษฏ์ (สุริยันต์ โฆสปญฺโญ)
===นักการเมือง,ข้าราชการ===
จำลอง ดาวเรือง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
รัชนี ศรีไพรวรรณ อดีตศึกษานิเทศก์ กระทรวงศึกษาธิการ
สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย
===ศิลปิน,นักแสดง===
ศักดิ์สยาม เพชรชมภู
เดือนเพ็ญ อำนวยพร
ภูมิภาฑิต นิตยารส
ลำยอง หนองหินห่าว
ศร สินชัย
เจนนิเฟอร์ คิ้ม
รณวีร์ เสรีรัตน์
สมบูรณ์ ปากไฟ
บอย ศิริชัย หมอลำใจเกินร้อย
ไพบูลย์ เสียงทอง
ปรัชญากาญจน์ พรมกลิ้ง
กฤษกร กนกธร
พร ภิรดี หมอลำเพชรลำเพลิน
โจ ยมนิล หมอลำสาวน้อยเพชรบ้านแพง
หมอลำบัวริมบึง
===นักกีฬา===
ณฤมล ขานอัน
===นักประพันธ์เพลง===
สวัสดิ์ สารคาม
== ดูเพิ่ม ==
รายชื่อวัดในจังหวัดมหาสารคาม
รายชื่อโรงเรียนในจังหวัดมหาสารคาม
รายชื่อห้างสรรพสินค้าในจังหวัดมหาสารคาม
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์ทางการ จังหวัดมหาสารคาม
|
thaiwikipedia
| 2,040 |
ตระกูลภาษาขร้า-ไท
|
ตระกูลภาษาขร้า-ไท (Kra–Dai languages) หรือรู้จักกันในนาม ขร้าไท (Kradai), ไท-กะได (Tai–Kadai) หรือ กะได (Kadai) เป็นตระกูลภาษาของภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์ที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตอนใต้ของประเทศจีน ในช่วงแรก ตระกูลภาษาขร้า-ไทเคยถูกกำหนดให้อยู่ในตระกูลภาษาจีน-ทิเบต แต่ปัจจุบันได้แยกมาเป็นอีกตระกูลภาษาหนึ่ง และยังมีผู้เห็นว่าตระกูลภาษาขร้า-ไทนี้มีความสัมพันธ์กับตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน โดยอยู่ในกลุ่มภาษาที่เรียกว่า "ออสโตร-ไท" หรือจัดเป็นตระกูลภาษาใหญ่ออสตริก
รอเจอร์ เบลนช์ (Roger Blench) ได้กล่าวว่า ถ้าข้อจำกัดของความเชื่อมต่อของตระกูลภาษาออสโตร-ไทมีความสำคัญมาก แสดงว่าความสัมพันธ์ทั้งสองตระกูลอาจไม่ใช่ภาษาที่เป็นพี่น้องกัน กลุ่มภาษากะไดอาจเป็นสาขาของภาษาตระกูลออสโตรนีเซียนที่อพยพจากฟิลิปปินส์ไปสู่เกาะไหหลำ แล้วแพร่สู่จีนแผ่นดินใหญ่ ในขณะที่สาขาไดของภาษากลุ่มกะไดมีการปรับโครงสร้างใหม่โดยได้รับอิทธิพลจากกลุ่มภาษาม้ง-เมี่ยนและภาษาจีน
โลร็อง ซาการ์ (Laurent Sagart) ได้เสนอว่า ภาษาขร้า-ไทดั้งเดิมได้เกิดขึ้นในยุคต้นของตระกูลภาษาออสโตรนีเซียนที่อาจจะอพยพกลับจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของไต้หวันไปยังชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจีน หรือจากจีนไปไต้หวันและเกิดการพัฒนาของภาษาตระกูลออสโตรนีเซียนบนเกาะนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างภาษาตระกูลออสโตรนีเซียนกับขร้า-ไทอาจจะอธิบายได้จากคำศัพท์ที่ใกล้เคียงกัน คำยืมในยุคก่อนประวัติศาสตร์และอื่น ๆ ที่ยังไม่รู้ นอกจากนั้นภาษาตระกูลออสโตรนีเซียนอาจจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลภาษาจีน-ทิเบต ซึ่งมีจุดเริ่มต้นในบริเวณชายฝั่งของจีนภาคเหนือและภาคตะวันออก
ความหลากหลายของตระกูลภาษาขร้า-ไทในทางตอนใต้ของประเทศจีนบ่งบอกถึงมีความสัมพันธ์กับถิ่นกำเนิดของภาษา ผู้พูดภาษาสาขาไทอพยพจากตอนใต้ของจีนลงทางใต้เข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่ครั้งโบราณ เข้าสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยและลาวบริเวณนี้เป็นบริเวณที่พบผู้พูดภาษาในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก
ชื่อ "ไท-กะได" มาจากการจัดแบ่งตระกูลภาษาออกเป็นสองสาขาคือ "ไท" และ "กะได" ซึ่งเลิกใช้แล้ว เนื่องจากกะไดจะเป็นกลุ่มภาษาที่เป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีกลุ่มภาษาไทรวมอยู่ด้วย ในบางบริบทคำว่ากะไดจึงใช้เรียกตระกูลภาษาขร้า-ไททั้งตระกูล แต่บางบริบทก็จำกัดการใช้คำนี้ให้แคบลง โดยหมายถึงกลุ่มภาษาขร้าที่เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลภาษานี้
== ภาษาในตระกูล ==
ตระกูลภาษาขร้า-ไทประกอบด้วยกลุ่มภาษาที่จัดแบ่งไว้ 5 สาขา ดังนี้
กลุ่มภาษาขร้า (อาจเรียกว่า กะได หรือ เก-ยัง)
กลุ่มภาษากัม-ฉุ่ย (จีนแผ่นดินใหญ่ เรียกว่า ต้ง-ฉุ่ย)
กลุ่มภาษาไหล (เกาะไหหลำ)
กลุ่มภาษาไท (จีนตอนใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
ภาษาอังเบ (เกาะไหหลำ เรียกว่า ภาษาเบ)
=== กลุ่มภาษาไหล ===
ภาษาเจียมาว (Jiamao) เจียมาว (ไหหลำ)
ภาษาไหล (Hlai) (ไหหลำ)
=== กลุ่มภาษาขร้า ===
Yerong (จีนแผ่นดินใหญ่)
ภาษาเก้อหล่าว (Gelao) (เวียดนาม)
ภาษาลาติ (Lachi หรือ Lati) (เวียดนาม)
ภาษาลาติขาว (White Lachi) (เวียดนาม)
ภาษาปู้ยัง (Buyang) (จีนแผ่นดินใหญ่)
ภาษาจุน (Cun) (ไหหลำ)
ภาษาเอน (En) (เวียดนาม)
ภาษากวาเบียว (Qabiao) (เวียดนาม)
ภาษาลาคัว (Laqua) (เวียดนาม)
ภาษาลาฮา (Laha) (เวียดนาม)
=== กลุ่มภาษาไท ===
กลุ่มภาษาไทเหนือ
* ภาษาแสก (ลาว)
* ภาษาจ้วงเหนือ (จีน)
* ภาษาปู้อี (Buyi) (จีน)
* ภาษาไทแมน (ลาว)
* E (จีน)
กลุ่มภาษาไทกลาง
* ภาษาจ้วงใต้ (จีน)
* ภาษาม่านเชาลาน (เวียดนาม)
* ภาษานุง (เวียดนาม)
* ภาษาตั่ย (เวียดนาม)
* ภาษาซึนลาว (Ts'ün-Lao) (เวียดนาม)
* ภาษานาง (เวียดนาม)
กลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้
* ภาษาไทหย่า (จีน)
* ภาษาพูโก (ลาว)
* ภาษาปาดี (จีน)
* ภาษาไททัญ (เวียดนาม)
* ภาษาตั่ยซาปา (เวียดนาม)
* ภาษาไทโหลง (ไทหลวง) (ลาว)
* ภาษาไทฮ้องจีน (จีน)
* ภาษาตุรุง (อินเดีย)
* ภาษายอง (ไทย)
* ภาษาไทยถิ่นใต้ (ปักษ์ใต้) (ไทย)
* กลุ่มภาษาไทกลาง-ตะวันออก
** กลุ่มภาษาเชียงแสน
*** ภาษาไทดำ (เวียดนาม)
*** ภาษาไทยถิ่นเหนือ (ภาษาล้านนา, ภาษาไทยวน, คำเมือง) (ไทย)
*** ภาษาพวน (ไทย)
*** ภาษาไทโซ่ง (ไทย)
*** ภาษาไทย (ไทย)
*** ภาษาไทฮ่างตง (เวียดนาม)
*** ภาษาไทขาว (ภาษาไทด่อน) (เวียดนาม)
*** ภาษาไทแดง (ภาษาไทโด) (เวียดนาม)
*** ภาษาไทเติ๊ก (เวียดนาม)
*** ภาษาทูลาว (เวียดนาม)
** กลุ่มภาษาลาว-ผู้ไท
*** ภาษาลาว (ลาว)
*** ภาษาญ้อ (ไทย)
*** ภาษาผู้ไท (ไทย)
*** ภาษาอีสาน (ภาษาไทยถิ่นอีสาน) (ไทย, ลาว)
** กลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ)
*** ภาษาอาหม (รัฐอัสสัม เป็นภาษาสูญแล้ว; ภาษาอัสสัมซึ่งเป็นภาษาที่ชาวอาหมใช้ในปัจจุบัน จัดอยู่ในตระกูลภาษาอินโด-ยุโรเปียน)
*** ภาษาอ่ายตน (รัฐอัสสัม)
*** ภาษาลื้อ (ภาษาไทลื้อ) (จีน, เวียดนาม, ไทย, ลาว, พม่า)
*** ภาษาคำตี่ (รัฐอัสสัม, พม่า)
*** ภาษาเขิน (พม่า)
*** ภาษาคำยัง (รัฐอัสสัม)
*** ภาษาพ่าเก (รัฐอัสสัม)
*** ภาษาไทใหญ่ (ภาษาชาน) (พม่า)
*** ภาษาไทใต้คง (ภาษาไทเหนือ) (จีน, เวียดนาม, ไทย, ลาว)
=== กลุ่มภาษากัม-ฉุ่ย ===
กลุ่มภาษาลักเกีย-เบียว (จีนแผ่นดินใหญ่)
* ภาษาลักเกีย (Lakkia)
* ภาษาเบียว
ภาษากัม-ฉุ่ย (จีนแผ่นดินใหญ่)
* ภาษาอ้ายจาม (Ai-Cham)
* Cao Miao
* ภาษาต้งเหนือ (Northern Dong)
* ภาษาต้งใต้ (Southern Dong)
* ภาษาคัง (Kang)
* Mak
* ภาษามู่หลาม (Mulam)
* ภาษาเมาหนาน (Maonan)
* ภาษาฉุ่ย (Sui)
* T’en
สาขากัม-ฉุ่ย, เบ และไทมักถูกจัดให้อยู่รวมกันเนื่องจากมีคำศัพท์ที่ใช้ร่วมกันจำนวนมาก (ดูเพิ่มที่กลุ่มภาษากัม-ไท) อย่างไรก็ตามการจัดแบ่งเช่นนี้มีความเห็นที่โต้แย้ง ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการแทนที่ศัพท์เข้าไปในสาขาอื่น ความคล้ายกันของระบบหน่วยคำทำให้มีนักภาษาศาสตร์จัดสาขาขร้ากับกัม-ฉุ่ย เป็นกลุ่มขร้า-ไทเหนือทางหนึ่ง และสาขาไหลกับไท เป็นกลุ่มขร้า-ไทใต้อีกทางหนึ่งแทนดังภาพ ตำแหน่งของภาษาอังเบในข้อเสนอดังกล่าวไม่ได้ถูกพิจารณาไปด้วย
==เปรียบเทียบคำศัพท์==
== อ้างอิง ==
Edmondson, J.A. and D.B. Solnit eds. 1997. Comparative Kadai: the Tai branch. Dallas: Summer Institute of Linguistics and the University of Texas at Arlington.
Ostapirat, Weera [วีระ โอสถาภิรัตน์]. 2005. "Kra-Dai and Austronesian: Notes on phonological correspondences and vocabulary distribution", pp. 107–131 in Sagart, Laurent, Blench, Roger & Sanchez-Mazas, Alicia (eds.), The Peopling of East Asia: Putting Together Archaeology, Linguistics and Genetics. London/New York: Routledge-Curzon.
Roger Blench (PDF format)
Ethnologue report Retrieved 3 August 2005.
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน). นิทรรศการถาวร กลุ่มชาติพันธุ์ และโบราณคดี (ชั้น 5)
|
thaiwikipedia
| 2,041 |
รัฐวอชิงตัน
|
วอชิงตัน (Washington, ) เป็นรัฐหนึ่งในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือแปซิฟิกของทวีปอเมริกาเหนือและในภาคตะวันตกของสหรัฐ ก่อตั้งขึ้นจากส่วนตะวันตกของดินแดนวอชิงตันซึ่งจักรวรรดิบริติชยกให้แก่สหรัฐตามสนธิสัญญาออริกอนเมื่อ ค.ศ. 1846 เพื่อยุติข้อพิพาทเส้นแบ่งเขตออริกอน โดยเข้าร่วมสหรัฐในฐานะรัฐที่ 42 เมื่อ ค.ศ. 1889 และใช้ชื่อรัฐตามชื่อของจอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐ รัฐวอชิงตันมีพรมแดนติดต่อกับรัฐออริกอนทางทิศใต้ รัฐไอดาโฮทางทิศตะวันออก รัฐบริติชโคลัมเบียของประเทศแคนาดาทางทิศเหนือ และมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันตก โอลิมเปียเป็นเมืองหลวงของรัฐ ส่วนเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐคือซีแอตเทิล
วอชิงตันเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 18 โดยมีพื้นที่ 184,830 ตารางกิโลเมตร (71,362 ตารางไมล์) และเป็นรัฐที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 13 โดยมีประชากรมากกว่า 7.7 ล้านคน ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตมหานครซีแอตเทิลซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่ง ธุรกิจ และอุตสาหกรรมริมฝั่งพิวจิตซาวนด์ (ช่องเว้าชายฝั่งแปซิฟิกที่ประกอบด้วยเกาะแก่ง ฟยอร์ด และอ่าวที่ถูกธารน้ำแข็งกัดเซาะ) ส่วนที่เหลือของรัฐประกอบด้วยป่าชื้นเขตอบอุ่นในภาคตะวันตก เทือกเขาในภาคตะวันตก ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ และพื้นที่แอ่งกึ่งแห้งแล้งในภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ซึ่งใช้ทำการเกษตรแบบเร่งผลผลิต จุดสูงสุดของรัฐคือเขาเรเนียร์ซึ่งเป็นกรวยภูเขาไฟสลับชั้นที่ยังมีพลัง มีความสูง 4,392 เมตร (14,411 ฟุต)
วอชิงตันเป็นผู้ผลิตไม้แปรรูปชั้นนำ ภูมิประเทศขรุขระของรัฐเต็มไปด้วยป่าสน สปรูซ ลาร์ช และซีดาร์ รัฐนี้เป็นผู้ผลิตแอปเปิล ฮอปส์ แพร์ บลูเบอร์รี น้ำมันสเปียร์มินต์ และเชอร์รีป่ารายใหญ่ที่สุดในสหรัฐ นอกจากนี้ยังผลิตเอพริคอต หน่อไม้ฝรั่ง องุ่น ถั่วเลนทิล น้ำมันเปปเปอร์มินต์ และมันฝรั่งได้ในปริมาณสูง ปศุสัตว์ ผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ และการประมงเชิงพาณิชย์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาแซลมอน ปลาแฮลิบัต และปลาก้นทะเล) ต่างก็มีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของรัฐเช่นกัน รัฐวอชิงตันอยู่ในอันดับที่ 2 รองจากรัฐแคลิฟอร์เนียในด้านการผลิตไวน์
อุตสาหกรรมการผลิตในวอชิงตัน ได้แก่ อากาศยาน ขีปนาวุธ การต่อเรือ และอุปกรณ์การขนส่งอื่น ๆ รวมทั้งการแปรรูปอาหาร โลหะและผลิตภัณฑ์โลหะ เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักร วอชิงตันมีเขื่อนมากกว่าพันเขื่อน รวมถึงเขื่อนแกรนด์คูลีซึ่งสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น การชลประทาน การผลิตกระแสไฟฟ้า การควบคุมน้ำท่วม และการกักเก็บน้ำ
วอชิงตันเป็นหนึ่งในรัฐที่มั่งคั่งที่สุดและเป็นหนึ่งในรัฐที่มีเสรีภาพทางสังคมมากที่สุดในประเทศ รัฐนี้อยู่ในอันดับที่ดีที่สุดในด้านอายุคาดเฉลี่ยและด้านอัตราการว่างงานต่ำอย่างต่อเนื่อง วอชิงตันเป็นหนึ่งในรัฐแรก ๆ ที่ทำให้การสมรสเพศเดียวกันชอบด้วยกฎหมายใน ค.ศ. 2012 และเป็นหนึ่งในสี่รัฐที่อนุญาตให้ผู้หญิงยุติการตั้งครรภ์เมื่อใดก็ได้ก่อนที่คำวินิจฉัยในคดีระหว่างโรกับเวดของศาลสูงสุดสหรัฐใน ค.ศ. 1973 จะส่งผลให้กฎหมายการทำแท้งทั่วประเทศมีความเข้มงวดน้อยลง ในทำนองเดียวกัน ผู้ออกเสียงชาววอชิงตันส่วนใหญ่ลงคะแนนเห็นชอบในประชามติเมื่อ ค.ศ. 2008 ว่าด้วยการทำให้แพทยานุเคราะหฆาตชอบด้วยกฎหมาย และในปัจจุบันวอชิงตันเป็นหนึ่งในสิบรัฐ (ร่วมกับวอชิงตัน ดี.ซี.) ที่ออกกฎหมายรับรองการปฏิบัติดังกล่าว
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2432
ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐ
แปซิฟิกนอร์ทเวสต์
ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐ
จอร์จ วอชิงตัน
|
thaiwikipedia
| 2,042 |
รายชื่อประเทศและเขตการปกครองเรียงตามขนาดพื้นที่ทั้งหมด
|
รายชื่อประเทศและเขตการปกครองเรียงตามขนาดพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงรัฐอธิปไตยและเขตการปกครอง เรียงตามขนาดพื้นที่ทั้งหมด โดยยึดตามมาตรฐานสากล ISO 3166-1
เพื่อจุดประสงค์ทางสถิติ เขตการปกครองจะถูกบรรจุในรายชื่อรวมกับรัฐอธิปไตยด้วย ตัวเลขที่ปรากฏจะแสดงขนาดพื้นที่ทั้งหมด รวมทั้งพื้นดินและพื้นที่น้ำภายในดินแดนนั้นด้วย (เช่น ทะเลสาบ เขื่อน และแม่น้ำ) ซึ่งบางส่วนอาจนับรวมไปถึงพื้นที่ของน้ำภาคพื้นสมุทร (น่านน้ำชายฝั่ง) แต่ไม่นับรวมน่านน้ำอาณาเขตและเขตเศรษฐกิจจำเพาะ
สถิติดังกล่าวไม่นับรวมเขตการปกครองซึ่งไม่มีพลเมืองอาศัยอยู่ – รวมทั้งการอ้างสิทธิ์ของหลายประเทศเหนือพื้นที่ของทวีปแอนตาร์กติกา (14,400,000 กม.²) – และการรวมกลุ่มประเทศ เช่น สหภาพยุโรป (4,233,262 กม.²) ซึ่งมีอำนาจอธิปไตย แต่ไม่สามารถพิจารณาว่าเป็นรัฐอธิปไตยหรือเขตการปกครองได้ พื้นที่ทั้งหมดของโลกคิดเป็น 148,940,000 กม.² (คิดเป็น 29.1% ของพื้นผิวโลกทั้งหมด)
== แผนที่ ==
== รายชื่อ ==
ชื่อประเทศในตัวหนา หมายถึง รัฐอธิปไตย; ชื่อประเทศใน ตัวเอียง หมายถึง เขตการปกครองที่ไม่เป็นอิสระ
== อ้างอิง ==
United Nations Statistics Division, 2007, Demographic Yearbook—Table 3: Population by sex, rate of population increase, surface area and density. Retrieved 2009-08-26.
== ดูเพิ่ม ==
ภูมิศาสตร์
โลก
ทวีป
รายชื่อประเทศเรียงตามลำดับตัวอักษร
รายชื่อประเทศเรียงตามทวีป
รายชื่อประเทศเรียงตามจำนวนประชากร
รายชื่อประเทศและดินแดน
รายชื่อเขตการปกครอง
เขตการปกครองของเอเชียตะวันออก
รายชื่อ เขตการปกครองของ เอเชียกลาง
รายชื่อเขตการปกครองตามขนาดพื้นที่
รายชื่ออักษรคันจิที่ใช้เป็นชื่อประเทศ
พื้นที่
|
thaiwikipedia
| 2,043 |
กรกฎาคม พ.ศ. 2548
|
__NOTOC__
== วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม 2548 ==
สหรัฐยืนยันว่าทางการอุซเบกิสถานร้องขอให้ถอนกำลังออกไปจากฐานทัพอากาศคานาบัด ที่ห่างจากพรมแดนอัฟกานิสถานไม่กี่ร้อยกิโลเมตร
== วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม 2548 ==
ทางการเริ่มสอบปากคำผู้ต้องสงสัยวางระเบิดกรุงลอนดอนแล้ว ด้านผู้บัญชาการตำรวจนครบาลลอนดอนคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่น่าทำงานกันเอง เชื่อกันว่าสองคนที่ถูกจับกุม อยู่ในกลุ่มสี่คนที่พยายามก่อการระเบิดเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม
== วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2548 ==
นักดาราศาสตร์ประกาศการค้นพบวัตถุแถบไคเปอร์ 2 ดวง คือ 2003 EL61 และ 2003 UB313 ซึ่งคาดว่าดาวดวงหลังนี้มีขนาดใหญ่กว่าดาวพลูโต และอาจถือเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 10 ในระบบสุริยะ
== วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม 2548 ==
พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรียอมรับว่าสนามบินสุวรรณภูมิอาจล่าช้าอีก 6-8 เดือน ยืนยัน 29 กันยายน พ.ศ. 2548 จะมีเครื่องบินลงเพื่อทดสอบ เร่งผู้รับเหมาปรับแผนก่อสร้างใหม่
ไออาร์เอ ประกาศเลิกการใช้กำลังในไอร์แลนด์เหนือ พร้อมกับจะดำเนินการทางการเมืองต่อไป เพื่อรวมไอร์แลนด์เข้าด้วยกัน
== วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2548 ==
กระสวยอวกาศดิสคัฟเวอรี เที่ยวบินที่ STS-114 ทะยานขึ้นสู่อวกาศอย่างปลอดภัย จากศูนย์อวกาศจอห์น เอฟ. เคเนดี้ นับเป็นเที่ยวบินแรก นับจากอุบัติเหตุกระสวยอวกาศโคลัมเบีย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2546
== วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2548 ==
แลนซ์ อาร์มสตรอง ชนะเลิศการแข่งขันจักรยาน ทูร์ เดอ ฟรองซ์ ซึ่งเป็นการชนะเลิศครั้งที่ 7 ติดต่อกันของเขา
== วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม 2548 ==
เกิดเหตุระเบิดที่ชาร์ม เอล-ชีคห์ แหล่งท่องเที่ยวแถบทะเลแดง ที่ประเทศอียิปต์ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 88 คน
== วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2548 ==
ไมโครซอฟท์กำหนดการออกระบบปฏิบัติการวินโดวส์รุ่นใหม่ชื่อว่า วินโดวส์ วิสตา (Windows Vista) ในปี พ.ศ. 2549 (ซึ่งเคยใช้ชื่อว่า "ลองฮอร์น")
ธนาคารชาติจีน ได้ประกาศยกเลิกระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราแบบตายตัวสำหรับสกุลเงิน เหรินหมินปี้ ต่อ ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นก้าวแรกของการปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราแบบลอยตัว ส่งผลให้เงินบาท มีมูลค่าสูงขึ้น 1.2% มากสุดภายในรอบ 2 ปี
== วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม 2548 ==
ระเบิดระลอกสอง เกิดเหตุระเบิดขนาดเล็ก ในรถไฟใต้ดิน 3 แห่ง และรถประจำทาง ในกรุงลอนดอน 1 แห่ง ต่อเนื่องจาก เหตุระเบิด วันที่ 7
== วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2548 ==
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯเสนอรายงานต่อสภาคองเกรส เกี่ยวกับขีดความสามารถทางกลาโหมของจีน ซึ่งกระทรวงกลาโหมสหรัฐสรุปว่าจีนไม่ได้เผชิญภัยคุกคามจากประเทศไหน แต่กลับเร่งเสริมแสนยานุภาพทางทหาร (บีบีซีไทย)
== วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2548 ==
คณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และประกาศให้เป็นพื้นที่ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงแล้ว การประกาศดังกล่าวเป็นไปตาม “พระราชกำหนดบริหารราชการฉุกเฉินฯ”
== วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2548 ==
ฝ่ายค้านในฟิลิปปินส์เตรียมยื่นถอดถอนประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย ออกจากตำแหน่งในสัปดาห์หน้า หลังจากการปลุกระดมประชาชนเพื่อขับไล่ให้ผู้นำตากาล็อกก้าวลงจากเก้าอี้ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ขณะที่รัฐมนตรีคนสนิทของผู้นำตากาล็อกประกาศลาออกจากรัฐบาลอีก 2 (ผู้จัดการออนไลน์)
== วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม 2548 ==
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย “พระราชกำหนดบริหารราชการฉุกเฉินฯ” และประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามขั้นตอน มีผลบังคับใช้เป็นพระราชกำหนดแล้ว
== วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม 2548 ==
เที่ยงคืนวันที่ 16 กรกฎาคม แฮร์รี่ พอตเตอร์ วางจำหน่ายชุดที่ 6 (Harry Potter and the Half-Blood Prince) ในสหราชอาณาจักร ประเทศไอร์แลนด์ ประเทศแคนาดา และ สหรัฐอเมริกา โดยมีการจองล่วงหน้ามากกว่า 2 ล้านเล่ม
ยูเนสโกประกาศขึ้นบัญชีรายชื่อสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นแหล่งมรดกโลกอีก 17 แห่ง รวมเป็น 812 แห่ง จาก 137 ประเทศ โดยแบ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ 628 แห่ง ทางธรรรมชาติ 160 แห่ง และทางวัฒนธรรมและธรรมชาติอีก 24 แห่ง
== วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2548 ==
ยูเนสโกขึ้นบัญชี "ดงพญาเย็น-เขาใหญ่" เป็นแหล่งมรดกโลกแห่งใหม่ ร่วมกับพื้นที่ธรรมชาติทั่วโลกในแอฟริกาใต้ อียิปต์ ญี่ปุ่น นอร์เวย์ เม็กซิโก ปานามา และอินเดีย หลังการประชุมของคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม
== วันพุธที่ 14 กรกฎาคม 2548 ==
เกิดเหตุระเบิดในภาคใต้ หัวค่ำวันที่ 14 กรกฎาคม ที่จังหวัดยะลา
== วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม 2548 ==
เกาหลีใต้ตกลงช่วยเหลือเกาหลีเหนือเรื่องขาดแคลนอาหาร โดยจะให้ข้าวสาร 5 แสนตัน ข้อตกลงมีขึ้นสี่วันหลังจากที่เกาหลีเหนือยอมกลับมาเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ (บีบีซีไทย)
== วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม 2548 ==
== วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2548 ==
ตำรวจอังกฤษ สั่งอพยพประชาชนกลางเมืองเบอร์มิงแฮมในช่วงกลางดึก หลังจากที่หน่วยข่าวกรองเตือนว่าอาจถูกวินาศกรรม (ไอทีวี)
== วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม 2548 ==
ประชาชนเริ่มออกตามหาญาติผู้สูญหายในเหตุการณ์ระเบิดรถไฟใต้ดินอังกฤษ ทีมกู้ภัยยังคงพยายามค้นหาร่างผู้เสียชีวิตที่ยังคงติดอยู่ในสถานีรถไฟใต้ดินต่อไป ท่ามกลางความหวั่นวิตกว่า อุโมงค์อาจจะพังลงมา ; ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะยังมีผู้ติดอยู่ในซากรถไฟอีกประมาณ 20 คน (บีบีซีไทย)
พายุเฮอร์ริเคนเดนนิส ถล่มตอนกลางของประเทศคิวบา หลังจากซัดเฮติ ทำให้ตอนนี้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 32 คน ขณะที่กำลังจะมุ่งหน้าไปถล่มอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ ในไม่ช้านี้ ; โดยบริษัทขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล พากันอพยพคนงานหนีภัยธรรมชาติแล้ว (ผู้จัดการออนไลน์)
== วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2548 ==
นายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ ของสหราชอาณาจักร แถลงที่เมืองเกลนอีเกิลส์ในสกอตแลนด์ว่า กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 8 ประเทศ หรือจี 8 ตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือแอฟริกาอีก 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดการอุดหนุนสินค้าเกษตร ช่วยเหลือทางการปาเลสไตน์ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยส่งเสริมสันติภาพตะวันออกกลาง (ผู้จัดการออนไลน์)
== วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม 2548 ==
เกิดเหตุระเบิด 3 จุด บนรถไฟใต้ดิน และ 1 จุด บนรถประจำทาง กลางกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร รายงานล่าสุดมีผู้เสียชีวิตแล้ว 52 คน, บาดเจ็บสาหัส 45 คน, และบาดเจ็บเล็กน้อยประมาณ 700 คน. อียูระบุ เป็นการก่อการร้าย — (บีบีซีนิวส์ | ผู้จัดการออนไลน์ )
สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคมเจรจากับผู้บริหารบริษัท จีอี อินวิชั่น ได้ข้อสรุปการแก้ไขสัญญาเพื่อซื้อตรงเครื่องซีทีเอกซ์เบื้องต้น เตรียมแก้นิติกรรมให้ บทม.เข้าไปเป็นคู่สัญญากับจีอีฯ แทน (ผู้จัดการออนไลน์)
ผู้นำประเทศร่ำรวยที่สุดของโลกเดินทางไปสมทบกันในสกอตแลนด์ ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ดำเนินมาตรการอย่างเฉียบขาด เพื่อกำจัดความยากจนให้หมดไปจากแอฟริกา (บีบีซีไทย)
== วันพุธที่ 6 กรกฎาคม 2548 ==
คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ประกาศผลประเทศเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก 2012 คือ กรุงลอนดอน, ประเทศอังกฤษ
คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ได้จัดการประชุมใหญ่ขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ โดยมีวาระสำคัญคือการตัดสินหาเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 2012 ซึ่งมี 5 เมืองใหญ่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพคือ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ, ปารีส ประเทศฝรั่งเศส, นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา, มาดริด ประเทศสเปน และ มอสโก ประเทศรัสเซีย ซึ่งการตัดสินจะมีขึ้นแล้วเมื่อเวลา 18.30 น. (เวลาประเทศไทย)
== วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม 2548 ==
== วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม 2548 ==
ยานดีปอิมแพกต์ขององค์การนาซา ยิงวัตถุอิมแพคเตอร์ พุ่งชนดาวหางเทมเปิล 1 ได้สำเร็จในเวลา 12:45 น. (เวลาประเทศไทย) ส่วนความเสียหายของดาวหาง และผลประโยชน์ที่จะได้รับตามเป้าหมายนั้น คงต้องรออีกสักพัก หลังกลุ่มควันเบาบางลง แล้วดีพอิมแพคต์จะบันทึกภาพกลับมายังโลกต่อไป (ผู้จัดการออนไลน์)
== วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2548 ==
คนจำนวนมากร่วมงานคอนเสิร์ต ไลฟ์ 8 ที่จัดขึ้นในหลายเมืองทั่วโลก เพื่อกดดันให้บรรดาชาติที่ร่ำรวยช่วยขจัดความยากจนในทวีปแอฟริกา (บีบีซีไทย)
โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์เอาชนะ แอนดี้ ร็อดดิก ไปได้ 3 เซตรวด 6-2, 7-6 (2) และ 6-4 ในศึกเทนนิสวิมเบิลดัน ได้ครองแชมป์เป็นสมัยที่สามติดต่อกัน
สวนดุสิตโพล เผยหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รมว.คมนาคม ประชาชนในกทม.และปริมณฑล ชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้น ขณะที่ความนิยมในพรรคไทยรักไทยยังเท่าเดิม เนื่องจากเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี และคนชอบชาติเพราะลีลา'ชูวิทย์' (กรุงเทพธุรกิจ)
== วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2548 ==
นายกฯทึ่งฝีมือทหารไทยสร้างเครื่องบินสอดแนมแบบไร้คนขับ สั่งกระทรวงกลาโหมเร่งผลิต 10 เครื่องเอาไว้ใช้ในราชการปราบโจรใต้ จัดการกับพวกลักลอบตัดไม้-ค้ายาเสพติด (ผู้จัดการออนไลน์)
== วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2548 ==
คณะลูกเสือแห่งชาติ จัดพิธีทบทวนคำปฏิญาณและสวนสนาม เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ เพื่อฉลองพระชนมายุ 80 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระอุปถัมภิกาคณะลูกเสือแห่งชาติ 24 พฤศจิกายน 2548 ณ สนามกีฬาแห่งชาติ การนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มาทรงเป็นประธาน
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาระบุได้เรียกคืนนมผงทั้ง 4 ยี่ห้อที่ตรวจพบมีเชื้อเอนเทอโรแบคเตอร์ ซากาซากิจากท้องตลาด เพื่อทำลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ไอทีวี)
ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ของสหรัฐ เสนอว่าสหรัฐจะให้เงินช่วยเหลือประเทศในทวีปแอฟริกา เพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีข้างหน้า (บีบีซีไทย)
== แหล่งข่าว ==
=== หนังสือพิมพ์ ===
รายวัน: ไทยรัฐ - เดลินิวส์ - ข่าวสด - แนวหน้า - กรุงเทพธุรกิจ - ผู้จัดการรายวัน - มติชนรายวัน - บางกอกโพสต์
รายสัปดาห์: ฐานเศรษฐกิจ - ประชาติธุรกิจ
=== โทรทัศน์ ===
ช่อง 3 - ช่อง 5 - ช่อง 7 - ช่อง 9 - ช่อง 11 - ไอทีวี - เนชั่นแชนแนล
=== สำนักข่าวต่างประเทศ ===
ซีเอ็นเอ็น - บีบีซี - รอยเตอร์ - เอเอฟพี
กรกฎาคม
พ.ศ. 2548
|
thaiwikipedia
| 2,044 |
ออโตสเตอริโอแกรม
|
ออโตสเตอริโอแกรม (autostereogram) เป็น สเตอริโอแกรม หรือ ภาพสเตอริโอแบบภาพเดี่ยว ที่ออกแบบมาเพื่อลวงตา ทำให้มองเห็นภาพสองมิตินั้นเป็นภาพสามมิติ สเตอริโอแกรมชนิดที่ง่ายที่สุดก็คือ สเตอริโอแกรมแบบกระดาษบุผนัง (wallpaper autostereogram) ภาพมหัศจรรย์สามมิติที่รู้จักกันดีนั้นเรียกว่า ออโต้สเตอริโอแกรมแบบใช้จุดมั่ว (random dot autostereogram) หลักการในการมองเห็นภาพประเภทนี้นั้นจะเกิดจากการมองเห็นที่สูญเสียการโฟกัส
== ประวัติ ==
ในปี ค.ศ. 1838 ชาลส์ วีทสโตน (Charles Wheatstone) นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ ค้นพบการมองเห็นแบบสเตอริโอ (binocular vision) ซึ่งนำไปสู่การประดิษฐ์ เครื่องมองภาพ 3 มิติ (stereoscope) โดยการใช้ ปริซึม และ กระจก เพื่อทำให้เกิดการมองเห็นภาพ 2 มิติเป็น 3 มิติ
ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1849-1850 เดวิด บรูว์สเตอร์ (David Brewster) นักวิทยาศาสตร์ชาวสก็อต ได้พัฒนา เครื่องมองภาพ 3 มิติ ของ วีทสโตน โดยการใช้เลนส์แทนกระจกเพื่อลดขนาดของอุปกรณ์ลง นอกจากนั้นเขายังได้สังเกตพบว่าการจ้องมองรูปแบบซ้ำ ๆ ในกระดาษบุผนังนั้นจะทำให้เกิดอาการลวงตา เนื่องจากสมองจะพยายามประกบภาพเหมือนเข้าด้วยกัน ทำให้เหมือนมีผนังเสมือนปรากฏอยู่ข้างหลังผนังอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นหลักการพื้นฐานของ สเตอริโอแกรมแบบกระดาษบุผนัง
ในปี ค.ศ. 1959 เบลา จูเลส (Bela Julesz) นักจิตวิทยาชาวฮังการี ได้ค้นพบ สเตอริโอแกรมแบบจุดมั่ว ในขณะที่กำลังมองหาวัตถุที่ถูกอำพราง ในภาพถ่ายทางอากาศจากเครื่องบินสอดแนม ที่ ศูนย์วิจัยเบลล์ (Bell Laboratories) เขาได้ใช้คอมพิวเตอร์สร้างภาพจุดมั่วที่ดูคล้ายกันขึ้นสองภาพ ซึ่งเมื่อมองผ่าน เครื่องมองภาพ 3 มิติ จะทำให้มองเห็นภาพมีรูปร่างเป็น 3 มิติ
ในปี ค.ศ. 1979 คริสโตเฟอร์ ไทเลอร์ (Christopher Tyler) ลูกศิษย์ของจูเลส และเป็นนักจิตวิทยาการมองเห็น ได้รวมทฤษฎีของ สเตอริโอแกรมแบบกระดาษบุผนัง ซึ่งเป็นแบบภาพเดี่ยว กับ สเตอริโอแกรมแบบจุดมั่ว และสร้าง ออโตสเตอริโอแกรมแบบจุดมั่ว ภาพแรกขึ้น ซึ่งรู้จักกันในชื่อ สเตอริโอแกรมภาพเดี่ยวแบบจุดมั่ว ภาพประเภทนี้จะทำให้มองเห็นภาพ 2 มิติภาพเดียว เป็น 3 มิติได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมใด ๆ
== หลักการทำงาน ==
=== สเตอริโอแกรมแบบกระดาษบุผนัง ===
สมองของมนุษย์เรานั้น มีกลไกในการรับรู้ภาพแบบสเตอริโอ ซึ่งเป็นการรับรู้ถึงระยะความลึกของภาพ จากภาพ 2 มิติที่รับเข้ามาจากตาทั้งสองข้างซึ่งจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย สมองของเราจะพยายามรับรู้ถึงระยะความลึกใน 3 มิติโดยการเปรียบเทียบจุดต่าง ๆ ในภาพที่รับเข้ามาทางตาด้านหนึ่ง กับภาพที่รับเข้าทางตาอีกด้านหนึ่ง และประเมินระยะความลึกของภาพได้
เมื่อเรามองภาพที่มีความเหมือนแบบซ้ำ ๆ กัน ดังเช่นภาพกระดาษบุผนัง สมองเราจะสับสนและการเปรียบเทียบภาพจากตาทั้งสองนั้นเป็นไปด้วยความลำบาก เมื่อภาพที่มองมีรูปแบบซ้ำกัน จะลวงให้สมองนั้นประกบภาพที่รับเข้ามาผิดพลาด โดยประกบภาพหนึ่งกับภาพอื่นซึ่งเหมือนกัน (ซึ่งต่างจากปกติที่ประกบจุดในภาพจุดเดียวกันในภาพที่รับเข้ามาทางตาทั้งสองข้าง) ซึ่งทำให้เกิดภาพลวงของผนังที่ภาพปะอยู่นั้น อยู่ลึกเข้าไปในผนังจริง ความลึกของผนังลวงเข้าไปในผนังจริงนี้จะขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างรูปที่ซ้ำ ๆ กันนี้
ออโตสเตอริโอแกรม ใช้หลักความสัมพันธ์ระหว่างความลึกของภาพ กับระยะซ้ำกันของภาพนี้ ในการสร้างภาพ 3 มิติ โดยถ้ามีบางบริเวณในภาพ ที่มีรูปซ้ำ ๆ กัน และมีระยะห่างน้อยกว่าระยะห่างปกติ พื้นที่บริเวณนั้นก็จะเห็นเป็นภาพที่มีความลึกน้อยกว่าผนังลวง คือนูนออกมาจากผนังลวง ส่วนบริเวณไหนที่ภาพซ้ำนั้นมีระยะห่างกว่าปกติ ก็จะทำให้เห็นบริเวณนั้นอยู่ลึกกว่าผนังลวง คือเห็นเป็นรูบุ๋มเข้าไป
ภาพ 3 มิติในตัวอย่างภาพออโตสเตอริโอแกรม สร้างโดยการใช้ภาพขี่เสือซ้ำ ๆ กัน ทุก ๆ 140 พิกเซล ส่วนภาพขี่ฉลามนั้นซ้ำกันทุก ๆ 130 พิกเซล และภาพเสือซ้ำกันทุก ๆ 120 พิกเซล ยิ่งภาพซ้ำอยู่ใกล้กันมากขึ้นจะทำให้มองเห็นภาพลอยสูงจากผนังมากขึ้น ระยะทางระหว่างภาพซ้ำจะเรียกว่า ความลึก หรือ ค่า z-บัฟเฟอร์ ของภาพซ้ำนั้น
สมองของเรานั้นมีความสามารถที่จะประกบภาพหลายร้อยภาพที่ซ้ำ ๆ กันด้วยระยะห่างต่าง ๆ เพื่อที่จะรับรู้ระดับความลึกของภาพ ภาพออโตสเตอริโอแกรมภาพหนึ่งนั้นอาจมีภาพเสือ 50 ตัวที่มีขนาดต่าง ๆ กัน ซ้ำ ๆ กันด้วยระยะต่าง ๆ และมีรูปด้านหลังที่ซับซ้อน แต่สมองมนุษย์เรานั้นก็ยังสามารถจับประกบภาพเพื่อหาความลึกได้
=== แผนผังแสดงความลึก ===
ออโตสเตอริโอแกรมที่มีรูปในแต่ละแถวซ้ำกันในแนวนอนด้วยระยะห่างเท่า ๆ กัน สามารถดูได้ด้วยวิธี การมองแบบตาเขเข้าหากัน (cross-eyed) หรือ การมองแบบมองไกล (wall-eyed) การดูทั้งสองแบบนี้จะได้การรับรู้ระดับความลึกของภาพเหมือนกัน แต่วิธีแบบตาเขเข้าหากัน จะให้ความแตกต่างของความลึกระหว่างชั้นผนังที่มากกว่า
อย่างไรก็ตามภาพซ้ำในแถวเดียวกันไม่จำเป็นต้องมีระยะห่างที่เท่ากัน ระยะห่างที่แตกต่างกันนี้จะทำให้ผู้ดูนั้นรับรู้ถึงระดับความลึกที่แตกต่างกันตามไปด้วย ความลึกของแต่ละภาพซ้ำนั้นสามารถหาได้โดยการคำนวณจากระยะห่างระหว่างภาพที่มองอยู่และภาพที่อยู่ถัดไปทางด้านซ้ายมือ ภาพออโตสเตอริโอแกรมจะถูกออกแบบมาเฉพาะให้ดูด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งดังกล่าวข้างต้น ภาพออโตสเตอริโอแกรมในบทความนี้ทั้งหมด ออกแบบมาสำหรับการดูด้วยวิธีการมองแบบมองไกล นอกจากจะมีการระบุไว้บนภาพ ภาพออโตสเตอริโอแกรมที่ถูกสร้างมาสำหรับการมองแบบมองไกลนี้ ถ้าดูด้วยวิธีตาเขเข้าหากันจะทำให้เห็นเป็นภาพ 3 มิติที่มั่วซั่ว
ภาพออโตสเตอริโอแกรมแบบมองไกลที่แสดงไว้ด้านล่างนี้ จะสร้างภาพความลึก 3 ระดับตามแนวแกน X ผนังส่วนลึกที่สุดจะอยู่ด้านซ้ายของภาพ และผนังที่อยู่ตื้นที่สุดจะอยู่ทางด้านขวาของภาพ ตรงกลางของภาพจะเป็นภาพระดับความลึกปานกลาง ผนังส่วนลึกที่สุดสร้างโดยใช้ภาพซ้ำระยะห่าง 140 พิกเซล เราสามารถทำให้ภาพตื้นขึ้นมาโดยการขยับภาพซ้ำไปทางด้านซ้าย ตัวอย่างเช่น ผนังตรงกลางนั้นสร้างจากการขยับภาพซ้ำไปทางซ้าย 10 พิกเซล ซึ่งทำให้ระยะซ้ำของภาพลดลงเหลือ 130 พิกเซล การประกบภาพซ้ำในสมองของคนเรานั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นภาพที่เราเข้าใจได้ ในภาพออโตสเตอริโอแกรมดังกล่าว เราสามารถรับรู้ความลึกได้ถึงแม้ว่าภาพจะเล็กลง หรือแม้กระทั่งเป็นจุดมั่วก็ตาม
ความสัมพันธ์ระหว่างระยะห่างของจุดใด ๆ ในภาพ และจุดเดียวกันในภาพซ้ำทางด้านซ้ายนั้นสามารถแสดงได้ด้วยการใช้แผนผังแสดงความลึก แผนผังแสดงความลึกนี้เป็นเพียงภาพที่ใช้ระดับสีเทาเพื่อแสดงระยะ โดยปกติแล้วระยะที่อยู่ใกล้กว่าจะใช้ระดับสีเทาที่เข้มน้อยกว่า ในภาพระดับสีเทา 8 บิต จะสามารถแสดงระดับความลึกได้ 256 ระดับ โดยที่ 0 เป็นสีดำ และ 255 เป็นสีขาว
โดยใช้ระดับสีเทานี้ในการสร้างแผนผังความลึกของภาพออโตสเตอริโอแกรมข้างต้น เราสามารถสร้างแผนผังความลึก 3 ระดับโดยใช้สีดำ สีขาว และ สีเทา เพื่อแทนระยะแตกต่างความห่างของภาพซ้ำที่มีการขยับเคลื่อนระยะซ้ำ 0 พิกเซล 10 พิกเซล และ 20 พิกเซล ตามลำดับ แผนผังความลึกนี้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างภาพออโตสเตอริโอแกรมแบบจุดมั่ว
=== ออโตสเตอริโอแกรมแบบใช้จุดมั่ว ===
หลักการของโปรแกรมสร้างภาพออโตสเตอริโอแกรมนั้น จะสร้างจากภาพต้นแบบ และ แผนผังแสดงความลึก โดยการเรียงภาพต้นแบบซ้ำ ๆ กันในแนวนอน ที่แต่ละจุดในภาพต้นแบบ โปรแกรมจะดูค่าระดับสีเทาแสดงความลึกในแผนผังแสดงความลึกของจุดนั้น และใช้ค่าความลึกนี้ในการคำนวณระยะและทำการปรับย้ายตำแหน่งของจุดนั้น
ซึ่งวิธีการหนึ่งที่สามารถทำได้นั้น คือการกวาดพิกเซลของภาพต้นแบบทีละแถวจากซ้ายไปขวา และคำนวณค่าการเคลื่อนของแต่ละจุดจากแผนผังความลึก แล้วทำการลบค่านี้ออกจากความกว้างของภาพซ้ำต้นแบบเพื่อหาระยะซ้ำ จากนั้นก็กวาดกลับไปอ่านค่าพิกเซลที่อยู่ห่างออกไปทางด้านซ้ายเท่ากับระยะซ้ำทำคำนวณได้นี้ และทำการลอกค่ามาใส่ยังพิกเซลที่ตำแหน่งปัจจุบันที่พิจารณาอยู่
ข้อดีของภาพแบบจุดมั่วเหนือ สเตอริโอแกรมแบบกระดาษบุผนัง คือ สามารถสร้างระยะซ้ำจากระยะลึกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าแต่ละจุดในภาพนั้นสามารถปรับเคลื่อนตำแหน่งได้โดยอิสระ ในทางปฏิบัติระดับความลึกจะเท่ากับจำนวนพิกเซลในแนวกว้างของภาพต้นแบบ ที่แต่ละจุดระดับสีเทาจะถูกแปลงเป็นระยะซ้ำของภาพต้นแบบ ด้งนั้นระดับความลึกทั้งหมดที่เป็นไปได้จะน้อยกว่าความกว้างของภาพต้นแบบ
ในการสร้างระดับความลึกที่ต่อเนื่องนั้น จำเป็นต้องใช้ภาพซ้ำต้นแบบที่มีรายละเอียดซับซ้อนกว่าภาพต้นแบบของแบบบุผนัง ดังนั้นภาพของจุดมั่วจึงเป็นภาพที่เหมาะสม ภาพสเตอริโอแกรมแบบจุดมั่วนี้มีชื่อเรียกว่า สเตอริโอแกรมภาพเดี่ยวแบบจุดมั่ว (single image random dot stereograms-SIRDS)
ระดับความลึกที่ต่อเนื่องนี้ ยังสามารถสร้างได้จากภาพต้นแบบธรรมดาทั่วไป แต่ภาพนั้นจะต้องมีรายละเอียดที่สูงพอ โดยจะต้องไม่มีบริเวณภาพผิวเรียบสีสม่ำเสมอในแนวนอนที่มีขนาดใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณดังกล่าวจะไม่สามารถใช้ในการแสดงตำแหน่งเคลื่อนของพิกเซลได้ เพราะดูเหมือนกันหมด ภาพสเตอริโอแกรมฉลามด้านล่างนั้น สามารถมองออกได้ถึงแม้ว่าจะมีบริเวณที่เป็นสีสม่ำเสมอเล็ก ๆ กระจัดกระจายอยู่ก็ตาม ภาพดังกล่าวถึงแม้จะใช้ภาพธรรมดาทั่วไปที่ไม่ใช่จุดมั่วเป็นต้นแบบ ก็ยังจัดเป็นประเภทภาพออโตสเตอริโอแกรมแบบจุดมั่ว
=== ออโตสเตอริโอแกรมแบบเคลื่อนไหว ===
ภาพออโตสเตอริโอแกรมเคลื่อนไหว มีหลักการเช่นเดียวกับ การแสดงภาพเคลื่อนไหว หรือ ภาพยนตร์ คือ แสดงชุดของภาพออโตสเตอริโอแกรม ทีละภาพอย่างต่อเนื่อง ถ้าภาพเหล่านี้มีภาพพื้นด้านหลังเดียวกัน จะส่งผลให้เราสามารถมองเห็นเส้นขอบลาง ๆ ของภาพ 3 มิติที่ต้องการสร้างนี้ได้โดยไม่ต้องใช้วิธีการมองภาพออโตสเตอริโอแกรม เพราะภาพของวัตถุที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องนั้นสามารถสังเกตเห็นได้จากพื้นหลังที่อยู่นิ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นในการสร้างภาพออโตสเตอริโอแกรมเคลื่อนที่จึงมักจะใช้ภาพพื้นหลังที่มีการเปลี่ยนแปลงด้วยเพื่ออำพรางการเปลี่ยนแปลงในส่วนของภาพวัตถุ
== วิธีการดู ==
คนบางคนนั้นสามารถมองเห็นภาพ 3 มิติจากสเตอริโอแกรมได้ทันที แต่บางคนอาจต้องมีการฝึกฝนการมองเบลอ โดยการจงใจปรับให้สูญเสียโฟกัส
=== สมองของเรารับรู้การมองเห็น 3 มิติได้อย่างไร ===
การรับรู้ระยะความลึกของสมองนั้นมีหลายวิธี สำหรับวัตถุที่อยู่ใกล้ตาในระยะ 18-20 ฟุตนั้น การรับภาพจากตาทั้งสอง (binocular vision) จะมีส่วนสำคัญในการประเมินความลึก สมองจะสร้าง ภาพไซคลอเปียน (Cyclopean image) ขึ้นจากภาพที่รับมาจากตาทั้งสองข้าง และประเมินค่าความลึกให้กับแต่ละจุดในภาพไซคลอเปียนนี้
สมองจะใช้ความคลาดเคลื่อนของตำแหน่งในภาพ หรือที่เรียกว่า พาราแลกซ์ (Parallax) ในการประเมินระยะความลึก ระยะความลึกของแต่ละจุดในภาพจะปรากฏในสมองในรูปของความสว่าง จุดที่มีระยะใกล้ก็จะสว่างมาก ดังนั้นเราสามารถแสดงให้เห็นถึงการรับรู้ระยะลึกของสมองโดยการรับภาพจากตาทั้งสองข้างนี้ โดยการใช้ แผนผังความลึก ที่สร้างจากตำแหน่งคลาดเคลื่อนในภาพ
ในขณะที่คนเราจ้องมองวัตถุ ลูกตาของเราทั้งสองข้างนั้นจะปรับหมุนไปด้านข้าง เพื่อให้วัตถุนั้นปรากฏที่จุดกึ่งกลางในภาพที่ปรกฎบนเรตินาของตาทั้งสองข้าง ในการมองวัตถุที่อยู่ใกล้ลูกตาทั้งสองจะปรับหมุนมุมมองเข้าหากันไปยังวัตถุนั้น ลักษณะการมองแบบนี้จะเรียกว่า การมองแบบตาเขเข้าหากัน (หรือ cross-eyed viewing) และเมื่อมองวัตถุที่อยู่ไกลออกไปลูกตาจะปรับหมุนมุมมองห่างออกจากกัน จนกระทั่งเกือบจะมีมุมมองที่เป็นแนวขนานกันเรียกว่า การมองแบบมองไกล (หรือ wall-eyed viewing) หรือการมองไปยังตำแหน่งที่อยู่ไกลออกไป
การรับภาพด้วยตาสองข้าง หรือ การรับภาพแบบสเตอริโอ สมองจะรับรู้ความลึกจากพาราแลกซ์ โดยการประเมินความลึกของวัตถุในภาพจากมุมของการลู่เข้าของแนวสายตา
=== วิธีการลวงให้สมองมองเห็นภาพ 3 มิติ ===
โดยปกติแล้วการปรับระยะโฟกัสของตานั้น แนวการมองจะลู่เข้าหาจุดเดียวกัน ถ้ากำลังมองวัตถุที่อยู่ไกล สมองจะปรับเลนส์ให้แบนลง และ หมุนลูกตา ให้มองไปที่ไกล ๆ เราสามารถฝึกหัดปรับการมองไปที่ไกล ๆ นี้ เพื่อใช้ในการมองภาพออโตสเตอริโอแกรม ที่สร้างขึ้นนี้ได้
การมองภาพออโตสเตอริโอแกรมที่อยู่ใกล้ตา โดยการปรับระยะการมองให้ไปยังจุดที่อยู่ไกล ๆ ข้างหลังภาพ จะทำให้เราสามารถมองเห็นภาพ 3 มิติได้ ถ้าหากภาพที่รับเข้ามาจากตาทั้งสองข้างนั้นเหมือนกัน สมองจะถือว่าภาพทั้งสองนี้เป็นจุดเดียวกัน และจะประกบภาพเข้าด้วยกัน การมองภาพแบบนี้เรียกว่า การมองภาพแบบมองไกล เนื่องจากมุมเสมือนของการลู่เข้าหาจะอยู่ที่ระยะไกลกว่าระยะจริง ซึ่งส่งผลให้วัตถุเสมือนนั้นอยู่ไกลขึ้น ลึกเข้าไปในภาพออโตสเตอริโอแกรมนั้น ภาพเสมือนของวัตถุจะปรากฏใหญ่กว่าภาพจริง อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ฟอร์ช็อทเทนนิ่ง (foreshortening)
ภาพออโตสเตอริโอแกรมด้านล่างจะมีภาพซ้ำ 3 แถว โดยแต่ละแถวนั้นจะมีระยะห่างของภาพซ้ำที่ต่างกัน จะเห็นว่าในขณะที่มีภาพปลาโลมาเพียง 6 ตัวอยู่ในภาพ เราจะมองเห็นเป็นปลาโลมา 7 ตัวในขณะที่มองเห็นภาพเสมือน 3 มิติ ทั้งนี้เนื่องมาจากในขณะที่สมองรับรู้ภาพเสมือนโดยการมองแบบมองไกล สมองจะรับรู้ภาพจากแนวการมอง 2 ชุดดังแสดงในภาพกลาง
== คำศัพท์เฉพาะทาง ==
สเตอริโอแกรม (Stereogram) ดั้งเดิมใช้อธิบาย ภาพ 2 มิติ 2ภาพ ซึ่งใช้กับเครื่องมองภาพ 3 มิติ (stereoscope) แต่ในปัจจุบันคำนี้ใช้หมายถึง ภาพออโตสเตอริโอแกรมแบบจุดมั่วด้วย
สเตอริโอแกรมแบบจุดมั่ว (Random-dot stereogram) (RDS) ดั้งเดิมใช้หมายถึง ภาพจุดมั่ว 2 ภาพ ซึ่งสร้างภาพลวง 3 มิติโดยการมองผ่านเครื่องมองภาพ 3 มิติ ในปัจจุบันคำนี้ก็ใช้หมายถึง ภาพออโตสเตอริโอแกรมด้วย
สเตอริโอแกรมแบบภาพเดี่ยว (Single-image stereogram) (SIS) คือภาพ 2 มิติภาพเดียว ซึ่งเมื่อมองโดยการใช้วิธีการที่เหมาะสม จะทำให้สามารถมองเห็นภาพลวง 3 มิติได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ ช่วย
ออโตสเตอริโอแกรม (Autostereogram) มีความหมายเดียวกับ สเตอริโอแกรมแบบภาพเดี่ยว
ออโตสเตอริโอแกรมแบบกระดาษบุผนัง (Wallpaper autostereogram) คือ ภาพ 2 มิติซึ่งมีภาพซ้ำ ๆ กัน ด้วยระยะห่างต่าง ๆ เพื่อภาพลวง 3 มิติที่ระยะความลึกต่าง ๆ ทั้งลอยขึ้นมา และ ยุบลงไป เมื่อเทียบกับผนังเสมือนในภาพ 3 มิติ
ออโตสเตอริโอแกรมแบบจุดมั่ว (Random-dot autostereogram) หรือ เรียก ออโตสเตอริโอแกรมภาพเดี่ยวแบบจุดมั่ว (single-image random-dot stereogram - SIRDS) ใช้หมายถึงภาพออโตสเตอริโอแกรม ที่ใช้จุดมั่วเป็นแม่แบบในการสร้าง
การสร้างภาพสามมิติ
ภาพลวงตา
ภาพ 3 มิติ
|
thaiwikipedia
| 2,045 |
บิตทอร์เรนต์
|
บิตทอร์เรนต์ (BitTorrent) เป็นโพรโทคอลรูปแบบ peer-to-peer ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกันโดยตรง ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีต้นกำเนิดมาจากความคิดของนายแบรม โคเฮน (Bram Cohen) ที่ต้องการให้การส่งผ่านข้อมูลสามารถอำนวยประโยชน์ได้ทั้งขาเข้าและขาออก ซึ่งเขาเริ่มพัฒนามันขึ้นมาตั้งแต่เดือน เมษายน ค.ศ. 2001
== หลักการทำงานของโปรแกรมบิตทอร์เรนต์ ==
เครือข่ายของการใช้โปรแกรมบิตทอร์เรนต์นั้นเป็นลักษณะโยงใยถึงกันหมด ทุกเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถรับส่งไฟล์ถึงกันได้ตลอดเวลา ซึ่งทุกเครื่องจะเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้
เมื่อไฟล์เริ่มต้นเผยแพร่มาจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง เครื่องอื่นๆ ที่ต้องการไฟล์ (หรือผู้ที่รอโหลดอยู่นั่นเอง) ก็จะค่อยๆ ได้รับชิ้นส่วนไฟล์ไปทีละชิ้นทีละชิ้นแบบสุ่ม เหมือนภาพต่อจิ๊กซอว์
ทันทีที่ได้รับชิ้นส่วนไฟล์มา คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นก็สามารถส่งต่อชิ้นส่วนไฟล์ที่ได้รับมาแล้วให้เครื่องอื่นที่ยังไม่มีได้ทันที ไม่ต้องรอให้ตัวเองได้ชิ้นส่วนไฟล์จนครบ 100% เป็นลักษณะของการเติมเต็มให้กัน ชิ้นส่วนไฟล์ตรงใหนที่ขาดไป สุดท้ายแล้วก็จะได้รับมาจากคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายในที่สุด ด้วยสาเหตุนี้เอง โปรแกรมบิตทอร์เรนต์จึงสามารถทำให้การส่งผ่านข้อมูลสามารถอำนวยประโยชน์ได้ทั้งขาเข้าและขาออก
== การใช้งาน ==
ก่อนการใช้งานต้องมีโปรแกรมที่เรียกว่า ทอร์เร็นต์ไคลเอนต์ก่อน หลังจากนั้นจึงจะสามารถไปดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บไซต์บิตทอร์เรนต์ต่างๆ ได้ โดยในปัจจุบันเว็บไซต์บิตทอร์เรนต์ มี 2 ประเภท คือ บิตทอร์เรนต์เปิด และ บิตทอร์เรนต์ปิด
บิตทอร์เรนต์เปิด - คือเว็บไซต์บิตทอร์เรนต์ ที่บุคคลทั่วไปทั่วไปหรือสมาชิกที่ผ่านเข้าไปสามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้ โดยไม่มีเงื่อนไขและไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกที่เว็บไซต์นั้นๆ
บิตทอร์เรนต์ปิด - คือเว็บไซต์บิตทอร์เรนต์ ที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถเข้าไปดาวน์โหลดไฟล์ได้ โดยจะต้องเป็นสมาชิกก่อนเท่านั้น และในบางเว็บไซต์จะไม่สามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้ ถ้าสมาชิกยังไม่ได้อัปโหลด โดยจะมีการคำนวณ ปริมาณการอัปโหลดต่อดาวน์โหลดเป็น Ratio โดยแต่ละเว็บไซต์จะกำหนด Ratio ขั้นต่ำในการดาวน์โหลดไฟล์แตกต่างกัน
== รายชื่อทอร์เร็นต์ไคลเอนต์ ==
โปรแกรมทอร์เร็นต์ไคลเอนต์มีอยู่มากมายหลายโปรแกรมหลายแพลตฟอร์มดังนี้
ABC (Yet Another Bittorrent Client, ไมโครซอฟท์วินโดวส์, ลินุกซ์)
Azureus (หลายระบบปฏิบัติการด้วยภาษาจาวา)
BitComet (ไมโครซอฟท์วินโดวส์)
BitLord (ไมโครซอฟท์วินโดวส์)
BitTornado (ลินุกซ์, บีเอสดี, แมคโอเอสเท็น, ไมโครซอฟท์วินโดวส์, ฯลฯ)
BitTorrent (ลินุกซ์, แมคโอเอสเท็น, ไมโครซอฟท์วินโดวส์)
Burst! (ไมโครซอฟท์วินโดวส์)
eXeem™ (ไมโครซอฟท์วินโดวส์)
FlashGet (ไมโครซอฟท์วินโดวส์)
KTorrent (ลินุกซ์)
MLDonkey (ลินุกซ์, ไมโครซอฟท์วินโดวส์, แมคโอเอสเท็น, บีเอสดี,ฯลฯ)
Shareaza (ไมโครซอฟท์วินโดวส์)
Tomato Torrent (แมคโอเอส)
Ziptorrent (ไมโครซอฟท์วินโดวส์)
µTorrent (ไมโครซอฟท์วินโดวส์,แมคโอเอสเท็น)
== อ้างอิง ==
The BitTorrent Effect
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์บิตทอร์เรนต์
รวมเว็บไซต์เกี่ยวกับข้องกับบิตทอร์เรนต์
โพรโทคอลชั้นโปรแกรมประยุกต์
รูปแบบไฟล์คอมพิวเตอร์
|
thaiwikipedia
| 2,046 |
Bit torrent
|
redirect บิตทอร์เรนต์
|
thaiwikipedia
| 2,047 |
บิตทอเรนท์
|
redirect บิตทอร์เรนต์
|
thaiwikipedia
| 2,048 |
บิท ทอเรนท์
|
redirect บิตทอร์เรนต์
|
thaiwikipedia
| 2,049 |
บิต ทอเรนท์
|
redirect บิตทอร์เรนต์
|
thaiwikipedia
| 2,050 |
นาตาลี เกลโบวา
|
นาตาลี เกลโบวา (Natalie Glebova; Наталья Глебова; เกิด 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1981) เป็นนางแบบ นักเขียน พิธีกร และนางงามชาวแคนาดาเชื้อสายรัสเซีย โดยได้รับตำแหน่งนางงามจักรวาล 2005 ที่จัดขึ้นในประเทศไทย โดยเธอเป็นผู้เข้าประกวดคนที่สองจากประเทศแคนาดาที่ได้รับเลือกเป็นนางงามจักรวาล และยังเคยเป็นตัวแทนส่งเสริมภาพลักษณ์ของบุญรอดบริวเวอรี่, หอแว่น และเครื่องสำอางบีเอสซี
== ประวัติ ==
เกิด 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 ที่เมืองทุปเซ่, ดินแดนครัสโนดาร์, สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย, สหภาพโซเวียต (ปัจจุบัน ประเทศรัสเซีย) อายุ ปี เติบโตที่เมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา เธอจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยไรเยอร์สัน (Ryerson University) มีความสามารถเล่นเปียโนดนตรีคลาสสิก และเล่นยิมนาสติก
== ผลงานในประเทศไทย ==
ภายหลังการประกวดนางงามจักรวาล การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่าจ้างให้นาตาลี เกลโบวา เป็นตัวแทนเผยแพร่วัฒนธรรมของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว มีการถ่ายภาพยนตร์โฆษณาพร้อมกับครอบครัวของนาตาลี เผยแพร่วัฒนธรรมการไหว้ ออกเผยแพร่ในประเทศต่างๆ
สินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่าจ้างนาตาลีเป็นนางแบบโฆษณา และพิมพ์รูปนาตาลีบนหีบห่อบะหมี่ทุกชิ้น ทั้งที่ขายในประเทศไทย และส่งออกไปต่างประเทศ
ตั้งแต่กรกฎาคม พ.ศ. 2549 นาตาลี เกลโบวา เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับ บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยเซ็นสัญญา 1 ปี จากนั้น นาตาลีใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ โดยใช้ชื่อเล่นว่า ฟ้า และทำธุรกิจผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพและความงาม โดยเปิดบริษัทชื่อ บริษัทฟ้า เกลโบวา อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
== ชีวิตส่วนตัว ==
เคยสมรสกับภราดร ศรีชาพันธุ์ นักเทนนิสชื่อดัง เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 และกำหนดแต่งงานวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล แต่ปัจจุบันได้เลิกรากันแล้ว ต่อมาสมรสกับดีน เคลลี ชาวปานามา และมีบุตรสาวชื่อ มายา คลอดเมื่อวันที่
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
HHB Life - new official web site by Natalie Glebova
Healthy Happy Beautiful - Book by Natalie Glebova
Fans Club
รายละเอียดส่วนตัวจากเว็บไซต์นางงามจักรวาล
รูปภาพอื่น ๆ ของนาตาลี เกลโบวา
Natalie Glebova - Magazines Gallery
Natalie Glebova - Internet Movie Database
ชาวแคนาดาเชื้อสายรัสเซีย
ผู้ชนะการประกวดนางงามจักรวาล
นางแบบแคนาดา
ชาวแคนาดาในประเทศไทย
บุคคลจากโทรอนโต
บุคคลจากดินแดนครัสโนดาร์
ผู้ชนะการประกวดนางงาม
สกุลศรีชาพันธุ์
|
thaiwikipedia
| 2,051 |
ประภัสร์ จงสงวน
|
ประภัสร์ จงสงวน เป็นอดีตกรรมการยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ อดีตผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย อดีตผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
== ประวัติ ==
ประภัสร์ จงสงวน จบการศึกษาจากระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และเข้าศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเมื่อ พ.ศ. 2521 จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาอาชญวิทยา จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียสเตท สหรัฐ เมื่อ พ.ศ. 2524
== การทำงาน ==
เดิมทีเขาต้องการเป็นตำรวจสหรัฐอเมริกา แต่เนื่องจากมารดาเรียกตัวกลับไทย ประภัสร์ตระหนักดีถึงชีวิตราชการตำรวจไทย เขาจึงหันไปทำงานด้านกฎหมาย โดยการทำงานที่สำนักงานกฎหมาย ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ซึ่งส่วนใหญ่ได้ทำคดีเกี่ยวกับภาครัฐ โดยเฉพาะกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จนได้รู้จักกับ เจ้าพนักงานอัยการ จุลสิงห์ วสันตสิงห์ ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2528 ประภัสร์ได้เข้ามาทำงานที่การทางพิเศษตามคำชวนของอัยการจุลสิงห์ ในตำแหน่งนิติกร โดยทำงานภายใต้นายสุขวิช รังสิตพล ผู้อำนวยการการทางพิเศษในขณะนั้น ประภัสร์ในตำแหน่งนักกฎหมายช่วยให้ไทยบอกเลิกสัญญารถไฟฟ้าลาวาลิน โดยที่เอกชนคู่สัญญาไม่สามารถฟ้องร้องการทางพิเศษ
ต่อมาในปี 2537 นายสุขวิชได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เขาจึงยืมตัวประภัสร์ชั่วคราว มาเป็นหนึ่งในทีมที่ปรึกษาของตนเอง ในสมัยรัฐบาลชวน 1 แล้วจึงย้ายกลับไปทำงานที่การทางพิเศษ จนได้ขึ้นเป็นรองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมายและจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นตำแหน่งสุดท้ายจนถึง พ.ศ. 2540 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการองค์การรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) รับผิดชอบงานโครงการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน และดำรงตำแหน่งนี้ยาวนานถึงปี 2551
=== ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ===
พ.ศ. 2551 ประภัสร์ที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการฯ รฟม.อยู่ ได้รับการทาบทามจากพรรคพลังประชาชน ให้ลงสมัครในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2551 ในนามของตัวแทนจากพรรคพลังประชาชน ซึ่งทำให้เขาต้องลาออกจากการเป็นผู้ว่าการฯรฟม. ในการเลือกตั้งครั้งนั้น ประภัสร์ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียง 543,488 คะแนน มากเป็นลำดับสองรองจากอภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประชาธิปัตย์
=== ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ===
หลังจากการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ประภัสร์เข้ามารับตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ต่อมาในปี พ.ศ. 2555 เขาได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี และลงสมัครตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งประภัสร์ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2555
ในตำแหน่งนี้ เขาเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของรัฐบาลในการผลักดันโครงการปฏิรูประบบราง เช่นโครงการรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย, รถไฟฟ้าสายสีแดง และรถไฟทางคู่ โดยเป็นกรรมาธิการพิจารณา พรบ. โครงสร้างพื้นฐานสองล้านล้านบาท ในช่วงการดำรงตำแหน่งผู้ว่ารฟท.ของเขา มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ อาทิ การรื้อและทำทางรถไฟใหม่ทั้งหมดในเขตภาคเหนือตอนบน, แก้แบบโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต จาก 3 เป็น 4 ทาง, แก้แบบให้สถานีกลางบางซื่อรองรับรถไฟความเร็วสูง, จัดซื้อขบวนรถด่วนพิเศษจำนวน 8 ขบวน (115 ตู้) เพื่อให้บริการในสี่เส้นทาง (อุตราวิถี, อีสานวัฒนา, อีสานมรรคา, ทักษิณารัถย์)
ในเดือนกรกฎาคม 2557 มีกระแสกดดันจากประชาชนบางส่วนอย่างรุนแรงให้ประภัสร์ลาออก หลังเกิดเหตุพนักงานการรถไฟก่อเหตุฆ่าข่มขืนผู้โดยสารในรถไฟ นายประภัสร์ปฏิเสธไม่ยอมลาออก คณะรัฐประหารเห็นโอกาสปลดนายประภัสร์ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม พลเอกประยุทธ์จึงปลดประภัสร์ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2557 ต่อมา ศาลปกครองกลางพิพากษาว่านายประภัสร์ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยชดใช้นายประภัสร์เป็นจำนวนเงิน 3.1 ล้านบาท
=== ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ===
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 เขาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคไทยรักษาชาติ ลำดับที่ 26 แต่พรรคไทยรักษาชาติ ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคก่อนวันเลือกตั้ง
== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
ข้อมูลจากเว็บไซต์ของรถไฟฟ้ามหานคร
ข้อมูลจากเว็บไซต์ของพรรคพลังประชาชน
10 นโยบายกรุงเทพฯ อยู่สบาย จากเว็บไซต์ของพรรคพลังประชาชน
ว่าที่ผู้ว่าฯประภัสร์ จงสงวน ฝันให้คนกรุงคิดถึง"บ้าน"
ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย
นักการเมืองไทย
พรรคพลังประชาชน (พ.ศ. 2541)
พรรคเพื่อไทย
พรรคไทยรักษาชาติ
พรรคไทยสร้างไทย
บุคคลจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
บุคคลจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน
บุคคลจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บุคคลจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต.ช.
ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.ม.
|
thaiwikipedia
| 2,052 |
ข้อความคาดการณ์
|
ข้อความคาดการณ์ (conjecture) ในคณิตศาสตร์ คือ ข้อความทางคณิตศาสตร์ที่ถูกเสนอว่าเป็นจริง แต่ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์หรือหักล้างได้ ข้อคาดการณ์หลายข้อเป็นปัญหาผลักดันให้เกิดคณิตศาสตร์สาขาใหม่ ๆ ตามมา เช่นในกรณี ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา หรือ ข้อความคาดการณ์ของปวงกาเร
ข้อความคาดการณ์อาจพิสูจน์ได้ในภายหลังว่าเป็นจริง เช่นในกรณี ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา หรือ ข้อความคาดการณ์ของปวงกาเร ในขณะที่บางข้อความคาดการณ์อาจไม่จริง เช่น ข้อความคาดการณ์ของออยเลอร์ ในบางครั้งข้อคาดการณ์บางข้อกลับเป็นอิสระจากสัจพจน์พื้นฐานในคณิตศาสตร์ (เช่น เป็นอิสระจากสัจพจน์ใน ZF) ทำให้ข้อความดังกล่าวไม่สามารถพิสูจน์หรือยกตัวอย่างค้านได้ เช่น สมมติฐานความต่อเนื่อง
== ข้อความคาดการณ์ที่มีชื่อเสียง ==
=== ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา ===
ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา กล่าวว่า ไม่มีจำนวนเต็มบวก a, b และ c ที่สอดคล้องกับสมการ a^n + b^n = c^n ทุกจำนวนเต็ม n > 2
ข้อความคาดการณ์นี้ตั้งขึ้นโดย ปีแยร์ เดอ แฟร์มา ในปี ค.ศ. 1637 โดยอ้างว่ามีบทพิสูจน์แต่มีเนื้อที่เขียนในขอบกระดาษไม่เพียงพอ บทพิสูจน์ที่สมบูรณ์นั้นปรากฏในปี ค.ศ. 1994 โดย แอนดรูว์ ไวลส์
=== สมมติฐานของรีมันน์ ===
สมมติฐานของรีมันน์ เสนอว่า ทุก ๆ รากของฟังก์ชันซีตาของรีมันน์ที่ไม่ใช่รากชัดแจ้ง ต้องมีส่วนจริงเท่ากับ 1/2
แบร์นฮาร์ด รีมันน์ได้เสนอข้อความคาดการณ์นี้ในปี ค.ศ. 1859 ปัจจุบันยังเป็นปัญหาเปิดที่สำคัญในทฤษฎีจำนวน
=== ข้อความคาดการณ์ของก็อลท์บัค ===
ข้อความคาดการณ์ของก็อลท์บัค (Goldbach's conjecture) เป็นข้อความคาดการณ์ในทฤษฎีจำนวน ซึ่งประกอบด้วยข้อความคาดการณ์ 2 อันที่เกี่ยวเนื่องกัน ได้แก่ ข้อความคาดการณ์ของก็อลท์บัคแบบอ่อน (weak Goldbach conjecture) ที่กล่าวว่า ทุกจำนวนคี่ที่มากกว่า 5 สามารถเขียนได้ในรูปของผลบวกของจำนวนเฉพาะสามจำนวน และ ข้อความคาดการณ์ของก็อลท์บัคแบบเข้ม (strong Goldbach conjecture) ซึ่งกล่าวว่า ทุกจำนวนคู่ที่มากกว่า 2 จะสามารถเขียนในรูปผลบวกของจำนวนเฉพาะสองจำนวนได้ ข้อความคาดการณ์ของก็อลท์บัคแบบอ่อนเป็นผลโดยตรงจากข้อความคาดการณ์ของก็อลท์บัคแบบเข้ม
ปัญหาข้อนี้เสนอโดย คริสเตียน ก็อลท์บัค ในจดหมายจากเขาถึง เลออนฮาร์ด ออยเลอร์ ในปี ค.ศ. 1742 ปัจจุบันมีบทพิสูจน์ของข้อความคาดการณ์ของก็อลท์บัคแบบอ่อนโดย ฮาราล์ด เฮลฟ์กอดท์ ในปี ค.ศ. 2013
=== ข้อความคาดการณ์ของปวงกาเร ===
ข้อความคาดการณ์ของปวงกาเร เสนอว่า ทุก 3-แมนิโฟลด์ที่มีสมบัติเป็นแมนิโฟลด์เชื่อมโยงอย่างง่ายและเป็นเซตปิดจะสมานสัณฐานกับ 3-sphere (ทรงกลมในปริภูมิสี่มิติ)
อ็องรี ปวงกาเร ตั้งข้อคาดการณ์นี้ในปี ค.ศ. 1904 ก่อนจะได้รับการพิสูจน์ว่าจริงโดย กริกอรี เพเรลมาน ผ่านพรีพรินต์ในปี ค.ศ. 2002-2003 ก่อนจะได้รับการยืนยันว่าจริงในปี ค.ศ. 2006
=== สมมติฐานความต่อเนื่อง ===
สมมติฐานความต่อเนื่อง เป็นสมมติฐานเกี่ยวกับขนาดของเซตอนันต์ ซึ่งกล่าวว่า ไม่มีเซตใดมีภาวะเชิงการนับ (cardinality) อยูระหว่างขนาดของเซตของจำนวนเต็ม และเซตของจำนวนจริง
สมมติฐานความต่อเนื่อถูกตั้งเป็นข้อคาดการณ์โดย เกออร์ก คันตอร์ ในปี ค.ศ. 1878 ก่อนที่จะพบว่าข้อความนี้เป็นอิสระจากสัจพจน์อื่น ๆ ของทฤษฎีเซตแซร์เมโล-แฟรงเคิลพร้อมกับสัจพจน์ของการเลือก (ZFC) จากบทพิสูจน์ว่า สมมติฐานความต่อเนื่องไม่สามารถหักล้างได้จากสัจพจน์ใน ZFC ของควร์ท เกอเดิล และ สมมติฐานความต่อเนื่องไม่สามารถพิสูจน์ได้จากสัจพจน์ใน ZFC ของ พอล โคเฮน
=== ข้อความคาดการณ์ของเวย์ ===
ข้อคาดการณ์ของเวย์เป็นข้อความคาดการณ์หลายข้อที่ อ็องเดร เวย์ เสนอไว้ในปี ค.ศ. 1949 เกี่ยวกับฟังก์ชันซีตาเฉพาะที่ที่นิยามบนวาไรตีเชิงพีชคณิตเหนือฟีลด์จำกัด ข้อคาดการณ์นี้เสนอว่า ฟังก์ชันซีตาเหล่านี้จะเป็นฟังก์ชันตรรกยะ จะสอดคล้องกับสมการเชิงฟังก์ชันรูปแบบหนึ่ง จะสอดคล้องกับเงื่อนไขเกี่ยวข้องกับจำนวนเบตตี และมีผลเฉลยอยู่ในบริเวณจำกัดคล้ายกับในสมมติฐานของรีมันน์
ความเป็นฟังก์ชันตรรกยะพิสูจน์โดย เบอร์นาร์ด ดวอร์ก ข้อคาดการณ์เกี่ยวกับสมการเชิงฟังก์ชันและความเชื่อมโยงกับจำนวนเบตตีพิสูจน์โดย อเล็กซองดร์ โกรเธนดีก และส่วนเหมือนของสมมติฐานรีมันน์พิสูจน์โดย ปิแยร์ เดอลิญน์
ข้อความคาดการณ์ที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ได้แก่
ไม่มีจำนวนสมบูรณ์คี่
ปัญหาสี่สี
ข้อความคาดการณ์ของคอลลาตซ์
ข้อความคาดการณ์จำนวนเฉพาะคู่แฝด
P ≠ NP
ข้อความคาดการณ์ของฮาร์ดี-ลิตเติลวูด ประกอบด้วยสองข้อความคาดการณ์ย่อยที่พิสูจน์ได้แล้วว่า ไม่เป็นจริงพร้อมกันทั้งคู่
ข้อความคาดการณ์ของเคปเลอร์ (ได้รับการพิสูจน์แล้ว ในปี ค.ศ. 1998 โดยนักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกัน ทอมัส แคลลิสเตอร์ เฮลส์)
== อ้างอิง ==
ข้อความคาดการณ์
|
thaiwikipedia
| 2,053 |
ทฤษฎีบทมูลฐานของพีชคณิต
|
ทฤษฎีบทมูลฐานของพีชคณิต (fundamental theorem of algebra) ในคณิตศาสตร์กล่าวว่า พหุนามเชิงซ้อนที่ไม่ใช่ค่าคงที่มีรากเป็นจำนวนเชิงซ้อน หรือกล่าวอย่างเป็นทางการว่า ถ้า
p(z) =z^n+a_{n-1}z^{n-1}+\cdots+a_0
เป็นพหุนามที่มีสัมประสิทธิ์ a_0, a_1, \ldots, a_{n-1} เป็นจำนวนเชิงซ้อนแล้ว จะมีจำนวนเชิงซ้อน z_0 ที่ทำให้ p(z_0) = 0
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
ทฤษฎีบทหลักมูลของพีชคณิต mathcenter.net
พีชคณิตนามธรรม
การวิเคราะห์เชิงซ้อน
ทฤษฎีฟีลด์
ทฤษฎีบททางคณิตศาสตร์
|
thaiwikipedia
| 2,054 |
สาธารณรัฐ
|
สาธารณรัฐ หรือบ้างเรียก มหาชนรัฐ (republic) เป็นระบอบการปกครองที่ประเทศถูกพิจารณาว่าเป็น "กิจสาธารณะ" (res publica) มิใช่ธุระหรือทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ปกครอง และที่ตำแหน่งหน้าที่ของรัฐได้รับเลือกตั้งโดยตรงหรือโดยอ้อม หรือได้รับแต่งตั้ง มิใช่ได้รับสืบทอด นิยามทั่วไปที่เข้าใจง่ายของสาธารณรัฐในสมัยใหม่ คือ ระบอบการปกครองที่ประมุขแห่งรัฐอันมิใช่พระมหากษัตริย์ ปัจจุบัน รัฐเอกราช 135 จาก 206 รัฐใช้คำว่า "สาธารณรัฐ" เป็นส่วนหนึ่งชื่ออย่างเป็นทางการ
ทั้งสาธารณรัฐสมัยใหม่และสมัยโบราณแตกต่างกันอย่างมากทั้งในอุดมการณ์และองค์ประกอบ ในสมัยคลาสสิกและสมัยกลาง ต้นแบบของทุกสาธารณรัฐ คือ สาธารณรัฐโรมัน ซึ่งหมายถึงกรุงโรมยุคสาธารณรัฐ ในระหว่างสมัยที่ไม่มีกษัตริย์กับจักรพรรดิปกครองอยู่ช่วงหนึ่ง แต่หากปกครองโดยบุคคลที่มาจากการเลือกจากคณะผู้เลือกตั้ง ในประเพณีการเมืองสมัยกลางและสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาอิตาลีปัจจุบันที่เรียกว่า "มนุษยนิยมพลเมือง" (civic humanism) นั้น บางครั้งถูกมองว่าได้รับมาจากนักสาธารณรัฐนิยมโรมันโดยตรง อย่างไรก็ดี นักประพันธ์โรมันที่ได้รับอิทธิพลจากกรีก อย่างพอลิเบียสและคิเคโร บางครั้งใช้คำดังกล่าวเป็นคำแปลของคำภาษากรีกว่า politeia ซึ่งอาจหมายถึงระบอบโดยทั่วไป แต่ยังสามารถใช้กับระบอบบางประเภทโดยเจาะจงซึ่งมิได้สอดคล้องพอดีกับสาธารณรัฐโรมัน สาธารณรัฐมิได้เทียบเท่ากับประชาธิปไตยในยุคคลาสสิก อย่างเช่น เอเธนส์ ซึ่งก็มีความเป็นประชาธิปไตยแตกต่างไปจากยุคศตวรรษที่ 19 อีกเช่นกัน
ในสาธารณรัฐสมัยใหม่ เช่น สหรัฐ ฝรั่งเศส รัสเซีย และอินเดีย ฝ่ายบริหารมีความชอบธรรมจากทั้งโดยรัฐธรรมนูญและการออกเสียงเลือกตั้งของประชาชน เป็นอิทธิพลจาก มงแต็สกีเยอ ซึ่งรวมประชาธิปไตยมาจากระบบทั้งสองแบบ ที่ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการปกครอง ส่วนการปกครองแบบอภิชนาธิปไตยหรือคณาธิปไตย ซึ่งมีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ปกครอง เป็นระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ
ส่วนใหญ่สาธารณรัฐมักเป็นรัฐเอกราช แต่ยังมีหน่วยต่ำกว่ารัฐที่เรียกว่า สาธารณรัฐ หรือมีการปกครองที่ถูกอธิบายว่า "เป็นสาธารณรัฐ" โดยธรรมชาติเช่นกัน ตัวอย่างเช่น มาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐ "ประกันว่าทุกรัฐในสหภาพนี้มีระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ" เขตการปกครองของสหภาพโซเวียตถูกอธิบายว่าเป็นสาธารณรัฐ และสองในนั้น คือ สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครนและเบลารุส มีที่นั่งของตนในสหประชาชาติ ขณะที่รัฐธรรมนูญแห่งสหภาพโซเวียตอธิบายสหภาพว่าเป็น "รัฐเดี่ยว สหพันธ์และพหุชาติ" ที่จริงแล้วเป็นรัฐเดี่ยวเพราะพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตใช้อำนาจในรูปรวมศูนย์เหนือสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตซึ่งปกครองตนเองแต่ในนาม
== อ้างอิง ==
ระบอบการปกครอง
|
thaiwikipedia
| 2,055 |
ประชาธิปไตย
|
ประชาธิปไตย (democracy) เป็นระบอบการปกครองแบบหนึ่งซึ่งพลเมืองเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและเลือกผู้ปกครองซึ่งทำหน้าที่ออกกฎหมาย โดยพลเมืองอาจใช้อำนาจของตนด้วยตนเองหรือผ่านผู้แทนที่เลือกไปใช้อำนาจแทนก็ได้ การตัดสินว่าผู้ใดเป็นพลเมืองบ้างและการแบ่งปันอำนาจในหมู่พลเมืองเป็นอย่างไรนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตามเวลาและแต่ละประเทศเปลี่ยนแปลงในอัตราไม่เท่ากัน นอกจากการเลือกตั้งแล้ว ความคิดที่เป็นรากฐานของประชาธิปไตย ได้แก่ เสรีภาพในการชุมนุมและการพูด การไม่แบ่งแยกและความเสมอภาค สิทธิพลเมือง ความยินยอม สิทธิในการมีชีวิตและสิทธิฝ่ายข้างน้อย นอกจากนี้ ประชาธิปไตยยังทำให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงผลประโยชน์ของตนและแบ่งอำนาจจากกลุ่มคนมาเป็นชุดกฎเกณฑ์แทน
ประชาธิปไตยแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลัก ประเภทแรกเริ่มปรากฏขึ้นในนครรัฐกรีกโบราณบางแห่งช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนครรัฐเอเธนส์ เรียก ประชาธิปไตยทางตรง ซึ่งพลเมืองทุกคนมีสิทธิพิจารณากลั่นกรองและวินิจฉัยกฎหมาย ประเภทที่สองเป็นประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน โดยสาธารณะออกเสียงในการเลือกตั้งและเลือกผู้แทนตนไปทำหน้าที่ในรัฐสภา เช่น ระบบรัฐสภาและระบบประธานาธิบดี สำหรับประชาธิปไตยเสรีนิยมซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่พบกันแพร่หลายนั้น การใช้อำนาจของฝ่ายข้างมากจะอยู่ภายใต้กรอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน แต่รัฐธรรมนูญมีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายข้างมาก กับทั้งคุ้มครองสิทธิของฝ่ายข้างน้อย ซึ่งพลเมืองทุกคนย่อมมีสิทธิบางประการ เช่น เสรีภาพในการชุมนุมและการพูด การวินิจฉัยสั่งการส่วนใหญ่ใช้การถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่บางอย่างใช้คะแนนเสียงข้างมากพิเศษหรืออาจถึงขั้นเสียงเอกฉันท์ เพื่อให้ประเด็นที่ละเอียดอ่อนมีความชอบธรรมมากขึ้น ถึงแม้ปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่ในโลกใช้ประชาธิปไตยทางอ้อม แต่กระบวนการบางอย่างยังเป็นประชาธิปไตยทางตรง เช่น การลงประชามติ การเลือกคณะลูกขุนในศาล การเข้าชื่อเสนอกฎหมายหรือถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้ง เป็นต้น
ประชาธิปไตยถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในกรีซโบราณ แต่วิธีปฏิบัติแบบประชาธิปไตยปรากฏในสังคมอยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งเมโสโปเตเมีย ฟินีเซีย และอินเดีย วัฒนธรรมอื่นหลังกรีซได้มีส่วนสำคัญต่อวิวัฒนาการของประชาธิปไตย เช่น โรมโบราณ ยุโรป และอเมริกาเหนือและใต้ ประชาธิปไตยแบบโบราณซึ่งพลเมืองชายมากน้อยต่างกันมีสิทธิทางการเมืองนั้นค่อย ๆ หมดไปในช่วงปลายสมัยโบราณ มโนทัศน์ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนเกิดขึ้นส่วนใหญ่จากแนวคิดและสถาบันซึ่งได้มีการพัฒนาระหว่างยุคกลางของทวีปยุโรปและยุคภูมิธรรมในการปฏิวัติอเมริกาและการปฏิวัติฝรั่งเศส จนมาถึงช่วงหลังสงครามเย็น ประชาธิปไตยถูกเรียกว่า "ระบอบการปกครองสุดท้าย" และแพร่หลายอย่างมากไปทั่วโลก
ประชาธิปไตยแตกต่างจากระบอบการปกครองที่อำนาจอธิปไตยอยู่กับบุคคลคนเดียว เช่น สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือที่อำนาจอธิปไตยอยู่กับคณะบุคคลจำนวนน้อย เช่น คณาธิปไตย กระนั้น ระบอบที่ตรงข้ามกับประชาธิปไตยเหล่านี้ยังสืบทอดมาแต่ปรัชญากรีก และปัจจุบันยิ่งดูเคลือบคลุมมากขึ้น เพราะรัฐบาลร่วมสมัยต่างมีส่วนที่เป็นประชาธิปไตย คณาธิปไตยและราชาธิปไตยผสมกัน
== ศัพทมูลวิทยา ==
คำว่า democracy ในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณว่า "ดีมอคระเทีย" ซึ่งหมายถึง "การปกครองโดยประชาชน" (popular government) อันเป็นคำประสมระหว่างคำว่า "ดีมอส" (δῆμος, demos) หมายถึง ประชาชน และ "คราทอส" (κράτος, kratos) หมายถึง การปกครอง หรือ พละกำลัง
ส่วนในภาษาไทย คำว่า ประชาธิปไตย ประกอบด้วยคำว่า "ประชา" ซึ่งหมายถึง "ปวงชน" และ "อธิปไตย" ซึ่งหมายถึง "ความเป็นใหญ่" เมื่อรวมกันจึงหมายถึง "ความเป็นใหญ่ของปวงชน" ส่วนพจนานุกรมของราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายว่า "แบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่" แต่ในห้วงการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 คำว่า "ประชาธิปไตย" ถูกใช้ในความหมายว่า สาธารณรัฐ
== ลักษณะ ==
ไม่มีคำนิยามประชาธิปไตยที่ทุกคนเห็นตรงกันหมด การศึกษาในภาษาอังกฤษครั้งหนึ่งพบว่ามีคำอธิบายประชาธิปไตยอย่างน้อย 2,234 คำอธิบาย แต่มีระบุว่าจะต้องมีลักษณะสำคัญ คือ ความเสมอภาคทางกฎหมาย เสรีภาพทางการเมืองและนิติธรรม ตัวอย่างเช่น ในประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน คะแนนเสียงทุกเสียงมีน้ำหนักเท่ากัน จะต้องไม่วางข้อจำกัดที่ไม่สมเหตุสมผลซึ่งห้ามบุคคลสมัครรับเลือกตั้ง และอิสรภาพของพลเมืองได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายด้วยสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
ทฤษฎีหนึ่งมองว่าประชาธิปไตยประกอบด้วยหลักการพื้นฐานสามประการ ได้แก่ การควบคุมจากล่างขึ้นบน (อำนาจอธิปไตยอยู่ในมือของอำนาจระดับล่างสุด) ความเสมอภาคทางการเมือง และบรรทัดฐานทางสังคมซึ่งสะท้อนหลักการสองข้อแรก แลร์รี ไดมอนด์ นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน มองว่ามีสี่องค์ประกอบ ได้แก่ ระบบการเมืองที่เลือกและเปลี่ยนรัฐบาลผ่านการเลือกตั้งที่มีอิสระและเป็นธรรม, การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของราษฎร, การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและนิติธรรม
คำว่า "ประชาธิปไตย" บางทีใช้เป็นคำย่อของประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ซึ่งเป็นประชาธิปไตยแบบที่รวมความคิด เช่น พหุนิยมทางการเมือง ความเสมอภาคทางกฎหมาย สิทธิในการร้องทุกข์ต่อข้าราชการการเมือง กระบวนการทางกฎหมาย เสรีภาพพลเมือง สิทธิมนุษยชนและภาคประชาสังคมนอกเหนือจากภาครัฐ ทั้งนี้ เนื่องจากโรเจอร์ สครูตันให้เหตุผลว่า ประชาธิปไตยจะมอบเสรีภาพส่วนบุคคลและการเมืองไม่ได้หากปราศจากสถาบันประชาสังคม
ระบอบประชาธิปไตยมีวิธีวินิจฉัยสั่งการหลายวิธี แต่วิธีหลักได้แก่ การถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่จะต้องมีการชดเชยหรือคุ้มครองทางกฎหมายต่อปัจเจกหรือกลุ่ม ฝ่ายข้างน้อย เพื่อป้องกันเหตุการณ์ "ทรราชเสียงข้างมาก" หลายประเทศมีการแยกใช้อำนาจต่างกัน เช่น ในสหราชอาณาจักรใช้ระบบเวสต์มินสเตอร์ซึ่งมีรัฐสภาเป็นใหญ่ (parliamentary sovereignty) และฝ่ายตุลาการเป็นอิสระจากฝ่ายนิติบัญญัติและบริหาร ในสหรัฐ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการมีอำนาจเท่ากัน ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนจำเป็นต้องมีการเลือกตั้ง ในบางประเทศถือว่าเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง เสรีภาพในการพูด เสรีภาพสื่อ และประชาธิปไตยอินเทอร์เน็ตมีความสำคัญเพื่อให้ความรู้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้เขาออกเสียงเพื่อประโยชน์ของตนเอง นอกจากนี้ยังมีการเสนอว่าลักษณะพื้นฐานอย่างหนึ่งของประชาธิปไตยคือผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถมส่วนร่วมอย่างอิสระและเต็มที่ในสังคม โดยเน้นย้ำเรื่องแนวคิดสัญญาประชาคมและเจตจำนงร่วมของพลเมือง จึงอาจกล่าวว่าประชาธิปไตยเป็นคติรวมหมู่ทางการเมืองแบบหนึ่งเพราะนิยามว่าเป็นระบอบการปกครองที่พลเมืองที่มีสิทธิทุกคนมีเสียงเท่ากันในการออกกฎหมาย
สำหรับคำว่า สาธารณรัฐ (republic) นั้น แม้มักสัมพันธ์กับประชาธิปไตยในเรื่องหลักการปกครองด้วยความยินยอมของผู้ใต้ปกครอง แต่สาธารณรัฐไม่จำเป็นต้องเป็นประชาธิปไตยเสมอไป เพราะสาธารณรัฐนิยมไม่ได้เจาะจงว่าปกครองประชาชนอย่างไร คำว่า "สาธารณรัฐ" แต่เดิมนั้นครอบคลุมทั้งประชาธิปไตยและอภิชนาธิปไตย ในความหมายสมัยใหม่ สาธารณรัฐเป็นระบอบการปกครองที่ไม่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
=== การวัด ===
{|width=440px align="right"
|-
|
ไฟล์:2021 Freedom House world map.png|การจำแนกประเทศตามการสำรวจ เสรีภาพในโลก 2021 ของฟรีดอมเฮาส์ ซึ่งเป็นคะแนนเสรีภาพโลกใน ค.ศ. 2020
ไฟล์:Electoral democracies.svg|alt=ประเทศที่การสำรวจ เสรีภาพในโลก 2021 ระบุว่าเป็นประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง ข้อมูลใน ค.ศ. 2020|ที่การสำรวจ เสรีภาพในโลก 2021 ระบุว่าเป็นประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง ข้อมูลใน ค.ศ. 2020
ไฟล์:Democracy Index 2020.svg|ดัชนีประชาธิปไตยโดยดิอีโคโนมิสต์ ใน ค.ศ. 2020คะแนนสูงสุด ต่ำสุด
ไฟล์:Press freedom 2022.svg|ดัชนีเสรีภาพสื่อ 2022สถานการณ์ดี ร้ายแรงมาก
ไฟล์:Polity IV 2017.png|การจำแนกประเทศตามการสำรวจโพลิตี 4 ข้อมูล ค.ศ. 2017ประชาธิปไตยสมบูรณ์ อัตตาธิปไตย
|}
หลายองค์การพิมพ์เผยแพร่ดัชนีเสรีภาพตามบทนิยามต่าง ๆ และอาศัยข้อมูลต่างประเภทกัน ประกอบด้วย
เสรีภาพในโลก (Freedom in the World) ซึ่งจัดพิมพ์ทุกปีตั้งแต่ ค.ศ. 1972 โดยองค์การฟรีดอมเฮาส์ในสหรัฐ โดยให้คะแนนจากสิทธิการเมืองและเสรีภาพพลเมืองที่มาจากปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน โดยแบ่งเป็นมีเสรีภาพ มีเสรีภาพบางส่วน และไม่มีเสรีภาพ
ดัชนีเสรีภาพสื่อทั่วโลก (Worldwide Press Freedom Index) จัดพิมพ์ทุกปีตั้งแต่ ค.ศ. 2002 (ยกเว้น ค.ศ. 2011) โดยองค์การผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนในประเทศฝรั่งเศส โดยมีการประเมินประเทศต่าง ๆ แบ่งออกเป็นกลุ่มสถานการณ์ดี สถานการณ์น่าพอใจ มีปัญหาเริ่มสังเกตได้ สถานการณ์ลำบาก และสถานการณ์ร้ายแรงมาก
ดัชนีเสรีภาพในโลก (Index of Freedom in the World) เป็นดัชนีวัดเสรีภาพพลเมืองคลาสสิก ซึ่งจัดพิมพ์โดยสถาบันเฟรเซอร์ในแคนาดา สถาบันไลเบราเลสในเยอรมนี และสถาบันคาโตในสหรัฐ
โครงการข้อมูลสิทธิมนุษยชน CIRI (CIRI Human Rights Data Project) วัดสิทธิมนุษยชน สิทธิพลเมือง สิทธิสตรีและสิทธิแรงงานหลายด้าน จัดทำโดยมหาวิทยาลัยคอนเน็กติกัต ตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1994
ดัชนีประชาธิปไตย (Democracy Index) จัดพิมพ์เผยแพร่โดยอีโคโนมิสต์อินเทลลิเจนซ์ยูนิตในสหราชอาณาจักร ซึ่งจำแนกประเทศออกเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ประชาธิปไตยมีข้อบกพร่อง ระบอบผสมหรือระบอบอำนาจนิยม ดัชนีใช้ตัวชี้วัด 60 ตัวใน 5 กลุ่ม
ชุดข้อมูลโพลิตี (Polity data series) ในสหรัฐ เป็นชุดข้อมูลที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในการวิจัยทางรัฐศาสตร์ ในชุดข้อมูลมีสานิเทศรายปีเข้ารหัสเกี่ยวกับลักษณะอำนาจหน้าที่ของระบอบและการเปลี่ยนผ่านสำหรับรัฐเอกราชทุกรัฐที่มีประชากรรวมมากกว่า 500,000 คน และครอบคลุมเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1800–2006 ข้อสรุปของ โพลิตี เกี่ยวกับระดับประชาธิปไตยของรัฐอาศัยการประเมินการเลือกตั้งของรัฐนั้น ๆ เพื่อการแข่งขัน การเปิดกว้างและระดับการมีส่วนร่วม งานนี้ได้รับการสนับสนุนจากคณะทำงานเฉพาะกิจความไร้เสถียรภาพทางการเมือง (Political Instability Task Force) ซึ่งได้รับเงินอุดหนุนจากสำนักข่าวกรองกลาง (CIA) แต่ทัศนะในรายงานเป็นทัศนะของผู้เขียน ไม่ใช่ของรัฐบาลสหรัฐ
แม็กซ์เรนจ์ (MaxRange) ชุดข้อมูลนิยามระดับประชาธิปไตยและโครงสร้างเชิงสถาบัน ซึ่งวัดความรับผิดชอบทางการเมือง แม็กซ์เรนจ์นิยามค่าแก่ทุกรัฐและทุกเดือนตั้งแต่ ค.ศ. 1789 และปัจจุบันมีความเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยฮาล์มสตา ประเทศสวีเดน
เนื่องจากประชาธิปไตยเกี่ยวข้องกับสถาบันหลากหลายซึ่งวัดได้ไม่ง่ายด้วย จึงมีข้อจำกัดอยู่มากในการวัดค่าและวัดเชิงเศรษฐมิติซึ่งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นของประชาธิปไตยหรือความสัมพันธ์กับปรากฏการณ์อื่น เช่น ความเหลื่อมล้ำ ความยากจนและการศึกษา เป็นต้น เมื่อคำนึงถึงข้อจำกัดในการได้มาซึ่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่ข้อมูบในประเทศเดียวกันมีความแตกต่างกันในแง่มุมต่าง ๆ ของประชาธิปไตย นักวิชาการส่วนใหญ่ศึกษาความแตกต่างระหว่างประเทศต่าง ๆ แต่ความแปรปรวนระหว่างสถาบันประชาธิปไตยประเทศต่าง ๆ มีขนาดใหญ่มากซึ่งขัดขวางการเปรียบเทียบอย่างมีความหมายโดยใช้วิธีการทางสถิติ เนื่องจากตรงแบบประชาธิปไตยวัดรวมกันเป็นตัวแปรมหภาคโดยใช้การสังเกตครั้งเดียวสำหรับ 1 ประเทศต่อปี การศึกษาประชาธิปไตยเผชิญกับข้อจำกัดทางเศรษฐมิติ จึงทำให้การเปรียบเทียบระหว่างประเทศอาจไม่เป็นประโยชน์หรือมีความเคร่งครัดทางระเบียบวิธี ด้าน Dieter Fuchs และ Edeltraud Roller เสนอแนะว่า ในการวัดคุณภาพของประชาธิปไตยที่แท้จริง นอกจากใช้การวัดวัตถุวิสัยแล้วจะต้องใช้ "การวัดเชิงอัตวิสัยโดยอาศัยทัศนคติของพลเมือง" ด้วย ในทำนองเดียวกัน Quinton Mayne และ Brigitte Geißel ยังให้เหตุผลสนับสนุนว่าคุณภาพของประชาธิปไตยไม่ขึ้นอยู่กับสมรรถนะของสถาบันการเมืองอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความคิดโน้มเอียงและการผูกมัดของพลเมืองด้วย
== ประวัติศาสตร์ ==
=== ยุคโบราณ ===
ก่อนสมัยประวัติศาสตร์ นักมานุษยวิทยาระบุว่าพบระบอบก่อนประชาธิปไตย (proto-democracy) ในหมู่คนเก็บของป่าล่าสัตว์ ซึ่งใช้เสียงเอกฉันท์และบ่อยครั้งไม่มีการกำหนดตัวหัวหน้า ซึ่งเรียกว่าเป็นระบบชนเผ่าหรือประชาธิปไตยดึกดำบรรพ์ (primitive democracy) ระบบนี้มักมีสภาผู้อาวุโสหรือระบบที่มีผู้นำแต่ได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสหรือระบอบอื่นที่มีการร่วมมือกัน ตั้งแต่ครั้งอดีต ประชาธิปไตยและสาธารณรัฐเป็นระบอบที่พบน้อย นักทฤษฎีสาธารณรัฐนิยมเชื่อมโยงประชาธิปไตยกับขนาดเล็ก คือ ยิ่งรัฐมีขนาดใหญ่โตขึ้นมากเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่รัฐนั้นจะกลายเป็นระบบใช้อำนาจเด็ดขาด แต่รัฐขนาดเล็กก็เสี่ยงต่อการถูกพิชิตโดยรัฐอื่น
คำว่า ประชาธิปไตย ปรากฏขึ้นครั้งแรกในแนวคิดทางการเมืองและทางปรัชญาในกรีซโบราณ ปราชญ์เพลโตเปรียบเทียบประชาธิปไตยซึ่งเขาเรียกว่าเป็น "การปกครองโดยผู้ถูกปกครอง" ว่าเป็นรูปแบบทางเลือกสำหรับระบอบราชาธิปไตย คณาธิปไตย และเศรษฐยาธิปไตย ชาวนครเอเธนส์สถาปนาระบอบที่ถือกันว่าเป็นประชาธิปไตยแห่งแรกของโลกเมื่อ 508–507 ปีก่อน ค.ศ. โดยมีไคลสธีนีสเป็นผู้นำ ต่อมาเขาได้ชื่อว่า "บิดาแห่งประชาธิปไตยแบบเอเธนส์" แม้ถือว่าประชาธิปไตยแบบเอเธนส์เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยทางตรง แต่เดิมประชาธิปไตยแบบเอเธนส์มีลักษณะเด่นอยู่สองประการ คือ มีการคัดเลือกพลเมืองธรรมดาจำนวนมากเข้าสู่ระบบราชการและศาล และสภานิติบัญญัติซึ่งประกอบด้วยพลเมืองทุกคน พลเมืองทุกคนมีสิทธิอภิปรายและลงมติในสภาซึ่งเป็นที่ออกกฎหมายของนครรัฐ ทว่า ความเป็นพลเมืองเอเธนส์นั้นรวมเฉพาะชาย ไม่รวมผู้หญิง ทาส และคนต่างด้าว (μετοίκος, metoikos) มีเพียงเหล่าแม่ทัพและเจ้าพนักงานเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มาจากการเลือกตั้ง
ด้วยเหตุนี้ ประชาธิปไตยแบบเอเธนส์จึงเป็นประชาธิปไตยทางตรงอย่างที่สุด ในความหมายที่พลเมืองเป็นผู้วินิจฉัย และมีส่วนร่วมกับกระบวนการทางการเมืองทุกระดับ ตั้งแต่สมัชชา สภา 500 และศาล พลเมืองจำนวนมากยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจการเมือง แม้ว่ารัฐธรรมนูญเอเธนส์ไม่ได้คุ้มครองสิทธิของพลเมืองในความหมายสมัยใหม่ แต่ชาวเอเธนส์มีเสรีภาพอาศัยอยู่ในนครโดยไม่ขึ้นกับอำนาจภายนอกและไม่ขึ้นกับการปกครองของบุคคลอื่น
การออกเสียงนับคะแนน (range voting) ปรากฏในนครรัฐสปาร์ตาตั้งแต่ 700 ปีก่อน ค.ศ. โดยมีสมัชชา Apella ซึ่งจัดขึ้นเดือนละครั้ง ที่สมาชิกเป็นพลเมืองชายทุกคนที่มีอายุเกิน 30 ปี โดยมีการออกเสียงนับคะแนนและตะโกน ซึ่งจะตัดสินจากความดัง สปาร์ตาใช้ระบบนี้เพราะมีความเรียบง่าย และป้องกันการออกเสียงแบบมีอคติ การซื้อเสียงหรือการโกงซึ่งพบได้ดาษดื่นในการเลือกตั้งประชาธิปไตยสมัยแรก ๆ
อ้างว่าเกาะอาร์วัด (ปัจจุบันคือประเทศซีเรีย) ซึ่งชาวฟินิเซียก่อตั้งขึ้นเมื่อสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล เป็นตัวอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยที่พบในโลก ซึ่งที่นั่น ประชาชนถืออำนาจอธิปไตยของตน และอีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าเป็นไปได้ คือ ประชาธิปไตยยุคเริ่มแรกอาจมาจากนครรัฐสุเมเรียน ฝ่ายเวสาลี ซึ่งปัจจุบันอยู่ในรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย มักถูกมองว่าเป็นตัวอย่างแรก ๆ ของระบบสาธารณรัฐในโลก รูปแบบประชาธิปไตยยังปรากฏในระบบชนเผ่าต่าง ๆ เช่น สหพันธ์ไอระควอย (Iroquois Confederacy) อย่างไรก็ตาม เฉพาะสมาชิกเผ่าเพศชายสามารถเป็นผู้นำได้ มีเพียงสตรีที่อาวุโสที่สุดในชนเผ่าเดียวกันเท่านั้นที่สามารถเลือกและถอดถอนหัวหน้าชนเผ่าได้ซึ่งเป็นการกีดกันประชากรจำนวนมาก รายละเอียดที่น่าสนใจกล่าวว่าการตัดสินใจแต่ละครั้งใช้ความคิดเห็นเอกฉันท์ของเหล่าผู้นำ มิใช่การสนับสนุนของเสียงส่วนใหญ่จากการลงคะแนนเสียงของสมาชิกชนเผ่า ในสังคมระดับกลุ่ม อย่างเช่น บุชแมน ซึ่งแต่ละกลุ่มมักประกอบด้วย 20-50 คน ไม่ค่อยมีหัวหน้าเท่าใดนักและการตัดสินใจต่าง ๆ อาศัยความเห็นชอบจากคนส่วนใหญ่มากกว่า ในเมลานีเซีย เดิมชุมชนหมู่บ้านกสิกรรมมีความเท่าเทียมกัน และมีการปกครองแบบเอกาธิปไตยที่แข็งแรงจำนวนน้อย แม้อาจมีคนใดคนหนึ่งมีอิทธิพลเหนือกว่าผู้อื่นซึ่งอิทธิพลดังกล่าวมีผลต่อการแสดงทักษะความเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่อง และความประสงค์ของชุมชน ทุกคนถูกคาดหวังให้แบ่งปันหน้าที่ในชุมชน และให้สิทธิร่วมการตัดสินใจของชุมชน อย่างไรก็ตาม แรงกดดันอย่างหนักของสังคมกระตุ้นให้เกิดความลงรอยกันและลดการตัดสินใจเพียงลำพัง
แม้สาธารณรัฐโรมันมีส่วนส่งเสริมประชาธิปไตยในหลายด้าน แต่คนโรมันเพียงส่วนน้อยเท่านั้นเป็นพลเมืองที่มีเสียงในการเลือกตั้งผู้แทน เสียงของผู้ทรงอำนาจมีน้ำหนักมากกว่าผ่านระบบการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบ ข้าราชการระดับสูง รวมทั้งสมาชิกวุฒิสภา มาจากตระกูลมั่งมีและชนชั้นสูงเท่านั้น รูปแบบการปกครองของโรมันเป็นแรงบันดาลใจแก่นักคิดการเมืองหลายคนในช่วงหลายศตวรรษ และประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนสมัยใหม่มีความคล้ายคลึงกับแบบของโรมันมากกว่าแบบของกรีก คือ เป็นรัฐที่ประชาชนและผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ถืออำนาจสูงสุด และมีผู้นำจากการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง
=== ยุคกลาง ===
แม้ว่าในทวีปยุโรปส่วนใหญ่ในยุคกลางอยู่ภายใต้การปกครองของนักบวชหรือเจ้าขุนมูลนาย แต่ยังมีระบบการเลือกตั้งหรือสมัชชาอยู่หลายระบบ แม้ว่าบ่อยครั้งประชาชนที่มีส่วนร่วมได้จะคิดเป็นส่วนน้อยเช่นเดียวกับยุคโบราณ ในสแกนดิเนเวีย มีสภาที่เรียกว่า ธิง (thing) ซึ่งประกอบด้วยเสรีชน และมีเจ้าพนักงานกฎหมาย (lawspeaker) เป็นหัวหน้า ธิงเป็นสภาปรึกษาหารือซึ่งทำหน้าที่ระงับปัญหาการเมือง และปรากฏรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งอัลธิง (Althing) ในไอซ์แลนด์ และเลอธิง (Løgting) ในหมู่เกาะแฟโร เวเช (veche) ในยุโรปตะวันออก เป็นสภาคล้ายกับธิงแบบสแกนดิเนเวีย ในคริสตจักรโรมันคาทอลิก พระสันตะปาปามาจากการประชุมเลือกของคณะพระคาร์ดินัลตั้งแต่ ค.ศ. 1059
รัฐสภาที่มีบันทึกครั้งแรกในทวีปยุโรป ได้แก่ คอร์เตสเลออน ค.ศ. 1198 ซึ่งมีอำนาจในการกำหนดเก็บภาษีอากร การต่างประเทศและนิติบัญญัติ แม้ว่าสภาพของบทบาทดังกล่าวยังเป็นหัวข้อถกเถียงกันอยู่ สาธารณรัฐรากูซา ซึ่งก่อตั้งใน ค.ศ. 1358 ให้พลเมืองอภิชนชายเท่านั้นมีผู้แทนและสิทธิออกเสียงลงคะแนน นครรัฐและหน่วยการเมืองอิตาลีหลายแห่งมีระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ ตัวอย่างเช่น สาธารณรัฐฟลอเรนซ์ ซึ่งก่อตั้งใน ค.ศ. 1115 มีซินญอเรีย (Signoria, รัฐบาล) ซึ่งสมาชิกมาจากการจับสลาก ในอาณาจักรเสรีชนฟรีเซีย (Friese Freedom) สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 10–15 ซึ่งเป็นสังคมที่มิใช่เจ้าขุนมูลนายที่โดดเด่นสังคมหนึ่ง สิทธิออกเสียงเลือกตั้งในปัญหาท้องถิ่นและข้าราชการของเคาน์ตีขึ้นอยู่กับขนาดที่ดิน ในจักรวรรดิมาลีแบ่งออกเป็นเผ่าปกครองต่าง ๆ ซึ่งมีผู้แทนในสมัชชาใหญ่ แต่อาจมองว่ารัฐธรรมนูญดังกล่าวคล้ายคลึงกับราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญมากกว่าสาธารณรัฐ
ฝ่ายรัฐสภาอังกฤษมีรากฐานการจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จากมหากฎบัตร (ค.ศ. 1215) ซึ่งระบุชัดเจนคุ้มครองสิทธิบางประการของผู้ใต้บังคับพระมหากษัตริย์ และโดยนัยยังสนับสนุนสิทธิที่กลายมาเป็นหมายสั่งให้ส่งตัวผู้ถูกคุมขังมาศาลแบบอังกฤษ ซึ่งพิทักษ์เสรีภาพของปัจเจกบุคคลต่อการถูกจำคุกอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายและสิทธิยื่นอุทธรณ์ รัฐสภาซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้งครั้งแรก คือ รัฐสภาของเดอ มงฟอร์ต ใน ค.ศ. 1265 การให้สิทธิการร้องทุกข์นับเป็นหลักฐานแรก ๆ ที่รัฐสภาใช้เป็นเวทีสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชนสามัญ แต่ยังเกิดปัญหากับรูปแบบการปกครองดังกล่าว ที่เรียกว่า "เขตเลือกตั้งเน่า" (rotten boroughs) โดยอำนาจเรียกประชุมสภานั้นยังขึ้นอยู่กับพระราชอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์
การศึกษาเชื่อมโยงการถือกำเนิดของสถาบันรัฐสภาในทวีปยุโรปในยุคกลางกับการรวมกันเป็นกลุ่มของเมืองและการเกิดชนชั้นใหม่ ๆ เช่น ช่างศิลป์ ตลอดจนการมีอภิชนชนชั้นขุนนางและศาสนา นักวิชาการยังเชื่อมโยงการถือกำเนิดของการปกครองแบบมีผู้แทนกับการแตกแยกทางการเมืองโดยสัมพัทธ์ของทวีปยุโรป นักรัฐศาสตร์ เดวิด สตาซาเวจ (David Stasavage) เชื่อมโยงการแตกเป็นส่วนของทวีปยุโรป และการกลายเป็นประชาธิปไตยกับเหตุการณ์การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันที่ถูกกลุ่มชนเผ่าเยอรมันกลุ่มเล็ก ๆ รุกราน จนนำไปสู่การตั้งหน่วยการเมืองขนาดเล็กซึ่งผู้ปกครองมีอำนาจค่อนข้างน้อยและจำต้องอาศัยความยินยอมของผู้ถูกปกครองเพื่อปัดป้องภัยคุกคามจากภายนอก
ในโปแลนด์ ประชาธิปไตยขุนนางมีลักษณะที่กิจกรรมของชนชั้นขุนนางกลางเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องการเพิ่มอำนาจของพวกตนเมื่อเทียบกับคนมั่งมี คนมั่งมียังครอบงำตำแหน่งสำคัญสงสุดในรัฐ (ทั้งทางโลกและศาสนา) และอยู่ในสภากษัตริย์ซึ่งกลายเป็นวุฒิสภาในเวลาต่อมา ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของชนชั้นขุนนางกลางมีผลกระทบต่อการสถาปนาสถาบันของแผ่นดิน เซย์มิค (sejmik, สมัชชาท้องถิ่น) ซึ่งต่อมาได้รับสิทธิเพิ่มขึน ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 เซย์มิคได้รับอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสถาบันอำนาจท้องถิ่นที่มีความสำคัญสูงสุด ใน ค.ศ. 1454 พระมหากษัตริย์พระราชอำนาจอำนาจเก็บภาษีและสั่งระดมพลแก่เซย์มิค และพระราชทานคำสัตย์ว่าจะไม่ออกกฎหมายใหม่ถ้าปราศจากความยินยอมของสภา
=== สมัยใหม่ ===
==== สมัยใหม่ตอนต้น ====
ในประเทศอังกฤษคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีการรื้อฟื้นความสนใจในมหากฎบัตร รัฐสภาอังกฤษผ่านคำร้องขอสิทธิฟ้องร้องรัฐ (Petition of Right) ใน ค.ศ. 1628 ซึ่งสถาปนาเสรีภาพบางประการแก่คนในบังคับ สงครามกลางเมืองอังกฤษ (ค.ศ. 1642–1651) สู้รบกันระหว่างฝ่ายพระมหากษัตริย์และฝ่ายรัฐสภาที่เป็นคณาธิปไตย ในช่วงนี้เองที่ความคิดพรรคการเมืองก่อตัวขึ้นจากกลุ่มต่าง ๆ ที่ถกเถียงกันเรื่องสิทธิการมีผู้แทนทางการเมืองใน ค.ศ. 1647 ในเวลาต่อมา ยุครัฐในอารักขา (ค.ศ. 1653–59) และการฟื้นฟูราชวงศ์อังกฤษ (ค.ศ. 1660) ฟื้นฟูการปกครองแบบที่เป็นอัตตาธิปไตยมากขึ้น แม้ว่ารัฐสภาผ่านพระราชบัญญัติหมายสั่งให้ส่งตัวผู้ถูกคุมขังมาศาลใน ค.ศ. 1679 ซึ่งเสริมสร้างขนบธรรมเนียมที่ห้ามการกักขังบุคคลโดยไม่มีสาเหตุหรือหลักฐานเพียงพอ หลังการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ ค.ศ. 1688 มีการตราบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง ค.ศ. 1689 ซึ่งประมวลสิทธิและเสรีภาพ และยังมีผลใช้บังคับอยู่จนปัจจุบัน บัญญัติฯ มีข้อกำหนดให้จัดการเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ กฎเสรีภาพในการพูดในรัฐสภา และจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ เพื่อประกันว่าสมบูรณาญาสิทธิของพระมหากษัตริย์จะไม่ครอบงำดุจชาติส่วนใหญ่ในทวีปยุโรปเวลานั้น นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ดักลาส นอร์ธ (Douglass North) และแบร์รี ไวน์แกสต์ (Barry Weingast) ระบุลักษณะของสถาบันที่ตั้งขึ้นในการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ว่าประสบความสำเร็จในการจำกัดอำนาจของรัฐบาลและประกันการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน
เหตุที่กล่าวมาข้างต้นล้วนกระตุ้นการเติบโตของปรัชญาการเมืองในหมู่เกาะบริติช ทอมัส ฮอบส์เป็นักปรัชญาคนแรกที่สาธยายทฤษฎีสัญญาประชาคมอย่างละเอียด เขาเขียนในหนังสือ เลวีอาธาน (Leviathan, ค.ศ. 1651) โดยวางทฤษฎีว่าปัจเจกบุคคลที่อาศัยอยู่ในสภาพธรรมชาติใช้ชีวิตแบบ "โดดเดี่ยว ข้นแค้น รุงรัง ป่าเถื่อนและสั้น" และก่อสงครามกับผู้อื่นไม่หยุดหย่อน เพื่อป้องกันการเกิดสภาพธรรมชาติแบบอนาธิปไตย ฮอบส์จึงให้เหตุผลว่าบุคคลควรยกสิทธิของพวกตนให้แก่รัฐบาลที่เข้มแข็งและเป็นเผด็จการ ต่อมา นักปรัชญาและแพทย์ จอห์น ล็อก ตีความทฤษฎีสัญญาประชาคมอีกอย่างหนึ่ง โดยเขียนใน สองศาสตรนิพนธ์การปกครอง (Two Treatises of Government, ค.ศ. 1689) โดยมองว่าปัจเจกบุคคลทุกคนมีสิทธิที่ไม่อาจโอนให้กันได้ในชีวิต เสรีภาพและทรัพย์สิน ล็อกระบุว่าปัจเจกบุคคลมารวมกันตั้งรัฐโดยสมัครใจเพื่อจุดประสงค์ในการพิทักษ์สิทธิของพวกตน ล็อกมองว่าสิทธิในทรัพย์สินมีความสำคัญเป็นพิเศษ และถือเป็นความมุ่งหมายแรกของรัฐบาลทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ล็อกยืนยันว่ารัฐบาลมีความชอบธรรมต่อเมื่อได้รับความยินยอมของผู้ใต้ปกครอง และพลเมืองย่อมมีสิทธิปฏิวัติต่อรัฐบาลที่ละเมิดผลประโยชน์ของพลเมืองหรือกลายเป็นทรราช งานของล็อกถือว่าเป็นเอกสารก่อตั้งความคิดเสรีนิยมและมีอิทธิพลลึกซึ้งต่อผู้นำการปฏิวัติอเมริกาและการปฏิวัติฝรั่งเศส กรอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเสรีนิยมเป็นรูปแบบประชาธิปไตยส่วนใหญ่ในโลก
ในทวีปอเมริกาเหนือ การปกครองแบบมีผู้แทนเริ่มต้นในเจมส์ทาวน์ อาณานิคมเวอร์จิเนีย ด้วยการเลือกตั้งสภาพลเมืองใน ค.ศ. 1619 พวกพิวริตันชาวอังกฤษที่เข้าเมืองตั้งแต่ ค.ศ. 1620 เป็นต้นไป ตั้งอาณานิคมในนิวอิงแลนด์ซึ่งการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นแบบประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าสมัชชาท้องถิ่นเหล่านี้มีอำนาจที่ได้รับโอนบ้างก็ตาม แต่อำนาจสูงสุดยังเป็นของพระมหากษัตริย์และรัฐสภาอังกฤษ พวกพิวริตัน แบปติสต์และเควกเกอร์ซึ่งตั้งอาณานิคมเหล่านี้ใช้องค์การประชาธิปไตยในการบริหารราชการแผ่นดินของชุมชนในกิจการทางโลกด้วย
==== คริสต์ศตวรรษที่ 18–19 ====
รัฐสภาบริเตนใหญ่ชุดแรกตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1707 หลังการรวมราชอาณาจักรอังกฤษและราชอาณาจักรสกอตแลนด์ พระมหากษัตริย์บริเตนใหญ่ถูกจำกัดพระราชอำนาจจนเหลือเพียงประมุขในพระนามมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่รัฐสภายังคงมาจากการเลือกตั้งของชายที่ถือครองทรัพย์สินเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 3 ของประชากรใน ค.ศ. 1780 ระหว่างยุคเสรีภาพในสวีเดน (ค.ศ. 1718–1772) มีการขยายสิทธิพลเมืองและอำนาจเปลี่ยนจากพระมหากษัตริย์มาเป็นรัฐสภา เกษตรกรผู้เสียภาษีมีผู้แทนในรัฐสภาแม้จะยังมีอิทธิพลน้อย แต่สามัญชนที่ไม่มีทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีไม่มีสิทธิเลือกตั้ง
การสถาปนาสาธารณรัฐคอร์ซิกาช่วงสั้น ๆ ใน ค.ศ. 1755 เป็นชาติแรกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่รับรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยที่ชายหญิงอายุเกิน 25 ปีสามารถออกเสียงเลือกตั้งได้ รัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นฉบับแรกที่อาศัยหลักการของยุคภูมิธรรม สำหรับสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของหญิงนั้นยังไม่มีในประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่ของโลกจนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 20
ในยุคอาณานิคมอเมริกาก่อน ค.ศ. 1776 และบางช่วงหลังจากนั้น บ่อยครั้งให้ชายเฉพาะที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินเท่านั้นที่สามารถออกเสียงเลือกตั้ง ส่วนชาวแอฟริกันที่ถูกจับเป็นทาส คนผิวดำที่เป็นไทและหญิงส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งนี้ แตกต่างกันไปตามแต่ละรัฐ เริ่มจากรัฐนิวคอนเน็กติกัต ซึ่งต่อมาเรียก เวอร์มอนต์ หลังประกาศเอกราชจากบริเตนใหญ่ใน ค.ศ. 1777 ก็ใช้รัฐธรรมนูญที่ให้พลเมืองและสิทธิเลือกตั้งแก่ชายทั้งที่มีและไม่มีทรัพย์สิน และเลิกทาสด้วย การปฏิวัติอเมริกานำไปสู่การใช้รัฐธรรมนูญสหรัฐใน ค.ศ. 1787 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรที่ยังมีผลใช้บังคับที่มีอายุมากที่สุดในปัจจุบัน รัฐธรรมนูญดังกล่าวกำหนดการปกครองแบบมีผู้แทนและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพพลเมืองแก่ประชากรบางส่วน แต่มิได้เลิกทาสหรือขยายสิทธิเลือกตั้งในสหรัฐ แต่ปล่อยให้ปัญหาดังกล่าวขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐแทน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกของประเทศใน ค.ศ. 1789 มีประชากรร้อยละ 6 ที่มีสิทธิเลือกตั้ง รัฐบัญญัติการแปลงสัญชาติ ค.ศ. 1790 จำกัดความเป็นพลเมืองแก่คนผิวขาวเท่านั้น รัฐบัญญัติสิทธิ ค.ศ. 1791 จำกัดอำนาจของรัฐบาลเพื่อคุ้มครองเสรีภาพส่วนบุคคล แต่มีผลกระทบน้อยต่อคำวินิจฉัยของศาลแม้หลังให้สัตยาบันแล้ว 130 ปี
ใน ค.ศ. 1789 ฝรั่งเศสหลังการปฏิวัติรับปฏิญญาสิทธิมนุษยชนและพลเมือง และสภากงว็องซียงแห่งชาติมาจากการเลือกตั้งของชายทุกคนใน ค.ศ. 1792 แม้จะมีอายุสั้น ๆ รัฐธรรมนูญโปแลนด์-ลิทัวเนีย 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1791 มุ่งใช้ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ริเริ่มความเสมอภาคทางการเมืองระหว่างชาวเมืองและชนชั้นขุนนาง และให้เกษตรกรอยู่ภายใต้การคุ้มครองของรัฐบาล ซึ่งลดการละเมิดในระบบข้าติดที่ดิน (serfdom) และถึงแม้จะใช้บังคับได้เพียง 19 เดือนก่อนถูกยกเลิก แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้เองทำให้ชาวโปแลนด์มีความหวังในการฟื้นฟูเอกราชของชาติในอีกศตวรรษให้หลัง
อย่างไรก็ดี ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีประชาธิปไตยทั้งในทางทฤษฎี ปฏิบัติหรือแม้แต่คำว่า "ประชาธิปไตย" เองอยู่น้อยในโลกแอตแลนติกเหนือ ในช่วงนี้ ทาสยังเป็นสถาบันทางเศรษฐกิจและสังคมในหลายพื้นที่ของโลก มีการสนับสนุนการเคลื่อนย้ายคนผิวดำจากสหรัฐไปที่อื่นเพื่อให้มีเสรีภาพและความเสมอภาคมากขึ้น ในคริสต์ทศวรรษ 1820 ผู้สนับสนุนการเลิกทาสตั้งนิคมไลบีเรีย ต่อมาสหราชอาณาจักรออกพระราชบัญญัติการค้าทาส ค.ศ. 1807 ซึ่งห้ามการค้าทาสทั้งในจักรวรรดิบริติชและประเทศอื่นที่บริเตนเจรจาด้วย ใน ค.ศ. 1833 สหราชอาณาจักรผ่านพระราชบัญญัติเลิกทาส
สิทธิออกเสียงเลือกตั้งค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในสหรัฐเป็นลำดับ เริ่มจากในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1828 ที่ยกเลิกข้อกำหนดห้ามชายผิวขาวที่ไม่ได้ถือครองทรัพย์สินเลือกตั้งในรัฐส่วนใหญ่ ในยุคบูรณะหลังสงครามกลางเมืองอเมริกา มีการผ่านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 3 ครั้ง ประกอบด้วยครั้งที่ 13 (ค.ศ. 1865) เลิกทาส; ครั้งที่ 14 (ค.ศ. 1869) ให้คนผิวดำเป็นพลเมือง; และครั้งที่ 15 (ค.ศ. 1870) ซึ่งให้ชายผิวดำมีสิทธิเลือกตั้งในนาม ส่วนทางด้านสหราชอาณาจักร สิทธิออกเสียงเลือกตั้งมีการขยายขึ้นผ่านการปฏิรูปหลายครั้งเริ่มตั้งแต่พระราชบัญญัติปฏิรูป ค.ศ. 1832 และดำเนินต่อมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทั้งนี้ สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปของชายมีอยู่ในฝรั่งเศสในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1848 และในปีเดียวกัน เกิดการปฏิวัติหลายครั้งทั่วยุโรปเมื่อผู้ปกครองเผชิญกับข้อเรียกร้องรัฐธรรมนูญเสรีนิยมและการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นของประชาชน
ใน ค.ศ. 1893 อาณานิคมปกครองตนเองนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่สองในโลกที่ให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปที่ยังมีผลอยู่ในปัจจุบันแก่หญิง
==== คริสต์ศตวรรษที่ 20–21 ====
ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมมาเป็น "คลื่นประชาธิปไตย" หลายระลอก ซึ่งเป็นผลจากสงคราม การปฏิวัติ การปลดปล่อยอาณานิคม และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและศาสนา ขณะเดียวกันใช่ว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแล้วจะกลับมาเป็นเผด็จการไม่ได้ เพราะมีคลื่น "การถดถอยของประชาธิปไตย" เกิดขึ้นสลับกันด้วย ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในคริสต์ทศวรรษ 1920 และ 1930, คริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 และในสมัยปัจจุบัน คือ คริสต์ทศวรรษ 2010
หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติใน ค.ศ. 1918 และจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและจักรวรรดิออตโตมันล่มสลาย ทำให้เกิดรัฐชาติใหม่จำนวนมากในทวีปยุโรปซึ่งส่วนใหญ่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในนาม จนสุดท้ายมีประเทศประชาธิปไตย 29 ประเทศในโลก อย่างไรก็ดี จุดพลิกผันเริ่มต้นใน ค.ศ. 1922 เมื่อเบนิโต มุสโสลินี ผู้นำลัทธิฟาสซิสต์ เถลิงอำนาจในประเทศอิตาลี ต่อมากระแสเผด็จการคอมมิวนิสต์ (เริ่มต้นจากสหภาพโซเวียตหลังการปฏิวัติ ค.ศ. 1917 ในอดีตจักรวรรดิรัสเซีย) ฟาสซิสต์และแสนยนิยมซึ่งเน้นการขยายอำนาจปฏิเสธประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ แม้ว่าในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ระบอบประชาธิปไตยเจริญขึ้นโดยมีการขยายสิทธิเลือกตั้งของสตรี แต่ผลของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ค.ศ. 1929 ทำให้ความเจริญดังกล่าวหยุดชะงัก ความยากลำบากทางเศรษฐกิจทำให้ประชาชนขาดส่วนร่วมทางการเมือง และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทำให้หลายประเทศยุโรป ละตินอเมริกา และเอเชียหันไปหาการปกครองแบบผู้นำที่เด็ดขาดหรือเป็นเผด็จการ เช่น พรรคนาซีเถลิงอำนาจในสาธารณรัฐไวมาร์ซึ่งขาดเสถียรภาพทางการเมืองจากการปะทะกันบนท้องถนนระหว่างกลุ่มการเมืองหัวรุนแรงต่าง ๆ และได้รับผลกระทบจากค่าปฏิกรรมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจำนวนมหาศาล, สเปนและโปรตุเกส, รัฐเผด็จการยังเจริญขึ้นในแถบคาบสมุทรบอลติก คาบสมุทรบอลข่าน ประเทศบราซิล คิวบา สาธารณรัฐจีนและญี่ปุ่น เป็นต้น นิวฟันแลนด์เป็นประเทศเดียวในโลกที่ยอมสละประชาธิปไตยโดยสมัครใจ ใน ค.ศ. 1942 มีประเทศประชาธิปไตยเพียง 12 ประเทศในโลก
การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สองทำให้คลื่นประชาธิปไตยกลับมาอีกครั้ง ประชาธิปไตยสถาปนาอย่างมั่นคงในยุโรปตะวันตก (แม้ว่าสเปนและโปรตุเกสยังเป็นฟาสซิสต์หรือเผด็จการทหาร) หลังเกิดคลื่นการปลดปล่อยอาณานิคม อิสราเอลเป็นประเทศประชาธิปไตยประเทศแรกในตะวันออกกลาง และอินเดียเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีประชากรมากที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบัน ประเทศที่เคยเป็นอดีตอาณานิคมของจักรวรรดิบริติชมักใช้ระบบเวสต์มินสเตอร์ ทั้งนี้ แม้ว่าประเทศยุโรปตะวันออกจะตกเป็นรัฐบริวารของสหภาพโซเวียต และปกครองในรูปแบบรัฐคอมมิวนิสต์ เช่นเดียวกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีเหนือ เวียดนามเหนือ และคิวบา เป็นต้น
แม้ว่าคลื่นประชาธิปไตยลูกที่สองจะค่อนข้างช้า แต่คลื่นประชาธิปไตยลูกที่สามเริ่มตั้งแต่การปฏิวัติคาร์เนชันในโปรตุเกสใน ค.ศ. 1974 และการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของสเปนในเวลาไล่เลี่ยกัน และเป็นช่วงเวลาที่เพิ่มจำนวนประเทศประชาธิปไตยมากและเร็วที่สุด ประเทศที่กลายเป็นประชาธิปไตยตามมา ได้แก่ ละตินอเมริกาในคริสต์ทศวรรษ 1980 ประเทศเอเชียแปซิฟิก ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้และไต้หวันระหว่าง ค.ศ. 1986 ถึง 1988 ยุโรปตะวันออกหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และแอฟริกาใต้สะฮาราเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1989 ในละตินอเมริกา คลื่นลูกที่สามทำให้ 20 ประเทศกลายเป็นประชาธิปไตย ความพยายามเปลี่ยนแปลงสู่ประชาธิปไตยยังเกิดขึ้นต่อมา เช่น การปฏิวัติอินโดนีเซีย ค.ศ. 1998, การปฏิวัติรถดันดินในยูโกสลาเวีย, การปฏิวัติดอกกุหลาบในประเทศจอร์เจีย, การปฏิวัติส้มในประเทศยูเครน, การปฏิวัติซีดาร์ในประเทศเลบานอน, การปฏิวัติทิวลิปในประเทศคีร์กีซสถาน, และการปฏิวัติดอกมะลิในประเทศตูนิเซีย
ความแพร่หลายของประชาธิปไตยเสรีนิยมทำให้ฟรานซิส ฟุกุยามะเขียนเรียงความใน ค.ศ. 1992 ระบุว่าประชาธิปไตยเสรีนิยมและเศรษฐกิจแบบตลาดจะเป็นจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ ใน ค.ศ. 2007 สหประชาชาติกำหนดให้วันที่ 15 กันยายนเป็นวันประชาธิปไตยสากล ในปีเดียวกัน ฟรีดอมเฮาส์ให้ข้อมูลว่าทั่วโลกมีประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบมีการเลือกตั้งจำนวน 123 ประเทศ จากข้อมูลของ เวิลด์ฟอรัมออนดีมอคระซี ระบุว่าใน ค.ศ. 2013 โลกมีประชาธิปไตยแบบมีการเลือกตั้ง 120 จาก 192 ประเทศ ซึ่งคิดเป็นประชากรร้อยละ 58.2 ของโลก ขณะเดียวกันประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมที่เคารพสิทธิมนุษยชนและยึดหลักนิติธรรมมีอยู่ 85 ประเทศ และคิดเป็นร้อยละ 38 ของประชากรโลก ประเทศประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งส่วนใหญ่ยังกำหนดอายุเลือกตั้งขั้นต่ำที่ 18 ปี แม้ว่ามีความพยายามลดอายุดังกล่าวในหลายประเทศ เช่น หลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้ลดอายุขั้นต่ำเหลือ 16 ปี
ข้อมูลจากแม็กซ์เรนจ์ระบุว่าแม้จำนวนรัฐประชาธิปไตยเพิ่มขึ้นหลัง ค.ศ. 2006 แต่สัดส่วนของประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งที่อ่อนแอก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วย นับเป็นปัจจัยสาเหตุสำคัญที่สุดเบื้องหลังประชาธิปไตยที่เปราะบาง ข้อมูลของฟรีดอมเฮาส์ใน ค.ศ. 2016 พบว่า มีประเทศที่สิทธิการเมืองและเสรีภาพพลเมืองลดลงมากกว่าประเทศที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกติดต่อกันทุกปีนับแต่ ค.ศ. 2005 เมื่อกลุ่มการเมืองประชานิยมและชาตินิยมเถลิงอำนาจในหลายพื้นที่ของโลก ตั้งแต่ประเทศโปแลนด์ถึงฟิลิปปินส์ ปรากฏการณ์อาหรับสปริงในช่วงแรกกลับลงเอยด้วยการกำเนิดอิสลามหัวรุนแรง (Islamic extremism) ลัทธิอำนาจนิยมและสมบูรณาญาสิทธิราชย์มากขึ้น จนถูกเรียกว่าเป็น อาหรับวินเทอร์ นักวิชาการระบุว่าสาเหตุของการเสื่อมถอยของประชาธิปไตยในคริสต์ศตวรรษที่ 21 มีเหตุปัจจัยจากความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหลังวิกฤตการณ์การเงิน ค.ศ. 2007–2008 การนิยมตัวบุคคลที่เด็ดขาด การรับมือต่อการระบาดทั่วของโควิด-19 การแทรกแซงสื่อและภาคประชาสังคมของรัฐบาล การแตกแยกทางการเมืองและการรณรงค์ข่าวปลอมจากต่างประเทศ คตินิยมเชื้อชาติและการต่อต้านคนเข้าเมือง อำนาจของฝ่ายบริหารที่มากเกิน อำนาจของฝ่ายค้านที่ลดลง และการยอมรับรูปแบบการปกครองและเศรษฐกิจของจีน ในประเทศประชาธิปไตยตะวันตก กลุ่มอนุรักษนิยมทางวัฒนธรรมและทัศนคติทางเศรษฐกิจฝ่ายซ้ายเป็นตัวชี้วัดที่เข้มที่สุดในการสนับสนุนการปกครองแบบเผด็จการ
== รูปแบบ ==
=== ประเภทพื้นฐาน ===
ประชาธิปไตยมีอยู่หลายรูปแบบทั้งในทางทฤษฎีและการปฏิบัติ ประชาธิปไตยรูปแบบต่าง ๆ มีการให้ประชาชนมีผู้แทนทางการเมืองและเสรีภาพของพลเมืองในระดับที่ไม่เท่ากัน อย่างไรก็ดี ถ้าประชาธิปไตยในประเทศใดไม่มีโครงสร้างเพื่อยับยั้งรัฐบาลมิให้กีดกันประชาชนจากกระบวนการนิติบัญญัติ หรือป้องกันมิให้อำนาจหนึ่งอำนาจใดในอำนาจทั้งสามของรัฐบาลเปลี่ยนแปลงการแยกใช้อำนาจเพื่อให้ฝ่ายตนได้ประโยชน์แล้ว ฝ่ายนั้นก็จะสะสมอำนาจมากเกินไปจนทำลายประชาธิปไตยได้ในที่สุด
ควรทราบว่าการจำแนกประชาธิปไตยออกเป็นประเภทต่าง ๆ นั้นมิได้หมายความว่าหนึ่งประเทศจะต้องใช้ระบบเดียว ดังที่จะพบว่าในระบบการปกครองของประเทศหนึ่งอาจจับลักษณะของหลาย ๆ แนวคิดมาอยู่ร่วมกันก็ได้
==== ประชาธิปไตยทางตรง ====
ประชาธิปไตยทางตรงเป็นระบบการเมืองที่พลเมืองมีส่วนร่วมในกระบวนการวินิจฉัยสั่งการด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยคนกลางหรือผู้แทน ระบบจับสลากเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นลักษณะเฉพาะของประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ ประชาธิปไตยทางตรงให้ประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีอำนาจดังต่อไปนี้
แม้ในประเทศที่ใช้ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนสมัยใหม่ ยังมีการคงรูปแบบประชาธิปไตยทางตรงอยู่บ้าง เช่น การลงประชามติ การริเริ่มออกกฎหมายของพลเมืองและการเลือกตั้งถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้ง (recall election) ซึ่งเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยทางตรงแบบหนึ่ง แต่ผู้สนับสนุนประชาธิปไตยทางตรงบางส่วนสนับสนุนสมัชชาท้องถิ่นที่มีการอภิปรายกันแบบซึ่งหน้า ประชาธิปไตยทางตรงเป็นระบบการปกครองที่มีอยู่ในบางรัฐของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ คือ รัฐอัพเพินท์เซลล์อินเนอร์โรเดินและรัฐกลารุส, เทศบาลปกครองตนเองซาปาติสตากบฏในประเทศเม็กซิโก ชุมชนที่ถือฝ่าย CIPO-RFM ในประเทศเม็กซิโก สภานคร FEJUVE ในประเทศโบลิเวีย และรัฐโรยาวาของเคิร์ด
==== ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน ====
ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนจะจัดให้มีการเลือกตั้งข้าราชการการเมืองเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนประชาชนที่เลือกเข้าไป ถ้าประมุขแห่งรัฐมาจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยด้วย ประเทศนั้นจะเรียก สาธารณรัฐประชาธิปไตย กลไกที่ใช้กันมากที่สุดได้แก่การเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงข้างมากหรือคะแนนเสียงที่เหนือกว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่น ประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ใช้ระบบมีผู้แทน หลังการเลือกตั้ง แนวคิดการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติมีความสำคัญต่อรัฐประชาธิปไตยซึ่งสะท้อนถึงเสถียรภาพของรัฐนั้น ๆ
ผู้แทนอาจได้รับเลือกตั้งหรือเป็นผู้แทนการทูตโดยเขตใดเขตหนึ่ง (หรือเขตการเลือกตั้งหนึ่ง ๆ) หรือเป็นผู้แทนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดผ่านระบบสัดส่วน และบางประเทศใช้ระบบการเลือกตั้ง ลักษณะของประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนคือแม้ผู้แทนได้รับเลือกตั้งโดยประชาชนเพื่อทำหน้าที่ในผลประโยชน์ของประชาชน การวินิจฉัยสั่งการส่วนใหญ่ใช้การถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ ยกเว้นบางเรื่องที่ละเอียดอ่อนจะใช้คะแนนเสียงข้างมากพิเศษหรือมติเอกฉันท์ เช่น ในเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
ผู้แทนประชาชนดังกล่าวจะไปประชุมกันในสภานิติบัญญัติ อำนาจของผู้แทนประชาชนถูกจำกัดหรือรักษาสมดุลกับฝ่ายอื่นโดยรัฐธรรมนูญ เช่น บางประเทศใช้ระบบสองสภาโดยมีสภาสูงที่สมาชิกไม่ได้มาจากการเลือกตั้งด้วย ประชาธิปไตยแบบนี้ยังทำให้พรรคการเมืองเป็นศูนย์กลางของกระบวนการทางการเมือง หากระบบเลือกตั้งกำหนดหรือส่งเสริมให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกเสียงให้กับพรรคการเมืองหรือผู้สมัครที่สังกัดพรรคการเมือง
ในการแยกใช้อำนาจ นิยมถือหลักความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ ซึ่งฝ่ายตุลาการค่อนข้างมีอิสระจากอีกสองอำนาจของรัฐบาล แต่ยังคงมีอำนาจตรวจสอบอำนาจอื่นได้อยู่ ผ่านการพิจารณาทบทวนโดยศาล
===== ระบบรัฐสภา =====
ประชาธิปไตยระบบรัฐสภาเป็นประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนรูปหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลมาจากการแต่งตั้ง หรือสามารถถูกถอดถอนได้โดยผู้แทนราษฎร ภายใต้ระบบดังกล่าว การปกครองจะเป็นการมอบหมายกระทรวงต่าง ๆ เป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร และอยู่ภายใต้การทบทวน ตรวจสอบและถ่วงดุลอย่างต่อเนื่องของรัฐสภาซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ระบบรัฐสภามีอำนาจปลดนายกรัฐมนตรีเมื่อใดก็ได้หากสภานิติบัญญัติคาดว่าปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่เป็นไปตามคาดหมาย ผ่านมติไม่ไว้วางใจซึ่งสภานิติบัญญัติจะตัดสินว่าจะถอดถอนนายกรัฐมนตรีผู้นั้นหรือไม่หากฝ่ายข้างมากสนับสนุนให้ปลดผู้นั้น ในบางประเทศ นายกรัฐมนตรียังมีอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งใหม่เมื่อใดก็ได้ และนายกรัฐมนตรีจะจัดการเลือกตั้งเมื่อผู้นั้นทราบว่าตนได้รับเสียงสนับสนุนจากสาธารณะพอที่จะได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาอีกสมัย ส่วนในบางประเทศ แทบไม่มีการจัดการเลือกตั้งพิเศษ และมักตั้งรัฐบาลฝ่ายข้างน้อยแทนซึ่งดำรงตำแหน่งไปจนกว่าการเลือกตั้งตามปกติครั้งถัดไป ลักษณะของประชาธิปไตยระบบรัฐสภาอย่างหนึ่ง คือ การมีฝ่ายค้าน โดยพรรคการเมือง (หรือกลุ่มการเมือง) ที่มีขนาดใหญ่สุดเป็นอันดับสองจะคัดค้านพรรครัฐบาล (หรือรัฐบาลผสม)
===== ระบบประธานาธิบดี =====
ประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดีเป็นระบบที่ประชาชนเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงในการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีเป็นทั้งประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลผู้ใช้อำนาจบริหาร ประธานาธิบดีมีวาระที่กำหนดไว้ตายตัว การเลือกตั้งตรงแบบมีวันที่ที่กำหนดไว้และแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้โดยง่าย ประธานาธิบดีมีอำนาจควบคุมคณะรัฐมนตรีโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งตั้งสมาชิกคณะรัฐมนตรี
สภานิติบัญญัติไม่มีอำนาจถอดถอนประธานาธิบดีได้โดยง่าย แต่ประธานาธิบดีก็ไม่สามารถถอดถอนสมาชิกสภานิติบัญญัติได้โดยง่ายเช่นเดียวกัน ระบบนี้เป็นมาตรการสำหรับการแยกใช้อำนาจ แต่ผลทำให้ประธานาธิบดีและสภานิติบัญญัติอาจมาจากพรรคการเมืองคนละพรรคกัน และทำให้ฝ่ายหนึ่งขัดขวางอีกฝ่ายหนึ่งได้และแทรกแซงการดำเนินการอย่างเป็นระเบียบของรัฐ จึงอาจเป็นเหตุผลที่ระบบประธานาธิบดีนี้ไม่แพร่หลายนักนอกจากในทวีปอเมริกา แอฟริกา เอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับระบบกึ่งประธานาธิบดีเป็นระบบที่มีทั้งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั้งสองตำแหน่งมีอำนาจต่างกันขึ้นอยู่กับประเทศ นายกรัฐมนตรีบางประเทศรับผิดชอบต่อประธานาธิบดีอย่างเดียว บางประเทศรับผิดชอบต่อสภานิติบัญญัติอย่างเดียว แต่บางประเทศต้องรับผิดชอบต่อทั้งประธานาธิบดีและสภานิติบัญญัติ
==== แบบผสมหรือกึ่งทางตรง ====
ประชาธิปไตยสมัยใหม่บางประเทศซึ่งใช้ระบบมีผู้แทนโดยสภาพเป็นส่วนใหญ่ยังอาศัยการปฏิบัติทางการเมืองรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นประชาธิปไตยโดยตรงมากขึ้น ประชาธิปไตยแบบดังกล่าวมีคำเรียกว่า ประชาธิปไตยแบบผสม (hybrid democracy) ประชาธิปไตยกึ่งทางตรงหรือประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ตัวอย่างเช่น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์และบางรัฐของสหรัฐ ซึ่งใช้การลงประชามติและการริเริ่มเสนอกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง
สำหรับสมาพันธรัฐสวิสในระดับสหพันธรัฐ พลเมืองสามารถเสนอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ หรือขอจัดการลงประชามติในกฎหมายใด ๆ ที่รัฐสภาผ่าน ระหว่างเดือนมกราคม ค.ศ. 1995 ถึงมิถุนายน ค.ศ. 2005 พลเมืองสวิสลงมติ 31 ครั้ง และตอบปัญหา 103 ปัญหา รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐก็ถือเป็นรัฐที่ใช้วิธีลงประชามติอย่างกว้างขวาง แม้เป็นรัฐที่มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกว่า 20 ล้านคน ในเขตนิวอิงแลนด์ของสหรัฐ การประชุมเมืองมักใช้เพื่อจัดการการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งใช้ระบอบการปกครองแบบผสมซึ่งใช้ประชาธิปไตยทางตรงในระดับท้องถิ่นแต่ใช้ระบบผู้แทนในระดับรัฐ การประชุมเมืองส่วนใหญ่ในรัฐเวอร์มอนต์จัดการประชุมเป็นประจำทุกปีเพื่อเลือกตั้งข้าราชการเมือง งบประมาณ และเปิดโอกาสให้พูดและรับฟังปัญหาการเมือง
=== รูปแบบ ===
==== ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ====
หลายประเทศอย่าง สหราชอาณาจักร สเปน เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ประเทศสแกนดิเนเวีย ไทย ญี่ปุ่นและภูฏานเปลี่ยนพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งมีบทบาทเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ตัวอย่างเช่น ในรัฐก่อนหน้าสหราชอาณาจักร ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญค่อย ๆ กำเนิดและดำรงอยู่มาอย่างต่อเนื่องนับแต่การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ ค.ศ. 1688 และการผ่านบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง ค.ศ. 1689
ประเทศเหล่านี้มีสภาสูงซึ่งมักมีวาระตลอดชีพหรือสมาชิกภาพสืบทอดทางสายโลหิตพบมากในประเทศเหล่านี้ ซึ่งมีทั้งแบบที่มีอำนาจจำกัด (เช่น สภาขุนนางของสหราชอาณาจักร) และแบบที่สมาชิกมาจากการเลือกตั้งและมีอำนาจมาก (เช่น สมาชิกวุฒิสภาออสเตรเลีย)
==== สาธารณรัฐ ====
คำว่า "สาธารณรัฐ" มีหลายความหมาย แต่ในปัจจุบันมักหมายความถึงประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนที่ประมุขแห่งรัฐมาจากการเลือกตั้ง เช่น ประธานาธิบดี ที่มีวาระจำกัด ซึ่งตรงข้ามกับพระมหากษัตริย์ที่มาจากการสืบราชสันตติวงศ์ ในหลายประเทศ สาธารณรัฐเกิดจากการล้มล้างพระมหากษัตริย์และชนชั้นอภิชน สาธารณรัฐนิยมเป็นระบบที่เน้นเรื่องเสรีภาพและปฏิเสธการฉ้อราษฎร์บังหลวง
ทั้งนี้ บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐแทบไม่เคยยกย่องซ้ำยังวิจารณ์ประชาธิปไตยอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งในสมัยนั้นมักมีความหมายจำเพาะถึงประชาธิปไตยทางตรง ซึ่งมักปราศจากการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เจมส์ เมดิสันให้เหตุผลว่าสิ่งที่ทำให้ประชาธิปไตยทางตรงแตกต่างจากสาธารณรัฐคือประชาธิปไตยทางตรงจะอ่อนแอลงเมื่อรัฐมีขนาดใหญ่ขึ้น และประสบปัญหารุนแรงจากผลของการแบ่งพรรคแบ่งพวก ส่วนสาธารณรัฐจะมีความเข้มแข็งขึ้นเมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้น และด้วยโครงสร้างของมันสามารถรับมือกับการแบ่งฝักฝ่ายได้ ฝ่ายจอห์น แอดัมส์ยืนยันว่าสิ่งที่สำคัญต่อค่านิยมอเมริกันคือรัฐบาล "ถูกผูกมัดด้วยกฎหมายตายตัว ซึ่งประชาชนมีสิทธิ์เสียงในกระบวนการออก และมีสิทธิให้พิทักษ์" การถกเถียงทำนองเดียวกันยังคงมีอยู่ในประเทศที่กลายเป็นประชาธิปไตยใหม่ในหลายประเทศ
==== ประชาธิปไตยเสรีนิยม ====
ประชาธิปไตยเสรีนิยมเป็นประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนซึ่งความสามารถของผู้แทนประชาชนจากการเลือกตั้งในการใช้อำนาจวินิจฉัยสั่งการอยู่ภายใต้หลักนิติธรรม รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เน้นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล ซึ่งจำกัดขอบเขตของเจตจำนงฝ่ายข้างมากที่สามารถใช้ได้ต่อสิทธิของฝ่ายข้างน้อย ในช่วงหลังคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประชาธิปไตยเสรีนิยมเป็นประชาธิปไตยรูปแบบส่วนใหญ่ในโลก
ประชาธิปไตยเสรีนิยมโดยปกติมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป คือให้พลเมืองผู้ใหญ่ทุกคนมีสิทธิเลือกตั้งโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ เพศ การถือครองทรัพย์สิน เพศสภาพ รายได้ สถานภาพทางสังคมหรือศาสนา อย่างไรก็ดี บางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักรยังจำกัดสิทธิเลือกตั้งแก่ผู้ได้รับโทษจำคุกเป็นเวลานาน ซึ่งศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปเคยวินิจฉัยว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาธิปไตยเสรีนิยมสรุปได้แปดข้อ ดังนี้
==== ประชาธิปไตยสังคมนิยม ====
ความคิดสังคมนิยมมีทัศนคติต่อประชาธิปไตยแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ประชาธิปไตยสังคมนิยม, สังคมนิยมประชาธิปไตย และลัทธิเผด็จการของชนกรรมาชีพ (ปกติใช้ผ่านประชาธิปไตยแบบโซเวียต) ทั้งหมดส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชนชั้นล่างและกรรมกร รวมทั้งประชาธิปไตยในที่ทำงาน ประชาธิปไตยสังคมนิยมเชื่อมั่นในประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน ที่ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม โดยระบบเศรษฐกิจยังใช้แบบผสมที่โน้มเอียงไปทางทุนนิยม แต่รัฐบาลจะเข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคม เป็นสังคมนิยมตะวันตกหรือสังคมนิยมสมัยใหม่ที่พบมากที่สุด ส่วนสังคมนิยมประชาธิปไตยส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยโดยมีเศรษฐกิจแบบสังคมเป็นเจ้าของ
ส่วนในทรรศนะดั้งเดิมของลัทธิมากซ์เชื่อว่าสังคมประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นเมื่อชนชั้นกรรมกรทั่วโลกมีสิทธิเลือกตั้ง โดยในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ คาร์ล มากซ์และฟรีดริช เอ็งเงิลส์ ระบุว่าเพื่อให้การปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพสำเร็จ จะต้องเข้าไปเป็นชนชั้นปกครองให้ได้เสียก่อน และสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปเป็นเป้าหมายสำคัญอย่างแรก ๆ มากซ์เขียนใน การวิจารณ์โครงการโกทา (Critique of the Gotha Program) ว่าจะมีสมัยการเปลี่ยนผ่านระหว่างสังคมทุนนิยมกับสังคมคอมมิวนิสต์ คือ ลัทธิเผด็จการของชนกรรมาชีพ โดยมีจุดหมายคือ สังคมแบบคอมมูนที่ไร้รัฐ
==== ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี ====
ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี (illiberal democracy) เป็นระบบการปกครองที่ถึงแม้ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้ง แต่ขาดเสรีภาพพลเมือง จึงทำให้ไม่เป็นสังคมเปิดและขาดอำนาจทางการเมืองที่แท้จริง ปัจจุบันมีหลายประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ คือ ก้ำกึ่งระหว่างเป็นประชาธิปไตยกับไม่เป็นประชาธิปไตย ลักษณะอื่นที่พบร่วมกัน เช่น การไม่คุ้มครองฝ่ายข้างน้อย มีการชักใยหรือล็อกผลการเลือกตั้ง ผู้ปกครองมักรวมศูนย์อำนาจและควบคุมสื่อเพื่อให้สนับสนุนรัฐบาล ประเทศที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น รัสเซีย สิงคโปร์ ตุรกี สำหรับสหรัฐสมัยประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์ถูกวิจารณ์ว่ามีลักษณะเป็นประชาธิปไตยที่ไม่เสรีมากขึ้น
ส่วนคำว่า "ประชาธิปไตยแบบชี้นำ" (guided democracy) เป็นการใช้อธิบายรัฐที่มีการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งไม่ได้เปลี่ยนนโยบาย แรงจูงใจและเป้าหมายของรัฐ คำนี้ใช้อธิบายประเทศอินโดนีเซียสมัยประธานาธิบดีซูการ์โน ประเทศรัสเซีย และประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง ค.ศ. 2019
== ทฤษฎี ==
=== ทัศนะคลาสสิก: แอริสตอเติลและท็อกเกอร์วิลล์ ===
{| width=25% cellspacing="0" align="right"
|+ การจำแนกระบอบการปกครองของแอสริสตอเติลในหนังสือ Politics
|-
! การปกครองโดย
! ดี(เพื่อประโยชน์ส่วนรวม)
! เลว(เพื่อประโยชน์ส่วนตน)
|-
! บุคคลเดียว
| style="border: 1px solid black;" align="center" | ราชาธิปไตย
| style="border: 1px solid black;" align="center" | ทรราช
|-
! คณะบุคคล
| style="border: 1px solid black;" align="center" | อภิชนาธิปไตย
| style="border: 1px solid black;" align="center" | คณาธิปไตย(เพื่อคนรวย)
|-
! บุคคลส่วนใหญ่
| style="border: 1px solid black;" align="center" | โพลีเทีย
| style="border: 1px solid black;" align="center" | ประชาธิปไตย(เพื่อคนจน)
|}
แอริสตอเติลเป็นนักปรัชญาชาวกรีกโบราณ ผู้อธิบายและรวบรวมระบบการเมืองที่ใช้กันในยุคสมัยนั้น เขาจำแนกการปกครองออกเป็นการปกครองโดยบุคคลคนเดียว คณะบุคคลและบุคคลจำนวนมาก และแบ่งต่อไปเป็นการปกครองที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม โดยคำว่า "เหมาะสม" หมายถึง การกระทำเพื่อประโยชน์สาธารณะไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตน สำหรับประชาธิปไตย แอริสตอเติลมองว่าเป็นรูปแบบการปกครองที่เลวเพราะโดยสภาพเป็นการปกครองโดยคนจนที่ทำเพื่อชนชั้นตัวเอง อย่างไรก็ดี แม้แอริสตอเติลเชื่อว่าการปกครองของคนดีคนเดียวเป็นระบอบการปกครองในอุดมคติ แต่ส่วนใหญ่มักลงเอยด้วยการกลายเป็นทรราชที่รับใช้ตนเองซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่เลวที่สุด เขาจึงคิดมุมกลับและสรุปว่าการปกครองของคนส่วนใหญ่เป็นระบอบที่พอรับได้มากที่สุด (เลวน้อยที่สุด) เพราะอย่างน้อยการรับใช้ตนเองของคนส่วนใหญ่ก็ให้ประโยชน์แก่ส่วนรวมมากที่สุด
อเล็กซิส เดอ ท็อกเกอร์วิลล์ นักวิชาการชาวฝรั่งเศส ผู้เขียนหนังสือ ประชาธิปไตยในอเมริกา (ค.ศ. 1835 และ 1840) เข้าใจว่าประชาธิปไตยเป็นการปกครองของประชาชน เขาระบุว่า ประชาธิปไตยแบบอเมริกาเกิดขึ้นได้จากความเสมอภาคของประชาชนในการออกเสียงเลือกตั้ง ดำรงตำแหน่งสาธารณะ ตลอดจนการเข้าถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจและมีวัฒนธรรมทัศนคติแบบต่อต้านอภิชนาธิปไตย เขามองว่าประชาธิปไตยมาจากพัฒนาการในทวีปยุโรป เริ่มจากการเริ่มเปิดให้สามัญชนดำรงตำแหน่งนักบวชได้นอกเหนือจากชนชั้นสูง และการรุกล้ำพระราชอำนาจโดยนักกฎหมายและวาณิชมั่งมี อย่างไรก็ดี เขามองว่า "การปฏิวัติประชาธิปไตย" ในสมัยเขา ซึ่งที่สำคัญที่สุดได้แก่ การปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 ว่าเป็นผลลัพธ์อันหลีกเลี่ยงไม่ได้ของประวัติศาสตร์ของการขยายความเสมอภาคในทวีปยุโรป แม้เขาทำนายว่าสหรัฐอาจกลายเป็นทรราชเสียงข้างมากที่กดขี่ในอนาคต แต่เขายังหวังให้สังคมยุโรปมีความสมภาคมากขึ้นตามตัวอย่างแบบอเมริกา หากเลี่ยงความรุนแรงและปัญหาไม่คาดคิดจากการปฏิวัติสมภาคนิยม
มุมมองของท็อกเกอร์วิลล์ยังคลุมเครือเกี่ยวกับประชาธิปไตย ทัศนะของเขาอาจเรียกได้ว่าเป็นทัศนะคลาสสิกต่อประชาธิปไตย โดยมุมมองหลักด้านหนึ่งคือประชาธิปไตยเกี่ยวข้องกับการปกครองตนเอง และอีกเสาหนึ่งคือประชาธิปไตยส่งเสริมหรือแสดงออกซึ่งประโยชน์สาธารณะไม่ว่าสาธารณะกลุ่มใดกำลังใช้อำนาจปกครองตนเองอยู่ ซึ่งอาจทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อคนส่วนใหญ่ซึ่งยากจนตามความคิดของแอริสตอเติลก็ได้
=== ทฤษฎีร่วมสมัย ===
นักทฤษฎีการเมืองสมัยใหม่เสนอมโนทัศน์ประชาธิปไตยสามมโนทัศน์ ประกอบด้วย ประชาธิปไตยแบบรวมเป็นกลุ่ม (aggregative democracy), ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ (deliberative democracy) และประชาธิปไตยมูลวิวัต (radical democracy)
ประชาธิปไตยแบบรวมเป็นกลุ่ม :
ทฤษฎี ประชาธิปไตยแบบรวมเป็นกลุ่ม (aggregative Democracy) อ้างว่า กระบวนการประชาธิปไตยมีเป้าหมายเพื่อร้องขอความพึงใจ (preference) ของพลเมือง และรวมเข้าด้วยกันเพื่อตัดสินนโยบายสังคมที่สังคมควรรับไปปฏิบัติ ดังนั้น ผู้สนับสนุนทัศนะนี้จึงถือว่าการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยควรเน้นการออกเสียงลงคะแนนเป็นหลัก และนำนโยบายที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดไปปฏิบัติ
ในทฤษฎีประชาธิปไตยแบบรวมเป็นกลุ่มยังแบ่งไดอีกเป็นหลายแบบ ในจุลนิยม ประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่พลเมืองมอบสิทธิการปกครองแก่คณะผู้นำการเมืองในการเลือกตั้งเป็นคาบ ๆ แต่พลเมืองไม่มีความสามารถและไม่ควรปกครองเอง เพราะในประเด็นส่วนใหญ่และเกือบตลอดเวลา พวกเขาไม่มีทัศนะที่ชัดเจนหรือไม่มีเหตุผล โจเซฟ ชุมปีเตอร์เป็นผู้สาธยายทัศนะนี้ในหนังสือ ทุนนิยม, สังคมนิยม, และประชาธิปไตย ผู้สนับสนุนคนอื่น เช่น วิลเลียม เอช. ไรเกอร์, อดัม ปร์เซวอร์สกี, และริชาร์ด พอสเนอร์
ในทางกลับกัน ตามทฤษฎีประชาธิปไตยทางตรง ถือว่าพลเมืองควรออกเสียงลงคะแนนในข้อเสนอกฎหมายโดยตรงโดยไม่ผ่านผู้แทน ผู้สนับสนุนให้เหตุผลต่าง ๆ เช่น กิจกรรมการเมืองมีคุณค่าในตัวเองได้ ทำให้พลเมืองเข้าสังคมและมีการศึกษา และการมีส่วนร่วมของประชาชนสามารถตรวจสอบอภิชนที่ทรงอำนาจได้ ข้อสำคัญที่สุด พลเมืองไม่ปกครองด้วยตนเองยกเว้นวินิจฉัยกฎหมายและนโยบายโดยตรง
แอนโทนี ดาวนส์เสนอว่าพรรคการเมืองอุดมการณ์มีความจำเป็นต้องทำหนาที่เป็นนายหน้าไกล่เกลี่ยระหว่างปัจเจกบุคคลกับรัฐบาล รัฐบาลควรมีแนวโน้มออกกฎหมายและนโยบายให้ใกล้เคียงกับทัศนะของผู้ออกเสียงที่อยู่ตรงกลางของสเปกตรัมการเมืองเสมอ แม้ว่าบางทีผลลัพธ์จะเป็นการกระทำของคนเห็นแก่ตัวและบางทีอภิชนที่ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองแย่งคะแนนเสียงด้วย
โรเบิร์ต เอ. ดาห์ลให้เหตุผลว่าหลักการหลักมูลของประชาธิปไตยคือ ในการวินิจฉัยร่วมกันที่มีผลผูกพัน แต่ละบุคคลในชุมชนการเมืองมีสิทธิที่ผลประโยชน์ของตนจะได้รับการพิจารณาอย่าเท่า ๆ กัน เขาใช้คำว่า โพลีอาร์คี (polyarchy; poly "มาก" + archy "การปกครอง") เรียกสังคมที่มีชุดสถาบันและวิธีดำเนินการซึ่งรับรู้ว่าจะนำไปสู่ประชาธิปไตยเช่นนั้น ข้อแรกที่สำคัญที่สุด สถาบันเหล่านี้จะต้องมีการเลือกตั้งอย่างมีอิสระและเป็นธรรมอยู่เป็นประจำเพื่อเลือกผู้แทนซึ่งจัดการนโยบายสาธารณะของสังคม แต่วิธีดำเนินการแบบโพลีอาร์คีนี้อาจไม่ก่อให้เกิดประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์หากมีปัญหา เช่น ความยากจน ขัดขวางการมีส่วนร่วมทางการเมือง เช่นเดียวกับโรนัลด์ ดวอร์คิน (Ronald Dworkin) ที่ให้เหตุผลว่า "ประชาธิปไตยเป็นอุดมติในสาระสำคัญ ไม่ใช่แต่เพียงวิธีดำเนินงาน"
ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ :
ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ (deliberative democracy) ตั้งอยู่บนความคิดว่าประชาธิปไตยเป็นการปกครองโดยการปรึกษาหารือกัน ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือถือว่าก่อนที่การวินิจฉัยในระบอบประชาธิปไตยจะมีความชอบธรรมได้จะต้องมีการปรึกษาหารืออย่างแท้จริงเสียก่อน ไม่ใช่เพียงการรวมความพึงใจที่เกิดขึ้นในขณะออกเสียงลงคะแนน การปรึกษาหารืออย่างแท้จริงเป็นการปรึกษาหารือในหมู่ผู้วินิจฉัยสั่งการซึ่งปลอดจากการบิดเบือนจากอำนาจทางการเมืองที่ไม่เท่าเทียม เช่น อำนาจของผู้วินิจฉัยสั่งการที่ได้มาจากความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจหรือการสนับสนุนจากกลุ่มผลประโยชน์ ถ้าผู้วินิจฉัยสั่งการไม่สามารถมีมติเอกฉันท์หลังปรึกษาหารืออย่างแท้จริงแล้ว จะออกเสียงลงคะแนนต่อข้อเสนอนั้นโดยใช้การถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ นักวิชาการจำนวนมากถือว่าสมัชชาพลเมืองเป็นตัวอย่างเชิงปฏิบัติของประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ และการวิจัยของ OECD ล่าสุดระบุว่าสมัชชาพลเมืองเป็นกลไกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการเพิ่มประชาชนในการวินิจฉัยสั่งการของรัฐบาล
ประชาธิปไตยแบบมูลวิวัต :
ประชาธิปไตยมูลวิวัต (radical democracy) เป็นประชาธิปไตยที่สนับสนุนการขยายความเสมอภาคและเสรีภาพอย่างถึงราก ประชาธิปไตยมูลวิวัตมีแนวคิดว่าประชาธิปไตยเป็นกระบวนการที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ไม่แบ่งแยก ต่อเนื่องและมีผลสะท้อน ประชาธิปไตยแบบมูลวิวัตสายแรกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ ทัศนะทำการ (agonistic perspective) ซึ่งสัมพันธ์กับงานของ Ernesto Laclau และ Chantal Mouffe ในหนังสือ Hegemony and Socialist Strategy: Towards a Radical Democratic Politics (ค.ศ. 1985) เสนอให้ขยายบทนิยามของประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม โดยอาศัยเสรีภาพและความเสมอภาค ให้รวมถึงความแตกต่าง และโดยการสร้างประชาธิปไตยโดยยึดความแตกต่างและความขัดแย้ง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่กดขี่ในสังคมจะปรากฏอยู่เบื้องหน้าให้ท้าทายได้ ประชาธิปไตยแบบมูลวิวัตสายที่สอง ได้แก่ แบบปรึกษาหารือโดย Jürgen Habermas โดยเขาระบุว่าเป็นประชาธิปไตยที่อาศัยมติเอกฉันท์และการมีส่วนร่วมของทุกคนอย่างเท่า ๆ กัน คือมีกระบวนการวิจารณ์แบบสะท้อนในการมาถึงทางออกที่ดีที่สุด สำหรับสายที่สามคือสายนักอัตตาณัติ (autonomist) เป็นแบบที่มุ่งสนใจ "ชุมชน" โดยระบุว่าความเสมอภาคของปัจเจกบุคคลจะพบได้ในภาวะเป็นหนึ่งเดียว (singularity) กับกลุ่มคนจำนวนมาก และความเสมอภาคโดยรวมจะสร้างขึ้นจากกลุ่มคนที่ล้วนไม่แบ่งแยก และเสรีภาพสร้างขึ้นโดยการฟื้นฟูกลุ่มคนในอำนาจประกอบบริสุทธิ์ของชุมชน
== การพัฒนาประชาธิปไตย ==
นักปรัชญาและนักวิจัยหลายคนได้วางเค้าโครงปัจจัยในอดีตและทางสังคมที่มองว่าสนับสนุนวิวัฒนาการของประชาธิปไตย บางส่วนกล่าวถึงอิทธิพลของการพัฒนาเศรษฐกิจ Ronald Inglehart ให้เหตุผลว่า มาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วสมัยใหม่ชักจูงประชาชนว่าพวกตนก็สามารถพัฒนาการครองชีพของตนได้เช่นกัน นำไปสู่การเน้นค่านิยมกล้าแสดงออกมากขึ้น ประเทศที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวสูงมีสหสัมพันธ์กับประชาธิปไตย แม้จะยังมีประเด็นถกเถียงกันยังไม่ได้ข้อสรุปว่า ประชาธิปไตยทำให้เกิดความมั่งคั่ง หรือความมั่งคั่งทำให้เกิดประชาธิปไตย หรือทั้งสองไม่ใช่สาเหตุของกันและกันแน่
หลักฐานที่สอดคล้องกับทฤษฎีดั้งเดิมเรื่องกำเนิดประชาธิปไตยและการธำรงรักษาประชาธิปไตยนั้นหายาก ในอดีตมีการเสนอทฤษฎีการทำให้ทันสมัย (modernization) ใจความว่า ประเทศที่ทันสมัยจะกลายเป็นประชาธิปไตย เช่น Lipset ตั้งข้อสังเกตใน ค.ศ. 1959 ว่า ประชาธิปไตยมีความสัมพันธ์กับการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเขาคิดว่า การทำให้เป็นอุตสาหกรรม การกลายเป็นเมือง ความมั่งคั่งและการศึกษาล้วนมีสหสัมพันธ์ใกล้ชิดเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งซึ่งเทียบสัมพันธ์กับประชาธิปไตย Larry Diamond และ Juan Linz ให้เหตุผลว่าสมรรถนะทางเศรษฐกิจมีผลต่อการพัฒนาประชาธิปไตยเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจมีความสำคัญกว่าระดับการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจเดิม, การพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมซึ่งอาจเอื้อต่อการกลายเป็นประชาธิปไตย, และการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น เช่น การเกิดชนชั้นกลาง ซึ่งชักนำไปสู่ประชาธิปไตย แต่การวิเคราะห์ทางสถิติพบว่าไม่มีหลักฐานน่าเชื่อถือว่าประชาธิปไตยมีแนวโน้มเกิดมากขึ้นถ้าประเทศร่ำรวยขึ้น มีการศึกษาดีขึ้นหรือมีความเหลื่อมล้ำลดลง โดยพบว่าในอดีตประเทศส่วนใหญ่ที่เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยมีระดับการเข้าถึงการศึกษาขั้นประถมสูงอยู่ก่อนแล้ว มิหนำซ้ำระบอบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยอาจใช้การศึกษาเพื่อปลูกฝังคนในบังคับเพื่อเสริมสร้างอำนาจของพวกตนเสียด้วยซ้ำ
รัฐบาลอำนาจนิยมอาจมอบประชาธิปไตยให้เองในกรณีที่ค่าใช้จ่ายของการปราบปรามประชานสูงกว่าค่าใช้จ่าย การศึกษาใน ค.ศ. 2020 กลายเป็นประชาธิปไตยจากรัฐบาลอำนาจนิยมมีแนวโน้มทำให้เกิดประชาธิปไตยที่ยั่งยืนได้ถ้าความเข้มแข็งของพรรคอำนาจนิยมที่อยู่ในอำนาจสูง ส่วนในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นในสังคม Barrington Moore Jr. ให้เหตุผลว่าการกระจายอำนาจระหว่างชนชั้นในสังคมจะเป็นตัวตัดสินว่าจะเกิดการปฏิวัติประชาธิปไตย อำนาจนิยมหรือคอมมิวนิสต์ David Stasavage ระบุว่าประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนมีแนวโน้มเกิดขึ้นถ้าสังคมแตกออกเป็นกลุ่มการเมืองหลายกลุ่ม
การศึกษาเรื่องการแทรกแซงของต่างประเทศต่อการพัฒนาประชาธิปไตยมีผลลัพธ์หลากหลาย Thomas Risse เขียนใน ค.ศ. 2009 ว่า มีความเห็นพ้องต้องกันในวรรณกรรมยุโรปตะวันออกว่าการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปมีผลต่อประชาธิปไตยเกิดใหม่ Steven Levitsky และ Lucan Way ให้เหตุผลว่าความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชาติตะวันตกเพิ่มโอกาสกลายเป็นประชาธิปไตย แต่การให้เงินอุดหนุนจากต่างประเทศไม่มีผลต่อการกลายเป็นประชาธิปไตย
ข้อมูลของฟรีดอมเฮาส์พบว่าตั้งแต่ ค.ศ. 1972 มี 67 ประเทศที่เปลี่ยนจากเผด็จการมาเป็นประชาธิปไตย พบว่าการขัดขืนของพลเมืองแบบไม่ใช้ความรุนแรงมีอิทธิพลเข้มแข็งร้อยละ 70 เช่น การนัดหยุดงานประท้วง การคว่ำบาตร การดื้อแพ่งและการประท้วงหมู่
ไม่มีหลักฐานชวนให้เชื่อว่าประเทศที่พึ่งพารายได้จากน้ำมันมากขัดขวางการทำให้เป็นประชาธิปไตย แม้มีงานวิจัยทฤษฎีว่ารายได้จากน้ำมันตัดความสัมพันธ์ระหว่างการเก็บภาษีอากรและความรับผิดชอบของรัฐบาลซึ่งมีความสำคัญต่อประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน ทำให้นักวิจัยหันไปค้นหาปัจจัยขัดขวางในสถาบันการเมืองร่วมสมัยต่อไป นักวิชาการบางส่วนมองว่าวัฒนธรรมมีผลต่อการกลายเป็นประชาธิปไตย โดยระบุว่าวัฒนธรรมตะวันตกเหมาะสมที่สุดกับประชาธิปไตย ส่วนวัฒนธรรมอิสลามมักไม่เป็นประชาธิปไตย
== ข้อวิจารณ์ ==
=== ข้อวิจารณ์เรื่องจุดประสงค์ ===
นักวิชาการให้เหตุผลว่าสังคมประชาธิปไตยจะทำให้สังคมที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน (specialized) หมดไป นโยบายของรัฐมักได้รับอิทธิพลจากความเห็นของผู้ที่ไม่มีความรู้และประสบการณ์ ทำให้ประสิทธิภาพเสียไปได้ ขณะที่อีกฝ่ายแย้งว่าข้อนี้เป็นข้อดีของประชาธิปไตยเพราะเป้าหมายของประชาธิปไตยคือการคุ้มครองฝ่ายข้างน้อย
Bernard Manin เสนอว่าประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนแท้จริงแล้วเป็นอภิชนาธิปไตย เช่นเดียวกับนักรัฐศาสตร์ชาวเยอรมัน-อิตาลี Robert Michels ที่พัฒนากฎเหล็กคณาธิปไตยใน ค.ศ. 1911 ซึ่งเขากล่าวว่า มาตรการที่วางไว้เพื่อป้องกันคณาธิปไตยในประวัติศาสตร์ล้วนไร้ผล และเป้าหมายของประชาธิปไตยในการกำจัดอภิชนนั้นเป็นไปไม่ได้ และประชาธิปไตยกลายมาเป็นฉากหน้าเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่อภิชนอีกด้วย นักวิจัยวิชาการบางส่วนเสนอว่าอิทธิพลของบริษัท คนมั่งมี และกลุ่มผลประโยชน์พิเศษอื่น ปล่อยให้พลเมืองมีผลกระทบต่อกระบวนการการเมืองน้อยกว่ากลุ่มอภิชน การศึกษาของ Martin Gilens และ Benjamin Page ใน ค.ศ. 2014 เสนอว่าในสหรัฐ ถ้าความพึงใจของพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศขัดกับอภิชน อภิชนมักเป็นฝ่ายชนะ
ปัญหาเรื่องการให้ความสำคัญกับฝ่ายข้างมากในระบอบประชาธิปไตยเป็นข้อวิจารณ์มาช้านานนับแต่สมัยเพลโตและแอริสตอเติล และโดยเฉพาะบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐ Fierlbeck เขียนว่าชนชั้นกลางซึ่งเป็นเสียงข้างมากในประเทศประชาธิปไตยหลายประเทศอาจตัดสินใจเพิ่มความมั่งคั่งแก่คนบางกลุ่ม และจะยิ่งส่งผลให้ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจสูงขึ้น
Kenneth Arrow นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล เสนอทฤษฎีบทความเป็นไปไม่ได้ของแอร์โรว์ ซึ่งว่าด้วยความไม่สอดคล้องกันทางตรรกะของประชาธิปไตย โดยมีใจความว่าในระบบเลือกตั้งแบบเรียงลำดับใด ๆ ไม่สามารถถูกออกแบบมาให้เข้ากับเกณฑ์ "ความเป็นธรรม" สามข้อต่อไปนี้
มักมีการสรุปถ้อยแถลงข้างต้นไว้ดังนี้ "ไม่มีวิธีลงคะแนนใดเป็นธรรม", "วิธีเลือกตั้งแบบเรียงลำดับทุกวิธีมีที่ติ" หรือ "วิธีลงคะแนนวิธีเดียวที่ไม่มีที่ติคือเผด็จการ"
=== ข้อวิจารณ์เรื่องกระบวนการ ===
ระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งเป็นประจำนั้นถูกวิจารณ์ว่าลดทอนเสถียรภาพทางการเมือง ทำให้เป็นลักษณะที่ไม่พึงประสงค์สำหรับประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลดความยากจน ซึ่งสหประชาชาติก็ระบุว่าการขาดการมีส่วนร่วมแบบประชาธิปไตยในประเทศจีนทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไม่หยุดยั้ง
วิกฤตศรัทธาประชาธิปไตยทั่วโลกเกิดจากรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง เพราะประเทศที่เป็นประชาธิปไตยปานกลางมีอัตราฉ้อราษฎร์บังหลวงสูง โดยเฉพาะกระบวนการการเลือกตั้งที่ฉ้อฉลได้ง่าย การศึกษาพบว่า นักการเมืองในตำแหน่งได้รับประโยชน์มากกว่าจากการโกงเลือกตั้ง เพราะจะอยู่ในตำแหน่งนานกว่านักการเมืองที่ไม่โกงเลือกตั้ง 2.5 เท่า ประเทศประชาธิปไตยรายได้ต่ำยังมีแนวโน้มต่อความรุนแรง
ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมักมีการศึกษาไม่เพียงพอต่อการใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตยของตนอย่างรอบคอบ การศึกษาพบว่าปริมาณสารนิเทศมหาศาลที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ ทุกวันทำให้คนเบื่อหน่ายต่อการทำความเข้าใจปัญหาการเมืองเชิงลึก อีกทั้งการเข้าถึงสารนิเทศต่าง ๆ ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายทำให้มีการใช้ความพยายามในการรู้คิดลดลง นักการเมืองมักใช้ประโยชน์จากความไม่มีเหตุผลของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง โดยเน้นการแข่งขันในด้านประชาสัมพันธ์และยุทธวิธีหาเสียงมากกว่าอุดมการณ์ การศึกษาในสหรัฐพบว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งตัดสินนักการเมืองจากรูปลักษณ์ภายนอกมากกว่า ในการเลือกตั้งที่ประสบปัญหาผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมีความรู้น้อยนั้น ยังมักประสบปัญหาที่นักการเมืองคนปัจจุบันที่มีข้อกล่าวหาฉ้อราษฎร์บังหลวงได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาด้วย มีนักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์พิเศษพยายามชักจูงความเห็นสาธารณะมาช้านาน นักปรัชญากรีกโบราณ โสกราตีส เชื่อว่ามวลชนที่ขาดการศึกษามีแต่จะนำไปสู่ประชานิยม ทำให้ได้ผู้นำที่ขาดความสามารถ
งานวิจัยเชิงประจักษ์ให้ผลว่าระบบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนมักมีความลำเอียงทำให้ชนชั้นมั่งมีมีผู้แทนมากกว่าประชากรกลุ่มอื่นโดยรวม การให้ผู้แทนยังมีเสรีภาพในการใช้วิจารณญาณของตนในการออกเสียงได้ จึงทำให้ระบบดังกล่าวได้รับคำวิจารณ์ โดยชี้ถึงการขัดแย้งกับกลไกการมีผู้แทนกับประชาธิปไตย รวมทั้งการผิดสัญญาเมื่อคราวหาเสียงเลือกตั้ง จึงมีข้อเสนอให้ใช้อาณัติเด็ดขาด (imperative mandate) ซึ่งกำหนดให้ผู้แทนตรานโยบายตามอาณัติของผู้เลือกตั้ง และสามารถเลือกตั้งถอดถอนได้โดยสมัชชาประชาชน
== เชิงอรรถ ==
== ดูเพิ่ม ==
กลุ่มผู้ทรงอำนาจ (The Establishment)
การทำให้เป็นประชาธิปไตย
ดัชนีประชาธิปไตย
ทฤษฎีประชาธิปไตยทางคณิตศาสตร์
ทฤษฎีสันติภาพประชาธิปไตย
ธรรมาภิบาล
ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
ประชาธิปไตยในที่ทำงาน
รัฐบาลเงา (ทฤษฎีสมคบคิด) (shadow government)
== อ้างอิง ==
== หนังสืออ่านเพิ่มเติม ==
Appleby, Joyce. (1992). Liberalism and Republicanism in the Historical Imagination. Harvard University Press.
Becker, Peter, Heideking, Juergen, & Henretta, James A. (2002). Republicanism and Liberalism in America and the German States, 1750-1850. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-80066-2
Benhabib, Seyla. (1996). Democracy and Difference: Contesting the Boundaries of the Political. Princeton University Press. ISBN 978-0-691-04478-1
Charles Blattberg. (2000). From Pluralist to Patriotic Politics: Putting Practice First, Oxford University Press, ISBN 978-0-19-829688-1.
Birch, Anthony H. (1993). The Concepts and Theories of Modern Democracy. London: Routledge. ISBN 978-0-415-41463-0
Castiglione, Dario. (2005). "Republicanism and its Legacy." European Journal of Political Theory. pp 453–65.
Copp, David, Jean Hampton, & John E. Roemer. (1993). The Idea of Democracy. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-43254-2
Caputo, Nicholas. (2005). America's Bible of Democracy: Returning to the Constitution. SterlingHouse Publisher, Inc. ISBN 978-1-58501-092-9
Dahl, Robert A. (1991). Democracy and its Critics. Yale University Press. ISBN 978-0-300-04938-1
Dahl, Robert A. (2000). On Democracy. Yale University Press. ISBN 978-0-300-08455-9
Dahl, Robert A. Ian Shapiro & Jose Antonio Cheibub. (2003). The Democracy Sourcebook. MIT Press. ISBN 978-0-262-54147-3
Dahl, Robert A. (1963). A Preface to Democratic Theory. University of Chicago Press. ISBN 978-0-226-13426-0
Davenport, Christian. (2007). State Repression and the Domestic Democratic Peace. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-86490-9
Diamond, Larry & Marc Plattner. (1996). The Global Resurgence of Democracy. Johns Hopkins University Press. ISBN 978-0-8018-5304-3
Diamond, Larry & Richard Gunther. (2001). Political Parties and Democracy. JHU Press. ISBN 978-0-8018-6863-4
Diamond, Larry & Leonardo Morlino. (2005). Assessing the Quality of Democracy. JHU Press. ISBN 978-0-8018-8287-6
Diamond, Larry, Marc F. Plattner & Philip J. Costopoulos. (2005). World Religions and Democracy. JHU Press. ISBN 978-0-8018-8080-3
Diamond, Larry, Marc F. Plattner & Daniel Brumberg. (2003). Islam and Democracy in the Middle East. JHU Press. ISBN 978-0-8018-7847-3
Elster, Jon. (1998). Deliberative Democracy. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-59696-1
Takis Fotopoulos. (2006). "Liberal and Socialist “Democracies” versus Inclusive Democracy", The International Journal Of Inclusive Democracy. 2 (2)
Takis Fotopoulos. (1992). "Direct and Economic Democracy in Ancient Athens and its Significance Today" , Democracy & Nature, 1 (1)
Gabardi, Wayne. (2001). Contemporary Models of Democracy. Polity.
Griswold, Daniel. (2007). Trade, Democracy and Peace: The Virtuous Cycle
Halperin, M. H., Siegle, J. T. & Weinstein, M. M. (2005). The Democracy Advantage: How Democracies Promote Prosperity and Peace. Routledge. ISBN 978-0-415-95052-7
Mogens Herman Hansen. (1991). The Athenian Democracy in the Age of Demosthenes. Oxford: Blackwell. ISBN 978-0-631-18017-3
Held, David. (2006). Models of Democracy. Stanford University Press. ISBN 978-0-8047-5472-9
Inglehart, Ronald. (1997). Modernization and Postmodernization. Cultural, Economic, and Political Change in 43 Societies. Princeton University Press. ISBN 978-0-691-01180-6
Khan, L. Ali. (2003). A Theory of Universal Democracy: Beyond the End of History. Martinus Nijhoff Publishers. ISBN 978-90-411-2003-8
Hans Köchler. (1987). The Crisis of Representative Democracy. Peter Lang. ISBN 978-3-8204-8843-2
Lijphart, Arend. (1999). Patterns of Democracy: Government Forms and Performance in Thirty-Six Countries. Yale University Press. ISBN 978-0-300-07893-0
Lipset, Seymour Martin. (1959). "Some Social Requisites of Democracy: Economic Development and Political Legitimacy." American Political Science Review, 53 (1) : 69-105.
Macpherson, C. B. (1977). The Life and Times of Liberal Democracy. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-289106-8
Morgan, Edmund. (1989). Inventing the People: The Rise of Popular Sovereignty in England and America. Norton. ISBN 978-0-393-30623-1
Plattner, Marc F. & Aleksander Smolar. (2000). Globalization, Power, and Democracy. JHU Press. ISBN 978-0-8018-6568-8
Plattner, Marc F. & João Carlos Espada. (2000). The Democratic Invention. Johns Hopkins University Press. ISBN 978-0-8018-6419-3
Putnam, Robert. (2001). Making Democracy Work. Princeton University Press. ISBN 978-5-551-09103-5
Raaflaub, Kurt A., Ober, Josiah & Wallace, Robert W. (2007). Origins of democracy in ancient Greece. University of California Press. ISBN 978-0-520-24562-4
William H. Riker. (1962). The Theory of Political Coalitions Yale University Press.
Sen, Amartya K. (1999). "Democracy as a Universal Value." Journal of Democracy 10 (3) : 3-17.
Tannsjo, Torbjorn. (2008). Global Democracy: The Case for a World Government. Edinburgh University Press. ISBN 978-0-7486-3499-6. Argues that not only is world government necessary if we want to deal successfully with global problems it is also, pace Kant and Rawls, desirable in its own right.
Weingast, Barry. (1997). "The Political Foundations of the Rule of Law and Democracy." American Political Science Review, 91 (2) : 245-263.
Weatherford, Jack. (1990). Indian Givers: How the Indians Transformed the World. New York: Fawcett Columbine. ISBN 978-0-449-90496-1
Whitehead, Laurence. (2002). Emerging Market Democracies: East Asia and Latin America. JHU Press. ISBN 978-0-8018-7219-8
Willard, Charles Arthur. (1996). Liberalism and the Problem of Knowledge: A New Rhetoric for Modern Democracy. University of Chicago Press. ISBN 978-0-226-89845-2
Wood, E. M. (1995). Democracy Against Capitalism: Renewing historical materialism. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-47682-9
Wood, Gordon S. (1991). The Radicalism of the American Revolution. Vintage Books. ISBN 978-0-679-73688-2 examines democratic dimensions of republicanism
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Democracy at the Stanford Encyclopedia of Philosophy
Dictionary of the History of Ideas: Democracy
The Economist Intelligence Unit's index of democracy
Alexis de Tocqueville, Democracy in America Full hypertext with critical essays on America in 1831–32 from American Studies at the University of Virginia
The Varieties of Democracy project. Indicators of hundreds of attributes of democracy and non-democracy for most countries from 1900 to 2018, and from as early as 1789 for dozens of countries, with many interactive online graphics tools
Data visualizations of data on democratisation and list of data sources on political regimes on 'Our World in Data', by Max Roser.
MaxRange: Analyzing political regimes and democratization processes—Classifying political regime type and democracy level to all states and months 1789–2015
"Democracy", BBC Radio 4 discussion with Melissa Lane, David Wootton and Tim Winter (In Our Time, 18 October 2001)
Encyclopædia Britannica Films
ประชาธิปไตย
การเลือกตั้ง
|
thaiwikipedia
| 2,056 |
กาวแสตมป์
|
กาวแสตมป์ เป็นสารที่เคลือบอยู่ด้านหลังดวงแสตมป์เพื่อความสะดวกในการติดบนจดหมาย กาวจะติดได้ก็ต่อเมื่อเอาน้ำลูบบนกาว แต่ในระยะหลังมีการพิมพ์แสตมป์ที่มีลักษณะเหมือนสติกเกอร์ที่เรียกว่าแสตมป์สติกเกอร์ กล่าวคือสามารถลอกแสตมป์ออกจากแผ่นมาติดบนจดหมายได้ทันทีและนิยมจำหน่ายอยู่ในรูปสมุดตราไปรษณียากร
ความคิดเรื่องกาวบนดวงแสตมป์นั้นมีมาตั้งแต่เริ่มมีแสตมป์เลยทีเดียว แต่แสตมป์ชุดเก่า ๆ บางชุดไม่มีกาวอยู่ด้านหลังเนื่องจากข้อจำกัดบางประการ เช่น ขาดแคลนวัตถุดิบ หรือ อยู่ในช่วงสงคราม เป็นต้น
ในอดีตจะนิยมฉาบกาวบนด้านหลังแสตมป์หลังจากที่แสตมป์ผ่านการพิมพ์แล้วแต่ยังไม่ปรุรู แต่ปัจจุบันจะใช้กระดาษที่ฉาบกาวไว้แล้วมาพิมพ์แล้วปรุรู สมัยแรก ๆ การฉาบกาวต้องทำด้วยมือโดยใช้แปรงหรือลูกกลิ้งจุ่มลงในกาวแล้วทาบนกระดาษ การฉาบกาวด้วยเครื่องพิมพ์ถูกคิดค้นภายหลังในปี พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880) โดยบริษัท เดอ ลา รู (De La Rue)
== ประเภทของกาวแสตมป์ ==
กาวที่ใช้ในแสตมป์ มีหลายชนิดเช่น
เดกซ์ตริน (dextrin) ทำจากแป้ง
กัม อาระบิก ทำจากต้น acacia
โพลีไวนิล แอลกอฮอล์ (polyvinyl alcohol, PVA)
ในการสะสมแสตมป์ สำหรับแสตมป์ที่ยังไม่ใช้งาน จะให้ความสำคัญกับกาวบนหลังแสตมป์มาก การที่แสตมป์ยังไม่ผ่านการใช้งาน แต่ด้านหลังกาวที่ควรจะมีกลับหายไป (ไม่นับบางชุดที่พิมพ์และนำออกขายโดยไปรษณีย์โดยไม่มีกาว) จะทำให้มูลค่าของแสตมป์ลดน้อยลงไป ตัวอย่างสาเหตุที่กาวหายไป เช่น การนำแสตมป์ที่ขึ้นราเป็นสีเหลืองไปแช่น้ำหรือน้ำยาให้ขาวขึ้น การนำแสตมป์ออกจากอัลบั้มที่เก็บในสมัยก่อนที่ใช้วิธีติดลงบนอัลบั้มโดยตรง การล้างเอาฮินจ์ออก เป็นต้น ซึ่งบางครั้งก็มีความพยายามฉาบเอากาวใหม่เพื่อหลอกว่ากาวยังอยู่ครบ (เรียกว่า regum)
แสตมป์
|
thaiwikipedia
| 2,057 |
การสะสมแสตมป์
|
การสะสมแสตมป์ คือ การเก็บสะสมและรวบรวมแสตมป์ ตลอดจนสิ่งสะสมอื่น ๆ เช่น ซองจดหมาย ถือเป็นงานอดิเรกที่นิยมมาก
== ประเภท ==
ยังไม่ได้ใช้ (unused) เป็นแสตมป์ที่ยังไม่ผ่านการใช้งาน สภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยประทับตราไปรษณีย์ กาวด้านหลังยังคงใช้งานได้
ใช้แล้ว (used) เป็นแสตมปที่ผ่านการใช้งานแล้ว มีรอยประทับตราไปรษณีย์ ไม่มีกาวติดด้านหลังเนื่องจากผ่านการชำระด้วยน้ำ หรืออาจมีอยู่บ้างก็ใช้งานได้ไม่ดี
การสะสมแสตมป์ที่ไม่ได้ใช้ต้องเสียเงินซื้อแสตมป์มาไม่ว่าจากที่ทำการไปรษณีย์หรือร้ายขายแสตมป์ แต่ถ้าสะสมแสตมป์แบบใช้แล้ว ไม่จำเป็นต้องลงทุน สามารถนำซองจดหมายไปแช่น้ำและลอกเอาแสตมป์ที่ติดอยู่ออกมาได้
== การสะสมแสตมป์แบบต่าง ๆ ==
สะสมแสตมป์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งอาจรวมถึงของสะสมอื่นที่ไปรษณีย์นำออกจำหน่าย เช่น ชีทที่ระลึก ซองวันแรกจำหน่าย ซองที่ระลึก บัตรตราไปรษณียากรที่ระลึก และบัตรภาพตราไปรษณียากรด้วย
สะสมสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการไปรษณีย์ เช่น ไปรษณียบัตร จดหมายอากาศ ซองจดหมายมาตรฐาน ป้ายลงทะเบียน และสมุดตราไปรษณียากรเล่มเล็ก
สะสมตราประทับ บนแสตมป์ ซองจดหมาย และไปรษณียบัตร
สะสมแสตมป์ในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง เช่น แสตมป์รูปสัตว์ รูปกีฬา เป็นต้น
== สภาพของแสตมป์ที่สมบูรณ์และวิธีการเก็บรักษา ==
แสตมป์ที่สะสม ถ้ามีสภาพดีจะถือเป็นสิ่งของที่มีมูลค่า สามารถนำไปขายต่อได้ราคาดี ซึ่งสภาพแสตมป์ที่ดี มีดังนี้
ฟันแสตมป์ต้องอยู่ครบ ไม่ขาดหายไปเนื่องจากความผิดพลาดระหว่างการฉีกแสตมป์ออกจากกัน
ไม่มีรอยเหลือง ขึ้นรา สนิม (เชื้อราสีแดง) หรือมีสีซีดลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการเก็บรักษาเป็นส่วนสำคัญ
ไม่มีรอยพับหรือรอยถลอก ไม่ว่าด้านหน้าหรือด้านหลังแสตมป์
สำหรับแสตมป์ที่ยังไม่ใช้ จะต้องมีกาวด้านหลังครบ กรณีที่เป็นแสตมป์เก่าก็อนุโลมให้มีอาจมีรอยฮินจ์ได้
สำหรับแสตมป์ที่ใช้แล้ว ตราประทับต้องไม่เลอะเกินไป
แสตมป์ยังไม่ได้ใช้โดยเฉพาะแสตมป์เก่า ๆ ถ้ามีสภาพดีเหมือนกับที่เพิ่งซื้อจากไปรษณีย์ นิยมเรียกว่าสภาพนอก หรือ mint เนื่องจากทางประเทศทางตะวันตกมีความชื้นต่ำ แสตมป์ไม่ค่อยเหลืองหรือขึ้นรา
แสตมป์ที่ไม่ได้คุณภาพตามที่ระบุไว้ มักมีมูลค่าต่ำลงมาก ดังนั้นเวลาเลือกซื้อหรือคัดเลือกแสตมป์มาสะสมจะต้องสังเกตให้ดี อีกทั้งวิธีการเก็บรักษาแสตมป์ก็มีส่วนสำคัญมาก เพื่อให้แสตมป์เลื่อมสภาพตามกาลเวลาช้าที่สุด
== การเก็บรักษาแสตมป์ ==
โดยมีคำแนะนำในการเก็บดังนี้
เก็บในที่ไม่ชื้น ไม่มีอุณหภูมิสูง ไม่โดนแสงแดด ไม่มีมอดหรือปลวก สำหรับสภาพอากาศในประเทศไทยควรเก็บในห้องปรับอากาศถึงแม้ว่าไม่เปิดเครื่องตลอดวัน ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ
อัลบั้มแสตมป์ที่ใช้ก็ควรเป็นแบบมีเมาท์ในตัว หรือมีการห่อเมาท์เพื่อป้องกัน
วางอัลบั้มแสตมป์ในแนวตั้ง ป้องกันกาวแสตมป์ไปติดกับอัลบั้ม และไม่ให้รอยดุนนูนของแสตมป์รุ่นใหม่ ๆ เลือนหายไป
จับแสตมป์ด้วยปากคีบเท่านั้น
== อุปกรณ์การสะสมแสตมป์ ==
อัลบั้มแสตมป์ สำหรับบรรจุและรักษาสภาพของแสตมป์ มีอยู่หลายชนิดให้เลือกใช้
ปากคีบ (stamp tongs) ใช้สำหรับหยิบจับแสตมป์ ถือเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็น เนื่องจากการจับแสตมป์ด้วยมือ เหงื่อจากนิ้วมือจะทำให้แสตมป์เหลืองและเสื่อมค่าลงหลังจากเก็บแสตมป์ไปหลายปี ปากคีบที่ใช้จะต้องเป็นแบบที่ผลิตสำหรับการสะสมแสตมป์โดยเฉพาะ กล่าวคือ ปลายต้องบางเพื่อสามารถจับแสตมป์ออกจากอัลบั้มได้สะดวก แต่ปลายต้องไม่คมจนทำให้แสตมป์เป็นรอยจากการหยิบจับ
แค็ตตาล็อกแสตมป์ (stamp catalogue) เป็นหนังสือรวบรวมรายละเอียดต่าง ๆ ของแสตมป์ทุกชุดเท่าที่พิมพ์ขึ้นรวมไปถึงราคาซื้อขายด้วย มีการพิมพ์เล่มใหม่ทุก ๆ 2-3 ปี
เมาท์ (mount) และที่ตัดเมาท์ (mount cutter)
อุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีประโยชน์ในการศึกษาแสตมป์
แว่นขยาย (magnifying glass) สำหรับส่องดูรายละเอียดต่าง ๆ บนดวงแสตมป์
มาตรวัดฟันแสตมป์ (perforation gauge) สำหรับวัดขนาดของฟันแสตมป์
หลอดรังสีอัลตราไวโอเล็ต (ultraviolet lamp) สำหรับดูหมึกเรืองแสงที่พิมพ์บนแสตมป์
งานอดิเรก
แสตมป์
|
thaiwikipedia
| 2,058 |
12 มิถุนายน
|
วันที่ 12 มิถุนายน เป็นวันที่ 163 ของปี (วันที่ 164 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 202 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2441 (ค.ศ. 1898) - กองกำลังปฏิวัติของฟิลิปปินส์ นำโดย เอมีลีโอ อากีนัลโด ประกาศเอกราชจากสเปน
พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1942) - อันเนอ ฟรังค์เริ่มเขียนบันทึกระหว่างสงครามของตน ในช่วงที่นาซีเยอรมนียึดครองเนเธอร์แลนด์
พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - รัฐบาลแอฟริกาใต้ตัดสินให้เนลสัน แมนเดลา ผู้นำต่อต้านการถือผิว จำคุกตลอดชีวิต
พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - โรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวปาฐกถาท้าทายมิคาอิล กอร์บาชอฟต่อหน้าสาธารณชน ให้ทำลายกำแพงเบอร์ลินเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงความปรารถนาในเสรีภาพ
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - บอริส เยลต์ซิน ประธานาธิบดีรัสเซียประกาศเอกราชของรัสเซียจากสหภาพโซเวียต
พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) - กลุ่มอาบูไซยาฟบุกจับตัวประกันในโรงพยาบาลในลามิงตัน
พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) - การยุติการออกอากาศโทรทัศน์แอนะล็อกในสหรัฐอเมริกา สถานีโทรทัศน์ทุกช่องในสหรัฐอเมริกา ทำการยุติการออกอากาศโทรทัศน์แอนะล็อก เปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิตอล
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2415 (ค.ศ. 1872) - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรลักษณาวดี (สิ้นพระชนม์ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2469)
พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) - เจ้าวรทัศน์ ณ ลำพูน เจ้านายฝ่ายเหนือ นักการเมืองชาวไทย (อนิจกรรม 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2508)
พ.ศ. 2363 (ค.ศ. 1820) - หม่อมราโชทัย (หม่อมราชวงศ์กระต่าย อิศรางกูร) นักเขียนชาวไทย (ถึงแก่กรรม 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2410)
พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) - วินัย จุลละบุษปะ นักร้องวงสุนทราภรณ์ (ถึงแก่กรรม 14 กันยายน พ.ศ. 2542)
พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) - จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 41 (ถึงแก่กรรม 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561)
พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) - แอนน์ แฟรงค์ เด็กสาวชาวยิวซึ่งเขียนบันทึกประจำวันซึ่งภายหลังถูกตีพิมพ์ทั่วโลก
พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) - เพลิน พรหมแดน นักร้องชาวไทย
พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) - ชิค คอเรีย นักเปียโนแจ๊สชาวอเมริกัน (เสียชีวิต 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564)
พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - อดิเรก วัฏลีลา ผู้อำนวยการสร้าง, ผู้กำกับภาพยนตร์, นักเขียนบท, นักตัดต่อ, นักแสดง
พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) -
* ผอูน จันทรศิริ นักแสดง และผู้กำกับการแสดง
* พอล ชูลซ์ นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - ลอร์เรน ดาวนส์ นักเต้น นางงามชาวนิวซีแลนด์
พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - ไมเคิล เมอห์นีย์ นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) - เม็ดเงิน กระทิงแดงยิม แชมป์โลกมวยสากลชาวไทย
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - ไพลิน รัตนแสงเสถียร นักร้อง
พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - แสงหิรัญ กระทิงแดงยิม นักมวย
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - อาดรียานา ลีมา นางแบบและนักแสดงชาวบราซิล
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) -
* เดบาร่าห์ ซี (เด็บบี้ บาซู)
* แองจิล่า แกรนท์ นักร้อง นักแสดงชาวไทย
* พงศธร ศรีจันทร์ นักร้องชาวไทย
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - บรูโน โซเรียโน นักฟุตบอลชาวสเปน
พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) -
* เดฟ แฟรนโก นักแสดงละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ชาวอเมริกัน
* วิชัย ผาภูวนิน นักฟุตบอลชาวลาว
พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) -
* พิชญ์ กาไชย นักร้อง และนักแสดงชาวไทย
* อันโตนิโอ บาร์รากัน นักฟุตบอลชาวสเปน
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - ฟีลีปี โกชิญญู นักฟุตบอลทีมชาติบราซิล
พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - ยันโต บัซนา นักฟุตบอลชาวอินโดนีเซีย
พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) -
* ดาบินซอน ซันเชซ นักฟุตบอลอาชีพชาวโคลอมเบีย
* ณัฐพล ไรยวงค์ นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - มาร์โค บัลลินี นักฟุตบอลอาชีพชาวไทย
พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) -
* แจ็ก วีล นักแสดงเด็กชาวอังกฤษ
* ณัฐรินีย์ กุศลพัฒน์ ไอดอลชาวไทย สมาชิกวง BNK48
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 2413 (ค.ศ. 1870) - เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี
พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - เกรกอรี เปก นักแสดงชาวอเมริกัน (เกิด พ.ศ. 2459)
พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - มารยาท กระแสสินธุ์ นักเขียนนวนิยายอีโรติกสัญชาติไทย-ฝรั่งเศส (เกิด 19 มกราคม พ.ศ. 2475)
พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) - กาเบรียล เบอร์นัล แชมป์โลกมวยสากลชาวเม็กซิโก (เกิด 24 มีนาคม พ.ศ. 2499)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
วันชาติ - ฟิลิปปินส์
วันชาติ - สหพันธรัฐรัสเซีย
วันต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก (World Day Against Child Labour)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
Today in History: June 12
มิถุนายน 12
มิถุนายน
|
thaiwikipedia
| 2,059 |
เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
|
เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (شىنجاڭ ئۇيغۇر ئاپتونوم رايونى-; 新疆维吾尔自治区) เป็นเขตปกครองตนเองของจีนในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เป็นเขตปกครองใหญ่ที่สุดของจีน เป็นเขตการปกครองชาติที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก กินพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตรและเป็นเขตการปกครองที่มีประชากรมากที่สุดติดอันดับหนึ่งในสิบ มีดินแดนพิพาทอักไสชินที่จีนบริหารอยู่ ซินเจียงมีพรมแดนติดต่อกับประเทศรัสเซีย มองโกเลีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน อัฟกานิสถาน ปากีสถานและอินเดีย นอกจากนี้ยังมีพรมแดนติดต่อกับทิเบต มีน้ำมันสำรองอุดมสมบูรณ์และเป็นภาคที่ผลิตแก๊สธรรมชาติใหญ่ที่สุดของจีน
== ที่ตั้งและอาณาเขต ==
เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์มีพื้นที่ติดต่อดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับ ประเทศคาซัคสถาน ประเทศรัสเซีย และประเทศมองโกเลีย
ทิศใต้ ติดต่อกับ เขตปกครองตนเองทิเบต ประเทศจีน และรัฐชัมมูและกัษมีระ อินเดีย
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ มณฑลชิงไห่ แล มณฑลกานซู ประเทศจีน
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ประเทศคาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน อัฟกานิสถาน และปากีสถาน
== ประวัติศาสตร์ ==
ตั้งแต่สองพันปีก่อนเป็นต้นมา ดินแดนซินเจียงก็เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศจีน ที่มีความเป็นเอกภาพและประกอบด้วยหลายชนชาติ เมื่อ 60 ก่อนคริสต์ศักราช ราชวงศ์ฮั่นได้จัดตั้งองค์กรบริหารซียวี่ เพื่อปกครองเขตซินเจียงโดยตรง ซึ่งมีขอบเขตรวมถึงทะเลสาบปาเอ่อร์คาสือ (巴尔喀什湖) และเขตที่ราบสูงพ่าหมีเอ่อร์ (帕米尔高原) ภายในเวลา 1,000 ปีเศษต่อจากนั้น เขตซินเจียงสังกัดอยู่ในองค์กรบริหารท้องถิ่น ที่จัดตั้งโดยรัฐบาลกลาง
ครั้นถึงราชวงศ์ชิง รัฐบาลกลางได้แต่งตั้งนายพลอีหลี เพื่อปกครองดินแดนซินเจียงทั้งหมดและเมื่อถึงปี พ.ศ. 2427 เขตซินเจียงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมณฑล ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างซินเจียงกับมณฑลต่าง ๆ ในแผ่นดินใหญ่จีนมีความใกล้ชิดยิ่งขึ้น
เดือนกันยายน พ.ศ. 2492 ซินเจียงได้รับการปลดแอกอย่างสันติ จนเมื่อถึงวันที่ 1 ตุลาคม สาธารณรัฐประชาชนจีนได้สถาปนาขึ้น เขตซินเจียงจึงกลายเป็นเขตบริหารระดับมณฑลที่มีอำนาจปกครองตนเองได้เขตหนึ่งของจีน
ประวัติศาสตร์จีนในสมัยโบราณมีมาตั้งแต่สมัยวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผาแดงและเครื่องปั้นดินเผาดำเริ่มต้นการปกครองโดยราชวงศ์เซี่ย ราชวงศ์ซาง ราชวงศ์โจว และราชวงศ์ฉินตามลำดับ และสิ้นสุดลงที่สมัยราชวงศ์ฮั่น ค.ศ. 220
== ภูมิประเทศ ==
มีภูเขาอาเอ่อร์ไท่ซาน ภูเขาเทียนชาน และภูเขาคุนหลุนชานตั้งอยู่จากทิศเหนือไปยังทิศใต้ มีแม่น้ำทาริมซึ่งเป็นแม่น้ำภายในดินแดนที่ไม่ไหลลงทะเลที่ใหญ่ที่สุดของจีน มีทะเลสาบโบสทัง (ทะเลสาบปั๋วซือเถิง) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในซินเจียงและเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน แอ่งตูร์ปัน (แอ่งถูหลู่ฟาน) ซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำสุดของจีน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย ทะเลทรายทากลามากัน (塔克拉玛干沙漠, ทะเลทรายถ่าเคอลาหม่ากาน) เป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดของจีน และอันดับที่สองของโลก และมีทะเลทรายกู๋เอ่อร์ปานทงกู่เท่อ (古尔班通古特沙漠) เป็นทะเลทรายใหญ่อันดับที่สองของจีน อุดมด้วยทรัพยากรน้ำมันปิโตรเลียม แก๊สธรรมชาติ
พื้นที่ 1.66 ล้านตร.กม แบ่งเขตการปกครองเป็น 17 เมือง 70 อำเภอ และ 844 หมู่บ้าน ในจำนวนนี้มีหมู่บ้านชนส่วนน้อยถึง 42 หมู่บ้าน ในเมืองใหญ่ทั้ง 13 เมือง เป็นเขตปกครองตนเองของชนส่วนน้อยถึง 5 เมือง
== การแบ่งเขตการปกครอง ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
รัฐบาลเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
แผนที่เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อุยกูร์
中国国际广播电台
ซินเจียง
ซินเจียง
รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2498
|
thaiwikipedia
| 2,060 |
กีบ (สกุลเงิน)
|
สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการหาคำว่ากีบ ในความหมายอื่น ดู กีบ (แก้ความกำกวม)
กีบ (ກີບ) เป็นหน่วยเงินของประเทศลาว (รหัสสากลตาม ISO 4217 อักษรย่อ LAK) หนึ่งกีบมี 100 อัด (ອັດ) ธนาคารแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นผู้รับผิดชอบพิมพ์เงินตราออกใช้
== ประวัติ ==
===อินโดจีนของฝรั่งเศส===
piastre เคยเป็นสกุลเงินของอินโดจีนของฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1885 ถึง 1952
===กีบลาวเสรี (1946)===
ใน ค.ศ. 1945–1946 รัฐบาลลาวเสรีในเวียงจันทน์ตีพิมพ์ชุดธนบัตรที่มีค่า 10, 20 และ 50 อัดกับ 100 กีบก่อนที่ทางการฝรั่งเศสเข้ามาควบคุมภูมิภาคนี้
===กีบหลวง (1955)===
สกุลเงินกีบนำกลับมาใช้งานใหม่ใน ค.ศ. 1955 แทนที่ piastre ตามมูลค่า กีบหนึ่งแบ่งออกเป็น 100 อัด สกุลเงินนี้ผูกค่าเงินกับฟรังก์ฝรั่งเศสที่อัตรา 10 ฟรังก์ต่อ 1 กีบ
ต่อมาในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1958 มีการเปลี่ยนหน่วยผูกค่าเงินไปเป็นดอลลาร์สหรัฐ และลดค่าจาก 35 ไปเป็น 80 กีบต่อดอลลาร์สหรัฐ: อย่างไรก็ตาม อัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการไม่ได้สะท้อนถึงสภาวะตลาดในขณะนั้น โดยอัตราคู่ขนานจะสูงถึง 600 กีบต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้น ค.ศ. 1963 จากนั้นทางลาวจึงลดค่ากีบอีกครั้งในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1964 และใช้อัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการที่ 240 กีบต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และอัตรา "ตลาดเสรี" ที่ประมาณ 505 กีบต่อ 1 ดอลลาร์สหรััฐ จากนั้นอัตราตลาดเสรีลดลงไปถึง 600 กีต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1971 ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการถูกยุบเลิกในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1972
=== กีบปะเทดลาว (1976) ===
ทางปะเทดลาวเริ่มใช้งานกีบเอกราชในวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1968 โดยหมุนเวียนในพื้นที่ที่กลุ่มควบคุม ธนบัตรสำหรับกีบเอกราชที่ตีพิมพ์ในประเทศจีน ประกอบด้วย 1, 10, 20, 50, 100, 200 และ 500 กีบ
รายงานจาก เสียงปะซาซน สื่อมวลชนของปะเทดลาว หนึ่งกีบเอกราชมีค่าเท่ากับ 6 กีบหลวงในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1975 (สามวันก่อนกลุ่มปะเทดลาวเดินทางเข้าเวียงจันทน์) ข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนในอดีตจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศระบุว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐใน ค.ศ. 1975 มีค่าเท่ากับ 725 กีบหลวง หรือ 120.83 กีบเอกราช
ใน ค.ศ. 1976 รัฐบาลลาวคอมมิวนิสต์ใหม่แทนที่กีบหลวงด้วยกีบเอกราช โดยมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 20 กีบหลวงต่อ 1 กีบเอกราช
=== กีบ สปป. ลาว (1979) ===
ณ วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1979 มีการเปลี่ยนแทนที่อดีตกีบ “เอกราช” ของปะเทดลาวด้วยกีบลาวใหม่ ด้วยอัตราแลกเปลี่ยน 100 ต่อ 1
== เหรียญ ==
== ธนบัตร ==
=== กีบปะเทดลาว (1976) ===
ในพื้นที่ควบคุมของปะเทดลาว มีการตีพิมพ์ธนบัตรใน ค.ศ. 1975 หรือก่อนหน้านั้น และมีค่า 1, 10, 20, 50, 100, 200 และ 500 กีบ
===กีบ สปป. ลาว (1979)===
ใน ค.ศ. 1979 มีการตีพิมพ์ธนบัตรที่มีค่า 1, 5, 10, 20, 50 และ 100 กีบ โดยมีการเพิ่มธนบัตร 500 กีบใน ค.ศ. 1988 ตามมาด้วย 1000 กีบใน ค.ศ. 1992, 2000 และ 5000 กีบใน ค.ศ. 1997, 10,000 และ 20,000 กีบใน ค.ศ. 2002 และ 50,000 กีบในวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 2006 (แม้ว่าจะระบุเป็นปี 2004) ต่อมาในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 มีการตีพิมพ์ธนบัตร 100,000 กีบ เพื่อฉลองครอบรอบ 450 ปีของการก่อตั้งเวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศ และครอบรอบ 35 ปีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ประธานธนาคารแห่ง สปป. ลาว ประกาศในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2012 ว่าทางธนาคารจะตีพิมพ์ธนบัตร 100,000 กีบเป้นฉบับที่ใช้งานทั่วไปในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 (แต่ระบุเป็นปี 2011) เพื่อส่งเสริมให้ชาวลาวใช้สกุลเงินของชาติแทนดอลลาร์สหรัฐและบาทไทย
ณ ค.ศ. 2019 ธนบัตรที่ใช้หมุนเวียนที่มีค่าน้อยที่สุดคือ 500 กีบ
{|class="wikitable" style="font-size: 100%"
!colspan="10"|ชุดปัจจุบัน
|-
! colspan="2"| ภาพ
!rowspan="2"| ค่า
!colspan="2"| รายละเอียด
!rowspan="2"| วันที่ตีพิมพ์
!rowspan="2"| Series Designation
|-
! หน้า !! หลัง !! หน้า !! หลัง
|-
|
|
|₭1
|หน่วยทหารอาสา (ซ้าย) ตราแผ่นดิน (ขวา)
|ห้องเรียน (ซ้าย)
|1979
|P-25a
|-
|
|
|₭5
|การซื้อขาย
|ช้างลากซุง
|1979
|P-26a
|-
|
|
|₭10
|โรงสีไม้ (ซ้าย) ตราแผ่นดิน (ขวา)
|โรงพยาบาล (ซ้าย)
|1979
|P-27a
|-
|
|
|₭20
|ตราแผ่นดิน (ซ้าย) รถถังพร้อมกองทหารแนวตรง (กลาง)
|โรงงานทอผ้า (กลาง)
|1979
|P-28a
|-
|
|
|₭50
|การปลูกข้าว
|เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ
|1979
|P-29a
|-
|
|
|₭100
|การเก็บเกี่ยว
|สะพาน
|1979
|P-30a
|-
|
|
|₭500
|ชลประทาน
|การเก็บเกี่ยวผลไม้
|1988
|P-31a
|-
|
|
|₭1,000
|ผู้หญิงจาก 3 กลุ่มชาติพันธุ์หลักของลาว: ลาวลุ่ม, ลาวสูง และลาวเทิง โดยมีพระธาตุหลวงเป็นฉากหลัง
|ฝูงวัว
|2003
|P-39
|-
|
|
|₭1,000
|ผู้หญิงจาก 3 กลุ่มชาติพันธุ์หลักของลาว: ลาวลุ่ม, ลาวสูง และลาวเทิง โดยมีพระธาตุหลวงเป็นฉากหลัง
|ฝูงวัว
|2008
|P-39a
|-
|
|
|₭2,000
|ประธาน ไกสอน พมวิหาน (1920–1992), วัดเชียงทองที่หลวงพระบาง
|อาคารไฟฟ้าพลังน้ำที่เซเสด
|1997
|
|-
|
|
|₭2,000
|ประธาน ไกสอน พมวิหาน (1920–1992), วัดเชียงทองที่หลวงพระบาง
|อาคารไฟฟ้าพลังน้ำที่เซเสด
|2011
|P-41
|-
|
|
|₭5,000
|ประธาน ไกสอน พมวิหาน; พระธาตุหลวง
|โรงงานซีเมนต์ที่วังเวียง
|2003
|P-34b
|-
|
|
|₭5,000
|ประธาน ไกสอน พมวิหาน; พระธาตุหลวง
|โรงงานซีเมนต์ที่วังเวียง
|2020
|
|-
|
|
|₭10,000
|ประธาน ไกสอน พมวิหาน; พระธาตุหลวง
|สะพานมิตรภาพไทย–ลาว
|2003
|P-35b
|-
|
|
|₭10,000
|ประธาน ไกสอน พมวิหาน; พระธาตุหลวง
|สะพานลาว-นิปปง
|2020
|
|-
|
|
|₭20,000
|ประธาน ไกสอน พมวิหาน; หอพระแก้ว
|โรงไฟฟ้าพลังน้ำเทิน-หีนบูน
|2003
|P-36B
|-
|
|
|₭20,000
|ประธาน ไกสอน พมวิหาน; หอพระแก้ว
|โรงไฟฟ้าพลังน้ำเทิน-หีนบูน
|2020
|
|-
|
|
|₭50,000
|ประธาน ไกสอน พมวิหาน; พระธาตุหลวง
|ทำเนียบประธานาธิบดี
|2004
|P-37
|-
|
|
|₭50,000
|ประธาน ไกสอน พมวิหาน; พระธาตุหลวง
|ทำเนียบประธานาธิบดี
|2020
|
|-
|
|
| ₭100,000
|ประธาน ไกสอน พมวิหาน; พระธาตุหลวง
|อนุสาวรีย์ประธาน ไกสอน พมวิหาน กับพิพิธภัณฑ์ในเวียงจันทน์
| 2011
| P-42
|-
|
|
| ₭100,000
|ประธาน ไกสอน พมวิหาน; พระธาตุหลวง
| ถ้ำเวียงไซที่แขวงหัวพัน
| 2020
|
|}
{|class="wikitable" style="font-size: 100%"
!colspan="10"|ธนบัตรที่ระลึก
|-
! colspan="2"| ภาพ
!rowspan="2"| ค่า
!colspan="2"| รายละเอียด
!rowspan="2"| วันที่ตีพิมพ์
!rowspan="2"| Series Designation
|-
! หน้า !! หลัง !! หน้า !! หลัง
|-
|
|
|₭100,000
|พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช, พระธาตุหลวง, ดอกจำปา และพญานาค
|หอพระแก้ว
|2010
|P-40
|}
==อ้างอิง==
สกุลเงินเอเชีย
ประเทศลาว
เศรษฐกิจของประเทศลาว
|
thaiwikipedia
| 2,061 |
อำเภอ
|
อำเภอ เป็นหน่วยการปกครองระดับที่สองในประเทศไทย ลำดับรองมาจากจังหวัด จัดตั้งขึ้นโดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาค ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มีนายอำเภอ เป็นหัวหน้าปกครอง โดยในแต่ละอำเภอจะแบ่งส่วนย่อยออกเป็น ตำบล
ในปัจจุบันประเทศไทยมี 878 อำเภอใน 76 จังหวัด ซึ่งไม่รวม 50 เขตของกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการบริหารกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2515 จำนวนอำเภอในจังหวัดมีจำนวนต่างกันออกไป ตั้งแต่ 3 อำเภอของจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดภูเก็ต ไปจนถึง 32 อำเภอของจังหวัดนครราชสีมา จำนวนประชากรในแต่ละอำเภอก็มีจำนวนต่างกันไปอีกเช่นกัน เช่น อำเภอเกาะกูด (จังหวัดตราด) มีประชากรเพียง 2,450 คน (พ.ศ. 2557) ขณะที่ อำเภอเมืองสมุทรปราการมีประชากรถึง 525,982 คน อำเภอเกาะสีชัง (จังหวัดชลบุรี) เป็นอำเภอที่มีพื้นที่น้อยที่สุดเพียง 17 ตารางกิโลเมตร ขณะที่อำเภอที่มีพื้นที่มากที่สุด ซึ่งมีประชากรเบาบาง มีภูมิประเทศเป็นภูเขา และมีขนาดใหญ่กว่าจังหวัดบางจังหวัด ได้แก่ อำเภออุ้มผาง (จังหวัดตาก) มีพื้นที่ถึง 4,325.4 ตารางกิโลเมตร
ชื่อของอำเภอต่าง ๆ มักจะไม่ซ้ำกัน ยกเว้นกรณีของอำเภอเฉลิมพระเกียรติ โดยได้รับการประกาศจัดตั้งเป็นอำเภอกรณีพิเศษใน 5 จังหวัด โดยไม่ผ่านการเป็นกิ่งอำเภอ มีการประกาศจัดตั้งขึ้นเมื่อ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี
== การบริหารงาน ==
การบริหารงานอำเภอ มีนายอำเภอ เป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชา และมีหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอที่กระทรวง กรมส่งมาประจำในอำเภอ และปลัดอำเภอ เป็นผู้ช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ มีที่ทำการอยู่ที่ "ที่ว่าการอำเภอ"
=== นายอำเภอ ===
นายอำเภอ เป็นตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ประเภทอำนวยการ ระดับสูง (ระดับ 9) มีอำนาจหน้าที่ในการบังคับบัญชาส่วนราชการในอำเภอ และกำกับดูแลการบริหารงานของเทศบาลตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลในสังกัด
การบรรจุและแต่งตั้งนายอำเภอ จะใช้วิธีการสอบคัดเลือกปลัดอำเภอหรือเทียบเท่า (ระดับชำนาญการพิเศษ) เพื่อเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนนายอำเภอ สังกัดวิทยาลัยการปกครอง เป็นเวลาราว 5 เดือน จากนั้นจึงเรียกบรรจุแต่งตั้งตามลำดับผลการเรียนที่สอบได้
=== ปลัดอำเภอ ===
ปลัดอำเภอ (เจ้าพนักงานปกครอง) เป็นตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ (ระดับ 3-5) ระดับชำนาญการ (ระดับ 6-7) จนถึงระดับชำนาญการพิเศษ (ระดับ 8) มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยปฏิบัติงานของนายอำเภอ
การบรรจุและแต่งตั้งปลัดอำเภอ (เจ้าพนักงานปกครอง) ระดับปฏิบัติการ จะใช้วิธีการเปิดสอบแข่งขันจากบุคคลทั่วไปที่มีคุณวุฒิทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ บริหารรัฐกิจ หรือสาขาอื่นๆ ที่กำหนดให้สมัครได้ ส่วนปลัดอำเภอ (เจ้าพนักงานปกครอง) ระดับชำนาญการพิเศษ หรือเรียกว่า "ปลัดอาวุโส" จะใช้วิธีการสอบคัดเลือกเพื่อประเมินเข้าสู่ตำแหน่ง
=== ที่ว่าการอำเภอ ===
การบริหารงานของอำเภอตั้งอยู่ในอาคารสำนักงานที่เรียกว่า ที่ว่าการอำเภอ ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางของแต่ละอำเภอ ดังนั้น การวัดระยะทางจากถนนก็จะวัดจากที่ว่าการอำเภอเป็นหลัก ที่ว่าการอำเภอมักจะตั้งอยู่ในชุมชนที่ใหญ่ที่สุดของอำเภอ เพื่อให้กลุ่มประชากรในชุมชนที่มีอยู่มากสามารถเดินทางมาติดต่อได้สะดวก
== อำเภอเมือง ==
อำเภอเมือง เป็นอำเภอพิเศษ มีลักษณะคล้ายกับเมืองหลวงของจังหวัด จะเป็นที่ตั้งของหน่วยงานสำคัญระดับจังหวัด (รวมทั้งศาลากลางจังหวัดด้วย) อำเภอเมืองจึงมักจะมีความเจริญ และประชากรหนาแน่นกว่าอำเภออื่น ๆ ในภาษาราชการ อำเภอเมืองในแต่ละจังหวัดจะต้องเรียกชื่อโดยมีชื่อจังหวัดต่อท้าย เช่น อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ อำเภอเมืองมุกดาหาร อำเภอเมืองร้อยเอ็ด อำเภอเมืองมหาสารคาม อำเภอเมืองขอนแก่น เป็นต้น ประชากรในบางจังหวัด จะไม่นิยมเรียกอำเภอเมืองของตนว่าอำเภอเมือง แต่มักจะเรียกชื่อจังหวัดนั้น ๆ แทน เช่น ไปขอนแก่น สำหรับคนในจังหวัดขอนแก่น ย่อมหมายถึง เดินทางไปอำเภอเมืองของจังหวัดขอนแก่น (หรืออาจเรียกชื่ออื่นในท้องถิ่นแทน) เช่น โคราชหรือบ้านดอน
เดิมอำเภอที่ตั้งจังหวัดบางแห่งไม่มีคำว่า เมือง อยู่ในชื่อ ในขณะที่บางอำเภอที่ไม่ได้เป็นอำเภอที่ตั้งจังหวัด จะมีคำว่า เมือง อยู่ในชื่อด้วย เช่น อำเภอเมืองพิมาย จังหวัดนครราชสีมา จนต่อมาในปี พ.ศ. 2481 อำเภอที่ตั้งจังหวัดได้เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอเมือง ในขณะที่อำเภอที่เหลือที่ไม่ใช่ที่ตั้งจังหวัดได้เปลี่ยนโดยเอาคำว่า เมือง ออกจากชื่อ ปัจจุบัน มีเพียงจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่อำเภอที่ตั้งตัวจังหวัดไม่ใช้คำว่า อำเภอเมือง ได้แก่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งตัวจังหวัดตั้งอยู่ที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา (เดิมชื่ออำเภอรอบกรุง ต่อมาเปลี่ยนเป็นอำเภอกรุงเก่าใน พ.ศ. 2460 และเปลี่ยนมาใช้ชื่ออำเภอพระนครศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2500)
ส่วนใหญ่อำเภอเมืองจะเป็นอำเภอที่มีประชากรมากที่สุดในจังหวัด โดยหน่วยงานสำคัญของจังหวัดก็จะตั้งอยู่ในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดนี้ด้วย ยกเว้นในบางจังหวัดเช่น อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งมีการเจริญเติบโตรวดเร็วกว่าอำเภอเมืองสงขลา หรือ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากมีการเชื่อมโยงการคมนาคมที่ดี และเป็นย่านเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ยังมีอำเภอที่ไม่ใช่อำเภอที่ตั้งจังหวัด แต่มีคำว่า เมือง อยู่ในชื่อ ได้แก่ อำเภอเมืองจันทร์ จังหวัดศรีสะเกษ, อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง, อำเภอเมืองยาง จังหวัดนครราชสีมา และอำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นกิ่งอำเภอเมื่อระหว่างปี พ.ศ. 2516 และ พ.ศ. 2538
== กิ่งอำเภอ ==
กิ่งอำเภอ เป็นส่วนราชการที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐไปปฏิบัติงานประจำอยู่ มีฐานะเป็นส่วนย่อยของอำเภอ แต่ใหญ่กว่าตำบล โดยอำเภอหนึ่ง ๆ อาจแบ่งพื้นที่ออกเป็นกิ่งอำเภอได้ตามความจำเป็นในการปกครอง และในเวลาต่อมา หากกิ่งอำเภอหนึ่ง ๆ มีชุมชนและชุมนุมการค้าหนาแน่นหรือมีสภาพเจริญขึ้นกว่าเดิมมาก ก็จะมีพระราชกฤษฎีกายกฐานะกิ่งอำเภอนั้นขึ้นเป็นอำเภอ อำเภอในประเทศไทยที่ตั้งขึ้นในสมัยหลังมานี้จึงมักจะผ่านการเป็นกิ่งอำเภอมาก่อน มีไม่กี่แห่งที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นอำเภอทันที
ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการยกฐานะกิ่งอำเภอทั้งหมดขึ้นเป็นอำเภอทั้งหมด จึงทำให้ประเทศไทยในขณะนี้ไม่มีเขตการปกครองในระดับกิ่งอำเภอ
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
อำเภอของประเทศไทย
หน่วยการบริหารของประเทศไทย
|
thaiwikipedia
| 2,062 |
พระราชกฤษฎีกา
|
พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) หรือ รัฐกฤษฎีกา (decree) คือบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนด เพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี มีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมาย และพระราชกำหนด
== การตราพระราชกฤษฎีกา ==
การตราพระราชกฤษฎีกา รัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องจะอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดนั้น ๆ เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณา โดยร่างพระราชกฤษฎีกานั้น จะต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดที่เกี่ยวข้อง
เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว จะต้องนำร่างพระราชกฤษฎีกา ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์เพื่อทรงตราพระราชกฤษฎีกานั้น ๆ
นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จากนั้นจึงนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา บังคับใช้ต่อไป
== พระราชกฤษฎีกาที่สำคัญ ==
พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ 2566
พระราชกฤษฎีกาให้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562
พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556
พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2549
พระราชกฤษฎีกา เรียกประชุม/ปิดประชุม/ขยายเวลาประชุม สภาผู้แทนราษฎร
บ่อเกิดของกฎหมาย
เอกสารทางกฎหมาย
|
thaiwikipedia
| 2,063 |
จังหวัด
|
จังหวัด หรือมณฑล (province) คือชื่อเรียกหน่วยการปกครองระดับหนึ่ง โดยปกติจะเป็นระดับใหญ่ที่สุดในประเทศ หรือรัฐ (ลำดับแรกในการแบ่งการปกครอง) คำว่าจังหวัดใช้เรียก province ในประเทศไทย ส่วนมณฑลใช้กับบางประเทศ เช่น มณฑลยูนนาน (Yunnan Province) ในประเทศจีน หรือ
== จำนวนจังหวัด (หรือมณฑล) ในแต่ละประเทศ ==
== อ้างอิง ==
|
thaiwikipedia
| 2,064 |
แม่น้ำตาปี
|
แม่น้ำตาปี เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของประเทศไทย มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหลวง อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช และไหลสู่อ่าวไทยที่อ่าวบ้านดอน อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี
== ประวัติ ==
ชื่อแม่น้ำตาปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2458 โดยมี มหาอำมาตย์โท พระยามหาอำมาตยาธิบดี เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ลงนามสนองฯ ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2458
เดิมมีชื่อว่า "แม่น้ำหลวง" เพราะมีต้นกำเนิดอยู่ที่ภูเขาหลวงซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขานครศรีธรรมราช อยู่ในเขตพื้นที่ อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ไหลผ่านอำเภอฉวาง อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ผ่าน อำเภอพระแสง อำเภอเวียงสระ อำเภอบ้านนาสาร อำเภอเคียนซา อำเภอพุนพิน และไหลออกสู่อ่าวไทยที่อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดของภาคใต้
ด้วยแม่น้ำสายนี้ มีความยาวครอบคลุมพื้นที่มาก ชาวพื้นเมือง จึงเรียกชื่อแตกต่างกันไปตามสถานที่ เช่น เมื่อผ่านอำเภอพุนพิน เรียกแม่น้ำท่าข้าม ด้วยความที่เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในมณฑลปักษ์ใต้ ตลอดสายแห่งลุ่มแม่น้ำสายนี้จึงอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก การค้าขาย จัดเป็นแม่น้ำสายสำคัญอีกสายหนึ่งของราชอาณาจักรสยามในเวลานั้น
เมื่อรัชกาลที่ 6 เสด็จไปประทับ ณ พระตำหนักสวนสราญรมย์ ตำบลท่าข้าม ได้พระราชทานชื่อเมืองไชยาเป็นเมืองสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2458 และมีพระราชดำรัสว่าสมควรที่เปลี่ยนชื่อแม่น้ำในตัวเมืองสุราษฎร์ธานี ตลอดทั้งลำน้ำตั้งปากน้ำที่ออกสู่ทะเล ถึงเกาะปราบ ปากแม่น้ำพุมดวง คลองสินปุน คลองกะเบียด จนถึงสันเขาหลวง ว่า แม่น้ำตาปี
การตั้งชื่อแม่น้ำนี้ คล้ายกับชื่อแม่น้ำ ตาปติ และ เมืองสุรัฎฐ (สุราษฎร์) ในประเทศอินเดีย ซึ่งแม่น้ำตาปติมีต้นกำเนิดจากภูเขาสัตตปุระ ไหลลงสู่มหาสมุทรอินเดียที่อ่าวแคมเบย์ ปากแม่น้ำนี้มีเมืองชื่อว่า สุรัฎฐ์ ตั้งอยู่ ซึ่งสภาพของเมืองทั้งสองอาจคล้ายคลึงกัน ประกอบกับทรงทราบว่า ชาวเมืองไชยาเป็นผู้มีคุณธรรม ตั้งมั่นในพระธรรมศาสนาสอดคล้องกับ ความหมายของคำว่า สุราษฎร์ธานี และได้พระราชทานนามพระตำหนักที่ชาวเมืองสร้างถวายเป็นที่ประทับบนเนินท่าข้ามว่า สวนสราญรมย์ ซึ่งปัจจุบัน เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลสวนสราญรมย์
== คลองสาขา ==
แม่น้ำตาปี เกิดจากเทือกเขาหลวงในอำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราชไหลผ่าน อำเภอฉวาง อำเภอบ้านนาสาร อำเภอเวียงสระ อำเภอทุ่งใหญ่ อำเภอพระแสง อำเภอเคียนซา อำเภอพุนพิน และอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ไหลออกสู่ทะเลที่อ่าวบ้านดอน แม่น้ำตาปี มีความยาวทั้งหมดประมาณ 232 กิโลเมตร มีคลองสาขาที่สำคัญ 6 สาย ได้แก่
ห้วยฉวาง ต้นน้ำอยู่ในอำเภอบ้านนาสาร ไหลผ่านอำเภอบ้านนาสารหลายตำบล บรรจบแม่น้ำตาปีที่ตำบลท่าชี เรียกว่าปากหวางหรือว่าปากจน
ห้วยคลองสินปุน ต้นน้ำอยู่ในเขตจังหวัดกระบี่ ไหลมารวมกับแม่น้ำตาปี ทางฝั่งซ้ายในตำบลสินปุน อำเภอพระแสง
ลำอิปัน ต้นน้ำมาจากอำเภอทับปุด จังหวัดพังงา ไหลมารวมกับแม่น้ำตาปีทางฝั่งซ้ายในตำบลสินปุน อำเภอพระแสง
คลองพุนพิน แยกจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำตาปี ใกล้สะพานรถไฟพระจุลจอมเกล้า ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน ไปออกทะเลที่อ่าวบ้านดอน
คลองท่ากูบ ต้นน้ำมาจากบ้านขุนทะเล ไหลมารวมกับแม่น้ำตาปีทางฝั่งขวา
คลองมะขามเตี้ย ต้นน้ำมากจากบึงขุนทะเล ไหลมารวมกับแม่น้ำตาปี ทางฝั่งขวาใกล้ตลาดบ้านดอน อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี
คลองขวาง แยกจากฝั่งซ้ายตรงกันข้ามกับหน้าตลาดบ้านดอน อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ไปบรรจบกับคลองพุนพิน ที่ตำบลลิเล็ด อำเภอพุนพิน
ห้วยน้ำศก ซึ่งมีต้นน้ำมาจากอุทยานแห่งชาติเขาสก คลองยัน ซึ่งมีต้นกำเนิดจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกรุง
แม่น้ำพุมดวง ซึ่งมีต้นน้ำที่อำเภอบ้านตาขุน
มีเขื่อนกั้นคลองแสงลำน้ำสาขาของแม่น้ำพุมดวงคือ เขื่อนรัชชประภา จากนั้นจึงไหลมาบรรจบ แม่น้ำตาปี ที่บริเวณ สถานีรถไฟสุราษฎร์ธานีอำเภอพุนพิน ก่อนแยกไปเป็นลำน้ำสาขาคือ คลองพุนพิน บริเวณ สะพานพระจุลจอมเกล้า หรือ ป้ายหยุดรถไฟสะพานพระจุลจอมเกล้า เป็นป้ายหยุดรถไฟชั่วคราว
== ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ==
จากคลองสาขาที่มาจากจังหวัดกระบี่ และจังหวัดพังงา เป็นเส้นทางสำคัญในยุคอาณาจักรศรีวิชัย ที่ชาวต่างชาติใช้เป็นเส้นทางในการลำเลียงสินค้าจากทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย ขึ้นฝั่งยังบริเวณอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา มาสู่อ่าวไทยที่บริเวณปากแม่น้ำพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีเส้นทางที่สำคัญอย่างน้อย 4 เส้นทาง คือ
จากทุ่งตึกผ่านทางคลองเหล ผ่านมาทางเขาสก เข้าคลองพุมดวง เข้าแม่น้ำตาปี และมาออกที่อ่าวบ้านดอน
จากคณะมะรุ่ยผ่านทางคลองชะอุ่น คลองสก คลองพุมดวง แม่น้ำตาปี แล้วออกทางอ่าวบ้านดอน
จากคลองปกาสัย ผ่านคลองโตรม คลองอิปัน ออกแม่น้ำตาปี แล้วต่อมาออกอ่าวบ้านดอน
จากคลองท่อมผ่านคลองสินปุน ออกแม่น้ำตาปี และอ่าวบ้านดอน
== การใช้ประโยชน์ ==
ปัจจุบัน แม่น้ำตาปี ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในหลายด้าน ทั้งการอุปโภค บริโภค และการนันทนาการท่องเที่ยว
เขื่อนรัชชประภา
เป็นเขื่อนผลิตพลังงานไฟฟ้า กั้นแม่น้ำตาปีบริเวณต้นน้ำคลองศก ระดับน้ำในเขื่อนสูงสุดที่ 100 เมตร นำน้ำที่เก็บไว้สำหรับการผลิตไฟฟ้า และการชลประทานสำหรับพื้นที่อำเภอพนม และอำเภอคีรีรัฐนิคม
ล่องแก่งคลองยัน-คลองศก
ในอุทยานแห่งชาติแก่งกรุง ได้จัดกิจกรรมล่องแก่งชมธรรมชาติสองข้างทางของคลองยันที่ไหลผ่านบริเวณพื้นที่อุทยาน และในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาสก มีเอกชนจ้ดกิจกรรมล่องห่วงยางไปตามลำน้ำคลองสก เป็นกิจกรรมนันทนาการท่องเที่ยวในพื้นที่
การอุปโภคบริโภค
โดยนำน้ำจากแม่น้ำตาปี เป็นแหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปา นอกจากนี้ยังมีโรงงานที่ตั้งขึ้นสองฝั่งแม่น้ำที่ใช้น้ำจากแม่น้ำตาปี ในการอุปโภคและบริโภคจำนวนมาก
== อ้างอิง ==
ชมนก ตกปู
ตาปี
ตาปี
อำเภอพิปูน
อำเภอฉวาง
อำเภอทุ่งใหญ่
อำเภอพระแสง
อำเภอเวียงสระ
อำเภอบ้านนาสาร
อำเภอเคียนซา
อำเภอพุนพิน
อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี
|
thaiwikipedia
| 2,065 |
รถไฟฟ้าบีทีเอส
|
รถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา หรือ รถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือในชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า รถไฟฟ้าบีทีเอส เป็นระบบรถไฟฟ้ายกระดับแห่งแรกของประเทศไทย ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี ดำเนินการโดยบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ภายใต้สัมปทานของกรุงเทพมหานคร เริ่มเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ณ ปี พ.ศ. 2564 เปิดให้บริการทั้งหมด 60 สถานี ระยะทางรวม 68.25 กิโลเมตร โดยแบ่งออกเป็นสองเส้นทาง คือ สายสุขุมวิท ประกอบด้วย 47 สถานี มีปลายทางคือสถานีคูคตกับสถานีเคหะฯ และสายสีลม ประกอบด้วย 14 สถานี มีปลายทางคือสถานีสนามกีฬาแห่งชาติกับสถานีบางหว้า ทั้งสองสายมีจุดเชื่อมต่อกันที่สถานีสยาม
== ประวัติ ==
รถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นระบบรถไฟฟ้าที่ดำเนินการแยกต่างหากจากรถไฟฟ้ามหานคร โดยเกิดขึ้นจากการอนุมัติของกรุงเทพมหานคร ในสมัยพลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เนื่องจากขณะนั้นในกรุงเทพมหานครไม่มีระบบขนส่งมวลชนทางราง มีการศึกษาโครงการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าหลายระบบเช่น รถไฟฟ้าลาวาลิน แต่มีแนวโน้มไม่ได้รับการอนุมัติการก่อสร้างจาก คณะรัฐมนตรี ขณะที่การจราจรในกรุงเทพมหานคร ติดขัดอย่างหนัก เนื่องจากปริมาณรถยนต์ที่สะสมเพิ่มมากขึ้น
ต่อมากรุงเทพมหานครอนุมัติสัมปทานการก่อสร้างและจัดการเดินรถให้กับ บริษัท บางกอก ทรานซิส ซิสเท็ม จำกัด หรือ บีทีเอส (ปัจจุบัน คือ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)) อันเป็นกิจการค้าร่วมระหว่าง บริษัท ธนายง จำกัด (ปัจจุบัน คือ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)) ของคีรี กาญจนพาสน์ กับ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ซิโต จำกัด และ ดิคไคโฮฟฟ์ แอนด์ วิดมันน์ (Dyckerhoff & Widmann AG) จากประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2535
ในช่วงแรกมีการวางแผนกำหนดเส้นทางไว้ 2 สาย ได้แก่ สายอนุสาวรีย์ เริ่มต้นจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปจนถึงแยกถนนสุรศักดิ์ และสายสุขุมวิท เริ่มต้นจากแยกคลองตัน ไปจนถึงแยกปทุมวัน ขณะที่อู่ซ่อมบำรุงวางแผนให้สร้างบริเวณพื้นที่สวนลุมพินี แต่ปรากฏว่าประชาชนที่ออกกำลังกายในสวนลุมพินีเป็นประจำได้รวมตัวกันประท้วงทางบริษัทว่าเป็นการผิดพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไว้จัดสร้างเพื่อเป็นสวนสาธารณะของประชาชน นอกจากนั้นยังมีการประท้วงขอให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการสร้างรถไฟฟ้าจากโครงสร้างยกระดับลอยฟ้าเป็นอุโมงค์ใต้ดิน จึงมีการพิจารณาเปลี่ยนสถานที่ตั้งโรงซ่อมบำรุงอยู่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ว่างในซอยรางน้ำของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ บริเวณย่านช่องนนทรี หรือบริเวณโรงสูบน้ำพระโขนง ซอยสุขุมวิท 50 แต่แล้วในที่สุดกรุงเทพมหานครจึงได้มีการย้ายสถานที่ก่อสร้างอู่ซ่อมบำรุงไปใช้ที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นที่ทำการของสถานีขนส่งสายเหนือเดิม (ขนส่งหมอชิต) ใกล้กับสวนจตุจักร รวมถึงปรับขยายและเปลี่ยนแนวเส้นทางใหม่ โดยสายสุขุมวิทขยายแนวเส้นทางจากแยกปทุมวันไปจนถึงถนนพหลโยธิน บริเวณสถานีขนส่งหมอชิต และเปลี่ยนแนวเส้นทางจากแยกคลองตันมาสิ้นสุดบริเวณถนนสุขุมวิท 77 สายอนุสาวรีย์ เปลี่ยนชื่อเป็น สายสีลม และเริ่มต้นแนวเส้นทางจากถนนพระรามที่ 1 บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ ไปจนถึงถนนสาทรบริเวณสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน โดยในช่วงแรกก่อนเปิดทำการ รถไฟฟ้าสายนี้ใช้ชื่อว่า รถไฟฟ้าธนายง ตามชื่อบริษัทที่ได้รับสัมปทาน
รถไฟฟ้าธนายงได้รับการพระราชทานนามอย่างเป็นทางการว่า "เฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา" อันเป็นนามที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานเพื่อเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของโครงการรถไฟฟ้าธนายงช่วงแรก ได้แก่ช่วงอ่อนนุช-หมอชิต และช่วงสะพานตากสิน-สนามกีฬาแห่งชาติ และยังทรงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญตราสัญลักษณ์เฉลิมพระเกียรติ งานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 มาประดิษฐาน ณ จุดสิ้นสุดโครงการทั้งสี่ช่วง จุดกึ่งกลางของโครงการอันได้แก่สถานีสยาม และที่อาคารสำนักงานใหญ่ของบีทีเอสซี เพื่อให้โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ อันเป็นพระราชพิธีมหามงคลยิ่งในปีที่เปิดทำการ โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ แทนพระองค์ ทรงเป็นประธานในพิธีเปิดการเดินรถ และกดปุ่มเปิดระบบรถไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 ณ สถานีสยาม ภายหลังรถไฟฟ้าสายนี้ได้รับการเรียกชื่อจากประชาชนทั่วไปว่า รถไฟฟ้าบีทีเอส ตามชื่อย่อของ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี
ต่อมารถไฟฟ้าบีทีเอสได้มีการก่อสร้างส่วนต่อขยายออกไปเพิ่มเติมอีก 5 ระยะ สามระยะแรกเป็นส่วนต่อขยายที่ดำเนินการก่อสร้างโดยกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย
ส่วนต่อขยายสายสีลม ช่วงตากสิน - เพชรเกษม ระยะที่ 1 จากสถานีสะพานตากสิน ถึงสถานีวงเวียนใหญ่ ระยะทาง 2.2 กิโลเมตร โดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่เดิมได้มีการเตรียมพื้นที่พร้อมเสาเข็มไว้สำหรับโครงการรถไฟฟ้าลาวาลินที่ถูกยกเลิกสัมปทาน และทางยกระดับช่วงแยกเจริญนคร - วุฒากาศที่เตรียมไว้สำหรับโครงการรถโดยสารลอยฟ้าที่ถูกยุบ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ทำให้เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาสายแรกของประเทศไทย
ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท ระยะที่ 1 ช่วงอ่อนนุช - แบริ่ง (ลาซาล) จากสถานีอ่อนนุช ถึงสถานีแบริ่ง ระยะทาง 5.7 กิโลเมตร เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ส่วนต่อขยายสายสีลม ช่วงตากสิน - เพชรเกษม ระยะที่ 2 จากสถานีวงเวียนใหญ่ ถึงสถานีบางหว้า ระยะทาง 5.3 กิโลเมตร เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 (สถานีโพธิ์นิมิตร) และ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 (สถานีตลาดพลู) โดยใช้รถไฟฟ้า EMU-A1 จำนวน 2 ขบวนต่อพ่วงเป็นรถ 6 ตู้ ให้บริการแบบ Shuttle Train ที่ชานชาลาที่ 3 เพียงชานชาลาเดียว ก่อนเปิดให้บริการครบทั้งเส้นทางเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556
อีกสองระยะเป็นส่วนต่อขยายที่ดำเนินการก่อสร้างโดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โดยกรุงเทพมหานครได้รับโอนโครงการตามบันทึกข้อตกลงตามสัญญาว่าด้วยความเข้าใจกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ประกอบไปด้วย
ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทส่วนใต้ (เขียวใต้) จากสถานีแบริ่ง ถึงสถานีเคหะฯ ระยะทาง 12.6 กิโลเมตร เปิดให้บริการครั้งแรกในส่วนของสถานีสำโรงเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560 ก่อนเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561
ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทส่วนเหนือ (เขียวเหนือ) จากสถานีหมอชิต ถึงสถานีคูคต ระยะทาง 17.8 กิโลเมตร เปิดให้บริการครั้งแรกในส่วนของสถานีห้าแยกลาดพร้าว เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2562 และเปิดต่อไปยังสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2562 และไปจนถึงสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ก่อนเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2563
นอกจากส่วนต่อขยายทั้ง 5 ส่วนแล้ว รถไฟฟ้าบีทีเอสยังมีแผนส่วนต่อขยายอีกทั้งหมด 4 ส่วน คือส่วนต่อขยายสายสีลมส่วนใต้ จากสถานีบางหว้า ถึงสถานีบางรักน้อยท่าอิฐ เพื่อไปเชื่อมกับรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม, ส่วนต่อขยายสายสีลมส่วนตะวันตก จากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ถึงสถานียศเส เพื่อไปเชื่อมกับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้ม, ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทส่วนใต้ (เขียวใต้) ระยะที่ 2 จากสถานีเคหะฯ ถึงสถานีบางปู และส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทส่วนเหนือ (เขียวเหนือ) ระยะที่ 3 จากสถานีคูคต ถึงสถานีลำลูกกา ทำให้หากสร้างแล้วเสร็จครบทุกส่วน รถไฟฟ้าบีทีเอสจะมีระยะเส้นทางระบบขนส่งมวลชนเมื่อรวมทั้งสองสายเข้าด้วยกันอยู่ที่ 89 กิโลเมตร ซึ่งจะทำให้เป็นโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
=== การอนุมัติสัมปทานฉบับใหม่ พ.ศ. 2555 ===
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 กรุงเทพมหานคร ได้อนุมัติสัญญาสัมปทานกับ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ในรูปแบบ PPP-Netcost เป็นระยะเวลา 30 ปี เพื่อให้ดำเนินงานในส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทระยะที่ 1 ช่วงอ่อนนุช - แบริ่ง ตลอดจนส่วนต่อขยายในอนาคตที่กรุงเทพมหานครเป็นผู้ก่อสร้าง คือ ส่วนต่อขยายสายสีลมระยะที่ 2 ช่วงวงเวียนใหญ่ - บางหว้า และส่วนต่อขยายในอนาคตที่ รฟม. เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง คือ ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทระยะที่ 2 ช่วงแบริ่ง - เคหะสมุทรปราการ และส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทระยะที่ 3 ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต รวมถึงส่วนสัมปทานเดิมของบีทีเอสซี ที่จะหมดสัญญาลงใน พ.ศ. 2572 รวมระยะทางทั้งสิ้น 89 กิโลเมตร แต่เพื่อลดความจำเป็นในการจัดตั้งศูนย์ซ่อมบำรุง และการจัดหาขบวนรถไฟฟ้า กรุงเทพธนาคมจึงลงสัญญาว่าจ้างให้ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี เข้ามาเป็นผู้บริหารและดูแลซ่อมแซมโครงการ (Operation & Maintenance) เพื่อให้บีทีเอสซีสามารถนำขบวนรถชุดเดิมที่มีอยู่แล้วเข้ามาให้บริการในส่วนต่อขยายทั้งหมดโดยผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนขบวนรถ
อย่างไรก็ดี พรรคเพื่อไทย ได้พบความผิดปกติของสัญญาสัมปทานและสัญญาว่าจ้างฉบับนี้ จึงได้ยื่นเรื่องนี้ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อให้มีการสอบสวนเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากอาจขัดต่อ พ.ร.บ. ฮั้วประมูล พ.ศ. 2542 ในข้อหาร่วมกันประกอบกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภค (กิจการรางรถไฟ) โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือได้รับสัมปทานจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่พบว่าบีทีเอสซีได้รับการเชิญชวนจากเอกสารที่มีการเปิดเผย โปร่งใส จึงปัดตกคดีและไม่มีการสั่งฟ้อง
=== การต่อสัมปทานโครงการ และปฏิบัติการทวงหนี้ออกสื่อ ===
เพื่อให้การเดินรถเป็นไปอย่างต่อเนื่อง (Through Operation) ตามนโยบายหนึ่งสายหนึ่งผู้ให้บริการ (One Line, One Operator) ของนายกรัฐมนตรี ใน พ.ศ. 2558 กรุงเทพมหานครจึงยื่นเรื่องไปที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อขอให้มีการพิจารณาโอนย้ายโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในส่วนที่เป็นของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เข้ามาเป็นของกรุงเทพมหานครทั้งหมด ซึ่งจะเป็นผลให้ กรุงเทพธนาคม สามารถเปิดให้บริการได้อย่างต่อเนื่องภายใต้สัญญาสัมปทานฉบับ พ.ศ. 2555 โดยไม่ต้องเปิดประมูลหาเอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการ
ใน พ.ศ. 2559 จึงมีการลงนามในสัญญาว่าด้วยความเข้าใจ ระหว่างกรุงเทพมหานคร กับ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เพื่อโอนย้ายโครงการทั้งหมดไปเป็นของกรุงเทพมหานคร โดยกรุงเทพมหานคร จะรับผิดชอบงบประมาณค่าก่อสร้างทั้งหมด โดยไม่รวมดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินและการเวนคืนที่ดิน อย่างไรก็ดีการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้แจ้งกลับว่ากรุงเทพมหานครต้องชำระค่ากรรมสิทธิ์และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของโครงการรวม 3,557 ล้านบาท ก่อนเข้าดำเนินโครงการ แต่กรุงเทพมหานครกลับแสดงเจตจำนงค์ในการขอชำระค่างานก่อสร้างรวมถึงค่าธรรมเนียมทั้งหมดตั้งแต่ พ.ศ. 2572 เป็นต้นไป จึงทำให้จำนวนเงินที่ต้องชำระรวมดอกเบี้ยขึ้นสูงถึงแสนล้านบาท ในสมัยพลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จึงมีแนวคิดที่จะให้เอกชนมารับผิดชอบภาระหนี้สินแทนกรุงเทพมหานคร โดยการนำโครงการเข้ากระบวนการสรรหาเอกชนเข้ามาดำเนินการในรูปแบบของสัญญาการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับเอกชน หรือ PPP แทน
อย่างไรก็ตาม แผนทั้งหมดถูกสั่งระงับเนื่องจากมีการใช้ มาตราที่ 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ในการออกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2562 เรื่องการดำเนินการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยให้กระทรวงมหาดไทยตั้งคณะอนุกรรมการอันประกอบด้วย ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อัยการสูงสุด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินและด้านระบบรถไฟฟ้า ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งด้านละหนึ่งคน เป็นกรรมการ และปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นกรรมการและเลขานุการ ขึ้นมาเพื่อเจรจากับบีทีเอสซี และกรุงเทพธนาคม ผลการเจรจาเบื้องต้น บีทีเอสซียื่นข้อเสนอว่าบริษัทยินดีรับผิดชอบหนี้สินที่เกิดขึ้นทั้งหมดแทนกรุงเทพมหานคร และยินดีตรึงอัตราค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน 65 บาท จากอัตราค่าโดยสารสูงสุดที่บีทีเอสซีศึกษาไว้ คือ 148 บาท แต่ทั้งนี้กรุงเทพมหานครจะต้องอนุมัติสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสออกไปอีก 40 ปี โดย 10 ปีแรกให้เป็นช่วงลงทุนโดยที่บีทีเอสซีลงทุนในส่วนของระบบรถไฟฟ้าซึ่งเดิมบีทีเอสซีรับจ้างติดตั้งระบบให้กรุงเทพธนาคมตามสัญญาว่าจ้าง และกรุงเทพมหานครลงทุนในส่วนงานโยธาโดยการชำระเงินค่าก่อสร้างคืนให้บีทีเอสซีเป็นรายงวดจนครบ
ส่วนการบริการในช่วง 10 ปีแรก จะดำเนินการแยกกัน คือส่วนสัมปทานเดิม และส่วนต่อขยายสายสีลมระยะที่ 1 (สะพานตากสิน - วงเวียนใหญ่) เป็นส่วนภายใต้ความรับผิดชอบของบีทีเอสซี และส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทระยะที่ 1-2 (อ่อนนุช - เคหะฯ) และส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทระยะที่ 3 (หมอชิต - คูคต) เป็นส่วนภายใต้ความรับผิดชอบของกรุงเทพธนาคม ตามเดิม เนื่องจากบีทีเอสซีได้ขายรายได้ในอนาคตทั้งหมดของส่วนสัมปทานให้ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) ไปแล้วเมื่อ พ.ศ. 2556 จึงไม่สามารถดำเนินการอันใดได้จนกว่ากองทุนจะหมดอายุใน พ.ศ. 2572 จากนั้นจะเป็นการรีเซ็ตสัมปทาน และรวมเส้นทางส่วนต่อขยายทุกสายทางเข้าเป็นสัมปทานเดียวกันแล้วนับหนึ่งใหม่จากวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2572 ไป 30 ปี จนถึงวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2602
ภายหลังรัฐสภาได้มีการจัดตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า เพื่อศึกษากรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีคำสั่งให้กรุงเทพมหานครต่อสัญญาสัมปทานให้บีทีเอสซีออกไปอีก 40 ปี โดยเสียงส่วนใหญ่คัดค้านไม่ให้กรุงเทพมหานครมีการต่อสัมปทานออกไป โดยความเห็นส่วนหนึ่งระบุว่าเมื่อสิ้นสุดสัมปทานใน พ.ศ. 2572 จะต้องมีการโอนทรัพย์สินของบีทีเอสซีที่เกี่ยวข้องกับโครงการทั้งหมดกลับมาเป็นของรัฐ และในพ.ศ. 2585 จะต้องรับโอนทรัพย์สินคืนจากกรุงเทพธนาคมกลับมาเป็นของรัฐเช่นกัน โดยกมธ. เห็นควรให้แต่งตั้ง การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นผู้รับมอบสิทธิ์ในโครงการแทนกรุงเทพมหานครเมื่อสัญญาทุกอย่างสิ้นสุดลง เพื่อให้รัฐมีสิทธิ์เต็มที่ในการเข้าควบคุมราคาค่าโดยสารไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชนมากจนเกินไป แต่อย่างไรก็ดีกรุงเทพมหานครยืนยันว่าจะต่อสัญญาสัมปทานออกไป เนื่องจากเป็นผลต่อเนื่องจากคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่มีบันทึกไว้ในบทเฉพาะกาลแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่ให้คำสั่งของ คสช. และคำสั่งตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวมีผลต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยปัจจุบันกรุงเทพมหานครยื่นเรื่องผ่านกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคมเพื่อให้เห็นชอบในร่างสัญญาสัมปทานแล้ว และอยู่ระหว่างการเตรียมขออนุมัติสัญญาสัมปทานกับคณะรัฐมนตรีเพื่อให้เห็นชอบในการต่อขยายสัญญาสัมปทานต่อไป
อย่างไรก็ตาม การขออนุมัติโครงการต่อคณะรัฐมนตรีถูกคัดค้านจากหลายภาคส่วน ทั้งใน กมธ. ที่ยืนยันว่าโครงการต้องกลับคืนเป็นของรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2572 เท่านั้น เพื่อเปิดทางให้เอกชนรายอื่นเข้าร่วมลงทุนในโครงการได้อย่างโปร่งใส รวมถึงกระทรวงคมนาคมยังมีคำสั่งคัดค้านการต่อสัมปทานโครงการ เนื่องจากอัตราค่าโดยสารทั้งระบบ 65 บาท ถือว่าแพงและเป็นภาระต่อประชาชนมากเกินไป เมื่อเทียบกับอัตราค่าโดยสารของโครงการภายใต้การกำกับของกระทรวงคมนาคม ที่กำหนดให้อัตราค่าโดยสารสูงสุด ต้องไม่เกิน 42 บาทต่อสาย และ 70 บาทเมื่อเดินทางข้ามสาย รวมถึงสภาองค์กรผู้บริโภค และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ยังคัดค้านการต่อสัญญาสัมปทาน เนื่องจาก สภามองว่าอัตราค่าโดยสาร 65 บาท ถือว่าแพงมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพและรายได้ขั้นต่ำของประชาชน อีกทั้ง รฟม. มองว่าในปี 2572 โครงการจะต้องกลับคืนเป็นของรัฐฯ และกำไรของรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งหมด จะต้องนำมาสนับสนุนให้เอกชนรายอื่นที่ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าภายใต้การกำกับของ รฟม. และกระทรวงคมนาคม เพื่อตรึงค่าโดยสารไม่ให้สูงและเป็นภาระต่อประชาชนมากเกินไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ กรุงเทพมหานครจึงชิงออก ประกาศกรุงเทพมหานคร ลงวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564 เรื่อง การจัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยใจความสำคัญคือค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งระบบจะถูกแบ่งออกเปน 4 ตอน คือส่วนหลักรวมสถานีส่วนต่อขยายสายสีลม 1 ให้จัดเก็บตามอัตราประกาศของบีทีเอสซี คือ 16-44 บาท ส่วนต่อขยายสายสีลม 2 (วงเวียนใหญ่-บางหว้า) ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทใต้ (อ่อนนุช-เคหะฯ) และส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทเหนือ (หมอชิต-คูคต) ให้จัดเก็บในอัตราค่าโดยสารเริ่มต้น 18-45 บาท แบ่งเป็นค่าแรกเข้า 15 บาท และอัตราค่าโดยสารสถานีละ 3 บาท คิดตามจริงตั้งแต่สถานีแรกจนถึงสถานีปลายทางไม่เกิน 10 สถานี ในกรณีที่เดินทางข้ามส่วน เช่นส่วนต่อขยายไปส่วนหลัก ให้หักค่าแรกเข้าของส่วนต่อขยายออกแล้วเก็บอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง สูงสุดไม่เกิน 74 และ 104 บาท ตามลำดับ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป ตามเงื่อนไขในสัญญาสัมปทานของโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครที่ต้องประกาศอัตราค่าโดยสารใหม่ก่อนบังคับใช้ 30 วัน แต่อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศอัตราค่าโดยสาร เกิดการคัดค้านขึ้นอย่างหนักเนื่องจากกรุงเทพมหานครประกาศอัตราค่าโดยสารสูงกว่าที่กล่าวไว้ว่าจะจัดเก็บไม่เกิน 65 บาท กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม และนายกรัฐมนตรี จึงส่งหนังสือด่วนที่สุดให้กรุงเทพมหานครชะลอการจัดเก็บค่าโดยสารออกไปก่อน ทำให้ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 กรุงเทพมหานครได้ออกประกาศระงับการจัดเก็บค่าโดยสารออกไปพลางก่อน
จนในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2564 บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้ส่งทนายยื่นหนังสือทวงถามหนี้กับ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด กรณีที่ กรุงเทพธนาคม ค้างชำระค่าจ้างเดินรถตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560 จนถึงปัจจุบัน เป็นเงิน 9,602 ล้านบาท รวมถึงค่าจ้างติดตั้งและสั่งซื้อระบบรถไฟฟ้าและระบบอาณัติสัญญาณให้กับโครงการรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทส่วนต่อขยาย ช่วงแบริ่ง-เคหะฯ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เป็นเงิน 20,768 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 30,370 ล้านบาท ซึ่ง บีทีเอสซี ทำหนังสือถวงถามตั้งแต่เดือน มกราคม พ.ศ. 2564 แต่ไม่ได้รับคำตอบจนถึงเดือนเมษายน และหลังการยื่นหนังสือเมื่อวันที่ 2 เมษายน กรุงเทพมหานครก็ยังไม่มีท่าทีที่จะติดต่อขอชำระหนี้ทั้งหมด บีทีเอสซีจึงออกจดหมายเปิดผนึกถึงผู้โดยสาร เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2564 และได้ออกวิดีทัศน์เผยแพร่ทั้งบนหน้าเว็บไซต์ แฟนเพจ ทวิตเตอร์ รวมถึงขึ้นเป็นประกาศในขบวนรถไฟฟ้าและที่สถานี อธิบายปัญหาทั้งหมดของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในวันถัดมา ใจความส่วนหนึ่งของทั้งจดหมายและวิดีทัศน์ระบุว่า "...มีปัญหาซ้อนปัญหา ที่เกิดจาก กลุ่มบุคคลหนึ่ง ซึ่งบริษัทฯ ไม่อาจก้าวล่วงได้ ต้องการไม่ให้เรื่องทั้งหมดนี้ ได้รับการแก้ไข..." ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล กรุงเทพมหานคร และกระทรวงคมนาคมอย่างหนัก และสื่อมวลชนเรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า "ปฏิบัติการทวงหนี้ออกสื่อ"
ต่อมาในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 มีข่าวว่ากระทรวงมหาดไทยเตรียมนำเสนอร่างสัญญาสัมปทานให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ทำให้เกิดการบอยคอตการประชุมจาก ส.ส. ของพรรคภูมิใจไทย ที่ยื่นคำขาดว่าหากกระทรวงมหาดไทยยังไม่ตอบข้อซักถามของกระทรวงคมนาคม พรรคภูมิใจไทย ก็จะไม่ขอยุ่งกับการพิจารณาร่างสัมปทานดังกล่าว ทำให้วาระดังกล่าวถูกถอนออกจากที่ประชุมไป วันต่อมา ศักดิ์สยาม ได้เปิดแถลงข่าวที่พรรคภูมิใจไทยถึงกรณีดังกล่าวโดยระบุว่ากรุงเทพมหานครยังไม่ตอบข้อซักถามของกระทรวงคมนาคมที่ถามย้ำไปสี่ครั้ง โดยขอให้กรุงเทพมหานครตอบคำถามใน 4 ประเด็นหลัก ซึ่งต่อมากระทรวงคมนาคมได้ทำเพิ่มอีก 2 ข้อ รวมเป็น 6 ข้อ ดังนี้
ความครบถ้วนตามหลักการของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562
การคิดค่าโดยสารที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้ใช้บริการ เพื่อส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยมาใช้บริการ รวมทั้งรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่สามารถกำหนดอัตราค่าโดยสารสูงสุดได้ต่ำกว่า 65 บาท
การใช้สินทรัพย์ของรัฐที่ได้รับโอนจากเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรพิจารณาให้เกิดความถ่องแท้ถึงการใช้สินทรัพย์ว่ารัฐควรได้ประโยชน์จากการขยายสัญญาสัมปทานเป็นจำนวนเท่าไหร่ อย่างไร จนกว่าจะครบอายุสัญญา
ข้อพิพาททางกฎหมาย ซึ่งเกิดขึ้นจากกรณี กทม. ได้ทำสัญญาจ้างบีทีเอสซี เดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ไปจนถึงปี 2585 และได้มีการไต่สวนข้อเท็จจริงของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
การเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสิ่งก่อสร้างและที่ดินตลอดแนวโครงการรถไฟฟ้า ที่ทั้ง 2 ช่วงยังคงเป็นของ รฟม. เนื่องจากยังไม่มีการโอนไปยัง กทม. เนื่องจากยังไม่มีการจ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้าง
การคำนวณค่าโดยสารและการรองรับระบบตั๋วร่วม รวมถึงความชัดเจนของประเด็นข้อกฎหมายที่ทาง กทม. ยืนยันว่าจะเข้าดำเนินการตั๋วร่วมแต่จะไม่ยอมลงทุนเอง
หลังจากนั้นคือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 สภาองค์กรของผู้บริโภคได้จัดเสวนาออนไลน์ ในหัวข้อ “รถไฟฟ้าต้องถูกลง ทุกคนต้องขึ้นได้ ผู้ว่าฯ กทม.ช่วยได้หรือไม่” โดยมีการเชิญว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครทั้ง 4 คน คือ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์, สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร และรสนา โตสิตระกูล มาร่วมอภิปรายและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยทั้งหมดให้ความเห็นตรงกันว่าจะไม่มีการต่อสัมปทานโครงการออกไปให้บีทีเอสซี เนื่องจากหากมีการต่อสัมปทานออกไป สายสีเขียวจะเป็นหลุมดำของโครงการระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะในเรื่องของระบบตั๋วร่วมที่สัญญาสัมปทานฉบับใหม่ไม่ได้มีการพูดถึง รวมถึงเสนอให้มีการออกพันธบัตรโครงสร้างพื้นฐานเพื่อระดมทุนใช้หนี้ให้กับบีทีเอสซี รวมถึงให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของโครงการ หรือผลักภาระค่าก่อสร้างงานโยธาทั้งหมดให้กระทรวงการคลังและรัฐบาลเป็นผู้ดูแล ดังเช่นโครงการต่าง ๆ ของ รฟม. ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแลเองทั้งหมด หรือหารายได้ชดเชยค่าโดยสารจากทางอื่น หรือกระทั่งการพิจารณาโอนโครงการกลับไปให้รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการภายใต้การดำเนินงานของ รฟม. เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดจะช่วยลดค่าโดยสารลงมาให้ไม่เป็นภาระกับประชาชนมากจนเกินไป
== สายที่เปิดให้บริการ ==
รถไฟฟ้าบีทีเอส เริ่มเปิดให้บริการ ครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2542 โดยให้บริการอยู่ทั้งหมด 2 สาย คือ รถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบ พระชนมพรรษา สาย ๑ (รถไฟฟ้าสายสีเขียว (สุขุมวิท)) มีระยะทาง จำนวน 53.58 กิโลเมตร และรถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบ พระชนมพรรษา สาย ๒ (รถไฟฟ้าสายสีเขียว (สีลม)) มีระยะทางจำนวน 14.67 กิโลเมตร
ปัจจุบัน รถไฟฟ้าบีทีเอสมีสถานีทั้งหมด 60 สถานี (นับสถานีสยามซึ่งเป็นสถานีเชื่อมต่อทั้ง 2 สายเป็นสถานีเดียว และไม่รวมสถานีโครงการในอนาคต 1 สถานี) รวมระยะทางทั้งสิ้น 68.25 กิโลเมตร
== ส่วนต่อขยาย ==
=== สายสุขุมวิท ===
ส่วนต่อขยายฝั่งเหนือ
ในเส้นทางช่วงหมอชิต–สะพานใหม่–คูคต มีระยะทางประมาณ 19 กิโลเมตร โดยมีจำนวน 16 สถานี เริ่มก่อสร้างในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2558 หลังจากที่ ครม. อนุมัติให้ก่อสร้างเส้นทางเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 สถานีห้าแยกลาดพร้าวเป็นสถานีแรกที่เปิดให้บริการในช่วงเขียวเหนือ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ตามด้วยสถานีพหลโยธิน 24 ถึงสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ตามด้วยสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถึง สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ได้เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 และสถานีที่เหลือจนถึงสถานีคูคต ได้เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ส่วนในช่วงคูคต–ลำลูกกา ปัจจุบัน กรุงเทพมหานครเลื่อนการดำเนินการออกไปอย่างไม่มีกำหนด
ส่วนต่อขยายฝั่งตะวันออก
ในเส้นทางส่วนต่อขยายฝั่งตะวันออก จะอยู่ระหว่างช่วงอ่อนนุช ไปจนถึง สถานีบางปู โดยตั้งแต่สถานี สถานีอ่อนนุช–สถานีแบริ่ง ได้เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554 และในช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จะแบ่งการเปิดให้ให้บริการออกเป็น2 ช่วง ได้แก่ ช่วงสถานีแบริ่ง–สำโรง ซึ่งเปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560 และ ช่วงสถานีปู่เจ้า–เคหะฯซึ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561 ส่วนในช่วงเคหะฯ–บางปู ปัจจุบัน กรุงเทพมหานครเลื่อนการดำเนินการออกไปอย่างไม่มีกำหนด
สถานีเพิ่มเติม - เสนาร่วม (N6)
สถานีเพิ่มเติมแห่งนี้มีขึ้นตั้งแต่เปิดให้บริการใน พ.ศ. 2542 แต่เนื่องจากการเติบโตของย่านไม่เป็นไปตามคาดการณ์ จึงไม่ได้มีการก่อสร้างสถานีขึ้นและเก็บรหัสสถานีไว้คิดค่าโดยสาร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรื้อฟื้นโครงการ เนื่องจากพื้นที่โดยรอบสถานีเปลี่ยนไป
=== สายสีลม ===
ส่วนต่อขยายฝั่งตะวันตก
ส่วนต่อขยายตะวันตกช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ–ยศเส ปัจจุบันยังเป็นเพียงโครงการรถไฟฟ้า
ส่วนต่อขยายฝั่งใต้
สถานีส่วนต่อขยายฝั่งใต้ แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่ เปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2552 ซึ่งถือเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกของประเทศไทย ประกอบด้วย 2 สถานี คือ สถานีกรุงธนบุรี และ สถานีวงเวียนใหญ่ และช่วง ตากสิน-บางหว้าซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่วงเวียนใหญ่-โพธิ์นิมิตร ที่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 ระยะโพธิ์นิมิตร-ตลาดพลู ที่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 และระยะวุฒากาศ-บางหว้า เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ในส่วนต่อขยายช่วงสถานีบางหว้า–สถานีบางรักน้อยท่าอิฐ ปัจจุบันยังเป็นเพียงแค่โครงการ
สถานีเพิ่มเติม - เซนต์หลุยส์ (S4)
สถานีเพิ่มเติมแห่งนี้มีขึ้นตั้งแต่เปิดให้บริการใน พ.ศ. 2542 แต่เนื่องจากการเติบโตของย่านไม่เป็นไปตามคาดการณ์ จึงไม่ได้มีการก่อสร้างสถานีขึ้นและเก็บรหัสสถานีไว้คิดค่าโดยสารจนถึง พ.ศ. 2558 ที่ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพได้ตัดสินใจรื้อฟื้นโครงการขึ้นใหม่เพื่อรองรับการเติบโตของเมือง สถานีเปิดให้บริการในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ในชื่อทางการคือสถานีเซนต์หลุยส์
== การเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนอื่น ==
===รถไฟฟ้ามหานคร===
===รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์===
ผู้โดยสารสามารถเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าเอราวัน ได้ที่สถานีพญาไท ด้วยทางเชื่อมต่อโดยตรง ซึ่งสถานีฝั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสได้ติดตั้งประตูเครื่องตรวจตั๋วโดยสารอัตโนมัติเพิ่มเติมบริเวณกลางสถานี ทำให้พื้นที่ที่ผ่านเครื่องตรวจตั๋วโดยสารแล้ว (paid area) ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนในลักษณะเดียวกันกับสถานีสยาม เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ผู้ที่จะต่อรถเดินทางไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
===รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง===
=== ระบบขนส่งมวลชนรอง ===
=== รถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษ (Bangkok BRT) ===
รถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที สายสาทร–ราชพฤกษ์ (402) มีจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส 2 จุด คือ ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรี โดยเชื่อมต่อกับสถานีสาทร ของรถโดยสารด่วนพิเศษ และที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสตลาดพลู โดยเชื่อมต่อกับสถานีราชพฤกษ์ ของรถโดยสารด่วนพิเศษ ผู้โดยสารสามารถใช้บัตรโดยสาร Rabbit เพื่อเดินทางต่อไปยังรถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที ได้
=== รถบริการรับส่ง ===
ปัจจุบันมีเอกชนร่วมให้บริการรถรับส่งจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสใกล้เคียงไปยังสถานที่ แต่ละฝ่ายให้บริการอยู่ โดยปัจจุบันมีดังนี้
เส้นทางสายสุขุมวิท
หมอชิต – อิมแพ็ค เมืองทองธานี
สยาม – สามย่านมิตรทาวน์
สยาม – จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
* สาย 1 สยาม (ลิโด้) – คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ – ศาลาพระเกี้ยว – แยกเฉลิมเผ่า
* สาย 4 สยาม (ลิโด้) – คณะครุศาสตร์ – สามย่านมิตรทาวน์ – คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ – ศาลาพระเกี้ยว – แยกเฉลิมเผ่า
เพลินจิต – อาคารออลซีซั่นเพลส – โรงแรมคอนราด กรุงเทพ
อโศก – บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า พระราม 4
อ่อนนุช – เซ็นทรัล วิลเลจ
อุดมสุข – เซ็นทรัล บางนา – โตโยต้า มอเตอร์ส ประเทศไทย – โรงพยาบาลไทยนครินทร์
อุดมสุข – เมกาซิตี้ บางนา
เส้นทางสายสีลม
สนามกีฬาแห่งชาติ – จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
* สาย 2 สนามกีฬาแห่งชาติ – สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย – จุฬานิเวศน์ (หอพักนิสิต) – คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ – ศาลาพระเกี้ยว – คณะครุศาสตร์ – ถนนจุฬา 100 ปี
วงเวียนใหญ่ – แพลตฟอร์ม วงเวียนใหญ่
บางหว้า – ขนส่งสายใต้ใหม่
โดยบริการรถรับส่งดังกล่าวทั้งหมดไม่เสียค่าบริการ ยกเว้นเส้นทางหมอชิต–อิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่เก็บค่าโดยสาร 30 บาทต่อเที่ยว เนื่องจากต้องใช้จ่ายเป็นค่าผ่านทางด่วน
===ท่าเรือ===
สถานีสะพานตากสิน สามารถเชื่อมต่อกับท่าเรือสาทร เพื่อใช้บริการเรือด่วนเจ้าพระยา เรือโดยสารข้ามฟากไปยังท่าเรือตากสินที่ฝั่งธนบุรี เรือโดยสารท่องเที่ยว เรือโดยสารโรงแรม และเรือโดยสารรับส่งของศูนย์การค้าได้
สถานีราชเทวี สามารถเชื่อมต่อกับท่าเรือสะพานหัวช้าง เพื่อใช้บริการเรือโดยสารคลองแสนแสบได้
สถานีบางหว้า สามารถเชื่อมต่อกับเรือโดยสารคลองภาษีเจริญ ได้ที่ท่าเรือบางหว้า
===แผนที่แสดงการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนอื่น===
== ขบวนรถไฟฟ้า ==
=== ซีเมนส์ โมดูลาร์ เมโทร (EMU-A1) ===
สถานะ : ให้บริการทั้งสายสีลม และสายสุขุมวิท ตั้งแต่ขบวนหมายเลข 1 ถึง 35
รถไฟฟ้าซีเมนส์โมดูลาร์เมโทร จำนวน 105 ตู้ ถูกผลิตและประกอบขึ้นจากโรงงาน ซีเมนส์ซิมเมอร์ริงกราซพอว์กเกอร์ เฟอร์เครียซเทกนิค (Siemens Simmering Graz Pauker Verkehrstechnik) ในเมืองกราซ ประเทศออสเตรีย ในปี พ.ศ. 2541 ถูกนำมาให้บริการกับประชาชนครั้งแรก วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 และต่อมา ทางบีทีเอสได้มีนโยบายในการเพิ่มจำนวนตู้โดยสาร จาก 3 ตู้ เป็น 4 ตู้ เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นหลังเปิดส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทช่วง อ่อนนุช-แบริ่ง ซึ่งตู้ที่4 เป็นตู้ C1-Car มีหมายเลขประจำตู้ 32XX ถูกผลิตขึ้นในปี พ.ศ. 2555 ที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี (Siemens München) โดยในขบวนรถจะมีทั้งหมด 35 ขบวน และมี 4 ตู้โดยสาร ต่อ 1 ขบวน มีความจุผู้โดยสารต่อรถไฟฟ้า 1 ขบวน โดยเมื่อมี 6 คน/ตารางเมตร จะสามารถจุผู้โดยสารได้ 1208 คน และเมื่อมี 8 คน/ตารางเมตร จะสามารถจุผู้โดยสารรวม 1490 คน ภายในขบวนรถไฟฟ้า จะมีที่นั่ง 42 ที่ต่อตู้ และ 168 ที่ต่อขบวน
ในขบวนรถซีเมนส์ โมลูลาร์ เมโทร มีเพียงแค่ A-Car และ C-Car โดย A-Car เป็นตู้โดยสารมีระบบขับเคลื่อนและมีห้องคนขับ และ C-Car เป็นตู้โดยสารโดยที่ไม่มีทั้งระบบขับเคลื่อนและห้องคนขับใน 1 ขบวนจะมีเอ-คาร์อยู่ที่หัวและท้ายขบวนจำนวน 2 ตู้ และมีซี-คาร์อยู่กลางขบวนรถ 2 ตู้ จัดรูปแบบเป็น [ A ] - [ C ] - [ C1 ] - [ A ] สามารถต่อพ่วงเพิ่มได้สูงสุดถึง 6 ตู้ต่อ 1 ขบวน มีความยาวอยู่ที่ 65.30 เมตร และมีความกว้าง 3.20 เมตร มีประตูเลื่อนกว้าง 1.40 เมตร จำนวน 32 บานต่อ 1 ขบวน ตัวถังรถทำจากเหล็กปลอดสนิม ติดตั้งระบบปรับอากาศ พร้อมหน้าต่างชนิดกันแสง รถไฟฟ้าสามารถขับเคลื่อนได้โดยใช้แรงดันไฟฟ้า 750 Vdc โดยรับจากรางส่งที่ 3
=== ซีเมนส์ โบซันคายา (EMU-A2) ===
สถานะ : ให้บริการทั้งสายสีลม และสายสุขุมวิท ตั้งแต่ขบวนหมายเลข 53 ถึง 74
ในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสรุ่นใหม่ จะประกอบไปด้วย Mc-Car และ T-Car โดย Mc-Car เป็นตู้โดยสารที่มีทั้งระบบขับเคลื่อน และห้องคนขับ จะอยู่ด้านหัวและท้ายขบวน 2 ตู้ และ T-Car เป็นตู้โดยสารที่ไม่มีทั้งระบบขับเคลื่อนและห้องคนขับ จะอยู่กลางขบวน 2 ตู้ สามารถต่อพ่วงได้สูงสุด 6 ตู้ต่อ 1 ขบวน โดยจะจัดรูปแบบขบวนรถเป็น [ Mc ] - [ T ] - [ T ] - [ Mc ] มีความยาวอยู่ที่ 65.30 เมตรและมีความกว้าง 3.12 เมตร มีประตูเลื่อนกว้าง 1.40 เมตร จำนวน 32 บานต่อ 1 ขบวน ตัวถังของขบวนรถทำจากเหล็กปลอดสนิม ติดตั้งระบบปรับอากาศแบบอินเวอร์เตอร์พร้อมระบบกรองอากาศทั้งหมด 8 ยูนิต พร้อมหน้าต่างชนิดกันแสง และมีระบบแผนที่นำทางหรือ Dynamic Route Map ซึ่งทำงานพร้อมกับระบบอาณัติสัญญาณ ติดตั้งอยู่เหนือประตูทุกบาน มีกล้องวงจรปิดสำหรับบันทึกและสอดส่องผู้โดยสาร และประหยัดพลังงานกว่ารถไฟฟ้าซีเมนส์รุ่นเดิมที่ใช้งานอยู่ รถไฟฟ้าสามารถขับเคลื่อนได้โดยใช้แรงดันไฟฟ้า 750 Vdc โดยรับจากรางส่งที่ 3 มีความจุผู้โดยสารต่อ 1 ขบวน 1572 คน เมื่อมีผู้โดยสาร 8 คน/ตารางเมตร ภายนขบวนรถมีที่นั่ง 112 ที่ และที่สำหรับยืนพิง (Perch Seats) 14 ที่ (
รถไฟฟ้าซีเมนส์ โบซันคายา จำนวน 88 ตู้ โดยใน 1 ขบวน มี 4 ตู้โดยสาร ถูกผลิตและประกอบขึ้นจากโรงงาน โบซันคายา (Bozankaya) ประเทศตุรกี เมื่อปี พ.ศ. 2561 โดยซีเมนส์จะเป็นผู้ออกแบบขบวนรถไฟฟ้า จัดหาอะไหล่ที่จำเป็น ควบคุมงานประกอบ และให้บริการหลังการขาย 16 ปีนับจากวันที่ส่งขบวนแรกมาประเทศไทย และถูกส่งเข้ามาในประเทศไทยกลางปี พ.ศ. 2561 และออกให้บริการกับประชาชนครั้งแรก ในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561 โดยรถไฟฟ้าล็อตนี้สั่งซื้อมาเพื่อรองรับส่วนต่อขยายสายสีเขียวช่วง แบริ่ง-สมุทรปราการจำนวน 15 ขบวน และรองรับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในเส้นทางเดิม (หมอชิต-แบริ่ง และ สนามกีฬาแห่งชาติ-บางหว้า) รวมถึงใช้เป็นขบวนสำรอง 7 ขบวน
=== ซีเอ็นอาร์ ฉางชุน (EMU-B1 , EMU-B2) ===
สถานะ : ให้บริการทั้งสายสีลม และสายสุขุมวิท ตั้งแต่ขบวนหมายเลข 36 ถึง 52
ในขบวนรถ จะประกอบไปด้วย Tc-Car และ M-Car โดย Tc-Car เป็นตู้โดยสารไม่มีระบบขับเคลื่อน แต่มีห้องคนขับ จะอยู่ด้านหัวและท้ายขบวน 2 ตู้ และ M-Car มีระบบขับเคลื่อน แต่ไม่มีห้องคนขับ จะอยู่กลางขบวน 2 ตู้ โดยมีรูปแบบการจัดขบวนเป็น[ Tc ] - [ M ] - [ M ] - [ Tc ] สามารถต่อพ่วงได้สูงสุด 6 ตู้ต่อ 1 ขบวน มีความยาวอยู่ที่ 65.30 เมตรและมีความกว้าง 3.2 เมตร มีประตูเลื่อนกว้าง 1.40 เมตร จำนวน 32 บานต่อ 1 ขบวน ตัวถังของขบวนรถทำเหล็กปลอดสนิมและอะลูมิเนียม ติดตั้งระบบปรับอากาศทั้งหมด 8 ยูนิต พร้อมหน้าต่างชนิดกันแสง และมีระบบแสดงผลสถานะรถ Dynamic Route Map ซึ่งทำงานพร้อมกับระบบอาณัติสัญญาณ ติดตั้งอยู่เหนือประตูทุกบาน รถไฟฟ้าสามารถขับเคลื่อนได้โดยใช้แรงดันไฟฟ้า 750 Vdc โดยรับจากรางส่งที่ 3
ขบวนรถไฟฟ้าซีเอ็นอาร์ มีทั้งหมด 17 ขบวน ตั้งแต่หมายเลข 36 ถึงหมายเลข 52 แต่ละขบวนมี 4 ตู้โดยสาร โดยล็อตแรกสุด (EMU-B1) ถูกสั่งซื้อมาเพื่อแก้ไขปัญหาคอขวดบริเวณสถานีสะพานตากสิน และรองรับการเปิดให้บริการส่วนต่อขยายสายสีลม ช่วงสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่ และสั่งเพิ่มอีกจำนวน 5 ขบวน (EMU-B2) เพื่อรองรับส่วนต่อขยายสายสีลม ช่วงวงเวียนใหญ่-บางหว้า สามารถจุผู้โดยสารได้ 1490 คน เมื่อมีผู้โดยสาร 6 คน/ตารางเมตร โดยมี 168 ที่นั่งภายในขบวนรถ
=== ซีอาร์อาร์ซี ฉางชุน (EMU-B3) ===
สถานะ : ให้บริการทั้งสายสีลม และสายสุขุมวิท ตั้งแต่ขบวนหมายเลข 75 ถึง 98
ในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสที่ให้บริการในปัจจุบัน จะประกอบไปด้วย Mc-Car และ T-Car โดย Mc-Car เป็นตู้โดยสารที่มีระบบขับเคลื่อน และมีห้องคนขับ จะอยู่ด้านหัวและท้ายขบวน 2 ตู้ (ตู้หมายเลข 18XX และ 19XX) และ T-Car เป็นตู้โดยสารไม่มีระบบขับเคลื่อน และไม่มีห้องคนขับ จะอยู่กลางขบวน 2 ตู้ (ตู้หมายเลข 28XX และ 29XX) โดยมีรูปแบบการจัดขบวนเป็น [ Mc ] - [ T ] - [ T ] - [ Mc ] สามารถต่อพ่วงได้สูงสุด 6 ตู้ต่อ 1 ขบวน ตัวถังของขบวนรถทำเหล็กปลอดสนิมและอะลูมิเนียม ติดตั้งระบบปรับอากาศทั้งหมด 8 ยูนิต พร้อมหน้าต่างชนิดกันแสง และมีระบบแสดงสถานะรถ Dynamic Route Map (LCD-DRM) ซึ่งทำงานพร้อมกับระบบอาณัติสัญญาณ ติดตั้งอยู่เหนือประตูทุกบาน รถไฟฟ้าสามารถขับเคลื่อนได้โดยใช้แรงดันไฟฟ้า 750 Vdc โดยรับจากรางส่งที่ 3
ภายในขบวนรถไฟฟ้ารุ่นนี้ จะมีจำนวนที่นั่ง 112 ที่ ต่อขบวน มีที่สำหรับยืนพิง (Perch Seats) 8 จุดต่อขบวน สามารถจุผู้โดยสารได้ 1490 คน เมื่อมีผู้โดยสาร 8 คน/ตารางเมตร มีห่วงและราวจังแบบสามแถว ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยผ่านกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และปุ่มอินเตอร์คอม (PCU) เพิ่อติดต่อพนักงานควบคุมขบวนรถ (TC)
รถไฟฟ้าชุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาว่าจ้างการจัดหาขบวนรถไฟฟ้า ที่บีทีเอสซีได้ว่าจ้าง บริษัท ซีอาร์อาร์ซี ฉางชุน เรลเวย์ เวฮิเคิล จำกัด ผลิตรถไฟฟ้าซีเอ็นอาร์รุ่น EMU-B3 จำนวน 24 ขบวน โดยใช้วัสดุในการประกอบรถไฟฟ้าจากแหล่งเดิม เพื่อให้ได้มาตรฐานที่บีทีเอสซีกำหนดไว้ รถไฟฟ้าชุดนี้จะใช้รองรับการเปิดให้บริการในช่วงหมอชิต–สะพานใหม่–คูคต 21 ขบวน เป็นขบวนรถสำรอง 3 ขบวน โดยมีความยาว 4 ตู้ต่อขบวน ปัจจุบันเข้าประจำการแล้ว 24 ขบวน มี 21 ขบวนที่พร้อมให้บริการ
== ระบบรถไฟฟ้า ==
=== ระบบอาณัติสัญญาณ ===
ในปัจจุบัน รถไฟฟ้าบีทีเอสใช้ระบบอาณัติสัญญาณ รูปแบบบล็อกรถไฟแบบเคลื่อนไหวตามเวลาจริง Moving Block Communication based train control (CBTC) โดยที่ระบบนี้ จะเป็นการแสดงผลรถไฟฟ้าแบบสถานะปัจจุบัน ซึ่งระบบจะทำการเว้นระยะห่างระหว่างขบวนรถของ ตามความเร็วของขบวนรถทั้งสองในขณะนั้น โดยจะใช้สัญญาณไวไฟ เพื่อที่จะควบคุมขบวนรถจากห้องควบคุม (Line Controller) ใช้คอมพิวเตอร์ ทำงานร่วมกับแบลิส โดยระบบนี้ จะใช้ของยี่ห้อบอมบาร์ดิเอร์ รุ่น Cityflo 450 จากเดิม ก่อนการเปลี่ยนระบบอาณัติสัญญาณในสายสุขุมวิทหลัก (Main Line) พ.ศ. 2552 และสายสีลมทั้งระบบในพ.ศ. 2553 จะใช้งานระบบอาณัติสัญญาณยี่ห้อซีเมนส์ รุ่น LZB 700M
การเปลี่ยนระบบอาณัติสัญญาณ จะทำให้รถไฟฟ้าสามารถมีความถี่ที่น้อยลงได้ และลดระยะห่างระหว่างขบวนที่ไม่จำเป็น ทำให้ขบวนรถเข้าสู่ชานชาลาได้ไวยิ่งขึ้น เพื่อที่รถไฟฟ้าจะทำการเดินรถ และจะหยุดเมื่อถึงสถานีถัดไป
=== ภายในขบวนรถ ===
ภายในขบวนรถทุกขบวน จะมีการติดตั้งระบบประกาศภายในขบวนรถ In-Train Passengers Announcement เพื่อที่จะแจ้งสถานะขบวนรถ และแจ้งเตือนความปลอดภัย หรือข้อควรปฏิบัติกับผู้โดยสาร ในขบวนรถไฟฟ้าทุกรุ่น ยกเว้น ซีเมนส์ โมดูลาร์ เมโทร (EMU-A1)
Dynamic Route Map ติดตั้งอยู่บริเวณทุกประตู โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
จอแสดงผลแบบ LED-DRM ภายในขบวนรถ (LED รุ่นที่ 2) จะติดตั้งอยู่ในขบวนรถรุ่น
60x125px ซีเอ็นอาร์ฉางชุน
60x125px ซีเอ็นอาร์ฉางชุน
จอแสดงผลแบบ LCD-DRM ภายในขบวนรถ จะติดตั้งอยู่ในขบวนรถรุ่น
60x125px ซีเมนส์ ซีรีส์ 2
60x125px ซีอาร์อาร์ซีฉางชุน ซีรีส์ 3
=== ระบบบัตรโดยสาร ===
บัตรโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส เป็นบัตรที่ใช้เทคโนโลยีของบัตรสมาร์ตการ์ดแบบไม่มีการสัมผัสที่ติดตั้งไมโครชิปไร้สายอาร์เอฟไอดี (RFID)
ในการออกบัตรโดยสารเที่ยวเดียว ผู้โดยสารสามารถออกบัตรโดยสาร ได้ผ่านเครื่องออกบัตรโดยสารอัตโนมัติ (Ticket Issuing Machine หรือ Ticket Vending Machine) หรือสามารถออกได้ผ่านเคาน์เตอรืออกบัตรโดยสาร บริเวณทางเข้าทุกสถานี โดยพนักงานออกบัตรโดยสาร จะนำบัตรโดยสารเที่ยวเดียว มาเข้าเครื่องวิเคราะห์/ออกตั๋ว (Analyzer/Dispenser)
== บัตรโดยสาร และอัตราค่าโดยสาร ==
=== บัตรโดยสาร ===
บัตรโดยสารแบบสมาร์ตการ์ดชนิดบาง (Thin Card) สามารถใช้เดินทางได้ในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส มีทั้งหมด 2 ประเภท ได้แก่
#บัตรประเภทเที่ยวเดียว คิดค่าโดยสารตามระยะทางที่เดินทางจริง สามารถออกบัตรได้ที่เครื่องจำหน่ายบัตรโดยสารอัตโนมัติชนิดหยอดเหรียญหรือธนบัตร (TIM2, IVM และ TVM) และที่ห้องจำหน่ายบัตรโดยสาร
# บัตรประเภท 1 วัน ใช้เดินทางได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวและระยะทางตั้งแต่เวลาที่เปิดใช้งานบัตร จนถึงเวลาปิดทำการในแต่ละวัน คือ 24.00 น. หรือตามเวลาที่บีทีเอสกำหนด สามารถออกบัตรได้ที่ห้องจำหน่ายบัตรโดยสาร หรือที่โรงแรม สถานที่สำคัญ หรือติดต่อเพื่อซื้อเป็นจำนวนมากโดยผ่านฝ่ายขายของบีทีเอสซี โดยที่สามกรณีหลังจะต้องเปิดใช้งานบัตรที่สถานีก่อนโดยห้ามให้บรรจุภัณฑ์ฉีกขาดก่อนการเปิดใช้งานบัตร
บัตรแรบบิท (Rabbit Card) สามารถใช้เดินทางได้ในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้ามหานคร สายสีเหลือง รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู รถไฟฟ้าสายสีทอง รถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที เรือโดยสารคลองภาษีเจริญ รถโดยสารบริษัท สมาร์ทบัส จำกัด รถโดยสารเชียงใหม่สมาร์ทบัส รถโดยสารนนทบุรีสมาร์ทบัส และระบบขนส่งมวลชนสายอื่นๆ ของกลุ่มบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กรุงเทพมหานคร เริ่มให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555
บัตรไลน์ เพย์ (LINE Pay Card) เป็นบัตรแรบบิทมาตรฐานและบัตรแรบบิทพิเศษ ที่ผนวกความสามารถของบริการ ไลน์เพย์ เข้ามาไว้ในบัตรใบเดียว ทำให้สามารถใช้เดินทางโดยการตัดค่าโดยสารผ่านบัญชีไลน์เพย์ หรือผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตโดยตรงได้ สามารถตรวจสอบยอดย้อนหลังและค้นประวัติการเดินทางได้ โดยเริ่มให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561
=== เงื่อนไขการใช้บัตรโดยสาร ===
รถไฟฟ้าบีทีเอส มีข้อกำหนดเรื่องเงื่อนไขการใช้บัตรโดยสารที่ออกโดย บริษัท บางกอกสมาร์ตการ์ดซิสเท็ม จำกัด การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยที่
บุคคลทั่วไปอายุตั้งแต่ 23-60 ปี จะต้องใช้บัตรโดยสารแรบบิท บัตรเอ็มอาร์ที บัตรเอ็มอาร์ทีพลัส หรือบัตรแมงมุม ประเภทบุคคลธรรมดา เพื่อชำระค่าโดยสารในอัตราปกติเท่านั้น กรณีการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการโดยสาร ขอสงวนสิทธิ์ในการใช้งานเฉพาะเจ้าของบัตรเท่านั้น
ผู้โดยสารที่มีอายุตั้งแต่ 15-23 ปี และ/หรือศึกษาไม่เกินระดับปริญญาตรี จะสามารถใช้บัตรโดยสารแรบบิท บัตรเอ็มอาร์ที หรือบัตรเอ็มอาร์ทีพลัส ประเภทนักเรียน/นักศึกษา เพื่อชำระค่าโดยสารในอัตราส่วนลดพิเศษสำหรับรถไฟฟ้ามหานครทั้งสองสาย หรือรับสิทธิ์ซื้อเที่ยวโดยสารในราคานักเรียน/นักศึกษาสำหรับใช้เดินทางในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส ทั้งนี้การเดินทางในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสด้วยเงินสด จะต้องชำระค่าโดยสารในอัตราปกติเทียบเท่ากับบัตรบุคคลธรรมดา
ผู้โดยสารที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปี มีความสูงเกิน 140 เซนติเมตร และ/หรือศึกษาไม่เกินชั้นระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 จะสามารถใช้บัตรโดยสารแรบบิท บัตรเอ็มอาร์ที หรือบัตรเอ็มอาร์ทีพลัส ประเภทเด็ก เพื่อชำระค่าโดยสารในอัตราส่วนลดพิเศษเทียบเท่ากับบัตรนักเรียน/นักศึกษา และในอัตราส่วนลดพิเศษสำหรับรถไฟฟ้ามหานครทั้งสองสาย ทั้งนี้การเดินทางในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสด้วยเงินสด จะต้องชำระค่าโดยสารในอัตราปกติเทียบเท่ากับบัตรบุคคลธรรมดา
ผู้โดยสารที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป จะสามารถใช้บัตรโดยสารแรบบิท บัตรเอ็มอาร์ที บัตรเอ็มอาร์ทีพลัส หรือบัตรแมงมุม ประเภทผู้สูงอายุ เพื่อชำระค่าโดยสารในอัตราส่วนลดพิเศษสำหรับรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้ามหานครทั้งสองสาย
โดยรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ติดตั้งไฟสัญลักษณ์ไว้ที่ประตูตรวจบัตรโดยสารขาออก โดยผู้ที่ใช้บัตรนักเรียน/นักศึกษา จะมีไฟสัญลักษณ์ "สีแดง" ปรากฏบนประตู และผู้ที่ใช้บัตรผู้สูงอายุจะมีไฟสัญลักษณ์ "สีฟ้า" ปรากฏบนประตู กรณีที่เจ้าพนักงานของรถไฟฟ้าบีทีเอส สังเกตว่าผู้โดยสารอาจใช้บัตรผิดประเภท เจ้าพนักงานฯ จะมีสิทธิ์ในการขอเรียกดูเอกสารและหลักฐาน ได้แก่ บัตรโดยสาร บัตรประชาชน บัตรนักเรียน/นิสิต/นักศึกษา หรือเอกสารประกอบสถานภาพ โดยที่ผู้โดยสารไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ หากเจ้าพนักงานฯ ตรวจพบว่าผู้โดยสารใช้งานบัตรโดยสารผิดประเภท ไม่ว่าจะเป็นบัตรโดยสารแบบใดก็ตาม เจ้าพนักงานฯ จะทำการริบบัตรโดยสารและอายัดการคืนเงิน/เที่ยวเดินทางคงเหลือทันที พร้อมปรับ 20 เท่าของอัตราค่าโดยสารสูงสุดที่บริษัทเรียกเก็บ คือ 940 บาท
=== อัตราค่าโดยสาร ===
ในการให้บริการ รถไฟฟ้าบีทีเอส จะแบ่งช่วงราคาอัตราค่าโดยสารเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนสัมปทาน เป็นเส้นทางจากสถานีหมอชิต ถึงสถานีอ่อนนุช ในสายสุขุมวิท และเส้นทางสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ถึงสถานีวงเวียนใหญ่ ในสายสีลม จะจัดเก็บอัตราค่าโดยสารตามประกาศของ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท ในอัตราเริ่มต้นที่ 17 บาท สูงสุด 47 บาท โดยคิดตามระยะทางที่เดินทางจริง และรวมค่าโดยสารสถานีเสนาร่วมไว้แล้ว ในส่วนของเส้นทางที่เหลือ อันได้แก่ เส้นทางส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทส่วนใต้ ตั้งแต่สถานีบางจาก ถึงสถานีเคหะฯ เส้นทางส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทส่วนเหนือ ตั้งแต่สถานีห้าแยกลาดพร้าว ถึงสถานีคูคต และเส้นทางส่วนต่อขยายสายสีลมส่วนที่ 2 ตั้งแต่สถานีโพธิ์นิมิตร ถึงสถานีบางหว้า จะคิดอัตราค่าโดยสารตามประกาศของกรุงเทพมหานคร ที่จัดเก็บในอัตราคงที่ 15 บาทตลอดสาย เมื่อรวมแล้วอัตราค่าโดยสารสูงสุดจะอยู่ที่ 62 บาท
นอกจากอัตราค่าโดยสารแบบเงินสดแล้ว แรบบิท รีวอร์ดส ยังได้เปิดจำหน่ายแพ็คเกจเที่ยวโดยสารในอัตราเหมาจ่าย เริ่มต้น 630 บาท สูงสุด 1,320 บาท สำหรับแรบบิท บุคคลทั่วไป หรือแรบบิท ธุรกิจ และเริ่มต้น 610 บาท สูงสุด 1,240 บาท สำหรับแรบบิท นักเรียน-นักศึกษา แพ็คเกจดังกล่าวประกอบด้วยคะแนนแรบบิทรีวอร์ดส์ ในจำนวนที่เพียงพอสำหรับการแลกเที่ยวโดยสารตามจำนวนที่กำหนด คือเริ่มต้น 15 เที่ยว สูงสุด 35 เที่ยว คูปองสำหรับใช้บริการ ณ ร้านเทอร์เทิล หรือร้านลอว์สัน 108 และคูปองสำหรับใช้บริการแอปพลิเคชันแกร็บ ทั้งนี้เที่ยวโดยสารที่สามารถแลกได้ จะสามารถใช้งานได้เฉพาะการเดินทางในเส้นทางส่วนสัมปทานเท่านั้น กรณีการเดินทางข้ามมาส่วนต่อขยาย (ห้าแยกฯ - คูคต/บางจาก - เคหะฯ/โพธิ์นิมิตร - บางหว้า) จะต้องมียอดเงินคงเหลือที่เป็นเงินสดอย่างน้อย 15 บาท ถึงจะสามารถแตะบัตรออกที่สถานีส่วนต่อขยายได้ กรณียอดเงินคงเหลือไม่เพียงพอ จะต้องชำระอัตราค่าโดยสารเพิ่มเติมที่สถานีก่อนออกจากระบบ
ทั้งนี้ กรุงเทพมหานคร กรุงเทพธนาคม และบีทีเอส มีนโยบายลดค่าโดยสาร 50% จากอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บเมื่อใช้บัตรแรบบิทประเภทผู้สูงอายุ และกรุงเทพมหานครมีนโยบายลดค่าโดยสารในสถานีส่วนต่อขยายสำหรับทั้งบัตรนักเรียน นักศึกษา และบัตรผู้สูงอายุ จาก 15 บาทตลอดสาย เหลือ 7-10 บาท
=== คนพิการ ===
การออกตั๋วโดยสารให้ผู้พิการ จะต้องออกตั๋วกระดาษ โดยเจ้าพนักงานของรถไฟฟ้าบีทีเอสต้องเซ็นกำกับที่ตั๋วทุกครั้งและอาจต้องแสดงตั๋วกับพนักงานรักษาความปลอดภัยก่อนออกจากสถานีต้นทาง เมื่อถึงที่หมายจะมีเจ้าพนักงานหรือพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยรับผู้โดยสารบริเวณชานชาลาเพื่ออำนวยความสะดวกในการพาไปยังทางออกที่ต้องการ และมีเจ้าพนักงานมีอำนาจในการเปิดหรือปิดประตูรับตั๋วบริเวณทางออกซึ่งต้องเป็นเจ้าพนักงานของรถไฟฟ้าบีทีเอสเท่านั้น
=== ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ ===
รถไฟฟ้าบีทีเอส ร่วมกับกรมบัญชีกลาง และธนาคารกรุงไทย ตามนโยบายของภาครัฐฯ ที่กำหนดให้มีงบประมาณค่าโดยสารสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯเดือนละ 500 บาท โดยผู้โดยสารจะต้องแสดงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรประจำตัวประชาชนที่ห้องจำหน่ายบัตรโดยสารของรถไฟฟ้าบีทีเอสเพื่อรับบัตรโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสแบบเที่ยวเดียว ทั้งนี้ต้องไม่เกินวงเงิน 500 บาท หากเกิน เจ้าหน้าที่จะออกบัตรโดยสารมูลค่าต่ำสุด (17 บาท) ให้ใช้แตะเข้าระบบ และผู้โดยสารต้องชำระค่าโดยสารเพิ่มเติม ณ สถานีปลายทาง ยกเว้นการเดินทางในส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท (สถานีบางจาก-สถานีแบริ่ง-สถานีเคหะฯ) หรือส่วนต่อขยายสายสีลม (สถานีโพธิ์นิมิตร-สถานีบางหว้า) ผู้โดยสารจะได้รับบัตรโดยสารมูลค่า 15 บาท สำหรับใช้เดินทางในระบบ และต้องชำระค่าโดยสารเพิ่มเติม ณ สถานีปลายทาง กรณีเดินทางเข้าไปยังส่วนสัมปทาน
== มาตรฐานรักษาความปลอดภัย ==
รถไฟฟ้าบีทีเอส ใช้ระบบการจัดการความปลอดภัย (Safety Management System) ตามหลักการปฏิบัติของ ลอยด์ รีจิสเตอร์ เรล ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการขนส่งระบบราง และได้นำระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OHSAS 18001) มาปรับใช้ในระบบการจัดการความปลอดภัยของระบบรถไฟฟ้า เพื่อพัฒนามาตรฐานและความปลอดภัยสูงสุดในการบริการผู้โดยสาร
ในการเดินรถไฟฟ้า ทุกขบวนจะใช้ระบบควบคุมรถอัตโนมัติ (ATC) ซึ่งอยู่ภายใต้ระบบการเดินรถไฟฟ้าอัตโนมัติ (ATO) โดยมีความเร็วจำกัดไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีระบบป้องกันความผิดพลาดของการเดินรถ ระบบป้องกันขบวนรถอัตโนมัติ(ATP) จะเป็นระบบควบคุมระยะห่างระหว่างขบวนรถให้อยู่ในระยะที่ปลอดภัย ร่วมกับระบบอาณัติสัญญาณ CBTC ที่จะติดตามตำแหน่งปัจจุบันของขบวนรถ รวมถึงควบคุมความเร็ว เพื่อคำนวณระยะห่างในแต่ละช่วงความเร็วที่ปลอดภัยที่สุด
ภายในห้องโดยสารของขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้รับการออกแบบไม่ให้มีส่วนแหลมคม เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นแก่ผู้โดยสาร และใช้วัสดุที่ไม่ก่อให้เกิดควันพิษ และยากต่อการลุกลามเมื่อเกิดเพลิงไหม้ ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินในขบวนรถ เช่น เพลิงไหม้ ผู้โดยสารเจ็บป่วยกระทันหัน หรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ ผู้โดยสารสามารถแจ้งเหตุแก่พนักงานควบคุมรถไฟฟ้าโดยกดปุ่มรูปกระดิ่งสีเหลือง (Passengers Communication Unit) ที่ติดตั้งไว้บริเวณประตูรถไฟฟ้า
โครงสร้างของสถานีได้รับการออกแบบและก่อสร้างภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมอาคารและมาตรฐาน NFPA 130 ว่าด้วยการขนส่งมวลชนระบบราง และได้ติดตั้งระบบป้องกันและระงับเหตุเพลิงไหม้ภายใต้มาตรฐาน NFPA (National Fire Protection Association) ได้แก่ ถังดับเพลิง สายฉีดน้ำดับเพลิง และระบบฉีดน้ำดับเพลิงอัตโนมัติครอบคลุมพื้นที่ของสถานี รวมทั้งติดตั้งระบบไฟฟ้าและระบบสายล่อฟ้าภายใต้มาตรฐานของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ติดตั้งปุ่มหยุดรถไฟฟ้าฉุกเฉิน (กล่องสีเหลือง) เพื่อใช้หยุดการเคลื่อนที่ของรถไฟฟ้า ไม่ให้เข้าหรือออกจากสถานี และได้ติดตั้งประตูกั้นชานชาลาอัตโนมัติ (Half-Height Platform Screen Doors) ความสูง 1.50 เมตรในบางสถานี เพื่อจัดระเบียบการขึ้นลงรถไฟฟ้าบีทีเอสให้มีความปลอดภัยมากขึ้น และป้องกันเหตุฉุกเฉินร้ายแรง เช่น การพลัดตกลงไปในทางวิ่ง โดยในอนาคตจะมีการติดตั้งประตูกั้นชานชาลาเพิ่มเติมให้ครบทุกสถานีในส่วนสัมปทาน และในส่วนต่อขยายที่ 1 ที่กรุงเทพมหานครเป็นผู้ก่อสร้าง
=== ระบบรักษาความปลอดภัยของรถไฟฟ้าบีทีเอส ===
รถไฟฟ้าบีทีเอสกำหนดมาตรการการรักษาความปลอดภัยให้สอดคล้องกับนโยบายด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐาน ISO9001 : 2008 โดยได้แบ่งการบริหารจัดการงานรักษาความปลอดภัยออกเป็น 2 ด้าน
ด้านบุคลากร
รถไฟฟ้าบีทีเอสได้จัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย รวมทั้งสิ้น 394 คน ต่อวัน ปฏิบัติหน้าที่บนสถานีรถไฟฟ้าทั้ง 48 สถานี อาคารศูนย์บริหารและควบคุมการเดินรถไฟฟ้า โรงจอดและซ่อมบำรุง และลานจอดรถหมอชิต และได้จัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหญิงสถานีละอย่างน้อย 1 คน คอยให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารที่เป็นสุภาพสตรีในกรณีต่างๆ และในเวลากลางคืน มีการจัดพนักงานรักษาความปลอดภัย ดูแลความปลอดภัยบริเวณสถานีให้กับผู้โดยสารที่ใช้บริการเที่ยวรอบดึก และรักษาความปลอดภัยของตัวสถานีไปจนถึงเปิดให้บริการในวันถัดไป
รถไฟฟ้าบีทีเอสได้ร่วมมือกับงานตรวจพิสูจน์ กองกำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมสุนัขตำรวจ 2 นาย (สุนัข K-9) ปฏิบัติหน้าที่ตรวจหาวัตถุระเบิดในระบบ นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับกองกำกับการ 2 ศูนย์สืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ปฏิบัติหน้าที่จับกุมผู้ต้องสงสัยหรือมิจฉาชีพชาวต่างชาติที่หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย
พนักงานหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเขตรถไฟฟ้าบีทีเอส มีอำนาจในการตรวจค้นสัมภาระ กับผู้โดยสารภายในระบบและบุคคลน่าสงสัย ซึ่งมีอำนาจในการจับคุมผู้กระทำความผิดซึ่งหน้าได้ โดยส่งให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามกฎหมายพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย มาตรา 63 และมาตรา 93
ด้านอุปกรณ์
เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร รถไฟฟ้าบีทีเอส ได้มีพนักงานรักษาความปลอดภัย คอยตรวจสอบความเรียบร้อย และความปลอดภัยภายในสถานี โดยที่พนักงานรักษาความปลอดภัย จะถูกกำหนดพื้นที่ สถานที่ตรวจตราไว้เรียบร้อย และเพื่อยืนยันความปลอดภัยในขณะที่มีการตรวจตรา บีทีเอสมีชุดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้พนักงานรักษาความปลอดภัย ยืนยันกับแท่งตรวจการณ์ (Patrol Stick) และรายงานนายสถานี เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ จะได้มีการรับมือได้ทัน
รถไฟฟ้าบีทีเอส มีนโยบายการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด โดยมีอุปกรณ์ เครื่องตรวจวัตถุโลหะ (Metal Detector/ Guard Scan) ใช้ตรวจหาวัตถุที่มีส่วนประกอบของโลหะ โดยได้ตั้งจุดตรวจไว้ที่ชั้นจำหน่ายตั๋วในเขตชำระเงิน บริเวณใกล้ประตูอัตโนมัติทั้ง 2 ฝั่ง ทุกสถานีใช้สุ่มตรวจกระเป๋าหรือสัมภาระของผู้โดยสาร เพื่อป้องปรามการก่ออาชญากรรมหรือการก่อวินาศกรรมในระบบ และในกรณีที่ต้องตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย้อนหลัง ระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส มีระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ครอบคลุมพื้นที่สถานี อาคารศูนย์บริหารและควบคุมการเดินรถไฟฟ้า โรงจอดและซ่อมบำรุง และภายในขบวนรถไฟฟ้าบางขบวน โดยมีศูนย์เฝ้าระวังและรักษาความปลอดภัย (CCTV Security Check) อยู่ที่สถานีสยาม สามารถตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทันที และเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกผ่านกล้องโทรทัศน์วงจรปิด จะถูกบันทึกเป็นหลักฐานไว้ที่ศูนย์เฝ้าระวังแห่งนี้
ข้อกฎหมายด้านความปลอดภัย
ข้อกำหนดออกตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ว่าด้วยความปลอดภัยในชีวิตร่างกายและทรัพย์สิน การรักษาความสงบเรียบร้อยความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในเขตระบบรถไฟฟ้า อาศัยอำนาจตาม พ.ศ. 2547 มาตรา 3 ที่กำหนดไว้ผู้โดยสารหรือบุคคลอื่นในเขตระบบรถไฟฟ้าปฏิบัติตามเครื่องหมาย, ประกาศ, ป้าย หรือสัญญาณอื่นใด รวมถึงแนะนำและคำตักเตือนของพนักงานเจ้าหน้าที่ และหากมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดซึ่งออกตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์นี้ เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการจับคุม และดำเนินคดีตามมาตรา มาตรา 62 มาตรา 77 พระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543
== การให้บริการ ==
=== การให้บริการปกติ ===
รถไฟฟ้าบีทีเอสเปิดให้บริการเดินรถในแต่ละสถานีไม่เท่ากัน โดยเริ่มเดินรถขบวนแรกในเวลา 05.15 ในสายสุขุมวิท และในเวลา 05.30 ในสายสีลม แต่เปิดทำการห้องจำหน่ายบัตรโดยสารในเวลา 06.00 - 23.30 น. (ปิดรับชำระด้วยบัตรเครดิตเวลา 22.00 น.) โดยความถี่การเดินรถจะขึ้นอยู่กับเวลา และความหนาแน่นของผู้โดยสาร ผู้โดยสารจะต้องใช้บัตรโดยสารให้ถูกประเภท
ในช่วงเวลาตั้งแต่ 07.00 - 09.00 น. และ 16.00 - 20.00 น. รถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิท จะแบ่งการเดินรถออกเป็นสองรูปแบบโดยปล่อยรถสลับกัน ได้แก่ ขบวนรถเต็มระยะ (Full Run) ให้บริการตั้งแต่สถานีคูคต - สถานีเคหะฯ และขบวนรถระยะสั้น (Short Run) ให้บริการตั้งแต่สถานีหมอชิต - สถานีสำโรง และสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ - สถานีเคหะฯ ในบางขบวน โดยผู้โดยสารที่มากับขบวนรถระยะสั้น จะต้องเปลี่ยนขบวนรถ ณ สถานีสำโรง สถานีหมอชิต หรือสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อเดินทางไปสถานีปลายทางเคหะฯ และคูคต โดยใช้เวลารอรถขบวนถัดไป 5 นาที 20 วินาที
ในส่วนของเวลาปิดให้บริการ ตามปกติรถไฟฟ้าบีทีเอสมีขบวนรถไฟฟ้าวิ่งรับส่งผู้โดยสารจนถึงเวลา 01.00 น. โดยประมาณ แต่ให้ยกเว้นสำหรับสายสุขุมวิทเนื่องจากมีระยะทางที่ยาว โดยจะให้บริการขบวนรถเต็มระยะขบวนสุดท้ายในเวลา 23.23 น. จากสถานีคูคต และเวลา 23.22 น. จากสถานีเคหะฯ โดยทั้งสองขบวนจะถึงสถานีสยามเวลา 00.00 น. โดยประมาณ และจะออกจากสถานีในเวลา 0.08 น. หลังจากเวลาดังกล่าวจะไม่มีรถเต็มระยะให้บริการอีก แต่จะยังคงมีรถไฟฟ้าให้บริการต่อถึงเวลา 00.30 น. โดยขบวนรถจะสิ้นสุดให้บริการที่สถานีสำโรง และสถานีห้าแยกลาดพร้าวเท่านั้น กล่าวคือมีขบวนรถให้บริการเฉพาะช่วงสถานีคูคต-สถานีห้าแยกลาดพร้าว สถานีห้าแยกลาดพร้าว-สถานีสำโรง และช่วงสถานีเคหะฯ-สถานีสำโรง ผู้โดยสารจากสายสีลม จะต้องขึ้นขบวนสุดท้ายในเวลาที่กำหนด (23.43 น. จากสถานีบางหว้า และ 00.06 น. จากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ) เพื่อที่จะได้มาทันขบวนเต็มระยะสองขบวนสุดท้ายของสายสุขุมวิท
=== การช่วยเหลือคนที่มีความต้องการพิเศษ ===
พนักงานของรถไฟฟ้าบีทีเอส รวมถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยมีความเต็มใจที่จะช่วยเหลือผู้มีความพิการ อาทิการจูงผู้พิการทางสายตาไปยังสถานี การจัดที่นั่งเฉพาะสำหรับผู้ที่มีความต้องการพิเศษ การติดตั้งสายรถรัดรถเข็นภายในขบวนรถไฟฟ้า การให้บริการติดตามผู้โดยสารที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษโดยพนักงานประจำสถานีด้วยการติดต่อสื่อสารระหว่างพนักงานสถานีต้นทาง พนักงานขบวนรถ และพนักงานสถานีปลายทาง รวมถึงอนุญาตให้นำสัตว์นำทางเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าได้เป็นกรณีพิเศษ
=== บริการอื่น ๆ ===
ที่จอดรถสำหรับผู้โดยสาร มีพื้นที่จอดรถสำหรับการจอดรถรายวันให้ที่สถานีหมอชิต บริเวณด้านหน้าศูนย์ซ่อมบำรุง สามารถจอดได้ถึง 1,250 คัน สถานีอโศก บริเวณทางออก 3 ของสถานีสุขุมวิท (ด้านหน้าคอนโดมิเนียมแอชตัน อโศก) ให้บริการจอดรถรายเดือน และสถานีเคหะฯ ซึ่งให้บริการโดย รฟม. สามารถจอดได้ถึง 1,200 คันและยังมีพื้นที่จอดรถเอกชนให้บริการตามสถานีต่าง ๆ อาทิ สถานีกรุงธนบุรี เป็นต้น
อาคารจอดแล้วจร รถไฟฟ้าบีทีเอส มีบริการอาคารจอดรถและจุดจอดรถจักรยานยนต์ซึ่งให้บริการโดย รฟม. 2 แห่ง ได้แก่ อาคารจอดรถ 6 ชั้นบริเวณสถานีคูคต สามารถจอดได้ 713 คัน และอาคารจอดรถ 3 ชั้นบริเวณสถานีแยก คปอ. สามารถจอดได้ 1,042 คัน ซึ่งบริการทั้งแบบรายวันและรายเดือน ทั้งนี้ผู้ที่ใช้บริการจะได้รับบัตรจอดรถ ซึ่งผู้โดยสารจะต้องแตะบัตรที่สถานีคูคต สถานีแยก คปอ. หรือสถานีเคหะฯ เพื่อบันทึกการใช้งาน จากนั้นผู้โดยสารจะต้องนำบัตรมาคืน พร้อมชำระค่าจอดรถและรับรถคืนภายในเวลาที่กำหนด กล่าวคือเฉพาะเวลา 05.00-01.00 น. เท่านั้น แต่หากลืมแตะบัตรจะคิดในราคาเท่ากับผู้ไม่ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส คือ 50 บาทต่อชั่วโมง การจอดรถนานเกินช่วงเวลาดังกล่าวจะมีอัตราโทษปรับตามเกณฑ์ที่กำหนดในขณะนั้นๆ ปัจจุบันคือผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิท ปรับ 300 บาท หากไม่ใช้บริการปรับ 1,000 บาท เนื่องจากไม่รับฝากรถเพียงแค่รับฝากเฉพาะผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสเท่านั้น
ร้านค้า มีบริการร้านค้าขนาดย่อมให้บริการทุกสถานี ยกเว้นสถานีส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท (สำโรง-เคหะฯ, ห้าแยกลาดพร้าว-คูคต) ซึ่งรวมทั้งร้านค้าบริการ และร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มภายในสถานี และมีบริการร้านเทอร์เทิลในบางสถานี ซึ่งให้บริการทั้งมินิซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหารบริเวณชั้น Concourse และตู้จำหน่ายสินค้าบริเวณชานชาลา โดยสถานีที่มีบริการร้านเทอร์เทิล จะเป็นสถานีที่รถไฟฟ้าบีทีเอสได้มีการอนุโลมให้ผู้โดยสารสามารถรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่ม ภายในบริเวณพื้นที่ตรวจบัตรโดยสารแล้วรวมถึงพื้นที่ชานชาลาได้ แต่ไม่อนุญาตให้นำอาหารหรือเครื่องดื่มที่ยังรับประทานไม่เสร็จเข้าสู่ขบวนรถไฟฟ้า จนกว่าจะจัดเก็บให้มิดชิดก่อนเข้าสู่ขบวนรถไฟฟ้า
จุดบริการด่วนมหานคร มีศูนย์บริการประชาชนของกรุงเทพมหานครที่เรียกว่า จุดบริการด่วนมหานคร (BMA Express Service) ที่ สถานีสยาม (จุดบริการเขตปทุมวัน) สถานีหมอชิต (จุดบริการเขตจตุจักร) สถานีอุดมสุข (จุดบริการเขตบางนา) และสถานีวงเวียนใหญ่ (จุดบริการเขตคลองสาน) ซึ่งให้บริการงานทะเบียนบัตรประจำตัวประชาชน และงานทะเบียนราษฎร์เป็นหลัก รวมถึงให้บริการ Pre-Service ช่วยจัดเตรียมเอกสารก่อนการเข้าติดต่อที่สำนักงานเขต และให้บริการข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว
ตู้ถอนเงิน มีบริการตู้ถอนเงินในทุกสถานีจากหลากหลายธนาคาร ยกเว้นสถานีส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท (สำโรง-เคหะฯ, ห้าแยกลาดพร้าว-คูคต) กับสถานีส่วนต่อขยายสายสีลม (โพธิ์นิมิตร-บางหว้า) ในบางสถานีมีธนาคารยูโอบี (ประเทศไทย) ธนาคารกสิกรไทย หรือธนาคารไทยพาณิชย์มาเปิดสาขาย่อยบนสถานี
โทรศัพท์ โครงการได้ร่วมมือกับ เอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ เอช ในการวางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สาย และวางเสาสัญญาณ 3จี 4จี และ 5จี ใน 23 สถานีสำหรับให้บริการลูกค้าของแต่ละเครือข่าย และร่วมมือกับ เอแอลที เทเลคอม ในการวางโครงข่ายไร้สายใน 30 สถานีในชื่อ BTS X-Press Wi-Fi ให้ผู้โดยสารสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนสถานีได้ฟรี
== แผนที่เครือข่ายเส้นทาง ==
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
รถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิท
รถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีลม
รถไฟฟ้ามหานคร
รถไฟฟ้าสายสีแดง
โครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ต่อเนื่อง
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)
โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครส่วนต่อขยาย โดย สนข.
รายงานความคืบหน้าของการก่อสร้างส่วนต่อขยาย อ่อนนุช–ซอยแบริ่ง
โครงการระบบขนส่งกรุงเทพมหานคร ช่วงหมอชิต–สะพานใหม่ และ ช่วงแบริ่ง–สมุทรปราการ
โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต–คูคต และ ช่วงแบริ่ง–สมุทรปราการ
=== หนังสือชี้แจงที่ใช้อ้างอิง===
หนังสือชี้แจงระบบรักษาความปลอดภัยของรถไฟฟ้าบีทีเอส PDF
หนังสือชี้แจงระบบปฏิบัติการเดินรถ PDF
หนังสือชี้แจงระบบบัตรโดยสาร PDF
หนังสือชี้แจงระบบโครงสร้างทางวิ่งและสถานี PDF
หนังสือชี้แจงระบบซ่อมบำรุง PDF
หนังสือชี้แจงระบบซ่อมบำรุง PDF
รถไฟลอยฟ้าในประเทศไทย
ระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานคร
รถไฟฟ้าในจังหวัดสมุทรปราการ
รถไฟฟ้าในจังหวัดปทุมธานี
เมกะโปรเจกต์ในประเทศไทย
พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542
|
thaiwikipedia
| 2,066 |
13 มิถุนายน
|
วันที่ 13 มิถุนายน เป็นวันที่ 164 ของปี (วันที่ 165 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 201 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2441 (ค.ศ. 1898) - ประเทศแคนาดาก่อตั้งเขตปกครองยูคอน โดยมีเมืองไวต์ฮอร์สเป็นเมืองหลวง
พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) - สงครามโลกครั้งที่ 2: เยอรมันเริ่มปฏิบัติการระเบิดบินวี 1 เพื่อโจมตีประเทศอังกฤษ โดยมีระเบิด 4 ใน 11 ลูกที่โดนเป้าหมาย
พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) - สงครามเวียดนาม: หนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทม์ส เริ่มตีพิมพ์เอกสารเพนตากอน ข้อมูลลับสุดยอดเกี่ยวกับการทำสงครามกับประเทศเวียดนาม
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - ยานไพโอเนียร์ 10 กลายเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นชิ้นแรก ที่เดินทางออกนอกระบบสุริยะ
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - ผู้ชมคนหนึ่งถูกฟ้าผ่าระหว่างชมการแข่งขันกอล์ฟรายการยูเอสโอเพ่น
พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - คิม แดจุง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ พบปะกับ คิม จองอิล ผู้นำเกาหลีเหนือ ในการประชุมสุดยอดครั้งแรกระหว่างเกาหลี ณ กรุงเปียงยาง
== วันเกิด ==
พ.ศ. 1366 (ค.ศ. 823) - จักรพรรดิคาร์ลที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (สวรรคต 6 ตุลาคม พ.ศ. 1420)
พ.ศ. 1382 (ค.ศ. 839) - จักรพรรดิคาร์ลที่ 3 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (สวรรคต 13 มกราคม พ.ศ. 1431)
พ.ศ. 1910 (ค.ศ. 1367) - พระเจ้าแทจง (สวรรคต 30 พฤษภาคม พ.ศ. 1965)
พ.ศ. 2316 (ค.ศ. 1773) - โทมัส ยัง นักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์และนักคณิตศาสตร์ (ถึงแก่กรรม 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2372)
พ.ศ. 2341 (ค.ศ. 1798) - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (สิ้นพระชนม์ 30 มกราคม พ.ศ. 2390)
พ.ศ. 2374 (ค.ศ. 1831) - เจมส์ คล๊าก แมกซ์เวลล์ นักฟิสิกส์ (เสียชีวิต ค.ศ. 1879)
พ.ศ. 2408 (ค.ศ. 1865) - วิลเลียม บัตเลอร์ เยตส์ กวีชาวไอร์แลนด์ (เสียชีวิต 28 มกราคม พ.ศ. 2482)
พ.ศ. 2410 (ค.ศ. 1867) - วิลเลียม ก็อสเซต นักเคมีและนักสถิติ
พ.ศ. 2426 (ค.ศ. 1883) - หม่อมทิพวัน กฤดากร ณ อยุธยา (เสียชีวิต พ.ศ. 2497)
พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) - บรูโน่ เด ฟิเน็ตติ นักคณิตศาสตร์ นักสถิติและทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์
พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) - จอห์น แนช นักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558)
พ.ศ. 2478 (ค.ศ. 1935) - สมัคร สุนทรเวช นักการเมืองไทย (ถึงแก่กรรม 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552)
พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) - มัลคอล์ม แมคโดเวลล์ นักแสดงชายชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) - สเต็ลลัน สกอชกวด นักแสดงชาวสวีเดน
พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) - ทิม อัลเลน ดาราตลก นักแสดง นักพากย์ ชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - ชัคกี้ ธัญญรัตน์ นักกีตาร์ชาวไทย เจ้าของฉายา "กีตาร์เทพ" (ถึงแก่กรรม 10 มิถุนายน พ.ศ. 2540)
พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) -
* ราเมศ บัลวานี นักธุรกิจชาวอเมริกัน
* ฮิโรชิ อันโด นักเขียนและผู้กำกับชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - เดวิด เกรย์ นักร้อง/นักแต่งเพลงชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - สิริยากร พุกกะเวส นักแสดงหญิงชาวไทย
พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) - จักรกฤษณ์ คชรัตน์ นักแสดงชายชาวไทย
พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) - มิกะโกะ อิชะกะวะ นักแสดงหญิงและนางแบบชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - ฟลอร็อง มาลูดา นักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - คริส อีแวนส์ นักแสดงชายชาวอเมริกา
พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) - วิศรุต พันนาสี นักฟุตบอลระดับอาชีพชาวไทย
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - จักรพันธ์ ตัณฑะสุวรรณะ นักแสดงชายชาวไทย
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) -
* เคซูเกะ ฮนดะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น
* แคท เดนนิงส์ นักแสดงชาวอเมริกัน
* อรอุมา สิทธิรักษ์ นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย
พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์ นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) - แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน นักแสดงชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) -
* กรวิชญ์ สูงกิจบูลย์ (จูเนียร์ เดอะสตาร์) เดอะสตาร์ปีที่ 7
* ไรอัน เมสัน อดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษ
พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - ทอมัส พาร์ทีย์ นักฟุตบอลชาวกานา
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - คุมิ ยางามิ นักปาเป้ามืออาชีพชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - กีงส์แล กอมาน นักฟุตบอลอาชีพชาวฝรั่งเศส
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) -
* คิม ดง-ฮี นักแสดงชาวเกาหลีใต้
* อทิตยา เครก นักแสดงหญิงชาวไทย
พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - นัม ดา-รึม นักแสดงชาวเกาหลีใต้
พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - นรวิชญ์ ฐิติเจริญรักษ์ นักแสดงชายชาวไทย
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 1382 (ค.ศ. 839) - นักบุญแอนโทนีแห่งปาดัว
พ.ศ. 2429 (ค.ศ. 1886) - พระเจ้าลูทวิชที่ 2 แห่งบาวาเรีย (พระราชสมภพ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2388)
พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) - แกรนด์ดยุกไมเคิล อเล็กซานโดรวิชแห่งรัสเซีย (พระราชสมภพ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2421)
พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920) - กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ (ประสูติ 3 มีนาคม พ.ศ. 2426)
พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) - กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช (ประสูติ 11 มกราคม พ.ศ. 2403)
พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) - พระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท (ประสูติ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2427)
พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) - โอซามุ ดาไซ หนึ่งในนักเขียนนวนิยายคนสำคัญของญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 20
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - เบนนี่ กู๊ดแมน นักเป่าคลาริเน็ตแจ๊ส ชาวอเมริกัน เจ้าของฉายา "ราชาเพลงสวิง"
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - พุ่มพวง ดวงจันทร์ นักร้องเพลงลูกทุ่ง ชาวสุพรรณบุรี (เกิด พ.ศ. 2504)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
คริสตจักรโรมันคาทอลิก - วันฉลองนักบุญแอนโทนีแห่งปาดัว
สหรัฐอเมริกา – วันเด็กโลก
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
Today in History: June 13
มิถุนายน 13
มิถุนายน
|
thaiwikipedia
| 2,067 |
เครื่องดนตรีไทย
|
เครื่องดนตรีไทยหลัก ๆ ได้แก่ ปี่ ซออู้ ซอด้วง ระนาด ฆ้อง จะเข้ ฉิ่ง ฉาบ กลองยาว โหม่ง และกรับ
==ประวัติดนตรีไทย==
เครื่องดนตรีไทยเกิดจากชนชาติไทยเองและการเลียนแบบชนชาติอื่นที่อยู่ใกล้ชิดโดยเริ่มตั้งแต่สมัยโบราณที่ไทยตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาจักรฉ่องหวู่ดินแดนของประเทศจีนในปัจจุบัน ทำให้เครื่องดนตรีไทยและจีนมีการแลกเปลี่ยนเลียนแบบกัน นอกจากนี่ยังมีเครื่องดนตรีอีกหลายชนิด ที่ชนชาติไทยประดิษฐ์ขึ้นใช้ก่อนที่จะมาพบวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งแพร่หลายอยู่ทางตอนใต้ของแหลมอินโดจีน สำหรับชื่อเครื่องดนตรีดั้งเดิมของไทยจะเรียนตามคำโดดในภาษาไทย เช่น เกราะ โกร่ง กรับ ฉิ่ง ฉาบ ขลุ่ย พิณเปี๊ยะ ซอ ฆ้องและกลอง ต่อมาได้มีการประดิษฐ์เครื่องดนตรีให้พัฒนาขึ้น โดยนำไม้ที่ทำเหมือนกรับหลายอันมาวางเรียงกันได้เครื่องดนตรีใหม่ เรียกว่าระนาดหรือนำฆ้องหลาย ๆ ใบมาทำเป็นวงเรียกว่า ฆ้องวง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีการผสมผสานกับวัฒนธรรมทางดนตรีของอินเดีย มอญ เขมร ในแหลมอินโดจีนที่ไทยได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ ได้แก่ พิณ สังข์ ปี่ไฉน บัณเฑาะว์ กระจับปี่ จะเข้ โทน(ทับ) เป็นต้น ต่อมาเมื่อมีความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ไทยได้นำบทเพลงและเครื่องดนตรีบางอย่างของประเทศเพื่อนบ้านมาบรรเลงในวงดนตรีไทย เช่น กลองแขกของชวา กลองมลายูของมลายู เปิงมางของมอญ และกลองยาวของไทยใหญ่ที่พม่านำมาใช้ รวมทั้งขิม ม้าล่อ และกลองจีน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของจีน เป็นต้น ต่อมาไทยมีความสัมพันธ์ชาวกับตะวันตกและอเมริกา ก็ได้นำกลองฝรั่ง เช่นกลองอเมริกัน และเครื่องดนตรีอื่น ๆ เช่น ไวโอลีน ออร์แกน มาใช้บรรเลงในวงดนตรีของไทย
จากประวัติเครื่องดนตรีไทยดังกล่าว สามารถแบ่งประวัติศาสตร์ของเครื่องดนตรีไทยได้เป็น 4 สมัย ดังนี้
===สมัยสุโขทัย===
ชาวไทยมีความสนุกสนานกับการเล่นดนตรีและร้องเพลงกันมากดังที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงฯหลักที่ 1 ว่า "ดบงคมกลอง ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน" ซึ่งแสดงถึงการบรรเลงเครื่องดนตรีประเภทตี เป่า ดีด และสี คือ กลอง ปี่ พิณ และเครื่องดนตรีทีมีสายไว้สีได้ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานของล้านนาไทยที่มีศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยกันในหลักศิลาจารึกในวัดพระยืน จังหวัดลำพูน ที่จารึกไว้ว่า "ให้ถือกระทงข้างตอกดอกไม้ไต้เทียน ตีพาทย์ดังพิณฆ้องกลอง ปี่สรไนพิสเนญชัยทะเทียดกาหลแตรสังมาลย์กังสดาล มรทงค์ดงเดือด เสียงเลิศเสียงก้อง อีกทั้งคนร้องโห่อื้อดาสรท้านทั่งทั้งนครหริภุญชัย แล" ซึ่งแสดงถึงเครื่องดนตรีบรรเลงในวงดนตรี และประชาชนนำมาเล่นเพื่อความสนุกสนานครึกครื้นกัน ดังนั้นจึงสามารถกล่าวถึงเครื่องดนตรีไทยในสมัยสุโขทัยได้จากวงดนตรีไทยในสมัยนั้น ได้แก่ วงแตรสังข์ ที่ใช้บรรเลงในพระราชพิธีต่าง ๆ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีแตรฝรั่ง แตรงอน ปี่ไฉนแก้ว กลองชนะ บัณเฑาะว์ และมโหระทึก วงปี่พาทย์เครื่องห้าประกอบด้วย ปี่ใน ฆ้องวง ตะโพน สังข์ กลองทัด และฉิ่ง นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีเช่น พิณ และซอสามสาย อยู่ในสมัยนั้นอีกด้วย
===สมัยอยุธยา===
เป็นช่วงที่บ้านเมืองมีศึกสงครามอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ดนตรีไทยไม่เจริญก้าวหน้ามากนัก ยังคงมีเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ เครื่องห้าเท่าเดิม จนมาเพิ่มระนาดเอกภายหลังในตอนปลายสมัยอยุธยา ส่วนวงดนตรีที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น ได้แก่ วงมโหรี ที่บรรเลงโดยผู้หญิง เพื่อขับกล่อมถวายแด่พระมหากษัตริย์ ประกอบด้วยเครื่องดนตรี กระจับปี่ ซอสามสาย โทน(ทับ) กรับ รำมะนา ขลุ่ยและฉิ่ง แต่ต่อมาได้นำจะเข้ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของมอญมาประสมแทนกระจับปี่ เพื่อให้ทำนองได้ละเอียดลออและไพเราะกว่า และวงเครื่องสาย ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ซอด้วง ซออู้ จะเข้ ขลุ่ย โทน(ทับ) และฉิ่ง
===สมัยธนบุรี===
มีวงดนตรี 3 ประเภท เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา คือ วงปี่พาทย์ วงมโหรี และวงเครื่องสาย แต่มีเครื่องดนตรีของชาติต่างๆ เข้ามาในประเทศไทยหลายชนิด
ดังปรากฏในหมายกำหนดการของพระมหากษัตริย์ในสมัยนั้นว่า “ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิณพาทย์ไทย พิณพาทย์รามัญ มโหรีไทย ฝรั่ง มโหรีญวน เขมร
ผลัดเปลี่ยนกันสมโภช 2 เดือนกับ 12 วัน” ในงานสมโภชพระแก้วมรกตเป็นต้น
เนื่องจากในสมัยนี้เป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่ 15 ปี และประกอบกับเป็นสมัยแห่งการก่อร่างสร้างเมือง และการป้องกันประเทศเสียโดยมาก วงดนตรีไทยในสมัยนี้จึงไม่ปรากฏหลักฐานไว้ว่า ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงขึ้น สันนิษฐานว่า ยังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของ ดนตรีไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
===สมัยรัตนโกสินทร์===
มีความก้าวหน้าทางดนตรีมาก เริ่มจากสมัยรัชกาลที่ 1 ได้เพิ่มกลองทัดขึ้นในวงปี่พาทย์เป็น 2 ลูก และเพิ่มระนาดในวงมโหรีปี่พาทย์อีก 1 ราง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 เริ่มมีปี่พาทย์บรรเลงประกอบเสภา จึงได้นำเปิงมางมาติดข้างสุกถ่วงเสียงให้ต่ำลง เรียกว่าสองหน้า ใช้ประกอบการบรรเลงประกอบเสภา และได้เพิ่มฆ้องวงในวงมโหรีด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีผู้สร้างระนาดทุ้มและฆ้องวงเล็กขึ้นมา ทำให้เกิดวงปี่พาทย์เครื่องคู่ขึ้นในสมัยนั้น ซึ่งประกอบด้วยเครื่องดนตรีระนาดทีเปลี่ยนชื่อเป็นระนาดเอก เพื่อให้เข้าคู่กับระนาดแบบใหม่ ที่เพิ่มราง 1 ราง และสร้างขนาดใหญ่เรียกว่า ระนาดทุ้ม และฆ้องวงใหญ่ เพื่อให้เข้าคู่กับฆ้องวงเล็กที่สร้าง ขนาดเล็กลงเรียกว่า ฆ้องวงเล็ก นอกจากนี่ยังมีการนำปี่นอกเข้ามาผสมเข้าคู่กับปี่ใน และเครื่องดนตรีเดิม คือ ตะโพน กลองทัดและฉิ่งเช่นเดิม รวมทั้งมีวงมโหรีเครื่องคู่เกิดขึ้น โดยมีการนำระนาดทุ้ม ฆ้องวงเล็ก และขลุ่ยหลีบ ให้เข้าคู่กับเครื่องดนตรีที่มีอยู่เดิม ในสมัยรัชกาลที่ 4 วงปี่พาทย์มีความเจริญมาก โดยเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ ต่างก็มีวงปี่พาทย์ประจำบ้านกัน และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระราชดำริให้นำลวดเหล็กเล็ก ๆ ที่ทอดพระเนตรจากนาฬิกาตั้งโต๊ะที่กลไกข้างในมีลวดเส้น เล็ก ๆ สั้นบ้างยาวบ้าง ปักเรียงกันถี่ ๆ เป็นวงกลมคล้ายหวีตรงกลางมีแกนหมุนและเหล็กเขี่ยเส้นลวดเหล็กเหล่านั้นผ่านไปโดยรอบที่พระองค์ทรงเรียกว่า นาฬิกาเขี่ยหวี ซึ่งมีเสียงดังกังวานมาสร้าง เป็นระนาดทุ้มเหล็ก และระนาดเหล็กที่เล็กกว่าและมีเสียงสูงกว่า มาเพิ่มเข้าในวงปี่พาทย์ และเรียกวงปี่พาทย์นี้ว่า วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มเครื่องดนตรี ระนาดทุ้มเหล็กและระนาดเอกเหล็กที่ทำด้วยทองเหลืองเรียกว่า ระนาดทอง และนำซอด้วงและซออู้มาผสมในวงมโหรีด้วยเรียกว่า มโหรีเครื่องใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เกิดวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงปรับปรุงขึ้นเพื่อบรรเลงประกอบละครวงปี่พาทย์นี้มีชื่อเสียงไพเราะนุ่มนวลกว่า เพราะได้ดัดเครื่องดนตรีที่มีเสียงดังมาก เสียงสูงและเสียงเล็กแหลมออกจนหมด และระนาดเอกก็ตีด้วยไม้นวม รวมทั้งยังนำฆ้องชัยหรือฆ้องหุ่ยมา 7 ลูก เทียบเสียงเรียงลำดับตีห่างๆ คล้ายกับ เบสของฝรั่ง เพิ่มเข้ามา ในสมัยรัชกาลที่ 6 การดนตรีมีความเจริญขึ้นมาก โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งกรมมหรสพ กรมบัญชาการ กรมโขนหลวง กรมพิณพาทย์หลวงกลองเครื่องสายฝรั่งหลวง และกรมช่างมหาดเล็ก สำหรับสร้างและซ่อมสิ่งที่เป็นศิลปะต่าง ๆ และพระองค์ยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องปี่พาทย์ประดับมุกและประดับงาขึ้น 2 ชุด ประดับเป็นลวดลายวิจิตร มีอักษรพระปรมาภิไธย ม.ว. ซึ่งงดงามมีค่ายิ่ง ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งวงเครื่องสาย ส่วนพระองค์ขึ้น โดยพระองค์ทรงซอด้วง และพระบรมราชินีทรงซออู้ พร้อมทั้งเจ้านายอีกหลายพระองค์ อยู่ในวงนั้น นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์ เพลงราตรีประดับดาว เถา เพลงเขมรละออองค์ เถา และเพลงคลื่นกระทบฝั่ง 3 ชั้น ต่อมาเมื่อหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ. 2475 การดนตรีไทยได้ค่อย ๆ เสื่อมลง จนมาถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปแล้ว จึงได้มีการฟื้นฟูดนตรีไทยขึ้นใหม่ จนมาถึงปัจจุบันนี้ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระปรีชาสามารถทางดนตรีสากล และพระราชนิพนธ์เพลงขึ้นหลายเพลงด้วย แต่พระองค์ยังทรงสนพระทัยการดนตรีไทย โดยพระราชทานทุน ให้พิมพ์เพลงไทยเป็นโน้ตสากลออกจำหน่ายจนเป็นที่นิยมของวงการดนตรีทั่วไป
==เครื่องดนตรีไทยแบ่งตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ==
เครื่องดนตรีแต่ละภาคเป็นดนตรีพื้นบ้านที่ถ่ายทอดกันมาด้วยวาจาซึ่งเรียนรู้ผ่านการฟังมากกว่าการอ่าน และเป็นสิ่งที่พูดต่อกันมาแบบปากต่อปากโดยไม่มีการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร จึงเป็นลักษณะการสืบทอดทางวัฒนธรรมของชาวบ้านตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นกิจกรรมการดนตรีเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดจากการทำงาน และช่วยสร้างสรรค์ความรื่นเริงบันทิงเป็นหมู่คณะและชาวบ้านในท้องถิ่นนั้น ซึ่งจะทำให้เกิดความรักสามัคคีกันในท้องถิ่นและปฏิบัติสืบทอดต่อมายังรุ่นลูกรุ่นหลาน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ทางพื้นบ้านของท้องถิ่นนั้น ๆ สืบต่อไป
เครื่องดนตรีของไทย สามารถแบ่งออกตามภูมิภาคต่าง ๆ ของไทยได้ ดังนี้
===เครื่องดนตรีภาคกลาง===
ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภท ดีด สี ตี เป่า โดยเครื่องดีด ได้แก่ จะเข้และจ้องหน่อง เครื่องสี ได้แก่ ซอด้วงและซออู้ เครื่องตีได้แก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดทอง ระนาดทุ้มเล็ก ฆ้อง โหม่ง ฉิ่ง ฉาบและกรับ เครื่องเป่า ได้แก่ ขลุ่ยและปี่ ลักษณะเด่นของเครื่องดนตรีภาคกลาง คือ วงปี่พาทย์ของภาคกลางจะมีการพัฒนาในลักษณะผสมผสานกับดนตรีหลวง โดยมีการพัฒนาจากดนตรีปี่และกลองเป็นหลักมาเป็นระนาดและฆ้องวงพร้อมทั้งเพิ่มเครื่องดนตรี มากขึ้นจนเป็นวงดนตรีที่มีขนาดใหญ่ รวมทั้งยังมีการขับร้องที่คล้ายคลึงกับปี่พาทย์ของหลวง ซึ่งเป็นผลมาจากการถ่ายโยงทางวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมราษฎร์และหลวง
===เครื่องดนตรีภาคเหนือ===
ในยุคแรกจะเป็นเครื่องดนตรีประเภทตี ได้แก่ ท่อนไม้กลวง ที่ใช้ประกอบพิธีกรรม ในเรื่องภูตผีปีศาจและเจ้าป่า เจ้าเขา จากนั้น ได้มีการพัฒนาโดยนำหนังสัตว์มาขึงที่ปากท่อนไม้กลวงไว้กลายเป็นเครื่องดนตรีที่เรียกว่ากลอง ต่อมามีการพัฒนารูปแบบของกลองให้แตกต่างออกไป เช่น กลองที่ขึงปิดด้วยหนังสัตว์เพียงหน้าเดียว ได้แก่ กลองรำมะนา กลองยาว กลองแอว และกลองที่ขึงด้วยหนังสัตว์ทั้งสองหน้า ได้แก่ กลองมองเซิง กลองสองหน้า และตะโพนมอญ(กลองเต่งถิ้ง) นอกจากนี้ยังมีเครื่องตีที่ทำด้วยโลหะ เช่น ฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ ส่วนเครื่องดนตรีประเภทเป่า ได้แก่ ขลุ่ย ย่ะเอ้ ปี่แน ปี่มอญ ปีสรไน และเครื่องสี ได้แก่ สะล้อลูก 5 สะล้อลูก 4 และ สะล้อ 3 สาย และเครื่องดีด ได้แก่ พิณเพียะ ปินน่าน(พิณน่าน) และซึง 3 ขนาด คือ ซึงน้อย ซึงกลาง และซึงใหญ่ สำหรับลักษณะเด่นของเครื่องดนตรีภาคเหนือ คือ มีการนำเครื่องดนตรีประเภท ดีด สี ตี เป่า มาผสมวงกันให้มีความสมบูรณ์และไพเราะ โดยเฉพาะในด้านสำเนียงและทำนองที่พลิ้วไหวตามบรรยากาศ ความนุ่มนวลอ่อนละมุนของธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีการผสมทางวัฒนธรรมของชนเผ่าต่าง ๆ และยังเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมในราชสำนักทำให้เกิดการถ่ายโยง และการบรรเลงดนตรีได้ทั้งในแบบราชสำนักของคุ้มและวัง และแบบพื้นบ้านมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น
===เครื่องดนตรีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ===
มีวิวัฒนาการมายาวนานนับพันปี เริ่มจากในระยะต้น มีการใช้วัสดุท้องถิ่นมาทำเลียนเสียงจากธรรมชาติ ป่าเขา เสียงลมพัดใบไม้ไหว เสียงน้ำตก เสียงฝนตก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเสียงสั้นไม่ก้อง ในระยะต่อมาได้ใช้วัสดุพื้นเมืองจากธรรมชาติมาเป่า เช่น ใบไม้ ผิวไม้ ต้นหญ้าปล้องไม้ไผ่ ทำให้เสียงมีความพลิ้วยาวขึ้น จนในระยะที่ 3 ได้นำหนังสัตว์และเครื่องหนังมาใช้เป็นวัสดุสร้างเครื่องดนตรีที่มีความไพเราะและรูปร่างสวยงามขึ้น เช่น กรับ เกราะ ระนาด ฆ้อง กลอง โปง โหวด ปี่ พิณ โปงลาง แคน เป็นต้น โดยนำมาผสมผสานเป็นวงดนตรีพื้นบ้านภาคอีสานที่มีลักษณะเฉพาะตามพื้นที่ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มอีสานเหนือ และอีสานกลางจะนิยมดนตรีหมอลำที่มีการเป่าแคนและดีดพิณประสานเสียงร่วมกับการขับร้อง ส่วนกลุ่มอีสานใต้จะนิยมดนตรีกันตรึมซึ่งเป็นดนตรีบรรเลงที่ไพเราะของชาวอีสานใต้ที่มีเชื้อสายเขมร นอกจากนี้ยังมีวงพิณพาทย์และวงมโหรีด้วยชาวบ้านแต่ละกลุ่มก็จะบรรเลงดนตรีเหล่านี้กันเพื่อ ความสนุกสนานครื้นเครง ใช้ประกอบการละเล่น การแสดง และพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น ลำผีฟ้า ที่ใช้แคนเป่าในการรักษาโรค และงานศพแบบอีสานที่ใช้วงตุ้มโมงบรรเลง นับเป็นลักษณะเด่นของดนตรีพื้นบ้านอีสานที่แตกต่างจากภาคอื่น ๆ
===เครื่องดนตรีภาคใต้===
มีลักษณะเรียบง่าย มีการประดิษฐ์เครื่องดนตรีจากวัสดุใกล้ตัวซึ่งสันนิษฐานว่าดนตรีพื้นบ้านดั้งเดิมของภาคใต้น่าจะมาจากพวกเงาะซาไก ที่ใช้ไม้ไผ่ลำขนาด ต่าง ๆ กันตัดออกมาเป็นท่อนสั้นบ้างยาวบ้าง แลัวตัดปากของกระบอกไม้ไผ่ให้ตรงหรือเฉียงพร้อมกับหุ้มด้วยใบไม้หรือกาบของต้นพืช ใช้ตีประกอบการขับร้องและเต้นรำ จากนั้นก็ได้มีการพัฒนาเป็นเครื่องดนตรีแตร กรับ กลองชนิดต่าง ๆ เช่น รำมะนา ที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวมลายู กลองชาตรีหรือกลองตุ๊กที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงมโนรา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ตลอดจนเครื่องเป่าเช่น ปี่นอกและเครื่องสี เช่น ซอด้วง ซออู้ รวมทั้งความเจริญทางศิลปะการแสดงและดนตรีของเมืองนครศรีธรรมราช จนได้ชื่อว่าละคร ในสมัยกรุงธนบุรีนั้นล้วนได้รับอิทธิพลมาจากภาคกลางนอกจากนี้ยังมีการบรรเลงดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ ประกอบการละเล่นแสดงต่างๆ เช่น ดนตรีโนรา ดนตรีหนังตะลุง ที่มีเครื่องดนตรีหลักคือ กลอง โหม่ง ฉิ่ง และเครื่องดนตรีประกอบผสมอื่น ๆ ดนตรีลิเกป่าที่ใช้เครื่องดนตรีรำมะนา โหม่ง ฉิ่ง กรับ ปี่ และดนตรีรองเง็ง ที่ได้รับแบบอย่างมาจากการเต้นรำของชาวสเปนหรือโปรตุเกสมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยมีการบรรเลงดนตรีที่ประกอบด้วย ไวโอลิน รำมะนา ฆ้อง หรือบางคณะก็เพิ่มกีต้าร์เข้าไปด้วย ซึ่งดนตรีรองเง็งนี้เป็นที่นิยมในหมู่ชาวไทยมุสลิมตามจังหวัดชายแดน ไทย- มาเลเซีย ดังนั้นลักษณะเด่นของดนตรีพื้นบ้านภาคใต้จะได้รับอิทธิพลมาจากดินแดนใกล้เคียงหลายเชื้อชาติ จนเกิดการผสมผสานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการเน้นจังหวะและลีลาที่เร่งเร้า หนักแน่น และคึกคัก เป็นต้นฯ
== รายชื่อเครื่องดนตรีไทยแบ่งตามการบรรเลง ==
=== เครื่องดีด ===
กระจับปี่
จะเข้
ซึง
พิณเพียะ
พิณน้ำเต้า
ไหซอง
พิณอีสาน
=== เครื่องสี ===
ซอ ได้แก่ ซอสามสาย ซอด้วง ซออู้
สะล้อ
รือบับ
=== เครื่องเป่า ===
ขลุ่ย ได้แก่ ขลุ่ยหลิบ ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยอู้ ขลุ่ยกรวด ขลุ่ยล้านนา(ขลุ่ยเมือง) ขลุ่ยโก้ ขลุ่ยนก
แคน
ปี่ ได้แก่ ปี่นอก ปี่กลาง ปี่ใน ปี่ไฉน ปี่ชวา ปี่มอญ ปี่อ้อ ปี่จุม ปี่ภูไท
โหวด
=== เครื่องตี ===
กลองแขก
กลองสะบัดชัย
กลองสองหน้า
กลองทัด
กลองมลายู
กลองยาว
กลองมโหระทึก
กลองมังคละ
กรับ ได้แก่ กรับเสภา, กรับพวง, กรับไม้ไผ่
ฆ้องวงเล็ก
ฆ้องวงใหญ่
ฉาบ ได้แก่ ฉาบเล็ก, ฉาบใหญ่ ฯลฯ
ฉิ่ง
ตะโพน ได้แก่ ตะโพนไทย, ตะโพนมอญ
โทน
โปงลาง
ระนาดทุ้ม
ระนาดทุ้มเหล็ก
ระนาดเอก
ระนาดเอกเหล็ก
ระนาดแก้ว
รำมะนา
อังกะลุง
เปิงมาง
โหม่ง
บัณเฑาะว์
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
The traditional music and instruments of Thailand
ศิลปะไทย
|
thaiwikipedia
| 2,068 |
พลังงานนิวเคลียร์ในประเทศไทย
|
การใช้พลังงานนิวเคลียร์ในประเทศไทย เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อมีการก่อตั้งสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ โดย พระราชบัญญัติพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ. 2504 สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติเริ่มเดินเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัยเข้าสู่ภาวะวิกฤตได้เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2505
== ความจำเป็นและเหตุผลรองรับในการนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ในประเทศ ==
ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2493 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน การบริโภคพลังงานของโลกเพิ่มขึ้นเพียง 4 เท่า ในช่วง พ.ศ. 2525 - 2533 ความต้องการบริโภคพลังงานเพิ่มขึ้น 24% และจะเพิ่มขึ้นเป็น 50 - 70% ใน พ.ศ. 2563 ถึงแม้จะมีความพยายามอย่างมากที่จะใช้พลังงานอย่างประหยัด และมีประสิทธิภาพ
สำหรับประเทศไทยก็ตกอยู่ในภาวะเดียวกัน คือ การบริโภคพลังงานของประชาชนมีอัตราสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด ในขณะเดียวกันทิศทางการพัฒนาประเทศกำลังมุ่งหน้าไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรม พลังงานถือว่าเป็นปัจจัยที่จะเกื้อหนุน ผลักดันอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจให้ก้าวไกลไปได้ พลังงานจะต้องมีราคาถูก รวมทั้งมีใช้อย่างพอเพียง มิฉะนั้นจะทำให้การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมต้องหยุดชะงัก และนักลงทุนต่างชาติรวมทั้งในประเทศ จะเลิกเชื่อถือรัฐบาลที่ไปเชิญชวนให้มาลงทุนแล้วไม่สร้างปัจจัยพื้นฐานไว้รองรับ จึงมาถึงคำถามที่ว่า ไทยมีพลังงานสำรองไว้ใช้ในอนาคตสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเพียงพอหรือไม่ ในขณะที่ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั้น ทางเลือกที่จำเป็นที่จะต้องกระทำ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ในอนาคตไทยจะไม่ขาดแคลนพลังงาน ก็คือ การหาแหล่งพลังงานใหม่เข้ามาสำรองแหล่งพลังงานที่กำลังจะหมดไป สำหรับแหล่งพลังงานที่มองเห็นได้เด่นชัดซึ่งจะมีบทบาทอย่างมากที่จะเข้ามาเป็นพลังงานทดแทนน้ำมันถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ คือ พลังงานนิวเคลียร์ โดยจะนำมาใช้ในรูปของ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์
เมื่อพิจารณาถึงทางเลือกในการผลิตกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการประกอบอุตสาหกรรมและอื่นๆ นั้น จะเห็นว่า การผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนจะมีต้นทุนต่ำสุดแต่เมื่อครั้งใดที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะสร้างเขื่อนก็มักจะมีกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติออกมาต่อต้าน จนโครงการหลายแห่งต้องยืดเวลาออกมา หรือไม่ก็ล้มเลิกไป ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหินหรือน้ำมัน ซึ่งมีต้นทุนการผลิตสูง และเสี่ยงต่อความไร้เสถียรภาพด้านพลังงาน เนื่องจากทั้งถ่านหินและน้ำมันจะต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศเป็นหลัก แม้จะมีแหล่งถ่านหินอยู่จำนวนหนึ่งแต่ก็สามารถใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าตามแผนได้อีกในระยะเวลาเพียง 10 ปี เท่านั้น จึงคาดกันว่าในทศวรรษหน้าการผลิตพลังงานของประเทศต้องเผชิญทางเลือกสามทางที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คือ นำเข้าถ่านหิน, นำเข้าเทคโนโลยีนิวเคลียร์ หรือทั้งถ่านหินและเทคโนโลยีนิวเคลียร์
== หลักการนำนิวเคลียร์มาใช้ ==
ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535 - 2539) ได้มีการระบุไว้ในแผนพัฒนาพลังงานฯว่า "…ให้มีการพิจารณาศึกษาความเหมาะสมในการนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งทางเศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี และความปลอดภัย…" ดังนั้น จังมีการพิจารณาที่จะนำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาใช้ในประเทศไทย โดยพิจารณาจากความจำเป็น 2 ประการ คือ
ประการแรก
เนื่องจากตามแผนการขยายกำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยพบว่า หลังจากปีพุทธศักราช 2539 เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มขาดแคลนแหล่งพลังงาน ทั้งก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินที่มีอยู่จะมีประมาณไม่เพียงพอที่จะมาป้อนโรงไฟฟ้าที่สร้างขึ้นใหม่ ไทยจะต้องหันไปพึ่งพาการนำเข้าแหล่งกำเนิดพลังงานจากต่างประเทศ โดยจะเริ่มมีการนำเข้าถ่านหินมาใช้ เสถียรภาพการผลิตไฟฟ้าของประเทศย่อมไปผูกติดกับการนำเข้าถ่านหินมากขึ้น เพราะการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีความสามารถในการเก็บกักถ่านหินจากต่างประเทศไว้ได้เพียง 3 วันเท่านั้น หากเกิดเหตุอะไรขึ้นที่ทำให้นำเข้าถ่านหินไม่ได้วันนั้นประเทศไทยจะต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก หากจะเปรียบเทียบกับพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งต้องสั่งนำเข้าเชื้อเพลิงเช่นกัน แต่ เชื้อเพลิงเหล่านี้เปลี่ยนปีละหนึ่งครั้ง ครั้งละ 25 ตัน ถือว่าเป็นจำนวนน้อยมากและไม่มีผลกระทบหากจะถูกตัดขาดการส่งเชื้อเพลิง ดังนั้น จึงมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ชนิดเดียวเท่านั้นที่เป็นไปได้ที่จะมาช่วย แบ่งเบาเสถียรภาพด้านพลังงานของประเทศได้ดีที่สุด
ประการที่สอง
หากมองในแง่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว จะเห็นว่า การที่ปล่อยให้ใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มขึ้น จะมีการปล่อยก๊าซพิษออกสู่บรรยากาศมากขึ้น โดยมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิด มลพิษ ที่จะทำลายสิ่งแวดล้อมจากการเกิดฝนกรด หรือการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก ที่จะมีผลต่อความผันผวนของฤดูกาล แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แล้วจะไม่มีก๊าซต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้น นอกจากนี้โรงไฟฟ้าถ่านหินจะเหลือขี้เถ้าตกค้างในปริมาณมาก โดยที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะมีกากเชื้อเพลิงใช้แล้วในปริมาณที่น้อยกว่า และสามารถจัดเก็บไว้ในโรงไฟฟ้าได้นานถึง 30 ปี ตลอดชั่วชีวิตการใช้งานของโรงไฟฟ้า โดยไม่เกิดปัญหาส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น จากเหตุผลที่กล่าวมา ประกอบกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จำเป็นต้องใช้เวลาดำเนินการล่วงหน้าเป็นเวลานานประมาณ 12 ปี จึงจะสามารถก่อสร้างเสร็จเดินเครื่องจ่ายไฟฟ้าให้ทันความต้องการได้ ในปัจจุบันจึงได้มีการพิจารณาที่จะนำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาใช้ภายในประเทศเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง และเพื่อให้เกิดความมั่นใจและภาคภูมิใจยิ่งขึ้นว่า หากเลือกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาใช้ในการแก้ปัญหาด้านพลังงานของชาติจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง จึงควรที่จะได้พิจารณาถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมด้วย
== เหตุผลรองรับด้านเศรษฐกิจ ==
จากการศึกษาเปรียบเทียบต้นทุนการผลิตและราคาของกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ในเชิงเศรษฐศาสตร์ของกองพลังปรมาณู ฝ่ายวิศวกรรมพลังความร้อน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยปรับตัวแปรต่างๆ ให้มีลักษณะเฉพาะเป็นของประเทศไทย โดยโรงไฟฟ้าต้นแบบทั้งถ่านหิน และนิวเคลียร์ มีขนาด 1,200 เมกกะวัตต์ พบว่า ต้นทุนการก่อสร้างของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะสูงกว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินในขั้นต้น แต่ต้นทุนการใช้เชื้อเพลิงจะต่ำกว่ามากในช่วงของการผลิต ซึ่งมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต่ำกว่าและเมื่อเปรียบเทียบกับโรงไฟฟ้าชนิดอื่นแล้วจะพบว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีข้อได้เปรียบหลายประการ คือ ต้นทุนการผลิตไฟฟ้ามีราคาถูก ต้นทุนผลิตไฟฟ้ามีเสถียรภาพสูง เสริมความมั่นคงด้านการผลิตไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี และสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในปริมาณที่มากกว่า
== เหตุผลรองรับด้านความปลอดภัย ==
ในด้านความปลอดภัยนั้น บรรดานักวิชาการและผู้ที่เกี่ยวข้องต่างก็ตระหนักถึงภัยอันตรายจากรังสีเป็นอย่างดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประชาชน ฉะนั้น การจะนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ จำเป็นต้องพยายามหาทางป้องกันทุกวิถีทางที่จะมิให้เกิดอันตรายขึ้น การออกแบบระบบปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้ระดมมาตรการความปลอดภัยไว้หลายขั้น คือ
ระบบการทำงานของปฏิกรณ์นิวเคลียร์ส่วนที่เกี่ยวข้องกับรังสีจะเป็นระบบปิดไม่สัมผัสสิ่งแวดล้อม
การออกแบบ ก่อสร้าง และเดินเครื่องจะต้องดำเนินการภายใต้โปรแกรมประกันคุณภาพที่เข้มงวด
ยูเรเนียมที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงนั้นจะมียูเรเนียม 235 ซึ่งเป็นตัวพลังงานหลัก อยู่ในสัดส่วนที่ต่ำมากเพียงร้อยละ 3 แทนที่จะมากกว่าร้อยละ 90 อย่างกรณีของระเบิดนิวเคลียร์
เมื่ออุณหภูมิหรือความร้อนในปฏิกรณ์นิวเคลียร์สูงขึ้น การแตกตัวของนิวเคลียสยูเรเนียมจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยลง นั่นก็คือ การควบคุมตัวเองมิให้เร่งปลดปล่อยพลังงานออกมาจนกลายเป็นลูกระเบิด
นอกจากนี้ ถึงแม้จะมีสารกัมมันตรังสีหลุดออกมาจากยูเรเนียมซึ่งถูกอัดให้เป็นเม็ดได้บ้าง ก็จะถูกขังไว้ภายในแท่งเชื้อเพลิงซึ่งทำด้วยโลหะห่อหุ้มอยู่ และยังมีหม้อปฏิกรณ์ซึ่งทำด้วยเหล็กหนาประมาณ 6 นิ้ว หุ้มอยู่อีกชั้นหนึ่ง รวมทั้งยังมีอาคารคลุมปฏิกรณ์ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น และมีความแข็งแรงทนทานต่อแรงแผ่นดินไหวและขีปนาวุธชนได้อาคารชั้นนอกจะทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กหนาประมาณ 1 เมตร ดังนั้น โอกาสที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะปล่อยรังสีออกสู่สิ่งแวดล้อม หรือการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก
ในด้านความปลอดภัย มีข้อมูลยืนยันจากการประชุมทางวิชาการที่ประเทศฟินแลนด์ เมื่อเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2535 พบว่า การใช้เชื้อเพลิงทุกแบบมีอัตราการเสี่ยงสูงที่สุด
== เหตุผลรองรับด้านสิ่งแวดล้อม ==
สำหรับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมนั้น ดังได้กล่าวมาแล้ว ตั้งแต่ต้นว่า การใช้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ จะทำให้ปลอดภัยจากภาวะปฏิกิริยาเรือนกระจก ปลอดภัยจากภาวะฝนกรด ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในโลก ตลอดจนไม่ทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นมากเหมือนอย่างการใช้เชื้อเพลิงอย่างอื่น นอกจากนี้ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังใช้พื้นที่ในการก่อสร้างน้อยกว่าและไม่ทำลายพื้นที่ป่าเขา เหมือนอย่างการสร้างเขื่อนสำหรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
ท
น
|
thaiwikipedia
| 2,069 |
ซอฟต์แวร์เสรี
|
ซอฟต์แวร์เสรี หรือ ฟรีซอฟต์แวร์ (free software) หมายถึงซอฟต์แวร์ที่สามารถนำไปใช้ แก้ไข ดัดแปลง พัฒนา และจำหน่ายแจกจ่ายได้โดยเสรี โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์แต่อย่างใด ตามคำนิยามของมูลนิธิซอฟต์แวร์เสรี (Free Software Foundation) ในบางครั้งซอฟต์แวร์เสรีจะถูกกล่าวถึงในชื่ออื่น ๆ เช่น libre software, FLOSS หรือซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ซอฟต์แวร์เสรีที่เป็นนิยมใช้งานได้แก่ ลินุกซ์ ไฟร์ฟอกซ์ และโอเพ่นออฟฟิศ
ในทางปฏิบัติ ซอฟต์แวร์เสรี และ ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส มีลักษณะร่วมที่คล้ายกัน แต่แตกต่างกันโดยแนวความคิดของกลุ่ม โดยซอฟต์แวร์เสรีเน้นในแนวทางสังคมการเมืองที่ต้องการให้มีการใช้ซอฟต์แวร์ได้อย่างอิสระ ไม่ถูกจำกัดด้วยลิขสิทธิ์ ในขณะที่ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สมีแนวความคิดในการเปิดกว้างให้แลกเปลี่ยนซอร์สโค้ดได้อิสระซึ่งเป็นแนวคิดทางด้านเทคโนโลยี อย่างไรก็ตามซอฟต์แวร์เสรีทุกตัวถูกจัดให้เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สเสมอ แต่กระนั้นเคยมีกรณีที่มูลนิธิซอฟต์แวร์เสรีไม่ยอมรับ Apple Public Source License รุ่นแรกให้อยู่อยู่ในรายการสัญญาอนุญาตแบบเสรี ขณะที่ Open Source Initiative ยอมรับว่าสัญญาอนุญาตดังกล่าวเป็นสัญญาอนุญาตแบบโอเพนซอร์ส โดยเนื้อหาใน Apple Public Source License รุ่นแรกกำหนดให้การปรับปรุงแก้ไขที่เป็นส่วนตัวจะต้องเผยแพร่ patch ออกสู่สาธารณะและรายงานให้ Apple ทราบทุกครั้ง ซึ่งทางมูลนิธิซอฟต์แวร์เสรีมองว่าเป็นการไม่เคารพความเป็นส่วนตัวและจำกัดเสรีภาพในการแก้ไขซอฟต์แวร์
นอกจากนี้มีการสับสนระหว่างฟรีแวร์ที่มีลักษณะนำไปใช้ได้ฟรี โดยไม่รวมถึงการนำไปดัดแปลงแก้ไข กับซอฟต์แวร์เสรีที่สามารถนำไปใช้รวมทั้งดัดแปลงแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์
== แนวคิดพื้นฐานของซอฟต์แวร์เสรี ==
ซอฟต์แวร์เสรีเป็นกระบวนทัศน์ที่มีแรงผลักดันมาจากแนวคิดทางการเมือง ที่ต้องการส่งเสริมเสรีภาพของการใช้ซอฟต์แวร์เป็นสาระสำคัญ โดยมีการกำหนดลักษณะเฉพาะของซอฟต์แวร์เสรีขึ้นใช้ร่วมกันสี่ประการคือ
เสรีภาพในการใช้งานซอฟต์แวร์ตามความต้องการ
เสรีภาพที่จะศึกษาการทำงานของโปรแกรมผ่านซอร์สโค้ด และนำไปใช้ตามความต้องการ
เสรีภาพที่จะจำหน่ายจ่ายแจกซอฟต์แวร์นั้นต่อไป
เสรีภาพในการดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงจำหน่ายจ่ายแจกซอฟต์แวร์ที่ได้พัฒนาแก้ไขและดัดแปลงเพิ่มเติมนั้น
แม้ว่าเราจะสามารถขายหรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์เสรีได้โดยไม่ผิดเงื่อนไข แต่ซอฟต์แวร์เสรีก็ยังคงเป็นซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ มีข้อบังคับตามสัญญาเช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ทั่ว ๆ ไป ซอฟต์แวร์เสรีจึงมีรูปแบบของสัญญาอนุญาตหลายรูปแบบ ซึ่งมีเงื่อนไขต่าง ๆ กันไป อย่างไรก็ตามก็ยังมีจุดยืนร่วมกันคือเสรีภาพสี่ประการข้างต้น
ซอฟต์แวร์เสรีมีความแตกต่างกับฟรีแวร์ (freeware) กล่าวคือ ฟรีแวร์จะไม่อนุญาตให้เผยแพร่รหัสต้นฉบับเนื่องจากเป็นความลับทางการค้า
== ความเป็นมาโดยย่อของซอฟต์แวร์เสรี ==
แนวคิดซอฟต์แวร์เสรีเกิดขึ้นในสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ เมื่อ พ.ศ. 2526-2527 (ค.ศ. 1983-1984) โดย ริชาร์ด สตอลแมน ซึ่งมีปัญหากับระบบซอฟต์แวร์ที่ใช้กับเครื่องพิมพ์ และต้องเผชิญกับความยากลำบากในการแก้ปัญหา ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของลิขสิทธิ์และการไม่มีซอร์สโค้ดของซอฟต์แวร์ สตอลแมนจึงเริ่มพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ทั้งหมดขึ้นใหม่ และกลายเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกตัวหนึ่งคือ GNU/Linux
== ตัวอย่างซอฟต์แวร์เสรีที่เป็นที่รู้จัก ==
ลินุกซ์
ไฟร์ฟอกซ์
โอเพ่นออฟฟิศ
กิมป์
เบลนเดอร์
ทอร์
พิดจิน
ไฟล์ซิลลา
ทันเดอร์เบิร์ด
มีเดียวิกิ
Audacity
MySQL
PHP
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
มหาวิหารกับตลาดสด บทความชุด สำรวจวัฒนธรรมโอเพนซอร์ส ทำไมโครงการซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่ประสบความสำเร็จ จึงประสบความสำเร็จเช่นนั้น แปลจาก The Cathedral and the Bazaar ของ ESR
* มหาวิหารและตลาดสด บทความเรียบเรียงใหม่จากฉบับแปลไทยของคุณเทพพิทักษ์ การุญบุญญานันท์และคณะ โดย วิรัช เหมพรรณไพเราะ ในรูปแบบไฟล์ .pdf
มาเป็นแฮ็กเกอร์กันเถอะ! - บทความเกี่ยวกับวัฒนธรรมแฮ็กเกอร์ จุดกำเนิดของวัฒนธรรมซอฟต์แวร์เสรี โดย กิตติ์ เธียรธโนปจัย อ้างอิงบางส่วนจาก How to become a Hacker ของ Eric Steven Raymond (ESR)
ลงหลักปัญญาภูมิ - สำรวจจารีตปฏิบัติของแฮ็กเกอร์ ในเรื่องกรรมสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา วิเคราะห์และตรวจสอบ "วัฒนธรรมแห่งการให้" แปลจาก Homesteading the Noosphere โดย ESR
วิธีทำงานกับซอฟต์แวร์เสรี - วัฒนธรรมการทำงานของอาสาสมัครซอฟต์แวร์เสรี แปลจาก Working on Free Software ของ Havoc Pennington
ทบทวนซอฟต์แวร์เสรีเมืองไทย - ข้อสังเกตเงื่อนไขและอุปสรรคของวงการซอฟต์แวร์เสรีในประเทศไทย โดย เทพพิทักษ์ การุญบุญญานันท์
Thai Linux Working Group ชุมชนโอเพนซอร์ส/ซอฟต์แวร์เสรีรุ่นบุกเบิกของประเทศไทย
สัญญาอนุญาตซอฟต์แวร์
|
thaiwikipedia
| 2,070 |
การเปลี่ยนแปลงภาษา
|
การเปลี่ยนแปลงภาษา (language change) ถือเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของภาษา ภาษาที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จะมีแนวโน้มการใช้ที่ยืนยาวมากกว่าภาษาที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อย หรือไม่เปลี่ยนแปลงเลย
== การเปลี่ยนแปลงในภาษาไทย ==
ภาษาเปลี่ยนแปลงในลักษณะของการออกเสียง คำศัพท์ รูปแบบ และลักษณะอื่นอื่นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ภาษาที่เปลี่ยนไปเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มคนที่ใช้ภาษาไทย
สื่อและการกระจายตัวของประชากรเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงของภาษา จะเห็นได้ว่ามีคำศัพท์จากทางภาคต่างๆ ในประเทศไทยเริ่มใช้กันข้ามภาคในประเทศไทย เช่นคำศัพท์จากทางภาคกลางมีการเริ่มใช้กันมากทางภาคเหนือ และภาคใต้เนื่องจากทุกคนได้ดูรายการโทรทัศน์ ที่เสนอภาษาจากทางภาคกลาง ในขณะเดียวกันกลุ่มคนภาคกลางได้เริ่มใช้ภาษาจากทางภาคอีสานมากขึ้น เมื่อมีรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับคนที่อาศัยในภาคอีสาน ภาษาต่างประเทศเช่นภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทในทางศัพท์วิชาการและศัพท์ทางคอมพิวเตอร์ มากขึ้นเช่นกัน
กลุ่มเฉพาะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการพัฒนาของภาษา คำศัพท์ใหม่ใหม่เกิดขึ้นมากโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น มีภาษาเฉพาะของกลุ่ม เมื่อภาษาเกิดมีการใช้กันใหม่ ทำให้มีคำศัพท์ใหม่นิยามขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามเมื่อหมดการใช้ของคำศัพท์นั้นนั้น ภาษานั้นก็จะตกรุ่นและหมดความนิยมไป ยกตัวอย่างเช่นคำว่า จ๊าบ ที่เคยมีการใช้กันในหมู่วัยรุ่น และเริ่มนิยมกันมากเมื่อสื่อนำไปใช้ในรายการโทรทัศน์ มีการถกเถียงเรื่องของภาษาวัยรุ่นที่ไม่นับว่าเป็นภาษาไทยกันมาก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อทุกคนใช้ภาษาเดียวกันและมีการสื่อสารไปในทิศทางเดียวกัน ย่อมถือได้ว่า ภาษาที่เกิดขึ้นมาใหม่ไม่ว่าจากวัยรุ่นหรือนักวิชาการ ยังคงเป็นภาษาไทย
ภาษาศาสตร์สังคม
|
thaiwikipedia
| 2,071 |
กีบ
|
กีบ อาจหมายถึง
เล็บเท้าสัตว์ เล็บเท้าสัตว์กินหญ้า เช่น ม้าและวัว
กีบ (สกุลเงิน) ชื่อหน่วยเงินตราของลาว
|
thaiwikipedia
| 2,072 |
ธงชาติลาว
|
ธงชาติลาว แบบปัจจุบันเริ่มใช้มาตั้งแต่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1975 ซึ่งเป็นวันสถาปนาประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ธงนี้มีชื่อเรียกในภาษาลาวว่า ธงดวงเดือน ได้รับการออกแบบขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการร่วมออกแบบของสมาชิกขบวนการลาวอิสระ โดยมีเจ้าเพชรราช รัตนวงศา, เจ้าสุภานุวงศ์และมหาสิลา วีระวงส์ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวลาวเป็นผู้กันช่วยกันออกแบบ
ธงนี้เป็นหนึ่งในธงของประเทศที่ปกครองด้วยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ที่ไม่มีสัญลักษณ์รูปค้อนเคียวของขบวนการคอมมิวนิสต์สากล
== ความหมายของธงชาติลาว ==
สีแดง หมายถึง เลือดแห่งการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวลาว
สีน้ำเงิน หมายถึง ความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ของชาติ
พระจันทร์สีขาว เป็นสัญลักษณ์ของความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และบริสุทธิ์ผ่องใส
ทั้งนี้ธงชาติดวงเดือนยังมีลักษณะตามที่กำหนดไว้ใน รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หมวดที่ 10 มาตราที่ 91 ดังนี้
"ธงชาติของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นธงพื้นสีคราม, แถบแดง, และวงเดือนสีขาวอยู่กึ่งกลางของธงชาติ. ความกว้างของธงเท่ากับสองส่วนสามของความยาว, ความกว้างขอบแถบสีแดงแต่ละข้างเท่ากับกึ่งหนึ่งของแถบสีคราม และวงเดือนสีขาวกว้างเท่ากับสี่ส่วนห้าของความกว้างแถบสีคราม."
== ประวัติความเป็นมาของธงดวงเดือน ==
ในอดีตช่วงปี ค.ศ. 1945 นั้น ภายหลังจากญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ขบวนการลาวอิสระได้เรียกร้องเอกราช ประกาศให้ประเทศลาวเป็นเอกราชจากฝรั่งเศสและประกาศจัดตั้งรัฐบาลลาวอิสระ โดยใช้ธงดวงเดือนนี้เป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวเรียกร้อง เมื่อได้มีการจัดตั้งรัฐบาลที่บริหารโดยเจ้าเพชรราช หรือ "รัฐบาลลาวอิสระ" ก็ได้ประกาศใช้ธงดวงเดือนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
เมื่อ 6 เดือนให้หลังด้วยการสนับสนุนของสมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ที่ทรงนิยมฝรั่งเศสทำให้ฝรั่งเศสกลับเข้ามาปกครองลาวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนฝรั่งเศสและล้มรัฐบาลลาวอิสระลง (ได้ให้เอกราชแก่ลาวภายหลังในปี ค.ศ. 1955 ลาวจึงปกครองตนเองต้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) จึงได้ใช้ธงรูปช้างเอราวัณ 3 เศียรสีขาวยืนอยูบนแท่น 5 ชั้นภายใต้พระมหาเศวตฉัตร 9 ชั้น
ส่วนธงดวงเดือนก็ได้ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของขบวนการปะเทดลาวแทน ซึ่งขบวนการนี้จัดตั้งโดยผู้นำขบวนการลาวอิสระส่วนหนึ่งที่นิยมแนวคิดทางการเมืองฝ่ายซ้าย ภายใต้การนำของเจ้าสุภานุวงศ์
เมื่อขบวนการปะเทดลาวเคลื่อนไหวปลดปล่อยลาว ล้มล้างรัฐบาลระบอบกษัตริย์ และจัดตั้งรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ปกครองประเทศสำเร็จ ธงนี้ก็ได้รับการยอมรับให้เป็นธงชาติของลาวอีกครั้ง ในฐานะสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1975
==ประวัติการใช้ธงชาติลาว==
ไฟล์:Flag of the Kingdom of Luang Phrabang (1707-1893).svg|ธงของอาณาจักรหลวงพระบาง (ค.ศ. 1800 – ค.ศ. 1893)
ไฟล์:Flag of Laos (1893-1952).svg|Flag of
|
thaiwikipedia
| 2,073 |
อินเทล
|
อินเทล (Intel) เป็นบริษัทผลิตชิพสารกึ่งตัวนำที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อวัดจากรายได้ บริษัทอินเทลเป็นผู้คิดค้นไมโครโพรเซสเซอร์ตระกูลx86 ออกมาวางจำหน่าย ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์ที่ใช้กันมากที่สุดในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล อินเทลก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1968 ในชื่อ Integrated Electronics Corporation โดยมีสำนักงานอยู่ที่ซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา อินเทลยังเป็นผู้ผลิตชิพเซตของเมนบอร์ด, เน็ตเวิร์คการ์ดและแผงวงจรรวม, แฟลชเมโมรี, ชิพกราฟิค, โปรเซสเซอร์ของระบบฝังตัว ตลอดจนอุปกรณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
อินเทลก่อตั้งขึ้นโดย กอร์ดอน มัวร์ (Gordon Moore) และโรเบิร์ต นอยซ์ (Robert Noyce) ผู้เชี่ยวชาญด้านสารกึ่งตัวนำ โดยเป็นอดีตพนักงานของ Fairchild Semiconductor พนักงานยุคแรกเริ่มที่สำคัญอีกคนของอินเทลคือ แอนดรูว์ โกรฟ ซึ่งในภายหลังเป็นผู้บริหารคนสำคัญ ที่ทำให้อินเทลก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทระดับโลกในปัจจุบัน
แต่เดิมนั้น ชื่อของอินเทลจะเป็นที่รู้จักเฉพาะในหมู่วิศวกรและนักเทคโนโลยีเท่านั้น แต่หลังจากที่โฆษณา อินเทล อินไซด์ ประสบผลสำเร็จอย่างกว้างขวางในช่วงทศวรรษ 1990 ชื่อของอินเทลก็กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในทันที โดยมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักคือ หน่วยประมวลผลกลางตระกูลเพนเทียม (Pentium)
== ผลิตภัณฑ์ ==
=== โพรเซสเซอร์ ===
โพรเซสเซอร์ (รุ่นปัจจุบัน)
EP80579
อินเทล ซีอี (Intel CE)
อะตอม (Atom)
เซเลรอน (Celeron)
เพนเทียม (Pentium) และ ดูอัล-คอร์ (Dual-Core)
คอร์ (Core) (i3 · i5 · i7 · i9)
ซีออน (Xeon)
ไอโอพี (IOP)
ไอทาเนียม (Itanium)
โพรเซสเซอร์ (รุ่นก่อนหน้า)
80386
80486
เพนเทียม (เพนเทียม (รุ่นแรก), โอเวอร์ไดรฟ์, โปร, เพนเทียม II, เพนเทียม III, เพนเทียม 4, เพนเทียม M, เพนเทียม D)
เซเลรอน M, เซเรลอน D
อินเทล คอร์ 2
=== แพลตฟอร์ม ===
เซนตรีโน (Centrino)
วีโปร (vPro)
ไวฟ์ (Viiv)
เอ็มไอดี (MID)
สกัลเทรล (Skulltrail)
อินเทล เซิฟเวอร์ (Intel Serveredge)
สำหรับโมบายล์ (Intel® Core™ M Processors)
== รายชื่อโพรเซสเซอร์รุ่น คอร์ ==
=== อินเทล เจนเนอเรชั่น 1 (Socket:1156,rPGA-988A,BGA1288) ===
Intel® Core™ i3-330E
Intel® Core™ i3-330M
Intel® Core™ i3-330UM
Intel® Core™ i3-350M
Intel® Core™ i3-370M
Intel® Core™ i3-380M
Intel® Core™ i3-380UM
Intel® Core™ i3-390M
Intel® Core™ i3-530
Intel® Core™ i3-540
Intel® Core™ i3-550
Intel® Core™ i3-560
Intel® Core™ i5-430M
Intel® Core™ i5-430UM
Intel® Core™ i5-450M
Intel® Core™ i5-460M
Intel® Core™ i5-470UM
Intel® Core™ i5-480M
Intel® Core™ i5-520E
Intel® Core™ i5-520M
Intel® Core™ i5-520UM
Intel® Core™ i5-540M
Intel® Core™ i5-540UM
Intel® Core™ i5-560M
Intel® Core™ i5-560UM
Intel® Core™ i5-580M
Intel® Core™ i5-650
Intel® Core™ i5-655K
Intel® Core™ i5-660
Intel® Core™ i5-661
Intel® Core™ i5-670
Intel® Core™ i5-680
Intel® Core™ i5-750
Intel® Core™ i5-750S
Intel® Core™ i5-760
=== อินเทล เจนเนอเรชั่น 2 (Socket:LGA1155) ===
Intel® Core™ i3-2100
Intel® Core™ i5-2400
Intel® Core™ i7-2600
=== อินเทล เจนเนอเรชั่น 3 (Socket:FCLGA1155) ===
Intel® Core™ i3-3220
Intel® Core™ i5-3470
Intel® Core™ i7-3770
== โลโก้ ==
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Intel official website
Intel Software Network
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก
บริษัทจดทะเบียนในยูโรเน็กซต์
บริษัทของสหรัฐ
บริษัทที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2511
ตราสินค้าอเมริกัน
บริษัทนานาชาติที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา
|
thaiwikipedia
| 2,074 |
เบสบอล
|
เบสบอล (baseball) เป็นกีฬาประเภททีม โดยผู้เล่นที่ขว้าง (เรียกว่าผู้ขว้างหรือพิตเชอร์) จะขว้างลูกเบสบอลซึ่งมีขนาดประมาณเท่ากำปั้น มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว ให้ผู้เล่นทีมรุก (เรียกว่าผู้ตีหรือแบตเตอร์) นั้นทำการตีลูกด้วยไม้เบสบอลซึ่งทำจากไม้หรืออะลูมิเนียม การทำคะแนนในเกมนั้นจะได้จากการที่แบตเตอร์วิ่งไปสัมผัสฐานหรือเบสซึ่งวางอยู่ตามจุดต่าง ๆ 4 จุดตามลำดับโดยเริ่มตั้งแต่เบสแรกไปจนถึงโฮมเพลต และในบางครั้งถ้าผู้ตีได้ตีลูกบอลออกไปนอกสนามโดยอยู่ในเส้นฟาวล์ จะเรียกว่าโฮมรัน ซึ่งจะได้แต้มไป 1 คะแนน เบสบอลนั้นบางครั้งก็เรียกว่า ฮาร์ดบอล (hardball) หรือ "บอลแข็ง" เพื่อเป็นการระบุความแตกต่างจากกีฬาอีกประเภทหนึ่ง คือ ซอฟต์บอล (softball) ซึ่งมีลักษณะการเล่นคล้ายคลึงกัน
== ดูเพิ่ม ==
เมเจอร์ลีกเบสบอล - การแข่งขันเบสบอลอาชีพในสหรัฐและแคนาดา
นิปปงโปรเฟสชันแนลเบสบอล - การแข่งขันเบสบอลอาชีพในประเทศญี่ปุ่น
เคบีโอลีก - การแข่งขันเบสบอลอาชีพในประเทศเกาหลีใต้
คิวบาเนชั่นแนลซีรีส์ - การแข่งขันเบสบอลอาชีพในประเทศคิวบา
เวเนซุเอลาโปรเฟสชั่นแนลเบสบอลลีก - การแข่งขันเบสบอลอาชีพในประเทศเวเนซุเอลา
การแข่งขันเบสบอลอาชีพระหว่างประเทศ เช่น เอเชียซีรีส์, แคริบเบียนซีรีส์, ลาตินอเมริกาซีรีส์, ยูโรเปียนคัพ
กีฬาเบสบอล
อดีตกีฬาในโอลิมปิกฤดูร้อน
กีฬา
กีฬาที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐ
|
thaiwikipedia
| 2,075 |
คายัก
|
คายัก (kayak) เป็นเรือที่ใช้พลังมนุษย์ประเภทหนึ่ง มีลักษณะปิดทางด้านบนของเรือ และมีผ้าป้องกันน้ำเข้าเรือ (spray skirt) ใช้พายแบบมีใบพายสองด้าน คายักต้นแบบถูกพัฒนาจากชนพื้นเมือง Aleut และ Inuit ซึ่งเป็นนักล่าจากเขตใต้อาร์กติก (อเมริกาเหนือ และกรีนแลนด์) เรือ คายักยุคใหม่นั้นมีการออกแบบและวัสดุที่หลากหลายมาก
คายักนั้นสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ หนึ่ง สอง หรือ สามในบางโอกาส ผ้าป้องกันน้ำเข้าเรือทำจากผ้ากันน้ำ ยึดติดกับขอบด้านบนของที่นั่ง ป้องกันคลื่นและละอองน้ำ และเป็นสิ่งที่ทำให้ "พลิกเรือ" หรือที่เรียกว่า Eskimo Roll ทำได้ ในกรณีที่เรือคว่ำน้ำ หากไม่มีผ้าห้องน้ำน้ำเข้าเรือจะทำให้น้ำไหลเข้าเรือ หรือช่วยให้ผู้พายสามารถออกจากเรือได้
คายักนั้นมีความแตกต่างจากเรือแคนูอย่างสิ้นเชิงทั้งการออกแบและประวัติความเป็นมา เรือแคนู เป็นเรือเป็นเรือที่แทบจะเป็นเรือท้องแบน ใช้ใบพายเดี่ยว ถึงแม้ว่าเรือแคนูรุ่นใหม่ๆ จะมีความยากสำหรับผู้ที่ไม่รู้เรื่องในการแยกแยะประเภทออกจาก คายักแต่สำหรับในอังกฤษและไอร์แลนด์ก็มีการเรียก คายักว่าเป็นเรือแคนูแทน
เรือคายักแตกต่างกับเรือแคนู ในลักษณะโครงสร้างของตัวเรือ
== การพายเรือคายัก ==
การพายเรือคายัก นั้นอาจพายในแหล่งน้ำนิ่งเช่นอ่างเก็บน้ำ ทะเล บึง (sea kayaking) หรือพายในแก่งน้ำเชี่ยว (whitewater kayaking) เช่น แม่น้ำก็ได้
การพายเรือคายักในแม่น้ำมีกระแสควรกระทำกับเป็นทีมและทำกับผู้มีประสบการณ์
อุปกรณ์ในการไปพายเรือคายักควรมีอย่างน้อย 5 อย่างคือ เรือคายัก, ไม้พาย (Paddle), กระโปรงกันน้ำ (Skirt), เสื้อชูชีพ และหมวกกันน็อก
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เว็บไซต์เกี่ยวกับการพายเรือ
เว็บไซต์ข้อมูลการพายเรือ
กีฬา
เรือ
|
thaiwikipedia
| 2,076 |
รัฐกิจ
|
รัฐกิจ เป็นคำที่มีความหมายอย่างกว้าง หมายถึงเรื่องราวหรือปัญหาของสาธารณชน โดยรัฐบาลต้องเข้ามาเกี่ยวข้องและช่วยแก้ปัญหา ครอบคลุมไปถึงเรื่องนโยบายสาธารณะและการบริหารรัฐกิจ ซึ่งทั้งสองมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและนำไปสู่ขอบเขตของการศึกษารัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์
== ดูเพิ่ม ==
การบริหารรัฐกิจ
รัฐบาล
การเมือง
สังคม
|
thaiwikipedia
| 2,077 |
โยฮัน เซบัสทีอัน บัค
|
โยฮัน เซบัสทีอัน บัค (Johann Sebastian Bach) เป็นคีตกวีและนักออร์แกนชาวเยอรมัน เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1685 ในครอบครัวนักดนตรี ที่เมืองไอเซอนัค
บัคแต่งเพลงไว้มากมายโดยดั้งเดิมเป็นเพลงสำหรับใช้ในโบสถ์ เช่น "แพชชัน" บัคถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1750 ที่เมืองไลพ์ซิช
บัคเป็นนักประพันธ์ดนตรีสมัยบาโรก เขาสร้างดนตรีของเขาจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของยุคสมัย บัคมีอิทธิพลอย่างสูงและยืนยาวต่อการพัฒนาดนตรีตะวันตก แม้แต่นักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่ เช่น โมทซาร์ท, เบทโฮเฟิน ยังยอมรับบัคในฐานะปรมาจารย์
งานของบัคโดดเด่นในทุกแง่มุม ด้วยความพิถีพิถันของบทเพลงที่เต็มไปด้วย ท่วงทำนอง เสียงประสาน หรือเทคนิคการสอดประสานกันของท่วงทำนองต่าง ๆ รูปแบบที่สมบูรณ์แบบ เทคนิคที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี การศึกษาค้นคว้า แรงบันดาลใจอันเต็มเปี่ยม รวมทั้งปริมาณของบทเพลงที่แต่ง ทำให้งานของบัคหลุดจากวงจรทั่วไปของชีวิตการเป็นศิลปินที่ปกติแล้วจะเริ่มต้น เติบโตจนรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด แล้วเสื่อมถอยไปในบั้นปลาย กล่าวคือไม่ว่าจะเป็นเพลงที่บัคได้ประพันธ์ไว้ทั้งในช่วงวัยเยาว์ ในช่วงหลังของชีวิตก็ล้วนแต่มีคุณภาพทัดเทียมกัน
บัคเป็นคีตกวีที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการพัฒนาศิลปะการเล่นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ด เช่น คลาวิคอร์ด และ ฮาร์พซิคอร์ด (harpsicord) โดยแต่เพลงประเภทพรีลูดและฟิวก์ (preludes and fugues) ไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมนุมบทเพลงพรีลูดและฟิวก์ในเว็ลเท็มเพอร์คลาเวียร์ (The Well-tempered Clavier) 2 เล่ม โดยเล่มแรกมี 24 เพลง และเล่มที่สองอีก 24 เพลง แต่บัคยังได้ประพันธ์เพลงพรีลูดสั้น ๆ ไว้อีกเป็นจำนวนมาก โดยยังได้รับความนิยมฝึกฝนและบรรเลงโดยนักเปียโนมาตลอดจวบจนปัจจุบัน
== ประวัติ ==
=== ไอเซอนัค ===
บัคถือกำเนิดในครอบครัวนักดนตรีที่ยึดอาชีพนักดนตรีประจำราชสำนัก ประจำเมืองและโบสถ์ในทือริงเงินมาหลายชั่วอายุ ซึ่งก็นับได้ว่าโยฮัน เซบัสทีอัน บัค เป็นรุ่นที่ห้าแล้ว หากจะนับกันตั้งแต่บรรพบุรุษที่บัครู้จัก นั่นคือนายเวียต บัค ผู้มีชีวิตในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในฐานะเจ้าของโรงโม่และนักดนตรีสมัครเล่นในฮังการี ตั้งแต่บัคเกิด สมาชิกครอบครับบัคที่เล่นดนตรีมีจำนวนหลายสิบคน ทำให้ตระกูลบัคกลายเป็นครอบครัวนักดนตรีที่สำคัญและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก
บัคได้รับการศึกษาทางดนตรีจากบิดา คือ โยฮัน อัมโบรซิอุส นักไวโอลิน เมื่ออายุได้สิบปี เขาก็ต้องสูญเสียทั้งมารดาและบิดาในเวลาที่ห่างกันเพียงไม่กี่เดือน ทำให้เขาต้องอยู่ในความอุปการะของพี่ชายคนโต โยฮัน คริสท็อฟ บัค ผู้เป็นศิษย์ของโยฮัน พาเคลเบล และมีอาชีพเป็นนักเล่นออร์แกนในเมืองโอร์ดรุฟ ในขณะที่รับการศึกษาด้านดนตรีไปด้วย โยฮัน เซบัสทีอันได้แสดงให้เห็นความเป็นอัจฉริยะทางดนตรี รวมทั้งยังช่วยครอบครัวหาเงินโดยการเป็นนักร้องในวงขับร้องประสานเสียงของครอบครัว และยังชอบคัดลอกงานประพันธ์และศึกษาผลงานของนักประพันธ์อื่น ๆ ที่เขาสามารถพบหาได้อีกด้วยเช่นกันกับทุกคนที่ชื่นชอบนักดนตรีเอกของโลกอย่าง โยฮัน เซบัสทีอัน บัค
=== ลือเนอบวร์ค ===
ทรัพย์สินเงินทองของพี่ชายชองโยฮัน เซบัสทีอัน มีจำกัด อีกทั้งพี่ชายยังมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู ราวปี ค.ศ. 1700 โยฮัน เซบัสทีอัน ก็ได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนที่โรงเรียนในโบสต์ (ลา มิคาเอลิสสกูล) ที่เมืองลูนเบิร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางเหนือราว 200 กิโลเมตร ซึ่งเขาต้องเดินทางด้วยเท้าไปเข้าเรียนที่นั่นพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง นอกเหนือจากการเรียนดนตรีแล้ว เขายังได้ยังได้เรียนวาทศิลป์ ตรรกศาสตร์ ภาษาละติน ภาษากรีก และภาษาฝรั่งเศส เขายังได้ทำความรู้จักกับจอร์จ เบอห์ม นักดนตรีของ โจฮันเนส เคียร์ช และศิษย์ของ โยฮัน อาดัม เรนเคน นักเล่นออร์แกนคนดังของนครฮัมบวร์ค เรนเคนนี่เองที่เป็นคนสอนเขาเกี่ยวกับรูปแบบดนตรีของเยอรมนีตอนเหนือ ที่ลือเนบวร์ก เขายังได้รู้จักกับนักดนตรีชาวฝรั่งเศสอพยพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโธมาส์ เดอ ลา เซลล์ ศิษย์ของลูว์ลี และด้วยการได้สัมผัสกับวัฒนธรรมทางดนตรีในอีกรูปแบบ เขาได้คัดลอกบทเพลงสำหรับออร์แกนของนิโกลาส์ เดอ กรินยี และเริ่มติดต่อทางจดหมายกับ ฟร็องซัวส์ คูเปอแรง
บัคศึกษาและวิเคราะห์โน้ตแผ่นของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงด้วยความละเอียดรอบคอบ ความสนอกสนใจและความอยากรู้อยากเห็นของเขามีมาก กระทั่งว่าเขายอมเดินเท้าไปหลายสิบกิโลเมตรเพื่อจะฟังการแสดงของนักดนตรีดัง เป็นต้นว่าจอร์จ โบห์ม โยฮัน อาดัม เรนเคน และ วินเซนต์ ลึบเบ็ค และแม้กระทั่ง ดีทริช บุกซ์เตฮูเด้ ผู้ซึ่งโด่งดังกว่า มินิกิปปิ
=== อาร์นชตัดท์ ===
ในปีค.ศ.1703 บัคได้กลายเป็นนักเล่นออร์แกนประจำเมืองอาร์นสตัดต์ เขาเริ่มมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในฐานะนักดนตรีเอก และนักดนตรีที่เล่นสดได้โดยไม่ต้องดูโน้ต
=== มืลเฮาเซิน ===
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1707 ถึง ค.ศ. 1708 เขาได้เป็นนักเล่นออร์แกนประจำเมืองมืลเฮาเซิน บัคได้ประพันธ์เพลงคันตาตาบทแรกขึ้น ซึ่งเป็นบทนำก่อนที่เขาจะเริ่มประพันธ์บทเพลงทางศาสนาอันยิ่งใหญ่อลังการ และเขายังได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับบรรเลงด้วยออร์แกนเพิ่มเติมด้วย อันเป็นผลงานที่ยืนยันถึงความอัจฉริยะ ความลึกซึ้ง และความงามอันบริสุทธิ์ของเขา ทำให้บัคกลายเป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ในบรรดาบทเพลงทางศาสนาแล้ว ตลอดชั่วชีวิตของบัค เขาได้ใช้เวลากับการประพันธ์เพลงคันตาตาร่วมห้าปี หรือกว่าสามร้อยชิ้น ในบรรดาบทเพลงราวห้าสิบชิ้นที่สูญหายไปนั้น ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ถูกประพันธ์ขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
=== ไวมาร์ ===
ในระหว่างปี ค.ศ. 1708 ถึง ค.ศ. 1717 บัคดำรงตำแหน่งนักเล่นออร์แกน และนักไวโอลินเดี่ยวมือหนึ่ง ประจำวิหารส่วนตัวของดยุคแห่งไวมาร์ ทำให้เขามีทั้งออร์แกน เครื่องดนตรีและนักร้องประจำวงในครอบครอง ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์ผลงานของบัคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลงบรรเลงด้วยออร์แกน คันตาต้า เพลงสำหรับฮาร์ปซิคอร์ด ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากปรมาจารย์ทางดนตรีชาวอิตาเลียนทั้งหลาย
=== เคอเทิน ===
ระหว่างปี ค.ศ.1717 ถึง ค.ศ.1723 เขาได้ตำรงตำแหน่งผู้ดูแลวิหารประจำราชสำนักของเจ้าชายอันฮัลท์-เคอเทิน เจ้าชายเป็นนักดนตรีและนักเล่นฮาร์ปซิคอร์ด ช่วงเวลาอันแสนสุขของการเติบโตในหน้าที่การงาน ได้เป็นแรงผลักดันให้เขาประพันธ์ผลงานที่ยิ่งใหญ่มากมาย สำหรับบรรเลงด้วย ลิวต์ (Lute) ฟลูต ไวโอลิน (โซนาตาและบทเพลงสำหรับเดี่ยวไวโอลิน) ฮาร์ปซิคอร์ด (หนังสือ เว็ลเท็มเปอร์คลาเวียร์ เล่มที่สอง) เชลโล(สวีทสำหรับเดี่ยวเชลโล) และบทเพลงบรันเด็นเบอร์ก คอนแชร์โต้ หกบท
=== ไลพ์ซฺช ===
ระหว่างปี ค.ศ. 1725 ถึง ค.ศ. 1750 หรือเป็นระยะเวลากว่า 25 ปีที่บัคพำนักอยู่ที่เมืองไลพ์ซฺช บัคได้สืบทอดตำแหน่งผู้อำนวยการดนตรีของโบสถ์เซนต์โทมัส ในนิกายลูเธอรัน ต่อจากโยฮัน คูห์นาว เขาเป็นครูสอนดนตรีและภาษาละติน แต่ก็ยังต้องประพันธ์เพลงจำนวนมากให้กับโบสถ์ โดยมีบทเพลงคันตาตาทุกวันอาทิตย์และวันนักขัตฤกษ์ ในขณะดำรงตำแหน่งนี้ เขาได้ประพันธ์คันตาต้าไว้กว่า 126 บท แต่บทเพลงดังกล่าวมักจะไม่ได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างที่ควรเนื่องจากขาดแคลนเครื่องดนตรี และนักดนตรีที่มีฝีมือ
บัคได้ใช้แนวทางเดิมในการประพันธ์บทเพลงใหม่ ๆ แต่ความเป็นอัจฉริยะ ความคิดสร้างสรรค์ และความฉลาดของเขาทำให้ผลงานทุกชิ้นมีเอกลักษณ์ และถูกนับเป็นหนึ่งในผลงานยอดเยี่ยมแห่งประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก โดยเฉพาะ "เซนต์แมทธิวแพชชัน" "แมส ในบันไดเสียงบีไมเนอร์" "เว็ลเท็มเปอร์คลาเวียร์" "มิวสิกคัล ออฟเฟอริ่ง" ดนตรีของบัคหลุดพ้นจากรูปแบบทั่วไป โดยที่เขาได้ใช้ความสามารถของเขาอย่างเต็มพิกัด และถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงจนถึงขีดสุดของความสมบูรณ์แบบ
=== มรดกทางดนตรี ===
เมื่อโยฮัน เซบัสทีอัน บัค ดนตรีบาโรกได้ถึงจุดสุดยอดและถึงกาลสิ้นสุดในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากการเสียชีวิตของบัค ดนตรีของเขาถูกลืม เนื่องด้วยเพราะมันล้าสมัยไปแล้ว เช่นเดียวกับเทคนิคการสอดประสานกันของท่วงทำนองต่างๆที่เขาพัฒนาให้มันสมบูรณ์แบบอย่างหาใดเทียม
บุตรชายที่เขาได้ฝึกสอนดนตรีไว้ ไม่ว่าจะเป็นวิลเฮ็ล์ม ฟรีดมานน์ บัค คาร์ล ฟิลลิป เอ็มมานูเอ็ล บัค โยฮัน คริสตอฟ ฟรีดริช บัค และ โยฮัน คริสเตียน บัค ได้รับถ่ายทอดพรสวรรค์บางส่วนจากบิดา และได้รับถ่ายทอดเทคนิคการเล่นจากบัค ก็ได้ทอดทิ้งแนวทางดนตรีของบิดาเพื่อไปสนใจกับแนวดนตรีที่ทันสมัยกว่าในที่สุด เช่นเดียวกับนักดนตรีร่วมสมัยเดียวกันกับบัค (เป็นต้นว่า เกออร์ก ฟิลลิป เทเลมันน์ ผู้มีอายุแก่กว่าบัคสี่ปี ก็ได้รับอิทธิพลจากดนตรีที่ทันสมัยกว่า)
ปรากฏการณ์นิยมแนวดนตรีใหม่นี้ก็เกิดกับโมทซาร์ทเช่นกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อบารอนฟาน สวีเทน ผู้หลงใหลในดนตรีบาโรกและมีห้องสมุดส่วนตัวสะสมบทเพลงบาโรกไว้เป็นจำนวนมาก ได้ให้โมทซาร์ทชมผลงานอันยิ่งใหญ่ของบัคบางส่วน ทำให้ความมีอคติต่อดนตรีบาโรกของโมทซาร์ทนั้นถูกทำลายไปสิ้น จนถึงขั้นไม่สามารถประพันธ์ดนตรีได้ตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเขาสามารถยอมรับมรดกทางดนตรีของบัคได้แล้ว วิธีการประพันธ์ดนตรีของเขาก็เปลี่ยนไป ราวกับว่าบัคมาเติมเต็มรูปแบบทางดนตรีให้แก่เขา โดยที่ไม่ต้องละทิ้งรูปแบบส่วนตัวแต่อย่างใด ตัวอย่างผลงานของโมทซาร์ทที่ได้รับอิทธิพลของบัคก็เช่น "เพลงสวดศพเรเควียม" "ซิมโฟนีจูปิเตอร์" ซึ่งท่อนที่สี่เป็นฟิวก์ห้าเสียง ที่ประพันธ์ขึ้นโดยใช้เทคนิคการสอดประสานกันของท่วงทำนองต่างๆ รวมทั้งบางส่วนของอุปรากรเรื่อง"ขลุ่ยวิเศษ"
ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน รู้จักบทเพลงสำหรับคลาวิคอร์ดของบัคเป็นอย่างดี จนสามารถบรรเลงบทเพลงส่วนใหญ่ได้ขึ้นใจ ตั้งแต่วัยเด็ก
สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว ความเป็นอัจฉริยะของบัคไม่ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชน จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 19 อันเนื่องมาจากความพยายามของเฟลิกซ์ เม็นเดลโซห์น ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้อำนวยการดนตรีที่โบสถ์เซนต์โธมัส แห่งเมืองไลพ์ซิช นับแต่นั้นเป็นต้นมา ผลงานของบัคที่ยืนยงคงกระพันต่อการเปลี่ยนแปลงของรสนิยมทางดนตรี ก็ได้กลายเป็นหลักอ้างอิงที่มิอาจหาผู้ใดเทียมทานได้ในบรรดาผลงานดนตรีตะวันตก
ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 30 ที่เมืองไลพ์ซิช คาร์ล สโตรป ได้คิดค้นวิธีบรรเลงบทเพลงของบัคในรูปแบบใหม่ โดยการใช้เครื่องดนตรีที่มีประสิทธิภาพมากกว่า และใช้วงขับร้องประสานเสียงในแบบที่ยืดหยุ่นกว่าที่บรรเลงและขับร้องกันในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เขายังได้บรรเลงบทเพลงทางทฤษฎี เป็นต้นว่า อาร์ต ออฟฟิวก์ (โดยใช้วงดุริยางค์ประกอบด้วย) ผลสัมฤทธิ์ของแนวทางใหม่นี้ได้เห็นเป็นรูปธรรมในคริสต์ทศวรรษที่ 50 โดยมีนักดนตรีอย่างกุสตาฟ เลออนฮาร์ทและบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของเขา รวมถึงนิโคเลาส์ อาร์นองกูต์ โดยที่กุสตาฟ เลออนฮาร์ทและนิโคเลาส์ อาร์นองกูต์เป็นนักดนตรีคนแรกๆที่บันทึกเสียงบทเพลงคันตาต้าของบัคครบทุกบท
แม้ว่าดนตรีของบัคจะถูกตีความในลักษณะอื่น เช่น แจ๊ส (บรรเลงโดยฌาค ลูสิเยร์(Jaques Loussier) หรือ เวนดี คาร์ลอส) บรรเลงโดยใช้เครื่องดนตรีประเภทอื่น หรือถูกดัดแปลงเป็นแจ๊ส มันก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมไว้ ราวกับว่าโครงสร้างของบทเพลงที่โดดเด่นทำให้สิ่งอื่น ๆ กลายเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น
มาร์เซล ดูเปรสามารถบรรเลงบทเพลงทุกบทของบัคด้วยออร์แกนได้อย่างขึ้นใจ เช่นเดียวกับเฮลมุท วาลคา นักเล่นออร์แกนชาวเยอรมัน ผู้ที่ตาบอดตั้งแต่เกิด แต่ก็ได้หัดเล่นเพลงของบัคโดยอาศัยการฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
== แนวคิด ==
« บัคเป็นคนประเภทที่เห็นคนอื่นๆเป็นเพียงเด็กน้อยในสายตาของเขา » โรเบิร์ต อเล็กซานเดอร์ ชูมันน์
« หากไม่มีบัค เทววิทยาคงขาดเป้าหมาย การสร้างโลกของพระเจ้ากลายเป็นเพียงตำนาน และความว่างเปล่ากลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้», « หากมีใครสักคนที่เป็นหนี้บุญคุณบัคทุกอย่าง นั่นคงเป็นพระเจ้า », ซิโอร็อง, Syllogismes de l'amertume สำนักพิมพ์กัลลิมาร์
« ดนตรีของบัคมีแนวโน้มจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิต มีชีพจร และอารมณ์ความรู้สึก» ปิแอร์ วิดาล
« มีบัคก่อน...แล้วจึงมีคนอื่นๆตามมา » พาโบล คาซาลส์
« ถึงแม้ข้าพเจ้าจะมีความรักในศิลปินคนอื่น – ไม่ได้รักเบทโฮเฟิน และโมทซาร์ทน้อยไปกว่ากัน – ข้าพเจ้าก็ไม่อาจเห็นด้วยกับคำกล่าวของคาซาลส์ได้ บัคโดดเด่นกว่าพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมด » ปอล โทเทลลิเยร์
== บทประพันธ์ที่สำคัญ ==
คันตาต้า BWV 4, BWV 6, BWV 78, BWV 106, BWV 140, BWV 136, BWV 198, BWV 146, BWV 177, BWV 127, BWV 35, BWV 51, BWV 56, BWV 82, BWV 201, BWV 205, BWV 208, BWV 211, BWV 212.
BWV 245 ;
เซนต์แมทธิวแพชชัน, BWV 244 ;
แมส ในบันไดเสียงบีไมเนอร์, BWV 232 ;
คริสต์มาส โอราทอริโอ, BWV 248 ;
มักนิฟิคัท, BWV 243 ;
โมเต็ต, BWV 225 ถึง BWV 231 ;
ท็อคคาต้า และ ฟิวก์ ในบันไดเสียง ดีไมเนอร์ สำหรับออร์แกน, BWV 565 และบทเพลงพรีลูด แอนด์ ฟิวก์อีกหลายบท เป็นต้นว่า BWV 542, 543, 544, 545, 582;
โกลด์แบร์ก วาริเอชั่น, BWV 988 ;
พาร์ติต้าหกบทสำหรับคลาวิคอร์ด, BWV 825 ถึง BWV 830 ;
อินเวนชั่นและซิมโฟนี, BWV 772 ถึง BWV 801 ;
* อินเวนชั่น, BWV 772 : Bach-invention-01.mid
* ซิมโฟนี, BWV 787 : Bwv787.mid
เว็ลเท็มเพปร์คลาเวียร์ สองเล่ม, เพลงชื่อ พรีลูดแอนด์ฟิวก์ BWV 846 ถึง BWV 893 ;
* พรีลูดหมายเลข 1, BWV 846 : Wtk1-prelude1.midรวม48เพลง
พรีลูดแอนด์ฟิวก์ BWV 894 ถึง BWV 898 ;
โซนาต้า และพาร์ติต้าสำหรับเดี่ยวไวโอลิน, BWV 1001 ถึง BWV 1006 ;
สวีทสำหรับเดี่ยวเชลโล, BWV 1007 ถึง BWV 1012 ;
* สวีทสำหรับเดี่ยวเชลโล, BWV 1008, โน้ตแผ่น : http://wikisource.org/wiki/Suite_pour_violoncelle%2C_II#Courante
โซนาต้าสำหรับฟลู้ต, BWV 1013, BWV 1020, BWV 1030 ถึง BWV 1035 ;
บรันเด็นเบอร์ก คอนแชร์โต หกบท, BWV 1046 ถึง BWV 1051 ;
คอนแชร์โตสำหรับไวโอลิน, BWV 1041, BWV 1042, BWV 1043 ;
คอนแชร์โตสำหรับฮาร์ปซิคอร์ด, BWV 1052 ถึง BWV 1065 ;
สวีทสำหรับออร์เคสตร้า, BWV 1066 ถึง BWV 1070 ;
มิวสิกคัล ออฟเฟอริ่ง, BWV 1079 ;
อาร์ต ออฟ ฟิวก์, BWV 1080;
== การจัดเรียงผลงานการประพันธ์ ==
ผลงานดนตรีของบัคเรียงลำดับตัวเลขตามหลังคำว่า BWV ซึ่งเป็นตัวย่อของ Bach Werke Verzeichnis แปลว่า แคตตาล็อกผลงานของบัค ตีพิมพ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1950 เรียบเรียงโดยโวล์ฟกัง ชมีเดอร์ (Wolfgang Schmieder). แคตตาล็อกนี้ไม่ได้ถูกเรียงลำดับตามเวลาที่ประพันธ์ แต่เรียงตามลักษณะของบทประพันธ์. เช่น BWV 1-224 เป็นผลงานคันตาต้า, BWV 225–48 เป็นผลงานสำหรับกลุ่มนักร้องประสานเสียง, BWV 250–524 เป็นผลงานขับร้องและดนตรีศาสนา, BWV 525–748 เป็นผลงานสำหรับออร์แกน, BWV 772–994 เป็นผลงานสำหรับเครื่องดนตรีคีย์บอร์ด, BWV 995–1000 เป็นผลงานสำหรับลิวท์, BWV 1001–40 เป็นผลงานดนตรีเชมเบอร์ (chamber music), BWV 1041–71 เป็นผลงานสำหรับวงดุริยางค์ และ BWV 1072–1126 เป็นผลงานแคนนอน และ ฟิวก์ ในขั้นตอนการจัดเรียงแคตตาล็อกนี้ ชมีเดอร์เรียบเรียงตาม Bach Gesellschaft Ausgabe ที่เป็นผลงานของบัคแบบครบถ้วนที่ตีพิมพ์ขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1850-1905.
== สื่อ ==
== งานเขียนที่กล่าวถึงบัค ==
ชีวิตของโยฮัน เซบาสเทียน บัค'' โดย โยฮัน นิโคเลาส์ ฟอร์เคล : หนังสือเล่มแรกที่เล่าชีวประวัติของบัค (ค.ศ. 1802)
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
สมาคมบัค ลอนดอน
Projet Mutopia : โน้ตแผ่น
www.jsbach.org เว็บไซต์เกี่ยวกับบัคที่มีเนื้อหาสมบูรณ์ (ภาษาอังกฤษ)
เว็บไซต์เกี่ยวกับบัคที่มีเนื้อหาสมบูรณ์ (ภาษาอังกฤษ)
แคตตาล็อกผลงานของบัคฉบับสมบูรณ์ (ภาษาฝรั่งเศส)
โน้ตแผ่น : ผลงานของบัคฉบับสมบูรณ์ (ภาษาเกาหลี)
แมส ในบันไดเสียงบีไมเนอร์ (อะโดบี แฟลช) BWV 232
โกลด์แบร์ก วาริเอชั่น BWV 988
ยโฮันน์ ซเบาสเทียน บัค
ยโฮันน์ ซเบาสเทียน บัค
นักออร์แกน
บุคคลจากไอเซอนัค
|
thaiwikipedia
| 2,078 |
อุปรากร
|
อุปรากร (opera) เป็นศิลปะการแสดงบนเวทีชนิดหนึ่ง โดยมีลักษณะเป็นแบบละครที่ดำเนินเรื่องโดยใช้ดนตรีเป็นหลักหรือทั้งหมด อุปรากรถือเป็นส่วนหนึ่งของดนตรีคลาสสิก ตะวันตก มีความใกล้เคียงกับละครเวทีในเรื่องฉาก การแสดง และเครื่องแต่งกาย แต่สิ่งสำคัญที่แยกอุปรากรออกจากละครเวทีทั่วไป คือ ความสำคัญของเพลง ดนตรีที่ประกอบการร้อง ซึ่งอาจมีตั้งแต่วงดนตรีขนาดเล็กจนไปถึงวงออร์เคสตราขนาดใหญ่
== ประวัติ ==
อุปรากรกำเนิดขึ้นในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 16 ณ ประเทศอิตาลี สามารถสืบค้นต้นกำเนิดได้ถึงสมัยกรีกโบราณ ซึ่งมีการแสดงที่เรียกว่า tragedies ลักษณะเป็นการขับร้องประสานเสียงประกอบบทเจรจา ในสมัยกลางและเรเนส์ซองส์มีการแสดงที่ใช้การขับร้องดำเนินเรื่อง เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 16 กลุ่มนักดนตรีอิตาเลียนที่เมืองฟลอเรนซ์ได้ศึกษาประวัติเกี่ยวกับละครร้องย้อนไปถึงยุคกรีกโบราณดังกล่าว ในที่สุดจึงคิดรูปแบบการประพันธ์ที่เรียกว่า อุปรากร ขึ้น ผู้ประพันธ์เพลงที่ได้พัฒนารูปแบบของอุปรากร คือ เพรี ราวต้นศตวรรษที่ 17 มอนเทเวร์ดีได้ปรับรูปแบบอุปรากรให้สมบูรณ์ขึ้น ทำให้คล้ายกับรูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
อุปรากรเป็นการแสดงที่ผู้ขับร้องนำบทพระเอกและนางเอกเป็นสตรีล้วน ตั้งแต่ยุคคลาสสิกเป็นต้นมา ผู้ขับร้องนำทั้งพระเอกและนางเอกใช้ผู้ขับร้องเป็นชายและหญิงแท้จริง ว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท เป็นผู้หนึ่งที่พัฒนารูปแบบอุปรากรในยุคคลาสสิกให้มีมาตรฐาน โดยไว้หลายเรื่องด้วยกัน ในยุคโรแมนติกการประพันธ์อุปรากรมีรูปแบบหลากหลาย บางเรื่องมีความยาวมาก สามารถแสดงได้ทั้งวันทั้งคืน
== องค์ประกอบของอุปรากร ==
1. เนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องที่นำมาเป็นบทขับร้อง เป็นเรื่องที่มาจากตำนาน เทพนิยายโบราณ และวรรณกรรมต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาทำเป็นบทร้อง และที่แต่งขึ้นใหม่โดยเฉพาะ โดยมีคีตกวีเป็นผู้แต่งทำนอง คีตกวีบางคนก็มีความสามารถแต่งเนื้อเรื่องหรือบทละคร และดนตรีประกอบด้วย
2. ดนตรี ดนตรีในอุปรากรเป็นสิ่งที่ทำให้อุปรากรมีชีวิตจิตใจ มักเริ่มด้วยบทโหมโรง (Overture) และดนตรีประกอบบทขับร้อง ทั้งดำเนินเรื่องและเจรจากันตลอดทั้งเรื่อง ดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญ จนอุปรากรได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานของคีตกวี (Composer) มากกว่าที่จะคิดถึงผู้ประพันธ์เนื้อเรื่อง เช่น เรื่อง Madame Butterfly ของ Giacomo Puccini (1878-1924) จาโกโม ปุชชีนี เป็นคีตกวีที่แต่งดนตรีประกอบ ผู้แต่งละครมาดามบัตเตอร์ฟลาย คือ David Belasco (ได้โครงเรื่องมาจากเรื่องสั้นของ John Luther Long) ผู้แต่งเนื้อเรื่องให้เป็นบทขับร้อง คือ Luigi lllica และ Giuseppe Giacosa ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลายแล้ว ก็จะยกย่องให้เป็นงานของปุชชินี มักไม่มีใครนึกถึงนักประพันธ์บทขับร้อง หรืออุปรากรเรื่อง การ์เมน ของฌอร์ฌ บีแซ ที่มีพร็อสแปร์ เมรีเม เป็นผู้ประพันธ์เรื่อง และมี Henri Meilhac และ Ludovic Halevy เป็นผู้ร้อยกรองบทขับร้อง แต่คนก็จะพูดกันถึงแต่เพียงว่า อุปรากรเรื่องคาร์เมนของบิเซต์ ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบเป็นวงออร์เคสตรา
3. ผู้แสดง ผู้แสดงอุปรากรนอกจากจะต้องเป็นนักร้องที่มีเสียงไพเราะ มีพลังเสียงดี แข็งแรง ฝึกฝนเป็นนักร้องอุปรากรโดยเฉพาะแล้ว ยังเป็นนักแสดงผู้มีบทบาทยอดเยี่ยมด้วย เน้นในเรื่องน้ำเสียง ความสามารถในการขับร้องและบทบาทมากกว่าความสวยงามและรูปร่างของผู้แสดง มักให้นักร้องเสียงสูงทั้งหญิงและชายแสดงเป็นตัวเอกของเรื่อง โดยทั่วไป น้ำเสียงที่ใช้ในการขับร้องแบ่งเป็น 6 ระดับเสียง คือ เป็นน้ำเสียงนักร้องชาย 3 ระดับ และน้ำเสียงนักร้องหญิง 3 ระดับ ดังนี้
1. โซปราโน (Soprano) เป็นระดับเสียงสูงสุดของนักร้องหญิง
2. เมซโซโซปราโน (Mezzo - Soprano) เป็นระดับเสียงกลางของนักร้องหญิง
3. คอนทรัลโต หรือ อัลโต (Contralto or Alto) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องหญิง
4. เทเนอร์ (Tenor) เป็นเสียงระดับสูงสุดของนักร้องชาย
5. บาริโทน (Baritone) เป็นเสียงระดับกลางของนักร้องชาย
6. เบส (Bass) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องชาย
== ลักษณะของอุปรากร ==
1. ลิเบรตโต (Libretto) คือเนื้อเรื่อง หรือบทละครของอุปรากร บางครั้งอาจดัดแปลงมาจากนวนิยายหรือบทละครอื่น ๆ บางครั้งก็เป็นบทที่ผู้ประพันธ์แต่งขึ้นโดยเฉพาะสำหรับคีตกวี เช่น ดา ปองเต (Da Ponte) เขียนบทบางเรื่องให้กับโมสาร์ท เช่น เรื่อง Don Giovanni, บัวตา (Boita) เขียนบทบางเรื่องให้กับแวร์ดี เช่น เรื่อง Otella บางครั้งบทก็เป็นของผู้ประพันธ์เพลงเอง เช่น วากเนอร์ ประพันธ์ Lohengrin และ The Flying Dutchman และเมน็อตตี (Menotti) ประพันธ์ The Telephone เป็นต้น
2. เพลงโหมโรง (Overture) คือ บทประพันธ์ที่ใช้บรรเลงนำก่อนการแสดงอุปรากร บางครั้งใช้คำว่า พรีลูด (Prelude) เป็นเพลงที่แสดงถึงอารมณ์โดยรวมของอุปรากรที่จะแสดง กล่าวคือ ถ้าเป็นเรื่องเศร้า เพลงโหมโรงก็จะมีทำนองเศร้าอยู่ในที เป็นต้น บางครั้งเพลงโหมโรงอาจรวมเอาทำนองหลักจากอุปรากรฉากต่าง ๆ ไว้ก็ได้ เพลงโหมโรงนี้มักเป็นเพลงสั้น ๆ ประมาณ 5-10 นาที ปกติจะใช้วงออร์เคสตราทั้งวงบรรเลง ลักษณะของเพลงโหมโรงมักรวมเอาองค์ประกอบต่าง ๆ ของดนตรีไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านความดัง – ค่อย สีสัน ลีลาต่าง ๆ จึงทำให้เพลงโหมโรงเป็นบทเพลงที่ชวนฟัง เพลงโหมโรงของอุปรากรบางเรื่องมีความไพเราะเป็นที่นิยมฟังและบรรเลงเป็นบทเพลงแรกของการแสดงคอนเสิร์ตโดยทั่วไป เช่น “Overture of The Marriage of Figaro” ของโมสาร์ท “The Barber of Seville Overture” ของ รอสซินี “Fidelio” ของเบโธเฟ่น “Overture of Carmen” ของบิเซต์ เป็นต้น
3. เรซิเททีฟ (Recitative) คือบทสนทนาในอุปรากรที่ใช้การร้องแทนการพูด อย่างไรก็ตามมักจะไม่เป็นทำนองที่ไพเราะมากนัก จะเน้นที่คำพูดมากกว่า แต่ก็มีดนตรีและการร้องช่วยทำให้บทสนทนาน่าสนใจ เป็นลักษณะการร้องอีกประเภทหนึ่ง
4. อาเรีย (Aria) คือ บทร้องเดี่ยวในอุปรากร มีลักษณะตรงกันข้ามกับเรซิเททีฟ เนื่องจากเน้นการร้องและดนตรีมากกว่าเน้นการสนทนา อาเรียเป็นบทร้องที่ตัวละครเดี่ยวร้อง จัดเป็นบทร้องที่เต็มไปด้วยลีลาของดนตรีที่งดงาม ยากแก่การร้อง กล่าวได้ว่าอาเรียเป็นส่วนที่ทำให้อุปรากรมีความเป็นเอกลักษณ์ได้เลยทีเดียว
5. บทร้องประเภทสอง สาม สี่ และมากกว่านี้ของตัวละคร (Duo, Trio, and Other Small Ensembles) บทร้องที่มีนักร้องสองคนแทนที่จะเป็นคนเดียวในลักษณะของอาเรีย เรียกว่า ดูโอ (Duo) ถ้าเป็น 3 คนร้องเรียกว่า ทริโอ (Trio) สี่และห้าคนร้องเรียกว่า ควอเต็ต (Quartet) และควินเต็ต (Quintet) และอาจมีมากกว่าห้าคนก็ได้ เช่น บทร้อง 6 คน (Sextet) “Lucia” จากเรื่อง Rigoletto เป็นบทร้องที่มีชื่อเสียงมาก
6. บทร้องประสานเสียง (Chorus) ในอุปรากรบางเรื่องที่มีฉากประกอบไปด้วยผู้เล่นจำนวนมากมักจะมีการร้องประสานเสียงเสมอ บทร้องประสานเสียงที่มีชื่อเสียง เช่น “The Anvil Chorus” จาก Il Trovatore, “The Pilgrim’s Chorus” จาก “Tannhauser, The Triumphal Chorus” จาก Aida
7. ออร์เคสตรา (Orchestra) วงออร์เคสตรานอกจากจะเล่นเพลงโหมโรงแล้ว ยังใช้ประกอบการร้องในลักษณะต่าง ๆ ตลอดเรื่อง ในบางครั้งออร์เคสตราจะบรรเลงโดยไม่มีผู้ร้อง เพื่อให้การร้องหรือเรซิเททีฟแต่ละตอนต่อเนื่องหรือสร้างอารมณ์ให้เข้มข้นขึ้น บางครั้งวงออร์เคสตราจะมีบทบาทมาก เช่น อุปรากรของวากเนอร์ มักจะเน้นการบรรเลงของวงออร์เคสตราเสมอ
8. ระบำ (Dance) ในอุปรากรบางเรื่องอาจมีบางฉากที่มีการเต้นรำประกอบ โดยทั่วไปมักเป็นการแสดงบัลเลต์ที่สวยงาม ซึ่งเป็นของคู่กันกับอุปรากรแบบฝรั่งเศส (French Opera) บางครั้งอาจจะเป็นระบำในลักษณะอื่น ๆ เช่น ระบำพื้นเมือง การเต้นรำแบบต่าง ๆ เช่น วอล์ทซ (Waltz) เพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง
9. องก์ และฉาก (Acts and Scenes) อุปรากรก็เช่นเดียวกับละครทั่ว ๆ ไป มีการแบ่งเป็นองก์ และแบ่งย่อยลงไปเป็นฉาก เช่น คาร์เมน (Carmen) เป็นอุปรากร 4 องก์ เป็นต้น
10. ไลท์โมทีฟ (Leitmotif) ในอุปรากรบางเรื่อง ผู้ประพันธ์จะมีแนวทำนองต่าง ๆ แทนตัวละครแต่ละตัว หรือแทนเหตุการณ์ สภาพการณ์ แนวทำนองเหล่านี้จะปรากฏอยู่ตลอดเวลาเพื่อแทนตัวละครหรือเหตุการณ์นั้น ๆ วากเนอร์เป็นผู้หนึ่งที่ชอบใช้ไลท์โมทีฟ เช่น Ring motive ในอุปรากรชุด The Ring และ Love motive จากอุปรากรเรื่อง Tristan and Isolde
== ประเภทของอุปรากร ==
1. อุปรากร (Opera) โดยทั่วไปเป็นที่เข้าใจว่า หมายถึง โอเปราซีเรีย (Opera seria) หรือ Serious opera หรือ Grand opera ซึ่งเป็นอุปรากรที่ผู้ชมต้องตั้งใจชมเป็นอย่างมาก เพราะการดำเนินเรื่องใช้บทร้องลักษณะต่าง ๆ และเรซิเททีฟ ไม่มีการพูดสนทนา จัดว่าเป็นศิลปะดนตรีชั้นสูง การชมอุปรากรประเภทนี้จึงต้องมีพื้นความรู้และความเข้าใจในองค์ประกอบของอุปรากร โดยเฉพาะด้านดนตรีเพื่อความซาบซึ้งอย่างแท้จริง เรื่องราวของอุปรากรประเภทนี้มักจะเป็นเรื่องความเก่งกาจของพระเอกหรือตัวนำ หรือเป็นเรื่องโศกนาฏกรรม (Heroic or Tragic drama)
2. อุปรากรชวนหัว (Comic Opera) คือ อุปรากรที่มีเนื้อเรื่องสนุกสนาน ตลกขบขันล้อเลียน มักมีบทสนทนาที่ใช้พูดแทรกระหว่างบทเพลงร้อง อุปรากรประเภทนี้ดูง่ายกว่าประเภทแรก เนื่องจากเนื้อเรื่องสนุกสนาน มีบทสนทนาแทรก ดนตรีและเพลงที่ฟังไม่ยากเกินไป อุปรากรชวนหัวมีหลายประเภท เช่น Opera–comique (ฝรั่งเศส) Opera buffa (อิตาเลียน) Ballad opera (อังกฤษ) และ Singspiel (เยอรมนี)
3. โอเปเรตตา (Operetta) จัดเป็นอุปรากรขนาดเบา เนื้อเรื่องส่วนใหญ่สะท้อนชีวิตในสังคม มีการสอดแทรกบทตลกเบาสมองอยู่ด้วย บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักกระจุ๋มกระจิ๋ม คล้ายกับอุปรากรชวนหัว โดยปกติใช้การพูดแทนการร้องในบทสนทนา
4. คอนทินิวอัส โอเปร่า (Continuous opera) เป็นอุปรากรที่ผู้ประพันธ์ใช้ดนตรีเชื่อมโยงเรื่องราวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ มิใช่เป็นการร้องหรือสนทนาที่เป็นช่วง ๆ ลักษณะของคอนทินิวอัส โอเปร่านี้วากเนอร์เป็นผู้นำและใช้เสมอในอุปรากรที่เขาเป็นผู้ประพันธ์
== ตัวอย่างอุปรากรที่สำคัญ ==
1. Opera, Serious Opera
*Don Giovanni โดย โมสาร์ท
* The Magic Flute โดย โมสาร์ท
* Alceste โดย กลุ๊ค
* La Bohème โดย ปุชชีนี
* Hensel and Gretel โดย ฮุมเปอร์ดิง
* Julius Caesar โดย ฮันเดล
* Lohengrin โดย วากเนอร์
* Madama Butterfly โดย ปุชชีนี
* The Mastersingers of Nuremberg โดย วากเนอร์
* Norma โดย เบลลินี
* Orpheus and Eurydice โดย กลุ๊ค
* Otello โดย แวร์ดี
* Parsifal โดย วากเนอร์
* Pelleas et Melisande โดย เดอบูซี
* Prince Igor โดย โบโรดิน
* The Rake's Progress โดย สตราวินสกี้
* Rigoletto โดย แวร์ดี
* The Ring of the Nibelung (ชุดอุปรากร 4 เรื่อง) โดย วากเนอร์
* Romeo et Juleitte โดย กูโนด์
* The Tale of Hoffmann โดย ออฟเฟนบาค
* Tosca โดย ปุชชินี
* Tristan and Isolde โดย วากเนอร์
* La Traviata โดย แวร์ดี
* William Tell โดย รอสซินี
*Fidelio โดย เบโธเฟน
2. Comic Opera, Operetta
* The Abduction From The Seraglio โดย โมสาร์ท
* The Barber of Seville โดย รอสซินี
* The Bartered Bride โดย สเมทานา
* Die Fledermaus โดย โยฮัน สเตราส์
* Hary Janos โดย โคดาย
* H.M.S. Pinafore โดย เซอร์อาร์เธอร์ ซัลลิแวน
* The Marriage of Figaro โดย โมสาร์ท
== อ้างอิง ==
คมสันต์ วงค์วรรณ์. ดนตรีตะวันตก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2551
ณรุทธ์ สุทธจิตต์. สังคีตนิยม ความซาบซึ้งในดนตรีตะวันตก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2548
กรมวิชาการ. กระทรวงศึกษาธิการ. ดนตรีคลาสสิก...บทเพลงและการขับร้อง. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา. 2545
ดนตรีคลาสสิก
การบันเทิง
ละคร
*
|
thaiwikipedia
| 2,079 |
เลโอนาร์โด ดา วินชี
|
เลโอนาร์โด ดี แซร์ ปีเอโร ดา วินชี (Leonardo di ser Piero da Vinci; 15 เมษายน ค.ศ. 1452 – 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1519) เป็นผู้รอบรู้ชาวอิตาลีแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาชั้นสูงที่มีบทบาทเป็นทั้งจิตรกร, นักวาด, วิศวกร, นักวิทยาศาสตร์, นักทฤษฎี, ประติมากร และสถาปนิก ในขณะที่ชื่อเสียงของเขาโดยทั่วไปขึ้นกับความสำเร็จในฐานะจิตรกร เขาเป็นที่รู้จักจากสมุดบันทึกของเขา ซึ่งเขาได้วาดภาพและจดบันทึกในหัวข้อต่างๆ มากมาย รวมถึงกายวิภาคศาสตร์ ดาราศาสตร์ พฤกษศาสตร์ การทำแผนที่ ภาพวาด และซากดึกดำบรรพ์ ความอัจฉริยะเลโอนาร์โดแสดงให้เห็นถึงอุดมคติของมนุษยนิยมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา
เขาเป็นลูกนอกสมรสของทนายความที่ประสบความสำเร็จและแต่งงานกับผู้หญิงชั้นต่ำใน วินชี เขาได้รับการศึกษาในฟลอเรนซ์โดยจิตรกรและประติมากรชาวอิตาลีชื่อ อันเดรอา เดล แวร์รอกกีโอ เขาเริ่มอาชีพของเขาในเมือง แต่จากนั้นก็ใช้เวลามากในการรับใช้ ลูโดวีโก สฟอร์ซา ในมิลาน ต่อมาเขาทำงานในฟลอเรนซ์และกลับไปทมิลานอีกครั้ง เช่นเดียวกับช่วงสั้น ๆ ในกรุงโรม ในขณะเดียวกันก็ดึงดูดผู้ลอกเลียนแบบและนักเรียนจำนวนมาก ตามคำเชิญของฟรานซิสที่ 1 เขาจึงได้ใช้เวลาสามปีสุดท้ายในฝรั่งเศสก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1519 นับตั้งแต่เขาเสียชีวิต ไม่เคยมีครั้งไหนที่ความสำเร็จ ความสนใจที่หลากหลาย ชีวิตส่วนตัว และความคิดเชิงประจักษ์ของเขาล้มเหลวในการปลุกเร้าความสนใจและความชื่นชม ทำให้ชื่อของเขาเป็นที่นิยมในการตั้งชื่อในยุคนั้นและกลายเป็นหัวข้อทางวัฒนธรรม
เลโอนาร์โดเป็นหนึ่งในจิตรกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะและมักได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ก่อตั้ง ยุครุ่งเรื่องของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา แม้จะมีผลงานที่สูญหายไปมากมายและมีผลงานสำคัญไม่ถึง 25 ชิ้น รวมถึงผลงานที่ยังไม่เสร็จจำนวนมาก แต่เขาก็ได้สร้างภาพเขียนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในศิลปะตะวันตก ผลงานชิ้นที่มีชื่อเสียงของเขา ประกอบด้วย โมนาลิซา เป็นผลงานที่รู้จักกันดีที่สุดของเขาและมักถูกมองว่าเป็นภาพวาดที่โด่งดังที่สุดในโลก พระกระยาหารมื้อสุดท้ายเป็นภาพวาดทางศาสนาที่มีการทำซ้ำมากที่สุดตลอดกาล รวมถึงภาพวาด วิทรูเวียนแมน ของเขาถือเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมด้วย ในปี 2560 ซัลวาตอร์มุนดี ซึ่งเป็นรูปที่อาจวาดโดยเลโอนาร์โดทั้งรูปหรือเพียงบางส่วน
== ประวัติ ==
=== ชีวิตตอนต้น (ค.ศ. 1452 - 1472) ===
==== ถือกำเนิดและภูมิหลัง ====
เลโอนาร์โด ดิ แซร์ ปีเอโร ดา วินชี ที่แปลว่า เลโอนาร์โด บุตรชายของปีเอโร แห่ง วินชี เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1452 ในบริเวณเมือง วินชี บนเนินเขาทัซแคน ที่แคว้นคอสตานา ตอนล่างของแม่น้ำอาร์โน ซึ่งอยู่ห่างจากฟลอเรนซ์ออกไป 20 ไมล์ เขาเป็นลูกนอกสมรสของ เมสแซร์ ปีเอโร ฟรูโอซีโน ดี อันโตนีโอ ดา วินชี (ค.ศ. 1426–1504) ทนายความผู้ร่ำรวยในฟลอเรนซ์ กับสาวชาวนาชื่อ กาเตรีนา ( – 1494)
โดยมีการระบุชื่อว่าในตอนแรกว่า กาเตรีนา บูตี เดล วักกา และล่าสุดระบุชื่อว่า กาเตรีนา ดี เมโอ ลิปปี โดยมาร์ติน เคมป์ นักประวัติศาสตร์ ยังคงไม่แน่ใจว่าเลโอนาร์โดเกิดที่ใด บันทึกดั้งเดิมจากคำบอกเล่าของคนในท้องถิ่น โดยนักประวัติศาสตร์เอ็มมานูเอล เรเป็ตตี กล่าวว่าเขาเกิดที่ แอนชิอาโน หมู่บ้านเล็ก ๆ ในชนบทที่จะให้ความเป็นส่วนตัวเพียงพอสำหรับการกำเนิดนอกกฎหมาย แต่ก็ยังเป็นไปได้ที่เขาเกิดในบ้านในเมืองฟลอเรนซ์ พ่อแม่ของเลโอนาร์โดแต่งงานแล้วแยกกันหลังจากปีที่เขาเกิด กาเตรีนา ซึ่งมักถูกระบุว่าเป็น กาเตรีนา บูตี เดล วักกา ผู้ที่ต่อมาแต่งงานกับช่างฝีมือท้องถิ่น อันโตนิโอ ดิ ปิเอโร บูติ เดล วัคกา มีการเสนอทฤษฎีอื่น ๆ โดยเฉพาะทฤษฎีของนักประวัติศาสตร์ทางศิลปะ มาร์ติน เคมพ์ โดยเขาสันนิษฐานว่าแม่ของเลโอนาร์โดคือ กาเตรีนา ดี เมโอ ลิปปี เป็นเด็กกำพร้าที่แต่งงานและได้รับความช่วยเหลือจาก เมสแซร์ ปีเอโรและครอบครัว เมสแซร์ ปีเอโร ได้แต่งงานกับ อัลบิเอรา อามาโดริ และหลังจากที่เธอเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1462 เขาก็ได้แต่งงานอีกสามครั้ง ทำให้เลโอนาร์โดมีพี่น้องต่างมารดา 12 คนซึ่งอายุน้อยกว่าเขามาก (คนสุดท้ายเกิดเมื่อเลโอนาร์โดอายุ 40 ปี) และเขาแทบไม่ได้ติดต่อกับบรรดาพี่น้องต่างมารดาของเขา
ไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับวัยเด็กของเลโอนาร์โดและส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องราวที่เป็นตำนาน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชีวประวัติของเขาในหนังสือชีวิตศิลปิน (1550) จากจอร์โจ วาซาริ นักประวัติศาสตร์ด้านศิลปะในศตวรรษที่ 16 ตามบันทึกภาษีระบุว่าเขาอาศัยอยู่ที่บ้านของปู่ อันโตนิโอ ดาวินชี ตั้งแต่ใน ค.ศ. 1457 เท่าที่มีข้อมูลแน่ชัด แต่มีความเป็นไปได้ว่าเขาใช้เวลาหลายปีก่อนหน้านั้นในการดูแลแม่ของเขาในวินชี และมีการสันนิษฐานว่าเขาสนิทสนมกับอาของเขา ฟรันเชสโก ดา วินชี โดยพ่อของเขาน่าจะอยู่ที่ฟลอเรนซ์เกือบตลอดเวลา พ่อของเขาซึ่งมีครอบครัวเป็นทนายมาหลายช่วงอายุคน ได้ตั้งถื่นฐานอย่างเป็นทางการในฟลอเรนซ์ตั้งแต่ ค.ศ. 1469 เท่าที่มีข้อมูล และประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน เลโอนาร์โดได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้นในการเขียน (ภาษาพื้นถิ่น) การอ่าน และคณิตศาสตร์ อาจเป็นเพราะความสามารถทางศิลปะของเขาได้รับการยอมรับตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นครอบครัวของเขาจึงตัดสินใจที่จะให้ความสนใจกับทางด้านนั้นมากกว่า
ต่อมา เลโอนาร์โดได้บันทึกความทรงจำแรกสุดของเขา ซึ่งปัจจุบันอยู่ใน โคเด็กซ์ แอตลานติคัส ว่าขณะที่เขียนเกี่ยวกับการบินของนก เขาจำได้ว่าตอนยังเป็นทารกเมื่อมีว่าวมาที่เปลของเขาและอ้าปากของเขาด้วยหางของมัน ในปัจจุบันนักวิจารณ์ยังคงถกเถียงกันว่าเรื่องนี้เป็นความทรงจำจริงหรือเป็นเพียงจินตนาการ
ในสมัยนั้นยังไม่มีมาตรฐานการเรียกชื่อและนามสกุลที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในทวีปยุโรป แต่เลโอนาร์โดเองมักลงลายเซ็นในงานของเขาอย่างง่าย ๆ ว่า เลโอนาร์โด หรือไม่ก็ ข้าเอง เลโอนาร์โด เอกสารสำคัญส่วนใหญ่ระบุว่าผลงานของเขาเป็นของ เลโอนาร์โด โดยไม่มี ดา วินชี พ่วงท้าย ทำให้เข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้ใช้นามสกุลของบิดาเนื่องจากเป็นบุตรนอกสมรสนั่นเอง
==== โรงปฏิบัติงานของแวร์รอกกีโอ ====
ในช่วงกลางทศวรรษ 1460 ครอบครัวของเลโอนาร์โดย้ายไปอยู่ที่ฟลอเรนซ์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นศูนย์กลางของความคิดและวัฒนธรรมเกี่ยวกับมนุษยนิยมของชาวคริสต์ ขณะที่เขาอายุประมาณ 14 ปี เขากลายเป็น การ์โซน (เด็กในสตูดิโอ) ในเโรงปฏิบัติงานของแวร์รอกกีโอของอันเดรอา เดล แวร์รอกกีโอ จิตรกรและประติมากรชาวฟลอเรนซ์ชั้นนำในยุคนั้น ซึ่งในเวลานั้นเป็นช่วงที่โดนาเตลโล อาจารย์ของแวร์รอกกีโอ เสียชีวิต เลโอนาร์โด กลายเป็นเด็กฝึกงานเมื่ออายุ 17 ปีและได้ฝึกเป็นเวลา 7 ปี จิตรกรชื่อดังคนอื่น ๆ ที่ฝึกงานในโรงปฏิบัติงานนี้หรือมีความเกี่ยวข้องกับโรงปฏิบัติงานนี้ เช่น กีร์ลันดาโย, เปรูจีโน, บอตตีเชลลี และโลเรนโซ ดิ เครดิ เลโอนาร์โดได้รับการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและทักษะทางเทคนิคที่หลากหลาย ทั้งเคมี กลศาสตร์ โลหะวิทยา งานโลหะ การหล่อปูน งานเครื่องหนัง การร่างแบบ และงานไม้ ตลอดจนทักษะทางศิลปะในการวาดภาพ การลงสี การปั้น และการสร้างแบบจำลอง
เลโอนาร์โด เคยได้พบกับกีร์ลันดาโย, เปรูจีโน, บอตตีเชลลี ซึ่งทั้งหมดมีอายุมากกว่าเขาเล็กน้อย ที่โรงปฏิบัติงานของแวร์รอกกีโอหรือที่สถาบันเพลโตของตระกูลเมดีซี ในเมืองฟลอเรนซ์ ณ ขณะนั้น ประดับไปด้วยผลงานของศิลปินต่างๆ เช่น มาซัชโช ซึ่งมีภาพเฟรสโกซึ่งเต็มไปด้วยความสมจริงและอารมณ์ กีแบร์ตี เจ้าของผลงานประตูแห่งสวรรค์ที่เปล่งประกายด้วยทองคำเปลว แสดงการผสมผสานองค์ประกอบรูปร่างที่ซับซ้อนเข้ากับภูมิหลังทางสถาปัตยกรรมที่มีรายละเอียด และมีผู้ที่ได้ทำการศึกษามุมมองโดยละเอียดคือ ปีเอโร เดลลา ฟรันเชสกา จิตรกรคนแรกที่ทำการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแสง การศึกษานี้และบทความ De pictura ของ เลออน บัตติสตา อัลแบร์ตี จะมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อศิลปินรุ่นต่อๆมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อข้อมูลและงานศิลปะของ เลโอนาร์โด
ภาพวาดส่วนใหญ่ในโรงปฏิบัติงานของแวร์รอกกีโอ สร้างโดยผู้ช่วยของเขา ตามที่วาซารีกล่าวไว้ว่า เลโอนาร์โดร่วมมือกับแวร์รอกกีโอในงาน พระคริสต์ทรงรับพิธีล้าง โดยเลโอนาร์โดได้วาดภาพเทวดาหนุ่มที่ถือเสื้อคลุมของพระเยซู ซึ่งมีความสวยงามที่เหนือกว่าอาจารย์ของเขามาก จนแวร์รอกกีโอไม่วาดภาพใด ๆอีกเลย แม้ว่าเรื่องนี้จะเชื่อกันว่าเป็นเรื่องราวที่ไม่มีหลักฐาน และมีการสันนิษฐานว่าเลโอนาร์โดอาจเป็นแบบให้กับผลงานสองชิ้นของแวร์รอกกีโอ ได้แก่ รูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของดาวิดในบาร์เจลโล และอัครทูตสวรรค์ราฟาเอลในภาพโทเบียสกับทูตสวรรค์
วาซารีเล่าเรื่องของเลโอนาร์โดในวัยหนุ่มว่า ชาวนาในท้องถิ่นได้ทำโล่ทรงกลมรูปตนเองและขอให้เซอร์ ปิเอโรลงสีให้เขา เลโอนาร์โดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเมดูซาได้วาดภาพวาดสัตว์ประหลาดพ่นไฟที่น่ากลัวมากจนพ่อของเขาซื้อโล่อีกกันหนึ่งเพื่อมอบให้ชาวนาและขายเลโอนาร์โดให้กับพ่อค้าศิลปะชาวฟลอเรนซ์ในราคา 100 ducats ซึ่งสุดท้ายผู้ซื้อคือดยุคแห่งมิลาน
=== ฟลอเรนซ์ ครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1472 - 1482) ===
เมื่อถึงปี ค.ศ. 1472 เมื่ออายุได้ 20 ปี เลโอนาร์โดได้เป็นอาจารย์ในสมาคมช่างนักบุญลูกา ซึ่งเป็นสมาคมศิลปินและแพทย์ แต่แม้พ่อของเขาตั้งโรงปฏิบัติงานให้กับเขา ความผูกพันของเขากับแวร์รอกกีโอทำให้เขายังคงทำงานร่วมกันและอยู่กับเขาต่อไป ผลงานที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีหลักฐานของเลโอนาร์โดคือภาพวาดด้วยปากกาและหมึกของหุบเขาอาร์โนใน ค.ศ. 1473 ตามที่วาซารีกล่าวไว้ว่า ขณะที่เลโอนาร์โดยังหนุ่มเขาเป็นคนแรกที่แนะนำให้ทำให้แม่น้ำอาร์โนเป็นช่องทางเดินเรือระหว่างฟลอเรนซ์และปิซา
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1478 เลโอนาร์โดได้รับมอบหมายให้ลงสีแท่นบูชาสำหรับโบสถ์เซนต์เบอร์นาร์ดใน ปาลาซโซ เวคคิโอ ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นอิสระของเขาจากสตูดิโอของ แวร์รอกกีโอ นักเขียนชีวประวัตินิรนามยุคแรกที่รู้จักกันในชื่อ แอโนมิโม แกดดิอาโน อ้างว่าในปี 1480 เลโอนาร์โดได้ไปอาศัยอยู่กับ ตระกูลเมดิซี และมักจะทำงานในสวนของ ปิแอซซ่า ซาน มาร์โค ในเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบัน นีโอเพลโตนิค ของศิลปิน กวี และนักปรัชญาที่ก่อตั้งโดยตระกูลเมดิซี และในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1481 เขาได้รับมอบหมายจากนักบวชแห่งซานโดนาโตในสโคเปโตเพื่อวาดภาพการนมัสการของโหราจารย์ งานเหล่านี้เป็นงานที่เลโอนาร์โดทำไม่เสร็จแลพถูกทิ้งไปเมื่อเลโอนาร์โดต้องรับงานของ ดยุคแห่งมิลาน ลูโดวีโก สฟอร์ซา เลโอนาร์โดได้เขียนจดหมายถึง สฟอร์ซา ซึ่งอธิบายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เขาสามารถทำได้ในด้านวิศวกรรมและการออกแบบอาวุธ และกล่าวว่าเขาสามารถวาดภาพได้ และเขาได้นำเครื่องสายเงินในรูปหัวม้า ไม่ว่าจะเป็นลูตหรือไลร์ติดตัวมาด้วย
เลโอนาร์โดได้ไปยังบ้านของเมดิซีพร้อมกับอัลแบร์ตีและได้รู้จักนักปรัชญาด้านมนุษยนิยมที่มีอายุมากกว่าเขาเช่น มาร์ซีลีโอ ฟีชีโน ผู้แสดงลัทธินีโอพลาโทผ่านพวกเขา คริสโตฟอโร ลันดีโน ผู้เขียนความเห็นเกี่ยวกับงานเขียนคลาสสิก และ จอห์น อาร์ไกโรปูรอส ครูสอนภาษากรีกและผู้ที่แปลงานของอริสโตเติล และผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับ สถาบันเพลโตของตระกูลเมดีซี ก็คือปิโก เดลลา มิแรนโดลา กวีและปราชญ์หนุ่มผู้มีความเฉลียวฉลาด และใน ค.ศ. 1482 โลเรนโซ เด เมดีซีได้ส่งเลโอนาร์โดไปเป็นเอกอัครราชทูต เพื่อสัมพันธไมตรีกับลูโดวีโก สฟอร์ซา ผู้ปกครองเมืองมิลานในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1479 ถึง 1499
ไฟล์:Leonardo da Vinci Madonna of the Carnation.jpg|แม่พระแห่งดอกคาร์เนชัน, ณ อัลเทอพีนาโคเทค มิวนิก
ไฟล์:Paisagem do Arno - Leonardo da Vinci.jpg|ทิวทัศน์ของหุบเขาอาร์โน (ค.ศ. 1473)
ไฟล์:Leonardo da Vinci - Ginevra de' Benci - Google Art Project.jpg|จีเนฟรา เดอ เบ็นชี, ณ หอศิลป์แห่งชาติ วอชิงตัน ดี.ซี.
ไฟล์:Madonna benois 01.jpg|พระแม่มารีเบนัวส์, ณ พิพิธภัณฑ์แอร์มิทาช เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก
ไฟล์:Leonardo da Vinci - Hanging of Bernardo Baroncelli 1479.jpg|ภาพร่างการแขวนคอของเบอร์นานโด บานดีนี บารอนเชลลี, ค.ศ. 1479
=== มิลาน ครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1482 - 1499) ===
เลโอนาร์โดทำงานในมิลานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1482 ถึง ค.ศ. 1499 เขาได้รับมอบหมายให้วาดภาพ พระแม่มารีแห่งภูผา สำหรับภราดรภาพแห่งแม่พระปฏิสนธินิรมล และ อาหารค่ำมื้อสุดท้าย สำหรับซานตามารีอาเดลเลกราซีเอ ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1485 เลโอนาร์โดได้เดินทางไปฮังการีในนามของตระกูลสฟอร์ซาเพื่อพบกับพระเจ้าแมทเธียส คอร์วินัส และได้รับมอบหมายจากเขาให้วาดภาพแม่พระและพระกุมาร เลโอนาร์โดเคยทำงานในโครงการอื่น ๆ มากมายสำหรับตระกูลสฟอร์ซา ทั้งการเตรียมขบวนแห่และการประกวดในโอกาสพิเศษ ทั้งภาพวาดและแบบจำลองไม้สำหรับการแข่งขันออกแบบหอหลังคาโดมของอาสนวิหารมิลาน (ซึ่งเขาได้ถอนตัวในภายหลัง) และแบบจำลองสำหรับอนุสาวรีย์ขี่ม้าขนาดใหญ่สำหรับ ฟรานเชสโก สฟอร์ซา บรรพบุรุษของลูโดวิโก รูปปั้นนี้มีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับรูปปั้นขี่ม้าขนาดใหญ่เพียงสองแห่งของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ได้แก่ อนุสาวรีย์กัตตาเมลาตา ของ โดนาเตลโล ในปาดัวและ อนุสาวรีย์บาร์โตโลมีโอ คอลลีโอนี ของ แวร์รอกกีโอ ในเมืองเวนิส ที่รู้จักกันในนาม กราน คาวาลโล เลโอนาร์โดสร้างแบบจำลองสำหรับม้าและวางแผนอย่างละเอียดสำหรับการหล่อโลหะ แต่ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1494 ลูโดวิโกได้มอบเหรียญทองแดงให้กับพี่เขยเพื่อใช้เป็นปืนใหญ่เพื่อปกป้องเมืองจากพระเจ้าชาร์ลที่ 8 แห่งฝรั่งเศส
ไฟล์:Leonardo da vinci, Head of a girl 01.jpg|ศีรษะของผู้หญิง, , ห้องสมุดหลวงแห่งตูริน
ไฟล์:Leonardo da Vinci - Portrait of a Musician - Pinacoteca Ambrosiana.jpg|ภาพเหมือนนักดนตรี, , ห้องสมุดแอมโบรเชียน มิลาน
ไฟล์:Da Vinci Vitruve Luc Viatour (cropped).jpg|วิทรูเวียนแมน อักกาเดเมีย เวนิส
ไฟล์:Study of horse.jpg|ม้าของเลโอนาร์โดวาดในซิลเวอร์พอยต์,
ไฟล์:Leonardo da Vinci (attrib)- la Belle Ferroniere.jpg|หญิงงามแห่งแฟรโรนิแยร์,
ไฟล์:Sala-Asse-18-02-2014-32.jpg|รายละเอียดของภาพวาด trompe-l'œil (1498) ที่ฟื้นฟูใน ค.ศ. 1902
=== ฟลอเรนซ์ ครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1500 - 1508) ===
เมื่อลูโดวีโก สฟอร์ซาถูกโค่นล้มโดยฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1500 เลโอนาร์โดหนีจากมิลานไปเวนิส พร้อมด้วยซาไล ผู้ช่วยของเขา และเพื่อนของซาไล ลูกา ปาซิโอลิ นักคณิตศาสตร์ ณ เมืองเวนิส เลโอนาร์โดได้ทำงานเป็นสถาปนิกและวิศวกรด้านการทหาร โดยเขาได้คิดค้นวิธีการป้องกันเมืองจากการโจมตีทางเรือ เมื่อเขากลับมาที่ฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 1500 เขาและครอบครัวได้รับการต้อนรับโดยพระภิกษุสงฆ์ที่อาราม ซานติสสิมา อันนุนซีอาตา และได้รับการจัดสรรพื้นที่สำหรับโรงปฏิบัติงานของเขา ตามบันทึกของวาซาริ เลโอนาร์โดได้วาดภาพพระนางพรหมจารีและพระกุมารกับนักบุญอันนาและยอห์นผู้ให้บัพติศมา ผลงานที่ได้รับความชื่นชมจน "ชาย[และ]หญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่" แห่ชม "ราวกับว่าพวกเขากำลังไปงานรื่นเริง"
ใน ค.ศ. 1502 ณ เมืองเชเซนา เลโอนาร์โดได้เข้าทำงานเป็นสถาปนิกและวิศวกรด้านการทหาร และเดินทางไปทั่วอิตาลีพร้อมกับผู้อุปถัมภ์ของเขาให้กับ ซีซาร์ บอร์เจีย ลูกของพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 เลโอนาร์โดได้สร้างแผนที่ฐานที่มั่นของซีซาร์ บอร์เจียซึ่งเป็นผังของเมืองอิโมลา เพื่อที่จะได้รับการอุปถัมภ์ของเขา เมื่อซีซาร์ได้เห็นผังเมืองนั้นแล้วก็ได้แต่งตั้งให้เลโอนาร์โดเป็นหัวหน้าวิศวกรและสถาปนิกทางทหารของเขา และในปีเดียวกัน เลโอนาร์โดได้จัดทำแผนที่หุบเขาเคียน่า แคว้นตอสคานา สำหรับผู้อุปถัมภ์ของเขา เพื่อให้มีภาพซ้อนทับที่ดีขึ้นของแผ่นดินและตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ที่มากขึ้น โดยเขาได้จัดทำแผนที่นี้พร้อมกับโครงการก่อสร้างเขื่อนจากทะเลไปยังเมืองฟลอเรนซ์ เพื่อให้มีแหล่งน้ำในทุกฤดูกาล
เลโอร์นาโดได้ออกจากการทำงานกับบอร์เจียและกลับไปยังเมืองฟลอเรนซ์ในช่วงต้น ค.ศ. 1503 และได้กลับเขามาอยู่ในสมาคมช่างนักบุญลูกาในวันที่ 18 ตุลาคมปีเดียวกัน และในเดือนนั้นเขาก็ได้เริ่มสร้างผลงานภาพเหมือนของลีซา เดล โจกอนดา ผู้เป็นแบบให้กับภาพวาดโมนาลิซา ซึ่งเขาได้ทำภาพนี้ต่อไปจนถึงช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1504 เขาเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแนะนำว่าควรวางรูปปั้นดาวิดของมีเกลันเจโลไว้ที่ใด จากนั้นเขาใช้เวลา 2 ปีในเมืองฟลอเรนซ์ในการออกแบบและวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังยุทธการอันเกียริ โดยมีมีเกลันเจโลได้ออกแบบผลงานที่คู่กัน คือ ยุทธการคาชินา
ในปี ค.ศ. 1506 เลโอนาร์โดถูกเรียกตัวไปยังมิลานโดย ชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอ็องบวซ ผู้รักษาการเมืองชาวฝรั่งเศส โดยเลโอนาร์โดได้รับลูกศิษย์จากที่นั้นมาคนหนึ่ง คือเคาท์ฟรานเชสโก เมลซี ลูกชายของขุนนางลอมบาร์เดีย ซึ่งนับได้ว่าเป็นศิษย์คนโปรดของเขา สภาฟลอเรนซ์หวังให้เลโอนาร์โดกลับไปวาดยุทธการอันเกียรี ให้เสร็จ แต่เขาได้รับการปล่อยตัวตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 ที่พิจารณาว่าจ้างศิลปินให้วาดภาพเหมือนบุคคล
=== มิลาน ครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1508–1513) ===
จากนั้นใน ค.ศ. 1508 เลโอนาร์โดเดินทางกลับมิลาน โดยอาศัยในบ้านของเขาที่ Porta Orientale เขต Santa Babila
ใน ค.ศ. 1512 เลโอนาร์โดกำลังดำเนินการตามแผนการสร้างอนุเสาวรีย์คนขี่ม้าให้แก่ Gian Giacomo Trivulzio แต่ต้องหยุดชั่วคราวจากการรุกรานของกองทัพสมาพันธรัฐสวิส สเปน และเวนิส เพื่อขับไล่ฝรั่งเศสออกจากมิลาน เลโอนาร์โดยังคงอยู่ในนครนี้ โดยใช้เวลาหลายเดือนที่วิลลา Vaprio d'Adda ของตระกูลเมดิชีใน ค.ศ. 1513
=== โรมและฝรั่งเศส (ค.ศ. 1513–1519) ===
=== เสียชีวิต ===
== ชีวิตส่วนตัว ==
แม้ว่าเลโอนาร์โดทิ้งสมุดบันทึกและเอกสารตัวเขียนไว้หลายพันหน้า เขาแทบไม่ได้กล่าวถึงชีวิตส่วนตัวของตนเองเลย
== วิทยาศาสตร์และสิ่งประดิษฐ์ ==
== สิ่งสืบทอด ==
แม้ว่าเขาไม่ได้รับการฝึกอบรมทางวิชาการอย่างเป็นทางการ นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการหลายคนยกให้เลโอนาร์โดเป็นแบบอย่างที่สำคัญของ "อัจฉริยะสากล" หรือ "มนุษย์เรอแนซ็องส์" บุคคลที่มี "ความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่สิ้นสุด" และ "จินตนาการที่สร้างสรรค์อย่างร้อนแรง" เขาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีพรสวรรค์หลากหลายที่สุดเท่าที่เคยมีมา นักวิชาการตีความมุมมองของเขาที่มีต่อโลกว่าเป็นไปตามตรรกะ แม้ว่าวิธีการเชิงประจักษ์ที่เขาใช้ในช่วงเวลาของเขาไม่เป็นไปตามแบบก็ตาม
ชื่อเสียงของเลโอนาร์โดในช่วงชีวิตของเขาทำให้พระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสปฏิบัติต่อเขาเหมือนถ้วยรางวัล และอ้างว่าสนับสนุนเขาในวัยชรากับอุ้มเขาไว้ในอ้อมพระกรขณะที่เสียชีวิต ความสนใจในตัวเลโอนาร์โดและผลงานของเขาไม่เคยลดลง ฝูงชนยังคงต่อคิวเพื่อชมผลงานศิลปะที่โด่งดังที่สุดของเขา เสื้อยืดยังคงมีภาพวาดที่โด่งดังที่สุดของเขา และนักเขียนยังคงยกย่องเขาในฐานะอัจฉริยะ ในขณะเดียวกันก็คาดเดาเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขา เช่นเดียวกับสิ่งที่คนฉลาดเชื่อจริง ๆ
ความสนใจในความเป็นอัจฉริยะของเลโอนาร์โดยังคงที่ ผู้เชี่ยวชาญศึกษาและแปลงานเขียน วิเคราะห์ภาพวาดของเขา โดยใช้เทคนิคทางวิทยาศาสตร์ โต้เถียงเกี่ยวกับที่มาที่ไป และค้นหาผลงานที่มีการบันทึกแต่ไม่มีการค้นพบ
โมนาลิซา ซึ่งถือเป็นงานศิลปะชิ้นเอกของเลโอนาร์โด มักถิอเป็นภาพครึ่งตัวที่โด่งดังที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา อาหารค่ำมื้อสุดท้ายเป็นจิตรกรรมทางศาสนาที่มีการทำซ้ำมากที่สุดตลอดกาล และภาพวาดเส้น มนุษย์วิตรูวิอุส ก็ถือเป็นสัญลักษณ์กระแสวัฒนธรรม
== ที่ตั้งสุสาน ==
== ภาพวาด ==
การประกาศของเทพ - หอศิลป์อุฟฟิซิ, ฟลอเรนซ์, ประเทศอิตาลี (ค.ศ. 1473)
พระแม่มารีแห่งภูผา (Virgin of the Rocks) - พิพิธภัณฑ์ลูฟร์, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส (ค.ศ. 1483)
พระกระยาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) - Convent of Santa Maria delle Grazie (Refectory), Milan (ค.ศ. 1495-1498)
โมนาลิซ่า หรือ Mona Lisa พิพิธภัณฑ์ลูฟร์, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส (ค.ศ. 1503-1507)
ชุดภาพเหมือนล้อเลียน (ค.ศ. 1490-1505)
ยุทธการอันเกียริ (The Battle of Anghiari)- พิพิธภัณฑ์ลูฟร์, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส วาดจากต้นฉบับของ รูเบ็นส์ และจิตรกรนิรนาม
=== แกลเลอรี ===
ไฟล์:LEONARDO.JPG|ภาพเหมือนตัวเอง
ไฟล์:Mona Lisa, by Leonardo da Vinci, from C2RMF retouched.jpg|โมนาลิซ่า ภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก
ไฟล์:Leonardo da Vinci 002.jpg|พระกระยาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) (1498)
ไฟล์:Jean.jpg|นักบุญจอห์น/เทพบาคคัส(นักบุญจอห์นแบ็พทิสต์) (Saint John in the Wilderness Bacchus)
ไฟล์:Leonardo da Vinci Grotesque Heads.jpg|ภาพเหมือนล้อเลียน
ไฟล์:Leonardo da Vinci Studies of Embryos.jpg|ศึกษาตัวอ่อนมนุษย์ (Studies of embryos) (v.1509-1514)
ไฟล์:Leonardo chiesa gemmata.jpg|ภาพสเก็ตช์อาคาร
ไฟล์:Croquis01.png|ภาพสเก็ตช์ทหารสามหมวกเกราะ (Profile of a warrior in helmet)
== ดูเพิ่ม ==
รายชื่อภาพเขียนโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี
รหัสลับดาวินชี นวนิยายโดย แดน บราวน์
== หมายเหตุ ==
ทั่วไป
วันผลิตผลงาน
== อ้างอิง ==
ช่วงแรก
สมัยใหม่
=== ผลงานที่อ้างอิง ===
==== ช่วงแรก ====
in
in
==== สมัยใหม่ ====
หนังสือ
volume 2: . A reprint of the original 1883 edition
วารสารและบทความสารานุกรม
== อ่านเพิ่ม ==
See and for extensive bibliographies
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
ทั่วไป
Universal Leonardo, a database of Leonardo's life and works maintained by Martin Kemp and Marina Wallace
Leonardo da Vinci on the National Gallery website
ผลงาน
Biblioteca Leonardiana, online bibliography (in Italian)
e-Leo: Archivio digitale di storia della tecnica e della scienza, archive of drawings, notes and manuscripts
Complete text and images of Richter's translation of the Notebooks
The Notebooks of Leonardo da Vinci
ประวัติกายวิภาคศาสตร์
สถาปนิกในคริสต์ศตวรรษที่ 15
บุคคลจากฟลอเรนซ์
คณิตศาสตร์และวัฒนธรรม
จิตรกรสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา
จิตรกรชาวอิตาลี
|
thaiwikipedia
| 2,080 |
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
|
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus; ระหว่าง 25 สิงหาคม และ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1451 - 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1506) เป็นนักสำรวจและนักเดินเรือชาวอิตาลี ซึ่งได้เดินทางบนเรือครบสี่ครั้งทั่วทั้งมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ยุโรปได้สำรวจอย่างกว้างขวางและการก่อตั้งดินแดนอาณานิคมในทวีปอเมริกา การเดินทางของเขาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์แห่งสเปนที่นับถือนิกายคาทอลิก เป็นการติดต่อครั้งแรกของยุโรปกับหมู่เกาะแคริบเบียน อเมริกากลาง และอเมริกาใต้
ชื่อของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส มาจากการแผลงเป็นอังกฤษในภาษาละตินที่ชื่อว่า คริสโตโฟรุส โกลุมบุส นักวิชาการเห็นพ้องต้องกันว่า โคลัมบัสนั้นเกิดในสาธารณรัฐเจนัวและพูดสำเนียงท้องถิ่นคือภาษาลีกูเรียเป็นภาษาแรกของเขา เขาออกเดินทางทะเลตั้งแต่อายุยังน้อยและเดินทางอย่างกว้างขวาง ไกลออกไปทางเหนือถึงเกาะอังกฤษ และไกลออกไปทางใต้ซึ่งที่นั้นคือประเทศกานาในปัจจุบัน เขาแต่งงานกับหญิงสูงศักดิ์ชาวโปรตุเกสที่ชื่อว่า ฟีลิปา มูนิช ปิอรีชเตรลู และอาศัยอยู่ที่ลิสบอนเป็นเวลาหลายปี แต่ต่อมาก็ได้แอบมีภรรยาน้อยเป็นชาวแคสตีล(Castilian) เขามีบุตรชายอยู่สองคนซึ่งกำเนิดจากคนละแม่ แม้ว่าโคลัมบัสจะศึกษาด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ โคลัมบัสได้อ่านวิชาทางภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ และประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวาง เขาได้กำหนดแผนการที่จะหาทางเดินทางเรือผ่านทะเลตะวันตกไปยังอินเดียตะวันออก โดยคาดหวังว่าจะได้กำไรจากการค้าขายเครื่องเทศที่ร่ำรวย ภายหลังจากการล็อบบี้อย่างต่อเนื่องของโคลัมบัสต่อหลายอาณาจักร กษัตริย์คาทอลิกอย่างสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลที่ 1 แห่งกัสติยาและพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งอารากอนทรงยินยอมที่จะสนับสนุนการเดินทางไปทางตะวันตก โคลัมบัสออกจากแคว้นกัสติยาในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1492 ด้วยเรือสามลำ และได้มีการพบเห็นแผ่นดินในทวีปอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม (เป็นอันสิ้นสุดลงของช่วงเวลาการอาศัยอยู่ของมนุษย์ในทวีปอเมริกา ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า ยุคก่อนโคลัมเบียน) สถานที่ลงจอดของเขาคือเกาะในบาฮามาส ซึ่งประชาชนชาวพื้นเมืองรู้จักกันคือ กวานาฮานี ต่อมาโคลัมบัสได้ไปเยือนหมู่เกาะที่ปัจจุบันได้รู้จักกันคือ คิวบาและฮิสปันโยลา ซึ่งได้ก่อตั้งอาณานิคมในเกาะแห่งหนึ่งคือประเทศเฮติในปัจจุบัน โคลัมบัสเดินทางกลับสู่แคว้นกัสติยาในต้นปี ค.ศ. 1493 โดยนำชาวพื้นเมืองที่ถูกจับจำนวนหนึ่งมาด้วย เรื่องราวของการเดินทางของเขาในไม่ช้าก็ได้แพร่กระจายไปทั่วยุโรป
โคลัมบัสได้ออกเดินทางไปยังทวีปอเมริกาอีกสามครั้ง ซึ่งได้ทำการสำรวจที่เลสเซอร์แอนทิลลีส ใน ค.ศ. 1493 ตรินิแดดและชายฝั่งทางตอนเหนือของอเมริกาใต้ใน ค.ศ. 1498 และชายฝั่งตะวันออกในอเมริกากลางใน ค.ศ. 1502 ชื่อหลายชื่อที่เขาได้ตั้งตามลัษณะทางภูมิศาสตร์ - โดยเฉพาะกับหมู่เกาะ - ซึ่งยังคงใช้กันอยู่ เขายังได้ตั้งชื่อว่า อินดิโอส("อินเดียน") ให้กับชนพื้นเมืองที่เขาพบเจอ ขอบเขตที่เขาได้ตระหนักว่าทวีปอเมริกาเป็นทวีปที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิงนั้นยังคลุมเครือ เขาไม่เคยละทิ้งความเชื่อของเขาอย่างชัดเจนว่าเขาได้เดินทางมาถึงดินแดนตะวันออกไกล ในฐานะที่เป็นข้าหลวงอาณานิคม โคลัมบัสถูกผู้ร่วมเดินทางกับเขากล่าวหาว่า บ้าอำนาจและโหดร้าย และไม่นานก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดของโคลัมบัสและราชบัลลังก์กัสติยาและผู้บริหารปกครองอาณานิคมที่ได้รับการแต่งตั้งในทวีปอเมริกา ทำให้เขาถูกจับกุมและถอดถอนออกจากฮิสปันโยลาในปี ค.ศ. 1500 และต่อมาได้มีการต่อสู้คดีที่ยืดเยื้อในเรื่องของผลประโยชน์ที่เขาได้รับและทายาทของเขาได้กล่าวอ้างสิทธิ์ในการครองราชบัลลังก์ การเดินทางของโคลัมบัสได้เริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาแห่งการสำรวจ การพิชิต และการก่อตั้งอาณานิคมที่กินเวลายาวนานหลายศตวรรษ ช่วงสร้างโลกตะวันตกสมัยใหม่ การถ่ายโอนระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่ ภายหลังจากการเดินทางครั้งแรกของเขาที่เป็นที่รู้จักกันคือ การแลกเปลี่ยนโคลัมเบียน
โคลัมบัสได้รับการนับถืออย่างกว้างขวางในช่วงหลายศตวรรษหลังการเสียชีวิตของเขา แต่การรับรู้ของสาธารณชนทำให้เกิดจุดแตกหักในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากนักวิชาการได้ให้ความสนใจมากขึ้นต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นภายใต้การปกครองของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ประชากรชาว Taíno ชนพื้นเมืองของเกาะฮิสปันโยลาซึ่งใกล้จะสูญพันธ์จากการปฏิบัติที่โหดร้ายทารุณและการเกิดโรคระบาดซึ่งมาจากยุโรป เช่นเดียวกับการตกเป็นทาส ผู้เสนอทฤษฎีตำนานสีดำกล่าวอ้างว่า โคลัมบัสถูกดูหมิ่นอย่างไม่ยุติธรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกต่อต้านนิกายคาทอลิกในวงกว้าง หลายแห่งในซีกโลกตะวันตกซึ่งมีชื่อของเขา รวมทั้งประเทศโคลัมเบีย เขตโคลัมเบีย และรัฐบริติชโคลัมเบียของประเทศแคนาดา
== ดูเพิ่ม ==
ยุคแห่งการสำรวจ
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Columbus บุรุษผู้ต้องการไปตะวันออก โดยการเดินเรือไปทางตะวันตก
บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 1994
นักสำรวจชาวสเปน
ยุคแห่งการสำรวจ
บุคคลจากเจโนวา
|
thaiwikipedia
| 2,081 |
พี่น้องไรต์
|
พี่น้องไรต์ (Wright brothers) ได้แก่ ออวิลล์ ไรต์ (19 สิงหาคม พ.ศ. 2414 (ค.ศ. 1871) - 30 มกราคม พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948)) และ วิลเบอร์ ไรต์ (16 เมษายน พ.ศ. 2410 (ค.ศ. 1867) - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912)) เป็นผู้ที่ยกย่องให้เป็นสองคนแรกที่ได้ออกแบบและสร้าง เครื่องบิน ที่มีเครื่องยนต์กับต้นแบบของเครื่องบินที่ใช้ได้จริง
การบินอยู่บนท้องฟ้าถือว่าเป็นความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ และเป็นเวลาหลายศตวรรษที่มนุษย์หาวิธีที่จะบินให้ได้ ในปี ค.ศ. 1483 จิตรกรและนักวิทยาศาสตร์เอกของโลกเลโอนาร์โด ได้ริเริ่มการบินขึ้นเป็นครั้งแรก โดยการใช้ปีกนกขนาดใหญ่ที่เขาประดิษฐ์ขึ้น ติดเข้ากับแขนและร่อนลงมาจากที่สูง ซึ่งทำให้ลูกศิษย์ของเขา ผู้ที่ทำการทดลองบินต้องตกลงมาขาหัก แต่นั้นก็เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1903 สองพี่น้องตระกูลไรท์ได้สร้างเครื่องบินลำแรกของโลกได้เป็นผลสำเร็จ ตั้งแต่นั้นมากิจการบินก็มีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้นจนกระทั่งทุกวันนี้
สองพี่น้องตระกูลไรท์ประกอบไปด้วย วิลเบอร์ ไรท์ เกิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1867 ที่เมืองมิลล์ วิลลี่ รัฐอินเดียนาประเทศสหรัฐอเมริกา และออร์วิล ไรท์ เกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1871 ที่เมืองเดยตัน รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกัน บิดาของเขาเป็นนักบวชชื่อว่า มิลตัน ไรท์ (Milton Writhe) ส่วนมารดาชื่อว่า ซูซาน ไรท์ (Susan Writhe) ทั้งสองได้รับการศึกษาเพียงแค่ชั้นมัธยมเท่านั้น หลังจากออกจากโรงเรียนแล้ววิลเบอร์ได้เปิดโรงพิมพ์ และร้านซ่อมจักรยานขึ้นที่ เมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ และเมื่อออร์วิลเรียนจบก็ได้มาทำงานในร้านซ่อมจักรยานของวิลเบอร์ ทั้งสองมีความใฝ่ฝันที่จะบินอยู่ตลอด
เวลา ต่อมามีข่าวการทดลองเครื่องร่อนในเยอรมนี ของลิเลียนธาล แต่การบินครั้งนั้นไม่ประสบความสำเร็จ และทำให้ลิเลียนธาลต้องเสียชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ยังมีความสนใจเรื่องการบินต่อไป
ทั้งสองได้เขียนจดหมายไปยังสถาบันสมิทโซเนียนเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับการบิน ก่อนที่ทั้งสองจะตัดสินใจสร้างเครื่องบิน เขาได้ร่วมมือกันประดิษฐ์รถจักรยานที่มีปีกขนาดใหญ่ รวมถึงเครื่องยนต์ขึ้นเพื่อทดสอบการบินขั้นแรกจากการศึกษาเรื่องการบินมาพอสมควร ในปี ค.ศ. 1900 ทั้งสองจึงตัดสินใจสร้างเครื่องบินลำแรกขึ้น โดยเครื่องบินของเขามีลักษณะคล้ายกับเครื่องร่อนทำด้วยโครงเหล็ก ส่วนปีกทำด้วยผ้า และใช้เครื่องยนต์ขนาด 12 แรงม้า ทั้งสองได้นำเครื่องบินทดลองบินระยะสั้น ๆ เพียง 1-2 นาที เท่านั้น อีกทั้งยังไม่สามารถควบคุมทิศทางการบินได้ ต่อมาทั้งสองได้เดินทางกลับไปที่เมืองเดย์ตัน เพื่อสร้างเครื่องบิน
ลำที่ 2 ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเดิม และมีรูปร่างที่เปลี่ยนไป เมื่อสำเร็จเขาได้นำไปทดลองบินเช่นเคย แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอีกหลายอย่าง คือ เครื่องบินมีขนาดใหญ่ไป ทำให้มีน้ำหนักมากไม่สามารถขึ้นบินได้ ทั้งสองพยายามปรับปรุงข้อบกพร่องทั้งหลายที่มีอยู่ เขาสร้างเครื่องบินขึ้นอีกหลายลำ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกท้อแท้ แต่ก็ยังทำการค้นคว้าต่อไปในปี ค.ศ. 1902 ทั้งสองได้สร้างอุโมงค์ลมขึ้นตามคำแนะนำของออคตาฟ ชานุท ซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับความกดอากาศ ทั้งสองได้นำการทดลองภายในอุโมงค์ลมมาปรับปรุงเครื่องบิน ทั้งสองได้เพิ่มหางเสือเข้าทางด้านหน้า และด้านหลังของตัวเครื่อง เพื่อควบคุมทิศทางการบิน ปีกของเครื่องบินเป็นปีก 2 ชั้น ขนาดประมาณ 32 ฟุต สามารถขยับขึ้นลงได้ เขานำเครื่องบินลำที่ 3 ทดลองขึ้นบินที่คิลล์ เดฟวิลล์ ฮิลล์ ทั้งสองได้ทดลองบินอยู่นานถึง 39 วัน และทดลองบินกว่า 1,000 ครั้ง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการควบคุมทิศทางของเครื่องบิน และระยะเวลาที่เครื่องบินอยู่บนอากาศ
ต่อมาทั้งสองได้ปรับปรุงเครื่องยนต์ให้มีน้ำหนักเบาขึ้นเพื่อให้บินอยู่ในอากาศได้นาน และสูงขึ้น ทั้งสองได้ติดต่อบริษัทผลิตเครื่องยนต์ที่มีขนาด 8 แรงม้า และมีน้ำหนักประมาณ 160 ปอนด์ แต่ไม่มีบริษัทใดสนใจเลย ดังนั้นทั้งสองจึงลงมือประดิษฐ์เครื่องยนต์ขึ้นด้วยตนเอง เครื่องยนต์ที่ทั้งสองทำขึ้นมีขนาด 12 - 16 แรงม้า น้ำหนัก 170 ปอนด์ ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1903 ทั้งสองได้นำเครื่องบินทดลองที่มีขนาดลำตัวยาว 21 ฟุต สูง 10 ฟุต ส่วนปีกมีความยาว 40 ฟุต 4 นิ้ว น้ำหนักรวมประมาณ 605 ปอนด์ แต่ก็ต้องประสบปัญหาเพราะสภาพอากาศไม่ดีทำให้ทั้งสองมีความคิดว่า เครื่องบินของเขาต้องมีล้อเพื่อขึ้นบินได้โดยไม่ต้องอาศัยลมฟ้าอากาศ นอกจากนี้ทั้งสองยังได้สร้างทางวิ่งขึ้นของเครื่องบิน (Run Way) ความยาว 600 เมตร ขึ้น และทำการทดลองบินในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1903 แม้ว่าจะมีล้อ แต่ก็ยังต้องใช้คนผลักอยู่ดี ดังนั้นเครื่องบินของทั้งสองจึงต้องปรับปรุงอีกครั้ง โดยครั้งนี้เครื่องบินของพวกเขามีล้อของรถบรรทุก ที่เชื่อมต่อด้วยโซ่เข้ากับเฟืองของเครื่องยนต์ ทำให้สามารถวิ่งขึ้นได้เองโดยไม่ต้องอาศัยแรงลมหรือแรงคนผลัก เขาได้ทดลองขึ้นบินวันที่ 14 ธันวาคมปีเดียวกันที่รัฐนอร์ท คาโรไลนา (North Carolina) โดยมีวิลเบอร์เป็นคนขับเครื่องบินแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ทั้งสองจึงทำการทดลองขึ้นบินอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1903 โดยมีออร์วิลเป็นผู้ขับเครื่องบิน ซึ่งครั้งนี้ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดีสามารถบินอยู่ในอากาศได้นานถึง 15 วินาที และบินได้ไกลถึง 200 ฟุต สูงจากพื้นดิน 850 ฟุต เขาได้พัฒนาเครื่องบินจนสามารถบินได้ 59 วินาที และไกล 852 ฟุต ความเร็วในการบิน 31 ไมล์ ทั้งสองได้นำเครื่องบินไปจดสิทธิบัตร และได้พัฒนาเครื่องบินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1908 ทั้งสองได้สร้างเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นสำเร็จ โดยเครื่องบินลำนี้มีความยาว 28 ฟุต ความยาวปีก 40 ฟุต น้ำหนัก 322 ปอนด์ ใช้เครื่องยนต์ 20 แรงม้า สามารถบินได้เร็ว 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีที่นั่งสำหรับผู้โดยสารอีก 1 ที่นั่ง นับว่ากิจการบินมีความเจริญก้าวหน้าไปอีกก้าวหนึ่ง ในปีเดียวกันนี้วิลเบอร์ได้ทดลองบินข้ามทวีปไปยังประเทศฝรั่งเศสได้สำเร็จ และในปี ค.ศ. 1909 ออร์วิลได้บินข้ามช่องแคบอังกฤษได้สำเร็จ
วิลเบอร์เสียชีวิตในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1912 ด้วยโรคไทฟอยด์ ส่วนออร์วิลเสียชีวิตในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1948 ทั้งสองเสียชีวิตที่เมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
ประวัติศาสตร์การบิน
พิพิธภัณฑ์การบินและอวกาศ สมิธโซเนียน
นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน
รไต์
รไต์
ผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุทางการบิน
|
thaiwikipedia
| 2,082 |
มหาตมา คานธี
|
โมหนทาส กรมจันท์ คานธี, 2 ตุลาคม 186930 มกราคม 1948) เป็นนักกฎหมาย, นักชาตินิยมต้านลัทธิอาณานิคม และ นักจริยธรรมการเมืองชาวอินเดีย ผู้นำเอาหลักการต่อต้านโดยสันติวิธีมาใช้นำพาขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษสำเร็จ สันติวิธีของคานธีมีอิทธิพลต่อขบวนการสิทธิพลเมืองและเสรีภาพทั่วโลก คำนำหน้านาม มหาตมา (Mahātmā) เพื่อให้เกียรติ เริ่มนำมาใช้ในแอฟริกาใต้ในปี 1914 และปัจจุบันใช้นำหน้านามของคานธีอยู่ทั่วไปจนถึงปัจจุบัน
คานธีเกิดและเติบโตในครอบครัวชาวฮินดูในชายฝั่งของคุชราต และเข้ารับการศึกษาด้านนิติศาสตร์ที่อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนจะได้รับประสาทปริญญาเนติบัณฑิตด้วยวัย 22 เมื่อเดือนมิถุนายน 1891 หลังสองปีที่ไม่แน่นอนในอินเดียที่เขาไม่ประสบความสำเร็จในการว่าความเท่าไร เขาได้ย้ายไปยังแอฟริกาใต้ในปี 1893 เพื่อว่าความให้กับพ่อค้าชาวอินเดีย ก่อนที่จะอาศัยอยู่ที่นั่นนาน 21 ปี ระหว่างนี้เขาได้มีครอบครัวและเริ่มนำขบวนการต่อสู้โดยสันติวิธีเพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมือง ในปี 1915 เมื่อวัย 45 เขาเดินทางกลับอินเดียและได้นำการประท้วงโดยทาส เกษตรกร และคนงานในเมือง เพื่อประท้วงต่อภาษีที่ดินที่สูงและการกดขี่
เขาเริ่มต้นนำคองเกรสแห่งชาติอินเดียในปี 1921 และเริ่มต้นนำขบวนการทั่วประเทศในการแก้ไขความยากจน ขยายสิทธิสตรี สร้างสัมพันธไมตรีระหว่างศาสนาและกลุ่มชาติพันธุ์ ยกเลิกสถานะอันแตะต้องไม่ได้ และที่สำคัญที่สุด คือการตั้ง สวราช หรือการปกครองตนเอง คานธีได้เริ่มสวม โธตี สั้น ที่ทอมาจากด้ายปั่นมือ เป็นสัญลักษณ์ในการแทนตนสำหรับคนยากไร้ในชนบทของอินเดีย เขาเข้าอยู่อาศัยในชุมชนพึ่งพาตนเอง, กินอาหารเรียบง่าย และก่อการอดอาหารยาวนาน เพื่อทั้งเป็นการสำรวจจิตใจตนเองและเป็นการประท้วงความอยุติธรรม คานธีได้นำพาแนวคิดชาตินิยมต้านเจ้าอาณานิคมอังกฤษมาสู่สามัญชนชาวอินเดีย และนำขบวนการต่อต้านภาษีเกลือผ่านการเดินขบวนเกลือระยะทาง ในปี 1930 พร้อมทั้งเรียกร้องให้อังกฤษออกจากอินเดียในปี 1942 คานธีเคยถูกจับขังหลายครั้งทั้งในแอฟริกาใต้และอินเดีย
ทัศนคติของคานธีต่ออินเดียในฐานะรัฐเอกราชมีรากฐานบนความเป็นพหุนิยมทางศาสนา แต่ฐานคิดนี้ถูกสั้นคลอนในทศวรรษ 1940s หลังขบวนการชาตินิยมมุสลิมได้เรียกร้องการตั้งดินแดนแยกสำหรับชาวมุสลิใภายในเขตของบริติชอินเดีย ในเดือนสิงหาคม 1947 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษและถูกตัดแบ่งเป็นสองโดมิเนียน ได้แก่อินเดียที่มีฮินดูเป็นหลัก และ ปากีสถานที่มีมุสลิมเป็นหลัก ระหว่างที่ชาวฮินดู มุสลิม สิกข์ จำนวนมากทำการโยกย้ายถิ่นฐานไปยังดินแดนใหม่ ได้เกิดความรุนแรงระหว่างศาสนาขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคปัญจาบและเบงกอล คานธีไม่ได้ปรากฏตัวในการเฉลิมฉลองเอกราชอย่างเป็นทางการ แต่กลับเดินทางไปยังพื้นที่ที่เกิดความรุนแรงเหล่านี้เพื่อพยายามแก้ไขสถานการณ์ เป็นเวลาหลายเดือนนับจากนั้นที่คานธีกระทำ[strike|การอดอาหารประท้วง]จำนวนมากเพื่อเรียกร้องให้หยุดความรุนแรงทางศาสนา โดยครั้งสุดท้ายมีขึ้นในเดลีเมื่อ 12 มกราคม 1948 เวลานั้น คานธีมีอายุ 78 ปี ในเวลานั้น มีความเชื่อแพร่กระจายไปทั่วว่าคานธีมีความแน่วแน่มากเกินในการปกป้องทั้งมุสลิมในอินเดียและปากีสถาน ซึ่งนำไปสู่การลอบสังหารคานธีโดยสมาชิกกองกำลังชาตินิยมฮินดู นถุราม โคทเส จากปูเณ คานธีถูกลอบสังหารด้วยปืนสามนัดเข้าที่อกและเสียชีวิตจากบาดแผลกระสุนปืนระหว่างการพบปะสวดภาวนาระหว่างศาสนาในเดลีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 1948
วันคล้ายวันเกิดของคานธี ซึ่งตรงกับวันที่ 2 ตุลาคม ได้รับการเฉลิมฉลองเป็นวันคานธีชยันตี ซึ่งเป็นวันหยุดราชการของอินเดีย และในระดับนานาชาติถือให้วันนี้เป็นวันแห่งสันติวิธีนานาชาติ คานธีได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งรัฐอินเดียยุคหลังอาณานิคม หลังการเสียชีวิต คานธีได้มักรับการเรียกขานว่า บาปู (Bapu; ภาษาคุชราต แปลว่า "พ่อ" คล้ายคำว่า "ปะป๊า")
== หมายเหตุ ==
== อ้างอิง ==
===บรรณานุกรม===
หนังสือและสิ่งพิมพ์
Ahmed, Talat (2018). Mohandas Gandhi: Experiments in Civil Disobedience. .
(see book article)
Brown, Judith M. (2004). "Gandhi, Mohandas Karamchand [Mahatma Gandhi] (1869–1948)", Oxford Dictionary of National Biography, Oxford University Press.
Brown, Judith M., and Anthony Parel, eds. The Cambridge Companion to Gandhi (2012); 14 essays by scholars
Louis Fischer. The Life of Mahatma Gandhi (1957) online
short biography for children
บทความวิชาการ
Danielson, Leilah C. "'In My Extremity I Turned to Gandhi': American Pacifists, Christianity, and Gandhian Nonviolence, 1915–1941". Church History 72.2 (2003): 361–388.
Du Toit, Brian M. "The Mahatma Gandhi and South Africa." Journal of Modern African Studies 34#4 (1996): 643–660. .
Gokhale, B. G. "Gandhi and the British Empire," History Today (Nov 1969), 19#11 pp 744–751 online.
Juergensmeyer, Mark. "The Gandhi Revival – A Review Article." The Journal of Asian Studies 43#2 (Feb. 1984), pp. 293–298.
Kishwar, Madhu. "Gandhi on Women." Economic and Political Weekly 20, no. 41 (1985): 1753–758. .
Murthy, C. S. H. N., Oinam Bedajit Meitei, and Dapkupar Tariang. "The Tale Of Gandhi Through The Lens: An Inter-Textual Analytical Study Of Three Major Films-Gandhi, The Making Of The Mahatma, And Gandhi, My Father." CINEJ Cinema Journal 2.2 (2013): 4–37. online
Power, Paul F. "Toward a Revaluation of Gandhi's Political Thought." Western Political Quarterly 16.1 (1963): 99–108 excerpt.
Rudolph, Lloyd I. "Gandhi in the Mind of America." Economic and Political Weekly 45, no. 47 (2010): 23–26. .
แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ
(100 volumes). Free online access from Gandhiserve.
ผู้นำ
การอดอาหาร
ชาวอินเดียที่ถูกลอบสังหาร
นักการเมืองอินเดีย
นักเขียนชาวอินเดีย
ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู
บุคคลจากรัฐคุชราต
ชาวคุชราต
เสียชีวิตจากอาวุธปืน
ผู้รอดชีวิตจากการลอบสังหาร
ผู้เขียนอัตชีวประวัติชาวอินเดีย
บุคคลที่เสียชีวิตในเดลี
นักเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชของอินเดีย
|
thaiwikipedia
| 2,083 |
แอสปาร์แตม
|
แอสปาร์แตม หรือ Aspartame เป็นวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล (จัดเป็นวัตถุเจือปนอาหารชนิดหนึ่ง) ซึ่งไม่ให้พลังงาน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aspartyl-phenylalanine-1-methyl ester ซึ่งมีองค์ประกอบหลักคือกรดอะมิโน 2 ตัวต่อกันได้แก่ กรดแอสปาร์ติก และ ฟีนิลอะลานีน
แอสปาร์แตมมีความหวานกว่าน้ำตาลซูโครส (น้ำตาลทราย) ประมาณ 180–200 เท่า ในปัจจุบันผลิตออกจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าจดทะเบียนในยี่ห้อสินค้าต่าง ๆ เช่น "NutraSweet", "Pal Sweet", "Equal", และ "Canderel" แอสปาร์แตมเป็นส่วนประกอบในอาหารสำเร็จรูปและเครื่องดื่มกว่า 5,000 ชนิด ที่วางขายทั่วโลก โดยทั่วไปเราจะใช้แอสปาร์แตมผสมเครื่องดื่ม หรือทำอาหารให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน สำหรับในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ที่มีแอสปาร์แตมเป็นส่วนประกอบ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดให้มีคำเตือนบนฉลากของบรรจุภัณฑ์ว่า "ผู้ที่มีสภาวะฟีนิลคีโตนูเรีย ผลิตภัณฑ์นี้มีฟีนิลอะลานีน" ซึ่งภาวะดังกล่าวเป็นผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมซึ่งไม่สามารถย่อยฟีนิลอะลานีนได้ (ในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคนี้ราว 1 คนต่อประชากร 100,000 คน)
โครงสร้างสารของแอสปาร์แตมจะเปลี่ยนไปเมื่อโดนความร้อนและเมื่อเก็บไว้นาน จึงไม่ควรใช้แอสปาร์แตมปรุงอาหารร้อน ๆ และไม่ควรเก็บไว้นาน ๆ
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
วัตถุให้ความหวาน
อนุพันธ์ของกรดอะมิโน
|
thaiwikipedia
| 2,084 |
ลาตินอเมริกา
|
ลาตินอเมริกา เป็นกลุ่มของประเทศและดินแดนในซีกโลกตะวันตกที่มีการพูดภาษากลุ่มโรมานซ์ (เช่น ภาษาสเปน, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาโปรตุเกส) เป็นหลัก เป็นการจำแนกที่กว้างกว่ากลุ่มอื่น เช่น ฮิสแปนิกอเมริกาที่เฉพาะเจาะจงถึงประเทศที่พูดภาษาสเปน หรือไอบีโร-อเมริกาที่เฉพาะเจาะจงถึงประเทศที่พูดภาษาสเปนและโปรตุเกส
ศัพท์ "ลาตินอเมริกา" ใช้ครั้งแรกโดยฟรันซิสโก บิลบาโอ นักการเมืองชาวชิลี ในงานประชุม Iniciativa de la América. Idea de un Congreso Federal de las Repúblicas ใน ค.ศ. 1856 รัฐบาลของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ในคริสต์ทศวรรษ 1860 ได้ทำให้ศัพท์นี้เป็นที่แพร่หลายโดยแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า Amérique latine เพื่อให้เหตุผลสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางทหารของฝรั่งเศสในเม็กซิโก และเพื่อรวมดินแดนที่พูดภาษาฝรั่งเศสเข้าไปในกลุ่มประเทศที่พูดภาษาสเปนและโปรตุเกสเป็นหลัก
ถ้ารวมประเทศที่พูดภาษาฝรั่งเศสด้วย ลาตินอเมริกาจะประกอบด้วย 20 ประเทศ และ 14 ดินแดนที่กินพื้นที่จากเม็กซิโกถึงติเอร์ราเดลฟูเอโก และส่วนใหญ่ของแคริบเบียน มีเนื้อที่ประมาณ 19,197,000 ตารางกิโลเมตร (7,412,000 ตารางไมล์) คิดเป็นเกือบร้อยละ 13 ของพื้นผิวโลก ณ วันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2020 มีประชากรในลาตินอเมริกากับแคริบเบียนประมาณมากกว่า 652 ล้านคน และใน ค.ศ. 2019 ลาตินอเมริกามีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศรวมอยู่ที่ 5,188,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้ออยู่ที่ 10,284,588 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
==ประชากร==
===เมืองที่ใหญ่ที่สุด===
นี่คือรายชื่อเขตมหานครที่ใหญ่ที่สุดสิบเขตแรกในลาตินอเมริกา
==วัฒนธรรม==
===แหล่งมรดกโลก===
นี่คือรายชื่อประเทศที่มีแหล่งมรดกโลกมากที่สุดสิบประเทศแรกในลาตินอเมริกา
== ดูเพิ่ม ==
อเมริกัน (คำ)
อเมริกา (ศัพท์เฉพาะ)
อาริโดอเมริกา
แคริบเบียน
สวนหลังบ้านของอเมริกา
เฟรนช์อเมริกา
ฮิสแปนิกอเมริกา
ไอบีโร-อเมริกา
ชาวลาตินอเมริกา
มีโซอเมริกา
อเมริกาตอนกลาง
โลกที่พูดภาษาโรมานซ์
== หมายเหตุ ==
== อ้างอิง ==
== อ่านเพิ่ม ==
Ardao, Arturo. Génesis de la idea y nombre de América Latina. Caracas: Centro de Estudios Latinoamericanos Rómulo Gallegos, 1980.
Ayala Mora, Enrique. "El origen del nombre América Latina y la tradición católica del siglo XIX." Anuario Colombiano de Historia Social y de la Cultura 40, no. 1 (2013), 213–41.
Azevedo, Aroldo. O Brasil e suas regiões. São Paulo: Companhia Editora Nacional, 1971.
Enciclopédia Barsa. Volume 4: Batráquio – Camarão, Filipe. Rio de Janeiro: Encyclopædia Britannica do Brasil, 1987.
Bomfim, Manoel. A América latina: Males de origem. Rio de Janeiro: H. Garnier 1905.
Braudel, Fernand. "Y a-t-il une Amérique latine?" Annales ESC 3 (1948), 467–71.
Castro-Gómez, Santiago. Crítica de la razón latinoamericana. Barcelona: Puvil Libros 1996.
Coatsworth, John H., and Alan M. Taylor, eds. Latin America and the World Economy Since 1800. Cambridge MA: Harvard University Press 1998.
Coelho, Marcos Amorim. Geografia do Brasil. 4th ed. São Paulo: Moderna, 1996.
Edwards, Sebastián. Left Behind: Latin America and the False Promise of Populism. University of Chicago Press, 2010.
Galeano, Eduardo. Open Veins of Latin America: Five Centuries of the Pillage of a Continent. 1973
Gobat, Michel, "The Invention of Latin America: A Transnational History of Anti-Imperialism, Democracy, and Race," American Historical Review Vol. 118, no. 3 (December 2013), pp. 1345–1375.
Halperin Donghi, Tulio. (1970). Historia contemporánea de América Latina (2. ed.). Madrid: Alianza Editorial.
Leonard, Thomas et al. (2010). Encyclopedia of Latin America. Facts on File.
Mariátegui, José Carlos. Temas de nuestra América. Vol. 12 of Obras completas de Mariátegui. Lima: Biblioteca Amauta 1960.
Martínez Estrada, Ezequiel. Diferencias y semejanzas entre los países de América Latina. Mexico" Universidad Nacional Autónoma de México 1962.
Maurer Queipo, Isabel (ed.): "Directory of World Cinema: Latin America", intellectbooks, Bristol 2013,
McGinnes, Aims. "Searching for 'Latin America': Race and Sovereignty in the Americas in the 1850s." In Race and Nation in Modern Latin America, edited by Nancy P. Appelbaum, Anne S. Macpherson, and Karin alejandra Rosemblatt. Chapel Hill: University of North Carolina Press 2003, pp, 87–107.
Mignolo, Walter, The Idea of Latin America. Oxford: Wiley-Blackwell 2005.
Moraña, Mabel, Enrique Dussel, and Carlos A. Jáuregui, eds. Coloniality at Large: Latin America and the Postcolonial Debate. Durham: Duke University Press 2008.
Moreira, Igor A. G. O Espaço Geográfico, geografia geral e do Brasil. 18. Ed. São Paulo: Ática, 1981.
Phelan, John Leddy. (1968). Pan-latinisms, French Intervention in Mexico (1861–1867) and the Genesis of the Idea of Latin America. Mexico City: Universidad Nacional Autonónoma de México 1968.
Vesentini, José William. Brasil, sociedade e espaço – Geografia do Brasil. 7th Ed. São Paulo: Ática, 1988.
Tenenbaum, Barbara A. ed. Encyclopedia of Latin American History and Culture. 5 vols. New York: Charles Scribner’s Sons 1996
Tenorio-Trillo, Mauricio. Latin America: The Allure and Power of an Idea. Chicago: University of Chicago Press 2017.
Vasconcelos, José. Indología: Una interpretación de la cultura ibero-americana. Barcelona: Agencia Mundial de Librería 1927.
Werncek vianna, Luiz. A revolução passive: Iberismo e americanismo no Brasil. Rio de Janeiro: Editora Revan 1997.
Zea, Leopoldo. Filosofía de la historia americana. Mexico City: Fondo de Cultura Económico 1978.
Zea, Leopoldo, ed. Fuentes de la cultura latinoamericana. 2 vols. Mexico City: Fondo de Cultura Económica 1993.
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
IDB Education Initiative
Latin American Network Information Center
Latin America Data Base
Washington Office on Latin America
Council on Hemispheric Affairs
Codigos De Barra
Map of Land Cover: Latin America and Caribbean (FAO)
Lessons From Latin America by Benjamin Dangl, The Nation, March 4, 2009
Latin America Cold War Resources, Yale University
Latin America Cold War, Harvard University
http://larc.ucalgary.ca/ Latin American Research Centre, University of Calgary
The war on Democracy, by John Pilger
การจำแนกหมวดหมู่ประเทศ
ภูมิภาคในทวีปอเมริกา
|
thaiwikipedia
| 2,085 |
ประวัติกระทรวงการคลังไทย
|
กระทรวงการคลัง คือหนึ่งใน 12 กระทรวงของประเทศไทย เป็นกระทรวงที่มีมาตั้งแต่โบราณ ในฐานะหนึ่งในจตุสดมภ์
== การคลังของไทย ก่อนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ==
การบริหารการคลังของไทยได้ดำเนินมาเป็นเวลานาน นับตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา แต่ยังมิได้จัดตั้งหน่วยงานเพื่อทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ รัฐบาลมีรายได้จาก ส่วยสาอากร หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า ภาษีอากร 4 ชนิด ได้แก่ จังกอบ อากร ส่วย และ ฤชา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ได้มีการจัดระเบียบการปกครองฝ่ายพลเรือนเป็น 4 แผนก เรียกว่า จตุสดมภ์ ซึ่งประกอบด้วย กรมเมือง กรมวัง กรมพระคลัง และ กรมนา โดยกรมพระคลังทำหน้าที่รักษาราชทรัพย์ผลประโยชน์ของบ้านเมือง มีขุนคลังเป็นหัวหน้าบังคับบัญชา และมีพระคลังสินค้าเป็นที่เก็บและรักษาส่วยสาอากร
ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991–2031) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงแก้ไขระบบราชการวางระเบียบการคลังการส่วยสาอากรและเศรษฐกิจให้รัดกุมทันสมัย ให้ตราพระราชบัญญัติทำเนียบราชการ โดยแบ่งราชการออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือนซึ่งใช้มาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ฝ่ายทหารมีสมุหพระกลาโหม เป็นหัวหน้าดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี ฝ่ายพลเรือนมีสมุหนายกเป็นหัวหน้าดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีเช่นเดียวกัน และมีตำแหน่งเสนาบดีจตุสดมภ์อีก 4 ตำแหน่ง คือ
พระยายมราช เสนาบดีกรมเมืองบังคับบัญชาการรักษาพระนครและความนครบาล
พระยาธรรมาธิกรณ์ เสนาบดีกรมวัง บังคับบัญชาการที่เกี่ยวกับพระราชสำนักและพิจารณาคดีความของราษฎร
พระยาราชภักดี (พระยาศรีธรรมราช) เสนาบดีกรมพระคลัง บังคับบัญชาเกี่ยวกับการจัดการรักษาพระราชทรัพย์ที่ได้จากส่วยสาอากรและบังคับบัญชากรมท่าซึ่งเกี่ยวกับการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ และยังมีหน้าที่เกี่ยวกับกรมพระคลังสินค้าการค้าสำเภาของหลวงด้วย
พระยาพลเทพ เสนาบดีกรมนา บังคับบัญชาการเกี่ยวกับเรื่องนาและสวน การเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2367–2394) พระองค์ทรงสนพระทัยที่จะปรับปรุงเศรษฐกิจของประเทศ ในยุคนั้นทางราชการมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินมากกว่าในแผ่นดินก่อนๆ ทรงพยายามหาวิธีเพิ่มรายได้แผ่นดินด้วยการให้ผูกขาดการเก็บภาษีอากร โดยอนุญาตให้เจ้าภาษี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนในประเทศไทยเป็นผู้จัดเก็บภาษีอากรจากราษฎรโดยตรง ในแต่ละปีเจ้าภาษีจะเสนอรายได้สูงสุดในการจัดเก็บภาษีอากรแต่ละชนิดให้แก่รัฐบาล เมื่อได้รับอนุญาตจากรัฐบาลแล้ว เจ้าภาษีจัดแบ่งส่งเงินรายได้แก่รัฐบาลเป็นรายเดือนจนครบกำหนดที่ได้ประมูลไว้เป็นการเริ่มระบบเจ้าภาษีนายอากรนับแต่นั้นมา
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2394–2411) เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ โปรดฯตั้งข้าหลวงเดิมยกคุณช้างสัมพันธวงศ์มาเป็นพระยาราชภักดี และไทยได้เปิดประตูการค้ากับประเทศตะวันตก นับตั้งแต่ได้มีการลงนามใน
|
thaiwikipedia
| 2,086 |
นครนิวยอร์ก
|
นครนิวยอร์ก หรือที่นิยมเรียกกันว่า นิวยอร์กซิตี (New York City; NYC) เป็นเมืองที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ด้วยประชากรกว่า 8,804,190 คน ในพื้นที่ 300.46 ตารางไมล์ (778.2 ตารางกิโลเมตร) ณ ค.ศ. 2020 ทำให้เป็นเมืองที่มีสัดส่วนประชากรต่อพื้นที่หนาแน่นที่สุดในสหรัฐ โดยมีประชากรมากกว่าเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศอย่างลอสแอนเจลิสถึงสองเท่า นิวยอร์กซิตีตั้งอยู่ทางทิศใต้ของรัฐนิวยอร์กบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ประกอบด้วย 5 เขตปกครองสำคัญที่เรียกว่าโบโรฮ์ ได้แก่ เดอะบรองซ์ บรูคลิน แมนแฮตตัน ควีนส์ และสแตตัน ไอส์แลนด์ พื้นที่ทั้งหมดยังตั้งอยู่บริเวณท่าเรือนิวยอร์กซึ่งเป็นหนึ่งในท่าเรือทางธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของโลก
นิวยอร์กซิตีถือเป็นหนึ่งในสี่มหานครเอกของโลก ได้รับการยอมรับให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน วัฒนธรรม บันเทิง การศึกษา การท่องเที่ยว อาหาร กีฬา การทูต และการแพทย์ของโลก และยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ในบางครั้งยังได้รับการขนานนามให้เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของโลก และเป็นเมืองหลวงของโลก เมืองนี้ยังเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ของมหานครตะวันออกเฉียงเหนือหรือที่รู้จักในชื่อ ระเบียงตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นเขตมหานครที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐทั้งในด้านประชากรและเขตเมือง ด้วยจำนวนประชากรกว่า 20.1 ล้านคนในพื้นที่ทางสถิติของนครหลวง และ 23.5 ล้านคนในพื้นที่ทางสถิติแบบรวม ณ ค.ศ. 2020 นิวยอร์กซิตีจึงเป็นหนึ่งในมหานครที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และยังเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการย้ายถิ่นฐานสู่สหรัฐอเมริกาอย่างถูกกฎหมาย มีภาษามากกว่า 800 ภาษาถูกใช้ในนิวยอร์ก ทำให้เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางภาษามากที่สุดในโลก นิวยอร์กยังมีกฎหมายรองรับในการให้ที่พักอาศัยแก่ประชากรทุกคนที่ต้องการที่พักพิงโดยไม่คำนึงถึงสัญชาติหรือสถานะการเข้าเมือง โดยข้อมูล ณ ค.ศ. 2016 ระบุว่า มีประชากรกว่า 3.2 ล้านคนซึ่งเกิดนอกสหรัฐอาศัยอยู่ในเมืองนี้ ส่งผลให้นิวยอร์กเป็นเมืองที่มีผู้อพยพและผู้พลัดถิ่นมากที่สุดในโลก
นิวยอร์กเป็นเมืองที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุดในสหรัฐ ด้วยความพลุกพล่าน และแสงสียามค่ำคืนตลอด 24 ชั่วโมง จึงมีคำเปรียบเปรยถึงนิวยอร์กว่าเป็น “นครที่ไม่เคยหลับใหล” ขณะเดียวกันเมืองแห่งนี้ยังมีชื่อเล่นอื่น ๆ เช่น “กอร์ทเทม” (Gotham) และ “บิ๊กแอปเปิล” (Big Apple) รถไฟใต้ดินนครนิวยอร์กถือเป็นหนึ่งในระบบขนส่งมวลชนเร็วที่สำคัญที่สุดของโลก มีสถานีกว่า 472 แห่ง สถานีเพนซิลเวเนียในแมนฮัตตันเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่พลุกพล่านที่สุดในซีกโลกตะวันตก
ชาวดัตซ์ถือเป็นผู้คนกลุ่มแรกที่เข้ามาเริ่มตั้งรกรากใน ค.ศ. 1624 แต่เดิมบริเวณแห่งนี้เคยถูกตั้งชื่อว่านิวอัมสเตอร์ดัม เนื่องจากเป็นนิคมของจักรวรรดิดัตช์ และได้รับการจดทะเบียนให้มีฐานะเป็นเมืองใน ค.ศ. 1653 ต่อมา ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิบริติชใน ค.ศ. 1664 ก่อนจะได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นนิวยอร์กภายหลังจากพระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ พระราชทานที่ดินดังกล่าวแก่พระเจ้าเจมส์ที่ 2 พระอนุชาของพระองค์ เมืองนี้ได้กลับไปอยู่ใต้การปกครองโดยชาวดัตซ์อีกครั้งในช่วงสั้น ๆ และเปลี่ยนชื่อเป็นนิวออเรนจ์ ก่อนจะได้รับการตั้งชื่อว่านิวยอร์กอย่างถาวรตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1674 นิวยอร์กเคยเป็นอดีตเมืองหลวงของสหรัฐระหว่าง ค.ศ. 1785–1790 และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศมาตั้งแต่ ค.ศ. 1790 อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของประเทศ โดยได้รับการส่งผ่านทางเกาะเอลลิสทางเรือในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 และถือเป็นสัญลักษณ์ของอุดมคติแห่งเสรีภาพและสันติภาพ
นิวยอร์กซิตีเป็นที่ตั้งของวอลสตรีต ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจสำคัญทางตอนใต้ของแมนแฮตตัน ได้รับการขนานนามว่าเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก และเมืองที่ทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก และเป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสองแห่งตามมูลค่าราคาตลาดของบริษัทจดทะเบียน ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและแนสแด็ก ใน ค.ศ. 2021 พื้นที่ของมหานครนิวยอร์กได้รับการจัดอันดับให้เป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยมีมูลค่าผลิตภัณฑ์รวมของมหานครเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และหากนครนิวยอร์กมีสถานะเป็นประเทศ เมืองนี้จะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสิบของโลก นิวยอร์กเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับนักลงทุนทั่วโลก และเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก (ค.ศ. 2023) นิวยอร์กยังเป็นเมืองที่มีจำนวนมหาเศรษฐีมากที่สุดในโลก เขตและอนุสาวรีย์หลายแห่งในนิวยอร์กซิตีถือเป็นสถานที่สำคัญของโลก โดยมีสามแห่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก (ค.ศ. 2023) มีนักท่องเที่ยวมากถึง 66.6 ล้านคนเดินทางมายังนิวยอร์ก ณ ค.ศ. 2019 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเป็นประวัติการณ์ ไทม์สแควร์เป็นศูนย์กลางของเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของถนนบรอดเวย์อันเลื่องชื่อ และยังเป็นหนึ่งในถนนที่พลุกพล่านที่สุดในโลก รวมทั้งเป็นศูนย์กลางความบันเทิงของโลก สถานที่สำคัญหลายแห่ง อาทิ ตึกระฟ้า สนามกีฬา ภัตตาคาร และสวนสาธารณะหลายแห่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก สิ่งปลูกสร้างที่สำคัญอย่าง ตึกเอ็มไพร์สเตต ได้รับการยกย่องเป็นต้นแบบของการวางรากฐานโครงสร้างอาคารสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าและพักอาศัยในนิวยอร์กยังมีราคาสูงที่สุดในโลก
นิวยอร์กเป็นที่ตั้งของสถานศึกษากว่า 120 แห่ง โดยหลายแห่งมีชื่อเสียงระดับโลก นับตั้งแต่ศควรรษที่ 21 เป็นต้นมา นิวยอร์กกลายเป็นศูนย์รวมของเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ การเป็นผู้ประกอบการระดับโลก และเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม เดอะนิวยอร์กไทมส์ หนังสือพิมพ์รายวันเจ้าหลักของประเทศได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ และครองสถิติยอดจำหน่ายสูงสุดในประเทศมายาวนาน เมืองนี้ยังเป็นศูนย์รวมในการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวของกลุ่มแอลจีบีทีของโลก รวมทั้งเป็นหนึ่งในสถานที่สำหรับการแข่งขันกีฬาและทีมกีฬาระดับโลก อาทิ ทีมบาสเกตบอลนิวยอร์ก นิกส์ และเทนนิสยูเอสโอเพน นิวยอร์กซิตียังเป็นหนึ่งในศูนย์รวมผลงานทางศิลปะของโลก โดยมีหอศิลป์หลายแห่งซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประมูลงานศิลปะกว่าครึ่งหนึ่งของโลก พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดและเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก มีชื่อเสียงในการเป็นเจ้าภาพจัดงานแฟชั่นเมตกาลาที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
== ประวัติ ==
เดิมทีนิวยอร์กเป็นที่อยู่ของชนอเมริกันพื้นเมืองที่เรียกว่า “เลนาเป” (Lenape) ขณะนั้นมีประชากรประมาณ 5,000 คน ซึ่งอาศัยดินแดนแห่งนี้อยู่นานนับพันปี ก่อนที่จิโอวานี เดอ เวเรซาโน่ (Giovanni da Verrazzano) นักเดินเรือชาวอิตาเลียนจะค้นพบนิวยอร์กใน ค.ศ. 1524 โดยได้รับคำบัญชาจากราชวงศ์ฝรั่งเศส และเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “Nouvelle Angoulême” (New Angoulême ในภาษาอังกฤษ)
ค.ศ. 1614 ชาวยุโรปได้เข้ามาตั้งรกรากอย่างจริงจัง โดยเริ่มก่อตั้งชุมชนค้าผ้าขนสัตว์ของชาวดัตช์ และเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า "นิว นีเดอร์แลนด์" (“Nieuw Nederland” ในภาษาดัตช์) เรียกท่าเรือและเมืองในตอนใต้ของเกาะแมนแฮตตันว่า “นิวอัมสเตอร์ดัม” (Nieuw Amsterdam ในภาษาดัตซ์) มี Peter Minuit เป็นผู้ปกครองอาณานิคมนี้ ซึ่งต่อมาเขาได้ซื้อเกาะแมนแฮตตันทั้งหมดจากชนพื้นเมือง ใน ค.ศ. 1626 มูลค่าทั้งหมด 60 กิลเดอร์ (Guilders) หรือประมาณ $1,000 ในปัจจุบัน (ค.ศ. 2006) แต่ต่อมามีข้อพิสูจน์ว่าไม่จริง กล่าวคือ เกาะแมนฮัตตันถูกซื้อไปด้วยลูกปัดที่ทำจากแก้วในราคา $24 ก่อนที่อังกฤษจะเข้ายึดครองเป็นอาณานิคมของตนใน ค.ศ. 1664 และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่า "นิวยอร์ก" เพื่อเกียรติให้กับ "ดยุคแห่งยอร์คและอัลแบนี" (English Duke of York and Albany) ขณะนั้นคือสมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ ในช่วงปลายสงครามแองโกล-ดัตช์ครั้งที่ 2 ชาวเนเธอร์แลนด์ได้ยึดครองเกาะรัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินโดนีเซียปัจจุบัน และเป็นสิ่งที่มีค่ามากในขณะนั้น แลกกับการให้อังกฤษยึดครองนิวอัมสเตอร์ดัม หรือนิวยอร์กในดินแดนอเมริกาเหนือ ส่งผลให้ต่อมาใน ค.ศ. 1700 ประชากรชาวเลนาเปลดลงเหลือเพียง 200 คน
ภายใต้กฎระเบียบของอังกฤษ นิวยอร์กได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ที่สำคัญอย่างยิ่ง ใน ค.ศ. 1754 มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่ได้รับสิทธิจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่ เช่นเดียวกับ มหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ (King's College) ที่แมนแฮตตันตอนใต้ ก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติอเมริกา (American Revolution War) เนื่องจากอาณานิคมทั้งสิบสามที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษต้องการแยกตัวออกเป็นอิสระ และได้ทำการประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กรกฎาคม 1776 นำโดยจอร์จ วอชิงตัน ผู้บัญชาการกองทัพภาคพื้นทวีปของฝ่ายอาณานิคม (Continental Army) มีการรบกับกองทัพอังกฤษทางตอนเหนือของแมนแฮตตัน และบรูคลิน จนกระทั่งสงครามได้สิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1783 โดยชัยชนะเป็นของอดีตอาณานิคม
ภายหลังสงครามยุติลงได้มีการจัดประชุมและประกาศให้นิวยอร์กเป็นเมืองหลวง (จนถึง ค.ศ. 1790) ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Constitution) จอร์จ วอชิงตัน ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนแรก และเข้าแถลงต่อสภาคองเกรสใน ค.ศ. 1789 รวมทั้งมีการร่างกฎบัตรว่าด้วยสิทธิของชาวอเมริกัน (United States Bill of Rights) ณ เฟดเดอรัลฮอล (Federal Hall) (ปัจจุบันคืออนุสรณ์สถานแห่งชาติ) ที่วอลล์สตรีท และถือเป็นการเริ่มต้นดินแดนใหม่ที่ถูกเรียกว่า "สหรัฐอเมริกา" ก่อนที่จะแผ่ขยายอาณาเขตของตนเองจาก 13 รัฐไปถึง 50 รัฐกับอีกหนึ่งเขตปกครองกลาง
ใน ค.ศ. 1898 ได้มีการยกระดับฐานะของนิวยอร์กโดยการรวมเอาบรูคลิน เคาน์ตี้ นิวยอร์ก (ซึ่งรวมถึงส่วนของเดอะบรองซ์ด้วย) เคานตี้ ริชมอนด์ และส่วนตะวันตกของเคาน์ตี้ ควีนส์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ให้เป็นมหานครนิวยอร์กมาถึงปัจจุบัน
== เขตการปกครอง ==
นิวยอร์กประกอบด้วย 5 โบโรฮ์ (Borough) โดยในแต่ละโบโรฮ์ก็จะและแบ่งแยกย่อยออกเป็นอีกหลายเขตชุมชนย่อย (Neighborhoods) โดยที่โบโรฮ์จะขึ้นอยู่กับเทศมณฑล หรือ เคาน์ตี้ (County) โดยเป็นเขตการปกครองของรัฐนิวยอร์ก ศูนย์กลางของมหานครนิวยอร์กคือ แมนแฮตตัน ซึ่งเป็นศูนย์กลางความเจริญของทั้งเมือง และถูกล้อมรอบด้วยโบโรฮ์อื่น
เดอะบรองซ์ โบโรฮ์ที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของมหานครนิวยอร์ก เป็นที่ตั้งของสนามแยงกี้ สเตเดียม ถิ่นของทีมเบสบอล นิวยอร์ก แยงกี้ ขณะที่สวนสัตว์ในเขตเมืองที่ใหญที่สุดให้สหรัฐอเมริกา อย่าง สวนสัตว์บรองซ์ ก็อยู่ในโบโรฮ์นี้ เดอะบรองซ์ เป็นส่วนเดียวของมหานครนิวยอร์กที่ไม่ได้เป็นเกาะ (เป็นส่วนที่อยู่ติดกับแผ่นดินสหรัฐอเมริกา) และที่นี้ก็ยังเป็นต้นกำเนิดของวัฒนธรรมดนตรี แร็พ และ ฮิปฮอป ด้วย
บรูคลิน เป็นโบโรห์ที่มีประชากรมากที่สุด มีทั้งเขตเขตธุรกิจและเขตที่อยู่อาศัย (นอกจากแมนแฮตตันแล้ว บรูคลินเป็นโบโรห์เดียวที่มีการแบ่งย่านดาวน์ทาวน์ที่ชัดเจน และเป็นเขตธุรกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของนครนิวยอร์ก) ในอดีตบรูคลินมีสถานะเป็นเมืองอิสระไม่ขึ้นอยู่กับการดูแลของเมืองใด จนกระทั่ง ค.ศ. 1898 ได้ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมหานครนิวยอร์ก บรูคลินเป็นที่รู้จักทางด้านความหลายหลายทางด้านผู้คน สังคม วัฒนธรรม รวมถึงเรื่องราวอันเกี่ยวเนื่องกับศิลปะ และเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมยุคเก่าที่ตกทอดมาแต่อดีต โบโรห์นี้ยังมีสถานที่ที่โดดเด่น คือ ชายหาดที่ทอดตัวเป็นแนวยาว และโคนีย์ ไอส์แลนด์ (Coney Island) ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1870 เป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนที่น่าสนใจของประเทศนี้
แมนแฮตตัน มีลักษณะเป็นเกาะ ตั้งอยู่ในเทศมณฑลนิวยอร์ก มีประชากร 1,564,798 คน เป็นศูนย์กลางความเจริญในทุกด้าน มีตึกระฟ้าจำนวนมาก เซ็นทรัลพาร์ก พิพิธภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวตั้งอยู่ แมนแฮตตันเป็นบริเวณที่มีประชากรหนาแน่นที่สุด และค่าครองชีพสูงสุดในสหรัฐอเมริกา ในแมนแฮตตันจะมีแบ่งย่อยออกเป็นเขตชุมชนย่อยอีกหลายเขต เช่น ดาวน์ทาวน์ มิดทาวน์ อัพทาวน์ เฮลคิทเชน โซโห ฮาเล็ม ไชน่าทาวน์ ลิตเติลอิตาลี ไทบีกา เชลซี
ควีนส์ ตั้งอยู่ในเทศมณฑลควีนมีประชากร 2,225,486 คน เป็นเขตที่มีประชากรหลากหลายเชื้อชาติมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา มีพื้นที่มากที่สุดในบรรดา 5 เขต
สแตตัน ไอส์แลนด์ ตั้งอยู่ในเทศมณฑลริชมอนด์ มีประชากร 459,737 คน เป็นเกาะที่อยู่แยกออกไปแตกต่างจากเขตอื่น
== การคมนาคม ==
ระบบขนส่งสาธารณะของเมืองถือว่ามีความสำคัญอย่างมากกับการเดินทางของชาวนิวยอร์ก โดยคิดเป็น 1 ใน 3 ของผู้ใช้ระบบขนส่งในสหรัฐอเมริกา และ 2 ใน 3 ของผู้ใช้การขนส่งระบบรางอาศัยอยู่ในนิวยอร์กและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งนั้นตรงกันข้ามกับวิถีของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ที่ 90% ใช้รถยนต์ส่วนตัวไปทำงาน นิวยอร์กเป็นเพียงเมืองเดียวในสหรัฐอเมริกาที่ประชากรในท้องถิ่นกว่าครึ่งไม่มีรถยนต์ส่วนตัว (โดยเฉพาะในแมนแฮตตัน กว่า 75% ของผู้พักอาศัยไม่มีรถยนต์ส่วนตัว หรือคิดเป็น 8% ของคนทั้งสหรัฐอเมริกา) และรายงานของสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐอเมริกา (US Census Bureau) พบว่าผู้พักอาศัยในนิวยอร์กจะใช้เวลาเฉลี่ยกับการเดินทางไปทำงานประมาณ 38.4 นาที ต่อวัน ซึ่งนั้นถือเป็นเวลาที่ใช้ในการเดินทางนานที่สุดในกลุ่มเมืองขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
การขนส่งระหว่างเมืองนิวยอร์กให้บริการในระบบรางโดย เอมแทรค (Amtrak) มีสถานีเพนซิลเวเนีย เป็นสถานีหลัก เชื่อมการเดินทางระหว่างนิวยอร์กไปยัง บอสตัน ฟิลาเดลเฟีย และวอชิงตัน ดี.ซี.
รถไฟใต้ดินนครนิวยอร์ก จัดว่าเป็นระบบขนส่งความเร็วสูง (Rapid Transit) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งนับจากสถานีที่มากถึง 468 สถานี และมีผู้ใช้บริการต่อปีมากสุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก (ผู้โดยสารประมาณ 1.5 พันล้านคน ใน ค.ศ. 2006) รถไฟใต้ดินมหานครนิวยอร์กมีจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ การให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ผิดกับรถไฟใต้ดินในเมืองอื่นๆ ที่จะปิดให้บริการในเวลากลางคืน ไม่ว่าจะเป็น ลอนดอน ปารีส วอชิงตัน ดี.ซี. มาดริด โตเกียว หรือ กรุงเทพมหานคร ระบบการคมนาคมในนิวยอร์กจัดได้ว่าสามารถให้บริการได้อย่างครอบคลุมและซับซ้อน ซึ่งรวมถึงสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในอเมริกาเหนือ อุโมงค์รถยนต์ที่มีความทันสมัยแห่งแรกของโลก แท็กซี่เยลโล่ แคป (Yellow Cabs) มากกว่า 12,000 คัน กระเช้าไฟฟ้า (Aerial Tramway) ที่ให้บริการระหว่าง รูสเวลท์ ไอส์แลนด์ (Roosevelt Island) และแมนแฮตตัน และเรือเฟอร์รี่ที่เชื่อมระหว่างแมนแฮตตันกับพื้นที่อื่นๆ นอกเมือง โดยมีสแตนตัน ไอส์แลนด์ เฟอร์รี่ ซึ่งถือเป็นเรือเฟอร์รี่ที่มีผู้ใช้บริการมากถึง 19 ล้านคนต่อปี ให้บริการในระยะทาง 5.2 ไมล์ (8.4 กิโลเมตร) ระหว่างสแตนตัน ไอส์แลนด์ และแมนแฮตตันตอนใต้
รถโดยสารประจำทาง และโครงข่ายระบบรางของนิวยอร์ก ถือได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ โครงข่ายระบบรางจะเชื่อมกับพื้นที่ชานเมืองของรัฐที่อยู่ใกล้เคียง 3 รัฐ (Tri-state Region) ประกอบไปด้วยพื้นที่ทางตอนใต้ของรัฐนิวยอร์ก (รวมโบโรห์ทั้ง 5 ของนครนิวยอร์กด้วย) พื้นที่ตอนเหนือของรัฐนิวเจอร์ซีย์ และพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐคอนเนทิคัต โดยมีสถานีมากกว่า 250 แห่ง ใน 20 เส้นทาง สถานีหลักคือแกรนด์เซ็นทรัลเทอร์มินัล และสถานีเพนซิลเวเนีย
ระบบรถโดยสารประจำทาง และระบบรถไฟในนิวยอร์กนั้นจะเป็นส่วนเดียวกัน ตั๋วรถไฟและตั๋วรถประจำทางสามารถใช้ร่วมกันได้ โดยรถไฟจะวิ่งในแนวเหนือใต้ ขณะที่รถโดยสารประจำทางส่วนใหญ่จะวิ่งในแนวตะวันออกตะวันตก
นิวยอร์กยังติดอันดับเมืองที่มีการขนส่งทางอากาศมากที่สุด ผู้มาเยือนส่วนใหญ่จะใช้นิวยอร์กเป็นประตูเข้าสู่สหรัฐอเมริกา ในพื้นที่ของเมืองมีท่าอากาศยานที่สำคัญอยู่ถึง 3 แห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) ท่าอากาศยานนานาชาตินูอาร์ก ลิเบอร์ตี (EWR) และท่าอากาศยานลากวาเดีย (LGA) นอกนั้นยังมีแผนที่จะสร้างท่าอากาศยานแห่งที่ 4 คือ ท่าอากาศยานนานาชาติสจ๊วต (SWF) ใกล้กับเมืองนิวเบิร์ก รัฐนิวยอร์ก ภายใต้ความรับผิดชอบของการท่าแห่งนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ (Port Authority of New York and New Jersey) เพื่อที่จะรองรับกับปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ใน ค.ศ. 2005 มีนักท่องเที่ยวประมาณ 100 ล้านคน ที่ใช้ท่าอากาศยานทั้ง 3 แห่งในการเดินทาง การจราจรทางอากาศในนิวยอร์กถือว่ามีความหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
การเดินทางด้วยจักรยานก็ยังมีให้เห็นในนิวยอร์ก มีผู้ใช้จักรยานประมาณ 120,000 คนต่อวัน และยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่อาศัยการเดินเท้า การเดินและการใช้จักรยานในการเดินทางมีอัตราอยู่ประมาณ 21% จากแต่ละวิธีในการเดินทางในเมือง
อีกองค์ประกอบของระบบคมนาคมขนส่งในนิวยอร์ก ก็คือ ทางด่วน (Expressways) และทางธรรมดา (Parkways) ที่มีโครงข่ายที่ครอบคลุม เชื่อมต่อนิวยอร์กไปยังตอนเหนือของรัฐนิวเจอร์ซีย์ เวสต์เชสเตอร์ เคาน์ตี้ ลองไอแลนด์ และตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐคอนเนทิคัต โดยผ่านทั้งสะพาน และอุโมงค์ใต้น้ำ (ค่าผ่านทางประมาณ $7-$15 ต่อรอบ) เส้นทางดังกล่าวได้ให้ความสะดวกกับการเดินทางสู่นิวยอร์กสำหรับผู้ที่พักอาศัยอยู่ในแถบชานเมือง แต่ในบางครั้งก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาการจราจรติดขัด โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน สะพานจอร์จ วอชิงตัน หนึ่งในเส้นทางเชื่อมต่อ ก็เป็นสะพานแห่งหนึ่งของโลกที่มีการจราจรที่คับคั่งที่สุด
=== ผังเมือง ===
ระบบคมนาคมขนส่งและถนนในนิวยอร์ก เป็นระบบที่มีคุณภาพและเป็นหน้าตาของเมือง เป็นผลมาจากรูปแบบการวางผังเมืองด้วยโครงสร้างที่มีประสิทธิภาพ ผังเมืองในแมนแฮตตันถูกออกแบบมาในลักษณะแนวสี่เหลี่ยมตัดกัน (Grid Plan) เมื่อมองจากทางอากาศจะเห็นถนนวางตัวหลักเป็นแนวสี่เหลี่ยมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยจะมีระบบชื่อเรียกถนนว่า “สตรีท” และ “อเวนิว” ถนนที่วิ่งแนวตะวันออก-ตะวันตก จะใช้ชื่อว่า “สตรีต” และตัวเลขของถนนจะนับจากทิศใต้เพิ่มขึ้นเรื่อย ในขณะเดียวกันถนนที่วิ่งแนวเหนือ-ใต้ จะใช้ชื่อว่า “อเวนิว” ซึ่งตัวเลขถนนจะเริ่มต้นจากทิศตะวันออกจากแม่น้ำอีสต์ไปสู่ทิศตะวันตกจบที่แม่น้ำฮัดสัน การวางผังเมืองในรูปแบบนี้ทำให้สะดวกต่อการค้นหาสถานที่ โดยการบอกตำแหน่งของอาคารหรือสำนักงานส่วนใหญ่ จะบอกเป็นชื่อของถนนสองเส้นที่ตัดกัน เช่น ตึกเอมไพร์สเตต ตั้งอยู่ที่อเวนิว 5 (5th Avenue) ตัดกับสตรีต 34 (34th Street) ซึ่งถ้าต้องการเดินทางจากไทม์สแควร์ (สตรีต 42 ตัดกับ อเวนิว 7) จะทำให้ทราบได้เลยว่าต้องเดินทางไปทิศตะวันออกเฉียงเหนือจึงจะถึงเอมไพร์สเตต
นอกจานั้นแล้วชื่อของถนน (สตรีท และ อเวนิว) บางแห่งยังมีชื่อเรียกเฉพาะ อย่างเช่น บรอดเวย์ (ภาพยนตร์) วอลล์สตรีท (การเงิน) และเมดิสันสแควร์ อเวนิว (การโฆษณาองค์กร) ตามแต่ลักษณะของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ตั้งอยู่นั้นย่านนั้น
สำหรับผังเมืองในโบโรห์อื่นก็ถูกออกแบบมาในลักษณะแนวสี่เหลี่ยมเช่นเดียวกับในแมนแฮตตัน แต่การวางแนวถนนโดยแบ่งเป็นเหนือใต้ หรือตะวันออกตะวันตกจะไม่แน่นอน
== สถานที่ท่องเที่ยว ==
นิวยอร์กมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในเกาะแมนแฮตตัน นักท่องเที่ยวมักจะแวะตามที่สถานที่เที่ยวที่มีชื่อเสียงได้แก่ ตึกเอมไพร์เสตต ตึกไครสเลอร์ ไทม์สแควร์ เทพีเสรีภาพ วอลล์สตรีต สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ โบสถ์เซนต์แพทริก สะพานบรูคลิน เรือบรรทุกเครื่องบินอินทรีพิด เซ็นทรัลปาร์ค
แหล่งชอปปิ้งมากมายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว ได้แก่ บริเวณ ฟิฟท์อเวนูสำหรับของมียี่ห้อและเครื่องประดับ ห้างสรรพสินค้าเมซีส์ (Macy's) ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เฮอรัลด์สแควร์ที่มีขายของหลายระดับ กรีนวิชวิลเลจมีของขายเกี่ยวกับซีดีเพลงและหนังสือ อีสต์วิลเลจสำหรับขายของที่น่าสนใจ ถนน 47th ช่วงระหว่าง ฟิฟท์อเวนู และซิกซ์อเวนู ขายเครื่องประดับและอัญมนี โซโหแหล่งชอปปิ้งเสื้อผ้าชั้นนำต่างๆ เชลซีสำหรับการซื้อขายงานศิลป์ นอกจากในเขตแมนแฮตตันยังมีบริเวณดาวน์ทาวน์บรูคลิน และบริเวณควีนส์บูเลอวาร์ดในควีนส์ สำหรับแหล่งชอปปิ้งอื่น ๆ
ในช่วงวันสิ้นปี บริเวณไทมส์แสควร์จะมีผู้คนหลายแสนคนไปรวมกันเพื่อไปเคานต์ดาวน์ ต้อนรับงานปีใหม่ และในช่วงวันขอบคุณพระเจ้า ทางห้างเมซีส์ จัดขบวนพาเหรดทุกปี บริเวณถนนบอร์ดเวย์
พิพิธภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักในนิวยอร์กได้แก่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตัน (เดอะเม็ต) Museum of Modern Art (โมมา) และ American Museum of Natural History
=== สวนสาธารณะ ===
นิวยอร์กมีพื้นที่กว่า 113 กม² (28,000 เอเคอร์) ที่มีบริเวณเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่มีต้นไม้ขึ้นเป็นกลุ่มๆ และชายหาดความยาวถึง 22 กิโลเมตร (14 ไมล์) พื้นที่หลายหมื่นเอเคอร์ดังกล่าวเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวนิวยอร์ก และยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบอุทยานแห่งชาติด้วย สำหรับสวนสาธารณะนั้น นิวยอร์กมีสวนสาธารณะกว่า 1,700 แห่ง ทั้งเล็กใหญ่กระจายไปในตัวเมือง ซึ่งที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็ คือ เซ็นทรัลพาร์ก ในแมนแฮตตัน สวนแห่งนี้ถูกออกแบบโดย Frederick Law Olmsted และ Calvert Vaux มีผู้เข้าเยี่ยมชมกว่า 30 ล้านคนต่อปี ถือเป็นสวนสาธารณะที่มีผู้คนเข้าเยี่ยมชมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา (อันดับที่ 2 คือ ลินคอล์นพาร์ก ในชิคาโก) นอกจากนั้น Olmsted และ Vaux ยังเป็นผู้ออกแบบ โพรสเปคพาร์ก ในบรูคลินอีกด้วย ขณะที่ฟลัชชิ่ง เมลโด โคโรน่าพาร์ก ที่ควีนส์ ก็เคยถูกใช้ในการจัดงานเวิลด์แฟร์ ใน ค.ศ. 1939 และ ค.ศ. 1964 มาแล้ว
== กีฬา ==
นิวยอร์กมีทีมกีฬาซึ่งเล่นอยู่ในลีกอาชีพของอเมริกาเหนือถึง 5 ลีก
เบสบอล - เมเจอร์ลีกเบสบอล : นิวยอร์กเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองของสหรัฐอเมริกาที่กีฬาเบสบอลดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากกว่าอเมริกันฟุตบอล ทีมเบสบอลของนิวยอร์กมีอยู่ 2 ทีม ที่เล่นอยู่ในเมเจอร์ลีกเบสบอล (Major League Baseball หรือ MLB) คือ นิวยอร์ก แยงกีส์ และนิวยอร์ก เม็ตส์ (นิวยอร์กเป็นหนึ่งใน 5 เมืองใหญ่นอกเหนือจาก ชิคาโก วอชิงตัน บอลทิมอร์ ลอสแอนเจลิส และซานฟรานซิสโกเบย์ที่มีทีมเบสบอลอาชีพถึง 2 ทีมที่เล่นอยู่ในลีกสูงสุด) โดยที่แยงกีส์และเม็ตส์จะได้พบกัน 6 ครั้งในแต่ละฤดูกาล นิวยอร์ก แยงกีส์ เคยได้แชมป์เวิลด์ซีรีส์ มาแล้วถึง 26 ครั้ง และเป็นทีมที่คว้าแชมป์รายการนี้มากที่สุดอีกด้วย ขณะที่นิวยอร์ก เม็ตส์ เคยได้แชมป์ในรายการนี้ 2 ครั้ง นิวยอร์กยังเคยเป็นถิ่นของทีมนิวยอร์ก ไจแอนส์ (ปัจจุบันคือ ซานฟรานซิสโก ไจแอนส์) และบรูคลิน ดอร์จเจอร์ (ปัจจุบันคือ ลอสแอนเจลิส ดอร์จเจอร์) ก่อนที่ทั้ง 2 ทีมจะย้ายไปยังแคลิฟอร์เนีย ใน ค.ศ. 1958 นอกจากนั้นแล้วเมืองนี้ยังมีทีมเบสบอลอีก 2 ทีมที่เล่นอยู่ในไมเนอร์ลีกเบสบอล (Minor League Baseball) ด้วย คือ สแตตัน ไอส์แลนด์ แยงกีส์ และบรูคลิน ไซโคลน
อเมริกันฟุตบอล - เอ็นเอฟแอล : อเมริกันฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ตัวแทนเข้าไปแข่งขันในลีกอเมริกันฟุตบอล (National Football League หรือ NFL) ของนิวยอร์กมีอยู่ด้วยกัน 2 ทีม คือ นิวยอร์ก เจ็ตส์ และนิวยอร์ก ไจแอนส์ (ชื่อเป็นทางการคือ นิวยอร์ก ฟุตบอล ไจแอนส์ ) โดยใช้สนามไจแอนส์ สเตเดียม ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ เป็นสนามเหย้าของทั้ง 2 ทีม
ฮอกกี้ - เอ็นเฮชแอล : อีกหนึ่งชนิดกีฬาที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันอย่างฮอกกี้ ทีมนิวยอร์ก เรนเจอร์ เป็นตัวแทนของเมืองที่เข้าร่วมแข่งขันในลีกฮอกกี้อาชีพ (National Hockey League หรือ NHL) กับอีก 2 ทีมคือ นิวเจอร์ซีย์ เดวิล และนิวยอร์ก ไอแลนเดอร์ ที่เล่นอยู่ในลองไอแลนด์
ฟุตบอล - เมเจอร์ลีกซอกเกอร์ : ทางด้านกีฬาฟุตบอล มีทีมเรด บูลล์ นิวยอร์ก เข้าร่วมในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ (Major League Soccer หรือ MLS) และใช้สนามไจแอนส์ สเตเดียม ในนิวเจอร์ซีย์เป็นสนามเหย้า
บาสเกตบอล - เอ็นบีเอ : บาสเกตบอลมี ทีมนิวยอร์ก นิกส์ ที่เล่นอยู่ในลีกบาสเกตบอลอาชีพ (National Basketball Association หรือ NBA) และทีมบาสเกตบอลหญิง นิวยอร์ก ลิเบอร์ตี ที่เล่นอยู่ในลีกบาสเกตบอลหญิงอาชีพ (WNBA) นิวยอร์กกับบาสเกตบอลมีจุดที่น่าสนใจอยู่ที่สนาม แต่สนามบาสเกตบอลที่สำคัญที่สุดในเมืองนี้ไม่ใช่สนามที่ทันสมัย หรือสนามที่ใหญ่โต แต่เป็นลานบาสเกตบอลที่มีชื่อว่า รัคเคอร์ พาร์ก (Rucker Park) ในเขตชุมชนฮาเล็ม โบโรห์แมนแฮตตัน นักกีฬาที่ได้ก้าวไปสู่การเล่นในระดับอาชีพหลายคน เคยใช้ลานแห่งนี้ในการฝึกฝนทักษะมาแล้ว ซึ่งก็รวมทั้งนักกีฬาบาสเกตบอลที่ได้ก้าวไปสู่การเล่นในเอ็นบีเอด้วย และรัคเคอร์ พาร์ก ยังเป็นสนามให้ผู้เล่นได้เลือกใช้เป็นลานประลองกันในเกม NBA Ballers, NBA Street, NBA Street Vol.2, NBA Street V3, NBA 2K7 และ NBA 2K8
ทางด้านของการแข่งขันระดับโลก นครนิวยอร์กก็มีชื่อเสียงในรายการแข่งขันที่สำคัญหลายรายการ เช่น
เทนนิสยูเอสโอเพน หนึ่งในรายการแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลม รายการใหญ่ที่สุด 4 รายการของโลก จัดขึ้นที่โบโรห์ ควีนส์
นิวยอร์ก ซิตี้ มาราทอน การแข่งขันวิ่งมาราทอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และในช่วง ค.ศ. 2004-2006 รายการนี้ติด 1 ใน 3 ของการแข่งขันวิ่งมาราทอนที่มีผู้สามารถวิ่งเข้าเส้นชัยมากที่สุด รวมกับผู้ที่วิ่งเข้าเส้นชัยถึง 37,866 คนใน ค.ศ. 2006
มิลล์โรส์ เกม เป็นการแข่งขันกีฬาประเภทลู่และลาน (Track and Field) ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
มวยสมัครเล่นโกลด์เด้น โกลฟ์ การแข่งขันมวยเองก็เป็นอีกหนึ่งกีฬาที่เป็นส่วนหนึ่งของเมืองแห่งนี้ ในแต่ปีจะมีการแข่งขันรายการมวยสมัครเล่นโกลด์เด้น โกลฟ์ (Amateur Boxing Golden Gloves) ที่ เมดิสัน สแควร์ การ์เดน
ยังมีกีฬาอีกมากมายที่มีความเกี่ยวข้องกับนิวยอร์กซึ่งมาจากกลุ่มผู้เข้ามาตั้งรกรากในเมืองแห่งนี้ สติ๊กบอล (Stickball) เป็นเบสบอลในรูปแบบของสตรีทเกม จัดว่าเป็นกีฬาที่นิยมในเขตชุมชนอิตาเลียน เยอรมัน และไอริช ในปี 1930 ซึ่งสติ๊กบอล ก็ยังคงได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบัน ถึงขนาดว่าถนนแห่งหนึ่งในเดอะบอรงซ์ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นสติ๊กบอล บูเลอวาร์ด (Stickball Blvd.) และทำให้นิวยอร์กถูกเปรียบว่าเป็นเมืองที่มีกีฬาในรูปสตรีทเกมที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ก็มีการนำเอาลีกคริกเกตสมัครเล่นเข้ามาในนิวยอร์ก จากผู้ที่ย้ายถิ่นมาจากเอเชียใต้ และแถบแคริเบียน กีฬาประเภทสตรีทฮอกกี้ สตรีทฟุตบอล และสตรีทเบสบอล เป็นกีฬาที่จะเห็นคนทั่วไปเล่นกันบนท้องถนนของนิวยอร์ก ทำให้บ่อยครั้งที่เมืองนี้จะถูกเรียกว่า “เมืองสนามเด็กเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก” กีฬาในรูปสตรีทเกมเป็นกีฬาที่เข้าใจวิธีการเล่นได้ง่าย และทุกเพศทุกวัยสามารถที่จะเล่นได้
== อ้างอิง ==
== ดูเพิ่ม ==
รัฐนิวยอร์ก
แมนแฮตตัน
ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก
ฟิลาเดลเฟีย
วอชิงตัน ดี.ซี.
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Siamus คนไทยในมหานครนิวยอร์ก
New York Thai Town เว็บไซต์ชุมชนคนไทยในนิวยอร์ก www.thethaitown.com
NYC.Gov เว็บไซต์มหานครนิวยอร์กอย่างเป็นทางการ
NYC Visit เว็บไซต์ท่องเที่ยวมหานครนิวยอร์กอย่างเป็นทางการ
NYC Travel Guide คู่มือท่องเที่ยวนิวยอร์ก โดย วิกิทราเวล
NY City Interactive Map แผนที่มหานครนิวยอร์ก
เมืองในรัฐนิวยอร์ก
เมืองหลวงเก่าของสหรัฐ
|
thaiwikipedia
| 2,087 |
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
|
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (value-added tax หรือ VAT) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า แวต เป็นภาษีทางอ้อมประเภทหนึ่งที่เรียกเก็บจากบุคคลที่ซื้อสินค้าหรือรับบริการ โดยจัดเก็บเฉพาะจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นผลิต การจำหน่ายหรือการให้บริการ ตัวอย่างเช่น สมมติว่าอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 10 ซื้อวัตถุดิบ วัสดุอุปกรณ์มา 100 บาท และมีภาษีซื้อ 10 บาท เมื่อผลิตเป็นสินค้าขายในราคา 150 บาท ตอนขายไปจะต้องคิดภาษีขาย 15 บาท ดังนี้ ก็จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะผลต่างจำนวน 15-10 = 5 บาท เท่านั้น ถ้าการซื้อ และขายเกิดขึ้นภายในรอบการจ่ายภาษีเดียวกัน.
ในประเทศไทยได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 10% แต่ทั้งนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีจะออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% เป็นประจำทุกปี โดยที่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 1 ใน 9 ที่เก็บได้ จะถูกโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และที่เหลืออีก 8 ส่วนจะถูกโอนให้แก่รัฐบาลกลาง
== ประเทศไทย==
ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2535 ประเทศไทยได้เริ่มมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นครั้งแรก จากการที่เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่มีการกล่าวถึงความไม่เหมาะสมของโครงสร้างภาษีการค้าต่อเศรษฐกิจของประเทศ อันได้แก่ความซ้ำซ้อนของระบบภาษีการค้าที่เป็นอยู่ และความหลากหลายของโครงสร้างอัตราภาษีนอกจากความบกพร่องของระบบภาษีการค้า ความต้องการเปลี่ยนแปลงระบบภาษีของทางการยังสืบเนื่องมาจากเหตุผลทางด้านภาษีอากรอีกด้วย กล่าวคือ ความสามารถในการหารายได้ของรัฐผ่านเครื่องมือทางภาษีการค้าและภาษีศุลกากรได้ลดน้อยลงเป็นลำดับ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว กระทรวงการคลัง จึงได้เสนอพิจารณายกเลิกภาษีการค้า และนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทน โดยภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจะมีอัตราเดียวที่ใช้กับสินค้าและบริการทุกชนิด สำหรับสินค้าใดที่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่จะเก็บสูงกว่าอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติมจากภาษีมูลค่าเพิ่ม
== อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศต่างๆ ==
=== ประเทศนอกสหภาพยุโรป ===
=== ประเทศในสหภาพยุโรป ===
== อ้างอิง ==
โปรแกรม คำนวณ ภาษีมูลค่าเพิ่ม แบบเก็บจริงของไทย
ภาษี
|
thaiwikipedia
| 2,088 |
ศาลอุทธรณ์ (ประเทศไทย)
|
ศาลอุทธรณ์ คือ ศาลสูงถัดจากศาลชั้นต้นซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อยู่ในเขตอำนาจ กับมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้ตามกฎหมายอื่นในเขตท้องที่ที่มิได้อยู่ในเขตศาลอุทธรณ์ภาค เว้นแต่คดีที่อยู่นอกเขตศาลอุทธรณ์จะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ก็ได้ ทั้งนี้อยู่ในดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งที่อุทธรณ์เช่นนั้นก็ได้ เว้นแต่คดีนั้นจะได้โอนมาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ปัจจุบัน นางสุวิชา นาควัชระ เป็น ประธานศาลอุทธรณ์
==แหล่งข้อมูลอื่น==
http://www.appealcourt.or.th
ศาลยุติธรรม
|
thaiwikipedia
| 2,089 |
ศาลชั้นต้น (ประเทศไทย)
|
ศาลชั้นต้น เป็นศาลยุติธรรม เป็นศาลที่พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นแรก โดยทั่วไป ผู้ใดที่มีคดีความและประสงค์จะใช้สิทธิฟ้องร้องจะต้องยื่นฟ้องที่ศาลนี้
== ประวัติ ==
===สมัยสุโขทัย===
ในสมัยสุโขทัย จากข้อความบนหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแสดงให้เห็นว่าประชาชนสามารถร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์โดยตรง และพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ไต่สวนพิจารณาคดีด้วยพระองค์เอง ยังไม่มีการตั้งองค์กรที่มีลักษณะเป็นศาลขึ้นมาตัดสินคดีโดยตรง
===สมัยกรุงศรีอยุธยา===
เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)ทรงได้ก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาขึ้น พระองค์ได้ทรงปรับปรุงระบอบการปกครองในส่วนกลางเสียใหม่โดยมีกษัตริย์เป็นศูนย์กลาง และมีเสนาบดี 4 ฝ่ายคือ ขุนเมือง ขุนวัง ขุนคลัง ขุนนา เรียกว่า "จตุสดมภ์" โดยให้เสนาบดีกรมวังเป็นผู้ชำระความแทนพระมหากษัตริย์ กรมวังจึงมีหน้าที่ดูแลศาลหลวง และการแต่งตั้งยกกระบัตรไปทำหน้าที่ดูและความยุติธรรมหรือเป็นหัวหน้าศาลในหัวเมือง
ต่อมา ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีการปรับปรุงระบบการปกครองขึ้นอีกครั้งหนึ่งมีการจัดตั้งกรมขึ้นสองกรม ได้แก่ กรมมหาดไทย ซึ่งดูแลกิจการพลเรือน โดยมีสมุหนายกเป็นอัครเสนาบดีดูแล และกรมกลาโหม ซึ่งดูแลกิจการทหาร โดยมีสมุหพระกลาโหมดูแล จตุสดมภ์นั้นให้มาขึ้นกับกรมมหาดไทยแล้วมีการเปลี่ยนชื่อและเพิ่มหน้าที่ โดยเฉพาะการขยายศาลไปทุกกรม ทำหน้าที่ตัดสินคดีความที่เกี่ยวข้องกับกรมของตน เช่น ศาลนครบาลขึ้นกับกรมพระนครบาล(กรมเมือง) ทำหน้าที่ชำระความคดีโจรผู้ร้าย ศาลความอาญา ศาลความแพ่งขึ้นกับกรมธรรมาธิบดี(กรมวัง) ชำระความคดีอาญาและคดีความแพ่งทั้งปวง ศาลการกระทรวง ขึ้นอยู่กับกรมอื่น ๆ ชำระคดีที่อยู่ในหน้าที่ของกรมนั้น ๆ
การพิจารณาและพิพากษาคดีในสมัยกรุงศรีอยุธยาแบ่งเป็นหลายหน้าที่ให้หลายหน่วยงานทำงานร่วมกัน เริ่มจากกรมรับฟ้อง ลูกขุน ตระลาการ ผู้ปรับ กล่าวคือ กรมรับฟ้อง เป็นกรมต่างหาก มีหน้าที่รับฟ้องจากผู้เดือดร้อนทางอรรถคดี กรมรับฟ้องนำฟ้องเสนอลูกขุนที่เป็นกรมต่างหาก เมื่อลูกขุนตรวจฟ้องแล้ว กรมรับฟ้องก็จะส่งฟ้องไปยังศาลต่าง ๆ ที่แยกย้ายกันสังกัดกระทรวงกรมต่าง ๆ ศาลใดศาลหนึ่งแล้วแต่คดีความนั้นจะอยู่ในอำนาจศาลใด เช่น ศาลกรมวัง ศาลกรมนา เป็นต้น แต่ละศาลจะมีตระลาการที่จะพิจารณาไต่สวนอรรถคดีเป็นของตนเอง โดยมีลูกขุนและผู้ปรับซึ่งอยู่ในกรมอื่นต่างหากทำหน้าที่ชี้ขาดและปรับสินไหมพินัยร่วมกันอยู่
ในสมัยพระเจ้าทรงธรรมได้มีการตรากฎหมายวิธีสบัญญัติเกี่ยวกับพระธรรมนูญศาลยุติธรรมขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2165 ซึ่งในกฎหมายตราสามดวงเรียกกฎหมายดังกล่าวว่า “พระธรรมนูญ” จากกฎหมายฉบับนี้ทำให้ทราบได้ว่า สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งนับแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรมเป็นต้นมา มีศาลที่พิจารณาอรรถคดีต่าง ๆ กัน 14 ประเภท ดังนี้
ศาลความอุทธรณ์หรือศาลหลวง พิจารณาคดีเกี่ยวกับตระลาการ ผู้ถามความ ผู้ถือสำนวน พยานที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำมิชอบในคดี เช่น ฟ้องว่าตระลาการเป็นใจกับคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทำชู้กับคู่ความ เจ้าหน้าที่ในศาลรับสินบนหรือฟ้องว่าพยานเบิกความเท็จ
ศาลอาชญาราษฎร์ หรือศาลราษฎร์ พิจารณาความอาชญาประเภทข่มเหง รังแกกัน เช่น เกาะกุมคุมขังบุคคลโดยมิชอบ บังคับเอาทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นของตน
ศาลอาชญาจักร พิจารณาคดีว่าความแทนกัน เช่น อ้างว่าเป็นญาติพี่น้องแล้ว ว่าความแทนกัน หรือแต่งสำนวนให้ผู้อื่นฟ้องร้อง เป็นต้น หรือพิจารณาคดียุยงให้เขาเป็นความกัน
ศาลความนครบาล หรือกระทรวงนครบาล พิจารณาความนครบาล เช่น ปล้น ฆ่า ยาแฝดยาเมาถึงตาย ทำแท้งถึงตายเป็นต้น
ศาลแพ่งวัง พิจารณาคดีด่าสบประมาท แทะโลม ล้วงแย่งเมียและลูกสาวผู้อื่น ข่มขืนมิได้ถึงชำเรา ทุบถองตบตีด้วยไม้หรือมือไม่ถึงสาหัส กู้หนี้ยืมสิน ผัวเมียหย่ากัน ผัวเมียลักทรัพย์กัน พ่อแม่พี่น้องลูกหลานลักทรัพย์กัน บุกรุกที่ดินเรือกสวน รับสิ่งของฝากเช่าจำนำ ถ่มน้ำลายรดหัวผู้อื่น ทำชู้หรือข่มขืน กอดจูบเมียหรือลูกหลานผู้อื่นถึงชำเรา
ศาลแพ่งกลาง พิจารณาความแพ่งที่จำเลยเป็นสมนอกและเป็นคดีที่กล่าวหา ในสถานเบา เช่น ด่าสบประมาท แทะโลม ข่มขืนมิได้ถึงชำเรา ทุบถองตบตีด้วยไม้หรือมือไม่ถึงสาหัส กู้หนี้ยืมสิน
ศาลแพ่งเกษม พิจารณาความแพ่งที่จำเลยเป็นสมนอกและเป็นคดีที่กล่าวหา ในสถานหนัก เช่น บุกรุกที่ดินเรือกสวน ทำชู้หรือข่มขืนกอดจูบเมียหรือลูกหลานผู้อื่นถึงชำเรา
ศาลกรมมรฎก หรือกระทรวงมรฎก พิจารณาความมรดกของผู้มีบรรดาศักดิ์ ตั้งแต่ ๔๐๐ ขึ้นไป
ศาลความต่างประเทศ หรือกระทรวงกรมท่ากลาง พิจารณาความระหว่างชาว ไทยกับชาวต่างประเทศหรือระหว่างชาวต่างประเทศด้วยกัน
ศาลกรมนา หรือกระทรวงกรมนา พิจารณาความโภชากร คือ อรรถคดี เกี่ยวกับวัวควาย บุกรุกที่นา วางเพลิงเผาต้นข้าว ขโมยข้าว
ศาลกรมพระคลัง หรือ ศาลคลังมหาสมบัติ พิจารณาความเกี่ยวกับพระ ราชทรัพย์ เช่น กู้หนี้ยืมทรัพย์สินในท้องพระคลังคดีเกี่ยวกับอากรขนอนตลาด
ศาลกระทรวงธรรมการ พิจารณาความพระภิกษุสามเณร เช่น ผิดศีล ผิด วินัยร้ายแรง เช่น เสพเมถุนธรรม
ศาลความสังกัด หรือศาลกระทรวงสัสดี พิจารณาความพิพาทเกี่ยวกับหมู่ หมายของบ่าวไพร่ การปันหมู่
ศาลความเวทมนตร์ หรือศาลกระทรวงแพทยา พิจารณาความกล่าวหาว่า เป็นกระสือกระหัง ทำเวทมนตร์อาคม ใส่ยาว่าน ทำเสน่ห์ยาแฝดยาเมา รีดลูก โดยผู้เสียหายไม่ถึงตาย หรือคดีพราหมณ์โยคีเป็นโจทก์จำเลยหาความกัน เป็นต้น ถ้าความเกินในหัวเมืองขุนหมื่นกรมแพทยาหัวเมืองเป็นผู้พิจารณา
ตามระบบการศาลสมัยกรุงศรีอยุธยาถือว่าเมื่อมีคำพิพากษาของศาลแล้ว คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดเลย ไม่มีการฟ้องร้องระหว่างคู่ความเดิมในศาลชั้นสูงอีก ยกเว้นกรณีคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นว่าตระลาการ ผู้ถามความ ผู้ถือสำนวน พยานซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีของตนกระทำมิชอบหรือไม่ให้ความยุติธรรมแก่ตนก็อาจฟ้องร้องกล่าวหาตระลาการ ผู้ถามความ ผู้ถือสำนวน พยานนั้น ๆ ต่อศาลหลวง คดีในลักษณะเช่นนี้ในสมัยกรุงศรีอยุธยานับว่าเป็นความอุทธรณ์ และศาลหลวงก็คือศาลอุทธรณ์ในสมัยนั้น ส่วนศาลฎีกานั้นยังไม่มี แต่อาจมีราษฎรทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์บ้าง
===สมัยกรุงรัตนโกสินทร์===
====รัชกาลที่ 1 - 4====
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีนั้น แม้จะมีการชำระกฎหมายตราสามดวง แต่ระบบการศาลก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยกรุงศรีอยุธยา
“ กระทรวงศาลหลวงตามฉันทกล่อมกลอง ” ซึ่งแต่งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๓๘๐ ซึ่งรวมอยู่ในแฟ้มอธิบายกระทรวงศาลแลกระบวนพิจารณาความอย่างเก่า ทำให้ทราบได้ว่า ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีศาลประเภทต่าง ๆ ดังนี้
ศาลอาญานอก สังกัดกลาโหม
ศาลอุทธรณ์ สังกัดมหาดไทย
ศาลต่างประเทศ สังกัดกรมท่า
ศาลโภชากร สังกัดกรมนา
ศาลนครบาล สังกัดกรมเมือง
ศาลกรมวัง แยกเป็นศาลย่อย ๆ ในสังกัดกรมวัง ๔ ศาล คือ ศาลมรดก ศาลแพ่งวังศาลนครบาลวัง ศาลอาญาวัง
ศาลธรรมการ
ศาลกรมสุรัสวดี
ศาลพระคลังมหาสมบัติ
ศาลแพ่งเกษม
ศาลแพ่งกลาง หรือศาลแพ่งไกรสี
ส่วนใน “กฎหมายเก่าของหมอบลัดเล” และ “พระราชบัญญัติในปัตยุบัน” ได้กล่าวถึงศาลที่ขึ้นอยู่กับกระทรวงกรมต่าง ๆ ตลอดจนอำนาจหน้าที่ในการชำระความประเภทใดไว้ ดังนี้
ศาลธรรมดาในกรุงเทพ ฯ หมายถึงศาลที่ชำระความอาญาและความแพ่งที่ราษฎรเป็นความกันตามธรรมดา ได้แก่
*ศาลนครบาลขึ้นอยู่กับกรมเมือง มีอำนาจเฉพาะแต่คดีอาญามหันตโทษ เช่น ฆ่าเจ้าของเรือนตาย เป็นชู้กับเมียผู้อื่น เป็นต้น
*ศาลกระทรวงมหาดไทย แบ่งเป็น ๓ ศาล คือ ศาลหลวง พิจารณาความอุทธรณ์ที่ตระลาการชำระความโดยมิชอบ ศาลราษฎร์ชำระความอาญาที่จำเลยเป็นตระลาการ และศาลตำรวจ ชำระคดีแปลงคารมลายมือ ขี้ฉ้อหมอความ อ้างว่าเป็นญาติทั้งที่ไม่ได้เป็นแล้วว่าความแทนกัน
*ศาลกระทรวงกลาโหมหรือศาลอาญานอกซึ่งขึ้นอยู่กับกระทรวงกลาโหม ชำระความอาญานอก ซึ่งหมายถึงคดีที่ราษฎรซึ่งมิใช่ข้าราชการกระทำผิด
*ศาลกรมท่า หรือ ศาลกรมพระคลังราชการขึ้นอยู่กับกรมท่า มีอำนาจชำระคดีพิพาทระหว่างคนไทยกับชาวต่างประเทศ หรือชาวต่างประเทศด้วยกันเอง
*ศาลแพ่งกลาง ไม่ขึ้นอยู่กับกระทรวงกรมใดที่ทำหน้าที่ชำระความต่างหาก แต่ขึ้นอยู่กับกรมลูกขุน มีอำนาจชำระคดีวิวาททำร้ายกัน ด่าสบประมาทกัน เป็นต้น ซึ่งจำเลยเป็นสมนอก
*ศาลแพ่งเกษม ไม่ขึ้นอยู่กับกระทรวงกรมใดที่ทำหน้าที่ชำระความต่างหากแต่ขึ้นอยู่กับกรมลูกขุน มีอำนาจชำระความแพ่ง เช่น เอาทรัพย์สินของผู้อื่นไปโดยไม่บอกเจ้าของ บุกรุกที่ดินเรือกสวน เป็นต้น
ศาลชำระความเป็นพิเศษ ได้แก่
*ศาลกรมนา มีอำนาจชำระคดีเกี่ยวกับนา ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา
*ศาลในกระทรวงมหาสมบัติ มีอำนาจชำระคดีภาษีและหนี้หลวง
*ศาลกรมวัง แบ่งเป็น ๔ ศาล คือ ศาลอาญาวัง ศาลนครบาลวัง ศาลแพ่งวัง ศาลมรดก ชำระความที่จำเลยเป็นสมใน
*ศาลกรมธรรมการ ชำระคดีพระสงฆ์สามเณรกระทำผิดวินัย
*ศาลกรมสรรพากรใน ชำระคดีนายระวางกำนันผู้เก็บอากรขนอนตลาดวิวาทกัน
*ศาลกรมสรรพากรนอก ชำระคดีเสนากำนันเบียดบังอากรขนอนตลาด
*ศาลกรมสัสดี หรือศาลกรมพระสุรัสวดี ชำระคดีเกี่ยวกับการสังกัดหมวดหมู่ของไพร่หลวงและไพร่สม ตลอดจนการปันหมู่
*ศาลราชตระกูล ชำระคดีที่พระบรมวงศานุวงศ์เป็นโจทก์หรือจำเลยทุกชนิด ยกเว้นเรื่องที่ถึงแก่ชีวิตเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีศาลพิเศษที่พระมหากษัตริย์ทรงตั้งขึ้นเมื่อใดก็ได้ตามความเหมาะสมเพื่อชำระความพิเศษบางคดีซึ่งทรงเห็นว่าศาลธรรมดาที่มีอยู่ชำระไม่ได้หรือชำระได้ยาก ศาลดังกล่าวเรียกว่า “ศาลรับสั่ง” เป็นศาลที่ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ ตัวอย่างเช่น ศาลรับสั่งสำหรับชำระคนในบังคับสยามที่ต้องหาว่ากระทำความร้ายผิดกฎหมายที่ทุ่งเชียงคำและที่แก่งเจ๊กเมืองคำมวญซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ และตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเมื่อ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ตามสัญญาที่ไทยทำกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๒ เป็นต้น
ส่วนในหัวเมืองต่างๆ ก็มีศาลเมืองต่างหากออกไปจากศาลส่วนกลางในกรุงเทพฯ ศาลเมืองเหล่านี้รับผิดชอบโดยข้าราชการในหัวเมืองนั้น ๆ ศาลในหัวเมืองฝ่ายเหนือขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย ศาลในหัวเมืองฝ่ายใต้ขึ้นอยู่กับกระทรวงกลาโหม นอกจากนี้ศาลหัวเมืองบางแห่งขึ้นอยู่กับกรมท่า ศาลเมืองเหล่านี้มีอำนาจพิจารณาทั้งความแพ่งและความอาชญา แต่ในคดีความอุกฉกรรจ์นั้นศาลส่วนกลางยังมีอำนาจควบคุมได้ ดังจะเห็นได้จากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหมและกรมท่ายังมีศาลในกรุงเทพฯ ต่อเนื่องกับศาลในหัวเมืองด้วย กล่าวคือรับความที่ศาลในหัวเมืองส่งขึ้นมา
่
====การปฏิรูปศาลในรัชกาลที่ 5====
ต่อมา เกิดวิกฤตทางการศาลในยุคพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดจากสาเหตุสำคัญ คือ
ความไม่เหมาะสมของระบบการศาลเดิม : ระบบศาลที่มีศาลแยกย้ายกันอยู่ตามกระทรวงกรมต่างๆ มากมายและระบบการดำเนินกระบวนการพิจารณาและ พิพากษาคดีที่ต้องทำงานร่วมกันหลายหน่วยงานจึงทำให้การพิจารณาคดีเกิดความล่าช้าสับสน และยังก่อให้เกิดปัญหาเรื่องอำนาจศาล
ความไม่เหมาะสมของวิธีพิจารณาความแบบเดิม : วิธีพิจารณาและพิพากษาคดีล้าสมัยใช้วิธีโบราณ เช่น การทรมานให้รับสารภาพ และการลงโทษที่รุนแรงและทารุณจนขาดความเหมาะสมและไม่เป็นธรรม คดีเกิดความล่าช้า และจำนวนคดีความก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความบีบคั้นจากต่างประเทศในด้านการศาล : เนื่องจากชาวต่างประเทศมีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาในการ ปกครองประเทศเป็นอันมาก เพราะ กงสุลต่างประเทศถือโอกาสตีความสนธิสัญญา และไม่เคารพ ยำเกรง ต่อกฎหมายและการศาลไทย
ประเทศไทยจึงต้องปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลไทยใหม่อย่างเร่งด่วน ดังนั้น เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2434 (รศ. 110) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมศาลที่กระจัดกระจายตามกระทรวงต่างๆ เข้ามาไว้ในกระทรวงยุติธรรม ให้มีเสนาบดีเป็นประธาน เพื่อที่จะจัดวางรูปแบบศาลและกำหนดวิธีพิจารณาคดีขึ้นใหม่ โดยมีกรมพระสวัสดิวัฒนวิศิษฎ์เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมคนแรก ได้ทรงวางระเบียบศาลตามแบบใหม่ ซึ่งเดิมตามประกาศจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมมีศาลทั้งหมด 16 ศาล ให้รวมมาเป็นศาลสถิตย์ยุติธรรมให้เหลือเพียง 7 ศาล คือ
ศาลฎีกา เรียกเป็น ศาลอุทธรณ์คดีหลวง
ศาลอุทธรณ์มหาดไทย เรียกเป็น อุทธรณ์คดีราษฎร์
ศาลนครบาล กับศาลอาญานอก รวมเรียกว่า ศาลพระราชอาญา
ศาลแพ่งเกษม ศาลกรมวัง ศาลกรมนา รวมเรียกว่า ศาลแพ่งเกษม
ศาลแพ่งกลาง ศาลกรมท่ากลาง ศาลกรมท่าซ้าย ศาลกรมท่าขวา ศาลธรรมการ และ ศาลราชตระกูล รวมเรียกว่า ศาลแพ่งกลาง
ศาลสรรพากร ศาลมรฎก รวมเรียกว่า ศาลสรรพากร
ศาลต่างประเทศ คงไว้ตามเดิม
ต่อมาปี พ.ศ. 2437 (ร.ศ.115) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม พระองค์ทรงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิรูปการศาล เช่น ทรงแก้ปัญหาศาลกงสุลต่างชาติ โดยการจ้างชาวต่างชาติมาเป็นผู้พิพากษา เป็นเหตุให้ผู้พิพากษาศาลไทยเกิดความกระตือรือร้นเร่งศึกษากฎหมายไทยและต่างประเทศ จนทำให้ศาลไทยมีความเชื่อถือมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติจนยกเลิกศาลกงสุลยอมให้คนชาติตัวเองมาขึ้นศาลไทย พระองค์ยังขอพระราชทานพระบรมราชาอนุญาตให้ศาลในสังกัดกระทรวงยุติธรรมสามารถกำหนดโทษเองได้ เนื่องจากในสมัยนั้นเมื่อศาลกำหนดโทษจำคุกผู้ต้องหาแล้ว ต้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดเวลาให้อีกชั้นหนึ่ง ช่วยลดความล่าช้าในวงการศาล ทรงปรับปรุงเงินเดือนผู้พิพากษาให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่และพระราชกรณียกิจที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือในปี พ.ศ. 2440 ได้ทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้น ถือเป็นการผลิตนักกฎหมายที่มีคุณภาพให้สังคมเป็นอย่างมาก
ในปี พ.ศ. 2439 (รศ. 117) ได้รวบรวมศาลหัวเมืองต่าง ๆ ตั้งเป็นศาลมณฑลสังกัดกระทรวงยุติธรรม
ในปี พ.ศ. 2451 (รศ. 127) ประกาศให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ให้แบ่งเป็น ศาลฎีการับผิดชอบต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว และให้มีศาลขึ้นอยู่ในกระทรวงยุติธรรม 2 ประเภท คือ ศาลสถิตย์ยุติธรรมกรุงเทพฯ ได้แก่ ศาลอุทธรณ์ ศาลพระราชอาญา ศาลแพ่ง ศาลต่างประเทศ และศาลโปริสภา กับศาลหัวเมือง ลักษณะจึงกลายเป็นว่า มีศาลของเมืองหลวง, ศาลหัวเมืองต่างจังหวัด และศาลสูงสุดคือศาลฎีกา
ต่อมาได้มีประกาศจัดระเบียบราชการกระทรวงยุติธรรม ลงวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2455 แยกหน้าที่ ราชการกระทรวงยุติธรรมเป็นธุรการส่วนหนึ่งและฝ่ายตุลาการอีกส่วนหนึ่งและยกศาลฎีกามารวมอยู่ในกระทรวงยุติธรรม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งอธิบดีศาลฎีกาเป็นประธานในแผนกตุลาการ โดยกรมหลวงพิชิตปรีชากร ได้ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นอธิบดีศาลฎีกาคนแรกในส่วนระเบียบราชการนั้น ให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม มีอำนาจและหน้าที่บังคับบัญชาราชการและรับผิดชอบในบรรดาราชการที่เป็นส่วนธุรการทั่วไป แต่ในส่วนที่เป็นตุลาการ ให้เสนาบดีเป็นที่ปรึกษาหารือและฟังความเห็นอธิบดีศาลฎีกาแล้ววินิจฉัยไปตามที่ตกลงกัน ถ้ามีความเห็นแตกต่างกัน ให้เสนาบดีพร้อมอธิบดีศาลฎีกา นำความกราบบังคมทูลเรียนพระราชปฏิบัติ
==ประเภท==
===ศาลแพ่ง===
มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งทั้งปวงและคดีอื่นใดที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น ได้แก่
ศาลแพ่ง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
ศาลแพ่งธนบุรี
ศาลแพ่งมีนบุรี
ศาลแพ่งตลิ่งชัน
ศาลแพ่งพระโขนง
====ศาลแพ่ง====
มีเขตอำนาจเหนือคดีแพ่งที่เกิดขึ้นในเขตดอนเมือง เขตดุสิต เขตสายไหม (เฉพาะแขวงคลองถนน) เขตพญาไท เขตหลักสี่ เขตดินแดง เขตบางเขน
(เฉพาะแขวงอนุสาวรีย์) เขตห้วยขวาง เขตบางซื่อ เขตวังทองหลาง เขตจตุจักร เขตบางกะปิ เขตลาดพร้าว (เฉพาะแขวงลาดพร้าว) เขตราชเทวี เขตบึงกุ่ม และเขตพระนคร
ปัจจุบัน ศาลแพ่งตั้งอยู่ถนนรัชดาภิเษก แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
====ศาลแพ่งกรุงเทพใต้====
จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และศาลอาญากรุงเทพใต้ พ.ศ. 2532 โดยมีเขตอำนาจเหนือคดีแพ่งที่เกิดขึ้นในเขตบางรัก เขตสาทร เขตยานนาวา เขตบางคอแหลม เขตปทุมวัน เขตสัมพันธวงศ์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตคลองเตย และเขตวัฒนา
ปัจจุบัน ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ตั้งอยู่ที่ซอยเจริญกรุง 63 ถนนเจริญกรุง แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร
====ศาลแพ่งธนบุรี====
จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งธนบุรีและศาลอาญาธนบุรี พ.ศ. 2520 โดยมีเขตอำนาจเหนือคดีแพ่งที่เกิดขึ้นในเขตจอมทอง เขตบางขุนเทียน เขตบางบอน เขตราษฎร์บูรณะ เขตทุ่งครุ เขตคลองสาน เขตธนบุรี เขตบางแค และเขตภาษีเจริญ
ปัจจุบัน ศาลแพ่งธนบุรีตั้งอยู่ที่ถนนเอกชัย แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร
===ศาลอาญา===
มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น รวมทั้งคดีอื่นใดที่มีกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญา แล้วแต่กรณี ได้แก่
ศาลอาญา
ศาลอาญากรุงเทพใต้
ศาลอาญาธนบุรี
ศาลอาญามีนบุรี
ศาลอาญาตลิ่งชัน
ศาลอาญาพระโขนง
===ศาลจังหวัด===
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ ศาลจังหวัด
มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวง มีเขตอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้น ๆ
===ศาลแขวง===
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ ศาลแขวง
มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีและมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กฎหมายกำหนดไว้
=== ศาลชำนัญพิเศษ ===
ศาลชำนัญพิเศษ คือศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเฉพาะเรื่องเป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายมากที่สุด ปัจจุบัน ศาลชำนัญพิเศษ มีดังนี้
ศาลเยาวชนและครอบครัว
ศาลแรงงาน
ศาลภาษีอากร
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
ศาลล้มละลาย
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
== อ้างอิง ==
ช
|
thaiwikipedia
| 2,090 |
ศาลอาญา (ประเทศไทย)
|
ศาลอาญา เป็นหน่วยราชการอิสระ โดยเป็นหนึ่งในองค์กรของศาลยุติธรรมชั้นต้นแห่งประเทศไทย รับผิดชอบการใช้กฎหมายอาญาในบางเขตของกรุงเทพมหานคร ศาลนี้ตั้งอยู่ที่ถนนรัชดาภิเษก จึงมักเรียกกันว่า "ศาลอาญารัชดาฯ"
== ประวัติ ==
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการปรับปรุงระบบศาลครั้งใหญ่รวบรวมศาลต่าง ๆ ที่มีอยู่กระจัดกระจายถึง 16 ศาลยุบรวมกันเป็นศาลในส่วนของความอาญาได้รวมศาลนครบาลกับศาลอาญานอกเข้าด้วยกันเรียกว่า "ศาลพระราชอาญา" ตั้งอยู่ที่ "หอสัสดี" บริเวณท่าช้างวังหน้า ต่อมา พ.ศ. 2478 ได้มีประกาศใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม จึงเปลี่ยนชื่อจากเดิมมาเป็น "ศาลอาญา" และต่อมา พ.ศ. 2484 ได้มีการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นที่บริเวณกองตราลหุโทษเดิมด้านถนนราชินีให้เป็นที่ตั้งของกระทรวงยุติธรรม ศาลอุทธรณ์ และศาลอาญา ส่วนด้านถนนราชดำเนินก่อสร้างเป็นอาคารศาลฎีกาและศาลแพ่ง ต่อมาวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2515 ศาลอาญาได้ย้ายทำการเดิมมาตั้งอยู่ที่แห่งใหม่ ณ อาคารศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร เป็นอาคารสูง 13 ชั้น
== โครงสร้างและแผนผัง ==
ศาลอาญามีเขตอำนาจศาลครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานคร ดังนี้
== อำนาจหน้าที่ ==
ศาลอาญามีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวง โดยเมื่อการกระทำผิดเกิดขึ้นได้ถูกอ้างหรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้น หรือจำเลยมีที่อยู่หรือถูกจับกุมหรือเมื่อมีเจ้าพนักงานทำการสอบสวนในท้องที่ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลและคดีที่เกิดขึ้นต้องมีอัตราโทษจำคุกเกิน 3 ปีขึ้นไปหรือปรับเกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่คดีที่เกิดขึ้นนอกเขตศาลอาญา โจทก์จะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาก็ได้
ทั้งนี้ อยู่ในดุลพินิจของศาลอาญาที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีที่ยื่นฟ้องดังกล่าวหรือมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลอื่นที่มีเขตอำนาจของศาลที่รับโอนคดี
นอกจากนี้ศาลอาญา ยังมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่ความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทยอีกด้วย
== ภารกิจ ==
การคุ้มครองเสรีภาพแก่ประชาชน
การพัฒนาการให้บริการเพื่อความยุติธรรมแก่ประชาชน
== ผู้บริหาร ==
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา
== อ้างอิง ==
อาญา
|
thaiwikipedia
| 2,091 |
พี่น้องตระกูลไรต์
|
redirect พี่น้องไรต์
|
thaiwikipedia
| 2,092 |
ซุนวู
|
ซุนวู (; ซุนอู่) หรือ ซุนจื่อ (, แปลว่า "ปราชญ์แซ่ซุน") เป็นผู้เขียนตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ (ซุนจื่อปิงฝ่า - 孙子兵法) ที่นับว่าเป็นตำรายุทธศาสตร์ทางทหาร ที่มีอิทธิพลมากของประเทศจีน ปัจจุบันยุทธศาสตร์ในตำรา รู้เขารู้เรา รบร้อย ก็มิอาจเป็นอัตรายได้
== ประวัติ ==
ข้อมูลที่มีหลงเหลืออยู่เกี่ยวกับชีวประวัติของซุนวูคือชีวประวัติที่เขียนขึ้นในช่วง 2 ศตวรรษก่อนคริสตกาล โดยซือหม่าเชียน นักเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ได้บรรยายถึงซุนวูว่าเป็นแม่ทัพที่อาศัยอยู่ในรัฐอู๋ ในช่วงประมาณ 600 ปี ก่อนคริสตกาล ซึ่งอยุ่ในยุคเดียวกันกับ ขงจื๊อ นักปรัชญาจีนผู้ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตามชีวประวัตินี้ขัดแย้งกับหลักฐานอื่นๆ ของยุคนั้น รวมทั้งลักษณะการเขียนและเนื้อหาของ "ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ" ก็บ่งชี้ว่าไม่น่าจะเป็นงานที่เขียนขึ้นในช่วง 400-320 ปีก่อนคริสตกาล
"ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ" ได้ทิ้งเบาะแสเป็นนัยๆ ถึงชีวิตของซุนวู เช่น รถม้าใช้ในการสงครามที่อธิบายโดยซุนวูนั้น มีการใช้เพียงแค่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในช่วงยุค 400 ปีก่อนคริสตกาล ดังนั้นจึงถือว่าบางส่วนของงานเขียนนี้ก็อยู่ในช่วงเวลานั้น โดยคาดว่าซุนวูมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล ตำราพิชัยสงครามของซุนวูได้มีการกล่าวถึงหลายคราในนิยายเรื่อง สามก๊ก
ในเลียดก๊ก ซุนวูเป็นสหายกับอู๋จื่อซี อู๋จื่อซีได้ชักชวนซุนวูให้มารับราชการในแคว้นอู๋ โดยทำหน้าที่ฝึกทหารให้แก่อู๋อ๋องเหอหลี อ๋องแห่งแคว้นอู๋ ซุนวูได้เสนอแผนพิชัยสงคราม 13 บรรพ แต่อู๋อ๋องเหอหลียังไม่เชื่อ ซุนวูจึงขอฝึกนางสนมของอู๋อ๋องเหอหลี อู๋อ๋องเหอหลีก็อนุญาต ในการฝึกมีนางสนม 2 นางได้หัวเราะอย่างสนุกสนานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของซุนวู ซุนวูจึงสั่งประหารสนม 2 นางนี้ทันที เพื่อให้เห็นถึงความเอาจริง ท้ายที่สุด อู๋อ๋องเหอหลีจึงได้เชื่อมั่นในตัวซุนวูและตำราพิชัยสงครามอย่างเต็มที่ ในก่อนคริสต์ศักราช 507 ปี อู๋อ๋องเหอหลีแต่งตั้งให้ซุนวูเป็นแม่ทัพ อู๋จื่อซีและป๋อผีเป็นรองแม่ทัพ ยกพลหนึ่งแสนไปตีแคว้นฉู่ สามารถตีแคว้นฉู่ที่ใหญ่กว่าเข้มแข็งกว่าได้สำเร็จ แต่ต่อมาสถานการณ์พลิกผลัน เพราะฉู่เจาอ๋อง อ๋องแคว้นฉู่ได้หลบหนีไปเสียก่อน เย่วอ๋องยุ่นฉาง อ๋องแห่งแคว้นเยว่ ฉวยโอกาสที่แคว้นอู๋ว่างเปล่ายกทัพมาตีแคว้นอู๋ อู๋อ๋องเหอหลีจึงรีบยกทัพกลับทันที เย่วอ๋องยุ่นฉางจึงหนีไป ทำให้อู๋อ๋องเหอหลีผูกใจเจ็บคิดจะล้างแค้นเย่วอ๋องยุ่นฉางตลอดไป
ต่อมาในก่อนคริสต์ศักราช 497 ปี เย่วอ๋องยุ่นฉางถึงแก่กรรม โกวเจี้ยนผู้บุตรได้ขึ้นครองแคว้นแทน จึงคิดฉวยโอกาสไปตีตอนนี้ ซุนวูและอู๋จื่อซีคัดค้าน แต่อู๋อ๋องเหอหลีไม่ฟัง ยกทัพสามหมื่นไปตีแคว้นเยว่ ผลคือทั้งคู่ปะทะกันที่จุ้ยหลี่ ในที่สุดอู๋อ๋องเหอหลีกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และตนเองก็ถูกอาวุธจนบาดเจ็บสาหัส และถึงแก่กรรมระหว่างการเดินทางกลับแคว้นอู๋ อู๋อ๋องฟูซาจึงได้ขึ้นครองแคว้นสืบต่อจากอู๋อ๋องเหอหลีผู้บิดา อู๋อ๋องฟูซาแรกทีเดียวดำเนินการอย่างเข้มแข็งหมายจะล้างแค้นให้บิดาให้ได้ รบชนะแคว้นเย่วถึงขั้นจับเย่วอ๋องโกวเจี้ยนได้ แต่ต่อมาความประพฤติกลับเหลวไหล หลงแต่สุราและนารีจากแผนนางงามไซซี ของเย่วอ๋อง จนในที่สุดต้องฆ่าตัวตาย อู๋จื่อซือได้ฆ่าตัวตายเมื่อก่อนคริสต์ศักราช 485 ปี ส่วนซุนวูเมื่อได้รู้ถึงนิสัยที่แท้จริงของอู๋อ๋องฟูซา คิดว่าต่อไปภายภาคหน้าแคว้นอู๋ต้องล่มสลายแน่ จึงลาออกจากราชการในก่อนคริสต์ศักราช 495 ปี
== รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ==
คนส่วนใหญ่อาจเคยได้ยินคำนี้แล้วก็จะรู้เลยว่านี่เป็นคำสอนของซุนวู แต่เป็นเพียงการรวมคำพูดทั้งสองประโยคที่ซุนวูพูดไว้เท่านั้น คือ"การชนะร้อยทั้งร้อยมิใช่วิธีการอันประเสริฐแท้ แต่ชนะโดยไม่ต้องรบเลย จึ่งถือว่าเป็นวิธีอันวิเศษยิ่ง" กับ"หากรู้เขารู้เรา แม้นรบกันตั้งร้อยครั้งก็ไม่มีอันตรายอันใด ถ้าไม่รู้เขาแต่รู้เพียงตัวเรา แพ้ชนะย่อมก้ำกึ่งอยู่ หากไม่รู้ในตัวเขาตัวเราเสียเลย ก็ต้องปราชัยทุกครั้งที่มีการยุทธนั้นแล" ฉะนั้นคำสอน"รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง"จึงไม่มีปรากฏในตำราพิชัยสงครามแต่อย่างใด
== วัฒนธรรมร่วมสมัย ==
ปี 1997 ซุนเยวี่ยนจวิน ผู้ซึ่งเคยรับบทเป็นเล่าปี่ ในเรื่อง สามก๊ก ในปี 1994 รับบทเป็นซุนวู ในภาพยนตร์ซีรีส์ชุด ซุนหวู่ ตำราพิชัยสงคราม
== ดูเพิ่ม ==
ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ
== อ้างอิง ==
หนังสือ เถาจูกง เทพเจ้าแห่งการค้าขายของจีน โดย พีรยุทธ สุเทพคีรี ISBN.974-8437-87-6
นักปรัชญาชาวจีน
ราชวงศ์โจว
ขุนนางจีน
บุคคลในยุคราชวงศ์โจว
นักยุทธศาสตร์ทหาร
นักปกครอง
|
thaiwikipedia
| 2,093 |
ยีสต์
|
ยีสต์ หรือ ส่าเหล้า (yeast) คือ รากลุ่มหนึ่งที่ส่วนใหญ่เป็นเซลล์เดี่ยว มีรูปร่างหลายแบบ เช่น รูปร่างกลม รี สามเหลี่ยม รูปร่างแบบมะนาว ฝรั่ง เป็นต้น ส่วนใหญ่มีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยวิธีการแตกหน่อ พบทั่วไปในธรรมชาติในดิน ในน้ำ ในส่วนต่างๆ ของพืช ยีสต์บางชนิดพบอยู่กับแมลง และในกระเพาะของสัตว์บางชนิด แต่แหล่งที่พบยีสต์อยู่บ่อยๆ คือแหล่งที่มีน้ำตาลความเข้มข้นสูง เช่น น้ำผลไม้ที่มีรสหวาน ยีสต์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ มักจะปนลงไปในอาหาร เป็นเหตุให้อาหารเน่าเสียได้
ยีสต์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กมาก มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส (eukaryotic micro-organisms) จัดอยู่ในกลุ่มจำพวกเห็ด รา (Fungi) มีทั้งที่เป็นประโยชน์และโทษต่ออาหาร มีการนำยีสต์มาใช้ประโยชน์นานมาแล้ว โดยเฉพาะการผลิตอาหารที่มีแอลกอฮอล์ จากคุณสมบัติที่มีขนาดเล็กมาก สามารถเพาะเลี้ยงให้เกิดได้ในเวลาอันรวดเร็ว และวิธีการไม่ยุ่งยาก ทำให้ยีสต์เริ่มมีบทบาทที่สำคัญในวงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยสามารถนำมาใช้เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงอาหารธรรมชาติที่สำคัญอีกทีหนึ่ง เช่น ไรแดง โรติเฟอร์ และอาร์ทีเมีย
== ประวัติ ==
ยีสต์เป็นจุลินทรีย์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณถึงกับมีผู้กล่าวว่า ยีสต์เป็นจุลินทรีย์ชนิดแรกที่มนุษย์นำมาใช้ รายงานแรกเกี่ยวกับการใช้ยีสต์ คือการผลิตเบียร์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Heineken เมื่อประมาณ 6,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช คนไทยรู้จักใช้ประโยชน์จากยีสต์มาเป็นเวลานาน เช่นในการทำอาหารหมักบางชนิด ได้แก่ ข้าวหมาก ปลาแจ่ว เครื่องดองของเมาหลายชนิดเช่น อุ สาโท และกระแช่ เป็นต้น ปัจจุบันมีการนำยีสต์มาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมหลายประเภท เป็นต้นว่าการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชนิดต่างๆเช่น เบียร์ ไวน์ และวิสกี้ การผลิตเอทิลแอลกอฮอล์เพื่อใช้เป็นสารเคมี และเชื้อเพลิง การผลิตเซลล์ยีสต์ เพื่อใช้เป็นยีสต์ขนมปังและเป็นโปรตีนเซลล์เดียว ราบางประเภทสามารถนำมาใช้ในการผลิตสุราได้แต่ราบางชนิดที่เพาะมาเป็นพิเศษ ก็เป็นราที่ผลิตมาเพื่อการค้าและมีลิขสิทธิ์เฉพาะ เช่นรา คาลสเบิร์กโนเจนซิส เป็นราลิขสิทธิ์ที่ใช้ในการผลิตเบียร์ คาลสเบิร์ก การผลิตยีสต์ที่ได้คุณภาพจะต้องผ่านการรับรองจากสถาบัน Leco ถึงจะสามารถบรรจุวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตของยุโรปเช่น ร้าน Hermes และ Struers ได้
ยีสต์ มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นคาร์บอนไดออกไซด์และแอลกอฮอล์ได้ โดยหลักการทำงานของยีสต์ หรือ "เบเกอร์ ยีสต์" (Baker yeast) ที่ใส่ให้ขนมปังฟู เนื่องมาจากยีสต์ที่ใส่ลงไปมีการใช้น้ำตาลในแป้งขนมปัง หรือที่เรียกกันว่า "โด้" (dough) เป็นอาหาร และระหว่างที่มันกินอาหารมันจะเกิดการหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน สลายกลูโคสได้ adenosine triphosphate และคายแก็สคาร์บอนไดออกไซต์ออกมา และเมื่อเราเอาแป้งไปอบ ก๊าซที่มันคายออกมาก็ผุดขึ้นมาระหว่างเนื้อขนมปังทำให้เกิดรูพรุนจนฟูขึ้นมา
ส่วนพวก "บริวเวอร์ ยีสต์" (Brewer yeast) ซึ่งเป็นยีสต์ที่นำมาหมักทำเบียร์และไวน์ มีรสชาติค่อนข้างรุนแรง บริวเวอร์ยีสต์ ประกอบไปด้วยธาตุอาหารมากมีกรดอะมิโน16ชนิด เกลือแร่14ชนิด วิตามิน17ชนิด นอกจากนี้ยังมีเกลือแร่สูง คือ โครเมี่ยม สังกะสี เหล็ก ฟอสฟอรัส และเซเลเนียม อีกทั้งบริวเวอร์ยีสต์ยังเป็นแหล่งสำคัญของโปรตีนถึง 16 กรัมต่อปริมาตรยีสต์ 30 กรัม มีมากถึง 50%-55% ทั้งนี้ โดยยีสต์ไม่ใช้ออกซิเจนในการหายใจ
== การเพิ่มจำนวนและการดำรงชีพ ==
เชื้อราเพิ่มจำนวนได้ด้วยการสืบพันธุ์ พบว่ามีการสืบพันธุ์มีทั้งแบบมีเพศ และไม่มีเพศ การสืบพันธุ์แบบมีเพศ จะเกิดเมื่อเซลล์ของเชื้อที่เหมาะสมกันได้พบกันเท่านั้น แม้ว่าเชื้อราบางชนิดจะมีเซลล์ที่เพศแตกต่างกันอยู่ด้วยกันก็ตาม ก็ไม่สามารถเกิดการผสมกันได้ การสืบพันธุ์แบบมีเพศและเซลล์ที่เกิดเป็นหลักการสำคัญในการจัดจำแนกชนิดเชื้อรา สำหรับการสืบพันธุ์แบบไร้เพศนั้นเกิดจากเซลล์ปรับตัว อาจโดยการแตกหน่อ การสร้างสปอร์ชนิดต่าง ๆ บนสายใย ลักษณะการเกิด รูปร่าง สี การจัดเรียงตัวสปอร์ที่เกิดขึ้น เป็นเอกลักษณ์ของเชื้อรา ซึ่งเป็นประโยชน์ในการตั้งชื่อ เช่น ยีสต์เซลล์ที่เกิดใหม่ที่เกิดจากการแตกหน่อจากเซลล์แม่ เรียก เซลล์ใหม่ว่า blastospore สำหรับเชื้อราเส้นสายบางชนิด เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์แต่ละเซลล์ในสายใยพร้อมที่จะแยกตัวเพื่อการเจริญต่อไป ผนังเซลล์ของสายใยนั้นจะหนาขึ้นและแตกหักตามผนังกั้นเซลล์ (fragmentation) เรียกเซลล์ที่เกิดใหม่ว่า arthrospore เป็นต้น ในธรรมชาติ สามารถพบเชื้อราได้ทั้งในน้ำ ดิน และในอากาศ การเพิ่มจำนวนและการดำรงอยู่อาศัยปัจจัยอะไรและอย่างไร? สารอินทรีย์ คาร์บอน ไนโตรเจน เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญโดยเชื้อราจะหลั่งน้ำย่อยออกมานอกเซลล์เพื่อย่อยสาสรอาหารเหล่านั้นเป็นโมเลกุลเล็กแล้วจึงดูดซึมเข้าสู่เซลล์โดยมีความชื้นเป็นปัจจัยหลักอีกปัจจัยหนึ่ง การดูดซึมจะผ่านผนังเซลล์ (cell wall) และเยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) ที่มีความแข็งแกร่งคล้ายกำแพงห้อง และมีสาร ergosterol เป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญในการจับกับยารักษาเชื้อรา
== ลักษณะภายนอกและโครงสร้างของเซลล์ ==
รูปร่างค่อนข้างกลม (spheroidal or globular structures)
ขนาดเล็กมากเพียง 3 – 4 ไมครอน ต้องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูงยังเห็นเป็นเซลล์ค่อนข้างกลมขนาดเล็กเท่านั้น
โครงสร้างของเซลล์ประกอบด้วยผนังเซลล์ (cell wall) ภายในเป็นของเหลว (cytoplasm) นิวเคลียส (nucleus) รูปทรงกลมขนาดใหญ่อยู่เกือบกลางเซลล์ และมีช่องว่าง (vacuole) ขนาดใหญ่อยู่ทางด้านท้ายของเซลล์
== การใช้ประโยชน์จากยีสต์ในปัจจุบัน ==
ทำอาหารหมักบางชนิด ได้แก่ ข้าวหมาก อุ สาโท และกระแช่
ประโยชน์ในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น การทำขนมปัง ไวน์ เหล้า เบียร์ แอลกอฮอล์
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
Yeast Development, Different Forms of Yeast...
Cell cycle and metabolic cycle regulated transcription in yeast
Yeast Resource Center
Yeast growth and the cell cycle
Yeast virtual library
Ancient Egyptian Bread Making
Current research on Yeasts at the Norwich Research Park
เห็ดรา
วัตถุเจือปนอาหาร
|
thaiwikipedia
| 2,094 |
รัฐ (แก้ความกำกวม)
|
รัฐ อาจหมายถึง
รัฐ หน่วยทางการเมืองที่มีอำนาจอธิปไตย
รัฐของสหรัฐ หน่วยการปกครองในสหรัฐ
รัฐบาล องค์กรที่ปกครองประเทศ
* โรงเรียนรัฐ (หรือที่เรียกว่า โรงเรียนรัฐบาล) โรงเรียนที่จัดตั้งโดยรัฐบาล
* มหาวิทยาลัยรัฐ (หรือที่เรียกว่า มหาวิทยาลัยรัฐบาล) สถาบันอุดมศึกษาที่จัดตั้งโดยรัฐบาล
|
thaiwikipedia
| 2,095 |
วิทยาศาสตร์สุขภาพ
|
วิทยาศาสตร์สุขภาพ คือ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ วิทยาศาสตร์สุขภาพสามารถแบ่งออกได้ 2 ส่วน ส่วนแรก คือ การศึกษา วิจัย และความรู้ที่เกี่ยวกับสุขภาพ ส่วนที่ 2 คือ การนำความรู้ดังกล่าวมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาสุขภาพ, รักษาโรค และทำความเข้าใจการทำงานของร่างกายมนุษย์และสัตว์ งานวิจัยด้านนี้วางอยู่บนฐานของชีววิทยา, เคมี และฟิสิกส์ รวมไปถึงความรู้ด้านสังคมศาสตร์ เช่น สังคมวิทยาการแพทย์
== สาขาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ ==
=== การแพทย์แผนตะวันตก ===
กายภาพบำบัด
กิจกรรมบำบัด
จิตวิทยาคลินิก
ทันตแพทยศาสตร์
ไคโรแพรคติกแพทย์
ทัศนมาตรศาสตร์
เทคนิคการแพทย์
เทคนิคการสัตวแพทย์
เทคโนโลยีหัวใจและทรวงอก
พยาบาลศาสตร์
แพทยศาสตร์
เภสัชศาสตร์
โภชนศาสตร์
สัตวแพทยศาสตร์
สาธารณสุขศาสตร์
วิทยาศาสตร์การแพทย์
รังสีเทคนิค
การส่งเสริมสุขภาพ
สังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์
สารสนเทศการแพทย์
=== การแพทย์ทางเลือก ===
การแพทย์แผนไทย
การแพทย์แผนไทยประยุกต์
ชี่กง
ดนตรีบำบัด
ธรรมชาติบำบัด
วารีบำบัด
สมาธิ
สมุนไพร
สีบำบัด
ดุลยภาพบำบัด
การแพทย์แผนจีน
== ดูเพิ่ม ==
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ
|
thaiwikipedia
| 2,096 |
กาเฟอีน
|
กาเฟอีน (caféine) เป็นสารแซนทีนอัลคาลอยด์ ซึ่งสามารถพบได้ในอาหารหลายชนิดได้แก่ เมล็ดกาแฟ, ชา, โคล่า กาเฟอีนถือว่าเป็นยากำจัดศัตรูพืชโดยธรรมชาติ เพราะมันออกฤทธิ์ทำให้อัมพาต และสามารถฆ่าแมลงบางชนิดได้ กาเฟอีนยังมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลดความง่วงได้ เครื่องดื่มหลายชนิดมีกาเฟอีนเป็นส่วนผสม เช่นในกาแฟ น้ำชา น้ำอัดลม รวมทั้งเครื่องดื่มชูกำลัง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นประสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก
== แหล่งของกาเฟอีน ==
เมล็ดกาแฟจัดเป็นพืชที่เป็นแหล่งของกาเฟอีนที่ใหญ่ที่สุด ปริมาณกาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสองประการ คือชนิดของเมล็ดกาแฟที่เป็นแหล่งผลิต และกรรมวิธีในการเตรียมกาแฟ เช่น เมล็ดกาแฟที่คั่วจนเป็นสีเข้มจะมีปริมาณกาเฟอีนน้อยกว่าเมล็ดที่คั่วไม่นาน เนื่องจากกาเฟอีนสามารถสลายตัวไปได้ระหว่างการคั่ว และกาแฟพันธุ์อาราบิกาจะมีปริมาณกาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟพันธุ์โรบัสตา เป็นต้น โดยทั่วไปกาแฟเอสเปรสโซจากเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิกาจะมีกาเฟอีนประมาณ 40 มิลลิกรัม นอกจากนี้ในเมล็ดกาแฟยังพบอนุพันธ์ของกาเฟอีน คือธีโอฟิลลีน (Theophyllin) ในปริมาณเล็กน้อยอีกด้วย
ใบชายังเป็นแหล่งของกาเฟอีนที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่ง พบว่าจะมีกาเฟอีนมากกว่ากาแฟในปริมาณเดียวกัน แต่วิธีชงดื่มของชานั้น ทำให้ปริมาณกาเฟอีนลดลงไปมาก แต่ชาจะมีปริมาณของธีโอฟิลลีนอยู่มาก และพบอนุพันธ์อีกชนิดของกาเฟอีน คือธีโอโบรมีน (Theobromine) อยู่เล็กน้อยด้วย ชนิดของใบชาและกระบวนวิธีการเตรียมก็เป็นปัจจัยสำคัญของกาเฟอีนในน้ำชาเช่นเดียวกับในกาแฟ เช่นในชาแดงและชาอูหลงจะมีกาเฟอีนมากกว่าในชาชนิดอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม สีของน้ำชาไม่ได้เป็นลักษณะบ่งชี้ถึงปริมาณกาเฟอีนในน้ำชา เช่นในชาเขียวญี่ปุ่นซึ่งจะมีปริมาณกาเฟอีนสูงกว่าชาแดงบางชนิด
ช็อคโกแลตซึ่งผลิตมาจากเมล็ดโกโก้ก็เป็นแหล่งของกาเฟอีนเช่นเดียวกัน แต่ในปริมาณที่น้อยกว่าเมล็ดกาแฟและใบชา แต่เนื่องจากในเมล็ดโกโก้มีสารธีโอฟิลลีนและธีโอโบรมีนอยู่มาก จึงมีฤทธิ์อ่อน ๆ ในการกระตุ้นประสาท อย่างไรก็ตาม ปริมาณของสารดังกล่าวนี้ก็ยังน้อยเกินไปที่จะให้เกิดผลกระตุ้นประสาทเช่นเดียวกับกาแฟในปริมาณที่เท่ากัน
น้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังเป็นเครื่องดื่มที่พบกาเฟอีนได้มากเช่นเดียวกัน น้ำอัดลมทั่วไปจะมีกาเฟอีนประมาณ 10–50 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ขณะที่เครื่องดื่มชูกำลัง เช่นกระทิงแดง จะมีกาเฟอีนอยู่มากถึง 80 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค กาเฟอีนที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มเหล่านี้อาจมาจากพืชที่เป็นแหล่งผลิต แต่ส่วนใหญ่จะได้จากกาเฟอีนที่สกัดออกระหว่างการผลิตกาแฟพร่องกาเฟอีน (decaffeinated coffee)
== สถานะทางเคมี ==
กาเฟอีน เป็นสารอัลคาลอยด์ซึ่งจัดอยู่ในตระกูลเมทิลแซนทีน ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกันกับสารประกอบธีโอฟิลลีน และ ธีโอโบรมีน ในสถานะบริสุทธิ์ จะมีสีขาวเป็นผง และมีรสขมจัด สูตรทางเคมีคือ C8H10N4O2
== เมแทบอลิซึมและเภสัชวิทยา ==
กาเฟอีนจัดเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและเมแทบอลิซึมหรือกลไกการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายเพื่อลดความง่วง ความเหนื่อยล้า และจะส่งผลกระตุ้นเส้นประสาท โดยมีการปล่อยโปแตสเซียมและแคลเซียม เข้าสู่เซลล์ประสาท เพิ่มการตื่นตัวของร่างกาย โดยในระบบประสาท กาเฟอีนจะไปกระตุ้นการทำงานในระดับสูงของสมอง เพื่อเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ทำให้กลไกการคิดรวดเร็วและมีสมาธิมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ร่างกายมีกระบวนการต่าง ๆ ในการแปรรูปกาเฟอีนที่ได้รับมาเป็นสารอนุพันธ์ชนิดอื่นซึ่งมีฤทธิ์ต่าง ๆ กัน ซึ่งกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป
=== เมแทบอลิซึม ===
กาเฟอีนจะถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กภายใน 45 นาทีหลังจากการบริโภค หลังจากนั้นจะถูกนำเข้ากระแสเลือดและลำเลียงไปทั่วร่างกาย ครึ่งชีวิตของกาเฟอีนในร่างกาย หรือเวลาที่ร่างกายใช้ในการกำจัดกาเฟอีนในปริมาณครึ่งหนึ่งของที่บริโภค จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลโดยมีปัจจัยต่าง ๆ เช่นอายุ ระดับการทำงานของตับ ภาวะตั้งครรภ์และการใช้ยาอื่นร่วมด้วย ในผู้ใหญ่ปกติจะมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนประมาณ 3–4 ชั่วโมง ในขณะที่หญิงที่ทานยาคุมกำเนิดและหญิงตั้งครรภ์อาจมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนประมาณ 5–10 ชั่วโมง และ 9–11 ชั่วโมง ตามลำดับ ในผู้ป่วยโรคตับระยะรุนแรง อาจมีการสะสมของกาเฟอีนในร่างกายได้นานถึง 96 ชั่วโมง สำหรับในทารกและเด็กจะมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนที่นานกว่าผู้ใหญ่ พบว่าในทารกแรกเกิดจะมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนประมาณ 30 ชั่วโมง
กาเฟอีนจะถูกเปลี่ยนแปลงสภาพที่ตับ โดยอาศัยการทำงานของเอนไซม์ ไซโตโครม พี 450 ออกซิเดส (Cytochrome P450 oxidase) ซึ่งเอนไซม์นี้จะเปลี่ยนกาเฟอีนให้เป็นอนุพันธ์สามชนิด คือ
พาราแซนทีน (Paraxanthine) มีผลในการสลายไขมัน เพิ่มปริมาณของกลีเซอรอลและกรดไขมันในกระแสเลือด
ธีโอโบรมีน (Theobromine) มีผลในการขยายหลอดเลือด และเพิ่มปริมาณของปัสสาวะ
ธีโอฟิลลีน (Theophylline) มีผลทำให้กล้ามเนื้อเรียบที่อยู่ล้อมรอบหลอดลมปอดคลายตัว จึงทำให้หลอดลมขยายตัวมากขึ้น
อนุพันธ์ทั้งสามชนิดนี้จะถูกแปรสภาพต่อไป และขับออกทางปัสสาวะในที่สุด
=== การออกฤทธิ์ ===
เนื่องจากกาเฟอีนเป็นสารในกลุ่มแซนทีนแอลคาลอยด์ที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับอะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งในสมอง โมเลกุลของกาเฟอีนจึงสามารถจับกับตัวรับอะดีโนซีน (adenosine receptor) ในสมองและยับยั้งการทำงานของอะดีโนซีนได้ ผลโดยรวมคือทำให้มีการเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทโดปามีน (dopamine) ซึ่งทำให้สมองเกิดการตื่นตัว นอกจากนี้พบว่าอาจจะมีการเพิ่มปริมาณของซีโรโทนิน (serotonin) ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ของผู้บริโภค ทำให้รู้สึกพึงพอใจและมีความสุขมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กาเฟอีนมิได้ลดความต้องการนอนหลับของสมอง เพียงแต่ลดความรู้สึกเหนื่อยล้าลงเท่านั้น
อย่างไรก็ดี สมองจะมีการตอบสนองต่อกาเฟอีนโดยการเพิ่มปริมาณของตัวรับอะดีโนซีน ทำให้ฤทธิ์ของกาเฟอีนในการบริโภคครั้งต่อไปลดลง เราเรียกภาวะนี้ว่าภาวะทนต่อกาเฟอีน (caffeine tolerance) และทำให้ผู้บริโภคต้องการกาเฟอีนมากขึ้นเพื่อให้เกิดผลต่อร่างกาย ผลอีกประการที่เกิดจากการที่สมองเพิ่มปริมาณของตัวรับอะดีโนซีน นั่นคือทำให้ร่างกายไวต่อปริมาณอะดีโนซีนที่ผลิตตามปกติมากขึ้นเมื่อหยุดการบริโภคกาเฟอีนในทันที จะทำให้เกิดผลข้างเคียงคืออาการปวดศีรษะและรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายตอบสนองต่ออะดีโนซีนมากเกินไปนั่นเอง นอกจากนี้ ในผู้ที่หยุดบริโภคกาเฟอีนจะทำให้ปริมาณของโดปามีนและซีโรโทนินลดลงในทันที ส่งผลให้สูญเสียสมาธิและความตั้งใจ รวมทั้งอาจเกิดอาการซึมเศร้าอย่างอ่อน ๆ ได้ อาการดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นประมาณ 12–24 ชั่วโมงหลังจากการหยุดบริโภคกาเฟอีน แต่จะหายไปได้เองภายใน 2–3 วัน อาการของการอดกาเฟอีนดังกล่าวสามารถบรรเทาได้โดยการใช้ยาแอสไพริน หรือการได้รับกาเฟอีนในปริมาณน้อย
== ภาวะเสพติดกาเฟอีน และภาวะพิษกาเฟอีน ==
การบริโภคกาเฟอีนปริมาณมากเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะเสพติดกาเฟอีน (caffeinism) ซึ่งจะปรากฏอาการต่าง ๆ ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ เช่น กระสับกระส่าย วิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับ ใจสั่น เป็นต้น นอกจากนี้การบริโภคกาเฟอีนเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กอักเสบ และโรคน้ำย่อยไหลย้อนกลับ (gastroesophageal reflux disease)
ในผู้ที่บริโภคกาเฟอีนปริมาณมาก ๆ ในเวลาเดียว (มากกว่า 400 มิลลิกรัม) อาจทำให้ระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นมากเกินไป ภาวะนี้เรียกว่าภาวะพิษกาเฟอีน (caffeine intoxication) ซึ่งจะทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ความคิดและการพูดสับสน หน้าแดง ปัสสาวะมากผิดปกติ ปวดท้อง หัวใจเต้นแรง ในกรณีที่ได้รับในปริมาณสูงมาก (150–200 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม) อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้การรักษาผู้ที่เกิดภาวะพิษกาเฟอีนโดยทั่วไปจะเป็นการรักษาตามอาการที่เกิด แต่หากผู้ป่วยมีปริมาณกาเฟอีนในเลือดสูงมาก อาจต้องได้รับการล้างท้องหรือฟอกเลือด
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
จิตรา เศรษฐอุดม (กันยายน–ธันวาคม 2555). "การบริหารจัดการความเสี่ยงอาหารที่มีหรือผสมกาเฟอีน". วารสารอาหารและยา. ปีที่ 19 ฉบับที่ 3. หน้า 46–57. .
"กาแฟให้อะไรกับคุณบ้าง". นิตยสารใกล้หมอ. มกราคม 2553. .
สารก่อมะเร็งกลุ่ม 3 โดย IARC
กาแฟ
แอลคาลอยด์จากพืช
แซนทีน
สารกระตุ้น
|
thaiwikipedia
| 2,097 |
อะคริลาไมด์
|
อะคริลาไมด์ (อังกฤษ: Acrylamide) เป็นสารเคมีที่เกิดขึ้นในอาหารประเภทอบกรอบ ทอด ปิ้ง คั่วทั้งหลาย รวมทั้งกาแฟด้วย. เชื่อกันว่าอะคริลาไมด์เป็นสารก่อมะเร็ง
สารเคมีชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันครั้งแรกในปี 2002 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน ในการลดปริมาณ อะคริลาไมด์ในอาหาร คือไม่ควรทอดอาหารนานเกินไป ลดอุณหภูมิในการอบและการทอด อย่าให้เค้กหรือบิสกิตเป็นสีน้ำตาลเข้ม เพราะจากการทดสอบขององค์กรผู้บริโภคในเยอรมนีพบว่า ยิ่งขนมปังเกรียมมากเท่าไหร่ ปริมาณอะคริลาไมด์ก็มากขึ้นเท่านั้น
อย.เผยข้อมูลเกี่ยวกับสารอะคริลาไมด์ หลังจากสวีเดนและอังกฤษค้นพบสาเหตุของการเกิดสารนี้ ยืนยัน อาหารที่มักพบสารอะคริลาไมด์ในปริมาณสูง เป็นอาหารที่ได้รับความร้อนสูงและเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอาหารที่เป็นแผ่นบาง ทอด เนื่องจากมีพื้นผิวที่สัมผัสความร้อนมากกว่า แนะ ผู้บริโภคไม่ควรปรุงอาหารโดยใช้ความร้อนสูงหรือนานเกินไป อีกทั้งให้เด็กลดของทอดและมัน เพราะมีโอกาสได้รับสารนี้มากกว่าผู้ใหญ่ 2-3 เท่า
น.พ.วิชัย โชควิวัฒน เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยถึงข่าวกรณีที่นักวิทยาศาสตร์สวีเดน ค้นพบกระบวนการเกิดสารอะคริลาไมด์ (Acrylamide) ในอาหาร ว่าเกิดจากปฏิกิริยาเมลลาร์ด (Maillard Reaction) นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ขอรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องสารอะคริลาไมด์ ดังนี้
1. ผลการตรวจสารอะคริลาไมด์ในอาหาร
ประเทศสวีเดนและสหราชอาณาจักรได้รายงานผลการตรวจสารอะคริลาไมด์ในอาหารชนิดต่างๆเพิ่มเติม รายละเอียดตามตารางที่แนบ ผลการตรวจทั้งสองรายการนี้ยืนยันว่า
1.1 อาหารที่ได้รับความร้อนสูง และเป็นเวลานาน มักพบสารอะคริลาไมด์ในปริมาณที่สูงกว่า เช่น มันหั่นทอดที่ทอดจนเกรียม พบปริมาณสูงถึง 12,800 พีพีบี
1.2 มีข้อสังเกตด้วยว่า อาหารที่เป็นแผ่นบาง ทอด มีโอกาสพบสารอะคริลาไมด์ในปริมาณสูง ซึ่งอาจเนื่องจากมีพื้นผิวที่สัมผัสกับความร้อนมากกว่า
2. ข้อมูลเกี่ยวกับปฏิกิริยาเมลลาร์ด
ปฏิกิริยาเมลลาร์ด คือ ปฏิกิริยาระหว่างกรดอะมิโนกับน้ำตาล โดยมีความร้อนสูงตั้งแต่ 100 ซ. หรือ 212 0ฟ. โดยประมาณ เป็นตัวเร่ง ในกรณีของการเกิดสารอะคริลาไมด์นี้ เกิดขึ้นจากกรดอะมิโนคือ แอสพาราจีน (Asparagine) ซึ่งมีในโปรตีนจากพืช เช่น มันฝรั่ง ธัญพืช ไปทำปฏิกิริยากับน้ำตาล เกิดสารแอมโมเนียขึ้น สารแอมโมเนียนี้สามารถทำปฏิกิริยาต่อกับกรดอะคริลิก (Acrylic acid) จนเกิดเป็นสารอะคริลาไมด์ ทั้งนี้กรดอะคริลิกเกิดมาจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation)ของอะโครลีน (Acrolein) ซึ่งมาจากกรดไขมันไม่อิ่มตัว กลีเซอรอล (Glycerol) และกรดอะมิโนเมไธโอนีน (Methionine)
3. ความสัมพันธ์กับการก่อเกิดมะเร็ง
เนื่องจากยังไม่พบอุบัติการณ์ของมะเร็งเพิ่มขึ้นในคนที่สัมผัสกับสารอะคริลาไมด์เป็นระยะเวลานาน แต่พบว่า สามารถก่อมะเร็งได้ในหนูทดลอง (Rat) นักวิทยาศาสตร์จึงจัดให้สารอะคริลาไมด์อยู่ในระดับที่มีความเป็นไปได้สูงในการก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ (Group 2A-Probable human carcinogen)
[ระดับ 1 เกิดมะเร็งในมนุษย์ได้อย่างแน่นอน (Known human carcinogen) ระดับ 2A มีความเป็นไปได้สูงในการก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ (Probable human carcinogen) ระดับ 2B มีความเป็นไปได้ในการก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ (Possible human carcinogen) ระดับ 3 ไม่จัดเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ (Not classifiable for human carcinogenicity) ระดับ 4 มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ (Probably not carcinogenic to humans)]
นอกจากนี้ยังพบว่ากลัยซิดาไมด์ (Glycidamide) ซึ่งเป็นเมทาบอไลต์ของสารอะคริบาไมด์เป็นอีกตัวหนึ่งที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ได้ เนื่องจากพบว่าสามารถก่อมะเร็งได้ในหนูทดลอง (Rat) และสามารถก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ได้ในเซลล์ร่างกาย (Somatic cell) ของมนุษย์จากการทดลองในเซลล์เพาะเลี้ยง อย่างไรก็ตามในกระบวนการปกติของร่างกายมนุษย์สามารถกำจัดกลัยซิดาไมด์ได้โดยการจับของกลูตาไธโอน (Glutathione conjugation) หรือ กระบวนการไฮโดรไลซิส (Hydrolysis)
4. ข้อแนะนำสำหรับประชาชน ยังเป็นข้อแนะนำเดิมคือ
1) ไม่ควรปรุงอาหารโดยใช้ความร้อนสูงเกินไป หรือนานเกินไป อย่างไรก็ดี อาหารทุกชนิดโดยเฉพาะเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ต้องปรุงให้สุก เพื่อกำจัดเชื้อโรค
2) ควรบริโภคอาหารให้ครบทุกหมู่อย่างได้สมดุลกัน ไม่ควรรับประทานอาหารทอดหรือไขมันมากเกินไป
3) เด็กมีโอกาสได้รับสารอะคริลาไมด์ในปริมาณต่อน้ำหนักตัวมากกว่าผู้ใหญ่ราว 2-3 เท่า จึงควรลดอาหารประเภทของทอดและอาหารมันลง โดยเฉพาะเด็กที่ชอบอาหารประเภทนี้
การค้นพบว่าสารอะคริลาไมด์เกิดจากปฏิกิริยาเมลลาร์ดนับเป็นข่าวดีที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถหาวิธีควบคุมการเกิดสารนี้ได้ในอนาคต
สารเคมี
|
thaiwikipedia
| 2,098 |
อำเภอหลังสวน
|
หลังสวน เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดชุมพร ในอดีตเคยเป็นอำเภอขันเงิน จังหวัดหลังสวน
== ที่ตั้งและอาณาเขต ==
อำเภอหลังสวนตั้งอยู่ทางตอนล่างของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอทุ่งตะโก
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอ่าวไทย
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอละแม
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอพะโต๊ะ อำเภอละอุ่น (จังหวัดระนอง) และอำเภอสวี
== ประวัติศาสตร์ ==
ลุ่มน้ำหลังสวนเป็นแหล่งที่มนุษย์เข้ามาอาศัยตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะที่อำเภอพะโต๊ะได้พบหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญคือ เครื่องมือหินขัดประเภทขวาน แต่เนื่องจากแม่น้ำหลังสวนเป็นแม่น้ำสายสั้น ๆ และมีที่ราบลุ่มน้อย ชุมชนในบริเวณดังกล่าวจึงไม่อาจจะพัฒนาเป็นชุมชนเกษตรกรรมขนาดใหญ่เหมือนเมืองชุมพร ไชยา นครศรีธรรมราช และพัทลุงได้ บทบาทของเมืองหลังสวนในระยะเริ่มแรกจึงเป็นเพียงชุมชนท่าเรือข้ามคาบมหาสมุทร และหมู่บ้านเกษตรกรรมขนาดเล็ก ดังนั้นจึงต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของศูนย์อำนาจการปกครองท้องถิ่นที่มีอำนาจมากกว่าคือ เมืองชุมพร ตลอดมา
หลังสวนเป็นหัวเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งในแหลมมลายู เคยได้รับการยกฐานะเป็นหัวเมืองจัตวาขึ้นต่อกรุงเทพมหานครโดยตรงในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 ครั้นเมื่อจัดตั้งมณฑลชุมพรในปี พ.ศ. 2439 หลังสวนจึงเป็นจังหวัดหนึ่งของมณฑลชุมพร และภายหลังได้ยุบจังหวัดหลังสวนลงเป็นอำเภอหลังสวนขึ้นกับจังหวัดชุมพร ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2475 ตราบเท่าทุกวันนี้
== ที่มาของชื่อ ==
เนื่องจากหลังสวนเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งมาตั้งแต่สมัยโบราณ ชื่อที่เรียกจึงยากที่จะหาหลักฐานได้ว่ามีที่มาอย่างไร แต่เนื่องจากหลังสวนเป็นเมืองที่มีผลไม้มากจนกลายเป็นสินค้าสำคัญของเมืองนี้ ดังนั้น กระทรวงคมนาคมจึงได้สันนิษฐานในปี พ.ศ. 2459 ว่า คำว่า “หลังสวน“ น่าจะเพี้ยนมากจากคำว่า “รังสวน” หรือ “คลังสวน” ซึ่งหมายถึงแหล่งหรือที่รวมของผลไม้ทุกชนิดนั่นเอง
เมื่อครั้งที่พระยาอุปกิตศิลปสารเดินทางไปตรวจราชการที่เมืองหลังสวน ก็ได้สันนิษฐานเกี่ยวกับที่มาของคำว่า “หลังสวน” ไว้ดังนี้
“…คำว่าหลังสวน จะผิดหรือถูกขอฝากไว้ในที่นี้ด้วยคือ ริมฝั่งทั้งสองของแม่น้ำ ไม่เห็นมีบ้านเรือนอย่างแม่น้ำเรา มีแต่สวนครึ้มทั้งสองฟาก มีแต่ทางขึ้นลงจากแม่น้ำเท่านั้น ถามผู้แจวเรือว่า แถวนี้ไม่มีบ้านดอกหรือ เขาตอบว่า มี แต่อยู่หลังสวนขึ้นไป ภายหลังข้าพเจ้าไปเที่ยวตามบ้านเหล่านั้น ก็ได้เห็นจริงตามที่เขาพูด จึงสันนิษฐานว่า “เมืองหลังสวน” คงมาจากเค้าที่บ้านเมืองอยู่ข้างหลังสวนลึกเข้าไป…”
== การแบ่งเขตการปกครอง ==
=== การปกครองส่วนภูมิภาค ===
อำเภอหลังสวนแบ่งเขตการปกครองย่อยเป็น 13 ตำบล 140 หมู่บ้าน ได้แก่
=== การปกครองส่วนท้องถิ่น ===
ท้องที่อำเภอหลังสวนประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 12 แห่ง ได้แก่
เทศบาลเมืองหลังสวน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหลังสวนและตำบลขันเงินทั้งตำบล รวมทั้งบางส่วนของตำบลพ้อแดง ตำบลแหลมทราย และตำบลวังตะกอ
เทศบาลตำบลปากน้ำหลังสวน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลปากน้ำทั้งตำบล
เทศบาลตำบลวังตะกอ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลวังตะกอ (นอกเขตเทศบาลเมืองหลังสวน)
เทศบาลตำบลท่ามะพลา ครอบคลุมพื้นที่ตำบลท่ามะพลาทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลนาขา ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาขาทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลนาพญา ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาพญาทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านควน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบ้านควนทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลบางมะพร้าว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางมะพร้าวทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำจืด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางน้ำจืดทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลพ้อแดง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลพ้อแดง (นอกเขตเทศบาลเมืองหลังสวน)
องค์การบริหารส่วนตำบลแหลมทราย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแหลมทราย (เฉพาะนอกเขตเทศบาลเมืองหลังสวน)
องค์การบริหารส่วนตำบลหาดยาย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหาดยายทั้งตำบล
== อ้างอิง ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
เทศบาลเมืองหลังสวน
สถานีวิทยุกระจายเสียง อ.ส.ม.ท. อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
แนะนำข้อมูลท่องเที่ยวปากน้ำหลังสวน ชุมพร
เดินทางโดยรถไฟขบวน หลังสวน-ธนบุรี
เดินทางโดยรถโดยสารปรับอากาศ กรุงเทพฯ-หลังสวน
หลังสวน
|
thaiwikipedia
| 2,099 |
อำเภอลำดวน
|
ลำดวน เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์ เดิมมีฐานะเป็นอำเภอชื่อว่า "อำเภอสุรพินท์" ก่อนที่จะยุบลงในปี พ.ศ. 2455 และจัดตั้งเป็นกิ่งอำเภอใหม่ในชื่อ "กิ่งอำเภอลำดวน" และยกฐานะเป็นอำเภอลำดวน ในเวลาต่อมา
== ประวัติ ==
อำเภอลำดวน จังหวัดสุรินทร์ มีความเจริญรุ่งเรือง เป็นเมืองหนึ่งในอดีตกาล ซึ่งยังปรากฏหลักฐานให้เห็น คือ ซากกำแพงเมืองสร้างด้วยดินมูล มีคูคลองล้อมรอบ มีปูชนียสถานและโบราณวัตถุปรากฏอยู่ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมยกบ้านลำดวนขึ้นเป็นเมือง พระราชทานนามว่า “เมืองสุรพินทนิคม”
รายนามเจ้าเมืองสุรพินทนิคม
พ.ศ. 2414 : พระสุรพินทนิคมานุรักษ์ (พระไชยณรงค์ภักดี นาก)
พ.ศ. 2416 : พระสุรพินทนิคมานุรักษ์ (หลวงพิทักษ์สุนทร)
พ.ศ. 2434 : พระสุรพินทนิคมานุรักษ์ (ปราง) : บุตรของพระยาสุรินทร์ภักดีศรีไผทสมันต์ (ม่วง)
พ.ศ. 2439 : พระสุรพิทยานิคมมานุรักษ์ (เสรียบ)
ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงแผนวิธีการปกครองทั่วราชอาณาจักรขึ้นใหม่ เมืองสุรพินทนิคมจึงเปลี่ยนเป็นอำเภอเรียกว่า อำเภอสุรพินท์ และต่อมาได้ถูกลดฐานะให้เป็นตำบลชื่อว่าตำบลลำดวน และรวมเข้ากับพื้นที่ในอำเภอศีขรภูมิ ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2455 ก่อนที่ 5 ปีต่อมาท้องที่ตำบลลำดวน อำเภอศีขรภูมิ ได้โอนมาขึ้นกับอำเภอสังขะแทน
วันที่ 28 กรกฎาคม 2455 ยกเลิกอำเภอสุรพินท์ ไปรวมเข้ากับอำเภอศีขรภูมิ
วันที่ 11 เมษายน 2510 ตั้งตำบลโชคเหนือ แยกออกจากตำบลลำดวน (ในท้องที่ของอำเภอสังขะ)
วันที่ 18 มกราคม 2520 แยกพื้นที่ตำบลลำดวน และตำบลโชคเหนือ อำเภอสังขะ ไปตั้งเป็น กิ่งอำเภอลำดวน ขึ้นกับอำเภอสังขะ
วันที่ 19 สิงหาคม 2523 ตั้งตำบลอู่โลก แยกออกจากตำบลลำดวน ตั้งตำบลตรำดม แยกออกจากตำบลโชคเหนือ
วันที่ 31 กรกฎาคม 2530 ตั้งตำบลตระเปียงเตีย แยกออกจากตำบลโชคเหนือ
วันที่ 15 กรกฎาคม 2532 จัดตั้งสุขาภิบาลลำดวนสุรพินท์ ในท้องที่บางส่วนของตำบลลำดวน และตำบลตรำดม
วันที่ 19 มิถุนายน 2534 ยกฐานะกิ่งอำเภอลำดวน อำเภอสังขะ เป็น อำเภอลำดวน
วันที่ 25 พฤษภาคม 2542 ยกฐานะจากสุขาภิบาลลำดวนสุรพินท์ เป็นเทศบาลตำบลลำดวนสุรพินท์ ด้วยผลของกฎหมาย
== ที่ตั้งและอาณาเขต ==
อำเภอลำดวนตั้งอยู่ทางตอนกลาง ค่อนไปทางทิศใต้ของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอศีขรภูมิ
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอศรีณรงค์
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอสังขะและอำเภอปราสาท
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอปราสาทและอำเภอเมืองสุรินทร์
== การแบ่งเขตการปกครอง ==
=== การปกครองส่วนภูมิภาค ===
อำเภอลำดวนแบ่งเขตการปกครองย่อยเป็น 5 ตำบล 51 หมู่บ้าน ได้แก่
{|
|-
|| 1.||||ลำดวน|||||||| (Lamduan)||||||||11 หมู่บ้าน||
|-
|| 2.||||โชคเหนือ|||||||| (Chok Nuea)||||||||9 หมู่บ้าน||
|-
|| 3.||||อู่โลก|||||||| (U Lok)||||||||11 หมู่บ้าน||
|-
|| 4.||||ตรำดม|||||||| (Tram Dom)||||||||10 หมู่บ้าน||
|-
|| 5.||||ตระเปียงเตีย|||||||| (Trapiang Tia)||||||||10 หมู่บ้าน||
|}
=== การปกครองส่วนท้องถิ่น ===
ท้องที่อำเภอลำดวนประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 6 แห่ง ได้แก่
เทศบาลตำบลลำดวนสุรพินท์ ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลลำดวน และบางส่วนของตำบลตรำดม
องค์การบริหารส่วนตำบลลำดวน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลลำดวน (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลลำดวนสุรพินท์)
องค์การบริหารส่วนตำบลโชคเหนือ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลโชคเหนือทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลอู่โลก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลอู่โลกทั้งตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลตรำดม ครอบคลุมพื้นที่ตำบลตรำดม (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลลำดวนสุรพินท์)
องค์การบริหารส่วนตำบลตระเปียงเตีย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลตระเปียงเตียทั้งตำบล
== การคมนาคม ==
การเดินทางจากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ผ่านจังหวัดปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา แล้วแยกเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ผ่านจังหวัดสระบุรี นครราชสีมา แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 24 ผ่านจังหวัดบุรีรัมย์ แยกซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 214 (ตรงแยกอำเภอปราสาท) เข้าเมืองสุรินทร์ใช้ทางหลวงหมายเลข 2077 เข้าสู่อำเภอลำดวน ระยะทาง 26 กม.
ระยะทางจากอำเภอลำดวนสู่อำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดสุรินทร์
อ.ชุมพลบุรี ระยะทาง 110 กม.
อ.พนมดงรัก ระยะทาง 81 กม.
อ.ท่าตูม ระยะทาง 79 กม.
อ.รัตนบุรี ระยะทาง 77 กม.
อ.สนม ระยะทาง 69 กม.
อ.โนนนารายณ์ ระยะทาง 68 กม.
อ.จอมพระ ระยะทาง 53 กม.
อ.สำโรงทาบ ระยะทาง 53 กม.
อ.บัวเชด ระยะทาง 51 กม.
อ.เขวาสินรินทร์ ระยะทาง 49 กม.
อ.ปราสาท ระยะทาง 45 กม.
อ.กาบเชิง ระยะทาง 36 กม.
อ.ศรีณรงค์ ระยะทาง 32 กม.
อ.ศรีขรภูมิ ระยะทาง 32 กม.
อ.เมืองสุรินทร์ ระยะทาง 26 กม.
อ.สังขะ ระยะทาง 25 กม.
== สถานที่ท่องเที่ยว ==
ไฟล์:Citylamduan.jpg|ศาลหลักเมืองลำดวน
ไฟล์:Walllamduancity.jpg|กำแพงเมือง-คูเมือง
ไฟล์:Pine Lamduan.jpg|วนอุทยานป่าสนสองใบหนองคู
ไฟล์:Pagoda Lamduan.jpg|เจดีย์ลำดวน
ชุมชนโบราณเมืองสุรพินทนิคม
ปราสาทตระเปียงเตีย
บัลลังก์ตระเปียงกู
เจดีย์ลำดวน
วนอุทยานป่าสนสองใบหนองคู
== อ้างอิง ==
ลำดวน
|
thaiwikipedia
| 2,100 |
14 มิถุนายน
|
วันที่ 14 มิถุนายน เป็นวันที่ 165 ของปี (วันที่ 166 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 200 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 2318 (ค.ศ. 1775) - สภาภาคพื้นทวีป (Continental Congress) มีมติให้จัดตั้งกองทัพภาคพื้นทวีปขึ้น และแต่งตั้งให้ประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด
พ.ศ. 2320 (ค.ศ. 1777) - สภาภาคพื้นทวีปเริ่มใช้ธงชาติสหรัฐอเมริกา ที่ประกอบด้วยแถบสีและดวงดาว
พ.ศ. 2365 (ค.ศ. 1822) - ชาลส์ แบบเบจ เสนอแบบเครื่องผลต่าง (difference engine) ต่อราชสมาคมดาราศาสตร์
พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) - ปารีสตกอยู่ภายใต้การยึดครองของนาซีเยอรมัน
พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) - อันเนอ ฟรังค์ เริ่มต้นเขียนไดอารีของเธอ
พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - ผู้ก่อการร้ายชาวเลบานอนและกลุ่มฮิซบุลลอหฺจี้เครื่องบินของสายการบิน Trans-World จากกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซไปลงที่กรุงเบรุต ประเทศเลบานอน ชาวสหรัฐ 1 คนและกัปตันชาวสหรัฐถูกสังหาร
พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - ลี คยุงยุน สร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์โลกรุ่น 105 ปอนด์ คนแรกของโลกในวันนี้เมื่อชิงแชมป์โลกรุ่นมินิฟลายเวท IBF ที่ว่างชนะน็อค มาซาฮารุ คาวาคามิ ยก 2 ที่เกาหลีใต้
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2279 (ค.ศ. 1736) - ชาลส์-ออกัสติน เดอ คูลอมบ์ นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส (ถึงแก่กรรม 23 สิงหาคม พ.ศ. 2349)
พ.ศ. 2354 (ค.ศ. 1811) - แฮเรียต บีเชอร์ สโตว์ นักประพันธ์ชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2439)
พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) - เช เกวารา นักปฏิวัติชาวอาร์เจนตินา (ถึงแก่กรรม 9 ตุลาคม พ.ศ. 2510)
พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - ดอนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 นักธุรกิจ, พิธีกรรายการโทรทัศน์ และนักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) - ฮิโระชิ มิยะอุชิ นักแสดงชายชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) - เกริกกำพล ประถมปัทมะ อดีตสมาชิกวงเพรสซิเดนท์
พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) - สนธิ สมมาตร นักร้องเพลงลูกทุ่งชายชาวไทย
พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) - วิล แพ็ทตัน นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) - ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) - ศิริโชค โสภา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา
พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) - สเตฟฟี กราฟ นักเทนนิสชาวเยอรมัน
พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) - อชิตะ ปราโมช ณ อยุธยา นักร้อง นักแสดง นายแบบ ชายชาวไทย
พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) - ธนพร แวกประยูร นักร้องหญิงชาวไทย
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - ภราดร ศรีชาพันธุ์ นักเทนนิสชายชาวไทย
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) - โทนี่ ผี นักร้อง นักดนตรีและนักแต่งเพลงชาวไทย
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - ฟาบิโอ ปินก้า นักมวย
พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - วัชรวีร์ วิวัชรวงศ์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสุจาริณี วิวัชรวงศ์
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - โกชิ โอคุโบะ นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) -
* เจ้าหญิงซัลฮา บินต์ อาซิม เจ้าหญิงแห่งฮัชไมต์จอร์แดน
* โมฮาเหม็ด ดียาเม นักฟุตบอลอาชีพชายชาวฝรั่งเศส
* ยูล์ โยเอส สตีเฟน บากา นักฟุตบอลชาวแคเมอรูน
พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - แอนโธนี อำไพพิทักษ์วงศ์ นักฟุตบอลชาวไทยลูกครึ่งอเมริกัน
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) -
* พิมพ์ทอง วชิราคม นักร้องและนักแสดงหญิงชาวไทย
* ยูกิ อิตาโนะ อดีตนางเอกเอวีที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น
*ดาริล ซาบาร่า นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - แทอิล นักร้องชาวเกาหลีใต้วงเอ็นซีที,เอ็นซีทียู,เอ็นซีที 127
พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - ไทชิ นากางาวะ นักแสดงและนายแบบชาวญี่ปุ่น
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - โจว จื่อ-ยฺหวี นักร้องชาวไต้หวันวงทไวซ์
พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - เพชร คฑาวุธ นักร้องชายชาวไทย
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1836) - แมกซิม กอร์กี นักประพันธ์ชาวรัสเซีย (เกิด 28 มีนาคม พ.ศ. 2410)
พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920) - มักซ์ เวเบอร์ นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน (เกิด 21 เมษายน พ.ศ. 2407)
พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) - เจอโรม เค. เจอโรม นักเขียนชาวอังกฤษ (เกิด 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2402)
พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) - จอห์น โลจี แบร์ด วิศวกรชาวสกอตผู้ประดิษฐ์โทรทัศน์ (เกิด 13 สิงหาคม พ.ศ. 2431)
พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) - หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) บิดาแห่งเพลงชาติไทย (เกิด 24 สิงหาคม พ.ศ. 2439)
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - เฮนรี มานชินี คีตกวีชาวอเมริกัน (เกิด 16 เมษายน พ.ศ. 2467)
พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - โฮเซ่ โบนิญญา แชมป์โลกมวยสากลชาวเวเนซุเอลา (พ.ศ. 2510)
พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) - บุตรศรัณย์ ทองชิว นักร้องและนักแสดง (เกิด 21 กันยายน พ.ศ. 2533)
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
วันประกาศอิสรภาพ ในหมู่เกาะฟอล์กแลนด์, เกาะเซาท์จอร์เจียและหมู่เกาะเซาท์แซนด์วิช (พ.ศ. 2525)
วันผู้บริจาคโลหิตโลก
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
NY Times: On This Day
มิถุนายน 14
มิถุนายน
|
thaiwikipedia
| 2,101 |
15 มิถุนายน
|
วันที่ 15 มิถุนายน เป็นวันที่ 166 ของปี (วันที่ 167 ในปีอธิกสุรทิน) ตามปฏิทินสุริยคติแบบเกรกอเรียน เมื่อถึงวันนี้จะยังเหลือวันอีก 199 วันในปีนั้น
== เหตุการณ์ ==
พ.ศ. 1758 (ค.ศ. 1215) - พระเจ้าจอห์นแห่งอังกฤษ ทรงประทับพระราชลัญจกรบนมหากฎบัตร (แมกนาคาร์ตา)
พ.ศ. 2310 (ค.ศ. 1767) - เจ้าตาก ตีได้เมืองจันทบุรี หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว ๒ เดือน
พ.ศ. 2376 (ค.ศ. 1836) - อาร์คันซอเข้าเป็นรัฐที่ 25 ของสหรัฐอเมริกา
พ.ศ. 2386 (ค.ศ. 1846) - สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ ลงนามในสนธิสัญญาออริกอน ณ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อแบ่งเขตแดนระหว่างแคนาดากับสหรัฐฯ บนเส้นขนานที่ 49
พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) - เกิดเพลิงไหม้บนเรือกลไฟ General Slocum ที่แล่นอยู่ในแม่น้ำอีสต์ รัฐนิวยอร์ก ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 คน
พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) - ไอบีเอ็ม จดทะเบียนเป็นบริษัทในรัฐนิวยอร์ก
พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) - สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า ก่อตั้งขึ้นในเมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) - ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พิพากษาคดีปราสาทเขาพระวิหาร ให้อำนาจอธิปไตยตกเป็นของประเทศกัมพูชา
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - ชิงร้อยชิงล้าน ครั้งหนึ่งในชีวิต ออกอากาศเป็นครั้งแรก (ออกอากาศถึงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2538)
พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - ก่อตั้งสมัชชาประชาชาติมลายูปัตตานี
พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) - สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีวางรางรถไฟฟ้าใต้ดินโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ณ ที่ทำการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
พ.ศ. 2554 (ค.ศ. 2011) - เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง สามารถมองเห็นได้ถึงเช้าวันที่ 16 มิถุนายน
== วันเกิด ==
พ.ศ. 2386 (ค.ศ. 1843) - เอ็ดเวิร์ด กรีก คีตกวีชาวนอร์เวย์ (ถึงแก่กรรม 4 กันยายน พ.ศ. 2450)
พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880) - โอซามิ นางาโนะ จอมพลเรือแห่งกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น (ถึงแก่กรรม 5 มกราคม พ.ศ. 2490)
พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) - เอริค เอริคสัน นักจิตวิเคราะห์ชาวอเมริกัน (ถึงแก่กรรม 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2537)
พ.ศ. 2457 (ค.ศ. 1914) - ยูรี อันโดรปอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียตคนที่ 6 (ถึงแก่กรรม 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527)
พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) - หม่อมเจ้าสุรฉัตร ฉัตรชัย (สิ้นชีพิตักษัย 27 สิงหาคม พ.ศ. 2536)
พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) - ประจวบ ฤกษ์ยามดี นักแสดงชาวไทย (ถึงแก่กรรม 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559)
พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) - เสาวนีย์ อัศวโรจน์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) - จาเนลล์ คอมมิสซิอง นักการเมือง นางแบบ นางงามชาวตรินิแดด
พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - เฟรดดี้ คัสติญโญ แชมป์โลกมวยสากลชาวเม็กซิกัน
พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) - เฮเลน ฮันต์ นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) - มีเคล เลาต์โรป อดีตนักฟุตบอลชาวเดนมาร์ก
พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) - โรดอลโฟ บลังโก แชมป์โลกมวยสากลชาวโคลัมเบีย
พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) - ไชย ขุนศรีรักษา นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) -
* ไอซ์คิวบ์ นักร้องแนวเวสต์โคสต์ฮิปฮอปอเมริกัน
* โอลิเวอร์ คาห์น นักฟุตบอลชาวเยอรมัน
พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) - ทอเร อังเดร โฟล นักฟุตบอลชาวนอร์เวย์
พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) - สายสุนีย์ จ๊ะนะ นักกีฬาวีลแชร์ฟันดาบคนพิการทีมชาติไทย
พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) - สายสุนีย์ จ๊ะนะ นักร้องหญิงชาวไทย
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - ณัฐพล รัตนิพนธ์ นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) -
* เทวินธวิ์ คุณารัตนวัฒน์ นักแสดงชาวไทย
* นุ้ย สุวีณา อาร์ สยาม นักร้องลูกทุ่งหญิงชาวไทย
* มาเล็ก ยาวาหาบ นักฟุตบอล สัญชาติไทย
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - พงค์พิพัฒน์ คงนาค นักร้องลูกทุ่งชายชาวไทย
พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) - วศิน มีปรีชา อดีตนักแสดงเด็กชาวไทย
พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - ไกรสร ปั้นเจริญ นักฟุตบอลชาวไทย
พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - มุสซา ซิลลา นักฟุตบอลชาวกินี
พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) -
* เดนเซล วิทาเกอร์ นักแสดงชาวอเมริกัน
* อริสรา ทองบริสุทธิ์ นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - วศิน อัศวนฤนาท นักแสดงชาวไทย
พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - มุฮัมมัด เศาะลาห์ นักฟุตบอลชาวอียิปต์
พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) -
* ฟินเซนต์ ยันส์เซิน นักฟุตบอลชาวดัตช์
* ยูซุฟ พออุลเซิน นักฟุตบอลชาวเดนมาร์ก
พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - โคเซ ทานากะ นักมวยสากลชาวญี่ปุ่น อดีตแชมป์โลกองค์กรมวยโลก (WBO) 3 รุ่น
พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - ออโรร่า อากส์เนส นักร้องดาร์กป๊อปชาวนอร์เวย์
พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - จตุรภัทร สัทธรรม นักฟุตบอลชาวไทย
พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) - เจ้าหญิงอะมาเลียแห่งนัสเซา พระธิดาพระองค์แรกใน เจ้าชายเฟลิกซ์แห่งลักเซมเบิร์ก กับ เจ้าหญิงแคลร์แห่งลักเซมเบิร์ก
พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) - เจ้าชายนีโคลัส ดยุกแห่งโอเงร์มันลันด์ พระโอรสใน เจ้าหญิงมาเดอลีน ดัชเชสแห่งเฮลซิงลันด์และเยสตริคลันด์ กับ คริสโตเฟอร์ โอนีล
== วันถึงแก่กรรม ==
พ.ศ. 1466 (ค.ศ. 923) - พระเจ้ารอแบร์ที่ 1 แห่งฝรั่งเศส (พระราชสมภพ 15 สิงหาคม พ.ศ. 1409)
พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) - จักรพรรดิฟริดริชที่ 3 แห่งเยอรมนี (โฮเฮนซอลเลิร์น) (พระราชสมภพ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2374)
พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - ผู้เฒ่าจามู ผู้นำชาวปกาเกอะญอที่ต่อสู้กับอำนาจรัฐเพื่อปกป้องผืนป่าสนธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของไทย ป่าสนวัดจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนา
== วันสำคัญและวันหยุดเทศกาล ==
วันประดับธงในประเทศเดนมาร์ก
วันชาติ - สหราชอาณาจักร
อาเซียน - วันไข้เลือดออกอาเซียน
วันลมโลก
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
BBC: On This Day
NY Times: On This Day
มิถุนายน 15
มิถุนายน
|
thaiwikipedia
| 2,102 |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.